อ่างอาบน้ำ

อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด ต้องเตรียมอะไรบ้าง แม่มือใหม่จำเป็นต้องรู้ ?

การเตรียมของใช้จำเป็นสำหรับลูกแรกเกิด สิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมไว้ให้พร้อมเลยก็คือ “อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด”เพราะ  จะได้ใช้ทันทีหลังคลอด และวันแรกที่พาลูกน้อยกลับบ้าน ฉะนั้นเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้จัดหาอุปกรณ์อาบน้ำสำหรับลูกรักตัวน้อยได้อย่างครบถ้วน เรามีมาบอกให้ค่ะว่าอุปกรณ์อาบน้ำอะไรบ้างที่ต้องซื้อเตรียมไว้พร้อมใช้กันค่ะ

 

อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด แม่มือใหม่จำต้องซื้อ ?  

อาบน้ำให้ลูกน้อยไม่มีขั้นตอนอะไรยุ่งยากค่ะ ฉะนั้น “อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด” คุณแม่เตรียมเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้ ก็ จะมีอยู่ไปกี่อย่างค่ะ มาดูกันว่ามีอุปกรณ์อะไรบ้าง

อ่างอาบน้ำเด็ก

1. อ่างอาบน้ำ และฟองน้ำ

อ่างอาบน้ำ ฟองน้ำ เป็นอุปกรณ์ชิ้นแรกๆ ที่ต้องซื้อเตรียมไว้ให้พร้อมค่ะ แนะนำคุณแม่ว่าให้ซื้ออ่างอาบน้ำเด็กที่มีความ แข็งแรงทนทาน พื้นอ่างอาบน้ำควรมีที่กันลื่นติดไว้ด้วย ขนาดอ่างอาบเลือกใหญ่หน่อย เพราะต้องใช้อาบน้ำลูกไปจนประมาณ 1 ขวบ ส่วนฟองน้ำให้เลือกซื้อที่ผิวสัมผัสนุ่ม เพราะจะได้ไม่ระคายเคืองต่อผิวลูกน้อยค่ะ

อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด

2. สบู่เหลวอาบและสระ

เป็นอุปกรณ์อาบน้ำที่ขาดไม่ได้เลยค่ะ แต่ในเด็กทารกแรกเกิดช่วง 1 เดือนแรก การอาบน้ำเปล่าจะดีมากกว่าค่ะ หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มการอาบน้ำด้วยการใช้สบู่เหลวอาบน้ำ และสระผม แนะนำให้เลือกใช้สบู่เหลวอาบและสระ ปราศจากสารเคมีอันตราย ควรเป็นสูตรอ่อนโยนเหมาะสำหรับผิวเด็กโดยเฉพาะ

อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด

3. เบบี้ออยล์

ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างมากค่ะ คุณแม่สามารถหยดเบบี้ออยล์ 2-3 หยดลงในอาบน้ำให้ลูกน้อย หรือจะทาเบบี้ออยล์ที่ผิวลูกน้อยหลังอาบน้ำทันที ช่วยถนอมผิว ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น นอกจากนี้ยังเอาไว้ใช้เช็ดไขที่เกาะตามผิวหรือศีรษะช่วงแรกเกิดได้ดีอีกด้วยนะคะ

อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด

4. เบบี้โลชั่น

ขาดไม่ได้หลังอาบน้ำต้องเพิ่มเกราะป้องกันผิวให้กับลูกน้อยด้วยโลชั่น เพราะผิวของลูกน้อยวัยแรกเกิดนั้นบอบบางและแพ้ง่าย การทาโลชั่นเป็นการช่วยลดการระคายเคืองของผิว เพิ่มความชุ่มชื่น และป้องกันการสูญเสียน้ำในผิวได้ด้วย แนะนำให้ทาหลังอาบน้ำตอนผิวลูกแห้งหมาดๆ เพื่อให้เนื้อโลชั่นซึมได้ไวขึ้น

อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด

5. สำลีแผ่น

เลือกใช้สำลีแผ่นที่ปราศจากกาวและสารเคมี 100% ไว้ใช้ดูแลทำความสะอาดผิวรอบดวงตาของลูกน้อย ใช้ได้ทั้งหลังจากตื่นนอนชุบน้ำต้มสุกเช็ดขี้ตาออกให้สะอาด หรือจะใช้เช็ดตาหลังอาบน้ำเสร็จก็ได้เช่นกันค่ะ

อุปกรณ์อาบน้ำเด็กแรกเกิด

6. สำลีก้อน

หลังจากอาบน้ำให้ลูกน้อยเสร็จแล้ว ผิวบริเวณรอบสะดือ อย่างเด็กทารกช่วง 1-2 สัปดาห์แรกสายสะดือยังไม่แห้ง และ หยุดออก คุณแม่ควรเช็ดสำความสะอาดด้วย สำลีก้อนบริสุทธิ์ที่ปราศจากสารเรืองแสง วิธีใช้สำลีก้อนคือชุบแอลกอฮอล์หรือน้ำเกลือสำหรับเช็ดผิวค่ะ

ดีนี่ ออร์แกนิค สบู่เหลวอาบและสระ

7. ผ้าอ้อม หรือผ้าหนูเช็ดตัว

ก่อนอาบน้ำ และหลังอาบน้ำ คุณแม่จะใช้เป็นผ้าอ้อมผ้าสาลู หรือผ้าขนหนู สำหรับเช็ด และห่อตัวลูกให้อุ่น แนะนำว่าให้เลือกใช้ผ้าอ้อม และผ้าขนหนูที่ทำมาจากผ้าฝ้าย เพราะผิวสัมผัสจะนุ่มมาก ไม่ระคายเคืองกับผิวอ่อนโยน บอบบางของลูก ส่วนการซักทำความสะอาด ควรใช้เป็นน้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับถนอมเนื้อผ้าสำหรับเด็กเท่านั้นค่ะ

 

ดูวิธีอาบน้ำเด็กเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ 

เห็นไหมคะว่าอุปกรณ์อาบน้ำสำหรับเด็กแรกเกิดมีไม่กี่อย่างที่ต้องซื้อเตรียมไว้พร้อมใช้ เอาเป็นว่าวันนี้ชวนคุณพ่อไปเลือกหาซื้ออุปกรณ์จำเป็นสำหรับอาบน้ำ รวมถึงอุปกรณ์ของใช้จำเป็นอื่นๆ ให้ลูกรักตัวน้อยกันค่ะ

สำหรับผลิตภัณฑ์ดีนี่ คุณแม่มือใหม่ไปซื้อกันได้ที่ Tesco , Big C , Tops , The Mall , Robinson , Lazada , Shopee, JD Central และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ

Tops Online > http://bit.ly/338dtvX

Lazada > https://bit.ly/31yw9oj

 

ดีนี่ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำสำหรับเด็ก

    หน้ากากอนามัยแบบผ้า

    ญี่ปุ่นเผย! หน้ากากอนามัยแบบผ้า ให้ลูกใช้สีไหนดีที่สุด

    เลือกให้ถูก! หน้ากากอนามัยแบบผ้า ให้ลูกใส่เพื่อป้องกันการกระจายของน้ำมูก หรือน้ำลายจากการไอจาม ควรเลือก เนื้อผ้าแบบไหน หรือจะใช้สีไหนดีที่ไม่ทำให้ร้อนจนลูกหายใจไม่ออก

    ญี่ปุ่นเผย! หน้ากากอนามัยแบบผ้า ให้ลูกใช้สีไหนดีที่สุด

    สำหรับ หน้ากากอนามัยแบบผ้า การใช้งานจะเน้นใช้สำหรับป้องกันฝุ่นละออง และป้องกันการกระจายของน้ำมูก หรือน้ำลายจากการไอจาม แต่อาจไม่สามารถกรองเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ได้เช่นเดียวกับหน้ากากอนามัยกระดาษ

    แต่ความพิเศษของ หน้ากากอนามัยแบบผ้า คือ สามารถซักทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ นอกจากจะประหยัดจากการนำกลับมาใช้งานซ้ำ ๆ ได้แล้ว ยังเป็นการลดขยะไปในตัวด้วย … ทั้งนี้หน้ากากผ้าที่จะป้องกันไวรัสได้ดี จะต้องมีคุณสมบัติเหมือนกับหน้ากากอนามัย นั่นก็คือ ด้านนอกสามารถกันของเหลว และ ด้านในสามารถดูดซึมของเหลวได้ ดังนั้นหน้ากากผ้าควรจะต้องมี “อย่างน้อย” 2 ชั้น

    โดยวัสดุที่เหมาะสำหรับทำหน้ากากชั้นนอก ควรเลือกเป็นผ้าที่ทอด้วยเส้นใยชนิดพิเศษ เป็นผ้าเส้นใยสังเคราะห์เป็นเส้นใยยาว (ป้องกันการเป็นแหล่งเพาะเชื้อ เป็นขุยและฝุ่นละออง) ทอด้วยวิธีพิเศษจนแน่น และบีบอัดเส้นใย มีประสิทธิภาพการกรองได้ถึง 0.3 ไมครอน เพิ่มการกันน้ำด้วย Fluorocarbon C6 หรือ เทฟลอน สามารถกรองได้ทั้งฝุ่น PM 2.5 และไวรัส สามารถซักได้ไม่น้อยกว่า 50 ครั้ง โดยที่คุณสมบัติไม่เปลี่ยน ซึ่งจะเป็นผ้าที่ใช้ทำหน้ากากผ้าได้ดีที่สุด … ซึ่งหากไม่สามารถหาผ้าชนิดนั้นได้ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถใช้ผ้าอื่นๆ ที่กันน้ำได้ เช่น ผ้าโพลีเอสเตอร์ทอแน่น ผ้า Taffeta ผ้าไหม เป็นต้น โดยทำการทดสอบว่า ผ้านั้นกันน้ำได้หรือไม่ด้วยการทดลองฉีดพ่นน้ำลงไปบนผิวผ้านั้น ถ้าน้ำเกาะตัวเป็นหยดน้ำ ไม่ซึมลงไป ถือว่าใช้ได้

    แต่มีข้อแนะนำว่า ให้ทดลองก่อนว่า เมื่อเอามาปิดจมูกจะสามารถหายใจได้หรือไม่ เพราะถ้ามีการทอที่แน่นมากเกินไป หรือ มีสารเคลือบกันน้ำ อาจจะทำให้หายใจได้ยาก ซึ่งก็จะไม่เหมาะสำหรับการทำหน้ากาก ดังนั้นผ้าที่เหมาะนำทำหน้ากากชั้นใน คือ ผ้าที่สามารถดูดซับของเหลวได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ผ้ามัสสลิน เป็นต้น

    ในส่วนของลักษณะ หน้ากากอนามัยแบบผ้า ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เป็นหน้ากากสี่เหลี่ยมแบบมีจีบ เนื่องจากถ้าไม่มีจีบ อาจทำให้หายใจไม่สะดวก และถ้าเป็นจีบ ตัวจีบควรจะจีบลง เพื่อไม่ให้รองรับของเหลว และหากไม่สามารถหาผ้าชั้นนอกที่กันน้ำได้ ก็ควรจะซ้อนหลายชั้น การตัดเย็บพยายามไม่ให้มีตะเข็บตรงกลาง เพื่อไม่ให้มีสารคัดหลั่งซึมเข้าไปได้ ควรเป็นผ้าชิ้นเดียวที่ปิดให้คลุมใบหน้า ถ้าผ้าไม่มีคุณสมบัติกันน้ำแล้วเข้าไปในที่ชุมชนแล้วมีคนไอจามใส่ ให้ถอดแล้วนำไปซักทันที วิธีการซักไวรัสก็ด่างอยู่แล้ว น้ำยาซักผ้าก็ใช้ได้ ถ้าไม่แน่ใจว่าสะอาดไหมก็ให้ต้มเพราะเชื้อโรคก็แพ้ความร้อน และตากให้แห้งในพื้นที่ที่มีแดด

    หน้ากากอนามัยแบบผ้า

    ถัดมาเป็นเรื่องของสี ที่ใช้ทำ หน้ากากอนามัยแบบผ้า โดย สำนักข่าว NHK ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับ “ผลทดสอบความร้อนสะสม จากการใช้หน้ากากอนามัยสีดำ และสีขาวในที่แจ้ง” โดยมีเนื้อหาสรุปดังต่อไปนี้

    ทางรายการได้ตั้ง หน้ากากอนามัย “สีขาว” และ “สีดำ” ซึ่งผลิตจากวัสดุชนิดเดียวกัน ไว้กลางแดดหลังจากนั้น ก็เริ่มวัดอุณหภูมิบริเวณหน้ากากพบว่า…

    ในนาทีที่ 1  หน้ากากสีดำ = 37.9°C ส่วน หน้ากากสีขาว = 35.8°C

    นาทีที่ 2  หน้ากากสีดำ = 40.2°C ส่วน หน้ากากสีขาว = 35.8°C

    นาทีที่ 3  หน้ากากสีดำ = 41.8°C ส่วน หน้ากากสีขาว = 35.9°C

    หน้ากากอนามัยแบบผ้า

    หน้ากากอนามัยแบบผ้า

    หน้ากากอนามัยแบบผ้า

    จึงสรุปได้ว่า หน้ากากอนามัยแบบผ้า สีดำ จะสะสมความร้อนจากแสง UV ได้มากกว่า หน้ากากสีขาวเช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่สวมใส่กันนั่นเอง นั่นเป็นเพราะวัตถุมีความสามารถในการดูดกลืนแสงและสะท้อนแสงต่างกัน หากมองเห็นวัตถุมีแดง ก็หมายความว่า เมื่อแสงสีขาวตกกระทบกับวัตถุชนิดนั้น วัตถุจะดูดกลืนแสงสีส้ม สีเหลือง สีเขียว สีฟ้า สีน้ำเงิน และสีม่วง ส่วนแสงสีแดงจะถูกสะท้อนออกมาเข้าสู่ตาของเรา ทำให้เราเห็นวัตถุนั้นมีสีแดง และอีกคุณสมบัติหนึ่งของแสง คือ แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มีพลังงานความร้อน ซึ่งแต่ละสีจะมีพลังงานความร้อนไม่เท่ากัน หากเราเห็นวัตถุมีสีดำ แสดงว่าวัตถุนั้นดูดกลืนแสงทั้งหมดเข้าไปและไม่สะท้อนแสงสีใดออกมา

    ดังนั้นพลังงานความร้อนทั้งหมดจึงถูกดูดซับไว้ วัตถุสีดำ จึงมีความร้อนสูงกว่าวัตถุสีอื่น ๆ แต่ถ้าเห็นวัตถุเป็นสีขาว แสดงว่าวัตถุนั้นสะท้อนแสงทุกสีออกมาหมดและไม่ดูดกลืนแสงสีใดไว้เลย จึงเห็นวัตถุนั้นเป็นสีขาว ซึ่งวัตถุจะสะท้อนพลังงานความร้อนออกมาด้วยเช่นกัน

    ด้วยเหตุนี้ การเลือกใส่เสื้อผ้าสีขาว สามารถสะท้อนแสงได้ดีกว่าและไม่ดูดกลืนแสงสีอะไรไว้ ทำให้คนที่ใส่เสื้อสีขาวรู้สึกไม่ค่อยร้อนมาก แต่ผ้าสีขาวก็มีข้อเสีย คือ การสะท้อนรังสี UV กลับออกมา ไม่เพียงแต่สะท้อนกลับออกไปข้างนอกแต่ยังสะท้อนเข้าสู่ผิวด้วย ซึ่งรังสี UVจะทำให้สีผิวเข้มไปอีกระดับหนึ่งนั่นเอง

    หากไม่อยากให้สีผิวเข้มอาจจะเลือกใส่เสื้อผ้าสีดำแทน เนื่องจากสีดำมีความสามารถในการดูดกลืนแสงทุกสี รวมถึงรังสี UV ที่มาพร้อมกับแสงด้วย แต่ผ้าสีดำก็มีข้อเสีย คือ การดูดซับพลังงานความร้อนที่มาจากแสงแดด ฉะนั้นนอกจากสีของเสื้อผ้าแล้วพ่อแม่จึงควรเลือก หน้ากากอนามัยแบบผ้า ที่เป็นสีอ่อนมาให้ลูกน้อยใส่ ก็จะช่วยลดความร้อนบริเวณใบหน้าได้ในระดับนึง


    แหล่งข้อมูล : Science Daily. Some Color Shades Offer Better Protection Against Sun’s Ultraviolet Rays. สืบค้นเมื่อ 17 เมษายน 2562 id SKIN EXPER. ใส่เสื้อสีโทนอะไร กันแสง UV ได้ดีที่สุด. สืบค้นเมื่อ 17 เมษายน 2562

    ข้อมูลเพิ่มเติมตจาก : www.mustplay.in.thwww.trueplookpanya.comwww.bangkoklifenews.com

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจคลิกที่ภาพได้เลย ⇓

    พ่อแม่ต้องรู้! 10 ความแตกต่าง อาการไข้เลือดออก vs อาการโควิด 19

    แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

    เบตาดีน วิจัยพบสามารถฆ่าเชื้อโควิด-19

    อัพเดท ราคาวัคซีนไข้หวัดใหญ่ 2563 กว่า 25 แห่งรพ.รัฐ-เอกชน ทั่วกรุง

    กรมควบคุมโรคเตือน!! โรคมือเท้าปาก ระบาดช่วงเปิดเทอม

      ครีมทาท้อง

      รีวิว ครีมทาท้อง ป้องกันผิวแตกลาย ยี่ห้อไหนใช้ดีบ้าง ?

      รู้ไหมคะว่า ผิวแห้ง ขาดความชุ่มชื้น คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวแตกลายตอนท้องได้ คุณแม่ที่กำลังเตรียมตัว  ตั้งครรภ์ หรือ  พึ่งเริ่มตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรก แนะนำให้ดูแลทาบำรุงผิวทุกวันด้วย “ครีมทาท้อง” เพื่อป้องกันการเกิด “ผิวแตกลาย”

      โดยเฉพาะกับผิวบริเวณหน้าท้อง หน้าอก สะโพก ต้นขา จะง่ายต่อการแตกลาย เนื่องจากเมื่อขนาดครรภ์ เพิ่มขึ้น รูปร่าง และผิวจะยืดขยายออก ซึ่งวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้ผิวแห้ง คัน แตกลายที่ได้ผลดี คือบำรุงถนอมผิวให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลาค่ะ  วันนี้เลยเลือกผลิตภัณฑ์ทาผิวสำหรับคนท้อง มารีวิวทั้งหมด 6 ยี่ห้อ ขอบอกว่าใช้ดี จนต้องบอกต่อ ไปดูกันค่ะว่ามียี่ห้อ ไหนบ้าง…

       

      ครีมทาท้อง 6 ยี่ห้อ ที่อยากให้แม่ท้องได้ลองใช้!!

      ิีbunne&mamalade ANTI-STRETCH MARK

      1. bunne & mamalade ANTI-STRETCH MARK BELLY BUTTER

      ขอเริ่มที่ “บัน แอนด์ มาม่าเลด แอนตี้ สเตรทซ มาร์ก เบลลี่ บัตเตอร์” เป็นครีมทาท้องที่ดังมาก มีคุณแม่รีวิว กันเยอะเลยในโซเซียล เสียงส่วนใหญ่บอกว่าใช้ดี จนต้องลองใช้บ้าง ซึ่งได้ใช้แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ค่ะ

      ความพิเศษของ bunne & mamalade คือมีความอ่อนโยนต่อผิวมากๆ คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าทาครีมลงบนผิวบริเวณหน้าท้องแล้วจะกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ เพราะส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ปราศจากสารอันตรายต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็น Paraben ,MIT , BIT , CMIT , Petrolatum , Mineral Oil , Lanolin , Fragrance , Color , Silicone , Alcohol

      3 ส่วนผสมเด่นของ “บัน แอนด์ มาม่าเลด แอนตี้ สเตรทซ มาร์ก เบลลี่ บัตเตอร์”

      • ORGANIC COCONUT OIL จะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ทำให้ผิวเนียบนุ่ม มีสุขภาพผิวดี
      • ORGANIC AVOCADO OIL ทำหน้าที่ลดการเกิดรอยแตกลาย ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
      • ORGANIC GRAPE SEED OIL เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดริ้วรอย ลดอาการผิวแห้ง

      ว้าว !! เห็นอาหารผิวที่ได้จากครีมบัตเตอร์ bunne & mamalade แล้ว คุณแม่ท้องคนไหนยังไม่ได้ใช้ ต้องลองซื้อมาใช้แล้วล่ะค่ะ รับรองใช้แล้วไม่ผิดหวังค่ะ 

      bunne&mamalade ครีมทาท้อง

      มาดูเนื้อครีมของ bunne & mamalade เป็นครีมเนื้อบัตเตอร์เข้มข้น ที่มีส่วนผสมของ “เชียบัตเตอร์” และ “น้ำมันจากพืชพรรณธรรมชาตินานาชนิด” สิ่งที่ชอบหลังจากได้ใช้ทาบำรุงผิว

      1. เนื้อครีมบัตเตอร์เข้มข้น แต่ทาผิวได้ง่าย เนื้อครีมซึมซาบลงสู่ผิวเร็ว

      2. ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ รู้สึกสบายผิว

      3. ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ผิวฉ่ำน้ำอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผิวไม่แห้ง

      4. ช่วยฟื้นบำรุง เสริมสร้างให้ผิวมีความยืดหยุ่น

      หลังจากใช้ครีม bunne & mamalade หมดกระปุก ขอให้คะแนนความพึ่งพอใจ (การให้คะแนนมาจากการใช้จริงส่วนตัว) 
      ขอให้คะแนน 10/10 ตรงที่เนื้อครีมเข้มข้น แต่ทาผิวเกลี่ยง่าย ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะไว้บนผิว 

      หากคุณคือคนหนึ่งที่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างตั้งครรภ์ อยากมีผิวพรรณสุขภาพดี ผิวแข็งแรงมากขึ้น หมดปัญหาผิวแห้งแตกลาย แนะนำให้ทาบำรุงผิวหน้าท้อง ต้นขา สะโพกและหน้าอกด้วย “บัน แอนด์ มาม่าเลด แอนตี้ สเตรทซ มาร์ก เบลลี่ บัตเตอร์” เป็นประจำทุกวันตอนเช้าและก่อนนอนค่ะ สนใจผลิตภัณฑ์ คลิก www.bunnemamalade.com

       

      PALMER’S COCOA BUTTER FORMULA TUMMY BUTTER

      2. PALMER’S COCOA BUTTER FORMULA TUMMY BUTTER    

      ถูกใจคุณแม่ หรือสาวๆ ที่มีปัญหาผิวแห้งมากๆ แน่นอนค่ะ เพราะ ปาล์มเมอร์สูตรโกโก้บัตเตอร์ ทัมมี่ บัตเตอร์ เนื้อครีมจะ มีความเหนียวเข้มข้นมาก เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว  ป้องกันการเริ่มขยายตัวของรอยแตกลายของผิว

      สำหรับคุณแม่ท้องที่ปกติผิวไม่ได้แห้งมาก แต่อยากใช้ ปาล์มเมอร์สูตรโกโก้บัตเตอร์ ดูแลผิวในช่วงตั้งครรภ์  เพื่อให้การทา ครีมซึมลงบนผิวง่ายขึ้น เนื่องจากเนื้อครีมบัตเตอร์จะแข็งๆ หน่อย แนะนำให้ใช้ช้อน หรือไม้ สำหรับตักเนื้อครีมขึ้นมาค่ะ  จากนั้นให้วอร์มเนื้อครีมลงบนผิวมือก่อน แล้วค่อยทาครีมลงบนผิวที่เสี่ยงต่อการ แห้งแตก อย่างผิวหน้าท้อง สะโพก ฯลฯ

      PALMER’S COCOA BUTTER จะมีส่วนผสมของ

      • Cocoa Butter & Shea Butter มอยส์เจอไรเซอร์จากธรรมชาติ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นผิว
      • Vitamin E & Argan Oil เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ ที่ช่วยป้องกันรอยแตกลาย 
      • Collagen & Elastin ช่วยให้ผิวแข็งแรง และมีความยืดหยุ่น 

      จากที่ได้ลองใช้ “ปาล์มเมอร์สูตรโกโก้บัตเตอร์ ทัมมี่ บัตเตอร์” กระปุกนี้ ส่วนตัวคิดว่า เหมาะกับประเภทผิวที่ แห้งมากหน่อย เพราะหลังจากทาครีมให้ซึมลงบนผิวแล้วจะรู้สึกว่าเนื้อครีมเป็นไขบางๆ เคลือบผิว มีความเหนอะๆ ที่ผิวนิดๆ ถ้าคนที่ผิวปกติ และไม่ได้ต้องการความเข้มข้นมาก อาจต้องใช้เป็นสูตรอื่นๆ ของผลิตภัณฑ์ทาผิวต่างๆ ค่ะ

      PALMER’S COCOA BUTTER FORMULA TUMMY BUTTER

      เนื่องจากใช้ครีมปาล์มเมอร์ ทัมมี่ บัตเตอร์ไปได้ครึ่งกระปุก เป็นครีมจาก 1 ใน 6 ยี่ห้อ ที่ยังใช้ไม่หมด  ขอให้คะแนนความพึ่งพอใจ (การให้คะแนนมาจากการใช้จริงส่วนตัว) 
      ขอให้คะแนน 8/10 เพราะเนื้อครีมมีความแข็ง ทาแล้วรู้สึกเหนอะหนะที่ผิว  

      ที่สำคัญยังเป็นสูตรที่ปราศจากสาร Mineral Oil , Parabens และ  Phthalates ด้วยค่ะ คุณแม่ที่กำลังเตรียมตัวตั้งครรภ์ หรืออยู่ระหว่างตั้งครรภ์ ก็ลองหา “ปาล์มเมอร์สูตรโกโก้บัตเตอร์ ทัมมี่ บัต เตอร์” มาบำรุงผิวให้แข็งแรง ชุ่มชื้น ป้องกันผิวแตกลาย สนใจผลิตภัณฑ์ คลิก www.palmers.com

       

      ครีมทาท้อง BUDDING YOUTH HAPPY BELLY BUTTER

      3. BUDDING YOUTH HAPPY BELLY BUTTER

      แค่เปิดกระปุกก็หอมแล้ว “บัดดิ้ง ยูธ แฮปปี้ เบลลี่ บัทเทอะ” มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เนื้อครีมของบัดดิ้ง ยูธ แฮปปี้ฯ นุ่มมาก เมื่อทาสัมผัสลงบนผิว เกลี่ยง่าย เนื้อครีมซึมลงสู่ผิวได้เร็ว คุณแม่ท้องที่ไม่ชอบความเหนอะหนะ น่าจะถูกใจกับบัดดิ้ง ยูธ แฮปปี้ เบลลี่ บัทเทอะ กระปุกนี้ค่ะ

      BUDDING YOUTH HAPPY BELLY BUTTER เนื้อครีมเข้มข้น มีส่วนผสมหลักของ

      • เชียร์ บัตเตอร์  ให้ควมชุ่มชื้นผิว 
      • อโวคาโด บัตรเตอร์ ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความยืดหยุ่นให้กับผิว ช่วยป้องกันการเกิดรอยแตกลาย

      ที่สำคัญคุณแม่ท้องใช้ได้อย่างสบายใจ เพราะไม่มีสวนผสมของ Paraben , Petrolatum , Phthalates , Alcohol , Artificial Color และ Animal ingredient

      คะแนนความพึ่งพอใจ (การให้คะแนนมาจากการใช้จริงส่วนตัว) ขอให้คะแนนที่ 8.5/10 โดยส่วนตัวชอบครีมที่ไม่มีกลิ่น สำหรับบัดดิ้ง ยูธ แฮปปี้ เบลลี่ บัทเทอะ กลิ่นหอมฉุนไปสักหน่อยสำหรับเรานะคะ 

      BUDDING YOUTH HAPPY BELLY BUTTER

       

      BURT’S BEES MAMA BEE BELLY BUTTER

      4. BURT’S BEES MAMA BEE BELLY BUTTER

      เบลลี่บัทเทอร์จากธรรมชาติสูตรไร้กลิ่น ช่วยรักษาความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวคุณแม่ในช่วงการ ตั้งครรภ์ เป็นครีมทาบำรุงผิวอีกกระปุกที่มีเนื้อครีมนุ่มมาก เกลี่ยทาที่ผิวได้ง่าย และซึมลงผิวเร็ว

      มาดูที่ส่วนผสมหลักของ “เบิร์ตส์ บีส์ มาม่า บีส์ เบลลี่ บัทเทอร์” ก็จะมีเป็น

      • Shea Butter และ Vitamin E ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ผิวนุ่ม ไม่แห้ง

      สำหรับครีมทาท้องของเบิร์ตส์ บีส์ เขาบอกเลยว่าเป็นธรรมชาติ 99.0% และไม่มีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อผิว อย่าง Parabens , Phthalates , Petrolatum และ SLS คุณแม่ ท้องใช้ทาผิวได้อย่างปลอดภัยค่ะ

      คะแนนความพึ่งพอใจ (การให้คะแนนมาจากการใช้จริงส่วนตัว) ขอให้คะแนนที่ 9.5/10 เป็นครีมที่ไม่มีกลิ่น ตรงนี้ชอบมาก แต่นิดเดียวถึงแม้จะทาแล้วซึมลงผิวง่าย แต่ก็ยังทิ้งความเหนอะๆ ที่ผิวนิดหน่อยค่ะ 

      ครีมทาท้อง BURT’S BEES MAMA BEE BELLY BUTTER
      เพื่อช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบายผิวในระหว่างตั้งครรภ์ ผิวมีความยืดหยุ่น แนะนำให้ทา BURT’S BEES MAMA BEE BELLY   BUTTER ให้ทั่วท้องทุกครั้งหลังอาบน้ำ หรือบ่อยเท่าที่ต้องการค่ะ สนใจผลิตภัณฑ์ คลิก www.burtsbees.com

       

      ครีมทาท้องแตกลาย i Knew

      5. i Knew

      คุณแม่ท้องหลายๆ คน น่าจะคุ้นเคยกับครีมทาท้องแตกลาย “ไอนิว” กันมาบ้าง แต่สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่กำลังเตรียมตั้งครรภ์ หรือเริ่มมีครรภ์อ่อนๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกใช้ครีมทาบำรุงผิวอะไรดี ไอนิว ก็เป็นหนึ่งในครีมทาท้อง ที่น่าใช้มากค่ะ

      ไอนิว ครีมทาท้องสูตร Double Moist Power ใช้ได้ตั้งแต่รอยแตกลาย เข่าด้าน ข้อศอกด้าน รวมถึงปัญหาผิวแห้ง เพราะมีมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิว

      มาดูส่วนผสมของครีม “i Knew ” จะมีส่วนผสมหลัก คือ

      • สารสกัดจาก ใบบัวบก ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น
      • วิตามิน E และ คอลลาเจน ช่วยบำรุงผิวให้เนียน นุ่ม กระชับขึ้น

      คะแนนความพึ่งพอใจ (การให้คะแนนมาจากการใช้จริงส่วนตัว) ขอให้คะแนนที่ 8/10 เนื้อครีมมีกลิ่นหอมฉุนหนักไปสักหน่อยค่ะ 

      ครีมทาท้องลาย i Knew
      ส่วนเนื้อสัมผัสของครีมไอนิว คือเข้มข้น แต่มีความนุ่ม ทาผิวเกลี่ยง่าย ซึมลงสู่ผิวได้เร็ว และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วยค่ะ คุณแม่ท้องที่ไม่อยากมีผิวแห้งแตกลาย ทั้งผิวหน้าท้อง ต้นขา สะโพก รอยข้อพับต่างๆ ไม่แห้งกร้าน “i Knew” ลองใช้กันค่ะ สนใจผลิตภัณฑ์ คลิก https://www.facebook.com/iknewclub  

       

      ครีมทาท้อง lamoon
      6. lamoon ANTI-STRETCH MARK CREAM

      ละมุน แอนตี้-สเตร็ทช์ มาร์ค ครีม เป็นอีกตัวที่ใช้เพิ่งหมดไปค่ะ หลายคนบอกว่าเนื้อครีมไม่มีกลิ่น แต่เราว่า เมื่อวอร์มครีมลงที่ผิวแล้ว จะได้กลิ่นอ่อนๆ จากส่วนผสมของเนื้อครีมที่มาจากวัตถุดิบธรรมชาติ เนื้อครีมมีความเข้มข้น เวลาทาลงบนผิวจะเห็นเป็นสีขาวๆ เหมือนว่าจะซึมลงผิวยาก แต่ไม่เลยค่ะ เนื้อครีมซึมง่าย และ ไม่เหนอะผิว

      สำหรับ “ละมุน แอนตี้-สเตร็ทช์ มาร์ค ครีม” จะมีส่วนผสมจากธรรมชาติที่เป็นออร์แกนิคทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น  

      • Rice Bran Oil , JoJoba Oil , Safflower Seed Oil , Sweet Almond Oil , Evening Primrose Oil , Olive Fruit Oil ช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นอย่างยาวนาน ผิวมีความแข็งแรงพร้อมรองรับการยืดขยายจากอายุครรภ์ที่เพิ่มขึ้น

      คะแนนความพึ่งพอใจ (การให้คะแนนมาจากการใช้จริงส่วนตัว) ขอให้คะแนนที่ 9/10 กลิ่นอ่อนๆ ของเนื้อครีม ทาผิวแล้วให้ความรู้สึกหายใจไม่โล่งโปร่ง  

      lamoon ANTI-STRETCH MARK CREAM
      คุณแม่สามารถใช้ทาบำรุงผิวได้อย่างปลอดภัย เพราะปราศจาก Petro-Chemicals , Propylene  Glycol , Silicone , Retinoid or Vitamin A , Parabens

      เพื่อป้องกันผิวแห้งแตกลาย อาการคันผิวระหว่างตั้งครรภ์ “lamoon ORGANIC ANTI-STRETCH MARK CREAM” คุณแม่ท้องต้องลองใช้กันนะคะ สนใจผลิตภัณฑ์ คลิก WWW.LAMOONBABY.COM

      สรุปคะแนนครีมทาท้องทั้ง 6 ยี่ห้อ 

      1. 10/10 บัน แอนด์ มาม่าเลด แอนตี้ สเตรทซ มาร์ก เบลลี่ บัตเตอร์

      2. 8/10 ปาล์มเมอร์สูตรโกโก้บัตเตอร์ ทัมมี่ บัตเตอร์

      3. 8.5/10 บัดดิ้ง ยูธ แฮปปี้ เบลลี่ บัทเทอะ

      4. 9.5/10 เบิร์ตส์ บีส์ มาม่า บีส์ เบลลี่ บัทเทอร์

      5. 8/10 ไอนิว

      6. 9/10 ละมุน แอนตี้-สเตร็ทช์ มาร์ค ครีม

      สำหรับผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมทาท้อง ทั้ง 6 ยี่ห้อนี้ โดยส่วนตัวใช้แล้วชอบ และผลิตภัณฑ์ก็มีคุณสมบัติในการดูแลปกป้องปัญหาผิวแห้งแตกลายได้ดีจริงๆ บางยี่ห้อใช้มาก่อนจะตั้งครรภ์ และตลอดการตั้งครรภ์ ก็ใช้สลับเปลี่ยนกัน กระปุกนี้หมด ลองกระปุกใหม่ ยี่ห้อใหม่ คือครีมทาท้องแตกลาย ไม่จำเป็นจะต้องทาเฉพาะตอนท้องนะคะ แนะนำว่าสามารถใช้ทาผิวในชีวิติประจำวันได้เลย ไม่ว่าจะก่อนท้อง ระหว่างท้อง หรือหลังคลอดลูกแล้ว ก็ยังใช้ได้ต่อเนื่องค่ะ ทาผิวได้ตลอดทั้งวัน ยิ่งบำรุง ผิวยิ่งชุ่มชื้น เนียน นุ่มน่าสัมผัส

      สภาพผิว ความแข็งแรงของผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน ฉะนั้นเพื่อป้องกันผิวแห้ง รอยแตกลาย ไม่ให้เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ การทาบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์สำหรับผิวคนท้องโดยเฉพาะ เป็นวิธีดูแลผิวที่ดีที่สุดค่ะ และทั้งหมดนี่คือ ที่สุดของเรากับ 6 ยี่ห้อ ครีมทาท้องแตกลาย ที่อยากให้คุณแม่ท้อง และสาวทุกคนได้ลองใช้กันค่ะ

      ครีมทาท้อง

       

       

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      อ่านต่อบทความอื่นๆ คลิกที่ภาพด้านล่างค่ะ 

      คนท้องกินยาพาราได้ไหม คนท้องกินยาอะไรได้บ้าง ยาที่คนท้องห้ามกิน มีอะไรบ้างเช็กเลย!

      9 ผลไม้เพิ่มน้ำนม แม่หลังคลอดน้ำนมน้อย ต้องกิน!

      ไม่ต้องรอคลอด! 9 วิธีกระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ สร้างลูกฉลาด อารมณ์ดีได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง

        วิธีการ พัฒนาทักษะ “การแก้ปัญหา” อย่างเป็นขั้นตอน

        ทักษะการแก้ปัญหา เป็นทักษะที่จำเป็นต่อชีวิต การแก้ปัญหา โดยใช้เหตุผลและสติแทนการใช้อารมณ์ เพื่อให้ปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ถูกต้อง จะทำให้ปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

        วิธีการ พัฒนาทักษะ “การแก้ปัญหา” อย่างเป็นขั้นตอน

        Adversity Quotient หมาย ถึง ความสามารถในการแก้ปัญหาและความสามารถในการเผชิญกับอุปสรรค ซึ่งเป็นความสามารถของบุคคลในการฝ่าฟันกับปัญหา และหรือความยากลำบากต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นในการดำเนินชีวิตด้านต่าง ๆ ด้วยความกระตือรือร้นอย่างแรงกล้า และกล้าที่จะทำตามสิ่งที่ตนได้ตั้งเป้าหมายไว้ และก้าวไปสู่จุดหมายนั้น เพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศอย่างมุ่งมั่น ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า Adversity Quotient (AQ) หรือความสามารถในการแก้ปัญหา มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เรามีวิธีเช็คง่าย ๆ ว่าลูกของเราเป็นเด็กที่มี AQ หรือไม่ ดังนี้

        มาลองเช็คกันดูว่าเราเป็นคนมี AQ หรือไม่?

        1. เมื่อต้องเผชิญปัญหา เราปฏิเสธและหนีมัน แสดงว่าคุณไม่มี AQ เลย
        2. เวลาต้องเผชิญปัญหา เราลองพยายามแก้ปัญหาบ้าง แต่ถ้ารู้สึกว่ารับมือไม่ไหวก็วางมือและกลับไปอยู่ในโซนปลอดภัยของตัวเอง แสดงว่าคุณมี AQ บ้าง แต่ยังมีไม่มากพอ
        3. เมื่อต้องเผชิญปัญหา เรารู้สึกว่าเป็นสิ่งท้าทาย เกิดแรงจูงใจที่จะแก้ปัญหานั้นอย่างไม่หยุดยั้งจนกว่าจะแก้ปัญหาได้สำเร็จ แสดงว่าคุณมี AQ แล้ว

        จะเห็นได้ว่าเด็กที่ไม่มี AQ หรือมี AQ ไม่มากพอ มักจะไม่มีความมุ่งมั่นในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จ เมื่อเจอปัญหาต่าง ๆ ก็มักเลือกที่จะเดินหนีออกมา หรือเลือกที่จะไม่ลงเล่นเกมนั้น ๆ ไปเลย สำหรับเด็กที่ไม่มี AQ หรือมี AQ ไม่มากพอ จึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา แต่น่าเสียดายว่าการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ไม่สามารถหาอ่านได้จากในตำรา ทักษะนี้ จะถูกพัฒนาได้ง่ายผ่านการเผชิญกับปัญหาด้วยตัวเอง ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องพาลูกออกไปเจอกับปัญหาเหล่านั้น เช่น การพาลูกไปเที่ยว ให้ลูกทำงานบ้าน เล่นเกมพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา และการพาลูกไปเล่นนอกบ้าน เป็นต้น และเมื่อลูกได้เจอปัญหาต่าง ๆ แล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรปล่อยให้ลูกคิด วิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเองทั้งหมด คุณพ่อคุณแม่สามารถแนะนำหรือบอกขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาให้ลูกฟัง เพื่อให้ลูกนำไปใช้เป็นหลักการใน การแก้ปัญหา ได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาที่ควรนำไปแนะนำลูก ๆ มีดังนี้

        ทักษะการแก้ปัญหา
        ทักษะการแก้ปัญหา

        4 วิธีคิด เพื่อพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา อย่างเป็นขั้นตอน

        1. มองให้ออก

        ก่อนที่จะแก้ปัญหา เราต้องทำความเข้าใจกับปัญหาเสียก่อน โดยขั้นตอนในการทำความเข้าใจปัญหา มีดังนี้

          • กำหนดปัญหาให้ชัดเจน ถ้าเราไม่เข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี วิธีแก้ปัญหาของเราอาจไม่ได้ผล หรือแก้ปัญหาไม่ได้เลย เราจึงควรตั้งคำถาม และมองหลาย ๆ มุมเพื่อจะกำหนดปัญหาได้ชัดเจน โดยจะต้องรู้ให้ได้ว่าปัญหาคืออะไร มองปัญหาให้ออก
          • กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อให้รู้ว่าเป้าหมายใน การแก้ปัญหา ครั้งนี้คืออะไร การกำหนดเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหา จะช่วยให้เราเกิดความมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหามากขี้น
          • รวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะได้เห็นภาพของปัญหาชัดเจน โดยอาจถามผู้คนหรือผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำแนะนำวิธีแก้ปัญหานั้น หรือหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
        1. วางแผนและแนวทางการแก้ปัญหา

        เมื่อเรารู้แล้วว่าปัญหาเราคืออะไร มีเป้าหมายในการแก้ปัญหาอย่างไร และได้รวบรวมข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาแล้ว ให้เริ่มวางแผนในการแก้ปัญหา โดยการนำข้อมูลที่หาได้มาวิเคราะห์ เรียบเรียง ทำความเข้าใจให้ครบถ้วน และเมื่อได้แนวทางในการแก้ปัญหาแล้ว ให้เลือกวิธีแก้ปัญหาที่น่าจะเป็นไปได้ คือวิธีที่ทำแล้วจะสามารถทำให้ปัญหาหมดไป

        3. ทำตามแผนและแนวทางการแก้ปัญหาที่ได้เลือกไว้

        พอได้เลือกวิธีการปัญหาที่ดีที่สุดแล้ว ก็ลองลงมือทำตามวิธีการแก้ปัญหานั้น ต่อไปมาเฝ้าดูและตรวจสอบผลว่าวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ทำลงไปนั้น ประสบผลสำเร็จหรือไม่?  วิธีการแก้ปัญหานี้ได้ผลหรือไม่? ใช้วิธีการแก้ปัญหานี้แล้วบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการหรือไม่? มีปัญหาซึ่งมองไม่เห็นเกิดขึ้นหรือเปล่า? ซึ่งหากวิธีแก้ปัญหาที่เลือกนั้นไม่ได้ผล หรือไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ให้ลองกลับมาคิดทบทวนว่าวิธีการแก้ปัญหาที่เลือกนั้นมีจุดบกพร่องหรือเปล่า ถ้ามีก็ควรปรับวิธีแก้ปัญหานั้น ๆ แต่หากปรับแล้วก็ยังไม่ได้ผล ให้เปลี่ยนมาลองใช้วิธีการแก้ปัญหาอื่น ๆ

        4. ฝึกทักษะการแก้ปัญหาให้เชี่ยวชาญ

        หากต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการแก้ปัญหาให้ดีขึ้น วิธีที่ดีที่สุดคือต้องเผชิญกับปัญหาบ่อย ๆ เพราะเมื่อเราได้เผชิญกับปัญหาบ่อย ๆ เราก็จะได้ใช้สมองในการคิดวิธีแก้ปัญหา ซึ่งก็เหมือนกับมีด หากไม่ลับบ่อย ๆ มีดก็ไม่คม ทีมแม่ ABK มีวิธีฝึกทักษะการแก้ปัญหาให้ลูกน้อย ดังนี้

          • เกมฝึกทักษะการแก้ปัญหา คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกทักษะการแก้ปัญหาให้ลูกได้ผ่านเกม เกมกระดาน และกิจกรรมการแข่งขันระหว่างครอบครัวได้ วิธีนี้เป็นวิธีที่จะไม่ทำให้เด็กเบื่อ เพราะลูกจะได้สนุกและลุ้นไปกับเกมต่าง ๆ ด้วย(อ่านต่อ เกมฝึกทักษะ การแก้ปัญหา ฝึกลูกก่อนเผชิญของจริง)
          • ให้ลูกเล่นเกมมือถือ ไม่ใช่ว่าปล่อยให้ลูกเล่นมือถือได้อย่างอิสระนะคะ แม้ว่าเกมมือถือจะถูกมองไปในทางลบ คือเด็กที่เล่นเกมบ่อย ๆ หรือติดเกม มักจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว ไม่ค่อยมีความอดทนในการรอคอย แต่สิ่งของทุกอย่าง เมื่อมีข้อเสีย ก็ต้องมีข้อดี มีผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการเล่นเกม สามารถพัฒนาส่วนต่าง ๆ ของการคิดได้ เช่น การรับรู้มิติ การใช้เหตุผล และความจำ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเกมที่จะได้ทุกอย่างเท่ากันหมด บางเกมก็ไม่ทำให้พัฒนาทักษะการแก้ปัญหาได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกเกมที่เน้นการคิดอย่างมีกลยุทธ และเกมที่เน้นให้ผู้เล่นคิด วิเคราะห์ และอย่าลืมกำหนดเวลาในการเล่นเกมให้เหมาะกับแต่ละวัยของลูกด้วยนะคะ เพราะการเล่นเกมที่ไม่ได้เน้นการคิดวิเคราะห์ หรือการเล่นเกมมากเกินไป จากผลดี อาจจะกลายเป็นผลร้ายได้
          • พาลูกไปเล่นนอกบ้าน การทำกิจกรรมนอกบ้าน เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้พัฒนาความสามารถในการแก้ไขปัญหา เพราะการที่เราได้ออกไปพบกับผู้คนต่างเพศ วัย และต่างนิสัย ทำให้เราไม่สามารถควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้ลูกได้ จนอาจทำให้มีปัญหาเกิดขึ้น และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ก็เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกคิดแก้ปัญหาได้ (อ่านต่อ ชวนลูกทำ กิจกรรมนอกบ้าน เสริมทักษะการแก้ปัญหา!!)

        การสอนให้ลูกรู้วิธีคิดใน การแก้ปัญหา อย่างเป็นขั้นตอนนั้น สำหรับเด็กเล็กการสอนให้ทำตามเป็นข้อ ๆ อาจจะดูยากไป คุณพ่อคุณแม่จึงควรแสดงวิธีคิดในการแก้ปัญหาให้ลูกเห็น เพื่อลูกจะได้นำไปทำเป็นแบบอย่างเมื่อลูกโตขึ้น และสำหรับเด็กโต คุณพ่อคุณแม่อาจบอกขั้นตอนที่ได้กล่าวมานี้ให้ลูกฟังได้ แต่ควรแก้เป็นภาษาเหมาะสมกับวัยนั้น ๆ ที่จะเข้าใจ และยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้ลูกได้เห็นภาพ และเมื่อลูกโตขึ้น ลูกจะนำแนวทางนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาในอนาคตได้ค่ะ เพียงเท่านี้ คุณพ่อคุณแม่ก็จะมั่นใจว่าลูกจะสามารถแก้ปัญหาและเอาตัวรอดในสังคมภายนอกได้

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        5 ลักษณะนิสัยของเด็ก “อารมณ์ดี” มีความมั่นคงทางจิตใจ

        คำพูดที่พ่อแม่ไม่ควรพูดกับลูก ข้อคิดสะกิดใจจากคุณหมอ!!

        10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

        23 คำพูดให้กำลังใจ ที่เพิ่มศักยภาพลูก..สู่ความสำเร็จ

         

        ขอบคุณข้อมูลจาก : www.inc.com, กรมสุขภาพจิต, th.wikihow.com

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          เลี้ยงลูกใกล้ชิดธรรมชาติ ผลวิจัยชี้ช่วยให้ลูกฉลาด ไอคิวสูง

          ชวนพ่อแม่ เลี้ยงลูกใกล้ชิดธรรมชาติ เรียนรู้ผ่านห้องเรียนสีเขียว ช่วยส่งเสริมพัฒนาการตั้งแต่ยังเล็ก

          เลี้ยงลูกใกล้ชิดธรรมชาติ เสริมสร้างไอคิว

          สังคมคนเมือง สร้างให้เด็กใกล้ชิดติดจอ จนกลายเป็นพฤติกรรมเนือยนิ่งส่งผลต่อพัฒนาการของลูก ต่างจากคนสมัยก่อนที่มีวิธีการเลี้ยงลูกใกล้ชิดธรรมชาติ เด็ก ๆ จึงได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ วิ่งเล่นบนท้องทุ่งนา พร้อมทั้งเรียนรู้เรื่องราวนอกห้องเรียนวิชาการ ด้วยห้องเรียนธรรมชาติ

          งานวิจัยเผยเด็กที่อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ไอคิวสูง

          ผลการวิจัยโดยนักระบาดวิทยาด้านสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยฮาสเซลท์ (Hasselt University) ประเทศเบลเยียม ระบุว่า พื้นที่สีเขียวจากธรรมชาตินั้นสัมพันธ์กับความฉลาดของเด็ก ๆ โดยพื้นที่สีเขียวที่เพิ่มขึ้น 3.3% (รัศมี 3 กิโลเมตรรอบบ้าน) จะช่วยเพิ่มไอคิวของเด็กได้ถึง 2.6% เลยทีเดียว โดยค่าเฉลี่ยไอคิวอยู่ที่ 105

          การวิจัยครั้งนี้ศึกษาข้อมูลจากเด็กช่วงอายุ 10-15 ปีมากกว่า 600 คน ผู้พักอาศัยอยู่ในประเทศเบลเยียม งานวิจัยยังบอกด้วยว่า 4% ของเด็กไอคิวต่ำกว่า 80 อยู่ในย่านที่มีพื้นที่สีเขียวน้อยกว่า เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า พื้นที่สีเขียวสัมพันธ์กับการรับรู้ เช่น ทักษะเรื่องการจดจำและความตั้งใจ

          ธรรมชาติยังมีผลต่อสมาธิและอารมณ์ โดยมีงานวิจัยก่อนหน้านี้พบว่า ความจำของเด็กจะดีขึ้นเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และมีงานวิจัยจากวารสาร Plos Medicine ระบุว่า การอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติช่วยลดระดับความเครียด เด็ก ๆ ได้เล่นกับเพื่อน มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และในพื้นที่สีเขียวยังเป็นสภาพแวดล้อมที่สงบอีกด้วย การสร้างพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง จึงนับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าช่วยพัฒนาศักยภาพของเด็ก

          หากเด็กได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม มีพื้นที่ให้เด็กเรียนรู้ด้านวิชาการ ร่วมกับการทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการ และอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้จะหล่อหลอมให้เด็กเติบโตขึ้นอย่างฉลาดสมวัย ไอคิวสูงได้

          เลี้ยงลูกใกล้ชิดธรรมชาติ

          ธรรมชาติช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของลูก

          สภาพแวดล้อมของบ้านส่งผลต่อตัวลูก การได้สูดอากาศบริสุทธิ์ หายใจรับกลิ่นดิน ชื่นชมความหอมของดอกไม้ จะช่วยกระตุ้นให้สมองปลอดโปร่ง ส่งผลต่อการเรียนรู้ที่ดียิ่งขึ้น หากมีธรรมชาติอยู่แวดล้อมรอบตัวจะส่งผลดีในด้านต่าง ๆ เช่น

          1. ผลดีต่อสมองและความคิด ช่วยพัฒนาศักยภาพในการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินผล ซึ่งเป็นการพัฒนาการของสมองขั้นสูง
          2. ผลดีต่อร่างกาย หากเด็กทำกิจกรรมทางกายสม่ำเสมอ เช่น การวิ่งเล่น หรือทำกิจกรรมท่ามกลางธรรมชาติ จะช่วยให้เด็กมีร่างกายที่แข็งแรง มีความกระตือรือร้น สุขภาพที่ดีช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง ป้องกันไม่ให้ลูกเป็นโรคอ้วนได้
          3. ผลดีต่ออารมณ์ ธรรมชาติช่วยลดความเครียด โดยเฉพาะกลุ่มเด็กที่มีความเครียดสูง หากเด็กได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดกับพื้นที่สีเขียวจะช่วยหล่อหลอมสติปัญญาและทักษะต่าง ๆ ได้อย่างดี

          พาลูกไปใกล้ชิดผืนดินและทุ่งหญ้า

          พ่อแม่ควรให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการเล่นกับธรรมชาติรอบตัว จะช่วยให้เด็กพัฒนาทักษะทั้งกาย สังคม และสมอง

          1.สร้างสวนในรั้วบ้าน การเรียนรู้เริ่มต้นได้จากที่บ้านของเรา หากภายในรั้วบ้านมีพื้นที่ ลองปลูกต้นไม้ ดอกไม้ หรือพืชผักสวนครัว พร้อมกับเรียนรู้สิ่งแวดล้อมในรั้วบ้าน

          ลูกในวัยแบเบาะ พ่อแม่สามารถอุ้มลูกออกมานอกบ้าน เดินรับอากาศบริสุทธิ์ช่วงเช้าและยามเย็น สอนศัพท์ต่าง ๆ หรือจับมือลูกไปลูบใบไม้ แตะต้นไม้ ให้ได้เรียนรู้ผ่านการสัมผัสพื้นผิว

          ลูกในวัยหัดเดิน จูงลูกเดินเท้าเปล่าไปด้วยกันที่พื้นหญ้า หากลูกเดินได้ วิ่งได้ ก็ปล่อยให้ลูกได้สนุกสนานตามธรรมชาติ เพราะการเดินเท้าเปล่าให้สัมผัสพื้นผิวโดยตรงจะช่วยกระตุ้นการรับรู้ของร่างกาย

          ลูกในวัยเรียนรู้ เมื่อรู้ความแล้ว ลองชวนลูกปลูกผักสวนครัวในรั้วบ้าน ให้ลูกช่วยเลือกว่าจะปลูกอะไรดี โดยเปิดหนังสืออ่านให้ลูกฟัง บอกถึงประโยชน์ของพืชผักแต่ละชนิด แล้วช่วยลูกวางแผนว่าจะปลูกผักชนิดไหน บริเวณไหนของบ้าน จากนั้นก็ช่วยกันเลือกเมล็ดพันธุ์ ซื้ออุปกรณ์ไซส์เล็กสำหรับเด็ก พร้อมกับมอบหมายให้ลูกรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเอง ด้วยการรดน้ำ สังเกตผักสวนครัวในทุกวัน

          2.ชมธรรมชาติใกล้บ้าน ในบริเวณบ้านมักจะมีต้นไม้ใหญ่ หรือมีสวนสาธารณะ ลองพาลูกไปเดินสำรวจ ชี้ชวนชมธรรมชาติ พ่อแม่สามารถสอนศัพท์ให้ลูกระหว่างทางได้ด้วย ทั้งนี้ หากมีเวลามากหน่อย ลองพาครอบครัวไปตั้งแคมป์ เดินทางขึ้นเขา ไปดอย ให้เด็กได้เปิดหูเปิดตา ใกล้ชิดกับภูเขา ผืนน้ำ เล่นลำธาร หรือสัมผัสธรรมชาติของท้องทะเล

          3.เรียนรู้วิถีเกษตร ด้วยการพาลูกไปยังแหล่งเรียนรู้วิถีเกษตรในที่ต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีหลายพื้นที่ที่เปิดให้เด็กเข้ามาทำกิจกรรม ทั้งการปลูกผัก ให้อาหารสัตว์ หรือแม้แต่การทำนา สำหรับสถานที่เรียนรู้การเกษตรในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้กรุง ตัวอย่างเช่น

          การเล่นอย่างอิสระในพื้นที่โล่งกว้าง ห้อมล้อมด้วยต้นไม้ใบหญ้า จะช่วยให้เด็กเกิดจินตนาการ ความอยากรู้อยากเห็น การเล่นที่มีคุณภาพจะส่งผลต่อพัฒนาเด็ก ทั้งร่างกาย การรับความรู้สึก อารมณ์ สติปัญญา และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พ่อแม่จึงควรเลี้ยงลูกใกล้ชิดธรรมชาติ ด้วยการพาลูกออกนอกห้องเรียน ไปเรียนรู้และสัมผัสโลกภายนอก เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ลูกได้รู้จักโลกกว้างอย่างแท้จริง

          อ้างอิงข้อมูล : 3WheelsUncle, themomentum.co, la-orutis.dusit.ac.th และ thaihealth.or.th

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          เช็กอิน 5 ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ ปลูกฝังให้ลูกรักสัตว์ รักธรรมชาติตั้งแต่เล็ก

          เช็กอิน 5 ที่เที่ยวธรรมชาติใกล้กรุงเทพ ปลูกฝังให้ลูกรักสัตว์ รักธรรมชาติตั้งแต่เล็ก

          เรียนศิลปะดียังไง ? 5 ทักษะดี ๆ ที่ควรส่งเสริมลูกเรียนศิลปะ

            บทบาทของพ่อแม่

            3 บทบาทของพ่อแม่ สิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูกยุคนี้โดย พ่อเอก

            การเป็นพ่อแม่สมัยนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในการเลี้ยงลูกมากมาย แต่โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ก็มีส่วนสร้างสังคมที่มีสารพัดความรุนแรง บทบาทของพ่อแม่ จึงต้องสอนลูกให้รู้จักหลีกห่างจากอันตราย สอนการป้องกันตัว ไปจนถึงการเตรียมพร้อมให้ลูกเติบโตพร้อมที่จะเผชิญกับความเป็นจริงของโลกเมื่อลูกเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข

            3 บทบาทของพ่อแม่ สิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูกยุคใหม่

            1. ไม่ทำให้ลูกมีทัศนคติที่แย่ต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า

            ผมได้อ่านเจอบทความที่น่าสนใจว่า การที่จะสอนให้ลูกเห็นว่า โลกที่ลูกจะต้องเผชิญเป็นอย่างไรนั้น ก็จะต้องมีความระมัดระวัง และสอนในวัยและเวลาที่เหมาะสม เพราะการที่เราทำให้ลูกรู้สึกว่า โลกที่ต้องเติบโตมาช่างไม่น่าอภิรมย์นั้น ก็จะทำให้ลูกไม่อยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะมองเห็นภาพว่า การเป็นผู้ใหญ่ไม่เห็นจะดีตรงไหน ดังนั้น ภาษาในการที่จะดุลูกหรือสอนลูกก็ต้องระมัดระวัง อย่าให้ลูกต้องแบกรับความรับผิดชอบของผู้ใหญ่ไว้บนบ่าก่อนวัยอันควร เช่น

            • ปลุกลูกไปโรงเรียนแล้วลูกไม่อยากตื่น เราอาจจะหลุดคำพูดว่า “โตขึ้นมานึกหรือว่าเจ้านายที่ทำงานเค้าจะยอมให้ไปทำงานสาย โตขึ้นมาแล้วจะรู้สึก”
            • หรือ การพยายามสอนให้ลูกประหยัดด้วยคำพูดว่า “ไว้หาเงินเองเถอะแล้วจะรู้ว่ามันไม่สนุกนักหรอกนะ”
            • หรือ จะสอนให้ตั้งใจเรียนด้วยคำพูดว่า “เรียนแย่แบบนี้ คิดหรอว่าจะมีมหาวิทยาลัยที่ไหนรับเข้าไปเรียน”

            คำพูดแนวนี้จะทำให้เด็กคิดว่าการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ดีเลย และโลกนี้น่าหดหู่เหลือเกิน ผมไม่ได้กำลังจะบอกว่า การสอนลูกในเรื่องเหล่านั้นไม่ถูกต้อง เพียงแต่ควรใช้คำพูดเชิงบวกแทนที่จะเป็นคำพูดเชิงลบตามที่ยกตัวอย่างมา

            พาลูกเที่ยวทะเล

            2. เป็นผู้ใหญ่ที่ลูกอยากจะทำตาม และอยากเป็นแบบเรา

            นอกจากจะมีบทบาทที่ต้องไม่ทำให้ลูกมีทัศนคติที่แย่ต่อการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้าแล้ว เราก็ต้องมีบทบาทที่ต้องทำให้ลูกเห็นว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นมีความเท่เพราะนั่นจะทำให้ลูกอยากทำตาม การที่จะให้ลูกเห็นความเท่ของการเป็นผู้ใหญ่ ก็เช่น หากเรามีความสนใจเรื่องใดหรือวิชาใดเป็นพิเศษแล้วแสดงให้ลูกเห็นได้ก็เป็นวิธีหนึ่ง เช่น

            • การมีวิธีคิดเลขเร็วที่ทำให้ลูกแปลกใจ
            • หรือเราสนใจดาราศาสตร์แล้วสามารถชี้ให้ลูกเห็นกลุ่มดาวต่างๆ
            • หรืออาจจะเป็นพวกงานอดิเรกอย่างการปลูกกระบองเพชร การทำงานไม้ วาดรูป แต่งกลอน

            อะไรก็ได้ที่เราทำได้ดีและสามารถแสดงให้ลูกดู หรือชวนลูกมาทำด้วยกัน เพื่อที่ลูกจะได้มองขึ้นมาด้วยสายตาแบบอยากทำได้แบบนี้

            ชวนลูกวิ่ง

            3. เป็นพ่อแม่ที่ลูกภูมิใจ ในแบบที่ลูกสามารถเอาไปคุยกับเพื่อนได้

            และอีกส่วนที่เราอาจจะลืมไปว่า นอกจากเราจะดีใจเวลาที่ลูกทำอะไรให้เราภูมิใจ ลูกเองก็ต้องการความภาคภูมิใจในตัวพ่อแม่เช่นกัน ดังนั้นเราเองก็ต้องทำอะไรที่ทำให้ลูกภูมิใจ หรือ เล่าให้เขาฟังในประสบการณ์ดีๆ ที่เราเคยทำเพื่อให้ลูกเกิดความภูมิใจ ความภูมิใจในแบบที่ลูกสามารถเอาไปโม้กับเพื่อนๆได้ว่า พ่อเราแม่เรานะคูลมากเลยล่ะเธอ เช่น

            • คุณเคยลงวิ่งมาราธอนโดยมีลูกมาเชียร์มั้ยหรือลูกมารอรับที่เส้นชัยหรือเอาเหรียญที่ได้มาคล้องให้ลูกมั้ย
            • คุณเคยมีประสบการณ์การเดินทางมากมาย มีสถานที่ที่พบหรือประสบการณ์แปลกๆ มาเล่าให้ลูกฟังมั้ย
            • คุณเคยทำงานอะไรเพื่อสังคม หรือเคยดำรงตำแหน่งอะไรในสังคมที่ทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมมั้ย เป็นต้น

            สรุปคือ บทบาทของพ่อแม่ ต้องสอนให้ลูกเห็นโลกที่เป็นจริง แต่อย่าให้ลูกวิ่งหนีโลก ดึงดูดให้ลูกเห็นความเท่ของการเติบโต และทำให้เขาเห็นว่าพ่อแม่หนูก็คูลๆ เก๋ๆ เช่นนั้นแหละ


            >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

            หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

            ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
            ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

             

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            วิธีเลิกผ้าอ้อม ฝึกลูกใน 5 ขั้นตอน ได้ผลจริง! โดย พ่อเอก

            ให้ลูกช่วยงานบ้าน ฝึกทักษะ EF ติดตัวลูกไปตลอดชีวิต โดยพ่อเอก

            60 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เหมาะกับลูกเล็ก โดยพ่อเอก

              ยิ่งทำลูกยิ่งไม่ยอม

              หมอแนะพฤติกรรมแบบนี้ยิ่งทำลูกยิ่งไม่ยอม แบ่งปัน

              แบ่งปัน พฤติกรรมที่พึงประสงค์ของสังคม การให้ลูกยอมแบ่งของให้แก่คนอื่น แม้เขาจะทำตามแต่นั่นเป็นการปลูกฝังลงไปในจิตใจลูกจริงหรือ และแท้จริงแล้วควรทำอย่างไร?

              หมอแนะพฤติกรรมแบบนี้ยิ่งทำลูกยิ่งไม่ยอม แบ่งปัน

              ก่อนอื่นอยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ฟังแนวคิดดี ๆ ในการสอนลูกเกี่ยวกับการแบ่งปันกัน จากรายการ Happy Parenting EP.6 | สอนลูกเรื่องแบ่งปัน เป็นคลิปที่นำเสนอเทคนิคการเลี้ยงลูกเชิงบวก สอนให้ลูกมีน้ำใจ จากคุณหมอ รศ.นพ.ศิริไชย  หงษ์สงวนศรี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี  ฟังแล้วจะได้ข้อคิดและเทคนิคดี ๆ ที่เราจะนำมากล่าวถึงกันอีกครั้งอย่างละเอียดให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นแนวทาง และข้อควรระวังที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะเรื่องการเลี้ยงลูกนั้นสำคัญทุกขั้นตอนเสมอ

              เชื่อว่าทุกบ้านที่มีลูก ต้องเคยประสบปัญหาหนักใจในเรื่องที่ลูกไม่ยอมแบ่งปันของเล่น หรือสิ่งของของลูกให้แก่เด็กอื่น พี่น้อง เพื่อน หรือแม้แต่ตัวคุณพ่อคุณแม่เอง อย่าพึ่งเครียดและตีความกันไปเสียก่อนแล้วว่า ทำไมลูกเราเป็นอย่างนี้นะ ไม่เห็นเหมือนลูกบ้านนั้น บ้านนี้เลย ไม่น่ารักเลย เพราะก่อนที่เราจะดุด่า แสดงท่าทีผิดหวังให้ลูกเห็น เราต้องมาทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า แท้จริงแล้วลูกแสดงพฤติกรรมหวงของนั้น เป็นเพราะเขาไม่รู้จักแบ่งปันจริงหรือ หรือเป็นเพียงแค่ธรรมชาติของเด็ก หรืออาจเป็นแค่เหตุผลส่วนตัวของลูกที่เราไม่เข้าใจเองกันแน่

              ของชิ้นนี้หนูหวง

              คุณพ่อคุณแม่เคยมีของรักของหวงกันบ้างไหม แม้ในยามที่เราเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็เชื่อว่ายังคงมีของหลาย ๆ อย่างที่เราหวงแหนไม่อยากให้ใครมาเอาไป หรือจับต้องจนเสียหาย เด็กก็เช่นกัน แม้ว่าของชิ้นที่ลูกหวง อาจดูไร้ค่า ไม่สำคัญในสายตาคุณพ่อคุณแม่ แต่มันมีความหมาย มีค่าสำหรับลูกของคุณอย่างแน่นอน สังเกตง่าย ๆ ได้จากการที่ลูกชอบถือไปไหนมาไหนแทบตลอดเวลา แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะนี่คือธรรมชาติของเด็กวัย ในช่วง 2-3 ขวบ เด็กจะเติบโตขึ้น จากที่เคยติดแม่ก็อยากแยกออกมาเป็นตัวของตัวเอง เริ่มมีธรรมชาติของการอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของพยายามทำนั้นทำนี้เพราะเขาเริ่มรู้แล้วว่าเขามีตัวตนเพื่อที่จะแยกจากแม่ “หนูทำเองได้!” และ “อันนี้ของหนู” คือประโยคประจำตัวของเด็กๆ วัยนี้

              สัญญาณของการมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่สมบูรณ์แข็งแรงนั้น ก็คือ เด็กจะเริ่มติดคนนั้นคนนี้ หรือติดของชิ้นนั้นชิ้นนี้  เด็ก 1 ขวบ มักจะหวงแม่ ไม่ให้แม่ไปอุ้มหรือเล่นกับเด็กคนอื่น ส่วนเด็ก 2 ขวบก็จะหวงของเล่น  เด็กบางคนติดตุ๊กตามากจนมันเก่าเป็นผ้าขี้ริ้ว เป็นส่วนสำคัญในชีวิตไปเลย เด็กบางคนเวลาบอกให้วาดรูปตัวเอง ก็จะวาดรูปตุ๊กตาหมีที่ตัวเองรักไว้ในแขนเสมอ ราวกับว่ามันเป็นอวัยวะส่วนที่ 33

              อย่าบีบคั้น…จงรอจนถึงวัยที่ลูกพร้อม

              การแบ่งปันที่แท้จริง หมายถึงการรู้จักเห็นอกเห็นใจ มีน้ำใจ และมองสถานการณ์อย่างเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบมักจะทำได้ยากมาก เพราะสมองเขายังไม่สามารถพัฒนาไปถึงขั้นนั้น ดังนั้นเรามาลองทำความรู้จักกับพัฒนาการของลูกในเรื่องของการแบ่งปันกันว่าในแต่ละช่วงวัยเขาสามารถรับรู้เรื่องทางสังคมได้มากน้อยแค่ไหน

              แบ่งปัน ด้วยใจห้ามบังคับ
              แบ่งปัน ด้วยใจห้ามบังคับ

              ลักษณะพัฒนาการทางสังคมของเด็กปฐมวัย(อายุ 1-6 ปี)

              1.พัฒนาการทางสังคมของเด็กวัยแรกเกิดถึง 1 ปี

              ด้านสังคม เด็กจะเริ่มหันหน้าเมื่อมีคนเรียกชื่อ ยิ้มให้คนอื่น เลียนแบบกิริยา ท่าทางของคน แสดงออกถึงการรับรู้ อารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น ติดแม่ เข้าใจท่าทางและสีหน้าของคนอื่น กลัวคนแปลกหน้า บอกความต้องการได้ แยกตัวเองและเงาในกระจกได้ เข้าใจท่าทางและสีหน้า สนใจการกระทำของผู้อื่น ชอบเล่นคนเดียว หวงของ ชอบมีส่วนร่วม บอกสิ่งที่ต้องการด้วยคำพูดง่ายๆ รู้จักขอ

              2.พัฒนาการทางสังคมของเด็กวัย 2 ปี

              ด้านสังคมเล่นร่วมกับผู้อื่น แต่ยังคงต่างคนต่างเล่นอยู่ เริ่มที่จะเล่นเป็นกลุ่มกับเด็กอื่นให้ความสนใจตนเองหรือยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ยอมแบ่งปันสิ่งของหรือของเล่นให้กับเด็กวัยเดียวกัน ช่วยเหลือตัวเองในเรื่องการเข้าห้องน้ำและแต่งตัวเองได้

              3.พัฒนาการทางสังคมของเด็กวัย 3 ปี

              ด้านสังคม การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นยังไม่แน่นอนแล้วแต่อารมณ์ของเด็ก เด็กวัยนี้เป็นวัยที่ชอบเล่นคนเดียว หรือเล่นสมมุติมากกว่าจะเล่นกับคนอื่น ชอบเล่นแบบคู่ขนาน คือ เล่นของเล่นชนิดเดียวกันแต่ต่างคนต่างเล่น ขณะที่เล่นชอบออกคำสั่ง ทำหรือพูดเหมือนกับสิ่งนั้นมีชีวิต รู้จักการรอคอย เริ่มปฏิบัติตามกฎ กติกาง่ายๆ รู้จักทำงานที่ได้รับมอบหมาย เริ่มรู้ว่าสิ่งใดเป็นของคนอื่น

              4.พัฒนาการทางสังคมของเด็กวัย 4 ปี

              ด้านสังคม เริ่มเล่นร่วมกับผู้อื่นได้ แต่มักจะเป็นเพศเดียวกันกับตนมากกว่า การแบ่งปันจึงมักเป็นการแบ่งให้เฉพาะคนที่ถูกใจ มักโกรธกันแต่ไม่นานเด็กก็จะกลับมาเล่นกันอีก รู้จักการให้อภัย การขอโทษ มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย รู้จักเก็บของเล่น มีมารยาทในการอยู่ร่วมกัน

              5.พัฒนาการทางสังคมของเด็กวัยระหว่าง 5-6 ปี

              ด้านสังคม เล่นกับเพื่อนโดยไม่เลือกเพศและสามารถฝึกกติกาง่าย ๆ ในการเล่นได้ จึงทำให้เริ่มเห็นว่าลูกรู้จักการแบ่งปันของเล่นกับเพื่อนได้ สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ เล่นหรือทำงานโดยมีจุดหมายเดียวกัน รู้จักไหว้ทำความเคารพเมื่อพบผู้ใหญ่

              พัฒนาการทางสังคม กับการ แบ่งปัน
              พัฒนาการทางสังคม กับการ แบ่งปัน

              จากลักษณะพัฒนาการทางสังคมของเด็ก ทำให้เรารู้ได้ว่าการที่พ่อแม่จะบังคับ หรือบีบคั้นให้ลูกรู้จักการแบ่งปันก่อนวัยที่เขาจะเข้าใจเรื่องการแบ่งปันได้นั้น เป็นเรื่องที่เด็กไม่สามารถเข้าใจถึงหลักการแท้จริงของการแบ่งปันได้เลย ส่วนใหญ่ที่เห็นลูกยอมทำตามแบ่งของให้ผู้อื่นนั้นเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการทำตามคำสั่งของพ่อแม่เท่านั้น ลูกแบ่งปันเพราะพ่อแม่สั่ง เพราะได้รับการให้เงื่อนไขกับเขาเพื่อให้เขาแบ่งปัน เช่น แบ่งแล้วแม่จะให้ของชิ้นใหญ่กว่าเดิมอีกนะ เป็นต้น

              ซึ่งการที่คุณพ่อคุณแม่มีพฤติกรรมการบังคับ หรือวางเงื่อนไขเพื่อให้ลูกแบ่งปันนอกจากจะไม่ช่วยปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีให้ลูกเมื่อโตแล้ว ยังกลับเป็นการทำให้ลูกยิ่งหวงของมากขึ้น หรือถ้าเป็นการบังคับให้พี่แบ่งของให้น้องเพราะโตกว่า ก็อาจทำให้พี่รู้สึกไม่ชอบน้อง อิจฉากันอีกต่างหาก

              ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า วัยที่ลูกพร้อมจะเรียนรู้ในเรื่องการแบ่งปันนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่คาดหวังให้เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ยอมแชร์ของง่าย ๆเพราะเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี ยังเล่นด้วยกันไม่เป็น มักจะเล่นข้าง ๆ กันเฉย ๆ มองกัน แต่ไม่เล่นด้วยกัน เขายังสนใจแต่ตัวเอง ไม่สนใจความรู้สึกของเด็กอื่นว่าจะชอบ หรืออยากมาเล่นกับเขาหรือไม่ จึงไม่รู้สึกอยากแบ่งปัน ไม่แคร์

              ไม่บังคับ แต่ทำเป็นตัวอย่างให้ลูกได้

              เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปีถึงแม้ว่าลูกจะยังไม่เข้าใจการเข้าสังคม แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะสอนเรื่องการแบ่งปันแก่ลูกไม่ได้ แต่เป็นการสอนแบบแสดงตัวอย่างให้เขาเห็น ลูกจะได้คุ้นชิน คุ้นเคยกับพฤติกรรมการแบ่งปัน เมื่อลูกถึงวัยที่ต้องการเข้าสังคม อยากมีเพื่อนเล่น รู้จักเล่นกับเด็กคนอื่นแล้ว เขาก็จะเลือกวิธีการเข้าหาเพื่อนด้วยการแบ่งปันเหมือนที่เขาเห็นจากพ่อแม่ เด็กที่หวงของตอน 2 ขวบ ก็จะกลายเป็นเด็กใจดี รู้จักแบ่งปันเมื่อเขาอายุ 3  หรือ 4 ขวบได้

              เมื่อเราจะทำพฤติกรรมเป็นตัวอย่างการแบ่งปันให้ลูกเห็น อาจจะต้องเพิ่มคำพูดเน้นย้ำถึงพฤติกรรมนั้น และชี้ข้อดีของการแบ่งปันให้ลูกเห็น เพื่อที่จะให้เขาเข้าใจ ซึมซับ และเห็นประโยชน์ในการแบ่งปัน เขาก็จะปฎิบัติตาม เช่น วันนี้แม่ทำอาหารเผื่อไว้ให้คุณป้าข้างบ้าน เดี๋ยวเราออกไปให้คุณป้ากันนะ เพราะวันก่อนคุณป้าพึ่งแบ่งขนมที่ลูกชอบมาให้

              ความสัมพันธ์ที่ดีของพ่อแม่กับลูก คือคะแนนสะสม

              เด็กจะรู้จักให้ก็ต่อเมื่อเขาเคยเป็นผู้ถูกให้มาก่อน มักจะสังเกตได้ว่า เด็กที่ได้รับความรักและใช้เวลาร่วมกับพ่อแม่ในช่วง 2 ปีแรก จะกลายเป็นเด็กที่รู้จักแบ่งปันในภายหลัง ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ เพราะเด็กที่เคยเห็นตัวอย่างการแบ่งปันจากพ่อแม่ จึงมักจะซึมซับและทำตามอย่างที่เขาเคยเห็น และเหตุผลที่สอง คือ เด็กที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ อยู่กับพ่อแม่ตลอดมักจะเป็นเด็กที่มีความรู้สึกมั่นคง ไม่รู้สึกขาดความรัก เห็นคุณค่าในตนเอง จึงมักจะต้องการสิ่งของน้อยกว่า ไม่ยึดเอาสิ่งของมาเป็นที่พึ่งทางใจมากเกินไป เพราะเขารู้ว่ามีพ่อแม่เป็นเพื่อนที่เข้าใจอยู่แล้ว จึงไม่ติดตุ๊กตาหรือผ้าห่มจนขาดไม่ได้

              เมื่อลูกรู้สึกได้ว่าเขาได้รับความรักที่เพียงพอแล้วจากพ่อแม่ เขาก็จะเกิดพฤติกรรมการแบ่งปันได้ง่ายขึ้น เพราะรู้สึกว่ามีความรักมากพอที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่นบ้าง และความไม่ยึดติดกับของ ไม่มีของหวง ก็เหมือนลูกได้รับคะแนนสะสมจากพ่อแม่มาก่อนแล้ว พอถึงวัยที่เขาพร้อมเข้าใจหลักการแบ่งปัน เขาก็จะทำได้ดี และเร็วกว่า

              แบ่งปันเพื่อน
              แบ่งปันเพื่อน

              เริ่มต้นดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

              การให้ลูกเรียนรู้เรื่องการแบ่งปัน ครั้งแรกนั้นสำคัญ เพราะในครั้งแรกถ้าเขามีความรู้สึกที่ดีต่อการที่ลูกได้แบ่งปันสิ่งของออกไปแล้วนั้น โอกาสที่เขาจะเกิดพฤติกรรมนั้นอีกก็ย่อมมากกว่าเป็นธรรมดา

              • ลองให้ลูกเริ่มแบ่งปันในครั้งแรกจากเหตุการณ์ที่ตัดสินใจได้ง่าย เวลาจะสอนให้แบ่งปัน ควรจะเริ่มให้ลูกแบ่งกับคนที่อายุน้อยกว่า หรือเพื่อนที่เงียบ ๆ ก็จะทำได้ให้เขามีความรู้สึกอยากทำตามที่เราแนะนำได้ง่ายกว่า เมื่อลูกทำตามเราก็ต้องรีบชมเชยให้เขารู้สึกดีต่อการกระทำนั้น แต่ถ้าลูกยังคงยืนกรานไม่แบ่งก็ไม่ต้องบังคับเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อการแบ่งปันในครั้งต่อ ๆ ไป
              • จับเวลาใช้นาฬิกาทราย หรือนาฬิกาจับเวลามาใช้ เวลาจะแบ่งอะไรให้เล่นกัน คนละ 2 นาที คือ เวลาที่กำลังพอดีสำหรับเด็กเล็กที่จะให้รอ หรือสำหรับเด็กโตอาจจะให้รอได้นานกว่านี้ เวลานาฬิกาทรายบอกหมดเวลา ก็ให้เปลี่ยนกันเล่น เป็นต้น แต่เมื่อถึงครบกำหนดเวลา เราจะให้เด็กเป็นคนยื่นของคืนมาให้ตามกติกาที่วางไว้ ไม่ดึงจากมือมาเลยแม้จะทำถูกตามกติกาที่ตกลงไว้ก็ตาม การดึงเช่นนั้นจะทำให้กลายเป็นเด็กก้าวร้าวรุนแรง เพราะโดนขัดใจ ให้เราชี้จุดให้เด็กเห็นถึงอนาคตว่า ถ้านาฬิกาดังอีก ก็จะได้เล่นอีกครั้ง ไม่ไปย้ำด้านลบ เช่น หมดเวลาของหนูแล้ว ห้ามขี้โกง เพราะเป็นคำพูดที่ทำให้ไม่อยากทำตามเนื่องจากโดนตีตราว่าไม่ดีไปแล้ว
              • เล่นเกมแบ่งปัน  เป็นการฝึกที่แยบยลแบบหนึ่ง เพราะเขาจะไม่รู้ตัวว่าถูกสอน แต่ลูกจะได้เห็นผลลัพธ์แห่งการแบ่งปันนั้นเลยโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเขารู้สึกดี การทำพฤติกรรมซ้ำก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก เช่น การพาลูกเล่นกีฬา เพราะกีฬาต้องอาศัยการร่วมมือถึงจะได้รับชัยชนะ

              สรุปวิธีการส่งเสริมให้ลูกรู้จักแบ่งปัน

              เคล็ดลับหลัก ๆ ในการสอนลูกเรื่องการแบ่งปัน ไม่ว่าจะวิธีไหนก็จะต้องมีใจความสำคัญหลัก ๆ ดังต่อไปนี้

              1. พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ในการแสดงพฤติกรรมการแบ่งปัน
              2. ชี้ให้เห็นข้อดีของการแบ่งปัน เพื่อให้เกิดการซึมซับและปฎิบัติตาม
              3. แสดงความชื่นชมเมื่อลูกมีการแบ่งปัน

              หลักส่งเสริมพฤติกรรมการแบ่งบันให้แก่ลูกง่าย ๆ เพียงแค่ 3 ข้อนี้ ก็จะทำให้ลูกมีจิตใจที่ดีงาม เป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีแก่เขาในวันข้างหน้าว่า ลูกจะได้พบแต่สิ่งดี ๆ และมีความสุขในชีวิต

              ขอขอบคุณคลิป และข้อมูลอ้างอิงจาก RAMA CHANNEL / Friendforkids

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              สร้างลูกให้มี SQ (Social Quotient) ไม่ก้าวร้าว ไม่เอาเปรียบ ส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตอย่างมีความสุข

              ค่านิยมทาง “ศีลธรรม” 10 ประการที่พ่อแม่ควรสอนลูก

              เลี้ยงลูกให้ “พี่น้องรักกัน” คุณเองก็ทำได้!

              วิจัยเผย 5 ผลร้าย! ตวาดใส่ลูก บ่อย ๆ ส่งผลต่อพัฒนาการสมอง-ร่างกาย-จิตใจ

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                มะเร็งกล่องเสียง

                มะเร็งกล่องเสียง เกิดจากอะไร ถ้าเสียงแหบ ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไปหาหมอเลย

                สัญญาณมะเร็งกล่องเสียง สังเกตอย่างไร มะเร็งกล่องเสียง เกิดจากอะไร

                คนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมอยากอยู่กับลูกให้นานที่สุด แต่ด้วยโลกปัจจุบัน มีโรคภัยมากมายที่พร้อมจะพรากชีวิตคนสำคัญในครอบครัวไป หากป้องกันได้ไวด้วยการลดพฤติกรรมเสี่ยง ทำความรู้จักโรคต่าง ๆ อย่าง มะเร็งกล่องเสียง เกิดจากอะไร พร้อมกับสังเกตอาการป่วยให้รวดเร็ว และรีบไปพบแพทย์ก็จะสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที

                หน้าที่สำคัญของกล่องเสียง

                ก่อนจะไปรู้ลึกถึงอาการของมะเร็งกล่องเสียง เรามาทำความรู้จัก กล่องเสียง อวัยวะสำคัญในร่างกายกันก่อน โดยอ.นพ.วรุฒน์ ศุภนคร หน่วยมะเร็งศีรษะและลำคอ ฝ่ายโสต คอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อธิบายถึงหน้าที่หลักของกล่องเสียงไว้ว่ามี 3 อย่าง

                1. การหายใจ
                2. การเปล่งเสียงออกมา
                3. การป้องกันการสำลักในขณะที่รับประทานอาหาร

                รู้หรือไม่ มะเร็งชนิดนี้เป็นโรคร้ายที่ติดอันดับ 1 ใน 5

                หากสงสัยว่า มะเร็งกล่องเสียงพบได้บ่อยแค่ไหน ขอตอบเลยว่าติดอันดับ 1 ใน 5 ถ้านับเฉพาะโรคมะเร็งศีรษะและคอ ความรุนแรงของมะเร็งชนิดนี้ เริ่มต้นจากก้อนเล็ก ๆ ในลำคอ ที่อาจลุกลามเป็นก้อนใหญ่จนอุดกล่องเสียงทำให้หายใจไม่สะดวก ถ้าไม่รีบรักษา หรือปล่อยทิ้งไว้นาน ก็อาจลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียง หรือไปถึงอวัยวะอื่นที่อยู่ห่างไกลจากกล่องเสียงออกไป จนอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้ เช่นเดียวกับโรคมะเร็งอื่น ๆ ถ้ารู้ไว รักษาทัน ร่างกายก็จะฟื้นฟูได้เร็ว

                มะเร็งกล่องเสียง เกิดจากอะไร สัญญาณของโรคร้าย

                หนึ่งในอาการสำคัญของผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียง จะมีอาการเสียงแหบ เสียงเปลี่ยน เป็นระยะเวลานาน ไม่หายเสียที หากมีคนในครอบครัวเสียงแหบ ร่วมกับพฤติกรรมเสี่ยงมะเร็ง ก็ยิ่งต้องรีบพาไปพบคุณหมอ สำหรับพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งกล่องเสียง ได้แก่ การดื่มเหล้าชอบสังสรรค์เป็นประจำ ร่วมกับพฤติกรรมสูบบุหรี่จัด ทำให้ความเสี่ยงการเป็นมะเร็งกล่องเสียงเพิ่มขึ้นได้

                สำหรับอาการหลัก ๆ ของมะเร็งกล่องเสียง สังเกตได้อย่างไร

                • เสียงแหบ
                • เสียงเปลี่ยน
                • ไอเรื้อรัง
                • กลืนติด กลืนเจ็บ กลืนลำบาก หรือกลืนแล้วรู้สึกเหมือนมีก้อนในคอ และอาจมีก้อนออกมาที่คอจริง ๆ ก็ได้

                การตรวจและวินิจฉัยมะเร็งกล่องเสียง

                การตรวจวินิจฉัยมะเร็งกล่องเสียง ทำได้โดยการใช้การส่องกล่องเข้าไปดู รวมกับการใช้ภาพรังสีวินิจฉัยอย่าง CT Scan หรือ MRI เมื่อส่องกล้องเข้าไปในกล่องเสียง ก็จะนำชิ้นเนื้อที่เราสงสัยว่าเป็นมะเร็งไปส่งตรวจ

                มะเร็งกล่องเสียง อันตรายไหม

                ถ้าผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงเข้ารับการรักษาช้า จะเสี่ยงที่ก้อนมะเร็งกล่องเสียงกั้นทางเดินหายใจ มีผลทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ สำหรับการรักษามะเร็งกล่องเสียงมีการรักษาหลักอยู่ 2 แนวทาง

                • การรักษามะเร็งกล่องเสียงในระยะต้น ใช้การรักษาเพียงแค่การผ่าตัด หรือการฉายแสงอย่างใดอย่างหนึ่ง
                • ในผู้ป่วยระยะที่เป็นมากขึ้น เราต้องใช้การผ่าตัดร่วมกับการฉายแสง หรือใช้การฉายแสงร่วมกับเคมีบำบัด สำหรับผู้ป่วยระยะที่ลุกลามมากขึ้น

                วิธีรักษาผู้ป่วยในระยะที่เป็นมะเร็งกล่องเสียงมากขึ้น หรือที่เราเรียกว่า Advance Stage หลัก ๆ เราจะใช้การรักษาอยู่ 2 วิธี

                1. ผ่าตัดตามด้วยฉายแสง
                2. ฉายแสงร่วมกับเคมีบำบัด

                อย่างไรก็ตาม การทำการรักษาผู้ป่วยแต่ละราย จะต้องปรึกษาผู้ป่วยรวมกับแพทย์แผนกฉายแสง เพื่อเลือกการรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนไข้ ส่วนข้อแตกต่างของการรักษามะเร็งกล่องเสียง เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับการฉายแสงเสียงมักจะไม่ค่อยเปลี่ยน ไม่ค่อยมีผลต่ออาการเสียงแหบ แต่หากผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดจะส่งผลต่อเสียงแหบมากกว่า

                หากจำเป็นต้องตัดกล่องเสียงออกทั้งหมด

                ผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงบางรายที่อยู่ในระดับ Advance Stage อาจจำเป็นที่แพทย์จะต้องตัดกล่องเสียงออกทั้งหมด แต่ทางโรงพยาบาลมีการรักษาที่ทำให้เสียงกลับมาเหมือนเดิม เช่น การทำให้ผู้ป่วยใช้วิธีพูดผ่านหลอดอาหาร หรือการผ่าตัดฝังกล่องเสียงเทียม สุดท้าย ใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่เรียกว่า Electrolarynx เพื่อให้คนไข้กลับมาใช้เสียงพูดได้ดังเดิม

                ส่วนผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาไปเรียบร้อยแล้ว ทางแพทย์ยังคงต้องติดตามเพื่อสังเกตอาการ ด้วยการส่องกล้องดูภายในกล่องเสียง ฉายภาพรังสี CT Scan เพื่อติดตามผลการรักษามะเร็งกล่องเสียง และเป็นการเฝ้าระวังไม่ให้มะเร็งกลับมาใหม่

                สิ่งสำคัญคือ พฤติกรรมการใช้ชีวิต ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็งกล่องเสียง ควรหลีกเลี่ยงสาเหตุของมะเร็งกล่องเสียง ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดบุหรี่ เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง พร้อมกันนั้นต้องหมั่นสังเกตอาการต่าง ๆ เพราะสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการตรวจวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว ทำให้รักษาโรคได้ไว หากพบว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีอาการเสียงแหบ เสียงเปลี่ยน ไอเรื้อรัง ควรรีบไปพบแพทย์ หู คอ จมูก ให้เร็วที่สุด

                เครดิต : เกร็ดความรู้คู่สุขภาพ มะเร็งกล่องเสียง ติดจอ ฬ.จุฬา

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                กระทรวงแจง “สูบบุหรี่ในบ้าน” ผิดกฎหมาย! บังคับใช้ 20 ส.ค. นี้

                8 วิธีทาน “อาหารต้านมะเร็ง” กินอย่างไรให้ห่างไกลโรค?

                เบคอน อาหารปลิดชีวิตคนจากมะเร็งได้พอ ๆ กับบุหรี่

                  ออมเงินให้ลูก

                  ออมเงินให้ลูก สลากออมทรัพย์ธนาคารไหน ผลตอบแทนดี ลุ้นโชคเยอะ

                  ชวนพ่อแม่ ออมเงินให้ลูก ด้วยสลากออมทรัพย์ เช็คให้ชัวร์ก่อนซื้อ สลากธนาคารไหนดอกเบี้ยดี

                  ออมเงินให้ลูก ด้วยการซื้อสลากออมทรัพย์ ธนาคารไหนดี

                  สลากออมทรัพย์คืออะไร

                  ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจควักเงินในกระเป๋าซื้อสลากออมทรัพย์ จำเป็นที่จะต้องรู้จักสลากออมทรัพย์ให้ดีเสียก่อน เพื่อเปรียบเทียบว่าการออมเงินให้ลูกแบบนี้เหมาะกับครอบครัวเราไหม

                  สลากออมทรัพย์ถือว่าเป็นการฝากเงินรูปแบบหนึ่ง ข้อดีของสลากออมทรัพย์คือผู้ฝากจะได้ทั้งดอกเบี้ยที่ดี ทั้งยังมีสิทธิ์ลุ้นเงินรางวัล จึงถูกใจใครหลายคน เพราะจ่ายเงินครั้งเดียวได้ทั้งดอกเบี้ย ได้ทั้งโอกาสถูกรางวัล

                  ธนาคารไหนบ้างที่ขายสลากออมทรัพย์

                  ปัจจุบันสลากออมทรัพย์มีจำหน่ายอยู่ 3 ธนาคารด้วยกัน

                  1. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
                  2. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
                  3. ธนาคารออมสิน

                  เทียบความคุ้มค่าธนาคารไหนให้ดอกเบี้ยโดนใจ ออมเงินให้ลูก ซื้อเจ้าไหนดี

                  สลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดพิมานมาศ

                  ออมเงินให้ลูก
                  ออมเงินให้ลูก

                  ทางเลือกใหม่แห่งการออมเงินด้วยสินทรัพย์ปลอดภัยจาก ธอส. ไม่ต้องทิ้งเงินต้น โดยสลากออมทรัพย์พิมานมาศ เป็นสลากใหม่รุ่นที่ 3 ปี 2563 โดยลูกค้า ธอส. (บุคคลธรรมดา) ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากดอกเบี้ยและภาษีเงินได้จากเงินรางวัล ออกรางวัลทุกเดือน รวม 36 ครั้ง

                  ธอส. ชุดพิมานมาศ ราคาหน่วยลงทุน : 50,000 บาท จำนวน 1 ล้านหน่วย (10 หมวด หมวดละ 1 แสนหน่วย)

                  ผลตอบแทน : ผู้ซื้อสลากออมทรัพย์พิมานมาศ ต้องถือครองหน่วยลงทุนเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยจะมีผลตอบแทนหน้าสลากเมื่อฝากครบกำหนดสูงถึง 0.90% ต่อปี

                  เงินรางวัลและสิทธิพิเศษ :

                  • จับรางวัลปกติทุกเดือน เงินรางวัลสูงถึง 50,000 บาท จำนวนเงินรางวัลมีหมวดละ 10 รางวัลด้วยกัน (รวมทั้งหมด 10 หมวด 100 รางวัล)
                  • รางวัลพิเศษ หมวดละ 2 รางวัล (รวมทั้งหมด 10 หมวด 20 รางวัล) รางวัลละ 500,000 บาท ทุกไตรมาส (3 เดือน)
                  • สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า ธอส. ที่ซื้อสลากออมทรัพย์พิมานมาศเท่านั้น ทุก ๆ 30 คะแนนสะสม รับ 1 สิทธิ์ลุ้นรางวัลรับรางวัลใหญ่ สร้อยคอทางคำหนัก 2 บาท จำนวน 10 รางวัล หรือรางวัลรอง สร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 47 รางวัล

                  ซื้อสลากออมทรัพย์พิมานมาศอย่างไร

                  ซื้อได้ที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ทุกสาขาทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 24 กันยายน 2563 หรือจนกว่าจำนวนหน่วยลงทุนจะเต็มเท่านั้น

                  สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5

                  ออมเงินให้ลูก
                  ออมเงินให้ลูก

                  ธ.ก.ส. เปิดรับฝาก “สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5” จำนวน 1,000 ล้านหน่วย หน่วยละ 100 บาท รวมวงเงิน 100,000 ล้านบาท โดยดอกเบี้ยและเงินรางวัลได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลทั่วไปและยังสามารถนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน (Bank Guarantee) ได้อีกด้วย ออกรางวัลทุกเดือน รวม 36 ครั้ง

                  ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5 ราคาหน่วยลงทุน : หน่วยละ 100 บาท

                  ผลตอบแทน : สลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5 มีอายุรับฝาก 3 ปี หากไถ่ถอนก่อนกำหนดจะไม่ได้รับดอกเบี้ย

                  • ฝากผ่านเคาน์เตอร์ ธ.ก.ส. เมื่อฝากครบกำหนดไถ่ถอนจะได้รับดอกเบี้ยหน่วยละ 0.30 บาท หรือคิดเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.10 ต่อปี
                  • ฝากสลากออมทรัพย์ทวีสินผ่านช่องทาง ธ.ก.ส. ลูกค้าที่ฝากผ่าน ธ.ก.ส. A-Mobile จะได้รับดอกเบี้ยเพิ่มเป็นหน่วยละ 0.60 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.20 ต่อปี

                  เงินรางวัลและสิทธิพิเศษ :

                  ลุ้นรางวัลทุกวันที่ 16 ของเดือน และวันที่ 17 มกราคม ของทุกปี รวม 36 ครั้ง รวมรางวัลทั้งสิ้น 2,113,400 รางวัล เป็นเงิน 91,580,000 บาทต่อเดือน ออกรางวัลครั้งแรกวันที่ 16 กันยายน 2563

                  • 1 รางวัล รางวัลที่ 1 มีมูลค่า 10,000,000 บาท
                  • รางวัลที่ 1 ต่างหมวด มี 99 รางวัล ๆ ละ 20,000 บาท
                  • 300 รางวัล สำหรับรางวัลที่ 2 รางวัลละ 7,000 บาท
                  • 1,000 รางวัล สำหรับรางวัลที่ 3 รางวัลละ 3,000 บาท
                  • 2,000 รางวัล สำหรับรางวัลที่ 4 รางวัลละ 1,000 บาท
                  • 10,000 รางวัล สำหรับรางวัลที่ 5 รางวัลละ 500 บาท
                  • รางวัลเลขท้าย 4 ตัว มี 100,000 รางวัล รางวัลละ 75 บาท
                  • รางวัลเลขท้าย 3 ตัว มี 2,000,000 รางวัล รางวัลละ 30 บาท

                  ซื้อสลากออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ชุดเกษตรมั่งคั่ง 5 อย่างไร

                  เปิดรับฝากที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ และสามารถฝากผ่านช่องทาง ธ.ก.ส. A-Mobile

                  สลากออมสินพิเศษ 3 ปี กับสลากดิจิทัล ของธนาคารออมสิน

                  ออมเงินให้ลูก
                  ออมเงินให้ลูก

                  สลากออมสินออกผลิตภัณฑ์สลากออมสิน สำหรับคนที่ชอบการออมเงินและได้ลุ้นโชคไปพร้อม ๆ กัน เงินต้นอยู่ครบ แถมได้ดอกเบี้ยเพิ่มเมื่อฝากครบตามกำหนดเวลา สำหรับธนาคารออมสินจะแบ่งเป็น สลากออมสินพิเศษ และ Digital Salak On MyMo ซึ่งมีรายละเอียดต่างกัน

                  สลากของธนาคารออมสิน ราคาหน่วยลงทุน : สลากออมสินฝากขั้นต่ำ 50 บาท และ Digital Salak On MyMo ฝากได้ตามจำนวนเงินดังนี้ 1,000 / 5,000 10,000 / 50,000 / 100,000 / 500,000 / 1,000,000 / 2,000,000 / 5,000,000 / 10,000,000 บาท

                  ผลตอบแทน : ดอกเบี้ย (บาทต่อหน่วย) แบ่งเป็น

                  • 3 เดือน หากฝากครบ 3 เดือน ไม่ครบ 1 ปี ไม่ได้รับดอกเบี้ยทั้งคู่
                  • ครบ 1 ปี ไม่ครบ 2 ปี สลากออมสินดอกเบี้ย 0.125 บาทต่อหน่วย Digital Salak On MyMo 0.25 บาทต่อหน่วย
                  • ฝากครบ 2 ปี ไม่ครบ 3 ปี สลากออมสินดอกเบี้ย 0.25 บาทต่อหน่วย Digital Salak On MyMo 0.50 บาทต่อหน่วย
                  • ฝากครบ 3 ปีตามกำหนด สลากออมสินดอกเบี้ย 0.60 บาทต่อหน่วย Digital Salak On MyMo 1.00 บาทต่อหน่วย

                  เงินรางวัลและรายละเอียดเพิ่มเติม :

                  1.สลากออมสินพิเศษดิจิทัล 1 ปี หน่วยละ 20 บาท สิทธิการถูกรางวัล 12 ครั้ง การออกรางวัล ทุกวันที่ 16 ของเดือน

                  • การซื้อสลาก 10,000 หน่วย จำนวนเงิน 200,000 บาท จะการันตีถูกรางวัลเลขท้าย 4 ตัว เงินรางวัล 25 บาท ทุกงวด (ไม่มีรางวัลเลขท้าย 3 ตัว)
                  • ฝากครบ 1 ปี ไม่ได้รับดอกเบี้ย จำนวนเงินฝาก 200,000 บาทขึ้นไป ผลตอบแทน 0.30% ต่อปี

                  2.สลากออมสินพิเศษดิจิทัล 2 ปี หน่วยละ 100 บาท สิทธิการถูกรางวัล 24 ครั้ง การออกรางวัล ทุกวันที่ 1 ของเดือน

                  • การซื้อสลาก 1,000 หน่วย จำนวนเงิน 100,000 บาท จะการันตีถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว เงินรางวัล 25 บาท ทุกงวด
                  • ฝากครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ย 0.20 บาทต่อหน่วย (ร้อยละ 0.10 ต่อปี) จำนวนเงินฝาก 100,000 บาทขึ้นไป ผลตอบแทน 0.40% ต่อปี จำนวนเงินฝาก 1,000,000 บาทขึ้นไป ผลตอบแทน 0.472% ต่อปี

                  3.สลากออมสินพิเศษ 2 ปี หน่วยละ 100 บาท (สิทธิการถูกรางวัล 24 ครั้ง) การออกรางวัล ทุกวันที่ 1 ของเดือน (หยุดรับฝากชั่วคราว เปิดรับฝากในวันที่ 2 กันยายน 2563 เป็นต้นไป หรือตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง)

                  • การซื้อสลาก 1,000 หน่วย จำนวนเงิน 100,000 บาท จะการันตีถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัว เงินรางวัล 25 บาท ทุกงวดค่ะ
                  • ฝากครบ 2 ปี ได้รับดอกเบี้ย 0.20 บาทต่อหน่วย (ร้อยละ 0.10 ต่อปี), จำนวนเงินฝาก 100,000 บาทขึ้นไป ผลตอบแทน 0.40% ต่อปี, จำนวนเงินฝาก 1,000,000 บาทขึ้นไป ผลตอบแทน 0.472% ต่อปี

                  ซื้อสลากออมสินพิเศษ 3 ปี กับสลากดิจิทัล ของธนาคารออมสิน อย่างไร

                  1. สลากออมสินซื้อได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา ตู้ ATM และ Internet Banking หากมีความสนใจสลากออมสินพิเศษ นำบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านติดต่อเปิดบัญชีสลากออมสินได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา
                  2. Digital Salak On MyMo ซื้อผ่าน App MyMo เท่านั้น หากสนใจสลากออมสินพิเศษดิจิทัล สามารถเปิดบัญชีสลากดิจิดัลได้ที่แอพพลิเคชั่น MyMo

                  ปัจจุบันธนาคารเปิดรับฝาก สลากออมสินพิเศษดิจิทัล 1 ปี และสลากออมสินพิเศษดิจิทัล 2 ปี เท่านั้น ส่วนสลากออมสินพิเศษ 2 ปี ต้องรอประกาศอีกครั้งว่ายังรับฝากในวันที่ 2 กันยายน 2563 หรือไม่

                  ทั้ง 3 ธนาคาร ก็มีจุดเด่นเหมาะกับการออมเงินให้ลูก การซื้อสลากออมทรัพย์เหมาะกับคนที่มีเงินเย็น อยากได้ดอกเบี้ยซึ่งจำเป็นที่จะต้องฝากในระยะยาว แต่ก็ถือว่าเป็นการฝากเงินที่คุ้มค่าแก่การลงทุน เพราะได้ทั้งดอกเบี้ย และลุ้นโชครางวัลใหญ่ไปพร้อม ๆ กัน

                  เครดิต : gsb.or.thcm.ghbank.co.th และ baac.or.th

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  ระวัง ไข้หัดแมว ระบาด! อีกหนึ่งภัยร้าย..บ้านไหนเลี้ยงแมวควรรู้

                  ลงทะเบียนผู้สูงอายุ ปี 64 ใกล้เปิดรับลงทะเบียนแล้ว อายุ 60 ปีขึ้นไปเตรียมตัวเลย

                  วิธีเลี้ยงลูกคนโต เมื่อมีน้อง การเตรียมพี่ให้พร้อม ก่อนมีน้องอีกคน

                    เพลงเป็ด5ตัว

                    เพลงเป็ด5ตัว เวอร์ชันไทย-อังกฤษ ชวนลูกร้อง เก่งสองภาษา ด้วยเสียงเพลง

                    ให้ลูกน้อยได้ฟังเพลงสองภาษา เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งในการเสริมทักษะทางด้านภาษาให้ลูกตั้งแต่เด็ก เพลงเป็ด5ตัว หรือ Five little ducks หนึ่งในเพลงเด็กที่เด็ก ๆ ชื่นชอบมากที่สุด คุณพ่อคุณแม่สามารถเปิดผ่านคลิปวิดีโอให้ลูกได้ฝึกร้อง ฝึกอ่านเนื้อเพลงตาม ฟังเพลงนี้ซ้ำหลาย ๆ รอบ พร้อมร้องออกมาดัง ๆ ก็จะช่วยให้ลูกได้พัฒนาทักษะการฟังการออกเสียง และสามารถเรียนรู้ภาษาได้ดีขึ้น รวมทั้งการสังเกตว่าทำไมเจ้าลูกเป็ดทั้ง 5 ถึงหายไปทีละตัว ๆ พร้อมสนุกกับการนับเลขอีกด้วย มาเปิดดูการเดินทางของลูกเป็ดทั้ง 5 ตัวที่มีทั้งเสียงร้องในเวอร์ชันภาษาไทยและภาษาอังกฤษ มาชวนลูกได้ฝึกร้อง ฝึกภาษาไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

                    เพลงเป็ด5ตัว ภาษาไทย-อังกฤษ ชวนลูกร้องเต้น เก่งสองภาษา ด้วยเสียงเพลง

                    เพลงเป็ด 5 ตัว เวอร์ชั่นภาษาไทย

                    1.เพลงลูกเป็ด 5 ตัว

                    หนึ่ง-สอง-สาม-สี่-ห้า

                    ลูกเป็ดห้าตัวลอยน้ำในบึงใหญ่
                    ลอย ลอย ลอย ไปไกลแสนไกล
                    แม่เป็ดส่งเสียงร้อง “แก้วก แก้วก แก้วก”
                    แต่มีลูกเป็ดกลับมาสี่ตัว

                    “สี่”

                    ลูกเป็ดสี่ตัวลอยน้ำในบึงใหญ่
                    ลอย ลอย ลอย ไปไกลแสนไกล
                    แม่เป็ดส่งเสียงร้อง “แก้วก แก้วก แก้วก”
                    แต่มีลูกเป็ดกลับมาสามตัว

                     “สาม”

                    ลูกเป็ดสามตัวลอยน้ำในบึงใหญ่
                    ลอย ลอย ลอย ไปไกลแสนไกล
                    แม่เป็ดส่งเสียงร้อง “แก้วก แก้วก แก้วก”
                    แต่มีลูกเป็ดกลับมาสองตัว

                    “สอง”

                    ลูกเป็ดสองตัวลอยน้ำในบึงใหญ่
                    ลอย ลอย ลอย ไปไกลแสนไกล
                    แม่เป็ดส่งเสียงร้อง “แก้วก แก้วก แก้วก”
                    แต่มีลูกเป็ดกลับมาหนึ่งตัว

                    “หนึ่ง”

                    ลูกเป็ดหนึ่งตัวลอยน้ำในบึงใหญ่
                    ลอย ลอย ลอย ไปไกลแสนไกล
                    แม่เป็ดส่งเสียงร้อง “แก้วก แก้วก แก้วก”
                    แต่มีลูกเป็ดกลับมาห้าตัว

                    1-2-3-4-5

                    ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก :KidsMeSong

                    2.เพลงลูกเป็ดห้าตัว

                    ลูกเป็ดห้าตัวออกไปเดินเล่น
                    เดินข้ามขุนเขาและไกลออกไป
                    แม่เป็ดจึงร้อง “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่เจ้าลูกเป็ดกลับมาแค่สี่ตัว

                    ลูกเป็ดสี่ตัวออกไปเดินเล่น
                    เดินข้ามขุนเขาและไกลออกไป
                    แม่เป็ดจึงร้อง “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่เจ้าลูกเป็ดกลับมาแค่สามตัว

                    ลูกเป็ดสามตัวออกไปเดินเล่น
                    เดินข้ามขุนเขาและไกลออกไป
                    แม่เป็ดจึงร้อง “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่เจ้าลูกเป็ดกลับมาแค่สองตัว

                    ลูกเป็ดสองตัวออกไปเดินเล่น
                    เดินข้ามขุนเขาและไกลออกไป
                    แม่เป็ดจึงร้อง “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่เจ้าลูกเป็ดกลับมาแค่หนึ่งตัว

                    ลูกเป็ดตัวหนึ่งออกไปเดินเล่น
                    เดินข้ามขุนเขาและไกลออกไป
                    แม่เป็ดจึงร้อง “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่ไม่มีเจ้าลูกเป็ดกลับมา

                    แม่เป็ดแสนเศร้าออกไปเดินเล่น
                    เดินข้ามขุนเขาและไกลออกไป
                    แม่เป็ดจึงร้อง “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    และเจ้าลูกเป็ดกลับมาทั้งห้าตัว

                    ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : KidsOnCloud

                    3.เพลง ลูกเป็ด 5 ตัว กับเล็นและมินิ

                    ลูกเป็ดห้าตัวไปเที่ยววันหนึ่ง
                    ข้ามยอดขุนเขาแสนไกลไปถึง
                    แม่เป็ดก็เรียก “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่มีมาแค่สี่ตัวกลับคืนมา

                    ลูกเป็ดสี่ตัวไปเที่ยววันหนึ่ง
                    ท่ามกลางแมกไม้แสนไกลไปถึง
                    แม่เป็ดก็เรียก “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่มีมาแค่สามตัวกลับคืนมา

                    ลูกเป็ดสามตัวไปเที่ยววันหนึ่ง
                    ที่ในหุบเขาแสนไกลไปถึง
                    แม่เป็ดก็เรียก “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่มีมาแค่สองตัวกลับคืนมา

                    ลูกเป็ดสองตัวไปเที่ยววันหนึ่ง
                    ที่ในตัวเมืองแสนไกลไปถึง
                    แม่เป็ดก็เรียก “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่มีมาแค่หนึ่งตัวกลับคืนมา

                    ลูกเป็ดหนึ่งตัวไปเที่ยววันหนึ่ง
                    ที่ในบึงแสนไกลไปถึง
                    แม่เป็ดก็เรียก “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    แต่ไม่มีซักตัวตัวกลับคืนมา

                    ลูกเป็ดห้าตัวไปเที่ยววันหนึ่ง
                    ข้ามยอดขุนเขา ท่ามกลางแมกไม้ ที่ในหุบเขา ที่ในตัวเมือง ที่ในบึงแสนไกลไปถึง
                    พ่อเป็ดเรียก “ก้าบ ก้าบ ก้าบ”
                    เป็ดน้อยทั้งหมดก็กลับคืนมา

                    ลูกเป็ดทั้งหมดไปเที่ยววันหนึ่ง
                    ที่ที่ให้เท้าแสนไกลไปถึง
                    ชอบร้อง “ก้าบ ก้าบ ก้าบ” ชอบเล่นนักหนา
                    ที่ที่ให้เท้าอยู่กันเรื่อยมา

                    ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : เมือง Teehee

                    4.เพลงเป็ด ลูกเป็ด 5 ตัว

                    ก้าบ ๆ ๆ พี่น้องเป็ดน้อยมีอยู่ 5 ตัว

                    พวกมันมัวเพลินเที่ยวเดินเล่นพัลวัน

                    พี่น้องเป็ดน้อยเล่นน้ำด้วยกัน

                    พี่น้องเป็ดน้อยเล่นน้ำด้วยกัน

                    แสนสุขสันต์  สบาย ๆ  แสนสุขสันต์  สบาย ๆ

                    โยกซ้าย โยกขวา หน้าหลัง

                    สะบัดตัวไปมาน่ารักเสียจริง

                    แสนสุขสันต์  สบาย ๆ  แสนสุขสันต์  สบาย ๆ

                    https://www.youtube.com/watch?v=kcMjofSazWg

                    ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Indysong Kids

                    หัดร้องเพลงลูกเป็ดห้าตัวฉบับภาษาไทยมาแล้ว มาลองหัดร้องเพลง Five Little Ducks เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษดูกันบ้าง ร้องตามง่าย ๆ ด้วยทำนองที่คุ้นหูกันเหมือนเดิม

                    เพลงเป็ด 5 ตัว เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ

                    5.เพลง Five Little Ducks Song

                    Five little ducks went swimming one day,

                    Over the hills and far away.

                    Mommy duck said: “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only four little ducks came back.

                    Four little ducks went swimming one day,

                    Over the hills and far away.

                    Mommy duck said: “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only three little ducks came back.

                     

                    Three little ducks went swimming one day,

                    Over the hills and far away.

                    Mommy duck said: “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only two little ducks came back.

                    Two little ducks went swimming one day,

                    Over the hills and far away.

                    Mommy duck said: “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only one little duck came back.

                     

                    One little duck went swimming one day,

                    Over the hills and far away.

                    Mommy duck said: “Quack, quack, quack, quack.”

                    But no little ducks came back.

                    No little ducks went swimming one day,

                    Over the hills and far away.

                    Daddy duck said: “Quack, quack, quack, quack.”

                    And all the five little ducks came back.

                    ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : Indysong Kids

                    6.เพลง Five Little Ducks 

                    Five little ducks Went out one day

                    Over the hill and far away

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only four little ducks came back.

                    one two three four…

                    Four little ducks Went out one day

                    Over the hill and far away

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only three little ducks came back.

                    one two three…

                    Three little ducks Went out one day

                    Over the hill and far away

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only two little ducks came back.

                     one two…

                     

                    Two little ducks Went out one day

                    Over the hill and far away

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only one little duck came back.

                    One…

                    One little duck Went out one day

                    Over the hill and far away

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But none of the five little ducks came back.

                     

                    Sad mother duck Went out one day

                    Over the hill and far away

                    The sad mother duck said “Quack, quack, quack.”

                    And all of the five little ducks came back.

                    ขอบคุณคลิปวิดีโอจาก : kids song

                    7.เพลง Five Little Ducks

                    “One Two Three Four Five”

                    Five little ducks went swim one day.

                    Over the hill and far away.

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only four little ducks came back.

                    “Four”

                    Four little ducks went swim one day.

                     Over the hill and far away.

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only three little ducks came back.

                    “Three”

                     

                    Three little ducks went swim one day.

                    Over the hill and far away.

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only two little ducks came back.

                     “Two”

                    Two little ducks went swim one day.

                    Over the hill and far away.

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But only one little duck came back.

                    “One”

                    One little duck went swim one day.

                    Over the hill and far away.

                    Mother duck said “Quack, quack, quack, quack.”

                    But none of the five little ducks came back.

                    “No”

                    No little duck went swim one day.

                    Over the hill and far away.

                    The sad mother duck said “Quack, quack, quack.”

                    And all of the five little ducks came back.

                    “One Two Three Four Five”

                    มีหลายวิธีในการส่งเสริมให้ลูกได้เก่งภาษา การฟังเพลงก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการพัฒนาภาษาอังกฤษได้ดี ที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กจดจำคำศัพท์ การออกเสียง ไปพร้อมกับความสนุกเพลิดเพลิน ให้ลูกได้เก่งสองภาษาทั้งฟังและพูดเข้าใจทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้จากการฟังเพลงกันนะคะ.

                    อ่านต่อ บทความอื่นน่าสนใจ คลิก!

                    รวมเพลงเด็กภาษาอังกฤษ ร้องง่าย ฟังติดหู ลูกได้ฝึกคำศัพท์

                    รวม 9 เพลงเด็ก แบบภาษาอังกฤษ สำหรับเต้นสนุก ฝึกทักษะ เสริมพัฒนาการ

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      ชวนลูกเล่นนอกบ้าน

                      ชวนลูกทำ กิจกรรมนอกบ้าน เสริมทักษะการแก้ปัญหา!!

                      กิจกรรมนอกบ้าน คือ การเล่นนอกบ้าน ไม่จำเป็นต้องเป็นกิจกรรมทางวิชาการ ก็สามารถเพิ่มทักษะให้ลูกได้อย่างมหาศาล รวมถึงทักษะการแก้ปัญหาด้วย

                      ชวนลูกทำ กิจกรรมนอกบ้าน เสริมทักษะการแก้ปัญหา!!

                      การเจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีประสบการณ์ และการเรียนรู้ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในห้องเรียนเท่านั้น การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าการเรียนรู้ที่จะกิน เดิน พูด เล่น เที่ยว ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ให้กับลูกน้อยได้ ดังนั้น สิ่งต่าง ๆ และธรรมชาติที่อยู่รอบตัวลูก ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่สำคัญหรือไม่สำคัญ ก็สามารถสร้างประสบการณ์ให้ลูกได้หมด โดยเฉพาะทักษะในการแก้ปัญหา ซึ่งทักษะนี้จะเป็นทักษะที่สำคัญต่อลูกน้อยในอนาคต

                      Adversity Quotient (AQ) – คือ ความสามารถในการอดทน ทั้งในด้าน ความยากลำบากทางกาย ความอดกลั้นทางด้านจิตใจและจิตวิญญาณ ที่สามารถเผชิญและเอาชนะเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ที่รวดเร็วและไม่มีความแน่นอน ซึ่งจะเป็นรูปแบบพฤติกรรมการตอบสนองต่อปัญหา อุปสรรคในชีวิต

                      เล่นนอกบ้าน
                      เล่นนอกบ้าน

                      ในยุคนี้ ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน รวมถึงฝุ่นและโรคภัยต่าง ๆ ทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้นอกบ้านได้น้อยลง จริงอยู่ว่าเด็กสามารถเรียนรู้หรือศึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ผ่านจอได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ซึ่งทำให้เด็กขาดความต้องการที่จะออกไปหาความรู้หรือประสบการณ์นอกบ้าน เพราะการออกไปหาประสบการณ์นอกบ้าน ต้องอดทน รอคอย กว่าที่จะได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ ดูเหมือนเทคโนโลยีเหล่านี้จะดีใช่ไหมคะ ใช่ค่ะ ในยุคสมัยที่ข้อมูลมหาศาลหาได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้วนั้นสะดวกค่ะ แต่สิ่งที่เทคโนโลยีเหล่านี้ ให้กับเด็กไม่ได้คือ Adversity Quotient หรือ ทักษะในการแก้ปัญหา การเอาตัวรอด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความอดทนต่อความยากลำบากต่าง ๆ ค่ะ

                      จากการเฝ้าสังเกตุการณ์ของนักวิจัยเกี่ยวกับการเรียนและกิจกรรมในโรงเรียนอนุบาล พบว่าเด็กอนุบาลที่ขาดทักษะการแก้ปัญหา และทักษะในการอดทนต่อปัญหา มักจะไม่ยอมห่างจากพ่อแม่ ร้องไห้หรือไม่พอใจเมื่อต้องเข้าแถว ขอความช่วยเหลือจากคุณครูเมื่อมีปัญหาเสมอไม่ว่าปัญหานั้น ๆ จะเล็กหรือใหญ่ และเมื่อตนเองแพ้หรือผิดหวัง ก็มักจะร้องไห้หรือแสดงกิริยาไม่เหมาะสมออกมา ดังนั้น วิธีแก้สำหรับเด็กที่ขาด Adversity Quotient คือการเล่นนอกบ้านนั่นเอง การเล่นนอกบ้านก็เป็นเหมือนเกมที่มีทั้งความตื่นเต้น อุปสรรค และความสนุกสนาน ให้เด็ก ๆ ได้ฟันฝ่า ซึ่งนอกจากความสนุกสนานแล้ว เด็ก ๆ จะมีพัฒนาการในทักษะด้านการแก้ปัญหา และการอดทนต่อปัญหาอีกด้วย โดยมีผลการวิจัยจาก Advances in Social Science, Education and Humanities Research (ASSEHR) ซึ่งได้วิจัยอาสาสมัครเด็กที่มีอายุ 5-6 ขวบ จำนวน  16 คน เป็นเด็กผู้ชาย 10 คน และเด็กผู้หญิง 6 คน โดยได้วัดทักษะ Adversity Quotient (AQ) ก่อนการทำ กิจกรรมนอกบ้าน และได้วัดทักษะ Adversity Quotient (AQ) อีกครั้งหลังจากที่ทดลองให้เด็ก ๆ ได้ทำกิจกรรมนอกบ้านแล้ว พบว่าเด็กทั้ง 16 คน มีทักษะในการอดทนต่อปัญหา และมีทักษะในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้น ซึ่งกราฟด้านล่างนี้ แสดงให้เห็นว่าเด็กทั้ง 16 คน มีทักษะ Adversity Quotient (AQ) ที่เพิ่มขึ้นหลังจากได้ออกไปทำ กิจกรรมนอกบ้าน และเล่นนอกบ้าน

                      Adversity Quotient
                      Adversity Quotient
                      • AA-AP แทนชื่อเด็กทั้ง 16 คน
                      • Pre-cycle – ค่า Adversity Quotient ของเด็กแต่ละคนก่อนเริ่มทำ กิจกรรมนอกบ้าน
                      • Cycle 1 – ค่า Adversity Quotient ของเด็กแต่ละคนหลังเล่นนอกบ้าน

                      จากงานวิจัยชิ้นนี้ แสดงให้เห็นว่าการเล่นนอกบ้าน ช่วยเพิ่มทักษะในการแก้ปัญหา และการอดทนต่อปัญหาได้จริง และนอกจากทักษะการแก้ปัญหา และอดทนต่อปัญหา จะเพิ่มขึ้นหลังการพาลูกเล่นนอกบ้านและทำกิจกรรมนอกบ้านแล้ว การเล่นนอกบ้านยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ดังต่อไปนี้

                      6 ประโยชน์จากการพาลูกไปเล่นนอกบ้าน

                        1. การเล่นนอกบ้าน ช่วยเรื่องสมาธิ เกม การ์ตูน และแอพต่าง ๆ ในมือถือและแท็ปเลต ทำให้เด็กมีความอดทนน้อยลง เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถตอบสนองความต้องการของเด็กได้ง่ายและรวดเร็ว หากลูกต้องการเปลี่ยนคลิปการ์ตูนที่ต้องการดู ลูกเพียงแค่ใช้นิ้วกดเพียง 1 ครั้ง ก็สามารถดูการ์ตูนที่ตนเองต้องการได้แล้ว การดูหรือทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ แบบนี้ จะทำให้เด็กไม่มีสมาธิ ถูกรบกวนได้ง่าย สมาธิหลุดบ่อย ๆ ไม่สามารถทำงานบางอย่างจนเสร็จได้ ในทางกลับกัน หากคุณพ่อคุณแม่พาลูกไปเล่นนอกบ้าน หากลูกต้องการที่จะร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ลูกจะต้องรู้จักรอคอยเพื่อให้ถึงคราวของตนเองถึงจะเล่นได้ และหากลูกไม่ได้เห็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงเร็วเกินกว่าสมองจะรับได้ จะทำให้ลูกมีสมาธิและสามารถทำสิ่งที่ตนเองต้องการจะทำให้สำเร็จได้
                        2. เพิ่มทักษะการเข้าสังคม การออกนอกบ้าน แน่นอนว่าจะต้องได้พบเจอกับผู้คนหลากหลาย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้หญิงและผู้ชาย ลูกจะได้เรียนรู้ถึงความต่างทั้งทางความคิด การแสดงออก จิตใจ และลักษณะทางกายภาพ เมื่อลูกได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างของแต่ละคนแล้ว ลูกก็จะได้เรียนรู้ที่จะปรับตัว เพื่อให้อยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้ การปรับตัว การระมัดระวังในกิริยาและวาจา เมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นนั้ จะช่่วยเพิ่มทักษะในการเข้าสังคมให้ลูกได้เป็นอย่างดี เมื่อลูกโตขึ้น ลูกจะรู้จักที่จะแสดงออกได้อย่างเหมาะสม
                        3. เพิ่มวิตามินดีให้ร่างกาย การออกนอกบ้าน ทำให้เราได้เจอกับแสงแดด รังสียูวีบีจากแสงแดดจะทำปฏิกิริยากับคอเลสเตอรอลในเซลล์ผิว ซึ่งทำให้เกิดวิตามินดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันโรคเกี่ยวกับกระดูก เช่น โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง โดยเวลาที่เหมาะสมในการให้เด็กๆ ไปเล่นนอกบ้านเพื่อให้รับวิตามินดีจากแสงแดด ก็คือ ช่วงเช้าถึง 9.00 น. และช่วงเย็นตั้งแต่ 16.00 น. เป็นต้นไป ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงเวลาอื่น โดยเฉพาะช่วงเที่ยงและบ่าย เพราะแสงแดดอาจทำร้ายผิวของเด็ก ๆ ได้
                        4. ลดโอกาสการเกิดสายตาสั้น เพราะการใช้สายตาในการเพ่งมองจอ หรือมองสิ่งต่าง ๆ ในระยะใกล้ไม่เกินระยะแขนเอื้อมถึง จะทำให้สายตาทำงานหนัก และทำให้เกิดสายตาสั้นได้ แต่การออกไปเล่นนอกบ้าน จะทำให้ลูกสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว จนไม่จำเป็นต้องทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาหนัก จึงทำให้ลดโอกาสการเกิดสายตาสั้นได้นั่นเอง
                        5. รู้จักการแก้ปัญหาด้วยตนเอง การออกไปปั่นจักรยาน ไปเล่นที่สนามเด็กเล่น หรือวิ่งเล่นนอกบ้านจะทำให้ลูกเจอปัญหาบางอย่างที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน เช่น จักรยานโซ่หลุด อุปสรรคเวลาเล่นเครื่องเล่น สุนัขข้างบ้านเห่าใส่ ปัญหาอุปสรรคเหล่านี้จะฝึกทักษะการตัดสินใจของลูก ทำให้เขารู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับลูกในอนาคต เพราะว่าเราไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา และไม่สามารถแก้ปัญหาทุก ๆ เรื่องให้ลูกได้ ดังนั้นการให้เขาออกไปเล่นนอกบ้านก็จะทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะตัดสินใจและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
                        6. เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เวลาลูกออกไปเล่นนอกบ้าน แน่นอนว่าเขาต้องเลอะ ตัวเปรอะ เปื้อนดินเปื้อนทราย และได้แบคทีเรียเป็นของแถมมาด้วย ซึ่งข้อดีของการเจอแบคทีเรียก็คือ จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของลูก ให้ลูกแข็งแรงขึ้นเพื่อต่อสู้กับแบคทีเรียเหล่านี้ ทำให้ลูกไม่ป่วยง่าย นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่บอกว่าการเลี้ยงลูกในสภาพแวดล้อมที่สะอาดมากเกินไปทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด เป็นต้น

                      คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นประโยชน์อย่างมหาศาลจากการพาลูกออกไปเล่นนอกบ้านกันแล้ว สุดสัปดาห์นี้ ลองชวนลูกให้ออกไปทำ กิจกรรมนอกบ้าน กันเถอะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมที่อยู่เพียงหน้าบ้าน หรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามสถานที่เที่ยวต่าง ๆ ก็สามารถสร้างประสบการณ์ชีวิตดี ๆ ให้กับลูกได้

                      ขอบคุณข้อมูลจาก : Advances in Social Science, Education and Humanities Research (ASSEHR), volume 58, 3rd International Conference on Early Childhood Education (ICECE-16), hellokhunmor.com

                        สอนลูกใฝ่เรียนรู้

                        6 ข้อสอนลูกเป็น คนดี มีภูมิคุ้มกัน ชีวิตพบแต่ความสุข

                        ทุกคนอยากเห็นลูกเป็นคนเก่ง คนดี วิธีสร้างเด็กเก่งนั้นไม่ยาก แต่ทักษะความดีที่เด็กมีศักยภาพมาตั้งแต่เกิดนั้น เราจะดึงมันออกมาให้เขามีพร้อมทั้งสองด้านอย่างไร

                        6 ข้อสอนลูกเป็น คนดี มีภูมิคุ้มกัน ชีวิตพบแต่ความสุข

                        ในชีวิตคนเราเป้าหมายสูงสุดในการดำรงชีวิต คือ การทำชีวิตของตนให้มีความสุข แต่หนทางที่จะนำพาเราไปสู่ความสูขในชีวิตนั้นได้ ต้องมีทักษะในการดำรงชีพที่พร้อมเสียก่อน การจะได้มาซึ่งปัจจัยนำพาความสุขมาให้ในสังคมปัจจุบันนั้น เราคงต้องเริ่มต้นจากการทำตัวให้พร้อมเป็น “คนเก่ง” เพื่อที่จะได้ใช้ความรู้ ความสามารถนั้นมาทำประโยชน์ให้เกิดแก่ตน

                        นิยามคำว่า “คนเก่ง”

                        คนที่มีความสามารถสูงในการดำเนินชีวิต โดยมีความสามารถในด้านใดด้านหนึ่งหรือรอบด้าน อาจมีความสามารถพิเศษเฉพาะทาง เช่น ความสามารถทางคณิตศาสตร์ ความสามารถด้านภาษา ศิลปะ ดนตรี กีฬา การทำอาหาร การดีไซน์ เป็นต้น

                        การเป็นคนเก่งมักจะมาพร้อมกับการมีภาวะผู้นำ รู้จักตนเอง ควบคุมตนเองได้ มีทักษะในการแก้ปัญหาดี มีวิสัยทัศน์ สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ

                        เก่งอย่างเดียวเดินถึงเป้าหมาย แต่อาจขาดความสุข

                        คุณพ่อคุณแม่คงเคยเห็นตัวอย่าง บุคคลในชีวิตจริงมากมายที่เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีอาชีพที่ดี ตำแหน่งใหญ่โต ฐานะร่ำรวย แต่บางคนอาจล้มเหลวในชีวิตครอบครัว ลูกไม่สามารถเจริญรอยตามความสามารถทางหน้าที่การงานของพ่อแม่ได้ เพราะว่าลูกไม่เคยได้รับเวลา คำสั่งสอน ความใกล้ชิด และมีความสัมพันธ์ที่ดีจากพ่อแม่ที่เอาแต่ทำงาน จึงไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่า เขาเป็นคนประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานเท่านั้น

                        ดังนั้นคนมีความสุข จึงหมายถึง คนที่มีสุขภาพดีทั้งกายและจิตใจ เป็นคนร่าเริงแจ่มใส ร่างกายแข็งแรง มีมนุษยสัมพันธ์ มีความรอบรู้ต่อทุกสรรพสิ่ง มีอิสระภาพรอดพ้นจากการตกเป็นทาสของอบายมุข และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างพอเพียงแก่อัตภาพ

                        จากคำนิยามความสุข คุณพ่อคุณแม่ก็จะเห็นได้แล้วว่า นอกจากการที่เราต้องช่วยลูกพัฒนาทักษะด้านความรู้ ความสามารถ เพื่อนำไปใช้หาเลี้ยงชีพในอนาคตแล้ว ยังมีอีกทักษะหนึ่งที่จำเป็นไม่แพ้กันในการที่ต้องเสริมเพิ่มให้แก่ลูก เพื่อให้เขามีชีวิตที่มีความสุขอีกด้วย นั่นคือ การพัฒนาให้ลูกเป็นคนจิตใจดี มองโลกในแง่ดี มีหลักธรรมะในการดำเนินชีวิต หลักธรรมที่มุ่งสอนให้คนเรามีความรักต่อกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน และดำเนินชีวิตด้วยทางสายกลาง

                        ครอบครัวมีสุข
                        ครอบครัวมีสุข

                        ศักยภาพของคนดี มีอยู่ในตัวเด็กทุกคน

                        นิยามคำว่า “คนดี” 

                        ก่อนอื่นเราต้องมาให้คำจำกัดความของคำว่าคนดีกันเสียก่อน เพื่อความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งก็หมายถึง คนที่ดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีจิตใจที่ดีงาม มีคุณธรรมจริยธรรม มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทั้งด้านจิตใจและพฤติกรรมที่แสดงออก เช่น มีวินัย มีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล มีเหตุผล รู้หน้าที่ ซื่อสัตย์ พากเพียร ขยัน ประหยัด มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย เคารพความคิดเห็นและสิทธิของผู้อื่น มีความเสียสละ รักษาสิ่งแวดล้อม สามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นอย่างสันติสุข

                        สิ่งต่าง ๆ ที่มาประกอบกันจนทำให้คนที่มีทักษะต่าง ๆ เหล่านั้นถูกเรียกว่า คนดี คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่าลูกของเราทุกคนต่างเกิดมาพร้อมกับทักษะแห่งความดีเหล่านั้นอยู่แล้ว จะเห็นได้จากคำพูดที่ว่า “เด็กเป็นผ้าขาว” จึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่อย่างเราต่างหากที่จะสามารถดึงศักยภาพความดีของลูกออกมาได้มากน้อยแค่ไหน การที่เราดึงศักยภาพออกมาได้เต็ม 100% ลูกก็จะกลายเป็นเด็กที่มีแต่ความสุขได้อย่างแน่นอน

                        6 ข้อง่าย ๆ ดึงศักยภาพความเป็นคนดีให้ลูกพร้อมมีความสุข

                        นักจิตวิทยา และงานวิจัยมากมายที่ได้กล่าวไว้ว่า การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้กับคน ๆ หนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เมื่อลูกได้รับการเรียนรู้ถึงการฝึกจิตของตนให้ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรมที่ดีงาม เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมแล้ว การเป็นคนดีของลูกก็ย่อมเป็นภูมิคุ้มกันชั้นเยี่ยมให้แก่เขาในอนาคต

                        เป็น คนดี มีความสุข
                        เป็น คนดี มีความสุข

                        ข้อที่ 1 ยิ่งให้ยิ่งได้รับ (ความสุข)

                        การรู้จักให้ หรือทาน เป็นหลักธรรมเบื้องต้น เป็นหลักธรรมแรกเริ่มของความดีทั้งหมด ช่วยให้เราไม่คิดจะเอาแต่ได้อยู่ฝ่ายเดียว ชีวิตที่คิดแต่จะเป็นฝ่ายได้รับเป็นชีวิตที่ไม่สมดุล เป็นจิตที่คับแคบ เห็นแก่ตัว ทำให้เป็นคนไม่น่ารัก และมีความสุขยาก

                        เด็ก ๆ เติบโตขึ้นมาได้เพราะเป็นฝ่ายรับจากผู้อื่นมาตั้งแต่เกิด ทั้งน้ำนม อาหาร ความอบอุ่น ตลอดจนความรู้ อาจทำให้เขาเกิดความเข้าใจที่ผิด เคยชินว่าเขาต้องเป็นฝ่ายได้สิ่งที่ต้องการ เป็นผู้รับฝ่ายเดียวเท่านั้น ซึ่งความคิดเช่นนี้ถ้าติดมาจนโต อาจเป็นปัญหาได้ ดังจะเห็นได้จาก เมื่อเด็กเข้าสู่วัยเข้าโรงเรียน เด็กบางคนที่ไม่ได้รับการสั่งสอนในเรื่องนี้มักมีปัญหาในการเข้าสังคมกับเพื่อน เพื่อนไม่รักเพราะไม่เคยมีน้ำใจต่อผู้อื่น

                        การสอนเด็กให้รู้จักให้ คือการสอนบทเรียนชีวิตข้อแรกว่า เมื่อรับแล้วต้องรู้จักให้ ต้นไม้ทุกต้นเติบโตเพราะได้รับน้ำ และอาหารจากพื้นดิน แต่เวลาเดียวกัน เขาก็รู้จักคายน้ำและทิ้งกิ่งใบให้เป็นปุ๋ยคืนแก่ดินด้วย เป็นการตอบแทนผืนดินที่หล่อเลี้ยงเขามา อีกทั้งยังให้อาหารและที่พักพิงแก่เพื่อนร่วมโลก เช่น นก กระรอก รวมทั้งมนุษย์

                        แต่การให้มิได้หมายถึงการตอบแทน หรือเป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น พ่อแม่ควรสอนลูกถึงการให้ให้ลึกลงไปถึง การให้ที่ไม่ได้หวังผลตอบแทนอีกด้วย เราให้ผู้อื่น เพียงเพราะว่าเรารู้สึกมีความสุขที่เห็นเขาได้รับ จึงกล่าวได้ว่า “ผู้ให้ความสุขย่อมได้ความสุข” นั่นเอง

                        ตัวอย่างแนวทางการสอน

                        • พาลูกไปใส่บาตรในตอนเช้า เริ่มจากการให้เขาได้เห็นแบบอย่างที่ดีจากพ่อแม่
                        • ให้เขาเลือกของเล่นของตนเองนำไปบริจาคแก่เด็กผู้ยากไร้
                        • พาลูกไปเล่นที่สนามเด็กเล่น ได้เจอเพื่อน เด็กคนอื่นการเล่นร่วมกันเป็นการสอนให้เขารู้จักให้ และแบ่งปันได้ดี

                        ข้อที่ 2 น้ำใจทำให้โลกน่าอยู่

                        คำว่า “น้ำใจ” อาจกล่าวได้ว่าเป็นความรู้สึกที่เกิดพร้อม ๆ กับการให้ เมื่อเรามีน้ำใจเราจึงให้ทาน เมื่อเราให้ทาน คนรับจึงเกิดความรู้สึกว่าเรามีน้ำใจต่อเขา เพียงแต่ว่าคำว่าน้ำใจจะมีความหมายกว้างกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของ จะให้อะไร ราคาเท่าไหร่ ไม่สำคัญ บางทีแค่เพียงความช่วยเหลือ การลงแรงเก็บขยะ งานอาสาก็เท่ากับมีน้ำใจที่คิดจะให้

                        ดังนั้นการแสดงน้ำใจต่อผู้อื่นจึงเป็นการง่ายสำหรับเด็กในการปฎิบัติได้จริง หากเขามีน้ำใจคุณค่าของคนเรามิได้อยู่ที่วัยหรือชื่อเสียงเงินทอง แต่อยู่ที่คุณภาพของใจต่างหาก ถึงจะไม่มีเงินให้ แต่ถ้ามีน้ำใจเสียแล้ว ก็สามารถให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเงิน

                        ตัวอย่างแนวทางการสอน

                        • ปลูกฝังได้ด้วยการสอนให้ลูกรู้จักช่วยงานบ้าน แม้จะมีคนใช้ก็ตาม สอนการช่วยแบ่งเบาภาระงานของเขาในส่วนที่เป็นของตนเอง เช่น หลังกินข้าว ช่วยรวบจาน เทเศษอาหารในจานตนก่อนไปวางไว้ที่ล้างจาน เป็นต้น
                        • หางานจิตอาสามาร่วมทำกับลูก เช่น อาสาเก็บขยะในชุมชน
                        ธรรมะสอนให้เป็น คนดี
                        ธรรมะสอนให้เป็น คนดี

                        ข้อที่ 3 รักษาศีล อยู่อย่างไม่เบียดเบียน

                        การช่วยเหลือผู้อื่นจะเป็นไปได้ ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการรู้จักรักษาตนไม่ให้ก่อความเดือนร้อนแก่ใคร หรือเอาเปรียบส่วนรวม เช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ล่วงละเมิดของรักของสงวนของผู้อื่น โกหก หรือเข้าหาสิ่งเสพติด หรือเรียกให้เข้าใจง่ายคือการปฎิบัติตามหลัก “ศีล”นั่นเอง

                        พ่อแม่ที่สอนลูกไม่ให้เบียดเบียนใคร ไม่ว่าบุคคลหรือส่วนรวม เท่ากับสร้างรั้วป้องกันไม่ให้ความเดือดเนื้อร้อนใจเข้ามาใกล้ตัว ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรนิ่งดูดายหากลูกขโมยปากกาของเพื่อน ลอกการบ้าน ทุจริตในห้องสอบ หรือรังแก ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะเมื่อเราเมินเฉยจนลูกเคยชินจนเป็นนิสัย เมื่อโตขึ้นเขาก็จะเห็นพฤติกรรมไม่ดีเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ธรรมดา เมื่อเราทำผิดกฎของการอยู่ร่วมกัน ความเดือดเนื้อร้อนใจ การถูกลงโทษก็จะตามมา ทำให้ชีวิตของลูกย่อมไม่ได้รับความสุข ความเจริญเป็นแน่แท้

                        ตัวอย่างแนวทางการสอน

                        • การสอนลูกยับยั้งชั่งใจ เมื่อลูกอยากได้ของเล่นพ่อแม่ควรวางกฎกติกาในการได้มาซึ่งของเล่นนั้น ไม่ใช่ตามใจซื้อให้ทุกครั้งที่ลูกร้องขอ เมื่อวันใดที่เขาอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของเขา ก็อาจเกิดปัญหาการขโมยได้ ในเด็กเล็กอาจไม่เข้าใจความหมายของคำว่าขโมย เราจึงไม่ทำโทษลูกเมื่อลูกมีพฤติกรรมดังกล่าว แต่เราจสอนให้เขาเห็นถึงใจเขาใจเรา ถ้าของเราหายไปเราก็ไม่ชอบเช่นกัน
                        • การให้ลูกได้มีโอกาสดูแลสัตว์เลี้ยง มอบหน้าที่ให้เขาเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการดูแล เพื่อให้ลูกเข้าใจถึงความแตกต่างของแต่ละคน แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้ พึ่งพากันและกัน เมื่อเขาเห็นถึงข้อนี้ ลูกก็จะไม่อยากไปรังแกใคร หรือสัตว์ตัวใด

                        ข้อที่ 4 สอนให้ลูกชื่นชม ยินดีผู้อื่นด้วยใจคือการสร้างนิสัยใฝ่ดี

                        การทำดี การทำบุญ ทำทาน หรือการมีน้ำใจ นอกจากจะสอนลูกให้มีพฤติกรรมเหล่านี้แล้ว พ่อแม่ควรสอนให้ลูกเห็นถึงเจตนาที่ดีในการทำมากกว่าการตัดสินจากวัตถุที่ให้ หรือจะเรียกให้ง่ายก็คือ การทำบุญด้วยใจ เราทำสิ่งที่ดี ๆ ต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่เพราะหวังผลตอบแทน แต่เป็นการทำด้วยใจ และเมื่อลูกเข้าใจหลักการข้อนี้ เวลาเขาเห็นคนอื่นทำดี หรือแบ่งปันเขาจะรู้สึกชื่นชม ยินดีในเจตนาที่ดีของเขา มิใช่ตัดสินที่มูลค่าสิ่งของ และจะเลยไปถึงการยินดี ชื่นชมเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีด้วย

                        การทำบุญด้วยใจ ทำให้เป็นกุศล และมีความสุข ตรงกันข้าม การอิจฉาคนอื่นที่ทำดีกว่าตน หรือถือตัวถือตน ทำให้จิตใจเร่าร้อนและเครียดง่าย แต่ถ้าอยากให้ลูกมีสุขภาพใจที่สมบูรณ์ พ่อแม่ควรสอนลูกให้รู้จักฝึกจิตใจให้มีภูมิคุ้มกันความทุกข์ ฉลาดในการจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ที่มากระทบใจด้วย

                        ตัวอย่างแนวทางการสอน

                        • สอนลูกให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือตัวถือตนหรือดูถูกผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีอายุน้อยกว่าเรียนมาน้อยกว่า หรือมีฐานะต่ำกว่า แม้กับคนงานหรือคนรับใช้ในบ้านก็ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่กับเขา ข้อนี้รวมถึงการไม่ดูถูกคนที่นับถือศาสนาอื่นด้วย
                        • เป็นตัวอย่างที่ดีในการพูดถึงคนอื่นในแง่ดี ไม่นินทาว่าร้ายผู้อื่น
                        เล่นดนตรี ฝึกสมาธิ
                        เล่นดนตรี ฝึกสมาธิ

                        ข้อที่ 5 สมาธิ..ฝึกใจให้สงบเบาสบาย

                        การฝึกสมาธิช่วยให้ใจสงบง่าย ดับความโกรธความเร่าร้อนได้ดี เวลาลูกโมโห ควรแนะให้ลูกหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สัก 4-5 ครั้งเป็นอย่างน้อย แต่สมาธิจะได้ผลดี ต้องฝึกเป็นประจำแม้ในยามปกติ วิธีฝึกสมาธิสำหรับเด็ก ไม่จำเป็นต้องนั่งนิ่ง ๆ เหมือนผู้ใหญ่เสมอไป การให้เขารับรู้ความรู้สึกของตนเอง ณ ขณะนั้น การนั่งนับตัวเลข 1-10 จนครบเพื่อให้จิตใจสงบก็เป็นเสมือนการฝึกสมาธิสำหรับเด็กแล้ว

                        ตัวอย่างแนวทางในการสอน

                        • พ่อแม่อาจใช้เกมช่วยให้เด็กมีสมาธิได้ เช่น ให้เด็กเคลื่อนไหวช้าๆ โดยเคลื่อนอวัยวะทีละส่วน เหมือนกับเป็นตุ๊กตาหุ่นยนต์ โดยมีกติกาให้เด็กสังเกตความรู้สึกทุกส่วนที่เคลื่อนไหววิธีนี้จะทำให้เด็กสนุกกับการจดจ่อทำให้เกิดสมาธิ
                        • ไม่อนุญาตให้ลูกทำอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เพราะเป็นการสร้างนิสัยจับจด ไม่มีสมาธิ เป็นนิสัยที่ไม่ทำให้ลูกสร้างจิตที่สงบได้ เวลาเกิดปัญหาเขาจะทำอะไรไม่ถูก แก้ปัญหาไม่ได้ ความสุขในชีวิตก็ไม่บังเกิด

                        ข้อที่ 6 ไม่ยึดถือตัวตน ใช้ปัญญาแก้ปัญหา

                        ปัญญาไม่ใช่เพียงแค่การเรียนเก่งเท่านั้น แต่เป็นการสร้างปัญญาให้ตนเอง ด้วยการคิดถูกคิดชอบ ไม่ยึดเอาความถูกใจของตนเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งก่อนที่เราจะเกิดปัญญาได้ ต้องเริ่มจากการไม่ยึดถือตัวตน ความคิดของตนเท่านั้นที่ถูกต้อง หากเรายอมรับในเรื่องนี้ได้แล้ว เมื่อประสบกับปัญหาใดก็ตาม ลูกก็จะเอาความถูกต้องเป็นหลัก ยอมรับฟังคำตักเตือน เพื่อมาใคร่ครวญว่าที่เขาพูดนั้นถูกต้องไหม ท่าทีแบบนี้นอกจากจะทำให้ไม่ทุกข์เวลาถูกตักเตือนแล้ว ยังจะได้ประโยชน์ ช่วยพัฒนาตนเองอีกด้วย

                        ตัวอย่างแนวทางในการสอน

                        • ฝึกให้ลูกทานอาหารในจานให้หมด ไม่เลือกรับประทานแต่ที่ชอบ เพราะทุกอย่างล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย

                        เทคนิคง่าย ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปใช้เตรียมพร้อม สร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ลูกได้พบแต่สิ่งที่ดีงาม เพราะว่าไม่มีสิ่งใดจะทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราดีใจไปกว่าการที่ได้เห็นลูกมีความสุข ความเจริญในชีวิต

                        ข้อมูลอ้างอิงจาก kroobannok.com / wsc.ac.th

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        “สอนลูกทำบุญ” อย่างฉลาด! ด้วย 6 วิธีสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก

                        10 วิธีฝึกลูกให้ “กล้าแสดงออก” อย่างเหมาะสม ไม่ก้าวร้าว

                        10 ทักษะสอนลูกให้เป็นคนดี มีศีลธรรม!

                        เลี้ยงลูกอย่างไร? ให้ลูกมี พัฒนาการด้านอารมณ์ ที่ดี

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          จิตอาสา

                          ทำไมต้องช่วยเหลือผู้อื่น? จิตอาสา พาชีวิตดีขึ้นอย่างไร?

                          ฝึกลูกให้มีนิสัยชอบช่วยเหลือผู้อื่น มี จิตอาสา ตั้งแต่เด็ก จะสร้างผลประโยชน์มหาศาลทั้งกับตัวลูกเอง และผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี มาดูกันว่าการช่วยเหลือผู้อื่น จะช่วยให้ชีวิตลูกดีขึ้นได้อย่างไร

                          ทำไมต้องช่วยเหลือผู้อื่น? จิตอาสา พาชีวิตดีขึ้นอย่างไร?

                          ถ้าเราต้องการความสุขเพียงชั่วยาม…ให้งีบหลับ

                          ถ้าเราต้องการความสุขทั้งวัน…ให้ไปตกปลา

                          หากเราต้องการความสุขทั้งชีวิต…ให้ช่วยเหลือผู้อื่น

                          จะเห็นได้ว่าการช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เราเกิดสุข เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม สัตว์สังคม คือ สัตว์ที่โดยธรรมชาติแล้วต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีความสัมพันธ์ อาศัยพึ่งพากัน นอกจากความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว การมี จิตอาสา สามารถช่วยพัฒนาตัวเราให้มีความคิดในด้านบวก และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้ หากสังคมเต็มไปด้วยการช่วยเหลือกันและกัน ทุกคนก็จะมีความสุขมากขึ้น เพราะทุกคนจะได้พบความสุขจากการช่วยเหลือกันและกัน สุขใจที่ได้ให้และสุขใจที่ได้รับ มาดูเหตุผลว่าทำไมเราจึงควรช่วยเหลือผู้อื่นกันค่ะ แล้วเราจะเห็นได้ว่าการช่วยเหลือซึ่งการมีประโยชน์มากแค่ไหน

                          5 ประโยชน์ของการช่วยเหลือผู้อื่น

                          1. ทำให้เกิดความสุข

                          อย่างที่เคยกล่าวไปข้างต้นว่า หากเราต้องการความสุขทั้งชีวิต…ให้ช่วยเหลือผู้อื่น ใช่ค่ะ การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้เกิดความสุขได้จริง นี่ไม่ใช่การกล่าวลอย ๆ เคยมีงานวิจัยซึ่งได้ผลว่าการทำกิจกรรม จิตอาสา ช่วยเพิ่มความสุขให้แก่ อาสาสมัครคนนั้น และในอีก 1 วิจัยได้กล่าวไว้ว่าการช่วยเหลือผู้อื่นโดยการให้ ไม่ว่าจะเป็นการให้เงิน หรือให้สิ่งของ ก็ทำให้ผู้ให้ได้พบกับความสุขที่เพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์ได้เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “helper’s high” เพราะการช่วยเหลือผู้อื่นจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นโดฟีน สารที่ทำให้เกิดความสุขได้นั่นเอง

                          2. เชื่อมความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดีขึ้น

                          เมื่อคุณช่วยเหลือผู้อื่น จะทำให้เกิดความรู้สึกดี ๆ ให้กันและกัน และจะสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ทำให้เกิดความสนิทสนมกันได้ง่ายขึ้น และผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือ ได้ช่วยเหลือเรากลับ เราก็จะเกิดความรู้สึกดีกับคน ๆ นั้นเช่นกัน จนเกิดการแบ่งปันกันในสังคม

                          3. สามารถปรับตัวและรับมือกับความเครียดและปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

                          การช่วยเหลือผู้อื่นไม่ทำให้เราเกิดความเครียดมากขึ้น แถมยังสอนให้เราปรับตัวและรับมือกับความเครียดและปัญหาต่าง ๆ ได้ดีขึ้นอีกด้วย เพราะการได้รับรู้ปัญหาของผู้อื่น และเราได้ช่วยลงมือแก้ไขปัญหานั้น ๆ จะเป็นบทเรียนให้ตัวเรารู้จักรับมือกับปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้ในอนาคตนั่นเอง

                          5. ทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น

                          หากอยากมีชีวิตยืนยาว ให้เป็นผู้ให้ การช่วยเหลือผู้อื่นช่วยให้:

                          • ลดความเครียดและทำให้อารมณ์ดีขึ้น
                          • การไม่มีความเครียดจะลดอัตราเสี่ยงที่จะเสียชีวิตลง 22%
                          • การช่วยเหลือผู้อื่นดีต่อสุขภาพจิต

                          ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการกอด การประสานสายตา การยิ้ม จะช่วยให้เราหลังฮอร์โมนที่ชื่อว่า Oxytocin (ออกซิโทซิน) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฮอร์โมนแห่งความรัก ฮอร์โมนนี้จะช่วยให้เราจัดการกับความเครียดได้ดี เมื่อเราไม่มีความเครียด ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น

                          5. ช่วยให้รู้จักความหมายของชีวิต

                          ความหมายในชีวิต คือ การรับรู้ของคนเราถึงเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของตนเอง เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจดำรงชีวิตอยู่อย่างมั่นคงเมื่อเผชิญกับอุปสรรคหรือวิกฤตของชีวิต ความหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงให้เรามีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวในลักษณะของการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตอย่างมุ่งมั่น และมีทัศนะต่อชีวิตที่เข้มแข็งเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ต่อได้ การช่วยเหลือผู้อื่นจึงทำให้เรามีเป้าหมายในการใช้ชีวิตมากขึ้นนั่นเอง

                          ช่วยเหลือผู้อื่น
                          ช่วยเหลือผู้อื่น

                          วิธีปลูกฝังให้ลูกรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น

                          สังคมในยุคสมัยนี้ ที่มีสังคมออนไลน์มาเป็นฉากกั้นให้เราได้พูดคุยกันนอกจอน้อยลง ติดต่อกันน้อยลง สัมผัสถึงอารมณ์และความรู้สึกกันได้น้อยลง การช่วยเหลือกันและกันจึงทำได้น้อยลง จึงทำให้การปลูกฝัง จิตอาสา ให้ลูกทำได้ยากขึ้น ทีมแม่ ABK ขอนำบทความจาก Rama Chanel ที่ได้กล่าวถึงวิธีปลูกฝังลูกให้รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ดังนี้

                          1. การช่วยเหลือทางกาย

                          การช่วยเหลือทางกาย คือการช่วยเหลือเมื่อบุคคลอื่นกำลังประสบกับปัญหาทางกาย เช่น

                            • ให้ความช่วยเหลือ หากพบว่า มีคนเอื้อมมือหยิบของบนที่สูงไม่ถึง (ถ้าคุณตัวสูงพอ)
                            • หากกำลังจะเปิดประตูเข้าอาคารห้างร้าน แล้วพบว่า มีคนเดินตามาข้างหลัง แค่เปิดประตูค้างไว้นานอีกนิด เผื่อให้คนที่ตามมาข้างหลังได้เข้ามาด้วยก็จะเป็นการแสดงความเอื้อเฟื้อต่อเขาด้วยเช่นกัน
                            • ให้ความช่วยเหลือกับเด็ก คนอ่อนแอ หรือสัตว์เลี้ยงที่ถูกกระทำรุนแรง
                            • หากทราบว่า เพื่อนบ้าน คนรู้จักป่วย ลองให้ความช่วยเหลือแก่เขาเหล่านั้น เช่น ส่งอาหารอร่อย ๆ ไปให้ ไปเยี่ยมเป็นเพื่อนพูดคุยคลายเหงา จะช่วยให้คนป่วยรู้สึกดีขึ้น
                            • ทำขนมอร่อย ๆ และแบ่งให้เพื่อนบ้านลองชิม
                            • หากคุณพบว่ามีคนประสบปัญหาทางการเงิน หรือประสบภัยพิบัติ ลองให้ความช่วยเหลือโดยการซื้อของใช้จำเป็นไปมอบให้
                            • ให้ความช่วยเหลือกับเด็ก คนชรา ที่กำลังรอข้ามถนน หรือต้องขึ้นลงรถโดยสารประจำทาง

                          2. การช่วยเหลือทางวาจาและจิตใจ

                          การพูด การให้กำลังใจ หรือการใช้อวัจนภาษา เพื่อให้บุคคลอื่นรู้สึกดีขึ้น มองเห็นทางสว่างหรือทางออกของปัญหาได้ ก็ถือเป็นการช่วยเหลือได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น

                            • ยิ้มและทักทายคนรู้จักด้วยไมตรีจิต
                            • กรณีที่คุณได้รับบริการพิเศษ หรือเกิดเรื่องประทับใจใด ๆ ขึ้นกับหน่วยงานที่คุณเข้าไปติดต่อ เช่น ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่อย่างดี ไม่ตะคอกใส่ ไม่เพิกเฉยต่อคำร้องเรียนของคุณ ลองเขียนจดหมายบอกเล่าถึงความดีของเจ้าหน้าที่คนนั้นส่งไปให้องค์กรของเขาได้รับทราบ
                            • เมื่อมีคนพยายามจะเปิดวงนินทา แล้วคุณบังเอิญอยู่ในวงนั้นพอดี ขอให้ลองชวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา หรือไม่ก็หางานอย่างอื่นทำ
                            • ให้กำลังใจเพื่อน หรือคนรู้จัก หากทราบว่า เขาเจอเรื่องแย่ ๆ มา
                            • หากคุณมีหนังสือดี ๆ และต้องการมอบมันให้กับใครสักคนที่ต้องการกำลังใจ ลองวางในที่ที่คาดว่า จะมีคนมาพบ และหยิบมันขึ้นดูแน่ ๆ เช่น บนเก้าอี้รถเมล ในสวนสาธารณะ จะดียิ่งขึ้น หากคุณเขียนโน้ตบอกผู้ที่มาหยิบหนังสือนี้ว่า ขอให้ผู้ที่หยิบขึ้นมาอ่านรู้สึกดี ๆ กับหนังสือเล่มนี้เหมือนที่คุณรู้สึก และแบ่งปันให้กับคนอื่น ๆ ต่อไป
                            • ลองชวนลูกเขียนจดหมาย -ส่งข้อความดี ๆ หาเพื่อน หาคุณตาคุณยาย คนรู้จัก

                          สิ่งต่าง ๆ ที่เขียนมานี้ ในบางข้อลูกจะยังไม่สามารถทำได้เองหรอกค่ะ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องเป็นตัวอย่างที่ดี โดยการทำให้ลูกเห็นเป็นประจำ เพื่อปลูกฝังนิสัยดี ๆ เหล่านี้ให้ลูกได้นำไปใช้เมื่อโตขึ้น เพราะหากพ่อแม่ไม่ทำให้ลูก ๆ ดูก่อน เด็กก็คงไม่ยอมทำตาม ดังนั้น หากต้องการให้ลูกรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น เราต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้ลูกเห็นก่อนค่ะ

                          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                          โครงการจิตอาสา สอนลูกช่วยสังคมได้ง่าย ๆ แม้อยู่บ้าน

                          ท่องศีล5 ลูกได้แค่จำ ลองวิธีใหม่ช่วยเข้าถึงแก่นธรรมง่ายๆ

                          ลูกเก่งรอบด้าน แค่เพียงแม่ชวนลูก “นั่งสมาธิ”

                          5 ลักษณะนิสัยของเด็ก “อารมณ์ดี” มีความมั่นคงทางจิตใจ

                           

                          ขอบคุณข้อมูลจาก : dosomethingcool.net, www.rama.mahidol.ac.th

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            เกมฝึกทักษะ

                            เกมฝึกทักษะ การแก้ปัญหา ฝึกลูกก่อนเผชิญของจริง

                            ทักษะ การแก้ปัญหา ของเด็กหายไปไหน ข้อกังวลของแม่ๆที่ได้มาปรับทุกข์กันเมื่อลูกชอบทิ้งปัญหาไม่ยอมแก้ ก่อนที่จะสายไปเรามาฝึกทักษะนี้ให้ลูกด้วยเกมสนุกๆกันดีกว่า

                            เกมฝึกทักษะ การแก้ปัญหา ฝึกลูกก่อนเผชิญของจริง

                            เด็กที่ขาดความอดทน ไม่ยอมลำบาก กลัวแพ้ และไม่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องให้พ่อแม่เป็นผู้ช่วยเหลือ คงเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกน้อยของเรากันอย่างแน่นอน แต่เพราะเหตุใดที่จะนำพาให้พวกเขาต้องกลายมาเป็นเช่นนี้ ตัวลูกเองคงไม่อยากมีลักษณะนิสัยเช่นนี้เป็นแน่ เด็กทุกคนก็คงอยากเป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่ของตนเอง เราเชื่อว่าลูกก็คงทุกข์ใจไม่แพ้คุณพ่อคุณแม่เช่นกัน

                            เรื่องทักษะการแก้ปัญหาเป็นเรื่องจำเป็นของสังคมมนุษย์ เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญปัญหาและอุปสรรคในชีวิตทั้งนั้น แตกต่างกันตรงที่จะมีวิธีรับมือ หรือจัดการกับปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างไรต่างหาก

                            ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการปลูกฝัง หรือการเลี้ยงดูที่เหมาะสมจากพ่อแม่ด้วยว่าได้เลี้ยงดูลูกอย่างไร เราเข้าไปจัดการปัญหาแทนลูกจนเกินไปไหม หรือปล่อยให้ลูกได้เผชิญปัญหา หรือช่วยเหลือตัวเองบ้างหรือไม่

                             

                            ลูกหนีปัญหา
                            ลูกหนีปัญหา

                             

                            กันไว้ดีกว่าแก้!!

                            ความสามารถในการแก้ไขปัญหา เป็นความฉลาดด้านหนึ่งของมนุษย์ หรือที่เรียกว่า AQ (Adversity Quotient ) หมายถึง การมีความสามารถในการเอาชนะฝ่าฟันอุปสรรค ความอดทนต่อความยากลำบากโดยไม่ย่อท้อ มีความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ หรือปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ ความสามารถในการเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสซึ่งเป็นทักษะชีวิตที่จำเป็นอย่างยิ่งในสังคมยุคปัจจุบัน

                            เมื่อการเลี้ยงดูเป็นส่วนสำคัญในการสอนให้ลูกรู้จัก การแก้ปัญหา ด้วยตัวเอง  มีคำแนะนำว่า คุณพ่อคุณแม่ควรปล่อยให้ลูกได้เผชิญกับปัญหา และแก้ไขปัญหานั้นด้วยตนเอง แต่ความเป็นห่วงของพ่อแม่ไม่มีวันเสื่อมคลาย ทาง ทีมแม่ ABK ตระหนักรู้ถึงสัจจะธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี เราจึงได้นำ เกมฝึกทักษะการแก้ปัญหา มาฝากคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังต้องการตัวช่วยในเรื่องนี้กัน เพราะเกมเป็นเสมือนการจำลองเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้เล่นจะต้องเผชิญปัญหาที่ต้องแก้ไขให้ผ่านพ้น จึงจะสามารถผ่านด่านต่าง ๆ ไปได้จนพบกับผลลัพธ์ ผลสำเร็จ เป็นรางวัลตามมา

                            ดังนั้นเกมจึงเป็นตัวช่วยที่ดีที่จะทำให้ลูกได้ฝึกการแก้ปัญหา ก่อนที่จะไปเผชิญกับปัญหาในชีวิตจริง เป็นการให้เขาได้ซ้อม ได้เตรียมตัว ไม่ตื่นตระหนก เมื่อเขาทำได้ก็เป็นการเพิ่มความมั่นใจ การรับรู้ความสามารถในตัวเอง และที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ก็จะได้ไม่ต้องห่วง หรือกังวลกลัวลูกแก้ปัญหาไม่ได้มากเกินไป เพราะเป็นเพียงเหตุการณ์สมมติเท่านั้น

                            เกมฝึกทักษะการแก้ปัญหา เกมนี้แสนสนุก ท้าทายจัง

                            เกมฝึกทักษะการแก้ปัญหา เป็นอีกวิธีการหนึ่งเพื่อให้เด็กรู้จักปัญหา ไม่ตื่นตระหนก หรือหวั่นวิตก พร้อมกันนั้นยังช่วยฝึกให้เด็กเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นด้วยตัวของเขาเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถแนะนำแนวทางการแก้ปัญหาแก่ลูกน้อยได้บ้าง แต่มิใช่เป็นการลงมือทำให้ลูกเอง โดยที่เขาไม่ได้ลองทำด้วยตัวเอง จงท่องไว้ว่า เราไม่ได้ต้องการผลลัพธ์ หรือรางวัลจากเกมนั้น ๆ วิธีการที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จต่างหากที่เราต้องการไว้ฝึกลูกให้เขาสามารถค้นหาวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านไหวพริบ ความมีเหตุมีผล และความคิดที่ยืดหยุ่นของเด็กได้เป็นอย่างดี

                             


                            เกมฝึกทักษะ การแก้ปัญหา

                             

                            เกมจับคู่ หนูทำได้

                            เป็นเกมที่เหมาะสำหรับทุกวัย เพราะเป็นเกมที่ไม่ซับซ้อน เกมจับคู่ที่ดูเหมือนว่าจะทำให้เราใช้ทักษะเพียงแค่ความจำในการเล่นเกม แต่แท้จริงแล้ว ผู้เล่นจะต้องทำการจัดกลุ่มความคิด ความจำของแต่ละการ์ดเป็นชุด ๆ จะได้ทำให้จำได้ง่ายขึ้นเวลาที่จะจับคู่ และใช้ความเชื่อมโยงของภาพนั้น ๆ กับตำแหน่งที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งก็เป็นทักษะในการจัดการปัญหาอย่างหนึ่ง เมื่อเราพบปัญหา สิ่งแรกที่ต้องทำในการแก้ปัญหา นั่นคือ การแยกประเด็นของปัญหานั้น ๆ สิ่งใดควรได้รับการแก้ไขก่อน สิ่งใดต้องรอ ซึ่งก็เหมือนกับการจัดกลุ่มของความจำ และใช้การเชื่อมโยงปัญหาในการเล่นเกมจับคู่นั่นเอง

                            วิธีการเล่น

                            ใช้การ์ดภาพที่เหมือนกันภาพละ 2 ใบ ในหนึ่งสำรับมีหลายคู่ วางคว่ำหน้า และปะปนคละกระจายกันไป สลับกันเปิดการ์ดทีละคน หากสามารถเปิดการ์ดที่มีภาพเหมือนกันได้ ก็สามารถเปิดต่อไปจนกว่าจะได้ภาพที่ไม่เหมือนกัน ผู้เล่นลำดับถัดไปจึงเล่นต่อได้ คุณพ่อคุณแม่อาจเพิ่มความยากด้วยการหาภาพที่สัมพันธ์กันมาใช้สำหรับจับคู่ อาทิ แมวกับปลา หมากับกระดูก แทนการใช้ภาพที่เหมือนกัน เพื่อให้เขาเข้าใจความสัมพันธ์ของภาพนั้น ๆ เป็นการสอนความรู้ให้เด็ก ๆ ไปด้วยได้อีกทางหนึ่ง

                            เกมเรียงลำดับเหตุการณ์ การ์ดไหนเกิดก่อนกัน

                            เพื่อให้เด็กเข้าใจและเชื่อมโยงสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้การเรียงลำดับภาพมาเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกลูกได้ โดยเราอาจจำลองสถานการณ์ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการสอนลูกเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ลูกควรแก้ปัญหาด้วยวิธีใด อย่างไร เป็นการสอนการปฎิบัติตัวเวลาเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายได้ดีกว่าการพร่ำสอนด้วยปากเปล่า เพราะเด็กจะเห็นภาพเหตุการณ์นั้นได้ชัดเจนกว่า เช่น อยากสอนลูกในสถานการณ์หากเขาถูกลืมทิ้งไว้ในรถ ก็อาจจะวาดภาพออกมาเป็นลำดับ ภาพแรกตื่นมาพบว่าตัวเองอยู่คนเดียวในรถที่ล็อคอยู่ ภาพที่สอง ทุบกระจกร้องเรียกให้ช่วย ภาพที่สาม บีบแตรรถตรงที่นั่งคนขับ เป็นต้น

                            วิธีการเล่น

                            โดยการให้ลูกลองเรียงลำดับสถานการณ์ตามความเข้าใจของตัวเอง โดยมีพ่อแม่คอยแนะนำอยู่ข้าง ๆ หรือถ้าลูกยังเล็กอาจเรียงลำดับสถานการณ์ไว้ให้ตามลำดับ แล้วเว้นช่วงใดช่วงหนึ่งเพื่อให้เด็กวิเคราะห์และเติมสถานการณ์ที่เว้นว่างไว้ให้ถูกต้อง

                             

                            การแก้ปัญหา เพิ่มความมั่นใจ
                            การแก้ปัญหา เพิ่มความมั่นใจ

                             

                            เกมหาตัวเลข (คำศัพท์) ฉันอยู่ไหนเอ่ย??

                            เกมนี้เป็นเกมที่ฝึกพัฒนาการของเด็กหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความจำ การสังเกต การแก้ปัญหา และไหวพริบ เพราะการหาคำศัพท์หรือตัวเลขที่อยู่กระจัดกระจายเต็มหน้ากระดาษต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก หากต้องการเพิ่มความยากก็แค่กำหนดเวลาในการหาคำศํพท์หรือตัวเลขของลูก เท่านี้เขาก็จะเห็นว่าเกมนี้เป็นเกมที่ท้าทายขึ้น หรือหากคุณพ่อคุณแม่ร่วมเล่นกับลูกด้วย เมื่อมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาก็จะเป็นการช่วยเพิ่มทักษะในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของลูกได้เป็นอย่างดี ข้อสำคัญไม่ควรอ่อนข้อให้กับลูกมากจะเกินไป เพราะเขาจะไม่ได้รับการจำลองเหตุการณ์ความกดดันเวลาต้องแข่งขัน การแข่งขันจะนำมาซึ่งการเรียนรู้ในการจัดการอารมณ์ และวางแผนในการเล่นเพื่อให้ได้รับชัยชนะ ซึ่งถือว่าเป็นทักษะที่ดีในการแก้ปัญหา

                            วิธีการเล่น

                            ใช้เพียงกระดาษว่าง ๆ แล้วเขียนตัวเลข 1-100 หรือ จะเป็นเป็นคำศัพท์ใด ๆ ก็ขึ้นอยู่กับวัยของลูก โดยเขียนกระจัดกระจายไปให้ทั่วแผ่นกระดาษ เริ่มเล่นด้วยการหาตัวเลขเรียงลำดับไปเรื่อย ๆ เมื่อหาเจอแล้ววงกลมล้อมรอบไว้ หากมีผู้เล่นหลายคนให้แยกสีปากกาที่ใช้วง (ถ้าหากเป็นคำศัพท์ต้องมีผู้ที่คอยบอกคำที่เป็นโจทย์ให้หา)

                            เกมเติมคำ ช่วยคนถูกแขวนคอ

                            เกมที่เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่คงเคยเล่นกันในสมัยเด็ก ถ้ายังจำกันได้ คือเกมหาคำเติมคำศัพท์ ช่วยคนถูกแขวนคอ เกมคำศัพท์แต่เพิ่มภารกิจอันแสนลุ้นว่าจะช่วยคนได้หรือไม่ เป็นการเพิ่มความท้าทายให้กับเกม และนอกเหนือจากนั้นยังเป็นการปลูกฝังความเป็นผู้นำ ความอยากช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนได้อีกด้วย เป็นการท้าทายความสามารถในการจัดการปัญหาของลูกว่า เขาจะเดาตัวอักษรมาเติมคำศัพท์นั้นอย่างไร หากลูกใช้วิธีการเดาสุ่ม เดามั่ว จำนวนในการคาดเดาก็มีผลต่อการแขวนคอของคนด้วย ดังนั้นจึงต้องจัดการการเดาตัวอักษรให้ดี มีหลักการความน่าจะเป็นไม่พูดมั่ว ๆ ไป เกมนี้จึงเป็นการช่วยฝึกให้ลูกแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี ทั้งยังช่วยลูกทบทวนคำศัพท์ต่าง ๆ ได้อีกด้วย

                            วิธีการเล่น

                            กำหนดคำศัพท์ขึ้นมาหนึ่งคำ แต่เว้นช่องตัวอักษรในคำไว้บางตัว เพื่อให้ผู้เล่นหาตัวอักษรมาเติมคำ ให้คำ ๆ นั้นสมบูรณ์ หากตัวอักษรที่เลือกมาไม่ถูกต้อง ก็จะทำการวาดเติม เสา เชือก หัวคน ส่วนตัว แขน ขา ทีละอย่างจนกระทั่งครบ เท่ากับว่าไม่สามารถช่วยคนถูกแขวนคอได้

                             

                            ร่วมเล่นเกม การแก้ปัญหา
                            ร่วมเล่นเกม การแก้ปัญหา

                             

                            เกมใบ้คำขำกระจาย

                            ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า คุณพ่อคุณแม่อาจชวนลูกมาเล่นเกมใบ้คำด้วยท่าทาง ผลัดกันเป็นคนใบ้ เป็นคนทาย จากคำที่กำหนด เราอาจได้เห็นกระบวนการคิดของลูกว่าเขาจะจัดการปัญหาในการใบ้คำอย่างไร จะใบ้คำด้วยท่าทางตามความหมายของคำนั้นตรง ๆ หรือจะแยกคำใบ้เพื่อให้ง่ายขึ้น และอีกหลายต่อหลายทักษะที่ลูกต้องงัดขึ้นมาใช้ในการใบ้คำ ทายคำเพื่อที่จะสามารถเก็บชัยชนะมาเป็นของตนให้ได้ นอกจากได้ฝึกทักษะการแก้ปัญหาแล้ว การเล่นเกมภายในครอบครัวยังสร้างเสียงหัวเราะ ความสนุก และเพิ่มความสัมพันธ์ของคุณพ่อคุณแม่กับลูก ๆ ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

                            วิธีการเล่น

                            ทำบัตรคำศัพท์ที่จะให้ทายมาเป็นชุด หลาย ๆ ชุด แบ่งเป็นคู่ที่จะเป็นคนใบ้ และคนทายคำ การใบ้คำอาจจะให้ใช้คำพูด หรือห้ามพูดเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ประเมินว่าลูกอยู่ในวัยที่สามารถเล่นแบบไหนได้

                            คงพอเห็นตัวอย่างการใช้เกม ที่เป็นเรื่องสนุก ท้าทายมาช่วยในการฝึกเพิ่มทักษะการแก้ปัญหาให้ลูกกันบ้างแล้ว ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเกมที่ยกตัวอย่างมาให้คุณพ่อคุณแม่เท่านั้น เราสามารถปรับเปลี่ยนเกมใด ๆ ก็ได้ที่ลูกชอบมาร่วมเล่นกันภายในครอบครัว เพราะจุดสำคัญของการเล่นเกมเพื่อฝึกทักษะใด ๆ นั้นขึ้นอยู่กับตัวคุณพ่อคุณแม่เองที่จะช่วยแนะนำ ชี้แนะให้ลูกได้เห็นแนวทางการแก้ปัญหา หรืออาจเป็นตัวอย่างที่ดีในการเลือกวิธีจัดการปัญหาให้ลูกเห็น และเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองผิดลองถูกเสียบ้าง นั่นคือใจความสำคัญในการฝึกทักษะให้แก่ลูกน้อยเพื่อเขาจะได้เดินหน้าสู้กับปัญหาที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเขาได้อย่างมีแนวทาง และไม่เป็นกังวล

                            ข้อมูลอ้างอิงจาก trueplookpanya.com/ MGR online
                              พ่อแม่ไม่ควรโกหกลูก

                              พ่อแม่ไม่ควรโกหกลูก อย่าหลอกเด็ก โตขึ้นลูกจะกลายเป็น เด็กเลี้ยงแกะ

                              การโกหกโดยไม่ตั้งใจ อาจส่งผลให้ลูกกลายเป็นเด็กพูดปด มาดูสาเหตุที่ พ่อแม่ไม่ควรโกหกลูก พร้อมกับเทคนิคการเลี้ยงลูกสไตล์ดีเจเพชรจ้า

                              พ่อแม่ไม่ควรโกหกลูก เทคนิคเลี้ยงลูกไม่ให้เป็นเด็กขี้โกหก

                              คุณพ่อลูกหนึ่งที่หลายคนติดตาม ดีเจเพชรจ้า วิเชียร กุศลมโนมัย คุณพ่อสุดเท่ที่ชอบโพสต์ภาพความน่ารักของน้องไทก้าอยู่เสมอ พร้อมกับแชร์ความคิด ไอเดียการเลี้ยงลูกที่น่าสนใจ และหนึ่งในเทคนิกการเลี้ยงลูกของคุณพ่อเพชรจ้าก็คือ การไม่โกหกลูก โดยคุณพ่อเพชรจ้า ได้โพสต์ภาพตัวเองกับลูกชาย ทั้งยังแชร์เทคนิคของการเลี้ยงลูกไว้ว่า

                              “เทคนิค 1 อย่างของการเลี้ยงลูก คือ ไม่โกหก ไม่โกหกว่า ทำนี่ก่อน ทำนี่ก่อน แล้วเดี๋ยวให้ของเล่น ทั้ง ๆ ที่ไม่มีของเล่น
                              กินข้าวก่อน แล้วจะพาไปเที่ยว แต่กินเสร็จไม่พาไป

                              เช้าวันหนึ่ง เฮียหาแว่นไม่เจอ เลยถามไทก้าว่า เห็นแว่นปะป๊ามั้ย ไทก้าบอกแบบไม่คิดเลย อยู่ในรถป๊า แล้วมันก็อยู่จริง ๆ เด็กมันรู้ เด็กมันจำได้ ความจำมันดีกว่าเราเยอะ

                              อย่าไปโกหกเด็กเลย สงสารเค้า เค้าก็คาดหวัง เรื่องโกหก จริง ๆ ใช้ได้กับทุกคนด้วย รักกัน ไม่โกหกกัน น่ารักที่สุดนะคับ ปะป๊ายังไม่เคยโกหกไทก้าเลยเนอะ เคยแค่จับลูกเข้ามุมร้องไห้โฮ 555555 i love my family”

                              เทคนิคการเลี้ยงลูกด้วยการไม่พูดโกหกสไตล์ดีเจเพชรจ้านั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการเลี้ยงลูก หากพ่อแม่ซึ่งเป็นต้นแบบยังโกหก พูดเรื่องไม่จริง ลูกจะซึมซับและกลายเป็นเด็กพูดโกหกได้

                              พ่อแม่ไม่ควรโกหกลูก อย่าโป้ปดเพื่อหลอกลูกให้ทำตามสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ

                              การไม่โกหกลูก เป็นพื้นฐานสำคัญในการเลี้ยงลูก เช่นเดียวกับเรื่องหลอกเด็ก หรือการพูดปดเพื่อให้เด็กทำตามสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ จะยิ่งบ่มเพาะนิสัยการโกหกให้กับลูกโดยไม่รู้ตัว เรื่องนี้ยืนยันได้จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงวารสาร “จิตวิทยาเด็กเชิงทดลอง” (Journal of Experimental Child Psychology) โดยทีมนักวิจัยด้านสังคมศาสตร์และจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหนานหยาง (NTU) ที่ระบุว่า การโกหกของพ่อแม่ยิ่งบ่อยมากเท่าไร ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ลูกมีนิสัยขี้โกหก เมื่อเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นคนโป้ปด

                              จากกลุ่มตัวอย่างที่ถูกหลอกด้วยเรื่องโกหกในวัยเด็ก เพิ่มแนวโน้มที่จะพูดโกหกมากขึ้น หรือพูดจาเกินจริงตอนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แม้แต่การโกหกเพื่อรักษาน้ำใจหรือโกหกเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้กับผู้อื่น ล้วนส่งผลเช่นกัน

                              กลุ่มตัวอย่างที่โกหกบ่อย ๆ ยังมีปัญหาด้านการปรับตัวทางจิต-สังคม (Psychosocial adjustment) ส่วนพฤติกรรมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว มีความเห็นแก่ตัว รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า และชอบข่มขู่ผู้อื่น

                              เมื่อพ่อแม่โกหกลูก สร้างเรื่องหลอกเด็ก แต่กลับสอนลูกเรื่องความซื่อสัตย์ ทำให้เกิดความขัดแย้งกันของคำสอนให้เป็นคนซื่อสัตย์และพฤติกรรมการโกหกของพ่อแม่ จนกลายเป็นว่าลูกหมดความเชื่อใจในตัวพ่อแม่ได้

                              ลูกพูดปดเลียนแบบพ่อแม่

                              หนึ่งในสาเหตุที่ลูกโกหกนั้น เกิดจากการเลียนแบบผู้ใหญ่ เลียนแบบพ่อแม่ การพูดเรื่องไม่จริงหรือหลอกลูก ทำให้เด็กรู้สึกคุ้นเคยกับเรื่องโกหก และเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติ

                              สำหรับสาเหตุที่ลูกโกหกนั้น มีหลายเหตุผลด้วยกัน โดยหมอมินบานเย็น พญ.เบญจพร ตันตสูติ เจ้าของเพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา ได้บอกถึงสาเหตุว่า พ่อแม่ที่พูดโกหกเป็นประจำจะทำให้มันไม่เห็นเสียหายที่จะพูดปดเพื่อผลประโยชน์ เด็กบางคนใช้การโกหกเพื่อเรียกร้องความสนใจ หรือต้องการคำชื่นชม และแม้แต่ความรู้สึกกลัวการลงโทษ ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กโกหกเพราะต้องการปกป้องตัวเอง กลัวว่าพูดความจริงไปแล้วจะถูกลงโทษ

                              ถ้าลูกโกหกต้องแก้อย่างไร

                              ก่อนจะตีตราว่าลูกโกหก พ่อแม่ต้องรู้ก่อนว่า การโกหกนั้นมีเรื่องพัฒนาการของแต่ละช่วงวัยด้วย โดยเด็กเล็กที่เพิ่งพูดได้ ช่วงอายุ 2-3 ขวบยังไม่สามารถแยกแยะความจริงกับเรื่องในจินตนาการได้ หากลูกวัยนี้พูดสิ่งที่ไม่เป็นความจริง พ่อแม่ควรบอกว่า เรื่องนี้ไม่จริง พร้อมกับอธิบายความจริงให้ลูกได้รู้

                              หากเป็นเด็กโตอายุเกิน 7 ปีขึ้นไปพูดโกหก พ่อแม่ก็พูดความจริงกับลูกด้วยเหตุผล เช่น ที่แม่รู้มาไม่ใช่อย่างนั้นนะ พร้อมกับพยายามทำความเข้าใจว่า เหตุใดลูกถึงโกหก เพราะลูกอาจโกหกเพื่อให้พ่อแม่สบายใจ หรือกลัวพ่อแม่เสียใจก็เป็นได้

                              แต่ถ้าลูกโกหกซ้ำ ๆ จนติดเป็นนิสัย หรือมีพฤติกรรมด้านลบอื่นร่วมด้วย พ่อแม่ควรลงโทษตามสมควร ใช้เหตุผลในการลงโทษไม่ใช่อารมณ์ ควรหลีกเลี่ยงการตี ไม่ควรใช้ความรุนแรง ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เด็กได้รู้ถึงผลของการกระทำ ส่วนกรณีที่ลูกทำผิดแล้วมาสารภาพภายหลัง ให้กล่าวชื่นชมลูกก่อนที่ทำผิดแล้วมาสารภาพ แต่ก็ต้องลงโทษตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ตัวพ่อแม่ผู้ปกครองต้องสำรวจตัวเอง ไม่ควรแสดงท่าทีผิดหวัง โกรธเกรี้ยว ด่าทอ หรือลงโทษลูกรุนแรง เพราะเด็กจะยิ่งปกปิดความจริงในอนาคต ควรแสดงให้ลูกเห็นว่า พ่อแม่ยอมรับสิ่งนี้ได้ แต่ลูกต้องรับผิดชอบจากสิ่งที่ทำลงไป

                              เลี้ยงลูกอย่างไรโตไปไม่โกหก

                              • ป้อนความรัก ดูแลด้วยความใส่ใจ พ่อแม่ที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก จนลูกรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจ มั่นใจได้ว่าไม่ว่าอย่างไรพ่อแม่ก็จะรัก จนกล้าที่จะปรึกษาหรือบอกความจริง
                              • ลูกพลาด ลูกผิด ไม่ควรตำหนิรุนแรง ควรจัดการตามพฤติกรรมที่ผิดนั้น ให้เหตุผลลูกว่า ทำไมถึงถูกลงโทษ หรือเวลาที่ลูกทำผิดแล้วมาสารภาพ ควรชื่นชมก่อนที่ลูกกล้าบอกความจริง พร้อมกับแนะนำลูกว่าต้องทำอย่างไร
                              • เชื่อใจในตัวลูก บางครั้งลูกเลือกที่จะโกหกเพื่อตัดความรำคาญ หรือขี้เกียจตอบคำถาม พ่อแม่จึงควรชวนลูกคุยตามธรรมชาติ ไม่ควรคาดคั้นหรือซักไซ้ เพราะระแวงว่าลูกจะไม่พูดความจริง

                              สิ่งสำคัญอย่างสุดท้าย พ่อแม่ต้องไม่โกหกลูก เพราะถ้าลูกรู้สึกว่า การโกหกนั้นพ่อแม่ยังทำได้ จะกลายเป็นว่า ลูกมองเรื่องการโกหกหรือปกปิดความจริงเป็นเรื่องปกติ จากคำหลอกลวงเล็ก ๆ อาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ลุกลาม ที่มีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ จากแค่การโกหก

                              อ้างอิงข้อมูล : bbc, facebook.com/kendekthai, rajanukul และ cumentalhealth

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              ลูกเก่งรอบด้าน แค่เพียงแม่ชวนลูก “นั่งสมาธิ”

                              วิธีบอกรักลูก ฉบับง่าย! แม้ไม่มีคำว่า “รัก” แต่ลูกรับรู้ได้!!

                              10 วิธีฝึกลูกให้ “กล้าแสดงออก” อย่างเหมาะสม ไม่ก้าวร้าว

                                บทสนทนาภาษาอังกฤษ

                                5 บทสนทนาภาษาอังกฤษ ปั้นลูกอนุบาลเก่งภาษา ให้พูดคล่อง สำเนียงเป๊ะ

                                บทสนทนาภาษาอังกฤษ ที่คุณแม่พูดคุยกับลูกน้อยในชีวิตประจำวัน เป็นอีกหนึ่งทางลัดช่วยลูกน้อยให้เก่งภาษาได้โดยไม่ต้อง “ท่องจำ” เพราะระหว่างพูดคุยลูกจะได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์ ความหมาย การออกเสียง และสำเนียงการพูดไปด้วยกัน  แต่ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยเรื่องอะไร ทีมแม่abk ได้รวบรวมบทสนทนาง่ายๆ ในสถานการณ์แตกต่างกันที่ใช้พูดคุยกับลูกได้ทุกวัน จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันเลยค่ะ

                                ปั้นลูกเก่งภาษา กล้าพูดกล้าคุยง่ายๆผ่าน บทสนทนาภาษาอังกฤษ ภายในบ้าน

                                งานวิจัยของ Stephen Krashen จากมหาวิทยาลัย University of Southern California ซึ่งระบุว่าผู้ใหญ่อาจเรียนรู้ภาษาด้วยสติสัมปชัญญะผ่านบทเรียน คำศัพท์ ไวยาการณ์ และโครงสร้างอื่นๆ ในขณะที่เด็กเล็กตั้งแต่วัยเริ่มพูดสามารถเรียนรู้ภาษาต่างๆได้พร้อมกัน ทั้งภาษาแม่ ภาษาที่สองและสามขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ว่ามีการใช้ภาษาหลากหลายแค่ไหน สังเกตได้ว่า เด็กๆจะใช้วิธีซึมซับและทำความรู้จักกับภาษานั้นๆผ่านการพูดคุยเป็นหลัก ซึ่งเป็นสื่อสารตามธรรมชาติของมนุษย์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องท่องคำศัพท์ หรือเรียนไวยากรณ์ แต่กลับเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่และโต้ตอบโดยไม่ต้องสอน

                                 

                                บทสนทนาภาษาอังกฤษ

                                ไม่ว่าบ้านไหนก็อยากให้ลูกน้อยเก่งภาษาอังกฤษ สามารถฟัง พูดคุย อ่าน เขียนได้เข้าใจเพื่อเป็นอาวุธสำคัญในการเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เปิดกว้างมากขึ้น ภาษาอังกฤษก็เป็นภาษากลางที่สามารถใช้สื่อสารกับคนทั้งโลกได้ แต่การจะให้เด็กวัยอนุบาลท่องจำตัวอักษร คำศัพท์ หรือดูคลิปสอนภาษาจากสื่อออนไลน์อาจเพียงพอที่จะช่วยให้ลูกเก่งภาษาอังกฤษได้ เพราะสื่อการเรียนแบบนั้นเป็นการสื่อสารทางเดียว เด็กเป็นผู้รับฟังแต่ไม่ได้หัดโต้ตอบ พูดคุย หรือตั้งคำถามกลับไป ฉะนั้นการปล่อยให้ลูกดูคลิป หรือเคี่ยวเข็ญให้ลูกอ่านจากหนังสืออาจไม่ใช้วิธีเรียนภาษาของเด็กๆ

                                อยากเก่งภาษา บทสนทนาภาษาอังกฤษ ช่วยได้อย่างไร

                                จริงๆแล้วการเรียนภาษาอังกฤษเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาจากสิ่งรอบตัว เพียงคุณพ่อคุณแม่ลองหาเปิดโอกาส ชวนลูกมาพูดคุยเป็น บทสนทนาภาษาอังกฤษ ผ่านกิจวัตรประจำวันหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่พบเจออยู่แล้ว โดยไม่ต้องกังวลว่าภาษาอังกฤษของคุณพ่อคุณแม่จะต้องเป๊ะเว่อร์ เพียงแค่รู้สึกมั่นใจในการพูด หากไม่แน่ใจอาจต้องทำการบ้านเพิ่มเติมว่า ควรใช้คำศัพท์ว่าอะไร ออกเสียงอย่างไรจากคลิปเจ้าของภาษาก่อน เพียงเท่านั้นการเริ่มพูดคุยภาษาอังกฤษกับลูกก็ไม่ใช่เรื่องยาก

                                คุณแม่อาจเล่นบทบาทสมมุติไปตามสถานการณ์ต่างๆ เช่น เล่นเป็นคุณครูกับลูกศิษย์, เล่นเป็นเพื่อนวัยเดียวกัน เปลี่ยนบทบาทเป็นคุณตาคุณยาย หรือแม่ค้า และเพื่อให้ลูกเข้าใจว่าสามารถใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันและเรียนรู้วิธีพูดกับคนที่แตกต่างกันด้วย

                                ในระยะแรกๆ ลูกจะยังฟังไม่เข้าใจ หรือพูดโต้ตอบไมได้ คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งหงุดหงิดหรือท้อใจเสียก่อน ขอให้พยายามพูดต่อไปอาจเปลี่ยนการเล่าเรื่องง่ายๆ อ่านนิทานภาษาอังกฤษ ระหว่างนี้ลูกจะค่อยๆจดจำวิธีพูดและน้ำเสียงไว้ พอเห็นว่าการพูดภาษาอังกฤษเป็นเรื่องธรรมดา ลูกจะรู้สึกว่าการพูดอีกภาษาก็เป็นเรื่องที่สนุกและยังได้รับคำชม ลูกก็พร้อมจะคุยด้วย

                                 MUST READ : กระโปรงรถ เรียก skirt ได้ไหมกับ คำศัพท์ล้างรถ ไว้สอนลูกน้อย

                                MUST READ : ชวนลูกเรียนผ่านการเล่นเป็นภาษาอังกฤษ

                                 5 บทสนทนาภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ชวนลูกคุยได้ทุกวัน

                                ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มคุยกับลูกด้วยเรื่องอะไร ทีมแม่ abk ขอยกตัวอย่าง บทสนทนาภาษาอังกฤษ สำหรับเด็กอนุบาลที่พบเห็นและได้ใช้บ่อยๆ คุณพ่อคุณแม่อาจปัดฝุ่นทักษะภาษาอังกฤษหรือเริ่มฝึกฝนไปพร้อมลูกและชวนพูดคุยกันด้วยบรรยากาศสนุกสนานก็จะช่วยให้ลูกมีทักษะภาษาอังกฤษได้ไม่ยากค่ะ

                                 

                                บทสนนทนาภาษาอังกฤษ ฝึกลูกพูดกับคุณครู

                                Teacher:    “Good morning. How are you?” (กูด-มอร์นิง, ฮาว-อาร์-ยู)   

                                                    [สวัสดีจ้ะ สบายดีไหม]

                                Child:    “Good morning teacher. I am fine, thank you. And you?” (กูด-มอร์นิง-ทิชเชอร์. ไอ-แอม-ฟาย, แทง-คิว. แอนด์-ยู)         

                                                   [สวัสดีค่ะคุณครู หนูสบายดี ขอบคุณค่ะ แล้วคุณครูล่ะคะ]

                                Teacher:   “I am good. Thanks. What did you do over the weekend?” (ไอ-แอม-กูด. แต๊งส์. ว้อท-ดิด-ยู-ดู-โอเวอร์-เดอะ-วีคเอนด์)

                                                      [ครูสบายดีค่ะ วันหยุดนี้หนูทำอะไรมาคะ]

                                Child:         “I went to the zoo.” (ไอ-เวนท์-ทู-เดอะ-ซู)

                                                    [หนูไปสวนสัตว์มาค่ะ]

                                Teacher:     “Oh, that was great. Did you enjoy it?” (โอ-แดด-วอส-เกรท. ดิด-ยู-เอ็นจอย-อิท)

                                                      [โอ้โห ดีจัง สนุกมั้ยคะ]

                                Child:     “Yes, it was so much fun.” (เยส, อิท-วอส-โซ-มัช-ฟัน)

                                                  [สนุกค่ะ สนุกมากๆเลย]

                                Teacher:   “Nice. Now, let’s take a look at your homework.” (ไนซ์. นาว, เล็ตส์-เทค-อะ-ลุค-แอด-ยัวร์-โฮมเวิร์ค)

                                                   [เยี่ยมเลย เอาละ ไหนครูขอดูการบ้านหน่อยสิคะ]

                                 

                                บทสนทนาภาษาอังกฤษ

                                บทสนนทนาภาษาอังกฤษ ฝึกลูกพูดกับเพื่อน

                                Child:                         “Hi, Lily” (ไฮ, ลิลี่)

                                                                       [สวัสดี ลิลี่]

                                Lily:                           “Hi, Tim. What are you doing?” (ไฮ, ทิม. ว้อท-อาร์-ยู-ดูอิง)

                                                                      [สวัสดี ทิม เธอทำอะไรอยู่น่ะ]

                                Child:                        “I am playing with building blocks.” (ไอ-แอม-เพลอิง-วิท-บิลดิง-บล็อกส์)

                                                                       [เล่นต่อบล็อก]

                                Lily:                          “That sounds nice. Can I join?” (แดด-ซาวส์-ไนซ์. แคน-ไอ-จอยน์)

                                                                     [น่าสนุกแฮะ เล่นด้วยได้ไหม]

                                Child:                    “Yes, sure. And what is in your hand?” (เยส-ชัวร์. แอนด์-ว้อท-อิส-อิน-ยัวร์-แฮนด์)

                                                               [ได้สิ เอาเลย ว่าแต่ในมือเธอนั่นอะไรน่ะ]

                                Lily:                       “My new princess storybook. Do you want to read?” (มาย-นิว-พรินเซส-สตอร์รีบุ๊ค. ดู-ยู-ว้อนท์-ทู-รีด)

                                                               [หนังสือนิทานเจ้าหญิงเล่มใหม่ของฉันน่ะ เธออยากอ่านมั้ย]

                                Child:                    “No, thanks.” (โน-แทงคิว.)

                                                               [ไม่ละ ขอบใจ]

                                 

                                บทสนนทนาภาษาอังกฤษ ฝึกลูกพูดกับญาติผู้ใหญ่

                                Grandpa:    “Long time no see, Tim. I miss you so much.” (ลอง-ไทม์-โน-ซี, ทิม. ไอ-มิส-ยู-โซ-มัช)

                                                      [ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ทิม ตาคิดถึงหลานจังเลย]

                                Child:   “I miss you too, Grandpa.” (ไอ-มิส-ยู-ทู, แกรนด์ปา)

                                                    [ผมก็คิดถึงตาครับ]

                                Grandma:  “You are very tall.” (ยู-อาร์-เวรี-ทอล) 

                                                        [หลานตัวสูงจัง]

                                Child:  “I drink milk every day.” (ไอ-ดริงค์-มิลค์-เอฟรี่-เดย์)

                                               [ผมดื่มนมทุกวันเลย]

                                Grandma:    “Very good. I have a gift for you.” (เวรี-กูด. ไอ-แฮฟ-อะ-กิฟท์-ฟอร์-ยู)

                                                          [เยี่ยมมาก ยายมีของขวัญมาให้หลานด้วยนะ]

                                Child:  “Thank you, granny. What is it?” (แทงคิว, แกรนนี. วอท-อิส-อิท)

                                               [ขอบคุณครับยาย อะไรเหรอครับ]

                                Grandpa:  “It’s your favorite toy. Robot.” (อิท’ส-ยัวร์-เฟเวอริท-ทอย. โรบอท)

                                                       [ของเล่นโปรดของหลาน หุ่นยนต์ไง]

                                Child:   “Wow, I like that!” (ว้าว, ไอ-ไลค์-แดด)

                                                   [โอ้โห ถูกใจเลยครับ]

                                บทสนนทนาภาษาอังกฤษ ฝึกลูกพูดกับพ่อค้า/แม่ค้า

                                Seller:     “Hello, what do you want for today?” (ฮัลโหล, วอท-ดู-ยู-วอนท์)

                                                                   [สวัสดีค่ะ วันนี้รับอะไรดีคะ]

                                Child:  “Can I have a stick of ice-cream please?” (แคน-ไอ-แฮฟ- อะ-สติก-ออฟ-ไอศกรีม-พลีส)

                                                                 [ขอไอศกรีมแท่งหนึ่งครับ]

                                Seller:    “What flavor do you want?” (วอท-เฟลเวอร์-ดู-ยู-วอนท์)

                                                                   [รับรสอะไรดีคะ]

                                Child:     “Chocolate please.” (ช็อกโกแลต-พลีส)

                                                                  [รสช็อคโกแลตครับ]

                                Seller:   “Alright, here you are. It’s 10 baht.” (ออลไรท์, เฮียร์-ยู-อาร์. อิทส์-เทน-บาท)

                                                                  [ได้เลย นี่ค่ะ 10 บาทค่ะ]

                                Child:   “Here you are.” (เฮียร์-ยู-อาร์)

                                                                 [นี่เงินครับ]

                                Seller: “Thank you. Please come again.” (แทงคิว-พลีส-คัม-อะเกน)

                                                [ขอบคุณค่ะ ไว้มาอุดหนุนอีกนะคะ]

                                บทสนนทนาภาษาอังกฤษ ฝึกลูกพูดก่อนเข้านอน

                                Mom:      “How was today? Did you have fun?”  (ฮาว-วอส-ทูเดย์. ดิด-ยู-แฮฟ-ฟัน)

                                                    [วันนี้เป็นยังไงบ้างลูก สนุกไหม]

                                Child:        “Yes, I was playing all day.” (เยส, ไอ-วอส-เพลอิง-ออลล์-เดย์)

                                                     [สนุกครับ เล่นทั้งวันเลย]

                                Dad:           “What did you play?” (วอท-ดิด-ยู-เพล)

                                                     [เล่นอะไรเหรอ]

                                Child:      “Many things. I played swing, games and toy cars.” (แมนี-ติงส์. ไอ-เพลด์-สวิง, เกมส์-แอนด์-ทอย-คาส์)

                                                     [หลายอย่างครับ เล่นชิงช้า เกม แล้วก็รถของเล่น]

                                Mom:       “You must be so tired.” (ยู-มัส-บี-โซ-ไทร์เอ็ด)

                                                     [ลูกต้องเพลียมากแน่เลย]

                                Dad:          “So you need to get some rest. Let’s sleep.” (โซ-ยู-นีด-ทู-เก็ท-ซัม-เรสต์. เล็ต’ส์-สลีพ)

                                                             [งั้นลูกพักผ่อนเถอะนะ นอนกันดีกว่า]

                                Child:          “I feel not tired.” (ไอ-ฟีล-น็อท-ไทร์เอ็ด)

                                                      [ผมไม่เหนื่อยเลย]

                                Mom:         “So, mommy will sing lullabies for you.” (โซ-มัมมี-วิว-ซิง-ลัลลาบายส์-ฟอร์-ยู)

                                                     [เดี๋ยวแม่ร้องเพลงกล่อมนอนนะจ๊ะ]

                                Child:          “That is nice. I love your songs.” (แดด-อิส-ไนซ์. ไอ-เลิฟ-ยัวร์-ซองส์)

                                                         [เอาสิครับ ผมชอบให้แม่ร้องเพลง]

                                Mom/Dad:       “Have a good night.” (แฮฟ-อะ-กูด-ไนท์)

                                                              [ราตรีสวัสดิ์นะลูก]

                                 

                                ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถปรับเปลี่ยนบทสนทนาภาษาอังกฤษเหล่านี้ให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ ในระยะแรกลูกอาจไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พูดด้วย หรือว่าเข้าใจแต่ยังไม่พูดตอบ แต่หากพยายามพูดคุยภาษาอังกฤษกับลูกบ่อยๆ ลูกจะเข้าใจโดยธรรมชาติและสื่อสารออกมาได้แน่นอนค่ะ


                                แหล่งข้อมูล  www.learnenglishkids.britishcouncil.org      www.sk.com.br

                                 

                                บทความน่าอ่าน

                                 

                                แม่ไม่เก่งภาษา ฝึกภาษาลูกให้สำเร็จ ได้อย่างไร?

                                 

                                เทคนิคดี! หนิง ศรัยฉัตร สอนลูกสองภาษา ไม่ใช่แค่เรียนอินเตอร์

                                  วาดรูปง่ายๆ

                                  สอนลูก วาดรูปง่ายๆ รูปสัตว์น่ารักกว่า 20 แบบ ฝึกวาดเส้นเสริมจินตนาการ

                                  การวาดรูป ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมศิลปะที่มีประโยชน์และดีต่อพัฒนาการสำหรับเด็ก ๆ เป็นอย่างมาก แค่ยื่นกระดาษและดินสอให้ลูกได้วาด เด็ก ๆ ก็สามารถสร้างจินตนาการเป็นรูปต่าง ๆ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูก วาดรูปง่ายๆ อย่างวาดรูปสัตว์น่ารัก อาทิเช่น ไก่ หมา เสือ เพนกวิน ฯลฯ ด้วยขั้นตอนที่ง่าย ๆ ซึ่งนอกจากจะเป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนุกสนานแล้ว ยังช่วยกระตุ้นพัฒนาการในด้านต่าง ๆ เช่น เสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กให้แข็งแรง ช่วยฝึกการประสานสัมพันธ์ของมือกับตาให้ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว และช่วยทำให้ลูกได้มีสมาธิอีกด้วย

                                  สอนลูก วาดรูปง่ายๆ วาดรูปสัตว์น่ารัก ฝึกวาดเส้นเสริมจินตนาการ

                                  คุณพ่อคุณแม่ที่คิดว่าตัวเองวาดรูปไม่เป็นหรือวาดไม่เก่ง ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ แม้ไม่มีพื้นฐานก็สามารถที่จะสอนให้เจ้าตัวเล็กวาดรูปได้ เพราะการวาดรูปสำหรับเด็ก ๆ เริ่มจากการปูพื้นฐานให้ลูกได้ลองวาดเส้นพื้นฐานและรูปทรงต่าง ๆ เมื่อเห็นว่าลูกวาดเส้นแนวนอน แนวตั้ง หรือวาดรูปวงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม ฯลฯ ได้แล้ว ก็ฝึกวาดเติมโครง เติมตา หู จมูก ปาก ของสัตว์ต่างๆ ได้ มาดูรูปแล้ววาดตามขั้นตอนกันเลย

                                  ชุดสัตว์เลี้ยง

                                  1.รูปปลาน้อย

                                  drawing fish

                                  2.รูปกระต่าย

                                  bunny
                                  bunny

                                  3.รูปหมาน้อย

                                  dog

                                  4.รูปแมว

                                  cat

                                  5.รูปนกน้อย

                                  bird

                                  ชุดแมลง

                                  6.รูปแมลงเต่าทอง

                                  lady-bug

                                   

                                  7.รูปตะขาบ

                                  centipede

                                  8.รูปแมงมุม

                                  spider

                                  9.รูปผึ้งน้อย

                                  bee

                                  10.รูปผีเสื้อ

                                  butterfly

                                  11.รูปมด

                                  ant

                                  12.รูปหนอนน้อย

                                  worm

                                  ชุดสัตว์ต่าง ๆ

                                  13.รูปลิง

                                  monkey

                                  14.รูปสิงโต

                                  lion

                                  15.รูปหอยทาก

                                  snail

                                  16.รูปยีราฟ

                                  giraff

                                  17.รูปฮิปโป

                                  hippo

                                  18.รูปเสือ

                                  tiger

                                  19.รูปหมี

                                  bear

                                  20.รูปวาฬ

                                  whale

                                  21.รูปค้างคาว

                                  bat

                                  22.รูปม้าลาย

                                  zebra

                                  23.รูปนกฮูก

                                  owl

                                  เว็บไซต์เพื่อการศึกษาตั้งแต่ช่วงอายุ 2 – 6 ปี www.youngciety.com ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกวาดเส้นพื้นฐานสำหรับเด็กปฐมวัยที่น่าสนใจว่า กระบวนการทางความคิดในการวาดรูปของเด็ก เกิดจาก

                                  • เรียนรู้จากการจดจำรูปร่างและรูปภาพซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ถูกใช้ในการวาดรูปต่าง ๆ ให้ออกมาเป็นรูปร่างได้
                                  • เรียนรู้การสร้างรูปร่างและรูปภาพจากรูปทรง ซึ่งรูปทรงพื้นฐานอย่างสี่เหลี่ยม วงกลม และเส้นต่าง ๆ จะนำมาใช้เป็นองค์ประกอบในการวาดรูปง่าย ๆ ได้ เมื่อเด็กมีพัฒนาการมากขึ้นและอยู่ในวัยที่พร้อม เด็กก็จะสามารถใส่รายละเอียดเพิ่มเติมจากโครงร่างที่วาดได้ดียิ่งขึ้น
                                  • เรียนรู้การสร้างรูปร่างและรูปภาพที่สมบูรณ์แบบเมื่อเด็กมีพัฒนาการมากขึ้น เด็กจะรู้จักวิเคราะห์และวาดรูปได้อย่างสร้างสรรค์ มีขั้นตอนและการใส่รายละเอียดที่ทำให้เริ่มวาดรูปได้อย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

                                  สอนลูกวาดรูปพ่อแม่ไม่เก่งศิลป์ก็ช่วยส่งเสริมศิลปะให้ลูกได้

                                  สำหรับเด็ก ๆ แล้วไม่ว่าจะเริ่มต้นตั้งแต่เด็กเล็กไปถึงโต “ศิลปะ” ถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเด็ก ๆ เมื่อได้ลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นการวาดรูป ระบายสี หาทำศิลปะประดิษฐ์จากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งช่วยทำให้เกิดพัฒนาการทั้งภายในและภายนอกของเด็กไปพร้อม ๆ กัน คุณพ่อคุณแม่สามารถกระตุ้นให้ลูกได้ใช้เวลาว่างในการวาดรูปส่งเสริมพัฒนาการได้ อาทิเช่น

                                  • ให้ลูกได้ลองวาดสิ่งที่ตัวเองสนใจ ปล่อยให้จินตนาการของเด็กเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เช่น การวาดรูปวิว ดอกไม้ รูปสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น
                                  • เพื่อการส่งเสริมพัฒนาการที่ดีของลูก เด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกใช้อุปกรณ์ศิลปะ เช่น ดินสอ กระดาษ สีเทียน สีไม้ สีเมจิก ฯลฯ และเลือกอุปกรณ์ให้ใช้อย่างเหมาะสมตามช่วงอายุ เช่น ในวัยเด็กเล็กสามารถใช้ดินสอสีไม้หรือสีเทียนขนาดที่จับพอเหมาะกับมือ ในเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปสามารถให้ลูกได้ลองใช้สีเมจิกที่มีความโดดเด่นเรื่องสีสัน เพิ่มจินตนาการให้ลูกได้มากขึ้น และเมื่อพัฒนากล้ามเนื้อมือแข็งแรงแล้ว ก็สามารถหาสีประเภทอื่น ๆ เช่น สีน้ำ สีชอลก์ เพื่อฝึกให้ลูกเรียนรู้เทคนิคการใช้สีวาดรูปชนิดอื่น ๆ
                                  • การวาดรูปศิลปะของลูกอาจจะเริ่มต้นจากเส้น รูปทรงพื้นฐาน จากนั้นก็พัฒนาการเป็นรูปทรงอื่น ๆ วาดออกมาเป็นภาพด้วยการสังเกตจากสิ่งรอบตัว เกิดความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ เช่น รูปคน รูปสัตว์ ที่ใบหน้ามีหู ตา จมูก ปาก เริ่มมีแขน ขา และเริ่มใส่รายละเอียดตามพัฒนาการขึ้นในแต่ละวัย
                                  • สำหรับเด็กเล็กในช่วงแรก ๆ คุณพ่อคุณแม่อาจจะชวนให้วาดเส้น วาดรูปทรงซ้ำ ๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคยและมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงขึ้น จากนั้นก็ลองให้ลูกได้ขีด ๆ เขียน ๆ ภาพวาดในจิตนาการ และหลังจากวาดเสร็จแล้วลองชวนกันมาเล่าเรื่องจากภาพวาด ที่จะช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ให้ลูกได้อีกทางหนึ่งด้วยนะคะ.

                                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.youngciety.com

                                  ภาพจาก : Shutter.com

                                  อ่านต่อบทความเรื่องอื่นที่น่าสนใจ คลิก

                                  ชวนลูกเล่น วาดรูปสอนเขียนเลข แบบสนุกได้ประโยชน์

                                  สอนลูกวาดรูป สัตว์ ไม่ใช่เรื่องยาก!

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    ไข้หัดแมว

                                    ระวัง ไข้หัดแมว ระบาด! อีกหนึ่งภัยร้าย..บ้านไหนเลี้ยงแมวควรรู้

                                    ไข้หัดแมว ระบาด บ้านไหนเลี้ยงแมวต้องระวัง ในช่วงรอยต่อฤดู โรคไข้หัดแมว ทำแมวเสียชีวิตกว่า 40+ แล้ว คนเลี้ยงต้องสังเกตอาการให้ดี และอย่าลืมพาไปฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน

                                    เตือน ไข้หัดแมว ระบาด!
                                    บ้านไหนเลี้ยงแมวต้องสังเกตอาการให้ดี

                                    ในช่วงรอยต่อของฤดูแบบนี้ มีข่าวจากโซเชียลแชร์ว่า ไข้หัดแมว กำลังระบาดหนัก ทำแมวเสียชีวิต 45 ตัว ใน จ.เพชรบูรณ์ จึงสร้างความหวั่นวิตกว่าอาจจะเกิดการระบาดครั้งใหญ่หรือไม่? สำหรับเรื่องนี้ รศ.สพ.ญ.ดร.รสมา ภู่สุนทรธรรม หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาเปิดเผยถึงการระบาดของ ไข้หัดแมว ว่า … โรคนี้เป็นการติดเชื้อไวรัสไข้หัดแมว FPV หรือกลุ่มพาร์โวไวรัส ซึ่งเป็นโรคประจำถิ่นของไทย และเป็นเชื้อดั้งเดิมที่มีอยู่มานาน 40-50 ปี

                                    โดยเชื้อไวรัสไข้หัดแมว เป็นเชื้อที่รุนแรง มีอัตราตายสูงถึง 90% เกิดขึ้นได้กับแมวและสุนัข แต่ในสุนัขจะเรียกว่าโรคลำไส้อักเสบ พบประปรายใทุกพื้นที่โดยเฉพาะช่วงรอยต่อฤดู เช่นจากฤดูฝนเข้าสู่ฤดูหนาว ส่วนการระบาดใหญ่อาจเกิดขึ้นได้ 2-3 ปี/ครั้ง

                                    โรคไข้หัดแมว จะมีระยะการฟักตัวของโรค 2-7 วัน น้องแมวที่อายุน้อยส่วนใหญ่ตายอย่างรวดเร็ว อัตราการตายอยู่ระหว่าง 25-90% แมวป่วยจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ซึม เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเสีย ร่างกายขาดน้ำ เป็นโรคที่มีอัตราการตายสูง โดยเฉพาะในกลุ่มแมวที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน

                                    ไข้หัดแมว

                                    ซึ่ง รศ.สพ.ญ.ดร.รสมา ยังแนะนำว่าให้เจ้าของฉีดวัคซีนให้กับแมว เพราะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด สำหรับลูกแมวอาจต้องฉีด 2-3 เข็ม โดยเข็มแรกฉีดเมื่อลูกแมวมีอายุ 8 สัปดาห์ และฉีดซ้ำเข็มที่ 2 ห่างออกมา 2-4 สัปดาห์ และเข็มที่ 3 ฉีดเมื่อแมวอายุครบ 4 เดือน เพื่อไม่ให้ภูมิคุ้มกันจากแม่แมวรบกวนการทำวัคซีน ส่วนแมวใหญ่หรือแมวที่โตแล้ว ต้องฉีดวัคซีนปีละ 1 เข็ม”

                                    อย่างไรก็ตามหากแมวสุขภาพดี เจ้าของก็มีความสุข ที่สำคัญเจ้าของต้องควบคุมประชากรแมวให้ได้ เลี้ยงแมวให้น้อยตัวแต่แมวมีคุณภาพชีวิตดี มีความสุขกว่าเยอะ และถ้าฉีดวัคซีนให้แมวเป็นประจำ โรคระบาดก็จะไม่เกิดขึ้น

                                    ทั้งนี้ ไข้หัดแมว เป็นโรคเฉพาะสัตว์ในตระกูลแมวเท่านั้น ไม่มีรายงานติดถึงคนและสัตว์เลี้ยงอื่น บ้านไหนที่เลี้ยงแมวจึงไม่ต้องกังวลว่าโรคนี้จะติดมายังตัวเองหรือลูกน้อย แต่ ไข้หัดแมว ก็อาจเป็นสาเหตุของการคร่าชีวิตน้องแมวแสนรักของเด็กๆ ไปได้

                                    บอกลูกอย่างไรเมื่อสัตว์เลี้ยงตาย​​​

                                    สำหรับเด็กแล้วความใกล้ชิดทำให้สัตว์เลี้ยงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและพัฒนาการด้านอารมณ์ ความรู้สึก เมื่อถึงเวลาที่สัตว์เลี้ยงต้องจากไป ก็เป็นเรื่องจำเป็นที่พ่อแม่ควรสื่อสารกับลูกน้อยเหล่าทาสแมวให้ดี โดยเปลี่ยนการสูญเสียสัตว์เลี้ยงแสนรักเป็นโอกาสให้ลูก ได้เรียนรู้วิถีของธรรมชาติที่ไม่จีรังแทน

                                    นักจิตวิทยาเด็กแนะนำว่าควรบอกตอนที่ลูกอยู่ในอารมณ์สงบ ชวนไปนั่งคุยสองต่อสองในที่เงียบ และต้องให้ลูกรู้สึกว่าปลอดภัย ส่วนตัวพ่อแม่เองไม่ควรฟูมฟายจนเกินเหตุ หรือตำหนิใครในข้อบกพร่องหรือเป็นสาเหตุให้สัตว์เลี้ยงตาย ที่สำคัญที่สุด คือ “ต้องไม่โกหก” การบอกว่า “มันหนีไปไหนไม่รู้ แม่ตามหาไม่เจอ” หรือ “มันไปเที่ยว เดี๋ยวก็กลับ”

                                    ไข้หัดแมว

                                    เพราะนั่นไม่ใช่การแนะนำถึงความตายที่ถูกต้องสำหรับเด็ก ซึ่งนอกจากจะเป็นการโกหกแล้วยังทำให้เด็กสับสนและรอคอย ควรบอกเด็กว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตามความจริง แต่ต้องคำนึงถึงวุฒิภาวะตามอายุของลูกด้วย ควรคิดให้ดีก่อนว่าควรใช้คำพูดอย่างไรให้ตรงความจริง แต่ไม่โหดร้ายรุนแรงเกินไป

                                    ทั้งนี้หากถูกถามว่า “ทำไมสัตว์ป่วยแล้วต้องตาย” ควรอธิบายบอกลูกว่า ความตาย คือเรื่องธรรมชาติ เช่น “ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตอะไร หากป่วยและไม่แข็งแรงก็อาจจะถึงตายได้” อาจสอดแทรกว่า ดังนั้นลูกต้องกินอาหารที่ดี ออกกำลังกาย รักษาความสะอาด ถ้าลูกป่วยเราจะเป็นห่วงและเสียใจมากเช่นกัน หรือจะตอบไปว่า “แม่ก็ไม่รู้ ไม่ว่าคนหรือสัตว์บางทีก็ตายไปเฉยๆ ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร” ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ก็อาจเป็นทางออกที่ดี

                                    เพราะนักจิตวิทยาแนะนำว่า การปล่อยให้ความตายเป็นเรื่อง “ลึกลับ ไม่สามารถคาดเดา หรือเรื่องที่ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า” ก็อาจเป็นคำตอบที่ดีสำหรับเด็ก

                                    สุดท้าย … พ่อแม่ไม่ควร “ซ่อนความเสียใจ” แต่ก็ไม่ควรแสดงออกจนเด็กตกใจ ควรชวนเด็กพูดคุยเพื่อให้เรียนรู้ว่าอารมณ์ของเค้าในตอนนี้คือ “ความเศร้า” และมันทำให้คนเราไม่สบายใจต้องทำให้เบาบางไปตามเวลา ด้วยการแชร์ว่าพ่อแม่เองก็เสียใจเช่นกัน แล้วชวนลูกอธิบายว่าหนูเองเสียใจมากแค่ไหน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า “ความเศร้าเป็นเรื่องเปิดเผยได้” และลูกจะไม่ต้องเศร้า หรือเก็บเรื่องที่ตนเองเสียใจอยู่คนเดียว พ่อแม่จะมีส่วนรับรู้และเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ กับอารมณ์เศร้าของเค้าด้วย ในทุกๆ เรื่อง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต


                                    ขอบคุณข้อมูลจาก : www.dailynews.co.thnews.ch7.commgronline.com

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจคลิกที่ภาพได้เลย ⇓

                                    10 ข้อดีของการ ให้ลูกเลี้ยงสัตว์ ส่งผลทั้งร่างกายและจิตใจ

                                    คลิปน่ารัก เบบี๋ดีใจสุดๆ ไปเลยเมื่อเจอเจ้าแมวตัวโปรด

                                    Kid safety รักน้องแมวรักน้องหมา…ต้องพาไปฉีด วัคซีนพิษสุนัขบ้า

                                    Kid safety รักน้องแมวรักน้องหมา…ต้องพาไปฉีด วัคซีนพิษสุนัขบ้า

                                    ไวรัสเห็บ ระบาด! ทำความรู้จัก โรค SFTS โรคร้ายใกล้ตัวจาก “เห็บ”