ลูกพัฒนาการช้า

7 สัญญาณ “ทารกพัฒนาการช้า” พ่อแม่สังเกตได้ตั้งแต่แรกเกิด

ช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ คือการได้พบหน้าลูกน้อยที่รอคอยมาตลอด 9 เดือน และเมื่อลูกคลอดออก  มาแล้ว ก็หวังว่าจะมีพัฒนาการที่ครบสมบูรณ์แข็งแรง มีพัฒนาการสมวัย ซึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าลูกมีพัฒนาการที่ดี ทีมแม่ABK จะชวนมาสังเกตทารกแรกเกิดว่ามีสัญญาณใดที่บอกว่า “ทารกพัฒนาการช้า” หรือไม่?

เด็กแรกเกิด – 1 เดือน (Newborn) เริ่มตั้งแต่แรกคลอดออกมาจากครรภ์คุณแม่ คุณหมอจะเช็กสัญญาณการร้อง   หากมีการ ตอบสนองด้วยการร้องดี ถือว่าผ่านในขั้นแรก จากนั้นก็จะเช็กร่างกายโดยรวมทั้งหมด ซึ่งในช่วง 1 เดือนแรก  เป็นช่วงที่คุณ พ่อคุณแม่ต้องสังเกตลูกอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น การนอน การตื่น การกินนม การขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ เป็นต้น

  • ทารกมีการเคลื่อนไหวเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ รอบข้างหรือไม่ เช่น มีการสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดัง ขยับ ศีรษะเวลาที่คุณพ่อคุณแม่เอามือลูบที่แก้มลูกเบาๆ กำนิ้วมือ นิ้วเท้า เวลาที่ถูกสัมผัส
  • ยิ้ม และร้องไห้ เป็นการสื่อสารบอกว่าต้องการอะไร เช่น ร้องเมื่อหิว ร้องเวลาที่รู้สึกเปียกชื้น หรือ ยิ้มออกมา อัตโนมัติ(โบราณว่ายิ้มให้แม่ซื้อ) รวมทั้งเริ่มเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้มากๆ (ใบหน้าคุณพ่อคุณแม่) จำกลิ่นของพ่อแม่ได้

นี่คือพัฒนาการโดยรวมของทารกในช่วง 1 เดือนแรก ทีนี้เรามาสังเกตสัญญาณพัฒนาการช้าของลูกทารกกันค่ะ ว่าจะมีจุดสังเกตใดบ้างที่บ่งชี้ว่า ลูกพัฒนาการช้า

ทารกพัฒนาการช้า จะรู้ได้อย่างไร ?

จุดสังเกตทั้ง 7 จุดนี้เป็นสิ่งที่บอกได้ในเบื้องต้นว่า ทารกพัฒนาการช้า หรือไม่อย่างไร พัฒนาการช้าคือ พัฒนาการการเติบโตของร่างกายโดยรวมทั้งหมด และหากพบว่าลูกมีความผิดปกติ ทีมแม่ABK แนะนำให้พาลูกไปตรวจพัฒนาการกับกุมารแพทย์ทันทีนะคะ

1. ศีรษะ

ศีรษะเล็ก หรือใหญ่เกินไป บ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของสมอง อาจบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เช่น ขาดอากาศขณะคลอด หรือเป็นโรคทางพันธุกรรม ขนาดเส้นรอบศีรษะของเด็กโดยปกติ มีดังนี้

แรกเกิด – 3 เดือน เส้นรอบศีรษะยาว 35 เซนติเมตร

วัย 3 เดือน เส้นรอบศีรษะจะยาวประมาณ 40 เซนติเมตร

วัย 1 ขวบ เส้นรอบศีรษะจะยาวประมาณ 45 เซนติเมตร

วัย 2 ขวบ เส้นรอบศีรษะจะยาวประมาณ 47 เซนติเมตร

วัย 5ขวบ เส้นรอบศีรษะจะยาวประมาณ 50 เซนติเมตร

2. หู

สังเกตพัฒนาการช้าของลูกอีกหนึ่งจุด ก็คือที่ใบหูทั้ง 2 ข้าง นั่นคือ ใบหูผิดรูป อยู่ต่ำหรือสูงเกินไปจนสังเกตได้ ติ่งหูยาวผิดปกติ มีรูด้านหน้าหู หรือหูไม่มีรู หรือ เมื่อลูกน้อยอายุ 6 เดือนแล้ว แต่ยังไม่สามารถหันตามเสียง ไม่ตอบสนองกับเสียงที่ได้ยิน เช่น ไม่สะดุ้ง ตกใจ เมื่อมีเสียงดัง แนะนำว่าลองให้ลูกน้อยฟังเสียงที่มีโทนเสียงแตกต่างกัน เสียงที่มีความซับซ้อน หรือการพูดคุยตอบโต้ จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการฟังให้ลูกน้อยได้ค่ะ

 

ทารกพัฒนาการช้า

3. ตา

สังเกตพัฒนาการจากดวงตา เช่น ตาห่างจนผิดปกติ ตาเหล่เข้า ตาเหล่ออก ถ้ามีแสงสะท้อนจากรูม่านตาเป็นสีขาว แสดงว่ามีความผิดปกติอยู่ด้านหลังรูม่านตา อาจเป็นต้อ มีเนื้องอก หรือจอประสาทตาลอก เมื่อมองตามวัตถุแล้วตามแกว่ง ไม่จับจ้องที่วัตถุ ไม่สบตา แนะนำให้คุณแม่หาของเล่นที่มีสีสันสดใส เคลื่อนไหวได้ เล่นจ๊ะเอ๋ เล่นซ่อนของ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกการเคลื่อนไหวของดวงตา ให้มองตามวัตถุนั้นๆ ค่ะ

4. จมูก

สังเกตพัฒนาการจากจมูก เช่น ดั้งจมูกบี้ หรือเชิดมากเกินไป รวมถึงใบหน้าโดยรวม เช่น หางตาชี้ กระหม่อมแบน ลิ้นใหญ่ ซึ้งอาจเป็นอาการของดาวน์ซินโดรม ไม่ตอบสนอง หรือไม่มีปฏิกิริยาต่อกลิ่นต่างๆ เช่น ไม่นิ่วหน้า หรือจาม เมื่อได้กลิ่นฉุน ซึ่งโดยปกติเด็กทารกจะต้องเริ่มได้กลิ่นตั้งแต่อายุประมาณ 3 วัน โดยหันไปตามกลิ่นแม่ที่คุ้นเคย

5. ปาก

ปากบาง จนไม่เห็นริมฝีปาก หรือปากแหว่งเพดานโหว่ พูดไม่ชัด ติดอ่าง เสียงผิดปกติ ไม่เล่นเสียง หรือส่งเสียงอ้อแอ้ ไม่โต้ตอบคำพูดตามวัย มีพัฒนาการทางภาษาช้า เช่น 2 ขวบแล้ว ยังพูดด้วยคำที่ไม่มีความหมาย ไม่ทำตามคำสั่ง และไม่พยายามพูดกับคนอื่น

คุณพ่อ คุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการพูดของลูกน้อยได้ จากการตอบสนองเสียงอ้อแอ้ ชวนลูกพูดคุยโต้ตอบ เหมือน พูดคุยกันรู้เรื่อง หรือชวนออกเสียงด้วยคำง่ายๆ ให้ลูกน้อยได้เลียนเสียง หรือเล่นเกมเป่าฟองสบู่ เป่าลูกโป่ง หรือเป่าน้ำใน  แก้ว จะช่วยในการฝึกกล้ามเนื้อเพดานช่องคอ และการใช้ลมออกเสียง

6. ลิ้น

ลูกน้อยมีลิ้นใหญ่ ลิ้นยืดออกมา ขณะอ้าปากอ้อแอ้ น้ำลายไหลย้อย อ้าปากกว้างไม่หุบ ไม่กลืนนม ไอและสำลักอบ่อยๆ  แนะนำให้นวดกระตุ้นกล้ามเนื้อรอบริมฝีปากลูก เพื่อทำให้เกิดการดูด โดยวางนิ้วชี้กับนิ้วหัวมือลงบนคาง ใต้ริมฝีปากล่าง  แล้วลากออกเป็นเส้นตรงจนสุดขอบปากล่างทั้งสอง ประมาณ 5-10 ครั้ง

7. แขนขา และลำตัว

แขนขายาวไม่เท่ากัน ไม่สามารถควบคุมลำตัวเพื่อทรงตัวให้มีสมดุลขณะถูกอุ้ม เช่น 3 เดือนคอยังไม่แข็ง 9 เดือนแล้วยังไม่คว่ำ คลาน หรือ 1 ขวบแล้วลูกยังหยิบของเล่นไม่ได้ กำมือไม่ได้ ข้อต่อติด บิดหมุนรอบไม่ได้ หากพบความผิดปกติของลูกไมต้องรอให้ถึง 3 เดือน หรือ 1 ขวบ คุณแม่ควรพาลูกไปตรวจพัฒนาการร่างกายกับกุมารแพทย์ทันทีในช่วง 1-2 เดือนแรก เพื่อที่คุณหมอจะได้ให้วิธีในการกระตุ้นพัฒนาการด้านกล้ามเนื้ออย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นค่ะ

การสังเกตลูกน้อยตั้งแรกเกิด จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รู้ปัญหาในเบื้องต้นได้อย่างทันท่วงที และเมื่อพบว่าลูกมีพัฒนาการ ด้านร่างกายช้า แนะนำว่าควรพาลูกน้อยไปพบกุมารแพทย์ทันที เพื่อทำการคัดกรอง และประเมินพัฒนาการอย่างละเอีย ไม่ ว่าจะเป็นการตรวจทางพันธุกรรม ตรวจการมองเห็น และการได้ยิน ฯลฯ  เพื่อที่ลูกน้อยจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องในการกระตุ้นพัฒนาการอย่างถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านค่ะ

อย่างไรทีมแม่ABK ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกครอบครัวนะคะ …ด้วยความห่วงใย

อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ

40 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ ขยับแขน ขา ปล่อยพลัง อยู่บ้านก็สนุกได้ 

รวมรายชื่อ หมอพัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลชื่อดัง ที่แม่ควรเซฟเก็บไว้ 

“เสื้อผ้าเด็กทารก” เลือกยังไง ? ให้ลูกน้อยใส่สบายที่สุด 

หมอเตือน! อาการไข้หวัดใหญ่ คล้ายกับโควิด-19 ติดร่วมกันได้ทำให้ป่วยหนัก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


ขอขอบคุณข้อมูลจาก :

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ , oknation 

    โรงเรียนดัง ประกาศเรียนออนไลน์

    เรียนออนไลน์ เตรียมตัวอย่างไรได้ผลดี ลูกแฮปปี้ ไม่เครียดเกินไป

    สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่นี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนเป็นพ่อแม่ใจคอไม่ค่อยดี เป็นห่วงว่าจะดูแลลูกน้อยให้รอดปลอดภัยในช่วงนี้ได้ดีแค่ไหน และหลังปีใหม่จะเปิดเรียนได้หรือไม่ ล่าสุด มีแนวโน้มว่าลูกจะได้ เรียนออนไลน์ อีกรอบ หลังโรงเรียนดังเคลื่อนไหว ประกาศให้นักเรียนเตรียมตัวเรียนออนไลน์แล้ว

    สาธิตเกษตรฯ ประกาศ เรียนออนไลน์ ตั้งแต่ 4 มกราคม 2564 เป็นต้นไป

    วันที่ 28 ธันวาคม 2563โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ฯ ออกประกาศเรื่อง การเรียนการสอนออนไลน์ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ฉบับที่ 3 ใจความว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน อาจารย์ และบุคลากร และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา จึงขอประกาศให้มีการเรียนการสอนออนไลน์ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

    สาธิตเกษตร ประกาศเรียนออนไลน์
    สาธิตเกษตร ประกาศเรียนออนไลน์

    กรุงเทพคริสเตียน ประกาศเลื่อนเปิดเรียน-สอนออนไลน์ หนี ‘โควิด’

    วันที่ 30 ธันวาคม 2563 เฟซบุ๊กโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ออกประกาศเรื่อง เลื่อนเปิดทำการเรียนการสอนและการทำการเรียนการสอนออนไลน์ ใจความว่า ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่ยังมีความรุนแรงและมีแนวโน้มการแพร่ระบาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและขึ้นปีใหม่ยังคงมีการสัญจรไปมาระหว่างจังหวัดของประชาชนทั่วไป

    ทางโรงเรียนมีความห่วงใยต่อสุขภาพของนักเรียนเป็นสำคัญ และจำเป็นต้องรักษามาตรฐานเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดขึ้นในโรงเรียน ดังนั้น ทางโรงเรียนจึงขอประกาศเลื่อนการเปิดทำการเรียนการสอนจากกำหนดเดิม คือวันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ.2564 ออกไปเป็นเวลา 14 วัน (ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 ถึงวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2564)

    โดยโรงเรียนจะเปิดทำการเรียนการสอนอีกครั้งในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2564 และโรงเรียนจึงให้จัดการสอนเพื่อให้ครบหลักสูตร ดังนี้

    1.ระดับประถมศึกษาทุกระดับชั้น เรียนผ่านออนไลน์ ในวันจันทร์ที่ 4 ถึงวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2564

    2.ระดับมัธยมศึกษาทุกระดับชั้น เริ่มเรียนผ่านออนไลน์ ในวันอังคารที่ 5 ถึงวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2564

    กรุงเทพคริสเตียน ประกาศเรียนออนไลน์
    กรุงเทพคริสเตียน ประกาศเรียนออนไลน์

    เพื่อเตรียมความพร้อมให้ลูกน้อยสามารถ เรียนออนไลน์ ได้อย่างมีความสุข และเหมาะสมกับวัย  Amarin Baby & Kids จึงขอนำคำแนะนำดีๆจาก คุณหมอดวงรัตน์  วังเกล็ดแก้ว หรือหมอปุ๊ก เจ้าของเพจ “หมอดวงรัตน์ Doctor For Kids”  มาฝากกันค่ะ

    เรียนออนไลน์
    คุณหมอดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว กุมารแพทย์ที่ปรึกษา ศูนย์เด็กพิเศษ รพ.สมิติเวชศรีนครินทร์

    4 ข้อคิดเมื่อลูกต้อง เรียนออนไลน์ 

    ช่วงนี้ มีคุณพ่อคุณแม่ถามหมอเข้ามาเยอะเลยค่ะว่าจะช่วยให้ลูกเรียนหนังสือออนไลน์จากที่บ้านยังไงดี บรรยากาศที่บ้านก็ไม่เหมือนกับที่โรงเรียน เด็กๆมัวแต่ติดเล่นเกมทั้งออนไลน์และออฟไลน์แทนที่จะตั้งใจเรียน อยู่บ้านนานเข้า เด็กๆก็ติดสบาย นอนดึก ตื่นสาย หมอมีคำแนะนำ 4 ขัอ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ลองอ่านกันนะคะ

    ข้อแรก คุยกับลูกให้เข้าใจ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ต้องทำด้วยคำพูดสั้น ง่าย

    เช่น “ตอนนี้มีการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด ถ้าเราออกไปข้างนอก ไปอยู่รวมกับคนอื่น เราจะติดเชื้อได้ เราเลยอยู่บ้านตามคำแนะนำของหมอ แต่นี่ไม่ใช่วันหยุดพักผ่อนนะลูก พ่อแม่ก็ยังต้องทำงาน และลูกยังต้องเรียนหนังสือตามปกติ เพียงแต่พวกเราจะทำสิ่งเหล่านี้จากที่บ้านกันจ้ะ”

    ข้อสอง จัดสถานที่ และจัดอุปกรณ์การ เรียนออนไลน์ ในบ้านให้ลูก

    หามุมที่เหมาะสมในการเรียนออนไลน์ให้ลูก มีบรรยากาศที่สงบ ไม่มีสิ่งเร้ามารบกวนให้วอกแวกออกนอกบทเรียน พร้อมกับจัดหาอุปกรณ์ที่รองรับการเรียนออนไลน์ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ต มือถือ จัดหาโต๊ะ เก้าอี้ที่มีขนาดเหมาะสมกับขนาดร่างกายลูก ลองให้ลูกทดลองนั่งเรียนแล้วก็ช่วยปรับให้เหมาะสมตามการใช้งาน

    เรียนออนไลน์

    ข้อสาม จัดทำตารางเวลาประจำวันของลูกและของพ่อแม่ไปพร้อมๆกัน

    1.พูดคุยบอกลูกให้เข้าใจและยอมรับว่าจะทำตามตารางนี้ และติดตารางเวลาตรงบริเวณที่เด็กเห็นได้ง่าย เพราะนี่เป็นการช่วยจัดระเบียบเวลาและจัดลำดับความสำคัญทั้งการเรียนและกิจวัตรประจำวันให้ลูก เด็กจะได้ไม่หลงลืมว่าเวลาไหน ควรทำอะไร

    2.จัดเวลาของคุณพ่อคุณแม่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่างๆของลูกด้วย

    หากลูกโตพอที่จะเรียนออนไลน์ได้เอง คุณพ่อคุณแม่อาจจัดเวลาทำงานให้ตรงกับเวลาเรียนของลูก เพื่อมีเวลาว่างตรงกันในการทำสิ่งต่างๆ เช่น การทานอาหาร การทำงานบ้าน การนั่งเล่นพูดคุย ร่วมกันได้

    แต่หากลูกยังเล็กและต้องการการช่วยเหลือในการ เรียนออนไลน์ พ่อแม่ควรจัดเวลามานั่งประกบการเรียนของลูกด้วย ส่วนนี้พ่อแม่สามารถพิจารณาตามความเหมาะสมตามวัยและลักษณะการเรียนรู้ของลูก
    ซึ่งเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พ่อแม่เป็นคนที่รู้จักธรรมชาติวิธีการเรียนรู้ของลูกดีที่สุด สามารถปรับไปตามความจำเป็นของลูกได้

    ทั้งนี้ “อย่าเคร่งครัดให้ลูกนั่งเรียนหนังสือออนไลน์อย่างเดียว สมองจะเหนื่อยล้ามากเกินไป” ควรมองหากิจกรรมเพลิดเพลินอื่นๆให้ทำด้วย โดยเฉพาะการออกกำลังกายในบ้าน จะช่วยให้การอยู่บ้านไม่น่าเบื่อและมีร่างกายแข็งแรง

    เรียนออนไลน์

    ข้อสี่ ดูแลติดตามให้ลูกเรียนออนไลน์ไปได้อย่างที่ควรจะเป็น

    1.ในแต่ละวัน หาเวลาช่วงเย็นประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง เพื่อเช็คดูว่าลูกทำงานส่งครูได้ตามกำหนดหรือไม่ ตามทันสิ่งที่ครูสอนดหรือเปล่า หรือมีปัญหาติดขัดอะไรที่ต้องการให้ช่วยหรือไม่

    ระลึกไว้เสมอว่า“ช่วงเวลานี้ไม่ควรเป็นเวลาที่จะมาจับผิดลูก แต่ควรเป็นเวลาที่เราจะรับฟัง” ให้คำแนะนำ รวมถึงพูดชมเชยในความตั้งใจเรียนของลูก

    2.ลองจินตนาการว่าถ้าเรามีหัวหน้างาน แล้วได้รับมอบหมายจากหัวหน้าให้ไปศึกษาและทำงานชิ้นหนึ่งให้เสร็จภายในหนึ่งสัปดาห์ และทุกเย็นจะเป็นช่วงเวลาที่หัวหน้าจะมาติดตามงาน เราในฐานะลูกน้องต้องการให้หัวหน้าปฏิบัติต่อเราในช่วงติดตามงานนี้อย่างไรบ้าง

    ถ้าถามหมอ

    หมอก็อยากให้หัวหน้ารับฟัง รวมถึงพูดชมเชยอย่างจริงใจหากหมอทำงานได้ตามกำหนด แต่หากเรามีปัญหาติดขัดบางอย่าง ก็ต้องการให้หัวหน้าเข้าใจ มีพูดให้กำลังใจบ้าง เราก็จะสบายใจ มีแรงทำงานต่อ ความรู้สึกของเด็กก็ไม่ต่างกันนะคะ

    ในครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกก็มีส่วนคล้ายกับความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง คล้ายตรงที่ “หัวหน้า/พ่อแม่ – มีอำนาจเหนือกว่า”   “ลูกน้อง/ลูก – มีอำนาจน้อยกว่า” ในการเรียนหรือการทำงานต่างๆตามที่พ่อแม่บอก ลูกก็ย่อมต้องการกำลังใจ คำชี้แนะ คำชมเชย การยอมรับคุณค่าในตัวลูกอย่างจริงใจจากพ่อแม่

    เรียนออนไลน์

    ตาราง เรียนออนไลน์ และกิจวัตรประจำวันสำหรับเด็ก

    นอกจากนี้ คุณหมอปุ๊กหมอยังมีตัวอย่าง #ตารางเวลาในการเรียนและการทำกิจวัตรประจำวัน มาฝากให้คุณพ่อคุณแม่ลองนำไปปรับใช้กับลูกๆที่บ้านช่วงต้องเรียนออนไลน์กันนะคะ

    8.00-9.00 น. ตื่นนอน อาบน้ำ แต่งตัว กินอาหารเช้า

    9.00-10.00 น ช่วยกันทำงานบ้าน เก็บล้างจาน ซักเสื้อผ้าฯลฯ

    10.00-12.00 น เวลาเรียนหนังสือออนไลน์

    12.00-13.30 น กินอาหารกลางวัน ช่วยเก็บล้างจาน พักผ่อนอิสระ

    13.30-15.30 น เรียนหนังสืออนไลน์

    15.30-17.00 น ทำงานบ้านหรือกิจกรรมอื่นๆตามความสนใจ เช่น ทำความสะอาดบ้าน เก็บผ้า ออกกำลังกาย เล่นกีฬาที่ชอบ อ่านหนังสือ วาดรูป เล่นของเล่น เล่นดนตรี ฟังเพลง ทำขนม ปลูกต้นไม้ คุยเล่นกับเพื่อน ฯลฯ

    17.00-18.00 น พ่อแม่ติดตามดูความก้าวหน้าในการเรียน ช่วยลูกทบทวนบทเรียนออนไลน์

    18.00-19.00 น กินอาหารเย็น ช่วยกันเก็บล้าง

    19.00-20.00 น อาบน้ำ

    20.00-22.00 กิจกรรมผ่อนคลายอิสระและเตรียมตัวเข้านอน

    ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวอย่างของตารางกิจกรรมในหนึ่งวัน คุณพ่อคุณแม่เอาไปปรับใช้ตามความเหมาะสมนะคะ สิ่งสำคัญคือ ทำใจให้สบาย ไม่ต้องเคร่งเครียดกับการทำให้ถูกต้องหรือมองหาความสมบูรณ์แบบมากนักนะคะ เราควรมีความยืดหยุ่น รู้จักปรับตัวไปในสถานการณ์แบบนี้

    ด้วยความปรารถนาดีจาก
    #หมอดวงรัตน์DoctorForKids

    เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับคำแนะนำดีๆจากคุณหมอ เชื่อว่าคงช่วยคลายความกังวล และพอจะเป็นไกด์ให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่ และลูกน้อยสามารถเตรียมความพร้อม และปรับตัวให้เข้ากับ “วิธีการเรียนแบบใหม่” ได้อย่างเหมาะสม และมีความสุขกันทั้งครอบครัว

    เรียนออนไลน์
    เรียนออนไลน์

    บทความน่าสนใจอื่นๆ 

    ลูกไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ เพราะ พ่อแม่พูดแบบนี้

    ปรับนโยบายการศึกษา ช่วงโควิด 19

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      พ่อแม่รังแกฉัน

      พ่อแม่รังแกลูก ไม่รู้ตัว “บาป 14 ประการ” ข้อคิดเตือนใจจากท่านว. วชิรเมธี

      พ่อแม่รังแกลูก ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นแต่บางครั้งความรัก ความปรารถนาดีอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดี ไม่ลำบาก อย่างที่พ่อแม่วาดฝันไว้อาจสร้างรอยแผลใหญ่ติดตัวลูกไปตลอดชีวิตโดยไม่ตั้งใจ การเลี้ยงลูกไม่ใช่หาอาหารกิน ให้เงินใช้ หรือส่งไปเรียนโรงเรียนดีๆเท่านั้น แต่ต้องอาศัยศิลปะในการเลี้ยงลูกที่เหมาะกับเด็กแต่ละคนด้วย

      เพราะรักจนล้นจนกลายเป็น พ่อแม่รังแกลูก โดยไม่รู้ตัว

      พ่อแม่รังแกลูก

       

      เพราะเด็กทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน แม้จะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ก็มีจิตใจอารมณ์ไม่เหมือนกัน พ่อแม่จึงต้องใช้วิธีดูแลไม่เหมือนกัน ไม่ว่าลูกจะเป็นคนแบบไหน สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือการมอบความรักและไว้วางใจได้ให้กับลูก การพูดคุยสื่อสารที่ดีต่อกัน รู้จักควบคุมตัวเองให้ได้ สร้างวินัยร่วมกันให้ทุกคนในครอบครัว และต้องยอมรับความถนัดของลูก

      แม้พ่อแม่จะเป็นรักแรกของลูก แต่ถ้ารักลูกไม่ถูกทาง ก็กลายเป็น พ่อแม่รังแกลูก โดยไม่รู้ตัว   Amarin Baby & Kids ขอยกข้อคิดเกี่ยวกับ “บาป 14 ประการ” จากพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ท่านว.วชิรเมธี) เพื่อเตือนสติพ่อแม่ถึงสิ่งที่อาจกระทำต่อลูก ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ อาจเป็นต้นเหตุให้ชีวิตของลูกดำเนินไปอย่างไม่ถูกไม่ควร สำรวจตัวเองดูคุณเผลอทำแบบนี้อยู่หรือเปล่า..

      พ่อแม่บางคน (๑)

      ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลคือเกิด “ภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง” ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา

      พ่อแม่รังแกลูก

      พ่อแม่บางคน (๒)

      ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลคือ “พ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก” ส่วนลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่

      พ่อแม่บางคน (๓)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ “ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น” มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว

      พ่อแม่บางคน (๔)

      ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลคือ “ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน” ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ

      พ่อแม่รังแกลูก

      พ่อแม่บางคน (๕)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลคือเมื่อโตขึ้น“ลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้” ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว

      พ่อแม่บางคน (๖)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลคือ“ลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย” ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้างปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก

      พ่อแม่รังแกลูก

      พ่อแม่บางคน (๗)

      ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลคือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และ “ลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น” ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใคร

      พ่อแม่บางคน (๘)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลคือ “ลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ” ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น

      พ่อแม่รังแกลูก
      พ่อแม่รังแกลูก

      พ่อแม่บางคน (๙)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลคือ เมื่อโตขึ้น “ลูกจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด” ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร

      พ่อแม่บางคน (๑๐)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้น “เขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ” คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง”กลับถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า”

      พ่อแม่บางคน (๑๑)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลคือ “ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง” ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี

      พ่อแม่รังแกลูก

      พ่อแม่บางคน (๑๒)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลคือ “เขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ” ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์

      พ่อแม่บางคน (๑๓)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลคือ “รอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร” (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต

      พ่อแม่บางคน (๑๔)

      ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลคือ “เขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน” ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน

      หากอ่านดูแล้ว คุณพ่อคุณแม่พบว่ากำลังทำ 1 ในบาป 14 ข้อหรือเผลอทำไปหลายข้อ จะได้หยุดกระทำบาปนั้นได้ทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินไป ถึงอย่างไรก็พ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดา ทำผิดทำพลาดเผลอเป็น พ่อแม่รังแกลูก โดยไม่ตั้งใจ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็น “พ่อแม่ที่ไม่ดี” เพราะเมื่อรู้ตัวแล้วรีบปรับปรุงตัวเอง แล้วอบรมเลี้ยงดูลูกในทางที่เหมาะสมแล้ว คุณก็ยังเป็นแสงเทียนที่ส่องสว่างให้ลูกไปสู่เส้นทางชีวิตที่ดีได้เสมอ

       

      บทความน่าสนใจอื่นๆ 

      7 วิธีระงับความโกรธ ก่อนเผลอตีลูกด้วยอารมณ์

      ฮิคิโคโมริ โรคอันตรายของเด็กที่อยู่แต่ในห้อง


      ขอบคุณแหล่งข้อมูลและภาพจาก  https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        เสื้อผ้าเด็กทารก

        “เสื้อผ้าเด็กทารก” เลือกยังไง ? ให้ลูกน้อยใส่สบายที่สุด

        ผิวลูกวัยทารกบอบบาง อ่อนโยนสุดๆ สัมผัสโดนเข้ากับอะไรนิดหน่อยก็ระคายเคือง เกิดผดผื่นแดงคัน คุณพ่อคุณแม่ มือใหม่ต้องใส่ใจให้ความสำคัญกับผิวลูกน้อยมากเป็นพิเศษนะคะ ไม่ว่าจะอุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ หรือ เสื้อผ้าเด็กทารก ชุดเด็กต่างๆ แนะนำว่าควรต้องเลือกกันอย่างพิถีพิถัน ทุกรายละเอียด จะต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก

        เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกรักค่ะ โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้และจะต้องผลัดเปลี่ยนไปตามช่วงวัยพัฒนาการของลูกก็คือ เสื้อผ้า เมื่อลูกสวมใส่แล้ว จะต้องสบายตัวที่สุด ดีที่สุดสำหรับผิวของลูกน้อย แล้วคุณแม่รู้ไหมคะว่าการเลือก “เสื้อผ้าเด็กทารก” จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องใดบ้าง และนี่คือคุณสมบัติเบื้องต้นที่เสื้อผ้าเด็กควรต้องมีค่ะ

         

        เสื้อผ้าเด็กทารก ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ?

        เสื้อผ้าเด็กทารก
        ขอบคุณภาพจาก : เพจเจ้าตัวเล็ก

        1. เนื้อผ้าคุณภาพดี ไม่ระคายเคืองผิว ให้ความสบายขณะสวมใส่ เนื้อผ้าต้องไม่ระคายเคือง  อ่อนโยนต่อผิวบอบบางของลูก ทำจากเนื้อผ้ามีความโปร่ง และระบายอากาศได้ดี

         “เสื้อผ้าเด็กทารก” เลือกยังไง ? ให้ลูกน้อยใส่สบายที่สุด

        2. สวมใส่ง่าย ควรเป็นชุดที่มีเชือกผูกด้านหน้า แทนการสวมใส่ทางศีรษะ เนื่องจากลูกวัยนี้ช่วงตั้งแต่ลำคอลงไปยังไม่แข็งแรงที่จะทรงตัวได้เอง และเมื่อลูกวัย 6 เดือนขึ้นถึงเหมาะกับชุดเสื้อผ้าที่สวมทางศีรษะ หรือชุดหมี(ทั้งชุดแขน-ขา สั้น และ ชุดแขน-ขา ยาว)

        UNIQLO BABY
        ขอบคุณภาพจาก : เพจ 2Madames.com เที่ยวและไลฟ์สไตล์แบบครอบครัว 

        3. ซ่อนตะเข็บ ไม่ให้เสียดสีกับผิวหนัง ตัดเย็บแบบไม่มีตะเข็บด้านใน และป้ายสินค้าต้องอยู่ด้านนอก เพราะผิวลูกที่เสียดสี สามารถทำให้ผิวระคายเคืองขึ้นได้

        4. กระดุมที่ใช้ทำจากพลาสติก ให้ความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการแพ้กับผิวหนัง เป็นแบบติดแป๊กสีเหลือง ช่วยป้องกันไม่ให้ติดกระดุมผิดด้าน

        เสื้อผ้าเด็กทารก ยูนิโคล่
        ขอบคุณภาพจาก : เพจ 2Madames.com เที่ยวและไลฟ์สไตล์แบบครอบครัว 

        5. ขอบยางเอวยืด ปรับขนาดได้ สำหรับเด็กที่เริ่มโต เริ่มคลาน ควรให้ใส่เลกกิ้ง ที่สามารถใส่เป็นกางเกง มีหลากลายสี และมีความยืดหยุ่น เหมาะกับเด็กวัยนี้ เค้าจะได้เคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก

        6. ต้องหาซื้อได้ง่าย เนื้อผ้ามีคุณภาพดี และราคาที่เหมาะสม

         

        ยูนิโคล่
        ขอบคุณภาพจาก : เพจ 2Madames.com เที่ยวและไลฟ์สไตล์แบบครอบครัว 

         

        ชุดเด็ก ยูนิโคล่
        ขอบคุณภาพจาก : เพจเจ้าตัวเล็ก

        หลังจากได้ลองเลือกซื้อชุดเด็กของยูนิโคล่ ขอบอกเลยว่าไม่ผิดหวังค่ะ และก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณแม่ส่วนใหญ่ เขาถึงแนะนำกันมาปากต่อปากว่าดี  เพราะ UNIQLO Baby เขาออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ ได้ใส่เสื้อผ้าที่สบาย คุณภาพดี ใส่ใจทุกรายละเอียดที่แม่ต้องการ

        คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหา และต้องการชุดเสื้อผ้าเด็กดีๆ ให้ลูกรักได้สวมใส่ ไปหาซื้อกันได้ ช้อปออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง คลิกที่นี่   https://bit.ly/2VJdfJG

        แล้วคุณจะหลงรัก UNIQLO BABY เหมือนกับคุณแม่อีกหลายๆ คนค่ะ

        เสื้อผ้าเด็กทารก” เลือกยังไง ?
        ขอบคุณภาพจาก : เพจเจ้าตัวเล็ก  ,  ขอบคุณภาพจาก : เพจ 2Madames.com เที่ยวและไลฟ์สไตล์แบบครอบครัว 

        #UniqloBaby #ชุดเก่งของหนู #CrewNeckbodysuit #BabyLegging #UniqloThailand

          ลูกกินข้าวเอง

          5 เทคนิคฝึก ลูกกินข้าวเอง ก่อน 2 ขวบ ไม่ต้องตามป้่อนไปจนโต

          ลูกกินข้าวเอง เป็นสุดยอดปรารถนาของคุณแม่ทุกคน เพราะปัญหาพฤติกรรมการกิน ไม่ว่าจะกินน้อย กินซ้ำ ไม่ยอมกินกลายเป็นหนังชีวิตเคล้าน้ำตาของหลายบ้าน กว่าจะกินเสร็จในแต่ละมื้อ ต้องคิดหาวิธีหลอกล่อสารพัด  ทั้งของเล่น คำชม และสุดท้ายอาจต้องพึ่งหน้าจอ ซึ่งกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้น

          ไม่อยากป้อนข้าวลูกไปจนโต ต้องฝึกแบบไหนให้ ลูกกินข้าวเอง!!

          ต้นเหตุของเรื่องนี้เป็นเพราะลูกไม่เคยฝึกให้ควบคุบตัวเอง นอกจากจะทำให้พ่อแม่ต้องเหนื่อยกับการตามป้อนข้าว 3 มื้อทุกวันแล้ว ลูกน้อยเองก็รู้สึกเครียดเช่นกันที่ต้องถูกบังคับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านต่างๆ และทักษะ EF ด้วย ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากต้องตามป้อนข้าวลูกไปจนโต ก็จำเป็นต้องฝึกลูกให้กินข้าวเองได้ตั้งแต่ก่อน 2 ขวบ

          ลูกกินข้าวเอง

          ฝึก ลูกกินข้าวเอง ตั้งแต่ยังเล็กดีอย่างไร

          สมัยก่อนผู้ใหญ่คิดว่าไม่ต้องรีบให้เด็กเล็กกินข้าวเอง เพราะกลัวหกเลอะเทอะ เสียเวลา และที่สำคัญคือกลัวลูกกินได้ไม่เยอะเท่ากับการป้อน กลัวว่าลูกจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ แต่ข้อมูลทางจากแพทย์ด้านจิตวิทยาและพัฒนาการระบุชัดเจนว่าการที่ ลูกกินข้าวเองได้ ช่วยพัฒนาทักษะรอบด้านทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังต่อไปนี้

          การกินเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดในการฝึกลูกให้รู้จักการควบคุมตัวเอง (Self-Control)

          ซึ่งนำไปสู่การมี EF ที่ดี เด็กรู้จักความรู้สึกตัวเอง ตอนไหนหิวต้องทำอย่างไร อิ่มแล้วต้องทำอย่างไร รู้จักการควบคุมตัวเอง ให้พยายามกินจนอิ่ม กินตรงเวลา ต่างจากการป้อนที่พ่อแม่เป็นผู้ควบคุม เด็กแค่อ้าปากรับอาหารเข้าไปเท่านั้น เขาจะไม่รู้สึกว่า การกินเป็นเรื่องที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ แต่เป็นหน้าที่ที่พ่อแม่ต้องทำให้” เวลาไหนที่ลูกไม่ต้องการ ไม่อยากกินก็จะไม่ยอมกิน”

          ส่งเสริมพัฒนาการประสาทสัมผัส และกล้ามเนื้อมัดเล็ก

          สำหรับเด็กเล็กที่ต้องเปลี่ยนจากการใช้ปากดูด มาเป็นการหยิบอาหารเข้าปาก ซึ่งต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งสายตา มือ และปากให้สอดคล้องกัน พยายามใช้นิ้วมือเล็กๆ หยิบอาหารทีละชิ้นจากจาน ยกสูงขึ้นมาที่ปาก ถือเป็นเรื่องยากมาก

          ลูกกินข้าวเอง

          ฉะนั้นอย่าแปลกใจว่าทำไม ลูกจึงหยิบอาหารแล้วหล่นก่อนเข้าปาก กำจนเละ เอาช้อนไปจิ้มปากหรือจมูก พัฒนาการแบบนี้มีส่วนช่วยฝึกกล้ามเนื้อมือให้แข็งแรง นำไปสู่การจับดินสอขีดเขียนเมื่อเข้าสู่วัยเรียน และเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก หากบทเรียนนี้ต้องหายไปเพราะการป้อนข้าว

           เมื่อ ลูกกินข้าวเอง ได้บรรยากาศในครอบครัวก็ดีขึ้น

          ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารกลายเป็นเวลาแห่งความสุข ลูกจะได้มองหน้าพ่อแม่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดคุยกัน ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าว ลูกจะอยากมานั่งโต๊ะโดยไม่อิดออด จะเติบโตเป็นเด็กมีวินัย ไม่ต้องเสียเวลากินข้าวเป็นชั่วโมงๆ จนไปกระทบกับกิจวัตรอื่นๆทั้งอาบน้ำช้า เข้านอนดึก ไปโรงเรียนสาย กระทบเป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆและติดนิสัยไปจนโต

           

          ลูกกินข้าวเอง

          ทำไมต้องให้ลูกกินข้าวเองเป็นก่อน 2 ขวบ

          ตั้งแต่วัยเริ่มอาหารเสริมช่วง 6 เดือน เด็กจะให้ความสนใจกับอาหารมากขึ้น อยากชิม อยากลองรสชาติใหม่ๆ จึงเป็นจังหวะที่ดีให้ลูกฝึกกินอาหารด้วยตัวเอง โดยลองได้ทั้งอาหารบด หรืออาหาร finger food อาหารหลักของเด็กวัยนี้ยังเป็น “นม” ถ้าลูกจะกินหกหรือกินน้อย คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องกังวล ระยะเวลาตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 2 ขวบ ลูกมีเวลามากพอเพื่อฝึกฝนทักษะการกินไปตามพัฒนาการโดยไม่ต้องเร่งรีบ เมื่ออายุ 2 ขวบแล้วกล้ามเนื้อมือจะแข็งแรงพอใช้ช้อนส้อมตักข้าวกิน ดื่มน้ำจากแก้วได้เอง ช่วงเวลากินข้าวก็กลายเป็นความสุขของทั้งครอบครัว

           5 เทคนิคฝึก ลูกกินข้าวเอง

          เริ่มตั้งแต่มื้อแรก

          เมื่อลูกเริ่มอาหารมื้อแรก คุณแม่สามารถเริ่มฝึกให้ลูกกินกินข้าวเองได้ทันที โดยให้ลูกนั่งบนเก้าอี้กินอาหารสำหรับเด็กหรือไฮแชร์ (highchair) และควรให้นั่งทุกมื้ออาหารเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ลูกเข้าใจว่า ถึงเวลากินข้าวแล้ว

          สร้างบรรยากาศให้รู้ว่าถึงเวลาอาหาร

          เวลากินข้าวควรเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของทุกคนในครอบครัว แม้แต่เจ้าตัวเล็ก ควรรู้สึกสบายและเอ็นจอยส์ที่จะได้กินข้าวอร่อยๆฝีมือคุณแม่ ดังนั้นไม่ว่าลูกจะกินช้า กินเละ ก็ไม่ควรดุว่า กดดัน หลอกล่อด้วยของเล่น หรือให้ดูมือถือตอนกินข้าว เพื่อให้ลูกเข้าใจว่าบนโต๊ะอาหารคือที่ที่ทุกคนจะกินอาหารด้วยกัน และเราจะนั่งกินกันจนเรียบร้อยจึงลุกจากโต๊ะ

          MUST READ : ฝึกลูกกินข้าวเอง ช่วยพัฒนาการอะไรบ้าง?

          MUST READ :แชร์ประสบการณ์แม่น้องอิงฟ้า หนูน้อย BLW ฝึกลูกกินเอง ตั้งแต่ 6 เดือน!

          พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดี

          ถ้าอยากให้ ลูกกินข้าวเอง ได้ก่อน 2 ขวบ ทุกคนให้บ้านต้องทำเป็นตัวอย่างให้ทำตาม พอแม่ตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวอย่างมีความสุข จากนั้นลองให้ลูกหยิบจับช้อนและชามของตัวเอง อาจเตรียมไว้ 2 ชุด ชุดหนึ่งให้ลูกตักกินเอง อีกชุดไว้สำหรับช่วยป้อนในระยะแรก สมองของลูกจะเชื่อมโยงช้อนกับการกินได้เองในที่สุด หากลูกใช้ช้อนจุ่มลงไปในจานอาหาร ใช้โอกาสนี้ช่วยจับมือลูกตักอาหารเข้าปาก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนลูกเริ่มตักเข้าปากเองได้

          ให้โอกาสลูกเสมอ

          ถ้าลูกยังใม่อยากตักข้าวเข้าปาก หยิบช้อนยังไม่ได้ หรือเอาแต่ขยำอาหารเล่นอย่างเดียว คุณแม่คงต้องช่วยเตือนความจำให้ด้วยการจับมือลูกตักอาหารใส่ปากไปก่อน และต้องไม่ลืมว่าการเล่นเลอะเทอะ คือกระบวนการของการฝึกกินอาหารด้วยตัวเอง

          ลูกกินข้าวเอง

          มีกติกาที่ชัดเจน

          ถ้าลูกอายุราว 15 เดือน และกินข้าวเองได้แล้ว คุณแม่สามารถกำหนดเวลากินให้อยู่ที่ 30 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่มากพอสำหรับการกิน 1 มื้อ หากลูกยังกินไม่หมด ให้เก็บอาหารทันทีด้วยท่าทีอ่อนโยน ไม่แสดงอารมณ์โมโห แล้วค่อยเสิร์ฟอาหารให้ลูกในมื้อถัดไป ระหว่างมื้อต้องไม่มีนม ขนมหรือผลไม้ให้กิน โดยไม่ต้องกลัวว่าลูกจะหิวหรือขาดสารอาหาร เพราะเมื่อถึงมื้อต่อไปลูกจะกินเองและเรียนรู้ว่าเมื่ออาหารมาต้องกิน ทั้งนี้ต้องทำด้วยความละมุนละม่อมและไม่เคร่งเครียดเกินไป

          เปิดโอกาสให้เป็นคนตัดสินใจ

          หากลูกกินข้าวและบอกว่าอิ่มแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคะยั้นคะยอให้ลูกกินเพิ่ม เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อตัวเอง ถ้าบอกว่าอิ่มเพื่อจะรีบไปเล่น แล้วเกิดหิวขึ้นมาก่อนมื้อถัดไป ลูกจะต้องอดทนพร้อมกับเรียนรู้ว่าต้องกินให้อิ่มจริงๆ สิ่งนี้จะปลูกฝังความซื่อสัตย์ลูกและมอบพื้นที่ส่วนตัวไปในตัว ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะติดตัวไปเมื่อลูกโตขึ้นด้วย

          จริงๆแล้ว การฝึกลูกให้กินข้าวเองนั้นอาจไม่ยาก แต่ตัวแปรที่ทำให้หลายบ้านทำไม่สำเร็จอยู่ที่ตัวคุณแม่เอง ว่าจะอดทนกับความเลอะเทอะซึ่งต้องทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ แต่รับรองว่าการทำความสะอาดบ้านในตอนนี้ เหนื่อยน้อยกว่าการตามป้อนในอีกหลายปีแน่นอน

          บทความน่าสนใจอื่นๆ 

          7 วิธีแก้ปัญหา ลูกไม่กินข้าว และป้อนอาหารลูกเล็กอย่างไรให้ปลอดภัย ?

          แจก! 20 เมนูอาหารBLW สำหรับลูกวัย 6 เดือนขึ้นไป

          5 เทคนิค หัดลูกกินข้าวเอง สำเร็จได้ก่อน 1 ขวบ


          แหล่งข้อมูล 

          www.yourkidstable.com, www.educatall.com, นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            วิธีคุยกับลูก

            6 วิธีคุยกับลูก ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน (เริ่ม 6 ขวบ+)

            แนะ! วิธีคุยกับลูก รับมือลูกวัยกำลังโต อารมณ์แปรปรวน ขี้หงุดหงิดง่าย พ่อแม่ต้องเริ่มตรงไหน คุยยังไง เพื่อให้ลูกสงบลง ไม่เกิดเหตุบานปลาย ตามมาดูกันเลย…

            วิธีคุยกับลูก ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน
            เริ่มได้ตั้งแต่ 6
            ขวบขึ้นไป

            หนังก็น่าเบื่อ! โรงเรียนก็แสนเอียน แถมอาหารที่แม่ทำยัง “น่าแหวะ” อีก .. นี่ลูกวัยทวีนกลายเป็นน้องเตาะแตะที่เอาแต่ร้องว่า “ไม่!” อีกรอบหรือเปล่านะ?

            เมื่อลูกเข้าสู่ช่วงวัยกำลังโต อาจมีอาการเหวี่ยง ขี้วีน หรือ ลูกอารมณ์หงุดหงิดง่าย สำหรับเรื่องนี้ ดร.เด็บบี้ กลาสเซอร์ นักจิตวิทยาคลินิก ในริชมอนต์ เวอร์จิเนีย อธิบายว่า… การเปลี่ยนผ่านของช่วงวัยมีผลกับพฤติกรรม ตอนอายุ 2 ขวบ พ่อหนูแม่หนูยืนคร่อมอยู่ระหว่างความเป็นทารกกับเด็กเล็ก และตอนนี้พวกแกก็กำลังเกาะติดอยู่กับนิสัยแบบเด็กๆ ขณะที่มืออีกข้างก็ไขว่คว้าหาความเป็นวัยรุ่น จึงไม่แปลกที่ลูกทั้งสองวัยจะค้นหาอิสระ ซึ่งเด็กวัยเตาะแตะจะร้องว่า “ไม่” กับทุกสิ่งที่คุณบอกให้แกทำ ส่วนลูกวัยทวีนก็คอยต่อต้านปฏิเสธคำแนะนำ แถมยังตั้งแง่วิจารณ์พ่อแม่เสียอีก

            ซึ่งก็มีการศึกษาจากเนเธอร์แลนด์พบว่า ขณะที่เด็กเล็กตอบสนองต่อปฏิกิริยาแง่บวก เช่น คำชม ส่วนเด็กก่อนวัยรุ่นกลับตอบสนองต่อแรงกระตุ้น เช่น คำเตือนเรื่องความรับผิดชอบ มากกว่า นั่นเป็นเพราะ “สมองของเด็กโตพัฒนากระบวนการทางความคิดมากขึ้น”

            โดยลูกวัยกำลังโตจะเริ่มรู้จักปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตัวไปเรื่อยๆ และมองหาตัวเลือกในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ มากกว่าจะยึดมั่นอยู่ในเส้นทางเดิมเหมือนตอนเล็กๆ เมื่อความคิดของลูกวัยกำลังโตเปลี่ยนไป วิธีการสอนของคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเปลี่ยนไปด้วย

            ซึ่งความจริงแล้วอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้เป็นธรรมชาติของเด็กก่อนวัยรุ่น พอเริ่มโตเด็กๆ ก็จะค่อยๆ ดึงความสนใจออกมาจากเรื่องของตัวเองแล้วเหลียวมองรอบด้าน พวกเขาเริ่มเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น โดยเฉพาะเพื่อนวัยเดียวกัน และมองเห็นความแตกต่าง

            วิธีคุยกับลูก

            ผลที่ตามมาก็คือ… เสียงคร่ำครวญ “หนูเรียนเลขไม่เก่งเหมือนเพื่อนๆ เลย…ทำไมหนูตอบคำถามไม่ได้อยู่คนเดียว” หรืออาการหมดหวัง “โธ่เอ๊ย ซ้อมตั้งเยอะ ผมยังเตะบอลสู้คนอื่นไม่ได้เลย!” ซึ่งจะปรากฏให้เห็นสลับกับอาการลิงโลดในยามที่ความมั่นใจในตัวเองถูกเรียกกลับคืนมา (อย่างเช่น ตอนที่ได้คะแนนวิชาศิลปะเต็ม 10) และบางครั้งการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนวัยรุ่นก็อาจเป็นสาเหตุหลักของอาการหดหู่ได้เช่นกัน

            ซึ่งอารมณ์แปรปรวนเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป (ยกเว้นถ้าลูกหดหู่จนไม่อยากอาหารหรือนอนไม่หลับ? แบบนั่นคงต้องมานั่งหาทางแก้ไขอย่างจริงจังแล้ว) สำหรับ วิธีคุยกับลูก และรับมือกับอาการแปรปรวนเพื่อให้ลูกของคุณไม่ทรุดหนัก มีดังนี้

             

            1. เปิดอกคุยกับลูก

            พอลูกบอกว่า “หนูเกลียดไอ้นี่” แทนที่จะบอกว่า “กินๆ ไปเถอะน่า!” ก็ให้ถามว่า “ทำไมหนูถึงไม่ชอบล่ะ” เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความมีตัวตนอย่างสร้างสรรค์ และแสดงให้ลูกเห็นว่า คุณใส่ใจกับสิ่งที่ลูกคิด

            1. หาผู้รับฟังลูก

            ถ้าลูกรู้สึกหงุดหงิดหรือสับสน แต่ปฏิเสธที่จะคุยกัน ลองแนะนำให้ลูกโทร.หาเพื่อนหรือน้าสาวที่สนิทด้วยเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้ระบายความอัดอั้นและใจเย็นลงพอที่จะค้นหาว่า อะไรกันแน่ที่กำลัง “รบกวน” จิตใจอยู่ (จริงๆ แล้วปัญหานั้นอาจไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ลูกบ่นหรือหงุดหงิดด้วยซ้ำ)

            1. ยอมรับความคิดเห็นของลูก

            บางครั้งเสื้อตัวนี้อาจจะ “เด็กเกินไป” หรือเห็ดในผัดผักอาจจะทำให้ลูก “คลื่นไส้” จริงๆ ปล่อยให้ลูกมีสิทธิ์เลือกบ้าง แล้วลูกอาจจะบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้กับคุณน้อยลง

            1. หาสาเหตุ

            ถ้าหากว่าผ่านไปเป็นวันๆ แล้วลูกยังไม่เลิกหดหู่เสียที คงต้องลองแอบสอบถามกับครูหรือเพื่อนๆ ของลูกว่ามีใครเห็นอะไรผิดปกติบ้างไหม

            1. อย่าเซ้าซี้เรื่องรายละเอียด

            ถ้าลูกกลับจากโรงเรียนแล้วไม่ยอมพูดยอมจา แถมทำหน้างอ ก็อย่าเพิ่งไปเซ้าซี้ถามว่าเป็นอะไรเพราะคำถามซ้ำๆ จี้แผลใจมีแต่จะทำให้ลูกยิ่งรู้สึกแย่ (เช่นคำถามของคุณทำให้เขาย้อนนึกภาพตอนที่ยืนอึ้งแก้โจทย์เลขบนกระดานไม่ได้) ดังนั้นคำแนะนำคือ ลองเสนอตัวเข้าไปช่วยแบบไม่กดดันดูสิ เช่น แม่รู้ว่าวันนี้หนูคงเจอเรื่องไม่สบายใจมา เอาเป็นว่า ถ้าอยากเล่าให้แม่ฟังก็เล่าตอนดูโทรทัศน์ได้นะลูก

            1. ชมตามความเป็นจริง

            พ่อแม่บางคนมักเรียกความมั่นใจของลูกกลับคืนมาด้วยการชมว่าลูกเก่งทุกอย่าง แต่เด็กวัยทวีนส่วนใหญ่ฉลาดเกินกว่าจะหลงเชื่อเสียแล้ว วิธีการที่ถูกต้องคือ สอนให้ลูกยอมรับความจริงตรงหน้าและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ พึงระลึกว่าความจริงไม่ได้โหดร้ายเสมอไป แม้ลูกจะไม่เก่งในทักษะหนึ่ง เขาก็อาจเป็นเลิศในทักษะอีกด้านก็ได้

            สุดท้ายนอกจาก วิธีคุยกับลูก ที่ทีมแม่ ABK แนะนำไปนั้น สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องทำความเข้าใจด้วย เมื่อลูกเริ่มโตเข้าสู่วัยรุ่นจะมีอารมณ์ที่แปรปรวน  ค่อนข้างรุนแรง  ยากที่จะควบคุมอารมณ์ได้  จึงมีการถกเถียงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากการสนทนาไม่เป็นดั่งใจคนที่ต้องสงบก่อน ก็คือพ่อแม่ และควรให้ความรักอย่างถูกวิธี เพราะหากลูกรับรู้ถึงความรักและความเอาใจใส่อย่างถูกวิธีจากคุณพ่อคุณแม่ คือ ไม่เอาอกเอาใจเกินพอดีหรือว่ากล่าวทำโทษเกินควร แต่ให้รับรู้ได้ว่าคอยอยู่ใกล้ชิดและเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้เสมอ ก็จะทำให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ดีและมีจิตใจที่อ่อนโยน สามารถควบคุมสติตัวเองได้ในที่สุด

            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก

              อาการไข้หวัดใหญ่

              หมอเตือน! อาการไข้หวัดใหญ่ คล้ายกับโควิด-19 ติดร่วมกันได้ทำให้ป่วยหนัก

              หมอเตือน!! หน้าฝนนี้ .. ไข้หวัดใหญ่ระบาดหนัก 6 กลุ่มเสี่ยงระวังให้ดี อาการไข้หวัดใหญ่ คล้ายกับโควิด-19 ติดร่วมกันได้ ทำอาการรุนแรงยิ่งขึ้น หากมีอาการควรรีบหามหมอ

              หมอเตือน! ไข้หวัดใหญ่ระบาด เสี่ยงติดโควิด-19 ร่วมกันได้
              ทำอาการรุนแรงยิ่งขึ้น!!

              จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบและสร้างความวิตกกังวลต่อประชากรทั่วโลกอย่างหนักซึ่งสำหรับประเทศไทยในช่วงเดือน พ.ค. ที่แม้จะมียอดผู้ป่วยที่ติดเชื้อ Covid-19 ลดลง … แต่เมื่อเข้าสู่หน้าฝนก็ยังคงมีอีกหนึ่งโรคต้องระวัง นั่นคือ “โรคไข้หวัดใหญ่” ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ที่สามารถแพร่กระจายไปสู่คนทุกเพศทุกวัยได้เช่นเดียวกับโควิด-19

              โดยช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึง 7 พ.ค. 2563 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วย อาการไข้หวัดใหญ่ มากกว่าโควิด-19 ถึง 33 เท่า (จํานวน 98,831 ราย) และเสียชีวิตไปแล้ว 3 ราย ซึ่งในปีนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกที่มีโรคระบาดทั้ง 2 โรคพร้อมกัน ทำให้เป็นการเพิ่มภาระงานและส่งผลต่อทรัพยากรทางการแพทย์อย่างมาก จึงจำเป็นที่ทุกคนต้องหาวิธีจัดการกับไข้หวัดใหญ่ในช่วงเวลานี้ให้ไม่ซ้ำเติมกันเข้าไปอีก

              อาการไข้หวัดใหญ่

              ความแตกต่างระหว่าง อาการไข้หวัดใหญ่ และ โควิด 19

              นายแพทย์ วีรวัฒน์ มโนสุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบัน กลุ่มแผนปฏิบัติการชาติฯ สถาบันบำราศนราดูร ได้กล่าวว่า “โรคไข้หวัดใหญ่มักระบาดในหน้าฝน ซึ่งมีความน่ากังวลเพราะ อาการไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 มีความคล้ายคลึงกันมาก และสามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นเมื่อมีการไอหรือจามได้เช่นเดียวกัน

              ซึ่งถึงแม้ในปัจจุบันวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะมีแพร่หลาย แต่พบว่าคนที่ได้รับวัคซีนแล้วยังคงสามารถป่วยจากไข้หวัดใหญ่ได้ เนื่องจากวัคซีนอาจมีประสิทธิภาพเพียง 40-60 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นกับสายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในแต่ละปี แต่ล่าสุดพบมีข้อมูลว่าผู้ป่วยติดเชื้อร่วมกันได้ทั้ง 2 โรค

              ทั้งนี้การติดเชื้อทั้ง 2 โรคในเวลาเดียวกันหรือ co-infection จะเป็นการเพิ่มความรุนแรงของโรค ซึ่งเป็นอันตรายในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ โดยการศึกษาที่สหรัฐอเมริกาและจีนพบว่าการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่นๆร่วมกันได้สูงถึง 20 และ 80 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ และการติดเชื้อร่วมกับโควิด-19 กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ พบเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ และการติดเชื้อร่วมกันนั้นเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงถึง 29-55 เปอร์เซ็นต์

              อาการไข้หวัดใหญ่ ที่เข้าเกณฑ์มีการติดเชื้อประกอบด้วย

              • ไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส
              • ปวดศีรษะ คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล
              • เจ็บคอ ไอ
              • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และร่างกายอ่อนเพลีย

              อาการไข้หวัดใหญ่

              ส่วน 6 กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัส และมี อาการไข้หวัดใหญ่ มากที่สุด ได้แก่

              • กลุ่มแม่ท้อง
              • เด็กเล็กอายุระหว่าง 6 เดือน – 5 ปี
              • ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี
              • ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังประจำ
              • ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เป็นโรคมะเร็ง
              • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น มีโรคปอดอักเสบเรื้อรัง โรคหัวใจ ไตวายเรื้อรัง หลอดเลือดในสมองตีบ

              และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ซึ่งเมื่อแพทย์ยังไม่สามารถแยกอาการระหว่างผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่กับผู้ป่วยโควิด-19 ได้อย่าง 100%

              ดังนั้นหากใครสงสัยว่ามี อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น มีไข้สูง ไอ คัดจมูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ร่างกายอ่อนเพลีย และมีน้ำมูลมาก แสดงว่ามีอาการไข้หวัดใหญ่มากกว่าโควิด-19 ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว โดยเฉพาะในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาด้วยยาต้านไวรัส

              วิธีรักษาโรคไข้หวัดใหญ่

              สำหรับการรักษา จะมีการรับยาต้านไวรัส เพื่อลด อาการไข้หวัดใหญ่ ลดปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกาย ทำให้อาการของคนไข้ลดลง ลดภาวะการเป็นโรคแทรกซ้อน โรคปอดอักเสบได้ และลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสสู่คนรอบข้าง โดยทางการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่จะแบ่งตามความรุนแรง คือ ถ้าเป็นผู้ป่วยที่อาการรุนแรง จะพิจารณายาต้านไวรัสให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องรอผลการตรวจ ส่วนกลุ่มผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง จะแบ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง จะให้ยาต้านไวรัสเร็วที่สุด ขณะที่กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ จะมีการพิจารณาตามอาการ แต่หากเป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำแต่ต้องอาศัยร่วมกับบุคคลเสี่ยงก็จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสเช่นเดียวกัน

              ทั้งนี้การแพร่กระจายเชื้อของไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 มีลักษณะใกล้เคียงกัน ผู้ที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่กระจายเชื้อไป 2 คน แต่โควิด -19 กระจายเชื้อ 2-3 คน ซึ่งแม้สถานการณ์ภาพรวมของประเทศดีขึ้น แต่เมื่อเข้าสู่หน้าฝนในเดือน มิ.ย.นี้ ที่อาจมีการระบาดไข้หวัดใหญ่ และมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์โควิด -19 จะทำให้เกิดการประชุม สัมมนา การท่องเที่ยว การคมนาคมมากขึ้น จึงอาจจะทำให้มีแนวโน้มเกิดโควิด -19 รุนแรงกลับมาใหม่ได้ และหากผู้ป่วยมี อาการไข้หวัดใหญ่ ร่วมด้วย จะทำให้ภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น และต้องใช้ยารักษาต้านไวรัสทั้งไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19 ไปพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายได้

              วิธีจัดการรับมือโรคไข้หวัดใหญ่ = สามารถทำได้โดยการรักษาสุขอนามัยที่ดี ล้างมือบ่อยๆ และฉีดวัคซีนประจำปี ซึ่งสามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากการจะฉีดวัคซีนแต่ละปีองค์การอนามัยโลกจะคาดการณ์ว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัสตัวไหนบ้าง และประกาศให้แต่ละประเทศมีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตัวนั้น

              และเพื่อลดการแพร่ระบาดโรคไข้หวัดใหญ่ ทุกบ้านควรมีความรู้ในการป้องกันตนเอง ซึ่งช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีโควิด-19 ระบาด มาตรการป้องกันดูแลตัวเองของโควิด-19 ก็สามารถป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ในช่วงหน้าฝนเดือน มิ.ย.นี้ ด้วยเช่นกัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรดูแล ป้องกันสุขภาพของลูกน้อยและตัวเองให้ดี ต้องระวังการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกน้อยหรือตัวเองมีอาการผิดปกติ ไข้ ไอ เหนื่อย หรือมีความเสี่ยงต้องอยู่กับกลุ่มเสี่ยงในบ้าน ให้รีบมาพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อนำไปสูการวินิจฉัย รักษา และมีโอกาสในการลดการปลดปล่อยของเชื้อ ไปยังผู้อื่นนะคะ

              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :


              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.sanook.comwww.bangkokbiznews.comwww.ryt9.comwww.pidst.or.th

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                เกมพัฒนาสมอง

                9 กิจกรรม & เกมพัฒนาสมอง ของลูกวัย 6+ ให้ลูกฉลาดและอารมณ์ดี

                การมีพัฒนาการทางสมองที่ดีเป็นส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ มีความเฉลียวฉลาด รู้จักคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ แก้ไขปัญหา นำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ดีในอนาคตได้ ดังนั้นเพื่อให้ลูกได้เติบโตอย่างสมวัยไปพร้อมกับการพัฒนาสมองอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญา หรือ ‘IQ’ เท่านั้น แต่ยังรวมถึง EQ และทักษะทางด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสมองสามารถพัฒนาได้ด้วยปัจจัยหลากหลาย สำหรับเด็กในวัย 6 ปีขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่คงเริ่มเห็นว่าลูกรักมีพัฒนาการที่เติบโตชัดเจน มีความคิดอ่านเป็นตัวของตัวเองและดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในวัยนี้นอกจากการเรียนแล้วคุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกได้ทำกิจกรรม ได้เล่น เกมพัฒนาสมอง เพื่อพัฒนาการทางสมองที่ดีและสนุกควบคู่กันไป จะมีกิจกรรมอะไรบ้างที่เหมาะสมกับวัย 6-12 ปีมาดูกันค่ะ

                9 กิจกรรม & เกมพัฒนาสมอง ให้ลูกฉลาดและอารมณ์ดีไปพร้อมกัน

                กิจกรรมพัฒนาสมอง

                1.สนุกแบบคราฟต์ๆ

                เด็กในวัย 6 ขวบขึ้นไปนั้นมีโครงสร้างทางสมองที่เกี่ยวกับศิลปะ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กวัยเรียนหรือประถม จะเป็นการฝึกกล้ามเนื้อมือให้แข็งแรงและสัมพันธ์กับการใช้ตา ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะง่าย ๆ เช่น การวาดรูประบายสี การปั้น การพับกระดาษ เรื่อยไปจนถึงศิลปะที่ซับซ้อนขึ้นอย่างงานประดิษฐ์หรือการเย็บปักถักร้อยโดยนำวัตถุดิบมาสร้างสรรค์ผลงานในแบบต่าง ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกมาสร้างสรรค์ผลงานได้ เช่น การระบายสีบนผ้าหรือมัดย้อมแล้วสามารถนำชิ้นงานนั้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างนำมาเป็นผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ หรือผ้ารองจานข้าว การประดิษฐ์ของเล่นจากกล่องกระดาษ เช่น เป็นของเล่น เป็นบ้านในจินตนาการ เป็นร้านขายของชำ เป็นต้น

                การทำศิลปะนั้นนอกจากจะช่วยทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย สนุกไปกับช่วงเวลาที่ทำ ยังช่วยฝึกสมองให้เกิดความคิดสร้างสรรค์จากการออกแบบ มีจินตนาการ ช่วยฝึกสมาธิไปในตัว และได้พัฒนาการในการใช้กล้ามเนื้อมือและตาให้สอดประสานกัน ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมได้อย่างถูกทางก็จะช่วยให้เกิดพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง

                2.ฝึกเขียนบันทึก/ เขียนจดหมาย

                กิจกรรมขีด ๆ เขียน ๆ นั้น มีส่วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมกับการฝึกพัฒนาการในเรื่องของการใช้ทักษะด้านภาษา การคิด และการเขียน ซึ่งลูกในวัยประถมนั้นมีชุดคำศัพท์ที่มากพอและสามารถเขียนหนังสือได้ดีขึ้นกว่าในช่วงวัยอนุบาลแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถจัดกิจกรรมชวนลูกมาเขียนบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ลงในสมุดบันทึกด้วยการเขียนในสิ่งที่ลูกต้องการตามความสนใจ และหลังบันทึกเสร็จก็ชวนสนทนาให้ลูกได้เล่าเรื่องจากสิ่งที่บันทึกลงไปให้ฟัง วิธีการนี้จะช่วยให้ลูกได้รู้จักรวบรวมความคิด เรียงลำดับเหตุการณ์ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ฝึกจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่สะท้อนออกมาเป็นคำพูดและข้อความได้ดีในรูปแบบการจดบันทึก ซึ่งกิจกรรมนี้จะช่วยพัฒนาสมองลูกในด้านฝึกความจำ มีความคิดสร้างสรรค์ควบคุมอารมณ์ได้ดี รวมถึงได้ทักษะ EF ด้วย

                3.เล่นเกมหาสมบัติ

                เกมนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เวลาว่างเล่นกับลูกที่บ้านได้ง่าย ๆ โดยการหากล่องแล้วให้ลูกนำของเล่นชิ้นโปรดมาใส่ไว้ในกล่อง แล้วผลัดกันนำไปซ่อน สำหรับเด็กโตอาจจะเพิ่มปริศนาใบคำที่ซ่อนกล่องสมบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเพิ่มความท้าทายและตื่นเต้นยิ่งขึ้น สำหรับการเล่นเกมหาสมบัตินอกจากความสนุกแล้ว เด็ก ๆ ยังได้ใช้ไหวพริบและลับสมองในการคิดแก้ปัญหา ปริศนาคำใบ้ต่าง ๆ ได้ดีทีเดียวค่ะ

                กิจกรรมพัฒนาสมอง ประถม

                4.เล่นเกมฝึกสมอง/ บอร์ดเกม

                เกมฝึกสมองที่เหมาะกับเด็กวัยประถมที่น่าสนใจมีมากมาย อาทิเช่น จิ๊กซอว์ เกมส์ไพ่สำหรับหัดนับเลข หมากหมากรุก ครอสเวิร์ด ฯลฯ เกมฝึกสมองเหล่านี้จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ใช้ความคิด วิเคราะห์ในการแก้ปัญหา พร้อมทั้งต้องทำการวางแผนอย่างเป็นระบบ เป็นวิธีกระตุ้นสมองที่ดีและได้ความสนุกสนาน รวมทั้งยังช่วยพัฒนาทักษะในการใช้สายตาและกล้ามเนื้อนอกเหนือจากการฝึกสมองอีกด้วย

                5.อ่านหนังสือ

                หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยประถมควรจะเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสั้น ๆ อ่านง่าย การปลูกฝังให้ลูกรักการอ่านหนังสือจะช่วยพัฒนาสมอง และเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน รวมถึงได้ทักษะทางด้านภาษา ช่วยให้มีสมาธิ และได้รับความเพลิดเพลินจากการอ่าน ยิ่งลูกได้อ่านหนังสือมากเท่าไหร่ก็จะช่วยพัฒนาสมองและได้รับความรู้ในทุก ๆ ด้านได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                6.ทำงานบ้าน

                นอกจากการให้ลูกช่วยทำงานบ้านจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของคุณพ่อคุณแม่ภายในบ้านได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีผลวิจัยชี้ว่า เด็กที่ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านตั้งแต่เล็กมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ปลูกฝังให้ลูกมีนิสัยที่ดี ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบได้ การฝึกให้ลูกได้ช่วยทำงานบ้านจะช่วยให้เด็กสนุกกับการได้แสดงความสามารถใหม่ ๆ ให้พ่อแม่ชื่นชมและเป็นกำลังใจ ได้รู้จักกับการแก้ปัญหา รู้จักมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง และสามารถช่วยทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ การทำงานที่ผ่านความยากลำบกมาจะทำให้ลูกรู้จักมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำให้ลูกรู้สึกภูมิใจและมองเห็นคุณค่าของตัวเอง อีกทั้งการทำงานบ้านจะทำให้เด็ก ๆ รู้จักฟังคำแนะนำวิธีการอย่างตั้งใจ จับประเด็น อันเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ซึ่งในเด็กโตจะเริ่มรู้จักมีความรับผิดชอบมากขึ้นและสามารถช่วยทำงานบ้านที่ยากขึ้นอีกนิดได้ เช่น

                กิจกรรมพัฒนาสมอง ef

                • งานบ้านสำหรับลูกวัย 6-7 ขวบ เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ตากเสื้อ เก็บผ้า พับผ้า ล้างถ้วยชามของตัวเองหลังกินข้าวเสร็จ เป็นต้น
                • งานบ้านสำหรับลูกวัย 8-11 ขวบ สามารถมอบหมายงานบ้านที่ซับซ้อนมากขึ้นเพิ่มเติมจากงานบ้านเดิม ๆ เช่น ทำความสะอาดบ้าน จัดเก็บห้องนอนของตัวเอง ทำงานสวนเล็ก ๆ น้อย ตัดหญ้า รดน้ำต้นไม้ เริ่มหัดซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ขาดเล็ก ๆ น้อยไม่ยุ่งยาก เช่น เย็บรอยขาดจุดเล็ก ๆ หรือเย็บกระดุมที่หลุด เป็นต้น
                • งานบ้านสำหรับลูกวัย 12 ปีขึ้นไป วัยนี้โตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ดีแล้วและสามารถเริ่มทำงานบ้านได้หลายประเภท เช่น ดูแลเสื้อผ้า ซักผ้า รีดผ้า จัดห้องนอนของตัวเอง จ่ายเงินซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต หุงข้าว เตรียมอาหารเย็น ซ่อมแซมงานบ้านเล็กน้อย ๆ ช่วยล้างรถ เป็นต้น

                ช่วยพ่อแม่ทํางานบ้าน

                7. เป็นลูกมือช่วยคุณแม่ทำอาหาร

                ชวนลูกเข้าครัวเป็นลูกมือทำอาหารด้วยกันกับคุณแม่ก็ถือเป็นกิจกรรมที่แสนสนุกและช่วยส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้และฝึกฝน มีสมาธิ การทำอาหารที่หลากหลายเมนู ส่งผลทำให้สมองตื่นตัวเพื่อให้รับรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ได้สัมผัส และนับได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นสมองและสติปัญญาได้อีกทางหนึ่ง โดยคุณแม่อาจหางานที่ลูกสามารถช่วยได้ในครัวที่เริ่มจากขั้นตอนง่าย ๆ เช่น การเด็ดผัก ล้างผัก ช่วยปอกเปลือกมันฝรั่ง แครอท หรือลงมือทำเมนูง่าย ๆ เช่น หุงข้าว ทอดไข่ ทำสลัด ทำขนม เป็นต้น

                เล่นดนตรี

                8.เล่นดนตรี

                การเล่นดนตรีนั้นถือว่าเป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก รวมทั้งช่วยพัฒนาความสามารถทางด้านสติปัญญา ช่วยเพิ่มทักษะไอคิวได้ มีทักษะความจำที่ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการฝึกสมาธิ พร้อมทั้งความอดทนให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เสียงเพลงยังช่วยให้สมองได้พัฒนาทักษะการฟัง มีงานวิจัยนำเสนอออกมามากมายว่า เสียงดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีคลาสสิกมีส่วนช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กวัยเจริญเติบโต ช่วยกล่อมเกลาอารมณ์ ให้รู้สึกสงบ ลดอาการฉุนเฉียว ขี้โมโห และทำให้ลูกเป็นเด็กเข้าใจง่าย สอนง่าย ส่วนเสียงดนตรีที่มีจังหวะเร็วก็มีส่งผลต่ออารมณ์ให้เด็กรู้สึกตื่นตัว ร่าเริง แจ่มใส ดังนั้นหากลูกมีความสนใจในด้านนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสนับสนุนให้ลูกหัดเล่นเครื่องดนตรีที่ลูกสนใจ เช่น เปียโน กีต้าร์ หรือเครื่องดนตรีไทยอย่างขิมหรือระนาด ซึ่งก็ถือว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้ลูกฉลาดและประสบความสำเร็จในอนาคตได้

                กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา

                9.เล่นกีฬา ออกกำลังกาย

                การได้เล่นกีฬาออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังส่งผลดีต่อสมองและสติปัญญา ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คลายเครียด ซึ่งก็ทำให้ลูกมีความจำที่ดี ส่งผลดีต่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                ทั้งหมดนี้เป็นเกมและกิจกรรมที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านสติปัญญาและอารมณ์ ให้สำหรับลูกในวัยตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไปได้ ซึ่งความจริงแล้วยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่จะช่วยพัฒนาสมองลูกไปพร้อม ๆ กับความสนุกสนาน อย่างไรก็ตามแม้ลูกจะอยู่ในวัยที่เริ่มโตขึ้นแล้วก็ตาม แต่การได้เล่นหรือกิจกรรมแต่ละอย่างก็ควรจะได้รับการดูแลหรือคำแนะนำสั่งสอนจากคุณพ่อคุณแม่อย่างใกล้ชิด และมั่นใจว่ากิจกรรมนั้นความปลอดภัยเพียงพอสำหรับลูกนะคะ

                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.lenkubluk.comwww.honestdocs.co

                อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                7 กิจกรรมเล่นกับลูก ได้จินตนาการ เสริมพัฒนาการลูกดีทุกด้าน

                Apple แนะนำ 30 กิจกรรมสร้างสรรค์ ให้ลูกทำบน iPhone, iPad (ดาวน์โหลดฟรี)

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  โรคสมาธิสั้น

                  ลูกไม่นิ่ง ซน อยู่ไม่สุข เข้าข่าย โรคสมาธิสั้น หรือไม่? พ่อแม่ช่วยแก้ยังไง!

                  แม้ความซนกับเด็กจะเป็นของคู่กันจนคุณพ่อคุณแม่อาจเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าลูกซนมาก อยู่ไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิ มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น แสดงว่าลูกเข้าข่ายเป็น โรคสมาธิสั้น หรือเปล่า ซึ่งปัจจุบันภาวะสมาธิสั้นใกล้ตัวลูกกว่าที่คิดด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง รวมถึงเด็กในยุคดิจิตอลมีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ไอแพด แท็บเล็ต มือถือ และโทรทัศน์ เป็นเวลานาน ๆ หากรู้ทันก็จะช่วยป้องกันและรักษาได้ ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นพัฒนาการของลูกที่บางครั้งอาจบ่งบอกความผิดปกติ ไม่ควรปล่อยผ่านเมื่อเกิดความสงสัย

                  ลูกไม่นิ่ง ซน อยู่ไม่สุข เข้าข่าย โรคสมาธิสั้น หรือไม่? พ่อแม่ช่วยแก้ยังไง!

                  “โรคสมาธิสั้น” เรียกย่อ ๆ ว่า ADHD หรือ “Attention deficit hyperactivity disorder” เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมสมาธิและพฤติกรรมมีการทำงานลดลง ทำให้ขาดการควบคุมการเคลื่อนไหว มีลักษณะอาการซุกซน วอกแวกง่าย ไม่มีสมาธิ ไม่อยู่นิ่ง เวลาที่พูดด้วยจะไม่ตั้งใจฟัง ขาดความรับผิดชอบ และเก็บรายละเอียดไม่ค่อยได้ ซึ่งพบว่าเด็กวัยเรียนทั่วโลกเป็นโรคสมาธิสั้นประมาณ 7 % หมายความว่าในเด็กวัยเรียน 100 คน จะพบเป็นโรคสมาธิสั้น 7 คน ถ้าในห้องเรียนมีนักเรียนประมาณ 40 – 50 คน ก็น่าจะมีเด็กสมาธิสั้น 2 – 3 คน และพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ซึ่งในประเทศไทยพบ 3-5% ของเด็กในวัยเรียน ช่วงอายุระหว่าง 3 – 7 ปี และอาการเหล่านี้ต้องเกิดก่อนอายุ 12 ปี ในรายที่แสดงอาการไม่มากจะสังเกตพฤติกรรมได้ชัดเจนขึ้นในหลังอายุ 7 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่ลูกเข้าโรงเรียน มีการบ้าน มีงานที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่างในเวลาเดียวกัน รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและคุณครู ที่จะต้องรู้จักปรับตัวในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นและการเข้าสังคม โดยเด็กที่แสดงอาการจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม

                  ลูกสมาธิสั้น
                  ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

                   สาเหตุของการเกิดภาวะสมาธิสั้น เกิดได้จากปัจจัยร่วมหลายปัจจัย ได้แก่

                  • ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ พบว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดภายในครอบครัวได้ ถ้ามีพ่อหรือแม่ 1 คนเป็นโรคสมาธิสั้น พบว่าลูกจะเป็นโรคนี้ร้อยละ 57
                  • ปัจจัยทางด้านระบบประสาท พบว่ามีการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณที่ทำงานเกี่ยวกับการคิด การวางแผน การจัดลำดับสิ่งต่าง ๆ และการควบคุมตนเอง รวมถึงมีสารในสมองที่สำคัญบางตัวน้อยกว่าคนปกติทั่วไป ที่ทำให้เป็นโรคสมาธิสั้นได้
                  • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น แม่ท้องสูบบุหรี่/ ดื่มสุราระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่มีประวัติการคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่าเกณฑ์ ได้รับพิษสารตะกั่ว ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ทำให้เด็กมีโอกาสเป็นสมาธิสั้นด้วย
                  • ปัจจัยทางด้านการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม เช่น ภายในครอบครัวมีการเลี้ยงดูที่ขาดระเบียบวินัย ตามใจ ไม่มีกฎระเบียบภายในบ้าน ไม่มีการควบคุมที่สม่ำเสมอ หรือความเห็นในการเลี้ยงดูที่ไม่ตรงกันของพ่อแม่ ซึ่งก็จะส่งผลทำให้เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีอาการมากขึ้น หรือทำให้เด็กปกติดูมีอาการคล้ายสมาธิสั้น หรือที่เรียกว่า “สมาธิสั้นเทียม”
                  • การใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ไอแพด แท็บเล็ต มือถือ รวมถึงโทรทัศน์ เป็นเวลานาน ๆ โดยขาดการควบคุม พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกให้อยู่กับหน้าจอตลอดเวลาทั้งในบ้านและนอกบ้าน โดยยื่นอุปกรณ์เหล่านี้ให้เพื่อที่จะได้ไม่มารบกวน ทำให้ลูกนิ่ง ควบคุมได้ง่าย เด็กที่ใช้มือถือ สมาร์ทโฟนอยู่หน้าจอเป็นเวลานานมาก ๆ จะกลายเป็นเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า โดยเฉพาะด้านการพูดและการสื่อสาร ขาดทักษะสังคม ใจร้อน รอคอยอะไรไม่ได้ หงุดหงิดง่าย รวมถึงอาจมีปัญหาพฤติกรรมรุนแรงที่เกิดจากการเลียนแบบสิ่งที่ดูจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้อีกด้วย

                  โดยปกติโรคสมาธิสั้นที่แสดงพฤติกรรมชัดจะมีกลุ่มอาการหลัก 3 ด้าน ซึ่ง ในเด็กบางคนมีอาการซนและหุนหันพลันแล่นเป็นอาการเด่น แต่บางคนมีอาการขาดสมาธิเป็นอาการเด่น หรืออาจมีครบทุกอย่างเลยก็ได้ แต่ควรเริ่มเห็นอาการตั้งแต่ก่อนอายุ 12 ปี และ มีอาการในหลาย ๆ สถานที่ เช่น ทั้งที่บ้าน ในห้องเรียน สนามเด็กเล่น ฯลฯ ได้แก่

                  • พฤติกรรมขาดสมาธิ มีสมาธิสั้น – มีอาการเหม่อลอย วอกแวกง่าย ใจลอย ไม่ได้ตั้งใจฟังเวลาที่คุณพ่อคุณแม่หรือครูที่โรงเรียนพูดด้วย พูดแล้วจะไม่ทำตาม หรือทำตามไม่ได้เพราะฟังคำสั่งไม่ได้ครบ เนื่องจากเด็กขาดสมาธิทำให้ไม่สนใจที่จะฟังประโยคยาวๆ ได้ไม่จบ ไม่สามารถรับความรู้ใหม่ ๆ ได้เต็มที่ ทำให้การเรียนได้ไม่ดี ทำการบ้านไม่เสร็จ ทำงานตามสั่งไม่ครบ หรือมีอการขี้ลืม ทำของหายได้บ่อย ๆ เพราะจำไม่ได้ว่าไปวางที่ไหน
                  • พฤติกรรมซนมาก อยู่ไม่นิ่ง – เด็กจะวิ่งเล่นแบบไม่หยุด ไม่รู้เหนื่อย ไม่ยอมอยู่นิ่ง นั่งนิ่ง ๆ ไม่ได้ นั่งไม่ติดที่ ผุดลุกผุดนั่งตลอดเวลา ชอบเดินวนไปวนมา ต้องขยับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเสมอ และชอบพูดไม่หยุดและส่งเสียงดัง เล่นผาดโผน เล่นแรง ๆ แบบไม่กลัวเจ็บ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อย และเป็นสาเหตุที่ไม่ค่อยมีเพื่อนกล้าเข้ามาเล่นด้วย
                  • พฤติกรรมขาดความยับยั้งชั่งใจตนเองหุนหันพลันแล่น – เด็กจะไม่รู้จักการรอคอย มีความอดทนน้อย ใจร้อน วู่วาม ขาดความระมัดระวังในการทำสิ่งต่าง ๆ สังเกตได้จากการชอบพูดสวน พูดโพล่ง พูดแทรกขึ้นมา หรือชอบที่จะแซงคิว ถ้าต้องทำอะไรที่ช้า ๆ หรือนาน ๆ ก็จะไม่อยากทำหรือไม่อดทนพอที่จะทำสิ่งนั้น
                  โรคสมาธิสั้น (adhd)
                  ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

                   เช็กลิสต์ลูกมีอาการเป็นเด็กสมาธิสั้นหรือเปล่า?

                  ข้อมูลจากโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้แนะนำว่าการสังเกตว่าลูกเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ ยังจำเป็นต้องพิจารณาจากระยะเวลาที่เป็น และสถานที่ที่เด็กมีอาการ กล่าวคือ

                  อาการขาดสมาธิ เด็กต้องมีอาการดังต่อไปนี้ 6 ข้อ (หรือมากกว่า) ติดต่อกันเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน โดยที่อาการต้องถึงระดับที่ผิดปกติและไม่เป็นไปตามพัฒนาการตามวัยของเด็ก ได้แก่

                  • มักไม่สามารถจดจ่อกับรายละเอียดหรือไม่รอบคอบเวลาทำงานที่โรงเรียนหรือทำกิจกรรมอื่น
                  • มักไม่มีสมาธิในการทำงานหรือการเล่น
                  • มักดูเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่คนอื่นพูดกับตนอยู่
                  • มักทำตามคำสั่งได้ไม่ครบ ทำให้ทำงานในห้องเรียน งานบ้าน หรืองานในที่ทำงานไม่เสร็จ (โดยไม่ใช่เพราะต่อต้านหรือไม่เข้าใจ)
                  • มักมีปัญหาในการจัดระบบงานหรือกิจกรรม ทำงานไม่เป็นระเบียบ
                  • มักเลี่ยงไม่ชอบหรือไม่เต็มใจในการทำงานที่ต้องใช้ความคิด (เช่น การทำการบ้านหรือทำงานที่โรงเรียน)
                  • มักทำของที่จำเป็นในการเรียนหรือการทำกิจกรรมหายบ่อยๆ (เช่น อุปกรณ์การเรียน)
                  • มักวอกแวกไปสนใจสิ่งเร้าภายนอกได้ง่าย
                  • มักหลงลืมทำกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำ

                  อาการอยู่ไม่นิ่งหรือหุนหันพลันแล่น เด็กต้องมีอาการดังต่อไปนี้ 6 ข้อ (หรือมากกว่า) นานติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน โดยที่อาการต้องถึงระดับที่ผิดปกติและไม่เป็นไปตามพัฒนาการตามวัยของเด็ก ได้แก่

                  • อาการอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)
                  • ยุกยิก อยู่ไม่สุข ชอบขยับมือและเท้าไปมา หรือนั่งนิ่ง ๆ ไม่ได้
                  • มักลุกจากที่นั่งในห้องเรียนหรือในสถานการณ์อื่นที่เด็กจำเป็นต้องนั่งอยู่กับที่
                  • มักวิ่งไปมาหรือปีนป่ายสิ่งต่าง ๆ ในที่ ๆ ไม่สมควรกระทำ
                  • ไม่สามารถเล่นหรือทำกิจกรรมอย่างเงียบ ๆ ได้
                  • มัก “พร้อมที่จะวิ่งไป” หรือทำเหมือนเครื่องยนต์ที่เดินเครื่องอยู่ตลอดเวลา
                  • มักพูดมากพูดไม่หยุด
                  • อาการหุนหันพลันแล่น (Impulsivity)
                  • มักโพล่งคำตอบโดยที่ฟังคำถามไม่จบ
                  • มักไม่ชอบการเข้าคิวหรือการรอคอย
                  • มักขัดจังหวะหรือสอดแทรกผู้อื่น (ระหว่างการสนทนาหรือการเล่น)

                  อื่น ๆ

                  • เริ่มพบอาการเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนอายุ 7 ขวบ
                  • พบความบกพร่องที่เกิดจากอาการเหล่านี้ในสถานการณ์อย่างน้อย 2 แห่ง เช่น ที่บ้านหรือที่โรงเรียน
                  • อาการต้องมีความรุนแรงจนกระทั่งรบกวนการเรียน การเข้าสังคม หรือการทำงานอย่างชัดเจน
                  • อาการไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็น กลุ่มโรคที่มีความผิดปกติของพัฒนาการ (Pervasive Developmental Disorder), โรคจิตเภท Schizophrenia, กลุ่มอาการโรคจิต Psychotic Disorder และอาการต้องไม่เข้าได้กับอาการของโรคทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น อารมณ์แปรปรวน, มีความวิตกกังวล, หรือความผิดปกติด้านบุคลิกภาพ (Personality Disorder)
                  ลูกสมาธิสั้น รักษาอย่างไร
                  ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

                  10 วิธีดูแลลูกสมาธิสั้นที่พ่อแม่ช่วยแก้ได้

                  เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นนั้น มีเพียง 15 – 20% เท่านั้นที่สามารถหายได้เองเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่อีกประมาณ 60% นั้นอาจไม่หายขาดและจะเป็นโรคนี้ไปจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้นการหมั่นสังเกตอาการดังกล่าวหรือสงสัยว่าลูกเข้าข่ายสมาธิสั้นหรือเปล่า เพื่อรีบพาลูกเข้ารับการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะมีโอกาสหายจากโรคนี้ สำหรับการช่วยเหลือดูแลเด็กสมาธิสั้นนั้นจะต้องร่วมด้วยช่วยกันหลายฝ่ายทั้งตัวเด็กเอง พ่อแม่ผู้ปกครอง และครูที่โรงเรียน ในการปรับพฤติกรรมที่ต้องใช้หลายวิธีผสมผสานกันในการดูแล ร่วมกับการใช้ยาสมาธิสั้นในบางรายเพื่อให้ได้ผลการรักษาดีที่สุด อย่างไรก็ตามพ่อแม่ยังคงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเลี้ยงดูและช่วยปรับพฤติกรรมลูกเพื่อช่วยให้โรคสมาธิสั้นในเด็กดีขึ้นได้ ซึ่งการดูแลเบื้องต้นง่าย ๆ ที่พ่อแม่ช่วยแก้ได้ เช่น

                  1.พ่อแม่ต้องมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกันในการปรับพฤติกรรมลูก ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูแลตามลำพัง เพื่อช่วยให้ลูกที่สมาธิสั้นมีอาการดีขึ้น หรือช่วยให้ลูกที่มีอาการสมาธิสั้นเทียมหายจากการมีอาการคล้ายสมาธิสั้น

                  2.ใช้การสื่อสารที่สั้น กระชับ ตรงไปตรงมา  เวลาพูดหรือออกคำสั่งให้ลูกทำ ควรให้ลูกได้สบตาพ่อแม่และให้หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ เมื่อพูดแล้วควรให้ลูกได้พูดทบทวนซ้ำ เพื่อเช็กว่าความเข้าใจว่าลูกได้รับฟังครบอย่างถูกต้องหรือไม่

                  3.จัดตารางเวลา สร้างวินัยให้ลูกกิน นอน เล่น เป็นเวลา ให้ลูกได้รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไรบ้าง เพื่อเป็นการฝึกให้เด็กรู้จักควบคุมตัวเอง ได้ช่วยเหลือตัวเองและรู้จักวางแผนแบ่งเวลาโดยที่ไม่ต้องให้พ่อแม่คอยเตือนซ้ำ ๆ ทุกวัน โดยในช่วงแรก ๆ พ่อแม่อาจจะต้องคอยดูแลกำกับจนลูกคุ้นเคย เมื่อมั่นใจว่าลูกสามารถทำซ้ำทุกวันได้แล้วก็ให้ปฏิบัติตามตารางที่จัดจนเป็นนิสัย

                  4.ปรับบรรยากาศภายในบ้านให้สงบ เวลาให้ลูกได้ทำการบ้านหรือทำกิจกรรมควรให้ลูกได้อยู่ในพื้นที่ที่สงบ ไม่มีเสียงโทรทัศน์ ไม่มีสิ่งเร้าส่งเสียงดังที่มาคอยกระตุ้นให้เด็กวอกแวกหรือเสียสมาธิ

                  ลูกสมาธิสั้น ทําไงดี
                  ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

                  5.หากิจกรรมสร้างสรรค์ที่เหมาะสม เช่น เล่นกีฬา ฟุตบอล ว่ายน้ำ ตีแบด ทำศิลปะ หรือการเล่นดนตรี เช่น เปียโน เป็นต้น ฯลฯ เพื่อให้ลูกได้ปล่อยพลังงาน  สร้างความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ให้เข้ากับธรรมชาติของเด็กสมาธิสั้นที่ไม่ชอบอยุ่นิ่ง อีกทั้งยังช่วยเสริมพัฒนาการ และสร้างความอบอุ่นภายในครอบครัว

                  6.หลีกเลี่ยงการเลี้ยงลูกด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยี เนื่องจากการอยู่กับหน้าจอนาน ๆ มีส่วนกระตุ้นให้เด็กสมาธิสั้นมากขึ้น ทำให้เด็กขาดสมาธิ และการควบคุมตนเอง อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น และหากเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ก่อนแล้วอาการจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจำกัดเวลาในการดูสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรใช้เวลาอยู่หน้าจอ เด็กอายุ 3-5 ปี วันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง/ วัน และอายุ 6-10 ปีไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง/ วัน ควรจัดเวลาให้ลูกเล่นที่ชัดเจน และพ่อแม่ควรอยู่กับเด็กในขณะที่เล่นหรืออยู่หน้าจอเพื่อความเหมาะสม

                  7.ชื่นชมและให้รางวัล พูดให้กำลังใจเมื่อลูกทำได้ดีหรือให้รางวัลดวยการสะสมดาว เพื่อกระตุ้นให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี หากมีการลงโทษควรใช้วิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่พูดด่าทอรุนแรง

                  8.พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็น ทั้งในเรื่องระเบียบวินัย การรอคอย รวมถึงไม่ควรใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เวลาอยู่กับลูก

                  9.ปรึกษาแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อทำความเข้าใจและขอคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง

                  10.สื่อสารกับครูที่โรงเรียน เพื่อร่วมกันช่วยกันปรับพฤติกรรม โดยเฉพาะวิธีพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กให้ดีขึ้นอย่างเหมาะสม

                  ภาวะสมาธิสั้นจำเป็นต้องทำการรักษา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและส่งผลเสียต่อตัวเด็ก การเข้าสังคมร่วมกับคนอื่น รวมถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว และเมื่อโตขึ้นเด็กสมาธิสั้นยังมีแนวโน้มที่จะเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย อ่อนไหวต่อคำพูดของคนอื่น การรักษาได้ทันท่วงทีจะช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าลูกเข้าข่ายอาการสมาธิสั้น หรือสมาธิสั้นเทียม ควรพาลูกเข้ารับการปรึกษาจากคุณหมอเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องอย่างเหมาะสม หลังเข้ารับการรักษาจนหายขาดจากโรค ทำให้ลูกมีสมาธิที่ดีขึ้น มีผลการเรียนดีขึ้น ทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง

                  อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้อาการสมาธิสั้นของลูกดีขึ้นได้ คือความเข้าใจและการยอมรับของพ่อแม่ในอาการที่ลูกเป็นว่าเกิดจากการทำงานของสมองบางส่วนที่เสียสมดุลไป ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้เท่าที่ควร ไม่ได้เกิดจากนิสัยหรือการตั้งใจทำให้เกิดขึ้นเอง ซึ่งพ่อแม่จะต้องมีความอดทนเป็นอย่างสูง มีทัศนคติและให้แรงเสริมในเชิงบวกอยู่เสมอ ต้องให้เวลา ให้ความรัก ความอบอุ่นที่มีคุณภาพ ก็จะส่งผลให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้เด็กสามารถปรับพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม มีพัฒนาการด้านต่างๆ  ดีขึ้น และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ในอนาคต ซึ่งก็จะทำให้คุณพ่อคุณแม่หายเหนื่อยและสบายใจมากขึ้นด้วย.

                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.bangkokhospital.comwww.manarom.comwww.bumrungrad.com

                  อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ :

                  พ่อแม่ควรอ่าน! หากไม่อยากให้ ลูกเป็นโรคสมาธิสั้น

                  ไม่อยากให้ลูกเป็น “โรคสมาธิสั้น ADHD” หยุดหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    เกมลับสมอง

                    9 แอพ เกมลับสมอง เล่นสนุก เพิ่มรอยหยัก ฝึกความจำ ให้ลูกมีไหวพริบฉลาดยิ่งขึ้น

                    ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กในยุคดิจิตอล ใช้เวลาว่างส่วนหนึ่งไปกับการดูยูทูป เล่นเกม บนสมาร์ทโฟน วันนี้ทีมแม่ ABK เลยมองหาแอพ เกมลับสมอง มาให้เด็ก ๆ ได้เล่นสนุกไปพร้อม ๆ กับฝึกสมอง เพื่อช่วยพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น มีเกมอะไรบ้าง ลองไปดูและดาวน์โหลดลงเครื่องให้ลูกลองเล่นกันเลยค่ะ

                    9 แอพ เกมลับสมอง เพิ่มรอยหยัก ฝึกความจำ ให้ลูกมีไหวพริบฉลาดยิ่งขึ้น

                    Block Hexa Puzzle

                    1.Block Hexa Puzzle

                    Block Hexa Puzzle เกมปริศนาตัวต่อ Tetris ที่มาในรูปแบบสไตล์บล็อก เป็นเกมลับสมองที่เล่นง่าย ๆ ช่วยฝึกความคิด พัฒนาสมองไปในตัว เพียงแค่ย้ายและเติมบล็อกให้พอดีกับช่องสี่เหลี่ยมที่กำหนดไว้ให้และเก็บชิ้นส่วนบล็อกเพื่อให้เลเวลอัพ ซึ่งก็จะเพิ่มความยากขึ้นตามลำดับ แต่ก็จะมีตัวช่วยหากปริศนาในด่านนั้นยากเกินไป ซึ่งมีด่านให้เล่นมากถึง 300+ แบบ ภาพในเกมมีสีสัน น่ารัก ที่ชวนให้เด็ก ๆ เล่นสนุก เพลิดเพลิน แก้เบื่อได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถดาวน์โหลดมาแล้วเล่นแบบออฟไลน์ ไม่ต้องมีอินเตอร์เน็ทก็สามารถเปิดเล่นได้ทุกที่กันเลยค่ะ

                    Block Hexa Puzzle
                    Block Hexa Puzzle

                    ดาวน์โหลด Android / iOS

                    Brain Dots
                     

                    2.Brain Dots

                     

                    Brain Dots เป็นเกมลับสมองง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ฝึกสมองด้านตรรกะ ใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ไปพร้อม ๆ กับความสนุกสนานเพลิดเพลินได้เป็นอย่างดี ผ่านเกมรูปแบบเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ยุ่งยาก ภาพในการมีสีสันน่าเล่น

                    โดยมีวิธีการเล่นที่ง่ายมาก คือ แค่ต้องลากเส้นด้วยปลายนิ้ว จะให้เป็นเส้นตรง เส้นโค้ง รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม หรืออื่น ๆ เพื่อทำให้ลูกบอลลูกใดลูกหนึ่ง คือสีฟ้าและสีแดง สามารถกลิ้งผ่านไปโดนยังลูกบอลอีกลูกก็จะผ่านแต่ละด่านไปได้ ซึ่งเกมนี้การใช้จินตนาการในการขีดเขียนถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะพิชิตเกมในแต่ละด่านที่มีให้เล่นมากมายกว่า 500 ด่าน ตั้งแต่ระดับง่ายไปจนถึงยาก อีกทั้งเมื่อเล่นผ่านด่านไปเรื่อย ๆ ก็จะได้รับไอเทมดินสอหรือปากกาหลายรูปแบบที่ใช้ในการขีดเขียนอีกด้วย โดยในด่านแรกจะเริ่มต้นโดยใช้ดินสอในการวาดเส้น แต่เมื่อผ่านด่านก็จะได้รับดินสอหัวหนา ปากกาหัวบาง สีเทียน แปรงทาสี เป็นต้น ซึ่งมีไอเทมไว้รอให้สะสมถึง 25 แบบ เพื่อเพิ่มความสนุกในการเล่นได้มากยิ่งขึ้น จัดว่าเป็นอีกหนึ่งแอพเกมที่น่าดาวน์โหลดติดมือถือไว้ให้ลูกได้ลองเล่นกันดูเลยละค่ะ เพราะนอกจากความสนุกแล้วยังช่วยพัฒนาสมองได้อีกด้วย

                    Brain Dots
                    Brain Dots

                    ดาวน์โหลด Android / iOS

                    Credit : www.iphonemod.net

                    Elevate

                    3.Elevate

                    เกมที่จะช่วยทำให้เรื่องคณิตศาสตร์ของเด็ก ๆ กลายเป็นความสนุกได้ โดยเกมนี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการกระตุ้นสมองและบริหารสมองในส่วนต่าง ๆ ให้ถูกพัฒนามากยิ่งขึ้น ผ่านตัวเกมทั้งหมด 35 เกมที่จะช่วยฝึกทักษะในด้านต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไปเช่น ทักษะทางด้านคณิตศาสตร์ ทักษะทางด้านภาษา คำศัพท์ ทักษะการอ่าน การฟัง และการเขียน เป็นต้น

                    Elevate
                    Elevate

                    ดาวน์โหลด Android / iOS

                    Flow Free

                    4.Flow Free

                    Flow Free เป็นเกมในแนว Puzzle แบบง่าย ๆ ที่ช่วยฝึกสมอง พัฒนาความคิด และทักษะหลาย ๆ ด้าน ให้กับเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี วิธีการเล่น คือ ลากจุดสีที่เหมือนกันให้มาชนบรรจบกันแค่นั่นเอง มีด่านให้เล่นมากถึง 750 ด่าน ที่สามารถค่อย ๆ เล่นชนะที่ละด่านไปเรื่อย ๆ พร้อมเสียงประกอบสนุก ๆ แต่ถ้าข้ามไปทับสีอื่นก็จะจบเกมทันที หรือลองใช้โหมดจับเวลาเพื่อท้าทายความสามารถของเด็ก ๆ ดูค่ะ

                    Flow Free
                    Flow Free

                    ดาวน์โหลด android/ iOS

                    Luminosity

                    5.Luminosity

                    Luminosity เป็นแอพเกมฝึกสมองที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว เล่นได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งสนุกและช่วยฝึกความจำ มีคำแนะนำเป็นภาษาอังกฤษที่เข้าใจง่าย ซึ่งมีด่านต่าง ๆ ต้องแข่งกับเวลาที่สร้างความท้าทายตลอดทั้งเกม มาให้เลือกมากกว่า 40 เกม เพื่อฝึกทักษะด้านต่าง ๆ สลับกันไปในแต่ละวัน โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

                    • ช่วยฝึกทักษะสมองด้านความจำ (Memory) เช่น เกม Memory Matrix
                    • Speed(ความเร็ว)
                    • ช่วยฝึกทักษะสมองด้านสมาธิ (Attention) เช่น เกม Train of Thought
                    • ช่วยฝึกทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving) เช่น เกม Puzzle
                    • ช่วยฝึกทักษะสมองทางด้านการพลิกแพลง ความยืดหยุ่น (Flexibility) เช่น เกม Color Match

                    โดยแอพจะสุ่มแบบฝึกหรือเกมใหม่มาให้เล่นในแต่ละวันฟรีในแบบโหมด Classic เพื่อฝึกทักษะในแต่ละด้านสลับสับเปลี่ยนกันไป และทุกแบบฝึกความสามารถจะมีการสรุปผลคะแนนว่าความสามารถด้านต่าง ๆ ของสมองเราว่าอยู่ในระดับไหน และถูกบันทึกคะแนนเอาไว้ในรูปแบบของ LPI (Lumosity Performance Index) ยิ่งเล่นเยอะก็จะยิ่งมีคะแนนสะสมเฉลี่ยที่ช่วยให้สามารถนำมาวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองได้ โดยคะแนนจะบ่งบอกถึงความถนัดของเราในแต่ละด้านด้วย

                    Luminosity
                    Luminosity

                    ดาวน์โหลด Android / iOS

                    credit : www.iphonemod.net

                    Move the Block

                    6.Move the Block

                    Move the Block เป็นอีกหนึ่งเกมลับสมองแนว Puzzle ที่เล่นง่ายและสร้างความท้าทายในการเล่นโดยให้พยายามย้ายบล็อกสีแดงไปยังทางออกให้ได้ เพื่อที่จะผ่านไปเล่นในด่านต่อไป โดยสามารถขยับบล็อกเป็นแนวนอนหรือแนวตั้ง สำหรับคนที่ไม่เก่งในการเล่น Puzzle ไม่ต้องกังวลไปในเกมมีระบบช่วยเหลือ ถ้าด่านไหนยากเกินไปก็สามารถใช้ตัวช่วยได้นะคะ จัดว่าเป็นเกมที่ช่วยฝึกสมองและให้เด็ก ๆ ใช้เวลาในการเล่นสมาร์ทโฟนแบบมีประโยชน์กันค่ะ

                    Move the Block
                    Move the Block

                    ดาวน์โหลด Android / iOS

                    Peak

                    7.Peak

                    อีกหนึ่งแอพที่เป็นเกมช่วยในการฝึกสมาธิและสมองในด้านต่างๆ  และเพิ่มทักษะต่าง ๆ เช่น การจดจำ การแก้ปัญหา ฯลฯ ผ่านรูปแบบเกมแนว Puzzle ต่างๆ ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น เกมเรียงลำดับตัวเลขจากค่าน้อยไปมาก เกมจับคู่ภาพ เกมจับคู่สี เกมลากเส้นหลบสิ่งกีดขวาง เกมโฟกัสสายตาโดยเลือกว่าวัตถุจะหันหัวไปทางไหน เป็นต้น หลังเล่มเกมเสร็จ แอพจะสรุปคะแนนมาให้และจัดอันดับความสามารถว่าอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ ทุกเกมจะมีการบอกวิธีการเล่นอย่างละเอียด สามารถล็อกอินผ่าน Facebook หรือ E-mail เพื่อดูผลเทียบคะแนนกับผู้เล่นคนอื่น ๆ หรือตั้งค่าการแจ้งเตือนให้ได้ใช้เวลาสั้น ๆ มาเล่นเกมเพื่อฝึกสมองในทุกวันได้อีกด้วย

                    Peak
                    Peak

                    ดาวน์โหลด AndroidiOS 

                    Pocket World 3D

                    8.Pocket World 3D

                    เกม Pocket World 3D จัดเป็นเกม Puzzle หรือตัวต่อในฉบับ 3D ที่ได้นำเอาสถานที่สวย ๆ และสำคัญ ๆ หลายรูปแบบ อาทิ  บ้าน ร้านขายเบเกอรี ร้านขายดอกไม้ ร้านขายของชำ ร้านราเม็งข้างทาง วัด อาคาร ปฏิมากรรมต่าง ๆ จนถึงสถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวจากทั่วโลก มาย่อส่วนให้เราได้นำชิ้นส่วนมาประกอบให้สมบูรณ์ อาทิ ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ ประเทศญี่ปุ่น สะพานโกลเดนเกต ซานฟรานซิสโก ประเทศอเมริกา หอไอเฟล ประเทศฝรั่งเศส หอนาฬิกาบิ๊กเบน ประเทศอังกฤษ เป็นต้น และสถานที่ในเมืองชื่อดังอีกมากกว่า 50 แห่ง รวมถึงรถยนต์ ภาพวาด วิวทิวทัศน์ รถถัง หุ่นยนต์ในแบบต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ซึ่งรวม ๆ แล้วมีมากกว่าร้อยแบบมาให้เล่นกันอย่างจุใจ ไม่มีเบื่อ และนอกจากจะได้ความสนุกในการต่อประกอบสถานที่สำคัญ ๆ ของโลกแล้ว ยังทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ประวัติย่อของสถานที่นั้น ๆ ด้วย เรียกว่าได้ทั้งสนุกและความรู้ไปพร้อม ๆ กันเลยละค่ะ

                    ส่วนวิธีการเล่นนั้นง่ายมากคล้ายกับการประกอบโมเดลจำลองทีละชิ้น ๆ แต่ว่าอยู่ในรูปแบบ 3D บนมือถือ เพียงเลือกชิ้นส่วนมาวางตรงตำแหน่งที่ถูกต้อง และมุมที่ถูกต้อง ก็จะสามารถประกอบโมเดลนั้นเป็นรูปเป็นร่างได้ โดยในเกมสามารถหมุนได้ 360 องศา และซูมเข้าออกได้ทั้งหมด ส่วนใครที่หาจุดในตอนที่ประกอบไม่ได้ในเกมจะมีการบอกใบ้ให้ว่าชิ้นส่วนต่อไปติดตรงไหนมุมไหนหรือมีแบบที่ต่อเสร็จแล้วให้ดูเป็นตัวอย่าง ในบางสถานที่อาจจะยากเกินไปสำหรับเด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถช่วยลูกหรือเล่นไปพร้อม ๆ กันกับลูกได้ บ้านไหนที่ชอบต่อโมเดล จิ๊กซอว์ อยู่แล้วลองดาวน์โหลดเกมนี้มาลองเล่นดูนะคะ

                    Pocket World 3D
                    Pocket World 3D

                    ดาวน์โหลด Android / iOS

                    Credit : www.game-ded.com

                    Sudoku

                    9.Sudoku

                    เกม Sudoku เป็นหนึ่งในเกมปริศนาชื่อคุ้นหูที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาล ถือเป็นเกมที่ช่วยฝึกสมองและกระบวนการคิด ไหวพริบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยวิธีเล่นก็คือ การใส่ตัวเลข 1-9 ลงไปในตารางขนาด 9×9 ที่มีตัวเลขกรอกอยู่ในบางช่องแล้ว โดยมีเงื่อนไขก็คือ ในแถวใดแถวหนึ่งจะต้องมีตัวเลข 1-9 ที่ไม่ซ้ำกันทั้งแนวนอนและแนวตั้ง โดยเลขทั้งหมดในช่องสี่เหลี่ยมจะต้องไม่มีการซ้ำกันด้วย หากลองให้ลูกได้เล่นซูโดกุเป็นประจำทุกวันจะช่วยฝึกทักษะคิดเลขได้เร็วมากขึ้น และจะเห็นพัฒนาการในเรื่องของสมาธิได้ชัดเจน เป็นอีกเกมที่น่าดาวน์โหลดติดเครื่องไว้มาลับสมองประลองความคิดกันทั้งครอบครัวดูนะคะ

                    Sudoku
                    Sudoku

                    ดาวน์โหลด AndroidiOS

                    Credit : www.sudoku.com/th

                    เพราะ “สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องมีการใช้งานเพื่อพัฒนาอยู่เสมอ สำหรับแอพเกมลับสมองนี้ จัดว่าเป็นตัวช่วยในการฝึกสมองชั้นดี ที่สามารถดาวน์โหลดมาเล่นด้วยกันได้ทั้งครอบครัว ใช้งานง่าย ๆ เหมาะสำหรับเด็กตั้งแต่ 4+ ขึ้นไป โดยมีคุณพ่อคุณแม่มาเป็นผู้ช่วยอยู่ข้าง ๆ ใช้เวลาว่างหรือให้เวลาในการเล่นสมาร์ทโฟนของลูกได้อย่างมีประโยชน์ อย่างไรก็ตามการใช้เวลาหน้าจอของลูกก็ยังควรจำกัดเวลาในการใช้ ข้อมูลจาก American Academy of Pediatrics & WHO แนะนำว่า เด็กอายุ 3-5 ปี ไม่ควรเกิน 1 ชม./ วัน อายุ 6-10 ปี ไม่ควรเกิน 1 ชม.ครึ่ง/ วัน และ 11-13 ปี ไม่ควรเกิน 2 ชม./ วัน  ในช่วงวัยเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกเริ่มรู้จักวางแผนการใช้ด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้กระทบการนอนและการพักผ่อนของลูก รวมถึงแบ่งเวลาให้ลูกได้เล่นเทคโนโลยีบนหน้าจอและทำกิจกรรมอื่น ๆ ด้วยนะคะ.

                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

                    เกม เด็ก 4 ขวบ พ่อแม่ชวนเล่น “เกมอะไรดี” ให้ลูกห่างจอ

                    8 บอร์ดเกมเด็ก ต้องมีติดบ้าน ช่วยเพิ่มทักษะรอบด้านให้ลูก

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      twinkl

                      Twinkl สื่อการสอนจากประเทศอังกฤษ แจกโค้ดโหลดฟรี!

                      ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 Twinkl (ทวิงเคิล) ผู้ผลิตสื่อการสอนจากประเทศอังกฤษใจดี แจกโค้ดดาวน์โหลด สื่อการสอนจากประเทศอังกฤษ ฟรี! กว่า 630,000 สื่อการสอน

                      สื่อการสอนของทวิงเคิล มีหลากหลายรูปแบบ เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง จะได้นำสื่อการสอนเกมส์ กิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ไปใช้กับเด็กๆ ตั้งแต่ 0-18 ปี ให้เด็กๆ ทำที่บ้านได้ในช่วงที่โรงเรียนต้องเลื่อนเปิดเทอม เนื่องจากปัญหาโควิด-19 ระบาด

                      หรือหากเป็นคุณครูและผู้สอนในทุกระดับชั้น ก็สามารถดาวน์โหลดทุกสื่อการสอน ฟรี สามารถเลือกได้ตามอายุของผู้เรียน มีตั้งแต่เด็กเล็กก่อนเข้าโรงเรียน  อนุบาล ประถม มัธยม รวมถึงการศึกษาพิเศษค่ะ

                      ทุกสื่อการสอนและกิจกรรมในเว็บไซต์ ออกแบบโดย ครู ในสหราชอาณาจักร ผู้มีประสบการณ์ในการสอนและการใช้สื่อการสอนในห้องเรียนมาอย่างยาวนาน ได้รับมาตรฐานและสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาของสหราชอาณาจักร

                      แม่ยูมิ ลองสมัครเข้าไปแล้วชอบมากค่ะ มีสื่อการสอนเยอะมาก ให้เราสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจริงๆ ค่ะ

                      รายการสื่อการสอนสำหรับคุณพ่อคุณแม่

                      รายการสื่อการสอน สำหรับผู้ปกครอง

                      รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 0-5 ปี

                      สื่อการสอนสำหรับเด็ก 0-5 ปี

                      รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 5-7 ปี

                      รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 5-7 ปี

                      รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 7-11 ปี

                      รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 7-11 ปี

                      รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 11-18 ปี

                      รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 11-18 ปี

                      รายการสื่อการสอนสำหรับโรงเรียนนานาชาติ

                      รายการสื่อการสอนสำหรับโรงเรียนนานาชาติ

                       

                      วิธีการสมัครและใช้โค้ด

                      1. คลิกเข้าไปที่ลิงค์  https://www.twinkl.co.th/offer

                      2. กรอกข้อมูลในส่วนของ New to Twinkl

                      3. กรอกโค้ดTHATWINKLHELPSในช่อง Offer Code

                      เพียงเท่านี้ก็สามารถ เข้าไปเลือกดู และดาวน์โหลดสื่อการสอนได้อย่างฟรีๆ มากกว่า 630,000 สื่อการสอนค่ะ

                       

                      เกี่ยวกับ ทวิงเคิล

                      หนึ่งในผู้ผลิตสื่อการสอนรายใหญ่ของโลก ก่อตั้งเมื่อปี 2010 สำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Sheffield ประเทศอังกฤษ

                      ปัจุบันมีจำนวนผู้ใช้สื่อการสอนมากกว่า 3.5 ล้านคน ใน 150 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสื่อการสอน, แผนการสอน, หนังสือเรียน หรือสื่อการสอนในรูปแบบดิจิตอลสำหรับเด็กเล็กวัยก่อนเข้าโรงเรียน, นักเรียนชั้นอนุบาล, ประถม, มัธยม และยังรวมไปถึง การศึกษาพิเศษ

                      และเมื่อต้นปี 2020 ทวิงเคิลได้ขยายตลาด เพิ่มการเข้าถึงให้แก่ครูและผู้สอนในประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย

                      ทวิงเคิล เล็งเห็นว่า ครูในประเทศไทยนั้น มีภาระหน้าที่มากมาย นอกเหนือจากการสอน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลนักเรียน จัดกิจกรรมต่างๆ ประสานงานส่วนต่างๆ ในโรงเรียน และนอกโรงเรียน

                      พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านก็ให้ความสำคัญกับ การเรียนรู้เพิ่มเติมของลูกมากขึ้น การเสริมสร้างทักษะด้านภาษาอังกฤษ การใช้ภาษาอังกฤษภายในบ้าน ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ

                      ครูสอนพิเศษ หรือติวเตอร์ มองหาเนื้อหา วิธีการสอนที่แตกต่างและน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น

                      ทวิงเคิล จึงอยากถือโอกาสนี้ เข้ามาเป็นตัวช่วยของผู้สอนทุกๆ ท่าน ด้วยสื่อการสอนที่ทันสมัย ใช้ง่าย เนื้อหาน่าสนใจ ได้มาตรฐาน และสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาของสหราชอาณาจักร

                       

                      คุณพ่อคุณแม่ และคุณครูสามารถทำความรู้จักกับทวิงเคิล เพิ่มเติมได้ที่ https://www.twinkl.co.th/blog/twinkl-subscription

                       

                      บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                      แจกฟรี! แบบฝึกหัดอนุบาล 3 กว่า 100+ แผ่น เน้นพัฒนาทักษะการคิด

                      แบบฝึกหัด ฝึกเขียนอนุบาล แจกฟรี!! กว่า 50 ใบงานอนุบาล 1-3

                      แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ประถม รวม 60 แบบ โหลดเลย!

                      รวมแบบฝึกหัดอนุบาล กว่า 60 แบบฝึก

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        กระตุ้นสมองลูก

                        10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

                        พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกเกิดมาสมบูรณ์ครบ 32 แต่จะยิ่งดีถ้าลูกเกิดมาพร้อมสติปัญญาที่ดี ฉลาดคิด ฉลาดเรียนรู้ ซึ่งความฉลาดของลูกไม่ได้มาจากกรรมพันธุ์ของพ่อแม่เท่านั้น คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องอยู่ก็สามารถกระตุ้นสมองลูกให้ฉลาดและพัฒนาการดีได้ตั้งแต่ในท้อง ด้วย 10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ที่ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมมาไว้ที่นี่แล้วค่ะ

                        10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง

                        จะสร้างลูกให้สติปัญญาดีต้องเริ่มจากอาหารที่ดี และการได้ถูกกระตุ้นด้วยกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสมองมาตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องแม่

                        1. กินอาหารที่ดีต่อสมองลูก

                        ระบบประสาทและสมองของลูกน้อยในครรภ์จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ และค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอายุ 3 ขวบ ระบบประสาทจะพัฒนาได้ถึง 70% ของผู้ใหญ่ คุณแม่จึงควรได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองลูกตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์

                        เนื้อสมองของทารกในครรภ์มีองค์ประกอบที่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวถึง 60% ซึ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญต่อพัฒนาการสมองของลูกในท้อง คือ DHA และ ARA ซึ่ง DHA พบมากในปลาทะเลและสาหร่ายทะเล ส่วน ARA พบมากในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย และน้ำมันข้าวโพด

                        หากคุณแม่เลือกกินอาหารที่มีสารอาหารดังกล่าวอย่างเพียงพอจะช่วยในการสร้างเนื้อสมอง และระบบเส้นใยประสาทของลูกน้อยให้มีคุณภาพได้ตั้งแต่เริ่มต้น

                        บทความแนะนำ คนท้องกินอย่างไรไม่ให้อ้วน กับ 9 วิธีคุมน้ำหนักตอนท้องให้ได้ผล

                        1. แม่สุข ลูกก็สุข

                        การที่คุณแม่ท้อง อารมณ์ดี มีความสุข จะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า สารเอนโดรฟิน (endorphin) ส่งผ่านไปยังลูกน้อยทางสายสะดือ ทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ)

                        บทความแนะนำ แม่ท้องเครียด ส่งผลต่อลูกในท้องอย่างไร?

                        1. ฟังเพลงกระตุ้นระบบประสาทลูก

                        ระบบประสาทด้านการรับฟังของลูกในท้อง เริ่มทำงานตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน นั่นคือลูกเริ่มได้ยินเสียงแล้ว คุณแม่สามารถใช้ วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ด้วยเสียงเพลง จะช่วยกระตุ้นเครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมา จะมีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี ทั้งนี้คุณแม่ไม่จำเป็นต้องฟังเฉพาะเพลงคลาสสิกเท่านั้น แต่สามารถเลือกฟังเพลงแนวไหนก็ได้ที่คุณแม่ฟังแล้วสบายใจ โดยเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงเพลงดังพอประมาณให้ลูกในท้องได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย

                        บทความแนะนำ แม่ท้องฟังเพลง คลาสสิค-โมสาร์ท ช่วยให้ทารกฉลาดขึ้นจริงหรือ?

                        ลูกในท้องเคลื่อนไหว

                        1. เต้นเบาๆ ตามเสียงเพลง

                        นอกจากการฟังเพลงจะช่วยเพิ่ม IQ ให้ลูกในท้องฉลาดแล้ว หากคุณแม่ลองขยับเบาๆ ตามเสียงเพลง โยกย้ายไปตามจังหวะดนตรี โดยใช้มืออุ้มรับท้องเอาไว้ วิธีนี้ ถือเป็นการออกกำลังกายเบาๆ ที่ไม่เพียงแต่คุณแม่จะได้ผ่อนคลายและรู้สึกสนุกสนานแล้ว ลูกน้อยในท้องยังได้รับรู้ถึงความสุขของคุณแม่ และรู้สึกสนุกสนานตามไปด้วย เป็นการกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกให้ตื่นตัวได้เป็นอย่างดี

                        1. คุยกับลูกในท้อง อ่านหนังสือให้ฟังบ่อยๆ

                        ยิ่งคุณแม่คุยกับลูกในท้องบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินของลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้น คุณแม่ควรคุยกับลูกบ่อยๆ อ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ ชัดๆ ทำให้ทารกรับฟังได้อย่างชัดเจน แม้ลูกในท้องจะยังมองไม่เห็นโลกภายนอก แต่ก็ช่วยทำให้ลูกคุ้นชินกับการสื่อภาษาได้

                        บทความแนะนำ รวมวิธีกระตุ้นประสาท คุยกับลูกในท้อง สร้างอัจฉริยะให้ลูก

                        บทความแนะนำ 3 เหตุผลดีๆ ที่แม่ท้องควรอ่านหนังสือ

                        1. ลูบหน้าท้อง

                        เมื่อคุณแม่เริ่มสัมผัสบริเวณหน้าท้องเบาๆ จะสังเกตได้ว่าทารกในครรภ์จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ หรือมีการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด เช่น จะรู้สึกว่าลูกขยับตัวไปตามบริเวณที่มือพ่อแม่ลูบไป หรือมีอาการเตะเพื่อตอบโต้เหมือนกำลังเล่นกับคุณพ่อคุณแม่ โดยการลูบท้องควรลูบเป็นวงกลม เพราะการลูบหน้าท้องลักษณะนี้ เป็นการส่งความรู้สึกและพลังผ่านหน้าท้องสู่ลูกในท้องโดยตรง จึงทำให้ลูกสามารถรับถึงความรู้สึกและการสัมผัสแบบนี้ได้ การลูบหน้าท้องจะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น

                        บทความแนะนำ ลูบท้องให้ลูกฉลาด กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกในครรภ์ด้วย 5 วิธี

                        1. ส่องไฟที่หน้าท้อง

                        ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน ให้คุณแม่ลองนำไฟฉายมาส่องที่หน้าท้อง เพื่อกระตุ้นให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นของลูกน้อยมีพัฒนาการดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นภายหลังคลอด โดยเมื่อคุณแม่ส่องไฟที่หน้าท้องลูกน้อยในครรภ์สามารถกะพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้

                        1. จิ้มท้องตามจังหวะ

                        เมื่อคุณแม่เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะเริ่มรู้สึกได้ถึงการดิ้นของลูก ให้ลองใช้มือตบหน้าท้องเบาๆ หรือจิ้มท้องเป็นจังหวะทุกครั้งที่ลูกดิ้น หรือโก่งตัวเคลื่อนไปมา จะรู้สึกได้ว่าลูกมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง วิธีนี้ช่วยให้ลูกน้อยมีการพัฒนาเซลล์ประสาทที่ดี และฉลาดมากขึ้นจากการใช้สติปัญญาตอบสนองต่อการกระตุ้นของคุณแม่นั่นเอง

                        โยคะคนท้อง
                        แม่ท้องออกกำลังกายกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาได้ดี
                        1. ออกกำลังกาย

                        ขณะตั้งครรภ์คุณแม่สามารถออกกำลังกายเบาๆ ได้ตามที่ถนัด เช่น การเดิน การเต้นรำ ว่ายน้ำ โยคะ หรือขี่จักรยานอยู่กับที่ เมื่อคุณแม่ออกกำลังกาย ลูกน้อยในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก เป็นการกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาได้ดี

                        บทความแนะนำ โยคะคนท้อง 15 สิ่งที่ควรรู้ Do&Don’t เล่นโยคะระหว่างตั้งครรรภ์

                        1. ทำสมาธิ

                        การนั่งสมาธิสักวันละ 1 ชั่วโมง ช่วงเช้าตรู่หรือก่อนเข้านอน ได้ประโยชน์ทั้งคุณแม่และลูกในท้องไปพร้อมกัน การทำสมาธิ ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ จดต่ออยู่ที่การนับลมหายใจเข้าออก โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น ช่วยให้คุณแม่จิตใจสงบ เลือดสูบฉีดปกติ หัวใจเต้นสม่ำเสมอ สมองก็จะรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย ลูกน้อยก็จะรับรู้ถึงความมั่นคงและปลอดภัยเช่นกัน

                        ทั้ง 10 ข้อที่กล่าวมาไม่ยากเลยใช่ไหมคะ กับ วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ให้ฉลาดมีพัฒนาการที่ดีตั้งแต่ในท้องแม่ ถ้าคุณแม่พร้อมแล้ว ชวนคุณพ่อมากระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

                         

                        ขอบคุณข้อมูลจาก รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, modernmom

                         

                        บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                        นักวิจัยพิสูจน์แล้ว! ลูกจะสืบทอดสติปัญญาจากแม่ได้มากกว่าพ่อ

                        200 ชื่อจริง + ความหมายของชื่อ เน้นเรื่องฉลาด มีปัญญาเฉียบแหลม

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          ดึงแขนลูก

                          แม่เล่าอุทาหรณ์! “ลูกสาวข้อศอกเคลื่อน” เพราะเล่นเต้นรำ ดึงแขนลูก

                          เตือน! ดึงแขนลูก เหวี่ยงแขนลูก กระชากฉุดแขนลูก ห้ามเล่นหรือกับลูกแบบนี้ พ่อแม่ระวังให้ดี .. แม่เล่าอุทาหรณ์! เพราะเล่นเต้นรำแบบเจ้าหญิง ดึงแขน หมุนตัว ทำลูกสาวข้อศอกเคลื่อน

                          อุทาหรณ์ “ลูกข้อศอกเคลื่อน” เพราะเล่นเต้นรำ ดึงแขนลูก

                          คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่? ภาวะกระดูกเคลื่อนในเด็ก มักพบได้บ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ หรือวัยเริ่มเดินเริ่มวิ่งได้ เนื่องจากสรีระของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อศอก ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ หากขยับผิดจังหวะก็จะเคลื่อนหลุดออกจากกันได้โดยง่าย ซึ่งส่วนของร่างกายเด็กที่มักจะเกิดอุบัติเหตุลักษณะนี้บ่อยมากที่สุด ก็คือ บริเวณข้อศอก

                          ทั้งนี้การที่ กระดูกข้อศอกของลูกเคลื่อน มักเกิดจากการกระทำของคุณพ่อคุณแม่หรือพี่เลี้ยงเด็ก เช่น ดึงแขนลูก หรือยกลูกขึ้นจากพื้นโดยการจับมือแล้วฉุดขึ้น หรือการฉุดคว้าข้อมือเด็กยกตัวลอยให้ยืนขึ้น หรือการเล่นเหวี่ยงแขนลูก  ดึงแขนลูกแรงๆ เพียงข้างเดียว การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้กระดูกข้อศอกของเด็กเคลื่อนหลุดได้โดยไม่ตั้งใจ

                          เช่นเดียวกับเรื่องราวของคุณแม่ท่านนี้ที่ออกมาโพสต์แชร์อุทาหรณ์เตือน หลังจากที่ลูกสาวข้อศอกเคลื่อนเพราะเล่นกับแม่ โดยจากโพสต์นั้นคุณแม่ได้ระบุว่า …

                          วันนี้จะมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกันตาเมื่อวานเพื่อเป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ ให้กับพ่อแม่ที่มีลูกวัยเล็กๆแบบกันตา และเพื่อบันทึกไว้เป็นความรู้ของตัวเราเองด้วย เพราะเอาจริงๆ ถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดกับกันตา เราคงไม่รู้จักภาวะ กระดูกข้อศอกเคลื่อนในเด็ก

                          ดึงแขนลูก
                          ภาพน้องกันตาก่อน ถูกดึงแขน กระดูกข้อศอกเคลื่อน

                          เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวานก็เล่นกับลูกตามปกตินี่แหละ เล่นเต้นรำ ดึงแขนลูก แบบเจ้าหญิงเจ้าชาย กันตาเป็นเจ้าหญิง (สังเกตจากเสื้อผ้าหน้าผมนางได้ ไปหาหมอทั้งชุดเต็มยศเลยจ้ะ) ส่วนแม่เป็นเจ้าชาย เล่นเต้นรำแบบซิลเดอเรลล่า ช่วงนี้ลูกบ้าเจ้าหญิง ก็มีการจับแขน ดึงแขนลูก หมุนตัว แต่ไม่ได้ดึงแรงอะไรเลยนะ เพราะเราก็ค่อนข้างระวังเรื่องอุบัติเหตุแบบนี้อยู่แล้ว เล่นกันปกติ

                          ดึงแขนลูก

                          แต่มันมีจังหวะนึงที่กันตาหันหลังแล้วเราจับแขนลูก พลิกมาด้านหลัง อยู่ๆ กันตาก็ร้องว่าแขนหนูจะหักอยู่แล้ว แล้วก็ร้องไห้ เราก็คิดว่าลูกอ้อน คงจะงอแง เริ่มง่วง เพราะนี่ก็จะบ่ายสามโมงแล้วยังไม่ได้นอนกลางวัน ก็พานางมานอนกินนม แต่พอโดนแขนบริเวณข้อศอกข้างซ้าย กันตาก็ร้องอีก เอาเข้าเต้าก็ไม่หยุดร้อง ซึ่งเราว่ามันผิดปกติมากสำหรับกันตา เพราะกันตาไม่ใช่เด็กขี้งอแง เจ็บตัวแค่ไหน ให้ดูดนมเต้าคือสงบและหยุดร้องไห้ตลอด … แต่ครั้งนี้กันตาไม่ยอมดูดเต้าแม่ และร้องไห้ เราก็งง ว่าไม่ได้เล่นกันแรง ไม่น่าจะแขนหักได้ แต่ลูกดูเจ็บมากจริงๆ ไม่ได้แค่งอแงแน่นอน สังเกตว่าบริเวณข้อศอกเริ่มแดงๆ และบวมขึ้นเล็กน้อย เลยคิดว่าอาจจะหักแน่

                          ดึงแขนลูก
                          ภาพตัวอย่างการเล่นดึงหิ้วแขนลูก
                          ดึงแขนลูก
                          ภาพประกอบ : พ่อแม่จับดึงแขนลูก ทำกระดูกข้อศอกเคลื่อน

                          ไอ้เรื่องกระดูกข้อศอกเคลื่อนนี่ไม่มีอยู่ในหัวเลย เพราะยังไม่เคยเจอเคสแบบนี้ คิดแต่ว่าอาจจะหัก แต่จะหักได้ไงหว่า เพราะไม่ได้เล่นรุนแรงอะไรเลย เอาล่ะ อย่าช้าที รีบพาลูกไปหาหมอ x-ray ดูให้รู้กันไปเลยดีกว่า เรียกว่าเป็นปุ๊ป ประเมินอาการลูกแล้วว่าปวดจริงๆแน่ ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ก็รีบไปหาหมอเลย (ขอบคุณอาชีพพยาบาลที่สั่งสมประสบการณ์และสอนให้เรารู้จักการประเมินคนไข้)

                          อุ้มขึ้นรถนั่งคาร์ซีท จะรัดเข็มขัดคาร์ซีท กันตาไม่ยอมเลย ไม่ยอมขยับแขน ร้องเจ็บตลอด จนหลับไปเอง แม่ยังแอบไปจับแขนดู จากหลับๆอยู่ สะดุ้งตื่นร้องเจ็บลั่นรถไปหมด พ่อหันมาดุแม่ใหญ่โตว่าไปจับให้ลูกเจ็บทำไม จริงๆแม่แค่อยากประเมินว่าลูกเจ็บจริงๆ ไม่ใช่แค่งอแงเพราะง่วง ก็เป็นอันรู้เรื่องว่าเจ็บจริงอะไรจริง โดนสามีดุอีกต่างหาก แม่แค่ประเมินซ้ำจ้ะพ่อมรึ๊งงงง 😂😂😂

                          ดึงแขนลูก

                          ดึงแขนลูก

                          พอถึงโรงบาลเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอก็สงสัยว่าจะเป็น ข้อศอกเคลื่อนจากการดึง (Pulled elbow) ระหว่างตรวจคือกันตาร้องตลอด ร้องดังลั่นห้องฉุกเฉิน หมอจับแขนไม่ได้เลย ทั้งกลัวทั้งเจ็บผสมกัน คุณหมอให้ลองขยับแขนดู ก็ไม่ยอมขยับเลย คุณหมอให้ไป X-ray ระหว่างที่ทำการ X-ray พี่เขาก็จัดท่างอข้อศอก เหยียดข้อศอก กันตาร้องหนักมาก คงทั้งกลัวทั้งเจ็บ พ่อกับแม่ช่วยกันจับ 2 คน ร้องก็ร้องไปลูก มันจำเป็นต้องทำ

                          พอ X-ray เสร็จ กลับมาห้องฉุกเฉิน ให้คุณหมอดูฟิล์ม ไม่มีกระดูกหัก หรือร้าวใดๆ และกันตาก็ขยับแขนได้ปกติแล้ว ยกแขน ยกขึ้น ยกลงให้คุณหมอดู หยุดร้องไห้ทันที คุยกับคุณหมอได้ คุณหมอบอกว่าตอนที่ไป X-ray กระดูกที่เคลื่อนออกจากเส้นเอ็น น่าจะกลับเข้าที่ปกติแล้ว น้องหายเจ็บ แต่มีโอกาสจะเกิดซ้ำได้อีก จึงควร on slab ไว้ก่อน (ใส่เฝือกอ่อน) นัดมาติดตามอาการ 1 อาทิตย์ วันนี้กลับบ้านได้ ไม่ต้องทานยาอะไร ซึ่งกันตาก็กลับมาเป็นกันตาคนเดิม ดื้อและซนปกติ ไม่ร้องเจ็บ ยกแขน ขยับแขนได้ปกติเลยทุกอย่าง ต่างจากคนเมื่อกี้จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย แถมจะไม่ยอมใส่เฝือกอ่อนอีกต่างหาก เพราะนางบอกนางไม่เจ็บแล้ว 😂😂

                          เป็นอันจบเรื่อง สำหรับบ้านที่มีเด็กเล็กๆ ต้องระวังการจับ การ ดึงแขนลูก มากๆ เลยนะคะ แม้ว่าจะไม่รุนแรง แค่การจูงมือข้ามถนน หรือเล่นยกแขน ก็อาจเกิดภาวะนี้ได้แล้ว เพราะในเด็กเล็กๆ อายุต่ำกว่า 5 ขวบ สรีระของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อศอก ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ง่ายต่อการเคลื่อนหลุด ถ้าขยับผิดจังหวะ และหากเคยเป็นแล้ว จะเป็นซ้ำได้ง่าย

                          การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อ ดึงแขนลูก จนข้อศอกเคลื่อน

                          การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ การจัดให้ส่วนที่เจ็บอยู่นิ่งๆมากที่สุด แล้วรีบพาลูกไปรพ. อย่าพยายามขยับข้อศอกให้เข้าที่ด้วยตัวเอง เพราะอาจทำผิดพลาดแล้วทำให้บาดเจ็บที่ข้อศอก เส้นเอ็น เส้นเลือดบริเวณนี้มากขึ้น ระหว่างทางไปพบแพทย์ ให้ประคบเย็น และ รักษาสภาพข้อศอกให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุด

                          ปล. พ่อกันตาบอกว่าดีนะเกิดเหตุการณ์นี้ตอนอยู่กับแม่ เพราะถ้าเกิดตอนอยู่กับพ่อ มีหวัง แม่บ่นพ่อจนหูชาไป 3 วัน บ้าหรอออออ ใครเขาเป็นคนแบบนั้นกัน

                          ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจากคุณแม่น้องกันตา เฟซบุ๊ก พัชรินทร์ จันทร์แสง‎ 

                          ทั้งนี้ทั้งนั้นจากโพสต์ที่คุณแม่ของน้องกันตาได้แชร์เตือนมานั้น ทางทีมแม่ ABK จึงอยากจะฝากไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนมีลูกเล็กอายุในช่วง 1-5 ปี ควรจะต้องระวังมากเป็นพิเศษ เพราะบ่อยครั้งที่เรามักเผลอเล่นหรือ ดึงแขนลูก โดยไม่ทันระวังจนเป็นเหตุให้กระดูกข้อศอกของเด็กเคลื่อนหลุดได้โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งภาวะกระดูกข้อศอกเคลื่อน ก็ถือเป็นอุบัติเหตุใกล้ตัวอันดับต้นๆ และถ้าเคยเป็นแล้วจะเป็นซ้ำได้ง่ายมาก เพราะกระดูกของเด็กนั้นยังบอบบางอยู่มาก แม้จะเล่นเบาๆไม่ผาดโผนก็ตาม แต่ไม่ควรประมาทนะคะ

                          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            แพ้แป้งสาลี

                            แม่ควรรู้! แพ้แป้งสาลี อาการเป็นยังไง? มีอะไรบ้างที่ลูกกินได้หรือต้องหลีกเลี่ยง!

                            แม่ควรรู้! ลูกแพ้อาหาร แพ้แป้งสาลี เกิดจากอะไร อาการแพ้แป้งสาลี เป็นยังไง? และถ้ากินแป้งสาลีไม่ได้ จะมีอาหารอะไรที่ลูกกินได้ หรือควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดใดเพื่อไม่ให้ลูกเกิดอาการแพ้อีก

                            แม่ควรรู้! แพ้แป้งสาลี อาการ เป็นยังไง?
                            มีอะไรที่ลูกกินได้-กินไม่ได้

                            แพ้แป้งสาลี หรือ ข้าวสาลี คือ อาหาร 1 ใน top 5 ที่เด็กๆ แพ้กันมากที่สุด! ปัจจุบันอาการแพ้อาหารนี้ถือเป็นภาวะที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งนอกจากเป็นภาวะที่อันตรายทำให้เสียชีวิตได้แล้ว ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมากอีกด้วย

                            เพราะเด็กที่แพ้อาหาร แพ้ไข่ หรือ แพ้แป้งสาลี จะมีข้อจำกัดในการกิน การใช้ชีวิต เรื่องอาหารการกินของเด็กที่แพ้อาหารจึงเป็นสิ่งที่ต้องละเอียดอ่อนมากๆ หากพ่อแม่ไม่ระวังให้ดี หากลูกน้อยเผลอกินอาหารที่แพ้เข้าไป ก็จะมีอาการแพ้เฉียบพลันขึ้นมาได้ ภายในเวลาไม่กี่นาที หรือไม่เกิน 2 ชม. จะมีอาการผื่นคัน ลมพิษ อาจมีอาการบวมที่ตาและริมฝีปากร่วมด้วย เช่นเดียวกับ “น้องวิน” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “หนูเล็ก ก่าก๊า” หรือ “หนูเล็ก ภัทรวดี ปิ่นทอง” ก็เป็นหนึ่งในเด็กที่ แพ้แป้งสาลี โดยจะมีอาการผื่นแพ้ทันทีหลังจากรับประทาน และคุณแม่หนูเล็กก็ระมัดระวังเป็นอย่างดีในการเลือกอาหารให้กับลูกชาย

                            แต่ล่าสุดก็ต้องมีอันที่ทำให้น้องวินเกิดอาการแพ้อีกครั้ง เมื่อซื้ออาหารนอกบ้านมารับประทาน ซึ่งคุณแม่หนูเล็กได้ออกแชร์เรื่องราวเพื่อให้แง่คิดกับคุณแม่มือใหม่ให้ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินของลูกมากขึ้น เพราะแม้ว่าการสอบถามแม่ค้าแล้วแต่ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อความปลอดภัยของลูก โดยเผยว่า…

                            น้องวินชอบกินน่องไก่ทอดมากๆ. ทุกครั้งถ้าจะซื้อกินต้องถามย้ำและซ้ำหลายรอบว่าไม่มีส่วนผสมแป้งสาลีใช่ไหม แต่ครั้งนี้เกิดจากพนักงานขายพูดด้วยความมั่นใจทุกรอบว่าไม่มีแป้งสาลี. แม่เลยกล้าให้ลูกกิน. ผ่านไป 20 นาทีก็เป็นแบบนี้เลยจ้า ต่อไปจะกินไก่แค่ของป้าจูนคนเดียว และแม่จะ ฝึกทอดให้อร่อยเหมือนของป้าจูนเองเลย. #เก็บไว้ให้วินดู

                            แพ้แป้งสาลี

                            แพ้แป้งสาลี
                            ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก IG @nulek_gaga

                            >>ทั้งนี้ก็ได้มีคนในวงการบันเทิงหลายคนเข้ามาคอมเมนต์ถามอาการและแสดงความเป็นห่วง รวมถึงมีชาวเน็ตเข้ามาคอมเม้นต์ว่า “ของข้างนอกบางทีปนเปื้อนติดมาด้วยคะ​ ต้องระวังมากๆ​” , “คุณแม่ต้องรู้ด้วยว่าน้องแพ้ในระดับไหน​ บ้านนี้แพ้ขนมปรุงแบบโดยตรง​เลย​” โดยคุณแม่หนูเล็กก็ตอบกลับว่า “รู้ค่ะ แต่คนขายย้ำว่าไม่มี 100%”

                            แพ้แป้งสาลี เกิดจาก ?

                            การแพ้แป้งสาลีในเด็ก จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายตอบสนองต่อโปรตีนที่พบในข้าวสาลี ผ่านกลไกทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย อาจเกิดจากกินข้าวสาลีหรือการสูดดมแป้งสาลีเข้าไป ซึ่งปัจจุบันแป้งสาลีมักเป็นส่วนประกอบอาหารหลากหลายชนิด ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ลูกน้อยเสี่ยงต่อการแพ้แป้งสาลี ได้แก่ พันธุกรรม และอายุ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กยังไม่แข็งแรงสมบูรณ์เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมต่างๆ โรคภูมิแพ้ทั่วไป หากลูกมีการแพ้อาหารอื่นๆ ก็จะทำให้มีโอกาสแพ้แป้งสาลีได้

                            แพ้แป้งสาลี อาการ !

                            ภาวะแพ้แป้งสาลี มักจะแสดงอาการต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย อาการแพ้และความรุนแรงอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนี้

                            • อาการแพ้ที่ส่งผลต่อระบบผิวหนัง ได้แก่ ผื่นแดงคัน ผื่นลมพิษ หน้าบวม ตาบวม ริมฝีปากบวมพร้อมกับอาการคันซึ่งอาจทำให้อาการบวมเพิ่มขึ้นได้ค่ะ
                            • อาการแพ้ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ น้ำมูกไหล ไอ จาม การแพ้ในบางครั้งอาจนำไปสู่การอักเสบของปอดหรือลำคอ ส่งผลให้หายใจลำบาก หลอดลมตีบเฉียบพลัน แน่นหน้าอก เป็นต้น
                            • อาการแพ้ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาการคันริมฝีปากบวม คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย กลืนลำบาก เป็นต้น
                            • อาการแพ้ที่ส่งผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น เวียนศีรษะ มึนงง ความดันโลหิตต่ำ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

                            ลูกแพ้แป้งสาลี ห้ามกินอะไร?

                            แพ้แป้งสาลี
                            ขอบคุณภาพข้อมูลเรื่อง ภูมิแพ้ข้าวสาลี
                            จาก ศูนย์โรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ www.siphhospital.com

                            แพ้แป้งสาลี กินอะไรได้บ้าง!

                            ทั้งนี้หากลูกแพ้แป้งสาลี สิ่งที่สามารถกินได้ คือ

                            • ข้าวเจ้า เช่น ข้าวสวย ข้าวกล้อง ข้าวเหนียว เส้นหมี่ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ ก๋วยจับ เกี๋ยมอี๋ ขนมจีน ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด
                            • แป้งบัควีต เช่น เส้นโซบะ
                            • ถั่วเขียว เช่น วุ้นเส้น เส้นเซี่ยงไฮ้ เต้าส่วน ลูกชุบ ซาหริ่ม
                            • ถั่วเหลือง เช่น นมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เต้าฮวย ซีอิ๊วซอสปรุงรสบางยี่ห้อ เพราะบางยี่ห้อจะมีแป้งสาลีผสมอยู่ ต้องอ่านฉลากให้ละเอียดด้วย
                            • แป้งมันสำปะหลัง เช่น ทับทิมกรอบ แป้งมันที่ใส่อาหารทำให้หนืดๆเช่น เต้าส่วน ราดหน้า ขนมชั้น ขนมฟักทอง ขนมกล้วย เม็ดสาคู
                            • ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น แมคคาเดเมีย วอลนัท ถั่วแดง ถั่วขาว เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแฟล็กซ์ ถั่วปากอ้า ถั่วพิทาชิโอ มะม่วงหิมพานต์
                            • และอื่นๆ เช่น มันฝรั่ง แห้ว เผือก เส้นบุก มันเทศ แปะก๊วย ลูกเดือย ลูกบัว งา กุยช่าย เป็นต้น

                            Must read >> 7 เมนูอาหารและขนม สำหรับเด็กแพ้อาหาร

                            การรักษาอาการแพ้แป้งสาลี

                            การรักษาโดยทั่วไป เบื้องต้นง่ายๆ ที่คุณหมอแนะนำคือให้เลี่ยงอาหารที่สงสัยว่าแพ้ จนกว่าอาการแพ้จะดีขึ้นตามช่วงอายุ แต่ก็มีอาหารหลายชนิดที่มีโอกาสหายแพ้ได้น้อย หรือในบางครั้งเด็กป่วยที่มีอาการแพ้มาก ทำให้ไม่หายจากการแพ้อาหารตามช่วงอายุ และอาหารบางชนิดก็เลี่ยงได้ยาก เนื่องจากอาจมีปะปนเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิด และฉลากอาหารไม่ได้ระบุ ทำให้ลูกกินอาหารที่แพ้โดยไม่ได้ตั้งใจ และทำให้เกิดอาการแพ้ได้

                            ซึ่งถ้าลูกน้อยเผลอกินแป้งสาลีเข้าไปแล้วเกิดผื่นคัน เป็นอาการแพ้แบบไม่รุนแรง ก็สามารถทานยาแก้แพ้ได้ แต่ถ้ามีอาการแพ้รุนแรงต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที

                            ทั้งนี้สำหรับบ้านไหนที่คุณพ่อคุณแม่รู้อยู่แล้วว่าลูกของตัวเองแพ้อาหาร หากต้องซื้อหรือทำอาหารให้ลูกกิน เรื่องการเลือกดูวัตถุดิบในส่วนประกอบของอาหาร หากเป็นอาหารสำเร็จรูป ผู้ผลิตที่มีความรับผิดชอบจะมีการระบุไว้ที่กล่องหรือฉลาก แต่ในกรณีของร้านอาหาร ภัตตาคาร คุณพ่อคุณแม่ควรสอบถามพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ ให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง หรือหากไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจจริงๆ ก็ควรใช้วิธีหลีกเลี่ยงการกินอาหารนั้นๆ ไว้ก่อนจะดีที่สุด!!

                            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :


                            ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaichildcare.comwww.breastfeedingthai.com

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              ทารกท้องเสีย

                              แม่โพสต์เตือน! สาเหตุที่ทำให้ ทารกท้องเสีย เป็นโรคลําไส้อักเสบ

                              ระวัง ทารกท้องเสีย เพราะ ชอบอมมือ!! หมอบอก..เด็กเป็นกันเยอะ แม่โพสต์เตือน “ต้องดูแลเรื่องความสะอาดให้ดี” เพราะอาจเสี่ยงทำให้ลูกติดเชื้อ เป็นโรคลำไส้อักเสบได้

                              สาเหตุที่ทำให้ ทารกท้องเสีย เป็นโรคลําไส้อักเสบ

                              นอกจากโรคเด็กทั่วๆ ไป ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องได้เจอแล้ว  “โรคเกี่ยวกับลำไส้” ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีเด็กทารก ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึง 1 ขวบ หลายคน ที่ต้องทรมานกับโรคนี้ แถมเพราะลูกน้อยยังไม่สามารถพูดหรือบอกอะไรกับเราได้ จึงต้องทนปวดท้องและอึดอัดจนร้องไห้งอแงแบบไม่รู้สาเหตุ ซึ่ง “โรคลำไส้อักเสบ” หรือ ติดเชื้อในลำไส้ ทำให้ทารกท้องเสีย อุจจาระร่วง ก็ถือเป็นหนึ่งในโรคยอดฮิตที่สุดของกลุ่มเด็กเล็ก

                              โดยจากการศึกษาพบว่าเด็กในกลุ่มวัยขวบปีแรกจะเป้นโรคอุจจาระร่วงประมาณ 5-6 ครั้งต่อปี ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ที่ ทารกท้องเสีย เกิดจากเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย

                              ทั้งนี้ อาการ “ท้องเสีย” ตามความหมายขององค์การอนามัยโลก จะดูที่ลักษณะและความถี่ของอุจจาระ โดยใช้ลักษณะอุจจาระที่เปลี่ยนแปลงไปจากปกติ เช่น เป็นเนื้อเหลวความถี่ 3 ครั้งขึ้นไป หรือเป็นมูกเลือด 1 ครั้งหรือเป็นน้ำปริมาณมาก 1 ครั้งขึ้นไป ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง โดยคำจำกัดความนี้ไม่รวมถึงเด็กเล็กที่กินนมแม่ ซึ่งมักจะถ่ายบ่อยแต่อุจจาระเป็นเนื้อดีและมีน้ำหนักตัวขึ้นได้ตามปกติอยู่แล้ว และสำหรับอาการท้องเสียเฉียบพลันมักหายได้เองภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ แต่ถ้านานกว่า 2 สัปดาห์ขึ้น ไปถือเป็นภาวะอุจจาระร่วงยืดเยื้อหรือเรื้อรัง

                              ทารกท้องเสีย เกิดจาก?

                              ในเด็กเล็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งอายุไม่เกิน 1 ปี พบว่าประมาณ 70% เกิดจากการได้รับเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย ซึ่งมักจะเข้าทางปากโดยการกินอาหารหรือดื่มนมซึ่งปนเปื้อนเชื้อโรค หรือการหยิบ จับของเล่นเอาเข้าปาก หรือแม้กระทั่งมือของเด็กเองซึ่งหยิบจับสิ่งของ หรือคลานเล่น และเอาเชื้อโรคเข้าปากตัวเอง เป็นต้น

                              ดังนั้นโรคนี้จึงเป็นปัญหาที่พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กมีโอกาสได้รับเชื้อโรคมากกว่า เนื่องจากยังช่วยตัวเองไม่ได้และไม่รู้จักวิธีป้องกันตัวเอง รวมทั้งมีภูมิต้านทานโรคต่ำ ซึ่งภูมิต้านทานโรคส่วนหนึ่งอาจได้รับมาจากการกินนมแม่และการได้รับวัคซีน อีกส่วนหนึ่งร่างกายสร้างขึ้น โดยการสัมผัสเชื้อโรคตามธรรมชาติและสร้างภูมิต้านทานจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายซึ่งต้องใช้ เวลาในการพัฒนาระบบนี้

                              ซึ่งในช่วงที่ลูกทารกกำลังเติบโต มีพัฒนาการการตามวัย เมื่ออายุได้ประมาณ 4-6 เดือน ลูกจะชอบดูดนิ้วอมมือ และหากลูกเริ่มมีฟันงอก หรือกินอาหารเสริมได้แล้ว ก็มักจะชอบหยิบจับเอาทุกอย่างที่ขว้างหน้าเข้าปาก ซึ่งนั่นเองอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ลูกได้รับเชื้อโรค จนทำให้ท้องเสีย … เช่นเดียวกับหนูน้อยวัย 5 เดือนกว่าคนนี้ ที่คุณแม่ได้โพสต์เตือนว่าควรดูแลเรื่องความสะอาดกับลูกน้อยให้ดี มิเช่นนั้นอาจทำให้ลูกติดเชื้อ เป็นลำไส้อักเสบได้ ⇓

                              ทารกท้องเสีย
                              ภาพแม่โพสต์เตือน! ลูกท้องเสีย  เพราะ ชอบอมมือ เตือน!ต้องดูแลเรื่องความสะอาดให้ดีขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Arisa J Kps

                              อาการเมื่อ ทารกท้องเสีย

                              ลูกจะมีอาการถ่ายเหลวมีน้ำมาก บางเคสมีเลือดปน อาจจะมีไข้ร่วมด้วย ในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส อาจจะมีอาการไอ น้ำมูกไหลร่วมด้วย ถ้าเด็กมีอาการขาดน้ำมากๆ อย่างต่อเนื่อง จะเริ่มมีอาการปากแห้ง น้ำลายน้อย เบ้าตาลึก ปัสสาวะน้อยผิดปกติ ซึม และตัวเย็น

                              สำหรับวิธีดูแลรักษา หากคุณพ่อคุณแม่แน่ใจว่าร่างกายลูกสูญเสียน้ำ อาจจะให้ลูกดื่มเกลือแร่ หรือ ORS ทีละน้อยๆ บ่อยๆ ถ้าเด็กดื่มได้โดยไม่อาเจียนหลังผ่านไปซัก 4 ชั่วโมง ให้เริ่มลองทานอาหารอ่อนๆ อย่างโจ๊กหรือข้าวต้ม แต่ถ้าลูกยังมีอาการถ่ายอยู่ มีอาเจียนซ้ำๆ ไม่หยุด ให้รีบนำส่งแพทย์โดยด่วน

                              วิธีป้องกัน ทารกท้องเสีย

                              1. การป้องกัน ทารกท้องเสีย ที่ดีที่สุด คือ การรักษาความสะอาดเพื่อกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าปากลูก ทั้งนี้สามารถเริ่มได้ตั้งแต่ตัวคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงเด็ก ที่ต้องหมั่นล้างมือทุกครั้ง ก่อนจะหยิบจับอาหารหรือชงนมให้ลูก

                              2. รวมทั้งขวดนม,จุกนม ต้องล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทันที และฆ่าเชื้อโดยการต้มจนเดือดอย่างน้อย 10-15 นาที ดังนั้นจึงควรต้องมีขวดนมจำนวนเพียงพอที่จะมีเวลาต้มทำความสะอาดได้

                              3. ทั้งนี้ควรชงนมในปริมาณที่กินหมดในครั้งเดียว เพราะถ้ายังกินไม่หมดควรมีฝาครอบจุกให้มิดชิดและไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 ชม.

                              4. ในเด็กโตที่กินอาหารอื่นต้องเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ มีภาชนะปิด ทำความสะอาด ภาชนะที่ใส่ เช่น จาน, ชาม, ช้อน และอย่าลืมล้างมือให้เด็กบ่อยๆ เพราะในวัยนี้จะชอบเอาของและมือตัวเองเข้าปากก็จะเป็นการนำเชื้อโรคเข้าตัวเองด้วย

                              5. ในส่วนของใช้หรือของเล่นของลูกที่สามารถล้างทำความสะอาดได้ ก็ควรนำไปล้างแต่บางชนิดที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ก็ควรทิ้งหรือเปลี่ยนใหม่

                              ทั้งนี้ปัจจุบัน มีวัคซีนสำหรับป้องกัน “โรต้าไวรัส” ซึ่งเป็นเชื้อที่พบเป็นสาเหตุของท้องเสียในเด็ก ได้มากที่สุด โดยเฉลี่ยประมาณ 40% ของเชื้อที่พบว่าเป็นสาเหตุทั้งหมดโดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กเล็ก (3 เดือน-2 ปี)

                              โดยพบอุบัติการณ์สูงสุดในประเทศไทยในช่วงปลายปีตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมจนถึงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงที่มีอากาศเย็น โดยอาการเริ่มต้นคือ ไข้, น้ำมูก, ไอ ตามด้วยอาเจียนและถ่ายเป็นน้ำโดยมีความรุนแรงตั้งแต่น้อยไปมาก

                              สำหรับวัคซีนโรต้าไวรัส เป็นวัคซีนชนิดกินให้ทั้งหมด 2-3 ครั้ง แล้วแต่บริษัท โดยควรเริ่มต้นให้ครั้งแรกที่อายุไม่เกิน 15 สัปดาห์และครั้งที่ 2 หรือ 3 ไม่เกิน 32 สัปดาห์ สามารถลดความรุนแรงของโรคลงได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ทั้งหมด ซึ่งการป้องกันโรคท้องเสียที่ดีที่สุด คือ การให้ลูกได้กินนมแม่ โดยเฉพาะในช่วงอายุ 6 เดอืนแรก ควรให้นมแม่เพียงอย่างเดียวเพราะ “นมแม่ทั้งสะดวก สะอาด ประหยัด ปลอดภัย” รวมทั้งได้รับภูมิต้านทานโรคต่างๆ ซึ่งมีเฉพาะในนมแม่นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างและเพิ่มความรักความผูกพันระหว่างแม่ลูกด้วยการดูดนมจากเต้าโดยการสัมผัสอย่างใกล้ชิด

                              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :


                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.thaipediatrics.orgwww.phyathai.com

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                สอนลูกใช้เงิน

                                6 เคล็ดลับ สอนลูกใช้เงิน สไตล์ “ฟลุค เกริกพล”

                                การสอนให้ลูกรู้คณค่าของเงินเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อลูกเริ่มเติบโตขึ้น ถึงวัยเข้าโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มคิดแล้วว่า ควรเริ่ม สอนลูกใช้เงิน ตอนอายุเท่าไหร่ สอนอะไร และอย่างไร  เพราะหากเขาโตขึ้นมาแม้มีเงินทองมากมายขนาดไหน แต่ขาดความรู้เรื่องการหา การใช้ การออม อย่างถูกต้อง ไม่นานเงินที่มีอยู่ก็คงจะถูกใช้ไปจนหมด หรือเป็นหนี้เป็นสินล้นพ้นตัว

                                คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้แนะนำไว้ว่า “เริ่มสอนได้ตั้งแต่ลูกเริ่มถือเงินไปโรงเรียนเอง โดยพ่อแม่ควรกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน สอนลูกว่า “ในแต่ละวัน เขามีเงินเท่านั้น เขาไม่มีสิทธิใช้เงินมากกว่านี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

                                สอนลูกเรื่องเงินง่ายๆ ตามวัย

                                สำหรับหลักการง่ายๆ ในการสอนลูกเรื่องเงิน เด็กเล็กวัยอนุบาลยังไม่จำเป็นต้องใช้เงิน คุณพ่อคุณแม่รอให้ลูกขึ้นชั้นประถมก่อน ในช่วงชั้นป.1 – ป.2 โดยอาจเริ่มให้เฉพาะค่าขนมเป็นรายวัน มากน้อยขึ้นอยู่กับราคาของแต่ละโรงเรียน ในช่วงนี้เป็นการสอนให้ลูกรู้จักการใช้ การเก็บ การทอนเงิน การรักษาเงิน หรือการไม่ไปขอเงินจากคนอื่น รวมทั้งสอนว่าการกดเงินออกจาก ATM ไม่ได้หมายความว่าเราจะกดออกมาเท่าไหร่ก็ได้ตามที่เราต้องการด้วย

                                พอลูกเริ่มโตขึ้นมาเป็นชั้น ป.3 ป.4 อาจเริ่มให้รู้จักการบริหารเงินด้วยการให้เงินเป็นสัปดาห์ เพื่อให้ลูกเริ่มรู้จักที่จะแบ่งเงินว่า ส่วนใดเอาไว้ใช้ซื้อของกิน ส่วนใดเอาไว้ใช้ซื้ออุปกรณ์การเรียน หรือส่วนใดเอาไว้เก็บไปฝากธนาคาร หรือหากยังคงให้เฉพาะค่าขนมตามปกติ แต่ค่าอุปกรณ์การเรียนนั้นมีการตั้งงบประมาณไว้เหมือนกันว่าเทอมละเท่าไหร่ แล้วให้ลูกมาเขียนใบเบิกเงินเป็นครั้งๆ ก็สามารถสอนให้ลูกรู้จักทำรายการบันทึกและการทำบัญชีเบื้องต้นได้ด้วย พอลูกโตขึ้นมีรายจ่ายมากขึ้นก็ค่อยๆ เพิ่มเงินให้ลูกไปบริหาร ตามค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ช่วยให้เรามีเวลาพูดคุยกับลูกเรื่องการบริหารเงินให้ถูกต้อง

                                แต่การเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบันที่มีสิ่งเร้ามากมาย  เพราะการช้อปปิ้งสามารถทำได้ 24 ชั่วโมงด้วยมือถือเพียงเครื่องเดียว ทำให้สมัยนี้การใช้จ่าย เป็นเรื่องที่สะดวกสบายสำหรับครอบครัว และสำหรับเด็กยุค 5G ที่เติบโตมาพร้อมกับอินเทอร์เน็ต ก็มักจะตื่นตาตื่นใจ และเรียกร้องอยากได้ของใหม่ๆ อยู่เสมอ คุณพ่อคุณแม่จะมีวิธีสอนลูกบริหารเงินอย่างรู้คุณค่าได้อย่างไร

                                ทีมแม่ ABK จึงขอนำแนวคิดของ ฟลุค เกริกพล มัสยวาณิช คุณพ่อมาดเนี้ยบของน้องอชิ ที่ผันตัวเองจากนักแสดง มาเป็น กูรูด้านการเงินและการลงทุน ซึ่งได้แบ่งปันวิธี สอนลูกใช้เงิน ในสไตล์พ่อฟลุค ผ่านรายการ Fluke Advice EP.14 ทางนิตยสารแพรว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ทุกบ้านสามารถนำแนวคิดไปปรับใช้กับครอบครัว และวางแผนการเงินให้กับลูกที่กำลังเติบโตขึ้นได้ค่ะ

                                6 เคล็ดลับ สอนลูกใช้เงิน สไตล์ “ฟลุค เกริกพล”

                                1. ต้องเหลือก่อนเก็บ

                                ฟลุค เล่าว่า สมัยก่อน คุณย่าให้เงินแทบจะพอดีในแต่ละวัน แต่ให้กระปุกออมสินเพื่อเก็บเงินด้วย จึงยากที่จะมีเงินเหลือเก็บ เลยแอบไปขอคุณปู่ ซึ่งคุณปู่ก็ใจดีให้หยิบได้เอง ฟลุคจึงเริ่มมีเงินเหลือเก็บ เมื่อฟลุคมีน้องอชิจึงคิดว่าควรให้เงินลูกเกินกว่าที่จำเป็นต้องใช้ เพื่อลูกจะได้มีเงินเหลือเก็บ เพราะคนที่ไม่มีเงินเหลือ ก็จะไม่มีเงินเก็บ ดังนั้นสำหรับคนในสมัยนี้ เมื่อเงินเดือนเข้า เราต้อง “เก็บก่อนใช้” แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อมีเงินเหลือเก็บแล้ว เราจะเก็บเฉยๆ หรือเอามาทำให้มันเติบโตขึ้นต่างหาก

                                บทความแนะนำ วิธีเก็บเงิน แบบคนรวย เคล็ดลับ 15 ข้อที่ควรสอนลูก

                                1. ให้เงินลูกเป็นรายเดือน

                                สาเหตุที่ให้ลูกเป็นรายเดือน เพราะเวลาลูกอยากได้อะไร ในหัวของเด็กจะไม่มีอะไรเลยนอกจากการตื๊อ พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ ทั้งวัน จนพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะตัดความรำคาญ ด้วยการซื้อสิ่งนั้นให้ แต่ไม่นานลูกก็จะอยากได้อย่างอื่นอีก ก็จะมาตื๊อพ่อแม่อีก ไม่จบง่ายๆ ฟลุคจึงเลือกที่จะให้เงินลูกเป็นรายเดือน เพื่อให้ลูกมีลิมิตในการใช้จ่ายต่อเดือน ซื้ออะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้เองโดยไม่ต้องขอพ่อแม่ ซึ่งดีสำหรับพ่อแม่ด้วย ที่จะประเมินได้ว่า จะมีค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากค่าเรียนของลูกเท่าไหร่

                                ฟลุค เกริกพล กับน้องอชิ
                                ขอบคุณภาพจาก IG : fluke777
                                1. ให้ลูกมีวงเงินในบัตรเครดิต ตามจำนวนเงินที่ลูกเอามาฝากพ่อไว้

                                ฟลุคสมัครบัตรเสริมให้ลูก เพื่อให้ลูกเรียนรู้ที่จะบริหารเงินด้วยตัวเอง โดยกำหนดว่า ลูกอยากได้วงเงินบัตรเครดิตเท่าไหร่ ลูกต้องเอามาฝากพ่อเท่านั้น เพราะจริงๆ แล้ว แม้ลูกจะมีบัตรเครดิต แต่ลูกยังไม่มีเครดิตในสายตาคนทั่วไปหรอกนะ

                                1. ทำโทษลูกด้วยการหักเงิน

                                ฟลุคเป็นคนไม่ตีลูก จึงเลือกวิธีลงโทษลูกด้วยการหักเงิน เช่น ลูกกินข้าวเสร็จแล้วไม่เอาจานไปเก็บ กินขนมแล้วไม่เอาเศษขยะไปทิ้ง วางซองขนมเกลื่อนบ้าน ซึ่งลูกมักจะพูดว่าเดี๋ยวทำ แต่สุดท้ายก็ลืม ดังนั้น ต้องทำทันที ถ้าไม่ทำทันทีพ่อก็จะหักเงินแบบนับชิ้นกันเลยทีเดียว ถือเป็นการฝึกระเบียบวินัยลูกไปในตัวด้วย

                                ฟลุค สอนลูก
                                ขอบคุณภาพจาก IG : fluke777
                                1. เลี้ยงลูกให้มีความสุข แล้วลูกจะเผื่อแผ่คนอื่นโดยธรรมชาติ

                                ฟลุคมีแนวคิดว่า คนที่เหลือถึงจะพร้อมให้คนอื่นได้ ถ้าเงินเราเหลือ เราถึงพร้อมที่จะแบ่งเพื่อนได้ หรือถ้าเราได้รับความอบอุ่นอย่างเหลือเฟือ เราจะพร้อมแบ่งปันได้ แต่ถ้าเราขาดเราจะเป็นคน need ดังนั้น ฟลุคจึงพยายามให้ลูกเกินไว้ก่อน

                                1. ฝึกความพร้อมให้ลูกไว้ตั้งแต่เด็ก

                                ฟลุคต้องการให้น้องอชิเรียนรู้วิธีบริหารเงินตั้งแต่เด็ก จึงพยายามฝึกกฎกติกามารยาททางสังคมให้ลูกพร้อมไว้ก่อน เช่นเมื่อลูกซื้ออะไร ต้องจ่ายให้ตรงเวลา จะได้ไม่สร้างปัญหาให้พ่อแม่ต้องตามแก้ อย่าคิดว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องไกลตัว แต่ให้คิดว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องที่เราต้องดูแล เงินของเราจะได้เติบโต

                                นอกจากวิธี “สอนลูกใช้เงิน” ในแบบพ่อฟลุคจะน่าสนใจแล้ว แนวคิดในการเลี้ยงลูกให้มีความสุขของพ่อฟลุคก็น่าสนใจไม่แพ้กันค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถชมคลิปแบบเต็มๆ ได้ที่นี่

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                7 เคล็ดลับง่าย ๆ สอนลูกออมเงิน และรู้จักคุณค่าของเงิน

                                ลูกไม่เชื่อฟัง พ่อแม่ต้องรีบสอน 5 อย่างนี้ สร้างให้ได้ก่อน 8 ขวบ!

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  ลูกช่วยทำงานบ้าน

                                  วิจัยชี้ฝึก ลูกช่วยทำงานบ้าน โตไปประสบความสำเร็จในชีวิต

                                  ลูกช่วยทำงานบ้าน แบบไม่ต้องสั่ง เป็นหนึ่งสุดยอดความปรารถนาของพ่อแม่ หายากนักที่บ้านไหนจะมีลูกน้อยทำความสะอาดบ้านจนเรียบกริบโดยไม่ทันได้เอ่ยปาก  แม้ฟังดูเป็นเรื่องหยุมหยิมแต่สำคัญ เพราะการทำงานบ้านจะช่วยสร้างวินัยและความรับผิดชอบให้ติดตัวลูกไปในวันข้างหน้า ถ้าอยากให้ลูกมีสิ่งเหล่านี้ พ่อแม่ต้องเริ่มฝึกให้ลูกช่วยงานบ้านตั้งแต่ยังเล็ก

                                  เผยเทคนิคฝึก ลูกช่วยทำงานบ้าน ด้วยตัวเองแบบไม่ต้องสั่ง

                                  4 ทักษะชีวิตที่ได้เมื่อ ลูกช่วยทำงานบ้าน

                                  มีงานวิจัยเก่าแก่จากมหาวิทยาลัย Harvard ระบุว่า เด็กที่เคยทำงานบ้านมาก่อนมีชีวิตที่ไปได้สวยเมื่อโตขึ้น และงานบ้านถือเป็นเครื่องทำนายที่แม่นยำได้ว่า เด็กคนนั้นจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุข สุขภาพแข็งแรง และพึ่งพาตนเองได้ดีหรือไม่ หากเด็กคนไหนสามารถรับผิดชอบทำงานบ้านในหน้าที่ของตัวเองได้สำเร็จ ไม่ว่าจะมีอุปสรรค์แค่ไหน หรือถูกเย้ายวนจากการ์ตูนที่ชอบ เพื่อนข้างบ้านที่่มาชวนเล่นเท่าไหร่ก็ตาม ก็มีแนวโน้มว่าเด็กคนนั้นจะสามารถควบคุมตัวเองในทุกเรื่ือง และบริหารจัดการชีวิตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้งานบ้านยังช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทักษะจำเป็นหลายอย่าง ทั้ง

                                  ลูกช่วยทำงานบ้าน

                                   รู้จักรักษาความสะอาดและสุขอนามัยของตัวเองและที่อยู่อาศัย

                                   ได้ฝึกทักษะการทำงานจากการเตรียมอาหาร, ทำความสะอาด, การจัดการ, การดูแลสวน ซึ่งต้องวางแผน แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และทำจนสำเร็จ

                                   เรียนรู้การทำงานเป็นทีม วิธีสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจ การเจรจาต่อรอง และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

                                   ได้ออกกำลังกาย พัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่มัดเล็ก พร้อมกับปลดปล่อยพลังงานได้อย่างเต็มที่

                                  นอกจากนี้ งานบ้านถือเป็นการทำเพื่อคนอื่น เพื่อคนในครอบครัว ซึ่งต่างจากการทำเล่นสนุกที่ทำเพื่อตัวเอง ทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองสำคัญและมีความรับผิดชอบ แม้ช่วงแรกลูกอาจไม่เต็มใจนัก แต่เมื่อพ่อแม่มอบหน้าที่และปล่อยให้เขาทำด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ  ลูกจะรู้สึกภาคภูมิใจที่สามารถทำตามงานที่พ่อแม่มอบหมายไว้ได้สำเร็จ แถมยังแบ่งเบาภาระยุ่งๆของพ่อแม่ และเพิ่มเวลาให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันมากขึ้นด้วย

                                   

                                  ลูกช่วยทำงานบ้าน

                                  ทำไมลูกไม่อยากช่วยทำงานบ้าน

                                  งานบ้านเป็นเรื่องจุกจิก มีรายละเอียยิบย่อยต้องทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กวาดบ้าน ถูกบ้าน เก็บของ กรอกน้ำกินใส่ขวด ทิ้งขยะ ซักผ้า เก็บผ้า แถมบางงานยังต้องทำหลายครั้งในหนึ่งวัน  ขนาดผู้ใหญ่แค่คิดยังท้อ ลูกๆคงรู้สึกเหมือนกัน ยิ่งวันไปโรงเรียนมาทั้งวัน ลูกรู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไร

                                  ขณะที่เด็กหลายคนมองว่า งานบ้านไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง หรือเคยชินกับการมีคนอื่นคอยทำงานบ้านให้มาตลอด  แม้โตพอที่ ลูกช่วยทำงานบ้าน ได้แล้ว แต่ถ้าพ่อแม่แค่ออกคำสั่ง  อาจต่อต้านหรือทำด้วยความไม่เต็มใจ ฉะนั้นจึงจำเป็นที่ต้องให้ลูกหัดช่วยเหลืองานบ้านเล็กๆน้อยๆตั้งแต่เด็ก โดยเลือกให้เหมาะสมกับวัย

                                  เทคนิคชวนลูกทำงานบ้านให้สำเร็จ

                                  เคล็ดลับฝึก ลูกช่วยทำงานบ้าน ให้ได้ผลที่สุดต้องเริ่มตั้งแต่อายุ 2-3 ขวบ เพราะวัยนี้สนุกกับการทำกิจกรรมใหม่ๆ ดีใจที่ได้ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถฉวยโอกาสนี้มอบหมายงานให้ลูกทำ ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่างานบ้านคืออะไร ทำไมต้องทำ หรือบอกว่านี่คือหน้าที่ลูก แต่ควรทำให้เป็นเรื่องเล่นสนุก ด้วย 5 เทคนิค ดังต่อไปนี้

                                  • ทำให้ดู : ทำงานบ้านด้วยกันจนกว่าลูกจะพร้อมทำด้วยตัวเอง
                                  • บอกให้ชัด: พูดกับลูกตรงๆว่า งานบ้านที่ลูกรับผิดชอบเป็นงานรายวัน หรือรายสัปดาห์มีอะไรบ้าง อาจจดใส่ post-it แปะตู้เย็นไว้ให้จำง่าย

                                  ลูกช่วยทำงานบ้าน

                                  • บอกข้อดีให้รู้ : พูดคุยกับลูกว่างานที่ลูกทำสำคัญอย่างไร และเมื่องานเสร็จสิ้นจะดียังไง
                                  • อย่าสั่งอย่างเดียว : บอกให้ทำแล้วพ่อแม่ต้องสนใจดูด้วยว่าเป็นอย่างไร กล่าวคำชมความตั้งใจและความพยายามของลูก แม้บ้านจะไม่สะอาดนิ๊ง หรือออกมาดีทั้งหมด
                                  • ให้รางวัล: เมื่อลูกทำงานเสร็จเรียบร้อย อาจให้รางวัลเล็กน้อย เช่น ขนมที่ชอบ หรือไอศกรีมสักแท่ง ทั้งนี้ไม่ควรให้รางวัลราคาแพงเกินไป เพราะเด็กอาจเข้าใจไปว่า “ทำงานบ้านหวังผลตอบแทน”เท่านั้น

                                  ถ้าพ่อแม่อยากให้ลูกเก็บของเล่นที่เกลื่อนเต็มบ้าน อาจชวนลูกมาเล่นเกมส์เก็บของใส่ตะกร้า ทำให้ดูว่าเก็บอย่างไร ลองให้ลูกเก็บเอง ในครั้งแรกลูกอาจยังเก็บเองไม่หมด อย่าเพิ่งต่อว่าหรือกดดัน แต่ให้ช่วยเก็บไปก่อน แล้วทำแบบนี้ซ้ำๆจนลูกสามารถเก็บของเล่นคนเดียวได้ สุดท้ายลูกจะรู้เองว่าทุกครั้งที่เล่นเสร็จจะต้องเก็บของเล่นทุกครั้ง

                                  จากนั้นค่อยให้ทำงานบ้านที่ช่วยแบ่งเบาความเหน็ดเหนื่อยของคุณแม่ เช่น จัดโต๊ะอาหาร กรอกน้ำ งานลักษณะนี้จะสอนให้ลูกรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่รับผิดชอบและต้องทำให้สำเร็จ เมื่อลูกอายุ 6 ขวบขึ้นไป ซึ่งพอเข้าใจเหตุและผลแล้ว ทุกคนในบ้านอาจชวนกันคุยถึงหน้าที่รับผิดชอบในบ้าน แบ่งงานว่าใครทำอะไร เพื่อให้ลูกเรียนรู้วิธีการทำงานเป็นทีมและบริหารจัดการงานในบ้านจากคุณพ่อคุณแม่ด้วย พร้อมเปิดโอกาสให้ลูกเลือกเองว่าอยากทำงานอะไรบ้าง

                                  เลือกงานบ้านให้เหมาะกับวัยลูก

                                  ถ้าอยากให้งานบ้านแสนน่าเบื่อ กลายเป็นงานแสนสนุกของลูก คุณพ่อคุณแม่ต้องเลือกงานให้เหมาะกับวัยของลูก ซึ่ง ลูกช่วยงานบ้าน ได้ตั้งแต่อายุเพียง 2 -3 ขวบ สำหรับบ้านไหนที่มีพี่น้อง ก็สามารถมอบหมายบทบาทให้น้องคนเล็กเป็นผู้ช่วยงานบ้านของพี่คนโตได้ด้วย หรืออาจเปลี่ยนงานบ้านเป็นภารกิจสุดเจ๋งที่ซูเปอร์ฮีโร่ตัวน้อยต้องพิชิตให้สำเร็จก็ได้ มาดูกันว่าลูกแต่วัยทำงานบ้านอะไรได้บ้าง

                                   

                                  ลูกช่วยทำงานบ้าน

                                   

                                  เด็กเล็ก (2-3 ขวบ)

                                  • เก็บของเล่นและหนังสือ
                                  • วางแผ่นรองจานบนโต๊ะอาหาร
                                  • รดน้ำต้นไม้

                                  ลูกช่วยทำงานบ้าน

                                  เด็กวัยอนุบาล (4-5 ขวบ)

                                  • จัดโต๊ะอาหาร
                                  • ช่วยเตรียมอาหาร (มีผู้ใหญ่ดูแล)
                                  • ตากผ้า,เก็บผ้า, พับผ้า
                                  • ช่วยจ่ายตลาด แยกของใช้ออกจากถุงเก็บเข้าตู้

                                  เด็กโต (6-8 ขวบ)

                                  • เก็บโต๊ะ, เช็ดโต๊ะอาหาร
                                  • กวาดบ้าน, ถูบ้าน, ทิ้งขยะ
                                  • ซักผ้า, ตากผ้า, เก็บผ้า, พับผ้า
                                  • ช่วยทำอาหารง่ายๆ โดยมีผู้ใหญ่ดูแล

                                  คุณพ่อคุณแม่อาจสลับสับเปลี่ยนหน้าที่ของทุกคนในบ้าน เพื่อให้ลูกได้ลองทำงานใหม่ๆ  ไม่รู้สึกเบื่อ และได้เรียนรู้ทักษะอื่นเพิ่มเติมด้วย ที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า “ความตั้งใจสำคัญกว่าผลลัพธ์” ฉะนั้นต้องเอ่ยปากชมลูกเสมอไม่ว่าผลของมันจะเป็นอย่างไร เพราะผลสำเร็จของการทำงานบ้านแบบทันใจคือบ้านสะอาดมีระเบียบ ส่วนผลสำเร็จแบบรอดอกผลคือระเบียบวินัยและความรับผิดชอบที่ถูกปลูกฝังอยู่ในตัวลูกๆ นั่นเอง

                                   

                                  บทความน่าสนใจอื่นๆ 

                                  ให้ลูกช่วยงานบ้าน ฝึกทักษะ EF ติดตัวลูกไปตลอดชีวิต

                                  จัดตาราง work from home แบบนี้ แฮปปี้ทั้งครอบครัว

                                   


                                  แหล่งข้อมูล

                                  www.verywellfamily.com    www.raisingchildren.net.au

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ชี้ทางพ่อแม่ 2 เทคนิคดีและง่าย เลี้ยงลูกให้ “พี่น้องรักกัน”

                                    บ้านไหนมีลูกสองคนขึ้นไป…หากอยากทำให้ พี่น้องรักกัน แท้จริงแล้วต้องเริ่มจากการการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งจะมี วิธีทำให้พี่น้องรักกัน ได้อย่างไร ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำจาก ผศ.ดร. ปนัดดา ธนเศรษฐกร  อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์  สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว  มหาวิทยาลัยมหิดล มาฝากค่ะ

                                    วิธีเลี้ยงลูกให้ พี่น้องรักกัน

                                    เพราะลูกวัยเตาะแตะจะมีพัฒนาการสำคัญ คือ “การหวงพ่อแม่” ทำให้เมื่อมีลูกคนเล็ก คนพี่จึงแสดงอาการไม่รักน้อง แต่ปัญหานี้แก้ได้ ด้วยการส่งเสริมวินัยเชิงบวกให้ลูก ดังนั้นการทำให้ พี่น้องรักกัน นั้นไม่ยากเกินเอื้อม เพียงรู้หลักการและใส่ใจทำอย่างสม่ำเสมอ โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เทคนิคเหล่านี้ไปสอนลูกน้อยได้ คือ

                                    เทคนิคที่ 1 เสนอทางเลือก

                                    อยากให้ พี่น้องรักกัน พ่อแม่ควรเสนอทางเลือกให้พี่มีส่วนร่วมเลี้ยงน้อง ซึ่ง มี 3 ขั้นตอนที่สำคัญ ได้แก่

                                    1. ทำลิสต์งานง่ายๆ เป็นงานที่ลูกเล็กสามารถทำให้น้องได้ เช่น การจัดเก็บผ้าอ้อมสะอาดเข้าตู้ การเตรียมผ้าอ้อมผืนใหม่หลังอาบน้ำ การเก็บผ้าอ้อมของน้องที่ใช้แล้วลงตะกร้า เป็นต้น
                                    2. แบ่งหน้าที่ร่วมกัน โดยการอ่านลิสต์งานให้ลูกฟัง แล้วให้เขาตัดสินใจเลือก ว่าเขาอยากจะทำงานอะไรและลิสต์งานที่ลูกไม่ได้เลือกจะแบ่งให้เป็นหน้าที่ของคุณพ่อและคุณแม่ด้วยเช่นกัน
                                    3. ขอบคุณลูกทุกครั้ง หลังจากที่ลูกช่วยทำงานที่ได้รับมอบหมายจนเสร็จแล้ว

                                    พี่น้องรักกัน พี่น้องทะเลาะกันสำหรับเด็กเล็กวัยเตาะแตะแล้ว การมีโอกาสได้เลือก และมีส่วนร่วมทำกิจกรรมกับคุณพ่อ คุณแม่ ถือเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่ทำให้เขารู้สึกมีตัวตน ได้รับการยอมรับ ให้ความสำคัญกับความต้องการ และเคารพการตัดสินใจ ซึ่งเทคนิคนี้นอกจากจะช่วยตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจอย่างเต็มที่แล้ว ยังช่วยปลูกฝังทักษะงาน และความรับผิดชอบให้ลูกอีกด้วย ส่งผลให้ลูกเปิดใจรับน้องแบ่งปันความรักและความอบอุ่นนี้ให้น้องได้ง่ายขึ้น

                                    DON’Ts คำพูดต้องห้าม ทำลูกคิดติดลบ

                                    • อย่าจับน้องแรงนะ!
                                    • ไปเล่นห่างๆ น้องเลย!
                                    • เป็นพี่ต้องดูแลน้องสิ!

                                    พี่น้องรักกัน พี่รักน้อง

                                    เทคนิคที่ 2 ใช้เวลาคุณภาพ

                                    หากอยากให้ พี่น้องรักกัน การจัดสรรเวลาคุณภาพที่ดีก็มีส่วนสำคัญ โดยให้แบ่งเป็น 20/7 คือ การใช้เวลาคุณภาพอยู่ตามลำพังกับลูก 20 นาทีทุกวัน โดยที่ไม่มีน้องเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม มีขั้นตอนสำคัญ ดังนี้

                                    1. จัดตารางกิจวัตรประจำวันสำหรับเวลาแห่งคุณภาพ 20 นาที ไม่จำเป็นต้องกำหนดเป็นเวลาแน่นอน แต่กำหนดเป็นช่วงเวลาที่สามารถคาดการณ์ได้ เช่น หลังลูกตื่นนอนตอนเช้า ขณะที่น้องของลูกนอนกลางวัน หรือก่อนลูกเข้านอน เป็นต้น
                                    2. ให้ลูกคิดกิจกรรม โดยเริ่มจากการอธิบายว่าลูกและเราจะมีเวลาคุณภาพ 20 นาทีทุกวันในช่วงเวลาตามที่กำหนดไว้ และช่วงเวลานี้จะมีแค่เราสองคน (คุณพ่อหรือคุณแม่และลูก) หรือ สามคน (คุณพ่อคุณแม่และลูก) เราจะทำอะไรด้วยกันก็ได้ตามที่ลูกต้องการ ขอให้ลูกคิดไว้เลยว่า เมื่อถึงเวลาคุณภาพแล้ว เราจะทำอะไรด้วยกันดี
                                    3. ใช้เวลาคุณภาพกับลูก เป็นเวลา 20 นาที โดยทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่ลูกคนพี่เท่านั้น งดอุปกรณ์ติดต่อสื่อสาร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เน้นการพูดคุย การเล่น และการมีปฏิสัมพันธ์กับลูก

                                     

                                    เด็กเล็กวัยเตาะแตะจะต้องการความรัก ความสนใจมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงวัยแห่งการสำรวจ เรียนรู้ และทำความเข้าใจโลกใบนี้ แต่ด้วยพัฒนาการและประสบการณ์ที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงทำให้เด็กเล็กยังจำเป็นต้องพึ่งพาคุณพ่อคุณแม่ให้ช่วยดูแล ตอบสนองความอยากรู้อยากเห็น และความต้องการพื้นฐานทางร่างกาย และจิตใจ เพื่อให้แน่ใจว่าโลกใบนี้มีความมั่นคงปลอดภัยต่อชีวิตของเขา เมื่อวันหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ด้วยการมีน้องเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ก็ยิ่งจำเป็นจะต้องทำให้ลูกมั่นใจว่าความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตของเขาจะยังคงเดิม เทคนิคนี้จึงเป็นเครื่องรับประกันว่า เขาจะยังคงได้รับความรัก ความสนใจจากพ่อแม่อยู่ และยังเป็นเครื่องมือให้ลูกใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจในเวลาที่ต้องรอคุณพ่อคุณแม่ให้เสร็จภารกิจจากการดูแลน้องอีกด้วย

                                    DON’Ts คำพูดต้องห้าม ทำลูกคิดติดลบ

                                    • ไปเล่นที่อื่นก่อน!
                                    • ม่ดูแลน้องอยู่ ทำให้ไม่ได้!
                                    • น้องยังเด็ก หนูโตแล้วต้องหัดทำเอง!

                                     

                                    สุดท้ายนี้คำว่า “พี่น้อง” เป็นความสัมพันธ์ที่สวยงามที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นได้ในชีวิตของคนๆ หนึ่ง เราต่างรู้กันดีว่าการเลี้ยงพี่น้องมีความละเอียดอ่อนมาก วิธีการเลี้ยงดูของพ่อแม่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการส่งเสริมหรือยับยั้งความสัมพันธ์ที่ดีของพี่น้อง เทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวก 2 เทคนิคนี้ได้นำเสนอแนวทางการเลี้ยงดูสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์และความทรงจำดีๆ ให้พี่น้องร่วมกันในวัยเยาว์ และเป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า เปรียบเหมือนของขวัญล้ำค่าจากพ่อแม่ที่มอบให้ลูกๆ ทุกคน

                                    ขอบคุณบทความจาก ผศ.ดร. ปนัดดา ธนเศรษฐกร  อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์  สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว  มหาวิทยาลัยมหิดล

                                     

                                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่