Page 141 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

อาการออทิสติกเทียม

แม่เตือน ลูกไม่สบตา เรียกไม่หัน อาการออทิสติกเทียม เหตุเพราะมือถือ!

แม่เตือนเรื่องจริง..รีบจัดการก่อนที่จะสายเกินแก้ ลูกมี อาการออทิสติกเทียม “ลูกไม่สบตา เรียกไม่หัน พูดแต่ภาษาต่างดาว” เหตุเพราะ “เล่นแต่มือถือ”

ลูกติดมือถือ เสี่ยงมี อาการออทิสติกเทียม ไม่รู้ตัว!!

เรียกได้ว่ายุคสมัยนี้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการติดต่อสื่อสารกับสังคมไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะในสังคมเมืองหรือสังคมชนบท ก็มีคุณพ่อคุณแม่หลายคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เลี้ยงลูกให้เติบโต มากับหน้าจอทีวี ร่วมไปถึงการส่งยื่นแท็บเล็ต มือถือ ให้ลูกเล่น เมื่อไม่มีเวลาดูแลเพราะต้องทำงาน หรือเมื่อออกไปใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์นอกบ้านและต้องการให้ลูกอยู่นิ่ง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้เด็กมีภาวะ “ออทิสติกเทียม” มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งภาวะนี้มักเกิดในครอบครัวที่มีฐานะดี ทว่าก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่หากพ่อแม่ไหวตัวทันรู้ว่าลูกมีภาวะดังกล่าวแล้วยอมรับ พร้อมแก้ไข รีบกระตุ้นพัฒนาการของลูกด้วยพลังแห่งรักเสียแต่เนิ่นๆ ภาวะ “อาการออทิสติกเทียม” ก็จะดีขึ้น และกลายเป็นเด็กปกติในที่สุด

เช่นเดียวกับคุรแม่ท่านนี้ที่ได้ออกมาเตือน พ่อแม่ทุกคนถึง อาการออทิสติกเทียม ที่พบว่ากำลังเกิดขึ้นกำลังลูก เนื่องจากลูไม่ยอมไม่สบตา เรียกไม่หัน พูดแต่ภาษาต่างดาว โดยคุณแม่พบสาเหตุว่ามาจากการให้ลูกดูจอ

ซึ่งคุณแม่ได้ใช้ Fccebook ชื่อ Khammanat Puy Thongonyosniti มาเล่าประสบการณ์ของลูกสาวที่มี อาการออทิสติกเทียม ผ่านกรุ๊ปหนึ่ง ว่า…

#เตือนภัย #เด็กติดมือถือ บอกได้เลยว่าน่ากลัวกว่าที่เราคิดไว้เยอะ แม่บ้านนี้เคยเจอมากับตัว ใครที่ให้ลูกเล่นมือถือ แท็บแลต ทีวี จอทุกชนิด เลิกได้เลิกซะ ก่อนที่จะสายเกินแก้ โชคดีลูกบ้านนี้แก้ไขได้ทันเวลา ลูกสาวเลยกลับมาเป็นเด็กปกติได้ แม่เคยลงเรื่องราวไว้ มีแม่ๆหลายคนทักแชทมาถามมาปรึกษา เพราะมีเด็กหลายคนตอนนี้กลายเป็น #ออทิสติกเทียม โดยที่พ่อแม่ไม่รู้ตัวไปแล้ว
อาการที่ลูกสาวเป็นตอนนั้น ไม่สบตา เรียกไม่หัน เฉยๆ พูดไม่ได้ เลย พูดแต่ภาษาต่างดาว ภาษาการ์ตูน หงุดหงิด โมโห ก้าวร้าว ขว้างปาสิ่งของเมื่อไม่พอใจ ไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่พูดหรือถาม พูดไม่รู้เรื่องเลย จะเอาแต่มือถืออย่างเดียว ไม่เล่นกับใครเลย เล่นคนเดียว 3 ขวบกว่าๆแล้ว เข้าเรียนอนุบาล 1 ยังเรียกแม่ไม่ได้เลย
แม่ให้น้องเล่นมือถือตอนขวบกว่าๆ ค่ะ วัยที่สมองน้องกำลังพัฒนา กำลังจะพูดเป็น พอ 2 ขวบนิดๆ พี่สาวมาเห็นอาการน้องเลยแนะนำให้พาน้องไปตรวจพัฒนาการ
รอบแรกแม่พาไป รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบลใกล้บ้านก่อน ช่วงนั้นจะมีหมอจาก รพ.สงขลา เข้ามาตรวจพัฒนาการค่ะ หมอบอกน้องพัฒนาการช้ากว่าปกติ ให้เลิกดูจอทุกชนิด ให้เลิกเด็ดขาด
แม่ก็ทำตามค่ะ แรกๆน้องงอแง โวยวายหนักมาก แต่พอสักพักน้องก็ลืมจอต่างๆไปเลยค่ะ อีก 6 เดือนต่อมา หมอนัดมาเจอกันอีกที นิสัยน้องเริ่มเปลี่ยนแล้วค่ะ เวลาเจอหมอ น้องยกมือไหว้ ยิ้มแย้มแจ่มใส หมอบอกน้องน่ารัก ใจเย็นขึ้น กล้าสบตาหมอ ไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอกัน แต่ยังพูดไม่ค่อยได้
อาการออทิสติกเทียม
น้องฟางข้าว หายจากอาการออทิสติกเทียมแล้ว
หมอเลยแนะนำให้พาเข้าอนุบาล แม่ก็ทำตามอีก พอพาเข้าอนุบาล น้องพูดช้ากว่าเด็กคนอื่นมาก พูดกลับหน้ากลับหลัง ครูเลยแนะนำให้แม่พาไปหาหมอที่ รพ.สงขลานครินทร์ แม่ก็พาไป หมอบอกน้องเหมือนจะเป็น ออทิสติกเทียม แต่ยังไม่100% เพิ่งเริ่ม แก้ไขได้ ค่อยๆฝึก แล้วจะดีขึ้นเอง

อาการออทิสติกเทียม

ที่สำคัญห้ามดูจอเด็ดขาด แม่ก็ปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงโดยหันมาพูดคุยกับน้องเยอะๆ บวกกับน้องไปโรงเรียน เจอเพื่อน เจอครู น้องจึงดีขึ้นตามลำดับ จนทันเพื่อน ตอนนี้อยู่ ป.1 ด้วยวัย6ขวบ อายุน้อยสุดในห้อง อารมณ์ดี พูดเพราะ พูดเก่ง จนแม่เวียนหัว อ่านออกเขียนได้ เรียนรู้เรื่องเหมือนเด็กปกติทั่วไปค่ะ #เป็นกำลังใจคุณพ่อคุณแม่ที่ลูกกำลังเป็นอยู่สู้สู้นะคะ #อย่าให้เทคโนโลยีมาทำร้ายลูกเราเด็ดขาด
ขอบคุณภาพและข้อมูลจากคุณแม่ Khammanat Puy Thongonyosniti

ออทิสติกเทียม คือ

สำหรับ อาการออทิสติกเทียม คือ ภาวะที่มักเกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆ วัยขวบกว่าที่มีปัญหาพัฒนาการล่าช้าทั้งทางด้านภาษาและสังคม เช่น ด้านภาษา คือวัยขวบกว่าแต่ไม่สามารถพูดหนึ่งคำที่มีความหมายได้ หรือเด็กวัย 2 ขวบกว่า ยังไม่สามารถพูดเป็นวลีได้ ส่วนพัฒนาการล่าช้าด้านสังคม เช่น ไม่เล่นกับเพื่อนหรือไม่สื่อสารกับคนอื่น อยู่ในโลกส่วนตัว หมกมุ่นกับกิจกรรมตัวเอง ไม่มองหน้า ไม่ทำตามคำสั่ง

อย่างไรก็ตามการเลี้ยงเด็กเล็กๆ ที่ดีคือ ควรมีเวลานั่งคุยนั่งพูดกับเด็ก เล่านิทานให้ลูกฟัง เด็กจะได้รับการกระตุ้นด้านภาษา ถ้าพ่อแม่ยุคนี้ไม่รู้เท่าทันเทคโนโลยี ผลกระทบที่จะเกิดจากการเล่นไอที เราต้องเฝ้าระวัง และตื่นตระหนกในการป้องกัน ไม่ปล่อยให้เด็กอยู่กับไอที ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต อย่าปล่อยให้เด็กเล่นเกม นั่งดูซีดีการศึกษา ซึ่งพ่อแม่คิดว่าการปล่อยให้เด็กนั่งดูการ์ตูนเป็นการกระตุ้นแล้ว แต่จริงๆ ไม่ใช่ เพราะเป็นการสื่อสารทางเดียว เมื่อลูกถูกกระตุ้นด้านพัฒนาการ ลูกมีแนวโน้มดีขึ้นได้ถ้ากระตุ้นอย่างเหมาะสม อย่างน้อยๆ 6 เดือนขึ้นไปเด็กจะมีภาวะดีขึ้น หรือฝึกแค่ 3 เดือน เด็กดีขึ้นในด้านการสื่อสาร

อาการออทิสติกเทียม

ซึ่งออทิสติกแม้ใส่ตัวกระตุ้นไปแล้ว ก็ยังมีอาการบางอย่างไปจนถึงตอนโต แต่อาการออทิสติกเทียม หากกระตุ้นดีๆ จะไม่หลงเหลืออาการเลย แต่มีบางคนที่ไม่ได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสมก็ไม่หายและมีภาวะอยู่อย่างนั้น ออทิสติกเทียมจึงสามารถพัฒนาได้ เพราะสมองเด็กไม่ได้ล่าช้า แต่เขาขาดการกระตุ้นต่างหาก” นี่คือความต่างระหว่างออทิสติกทั้งสองแบบ

สิ่งสำคัญเพื่อเลี่ยง อาการออทิสติกเทียม พ่อแม่อย่าฝากความหวังไว้กับคนอื่น ต้องคอยเช็ก คอยดูพัฒนาการของลูกและหากพบลูกเป็นออทิสซึม อันดับแรกควรพาไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งคุณหมอจะวินิจฉัยอาการว่าเด็กมีพัฒนาการเหมาะกับวัยหรือไม่ จากนั้นคุณหมอจะแนะนำคุณพ่อคุณแม่เพื่อส่งน้องไปกระตุ้นพัฒนาการทั้งในหน่วยงานรัฐบาลและเอกชนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้ไม่สายเกินแก้


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.posttoday.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

แม่แชร์ วิธีสังเกต อาการเด็กออทิสติก รู้ก่อนรักษาได้เร็ว

หมอชี้! เด็ก 4 ขวบเก่งอังกฤษเพราะมือถือไม่ใช่เรื่องดี เสี่ยงออทิสติกเทียม

โรคออทิสติก เกิดจากความผิดปกติของสมอง และแม่ผู้ให้กำเนิด

    โคโดโม เฮดทูโท

    รีวิวของดีขึ้นแท่น โคโดโม เฮดทูโท ของขวัญธรรมชาติที่อ่อนโยนต่อผิวลูกทุกวัย

    “การอาบน้ำพัฒนาศักยภาพลูกน้อยได้มากกว่าที่คิด” และเป็นช่วงเวลาทองที่คุณพ่อคุณแม่สามารถกระตุ้นประสาทสัมผัสรอบด้านของลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิดผ่านการสบตา พูดคุย ฟังเสียง ดมกลิ่น และสัมผัส หรือเปิดโอกาสให้ลูกวัยคิดส์ได้ลองเล่น ลองทำกิจกรรมแปลกใหม่ปลูกฝังเรื่องกล้าคิด กล้าทำอย่างสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์เฮดทูโทเป็นตัวช่วยในการเติมเต็มความสุขให้ช่วงเวลาสำคัญนี้ได้ จะเลือกยี่ห้อไหนดี เรามาหาคำตอบกัน

    คุณแม่ส่วนใหญ่มักอาบน้ำและสระผมให้ลูกน้อยควบคู่กัน  การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เฮดทูโท ที่เป็นทั้งแชมพูสระผม และสบู่เหลวอาบน้ำในขวดเดียวจึงช่วยลดขั้นตอนยุ่งยาก และเพิ่มเวลาให้คุณแม่ไว้สำหรับส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆได้อย่างเต็มที่ เช่น เล่นเป่าฟองสบู่ แล้วให้ลูกใช้นิ้วจิ้มให้แตก ฝึกประสาทตาและการช่างสังเกต ร้องเพลงให้ลูกเต้นตาม หรือเล่นของจม-ของลอย เป็นต้น

    สิ่งที่คุณแม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความอ่อนโยนเป็นพิเศษว่า ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ หรือไม่ระคายเคืองต่อหนังศีรษะ ผิวหนัง และเยื่อบุตาของลูก โคโดโม เฮดทูโท คือผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณแม่ตัวจริงได้เป็นอย่างดี

    เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ยกให้ โคโดโม เฮดทูโท เป็นแชมพูสบู่เหลวที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Head To Toe Wash จาก Amarin Baby & Kids Awards 2020

    โคโดโม เฮดทูโท เป็นหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ “โอกานิคุ” ที่แบรนด์โคโดโมตั้งใจสร้างสรรค์เพื่อการดูแลลูกน้อยตั้งแต่ทารกแรกเกิดโดยเฉพาะ ด้วยคุณสมบัติพิเศษจากสารสกัดออร์แกนิคธรรมชาติของโอลีฟออยล์ อุดมด้วยวิตามินบีและวิตามินดี จึงสามารถดูแลผิวกับเส้นผมของลูกน้อยให้ชุ่มชื้น สุขภาพดีในทุกครั้งที่อาบน้ำ

    มั่นใจได้ในเรื่องอ่อนโยน 100 % ด้วยสูตร No Tears ที่ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตา ช่วยให้คุณแม่มือใหม่อาบน้ำสระผมลูกน้อยหมดกังวลว่าลูกแสบตา ปราศจากสารเติมแต่ง 5 ชนิด ได้แก่ สบู่ พาราเบน ซิลิโคน สี และแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการแพ้ต่างๆ พร้อมการันตีด้วยเครื่องหมาย Hypoallergenic Tested ที่แสดงว่าผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองต่อผิวลูกน้อย จึงใช้ได้กับทารกแรกเกิด

    โคโดโม เฮดทูโทมาในรูปลักษณ์ทันสมัย ดูอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ ขวดสีฟ้าใส และมีคำว่า “Oganiku” พิมพ์อยู่ รูปทรงมีโค้งเว้าตามรอยนิ้วให้จับถนัดมือยิ่งขึ้น มอบแว๊บแรกจะเข้าใจว่าสบู่เป็นสีฟ้าแต่บีบออกมาแล้ว เนื้อสบู่กลับมีลักษณะคล้ายเจลใสๆ ปราศจากสี มีความหนืดเล็กน้อย แต่ไม่เหนียวข้น เมื่อผสมกับน้ำจะมีฟองเพียงเล็กน้อย แต่สามารถทำความสะอาดเส้นผมและผิวกายของลูกน้อยให้สะอาดหมดจด ล้างออกง่าย ไม่ทิ้งคราบฟองสบู่ มีกลิ่นหอมอ่อนๆติดผิวทำให้รู้สึกสดชื่นตลอดวัน

    โคโดโม เฮดทูโท

    มีหลายขนาดให้คุณแม่เลือกใช้ตามต้องการ ทั้งขวดเล็กเหมาะสำหรับพกพา ขวดใหญ่หัวปั๊มใช้ได้นาน ซื้อครั้งเดียวคุ้ม และถุงรีฟิลที่สามารถซื้อเติมในราคาประหยัดกว่า

    ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทางเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ แชมพูสบู่เหลว โคโดโม โอกานิคุ ได้รับ รางวัล Editor’s Choice  Best Head To Toe Wash จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2020” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

    สำหรับคุณแม่ที่สนใจ ให้ แชมพูสบู่เหลว โคโดโม โอกานิคุ สามารถหาซื้อได้ที่ 7-Eleven ,Tesco Lotus, Big C, Makro, Gourmet Market, Home Fresh Mart, Tops, Foodland, CJ Express  หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ Facebook : Kodomo Club

      น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี

      น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี ดื่มง่าย บำรุงดี คุณแม่โหวตให้ Milk Plus & More เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

      น้ำนมน้อย นมแม่ไม่พอ เป็นอีกหนึ่งปัญหาหนักอกของคุณแม่มือใหม่หลายคน ด้วยสภาวะหลังคลอดที่คุณแม่ต้องเจอกับอาการเจ็บปวดจากบาดแผล พักผ่อนน้อย และการดูแลลูกน้อยตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ร่างกายหลังคลอดฟื้นตัวได้ช้ากลายเป็นอุปสรรคทำให้น้ำนมไม่เยอะ มาไม่เร็วอย่างที่คิด

      หนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ และพร้อมผลิตน้ำนมได้อย่างเต็มที่ คือการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่และเสริมด้วย “อาหารบำรุงน้ำนม” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผักสมุนไพรไทยพื้นบ้านเช่น ขิง หัวปลี เป็นต้น แต่ด้วยรสชาติเฉพาะอาจทำให้กินยาก หรือต้องนำไปปรุงอาหารที่ยุ่งยาก

      เครื่องดื่มน้ำหัวปลีจึงเป็นทางเลือกมาแรงที่คุณแม่ยุคใหม่ให้ความนิยม นอกจากสะดวก ดื่มได้ทุกที่ทุกเวลาแล้ว รสชาติยังอร่อยถูกปากมากขึ้นด้วย แต่จะเลือก น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี ที่ช่วยบำรุงร่างกาย กระตุ้นการผลิตน้ำนม และบำรุงน้ำนมให้มีคุณภาพ ปลอดภัยต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อย มาฟังคำตอบกันค่ะ

      น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี

      น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี แม่ทั่วประเทศยกให้ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ในดวงใจ

      เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ได้จัดการมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020”ต่อเนื่องในปีที่ 2 เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์สำหรับแม่ลูกในดวงใจ จากการเสนอชื่อและคะแนนของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน โหวตให้เครื่องดื่มน้ำหัวปลีจากแบรนด์ Milk Plus & More ได้รับคะแนนสูงสุด และคว้ารางวัล Mommy’s Choice สาขา  Best Breastfeeding Supplement ในปีนี้

      ทำไมแม่ยุคใหม่เลือกเครื่องดื่มน้ำหัวปลี  Milk Plus & More บำรุงน้ำนมเพื่อลูกน้อย

      “เพราะคนเป็นแม่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอ ตั้งแต่อยู่ในท้อง” การเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์ใดๆจึงต้องมั่นใจได้ว่าปลอดภัย และดีกับสุขภาพของลูกจริง ซึ่งเครื่องดื่มน้ำหัวปลี Milk Plus & More ตอบโจทย์นี้อย่างครบถ้วน ทั้งการใช้วัตถุดิบคุณภาพดี อย่างหัวปลีสดที่คัดสรรเฉพาะหัวปลีจากกล้วยน้ำว้า มีความเฝื่อนและฝาดน้อย เติมรสหวานธรรมชาติจากอินทผลัม ช่วยให้ดื่มง่ายและเหมาะกับคุณแม่ท้องที่ไม่ควรกินหวานเกินไป นอกจากนี้ยังมี 4 สูตรที่ให้สรรพคุณแตกต่างกัน ได้แก่

       

      น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี

      • สูตรดั้งเดิม รสหวานนิดๆ ดื่มง่าย ช่วยบำรุงครรภ์ บำรุงเลือด กระตุ้นและเพิ่มน้ำนม

       

      น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี

      • น้ำหัวปลีรสมะขาม ให้รสหวานอมเปรี้ยว ช่วยบำรุงครรภ์ การทำงานของระบบขับถ่าย กระตุ้นและเพิ่มน้ำนม

       

      น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี

      • น้ำหัวปลีรสขิง มีรสเผ็ดร้อน ช่วยกระตุ้นน้ำนมได้ดี บำรุงครรภ์และแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

       

      น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี

      • น้ำหัวปลีรสพุทราจีน รสหวานธรรมชาติ หอมกลิ่นพุทธาจีน ดื่มง่าย ช่วยบำรุงครรภ์ บำรุงเลือด และกระตุ้นน้ำนม

       

      น้ำหัวปลี ยี่ห้อไหนดี

      ทุกกระบวนการผลิตปลอดภัยและถูกต้องตามหลักมาตรฐานสากล น้ำหัวปลีทุกสูตรผ่านการรับรองจากมหาวิทยามหิดลว่า เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยบำรุงครรภ์และกระตุ้นการผลิตน้ำนมของแม่หลังคลอด และคุณแม่ยุคใหม่ได้โหวตให้ Milk Plus & More เป็นเครื่องดื่มน้ำหัวปลีอันดับหนึ่งในดวงใจ มาฟังเหตุผลบางส่วนจากคุณแม่ตัวจริงกันค่ะ

      “ตั้งใจแต่แรกเลยว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พยายามดูแลเรื่องอาหารการกินมาตลอด แต่พอใกล้คลอดแอบกลัวว่าถ้าน้ำนมน้อยจะทำยังไง ได้ลองชิมน้ำหัวปลีของ Milk Plus & More แล้วรู้สึกว่าดื่มง่าย หวานนิดๆ ไม่มีรสฝาดเลยเซื้อรสดั้งเดิมมาดื่ม ลองแล้วได้ผลดีมากเลยค่ะ น้ำนมแม่มาตั้งแต่วันแรกหลังคลอด เยอะขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกเลยว่าน้ำนมข้นมาก ทั้งเข้าเต้าและปั๊มเก็บจนเต็มตู้เย็น ตอนนี้ลูกอายุ 2 ขวบครึ่งแล้วยังกินนมแม่อยู่เลยค่ะ มีความสุขมากจริงๆ อยากให้คุณแม่ได้ลองกันค่ะ”

      “ปกติเป็นคนกินยาก แถมแพ้ท้องหนักมาก กินอะไรไม่ค่อยได้เลยกังวลว่าลูกในท้องจะไม่แข็งแรง ไม่มีนมให้ลูกกิน คุณสามีรู้ใจซื้อ น้ำหัวปลี Milk Plus & More รสมะขามให้ลองดื่ม ชิมแล้วไม่รู้สึกว่าเป็นน้ำหัวปลีเลย รสหวานอมเปรี้ยว อร่อย สดชื่นบรรเทาอาการแพ้ท้องได้ดีแถมยังช่วยเรื่องท้องผูกที่เป็นบ่อยๆด้วยค่ะ หลังจากนั้นก็ดื่มตลอด ซื้อมาตุนไว้ครั้งละ 4-5 ลัง อร่อย มีประโยชน์แบบนี้แม่ไม่ยอมพลาดแน่นอนค่ะ”

      “รู้จักน้ำหัวปลี Milk Plus & More ครั้งแรกที่บูธในงานแฟร์ พอลองชิมรสขิงแล้วรู้สึกชอบค่ะ มีความเผ็ดร้อนนิดๆเข้ากับรสหวาน เข้มข้น ดื่มง่าย อร่อยดีค่ะ แถมยังเก็บได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ใส่วัตถุกันเสีย จึงมั่นใจว่าปลอดภัยกับลูกแน่นอน แถมมีโปรโมชั่นดีๆเอาใจแม่อย่างเราตลอดเลย”

      “เพราะเป็นเวิร์กกิ้งมัมที่ต้องทำงานนอกบ้าน แต่อยากให้นมได้นานที่สุด  เลยต้องแพลนเตรียมนมสต๊อกไว้เนิ่นๆ น้ำหัวปลี Milk Plus and More เป็นตัวช่วยที่เลิฟมากเลยค่ะ เราเริ่มดื่มช่วงใกล้คลอด พอเริ่มให้นมก็สามารถปั๊มเก็บได้ทันที ยิ่งปั๊มบ่อยน้ำนมยิ่งมาก จนตอนนี้สามารถเก็บสต๊อกไว้ให้ลูกกินได้ทั้งปีแล้วค่ะ ดีใจสุดๆเลย”

      สำหรับคุณแม่ใกล้คลอด หรือคุณแม่ให้นมที่กลังมองหาต้องการบำรุงร่างกายตัวเอง และบำรุงน้ำนมให้มีคุณภาพ หมดปัญหาเรื่อง “น้ำนมน้อย” เครื่องดื่มน้ำหัวปลี Milk Plus and More เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยคุณภาพดีที่อยากแนะนำเลยค่ะ

      คุณแม่ที่สนใจผลิตภัณฑ์ Milk Plus & More สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ 

      Website : www.milkplusandmore.com

      Facebook : www.facebook.com/milkplusandmoreth

       

        8 วิธี “กระตุ้นสมอง” ทารกแรกเกิด ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

        รู้หรือไม่? เด็กที่ได้รับการ กระตุ้นสมอง อย่างถูกวิธีจากคุณพ่อคุณแม่ จะช่วยให้สมองของลูกพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ ทำให้ลูกฉลาด ความจำดีได้ตั้งแต่แรกเกิด!

        8 วิธี “กระตุ้นสมอง” ทารกแรกเกิด ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

        สมอง เป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดคุณภาพและสติปัญญาของมนุษย์เรา โดยสมองจะทำหน้าที่เป็นศูนย์บัญชาการของร่างกาย ทั้งในเรื่องการรับข้อมูล การเก็บข้อมูล และการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ดั้งนั้นภายในเนื้อสมองจึงมีส่วนต่าง ๆ มากมายเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในเรื่องการมองเห็น การใช้ภาษา การเคลื่อนไหว การคิด ความรู้สึก และหน้าที่อื่น ๆ อีกมากมาย สมองจะเริ่มทำงานตั้งแต่อยู่ในท้อง และจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วมากในทุก ๆ ด้านไปจนถึงอายุประมาณ 4 ขวบ สมองจะพัฒนาไปถึง 60 % จนถึงอายุ 10 ปี จะเจริญเกือบเท่าผู้ใหญ่ จากนั้นก็จะพัฒนาในส่วนของการเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีการหยุดยั้ง

        คุณพ่อคุณแม่จะเห็นได้ว่าในช่วงขวบปีแรก ๆ สมองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เด็กที่ได้รับการ กระตุ้นสมอง อย่างถูกวิธี สมองจะไม่ถูกปิดกั้น ทำให้เกิดการพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้ลูกเป็นเด็กที่ฉลาด ความจำดี มีแววอัจฉริยะได้

        8 วิธี กระตุ้นสมองทารกแรกเกิด ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

        1. เริ่มก่อนได้เปรียบ!!

        อย่างที่ได้กล่าวไปว่าสมองจะเริ่มทำงานและพัฒนาได้ตั้งแต่ลูกอยู่ในท้อง ดังนั้นคงจะดีไม่น้อยหากคุณพ่อคุณแม่เริ่ม กระตุ้นสมอง ของลูกตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองของลูกน้อย ลูบหน้าท้อง คุยกับลูกในท้องบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและสมองของลูกในท้อง เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ เป็นต้น

        บทความที่เกี่ยวข้อง : 10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง

        พัฒนาการทางสมองของทารก อันน่าทึ่ง ลูกน้อย “คิดอะไร” บ้างนะ?

        2. ใช้ “ภาษาเด็กเล็ก (Baby Talk)” พูดคุยกับลูก

        ภาษาเด็กเล็ก หรือ Baby Talks หรือ infant-directed speech คือการพูดของผู้ใหญ่ที่ใช้กับเด็กเล็ก ที่มีเสียงเล็กเสียงน้อย ท่าทาง และจังหวะที่แตกต่างจากการพูดกับเด็กโตและคนทั่วไป ภาษาเด็กเล็ก จะมีคำศัพท์ที่แตกต่างจากภาษาทั่วไป ใช้โทนเสียงสูงกว่าปกติและน้ำเสียงสูงต่ำ มีการพูดซ้ำหลาย ๆ ครั้ง เน้นย้ำบางคำ และจังหวะที่ช้า พร้อมกับใช้สีหน้าท่าทางประกอบการพูด

        มีงานวิจัยมากมายพบตรงกันว่าทารกไม่ชอบฟังเสียงผู้ใหญ่ที่พูดด้วยน้ำเสียงแบบธรรมดา แต่ด้วยคำพูดหรือการเล่าเรื่องเดียวกัน ถ้าคุณใช้โทนเสียงแบบเด็ก ทารกจะหันขวับมาสนใจฟังทันที ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดในการสื่อสาร ภาษาเด็กเล็ก คือ จุดเริ่มต้นของพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสารของเด็ก ซึ่งเป็นใบเบิกทางของการเรียนรู้ที่มากกว่า 1 ภาษาของเด็ก ๆ ได้นั่นเอง

        อย่างไรก็ตาม Baby Talk มีข้อจำกัด เพราะในบทความของ American College of Pediatricians ระบุว่า ควรเริ่มต้นใช้ภาษาเด็กเล็ก ได้ตั้งแต่อายุ 7 เดือน จนถึง 3 ขวบ หากเกินกว่านั้น ควรหันมาใช้ภาษาพูดปกติ เนื่องจากในช่วงวัยนี้ เด็กสามารถแยกแยะ Baby Talk กับการสนทนาปกติได้ และพวกเขาต้องการให้พ่อแม่สื่อสารกับพวกเขาเหมือนผู้ใหญ่

        3. เล่นกับลูกบ่อย ๆ

        สำหรับทารกแรกเกิด ควรใช้เกมการละเล่นแบบง่าย ๆ โดยใช้มือหรืออุปกรณ์ง่าย ๆ ประกอบการเล่น เช่น การเล่นจ๋ะเอ๋ การตบมือ การกำมือและแบมือ เป็นต้น เมื่อลูกโตขึ้นมาอีกนิด ให้ใช้ของเล่นที่เหมาะสมกับวัยของลูกมาประกอบการเล่น โดยเลือกของเล่นที่ให้ลูกได้ค้นหา และของเล่นที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อผู้เล่น เช่น บล็อคต่อ ตุ๊กตาเด้งดึ๋ง เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกได้หัดคิดถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดหลังจากการกระทำนั้น ๆ ของคุณพ่อคุณแม่และของตัวเอง

        4. อย่าปล่อยให้ลูกร้องไห้นาน ๆ

        การแสดงความสนใจ การแสดงความรัก การโอบ กอด อุ้มลูกบ่อย ๆ และการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ระหว่างพ่อแม่และลูก เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทารกจะรับรู้ได้ถึงความเอาใจใส่ของคุณพ่อคุณแม่ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายของลูกหลั่งสารอ๊อกซิโตซินและเอ็นคอร์ฟินในสมอง ทำให้สมองของลูกพัฒนาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และยังจะช่วยส่งสัญญาณความปลอดภัยทางอารมณ์ไปยังสมองของลูกน้อย ลูกน้อยจะกล้าที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกลัวลูกจะเสียนิสัย จะติดมือ แล้วปล่อยให้ลูกร้องไห้นาน ๆ เพราะนอกจากจะทำให้ลูกไม่รับรู้ถึงความรักของพ่อแม่แล้ว ยังจะไปปิดกั้นพัฒนาการสมองของลูกอีกด้วย

        อ่านหนังสือกับลูก
        อ่านหนังสือกับลูก

        5. ชวนลูกอ่านหนังสือด้วยกัน

        การอ่านหนังสือหรือเล่านิทานให้ลูกฟังบ่อยๆ เป็นวิธีการที่ดีที่จะทำให้ลูกน้อยเกิดจินตนาการ เพราะเซลล์สมองจะเชื่อมต่อได้ดี เมื่อฝึกใช้ประสาทสัมผัสทางตาและทางหูมากๆ การอ่านหนังสือจึงช่วยให้เส้นใยสมองเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เด็กฉลาดขึ้นนั่นเอง โดยหนังสือหรือนิทานที่นำมาอ่านกับลูก ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อในราคาแพง คุณพ่อคุณแม่สามารถคิดเรื่องขึ้นมาเอง โดยให้เรื่องราวเกี่ยวของกับตัวลูกเอง หรือให้มีตัวเขาเป็นผู้แสดง หรือเกี่ยวกับเรื่องที่เขาคุ้นเคยในกิจวัตรประจำวัน นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถสอนเรื่อง รูปภาพ สี รูปทรง จำนวน และคำต่าง ๆ ที่ปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือ และยังสามารถใช้งานศิลปะง่าย ๆ เช่น ปั้นแป้งโด ใช้สีเทียนแท่งโต ๆ วาดภาพขณะที่อ่านหนังสือ และคุยกับลูกไปพร้อม ๆ กันก็ได้

        6. นวดกระตุ้นสมอง!!

        การนวดเป็นการสัมผัสและการแสดงความรักอย่างหนึ่ง ที่นอกจากจะทำให้ลูกรับรู้ถึงความรักของพ่อแม่ผ่านการสัมผัสแล้ว ยังช่วยให้ทารกรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด และมีอารมณ์ดี สิ่งนี้จะเชื่อมโยงไปถึงสมองของลูกน้อยได้ เพราะเมื่อลูกน้อยอารมณ์ดี ก็จะทำให้สมองสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ มีงานวิจัยระบุว่าทารกที่ไม่ได้รับการโอบ กอด และสัมผัส ด้วยความรัก จะมีสมองที่เล็กกว่าสมองของเด็กทั่วไป นอกจากประโยชน์ต่อสมองของลูกน้อยแล้ว การนวด และการสัมผัสร่างกาย ยังช่วยให้ทารกเรียนรู้และรักในร่างกายของตนเองได้อีกด้วย (บทความที่เกี่ยวข้อง : 17 ท่า นวดทารก ช่วยทำให้สุขภาพและพัฒนาการดี)

        7. เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก

        การเป็นตัวอย่างที่ดี อย่างที่รับรู้กันว่าเด็กจะเลียนแบบผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัว ฉะนั้นเนื่องจากสมองมนุษย์มีเชลล์สมองกระจกเงาที่จะคอยเรียนรู้ สังเกต และเลียนแบบพฤติกรรมโดยกระจกเงาที่ใกล้ตัวลูกที่สุด นั่นก็คือพ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก เช่นการมีนิสัยรักการอ่าน หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการแสดงให้ลูกเห็นว่าการอ่านหนังสือเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการหาความรู้เพิ่มเติม คนที่รักการอ่านจะมีความรู้มาก แต่คุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมอ่านหนังสือเป็นตัวอย่างให้ลูกดู แต่กลับบังคับให้ลูกอ่านหนังสือคนเดียว ลูกก็จะไม่เชื่อในสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอนนั่นเอง

        8. ให้ลูกทานอาหารบำรุงสมอง

        สมองคนเราต้องการอาหารและการบำรุงอย่างยิ่ง สมองเป็นอวัยวะร่างกายชิ้นแรกสุดที่จะดูดซึมสารอาหารจากสิ่งที่กินเข้าไป เด็กที่อยู่ในวัยกำลังโตมีความต้องการสารอาหารที่หลากหลายเพื่อให้ร่างกายทุกส่วนได้พัฒนาอย่างเต็มที่ และหากลูกได้ทานอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าโภชนาการและสารอาหารที่มีประโยชน์กับสมอง ก็จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (บทความที่เกี่ยวข้อง : 10 สุดยอด “อาหารบำรุงสมอง” ลูกน้อย)

        พัฒนาการสมอง
        พัฒนาการสมอง

        หากคุณพ่อคุณแม่ กระตุ้นสมอง ของลูกน้อยเป็นประจำทุกวัน และต่อเนื่อง ขอรับรองว่าสมองของลูกน้อยจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมทั้งพัฒนาการทางด้านอารมณ์ของลูกน้อยก็จะมีพัฒนาการที่ดีตามไปด้วย เพราะลูกได้รับความรักและการเอาใจใส่เป็นอย่างดีของคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        พัฒนาการทารก แรกเกิด – 1 ขวบ พร้อมเทคนิคส่งเสริมพัฒนาการ

        เคล็ดลับดี๊ดี..กระตุ้นพัฒนาการ ทารกแรกเกิด-12 เดือน

        ไม่ต้องรอคลอด! 9 วิธีกระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ สร้างลูกฉลาด อารมณ์ดีได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง

        6 สัญญาณ ลูกความจำดี พร้อมเคล็ดลับฝึกให้ลูกจำได้แม่น

         

        ขอบคุณข้อมูลจาก : www.scholastic.com, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, voathai.com

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          เหงื่อ ออกมากหลังคลอด

          เหงื่อ ออกมากหลังคลอด..ผิดปกติหรือเปล่า?

          เหงื่อ ออกเยอะตื่นมาให้นมหลังเปียกชุ่ม แบบนี้เป็นเรื่องผิดปกติหรือเปล่า อาการหลังคลอดลูกแบบไหนที่เป็นเรื่องปกติ แบบไหนที่ควรเฝ้าระวัง วันนี้มาฟังคำตอบกัน

          เหงื่อ ออกมากหลังคลอด..ผิดปกติหรือเปล่า?

          เมื่อเราเข้าสู่ภาวะการตั้งครรภ์ คุณแม่จะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

          • น้ำหนักตัว ตลอดการตั้งครรภ์ น้ำหนักจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นช่วง 3 เดือนแรกจะเพิ่มไม่มาก ไม่เกิน 2 กิโลกรัมต่อเดือน ตลอดการตั้งครรภ์น้ำหนักควรเพิ่มอย่างน้อยประมาณ 10-12 กิโลกรัม
          • ขนาดของมดลูกและหน้าท้อง เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นหน้าท้องจะขยายออกมากขึ้น ช่วงหลังตั้งครรภ์ไป 3 เดือน อาจคลำพบก้อนแข็งนูนขึ้นมาเหนือหัวเหน่า นั่นคือ มดลูกที่โตจากอุ้งเชิงกรานจนไปถึงระดับสะดือ เดือนที่ 8-9 เป็นช่วงที่รู้สึกอึดอัดมาก เพราะยอดมดลูกโตขึ้นมาถึงระดับลิ้นปี่

            การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายขณะตั้งครรภ์
            การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายขณะตั้งครรภ์
          • เต้านมขยาย จากเดือนที่ 2 ขึ้นไป เส้นเลือดที่เต้านมจะขยาย หัวนมจะขยายใหญ่และมีสีคล้ำ อาจจะมีก้อนนูนที่ใต้รักแร้ ซึ่งเป็นส่วนปลายของเต้านมที่เจริญเติบโต
          • ผนังหน้าท้องลาย ผิวหน้าท้องจะยืดขยายคล้ายแตกออกที่เรียกว่าท้องลาย
          • ช่องคลอดเปลี่ยนแปลง มีมูกและตกขาวเพิ่มขึ้น ถ้าตกขาวไม่มากถือว่าปกติ ควรทำความสะอาดด้วยน้ำสบู่แต่เพียงภายนอก หากมีอาการผิดปกติ มีสีผิดปกติ หรือมีกลิ่นเหม็นควรไปพบแพทย์
          ขอขอบคุณข้อมูลจาก รพ.เปาโล
          เหงื่อ กับภาวะหลังคลอด
          เหงื่อ กับภาวะหลังคลอด

          แต่รู้หรือไม่ว่า หลังคลอดคุณแม่ก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายอีกครั้ง ระยะหลังคลอดหรือระยะอยู่ไฟ เป็นช่วงที่ร่างกายปรับตัวคืนสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนการตั้งครรภ์ ระบบต่างๆ ในร่างกายทั้งทางร่างกายและจิตใจก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ดังนี้

          • มดลูก จะโตและอยู่สูงจากระดับสะดือทันที่ที่หลังคลอด และจะลดขนาดลงเพื่อเข้าสู่สภาพปกติวันละครึ่งนิ้ว เรียกการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า “มดลูกเข้าอู่” หลังการคลอดใน 24 ชั่วโมงแรกบริเวณที่รกเกาะจะเป็นแผลใหญ่และมีเลือดซึมออกมา ซึ่งอาจมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้มากที่สุดในระยะ 10-14 วันแรกของการคลอด จึงต้องเฝ้าระวังและดูแลรักษาเป็นพิเศษในระยะสำคัญนี้
          • เนื้อเยื่อบุโพรงมดลูก เนื้อเยื่อส่วนชั้นผิวที่เหลืออยู่จะถูกร่างกายขับออกมาให้เห็นเป็นเลือดตั้งแต่หลังคลอดจนถึง 3 สัปดาห์หรือ 6 สัปดาห์ในบางรายหลังคลอด ซึ่งเราเรียกว่า “น้ำคาวปลา” ส่วนในชั้นเยื่อบุโพรงมดลูกป็นส่วนที่อยู่ติดกับเนื้อมดลูก ภายใน 3 สัปดาห์ก็จะมีการเจริญจนเต็มโพรง แต่จะกินเวลานานถึง 6 สัปดาห์ ในส่วนที่รกเกาะหากไม่มีการเจริญของเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะทำให้กลายเป็นแผลเป็น ซึ่งการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไปจะมีอันตรายได้
          • ช่องคลอดและปากช่องคลอด เป็นอวัยวะที่ผนังมีการหย่อนมากกว่าเดิม ไม่สามารถกลับสู่สภาพปกติเหมือนตอนก่อนคลอดได้ ส่วนที่ควรหมั่นสังเกตคือ รอยแผลฝีเย็บสำหรับผู้ที่คลอดบุตรเอง หากมีอาการบวม และอักเสบแสดงว่ามีการติดเชื้อเข้าไปภายในช่องคลอดได้
          • ระบบปัสสาวะ ส่วนนำของทารกจะไปกดทับบริเวณกระเพาะปัสสาวะในระหว่างการคลอด ทำให้ผนังใต้เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะเกิดบวม มีเลือดคั่งและเลือดออก ความจุของกระเพาะปัสสาวะจะมีมากขึ้น มีความยืดหยุ่นลดน้อยลง ทำให้เกิดการโป่งของกระเพาะปัสสาวะ เมื่อถ่ายปัสสาวะก็จะถ่ายออกได้ไม่หมด นอกจากนั้น ใน 1-2 วันแรกหลังคลอด ยังอาจพบโปรตีนในปัสสาวะด้วย ซึ่งภาวะนี้จะเกิดร่วมกับการขยายตัวของหลอดไตและกรวยไต จึงทำให้ทางเดินปัสสาวะมีการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น ในเวลา 8-12 สัปดาห์ กรวยไตและหลอดไตที่ขยายตัวก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ

            การเปลี่ยนแปลงเต้านม หลังคลอด
            การเปลี่ยนแปลงเต้านม หลังคลอด
          • ระบบไหลเวียนของเลือดและหัวใจ มดลูกจะมีการหดรัดตัวทันทีหลังคลอด เพื่อไล่เลือดในชั้นกล้ามเนื้อของมดลูกเข้าสู่ระบบไหลเวียน ในร่างกายจึงมีปริมาณเลือดไหลเวียนเพิ่มมากขึ้นกะทันหัน แต่มารดาที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวหัวใจหรือหลอดเลือดก็จะไม่เกิดอันตรายขึ้น เพราะระหว่างการคลอดที่มีการเสียเลือดจะช่วยรักษาสมดุลเอาไว้ได้
          • การเปลี่ยนแปลงของเต้านม ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจากรกจะหมดไปภายหลังการคลอด ทำให้ต่อมปิทูอิตารี่ส่วนหน้าเกิดการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน ส่งผลให้มีน้ำนมเกิดขึ้น
          • การตกไข่และการมีประจำเดือน ระยะหนึ่งหลังจากการคลอดจะไม่มีการตกไข่และไม่มีประจำเดือน และในรายของมารดาที่ให้นมบุตรก็จะมีช้ากว่ารายที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมของตัวเอง ใน 40 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ รังไข่จะหยุดทำงานจึงทำให้ไม่มีประจำเดือน และเป็นผลจากการได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจากรกด้วย หลังคลอดใน 4-6 สัปดาห์ หากไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมตนเองประจำเดือนก็จะกลับมา
          • อุณหภูมิ อุณหภูมิของร่างกายอาจสูงขึ้นได้ภายหลังการคลอด 24 ชั่วโมงแรก แต่จะไม่เกินไปกว่า 38 องศาเซลเซียส สำหรับในรายที่มีการติดเชื้อก็อาจมีอุณหภูมิของร่างกายสูงเกินและนานกว่านี้ก็ได้
          • ผมร่วงหลังคลอด ภาวะนี้จะเกิดกับแม่หลังคลอดได้ถึงร้อยละ 50 แต่จะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นชั่วคราว และจะกลับมาสู่ปกติมีผมใหม่มาแทนที่ประมาณ 6-12 เดือนหลังคลอด
          • การเปลี่ยนแปลงของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ในระหว่างเจ็บครรภ์น้ำหนักของแม่จะลดลงจากการเสียน้ำทางเหงื่อ และการหายใจร่วมกับน้ำหนักของเด็ก และรกไปประมาณ 5.5 กิโลกรัม และในสัปดาห์แรกของเหลวจะถูกขับออกมาอีกประมาณ 2 ลิตร ทำให้น้ำหนักของมารดาลดลงไปอีกประมาณ 4 กิโลกรัม และของเหลวจะถูกขับออกมาอีกประมาณ 1.5 ลิตรในอีก 5 สัปดาห์ต่อมา และนี่คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่บางคนเกิดอาการเหงื่อออกมากจนผิดสังเกต จนเกิดเป็นข้อกังวลใจให้มาตั้งคำถามว่า เป็นอาการปกติหลังคลอดจริงหรือไม่
          ขอขอบคุณข้อมูลจาก healthcarethai
          เหงื่อ ออกมาก
          เหงื่อ ออกมาก

          มาดูการทำงานของเหงื่อกัน

          ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นกระบวนการต่างๆ ซึ่งกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม (Metabolism) ก็เป็นอีกกระบวนการทำงานที่สำคัญของร่างกาย ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงอาหารที่เราทานเข้าไปให้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายเกิดความร้อน ซึ่งเมื่อร่างกายเกิดความร้อน ร่างกายก็จะมีกลไกในการควบคุมหรือระบายความร้อน นั้นออกมาในรูปแบบของ “เหงื่อ” เพื่อให้ความร้อนในร่างกายอยู่ในระดับที่เหมาะสม หรือเรียกว่า “การหลั่งเหงื่อ คือการถ่ายเทความร้อนที่เกิดจากกระบวนการต่างๆ ในร่างกายออกไป”

          อาการเหงื่อออกมากนั้นจะเป็นภาวะอย่างหนึ่งในทางการแพทย์ ซึ่งเราเรียกได้ว่า “ภาวะเหงื่อออกมาก หรือภาวะเหงื่อออกง่าย Hyperhidrosis” คือ ภาวะที่ร่างกายมีอาการเหงื่อออกมากผิดปกติ ถึงแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้เอื้อต่ออาการเหงื่อออกก็ตาม เช่น อากาศหนาวเย็น

          ทำไมถึงมีเหงื่อออกมากตอนหลังคลอด ?
          จากข้อมูลเรื่องอาการหลังคลอดของคุณแม่หลังคลอดนั้น ทำให้เห็นได้ว่าร่างกายเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย และการเปลี่ยนแปลงของร่างกายส่วนอื่น ๆ อีกอย่างมาก ซึ่งนี่คือหนึ่งสิ่งที่เป็นสาเหตุของอาการแปลก ๆ หรืออาการที่เราสังเกตได้ว่าผิดแผกไปจากเดิมหลังคลอดทั้งหลายอย่าง ภาวะการเผาผลาญของร่างกายมีการปรับตัวกันใหม่ อัตราการเต้นหัวใจ การหายใจ การปรับสมดุลของน้ำในร่างกาย รวมถึงระบบต่างๆของร่างกายเริ่มทำการปรับตัวกลับจากการที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงตั้งครรภ์ และตอนคลอด

          เหงื่อแบบไหนปกติ

          คงมาถึงคำถามคาใจกันแล้วละว่า การมีเหงื่อออกมากหลังคลอดนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ขบวนการของร่างกายในการขับเหงื่อนี้ เป็นอีกหนึ่งขบวนการที่ปรับระดับของสารน้ำในร่างกายให้ปกติขึ้น ตอนท้องปริมาณน้ำ และน้ำเลือดในร่างกายมีการเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อขนถ่าย oxygen เผื่อลูกในท้อง พอหลังคลอดจึงมีขบวนการขับน้ำเหล่านี้ออกนั่นเอง โดยจะขับออกมาตามรูขุมขนเป็นเหงื่อ ออกทางปัสสาวะก็จะทำให้ปัสสาวะบ่อย ออกไปตามเนื้อเยื่อในร่างกายก็สังเกตได้จากการบวมตามแขน และขา ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ปกติที่พบได้ในคุณแม่หลังคลอด และเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่ลดลงตามธรรมชาติด้วยนะ

          หากคุณมีอาการเหงื่อออกมากเพียงอย่างเดียว ก็สามารถดูแลตนเองได้ง่าย ๆ เช่น ดื่มน้ำทดแทนเหงื่อที่สูญเสียไป ใส่เสื้อผ้าที่โปร่งโล่งสบาย ลดอุณหภูมิห้องลง เป็นต้น

          การขับ เหงื่อ ของร่างกายหลังคลอด ช่วยลดน้ำหนัก
          การขับ เหงื่อ ของร่างกายหลังคลอด ช่วยลดน้ำหนัก

          เหงื่อแบบไหนผิดปกติ

          หากอาการเหงื่อออกมากผิดปกติของคุณแม่หลังคลอด มาพร้อมกับอาการเหล่านี้ ได้แก่

          1. มีไข้
          2. ปวดในช่องท้องส่วนล่าง หรือกระดูกเชิงกราน
          3. ตกขาวมีกลิ่นเหม็น
          4. ผิวซีดซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการเสียเลือดในปริมาณมาก
          5. หนาวสั่น
          6. ปวดหัว
          7. เบื่ออาหาร
          8. ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น
          9. ปัสสาวะลำบาก และเจ็บ

          นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า อาการเหงื่อออกมาผิดปกติของคุณแม่หลังคลอดอาจไม่ใช่เรื่องปกติเสียแล้ว เพราะคุณอาจอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะติดเชื้อรุนแรงหลังคลอดได้ ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ภาวะติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน นับเป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุดของภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด และเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตของแม่

          ความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังคลอด ขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้ในการคลอดลูกโดย

          • หากคลอดด้วยวิธีคลอดปกติ จะมีโอกาสติดเชื้อหลังคลอดประมาณ 1 – 3 เปอร์เซ็นต์
          • หากผ่าคลอด โดยนัดวันผ่าก่อนเริ่มเจ็บท้อง จะมีโอกาสติดเชื้อหลังคลอดประมาณ 5 – 15 เปอร์เซ็นต์
          • หากผ่าคลอด แบบไม่กำหนดเวลา โดยผ่าหลังจากเริ่มเจ็บท้องแล้ว จะมีโอกาสติดเชื้อหลังคลอดประมาณ 15 -20 เปอร์เซ็นต์
          สำรวจตัวเอง และตรวจร่างกายหลังคลอดลดเสี่ยง
          สำรวจตัวเอง และตรวจร่างกายหลังคลอดลดเสี่ยง

          ดังนั้นเมื่อคุณแม่หลังคลอดพบอาการเหงื่อออกที่ผิดปกติ หากไม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยก็สบายใจได้ว่าเป็นอาการหลังคลอดปกติ ที่ร่างกายของคุณแม่ทำการปรับตัวให้กลับมาสู่ภาวะปกติก่อนการตั้งครรภ์นั่นเอง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรประมาท หมั่นเช็กอาการ สุขภาพ และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายหลังคลอด ก็จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย และลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคร้ายอื่น ๆ ตามมาได้

          ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก healthline.com/OB- GYM CMU

          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          5โรคติดเชื้อที่ คนท้อง ห้ามละเลย..อาจทำให้ลูกพิการได้!!

          เมื่อฉัน “แพ้ น้ำอสุจิ จากสามี”

          10 วิธี รักษาแผลผ่าคลอด ไม่ให้เป็นคีลอยด์

          ทำไมต้องผ่าคลอด ข้อบ่งชี้ที่แม่เลือกคลอดเองตามธรรมชาติไม่ได้!

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ผื่นแพ้นมวัวจากโรคแพ้นมวัว

            ผื่นแพ้นมวัว จากโรคแพ้นมวัว ในทารกหรือเด็กเล็ก อาการเป็นอย่างไร

            ผื่นแพ้นมวัว จากโรคแพ้นมวัว มีลักษณะอย่างไร ลูกเป็นโรคแพ้นมวัว อันตรายไหม

            แม่จ๋ารู้ไว้ลูกเป็นผื่นแบบนี้เรียก ผื่นแพ้นมวัว

            อาการผื่นแพ้นมวัวเป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในทารกหรือเด็กเล็ก จากสถิติในเมืองไทยพบการแพ้นมวัวตั้งแต่แรกเกิดราว 3-5% หรือเทียบเป็นจำนวนประชากรอยู่ที่ 20,000-30,000 คนต่อปี โดยโรคแพ้นมวัวหรือโรคแพ้โปรตีนนมวัว (Cow milk protein allergy) เกิดขึ้นได้จากร่างกายมีปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนในนมวัว ผ่านกลไกการแพ้ อาการจึงไม่ได้เป็นแค่เพียงผื่น แต่ยังแสดงอาการได้หลายระบบ หลายระดับความรุนแรง

            อาการของโรคแพ้โปรตีนนมวัว

            เมื่อได้รับนมวัวเข้าไปในร่างกายแล้ว อาจมีอาการตั้งแต่ 1-3 ชั่วโมง แต่อาจจะนานได้เป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ อาการแสดงของโรคจะพบมากกว่า 2 อาการ และมากกว่า 2 ระบบขึ้นไป ร้อยละ 50-70 จะมีอาการทางผิวหนังร้อยละ 50-60 มีอาการทางเดินอาหาร และร้อยละ 20-30 มีอาการทางระบบหายใจ โดยอาการสำคัญที่แม่ต้องสังเกตมีดังนี้

            • อาการทางผิวหนัง ทารกหรือเด็กที่เป็นโรคแพ้โปรตีนนมวัว มักจะมีผื่นแพ้นมวัว ลักษณะเป็นผื่นลมพิษ เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังบวมแบบเฉียบพลัน ผื่นแดง คัน ลูบแล้วสากมือ ผื่นอาจเป็นได้ทั้งตัวหรือบางส่วนก็ได้ ผื่นที่เกิดขึ้นอาจเป็นลักษณะผื่นผิวหนังอักเสบภูมิแพ้
            • ระบบทางเดินหายใจ ลูกจะมีน้ำมูกไหล หายใจเสียงวี๊ด มีอาการหอบได้ ไอแห้ง นอนกรน หรือคัดจมูก อาจมีเสมหะในลำคอได้
            • ระบบทางเดินอาหาร แหวะนม สำรอกนม อาเจียน ริมฝีปากบวม ปวดท้อง ร้องโคลิกเป็นประจำ ถ่ายเหลว บางรายถ่ายมีมูกเลือด หรือมีอาการท้องผูกร่วมด้วย

            อาการที่แสดงอาจเป็นได้มากกว่า 2 อาการ มากกว่า 2 ระบบขึ้นไป มีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ และต้องระวังเรื่องการถ่ายอุจจาระของทารกด้วย เมื่อลูกอายุ 7-8 เดือนขึ้นไป แต่ยังถ่ายวันละ 2-3 ครั้ง ถ่ายเหลว ไม่เคยเป็นก้อน หรืออุจจาระลอยน้ำ มักจะเกิดปัญหาเลี้ยงไม่โต น้ำหนักไม่ค่อยขึ้น หากมีอาการเช่นนี้ต้องตรวจอย่างละเอียดว่าเกี่ยวข้องกับการแพ้โปรตีนในนมวัวหรือไม่ นอกจากอาการแพ้เหล่านี้แล้ว เด็กอาจมีอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลันทั่วตัว (Anaphylaxis) หรือมีอาการช็อค ถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่มักเกิดขึ้นได้น้อย

            ผื่นแพ้นมวัว จากโรคแพ้นมวัว
            ผื่นแพ้นมวัว จากโรคแพ้นมวัว เครดิตภาพ : Charlotte Kuah asiaone.com

            สาเหตุที่ลูกมีอาการของโรคแพ้โปรตีนนมวัว

            อาการของโรคแพ้โปรตีนนมวัว เกิดได้ทั้งจากการกินนมผงดัดแปลงสำหรับทารก และการให้ลูกดื่มนมแม่ แต่ตัวแม่นั้นกินนมวัว ผลิตภัณฑ์จากนมวัว หรืออาหารที่มีโปรตีนจากนมวัว ก็จะไปกระตุ้นให้เด็กเกิดผื่นแพ้นมวัวและอาการอื่น ๆ ได้

            ทำไมลูกถึงเป็นโรคแพ้โปรตีนนมวัว

            1. กรรมพันธุ์ หากมีประวัติของคนในครอบครัวเป็นโรคภูมิแพ้ เด็กจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ในเด็กมากขึ้น เช่น แม่เป็นโรคภูมิแพ้จะทำให้ลูกเป็นโรคภูมิแพ้ร้อยละ 30-50 แต่ถ้าพ่อเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกก็จะเสี่ยงราว ๆ ร้อยละ 30 หากพ่อแม่เป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ ลูกจะยิ่งเสี่ยงขึ้นไปอีกอยู่ที่ร้อยละ 60-70
            2. แม่ตั้งครรภ์บำรุงทารกในครรภ์ด้วยนมวัวมากกว่าปกติ ซึ่งโปรตีนในนมวัวที่แม่กินเข้าไปนั้นจะผ่านจากแม่ไปกระตุ้นให้ทารกเกิดการแพ้ แม่บางคนอาจปรับลดการกินนมวัวลง และกินนมถั่วเหลืองเพิ่มไปแทน ซึ่งส่งผลให้เด็กแพ้นมวัวและนมถั่วเหลืองไปด้วยกัน
            3. ไม่ใช่แค่การดื่มนมวัวเท่านั้น แม่ท้องที่ชอบกินอาหารที่ทำด้วยผลิตภัณฑ์จากนมวัว ก็ทำให้ลูกเสี่ยงได้ โดยเฉพาะอาหารฝรั่ง เช่น พิซซา ชีส สปาเก็ตตี้ หรือขนมจำพวก เค้ก คุ้กกี้ และไอศกรีม ก็ต้องระวัง

            การตรวจร่างกายทารกเพื่อวินิจฉัยอาการแพ้นมวัว

            นอกจากอาการที่แสดงออกทางร่างกายแล้ว แพทย์จะทำการทดสอบดูการตอบสนองของผู้ป่วยหลังงดและทานนมวัว (oral food challenge) โดยทารกที่กินนมแม่ให้แม่งดนมวัว ถ้าอาการดีขึ้นจึงทดสอบโดยทานนมวัวอีกครั้งในเวลา 4-8 สัปดาห์ต่อมา รวมถึงการทำการตรวจทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (skin prick test) หรือ การตรวจเลือดหาภูมิต้านทานต่อโปรตีนนมวัว (cow’s milk protein-specific IgE) ซึ่งแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม

            ผื่นแพ้นมวัวจากโรคแพ้นมวัว
            ผื่นแพ้นมวัว จากโรคแพ้นมวัว

            การรักษาโรคแพ้โปรตีนนมวัว

            ปกติแล้วเด็ก ๆ จะมีอาการดีขึ้นเมื่ออายุครบ 1 ปี แพทย์อาจทดสอบดูการตอบสนองของผู้ป่วยหลังงดและทานนมวัว (oral food challenge) ทุก 6 เดือน ประกอบกับการรักษาตามอาการ ส่วนแม่ก็ยังให้นมแม่ต่อไปได้ แต่ต้องงดนมวัว ผลิตภัณฑ์จากนมวัว และอาหารที่มีโปรตีนจากนมวัว โดยเสริมด้วยแคลเซียมจากอาหารหรือเสริมยาเม็ดแคลเซียมให้เพียงพอ (800 มก./วัน) ส่วนทารกที่ต้องเลี้ยงด้วยนมผสม ต้องเลือกนมที่ไม่มีโปรตีนนมวัวทดแทนนมผสม โดยทั่วไปอาการของเด็กจะดีขึ้นจนหายขาดถึงร้อยละ 81-95 เมื่ออายุ 5 ปี แต่ถ้ายังพบอาการแพ้ อาจจำเป็นต้องงดนมวัวหรือไม่รับประทานผลิตภัณฑ์จากนมวัว

            การป้องกันไม่ให้ลูกเป็นโรคแพ้โปรตีนนมวัว เริ่มได้ตั้งแต่ในครรภ์ แม่ท้องไม่จำเป็นต้องโด๊ปนมวัว นมถั่วเหลือง ให้มากเกินไป เพราะแคลเซียมสามารถกินได้จากผักและผลไม้เช่นกัน และเมื่อคลอดมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกินนมให้มากขึ้น เพียงรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ น้ำนมแม่ก็มีสารอาหารครบถ้วนสำหรับทารกแล้ว ที่สำคัญ ต้องหมั่นตรวจดูสุขภาพทารกในทุกวัน เพื่อให้มั่นใจว่า ลูกมีร่างกายที่แข็งแรง ไม่เกิดผื่นภูมิแพ้ใด ๆ

            อ้างอิงข้อมูล : phyathai.com, thaipediatrics.org และ  newtv.co.th

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

            อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

            ลูก “แพ้น้ำลายยุง” มีจริงไหม? อาการแบบไหนเรียกแพ้ยุง?

            หมอเผยภาพ! ปอดเด็กที่ติด เชื้อไวรัส RSV พร้อมแนะวิธีป้องกันลูกจากโรค RSV

            5โรคติดเชื้อที่ คนท้อง ห้ามละเลย..อาจทำให้ลูกพิการได้!!

              รีวิวทุกมุมมอง HOYO คอกกั้นเด็ก พรีเมี่ยม สร้างพื้นที่สนุก ปลอดภัย ปรับเปลี่ยนได้หลายฟังก์ชั่น

              บ้านคือพื้นที่แสนสุขของเด็กทุกวัย การสร้างพื้นที่อิสระและปลอดภัยลูกน้อยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะวัยเตาะแตะขึ้นไปที่ลูกมีพัฒนาการทางร่างกายชัดเจนขึ้น อยากคลาน อยากเดิน อยากปีน และพร้อมเรียนรู้กับทุกสิ่งรอบตัว

              คอกกั้นเด็ก จึงเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเสริมความปลอดภัยในบ้านให้มากขึ้นโดยไม่ปิดกั้นพัฒนาการ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นตัวช่วยของคุณแม่ให้มีช่วงพักจากการต้องเฝ้าระวังอันตรายทุกฝีก้าวอีกด้วย ปัจจุบันมีคอกกั้นเด็กให้เลือกช้อป เลือกใช้หลายแบบ แต่จะเลือกอย่างไรถึงได้ของดีจริง ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีตัวเลือกดีที่ลองเช็ก ลองใช้แล้ว มาฝากกันค่ะ

              คอกกั้นเด็ก

              เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ยกให้ HOYO เป็น คอกกั้นเด็ก ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Baby Playpen จาก Amarin Baby & Kids Awards 2020

              ต้องบอกเลยว่า คอกกั้นเด็กของ HOYO สร้างความประทับใจให้กับคุณแม่ตั้งแต่แรกเห็น ด้วยรูปแบบของคอกกั้นที่มีความปลอดภัยสูง ไม่มีเหลี่ยมมุมเป็นอันตรายต่อลูกน้อย เบาะปูพื้นและผนังผลิตจากวัสดุซึ่งออกแบบมาพิเศษโดยเฉพาะให้สามารถรองรับแรงกระแทกได้สูงสุด “แม้แต่ไข่ไก่สดตกยังไม่แตก” ไม่ว่าลูกน้อยวัยเกาะเดิน วัยตั้งไข่จะหกล้มก้นจ้ำเบ้าบ่อยแค่ไหน ก็ไม่รู้สึกเจ็บ แถมเบาะนุ่มๆ ยังยืดหยุ่นดีจึงทนทานและสามารถใช้งานได้ยาวนาน

              ห่อหุ้มด้วยวัสดุคุณภาพเยี่ยมที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ มาตรฐานระดับโลกเพื่อผิวบอบบางของลูกน้อย ปลอดภัยจากสารเคมีกว่า 30 ชนิด เช่น VOCs Free, BPA Free, Phthalates Free เป็นต้น เนื้อผ้าละเอียด สัมผัสนุ่มไม่แข็งกระด้าง จึงช่วยลดการเสียดสีกับผิวลูก ไร้กลิ่นตั้งแต่แกะกล่อง และที่พิเศษมากกว่านั้นคือ วัสดุชนิดนี้ไม่เก็บความร้อน เย็นสบายแม้ไม่เปิดแอร์ ลูกจึงใช้เวลาเพลิดเพลินอยู่ในคอกกั้นเด็กได้นาน ไม่ร้องงอแง เหมาะกับอากาศร้อนๆแบบเมืองไทยที่สุด

              ด้วยคุณภาพของผ้าหนังและวัสดุภายในที่ออกแบบมาพิเศษทำให้เบาะของคอกกั้น HOYO ฟีลลิ่งดีมากๆ สามารถใช้นอนกันได้อย่างสบายทั้งครอบครัว โดยไม่ต้องปูอะไรเพิ่ม ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายอีกหลายๆ อย่าง และเป็นการลงทุนครั้งเดียวคุ้มค่า

              สำหรับลูกน้อยวัยซนที่สนุกกับปีนป่าย ภายในคอกกั้นเด็ก HOYO ยังเป็นพื้นที่ให้อิสระตามพัฒนาการเด็กอย่างสมวัย ด้วยความสูงของคอก 50 เซนติเมตร ความหนาของผนังคอกขนาด 7 เซนติเมตร ซึ่งเป็นสัดส่วนพอเหมาะสำหรับเด็กวัย 6 -10 เดือน ให้สามารถเกาะจับได้ถนัดมือลูกน้อยสามารถเกาะยืนอย่างมั่นคง ช่วยเสริมความมั่นใจให้กล้าก้าวเดินโดยไม่ต้องเขย่งเท้า

              คอกกั้นเด็ก

              และจุดเด่นโดดใจทีมบรรณาธิการที่สุดคือ ฟังก์ชั่นของคอกกั้นเด็ก HOYO ซึ่งออกแบบให้สามารถปรับเปลี่ยนตามอายุของลูกน้อยและขนาดพื้นที่ในบ้านอย่างเป็นอิสระ  สำหรับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสี่เดือนซึ่งยังใช้พื้นที่ไม่เยอะและต้องดูแลใกล้ชิด คุณแม่สามารถกั้นคอกเป็นขนาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมๆแทนเตียงเด็กได้ พอลูกโตขึ้น ต้องการพื้นที่เล่นมากขึ้น หรือมีพี่น้อง ก็สามารถเพิ่มขนาดของคอกกั้นเด็กได้ตามต้องการ  แม้แต่ปรับเป็นโซฟา  ที่นั่งเล่น  หรือปรับผนังทุกด้านลงเพื่อเปลี่ยนแปลงเป็น Playmat หรือ เป็นที่เบาะรองนอนอย่างดีขนาดใหญ่  จะพับเก็บก็ประหยัดพื้นที่ หรือพกพาไปต่างจังหวัดก็ยังได้

               

              คอกกั้นเด็ก

              เพราะ HOYO ได้ออกแบบให้คอกแต่ชิ้นให้เชื่อมประกอบ และถอดเปลี่ยนรูปร่างหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคอกกั้นสี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยมจัตุรัส คอกเปิดด้านหนึ่ง หรือจะปรับผนังออกแล้วปูเบาะให้เป็นพื้นที่โล่งสำหรับเด็กโตก็สะดวก คุณแม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงรูปซิปและติด Velcro (ตีนตุ๊กแก) ของคอกแต่ละชิ้นเข้าด้วยกัน  ตัวซิปและ Velcro เป็น Nylon ถูกคัดสรรมาอย่างดีให้มีความแข็งแรงและทนทานกว่าซิปพลาสติกทั่วไปถึง 3 เท่า ไร้ส่วนแหลมคมที่จะสร้างบาดแผลให้ลูกแน่นอน เรียกได้ว่า “ลงทุนครั้งเดียวคุ้ม”

              คอกกั้นเด็ก

              ที่สำคัญคอกกั้นเด็ก HOYO เป็นแบรนด์ที่มีคุณพ่อคุณแม่รีวิวความพึงพอใจในสินค้าเยอะมาก ๆ ซึ่งแน่นอนว่า หากสินค้าคุณภาพไม่ดีจริง คงไม่มีริวิวแน่นขนาดนี้แน่นอน

              ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทางเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ คอกกั้นเด็ก HOYO ได้รับรางวัล Editor’s Choice  Best Baby Playpen จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2020” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดีและมีประโยชน์จริง”

              สำหรับคุณแม่ท่านใดสนใจผลิตภัณฑ์ของ HOYO สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่

              WEBSITE: www.hoyosoftandsafe.com

              Facebook: https://www.facebook.com/hoyosoftandsafe/

              Instragram : https://www.instagram.com/hoyosoftandsafe/

              Line@ : @hoyosoftandsafe (with@)

                ไวรัส RSV ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ

                ไวรัส RSV ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ อันตรายรุนแรงได้คล้ายอาการ RSV ในเด็ก

                RSV การติดเชื้อที่อันตรายกับเด็ก ทารก ซ้ำยังสามารถแพร่เชื้อเป็น ไวรัส RSV ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุให้เกิดอันตรายอย่างรุนแรงได้

                ไวรัส RSV ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ อันตรายไม่แพ้ RSV ในเด็ก

                เชื้อไวรัสอาร์เอสวี หรือ Respiratory Syncytial Virus (RSV) เป็นเชื้อไวรัสที่มักทำให้เกิดอาการอักเสบที่เยื่อบุส่วนล่างของทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กหรือทารก โดยจะทำให้เกิดโรคหลอดลมฝอยอักเสบหรือเกิดภาวะปอดอักเสบได้ ทั้งยังแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว

                สำหรับปี 2563 นี้ มีข่าวของการแพร่ระบาด RSV อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังส่งผลรุนแรงให้ทารกหรือเด็กเล็กมีอาการร้ายแรงถึงชีวิต โดยศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ในเพจ นพ.ยง ภู่วรวรรณ ว่า RSV มีการระบาดอย่างมากในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี ในเด็กเล็กต่ำกว่า 5 ปีกว่า 50% ที่ป่วยขณะนี้เป็น RSV และ 20-30% เป็น Rhinovirus ทำให้มีผู้ป่วยเด็กในโรงพยาบาลมากกว่าปกติ โรงพยาบาลเอกชน หอผู้ป่วยเด็กเต็ม สำหรับการติดเชื้อส่วนใหญ่เกิดในโรงเรียนอนุบาลและสถานเลี้ยงเด็ก

                ไวรัส RSV อันตรายกับเด็กเล็ก
                ไวรัส RSV อันตรายกับเด็กเล็ก

                แม้ว่าตัวเลขผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อ RSV จะมีจำนวนมาก แต่ผู้ใหญ่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะเด็กเล็กหรือทารกที่ติดเชื้อสามารถแพร่ไวรัส RSV ไปยังผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุได้เช่นกัน

                ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ติดเชื้อ RSV จากเด็กได้

                นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ ประจำที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ย้ำเตือนถึงอันตรายของการติดเชื้อ RSV ในผู้ใหญ่ โดยเล่าถึงกรณีผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 88 ปี เป็นโรคหอบหืด ความดันโลหิตสูง ในตอนที่ทำบุญบ้าน ได้มีหลานอายุ 5 ขวบ ซึ่งเป็นหวัดเล็กน้อยมาร่วมงานเมื่อ 10 วันก่อน

                อาการของผู้ป่วยหญิงรายนี้ เข้ามาโรงพยาบาลด้วยอาการไอมาก ขากเสมหะไม่ออก เหนื่อย ใน 3 วัน มีไข้ สูง 1 วัน ตรวจร่างกาย มีไข้ 39 องศาเซลเซียส ฟังปอดมีเสียงวี้ด ๆ ทั้ง 2 ข้าง เอกซเรย์ปอดปกติ หัวใจโตเล็กน้อย เจาะเลือด เม็ดเลือดขาวสูง 15,740 ได้เก็บตัวอย่างจากช่องจมูก ส่งตรวจ PCR พบเชื้อไวรัส RSV type B ส่งเสมหะเพาะเชื้อ ขึ้น Pseudomonas aeruginosa ผู้ป่วยรายนี้ติดทั้งเชื้อไวรัส RSV และแบคทีเรียในทางเดินหายใจส่วนล่าง ต้องเข้ารับการรักษาในไอซียู ให้ออกซิเจน ให้ยาปฏิชีวนะ ยาขยายหลอดลมทั้งกินและพ่น ยาสเตียรอยด์ ผู้ป่วยดีขึ้นช้า ๆ ไข้ลง อาการไอ เหนื่อยค่อย ๆ ดีขึ้น

                การระบาดของเชื้อไวรัส RSV

                นพ.มนูญ บอกด้วยว่า โรคติดเชื้อไวรัส RSV ที่กำลังระบาดเป็นสาเหตุสำคัญของโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจของเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 4 ปี ปกติโรค RSV จะเริ่มระบาดทุกปีตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนพฤศจิกายน แต่ปีนี้มาช้า เริ่มพบมากเดือนตุลาคม เนื่องจากมีการหยุดเรียนและมีมาตรการต่าง ๆ สำหรับรับมือกับโรคไวรัสโควิด-19

                โรค RSV เมื่อหายแล้ว กลับเป็นซ้ำได้อีก เพราะภูมิคุ้มกันอยู่ได้ไม่นาน โรค RSV ยังสามารถแพร่จากเด็กเล็กให้ผู้ใหญ่และคนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว โรคปอด โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันต่ำ บางคนป่วยหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้

                ไวรัส RSV ผู้ใหญ่ อันตรายมากในผู้สูงอายุ
                ไวรัส RSV ผู้ใหญ่ อันตรายมากในผู้สูงอายุ

                อาการสำคัญของโรคติดเชื้อ RSV

                วิธีป้องกันการติดเชื้อ RSV

                1. สวมใส่หน้ากากอนามัย
                2. ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่อย่างถูกวิธี เช่นเดียวกับการล้างมือเพื่อป้องกันโคโรนาไวรัส 2019 (โควิด-19) หรือใช้แอลกอฮอล์เจลล้างมือก่อนเอามือมาสัมผัสกับจมูก ปาก หรือขยี้ตา
                3. ในเด็กเล็กต้องดูแลสุขอนามัย พ่อแม่หมั่นทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้อยู่เสมอ โดยเฉพาะลูกน้อยในวัยทารกที่ชอบอมมือ ดูดนิ้ว ต้องคอยทำความสะอาดของเล่น หรือหากออกไปข้างนอกควรล้างมือลูกบ่อย ๆ เวลาสัมผัสกับสิ่งของนอกบ้าน
                4. หากลูกอยู่ในวัยเรียน ถ้ามีอาการเจ็บป่วย แม้เพียงเล็กน้อยควรให้หยุดอยู่บ้าน เพื่อสังเกตอาการ เพราะการติดเชื้อไวรัส RSV ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในโรงเรียนอนุบาลและสถานเลี้ยงเด็ก
                5. ทำความสะอาดบ้านบ่อย ๆ เปิดบ้านให้แสงแดดเข้ามา เปิดหน้าต่างให้มีอากาศถ่ายเทอย่างสม่ำเสมอ
                6. เมื่อลูกหรือเด็กเล็กในครอบครัว มีอาการป่วยจากไวรัส RSV พ่อแม่ควรใส่หน้ากากอนามัย ทำความสะอาดเครื่องใช้และของเล่นให้บ่อยขึ้น
                7. บ้านที่มีผู้สูงอายุ หากพบว่า ลูกหลานติดเชื้อไวรัส RSV หรือแม้แต่มีคนป่วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจอยู่ในบ้าน ก็ควรแยกให้อยู่ห่างกัน แยกห้องนอน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

                โรคติดเชื้อไวรัส RSV ปัจจุบันยังไม่มียารักษา ไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส จึงทำได้เพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น การป้องกัน เฝ้าระวัง และอยู่ให้ห่างจากผู้ติดเชื้อ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงติดเชื้อ RSV ได้ง่าย

                อ้างอิงข้อมูล : นพ.ยง ภู่วรวรรณ และ หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                RSV โรคติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็ก สุดฮิตในหน้าฝน

                8 สัญญาณเตือนโรคเลือดออกในสมอง

                รู้จัก5สายพันธุ์ไวรัสตับอักเสบก่อนสายกลายเป็น มะเร็งตับ!!

                 

                  เซรั่มบำรุงผิวหน้าคุณแม่

                  เซรั่มบำรุงผิวหน้า ยี่ห้อไหนดี? ตอบชัดทุกปัญหาผิวคุณแม่ลูกอ่อน

                  สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ อาจเตรียมลิสต์ของใช้เด็กแรกเกิดไว้ยาวเป็นหางว่าว แต่สิ่งหนึ่งที่มักถูกมองข้ามก็คือ เซรั่มบำรุงผิวหน้า เพราะคุณแม่อาจยังนึกไปไม่ถึงว่า ปัญหาหนึ่งที่จะเข้าจู่โจมคุณแม่หลังคลอดอย่างไม่ทันตั้งตัว ก็คือ การสาละวนอยู่กับการให้นมลูก เปลี่ยนผ้าอ้อม และอุ้มกล่อมให้ลูกน้อยหยุดร้อง จนไม่มีนอน ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทำให้ผิวที่เคยใส หน้าที่เคยสวย ดูโทรม ดูพัง มีริ้วรอยภายในเวลาไม่กี่เดือน

                  เซรั่มบำรุงผิวหน้า จึงเป็นไอเท็มจำเป็นที่จะช่วยฟื้นฟูผิวหน้าของคุณแม่ให้กลับมาสดใสดังเดิม แต่จะเลือก เซรั่มบำรุงผิว ยี่ห้อไหนดี ที่จะตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวของคุณแม่ลูกอ่อน

                  เซรั่มบำรุงผิวหน้า

                  เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ยกให้ “TRYLAGINA” เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าคุณแม่ ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice BEST FACIAL SKINCARE FOR MOM จาก Amarin Baby & Kids Awards 2020

                  เน้นฟื้นฟูริ้วรอย ให้เรียบเนียนขึ้น

                  TRYLAGINA Ultimate Collagen Serum 10X เซรั่มบำรุงผิวหน้า เน้นการฟื้นฟูบำรุงผิวและริ้วรอยอย่างตรงจุด ให้ริ้วรอยดูลดเลือนอย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยคอลลาเจนจากใต้ท้องทะเลลึกที่เข้มข้นกว่าสูตรเดิม 10 เท่า เมื่อทาเซรั่มลงบนผิว เซรั่มจะทำหน้าที่สร้างฟิล์มขึ้นบนผิวหนัง และยึดเซลล์ผิวให้ความรู้สึกผิวกระชับขึ้น ดูดจับน้ำและความชุ่มชื้นให้คงอยู่ที่ผิว ผิวจึงดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น และยืดหยุ่น

                  เนื้อเซรั่มมีความนุ่ม แต่ไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึมซาบลงลึกสู่ผิวด้วยนวัตกรรมใหม่ ที่มีลักษณะเป็นแคปซูลที่จะนำพาเปปไทด์เข้าสู่ผิวอย่างซึมลึก ผสานด้วยไบโอเทคโนโลยีล่าสุด สารสกัดจากแพลงตอนน้ำลึกประเทศฝรั่งเศส ทำให้เซรั่มสามารถเข้าไปลดเลือนริ้วรอยร่องลึก เติมร่องริ้วรอยให้เรียบเนียน ด้วยกลไกการทำงานแบบเดียวกับโบท๊อกซ์

                  เซรั่มบำรุงผิว

                  เน้นบำรุงผิวให้เปล่งประกายมีออร่า

                  ปัญหาริ้วรอยของคุณแม่ลูกอ่อนมักมาพร้อมกับผิวที่หมองคล้ำไม่กระจ่างใส TRYLAGINA มีเทคโนโลยีเพื่อผิวกระจ่างใส เปล่งประกายมีออร่า ด้วยสารสกัดจาก Sand lily ดอกไม้สีขาวจากชายฝั่งที่เป็นหาดทรายของยุโรป มีความทนทานจากแสงแดดจ้า จึงช่วยให้ผิวของคุณแม่เปล่งประกายสดใส จุดด่างดำสีเข้มลดลง สีผิวสม่ำเสมอขึ้น

                  เซรั่มบำรุงหน้า

                  เน้นปกป้องผิวจากมลภาวะ

                  TRYLAGINA เซรั่มบำรุงผิวหน้าคุณแม่ ที่เล็งเห็นถึงปัญหาจากมลภาวะ รังสียูวี รวมถึง ฝุ่น PM 2.5 ที่ทำร้ายผิว ด้วยการทำงานที่ช่วยลดการเกาะติดผิว ของ PM 2.5 ที่แขวนลอยในอากาศ ช่วยให้ผิวมีการถ่ายเทได้ดี ฟื้นฟูและลดความหมองคล้ำ ปกป้องมลภาวะที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวแพ้ง่าย

                  TRYLAGINA ตอบโจทย์ได้ครบ เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ทางเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ เซรั่มบำรุงผิวหน้า TRYLAGINA ได้รับรางวัล BEST FACIAL SKINCARE FOR MOM สาขา Editor’s Choice จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2020” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                  เซรั่มบำรุงผิวหน้าคุณแม่

                  สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม และโปรโมชั่นดีๆ ของ TRYLAGINA สามารถติดตามได้ที่  https://www.facebook.com/TrylaginaBrand/

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    เมื่อแม่ท้อง แพ้อาหารทะเล

                    แม่ท้อง แพ้อาหารทะเล ส่งผลต่อลูกยังไงมาหาคำตอบกัน

                    โรคภูมิแพ้ ไม่ว่าจะแพ้อากาศ แพ้อาหารทะเล ย่อมทำให้ผู้ที่แพ้เกิดความเสี่ยงอยู่แล้ว หากเป็นคนท้องละ จะส่งผลอย่างไรต่อลูก แล้วควรทำอย่างไรเมื่อเกิดอาการมาดูกัน

                    เมื่อแม่ท้อง แพ้อาหารทะเล ส่งผลต่อลูกยังไงมาหาคำตอบกัน

                    สำหรับคนเป็นโรคภูมิแพ้เรามักจะระมัดระวังต่อสิ่งที่แพ้กันเป็นพิเศษอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่าเราจะสามารถควบคุมไม่ให้อาการแพ้กำเริบได้ 100% ยาบรรเทาอาการ ยาแก้แพ้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่คนเป็นโรคภูมิแพ้ต้องมีติดตัวเพื่อป้องกันไม่ให้อาการแพ้กำเริบจนเป็นอาการแพ้ที่รุนแรงได้ แล้วจะเป็นอย่างไรหากผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้เป็นแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ คงเกิดคำถาม และความกังวลมากมายเกิดขึ้นในใจกันใช่ไหม ลองมาดูกันว่าเมื่อแม่ท้องเกิดอาการแพ้ขึ้นจะเป็นอย่างไร ส่งผลต่อลูกในท้องหรือไม่ แล้วควรปฎิบัติอย่างไรดี

                    โรคภูมิแพ้คืออะไร?

                    Allergy เป็นโรคที่ผู้ป่วยมีอาการแพ้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูก น้ำตาไหล คันรอบดวงตา ระคายเคืองทั่วใบหน้า มีผดผื่นคันแดงตามผิวหนัง ผิวหนังลอกอักเสบ หรืออาจแพ้รุนแรงถึงขั้นท้องร่วง แน่นหน้าอก หายใจไม่ออกหลังจากที่ได้รับสารก่อภูมิแพ้เข้าไปในร่างกาย ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะมีอาการแพ้ต่อสารแตกต่างกันไป อาการแพ้เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมีปฏิกิริยาต่อสารที่เรียกว่าสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนส่วนใหญ่ สารเหล่านี้พบได้ในหลายสถานที่ เช่น ไรฝุ่น สัตว์เลี้ยง ละอองเกสร แมลง เห็บ รา อาหาร อาหารทะเล และยาบางชนิด

                    ส่วนอาการแพ้ต่อสารที่พบมากในปัจจุบัน ได้แก่ ภูมิแพ้อากาศ ภูมิแพ้ผิวหนัง ภูมิแพ้อาหาร ภูมิแพ้แมลงสัตว์กัดต่อย อาการแพ้อาหารทะเลก็เป็นส่วนหนึ่งในการแพ้ในรูปแบบภูมิแพ้อาหาร

                    แพ้อาหารทะเล พบได้บ่อยกับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้
                    แพ้อาหารทะเล พบได้บ่อยกับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้

                      ภูมิแพ้อาหาร 

                    อาการสำคัญของผู้ที่แพ้อาหาร มักจะเกิดขึ้นกับระบบหายใจและระบบทางเดินอาหาร เช่น ไอ จาม น้ำตาไหล คัดจมูก มีอาการบวมแดงหรือคันบริเวณปาก ลิ้น ลำคอ หน้าซีด ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว รู้สึกอ่อนล้า หมดแรง หายใจลำบาก ความดันลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ เป็นลมพิษ มีผื่นแดงคันขึ้นทั่วตัว ปวดท้อง ท้องเสีย ขับถ่ายเป็นมูกหรือมีเลือดปน

                    แม้จะมีอาการแสดงบางอย่างที่ใกล้เคียงกับโรคอาหารเป็นพิษ (Food Poisoning)  แต่การแพ้อาหารจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ร่างกายแพ้สารก่อภูมิแพ้ในอาหารชนิดนั้นเท่านั้น คนทั่วไปจะไม่ปรากฏอาการดังกล่าว ในขณะที่โรคอาหารเป็นพิษเกิดจากอาหารที่เจือปนเชื้อโรคหรือสารพิษ และทำปฏิกิริยาต่อร่างกายคนทั่วไปด้วย ทั้งนี้ การวินิจฉัยจะเป็นไปตามขั้นตอน เช่น การตรวจสอบประวัติการแพ้ของผู้ป่วย และตรวจสอบว่าผู้ที่รับประทานอาหารชนิดเดียวกันเกิดอาการเดียวกันหรือไม่

                    การตั้งครรภ์และภูมิแพ้เป็นอย่างไร?

                    แม่ท้องที่เป็นโรคภูมิแพ้อาจพบว่าในขณะท้องโรคภูมิแพ้จะเป็นไปได้อยู่ 3 แบบ คือ

                    1. รู้สึกอาการจะดีขึ้น อาจเป็นเพราะคนท้องมักจะเพิ่มความระมัดระวัง และลดความเสี่ยงมากกว่าเดิม เมื่อไม่ได้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้จึงทำให้รู้สึกมีอาการดีขึ้นกว่าตอนก่อนตั้งครรภ์
                    2. อยู่เหมือนเดิม
                    3. รู้สึกแย่ลงในการตั้งครรภ์

                      แม่ท้อง แพ้อาหารทะเล โอกาสที่ลูกออกมาจะแพ้สูง
                      แม่ท้อง แพ้อาหารทะเล โอกาสที่ลูกออกมาจะแพ้สูง

                    การตอบสนองของแต่ละคนแตกต่างกัน หากมีอาการแพ้ที่ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่มันก็อาจรบกวนการนอนหลับ และทำให้คุณแม่รู้สึกแย่ หรืออาการแพ้หนักขึ้น หากคุณรู้ว่าคุณแพ้อะไร และกำลังตั้งครรภ์ควรพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งนั้น แทนการพึ่งการใช้ยาบรรเทาอาการ หรือยาแก้แพ้ต่าง ๆ เพราะในขณะตั้งครรภ์ควรทานยาแค่ที่จำเป็นเท่านั้น เนื่องจากอาจทำให้ลูกในท้องอยู่ภาวะเสี่ยงได้ สำหรับอาการคัดจมูกขณะตั้งครรภ์เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำให้ทางเดินจมูกบวม และเพิ่มการผลิตน้ำมูก ทำให้มีอาการคล้ายผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศ แต่อาการดังกล่าวมักจะแย่ที่สุดในไตรมาสที่สอง และจะหายไปภายในสองสามวันหลังคลอดได้เอง

                    โรคภูมิแพ้มีผลต่อทารกหรือไม่?

                    หากคุณแม่ท้องมีอาการแพ้ที่ส่งผลต่อผิวหนัง เช่น ผื่น หรือลมพิษสิ่งนี้จะไม่มีผลต่อลูกในครรภ์ โดยปกติคุณแม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยยาแก้แพ้ซึ่งควรให้แพทย์เป็นผู้ออกให้ ในทางกลับกันหากคุณมีอาการแพ้ที่ส่งผลต่อการหายใจ เช่น หายใจถี่หอบ หรือคอบวม การขาดออกซิเจนอาจส่งผลร้ายแรงต่อลูกน้อยของคุณ ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะคุณแม่ท้องอาจจะเผชิญกับภาวะ Anaphylaxis หรือ การแพ้รุนแรง

                    การแพ้รุนแรง หรือ Anaphylaxis คืออะไร?

                    คือ การแพ้เฉียบพลันที่เกิดขึ้นมากกว่า 1 ระบบของร่างกายในเวลาเดียวกัน หรือเวลาไล่เลี่ยกัน และอาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยอาการจะเกิดภายในเวลาไม่กี่นาที และไม่เกิน 2 ชั่วโมง หลังจากได้รับสารก่อภูมิแพ้ ทำให้ร่างกายเกิดการกระตุ้นเม็ดเลือดขาวบางชนิดที่ผิวหนัง เยื่อบุ และตามอวัยวะภายในต่าง ๆ รวมถึงภายในหลอดเลือดปล่อยสารฮีสตามีนออกมา และทำให้เกิดอาการตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สาเหตุที่พบบ่อยที่สุด คือ เกิดจากการแพ้อาหาร รองลงมาคือ การแพ้ยา

                    ทารกมีเกราะป้องกัน อาการ แพ้อาหารทะเล จากแม่ได้
                    ทารกมีเกราะป้องกัน อาการ แพ้อาหารทะเล จากแม่ได้

                    น่าแปลกใจที่ทารกในครรภ์สามารถป้องกันตัวเองได้อย่างรวดเร็วจากภาวะ Anaphylaxis ของมารดา ซึ่งเป็นการปกป้องทารกตามกลไกธรรมชาติจากสารฮีลตามีนที่ถูกผลิตขึ้นของแม่ที่มีอาการแพ้ อย่างไรก็ตามหากคุณแม่รู้ว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงต่ออาหาร แพ้อาหารทะเล หรือวัสดุประเภทใด ๆ โปรดแจ้ง และปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับข้อควรระวังเพื่อความปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์ แม้ว่าอาการแพ้เล็ก ๆ น้อย ๆ จะไม่ส่งผลใด ๆ ต่อทารกในครรภ์ แต่อาการที่รุนแรงอาจกลายเป็นเรื่องของการเสี่ยงชีวิตสำหรับคุณแม่เอง และลูกน้อยในครรภ์ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย แม้ว่าจะไม่สามารถหยุดอาการแพ้ได้ แต่การเตรียมพร้อมรับมือเมื่อเกิดอาการเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

                    ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอาการแพ้รุนแรง

                    กิจกรรมบางอย่างมีส่วนทำให้ร่างกายเกิดการดูดซึมสารก่อภูมิแพ้ของผู้ที่มีอาการแพ้ได้เพิ่มขึ้น และเร็วขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การติดเชื้อ การเดินทางไกล ความเครียด ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน นำไปสู่การเกิดปฎิกิริยาแพ้ได้

                    วิธีปฐมพยาบาล และรับมือเมื่อเกิดอาการแพ้

                    หากเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หรือหน้ามืด ให้นอนราบลง ห้ามลุกยืนเร็ว ๆ นั่งเอนตั้งศีรษะให้สูงหากหายใจไม่สะดวก ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ หรือรีบบอกคนที่อยู่รอบข้าง สำหรับคุณแม่ท้อง หญิงตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงลงทางด้านซ้านหนุนขาสูง หากมียาแก้แพ้อยู่กับตัว สามารถรับประทานยาแก้แพ้นั้นได้ แต่ยาแก้แพ้ชนิดรับประทานไม่สามารถแก้อาการของการแพ้รุนแรงได้ ต้องใช้ยาฉีด Adrenaline อดรีนาลิน หรือ Epipen ซึ่งหากคุณแม่รู้ตัวว่าเป็นผู้มีภาวะเสี่ยงต่ออาการแพ้รุนแรงจึงควรแจ้งแพทย์ประจำตัวให้ทราบก่อน คุณหมออาจจะให้คุณแม่พกยาฉีดดังกล่าวติดตัวไว้ในยามฉุกเฉิน แต่มิได้หมายความว่าเมื่อได้รับยาฉีดบรรเทาอาการแล้ว จะไม่ต้องไปพบแพทย์หลังจากนั้น เพราะการใช้ยาฉีดเป็นเพียงการช่วยบรรเทาอาการเฉพาะหน้า เพราะอาการอาจแย่ลงได้อีกรวดเร็ว หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นเกิดขึ้นจึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

                    แจ้ง และปรึกษาสูตินารีแพทย์ของคุณเมื่อรู้ว่าเป็นภูมิแพ้
                    แจ้ง และปรึกษาสูตินารีแพทย์ของคุณเมื่อรู้ว่าเป็นภูมิแพ้

                      แนวทางในการดูแลตนเองหากมีอาการแพ้รุนแรง  

                    • หากคุณแม่ทราบว่าแพ้อาหาร หรือยาชนิดใด ควรหลีกเลี่ยงโดยเคร่งครัด
                    • พกบัตรที่แจ้งอาการแพ้ยา โดยอาจให้แพทย์ออกใบแพ้ยาไว้ให้ และต้องแจ้งแก่แพทย์ทุกครั้งที่เข้ารับการรักษา
                    • หากเป็นการแพ้อาหาร ตัวคุณแม่ที่มีอาการแพ้เอง หรือคน่ใกล้ชิดต้องรับทราบ และเลือกรับประทาน หากสงสัยในส่วนผสมของอาหารที่รับประทานในร้านอาหารควรสอบถามให้ละเอียด
                    • อ่านฉลากอาหารบนอาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่ม เครื่องปรุงต่าง ๆ ให้ละเอียดว่ามีสารก่อภูมิแพ้ที่เราแพ้หรือไม่
                    • ทางเลือกหนึ่งที่ดี คือ การใส่สายรัดข้อมือระบุสิ่งที่ตัวเองแพ้ไว้ ในกรณีที่หมดสติ และอยู่ตามลำพัง

                    บรรเทาอาการภูมิแพ้ตามธรรมชาติ

                    คุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่มีอาการไม่รุนแรง มีอาการภูมิแพ้เล็กน้อย ลองใช้วิธีธรรมชาติในการลดอาการภูมิแพ้ที่เป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้ทั้งตัวคุณแม่ปลอดภัย และตัวลูกน้อยในท้องจากยาแก้แพ้ต่าง ๆ ที่ต้องรับประทานเป็นประจำ

                    • หลีกเลี่ยงสาเหตุของโรคภูมิแพ้ อาจพิจารณาใช้เวลาอยู่ในบ้านให้มากขึ้น การอยู่แต่ข้างในบ้านในช่วงที่เป็นโรคภูมิแพ้ขณะตั้งครรภ์อาจดูเหมือนไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ถ้าจะช่วยให้ลดอัตราเสี่ยงที่จะสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ได้ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ดีไม่ใช่เหรอ ยิ่งโดยเฉพาะแม่ผู้ที่มีภาวะภูมิแพ้อากาศ ละอองเกสร เป็นต้น
                    • ตุนสเปรย์น้ำเกลือ คุณแม่สามารถใช้สเปรย์น้ำเกลือในระหว่างตั้งครรภ์เพื่อคลายอาการคัดจมูก นอกเหนือจากการทานยาแก้แพ้
                    • พยายามขยับตัวระหว่างวันให้มากขึ้นอีกเล็กน้อย เชื่อหรือไม่ว่าการออกกำลังกายเป็นการบำบัดอาการคัดจมูก และอาการคัดจมูกโดยธรรมชาติ แต่ควรปรึกษากับสูติแพทย์ของคุณแม่ด้วยเกี่ยวกับวิธีการออกกำลังกายในระหว่างตั้งครรภ์ ว่าแบบไหนที่เหมาะกับแม่ท้อง  เพราะการออกกำลังกายบางชนิดก็ไม่ปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์
                    • ควรเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงเองจะดีที่สุด ในรายที่มีอาการแพ้อาหาร เพราะคุณแม่จะได้ทราบถึงส่วนผสมต่าง ๆ ด้วยตนเอง และสามารถเลือกเครื่องปรุงที่มีส่วนผสมที่เราไม่แพ้ได้เองอีกด้วย
                    • หลีกเลี่ยงการรับประทานสัตว์น้ำมีเปลือกที่จะทำให้เกิดอาการแพ้อาหารทะเล เป็นวิธีป้องกันการแพ้อาหารทะเลที่ดีที่สุด

                      แม้เป็นภูมิแพ้ ก็สามารถตั้งครรภ์มีลูกน้อยน่ารักได้
                      แม้เป็นภูมิแพ้ ก็สามารถตั้งครรภ์มีลูกน้อยน่ารักได้

                    อาการภูมิแพ้ในระหว่างตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติ และยารักษาโรคภูมิแพ้บางชนิดมีความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์สำหรับใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามก็ยังคงต้องได้รับคำแนะนำในการทานยาจากแพทย์ของคุณแม่ก่อนรับประทานยาแก้แพ้หรือยาอื่น ๆ ในขณะตั้งครรภ์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะมียาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ เลือกวิธีดูแลตนเองอย่างเคร่งครัด และพยายามเลี่ยงการใช้ยาให้น้อยที่สุด รวมทั้งรู้วิธีปฎิบัติตัวหากเกิดอาการแพ้เฉียบพลันเท่านี้ก็จะช่วยให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ที่มีอาการภูมิแพ้ สามารถดูแลลูกน้อยในครรภ์ให้แข็งแรง ปลอดภัยไม่แตกต่างจากผู้ที่ไม่แพ้เช่นกัน

                    ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง จาก siphhospital.com/ Pobpad / www.babymed.com

                    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                    เตือนจากแม่ถึงแม่!! ลูกแพ้อาหาร เพราะแม่ท้องโด๊ปอาหารกลุ่มเสี่ยงมากเกินไป

                    คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม กินมากไปเสี่ยง 7 โรคกระทบลูกในท้อง

                    หมอตอบชัด!!แม่ให้นมกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ คาเฟอีนส่งถึงลูกไหม

                    อันตรายไหม?ลูก นอนหลับ แล้วทำไมตาปิดไม่สนิทกรอกไปมา

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      หญิงมีครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ทำแท้งได้

                      หญิงมีครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ทำแท้งได้ ไม่ผิดกฎหมาย

                      ก่อนหน้านี้เป็นประเด็นที่พูดถึงว่าการทำแท้งในประเทศไทย ผิดกฎหมายหรือไม่ ? ล่าสุดได้มีประกาศออกมาแล้วนะคะว่า หญิงมีครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ทำแท้งได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขตามนี้ค่ะ

                       

                      หญิงมีครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ทำแท้งได้

                      ประกาศแล้ว ราชกิจจานุเบกษา โปรดเกล้าฯ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 28) พ.ศ. 2564 อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ ทำแท้งได้ ตามหลักเกณฑ์ มาตรา 305

                      จากเดิม “มาตรา 301 หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกขณะมีอายุครรภ์เกินสิบสองสัปดาห์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

                      ทั้งนี้ให้ใช้ข้อปฏิบัติต่อไปนี้แทนใน “มาตรา 305 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 301 หรือมาตรา 302 เป็นการกระทำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภาในกรณีดังต่อไปนี้ ผู้กระทำไม่มีความผิด

                      1. จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากหากหญิงตั้งครรภ์ต่อไปจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อสุขภาพทางกายหรือจิตใจของหญิงนั้น
                      2. จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากมีความเสี่ยงอย่างมากหรือมีเหตุผลทางการแพทย์อันควรเชื่อได้ว่าหากทารกคลอดออกมาจะมีความผิดปกติถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง
                      3. หญิงยืนยันต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมว่าตนมีครรภ์เนื่องจากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ
                      4. หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกินสิบสองสัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์
                      5. หญิงซึ่งมีอายุครรภ์เกินสิบสองสัปดาห์ แต่ไม่เกินยี่สิบสัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ภายหลังการตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของแพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น

                      ซึ่งตามข้อปฏิบัติ 1-4 คุณแม่ตั้งครรภ์ที่จะขอให้มีการยุติการตั้งครรภ์ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่แจ้งไว้ ถึงจะไม่มีความผิดทางกฎหมาย และการร้องขอให้ทำแท้ง อายุครรภ์ต้องไม่เกิน 12 สัปดาห์

                      ส่วนข้อปฏิบัติที่ 5 ให้รายละเอียดไว้ว่า คุณแม่ตั้งครรภ์เกิน 12 สัปดาห์ แต่ยังไม่เกิน 20 สัปดาห์ หากมีความต้องการที่จะยุติการตั้งครรภ์ หลังจากได้มีการตรวจครรภ์แล้ว จะต้องอยู่ในดุลพินิจจากแพทย์ที่ดูแลครรภ์เท่านั้น

                      หญิงมีครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ทำแท้งได้

                      การแท้งที่ไม่ปลอดภัย ปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ

                      ข้อมูลจากสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ทุกประเทศทั่วโลกได้ให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาการแท้งที่ไม่ปลอดภัยในลำดับต้น ๆ ปัญหานี้แตกต่างจากปัญหาสาธารณสุขอื่น ๆ และสัมพันธ์กับปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ ศีลธรรม จริยธรรม ความเชื่อ ค่านิยม วัฒนธรรม การเมือง และกฎหมาย โดยการแท้งเป็นการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม การแท้งที่ไม่ปลอดภัย การแท้งที่ไม่ครบ (Incomplete abortion) การแท้งซ้ำซ้อน (Inevitable abortion) และภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จากการแท้งยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในอันดับต้น ๆ ของประเทศที่ควรจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยแบ่งออกเป็น

                      1. การแท้งเอง (Spontaneous abortion) หมายถึง การสิ้นสุดลงของการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ได้เกิดจากการชักนำด้วยวิธีการใด ๆ และอายุครรภ์ไม่เกิน 28 สัปดาห์
                      2. การทำแท้ง (Induced abortion) หมายถึง การสิ้นสุดลงของการตั้งครรภ์ที่เกิดจากการชักนำด้วยวิธีการใด ๆ ทั้งที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์โดยอายุครรภ์ไม่เกิน 28 สัปดาห์ และไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์และไม่จำกัดอายุครรภ์โดยทารกในครรภ์มีหรือไม่มีชีวิต

                      หญิงมีครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ทำแท้งได้

                      การแท้งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากการแท้ง เช่น

                      ไม่ว่าจะเป็นการแท้งเองหรือการทำแท้ง ควรอยู่ภายใต้การดูแลและรักษาของบุคลากรทางการแพทย์ โดยเข้ารับการรักษาในสถานบริการสาธารณสุขทุกแห่งทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความสะอาดและปลอดภัยนะคะ

                      Good to know …8 โรคติดต่อทางพันธุกรรม ที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่ ควรตรวจให้รู้ก่อนตั้งครรภ์

                      1.โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)

                      2.โรคผิวเผือก (Albinism)

                      3.โรคพร่องเอนไซม์ G6PD

                      4.โรคเด็กดักแด้ (Epidermolysis Bullosa)

                      5.โรคดาวน์ซินโดรม

                      6.โรคเท้าแสนปม (Neurofibromatosis)

                      7.โรคฮีโมฟีเลีย

                      8.ตาบอดสี

                      การวางแผนการตั้งครรภ์เป็นเรื่องสำคัญมากค่ะ โดยเฉพาะการตรวจสุขภาพทั้งคุณพ่อคุณแม่ก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยทางสุขภาพของลูกน้อยในอนาคตค่ะ

                      อ้างอิงข้อมูล : amarintv.com , thairath.co.th และ rh.anamai.moph.go.th

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                      ทำแท้ง อันตรายไหม? สธ.เปิดสายด่วนรับปรึกษาทำแท้งถูกกฎหมาย

                      ทำอย่างไร ให้ห่างไกลจาก แท้งซ้ำ

                      ความเชื่อของคนไทย แม่ท้องให้นมลูกเสี่ยงแท้ง!?

                        เปลไกว

                        เปลไกว อันตรายไหม? ที่นอนแบบไหนปลอดภัยกับลูก

                        นอน เปลไกว นาน ๆ เดี๋ยวหลังก็งอหรอก!! นอนเปลไกวทำให้เสี่ยงต่ออะไรบ้าง? วิธีเลือกที่นอนที่ปลอดภัยกับลูกน้อย ไม่ทำให้ลูกเสี่ยงตกเตียงกันค่ะ

                        เปลไกว อันตรายไหม? ที่นอนแบบไหนปลอดภัยกับลูก

                        ข่าวเด็กตกเตียงจนเสียชีวิต มีมาให้แม่ ๆ ได้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง โดยสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยตกเตียงนั้น ไม่ใช่ พ่อ แม่ หรือพี่เลี้ยง แต่กลับเป็นเตียงนอนนุ่ม ๆ อุ่น ๆ นอนสบาย ที่พ่อแม่ซื้อให้ลูกได้นอนนั่นเอง มหันตภัยที่ตั้งอยู่กลางบ้านนั้นมีความอันตรายอย่างไร รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า

                        ปกติเด็กทารกจะนอนผลิตภัณฑ์หลายแบบ เช่น นอนเบาะเด็ก นอนเบาะใหญ่รวมกับผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นเบาะที่วางกับพื้นหรือ นอนเตียงเด็ก เปลไกว โดยเด็กบางคนก็ใช้ผลิตภัณฑ์หลายอย่างในวันเดียวกัน

                        พูดถึง “เตียงเด็ก” กับ “เปลไกว” ทั้ง 2 อย่างเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับทารกในหลายประเทศมีมาตรฐานผลิตภัณฑ์กำกับ เพราะในต่างประเทศก็พบว่ามีเด็กเสียชีวิตจากเตียงที่ไม่ได้มาตรฐานเป็นจำนวน มาก แต่ตัวเลขการเสียชีวิตลดลงอย่างชัดเจนเมื่อออกมาตรฐานควบคุม

                        ในบ้านเรามีการสำรวจมารดาหลังคลอดในปี 2553-2554 พบว่า มีเด็กทารกใช้เตียงเด็กซึ่งขายอยู่ตามท้องตลาด 10.8 % คือ ใน 100 คน จะใช้ประมาณ 10 คน ในจำนวนนี้ 76.9 % เป็นเตียงเด็กที่มีความเสี่ยง ขาดมาตรฐานความปลอดภัย คือ ผนังเตียงด้านศีรษะและเท้ามีช่องห่างมากเกิน 6 เซนติเมตร ราวกันตกล็อกไม่อยู่ ราวกันตกเตี้ยเกินไป จากขอบบนของเบาะที่นอนถึงราวกันตกด้านบนมีความสูงต่ำกว่า 65 เซนติเมตร ซึ่งสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บจากเด็กตกเตียงหรือลอดทะลุช่องแล้วมีการติด ค้างของศีรษะทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ มีเด็กบาดเจ็บจากการใช้เตียงเด็กทั้งหมดคิดเป็น 19.2% โดยการบาดเจ็บหลักคือการตกจากเตียงซึ่งคิดเป็น 50%

                        ผลการสำรวจยังพบว่า เด็กไทยนอนเปลไกวมากกว่านอนเตียงเด็ก โดยมีการใช้ถึง 53.3% ลักษณะเป็นเปลที่ไกวได้ หรือ เป็นเปลญวน โดยเปลไกวที่มีความเสี่ยง คือ เปลไกวที่มีราวกันตกและผนังเตียงด้านศีรษะและเท้ามีช่องห่างมากเกิน 6 เซนติเมตร หรือมีฐานไม่มั่นคงจึงมีการพลิกคว่ำ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บจากการตกหรือลอดทะลุช่องแล้วมีการติดค้างของ ศีรษะทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้คิดเป็น 42.8% มีเด็กบาดเจ็บจากการใช้เปลไกวทั้งหมด 20% โดยการบาดเจ็บหลักคือการพลิกคว่ำตกจากเปลพบได้มากสุด 45.5% แต่เนื่องจากลักษณะของเปลไกวจะอยู่สูงจากพื้นไม่มาก ดังนั้นการบาดเจ็บจะไม่รุนแรงมาก

                        เด็กตกเตียง
                        เด็กตกเตียง

                        การบาดเจ็บจากการตก “เตียงเด็ก” หรือ “เปลไกว” มีตั้งแต่บาดเจ็บเล็กน้อย ฟกช้ำดำเขียว กระดูกหัก มีเลือดออกในสมอง แต่กรณีกระดูกหัก เลือดออกในสมองพบได้น้อยเนื่องจากความสูงที่เด็กตกลงมาจะไม่มากประมาณ 90 เซนติเมตร การบาดเจ็บจึงไม่รุนแรง โอกาสเสียชีวิตก็น้อย แต่ที่เด็กตกเตียงแล้วเสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นการเสียชีวิตในลักษณะแขวนคอ ขาดอากาศหายใจ คือ เด็กตกลงมาจากช่องห่างของซี่ราวกันตกที่ห่างเกิน 6 เซนติเมตร หรือ เตียงมีช่องรูต่าง ๆ ใหญ่กว่า 6 เซนติเมตร เด็กสามารถเอาขาลอด ตัวลอดได้ แต่ศีรษะติดออกมาไม่ได้ เมื่อขาไม่ถึงพื้นก็เลยทำให้เสียชีวิตในลักษณะแขวนคอ ประมาณ 4 นาทีก็เสียชีวิตแล้ว

                        ในกรณีที่เด็กตกเตียงแล้วมีเลือดออกในสมอง น่าจะเป็นการตกจากเตียงที่มีความสูงเกินกว่า 120 เซนติเมตรขึ้นไป เตียงที่ต่ำกว่า 120 เซนติเมตรอาจเกิดขึ้นได้เหมือนกันแต่น้อย ถ้าเลือดออกในสมองจากการตกเตียงในระดับที่ต่ำกว่านี้ควรตรวจหาสาเหตุอื่น ร่วมด้วย เช่น การถูกทำร้ายร่างกาย

                        จะเห็นได้ว่าการนอนเปลไกว และเตียงเด็ก ที่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดอันตรายได้บ้าง แต่อันตรายนั้น ๆ จะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรงหรืออันตรายต่อชีวิตนั่นเอง กลับมาคำถามที่ว่า เปลไกว ทำให้ลูกหลังงอได้ไหม? มีข้อดีข้อเสียอย่างไร? และอันตรายแค่ไหน? ทีมแม่ ABK ขอนำข้อมูลจากคุณหมออร จากเพจ เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ ที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้มาฝากกันค่ะ

                        #นอนเปลไกวมีผลอะไรต่อกระดูกสันหลังของเด็กมั้ย
                        #ที่นอนแบบไหนถึงปลอดภัยสำหรับเด็ก

                        มีคนถามบ่อยมากทั้งจาก inbox และคนใกล้ตัว ว่าการที่ให้ลูก “นอนเปลไกว” มีผลอะไรต่อกระดูกสันหลังของเด็กมั้ย เพราะหลังของเด็กจะงอตลอด

                        ตามข้อมูลแล้ว การนอนเปลไกวที่มีลักษณะเป็นเปลญวณหรือใช้ผ้าผูกทั้งหลายของภูมิปัญญาชาวบ้าน ไม่ได้มีผลอะไรต่อกระดูกสันหลังนะคะ และตามธรรมชาติ หลังของเด็กจะงอแยู่แล้วค่า ไม่เกี่ยวกับว่า งอจากการนอนเปลไกว

                        แต่อันตรายที่ต้องระวังมากกว่า คือ #การพลิกตกจากเปลได้ค่า ดังนั้นถ้าเด็กเริ่มลุกนั่งหรือพลิกคว่ำหงายได้แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปก็อายุประมาณ 5 เดือน ก็ควรเลิกใช้ได้แล้ว

                        เปลไกว
                        เปลไกว

                        ข้อดีของเปลญวนคือ

                        • เด็กจะต้องนอนหงายเท่านั้น และส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้หมอนหนุน ดังนั้นโอกาสจะเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจจากการนอนคว่ำก็น้อย
                        • ช่วยทำให้เด็กหลับได้ดีและหลับได้นานเลยค่าา เพราะเด็กจะรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ในท้องแม่หรือเหมือนมีคนอุ้มตลอด

                        นอกจากนี้ คุณหมออรยังแนะให้ใช้เฉพาะตอนนอนกลางวันเท่านั้น อุ้มวางลงเปลตอนลูกเริ่มเคลิ้มๆ แล้วก็ไกวกล่อมนอน ให้ลูกหลับต่อเอง และควรใช้จนถึงอายุ 4-5 เดือนเท่านั้น พอเริ่มพลิกคว่ำหงายได้ ก็ควรเลิกใช้ เพราะอาจกลิ้งตกเปลได้ ให้เปลี่ยนมาใช้เป็นเปลไกวที่เป็นสี่เหลี่ยมแบบกรงแทน

                        เตียงแบบไหนปลอดภัยกับทารก?

                        ปัจจุบันทุกเตียงเด็กต้องเป็นไปตามมาตรฐานอุตสาหกรรมที่กำหนดโดยคณะกรรมาธิการความปลอดภัยสินค้าอุปโภคบริโภค (CPSC) ซึ่งหมายความว่าเตียงเด็กทารกที่มีราคาแพงหรือไม่ก็ตามจะต้องได้มาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำตามข้อกำหนด (ASTM) โดยสาระสำคัญของมาตรฐานเตียงนอนเด็กสรุปได้ ดังนี้

                        เตียงเด็ก
                        เตียงเด็ก
                        1. ช่องว่างระหว่างซี่กรงจะต้องไม่ห่างกันกว่า 2 3/8 นิ้ว หรือ 6 ซม. หากช่องว่างระหว่างซี่กรงมีขนาดกว้างกว่าที่กำหนด อาจทำให้ทารกเอาขา ตัว หรือหัว ลอดเข้ามาระหว่างช่องว่างได้ ซึ่งอาจจะทำให้ทารกขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิตได้
                        2. วัสดุรองนอนของทารกต้องแข็งแรงและไม่อ่อนยวบเมื่อวางตัวทารกลงไป เพราะอาจเป็นสาเหตุของการอุดทางเดินหายระหว่างหลับได้ ไม่นำตุ๊กตาหรือของเล่นวางไว้บนที่นอนของทารก
                        3. วัสดุที่ใช้กันขอบเตียงควรใช้ผ้าทอรูปร่างคล้ายตาข่ายที่สามารถหายใจผ่านได้สะดวกและห้ามมีรอยต่อระหว่างเตียงนอนของทารกเพราะเด็กอาจพลิกตัวคว่ำหน้าลงไปในรอยต่อนั้นได้
                        4. ความสูงระหว่างขอบด้านบนของลูกกรงกั้นข้างเตียง และผิวด้านบนของฟูกนอน จะต้องไม่ต่ำกว่า 5 นิ้ว (หากฟูกมีความหนา 6 นิ้ว ลูกกรงกั้นข้างเตียงต้องมีความสูงอย่างต่ำ 11 นิ้ว) เพื่อป้องกันเด็กปีนและตกลงมาจากเตียงได้
                        5. ตัวล็อกกันตกมีความแข็งแรงทนทาน ทดสอบโดยเอามือเกาะหรือเขย่าเตียง ถ้าหล่นลงมาก็ไม่ควรใช้ และยกข้างเตียงลูกขึ้นเสมอ
                        6. ขนาดของฟูกนอนต้องมีความพอดีกับขนาดของเตียง ไม่ควรให้มีช่องว่างระหว่างฟูกนอนและเตียง เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กตกลงไประหว่างฟูกและเตียงจนขาดอากาศหายใจได้ โดยคุณพ่อคุณแม่ควรทดสอบโดยการใส่นิ้วสองนิ้วระหว่างด้านข้างของฟูกนอนและผนังเตียง หากสอดเข้าไปได้ก็ไม่ควรนำมาใช้เพราะอาจเกิดอันตรายได้
                        7. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าน็อตและสกรู ที่เตียงอยู่ครบ ถูกติดตั้งอย่างถูกต้อง และอยู่ในสภาพที่ดี เพราะหากมีน๊อตแม้แต่ตัวหนึ่ง อยู่ในสภาพไม่ดีหรือหายไป ก็อาจทำให้เตียงหัก แตก จนเกิดอันตรายกับลูกน้อยได้
                        เตียงทารก
                        เตียงทารก

                        โดยสรุปแล้ว เปลญวน หรือ เปลไกว สามารถนำมาให้ลูกนอนได้ ไม่ทำให้ลูกหลังคดแต่อย่างใด แต่เปลที่ซื้อมาควรจะได้มาตรฐานในด้านความปลอดภัย และควรใช้ในการนอนกลางวันโดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยดูอยู่ใกล้ ๆ และเมื่อลูกเริ่มพลิกคว่ำพลิกหงายเป็นแล้ว ก็ไม่ควรนำมาใช้ ควรเปลี่ยนเป็นเตียงเด็กที่ผลิตได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันอันตรายจากการตกเตียง นอกจากนี้ยังควรให้ลูกนอนหงายเพื่อป้องกันอันตรายจากโรค SIDS หรือไหลตายนั่นเอง

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        ท่านอนของทารก ท่าไหนปลอดภัย ท่าไหนอันตราย?

                        โรคไหลตายในทารก SIDS สาเหตุสำคัญ พร้อมวิธีป้องกันทารกหลับไม่ตื่น

                        “ฝึกลูกนอนคว่ำ” อันตราย! เสี่ยงขาดอากาศหายใจ

                        เรียกคืนแล้ว! เปลไกวไฟฟ้า คร่าชีวิตทารก 32 คนในสหรัฐฯ

                         

                        ขอบคุณข้อมูลจาก : www.cpsc.gov, CSIP ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก, คุณหมออร จากเพจ เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ, www.ryt9.com

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          6 สัญญาณ ลูกความจำดี

                          6 สัญญาณ ลูกความจำดี พร้อมเคล็ดลับฝึกให้ลูกจำได้แม่น

                          จับตาดู 6 สัญญาณ ลูกความจำดี จำได้แม่นยำ สมองไว ไหวพริบดี และวิธีช่วยให้ลูกมีความจำที่ดีขึ้นได้

                          สังเกต 6 สัญญาณ ลูกความจำดี

                          พ่อแม่อาจมีความคาดหวังลึก ๆ อยากให้ลูกฉลาด ความจำดี เพื่อให้เติบโตไปได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มเปี่ยมและมีอาชีพที่ดีดูแลตัวเองได้ การสังเกตทักษะ พรสวรรค์ หรือความสามารถพิเศษของลูก จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้พ่อแม่สามารถต่อยอดความรู้ความสามารถของลูกให้ถูกทาง รวมถึงช่วยลูกพัฒนาในสิ่งที่ขาดเพื่อเติมให้เต็ม บทความนี้จึงอยากชวนพ่อแม่มาเช็ค สัญญาณ ลูกความจำดี สมองไว ไหวพริบดี ช่วยลูกน้อยพัฒนาต่อยอดความรู้ความสามารถกันค่ะ

                          1.จำหน้าคนได้ (Good memory for faces)

                          หากคุณพ่อคุณแม่สนิทกับลูก หรือใกล้ชิดกับลูกเป็นพิเศษ ทารกในวัย 3-5 เดือน ก็จะเริ่มจำหน้าพ่อแม่ได้แล้ว เมื่อร้องไห้หรือรู้สึกไม่มั่นคง ทารกจะโผเข้าหาคนที่ทำให้รู้สึกผูกพันใกล้ชิด ถ้าลูกมีความคุ้นเคยกับคนใกล้ชิด จดจำคนเหล่านั้นได้เร็ว หรือแม้แต่จะเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ลูกก็ยังแสดงท่าทางว่าจำได้ นั่นหมายความว่า ทารกมีความสามารถในการจดจำหน้าคนได้ดี

                          2.จำชื่อคนได้แม่น (Good memory for names)

                          เด็กบางคนสามารถจำชื่อตัวเองได้เร็ว หรือจำชื่อพ่อชื่อแม่ได้ไว หากเลี้ยงลูกด้วยการเรียกชื่อเล่นบ่อย ๆ แล้วลองสังเกตดู จะพบว่าในวัย 6 เดือน ลูกสามารถจดจำชื่อตัวเองได้แล้ว ให้สังเกตว่า เวลาเรียกชื่อแล้วลูกหันมา นั่นหมายความว่า ทารกรู้ว่ากำลังเรียกชื่อตัวเองอยู่ แต่ถ้าลูกโตขึ้นในวัย 2 ปี ก็จะเริ่มจดจำชื่อคนในครอบครัวได้แล้ว หากลูกเรียกชื่อคนในครอบครัวได้เร็วกว่า 2-3 ปี ก็ยิ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ลูกจำชื่อคนได้แม่น

                          3.รู้ว่าเก็บของเล่นไว้ไหน

                          การเก็บของให้เป็นระเบียบ มีที่จัดเก็บของเล่นเป็นที่เป็นทาง จะสามารถสังเกตได้เลยว่า ลูกจดจำที่เก็บของเล่นได้ไหม หากลูกอยู่ในวัยรู้ความและถามหาของเล่นชิ้นโปรด คุณแม่อาจลองให้ลูกไปหยิบเองในกล่องของเล่นที่เดิม ถ้าลูกหาเจอ จดจำได้ก็เป็นอีกสัญญาณที่บอกได้ว่า ลูกมีความจำที่ดี มีสมองที่ฉลาดฉับไว ทั้งยังมีไหวพริบดีอีกด้วย

                          4.อ่านออกได้ไว

                          เด็กที่อ่านหนังสือได้เร็ว เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกมีความจำที่ดี ต่อยอดไปในเรื่องความฉลาดของลูกได้ด้วย โดยการศึกษาของประเทศอังกฤษที่ทดลองจากคู่แฝดทั้งหมด 2,000 คู่ พบว่า แฝดที่อ่านหนังสือได้ก่อนมีไอคิวสูงกว่าคู่แฝดที่อ่านได้ทีหลัง การอ่านหนังสือยังเป็นสื่งที่ช่วยพัฒนาสมอง เด็กที่อ่านหนังสือได้เร็วก็จะยิ่งฉลาดขึ้น เพราะการอ่านหนังสือช่วยให้เด็กฉลาด

                          5.จำเป็นภาพ (Photographic Memory)

                          เด็กที่มีพรสวรรค์ในการจำเป็นภาพ หรือมีความจำดี จะดูดซับและเก็บข้อมูลรายละเอียดได้ดี ลองสังเกตว่า ลูกไปเที่ยวที่ไหนแล้วกลับมาสามารถวาดภาพสถานที่นั้นได้ ยิ่งถ้ารูปนั้นมีรายละเอียดของสิ่งที่ลูกเจอ ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ลูกมีความจำดี และสามารถจดจำเป็นภาพได้ดี

                          6.เด็กความจำดีมักโกหกเก่ง

                          แม้จะเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ชอบใจนัก แต่นักวิจัยด้านจิตวิทยาเด็ก เผยว่า เด็กที่ความจำดีจะพูดโกหกได้เก่ง โดยทำการทดสอบเด็กอายุ 6-7 ขวบ ให้ลองโกงในเกมแล้วโกหกในสิ่งที่ตัวเองทำ ซึ่งเด็กที่โกหกเก่งทำแบบทดสอบด้านความจำได้ดี ซึ่งเด็กที่เก่งเรื่องโกหกจะมีความทรงจำที่ดีในเรื่องเกี่ยวกับคำพูด เช่น จดจำคำศัพท์ ได้ดีกว่าการจดจำเป็นภาพ อย่างไรก็ตาม หากลูกโกหกก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ต้องดูเหตุผลของลูก และหาวิธีสอนลูกให้รู้ว่าโกหกไม่ดีอย่างไร

                          6 สัญญาณ ลูกความจำดี
                          6 สัญญาณ ลูกความจำดี

                          อาหารบำรุงสมองช่วยให้ความจำดี

                          หากลูกมีความจำที่ดีอยู่แล้ว และอยากให้มีความจำที่ดีมากขึ้นไปอีก ในวัยหลัง 6 เดือน คุณพ่อคุณแม่สามารถเสริมอาหารที่ช่วยลูกเรื่องความจำได้

                          1. ไข่ : มีสารโคลีน ที่ช่วยพัฒนาสมองส่วนความจำ มีงานวิจัยมากมายที่กล่าวตรงกันว่าเด็กทารกที่รับประทานไข่ที่เพียงพอจะมีความสามารถในด้านความจำที่ดีกว่าเด็กทารกที่รับประทานไข่น้อย
                          2. ปลา: มีโอเมก้า 3 และมีไขมันดีที่จะช่วยเพิ่มสมาธิและความจำของสมอง
                          3. ถั่วและเมล็ดพืช : มีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมของสมองและช่วยเพิ่มสมาธิในการเรียนรู้ของเด็กได้ดี
                          4. อะโวคาโด: ช่วยทำให้สมองส่วนความจำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
                          5. กระเทียม : กระตุ้นให้สมองสร้างเทโรนิน ซึ่งจะช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ประสาทอีกทั้งช่วยทำให้สมองมีความจำที่ดี
                          6 สัญญาณ ลูกความจำดี
                          6 สัญญาณ ลูกความจำดี

                          4 เคล็ดลับฝึกให้ลูกความจำดี

                          • เกมหาของเล่นที่แม่ซ่อน – ฝึกลูกค้นหาของที่แม่ซ่อน ลองบอกลูกว่า ซ่อนไว้ในกล่องเก็บของเล่น เพื่อให้ลูกฝึกความจำว่า ของเล่นมักจะเก็บไว้ที่กล่องเก็บของเล่นเสมอ
                          • จดบันทึก – ฝึกลูกเขียนไดอารี บันทึกความทรงจำ เหตุการณ์ที่ผ่านมา ให้ลูกได้รู้จักการรวบรวมความคิด ลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง ช่วยจัดระบบความคิดและความจำได้อย่างดี
                          • เกมพัฒนาความจำ – ต่อจิ๊กซอว์ หาคำศัพท์ จับคู่ภาพเหมือน ช่วยให้ลูกมีสมาธิ ได้รู้จักการคิดแก้ปัญหา และทำให้ความจำดีขึ้นได้
                          • เล่นเกมจำชื่อ – กระตุ้นความคิดของลูกด้วยเกมที่ยากขึ้นและเหมาะสมกับวัย เช่น การจดจำชื่อบุคคลสำคัญ ชื่อประเทศ หรือชื่อทวีป

                          เมื่อจับสัญญาณความจำดีของลูกได้แล้ว พ่อแม่ก็ต้องหมั่นฝึกฝนความจำ เพิ่มพูนทักษะให้ลูกน้อยมีความจำดีขึ้นไปอีก แต่สิ่งสำคัญคือต้องปล่อยให้ลูกเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องกดดันว่าลูกต้องจำให้ได้ เพื่อให้เด็กรู้สึกผ่อนคลาย อยากเรียนรู้และจดจำได้ด้วยตัวเอง

                          อ้างอิงข้อมูล : learningliftoff, bbc.com และ anamai.moph.go.th

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                          10 อาหาร “บำรุงสมอง” ลูกยิ่งกิน ยิ่งความจำดี-ไอคิวสูง

                          วิจัยชี้!! ลูก นอนกลางวัน ช่วยให้ความจำดี เรียนรู้เร็ว!

                          ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ทารกดูมือถือนานกระทบต่อความฉลาด!

                            รีวิวแกะกล่อง เป้อุ้มเด็ก i-angel ไอเท็ม “MUST HAVE“ ลุยแค่ไหน ลูกนั่งสบาย แม่ไม่ปวดหลัง

                            “เพราะอ้อมกอดของพ่อแม่อบอุ่น ปลอดภัยที่สุด” ลูกน้อยจึงอยากอยู่ในอ้อมแขนนี้ตลอดเวลา แต่การต้องอุ้มลูกนานๆ แล้วต้องทำกิจกรรมต่างๆ ไปด้วย เช่น ทำงานบ้าน หรือเดินช้อปปิ้งไม่ใช่เรื่องง่าย เป้อุ้มเด็ก เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสุดเริ่ดที่ทำให้ครอบครัวยุคใหม่ใช้ชีวิตได้คล่องตัวมากขึ้น

                            การเลือกซื้อ เป้อุ้มเด็ก ที่ดีถูกใจความปลอดภัยต้องมาก่อน ขณะที่ลูกน้อยต้องรู้สึกสบาย นั่งนานแค่ไหนก็ไม่งอแง คุณพ่อคุณแม่เองยังสามารถอุ้มลูกน้อยในอิริยาบถสบายๆและปลอดภัย ถ้ายังไม่รู้ว่าจะเลือกแบบไหน เราลองมาทำความรู้จักเป้อุ้มเด็กแบรนด์นี้กันค่ะ

                            เป้อุ้มเด็ก

                            เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ยกให้ i-angel รุ่น Dr. Dial เป็น เป้อุ้มเด็ก ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Baby Carrier จาก Amarin Baby & Kids Awards 2020

                            i-angel เป้อุ้มเด็กพรีเมี่ยมนำเข้าจากประเทศเกาหลี มีให้เลือกหลายรุ่น หลายแบบ แต่รุ่นที่บรรณาธิการเห็นว่าเป็น สินค้าใช้ดี มีประโยชน์จริง อยากแนะนำให้คุณแม่รู้จักคือ i-angel รุ่น Dr. Dial ซึ่งคิดค้นนวัตกรรมให้เหมาะกับสรีระของเด็ก ผ่านการรับรองมาตรฐานจากสถาบัน International Hip Dysplasia Institute (IHDI) จึงปลอดภัยต่อข้อสะโพกของเด็ก นอกจากนี้ยังซัพพอร์ตร่างกายของคุณแม่ในทุกจุด เพราะมี Dual Foam ช่วยลดการกดทับหน้าท้อง และแผลผ่าตัดผ่าคลอด การันตีคุณภาพด้วย 2 รางวัลจากทั้งในประเทศและต่างประเทศในปี2019 และ 2020

                            มาเริ่มตั้งแต่แกะกล่องกันเลย ผลิตภัณฑ์มาในกล่องกระดาษขนาดพอดีๆ น้ำหนักเบา ไม่ใหญ่เทอะทะ มีหูหิ้วจับสะดวก เปิดกล่องแล้ว เป้อุ้มเด็กจะอยู่ในถุงซีลอย่างดีเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน เปิดกล่องออกมาจะพบส่วนต่างๆของเป้และคู่มือใช้งานครบชุด

                            เป้อุ้มเด็ก

                            • เป้อุ้มเด็ก i-angel จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ Hip Seat สำหรับเป็นเบาะนั่งรองรับน้ำหนักลูก และ Hipseat Carrier  ส่วนบนของเป้ สำหรับใช้อุ้มแบบเต็มตัว สามารถเชื่อมติดกันด้วยซิปขนาดใหญ่  Premium YKK Zip มั่นคงแข็งแรง เนื้อผ้านุ่ม อ่อนโยน ไม่ระคายผิวลูก สามารถถอดแยกให้ตามการใช้งานเหมาะกับลูกน้อยวัยแรกเกิด (ในท่ากล่อมนอน) และยังปรับมาอุ้มให้ท่านั่งได้ตั้งแต่ 3 เดือนจนถึงเด็กโต เพราะรองรับน้ำหนักได้มากถึง 20 กิโลกรัม

                            สำหรับลูกน้อยอายุไม่ถึง 6 เดือน  ควรอุ้มให้ลูกหันหน้าเข้าหาตัว มองเห็นหน้าคุณแม่ชัดเจน สัมผัสใกล้ชิดช่วยให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เมื่อลูกอายุ 6 เดือนแล้ว สามารถเปลี่ยนมาอุ้มหันหน้าออกข้างนอกได้ เพื่อให้ลูกสนุกกับการมองสิ่งต่างๆรอบตัว ส่งเสริมพัฒนาการให้เติบโตตามวัย

                            ในวันสบายๆคุณพ่อคุณแม่สามารถทำกิจกรรมกับลูกน้อย ด้วยการพาลูกออกไปเดินเล่นในสวนรอบบ้าน โดยสวมเป้แบบ Hip Seat ใช้มือโอบประคอง ปล่อยให้ลูกน้อยขยับแข้งขยับขาอย่างอิสระ หรือทำกิจกรรมลุยๆ ช้อปปิ้ง ท่องเที่ยวไกล ปรับเปลี่ยนมาเป็นการสวมเป้แบบเต็มตัว Hip Carrier ลูกนั่งสบาย คุณแม่ก็สามารถเลือกซื้อของ หรือถือสัมภาระอื่นๆได้สะดวก

                            เป้อุ้มเด็ก

                            • ทุกส่วนของ เป้อุ้มเด็ก i-angel รุ่น Dial ได้รับการพัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ของแม่ลูกโดยเฉพาะ ตั้งแต่ตัว Hip Seat ที่ออกแบบมาให้รองรับสรีระของลูกน้อย นั่งสบายเป็นธรรมชาติ ไม่อึดอัด และถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์ ไม่นั่งแอ่นหรือเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง จึงไม่ต้องกังวลว่าลูกจะขาโก่ง หรือข้อสะโพกผิดรูป

                            เป้อุ้มเด็ก

                            เป้อุ้มเด็ก

                            • เวลาใช้งานก็สะดวก ทั้งสายคาดเองที่ติดง่ายๆด้วยแถบแปะ และเพิ่มความปลอดภัยด้วยเข็มขัดที่มีตัวล็อกแข็งแรง นอกจากนี้ยังสามารถปรับตัว Hip Seat ให้กระชับกับลำตัวได้ถึง 4 ไซส์ จากไซส์เอว S ถึง XL จึงใช้งานได้ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ พี่เลี้ยง และคนอื่นๆในครอบครัว

                            เป้อุ้มเด็ก

                            เป้อุ้มเด็ก

                            • พร้อมเพิ่มความมั่นใจอีกขั้นด้วย นวัตกรรม Dial-Fit System” ที่ออกแบบตัวหมุนปรับสายคาดเอวให้กระชับ เป้จึงปรับได้ง่าย ไม่ต้องถอดเป้เข้าออกสวมใหม่ และอีกหนึ่งจุดเด่นที่พัฒนาขึ้นใหม่ ก็คือ  Back support” ที่ช่วยกระจายน้ำหนักและลดการกดทับได้ถึง 54.1%  เพื่อให้ผู้สวมใส่สบาย ไม่ทำให้หลังงอหรือปวดหลัง

                            เป้อุ้มเด็ก

                            • สายสะพายเป้ มีความหนานุ่ม กระจายน้ำหนักได้ดี มาพร้อมเข็มขัดล็อกด้านหลังแบบ Magnetic ที่สามารถเอื้อมมือติดเองได้โดยไม่ต้องมีคนช่วย

                            เป้อุ้มเด็ก

                            • เนื้อผ้าของ i-angel รุ่น Dial ทำจากวัสดุพรีเมี่ยม ถอดซักทำความสะอาดได้ ด้านในมีตาข่ายระบายอากาศ ช่วยให้ลูกนั่งสบาย ไม่ร้อน ทุกจุดที่สัมผัสกับผิวอ่อนบางของลูกอ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง แขนของเป้ทั้งสองด้านใกล้กับใบหน้าลูกน้อย มีผ้านุ่มเป็น Organic Teething Pads ติดไว้เพื่อลดการระคายเคือง พร้อมกับ Sleeping Hood หมวกคลุมบังลม บังแดด ให้ลูกหลับสบาย
                            • ส่วนเรื่องราคา หากเปรียบเทียบกับคุณภาพ ฟังก์ชั่นการใช้งาน และนวัตกรรมที่ดูแลทั้งสรีระลูกและสุขภาพของแม่ ต้องถือว่าคุ้มค่า เพราะคุณภาพและราคาสมเหตุสมผล ลงทุนซื้อชุดเดียวสามารถใช้งานได้ในระยะยาว

                            ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทางเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้เป้อุ้มเด็ก  i-angel รุ่น Dr. Dial ได้รับ รางวัล Editor’s Choice Best Baby Carrier จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2020” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                            สำหรับ เป้อุ้มเด็ก i-angel รุ่น Dr. Dial คุณแม่ที่สนใจผลิตภัณฑ์ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่

                            FB Page : www.facebook.com/iangelthailand

                            IG : www.instagram.com/iangel.thailand/

                            Line Official Account : https://lin.ee/dUkPwE3

                            หรือโทร. 091-698-9865 และ 082-659-1619

                             

                              ลูกท้องอืด

                              รีวิวนี้เพื่อแม่!! วิทยาศรม Baby Natural Gel ตัวช่วยเพื่อลูกรักสบายท้องของคุณแม่ยุคนี้

                              ลูกท้องอืด แน่นท้องเป็นหนึ่งในสาเหตุทำให้ทารกไม่สบายตัว ร้องอแง และมักพบบ่อยในทารกแรกเกิดช่วง 2 -3 สัปดาห์ เพราะมีแก๊สในกระเพาะอาหารมากเกินไป แม้อาการจะไม่รุนแรงแต่บางครั้งร้องกวน ไม่ยอมนอน ก็ทำเอาคุณแม่หมดแรงไปตามกัน

                              วิธีดูแลอาการท้องอืดมีหลายอย่าง เช่น จับลูกเรอหลังกินนม นวดท้องเบาๆเพื่อไล่ลม และการทา “มหาหิงคุ์” อย่างแบรนด์วิทยาศรม ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยโบราณที่คุณแม่มือใหม่ต้องมีติดบ้านไว้ใช้ทาที่หน้าท้อง ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อช่วยขับลมหรือเรอง่ายขึ้นลดโอกาสที่ ลูกท้องอืด แน่นท้อง ตามคำแนะนำที่บอกต่อกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย

                              ลูกท้องอืด

                              แต่สำหรับใครใช้มหาหิงคุ์สูตรดั้งเดิมแบบน้ำแต่อีกใจก็กลัวเปื้อนเสื้อผ้าและมีกลิ่นฉุนๆติดตัวลูกน้อย อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจ เพราะแบรนด์นี้ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้งานของคุณแม่และดูแลสุขภาพของลูกน้อยได้อย่างลงตัว ทีมบรรณาธิการลองใช้แล้วบอกเลยค่ะว่าดีจริง มาดูกันเลยว่าดียังไง?

                              ลูกท้องอืด

                               

                              เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ยกให้ วิทยาศรม Baby Natural Gel เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรดูแลสุขภาพลูก ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best  Baby Herbal Product จาก Amarin Baby & Kids Awards 2020

                              วิทยาศรม Baby Natural Gel เจลสมุนไพรสูตรเปปเปอร์มิ้น กลิ่นหอมสดชื่น สูตรธรรมชาติ เนื้อขาวบริสุทธิ์ ในรูปแบบขวดขนาดกระทัดรัด ออกแบบให้ดูน่ารักน่าใช้ ผลิตจากสารสกัดสมุนไพรธรรมชาติ 4 ชนิด ได้แก่

                              • เปเปอร์มิ้นต์ (Peppermint) ช่วยขับลม ลดอาการท้องอืด
                              • ดอกคาโมมายล์ (Chamomile) ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หลับสบาย
                              • ว่านหางจระเข้ (Alovera) เพิ่มความชุ่นชื้นให้ลูกน้อย ไม่แห้งกร้าน เป็นขุย บำรุงผิว
                              • ใบบัวบก (Centella) ทำให้ผิวเรียนเนียบ น่าสัมผัส

                              Baby Natural Gel เป็นมากกว่าแค่ดูแลเรื่องอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แต่ยังทำหน้าที่ดูแลผิวของลูกน้อยให้สุขภาพดีพร้อมกัน ด้วยเนื้อครีมบางเบาใช้เพียงเล็กน้อยที่ท้อง ก็สามารถซึมเข้าผิวๆได้ดี ไม่เลอะเสื้อผ้า ใช้ได้บ่อยตามต้องการไม่ว่าจะเป็นหลังอาบน้ำหรือก่อนนอน

                              ลูกท้องอืด

                              ผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบจากสถาบันผิวหนัง  Dermscan แล้วว่าปลอดภัยต่อทารก ไม่มีส่วนสมของแอลกอฮอล์และน้ำหอม เพียงทาให้ลูกหลังอาบน้ำเช้า เย็น หรือก่อนนอน ลูกรักจะรู้สึกสดชื่น สบายท้อง อารมณ์ดี และหลับเต็มอิ่ม หรือในวันแสนเหนื่อยล้า คุณแม่ยังใช้ทาบริเวณขมับ ต้นคอ บ่าไหล่แล้วนวดคลึงให้รู้สึกผ่อนคลาย คลายเครียดจากภารกิจในแต่ละวัน แล้วหันมาสร้างเวลาแห่งความสุขช่วงสั้นๆได้เป็นอย่างดี

                              ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทางเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ วิทยาศรม เบบี้ แนชเชอร์เริล เจล ได้รับ รางวัล Editor’s Choice  Best Baby Herbal Product จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2020” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                              สำหรับคุณแม่ที่สนใจ วิทยาศรม เบบี้ แนชเชอร์เริล เจล สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายของเด็กอ่อนทั่วไป ร้าน Boots หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ทางผ่านช่องทางออนไลน์ที่ https://m.facebook.com/mahahingvs/ Central Online Shopee และ Lazada

                                ยาสีฟันเด็ก

                                เคล็ด(ไม่)ลับ..ลูกน้อยฟันแข็งแรง ไม่มีฟันผุ ตั้งแต่ฟันซี่แรก

                                วัยอนุบาลเป็นช่วงวัยที่พ่อแม่ส่วนใหญ่พบว่าลูกรักมักจะมีปัญหาเกี่ยวช่องปากมากที่สุด นั่นก็คือ ฟันผุ ซึ่งสาเหตุหลักๆ มักมาจาก

                                1. การแปรงฟันไม่ถูกวิธี และแปรงไม่สะอาด
                                2. ชอบกินขนมหวาน ช็อกโกแลต ฯลฯ แล้วไม่ค่อยแปรงฟัน ความหวานจากน้ำตาลสาเหตุของฟันผุ
                                3. ใช้ ยาสีฟันเด็ก ที่ไม่เหมาะสมในการแปรงฟัน

                                ซึ่งการจะปกป้องลูกน้อยให้มีสุขภาพช่องปากและฟันแข็งแรง คุณแม่ต้องเริ่มดูแลทำความสะอาดฟันของลูกกันตั้งแต่เล็กๆ ค่ะ

                                ยาสีฟันเด็ก เริ่มให้ลูกใช้ตอนไหน ?

                                คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกคนแรก ถามทีมแม่ABK เข้ามาเยอะมากว่า ควรใช้ ยาสีฟันเด็ก กับช่องปากของลูกตอนอายุเท่าไหร่? และควรใช้ในปริมาณแค่ไหน? เอาเป็นว่าเราไปทำความเข้าใจพร้อมๆ กันเค่ะ

                                “Good to know ยาสีฟันเด็กควรใช้ที่มีปริมาณฟลูออไรด์ 1000 ppm ตามที่ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยแนะนำ เพื่อฟันแข็งแรง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันฟันผุ”

                                ยาสีฟันเด็ก

                                • เด็กอายุ 0-6 เดือน

                                ลูกในช่วงวัยระหว่างนี้ ฟันจะยังไม่ขึ้นมาค่ะ แต่คุณแม่จำเป็นต้องดูแลช่องปาก และเหงือกของลูกน้อยให้สะอาด ทุกครั้งที่ลูกกินนม ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่น เช็ดเบาๆ ที่กระพุ้งแก้ม 2 ข้าง เช็ดเหงือกบน เหงือกล่าง และเช็ดลิ้น

                                • เด็กอายุ 6 เดือน – 3 ขวบ

                                ลูกเมื่ออายุได้ 6 เดือน ฟันซี่แรก(ฟันน้ำนม) จะโผล่พ้นเหงือกขึ้นมา จาก 1 ซี่ เป็น 2 ซี่ และทยอยขึ้นจนเต็มปาก เมื่อลูกมีฟัน 1 ซี่ขึ้นมา เป็นสัญญาณให้รู้ว่า คุณแม่สามารถใช้แปรงสีฟันสำหรับเด็ก กับยาสีฟันเด็ก แปรงฟันให้ลูกได้แล้วค่ะ เด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบ ให้ใช้ยาสีฟันเด็กที่มีฟลูออไรด์ ปริมาณแตะขนแปรงพอเปียก แปรงฟันและลิ้นให้ลูกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น นะคะ

                                • เด็กอายุ 3 – 12 ขวบ

                                เป็นช่วงวัยที่เหมาะต่อการสอน และฝึกฝนให้ลูกแปรงฟัน แปรงลิ้นด้วยตัวเองทุกวันๆ ละ 2 ครั้ง จะต้องแปรงฟันให้ติดเป็นนิสัยไปจนโตค่ะ สำหรับเด็กในช่วงระหว่างวัยนี้ ขนาดยาสีฟันที่แต้มลงบนแปรงสีฟันในช่วง 3 – 6 ขวบบีบเท่ากับความกว้างของแปรง  และในช่วง 6 – 12 ขวบบีบเท่ากับความยาวของแปรง

                                • เด็กอายุ 12 ขวบ

                                คุณแม่ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันให้เหมาะสมกับอายุของลูก เพิ่มปริมาณยาสีฟันเท่าที่ผู้ใหญ่ใช้ตามวัยลูกที่เพิ่มขึ้น เด็กอายุ 12 ขวบแนะนำว่าให้ใช้ยาสีฟันเด็กที่มีปริมาณฟลูออรไรด์ 1000 ppm ตามที่ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยแนะนำ และเมื่อลูกอายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถเปลี่ยนมาใช้ยาสีฟันสำหรับผู้ใหญ่ได้ค่ะ

                                ฟันผุ ส่งผลเสียต่อพัฒนาการ และสุขภาพได้นะ!!

                                เด็กที่มีปัญหาฟันผุตั้งแต่เล็กๆ และไม่ได้รับการรักษาอาการฟันผุที่เหมาะสม ผลกระทบที่จะตามมา คือ

                                1. รับประทานข้าวได้น้อย เพราะเด็กจะเลือกกินอาหารที่ทานง่าย เนื่องจากบดเคี้ยวไม่สะดวก หากสะสมนานๆ ร่างกายอาจได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตไม่ครบถ้วน
                                2. มีปัญหาสุขภาพ เพราะเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก ฟันผุจนมีหนอง เจ็บ ปวดเหงือก ปล่อยไว้อาจลุกลามไปยังดวงตา โพร่งสมอง แก้ม และสมอง มีการติดเชื้อในกระแสเลือด อันตรายเสี่ยงถึงชีวิตได้

                                 

                                ยาสีฟันเด็ก

                                ฟันแข็งแรง ยิ้มสดใส ไร้น้ำตาล

                                ทีมแม่ABK บอกไว้ตั้งแต่ตอนต้นนะคะว่า น้ำตาล คือตัวการที่ให้ “ลูกฟันผุ” ฉะนั้นการเลือกใช้ “ยาสีฟัน” ควรเป็นยาสีฟันที่ปราศจากน้ำตาล ยาสีฟันเด็กที่รสชาติหวาน ถึงจะช่วยให้ลูกชอบแปรงฟัน แต่ผลเสียที่ตามมาทั้งในระยะสั้น ระยะยาว คือทำให้ ลูกฟันผุ

                                ดังนั้นการเลือกยาสีฟันสำหรับเด็ก เพื่อช่วยให้เหงือกและฟันแข็งแรง ช่องปากสะอาด พร้อมกับช่วยกระตุ้นให้ลูกสนุก อยากหยิบแปรงขึ้นมาแปรงฟันทุกวัน แนะนำคุณแม่เลือกใช้ ยาสีฟันเด็กที่มีฟลูออไรด์ 1000 ppm และมีกลิ่นหอมธรรมชาติจากรสของผลไม้นะคะ

                                ยาสีฟันเด็ก

                                ยาสีฟัน โคโดโม ชนิดครีม ที่แม่ว่าดี ลูกชอบใช้

                                การดูแลฟันลูกให้แข็งแรงตั้งแต่ฟันซี่แรก หมดปัญหาเรื่องฟันผุ บ้านของทีมแม่ABK เป็นแฟนของ “ยาสีฟัน โคโดโม” ใช้กันทั้งตั้งแต่ลูกหนึ่งจนตอนนี้ลูกสองกันแล้วค่ะ

                                ยาสีฟันเด็ก

                                ยาสีฟัน โคโดโม ที่ทีมแม่ABK ชอบ อย่างแรกคือ…

                                1. เป็นยาสีฟัน ที่ปราศจากส่วนผสมของน้ำตาล (Sugar Free) แม่บางคนเคยชิมก่อนให้ลูกใช้แปรงฟัน บอกก็มีรสหวานนิดๆ นะ ใช่ค่ะ แต่เป็นความหวานตามธรรมชาติจากสารให้ความหวานไซลิทอลค่ะ ไม่ใช่น้ำตาล!!
                                2. มีปริมาณฟลูออไรด์ 1000 ppm เป็นปริมาณฟลูออไรด์ที่เหมาะสมกับสุขภาพฟันของเด็ก ตามที่ทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยแนะนำ ช่วยลดการเกิด “ฟันผุ” อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นยาสีฟันที่ให้ลูกใช้ได้ตั้งแต่วัย 5-12 ปี
                                3. ลูกๆ แปรงฟันกันง่าย เพราะเนื้อครีมของยาสีฟัน มีกลิ่นหอม และรสของผลไม้ อย่าง สตรอเบอรี่ ส้ม องุ่น

                                และที่การันตีความนิยมชมชอบของแม่ๆ เพิ่มเข้าไปอีกกับ ยาสีฟัน โคโดโม เพราะได้รับการโหวตจากแม่ทั่วประเทศ กับรางวัล Mommy’s choice สาขา BEST TOOTHPASTE FOR KIDS จาก AMARIN BABY AND KIDS AWARD 2020 นี่ถ้าลูกใช้ได้ไม่ดีจริง แม่ไม่โหวตให้นะคะ

                                ฉะนั้นเอาเป็นว่าหากอยากให้ลูกมี ฟันแข็งแรง มีรอยยิ้มสดใส คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลฟันลูกตั้งแต่ซี่แรก ด้วยการแปรงฟันทุกวัน เพื่อให้ฟันมีสุขภาพดี เพราะการมีฟันแข็งแรง ไม่มีปัญหาสุขภาพช่องปาก จะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่สมวัยด้วยค่ะ

                                 

                                ยาสีฟันเด็ก

                                  น้ำที่ใช้ชงนม

                                  “น้ำที่ใช้ชงนม” ให้ลูก น้ำแบบไหนที่ใช้ได้

                                  เด็กที่ต้องกินนมแม่สลับกับนมชง , เด็กที่ต้องกินนมชงแต่แรกเกิด หรือ เด็กที่อยู่ในช่วงวัยเปลี่ยนจากกินนมแม่มากินนมชง ปัญหาเหล่านี้มีแม่มือใหม่ถามทีมแม่ABK มาเยอะเลยว่า น้ำที่ใช้ชงนมให้ลูก ต้องใช้น้ำร้อน , น้ำเย็น , น้ำอุ่น หรือใช้น้ำอะไรนอกเหนือจากนี้อีกได้ไหม !? อืมนั่นซิ ใช้น้ำอะไรดี วันนี้ทีมแม่ABK จะมาอธิบายให้ได้เข้าใจกันค่ะ

                                  ก่อนอื่นเพื่อไม่ให้เกิดดราม่า ว่าทำไมไม่ให้ลูกกินนมแม่ กินนมแม่ม่ต้องชงนมให้ยุ่งยาก ต้องเข้าใจกันก่อนค่ะว่า คุณแม่มือใหม่ หรือคุณแม่ลูก 2 ลูก 3 ใช่ว่าจะมีน้ำนมเลี้ยงลูกกันทุกคน บางคนมีปัญหาสุขภาพ ก็ให้นมลูกไม่ได้ บางคนน้ำนมน้อย ทำวิธีไหน น้ำนมก็ยังน้อยอยู่ ลูกกินนมแม่ไม่พอ ไม่อิ่ม ก็ต้องเสริมนมชง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ ฉะนั้นไม่ว่าจะ “นมแม่” หรือ “นมชง” ก็มาจากหัวใจคนเป็นแม่ที่อยากให้ลูกได้รับสารอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อพัฒนาการการเจริญเติบโตกันทุกคนค่ะ

                                  น้ำที่ใช้ชงนม ใช้น้ำแบบไหน…

                                  คือต้องบอกว่าเป็นปัญหาชวนปวดหัวของแม่กันมากๆ ค่ะ เพราะจะชงนมให้ลูก ก็ไม่แน่ใจว่า น้ำที่ใช้ชงนม ต้องใช้เป็นน้ำแบบไหน ทีมแม่ABK แนะนำให้เข้าใจกันง่ายๆ เกี่ยวกับน้ำชงนมให้ลูกน้อยตามนี้ค่ะ

                                  น้ำที่ใช้ชงนม

                                  น้ำที่ใช้ชงนม สำคัญที่สุดต้องเป็นน้ำสะอาด ปราศจากเชื้อโรค เท่านั้น !!

                                  1. น้ำประปาใช้ชงนมได้ไหม ได้ค่ะ แต่น้ำประปาต้องผ่านการกรองเพื่อกำจัดคลอรีน และฝุ่นผง หลังจากนั้นต้องนำไปต้มเพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยให้น้ำเดือดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 นาที จากนั้นรอให้น้ำค่อยๆ อุ่นลงก่อน ถ้ายังไม่ใช้ชงนมทั้งหมด ให้เก็บน้ำต้มสุกไว้ในภาชนะที่สะอาดค่ะ

                                  2. น้ำร้อน กับ น้ำเย็น ใช้ชงนมได้ไหม ขออธิบายสั้นๆ สำหรับน้ำ 2 ประเภทนี้ค่ะ

                                  น้ำร้อน จะไม่เหมาะในการใช้ชงนม เพราะนมจะจับเป็นก้อน และทำลายสารอาหารที่อยู่ในนม

                                  น้ำเย็น ถ้าแม่ๆ หมายถึงน้ำที่หยิบออกมาจากตู้เย็น แล้วนำมาผสมชงนมให้ลูกกิน อันนี้ก็ไม่แนะนำค่ะ เพราะอุณหภูมิน้ำที่เย็นจัด อาจทำให้ลูกสำลักเวลาดูดนมเข้าปาก

                                  3. น้ำต้มสุก ใช้ชงนมได้ค่ะ แต่ต้องรอให้น้ำเย็นลงก่อน น้ำต้มสุกแล้ว ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็น แค่เทใส่ภาชนะที่สะอาด สามารถวางไว้ในอุณหภูมิห้องได้เลย จัดเก็บไว้ข้างๆ กับอุปกรณ์ชงนม เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้ค่ะ

                                  แม่ๆ พอจะเข้าใจ น้ำที่ใช้ชงนม กันคร่าวๆ แล้วนะคะ ว่าน้ำแบบไหนที่เหมาะจะใช้ชงนมให้ลูกน้อยกินได้ และที่สะดวก ถูกใจทีมแม่ABK มากๆ ซึ่งได้ลองใช้อีกหนึ่ง น้ำสะอาด สามารถใช้ชงนมให้ลูกกินได้อย่างปลอดภัยต่อสุขภาพ แถมยังช่วยลดขั้นตอนการเตรียมต้มน้ำไว้ชงนมให้ลูก มาค่ะ ทีมแม่ABK จะรีวิวให้รู้กันว่า น้ำสะอาด น้ำพร้อมใช้ชงนม ที่พูดถึงนี้ คือน้ำอะไร??

                                  น้ำที่ใช้ชงนม

                                  นี่เลยค่ะ ที่แม่อยากแนะนำให้ แม่อีกหลายๆ แม่ได้รู้กัน “อะควาแคร์ น้ำเตอไรล์” !! ขอบอกว่าเป็นน้ำที่ใช้ชงนมได้ทันที ไม่ต้องต้มให้เสียเวลา เป็นน้ำพร้อมใช้จริงๆ ค่ะ แม่ชอบมาก บอกเลย ^^

                                  อะควาแคร์ น้ำเตอไรล์ (Aqua kare Sterile Water 100% V/V) เป็นน้ำสะอาด ที่ปราศจากเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียต่างๆ แม่สบายใจได้ว่า ชงนมให้ลูกกินแล้ว ท้องจะไม่เสียค่ะ

                                  มีคำแนะนำในการใช้ อะควาแคร์ น้ำสเตอไรล์ คือ หนึ่งขวดที่เปิดใช้ จะมีอายุการใช้อยู่ที่ 3 วัน ฉะนั้นเมื่อเปิดใช้แล้ว จะต้องใช้ให้หมดภายใน 3 วัน

                                  น้ำที่ใช้ชงนมให้ลูก

                                  มาดูจุดเด่นของ น้ำสเตอไรล์ Aqua kare เพื่อความมั่นใจในการนำไปใช้ชงนมให้ลูกกันค่ะ

                                  1. น้ำสเตอไรล์ เป็นน้ำที่ผ่านการกรอง และนึ่งฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง ตามมาตรฐานวิธีการผลิตที่องค์การอาหารและยาแนะนำ

                                  2. ผ่านการกรองเชื้อด้วยแผ่นกรองขนาด 0.2 ไมครอน และนึ่งฆ่าเชื้อด้วยความร้อนมากกว่า 100 องศาเซลเซียส

                                  3. ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียจากน้ำสำหรับทารก

                                  4. สะดวก ลดเวลาเตรียมนม และอาหารเสริม ช่วยให้คุณแม่มีเวลาทำกิจกรรมอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น

                                  การต้มน้ำให้สะอาด ทีมแม่ABK ว่าดีแล้ว แต่พอมาเจอ “น้ำสเตอไรล์” ที่มีกระบวนการผลิตที่น่าเชื่อถือ และผ่านมาตรฐานการผลิตขององค์การอาหารและยา ถามว่าแม่จะไม่ใช้กันเหรอ เราใช้นะ เพราะเราเลือกแล้วว่าดี และปลอดภัย ขอบอกว่านี่แม่ก็ไม่ได้ใช้ชงนมให้ลูกกินอย่างเดียวนะจ๊ะ อาหารเสริมของแม่ที่เป็นแบบชนิดชง แม่ก็ใช้ อะควาแคร์ น้ำสเตอไรล์ ชงดื่มด้วยเหมือนกัน

                                  อ่ะสำหรับแม่ๆ มือใหม่คนไหนที่สนใจ Aqua kare Sterile Water 100% V/V เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในชีวิตประจำวัน สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยา SAVE DRUG คุณแม่ search หาสาขาใกล้บ้านได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ https://www.savedrug.co.th/location

                                  เรื่อง “น้ำที่ใช้ชงนม” แม่ๆ รู้กันแล้วนะคะว่าควรใช้น้ำแบบไหน เพื่อให้ปลอดภัยกับสุขภาพของลูกน้อย เดี๋ยวครั้งหน้าทีมแม่ABK จะมำต่อด้วยเรื่องของการชงนมที่ถูกต้อง ป้องกันไม่ให้ลูกเกิดอาการท้องอืดค่ะ

                                  น้ำที่ใช้ชงนม