เลี้ยงลูกให้เก่ง

เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เริ่ม 1 – 7 ขวบ

event
เลี้ยงลูกให้เก่ง
เลี้ยงลูกให้เก่ง

หาก เลี้ยงลูกให้เก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง! ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เมื่อโตขึ้นลูกของคุณก็จะกลายเป็น คนเก่ง อยู่ในสังคม และเอาตัวรอดได้ แต่จะมีหลักวิธีการอย่างไร ตามมาดูกันเลย

4 หลักการ เลี้ยงลูกให้เก่ง
ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เริ่ม 1 – 7 ขวบ

เด็ก เป็นวัยที่พร้อมรับสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในช่วง 1 – 7 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่สมองซีกขวาเปิดกว้าง การทำงานของสมองเร็วกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า ถ้าคุณพ่อคุณแม่ใส่เรื่องที่ดีเข้าไป ลูกน้อยก็จะเก็บไว้เป็นพลังสร้างสรรค์ และปลดปล่อยพลังนั้นออกมาตลอดชีวิต

พลังในวัยเด็ก เป็นพลังที่มีความสำคัญต่อเด็ก มีพ่อแม่เป็นตัวแปรต่อพลังที่จะเกิดขึ้น ทันตแพทย์สม สุจีรา เผยว่า เด็กทุกคนมีความสงสัย หรืออยากรู้อยากเห็น เพราะการกระตุ้นสมองซีกขวา คำตอบที่ได้ แม้จะไม่เข้าใจ แต่จะถูกฝังไว้เป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการค้นหาในอนาคต

เช่น สนใจวิทยาศาสตร์ อาจสงสัยว่า… ทำไมปลาหายใจในน้ำได้! แล้วทำไมคนถึงหายใจในน้ำไม่ได้? พอถึงเวลาที่มีโอกาสได้ศึกษา พลังความสงสัยจะส่งผลทันที นั่นคือแรงจูงใจในการศึกษาเรื่องนั้นเป็นพิเศษโดยที่หาเหตุผลไม่ได้

ซึ่งถ้าบ้านไหนมีลูกเล็กๆ อยู่ในวัยช่างซักช่างถาม หากอยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรแสดงอาการเบื่อหน่าย เพราะถ้าเด็กเข้าใจผิดว่า ความสงสัยเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย อาจเป็นอันตรายกับชีวิตในอนาคตของตัวเด็กได้!

สิ่งที่ควรทำ คือ ให้ชื่นชมในความสงสัยของลูก และพยายามตอบให้มากที่สุด ไม่ว่าจะค้นจากหนังสือ หรือจากแหล่งอื่นๆ แม้ว่าลูกจะไม่เข้าใจ แต่ขอให้เชื่อว่า … ในอนาคต เขาจะนำความรู้จากการตอบ และอธิบายของพ่อแม่ในครั้งนั้น มาหาคำอธิบายเอ ซึ่งบางครั้งอาจรู้สึกว่า ลูกไม่ตั้งใจฟังคำตอบ แต่แท้ที่จริงตัวเด็กได้บันทึกลงสมองไปเรียบร้อยแล้ว นั่นเพราะสมองของเด็กสามารถรับข้อมูลได้ไวกว่าผู้ใหญ่ 3 เท่า หมายความว่า 3 วินาทีของคุณ คือ 1 วินาทีของเด็ก

1. การป้อนความจำ ในช่วง 1-7 ขวบ

วิธี ลี้ยงลูกให้เก่ง ที่ถูกต้อง เพื่อสร้างเสริมพลังในวัยเด็กให้ลูกอย่างถูกต้อง  ช่วงอายุ 1-7 ขวบ ควรปล่อยให้ลูกเล่นไปตามธรรมชาติ เพราะ การเล่น คือการจินตนาการที่มีความสุข รวมทั้งควรป้อนความรู้สึกให้กับลูกบ่อยๆ เช่น ความรัก ความศรัทธา ความมีเมตตา หรือความพยายาม ขณะเดียวกันเมื่อลูกมีข้อสงสัย ให้หาคำตอบมาอธิบายให้ลูกฟัง

นอกจากนี้ ควรลดการป้อนความจำให้กับเด็ก เพราะการพยายามกระตุ้นให้เด็กใช้สมองซีกซ้ายมากเกินไป เช่น เรียนคณิตศาสตร์ที่ยากๆ ก่อนวัย อาจเป็นผลเสียในอนาคตต่อตัวเด็กเองได้ เพราะเด็กส่วนใหญ่ จะเริ่มต้นใช้สมองซีกซ้ายอย่างเต็มที่ในช่วงประมาณ 10 ขวบ หรือประมาณป.4 ดังนั้นผลการเรียนในระดับ ป.1-ป.3 จะนำมาใช้วัดไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นเรียนเก่งจริง

ดังนั้น เด็กเล็กที่ถูกบังคับให้เรียนพิเศษคณิตศาสตร์อย่างหนัก แม้ว่าผลการเรียนจะออกมาดีมากในช่วงนั้น แต่เมื่อผ่านพ้น ป.4 เนื่องจากการชะงักของจินตนาการในช่วงก่อนหน้า จะทำให้เขามีผลการเรียนที่ลดลง และเป็นเช่นนั้นตลอดไปจนโต เพราะขาดจินตนาการ ความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นพลังแฝงที่จะเก็บไว้ตลอดเวลาในช่วงวัยเด็ก แล้วค่อยๆ ปล่อยพลังนั่นออกมา เมื่อโตขึ้นไปจนตลอดชีวิต

เลี้ยงลูกให้เก่ง

2. การป้อนความรู้สึก ในช่วง 1-7 ขวบ

การป้อนความรู้สึก เป็นอีกหนึ่งวิธี เลี้ยงลูกให้เก่ง โดยในช่วงอายุ 1-7 ขวบ พ่อแม่ควรป้อนความรู้สึกให้ลูกมากๆ เพราะสมองซีกขวาเปิดกว้างที่สุด ขณะที่ความจำควรป้อนให้น้อยที่สุด เช่น ให้ลูกเรียนคณิตศาสตร์ตั้งแต่ 3 ขวบ หรือให้เรียนสิ่งที่ยากๆ … วิธีดังกล่าวนี้ ยิ่งทำร้ายเด็ก เพราะจะไปสกัดจินตนาการ และความรู้สึกของเด็กออกหมด

ฉะนั้นข้อมูลความจำมันเรียนกันทีหลังได้ ความรู้สึกสำคัญกว่า เพราะจะส่งผลให้เด็กโตขึ้น พลังความรู้สึก หรือแรงบันดาลใจที่พ่อแม่ป้อนให้เขา จะมีพลังสูงมาก ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็ว และมีความสำเร็จได้สูง

เหมือนกับไอน์สไตน์ ตอน 4 ขวบ เขาสงสัยมาก ว่าทำไมเข็มทิศถึงชี้ไปทางทิศเหนือตลอด เขาก็ถามคนไปทั่วจนได้คำตอบว่า เพราะมันมีสนามแม่เหล็กดึงไป ซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าใจคำว่าสนามแม่เหล็กดีพอ จนกระทั่งตอนโต พอได้มาเรียน และสะดุดกับคำว่า สนามแม่เหล็ก ส่งผลให้พลังในการเรียนรู้มันมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำให้เขาสนใจที่จะเรียนรู้ในศาสตร์ดังกล่าวมากขึ้น

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

3. สังเกตการเล่น และเสริมให้โดดเด่นให้ลูก

หากอยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง พ่อแม่ ควรสังเกตการเล่นของลูกอยู่เสมอ ว่าลูกชอบเล่นอะไรเป็นพิเศษ เช่น ระบายสี ดนตรี เพื่อที่จะสนับสนุนความชอบของลูกให้โดดเด่น เช่นเดียวกับที่คุณพ่อของไทเกอร์ วูดส์ ที่มีคนถามว่า … เลี้ยงลูกอย่างไรให้เก่งกอล์ฟ? ซึ่งคุณพ่อของไทเกอร์ บอกว่า เขาก็เลี้ยงแบบพ่อแม่คนอื่นๆ เพียงแต่ว่า เขารู้ว่าลูกถนัดตีกอล์ฟ เพราะตอนเด็กๆ เขาสังเกตว่าลูกชอบถือไม้กอล์ฟพลาสติกตีเล่นเป็นพิเศษ จากนั้นจึงพาลูกไปเล่น และฝึกซ้อม จนเก่ง และเป็นมืออาชีพการเล่นกอล์ฟอย่างทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามวิธีการ เลี้ยงลูกให้เก่ง พ่อแม่ต้องสังเกตให้ดีด้วย เพราะเด็กบางคนสามารถทำได้ดีและเก่ง แต่ไม่ใช่ความชอบที่แท้จริง

เลี้ยงลูกให้เก่ง

4. ศิลปะ-ดนตรี-กีฬา 3 ศาสตร์ที่เหมาะกับเด็ก

สำหรับวิธี เลี้ยงลูกให้เก่ง ศาสตร์ที่เหมาะสมกับเด็กเล็ก ทันตแพทย์สม เผยว่า … มีอยู่ 3 ศาสตร์ คือ ศิลปะ ดนตรี และกีฬา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า เด็กเล็กที่มีความสามารถทางดนตรีมีปริมาณเส้นประสาทซึ่งเชื่อมระหว่างสมองทั้งสองซีกหนาแน่นกว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นดนตรี ดังนั้นเมื่อโตขึ้น สมองจะปรับการเรียนรู้จากจังหวะเสียง ทำนองของดนตรีให้ป้อนไปที่ศูนย์ภาษา ทำให้สามารถเรียน และออกสำเนียงภาษาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว

ขณะเด็กที่เล่นดนตรี กีฬา หรือทำงานศิลปะ จะมีความสามารถทางมิติสัมพันธ์ ส่งผลต่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และ คณิตศาสตร์ เมื่อโตขึ้นจะพบว่า สมาธิในเด็กกลุ่มนี้ จะสูงกว่าเด็กทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ทีมแม่ ABK เชื่อว่า คุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้อยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง แต่ไม่ต้องถึงกับขั้นเป็นอัจฉริยะก็ได้ เพียงแต่ให้ลูกอยู่ในสังคม และเอาตัวรอดได้ก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นจะ ให้ลูกเก่งอย่างเดียวไม่พอ แต่ควรให้ลูกฉลาดที่จะใช้ชีวิตด้วย หมายความว่า รู้จักเรียนรู้ และประยุกต์ทุกอย่าง เพื่อให้ชีวิตมีความสุข และเอาตัวรอดได้ดีด้วย ที่สำคัญควรสอนให้ลูกเข้าใจตัวเอง พร้อมกับเข้าใจ และรู้เท่าทันคนอื่น แต่ไม่ใช่เอาเปรียบคนอื่นนะ ต้องฉลาดแบบที่ตัวเองเป็นคนดี

เครดิต: Life & Family / Manager

อ่านต่อบทความน่าสนใจอื่นๆ คลิกที่ภาพ ด้านล่างได้เลย ⇓

10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว …พ่อแม่ที่มีลูกเก่งและฉลาด ต้องมีสิ่งเหล่านี้!

เลี้ยงลูกอย่างไรให้มี TQ (Thinking Quotient) ฉลาดในการคิด เก่ง และประสบความสำเร็จ

10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้ฉลาดรอบรู้ เก่ง ดี มีสุข ฉลาดทันคน เอาตัวรอดได้

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up