Page 158 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

นิทานก่อนนอน

นิทานก่อนนอน เล่าให้ลูกฟังทุกคืน ปูพื้นฐานภาษา ฉลาดทั้งไอคิว อีคิว

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…” กิจกรรมเล่า นิทานก่อนนอน นอกจากจะเป็นการสร้างความผูกพันที่ดีระหว่างครอบครัวแล้ว ยังดีต่อพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของเจ้าตัวเล็กเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงสร้างความสนุกเพลิดเพลินใจ และยังเป็นตัวกระตุ้นจินตนาการของเด็ก ๆ เชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาสมองและสติปัญญาที่ดีได้อีกด้วย มาดูประโยชน์ของการเล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอน พร้อมตัวอย่างหนังสือนิทานที่น่าอ่านให้ลูกฟังกันค่ะ

7 ประโยชน์ของการเล่า นิทานก่อนนอน ให้ลูกฟัง

1.ช่วยให้เกิดจินตนาการ ในขณะที่ลูกได้ฟังนิทานจะช่วยกระตุ้นจินตนาการเป็นภาพตามเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่เล่า ซึ่งจินตนาการวัยเด็กเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สมองเกิดกระบวนการคิดสร้างสรรค์ การเชื่อมโยงเรื่องราว และจัดระบบเรื่องราวได้ยิ่งขึ้น และถึงแม้จะเป็นหนังสือนิทานเล่มเดิมที่มีเรื่องราวเดิม ๆ แต่การคิด การตีความ หรือการวาดภาพในสมองของเด็กจะต่างกันออกไปได้ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่มกระบวนการทำงานของสมอง และต่อยอดไปสู่การเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง

2.ช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษา การเล่านิทานของคุณพ่อคุณแม่ก็เหมือนลูกได้เรียนภาษาไปในตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ลูกจะรู้จักชุดคำศัพท์ใหม่ ๆ ความหมายของคำ โครงสร้างประโยค ได้อย่างรวดเร็วขึ้น และต่อยอดไปสู่การรักการอ่านและมีทัศนคติที่ต่อการเรียนภาษา

3.ช่วยเพิ่มความจำที่ดีมากขึ้น การได้ฟังนิทานนอกจากจะช่วยเสริมสร้างจินตนาการแล้ว ยังทำให้เด็ก ๆ เกิดทักษะในการจับประเด็นวิเคราะห์เรื่องราว และสรุปเรื่องย่อในเรื่องได้ โดยเฉพาะนิทานเรื่องโปรดที่ให้คุณพ่อคุณแม่อ่านซ้ำไปซ้ำมาก็จะทำให้ลูกเกิดกระบวนการจดจำ จนคุณแม่อาจจะได้ยินลูกเล่านิทานเรื่องนี้ได้เป็นฉาก ๆ ถือว่าเป็นการช่วยพัฒนาการความจำและฝึกสมองของลูกน้อยได้อีกวิธีหนึ่งเลยทีเดียว

4.ช่วยพัฒนาทั้ง IQ EQ และ EF การเล่านิทานจะมีส่วนกระตุ้นให้ลูกเป็นคนช่างคิด ช่างสังเกต ช่างซักถาม ที่จะต่อยอดให้มีความมั่นใจ กล้าแสดงความคิดเห็น เกิดกระบวนการคิดแก้ปัญหา รู้จักวางแผน และเกิดการเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่จะส่งเสริมให้เกิดความฉลาดทางปัญญา ความฉลาดทางอารมณ์ และทักษะสำคัญต่อการดำเนินชีวิตได้

5.ช่วยฝึกสมาธิให้ลูก เวลาก่อนนอนควรเป็นเวลาที่ลูกจะได้อยู่นิ่ง ๆ เตรียมพร้อมก่อนที่จะพักผ่อน การเล่านิทานในช่วงเวลาเดียวกันในทุก ๆ วัน จะทำให้ลูกน้อยรู้ว่านี่คือเวลาเข้านอน และมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่เล่า ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของการปลูกฝังวินัยการตรงต่อเวลาที่ดีให้กับเจ้าตัวเล็กด้วย

6.ช่วยปลูกฝังนิสัยที่ดีให้ลูกน้อย ในหนังสือนิทานที่มีเนื้อหาดีจะสอดแทรกไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม มีข้อคิดสอนใจ เช่น มารยาทต่าง ๆ ความมีน้ำใจ การฝึกทักษะในชีวิตประจำวัน ระเบียบวินัย ฯลฯ การเลือกนิทานที่เหมาะสมกับวัยของลูกน้อยจึงมีส่วนสำคัญ เมื่อเด็กได้ฟังเรื่องเล่าจากนิทานก็จะซึมซับและสร้างพฤติกรรมที่ดีอันเป็นการปลูกฝังสิ่งดี ๆ ให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก ๆ

7.ช่วยเสริมสร้างความอบอุ่นให้ลูกน้อย การเล่านิทานก่อนนอนจัดว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยทำให้ลูกได้นอนหลับฝันดี พักผ่อนอย่างมีความสุข การได้อยู่ใกล้ชิดคุณพ่อคุณแม่ก่อนนอนจะทำให้ลูกได้รับรู้ถึงความรัก รู้สึกปลอดภัย นำไปสู่ความรู้สึกเชื่อมั่นที่จะเรียนรู้ต่อไป

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ นักจิตเวช พัฒนาการวัยเด็กและวัยรุ่น ได้พูดถึงกิจกรรมการอ่านนิทานก่อนนอนว่า เวลาส่งลูกเข้านอนในช่วง 20.30 น. ไม่เกิน 21.00 น. การทำกิจกรรมร่วมกันถือเป็นเวลาคุณภาพ “หากทำติดต่อกันทุกวันเป็นระยะเวลา 3 ปี จะเกิดประโยชน์มากมาย เด็กมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เฉลียวฉลาด รักการอ่าน เป็นเด็กดี เชื่อฟัง ที่สำคัญเป็นการกระตุ้นพัฒนาการของสมองส่วนหน้า (EF)” – (ข้อมูลจาก www.thaihealth.or.th)

ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกหนังสือนิทานที่มีเรื่องราวหลายประเภทและลักษณะแตกต่างกันที่ให้เหมาะสมกับวัยของลูกได้ เช่น นิทานที่สอดแทรกเนื้อหาในการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม ส่งเสริม EF จินตนาการ นิทานพื้นบ้าน นิทานอีสป หรือเรื่องที่แต่งขึ้นมาใหม่บางเรื่องเป็นจินตนาการหรือบางเรื่องเกี่ยวกับใกล้ตัวเด็ก เพื่อให้ลูกได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย และไม่ต้องกังวลไปหากลูกจะมีความชอบฟังนิทานเล่มเดิม ๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

แนะนำ 10 ตัวอย่างหนังสือนิทานก่อนนอนสำหรับลูกตั้งแต่ 0-7 ปี

คุณฟองฟันหลอ

1.คุณฟองฟันหลอ
ผู้แต่ง-ภาพประกอบ : ชีวัน วิสาสะ สำนักพิมพ์ : แพรวเพื่อนเด็ก จำนวน : ๓๒ หน้า

คุณฟองฟันหลอ เพราะเด็กๆทุกคนจะต้องมาถึงวันที่ฟันน้ำนมหลุดไป เช่นเดียวกันกับคุณฟอง ที่เมื่อฟันน้ำนมหลุดแล้วก็กลายเป็นคนฟันหลอ ไม่กล้าออกจากบ้าน ไปแปรงฟันให้เพื่อนเหมือนเคยหมือนกับเด็กๆ ที่ฟันหลอแล้วมักเขินอาย ตกใจหรือเป็นกังวล  ส่วนเพื่อน ๆ ก็รออยู่ด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่า คุณฟองหายไป ไม่มาแปรงฟันให้เพื่อน ๆ เหมือนเดิม จึงเดินทางมาหาคุณฟองที่บ้าน เมื่อรู้ว่าเพื่อนมาหา คุณฟองดีใจแต่ก็ยังรู้สึกอายอยู่ดี ส่วนเพื่อน ๆ พอรู้ปัญหาของคุณฟองเพื่อนๆ ก็พยายามหาฟันมาใส่ให้คุณฟองเป็นการทดแทน เมื่อคุณช้างเสนอให้คุณฟองใช้งาคู่ใหญ่ คุณฮิปโปใจดีเสนอใช้ยืมฟันซี่โต และคุณจระเข้ก็ยินดีใช้คุณฟองยืมฟันแหลม ๆ เต็มปาก แต่คุณฟองปฏิเสธไปและขอบใจเพื่อน ๆ เพราะคุณฟองรู้ดีว่าฟันที่หลุดไปนั้นเป็นฟันน้ำนม อีกไม่นานฟันแท้ก็จะงอกขึ้นมาแท้ที่นั่นเอง.

คุณตาหนวดยาว

2.คุณตาหนวดยาว
ผู้แต่ง-ภาพประกอบ : ชีวัน วิสาสะ สำนักพิมพ์ : แพรวเพื่อนเด็ก จำนวน : ๓๒ หน้า

เรื่องของคุณตาหนวดยาวคนหนึ่งที่อยู่คนเดียว คุณตาแก่ลงทุกวันแต่หนวดของคุณตากลับยาวขึ้นเรื่อยๆ คุณตาไม่มีความสุขกับหนวดที่ยาวขึ้นเพราะบางวันก็เดินสะดุด บางวันก็ล้มเพราะหนวดยาวเกินไป คุณตาจึงพยายามคิดหาวิธีที่จะอยู่กับหนวด จนในที่สุดคุณตาก็ค้นพบวิธีที่จะอยู่กับหนวดได้อย่างมีความสุข นั่นก็คือ คุณตาลองใช้หนวดทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ กวาดบ้าน ถูบ้าน สีหนวดเป็นเพลงเพราะๆ และทำอะไรๆ ได้อีกหลายอย่างตามแต่เด็กๆ จะช่วยกันจินตนาการ

หนังสือเล่มนี้จะทำให้เด็ก ๆ ได้ใช้จินตนาการต่อยอดไปว่าหนวดของคุณตาสามารถทำอะไรได้อีกบ้างกันนะ แถมยังเป็นหนังสือที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างเด็ก ๆ กับผู้สูงอายุด้วย

อ่านคุณตาหนวดยาวเพิ่มเติม คลิก

มากินข้าวด้วยกันนะ

3.มากินข้าวด้วยกันนะ
ผู้แต่ง-ภาพประกอบ : วชิราวรรณ ทับเสือ สำนักพิมพ์ : แพรวเพื่อนเด็ก จำนวน : ๒๔ หน้า

มากินข้าวด้วยกันนะ มากินข้าวด้วยกันนะ  เป็นหนังสือที่อยากให้เด็ก ๆ มีความสุข และรู้สึกสนุกกับการกินข้าว ตัวเด็กที่เป็นตัวละครหลักในเล่มได้ชักชวนให้เพื่อนสัตว์ต่าง ๆ มาร่วมกินอาหารด้วย หมายถึงการแบ่งปัน มีนํ้าใจเอื้อเฟื้อ และได้เสริมความรู้ด้วยว่าสัตว์แต่ละตัวชอบกินอาหารชนิดใด เช่น แมวกินปลา หมากินกระดูก หมีกินน้ำผึ้ง กระต่ายกินแครอท เด็กกินข้าว ฯลฯ หนังสือภาพเล่มนี้จะช่วยให้เพิ่มเติมจินตนาการให้กับเด็ก ๆ เมื่อเด็กหลายคนได้อ่านและเห็นภาพก็พอถึงภาพที่ตัวละครนั่งกินอาหารร่วมกันกับเพื่อน ๆ เขาจะหยิบอาหารแต่ละชนิดของทุกตัวเข้าปาก ทำท่าเคี้ยว และจินตนาการว่า ได้ลองชิมอาหารของเพื่อนจริง ๆ แล้วพูดออกมาว่า “อร่อยจังเลย” อยากให้หนังสือภาพ “มากินข้าวด้วยกันนะ” เล่มนี้ สร้างความเพลิดเพลิน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ได้กินข้าวร่วมกันอย่างมีความสุข.

อ่านมากินข้าวด้วยกันนะเพิ่มเติม คลิก

อาบน้ำด้วยกันนะ

4.อาบน้ำด้วยกันนะ
ผู้แต่ง-ภาพประกอบ : วชิราวรรณ ทับเสือ สำนักพิมพ์ : แพรวเพื่อนเด็ก

หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือภาพที่มีพื้นที่ขาวโล่ง สะอาดตา ไม่มีฉากหลังที่รกรุงรัง ใช้ภาพน้อย คำน้อย บอกเล่าเรื่องราวที่ชวนให้เด็ก ๆ ชื่นชอบการอาบน้ำ และอยากจะให้เด็กๆได้มีความสุข และสนุกกับการอาบนํ้า โดยเด็กชายที่เป็นตัวละครหลักในเล่มจะชวนเพื่อน ๆ ตุ๊กตาของเขาไปอาบน้ำด้วยกัน ให้เด็ก ๆ ได้จินตนาการจากเสียงที่คุณพ่อคุณแม่อ่านให้ฟัง สร้างความเพลิดเพลินไปด้วยกันจากการได้อ่านหนังสือภาพร่วมกันอย่างมีความสุข

อ่านอาบน้ำด้วยกันนะเพิ่มเติม คลิก

อาบน้ำสนุกจัง

5.อาบน้ำสนุกจัง
เรื่อง : เคียวโกะ มัตษุโอกะ ภาพ : อาคิโกะ ฮายาชิ แปล : พรอนงค์ นิยมค้าและมารินา โฮริคาวา สำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก

มาโกะจังตัวเอกในเรื่องกำลังจะอาบน้ำ ได้ยินเสียงแม่ถามเข้ามาว่า “น้ำอุ่นพอดีหรือยัง” นี่คือสัญญาณเริ่มต้นจินตนาการ จากนั้นก็เริ่มมีเพื่อนๆสัตว์เข้ามาอาบน้ำด้วยกัน เล่นสนุกด้วยกันในห้องน้ำชักชวนกันนับเลขต่อจำนวนด้วยกัน เริ่มจากตุ๊กตาเป็ดตัวเล็กๆของเด็กชาย ก็เริ่มมีเต่า เพนกวินฝาแฝด แมวน้ำ ฮิปโป จนถึงปลาวาฬ ภาพในหนังสือเล่มนี้ สวยงามและใหญ่โตเต็มตา ดูได้อย่างเต็มอิ่ม ในตอนท้ายของเรื่อง เมื่อเสียงแม่แว่วมาอีกครั้งว่า “อาบน้ำเสร็จหรือยัง” นี่ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ต้องกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้แล้ว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ใหญ่เป็นตัวแทนของโลกความจริงนั่นเอง การอาบน้ำของมาโกะจัง เป็นการนำเสนอทั้งความจริงในขั้นตอนของการอาบน้ำอย่างละเอียด และความฝันในจินตนาการของมาโกะจัง ที่มีเต่า นกเพนกวิน แมวน้ำ และฮิปโปมาร่วมอาบน้ำด้วย ทำให้การอาบน้ำของมาโกะจังเป็นเรื่องที่น่าสนุก

นิทานเรื่องนี้สอนให้เด็ก ๆ เรียนรู้เรื่องอาบน้ำและตื่นเต้นไปกับเนื้อเรื่องที่จะต้องพบสัตว์แต่ละตัวในอ่างอาบน้ำ ช่วยกระตุ้นจินตนาการได้ดี เป็นการสื่อสารทางตรงที่สอนวิธีการอาบน้ำอย่างละเอียดอย่างเป็นขั้นตอน และการสื่อสารทางอ้อม คือ สอนเรื่องการนับและคุณธรรม จริยธรรม ในเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของคนและสัตว์ แม้เนื้อเรื่องจะยาว แต่นำเสนอให้เด็กได้ติดตามและคาดเดาเป็นระยะ ทำให้เด็กสนุกไปกับการอาบน้ำของมาโกะจังพร้อมกับภาพประกอบที่มีสีสันสวยงาม

คุณกลมๆเล็กๆ

6.คุณกลม ๆ เล็ก ๆ
ผู้แต่ง-ภาพประกอบ : ปรีดา ปัญญาจันทร์ สำนักพิมพ์ : แพรวเพื่อนเด็ก จำนวน : ๒๔ หน้า

หนังสือเล่มนี้ได้นำจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของผู้แต่ง ที่สามารถหยิบเอารูปทรงง่าย ๆ ใกล้ตัวเด็ก มาสร้างสรรค์เป็นเรื่องราวที่น่ารัก ประกอบกับการมีคำซ้ำในนิทานที่เด็ก ๆ สามารถมีส่วนร่วมได้อย่างสนุกสนาน เช่น “คุณกลม ๆ เล็ก ๆ อาศัยอยู่ในบ้านหลังกลม ๆ เล็ก ๆ ที่มีหน้าต่างกลม ๆ เล็ก ๆ นอนบนเตียงกลม ๆ เล็ก ๆ คุณกลม ๆ เล็ก ๆ เลี้ยงหมาเอาไว้ตัวหนึ่ง วันหนึ่งคุณกลม ๆ เล็ก ๆ พาหมากลม ๆ เล็ก ๆ ออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ พบไข่นกฟองกลม ๆ เล็ก ๆ อยู่ในรังที่กลมๆ เล็ก ๆ คุณกลม ๆ เล็ก ๆ จึงเอาไข่นกกลับมาบ้าน”

กุริกับกุระ

7.กุริ กับ กุระ
ผู้แต่ง : ริเอโกะ นาคางาวะ โกะ โอมูระสํานักพิมพ์ : แพรวเพื่อนเด็กปีที่พิมพ์ : 2541 จํานวน : 28 หน้า

กุริกับกุระสองหนูนา ที่ชอบการทำอาหาร ขณะที่พวกมันออกไปเดินเล่นก็ได้เจอกับไข่ใบยักษ์ในป่า และคิดเมนูและอุปกรณ์มาทำอาหารกันมากมาย แต่สองหนูตัวเล็กจะนำไข่ใบใหญ่กลับบ้านอย่างไร พวกมันจึงตัดสินใจขนอุปกรณ์มาจากบ้าน และทำเค้กไข่หอมฟูก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว กุริกับกุระ ได้แบ่งเพื่อน ๆ กินกันอย่างมีความสุข หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือนิทานภาพสำหรับเด็กที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมของเด็กทั่วโลก  พัฒนาทักษะทางภาษาของลูกรัก

อ่านกุริกับกุระเพิ่มเติม คลิก

งานแรกของมี้จัง

8.งานแรกของมี้จัง
ผู้แต่ง : โยริโกะ ษุษุอิ ผู้แปล : พรอนงค์ นิยมค้า ภาพประกอบ : อาคิโกะ ฮายาชิ สำนักพิมพ์ : แพรวเพื่อนเด็ก จำนวน : ๓๒ หน้า

งานแรกของมี้จัง เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงวัย 5   ขวบ ที่ได้รับมอบหมายให้ออกจากบ้านไปซื้อของคนเดียวเป็นครั้งแรก มี้จังทั้งตื่นเต้น ดีใจและตกใจเพราะยังไม่เคยออกจากไปไหนคนเดียวมาก่อนเลย ระหว่างทางมี้จังก็ได้พบเพื่อนและเผชิญกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่แสนจะยิ่งใหญ่ในโลกของเด็ก ซึ่งกว่าจะซื้อนมกลับมาให้น้องได้ มี้จังต้องใช้ความพยายามและอดทนอย่างมากที่สุด เท่าที่เด็กอายุ 5 ขวบจะทำได้ หนังสือเล่มนี้เป็นที่ชื่นชอบของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนอกจากเรื่องจะน่าประทับใจแล้ว ภาพวาดยังมีเสน่ห์ เนื่องจากภาพให้รายละเอียดอย่างครบถ้วน สามารถฉายให้เห็นความเป็นชุมชนเล็ก ๆ ในประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี

อ่านงานแรกของมี้จังเพิ่มเติม คลิก

ปลาก็คือปลา

9.ปลา ก็ คือ ปลา
เรื่องและภาพ : ลีโอ ลิออนนี แปล: อริยา ไพฑูรย์ มูลนิธิเอสซีจี

ลูกปลากับลูกอ๊อดเป็นเพื่อนสนิทกัน วันหนึ่งลูกอ๊อดโตขึ้นกลายเป็นกบ กระโดดออกจากบึงน้ำไปท่องโลกกว้าง ปลาได้แต่รอคอยด้วยความสงสัยว่าเพื่อนกบหายไปไหน วันหนึ่งกบกลับมาเล่าถึงสิ่งต่างๆ ที่ได้ไปพบ นับแต่นั้นมา ปลาผู้เปี่ยมล้นไปด้วยพลังจินตนาการก็เฝ้าแต่คิดถึงฝันถึงสิ่งวิเศษต่าง ๆ ที่กบเล่า จนกระทั่งวันหนึ่งปลาตัดสินใจแน่วแน่กระโจนขึ้นจากผืนน้ำ หวังจะไปดูสิ่งต่างๆ ด้วยตาของมันเอง

น้องหนูอยู่ไหน
น้องหนูอยู่ไหน

10.น้องหนูอยู่ไหน
ผู้แต่ง : โยริโกะ ษุษูอิ ผู้แปล : พรอนงค์ นิยมค้า ภาพประกอบ : อาคิโกะ ฮายาชิ สำนักพิมพ์ : แพรวเพื่อนเด็ก จำนวน : ๓๒ หน้า

เมื่อคุณแม่ต้องออกไปทำธุระนอกบ้าน และได้ฝากให้อาซาเอะจังคอยดูแลน้องสาวตัวน้อยเพียงลำพัง แต่แล้วน้องก็หายไป เด็กหญิงตกใจ และออกตามหาน้องไปทั่ว เสียงเด็กร้อง เสียงรถเบรก ทำเอาใจเด็กหญิงสั่นทุกครั้ง และดูเหมือนว่าอาซาเอะจะได้พบน้องสาวแต่ก็กลับไม่ใช่น้องของตัวเองทุกครั้งไป จนในที่สุดเด็กหญิงก็เจอน้องสาวตัวน้อยที่กำลังเล่นอยู่ในกระบะทรายตรงสนามเด็กเล่นแถวบ้านนั่นเอง

หนังสือเล่มนี้ แสดงให้ถึงความห่วงใยและความรับผิดชอบของเด็กเล็ก ๆ ได้อย่างชัดเจน อาจจะถือได้ว่าเป็นการบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในการสอนให้เด็กเล็ก ๆ รู้จักการระมัดระวัง แม้จะเป็นเวลาเพียงช่วงเสี้ยววินาทีก็ตาม และทำให้เห็นมุมมองของเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ระดับต่ำกว่าสายตาของผู้ใหญ่ ที่อะไรก็ดูเหมือนจะใหญ่โต น่าตื่นตระหนกไปเสียทั้งหมด แต่เมื่อเหตุการณ์กลับสู่ภาวะปกติก็กลับกลายเป็นภาพจบที่ดูแสนอบอุ่นและปลอดภัย

นิทาน คือหนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าจากจินตนาการ หนังนิทานสำหรับเด็กปฐมวัยนั้น เนื้อหาควรประกอบไปด้วยคำศัพท์ที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่ซ้ำซ้อน ตัวอักษรมีขนาดใหญ่ มีภาพประกอบที่ที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง มีสีสันดึงดูดสายตาน่าสนใจ มีเนื้อเรื่องที่เข้าใจง่าย สั้นกระชับ และสนุกสนาน พร้อมแฝงไปด้วยแง่คิดคติสอนใจ คุณธรรม จริยธรรม เกี่ยวกับตัวเด็ก และใกล้ชิดตัวเด็ก หรือเกี่ยวกับธรรมชาติแวดล้อม

คุณพ่อคุณแม่สามารถหยิบจับหนังสือนิทานอ่านให้ลูกฟังได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงอายุ 10 ขวบโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่จะชอบการฟังนิทานก่อนนอนจากคุณพ่อคุณแม่เป็นที่สุด ซึ่งเวลาเพียงแค่ 15-20 นาทีในการอ่านให้ลูกฟังก่อนนอน จัดเป็นเวลาทองของลูกน้อยที่ลูกจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีมากมาย ยิ่งคุณพ่อคุณแม่เริ่มต้นอ่านนิทานให้ลูกฟังแต่เล็ก ก็จะเป็นการช่วยปูพื้นฐานการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีความสามารถในการพัฒนาสมองและทักษะทุกด้านกว่า 80% ของชีวิต ทั้งยังมีส่วนเสริมพัฒนาการให้ลูกได้เติบโตมาเป็นเด็กรักการอ่าน ชอบเขียน และฉลาด รวมถึงอารมณ์ดี จิตใจดี ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยกล่อมเกลานิสัยให้ลูกรักได้ดีทีเดียว เพียงสละเวลาแค่วันละนิด แล้วหยิบนิทานมาอ่านให้ลูกฟังใกล้ ๆ ก่อนนอนคืนนี้กันนะคะ.

ขอบคุณเนื้อหานิทานและภาพประกอบจาก: www.taiwisdom.orgwww.naiin.com

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.healthandtrend.comwww.edtechbooks.com

อ่านต่อบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจคลิก

5 เคล็ดวิธีอ่านนิทานสนุก ปลุกสมองลูก

ปู่ย่าตายาย “อ่านนิทาน” ให้หลานได้อะไรมากกว่าที่คิด

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

โหวตสุดยอด “แบรนด์สินค้าในดวงใจ”แม่ตัวจริง เพื่อรับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020

กลับมาอีกครั้ง กับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020 การโหวตแบรนด์ “สินค้าแม่และเด็ก” ที่เปิดโอกาสให้คุณแม่ทั่วประเทศ เป็นผู้ตัดสินใจว่าใครควรได้รับ “สุดยอดแบรนด์สินค้าแม่และเด็กในดวงใจ” ในปีนี้  ทุกการโหวตมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล Magic Box  100 รางวัล ส่งให้ใช้ฟรีๆถึงบ้าน

ร่วมโหวตสุดยอด “แบรนด์สินค้าในดวงใจ”แม่ตัวจริง เพื่อรับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020 

Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ที่เป็นผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ได้อย่างครบครันรอบด้านที่สุด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 15 ปี Amarin Baby & Kids เข้าถึงคุณแม่ทั่วประเทศไทย ด้วยการเป็น OMNI Media ทั้งรูปแบบ Online ผ่าน www.AmarinBabyAndKids.com และเฟซบุ๊คแฟนเพจที่มีเนื้อหาตรงใจ ทันสถานการณ์ โดยมียอดผู้ติดตามมากกว่า 1,000,000 Followers รวมถึง รูปแบบ On ground งานแฟร์แม่ลูก Amarin Baby & Kids Fair ที่จัดมาแล้ว 18 ครั้ง

เว็บไซต์ Amarin Baby & Kids ในฐานะเครือข่ายแม่ลูกออนไลน์อันดับ 1 ของประเทศ ซึ่งยอดเข้าถึงกว่า 20.5 ล้านคนต่อเดือน และมียอดติดตามทางเฟซบุ๊กกว่า 1 ล้าน Follower จัดการมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020 ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ให้กับแบรนด์สินค้าสำหรับ “แม่และเด็ก” ในดวงใจคุณแม่ตัวจริง หลังจากได้รับผลสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในปีที่ผ่านมา

 

ผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019

สำหรับผู้ได้รับรางวัลในปีที่ผ่านมา Amarin Baby & Kids Awards 2019  ซึ่งมาจากคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ผ่าน www.AmarinBabyAndKids.com ด้วยหวังเป็นสื่อกลางข้อมูลคุณภาพจากแม่สู่แม่ Mom to Mom Sharing ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อคุณแม่มือใหม่ที่กำลังมองหา “สินค้าใช้ดี ที่ได้รับการยืนยันจากคุณแม่ตัวจริงทั่วประเทศ”  มีดังต่อไปนี้

– รางวัล Mommy’s Choice มอบให้กับแบรนด์สินค้า ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากการลงคะแนนของคุณแม่ทั่วประเทศ ที่มีประสบการณ์ใช้สินค้าจริงด้วยตัวเอง ทั้งหมด 23 รางวัล

– รางวัล Editor’s Choice ซึ่งมอบให้กับ “สินค้าใช้ดี และมีจุดเด่นน่าสนใจ” คัดเลือกโดย กองบรรณาธิการเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids ทั้งหมด 17 รางวัล

**ดูผลรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2019 ได้ที่ www.amarinbabyandkids.com/awards/**

 

สำหรับ Amarin Baby & Kids Awards ปีนี้แบ่งออกเป็น 2 รางวัลหลักเช่นเคย ได้แก่ รางวัล Mommy’s Choice ซึ่งจะมอบให้กับสินค้าแม่และเด็กแต่ละประเภทที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากการลงคะแนนของคุณแม่ทั่วประเทศ ผู้บริโภคที่มีประสบการณ์ใช้สินค้าจริงด้วยตัวเอง โดยแบรนด์ต่างๆผ่านการเสนอชื่อทางเว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com  เมื่อวันที่ 13-31 กรกฎาคม 2563 รวมทั้งหมด 40 จำนวน 9 หมวดรางวัล เพื่อลุ้นผู้ชนะรางวัล Mommy’s Choice “สินค้ามีประโยชน์จริง”ที่ถูกใจคุณแม่ตัวจริง ดังต่อไปนี้

  • หมวดผลิตภัณฑ์อาบน้ำ แต่งตัว

  • หมวดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

  • หมวดผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเด็ก

  • หมวดอุปกรณ์การดูแลเด็ก

  • หมวดผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสำหรับเด็ก

  • หมวดเสริมพัฒนาการเด็ก

  • หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับครอบครัว

  • หมวดผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่

  • หมวดแฟนเพจในดวงใจ

นอกจากนี้ยังมี รางวัล Editor’s Choice ซึ่งมอบให้กับ “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง” ที่ได้รับการคัดเลือกจากกองบรรณาธิการเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids  ทั้งนี้คุณแม่ทุกคนที่ร่วมโหวตมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัล Magic Box กล่องสุ่มสุดว้าว มากถึง 100 รางวัล ที่คัดสรรมาให้เฉพาะแม่ๆ เดาสนุกๆ กันว่าในกล่องมีสินค้าน่าใช้อะไรบ้าง

ระยะเวลาการโหวต 

ตั้งแต่วันที่ 10  – 31 สิงหาคม 2563

การประกาศผล

ประกาศแบรนด์ที่ได้รับรางวัล Mommy’s Choice Amarin Baby & Kids Awards 2020  วันที่ 1ตุลาคม 2563

ประกาศผลผู้โชคดีได้รับ Magic Box  วันที่ 10 พฤศจิกายน 2563

ทางเว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com 

Facebook: Amarin Baby & Kids

Line : @amarinbabyandkids

เชิญชวนคุณแม่ตัวจริงมาร่วมค้นหา “สินค้าแม่และเด็ก” ที่ใช้ดี มีประโยชน์ ถูกใจแม่ >>> คลิกตรงนี้เลย https://bit.ly/3ac8MVw

 

 

 

ชิคุนกุนยา

ชิคุนกุนยา โรคไข้ปวดข้อยุงลาย 5 จังหวัดนี้ คนป่วยเยอะสุด!

กรมควบคุมโรคออกเตือน เฝ้าระวังอีกหนึ่งโรคระบาดหน้าฝน โรคร้ายจากยุง ชิคุนกุนยา หรือ โรคไข้ปวดข้อยุงลาย 5 จังหวัดนี้ คนป่วยเยอะสุด!

ชิคุนกุนยา โรคไข้ปวดข้อยุงลาย 5 จังหวัดนี้ คนป่วยเยอะสุด

เมื่อเข้าสู่หน้าฝนก็ถือเป็นอีกหนึ่งฤดูที่เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ที่มาพร้อมกับสภาพอากาศและความชื้นที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ และไข้เลือดออกที่เป็นโรคประจำถิ่น แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งโรคที่ควรเฝ้าระวัง ซึ่งเป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะ โดยนายแพทย์สุวรรณชัย  วัฒนายิ่งเจริญชัย  อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ออกมาเผยแพร่ข้อมูลการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพรายสัปดาห์ ฉบับที่ 274 ประจำสัปดาห์ที่ 32 (วันที่ 9 – 15 ส.ค. 63) ว่า …

“จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือ ชิคุนกุนยา ในปี 2563 พบผู้ป่วยแล้ว 5,728 ราย จาก 65 จังหวัด แต่ยังไม่มีผู้เสียชีวิต ซึ่งกลุ่มอายุที่พบมากที่สุด 3 อันดับ คือ 25-34 ปี (ร้อยละ 51) , 35-44 ปี (ร้อยละ 20) และ 45-54 ปี (ร้อยละ50) ตามลำดับ

ทั้งนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ รับจ้างร้อยละ 7, เกษตรร้อยละ 7 และ นักเรียนร้อยละ 3 ส่วนภาคที่มีอัตราป่วยสูงสุด คือ

  • ภาคกลาง
  • รองลงมาคือ ภาคเหนือ
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • และภาคใต้ ตามลำดับ

โดยจากระบบเฝ้าระวังโรค (รง. 506) พบจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด 5 อันดับแรก คือ จันทบุรี รองลงมาคือ อุทัยธานี ลำพูน เลย และตราด ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามจากการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์นี้ คาดว่าช่วงนี้จะมีจำนวนผู้ป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือ ชิคุนกุนยา เพิ่มขึ้น เนื่องจากช่วงเดือนสิงหาคมในปีนี้เป็นฤดูฝนที่เพิ่งเริ่มตกหนัก และตกชุกต่อเนื่องครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทย ทำให้เกิดน้ำขังตามภาชนะต่างๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้  โรคไข้ปวดข้อยุงลายหรือชิคุนกุนยา เป็นโรคติดต่อนำโดยมียุงลายเป็นพาหะ ทั้งยุงลายสวน และยุงลายบ้าน

ชิคุนกุนยา

อาการโรคชิคุนกุนยา

ชิคุนกุนย่า อาการ เริ่มแรกคล้ายไข้เดงกี่ หรือไข้เลือดออก ต่างกันที่ไม่มีการรั่วของพลาสมาออกนอกเส้นเลือด จึงไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมากจนถึงมีการช็อก เหมือนโรคไข้เลือดออกโดยทั่วไป สำหรับผู้ที่ติดเชื้อจะมีไข้สูง ปวดข้อ ข้อบวมหรือข้ออักเสบร่วมกับมีอาการปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ มีผื่นหรืออ่อนเพลีย

วิธีรักษาโรคชิคุนกุนยา

โรคชิคุนกุนยาจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างโรคไข้เลือดออก แต่ยังไม่มีการรักษาเฉพาะ คุณหมอจะใช้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ (ห้ามใช้ยาแอสไพรินลดไข้เป็นอันขาดเนื่องจากจะทำให้เลือดออกง่ายขึ้น)ยาบรรเทาอาการปวดข้อ  เช็ดตัวด้วยน้ำสะอาดเพื่อช่วยลดไข้ ดื่มน้ำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พร้อมป้องกันภาวะแทรกซ้อน และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา ไปสู่ผู้อื่น

การป้องกันโรคที่ดีที่สุด คือ การจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ้านและนอกบ้าน และการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ด้วยมาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค คือ

  • เก็บบ้าน ให้สะอาด โปร่ง โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบเป็นที่เกาะพักของยุง
  • เก็บขยะ เศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
  • เก็บน้ำ ภาชนะที่ใส่น้ำจะต้องปิดฝาให้มิดชิด หรือหมั่นทำความสะอาด เปลี่ยนถ่ายน้ำ ใส่ทรายหรือแบคทีเรียกำจัดลูกน้ำป้องกันไม่ให้ยุงลายมาวางไข่

ซึ่งจะสามารถป้องกันได้ถึง 3 โรค คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และ โรคไข้ปวดข้อยุงลาย หรือ ชิคุนกุนยา รวมถึงการป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัดด้วยการทายากันยุง กำจัดยุงในบ้าน และนอนกางมุ้ง ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยควรดูแลรักษาสุขภาพและรับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและมีอนามัยที่ดีอยู่เสมอ อย่างไรก็ตามหากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป … ทั้งนี้หากคุรพ่อคุณแม่มีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422

ชมคลิปเพิ่มเติมความรู้เรื่อง “โรคชิคุนกุนยา” จากโรงพยาบาลสงขลานครินทร์


ข้อมูลจาก : ทีม SAT / สำนักสื่อสารความเสี่ยงฯ กรมควบคุมโรค ddc.moph.go.thwww.samitivejhospitals.com และ www.rajavithi.go.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

5 แมลงมีพิษ และสัตว์ร้ายที่มากับหน้าฝน อันตรายใกล้ตัวลูก ที่พ่อแม่ต้องระวัง!

ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด อยากให้ลูกหายไข้ พ่อแม่ต้องทำอย่างไร?

หมอเตือน!! ส่าไข้ ระบาดหนักในเด็กเล็ก ระวังชักจากไข้สูง

โครงการจิตอาสา

โครงการจิตอาสา สอนลูกช่วยสังคมได้ง่าย ๆ แม้อยู่บ้าน

New Normal หลังโควิดยังไม่ยอมจางไป แต่การปลูกฝังจิตสำนึกต่อสังคมให้แก่ลูกคงจางไม่ได้ มาเติมความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย โครงการจิตอาสา ที่อยู่บ้านก็ทำความดีได้

โครงการจิตอาสา สอนลูกช่วยสังคมได้ง่าย ๆ แม้อยู่บ้าน

“การทำงานจิตอาสาเป็นสิ่งที่ช่วยปลูกฝังให้เด็กมีทักษะชีวิตที่สำคัญ ได้แก่ การเสียสละ การมีน้ำใจ ความขยัน อดทน ความรับผิดชอบ การเข้าสังคม อ่อนน้อมถ่อมตน ลดความเห็นแก่ตัว มีเมตตาต่อกันทำให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือการเห็นอกเห็นใจและเข้าใจผู้อื่น” คำกล่าวของแพทย์หญิงถิรพร ตั้งจิตติพร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์  ที่ได้แนะนำถึงว่าทำไมควรให้ลูกได้ทำงานจิตอาสา

ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เด็กติดหน้าจอ และรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่าง ๆ มากมาย ทำให้กิจกรรมพบปะปฎิสัมพันธ์ระหว่างกันก็น้อยลง ส่งผลให้เด็กขาดทักษะชีวิตที่สำคัญไปหลายอย่าง เช่น ทักษะการทำงานเป็นทีม ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เป็นต้น ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่จำเป็นต่อลูกเมื่อเขาโตขึ้นไป และเข้าสู่วัยทำงาน ดังนั้นการช่วยให้เขาได้เพิ่มพูนทักษะต่าง ๆ เหล่านี้ จากสถานการณ์จำลองการทำงานร่วมกับผู้อื่นจาก โครงการจิตอาสา ต่าง ๆ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แถมยังได้บุญอีกด้วย

งานอาสาที่เหมาะแต่ละช่วงวัย

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอันดับแรก คือเรื่องความปลอดภัย พัฒนาการ ทักษะของเด็กและความพร้อมให้เหมาะสมกับกิจกรรม

  • วัยอนุบาล: กิจกรรมส่วนใหญ่มักเป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ เป็นกิจกรรมที่ทำง่ายๆไม่ต้องใช้ทักษะมาก แต่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือส่วนรวม และผู้อื่น

ตัวอย่างงานอาสาในวัยนี้ 

  1. ช่วยเก็บของหรือจัดเรียงของ หรืออาจให้ลูกช่วยเก็บรวบช้อนส้อม เขี่ยข้าวที่กินเหลือกระจัดกระจายในจานตนเองให้มารวมกันเพื่อง่ายต่อการเก็บจาน ในระหว่างที่ไปทานข้าวนอกบ้าน เพื่อเป็นการช่วย แบ่งเบาภาระแก่ผู้ที่มีหน้าที่เก็บล้าง เหมือนดั่งวิธีการเลี้ยงลูกแบบชาวญี่ปุ่น นอกจากจะช่วยเรื่องความมีระเบียบวินัยแล้วยังช่วยลูกให้มีนิสัยรับผิดชอบหน้าที่ของตน และไม่ไปสร้างภาระแก่ผู้อื่น
  2. ทำความสะอาดง่าย ๆ การช่วยทำงานบ้านก็เป็นจิตอาสารูปแบบหนึ่ง
  3. แบ่งของเล่นหรือเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใช้แล้วให้ผู้อื่น เป็นการปลูกฝังความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปัน
พัฒนาทักษะทางสังคม
พัฒนาทักษะทางสังคม
  • วัยประถม: เริ่มทำกิจกรรมด้วยตนเองได้มากขึ้น จึงสามารถเพิ่มภาระงานให้แก่ลูกให้ยากท้าท้ายขึ้นอีกหน่อย เพื่อเป็นแรงดึงดูดให้เขาหันมาสนใจ และไม่เบื่อที่จะทำ แต่ต้องเป็นงานที่เห็นผลลัพธ์ในระยะเวลาอันสั้น

ตัวอย่างงานอาสาในวัยนี้

  1. ทำขนมทำอาหาร ไปบริจาค หรือแจกจ่ายแก่ผู้อื่น
  2. เก็บขยะ จัดหรือตกแต่งสถานที่ ให้พื้นที่ในบ้านให้ลูกได้รับผิดชอบว่าส่วนนี้เขาต้องเป็นคนดูแล เช่น ห้องนอน หรือตู้เก็บของเล่นของเขาเอง โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องปล่อยให้เขาจัดการเองอย่างจริงจัง ทำดีได้รับคำชม ถ้าขาดเหลือส่วนไหน จับมือลูกไปทำด้วยกัน ไม่ทำให้ลูกทั้งหมด ท่องไว้ว่าเพื่อการเรียนรู้ของลูกเรา
  3. อ่านหนังสือให้ผู้พิการทางสายตา
  • วัยมัธยม: กิจกรรมที่ทำเพื่อคนอื่นมากขึ้น เพราะลูกเริ่มมีศักยภาพในตนเองมากขึ้น และในวัยนี้เขาต้องการการยอมรับ การเป็นส่วนหนึ่ง การทำงานจิตอาสาจะช่วยให้ลูกวัยนี้ เห็นคุณค่าของตนเอง หลังจากที่หลุดมาจากวัยเด็กที่เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง หากเขาไม่มีความรู้สึกถึงคุณค่าของตนเอง อาจจะทำให้ลูกกลายเป็นคนที่เฉื่อยช้า หรือขี้เกียจ ไม่รับผิดชอบในสายตาคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง แต่แท้ที่จริงแล้วเขาแค่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร หรือสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง เพราะวัยรุ่น นับว่าจะเป็นเด็กก็ไม่ใช่ รับรู้ รับผิดชอบแบบผู้ใหญ่ก็ยังได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่ที่จะช่วยให้เขาได้เห็นว่า เขาก็สามารถทำตัวมีประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ ซึ่งการพาเขาไปทำงานจิตอาสาจึงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์เด็กในวัยนี้มากที่สุด

ตัวอย่างงานอาสาในวัยนี้

  1.  ออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชน
  2. สอนหนังสือให้เด็กๆ
  3. ดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุ จัดกิจกรรมช่วยบำบัดผู้ป่วย
  4. งานแสดงดนตรีการกุศล

ชีวิต New Normal 2020 กับ โครงการจิตอาสา

ถึงแม้จะรู้ว่า การให้ลูกได้มีโอกาสช่วยงานจิตอาสา จะส่งผลดีทั้งต่อตัวลูกเอง และสังคมอย่างไร แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่มีโรคระบาดจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทั่วทั้งโลกก็ยังไม่สามารถคาดคะเนได้ว่าโรคจะหยุดระบาดไหม และจะหยุดเมื่อใด จึงเป็นสาเหตุให้เกิดแนววิถึชีวิตแบบใหม่ (New Normal) ขึ้นมาในยุค 2020 นี้ นั่นคือ การต้องใช้ชีวิตแบบเว้นระยะห่าง (Social Distancing) ทำให้การทำกิจกรรมแบบรวมกลุ่มกันของงานจิตอาสา จึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งขึ้น แต่ในเมื่อลูกของคุณพ่อคุณแม่ก็ยังคงต้องการการเรียนรู้ทักษะชีวิตอยู่ ทาง ทีมแม่ ABK จึงได้หาวิธีและรวบรวม โครงการจิตอาสา ที่สามารถทำได้ที่บ้านมาฝากกัน 

อาสาอ่านหนังสือให้คนตาบอด

โครงการจิตอาสา อ่านหนังสือเพื่อคนตาบอด
โครงการจิตอาสา อ่านหนังสือเพื่อคนตาบอด

Read for the Blind อ่านหนังสือเพื่อคนตาบอด เป็นแอพพลิเคชั่นแรกที่คิดค้นมาเพื่อทุกคน ได้มีโอกาสร่วมกันสร้างหนังสือเสียงให้คนตาบอด ด้วยการอ่านหนังสือหรือบทความสั้นๆ จาก เวบไซต์ แมกาซีน หนังสือพิมพ์ หรือคอลัมน์ที่น่าสนใจ Read for the Blind แอพพลิเคชั่น รองรับการอ่านหนังสือจากหลายๆคนรวมกันเป็นหนึ่งเล่ม หนึ่งคนอาจจะอ่านเพียงแค่บทเดียว และจากหลายๆบทจะรวมเป็นหนึ่งเล่ม หนังสือเสียงหรือบทความที่สมบูรณ์แล้วเหล่านี้จะถูกแปลงเป็นไฟล์เสียงที่เหมาะสมสำหรับคนตาบอดและส่งไปยัง สายด่วนข่าวสารความรู้ ที่เบอร์ 1414 ซึ่งเป็นการให้การบริการฟรีเพื่อฟังหนังสือเสียงผ่านทางโทรศัพท์

เพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น Read for the Blind แล้วทำตามขั้นตอนในแอพ ก็สามารถเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสา อ่านหนังสือเพื่อคนตาบอดได้แล้ว

"<yoastmark

 

Read for the Blind ระบบ Android

Read for the Blind ระบบ IOS

นอกจากนี้สำหรับมือใหม่ยังสามารถเข้ารับการอบรมฝึกการอ่านหนังสือเสียงได้ฟรี และเข้าร่วมกิจกรรมอาสานี้ผ่านทางระบบออนไลน์ ด้วยโปรแกรม Zoom ได้อีกด้วย โดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB:Daisy Thailand Project
โครงการจิตอาสา หนังสือเสียง
โครงการจิตอาสา หนังสือเสียง

อาสาส่งพลาสติกกลับบ้าน

 

ส่งพลาสติกกลับบ้าน
ส่งพลาสติกกลับบ้าน

TRBN ร่วมกับภาคีโครงการ “ส่งพลาสติกกลับบ้าน” รับมือวิกฤตขยะจากสถานการณ์โควิด-19 ฝึกวินัยจาก “ต้นทาง” ในบ้านเรา: แยกพลาสติกใช้ครั้งเดียว และขยะอันตราย ออกจากขยะทั่วไป ง่ายๆ และทำได้ทันทีช่วยลดความเสี่ยงให้พี่ๆ พนักงานเก็บขยะ ส่งพลาสติกและวัสดุอื่นๆ เข้าสู่ระบบ recycle หรือ upcycle ลดภาระบ่อฝังกลบ และทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นไปได้จริง เพื่อความยั่งยืน

เป้าหมายและจุดประสงค์หลักของโครงการอาสาส่งพลาสติกกลับบ้านนี้ หากคุณพ่อคุณแม่สนใจ และมีแนวคิดร่วมด้วยกับกิจกรรมอาสานี้ สามารถพาลูก ๆ เข้าร่วมกับโครงการได้ไม่ยากเลย โดยเริ่มได้ที่บ้าน จากชีวิตประจำวัน ช่วยกันแยกขยะ ทำความสะอาด และรวบรวมทิ้งตามจุดที่ทางโครงการอาสากำหนดไว้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB: ส่งพลาสติกกลับบ้าน

Paper Ranger จิตอาสาสมุดเพื่อน้อง

 

โครงการจิดอาสา paper ranger
โครงการจิดอาสา paper ranger
Paper Ranger จิตอาสาสมุดเพื่อน้อง” มีหลักคิดเพื่อสร้างและกระตุ้นให้คนในสังคมมาร่วมกันทำงานด้านจิตอาสาผ่านกระบวนการง่ายๆและเริ่มต้นทำได้จากเรื่องใกล้ๆตัว ด้วยการรับบริจาคกระดาษเอสี่รีไซเคิล (ใช้ด้านเดียว) แล้วจัดกิจกรรมสอนอาสาสมัครให้นำมาทำเป็นสมุดทำมือที่น่าใช้และเหมือนใหม่ (จะไม่เห็นด้านที่ใช้แล้วหลังจากทำเสร็จ) เพื่อนำไปบริจาคต่อให้กับน้องๆที่ขาดแคลนตามถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ (ปัจจุบัน ส่งถึงมือน้องแล้วกว่า 250,000 เล่ม)
โครงการนี้เกิดขึ้นมาในปี พ.ศ. 2550 โดยปัจจุบันเป็นโครงการหนึ่งที่ดำเนินการภายใต้มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
สำหรับโครงการอาสานี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูก ๆ เข้าร่วมกิจกรรมที่บ้าน ได้สองแบบ คือ
กระดาษนี้เพื่อน้อง
กระดาษนี้เพื่อน้อง
  1. ร่วมบริจาคกระดาษที่ใช้แล้ว เป็นกระดาษเอสี่ที่ผ่านการใช้งานมาหนึ่งหน้าและยังมีอีกหน้าที่ว่างอยู่ (ได้ทุกแบบ ทุกสี ผ่านการเข้าเล่มเจาะรูแล้วก็ได้เช่นกัน) สามารถจัดส่งมาที่ บ้านจิตอาสา (โครงการ Paper Ranger) 2044/21 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. 10310 (กรุณาส่งมาเป็นแบบธรรมดาก็เพียงพอครับ ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนหรือ EMS) หรือสามารถนำมาให้ด้วยตนเองก็ได้
  2. ช่วยกันกดไลท์ กดแชร์ เพื่อส่งต่อเรื่องราวของโครงการของเราไปยังคนอื่น ๆ  เพื่อที่ว่าทุกคนจะได้รับรู้และมาช่วยกันคนละไม้คนละมือในรูปแบบที่ทุกคนสามารถช่วยได้

นอกจากวิธีร่วมงานอาสาทั้งสองแบบแล้วทางโครงการยังมีกิจกรรมให้ร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ แก่สังคมอีกมาก สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB: Paper Ranger จิตอาสาสมุดเพื่อน้อง

เคล็ดลับสอนลูก กับกิจกรรมจิตอาสา

  • งานจิตอาสาที่เลือกควรมีทั้งแบบทำร่วมกับเด็กอื่น และทำร่วมกันกับครอบครัว ข้อดีของการทำร่วมกับพ่อแม่ คือ เขาจะได้เห็นตัวอย่างที่ดี มีต้นแบบ การเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก คือ การได้เห็นตัวอย่างและได้ลงมือทำ
  • สร้างบรรยากาศที่ดีเวลาร่วมกันทำกิจกรรม ข้อควรระวังสำหรับคุณพ่อคุณแม่ คือ อย่าดุลูก เพื่อสร้างบรรยากาศที่สนุกสนาน ให้เขาได้รู้สึกว่างานอาสาเป็นเรื่องสนุก อยากทำด้วยใจไม่ใช่การบังคับ
  • พยายามให้ลูกได้ทำด้วยตัวเอง หากคุณพ่อคุณแม่ไปทำทุกอย่างให้ลูกเสียหมด เขาจะไม่รู้สึกภาคภูมิใจในงาน และตนเอง ให้ลูกได้เผชิญปัญหา และรู้จักแก้ไขปัญหานั้นด้วยตนเอง โดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยแนะนำพอ เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงศักยภาพออกมา
  • หลังจากได้ร่วมทำกิจกรรมอาสาแล้ว ควรมีการนั่งพูดคุยถึงสิ่งที่ได้ทำมาว่า ตรงตามจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้ไหม เกิดอุปสรรคอะไรบ้าง แล้วแก้ปัญหากันอย่างไร ดีพอไหม คราวหน้าจะวางแผนอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีก เป็นต้น
ข้อมูลอ้างอิงจาก ปิดเทอมสร้างสรรค์

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

5 ไอเดีย…กิจกรรมเล่นกับลูกที่บ้าน สนุก ไม่น่าเบื่อ

Apple แนะนำ 30 กิจกรรมสร้างสรรค์ ให้ลูกทำบน iPhone, iPad (ดาวน์โหลดฟรี)

12 กิจกรรมจิตอาสา ปลูกฝังให้ลูกมีน้ำใจ สร้างจิตสาธารณะตั้งแต่เล็ก

5 เทคนิค สอนลูกเก็บของ ฝึกวินัยแบบไม่ต้องบังคับ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

โรงเรียนอนุบาล

13 ทักษะที่ลูกควรมีก่อนเข้า โรงเรียนอนุบาล

การเตรียมความพร้อมให้ลูกก่อนลูกเข้าเรียนที่ โรงเรียนอนุบาล จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ลูกเมื่อลูกต้องไปเจอกับสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่ไม่มีพ่อแม่คอยอยู่ใกล้ ๆ ทีมแม่ ABK ขอชวนคุณพ่อคุณแม่มาเพิ่มทักษะให้ลูกก่อนเข้าเรียนอนุบาลกันค่ะ

13 ทักษะที่ลูกควรมีก่อนเข้า โรงเรียนอนุบาล

ทารกน้อยที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของแม่ ยังทำหลายสิ่งหลายอย่างเองไม่ได้ ได้เรียนรู้ที่จะนั่ง กิน ยืน คลาน เดิน และค่อย ๆ ทำสิ่งต่าง ๆ ได้เองในวัย 2-3 ขวบ….ในวันนี้ ถึงวัยที่เด็กน้อยคนนั้นจะต้องออกไปเรียนรู้โลกกว้างที่อยู่นอกบ้าน โดยที่ไม่มีแม่ที่แสนใจรู้ใจลูกมาคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ แล้ว แน่นอนว่าแม่ทุกคนย่อมเป็นห่วงว่าลูกจะปรับตัวกับ โรงเรียนอนุบาล ได้หรือไม่? ลูกมีความพร้อมมากพอหรือยังที่จะอยู่นอกบ้านกับคุณครูและเพื่อนใหม่? ลูกยังกินข้าวแล้วหกเลอะเทอะอยู่เลย ใส่เสื้อเองก็ยังไม่เป็นเลย ไปโรงเรียนแล้วจะทำเองได้หรือไม่? เพื่อลดความกังวลเหล่านี้ การเตรียมความพร้อม การฝึกทักษะต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ลูก จะช่วยให้ลูกมีความพร้อมและคลายความกังวล ลูกจะรู้สึกสนุกที่ได้ไปโรงเรียน ไปเจอเพื่อนใหม่ คุณครูคนใหม่ ได้นั่นเอง

13 เช็คลิสต์ที่ลูกน้อยต้องมีก่อนเข้าเรียนอนุบาล

เมื่อถึงวัยที่ลูกจะต้องเข้าเรียนที่ โรงเรียนอนุบาล แล้ว ลูกพร้อมหรือยัง? คำถามนี้ตอบได้ยากมากค่ะ เพราะเด็กแต่ละคนมีความพร้อมที่ไม่เท่ากัน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพร้อมแล้วหรือยังไม่พร้อม? ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตสัญญาณดังนี้

  • ลูกสามารถที่จะแยกจากคุณพ่อคุณแม่ได้ (ในที่ที่ปลอดภัย) ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
  • ลูกมีความสนใจในของเล่นอื่น ๆ โดยไม่ต้องมีพ่อหรือแม่มาอยู่ใกล้ ๆ และเล่นของเล่นชิ้นนั้นได้เองบ้าง
  • ลูกรู้สึกสบายใจที่จะเล่นกับเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ หรือผู้ใหญ่คนอื่น ๆ

หากลูกแสดง 3 สัญญาณนี้ให้คุณพ่อคุณแม่เห็น แสดงว่าลูกมีความพร้อมที่จะได้ไปเจอโลกกว้างแล้ว ถึงเวลาที่คุณพ่อคุณแม่ต้องหา โรงเรียนอนุบาล ให้ลูกกันแล้ว

must read:

อัพเดทล่าสุด! ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล 2563 ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

เผยเหตุผล..ทำไมพ่อแม่ควร เลือกโรงเรียนอนุบาล ที่วันๆ เอาแต่เล่นให้กับลูก?

หมอชี้! หลักการ เลือกโรงเรียนให้ลูก โรงเรียนที่ดีต้องมี 3 ข้อนี้

และเมื่อได้ โรงเรียนอนุบาล กันแล้ว ก่อนที่จะส่งลูกเข้าเรียนวันแรก มาฝึกทักษะให้ลูกเพื่อให้ลูกได้รู้สึกมั่นใจ พร้อม และสนุกที่จะได้ไปโรงเรียน กับ 13 ทักษะที่ลูกควรมีก่อนเข้า โรงเรียนอนุบาล กันค่ะ

  1. สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันตามเวลาได้
  2. สามารถสลับหรือผลัดกันเล่นหรือทำสิ่งต่าง ๆ ได้ รู้จักการรอคอยเมื่อยังไม่ถึงคิวตัวเอง
  3. รู้จักระงับอารมณ์ตนเองได้เมื่อผิดหวัง
  4. สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
  5. รู้จักสี (บางสี) ตัวอักษร (ก-ฮ, A-Z) และตัวเลข
  6. สามารถนั่งฟังนิทานได้นิ่ง ๆ เป็นเวลา 10 นาที
  7. สามารถเล่นบทบาทสมมุติได้
  8. ต่อบล๊อคหรือเล่นของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ได้ ซึ่งหมายถึงการมีพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ดี
  9. สามารถกระโดด ขว้างและรับลูกบอล เดินขึ้นลงบันไดแบบสลับขาได้
  10. สามารถแต่งตัวได้เอง (โดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่เล็กน้อย)
  11. พูดได้เป็นประโยค ร้องเพลงได้
  12. นั่งบนเก้าอี้ได้ และสามารถดื่มน้ำจากถ้วยได้เอง
  13. สามารถบอกว่าต้องการอึ/ฉี่ ได้ (ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียน)
เตรียมลูกเข้าอนุบาล
เตรียมลูกเข้าอนุบาล

ฝึกลูกอย่างไร ให้พร้อมเข้าเรียนอนุบาล?

ทักษะที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ ในบางข้ออาจจะดูยากเกินไป เพราะลูกยังเล็กอยู่ เราจึงมีเทคนิคการฝึกทักษะสำหรับการเตรียมพร้อมเข้าเรียนอนุบาล ดังนี้

  • เมื่อลูกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเจอกับความโกรธ ความผิดหวัง ลองสอนทริคในการควบคุมอารมณ์ เช่น หายใจเข้าลึก ๆ การนับ 1-10 หรือการเป่าลมเข้าออกให้เหมือนการเป่าเทียน เป็นต้น เมื่อลูกต้องไปโรงเรียน ทั้งของเล่น และหลายสิ่งหลายอย่างอาจจะต้องแบ่งปันกันเล่น แบ่งปันกันใช้ ลูกอาจจะต้องเจอกับความผิดหวังบ้าง การฝึกให้ลูกรู้จักรับมือกับความโกรธ จะช่วยให้ลูกปรับตัวเข้ากับเพื่อน ๆ ได้ดีขึ้น
  • ตั้งกฎเกณฑ์และข้อจำกัดในบ้านอย่างชัดเจน และ ทำตามอย่างสม่ำเสมอ เช่น ตั้งกฏให้ลูกดูการ์ตูนได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน ก็ไม่ควรให้ลูกดูเกินกำหนดเวลาที่คุยกันไว้ เป็นต้น การทำเช่นนี้ จะช่วยให้ลูกรู้จักการปฏิบัติตามกฏของโรงเรียนได้ง่ายขึ้น
  • กำหนดเวลาในการทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ เช่น เวลาในการกินนม ทานข้าวเที่ยง เพื่อให้ลูกได้ทำตามกิจวัตรที่โรงเรียนได้ดี
  • ให้ลูกได้ใช้เวลากับผู้ใหญ่คนอื่น ๆ นอกจากพ่อแม่บ้าง เพื่อให้ลูกได้คุ้นชินกับการอยู่ร่วมกับคุณครู
  • อ่านนิทานต่าง ๆ ให้ลูกฟังบ่อย ๆ และพูดคุยเกี่ยวกับนิทานเรื่องนั้น ๆ เพื่อฝึกลูกให้คิด วิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ
  • ทำงานศิลปะร่วมกัน เพื่อให้ลูกฝึกการใช้ดินสอ ดินสอสี ในการวาดเขียน
  • ลองหาชุดจากการ์ตูนที่ลูกชอบมาให้ลูกลองใส่เอง เพื่อฝึกให้ลูกแต่งตัวเอง และฝึกการเล่นบทบาทสมมุติ
  • พาลูกเล่นนอกบ้านให้มากเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ลูกคุ้นชินกับสถานที่อื่น ๆ นอกเหนือจากบ้าน
  • เล่นกับลูก โดยการให้ลูกเป็นผู้นำในการเล่น เพื่อฝึกลูกให้เป็นผู้นำและมีความมั่นใจในตัวเอง
  • พาลูกเที่ยวพิพิธภัณฑ์ (อ่านต่อ พาลูกเที่ยว พิพิธภัณฑ์ในกรุงเทพ 5 มิวเซียมเข้าฟรี มีแต่คุ้มกับคุ้ม!!)
  • ลดเวลาการดูมือถือ สมาร์ทโฟน การ์ตูนต่าง ๆ ของลูกให้น้อยลง

เมื่อลูกมีทักษะเหล่านี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็จะคลายกังวลได้ระดับหนึ่งว่าลูกจะสามารถออกสู่อ้อมอกแม่ไปเรียนได้อย่างมั่นใจและมีความสุข

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

9 วิธีสอนลูกไม่ให้แกล้งเพื่อน หรือไปทำร้ายคนอื่น

11 ประโยค ปลอบใจลูก ที่พ่อแม่ควรพูดยามลูกร้องไห้

9 การ์ตูนดิสนีย์ มาใหม่!! ที่เด็กควรดู ฉบับล่าสุดปี 2021

8 เทคนิคดีๆ เริ่มต้นวางแผนเพื่อ 60 นาทีเลี้ยงลูกนอกบ้าน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thebump.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ท่องศีล5

ท่องศีล5 ลูกได้แค่จำ ลองวิธีใหม่ช่วยเข้าถึงแก่นธรรมง่ายๆ

ศีลหลักธรรมพื้นฐานการดำรงชีวิตมนุษย์ ที่เราให้เด็ก ๆ ท่องศีล5 กันจนขึ้นใจ แต่เขาจะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริงไหม คงต้องขึ้นอยู่กับวิธีการสอนของคุณ

ท่องศีล5 ลูกได้แค่จำ ลองวิธีใหม่ช่วยเข้าถึงแก่นธรรมง่ายๆ

ประเทศไทย มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ จึงมิใช่เรื่องแปลกที่เราจะได้เห็นเด็กไทย ท่องศีล5 กันได้อย่างคล่องแคล่ว ถ้าในสมัยวัยเด็กของพ่อแม่อย่างเรา ๆ ก็คงคุ้นเคยกันดีกับวิชาพระพุทธศาสนา ที่ได้ถูกบรรจุลงในหลักสูตร และมีชั่วโมงเรียนในตารางสอน แต่ในปัจจุบันนั้นก็ไม่ทราบได้ว่าชื่อวิชาจะถูกเปลี่ยนไปหรือยัง แต่ก็ยังคงเห็นเด็ก ๆ ได้เล่าเรียนหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนากันอยู่

ศีล 5 ใคร ๆ ก็ท่องได้

ก่อนที่เราจะท่องศีลทั้ง 5 ข้อ นั้น เรามาทำความรู้จักกับความหมายของศีลกันดีกว่า

ศีล คือ เจตนา ความตั้งใจที่จะงดเว้นกายทุจริต 3 วจีทุจริต4 และมโนทุจริต 3 คือการสำรวมระวัง ปิดกั้นความชั่ว และไม่ล่วงละเมิดข้อห้าม

  • กายทุจริต 3 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
  • วจีทุจริต4 คือไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด และไม่พูดเพ้อเจ้อ
  • มโนทุจริต 3  คือ ความโลภอยากได้ของผู้อื่น การมีจิตคิดพยาบาท และมีความเห็นผิด

ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วทำให้ศีล 5 นั้นมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับมนุษยธรรม อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่มนุษย์นั้นบัญญัติขึ้นเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข  เมื่อใดที่มนุษย์ขาดศีล 5 ไป ความเป็นมนุษย์ก็ลดลง

เบญจศีล หรือ ศีล 5 ได้แก่

  1. ปาณาติปาตาเวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ การละเว้นจากการฆ่าสัตว์
  2. อทินนาทานาเวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ การละเว้นจากการลักทรัพย์ที่เจ้าของไม่ยินยอม
  3. กาเมสุมิสฉาจาราเวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ การละเว้นจาการประพฤติผิดในกาม ผิดลูกผิดเมียคนอื่น
  4. มุสาวาทาเวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ การละเว้นจากการพูดปด พูดจาโกหก
  5. สุราเมรยมัฌชปะมาทัตถานาเวรมณี สิกฺขาปทํสมาทิยามิ การละเว้นจากการดื่มสุราเมรัย และเครื่องดองของมึนเมาทุกชนิด

จากทั้งความหมาย และข้อกำหนดของศีล 5 นั้น เราจะเห็นได้ว่าเป็นคำภาษาบาลี สันสกฤต และภาษาต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็น่าแปลกใจไหมว่าทำไมเรากลับจำคำยาก ๆ เหล่านั้นได้อย่างขึ้นใจ และคงไม่ใช่เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่เท่านั้นที่สามารถท่องคำเหล่านี้ได้ ลองไปถามลูก ๆ เราดูสิว่า เด็ก ๆ ก็สามารถท่องศีล5 ข้อนี้ได้อย่างคล่องแคล่วเช่นกัน แต่จะมีเด็กสักกี่คนที่จะเข้าใจถึงความหมายแท้จริงที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ และหากเป็นเช่นนั้นจริง คงน่าเสียดายที่ข้อคิด หลักปฎิบัติดี ๆ เหล่านี้จะอยู่ได้เพียงแค่ในตำรา และความจำ

สอนศีลลูก ไม่ใช่แค่ ท่องศีล5
สอนศีลลูก ไม่ใช่แค่ ท่องศีล5

ศีล 5 ฉบับเข้าใจง่าย ด้วยภาษาสำหรับเด็ก

การสอนในแบบเก่า ผู้ใหญ่มักจะมุ่งเน้นในเรื่องการขู่ให้กลัว เพราะเป็นวิธีที่เห็นผลได้เร็ว ดังจะเห็นได้จากคำโบราณที่คุณพ่อคุณแม่อาจเคยได้ยินมาในสมัยเด็กว่า “อย่าทำผิดศีล อย่าฆ่าสัตว์นะ เดี๋ยวตายไปจะตกนรกลงกระทะทองแดง” แต่ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับ และเกิดคำแนะนำจากคุณหมอเด็กมากมายที่ได้เตือนว่า การใช้วิธีการขู่เด็กให้กลัวจะส่งผลต่อพัฒนาการของลูก ทำให้เด็กเกิดอารมณ์ด้านลบซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาต่อพฤติกรรมในอนาคต เช่น ลูกจะกลายเป็นเด็กขี้กลัว ไม่ไว้ใจโลก เก็บตัว เป็นต้น

ดังนั้นจะดีกว่าไหมหากเราเปลี่ยนการสอนเรื่องศีล5 มาเป็นคำสอนที่ใช้คำที่เข้าใจได้ง่าย และแสดงให้เห็นถึงเหตุและผลของแต่ละข้อว่า ทำแล้วจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามมาอย่างไร เพื่อให้ลูกสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ และเขาจะได้นำไปปฎิบัติด้วยใจ ไม่ต้องบังคับ หรือขู่เข็ญ

     1. ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทำร้ายสัตว์ แต่ต้องรู้วิธีหลีกเลี่ยง และระวังสัตว์มีพิษ

เป็นการสอนให้ลูกรู้จักถึงคุณค่าของชีวิตทุกชีวิตบนโลก หากเขาตระหนักถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่แล้ว เขาย่อมไม่อยากฆ่า หรือทำร้ายใคร รวมถึงการที่เขาต้องรู้จักการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างสงบ เย็น เป็นสุข และไม่เบียดเบียนกันด้วย วิธีง่าย ๆ อาจเริ่มจากการให้ลูกได้มีสัตว์เลี้ยง เช่น หมา แมว เด็กจะเข้าใจถึงความแตกต่างของชีวิตแต่ละสายพันธุ์ว่ามีวิถึชีวิตที่ไม่เหมือนกันแต่เราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ แถมยังเป็นการฝึกความรับผิดชอบให้ลูกได้อีกทางหนึ่งด้วย

ลองมาอ่านบทความดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการสอนลูกเรื่องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงกัน สอนลูกรัก เข้าหาสัตว์อย่างถูกวิธี

โลกมีสองด้าน สัตว์ก็เช่นกัน นอกจากพ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักเมตตาต่อสัตว์แล้ว แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ควรสอนให้ลูกได้เรียนรู้ไว้ นั่นคือ การระมัดระวังอันตรายจากสัตว์มีพิษ แม้สัตว์เหล่านั้นจะเป็นอันตรายแต่ถ้าเรารู้จักหลีกเลี่ยงให้ห่าง ระวังอย่าเข้าใกล้ ก็สามารถหลีกเลี่ยงการเบียดเบียนชีวิตเขาได้

     2. ไม่ลักทรัพย์ ไม่ขโมยของผู้อื่น

หากฟังดูคำเหล่านี้ อาจฟังดูเป็นคำพูดที่ไกลตัวต่อเด็ก เพราะเด็กไม่น่าจะเข้าใจในทรัพย์สินมีค่าเงินทอง แต่การสอนศีลข้อนี้แก่เด็กนั้น เราต้องนึกกว้างไปถึงกติกาการอยู่ร่วมกันในสังคมกับผู้อื่น นั่นคือ การไม่หยิบของผู้อื่นมาเป็นของตน หากต้องการก็ให้ขอจากเจ้าของก่อนเสมอ และรวมไปถึงสอนให้ลูกจักการแบ่งปัน

เด็กขโมยเป็นจริงหรือ

เนื่องจากหัวข้อเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณหมอบอกว่า เป็นปัญหาที่พ่อแม่มาปรึกษาด้วยมาก ดังนั้นเรามาลองฟังความคิดเห็นของคุณหมอ ผศ.นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  เกี่ยวกับเด็ก และการขโมยใน บทความการพูดปดและลักขโมย ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลกัน

การขโมย

เนื่องจากต้องพิจารณาตามพัฒนาการของเด็ก โดยในเด็กวัยอนุบาล เราอาจใช้คำว่า “หยิบของคนอื่นโดยไม่ได้ขอ” ซึ่งให้ความรู้สึกนุ่มนวลกว่าการว่าเด็กขโมย เนื่องจาก เด็กยังไม่เข้าใจเรื่องของความเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะหากโตมาในบ้านที่ทุกคนในบ้านต่างหยิบของของกันและกันใช้ได้เป็นเรื่องธรรมดา
แต่หากเป็นการขโมยเพื่อหวังประโยชน์นั้น อาจมีสาเหตุจาก
  • ขโมยเพื่อฐานะทางสังคม เช่น เพื่อให้มีไม่ถูกล้อ ไปติดสินบนเพื่อนที่ข่มขู่จะแกล้ง หรือ เพื่อจะได้เข้ากลุ่มเพื่อนที่เขาทำกัน
  • อยากได้ของชิ้นนั้นมาเป็นของตนจริงๆ ทั้งที่อาจไม่ใช่ของมีค่า
  • ทำเพราะต้องการให้เจ้าของเดือดร้อน เป็นการกลั่นแกล้งหรือล้างแค้น ซึ่งอาจมีจุดประสงค์ถึงให้ผู้ปกครองของตนเดือดร้อน และหันมาสนใจตนบ้างด้วยก็มี
  • กระทำเพื่อหวังมูลค่าสินทรัพย์ เหมือนอาชญากรรม

การแก้ไข

ควรสอนการเก็บดูแลรักษาของทั้งของตนและของคนอื่นตั้งแต่เด็ก ในเด็กเล็ก ควรให้เด็กเอาของไปคืนเจ้าของ แต่หากเป็นการกระทำเพื่อหวังประโยชน์ ก็ควรไต่ถาม แกไข ตามสาเหตุ เช่น สร้างสัมพันธภาพกับเด็กให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรให้เด็กมีส่วนรับผิดชอบชดใช้กับการขโมยของตนด้วยตามเหมาะสม
จากบทความคุณหมอได้ชี้ให้คุณพ่อคุณแม่เห็นแล้วว่าบางทีความเคยชินของผู้ใหญ่บางอย่างก็ไปทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์โดยที่ลูกเองอาจไม่ได้ตั้งใจ ส่วนสำคัญในการสอน คือ การขออนุญาตจากเจ้าของก่อนเสมอ

     3. ไม่แย่งของรักของผู้อื่น ไม่รังแกเพื่อน หรือทำให้เพื่อนต้องอับอาย เคารพซึ่งกันและกัน

ไม่แย่งของรักคนอื่น ท่องศีล55
ไม่แย่งของรักคนอื่น ท่องศีล5

ในศีลข้อนี้ ถ้าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ก็คงอธิบายถึงความหมายได้ไม่ยาก แต่ถ้าต้องสอนเด็กแล้วพ่อแม่ต้องรู้จักประยุกต์ ถ้าจะสอนลูกไม่ให้แย่งของรักของคนอื่น พ่อแม่ต้องทำดีกับลูก หรือคู่ชีวิตก่อน เพื่อให้ลูกสัมผัสถึงความรักว่า พ่อรักแม่ เพราะแม่ทำดีกับพ่อ หรือแม่รักพ่อเพราะพ่อทำดีกับแม่ ฉะนั้น ความรักนั้นจึงไม่ใช่ความรักต่างเพศอย่างเดียว แต่ยังเป็นความรักต่อผู้คน มีความเกื้อกูลที่กว้างออกไปกว่าความรักเชิงชู้สาว พ่อแม่ต้องตีความ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น และเข้าใจว่า ความรักเป็นเรื่องสวยงาม โลกจะน่าอยู่ เพราะความรักที่มนุษย์มีให้แก่กัน เคารพซึ่งกันและกัน แล้วลูกจะรู้จักรักเมื่อเขารัก และเคารพผู้อื่น เขาก็จะไม่ไปเบียดเบียนความรัก ความสัมพันธ์ของคนอื่น

     4. ไม่พูดโกหก ไม่พูดปด กล้ายอมรับความจริง ใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหา

การพูดปด

สำหรับการตัดสินว่า เด็กพูดปดหรือไม่นั้น ผู้ใหญ่มักใช้ความเข้าใจของตนเองเป็นหลัก ว่าเด็กต้องการผลประโยชน์ หรือหลบเลี่ยงสิ่งที่เด็กเองไม่ชอบ แต่หากพบในเด็กวัย 3 ถึง 5 ขวบ แล้ว อาจไม่เรียกว่า เป็นการพูดปดก็ได้เนื่องจาก
  • เด็กยังไม่มีพัฒนาการการเข้าใจ และใช้ภาษาอย่างสมบูรณ์พอ ความหมายของคำที่เด็กพูด อาจไม่ตรงกับที่ผู้ใหญ่เข้าใจ ในทางตรงข้าม เด็กก็อาจตีความคำที่ผู้ใหญ่พูดด้วยผิดไป ทำให้ตอบเหมือนพูดปด
  • เด็กยังแยกไม่ได้ว่า สิ่งที่พูดเป็นสิ่งที่ตนเองคิดขึ้นเองหรือเป็นความจริง เช่น เล่าว่า ไปเห็นไดโนเสาร์ ทั้งที่ไปเห็นกิ้งก่ามา หรือไปเที่ยวขั้วโลกมา เป็นต้น
แต่หากเด็กจงใจปดนั้น มักมีสาเหตุมาจาก
  • ปดเนื่องจากต้องการปกป้องตนเองจากการถูกลงโทษต่างๆ โดยเฉพาะในรายที่ครอบครัวชอบลงโทษรุนแรง เคยบอกเด็กว่า พูดมาตรงๆจะไม่ว่า แต่แล้วก็ลงโทษภายหลัง
  • ปดเลียนแบบที่เคยเห็นตัวอย่าง โดยเฉพาะจากคนในบ้าน ครู เพื่อน และตัวละครในสื่อต่างๆ
  • ปดเพื่อให้คนอื่นหันมาสนใจหรือชมเชยตนบ้าง มักพบในเด็กที่รู้สึกว่า ถูกครอบครัวหรือสังคมทอดทิ้ง ไม่มีความภูมิใจในตนเอง การปดอาจสร้างความตื่นเต้นให้ตนเอง ทำให้ผู้ใหญ่หันมาสนใจตนบ้าง หรือมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น เช่น บอกว่า สอบได้คะแนนดี ในกรณีนี้ ถือว่า เด็กกำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ

การแก้ไข

ทั่วไปคือ กำจัดสาเหตุทั้งสามข้อออกไป แต่ไม่ควรให้รางวัลเมื่อเด็กรับความจริง ตัดสินสิ่งที่เขากระทำอย่างยุติธรรมสม่ำเสมอ
โดย..ผศ.นพ.ปราโมทย์ สุคนิชย์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
เมื่อลูกพูดโกหก ท่องศีล5
เมื่อลูกพูดโกหก ท่องศีล5

ดังนั้นก่อนจะสอนลูกคุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจกับเหตุแห่งการโกหกของลูกก่อน ว่าเกิดจากสาเหตุใด มองในมุมที่เด็กคิดมิใช่เหตุผลของผู้ใหญ่ แล้วการสอนของเราถึงจะส่งไปถึงลูกได้อย่างแท้จริง

     5. ไม่ดื่มของมึนเมา รวมถึงเครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์ เป็นโทษต่อร่างกาย

ในศีลข้อนี้ พ่อแม่ต้องสอนให้เด็กเรียนรู้ว่า โลกภายนอกมีสิ่งที่จะมอมเมาอยู่มาก แต่ลูกต้องตื่นรู้เท่าทัน แล้วเลือกสรรแต่สิ่งที่ดี เช่น ไม่ดื่มน้ำอัดลม และน้ำสีที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เลือกดื่มแต่น้ำสะอาด ดื่มนม หรือดื่มน้ำผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ดังนั้นเมื่อพ่อแม่ปลูกฝังให้เด็กแยกแยะสิ่งดี และสิ่งไม่ดีเป็นแล้ว เด็กจะรู้จักคิด วิเคราะห์แยกแยะ และเลือกสรรน้ำที่เป็นประโยชน์ เมื่อโตขึ้น เด็กก็จะรู้ว่า สุรา หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีแต่จะทำลายชีวิต เมื่อเห็นถึงโทษต่อให้เพื่อนชักชวนอย่างไรเขาก็สามารถยับยั้งชั่งใจได้ด้วยตนเอง

การสอนเด็กในเรื่องศีล 5 นั้น ความเป็นจริงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็น หากแต่เพียงเราทำความเข้าใจธรรมชาติ และพัฒนาการของเด็กเสียหน่อย คุณพ่อคุณแม่ก็จะสามารถสื่อสารข้อความยาก ๆ ไปถึงลูกน้อยได้ด้วยถ้อยคำที่ทำให้เขาเข้าใจได้ดีกว่าการนั่งท่องจำคำแบบผู้ใหญ่ เพราะหากเป็นเช่นนั้น ลูกก็คงจะได้เพียงแค่ความรู้ในตำราเรียน แต่ไม่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง และสิ่งสำคัญอีกอย่างกับการสอนลูก นั่นคือ ตัวคุณพ่อคุณแม่เองที่จะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูกในเรื่องนั้น ๆ ที่เราต้องการสอน เพราะคำพูดใด ๆ ก็ไม่สู้ลงมือทำเป็นตัวอย่างให้เขาเห็นเอง

ข้อมูลอ้างอิงจาก RamaMentalhappybabito.comsanook.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ทิศทั้ง 6 มีอะไรบ้าง และมีแนวทางที่ลูกควรปฏิบัติอย่างไร?

เดนมาร์กสอนวิชา “ความเห็นใจผู้อื่น” ในชั้นเรียน

คำพูดที่พ่อแม่ไม่ควรพูดกับลูก ข้อคิดสะกิดใจจากคุณหมอ!!

ลูกโกหก แค่เพียง 3 ขวบก็โกหกได้แล้วจริงหรือ?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

นิทานไทย

7 นิทานไทย นิทานพื้นบ้านสนุก ๆ ให้แง่คิด สอนใจลูกทุกวัย

นิทานไทย หรือนิทานพื้นบ้านนั้น เป็นหนังสืออีกหนึ่งประเภทที่แฝงด้วยคติสอนใจ ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ให้ข้อคิดดี ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำมาเล่าให้เด็ก ๆ ได้ฟังที่นอกจากจะได้รับความเพลิดเพลินแล้ว ยังสามารถนำมาแง่คิดมาเป็นคำสอนให้ลูกได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยนิทานพื้นบ้านไทยนั้นถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บอกเล่าสู่รุ่นต่อรุ่น และแต่ละท้องถิ่นก็มีนิทานเรื่องเล่าที่แตกต่างกันออกไป

7 นิทานไทย นิทานพื้นบ้าน ให้แง่คิด สอนใจลูก

1.นิทานเรื่องจระเข้สามพัน

ในแม่น้ำสายหนึ่งมีจระเข้ชุกชุมถึงสามสายพันธุ์ด้วยกัน จึงทำให้ไม่มีใครกล้ามาจับปลา มีเพียงตาอยู่คนเดียวเท่านั้นที่คลุกคลีกับจระเข้และจับปลามาขายได้ เมื่อชาวบ้านเดือดร้อนที่ใช้แม่น้ำหล่อเลี้ยงชีวิตไม่ได้ เรื่องนี้จึงร้อนถึงหูพระราชา ตาอยู่จึงได้บอกกับพระราชาไปว่า ได้เลี้ยงจระเข้ตัวหนึ่งตั้งแต่ยังเล็กมันจึงไม่ทำร้าย ส่วนจระเข้ตัวอื่นถ้ามันกินอิ่มมันก็จะไม่ทำร้ายคน

พระราชาจึงได้มีพระราชโองการสั่งให้เสมียนไปนับจำนวนจระเข้เพื่อที่จะได้นำอาหารไปเลี้ยงพวกมันได้อย่างทั่วถึง เสมียนทั้งสามคนก็พยายามนับจระเข้ที่อยู่ทั้งบนบกและในน้ำ สุดท้ายก็นับจระเข้ได้คนละหนึ่งพันตัว รวมทั้งหมดมีจระเข้ถึงสามพันตัว และพระราชาก็ได้สั่งให้เลี้ยงอาหารจระเข้จนอิ่มและไม่ออกมาทำร้ายชาวบ้าน และหากินในแม่น้ำแห่งนี้ได้อย่างมีความสุข นิทานเรื่องนี้เป็นตำนานหรือนิทานพื้นบ้านของจังหวัดสุพรรณบุรี จนกลายมาเป็นชื่อตำบลจระเข้สามพันจนถึงทุกวันนี้

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Skybook Channel

2.นิทานเรื่องเศรษฐีกับยาจก

มีชายสองคนที่มีฐานะต่างกัน ทั้งสองได้เป็นเพื่อนกัน ชายคนแรกมีฐานะร่ำรวย แต่อาศัยอยู่ตามลำพัง ไม่มีญาติพี่น้อง ส่วนชายคนที่สองมีครอบครัวที่อยู่อย่างมีความสุขแต่มีฐานะยากจน ชายคนแรกได้บอกว่า ถึงแม้จะอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่คิดอิจฉา ด้วยความที่มีทรัพย์สินเงินทองให้ใช้มากมาย ส่วนชายคนที่สองก็บอกว่า ไม่เคยคิดอิจฉาเช่นกัน เพราะมีครอบครัวที่ดี มีลูกคอยดูแล ชายทั้งสองต่างก็พยายามพูดให้อิจฉาในชีวิตในแบบของตนโดยไม่มีใครยอมใคร ในที่สุดชายคนที่สองจึงออกความเห็นให้ต่างฝ่ายต่างมากินข้าวที่บ้านของแต่ละคน เมื่อชายคนที่สองได้ไปกินข้าวที่บ้านชายคนแรกก็พบว่าบ้านของชายคนแรกมีของใช้ของกินมากมาย แต่กลับต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นที่จะต้องทำอะไรคนเดียว และเมื่อชายคนแรกไปกินข้าวที่บ้านของชายคนที่สองก็พบว่า เขาไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะมีลูก ๆ คอยช่วยเหลืองานบ้านต่าง ๆ และกินข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Arunsin Benz

3.นิทานเรื่องทิศกับโทน

มีชายสองคนเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ ชื่อ ทิศกับโทน แต่ก็มีนิสัยที่ต่างกัน ทิศมีนิสัยโลภมาก ส่วนโทนเป็นคนขี้อิจฉา วันหนึ่งทั้งสองมีความทุกข์จึงพากันไปไหว้เจ้าปู่พญานาคที่ชาวบ้านในหมู่บ้านนับถือ เจ้าปู่รู้ว่านิสัยของทั้งสองเป็นอย่างไร จึงปรากฏตัวและบอกว่า “จะให้พรวิเศษแก่คนแรกที่ข้อ ส่วนอีกคนก็ได้ผลเป็นสองเท่าของคนแรก” ทิศผู้โลภมากจึงบอกให้โทนขอก่อน ส่วนโทนขี้อิจฉาก็รู้ทันเลยขอว่า “ขอให้ตัวเองตาบอกข้างหนึ่ง” เจ้าปู่จึงให้พรตามคำขอ ผลก็คือความโลภทำให้เจ้าทิศตาบอดสองข้าง และเจ้าโทนก็ต้องตาบอดข้างหนึ่ง เป็นการสั่งสองให้ทั้งคนโลภและคนขี้อิจฉา นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความโลภและความอิจฉาจะนำความเสียหายมาสู่ตัวเองได้

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : นิทานสอนน้อง

4.นิทานเรื่องพญาคันคาก

พญาแถนเป็นผู้ควบคุมฟ้า คอยปัดเป่าทุกข์บำรุงสุขชาวบ้านอยู่เสมอ จึงเป็นที่สักการะนับถือของชาวบ้านอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นผู้เปิดประตูให้เหล่าพญานาคมาเล่นน้ำ ทำให้เกิดฝนตกในเมืองมนุษย์ ส่วนพญาคันคากนั้นเมื่อแรกเกิดมีผิวบนร่างกายตะปุ่มตะป่ำเหมือนคางคก แต่เมื่อโตขึ้นก็ได้กลายเป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามและปุ่มตามตัวก็หาไป และได้ปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิศราชธรรม บ้านเมืองมีความสุข แต่ทั้งสองกลับมาต่อสู้กันด้วยอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เนื่องจากพญาแถนไม่ทำให้ฝนไม่ตกถึง 7 ปี และในที่สุดพญาแถนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงมีการทำข้อตกลงร่วมกัน โดยพญาคันคากได้ขอร้องให้พญาแถนช่วยเปิดปล่องน้ำเพื่อให้พญานาคมาเล่นน้ำเพื่อฝนจะได้ตก โดยทำข้อตกลงในการเปิดปิดปล่องเป็นเวลาเพื่อไม่ให้น้ำไหลมากไป โดยให้สัญญานเป็นการจุดบั้งไฟขึ้นมาในเเดือน 6 ซึ่งเป็นฤดูทำนา เมื่อฝนตกลงมากบก็จะร้องระงม และเมื่อน้ำมากพอก็จะแกว่งโหวดเพื่อให้ฝนหยุด นิทานเรื่องนี้จึงเป็นตำนานของประเพณีบุญบั้งไฟเพื่อขอฝนเพื่อเป็นการสักการะบูชาถึงพญาแถน.

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Skybook Channel

5.นิทานเรื่อง เกาะหนู เกาะแมว

ตำนานของเกาะหนู เกาะแมว สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสงขลา ที่เล่าว่า..เมื่อนานมาแล้วยังไม่มีเกาะหนูเกาะแมวเกิดขึ้นนั้น ที่นี่เคยเป็นเมืองท่าสำคัญที่มีการค้าขายมากมาย และพ่อค้าชาวจีนก็ได้นำหมาและแมวคู่หนึ่งขึ้นเรือสำเภามาด้วย พวกมันทั้งคู่ต่างก็อยากกลับบ้าน จนได้ค้นพบความลับว่ามีลูกแก้ววิเศษที่ทำให้ไม่จมน้ำ และให้เจ้าหนูไปขโมยลูกแก้ววิเศษนั้นมา แต่ทว่าเจ้าหนูกลับนำลูกแก้ววิเศษหนีลงทะเลซะเอง การไล่ล่าของเจ้าแมวและหนูกลางทะเลจึงเริ่มต้นขึ้น ส่วนเจ้าหมาตัดสินใจที่จะว่ายไปฝั่งข้างหน้า ในที่สุดเรี่ยวแรงจากการล่าและหนีก็ทำให้พวกมันจมลงสู่ทะเล และได้เกิดความมหัศจรรย์แห่งท้องทะเลขึ้น คือได้เกิดเกาะหนูซึ่งมีลักษณะเหมือนหนู และเกาะแมวที่มีลักษณะเหมือนแมว ส่วนเจ้าหมาขาดใจตายเมื่อว่ายถึงฝังกลายเป็นกลายเป็นเป็นเขาตังกวน และลูกแก้ววิเศษแตกละเอียดและถูกคลื่นซัดกลายเป็นหาดแก้วที่สวยงามในปัจจุบัน.

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Skybook Channel

6.นิทานเรื่อง เมขลากับรามสูร

เรื่องราวของพญามังกรที่มีแก้วติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แล้ววันหนึ่งก็แปลงกายเป็นหนุ่มรูปงามขึ้นไปบนสวรรค์ดาวดึงส์และได้พบรักกับนางอัปสร และได้ให้กำเนิดธิดาชื่อว่า เมขลา ที่โตมารักอิสระมีนิสัยซุกซนชอบเหาะไปตามที่ต่าง ๆ และไม่เกรงกลัวผู้ใด พญามังกรเห็นว่าเมขลาควรมีคู่ครองและจะยกเมขลาให้กับพระอินทร์ และมอบดวงแก้ววิเศษให้กับพระอินทร์ ตั้งแต่เมขลาเป็นนางสนมพระอินทร์ก็ได้อยู่แต่ในวิมานไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นซุกซนเหมือนเคย จึงเข้าไปที่ประสาทพระอินทร์และขโมยนำดวงแก้วมาเที่ยวเล่นด้วยความสนุกสนาน ฝ่ายรามสูรที่มีขวานเพชรเป็นอาวุธและมีเพื่อนรักชื่อราหูที่มีเพียงร่างกายครึ่งบน รามสูรจึงคิดจะช่วยเพื่อนด้วยการจับตัวเมขลาที่ขโมยดวงแก้วไปถวายคืนพระอินทร์ แต่ด้วยความว่องไวของเมขลาจึงสามารถหลบได้ทุกครั้งไป และทุกครั้งที่เจอรามสูรก็ได้ขว้างขวานเพชรออกไปโดนก้อนเมฆและเกิดเสียงดัง ฟ้าร้อง ทั่วพสุธา นิทานเรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงฟ้าร้องเป็นเพราะเมขลากำลังโยนดวงแก้ววิเศษหลอกล่อรามสูร จึงทำให้เกิดฟ้าร้อง ฟ้าแล่บ ฟ้าผ่านั่นเอง.

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Nutkit 2

7.นิทานเรื่อง กล่องข้าวน้อยฆ่าแม่

ลูกชายที่ออกไปทำนาวันหนึ่งเขาออกไปทำนาตั้งแต่เช้ามืด   รออยู่จนสายไม่เห็นแม่นำข้าวมาส่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเพราะหิวจนแสบท้อง แม่เห็นแม่ถือกล่องข้าวเดินมาแต่ไกล ก็รีบลุกตรงเข้าไปต่อว่าทันที ด้วยความหิวจึงทำให้ลืมตัวว่าคนที่ต่อว่าอยู่นั่นคือแม่ตัวเอง และไม่สนใจเหตุผลที่แม่อธิบาย และทำร้ายแม่เพราะมองเห็นว่าข้าวที่แม่นำมาให้ในกล่องนั่นน้อยนิดเดียว และรีบเปิดกล่องข้าวกินอย่างหิวโหย  เมื่อกินอิ่มแล้วจึงรู้ว่าข้าวในกล่องยังเหลืออีกตั้งมาก และมองเห็นแม่ที่นอนแน่นิ่ง ปรากฏว่าแม่ได้สิ้นใจด้วยน้ำมือลูกไปแล้ว ชายหนุ่มจึงสำนึกตัวได้ว่าตนเองทำรุนแรงกับแม่ กอดศพแม่ร้องไห้รำพัน และได้สร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้นมากลางท้องนาเป็นรูปลักษณะคล้ายกล่องข้าว เพื่ออุทิศส่วนกุศลและใส่กระดูกของแม่ ทุกวันนี้ธาตุกล่องข้าวน้อยฆ่าแม่ได้ตั้งอยู่ที่จังหวัดยโสธรนั่นเอง

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Nutkit 2

ถึงแม้ว่าสังคมในยุคปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนแปลงไป การได้เล่านิทานพื้นบ้านไทยให้ลูกได้ฟังบ้าง จะทำให้เด็ก ๆ ได้รู้เรื่องราวในอดีต วิถีชีวิตของคนสมัยก่อน ความเชื่อที่ส่งต่อมาถึงคนรุ่นหลัง ทั้งนิทานไทยนั้นมีโครงเรื่องที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน มีวิธีการเล่าแบบตรงไปตรงมา ซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจในแง่คุณธรรม การทำความดี การกตัญญู จากนิทานที่คุณพ่อคุณแม่เล่าได้ง่ายขึ้น.

อ่านบทความน่าสนใจอื่น ๆ คลิก

นิทานอีสป มดกับตั๊กแตน สอนลูกมีวินัย แบ่งเวลาเป็น ตอนไหนเล่น ตอนไหนเรียน

รวม นิทานหมอประเสริฐแนะนำ พ่อแม่อ่านให้ฟัง เสริมพัฒนาการลูกทุกวัย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เพิ่มความสูง

เพิ่มความสูง ด้วยสูตรคำนวณหาความสูงของลูก รู้ก่อนแก้ได้

ทำไมลูกเราดูสูงน้อยกว่าเพื่อนนะ อย่ามัวแต่กังวลมาคำนวณหาความสูงสุดท้ายของลูกจากส่วนสูงของพ่อแม่กันเลยดีกว่าจะได้รีบ เพิ่มความสูง ให้ลูกก่อนสายเกินไป

เพิ่มความสูง ด้วยสูตรคำนวณหาความสูงของลูก รู้ก่อนแก้ได้

ก็แค่ความสูงจะอะไรกันหนักหนา คงไม่ขอเถียงหรอกว่า ก็แค่ความสูง แต่คุณรู้หรือไม่ว่า แค่ความสูงนั้น สามารถบอกอะไรแก่คุณพ่อคุณแม่ได้มากมาย แถมยังทำให้เราเตรียมตั้งรับกับปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดตามมากับลูกของเราได้ ก่อนที่มันจะสายเกินแก้

ความสูงสุดท้ายของลูก คืออะไร?

โดยปกติแล้ว คุณหมอเด็ก หรือกุมารแพทย์จะคำนวณหาความสูงสุดท้ายของเด็กเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อตรวจดูพัฒนาการแต่ละช่วงวัยของลูกว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วจะคำนวณกันเมื่อเด็กมีอายุเกิน 4 ปีขึ้นไป โดยมีวิธีการคำนวณอยู่ 2 วิธีใหญ่ ๆ  ด้วยกัน ดังนี้

  • การคำนวณความสูงสุดท้ายจากความสูงของพ่อแม่ (Midparental Height  และ Target Height)

เป็นความสูงสุดท้ายที่เป็นไปตามศักยภาพทางพันธุกรรมของลูกที่ได้มาจากพ่อแม่ ซึ่งมีวิธีการคำนวณแยกเป็นเด็กหญิง และเด็กชาย ดังต่อไปนี้

เด็กผู้ชาย = (ความสูงของพ่อ + ความสูงของแม่ + 13) ÷ 2

ยกตัวอย่างเช่น
ส่วนสูงพ่อ = 175 ซม. ส่วนสูงแม่ = 152 ซม.
175 + 152 = 327 ซม.
นำผลลัพธ์ไปบวก 13 จะได้ 327 + 13 = 340
นำผลลัพธ์หารด้วย 2 จะได้ 340 / 2 = 170
170 เซนติเมตร คือความสูงคร่าว ๆ ของลูกชายในอนาคต

และช่วงของความสูงที่เป็นไปได้สูงสุด และต่ำสุด หาได้จาก การนำเอาตัวเลขที่คำนวณได้นั้นมาบวกด้วย 10 และลบด้วย 10 ในเด็กชาย ก็จะได้ช่วงความเป็นไปได้ของความสูงสุดท้ายของเด็กชายเมื่อเป็นผู้ใหญ่ (หยุดโต)

จากตัวอย่างก็จะได้ ช่วงของความสูงสุดท้ายของเด็กหญิง คือ 170±10 = 180 ซม. ถึง  160 ซม. (160-180 ซม.)

เด็กผู้หญิง = (ความสูงของพ่อ + ความสูงของแม่ – 13) ÷ 2

ยกตัวอย่างเช่น
ส่วนสูงพ่อ = 175 ซม. ส่วนสูงแม่ = 152 ซม.
175 + 152 = 327
นำผลลัพธ์ไปลบ 13 จะได้ 327 – 13 = 314
นำผลลัพธ์หารด้วย 2 จะได้ 314/2 = 157
157 เซนติเมตร คือความสูงคร่าว ๆ ของลูกสาวในอนาคต

และช่วงของความสูงที่เป็นไปได้สูงสุด และต่ำสุด หาได้จาก การนำเอาตัวเลขที่คำนวณได้นั้นมาบวกด้วย 9 และลบด้วย 9 ในเด็กหญิง ก็จะได้ช่วงความเป็นไปได้ของความสูงสุดท้ายของเด็กหญิงเมื่อเป็นผู้ใหญ่ (หยุดโต)

จากตัวอย่างก็จะได้ ช่วงของความสูงสุดท้ายของเด็กหญิง คือ 157±9 = 166 ซม. ถึง  148 ซม. (148-166 ซม.)

  • การคำนวณความสูงสุดท้ายจากภาพถ่ายเอกซเรย์อายุกระดูก (Bone Age และ Predicted Adult Height)

เราสามารถรู้อายุกระดูกได้จากการเอกซเรย์มือซ้าย ตั้งแต่ข้อมือถึงปลายนิ้ว โดยเปรียบเทียบการเจริญของกระดูกทุกชิ้นกับภาพถ่ายเอกซเรย์อายุกระดูกมาตรฐาน ซึ่งอายุกระดูกจะบอกได้ว่า เด็กแต่ละคนสามารถเจริญเติบโตได้อีกมากน้อยเพียงใด เหตุที่เราใช้การเอกซเรย์กระดูกมือ เพราะมือเป็นส่วนที่ทำให้เราเห็นกระดูกข้อต่อได้หลายชิ้น เพื่อความเข้าใจในการคำนวณความสูงสุดท้ายจากภาพถ่ายเอกซเรย์อายุกระดูกวิธีนี้มากยิ่งขึ้น ทาง ทีมแม่ ABK จึงได้นำเอาคลิปความรู้จากคุณหมอ พญ.อนุตรา โพธิกำจร กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคต่อมไร้ท่อในเด็ก โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ในเรื่องนี้มาฝากกัน

ขอขอบคุณคลิปดี ๆ จาก Bumrungrad International Hospital

ซึ่งตามปกติทั่วไป คุณหมอจะใช้ข้อมูลคำนวณความสูงจากทั้งสองวิธี ทั้งจากพันธุกรรมควบคู่กับภาพถ่ายเอกซเรย์กระดูกเพื่อดูอายุกระดูก  แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ความสูงสุดท้ายร่วมกัน โดยที่อายุกระดูกไม่จำเป็นต้องเท่ากับอายุจริง เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ และฮอร์โมนเป็นตัวกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮอร์โมนเพศ ซึ่งการคำนวณด้วยวิธีนี้ต้องปรึกษาแพทย์เฉพาะทางหรือกุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ

นอกจากนี้คุณหมอจะติดตามพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กโดยใช้กราฟมาตรฐานการเจริญเติบโตตามเพศและเชื้อชาติ ซึ่งมีทั้งกราฟความสูงและน้ำหนักเมื่อเทียบกับอายุ พ่อแม่สามารถนำน้ำหนักส่วนสูงมาลองจุดเทียบกับค่าปกตินี้ได้ โดยกราฟจะอยุ่ในสมุดคู่มือพัฒนาการเด็กที่คุณหมอจะให้มาเวลาพาลูกไปตรวจร่างกายตามวัย

กราฟมาตราฐาน เพิ่มความสูง ตามวัย
กราฟมาตรฐาน เพิ่มความสูง ตามวัย

จะเห็นได้ว่า การคำนวณความสูงสุดท้ายของลูก ทำให้คุณพ่อคุณแม่ พอมองเห็นได้คร่าว ๆ ว่าลูกน้อยของคุณจะมีความสูงเมื่อโตเต็มวัยได้แค่ไหน ซึ่งได้จากปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความสูงของลูกนั่นก็คือ พันธุกรรม แต่ไม่ต้องเป็นห่วงไป หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่ค่อยจะพอใจในส่วนสูงของลูกที่ได้จากพันธุกรรมของเรา เพราะรู้หรือไม่ว่าถึงแม้ว่าพ่อแม่จะเตี้ย แต่ลูกก็สามารถสูงกว่าเราได้ด้วยปัจจัยภายนอกอื่น ๆ ที่จะมาช่วย เพิ่มความสูง ให้แก่ลูกน้อยของเราให้มีความสูงที่มากกว่าพันธุกรรมของเขา

ปัจจัย 6 ด้าน ที่ส่งผลต่อความสูง

  1. ยีนหรือกรรมพันธุ์ ดังที่กล่าวมาข้างต้นว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความสูงมาจากพันธุกรรมของพ่อแม่ หรือในบางรายอาจมีความผิดปกติของยีนบางตัวที่ควบคุมความสูงเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้ความสูงเกิดความผิดปกติได้ เช่น สูงเกินไป หรือ เตี้ยเกินไป ซึ่งพบได้น้อยราย
  2. ฮอร์โมน ฮอร์โมนกระตุ้นความสูงในวัยเด็ก คือ ฮอร์โมนเจริญเติบโตที่กระตุ้นกระดูก ทำให้มีการขยายตัวเป็นผลให้กระดูกยาวขึ้น
  3. อาหารการกิน ปัจจัยด้านนี้มีส่วนสำคัญอย่างมากกับการเจริญเติบโตของร่างกาย และยังเป็นปัจจัยภายนอกที่เราสามารถดูแล และสร้างได้ ดังนั้นปัจจัยทางด้าน อาหารที่ช่วยเรื่องความสูง นี้จึงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาไว้เพื่อจะได้ช่วยเสริมสร้างสารอาหารที่จำเป็นต่อความสูงของลูก โดยส่วนประกอบสำคัญของกระดูก ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโปรตีน ส่วนสารอาหารที่ช่วยเสริมการสร้างกระดูก คือ วิตามินดี ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส  หลีกเลี่ยงโซเดียม เนื่องจากการ กินเกลือโซเดียมมากเกินไปจะทำให้มีโซเดียมและแคลเซียมขับออกทางปัสสาวะมากขึ้น ทำให้มีระดับแคลเซียมในเลือดลดต่ำลง (กระดูกบางลง)
  4. การออกกำลังกาย ความเป็นจริงสามารถออกกำลังกายได้ทุกแบบแค่ขอให้มีความสม่ำเสมอ ติดต่อกันต่อครั้งอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง แต่ในเด็กจะไม่แนะนำให้ออกกำลังกายแบบยกน้ำหนัก เพราะการยกหนักเกินไปจะรบกวนการเจริญเติบโตของกระดูกได้
  5. โรคหรือความเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคโลหิตจางทาลัสซีเมีย โรคติดเชื้อเรื้อรัง เช่น วัณโรค โรคเอดส์ ทำให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนไอจีเอฟ-1 (IGF-1) ลดลง การเจริญเติบโตช้าลง และความสูงก็จะไม่สูงเต็มที่ตามศักยภาพทางพันธุกรรม
  6. ยาหรือฮอร์โมนบางชนิด ตัวที่ข้องเกี่ยวกับชีวิตของเรา และใช้กันบ่อย คือ สเตียรอยด์ ซึ่งมีผลกดฮอร์โมนเจริญเติบโต ทั้งวิตามินดี แคลเซียม ยาจึงไปก่อให้เกิดภาวะกระดูกพรุน กระดูกบางลง การเจริญเติบโตก็ช้าลง และความสูงเต็มที่ก็จะต่ำกว่าศักยภาพตามพันธุกรรม

ประโยชน์ของการคำนวณความสูง และจดบันทึกพัฒนาการลูก

คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่ช่วยสังเกตถึงความผิดปกติทางร่างกายลูก ควรติดตามชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงของลูกทุกๆ 3-6 เดือน และควรจดบันทึกการเจริญเติบโตของลูกลงในสมุดบันทึกสุขภาพ เพื่อติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของลูกว่าเพิ่มขึ้นตามวัยหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้นอกจากจะช่วยบอกให้เราได้เตรียมตัว เสริมสร้างศักยภาพในทุกด้านที่เกี่ยวกับความสูงให้แก่เขาแล้ว การคำนวณ และการจดบันทึกสุขภาพยังสามารถเป็นสัญญาณเตือนของภาวะซ่อนเร้นบางอย่างที่ต้องการการรักษาให้ทันท่วงทีอีกด้วย

ภาวะตัวเตี้ย

อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ ภาวะตัวเตี้ยตามพันธุกรรม หรือภาวะตัวเตี้ยจากการเข้าสู่วัยหนุ่มสาวช้า เป็นภาวะที่เป็นปัญหาการเติบโตที่พบบ่อย โดยคุณหมอจะมีเกณฑ์ในการวินิจฉัย โดยดูจากค่าการคำนวณความสูงมาประกอบการพิจารณา โดยทั่วไปการเจริญเติบโตปกติของเด็กจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ

  • ช่วงแรกเกิด (อายุ 0-2 ขวบ) การเจริญเติบโตจะอยู่ระหว่าง 30-35 ซม.
  • ช่วงวัยเด็ก อัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5-7 ซม./ปี
  • ช่วงวัยรุ่น/วัยเจริญพันธุ์ อัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ 8-14ซม./ปี

หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกตัวเล็กหรือเตี้ย ไม่สูงขึ้นเลยในช่วง 1-2 ปี หรือความสูงเฉลี่ยต่อปีตามอายุข้างต้นน้อยกว่าเกณฑ์โดยเฉลี่ย หรือเมื่อดูกราฟการเจริญเติบโตแล้วความสูงต่ำกว่าเกณฑ์ตามอายุนั้นๆ แนะนำให้พาลูกมาพบคุณหมอ

เด็กโตไวเกินอายุ

สำหรับเด็กที่สูงพรวดพราดนำโด่งเพื่อนวัยเดียวกันอย่างเห็นได้ชัดให้ระวังอาจเสี่ยงเป็นโรคเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย (Precocious Puberty) ที่จะส่งผลให้เด็กมีการเจริญเติบโตเร็วในช่วงแรก และมีอายุกระดูกล้ำหน้าไปกว่าอายุจริง จากนั้นหัวกระดูกจะปิดเร็วกว่ากำหนด ทำให้เด็กที่โตเร็วในตอนแรกกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวไม่สูงหรือตัวเล็กในอนาคตได้ หากเด็กเป็นโรคนี้ควรต้องพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาชะลอความหนุ่มสาว ซึ่งหมอจะทำการตรวจวัดอายุกระดูก และปัจจัยอื่น ๆ เช่น ฮอร์โมน พันธุกรรมความสูง ฯลฯ เพื่อวินิจฉัยและประเมินการรักษา รวมถึงให้คำปรึกษาว่า ควรจะฉีดยาเพื่อชะลอการปิดของกระดูกเพื่อเพิ่มความสูงหรือไม่ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นภาวะตัวเตี้ย หรือเป็นโรคเป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย นอกจากจะส่งผลต่อเรื่องความสูงแล้ว ยังส่งผลต่อสภาพจิตใจของเด็กด้วย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงที่มักจะมีพัฒนาการของเต้านมก่อนอายุ 8 ขวบ หรือมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 9 ขวบ ทำให้ร่างกายแตกต่างกับเพื่อนวัยเดียวกัน ส่วนเด็กชายสังเกตได้จากขนาดอัณฑะที่มักใหญ่กว่า 4 ซีซี หรือ การที่ลูกมีส่วนสูงผิดแผกแตกต่างจากเพื่อน ก็อาจเป็นปมด้อยในจิตใจของลูกได้

ข้อมูลอ้างอิง และรูปประกอบจาก Rama Channel / bangkokhospital.com / sikarin.com / bumrungrad.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ เช็กน้ำหนักส่วนสูง ความสมส่วนของลูก

แนะ 8 ผักแคลเซียมสูง อีกหนึ่งวิธีเพิ่มความสูงให้ลูกได้

ฮาวทู 5 วิธีเพิ่มความสูง อยากให้ลูกสูง ต้องทำแบบนี้ทุกวัน

3 เทคนิค เพิ่มความสูงให้ลูก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

โอรีโอเปิดตัวคุกกี้รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น กับแคมเปญใหม่ล่าสุด! “พูดยังไงให้สนุก” #SayItWithOREOTh พร้อมลุ้นรับของรางวัลสุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมาย

โอรีโอ แบรนด์คุกกี้อันดับหนึ่งของโลก โดยบริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ที่ครองใจแฟนๆ ทุกเพศทุกวัยกว่า 41 ล้านคนทั่วโลก เปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด! “พูดยังไงให้สนุก” กับโอรีโอรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น #SayItWithOREOTh ชวนทุกคนมาส่งต่อความสุขและความสนุก ผ่านคุกกี้โอรีโอพิมพ์ลายตัวอักษรภาษาอังกฤษและลวดลายอีโมจิ (Emoji) ที่มีให้เลือกใช้สื่ออารมณ์รวมกว่า 20 ลาย ทั้งสไตล์น่ารัก ขี้เล่น ทะเล้น หรืออ่อนหวาน โดยไม่ทิ้งคอนเซ็ปต์ของโอรีโอที่อยากให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตสนุกในทุกวัน (Stay Playful)

นอกจากความน่ารักของเหล่าอีโมจิ (Emoji) แบรนด์โอรีโอยังเอาใจแฟนๆ ให้ได้ร่วมสนุกลุ้นรับรางวัลสุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมายอาทิ ไอโฟน 11 กระเป๋าผ้าและเสื้อรุ่น #SayItwithOREO ที่แฟนๆ สามารถเลือกเปลี่ยนชื่อได้ตามความต้องการ พร้อมรางวัลพิเศษอื่นๆ รวมมูลค่ากว่า 670,460 บาท กติกาการร่วมสนุกง่ายๆ เพียง

  1. ซื้อคุกกี้โอรีโอรสชาติใด ขนาดใดก็ได้ ครบ 20 บาท ณ ร้านสะดวกซื้อ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ 
  2. พิมพ์ชื่อ นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ ร้านค้าที่ซื้อสินค้า และรหัสใบเสร็จส่งผ่านทาง LINE Official Account ของโอรีโอ ประเทศไทย ที่ @OreoThailand 

พิเศษไปกว่านั้นเมื่อซื้อคุกกี้โอรีโอรสชาติใด ขนาดใดก็ได้ ครบ 119 บาท รับทันทีปิ่นโตโอรีโอสุดน่ารัก ร่วมสนุกกับเราได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 18 กันยายน 2563 และติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญพิเศษนี้ได้ที่  www.OreoThailand.com

Tags

อยากมีลูก

อยากมีลูก ทำไงดี? 10 เคล็ด(ไม่)ลับทำให้ท้อง เพิ่มโอกาสมีลูกสมใจ

สำหรับคู่แต่งงานที่กำลังวางแผนมีลูก อยากมีลูก มาลองดูเคล็ดลับที่จะช่วยเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้มากขึ้นด้วยวิธีตามธรรมชาติกันค่ะ

อยากมีลูก ทำไงดี?

ปัญหาการมีลูกยาก เป็นอีกปัญหาที่พบในชีวิตคู่ในปัจจุบัน ซึ่งการที่คู่แต่งงานจะมีลูกยากหรือง่ายนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อาทิเช่น อาหารการกิน ปัญหาสุขภาพ โรคประจำตัว การใช้ชีวิต รวมถึงปัจจัยที่เกิดจาก

ฝ่ายหญิง

  • อายุที่มากขึ้นของฝ่ายหญิง ยิ่งอายุมากความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อการตั้งครรภ์ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย
  • ความถี่ในการร่วมเพศ เมื่ออายุมากขึ้นการมีเพศสัมพันธ์น้อยลง โอกาสตั้งครรภ์ก็จะน้อยลงตามไปด้วย
  • การมีเพศสัมพันธ์ไม่ตรงกันวันตกไข่
  • มีโรคหรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกมดลูก ฯลฯ ที่ทำให้มีลูกยากได้และทำให้โอกาสมีลูกเองตามธรรมชาติลดลง

ฝ่ายชาย

  • ความไม่แข็งแรงของอสุจิและการผลิตปริมาณอสุจิจำนวนน้อยของฝ่ายชาย ที่เกิดจากโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ ซึ่งอาจมีผลต่อการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายและความผิดปกติของการหลั่งอสุจิได้ หรือผู้ที่เคยเป็นคางทูมหรือลูกอัณฑะอักเสบก็อาจจะมีอสุจิน้อยลง
  • การสูบบุหรี่หรือดื่มสุรา ที่ทำให้การผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและการสร้างอสุจิน้อยลง ก็จะมีผลต่อปริมาณอสุจิและความแข็งแรงของตัวอสุจิด้วย
  • ความเครียด ที่มีผลต่อฮอร์โมนที่ใช้ผลิตอสุจิในผู้ชายและทำให้อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว
  • น้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะมีปริมาณน้ำเชื้อและจำนวนตัวอสุจิน้อย ทำให้อสุจิเคลื่อนตัวเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ยากขึ้น
  • มีปัญหาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ที่ไม่สามารถมีลูกได้หรือมีโอกาสที่จะมีลูกน้อยมาก

รวมไปถึงความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ สำหรับคู่แต่งงานที่อยู่ในช่วงอายุที่เหมาะสม และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะมีลูกยาก อยากมีลูก และรอการตั้งครรภ์ตามธรรมชาติ ลองดูเคล็ดลับเหล่านี้เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ดูค่ะ

10 เคล็ด(ไม่)ลับทำให้ท้อง เพิ่มโอกาสมีลูกสมใจ

1.วางแผนมีลูกในช่วงอายุ 20-30 ปี

สำหรับคู่แต่งงานที่พร้อมมีลูก ช่วงวัยที่เหมาะสมและมีโอกาสตั้งครรภ์ได้มาก คือช่วงอายุ 20-30 ปี เนื่องจากในช่วงนี้ร่างกายของฝ่ายหญิงมีความสมบูรณ์แข็งแรงเต็มที่ และการตั้งครรภ์ในช่วงนี้จะทำให้โอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้น้อยกว่าช่วงอายุที่มากขึ้นด้วย

2.ไปพบคุณหมอเพื่อตรวจสุขภาพก่อนการตั้งครรภ์

คู่แต่งงานที่วางแผนมีลูกควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพก่อนการตั้งครรภ์ และขอคำแนะนำจากคุณหมอเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งท้อง และช่วยให้มีสุขภาพครรภ์ที่ดีเมื่อเกิดการตั้งครรภ์ ทำให้ทารกในครรภ์คลอดออกมามีสุขภาพและพัฒนาการที่สมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนี้การเข้ารับการตรวจสุขภาพก่อนมีลูก ยังช่วยตรวจได้ว่าพ่อหรือแม่มีโรคทางพันธุกรรมที่อาจถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปยังลูกได้หรือไม่ หากพบความเสี่ยง แพทย์อาจช่วยให้คำแนะนำหรือมีทางเลือกอื่นเพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

อยากมีลูกทำไงดี

3.นับวันไข่ตก พร้อมร่วมรัก

การร่วมรักในวันที่ฝ่ายหญิงตกไข่นั้น เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งท้องตามธรรมชาติได้มากที่สุดสำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ๆ ซึ่งโดยปกติแล้วไข่จะตกในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนที่ประจำเดือนรอบใหม่จะมา เช่น ถ้ามีรอบเดือนมาทุก ๆ 28 วันเสมอ วันไข่ตกจะอยู่ในช่วงวันที่ 14   ของรอบเดือน (นับวันที่ประจำเดือนมาวันแรกเป็นวันที่ 1 ของรอบเดือน) ดังนั้นใช้วีธีการง่าย ๆ ในการหาไข่ตกคือ บันทึกวันที่ประจำเดือนมาวันแรกแล้วนับถอยหลังไปอีก 14 วัน หากกากบาทในปฏิทินดูจะสามารถมีเพศสัมพันธ์ในช่วงก่อนวันตกไข่ได้ประมาณ 2 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 12 ของรอบเดือน อสุจิจะเข้าไปรอที่รังไข่เพื่อรอให้ไข่ตกลงมาและทำการปฏิสนธิจนเกิดโอกาสการตั้งครรภ์ในที่สุด ซึ่งวิธีนี้อาจจะไม่ได้ประสบผลสำเร็จภายในครั้งเดียว เพราะการตั้งใจในการร่วมรักเพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ที่มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดความเครียด เมื่อสมองเกิดความตึงเครียด สภาพความเป็นกรดด่างในร่างกายเปลี่ยน การตั้งครรภ์ก็จะเป็นไปได้ยากขึ้น รวมถึงในส่วนของผู้หญิงที่มีรอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือมาค่อยตรงเวลา การคำนวณวันไข่ตกก็อาจจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน

4.ไม่เครียดนะจ๊ะ

ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ที่พยายามจะมีลูกจนเกิดความเครียด สมองจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิดออกมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์และสมอง รบกวนการทำงานของระบบสืบพันธุ์ และระบบอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อโอกาสในการตั้งท้องได้ ในกรณีที่ว่าที่คุณแม่เครียด ความเครียดจะรบกวนการทำงานของฮอร์โมนในระบบสืบพันธุ์ ทำให้ประจำเดือนขาดหายไปหรือมีประจำเดือนผิดปกติ เกิดภาวะไม่ตกไข่ ทำให้ไข่เจริญเติบโตได้ไม่สมบูรณ์ และทำให้ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วฝังตัวที่มดลูกได้ยากขึ้น ส่วนความเครียดในว่าที่คุณพ่อจะส่งผลให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอร์โรนและจำนวนอสุจิลดต่ำลง มีการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ ดังนั้นในช่วงที่หากทั้งคู่มีความเครียดการผลิตอสุจิและการตกไข่จะถูกยับยั้ง ส่งผลให้เกิดภาวะมีบุตรยากขึ้น ซึ่งความรู้สึกในเรื่องนี้ควรช่วยกันดูแลทั้งสองฝ่ายเพื่อช่วยกันลดความเครียด หากิจกรรมทำร่วมกันเพื่อผ่อนคลายไม่ให้เกิดความเครียด เช่น การไปดูหนัง ออกกำลังกาย หรือหาสถานที่ท่องเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศ ฯลฯ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ท้องได้ง่ายขึ้น

5.เลือกกินให้พร้อมก่อนตั้งครรภ์

สำหรับว่าที่คุณแม่ที่วางแผนในการตั้งท้อง การใส่ใจเรื่องอาหารการกินมากขึ้นก็เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้ท้องได้ง่ายขึ้น เนื่องจากอาหารและสารอาหารมีผลต่อร่างกายที่มีบทบาทสำคัญในการตั้งครรภ์และกระตุ้นการทำงานของระบบสืบพันธุ์ เช่น ผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีสรรพคุณในการชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย รวมถึงไข่ และอสุจิ สังกะสีและโฟเลตที่มีประโยชน์ต่อระบบสืบพันธุ์ทั้งในเพศชายและเพศหญิง อาหารไขมันสูงที่เป็นไขมันดี เช่น อะโวคาโด นม และปลาทะเล ที่ไม่ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนและยังเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละวัน นอกจากนี้การได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ยังมีส่วนช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง และยังอาจลดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ที่อาจเกิดกับแม่และเด็กได้อีกด้วย ทั้งนี้เมื่อวางแผนจะมีลูกนอกจากจะเลือกกินแล้ว ควรลดการบริโภคน้ำตาลและคาเฟอีนลงด้วย เพราะอาหารเหล่านี้อาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะมีบุตรยาก

6.ควบคุมน้ำหนัก

ว่าที่คุณแม่ที่น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ การตกไข่และระดับฮอร์โมนเพศจะสม่ำเสมอ ซึ่งมีโอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้มากกว่าคนที่อ้วนหรือผอมมากเกินไป ส่วนในกลุ่มฝ่ายชายที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปจะมีปริมาณความเข้มข้นน้ำเชื้อและจำนวนตัวอสุจิลดน้อยลง ทำให้อสุจิเคลื่อนตัวเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ยากขึ้น

7.งดการสูบบุหรี่ดื่มแอลกอฮอล์

สารเสพติดทุกชนิดนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย ยังรวมไปถึงระบบสืบพันธุ์และการตั้งครรภ์ด้วย การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำจะลดโอกาสการมีลูกลงถึงร้อยละ 50 เพราะจะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและการสร้างอสุจิน้อยลง ทำให้ปริมาณของอสุจิลดลง อสุจิไม่แข็งแรง เคลื่อนไหวไม่ดี หรือมีรูปร่างผิดปกติ ทั้งยังเป็นสาเหตุลดการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อความแข็งแรงของอสุจิ รวมทั้งลดการตกไข่ของฝ่ายหญิงด้วย หากว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดเหล่านี้ก็จะเป็นวิธีที่จะช่วยทำให้ท้องได้ง่ายขึ้น

8.การออกกำลังกายมีผลต่อระบบสืบพันธุ์

การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมที่นอกจากดีต่อสุขภาพแล้ว ยังช่วยให้เลือดภายในร่างกายไหลเวียนได้ดีขึ้น เมื่ออวัยวะและระบบต่าง ๆ ได้รับออกซิเจนและสารอาหารที่อยู่ภายในเลือดอย่างเพียงพอ ก็จะส่งผลดีต่อระบบสืบพันธุ์และระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้น

9.ไลฟ์สไตล์คุณพ่อส่งผลต่อคุณภาพสเปิร์ม

ว่าที่คุณพ่ออาจจะยังไม่รู้ว่า ไลฟ์สไตล์ของชายหนุ่มบางอย่างอาจส่งผลต่อคุณภาพที่ถดถอยของสเปิร์มได้ เช่น การใส่กางเกงในหรือกางเกงชั้นนอกที่รัดแน่นจนเกินไป การแช่น้ำร้อนที่ทำให้อัณฑะสัมผัสกับอุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน ๆ การนั่งมอเตอร์ไซค์ที่ตากแดดนาน ๆ ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้เชื่อกันว่าอาจส่งผลต่อการผลิตอสุจิที่จะสร้างอสุจิได้น้อยลงเมื่ออยู่ในภาวะที่ร้อนอบอ้าว

อยากมีลูกต้องดูแลตัวเองยังไง

10.เรื่องของเพศสัมพันธ์ที่สำคัญต่อการมีลูก

  • ฟีเจอริ่งวันเว้นวันหรือ 2 วันครั้ง เป็นความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่จะทำให้เกิดโอกาสในการตั้งครรภ์ได้มาก เพราะอสุจิที่ปล่อยออกมาจะมีความสมบูรณ์แข็งแรงและเคลื่อนไหวเข้าไปปฏิสนธิในเซลล์ไข่ได้มากกว่าการมีเพศสัมพันธ์บ่อยเกินไป ที่ถึงแม้จะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้แต่ก็อาจทำให้เกิดความเครียดและทำให้ปริมาณอสุจิลดลง
  • ท่าเบสิกมิชชั่นนารี ที่เชื่อว่าเป็นท่วงท่าที่ทำให้สามารถมีลูกได้ง่ายขึ้น โดยฝ่ายหญิงนอนหงายอยู่ด้านล่าง ส่วนฝ่ายชายอยู่ด้านบนสามารถสอดใส่อวัยวะเพศเข้าไปได้ลึกและหลั่งน้ำอสุจิเข้าไปที่ปากมดลูกได้โดยตรง และยังเป็นท่าที่ช่วยให้ฝ่ายหญิงได้พักสบาย ๆ ไม่เกร็งตัว โดยหลังมีเพศสัมพันธ์เมื่อฝ่ายชายหลั่งอสุจิออกมาแล้วอย่าเพิ่งรีบเอาออกให้ค้างไว้สักครู่ จากนั้นให้ฝ่ายหญิงนอนหงายโดยเอาหมอนหนุนสะโพกให้ยกสูงขึ้นแล้วค้างเอาไว้อย่างน้อยประมาณ10-15 นาที เพื่อช่วยให้อสุจิวิ่งไปผสมกับไข่ได้ดียิ่งขึ้น ด้วยท่าพื้นฐานนี้ก็อาจจะเตรียมเฮรับเบบี๋กันได้ และอีกท่าคือ ท่าด็อกกี้ ฝ่ายหญิงก้มโค้งอยู่ด้านหน้าส่วนฝ่ายชายประกบเข้าด้านหลัง ท่านี้ฝ่ายชายจะสามารถสอดใส่ได้ลึกและอสุจิไม่ไหลย้อนกลับ
  • เล้าโลมเพื่อให้ถึงจุดสุดยอด การถึงจุดสุดยอดของฝ่ายหญิงจะมีการหลั่งน้ำเมือกที่ช่วยนำอสุจิให้ไปถึงไข่ได้ง่ายขึ้น อีกทั้งช่องคลอดมีการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อในท้องน้อยหลายครั้ง ส่งผลให้เกิดแรงดูดน้ำอสุจิเข้าไปในโพรงมดลูกได้มากขึ้น ซึ่งการถึงจุดถึงไคลแมกซ์นี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ถึง 2-3 เท่าเลยทีเดียว
  • งดใช้เจลหล่อลื่นในขณะมีเพศสัมพันธ์ เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้มากกว่า เนื่องจากการใช้เจลหล่อลื่นในขณะมีเซ็กส์นั้นจะทำลายหรือลดการเคลื่อนไหวของสเปิร์มให้ช้าลงร้อยละ 60-100 ให้ลดโอกาสการตั้งครรภ์ไปโดยที่หลายคู่ไม่รู้ตัว

วิธีเหล่านี้ อาจจะช่วยให้คู่แต่งงานที่อยากมีลูกเพิ่มโอกาสตั้งท้องได้ง่ายขึ้น ได้เป็นคุณพ่อคุณแม่สมใจ แต่อย่างไรก็ตามหากคู่แต่งงานที่มีเพศสัมพันธ์เป็นปกติโดยไม่มีการคุมกำเนิดเป็นระยะเวลา 1-2 ปี แต่ยังไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล อาจหมายความว่าภาวะร่างกายของทั้งคู่หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังประสบภาวะการมีลูกยาก ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุของความผิดปกติหรือประเมินโอกาสการตั้งครรภ์จากการตรวจสุขภาพ และรับคำแนะนำหรือมีทางเลือกอื่นสำหรับการวางแผนมีลูกต่อไป.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.pobpad.comwww.medthai.comwww.sanook.com

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ คลิก

อยากมีลูกต้องทำไง ? ลอง 9 วิธีแบบธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ ลูกมาแน่

โอกาสท้องของผู้หญิง ในแต่ละวัย มีลูกอายุเท่าไหร่ดีที่สุด?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีลดไข้

รวม วิธีลดไข้ ช่วยให้ลูกหายตัวร้อนได้เร็ว

ระวัง..หนึ่งใน วิธีลดไข้ แบบผิดๆ หมอเพจดังโพสต์เตือน! อย่าซื้อยาลดไข้สูงให้ลูกกินเอง ในช่วงไข้เลือดออกระบาด เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต!

หมอเตือน อย่าซื้อยาลดไข้ให้กินเอง ช่วงไข้เลือดออก ระบาด

ช่วงหน้าฝนหนึ่งโรคที่หน้ากลัวและระบาดหนักตอนนี้ คือ ไข้เลือดออก ซึ่งสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออก พบได้ทั้งในทุกวัยและในผู้ใหญ่ มีแนวโน้มพบมากขึ้น โดยอาการของโรคนี้มีความคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่อาจเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าลูกน้อยหรือตนเองป่วยเป็นเพียงโรคไข้หวัด และทำให้ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องในทันที ซึ่งโรคไข้เลือดออกมีอาการและความรุนแรงของโรคหลายระดับ ตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อค เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต

ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาจมีไข้สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส อาจมีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน หรืออาการเลือดออกผิดปกติอื่นๆ … การใช้ยาลดไข้ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดในผู้ป่วยไข้เลือดออก เช่น แอสไพริน หรือ ไอบูโพรเฟน อาจส่งผลให้เกิดภาวะเลือดออกรุนแรงมากขึ้น โดยเรื่องนี้ทางคุณหมอ ซึ่งเป็นเจ้าของเพจดังชื่อ “Infectious ง่ายนิดเดียว” ก็ได้ออกมาโพสต์เตือนถึงการระบาดของโรคไข้เลือดออกในช่วงนี้ว่าควรไปพบแพทย์และรับคำแนะนำ เพราะหากซื้อยากมากินเองอาจเสี่ยงอันตรายได้ เนื่องจากยาลดไข้บางกลุ่มมีผลข้างเคียงถึงชีวิต ดังที่กล่าวมาข้างต้น

ซึ่งทางเพจ “Infectious ง่ายนิดเดียว” ได้โพสต์ให้ความรู้เกี่ยวกับ วิธีลดไข้ การกินยาในช่วงฤดูฝนที่มีไข้เลือดออกระบาด ซึ่งพบว่าผู้ป่วยมักหายารับประทานเองเพื่อลดไข้ ซึ่งเป็น วิธีลดไข้ ที่อันตรายต่อร่างกายและอาจทำให้เสียชีวิตได้ถ้าหากกินไม่ถูกวิธี

โดยระบุข้อความอธิบายว่า “ช่วงนี้ไข้เลือดออกระบาดหนัก จะกินยาอะไรต้องระวัง เตือนภัยอันตรายถึงชีวิต ยาลดไข้สูง ทั้งชนิดน้ำในเด็ก/เม็ดในผู้ใหญ่ ควรหลีกเลี่ยง กรณีมีไข้อย่างเดียวและสงสัยไข้เลือดออก เพราะตัวยาลดไข้สูงกลุ่ม NSAIDs (Nonsteroidal anti-inflammatory drug) อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร และเลือดออกในระบบทางเดินอาหารได้ไตวาย และเสียชีวิตได้

แอดมิน เจอประจำ เป็นไข้เลือดออกมาแล้วกินยาตัวนี้ เพิ่มปัจจัยเสี่ยงเลือดออก ตับ ไตวาย ชาวบ้าน พ่อแม่ผู้ปกครองชอบเข้าใจผิด เวลามีไข้ จะเลือกใช้ยาลดไข้สูงเป็นตัวแรก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยามักจะระคายเคืองกระเพาะอาหารมีผลข้างเคียงได้ ปวดท้อง เลือดออกในทางเดินอาหาร ไตวาย ได้

วิธีลดไข้

ยาลดไข้สูงในเด็ก ส่วนใหญ่น้ำสีส้ม ในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่เม็ดสีชมพูเข็ม เวลามีไข้ สำคัญสุด คือ เช็ดตัวระบายความร้อน อาบน้ำอุ่น/น้ำก็อก ก็ได้ ไม่ก็จับแช่ในอ่างอาบน้ำ กะละมัง ชาวบ้านบางคนยังเข้าใจผิด มีไข้ห้ามอาบน้ำ ซึ่งผิด จริงๆสามารถอาบน้ำได้ ไข้จะลงและต้องกินยาพาราเซตามอลร่วมด้วย มีคนถามเยอะเรื่องแผ่นแปะหน้าผากช่วยได้ไหม แอดตอบ ได้ แต่ไม่ดี 100% คิดง่ายๆ เวลากองไฟลุกท่วมหัว แล้วใช้น้ำพรมแล้วไฟจะดับได้ไหม

ดังนั้น ถ้ามีไข้ดีสุดคือ จับเด็กแก้ผ้า เช็ดตัวด้วยผ้าอย่างน้อย 3-4 ผื่น เช็ดเข้าหาหัวใจ อย่างน้อย 10-20 นาที ผ้าที่ไม่ได้เช็ดก็วางไว้ตามซอกคอ ซอกรักแร้ ซอกขาหนีบ บริเวณที่มีเส้นเลือดขนาดใหญ่จะได้ระบายความร้อน แล้วเปลี่ยนบ่อยๆ

ส่วนยาไข้สูง อาจใช้ในบางกรณี แต่ควรสั่งจ่ายโดยแพทย์ เช่น เด็กมีคนไข้สูงทั้งเช็ดตัว กินยาพาราเซตามอล ก็ไม่ลง และไข้ขึ้นมาใหม่ไม่ถึง 4 ชม. ซึ่งยังกินยาพาราเซตามอลไม่ได้ และเด็กมีประวัติไข้แล้วชัก ลมชัก อาจจะให้กินได้ แต่ต้องกินหลังอาหารและทานน้ำมากๆ แต่ถ้ายังสงสัยไข้เลือดออก คุณหมอจะไม่สั่งจ่ายเด็ดขาด เพราะอันตราย มีไข้ อาบน้ำ เช็ดตัว กินพาราเซตามอล ก็พอ”

https://www.facebook.com/Infectious1234/photos/a.133077153789653/1019813501782676/?type=3&theater

ขอบคุณข้อมูลจากเพจ Infectious ง่ายนิดเดียว

รวมวิธีลดไข้ ช่วยให้ลูกหายตัวร้อนได้เร็ว

ทั้งนี้หากคุณแม่กำลังมองหา วิธีลดไข้ เพื่อช่วยให้ลูกน้อยหายตัวร้อนได้เร็ว ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม วิธีลดไข้ ที่ได้ผลดี มาฝาก โดยสามารถคลิกที่รูป เพื่ออ่านต่อบทความ วิธีลดไข้ แบบต่างๆ ได้เลย

วิธีการเช็ดตัวลดไข้ ด้วยน้ำอุ่นผสมมะนาว

เพจดังยืนยัน! “ลูกตัวร้อน” อาบน้ำลดไข้ ได้ผลจริง!

วิธีลดไข้ลูก! ตามแบบฉบับของชาวเยอรมัน

ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด อยากให้ลูกหายไข้ พ่อแม่ต้องทำอย่างไร?

***นอกจากนี้หากลูกน้อยเป็นแค่หวัด ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกินยาแก้แพ้
โดยคุณแม่สามารถใช้วิธีดังกล่าวข้างล่างนี้เพื่อรักษาและบรรเทาอาการหวัดของลูกน้อย
ให้ลดลงจนหายได้ คลิกที่ภาพเพื่ออ่านบทความได้เลย***

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

https://www.amarinbabyandkids.com/parenting/nasal-washing/

แม่แชร์วิธีเด็ด! หัวหอมแก้หวัด แก้คัดจมูกให้ลูกได้จริง!

ลูกคัดจมูก แก้ได้ด้วยการนำใบพลู มาทำแบบนี้…!?

ลูกเป็นหวัด มีน้ำมูก 5 วิธีรักษาแบบไม่ต้องพึ่งยา

ไวรัสตับอักเสบบี

ตรวจฟรีทั่วประเทศ! ไวรัสตับอักเสบบี – ซี ลดเสี่ยงติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้

กระทรวงสาธารณสุขชวนแม่ท้อง กลุ่มเสี่ยง และประชาชนทั่วประเทศ! ตรวจคัดกรอง ไวรัสตับอักเสบบี – ซี ฟรี!! ไม่เสียค่าใช้จ่าย รู้ผลภายใน 30 นาที

ไวรัสตับอักเสบบี และ ซี ตรวจคัดกรองฟรี!! ทั่วประเทศ

เนื่องจากเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันตับอักเสบโลก ซึ่งในปีนี้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับภาคีเครือข่ายได้รณรงค์ภายใต้หัวข้อ “กำจัดโรค ไวรัสตับอักเสบบี และซี ภายในปี 2573 : Eliminate Hepatitis B and C 2030”

จึงเชิญชวนให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เข้ารับการตรวจคัดกรองโรค ไวรัสตับอักเสบบี และซี “ฟรี!” สำหรับ ไวรัสตับอักเสบบี และซี กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้แก่

  • กลุ่มพนักงานเก็บขยะ
  • กลุ่มผู้ที่เคยได้รับเลือดหรือรับบริจาคอวัยวะ
  • กลุ่มเสี่ยงตามสิทธิหลักประกันสุขภาพ คือ กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี
  • ผู้ที่มีประวัติใช้สารเสพติดด้วยวิธีฉีด

รวมทั้งได้เชิญชวนให้ประชาชนทั่วไป เป้าหมาย 50,000 คน เข้ารับการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบ บี และซี “ฟรี” ด้วยชุดตรวจที่สะดวกรวดเร็ว รู้ผลภายใน 30 นาที ระหว่างวันที่ 10 สิงหาคม – 31 ธันวาคม 2563 ณ โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการฯ ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีบริการให้คำปรึกษา ตรวจคัดกรอง ส่งต่อ เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษา

ไวรัสตับอักเสบบี

การเตรียมตัวก่อนการตรวจเลือด เพื่อหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ

การตรวจหาไวรัสตับอักเสบ นอกจากจะเป็นวิธีที่จะช่วยคัดกรองโรคแล้ว ยังสามารถช่วยป้องกันการแพร่กระจายโรคได้เป็นอย่างดี โดยสิ่งที่คุณแม่ท้องต้องทำ คือ

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • งดอาหารก่อนการเจาะเลือด 8 ชั่วโมง
  • งดดื่มสุรา งดยาบางชนิด(ควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตรวจ)
  • หากมีการตั้งครรภ์ หรือมีการแพ้ยา หรือกำลังใช้ยาใดๆ อยู่ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน

ทั้งนี้โรคไวรัสตับอักเสบบี และซี สามารถติดต่อผ่านทางเลือดและสารคัดหลั่ง การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย และติดต่อจากแม่สู่ลูก!! ซึ่งผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ ทำให้ผู้ติดเชื้อไม่ทราบว่าตนติดเชื้อ แต่จะทราบอีกทีก็ต่อเมื่อเริ่มมีอาการรุนแรง หรือเป็นตับแข็งและมะเร็งตับแล้ว

นอกจากนี้ นพ.อัษฎางค์ ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์โรคไวรัสตับอักเสบในประเทศไทย พบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 2.2-3 ล้านคน มีอัตราความชุกประมาณร้อยละ 4-5 ของประชาชนที่เกิดก่อนปี 2535 ทำให้ปัจจุบันพบการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ในประชากรที่อายุ 30 ปีขึ้นไปเป็นส่วนมาก ส่วนประชาชนที่เกิดหลังปี 2535 ได้มีการบรรจุวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนของประเทศ ทำให้พบอัตราความชุกที่ลดลง ร้อยละ 0.6

ดังนั้น กลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี คือกลุ่มประชากรที่เกิดก่อนปี 2535 ซึ่งต้องมาตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ หรือเข้าสู่ระบบการรักษาต่อไป

สำหรับไวรัสตับอักเสบบี มีวัคซีนในการป้องกัน ส่วนไวรัสตับอักเสบซี สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการทานยาต้านไวรัส 3-4 เดือน ดังนั้นหากใครที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าว และสงสัยว่าตนเองมีเชื้อไวรัสตับอักเสบ ขอให้มาตรวจคัดกรองและรักษาต่อไป

อย่างไรก็ตามโรคไวรัสตับอักเสบบี และซี สามารถป้องกันได้ ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำสะอาดมากๆ และไม่ใช่ช้อน หรือหลอดดูดร่วมกับผู้อื่นๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรักษาความสะอาดด้วยการล้างมือหลังเข้าห้องน้ำ หรือก่อนหยิบจับอาหารเข้าปาก หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เช่น ก่อนแต่งงานและก่อนวางแผนจะมีบุตร ควรตรวจสุขภาพ การใส่ถุงยางอนามัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ และปรึกษาคุณหมอเรื่องการฉีดวัคซีนป้องกัน รวมไปถึงการเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี และหากมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น หรือสงสัยว่าตนเองเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ควรเข้ารับการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

ไวรัสตับอักเสบบี


ข้อมูลจาก : กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค (วันที่ 29 กรกฎาคม 2563) ddc.moph.go.thc และ

www.thailandplus.tvth.yanhee.net , news.thaipbs.or.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่างได้เลย ⇓

9 วัคซีนสำหรับผู้หญิง ที่จำเป็นต้องฉีด!

อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน ด้วยพลัง”ผัก ผลไม้ 5 สี”

8 โรคติดต่อทางพันธุกรรม ที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่ ควรตรวจให้รู้ก่อนตั้งครรภ์

แม่แชร์! ลูกสมองติดเชื้อ ตับ-ม้ามโต เพราะป้อนยาเกินขนาด

ไวรัสเห็บ

ไวรัสเห็บ ระบาด! ทำความรู้จัก โรค SFTS โรคร้ายใกล้ตัวจาก “เห็บ”

คุณพ่อคุณแม่บ้านไหนมีสัตว์เลี้ยงอย่างน้องหมา น้องแมว อาจต้องเฝ้าระวัง และติดตามความเคลื่อนไหวข่าวการแพร่ระบาดของ ไวรัสเห็บจีน อย่างใกล้ชิด เพราะไวรัสเห็บกำลังระบาดในประเทศจีน และคร่าชีวิตแล้วอย่างน้อย 7 ราย ติดเชื้อแล้วกว่า 60 ราย ไวรัสชนิดนี้คืออะไร และจะระบาดรุนแรงเหมือนโควิด-19 หรือไม่ ทีมแม่ ABK มีข้อมูลมาฝากค่ะ

เหตุการณ์ระบาดของ ไวรัสเห็บ 

สำนักข่าวโกลบัล ไทม์ส ของจีน รายงานเมื่อวันที่ 5 ส.ค. ว่าพบการระบาดของโรคที่เกิดจาก “ไวรัสเห็บหรือ โรค SFTS ในมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของประเทศ โดยครึ่งแรกของปีนี้ มีผู้ติดเชื้อแล้ว 37 ราย เสียชีวิต 7 ราย

ต่อมาพบว่าเชื้อแพร่กระจายไปยังมณฑลอันฮุย มีผู้ติดเชื้ออีก 23 ราย ทำให้เกิดความหวาดวิตกว่า จะเกิดการระบาดรุนแรงไปทั่วโลกซ้ำรอย โควิด-19 หรือไม่

ทำความรู้จักโรค SFTS คืออะไร?

โรค SFTS มีชื่อยาวๆ ว่า Severe Fever with Thrombocytopenia Syndrome หรือ เรียกย่อๆว่า SFTS

โรค SFTS คือ โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูล Bunyavirus ซึ่งมีเห็บเป็นพาหะ ตอนนี่้ยังไม่มีชื่ออย่างเป็นทางการ เลยใช้ว่า SFTS virus (SFTSV) ไปก่อน โดยไวรัสในตระกูลนี้มีสารพันธุกรรมเป็น RNA สายลบ สามเส้นเป็นวงขนาดแตกต่างกันไป เส้นยาวสุด (Large) ขนาดยาว 6,368 เบส ทำหน้าที่สร้างเอนไซม์ที่ไวรัสใช้เพิ่มจำนวนสารพันธุกรรม เส้นที่สอง (Medium) ยาว 3,378 เบส ทำหน้าที่สร้างโปรตีนบนเปลือกไวรัส ใช้เข้าสู่เซลล์ และ เส้นที่สาม (Small) ยาว 1,744 เบส สร้างโปรตีนนิวคลีโอแคปซิด และ โปรตีนอื่นๆ ที่ช่วยให้ไวรัสเพิ่มปริมาณได้

โรค SFTS
ขอบคุณภาพจาก Virology and Cell Technology Lab – BIOTEC

ด้วยคุณสมบัติของสารพันธุกรรมที่แยกเป็นเส้นๆ ดังกล่าว ปรากฏการณ์ที่ไวรัสชนิดนี้จะแลกเปลี่ยนสารพันธุกรรมกันในเซลล์เจ้าบ้าน ถ้าไวรัสมากกว่า 1 ชนิด ติดเข้าสู่เซลล์เดียวกันแล้วเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ (Reassortant) จึงเกิดขึ้นได้ คล้ายๆ กับไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่เกิดสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

โรค SFTS ระบาดครั้งแรกเมื่อ 14 ปีก่อน

ข้อมูลจากเว็บไซต์ สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย โดยพญ. พักต์เพ็ญ สิริคุตต์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี อธิบายเกี่ยวกับการระบาดของโรค SFTS ไว้ดังนี้

การติดเชื้อ SFTSV พบมากใน 3 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ พบมากที่สุด คือ จีน (0.12 – 0.73 ต่อแสนประชากร) รองลงมาคือ เกาหลีใต้ (0.07 ต่อแสนประชากร) และ ญี่ปุ่น (0.05 ต่อแสนประชากร)  ตามลำดับ ยังไม่มีรายงานโรคนี้ในประเทศไทย

  • ปี พ.ศ. 2549 พบผู้ป่วยติดเชื้อ SFTSV ครั้งแรก ที่มณฑลอานฮุน ประเทศจีน
  • ปี พ.ศ. 2552 มีการระบาดอีกครั้ง พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อดังกล่าวทั้งหมด 171 ราย ระบาดไปทั่วทั้ง 6 มณฑล ได้แก่ มณฑลเหลียวหนิง ซานตง เหอหนาน อานฮุน เจียงซู และหูเป่ย์
  • ในช่วงปี พ.ศ.2556 – 2559 มีการระบาดอย่างต่อเนื่องทุกปี ในพื้นที่ทางตอนกลางและตะวันออกของประเทศจีน พบผู้ป่วยถึง 7,419 ราย เสียชีวิต 355 ราย อัตราการตายเฉลี่ยร้อยละ 35
  • ปีพ.ศ. 2560 พบผู้ป่วยหญิงชาวญี่ปุ่นอายุ 51 ปีเสียชีวิตจากการติดเชื้อที่มีเห็บแมวเป็นพาหะ

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า เชื้อนี้ไม่ใช่เชื้อใหม่ เป็นเชื้อที่มีมากว่า 10 ปีแล้ว แต่เพิ่งมีแนวโน้มการระบาดหนักในปีนี้ โดยพบการระบาดในคนมากกว่า 60 คน และ มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 10% ซึ่งไม่เคยพบการระบาดและเสียชีวิตมากเท่านี้มาก่อน

การติดต่อของ ไวรัสเห็บ

เนื่องจากไวรัสชนิดนี้เชื่อว่าแพร่สู่คนโดยเห็บเป็นพาหะสำคัญ หลักฐานการแพร่กระจายจากคนสู่คนที่มีอยู่ในปัจจุบันบ่งชี้ว่า อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่เชื่อว่าคงจะไม่แพร่อย่างรวดเร็วเหมือน โควิด-19 เพราะแพร่ทางการสัมผัสเลือดที่ติดเชื้อ ไม่ใช่ทางเดินหายใจ แต่ด้วยอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าปกติ จึงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ในจีนต่อไป

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

โรค SFTS  อาการที่ต้องรู้

ผู้ป่วย SFTS จะมีไข้สูง อ่อนเพลีย เกล็ดเลือดและเม็ดเลือดขาวจะลดลง ผู้ป่วยที่อาการหนักจะพบการเลือดออกคล้ายไข้เลือดออก อวัยวะต่างๆ ทำงานผิดปกติ และ อาการผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง อาการของโรคแบ่งเป็น 3 ระยะ

  1. ระยะไข้ (fever stage)
  2. ระยะ multiple organ failure
  3. ระยะฟื้นตัว (convalescence)

ระยะไข้ (fever stage)

ลักษณะอาการ คือ มีไข้สูง (5 – 11 วัน) ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต มีอาการทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ถ่ายเหลว

ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ จะพบเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ และมีระดับไวรัส (viral load) สูง

ระยะ multiple organ failure

ระยะนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 ของโรค โดยมีระยะเวลาทั้งหมด 7 – 14 วัน ในระยะนี้จะพบมี multiple organ failure ได้แก่ ตับ หัวใจ ปอด และไตมีอาการเลือดออก มีอาการผิดปกติทางระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร

ระยะฟื้นตัว (convalescence)

ระยะนี้จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 – 19 ของโรค โดยอาการจะดีขึ้นเป็นลำดับ ค่าผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ ที่ผิดปกติจะเริ่มดีขึ้นในระยะนี้ ส่วนค่า biomarkers ต่างๆ จะกลับสู่ค่าปกติอาศัยระยะเวลาประมาณ 3 – 4 สัปดาห์

การป้องกัน โรค SFTS หรือ ไวรัสเห็บ

ปัจจุบันไวรัสชนิดนี้ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่มียาต้านไวรัส ชื่อว่า Ribavirin ที่มีข้อมูลว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาได้

อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของเชื้อไวรัสเห็บนี้ต่อไป และหากมีข้อมูลใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ทีมแม่ ABK จะรีบมาอัพเดทให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบอีกครั้งค่ะ สำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง รักษาความสะอาด “ระวังเห็บ” กันด้วยนะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์ , เพจ Virology and Cell Technology Lab – BIOTEC , สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกโดน “เห็บกัด” อย่าชะล่าใจ อาจติดเชื้อจากโรคลายม์

อุทาหรณ์! แม่ช๊อคเจอ เห็บเข้าหู วางไข่ในหูลูกเป็นสัปดาห์!

 

กระต่ายกับเต่า

กระต่ายกับเต่า นิทานอีสปสุดคลาสสิค สอนลูกเข้าใจ “แค่เก่งอย่างเดียวอาจไม่พอ”

กระต่ายกับเต่า หนึ่งในนิทานอีสปตลอดกาล ที่ไม่ว่าเด็กรุ่นไหนต้องเคยฟัง และลุ้นไปกับการแข่งขันของกระต่ายเจ้าลมกรด กับเจ้าเต่าต้วมเตี้ยม ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ  ดูเหมือนเรื่องราวในตอนจบของเรื่องจะทำให้เด็กๆ ต้องรู้สึกเซอร์ไพร์ส เพราะผลลัพธ์อาจไม่เป็นอย่างที่คิด ที่สำคัญนิทานเรื่องนี้ยังสามารถดัดแปลงได้หลายเวอร์ชั่น เพื่อชวนให้เด็กเห็นมุมมองใหม่ๆอีกด้วย 

นิทานอีสปสุดคลาสสิค กระต่ายกับเต่า สอนลูกมองโลกหลายมุมมอง

เพราะความจริงบนโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงด้านเดียว  การสอดแทรกให้ลูกได้ทำความรู้จักกับสังคม นิสัยใจคอของผู้คนที่แตกต่างกันในสังคมจริงๆ ช่วยให้ลูกน้อยพร้อมเผชิญกับโลกภายนอกได้ดีขึ้นด้วยการเล่านิทาน อ่านนิทานก่อนนอน โดยเฉพาะนิทานอีสป ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่การใช้ตัวละครเป็นสัตว์ต่างๆมาแทนบุคลิกของคน อย่างนิทาน กระต่ายกับเต่ามีนิสัยต่างกันสุดขั้ว แต่กลับต้องมาอยู่ในสถานการณ์ ทำให้เด็กๆได้เรียนรู้ถึงการกระทำของกระต่ายและเต่าว่าทำให้เกิดผลดี ผลเสียอย่างไร และคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเองได้ว่า ควรเลือกทำอย่างไร 

นิทานกระต่ายกับเต่าสามารถเล่าเรื่องราวให้แตกต่างกันได้หลายมุม ขึ้นอยู่กับว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกเรียนรู้เรื่องใด ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม กระต่ายกับเต่าในเวอร์ชั่นต่างๆ ที่มีตอบจบไม่เหมือนเดิมมาฝาก ลองมาดูกันเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง

กระต่ายกับเต่า ภาพประกอบ

กระต่ายกับเต่าเล่าตามต้นฉบับ

 

ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่ง ยังมีกระต่ายจอมโวที่มั่นใจว่าตัวเองนั้นปราดเปรียวและว่องไวกว่าใคร เมื่อมันเจอเต่าที่คลานต้วมเตี้ยมมาใกล้ก็เยาะเย้ยว่า 

“เจ้าเต่าอืดอาด คลานช้าแบบนี้จะกลับถึงบ้านมั้ยนะ” เต่าได้ฟังดังนั้นก็เคืองใจ ตอบกลับว่า

 “ถึงแม้ข้าจะช้า แต่ก็ช้าอย่างมั่นคงแล้วก็กลับถึงบ้านทุกวันนะ ถ้าไม่เชื่อเรามาวิ่งแข่งกันมั้ยล่ะ” 

  เจ้ากระต่ายได้รับคำท้าจากเต่าก็หัวร่องอหาย เย้ยหยันว่าต่อให้เต่าวิ่งไปก่อนครึ่งวันมันก็ยังเอาชนะได้ กระต่ายตกลงรับคำท้าวิ่งแข่งกับเต่า และเชิญสัตว์ต่างๆ ในป่ามาเป็นสักขีพยาน

กระต่ายกับเต่า ภาพประกอบ

  เมื่อถึงวันแข่ง สัตว์น้อยใหญ่ในป่าต่างมาชมการแข่งขัน พอออกตัว กระต่ายวิ่งนำโด่งไปไกลลิบ ส่วนเต่าก็คลานช้าๆ ไปอย่างมั่นคง พอกระต่ายเห็นว่าตัวเองนำมาไกล ก็คิดในใจว่าอย่างไรเต่าไม่มีวันตามทันแน่นอน ระหว่างทางสายลมพัดเย็นสบาย กระต่ายจึงล้มตัวลงนอน “ขอพักสักงีบดีกว่า” และหลับไป

  เต่ายังคงคลานช้าๆ ไปอย่างไม่หยุด เมื่อยามบ่ายคล้อยก็ใกล้เข้าถึงเส้นชัยไปทุกที กระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมา นึกได้ว่ายังคงแข่งขันอยู่ก็รีบวิ่งอ้าวไปยังเส้นชัย แต่ไม่ทันเต่าที่เข้าเส้นชัยไปแล้วท่ามกลางเสียงเชียร์จากเหล่าสัตว์มากมาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

  การมุ่งมั่นในสิ่งทื่กระทำ แม้จะช้าแต่มั่นคง สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้  

เช่นเดียวกับเต่าที่คลานต้วมเตี้ยมอย่างช้าๆ แต่ว่าสม่ำเสมอและไม่ย่อท้อ ทำให้มันเอาชนะการแข่งขันครั้งนี้ ต่างกับกระต่ายที่รวดเร็วแต่ขาดมุ่งมั่น และเวลาที่ควรวิ่งก็กลับเอาไปนอน ติดประมาทจนพ่ายแพ้ไปในที่สุด คุณพ่อคุณแม่ลองชวนลูกพูดคุยว่า ถ้าลูกเป็นกระต่ายจะทำอย่างไร และถ้าลูกเป็นเต่าจะทำอย่างไร ก่อนชวนลูกฟังนิทานเรื่องนี้ภาคต่อไปที่ไม่จบเพียงเท่านี้

 

กระต่ายกับเต่า ภาพประกอบ

มาเล่านิทาน กระต่ายกับเต่า เป็นเรื่องราวยาว ชวนลูกคิดต่อ 

มื่อการแข่งขันจบลง กระต่ายผิดหวังและขายหน้ามากที่ตัวเองพ่ายแพ้การแข่งขัน มันจึงกลับไปตั้งสติใหม่ และตั้งใจแน่วแน่ว่าคราวนี้จะต้องเอาชนะการแข่งวิ่งให้ได้ กระต่ายกลับมาขอท้าเต่าแข่งขันอีกครั้ง

 “นี่เจ้าเต่า คราวที่แล้วข้าประมาทเกินไปจึงพ่ายแพ้เจ้า คราวนี้เรามาสู้กันใหม่มั้ยล่ะ ถ้าเจ้าชนะอีก ข้าก็ไม่มีอะไรค้างคาใจแล้ว” 

เต่ารับคำและจัดการแข่งขันวิ่งขึ้นอีก คราวนี้เจ้ากระต่ายตั้งใจวิ่งตั้งแต่ออกตัว มันวิ่งเร็วจี๋ไม่หยุดและเข้าเส้นชัยแบบนำโด่งม้วนเดียวจบ เป็นที่ฮือฮาในหมู่เพื่อนสัตว์ทั้งหลาย

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

  เมื่อรู้ว่าตัวเองมีความสามารถอะไร ให้เติมเชื้อไฟด้วยความพยายามและมุมานะ จึงจะนำหน้าผู้อื่นได้ไม่ยาก

  กระต่ายนำข้อผิดพลาดของตัวเองมาแก้ไข ปรับปรุงตัวเองจนเอาชนะเต่าได้ กระต่ายไม่ย่อท้อและไม่หมดกำลังใจ กลับต่อสู้จนเอาชนะได้อย่างที่ควรจะเป็น คุณพ่อคุณแม่ลองพูดคุยว่าเด็กๆ รู้สึกอย่างไรต่อเรื่องนี้ และถ้าเด็กๆ เป็นเต่าจะทำอย่างไร 

กระต่ายกับเต่า ภาพประกอบ

เต่ากับกระต่าย นิทานเรื่องนี้ยังไม่จบง่าย เล่ายังต่อดี

เรื่องราวของกระต่าวยกับเต่ายังไม่จบเท่านั้น เต่าเข้าใจความจริงว่าสัตว์ที่เชื่องช้าต้วมเตี้ยมอย่างตนไม่มีทางวิ่งชนะกระต่ายที่แสนว่องไวได้เลย มันครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่นาน จากนั้นจึงไปท้ากระต่ายวิ่งแข่งอีก แต่คราวนี้เต่าขอเปลี่ยนเส้นทาง 

“นี่เจ้ากระต่าย คราวที่แล้วเจ้าชนะข้าขาดลอยเชียว แต่ข้ายังสงสัยอยู่ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นเส้นทางอื่น เจ้าจะยังรวดเร็วว่องไวและเอาชนะข้าได้อย่างง่ายดายอีกหรือไม่ ถ้าเจ้ายังชนะข้าอีก ข้าก็ไม่มีอะไรค้างคาใจแล้ว” 

กระต่ายรับคำท้าและจัดการแข่งขันขึ้นอีกครั้ง เต่ากับกระต่ายออกวิ่งไปพร้อมกัน กระต่ายวิ่งอย่างรวดเร็วและสม่ำเสมอไม่มีหยุด จนกระทั่งถึงแม่น้ำกว้าง เส้นชัยนั้นอยู่ที่อีกฝั่งแม่น้ำนี่เอง กระต่ายนั่งลงขบคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป มันคิดอยู่นานก็หาทางข้ามแม่น้ำไปไม่ได้ 

ระหว่างนั้นเต่าก็คลานต้วมเตี้ยมตามมา ลงน้ำและว่ายข้ามไปอีกฝั่ง คลานอย่างช้าๆ เข้าเส้นชัยไปต่อหน้าต่อตา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

  การวางแผนให้รอบคอบและลงมือทำจะทำให้มีชัยในที่สุด 

  กระต่ายที่ตกลงรับคำท้าโดยไม่ศึกษารายละเอียดก่อน เพลี่ยงพล้ำเสียท่าให้เต่าจนได้ กระต่ายไม่รู้มาก่อนว่าจะต้องเจอกับแม่น้ำที่เป็นเส้นทางที่ตนไม่สามารถว่ายน้ำข้ามไปได้ จนทำให้มันต้องหาทางแก้ปัญหาหน้างานจนไม่ทันเจ้าเต่าที่รู้จักเส้นทางและลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ  คุณพ่อคุณแม่ลองชวนลูกๆ พูดคุยว่ารู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ ลูกๆ ชอบเต่าหรือกระต่าย และถ้าลูกๆ เป็นกระต่าย จะทำอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้

กระต่ายกับเต่า ภาพประกอบ

จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งค์ ไม่ต้องมีผู้ชนะเสมอไป 

นิทานกระต่ายกับเต่าภาคนี้เล่าเหตุการณ์ต่อมา หลังจากแข่งขันกันมาหลายครั้ง กระต่ายกับเต่าก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองเห็นว่าต่างฝ่ายต่างก็ชอบความท้าทายและไม่เคยยอมแพ้ พวกมันคิดว่าการแข่งขันครั้งสุดท้ายนั้น ทั้งคู่น่าจะทำได้ดีกว่านี้

 เจ้ากระต่ายบอกว่า “คราวนี้เรามาแข่งขันกับตัวพวกเราเองนี่แหละ หากเราช่วยกัน เราน่าจะวิ่งได้ดีกว่านี้ด้วยกันทั้งคู่” 

เจ้าเต่ารับคำและตัดสินใจจัดการแข่งขันขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้พวกมันรวมเป็นทีมเดียวกันและแข่งขันกับตัวเอง 

  ทั้งสองออกตัว คราวนี้กระต่ายอุ้มเต่ามาด้วยจนกระทั่งถึงชายฝั่งแม่น้ำ จากนั้นเต่าลงไปในน้ำและให้กระต่ายขี่หลัง พาว่ายน้ำไปถึงอีกฝั่ง กระต่ายอุ้มพาเต่าวิ่งไปจนถึงเส้นชัยด้วยกัน ทั้งสองรู้สึกว่าพวกมันเข้าเส้นชัยได้เร็วขึ้นมากและรู้สึกภูมิใจในตัวเองอย่างมาก

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…

  ความสามัคคีและการวางแผนที่ดีจะทำให้มีชัยในที่สุด 

  ทั้งเต่าและกระต่ายต่างก็มีจุดเด่นกันคนละแบบ ต่างคนต่างเก่งกันไปคนละด้าน หากทั้งสองร่วมมือกันและใช้ความถนัดของตนให้เป็นประโยชน์ก็จะทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม คุณพ่อคุณแม่ลองชวนลูกพูดคุยว่า ลูกๆ รู้สึกอย่างไรกับเรื่องกระต่ายกับเต่าทั้งสี่ภาค ลูกอยากเป็นกระต่ายหรือเต่า เพราะเหตุใด และลูกชอบที่ใครชนะ เพราะอะไร

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

คลิปนิทานอีสป นิทานเพลง กระต่ายกับเต่า เล่าสนุกทั้งไทย-อังกฤษ 

การอ่านนิทานกับลูกนั้นนอกจากจะได้ความอบอุ่นและสนุกสนาน ยังช่วยให้พ่อแม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของลูก และฝึกฝนให้เด็กๆ ได้หัดคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญเมื่อโตขึ้นด้วย  อีกหนึ่งสิ่งที่เด็กรุ่นใหม่ขาดไม่ได้ คือทักษะด้านภาษา ที่ต้องสามารถสื่อสาร ฟัง พูด อ่าน เขียนได้มากกว่าแค่ภาษาไทย ถ้าอยากให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษสามารถเปิดคลิปนิทาน กระต่ายกับเต่า ทั้งภาษาไทยและอังกฤษให้ลูกฟังไปด้วยกันได้  

คลิปเล่านิทานภาษาไทย

                                                                                                        ขอบคุณคลิปจาก นิทานก่อนนอนสําหรับเด็ก – Thai Fairy Tales for Kids

 

 คลิปเล่านิทานภาษาอังกฤษ

                                                                                                    ขอบคุณคลิปจาก นิทานก่อนนอนสําหรับเด็ก – Thai Fairy Tales for Kids

 

 คลิปนิทานเพลง กระต่ายกับเต่า ภาษาไทย

 

                                                                                                   ขอบคุณคลิปจาก Hararu TV

 

คลิปนิทานเพลง กระต่ายกับเต่า ภาษาอังกฤษ

                                                                                                    ขอบคุณคลิปจาก Cocomelon – Nursery Rhymes

ใบงานนิทานกระต่ายกับเต่าภาษาอังกฤษ

นอกจากฟังนิทานสนุกๆแล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถนำเรื่องราวมาต่อยอดเป็นแบบฝึกหัดให้ลูกวัยประถมฝึกทำที่บ้านได้ด้วย

กระต่ายกับเต่า

 

กระต่ายกับเต่า

 

                                                                                                           ขอบคุณใบงานจากwww.usborne.com/

 

ระบายสีแสนสนุกกับนิทานอีสปกระต่ายกับเต่า

 

กระต่ายกับเต่า ระบายสี

กระต่ายกับเต่า ระบายสี

 

กระต่ายกับเต่า ระบายสี

กระต่ายกับเต่า ระบายสี

                                                                                                    ขอบคุณภาพวาดจากclipart-library.com/

 

อ่านบทความน่าสนใจอื่นๆ 

 

นิทานอีสป สิงโตกับหนู นิทานก่อนนอน สอนลูกมีน้ำใจ ไม่ดูถูกใคร

 

นิทานอีสป มดกับตั๊กแตน สอนลูกมีวินัย แบ่งเวลาเป็น ตอนไหนเล่น ตอนไหนเรียน

 

20 นิทานอีสปสั้นๆ เน้นคติเตือนใจ เหมาะกับทุกวัย จบแบบยิ้มได้ไม่รุนแรง

คาร์เนชัน สมาร์ทโก ยูเอชที

เลือกนมกล่องแรกให้ลูก ทำไมต้อง “คาร์เนชัน สมาร์ทโก ยูเอชที ?”

อยากให้ลูกน้อยพัฒนาการดี ร่างกายเจริญเติบโตสูงสมวัย สมองดี เรียนรู้เก่ง คุณแม่ต้องให้ลูกได้รับโภชนาการอย่างเพียงพอนะคะ ที่สำคัญต้องเสริมให้ลูกดื่มนมทุกวัน โดยเฉพาะลูกเริ่มวัย 1 ขวบขึ้นไป เป็นวัยที่ทั้งร่างกายและสมองพัฒนาขึ้นเร็วมาก คุณแม่ควรต้องเสริมนมให้ลูกดื่มอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งต่อวัน นอกเหนือจากอาหารมื้อหลัก 3 มื้อค่ะ

สำหรับคุณแม่ที่กำลังมองหานมยูเอชที นมกล่องแรกให้กับเด็กๆ อยู่ละก็ ขอแนะนำให้รู้จักกับ “คาร์เนชัน สมาร์ทโก ยูเอชที” ใช่ค่ะ คุณแม่อ่านไม่ผิด คาร์เนชันไม่ได้มีแค่นมผงคุณภาพเยี่ยม แต่ยังมีเป็น “นมกล่อง ยูเอชที” ที่เด็กๆ สามารถดื่มได้ทุกวัน

หากอยากให้ลูกน้อยที่กำลังอยู่ในวัยกำลังโต มีพัฒนาการร่างกายแข็งแรงสูงสมวัย แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้ลูกมีพัฒนาการด้านสติปัญญา การเรียนรู้ที่ดี นมกล่องแรกของลูก คาร์เนชัน สมาร์ทโก ยูเอชทีมีให้ครบทุกสารอาหารสำคัญที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย และสมองของเด็กๆ ค่ะ

คาร์เนชัน สมาร์ทโก ยูเอชที 1 กล่อง แคลเซียมสูง มีโอเมก้า 3 6 9 และสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิด อย่าง วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี วิตามินบี 1 และกรดโฟลิค เห็นสารอาหารเต็มกล่องแบบนี้ แต่คุณแม่รู้ไหมคะว่า ราคาคุ้มค่ามากๆ เพียงแค่ 10 บาทเท่านั้นค่ะ

คาร์เนชัน สมาร์ทโก ยูเอชที

 Carnation Smartgo UHT

อยากรู้ไหมคะว่า คาร์เนชัน สมาร์ทโก ยูเอชที 1 กล่อง มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอะไรบ้าง ?

  • แคลเซียมสูง สารอาหารสำคัญที่มีส่วนช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ช่วยให้เด็กๆ เจริญเติบโตได้ดี
  • โอเมก้า 3 6 9 สูง ในนมกล่องคาร์เนชัน สมาร์ทโก ปริมาณ 180 มิลลิลิตร จะมีโอเมก้า 3 อยู่ที่ 93 มิลลิกรัม , โอเมก้า 6 อยู่ที่ 557 มิลลิกรัม และ โอเมก้า 9 อยู่ที่ 1393 มิลลิกรัม
  • วิตามินดีสูง ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ทำให้เด็กๆ เจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
  • วิตามินซีสูง ช่วยให้ระบบประสาท และระบบภูมิคุ้มกันของลูกทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ฟอสฟอรัสสูง ช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
  • วิตามินอีสูง ช่วยในกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระ
  • วิตามินบี 1 ช่วยให้ระบบประสาท และกล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ
  • กรดโฟลิค ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติ

คาร์เนชัน สมาร์ทโก ยูเอชที

อยากให้ลูกรักมีพัฒนาการร่างกายแข็งแรงสูงสมวัย และมีพัฒนาการด้านสติปัญญา การเรียนรู้ที่ดี ก็ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย เล่น ทำกิจกรรมสมวัย พักผ่อนนอนหลับอย่างเพียงพอ และที่สำคัญต้องไม่ลืมบำรุงด้วย คาร์เนชัน สมาร์ทโก ยูเอชที นมกล่องแรกที่แม่เลือกให้ลูกดื่มทุกวัน มีแคลเซียมสูง โอเมก้า 3 6 9 และสารอาหารจำเป็นอีกหลากหลายชนิดค่ะ

#นมคาร์เนชันยูเอชที #นมยีราฟ #นมพี่โย่งมาแล้ว

วิธีทำให้สูง

วิธีทำให้สูง ด้วยเมนูอาหารวิเศษเสริมแคลเซียมวัยเบบี๋

วิธีทำให้สูง เป็นเรื่องหนักใจของพ่อแม่สมัยนี้ แต่รู้หรือไม่ว่าอาหารก็มีส่วนเสริมให้ลูกคุณสูงได้ไม่เพียงแค่นมเท่านั้น ที่สำคัญต้องเริ่มตั้งแต่วัยเบบี๋กันเลย

วิธีทำให้สูง ด้วยเมนูอาหารวิเศษเสริมแคลเซียมวัยเบบี๋

เมื่อลูกอายุ 6 เดือนขึ้นไป จำเป็นต้องได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้นตามวัย นมแม่อย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของเด็ก จึงต้องให้อาหารอื่นนอกจากนมแม่ เพื่อให้ได้รับพลังงานและสารอาหารเพิ่มขึ้นสำหรับการเจริญเติบโตเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูก เนื่องจากเด็กในช่วงวัยก่อนการเจริญพันธุ์ จะต้องการสารอาหารที่มาช่วยสร้างมวลกระดูกอย่างมาก

“นพ.วรวัฒน์ เอี่ยวสินพานิช” แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู  รพ.ปิยเวช  ได้ให้ความรู้ไว้ว่า การเจริญเติบโต และการพัฒนาการด้านความสูงของคนเราเริ่มตั้งแต่เป็นตัวอ่อนอยู่ในครรภ์มารดา ลูกก็ต้องการ สารอาหารช่วยบำรุงกระดูก แล้ว โดยตลอด 9 เดือน จะมีการเจริญเติบโต และพัฒนา อย่างไม่หยุดยั้งทุกระบบจนถึงช่วงการเจริญเติบโตในระยะสุดท้าย โดยเพศหญิงเริ่มมีการเติบโตที่เร็ว เมื่ออายุ 11.5 ปี และ เติบโตน้อยลงเมื่ออายุ 16 ปี อัตราการเพิ่มความสูงอยู่ที่ 8 ซม./ปี ส่วนเด็กผู้ชาย จะเริ่มที่อายุ 13.5 ปี และหยุดโตเมื่ออายุ 20 ปี อัตราการเพิ่มความสูงอยู่ที่ 10-12 ซม./ปี

สารอาหารที่จำเป็นต่อการเสริมสร้างมวลกระดูลของลูกน้อย

  1. แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่สำคัญและพบมากที่สุดในร่างกายของมนุษย์ โดยประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ของแคลเซียมในร่างกายเป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน ซึ่งแคลเซียมทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น เพิ่มความหนาแน่นและเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน ควบคุมการทำงานของหลอดเลือดและกล้ามเนื้อ ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ควบคุมการเต้นของหัวใจ ปลดปล่อยฮอร์โมน กระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ หรือส่งความรู้สึกไปตามเส้นประสาท เป็นต้น ปริมาณแคลเซียมโดยเฉลี่ยที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 3 ปี คือ 400-800 มิลลิกรัมต่อวัน
  2. วิตามินดี ช่วยดึงแคลเซียมเข้าไปในกระดูก และสะสมตัวในกระดูกได้ แต่ต้องอาศัยไขมันเป็นตัวทำละลายวิตามินดี ทำให้วิตามินดีดูดซึมได้ดีขึ้น นอกจากร่างกายจะได้รับวิตามินจากการรับประทานแล้ว ยังจะได้รับจากแสงแดด เด็กควรได้รับแสงแดดอ่อน ๆ 12-15 นาทีต่อวัน
  3. ฟอสเฟต ช่วยเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ในร่างกาย
  4. โปรตีน มีหน้าที่ในการสังเคราะห์เนื้อเยื่อกระดูก การขยายตัวและแบ่งตัวของเซลล์กระดูก
  5. คาร์โบไฮเดรต เป็นสารอาหารที่ให้พลังแก่เด็ก เพื่อให้มีน้ำหนังตัวเหมาะสมเป็นปัจจัยในการสะสมมวลกระดูก

เห็นความสำคัญของการสร้างมวลกระดูก ที่เป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มความสูงแก่ลูกน้อยกันไปแล้ว เราลองมาฟัง วิธีทำให้สูง จากการกินกันดีกว่าว่าควรจัดเมนูอาหารอย่างไรสำหรับลูกน้อยวัยเบบี๋ วัยทารก 6-12 เดือน

ขอขอบคุณคลิปจาก Anamaimedia : สูงดีสมส่วน : EP.5 ทารก 6 – 12 เดือน กินอย่างไรให้สูงดีสมส่วน

อาหารของเด็กวัยหัดทานนี้ ข้อสำคัญในการจัดเตรียมอาหารเลย คือ ปริมาณในแต่ละมื้อเพราะจะมีปริมาณไม่มาก ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะเท่านั้น ดังนั้นการเลือกวัตถุดิบที่ใช้ในการมาปรุงอาหารจึงสำคัญ ควรเลือกที่มีประโยชน์ให้สารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างมวลกระดูกให้ได้มากที่สุด ดังที่กล่าวข้างต้น แต่คุณแม่ไม่ต้องกังวลใจไป ทาง ทีมแม่ ABK ได้จัดเตรียมเมนูอาหารสำหรับเด็กช่วงวัยเบบี๋ วัย 6-12 ปี มาให้คุณแม่ได้ลองนำไปทำให้ลูกน้อยทานเสริมจากน้ำนมแม่ที่ยังคงต้องป้อนแก่ลูกน้อยเป็นอาหารหลัก เพราะแหล่งสารอาหารเพิ่มความสูงที่ดีที่สุดยังไงก็ยังต้องยกให้ นมแม่ เป็นที่หนึ่ง

เมนูอาหารเพิ่มความสูงของวัยเบบี๋

เจลลี่ทรงเครื่อง (เมนูอาหารเด็กวัย 8-10 เดือน)

เจลลี่ทรงเครื่อง วิธีทำให้สูง
เจลลี่ทรงเครื่อง วิธีทำให้สูง

ส่วนผสม

  • เจลลาตินชนิดแผ่น 2 แผ่น
  • น้ำซุปไก่ 1/2ถ้วย
  • เต้าหู้อ่อนหั่นสี่เหลี่ยม 1 ช้อนโต๊ะ
  • สันในไก่ต้มฉีกฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
  • แครอทต้มสุกสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือป่น

วิธีทำ

นำซุปไก่ใส่หม้อตั้งไฟ พอเดือดใส่แผ่นเจลลาตินคนให้ละลายใส่เต้าหู้อ่อน สันในไก่ต้มฉีกฝอย แครอต คนให้เข้ากัน ปรุงรสด้วย เกลือป่นเล็กน้อย แล้วยกลงเทใส่พิมพ์หรือถ้วยแก้วใสพอคลายร้อนใส่ตู้เย็น

เคล็ดลับช่วยเพิ่มความสูง

  •  เจลลาตินเป็นโปรตีนสำคัญต่อเนื้อเยื่อข้อต่อเส้นเอ็น
  • เต้าหู้อ่อนปริมาณ 100 กรัม มีแคลเซียม 350 มล.

ไข่ตุ๋นนมแม่สองสหาย(เมนูอาหารเด็กวัย 8-9 เดือน)

ไข่ตุ๋นนมแม่สองสหาย วิธีทำให้สูง
ไข่ตุ๋นนมแม่สองสหาย วิธีทำให้สูง

ส่วนผสม

  • ไข่ไก่ 1 ฟอง
  • แครอทสับหยาบ ½ ช้อนโต๊ะ
  • บีตรูตหั่นเส้นบาง ½ ช้อนโต๊ะ
  • นมสด หรือนมแม่ ¼ ถ้วย
  • เกลือป่น ¼ ช้อนชา

วิธีทำ

  1. ตีไข่ไก่ให้ไข่ขาวและไข่แดงรวมกัน
  2. เติมนมสด หรือนมแม่ และเกลือลงไป แล้วคนให้เข้ากัน
  3. จากนั้นใส่แครอทกับบีตรูต ลงไปผสมให้เข้ากัน แล้วเทลงในถ้วยทนความร้อน นึ่งในน้ำเดือด (ใช้ไฟอ่อน) ประมาณ 10 นาที รออุ่นแล้วป้อนเจ้าตัวเล็กได้

เคล็ดลับช่วยเพิ่มความสูง

  • การเพิ่มนมแม่เป็นการเสริมแคลเซียมบำรุงกระดูก
  • ไข่ไก่ ปริมาณ 100 กรัม มีแคลเซียม 126 มิลลิกรัม

ข้าวบดใบตำลึงท๊อปปิ้งนมแม่ (เมนูอาหารเด็กวัย 6 เดือนขึ้นไป)

ข้าวบดใบตำลึงท๊อปปิ้งนมแม่
ข้าวบดใบตำลึงท๊อปปิ้งนมแม่

ส่วนผสม

  • ใบตำลึง 5-6 ใบ
  • น้ำซุป 100 มล.

วิธีทำ

  1. นึ่งใบตำลึงให้สุก ประมาณ 5 นาที
  2. นำข้าวสวย พร้อมใบตำลึงที่นึ่งแล้วลงในโถปั่น แล้วใส่น้ำซุปลงไปประมาณ 50 มล.
  3. ใส่น้ำซุปเพิ่มลงไป เลือกความข้นตามความพอใจ
  4. ตักเสริฟ พร้อมราดท๊อปปิ้งน้ำนมแม่ลงไป

เคล็ดลับช่วยเพิ่มความสูง

  • น้ำนมแม่นอกจากเป็นสารอาหารชั้นดีสำหรับเพิ่มมวลกระดูกลูกน้อยแล้ว การราดนมแม่ลงไปเป็นการให้ลูกคุ้นเคย คุ้นชินกลิ่นจะได้ยอมทาน
  • ใบตำลึง 100 กรัม ให้แคลเซียม 125 มล.

โจ๊กบร็อคโคลี่ (เมนูอาหารเด็กวัย 7 เดือน)

โจ๊กบร็อคโคลี่
โจ๊กบร็อคโคลี่

ส่วนผสม

  • ปลายข้าว ¼ ถ้วย
  • บร็อคโคลี่ ต้มสุกบดละเอียด 50 กรัม
  • นมแม่ หรือนมผงสำหรับทารก (ที่ลูกกิน) 1 ช้อนโต๊ะ
  • แป้งสาลี 2 ช้อนชา
  • เกลือป่น ¼ ช้อนชา
  • น้ำซุป 1 ถ้วย

วิธีทำ

  1. ต้มปลายข้าวกับน้ำซุปจนสุกนุ่ม
  2. ใส่บร็อคโคลี่ ตามด้วยนมผงและแป้งสาลี (หากเป็นนมแม่ให้เก็บไว้ราดทีหลัง ห้ามนำไปต้ม)
  3. ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย แล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน จนแป้งสุกข้นเป็นเนื้อเดียวกัน

เคล็ดลับช่วยเพิ่มความสูง

  • มีส่วนประกอบของนม ไม่ว่าจะเป็นนมผงหรือนมแม่ก็เพิ่มสารที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างมวลกระดูก ช่วยให้สูงได้
  • บร็อคโคลี่ปริมาณ 100 กรัม มีแคลเซียม 10 มล.

มีแต่เมนูอาหารน่าทานทั้งนั้นเลยใช่ไหมละคะ นอกจากจะมีความน่ารับประทานแล้ว ยังมากด้วยคุณค่าสารอาหารจำเป็นหลากหลาย ที่จะช่วยเสริมให้ลูกน้อยของเราได้รับไปใช้ในการพัฒนาร่างกายให้เจริญเติบโตสมวัย แต่คุณแม่อย่าลืมว่านอกจากอาหารแล้ว การออกกำลังกาย ช่วยให้กระดูก และกล้ามเนื้อแข็งแรงก็มีส่วนช่วยให้พัฒนาการด้านความสูงของลูกน้อยเป็นไปในเกณฑ์ที่ดีอีกด้วย ในวัยเด็กเบบี๋ ทารกแบบนี้ การให้เขาได้อยู่ในที่โล่งกว้าง ขยับตัวตามสบาย ก็เป็นเสมือนการออกกำลังกายของลูกน้อยอย่างหนึ่ง คุณแม่อาจจะกระตุ้นลูกให้ขยับด้วยของเล่น หรือเล่นด้วยกับลูกก็จะเป็นการช่วยได้อีกทางหนึ่ง การนวดตัวทารก ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยได้ดีเช่นกัน

อย่าลืมว่า พัฒนาการที่ดีต้องมาพร้อมรอบด้าน ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เราเชื่อว่าคุณแม่ทำได้แน่นอน

ข้อมูลอ้างอิงจาก สถาบันพัฒนาอนามัยเด็กแห่งชาติ กรมอนามัย / Kapook.compobpad.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อาหารเด็กทารก ป้อนอย่างไรไม่ให้ลูกเสี่ยงแพ้อาหาร?

10 เมนูอาหารลูกน้อย วัย 6 – 10 เดือน สูตรอร่อยจากแม่ญี่ปุ่น!

กรมอนามัยห่วง! เด็กไทยเตี้ยกว่าเกณฑ์ แนะ 5 วิธีเพิ่มความสูง

5 วิธี เพิ่มความสูงให้ลูก แม้พ่อแม่เตี้ย!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เพลงกไก่

6 เพลงกไก่ เพลงเด็กอนุบาล ร้องเพลิน ฝึกภาษา เสริมพัฒนาการสมอง

ดนตรีและเสียงเพลงนั้นมีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาการของสมองและเสริมสร้างทักษะในด้านต่าง ๆ ของลูกน้อยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในเด็กเล็กตั้งแต่ทารกถึงวัยอนุบาล ที่การได้ฟังดนตรีจะเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมและพัฒนาศักยภาพรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สติปัญญา ต่อตัวเด็กได้ และการเลือกเพลงให้เหมาะสมต่อวัยก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยทำให้สมองของลูกน้อยพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมทักษะทางด้านภาษา ประสาทสัมผัส และช่วยพัฒนากล้ามเนื้อต่าง ๆ จากการเต้นเข้าจังหวะอีกด้วย สำหรับหนู ๆ ในช่วงวัยอนุบาล นี่คือ เพลงกไก่ ให้คุณพ่อคุณแม่เปิดให้ลูก ๆ มาฟังเต้นเล่นร้องไปพร้อม ๆ กันเลยค่า

6 เพลงกไก่ เพลงเด็กอนุบาล ร้องเพลิน ฝึกภาษา เสริมพัฒนาการสมอง

1.เพลงก.เอ๋ย กอไก่ แบบดั้งเดิม

ก.เอ๋ย ก.ไก่ ข.ไข่ อยู่ในเล้า
ฃ.ขวด ของเรา ค.ควาย เข้านา
ฅ.คน ขึงขัง ฆ.ระฆัง ข้างฝา
ง.งู ใจกล้า จ.จาน ใช้ดี
ฉ.ฉิ่ง ตีดัง ช.ช้าง วิ่งหนี
ซ.โซ่ ล่ามดี ฌ.กะเฌอ คู่กัน

ญ.หญิง  โสภา ฏ.ชฏา สวมพลัน
ฏ.ปฏัก หุนหัน ฐ.ฐาน เข้ามารอง
ฑ.นางมณโฑ หน้าขาว ฒ.ผู้เฒ่า เดินย่อง
ณ.เณร ไม่มอง ด.เด็ก ต้องนิมนต์
ต.เต่า หลังตุง .ถ.ถุงแบกขน
ท.ทหาร อดทน ธ.ธง คนนิยม
น.หนู ขวักไขว่ บ.ใบไม้ ทับถม
ป.ปลา ตากลม ผ.ผึ้ง ทำรัง.
ฝ.ฝา  ทนทาน พ.เอ่ย  พ.พาน พ.พาน วางตั้ง
ฟ.ฟัน สอาดจัง ภ.กางใบ

ม.ม้า คึกคัก ย.ยักษ์ เขี้ยวใหญ่
ร.เรือ พายไป ล.ลิง ไต่ราว
ว.แหวน ลงยา ศ.ศาลา เงียบเหงา
ษ.ฤาษี หนวดยาว ส.เสือ ดาวคะนอง

ห.หีบ ใส่ผ้า ฬ.จุฬา ท่าผยอง
อ.อ่าง เนืองนอง ฮ.นกฮูก ตาโต

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : KidsMeSong

2.เพลง ก. ไก่ในสวนบ้านฉัน

ก.ไก่ในสวนบ้านฉัน​ เช้าขันปลุกฉันตื่นนอน​

เช้าแล้ว ก.ไก่ตื่นก่อน

เช้าแล้ว ก.ไก่ตื่นก่อน

ก.ไก่สั่งสอนฉันไปโรงเรียน

เอ้ก อี เอ้ก เอ้ก

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Nurse Kids

3.เพลงกุ๊กกุ๊กไก่

จิ๊บ จิ๊บ จิ ดิบ

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

ไก่ กุ๊ก กุ๊ก ไก่

เลี้ยงลูกมาจนใหญ่ ไม่มีนมให้ลูกกิน

ลูกร้องเจี๊ยบ เจี๊ยบ แม่ก็เรียกไปคุ้ยดิน

ลูกร้องเจี๊ยบ เจี๊ยบ แม่ก็เรียกไปคุ้ยดิน

ทำมาหากินตามประสาไก่เอย.

https://www.youtube.com/watch?v=A0s3S2wmlnw

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Little Rabbit

4.เพลง ก.ไก่ ตื่นออกไข่แต่เช้า

ลา ล่า ลา ล้า ล่า ลา ลา ลา
ลา ลา ล้า ล่า ลา
ลา ลา ลา ล่า ลา ลา ลา  มาร่วมร้องเพลง ก.ไก่

ก ไก่ ตื่นออกไข่แต่เช้า
ข ไข่ในเล้าตัวน้อย
ฃ ขวดใส่น้ำดื่มได้บ๊อย บ่อย
ค ควายออกไปไถนา
ฅ คนตื่นทำงานแต่เช้า
ฆ ระฆังเสียงดังก้องมา
ง งูมีพิษร้าย หัวใจกล้า
จ จานเอาไว้ ใส่อาหาร

ลา ล่า ลา ล้า ล่า ลา ลา ลา มาร่วมร้องเพลง ก.ไก่
ฉ ฉิ่งเสียงไพเราะจับใจ
ช ช้างช่วยรากซุงท่อนไม้
ซ โซ่ล่ามเอาไว้สัตว์ ดุร้าย
ฌ เฌอต้นไม้คู่กัน

ญ หญิงสวยทั้งกายและใจ
ฎ สวมเอาไว้ร่ายรำ
ฏ ปักวัวควาย ให้เชื่อฟัง
ฐ ไว้วางพระพุทธรูป

ฑ ผิวสวยหน้าขาว
ฒ อยู่ใกล้แล้วอบอุ่น
ณ อยู่วัดบำเพ็ญบุญ
ด เด็กวัยน่ารักสดใส

ต เชื่องช้าแต่ภาคเพียร
ถ ถุงใส่ของได้มากมาย
ท ช่วยปกป้อง รักษาภัย
ธ ธงนี้คือประเทศไทย

ลา ล่า ลา ล้า ล่า ลา ลา ลา
ลา ลา ล้า ล่า ลา
ลา ลา ลา ล่า ลา ลา ลา  มาร่วมร้องเพลง ก.ไก่

น สัตว์นำเชื้อโรคร้าย
บ ช่วยให้ความร่มเย็น
ป อยู่ในน้ำสวยงามเด่น
ผ ช่วยให้น้ำหวาน
ฝ ครอบปิดอาหารไว้
พ ใส่ธูปเทียนดอกไม้
ฟ เคี้ยวอาหารให้กลืนง่าย
ภ ขนส่งสินค้า

ม วิ่งเร็วทันใจ
ย เคี้ยวยาวตัวโต
ร จะพาลอยข้ามน้ำได้
ล ชอบปีนป่ายต้นไม้

ว ให้เธอสวมไว้
ศ พักกายหายร้อน
ษ จำศีลและเป็นครูสอน
ส เป็นสัตว์ดุร้าย

ห ใส่เสื้อผ้าเก็บไว้
ฬ ว่าวไทยร่องรอย
อ เลี้ยงไว้ปูปลาหอย
ฮ นั้น ตาโต๊ โต
ลา ล่า ลา ล้า ล่า ลา ลา ลา
ลา ลา ล้า ล่า ลา
ลา ลา ลา ล่า ลา ลา ลา  มาร่วมร้องเพลง ก.ไก่

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Sombat alive

5.แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน หนึ่งวันได้ไข่หนึ่งฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน สองวันได้ไข่สองฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน สามวันได้ไข่สามฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน สี่วันได้ไข่สี่ฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน ห้าวันได้ไข่ห้าฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน หกวันได้ไข่หกฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน เจ็ดวันได้ไข่เจ็ดฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน แปดวันได้ไข่แปดฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน เก้าวันได้ไข่เก้าฟอง

แม่ไก่ออกไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง  ไข่วันละฟอง
แม่ไก่ออกไข่ทุกวัน สิบวันได้ไข่สิบฟอง

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : KidsOnCloud

6.เพลงไก่ไก่ไก่ ตัวเล็กตัวใหญ่

ไก่ ไก่ ไก่
ตัวเล็กตัวใหญ่
ชวนกันไปคุ้ยเขี่ยหากิน
บ้างก็วิ่งบ้างก็บิน
ชิงกันกินจนตัวอ้วนใหญ่.

ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : baby elephant

เพลง ก ไก่ อนุบาล

จะเห็นได้ว่าการเลือกเพลงที่เหมาะสมกับวัยนั้นมีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการสำหรับเด็ก ๆ ไม่น้อย สำหรับเพลงเด็กวัยอนุบาลนั้น นอกจากจังหวะท่วงทำนองเพลงที่จะทำให้หนู ๆ ได้สนุกเพลิดเพลิน ได้ขยับแขนขาพัฒนาการกล้ามเนื้อแล้ว เนื้อเพลงที่เหมาะสมควรสอดแทรกเนื้อหาความรู้ เป็นเพลงที่สั้นกระชับ ใช้ถ้อยคำง่าย ๆ มีคำคล้องจอง ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้เด็ก ๆ เกิดการจดจำคำศัพท์ได้ง่ายขึ้น เพราะภาษาของลูกวัยนี้จะเกิดจากการเลียนแบบเป็นส่วนใหญ่ โดยสามารถเปิดเพลงได้จากหลากหลายประเภท เช่น เพลงกล่อมเด็ก เพลงพื้นบ้าน เพลงสากล ฯลฯ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ฟังดนตรีที่หลากหลาย กระตุ้นจินตนาการ สร้างความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ และเป็นส่วนส่งเสริมพัฒนาการสมองของลูกน้อยที่ดีนั่นเอง.

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ คลิก 

10 เพลงกล่อมนอนไทย เนื้อหากินใจ ฟังสบาย ได้คติสอนใจลูก

รวม 12 เพลงกล่อมเด็กพัฒนาสมอง เปิดฟังยาวๆ ลูกหลับลึก ความจำดี

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ยกเลิกสลับวันเรียน

แม่ๆ เตรียมพร้อม! ยกเลิกสลับวันเรียน คาดเริ่ม 13 ส.ค. นี้

เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด-19 ภายในประเทศ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศ ไม่พบการระบาดถึง 90 วันแล้ว คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.ชุดเล็ก จึงเห็นชอบให้โรงเรียนปลดล็อก ยกเลิกสลับวันเรียน ให้โรงเรียนในสังกัด 4,500 แห่ง กลับมาเรียนแบบเต็มรูปแบบอีกครั้ง

แม่ๆ พร้อมไหม? ยกเลิกสลับวันเรียน คาดเริ่ม 13 ส.ค. นี้

เมื่อวันที่  7 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ ว่า ที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก เห็นชอบให้โรงเรียนทั่วประเทศ คลายล็อก ลดการเว้นระยะห่างไม่ต้องถึง 1.5 เมตร ทำสามารถมีนักเรียน เรียนร่วมกันได้มากกว่าห้องละ 20-25 คน โดยไม่ต้องสลับวันเรียน ถือเป็นการทดลองเปิดการเรียน 100% ที่จะต้องเสนอให้นายกรัฐมนตรีลงนามในวันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม 2563 และคาดว่าจะเริ่มได้จริงในวันที่ 13 สิงหาคม 2563

โรงเรียน

นักเรียนต้องจดบันทึกการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ หลังเลิกเรียนทุกวัน

และแม้จะ ยกเลิกสลับวันเรียน ทดลองเปิดเรียนเต็มรูปแบบแล้วก็ตาม ยังเน้นย้ำให้ทุกโรงเรียนเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคในโรงเรียน ห้ามการ์ดตก โดยมีเงื่อนไขให้นักเรียนต้องจดบันทึกประจำวัน การเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ หลังเลิกเรียน และรายงานให้คุณครูทราบ ว่าไปในพื้นที่ใดมาบ้าง หรือให้ครูจดบันทึกแทน หากไม่พร้อม เพื่อเป็นข้อมูลสอบสวนโรคเมื่อมีความเสี่ยงเกิดโรค COVID-19 นอกจากนี้ นักเรียนจะต้องยึดหลักสวมหน้ากาก ใช้เจลล้างมือตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

สำหรับการทดลองเปิดเรียนเต็มรูปแบบ 100% จะต้องมีการประเมินเป็นระยะ เพื่อปรับแนวทางให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการจะหารือเพิ่มเติมในเรื่องเกณฑ์การวัดผลเด็กต่อไปในอนาคต ซึ่งย้ำว่าไม่จำเป็นต้องเน้นเฉพาะการสอบเสมอไป โดยคะแนนอาจมาจากการทำแบบฝึกหัด และการเรียนในห้องเรียนด้วย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

แนวทางการป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครอง

เห็นข่าวๆ ความเคลื่อนไหวแบบนี้แล้ว แม่ๆ เตรียมพร้อม นอกจากให้ลูกพก เจลล้างมือ หน้ากากอนามัย faceshield แล้ว ยังมีแนวทางการป้องกันที่ควรพ่อแม่ไม่ควรมองข้าม ดังนี้

  1. หากลูกน้อยมีอาการเจ็บป่วย มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก ควรพาไปหาหมอ และพักผ่อนอยู่บ้านจนกว่าจะหาย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อให้เพื่อนๆ
  2. เน้นย้ำลูกน้อยให้สวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ที่โรงเรียน
  3. ไอหรือจาม ด้วยการงอข้อศอก หลีกเลี่ยงการเอามือสัมผัสใบหน้า
  4. ล้างมือด้วยสบู่บ่อยๆ เป็นเวลา 20 วินาที โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ หรือจับสิ่งของร่วมกัน หากไม่มีน้ำและสบู่ให้ใช้แอลกอฮอล์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ทำความสะอาดมือ
  5. เน้นย้ำลูกไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้้า จาน ช้อน เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก: Thaipbsคู่มือการจัดการโรงเรียน รับมือโควิด 19

 

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

5 วิธีสังเกตโรค ไข้เลือดออก อาการ อันตราย..ต้องรีบไปลูกไปหาหมอ

โรค hMPV คือ อะไร? ลงปอดเร็ว ป่วยนานไม่แพ้ RSV