Page 176 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

MILO Home Ground แอคทีฟที่บ้านกับไมโล

ทำบ้านให้ลูกเล่น ผ่านแนวคิด“MILO Home Ground”แอคทีฟที่บ้านกับไมโล

Milo

ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือช่วงปิดเทอมนาน ๆ  หลายครอบครัวอาจจะเห็นโอกาสที่ดี ที่จะได้ใช้เวลาร่วมกัน หลาย ๆ บ้าน เริ่มมองหาข้อมูล เพื่อเตรียมกิจกรรมต่าง ๆ มาให้ลูกหลานได้ทำกัน เพื่อใช้เวลาให้เป็นประโยชน์และสร้างบรรยากาศที่สร้างสรรค์ในครอบครัว

ซึ่งผลดีที่นอกจากได้ความสนุกสนานแล้วยังสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับคนในบ้านได้อีกด้วย  การสร้าง “ลานกิจกรรมในบ้าน” ไปพร้อมกับลูกๆ ไม่ว่าจะประยุกต์จากกิจกรรม Indoor หรือ Outdoor  ก็ล้วนแล้วแต่ ช่วยส่งเสริมให้ลูก ๆ ได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เสริมสร้างความมีวินัย และ ยังมีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมองอีกด้วย ถึงแม้จะอยู่ที่บ้านเราก็สามารถใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่รอบตัว มาปรับใช้เป็นอุปกรณ์กีฬาหรือกิจกรรมสนุกๆ มีประโยชน์ ที่สามารถเล่นด้วยกันได้ทุกคนในครอบครัว

ทำบ้านให้ลูกเล่น ผ่านแนวคิด “MILO Home Ground” แอคทีฟที่บ้านกับไมโล

บ้าน (HOME) สนามเด็กเล่น (Playground)

ในช่วงเวลา ณ ตอนนี้ หลายครอบครัวเริ่มปรับตัวในการหากิจกรรมทำกันที่บ้าน อย่างการปลูกผักสวนครัว อยู่คอนโดพื้นที่โดยรอบบ้านไม่มี แต่ก็สามารถเปลี่ยนพื้นที่ตรงระเบียงห้องมาปลูกกระถางผักเล็ก ๆ ได้ หากใครชอบที่จะทำขนมก็มักจะเห็นเชฟหน้าใหม่เกิดขึ้นได้ทุกวัน หรือถ้าใครชอบกิจกรรมที่จะมีความแอคทีฟมากขึ้น ก็อาจจะหาตะกร้าใบเล็ก ๆ กับเสื้อผ้าที่นำมาม้วนเป็นกลม ๆ ชวนมาเล่นชู๊ตบาสกันภายในบ้าน ซึ่งจะเห็นได้ว่าเราได้ใช้อุปกรณ์ที่มีอยู่แล้ว  เพียงเท่านี้ ไม่ว่าบ้านคุณจะมีพื้นที่ขนาดอย่างไร คุณแม่ก็สามารถทำลานกิจกรรมในบ้านให้ลูก ๆ ได้เลย

แอคทีฟที่บ้านกับไมโล

แอคทีฟที่บ้านกับไมโล ทำได้อย่างไร ?

“แอคทีฟที่บ้านกับไมโล” (MILO Home Ground) ทำพื้นที่ภายในบ้านให้เป็นพื้นที่ลานกิจกรรมให้ลูกได้เล่น ชวนให้ทุกครอบครัวได้มีช่วงเวลาดี ๆ ร่วมกัน ในช่วงที่ไม่สามารถออกไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้านกันได้ พร้อมสนับสนุนให้คุณแม่ช่วยส่งเสริมให้ลูก ๆ  ได้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการทางร่างกาย พร้อมทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่

กิจกรรมแอคทีฟที่บ้านกับไมโล (MILO Home Ground) จะเข้ามาช่วยให้คุณแม่มีไอเดียทำกิจกรรมสนุก ๆ และเป็นประโยชน์กับลูกในช่วงวัย 7-12 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงวัยที่มีพลังงานเหลือล้น ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใช้พลังงานอย่างสร้างสรรค์ (Stay active at home) ที่ทำได้จากที่บ้าน ได้มีการเคลื่อนไหวร่างกาย ควบคู่ไปกับการได้รับโภชนาการสารอาหารที่มีประโยชน์เพื่อการเติบโตอย่างเต็มประสิทธิภาพค่ะ

อุปกรณ์ที่มีอยู่ในบ้านรอบตัว สามารถนำมาพลิกแพลงใช้เป็นอุปกรณ์กีฬาให้เด็ก ๆ ได้เล่น ได้ออกกำลังกายกันได้ทุกวัน ซึ่งการส่งเสริมให้ลูกได้ Stay active ที่บ้าน ด้วยการให้เล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของร่างกาย เด็กๆ จะได้ประโยชน์ก็คือ

  • สุขภาพร่างกายแข็งแรง
  • ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์
  • รู้จักการมีระเบียบ วินัยมากขึ้น รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
  • มีความมุ่งมั่น และความมั่นใจมากขึ้น
  • ได้มีเวลาร่วมกันกับทุกคนในครอบครัว
  • ช่วยให้การเรียนในห้องเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • มีทักษะในการเข้าสังคม และสามารถปรับตัวให้อยู่ร่วมกับคนอื่นๆ ได้ดีขึ้น

ไมโลจะมีการแชร์กิจกรรมกีฬา ที่สามารถนำไปทำตามง่าย ๆ ได้ที่บ้าน ให้กับคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยระหว่าง 7-12 ปี ได้นำไปทดลองเล่นกัน และนอกจากไอเดียกิจกรรมที่ทางไมโลจะแชร์ให้คุณแม่กับเด็ก ๆ ได้เล่นที่บ้านด้วยกันแล้วนั้น “แอคทีฟที่บ้าน กับไมโล” ยังจะเชิญชวนให้คุณแม่ทุกครอบครัว ได้ร่วมสนุกเพื่อลุ้นรับรางวัล กับภารกิจชิงรางวัลสนุกๆ ในทุก 2 สัปดาห์ตลอด 2 เดือน(พฤษภาคม – มิถุนายน) โดยสามารถเข้าไปติดตามกิจกรรมแอคทีฟที่บ้านกับไมโลได้ที่หน้าเพจ FB MILO Thailand ค่ะ

แล้วอย่าลืมสร้างบรรยากาศที่บ้านให้ลูกได้เล่นสนุกกันนะคะ

 

    แบบฝึกหัดอนุบาล 3

    แจกฟรี! แบบฝึกหัดอนุบาล 3 กว่า 100+ แผ่น เน้นพัฒนาทักษะการคิด

    แจกฟรี! แบบฝึกหัดอนุบาล 3 กว่า 100+ แผ่น แบบไฟล์ภาพพร้อมปริ้นออกมาให้ลูกฝึกทำได้เลย เน้นพัฒนาทักษะการคิด ฝึกการเขียนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และการบวกลบเลข

    แบบฝึกหัดอนุบาล 3 กว่า 100+ แผ่น เน้นพัฒนาทักษะรอบด้าน!

    สำหรับลูกน้อย เมื่ออายุครบ 5 ขวบ ทางสพฐ. ได้กำหนดให้เรียนอยู่ ระดับชั้นอนุบาล 3 … ซึ่งเด็ก อนุบาล 5 ขวบ เป็นช่วงวัยที่เริ่มพึ่งพาตนเอง เริ่มให้ความสนใจกับคนภายนอกครอบครัว เริ่มอยากออกไปเล่นซุกซน และมีคำถามเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวมากยิ่งขึ้น การอบรมและแนะนำจากครอบครัวจะช่วยหล่อหลอมบุคลิกภาพและความคิดของเด็กต่อไป โดยพัฒนาการด้านต่าง ๆ ที่สังเกตได้ มีดังนี้…

    พัฒนาการทางร่างกาย

    • การประสานงานของร่างกายดีขึ้น โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว
    • เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัวและทรงตัวได้ดี ทั้งการกระโดดและการก้าวข้ามสิ่งกีดขวาง
    • ทรงตัวขณะยืนขาเดียวและปิดตาข้างหนึ่งได้ ม้วนหน้าได้ เล่นชิงช้าและปีนป่ายได้
    • มีทักษะในการใช้อุปกรณ์ง่าย ๆ และเครื่องเขียนต่าง ๆ มากขึ้น
    • วาดรูป 3 เหลี่ยมและรูปเรขาคณิตอื่น ๆ ตามต้นแบบได้
    • ใช้ช้อน-ส้อมในการรับประทานอาหาร และใช้ห้องน้ำได้โดยไม่ต้องช่วยเหลือ
    • มีพัฒนาการด้านการมองเห็นอย่างสมบูรณ์เทียบเท่ากับผู้ใหญ่

    พัฒนาการทางสติปัญญาและภาษา

    • เริ่มพูดประโยคที่มี 5 คำขึ้นไป และพูดชัดมากขึ้น
    • ใช้คำได้ทุกประเภท ทั้งคำนาม สรรพนาม กริยา บุพบท และคำอื่น ๆ
    • แยกแยะความแตกต่างของเหรียญห้า เหรียญสิบ และเหรียญบาทได้
    • นับเลขได้ถึง 10 หรือมากกว่านั้น รู้จักชื่อสีมากกว่าเดิมหลายสี
    • เขียนตัวอักษรและตัวเลขบางตัวได้ รู้จักหมายเลขโทรศัพท์
    • ถามและตอบคำถามที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นได้ เช่น สามารถให้เหตุผลเมื่อถูกถามว่าทำไม เป็นต้น

    พัฒนาการทางสังคมและอารมณ์

    • ต้องการให้เพื่อนพอใจและอยากเป็นแบบเพื่อน
    • มีพฤติกรรมก้าวร้าวน้อยลง เข้าใจและยอมทำตามข้อตกลงต่าง ๆ มากขึ้น
    • ชอบเต้นและร้องเพลง
    • รู้ว่าตนเองและผู้อื่นเป็นเพศใด
    • มีความรับผิดชอบมากขึ้นและรู้จักขอโทษเมื่อทำผิด
    • ยังคงชอบจินตนาการและเล่นในบทบาทต่าง ๆ แต่แยกแยะระหว่างเรื่องจริงและเรื่องสมมติได้แล้ว
    • เลิกกลัวสิ่งที่เคยกลัวมาก่อน เช่น ความมืด สัตว์ประหลาด เป็นต้น

    วิธีส่งเสริมพัฒนาการเด็กในวัยนี้

    • ควรฝึกให้เด็กทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ช่วยจัดโต๊ะกินข้าว เก็บของเล่นหลังเล่นเสร็จ เป็นต้น
    • สนับสนุนให้เด็กเล่นกับเพื่อน ๆ เพื่อพัฒนาทักษะการเข้าสังคม
    • หากิจกรรมที่เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์มาเล่นกับเด็ก
    • จัดหาพื้นที่ว่างให้เด็กได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเพียงพอ
    • แสดงเป็นตัวอย่างให้ดูและแนะนำกติกาในการละเล่นต่าง ๆ
    • จำกัดการดูโทรทัศน์และการใช้คอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ต
    • พาเด็กออกไปยังสถานที่ที่น่าสนใจในชุมชน เช่น สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น
    • อ่านหนังสือนิทานไปพร้อม ๆ กัน

    Must read >> รู้ทัน! พัฒนาการ เด็ก 5 ขวบ ลูกเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นแล้วนะ

    Must read >> ลูก 5 ขวบ อ่านหนังสือไม่ได้ ทำไงดี? มาช่วยลูกให้ “อ่านออก” กัน

    Must read >> แนะ!12 กิจกรรมให้ลูกทํา สุดเจ๋ง เมื่อต้องอยู่บ้านหนีโควิด19+ปิดเทอมยาว

    ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการให้ลูกได้ฝึกทำ แบบฝึกหัดอนุบาล 3 เพื่อเตรียมความพร้อมให้ลูกได้สามารถเรียนรู้ฝึกฝน ให้เกิดทักษะความพร้อมในด้านต่างๆ ซึ่งรวมทั้งในบทเรียนที่ลูกต้องเจอเมื่อไปโรงเรียน เพื่อให้เกิดความชำนาญ และสิ่งที่อยู่นอกบทเรียนเพื่อให้เด็กได้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดังนั้นในช่วงปิดเทอม หรือวันหยุดว่าง คุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องจัดรูปแบบกิจกรรมหรือบทเรียนต่างๆ ให้เหมาะสมกับลูกน้อยให้ดีด้วย เพื่อไม่ให้ลูกเกิดความเครียด หรือเบื่อจนเกินไป ซึ่งจะทำให้มีผลการการพัฒนาในด้านต่างๆของเด็กได้

    แบบฝึกหัดอนุบาล 3

    ซึ่งนอกจากกิจกรรมความสนุกสนานต่างๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถหาดูตัวอย่างได้ทั้งอินเตอร์เน็ต หรือคิดเองแล้ว สำหรับการฝึกทำแบบฝึกหัด หากไม่รู้ว่าจะหา แบบฝึกหัดอนุบาล ให้ลูกวัย 5 ขวบได้ที่ไหน … ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม แบบฝึกหัดอนุบาล 3 มาให้ตรงนี้แล้วแบบฟรีๆ!! รวมกว่า 100+ แผ่น ซึ่งเป็น แบบฝึกหัดอนุบาล3 ที่เน้นตั้งแต่เรื่อง พัฒนาทักษะการคิด ฝึกการเขียนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และการบวกลบเลข

    โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถดาวน์โหลด แบบฝึกหัดอนุบาล 3 แล้วนำไปปริ้นให้ ลูกฝึกเขียน ฝึกทำได้ในช่วงเวลาว่างๆ หลังจากทำกิจกรรมอื่นๆ แล้ว ซึ่งสำหรับเด็กที่กำลังเริ่มฝึกหัดเขียนอาจจะใช้เวลาบ้าง คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามให้กำลังใจหรือพูดชมเพื่อที่ลูกไม่เบื่อ และมีกำลังใจในการฝึกเขียน ฝึกทำ แบบฝึกหัดอนุบาล ต่อไปได้จนสำเร็จนะคะ

    ดาวน์โหลด >> แบบฝึกหัดอนุบาล3
    กว่า 100+ แผ่น ฟรี! คลิกหน้า 2

     


    ขอบคุณข้อมูลจาก : www.pobpad.com

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      เมนูคลายร้อนทําง่าย

      14 เมนูคลายร้อนทําง่าย สูตรอร่อยจากผลไม้ ลูกกินได้แถมมีประโยชน์ (เริ่มตั้งแต่ 8 m+)

      แจก เมนูคลายร้อนทําง่าย 14 สูตรอร่อย!! หวานเย็นชื่นใจ ทั้ง สูตรไอติม ของว่างจากผลไม้ สำหรับเด็กตั้งแต่ 8 เดือน ขึ้นไป ลูกกินง่าย แถมได้ประโยชน์เต็มๆ คำ

      รวมสูตร เมนูคลายร้อนทําง่าย ลูกกินได้แถมมีประโยชน์

      เข้าสู่หน้าร้อน…อากาศร้อนๆ แบบนี้! หากมี เมนูเย็นๆ กินเพื่อคลายร้อน ก็น่าจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นได้ ซึ่งถ้าเป็นตัวคุณพ่อคุณแม่เองก็สามารถหาซื้อไอศกรีม หรือของหวานเย็นๆ กินได้ทั่วไป … แต่ถ้าเป็น เมนูคลายร้อน สำหรับลูกน้อยล่ะ!! จะให้ลูกกินอะไรดี?

      เพราะเมนูของว่าง ของหวานเย็นๆ หรือ ไอติม ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วไป บางสูตรก็ไม่ได้ทำมาเพื่อสำหรับให้เด็กเล็กกิน เพราะของหวานเย็นๆ หรือ ไอศกรีมส่วนมากจะใส่สารปรุงแต่งต่างๆ และมีน้ำตาลอยู่มากเกินปริมาณที่เด็กควรได้รับต่อวัน ซึ่งหากลูกกินมากเกิน ก็อาจทำให้กลายเป็นเด็กติดหวาน มีน้ำหนักมาก และเสี่ยงฟันผุได้หากรักษาความสะอาดหรือแปรงฟันไม่ดี

      เมนูคลายร้อนทําง่าย

      ซึ่งถ้าคุณแม่สามารถทำไอติม หรือ ของว่าง ของหวานเย็นๆ ให้ลูกน้อยกินเองได้ก็น่าจะปลอดภัยกว่า และหากใครยังไม่รู้ว่าจะทำเมนูหวานเย็นคลายร้อนอะไรให้ลูกกินดี ทีมแม่ ABK มีสูตรอร่อย 14 เมนูคลายร้อนทําง่าย หวานเย็นชื่นใจ มาฝากค่ะ

      เป็นสูตรที่คุณแม่สามารถทำให้ลูกน้อยกินได้ ตั้งแต่วัย 8 เดือนขึ้นไป โดยส่วนใหญ่เป็น เมนูคลายร้อนทําง่าย ที่มีวัตถุดิบหลัก คือผลไม้และผัก เพราะฉะนั้นลูกจะได้รับรสชาติความหวานจากธรรมชาติโดยตรง เรียกได้ว่ามีประโยชน์ อร่อย หวานเย็นเต็มๆ คำ แน่นนอน >> ว่าแต่จะมีสูตรอร่อย เมนูคลายร้อนทําง่าย สำหรับลูกน้อย อะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่า…

      สมูทตี้พลังแสงอาทิตย์ (สูตรสำหรับลูกวัย 8 เดือน+)

      เมนูคลายร้อนทําง่าย

      เมนูคลายร้อนทําง่าย นี้ เป็นสูตรเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่น อุดมวิตามินล้นแก้ว ใช้เวลาปรุง 15 นาที

      ส่วนผสม (สำหรับ 5 ที่)

      • สับปะรดหั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย
      • มะม่วงสุกหั่นชิ้นเล็ก 1 ถ้วย
      • กล้วยสุกหั่นชิ้นเล็ก 1 ผล
      • น้ำส้มคั้น 2 ถ้วย
      • ผักโขม 2 ช้อนโต๊ะ

      วิธีทำ

      1. ใส่ผลไม้ทั้งหมดลงในโถปั่น เติมน้ำส้มคั้น แล้วปั่นส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันจนละเอียด
      2. แบ่งส่วนผสมจากส่วนที่ 1 ออกมาเล็กน้อย แล้วปั่นรวมกับผักโขม จะได้ส่วนที่เป็นสีเขียว
      3. ใส่ส่วนผสมสีเขียวไว้ด้านล่าง แล้วเติมส่วนสีเหลืองของสับปะรด มะม่วงสุก กล้วย และน้ำส้มคั้นลงไปด้านบน พร้อมเสิร์ฟ

      ♥ Cooking Tip นำผลไม้ไปแช่ให้เย็นก่อน เมื่อนำมาปั่น จะหวานเย็นชื่นใจ

       

      สมูทตี้อะโวคาโดข้าวโอ๊ต ( เมนูคลายร้อนทําง่าย สำหรับลูกวัย 8 เดือน++)

      เมนูคลายร้อนทําง่าย

      นมแม่ปั่นกับข้าวโอ๊ตและอะโวคาโด ใช้เวลาปรุง 10 นาที

      ส่วนผสม (สำหรับ 1 – 2 แก้ว)

      • นมแม่ 60 มิลลิลิตร
      • น้ำต้มสุก 60 มิลลิลิตร
      • เนื้ออะโวคาโดสุก ½ ผลกลาง
      • ข้าวโอ๊ต ½ ช้อนโต๊ะ

      วิธีทำ

      1. ผสมข้าวโอ๊ตและน้ำต้มสุกเข้าด้วยกัน นำไปตั้งไฟอ่อน คนให้ข้าวโอ๊ตนิ่มสุก พักไว้ ให้เย็น
      2. ใส่อะโวคาโด นมแม่ และส่วนผสม ข้อ 1 ลงในเครื่องปั่น ปั่นทุกอย่างเข้าด้วยกัน

      ♥ Cooking Tip อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินอี ไขมันชนิดดี โปรตีน และโฟเลต
      เป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับทารกเช่นเดียวกับกล้วยน้ำว้าสุก ส่วนข้าวโอ๊ตอุดมด้วยไฟเบอร์ ชนิดละลายน้ำ
      ซึ่งดีต่อระบบขับถ่ายและลำไส้ของลูกน้อย

       

      เมนูค็อกเทลคลายร้อน (สูตรสำหรับลูกวัย 9 เดือน+)

      เมนูคลายร้อนทําง่าย

      ผลไม้สารพัดแตง กินเล่น เย็น ๆ ชื่นใจ เวลาปรุง 10 นาที

      ส่วนผสมสำหรับ 2 ที่

      • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ½ ถ้วย
      • น้ำสลัดครีม 2 ช้อนโต๊ะ
      • เนื้อปลาทูน่าในน้ำแร่ 2 ช้อนโต๊ะ
      • แตงโมสีเหลือง
      • แตงโมสีแดง
      • แตงไทย
      • แตงเทศ (แตงเมลอน)
      • แตงญี่ปุ่น (แตงซันเลดี้)
      • มะเขือเทศราชินี
      • แครอท

      วิธีทำ

      1. หั่นแตงต่าง ๆ เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าขนาดตามต้องการ ใส่ภาชนะทรงต่าง ๆ นำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดา
      2. ผสมโยเกิร์ตและน้ำสลัด คนให้เข้ากัน ใส่เนื้อปลาทูน่าลงไปตักราดหรือเคล้ากับแตงต่าง ๆ พร้อมเสิร์ฟ

      ♥ Cooking Tip คุณแม่อาจเปลี่ยนจากการผสมโยเกิร์ตรสธรรมชาติกับน้ำสลัด เป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้เข้มข้น แล้วโรยด้วยเมล็ดทานตะวัน หรืองา เพื่อปรับเปลี่ยนให้อาหารมีความหลากหลายและเพิ่มคุณค่าสารอาหารให้มากขึ้นได้

       

      เมนูไอศกรีมอะโวคาโดเชอร์เบต
      (ไอศกรีมโฮมเมดเหมาะกับลูกน้อยวัย 1
      ขวบ)

      เมนูคลายร้อนทําง่าย

      ส่วนผสม

      • แอ๊ปเปิ้ลเขียวหั่นสี่เหลี่ยมเล็ก 1 ผล
      • อะโวคาโดสุก 1 ผล
      • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
      • น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะ
      • แม่พิมพ์ไอศกรีมแท่งหรือพิมพ์คุกกี้

      วิธีทำ

      1. ผ่าครึ่งอะโวคาโด เอาเม็ดออก ใช้ช้อนตักเนื้อออกจนหมด
      2. หั่นแอ๊ปเปิ้ลเขียว (ทั้งเปลือก) เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเล็ก
      3. ใส่แอ๊ปเปิ้ลลงในโถปั่น ตามด้วยอะโวคาโด โยเกิร์ต และน้ำผึ้ง ปิดฝาให้สนิท ปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
      4. เทส่วนผสมลงในพิมพ์จนเต็ม วางไม้ไอศกรีมลงตรงกลาง แล้วนำไปแช่ช่องฟรีสจนไอศกรีมแข็งดี จากนั้นเอามาแกะออกจากพิมพ์ พร้อมเสิร์ฟ

      ดูต่ออีก >> “10 เมนูเย็น ๆ เมนูผลไม้คลายร้อน สำหรับลูกน้อย” คลิกหน้า 2

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        เลี้ยงลูกขวบปีแรก

        พ่อแม่ต้องรู้!! 3 สิ่งควรทำเมื่อ เลี้ยงลูกขวบปีแรก

        เลี้ยงลูกขวบปีแรก คือสิ่งที่พ่อแม่ควรให้ความสำคัญมากที่สุด เพราะช่วงเวลานี้พัฒนาการของทารกจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเป็นพื้นฐานทั้งทางร่างกาย และอารมณ์ที่จะติดตัวลูกไปตลอดชีวิต ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาแห่งความประทับใจที่คนเป็นพ่อแม่อย่างเรา จะเก็บไว้เป็นความทรงจำแสนพิเศษ

        พ่อแม่มือใหม่ ต้องไม่พลาดทำสิ่งสำคัญ 3 เรื่องนี้

        สำหรับพ่อแม่มือใหม่ที่ยังรู้สึกสับสน ไม่แน่ใจว่า จะดูแลลูกอย่างไรให้มีพัฒนาการดีในทุกด้าน เพราะมีเรื่องที่ต้องทำเต็มไปหมด  Amarin Baby & Kids  ขอแนะนำ 3 สิ่งสำคัญที่ต้องทำในช่วงขวบปีแรก เพื่อมอบพื้นฐานดีที่สุดให้กับลูกน้อยและไม่ปล่อยให้เวลาสำคัญนี้ไปแบบเปล่าประโยชน์  จะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

        เลี้ยงลูกขวบปีแรก

        ขวบปีแรก ช่วงเวลาสำคัญของชีวิตลูก

        ช่วงแรกเกิดถึง 1 ขวบ ร่างกายและสมองของทารกกำลังเรียนรู้ ส่วนคุณพ่อคุณแม่เองก็อยู่ในช่วงที่ต้องทำความรู้จักและปรับตัวเข้าหากัน อะไรที่ไม่เคยทำก็ต้องทำ ไม่เคยฝึกก็ต้องฝึก ไม่เคยอดนอนก็ต้องยอม แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างที่เรารู้สึกว่าแปลกใหม่นั้น ทารกเองก็รู้สึกเช่นกัน

        สมองของทารกจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากแรกเกิดถึง 3 เท่า ภายใน 1 ปีจากเด็กแบเบาะที่นอนให้ป้อนนม ยังขับถ่ายในผ้าอ้อม ลูกจะโตขึ้น นั่งเองได้ คลานได้ เริ่มรู้จักชื่อตัวเอง พูดคำแรก บางคนเดินและกินอาหารเอง แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น มีรายละเอียดหลายอย่างที่ควรใส่ใจ เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ การ เลี้ยงลูกขวบปีแรก มี 3 สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกอย่างฟุ่มเฟือย แบบไม่ต้องกลัวว่าจะมากเกินไป

        เลี่้ยงลูกขวบปีแรก

        1.อุ้มให้มากที่สุด

        ทารกแรกเกิด เพิ่งทำความรู้จักกับโลกใบใหม่นี้ได้ไม่นาน ยังไม่เคยชินกับการอยู่ในที่กว้างๆ ซึ่งต่างจากในมดลูกของแม่ ไม่ได้ยินเสียงหัวใจแม่อยู่ใกล้ๆ คุณพ่อคุณแม่สามารถเติมเต็มความ “อุ่นใจ” ที่หายไปนี้ได้ด้วยการอุ้มและกอดลูกให้มากที่สุด นอกจากการดูแลความสะอาดของร่างกาย และการให้นมอย่างเหมาะสมแล้ว ลูกยังต้องการความอบอุ่นจากพ่อแม่ที่จะช่วยให้หายกลัวและรู้สึกปลอดภัย รู้สึกไว้วางใจต่อโลกใบนี้ ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้เด็กเป็นคนอารมณ์ดี ดังนั้นเมื่อลูกร้องให้อุ้ม ก็อุ้มไปเถอะค่ะ ไม่ต้องกลัวลูกติดมือ

        2.ให้นมกลางดึก

        นมแม่เป็นอาหารทารกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องพิสูจน์กันอีกต่อไปแล้ว โดยตลอด 6 เดือนแรก นมแม่คืออาหารจำเป็นเพียงอย่างเดียวของลูก แม้หลังจากนั้นลูกจะกินอาหารเสริมเพิ่มเข้ามา กุมารแพทย์ก็ยังแนะนำให้แม่ยังให้นมลูกไปจนถึง 1 ขวบหรือนานกว่าหากเป็นไปได้

        เลี้ยงลูกขวบปีแรก

        MUST READ : MFGM คือ “สารอาหารในนมแม่” เพื่อพัฒนาสมอง !!

        MUST READ : 5 เคล็ดลับสร้างนิสัย “การนอนของทารก” ให้มีประสิทธิภาพ

        เพราะนอกจากสารอาหารและภูมิคุ้มกันโรคในนมแม่จะยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของลูกแล้ว การที่ได้ดูดนมจากเต้ายังมีผลดีต่อจิตใจด้วย ลองสังเกตว่าทุกครั้งที่เอาลูกเข้าเต้า ไม่ว่าจะกำลังร้องไห้งอแงแค่ไหน ลูกจะสงบลง ผ่อนคลายและหยุดร้องไปเองโดยไม่ต้องปลอบ นั่นก็เพราะการสัมผัสแบบเนื้อแนบเนื้อ(skin-to-skin) จากตัวของคุณแม่กับผิวอ่อนโยนของลูก ทำให้เขารู้สึกมั่นคง ปลอดภัย และผ่อนคลาย ซึ่งช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมอง และลดความเสี่ยงของการตายขณะหลับ (SIDS – Sudden infant death syndrome) อีกด้วย

        อ่าน เรื่องสุดท้ายที่พ่อแม่ห้ามพลาดช่วงขวบปีแรก หน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ลูกชอบนั่งตัก

          วิจัยตอบชัด ทำไม ลูกชอบนั่งตัก เวลาแม่ทำงาน

          พอนั่งโต๊ะทำงานทีละ ทำไม ลูกชอบนั่งตัก แม่เวลานี้ทุกที  !! ยิ่งช่วง Work from home แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่บ้านไหนเตรียมตัวอย่างดีเพื่อทำงาน ทั้งเก็บตัวอยู่ในห้องคนเดียว ล็อกประตู ใส่กลอน ปิดกระจก แต่ลูกยังทุบประตูห้องปังๆๆ อยู่ดี ยกมือขึ้น!!

          ลูกชอบนั่งตัก ทุกครั้งที่แม่ทำงาน เพราะอะไรกันแน่

          แม้จะไม่ต้องฝ่ารถติดเดินทางไกลไปออฟฟิศ แต่เวลาทำงานอยู่บ้านนั้น คุณพ่อคุณแม่หลายคนหัวหมุนกว่าเดิมอีก เพราะมีผู้ช่วยตัวจิ๋วคอยมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ยิ่งบ้านไหนเปิดวิดีโอคอลล์หรือประชุมออนไลน์ ไม่รู้ทำไม ลูกๆรีบพุ่งปรี่เข้ามามีส่วนร่วมด้วย จนพ่อแม่หลายคนต้องงัดกลยุทธ์เด็ด หาวิธีเว้นระยะห่างทางสังคมกับเจ้าตัวเล็กอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นเผลอเมื่อไหร่ เป็นได้ปีนขึ้นมานั่งแหมะบนตักของคุณพ่อคุณแม่ทุกที

          ลูกชอบนั่งตัก

          ทำไม ลูกชอบนั่งตัก พ่อแม่นัก

          เพราะอะไร ลูกชอบนั่งตัก พ่อแม่นัก  นักวิจัยได้ให้คำตอบไว้อย่างเรียบง่ายว่า นั่นก็เพราะ “ลูกรักเรานั่นเอง” เด็กทุกคนอยากได้ความรัก ความอบอุ่น ต้องการอ้อมกอดและการสัมผัสจากคนที่ตัวเองรักที่สุด หนีไม่พ้นพ่อกับแม่ (หรือคนที่ผูกพันใกล้ชิด เลี้ยงดูมาตั้งแต่เกิด)   ไม่อยากให้พ่อแม่หันไปสนใจเรื่องอื่นมากกว่าตัวเอง ลองสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่ลูกอยากให้พ่อแม่หันมากอด หอม หรือจั๊กกะจี้ให้หัวเรา มักชอบกระแซะและปีนขึ้นมานั่งกับผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่คนและสัตว์ทำเพื่อปฏิสัมพันธ์กัน

          MUST READ : 3 ข้อดีของ การกอดลูก สิ่งอุ่นใจที่สุดที่พ่อแม่ควรมอบ!

          MUST READ :กอดลูก ทารก ภาษารักง่ายๆ ช่วยเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์

          เด็กๆเองก็ชอบให้คุณแม่กอด หอม ลูบหัว นวดตัว หรือแค่จับมือเบาๆมาตั้งแต่แรกเกิด ตอนยังเป็นทารก ลูกใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนตักและในอ้อมแขนของพ่อแม่ เรามีเวลาผูกพันกันระหว่างกินอาหาร คุยเล่น สร้างความอบอุ่นใจ ตักของพ่อแม่คือแดนสวรรค์ของลูกน้อยที่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น เวลาเดียวกันนี้ ลูกก็ได้เรียนรู้วิธีควบคุมร่างกายและอารมณ์ของตัวเองเวลานนอนอยู่ตักพ่อแม่ด้วย แม้ลูกโตขึ้น ช่วยเหลือตัวเองหรือนั่งเล่นคนเดียวได้ แต่ถ้าตอนไหนรู้สึกไม่ปลอดภัย เหงา หรือแค่เบื่อ พวกเขาจะวนกลับมาหาตักพ่อแม่เพื่อใช้เป็นที่พักใจ

          ลูกชอบนั่งตัก

          กอดหอมจากพ่อแม่มีพลังมากแค่ไหน

          นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์  จิตแพทย์ชื่อดังได้ให้คำแนะนำไว้ในบทความตอนหนึ่งว่า “การกอดหอมลูกสำคัญกว่าให้ลูกกินนม กินข้าวให้อิ่มท้อง เพราะการกอดของพ่อแม่ทำให้ลูกอิ่มใจ แต่ควรสำรวจตนเองสักครั้งว่าใจของเราเองสงบพอสำหรับการเลี้ยงลูกหรือเปล่า เวลาเราอยู่กับลูก เล่นกับลูก รวมทั้งอุ้มกอดลูก ใจของเราอยู่ที่เขาพอเพียงหรือไม่ หรือที่แท้แล้วใจของเราไปอยู่ที่อื่น

          เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กๆ ที่สำคัญมากน้อยไม่เท่ากันในแต่เด็กแต่ละคน เด็กบางคนพอใจเพียงแค่คุณพ่ออุ้มเดินไปมา ส่วนเรื่องคุณพ่อจะอุ้มไปดูฟุตบอลไปโดยไม่กอดเลยเขาไม่ว่า ในขณะที่เด็กบางคนไม่พอใจเท่านั้น เขาต้องการการอุ้มกอดที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเด็กคนอื่น คุณพ่อจะอุ้มด้วยดูหนังด้วยไม่ได้ ต้องอุ้มด้วยกอดด้วยร้องเพลงด้วยและทุ่มใจให้เขาด้วยถึงจะเพียงพอ

          อ่านต่อ วิธีรับมือลูกน้อยเมื่อพ่อแม่ต้องทำงาน หน้า 2

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            ลูกไม่กล้าคิด

            ลูกไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ เพราะ พ่อแม่พูดแบบนี้ (โดยไม่ตั้งใจ)

            ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า คำพูดและวิธีพูดของพ่อแม่ มีผลต่อความคิด จิตใจ และพฤติกรรมของลูก แม้ว่าพ่อแม่ทุกคนต้องการให้ลูกเป็นเด็กรู้จักคิด คิดได้ คิดเป็น แต่เชื่อไหมว่า บ่อยครั้งที่ ลูกไม่กล้าคิด เพราะวิธีพูดของพ่อแม่ไปขัดขวางกระบวนการใช้ความคิดของเด็ก ทำให้ลูกไม่มีโอกาสได้คิด หรือไม่กล้าคิด

            คุณหมอดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว หรือหมอปุ๊ก เจ้าของเพจ หมอดวงรัตน์ Doctor For Kids ได้กล่าวถึง 5 วิธีพูดที่ทำลายความคิดลูก (โดยไม่ตั้งใจ) ที่พ่อแม่หลายคนใช้ เรามาดูกันค่ะว่ามีแบบไหนกันบ้าง

            ลูกไม่กล้าคิด เพราะ 5 วิธีพูด ทำลายความคิดลูก (โดยไม่ตั้งใจ)

            1. พ่อแม่พูดตัดสินความคิดเห็นและคำพูดของลูกบ่อยๆ ว่า ดี/ไม่ดี ทำได้/ทำไม่ได้ ไร้สาระ เหลวไหล เป็นไปไม่ได้หรอกลูก หรือกระทั่ง มีแต่คนโง่ที่คิดแบบนี้! ฯลฯ
            2. พ่อแม่พูดเยอะ พูดมากกก พูดทุกความคิดที่มีอยู่ในหัวตัวเอง ทำให้ลูกไม่มีโอกาสได้คิด ได้พูดบ้างเลย เพราะพ่อแม่พูดไปหมดแล้ว จะเหลืออะไรให้หนูคิดและพูดออกมาล่ะ
            3. พ่อแม่พูดอวดความเก่งของตัวเองตอนเป็นเด็กให้ลูกฟังอยู่ตลอด ว่า ตอนพ่ออายุเท่าลูกนะ พ่อเรียนได้ที่หนึ่งตลอดเลย หรือตอนแม่อายุเท่าหนูนะ แม่มีเพื่อนเยอะมากๆ ครูก็รัก ใครๆ ก็รักแม่ (ไม่เหมือนหนูเลย ไม่มีใครรัก)! เหมือนทับถมลูกเลยทางอ้อม
            4. พ่อแม่เคร่งเครียด เอาจริงเอาจังกับลูกมาก คาดหวังเอาความสมบูรณ์แบบจากทุกคำพูดและการกระทำจากลูก เด็กก็เลยพลอยเครียดตาม ความคิดต่างๆ หดหายไปกับความเกร็ง ความเคร่งเครียดของพ่อแม่
            5. พ่อแม่ที่มีแนวคิดว่าเด็กต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่เสมอ ส่วนใหญ่วิธีพูดตามแนวคิดนี้ก็จะเป็นว่า “ให้ทำตามที่แม่บอก ไม่ต้องถาม” “ผู้ใหญ่บอกก็ฟังอย่างเดียว ห้ามเถียง”
            หมอดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว
            คุณหมอดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว กุมารแพทย์ที่ปรึกษา ศูนย์เด็กพิเศษ รพ.สมิติเวชศรีนครินทร์

            ถ้าหากพ่อแม่เคยใช้วิธีพูดแบบนี้กับลูกบ่อยๆ ให้รู้ไว้นะคะว่าจะมีส่วนทำให้ ลูกไม่กล้าคิด แล้วจะลามไปเป็นไม่กล้าทำด้วย

            และถ้าใช้วิธีข้างต้นนั้นอยู่ ก็ให้ปรับเปลี่ยนวิธีพูดมาเป็น

            • พ่อแม่เงียบ ไม่ต้องพูด ปล่อยให้ลูกพูดบ้าง
            • ถามความเห็นลูกบ่อยๆ เพื่อกระตุ้นให้ลูกคิด
            • ฟังลูกพูดจนจบโดยไม่ตัดสินใจ
            • พูดชมความคิดลูกบ้าง ไม่ใช่นิ่งฟังอย่างเดียว

            ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นการช่วยให้ลูกมีพัฒนาการทางความคิดที่ดีขึ้น กล้าพูด กล้าคิดมากขึ้น สมกับเป็นเด็กยุคใหม่ ปี 2020 ตามที่คุณหมอแนะนำค่ะ

            อ่านต่อ 6 วิธีกระตุ้น ทักษะทางความคิดให้ลูก คลิก

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              ช็อกโกแลตซีสต์

              7 อาการเสี่ยง ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นแล้วมีลูกได้ไหม ท้องยากจริงหรือ?

              ‘ซีสต์’ เป็นโรคที่พบได้ในผู้หญิงทุกเพศทุกวัยและพบได้ในหลายจุด และสำหรับผู้หญิงที่วางแผนจะมีบุตรควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์ เพราะหากเป็น ช็อกโกแลตซีสต์ อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในอนาคตได้

              โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
              โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

              ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) หรือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ คือ ถุงน้ำในรังไข่ประเภทหนึ่งที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ และสามารถมีการเจริญเติบโตได้จากการที่ได้รับฮอร์โมนในร่างกายมากระตุ้น โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง เซลล์เหล่านี้จะมีขนาดเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาลคล้ายจุดห้อเลือด ในแต่ละเดือนเมื่อถึงเวลาเป็นประจำเดือนก็จะมีเลือดสะสมและตกค้างก่อตัวเป็นซีสต์โตขึ้น เมื่อมีการสะสมของเลือดนาน ๆ  สีเลือดจึงเปลี่ยนเป็นสีเข้ม จึงทำให้เกิดลักษณะของเหลวเหนียวข้นสีน้ำตาลเข้มและข้น คล้ายสีและลักษณะของช็อกโกแลต และแทนที่เลือดจะไหลออกมาทางช่องคลอดตามปกติ แต่กลับมีประจำเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนไปทางหลอดมดลูกเข้าไปในช่องท้องแล้วไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำ หรือถุงที่มีเลือดคั่งและไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่าง ๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ

              ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นแล้วมีลูกได้ไหม ท้องยากจริงหรือ?

              นพ.ธีรยุทธ์ จงวุฒิเวศย์ สูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ผู้มีประสบการณ์ด้านสูตินรีเวชและเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ โรงพยาบาลพญาไท ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องซีสต์ที่รังไข่ว่า ซีสต์ที่ทำให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ มักจะเกิดจากซีสต์ที่เป็นโรค เช่น ช็อกโกแลตซีสต์ ซึ่งมักจะส่งผลต่อกลไกการทำงานของรังไข่และทำให้คนไข้มีลูกได้ยากขึ้น สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดตามตำแหน่งที่เกิดโรค

              • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่-เกิดที่รังไข่ ซีสต์ชนิดนี้เมื่อเกิดขึ้นในรังไข่และยังมีขนาดเล็กอยู่จะทำให้ฟองไข่เจริญเติบโตได้ตามปกติ แต่คุณภาพของฟองไข่ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีช็อกโกแลตซีสต์นั้นจะมีสารเคมีบางอย่างที่ทำให้ฟองไข่ที่ตกในรังไข่ข้างด้อยคุณภาพลง และเจริญเติบโตได้น้อยกว่าอีกข้างที่ไม่มีซีสต์ และเมื่อซีสต์มีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้การเจริญเติบโตของฟองไข่เป็นไปได้ยากขึ้น เช่น ถ้าซีสต์มีขนาด 1 ซม. จะเหลือพื้นที่ในรังไข่ให้กับไข่เยอะ ทำให้ไข่มีโอกาสที่จะโตได้ตามปกติ แต่ถ้าขนาดซีสต์ใหญ่มากถึง 5 ซม. พื้นที่ในรังไข่ก็จะเหลือน้อยลง ไข่จะเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ เพราะความดันในรังไข่สูงมาก และอาจทำให้ไข่ไม่ไปตกในข้างที่มีซีสต์เลย เมื่อไข่ไม่ตกในข้างที่มีซีสต์ก็ทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลงตามไปด้วย
              • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่-เกิดที่นอกรังไข่ โดยทำให้มีรอยโรคในอวัยวะอื่น ๆ ภายในช่องท้องหรือในมดลูกได้อีกเช่นกัน ฉะนั้นอาจจะทำให้มีพังผืดเกิดขึ้นที่ปีกมดลูกจนทำให้ท่อรังไข่อุดตัน ซึ่งการที่ท่อรังไข่อุดตันนั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไข่กับสเปิร์มไม่สามารถผสมกันได้ นอกจากนี้ถ้าเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่และแทรกเข้ามาในชั้นเนื้อกล้ามเนื้อมดลูกแล้ว ทำให้มดลูกมีขนาดที่โตขึ้น มีรูปร่างที่บิดเบี้ยว หรือมีสภาพที่ผิดธรรมชาติไป โอกาสที่ตัวอ่อนจะมาฝังตัวก็ยากขึ้นตามไปด้วย เมื่อตัวอ่อนไม่สามารถฝังตัวที่ผนังมดลูกได้ก็จะทำให้โอกาสในการตั้งครรภ์ลดลงไปด้วยเช่นกัน

              เพราะฉะนั้นแล้วไม่ว่าซีสต์จะเกิดขึ้นในรังไข่หรือนอกรังไข่ก็สามารถส่งผลกระทบกับการตั้งครรภ์ได้ทั้งสิ้น เพราะว่าระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิงเป็นกลุ่มโรคที่โยงถึงกันอยู่

              โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

              7 อาการที่เสี่ยงเป็นช็อกโกแลตซีสต์

              ช็อกโกแลตซีสต์ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและไม่ค่อยเป็นอันตราย แต่ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เพียงแต่จะแสดงอาการหรือส่งผลต่อร่างกายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เริ่มตั้งแต่ไม่มีความผิดปกติใด ๆ แสดงอาการเพียงเล็กน้อย หรือรุนแรง ซึ่งอาการที่พบบ่อย เช่น

              1.ปวดท้องมากผิดปกติเวลามีประจำเดือน และปวดมากขึ้น ๆ ทุกเดือน ซึ่งมักจะเริ่มปวดก่อนประจำเดือนมา 2-3 วันไปจนหมดรอบเดือน โดยอาจจะปวดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกรานและตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ ต่างกับการปวดประจำเดือนปกติที่มักปวดในช่วงวันแรก ๆ และไม่รุนแรง รวมถึงการปวดท้องน้อยเวลามีเพศสัมพันธ์

              2.ประจำเดือนมานานผิดปกติหรือมามากกว่า 7 วัน และการมีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ

              3.ประจำเดือนมาถี่ มีระยะห่างระหว่างที่เป็นประจำเดือนแต่ละรอบสั้นกว่าปกติ คือประจำเดือนมามากกว่าเดือนละ 2 ครั้ง

              4.ปัสสาวะบ่อยขึ้น อาจเป็นเพราะก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่ และไปเบียดกระเพาะปัสสาวะจนทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติ

              5.ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด ในช่วงมีประจำเดือน บางรายอาจมีอาการปวดขณะถ่ายอุจจาระหรือปวดบริเวณอุ้งเชิงกรานมากขณะปัสสาวะ

              6.มีเลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด หรืออาการอื่น ๆ คล้ายกับช่วงมีประจำเดือน

              7.ปวดไมเกรนบ่อย โดยเฉพาะช่วงก่อนและระหว่างมีประจำเดือน

              บางรายอาจไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมาเลย แต่ถ้าคลำพบก้อนแข็งบริเวณท้องน้อย ซึ่งอาจจะอยู่ตรงกลางหรือด้านข้าง ก็มีความเสี่ยงที่ในระยะที่เป็นอันตรายได้ เนื่องจากถุงน้ำโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่ หรือถ้าเป็นคนผอมแต่มีพุงให้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีถุงน้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นภายในท้อง หากสังเกตตัวเองแล้วพบว่ามีอาการดังที่กล่าวมานี้ ก็เป็นไปได้ว่ามีความเสี่ยงที่กำลังป่วยเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาต่อไป เพื่อไม่ปล่อยให้อาการลุกลามจนกลายเป็นระยะที่รุนแรง ที่จะสร้างความทรมานให้กับร่างกายได้ไม่น้อย

              อ่านต่อ วิธีรักษาเมื่อตรวจพบช็อคโกแลตซีสต์ คลิกหน้า 2

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน

                5 วิธีรับมือ “ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน” ลูกแพ้อาหารผ่านนมแม่ ทำไงดี?

                ระวัง!! ลูกแพ้อาหารผ่านนมแม่ แพ้อาหารที่แม่กิน .. แม่โพตส์เตือน! ลูกวัย 3 เดือน ผื่นขึ้นเต็มตัว เพราะแพ้อาหารจากนมแม่ พร้อมวิธีสังเกตและรับมือ เมื่อสงสัยว่า ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน

                ทำอย่างไรดี? ถ้า ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน ผ่านน้ำนม

                นมแม่ คือ อาหารที่ดีและวิเศษสุดของลูกน้อย เพราะนมแม่มีความสำคัญต่อพัฒนาการทางร่างกายให้ลูกเติบโตได้อย่างปกติ การให้ลูกได้รับนมแม่ตั้งแต่คลอด ต่อเนื่องไปจนถึง 2 ปีได้หรือนานกว่านั้น  นอกจากจะช่วยในเรื่องการสร้างภูมิต้านทานตั้งแต่เด็กยังเป็นทารกอยู่ เมื่อโตขึ้นก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี รวมถึงพัฒนาการทางสมองที่สมบูรณ์และความฉลาดทางอารมณ์อีกด้วย

                ทั้งนี้สำหรับการดูแลเรื่องอาหารการกินของคุณแม่ก็สำคัญ ซึ่งมีการศึกษาพบว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่จะส่งผลให้อาหารที่แม่กินผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ เช่น ระยะความถี่ในการให้นม ระบบการเผาผลาญของแม่ ประเภทของอาหารที่กิน  ซึ่งทั้งหมด ไม่สามารถระบุแน่นอนได้ว่า อาหารที่แม่กินเข้าไปจะส่งผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ในระยะเวลาเท่าไหร่

                แต่โดยเฉลี่ยแล้ว จะอยู่ที่  4-6 ชั่วโมง แต่สำหรับแม่บางคน อาจจะส่งผ่านได้ไวมากภายใน 1 ชั่วโมง หรือ ช้ามาก ภายใน 24 ชั่วโมง ก็เป็นไปได้  เพราะฉะนั้นคุณแม่ต้องจำให้ได้ว่าเรากินอะไรไปบ้างในแต่ละวัน และต้องรู้จักสังเกตอาการของลูกน้อยว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ เพราะอาหารที่แม่กิน อาจทำให้ ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน ลูกแพ้อาหารผ่านนมแม่ ได้

                เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านนี้ ที่ได้เผลอกินอาหารกลุ่มเสี่ยงเข้าไป ทำให้ลูกน้อยวัย 3 เดือน ที่กำลังกินนมแม่อยู่ แพ้อาหารผ่านนมแม่  โดยคุณแม่ได้โพสต์เล่าและถามถึง อาการแพ้อาหารว่ามีใครที่ ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน ผ่านน้ำนม ของแม่บ้าง โดยใช้เฟซบุ๊กชื่อ FooFoo Fongbeer ลงในกลุ่ม พูดคุยหลังคลอด ใจความว่า…

                📌แม่ๆบ้านไหนที่ให้นมลูก แล้วลูกแพ้อาหารที่แม่ทานเข้าไปแล้วมีอาการแบบนี้บ้างคะ

                แม่กินผัดหอยเล็บม้า (หอยทราย) ไป 2 วัน วันละ 1 จาน

                วันแรกไม่เป็นไร วันที่ 2 หลังกินได้ 4 ชั่วโมง น้องก็มีผื่นแดงขึ้นแต่ไม่เยอะเท่านี้ แม่พาไปหาหมอเมื่อวานหมอบอกอาจใช้เวลา 3-4 วัน ให้ยาแก้แพ้ กับยาทามา แต่กินยาเข้าไปอ้วกออกหมดเลย

                ในภาพน้องเป็นผื่นได้ 3 วันแล้ว แต่วันนี้หนักสุดผื่นขึ้นหน้า ขึ้นเปลือกตาด้วย สงสารลูกมาก ได้แต่โทษตัวเองที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้ ตอนนี้กลุ้มใจ สงสารลูกด้วย อยากดูดเต้าร้องไห้งอแง กว่าจะหลับต้องอุ้มเดิน 2-3 ชั่วโมงเลย

                แม่ๆ ท่านไหนที่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างคะ

                ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน
                โพสต์ของคุณแม่ FooFoo Fongbeer ถามถึง อาการ ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน
                ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน
                ภาพเมนูผัดหอยนี้เป็นเพียงภาพประกอบ ของสาเหตุที่ ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน เท่านั้น (ไม่ใช่ภาพอาหารที่คุณแม่ FooFoo Fongbeer กินจริงๆ)

                ซึ่งจากที่คุณแม่เล่า ทำให้ทราบได้แน่ชัดว่า อาการ ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน ซึ่งมีผื่นแดงขึ้นเต็มตัว มาจาก อาหารทะเล หรือ ผัดหอย ที่คุณแม่กินเข้าไปนั่นเอง เพราะนอกจากเมนูนั้นแล้วคุณแม่ก็ได้บอกกับทีมแม่ ABK ว่าไม่ได้กินอะไรอื่นอีกเลย

                นอกจากนี้คุณแม่ยังได้บอกอีกว่า น้องแพ้อาหารทะเล ไข่ไก่ เนื้อไก่ เพราะแม่ลองกินแล้วน้องผื่นขึ้น ซึ่งอาหารที่แม่กินได้จึงมีแค่พวกหมู และปลาน้ำจืด ส่วนนมที่ปั๊มใหม่หลังกินอาหารทะเลไปนั้น น้องกินแล้วผื่นยังขึ้นอยู่ จึงจำเป็นต้องที่ต้องให้น้องกินนมที่สต๊อกก่อนหน้านี้ไป อีกทั้งคุณหมอยังบอกอีกว่าหลายวันเลยกว่าสารก่อภูมิแพ้ของอาหารทะเลที่ปนอยู่ในน้ำนมแม่จะหมดไป

                ทั้งนี้ อาหารกลุ่มเสี่ยงต่อการที่ลูกน้อยจะแพ้ที่พบมากที่สุด ได้แก่ คือ นมวัว ไข่ นมถั่ว แป้งสาลี ถั่วเปลือกแข็ง อาหารทะเล และ ผลไม้รสเปรี้ยว เป็นต้น

                Must read >> อาหาร 6 อย่างนี้ “ห้ามให้ลูกน้อยต่ำกว่า 6 เดือน” กินเด็ดขาด!

                อย่างไรก็ตามเด็กทารกในช่วง 6 เดือนแรก จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะแพ้อาหาร เนื่องจากเยื่อบุกระเพาะอาหาร ลำไส้ และระบบร่างกาย ยังไม่เข้าที่  จึงทำให้สารก่อภูมิแพ้ เข้าสู่กระแสเลือดได้ และตอบสนองต่ออาการแพ้ได้ง่าย แต่ถ้าครอบครัวไม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ คุณแม่ก็ไม่จำเป็นต้องจำกัดอาหารกลุ่มเสี่ยง แต่ถ้าครอบครัวมีประวัติเป็นภูมิแพ้ คุณแม่ควรจะงดอาหารกลุ่มเสี่ยงก่อน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากนมวัว เพราะนมวัวเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่พบมากที่สุดในเด็กทารก

                ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน

                อ่านต่อ >> “อาหารที่ต้องระวังในช่วงให้นมลูก
                และวิธีรับมือเมื่อลูกแพ้อาหารผ่านนมแม่” คลิกหน้า 2

                อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :


                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.breastfeedingbasics.com

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  คนท้องทำเล็บเจลได้ไหม

                  คนท้องทำเล็บเจลได้ไหม ทาสีเล็บ เพนท์เล็บ ควรทำหรือไม่ควรทำ

                  การทำเล็บจัดเป็นกิจกรรมสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายที่ชอบความสวยงามรวมถึงคุณแม่ตั้งครรภ์ด้วย ซึ่งปัจจุบันนี้มีการทำเล็บหลายรูปแบบมาเสริมความสวยให้กับนิ้วมือรวมถึงการทำเล็บเจล ที่สาว ๆ หลายคนให้ความสนใจ แต่เมื่อกำลังตั้งครรภ์ก็ยังกังวลว่า คนท้องทำเล็บเจลได้ไหม รวมถึงการทำเล็บในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย เพราะในน้ำยาทาเล็บประกอบไปด้วยสารเคมีต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพแม่ท้องและทารกในครรภ์  แล้วการไปนั่งในร้านทำเล็บท่ามกลางกลิ่นสารเคมีในน้ำยาต่าง ๆ ที่สูดดมเข้าไปจะส่งผลลูกน้อยในครรภ์ด้วยหรือเปล่า ควรทำไม่ควรทำตอนท้องดีนะ มาไขข้อข้องใจนี่กันค่ะ

                  คนท้องทําเล็บได้ไหม
                  คนท้องทําเล็บได้ไหม

                  การทำเล็บเจลแตกต่างจากการทาสีเล็บธรรมดาอย่างไร

                  การทาสีเจลจะให้ความติดแน่นทนทาน สีเล็บเจลดูมันวาว สวยงามกว่าทาสีเล็บแบบธรรมดา อยู่ได้นานโดยไม่ลอกร่อน หลังจากทาสีเจลแล้วงอบด้วยแสง UV ที่ทำให้สีแห้งเร็วขึ้น แต่การทำเล็บประเภทนี้บ่อย ๆ ทำให้หน้าเล็บบางได้ เนื่องจากก่อนลงสีเจลจะต้องตะไบหน้าเล็บออกก่อนเพื่อให้เจลติดดี เวลาจะเปลี่ยนสีหรือเพนต์ลายใหม่ก็ต้องตะไบหน้าเล็บทุกครั้ง ซึ่งอันที่จริงการทำเล็บสีเจลกับสีธรรมดาก็ไม่แตกต่างกันมาก

                  คนท้องทำเล็บเจลได้ไหม ทาสีเล็บ เพนท์เล็บ ควรทำไม่ควรทำตอนท้อง

                  ก่อนหน้านี้เคยมีความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับภัยของการทาเล็บกับคนท้องว่า ไม่ควรทาเล็บเพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ ทำให้คุณแม่หลายคนกังวล โดยเฉพาะคนที่รักการตกแต่งเล็บเป็นชีวิตจิตใจ แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เคยมีรายงานถึงกรณีที่การทาเล็บจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของเด็กที่คลอดออกมาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม การที่คุณแม่ต้องการทำเล็บขณะตั้งครรภ์นั้นควรต้องมั่นใจว่าร้านทำเล็บที่เข้าไปใช้บริการนั้นไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากอุปกรณ์ ใช้อุปกรณ์ในการทำเล็บที่สะอาด รวมถึงการระมัดระวังใช้ยาทาเล็บและน้ำยาล้างเล็บขณะตั้งครรภ์ เพราะการสัมผัสหรือสูดดมสารเคมีจากน้ำยาทาเล็บบ่อย ๆ อาจเป็นอันตรายได้ โดยสารเคมีที่ใช้เป็นส่วนประกอบในยาทาเล็บและเป็นอันตราย ได้แก่

                  • โทลูอีน (Toluene) เป็นสารเคมีที่ถูกผสมในยาทาเล็บเพื่อช่วยให้สีที่ทาลงบนเล็บมีผิวเรียบเนียนและแห้งเร็ว ซึ่งการสูดดมหรือได้รับสารโทลูอีนเข้าสู่ร่างกายอาจส่งผลข้างเคียงมีอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ระคายเคืองต่อตา จมูก ลำคอ และปอด เป็นพิษต่อตับ ไต หากสูดดมหรือสัมผัสโดนสารนี้ในปริมาณมาก อาจทำให้ระบบประสาทเสียหายและทารกในครรภ์พิการได้
                  • ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde) เป็นสารก่อมะเร็งที่ถูกผสมในยาทาเล็บ ซึ่งช่วยให้น้ำยาทาเล็บแข็งตัวขึ้น เมื่อสูดดมสารนี้เข้าไปในระยะสั้นจะทำให้เกิดการระคายเคืองในลำคอ ต่อจมูก คอ ปอด ทำให้ไอและทำให้ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อีกทั้งการสัมผัสหรือสูดดมสารนี้เข้าไปในปริมาณมากและต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งในระบบทางเดินหายใจได้ หากสัมผัสกับผิวหนังจะปรากฏเป็นผื่นแพ้และคัน
                  • ไดบูทิลพาธาเลต (Dibutyl Phthalate) เป็นสารที่ช่วยให้สียึดติดกับตัวเล็บได้นานขึ้น แต่สารเคมีชนิดนี้เป็นสารก่อมะเร็งทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ และทำลายอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ และยังเป็นพิษต่อตับ ไต และปอด จัดเป็นสารเคมีอันตรายหากร่างกายได้รับติดต่อกันเป็นเวลานาน

                  สัญญาณเบื้องต้นที่บ่งบอกความเป็นอันตรายของ ยาทาเล็บ คือทันที่เปิดฝาออกมาก็มีกลิ่นเหม็นรุนแรง อันเกิดจากการผสมกันของแอลกอฮอล์ โซลเวนต์หรือสารอินทรีย์ระเหยที่ใช้เป็นตัวทำละลายซึ่งช่วยให้ยาทาเล็บแห้งเร็ว และเรซิ่นที่ทำให้สีของยาทาเล็บติดทนทาน ไม่ลอกล่อนโดยง่าย สูตรแบบนี้ไม่เหมาะกับคนท้อง

                  สิ่งที่ควรทำ vs ไม่ควรในการทำเล็บ เพื่อความปลอดภัยระหว่างตั้งครรภ์

                  คนท้องทาเล็บได้ไหม
                  คนท้องทาเล็บได้ไหม
                  • แจ้งพนักงานว่าคุณแม่กำลังตั้งครรภ์ เพื่อที่ช่างจะได้ระมัดระวังในการทำเล็บมากเป็นพิเศษ
                  • เลือกตะไบปลายเล็บแบบสี่เหลี่ยมมน เพราะการตะไบปลายเล็บให้มีรูปร่างแบบนี้ จะมีโอกาสน้อยที่จะทำให้เกิดเล็บขบ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการติดเชื้อ
                  • แจ้งพนักงานไม่ตัดหนังจมูกเล็บ/ หนังกำพร้าข้างเล็บออก เพราะเมื่อขลิบเนื้อเยื่อบริเวณส่วนนี้ออกไป อาจเสี่ยงทำให้เชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย จนส่งผลให้เกิดการติดเชื้อตามมาได้
                  • หลีกเลี่ยงการอบเล็บ ควรเลือกรูปแบบการทำเล็บที่สามารถปล่อยให้เล็บค่อย ๆ แห้งเองเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องอบที่ใช้แสง UV โดยเฉพาะคนที่มีผิวหนังไวต่อรังสียูวี
                  • ไม่ควรทำเล็บเท้าหากมีแผลเปิด หูด ตาปลา หรือเชื้อรา การตัดเพื่อเปิดหรือการขูดแบบใด ๆ จะมีส่วนทำให้ไวต่อการติดเชื้อ หรือจำเป็นต้องใช้ยาที่ควรหลีกเลี่ยงในขณะตั้งครรภ์
                  • ใส่หน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูกขณะทำเล็บ เพื่อป้องกันการสูดดมกลิ่นสารเคมีที่อาจส่งผลให้คุณแม่แพ้หรือวิงเวียนศีรษะ ทำให้เกิดการอาเจียนได้ หรือควรหลีกเลี่ยงบางขั้นตอนที่ต้องสูดกลิ่นสารเคมีมาก ๆ โดยไม่จำเป็น
                  • เลือกยาทาเล็บที่ปลอดภัยไม่มีส่วนผสมของโทลูอีน ฟอร์มาลดีไฮด์ และไดบูทิลพาทาเลต โดยมองหาสัญลักษณ์ “5-Free” หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนประกอบของFormaldehyde, Toluene, Dibutyl Рhthalate หรือ Camphor หรือ “3-Free” หมายถึง น้ำยาทาเล็บนี้ปราศจากสารอันตราย 3 ชนิด ได้แก่ Formaldehyde, Toluene และ Dibutyl Рhthalate บนขวดน้ำยาทาเล็บ อ่านรายละเอียดชื่อสินค้า ส่วนประกอบสำคัญ วิธีใช้ สถานที่ผลิต วันที่ผลิต ปริมาณสุทธิ และหาซื้อจากร้านที่น่าเชื่อถือ
                  • เลือกใช้น้ำยาล้างเล็บที่ไม่มีส่วนผสมของอะซิโตน เพราะการสัมผัสสารดังกล่าวในปริมาณมากหรือติดต่อกันเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ และอาจส่งผลให้มีความผิดปกติแต่กำเนิดได้ และหลังล้างยาทาเล็บออก ควรล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่เสมอ เพื่อป้องกันสารเคมีตกค้างบนผิวหนัง

                  อ่านต่อ ร้านทำเล็บแบบไหนที่เหมาะสำหรับแม่ท้อง คลิกหน้า 2

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    คนท้องยืดผมได้ไหม

                    คนท้องยืดผมได้ไหม ผมหยิก ชี้ฟู อยากให้ผมตรงจัดทรงง่าย ทำแล้วอันตรายมั้ย?

                    ฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาตั้งครรภ์ ทำให้รูปร่าง ผิวพรรณ ของว่าที่คุณแม่ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม บางคนอาจดูสวยเปล่งปลั่งขึ้น หรือบางคนอาจดูโทรมขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แม้กระทั่งเส้นผมสวย ๆ ของคุณแม่บนศีรษะที่อาจทำให้จากผมที่เคยดำขลับสวยงาม กลายเป็นแห้ง ชี้ฟู ไม่มีน้ำหนัก จนอยากนึกจะไปยืดตรง ๆ เพื่อให้หวีง่าย ดูแลรักษาง่าย แต่ก็ไม่รู้ว่าสารเคมีในน้ำยายืดผมที่ใช้จะเป็นอันตรายต่อลูกในท้องหรือเปล่า คนท้องยืดผมได้ไหม มาไขข้องข้องใจนี้กันค่ะ

                    คนท้องยืดผมได้ไหม ทำแล้วอันตรายมั้ย?

                    ยืดผมอันตรายไหม

                    การยืดผมจะช่วยให้ผมเป็นเส้นตรง จัดทรงง่าย หวีง่าย เป่าหรือไดร์หลังสระก็สบาย ๆ ยิ่งโดยเฉพาะสำหรับคุณแม่ที่มีผมหยิก ชี้ฟู ที่ฮอร์โมนในตอนตั้งครรภ์มีผลต่ออารมณ์ได้ง่าย หงุดหงิดบ่อย จึงไม่อยากเสียเวลาทำอะไรกับเส้นผมมาก การเข้าร้านเสริมสวยเพื่อยืดผมอาจจะตอบโจทย์ความต้องการของคุณแม่ได้ แต่การเสริมสวยของเส้นผมระหว่างตั้งครรภ์นั้น ไม่ว่าจะดัด ยืด  ย้อมผม ทำสี การเสริมความงามเหล่านี้ล้วนต้องใช้สารเคมีในการทำ สำหรับน้ำยายืดผม มีสารที่ใช้อยู่ 3 ชนิด คือ

                    • โซเดียมไฮดรอกไซด์ (Sodium Hydroxide) เป็นรีแลกเซอร์ที่เป็นอันตราย เนื่องจากมีความเป็นด่างแรงที่สุด มี pH 10-14 มีฤทธิ์กัด มักใช้กับเส้นผมที่หยิกมาก ๆ น้ำยาชนิดนี้มีความรุนแรงสูง หากใช้ไม่ระมัดระวังอาจก่อให้เกิดอาการเจ็บแสบหนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะอักเสบ หลุดลอกเป็นแผลได้
                    • Calcium hydroxide Guanidine carbonate และ Ammonium Thioglycolate มี pH 9-9.5 มีความเป็นด่างลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังจัดว่ารุนแรงต่อเส้นผมและหนังศีรษะไม่แตกต่างกับชนิดแรกมากนัก ซึ่งหากใช้ในปริมาณที่มีความเข้นข้นมากเกินหรือใช้เป็นเวลานาน ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองคันตามหนังศีรษะและใบหน้า หรือเกิดเป็นผื่นคันบนผิวหนัง

                    สารเคมีจำพวกน้ำยายืดผม ดัดผมเปลี่ยนสีผม กัดสีผม เหล่านี้มีส่วนทำลายหนังศีรษะให้เกิดการอักเสบ เมื่อหนังศีรษะถูกสารเคมีกัดก็จะเกิดอาการเจ็บปวดต่าง ๆ ขึ้นมาอย่างรู้สึกได้ โดยอาการแพ้ของคนที่แพ้สาร p-Phenylenediamine จากน้ำยาเคมีเหล่านี้จะเกิดอาการบวม คันตามหนังศีรษะและใบหน้า หรือเกิดผื่นคันหรือลมพิษทั่วร่างกาย อาการเหล่านี้อาจปรากฏขึ้นหลังจากย้อมสีผมผ่านไปหลายชั่วโมงหรือหลายวันแล้วแต่บุคคล

                    ส่วนในกรณีที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงหรืออาการแพ้ชนิดเฉียบพลัน จะเกิดขึ้นได้ภายในไม่กี่นาทีหลังจากยืดผม  ดัดผม  เปลี่ยนสีผม กัดสีผม คือ

                    • สังเกตว่าคันผิวหนังอย่างรุนแรง มีผื่นคันสีแดงสดขึ้นมาตามผิวหนัง
                    • เกิดอาการบวมเป่งในช่วงบริเวณ ดวงตา ริมฝีปาก  มือ  เท้า ซึ่งเปลือกตาอาจบวมมากจนตาปิดได้
                    • ปาก ลิ้น ลำคอ เกิดความบวมจนก่อให้เกิดการหายใจหรือกลืนอาหารลำบาก
                    • ปวดท้อง คลื่นไส้  อาเจียน อย่างรุนแรง
                    • เวลาหายใจมีเสียงคล้ายคนเป่านกหวีด
                    • หมดสติ

                    เมื่อมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ทันที นอกจากอาการแพ้แล้วกลิ่นของน้ำยาที่แม่สูดดมเข้าไปอาจจะส่งผลให้รู้สึกวิงเวียนและปวดศีรษะได้

                    คนท้องยืดผม ทําสีผมได้ไหม

                    เมื่อทำการยืดผม น้ำยายืดผมจะแทรกซึมเข้าไปในชั้นกลาง ของเส้นผมและทำให้เกิดปฏิกิริยาทำให้เส้นผมอ่อนตัวลงสามารถจัดรูปแบบใหม่ได้ตามต้องการ ซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้เส้นผมยืดตรงอย่างถาวร อ่อนนุ่ม เป็นประกาย และไม่โค้งงอ หยิก ฟู แต่การยืดผมจะใช้เวลาทำนานสำหรับผมสั้นประมาณ 3 ชั่วโมง และผมยาวจะใช้เวลานาน 4-5 ชั่วโมง หลังทำการล้างน้ำยาออก กระบวนการต่อไปคือการปรับสภาวะผมให้มี pH เป็นปกติ และได้รูปแบบใหม่ที่เส้นผมถูกทำให้ตรงไว้ แต่ปฏิกิริยาเคมีที่ทำการยืดผมจะใช้เวลาต่อเนื่องไปนานประมาณ 48 ชั่วโมง ดังนั้นในช่วงเวลานี้ทำให้คุณแม่ไม่สามารถสระผมได้ไปเกือบสามวัน

                    ถึงแม้ว่าทางแพทย์ยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัดหรือยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าการการย้อม ยืด โกรก ดัด ทำสีผม หรือการทำเคมีกับเส้นผมในคนท้องนั้นจะส่งผลเสียโดยตรงต่อทารกในครรภ์ได้อย่างแน่นอน แต่โอกาสที่สารเคมีที่ใช้กับเส้นผมจะถูกดูดซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือดได้นั้นมีน้อยมาก วิทยาลัยสูติ-นรีแพทย์แห่งอเมริกา (American College of Obstetrics and Gynecologists) จึงแนะนำว่า การย้อมผมระหว่างตั้งครรภ์ “น่าจะ” ปลอดภัย  อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องระมัดระวัง ดังนั้นจึงมีบุคลากรทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยแนะนำแม่ตั้งครรภ์ไม่ให้ย้อมผมแบบถาวรระหว่างการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก รวมถึงการทำด้วยสารเคมีในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย เพราะการตั้งครรภ์ช่วงแรกถือเป็นช่วงที่สำคัญของทารก เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการพัฒนา สร้างอวัยวะต่าง ๆ ที่สำคัญขึ้นมา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยสำหรับลูกน้อยในครรภ์รวมถึงตัวคุณแม่ ควรหลีกเลี่ยงการทำผมด้วยสารเคมีในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ และควรรอทำหลังจากที่มีอายุครรภ์เกิน 4 เดือนไปหรือเข้าสู่ไตรมาสที่สอง ปัญหาจากปัจจัยภายนอกทั่วไปก็จะไม่ส่งผลต่อการสร้างอวัยวะของเด็ก ช่วยลดความเสี่ยงในอันตรายที่จะเกิดขึ้น

                    อ่านต่อ ข้อแนะนำสำหรับการยืด ย้อม ดัด โกรก ทำสีผม ระหว่างตั้งครรภ์ คลิกหน้า 2

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      HQ (Health Quotient)

                      7 เคล็ดลับ สอนลูกดูแลสุขภาพ มี HQ (Health Quotient) สร้างภูมิต้านทาน แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย

                      เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนล้วนต้องการสร้างให้ลูกเติบโตมามีความฉลาดทั้ง IQ และ EQ ที่ดี เป็นเด็กดี มีความสามารถที่จะเผชิญและแก้ไขกับอุปสรรคต่าง ๆได้ ดังนั้นการส่งเสริม Q อีกหนึ่งตัวสำหรับลูกที่ไม่ควรมองข้าม คือ การสร้างให้ลูกมี HQ (Health Quotient) เป็นเด็กที่มีความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งก็คือความสามารถและรู้จักที่จะดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ถ้าคุณพ่อคุณแม่เริ่มปลูกฝังให้ลูกรู้จักดูแลตัวเองเป็นตั้งแต่เล็ก ๆ เด็กก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี ช่วยให้ลดอัตราการเจ็บป่วยลงไปได้ เมื่อลูกมีร่างกายแข็งแรงก็จะทำให้เติบโตขึ้นอย่างสมวัย มาสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ด้วยเคล็ดลับนี้กันค่ะ

                      7 เคล็ดลับ สอนลูกดูแลสุขภาพ มี HQ (Health Quotient)
                      สร้างภูมิต้านทาน แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย

                      ความฉลาดทางสุขภาพ

                      1.ให้ลูกได้ขยับเคลื่อนไหวเสริมสร้างร่างกายให้ฟิตเสมอ

                      การมีสุขภาพที่ดีต้องมาจากร่างกาย กล้ามเนื้อ และหัวใจที่แข็งแรง ซึ่งเด็กในยุคนี้ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น ดูโทรทัศน์ เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ ดูสมาร์ทโฟน กิจกรรมเหล่านี้จะส่งผลทำให้เกิดภาวะน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วนในเด็กตามมาได้ ดังนั้นการส่งเสริมให้ลูกได้เล่น ได้ขยับร่างกาย ได้ออกกำลังกายไปกับกิจกรรมโปรดสัก 20 นาทีต่อวัน ทำกิจกรรมที่สร้างความกระฉับกระเฉงและมีการเคลื่อนไหว  เช่น วิ่งเล่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือเล่นกีฬา เป็นต้น จะช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงมากขึ้น ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยลงได้

                      บทความแนะนำ “ยิ่งเล่น ยิ่งฉลาด “ พัฒนา PQ (Play Quotient) สร้างลูกให้ฉลาดแข็งแรงจากการเล่นแสนสนุก

                      2.สอนให้ลูกรู้ว่าอะไรควรกิน/ ไม่ควรกิน

                      ในยุคที่เด็ก ๆ ชอบเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อไปเลือกซื้อขนมสุดโปรด คุณพ่อคุณแม่สามารถแนะนำลูกได้ว่า ควรกินอะไรจึงจะเหมาะกับสุขภาพ และขนมแบบไหนที่กินแล้วไม่มีประโยชน์ อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงคุณค่าทางโภชนาการที่จะได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เพื่อให้ลูกสามารถเลือกซื้ออาหารได้อย่างชาญฉลาดนอกจากนี้ยังสามารถปลูกฝังนิสัยการรับประทาน เช่น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล ของหวาน ของทอด อาหารที่มีไขมันและโซเดียมสูง ฯลฯ และกระตุ้นให้ลูกได้ทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนอย่างหลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อช่วยเติมเต็มพลังงาน ทำให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น

                      การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

                      3.ให้ลูกดื่มน้ำเป็นประจำ

                      เด็ก ๆ มักจะสนใจทำกิจกรรมอื่น มากกว่าการคิดที่จะดื่มน้ำ แต่ร่างกายของเด็กจำเป็นต้องได้รับน้ำเพื่อที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ป้องกันอาการขาดน้ำ อ่อนเพลีย แก้ท้องผูก ดังนั้นการปลูกฝังให้ลูกได้จิบน้ำเป็นประจำ อย่ารอให้รู้สึกกระหายจึงดื่มน้ำ จัดว่าเป็นส่วนหนึ่งในการเสริม HQ ให้ลูกได้เช่นกัน

                      4.การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี

                      การจัดสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับลูกเอื้อต่อการมีสุขภาพดี คุณพ่อคุณแม่สามารถแนะนำให้ลูกฉลาดเลือกได้ว่าควรทำกิจกรรมแบบใดให้เหมาะสมกับตัวเอง ควรเลือกที่จะพาตัวเองไปอยู่ในสถานที่ไหน หรืออธิบายวิธีการเลือกคบเพื่อน ประเภทไหนควรหรือไม่ควรคบ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพกายและใจของตนเองได้ในอนาคต

                      Health Quotient

                      5.ปลูกฝังให้ลูกดูแลสุขอนามัยของตัวเอง

                      การดูแลสุขภาพที่ดีมาพร้อมกับการดูแลรักษาความสะอาดและสุขอนามัยส่วนตัว คุณพ่อคุณแม่สามารถอธิบายให้เด็ก ๆ ได้รู้ว่าการไม่ดูแลตนเอง ไม่รักษาความสะอาดนั้นจะก่อให้เกิดโรคขึ้นได้ง่าย ดังนั้นการแนะนำให้ลูกดูแลรักษาความสะอาด เช่น  การล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนการรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ หรือหลังจากเล่นกับสัตว์เลี้ยง การแปรงฟันก่อนนอน หรือหลังอาหาร การอาบน้ำ การใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น ใส่หน้ากากอนามัย เป็นต้น ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ไม่เจ็บป่วยง่าย

                      6.สอนลูกให้อย่าประมาท

                      ไม่ว่าจะเล่นหรือทำกิจกรรมใด ๆ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎอย่างถูกต้อง เช่น การรอไฟเขียวสำหรับคนเดินเพื่อข้ามถนน การลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ หรือการไปเล่นในที่สาธารณะต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

                      โกรทฮอร์โมน

                      7.นอนหลับให้เพียงพอ

                      เด็กในวัยเรียนควรได้พักผ่อนนอนหลับอย่างน้อย 9-11 ชั่วโมง การได้นอนหลับสนิทอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนในระหว่างนอนหลับนั้นร่างกายจะผลิตโกรทฮอร์โมนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งฮอร์โมนนี้จะช่วยส่งเสริมให้ร่างกายของเด็กเจริญเติบโตอย่างสมวัย และช่วยให้ร่างกายได้ตื่นมาพร้อมกับความสดใส อารมณ์ดี ส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกายเนื่องจากการนอนหลับที่เต็มอิ่มจะช่วยให้ระบบเลือด เซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกายแข็งแรงขึ้น เด็กที่พักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ไม่มีสมาธิ ส่งผลต่อการเรียน อารมณ์ทำให้หงุดหงิดง่าย และเมื่อนอนน้อยก็จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ส่งผลเสียต่อสุขภาพและพัฒนาการในการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ ด้วย

                      “ในคนที่มี HQ ต่ำนั้นมีมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหาสุขภาพตั้งแต่อายุน้อย และมักจะมีสุขภาพแย่กว่าหรือปวยหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมากกว่า”, (NAAL, 2003) ทั้งนี้อาจจะเนื่องจากการขาดความรู้และทักษะในการป้องกันและดูแลสุขภาพของตนเองนั่นเอง

                      ดังนั้นการที่คุณพ่อคุณแม่จะเสริมสร้าง HQ ให้ลูกมีความฉลาดทางสุขภาพไม่ใช่เรื่องยากค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยประถมเด็กวัยนี้จะมีพัฒนาการที่แตกต่างไปจากวัยทารกหรือก่อนวัยเรียนมากมาย เพราะช่วงวัยนี้นอกจากพัฒนาการที่ได้พัฒนามาอย่างเต็มที่แล้วยังเป็นวัยแห่งการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง รวมถึงต้องการทำอะไรด้วยตนเอง ดังนั้นการได้รับการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดี จะทำให้ลูกมีสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์ มีภูมิต้านทาน แข็งแรง ฉลาด สดใส เติบโตอย่างสมวัยในอนาคตได้.

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.789beauty.comwww.thairath.co.th

                      อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ :

                      8 วิธีเลี้ยงลูก ให้มี OQ (Optimist Quotient) ฉลาดมองโลกในแง่ดี ส่งผลดีต่อชีวิต

                      6 เคล็ดลับเสริมลูกให้ “ฉลาดคิดสร้างสรรค์” มี CQ ดี อนาคตดี

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        สายสะดือบิดเป็นเกลียว

                        อุทาหรณ์แม่ท้อง! สายสะดือบิดเป็นเกลียว ต้องคลอดลูกที่ไม่มีลมหายใจ [เรื่องจริงจากหมอสูติฯ]

                        ปัญหาจากสายสะดือ เช่น พัน ตีบ บิด จึงไม่มีเลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ พบได้ร้อยละ 10 ซึ่งหากเกิดเหตุ สายสะดือบิดเป็นเกลียว หรือสายสะดือตีบ มักสัมพันธ์กับสายสะดือที่ยาวกว่าปกติ

                        ภาวะนี้แพทย์อาจไม่สามารถตรวจพบตอนตั้งครรภ์ หากเป็นมาก สายสะดือตีบจนเลือดไม่ไหล เด็กมักเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หากปมไม่แน่น หรือเป็นเกลียวหลวม สายสะดือไม่ตีบมาก แพทย์มักจะตรวจพบจากการเต้นของหัวใจเด็กเต้นผิดปกติ และช่วยเหลือได้ทันในช่วงคลอด

                        อุทาหรณ์แม่ท้อง! สายสะดือบิดเป็นเกลียว
                        ต้องคลอดลูกที่ไม่มีลมหายใจ [เรื่องจริงจากหมอสูติฯ]

                        ฉันเอนตัวลงนอน เอามือลูบท้อง ตอนนี้ลูกในท้องสะอึกเป็นจังหวะ หมอบอกว่า เด็กสะอึกได้เหมือนผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามหากสะอึกต่อกันเป็นเวลานานเด็กจะเหนื่อย แม่ควรพัก ใช้มือสัมผัสลูบท้อง

                        ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันจึงท้องยากเย็น ฉันอายุ 33 ปี แต่งงานมานาน 13 ปี สองท้องแรกแท้ง ต้องขูดมดลูก ท้องที่ 3 ท้องนอกมดลูก ก็ต้องเทียวหาหมอถึง 3 ครั้ง ลงเอยโดยการผ่าตัดปีกมดลูกด้านซ้ายออกไป หลังจากนั้นหลายปี จึงท้องที่สี่ ต้องฝากครรภ์อย่างดี พบหมอเดือนละหลายครั้ง นอนโรงพยาบาลหลายครั้ง เพราะปวดท้องจะคลอดก่อนกำหนด สุดท้ายลูกคลอดตอนท้อง 8 เดือน น้ำหนัก 2,400 กรัม ตอนผ่าคลอดหมอบอกว่ามดลูกของฉันมีพังผืดมาก เหมือนมีการอักเสบเรื้อรัง เข้าใจว่าเกี่ยวกับการแท้งลูกที่ผ่านมา แต่โชคดีที่ลูกแข็งแรงพอสมควร ไม่ต้องเข้าตู้อบ ตอนนี้ลูกสาวคนโตอายุ 7 ปี แข็งแรงสมบูรณ์และฉลาดดี

                        ฉันและสามีปล่อยให้มีลูกอีกคน นานกว่าจะท้อง ตั้งแต่ท้องก็แพ้ท้องรุนแรง กินอะไรไม่ได้เลย ท้อง 4 เดือนแรก นอนโรงพยาบาลไปสามครั้ง ต้องให้น้ำเกลือ ยาแก้แพ้ท้อง น้ำหนักลดมาก หลังจากนั้น อาการคลื่นไส้อาเจียน ก็ยังไม่หาย ฉันก็รู้สึกปวดท้อง ปวดหลัง ใจสั่น เช้ามาต้องอาเจียน ตามด้วยขย้อนทั้งวัน

                        แต่ละวันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตกดินเชื่องช้ามากสำหรับฉัน เพราะมีแต่ความไม่สุขสบาย ตอนท้อง 4 เดือน หมอเจาะเลือดฉันตรวจคัดกรองกลุ่มอาการทารกเด็กดาวน์ ผลเป็นปกติดี มีความเสี่ยงต่ำมาก คือโอกาสเกิดแค่ 1 : 100,000 ตอนท้อง 5 เดือนน้ำหนักฉันยังเพิ่มขึ้นน้อยมาก อาการแพ้ท้องก็ยังคงเดิม หมอบอกว่า เด็กในท้อง มีน้ำคร่ำน้อย และตัวเล็กกว่าปกติ อาจเป็นเพราะฉันกินอะไรไม่ได้เลย หมอให้ฉันฉีดยากันแท้ง พยายามรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และพักผ่อนให้มาก ๆ

                        ก่อนท้องฉันเปิดร้านขายของชำ สามีวิ่งรถสิบล้อ เมื่อมีลูกคนนี้ฉันปิดร้านไม่มีกำหนด สามีก็ลางานบริษัทมาช่วยตายายดูแลลูกคนโต เพราะต้องรับส่งลูกไปโรงเรียน จนเจ้าของบริษัทจะให้ออกจากงาน ท้อง 6 เดือน ฉันขย้อนไม่หยุด ทำให้ทุกคนตั้งแต่พ่อแม่ของฉันและสามีมีแต่ความกังวล แต่เมื่ออาเจียนอาหารออกมา ฉันก็พยายามกินเข้าไปใหม่ ความพยายามทำให้น้ำหนักฉันขึ้นมาสองกิโลกรัม แต่เมื่อไปหาหมอตามนัด หมอมีท่าทางไม่สบายใจ บอกฉันว่า น้ำหนักของลูกในท้องเล็ก ตกเกณฑ์เฉลี่ยมาก หนักเพียงสี่ขีดเศษ ขณะที่ท้อง 6 เดือน ไม่ควรจะต่ำกว่า 7 ขีด และน้ำคร่ำก็มีน้อย หมอให้ยากันแท้งอีก และแนะนำให้สังเกตอาการนับลูกดิ้น หากดิ้นน้อย หรือไม่ดิ้น แสดงว่าเด็กอยู่ในอันตราย

                        หลังจากไปหาหมอ 2 สัปดาห์ อายุครรภ์ได้ประมาณ 26 สัปดาห์ ฉันก็รู้สึกลูกดิ้นน้อย เนื่องจากหมอให้ฉันจดทุกครั้งที่ลูกดิ้น ฉันสังเกตว่าลูกจะดิ้นมาก หากฉันกินข้าวอิ่ม โดยดิ้นนับสิบครั้งหลังกินข้าว ยิ่งหากดื่มน้ำส้มคั้นเย็นๆ ลูกก็จะดิ้นแรง ตอนแรกฉันคิดว่าเพราะฉันกังวล ทะเลาะกับสามีเรื่องลูกคนโต แต่เมื่อรอตั้งแต่เช้าจนถึงกลางวันของอีกวัน ไม่รู้สึกลูกดิ้น ฉันบอกสามี พ่อแม่ และตัดสินใจไปหาหมอ

                        ไปถึงโรงพยาบาล หมอตรวจหน้าท้อง และตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวนด์ หมอเงียบผิดปกติ เชิญสามีและพ่อแม่เข้ามาดูด้วยกัน หมอบอกลูกของฉันหัวใจไม่เต้นแล้ว มีลักษณะขาดอาหารมาก ฉันเสียใจมาก ร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น สามีและพ่อแม่ของฉันต่างก็ร้องไห้ หมอบอกว่าหมอก็รู้สึกเสียใจ แต่คาดว่าลูกในท้องคงมีปัญหาอะไร จึงได้เสียชีวิต เช่น เขาอาจมีความพิการร่างกาย

                        เนื่องจากลูกในท้องอยู่ในท่าขวาง ท้องที่แล้วฉันก็ผ่าคลอด ฉันจึงขอให้หมอผ่าคลอดให้ ฉันรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา ทำไมเด็กสาวหลายคนในหมู่บ้านที่ไม่พร้อมจะมีลูก จึงท้องเอาๆ และลงเอยด้วยการทำแท้ง แต่ฉันสิ อยากมีลูกใจจะขาด แต่กลับไม่มี ก่อนเข้าห้องผ่าตัด ฉันปรึกษาพ่อแม่และสามีว่า การตั้งท้องสำหรับฉันเป็นเรื่องลำบากเหลือเกิน ฉันคิดว่าคงไม่มีลูกอีกแล้ว จึงขอให้หมอทำหมันไปด้วย

                        อ่านต่อ >> “สิ่งที่แม่พบเมื่อผ่าคลอดทารกเสียชีวิตในครรภ์” คลิกหน้า 2

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          เมนูไก่

                          10 เมนูไก่ ทำง่าย ไม่จำเจ เน้นเพิ่มพลัง+บำรุงสมองลูกน้อย (มีคลิป)

                          แจกสูตร เมนูไก่ ทำง่าย ไม่จำเจ เน้นเพิ่มพลัง และบำรุงสมองเพื่อลูกน้อย ตั้งแต่วัย 9 เดือนขึ้นไป จะมีเมนูใดบ้างที่คุณแม่สามารถนำเนื้อไก่มาทำอาหารให้ลูกกิน ตามมาดูกัน

                          10 เมนูไก่ ทำง่าย ไม่จำเจ เพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะ!

                          เมนูไก่ สำหรับลูกน้อย คือ เมนูที่มีเนื้อไก่ เป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งเนื้อไก่ จัดเป็นเนื้อชนิดแรกๆ ที่คุณแม่มักเลือกมาทำอาหารให้ลูกน้อย นอกจากเนื้อหมู เพราะในเนื้อไก่ มีโปรตีนคุณภาพสูง แถมมีปริมาณไขมันที่น้อยมากๆ นอกจากนี้ เนื้อไก่ ยังมีสารอาหาร เช่น วิตามินบี 3 ซึ่ง ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองของลูกน้อยได้เป็นอย่างดี มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 12 ช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือด และกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย แถมยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อแดงสามารถนำไปปรุงอาหาร เมนูไก่ ได้หลากหลายชนิด เพราะด้วยเส้นใยกล้ามเนื้อของไก่ที่มีความละเอียด อ่อนนุ่มคล้ายปลา ทำให้เคี้ยวกลืนง่าย จึงเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับลูกวัยทารก

                          ประโยชน์ของ เมนูจากเนื้อไก่

                          ส่วนประกอบของ เนื้อไก่ มีน้ำร้อยละ 74 มีโปรตีนสูงถึง ร้อยละ 19 โปรตีนของเนื้อไก่เป็นโปรตีนคุณภาพดี หรือโปรตีนชนิดสมบูรณ์ มีกรดอะมิโนชนิดจำเป็นที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ครบถ้วนทั้ง 10 ชนิดคือ Histidine Isoleucine Leucine Lysine, Methionine Phenylalanine Threonine, Tryptophan valine และ Arginine ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ป้องกันภาวะกล้ามเนื้อฟีบ ถ้ารับประทานเพียงพอตามช่วงวัย

                          เนื้อไก่มีไขมันน้อยเพียงร้อยละ 5 ไขมันส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ผิวหนัง ส่วนที่มีไขมันมากที่สุดคือ ตูดไก่ หนังไก่ และคอไก่ ซึ่งมีทั้งไขมัน และไขมันอิ่มตัวมากกว่าส่วนอื่น จึงควรหลีกเลี่ยง รองลงมาคือส่วนของปีกไก่ และสะโพกไก่ ตามลำดับ
                          ส่วนบริเวณของเนื้อไก่ที่มีไขมันน้อย ได้แก่ อกไก่ สันในไก่ และน่องไก่ ในส่วนดังกล่าวนี้จะมีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวมากกว่าไขมันจากวัวและหมู นอกจากนี้เนื้อไก่ยังมีแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไวตามินเอ และไนอาซิน ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อร่างกายของลูกน้อยในวัยที่กำลังเจริญเติบโต

                          ทั้งนี้เนื้อไก่แต่ละส่วนนำมาปรุงอาหารได้แตกต่างกัน เช่น สันในไก่ ส่วนนี้มีความนุ่มมากที่สุด และมีไขมันน้อยที่สุด ปรุงอาหารได้ทุกชนิด เช่น ย่าง ต้ม ตุ๋น ทอด อบ นึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีต้องการควบคุมระดับไขมันในเลือด และควบคุมน้ำหนัก ซึ่งหากคุรแม่คิดจะทำอาหาร เมนูจากเนื้อไก่ให้ลูก แต่ไม่รู้จะทำอะไร ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม เมนูไก่ 10 อย่าง ทั้งทำง่าย ไม่จำเจ สำหรับลูกน้อยวัย 6 เดือนขึ้นไป จะมีเมนูใดบ้าง ตามมาดูกันเลย

                          1. เมนู ซุปข้าวโอ๊ตไก่สับ (6 เดือน++)

                          เมนูไก่

                          ส่วนผสมสำหรับ 2 ที่ (เวลาปรุง 15 นาที)

                          • ข้าวโอ๊ต 4 ช้อนโต๊ะ
                          • น้ำซุปไก่ 1 ⅓ ถ้วย
                          • อกไก่สับละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
                          • หอมใหญ่สับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ

                          วิธีทำ

                          1. ตั้งน้ำซุปด้วยไฟกลางให้เดือด ใส่หอมใหญ่ และอกไก่ลงต้มให้สุก ใส่ข้าวโอ๊ตลงคงให้เข้ากันจนสุกดี
                          2. นำไปปั่นให้ละเอียด แล้วยกตั้งไฟอ่อน รอให้ร้อนและข้าวโอ๊ตพองตัวเต็มที่ ยกลงจากเตา
                          3. ตักใส่ถ้วย พร้อมรับประทานได้ทันที

                          ดูต่ออีก >> “9 เมนูจากเนื้อไก่
                          เน้นเพิ่มพลัง+บำรุงสมองลูกน้อย (มีคลิป)” คลิกหน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            ไส้เลื่อนในผู้หญิง

                            ไส้เลื่อนในผู้หญิง เด็กก็เป็นได้ แม่สังเกตลูกสาวให้ดี!

                            ระวัง!! ไส้เลื่อนในผู้หญิง แม้เด็กก็เป็นได้ คุณแม่ต้องสังเกตลูกสาวให้ดี! หากพบมีก้อนนูนๆ ที่หัวหน่าวหรือขาหนีบ ควรพาไปหาหมอให้ผ่าตัดออกทันที หากปล่อยไว้นานอาจทำให้ลำไส้อุดตันได้

                            แม่แชร์ประสบการณ์ ลูกสาวเป็นไส้เลื่อน (ไส้เลื่อนในผู้หญิง)

                            มีหลายคนคิดว่า “โรคไส้เลื่อน” เกิดขึ้นได้กับเฉพาะผู้ชาย ซึ่งจริงๆ แล้วไส้เลื่อนสามารถเกิดในผู้หญิงได้เช่นกัน แต่สัดส่วนการเป็น ไส้เลื่อนในผู้หญิง กับผู้ชาย อยู่ที่ 1 ต่อ 5 … อีกทั้ง โรคไส้เลื่อนในเด็ก ก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับเด็กทุกช่วงวัย ซึ่งส่วนมากมักเกิดขึ้นข้างขวามากกว่าข้างซ้าย มีลักษณะเป็นก้อนนูนสามารถผลุบเข้าออกได้บริเวณผนังหน้าท้อง

                            ดังนั้นจึงจำเป็นที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องรู้จักลักษณะอาการ ไส้เลื่อนในผู้หญิง และสังเกตที่ตัวลูกน้อยให้ดี หากพบก้อนนูนๆ บริเวณหัวหน่าวหรือขาหนีบ ให้รีบหาหมอเพื่อตรวจอย่างละเอียด เพราะหากพบว่าไส้เลื่อนมีขนาดใหญ่ และปล่อยทิ้งเอาไว้ลำไส้ส่วนที่ไหลเลื่อนลงมาจะไม่สามารถไหลกลับเข้าไปในช่องท้องได้ทำให้อาจมีอาการปวดมากขึ้น และในบางกรณีอาจต้องทำการผ่าตัดฉุกเฉินได้

                            ไส้เลื่อนในผู้หญิง
                            ขอบคุณภาพจาก : www.medicalnewstoday.com

                             

                            ⇒ เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านนี้ที่ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กเตือนคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆ ให้สังเกตลูกน้อยบ่อยๆ หมั่นตรวจเช็กร่างกายลูกให้ดีตอนอาบน้ำไม่ว่าจะลูกชายหรือลูกสาว หากพบสิ่งผิดปกติ มีก้อนเนื้อนูนๆ บริเวณหัวหน่าวหรือขาหนีบ สามารถผลุบเข้าออกได้ควรรีบพาไปหาหมอ เพราะนั่นอาจเป็นอาการของโรคไส้เลื่อน .. ซึ่งกรณีของคุณแม่ที่ เจออาการโรคไส้เลื่อนบนตัวลูกสาว คือเป็น ไส้เลื่อนในผู้หญิง โดยคุณแม่เล่าว่า…

                            #แชร์ประสบการณ์ลูกสาวเป็นไส้เลื่อน

                            (ลูกสาวอายุ 4.7 ขวบ) ขณะที่กำลังอาบน้ำคุณแม่ก็สังเกตเห็นมีก้อนนูนตรงหัวเหน่าขวา ขนาดเท่านิ้วก้อย จึงถามลูกว่าไปโดนอะไรมาหรือเปล่า ไปชนอะไรมาไหม เจ็บไหม ลูกตอบไม่เจ็บ

                            วันรุ่งขึ้นแม่สังเกตว่าถ้าชนอะไรมาต้องเขียวช้ำ แต่นี่ไม่เขียวช้ำ จึงกดๆ ดู ก้อนนี้มันขยับได้ แม่ดูอาการ 3-4 วัน บางวันไม่นูน บางวันนูนแล้วหายไปเอง ไม่มีอาการอื่นผิดปกติจึงตัดสินใจไปพบหมอ หมอคิดว่าน่าจะเป็น “ไส้เลื่อน” ซึ่งตรงกับความคิดแม่เพราะแม่ค้นดูอาการในกูเกิ้ลมาคร่าวๆ

                            โดยหมอแนะนำให้ไปพบหมอเฉพาะทางดู ตรวจดูอย่างละเอียด ซึ่งก็เป็น “ไส้เลื่อน” จริงๆ คุณหมอจึงนัดผ่าตัด โดยมีวิธีให้เลือก 2 วิธี คือ

                            1. ผ่าแบบเปิดช่องท้องตรงที่มีอาการแล้วเย็บปิดผนังหน้าท้องตรงที่ไส้เลื่อนลงมา

                            2. ผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งวิธีนี้สามารถดูได้อีกข้างที่ไม่มีอาการได้ว่าผิดปกติหรือไม่ ถ้าผิดปกติหมอจะเย็บให้เลย

                            แม่จึงเลือกวิธีที่ 2 ซึ่งแผลเล็กกว่าวิธีการผ่าตัด โดยพาลูกสาวแอดมิทก่อน 1 วัน ต้องงดน้ำและอาหารหลังเที่ยงคืน ระหว่างรอ ลูกก็บ่นหิวข้าว หิวชาบู หิวเคเอฟซี ฟังแค่นี้แม่ก็ใจจะขาดแล้ว ระหว่างลูกอดแม่ก็อดไปด้วยเพราะกลัวลูกเห็นเรากินลูกก็จะกินตาม

                            วันรุ่งขึ้นเข้าห้องผ่าตัดเวลา 12.50 น. โดยคุณหมอให้มีผู้ปกครองเข้าไปด้วย 1 คนในการอยู่กับลูกตอนดมยาสลบและรอเพื่อให้ลูกเห็นหน้าทันทีตอนตื่น คุณแม่ก็ให้พ่อเข้าไป เพราะแม่ใจไม่แข็งพอที่จะเห็นลูกแบบนั้น กลัวร้องไห้ แล้วลูกจะกังวล เพราะไม่ได้บอกลูกว่าลูกต้องโดนผ่าตัด ได้แต่บอกว่าคุณหมอคนสวยจะเอาเชื้อโรคที่หนี่น้อยออกให้ ถ้าลูกเจ็บนิดหน่อยให้ลูกอดทนนะลูก

                            แม่ทำได้แค่นั่งสวดมนต์อยู่หน้าห้องผ่าตัด ใช้เวลาในการผ่าตัด 2 ชั่วโมงกว่า วินาทีที่ลูกออกมา แม่สงสารใจแทบขาด แม่หนูเจ็บ กอดหน่อยแม่ แม่ร้องไห้ทำไมเนี่ย พูดต่างๆนาๆ สรุปว่าผลการผ่าตัดเป็นไปได้ด้วยดี คุณหมอแจ้งว่าพรุ่งนี้กลับบ้านได้ … ทั้งนี้คุณแม่ยังบอกอีกว่า >> หวังว่าโพสนี้จะเป็นประโยชน์กับแม่ๆท่านอื่นๆนะคะ // เพราะสมัยนี้เชื้อโรคเยอะและโรคแปลกๆเยอะ ต้องหมั่นสังเกตลูกบ่อยๆ

                            ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก คุณแม่ Salinla Wattanuyan

                             

                            อ่านต่อ “วิธีสังเกตไส้เลื่อนในเด็ก
                            แม้ลูกสาวก็เป็นไส้เลือนได้” คลิกหน้า 2

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              Attitude mom เครื่องปั๊มนม

                              เครื่องปั๊มนม Attitude mom อันดับ 1 ที่คุณแม่เลือกใช้

                              เครื่องปั๊มนม Attitude mom แบรนด์ที่คุณแม่ไว้วางใจเลือกใช้ คุณภาพมาตรฐานโรงพยาบาล เจ้าแรกในประเทศไทยของกรวยซิลิโคนแท้ 100% เราพัฒนาตัวกรวยซิลิโคนให้มีความเหมาะสมและส่งผลต่อการใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งรูปลักษณ์ และคุณภาพ อุปกรณ์ปั๊มนมส่วนพลาสติก ผ่านการรับรองมาตรฐาน SGS ประเทศไทย และผ่าน BPA Free

                               

                              เครื่องปั๊มนมในแบรนด์ Attitude mom

                              ความหลากหลายของเครื่องปั๊มนมในแบรนด์ Attitude mom

                              เครื่องปั๊มนม Attitude mom มีทั้งแบบปั๊มเดี่ยว ปั๊มคู่และปั๊มมือ ซึ่งความต้องการใช้งานจะแตกต่างกันไป

                              1.  แบบปั๊มคู่ จะช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำนมได้ดีกว่า ช่วยให้คุณแม่ประหยัดเวลาได้มากขึ้น เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ต้องกลับไปทำงาน มีเวลาจำกัด หรือไม่ได้อยู่กับลูก เน้นปั๊มนมให้ลูกหรือปั๊มเพื่อสต็อก

                              2. แบบปั๊มเดี่ยว เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีเวลาเยอะ หรือไม่กังวลเรื่องเวลาในการปั๊มนม เน้นให้ลูกเข้าเต้าสลับกับใช้เครื่องปั๊มนม

                              3. แบบปั๊มมือ เหมาะสำหรับคุณแม่ที่เน้นให้ลูกเข้าเต้า เป็นแม่ full time ใช้เป็นเครื่องสำรอง หรือไว้ใช้ตอนฉุกเฉิน เพื่อเคลียร์เต้านม

                              เครื่องปั๊มนมแบรนด์ Attitude mom

                              เครื่องปั๊มนมของ Attitude mom รุ่น Galaxy / Mirror Light / Little Plus Pro สามารถปั๊มได้ทั้งแบบเดี่ยว และแบบคู่ จะมีรุ่น Compact ซึ่งเป็นแบบปั๊มด้วยมือ จะสามารถปั๊มได้เฉพาะแบบข้างเดี่ยวค่ะ

                              👉 เครื่องปั๊มนม รุ่น Galaxy แบบปั๊มคู่ ทำงานแยกมอเตอร์ สามารถปรับระดับและโหมดให้ทั้งสองข้างแตกต่างกันได้ เหมาะกับแม่ที่ชอบความ Full option เผื่อไว้ในกรณีที่มีปัญหา 2 เต้าต่างกัน ที่สำคัญ สไตล์การทำงานของรุ่นนี้จะนุ่มนวล ด้วยจังหวะการดูดที่นุ่มและลึก ทำให้คุณแม่หลายๆท่านชอบ

                              👉 เครื่องปั๊มนม รุ่น Mirror light แบบปั๊มคู่ สะดวกพกพา และดีไซน์โดดเด่น ใช้ได้ทั้งปั๊มคู่หรือเดี่ยว คุณแม่จะใช้โหมดและระดับเดียวกันทั้งสองเต้า รุ่นนี้จะเพิ่มโหมด Spin mode เพื่อช่วยทำให้ let down reflex (กระบวนการที่ทำให้ร่างกายหลั่งน้ำนมออกมา) เร็วขึ้น คุณแม่ที่ไม่ใช่สายปั๊มอย่างเดียว แต่ให้ลูกเข้าเต้าด้วย สามารถเลือกใช้รุ่นนี้ ก็เพียงพอต่อการใช้งานค่ะ

                              👉 เครื่องปั๊มนม รุ่น Little Plus Pro แบบปั๊มคู่ รุ่นเล็กของแบรนด์ ที่ได้ทั้งปั๊มคู่และเดี่ยว มีโหมดการใช้งานที่ครบครัน สะดวกพกพา จะใช้เป็นเครื่องหลักหรือเครื่องรองตอนออกไปข้างนอกก็ตอบโจทย์คุณแม่

                              👉 อุปกรณ์ปั๊มนม แบบปั๊มด้วยมือ รุ่น Compact แบบปั๊มมือ (แบบบีบ) ปั๊มนุ่มสบายมือ ออกแรงน้อยกว่าคันโยก ไม่ต้องยกมือปั๊มตลอด ซึ่งอาจทำให้เมื่อย คุณแม่สามารถควบคุมจังหวะการปั๊มได้ด้วยตัวเอง สำหรับเคลียร์เต้านม ไม่ว่าจะคุณแม่ full time หรือสายปั๊ม สามารถพกไว้สำรองไว้อุ่นใจมากขึ้น

                              เครื่องปั๊มนมของ Attitude mom

                              เรามีบริการให้คำปรึกษาทั้งก่อนและหลังการขายอย่างเต็มที่ตั้งแต่ 7.30 น. – 24.00 น. พนักงานของเราผ่านการอบรม และ ศึกษาด้านนมแม่ รวมถึงให้คำปรึกษาในด้านการปั๊มนมที่ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถเป็นที่ปรึกษาของคุณแม่ๆทุกท่านได้

                               

                              สอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

                              Website : https://attitudemombreastpump.com/  

                              Line : @Attitudemom  (https://line.me/R/ti/p/%40attitudemom)

                              Inbox : https://www.facebook.com/attitudemom/inbox/

                              IG : attitudemom_thailand

                                ฝึกทักษะ ef

                                ให้ลูกช่วยงานบ้าน ฝึกทักษะ EF ติดตัวลูกไปตลอดชีวิต โดยพ่อเอก

                                ช่วงเวลาดีๆ ที่คุณอาจจะหาไม่ได้อีกแล้วในชั่วชีวิตนึง โอกาสที่พ่อแม่ลูกจะมีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะๆ แบบนี้ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะแสดงบทบาทพ่อแม่ที่ดี สามีภรรยาที่ดี ให้ลูกเห็น ผ่านการแบ่งหน้าที่ในบ้านของพ่อแม่ ทั้งยังได้ ฝึกทักษะ EF  ติดตัวลูกไปตลอดชีวิตอีกด้วย

                                ลองตอบคำถามข้างล่างเล่นๆดูว่า คุณเลือกตัวเลือกใด (เลือก 1. ถ้าคิดว่าเป็นงานของผู้หญิง / เลือก 2. ถ้าคิดว่าเป็นงานของผู้ชาย / เลือก 3. ถ้าคิดว่าเป็นงานที่ทำได้ทั้งชายและหญิง)

                                งานซักผ้า รีดผ้า เป็นงานของ ….

                                งานถูบ้าน เป็นงานของ …..

                                งานดูแลลูก เป็นงานของ ….

                                งานทำอาหาร เป็นงานของ …

                                ผมว่าหมดสมัยแล้วที่จะบอกว่า งานนี้ของผู้หญิงเท่านั้น ผู้ชายทำไม่ได้ จริงอยู่อาจจะมีงานที่ชอบบ้าง งานไม่ชอบบ้างได้ อย่างนั้นไม่ว่ากัน ดังนั้น ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ของคุณคือ เลือก 3 ผมดีใจกับคู่ครองของคุณด้วย

                                ในครอบครัวเราเองตั้งแต่แต่งงาน เราแบ่งงานกันตามความชอบความไม่ชอบ และค่อนข้างลงตัว หลายๆ อย่าง โควิด-19 ก็ไม่มีผลใดๆ เพราะเราทำเช่นนี้กันมาอยู่แล้ว แต่หลายๆ งานก็งอกมาในช่วงโควิด-19

                                การแบ่งงานที่ไม่มีผลกระทบใดๆจาก โควิด-19

                                คือในช่วงเวลาปกติ ภรรยา ผมจะเป็นคนซักผ้า ส่วนผมรับงาน ล้างชาม งานรดน้ำต้นไม้ ให้อาหารและกวาดอึสุนัข ส่วนงานที่เราทำร่วมกัน เช่น สอนการบ้านลูก ส่งลูกไปโรงเรียน เป็นต้น งานพวกตากผ้าเก็บผ้าพับผ้า จะเป็นชิ้นไหนใดๆของสุภาพสตรีผมก็จัดการให้ได้ไม่มีปัญหา งานทำอาหารบ้านเราก็ทำกันได้ทั้งพ่อแม่ลูกใครอยากสนุกเมนูไหนก็เสนอตัวมาทำ

                                งานที่เพิ่มขึ้นในช่วงโควิด-19

                                คือ งานที่ปกติเราอาจจะจ้างคนอื่นทำให้ เช่น งานรีดผ้า งานทำความสะอาดบ้าน แต่ในช่วง social distancing นี้ เราก็แบ่งกันทำ ในครอบครัว เช่น งานรีดผ้า ผมรีดของผมเอง ส่วนของเสื้อผ้าของภรรยากับลูกนั้น ภรรยารับหมด (จริงๆเธอจะรีดให้ผมด้วย แต่ผมบอกไม่เป็นไรพี่ช่วยได้) งานเก็บกวาดถูกบ้านล้างห้องน้ำใครว่างก็ผลัดกันทำตามสะดวก ไม่มีเกี่ยง ถูบ้านกันทุกวัน ส่วนสารพัดกิจกรรมสร้างความสุขร่วมกับลูกในช่วงเวลาที่ได้คลุกคลีกันมากๆเช่นนี้ เราก็จัดให้ลูกผลัดกันตามถนัด เช่น ทำขนมใหม่ๆ (ภรรยา) งานสวน งานกีฬากลางแจ้ง การทดลองอะไรใหม่ๆ (ผมเอง) อ่านหนังสือ บอร์ดเกมส์ การละเล่นต่างๆ ทั้งภรรยาและผมก็ช่วยกันคิดช่วยกันทำ

                                บทความแนะนำ 11 งานบ้านทำเพลินแถม เบิร์นไขมัน เผาผลาญแบบไม่ต้องไปฟิตเนส

                                งานบ้านของพ่อแม่ ฝึกทักษะ EF ให้ลูกได้อย่างไร?

                                ทำไมผมถึงมาแชร์เรื่องเหล่านี้ ทั้งที่บางคนอาจจะคิดว่าเป็นการเสียฟอร์มเสียด้วยซ้ำไป แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ในการสอนลูกทั้งทางตรงและอ้อม

                                ทางตรงก็คือ เราทำอะไร ก็ให้ลูกมาทำด้วยแบ่งงานให้เขาทำ เขาได้ฝึกความรับผิดชอบ การทำงานบ้านเป็นการ ฝึกทักษะ EF – Executive Function ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง และมันสร้างความผูกพันในครอบครัว เมื่อเขาเติบโตมาแบบนี้ ในวันที่เขามีครอบครัว เขาก็จะสร้างครอบครัวเช่นนี้ ดังนั้นครอบครัวจะแข็งแรง (ผมกล้าพูดเช่นนี้ เพราะผมเกิดในครอบครัว ชนชั้นกลางล่างที่ต้องช่วยงานในครอบครัวมาแต่เด็ก)

                                ทางอ้อมคือ ลูกจะเรียนรู้การไม่แบ่งแยกทางเพศ การไม่กดขี่ทางเพศ ความเท่าเทียมกันในครอบครัว ซึ่งสิ่งที่เกิดในครอบครัว เรียนรู้ในครอบครัว ก็จะสะท้อนออกเมื่อเขาต้องไปอยู่ในสังคมในอนาคต

                                ช่วงนี้อาจจะเหนื่อยหน่อยแต่คุ้มค่ากับการที่จะมาโฟกัสกับลูก อาจจะแบ่งงานให้ลูกทำบ้าง ให้ลูกช่วยทำงานบ้าน เป็นการเสริมสร้าง EF และในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เช่นนี้ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวคิดด้านดีว่า ความเครียดจากสถานการณ์ต่างๆ เทียบกับเวลาของครอบครัวที่ได้มา มันคุ้มและมีความสุขมากๆ ผมไม่ได้บอกว่าดีใจที่มีโควิด แต่อยากจะบอกว่า โควิด ทำให้ผมมีช่วงเวลาที่น่าจดจำมากๆ และขอให้ทุกครอบครัวก้าวข้ามมันไปได้ด้วยดี

                                อ้ออออออ … สุดท้าย มีงานนึงที่หลายๆ ครอบครัวน่าจะแบ่งงานคล้ายๆ กันกับครอบครัวเรา เป็นหน้าที่ ที่แบ่งกันชัดเจน อย่าได้พยายามไปเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในช่วงนี้คือ

                                “ภรรยามีหน้ามีชื้อหา สามีจงทำหน้าที่โอน(เงิน)”

                                (ภรรยาผมประกาศต่อสาธารณะชนเสมอว่าเราเท่าเทียมกัน เราผลัดกันจ่าย … ผมจ่ายให้เธอชาตินี้ เธอจ่ายให้ผมชาติหน้า)

                                บทความน่าสนใจอื่นๆ

                                “ลูกทำผิด” เทคนิคสอนลูก แบบไม่ต้อง “ทำโทษ” โดย พ่อเอก

                                “ลูกช่างถาม” รับมืออย่างไร ไม่ขัดพัฒนาการลูก โดย พ่อเอก


                                >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                                หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                                ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
                                ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  โรคคาวาซากิ

                                  พบเด็กป่วยโควิด-19 อาการหนักคล้าย “โรคคาวาซากิ”

                                  พบเด็กป่วยโควิด-19 มีอาการหนักคล้าย โรคคาวาซากิ เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ หากรักษาไม่ทัน จะเกิดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือด อาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้

                                  พบเด็กป่วยโควิด-19 อาการหนักคล้าย “โรคคาวาซากิ”

                                  สำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษหรือเอ็นเอชเอส ได้ออกมาเตือนว่า พบเด็กจำนวนหนึ่งพบว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีอาการหนัก ซึ่งอาการคล้ายคลึงกับโรคคาวาซากิ เป็นอย่างมาก โรคนี้เป็นโรคที่ร้ายแรงสำหรับเด็ก เด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ หากรักษาไม่ทัน จะเกิดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้เกิดผลร้ายแรงตามมา ตั้งแต่ พิการตลอดชีวิต หรือเสียชีวิตได้ (อย่างไรก็ตามหาก โรคคาวาซากิ พบได้น้อยในผู้ใหญ่ และมีความรุนแรงของโรคน้อยกว่าที่พบในเด็ก)

                                  จากรายงาน ได้พบผู้ป่วยเด็กมีอาการคล้ายกับโรคคาวาซากิพร้อมทั้งพบว่าเด็กกลุ่มนี้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นในประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา สเปน อิตาลี เด็กในกลุ่มนี้จะมีอาการ มีไข้สูงลอย ตาแดง ลิ้นแดง ปวดท้องอย่างรุนแรง มีผื่นที่ผิวหนัง ในบางรายมีอาการทรุดหนักอย่างรวดเร็ว ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และหัวใจหยุดเต้นต้องปั๊มหัวใจ หรือใช้เครื่อง ECMO (ปอดและหัวใจเทียม) แล้วในเวลาต่อมาก็ตรวจพบว่าเด็กๆเหล่านั้นติดเชื้อ covid-19 ทางแพทย์อังกฤษจึงกำลังเร่งสอบสวนความเชื่อมโยงของอาการรุนแรงที่คล้ายโรคคาวาซากิที่พบในผู้ป่วยเด็กกับการติดเชื้อไวรัสโคโรนาต่อไป

                                  โรคคาวาซากิในเด็ก
                                  โรคคาวาซากิในเด็ก

                                  ทางองค์การอนามัยโลกระบุว่า งานวิจัยในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่าเด็กและวัยรุ่นมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้เหมือนกับกลุ่มอายุอื่น และสามารถแพร่เชื้อได้เหมือนกับกลุ่มอายุอื่น ๆ เช่นกัน จึงขอเตือนว่าถ้าเด็ก ๆ มีอาการเหล่านี้ ให้รีบปรึกษาหมอโดยทันที

                                  โรคคาวาซากิ (Kawasaki disease) คืออะไร?

                                  โรคคาวาซากิเป็นกลุ่มอาการที่มีการอักเสบของหลอดเลือดขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วร่างกาย สาเหตุที่แท้จริงของโรคยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจเกี่ยวกับการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกายมักเกิดกับเด็กเล็กอายุ น้อยกว่า 5 ปี โดยส่วนใหญ่จะพบในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี

                                  โรคคาวาซากิ มีอาการอย่างไร?

                                  1. มีไข้สูงลอยทั้งวัน ไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้
                                  2. ตาแดงทั้งสองข้าง ไม่มีขี้ตา
                                  3. ลิ้นแดง (คล้ายสตรอเบอรี่) ปากแดง บางครั้งถึงกับ แตก เจ็บและมีเลือดออก
                                  4. มือเท้าบวมในช่วงแรก มักไม่ยอมใช้มือเท้าเดินหรือ เล่นเนื่องจากเจ็บ มีผิวหนังลอกเริ่มที่บริเวณขอบเล็บ และอาจพบที่ก้นและขาหนีบ
                                  5. มีผื่นขึ้นตามตัวเป็นได้ทุกรูปแบบ ยกเว้นตุ่มน้้าหรือ ตุ่มหนอง
                                  6. ต่อมน้้าเหลืองโต มักเป็นบริเวณคอ ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่กว่า 1.5 เซนติเมตร
                                  อาการของโรคคาวาซากิ
                                  อาการของโรคคาวาซากิ

                                  ภาวะแทรกซ้อนจาก โรคคาวาซากิ

                                  หลอดเลือดแดงที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบโป่งพอง (coronary aneurysm) กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ลิ้นหัวใจอักเสบ หัวใจเต้นผิดจังหวะซึ่งภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวเป็นสาเหตุให้เกิดการเสียชีวิตได้ โดยการตรวจพบภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวต้องอาศัยการตรวจโดยใช้เครื่องตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (echocardiography)

                                  เป็นโรคคาวาซากิแล้ว จะหายขาดหรือไม่ ?

                                  หากได้รับการรักษาเร็ว และเมื่อเส้นเลือดหัวใจปกติ มักจะหายขาดได้ แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ (มีน้อยรายมาก)

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  อ่านต่อ เด็กหญิงอายุ 12 ขวบ หัวใจหยุดเต้น จากโควิด-19

                                    วิธีเลือกทุเรียน

                                    วิธีเลือกทุเรียน เอาใจแม่ สุก-ห่ามแค่ไหน จัดได้ไม่ผิดหวัง

                                    วิธีเลือกทุเรียน ให้อร่อยถูกใจเป๊ะไม่ใช่เรื่องง่าย บางคนชอบกินกรอบนอกนุ่มใน บางคนชอบกินสุกจัด หวานเจี๊ยบแบบได้กลิ่นโชยมาแต่ไกล ส่วนใหญ่ก็จะยกให้เป็นหน้าที่ของพ่อค้าแม่ค้า เลือกผลที่ใช่ แต่มีหลายครั้งผิดหวังเสียเงินฟรี แถมทุเรียนลูกหนึ่งราคาไม่ต่ำกว่า 300 – 400 บาท แม่ๆหลายคนอยากรู้เคล็ดลับเลือกทุเรียนให้อร่อยๆด้วยตัวเองได้อย่างไร  Amarin Baby & Kids มีคำตอบเรื่องนี้มาให้แล้วค่ะ

                                    วิธีเลือกทุเรียน แบบไหน ห่าม-สุกจัดได้ กันโดนหลอกขาย

                                    เข้าสู่หน้าร้อนของทุกปี คุณแม่หลายคนตั้งตารอคอยจะได้เพลิดเพลินกับรสชาติแสนอร่อยของราชาผลไม้ไทยอย่าง “ทุเรียน” ที่มีให้กินแบบฟินสุดๆ เฉพาะช่วงเดือนมีนาคม – กรกฎาคมเท่านั้น ไม่ว่าคุณแม่กำลังแพ้ท้องอยากกินทุเรียนเป็นพิเศษ  แม่ให้นมลูก หรือคุณแม่ทั่วไปก็ไม่อยากพลาดช่วงเวลาแสนสุขนี้ แต่ด้วยลักษณะพิเศษของทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เปลือกหนา มีหนามแหลมคม จึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้ว่าทุเรียนลูกนั้นสุกกำลังกิน หรือดิบเคี้ยวไม่ออกกันแน่ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะซื้อทุเรียนให้ถูกใจทุกครั้ง

                                    วิธีเลือกทุเรียน

                                    ก่อนเลือกทุเรียนให้ถูกใจ ต้องรู้จักทุเรียนก่อน

                                    ทุเรียนบ้านเรามีหลายสายพันธุ์ มาจากต่างแหล่งเพาะปลูกจึงทำให้รสชาติของทุเรียนแต่ลูกไม่เหมือนกัน ดังนั้นต้องมาทำความรู้จักกับทุเรียนให้มากขึ้นกันก่อน สายพันธุ์ทุเรียนที่นิยมรับประทานอย่าง หมอนทอง ชะนีไข่ ก้านยาว และพวงมณี หลงลับแล ภูเขาไฟ เป็นต้น

                                    โดยมาจากแหล่งปลูกให้เลือกหลากหลาย ทั้ง ทุเรียนจากภาคตะวันออก – จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด (ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มิถุนายน) หรือทุเรียนจากภาคใต้—ชุมพร นครศรีธรรมราช และยะลา (ช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม) หรือทุเรียนนนท์ พรีเมี่ยมจากจังหวัดนนทุบรี(ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายน) และ ทุเรียนลับแล (ช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม) เป็นต้น

                                    ทุเรียนที่วางจำหน่ายในท้องตลาด จะไม่ใช่ทุเรียนที่รอจนสุกคาต้นแล้วร่วงลงมา แต่เกษตรกรจะตัดทุเรียนก่อนสุก โดยนิยมตัดผลในช่วงทุเรียนสุกระยะ 70 % เพื่อเผื่อเวลาสำหรับการขนส่งและวางขาย เมื่อถึงมือลูกค้าจะได้สุกพอดี ไม่เละเกินไป หากใครซื้อทุเรียนระยะอ่อนกว่านี้อาจได้ทุเรียนอ่อนหรือดิบเกินไป ซึ่งระยะทุเรียนที่อร่อยที่สุดจะอยู่ที่ระยะ 70 – 90 % เท่านั้น

                                    วิธีเลือกทุเรียน

                                    วิธีเลือกทุเรียน ให้อร่อยต้องดูอะไรบ้าง

                                    ทีม ABK ขอแนะนำ วิธีเลือกทุเรียน แบบง่ายๆมาแนะนำให้แม่ทั้งหลายใช้เป็นไกด์สำหรับซื้อทุเรียนด้วยตัวเอง  กระบวนการสุก ของทุเรียนเกิดขึ้น เนื้อเปลี่ยนแปลงแป้งเป็นน้ำตาล ทำให้สีเหลืองอ่อนค่อยๆเข้มขึ้น ลักษณะเนื้อทุเรียนมี 3 ระดับคือ

                                          “สุกจัด” หมายถึงระดับความสุกประมาณ 90 % ขึ้นไป ซึ่งนิยมกินในทุเรียนบางชนิด เช่น พันธุ์ชะนีไข่ แต่ไม่เป็นที่นิยมนัก

                                          “กรอบนอกนุ่มใน” หมายถึงระดับความสุกประมาณ  75 – 90 % เป็นเนื้อที่คนนิยมกินมากที่สุด โดยเฉพาะพันธุ์หมอนทอง

                                           “ดิบแข็ง” หมายถึงระดับความสุกน้อย 70 % เนื้อทุกเรียนยังแข็ง ไม่มีรสหวาน รับประทานไม่ได้

                                    ปัญหาคือเราจะรู้ได้อย่างไรว่า เนื้อที่อยู่ภายในเปลือกหนานี้สุกระดับไหน  ข้อมูลจากรายการเกษตรซ่อนรูป ออกอากาศเมืี่อวันที่ 12 และ 21 กันยายน 2562 ทางช่องอมรินทร์ทีวี ได้ให้วิธีเลือกทุเรียน  5 อย่างหลักๆ ดังต่อไปนี้

                                    น้ำหนักผล

                                    ทุเรียนพันธุ์เดียวกัน ขนาดลูกเท่ากัน ให้ลองยกขึ้นพร้อมๆกัน หากลูกไหนมีน้ำหนักเบากว่าแสดงว่าเป็น “ทุเรียนแก่” ที่สุกพร้อมกิน เพราะเนื้อได้เปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาลแล้วจึงมีน้ำหนักน้อยลง แต่”ทุเรียนอ่อน” กินไม่ได้นั้นจะหนักกว่า

                                    วิธีเลือกทุเรียน

                                     

                                    เสียงเคาะ

                                    คนขายส่วนใหญ่จะใช้ไม้เคาะทุเรียนแล้วฟังเสียง หากเป็นเสียงดังโปร่งๆ ก้องๆ คล้ายมีอากาศอยู่ แสดงว่าเป็นทุเรียนแก่ เพราะหลังเก็บเกี่ยวสักระยะ ทุเรียนจะคายน้ำออก ทำให้เนื้อร่อนไม่ติดเปลือก จึงเกิดช่องว่างทำให้มีเสียงดังกล่าว ขณะที่ทุเรียนอ่อน เคาะแล้วเสียงจะแน่นกว่า

                                    วิธีเลือกทุเรียน

                                    ลักษณะหนามและพู

                                    ทุเรียนตัดใหม่ที่ยังอ่อนอยู่หนามจะยังเป็นสีเขียวทั้งหมด เรียงตัวห่างกัน หนามแข็งใช้มือบีบไม่เข้า แต่หลังจากวางบ่มไว้สัก 3 – 7 วัน สีของหนามจะเข้มข้นเริ่มจากส่วนปลายไล่ลงมาจนกลายเป็นสีน้ำตาลแดง และหนามจะเริ่มเบียดชิดกัน สามารถใช้มือบีบเข้าหากันได้ไม่ยาก ส่วนพูของทุเรียนแก่จะนูนขึ้นเห็นได้ชัด แต่ทุเรียนอ่อน ผลจะดูเป็นทรงกลมมากกว่า

                                     

                                    อ่าน เทคนิคเลือกทุเรียนให้โดนใจ พร้อมวิธีแก้ซื้อมากินไม่ได้ หน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่