ฝึกลูกนอนยาว

แม่แชร์เทคนิค (สไตล์ฝรั่ง) ฝึกลูกนอนยาว ให้ลูกนอนเองได้ผลจริง!

event
ฝึกลูกนอนยาว
ฝึกลูกนอนยาว

จะฝึกลูกนอนยาว อย่างไรดี? หากบ้านไหนกำลังประสบปัญหาลูกนอนยาก ตื่นบ่อยตอนกลางดึก ชอบลุกขึ้นมาร้องตอนกลางคืน ลองทำตามวิธี ฝึกลูกนอนยาว จากคุณแม่ท่านนี้กัน

แม่แชร์เทคนิค ฝึกลูกนอนยาวเห็นผลจริง! เริ่มได้ตั้งแต่วัย 5 เดือน

สำหรับเทคนิคฝึกลูกนอนยาว นี้ ทีมแม่ ABK ได้ไปเจอคำแนะนำจากคุณแม่ท่านหนึ่งซึ่งใช้ชื่อเฟซบุ๊ก Chintana Robertson โพสต์เล่าถึงวิธี ฝึกลูกนอนยาว ให้ลูกนอนเอง ซึ่งได้ผลจริง จึงขอนำมาฝากคุณพ่อคุณแม่ทุกท่าน … โดยคุณแม่เล่าถึงวิธี ฝึกลูกนอนยาว ว่า เริ่มฝึกครั้งแรกตอนลูกได้ 5 เดือนครึ่ง โดยฝึกเลิกมื้อดึกก่อน เหลือแค่มื้อห้าทุ่มมื้อเดียว แต่น้องยังไม่นอนยาวค่ะ

พอ 7 เดือนครึ่ง ฝึกเลิกมื้อดึกหมด ไม่ให้น้องเข้าเต้าอีก (เต้าล้วน ติดเต้ามากกก) แต่เลิกมื้อดึกก็ใช่ว่าจะนอนยาว ได้ยังตื่นคืนละ 2-3 รอบอยู่ แต่ไม่ได้ตื่นมาขอกินนม ตื่นมาร้องเพราะนอนต่อเองไม่ได้ แม่ก็ได้แต่คาดหวังว่าถึงเวลาคงจะนอนยาวเอง แต่ 4 เดือนผ่านไป ไม่มีอะไรดีขึ้น ประกอบกับเห็นหลายบ้าน 2-3 ขวบแล้วยังตื่นกลางดึกอยู่เลย แถมบ้านนี้น้องนอนแยกห้องอีก แม่ไม่ไหวจะมาอุ้มออกจากเตียงและกล่อมนอน 😴 ต้องทำอะไรสักอย่าง
แล้วก็มาเริ่มเทรนให้น้องนอนยาวอีกทีตอน 11 เดือนครึ่ง โดยแม่ได้ศึกษาวิธีการฝึกนอนต่างๆ ข้อดี ข้อเสีย และแม่ก็มาจบที่ Ferber ค่ะ ไม่โหดเกินไป มีการ check-ins เรื่อยๆ เทรนน้องนอนยาวแม่ต้องใจแข็งกว่าเลิกมื้อดึกอีกค่ะ เพราะเรากล่อมน้องไม่ได้เลย ปล่อยให้น้องร้อง และเราค่อยเข้าไปเช็คทุกๆ 5-15 นาที แต่ไม่เกิน 30 นาที
(หมายเหตุ : ก่อนที่พ่อแม่จะแยกห้องลูกทารกต่ำกว่า 1 ขวบ ควรศึกษาเรื่อง safe sleep)
ฝึกลูกนอนยาว
ตารางการ check-ins สำหรับวิธี ฝึกลูกนอนยาว แบบ Ferber
การเทรนให้นอนยาวคือการเทรนให้น้องนอนเองได้หลังจากเขาตื่นแล้วค่ะ บางคนลืมตาตื่นยื่นขึ้นร้อง นั่งลง นอนลงเองไม่ได้ (บ้านนี้ค่ะ😭) กล่อมตัวเองนอนต่อไม่ได้ เลยร้องเรียกเรา เทรนได้ไม่ถึงอาทิตย์ ทุกวันนี้นอนยาวสองทุ่มถึงตีห้าหกโมงเช้าค่ะ (เมื่อเช้านี้นอน 18:30-06:00 เลย) จะมีบ้างที่ตื่นมาบ่นๆแบบในคลิป แต่ล้มตัวลงนอนเองได้ค่ะ (แต่ก่อนล้มลงนอนเองไม่ได้ นั่งหลับ ยืนหลับก็มี)

Posted by Chintana Robertson on Thursday, June 18, 2020

คืนแรกร้อง 1 ชม 45 นาที เช็ค 5 รอบ
คืนที่สองร้อง 10 นาที เช็คครั้งละ 5 นาที 2 รอบ
คืนที่ 3,4,5 ร้อง ไม่เกิน 10 นาที
พอตื่นกลางคืน แม่ก็เข้าไปวางเขานอนลง ปล่อยให้ร้องสักพัก เช็คดูว่าเพิสไม่เปียก น้องโอเค ก็ปล่อยร้อง แม่ทนฟังไปค่ะ เเล้ว check in ตามเวลาที่กำหนด จนกว่าเขาจะนอนเอง ปกติ check ins ต้องไม่เกิน 1 นาที ตอนนี้จะสองอาทิตย์ แม่คิดถูกค่ะที่ฝึกน้อง วางน้องลงนองชู่ๆ 5-10 นาทีก็นอนเอง ตื่นเช้ามาสดใส ยิ้มแฉ่ง ลืมไปว่าเมื่อวานโกรธแม่แค่ไหน 😆
ปล1. ทิปของแม่ (ได้จาก sleep training consultant) คือการไม่ให้นมจนน้องนอนค่ะ ให้เปลี่ยน Routine เช่น กินข้าว> อาบน้ำ> กินนม> แปรงฟัน> อ่านนิทาน แล้ววางน้องลงนอนตอนน้องง่วงนอนแต่ยังตื่นอยู่นะคะ ไม่ใช่ว่าตอนกำลังหลับๆอยู่ เพราะเวลาน้องหลับแล้ววางน้องลง น้องตื่น ทำให้วงจรการนอนของน้องหยุด น้องเลยตื่นร้องและทำให้น้องหลับอีกยากค่ะ แถมไม่ได้ฝึกกล่อมตัวเองนอนอีก เพราะเขานอนหลับได้เพราะดูดนม บ้านนี้วางน้องลงนอน แรกๆงงหน่อย ลุกนั่งร้อง หลังๆวางลงนอน กอดตุ๊กตา นอนเองเลยค่ะ แรกๆถ้าทำใจไม่ได้ก็อยู่กับเขา กล่อมๆเขาไปก่อนก็ได้ค่ะ แต่ไม่อุ้มออกจากที่นอนนะคะ ให้เขากลับไปนอนหลับเองค่ะ แม่ต้องมั่นคง ไม่เขว ทำสม่ำเสมอ ถ้า 2 อาทิตย์ไม่ดีขึ้น ก็ต้องมาดูว่าเราทำผิดอะไร ใช้วิธีอื่นดีไหม ปกติ 3-4 วันก็เริ่มเห็นผลในทางที่ดีขึ้นค่ะ

Posted by Chintana Robertson on Thursday, June 18, 2020

ปล2. แม่ไม่ได้ทำ cry it out (Extinction) นะคะ อันนั้นแม่ทำใจไม่ได้ คือเอาลูกวางลงนอนแล้วไม่เข้าไปเช็คเลยจนเช้า แต่สำหรับเด็กบางคน การเข้าไปเช็คก็ทำให้เขาร้องหนักกว่าเดิม บางบ้านเลยใช้ Extinction ไปเลย หรือให้พ่อเข้าไปเช็คค่ะ
ปล3. ไม่ควรให้น้องเหนื่อยเกินไปนะคะ ถ้า wake windows นานเกินไป น้องจะนอนยากและตื่นบ่อยค่ะ แม่ๆลองหาข้อมูล wake windows ของเด็กแต่ละวัยได้ในกูเกิ้ลนะคะ
การให้น้องนองยาวนอกจากจะเป็นผลดีกับน้อง growth hormone หลั่งดี น้องตื่นมาสดชื่อ แม่ได้พักผ่อน แม่ก็จิตใจดี เต็มที่กับลูกได้ด้วยค่ะ แม่ๆลองเข้ากลุ่ม sleep training support group ดูได้นะคะ

ฝึกลูกนอนยาว

จะเห็นได้ว่าเทคนิค ฝึกลูกนอนยาว ของคุณแม่ท่านนี้คือใช้ได้ผลจริงๆ ซึ่งทีมแม่ ABK ขอเสริมอีกนิดนอกจากหลักการ ฝึกลูกนอนยาว ให้ลูกหัดกล่อมตัวเองจนหลับได้ เมื่อตื่นร้องขึ้นมากลางดึกแล้ว การสร้างบรรยากาศให้เหมาะกับการนอนในห้องของลูกน้อยก็เป็นเรื่องสำคัญ ถือเป็นตัวช่วยอย่างนึงที่จะทำให้ลูกน้อยของคุณนอนได้ยาว เช่น ไม่ปรับแอร์ให้หนาวเกินไปหรือร้อนเกินไป ไม่เปิดทีวีรบกวนการนอนของลูก ไม่ทำเสียงดังหรือเปิดไฟ เพราะอาจทำให้ลูกสะดุ้งตืนขึ้นมาได้ แต่อาจเปิดไฟสลัวๆ ไม่สว่างมาก ไว้พอมองให้เห็น

รวมไปถึงปล่อยให้ลูกเล่นซนเต็มที่ในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งคุณอาจชวนลูกเล่นหรือทำกิจกรรมเยอะๆ ปล่อยให้เล่นซนเต็มที่เมื่อถึงเวลานอนในตอนกลางคืน ลูกๆจะหมดแรงทำให้หลับได้เร็วและนอนได้ยาวนานขึ้นค่ะ และสิ่งสำคัญของการฝึกฝนลูกน้อยนั้น ต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอทุกๆวันจนลูกคุ้นเคยกับกิจวัตรนั้น ซึ่งการฝึกอาจต้องใช้เวลานานคุณพ่อคุณแม่ต้องอดทน อย่าเครียดหรือกดดันตัวเองและลูกมากเกินไปนะคะ


ขอบคุณข้อมูล ภาพ และคลิปจากคุณแม่ Chintana Robertson

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

รวม ตารางการเลี้ยงลูก ครบทั้งการกิน-นอน และพัฒนาการเติบโตของร่างกาย

แม่แชร์เทคนิคจากหมอญี่ปุ่น! 5 วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

“ฝึกลูกนอนคว่ำ” อันตราย! เสี่ยงขาดอากาศหายใจ

เรียกคืนแล้ว! เปลไกวไฟฟ้า คร่าชีวิตทารก 32 คนในสหรัฐฯ

5 เคล็ดลับสร้างนิสัย “การนอนของทารก” ให้มีประสิทธิภาพ

ทรงผมลูกชาย2020

รวม 60 ทรงผมลูกชาย2020 ตัดตามเทรนด์ปังได้ไม่มีเบื่อ

Alternative Textaccount_circle
event
ทรงผมลูกชาย2020
ทรงผมลูกชาย2020

ถึงส้มจะหยุด แต่เทรนด์ ทรงผมลูกชาย2020 ไม่หยุด ความหล่อของลูกต้องไม่มีอะไรมากั้น รวมทรงผมสุดปัง อัปเดตล่าสุดฉบับปีมาให้คุณพ่อ และ คุณลูก ได้ลองติดตามกัน เพิ่มความคูล ความเท่ ตลอดปี ว่าแต่จะมีทรงไหนบ้างตามไปดูกันเลยค่า

***ทั้งนี้ภาพแบบทรงผมผู้ชายที่ทีมงาน Amarin Baby & Kids ได้รวบรวมมานั้น จะเน้นเป็นภาพเด็กผู้ชาย เพื่อให้คุณแม่เห็นภาพชัดขึ้น ถ้าจะทำทรงผมลูกชายให้เหมือนคุณพ่อจะหล่อแค่ไหนกัน***

 

ทรงผมผู้ชาย พร้อมรอยบากสุดเท่

ตัดผมตามระเบียนมาหลายเดือน ปิดเทอมทั้งทีลูกขอเลือก ทรงผมผู้ชาย เท่ๆ คูลๆ บ้าง

ทรงผมลูกชาย2020

ทรงผมลูกชาย2020

ทรงผมลูกชาย2020

ทรงผมลูกชาย2020

 

 

 

 

ทรงผมผู้ชาย แนววินเทจ เซ็ทอีกนิดเพิ่มความหล่อ

 

ทรงผมลูกชาย2020

 

ทรงผมลูกชาย2020

เซ็ทเนี้ยบ หล่อเรียบหรู 

ทรงผมลูกชาย2020

 

ทรงเซอ ๆ หวีจัดทรงง่าย

ทรงผมลูกชาย2020
IG : laurencooper0813

ทรงผมลูกชาย2020

ทรงผมลูกชาย2020

ทรงผมลูกชาย2020

ทรงผมลูกชาย2020

ทรงผมลูกชาย2020

ทรงผมลูกชาย2020

ทรงผมลูกชาย2020 ทรงผมลูกชาย2020 ทรงผมลูกชาย2020

 

อย่างไรก็ตาม นอกจาก ทรงผมลูกชาย2020 สุดเท่ที่จัดมาให้เลือกกันแบบเต็มๆ ข้างต้นแล้ว คุณพ่อคุณเเม่ต้องไม่ลืม ดูเเลสุขภาพหนังศีรษะเเละผมของลูกน้อยอยู่เสมอด้วย วิธีการดูเเลหนังศีรษะเเบบง่าย ๆ มาฝาก ดังต่อไปนี้ค่ะ

วิธีการดูเเลหนังศีรษะลูกน้อย เพื่อทรงผมลูกชาย สุดเท่ 

เลี่ยงเเชมพูที่มีสารเคมี  

จุดสำคัญของการสระผมให้ลูก คือการเลือกยาสระผมให้เหมาะสมวัยของลูกน้อย ข้อสำคัญคือหนังศีรษะของเด็กยังไม่เเข็งเเรง คุณพ่อคุณเเม่จึงควรเลือกยาสระผมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติเป็นหลัก ควรเลี่ยงสารเคมีจำพวก ซัลเฟตไซโลเซน, แอลกอฮอล์ และ โพรพิลีนไกลคอล เพราะสารเคมีดังกล่าวมารถทำให้เกิดเซลล์มะเร็งในร่างกายได้

แชมพูที่ปราศจากสารเคมีมักจะมีสารสกัดจากพืชจำนวนมากที่ช่วยบำรุงหนังศีรษะและให้ความเงางามแก่เส้นผมและช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมด้วยการให้ความชุ่มชื้นแก่รูขุมขนจากภายใน

เเชทพูไม่ควรมีส่วนผสมของน้ำหอม 

เเม้กลิ่นหอมของเเชมพู จะเป็นอีกส่วนสำคัญที่เราเลือกใช้เเชมพูนั้น ๆ เเต่สำหรับเเชมพูของลูกน้อยน้ำหอมถือเป็นส่วนผสมที่ควรเลี่ยง เนื่องจากน้ำหอมเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการคะคายเคืองต่อหนังศีรษะ

เลือกค่า PH ที่เป็นกลาง 

ค่า pH เป็นค่าที่แสดงความเป็นกรด-เบส ของสารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ  ระคายเคืองหนังศีรษะ โดยค่า pH จะอยู่ในช่วง 1-14 ถ้าค่า pH น้อยกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นกรด และถ้าค่า pH มากกว่า 7 สารชนิดนั้นก็จะมีฤทธิ์เป็นเบสหรือด่าง แต่ถ้าค่า pH นั้นมีค่าเท่ากับ 7 แสดงว่าสารชนิดนั้นเป็นกลาง

คุณพ่อคุณเเม่จึงควรเลือกยาสระผมที่มีค่า PH ที่เป็นกลาง ไม่มีค่าเป็นกรดหรือด่างสูง เพราะอาจก่อให้หนังศีรษะเกิดอาการแพ้

 


ที่มาของรูปภาพ :  Hair Cut Inspiration  theunstitchd  menshairstylesnow menhairstylist mrkidshaircuts newhairdesign

ที่มาของข้อมูล : burtsbees powerenrichhair

 

ลูกชอบตัดผมตัวเอง สนุกตรงไหนนะ

ทรงผมลูกชาย เท่ ๆ ตัดง่ายๆ ไม่แหว่งไม่เจ็บ ด้วยสิ่งนี้…!?

10 เทคนิคพาเจ้าเตาะแตะไปตัดผม ให้ราบรื่น

16 ความลับของทารก แม่อาจไม่เคยรู้ หนูทำได้ตั้งแต่เกิด!!

Alternative Textaccount_circle
event

ใครจะนึกว่า ลูกเบบี๋แรกเกิดตัวกลมน่ากอด ที่ร้องให้แม่คอยดูแลอุ้มชูตลอดเวลา จะซ่อน ความลับของทารก ความสามารถที่หนูน้อยทำได้ตั้งแต่แรกเกิดไว้มากมาย จนคนเป็นแม่อยากเราคิดไม่ถึง มาดูกันว่าภายใต้แววตาใสซื่อน่าหลงใหลลูกน้อยมีความจริงอันน่าทึ่งที่พ่อแม่อาจไม่เคยรู้มาก่อนมีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

ความลับของทารก น่าทึ่งที่ซ่อนอยู่ในเบบี๋ตัวน้อย

ออกมาเต้น

ใครจะเชื่อว่าลูกน้อยตัวนิดเดียวจะเป็นขาแดนซ์มาตั้งแต่เกิด มีการศึกษาหลายชิ้นระบุว่าทารกเกิดมาพร้อมกับการรับรู้จังหวะ แม้ช่วงเดือนแรกจะขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้เต็มที่ แต่สามารถตอบสนองต่อจังหวะ และเสียงเพลงได้เป็นอย่างดี มิหนำซ้ำเด็กสนใจเสียงเพลงมากกว่าเสียงพูดของแม่ด้วยซ้ำ

 

ความลับของทารก

พร้อมดำน้ำ

หนึ่งใน ความลับของทารก สุดมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งคือ ทารกทุกคนเกิดมาพร้อมกับ “ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ระหว่างดำน้ำ” หมายถึงการที่ร่างกายสามารถปรับตัวอัตโนมัติขณะอยู่ใต้น้ำเพื่อลดการใช้ออกซิเจน โดยหัวใจจะเต้นช้าลง หนูน้อยจึงสามารถกลั้นหายใจได้นาน และว่ายน้ำได้ทั้งที่ไม่เคยเรียน ที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ ทารกยังหายใจและกลืนไปพร้อมๆ กันในช่วง 2 – 3 เดือนแรก เด็กๆจึงสามารถดูดนมแม่ หายใจเข้าออกและกลืนไปด้วยได้โดยไม่สำลัก  ทักษะเหล่านี้เกิดขึ้นตอนอยู่ในท้อง แต่ละหายไปเมื่ออายุครบ 6 เดือนที่พร้อมจะกินอาหารเสริม

ทารกตัวเล็กที่มีกระดูกถึง 300 ชิ้น

ทารกแรกเกิดมีกระดูกมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 94 ชิ้น แล้วกระดูกที่มากมายนี้หายไปไหน? คำตอบคือกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อยจะ ค่อยๆ เชื่อมต่อกับกระดูกที่อยู่ติดกันเพื่อรองรับขนาดร่างกายและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโต

มีแต่ทารกของมนุษย์เท่านั้นที่ยิ้มได้

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ยิ้มให้กับพ่อแม่ได้ตั้งแต่ยังเป็นทารก น่าชื่นใจจริงๆ

ความลับของทารก

ทารกไม่มีสะบ้าเข่า

ทารกแรกเกิดมีอวัยวะครบทุกส่วนเหมือนผู้ใหญ่อย่างเราหรือเปล่า แล้วจะเป็นอันตรายไหม เบบี๋เกิดมาไม่มีกระดูกสะบ้า ซึ่งอยู่บริเวณหัวเข่า เพราะกระดูกส่วนนั้นยังไม่พัฒนาจนกลายเป็นกระดูกแข็งๆจนกว่าลูกมีอายุราว 3 -5 ปี

ลูกน้อยฉี่เก่ง ประมาณ 3,360 ครั้งในขวบปีแรก

ทารกแรกเกิดจะปัสสาวะทุกๆ 20 นาทีจนกระทั่งกระเพาะปัสสาวะใบน้อยๆ ใหญ่พอจะเก็บปัสสาวะได้มากขึ้น จึงไม่แปลกที่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ใส่จะตุงแน่นหลังใส่ไปไม่กี่ชั่วโมง คุณแม่ควรเปลี่ยนให้บ่อยๆเพื่อป้องกันความอับชื้น สาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยไม่สบายตัว

สีแดงคือสีสันแรกที่ทารกรู้จัก

ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า ทารกแรกเกิดมองเห็นเฉพาะสีดำ ขาว และเทา ในขณะที่อีกกลุ่มบอกว่า เจ้าตัวน้อยมองเห็นความเข้มของสีอื่นได้แต่ว่าเบลอมาก ถ้าถามว่าสีสันแรกที่ทารกรู้จัก คำตอบคือ สีแดง ส่วนสีสุดท้ายคือสีฟ้าและสีม่วง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

โตเร็วเหลือเชื่อ

เบบี๋จะหนักกว่าตอนแรกคลอด 2 เท่าในเดือนที่ 5 และหนักเป็น 3 เท่าในช่วงปีแรกโดยประมาณ

สูงขึ้น 1-1.5 เซนติเมตรในแต่ละเดือน

ร่างกายที่สูงขึ้นขนาดนี้ถือเป็นอัตราที่สูงมาก หากคิดเล่นๆ ว่าผู้ใหญ่คนหนึ่งสูงขึ้นในอันตราเท่ากับทารก เราจะสูงไปถึง 51 เมตรเลยทีเดียว

ทารกแรกเกิดไม่มีน้ำตา

ทารกร้องไห้เก่ง และร้องบ่อยช่วงแรกเกิด แม่รู้ไหมว่า ลูกกำลังซ่อน ความลับของทารก อย่างหนึ่งเอาไว้ นั่นคือ พวกเขาไม่ได้มีน้ำตาออกมาจริงๆ น้ำตาหยดแรกของลูกจะเกิดขึ้นเมื่ออายุได้ราว 3 สัปดาห์ ในทางกลับกัน คุณแม่หลังคลอดซึ่งมีฮอร์โมนและอารมณ์แปรปรวน ะมักจะร้องไห้บ่อย ร้องหนักแทนลูกในช่วง 2-3 วันแรก

กระเพาะเท่าลูกเชอร์รี่ ความลับของทารก

กระเพาะของลูกน้อยแรกเกิดขนาดเล็กจิ๋วเทียบเท่าผลเชอร์รี่เท่านั้น จึงไม่แปลกที่ลูกจะร้องขอกินนมบ่อยๆ เพราะกินแค่นิดเดียวก็เต็มกระเพาะ และย่อยหมดในเวลาไม่นาน

ผมลูกจะร่วงหมดหลังคลอด

ผมบนศีรษะของลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดจะค่อยๆหลุดร่วงไปมีผมเส้นใหม่ทยอยขึ้นมา กระบวนการผลัดเปลี่ยนผมทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นตอนลูกอายุได้ราว 4 เดือน  ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับผมของคุณแม่ที่จะร่วงจนน่าตกใจ หรือที่เรียกว่า “แม่ผมร่วงเพราะลูกจำหน้าแม่ได้” เพราะระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง

ความลับของทารก

นอนนานถึง5,400 ชั่วโมงตลอดขวบปีแรก

1ปีมี 8,760 ชั่วโมง การที่ทารกนอนไปเสีย 5,400 ชั่วโมงนั้นถือว่าเยอะมาก แต่อย่าลืมว่ารอบหนึ่งทารกนอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น โดยเฉพาะช่วงสามเดือนแรก อย่างไรก็ตาม นีคือการประมาณแบบคร่าวๆเท่านั้น แถมเด็กแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน หลายคนไม่ค่อยชอบนอนหลับ นอนหลับยาก บางครั้งอาจมีช่วงตื่นยาวถึง 8 ชั่วโมง

วัดใจพ่อแม่ด้วยการให้อดนอนยาวถึง 44 คืน

นี่อาจเป็นข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการของประเทศอังกฤษ ระบุว่า พ่อแม่มือใหม่จะต้องอดนอนราวๆ 44 คืนต่อเนื่องกัน ก่อนที่ลูกน้อยจะเริ่มปรับตัวและมีรูปแบบการนอนที่สม่ำเสมอได้

หนูรู้จักแค่รส “หวานกับเปรี้ยว” เท่านั้น

ความลับของทารกเกี่ยวกับการรับรู้รสชาติต่างๆ เป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่เคยรู้ว่า ลูกน้อยจะยังไม่รู้จักรสเค็มจากน้ำปลา หรือเกลือจนกว่าอายุครบ 4 เดือน ไม่เชื่อลองเอาน้ำมะนาวแตะปลายลิ้นเบบี๋ดูก็ได้ว่าจะทำหน้าหยี หลับตาปี๋หรือเปล่า

อวัยวะเพศใหญ่กว่าปกติ

ถ้าบ้านไหนมีลูกชาย ลองสังเกตจุ๊ดจู๋ของลูกดูจะพบว่ามีขนาดใหญ่เป็นพิเศษในช่วงแรกเกิด ซึ่งเกิดจากอาการบวมน้ำ และจะค่อยๆ ลดขนาดลงมาเอง ขณะที่ศีรษะและดวงตาของเด็กๆจะมีขนาดใหญ่โตในช่วงขวบปีแรก

ว่ากันว่าธรรมชาติออกแบบมาให้ทารกดูน่ารักบ้องแบ๊วเป็นพิเศษในช่วงแรกเกิด เพื่อดึงดูดความสนใจของพ่อแม่มากพอที่จะดูแลลูกน้อยอย่างดีที่สุด โดยศีรษะทารกจะมีขนาด 1 ใน 4 ส่วนของร่างกาย ขณะที่กะโหลกศีรษะผู้ใหญ่มีขนาดเพียง 1 ใน 7เท่านั้น ส่วนตาของทารกน้อยนั้นมีขนาดใหญ่เท่ากับ 75 %ของดวงตาผู้ใหญ่เลยทีเดียว

สุดยอด ความลับของทารก เหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความมหัศจรรย์ดเท่านั้น เพราะตลอดช่วงขวบปีแรกของลูกน้อย จะเปิดประสบการณ์ครั้งใหม่ของพ่อแม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำดี เรื่องราวน่าประทับใจ และการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นที่กำลังรอคุณพ่อคุณแม่อยู่อีกมากมาย


แหล่งข้อมูล  www.pbcexpo.com.au     www.mother.ly

 

 

7 ภาษากายลูก ที่พ่อแม่ทุกคนควรรู้

 

20 อาการปกติของ ทารกแรกเกิด ที่พ่อแม่ควรรู้มีอะไรบ้าง?

 

พ่อแม่ต้องรู้!! 3 สิ่งควรทำเมื่อ เลี้ยงลูกขวบปีแรก

คนเป็นแม่

25 เรื่องสุดว้าว คนมีลูกชาย ต้องรู้

account_circle
event
คนเป็นแม่
คนเป็นแม่

คนมีลูกชาย ต้องรู้ไว้อาจมีเรื่องสุดเซอร์ไพรส์ให้แม่ประหลาดใจได้ทุกวัน  นอกจากการมีลูกชายจะทำให้คุณปู่ย่าตายายยิ้มแก้มปริที่มีหลานไว้สืบสกุลแล้ว  คุณแม่เองยังมีหนุ่มตัวน้อยๆมาคอยตามแจ ออดอ้อนหยอดคำหวานเหมือนสมัย Fall in love กับคุณพ่อใหม่ๆ

คนมีลูกชาย ต้องเจอกับ 25 เรื่องสุดเซอร์ไพรส์ ที่ทำให้แม่ต้องยิ้ม

แต่รู้ไหมเจ้าลูกชายมีเรื่องมากมายให้ประหลาดใจไม่หยุดหย่อน มาดู 25 เรื่อง สุดเฟี้ยวของลูกชายที่ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องเจอ จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันเลย

ช้างน้อยของลูกเปลี่ยนขนาดได้

เมื่อแรกคลอด คุณพ่อหลายๆ คนอาจปลื้มใจที่เห็นว่าช้างน้อยของลูกนั้นมีขนาดใหญ่เกินตัว จนเผลออวดใครๆว่า “ได้จากพ่อล้วนๆ” แต่ความจริงเกิดจากของเหลวในร่างกายทารกแรกเกิดยังมีปริมาณมาก พอผ่านไปสัก 10 วัน องคชาติและอัณฑะของลูกน้อยจะค่อยๆหดเล็กลงกลายเป็น “ช้างจิ๋ว” จนมีขนาดสมวัย

สมองของเด็กผู้ชายแตกต่างจากตอนเกิด

มาร์กาเร็ต แมคคาร์ธี อาจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ได้ให้ข้อมูลว่า เมื่อแรกเกิดทารกเพศชายมีจำนวนฮอร์โมนเทสโทนเตอโรนไล่เลี่ยกับผู้ชายอายุ 25 ปี และจะลดระดับลงทันที ถามว่าทำไมต้องมีระดับฮอร์โมนสูงขนาดนั้นด้วย คำตอบคือฮอร์โมนชนิดนี้ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับช่องว่างระหว่างเซลล์สมอง จึงเป็นที่สังเกตได้ว่าสมองของทารกเพศชายโดยเฉลี่ยจะใหญ่และหนักกว่าสมองของทารกหญิง 10-15% ในช่วงแรกเกิด

คนมีลูกชาย

ลูกชายเจ็บป่วยจากการบาดเจ็บมากกว่าโรคภัย

สถิติจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคประเทศสหรัฐฯ อเมริการะบุว่า เด็กผู้ชายเข้าห้องฉุกเฉินบ่อยกว่าเด็กผู้หญิง ส่วนใหญ่มักได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ คอ และใบหน้า เพราะความซนสุดขีดตามสัญชาตญาณ ส่วนเด็กผู้หญิงมักต้องเข้าห้องฉุกเฉินด้วยอาการป่วยอย่าง มีไข้ ไอ อาเจียน เจ็บหูหรือติดเชื้อในหู คนมีลูกชาย ต้องไม่ลืมซื้อประกันอุบัติเหตุไว้ล่วงหน้า

วุ่นที่สุดตอนเปลี่ยนผ้าอ้อม

แม้การทำความสะอาดหลังขับถ่ายของเด็กผู้หญิงจะต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อทางปัสสาวะที่เกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ความจริงแล้ว คนมีลูกชาย เองก็ใช้เวลาดูแลเรื่องความสะอาดหลังเปลี่ยนผ้าอ้อมไม่ต่างกัน เพราะต้องรูดเปิดปลายหุ้มอวัยวะเพศมาทำความสะอาดทุกครั้งที่เปลี่ยนผ้าอ้อม รวมถึงการเช็ดอึต้องระวังไม่ให้เปื้อนปลายหนังหุ้ม เพราะอาจติดเชื้อได้ ต้องระวังไม่ให้อึเปื้อนปลายอวัยวะเพศซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อได้

เปื้อนฉี่ลูกชายเป็นเรื่องธรรมดา

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้คุณแม่หงุดหงิดใจอยู่บ่อยๆ ระหว่างเปลี่ยนผ้าอ้อมเจ้าลูกชายมักฉี่รดทุกครั้ง เพราะเขาพร้อมจะฉี่ได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกทิศทาง ทางที่ดีที่สุดคุณแม่ต้องตะปบผ้าอ้อมผ้าอ้อมหัวก๊อกของลูกให้ไว หรือรีบพับก๊อกเก็บในผ้าอ้อมก่อนอย่างรวดเร็ว

คนมีลูกชาย

ลูกผู้ชายมองเห็นไม่เหมือนลูกสาว

งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า ดวงตาของลูกชายมีเซลล์ที่ใช้ในการมองเห็นความเคลื่อนไหว ทิศทาง และความเร็วจำนวนมาก ขณะที่ดวงตาของลูกสาวมีเซลล์สำหรับจำแนกสีและพื้นผิวมากกว่า จึงไม่แปลกที่เด็กผู้ชายจะสามารถเล่นกีฬา และขับขี่ยานพาหนะได้ดี แต่กลับสังเกตแยกเฉดสีที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยไม่ออก  นอกจากนี้ตาของเด็กชายตอบสนองกับสีโทนเย็น อย่างเช่น สีฟ้าและเทา ในขณะที่เด็กผู้หญิงมักชอบสีโทนอุ่น อย่างเช่น สีแดง เหลือง และส้ม

เด็กผู้ชายครองโลก

หากนับจำนวนเด็กๆ ทั่วโลก จะพบว่ามีเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงในอัตราส่วน 107 : 100 คน แต่ตัวเลขนี้จะไม่ยั่งยืนเสมอไป เพราะจำนวนของเพศชายและหญิงจะแปรผันไปในช่วงอายุ 30 และ 75 ปี โดยในช่วงวัยชรากลับพบว่ามีจำนวนผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและมีอายุที่ยืนยาวกว่า

“นมแม่” ให้ประโยชน์กับลูกชายมากกว่าลูกสาว

ใครๆก็บอกว่าเด็กผู้ชายกินนมเก่ง นอกจากปริมาณแล้วร่างกายของหนุ่มน้อยยังนำสารอาหารจากนมแม่ไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเด็กผู้หญิงอีกด้วย งานวิจัยของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย พบว่านมแม่อาจให้ประโยชน์กับเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง จากการเปรียบเทียบผลการเรียนของเด็กอายุ 10 ขวบที่กินนมแม่หรือนมผสมในสมัยเป็นทารก พบว่า โดยเฉลี่ยเด็กทารกที่กินนมแม่มีจะมีผลการเรียนมาตรฐานที่ดีกว่าใน 10 ปีให้หลัง และที่น่าสนใจคือนมแม่ให้ประโยชน์กับเด็กผู้ชายมากที่สุด เมื่อเทียบกับเด็กผู้หญิงที่กินนมแม่เช่นกัน ทำให้เด็กชายจะมีผลการเรียนที่ดีกว่าอย่างมีนัยยะสำคัญ

ทำไมเด็กผู้ชายหูตึง เรียกไม่ค่อยได้ยิน

การศึกษาจากมหาวิทยาลัยลุยเซียนาสเตต เรื่องการได้ยินของเด็กชายและเด็กหญิงจำนวน 350 คน พบว่าลูกสาวแรกเกิด ได้ยินเสียงไวกว่าลูกชาย โดยเฉพาะในช่วงคลื่น 1,000-4,000 เฮิร์ซ ซึ่งเป็นระดับของการแยกแยะเสียงพูด นอกจากนี้ยังมีการศึกษาต่อเนื่องจากสถาบันจักษุและโสตแห่งพิตซ์เบิร์ก ระบุว่าการได้ยินเสียงแตกต่างกันของทั้งสองเพศนั้นอาจเกิดจากลักษณะทางกายภาพ โดยเด็กผู้หญิงจะกระดูกหอยโข่งในช่องหูสั้นกว่าเด็กชาย จึงได้เสียงแม้เพียงเล็กน้อยได้ดีกว่า นี่เป็นคำตอบให้ คนมีลูกชาย ได้ว่า ทำไมเรียกเท่าไรลูกชายก็ไม่หันสักที

คนมีลูกชาย

ชอบมองการเคลื่อนไหวมากกว่ามองคน

กลุ่มนักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ทดลองให้เด็กชายอายุ 12 เดือน เลือกมองระหว่างกลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกัน กับที่ปัดน้ำฝนกำลังเคลื่อนไหว ผลปรากฎว่าเด็กชายส่วนใหญ่ชอบมองที่ปัดน้ำฝน เพราะมันดึงดูดใจกว่าการได้ยินแค่เสียงคนคุยกันเป็นไหนๆ

พูดช้ากว่าเด็กผู้หญิง

เด็กผู้หญิงมักจะมีทักษะทางภาษาดีกว่าเด็กผู้ชาย พูดได้เร็วกว่า มีคลังคำมากกว่า และใช้รูปประโยคที่ซับซ้อนได้มากกว่า แต่ไม่ต้องกังวลเพราะในช่วงชั้นประถม เด็กผู้ชายสามารถไล่ตามความสามารถนี้ได้ทันอย่างรวดเร็ว

ลูกชายฉันมีพัฒนาการเร็วกว่าใคร

คุณแม่หลายคนเชื่อว่าลูกชายตัวเองสามารถ คลาน ยืน กระโดด หรือเดินได้เร็วกว่าลูกสาวในวัยเดียวกัน เพราะความซุกซน อยู่ไม่นิ่ง และท่าทางทะมัดทะเมง แต่งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร  Journal of Experimental Psychology เผยความจริงให้รู้ว่า ไม่ว่าจะเด็กเพศไหนก็ทำสิ่งเหล่านี้ได้ในช่วงอายุเท่ากัน

ลูกชายรู้สึกเห็นอกเห็นใจคนอื่นน้อยกว่า

ไม่ใช่ว่าเด็กผู้ชายไม่น่ารัก แต่เด็กผู้ชายจะแสดงความเข้าใจอารมณ์และเห็นใจผู้อื่นได้ไม่ดีเท่าเด็กผู้หญิง ความแตกต่างนี้เริ่มต้นตั้งแต่ยังเล็กและยิ่งชัดเจนเมื่อเด็กโตขึ้น  ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักความอ่อนโยน เมตตากรุณา และเห็นใจผู้อื่นเพื่อไม่ให้โตขึ้นเป็นผู้ชายที่แข็งกร้าวเกินไป

คนมีลูกชาย

ตั้งชื่อลูกชายยากกว่าลูกสาว

ชื่อเล่นของเด็กลูกชาย ฟังอย่างไรก็ไม่น่ารัก และต้องเสียเวลาคิดนานสักหน่อย บางครั้งตั้งมาแล้วดูหวานเกินไปจนคนเข้าไปผิดว่าเป็นเด็กผู้หญิงอีกด้วย

จำเป็นตั้งชื่อน่ารักๆ ให้กับจุ๋ดจู๋ของลูก

คงไม่มี คนมีลูกชาย บ้านไหนเรียกอวัยวะเพศของลูกชายต่อหน้าเด็กว่า “องคชาติ” แต่ละบ้านจะที่มีสรรพนามไว้เรียกขานอวัยวะเพศของลูกต่างกันไป เช่น ช้างน้อย จุ๊ดจู๋ ปิกาจู อย่างไรก็ตาม การตั้งชื่ออวัยวะเพศจะช่วยให้ลูกรู้จักและเข้าใจอวัยวะนี้ของตัวเองได้ง่ายกว่าชื่อทางการเป็นไหนๆ

มุกตดๆ ตลกที่สุด

เด็กผู้ชายวัยประถมเล่นตลก ล้อเลียนในห้องน้ำกันมาก จริงๆ พวกเขาเริ่มหยิบเอาเรื่องการผายลม ยืนฉี่ หรือขนาดของจุ๋ดจู่มาพูดเล่นตั้งแต่วัยอนุบาลด้วยซ้ำ ลูกชายชอบคิดว่าตดเป็นสนุกและตลกมากๆ ยิ่งถ้าตดแล้วเป็นฟองบุ๋งๆในอ่างน้ำด้วยละก็ จะหัวเราะคิกคักชอบใจใหญ่เชียว

ทุกอย่างคืออาวุธ

ดูเหมือนว่าเด็กผู้ชายชอบของเล่นสไตล์ปืนผาหน้าไม้, มีด, ดาบ มาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าสิ่งของจะเป็นอะไรก็สามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธสำหรับตีใช้ฟาดให้หัวปูดหัวโนได้หมด แม้ว่าจะเก็บบ้านจนเรียบแล้ว แต่เจ้าลูกชายสามารถหยิบ “หัวไช้เท้า” มาแปลงเป็นกระบอก ไล่ฟาดทุกสิ่ง (และทุกคน) ได้อยู่ดี พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องน่ากังล เพราะเมื่อโตขึ้นก็จะหายไปเอง

ช่างซ่อมใหญ่ประจำบ้าน

นิสัยชอบแงะแกะรื้อของเด็กผู้ชาย ทำให้พวกเขาดูเหมือนจะมีแววโตเป็นช่างซ่อมใหญ่ในอนาคต โดยเฉพาะเครื่องใช้ต่างๆ ลำโพง โทรศัพท์ กล้องถ่ายรูป ถึงไม่เสียแต่ลูกชายก็อยากหยิบมาซ่อมทันที ถ้าลูกฉายแววช่างเมื่อไร แนะนำให้คุณแม่เตรียมของใช้พังๆ กับไขควงสักชิ้นให้เขาได้ถอดประกอบเพลินๆ ฝึกสกิลช่าง ดีกว่าหยิบของใหม่มาเกินตอนที่แม่ไม่รู้ตัว

พร้อมแปลงร่างเป็นบอดี้การ์ดตลอดเวลา

ทำกับข้าวอยู่ดีๆ คุณแม่อาจต้องสลัดผ้ากันเปื้อนทิ้งไปสวมชุดเกราะไปคุมกันเจ้าลิงน้อยที่กำลังเล่นพิเรนทร์  ไม่ว่าจะเป็น ปีนเครื่องซักผ้า ขี่เครื่องดูดฝุ่น  ปีนป่ายบันได หรืออะไรอีกหลายอย่างตั้งแต่ที่เขาเดินก้าวแรกได้ เพราะเด็กผู้ชายมีสัญชาตญาณในการท้าทายความอันตรายที่ อยากสำรวจทุกอย่างที่ไม่ควรจะเข้าไปอยู่ใกล้ คุณพ่อคุณแม่จึงรับหน้าที่เป็นบอดี้การ์ด คอยป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง

ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพ่อแม่ด้วยว่าจะปล่อยให้ลูกเล่นได้เสี่ยงแค่ไหน เพราะความเสี่ยงก็ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกเช่นกัน ทางที่ดีควรลงทุนซื้ออุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย อย่างเช่น ราวกั้น ที่อุดรูปลั๊ก หรือยางหุ้มขอบโต๊ะมาติดบ้านไว้บ้างก็ดี

ยอดมนุษย์ลูกชาย

หากความฝันของลูกสาวคือเจ้าหญิงดิสนีย์แสนสวย ความฝันของลูกชายก็คือเหล่าซูเปอร์ฮีโร่จากทุกค่ายมัดรวมกัน ให้กลายเป็นขุมพิเศษสร้างความชุลมุนให้ทั้งบ้านได้ตลดเวลา ถึงซนแค่ไหนก็อย่าเผลอไปห้าม หรือขัดระหว่างที่กำลังสวมบทยอดมนุษย์เชียว เพราะนั่นคือพื้นฐานของการเป็นลูกผู้ชายในตัวลูก

มีเสื้อผ้าให้เลือกน้อย

สิ่งหนึ่งที่ คนมีลูกชาย ต้องทำใจ คือเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว ที่มีให้เลือกน้อยกว่าลูกสาวหลายเท่า ตามห้างร้านต่างๆ เสื้อผ้าเด็กผู้หญิงจะกินพื้นที่ราว 2 ใน 3 ในขณะที่เสื้อผ้าเด็กผู้ชายวางอยู่ตรงมุมเล็กๆ ด้านหลัง ที่น่าสงสารกว่านั้นคือ แฟชั่นก็แทบไม่เปลี่ยนเลยตลอด 20 ปี ตัวเลือกของชุดออกงานจะมีเสื้อกั๊ก สูท หูกระต่าย ชุดลายตารางหมากรุก เสื้อยืดลายไดโนเสาร์ ฟุตบอล กับซูเปอร์ฮีโร่ แต่ถ้ามองในแง่ดี ลูกชายก็ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้เยอะ

ซื้อรองเท้าเมื่อไหร่เลือกได้ไม่หยุด

สำหรับคุณพ่อสายกีฬาคงได้ยิ้มออกบ้างเมื่อลูกชายถึงวัยใส่รองเท้าได้ เพราะรองเท้าแบรนด์เนมกีฬาชื่อดังทั้งหลายจะขยันออกรองเท้าผ้าใบและกีฬาคอลเล็คชั่นใหม่เอาใจ (คุณพ่อของ) เด็กผู้ชายอย่างเต็มที่ เป็นรองเท้าสุดเท่คู่จิ๋วที่พ่อต้องหวั่นไหว

มีเรื่องให้คุณแม่กังวลมากกว่า

คุณแม่มักจะคุ้นเคยกับเรื่องน่ากังวลแบบผู้หญิงๆ ในขณะที่ลูกชายต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่ต่างไป เช่น อันตรายนอกบ้าน การคบเพื่อน การใช้สิ่งเสพติด ความมุทะลุ จึงทำให้แม่ๆรู้สึกกังวลมากกว่า เพราะไม่อินกับความเป็นผู้ชาย อย่างเช่น จะสอนให้ลูกให้เกียรติผู้หญิงอย่างไร จะสอนลูกให้เป็นสุภาพบุรุษอย่างไร ทิ้งความกังวลนี้ไปแล้วมอบให้เป็นหน้าที่ของคุณพ่อเป็นต้นแบบน่าจะดีที่สุด

แมนๆ คุยกับครับ

ลูกชายจะมีสายสัมพันธ์คนละลักษณะกับลูกสาว คุณพ่อคุณแม่อาจต้องจัดการกับการปีน หัวปูน หกล้ม มากกว่าการงอนหรือน้อยใจดราม่า น้ำตาลูกผู้ชายไหลมาแล้วก็แห้งเร็วกว่า แค่ใช้มือปาดน้ำตาก็พร้อมจะกลับไปปีนป่ายต่อได้แล้ว

รักแม่มาก

เรามักจินตนาการว่าเด็กผู้หญิงจะเป็นเพศที่อ่อนโยนกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วลูกชายก็รักแม่ และอ่อนโยนกับแม่มากๆ เช่นกัน ส่วนคนเป็นพ่อกลายเป็นคนที่ลูกเอาไว้พูดคุยและหาเรื่องสนุกทำด้วยกันได้ แต่แม่จะเป็นคนที่ลูกชายรักและอยากออดอ้อนมากที่สุด รู้แบบนี้แล้วยิ้มแก้มปริเลยใช่ไหมคะคุณแม่

ถึงลูกชายตัวน้อยจะแสบจะป่วนแค่ไหน แต่พวกเขาก็มีเรื่องที่ทำให้พวกเรายิ้มและมีเสียงหัวเราะได้เสมอ

แหล่งที่มา: https://bestlifeonline.com
https://www.redbookmag.com
https://www.indiaparenting.com

บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

ท่าไหนได้ลูกชาย กับสูตรทำลูกชาย ซึ่งว่าที่คุณพ่อคุณแม่ต้องลอง!!

 

10 เรื่องที่ พ่อแม่ต้องเจอ เมื่อมีลูกชาย

ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์กลับมาเปิดอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้

Alternative Textaccount_circle
event

 “เชื่อในความมหัศจรรย์” กับปราสาทสุดอลังการ Castle of Magical Dreams ที่ได้ดำเนินการถึงขั้นตอนสุดท้าย พร้อมเปิดตัวต้อนรับเหล่านักผจญภัยปลายปี 2563 นี้

25 มิถุนายน 2563 – เหล่าเพื่อนดิสนีย์และแคสเมมเบอร์ขอต้อนรับเหล่านักผจญภัยทุกท่านสู่การกลับมาอย่างเป็นทางการของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ โดยทางสวนสนุกได้มีมาตรการเรื่องความปลอดภัยและความสะอาดอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการเว้นระยะห่างภายในสวนสนุก เพื่อให้แขกทุกคนได้ #BelieveInMagic หรือ #เชื่อในความมหัศจรรย์ พร้อมผจญภัยและเพลิดเพลินในโลกแห่งเวทมนตร์อย่างไม่ต้องเป็นกังวล

ทางสวนสนุกยังมีกิจกรรมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสที่ได้กลับมาเปิดอีกครั้ง โดยมีคุณสเตฟานี ยัง กรรมการผู้จัดการฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท เป็นผู้เปิดงานบริเวณถนน Main Street ภายในสวนสนุก ซึ่งสามารถมองเห็นปราสาทที่เป็นสัญลักษณ์ของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ได้อย่างเด่นชัด พร้อมกับเหล่าเพื่อนดิสนีย์มากมาย เช่น มิกกี้ เม้าส์ มินนี่ เม้าส์ โดนัลด์ ดั๊ก และ กู๊ฟฟี่ ที่มารวมตัวกันแสดงความยินดีกับการกลับมาเปิดตัวอีกครั้งของสวนสนุก โดยบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สนุกสนานรื่นเริง เพื่อเฉลิมฉลองวันสุดพิเศษนี้

แฟน ๆ ที่ตื่นเต้นกับการกลับมาของสวนสนุกหลังจากที่ปิดไปเป็นเวลาหลายเดือน ต่างได้รับการต้อนรับที่แสนอบอุ่นจากคุณสเตฟานี ยัง และ คุณเมโลดี้ ลึง แบรนด์แอมบาสเดอร์ของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ ณ ประตูทางเข้าของสวนสนุก เพื่อพาทุกคนเข้าไปพบกับความมหัศจรรย์ ซึ่งเป็นมนต์เสน่ห์แห่งสีสันตามแบบฉบับของดิสนีย์อย่างแท้จริง

“ฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับทุกการสนับสนุนที่น่าทึ่งของคนฮ่องกง และความเสียสละของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ รวมไปถึงแคสเมมเบอร์ของเราทุกคนที่ช่วยกันก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้” คุณสเตฟานี ยัง กล่าว “สุขภาพและความปลอดภัยของแขก รวมไปถึงแคสเมมเบอร์ทุกคนจะเป็นสิ่งที่เราคำนึงถึงเป็นอันดับแรก โดยแคสเมมเบอร์ของเราได้ทำงานอย่างหนักในการวางมาตรการที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อให้แขกทุกคนได้เพลิดเพลินไปกับโลกแห่งเวทมนตร์ของเรา”

การกลับมาของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ มีการวางมาตรการอย่างเคร่งครัดด้านสุขภาพและความปลอดภัย ตามที่หน่วยงานสาธารณสุขและรัฐบาลได้กำหนดไว้ โดยสวนสนุกได้จัดทำมาตรการและขั้นตอนพิเศษต่าง ๆ อาทิ การจำกัดจำนวนคนในพื้นที่ แขกทุกท่านต้องทำการจองตั๋วเข้าสวนสนุกล่วงหน้า รวมไปถึง การเว้นระยะห่างในบริเวณที่ต้องเข้าคิว เช่น ร้านอาหาร เครื่องเล่น และ บริการอื่น ๆ พร้อมดำเนินการเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรคภายในสวนสนุก

“การก่อสร้างปราสาท Castle of Magical Dreams ได้ดำเนินการมาถึงช่วงสุดท้าย ด้วยกำหนดการที่จะพร้อมเปิดตัวช่วงปลายปี 2563 โดยปราสาทนี้จะเป็นสัญลักษณ์อันเปล่งประกายแห่งความกล้าหาญ ความหวัง และความเป็นไปได้ ซึ่งจะเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่ในหัวใจของพวกเราทุกคนตลอดกาล” คุณสเตฟานี กล่าวเสริม

ถึงเวลาเพลิดเพลินกับเวทมนตร์จากดิสนีย์

คุณสามารถพบเจอกับเวทมนตร์ของดิสนีย์ ได้ทุกหนแห่งภายในสวนสนุก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเล่น หรือ การแสดง ที่กลับมาให้ทุกคนได้สัมผัสกับประสบการณ์ของความสุขอีกครั้ง นอกจากนี้ ทุกคนควรเตรียมกล้องให้พร้อมเสมอขณะอยู่ในสวนสนุก เพื่อเตรียมเก็บภาพความทรงจำสำหรับการปรากฏตัวของ มิกกี้ เม้าส์ มินนี่ เม้าส์ และผองเพื่อนของเขา เพราะพวกเขาอาจจะโผล่มาเซอร์ไพร์สคุณได้ทุกที่ทุกเวลา!

ชาร์จความสนุกได้ตลอดทั้งวันด้วยอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงสินค้าต่าง ๆ มากมาย ที่รอต้อนรับการกลับมาของทุกคน เพื่อสร้างความทรงจำที่แสนประทับใจกับความสุขในช่วงเวลาแห่งเวทมนตร์ไปด้วยกันอีกครั้ง

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

9 ผลไม้เพิ่มน้ำนม แม่หลังคลอดน้ำนมน้อย ต้องกิน!

event
ผลไม้เพิ่มน้ำนม
ผลไม้เพิ่มน้ำนม

รวม 9 ผลไม้เพิ่มน้ำนม หาซื้อง่าย กินแล้วช่วยบำรุงนมแม่ ให้ไหลมาเทมา แม่หลังคลอดน้ำนมน้อย มีสต็อกจนล้นตู้ จะมี ผลไม้เพิ่มน้ำนม อะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

9 ผลไม้เพิ่มน้ำนม คุณภาพขับเต้า ได้สต็อกแน่นตู้

การให้ลูกน้อยได้กินน้ำนมแม่ยิ่งนานเท่าไรยิ่งดี เพราะ “น้ำนมแม่” ถือเป็นสุดยอดของอาหาร ซึ่งมีสารอาหารครบถ้วนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของลูกน้อย อย่างมหาศาลทั้งทางกายและทางใจ แถมมีเกราะเป็นภูมิคุ้มกันโรคอย่างดีเยี่ยม ช่วยไม่ให้ลูกป่วยง่าย มีพัฒนาการการเรียนรู้ด้านต่างๆได้ดี ดังนั้นการที่คุณแม่มีน้ำนมที่เพียงพอและมีคุณภาพ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ซึ่งปกติแล้วน้ำนมแม่จะมีการผลิตออกมาโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ภายในสัปดาห์แรกหลังคลอด น้ำนมจะออกมาก็ต่อเมื่อมีการกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากลูกน้อย บีบน้ำนม และการปั๊มนม ซึ่งนอกจากวิธีกระตุ้นดังที่กล่าวมาแล้ว อาหาร ก็เป็นตัวช่วยหนึ่งที่ง่ายที่สุดทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมมากขึ้น

หลักการกินของคุณแม่ให้นมลูก ก็จะคล้าย ๆ คุณแม่ท้อง เพียงแต่เพิ่มปริมาณพลังงานอาหารในแต่ละวัน มากกว่าเพื่อสร้างน้ำนมให้พอ ดังนั้นคุณแม่จึงควรกินให้เพียงพอและครบหลัก 5 หมู่ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการลดน้ำหนักในช่วงนี้ด้วย อาหารเพิ่มน้ำนม เช่น โปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ เช่น หมู ไก่ เป็นต้น , สมุนไพรฤทธิ์ร้อน , ไขมันดีและไม่อิ่มตัว , สารอาหารโอเมก้า3 จากปลา อาทิตย์ละ 2 ครั้ง และกินผัก ผลไม้เพิ่มน้ำนม

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

ทั้งนี้อาหารประเภทผักผลไม้นั้นดีต่อสุขภาพของทุกคนอยู่แล้ว สำหรับคุณแม่หลังคลังคลอด การกินผลไม้หรือเมนูอาหารที่มีส่วนประกอบของพืชผักต่างๆ ยังช่วยลดอาการท้องผูก ปรับสมดุลระบบขับถ่าย และเพิ่มน้ำนมให้คุณแม่ได้ด้วย … ดังนั้นเพื่อเป็นแนวทางให้คุณแม่เลือกกินอาหารเพื่อบำรุงน้ำนม ทีมแม่ ABK จึงได้ รวบรวม ผลไม้เพิ่มน้ำนม 9 ชนิด มาแนะนำ ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณเพิ่มน้ำนมของคุณแม่ให้มีคุณภาพคับเต้า ได้สต็อกแน่นตู้แน่นอน จะมีอะไรบ้างมาดูกัน

ฟักทอง

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

มีสรรพคุณในเรื่องของการช่วยบำรุงน้ำนม ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และมีคุณค่าทางอาหารที่อุดมไปด้วย แบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี และฟอสฟอรัส อีกทั้งฟักทอง ยังเป็น ผลไม้เพิ่มน้ำนม ที่สามารถนำมาประกอบได้อาหารคาวและอาหารหวานได้มากมาย เช่น ฟักทองผัดไข่ ฟักทองนึ่ง ฟักทองแกงบวด เป็นต้น

 

มะละกอ

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน A B C ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และมีแคลเซียมสูง รวมทั้งยังมีในเรื่องของเอนไซม์ที่จะช่วยสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย โดยมะละกอจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายของคุณแม่ผลิตน้ำนมได้เป็นอย่างดี แถมยังบำรุงเลือด บำรุงกระดูก สายตา สามารถกินเป็นผลไม้แบบสุก น้ำมะละกอปั่น หรือนำมะละกอดิบมาประกอบอาหาร เช่น แกงส้มมะละกอสด มะละกอผัดไข่ เป็นต้น

เม็ดขนุนต้ม

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

เม็ดขนุน คือเมล็ดที่ได้มาจากในผลขนุนแล้วนำมาต้มสุก รสชาติจะออกเค็มๆ มันๆ ใช้กินเป็นของกินเล่นเพลิน คล้ายถั่วหรือเกาลัด มีโปรตีน เกลือแร่ และวิตามิน ช่วยรักษาแผลในกระเพาะ ช่วยขับน้ำนม และเพิ่มน้ำนมแม่ให้มีมากขึ้น

 

กล้วยน้ำว้า

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

กล้วย อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งมีความสำคัญสำหรับแม่ท้อง และยังสำคัญมากสำหรับแม่ลูกอ่อน เพราะการกินกล้วยในช่วงที่ให้นมลูกจะทำให้ร่างกายของแม่รักษาสมดุลของเหลวได้ ซึ่งก็ถือเป็นหนึ่งใน ผลไม้เพิ่มน้ำนม ที่ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้แนะนำ โดยเฉพาะกล้วยน้ำว้า ซึ่งเป็นอาหารฤทธิ์เย็น เมื่อนำไปผ่านความร้อนจะเป็นอาหารฤทธิ์อุ่นถึงร้อน อย่างกล้วยปิ้ง ก็จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม กระตุ้นให้มีน้ำนมไหลมาเทมาได้เป็นอย่างดี

 

อินทผาลัม

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

อินทผลัม ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้ง วิตามิน A, วิตามิน B1 B2 B6 และวิตามิน K, แคลเซียม, ซัลเฟอร์, เหล็ก, โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, แมงกานิส, แมกนีเซียม และไฟเบอร์ การได้กินอินทผลัม ในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาสที่ 3 จะช่วยสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมดลูก ช่วยให้การบีบตัวของมดลูกในช่วงการคลอดได้ดี ส่งผลยาวมาถึงคุณแม่ที่ให้นมลูกหลังคลอด เนื่องจากอินทผลัมจะช่วยเพิ่มสารอาหารสำคัญในน้ำนมแม่ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ลูกน้อยมีสุขภาพที่แข็งแรง

แก้วมังกร

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

ถือเป็นหนึ่งในเรื่องอาหารเพิ่มน้ำนม ที่แม่หลังคลอดควรกิน เพราะในแก้วมังกรมีธาตุเหล็ก และวิตามิน C สูง ช่วยในการกระตุ้นต่อมน้ำนมให้คุณแม่ได้เป็นอย่างดี

 

พุทธา

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

หรือ พุทราจีน เป็นผลไม้ที่มีวิตามิน A วิตามิน B1 B2 B3 วิตามิน C รวมไปถึงมีแคลเซียม เหล็ก และเส้นใยอาหารในปริมาณมาก การกินพุทราจะช่วยบำรุงประสาทและสมอง อีกทั้งยังแก้อาการอ่อนเพลียของคุณแม่หลังคลอด พร้อมบำรุงน้ำนม เพิ่มน้ำนมแม่ให้มีมากขึ้นได้อีกด้วย

 

แอปริคอต

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

ผลไม้เพิ่มน้ำนม ที่มีรสชาติเปรี้ยวและหวานแบบกลมกล่อม อุดมไปด้วยไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งจะช่วยเสริมร่างกายในการทำงานของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ช่วยเพิ่มการน้ำนมสำหรับคุณแม่ และในแอปริคอตยังอุดมไปด้วยแคลเซียม,โพแทสเซียม,วิตามิน A และ C ซึ่งทำให้ร่างกายของลูกน้อยแข็งแรงอีกด้วย

 

อะโวคาโด

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

สุดท้าย อะโวคาโด เป็น ผลไม้เพิ่มน้ำนม ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม และยังมีไปด้วยกรดอะมิโน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนจำนวนมากซึ่งจำเป็นต่อแม่ลูกอ่อนและลูกน้อยที่ได้รับน้ำนมจากคุณแม่ด้วย

 

ทั้งนี้คุณแม่หลังคลอดที่ให้นมลูก ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกแอลกอฮอล์  คาเฟอีน หรือกลุ่มอาหารที่ทำให้เกิดการแพ้ ทดสอบโดยการสังเกตว่าลูกแสดงอาการหรือไม่ และอาหารรสหวาน ส่งผลให้น้ำนม มีรสหวาน อาจทำให้ลูกติดหวานได้ สุดท้ายควรดื่มมากๆ โดยเฉพาะน้ำอุ่น เพราะการดื่มน้ำเย็นทำให้ร่างกายคุณแม่เย็น เลือดไหล เวียนไม่ดี มีผลต่อการผลิตน้ำนมค่ะ


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thairath.co.thmgronline.comwomen.trueid.netwww.tpluscare.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

10 วิธี รักษาแผลผ่าคลอด ไม่ให้เป็นคีลอยด์

อยากผอมต้องสูตรนี้! 7 สูตร น้ำผักผลไม้ปั่น สูตรลดน้ำหนัก สำหรับแม่หลังคลอด

รวม 10 ท่า ออกกำลังกายลดพุง สำหรับคุณแม่หลังคลอด

white dot คืออะไร ความเจ็บปวดที่แม่ให้นมต้องรู้! พร้อมวิธีรักษาแสนง่าย

เปลือกไม้นมนาง ดีจริง! สมุนไพรเพิ่มน้ำนม บำรุงนมแม่ (มีสูตรวิธีทำ)

รู้ยัง! นมแม่แยกชั้น แบบนี้ลูกกินได้

เทคนิค ปั๊มนมเกลี้ยงเต้า เพื่อลูกได้สารอาหารครบ!

ตารางการเลี้ยงลูก

รวม ตารางการเลี้ยงลูก ครบทั้งการกิน-นอน และพัฒนาการเติบโตของร่างกาย

event
ตารางการเลี้ยงลูก
ตารางการเลี้ยงลูก

รวม ตารางการเลี้ยงลูก ที่แม่มือใหม่ต้องรู้! สรุปมาให้แล้ว ตารางเลี้ยงเด็ก วัย 0 – 5 ปี ครบทุกเรื่องทั้ง การกิน การนอน และพัฒนาการเติบโตของร่างกาย เซฟเก็บไว้ดูเลย

รวม ตารางการเลี้ยงลูก ครบทุกเรื่อง ตั้งแต่วัย 0 – 5 ปี

การเลี้ยงเด็ก หรือ วิธีดูแลทารกแรกเกิด ถือเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่มือใหม่ควรรู้ เพราะเมื่อลูกน้อยคลอดออกมา จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมจากภายในครรภ์ออกมาสู่สภาพแวดล้อมภายนอก จึงต้องมีการปรับตัวเป็นอย่างมากเพื่อให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอก อีกทั้งลูกทารกยังเป็นวัยแห่งการสร้างรากฐานการพัฒนาบุคลิกภาพในอนาคต ดังนั้นคุณแม่จึงต้องดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ

โดยหลักแล้ว การดูแลทารกแรกเกิด มี 2 เรื่องด้วยกัน คือการดูแลทางจิตใจและด้านร่างกาย สำหรับการดูแลทางด้านจิตใจ คือ การเลี้ยงดูลูกด้วยความรักและความอบอุ่น ซึ่งจะเป็นการสร้างพื้นฐานทางด้านจิตใจที่ดีให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็ก และจะมีผลต่อเนื่องไปจนลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่

ส่วนการดูแลทางด้านร่างกาย คือเรื่อง การให้ลูกกินอิ่ม นอนหลับสบาย มีการขับถ่ายที่ดี รวมไปถึงพัฒนาการต่างๆ ที่ต้องเจริญเติบโตตามวัยตามเกณฑ์ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณแม่ควรมีข้อมูลเหล่านี้ไว้ใช้ดูพร้อมกับเลี้ยงลูกน้อยให้เติบโตแข็งแรงซึ่งหากใครที่ยังไม่รู้ถึงแนวทางหรือวิธีในการเลี้ยงดูลูกทารกวัยแรกเกิด

ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม ตารางการเลี้ยงลูก ซึ่งเป็นการนำข้อมูลการเลี้ยงเด็ก ที่สรุปทำออกมาให้อ่านจบในภาพเดียว เพื่อที่คุณแม่จะสามารถเซฟเก็บไว้ดูได้ง่ายๆ ซึ่งวิธีดูแลเลี้ยงลูกทารกแรกเกิดนี้ มีทั้งการป้อนนม การเก็บรักษานมแม่ การป้อนอาหาร การนอนหลับ การอึ-ฉี่ รวมไปถึงตารางน้ำหนักส่วนสูงของลูกที่ควรเป็นไปตามเกณฑ์ และลำดับการงอกของฟันน้ำนม ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสำคัญที่คุรพ่อคุณแม่มือใหม่ควรรู้ เพื่อดูเป็นแนวทางในการวางแผนเลี้ยงดูลูกน้อยในวัยขวบปีแรก ให้เติบโตอย่างสมบูรณ์ นอกเหนือไปจากความรักความอบอุ่น และการอบรมสั่งสอนในเรื่องต่างๆ เพื่อให้ลูกน้อยเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงทั้งร่างกาย สมอง อารมณ์ และจิตใจ สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างปกติสุข

โดย ตารางเลี้ยงลูก ที่ทีมแม่ ABK จะนำมาให้ดูเป็นไฟล์ภาพทั้งหมด 7 เรื่องด้วยกัน ดังนี้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถกดเซฟภาพเก็บไว้ดูได้เลย

 

ตารางการเลี้ยงลูก กับการป้อนนม

เป็นตารางให้นมลูกน้อย ตั้งแต่แรกเกิด – 1 ขวบ ลูกอายุกี่เดือน ควรกินนมกี่ออนซ์ กี่ครั้งต่อวัน

ตารางการเลี้ยงลูก

ตารางระยะเวลาการเก็บรักษานมแม่

สำหรับตารางนี้จะบอกถึงสถานที่เก็บน้ำนมของคุรแม่ อุณหภูมิ และระยะเวลาที่สามารถเก็บนมแม่ได้นานที่สุดคือเท่าไหร่ เพื่อที่คุณแม่จะได้ วางแผนการทำสต็อกน้ำนมให้ลูกได้ถูก

ตารางการเลี้ยงลูก

ตารางอึ-ฉี่ ของลูก

ข้อมูลเรื่องการขับถ่ายของลูกแรกเกิด – 1 เดือน ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่คุณแม่ควรรู้ โดยลูกอายุเท่านี้ ใน 1 วันต้องปัสสาวะ หรือ อุจจาระ วันละกี่ครั้ง และลักษณะหรือสีควรเป็นแบบไหน นั่นก็เพื่อเช็กสุขภาพร่างกายของลูกน้อยในวัยแรกเกิดที่จะต้องปรับตัวเองหลังคลอดออกมา ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ระบบภายในหลังกินนมไปมีอะไรผิดปกติหรือไม่ ซึ่งถ้าลูกทารกขับถ่ายผิดปกติ หรือมีสีอึอึ๊แปลกๆ คุณแม่ต้องสังเกตให้ดีแล้วรีบไปปรึกษาคุณหมอ

ตารางการเลี้ยงลูก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ตารางเลี้ยงเด็ก เกี่ยวกับเรื่องเวลา ตารางการนอนทารก

เพราะพัฒนาการของลูกจะดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการนอนหลับด้วย ซึ่งคุณแม่ต้องรู้ว่าลูกอายุเท่าไหร่ ควรนอนวันละกี่ชั่วโมงแล้วตอนกลางวันควรนอนกี่ชั่วโมง ตอนกลางคืนควรนอนกี่ชั่วโมงถึงจะดี

ซึ่งหากลูกน้อยนอนหลับเพียงพอ ก็จะมีผลต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการต่าง ๆ ทั้งทางร่างกายและสมอง เพราะการนอนหลับจะช่วยเชื่อมต่อสิ่งต่าง ๆ ในสมองของลูก สมองของลูกจะค่อย ๆ พัฒนาและแข็งแรงขึ้นตลอดการนอน

ตารางการเลี้ยงลูก

 

ตารางอาหารสำหรับทารก

สำหรับตารางอาหาร โภชนาการของลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด – 1 ขวบ ลูกควรกินอะไร เริ่มกินข้าวได้ตอนไหน และข้าว หรือ เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ จะต้องมีปริมาณเท่าไหร่ ต้องป้อนอะไรในแต่ละวัย คุณแม่คววรรู้เพื่อที่จะเป็นแนวทางในการให้รู้กินอาหารเพื่อการเจริญเติบโตของร่างกาย นอกเหนือจากนมแม่ที่ควรได้รับให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน

ตารางการเลี้ยงลูก

 

 

ตารางการเลี้ยงลูก  เกี่ยวกับ พัฒนาการทางร่างกายของลูกน้อย
แบ่งเป็น
2 เรื่อง ที่แม่ควรรู้

ตารางน้ำหนักส่วนสูง

โดยอันดับแรกเป็น ตารางเทียบน้ำหนักส่วนสูงของลูกตามเกณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นลูกสาว หรือ ลูกชาย เมื่ออายุเท่านี้ ลูกควรมีน้ำหนักและส่วนสูงเท่าไหร่ ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้ถึงเกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตของลูกในแต่ละวัย เพื่อนำไปประเมินได้ว่าลูกของเรานั้นอ้วนหรือผอมเกินไปหรือไม่ พร้อมนำไปสู่กระบวนการเลี้ยงดูเพื่อให้ลูกมีอายุพร้อมเกณฑ์ส่วนสูงตามตารางมาตรฐาน ทั้งนี้ขอแนะนำว่า ตารางการเลี้ยงลูก ในเรื่อง น้ำหนักส่วนสูงนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรเอาผลของลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ๆ นะคะ เพราะนอกจากการเลี้ยงดูที่ดี พัฒนาการด้านการเจริญเติบโตของร่างกายนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย

ตารางการเลี้ยงลูก

 

อันดับที่สอง คือ ตารางลำดับการงอกและหลุดของฟันน้ำนม

ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายเป็นเกี่ยวกับตาราง ลำดับการขึ้นของฟันน้ำนม ฟันซี่แรกของลูก จะขึ้นตรงไหน หรืออายุเท่าไหร่ที่ฟันน้ำนมจะเริ่มหลุด เพื่อให้ฟันแท้งอกขึ้นมาแทน เพื่อที่คุณแม่จะได้เตรียมรับมือดูแลฟันลูกอย่างถูกวิธีตั้งแต่ซี่แรก ป้องกันไม่ให้แบคทีเรียกัดกร่อนเคลือบฟันจนทำให้ลูกฟันผุไปก่อนวัยอันควรนั่นเอง

ตารางการเลี้ยงลูก

อย่างไรก็ตาม ตารางเลี้ยงลูก ก็ถือเป็นคู่มือสำคัญที่รู้ เพราะพัฒนาการของลูกน้อยมีการเปี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรปล่อยให้ช่วงเวลาอันมีค่านี้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ควรเรียนรู้และปรับตัวไปพร้อมๆ กันกับลูกน้อย และถึงแม้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่อาจจะยังไม่ค่อยมั่นใจในการเลี้ยงดูลูก แต่ด้วยความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจ และความมั่นใจ ที่สำคัญคือสัญชาตญาณของความเป็นพ่อและแม่นั่นเอง ที่จะช่วยคลายกังวล และสามารถเลี้ยงดูเอาใจใส่ลูกน้อยให้อยู่รอดปลอดภัย เติบโตอย่างมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจได้นะคะ ทีมแม่ ABK ขอเป็นกำลังใจให้

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

วิธีทำความสะอาดลูกน้อย ตั้งแต่หัวจรดเท้า (มีคลิป)

“8 ลักษณะนิสัยทารก” ลูกเป็นเด็กแบบไหน? ต้องเลี้ยงให้ถูกทาง!

พ่อแม่ต้องรู้!! 3 สิ่งควรทำเมื่อ เลี้ยงลูกขวบปีแรก

5 แนวทาง การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ชาวเยอรมัน

10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้ฉลาดรอบรู้ เก่ง ดี มีสุข ฉลาดทันคน เอาตัวรอดได้

เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เริ่ม 1 – 7 ขวบ

ลูกเป็นหวัด อาการ

ลูกเป็นหวัด อาการ แบบนี้ถ้าลูกยังเล็กจะเป็นอันตรายไหม

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกเป็นหวัด อาการ
ลูกเป็นหวัด อาการ

ลูกเป็นหวัด อาการ หลายอย่างที่พ่อแม่มือใหม่ไม่แน่ใจว่าลูกกำลังเป็นหวัดหรือเปล่า โดยเฉพาะหากเกิดขึ้นกับลูกเล็กที่ยังไม่สามารถพูดได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร มาสังเกต 6 อาการ ถ้าลูกเป็นแบบนี้แสดงว่าโดนโรคหวัดโจมตี มีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

 

 โรคหวัดคืออะไร?

โรคหวัด (Common cold) ที่เราจะพูดกันถึงนี้คือโรคหวัดธรรมดาที่ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถเจ็บป่วยได้เหมือนกัน โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ ที่มักพบว่าป่วยเป็นหวัดได้บ่อยถึงปีละ 6 – 8 ครั้ง เพราะว่าเด็กมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำกว่าผู้ใหญ่ จึงทำให้เป็นหวัดง่าย ฉะนั้น โรคหวัด สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งปี ไม่ใช่เฉพาะกับหน้าฝน หรือหน้าหนาวเท่านั้น

โรคหวัดเกิดจากเชื้อไวรัสทำให้มีการอักเสบของอวัยวะระบบทางเดินหายใจ ซึ่งไวรัสที่พบว่าก่อโรคหวัด ก็คือ กลุ่มไรโนไวรัส (Rhinoviruses) และ โคโรนาไวรัส(Coronaviruses)

ลูกเป็นหวัด อาการ  แบบนี้ต้องมีแน่ๆ

ลูกเป็นหวัด อาการ

ในบางครั้ง คุณพ่อคุณแม่อาจไม่แน่ใจว่าเมื่อ ลูกเป็นหวัด อาการ แต่ละอย่างจะเป็นอันตรายร้ายแรงหรือไม่ และต้องดูอย่างไรจึงจะรู้ว่าลูกเป็นแค่หวัดธรรมดา หรือเป็นไข้หวัดที่รุนแรงกว่า มาดู เช็กลิสต์ 6 อาการหวัดของลูกน้อยได้ดังนี้

  • ลูกเป็นหวัด แต่ไม่มีไข้  หรืออาจมีไข้ต่ำๆ  วัดอุณหภูมิแล้วไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส

  • เด็กจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว

  • ลูกเป็นหวัด มีน้ำมูกใส คัดจมูก หรือจามบ่อย

  • เด็กจะมีอาการไอ และเจ็บคอ

  • เด็กบางคนอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย

แต่หากลูกเป็นไข้หวัด มักมีไข้สูง เกิน 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป คุณแม่จำเป็นต้องเช็ดตัวบ่อยๆ และกินยาลดไข้เพื่อไม่ให้อุณหภูมิร่างกายเกินไป ซึ่งเสี่ยงทีจะเกิดภาวะชักได้ รวมถึงมีอาการเหมือนหวัดทั่วไป ทั้ง คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ คอแดง มักเป็นอยู่ราว 5-7 วัน จากนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้น

 

สำหรับโรคหวัดที่เกิดขึ้นกับลูกเล็ก ๆ นั้น พ่อแม่สามารถดูแลรักษาอาการหวัดให้ลูกดีขึ้นจนหายจากหวัดได้ แพทย์หญิงปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤต จากเพจ Dr.Pam book club(1) ได้ให้ความรู้พ่อแม่ในการดูแลลูกเล็กเมื่อ ลูกป่วยเป็นหวัด ให้ได้เข้าใจกันอย่างถูกต้อง มีดังนี้

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

6 เรื่องที่พ่อแม่อาจไม่รู้ เมื่อ ลูกเป็นหวัด อาการ แบบนี้อันตรายหรือไม่

1. เด็กเล็กหายใจทางจมูกเท่านั้น

ทารกโดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ลิ้นจะมีขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับช่องปาก เพราะฉะนั้น เขาจะหายใจผ่านจมูก มากกว่า 90%  และเหตุนี้แม้เราจะคิดว่าการเป็นหวัด เป็นเพียงการเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยในผู้ใหญ่  แต่สำหรับเด็กเล็กนั้นการเป็นหวัด ทำให้ทรมานมากทีเดียว เพราะการที่เยื่อบุจมูกบวมขึ้นเพียงแค่ 1 มิลลิเมตรอาจทำให้การต้านทานอากาศเพิ่มขึ้น หายใจเอาลมเข้าไปยากขึ้น ถึง 16 เท่า

หัวใจสำคัญของการรักษาโรคหวัดในเด็ก ก็คือ nose care  พ่อแม่สามารถช่วยลูกด้วยการหยดน้ำเกลือเพื่อชะล้างน้ำมูกที่อยู่ในโพรงจมูกอันกว้างขวาง และน้ำมูกหลังลำคอที่ทำให้เกิดเสียงครืดคราด

ควรหยดน้ำเกลือในจมูกตอนไหน ? จริง ๆ ทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการเพราะไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่อย่างน้อย ถ้าแม่ไม่อยากทำ หรือทำยาก ไม่ถนัดคือต้องหยดให้ลูกก่อนนอน

2. ถึงจะมีไข้ แต่ถ้ายังยิ้มได้ กินนมได้ ลูกเป็นหวัด อาการ ไม่น่าห่วง

ลูกเป็นหวัด อาการ

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะกังวลกับการมีไข้ของลูก หมอจะบอกว่า “ไข้” เป็นกระบวนการตอบสนองต่อเชื้อโรคตามธรรมชาติของร่างกาย ไม่ว่าติดเชื้อใด ๆ ก็จะมีไข้ ซึ่งแปลได้ว่ามีการทำงานของภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นแล้ว การมีไข้ ทำให้ลูกไม่สบายตัว พ่อแม่สามารถช่วยลูกได้ด้วยการเช็ดตัวเพราะทำให้สบายตัวได้ทันที การเช็ดตัวที่ถูก คือเอาผ้าชุบน้ำ บิดให้หมาดและถูโดยออกแรงเล็กน้อย เพื่อให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัว จะได้ระบายความร้อนออกไปเช็ดสวนกับรูขุมขน

ส่วนยาลดไข้ให้กินได้ตามความเหมาะสม ถ้าให้ดีแม่มือใหม่ควรซื้อปรอทวัดไข้ไว้ที่บ้าน เพราะการจับหน้าผากด้วยมือไม่แม่นยำ ถ้าไข้สูง (>38.2C) ให้กินยาลดไข้ก็จะช่วยให้ไข้ลดเร็วขึ้นค่ะ แต่ถ้าไข้ต่ำ ๆ แค่เช็ดตัวก็เอาอยู่แล้วค่ะ

 

3. น้ำเกลือหยดจมูกไม่ทำให้สำลัก ไม่เหมือนการล้างจมูก

เมื่อพาลูกไปหาหมอ สิ่งที่คุณหมอมักจะให้กลับมาก็คือยาลดไข้ กับ น้ำเกลือเอาไว้หยดจมูก ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจว่าน้ำเกลือเอาไว้หยดจมูก ไม่ใช้ล้างจมูกลูกนะคะ เพราะในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน ยังไม่สามารถกลั้นหายใจตามจังหวะการพ่นน้ำเกลือเข้าจมูกได้ จึงต้องใช้วิธีหยดเข้าจมูกแทนค่ะ

ลูกเป็นหวัด อาการ

พ่อแม่มักกลัวว่าลูกจะสำลัก ถ้าเพียงแต่หยดลงไป 2-3 หยดต่อข้าง น้ำเกลือไม่ลงมาถึงกล่องเสียงหรือหลอดลมค่ะ ไม่สำลัก หยดได้ เด็กอาจจะร้องไห้ปกติอยู่แล้ว แต่หลังจากหยดน้ำเกลือ เขาจะรู้เลยว่าหายใจสบายขึ้น ถ้าพ่อแม่ทำบ่อย ๆ ลูกจะเรียนรู้ไปเอง

 

 4. ลูกเล็กเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดน้ำมูก

 

เป็นหวัด หมายถึง การติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจที่แสดงอาการเด่นบริเวณจมูกและลำคอ ไวรัส ไม่มียาฆ่าเฉพาะ หายได้ด้วยภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของเด็กเอง

5. ไม่ใช่หมอคนสุดท้ายเก่ง แต่หวัดถึงเวลาหายพอดี

ลูกเป็นหวัด อาการ

โดยปกติแล้ว หวัดใช้เวลา 7-10 วันกว่าจะหาย อาการจะหนักที่สุดวันที่ 2 เป็นเวลาที่พ่อแม่พาลูกไปหาหมอคนแรก พอได้ยามากิน พ่อแม่คาดหวังว่าลูกจะหายป่วย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะยาที่ให้ แค่ช่วยบรรเทาอาการเท่านั้น พอไม่ได้อย่างที่ใจคิด บวกความไม่รู้ ก็มักจะพาไปหาหมอคนที่ 2 คนที่ 3

หมอคนสุดท้าย…มักจะเป็นหมอที่เก่งสุดเสมอ เพราะมาในเวลาที่โรคกำลังจะหายอยู่แล้ว

ลูกเป็นหวัด อาการ หนักจะเป็นช่วง 1-3 วันแรก หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นตามลำดับ แต่ถ้ามีอาการที่ไม่ใช่ของหวัด เช่น ไข้สูงลอย เด็กหอบเหนื่อย ไม่เล่น ไม่กิน เช่นนี้คือสัญญาณบ่งบอกว่ามีภาวะแทรกซ้อน แบบนี้ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจอย่างละเอียด

 

6. เด็กมีพลังฟื้นตัวที่เยี่ยมยอด และแม่คือหมอที่ยอดเยี่ยมของลูก

ลูกเป็นหวัด

ที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่า การจะหายจากการติดเชื้อไวรัสได้ต้องขึ้นกับความแข็งแรงของเด็กเองร่วมกับการดูแลใกล้ชิดของพ่อแม่ แต่จะอย่างไร ก็ยังมีเรื่องให้กังวลสารพัด ตอนป่วยกินน้อยมาก กินแต่น้ำ ยังมีเสียงครืดคราด ยังมีอาการไออยู่เลย และอีกมากมาย

ถ้าเด็กป่วยแล้วเขายังเล่นได้ นั่นแสดงว่าเขายังไหวอยู่ ส่วนการเบื่ออาหารของเด็กที่ป่วยถือเป็นเรื่องปกติ เพราะเมื่อถึงเวลาที่เด็กหายดีแล้วเขาจะทานอาหารชดเชยให้กับร่างกายค่ะ

ดังนั้นหากเมื่อเวลาที่ลูกป่วยแล้วพ่อแม่มีความกังวล แนะนำให้ปรึกษากับคุณหมอนะคะ หมอเด็กเกือบทุกคนเป็นที่ปรึกษาที่ดีค่ะ ถึงจะไม่ได้ยา..แต่ได้ความอุ่นใจ  ไม่ต้องกลัวค่ะ ประสบการณ์จะสอนแม่เอง(1)

 

โรคหวัด หากเกิดขึ้นกับลูก ๆ ที่บ้าน พ่อแม่อย่าเพิ่งกังวลใจมากไป เพราะทุกอย่างแก้ไขได้ เพียงแค่ขอให้มีความเข้าใจในอาการป่วยของลูกก่อนในเบื้องต้น จากนั้นก็ให้ดูแลรักษาตามอาการที่คุณหมอแนะนำมาค่ะ ที่สำคัญการที่ลูกจะหายเป็นหวัดได้เร็วพ่อแม่ต้องดูแลในเรื่องอาหาร มีสภาพแวดล้อมที่ดีให้ลูก ที่สำคัญต้องมีความรักการเอาใจใส่ให้กำลังใจลูกด้วย เพราะกำลังใจที่ดีจะช่วยให้ลูกหายจากอาการป่วยได้เร็วขึ้น  …ด้วยความใส่ใจและห่วงใยค่ะ  

 


ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
1แพทย์หญิงปุษยบรรพ์ สุวรรณคีรี กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจและเวชบำบัดวิกฤต. 6 ข้อที่หมอเด็กอยากบอกเมื่อเด็กเล็กเป็นหวัด. จากเว็บเพจ Dr.Pam book club

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

วิธีดูแล เด็กเป็นไข้ อันตรายที่มากับหน้าฝน

แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

แม่เตือนแม่! ระวัง ลูกเป็นหวัด มีน้ำมูก ตาบวม เสี่ยงเป็นไซนัสอักเสบลงตา

 

มารยาททางสังคม

15 มารยาททางสังคม สอนลูกให้มีติดตัวไว้ โตขึ้นไปมีแต่คนรักและเอ็นดู

Alternative Textaccount_circle
event
มารยาททางสังคม
มารยาททางสังคม

มารยาททางสังคม เป็นอีกสิ่งหนึ่งในฐานะความรับผิดชอบของคนเป็นพ่อแม่ที่ควรได้ปลูกฝังให้ลูกเข้าใจถึงความสำคัญของมารยาทที่ดีและปฏิบัติตัวเพื่อให้เข้ากับสังคมได้ตั้งแต่เล็ก ๆ เพื่อให้ติดตัวไปจนโต ไปไหนจะได้มีแต่คนเอ็นดู ไม่เป็น “โรคมารยาททางสังคมบกพร่อง และเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่าเด็ก ๆ ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี มารยาทอะไรบ้างที่คุณพ่อคุณแม่ควรสอนลูกและแสดงเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดต่อหน้าเด็ก ๆ

15 มารยาททางสังคม สอนลูกให้มีติดตัว โตขึ้นไปมีแต่คนรัก

สอนลูกให้พูดเพราะ
สอนลูกให้พูดเพราะ

1.สอนลูกให้พูดเพราะ พูดจาดีเป็นที่รัก

การสอนให้ลูกพูดจาดีเป็นมารยาทพื้นฐานที่พึงจะมีในสังคม และควรปลูกฝังในเด็กตั้งแต่เล็ก ๆ เริ่มต้นด้วยการสอนคำพูดที่สามารถใช้ติดตัวไปจนโต เช่น การกล่าวทักทาย “สวัสดีครับ/ค่ะ” การเอ่ยคำว่า “ขอบคุณครับ/ค่ะ” การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” เมื่อพวกเขาทำสิ่งที่ผิด สอนลูกในการใช้คำขอโทษว่าควรใช้ในสถานการณ์ใด และแสดงออกอย่างจริงใจ รวมถึงการพูดประโยคที่ควรมีคำลงท้ายครับ/ค่ะ การฝึกให้ลูกพูดคำเหล่านี้บ่อย ๆ จัดเป็นทักษะชีวิตที่ลูกจะเรียนรู้ไปจนโต และในที่สุดลูกก็จะพูดติดตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ที่จะทำให้ลูกของคุณพ่อคุณแม่น่ารัก น่าเอ็นดูในสายตาของทุกคน

2.ไม่พูดคำหยาบ

เด็ก ๆ ควรได้รับการสอนว่าไม่ควรพูดคำหยาบคายต่อหน้าใคร ๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินจากในโทรทัศน์ เพื่อน หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ใกล้ตัวก็ตาม รวมถึงน้ำเสียงที่ใช้พูด อีกทั้งการที่คุณพ่อคุณแม่ใช้คำสุภาพพูดกับลูกทุกครั้ง จะเป็นพฤติกรรมที่จะทำให้ลูกซึมซับมารยาทที่ดีนี้ได้ ดังนั้นถ้าได้ยินลูกพูดคำหยาบคุณพ่อคุณแม่ควรตักเตือนทันทีและอธิบายถึงว่าทำไมคำพูดแบบนี้ถึงไม่ดี ไม่ควรพูด เป็นมารยาทที่ไม่ดี ไม่น่ารัก

3.เคาะประตูก่อนเข้าห้องคนอื่น

เด็ก ๆ ควรได้รับการสอนว่าความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะที่บ้านไม่ว่าจะเป็นห้องนอนพ่อแม่ หรือพี่น้องของพวกเขาเอง ลูกควรรู้ว่าการเคาะประตูและขออนุญาตก่อนเข้าห้องนั้นเป็นการเคารพสิทธิส่วนตัวของผู้อื่น รวมถึงตัวเองด้วย คุณพ่อคุณแม่สามารถทำเรื่องนี้ต่อหน้าเด็ก ๆ ได้ด้วยการเคาะประตูก่อนเข้าห้องลูกเป็นตัวอย่างเพื่อสร้างเป็นนิสัยที่ดีให้กับทุกคนในครอบครัว

4.ปิดปากเมื่อไอหรือจามเสมอ

สอนเด็ก ๆ ให้ปิดปากเมื่อพวกเขาจามหรือไอ โดยเฉพาะในที่สาธารณะ อันเป็นส่วนหนึ่งของมารยาทที่ดีและรวมถึงการช่วยรักษาสุขอนามัยในส่วนรวมด้วย

5.ไม่ทำร้ายความรู้สึกคนอื่นด้วยความสนุก

สิ่งนี้ลูกควรจะได้รับการสอนตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าไม่ควรไปทำร้ายความรู้สึกของเพื่อนหรือคนอื่นเพื่อความสนุกหรือรังแกผู้อื่นให้เดือดร้อน

6.ไม่พูดแทรกขณะคุณพ่อคุณแม่คุยโทรศัพท์

ลูกควรรู้วิธีการรับและพูดคุยทางโทรศัพท์ ด้วยการรับฟังเมื่อมีคนพูดอีกด้าน ไม่พูดแทรก หรือการนิ่งเงียบในขณะที่พ่อแม่คุยโทรศัพท์ ก่อนหาจังหวะคุย สิ่งนี้จะช่วยให้คนรับฟังรู้สึกประทับใจในตัวพวกเขาได้

สอนลูกให้ มีสัมมาคารวะ
สอนลูกให้ มีสัมมาคารวะ

7.สอนลูกให้มีสัมมาคารวะ แสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่

เด็ก ๆ ควรได้รับการสอนให้แสดงความเคารพต่อ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ครู และผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ที่พวกเขาพบ ไม่ว่าจะเป็นการไหว้ ที่เป็นการแสดงออกถึงมารยาทที่ดีในสังคมไทยเพื่อแสดงความเคารพ การทักทายหรือจากลา การขอโทษหรือขอบคุณ ไม่ว่าจะต่อผู้ที่มีอาวุโสกว่า เพื่อนรุ่นเดียวกัน หรือการแสดงมารยาทด้วยการลุกที่นั่งบนระบบขนส่งสาธารณะให้กับผู้สูงอายุ การที่เด็ก ๆ รู้จักแสดงความเคารพ มีสัมมาคารวะ อ้อมนอมถ่อมตน บ่งบอกถึงมารยาทที่ดีและการเลี้ยงดูที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่ และทำให้ลูก ๆ เป็นเด็กน่ารักและเป็นที่น่าเอ็นดูของคนรอบข้าง

8.ไม่ชี้หรือจ้องมอง

สอนลูก ๆ ว่าการชี้หรือจ้องมองคนอื่นนั้นเป็นกิริยาที่เสียมารยาท คนที่ถูกชี้หรือโดนจ้องมองอาจจะไม่พอใจ คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนเรื่องนี้เพื่อให้ลูกเข้าใจถึงอารมณ์ของผู้อื่น ความไม่พอใจ และแสดงกิริยาด้วยการผายมือแทน

9.มีน้ำใจต่อคนพิการ

เด็ก ๆ อาจจะเพิ่งเคยพบเจอคนพิการ พวกเขาอาจจะเกิดความสงสัย ชี้ จ้องมอง หรือถามเสียงดัง แม้กระทั่งความกลัว คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกเข้าใจว่าแม้คนพิการเหล่านี้แตกต่างจากคนปกติ แต่ก็สามารถได้รับการปฏิบัติให้เหมือนคนทั่ว ๆ ไปได้ ด้วยการแสดงความมีน้ำใจ ความช่วยเหลือต่อคนพิการ การสอนลูกในด้านนี้จะทำให้ลูกโตมามีความอ่อนโยน รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น

10.มีความเห็นอกเห็นใจ

คุณพ่อคุณแม่สามารถสอนลูกให้ช่วยเหลือผู้อื่นในเรื่องที่เหมาะสมกับวัยของลูกได้ เช่น การช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้าน การช่วยครูที่โรงเรียน การเปิดประตูให้กับคนที่มีของเต็มมือ การเรียนรู้ที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจและการช่วยเหลือควรเป็นนิสัยติดตัวสำหรับเด็ก ๆ นอกจากจะทำให้พวกเขารู้สึกดีกับตัวเอง เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองแล่ว การได้ช่วยเหลือผู้อื่นจะทำให้เป็นที่เอ็นดูแก่คนรอบข้างด้วย

สอนลูกให้แบ่งปัน
สอนลูกให้แบ่งปัน

11.รู้จักที่จะแบ่งปัน

นิสัยนี้มีความสำคัญมากสำหรับเด็ก ๆ เมื่อพวกเขาเล่นกับผู้อื่น เด็ก ๆ ควรจะได้รับการสอนว่าการแบ่งปันคือการเอาใจใส่และเป็นการแสดงน้ำใจที่ดี ไม่ว่าจะแบ่งปนของเล่นหรืออาหาร คุณพ่อคุณแม่อาจจะเริ่มสอนลูกให้รู้จักแบ่งปันภายในครอบครัวโดยเป็นตัวอย่างในเรื่องนี้ หรือการพาลูกไปบริจาคสิ่งของ ไปเป็นจิตอาสาเพื่อให้ลูกเรียนรู้จักการให้ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

12.การเป็นแขกที่ดี

สอนมารยาทให้ลูกในการไปเยี่ยมบ้านคนอื่น เช่น บ้านญาติ บ้านเพื่อ ให้เด็ก ๆ แสดงความสุภาพ กล่าวทักทายเจ้าของบ้าน และไม่แสดงออกกับมื้ออาหารแม้จะไม่ใช่ของโปรดก็ตาม

13.ไม่ตะโกนเสียงดัง

สอนให้เด็ก ๆ เรียนรู้มารยาทการพูด การสนทนาที่ดี และควรรู้ว่าการตะโกน ตะคอกเสียงดัง ไม่ใช่พฤติกรรมที่น่ารัก การสอนให้พูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ นุ่มนวล และสอนให้ลูกรอจนกว่าคนอื่นจะพูดจบก่อนถึงจะพูด รวมทั้งการสบตาระหว่างสนทนาที่จะแสดงความถีงมั่นใจและความเคารพต่อผู้ร่วมสนทยา หากเด็ก ๆ ได้เรียนรู้มารยาทในด้านนี้ก็จะทำให้ลูก ๆ เติบโตขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ดี เข้ากับผู้อื่นในสังคมได้ดี

มารยาททางสังคม สอนลูก

14.เป็นเด็กรักสะอาด

เพื่อปลูกฝังนิสัยให้ลูกรักสะอาดทั้งต่อตัวเอง ภายในบ้าน รวมถึงสังคมสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ทิ้งขยะบนพื้นถนน หรือการทำสกปรกในที่ต่าง ๆ คุณพ่อคุณสามารถเริ่มต้นสอนให้เด็ก ๆ ล้างจานหลังรับประทานข้าว การนำขยะไปทิ้ง หรือให้ลูกได้ช่วยทำงานบ้าน พวกเขาจะเรียนรู้การทำความสะอาดและรู้จักรักสะอาดเพื่อส่วนรวมโดยอัตโนมัติ

15.มีความจริงใจ

การสอนให้เด็ก ๆ เป็นคนจริงใจ ไม่โกหก ม่ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องที่ควรปลูกฝังให้กับเด็ก ๆ อธิบายว่าทำไมการบอกความจริงจึงสำคัญ และการแสดงความจริงใจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนมองเห็นความดี มารยาทในเรื่องนี้ถือเป็นการปลูกฝังให้เด็กมีคุณธรรมได้ตั้งแต่เล็ก ๆ เติบโตไปเป็นคนดีของครอบครัวและสังคมแน่นอน

สอนลูกให้มีมารยาท
สอนลูกให้มีมารยาท

มารยาทที่ดีเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่จะปลูกฝังให้เด็ก ๆ ติดตัว ที่จะทำให้พวกเขามีนิสัยดีขึ้นได้เมื่อเติบโตขึ้น เด็กที่มีมารยาท สุภาพ มีน้ำใจ จะสร้างความประทับใจที่ดีต่อต่อคนรอบข้าง เป็นสิ่งที่จะทำให้เด็ก ๆ สามารถเข้ากับผู้อื่นได้ และมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จทั้งที่โรงเรียนและที่ทำงาน โดยการสอนลูกเรื่องมารยาททั้งหมดนี้ ควรเริ่มจะสอนตั้งแต่ยังเล็ก คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มต้นได้จากการเป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งจะทำให้ลูกเห็นและซึมซับได้ง่าย ตรงข้ามกับการเพิกเฉยต่อการสอนเรื่องมารยาทให้กับเด็ก ๆ จะมีผลและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่ออนาคตของพวกเขาได้ ที่สำคัญเมื่อลูกแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ดี เด็ก ๆ ก็ควรจะได้รับคำชมเชยและให้กำลังใจ เพื่อพวกเขาจะพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เป็นเด็กที่น่ารัก มีผู้ใหญ่เอ็นดู และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้นะคะ.

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

9 ข้อที่ควรสอนลูก ป้องกันการ “วีน เหวี่ยง แซงคิว ไม่มีมารยาท” ในที่สาธารณะ

ทักษะชีวิต 12 ข้อสอนลูกให้ติดตัว พร้อมเผชิญหน้ากับชีวิตในอนาคตได้ดี

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ขาดธาตุเหล็ก

ลูกตัวซีด ขาดธาตุเหล็ก เป็นโลหิตจาง พ่อแม่อย่านิ่งนอนใจ ปล่อยลูกซีดเรื่องใหญ่!

Alternative Textaccount_circle
event
ขาดธาตุเหล็ก
ขาดธาตุเหล็ก

ภาวะซีดในเด็กถือเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน ถ้าเกิดคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่าลูกตัวซีด ผิวมีสีเหลืองอย่านิ่งนอนใจ อาจเกิดจากการ ขาดธาตุเหล็ก ส่งผลให้เป็นโรคโลหิตจางในเด็กได้

ขาดธาตุเหล็ก ใครว่าไม่สำคัญต่อตัวเด็ก

ธาตุเหล็ก ถือเป็นสารอาหารสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเป็นพิเศษสำหรับลูกน้อย ในทารกแรกเกิดถึง 6 เดือน จะได้รับธาตุเหล็กจากอาหารที่แม่รับประทานผ่านทางรกตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และหลังคลอดจะได้ธาตุเหล็กจาก น้ำนมแม่ ที่ช่วยดูดซึมได้ดีมากถึงร้อยละ 50 ของธาตุเหล็กที่มีอยู่ รวมถึงจากอาหารเสริมอื่น ๆ ที่คุณแม่สามารถให้ลูกที่มีอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปได้กิน เพื่อให้ได้รับอาหารเสริมที่มีธาตุเหล็กเพิ่มขึ้นในการสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นสารสีแดงในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่เป็นตัวนำออกซิเจนและสารอาหารต่าง ๆ ไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ในร่างกายธาตุเหล็กมีความสำคัญมากต่อพัฒนาการของร่างกายและสมอง ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ ถ้าขาดธาตุเหล็กในระดับที่ทำให้ร่างกายผลิตฮีโมโกลบินลดลงมากจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ โดยเฉพาะในหนึ่งปีแรกของชีวิตหากมีการขาดธาตุเหล็กในช่วงนี้ จะทำให้มีผลเสียต่อการพัฒนาสมองในระยะยาวอย่างถาวร

ลูกตัวซีด

ลูกตัวซีด พ่อแม่อย่านิ่งนอนใจ ปล่อยไว้เรื่องใหญ่!

ภาวะโลหิตจางในเด็กของประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจากภาวะของการขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia) และ โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย (thalassemia syndrome) ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก พบได้บ่อยใน 2 ช่วงอายุ คือ ช่วงอายุ 6 เดือน ถึง 3 ปี และในเด็กวัยก่อนเรียนอายุต่ำกว่า 6 ปี พบว่ามีอัตราสูงถึงร้อยละ 15 ส่วนในเด็กวัยเรียน อายุ 6-14 ปี พบร้อยละ 1 เด็กที่ตัวซีด มีภาวะโลหิตจาง จากสาเหตุของการขาดธาตุเหล็กที่พบบ่อย คือ

-การได้รับธาตุเหล็กจากอาหารน้อย เป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กทุกวัย เช่น

  • ทารกในครรภ์ที่ได้รับธาตุเหล็กจากแม่ไม่เพียงพอขณะตั้งครรภ์
  • ในทารกหลัง 6 เดือน ไม่ได้รับอาหารเสริมตามวัยอย่างเหมาะสมหรือได้รับอาหารเสริมที่มีธาตุเหล็กน้อย
  • วัยเด็กเล็กช่วง 1-2 ปีแรกที่ดื่มแต่นมเพียงอย่างเดียวหรือได้นมผสมที่ไม่ได้เสริมธาตุเหล็ก
  • ในเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป มีนิสัยกินยาก เลือกกิน เช่น ไม่กินเนื้อสัตว์ที่มีเนื้อแดง ตับ ไม่ชอบกินผัก ผลไม้ ไข่แดง ซึ่งอาหารเหล่านี้ล้วนมีธาตุเหล็กที่จำเป็นต่อร่างกาย ก็อาจทำให้ลูกมีโอกาสขาดธาตุเหล็กได้

-ร่างกายมีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น พบได้ในแม่ท้องและทารกในครรภ์ที่ควรได้รับธาตุเหล็กจากแม่อย่างเพียงพอขณะตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะมีธาตุเหล็กที่ได้จากแม่น้อยตามน้ำหนักด้วย ทารกในช่วง 6 เดือนแรกที่ควรได้รับนมแม่หรือกินนมผงที่เสริมธาตุเหล็ก โดยความต้องการธาตุเหล็กของคนกลุ่มนี้จะมากกว่าคนทั่วไป 3-4 เท่า หากได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอในการสร้างเม็ดเลือดแดง ก็อาจทำให้เกิดภาวะซีด ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่อายุเพียง 2-3 เดือน หรือในเด็กที่อยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งในช่วงนี้ร่างกายมีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น หากขาดธาตุเหล็กไปก็อาจส่งผลต่อพัฒนาการร่างกายและสมองได้

มีภาวะเสียเลือด เช่น เลือดกำเดาไหลผิดปกติ เลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร แผลในลำไส้เนื่องจากแพ้อาหารกลุ่มเสี่ยง เป็นโรคพยาธิปากขอ ฯลฯ ซึ่งเป็นสาเหตุของการขาดธาตุเหล็กจนทำใหมีภาวะซีดได้

อาการลูกซีด จากขาดธาตุเหล็ก สังเกตได้จาก

  • อาการทางผิวหนัง จะเห็นได้ชัดบริเวณผิวหนัง เปลือกตาล่าง ริมฝีปาก เล็บมือ ฝ่ามือ เหงือก ใบหู เริ่มซีด ไม่มีเลือดฝาดเหมือนผิวเด็กปกติ เล็บมีความผิดรูปงอเป็นรูปช้อน
  • กินอาหารได้น้อยลง เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูกและหรือท้องเสีย
  • ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เป็นลม ง่วงนอนบ่อย
  • มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายเวลาออกแรงหรือดูดนม เฉื่อยชา คิดช้า ซึมเศร้า
  • กระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิ
  • หัวใจเต้นแรง ชีพจรเต้นเร็ว
  • ปลายมือปลายเท้าเย็น
  • อาจมีไข้ต่ำ ๆ

โดยอาการของคนมีภาวะโลหิตจางจะแตกต่างกันขึ้นกับความรุนแรงและระยะเวลาของการเกิด หากมีอาการอย่างช้า ๆ จะแสดงอาการน้อยกว่าคนที่มีภาวะโลหิตจางที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และถ้ามีอาการซีดเรื้อรัง อาจส่งผลต่อการเรียน ผลการเรียนลดลง เรียนไม่รู้เรื่อง ซึ่งหากพบว่าลูกมีอาการดังกล่าว ควรพาไปตรวจเพื่อหาสาเหตุและเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งการรักษาโดยเสริมยาธาตุเหล็กเพียงอย่างเดียวจะไม่หายขาด และมีโอกาสกลับมาซีดใหม่ได้อีก

รู้มั้ย? ลูกขาดธาตุเหล็กส่งผลร้ายต่อพัฒนาการได้มากมาย เช่น

  • ส่งผลให้สมองทำงานช้าลง เนื่องจากได้รับออกซิเจนจากเม็ดเลือดแดงน้อยลง และการขาดธาตุเหล็กมีผลต่อระดับเชาว์ปัญญา ส่งผลทำให้ลูกเรียนรู้ช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ทั้งนี้มีการศึกษาทั่วโลกพบว่าการขาดธาตุเหล็กตั้งแต่ในวัยทารกจะมีปัญหาต่อสมองโดยเฉพาะด้านเชาว์ปัญญา สมาธิ และปฏิภาณไหวพริบ ในกรณีที่มีการขาดธาตุเหล็กและได้รับการแก้ไขก็อาจจะไม่สามารถทำให้สมองกลับมาเป็นปกติได้เหมือนคนที่ไม่เคยขาดโดยพบว่าเด็กอาจจะมีการสูญเสียศักยภาพด้านสติปัญญาไป ทำให้ไอคิวต่ำลงอย่างถาวร
  • การขาดธาตุเหล็กยังทำให้มีภาวะโลหิตจาง ทำให้มีการเจริญเติบโตของร่างกายต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย อาจพบว่าเด็กมีความสูงน้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ย
  • ความสามารถและพัฒนาการของกล้ามเนื้อต่าง ๆ ลดลง รวมถึงการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ ก็ทำได้ไม่ดี กลายเป็นเด็กเฉื่อยชา ไม่กระฉับกระเฉง เหนื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย

ลูกขาดธาตุเหล็ก

  • รับประทานข้าวได้น้อยลง อาการเบื่ออาหารทำให้ลูกขาดโภชนาการที่ถูกต้อง ยิ่งทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร อาจทำให้ติดเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย ส่งผลกระทบไปถึงสุขภาพมากขึ้น ทำให้เด็กเจริญเติบโตช้า
  • ร่างกายที่ขาดธาตุเหล็กจะส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรง เปราะง่าย
  • กรณีที่มีภาวะซีดรุนแรงมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวายเนื่องจากหัวใจทำงานหนักมากขึ้นจนเสี่ยงต่อการเสียชีวิต

ลูกขาดธาตุเหล็ก ป้องกันลูกเป็นโลหิตจางป้องเริ่มได้จากพ่อแม่

แม้ว่าภาวะโลหิตจาง ลูกตัวซีด ดูเป็นเรื่องที่น่ากลัวและอันตรายต่อสุขภาพร่างกายของลูก แต่อาการดังกล่าวสามารถป้องกันได้ตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์จนกระทั่งการเลี้ยงดูลูก โดยให้ลูกได้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กซึ่งมาจาก

  • ธาตุเหล็กจากอาหารที่แม่รับประทานระหว่างตั้งครรภ์ซึ่งสะสมอยู่ในตัวทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ โดยปกติทารกที่คลอดครบกำหนด และมีน้ำหนักตัวปกติจะมีธาตุเหล็กเพียงพอต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองเพียง 4 เดือน หลังจากนั้นทารกจำเป็นต้องได้รับธาตุเหล็กจากน้ำนมแม่ ดังนั้นในระหว่างตั้งครรภ์และให้นมลูก คุณแม่ควรได้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น อาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ ตับ หรือผักใบเขียว เพื่อส่งผ่านสารอาหารไปสู่ลูกน้อย
  • ทารกแรกเกิดถึง 1 ปี น้ำนมแม่คืออาหารเสริมธาตุเหล็กที่สำคัญ ถ้าแม่กินอาหารที่มีธาตุเหล็กเพียงพอลูกน้อยก็จะได้รับสารอาหารผ่านทางน้ำนมแม่ เมื่อทารก 6 เดือนขึ้นไปควรให้อาหารเสริม ผัก และผลไม้ที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก หรือนมเสริมธาตุเหล็ก สามารถป้องกันลูกน้อยจากโรคหิตจางหรือภาวะตัวซีดได้
  • ทารกตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป นอกจากนมแม่แล้ว ควรเสริมด้วยอาหารที่มีปริมาณธาตุเหล็กและวิตามินซี เช่น เนื้อไก่ ไข่ ตับ ข้าวโอ๊ต ผักโขม คะน้า หรือผักใบเขียวชนิดอื่น ๆ และให้ลูกดื่มนมที่มีธาตุเหล็กเสริม จำกัดการดื่มนมกล่อง (UHT) ที่เป็นนมวัว เนื่องจากมีธาตุเหล็กน้อย ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กที่ต้องการเสริมธาตุเหล็ก
  • ให้ลูกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รวมถึงอาหารที่มีธาตุเหล็กที่พบได้ในเนื้อแดง ไข่แดง เครื่องในสัตว์ ตับหมู เลือดหมู ผักใบเขียว ธัญพืช และนม เป็นต้น จับคู่อาหาร โดยให้ลูกกินอาหารที่มีธาตุเหล็กคู่กับอาหารที่มีวิตามินซีในมื้ออาหารแต่ละมื้อ เช่น อาหารหลักและผลไม้ เพราะจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
  • เสริมวิตามินรวมและธาตุเหล็กสำหรับเด็ก หากการรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็กยังไม่เพียงพอ เด็กบางคนอาจต้องรับประทานอาหารเสริมธาตุเหล็กร่วมด้วย หรือในกรณีที่ลูกน้อยกินยาก กินอาหารได้น้อย การเสริมวิตามินรวมสำหรับเด็กที่มีธาตุเหล็กด้วยจะช่วยให้การดูดซึมทั้งวิตามินและแร่ธาตุได้ ทั้งยังมีใยอาหารที่ช่วยในการปรับสมดุลระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ขับถ่ายได้ดีอีกด้วย ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาคุณหมอหรือเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิตามินหรืออาหารเสริมในปริมาณที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละวัย เนื่องจากการได้รับธาตุเหล็กในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะพิษต่อร่างกายได้
อาหารเสริมธาตุเหล็ก
อาหารเสริมธาตุเหล็ก

อาหารที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี vs อาหารขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก

โดยปกติเมื่อรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กเข้าไปแล้ว ร่างกายจะดูดซึมธาตเหล็กจากอาหาร “ธาตุเหล็ก” ในอาหารจะอยู่ใน 2 รูปแบบคือ Heme Iron เป็นธาตุเหล็กที่ดูดซึมได้ง่าย เช่น เนื้อสัตว์ที่มีเนื้อแดง เครื่องในสัตว์ ตับหมู เลือดหมู ธาตุเหล็กที่อยู่ในรูปของอาหารเหล่านี้ร่างกายจะสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที และ Non-Heme Iron เป็นธาตุเหล็กประเภทดูดซึมได้ยาก เช่น ถั่ว ธัญพืช แป้ง ไข่แดง ผักใบเขียว ผลไม้ เป็นต้น ซึ่งความสามารถในการดูดซึมผ่านลำไส้ทำได้น้อยกว่า คือดูดซึมได้เพียง 5-15% แต่ก็นับว่าเป็นอาหารที่เพิ่มธาตุเหล็กได้เช่นกัน

รวมอาหารที่มีผลต่อการดูดซึมของธาตุเหล็กที่คุณแม่สามารถนำมาให้ลูกรับประทานได้ เช่น

  • เนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดง รวมถึงเนื้อสัตว์ปีกทุกชนิด ซึ่งประกอบไปด้วยธาตุเหล็ก ควรรับประทานเนื้อสัตว์ร่วมกับผักใบเขียวจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
  • ตับและเครื่องใน อุดมไปด้วยธาตุเหล็กและกรดโฟลิค อย่างไรก็ตาม การรับประทานตับเพื่อเสริมธาตุเหล็กอาจไม่เหมาะกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารชนิดนี้ เพื่อความปลอดภัยของแม่และลูกน้อยในครรภ์
  • ผักใบเขียวผักสีเขียวเข้มจะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เช่น ผักโขม คะน้า บร็อคโคลี่ เป็นต้น การ จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
  • อาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เพื่อเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น พบได้ในผักและผลไม้ต่าง ๆ  เช่น ฝรั่ง ลิ้นจี่ เงาะ ส้ม มะนาว สตรอเบอรี่ มะละกอ สับปะรด กีวี มะเขือเทศ เป็นต้น
  • อาหารทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า กุ้ง เป็นต้น ที่เป็นแหล่งอาหารของธาตุเหล็ก การรับประทานอาหารทะเลหรือปลาที่มีไขมันสูงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้

อย่างไรก็ดี แม้การกินอาหารดังกล่าวจะช่วยเสริมปริมาณธาตุเหล็กในร่างกาย แต่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้ไว้ว่ายังมีอาหารบางประเภทที่เป็นตัวขัดขวางและยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กของร่างกายที่ไม่ควรกินควบคู่กัน เช่น

  • ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น นมวัว นมถั่วเหลือง ชีส เพราะแคลเซียมในนม และไฟเตทในนมถั่วเหลืองจะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง ไม่ควรกินพร้อมกับอาหารหรือยาเม็ดเสริมธาตุเหล็ก
  • อาหารในพืชที่มีเส้นใยอาหารสูงและแคลเซียมฟอสเฟสสูง จะทำให้มีการดูดซึมธาตุเหล็กได้ยากกว่าอาหารที่มีใยอาหารน้อย
  • พืชตระกูลถั่ว ที่ทีไฟเตตซึ่งจะขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็ก

จะเห็นได้ว่าการรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นตัวช่วยที่ดีต่อการป้องกันไม่ให้ลูกมีภาวะซีดหรือภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็กและขาดสารอาหารที่จำเป็นอีกหลายชนิด โดยเฉพาะเด็กวัยหลัง 6 เดือนเป็นต้นไปที่ร่างกายมีความต้องการธาตุเหล็กเพิ่มเติม การรับประทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์ ตับและเลือด ควบคู่ไปกับผักและผลไม้ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จัดเป็นแนวทางเบื้องต้นที่ช่วยให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีพัฒนาการที่ดี ไม่เจ็บป่วยง่ายจากการ ขาดธาตุเหล็ก นะคะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.gedgoodlife.com, www.paolohospital.com, www.pobpad.com, www.nonthavej.co.th

อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก!

ลูกสุขภาพแข็งแรง ถ้าได้ทาน อาหารที่มีธาตุเหล็ก ให้ถูกต้อง

รู้ทัน ภาวะซีดในทารก ก่อนลูกขาดธาตุเหล็กรุนแรง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ข้าวเพื่อสุขภาพ

คนท้องกินข้าวแบบไหนดี 6 ข้าวเพื่อสุขภาพ บำรุงครรภ์แม่ ดูแลลูกแข็งแรงตั้งแต่ในท้อง

Alternative Textaccount_circle
event
ข้าวเพื่อสุขภาพ
ข้าวเพื่อสุขภาพ

“ข้าว” นับเป็นอาหารหลักในแต่ละมื้อที่คุณแม่ตั้งครรภ์จะรับประทานควบคู่ไปกับเมนูอาหารต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนบำรุงสุขภาพตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งในปัจจุบันมีข้าวเพื่อสุขภาพ หลายพันธุ์ที่ถูกปลูกขึ้นมา ชนิดของข้าวแต่ละชนิดต่างก็มีคุณค่าทางโภชนาการ คนท้องกินข้าวแบบไหนดี ที่จะได้รับคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายต่อตัวเองและลูกในท้อง มาดูกันค่ะ

คนท้องกินข้าวแบบไหนดี 6 ข้าวเพื่อสุขภาพ
บำรุงครรภ์แม่ ดูแลลูกแข็งแรงตั้งแต่ในท้อง

ข้าวเพื่อสุขภาพ คือ ข้าวที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี ส่วนใหญ่จะมีสีเข้ม สีแดงและสีดำบ้าง ที่ล้วนเป็นแหล่งสะสมสารอาหาร คงคุณค่าของวิตามินและกากใยไว้สูง ทั้งยังเป็นยาป้องกันรักษาโรคชั้นเยี่ยม และให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าวขาวราว 2-3 เท่า จึงเป็นที่นิยมรับประทานเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์มากขึ้น

ข้าวกล้อง

1.ข้าวกล้อง (Brown Rice)

ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน มีสีน้ำตาลอมแดง เป็นข้าวเพื่อสุขภาพที่ไม่ผ่านการขัดสีโดยที่สีเอาแค่เปลือกออก และยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวอยู่ ทำให้มีคุณค่าและสารอาหารที่มีประโยชน์มาก เนื่องจากข้าวกล้องมีใยอาหารเหลืออยู่มากกว่าข้าวที่ถูกขัดสีราว 3 เท่า การรับประทานข้าวกล้องจึงส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย

ประโยชน์จากข้าวกล้อง

  • ป้องกันโรคเหน็บชาและอาการตะคริวในขณะตั้งครรภ์ ในข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 และ บี 2 เมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ วิตามิน B 1 จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาและอาการตะคริวซึ่งเป็นอาการที่คุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ ทั้งยังป้องกันการเกิดปากนกกระจอก และป้องกันอาการอ่อนเพลีย อาการปวดกล้ามเนื้อต่าง ๆ  ได้อีกทางด้วย
  • ช่วยป้องกันท้องผูก การรับประทานข้าวกล้องทุกวันจะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น เนื่องจากในข้าวกล้องมีเส้นใยอาหารสูงมากกว่าข้าวขาวขัดสีถึง3 เท่า จึงช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกของแม่ท้องได้เป็นอย่างดี
  • ป้องกันภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์ ในข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่าและทองแดงที่ช่วยเสริมการสร้างเม็ดเลือด การรับประทานขาวกล้องเป็นประจำจึงมีส่วนช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้
  • ช่วยในการเจริญเติบโตของเหงือกและฟัน ในข้าวกล้อง 100 กรัม มีฟอสฟอรัสอยู่มากถึง 267 มิลลิกรัม จึงสามารถช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันและเส้นผมได้ ทั้งยังมีแคลเซียมที่แม่ท้องควรได้รับ ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง
  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก ในข้าวกล้องมีปริมาณแป้งน้อยกว่าขาวข้าว และมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล ถ้ากินในปริมาณที่พอดีก็จะอิ่มท้องได้นาน ช่วยคุณแม่ควบคุมน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วน และยังได้รับสารอาหารต่าง ๆ ในข้าวกล้อง มีผลทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์สุขภาพร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี ไม่เครียด

นอกจากนี้ในข้าวกล้องยังอุดมไปด้วยวิตามินรวมกว่า 20 ชนิดและแร่ธาตุต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้งเกลือแร่ โปรตีนมากกว่า 20-30% ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ หากได้รับประทานเป็นประจำก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพ สำหรับคุณแม่ที่กำลังมองข้าวกล้องเป็นตัวช่วย ในมื้อแรกอาจจะกินแล้วรู้สึกกรุบ ๆ เล็กน้อย ไม่นุ่มเหมือนข้าวขาว เนื่องจากเยื้อหุ้มเมล็ดที่ยังคงอยู่ แนะนำให้หุงผสมกับข้าวขาวไปก่อนแล้วค่อย ๆ เปลี่ยนมารับประทานข้าวกล้องล้วนดูค่ะ

2.ข้าวกล้องงอก (Germinated brown rice หรือ GABA-rice)

ข้าวกล้องงอก เป็นการนำข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือมาผ่านกระบวนการงอกด้วยการนำข้าวกล้องมาแช่น้ำจนมีรากงอกออกมา ซึ่งโดยปกติแล้ว ในตัวข้าวกล้องเองประกอบด้วยสารอาหารจำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินซี วิตามินอี และ GABA (gamma aminobutyric acid) เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำเพื่อทำให้งอก จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสารกาบาที่มีมากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า การรับประทานข้าวกล้องงอกนอกจากจะทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้ประโยชน์จากการที่มีจำนวนสารอาหารที่สูงขึ้นแล้ว คุณแม่ยังได้ทานข้าวหุงสุกที่นุ่ม สามารถหุงได้โดยไม่ต้องผสมกับข้าวขาว ทำให้รับประทานง่ายกว่าข้าวกล้องปกติ

ประโยชน์ของข้าวกล้องงอก

การงอกของจมูกข้าวเปรียบได้กับการสร้างสเต็มเซลล์ ข้าวกล้องงอกจึงได้สารอาหารเพิ่มขึ้น และสารสำคัญอย่าง Gaba หรือ Gamma aminobutyric acid ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อาทิเช่น ช่วยบำรุงสมองและประสาท ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ลดความดันโลหิต ปกป้องต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน เป็นต้น ทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมอง ช่วยทำให้สมองผ่อนคลาย ไม่เครียดและนอนหลับสบายได้ดี อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ และทำให้ผิวพรรณดี ป้องกันการสะสมไขมันจึงช่วยสำหรับในการควบคุมน้ำหนักตัวในขณะตั้งครรภ์ได้

ข้าวมันปู
ข้าวมันปู

3.ข้าวมันปู 

ข้าวมันปู เป็นข้าวพันธุ์หนึ่งที่มีเยื่อหุ้มเปลือกข้าวเป็นสีแดงแบบสีมันปู มีการเทียบสารอาหารพบว่าให้คุณประโยชน์สูงกว่าข้าวขัดสีขาว มีไขมันในปริมาณเดียวกับข้าวกล้อง และมีสารเคโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายสูงกว่าข้าวขัดสี สารอาหารที่มีอยู่ในข้าวมันปูหรือข้าวแดงในปริมาณสูง ได้แก่ แป้ง ไขมัน โปรตีน ฟอสฟอรัส ทองแดง วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และบี 3 วิตามินซี และธาตุเหล็กในปริมาณที่สูงมาก เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีภาวะโลหิตจาง และยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย แต่เนื่องจากข้าวชนิดนี้ย่อยยาก คุณแม่ตั้งครรภ์อาจจะนำมาหุงเป็นข้าวต้มเพื่อให้ได้ความเหนียวนุ่มน่ารับประทาน หรือนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูอย่าง ข้าวผัดหรือข้าวอบต่าง ๆ ที่จะให้รสชาติความหวานมากกว่าข้าวขาวธรรมดา

ประโยชนของข้าวมันปู

สารอาหารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในข้าวมันปู มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคแขนขาไม่มีกำลัง ป้องกันโรคเหน็บชา รักษาอาการมือเท้าบวม ป้องกันโรคนอนไม่หลับ รักษาระบบย่อยอาหารที่ไม่ปกติ มีลมในท้องและลำไส้ ช่วยบำรุงระบบประสาท ช่วยในการไหลเวียนของโลหิตภายในร่างกาย  ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือด

4.ข้าวหอมนิล (Non-Glutinous Jasmine Black Rice)

ข้าวหอมนิลหรือข้าวสีนิล เป็นข้าวที่มีสีดำไม่ได้มีการย้อมสีใดๆ ทั้งสิ้น มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์และให้คุณประโยชน์บางอย่างมากกว่าข้าวสีอื่น เมื่อเทียบกับข้าวทั่วไปแล้ว ข้าวหอมนิลมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากกว่าถึง 7 เท่าเลยทีเดียว จัดเป็นข้าวที่มีโปรตีนสูง และอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายไว้อย่างครบถ้วน อาทิ รวมสารวิตามินบีครบ วิตามินอี โปรตีน เกลือแร่ แคลเซียม สังกะสี เส้นใยอาหาร กรดไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้า 3 ฟอสฟอรัส มีสารต้านอนุมูลอิสระ แอนโทไซยานิน และธาตุเหล็กที่มีอยู่ในข้าวหอมนิลมากกว่าข้าวกล้องทั่วไปถึง 30 เท่า

ประโยชน์ข้าวหอมนิล

  • ในข้าวหอมนิลมีธาตุเหล็กสูง ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ในการบำรุงโลหิตได้ทันที
  • ป้องกันอาการเหน็บชาและตะคริว
  • ป้องกันโรคปากนกกระจอก
  • ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ ช่วยบำรุงสมองและทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน
  • ป้องกันภาวะโลหิตจาง ป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์
  • ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายไหลลื่น ช่วยป้องกันอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์และช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้
  • ช่วยในการบำรุงสมองและกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท พร้อมเสริมสร้างความจำให้ดียิ่งขึ้น
  • ในข้าวหอมนิลมีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ดีกว่าผลไม้ตระกูลเบอรี่ถึง 3 เท่า
  • สารแอนโทไซยานิน และไบโอฟราโวนอย (Bioflavonoids ในเมล็ดข้าวมีส่วนช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด ช่วยซับไขมัน ลดระดับคลอเรสเตอรอล ป้องกันไขมันไปสะสมในเส้นเลือด
  • ป้องกันภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ข้าวไรซ์เบอร์รี่
ข้าวไรซ์เบอร์รี่

5.ข้าวไรซ์เบอร์รี่ (Riceberry)

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นข้าวที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างข้าวเจ้าหอมนิลซึ่งเป็นสายพันธุ์พ่อกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งเป็นสายพันธุ์แม่ทำให้ได้ลักษณะที่ดีและอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ข้าวไรส์เบอร์รี่มี ลักษณะของเมล็ดข้าวโดดเด่นจากข้าวชนิดอื่น ๆ อย่างชัดเจน มีความเรียวยาว ผิวมันวาว สีม่วงเข้ม เมื่อนำไปหุงสุกจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีรสชาติหวานกลมกล่อมมากกว่าข้าวชนิดอื่น เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม อร่อย ทานง่ายมีเส้นใยค่อนข้างเยอะจึงทำให้อิ่มท้องได้นาน จัดว่าเป็นพันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมที่สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากในข้าวไรซ์เบอรี่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญต่อร่างกายมากมาย เช่น โอเมก้า 3 ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินอี บี เบต้าแคโรทีน ลูทีน โพลิฟีนอล แทนนิน แกมมาโอไรซานอล ไฟเบอร์  ฯลฯ ที่ให้ประโยชน์มากมาย

ประโยชน์ของข้าวไรซ์เบอรี่

  • ป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ในทารก ช่วยให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง เพราะในข้าวไรซ์เบอรี่มีสารโฟเลตที่มีหน้าที่สำคัญในการสร้างสารพันธุกรรมของมนุษย์หรือ DNA/RNA สามารถป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ได้ และทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์ จึงช่วยป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์เป็นโรคหัวใจหรือแขนขาพิการแต่กำเนิด
  • เสริมสร้างกระดูกแข็งแรง ข้าวไรซ์เบอรี่มีแคลเซียมสูง ที่ช่วยบำรุงให้ลูกน้อยในครรภ์สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและเสริมสร้างความแข็งแรงของมวลกระดูกของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์
  • ลดภาวะโลหิตจาง ในข้าวไรซ์เบอรี่มีธาตุเหล็กสูง เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง และเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ออกซิเจนในร่างกายและสมอง หากรับประทานข้าวไรซ์เบอรี่เป็นประจำ จะช่วยในการบำรุงโลหิตและบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ลดภาวะโลหิตจางในขณะตั้งครรภ์
  • ไม่ให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ เนื่องจากในข้าวไรซ์เบอรี่มีดัชนี้น้ำตาลที่ต่ำกว่าข้าวทั่วไป มีคุณสมบัติช่วยควบคุมน้ำตาลและน้ำหนักได้ จึงช่วยให้คุณแม่ควบคุมน้ำหนักที่ทำไม่ให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือภาวะเบาหวานและโรคอ้วนขณะตั้งครรภ์
  • ลดอาการท้องผูก ข้าวไรซ์เบอร์รี่มีเส้นใยอาหารที่จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเส้นเลือดไม่ให้สูงจนเกินไป และช่วยในการขับถ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งสามารถช่วยลดอาการท้องผูกของแม่ท้องได้อีกด้วย
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง สีม่วงเข้มที่พบในข้าวไรซ์เบอรี่ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติคือสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารสีที่สามารถละลายน้ำได้ดี จัดอยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ สารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ เบต้าแคโรทีน ลูทีน แกมมาโอไรซานอล วิตามินอี แทนนิน สังกะสี เหล่านี้จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ ทำให้ปอดทำงานดีขึ้น ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม บำรุงการไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดฝอยที่หล่อเลี้ยงตา ลดระดับคอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในหลอดเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเป็นปกติ ลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง สมองเสื่อม เป็นต้น
  • โอเมก้า 3 มีประโยชน์ต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับและระบบประสาท ทั้งยังลดระดับคอเลสเตอรอล
  • วิตามินอี ช่วยบำรุงผิวพรรณคุณแม่ที่มีปัญหาหมองคล้ำลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอาร์โมนขณะตั้งครรภ์ให้ดูสดใส กระจ่างใสเปล่งปลั่งขึ้น

6.จมูกข้าว

โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะคุ้นเคยกับ “เมล็ดข้าว” แต่ส่วนสำคัญที่มีประโยชน์ของข้าวอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในเมล็ดข้าวทุกพันธุ์นั่นก็คือ “จมูกข้าว” ซึ่งเป็นติ่งเล็ก ๆ ที่อยู่ส่วนปลายของเมล็ดข้าวค่อนไปด้านข้าง เป็นส่วนที่จะงอกออกไปเป็นต้นใหม่ จมูกข้าวเป็นอีกส่วนหนึ่งของข้าวที่มีคุณค่างทางอาหารสูงและสารอาหารครบถ้วน โดยหากรับประทานข้าวที่ไม่มีจมูกข้าวปนอยู่ (ข้าวขาว) จะได้เพียงคาร์โบไฮเดรต ซึ่งถือว่าได้สารอาหารน้อยมากเมื่อเทียบกับข้าวกล้องที่ยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่ สำหรับคนรักสุขภาพหรือคุณแม่ท้องที่เห็นความสำคัญของการรับประทานจมูกข้าว ก็จะรู้ว่าจมูกข้าวนั้นก็ให้ประโยชน์และสารอาหารสำคัญไม่น้อย

ประโยชน์ของจมูกข้าว

  • ลดคอเลสเตอรอลและไตรกรีเซอร์ไรด์ในร่างกายการรับประทานจมูกข้าวที่มีสาร Gamma Oryzanol ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับไขมันชนิดดี ให้กับร่างกาย ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลและไตรกลีเซอไรด์ มีผลโดยตรงในการป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เป็นผลมาจากหลอดเลือดตีบตัน เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หัวใจวาย เป็นต้น
  • ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น รักษาสุขภาพลำไส้ใหญ่ ป้องกันมะเร็งลำไส้ เพราะอุดมด้วยเส้นใยอาหาร
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ต้านทานความเสื่อมของร่างกายได้เป็นอย่างดีทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย จมูกข้าวถือเป็นส่วนของข้าวที่มีสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไขมันชนิดดี วิตามินต่างๆ ทั้ง วิตามินA B E D นอกจากนั้นยังมีโอเมก้า 3-6-9 และแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย โดยสารอาหารเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยชั้นเยี่ยมในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ให้กับร่างกาย การรับประทานจมูกข้าวเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้
  • ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ทั้งโอเมกา 6 และวิตามินบีรวม ที่มีในจมูกข้าวเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยพัฒนาสมองและช่วยให้สมองปลอดโปร่ง แม่ท้องกินดีก็ส่งผลต่อพัฒนาการดี ๆ ของลูกในท้องด้วย
  • นอกจากนี้ในจมูกข้าวนั้นยังมีโปรตีนประมาณร้อยละ 7 ไขมันไม่อิ่มตัวร้อยละ 6 รวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น วิตามินบี โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม กากใยอาหาร เหล็ก ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแม่ท้องเป็นอย่างมาก

จะเห็นได้ว่า “ข้าวเพื่อสุขภาพ” มีหลากหลายชนิดและมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมายที่ในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่สามารถหาซื้อมาหุงรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมควบคู่ไปกับเมนูอาหารคนท้องเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพแม่เองและพัฒนาการดี ๆ ต่อลูกน้อยในครรภ์นะคะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.wongnai.com2845goodriceswww.ricedee.com

อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ :

แจกสูตร 12 เมนูอาหารง่ายๆ สำหรับแม่ทำกับข้าวไม่เก่ง เข้าครัวเพื่อลูก!

15 คุณประโยชน์ของ น้ำซาวข้าว ที่แม่ ๆ ห้ามพลาด

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ตะขาบ

แม่เตือนภัย!! ลูกชายเจอ “ตะขาบ” ในหลอดดูดน้ำหวาน!!

Alternative Textaccount_circle
event
ตะขาบ
ตะขาบ

ใครจะคิดว่าการซื้อน้ำหวานที่ขายพร้อมหลอดดูดน้ำที่ห่อด้วยพลาสติก จะเป็นตัวการที่ทำให้ลูกหวิดบาดเจ็บจาก “ตะขาบ” ที่ซ่อนตัวอยู่ในหลอดดูดน้ำ

แม่เตือนภัย!! ลูกชายเจอ “ตะขาบ” ในหลอดดูดน้ำหวาน!!

ทีมแม่ ABK ขอนำโพสต์เตือนภัยจากคุณแม่ Lalita Pollachom ที่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนและลูกชายวัย 4 ขวบ ได้พบเจอกับตะขาบที่ซ่อนอยู่ในหลอดดูดน้ำหวาน ดังนี้

 อยากให้เรื่องนี้ทำให้ทุกคนระวังตัวมากขึ้น 
เมื่อประมาณ 6 โมงเย็น เราไปซื้อของในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสงคราม
ก่อนจะกลับจากห้างได้ไปซื้อน้ำร้านนึง 3 แก้ว
ซื้อกันเสร็จก็ได้ขับรถพาลูกไปนั่งเล่นที่ร้านน้องที่รู้จัก
ลูกอยากกินน้ำที่ซื้อมาเลยเอาแก้วน้ำกับหลอดไป
แล้วลูกชายก็ได้แกะถุงพลาสติกที่ห่อหลอดออก
แต่ไปเห็นเหมือนมีตัวอะไรอยู่ในหลอดเนื่องด้วยลูกชายเราวัย 4 ขวบกว่า ๆ เป็นคนที่กลัวแมลงมาก ๆ แม้แต่มดยังกลัว เลยเรียกเรา แม่ ๆ มีตัวอะไรดำ ๆ อยู่ในหลอด เราก็รับหลอดจากลูกมาใส่ไปข้างถุงแก้ว
แล้วลองเคาะ ๆ ดูว่าคืออะไร? เราถึงกับตกใจ!!!!
( ตะขาบบบบบบ ) เข้าใจไม่ผิดค่ะ คือตะขาบตัวเป็น ๆ จริง ๆ ‼️ เราเลยเอาถุงที่ใส่หลอดมาดู
คือรอยซีนมันแตกออกเลยทำให้ตะขาบเข้าไปอยู่ในนั้น
พี่ที่อยู่ในร้านน้องบอกให้เราไปบอกที่ร้านน้ำ เราก็เลยพาน้องไปเป็นเพื่อนโดยเอาแก้วกับหลอดไปที่ร้านด้วย เราก็ได้ไปบอกกับทางร้าน ว่าควรระวังมากกว่านี้ ทางร้านจะทำแก้วใหม่ให้ แต่เราไม่เอา ทางร้านเลยคืนเงินมา 30 บาท เราเลยบอกไปว่าถ้าลูกเราไม่ใช่เด็กขี้กลัว แล้วกินเข้าไปจะทำยังไง ถ้าลูกเราเป็นอะไรขึ้นมาคุณจะรับผิดชอบยังไง แล้วถ้าเป็นคนอื่นละ คุณจะรับผิดชอบไหวมั้ย จากนั้นทางร้านก็ได้ขอโทษเราก็เออไม่เอาผิดอะไรไปมากกว่านี้ เลยพาน้องกลับ เห้ยเงิน 30 บาทช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ มันคือชีวิตคนเลยนะเว้ย
ใครจะคิดว่าหลอดที่ห่อด้วยถุงพลาสติก จะมีตัวอะไรเข้าไปได้ ใครจะไปทันดูว่ารอยซีนนั้นมันแตกออก
ลองคิดดู ถ้าลูกเราไม่ใช่เด็กที่ขี้ระวังขี้กลัว วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกเรา มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่มันคือชีวิตคนทั้งคน #อยากให้ทางร้านระวังและเอาใจใส่เรื่องความสะอาดมากกว่านี้
#เราอยากให้ทุกคนระวังก่อนจะกินอะไร#ไม่มีใครโชคดีเหมือนลูกเราทุกคน#ภัยไกล้ตัวที่เราคิดไม่ถึง#มันคือเรื่องที่เราไม่คิดว่าจะเกิด#ในความโชคร้าย#เลยอยากมาเตือนทุกๆคนค่ะ#ด้วยความตกใจเลยถ่ายมาแค่นี้#ใครจะคิดว่าหลอดที่มีถุงซีนอย่างดีจะมีตัวอะไรเข้าไปได้😰😰😰😰😰😰😰😰

โดยโพสต์นี้ คุณแม่ต้องการเตือนคุณแม่ท่านอื่น ๆ ถึงภัยใกล้ตัวที่บางทีเราก็คิดไม่ถึง อย่างเช่นหลอดดูดน้ำที่มีซีลพลาสติกห่ออยู่ หลาย ๆ คนก็ไม่ค่อยจะได้สังเกตถึงความผิดปกติที่อยู่ในหลอด โดยส่วนมากก็จะแกะซีลพลาสติกที่ห่อหลอดอยู่ออก แล้วทานเลยทันที ดังนั้น ก่อนที่แม่ ๆ จะให้ลูกดูดน้ำจากหลอดน้ำหวาน ก็อย่าลืมที่จะสังเกตถึงความผิดปกติที่อยู่ภายในหลอด ก่อนให้ลูกทาน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกได้

ตะขาบในหลอด
ตะขาบในหลอด

ทำไมตะขาบถึงเข้าไปอยู่ในหลอด?

โดยปกติแล้วตะขาบจะชอบอาศัยอยู่ในที่มืดและอับชื้น และออกหากินในเวลากลางคืน เช่น ในรองเท้า หรือแม้แต่หลอดดูดน้ำ ซึ่งปกติแล้ว ตะขาบ จะไม่รุกรานสัตว์ที่ขนาดใหญ่กว่าตัวมันมาก ๆ แต่หากตะขาบถูกสัตว์อื่น ๆ รุกราน ตะขาบก็จะกัดและปล่อยพิษเพื่อป้องกันตนเอง

พิษของ ตะขาบ ประกอบด้วย hydroxytryptamine หรือ cytolysin ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด หรือบวมแดงจากการอักเสบในบริเวณที่ถูกกัด อาจทำให้บริเวณที่ถูกกัดขาดเลือด และทำให้เนื้อเยื่อบริเวณถูกกัดตายได้ หากไม่ได้รับการถอนพิษทันท่วงที และในผู้แพ้ อาจเกิดอาการไข้ขึ้น ต่อมน้ำเหลืองบวม ความดันโลหิตสูงร่วมด้วย สำหรับผู้ใหญ่ที่โดน ตะขาบ กัด หากไม่แพ้หรือมีอาการหนัก สามารถทำการถอนพิษตะขาบเบื้องต้นดังนี้

  1. ล้างแผลด้วยน้ำสบู่ หรือแอลกอฮอล์
  2. ใช้น้ำแข็งประคบที่ปากแผลเป็นเวลาประมาณสิบนาทีเพื่อบรรเทาการปวด
  3. กินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่หลีกเลี่ยงยาที่มีฤทธิ์กดประสาทรุนแรง
  4. หากอาการปวดมาก หรือมีอาการไข้ขึ้น ต่อมน้ำเหลือบวม หรืออื่น ๆ ควรรีบนำไปพบแพทย์

สำหรับเด็กที่โดนตะขาบกัด หากมีอาการปวดบวมมาก ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

อย่างไรก็ตาม การป้องกันไม่ให้ตนเองถูก ตะขาบ กัด เป็นวิธีรับมือกับพิษตะขาบได้ดีที่สุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ที่ตะขาบมักจะมาซ่อนตัวอยู่ในที่อับชื้น วิธีการชิงป้องกันไม่ให้ตะขาบเข้ามายังที่อยู่อาศัย และอยู่ใกล้ตัวเด็ก ๆ สามารถทำได้ดังนี้

  1. อุดรูรั่วของช่องว่างตามผนังอาคาร เพื่อไม่ให้ตะขาบเข้ามาในอาคารได้
  2. พยายามไม่ให้บ้านมีมุมมืดและอับชื้น อันเป็นที่ซึ่งตะขาบชอบอยู่
  3. โรยปูนขาวในจุดที่คาดว่ามีตะขาบอยู่ ปูนขาวจะดูดความชื้น ทำให้ตะขาบไม่ชอบ หรืออาจใช้ยาฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ พ่นไปยังจุดที่คาดว่าจะมีตะขาบอยู่
  4. หลีกเลี่ยงการฆ่าตะขาบด้วยการเหยียบ เนื่องจากตะขาบที่ถูกเหยียบจะปล่อยฟีโรโมน ซึ่งดึงดูดตะขาบตัวอื่นให้มายังบริเวณที่มันตาย

ในช่วงหน้าฝน ไม่ได้มีแค่ตะขาบที่ชอบมาซ่อนบริเวณจุดอับชื้นต่าง ๆ ยังมีสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่น ๆ เช่น งู ที่ชอบมาซุกอยู่ในรองเท้าอีกด้วย ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรระมัดระวังไม่ให้ลูกเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุจากสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้ โดยการสังเกตให้ดีก่อนให้ลูกใส่หรือทานนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

5 พาหะนำโรค หน้าฝน ภัยร้ายต่อสุขภาพลูกน้อย

12 วิธีกำจัดแมลง และสัตว์ร้ายใกล้ลูกน้อย

ดูให้ดีก่อนกิน แมงป่องในลองกอง เด็กโดนต่อยอาจช็อกได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟสบุ๊ค Lalita Pollachom, medium.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีเล่นกับลูก

หมอแนะ! วิธีเล่นกับลูก วัยทารก สร้าง EQ ดี IQ เริ่ด พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!

event
วิธีเล่นกับลูก
วิธีเล่นกับลูก

หมอประเสริฐแนะ! วิธีเล่นกับลูก วัยทารก เริ่มได้ตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 เดือน เสริมความฉลาด กระตุ้นพัฒนาการ แบบง่าย ๆ พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!

วิธีเล่นกับลูก ช่วยให้ทารกเรียนรู้ พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!

Q. เป็นพ่อแม่มือใหม่ค่ะ ลูกอายุได้ 4-5 เดือน เราตกลงกันให้แม่เลี้ยงลูกเป็นหลัก ปัญหาคือ เวลาอยู่กับลูกเล็กๆ ทั้งวัน ไม่รู้จะทำอะไรกับลูกค่ะ มีแต่คุยด้วยและอุ้มไปเดินเล่นแถวบ้านบ้าง เด็กทารกอยู่แต่ในบ้านจะดีกับเขาหรือเปล่าคะ อยากมีส่วนช่วยให้ลูกเรียนรู้ เด็กเล็กขนาดนี้เขาจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง

สำหรับเรื่องนี้ ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำจาก หมอประเสริฐมาแนะนำ โดยคุณหมอกล่าวว่า…

ตั้งใจฟังนะครับ  ทารกเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่คุณแม่ยังอยู่ในสายตา … เมื่อไรที่คุณพ้นสายตา  การเรียนรู้ก็จะลดลงตามส่วน

ทารก 1 ขวบปีแรก , เด็กเล็ก 2 ปีต่อมา เขามีหน้าที่และภารกิจสำคัญที่สุดที่จะต้องทำให้สำเร็จคือ

  1. เรียนรู้ว่าโลกและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาปลอดภัยและไว้ใจได้
  2. เรียนรู้ว่าคุณแม่และคุณพ่อมีอยู่จริงๆ ในโลกใบนี้และจะไม่มีวันหายไปไหนตลอดกาล
  3. เรียนรู้ว่าตัวตนของตนเองเป็นตัวอะไรหรือเป็นใคร

การเรียนรู้ทั้ง 3 อย่างนี้สำคัญที่สุด ถ้าทำได้เขาไปต่อได้อย่างดี ถ้าทำไม่ได้เขาไปต่อได้ยาก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เล่นสนุกกับลูก

ลี้ยงลูกเล็กให้ฉลาด ต้องใช้ของเล่นหรือสื่อเสริมทักษะหรือเปล่า

เด็ก 3 ขวบปีแรกไม่มีความจำเป็นต้องเจตนาเรียนรู้ ไม่ต้องสอนเสริม ไม่ต้องเรียนพิเศษ ไม่ต้องดูสารคดีชนะเลิศ ไม่ต้องดูการ์ตูนเจ้าหญิงเอลซ่าแช่แข็ง และไม่ต้องหาพรสวรรค์ อะไรทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์และอาจจะเป็นโทษ

ดังนั้น คุณแม่เลี้ยงให้มากที่สุดไว้ก่อนครับ อย่าคิดมากว่าตนเองไม่รู้อะไร ขอเพียงคุณอยู่ เขาหันมาเห็นคุณ การเรียนรู้ก็เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือรู้ว่าคุณยังอยู่ โลกนี้ปลอดภัยชัวร์ๆ และเขาคือใครกันแน่ ง่ายๆ เท่านี้เอง จากนั้นคุณแม่ก็เติมเรื่องง่ายๆ คือ อ่านหนังสือให้เขาฟังและเล่นกับเขาให้มากที่สุด  โดยอ่านหนังสือให้เขาฟังทำได้ตั้งแต่แรกเกิด ทำทุกคืน ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาไม่เอาเรา แต่รับรองได้ว่ายิ่งอ่านเขาจะยิ่งชอบและจะยิ่งรักคุณ ต้องการคุณตลอดชั่วกัลปาวสาน

วิธีเล่นกับลูก ไม่ต้องการความสามารถพิเศษ อย่างง่ายที่สุดคือ เล่นจั๊กกะจี้กัน อันนี้ใครๆ ก็น่าจะทำได้ เล่นจั๊กกะจี้แล้วไม่รู้จะทำอะไรก็เล่นซ่อนหา เล่นแมงมุมลายตัวนั้น หรือ เล่นไล่จับก็ทำได้ตั้งแต่เขาคลาน  ของเล่นเหล่านี้ไม่เสียเงิน คุณแม่ใช้แค่ใบหน้า เสียง มือ และเวลา เท่านั้นเอง ปัญหามักอยู่ที่อ้างว่าไม่มีเวลาแล้วจ้างคนอื่นเล่นแทนเสียมากกว่า เสาร์อาทิตย์เช้าๆ ตามห้างเราจะพบบ่อย

เด็กก่อน 3 ขวบ เรียนรู้ด้วยการเล่น
ไอคิวและภาษาดีขึ้น เพราะการเล่น อีคิวดีขึ้น เพราะพ่อแม่อยู่ด้วย!

บทความโดย : นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

วิธีเล่นกับลูก เมื่อไหร่ที่ควรเล่นกับลูก?

ทั้งนี้ทีมแม่ ABK ขอเสริมเพื่อให้ลูกได้ประโยชน์จากการเล่นอย่างเต็มที่ พ่อแม่ควรรู้ว่าเมื่อไรที่ลูกพร้อมจะเล่น ซึ่งก็คือการเรียนรู้ของลูกนั่นเอง เวลาที่ลูกพร้อมคือเมื่อลูกกำลังสนใจจ้องมองพ่อแม่หรือคนรอบๆ ตัว ส่งยิ้มให้ ทำท่าให้อุ้ม เป็นต้น

วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการ 4 ด้านของลูก

วิธีเล่นกับลูก ที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการ 4 ด้าน เริ่มต้นผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก รสชาติ และผิวหนัง

ตา : เอาของเล่น รูปภาพ ของใช้ในบ้าน อวัยวะ สิ่งของรอบๆ ตัวให้ลูกดูใกล้ๆ ชี้ให้ดูไกลๆ แล้วบอกลูกว่าคืออะไร

หู : คุยกับลูก พูด 2-3 ภาษาให้เป็นธรรมชาติได้เลย ถ้าพ่อแม่รู้สึกสบายใจที่จะทำ ไม่ต้องเครียด สำเนียงไม่เป๊ะไม่เป็นไร อ่านนิทานหรือหนังสือที่พ่อแม่ชอบให้ลูกฟัง ร้องรำทำเพลงให้ลูกได้ฟังเสียงต่างๆ รอบๆ ตัว

จมูก : เอาอาหาร ผัก ผลไม้ ดอกไม้ สิ่งของที่มีกลิ่นไม่รุนแรงไม่น่ารังเกียจให้ลูกฝึกดม อย่าลืมว่าทุกอย่างต้องสะอาด ก่อนเข้าใกล้ลูก

รส : ถ้าลูกอายุเกิน 6 เดือน จะได้ชิมอาหารตามวัย ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์จากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงขนม สารปรุงแต่ง สารเคมี

ผิวหนัง : ให้ลูกใช้มือ เท้า สัมผัสสิ่งต่างๆ ที่มีผิวสัมผัสหลากหลาย กอดโอบ อุ้ม หอมแก้ม นวดสัมผัส จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสที่ผิวหนังได้เป็นอย่างดี

ตัวอย่าง วิธีเล่นกับลูก วัยทารก แบบอื่นๆ ง่ายๆ 

  • จ๊ะเอ๋ เอามือปิดหน้าไว้แล้วเปิดออกพร้อมกับพูดว่า “จ๊ะเอ๋” ถ้าลูกเริ่มเข้าใจมากขึ้น จะรู้จักเอามือคุณออกจากกันเพื่อให้เห็นหน้าของคุณเร็วขึ้น ลูกอายุก่อน 9 เดือนจะยังไม่ทราบว่าคุณอยู่ด้านหลังของมือ ลูกจึงตื่นเต้นเวลาที่คุณเล่นเกมนี้ นอกจากนี้เกมนี้จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ว่า เวลาที่คุณจากไปเดี๋ยวก็กลับมา และถ้าเล่นเกมนี้เวลาที่ เปลี่ยนผ้าอ้อมหรือแต่งตัวจะทำให้ลูกรู้สึกสนุก และให้ความร่วมมือในการเปลี่ยนดีขึ้น
  • ตบมือแปะๆให้เข้ากับเนื้อเพลง  จะช่วยพัฒนาการด้านภาษาและประสาทสัมผัสที่มือ เมื่อลูกโตขึ้นจะเลียนแบบท่าทางได้ ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและการทำงานประสานกันระหว่างมือกับสายตา
  • ผ้ามหัศจรรย์  หาชิ้นผ้าที่มีผิวสัมผัส  สี  และลายหลากหลายแตกต่างกัน ให้ลูกได้จับโบกสะบัดไปมา ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ การทำงานของมือและสายตาประสานกัน
  • ร้องเพลงพร้อมทำท่าทางประกอบจังหวะ ทำได้เวลาอาบน้ำ เวลากอดกันกับลูก หรือขับรถอยู่ จะช่วยให้ความสนุกและพัฒนาการด้านภาษา

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

14 วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการตามวัย ให้ฉลาด อารมณ์ดี ตั้งแต่เบบี๋

3 กิจกรรมเล่นกับลูกเสริม พัฒนาการทารก 1 เดือน

งานยุ่ง จนไม่มีเวลาเล่นกับลูก จะพูดกับลูกอย่างไรไม่ให้ลูกเสียใจ

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

เช็กให้ดี ผักและผลไม้แม่ท้องต้องระวัง เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด

Alternative Textaccount_circle
event
ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง
ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

ผักและผลไม้เป็นแหล่งอาหารที่ให้วิตามิน  เกลือแร่  และกากใยที่ดี ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและช่วยไม่ให้ท้องผูก มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก แต่รู้หรือไม่ ว่าผักและผลไม้บางชนิดก็เป็นอาหารที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยง เพราะก่อให้เกิดผลเสียต่าง ๆ ตามมา จะมีอะไรบ้าง เป็นของโปรดของคุณแม่หลาย ๆ คนหรือเปล่า เราไปดู ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง กันดีกว่าค่ะ

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

 

1.ผลไม้หมักดอง อาจมีสารปนเปื้อนเป็นของแถม

เมื่อมีอาการแพ้ท้อง ว่าที่คุณแม่หลายคนอาจรู้สึกอยากกินของเปรี้ยว ๆ อย่างผลไม้หมักดองมากเป็นพิเศษ เช่น มะม่วงดอง ฝรั่งดอง มะยมดอง แถมยังหาซื้อง่ายและราคาไม่แพงอีกด้วย ต้องระวังให้ดีนะคะ เพราะผลไม้หมักดองเป็นอาหารรสจัดและอาจมีสารอันตรายปนเปื้อนอยู่ ทั้งบอแร็กซ์ ขัณฑสกร สารกันเชื้อรา สารกันบูด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

 

2. ผักผลไม้นอกฤดูกาลเสี่ยงได้รับสารเคมีเป็น ผักและผลไม้ที่แม่ท้องตัองระวัง 

หากในช่วงฤดูหนาว คุณแม่ท้องอยากกินผลไม้ฤดูร้อนอย่าง เงาะ หรือมังคุด ซึ่งเป็นผลไม้นอกฤดูกาล นอกจากจะหาได้ยากและมีราคาสูงแล้ว อาจมีการใช้สารเคมีเพื่อเร่งผลิต เช่น ปุ๋ยเคมี ฮอร์โมน ยาฆ่าแมลง การกินผลไม้นอกฤดูกาลจึงอาจทำให้เสี่ยงต่อการได้รับสารปนเปื้อนได้ด้วย

 

อ่านเพิ่มเติม >> แม่เช็กก่อนซื้อ! นี่คือ 6 ผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างมากที่สุด

 

3. ผลไม้รสหวานจัด เสี่ยงเบาหวาน ภาวะน้ำหนักเกิน

ผลไม้ที่มีรสหวาน ให้พลังงานสูง เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกสดชื่น เหมือนจะเหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ร่างกายมักอ่อนเพลียบ่อย ๆ แต่ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ลำไย มะม่วงสุก องุ่น ขนุน แตงโม หากกินเป็นประจำหรือกินในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้ฮอร์โมนอินซูลินทำงานผิดปกติ ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูง อาจเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือมีภาวะน้ำหนักเกิน ดังนั้น หากอยากกินจริง ๆ แนะนำให้กินน้อย ๆ นาน ๆ ครั้งจะดีกว่า

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

อ่านเพิ่มเติม >> แม่แชร์! เป็นเบาหวานตอนท้อง และวิธีคุมน้ำตาลแบบง่ายและได้ผลดี

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

4. ผลไม้ดิบ เสี่ยงท้องอืด 

ฝรั่ง มะม่วงดิบ แห้ว มันแกว เป็นผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก หากกินในปริมาณมากจะย่อยยาก ยิ่งทำให้คุณแม่รู้สึกแน่นท้อง ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ 2–3 ไตรมาสแรก ยิ่งควรหลีกเลี่ยง เพราะมดลูกจะโตขึ้น เบียดกระเพาะอาหาร ทำให้ย่อยได้ช้าลง

 

5. ผลไม้กินแล้วเสี่ยงแท้ง คลอดก่อนกำหนด

มะละกอดิบ ถือเป็นผลไม้ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยง เพราะในน้ำยางของมะละกอมีเอนไซม์ ชื่อว่า ปาเปน (papain) ส่งผลต่อฮอร์โมนที่เกี่ยวกับบีบตัวของมดลูก ทำให้มดลูกหดตัวนำไปสู่การแท้ง และคลอดก่อนกำหนดได้ จึงต้องเลี่ยงในช่วงที่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการสร้างตัวอ่อน การฝังตัว และการสร้างรก คุณแม่ควรหันมากินมะละกอสุกแทน

ผลไม้อีกชนิดคือ สับปะรด ซึ่งมีเอนไซม์บรอมีเลน (bromelain) กินแล้วทำให้ท้องเสียมดลูกหดตัวและเสี่ยงต่อการการแท้ง การคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ในสับปะรดยังมีกรดมาก เสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกินไม่ได้เลย เพียงแต่แม่ท้องต้ควรกินแต่น้อย และไม่ควรติดกันต่อเนื่องหลายๆวัน

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

มะขาม มีวิตามินซีที่สูงมาก กินช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ แต่ขณะเดียวกันสารในมะขามกลับไปยับยั้งการผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้ฮอร์โมนลดลง หากกินในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรกอาจทำให้แท้ง หรือคลอดก่อนกำหนดได้

ว่านหางจระเข้ วุ้นในใบว่านหางจระเข้มีสารอโลอิน ( Aloin ) และ บาร์บาโลอิน ( Barbaloin ) มีฤทธิ์เร่งการจับตัวของเลือด ทำให้เลือดคั่งในมดลูก และมดลูกบีบตัว ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรเลี่ยงเนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนดได้ 

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

 

อ่านเพิ่มเติม >> 22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

 

6. ผลไม้ที่มีกำมะถัน ทำให้ท้องอืด

ผลไม้ที่มีสารกำมะถันสูงได้แก่ ทุเรียน สับปะรด อะโวคาโด  เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ท้องอืด และอาจทำให้เกิดอาการอาเจียนร่วมด้วย เนื่องมาจากกรดไหลย้อนและจุกเสียด อีกทั้งทุเรียนยังเป็นผลไม้ที่มีแป้งและน้ำตาลสูง คุณแม่ท้องควรกินแต่น้อย

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

7. ผักตระกูลเถา โบราณว่าทำให้คลอดลูกยาก จริงหรือ?

ผักตระกูลเถา เช่น ผักตำลึง ยอดฟักทอง ยอดมะระ ยอดฟักแม้ว คือผักที่คนโบราณเชื่อว่าคนท้องไม่ควรกิน เพราะจะทำให้คลอดลูกยาก เพราะลูกจะยึดแน่นอยู่ในท้องแม่เหมือนผักเครือเถาที่พันยึดตามกิ่งไม้ ความจริงแล้ว ผักเครือเถาไม่ได้ทำให้คลอดลูกยากแต่อย่างใด แต่ผักตระกูลนี้มีผลต่อแม่ท้องกลุ่มที่มีอาการข้ออักเสบระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากยอดอ่อนของผักตระกูลเถามีสารชื่อว่า Purin สูง ซึ่งสารชนิดนี้ เมื่อย่อยแล้วจะทำให้เกิดกรดยูริก เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเก๊าต์ได้ จึงไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป

 

คุณแม่ท้องทุกคน ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งของตัวเองและลูกน้อย รวมไปถึงออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่เองและลูก

 


ขอบคุณข้อมูลจาก

The Asian parents Thailand, Mama expert, Medthai, MGR Onlinethe womenskapook

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

6 ผลไม้แก้ไอ ขับเสมหะ แม่ท้องกินได้ปลอดภัยไม่ต้องใช้ยา

ผลไม้แม่ท้อง อะไรบ้างที่ควรและไม่ควรทาน

คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม กินมากไปเสี่ยง 7 โรคกระทบลูกในท้อง

น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี

7 น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี ล้างสะอาด ไม่ทิ้งคราบ ปลอดภัยกับลูกน้อย

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี
น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี

น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี เป็นอีกเรื่องที่แม่ต้องคิดหนัก เพราะน้ำยาล้างขวดนมเป็นของใช้สำคัญที่บ้านไหนมีลูกอ่อนจะขาดไม่ได้ และต้องเลือกใช้แบรนด์ทีน่าเชื่อถือ คุณภาพดี เพราะ ขวดนม เป็นภาชนะที่สัมผัสกับปากลูกโดยตรง ถ้าล้างไม่สะอาดทำให้มีแบคทีเรียสะสม เสี่ยงทำให้ลูกท้องเสียได้

 รีวิว 7 แบรนด์ น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี ของดีที่แม่ห้ามพลาด

น้ำยาล้างขวดนม จำเป็นอย่างไร  ?

การทำความสะอาดขวดนม จุกนม จำเป็นต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ ต้องไม่ทิ้งคราบนมหรือกลิ่นเหม็นหืนไว้ภายในขวด แค่การล้างด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นอาจไม่เพียงพอ แต่จะให้ใช้น้ำยาล้างเหมือนจานชามทั่วไปคงจะไม่ไหว เพราะจะมีสารตกค้างที่เป็นอันตรายกับลูก  การทำความสะอาดน้ำยาล้างขวดนมจึงจำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างขวดนมสำหรับเด็กเท่านั้น   เพื่อให้คุณแม่สามารถมั่นใจได้ว่าปราศจากสารเคมีอันตราย  และมีความปลอดภัยมากกว่าน้ำยาทำความสะอาดประเภทอื่น ๆ

วิธีเลือกน้ำยาล้างขวดนม

  • เลือกใช้น้ำยาล้างขวดนมสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ควรมีส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ เช่น ข้าวโพด มะพร้าว และผ่านการทดสอบว่าอ่อนโยน จากสถาบันที่เชื่อถือได้
  • เลือกน้ำยาล้างขวดนมที่มีประสิทธิภาพในการขจัดคราบเฉพาะเช่น คราบน้ำนม คราบไขมันได้ดี
  • ใช้น้ำยาล้างขวดที่ผลิตจากส่วนผสมธรรมชาติ เพื่อให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย เช่น พาราเบน, SLS , ฟอร์มัลดีไฮด์ สารทำความสะอาดที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดการระคายเคือง
  • เลี่ยงน้ำยาล้าขวดนมที่มีฟองมากเกินไป
  • เลือกขนาดและบรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้งานสะดวก ถ้าเป็นขวดที่ใช้งานมือเดียวได้ก็ยิ่งช่วยให้คุณแม่ล้างขวดนมได้ง่ายแม้ต้องอุ้มลูกน้อยไปด้วย

ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รู้ว่าจะเลือก น้ำยาล้างนม ยี่ห้อไหนดี มาส่องที่นี่!  ทีมแม่ ABK จัดให้แล้วกับรีวิว 7 แบรนด์น้ำยาล้างขวดนม ในดวงใจจากการโหวตจากแม่ทั่วประเทศ จากรางวัล Amarin Baby And Kids 2019 แบรนด์ไหนมีดีตรงไหน ดีอย่างไร ตามมาดูกันเลย

7  น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี แม่ต้องรู้ก่อนเลือก

น้ำยาล้างขวดนมD-nee

น้ำยาล้างขวดนม D-nee สูตรออร์แกนิค โดดเด่นด้วยการผลิตจากส่วนผสมของอโลเวร่า และสารธรรมชาติ 100 % ปราศจากสารเคมีอันตราย ทั้งส่วนผสมของสาร SLS  และพาราเบน จึงหมดกังวลเรื่องสารตกค้าง สามารถขจัดคราบมันของโปรตีน และ ไขมันจากน้ำนมที่เกาะติดในขวดหรือจุกนม ได้ดี  จึงหมดห่วงเรื่องกลิ่นหืนและคราบนมติดขวด ยี่ห้อนี้ยังเป็นสูตรไฮโป – อัลเลอร์เจอนิก ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ คุณแม่จึงมั่นใจได้ว่า ใช้แล้วปลอดภัยกับลูกน้อยแน่นอน

ขนาด 600 มิลลิลิตร ราคา 79 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย) 

 

น้ำยาล้างขวดนมBabi mild

ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนจาก Babi Mild ที่นิยมใช้กันในโรงพยาบาล สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีคุณสมบัติขจัดคราบไขมันจากน้ำนมและล้างสิ่งสกปรกอย่างดีเยี่ยม ไม่มีส่วนผสมของสาร SLS สารฟอร์มัลดีไฮด์ และสารพาราเบน จึงปลอดภัยเรื่องการตกค้างของสารเคมี ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพิ่มความพิเศษด้วยกลิ่นหอมของส้ม โดยใช้สารแต่งกลิ่นของอาหารไม่มีการสังเคราะห์ใด ๆ  ความพิเศษจากกลิ่นส้มจึงช่วยลดกลิ่นตกค้างของนมในขวดและจุกนม

ขนาด 650 มิลลิลิตร ราคา 107 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย)

 

น้ำยาล้างขวดนมKodomo

ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง Kodomo ที่ใครหลายคนคุ้นเคย โดดเด่นด้วยสูตรอ่อนโยนพิเศษสำหรับเด็กทารก  มีส่วนผสมของสารทำความสะอาดจากพืชธรรมชาติ  ช่วยสลายคราบนมที่เหลือติดขวดและคราบสิ่งสกปรก ซึ่งอาจก่อให้เกิดเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี ผ่านการทดสอบทางคลินิคโดยแพทย์ผิวหนังว่าไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง แม้ผิวบอบบางแพ้ง่าย นอกจากใช้ล้างขวดนมแล้วยังใช้ทำความสะอาดของเล่นและของใช้สำหรับลูกได้อีกด้วย

ขนาด 600 มิลลิลิตร ราคา 75 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย) 

 

น้ำยาล้างขวดนมLamoon

ผลิตภัณฑ์ล้างขวดนมของแบรนด์ Lamoon ที่ละมุนสมชื่อ โดดเด่นด้วยการใช้ส่วนผสมธรรมชาติที่แตกต่าง โดยใช้เอนไซม์ไม้อ่อนโยนจากธรรมชาติ 100% ที่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดคราบไขมัน ของน้ำนมได้อย่างหมดจด  มีฟองน้อย ล้างออกง่าย จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะมีสารตกค้างในขวดนม นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์จากผลไม้ที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่ตกค้างในขวด มีกลิ่นหอมสดชื่นจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ ช่วยให้คุณแม่รู้สึกปลอดภัยไร้กังวล

ขนาด 500 มิลลิลิตร ราคา 250 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย)

น้ำยาล้างขวดนม Pigeon

น้ำยาล้างขวดพีเจ้นผลิตจากธรรมชาติ 100 % ช่วยยับยั้งและป้องกันการเกิดเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีคุณภาพ อ่อนโยนต่อผิวสัมผัส ไม่ทำให้ระคายเคือง หมดความกังวลเรื่องสารตกค้างเพราะสามารถล้างทำความสะอาดเล่นเด็ก รวมไปถึงผักและผลไม้ คุณแม่จึงสามารถหายห่วงเรื่องสารเคมีที่อาจตกค้างจากการล้างขวดนม

ขนาด 700 มิลลิลิตร  ราคา 169  บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย) 

 

น้ำยาล้างขวดนมEnfant

ผลิตภัณฑ์ล้างขวดนมของ ENFANT ที่มาพร้อมคอนเซปต์ “ธรรมชาติ สะอาด ปลอดภัย” ตัวผลิตภัณฑ์ใช้สารสกัดจากธรรมชาติจากมันฝรั่ง ข้าวโพด เมล็ดปาล์ม และมะพร้าว สามารถขจัดคราบโปรตีน และ ไขมันจากนมได้อย่างสะอาดหมดจด ปราศจากสารเคมีสำหรับลดแรงตึงผิว ได้รับการทดสอบจากสถาบันผิวหนังว่าไม่ทำให้แพ้ระคายเคือง มีกลิ่นหอมของส้มอ่อนๆแบบเดียวกับที่ใส่ในอาการ คุณแม่จึงมั่นใจได้ว่าใช้แล้วจะ ขวดนมจะปลอดภัยมากพอสำหรับลูกน้อย

ขนาด 700 มิลลิลิตร ราคา 250 (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย) 

 

น้ำยาล้างขวดนมPureen

น้ำยาล้างขวดนมยี่ห้อ Pureen มีจุดเด่นที่ใช้สารสกัดจากมะพร้าวและข้าวโพด แต่สามารถทำความสะอาดคราบนมและสิ่งสกปรกทั้งขวดนม และจุกนมได้อย่างหมดจด ปราศจากสารพราเบนและ SLS ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ที่สำคัญมีฟองน้อย ล้างออกง่าย สามารถใช้ล้างผักผลไม้ได้ด้วย เรียกว่าขวดเดียวคุ้ม

ขนาด 650 มิลลิลิตร  ราคา 105 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย)  

ทั้งนี้ การเลือกซื้อ น้ำยาล้างขวดนมให้ดี คุณแม่ควรพิจารณาถึงคุณภาพสินค้าเป็นสำคัญ และควรอ่านฉลากทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ ก่อนคำนึงถึงเรื่องราคา เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัยกับลูกน้อยอย่างแท้จริง

 

อยากล้างขวดนมให้สะอาด ต้องเริ่มจากวิธีเลือก น้ำยาล้างขวดนม

 

น้ำยาล้างขวดนม เลือกแบบไหนปลอดภัยกับลูกน้อย

ลูกกินแต่นม

3 ผลร้าย ของการปล่อยให้! ลูกกินแต่นม เพียงอย่างเดียว

event
ลูกกินแต่นม
ลูกกินแต่นม

ลูกกินแต่นม ไม่ใช่เรื่องดี! พ่อแม่ยุคใหม่ระวัง..เพจหมอออกมาโพสต์เตือน!! ลูกกินแต่นม เพียงอย่างเดียว ส่งผลเสีย ทำลูกท้องผูก ปวดขา เดินไม่ได้!

นี่คือผลเสียของการที่ ลูกกินแต่นม ไม่ค่อยกินข้าว

นม มีประโยชน์ต่อร่างกายของลูกน้อย ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงและมีส่วนช่วยเพิ่มความสูงได้เป็นอย่างดี ซึ่งจำเป็นมากในเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต … แต่ไม่ว่าลูกจะกินนมแม่ นมผง หรือถ้าถึงวัย 1 ขวบแล้ว แม่เปลี่ยนมาให้กินนมกล่อง UHT (นมวัว) ถ้าปล่อยให้ ลูกกินแต่นม เพียงอย่างเดียว ดื่มนมมากเกินไป ไม่ยอมกินอาหารตามวัย ก็อาจทำให้ลูกขาดสารอาหาร ไม่มีพลังงานและได้รับกากใยไม่เพียงพอ ส่งผลร้ายเกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้

โดยเพจหมอชื่อดัง Infectious ง่ายนิดเดียว ได้ออกมาโพสต์เตือนเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กเล็ก ซึ่งหลายบ้านมักมีปัญหาว่าลูกไม่ยอมกินข้าว โดยที่บางบ้านปล่อยให้ ลูกกินแต่นม และคิดว่า การกินนมสามารถทดแทนกันได้ แต่ความจริงแล้วการที่ร่างกายลูกอยู่ในช่วงการเจริญเติบโต จำเป็นที่ต้องได้รับสารอาหารมากกว่านั้น ซึ่งคุณหมอได้เขียนไว้ว่า…

พ่อแม่ยุคใหม่ระวัง ท้องผูก ซีด และ เดินไม่ได้ปวดขา

การให้อาหารน้องๆ ที่อายุเกิน 1 ปี

อาหารหลัก คือ ข้าว 3 มื้อ เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้

นมเป็นเพียงอาหารเสริม วันละไม่เกิน 2-3 กล่อง/แก้ว

การกินนมเพียงอย่างเดียว มีผลเสียมากกว่าผลดี

ผลเสียที่พบบ่อย หากให้ ลูกกินแต่นม

  1. ท้องผูก = เพราะไม่มีกากใยจากผัก ผลไม้ ทำให้ต้องเบ่ง อุจจาระแข็ง บางคนบาดก้นเป็นแผล ต้องสวน
    ยืนแอบถ่าย ถ่ายเป็นก้อนเล็กๆ เม็ดกระสุน บางคนอุจจาระเล็ด

การรักษา คือ พ่อแม่ต้องปรับพฤติกรรมการกิน ข้าว 3 มื้อเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ เสริมด้วยนม เวลากินไม่ดูทีวี โทรศัพท์ ไม่เดินป้อนกัน นั่งกินเป็นมื้อ ถ้าไม่กินให้เก็บ ไม่ต้องป้อนนม เด็กจะได้เรียนรู้ เวลาหิวคือข้าวไม่ใช่นม ห้ามตามใจ และต้องปฏิบัติเหมือนกันทั้งบ้าน ปู่ย่าตายาย พ่อและแม่

ทั้งนี้อาหารควรทำให้หลากหลาย สีสัน ธรรมชาติ ไม่ปรุงรสจัด กินน้ำวันละ 5-6แก้ว/วัน และฝึกขับถ่ายเป็นเวลา มีกระโถนแยกสำหรับเด็ก

  1. ขาดธาตุเหล็ก = ทำให้ซีด มีผลต่อการเรียน พัฒนาการ
  2. ขาดวิตามินซี = ทำให้เลือดออกง่าย เช่น ไรฟัน เนื้อเยื่อ กระดูกผิดปกติ เข่า ไม่ยอมเดิน

ทั้งนี้หากกลัวลูกขาดวิตามินซี การให้กินวิตามินซีเม็ด ขนาดเม็ดละ 50 มิลลิกรัม สามารถให้ลูกกินวันละ 1-2 เม็ด เนื่องจากกินมากอาจระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ และควรฝึกให้หันมากินผักผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีวิตามินซีเยอะโดยเฉพาะ ผักใบเขียว บร็อคโคลี่ มะเขือเทศ ผลไม้ เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอ มะม่วง มะนาว กีวี่ แคนตาลูป”

สรุปคือ การเลี้ยงดูลูกหลัง 1 ปี อาหารหลัก คือ ข้าว เนื้อสัตว์ ไข่ ผัก ผลไม้ >> ไม่ใช่ให้ลูกกินนมเป็นหลัก เพราะนมเป็นเพียงอาหารเสริมเท่านั้น กินวันละ 2-3 กล่องก็เพียงพอแล้ว

ลูกกินแต่นม
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Infectious ง่ายนิดเดียว

ทั้งนี้หากลูกติดใจนมมากกว่าข้าว อาจเป็นเพราะ

  1. ติดดูดขวด = เหมือนคนติดบุหรี่ บางครั้งไม่ได้เป็นเพราะติดสารนิโคติน แต่มีความสุขที่ได้อมบุหรี่ไว้ในปาก ดังนั้นถ้าอยากให้ลูกเบื่อนม ก็ลองเลิกใช้ขวดนม แล้วชักชวนให้เขาเปลี่ยนมาดื่มจากแก้วหรือดูดหลอดแทน ถือโอกาสเลิกขวดนมในคราวเดียวกันเลย

ปริมาณนมที่ลูกกินจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดจนเหลือปริมาณที่เหมาะสม เมื่อรู้สึกหิวเขาจะกินข้าวได้มากขึ้น แต่ยังไม่เห็นผลในทันที ร่างกายและจิตใจต้องการเวลาในการปรับสภาพประมาณ 1 – 3 เดือน น้ำหนักอาจลดลง 0.5 – 1.5 กิโลกรัมในช่วงแรก หากลูกกินนมได้น้อยกว่า 15 ออนซ์ ก็เสริมแคลเซียมและวิตามินรวมให้ชั่วคราว ลูกอาจร้องไห้งอแง อยากดูดนมจากขวด คุณแม่ต้องอดทนและให้ความสนใจเขามากขึ้น ชักชวนกันทำกิจกรรมให้ไม่เหงา

  1. เบื่ออาหารแบบเด็กๆ = หรือไม่ชอบบรรยากาศในการกินแบบเดิมๆ ลูกอาจสนใจอาหารแบบผู้ใหญ่ที่เป็นข้าวและกับข้าว ไม่ใช่ข้าวตุ๋น เริ่มปรุงรสชาติได้เล็กน้อย ลองซื้อเมนูอาหารสำหรับลูกมาฝึก อาจให้ลูกลองกินเอง ใช้มือก็ได้ กินพร้อมกับผู้ใหญ่หรือเด็กหลายๆ คน เด็กบางคนชอบกินอาหารตามภัตตาคารหรือแบบปิกนิก เพราะชอบบรรยากาศที่ไม่จำเจ หรือลองหาภาชนะที่แปลกตาและดึงดูดความสนใจมาใช้
  2. มีปัญหาในการเคี้ยวหรือกลืน = เพราะไม่เคยฝึกมาก่อน จึงเคยชินกับการกินอาหารเหลวแบบนมมากกว่า วิธีแก้ไขคือ ควรฝึกให้ลูกได้กินอาหารเสริมที่เหมาะสมตามช่วงอายุ เช่น อาหารที่หยาบขึ้นเมื่อลูกเริ่มมีฟันขึ้น
  3. ให้ลูกกินขนมหวาน = ขนมถุง ลูกอม หรือช็อกโกแลต ทำให้เขาติดรสหวาน รู้สึกว่าข้าวไม่อร่อยเท่าขนม จึงไม่อยากกิน วิธีแก้ไขคือ งดขนมทุกชนิดในบัดดล ปล่อยให้หิวและร้องไห้ไปเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจากแพทย์หญิงสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

รวม 60 สูตร+วิธีทำ เมนูอาหารเด็ก ตั้งแต่ 6 เดือน – 1 ขวบ

อาหารเสริมทารก เริ่มด้วยอาหารแบบไหน? ทานอย่างไร?

7 สัญญาณ ลูกพร้อมกิน “อาหารเสริมเด็ก-ทารก”

ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ
ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

ทำอย่างไรดี? ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ โมโหร้าย ตีพ่อแม่ เมื่อมีใครมาขัดใจ พฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้ลูกเป็นเด็กก้าวร้าวเมื่อโตขึ้นหรือไม่? รับมืออย่างไรให้ได้ผลดี?

10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

บางครั้ง “ลูก” ก็ถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบความอดทนของพ่อแม่ เมื่อเจ้าตัวเล็กที่แสนจะน่ารัก อยู่ ๆ ก็ร้องกริ๊ดเสียงดัง กระทืบเท้า อาละวาด เมื่อถูกขัดใจ พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพราะผลกรรมของพ่อแม่ที่เคยดื้อในตอนเด็ก ๆ กับพ่อแม่ของตัวเองหรอกนะคะ และที่ลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะลูกผิดปกติ หรือโตมาจากการเลี้ยงดูที่ผิดค่ะ ก่อนอื่นเราจึงต้องทำความเข้าใจกับสาเหตุที่ทำให้ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ กันก่อน เพราะเมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงสาเหตุและไปแก้ที่ต้นเหตุ พร้อมทั้งสร้างวินัยเชิงบวกให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ก็จะสามารถเปลี่ยนเด็กที่โมโหร้ายให้เป็นเด็กที่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้น

ทำความเข้าใจกับ “เหตุผล” ของลูก

การที่เด็กวัย 2 ขวบมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น โมโหร้าย ตี ทำร้าย กัด พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู ไม่แบ่งปัน ไม่ทำตามกฎกติกา พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพราะลูกอยากจะทำตัวไม่ดีให้พ่อแม่ดุหรอกนะคะ พฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของลูกซ่อนอยู่ ดังนี้

  1. ลูกยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ สาเหตุหลักที่ลูกอาละวาด โมโหร้ายนั้น เป็นเพราะว่า สมองของเด็กวัยนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จึงยังไม่รู้ถึงวิธีการรับมือเมื่อมีอารมณ์โกรธ และยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนผู้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อลูกโกรธ และลูกต้องการระบายอารมณ์โกรธ สิ่งที่ทำได้คือการอาละวาดให้หายโมโหนั่นเอง
  2. ลูกอยู่ในวัยที่กำลังเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์และกติกา เด็กวัยนี้กำลังอยู่ในวัยที่ลองผิดลองถูก ในบางครั้งลูกก็อาจจะอยากที่จะแหกกฎเกณฑ์ที่พ่อแม่รวมถึงคนรอบข้างตั้งไว้ดูบ้าง เพื่อดูว่าพ่อแม่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร และผลของการแหกกฎเกณฑ์ครั้งนี้เป็นอย่างไร
  3. เด็กกำลังเรียนรู้ภาษา เด็กวัย 2 ขวบจะยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดได้ 100% ดังนั้นการที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกจะสามารถเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่กำลังพูดกำลังสอนได้เหมือนผู้ใหญ่เลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
  4. พ่อแม่คาดหวังมากไปหรือเปล่า? ลอง​คิด​ถึง​การ​เปลี่ยน​แปลง​ที่​เกิด​ขึ้น​กับ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ ที่ตั้ง​แต่​เกิด​มา พ่อ​แม่​คอย​ดู​แล​เอา​ใจ​ใส่​เขา​ทุก​อย่าง ​เช่น วิ่งไปหาทันทีเมื่อลูกร้องไห้ เพื่อดูว่าลูกหิวนมหรือไม่ ต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือไม่ พ่อ​แม่​ทำ​ทุก​อย่าง​เพื่อ​ให้​ลูก​รู้สึก​สบาย​ขึ้น ​เพราะ​ลูก​​ยัง​ช่วยเหลือ​ตัว​เอง​ไม่​ได้ แต่เมื่อลูกอายุสอง​ขวบ เริ่มที่จะสื่อสารสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น สามารถทำอะไรเองได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปหยิบสิ่งที่ต้องการ การกินอาหารได้เอง ลูกจะ​เริ่ม​รู้​ว่า​พ่อ​แม่​ไม่​ได้​ทำ​อะไร​ให้​เขา​ทุก​อย่าง​อีก​ต่อ​ไป เมื่อพ่อแม่ไม่ทำสิ่งต่าง ๆ ​ให้​ลูกเหมือนตอนเป็นทารก แถมยังต้องการให้ลูกทำ​ตาม​ที่​พ่อ​แม่ต้องการ ตามกฎกติกาต่าง ๆ ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ​จึงอาจ​ไม่​ยอม​รับ​การ​เปลี่ยน​แปลงนี้ จึง​เริ่ม​ต่อต้าน​ด้วย​การ​ร้อง​อาละวาด

การที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ทราบถึงเหตุผลของลูก และดุด่าว่ากล่าวเพื่อไม่ให้ทำอีก จึงไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เพราะเมื่อลูกไม่ได้รับการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ก็จะทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อไปอีกเรื่อย ๆ ดังนั้น เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ลูกอาละวาดแล้ว ทีมแม่ ABK ก็มีวิธีรับมือและสร้างวินัยเชิงบวกให้กับเด็กอาละวาด เอาแต่ใจ มาฝากค่ะ

ลูกดื้อ
ลูกดื้อ

10 วิธีรับมือ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

แทนที่จะคิดว่าจะลงโทษลูกอย่างไรดีเมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ลองเปลี่ยนมาเป็นจะป้องกัน แนะนำ และสอนลูกถึงพฤติกรรมที่เหมาะสมแทนจะดีกว่านะคะ คุณพ่อคุณแม่ลองนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้กับลูก ๆ กันได้เลยค่ะ

  1. ใช้เวลาคุณภาพร่วมกับลูก

ให้คุณพ่อคุณแม่ลองกำหนดช่วงเวลาอย่างน้อย 20 นาทีในแต่ละวัน ที่จะมีเวลาคุณภาพร่วมกันกับลูก โดยในช่วงเวลานั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องไม่จับมือถือ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่คิดถึงเรื่องงานหรือเรื่องอื่น ๆ เลย ให้ใช้ช่วงเวลานั้นกับลูกเพียงอย่างเดียว ลองฟังในสิ่งที่ลูกพูดหรือคิด เล่นกับลูกโดยให้ลูกเป็นผู้นำ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องทั่วไป และไม่น่าจะเกี่ยวกับการที่ลูกอาละวาด แต่รู้ไหมคะ ว่าการที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งใจฟังลูก และเรียนรู้นิสัยของลูกผ่านการใช้เวลาคุณภาพนี้ จะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของลูกมากขึ้น เมื่อเข้าใจลูกมากขึ้น ก็จะเข้าใจถึงเหตุผลที่ลูกอาละวาดได้ดีขึ้

2.คาดเดาถึงปัญหา (ที่กำลังจะเกิด)

ให้คุณพ่อคุณแม่ลองคาดเดาสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ลูกจะต้องอาละวาดแน่ ๆ และให้หาทางแก้ปัญหาเหล่านั้นก่อนที่จะเกิดขึ้น เช่น เมื่อพาลูกไปเล่นที่บ้านเพื่อน แน่นอนว่าลูกจะรู้สึกไม่พอใจหรือโมโหเมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้าน ดังนั้น ให้คุณพ่อคุณแม่ทำความตกลงกับลูกก่อนที่จะพาไปเล่นว่าเมื่อถึงเวลากลับจะต้องทำตัวอย่างไร และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้านจริง ๆ แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะให้ลูกกลับทันทีเลย ลองบอกลูกว่าอีก 5 นาทีจะกลับบ้านแล้ว เพื่อให้ลูกเตรียมใจก่อนถึงเวลาจริง เป็นต้น

3. ใจเย็น ๆ

การตอบกลับต่อพฤติกรรมที่รุนแรงด้วยความรุนแรง ไม่ได้ทำให้ลูกอารมณ์เย็นขึ้น ในบางครั้งที่ลูกหยุดอาละวาด ไม่ได้เป็นเพราะลูกเข้าใจถึงเหตุผลที่พ่อแม่ต้องการที่จะสอน แต่เป็นเพราะลูกกลัวค่ะ ดังนั้นเมื่อลูกร้อนมา คุณพ่อคุณแม่ต้องเย็นกลับ เพื่อให้ลูกได้อารมณ์เย็นลง และรับฟังคุณพ่อคุณแม่ได้ดีขึ้น

4. กอดช่วยได้

เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ชอบตี กัด หรือทำร้ายคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรตีกลับ หรือลงโทษกลับ แต่จะปล่อยให้ลูกทำร้ายก็ไม่ได้ ดังนั้น การหยุดไม่ให้ลูกทำร้ายที่ดีที่สุดคือการกอดค่ะ กอดเพื่อให้ลูกหยุดทำร้ายร่างกาย กอดให้ลูกรับรู้ถึงความรักของพ่อแม่ ในระหว่างที่กอด ให้คุณพ่อคุณแม่พูดว่า อย่าตีแม่ แม่เจ็บนะ แม่รู้สึกไม่ดีเลยที่ถูกลูกตี เป็นต้น เพื่อให้ลูกได้รับรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นไม่เหมาะสม และทำให้พ่อแม่เสียใจ

5. สนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวก

เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่เหมาะสม ควรชื่นชมลูกว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ลูกเก่งมากที่ทำได้ เมื่อลูกได้รับรู้ถึงการสนับสนุนสิ่งที่ตนเองทำ รับรู้ว่าหากทำแบบนี้แล้วจะได้รับการชื่นชม ลูกก็จะอยากทำแบบเดิมอีกเพื่อให้ได้รับคำชมนั่นเอง

6. ฟังลูกพูด

การที่ลูกร้องไห้ อาละวาด นั้นมีเหตุผล แม้ว่าเหตุผลเหล่านั้นจะไม่มีเหตุผลในสายตาคุณพ่อคุณแม่ก็ตาม แต่เหตุผลนั้นมันยิ่งใหญ่มากสำหรับลูกนะคะ ดังนั้น การตั้งใจฟังถึงเหตุผลที่ลูกร้องไห้ จะช่วยทำให้ลูกรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่เอาใจใส่ เข้าใจ และพร้อมที่จะสนับสนุนเขา เขาก็จะพร้อมที่จะรับฟังวิธีแก้ไขกับปัญหาที่เขาเจอ

7. ให้ทางเลือกกับลูก 

แทนที่จะบอกว่า อย่าทำนะ ห้ามเล่นนะ ห้ามวิ่งนะ ลองเปลี่ยนมาเป็น ถ้าลูกวิ่งตรงนี้ซึ่งเป็นหินที่ขรุขระ เมื่อล้มจะเจ็บตัวได้ เปลี่ยนมาวิ่งบนสนามหญ้าจะดีกว่า เพราะเมื่อล้มก็จะได้ไม่เจ็บมากแทน เพราะเมื่อเด็กโดนห้าม มักจะมีความรู้สึกว่าอยากจะทำ ดังนั้นลองเสนอทางเลือกให้ลูกได้เลือก ลูกก็จะรู้สึกว่าตนเองเลือกเอง ไม่ได้โดนบังคับให้หยุดทำ

8. ให้ในสิ่งที่ลูกต้องการไปเลย

ข้อนี้ดูเหมือนจะขัดต่อวิธีการรับมือใช่ไหมล่ะคะ แต่คุณพ่อคุณแม่อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเด็กในวัยนี้ ไม่สามารถที่จะทำตามเหตุผลได้เหมือนผู้ใหญ่ เด็กในวัยนี้ยังใช้อารมณ์เป็นหลัก ดังนั้น บางทีการยอมให้ในสิ่งที่ลูกต้องการ ซึ่งสิ่งนั้นต้องไม่ใช่สิ่งที่ใหญ่โตอะไร และก็ไม่ควรยอมให้ไปทั้งหมด ควรจะมีข้อแม้ หรือควรจะมีการต่อรองกับลูกว่าให้ได้ แต่ไม่สามารถให้ได้ทั้งหมดที่ลูกต้องการ เช่น ลูกอยากกินขนมก่อนนอน หากคุณพ่อคุณแม่ยังดึงดันไม่ให้ลูกทาน แต่เมื่อลูกอยู่ในอารมณ์ที่อยากทานจริง ๆ ลูกก็จะอาละวาดอยู่อย่างนั้น ลองยอมให้ลูกทาน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไปแปรงฟันอีกครั้งก่อนนอน เป็นต้น

9. ผลัดกันเล่น แทนการแบ่งปัน

เมื่อลูกเป็นเด็กที่ไม่ชอบแบ่งปัน อาจไม่ใช่เพราะลูกหวงของก็ได้นะคะ แต่อาจเป็นเพราะลูกก็ยังอยากเล่นของเล่นชิ้นนั้นอยู่ หรืออาจเป็นเพราะลูกคิดว่าเมื่อแบ่งให้เพื่อนเล่นแล้ว กว่าจะได้เล่นอีกทีคงจะอีกนานก็ได้ ดังนั้น แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะบังคับให้ลูกแบ่งปัน ลองเปลี่ยนเป็นให้ลูกผลัดกันเล่นกับเพื่อนแทน วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกว่ายังสามารถเล่นของเล่นชิ้นนั้นได้อยู่ ลูกก็จะยอมให้เพื่อนเล่นด้วย

10. เล่นบทบาทสมมุติ

คุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่าการเล่นบทบาทสมมุติเกี่ยวอะไรกับวิธีรับมือ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ อยากบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีสอนลูกให้เข้าใจได้ดีกว่าการพูดเพียงอย่างเดียว เพราะการเล่น เป็นสิ่งที่เด็กชอบ การสอนลูกผ่านการเล่นบทบาทสมมุติ จะช่วยให้ลูกเห็นภาพ และเข้าใจถึงสถานการณ์ได้ง่ายกว่าค่ะ

การสอนลูก ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ตายตัว ไม่มีผิดไม่มีถูก มีแต่เหมาะหรือไม่เหมาะกับแต่ละบ้าน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถปรับวิธีการรับมือลูกอาละวาด เอาแต่ใจ จาก 10 ข้อนี้ ให้เหมาะสมกับลูกของตนเองได้เลยค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อุทาหรณ์เลี้ยงลูกผิด! ตามใจลูกเกินไป จนไม่รู้ค่าของเงิน

สิ่งที่ควรสอนลูก 10+1 ข้อ พ่อแม่ห้ามพลาด! เพื่อลูกมีความสุขไปตลอดชีวิต

5 นิทานคุณธรรม ปลูกฝังให้ลูกทำดีได้ตั้งแต่เล็ก!

วัยทอง 2 ขวบ Terrible Two จะรับมืออย่างไร ?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thebump.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เช็ก 10 สัญญาณมะเร็งปากมดลูก ภัยเงียบใกล้ตัวแม่

Alternative Textaccount_circle
event

มะเร็งปากมดลูก ภัยเงียบที่คุกคามผู้หญิงทุกคน แม้แต่ “คนเป็นแม่”  ที่สำคัญโรคนี้จัดเป็นอยู่ในอันดับสามของโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทย ไปไม่น้อย เพราะกว่าจะรู้ว่า “ตัวเองเป็นมะเร็ง” อาการของโรคก็ลุกลามบานปลาย หลายคนต้องผ่านกระบวนการรักษาที่ยาวนาน และกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน หนทางป้องกันดีที่สุดคือ การสังเกตสัญญาณเตือนของมะเร็งปากมดลูก เพื่อรักษาตั้งแต่เนิ่น

มะเร็งปากมดลูก คร่าชีวิตหญิงไทยถึงวันละ 6 คน

ในปีพ.ศ. 2562 พบว่า มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 5,513 คน และหญิงไทยเสียชีวิตจาก มะเร็งปากมดลูก 2,251 คนต่อปี เฉลี่ยวันละ 6 คน ถึงแม้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะลดน้อยลงกว่าปีพ.ศ. 2561 ที่มากถึงวันละ 14 คน แต่ก็เรียกได้ว่ายังคงเป็นสถิติที่น่ากังวลอยู่ดี ผู้หญิงทุกคนจึงควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก เพื่อลดโอกาสการเสียชีวิตให้น้อยลง

 

 HPV สาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก

เชื้อ HPV หรือ Human Papillomavirus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อเอชพีวี แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง หรือการมีเพศสัมพันธ์ เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ เป็นต้น เชื้อ HPV มีอยู่กว่า 150 สายพันธุ์ แต่สำหรับผู้หญิง สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของโรค มะเร็งปากมดลูก สูงถึง 70% และสาเหตุส่วนใหญ่ของการติดเชื้อเอชพีวีคือติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยมะเร็งปากมดลูก พบมากในผู้หญิงอายุ 35-60 ปี

หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก 2,251 คนต่อปี

อ่านเพิ่มเติม >> หญิงไทยฟังทางนี้!! ตรวจมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมฟรี!!

 

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก

1.เกิดจากการมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์ในช่วงอายุน้อยกว่า 17 ปี เพราะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกมาก และมีความไวต่อสารก่อมะเร็ง

2.มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส และหนองใน ก็จะยิ่งทำให้มีความเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก มากขึ้น

3.ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานกว่า 5 ปี มีความเสี่ยงสูงขึ้นถึง 1.3 เท่า ถ้ารับประทานนานถึง 10 ปี มีความเสี่ยงถึง 2.5 เท่า

ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก
ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก

4.คลอดลูกมากกว่า 4 ครั้ง อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัวเลยทีเดียว

5. สูบบุหรี่ มีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเอดส์ หรือรับยากดภูมิคุ้มกัน อาจเป็นตัวเร่งให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

 10 สัญญาณมะเร็งปากมดลูก แม่ต้องรู้

สัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูก

1. มีเลือดออกผิดปกติ ที่ไม่ใช่ประจำเดือน เช่น เลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน เลือกออกเป็นระยะ เลือดออกหลังจากตรวจภายใน

2. เลือดออกหลังวัยทอง เช่น ผู้หญิงวัย 55 ปี หมดประจำเดือนไป 3 ปี แล้วมีเลือดออกทางช่องคลอดอีก ควรรีบไปพบแพทย์

3. ตกขาวผิดปกติ เช่น เป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น มีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด มีเลือดปน

4. ปัสสาวะขัด ปวดแสบ อาจเป็นสัญญาณมะเร็งปากมดลูก หรืออาจติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ไม่แน่ชัดว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ควรประมาท และสังเกตอาการอื่นร่วมด้วย

5. เจ็บขณะร่วมเพศ เป็นหนึ่งสัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูก

6.ประจำเดือนมามากและนานผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปากมดลูก

7. ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยจากสถิติผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก มักจะมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และเลือดปน

8. เจ็บปวดตามร่างกาย โดยเฉพาะ ขา หลัง และเชิงกราน เนื่องจากมะเร็งกระจายส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด

9. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เพราะระบบการรักษาสมดุลของร่างกายทำงานหนัก เพื่อต่อต้านและกำจัดมะเร็งออกไป

10 .น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ เพราะร่างกายจะสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่กำจัดไขมันส่วนเกินมากเกินไป ทำให้น้ำหนักลดทั้งๆ ที่ไม่ได้อดอาหาร

 

วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก

1. ตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก ปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุ 30 ปีขึ้นไป

ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปีเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก

 

อ่านเพิ่มเติม >> แพทย์แนะหญิงไทย ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก ทุกสามปี

อ่านเพิ่มเติม >> 8 ข้อควรรู้ ก่อนพาลูกไป ฉีดวัคซีน มะเร็งปากมดลูก

 

2. ผู้หญิงที่ใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ควรตรวจหา มะเร็งปากมดลูก ทุก 6 เดือน

3. ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่

4. ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายอยู่เสมอ

5. ฉีดวัคซีนป้องกันโรค มะเร็งปากมดลูก สามารถติดต่อโรงพยาบาลเพื่อขอฉีดวัคซีนได้

 

ถึงแม้ว่ามะเร็งปากมดลูก จะเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้ป่วยไปเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้ในปัจจุบันนี้ มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งโดยวิธีการผ่าตัดและการใช้รังสีรักษา นอกจากนี้ ยังเป็นโรคที่สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน และสามารถตรวจคัดกรองได้เป็นระยะ ๆ ดังนั้น  อย่าหลงผิดไปรักษาผิดวิธี เช่น การไปรักษาโดยยาสมุนไพร หรือกลัวการรักษาจนเกินเหตุ ทำให้โรคเป็นมากขึ้น โอกาสหายจากโรคน้อยลง

 


ขอบคุณข้อมูลจาก

thaijobsgov.com, สถาบันมะเร็งแห่งชาติราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลหน่วยสารสนเทศมะเร็ง, โรงพยาบาลเปาโล, Line Today

อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม

ตรวจคัดกรองมะเร็ง ในผู้หญิงควรตรวจเมื่อไหร่?

ไขข้อสงสัย! ใส่ผ้าอนามัยนานๆ เสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูกจริงหรือ?

9 อาหารช่วยลดความเสี่ยงการเกิด มะเร็งปากมดลูก

หญิงไทยฟังทางนี้!! ตรวจมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมฟรี!!

keyboard_arrow_up