Page 157 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ตกขาวสีเหลือง

อย่าอาย! ตกขาวสีเหลือง เขียว เทาสีไม่ขาวผิดปกติแน่นอน

ตกขาวเมื่อไม่ขาว อย่ามัวแต่อาย สีของตกขาวกำลังบอกอะไรเรา จะ ตกขาวสีเหลือง เขียว เทา หรือขาว สีไหนปกติ สีไหนควรพบแพทย์ มาร่วมฟังคำตอบจากคุณหมอกันเลย

อย่าอาย! ตกขาวสีเหลือง เขียว เทาสีไม่ขาวผิดปกติแน่นอน

“ตกขาว”อาการทีพบได้ในผู้หญิงสามารถเกิดขึ้นได้และไม่อันตรายเสมอไป มาร่วมฟังข้อมูลดี ๆ จากคุณหมอ อ.พญ. อรวี ฉินทกานันท์ สาขาวิชาอนามัยการเจริญพันธ์ุ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ในรายการพบหมอรามา ช่วง Big Story ออกอากาศวันที่ 1 พ.ย.2560

ไขข้อข้องใจ กับภาวะตกขาว

ตกขาว คืออะไร?

ตกขาว (Leucorrhea) คือ สิ่งคัดหลั่งจากอวัยวะในอุ้งเชิงกราน ไม่ว่าจะเป็นจากช่องคลอด ปากมดลูก หรือแม้กระทั่งจากตัวมดลูกเอง ลักษณะของตกขาวปกติ คือ ตกขาวจะมีลักษณะตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และรอบเดือน ขึ้นกับปริมาณของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตโรน (Progesterone) ลักษณะเป็นเมือกขาว ใส ไม่มีสี หรือเป็นสีขาว ไม่มีกลิ่นเหม็น ปริมาณไม่มาก และไม่ก่ออาการคัน ตกขาวปกติจะพบมากได้ในช่วงกลางของรอบประจำเดือนหรือขณะตั้งครรภ์ และจะมีการหลั่งของเมือกในช่องคลอดมากขึ้นขณะมีเพศสัมพันธ์

ทำไมผู้หญิงต้องมีตกขาว?

เป็นของเหลวที่ถูกผลิตโดยต่อมภายในช่องคลอด เพื่อนำพาเอาเซลล์ที่ตายแล้ว และแบคทีเรียในช่องคลอดออกมา เพื่อความสะอาดและป้องกันการติดเชื้อในระบบสีบพันธุ์

สังเกตอย่างไรว่าเรามีภาวะตกขาวที่ปกติ ไม่ต้องไปพบแพทย์?

ตามปกติแล้วในสตรีที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (อีกนัยหนึ่ง คือ สตรีที่อยู่ในช่วงอายุที่ยังมีประจำเดือน หรือมีฮอร์โมนเพศหญิงเจริญเต็มที่) จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแตกต่างกันไปตามระยะของประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงนี้ จะมีผลต่อการลักษณะของเหลวที่สร้างขึ้นมาจากอวัยวะต่าง ๆ ในระบบสืบพันธุ์สตรี ดังเช่น ในช่วงกึ่งกลางรอบประจำเดือนหรือระยะใกล้เคียงกับการตกไข่ ซึ่งเป็นเวลาที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูง ทำให้ในช่วงเวลานี้ จะมีตกขาวลักษณะค่อนข้างเหลวใส ๆ ปริมาณมากกว่าระยะเวลาอื่น ส่วนตกขาวในระยะเวลาอื่นจะมีสีขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก นอกจากนั้นแล้ว ตกขาวที่ปกติควรจะไม่คัน และไม่มีกลิ่น ถ้าตกขาวมีลักษณะดังที่กล่าวมานี้ถือว่าปกติ ไม่มีความจำเป็นต้องรักษา

ปริมาณของตกขาวแบบใดที่ถือว่าผิดปกติ?

สตรีแต่ละคนจะมีปริมาณตกขาวแตกต่างกันไป บางคนอาจมีปริมาณตกขาวมากจนเปื้อนชุดชั้นในอยู่หลายวันในแต่ละเดือน แต่สำหรับบางคนอาจมีปริมาณน้อยจนไม่รู้ว่ามีตกขาวเลย ดังนั้นการดูแต่ปริมาณเพียงอย่างเดียวไม่ได้ คงต้องสังเกตอาการอื่น ๆ ของตกขาวประกอบด้วย

สาเหตุของการตกขาวที่ผิดปกติ เกิดได้จากอะไร?

ผู้หญิงเรามีภาวะตกขาวเป็นเรื่องปกติ แต่สาเหตุที่ทำให้ตกขาวของผู้หญิงอย่างเรามีความผิดปกติจนเกิดอาการต่าง ๆ บ่งบอกให้เราทราบได้นั้น เกิดจากสาเหตุ 2 แบบ คือ

  • สาเหตุจากการติดเชื้อ โดยช่องคลอดได้รับเชื้อจากภายนอก เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา พยาธิในช่องคลอด และไวรัส
  • สาเหตุจากการไม่ติดเชื้อ เช่น การระคายเคืองจากสารเคมี อาการจากมะเร็งปากมดลูก ช่องคลอด ท่อนำไข่ หรือมีสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด

ภาวะตกขาวผิดปกติเกิดได้ในช่วงอายุใด?

เป็นได้ทุกวัย ขึ้นอยู่กับความสะอาด และการดูแล ในหญิงที่มีอายุเยอะเข้าสู่วัยทอง ตกขาวปริมาณจะลดลง แต่ถ้ากลับมามีปริมาณตกขาวมากขึ้นผิดสังเกตควรระวัง ในเด็กก็อาจเกิดภาวะตกขาวผิดปกติได้ แต่ส่วนใหญ่จะพบสาเหตุเกิดจากการมีสิ่งแปลกปลอม หรือเด็กยัดของเล่นเข้าไปทำให้ระคายเคือง และมีตกขาวได้

สีของตกขาวสามารถบอกอาการของโรคได้จริงหรือ?

เบื้องต้นการสังเกตความผิดปกติของสีของตกขาวสามารถบ่งบอกถึงความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธ์ุภายในของผู้หญิงได้ แต่ไม่ได้เป็นปัจจัยทั้งหมดว่าเป็น 100% ต้องมีการสังเกตอาการอื่นร่วมดัวย เช่น กลิ่นมีกลิ่นคาว คัน มีไข้ ปวดท้อง แสบร้อน เป็นต้น และควรได้รับการตรวจภายในตรวจละเอียดโดยสูตินารีแพทย์ โดยเราสามารถสังเกตสีของตกขาวเบื้องต้นได้ ดังนี้

ตกขาวสีเหลือง เขียว บอกโรค
ตกขาวสีเหลือง เขียว บอกโรค
  • ตกขาวสีเขียว เป็นเพราะช่องคลอดเกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ซึ่งอาจเกิดได้จากการที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในช่องคลอด หรือแม้แต่การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโรค เช่น โรคหนองใน ลักษณะของอาการที่สังเกตได้เบื้องต้น คือ ตกขาวจะมีลักษณะสีเขียว บางครั้งก็อาจจะมีสีเหลืองปนเขียว มีกลิ่นเหม็นคาวปลา บางรายอาจจะมีอาการคัน และปวดแสบขณะปัสสาวะร่วมด้วย
  • ตกขาวสีเหลือง หรือค่อนข้างเขียว พบได้บ่อยที่สุดในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์  อาจมีอาการคันในบางราย สาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดอาจทำให้ตกขาวมีกลิ่นคาวปลาหลังการร่วมเพศ แต่ในกรณีที่มีการติดเชื้อจากโรคหนองในตกขาวจะมีสีเหลืองจัด อาจร่วมกับมีอาการปัสสาวะแสบขัดได้
  • ตกขาวสีชมพู พบได้ในหญิงหลังคลอด เนื่องจากการลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก
  • ตกขาวสีขาว แม้จะมีสีขาวแต่ลักษณะรูปร่างผิดปกติ คือ มีลักษณะเหมือนโยเกิร์ต มีการจับตัวเป็นก้อน ๆ เหมือนนมบูด อาจเกิดจากการติดเชื้อราจนมีอาการบวม แดง คันบริเวณอวัยวะเพศ แสบร้อน และเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
  • ตกขาวสีเทา ติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งมีหลายชนิด ต้องตรวจดูว่าเป็นตัวไหน จะได้ให้ยาได้ตรงตามเชื้อนั้น ๆ
  • ตกขาวสีน้ำตาลปนเลือด สีนี้เป็นสีที่น่ากังวล เพราะต้องตรวจดูว่าเลือดมาจากไหน อาจมาจากมะเร็งที่ทำให้เกิดเลือดได้จึงมีออกมาปนกับตกขาว
  • ตกขาวเป็นน้ำ ถ้าตกขาวเป็นน้ำไหลโจ๊กหรือเป็นฟอง มักเกิดจากเชื้อปรสิตพยาธิ พวกทริโคโมแนส

อายไม่กล้าตรวจภายใน ซื้อยามาทานเองได้ไหม?

อย่างที่บอกไปว่าสาเหตุของการที่ตกขาวเปลี่ยนสี มีหลากหลายสาเหตุ ทำให้หากไม่ไปตรวจหาสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคที่แท้จริง ใช้วิธีซื้อยามารับประทานเอง อาจจะได้ยาไม่ตรงกับเชื้อโรค เกิดภาวะดื้อยา ทำให้ไม่หาย แล้วถ้าปล่อยไว้นาน ๆ จะเป็นอันตรายมากกว่าได้รับการรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ เช่น การอักเสบจนลามไปยังอุ้งเชิงกราน ทำให้อุ้งเชิงกรานอักเสบ เป็นต้น

วิธีการดูแลรักษาความสะอาดควรทำยังไง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อในช่องคลอด?

การล้างช่องคลอดแรง ๆ หรือใช้สารเคมีที่มีความเข้มข้นเกินไป การสวนล้างช่องคลอดบ่อยเกินไป เป็นสาเหตุให้ผิวบริเวณนั้นแห้งเกินไป ซึ่งในช่องคลอดของผู้หญิงเราต้องมีเชื้อแบคทีเรียแลคโตบาซิลัส แบคทีเรียเจ้าถิ่นที่คอยดูแลช่องคลอด ป้องกันสิ่งแปลกปลอม การล้างมากเกินไปก็จะทำให้ระคายเคือง และไปทำลายเชื้อแบคทีเรียดีตัวนี้ด้วยเช่นกัน จึงควรล้างทำความสะอาดปกติก็พอ

อย่ามัวอาย!!ตรวจภายในไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

นพ.ฉันทวัฒน์ เชนะกุล สูตินรีแพทย์ มะเร็งนรีเวชกล่าวว่า อวัยวะเหล่านี้ไม่เหมือนอวัยวะอื่นๆ ที่เป็นระบบปิด ซึ่งมีปัจจัยรบกวนจากภายนอกน้อย แต่อวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงมีปัจจัยภายนอกเข้าไปรบกวน นั่นคือการมีเพศสัมพันธ์ ทำให้มีการขยายตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายโดยเฉพาะเมื่อมีลูก ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นอะไรได้มาก “ถ้าไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ โอกาสที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกเกือบจะเป็นศูนย์ แต่ยังมีรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกที่อกาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้ ดังนั้น นี่คือประโยชน์ของการตรวจภายใน”

ตรวจภายใน อย่าอาย
ตรวจภายใน อย่าอาย

เมื่อเราต้องการตรวจภายใน คุณหมอจะทำการสอบถามประวัติ และหากจำเป็นต้องตรวจภายในเพื่อให้ได้การวินิจฉัยโรค คุณหมอก็จะให้ไปเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะออกให้หมด เพื่อให้การตรวจภายในนั้นให้ได้ผลแม่นยำที่สุด และจะได้ไม่รู้สึกปวดปัสสาวะเวลาที่ถูกกดตรวจท้องน้อย กรณีที่มีตกขาวไม่จำเป็นต้องล้างออก เนื่องจากคุณหมอต้องการสังเกตลักษณะของตกขาวเพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรค หลังจากนั้นได้เวลาขึ้นบนเตียงตรวจภายใน โดยในห้องตรวจจะเป็นบริเวณมิดชิด มีเพียงคุณหมอ และผู้ช่วยเท่านั้น การตรวจเริ่มจากสอดเครื่องมือตรวจภายในลักษณะคล้ายปากเป็ดไปในช่องคลอดเพื่อตรวจ และเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งเพื่อเช็คมะเร็งปากมดลูกได้ในขั้นตอนนี้

หลังจากนั้นคุณหมอจะถอดเครื่องมือออก และสอดนิ้วเพื่อตรวจภายใน โดยการตรวจในขั้นตอนนี้จะเป็นการตรวจเพื่อดูว่ามดลูก รังไข่ รวมทั้งอวัยวะใกล้เคียง มีความผิดปกติใด ๆ หรือไม่ แค่นี้ก็จบขั้นตอนของการตรวจภายในแล้ว รอรับฟังผลการตรวจภายในได้เลย สำหรับผลของการตรวจมะเร็งปากมดลูกนั้น จะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยบางโรงพยาบาลจะโทรศัพท์แจ้งผล และบางโรงพยาบาลอาจส่งผลการตรวจทางไปรษณีย์

เห็นไหมละว่า การตรวจภายในมีขั้นตอนไม่ยุ่งยากเลยแม้แต่น้อย ข้อสำคัญที่สุด คือ ทำใจให้สบาย อย่าเกร็ง ก็จะช่วยให้การตรวจภายในของเราง่ายขึ้น และช่วยให้หมอทำงานได้ง่ายขึ้น เมื่อทราบถึงประโยชน์ของการตรวจภายในจากคุณหมอว่าดีต่อผู้หญิงขนาดนี้แล้ว มาเลิกอายคุณหมอ แล้วหมั่นสังเกตความผิดปกติของตกขาวพวกเรากันดีกว่า เพราะอย่างไร “รู้ก่อนแก้ทัน” คำ ๆ นี้ยังคงมีประโยชน์แก่เรามากกว่ามามัวนั่งอายอย่างแน่นอน

ขอขอบคุณคลิป และข้อมูลอ้างอิงจาก RAMA CHANNEL / vibhavadi.com / paolohospital.com / bangkokhospital.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ระวัง 10 อาหารต้องเลี่ยง…เสี่ยง! ตกขาวเยอะ

ตกขาวแบบไหนอันตราย

เตือนแม่! ตากผ้า ตากชุดชั้นในไม่แห้ง ระวัง เชื้อราในช่องคลอด

ไส้เลื่อนในผู้หญิง เด็กก็เป็นได้ แม่สังเกตลูกสาวให้ดี!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

แพทย์เตือน ให้ลูกกิน น้ำแช่ทองคำ เพราะเชื่อว่าผิวสวย วาสนาดี แต่ผลอาจร้ายกว่าที่คิด

แพทย์ดังโพสต์เตือน อย่าหลงเชื่อ ! หลังโซเชียลแชร์ข้อมูล แม่เอา น้ำแช่ทองคำ ใส่ขวดนมให้ทารกแรกเกิดกิน ตามความเชื่อโบราณ โตขึ้นผิวสวย วาสนาดี เสี่ยงปนเปื้อนโลหะหนัก ลำไส้ติดเชื้อ และระบบย่อยอาหารพัง

ใช่หรือมั่ว ความเชื่อโบราณ น้ำแช่ทองคำ ให้ลูกกิินโตขึ้นมีอำนาจ วาสนาดี

หลังมีการเผยแพร่ข้อมูลจากเฟสบุ๊กของแม่คนหนึ่ง ที่มีภาพของขวดนมใส่น้ำและมีสร้องทองคำแช่อยู่กับภาพลูกน้อยวัยเบบี๋ พร้อมข้อความกล่าวอ้างว่า

น้ำแช่ทองคำ

“น้ำ ทอง เชื่อโบราณไม่บานบุรี-ทารกแรกเกิด ถึง 3 เดือน พึงให้กินน้ำแช่ทองคำ จะเป็นสร้อย แหวน ต่างหูก็ได้ หรือถ้าไม่มีทองคำจริงๆ ก็ใช้เหรียญสลึงหรือห้าสิบสตางค์(เหรียญสีทอง) แทน ทารกใดได้ดื่มน้ำทองนั้น โตขึ้น จะมีผิวพรรณวรรณะและสง่าราศี และมีวาสนาดีกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน (เคล็ดที่ชนชั้นสูงของจีนครั้งบุราณไม่ยอมบอกใคร นอกจากในวงศ์ตระกูล) ” สร้างความฮือฮาในโลกโซเชียลพร้อมกับตั้งคำถามว่า จริงหรือไม่ ?

เพจคุณหมอหลายคนได้ออกมาเตือนถึงความเชื่อดังกล่าว และระบุถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับลูกน้อย หากให้ดื่ม น้ำแช่ทองคำ ตามคำกล่าวอ้าง โดยคุณหมอวินเพจ “เลี้ยงตามจากใจหมอ”ได้โพสต์ถึงกรณีดังกล่าวใจความตอนหนึ่งว่า

#หมอและนักอัญมณีเตือน

#อย่าเอาน้ำแช่ทองให้เด็กกิน

เด็กเล็กต่ำกว่า 6 เดือน #ไม่จำเป็นและไม่ควรกินน้ำใดๆ นอกจากนมแม่ หรือนมผสม (ในกรณีไม่ได้กินนมแม่) และการดื่มน้ำแช่ ‘ทองรูปพรรณ’ อาจ #ปนเปื้อนโลหะหนัก ทำให้เกิดอันตรายได้…อย่าหาทำ

สิ่งที่เด็กจะได้มีแต่อันตราย ๆ และอันตรายเท่านั้น … พ่อหมอเขียนเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้วว่า ไตของเด็กเล็กยังทำงานขับน้ำและเกลือแร่ได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ และเด็กได้น้ำเพียงพอแล้วจากนมแม่หรือนมผสม การดื่มน้ำในเด็กเล็กอาจทำให้ ‘น้ำเกิน’ และเกลือแร่ในเลือดผิดปกติ ซึ่งหากรุนแรงอาจทำให้สมองบวม ซึมลงและชักได้ อย่าหาทำ

เรื่องที่สอง ‘ทองรูปพรรณ’ เนื่องจากภรรยาพ่อหมอทำงานในแวดวงอัญมณีและเป็นอดีตอาจารย์สอนด้านนี้ จึงสอบถามผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เกี่ยวกับทองรูปพรรณเพิ่มเติมได้ให้ข้อมูลมาดังนี้ ทองคำรูปพรรณ คือ การนำเอาโลหะทองคำ 96.5% และผสมโลหะอื่นลงไปเพื่อให้ทองคำไม่นิ่มเกินไปในการขึ้นรูป ได้แก่ โลหะเงิน โลหะทองแดง และอัลลอยอื่นๆ

นอกจากนั้นขั้นตอนการผลิตให้มีความสวยงามคงทน มีการชุบเคลือบผิวให้เงางาม โดยเงินหรือทองเหลือง โดยขั้นตอนการผลิตเหล่านี้อาจจะมีการปนเปื้อนของสารแคดเมียม ตะกั่ว ปรอท ดังนั้นเราจึงไม่ควรนำมาทองรูปพรรณใส่ลงไปในขวดน้ำให้ลูกทานครับร่างกายของลูกไม่น่าจะได้รับประโยชน์อะไรจากสารเหล่านี้…

เอาเป็นว่า ให้เด็กกินนมอย่างดียวเถอะครับ เด็กจะสุขภาพดี ผิวพรรณก็จะดี ส่วนราศีกับวรรณะจะเป็นอย่างไร ไม่รู้แต่หากเราเลี้ยงลูกดีพอ สอนให้ลูกปฏิบัติดี มีกิริยาดี คำพูดคำจาดี มีความรู้ดี น่ารัก และเป็นที่รักของคนอื่น … ราศีออร่าก็มาเต็มแล้วครับ ไม่ต้องกินน้ำแช่ทอง

#หมอวินเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ

ทำไมไม่ควรให้ลูกกินน้ำก่อน 6 เดือน

พ่อแม่หลายคนเข้าใจว่าให้ลูกกินนมแล้วต้องกินน้ำตามด้วย เพราะกลัวว่านมจะทำให้ลูกฝืดหรือเหนียวคอ แต่ความจริงกลับไม่ส่งผลดีอย่างที่คิด เพราะระบบย่อยและดูดซึมอาหารของลูกน้อยวัยก่อน 6 เดือนยังพัฒนาไม่เต็มที่ การดื่มน้ำอาจทำให้มีอาการท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย และขัดขวางการดูดซึมอาหาร หากยังทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะทำให้ลูกมีปัญหาเรื่องระบบย่อยอาหารเมื่อโตขึ้นด้วย

ขณะเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะได้น้ำไม่เพียงพอ เพราะในน้ำนมที่ลูกกินมีปริมาณของเหลวเพียงพอกับความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว และช่วงแรกเกิด กระเพาะของลูกยังเล็กจึงหิวบ่อยๆ เท่ากับว่าในแต่ละวันลูกได้รับน้ำเพียงพออยู่แล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่าลูกจะมีภาวะขาดน้ำ และไม่จำเป็นต้องน้ำหลังกินนมอีก

 

อันตรายจากโลหะหนัก ถ้าให้ลูกกิน น้ำแช่ทองคำ

เพราะทองคำไม่ได้มีเฉพาะแร่ทองบริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังผสมโลหะหนักชนิดอื่นๆรวมถึงสารเคมีอันตรายด้วย การนำทองคำหรือเหรียญสีทองมาทำ น้ำแช่ทองคำ ให้ลูกดื่มเสี่ยงทำให้เกิดการปนเปื้อนจากสารอันตรายดังกล่าวโดยตรง

ยกตัวอย่างเช่น ทองแดงเป็นโลหะหนักที่ใช้ในกระบวนการผลิตทองคำ สามารถปนเปื้อนในน้ำดื่มได้ และดูดซึมได้ดีในกระเพาะอาหารและลำไส้ส่วนบน สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ราว 30 % และไปสะสมอยู่ในกระดูก ตับ และสมอง หากลูกได้รับทองแดงในปริมาณมากจะเป็นพิษกับร่างกายทันที ซึ่งทำให้มีอาการดังต่อไปนี้ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย หัวใจทำงานผิดปกติ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการเรื้อรังในกลุ่มอาการ Wilson’ Diseases ร่างกายของผู้ป่วยสั่นเทาตลอดเวลา กล้ามเนื้อแข็งแกร็ง ควบคุมการพูดลำบาก

ขณะที่สารปรอทในทองคำเป็นอันตรายอย่างมากต่อเด็กและสามารถสะสมอยู่ในร่างกายได้นาน กรณีเกิดพิษเฉียบพลัน จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปากพอง แดงอักเสบ ถ้าได้รับสารพิษทีละน้อย ปรอทจาก น้ำแช่ทองคำ จะเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายเมื่อถึงระดับหนึ่งจะมีผลเข้าไปทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้การควบคุมการเคลื่อนไหวของแขนและขาผิดปกติ การมองเห็น การได้ยินไม่สมบูรณ์ เมื่อเป็นแล้วจะไม่สามารถรักษาให้กลับมาดีเหมือนเดิม นอกจากนี้ยังทำให้มีอาการเจ็บหน้าอก มีไข้ แน่นหน้าอก และปอดอักเสบ เป็นต้น

ปรอทเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะไปทำอันตรายต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งได้แก่ สมอง และไขสันหลัง ทำให้เสียการควบคุมเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของแขน ขา การพูด และยังทำให้ระบบประสาทรับความรู้สึกเสียไป เช่น การได้ยิน การมองเห็น ซึ่งอันตรายเหล่านี้ เมื่อเป็นแล้วไม่สามารถรักษาให้กลับดีดังเดิมได้ อาการที่เป็นพิษมากเกิดจากการหายใจ ปอดอักเสบ มีอาการเจ็บหน้าอก มีไข้ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกและตายได้

ไม่ว่าพ่อแม่คนไหนก็ปรารถนาให้ลูกน้อยเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง มีชีวิตที่สุขสบายและมีความสุข แต่การจะให้เกิดขึ้นเหล่านี้ได้นั้นต้องการจากวิธีฟูกฟักเลี้ยงดูที่เหมาะสมกับพัฒนาการของลูกในแต่ละวัย แม้จะมี “ความเชื่อ” หรือ “ส่ิ่งมงคล” มากมายที่บอกว่าช่วยหนุนให้ชีวิตของลูกดีขึ้นได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องพิจารณาให้ดีนำมาใช้กับลูก เพราะของบางอย่างอาจไม่ดีอย่างที่คิด เพราะสุดท้ายแล้ว ตัวของคุณพ่อคุณแม่เองนี่แหละจะเป็นกำหนดได้ว่าลูกจะเป็นอย่างไรเมื่อโตขึ้น


แหล่งข้อมูล http://webdb.dmsc.moph.go.th/ www. honestdoc.com /เพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ

บทความน่าสนใจอื่นๆ 

 

สัตว์ร้ายในผัก อาหารที่ซื้อให้ลูก พ่อแม่ควรระวัง!

อาหารก่อภูมิแพ้ 8 ชนิดที่พ่อแม่ควรระวัง

ระวัง! วิตามิน & อาหารเสริม… เพิ่มอันตราย

ลักษณะนิสัยของเด็กอารมณ์ดี

5 ลักษณะนิสัยของเด็ก “อารมณ์ดี” มีความมั่นคงทางจิตใจ

เด็กที่ อารมณ์ดี มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่ได้เป็นเด็กที่ไม่เคยเจอความผิดหวังมาก่อนเลย เพียงแต่เป็นเด็กที่สามารถจัดการและรับมือกับอารมณ์และความผิดหวังต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

5 ลักษณะนิสัยของเด็ก “อารมณ์ดี” มีความมั่นคงทางจิตใจ

แน่นอนว่าพ่อแม่ทุกคนก็อยากให้ลูกเป็นเด็กที่มี อารมณ์ดี ได้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ ในชีวิต แต่ในการใช้ชีวิตจริง ๆ แล้วนั้น พ่อแม่ทุกคนก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยที่ลูกจะไม่ได้ไปเจอกับวันแย่ ๆ และความผิดหวังในชีวิต ลองสังเกตดูสิคะความผิดหวังเหล่านี้ได้เข้ามามีบทบาทกับชีวิตของลูกตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ เช่น ผิดหวังเมื่อไม่ได้เล่นของเล่นที่ต้องการ ผิดหวังที่ไม่ได้ดูการ์ตูน คำถามคือ คุณพ่อคุณแม่สอนให้ลูกรับมือกับความผิดหวังนั้นอย่างไรบ้างคะ? ในวัยที่ลูกยังเล็กอยู่ คุณพ่อคุณแม่อาจจะเลือกที่จะยอมตามใจลูกบ้าง หรือบางบ้านอาจจะตกลงกับลูกให้ลูกได้สิ่งที่ต้องการแต่ต้องทำตามกติกาของพ่อแม่….

แต่เมื่อลูกค่อย ๆ เติบโตขึ้น จนถึงวัยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถเข้าไปช่วยลูกในการรับมือกับความผิดหวังได้แล้ว การวางพื้นฐาน สร้างลักษณะนิสัยให้ลูกรู้จักรับมือและจัดการกับอารมณ์ของตนเองได้ จะช่วยให้ลูกเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง มีความมั่นคงทางอารมณ์ สามารถมองโลกได้อย่างเข้าใจ รู้จักรับฟังเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีพลังบวกส่งให้กับคนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ลูก สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ดังนั้น มาสร้างลักษณะนิสัยให้ลูกเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง มีความมั่นคงทางอารมณ์กันดีกว่าค่ะ

5 ลักษณะนิสัยของเด็ก “อารมณ์ดี” มีความมั่นคงทางจิตใจ

  1. รับมือกับจุดอ่อนของตนเองและอย่าตัดสินผู้อื่น

คนที่มีจิตใจเข้มแข็งจะเข้าใจถึงพลังของความคิด และเข้าใจถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของตนเอง สำหรับจุดอ่อนที่ตนเองมีนั้น ควรจะทำความเข้าใจว่าเราสามารถแก้ไขจุดอ่อนนี้ได้บ้างหรือไม่? อย่างไร? และหากยังต้องใช้เวลาในการแก้ไขมัน หรือแก้ไขไม่ได้ ควรจะรู้จักที่จะรับมือและอยู่กับมันได้อย่างไร? และเมื่อเข้าใจถึงจุดอ่อนจุดแข็งของตนเองได้ คน ๆ นั้นจะรู้ดีว่า คนเราทุกคนย่อมมีจุดอ่อนและจุดแข็งเช่นกัน ดังนั้น การตัดสินผู้อื่นในทางที่ไม่ดี อาจจะทำให้คน ๆ นั้นสูญเสียกำลังใจในการปรับปรุงและพัฒนาตนเองได้

2. ไม่เชื่อในความคิดของตนเอง

ผลลัพธ์ในทางบวกของการไม่เชื่อในความคิดของตนเองและการลดอคติจะทำให้คน ๆ นั้น มีความอ่อมน้อมถ่อมตน และคนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนมักจะคอยระมัดระวังอยู่เสมอว่าสิ่งที่ตนเองกำลังคิดหรือกำลังทำอยู่นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็เป็นได้ นอกจากนี้ คนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนมักจะมีความเต็มใจที่จะถูกพิสูจน์ว่าตนเองผิดหรือไม่โดยไม่มีความรู้สึกเสียใจที่ถูกวิจารณ์แต่อย่างใด และเมื่อยอมรับในความผิดพลาดของตนเองได้แล้ว คน ๆ นั้นก็จะมีห้องที่พร้อมที่จะปรับปรุงและพัฒนาตนเองได้มากกว่าคนที่ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง ก็เหมือนกับคนที่พร้อมจะเทน้ำออกจากแก้วเมื่อมองเห็นว่าน้ำในแก้วนั้นเสียแล้ว คน ๆ นั้นก็จะมีพื้นที่ที่จะใส่น้ำที่ดี ๆ มากกว่าคนที่มีน้ำอยู่เต็มแก้ว และไม่พร้อมที่จะเทน้ำเดิมออกจากแก้วใช่ไหมล่ะคะ? แต่การไม่เชื่อในความคิดของตนเองนี้ มีความแตกต่างจากคนที่ไม่มีความมั่นใจในตนเอง คนที่ไม่เชื่อในความคิดตนเองนั้น จะใช้ประโยชน์จากความรู้ใหม่ ๆ หรือความคิดของผู้อื่นมาปรับปรุงพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น

3. อย่าสงสารตัวเอง

คนที่มีจิตใจเข้มแข็งจะต้องไม่สงสารตัวเอง เพราะการสงสารตัวเอง จะนำไปสู่การยอมแพ้ การไม่ลุกขึ้นสู้หรือทำสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณรู้สึกเหนื่อย ความสงสารตัวเองจะทำให้คุณคิดว่าคุณควรจะพอแค่นี้ คุณควรจะได้พักบ้าง ความคิดเหล่านี้จะทำให้คุณไม่มีความต้องการที่จะพัฒนาตนเอง สูญสิ้นความตั้งใจและความพยายามที่จะเพิ่มศักยภาพของตนเองให้ไปสู่ความสำเร็จได้

4. มีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น

คนที่มีจิตใจเข้มแข็งจะต้องไม่สงสารตัวเอง แต่กลับต้องมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น ความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจต่อผู้อื่นมีความจำเป็นต่อการอยู่รอดของมนุษย์มากกว่าการแสวงหาความอยู่รอดเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน ในโลกที่มีการปฏิสัมพันธ์และความซับซ้อน ความร่วมมือกันจะนำพาสิ่งต่าง ๆ ไปสู่ความสำเร็จคนทุกคนจึงต้องมีทักษะการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เพื่อให้รู้จักการทำงานกันเป็นทีม และรู้จักการยอมรับกฏกติกาต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตร่วมกันได้

5. เข้าใจในความกลัวของตนเองและรู้จักความคุมมัน

1 ในคุณลักษณะที่สำคัญของคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง คือคนที่รู้จักควบคุมความกลัวของตนเอง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เมื่อเด็กกลัวที่จะแพ้ ก็มักเลือกที่จะไม่เล่นเกมนั้น ๆ ไปเลยเพราะไม่อยากแพ้ เราที่เป็นผู้ใหญ่ เมื่อเห็นเด็กไม่ยอมเล่นเกมเพราะกลัวแพ้ รู้สึกอย่างไรบ้างคะ? รู้สึกว่าทำไมไม่ลองเล่นดูก่อนล่ะ แพ้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็แค่เล่นใหม่ ใช่ไหมล่ะคะ งั้นขอยกตัวอย่างของความกลัวเมื่อเราโตเป็นผู้ใหญ่กันดีกว่าค่ะ เมื่อเรากลัวที่จะสูญเสีย เช่นการทำสิ่ง ๆ นั้น อาจทำให้เราต้องตกงาน เราก็จะไม่เสี่ยงหรือจะไม่มีความกล้าพอที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งความกลัวนี้ ในบางสถานการณ์ก็อาจทำให้เราเสียโอกาสในการพัฒนาตนเองให้ประสบความสำเร็จได้นั่นเองค่ะ

จิตใจเข้มแข็ง
จิตใจเข้มแข็ง

ลักษณะนิสัยทั้ง 5 นี้ไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้เมื่อโตขึ้น แต่ต้องเริ่มสร้างตั้งแต่ลูกยังเด็ก เพราะการที่เด็กมีจิตใจที่เปราะบางจะถูกกระทบได้ง่าย กระเทือนใจง่าย ส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ดังนั้น หากต้องการให้ลูกมีจิตใจที่เข้มแข็งนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มหล่อหลอมได้ด้วยการอบรมเลี้ยงดูและการศึกษา ทีมแม่ ABK จึงขอนำบทความจาก ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย ที่ได้กล่าวถึงวิธีการเลี้ยงลูกให้มีจิตใจเข้มแข็ง ไม่เปราะบางมาฝากค่ะ

3 วิธีเลี้ยงลูกให้มีจิตใจเข้มแข็ง มีความมั่นคงทางอารมณ์

  1. ควรเลี้ยงลูกให้รักและยอมรับในความเป็นตัวเอง

ข้อนี้มีความสำคัญมากในการเลี้ยงลูกให้มีจิตใจเข้มแข็ง คือการสอนให้ลูก รักตัวเอง ชอบตัวเอง ยอมรับตัวเอง อย่างที่ตัวเองเป็น ไม่ว่าจะรูปร่างหน้าตาอย่างไร เก่งหรือไม่เก่งก็ตาม ให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่มีคุณค่า เช่น เป็นคนดี มีน้ำใจ คือสามารถชื่นชมในความเป็นตัวเขานั่นเอง อย่าเน้นแต่สิ่งที่เขา “ทำได้” มากเกินไป เช่น ต้องสอบได้เกรด 4 ทุกวิชา ควรเน้นในสิ่งที่เขา “ได้ทำ” ถ้าได้ทำเต็มที่แล้วก็ควรภูมิใจ การเน้นแต่สิ่งที่ “ทำได้” เด็กจะดีใจแต่ไม่ภูมิใจ การเน้นสิ่งที่ “ได้ทำ” เด็กจะดีใจและภูมิใจด้วย

หรือพูดอีกอย่างคือ การเลี้ยงเด็กควรเน้นที่ความรู้สึก “ภายใน” เช่น ความดีของเขา อย่าเน้นแต่เรื่อง “ภายนอก” เช่น รูปร่างหน้าตา การเรียน การกีฬา ฯลฯ พ่อแม่บางคนที่เน้นแต่เรื่อง “ภายนอก” ก็จะส่งลูกประกวดรูปร่างหน้าตา ความสามารถต่าง ๆ แต่ไม่ค่อยพูดถึงความดีงามสักเท่าไร เด็กที่เติบโตขึ้นมาอย่างนี้จะหลงติดอยู่กับโลกภายนอกตัวเขา มีค่านิยมแบบวัตถุนิยมและบริโภคนิยม แต่จิตใจอาจว้าเหว่อยู่ลึก ๆ ตลอดเวลาก็ได้

2. อย่าตามใจมากเกินไป

เพราะจะทำให้เด็กเคยตัว ควบคุมตัวเองไม่ได้ คือจะเอาอารมณ์เป็นใหญ่หรือเป็นทาสของอารมณ์ และเกิดความเข้าใจผิดว่าตัวเองต้องได้ทุกอย่างที่อยากได้ พ่อแม่เด็กที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวทำร้ายผู้อื่นมักบอกว่า “เลี้ยงดูและดูแลใกล้ชิด ลูกไม่เคยผิดหวัง” เด็กจึงรู้สึกผิดหวังไม่ได้ และเด็กที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจมักจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัว

3. อย่าเลี้ยงให้ขาดศีลธรรมประจำใจ

การขาดศีลธรรมจะทำให้จิตวิญญาณขาดสิ่งยึดเหนี่ยวเหมือนต้นไม้ไม่มีรากแก้ว เวลามีพายุอารมณ์มาก็จะล้มครืนได้ง่าย ทำให้ทำผิดได้ง่ายเพราะไม่กลัวบาป ปัจจุบันพ่อแม่ โรงเรียน และสังคมโดยรวมไม่เห็นความสำคัญของศาสนาเท่าที่ควร พ่อแม่บางคนพาลูกไปเที่ยวต่างประเทศบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพาลูกเข้าวัด

การสอนลูกให้เป็นเด็กที่ อารมณ์ดี มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ดี เป็นการปูพื้นฐานให้ลูกรู้จักปรับตัวและใช้ชีวิตอยู่ในโลกกว้างได้อย่างมีความสุข คุณพ่อคุณแม่ก็จะไม่ต้องเป็นห่วงว่าลูกจะสามารถรับมือกับเรื่องร้าย ๆ ต่าง ๆ ที่ลูกอาจจะต้องเจอในอนาคตได้

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

23 คำพูดให้กำลังใจ ที่เพิ่มศักยภาพลูก..สู่ความสำเร็จ

13 ทักษะที่ลูกควรมีก่อนเข้า โรงเรียนอนุบาล

4 พฤติกรรม “สปอยล์ลูก” สุดเสี่ยงที่พ่อแม่ควรเลี่ยง

การเรียนลูก เป็นเพียงเรื่องของครู จบที่โรงเรียนจริงหรือ?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.forbes.com, ศ.พญ.นงพงา ลิ้มสุวรรณ, ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

23 คำพูดให้กำลังใจ ที่เพิ่มศักยภาพลูก..สู่ความสำเร็จ

คำพูดให้กำลังใจ จากพ่อแม่เพียงแค่ไม่กี่คำ อาจเป็นเสียงที่จะทำให้ลูกตั้งใจและมีความพยายามมากขึ้น ถึงแม้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นจะยากเพียงใดก็ตาม

23 คำพูดให้กำลังใจ ที่เพิ่มศักยภาพลูก..สู่ความสำเร็จ

ให้คุณพ่อคุณแม่ลองย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เรากำลังพยายามจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นครั้งแรก หรือนึกถึงตอนที่เรากำลังทำสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิต คุณพ่อคุณแม่รู้สึกอย่างไรคะ? ในระหว่างทาง..แน่นอนว่าในบางครั้งเราก็ยังรู้สึกเหนื่อย รู้สึกท้อ อยากจะพอแค่นี้ ไม่ทำต่อแล้ว….ลูกก็เช่นกันค่ะ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่นั้น เช่น การทำการบ้านในวิชาที่ลูกไม่ชอบ การเล่นกีฬาที่ตัวเองไม่ถนัดหรือไม่เคยเล่นมาก่อน เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่มองว่าไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย คุณพ่อคุณแม่ยังผ่านมันมาได้ แต่อย่าลืมนะคะ ว่าลูกได้ลองทำสิ่ง ๆ นั้นเป็นครั้งแรกในชีวิต อีกทั้งลูกก็ยังไม่ได้มีประสบการณ์หรืออายุเท่า ๆ กับคุณพ่อคุณแม่ในตอนนี้ ดังนั้น กำลังใจจากพ่อแม่จะเป็นสิ่งที่ผลักดันให้ลูกได้พยายามและตั้งใจทำสิ่ง ๆ นั้นได้มากขึ้น

Hunter S. Thompson เคยกล่าวไว้ว่า “สิ่งใดที่คุ้มค่าที่จะทำ ก็ควรทำสิ่งนั้นอย่างเต็มที่” คำพูดนี้เมื่อเราได้อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างคะ รู้สึกอยากจะทำสิ่งที่ยากให้สำเร็จใช่ไหมคะ ใช่ค่ะ คำพูดบางคำพูด เมื่อได้ฟังหรืออ่านแล้ว จะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่กล่าวจากปากของคนที่ลูกรัก นั่นก็คือคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง คำพูดเหล่านี้ จะทำให้ลูกได้รู้ว่า พ่อแม่จะยังคอยดูอยู่ข้างหลัง คอยเอาใจช่วย คอยปลอบเมื่อลูกทำไม่สำเร็จ คอยยินดีเมื่อลูกทำสำเร็จ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่จะเพิ่มศักยภาพให้ลูกสู่ความสำเร็จได้นั่นเอง

การพยายามอย่างเต็มที่จะช่วยให้เกิดประสบความสำเร็จในชีวิตได้ คำพูดให้กำลังใจ ที่ทีมแม่ ABK ได้นำมาเหล่านี้ มาจากคำคมของเหล่าคนดังที่มีชื่อเสียงของโลก คนเหล่านี้ ไม่ได้เป็นคนที่ฉลาดที่สุด แต่เป็นคนที่มีความตั้งใจทำสิ่ง ๆ นั้นอย่างเต็มที่ต่างหาก มาดูกันค่ะ ว่ามีคำพูดไหนบ้างที่โดนใจและเหมาะที่จะนำมาใช้กับลูก ๆ ได้

คำคมสอนลูก
คำคมสอนลูก

30 คำพูดให้กำลังใจ ที่เพิ่มศักยภาพลูก..สู่ความสำเร็จ

“ก้าวเล็ก ๆ ทีละก้าว นำไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้” – Peruvian Proverb

“ถ้าคุณไม่มีเวลาทำมัน คุณจะมีเวลาทำมันอีกเมื่อไหร่?” – John Wooden

“เราหวังว่าลูกจะทำในสิ่งที่คุณทำได้อย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และหากคุณทำเช่นนั้น ปาฏิหารย์จะเกิดขึ้น” –  Gordon B. Hinckley

“เราต้องทำสิ่ง ๆ นั้นให้ดีที่สุด นี่เป็นความรับผิดชอบของมนุษย์ที่เราควรยึดถือ” – Albert Einstein

“ความเป็นเลิศคือการทำสิ่งธรรมดาด้วยวิธีที่ไม่ธรรมดา” – Booker T. Washington

“ฉันจะทำให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้มากที่สุด และฉันตั้งใจจะทำต่อไปจนจบ” – Abraham Lincoln

“ทำให้ดีที่สุดเมื่อไม่มีใครมอง ถ้าคุณทำอย่างนั้นคุณก็จะประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่คุณตั้งใจไว้” – Bob Cousy

“ปัญหา คือโอกาสที่จะทำให้คุณทำมันให้ดีที่สุด” – Duke Ellington

“ถ้าคุณทำสิ่งนั้นอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่มีทางที่มันจะล้มเหลว” – Mike Farrell

“ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไรก็ตาม จงเก่งในสิ่งที่คุณเป็นให้ได้” – Abraham Lincoln

“ทำให้ดีที่สุด หมายถึง ไม่หยุดที่จะพยายามทำสิ่ง ๆ นั้น” – Benjamin Franklin

“การเตรียมพร้อมที่ดีที่สุดสำหรับวันพรุ่งนี้ คือ การทำวันนี้ให้ดีที่สุด” – H. Jackson Brown

“อย่าลังเลที่จะทำงานเล็ก ๆ อย่างเต็มที่ เพราะทุกครั้งที่งานสำเร็จ คุณจะแข็งแกร่งขึ้น และหากงานเล็ก ๆ ที่คุณทำนั้นออกมาดี งานใหญ่ ๆ ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร” – Dale Carnegie

“ถ้าคุณทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี ทำสิ่งนั้นให้ดียิ่งขึ้น จงเป็นคนกล้า จงเป็นคนแรก จงเป็นคนที่แตกต่าง จงเป็นคนที่เป็นธรรม” – Anita Roddick

“การทำให้ดีที่สุดในขณะปัจจุบันนี้ จะนำคุณไปยังที่ที่ดีที่สุดในช่วงเวลาต่อไป” – Oprah Winfrey

“คุณต้องทำสิ่งที่คุณคิดว่าคุณทำไม่ได้” – Eleanor Roosevelt

“ทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้ดีที่สุด ปฏิบัติต่อผู้อื่นในแบบที่คุณต้องการได้รับการปฏิบัติ” – Jimmy Johnson

“ธรรมดากับเหนือธรรมดา ความแตกต่างอยู่ที่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อยเท่านั้นเอง” – Jimmy Johnson

“คนทั่วไปมักจะแกล้งที่จะไม่ชอบองุ่นเมื่อไวน์อยู่สูงเกินเอื้อม” – Margueritte de Navarre

“ทำในสิ่งที่ดีที่สุดในทุก ๆ งาน ไม่ว่างาน ๆ นั้นจะดูไม่สำคัญในช่วงเวลานั้น ๆ” – Sandra Day O’Connor

“ความก้าวหน้ามาพร้อมกับความสม่ำเสมอเท่านั้น ทำให้มากกว่าที่ถูกสั่งให้ทำ” – Gary Ryan

“เมื่อคุณไปถึงจุดสูงสุดแล้ว ให้ปีนขึ้นไปอีก” – Proverb

“ทำให้มากกว่าที่ต้องทำ อะไรคือระยะห่างระหว่างคนที่บรรลุเป้าหมายในชีวิตกับคนที่ใช้ชีวิตทั้งชีวิตเป็นเพียงผู้ตาม?” – Gary Ryan Blair

คำพูดให้กำลังใจ เหล่านี้ จะช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นใจได้ว่า สิ่งที่กำลังพยายามทำอยู่นั้น ไม่ว่าผลออกมาจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม ลูกจะได้รับความรัก ความเข้าใจ จากครอบครัว สิ่งเหล่านี้ จะทำให้ลูกมีความกล้าและความตั้งใจมากขึ้นในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จ และเมื่อลูกได้พยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความตั้งใจจนติดเป็นนิสัยแล้ว แน่นอนว่าจะสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้ไม่ยากเลยค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เด็กยุคใหม่ ทำไมต้องมี Power BQ ติดอาวุธให้ลูกฉลาดรอบด้าน

13 ทักษะที่ลูกควรมีก่อนเข้า โรงเรียนอนุบาล

แพ้ ภูมิคุ้มกันความผิดหวังที่แม่สร้างให้ลูกได้

โครงการจิตอาสา สอนลูกช่วยสังคมได้ง่าย ๆ แม้อยู่บ้าน

ท่องศีล5 ลูกได้แค่จำ ลองวิธีใหม่ช่วยเข้าถึงแก่นธรรมง่ายๆ

ขอบคุณข้อมูลจาก : inspiremykids.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พ่อแม่ทะเลาะกัน

หมอเตือน! พ่อแม่ทะเลาะกัน “ต่อหน้าลูก” เสี่ยงลูกพัฒนาการถดถอย สับสนทางเพศ

สามีภรรยาไม่มีปากเสียงกันบ้างเป็นเรื่องแปลก..แต่จะเห็นว่าที่ พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก หรือคิดว่าหากมีปากเสียงกันเป็นเรื่องธรรมดา และเด็ก ๆ ควรยอมรับได้นั้น เป็นวิธีคิดที่ผิด

หมอเตือน! พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก
เสี่ยงลูกพัฒนาการถดถอย

(คุณแม่ส่งคำถามมาถามว่า) Q : ทะเลาะกับสามี มีการเถียงกันค่อนข้างรุนแรง และขว้างปาของใส่กัน แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นเลือดตกยางออก แล้วลูกมาเห็นพอดี ลูกดูตกใจมาก ตั้งแต่วันนั้นเราทั้งคู่รู้สึกผิดมาก ไม่รู้จะแก้ไขอย่างไรดีค่ะ เขาจะฝังใจจนมีปัญหาอะไรไหม

สำหรับเรื่องพ่อแม่ทะเลาะกันคุณหมอประเสริฐ ได้ให้คำตอบพร้อมคำแนะนำว่า … ผลของการที่ พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก มีแน่นอน ไม่มากก็น้อย และต่อไปก็ไม่ควรทำอีก! ทั้งนี้ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูก ขึ้นกับว่าลูกอายุเท่าไร?

 

หากเป็นลูกเล็กก่อน 3 ขวบ จะกระทบความสามารถในการไว้วางใจโลกและผู้คน (trust)

พัฒนาการอาจจะช้าลงชั่วคราว หรือถดถอยกลับไปบ้าง เช่น เคยไม่ฉี่รดที่นอนก็ฉี่รดที่นอน เคยไม่พูดโกหกก็เริ่มพูดโกหก

หากอายุ 4-5 ขวบ จะกระทบพัฒนาการทางเพศ (psychosexual development)

เขาไม่มั่นใจว่าอยากเป็นเพศอะไรดี ดุร้ายกันจัง

หากอายุ 6-10ขวบ เขาจะโทษตนเอง

จับเรื่องหนึ่งผูกเข้ากับเรื่องพ่อแม่ทะเลาะกัน แล้วสรุปว่าเขาเป็นต้นเหตุ จะรู้สึกผิด (guilty feeling) เริ่มมีพฤติกรรมระงับความรู้สึกผิดที่ก่อตัว เช่น ขโมยของ หนีโรงเรียน ลองเสพยา

เมื่อพฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้ผล ขโมยของตามห้างก็แล้ว ปีนรั้วโรงเรียนก็แล้ว สูบบุหรี่ก็แล้ว ยังไม่หายรู้สึกผิด ก็จะเข้าสู่อารมณ์เศร้าเต็มรูปแบบ อาจจะแสดงออกว่าเศร้าหรือปรารถนาที่จะตาย หรือแสดงออกด้วยพฤติกรรมเกเรมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก

หากคุณพ่อคุณแม่เผลอไปครั้งเดียว ก็ไม่ต้องห่วง เพราะจะไม่ได้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น แต่จะให้บอกว่าไม่เป็นไรพวกเราก็ทำซ้ำอีก ครั้นเขียนออกไปให้หมดความก็จะหวั่นวิตกว่าแย่แล้ว อันที่จริงหวั่นวิตกก็ดีจะได้ไม่ทำอีก

สามีภรรยาไม่มีปากเสียงกันบ้างเป็นเรื่องแปลก แต่จะเห็นว่าการมีปากเสียงเป็นเรื่องธรรมดาและเด็กๆ ควรยอมรับได้นั้น วิธีคิดแบบนี้ผิด … เพราะ พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก อย่างไร >> ในที่สุดเด็กทุกคนในโลกก็จะยอมรับได้จริงๆ แต่เขาต้องจ่ายอะไรบางอย่างออกไปด้วย การทะเลาะกันของพ่อแม่ เช่น ขว้างปาข้าวของ ตบตีลงไม้ลงมือ ทำร้ายร่างกายสาหัส สิ่งเหล่านี้มีต้นทุนมากน้อยต่างๆ กัน แต่มีต้นทุน และคนจ่ายคือลูกของพวกคุณ

คำว่ายอมรับ ภาษาอังกฤษว่า accept คำนี้มีต้นทุน ไม่ฟรี

พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก

บอกลูกสั้นๆ ได้ว่าพ่อแม่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน จึงโกรธ จึงเผลอทะเลาะกัน และจึงเผลอขว้างปาข้าวของใส่กัน  บอกเขาว่าคนเราคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ผิดอะไร คนเราโกรธได้ไม่ผิดอะไร แต่คนเราเวลาโกรธแล้วจะทะเลาะกันหรือเปล่าควรคิดให้ดีๆ ว่าควรทำหรือเปล่า เรื่องขว้างปาข้าวของใส่กันผิดแน่ๆ ไม่มีใครควรทำทั้งนั้น ครั้งนี้พ่อแม่ทำผิด ลูกอย่าทำตาม พูดประมาณเท่านี้ได้

อย่าสัญญาว่าจะไม่ทำอีก เพราะคุณจะทำไม่ได้ ยุ่งมากยิ่งขึ้นเปล่าๆ

อย่าสั่งสอนซ้ำไปซ้ำมา เพราะคุณเสียสิทธิสั่งสอนไปแล้ว ทำให้เขาดูและให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

เวลาสามีภรรยามีปากเสียงกัน อย่าใช้เหตุผล ใช้อารมณ์ล้วนๆ  คือรัก และให้อภัย ให้ดอกกุหลาบสักช่อหนึ่ง

 

บทความโดย : นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

 

อย่างไรก็ตาม Christelle Roustit นักวิจัยและทีมงานจาก INSERM ประจำกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสได้ค้นพบว่า การทะเลาะกันของพ่อแม่นัั้น เป็นเหตุการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัว โดยสาเหตุส่วนใหญ่ที่พบนั้นมาจาก

  • การดื่มสุราและของมึนเมาทุกชนิด
  • ปัญหาด้านการเงิน
  • ปัญหาชู้สาวหรือมือที่สาม
  • ปัญหาภายในบ้านเอง
  • สมาชิกในบ้านคนใดคนหนึ่งเป็นโรคเครียดหรือโรคซึมเศร้า

นอกจากนี้ ยังได้มีผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Washington และ มหาวิทยาลัย Pennsylvania รายงานว่า พบว่าฮอร์โมนความเครียด หรือ Cortisol ในเด็กนั้นเพิ่มสูงขึ้น หากเด็กเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวที่พ่อแม่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นประจำ 

ครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก ล้วนสร้างจากความรักและความผูกพันที่น่าชื่นชม แม้จะมีช่วงเวลาที่ต้องพบกับปัญหาและอุปสรรคจนต้องทะเลาะกันบ้างในบางครั้ง ก็ขอให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยความรัก ความเข้าใจและความปรารถนาดีที่มีให้กัน ที่สำคัญอย่าทะเลาะกันต่อหน้าลูกอีก เพราะทุกคนได้รู้แล้วว่า สุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือลูกนั่นเอง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

หมอเตือน! ทัศนคติของพ่อแม่ ในการเลี้ยงลูกที่ควรระวัง

4 พฤติกรรม “สปอยล์ลูก” สุดเสี่ยงที่พ่อแม่ควรเลี่ยง

คำพูดที่พ่อแม่ไม่ควรพูดกับลูก ข้อคิดสะกิดใจจากคุณหมอ!!

กิจกรรมอาสา

กิจกรรมจิตอาสา ตามแนวรถไฟฟ้า..อาสาไหมเธอ!

กิจกรรมจิตอาสา ที่ใครๆ คิดแค่ว่าเป็นงานที่ทำแล้วได้บุญ แต่รู้ไหมว่างานอาสายังช่วยสร้างทักษะชีวิตที่ดีอีกมากแก่ลูกของคุณ แถมยังเดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้าด้วยนะ

กิจกรรมจิตอาสา ตามแนวรถไฟฟ้า..อาสาไหมเธอ!

“งานอาสาสมัครเป็นงานที่ใครเห็นก็ชม เจ้าตัวไม่ต้องใช้ความพยายามมากทำปุ๊บได้ปั๊บในตอนแรก” ข้อแนะนำของนายแพทย์ ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ต่อคำถามของคุณแม่ท่านหนึ่งในการเลี้ยงลูกที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น งานบ้าน งานอาสาสมัครเป็นสิ่งที่คุณหมอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่นำไปใช้ในการเลี้ยงดูลูก เพื่อเพิ่มทักษะชีวิตในด้านความรับผิดชอบ และการเห็นคุณค่าของตัวเอง

ทำไมต้องเป็นงานจิตอาสา  เพราะเป็นงานที่เห็นผลได้เร็ว สามารถดึงความสนใจให้แก่เด็ก และได้รับการตอบสนองในแง่บวกอย่างทันท่วงที  และเมื่อเขารู้สึกว่าตัวเองสามารถทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นได้ เด็กจะเห็นคุณค่าในตัวเอง เป็นการสร้างคุณค่าในตัวเองให้แก่ลูก หรือ Self Esteem

Self Esteem คือ ความเห็นคุณค่าในตัวเอง ซึ่งส่งผลต่อความกระตือรือร้นในการใช้ชีวิต รวมถึงการรับมือกับอารมณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยผู้ที่มี Self Esteem สูงนั้นจะมีทัศนคติที่ดีต่อตนเอง ในทางกลับกัน การมี Self Esteem ต่ำจะส่งผลให้รู้สึกแย่และมีมุมมองความคิดต่อตัวเองในแง่ลบ ซึ่งเป็นเหตุให้ขาดความกระตือรือร้นในการทำสิ่งต่าง ๆ และรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถในการเผชิญหน้ากับปัญหาหรือความท้าทายในชีวิต

ขึ้นรถไฟฟ้า…ไปอาสาไหมเธอ

อาสาสถานีต่อไป “สถานีรถไฟฟ้า MRTเพชรบุรี” – Paper Ranger จิตอาสาสมุดเพื่อน้อง

กิจกรรมจิตอาสา สมุดเพื่อน้อง
กิจกรรมจิตอาสา สมุดเพื่อน้อง

“Paper Ranger จิตอาสาสมุดเพื่อน้อง” มีหลักคิดเพื่อสร้างและกระตุ้นให้คนในสังคมมาร่วมกันทำงานด้านจิตอาสาผ่านกระบวนการง่าย ๆ และเริ่มต้นทำได้จากเรื่องใกล้ ๆ ตัว ด้วยการรับบริจาคกระดาษเอสี่รีไซเคิล (ใช้ด้านเดียว) แล้วจัดกิจกรรมสอนอาสาสมัครให้นำมาทำเป็นสมุดทำมือที่น่าใช้และเหมือนใหม่ (จะไม่เห็นด้านที่ใช้แล้วหลังจากทำเสร็จ) เพื่อนำไปบริจาคต่อให้กับน้องๆที่ขาดแคลนตามถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ (ปัจจุบัน ส่งถึงมือน้องแล้วกว่า 250,000 เล่ม)
โดยทางโครงการจะมีประกาศวันและเวลาในการเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกันทำสมุดเพื่อน้อง ซึ่งเราสามารถติดตามรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่

กิจกรรมจิตอาสา paper ranger
กิจกรรมจิตอาสา paper ranger

สถานที่ : Paper Ranger บ้านจิตอาสา มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยฯ ตำบล/แขวง บางกะปิ อำเภอ/เขต ห้วยขวาง จังหวัด กรุงเทพมหานคร 10310

Website : PaperRanger.org

การเดินทางร่วมกิจกรรมด้วยรถไฟฟ้า MRT: ให้ลง “สถานีเพชรบุรี” ออกประตู 1 แล้วต่อรถประจำทาง (ทุกสาย), วินมอเตอร์ไซค์ (แจ้งว่า บ้านจิตอาสา หรือ ธ.ไทยพาณิชย์ ก็ได้), หรือแท็กซี่อีกครั้ง (สถานีห่างจากบ้านจิตอาสา ประมาณ 2 กิโลเมตร)

อาสาสถานีต่อไป “สถานีรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน” – โครงการพบมิตร จิตอาสา

โครงการพบมิตร จิตอาสา
โครงการพบมิตร จิตอาสา

เป็นโครงการเพื่อสร้างสรรค์กิจกรรมดี ๆ ให้ทุกคนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์กับตนเอง ได้พบปะเพื่อนฝูงที่มีจิตใจรักงานอาสา เป็นสื่อกลางในการเข้าถึงงานอาสา จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งกลุ่ม ในครั้งนี้ ช่วยเหลือสังคม น้องหมา น้องแมว ภายในโครงการมีกิจกรรมอาสาหลากหลายกิจกรรมให้ร่วมทำ และจะจัดขึ้นในสถานที่ที่หลากหลาย นอกพื้นที่ สามารถติดตามรายละเอียดได้ทางโครงการโดยตรง โดยมีกิจกรรมอาสาหลัก ๆ ดังนี้

  • อาสาทำสีน้ำมอบให้น้อง ๆ พื้นที่ห่างไกล

กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อให้อาสาที่สนใจมาร่วมกันทำกิจกรรมดี ๆ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ กิจกรรมอาสาทำสีน้ำ อาสาจะได้เรียนรู้การทำสีน้ำ จากวัสดุที่ทำมาจากธรรมชาติ เช่น กัมอารบิกเป็นสารประกอบที่ได้มาจากธรรมชาติ

การทำงานศิลปะ ส่งผลให้ผู้ทำได้ใช้ศิลปะ ได้ใช้จินตนาการในการแต่งแต้มลวดลายลงบนชิ้นงานนั้น ๆ การที่อาสามาทำกิจกรรมทำสีน้ำด้วยกัน ก็เป็นการส่งต่อความรู้สึกดี ๆ เป็นการมอบโอกาสให้กับน้อง ๆ พื้นที่ห่างไกลได้เกิดความสุขจากการสร้างงานศิลปะด้วยกัน

สถานที่ : ลานกิจกรรมท่าดินแดง ตำบล/แขวง คลองต้นไทร อำเภอ/เขต คลองสาน จังหวัด กรุงเทพมหานคร 10600

การเดินทางร่วมกิจกรรมด้วยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีสะพานตากสิน แล้วนั่งเรือด่วนต่อมาอีกนิด หรือ รถไฟฟ้า BTS ลงสถานีกรุงธน นั่ง taxi ต่อมานิดเดียว

  • อาสาเพ้นท์ถุงผ้าบริจาคให้น้อง ๆ  รร.ห่างไกล

เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมรู้จักการแบ่งปันและการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน ผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมการเพ้นท์ถุงผ้าเพื่อน้อง ๆ ด้อยโอกาสที่อยู่พื้นที่ห่างไกล

การทำงานศิลปะ ช่วยฝึกสมาธิให้กับผู้ทำ เพราะการทำงานศิลปะต้องใช้ความมุ่งมั่นแน่วแน่ในการสร้างสรรค์ชิ้นงาน ทั้งชิ้นงานที่สำเร็จก็ก่อให้เกิดความสุขใจทั้งกับผู้ให้และผู้รับ พบมิตรจิตอาสาจึงจัดกิจกรรมอาสา “เพ้นท์ถุงผ้า ” เพื่อมอบโอกาสแก่ กลุ่มเด็กด้อยโอกาส

สถานที่ : ศูนย์การค้า Union mall ชั้น 5 ตำบล/แขวง จตุจักร อำเภอ/เขต จตุจักร จังหวัด กรุงเทพมหานคร 10900

การเดินทางร่วมกิจกรรมด้วยรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีพหลโยธิน ทางออกที่ 5 หรือ รถไฟฟ้า BTS ลงสถานีห้าแยกลาดพร้าว

Website : FB พบมิตร จิตอาสา

สถานีต่อไป “สถานีรถไฟฟ้า MRT พหลโยธิน” – โครงการมนตร์อาสา

กิจกรรมจิตอาสา มนตร์อาสา
กิจกรรมจิตอาสา มนตร์อาสา

โครงการที่ทำงานเกี่ยวกับการจัดงานอาสา โดยมีสโลแกนประจำว่า “ร่ายเวทมนตร์แห่งอาสา ไปกับกิจกรรมมากมาย ที่จะทำให้หัวใจของคุณพองโตไปกับความสุข” มาร่วมร่ายเวทมนตร์ไปกับพวกเขากับงานอาสามากมายที่จัดขึ้นประจำทุกเดือน โดยมีกำหนดการ สถานที่ วันเวลาที่จะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า สามารถไปลงทะเบียนกันได้ก่อน และสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

Website : มนตร์อาสา

  • อาสาเพ้นท์เสื้อสวยบริจาคให้น้องๆ ด้อยโอกาส

เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมสร้างจิตสำนึกของการแบ่งปันและการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน ทำให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้รู้สึกถึงความอิ่มเอมใจ ความสุขและการเสียสละจากการแบ่งปัน ผ่านกิจกรรมการทำสื่อการเรียนรู้การ์ดเกมส์เพื่อเสริมทักษะและความสนุกในการเรียนรู้ให้น้อง ๆ ในโรงเรียนที่ห่างไกล

สถานที่ : ยูเนี่ยนมอล์ ห้าแยกลาดพร้าว ตำบล/แขวง จตุจักร อำเภอ/เขต จตุจักร จังหวัด กรุงเทพมหานคร 10900

การเดินทางร่วมกิจกรรมด้วยรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีพหลโยธิน ทางออกที่ 5 หรือ รถไฟฟ้า BTS ลงสถานีห้าแยกลาดพร้าว

อาสาสถานีต่อไป “สถานีรถไฟฟ้า MRT ห้วยขวาง” – มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม

มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม
มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม

มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) เปรียบตนเองเหมือนสะพานสายรุ้งทางสังคมที่เชื่อมโยงคนหนุ่มสาว จากเมืองสู่ชนบท และจากชนบทสู่เมือง ให้เปิดโลกทัศน์ตนเองได้มีโอกาสสัมผัส เรียนรู้ เข้าใจ และแบ่งปันประสบการณ์ ความคิด ชีวิต และความใฝ่ฝันที่ดีงามต่อสังคมด้วยความเคารพซึ่งกันและกันในความแตกต่างหลากหลาย นำไปสู่หัวใจที่มุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ เชื่อมโยงตนเองและผู้อื่น ชีวิต ชุมชน สังคม โลก ธรรมชาติและสรรพสิ่ง 

เป็นโครงการที่จัดกิจกรรมอาสาสมัคร มาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน ตลอด 40 กว่าปีทีผ่านมา มอส. ได้ผลิตคนที่มีจิตใจอาสาได้เข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสังคมในหลากหลายรูปแบบและช่องทาง ตัวอย่างกิจกรรมจิตอาสาของทางมอส. ได้แก่

  • อาสาสมัครเพลินทอยส์

ของเล่นคู่กับเด็ก การเล่นคือการเรียนรู้ ฉะนั้นการเล่นถือเป็นการส่งเสริมพัฒนาการเด็กที่สำคัญยิ่ง ด้วยเหตุนี้ สหประชาชาติ (UN)จึงกำหนดให้ “การเล่น” เป็นหนึ่งในสิทธิเด็ก เพื่อให้สังคมได้ตระหนักถึงความสำคัญ และเพื่อให้เด็กเข้าถึงของเล่นตามความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยของเด็ก กิจกรรมจิตอาสา “เพลินทอยส์” มาจาก Play + Learn Toys = Plearn Toys หรือ เพลินทอยส์ สอดคล้องกับคำไทย  ซึ่งเป็นของที่ใช้ “เล่น” ที่ให้ทั้งความสุข สนุก เพลิดเพลิน และเป็นของที่มีประโยชน์ต่อการ “เรียนรู้” ในขณะเดียวกันด้วย

กิจกรรมอาสาสมัคร เพลินทอยส์  ให้อาสาสมัครมาร่วมทำของเล่นชนิดต่างๆ ซึ่งทางมูลนิธิจะเลือกชนิดของเล่นหมุนเวียนกันไป  ของเล่นที่ได้เราจะนำไปมอบส่งต่อความสุขแก่เด็ก ๆ ที่ขาดโอกาสเข้าถึงของเล่น และเพื่อมอบแก่เด็กในวาระต่างๆด้วย เช่น วันเด็ก ปีใหม่ วันเยาวชน เป็นต้น ซึ่งของเล่นจะมีหลากหลายแบบ  ของเล่นสร้างสุข  ของเล่นสร้างความรู้  ของเล่นสร้างพัฒนาการ  ของเล่นสร้างทักษะ  และของเล่นสร้างความทรงจำที่ดี

สถานที่ : มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม อาคารมูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม  ตำบล/แขวง ห้วยขวาง อำเภอ/เขต ห้วยขวาง จังหวัด กรุงเทพมหานคร 10310

การเดินทางร่วมกิจกรรมด้วยรถไฟฟ้า MRT ลงสถานีห้วยขวาง ประตู 1 เดินมาทาง ถ.ประชาราษฎร์บำเพ็ญ เลี้ยวซ้ายเข้าซอย 5 ประมาณร้อยเมตร เห็นตึกซัมเมอร์ ซ้ายมือ เดินลอดใต้ถุนตึกจนสุดแล้วเลี้ยวซ้ายจะถึงตึกมูลนิธิฯซ้ายมือ

Website : Thaivolunteer.org

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับกิจกรรมอาสาสมัครของแต่ละที่ แต่ละโครงการ ล้วนเป็นประโยชน์ต่อสังคม แถมมีกิจกรรมสนุก ๆ ให้ได้ร่วมลงมือทำ นอกจากจะได้ทำตามวัตถุประสงค์ของแต่ละกิจกรรมกันแล้ว การได้ไปร่วมงานอาสายังช่วยให้เราเพิ่มทักษะ แถมยังได้เพื่อนใหม่ ๆ ที่มีความสนใจร่วมกันอีกด้วย คุณพ่อคุณแม่ก็อย่ามัวลังเลรีบพาลูก ๆ ของเราไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดี ๆ ให้พวกเขาได้เห็นคุณค่าของตนเอง และเป็นประโยชน์ต่อสังคมเสียตั้งแต่วันนี้ นอกจากเราจะได้ลูกที่น่ารักแล้ว ยังเป็นการช่วยสร้างประชากรคุณภาพให้แก่ประเทศเราด้วยอีกทางหนึ่ง

กิจกรรมดี ๆ แถมสะดวกสบายในการเดินทางง่าย ๆ ในเมืองกรุง ด้วยรถไฟฟ้าแค่นี้เอง จะรอช้าอยู่ไย รีบชักชวนกันไปร่วมสนุกดีกว่า

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง จาก FB นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์Poppad.com 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

โครงการจิตอาสา สอนลูกช่วยสังคมได้ง่าย ๆ แม้อยู่บ้าน

12 กิจกรรมจิตอาสา ปลูกฝังให้ลูกมีน้ำใจ สร้างจิตสาธารณะตั้งแต่เล็ก

60 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เหมาะกับลูกเล็ก โดยพ่อเอก

8 กิจกรรมยามว่างพัฒนา สมองซีกซ้าย vs ซีกขวา ฝึกลูกใช้เหตุผลและมีความคิดสร้างสรรค์

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ผื่นคัน

3 เหตุผลที่ทำให้เกิด “ผื่นคัน” ขึ้นตามตัว

คุณแม่เคยสงสัยบ้างไหมคะว่า ในทุกวันเราทำความสะอาดผิวกายและเสื้อผ้าเจ้าตัวแสบมาอย่างดี แต่ทำไมระหว่างวันลูกถึงยังรู้สึกไม่สบายผิว และบางครั้งก็มีผื่นคันขึ้นตามตัว ยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กๆ เวลาที่รู้สึกคันผิวตามร่างกายมักจะเกาจนเกิดรอยแดง

 

ผื่นคัน มีลักษณะอาการอย่างไร ? 

ผื่นคัน มักจะแสดงอาการบนผิวหนังส่วนต่างๆ มีลักษณะเป็นปื้นแดงๆ หรืออาจเป็นตุ่มเล็กๆ ยิ่งถ้าหากผิว   บริเวณที่เกิดผื่นเสียดสีกับเสื้อผ้าที่ชื้นเหงื่อ จะยิ่งทำให้คันผิวมากขึ้น เมื่อมีอาการคันแล้วเกาผิวมากๆ จะทำให้เกิดรอยแดง บางทีก็จะรู้สึกเจ็บๆ แสบๆ ตรงผิวที่สัมผัสกับเสื้อผ้า

 

ผื่นคัน ระคายเคืองผิว เพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ หรือเปล่า ?

แล้วคุณแม่เคยสงสัยไหมคะว่าทำไม เมื่อเสื้อผ้าสัมผัสกับผิวแล้วมักทำให้รู้สึกคัน ระคายเคือง นั่นก็เพราะว่าเนื้อผ้าที่นิยมนำมาตัดเย็บเสื้อผ้านั้น มีคุณสมบัติตามธรรมชาติที่ไม่เหมือนกัน และในกระบวนการตัดเย็บมีการใส่สารเคมี เพื่อทำให้เนื้อผ้าตัดเย็บง่ายขึ้น เนื้อผ้าไม่ยับ ไม่หด และให้เนื้อผ้ามีเฉดสีสวยหลากหลาย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นที่ผิวนั่นเองค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะกับเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ที่มีโครงสร้างผิวแพ้ง่ายมาอยู่ก่อนแล้ว ก็จะยิ่งทำให้มีอาการแพ้เสื้อผ้ามากกว่าปกติค่ะ

ตามธรรมชาติของเนื้อผ้า 4 ชนิดที่นำมาตัดเย็บเสื้อผ้า จะมีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน

ผื่นคัน

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้ผิวเกิดอาการ ผื่นคัน ระคายเคือง จากการสวมใส่เสื้อผ้า เรามาดูสาเหตุ และ วิธีแก้ปัญหากันค่ะ

1. สารกระตุ้นก่อแพ้

โดยปกติแล้วผิวหนังไม่ว่าจะของเด็ก หรือผู้ใหญ่ หากไปสัมผัสเข้ากับสารกระตุ้นที่ก่อให้เกิดการแพ้ ก็มักจะเกิด “ผื่น” ขึ้น ได้ง่ายค่ะ ซึ่งสารกระตุ้นก็เช่น สีสังเคราะห์ (Synthetic Colors) , สารกันเสีย (Paraben) เป็นต้น สำหรับสารเคมีที่ระคายเคืองต่อผิวเหล่านี้ มักมีอยู่ในผลิตภัณฑ์ซักผ้า ฯลฯ

วิธีแก้ปัญหา :  ในเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่มีผิวแพ้ง่าย ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรงต่อผิวค่ะ สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลผิวพรรณต่างๆ ควรเลือกใช้เป็นสูตรธรรมชาติ ที่อ่อนโยนต่อผิว และหากเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลทำความสะอาดเสื้อผ้า ควรเลือกสูตรที่ปราศจากสารเคมีอันตราย และมีตรารับรองจากสถาบันมาตรฐานสากล ว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว

ผื่นคัน

แนะนำคุณแม่ใช้ ดีนี่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า สูตรเข้มข้น ที่ช่วยให้ซักเสื้อผ้าของเด็กๆ และทุกคนในครอบครัวได้อย่างสะอาดลึกถึงเส้นใยผ้า แม้ต้องเจอคราบหนัก บนผ้า เช่น คราบดินโคลน คราบเหงื่อไคล คราบอาหาร คราบน้ำหวาน คราบอาเจียน คราบสีน้ำ คราบช็อกโกแลต คราบเลือด และคราบอุจจาระ ที่สำคัญชุดเสื้อผ้าที่ซักด้วยน้ำยาซักผ้า ดีนี่ สูตรเข้มข้น ล้างฟองออกง่ายไม่มีสารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว คุณแม่มั่นใจได้ว่าปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวบอบบาง

2. กลิ่นหอมซ่อนร้าย

ใครจะเชื่อว่ากลิ่นหอมที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ขึ้นได้ โดยสาเหตุของผื่นคัน อาจมาจากกลิ่นหอมที่มาจากสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ ( Fragrance ) หรือที่เปลือกของแคปซูลน้ำหอมที่ปัจจุบันมักถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์กลุ่มปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น

วิธีแก้ปัญหา : เด็ก หรือผู้ใหญ่ที่มีผิวแพ้ง่าย ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม ที่ไม่มีส่วนประกอบของแคปซูลน้ำหอม และมีตรารับรองจากสถาบันมาตรฐานสากลว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวเพราะเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าที่ผ่านการทำความสะอาด ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแคปซูลน้ำหอม  อาจก่อให้ผื่นแพ้ผิวสัมผัสขึ้นได้ง่าย และอาจมีอาการระคายเคืองตาด้วยค่ะ

ผื่นคัน

 

เสื้อผ้าลูก และเสื้อผ้าของทุกคนในครอบครัว หลังซักทำความสะอาดแล้ว ควรปรับเนื้อผ้าให้นุ่ม ด้วยน้ำยาปรับผ้านุ่มค่ะ ขอแนะนำ ดีนี่ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรเข้นพิเศษ อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง เพราะไม่มีส่วนประกอบของแคปซูลน้ำหอม และให้ผ้าหอม ไร้กลิ่นอับชื้น  เพราะมีเทคโนโลยี Fresh Booster ที่ช่วยให้กลิ่นหอมติดผ้านานขึ้น 4 เท่า และช่วยลดกลิ่นอับชื้น ให้เสื้อผ้ากลิ่นหอมอ่อนๆ ตลอดวัน  ที่สำคัญไม่ระคายเคืองผิวบอบบางแน่นอน

ผื่นคัน

3. เสื้อผ้าไม่สะอาด

รู้ไหมคะว่า เสื้อผ้า หรือหน้ากากอนามัยผ้า หากซักทำความสะอาดไม่ดีพอ คราบสกปรกที่ยังติดอยู่บนเสื้อผ้า ก็เป็นสาเหตุ  หนึ่งที่ทำให้เกิดผื่นแพ้สัมผัสขึ้นที่ผิวหน้า ผิวกายได้ค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะกับหน้ากากอนามัยผ้า ควรเปลี่ยนใช้ผืนใหม่ทุกวัน  เพราะการใส่หน้ากากอนามัยซ้ำติดต่อกัน ในผู้ใหญ่อาจไม่ได้มีแค่ปัญหาผื่นคัน ระคายเคือง แต่ยังทำให้เกิดสิวด้วยค่ะ

วิธีแก้ปัญหา : เสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าผู้ใหญ่ หากมีคราบสกปรกฝังแน่น ควรแช่ในน้ำยาซักผ้าก่อนประมาณ 20-30 นาที จะช่วยให้  คราบสกปรกหลุดออกง่ายค่ะ หลังซักแล้วควรถนอมเนื้อผ้าให้นุ่มด้วยผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม เส้นใยผ้าที่นุ่ม จะช่วยลดการระคายเคืองที่ผิวได้ค่ะ

ส่วนหน้ากากอนามัยผ้า แนะนำให้ซักด้วยน้ำยาซักผ้าเด็ก หรือน้ำสบู่เด็กอ่อนๆ หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาขจัดคราบ หรือน้ำยา ฟอกผ้าขาว เพื่อสุขอนามัยที่ดี ควรซักหน้ากากอนามัยผ้าทุกวัน เพื่อกำจัดเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียก่อโรคต่างๆ ค่ะ

การดูแลสุขภาพผิวของเด็กๆ และผู้ใหญ่ ให้มีสุขภาพผิวดี ไม่มีปัญหาเรื่องผดผื่น แพ้ระคายเคือง ง่ายๆ แค่เริ่มจากการดูแล เสื้อผ้าที่สวมใส่ทุกวัน ให้สะอาด ด้วย ดีนี่ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า สูตรเข้มข้น และ ดีนี่ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่ม สูตรเข้นพิเศษ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบจากสถาบันมาตรฐานสากล ว่าไม่ก่อให้เกิดการระเคืองต่อผิวค่ะ  คุณแม่สามารถหาซื้อได้ที่ Tesco , Big C , Tops , Gourmet Market , Robinson , Lazada , Shopee , JD Central, CJ Express และร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ

#ดีนี่พิสูจน์แล้วว่าดี

ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี

100 ไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี ตามไอดอล นักแสดง และตัวละครซีรีย์ดัง!

รวมไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี 100 ชื่อสไตล์เกาหลี ตามเทรนด์ไอดอล นักแสดง และตัวละครซีรีย์ดัง คุณพ่อคุณแม่คนไหน อยากตั้งชื่อเล่นลูกเป็นภาษาเกาหลี คลิกดูเลย

ไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี
ตามไอดอล นักแสดง และตัวละครซีรีย์ดัง

เรียกได้ว่าช่วงนี้กระแสแฟชั่นความนิยมของ “เกาหลี” ก็ยังคงฮอตฮิตและอินเทรนด์อยู่ไม่จาง ไม่ว่าจะเป็นเพลง K-pop หรือซีรีย์ ก็เป็นที่น่าสนใจของคนไทยบ้านเราไม่น้อย ซึ่งคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องบ้านไหนได้สามีเป็นชาวเกาหลี มีลูกน้อยเป็นลูกครึ่ง เกาหลี หรือกำลังสนใจเทรนด์เกาหลีอยู่ตอนนี้ต้องห้ามพลาด!!

ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมชื่อไอดอลเกาหลี ชื่อนักแสดงเกาหลี และ ชื่อเพราะๆ จากตัวละครซีรีย์ดัง มาฝาก สำหรับให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ดูเป็นไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี แบบเท่ๆ น่ารักๆ ทั้งลูกชายลูกสาว จะมี ชื่อเกาหลี อะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี

รวม ไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี ตามไอดอล

ตั้งชื่อเล่นลูก ตามไอดอล บอยแบนด์ ตั้งชื่อเล่นลูก ตามไอดอล เกิร์ลกรุ๊ป
จองกุก จีซู
จินยอง จียอน
จีซอง จือวี่
จีมิน ซานะ
จีฮุน ซูบิน
แจฮยอน โซมี
ชางมิน โซยอน
ชานยอล ดาฮยอน
ซึงมิน นายอน
ซึงอู นาอึน
ซูโฮ โบอา
เซฮุน ยุนอา
แดเนียล ยูบิน
แทมิน เยจี
แทยัง เยนา
มินโฮ เยรี
ยองแจ อึนจี
โรอุน ไอยู
วอนโฮ ไอรีน
อูจิน ฮยอนอา

ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี

รวม ไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี ตามนักแสดงชื่อดัง

ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อนักแสดงชายเกาหลี ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อนักแสดงหญิงเกาหลี
กงยู กาอิน
คิมบอม โกอึน
จินกู จีฮยอน
จีฮุน จีฮุน
จุงกิ ซารัง
จุนกิ ซูจี
ซอจุน ซูบิน
ซึงโฮ โซฮยอน
ซูฮยอน โบยอง
โบกอม มินยอง
มินโฮ มินอา
อูบิน ยองเอ
ฮยอนบิน ยูจอง
แฮจิน เยจิน
กงยู เยจี

ตั้งชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี

รวมไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูก ตามซีรีย์ดังของเกาหลี

ซีรีย์ดัง ชื่อเกาหลี
Crash Landing on You ยุนเซริ
Dr. Romantic 2 ชาอึนแจ , ซออูจิน
Goblin คิมชิน
Hotel Del Luna จางมันวอล
It’s Okay to Not Be Okay มุนซังแท , มุนคังแท , โกมุนยอง
Legend of the Blue Sea ฮอจุนแจ
The Heirs คิมทัน

 

นอกจากนี้ความนิยมของศิลปิน-ดาราก็มีอิทธิพลต่อแฟนๆ ชาวเกากลีที่ติดตามผลงานไม่มากก็น้อย ซึ่งพ่อแม่ชาวเกาหลีก็มักจะชอบตั้งชื่อลูกตามชื่อศิลปิน-ดาราที่ชื่นชอบหรือโด่งดังในตอนนั้นด้วย โดยทางเกาหลีได้มีการเปิดเผยข้อมูลจากระบบทะเบียนครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ โดยผลการจัดเก็บสถิติ ชื่อของเด็กเกิดใหม่ทั้งชาย และ หญิง ที่ถูกนิยมตั้งมากที่สุด มีดังต่อไปนี้

ไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูก ที่พ่อแม่ชาวเกาหลีตั้งนิยมตั้งให้ลูกชายมากที่สุดในปี 2018

  • สำหรับอันดับที่ 10 – ยูจุน
  • อันดับที่ 9 – อึนอู
  • อันดับ 8 – จูวอน
  • อันดับ 7 – เยจุน
  • อันดับ 6 – จีโฮ
  • อันดับที่ 5 – มินจุน
  • อันดับ 4 – จีอู
  • อันดับ 3 – โดยุน
  • อันดับที่ 2 – ฮายุน
  • อันดับหนึ่ง – ซอจุน

 

ไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูก ที่พ่อแม่ชาวเกาหลีตั้งนิยมตั้งให้ลูกสาวมากที่สุดในปี 2018

  • สำหรับ อันดับ ที่ 10 คือ จียู
  • อันดับที่ 9 – จีอู
  • อันดับที่ 8 – ซูอา
  • อันดับ 7 – ซอยอน
  • อันดับ 6 – ฮาริน
  • อันดับที่ 5 – ฮาอึน
  • อันดับ 4 – ซอยุน
  • อันดับ 3 – ฮายุน
  • อันดับที่ิ 2 – ซออา
  • อันดับหนึ่ง – จีอัน

ทั้งนี้จาก 100 ชื่อเล่นลูก ชื่อเกาหลี ตามไอดอล นักแสดง และตัวละครซีรีย์ดัง ที่ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม มานี้ คุณพ่อคุรแม่ก็สามารถดูเป็นไอเดียแล้วนำไปตั้งให้ลูกน้อยได้นะคะ


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.korseries.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจคลิกที่ภาพได้เลย ⇓

ไม่ต้องรอคลอด! 9 วิธีกระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ สร้างลูกฉลาด อารมณ์ดีได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง

อยากมีลูก ทำไงดี? 10 เคล็ด(ไม่)ลับทำให้ท้อง เพิ่มโอกาสมีลูกสมใจ

การ์ตูนเจ้าหญิงดิสนีย์ทั้งหมด กับคำคมสร้างแรงบันดาลใจ

โครงการ Falcon Sharing Café มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

Falcon Sharing Café มอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ ให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

Tags

สอนลูก "แพ้ให้เป็น"

แพ้ ภูมิคุ้มกันความผิดหวังที่แม่สร้างให้ลูกได้

วัคซีนทางร่างกาย ลูกคงได้รับตามวัยมีภูมิคุ้มกันโรคไม่เคยขาด แล้ววัคซีนทางใจละ ปล่อยให้ลูก แพ้ บ้าง ภูมิคุ้มกันที่จะช่วยเขาให้อยู่รอดได้ในสังคมปัจจุบัน

แพ้ ภูมิคุ้มกันความผิดหวังที่แม่สร้างให้ลูกได้

คุณแม่คุณพ่อทุกคนคงไม่มีใครอยากเห็นลูกผิดหวัง เสียใจ คำว่า “แพ้ ” คำว่า “ล้มเหลว” คงไม่อยากให้เกิดขึ้นในชีวิตของเขาอย่างแน่นอน แม้แต่การแข่งขันกีฬาก็เป็นเรื่องปกติที่ เมื่อมีคนชนะ ก็ย่อมมีคนแพ้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่คงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพบความจริงที่ว่า ลูกต้องเผชิญความสมหวัง และความผิดหวัง ความล้มเหลวบ้างสักครั้งในชีวิต

เราไม่สามารถปกป้องดูแล ตีกรอบชีวิตของลูกไปได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา ดังนั้นจะดีกว่าไหมหากเราจะช่วยให้ลูกของเราแข็งแกร่ง มีภูมิคุ้มกันจากภายในจิตใจ เพื่อพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญ

ใครกันทำให้ลูกเป็นโรค “แพ้ไม่เป็น”

พ่อแม่ทุกคนอยากเห็นลูกตัวเองเป็นที่หนึ่ง จงยอมรับมาเถอะว่า คุณเคยแอบช่วยเหลือลูกไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเพื่อให้เขาได้รับชัยชนะเหนือคนอื่นสมใจ แต่ชัยชนะแบบนี้ที่ลูกได้มามันดีต่อเขาจริงหรือ

นพ.จิตริน ใจดี จิตแพทย์ประจำศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า การเลี้ยงดูของครอบครัวนั้นมีส่วนให้คนเติบโตเป็นแบบนั้น จากการเลี้ยงดูที่เข้มงวด กดดัน คาดหวังในตัวลูกมากเกินไป ลูกเรียนดี ลูกได้ที่ 1 พ่อแม่จะรักและภูมิใจมาก ทำให้เด็กรู้สึกตึงไม่ยืดหยุ่น ต้องการเป็นที่ 1 ให้พ่อแม่ภูมิใจ

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเริ่มเข้าข่ายโรคแพ้ไม่เป็นแล้วหรือยัง นพ.อภิชาติ จริยาวิลาศ จิตแพทย์กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการสำรวจตัวเองว่ามีอาการของการแพ้ไม่เป็นหรือไม่ไว้ดังนี้

ต้องสังเกตตัวเองว่า เราโมโหทุกครั้งหรือเปล่า กับทุกคนไหม แต่ถ้าเป็นกับคนคนเดียวนั้นถือว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่ชอบหน้ากันเป็นพิเศษกับคนคนนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นกับทุกๆ คน ใครเตือนอะไรไม่ได้ โกรธ โมโห ขัดเคืองใจ มีความคิดในแง่ลบเสมอ ถ้าคุณเป็นอย่างนั้นก็ถือว่าเข้าข่ายที่เป็นคนแพ้ไม่ได้ ยอมรับความจริงไม่เป็น

คุณพ่อคุณแม่ก็ลองปรับมาใช้ในการสำรวจลูกดูว่าเขามีพฤติกรรมดังกล่าวหรือไม่ รุนแรงแค่ไหน เป็นกับใครบ้างหรือทุกคน การที่เราสามารถรู้ได้ทันก่อนว่าลูกเริ่มมีอาการดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้เราสามารถแก้ไขพฤติกรรมดังกล่าวได้ทัน ก่อนที่จะสายเกินไป

สอนลูก แพ้ ให้เป็น
สอนลูก แพ้ ให้เป็น

เสริมภูมิคุ้มกันความผิดหวัง ดัวยวัคซีน แพ้ อย่างฉลาด

ดร.ทามาร์ ชานสกี้ นักจิตวิทยาเด็ก ผู้เขียนหนังสือ Freeing Your Child from Negative Thinking ได้อธิบายถึงว่าเด็กยังไม่เข้าใจถึงความหมายของคำว่า ฟ้าหลังฝน แถมคิดไปเองว่าเมื่อเป็นผู้แพ้จะต้องแพ้ไปชั่วนิรันดร์ นั่นเป็นเพราะเป็นธรรมชาติของเด็ก จึงเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะช่วยสอนให้ลูกรู้หลักความเป็นจริง และเก็บเกี่ยวแง่คิดจากการเป็นผู้แพ้ได้ จึงจะเรียกได้ว่า แพ้อย่างฉลาด นำบทเรียนคราวนี้มาเป็นตัวอย่างไม่ให้เราทำผิดพลาดซ้ำสอง ไม่กลัวที่จะริเริ่มทำสิ่งต่างๆ และพร้อมที่จะลุกกลับขึ้นมาสู้ต่อ ซึ่งเป็นทักษะการใช้ชีวิตที่จำเป็นกับลูกในอนาคต

เชื่อมั่นในตัวลูก เป็นสิ่งที่ลูกต้องการจากพ่อแม่

ก่อนเริ่มวิธีการอื่นใด สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ควรมีก่อนเลย คือ ความเชื่อมั่นในตัวลูก เพราะหากเราไม่เชื่อเสียก่อนแล้วว่า เขาสามารถทำสิ่งนั้นได้ด้วยตัวเอง ความรู้สึกห่วงของเราก็จะไปกระทบต่อความมั่นใจของลูกเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้พูดออกมาก็ตาม การดูอยู่ห่างๆ และเข้าไปให้กำลังใจ เมื่อลูกล้มเหลวเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่การที่จะเข้าไปแทรกแซงโดยไม่ปล่อยให้ล้มเหลวเลย เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะนอกจากจะทำให้เขารู้สึกว่าคุณไม่เชื่อมั่นในตัวเขาแล้ว ยังทำให้ลูกไม่กล้าที่จะทำอะไรท้าทาย เมื่อไม่มีคุณพ่อคุณแม่อยู่ใกล้ ๆ

เลือกสถานการณ์ให้เหมาะแก่การสอน

การสอนลูกให้รู้จักกับความพ่ายแพ้ ล้มเหลว เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน หากเราเลือกสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าเดิม ดังนั้นการที่เราจะเลือกสถานการณ์แบบใดที่จะมาสอนลูกเรื่องนี้นั้น ควรดูที่ความสามารถตามวัยของลูกด้วยว่า เป็นสถานการณ์ที่เขาสามารถทำได้สำเร็จอยู่แล้ว เป็นภาระงานที่ไม่ยากเกินไปกว่าวัยที่ลูกจะทำได้ แต่ที่เขาทำไม่ได้นั่นเป็นเพราะว่าเขายังไม่ได้พยายามมากพอ เช่น การได้คะแนนเขียนคำศัพท์น้อย เพราะเขาไม่ยอมท่องศัพท์ก่อนล่วงหน้า

ให้คุณค่ากับพยายาม มากกว่าถ้วยรางวัล

หากลูกต้องเผชิญกับความผิดหวังในเรื่องที่ยากเกินกว่าความสามารถของเขา หรือพ่ายแพ้ในสิ่งที่ลูกก็ได้พยายามเต็มที่แล้ว สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือ การชื่นชมในความพยายามของลูก ชื่นชมว่าลูกเป็นเด็กดี สุภาพ มีน้ำใจ อดทน พยายาม มากกว่าไปมองเปลือกข้างนอกว่าต้องได้ที่หนึ่งถึงจะดี เช่น ลูกอ่านหนังสือนานเพื่อสอบ พ่อแม่ชื่นชมที่ลูกอดทน ตั้งใจและพยายาม ผลจะออกมาเป็นอย่างไร แม่ก็ภูมิใจเสมอที่ลูกตั้งใจมากขนาดนี้

แพ้ แล้วก้าวร้าว
แพ้ แล้วก้าวร้าว

สอนให้ลูกรู้จักชื่นชมคนอื่น เพื่อละทิ้งนิสัยขี้อิจฉา

นิสัยของคนกลัวการแพ้นั้น มักจะนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น และมักปกปิดความกลัวนั้นด้วยการหาเหตุผลอื่นมาตำหนิผู้อื่นที่ได้ดีกว่าตน ทำให้เขาไม่สามารถประเมินความรู้ความเข้าใจของตนเองได้ถูกต้อง เมื่อเราไม่ยอมรับว่าตนเองว่ายังมีข้อบกพร่อง การที่จะพัฒนาปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นก็เป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องระวังคำพูดในเชิงเปรียบเทียบลูกตนเองกับคนอื่น โดยหวังว่าลูกจะได้มีตัวอย่างที่ดีในการพัฒนาตนเอง หรือใช้คำพูดประชดประชัน รุนแรงเกินจริง เมื่องเขาพบกับความล้มเหลว ผิดหวัง เพราะตัวลูกเองอาจจะไม่ได้รู้สึกถึงความพ่ายแพ้แต่คำพูดของเราเองต่างหากที่ไปตอกย้ำความรู้สึกนั้น มาก ๆ เข้าก็ทำให้เขาเกิดการอิจฉา ไม่รู้จักชื่นชมคนอื่นจากใจจริง

ตามใจทุกเรื่อง อุปสรรคขัดขวาง อย่าทำ!

ลูกเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ้อนเก่ง พ่อแม่หลาย ๆ คนคงไม่สามารถเถียงได้ แต่การตามใจลูกทุกเรื่องนั้น เป็นสิ่งที่ต้องระวัง เพราะการตามใจลูกนั้น หมายถึง การที่เขาจะเคยชินกับความสมหวัง ในบางครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจจะไม่ยอมตามใจในตอนแรก แต่เมื่อเขาร้องไห้ โวยวาย เราก็ใจอ่อนยอมตามใจ ทำให้ลูกเรียนรู้วิธีการได้มาแบบผิด ๆ และไม่เกิดการเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดหวังแบบมีเหตุผล

กิจกรรมช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันความผิดหวังแก่ลูกน้อย

ในเมื่อเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงคำว่า แพ้ ให้ลูกไปได้ตลอด ลองมาหากิจกรรมที่ให้ลูกได้เรียนรู้ว่าเรื่องแพ้ชนะ เป็นเรื่องปกติธรรมดากันดีกว่า

เสริมภูมิคุ้มกันการ แพ้
เสริมภูมิคุ้มกันการ แพ้
  1. นิทานช่วยจำลองให้เห็นภาพก่อนเผชิญของจริง เด็กกับนิทานเป็นของคู่กัน นิทานช่วยให้ลูกเห็นภาพเข้าใจในสิ่งยาก ๆ ได้ง่ายขึ้น การหานิทานที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการแพ้ชนะ สอนเรื่องน้ำใจนักกีฬา ความมุ่งมั่นมานะแม้จะแพ้ ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีในการสอนการแพ้ชนผ่านเรื่องราวของตัวละครที่เด็ก ๆ ชอบ เช่น นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า นิทานเรื่องลูกหมูสามตัว
  2. ว้า!แย่จัง พ่อแม่แพ้ซะแล้ว หาเกมดี ๆ ที่ลูกสนใจ มาชักชวนให้เขาเล่นเกมกับคุณพ่อคุณแม่ นอกจากจะสร้างความสัมพันธ์อันดีภายในครอบครัวแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีในการสอนลูกให้รู้จักแพ้ชนะอีกด้วย แต่ไม่จำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องแกล้งแพ้เสมอไป การที่ชนะลูกบ้าง จะทำให้เขาเรียนรู้ที่จะยอมรับ และลุกขึ้นสู้ใหม่ เมื่อเขาชนะ เขาก็จะเรียนรู้ว่าหากพยายามก็สามารถเอาชนะได้ และแม้แต่พ่อแม่ที่เป็นฮีโร่ของพวกเขา ก็มีวันที่จะแพ้เป็น
  3. กีฬา กีฬาเป็นยาวิเศษ เกมกีฬามักมาคู่กับคำว่า แพ้ชนะ เสมอ ดังนั้นกีฬาจึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการสอนลูกให้รู้จักเรียนรู้ในเรื่องนี้ได้ดี ไม่ว่าจะให้เขาได้ลองเล่นกีฬาที่ชอบ หรือไปนั่งเชียร์ทีมฟุตบอลทีมโปรดของคุณพ่อในเกมการแข่งขันฟุตบอลทั้งในจอ และสนามแข่งจริง ก็ทำให้เขาเข้าใจ และยอมรับการแพ้ชนะมากยิ่งขึ้น
  4. ประสบการณ์ของพ่อแม่ เรื่องจริงยิ่งกว่านิทาน การเล่าเรื่องความล้มเหลวของคุณพ่อคุณแม่ให้ลูกฟัง เช่น พ่อฝึกซ้อมหนักมากตอนนั้น แต่ก็ไม่ได้ติดทีมฟุตบอลโรงเรียน แต่พ่อก็ยังไม่เลิกเล่นนะจนขึ้นมหาวิทยาลัยก็ติดจนได้ เพราะการเล่าจากประสบการณ์จริงทำให้ลูกรู้สึกมีอารมณ์ร่วมมากกว่า โดยเฉพาะในเด็กที่เริ่มโต เข้าใจชีวิตมากกว่าเรื่องราวในนิทาน

พวกเขาจะสามารถข้ามผ่านเรื่องร้าย ๆ ของชีวิตไปได้ด้วยดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ที่พ่อแม่อย่างเรา มาช่วยกันสร้างเกราะป้องกันทางความคิดให้ลูกน้อยเสียก่อน เขาก็จะพร้อมเดินหน้าต่อไปในอนาคตแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามต้องเริ่มที่ตัวของคุณพ่อคุณแม่เองก่อน ให้เข้าใจถึงคำว่าแพ้ของลูกเป็นเรื่องปกติ ธรรมดาของชีวิต ความคาดหวัง ความกดดันในตัวลูกก็คงน้อยลง รวมถึงคำพูดที่เลือกใช้ในการสื่อสาร จงท่องไว้ว่าเราจะเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก เราเชื่อว่าคุณทำได้

ข้อมูลอ้างอิงจาก 9ย่างเพื่อสร้างลูก / bangkokhospital.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

คำพูดที่พ่อแม่ไม่ควรพูดกับลูก ข้อคิดสะกิดใจจากคุณหมอ!!

5 ขั้นตอนการดุลูก สอนลูกอย่างไร ไม่ทำให้ลูกพัฒนาการถดถอย

สอนลูกเข้าใจแพ้…ไม่ใช่เรื่องใหญ่

5 นิทานคุณธรรม ปลูกฝังให้ลูกทำดีได้ตั้งแต่เล็ก!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ประจำเดือนเป็นก้อน

ประจำเดือนเป็นก้อน เป็นลิ่มเลือด เกิดจากอะไร อันตรายมั้ย ต้องรู้!

เรื่องของประจำเดือนเป็นเรื่องที่ติดตัวมากับผู้หญิง โดยอายุเฉลี่ยของผู้หญิงไทยที่เริ่มต้นมีประจำเดือนครั้งแรกอยู่ในช่วงอายุประมาณ 12-13 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายกำลังมีการเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ เมื่อเข้าสู่ในช่วงวัยที่มีประจำเดือนจึงเป็นเรื่องที่ผู้หญิงทุกคนควรให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลเรื่องสุขภาพในด้านอื่น ๆ เพราะเลือดประจำเดือนที่ออกมานั้นบ่งบอกถึงสุขภาพและสัญญาณเตือนของโรคผู้หญิงบางอย่างได้ ซึ่งอาการของประจำเดือนผิดปกติมีหลายอาการ เช่น ประจำเดือนมามาก มาน้อย มาช้า หรือมีอาการปวดท้องมาก ปวดหัว หรือมีเลือดไหลที่ไม่ใช่เลือดประจำเดือน ทว่า ประจำเดือนเป็นก้อน  เป็นลิ่มนั้นใช่ความผิดปกติด้วยหรือเปล่าและเป็นอันตรายไหม มาไขข้อสงสัยนี้ไปพร้อม ๆ กันค่ะ

ประจำเดือนเป็นก้อน เป็นลิ่มเลือด เกิดจากอะไร อันตรายมั้ย ต้องรู้!

ลักษณะของประจำเดือนมาปกติ โดยช่วงที่รอบเดือนมาแต่ละครั้งจะอยู่ในช่วงประมาณ 3-8 วัน และจะมามากที่สุดภายใน 2 วันแรก สีเลือดจะประจำเดือนที่มาปกติอาจมีสีแดงเข้ม สีน้ำตาล หรือสีดำ ซึ่งเป็นเลือดประจำเดือนจากเยื่อบุโพรงมดลูกเก่าที่ถูกขับออกมา ผู้หญิงบางคนมักเจอกับปัญหาประจำเดือนที่ออกมาลักษณะเป็นก้อนหรือเรียกว่าลิ่มเลือดออกมา และมาพร้อมอาการปวด จนทำให้ตกใจ ซึ่งลิ่มเลือดประจำเดือนนั้นเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถขับเลือดประจำเดือนออกมาได้ทัน เป็นในช่วงที่ประจำเดือนมามากกว่าปกติ ทำให้เลือดประจำเดือนตกค้างสะสมอยู่ในช่องคลอด และอาจทำให้เลือดประจำเดือนที่ออกมาเป็นก้อนได้ในช่วงวันใกล้หมดประจำเดือน โดยลิ่มเลือดนี้หากมีขนาดที่ไม่เกินเส้นผ่าศูนย์กลางเกิน 2 ซม.ในกรณีนี้ถือว่าไม่ผิดปกติ และสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน แต่ถ้าหากลิ่มเลือดประจำเดือนนั้นมีขนาดใหญ่ และเป็นก้อนออกมาติดต่อกันทุกเดือนจนผิดสังเกต หรือมีสีและกลิ่นที่ผิดแปลกไปจากเดิม นั่นอาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพ ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด

ประจําเดือนเป็นก้อน เกิดจากอะไร

สาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดประจำเดือนเป็นลิ่มที่เกิดจากปัญหาสุขภาพได้ อาทิเช่น

  • ขาดธาตุเหล็ก โดยเฉลี่ยแล้วต่อเดือนผู้หญิงจะเสียเลือดในช่วงที่มีประจำเดือนมาประมาณ 50 มิลลิลิตร หรือเท่ากับสูญเสียธาตุเหล็กไปประมาณ 15-30 มิลลิกรัมต่อเดือน การขาดธาตุเหล็กในร่างกายจึงเป็นอีกสาเหตุที่ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือเกิดเป็นลิ่มเลือดได้ ดังนั้นในช่วงที่มีประจำเดือนมาควรทานอาหารที่มีธาตุเหล็กในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการร่างกาย เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ไข่แดง หรือผักใบเขียวเข้ม เป็นต้น
  • สัญญานของอาการเนื้องอกในมดลูก หากสังเกตในรอบเดือนนั้นมีประจำเดือนที่มามากและนานขึ้นผิดปกติ มีลิ่มเลือดหรือเป็นก้อนปนออกมาขนาดใหญ่ผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณที่เสี่ยงต่อการเป็นเนื้องอกในมดลูกได้ และมีสัญญาณอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปัสสาวะบ่อย กะปริดกะปรอย หรือปัสสาวะขัด คลำพบก้อนที่ท้องน้อย เป็นต้น โดยโรคนี้ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงอายุประมาณ 30-40 ปี ดังนั้นหากพบว่ามีลิ่มเลือดหรือมีประจำเดือนมากกว่าปกติเพื่อความสบายใจแม่ ๆ หรือสาว ๆ สามารถไปพบคุณหมอเพื่อตรวขสุขภาพภายใน ซึ่งหากตรวจพบแต่เนิ่น ๆ รักษาไวก็จะมีโอกาสหายมากขึ้น
  • เกิดภาวะถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ ซึ่งทำให้ประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนไม่มาติดต่อกันนานหลายเดือน หรือมีปริมาณน้อยผิดปกติ ผนังโพรงมดลูกที่หนาตัวอยู่เป็นเวลานานเพราะไม่มีการตกไข่ เมื่อหลุดลอกออกเป็นประจำเดือนอาจมีเลือดที่มามากกว่าปกติ ทำให้เกิดภาวะประจำเดือนเป็นลิ่มได้ง่าย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูกและมีลูกยากได้
  • เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ โรคนี้มักพบในผู้หญิงที่มีอายุ18-55 ปี จนถึงวัยหมดประจำเดือน จะสังเกตเห็นลักษณะประจำเดือนที่ออกมาเป็นลิ่มเลือดคล้ายเลือดหมู มีเลือดออกภายในค่อนข้างมาก ทั้งนี้ควรสังเกตอาการอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ถ้าพบว่ามีประจำเดือนมาผิดปกติควรรรีบไปพบแพทย์ หากรักษาไม่ทันท่วงที หรือรักษาไม่หายขาดก็สามารถส่งผลถึงภาวะมีบุตรยาก จนถึงเป็นสาเหตุของท้องนอกมดลูกได้
  • ประจำเดือนมามากผิดปกติ อาการประจำเดือนมามากที่เรียกว่าไม่ปกติ คือมีประเดือนมามากกว่า 7 วัน จำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก ๆ ชั่วโมง และมีลิ่มเลือดก้อนใหญ่ไหลออกมากับประจำเดือน รวมถึงมีอาการที่เกิดขึ้นจากภาวะมีเลือดออก เช่น หน้ามืด เป็นลม ซีดลง ต้องเติมเลือด เป็นต้น อาจเป็นสาเหตุที่เกิดจากโรคอื่น ๆ ได้ เช่น เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ก้อนเนื้อในมดลูก ระบบการแข็งตัวของเลือด เช่น เกล็ดเลือดต่ำ การทำงานของเกล็ดเลือดผิดปกติ เป็นต้น

คลิปวิดีโอ “คุณหมอขอเคลียร์ สารพัดคำถามเรื่องผู้หญิง ผู้หญิง” ชอบมีลิ่มเลือดช่วงมีประจำเดือน ประจำเดือนมามาก ตกขาวมาเยอะ ตกขาวมีกลิ่น สารพัดปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงเกิดคำถามว่าฉันจะเสี่ยงโรคอะไรหรือเปล่า มีคำตอบจากคุณหมอ นพ.กรกฎ นามเสนาะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านสูตินารีแพทย์ โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์

5 วิธีรับมือกับปัญหาประจำเดือนเป็นก้อนเลือด

1.รับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็กและแคลเซียม

ในช่วงที่ต้องสูญเสียเลือดประจำเดือน นอกจากการรับประทานให้ได้สารอาหารครบถ้วนแล้ว ควรเน้นรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กและแคลเซียมในปริมาณที่พอเพียงต่อร่างกาย เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่แดง การรับประทานผักใบเขียว เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนภายในร่างกาย และควรหลีกเลี่ยงชา กาแฟ และสุรา เพื่อลดอาการปวดก่อนมีประจำเดือน

2.ประคบร้อนหรืออาบน้ำอุ่น

ความร้อนมีส่วนช่วยคลายอาการบีบรัดตัวของมดลูก และกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ดี

3.จิบน้ำอุ่น

ในช่วงมีประจำเดือนควรได้จิบน้ำอุ่นที่ไม่ใช่เครื่องดื่มผสมคาเฟอีนบ่อย ๆ หรือน้ำผึ้งผสมมะนาว หรือน้ำขิงอุ่น ๆ ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดได้ดีขึ้น ให้เลือดไหลออกมาได้สะดวก ไม่เป็นก้อนหรือลิ่มเลือดด้วย

4.พักผ่อนเพียงพอ

การนอนดึกหรือมีชั่วโมงการนอนที่น้อยเกินไปต่อวันจะส่งผลกระทบต่อการหลั่งฮอร์โมนและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้ ในช่วงที่มีประจำเดือนที่ร่างกายมักจะอ่อนเพลียง่ายการนอนพักผ่อนที่เพียงพอจะส่งผลดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ระบบภายในร่างกายได้พักฟื้นและฟื้นฟูพลังงานในขณะที่สูญเสียเลือดไประหว่างการมีประจำเดือน

5.ออกกำลังกายเบา ๆ

ในช่วงมีประจำเดือนมายังสามารถออกกำลังกายได้ เพียงแต่เลือกกีฬาหรือกิจกรรมที่ไม่หักโหม เช่น การเดินเร็ว วิ่งจ็อกกิ้ง หรือโยคะในท่าง่าย ๆ ซึ่งการออกกำลังกายในขณะมีประจำเดือนจะมีส่วนช่วยในการผ่อนคลายความเครียดและช่วยปรับอารมณ์ในช่วงที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัญหาประจำเดือนเป็นก้อนที่ออกมากับประจำเดือนมีขนาดไม่ใหญ่ และไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่น่ากังวลจนเกินไป ซึ่งหากดูแลตัวเองให้ถูกวิธีในช่วงที่ประจำเดือนมาก็สามารถดำเนินชีวิตเป็นปกติได้ ทั้งนี้การได้จดบันทึกวันที่มีประจำเดือนมาควบคู่กับหมั่นสังเกตความผิดปกติร่างกายที่อาจเกิดขึ้นในขณะมีประจำเดือน ไม่ว่าจะเป็นลิ่มเลือดที่มีขนาดใหญ่ มีสี กลิ่น จำนวนวัน หรืออาการที่ผิดไปจากเดิม เมื่อไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการ ก็จะสามารถมีข้อมูลในการหาสาเหตุได้มากขึ้น และสามารถเตรียมตัวรับมือในการมาของประจำเดือนทุกเดือนกันนะคะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.kapook.comwww.sofyclub.com

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ คลิก :

ผู้หญิง ปวดประจำเดือน แบบไหนต้องไปหาหมอ!

ประจำเดือนหลังคลอด ไม่มา ปกติหรือแปลว่ากำลังท้องอีกคน?

ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีสังเกตว่าท้องหรือไม่

ท้องหรือไม่ท้อง วิธีสังเกตว่าท้องหรือไม่ ดูยังไง? พร้อมวิธีใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์

มีว่าที่คุณแม่จำนวนไม่น้อยที่อาจไม่รู้ตัวว่า “กำลังตั้งครรภ์” จนไม่ทันได้ดูแลใส่ใจตัวเองตั้งแต่เริ่มท้อง และอาจทำให้เกิดภาวะแท้งลูก เมื่อรู้สึกว่าร่างกายมีอาการแปลก ๆ หรือยังไม่แน่ใจว่าท้อง วิธีสังเกตว่าท้องหรือไม่ ลองดูจากวิธีเหล่านี้กันค่ะ

สัญญาณเตือนว่ากำลังตั้งท้อง

ท้องหรือไม่ท้อง วิธีสังเกตว่าท้องหรือไม่ ดูยังไง?

เมื่อภายในร่างกายมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น ว่าที่คุณแม่อาจจะสังเกตอาการบางอย่างที่ร่างกายส่งสัญญาณออกมาตั้งแต่ภายในสัปดาห์แรกให้รู้ตัวได้ว่าอาจมีการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามร่างกายของผู้หญิงแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะมีอาการคนท้องเกิดขึ้นแทบทุกอย่าง แต่บางคนอาจไม่มีอาการอะไรแสดงออกมาเลย หรือมีบางอาการ ถ้าหากกำลังคิดว่าตัวเองตั้งครรภ์หรือไม่ ลองเช็กดูกันค่ะ

1.สังเกตดูจากประจำเดือน

ถ้าหากประจำเดือนที่เคยมาทุกรอบเดือนไม่มาตามปกติเกิน 1 สัปดาห์ หรือขาดหายไปนานเกินกว่า 10 วัน นั่นอาจเป็นสัญญาณได้ว่าท้องแล้วก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามประจำเดือนไม่มาก็อาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่นได้ เช่น ความเครียด การกินยาคุมชนิดที่มีโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว โรคบางอย่างที่มีผลต่อประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือแม้กระทั่งการออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป เป็นต้น หรือบางคนอาจจะตั้งครรภ์จริงแต่มีเลือดออกมาเล็กน้อยในช่วงที่ประจำเดือนควรจะมา และเป็นตะคริวร่วม จึงอาจทำให้คิดว่าเป็นเลือดประจำเดือนปกติ และไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ได้เช่นกัน

2.สังเกตดูจากร่างกาย

ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงระยะแรกจะมีอาการผิดปกติบางอย่างที่แสดงออกมาจนรู้สึกได้ เช่น

  • รู้สึกไม่สบายหรือกำลังป่วย ในช่วงสัปดาห์แรกของการเริ่มตั้งครรภ์ คุณอาจจะรู้สึกร่างกาย เมื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย มีแรงน้อยลง และเหนื่อยง่ายมากขึ้นกว่าปกติแม้ว่ากิจกรรมที่เคยทำเป็นปกติก่อนหน้าที่ไม่เคยทำให้รู้สึกเหนื่อยหรือตัวเองอ่อนแอง่ายแบบนี้มาก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากระดับโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น และร่างกายมีการสูบฉีดเลือดที่มากกว่าปกติเพื่อหล่อเลี้ยงสารอาหารไปยังทารกในครรภ์ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเข้าสู่ภาวะตั้งครรภ์ และอาการนี้จะค่อย ๆ หายและรู้สึกดีขึ้นเป็นปกติเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สอง
  • หน้าอกขยายใหญ่ขึ้นหรือมีคัดเต้านม เนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายที่เกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์แรก ๆ จะทำให้คุณสังเกตเห็นว่าหน้าอกตัวเองขยายใหญ่ขึ้น หนักขึ้นเล็กน้อย และรู้สึกเจ็บตึงบริเวณเต้านมและหัวนม รู้สึกเสียวได้ง่ายไวเมื่อสัมผัส รวมทั้งสังเกตเห็นเส้นเลือดที่ปรากฏขึ้นบริเวณหัวนมและเต้านม หรือหัวนมจะมีสีคล้ำขึ้น
  • มีตกขาวมากกว่าปกติ ตกขาวที่ออกมามีลักษณะเป็นสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม ไม่มีอาการระคายเคืองหรืออาการรุนแรงใด ๆ ก็ถือว่าเป็นสภาวะปกติของคนกำลังตั้งครรภ์
  • มีอาการท้องผูก รู้สึกถ่ายยากไม่สบายท้องเหมือนเดิม
  • ฉี่บ่อยขึ้น คุณอาจจะสังเกตว่าตัวเองลุกขึ้นมาเข้าห้องน้ำปัสสาวะในตอนกลางคืนบ่อยขึ้น ซึ่งอาการนี้จะเกิดในช่วง ตั้งครรภ์ใหม่ ๆ หรือในช่วง 3 เดือนแรก
  • วิงเวียนศีรษะ อีกหนึ่งสัญญาณที่สังเกตได้ว่ากำลังท้องอ่อน ๆ ในช่วงแรก ๆ ของการตั้งครรภ์ คืออาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนภายในร่างกายและการปรับตัวตามธรรมชาติของร่างกายขณะตั้งครรภ์นั่นเอง
  • มีรอยเลือดเป็นดวง ๆ ซึมออกที่บริเวณช่องคลอดนั่นอาจจะไม่ใช่เลือดประจำเดือน ที่มักจะเกิดขึ้นภายใน 1 สัปดาห์หรือ11-12 วันหลังการปฏิสนธิ เนื่องจากร่างกายกำลังอยู่ในสภาวะปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการปฏิสนธิภายในมดลูก กระบวนการของไข่ที่เพิ่งได้รับการปฏิสนธิใหม่ ๆ จะฝังตัวเข้าไปในผนังมดลูก จึงส่งผลให้ร่างกายที่กำลังตั้งครรภ์มีเลือดสีแดงที่สีจางกว่าประจำเดือน ปริมาณไม่มากไหลออกมาจากช่องคลอดได้ และเลือดนี้จะหยุดไหลไปเองภายใน 1-2 วัน
  • อาการปวดเกร็งบริเวณหน้าท้อง ในช่วงตั้งครรภ์แรก ๆ คุณอาจจะรู้สึกปวดเกร็งท้องคล้ายกับเวลาที่มีประจำเดือน อย่างไรก็ตาม แม่ท้องควรสังเกตอาการ ถ้ารู้สึกปวดมากหรือสังเกตว่าปวดข้างใดข้างหนึ่งในร่างกายเป็นพิเศษ หรือมีเลือดไหลไม่หยุดและมีอาการปวดเกร็งท้องร่วมด้วย นั่นอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนได้ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะเลือดที่ไหลออกมานั้นจากอาจเป็นสัญญาณของภาวะการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ และเกิดการแท้งได้

3.สังเกตจากอาการแพ้ท้อง

อาการแพ้ท้องมักจะเริ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของการตั้งครรภ์ โดยอาการหลักของการแพ้ท้องคือ รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนออกมา ส่วนใหญ่จะเป็นตอนตื่นนอนตอนเช้าหรือเป็นหนักตอนที่ท้องว่าง โดยมักเกิดจาก

รู้ได้ไงว่าท้อง

  • เหม็นกลิ่นขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ อาการที่จมูกไวต่อกลิ่นเป็นพิเศษมักจะเกิดขึ้นได้กับคนท้อง ถ้าหากสังเกตว่าจู่ ๆ ตัวเองก็ไม่ชอบกลิ่นอะไรบางอย่างขึ้นมาทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน เช่น กลิ่นน้ำหอมที่ใช้เป็นประจำอาหาร กลิ่นตัวสามี เป็นต้น แล้วชวนทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้
  • รู้สึกอยากอาหารเป็นพิเศษ มีความต้องการอาหารบางอย่างโดยไม่มีสาเหตุ ของที่ไม่เคยชอบกินก็อยากกิน หรืออยากกินอาหารแปลก ๆ โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงอยากกิน เช่นเดียวกับแม่ท้องบางคนที่รู้สึกเบื่ออาหาร ไม่อยากกินอะไรเลยก็มี ซึ่งความรู้สึกอยากอาหารที่เกิดจากการตั้งครรภ์นั้นมักจะรุนแรงกว่าความกินในช่วงปกติที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น

4.สังเกตอารมณ์

ฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์นั้นส่งผลกระทบต่ออารมณ์คนท้องได้มากมายเช่นเดียวกับอารมณ์ที่คุณอาจจะรู้สึกหงุดหงิด อ่อนไหวง่ายมากเป็นพิเศษในช่วงมีประจำเดือน ซึ่งอาการนี้อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วง 2-3 สัปดาห์ และอารมณ์จะกลับเข้าสู้ภาวะปกติเมื่อผ่านไตรมาสแรกไปแล้ว

5.สังเกตว่าหิวเก่งขึ้น

ความรู้สึกนี้อาจเกิดขึ้นเมื่อคุณกำลังตั้งครรภ์ที่จะสังเกตได้ว่าตัวเองรู้สึกหิวอีกทั้ง ๆ ที่รับประทานอาหารผ่านไปแล้ว แต่ถ้าหากตามใจปากมากเกินไปก็จะส่งผลกระทบน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นและสุขภาพในขณะตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นในช่วงตั้งครรภ์ที่รู้สึกว่าตัวเองหิวเก่ง คุณแม่ท้องอาจจะแบ่งอาหารออกเป็นมื้อเล็ก ๆ 5-6 มื้อ ทั้งมื้อหลักที่ประกอบไปด้วยสารอาหารที่อุดมไปด้วยโฟเลตหรือกรดโฟลิก เช่น ผักใบเขียวต่าง ๆ โปรตีน ธาตุเหล็ก และแคลเซียม เป็นต้น และมื้อว่างที่อาจจะเป็นผลไม้ โยเกิร์ต ธัญพืชอบแห้ง ฯลฯ ในปริมาณที่พอดี และดื่มน้ำเพื่อช่วยให้คลายหิวได้โดยเฉพาะในช่วงดึก

ท้องหรือไม่ท้องลองตรวจด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์

หากสังเกตว่ามีอาการเหล่านี้ก็อาจเป็นไปได้ว่าคุณเข้าสู่ภาวะตั้งครรภ์ ทั้งนี้อาการที่เกิดขึ้นกับแม่ท้องแต่ละคนจะแตกต่างกันไปด้วย ว่าที่คุณแม่อาจจะเช็กเพื่อความชัวร์ได้ด้วยตนเองจาก ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่จำหน่ายอยู่ในร้านขายยาหรือร้านค้าทั่วไป วิธีนี้จะเป็นการตรวจหาฮอร์โมน Human chorionic gonadotropin หรือ HCG ในปัสสาวะ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดขึ้นมาเฉพาะในผู้หญิงตั้งครรภ์ ที่หลั่งออกมาจากรกหลังจากปฏิสนธิไปแล้ว 6 วัน และจะขึ้นสูงสุดในช่วง 8-12 สัปดาห์หลังการมีเพศสัมพันธ์ วิธีนี้จะมีความแม่นยำมากถึง 90% ที่จะรู้ได้แน่ชัดขึ้นกว่าเดิมว่าท้องหรือไม่ท้อง โดยอุปกรณ์ทดสอบการตั้งครรภ์นี้แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1.แบบแถบจุ่ม ชุดอุปกรณ์จะประกอบไปด้วยแผ่นทดสอบการตั้งครรภ์และถ้วยตวง วิธีตรวจคือเก็บปัสสาวะลงในถ้วยตวง จากนั้นนำแผ่นทดสอบจุ่มลงในถ้วยตวงประมาณ 3 วินาที แล้วนำออกมาทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีเพื่อรออ่านผลตรวจครรภ์

2.แบบปัสสาวะผ่าน วิธีนี้ใช้เพียงแท่งตรวจครรภ์ที่ใช้ในการทดสอบเท่านั้น ตรวจโดยถอดฝาครอบออกแล้วถือแท่งให้หัวลูกศรชี้ลงพื้น แล้วปัสสาวะผ่านบริเวณที่ต่ำกว่าลูกศรให้ชุ่มประมาณ 30 วินาที จากนั้นรออ่านผลประมาณ 3-5 นาที

3.แบบหยดหรือแบบตลับ ชุดอุปกรณ์จะประกอบไปด้วยหลอดหยด ตลับตรวจครรภ์ และถ้วยตวงปัสสาวะ ขั้นตอนการตรวจ คือ เก็บปัสสาวะลงในถ้วยตวง จากนั้นนำหลอดหยดดูดน้ำปัสสาวะแล้วหยดลงในตลับตรวจครรภ์ประมาณ 3-4 หยด วางทิ้งไว้ประมาณ 5 นาทีแล้วอ่านผลการตรวจ

คำแนะนำในการใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง

  • การใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ควรรออย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์นับจากมีเพศสัมพันธ์หรือหลังหมดประจำเดือนประมาณ 7 วัน
  • ก่อนใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ควรอ่านขั้นตอนการใช้อย่างละเอียดข้างกล่องและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อผลทดสอบที่ถูกต้องแม่นยำ และเมื่อเปิดใช้ชุดอุปกรณ์แล้วควรรีบตรวจภายใน 1 ชั่วโมงทันที เพราะหากทิ้งไว้นานจะทำให้ประสิทธิภาพในการตรวจลดลง
  • ควรเก็บปัสสาวะในช่วงเช้าเพื่อใช้กับชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่จะทำให้ได้ผลลัพธ์แม่นยำกว่า เนื่องจากระดับฮอร์โมน HCG จะสูงในช่วงเวลานี้ หรือก่อนรับประทานอาหารเพราะจะไม่มีสารเจือปนในปัสสาวะที่อาจจะส่งผลให้ผลการตรวจคลาดเคลื่อนได้
  • หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อนทำการตรวจครรภ์ เนื่องจากะทำให้ระดับฮอร์โทน HCGในปัสสาวะลดลง หลังจุ่มแท่งทดสอบลงไปในปัสสาวะ
  • เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า ควรทำการตรวจอย่างน้อย 2 ครั้ง โดยเว้นระยะทดสอบประมาณ 2-3 วัน เนื่องจากปริมาณฮอร์โมน HCG จะมีระดับที่แตกต่างกัน

วิธีใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์

การอ่านค่าผลตรวจ

โดยปกติแล้วค่าผลการตรวจครรภ์ด้วยตัวเองจะขึ้นมาภายใน 5 นาที ไม่ควรทิ้งไว้นานเกินไปเพราะอาจจะไม่มีขีดใดขึ้นมาเลย ซึ่งบนหน้าแสดงผลการตรวจจะมีตัวอักษร 2 ตัวคือ C (Control Line) และ T (Test Line) สามารถอ่านค่าได้ ดังนี้

  • ถ้าขึ้น 1 ขีดที่ขีด C เพียงอย่างเดียวแสดงว่าได้ผลลบ คือ ไม่มีการตั้งครรภ์ หรือตั้งครรภ์แล้วแต่ยังตรวจไม่พบ หรือทำทดสอบที่เร็วเกินไป
  • ถ้าขึ้น 2 ขีดขีด C และ T แสดงว่าได้ผลบวก คือ มีการตั้งครรภ์ ในกรณีขึ้นที่ขีด T จาง ๆ ควรรออีก 2-3 วันเพื่อตรวจใหม่อีกครั้ง
  • ถ้าไม่มีขีดใดขึ้นเลยแสดงว่าที่ตรวจครรภ์เสีย หมดอายุ หรือเกิดข้อผิดพลาดในขั้นตอนการเก็บปัสสาวะ ควรตรวจใหม่อีกครั้ง

อย่างไรก็ตามแม้วิธีการตรวจครรภ์นี้จะเป็นที่นิยมใช้ แต่ผลลัพธ์ก็ไม่สามารถให้ผลได้ 100 % การกินยาบางชนิดก็อาจจะแสดงผลบวกได้แม้ว่าไม่มีการตั้งครรภ์ ดังนั้นนอกจากสังเกตอาการที่เริ่มตั้งครรภ์และตรวจครรภ์ด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว หากผลปรากฏมาว่าตั้งท้องหรือยังไม่แน่ใจในอาการ คุณแม่ควรไปพบแพทย์เพื่อสามารถเช็กการตั้งครรภ์ที่แม่นยำมากขึ้นและฝากครรภ์เพื่อรับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเองในช่วงตั้งครรภ์ได้อย่างถูกต้องนะคะ.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.th.wikihow.comwww.bestreview.asiawww.petcharavejhospital.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

วัคซีนสำหรับคนท้อง จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ?

อาการคนท้อง เริ่มเมื่อไหร่? อาการไหนแปลว่า ท้องชัวร์!!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี

ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

“ประจำเดือน” เป็นเรื่องของผู้หญิงล้วน ๆ ที่ละเลยไม่ได้ ปัญหาประจำเดือนไม่มาตามปกติหรือภาวะประจำเดือนขาด มาไม่สม่ำเสมอ หรือมาช้า ที่อาจไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์เสมอไป ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี และควรดูแลตัวเองอย่างไร มาทำความเข้าใจเรื่องนี้กันค่ะ

ประจำเดือนไม่มา ปัญหาของสตรีที่ควรรู้!

การมีประจำเดือน ถือเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงที่เกิดเป็นรอบประจำเดือนตามปกติ ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีประจำเดือนมาประมาณ 11-13 ครั้งต่อปี โดยรอบเดือนปกติจะประมาณ 28 วัน (อยู่ในช่วง 21- 35วัน) แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ระยะห่างรอบเดือนมาไม่ปกติ มีประจำเดือนขาดหายไปนาน 3 เดือนถึงมาครั้ง เรียกได้ว่า “ภาวะประจำเดือนขาด” ซึ่งลักษณะของอาการประจำเดือนไม่มาเกิดขึ้นได้ 2 กรณี ได้แก่

1.ภาวะขาดประจำเดือนปฐมภูมิ คือ กรณีนี้เกิดขึ้นได้กับคนที่อายุถึงเกณฑ์ แต่รอบเดือนครั้งแรกยังไม่มา ซึ่งโดยปกติวัยที่เริ่มมีรอบเดือนคือในช่วงอายุระหว่าง 9-18 ปี

2.ภาวะขาดประจำเดือนทุติยภูมิ คือ ภาวะที่ประจำเดือนขาดไปอย่างน้อย 3 เดือน กรณีเกิดขึ้นกับคนที่เคยมีประจำเดือน แต่รอบเดือนขาดหรือไม่มาตามปกติ และเป็นภาวะที่พบได้บ่อย

คลิปวิดีโอ “รู้จริง..เรื่องประจำเดือน” จาก ผศ.พญ.ชลธิชา สถิระพจน์ อาจารย์ประจำภาควิชาสูติศาสตร์-นรเวชวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยามหิดล

 

สาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาปกติ

อาการประจำเดือนไม่มาหรือภาวะขาดประจำเดือนอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลายอย่าง โดยแบ่งสาเหตุได้จาก ความเปลี่ยนแปลงจากฮอร์โมนผิดปกติหรือความผิดปกติจากสุขภาพ ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุที่พบได้ทั่วไป อาทิเช่น

สาเหตุประจําเดือนไม่มา
สาเหตุประจําเดือนไม่มา
  • ระดับฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล รังไข่ที่สร้างฮอร์โมนไม่ว่าจะผลิตฮอร์โมนมากหรือน้อย เช่น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ หรือระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสูง ก็เป็นสาเหตุให้ประจำเดือนไม่มาได้
  • ความเครียด เป็นปัญหาที่ส่งผลให้ประจำเดือนมาผิดปกติ ทั้งประจำเดือนมามาก มาน้อย หรือประจำเดือนไม่มา หรือขาดหายไปคราวละหลาย ๆ เดือนได้ เนื่องจากความเครียดมีผลต่อฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเจริญพันธุ์และการมีประจำเดือน รวมถึงโรควิตกกังวลและอารมณ์ที่แปรปรวนก็ส่งให้ผลประจำเดือนขาดได้
  • น้ำหนักตัวน้อยเกินไปหรือมากเกินไป ผู้ที่น้ำหนักตัวลดลงมากอย่างรวดเร็ว รับประทานอาหารน้อย ทำให้ไม่มีสารอาหารไปกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนที่มีความจำเป็นในกระบวนการตกไข่ ส่วนคนที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปหรืออ้วนมากก็จะทำให้ร่างกายผลิตเอสโตรเจนมากเกินไป ส่งผลต่อรอบเดือน ทำให้เกิดอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอได้
  • การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ใช้แรงมากเกินไป จะส่งผลต่อระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวกับรอบเดือน เนื่องจากร่างกายสูญเสียไขมันมากเกินไปจากการออกแรงหักโหม
  • มีภาวะถุงน้ำรังไข่เป็นจำนวนมาก เป็นความผิดปกติของต่อมไร้ท่อที่มักพบได้ในผู้หญิงช่วงอายุ 18-45 ปี โดยถุงน้ำเหล่านี้จะไม่ปล่อยไข่ให้ตกออกมา
  • การรับประทานยาบางชนิด เช่น การกินยาคุมกำเนิด การคุมกำเนิดโดยกินยาคุมกำเนิดชนิดที่มีโปรเจสเตอโรนอย่างเดียว ยาคุมแบบฉีด หรือห่วงอนามัยชนิดที่มีฮอร์โมนอาจส่งผลให้ประจำเดือนไม่มาได้ ยารักษาความดันโลหิตสูง หรือยาเสพติดอื่น ๆ เป็นต้น
  • มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น เป็นโรคของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ เนื้องอกต่อมใต้สมอง โรคเกี่ยวกับมดลูก โรคของตับอ่อน หรือโรคของต่อมหมวกไต เป็นต้น ที่อาจทำให้ประจำเดือนขาดหายไปชั่วคราวได้
  • เข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน ถือเป็นความเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยประจำเดือนจะเริ่มขาดเมื่อเข้าสู่อายุระหว่าง 45-55 ปี หรือวัยทอง เนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนเริ่มลดลง ทำให้ไข่ตกไม่สม่ำเสมอ และเมื่อเลยวัยทองแล้วรอบเดือนจะหยุดมา
  • การตั้งครรภ์ ประจำเดือนไม่มาอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของภาวะตั้งครรภ์ที่เป็นสาเหตุที่พบได้ทั่วไปมากที่สุด ซึ่งหากไม่แน่ใจว่าที่ประจำเดือนไม่มาจะเป็นเพราะตั้งครรภ์หรือไม่ ก็สามารถทดสอบได้ด้วยตัวเองโดยใช้ชุดตรวจครรภ์เช็กหรือพบคุณหมอเพื่อตรวจให้แน่ใจ

ถ้าสังเกตเห็นว่ามีประจำเดือนขาดหาย มีสัญญานเตือนของอาการที่เป็นไปได้จากสาเหตุเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับตรวจวินิจฉัย เพราะหากตรวจพบว่าเป็นอาการของโรคจะได้รักษาอาการได้ทันก่อนลุกลาม หรือพบว่าเกิดจากระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุลก็จะได้รับการรักษาให้หายและกลับมามีประจำเดือนตามปกติได้

ประจําเดือนไม่มา แต่ไม่ท้อง กินยาอะไรดี

ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

การรักษาอาการประจำเดือนไม่มาขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เกิดภาวะประจำเดือนขาด ซึ่งจะได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน และการปรับพฤติกรรมก็มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาประจำเดือนที่มาไม่ปกติได้ เช่น

  • กินยาฮอร์โมนเสริม สำหรับคนที่มีอาการประจำเดือนขาดสาเหตุจากระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุล ผอมเกินไป อ้วนเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุที่ไม่ใช่ความผิดปกติที่เกี่ยวกับโรคอื่น ๆ เมื่อไปตรวจอาการแล้วในเบื้องต้นเพื่อให้ประจำเดือนมาปกติ คุณหมออาจจ่ายยาฮอร์โมนเสริมหรือฮอร์โมนสังเคราะห์ เพื่อปรับระดับฮอร์โมนให้เป็นปกติ โดยอาจให้กินยาเป็นประจำในช่วงเดียวกันของทุก ๆ เดือน ประมาณ 6 เดือน และหลังจากนั้นให้ดูว่าประจำเดือนมาได้ปกติโดยไม่จำเป็นต้องกินยาหรือไม่
  • กินยาคุมกำเนิด หากมีความผิดปกติ เช่น กรณีเกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ แพทย์อาจจ่ายยาคุมกำเนิดแบบเม็ด หรือยาที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพื่อช่วยรักษาอาการ หรือภาวะรังไข่เสื่อมก่อนกำหนดผู้ที่ประจำเดือนไม่มาจากสาเหตุนี้ อาจได้รับการรักษาด้วยยาคุมกำเนิดแบบเม็ดหรือกลุ่มยาฮอร์โมนทดแทน ทั้งนี้การวิธีนี้ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์และทำตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด เนื่องจากในบางรายอาจมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงจากยาคุมกำเนิดได้
  • กินอาหารให้ครบถ้วนและสมดุล สำหรับผู้ที่มีภาวะประจำเดือนขาด ควรเน้นอาหารที่มีธาตเหล็กและแคลเซียม ไขมันประเภทไขมันดี เช่น ปลาแซลมอน ทูน่า อาหารเสริมที่มีกรดโฟลิก และโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ไม่ติดมัน ควบคู่กับการกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูง ผลไม้ที่มีวิตามิน c และมีแคโรทีน เช่น มะละกอ แครอท สับปะรด มะม่วง ที่มีปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนมาก น้ำขิง เป็นต้น หากรับประทานอาหารในปริมาณที่เหมาะสมต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ก็จะได้รับสารอาหารครบถ้วน เพราะการขาดสารอาหารก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้
  • ออกกำลังกายที่ไม่หนักจนเกินไป จะทำให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายปกติขึ้น และจะทำให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ เนื่องจากการออกกำลังกายที่หักโหมหรือใช้แรงหนักมากเกินไปจะทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง จนเป็นสาเหตุของการมีประจำเดือนที่มักมาไม่ปกติ ไม่สม่ำเสมอหรือขาดประจำเดือน
  • ดูแลน้ำหนักให้ในอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน น้ำหนักที่เปลี่ยนแปลงสามารถส่งผลกระทบต่อการมีประจำเดือนได้ การควบคุมน้ำหนักในอยู่ในเกณฑ์สุขภาพดี และ ไม่อดอาหารเพื่อให้น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยแก้ปัญหาเพื่อให้ประจำเดือนมาเป็นปกติได้ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับน้ำหนักตัว ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อช่วยแนะนำหลักการกินที่ถูกต้อง เพื่อที่จะดูแลตัวเองให้มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  • หากิจกรรมทำเพื่อช่วยลดภาวะเครียด ความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะประจำเดือนขาด ทุกครั้งที่เกิดความเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนบางชนิด เช่น อะดรีนาลีน ออกมามาก ซึ่งส่งผลทำให้ประจำเดือนแปรปรวน ฉะนั้นควรหาเวลาเพื่อผ่อนคลายและไม่ทำให้ตัวเองเครียดมาก เช่น ท่องเที่ยว อ่านหนังสือ ดูหนัง แช่น้ำอุ่น ทำงานอดิเรก นั่งสมาธิ ใช้เวลากับเพื่อนหรือครอบครัว หรือทำกิจกรรมตามที่ชื่นชอบ แต่ถ้าหากมีความเครียดมากจนไม่รู้สึกดีขึ้น อาจจำเป็นต้องปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยแก้ปัญหาอาการเครียด
  • นอนพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนดึกหรือมีชั่วโมงการนอนที่น้อยเกินไปต่อวันจะส่งผลกระทบต่อการหลั่งฮอร์โมนและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุให้ประจำเดือนมาไม่ปกติได้ เพราะฉะนั้นควรให้ความสำคัญกับการนอนเพื่อสุขภาพที่ดีต่อร่างกาย
  • สังเกตความผิดปกติร่างกาย เมื่อพบว่าเดือนนั้นประจำเดือนไม่มา ควรเริ่มจดบันทึกเพื่อดูว่าประจำเดือนเริ่มขาดหายไปหรือมาช้ากว่าวันที่เคยมา และคอยสังเกตความผิดปกติอื่น ๆ เช่น มีอาการปวดท้องผิดปกติ มีน้ำนมไหลออกมาทั้งที่ไม่ตั้งครรภ์ มีขน มีหนวดขึ้นผิดปกติหรือไม่ เป็นต้น

การมีประจำเดือนนั้นเป็นส่วนหนึ่งตามธรรมชาติของร่างกายเพศหญิง ผู้หญิงที่ถึงวัยมีประจำเดือนจึงควรสังเกตในทุกรอบเดือน ทั้งระยะห่างในแต่ละรอบ จำนวนวัน สีของประจำเดือน ปริมาณ และอาการอื่น ๆ ซึ่งภาวะประจำเดือนไม่มาอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่ไม่รุนแรงไปจนถึงร้ายแรงมากได้ เมื่อรู้สึกว่าประจำเดือนไม่มาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบคุณหมอเพื่อตรวจภายในและหาสาเหตุแก้ไขและรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.gedgoodlife.comwww.paolohospital.com

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่น ๆ คลิก :

ประจำเดือนผิดปกติ แบบไหนเสี่ยงเป็น “เนื้องอกมดลูก”

5 ขั้นตอน นวดมดลูก ด้วยตัวเอง ลดปวดประจำเดือน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีเลิกผ้าอ้อม

วิธีเลิกผ้าอ้อม ฝึกลูกใน 5 ขั้นตอน ได้ผลจริง! โดย พ่อเอก

ประโยคธรรมดาๆ ประโยคนึง ที่เป็นหลักไมล์สำหรับการเลิกผ้าอ้อม หรือเลิกแพมเพิร์ส ก็คือ  “ปะป๊า ฉี่ ฉี่”  (สามารถเปลี่ยนประธาน/กริยาได้ เป็น หม่ามี๊/พ่อ/แม่/อึ๊ อึ๊) เพราะนั่นคือ สัญญาณว่าเจ้าตัวเล็กพร้อมที่จะเริ่มลดการใช้ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปได้แล้ว เพราะเขาบอกเราได้แล้วว่า ปวดฉี่ ปวดอึ ถึงเวลาเลิกผ้าอ้อมแบบนี้ ตามมาดู วิธีเลิกผ้าอ้อม ที่บ้านเราใช้แล้วได้ผลกัน

แชร์ วิธีเลิกผ้าอ้อม ฝึกลูกง่ายๆ ใน 5 ขั้นตอน

ประสบการณ์ครั้งแรกตอนที่ลูกเดินมาบอกว่า “อึ๊ อึ๊ เหม็นๆ เปลี่ยนเพิร์ส” แล้วก็เดินไปหยิบผ้าอ้อมสำเร็จรูปและห่อทิชชู่เปียกมาให้เรา เสร็จแล้วก็จัดการล้มตัวลงนอนเสร็จสรรพ ตอนนั้นเราแอบอมยิ้มได้แล้วว่า เราไม่ต้องใช้จมูกเป็น sensor คอยจับกลิ่นแปลกปลอมกันเองแล้ว ซึ่งก็จะเป็นช่วงตั้งแต่เจ้าตัวเล็กเพิ่งจะขวบต้นๆ ไปถึงช่วงกำลังจะครบ 2 ขวบ แล้วเราก็ต้องขยับไปอีกขั้น โดยเริ่มจากการหัดไม่ให้ลูกใส่ผ้าอ้อมในตอนกลางวันที่อยู่บ้าน

วิธีเลิกผ้าอ้อม ขั้นตอนแรก

ในการจะเลิกผ้าอ้อม เราจะต้องกำหนดเวลาคร่าวๆ ที่จะคอยพาเขาไปทำกิจธุระ ซึ่งช่วงเริ่มต้น เราจะใช้ประมาณครึ่งชั่วโมง คือ ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงเราจะพาเจ้าตัวป่วนไปฉี่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร้องขอ

ฝึกลูกเลิกผ้าอ้อม ขั้นที่ 2

ควรให้เขาฉี่ในที่ ที่ถูกต้อง นั่งกระโถน โถฉี่ ชักโครก ได้หมด ถ้ามีของเด็กก็ดี เขาจะได้เรียนรู้การใช้ของจริง

ฝึกลูกเลิกผ้าอ้อม ขั้นที่ 3

สุด classic คือ ขณะที่เจ้าตัวป่วนกำลังเบ่ง คุณพ่อคุณแม่ อย่าลุ้นเฉยๆ ให้ส่งเสียง ‘ฉี่……..’ ลากยาวสั้น ใส่จังหวะอย่างไร ต้องคอยสังเกตเอง ว่าลูกชอบแบบไหน แบบยอดนิยมคือ ลากเสียงยาวจนกว่าจะไหล

ฝึกลูกเลิกผ้าอ้อม ขั้นที่ 4

ผ่านไปสักพักถ้าเราเริ่มมั่นใจ เราอาจจะไม่ต้องพาไปบ่อยๆ ทุกครึ่งชั่วโมงแบบเดิม แต่เปลี่ยนมาสอนเขาว่า “ถ้าปวดฉี่ ปวดอึ ให้บอก หม่าม๊า ปะป๊า นะ” แล้วจะพาไปห้องน้ำ

ฝึกลูกเลิกผ้าอ้อม ขั้นที่ 5

ถ้าเขาลืม เขาพลาด ฉี่ราด เพราะอาจจะเล่นเพลิน อย่าไปดุ พูดดีๆ ถามดีๆ สอนดีๆ ว่า “หนูลืมหรอครับ ถ้าปวดอีก บอกปะป๊า หม่าม๊านะครับ” เพราะแม้ว่าลูกจะบอกได้แล้วเวลาจะฉี่ แต่เด็กก็คือเด็ก ก็มีเพลิน ฉี่ออกมาเลย เวลากำลังเล่นติดพัน ซึ่งเรารู้สึกได้ว่าเขาก็รู้สึกผิด ดังนั้น การดุไม่ใช่ทางเลือกที่ดีแต่การพูดคุยกับเขาจะเป็นกำลังใจที่ดี

บางครั้งเจ้าตัวป่วน ก็แสบใช่ย่อย เพราะชอบกดชักโครกเล่น ชอบเวลาน้ำไหลเสียงดังๆ ดังนั้น บางทีแม้ไม่ได้ปวดจริงก็บอก ฉี่ฉี่ พอพาไปนั่ง ก็ไม่มีฉี่ เจ้าตัวแสบก็จะถามว่า “ฉี่มีมั้ยกั๊บ” หรือ “ฉี่ออกยังกั๊บ” พอตอบไปว่า ไม่มี เจ้าตัวป่วนก็ตอบ “ไม่มีแระ” เพื่อจะกดน้ำ แต่ก็เอาเถอะ ความสนุก ขำขำ เพราะการที่ทำให้เขาหัดเข้าห้องน้ำคนเดียวเป็น จะทำให้เราสบาย แล้วตอนหน้าจะมาเล่าให้ฟังครับ

 


>>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ให้ลูกช่วยงานบ้าน ฝึกทักษะ EF ติดตัวลูกไปตลอดชีวิต โดยพ่อเอก

แชร์วิธีรับมือ ลูกกินยายาก โดย พ่อเอก

ลูกทำชามแตก แต่อย่าให้ลูกใจ “แหลก” ด้วยคำพูดพ่อแม่ โดย พ่อเอก

ปล่อยลูกเล่นอิสระ วิ่ง-ปีนป่าย ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ยิ่งฉลาด สมองดี

ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ –มัดเล็กของลูกน้อยเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเอาใจใส่ ไม่แพ้พัฒนาการด้านอื่น เพื่อไปสู่ทักษะด้านต่างๆในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา การเขียนหนังสือ ขี่จักรยาน แพทย์ดังแนะ อยากให้ลูกมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก “แค่ปล่อยให้ลูกได้เล่นมากๆ” จริงหรือ มาหาคำตอบไปพร้อมกัน

ปล่อยลูกเล่น ฝึกกลัามเนื้อมัดใหญ่ ยิ่งฉลาด สมองดี 

รู้กันดีว่า เด็กกับการเล่นเป็นของคู่กัน จะเป็นเวลาไหน สถานที่ใด ลูกก็พร้อมเล่นสนุกได้ตลอดเวลา หลังลืมตาตื่นขึ้นมาลูกน้อยก็พร้อมเล่นในทันที และดูเหมือนการเล่นจะสำคัญกว่ากิจวัตรประจำวันอย่างกินข้าว อาบน้ำ ด้วยซ้ำไป หากมองผิวเผินการเล่นของเด็กๆดูเหมือนจะเป็นแค่ช่วงเวลาแห่งความสุข ความสนุก ซึ่งจับต้องไม่ได้ แตกต่างจากการสอนให้ลูกท่องก.ไก่-ฮ.นกฮูก หรือนับเลช 1 – 10 ได้ ความจริงแล้วมีประโยชน์มากกว่าที่คิด

ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่

เพราะ “เล่นเป็นงานของเด็กทุกคน” 

เด็กทุกคนเต็มใจจะทำงาน “เล่น” ของตัวเองอย่างเต็มที่โดยไม่มีใคร “สอน” หรือ “บังคับใจ”  เพราะการเล่นเป็นหนึ่งในพัฒนการที่เด็กๆต้องเรียนรู้โดยในช่วงอายุ 2-3 ขวบ เป็นวัยพัฒนาตัวเอง  (Autonomy) ให้แข็งแรงขึ้นทีละน้อยโดยอัตโนมัติ  จากลูกแบเบาะที่นอนนิ่งๆ เริ่ม ยกแขนขา ชันคอ คว่ำ คลาน ยืน เดิน และวิ่ง พัฒนาการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการ ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ให้แข็งแรง  ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้ลูกได้ลองลุกเดิน วิ่ง ปีนป่าย หรือกระโดดด้วยตัวเองมากเท่าไหร กล้ามเนื้อมัดใหญ่ก็จะแข็งแรงขึ้นเท่านั้น

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ โพสต์ข้อมูลเกี่ยวกับการเล่นของเด็กๆไว้ตอนหนึ่งในเฟสบุ๊กส่วนตัวว่า “การวิ่งเล่นปีนป่ายเป็นการเล่นพื้นฐาน ที่เด็กวัยอนุบาลอยากทำและทำได้เอง ช่วยให้มีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่ดี ซึ่งเป็นพื้นฐานของการทำงานประสานกันของมือและสายตา (Hand-Eye Coordination) สายตาจับจ้องเป้าหมาย มือข้างออกไปให้ถูกเป้าแม่นยำ หากไม่ ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ให้ดี เด็กจะเล่นโยนรับลูกบอลไม่ได้ ปาเป้าไม่โดน เมื่อโตขึ้นเวลาขับรถก็จะเกิดอุบัติเหตุเฉี่ยวชน หรือเหยียบเบรกแรงเกินไปจนรถคว่ำ เหตุการณ์เหล่านี้สัมพันธ์กับการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ทั้งสิ้น”

ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่

เมื่อถึงวัย 4-5 ขวบจะสนใจการเล่นแบบใช้กำลังน้อยลง แล้วหันมาทำกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมากขึ้น  เพราะเป็นวัยริ่เริ่มสิ่งใหม่ (Initiation) จะพัฒนากล้ามเนื้อส่วนที่ไม่ใช่แกนกลางร่างกาย ได้แก่ กล้ามเนื้อมือและนิ้วมือที่ต้องเคลื่อนไหวอย่างละเอียด  หยิบจับของชิ้นเล็กๆ ร้อยลูกปัด ปะติด คีบตะเกียบได้

อวัยวะส่วนนี้มีกล้ามเนื้อมัดเล็กรวมกันมากถึง 100 มัด นอกจากนี้ปลายนิ้วทุกนิ้วยังเป็นศูนย์รวมของปลายประสาท ทุกครั้งที่ลูกได้ปั้นดินน้ำมัน เล่นทราย หรือขยำกระดาษ ทำให้สมองพัฒนาการมากขึ้น ความจำดี ฉลาดเฉียบคมไปพร้อมๆกับเติมต่อความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการไร้ข้อจำกัดในเวลาเดียวกัน ซึ่งต่างการเรียนรู้บนโต๊ะเรียนเพียงอย่างเดียว

 

ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่

สนามเด็กเล่น ช่วย ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ แบบไม่ต้องสอน

การเล่นที่เด็กชื่นชอบและสามารถพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่พร้อมกันแบบง่ายๆโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องลงทุน คือการพาลูกไปสนามเด็กเล่น เป็นพื้นที่โล่ง ปลอดภัยจากรถยนต์ สิ่งกีดขวางๆต่าง  มีหญ้า มีทราย กับเครื่องเล่น ให้เด็กได้วิ่งเล่นกันอย่างอิสระ ปล่อยให้ลูกวิ่งล้มและเรียนรู้วิธีลุกขึ้นเอง คิดหาวิธีเล่นในแบบที่ชอบ และแบ่งปันกับเพื่อนวัยเดียวกัน หรือเพื่อนต่างวัย  พวกเขาจะได้พัฒนาทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างเต็มที่ แถมยังได้ฝึกฝน สติปัญหา การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รู้วิธีเข้าสังคมแบบเด็กๆ ได้เรียนรู้เรื่องการมีน้ำใจ ให้อภัย การเคารพกฎกติกาของสังคม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นพื้นฐานที่ดีเมื่อลูกถึงวัยเรียนและโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต

เช็กเลย พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่แรกเกิด- 3 ขวบ

เช็กเลย พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กแรกเกิด- 3 ขวบ

 

ชวนลูก ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล่นอะไรดี

ปกติเด็กๆควรมีเวลาได้วิ่งเล่น ออกกำลังกาย ปีนป่ายอย่างน้อย 60 นาทีทุกวันสำหรับการพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ทั้งแขน ขา และแกนกลางลำตัวให้แข็งแรง เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ร่างกายเติบโตสมวัยทั้งน้ำหนักและส่วนสูง  แต่เด็กยุคใหม่เล่นนอกบ้านกันน้อยลง กลับไปนั่งจุ้มปุ๊กกับหน้าจอมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อที่ควรได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ในช่วง 4 – 9 ขวบถดถอย คุณพ่อคุณแม่จึงควรหาเวลาว่างชวนลูกห่างจอแล้วมาเล่นกลางแจ้งด้วย

เพราะกิจกรรมที่เหมาะกับการ ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มักเน้นการเพิ่มความแข็งแรงทนทานของร่างกาย ทักษะการทรงตัว ความยืดหยุ่น การคิดวางแผน แก้ปัญหาเฉพาะ และการทำงานร่วมกันของอวัยวะหลายส่วนทั้งมือเท้า แขนขา สายตา และการเคลื่อนไหวร่างกาย นอกจากเด็กๆจะสนุกสนานขณะที่ได้กระโดดโลดเต้นแล้ว ร่างกายยังได้ประโยชน์อีกหลายด้านทั้งกระตุ้นสารสื่อประสาทในสมอง เพิ่มความแข็งแรงของสะพานเชื่อมระหว่างสมองซีกซ้าย-ขวา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอดและหัวใจ ลดความตึงเครียดระหว่างวัน แถมยังช่วยปรับอุปนิสัยเด็กเฉื่อยช้าให้กระฉับกระเฉงมากขึ้น จริงๆ

 

ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่

สำหรับกิจกรรมเสริมพลังกล้ามเนื้อมัดใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆได้แก่

  • กิจกรรมเล่นคนเดียวได้ ส่วนใหญ่มักเป็นกีฬาต่างๆ เช่น ปั่นจักรยาน ปีนเชือก เล่นสไลเดอร์ กระโดด เทปทรงตัว เต้นตามเพลง
  • กิจกรรมเล่นเป็นคู่ เช่น เล่นต่อสู้ ปาเป้า ขนน้ำลงถัง แบดมินตัน
  • กิจกรรมเล่นเป็นกลุ่ม เหมาะกับการเล่นกับเพื่อนบ้าน หรือคนในครอบครัว เช่น ตั้งเต หนีฉลาม กระโดดยาง ฟุตบอล ลิงชิงบอล ล้างรถ เดินตามรอยเท้า

 MUST READ :40 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่

 

ไม่มีเด็กคนไหนไม่ชอบ “เล่น” เพราะการเล่นหรือของเล่นเปรียบเสมือนเพื่อนมหัศจรรย์ที่พาพวกเขาโบยบินไปสู่โลกอันเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ ที่สำคัญการเล่นยังเป็นวิธีให้เด็กได้ระบายความรู้สึกคับข้องใจ หรือความรู้แย่ต่างๆออกมาในเชิงบวก แทนการใช้กำลัง หรือทะเลาะเบาะแว้ง ขณะเดียวกันทุกวินาทีของการเล่น ยังช่วยให้พวกเขาเอาชนะความกลัว เช่น กลัวความสูง กลัวคนแปลกหน้า กลัวเจ็บ เมื่อเด็กเล่นอะไรอย่างหนึ่งได้ เท่ากับเขาผ่านด่านไปทีละขั้น เสริมความมั่นใจให้ตัวเองได้มากขึ้นด้วย
การปล่อยให้ลูกได้วิ่งเล่น ปีนป่าย หรือกระโดดจากที่สูงสักหน่อย แม้อาจมีความเสี่ยงบ้างเล็กน้อย แต่นี่เป็นวิธีช่วยกระตุ้นพัฒนาการร่างกาย กล้ามเนื้อมัดใหญ่-มัดเล็กได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญยังเป็นการวางพื้นฐานทักษะกีฬา ซึ่งสำคัญต่อการดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงและห่างไกลโรคไปตลอดชีวิต


แหล่งที่มาข้อมูล  เพจนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์, http://www.csip.org/ www.youngciety.com

 

บทความน่าสนใจอื่นๆ

เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เริ่ม 1 – 7 ขวบ

 

ตาราง น้ำหนักส่วนสูงทารก ตามเกณฑ์ ตั้งแต่แรกเกิด – 5 ปี

 

5 ไอเดีย…กิจกรรมเล่นกับลูกที่บ้าน สนุก ไม่น่าเบื่อ

แม่ท้องไม่สบาย กินยาได้ไหม? หมอแนะ “ยาที่คนท้องกินได้” และ “ยาต้องห้าม”

คนท้องกินยาพาราได้ไหม คนท้องกินยาอะไรได้บ้าง !? คนท้องกินยาอะไรไม่ส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ และถ้าคนท้องไม่สบายต้องทำอย่างไร ตามมาดูคำแนะนำจากคุณหมอนิวัฒน์กันค่ะ

คนท้องกินยาพาราได้ไหม คนท้องกินยาอะไรได้บ้าง?

คนท้อง หรือหญิงตั้งครรภ์ก็เป็นคนกลุ่มหนึ่งซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อภาวะเจ็บไข้ ได้ป่วย มิหนำซ้ำถ้าเป็นโรคในกลุ่มของโรคติดเชื้อ อาการจะรุนแรงกว่าคนปกติที่ไม่ได้ตั้งครรภ์  เช่น การติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่นอาการปอดบวมได้ง่ายและรุนแรงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของหญิงตั้งครรภ์มีแนวโน้มต่ำลงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเมื่อหญิงตั้งครรภ์ท่านใดพบว่าตัวเองไม่สบาย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อได้รับการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาที่ถูกต้อง ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา

วันนี้หมอขอให้ความรู้เกี่ยวกับยาต่างๆ ที่ใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้ทราบว่า … คนท้องกินยาอะไรได้บ้าง ยาตัวไหนห้ามใช้สำหรับคนท้อง ยาตัวไหนใช้ได้อย่างปลอดภัย และตัวไหนที่จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยทั่วไป ยาที่เราใช้กันในปัจจุบัน สามารถแบ่งแยกตามหลักวิชาการได้ 5 หมู่ คือ A, B, C, D และ X  ดังนี้ (แบ่งตาม Food and Drug Administration of America หรือ FDA)

คนท้องกินยาพาราได้ไหม

กลุ่ม การศึกษา ตัวอย่างยา
A มีการศึกษาแบบควบคุมในมนุษย์ ไม่พบความเสี่ยง วิตามิน บี 6

Folic acid

B ไม่มีการศึกษาแบบควบคุมในมนุษย์

แต่ไม่มีอันตรายต่อทารกในครรภ์ จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง

Paracetamol

Azithromycin

Amoxicillin

Erythromycin

C ไม่มีการศึกษาแบบควบคุมใน มนุษย์ และสัตว์ทดลอง Ciprofloxacin

corticosteroids

D มีข้อมูลก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ Tetracycline

Doxycycline

X มีการศึกษาแบบควบคุมในมนุษย์และสัตว์ทดลอง

ทำให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์

Misoprostol

Methotrexate

 

จากคำถาม คนท้องกินยาพาราได้ไหม สรุปง่ายๆ ก็คือ ยาที่สามารถใช้ได้ในหญิงตั้งครรภ์อย่างปลอดภัย คือ กลุ่ม A และ B ในกลุ่ม  C แพทย์จะเลือกใช้เมื่อมีความจำเป็นและเปรียบเทียบความเสี่ยงต่อยาและต่อโรคที่เป็นแล้ว เห็นว่าคุ้มค่าต่อการใช้ยา  ส่วนยา ในกลุ่ม D และ X เป็นกลุ่มที่ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์

มาถึงคำถามที่ว่า ยาที่คนท้องห้ามกิน คำตอบก็คือ ยาที่อยู่ในกลุ่ม D และ X ซึ่งยาเหล่านี้ไม่สามารถหาซื้อได้เองตามท้องตลาดทั่วไป  มักจะเป็นยาที่แพทย์สั่งและใช้ในโรคเฉพาะ เช่น ยา Thalidomide  ซึ่งสมัยก่อนใช้ในการรักษาอาการแพ้ท้อง ต่อมาพบว่ายานี้ทำให้เด็กเกิดมาแขนขาพิการผิดรูปได้ ปัจจุบันยานี้จึงถูกยกเลิกการใช้ในหญิงตั้งครรภ์ แต่ยากลุ่มนี้ที่ยังใช้อยู่ในในปัจจุบัน และใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในวัยรุ่น คือ  ยารักษาสิวที่ชื่อ Accutane หรือ Roaccutane หรือ  Isotretinoin  เป็นยาที่ทำให้เกิดความผิดปกติของศีรษะ ใบหน้า ใบหู และหัวใจทารกในครรภ์ ได้ถึงร้อยละ 50 ถ้าใช้ในช่วงไตรมาสแรก หรือ ช่วง 3 เดือนแรก (12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์) ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังสร้างอวัยวะต่างๆ ของทารกในครรภ์ ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงที่สูงมาก เพราะฉะนั้นผู้หญิงที่รักษาด้วยยาตัวนี้ หมอแนะนำให้คุมกำเนิดให้ดี ไม่ควรตั้งครรภ์ในช่วงที่ใช้ยานี้อย่างเด็ดขาด ส่วนยาในกลุ่ม D  เช่น ยาปฎิชีวนะ ชื่อ เตตระไซคลิน ( Tetracycline)  ทำให้เกิดฟันสีเหลืองในเด็กอย่างถาวร มักพบเมื่อมีการใช้ยาในอายุครรภ์ประมาณ 5-6  เดือนขี้นไป ซึ่งเป็นระยะการสร้างฟันของตัวอ่อน ปัจจุบัน แทบไม่มีใช้แล้ว

จะเห็นว่าในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ แพทย์ไม่แนะนำให้กินนยาใดๆ เลย นอกจาก กรดโฟลิก เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเป็นช่วงสร้างอวัยวะต่างๆ ของทารกในครรภ์ สารบางชนิดถ้าได้รับมากจนเกินไป อาจทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้ เช่น ธาตุเหล็ก มักจะมีส่วนผสมของวิตามินอีกหลายๆ ชนิด

การได้วิตามินบางชนิดที่มากเกินไป โดยเฉพาะในส่วนวิตามินเอ (A) อาจส่งผลต่อการสร้างอวัยวะ และความพิการของทารกในครรภ์ได้ นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่มีอาการพะอืดพะอม หรืออาการแพ้ท้อง การรับประทานธาตุเหล็ก หรือ แคลเซียมอาจทำให้อาการแพ้เป็นมากขึ้นก็ได้ จึงควรกินยาเหล่านี้หลังจากอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปจะเหมาะสมกว่า

ในช่วงของการตั้งครรภ์ ถ้ามีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆ น้อยๆ คนท้องกินยาพาราได้ไหม คำตอบก็คือสามารถหายากินเองได้ เพื่อบรรเทาอาการไปก่อน นอกจากถ้าอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบมาพบแพทย์ อาการดังกล่าว  เช่น  ⇓

คนท้องกินยาพาราได้ไหม ถ้าคนท้องไม่สบายต้องทำอย่างไร?

อาการปวดศีรษะ ถ้าเป็นปวดศีรษะแบบธรรมดาที่เรียกว่า Tension headache  อาการปวดศีรษะจะปวดตึงๆเหมือนเข็มขัดรัดรอบศีรษะ ปวดบริเวณต้นคอหนังศีรษะ อาการปวดศีรษะจะมากเมื่อมีความเครียด เสียงดัง อดนอนสามารถหายากินนเองได้ สำหรับอาการนี้ คนท้องกินยาพาราได้ไหม ซึ่งยาที่หมอแนะนำคือ พาราเซตตามอล (Acetaminophen) เป็นยาในกลุ่ม B ที่สามารถกินได้ โดยมีชื่อการค้า เช่น ซีมอล (Cemol), พานาดอล (Panadol), พาราแคพ (Paracap), ซาร่า (Sara), เทมปร้า (Tempra), ไทลินอล (Tylenol) ยาชนิดนี้กินตามน้ำหนักตัว 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น หนัก 50 กิโลกรัม ก็กินเม็ด 500 มิลลิกรัม ถ้าน้ำหนักตัว 75 กิโลกรัม ก็ให้กินเม็ด 500 มิลลิกรัม  2 เม็ด (หรือจะหักกิน 1 เม็ดครึ่งก็ได้) กินได้ทุก 4-6 ชั่วโมง วันละไม่ควรเกิน 8 เม็ด (4,000 มิลลิกรัม) ระวังการใช้ในผู้ป่วยโรคตับ

⇒ แต่ถ้าเป็นอาการปวดศีรษะไมเกรน คนท้องกินยาพาราได้ไหม ซึ่งจะปวดศีรษะแบบตุ้บๆ ตามชีพจร ส่วนมากจะเกิดอาการปวดศีรษะข้างเดียว แต่ในบางรายก็พบว่าเกิดอาการปวดทั้ง 2 ข้างได้ บริเวณที่ปวดจะเป็นด้านหน้าและด้านข้างของศีรษะ ความรุนแรงอยู่ในระดับปานกลางถึงมาก ยาที่ใช้ในการรักษาไมเกรนที่ได้ผลดี คือ คาเฟอร์กอท (Cafergot =  Ergotamine+Caffeine) เป็นยาในกลุ่ม X ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ การใช้ยาในขนาดสูงจะขัดขวางการไหลเวียนเลือดไปสู่ทารก ทําให้เกิดความผิดปกติระบบลำไส้ สมอง และปราสาทไขสันหลังได้

ดังนั้นถ้าหญิงตั้งครรภ์เป็นไมเกรนแล้วกินยาแก้ปวดในกลุ่ม พาราเซตตามอลแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรมาปรึกษาแพทย์อายุรกรรมระบบประสาท (Neurology Medicine) เพื่อปรับยา  แต่ถ้ามีอาการปวดศีรษะร่วมกับอาการตาพร่ามัว จุกแน่นลิ้นปี่ และวัดความดันพบว่าความดันโลหิตสูง (มากกว่า 149/90 มิลลิเมตรปรอท) แสดงถึงภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งมักเกิดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ถ้ามีอาการดังกล่าว ควรรีบมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เนื่องจากอาจทำให้หญิงตั้งครรภ์มีอาการชักได้ อันตรายทั้งต่อทารกในครรภ์และตัวหญิงตั้งครรภ์เองเป็นอย่างมาก

คนท้องกินยาพาราได้ไหม

หวัด (Common Cold) หมายถึง การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน โดยมีอาการ มีน้ำมูกใสๆ ไหล จาม คัดจมูก บางคนครั่นเนื้อครั่นตัว ต่อมาน้ำมูกอาจเปลี่ยนเป็นสีเขียวเนื่องจาก เม็ดเลือดขาว (PMN) หลั่งสารออกมากำจัดเชื้อโรค การมีน้ำมูกสีเขียวหรือเหลืองจีงไม่จำเป็นต้องมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเสมอไป อาจมีอาการไอตามมาทีหลังได้ อาการไข้มักจะไม่สูงมากและเป็นอยู่ไม่เกิน 3 วัน อาการหวัดมักจะหายไปเองใน 3 – 4 วัน หรือไม่เกิน 7 วัน ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส  (Rhinovirus) แนะนำให้นอนพักผ่อนให้มากๆ กินน้ำอุ่นเยอะ และให้การรักษาตามอาการที่เป็น เช่น มีไข้ คนท้องกินยาพาราได้ไหม คำตอบก็คือสามารถใช้ยากลุ่ม พาราเซทตามอล ได้ แต่ไม่ควรใช้ ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) โดยเฉพาะในรายที่สงสัยโรคไข้เลือดออก)

  • อาการคัดจมูก มีน้ำมูก ก็ให้ยาลดน้ำมูกในกลุ่มต้านภูมิแพ้ หรือ แอนตี้ฮีสตามิน (Antihistamine) เช่น คลอร์เฟนนิรามีน (Chlorphenniramine : CPM) เป็นยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัย ไม่มีผลต่อทารกในครรภ์ แต่ทำให้มีอาการง่วงซึม จึงไม่ควรขับรถขณะใช้ยานี้ ยาอม ยาพ่นคอต่างๆ ที่ช่วยลดอาการระคายคอสามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย
  • ส่วนยาแก้ไอ ถ้ามีอาการไอแบบมีเสมหะ ใช้ยาในกลุ่มอะเซทิลซิสเทอีน (Acetylcysteine: Class B) และ บรอมเฮกซีน (Bromhexine: Class B) ใช้ได้อย่างปลอดภัย
  • ถ้าเป็นไอแห้งๆ ยาในกลุ่ม เดกซ์โทรเมทอร์แฟน (Dextromethorphan: Class C) ก็สามารถใช้ได้เช่นกันเนื่องจากที่ผ่านมายังไม่พบรายงานการใช้ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ ยาที่ควรหลีกเลี่ยง คือยาแก้ไอชนิดน้ำดำต่างๆ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
  • แต่ถ้าเป็นจากการติดเชื้อแบคทีเรีย หมอจะตรวจดูคอถ้าพบว่า มีจุดหนองที่ต่อมทอนซิล มีฝ้าสีเทาที่ลิ้น และมักจะคลึงพบต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้ขากรรไกรโต หรือ ถ้ามีอาการหวัดนานเกิน 2 สัปดาห์ให้สงสัยว่าอาจมีภาวะไซนัสอักเสบ หรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย แพทย์มักจะให้การรักษาโดยการให้ยาปฏิชีวนะที่คนไข้ไม่แพ้ และปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ (ส่วนใหญ่เป็นยาในกลุ่ม B เช่น เพนนิซิลิน)

แต่บางรายอาจมีไข้สูง บางรายมีอาการไข้หนาวสั่น และปวดเมื่อยเนื้อตัว แนะนำไปพบแพทย์เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาการในหญิงตั้งครรภ์อาจรุนแรงและมีภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าคนปกติทั่วไป หมอจึงแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์ทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ในช่วงอายุครรภ์ ตั้งแต่ 16 สัปดาห์เป็นต้นไป

อาการท้องเสีย คือ อาการที่ถ่ายเป็นน้ำตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป หรือถ่ายเป็นมูกเลือดตั้งแต่ 1 ครั้ง ขึ้นไปภายใน 24 ชั่วโมง เป็นอาการที่พบได้บ่อยๆ ในหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลง มีโอกาสที่เมื่อรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด สุกๆ ดิบๆ จะเกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป การรักษาถ้าเป็นอาการท้องเสียทั่วไป (Watery Diarrhea) มีอาการถ่ายเป็นน้ำ ไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ยังกินอาหารได้ปกติ แนะนำให้กินน้ำเกลือผงละลายน้ำ (ORS) กินบ่อยๆ แทนน้ำ

แต่ถ้าเป็นท้องเสียจากการติดเชื้อ มักจะมีอาการถ่ายเป็นมูก หรือมูกปนเลือด อุจจาระมีกลิ่นเหม็นหรือคาวมาก ปวดบิดท้องเป็นพักๆ บางรายอาจมีไข้ หรือคลื่นไส้ อาเจียน ร่วมด้วย ถ้ากินอาหารหรือน้ำไม่ได้ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อให้น้ำเกลือทดแทนการเสียน้ำจากการถ่ายหลายๆ ครั้ง และให้ยาปฏิชีวนะเพื่อทำลายเชื้อในทางเดินอาหาร

อาการปวดท้อง จุกแน่นท้อง เป็นอาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือโรคกรดไหลย้อน ที่คนท้องมักจะเป็นกันเยอะ เนื่องจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ทำให้ลำไส้ทำงานช้าลง อาหารจึงค้างอยู่ในทางเดินอาหารนาน ทำให้เกิดอาการอืดแน่นท้องได้บ่อย ร่วมกับฝาปิดหลอดอาหารในคนท้องปิดไม่สนิท ทำให้กรดต่างๆเกิดการไหลย้อนกลับเข้ามาในหลอดอาหาร คนไข้จะมีอาการจุกแสบลิ้นปี่ (Heart Burn) มีอาการเป็นพักๆ ตามจังหวะการบีบตัวของลำไส้ บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เรอเปรี้ยว ร่วมด้วย ยาในกลุ่มยาเคลือบกระเพาะ เช่น ยาธาตุน้ำขาว (Alum milk) ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์สามารถใช้ได้ดี  หรือ กาวิสคอน (Garviscon : ประกอบด้วย โซเดียมอัลจิเนต+โซเดียมไบคาร์บอเนต) ใช้สูตรธรรมดาที่ ไม่ใช่ Dual action (มีแคลเซี่ยม คาร์บอเนต : Class C) ตัวยาโซเดียมอัลจิเนตเมื่อสัมผัสกับกรดจะพองตัวเป็นชั้นเจล และลอยตัวอยู่เหนือกรดในกระเพาะ ป้องกันการไหลย้อนขึ้นไปยังหลอดอาหาร ส่วนโซเดียมไบคาร์บอเนต เป็นยาลดกรดที่ออกฤทธิ์ได้เร็ว ไม่ถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดจึงมีความปลอดภัยสูง และสามารถใช้กับหญิงตั้งครรภ์ได้ ร่วมกับการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเพื่อช่วยทำให้อาการดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เช่น การรับประทานอาหารเป็นมื้อย่อย ๆ และลดปริมาณการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลง รวมทั้งเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน ไม่นอนหลังจากเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ อย่างน้อย 1 ชั่วโมงหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มอัดแก๊สอัดลมต่างๆ  รวมถึงอาหารที่มีรสจัดมากๆ เช่น เผ็ดจัด หรือเปรี้ยวจัด

อาการผื่นคัน ก็เป็นอีกอาการหนึ่งที่คนไข้มาหาแพทย์ การมีผื่นคันส่วนใหญ่เกิดจาก 2 ปัจจัย คือ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดผื่นที่เรียกว่า ผื่นฮอร์โมนในคนท้อง Pruritic urticarial papules and plaques of pregnancy (PUPP) สาเหตุไม่ทราบแน่ชัด คาดว่าเกิดจากผนังท้องขยายมากขึ้น  อาการผื่นนูนแดงขนาดประมาณ 1-2 มม. พบมากบริเวณหน้าท้อง แล้วจึงกระจายไปที่ ต้นขา ก้น หน้าอก และแขน โดยทั่วไปมีอาการคันมาก หายได้เองหลังคลอดภายใน 1-2 สัปดาห์ ไม่มีอันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์แต่อย่างใด

การรักษาโดยการใช้ยาคาลาไมน์ หรือยาทาที่เป็น กลุ่มของยาสเตียรอยด์หรืออาจจะเป็นโลชั่นที่ช่วยทำให้ผิวหนังของคุณแม่ชุ่มชื้นขึ้น ส่วนอีกชนิดหนี่งคือ Atopic eruption of pregnancy หรือ ผื่นแพ้ ซึ่งสัมพันธ์กับผู้ที่มีประวัติภูมิแพ้ พบในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์ ผื่นพบได้ 2 แบบคือชนิด eczematous เป็นผื่นแดง คัน บริเวณใบหน้า ลำคอ หน้าอก และข้อพับแขนขาอีกชนิดหนึ่งคือชนิด papular eruption ซึ่งเป็นตุ่มแดง คัน กระจายทั่ว เป็นบริเวณด้านนอกของแขนขา  การรักษาก็จะเป็นยาในกลุ่มสเตอรอยด์ครีม เช่นกัน นอกจากนี้ยาที่ใช้ภายนอกทั้งหลาย รวมถึงยาที่ใช้ทาลดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เช่น ไดโคลฟิแนค  Diclofenac Gel  หรือ Balm สำหรับถูนวดสามารถใช้ได้ และเครื่องสำอางที่ใช้ทาตามตัวหรือใบหน้าก็สามารถใช้ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของกรดวิตามินเอ (มักจะพบในเครื่องสำอางหรือครีมรักษาสิว)

การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์อาจเกิดปัญหากับทารกในครรภ์ได้  จึงพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ยาทุกชนิด ยกเว้นเมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น  หรือเป็นการใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ จะปลอดภัยต่อทารกในครรภ์มากที่สุดครับ

บทความโดย : นายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์)
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ พันธุศาสตร์การแพทย์
มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอบกิ้น สหรัฐอเมริกา

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

วัคซีนสำหรับคนท้อง จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ?

ทำไมต้องผ่าคลอด ข้อบ่งชี้ที่แม่เลือกคลอดเองตามธรรมชาติไม่ได้!

ตั้งชื่อลูกพร้อมความหมาย 200 ชื่อมงคล ความหมายดี ถูกต้องตามหลักโหราศาสตร์

ผมร่วงหลังคลอด แม่มือใหม่รับได้มั้ย 6 เคล็ดลับป้องกันผมร่วงให้ลูกจำหน้าแม่ได้แบบสวยๆ

ไอเดีย ชื่อลูก 1,000 ชื่อ รวมฮิตชื่อเล่น ชื่อลูกสาว-ลูกชาย หลายภาษา

ล้างจมูก ในวัยเด็ก

15 คำถามข้องใจกับการ ล้างจมูก ให้ปลอดภัยในวัยเด็ก

ล้างจมูก แล้วแก้วหูจะทะลุไหม ทำไมลูกสำลักเวลาล้าง น้ำเกลือแบบไหนเหมาะแก่การล้างจมูกลูก สารพัดสารพันปัญหาที่คุณแม่อยากรู้ วันนี้คุณหมอจะมาเฉลยวิธีให้ทราบกัน

15 คำถามข้องใจกับการ ล้างจมูก ให้ปลอดภัยในวัยเด็ก

ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ สามารถชะล้างสิ่งสกปรกออกจากโพรงจมูก และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคภัยไข้เจ็บอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะในวัยเด็กที่มักติดเชื้อง่าย อีกทั้งในปัจจุบันที่โลกเราเต็มไปด้วยมลภาวะเป็นพิษ ทั้งปัญหาจากฝุ่นควัน ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5  ที่เมื่อลูกเราหายใจเข้าไปแล้วไปสะสมภายในจมูกมาก ๆ ก็ก่อให้เกิดการอุดกั้นในระบบทางเดินหายใจ ทำให้หายใจไม่สะดวก โดยเฉพาะในเด็กที่ไม่สามารถบอกอาการกับเราได้ การล้างจมูกจึงเป็นวิธีที่ดีในการช่วยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่หากไม่รู้วิธี หรือไม่ระมัดระวังมากพอ การล้างจมูกในวัยเด็ก ก็อาจก่อให้เกิดโทษได้เช่นกัน จึงทำให้คุณพ่อคุณแม่มีคำถามเกิดขึ้นในใจมากมายที่ต้องการทราบจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความสบายใจ และปลอดภัยต่อลูกน้อยของเรา วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK จึงได้นำคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการล้างจมูกของคุณหมอ ศ.พญ. อรุณวรรณ พฤทธิพันธ์ุ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ และ ภญ.นรินทร อาศิรพรพงศ์ เภสัชกรคลินิก ฝ่ายเภสัชกรรม รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มาฝากกัน พร้อมทั้งรวบรวมคำถาม และคำตอบของคุณหมอมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้คลายข้อสงสัยกันด้วย

คำถามที่ 1 การล้างจมูก คืออะไร?

คือ การล้างสิ่งที่สกปรกในจมูกให้ออกมา เรียกว่าเป็นการล้างจมูกแบบธรรมชาติ ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรค โดยเฉพาะการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ มีบรรจุอยู่ในแนวทางการรักษาโรคได้ด้วย เช่น โรคไข้หวัด โรคไซนัสอักเสบ โรคภูมิแพ้ เพราะยอมรับกันแล้วว่าสามารถช่วยให้อาการของโรคเหล่านี้ดีขึ้นจนสามารถลดการใช้ยาลงได้

คำถามที่ 2 ใครที่ต้องได้รับการล้างจมูก?

การล้างจมูกสามารถทำได้ในทุกเพศ ทุกวัย ทุกคนไม่เฉพาะแต่ผู้ป่วยเท่านั้น แต่อาจจะมีวิธีการที่ต่างกันในแต่ละวัย ต้องศึกษา และทำความเข้าใจก่อน เพราะอาจเกิดอันตรายยิ่งโดยเฉพาะในวัยเด็ก ที่ยังไม่สามารถกลั้นหายใจได้ หรือในผู้ป่วยบางรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับการกลืน ภาวะเลือดกำเดาไหล อาจจะสำลักน้ำเกลือได้

คำถามที่ 3 การล้างจมูกในเด็กอย่างไร? ให้มีประสิทธิภาพ และไร้ซึ่งภาวะแทรกซ้อน

ต้องได้รับความร่วมมือในการล้างจมูกจากลูก อาจใช้วิธีทางจิตวิทยาช่วยให้เด็กร่วมมือ เช่น การเปิดคลิปวิดีโอการล้างจมูกของเด็กคนอื่น เมื่อเห็นตัวอย่างก็จะช่วยลดความกลัวของลูกลงไปได้

ล้างจมูก ป้องกันหวัด
ล้างจมูก ป้องกันหวัด

คำถามที่ 4 หากบังคับให้ลูกล้างจมูกโดยที่เขายังไม่ยินยอมจะเป็นอย่างไร?

การล้างจมูกแบบผิดวิธี หรือการที่ลูกยังไม่ให้ความร่วมมือนั้น เป็นสิ่งที่อันตราย อาจจะได้รับผลเสียมากกว่าประโยชน์ของการล้างจมูกด้วยซ้ำไป เพราะการที่เด็กไม่ให้ความร่วมมือนั้น เขาอาจจะเกิดการสำลักน้ำเกลือได้ และทำให้เชื่้อโรค หรือสิ่งสกปรกที่ต้องการล้างออกนั้น เข้าไปสู่หู หรือส่วนอื่น ๆ ทำให้ไปกระทบกระเทือนต่อหู อาจทำให้ปวดหู หูอักเสบ หรือมีอาการเดินเซ เวียนหัวได้

คำถามที่ 5 การล้างจมูกเริ่มได้ตั้งแต่วัยไหน?

สามารถเริ่มได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้ใหญ่เลย แต่การล้างจมูกในเด็กแรกเกิดต้องมีอุปกรณ์เฉพาะเรียกว่า เครื่อง SUCTION เครื่องดูดเสมหะเด็ก ร่วมกับอุปกรณ์อีกชิ้นที่ทางรพ.รามาธิบดีได้คิดและผลิตเป็นเวชภัณฑ์สำหรับดูดน้ำมูกเด็ก ชื่อว่า MU-TIP จะนิ่มเหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด สามารถใส่น้ำเกลือข้างหนึ่ง และดูดน้ำมูกอีกข้างหนึ่งได้เลย แต่ถึงมีอุปกรณ์แล้วก็ต้องมีวิธีการทำ และต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการล้างจมูกเด็กแรกเกิดเพื่อความปลอดภัย

คำถามที่ 6 ทำไมต้องล้างจมูก? และควรล้างบ่อยแค่ไหน?

แนะนำให้ล้างจมูก เพราะการล้างจมูกเป็นการล้างทำความสะอาดชะล้างสิ่งสกปรกที่ยังคงค้างอยู่ในโพรงจมูกที่เป็นทั้งน้ำมูก น้ำหนอง เลือดในโพรงจมูกให้เคลียร์ และโล่งขึ้น

โดยทั่วไปจำนวนครั้งในการล้างจมูกขั้นต่ำประมาณ 2 ครั้งต่อวัน คือ ช่วงเช้า และก่อนนอน หรือตอนที่มีอาการคัดจมูก แน่นจมูก ก็สามารถทำได้บ่อยไม่จำกัดจำนวนครั้ง

คำถามที่ 7 ใช้น้ำอะไรในการล้างจมูก?

น้ำที่นำมาใช้ในการล้างจมูกควรเป็นน้ำเกลือที่มีความเข้มข้น 0.9% เพราะมีความเข้มข้นใกล้เคียงกับน้ำในเซลล์ร่างกาย ความเข้มข้นเดียวกับเลือด ไม่ควรใช้น้ำเปล่าหรือน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า 0.9 % มาล้างจมูก เพราะจะทำให้ระคายเคืองจมูกเพิ่มขึ้นและอาจมีการอักเสบ แสบจมูก และมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้นด้วย

คำถามที่ 8 ใช้เกลือที่บ้านมาละลายน้ำใช้ล้างจมูกได้ไหม?

สามารถทำได้ แต่ต้องใช้เกลือสะอาด 4.5 กรัม และน้ำสะอาด 750 cc. ผสมรวมกัน และข้อสำคัญคือต้องเน้นเรื่องความสะอาด จึงต้องมีวิธีขั้นตอนในการผสม เพราะหากไม่สะอาดพออาจทำให้ติดเชื้อได้ ควรใช้ภายใน 24 ชั่วโมง และต้องใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่สามารถเก็บได้ ป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพราะไม่มีสารกันเสีย

คำถามที่ 9 น้ำเกลือสำเร็จรูปที่มีขายทั่วไป สามารถเก็บไว้ใช้ครั้งต่อไปได้ไหม?

น้ำเกลือขวดสำเร็จรูปถ้าเวลาใช้ ถ้าเทถ่ายใส่ภาชนะอื่นก่อนใช้ ก็สามารถเก็บน้ำเกลือขวดไว้ใช้ต่อได้ หรือถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นก็สามารถยืดประสิทธิภาพของน้ำเกลือให้เก็บไว้ใช้ได้นานขึ้น

ล้างจมูก แล้วปวดหู
ล้างจมูก แล้วปวดหู

คำถามที่ 10 วิธีทำน้ำเกลือไว้ใช้เองอย่างถูกวิธี ทำอย่างไร?

ต้มน้ำให้เดือดเพื่อฆ่าเชื้อ 750 ซีซี ผสมเกลือป่น 1ช้อนชาปาดหรือ ประมาณ 4.5 กรัม คนให้ละลาย ต้มให้เดือดแล้วปิดไฟ ตั้งทิ้งไว้ให้อุ่นก่อนใช้ เก็บไว้ใช้ได้เพียง 1 วัน ที่เหลือควรทิ้งไป เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรค

คำถามที่ 11 ต้องเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการล้างจมูกอะไรบ้าง?

  1. น้ำเกลือเข้มข้น 0.9%สำหรับล้างจมูก(0.9%Normal Saline)
  2. Syringe (กระบอกฉีดยา)ขนาด 10-20 cc.
  3. จุกล้างจมูก (ถ้ามี)
  4. ภาชนะสำหรับใส่น้ำเกลือ เทน้ำเกลือจากขวดออกมาก่อนจะได้เก็บน้ำเกลือที่เหลือไว้ใช้ต่อได้

คำถาที่ 12 ขั้นตอนการล้างจมูกสำหรับเด็กทั่วไปเป็นอย่างไร?

  1. ล้างมือ และอุปกรณ์ทุกอย่างให้สะอาด
  2. เทน้ำเกลือ หรือดูดน้ำเกลือเข้ากระบอกฉีดยา
  3. สวมจุกล้างจมูกที่ปลายกระบอกฉีด
  4. กลั้นหายใจ ก้มหน้า อ้าปาก ค่อย ๆ ฉีดน้ำเกลือเข้ารูจมูก น้ำเกลือจะไหลเข้าไปในโพรงจมูก และไหลออกทางรูจมูกอีกด้าน หรืออาจลงลำคอ
  5. สั่งน้ำมูก และทำซ้ำอีกจนสังเกตได้ว่าหายใจสะดวกขึ้น

คำถาที่ 13 การล้างจมูกช่วยเรื่องโรคภูมิแพ้จริงไหม?

ประโยชน์ของการล้างจมูก คือ การช่วยลดความเหนียวข้นของน้ำมูก ก็เป็นการช่วยลดอาการคัดแน่นในโพรงจมูก ที่เป็นอาการหนึ่งของโรคภูมิแพ้ ก็นับว่าเป็นการช่วยลดอาการภูมิแพ้ได้

 

คำถามที่ 14 ข้อควรระวังในการล้างจมูกมีอะไรบ้าง?

สิ่งที่ควรระวังในการล้างจมูกอย่างเดียวเลย คือ ระวังการสำลัก อาจเริ่มจากการกลั้นหายใจก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มปริมาณของน้ำเกลือทีละน้อย และอาจจะดูเรื่องอุณหภูมิของน้ำเกลือ ยิ่งโดยเฉพาะบ้านไหนที่เก็บน้ำเกลือไว้ในตู้เย็น อาจจะต้องอุ่นน้ำเกลือให้มีอุณหภูมิปกติ อุณหภูมิห้องก่อน เพราะเด็กอาจจะตกใจความเย็นแล้วด้วยสัญชาตญาณจะหายใจเข้าไปก็อาจจะเกิดการสำลักได้ และการใช้น้ำเกลือที่ไม่ได้อุ่นล้างจมูก อาจทำให้เกิดการคัดจมูกหลังการล้างได้

คำถามข้อที่ 15 ทำไมลูกล้างจมูกแล้วมีอาการปวดหู?

เวลาล้างจมูก เมื่อฉีดน้ำเกลือเข้าจมูกแล้ว ต้องทำการสั่งน้ำมูกออกมา ในขั้นตอนนี้ ให้ลูกสั่งน้ำมูกออกมาจากจมูกทั้งซ้ายขวาพร้อมกันโดยไม่ต้องอุดรูจมูกอีกข้าง เพราะจะทำให้มีอาการปวดหูได้ ให้ลูกบ้วนน้ำเกลือ น้ำมูกและเสมหะออกมา แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กบ้วนไม่เป็น ก็จะกลืนลงหลอดอาหาร แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลไป เพราะเชื้อโรคจะถูกกำจัดในกระเพาะอาหารเอง

ขอขอบคุณคลิปวิดีโอ และข้อมูลอ้างอิง จาก RAMA CHANNAL/ FB:สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

“ภูมิแพ้ผิวหนัง” โรคที่พบบ่อยในเด็ก เป็นแล้วรักษาไม่หาย

ล้างจมูกลูก อย่างไรให้ปลอดภัย ถูกต้องแต่ละช่วงวัย

ลมพิษในเด็ก เกิดจากอะไร? และ 3 วิธีรักษาด้วยสมุนไพร

เตือนแม่ ของติดจมูกลูก ห้ามล้างจมูกเด็ดขาด

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร

รวมหลักเกณฑ์ ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร และวันเกิด จากคัมภีร์ทักษาฯ

พ่อแม่ควรรู้..ก่อนตั้งชื่อลูก! ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ลูกเกิดวันนี้..? จะใช้ตัวอักษรมงคลตัวไหนดี เพื่อช่วยเสริมดวง เสริมบุญบารมีให้ลูก ตามมาดูหลักเกณฑ์การตั้งชื่อลูกจากตำราทักษาปรกณ์กันเลย

หลักเกณฑ์ ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร – ตามวันเกิด
จากคัมภีร์ทักษาฯ

การเตรียมตัวเพื่อต้อนรับลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลก สำหรับว่าที่คุณพ่อคุณแม่แล้วนอกจากข้าวของเครื่องใช้ของลูกน้อย “ชื่อลูก” ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ต้องเตรียม ทั้งนี้สิ่งสำคัญของการตั้งชื่อที่คนไทยมีความเชื่อและนับถือกันมาตั้งแต่โบราณจนถึงทุกวันนี้ คือ การตั้งชื่อที่ดีจะต้องมีความหมายที่เป็นสิริมงคล มีความไพเราะ และถูกต้องตามหลักภาไทย และตามหลักวิชาโหราศาสตร์นั้นๆ

สำหรับหลักเกณฑ์การตั้งชื่อจริงลูก ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด ส่วนมากนิยมใช้หลักทักษาปกรณ์ ซึ่งเป็นที่นิยมกันแพร่หลายมากที่สุด “ตำราทักษาปกรณ์” เรียกอีกอย่างว่า “อัฏฐเคราะห์” มาจากอินเดียเข้ามากับพุทธศาสนา โดยแต่เดิมนิยมใช้ตำรานี้ตั้งฉายาพระสงฆ์เมื่อบวช ทั้งนี้หลักการ ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ของตำราทักษาปกรณ์ มีอยู่ว่า ตั้งชื่อคนควรให้สอดคล้องกับสิริมงคล 7 อย่าง คือ “อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี บริวาร” และหลีกเลี่ยงข้อไม่ดี 1 อย่าง คือ “กาลกิณี”

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ความหมายของทักษา

การตั้งชื่อเพื่อเป็นสิริมงคลให้กับลูกน้อย ตามวันเกิด ถ้าเป็นเด็กชายมักนิยมเอาตัวอักษรที่เป็น เดช นำหน้า เพื่อให้มีเดชเกรียงไกร มีอำนาจเกียรติยศยิ่งใหญ่ แล้วใช้ตัวอักษรอื่นๆ รองลงมาตามความหมายที่พ่อแม่อยากให้ลูกเป็น รวมถึงตัวอักษรประกอบอื่นๆ เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองตามความหมายที่มี ส่วนเด็กผู้หญิง หากจะ ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ตามวันเกิด นิยมใช้ตัวอักษรที่เป็น ศรี นำหน้า ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลสวยสง่างามเหมาะกับลูกสาว และให้ใช้ตัวอักษร เดช หรือ ตัวอื่นๆที่เป็นมงคล ประกอบรองลงมา ตามความหมายที่พ่อแม่ต้องการ

แต่ที่สำคัญการตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ตามวันเกิดนี้ ทั้งลูกชายและลูกสาว คุณพ่อคุณแม่ห้ามเอาอักษรที่เป็นกาลกิณีมารวมอยู่ในชื่อด้วย เพราะถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี อาจเกิดความอัปมงคลได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นความหมายของทักษาต่างๆ มีดังนี้ ..

บริวาร ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บุตร สามี ภรรยา ลูกน้อง คนในปกครอง คนในบ้าน รวมไปจนถึงเพื่อนและมิตรสหายให้ความเคารพ การเกื้อหนุนจุนเจือไม่ขาด บารมี ผู้ใต้บังคับบัญชา
อายุ ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง วิถีความเป็นอยู่ สุขภาพดี แข็งแรง อายุยืนยาว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงเบียดเบียน ไม่เครียด กายเป็นสุข ใจเป็นสุข
เดช ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บารมี เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ ให้คนเคารพยำเกรง การควบคุมบังคับบัญชาคนได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟัง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวจริงจังหนักแน่น เข้มแข็ง
ศรี ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง สิ่งที่เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต หลักทรัพย์สิน บ้าน เรือกสวนไร่นา อสังหาริมทรัพย์ โชคลาภ เสน่ห์ที่ทำให้คนรักใคร่เมตตา มีสิริมงคล
มูละ ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง ทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทอง ทุนทรัพย์ผล ประโยชน์ หรือมรดก หลักฐานความมั่นคง ทำมาค้าขึ้น มีกำไร ประสบความสำเร็จในเรื่องเงินๆทองๆ
อุตสาหะ ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง ความขยันหมั่นเพียร ให้เกิดผลสำเร็จ มีมานะอุตสาหะ มีความพยายามของตนเอง มีความรับผิดชอบ หัวคิดริเริ่มพยายาม  แรงจูงใจ ทิฐิมานะ
มนตรี ส่งเสริม แก้ไขเรื่อง การอุปถัมภ์ค้ำชู ส่งเสริม อุปการะ สงเคราะห์เกื้อหนุนจากผู้ใหญ่ ครูอาจารย์ เจ้านาย และมีผู้ให้การช่วยเหลือ การดำเนินชีวิตและหน้าที่การงาน
กาลกิณี โชคร้าย อัปมงคล ศัตรูคู่แข่ง คู่อาฆาต อุปสรรค ความยุ่งยาก ติดขัด เสียหาย วุ่นวายในการดำเนินชีวิต ความเหน็ดเหนื่อย  ห้ามนำอักษรในวรรคกาลกิณี นี้มาตั้งชื่อ

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร

หลักเกณฑ์การตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ตามวันเกิด

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

  • บริวาร = อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
  • อายุ = ก ข ค ฆ ง
  • เดช = จ ฉ ช ซ ฌ ญ
  • ศรี = ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
  • มูละ = ด ต ถ ท ธ น
  • อุตสาหะ = บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
  • มนตรี = ย ร ล ว
  • กาลกิณี = ศ ส ษ ห ฬ ฮ

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ผู้ที่เกิดวันจันทร์

  • บริวาร = ก ข ค ฆ ง
  • อายุ = จ ฉ ช ซ ฌ ญ
  • เดช = ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
  • ศรี = ด ต ถ ท ธ น
  • มูละ = บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
  • อุตสาหะ = ย ร ล ว
  • มนตรี = ศ ส ษ ห ฬ ฮ
  • กาลกิณี = สระ -ะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ผู้ที่เกิดวันอังคาร

  • บริวาร = จ ฉ ช ซ ฌ ญ
  • อายุ = ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
  • เดช = ด ต ถ ท ธ น
  • ศรี = บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
  • มูละ = ย ร ล ว
  • อุตสาหะ = ศ ส ษ ห ฬ ฮ
  • มนตรี = สระ -ะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
  • กาลกิณี = ก ข ค ฆ ง

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ผู้ที่เกิดวันพุธกลางวัน

  • บริวาร = ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
  • อายุ = ด ต ถ ท ธ น
  • เดช = บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
  • ศรี = ย ร ล ว
  • มูละ = ศ ส ษ ห ฬ ฮ
  • อุตสาหะ = สระ -ะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
  • มนตรี = ก ข ค ฆ ง
  • กาลกิณี = จ ฉ ช ซ ฌ ญ

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน

  • บริวาร = ย ร ล ว
  • อายุ = ศ ส ษ ห ฬ ฮ
  • เดช = สระ -ะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
  • ศรี= ก ข ค ฆ ง
  • มูละ = จ ฉ ช ซ ฌ ญ
  • อุตสาหะ= ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
  • มนตรี = ด ต ถ ท ธ น
  • กาลกิณี = บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

  • บริวาร = บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
  • อายุ = ย ร ล ว
  • เดช = ศ ส ษ ห ฬ ฮ
  • ศรี = สระ -ะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
  • มูละ = ก ข ค ฆ ง
  • อุตสาหะ = จ ฉ ช ซ ฌ ญ
  • มนตรี = ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
  • กาลกิณี = ด ต ถ ท ธ น

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ผู้ที่เกิดวันศุกร์

  • บริวาร = ศ ส ษ ห ฬ ฮ
  • อายุ = สระ -ะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
  • เดช = ก ข ค ฆ ง
  • ศรี = จ ฉ ช ซ ฌ ญ
  • มูละ = ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ
  • อุตสาหะ = ด ต ถ ท ธ น
  • มนตรี = บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
  • กาลกิณี = ย ร ล ว

ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร ผู้ที่เกิดวันเสาร์

  • บริวาร = ด ต ถ ท ธ น
  • อายุ = บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
  • เดช = ย ร ล ว
  • ศรี = ศ ส ษ ห ฬ ฮ
  • มูละ = สระ -ะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
  • อุตสาหะ = ก ข ค ฆ ง
  • มนตรี = จ ฉ ช ซ ฌ ญ
  • กาลกิณี = ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ตารางไอเดียรายชื่อมงคล สำหรับตั้งชื่อลูก
ชื่อมงคลตามวันเกิด จันทร์ – อาทิตย์

ตั้งชื่อลูก ตามวันเกิดวันจันทร์ สำหรับตั้งชื่อลูกชาย ตั้งชื่อลูกตามวันเกิดวันจันทร์ สำหรับตั้งชื่อลูกสาว
ตั้งชื่อลูก ตามวันเกิดวันอังคาร สำหรับตั้งชื่อลูกสาว-ลูกชาย
ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด สำหรับคนเกิดวันพุธกลางวัน ตั้งชื่อลูกตามวันเกิดสำหรับคนเกิดวันพุธกลางคืน
ตั้งชื่อลูกตามวันเกิดวันพฤหัสบดี สำหรับตั้งชื่อลูกสาว-ลูกชาย
ตั้งชื่อลูกตามวันเกิดวันศุกร์ สำหรับ ตั้งชื่อลูกสาว-ลูกชาย
ตั้งชื่อลูกตามวันเกิดวันเสาร์ สำหรับ ตั้งชื่อลูกสาว-ลูกชาย
ตั้งชื่อลูกตามวันเกิดวันอาทิตย์ สำหรับ ตั้งชื่อลูกสาว-ลูกชาย

อย่างไรก็ดี การตั้งชื่อจริงลูกตามวันเกิด ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร คุณพ่อคุณแม่สามารถหาชื่อที่เป็นมงคลได้จากหนังสือพจนานุกรม และให้เลือกความหมายของชื่อที่เป็นมงคล และมีหลักเพิ่มเติมอีกว่าชื่อของ เทวดา พระพรหม นางฟ้า เทพเจ้า หรือหัวใจคาถา ต่างๆ จะไม่นิยมมาตั้งเป็นชื่อ เพราะถือว่าเป็นชื่อที่ต้องห้าม ใช้ได้เฉพาะตัวเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ แต่เปรียบเสมือนว่าชื่อนั้นๆ ถูกจดลิขสิทธิ์เอาไว้แล้วห้ามใช้ซ้ำนั่นเอง


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.horasadthai.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2563 สีไหนดี? เสริมดวงสุดปัง เงินเข้าไม่ขาดมือ

858 ชื่อเล่น ลูกสาว-ลูกชาย สุดฮิตติดเทรนด์ ปี 2020

500+ ชื่อเท่ๆ ผู้ชาย ผู้หญิง สำหรับตั้งให้ลูกแบบฮิปๆ คูลๆ