ข้าวเพื่อสุขภาพ

คนท้องกินข้าวแบบไหนดี 6 ข้าวเพื่อสุขภาพ บำรุงครรภ์แม่ ดูแลลูกแข็งแรงตั้งแต่ในท้อง

Alternative Textaccount_circle
event
ข้าวเพื่อสุขภาพ
ข้าวเพื่อสุขภาพ

“ข้าว” นับเป็นอาหารหลักในแต่ละมื้อที่คุณแม่ตั้งครรภ์จะรับประทานควบคู่ไปกับเมนูอาหารต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนบำรุงสุขภาพตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งในปัจจุบันมีข้าวเพื่อสุขภาพ หลายพันธุ์ที่ถูกปลูกขึ้นมา ชนิดของข้าวแต่ละชนิดต่างก็มีคุณค่าทางโภชนาการ คนท้องกินข้าวแบบไหนดี ที่จะได้รับคุณค่าทางอาหารที่มีประโยชน์หลากหลายต่อตัวเองและลูกในท้อง มาดูกันค่ะ

คนท้องกินข้าวแบบไหนดี 6 ข้าวเพื่อสุขภาพ
บำรุงครรภ์แม่ ดูแลลูกแข็งแรงตั้งแต่ในท้อง

ข้าวเพื่อสุขภาพ คือ ข้าวที่ไม่ได้ผ่านการขัดสี ส่วนใหญ่จะมีสีเข้ม สีแดงและสีดำบ้าง ที่ล้วนเป็นแหล่งสะสมสารอาหาร คงคุณค่าของวิตามินและกากใยไว้สูง ทั้งยังเป็นยาป้องกันรักษาโรคชั้นเยี่ยม และให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าวขาวราว 2-3 เท่า จึงเป็นที่นิยมรับประทานเพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์มากขึ้น

ข้าวกล้อง

1.ข้าวกล้อง (Brown Rice)

ข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ ถือเป็นหนึ่งในอาหารกลุ่มให้พลังงาน มีสีน้ำตาลอมแดง เป็นข้าวเพื่อสุขภาพที่ไม่ผ่านการขัดสีโดยที่สีเอาแค่เปลือกออก และยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวอยู่ ทำให้มีคุณค่าและสารอาหารที่มีประโยชน์มาก เนื่องจากข้าวกล้องมีใยอาหารเหลืออยู่มากกว่าข้าวที่ถูกขัดสีราว 3 เท่า การรับประทานข้าวกล้องจึงส่งผลดีต่อลูกน้อยในครรภ์และสุขภาพคุณแม่มากมาย

ประโยชน์จากข้าวกล้อง

  • ป้องกันโรคเหน็บชาและอาการตะคริวในขณะตั้งครรภ์ ในข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 และ บี 2 เมื่อรับประทานข้าวกล้องเป็นประจำ วิตามิน B 1 จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาและอาการตะคริวซึ่งเป็นอาการที่คุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 90% ต้องเผชิญ ทั้งยังป้องกันการเกิดปากนกกระจอก และป้องกันอาการอ่อนเพลีย อาการปวดกล้ามเนื้อต่าง ๆ  ได้อีกทางด้วย
  • ช่วยป้องกันท้องผูก การรับประทานข้าวกล้องทุกวันจะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น เนื่องจากในข้าวกล้องมีเส้นใยอาหารสูงมากกว่าข้าวขาวขัดสีถึง3 เท่า จึงช่วยในเรื่องของอาการท้องผูกของแม่ท้องได้เป็นอย่างดี
  • ป้องกันภาวะโลหิตจางขณะตั้งครรภ์ ในข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากเป็น 2 เท่าและทองแดงที่ช่วยเสริมการสร้างเม็ดเลือด การรับประทานขาวกล้องเป็นประจำจึงมีส่วนช่วยป้องกันภาวะโลหิตจางได้
  • ช่วยในการเจริญเติบโตของเหงือกและฟัน ในข้าวกล้อง 100 กรัม มีฟอสฟอรัสอยู่มากถึง 267 มิลลิกรัม จึงสามารถช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันและเส้นผมได้ ทั้งยังมีแคลเซียมที่แม่ท้องควรได้รับ ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง
  • ช่วยควบคุมน้ำหนัก ในข้าวกล้องมีปริมาณแป้งน้อยกว่าขาวข้าว และมีไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เป็นไขมันดีที่ไม่มีคอเลสเตอรอล ถ้ากินในปริมาณที่พอดีก็จะอิ่มท้องได้นาน ช่วยคุณแม่ควบคุมน้ำหนักระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วน และยังได้รับสารอาหารต่าง ๆ ในข้าวกล้อง มีผลทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์สุขภาพร่างกายแข็งแรง สุขภาพจิตดี ไม่เครียด

นอกจากนี้ในข้าวกล้องยังอุดมไปด้วยวิตามินรวมกว่า 20 ชนิดและแร่ธาตุต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้งเกลือแร่ โปรตีนมากกว่า 20-30% ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้ระบบการทำงานของร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยเสริมสร้างร่างกาย ซ่อมแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ หากได้รับประทานเป็นประจำก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพ สำหรับคุณแม่ที่กำลังมองข้าวกล้องเป็นตัวช่วย ในมื้อแรกอาจจะกินแล้วรู้สึกกรุบ ๆ เล็กน้อย ไม่นุ่มเหมือนข้าวขาว เนื่องจากเยื้อหุ้มเมล็ดที่ยังคงอยู่ แนะนำให้หุงผสมกับข้าวขาวไปก่อนแล้วค่อย ๆ เปลี่ยนมารับประทานข้าวกล้องล้วนดูค่ะ

2.ข้าวกล้องงอก (Germinated brown rice หรือ GABA-rice)

ข้าวกล้องงอก เป็นการนำข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือมาผ่านกระบวนการงอกด้วยการนำข้าวกล้องมาแช่น้ำจนมีรากงอกออกมา ซึ่งโดยปกติแล้ว ในตัวข้าวกล้องเองประกอบด้วยสารอาหารจำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก (Phytic acid) วิตามินซี วิตามินอี และ GABA (gamma aminobutyric acid) เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำเพื่อทำให้งอก จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสารกาบาที่มีมากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า การรับประทานข้าวกล้องงอกนอกจากจะทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้ประโยชน์จากการที่มีจำนวนสารอาหารที่สูงขึ้นแล้ว คุณแม่ยังได้ทานข้าวหุงสุกที่นุ่ม สามารถหุงได้โดยไม่ต้องผสมกับข้าวขาว ทำให้รับประทานง่ายกว่าข้าวกล้องปกติ

ประโยชน์ของข้าวกล้องงอก

การงอกของจมูกข้าวเปรียบได้กับการสร้างสเต็มเซลล์ ข้าวกล้องงอกจึงได้สารอาหารเพิ่มขึ้น และสารสำคัญอย่าง Gaba หรือ Gamma aminobutyric acid ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อาทิเช่น ช่วยบำรุงสมองและประสาท ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ลดความดันโลหิต ปกป้องต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน เป็นต้น ทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมอง ช่วยทำให้สมองผ่อนคลาย ไม่เครียดและนอนหลับสบายได้ดี อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นต่อมไร้ท่อซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ และทำให้ผิวพรรณดี ป้องกันการสะสมไขมันจึงช่วยสำหรับในการควบคุมน้ำหนักตัวในขณะตั้งครรภ์ได้

ข้าวมันปู
ข้าวมันปู

3.ข้าวมันปู 

ข้าวมันปู เป็นข้าวพันธุ์หนึ่งที่มีเยื่อหุ้มเปลือกข้าวเป็นสีแดงแบบสีมันปู มีการเทียบสารอาหารพบว่าให้คุณประโยชน์สูงกว่าข้าวขัดสีขาว มีไขมันในปริมาณเดียวกับข้าวกล้อง และมีสารเคโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายสูงกว่าข้าวขัดสี สารอาหารที่มีอยู่ในข้าวมันปูหรือข้าวแดงในปริมาณสูง ได้แก่ แป้ง ไขมัน โปรตีน ฟอสฟอรัส ทองแดง วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และบี 3 วิตามินซี และธาตุเหล็กในปริมาณที่สูงมาก เหมาะสำหรับคุณแม่ที่มีภาวะโลหิตจาง และยังมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย แต่เนื่องจากข้าวชนิดนี้ย่อยยาก คุณแม่ตั้งครรภ์อาจจะนำมาหุงเป็นข้าวต้มเพื่อให้ได้ความเหนียวนุ่มน่ารับประทาน หรือนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนูอย่าง ข้าวผัดหรือข้าวอบต่าง ๆ ที่จะให้รสชาติความหวานมากกว่าข้าวขาวธรรมดา

ประโยชนของข้าวมันปู

สารอาหารต่าง ๆ ที่มีอยู่ในข้าวมันปู มีสรรพคุณช่วยป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคแขนขาไม่มีกำลัง ป้องกันโรคเหน็บชา รักษาอาการมือเท้าบวม ป้องกันโรคนอนไม่หลับ รักษาระบบย่อยอาหารที่ไม่ปกติ มีลมในท้องและลำไส้ ช่วยบำรุงระบบประสาท ช่วยในการไหลเวียนของโลหิตภายในร่างกาย  ช่วยลดระดับของคอเลสเตอรอลในเลือด

4.ข้าวหอมนิล (Non-Glutinous Jasmine Black Rice)

ข้าวหอมนิลหรือข้าวสีนิล เป็นข้าวที่มีสีดำไม่ได้มีการย้อมสีใดๆ ทั้งสิ้น มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์และให้คุณประโยชน์บางอย่างมากกว่าข้าวสีอื่น เมื่อเทียบกับข้าวทั่วไปแล้ว ข้าวหอมนิลมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากกว่าถึง 7 เท่าเลยทีเดียว จัดเป็นข้าวที่มีโปรตีนสูง และอุดมไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายไว้อย่างครบถ้วน อาทิ รวมสารวิตามินบีครบ วิตามินอี โปรตีน เกลือแร่ แคลเซียม สังกะสี เส้นใยอาหาร กรดไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้า 3 ฟอสฟอรัส มีสารต้านอนุมูลอิสระ แอนโทไซยานิน และธาตุเหล็กที่มีอยู่ในข้าวหอมนิลมากกว่าข้าวกล้องทั่วไปถึง 30 เท่า

ประโยชน์ข้าวหอมนิล

  • ในข้าวหอมนิลมีธาตุเหล็กสูง ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ประโยชน์ในการบำรุงโลหิตได้ทันที
  • ป้องกันอาการเหน็บชาและตะคริว
  • ป้องกันโรคปากนกกระจอก
  • ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ ช่วยบำรุงสมองและทำให้เจริญอาหาร
  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน
  • ป้องกันภาวะโลหิตจาง ป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์
  • ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายไหลลื่น ช่วยป้องกันอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์และช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้
  • ช่วยในการบำรุงสมองและกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท พร้อมเสริมสร้างความจำให้ดียิ่งขึ้น
  • ในข้าวหอมนิลมีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันโรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้ดีกว่าผลไม้ตระกูลเบอรี่ถึง 3 เท่า
  • สารแอนโทไซยานิน และไบโอฟราโวนอย (Bioflavonoids ในเมล็ดข้าวมีส่วนช่วยลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด ช่วยซับไขมัน ลดระดับคลอเรสเตอรอล ป้องกันไขมันไปสะสมในเส้นเลือด
  • ป้องกันภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ข้าวไรซ์เบอร์รี่
ข้าวไรซ์เบอร์รี่

5.ข้าวไรซ์เบอร์รี่ (Riceberry)

ข้าวไรซ์เบอร์รี่ เป็นข้าวที่เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างข้าวเจ้าหอมนิลซึ่งเป็นสายพันธุ์พ่อกับข้าวขาวดอกมะลิ 105 ซึ่งเป็นสายพันธุ์แม่ทำให้ได้ลักษณะที่ดีและอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ข้าวไรส์เบอร์รี่มี ลักษณะของเมล็ดข้าวโดดเด่นจากข้าวชนิดอื่น ๆ อย่างชัดเจน มีความเรียวยาว ผิวมันวาว สีม่วงเข้ม เมื่อนำไปหุงสุกจะมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีรสชาติหวานกลมกล่อมมากกว่าข้าวชนิดอื่น เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม อร่อย ทานง่ายมีเส้นใยค่อนข้างเยอะจึงทำให้อิ่มท้องได้นาน จัดว่าเป็นพันธุ์ข้าวเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมที่สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากในข้าวไรซ์เบอรี่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญต่อร่างกายมากมาย เช่น โอเมก้า 3 ธาตุสังกะสี ธาตุเหล็ก วิตามินอี บี เบต้าแคโรทีน ลูทีน โพลิฟีนอล แทนนิน แกมมาโอไรซานอล ไฟเบอร์  ฯลฯ ที่ให้ประโยชน์มากมาย

ประโยชน์ของข้าวไรซ์เบอรี่

  • ป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ในทารก ช่วยให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง เพราะในข้าวไรซ์เบอรี่มีสารโฟเลตที่มีหน้าที่สำคัญในการสร้างสารพันธุกรรมของมนุษย์หรือ DNA/RNA สามารถป้องกันโรคปากแหว่งเพดานโหว่ได้ และทำงานร่วมกับวิตามินบี 12 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์ จึงช่วยป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์เป็นโรคหัวใจหรือแขนขาพิการแต่กำเนิด
  • เสริมสร้างกระดูกแข็งแรง ข้าวไรซ์เบอรี่มีแคลเซียมสูง ที่ช่วยบำรุงให้ลูกน้อยในครรภ์สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงและเสริมสร้างความแข็งแรงของมวลกระดูกของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์
  • ลดภาวะโลหิตจาง ในข้าวไรซ์เบอรี่มีธาตุเหล็กสูง เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง และเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้ออกซิเจนในร่างกายและสมอง หากรับประทานข้าวไรซ์เบอรี่เป็นประจำ จะช่วยในการบำรุงโลหิตและบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ลดภาวะโลหิตจางในขณะตั้งครรภ์
  • ไม่ให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ เนื่องจากในข้าวไรซ์เบอรี่มีดัชนี้น้ำตาลที่ต่ำกว่าข้าวทั่วไป มีคุณสมบัติช่วยควบคุมน้ำตาลและน้ำหนักได้ จึงช่วยให้คุณแม่ควบคุมน้ำหนักที่ทำไม่ให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือภาวะเบาหวานและโรคอ้วนขณะตั้งครรภ์
  • ลดอาการท้องผูก ข้าวไรซ์เบอร์รี่มีเส้นใยอาหารที่จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและไขมันในเส้นเลือดไม่ให้สูงจนเกินไป และช่วยในการขับถ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งสามารถช่วยลดอาการท้องผูกของแม่ท้องได้อีกด้วย
  • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง สีม่วงเข้มที่พบในข้าวไรซ์เบอรี่ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติคือสารแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารสีที่สามารถละลายน้ำได้ดี จัดอยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ สารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ เบต้าแคโรทีน ลูทีน แกมมาโอไรซานอล วิตามินอี แทนนิน สังกะสี เหล่านี้จะช่วยลดอัตราเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดสมองและหัวใจ ทำให้ปอดทำงานดีขึ้น ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันจอประสาทตาเสื่อม บำรุงการไหลเวียนของเลือดในเส้นเลือดฝอยที่หล่อเลี้ยงตา ลดระดับคอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในหลอดเลือด ทำให้เลือดหมุนเวียนไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเป็นปกติ ลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง สมองเสื่อม เป็นต้น
  • โอเมก้า 3 มีประโยชน์ต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับและระบบประสาท ทั้งยังลดระดับคอเลสเตอรอล
  • วิตามินอี ช่วยบำรุงผิวพรรณคุณแม่ที่มีปัญหาหมองคล้ำลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอาร์โมนขณะตั้งครรภ์ให้ดูสดใส กระจ่างใสเปล่งปลั่งขึ้น

6.จมูกข้าว

โดยส่วนใหญ่แล้วเรามักจะคุ้นเคยกับ “เมล็ดข้าว” แต่ส่วนสำคัญที่มีประโยชน์ของข้าวอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในเมล็ดข้าวทุกพันธุ์นั่นก็คือ “จมูกข้าว” ซึ่งเป็นติ่งเล็ก ๆ ที่อยู่ส่วนปลายของเมล็ดข้าวค่อนไปด้านข้าง เป็นส่วนที่จะงอกออกไปเป็นต้นใหม่ จมูกข้าวเป็นอีกส่วนหนึ่งของข้าวที่มีคุณค่างทางอาหารสูงและสารอาหารครบถ้วน โดยหากรับประทานข้าวที่ไม่มีจมูกข้าวปนอยู่ (ข้าวขาว) จะได้เพียงคาร์โบไฮเดรต ซึ่งถือว่าได้สารอาหารน้อยมากเมื่อเทียบกับข้าวกล้องที่ยังมีจมูกข้าวเหลืออยู่ สำหรับคนรักสุขภาพหรือคุณแม่ท้องที่เห็นความสำคัญของการรับประทานจมูกข้าว ก็จะรู้ว่าจมูกข้าวนั้นก็ให้ประโยชน์และสารอาหารสำคัญไม่น้อย

ประโยชน์ของจมูกข้าว

  • ลดคอเลสเตอรอลและไตรกรีเซอร์ไรด์ในร่างกายการรับประทานจมูกข้าวที่มีสาร Gamma Oryzanol ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และมีประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับไขมันชนิดดี ให้กับร่างกาย ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลและไตรกลีเซอไรด์ มีผลโดยตรงในการป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เป็นผลมาจากหลอดเลือดตีบตัน เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต หัวใจวาย เป็นต้น
  • ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น รักษาสุขภาพลำไส้ใหญ่ ป้องกันมะเร็งลำไส้ เพราะอุดมด้วยเส้นใยอาหาร
  • เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ต้านทานความเสื่อมของร่างกายได้เป็นอย่างดีทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย จมูกข้าวถือเป็นส่วนของข้าวที่มีสารอาหารมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไขมันชนิดดี วิตามินต่างๆ ทั้ง วิตามินA B E D นอกจากนั้นยังมีโอเมก้า 3-6-9 และแร่ธาตุที่สำคัญต่อร่างกาย โดยสารอาหารเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยชั้นเยี่ยมในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ให้กับร่างกาย การรับประทานจมูกข้าวเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้
  • ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง ทั้งโอเมกา 6 และวิตามินบีรวม ที่มีในจมูกข้าวเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยพัฒนาสมองและช่วยให้สมองปลอดโปร่ง แม่ท้องกินดีก็ส่งผลต่อพัฒนาการดี ๆ ของลูกในท้องด้วย
  • นอกจากนี้ในจมูกข้าวนั้นยังมีโปรตีนประมาณร้อยละ 7 ไขมันไม่อิ่มตัวร้อยละ 6 รวมทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น วิตามินบี โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินอี แคลเซียม แมกนีเซียม กากใยอาหาร เหล็ก ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแม่ท้องเป็นอย่างมาก

จะเห็นได้ว่า “ข้าวเพื่อสุขภาพ” มีหลากหลายชนิดและมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายมากมายที่ในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่สามารถหาซื้อมาหุงรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมควบคู่ไปกับเมนูอาหารคนท้องเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ ก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพแม่เองและพัฒนาการดี ๆ ต่อลูกน้อยในครรภ์นะคะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.wongnai.com2845goodriceswww.ricedee.com

อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ :

แจกสูตร 12 เมนูอาหารง่ายๆ สำหรับแม่ทำกับข้าวไม่เก่ง เข้าครัวเพื่อลูก!

15 คุณประโยชน์ของ น้ำซาวข้าว ที่แม่ ๆ ห้ามพลาด

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ตะขาบ

แม่เตือนภัย!! ลูกชายเจอ “ตะขาบ” ในหลอดดูดน้ำหวาน!!

Alternative Textaccount_circle
event
ตะขาบ
ตะขาบ

ใครจะคิดว่าการซื้อน้ำหวานที่ขายพร้อมหลอดดูดน้ำที่ห่อด้วยพลาสติก จะเป็นตัวการที่ทำให้ลูกหวิดบาดเจ็บจาก “ตะขาบ” ที่ซ่อนตัวอยู่ในหลอดดูดน้ำ

แม่เตือนภัย!! ลูกชายเจอ “ตะขาบ” ในหลอดดูดน้ำหวาน!!

ทีมแม่ ABK ขอนำโพสต์เตือนภัยจากคุณแม่ Lalita Pollachom ที่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนและลูกชายวัย 4 ขวบ ได้พบเจอกับตะขาบที่ซ่อนอยู่ในหลอดดูดน้ำหวาน ดังนี้

 อยากให้เรื่องนี้ทำให้ทุกคนระวังตัวมากขึ้น 
เมื่อประมาณ 6 โมงเย็น เราไปซื้อของในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรสงคราม
ก่อนจะกลับจากห้างได้ไปซื้อน้ำร้านนึง 3 แก้ว
ซื้อกันเสร็จก็ได้ขับรถพาลูกไปนั่งเล่นที่ร้านน้องที่รู้จัก
ลูกอยากกินน้ำที่ซื้อมาเลยเอาแก้วน้ำกับหลอดไป
แล้วลูกชายก็ได้แกะถุงพลาสติกที่ห่อหลอดออก
แต่ไปเห็นเหมือนมีตัวอะไรอยู่ในหลอดเนื่องด้วยลูกชายเราวัย 4 ขวบกว่า ๆ เป็นคนที่กลัวแมลงมาก ๆ แม้แต่มดยังกลัว เลยเรียกเรา แม่ ๆ มีตัวอะไรดำ ๆ อยู่ในหลอด เราก็รับหลอดจากลูกมาใส่ไปข้างถุงแก้ว
แล้วลองเคาะ ๆ ดูว่าคืออะไร? เราถึงกับตกใจ!!!!
( ตะขาบบบบบบ ) เข้าใจไม่ผิดค่ะ คือตะขาบตัวเป็น ๆ จริง ๆ ‼️ เราเลยเอาถุงที่ใส่หลอดมาดู
คือรอยซีนมันแตกออกเลยทำให้ตะขาบเข้าไปอยู่ในนั้น
พี่ที่อยู่ในร้านน้องบอกให้เราไปบอกที่ร้านน้ำ เราก็เลยพาน้องไปเป็นเพื่อนโดยเอาแก้วกับหลอดไปที่ร้านด้วย เราก็ได้ไปบอกกับทางร้าน ว่าควรระวังมากกว่านี้ ทางร้านจะทำแก้วใหม่ให้ แต่เราไม่เอา ทางร้านเลยคืนเงินมา 30 บาท เราเลยบอกไปว่าถ้าลูกเราไม่ใช่เด็กขี้กลัว แล้วกินเข้าไปจะทำยังไง ถ้าลูกเราเป็นอะไรขึ้นมาคุณจะรับผิดชอบยังไง แล้วถ้าเป็นคนอื่นละ คุณจะรับผิดชอบไหวมั้ย จากนั้นทางร้านก็ได้ขอโทษเราก็เออไม่เอาผิดอะไรไปมากกว่านี้ เลยพาน้องกลับ เห้ยเงิน 30 บาทช่วยอะไรไม่ได้เลยนะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ มันคือชีวิตคนเลยนะเว้ย
ใครจะคิดว่าหลอดที่ห่อด้วยถุงพลาสติก จะมีตัวอะไรเข้าไปได้ ใครจะไปทันดูว่ารอยซีนนั้นมันแตกออก
ลองคิดดู ถ้าลูกเราไม่ใช่เด็กที่ขี้ระวังขี้กลัว วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกเรา มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่มันคือชีวิตคนทั้งคน #อยากให้ทางร้านระวังและเอาใจใส่เรื่องความสะอาดมากกว่านี้
#เราอยากให้ทุกคนระวังก่อนจะกินอะไร#ไม่มีใครโชคดีเหมือนลูกเราทุกคน#ภัยไกล้ตัวที่เราคิดไม่ถึง#มันคือเรื่องที่เราไม่คิดว่าจะเกิด#ในความโชคร้าย#เลยอยากมาเตือนทุกๆคนค่ะ#ด้วยความตกใจเลยถ่ายมาแค่นี้#ใครจะคิดว่าหลอดที่มีถุงซีนอย่างดีจะมีตัวอะไรเข้าไปได้😰😰😰😰😰😰😰😰

โดยโพสต์นี้ คุณแม่ต้องการเตือนคุณแม่ท่านอื่น ๆ ถึงภัยใกล้ตัวที่บางทีเราก็คิดไม่ถึง อย่างเช่นหลอดดูดน้ำที่มีซีลพลาสติกห่ออยู่ หลาย ๆ คนก็ไม่ค่อยจะได้สังเกตถึงความผิดปกติที่อยู่ในหลอด โดยส่วนมากก็จะแกะซีลพลาสติกที่ห่อหลอดอยู่ออก แล้วทานเลยทันที ดังนั้น ก่อนที่แม่ ๆ จะให้ลูกดูดน้ำจากหลอดน้ำหวาน ก็อย่าลืมที่จะสังเกตถึงความผิดปกติที่อยู่ภายในหลอด ก่อนให้ลูกทาน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกได้

ตะขาบในหลอด
ตะขาบในหลอด

ทำไมตะขาบถึงเข้าไปอยู่ในหลอด?

โดยปกติแล้วตะขาบจะชอบอาศัยอยู่ในที่มืดและอับชื้น และออกหากินในเวลากลางคืน เช่น ในรองเท้า หรือแม้แต่หลอดดูดน้ำ ซึ่งปกติแล้ว ตะขาบ จะไม่รุกรานสัตว์ที่ขนาดใหญ่กว่าตัวมันมาก ๆ แต่หากตะขาบถูกสัตว์อื่น ๆ รุกราน ตะขาบก็จะกัดและปล่อยพิษเพื่อป้องกันตนเอง

พิษของ ตะขาบ ประกอบด้วย hydroxytryptamine หรือ cytolysin ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด หรือบวมแดงจากการอักเสบในบริเวณที่ถูกกัด อาจทำให้บริเวณที่ถูกกัดขาดเลือด และทำให้เนื้อเยื่อบริเวณถูกกัดตายได้ หากไม่ได้รับการถอนพิษทันท่วงที และในผู้แพ้ อาจเกิดอาการไข้ขึ้น ต่อมน้ำเหลืองบวม ความดันโลหิตสูงร่วมด้วย สำหรับผู้ใหญ่ที่โดน ตะขาบ กัด หากไม่แพ้หรือมีอาการหนัก สามารถทำการถอนพิษตะขาบเบื้องต้นดังนี้

  1. ล้างแผลด้วยน้ำสบู่ หรือแอลกอฮอล์
  2. ใช้น้ำแข็งประคบที่ปากแผลเป็นเวลาประมาณสิบนาทีเพื่อบรรเทาการปวด
  3. กินยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวด แต่หลีกเลี่ยงยาที่มีฤทธิ์กดประสาทรุนแรง
  4. หากอาการปวดมาก หรือมีอาการไข้ขึ้น ต่อมน้ำเหลือบวม หรืออื่น ๆ ควรรีบนำไปพบแพทย์

สำหรับเด็กที่โดนตะขาบกัด หากมีอาการปวดบวมมาก ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

อย่างไรก็ตาม การป้องกันไม่ให้ตนเองถูก ตะขาบ กัด เป็นวิธีรับมือกับพิษตะขาบได้ดีที่สุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ที่ตะขาบมักจะมาซ่อนตัวอยู่ในที่อับชื้น วิธีการชิงป้องกันไม่ให้ตะขาบเข้ามายังที่อยู่อาศัย และอยู่ใกล้ตัวเด็ก ๆ สามารถทำได้ดังนี้

  1. อุดรูรั่วของช่องว่างตามผนังอาคาร เพื่อไม่ให้ตะขาบเข้ามาในอาคารได้
  2. พยายามไม่ให้บ้านมีมุมมืดและอับชื้น อันเป็นที่ซึ่งตะขาบชอบอยู่
  3. โรยปูนขาวในจุดที่คาดว่ามีตะขาบอยู่ ปูนขาวจะดูดความชื้น ทำให้ตะขาบไม่ชอบ หรืออาจใช้ยาฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ พ่นไปยังจุดที่คาดว่าจะมีตะขาบอยู่
  4. หลีกเลี่ยงการฆ่าตะขาบด้วยการเหยียบ เนื่องจากตะขาบที่ถูกเหยียบจะปล่อยฟีโรโมน ซึ่งดึงดูดตะขาบตัวอื่นให้มายังบริเวณที่มันตาย

ในช่วงหน้าฝน ไม่ได้มีแค่ตะขาบที่ชอบมาซ่อนบริเวณจุดอับชื้นต่าง ๆ ยังมีสัตว์เลื้อยคลานชนิดอื่น ๆ เช่น งู ที่ชอบมาซุกอยู่ในรองเท้าอีกด้วย ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรระมัดระวังไม่ให้ลูกเกิดอันตรายหรืออุบัติเหตุจากสัตว์เลื้อยคลานเหล่านี้ โดยการสังเกตให้ดีก่อนให้ลูกใส่หรือทานนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

5 พาหะนำโรค หน้าฝน ภัยร้ายต่อสุขภาพลูกน้อย

12 วิธีกำจัดแมลง และสัตว์ร้ายใกล้ลูกน้อย

ดูให้ดีก่อนกิน แมงป่องในลองกอง เด็กโดนต่อยอาจช็อกได้

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟสบุ๊ค Lalita Pollachom, medium.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีเล่นกับลูก

หมอแนะ! วิธีเล่นกับลูก วัยทารก สร้าง EQ ดี IQ เริ่ด พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!

event
วิธีเล่นกับลูก
วิธีเล่นกับลูก

หมอประเสริฐแนะ! วิธีเล่นกับลูก วัยทารก เริ่มได้ตั้งแต่แรกเกิด ถึง 6 เดือน เสริมความฉลาด กระตุ้นพัฒนาการ แบบง่าย ๆ พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!

วิธีเล่นกับลูก ช่วยให้ทารกเรียนรู้ พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!

Q. เป็นพ่อแม่มือใหม่ค่ะ ลูกอายุได้ 4-5 เดือน เราตกลงกันให้แม่เลี้ยงลูกเป็นหลัก ปัญหาคือ เวลาอยู่กับลูกเล็กๆ ทั้งวัน ไม่รู้จะทำอะไรกับลูกค่ะ มีแต่คุยด้วยและอุ้มไปเดินเล่นแถวบ้านบ้าง เด็กทารกอยู่แต่ในบ้านจะดีกับเขาหรือเปล่าคะ อยากมีส่วนช่วยให้ลูกเรียนรู้ เด็กเล็กขนาดนี้เขาจะเรียนรู้อะไรได้บ้าง

สำหรับเรื่องนี้ ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำจาก หมอประเสริฐมาแนะนำ โดยคุณหมอกล่าวว่า…

ตั้งใจฟังนะครับ  ทารกเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่คุณแม่ยังอยู่ในสายตา … เมื่อไรที่คุณพ้นสายตา  การเรียนรู้ก็จะลดลงตามส่วน

ทารก 1 ขวบปีแรก , เด็กเล็ก 2 ปีต่อมา เขามีหน้าที่และภารกิจสำคัญที่สุดที่จะต้องทำให้สำเร็จคือ

  1. เรียนรู้ว่าโลกและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขาปลอดภัยและไว้ใจได้
  2. เรียนรู้ว่าคุณแม่และคุณพ่อมีอยู่จริงๆ ในโลกใบนี้และจะไม่มีวันหายไปไหนตลอดกาล
  3. เรียนรู้ว่าตัวตนของตนเองเป็นตัวอะไรหรือเป็นใคร

การเรียนรู้ทั้ง 3 อย่างนี้สำคัญที่สุด ถ้าทำได้เขาไปต่อได้อย่างดี ถ้าทำไม่ได้เขาไปต่อได้ยาก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เล่นสนุกกับลูก

ลี้ยงลูกเล็กให้ฉลาด ต้องใช้ของเล่นหรือสื่อเสริมทักษะหรือเปล่า

เด็ก 3 ขวบปีแรกไม่มีความจำเป็นต้องเจตนาเรียนรู้ ไม่ต้องสอนเสริม ไม่ต้องเรียนพิเศษ ไม่ต้องดูสารคดีชนะเลิศ ไม่ต้องดูการ์ตูนเจ้าหญิงเอลซ่าแช่แข็ง และไม่ต้องหาพรสวรรค์ อะไรทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์และอาจจะเป็นโทษ

ดังนั้น คุณแม่เลี้ยงให้มากที่สุดไว้ก่อนครับ อย่าคิดมากว่าตนเองไม่รู้อะไร ขอเพียงคุณอยู่ เขาหันมาเห็นคุณ การเรียนรู้ก็เกิดขึ้นแล้ว นั่นคือรู้ว่าคุณยังอยู่ โลกนี้ปลอดภัยชัวร์ๆ และเขาคือใครกันแน่ ง่ายๆ เท่านี้เอง จากนั้นคุณแม่ก็เติมเรื่องง่ายๆ คือ อ่านหนังสือให้เขาฟังและเล่นกับเขาให้มากที่สุด  โดยอ่านหนังสือให้เขาฟังทำได้ตั้งแต่แรกเกิด ทำทุกคืน ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาไม่เอาเรา แต่รับรองได้ว่ายิ่งอ่านเขาจะยิ่งชอบและจะยิ่งรักคุณ ต้องการคุณตลอดชั่วกัลปาวสาน

วิธีเล่นกับลูก ไม่ต้องการความสามารถพิเศษ อย่างง่ายที่สุดคือ เล่นจั๊กกะจี้กัน อันนี้ใครๆ ก็น่าจะทำได้ เล่นจั๊กกะจี้แล้วไม่รู้จะทำอะไรก็เล่นซ่อนหา เล่นแมงมุมลายตัวนั้น หรือ เล่นไล่จับก็ทำได้ตั้งแต่เขาคลาน  ของเล่นเหล่านี้ไม่เสียเงิน คุณแม่ใช้แค่ใบหน้า เสียง มือ และเวลา เท่านั้นเอง ปัญหามักอยู่ที่อ้างว่าไม่มีเวลาแล้วจ้างคนอื่นเล่นแทนเสียมากกว่า เสาร์อาทิตย์เช้าๆ ตามห้างเราจะพบบ่อย

เด็กก่อน 3 ขวบ เรียนรู้ด้วยการเล่น
ไอคิวและภาษาดีขึ้น เพราะการเล่น อีคิวดีขึ้น เพราะพ่อแม่อยู่ด้วย!

บทความโดย : นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

วิธีเล่นกับลูก เมื่อไหร่ที่ควรเล่นกับลูก?

ทั้งนี้ทีมแม่ ABK ขอเสริมเพื่อให้ลูกได้ประโยชน์จากการเล่นอย่างเต็มที่ พ่อแม่ควรรู้ว่าเมื่อไรที่ลูกพร้อมจะเล่น ซึ่งก็คือการเรียนรู้ของลูกนั่นเอง เวลาที่ลูกพร้อมคือเมื่อลูกกำลังสนใจจ้องมองพ่อแม่หรือคนรอบๆ ตัว ส่งยิ้มให้ ทำท่าให้อุ้ม เป็นต้น

วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการ 4 ด้านของลูก

วิธีเล่นกับลูก ที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการ 4 ด้าน เริ่มต้นผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก รสชาติ และผิวหนัง

ตา : เอาของเล่น รูปภาพ ของใช้ในบ้าน อวัยวะ สิ่งของรอบๆ ตัวให้ลูกดูใกล้ๆ ชี้ให้ดูไกลๆ แล้วบอกลูกว่าคืออะไร

หู : คุยกับลูก พูด 2-3 ภาษาให้เป็นธรรมชาติได้เลย ถ้าพ่อแม่รู้สึกสบายใจที่จะทำ ไม่ต้องเครียด สำเนียงไม่เป๊ะไม่เป็นไร อ่านนิทานหรือหนังสือที่พ่อแม่ชอบให้ลูกฟัง ร้องรำทำเพลงให้ลูกได้ฟังเสียงต่างๆ รอบๆ ตัว

จมูก : เอาอาหาร ผัก ผลไม้ ดอกไม้ สิ่งของที่มีกลิ่นไม่รุนแรงไม่น่ารังเกียจให้ลูกฝึกดม อย่าลืมว่าทุกอย่างต้องสะอาด ก่อนเข้าใกล้ลูก

รส : ถ้าลูกอายุเกิน 6 เดือน จะได้ชิมอาหารตามวัย ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์จากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงขนม สารปรุงแต่ง สารเคมี

ผิวหนัง : ให้ลูกใช้มือ เท้า สัมผัสสิ่งต่างๆ ที่มีผิวสัมผัสหลากหลาย กอดโอบ อุ้ม หอมแก้ม นวดสัมผัส จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสที่ผิวหนังได้เป็นอย่างดี

ตัวอย่าง วิธีเล่นกับลูก วัยทารก แบบอื่นๆ ง่ายๆ 

  • จ๊ะเอ๋ เอามือปิดหน้าไว้แล้วเปิดออกพร้อมกับพูดว่า “จ๊ะเอ๋” ถ้าลูกเริ่มเข้าใจมากขึ้น จะรู้จักเอามือคุณออกจากกันเพื่อให้เห็นหน้าของคุณเร็วขึ้น ลูกอายุก่อน 9 เดือนจะยังไม่ทราบว่าคุณอยู่ด้านหลังของมือ ลูกจึงตื่นเต้นเวลาที่คุณเล่นเกมนี้ นอกจากนี้เกมนี้จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ว่า เวลาที่คุณจากไปเดี๋ยวก็กลับมา และถ้าเล่นเกมนี้เวลาที่ เปลี่ยนผ้าอ้อมหรือแต่งตัวจะทำให้ลูกรู้สึกสนุก และให้ความร่วมมือในการเปลี่ยนดีขึ้น
  • ตบมือแปะๆให้เข้ากับเนื้อเพลง  จะช่วยพัฒนาการด้านภาษาและประสาทสัมผัสที่มือ เมื่อลูกโตขึ้นจะเลียนแบบท่าทางได้ ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและการทำงานประสานกันระหว่างมือกับสายตา
  • ผ้ามหัศจรรย์  หาชิ้นผ้าที่มีผิวสัมผัส  สี  และลายหลากหลายแตกต่างกัน ให้ลูกได้จับโบกสะบัดไปมา ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อ การทำงานของมือและสายตาประสานกัน
  • ร้องเพลงพร้อมทำท่าทางประกอบจังหวะ ทำได้เวลาอาบน้ำ เวลากอดกันกับลูก หรือขับรถอยู่ จะช่วยให้ความสนุกและพัฒนาการด้านภาษา

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

14 วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการตามวัย ให้ฉลาด อารมณ์ดี ตั้งแต่เบบี๋

3 กิจกรรมเล่นกับลูกเสริม พัฒนาการทารก 1 เดือน

งานยุ่ง จนไม่มีเวลาเล่นกับลูก จะพูดกับลูกอย่างไรไม่ให้ลูกเสียใจ

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

เช็กให้ดี ผักและผลไม้แม่ท้องต้องระวัง เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด

Alternative Textaccount_circle
event
ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง
ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

ผักและผลไม้เป็นแหล่งอาหารที่ให้วิตามิน  เกลือแร่  และกากใยที่ดี ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและช่วยไม่ให้ท้องผูก มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่ตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก แต่รู้หรือไม่ ว่าผักและผลไม้บางชนิดก็เป็นอาหารที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยง เพราะก่อให้เกิดผลเสียต่าง ๆ ตามมา จะมีอะไรบ้าง เป็นของโปรดของคุณแม่หลาย ๆ คนหรือเปล่า เราไปดู ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง กันดีกว่าค่ะ

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง มีอะไรบ้าง ไปดูกัน

 

1.ผลไม้หมักดอง อาจมีสารปนเปื้อนเป็นของแถม

เมื่อมีอาการแพ้ท้อง ว่าที่คุณแม่หลายคนอาจรู้สึกอยากกินของเปรี้ยว ๆ อย่างผลไม้หมักดองมากเป็นพิเศษ เช่น มะม่วงดอง ฝรั่งดอง มะยมดอง แถมยังหาซื้อง่ายและราคาไม่แพงอีกด้วย ต้องระวังให้ดีนะคะ เพราะผลไม้หมักดองเป็นอาหารรสจัดและอาจมีสารอันตรายปนเปื้อนอยู่ ทั้งบอแร็กซ์ ขัณฑสกร สารกันเชื้อรา สารกันบูด ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

 

2. ผักผลไม้นอกฤดูกาลเสี่ยงได้รับสารเคมีเป็น ผักและผลไม้ที่แม่ท้องตัองระวัง 

หากในช่วงฤดูหนาว คุณแม่ท้องอยากกินผลไม้ฤดูร้อนอย่าง เงาะ หรือมังคุด ซึ่งเป็นผลไม้นอกฤดูกาล นอกจากจะหาได้ยากและมีราคาสูงแล้ว อาจมีการใช้สารเคมีเพื่อเร่งผลิต เช่น ปุ๋ยเคมี ฮอร์โมน ยาฆ่าแมลง การกินผลไม้นอกฤดูกาลจึงอาจทำให้เสี่ยงต่อการได้รับสารปนเปื้อนได้ด้วย

 

อ่านเพิ่มเติม >> แม่เช็กก่อนซื้อ! นี่คือ 6 ผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างมากที่สุด

 

3. ผลไม้รสหวานจัด เสี่ยงเบาหวาน ภาวะน้ำหนักเกิน

ผลไม้ที่มีรสหวาน ให้พลังงานสูง เมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกสดชื่น เหมือนจะเหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ร่างกายมักอ่อนเพลียบ่อย ๆ แต่ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ลำไย มะม่วงสุก องุ่น ขนุน แตงโม หากกินเป็นประจำหรือกินในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้ฮอร์โมนอินซูลินทำงานผิดปกติ ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดสูง อาจเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ หรือมีภาวะน้ำหนักเกิน ดังนั้น หากอยากกินจริง ๆ แนะนำให้กินน้อย ๆ นาน ๆ ครั้งจะดีกว่า

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

อ่านเพิ่มเติม >> แม่แชร์! เป็นเบาหวานตอนท้อง และวิธีคุมน้ำตาลแบบง่ายและได้ผลดี

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

4. ผลไม้ดิบ เสี่ยงท้องอืด 

ฝรั่ง มะม่วงดิบ แห้ว มันแกว เป็นผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก หากกินในปริมาณมากจะย่อยยาก ยิ่งทำให้คุณแม่รู้สึกแน่นท้อง ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ 2–3 ไตรมาสแรก ยิ่งควรหลีกเลี่ยง เพราะมดลูกจะโตขึ้น เบียดกระเพาะอาหาร ทำให้ย่อยได้ช้าลง

 

5. ผลไม้กินแล้วเสี่ยงแท้ง คลอดก่อนกำหนด

มะละกอดิบ ถือเป็นผลไม้ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยง เพราะในน้ำยางของมะละกอมีเอนไซม์ ชื่อว่า ปาเปน (papain) ส่งผลต่อฮอร์โมนที่เกี่ยวกับบีบตัวของมดลูก ทำให้มดลูกหดตัวนำไปสู่การแท้ง และคลอดก่อนกำหนดได้ จึงต้องเลี่ยงในช่วงที่ตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงไตรมาสแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการสร้างตัวอ่อน การฝังตัว และการสร้างรก คุณแม่ควรหันมากินมะละกอสุกแทน

ผลไม้อีกชนิดคือ สับปะรด ซึ่งมีเอนไซม์บรอมีเลน (bromelain) กินแล้วทำให้ท้องเสียมดลูกหดตัวและเสี่ยงต่อการการแท้ง การคลอดก่อนกำหนด นอกจากนี้ในสับปะรดยังมีกรดมาก เสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกินไม่ได้เลย เพียงแต่แม่ท้องต้ควรกินแต่น้อย และไม่ควรติดกันต่อเนื่องหลายๆวัน

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

มะขาม มีวิตามินซีที่สูงมาก กินช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ แต่ขณะเดียวกันสารในมะขามกลับไปยับยั้งการผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ทำให้ฮอร์โมนลดลง หากกินในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรกอาจทำให้แท้ง หรือคลอดก่อนกำหนดได้

ว่านหางจระเข้ วุ้นในใบว่านหางจระเข้มีสารอโลอิน ( Aloin ) และ บาร์บาโลอิน ( Barbaloin ) มีฤทธิ์เร่งการจับตัวของเลือด ทำให้เลือดคั่งในมดลูก และมดลูกบีบตัว ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรเลี่ยงเนื่องจากเสี่ยงต่อภาวะแท้งบุตรหรือคลอดก่อนกำหนดได้ 

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

 

อ่านเพิ่มเติม >> 22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

 

6. ผลไม้ที่มีกำมะถัน ทำให้ท้องอืด

ผลไม้ที่มีสารกำมะถันสูงได้แก่ ทุเรียน สับปะรด อะโวคาโด  เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ท้องอืด และอาจทำให้เกิดอาการอาเจียนร่วมด้วย เนื่องมาจากกรดไหลย้อนและจุกเสียด อีกทั้งทุเรียนยังเป็นผลไม้ที่มีแป้งและน้ำตาลสูง คุณแม่ท้องควรกินแต่น้อย

ผักและผลไม้ที่แม่ท้องต้องระวัง

7. ผักตระกูลเถา โบราณว่าทำให้คลอดลูกยาก จริงหรือ?

ผักตระกูลเถา เช่น ผักตำลึง ยอดฟักทอง ยอดมะระ ยอดฟักแม้ว คือผักที่คนโบราณเชื่อว่าคนท้องไม่ควรกิน เพราะจะทำให้คลอดลูกยาก เพราะลูกจะยึดแน่นอยู่ในท้องแม่เหมือนผักเครือเถาที่พันยึดตามกิ่งไม้ ความจริงแล้ว ผักเครือเถาไม่ได้ทำให้คลอดลูกยากแต่อย่างใด แต่ผักตระกูลนี้มีผลต่อแม่ท้องกลุ่มที่มีอาการข้ออักเสบระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากยอดอ่อนของผักตระกูลเถามีสารชื่อว่า Purin สูง ซึ่งสารชนิดนี้ เมื่อย่อยแล้วจะทำให้เกิดกรดยูริก เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเก๊าต์ได้ จึงไม่ควรกินในปริมาณที่มากเกินไป

 

คุณแม่ท้องทุกคน ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งของตัวเองและลูกน้อย รวมไปถึงออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่เองและลูก

 


ขอบคุณข้อมูลจาก

The Asian parents Thailand, Mama expert, Medthai, MGR Onlinethe womenskapook

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

6 ผลไม้แก้ไอ ขับเสมหะ แม่ท้องกินได้ปลอดภัยไม่ต้องใช้ยา

ผลไม้แม่ท้อง อะไรบ้างที่ควรและไม่ควรทาน

คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม กินมากไปเสี่ยง 7 โรคกระทบลูกในท้อง

น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี

7 น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี ล้างสะอาด ไม่ทิ้งคราบ ปลอดภัยกับลูกน้อย

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี
น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี

น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี เป็นอีกเรื่องที่แม่ต้องคิดหนัก เพราะน้ำยาล้างขวดนมเป็นของใช้สำคัญที่บ้านไหนมีลูกอ่อนจะขาดไม่ได้ และต้องเลือกใช้แบรนด์ทีน่าเชื่อถือ คุณภาพดี เพราะ ขวดนม เป็นภาชนะที่สัมผัสกับปากลูกโดยตรง ถ้าล้างไม่สะอาดทำให้มีแบคทีเรียสะสม เสี่ยงทำให้ลูกท้องเสียได้

 รีวิว 7 แบรนด์ น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี ของดีที่แม่ห้ามพลาด

น้ำยาล้างขวดนม จำเป็นอย่างไร  ?

การทำความสะอาดขวดนม จุกนม จำเป็นต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ ต้องไม่ทิ้งคราบนมหรือกลิ่นเหม็นหืนไว้ภายในขวด แค่การล้างด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำอุ่นอาจไม่เพียงพอ แต่จะให้ใช้น้ำยาล้างเหมือนจานชามทั่วไปคงจะไม่ไหว เพราะจะมีสารตกค้างที่เป็นอันตรายกับลูก  การทำความสะอาดน้ำยาล้างขวดนมจึงจำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างขวดนมสำหรับเด็กเท่านั้น   เพื่อให้คุณแม่สามารถมั่นใจได้ว่าปราศจากสารเคมีอันตราย  และมีความปลอดภัยมากกว่าน้ำยาทำความสะอาดประเภทอื่น ๆ

วิธีเลือกน้ำยาล้างขวดนม

  • เลือกใช้น้ำยาล้างขวดนมสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ควรมีส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติ เช่น ข้าวโพด มะพร้าว และผ่านการทดสอบว่าอ่อนโยน จากสถาบันที่เชื่อถือได้
  • เลือกน้ำยาล้างขวดนมที่มีประสิทธิภาพในการขจัดคราบเฉพาะเช่น คราบน้ำนม คราบไขมันได้ดี
  • ใช้น้ำยาล้างขวดที่ผลิตจากส่วนผสมธรรมชาติ เพื่อให้ปลอดภัยจากสารเคมีอันตราย เช่น พาราเบน, SLS , ฟอร์มัลดีไฮด์ สารทำความสะอาดที่มีผลข้างเคียงทำให้เกิดการระคายเคือง
  • เลี่ยงน้ำยาล้าขวดนมที่มีฟองมากเกินไป
  • เลือกขนาดและบรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้งานสะดวก ถ้าเป็นขวดที่ใช้งานมือเดียวได้ก็ยิ่งช่วยให้คุณแม่ล้างขวดนมได้ง่ายแม้ต้องอุ้มลูกน้อยไปด้วย

ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังไม่รู้ว่าจะเลือก น้ำยาล้างนม ยี่ห้อไหนดี มาส่องที่นี่!  ทีมแม่ ABK จัดให้แล้วกับรีวิว 7 แบรนด์น้ำยาล้างขวดนม ในดวงใจจากการโหวตจากแม่ทั่วประเทศ จากรางวัล Amarin Baby And Kids 2019 แบรนด์ไหนมีดีตรงไหน ดีอย่างไร ตามมาดูกันเลย

7  น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี แม่ต้องรู้ก่อนเลือก

น้ำยาล้างขวดนมD-nee

น้ำยาล้างขวดนม D-nee สูตรออร์แกนิค โดดเด่นด้วยการผลิตจากส่วนผสมของอโลเวร่า และสารธรรมชาติ 100 % ปราศจากสารเคมีอันตราย ทั้งส่วนผสมของสาร SLS  และพาราเบน จึงหมดกังวลเรื่องสารตกค้าง สามารถขจัดคราบมันของโปรตีน และ ไขมันจากน้ำนมที่เกาะติดในขวดหรือจุกนม ได้ดี  จึงหมดห่วงเรื่องกลิ่นหืนและคราบนมติดขวด ยี่ห้อนี้ยังเป็นสูตรไฮโป – อัลเลอร์เจอนิก ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ คุณแม่จึงมั่นใจได้ว่า ใช้แล้วปลอดภัยกับลูกน้อยแน่นอน

ขนาด 600 มิลลิลิตร ราคา 79 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย) 

 

น้ำยาล้างขวดนมBabi mild

ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยนจาก Babi Mild ที่นิยมใช้กันในโรงพยาบาล สำหรับผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีคุณสมบัติขจัดคราบไขมันจากน้ำนมและล้างสิ่งสกปรกอย่างดีเยี่ยม ไม่มีส่วนผสมของสาร SLS สารฟอร์มัลดีไฮด์ และสารพาราเบน จึงปลอดภัยเรื่องการตกค้างของสารเคมี ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพิ่มความพิเศษด้วยกลิ่นหอมของส้ม โดยใช้สารแต่งกลิ่นของอาหารไม่มีการสังเคราะห์ใด ๆ  ความพิเศษจากกลิ่นส้มจึงช่วยลดกลิ่นตกค้างของนมในขวดและจุกนม

ขนาด 650 มิลลิลิตร ราคา 107 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย)

 

น้ำยาล้างขวดนมKodomo

ผลิตภัณฑ์ยอดนิยมอย่าง Kodomo ที่ใครหลายคนคุ้นเคย โดดเด่นด้วยสูตรอ่อนโยนพิเศษสำหรับเด็กทารก  มีส่วนผสมของสารทำความสะอาดจากพืชธรรมชาติ  ช่วยสลายคราบนมที่เหลือติดขวดและคราบสิ่งสกปรก ซึ่งอาจก่อให้เกิดเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี ผ่านการทดสอบทางคลินิคโดยแพทย์ผิวหนังว่าไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง แม้ผิวบอบบางแพ้ง่าย นอกจากใช้ล้างขวดนมแล้วยังใช้ทำความสะอาดของเล่นและของใช้สำหรับลูกได้อีกด้วย

ขนาด 600 มิลลิลิตร ราคา 75 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย) 

 

น้ำยาล้างขวดนมLamoon

ผลิตภัณฑ์ล้างขวดนมของแบรนด์ Lamoon ที่ละมุนสมชื่อ โดดเด่นด้วยการใช้ส่วนผสมธรรมชาติที่แตกต่าง โดยใช้เอนไซม์ไม้อ่อนโยนจากธรรมชาติ 100% ที่มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดคราบไขมัน ของน้ำนมได้อย่างหมดจด  มีฟองน้อย ล้างออกง่าย จึงช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะมีสารตกค้างในขวดนม นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์จากผลไม้ที่ช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่ตกค้างในขวด มีกลิ่นหอมสดชื่นจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ ช่วยให้คุณแม่รู้สึกปลอดภัยไร้กังวล

ขนาด 500 มิลลิลิตร ราคา 250 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย)

น้ำยาล้างขวดนม Pigeon

น้ำยาล้างขวดพีเจ้นผลิตจากธรรมชาติ 100 % ช่วยยับยั้งและป้องกันการเกิดเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีคุณภาพ อ่อนโยนต่อผิวสัมผัส ไม่ทำให้ระคายเคือง หมดความกังวลเรื่องสารตกค้างเพราะสามารถล้างทำความสะอาดเล่นเด็ก รวมไปถึงผักและผลไม้ คุณแม่จึงสามารถหายห่วงเรื่องสารเคมีที่อาจตกค้างจากการล้างขวดนม

ขนาด 700 มิลลิลิตร  ราคา 169  บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย) 

 

น้ำยาล้างขวดนมEnfant

ผลิตภัณฑ์ล้างขวดนมของ ENFANT ที่มาพร้อมคอนเซปต์ “ธรรมชาติ สะอาด ปลอดภัย” ตัวผลิตภัณฑ์ใช้สารสกัดจากธรรมชาติจากมันฝรั่ง ข้าวโพด เมล็ดปาล์ม และมะพร้าว สามารถขจัดคราบโปรตีน และ ไขมันจากนมได้อย่างสะอาดหมดจด ปราศจากสารเคมีสำหรับลดแรงตึงผิว ได้รับการทดสอบจากสถาบันผิวหนังว่าไม่ทำให้แพ้ระคายเคือง มีกลิ่นหอมของส้มอ่อนๆแบบเดียวกับที่ใส่ในอาการ คุณแม่จึงมั่นใจได้ว่าใช้แล้วจะ ขวดนมจะปลอดภัยมากพอสำหรับลูกน้อย

ขนาด 700 มิลลิลิตร ราคา 250 (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย) 

 

น้ำยาล้างขวดนมPureen

น้ำยาล้างขวดนมยี่ห้อ Pureen มีจุดเด่นที่ใช้สารสกัดจากมะพร้าวและข้าวโพด แต่สามารถทำความสะอาดคราบนมและสิ่งสกปรกทั้งขวดนม และจุกนมได้อย่างหมดจด ปราศจากสารพราเบนและ SLS ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ที่สำคัญมีฟองน้อย ล้างออกง่าย สามารถใช้ล้างผักผลไม้ได้ด้วย เรียกว่าขวดเดียวคุ้ม

ขนาด 650 มิลลิลิตร  ราคา 105 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนเเปลงขึ้นอยู่กับโปรโมชันและสถานที่จัดจำหน่าย)  

ทั้งนี้ การเลือกซื้อ น้ำยาล้างขวดนมให้ดี คุณแม่ควรพิจารณาถึงคุณภาพสินค้าเป็นสำคัญ และควรอ่านฉลากทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ ก่อนคำนึงถึงเรื่องราคา เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารตกค้าง ปลอดภัยกับลูกน้อยอย่างแท้จริง

 

อยากล้างขวดนมให้สะอาด ต้องเริ่มจากวิธีเลือก น้ำยาล้างขวดนม

 

น้ำยาล้างขวดนม เลือกแบบไหนปลอดภัยกับลูกน้อย

ลูกกินแต่นม

3 ผลร้าย ของการปล่อยให้! ลูกกินแต่นม เพียงอย่างเดียว

event
ลูกกินแต่นม
ลูกกินแต่นม

ลูกกินแต่นม ไม่ใช่เรื่องดี! พ่อแม่ยุคใหม่ระวัง..เพจหมอออกมาโพสต์เตือน!! ลูกกินแต่นม เพียงอย่างเดียว ส่งผลเสีย ทำลูกท้องผูก ปวดขา เดินไม่ได้!

นี่คือผลเสียของการที่ ลูกกินแต่นม ไม่ค่อยกินข้าว

นม มีประโยชน์ต่อร่างกายของลูกน้อย ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงและมีส่วนช่วยเพิ่มความสูงได้เป็นอย่างดี ซึ่งจำเป็นมากในเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต … แต่ไม่ว่าลูกจะกินนมแม่ นมผง หรือถ้าถึงวัย 1 ขวบแล้ว แม่เปลี่ยนมาให้กินนมกล่อง UHT (นมวัว) ถ้าปล่อยให้ ลูกกินแต่นม เพียงอย่างเดียว ดื่มนมมากเกินไป ไม่ยอมกินอาหารตามวัย ก็อาจทำให้ลูกขาดสารอาหาร ไม่มีพลังงานและได้รับกากใยไม่เพียงพอ ส่งผลร้ายเกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายได้

โดยเพจหมอชื่อดัง Infectious ง่ายนิดเดียว ได้ออกมาโพสต์เตือนเกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กเล็ก ซึ่งหลายบ้านมักมีปัญหาว่าลูกไม่ยอมกินข้าว โดยที่บางบ้านปล่อยให้ ลูกกินแต่นม และคิดว่า การกินนมสามารถทดแทนกันได้ แต่ความจริงแล้วการที่ร่างกายลูกอยู่ในช่วงการเจริญเติบโต จำเป็นที่ต้องได้รับสารอาหารมากกว่านั้น ซึ่งคุณหมอได้เขียนไว้ว่า…

พ่อแม่ยุคใหม่ระวัง ท้องผูก ซีด และ เดินไม่ได้ปวดขา

การให้อาหารน้องๆ ที่อายุเกิน 1 ปี

อาหารหลัก คือ ข้าว 3 มื้อ เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้

นมเป็นเพียงอาหารเสริม วันละไม่เกิน 2-3 กล่อง/แก้ว

การกินนมเพียงอย่างเดียว มีผลเสียมากกว่าผลดี

ผลเสียที่พบบ่อย หากให้ ลูกกินแต่นม

  1. ท้องผูก = เพราะไม่มีกากใยจากผัก ผลไม้ ทำให้ต้องเบ่ง อุจจาระแข็ง บางคนบาดก้นเป็นแผล ต้องสวน
    ยืนแอบถ่าย ถ่ายเป็นก้อนเล็กๆ เม็ดกระสุน บางคนอุจจาระเล็ด

การรักษา คือ พ่อแม่ต้องปรับพฤติกรรมการกิน ข้าว 3 มื้อเนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ เสริมด้วยนม เวลากินไม่ดูทีวี โทรศัพท์ ไม่เดินป้อนกัน นั่งกินเป็นมื้อ ถ้าไม่กินให้เก็บ ไม่ต้องป้อนนม เด็กจะได้เรียนรู้ เวลาหิวคือข้าวไม่ใช่นม ห้ามตามใจ และต้องปฏิบัติเหมือนกันทั้งบ้าน ปู่ย่าตายาย พ่อและแม่

ทั้งนี้อาหารควรทำให้หลากหลาย สีสัน ธรรมชาติ ไม่ปรุงรสจัด กินน้ำวันละ 5-6แก้ว/วัน และฝึกขับถ่ายเป็นเวลา มีกระโถนแยกสำหรับเด็ก

  1. ขาดธาตุเหล็ก = ทำให้ซีด มีผลต่อการเรียน พัฒนาการ
  2. ขาดวิตามินซี = ทำให้เลือดออกง่าย เช่น ไรฟัน เนื้อเยื่อ กระดูกผิดปกติ เข่า ไม่ยอมเดิน

ทั้งนี้หากกลัวลูกขาดวิตามินซี การให้กินวิตามินซีเม็ด ขนาดเม็ดละ 50 มิลลิกรัม สามารถให้ลูกกินวันละ 1-2 เม็ด เนื่องจากกินมากอาจระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ และควรฝึกให้หันมากินผักผลไม้ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีวิตามินซีเยอะโดยเฉพาะ ผักใบเขียว บร็อคโคลี่ มะเขือเทศ ผลไม้ เช่น ฝรั่ง ส้ม มะละกอ มะม่วง มะนาว กีวี่ แคนตาลูป”

สรุปคือ การเลี้ยงดูลูกหลัง 1 ปี อาหารหลัก คือ ข้าว เนื้อสัตว์ ไข่ ผัก ผลไม้ >> ไม่ใช่ให้ลูกกินนมเป็นหลัก เพราะนมเป็นเพียงอาหารเสริมเท่านั้น กินวันละ 2-3 กล่องก็เพียงพอแล้ว

ลูกกินแต่นม
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Infectious ง่ายนิดเดียว

ทั้งนี้หากลูกติดใจนมมากกว่าข้าว อาจเป็นเพราะ

  1. ติดดูดขวด = เหมือนคนติดบุหรี่ บางครั้งไม่ได้เป็นเพราะติดสารนิโคติน แต่มีความสุขที่ได้อมบุหรี่ไว้ในปาก ดังนั้นถ้าอยากให้ลูกเบื่อนม ก็ลองเลิกใช้ขวดนม แล้วชักชวนให้เขาเปลี่ยนมาดื่มจากแก้วหรือดูดหลอดแทน ถือโอกาสเลิกขวดนมในคราวเดียวกันเลย

ปริมาณนมที่ลูกกินจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดจนเหลือปริมาณที่เหมาะสม เมื่อรู้สึกหิวเขาจะกินข้าวได้มากขึ้น แต่ยังไม่เห็นผลในทันที ร่างกายและจิตใจต้องการเวลาในการปรับสภาพประมาณ 1 – 3 เดือน น้ำหนักอาจลดลง 0.5 – 1.5 กิโลกรัมในช่วงแรก หากลูกกินนมได้น้อยกว่า 15 ออนซ์ ก็เสริมแคลเซียมและวิตามินรวมให้ชั่วคราว ลูกอาจร้องไห้งอแง อยากดูดนมจากขวด คุณแม่ต้องอดทนและให้ความสนใจเขามากขึ้น ชักชวนกันทำกิจกรรมให้ไม่เหงา

  1. เบื่ออาหารแบบเด็กๆ = หรือไม่ชอบบรรยากาศในการกินแบบเดิมๆ ลูกอาจสนใจอาหารแบบผู้ใหญ่ที่เป็นข้าวและกับข้าว ไม่ใช่ข้าวตุ๋น เริ่มปรุงรสชาติได้เล็กน้อย ลองซื้อเมนูอาหารสำหรับลูกมาฝึก อาจให้ลูกลองกินเอง ใช้มือก็ได้ กินพร้อมกับผู้ใหญ่หรือเด็กหลายๆ คน เด็กบางคนชอบกินอาหารตามภัตตาคารหรือแบบปิกนิก เพราะชอบบรรยากาศที่ไม่จำเจ หรือลองหาภาชนะที่แปลกตาและดึงดูดความสนใจมาใช้
  2. มีปัญหาในการเคี้ยวหรือกลืน = เพราะไม่เคยฝึกมาก่อน จึงเคยชินกับการกินอาหารเหลวแบบนมมากกว่า วิธีแก้ไขคือ ควรฝึกให้ลูกได้กินอาหารเสริมที่เหมาะสมตามช่วงอายุ เช่น อาหารที่หยาบขึ้นเมื่อลูกเริ่มมีฟันขึ้น
  3. ให้ลูกกินขนมหวาน = ขนมถุง ลูกอม หรือช็อกโกแลต ทำให้เขาติดรสหวาน รู้สึกว่าข้าวไม่อร่อยเท่าขนม จึงไม่อยากกิน วิธีแก้ไขคือ งดขนมทุกชนิดในบัดดล ปล่อยให้หิวและร้องไห้ไปเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจากแพทย์หญิงสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

รวม 60 สูตร+วิธีทำ เมนูอาหารเด็ก ตั้งแต่ 6 เดือน – 1 ขวบ

อาหารเสริมทารก เริ่มด้วยอาหารแบบไหน? ทานอย่างไร?

7 สัญญาณ ลูกพร้อมกิน “อาหารเสริมเด็ก-ทารก”

ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ
ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

ทำอย่างไรดี? ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ โมโหร้าย ตีพ่อแม่ เมื่อมีใครมาขัดใจ พฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้ลูกเป็นเด็กก้าวร้าวเมื่อโตขึ้นหรือไม่? รับมืออย่างไรให้ได้ผลดี?

10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

บางครั้ง “ลูก” ก็ถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบความอดทนของพ่อแม่ เมื่อเจ้าตัวเล็กที่แสนจะน่ารัก อยู่ ๆ ก็ร้องกริ๊ดเสียงดัง กระทืบเท้า อาละวาด เมื่อถูกขัดใจ พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพราะผลกรรมของพ่อแม่ที่เคยดื้อในตอนเด็ก ๆ กับพ่อแม่ของตัวเองหรอกนะคะ และที่ลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะลูกผิดปกติ หรือโตมาจากการเลี้ยงดูที่ผิดค่ะ ก่อนอื่นเราจึงต้องทำความเข้าใจกับสาเหตุที่ทำให้ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ กันก่อน เพราะเมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงสาเหตุและไปแก้ที่ต้นเหตุ พร้อมทั้งสร้างวินัยเชิงบวกให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ก็จะสามารถเปลี่ยนเด็กที่โมโหร้ายให้เป็นเด็กที่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้น

ทำความเข้าใจกับ “เหตุผล” ของลูก

การที่เด็กวัย 2 ขวบมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น โมโหร้าย ตี ทำร้าย กัด พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู ไม่แบ่งปัน ไม่ทำตามกฎกติกา พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพราะลูกอยากจะทำตัวไม่ดีให้พ่อแม่ดุหรอกนะคะ พฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของลูกซ่อนอยู่ ดังนี้

  1. ลูกยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ สาเหตุหลักที่ลูกอาละวาด โมโหร้ายนั้น เป็นเพราะว่า สมองของเด็กวัยนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จึงยังไม่รู้ถึงวิธีการรับมือเมื่อมีอารมณ์โกรธ และยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนผู้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อลูกโกรธ และลูกต้องการระบายอารมณ์โกรธ สิ่งที่ทำได้คือการอาละวาดให้หายโมโหนั่นเอง
  2. ลูกอยู่ในวัยที่กำลังเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์และกติกา เด็กวัยนี้กำลังอยู่ในวัยที่ลองผิดลองถูก ในบางครั้งลูกก็อาจจะอยากที่จะแหกกฎเกณฑ์ที่พ่อแม่รวมถึงคนรอบข้างตั้งไว้ดูบ้าง เพื่อดูว่าพ่อแม่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร และผลของการแหกกฎเกณฑ์ครั้งนี้เป็นอย่างไร
  3. เด็กกำลังเรียนรู้ภาษา เด็กวัย 2 ขวบจะยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดได้ 100% ดังนั้นการที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกจะสามารถเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่กำลังพูดกำลังสอนได้เหมือนผู้ใหญ่เลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
  4. พ่อแม่คาดหวังมากไปหรือเปล่า? ลอง​คิด​ถึง​การ​เปลี่ยน​แปลง​ที่​เกิด​ขึ้น​กับ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ ที่ตั้ง​แต่​เกิด​มา พ่อ​แม่​คอย​ดู​แล​เอา​ใจ​ใส่​เขา​ทุก​อย่าง ​เช่น วิ่งไปหาทันทีเมื่อลูกร้องไห้ เพื่อดูว่าลูกหิวนมหรือไม่ ต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือไม่ พ่อ​แม่​ทำ​ทุก​อย่าง​เพื่อ​ให้​ลูก​รู้สึก​สบาย​ขึ้น ​เพราะ​ลูก​​ยัง​ช่วยเหลือ​ตัว​เอง​ไม่​ได้ แต่เมื่อลูกอายุสอง​ขวบ เริ่มที่จะสื่อสารสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น สามารถทำอะไรเองได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปหยิบสิ่งที่ต้องการ การกินอาหารได้เอง ลูกจะ​เริ่ม​รู้​ว่า​พ่อ​แม่​ไม่​ได้​ทำ​อะไร​ให้​เขา​ทุก​อย่าง​อีก​ต่อ​ไป เมื่อพ่อแม่ไม่ทำสิ่งต่าง ๆ ​ให้​ลูกเหมือนตอนเป็นทารก แถมยังต้องการให้ลูกทำ​ตาม​ที่​พ่อ​แม่ต้องการ ตามกฎกติกาต่าง ๆ ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ​จึงอาจ​ไม่​ยอม​รับ​การ​เปลี่ยน​แปลงนี้ จึง​เริ่ม​ต่อต้าน​ด้วย​การ​ร้อง​อาละวาด

การที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ทราบถึงเหตุผลของลูก และดุด่าว่ากล่าวเพื่อไม่ให้ทำอีก จึงไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เพราะเมื่อลูกไม่ได้รับการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ก็จะทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อไปอีกเรื่อย ๆ ดังนั้น เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ลูกอาละวาดแล้ว ทีมแม่ ABK ก็มีวิธีรับมือและสร้างวินัยเชิงบวกให้กับเด็กอาละวาด เอาแต่ใจ มาฝากค่ะ

ลูกดื้อ
ลูกดื้อ

10 วิธีรับมือ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

แทนที่จะคิดว่าจะลงโทษลูกอย่างไรดีเมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ลองเปลี่ยนมาเป็นจะป้องกัน แนะนำ และสอนลูกถึงพฤติกรรมที่เหมาะสมแทนจะดีกว่านะคะ คุณพ่อคุณแม่ลองนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้กับลูก ๆ กันได้เลยค่ะ

  1. ใช้เวลาคุณภาพร่วมกับลูก

ให้คุณพ่อคุณแม่ลองกำหนดช่วงเวลาอย่างน้อย 20 นาทีในแต่ละวัน ที่จะมีเวลาคุณภาพร่วมกันกับลูก โดยในช่วงเวลานั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องไม่จับมือถือ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่คิดถึงเรื่องงานหรือเรื่องอื่น ๆ เลย ให้ใช้ช่วงเวลานั้นกับลูกเพียงอย่างเดียว ลองฟังในสิ่งที่ลูกพูดหรือคิด เล่นกับลูกโดยให้ลูกเป็นผู้นำ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องทั่วไป และไม่น่าจะเกี่ยวกับการที่ลูกอาละวาด แต่รู้ไหมคะ ว่าการที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งใจฟังลูก และเรียนรู้นิสัยของลูกผ่านการใช้เวลาคุณภาพนี้ จะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของลูกมากขึ้น เมื่อเข้าใจลูกมากขึ้น ก็จะเข้าใจถึงเหตุผลที่ลูกอาละวาดได้ดีขึ้

2.คาดเดาถึงปัญหา (ที่กำลังจะเกิด)

ให้คุณพ่อคุณแม่ลองคาดเดาสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ลูกจะต้องอาละวาดแน่ ๆ และให้หาทางแก้ปัญหาเหล่านั้นก่อนที่จะเกิดขึ้น เช่น เมื่อพาลูกไปเล่นที่บ้านเพื่อน แน่นอนว่าลูกจะรู้สึกไม่พอใจหรือโมโหเมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้าน ดังนั้น ให้คุณพ่อคุณแม่ทำความตกลงกับลูกก่อนที่จะพาไปเล่นว่าเมื่อถึงเวลากลับจะต้องทำตัวอย่างไร และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้านจริง ๆ แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะให้ลูกกลับทันทีเลย ลองบอกลูกว่าอีก 5 นาทีจะกลับบ้านแล้ว เพื่อให้ลูกเตรียมใจก่อนถึงเวลาจริง เป็นต้น

3. ใจเย็น ๆ

การตอบกลับต่อพฤติกรรมที่รุนแรงด้วยความรุนแรง ไม่ได้ทำให้ลูกอารมณ์เย็นขึ้น ในบางครั้งที่ลูกหยุดอาละวาด ไม่ได้เป็นเพราะลูกเข้าใจถึงเหตุผลที่พ่อแม่ต้องการที่จะสอน แต่เป็นเพราะลูกกลัวค่ะ ดังนั้นเมื่อลูกร้อนมา คุณพ่อคุณแม่ต้องเย็นกลับ เพื่อให้ลูกได้อารมณ์เย็นลง และรับฟังคุณพ่อคุณแม่ได้ดีขึ้น

4. กอดช่วยได้

เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ชอบตี กัด หรือทำร้ายคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรตีกลับ หรือลงโทษกลับ แต่จะปล่อยให้ลูกทำร้ายก็ไม่ได้ ดังนั้น การหยุดไม่ให้ลูกทำร้ายที่ดีที่สุดคือการกอดค่ะ กอดเพื่อให้ลูกหยุดทำร้ายร่างกาย กอดให้ลูกรับรู้ถึงความรักของพ่อแม่ ในระหว่างที่กอด ให้คุณพ่อคุณแม่พูดว่า อย่าตีแม่ แม่เจ็บนะ แม่รู้สึกไม่ดีเลยที่ถูกลูกตี เป็นต้น เพื่อให้ลูกได้รับรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นไม่เหมาะสม และทำให้พ่อแม่เสียใจ

5. สนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวก

เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่เหมาะสม ควรชื่นชมลูกว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ลูกเก่งมากที่ทำได้ เมื่อลูกได้รับรู้ถึงการสนับสนุนสิ่งที่ตนเองทำ รับรู้ว่าหากทำแบบนี้แล้วจะได้รับการชื่นชม ลูกก็จะอยากทำแบบเดิมอีกเพื่อให้ได้รับคำชมนั่นเอง

6. ฟังลูกพูด

การที่ลูกร้องไห้ อาละวาด นั้นมีเหตุผล แม้ว่าเหตุผลเหล่านั้นจะไม่มีเหตุผลในสายตาคุณพ่อคุณแม่ก็ตาม แต่เหตุผลนั้นมันยิ่งใหญ่มากสำหรับลูกนะคะ ดังนั้น การตั้งใจฟังถึงเหตุผลที่ลูกร้องไห้ จะช่วยทำให้ลูกรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่เอาใจใส่ เข้าใจ และพร้อมที่จะสนับสนุนเขา เขาก็จะพร้อมที่จะรับฟังวิธีแก้ไขกับปัญหาที่เขาเจอ

7. ให้ทางเลือกกับลูก 

แทนที่จะบอกว่า อย่าทำนะ ห้ามเล่นนะ ห้ามวิ่งนะ ลองเปลี่ยนมาเป็น ถ้าลูกวิ่งตรงนี้ซึ่งเป็นหินที่ขรุขระ เมื่อล้มจะเจ็บตัวได้ เปลี่ยนมาวิ่งบนสนามหญ้าจะดีกว่า เพราะเมื่อล้มก็จะได้ไม่เจ็บมากแทน เพราะเมื่อเด็กโดนห้าม มักจะมีความรู้สึกว่าอยากจะทำ ดังนั้นลองเสนอทางเลือกให้ลูกได้เลือก ลูกก็จะรู้สึกว่าตนเองเลือกเอง ไม่ได้โดนบังคับให้หยุดทำ

8. ให้ในสิ่งที่ลูกต้องการไปเลย

ข้อนี้ดูเหมือนจะขัดต่อวิธีการรับมือใช่ไหมล่ะคะ แต่คุณพ่อคุณแม่อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเด็กในวัยนี้ ไม่สามารถที่จะทำตามเหตุผลได้เหมือนผู้ใหญ่ เด็กในวัยนี้ยังใช้อารมณ์เป็นหลัก ดังนั้น บางทีการยอมให้ในสิ่งที่ลูกต้องการ ซึ่งสิ่งนั้นต้องไม่ใช่สิ่งที่ใหญ่โตอะไร และก็ไม่ควรยอมให้ไปทั้งหมด ควรจะมีข้อแม้ หรือควรจะมีการต่อรองกับลูกว่าให้ได้ แต่ไม่สามารถให้ได้ทั้งหมดที่ลูกต้องการ เช่น ลูกอยากกินขนมก่อนนอน หากคุณพ่อคุณแม่ยังดึงดันไม่ให้ลูกทาน แต่เมื่อลูกอยู่ในอารมณ์ที่อยากทานจริง ๆ ลูกก็จะอาละวาดอยู่อย่างนั้น ลองยอมให้ลูกทาน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไปแปรงฟันอีกครั้งก่อนนอน เป็นต้น

9. ผลัดกันเล่น แทนการแบ่งปัน

เมื่อลูกเป็นเด็กที่ไม่ชอบแบ่งปัน อาจไม่ใช่เพราะลูกหวงของก็ได้นะคะ แต่อาจเป็นเพราะลูกก็ยังอยากเล่นของเล่นชิ้นนั้นอยู่ หรืออาจเป็นเพราะลูกคิดว่าเมื่อแบ่งให้เพื่อนเล่นแล้ว กว่าจะได้เล่นอีกทีคงจะอีกนานก็ได้ ดังนั้น แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะบังคับให้ลูกแบ่งปัน ลองเปลี่ยนเป็นให้ลูกผลัดกันเล่นกับเพื่อนแทน วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกว่ายังสามารถเล่นของเล่นชิ้นนั้นได้อยู่ ลูกก็จะยอมให้เพื่อนเล่นด้วย

10. เล่นบทบาทสมมุติ

คุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่าการเล่นบทบาทสมมุติเกี่ยวอะไรกับวิธีรับมือ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ อยากบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีสอนลูกให้เข้าใจได้ดีกว่าการพูดเพียงอย่างเดียว เพราะการเล่น เป็นสิ่งที่เด็กชอบ การสอนลูกผ่านการเล่นบทบาทสมมุติ จะช่วยให้ลูกเห็นภาพ และเข้าใจถึงสถานการณ์ได้ง่ายกว่าค่ะ

การสอนลูก ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ตายตัว ไม่มีผิดไม่มีถูก มีแต่เหมาะหรือไม่เหมาะกับแต่ละบ้าน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถปรับวิธีการรับมือลูกอาละวาด เอาแต่ใจ จาก 10 ข้อนี้ ให้เหมาะสมกับลูกของตนเองได้เลยค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อุทาหรณ์เลี้ยงลูกผิด! ตามใจลูกเกินไป จนไม่รู้ค่าของเงิน

สิ่งที่ควรสอนลูก 10+1 ข้อ พ่อแม่ห้ามพลาด! เพื่อลูกมีความสุขไปตลอดชีวิต

5 นิทานคุณธรรม ปลูกฝังให้ลูกทำดีได้ตั้งแต่เล็ก!

วัยทอง 2 ขวบ Terrible Two จะรับมืออย่างไร ?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thebump.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เช็ก 10 สัญญาณมะเร็งปากมดลูก ภัยเงียบใกล้ตัวแม่

Alternative Textaccount_circle
event

มะเร็งปากมดลูก ภัยเงียบที่คุกคามผู้หญิงทุกคน แม้แต่ “คนเป็นแม่”  ที่สำคัญโรคนี้จัดเป็นอยู่ในอันดับสามของโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทย ไปไม่น้อย เพราะกว่าจะรู้ว่า “ตัวเองเป็นมะเร็ง” อาการของโรคก็ลุกลามบานปลาย หลายคนต้องผ่านกระบวนการรักษาที่ยาวนาน และกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน หนทางป้องกันดีที่สุดคือ การสังเกตสัญญาณเตือนของมะเร็งปากมดลูก เพื่อรักษาตั้งแต่เนิ่น

มะเร็งปากมดลูก คร่าชีวิตหญิงไทยถึงวันละ 6 คน

ในปีพ.ศ. 2562 พบว่า มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 5,513 คน และหญิงไทยเสียชีวิตจาก มะเร็งปากมดลูก 2,251 คนต่อปี เฉลี่ยวันละ 6 คน ถึงแม้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะลดน้อยลงกว่าปีพ.ศ. 2561 ที่มากถึงวันละ 14 คน แต่ก็เรียกได้ว่ายังคงเป็นสถิติที่น่ากังวลอยู่ดี ผู้หญิงทุกคนจึงควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก เพื่อลดโอกาสการเสียชีวิตให้น้อยลง

 

 HPV สาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก

เชื้อ HPV หรือ Human Papillomavirus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อเอชพีวี แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง หรือการมีเพศสัมพันธ์ เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ เป็นต้น เชื้อ HPV มีอยู่กว่า 150 สายพันธุ์ แต่สำหรับผู้หญิง สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของโรค มะเร็งปากมดลูก สูงถึง 70% และสาเหตุส่วนใหญ่ของการติดเชื้อเอชพีวีคือติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยมะเร็งปากมดลูก พบมากในผู้หญิงอายุ 35-60 ปี

หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก 2,251 คนต่อปี

อ่านเพิ่มเติม >> หญิงไทยฟังทางนี้!! ตรวจมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมฟรี!!

 

ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก

1.เกิดจากการมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์ในช่วงอายุน้อยกว่า 17 ปี เพราะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกมาก และมีความไวต่อสารก่อมะเร็ง

2.มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส และหนองใน ก็จะยิ่งทำให้มีความเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก มากขึ้น

3.ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานกว่า 5 ปี มีความเสี่ยงสูงขึ้นถึง 1.3 เท่า ถ้ารับประทานนานถึง 10 ปี มีความเสี่ยงถึง 2.5 เท่า

ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก
ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก

4.คลอดลูกมากกว่า 4 ครั้ง อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัวเลยทีเดียว

5. สูบบุหรี่ มีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเอดส์ หรือรับยากดภูมิคุ้มกัน อาจเป็นตัวเร่งให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

 10 สัญญาณมะเร็งปากมดลูก แม่ต้องรู้

สัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูก

1. มีเลือดออกผิดปกติ ที่ไม่ใช่ประจำเดือน เช่น เลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน เลือกออกเป็นระยะ เลือดออกหลังจากตรวจภายใน

2. เลือดออกหลังวัยทอง เช่น ผู้หญิงวัย 55 ปี หมดประจำเดือนไป 3 ปี แล้วมีเลือดออกทางช่องคลอดอีก ควรรีบไปพบแพทย์

3. ตกขาวผิดปกติ เช่น เป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น มีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด มีเลือดปน

4. ปัสสาวะขัด ปวดแสบ อาจเป็นสัญญาณมะเร็งปากมดลูก หรืออาจติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ไม่แน่ชัดว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ควรประมาท และสังเกตอาการอื่นร่วมด้วย

5. เจ็บขณะร่วมเพศ เป็นหนึ่งสัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูก

6.ประจำเดือนมามากและนานผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปากมดลูก

7. ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยจากสถิติผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก มักจะมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และเลือดปน

8. เจ็บปวดตามร่างกาย โดยเฉพาะ ขา หลัง และเชิงกราน เนื่องจากมะเร็งกระจายส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด

9. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เพราะระบบการรักษาสมดุลของร่างกายทำงานหนัก เพื่อต่อต้านและกำจัดมะเร็งออกไป

10 .น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ เพราะร่างกายจะสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่กำจัดไขมันส่วนเกินมากเกินไป ทำให้น้ำหนักลดทั้งๆ ที่ไม่ได้อดอาหาร

 

วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก

1. ตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก ปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุ 30 ปีขึ้นไป

ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปีเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก

 

อ่านเพิ่มเติม >> แพทย์แนะหญิงไทย ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก ทุกสามปี

อ่านเพิ่มเติม >> 8 ข้อควรรู้ ก่อนพาลูกไป ฉีดวัคซีน มะเร็งปากมดลูก

 

2. ผู้หญิงที่ใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ควรตรวจหา มะเร็งปากมดลูก ทุก 6 เดือน

3. ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่

4. ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายอยู่เสมอ

5. ฉีดวัคซีนป้องกันโรค มะเร็งปากมดลูก สามารถติดต่อโรงพยาบาลเพื่อขอฉีดวัคซีนได้

 

ถึงแม้ว่ามะเร็งปากมดลูก จะเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้ป่วยไปเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้ในปัจจุบันนี้ มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งโดยวิธีการผ่าตัดและการใช้รังสีรักษา นอกจากนี้ ยังเป็นโรคที่สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน และสามารถตรวจคัดกรองได้เป็นระยะ ๆ ดังนั้น  อย่าหลงผิดไปรักษาผิดวิธี เช่น การไปรักษาโดยยาสมุนไพร หรือกลัวการรักษาจนเกินเหตุ ทำให้โรคเป็นมากขึ้น โอกาสหายจากโรคน้อยลง

 


ขอบคุณข้อมูลจาก

thaijobsgov.com, สถาบันมะเร็งแห่งชาติราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลหน่วยสารสนเทศมะเร็ง, โรงพยาบาลเปาโล, Line Today

อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม

ตรวจคัดกรองมะเร็ง ในผู้หญิงควรตรวจเมื่อไหร่?

ไขข้อสงสัย! ใส่ผ้าอนามัยนานๆ เสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูกจริงหรือ?

9 อาหารช่วยลดความเสี่ยงการเกิด มะเร็งปากมดลูก

หญิงไทยฟังทางนี้!! ตรวจมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมฟรี!!

โรคติดเชื้อในกระแสเลือด

โรคติดเชื้อในกระแสเลือด ในเด็ก อาการเป็นอย่างไร อันตรายแค่ไหน แม่ควรรู้!

event
โรคติดเชื้อในกระแสเลือด
โรคติดเชื้อในกระแสเลือด

มือไม่สะอาดอย่าจับลูกเด็ดขาด! แม่เล่าอาการ ลูกวัย 3 เดือนป่วยเป็น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด เตือน!! ก่อนสัมผัสลูกควรล้างมือให้สะอาด เพราะเชื้อโรคที่มองไม่เห็นอาจติดมากับมือทำลูกป่วยได้

สุดสงสาร! ลูกวัย 3 เดือนป่วยเป็น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด

โรคติดเชื้อในกระแสเลือด คือ ภาวะการติดเชื้อในกระแสโลหิต อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา สามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ช่วงอายุที่ต้องเฝ้าระวังคือ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี และในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรงได้มากกว่าวัยอื่น โดยเชื้อโรคมักอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็กโดยไม่ก่อโรค แต่เมื่อไหร่ที่ร่างกายอยู่ในสภาวะอ่อนแอก็จะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายและเกิดการติดเชื้อได้

การติดเชื้อโดยทั่วไปสามารถเกิดการติดเชื้อในอวัยวะต่างๆ ได้ เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อทางเดินอาหาร และอาจไม่มีตำแหน่งการติดเชื้อที่ชัดเจน โดยการติดเชื้อดังกล่าวถ้ามีอาการรุนแรง เชื้อโรคก็สามารถผ่านเข้าไปในกระเลือดและเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วยได้ โดยการติดเชื้อร่วมกับมีสัญญาณชีพผิดปกติ และเมื่อตรวจเลือดพบว่าจำนวนเม็ดเลือดขาวผิดปกติ จะเรียกภาวะนี้ว่า Sepsis ส่วนในกรณีที่เชื้อโรคเข้าไปในกระแสเลือดร่วมด้วยจะเรียกว่า Septicemia

… เช่นเดียวกับหนูน้อยวัย 3 เดือนคนนี้ที่ป่วยเป็น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โดยคุณแม่ได้โพสตืเตือนในเฟซบุ๊กกรุ๊ปหนึ่ง เพื่อเตือนพ่อแม่ที่มีลูกเล็กให้ระวังให้ดี ควรล้างมือให้สะอาดก่อนอุ้มลูก เพราะคุณหมอบอกว่าสาเหตุที่ ลูกติดเชื้อในกระแสเลือด ได้เกิดเพราะเชื้อโรคที่มาจากมือ โดยคุณแม่ได้เล่าอาการของน้องอย่างละเอียดไว้ว่า …

#วันนี้วันที่11แล้วค่ะ #ที่หนู ติดเชื้อในกระแสเลือด #วันนี้จะมาบอกอาการ แรกเริ่มให้แม่บ้านอื่น #ไว้สังเกตลูกๆนะคะ
  • วันแรกๆ น้องเเค่ตัวรุมๆ ค่ะ แม่ก็ให้กินยาแก้ไข้ปกติ
  • วันที่2 น้องเริ่มไข้ขึ้นสูง เลยตัดสินใจไปคลีนิคค่ะ เพราะคิดว่าสะดวกสะบาย ไม่ต้องรอคิว หมอให้ยาลดไข้ กินปกติ
  • วันที่3 น้องงอแง เริ่มไม่กินนม +ไข้สูง ก็ได้กินยาลดไข้ปกติ
  • วันที่4 น้องเริ่มมือเย็น แต่ตัวร้อน แม่คิดว่าอากาศคงเย็น และก็เริ่มถ่ายเหลว อ้วกพุ่งกินอ้วก ตัวร้อนแต่มือเริ่มเย็นขึ้น เริ่มงอแง ร้องไห้ตลอดเวลาไม่เอานมโดนตัวก็ร้อง
เลยตัดสินใจพาไปโรงพยาบาล พอมาถึง หมอก็วัดไข้ตรวจเลือด หมอให้นอนโรงพยาบาล พยาบาลมาบอกน้องเกร็ดเลือดต่ำนะแม่ น่าจะเป็นไข้เลือดออก ใจเริ่มเสีย เด็กแค่ 3 เดือนเป็นไข้เลือดออก
ตกดึก น้องมีอาการไข้สูงขึ้นเรื่อยๆ พยาบาลมารุมเช็ดตัว เช็ดจนชุ่ม เช็ดๆ ประมาณ 3 รอบ ไข้ไม่ลดค่ะ น้องเริ่มสั่นสั้นมาก สั่นแบบน่าสงสารมากๆ ตาเริ่มลอย พยาบาลอุ้มเข้าห้องเจาะเลือดเลยค่ะ เข้าไปอยู่นานพยาบาล พยาบาลเรีกไปดูสิ่งที่เห็นคือ น้องใส่สายออกซิเจนค่ะ พยาบาลบอกน้องหายใจเร็วมากนะแม่ ตอนนี้กำลังตามหมอใหญ่มาดู ตอนนั้นเริ่มจิตตก โทษเเต่ตัวเองค่ะ ที่ปล่อยมาขนาดนี้ น้ำตาไหลตลอดที่เค้าเจ็บปวด โทษตัวเอง อยากตีตัวเองมากๆ
ผ่านไป 2 ชั่วโมง พยาบาลก็อุ้มออกมา ไข้ลด โล่งอก เช้าต่อมา หมอใหญ่มาบอก ผลเลือดออกอีกรอบ หมอบอกไม่ได้เป็นไข้เลือดออกนะแม่ #น้อง ติดเชื้อในกระแสเลือด นะคะ และทำให้กระเพาะปัสวะอักเสบ ค่ะ นึกสภาพคนโตเป็นยังแสบขัดยังเจ็บขนาด แล้วเด็กตัวเล็กๆ เป็นจะขนาดไหน อันนี้โชคดีนะคะไม่ลามไปที่ปอดค่ะ
หมอได้เอาเลือดไปเพาะเชื้อว่าเป็นเชื้อตัวไหน หมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อ ไข้ก็ขึ้นๆ ลงๆ มือเท้าเย็นมาก แล้วผลเลือดก็ออกอีกครั้ง หมอบอกเชื้อที่น้องติดคือ เชื้อดื้อยา เชื้อที่อันตรายสุด เพราะดื้อยา และต้านยา
ติดเชื้อในกระแสเลือด
ภาพ เชื้อดื้อยา จากการติดเชื้อในกระแสเลือด
ตอนนี้ก็กำลังให้ยาฆ่าเชื้อตัวที่ 4 อยู่ค่ะ หมดยาไป 3 ตัวเชื้อลดแค่ 30-50 หมอบอกน่าจะอยู่อีกยาวๆ #เชื้อโรคเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแม่ๆ ออกนอกบ้านหรือพ่อไปทำงานกลับมาล้างมืออาบน้ำก่อนมาอุ้มลูกกันด้วยนะคะ #ฝากเป็นอุทาหรณ์ #และฝากดูอาการลูกๆ ด้วยนะคะ ถ้าตัวร้อนไข้สูง ให้เข้าโรงบาลดีกว่า #บ้านนี้เข็ดจนตายค่ะ #นึกสภาพถ้ามาช้ากว่านี้คงเสียใจตลอดชีวิต ขอบคุณค่ะที่อ่านจนจบ
ขอบคุณข้อมูลและภาพจากคุณแม่ Monthiya Chiyala

 

อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยการติดเชื้อในกระแสเลือด นั้นทำได้ยาก เนื่องจากหมอไม่สามารถวินิจฉัยเพื่อระบุสาเหตุของการติดเชื้อได้อย่างชัดเจน จึงต้องใช้วิธีการตรวจหลายอย่าง ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการและความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคนด้วย

การป้องกันลูกป่วยเป็น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด

สิ่งสำคัญที่เป็นต้นเหตุของการติดเชื้อ คือ เชื้อโรคที่มีอยู่รอบตัวเรา ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยรักษาความสะอาดและสุขภาวะอนามัยทั้งของคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย เช่น ถ้าลูกยังเล็ก ก่อนสัมผัสลูกควรล้างมือให้สะอาด หมั่นเช็กเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยๆ อย่าปล่อยให้หมักมหมม ควรระวังให้ให้ลูกอมมือ และต้องคอยทำความสะอาดของเล่น ของใช้ที่วางใกล้มือลูกด้วย เมื่อลูกโตควรสอนให้ล้างมือบ่อยๆ ก่อนหยิบจับอาหารเข้าปาก หรือเมื่อหยิบจับสิ่งของ ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงพาลูกไปเที่ยวที่ชุมชนที่มีคนหนาแน่น หลีกเลี่ยงผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย นอกจากนี้การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดสามารถการป้องกัน หรือ ลดความรุนแรงโดยการรับวัคซีน เช่น วัคซีนฮิบ (Hib) หรือ วัคซีนไอพีดี (IPD) เป็นต้น


ขอบคุณข้อมูจาก : www.pobpad.comwww.phyathai.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

แม่แชร์ประสบการณ์สำลักนม ทำลูกปอดติดเชื้อ มีไข้สูงชักตัวเกร็ง

ปล่อยคนแปลกหน้า จุ๊บลูก ครั้งเดียว ติดเชื้อหนักเกือบตาบอด

อุทาหรณ์! ลูกติดเชื้อจากรถเข็นในห้าง

3 โรคที่แม่ป่วย ต้องระวัง อยู่กับลูกอย่างไรไม่ให้ลูกติดเชื้อ

ลูกติดเชื้อ เพราะดูดนมผิดวิธีจริงหรือไม่?

เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด

เตือนพ่อแม่! ปล่อยลูก เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้!!

event
เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด
เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด

แม่แชร์เตือน…อุทาหรณ์ เลี้ยงลูกด้วยมือถือ เรื่องเสี่ยงภัยที่ไม่ควรละเลย เพราะหากปล่อยให้ลูก เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้! ทำกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ถ้าไปรักษาผ่าตัดไม่ทันเวลา

อุทาหรณ์ ปล่อยลูก เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้!!

เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้! เรียกได้ว่าเรื่องนี้..ถือเป็นอีกหนึ่งภัยที่เด็กสมัยนี้เสี่ยงเป็นกันมาก เพราะด้วยความก้าวล้ำของเทคโนโลยี ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่อยู่ที่ว่าเราจะใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้เกิดประโยชน์ เช่นเดียวกับกรณีนี้..ที่คุณแม่ได้ออกมาโพสต์เตือนเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนอื่นๆ อุทาหรณ์ เลี้ยงลูกด้วยมือถือ ให้ลูกเล่นโทรศัพท์มือถือตั้งแต่เล็กๆ จนตอนนี้ลูก 7 ขวบ ต้องเข้ารับการผ่าตัดตาด่วน

โดยคุณแม่ได้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ สมฤดี ชาวบ้านเกาะ โพสต์ภาพลูกชายที่มีผ้าปิดตา นอนอยู่โรงพยาบาลพร้อมระบุข้อความว่า..

“เก่งมาก คนเก่งของเเม่ เรื่องมือถือ พ่อเเม่อย่าชะล่าใจ สำคัญมาก อย่าปล่อยเขาอยู่กับมือถือนานๆ ควรมีลิมิตให้ลูก #อย่ามองข้าม #อย่าละเลย!!
เคสนี้ ลูกชายผ่า เพราะเกิดจากกล้ามเนื้อตาอ่อนเเรง ดูโทรศัพท์เเต่เล็กๆ สะสมมาเรื่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ จนกล้ามเนื้อตาอ่อนเเรง มีผลหากไม่รีบทำการรักษา ผ่าเเล้วหายไหม ดีขึ้นค่ะ เเต่ใช่จะหายสนิท หายเเล้วก็ยังต้องใส่เเว่นประคับประคองตาไว้อยู่ สงสารจับใจหัวอกคนเป็นเเม่ เเผลจะเป็นลักษณะเเผลในตาเล็กน้อย ไม่มีเเผลข้างนอกเลย”

ทั้งนี้คุณแม่ยังได้เล่าอาการของลูกชายว่าก่อนหน้านี้ เกิดจากสายตาสั้นและเอียง จากนั้นเริ่มมีอาการตาเข เพราะจ้องหน้าจอโทรศัพท์มากจนเกินไป จึงต้องใส่แว่นตาประคองไว้ตลอด ซึ่งตอนแรกคุณแม่คิดว่าลูกชายเป็นเพียงสายตาสั้น แต่หมอพบว่าน้องมีอาการ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ตั้งแต่ช่วงที่น้องอายุ 4 ขวบ และหมอบอกว่า สามารถผ่าตัดได้เมื่ออายุ 5 ขวบขึ้นไป

คุณแม่จึงตัดสินใจให้ลูกชายผ่าตัดเพื่อทำการรักษาในวัย 7 ขวบ เพราะลูกชายโตขึ้นและสามารถให้ความร่วมมือกับแพทย์ได้ดี อีกทั้งหมอแนะนำว่าถ้าผ่าตัดตั้งแต่ตอนนี้ มีโอกาสหายมากกว่า โดยหลังจากนี้น้องยังคงต้องใส่เเว่นตาเพื่อประคับประคองดวงตาเอาไว้ … จึงอยากเตือนเพื่อเป็นอุทาหรณ์ และแนะนำว่าควรแบ่งเวลาให้ลูกในการใช้โทรศัพท์ ไม่ให้ใช้โทรศัพท์มากจนเกินไป และทำกิจกรรมอย่างอื่นแทนการใช้โทรศัพท์

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สมฤดี ชาวบ้านเกาะ
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : www.pptvhd36.com
เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด
ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ เล่นโทรศัพท์มาก เสี่ยงตาบอด ได้จริงหรือ?

เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้จริงหรือ?

จากสถิติพบเด็กมีปัญหาด้านการสื่อสารและร่างกายจากการดูโทรศัพท์มือถือนานๆ มากขึ้นทุกปี เตือนว่า เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรดูโทรศัพท์มือถือ ถ้าโตกว่านี้ พ่อแม่ก็ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ใช้โทรศัพท์มือถือให้เกิดประโยชน์กับลูก ไม่ใช่หยิบยื่น ผลเสียให้กับลูก

โดย ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ อันดับแรกที่เห็นได้ชัดและมีข่าวออกมาบ่อยคือ โรคทางตา ซึ่งแพทย์หญิงสายจินต์ อิสีประดิฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า… ผู้ป่วยที่เข้ามารักษาโรคตาจากความผิดปกติของสายตาและการเพ่งมอง สาเหตุมาจากการใช้สายตาเพ่งมองหน้าจอมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดกลุ่มอาการตาไม่สู้แสง โดยจะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นชั่วคราวเมื่อพักตาอาจช่วยบรรเทาอาการ

และแม้จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตาอย่างเฉียบพลัน แต่ทำให้เกิดความไม่สบายตา ระคายเคือง และเป็นปัญหารบกวนการใช้สายตาอยู่เสมอ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดผลตามมา เช่น กระจกตาอักเสบ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือ กล้ามเนื้อตาล้า ทั้งนี้หากมีปัญหาสายตาควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติและรับการรักษาอย่างทันท่วงที

อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่สามารถถนอมดวงตาได้ด้วยวิธีการกระพริบตาให้บ่อยเมื่ออยู่หน้าจอเพื่อป้องกันตาแห้ง หากมีอาการตาแห้งควรใช้น้ำตาเทียม เพื่อลดการระคายเคืองตาควรพักสายตาเป็นระยะทุก 20-30 นาที และพักจากจอประมาณ 30-60 วินาที โดยมองออกไปไกลๆ หรือหลับตาหากจำเป็นต้องอยู่หน้าจอนานเกิน 30 นาที .. รวมไปถึงกินอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา ได้แก่ ผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้มอาทิ แครอท ฟักทอง หรือผักใบเขียว เช่น คะน้า ปวยเล้ง ฯลฯ และดื่มน้ำให้เพียงพอเนื่องจากการดื่มน้ำบ่อยๆ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ดวงตา

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Facebook เพจ กรมการแพทย์

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

แม่เตือน! ลูกเล่นมือถือนาน เกินไป สุดท้ายตาอักเสบ

4 ผลกระทบของการให้เด็ก เรียนออนไลน์ (ใช้สื่อ online)

วิจัยชี้! เด็กเล่นมือถือ-แท็บเล็ต เสี่ยงเครียด-วิตกกังวล-ซึมเศร้า

อุทาหรณ์ ลูกถูกไฟช็อต จากสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ

9 แอพ เกมลับสมอง เล่นสนุก เพิ่มรอยหยัก ฝึกความจำ ให้ลูกมีไหวพริบฉลาดยิ่งขึ้น

12 พฤติกรรม ทำลายสมองลูก

12 พฤติกรรม ทำลายสมองลูก ที่พ่อเเม่ยุคใหม่ควรรู้

Alternative Textaccount_circle
event
12 พฤติกรรม ทำลายสมองลูก
12 พฤติกรรม ทำลายสมองลูก

การดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อย เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อกับคุณแม่ให้ความสำคัญ เพราะพัฒนาการสมองของลูกควรได้พัฒนาอย่างเหมาะสมในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะวัยก่อน 3 ขวบปีที่สมองจะเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ แต่ปัจจุบัน ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันกลับทำให้วิธีเลี้ยงดูลูกน้อยเปลี่ยนแปลงไป พ่อแม่เล่นกับลูกน้อยลง ลูกดูเข้าถึงหน้าจอเร็วและนานขึ้น อาหารสำเร็จรูปที่สั่งปุ๊บได้กินปุั๊บ กลายเป็นดาบสองคมที่กลับไป ทำลายสมองลูก เรามาลองเช็คกันดีกว่าค่ะ ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นศัตรูตัวฉกาจต่อพัฒนาการสมองของลูกน้อย ก่อนจะปล่อยให้สายเกินไป

เช็ค 12 พฤติกรรมควรเลี่ยงเสี่ยง ทำลายสมองลูก

สมองคืออวัยวะสำคัญที่ควบคุมกลไกการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน บันทึกความทรงจำ อารมณ์ ความรู้สึก รวมทั้งสติปัญญาที่เราใช้ในการแสดงศักยภาพ  นอกจากการส่งเสริมทักษะรอบด้านที่ช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงสิ่งอันตรายที่สามารถสมองลูกได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. ปล่อยให้ลูกเล่นโทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต นานเกินไป

พ่อแม่บ้านไหนที่กำลังวนเวียนอยู่กับ “ฝากลูกไว้กับหน้าจอ”  อาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลลูก หลาย ๆ บ้านเพียงแค่ยื่นมือถือหรือแท็บเล็ตให้เด็ก ๆ ทุกอย่างก็จะสงบ ลูกน้อยนิ่งเงียบ ไม่ซุกซนรบกวน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการทำร้ายลูกน้อยโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ด้วยเพราะ ภาพในหน้าจอ รวมถึงแสง สี มีการเปลี่ยนค่อนข้างไว ทำให้เด็กคุ้นเคยกับความรวดเร็ว ส่งผลให้เด็กมีอาการสมาธิสั้น

เเต่ในยุคสมัยนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยงไม่ให้ลูก เเตะโทรศัพท์มือถือ แต่ควรมีการควบคุมระยะเวลาให้เหมาะสมตามวัยของเด็ก ๆ

(อ่านต่อบทความน่าสนใจ มือถือ คอมพิวเตอร์ อันตรายเสี่ยงลูกป่วยทางสายตา” / แก้ปัญหาลูกติดมือถือใน 7 วัน”)

โทรศัพท์/เเท็บเล็ต ทำลาสมองลูก

 

2. คลื่นมือถือเป็นอันตรายต่อลูก แม้ลูกไม่ได้เล่น 

พฤติกรรม “วางมือถือไว้ใกล้หัวขณะหลับ” เพราะโทรศัพท์สามารถปล่อยคลื่นรังสีออกมา เมื่อสมองรับคลื่นมือถือเข้าไปเป็นเวลาต่อเนื่อง จึงมีความเสี่ยงต่อการถูกทำลายเซลล์สมอง โดยเฉพาะเนื้อเยื่อสมองของเด็กเล็ก ซึ่งดูดซึมรังสีมากกว่าผู้ใหญ่ถึงเกือบ 5 เท่า

คลื่นมือถือ ทำลายสมองลูก

3. ปล่อยลูกไว้กับโทรทัศน์

การปล่อยให้เด็กเล็กนั่งดูทีวีติดต่อกันนาน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองโดยตรง โดยเฉพาะพัฒนการด้านภาษา เพราะเด็กขาดการกระตุ้น ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง อีกทั้งยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งอยู่หน้าจอ ปล่อยให้ภาพหลั่งไหลผ่านสายตาไปเรื่อย ๆ ขาดการวิเคราะห์ตาม ซึ่งแตกต่างกับการอ่านหนังสือ ที่เด็กจะได้ใช้ความคิดและสร้างจินตนาการไปพร้อมกับการอ่าน จึงทำให้กระบวนการรับรู้ทางภาษาไม่พัฒนาไปตามวัย

ปัจจุบัน สมาคมกุมารแพทย์ของอเมริกา ได้ออกมาให้คำแนะนำว่า ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบดูโทรทัศน์ และไม่ควรให้เด็ก อายุมากกว่า 2 ขวบ ดูโทรทัศน์เกิน 2 ชม.

ทีวีทำร้ายสมองลูก

4.สร้างความเครียด เรื่องราวสะเทือนใจยิ่ง ทำลายลูก

นักวิทยาศาสตร์พบว่า การที่เด็กประสบภาวะถูกกดดัน เครียด เศร้าสะเทือนใจ จะส่งผลต่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลโดยตรง ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์ ทำให้การควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์นั้นแย่ลงกว่าปกติ 20 – 30 %  ส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม

เมื่อฮอร์โมนคอร์ติซอลได้รับผลกระทบ และลูกขาดความรัก ความอบอุ่นจากการเลี้ยงดู จึงส่งผลต่อสมองส่วนบนสุดคือคอร์เท็กซ์ และ ลิมบิก ซึ่งสมองส่วนทั้งสองดูแลกรทำงานด้านความคิด และ การแสดงออกทางอารมณ์ เด็กจึงอาจไม่มีพัฒนาการทางสมองที่เหมาะสม ส่งผลทางตรงต่อระบบการเรียนรู้

 

ความเครียด ทำลายสมองลูก

5. ให้ลูกทานอาหารขยะ 

การรับประทานอาหารขยะ ในที่หมายถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย มีแคลอรี่สูง โดยมักประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน หรือโซเดียมในปริมาณมาก เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม พิซซ่าเป็นต้น   หลาย ๆ คน คงทราบว่าอาหารขยะมีส่วนช่วยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนในวัยเด็ก โรคหัวใจ และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ในอีกด้านหนึ่งเมื่อรับประทานอาหารขยะปริมาณมาก หรือกินบ่อย อาจส่งผลให้ระบบความจำทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากขาดสารอาหารที่มีประโยชน์ไปบำรุงสมอง ทำให้มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ และเกี่ยวข้องกับภาวะต่าง เช่น ภาวะซึมเศร้า การสูญเสียความจำ การวิตกกังวล  และ ภาวะสมองเสื่อม

ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรเลี่ยงการให้ลูกน้อยทานอาหารขยะ อาจให้ทานได้ในรูปแบบนาน ๆ ทีครั้งหนึ่ง แต่ไม่ควรให้ทานมากจนเกินไป เพราะ อาจนำมาซึ่งผลกระทบตามที่กล่าวมาข้างต้น

อาหารขยะ ทำลายสมองลูก

 

6. ปล่อยลูกทานของหวาน

สมอง ไม่ใช่ความรักที่จะต้องหมั่นเติมความหวานอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเด็กที่ชอบหม่ำของหวานติดเป็นนิสัยแล้ว ซึ่งส่งผลให้น้ำตาลไปขัดขวางการดูดซึมของโปรตีนและสารอาหาร เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมองทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ขนมหวาน ทำลายสมองลูกได้

7. ปล่อยลูกเผชิญปัญหามลพิษ pm2.5

มลพิษทางอากาศที่เราหายใจเอาเข้าร่างกายในทุกวัน เป็นอีกหนึ่งตัวอันตรายสำคัญทำลายสมองได้ โดยเฉพาะฝุ่นละเองขนาดเล็ก pm 2.5ที่กระทบสุขภาพของเด็กโดยตรง ด้วยขนาดฝุ่นพิษที่เล็กจิ๋ว จึงสามารถซึมผ่านเข้าไปยังกระแสเลือดและเดินทางไปถึงส่วนสำคัญอย่าง ปอด หัวใจ และสมองโดยตรง  หากสะสมเข้าไปในร่างกายมาก ๆ จะส่งผลกระทบต่อทักษะด้านการคิด การทำความเข้าใจ และการจดจำ

12 ศัตรูตัวร้าย ทำลายสมอง

8.  ปล่อยลูกนอนดึกบ่อย ๆ

เด็กแต่ละวัยก็มีชั่วโมงการนอน หลับพักผ่อนแตกต่างกัน ตามนาฬิกาในสมอง (Biological clock) เด็กเล็กควรนอนตั้งแต่ 2 ทุ่มหรือ 2 ทุ่มครึ่งช้าที่สุด นอนหลับลึกช่วงกลางคืน 10-12 ชั่วโมง ถ้าหากนอนดึก ตื่นเช้าบ่อย ๆ แล้วล่ะก็  อาจทำให้เด็ก ๆ สูงไม่ตรงตามเกณฑ์ของวัย เเละ อาจจะทำให้เซลล์สมองไม่ได้รับการทดแทนจากการฟักตัวของเซลล์ใหม่ เซลล์สมองที่ตายแล้วจะสะสมจนมีปริมาณมาก ทำให้สมองไม่พัฒนาเท่าที่ควร

12 ศัตรูตัวร้าย ทำลายสมองลูก

9. ลูกได้รับสารอาหารจากมื้อเช้า ไม่เพียงพอ

อาหารเช้าเป็นแหล่งพลังงานมื้อสำคัญของร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมกับกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตตั้งแต่อนุบาล ประถม จำเป็นต้องรับประทานอาหารเช้า เพราะมีส่วนช่วยในการทำงานกลไกของสมองซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก การงดอาหารเช้า หรือ กินอาหารเช้าที่สารอาหารไม่ครบถ้วน จึงอาจนำไปสู่ปัญหาในเรื่องของความจำ การเรียนรู้

เด็กควรได้รับสารอาหารให้ครบ ทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ในแต่ละวันได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ ระยะเวลาทานอาหารเช้าที่เหมาะสม คือช่วง 7.00 – 9 โมงเช้า เพราะเป็นช่วงที่ระบบย่อยอาหารจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

12 ศัตรูตัวร้าย ทำลายสมอง

10. ของเล่นไม่ได้มาตรฐาน

ของเล่นสีสวย น่าเล่นอาจมีสารพิษและสารเคมีประเภทตะกั่วหรือสารปรอทปนเปื้อนอยู่ เด็กเล็กๆมันหยิบของเล่นเข้าปากเป็นประจำ จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง หากไสั่งสมเป็นเวลานาน และปริมาณมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อสมองได้ คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกซื้อของเล่นที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรม) จึงจะมั่นใจได้ว่าปลอดภัยแน่นอน

ของเล่นก็ทำลายสมองลูกได้

11. ปล่อยลูกอยู่ใกล้ควันบุหรี่

สำหรับบ้านที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ สภาพแวดล้อมในบ้านไม่ปลอดโปร่ง อาจทำให้สมองของเด็กได้รับสารพิษ และเป็นการสกัดกั้นและบั่นทอนศักยภาพสมองให้ลดลงได้ เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจน และอากาศที่สดชื่น

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกประเมินว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรเด็กทั้งโลก ได้หายใจเอาอากาศที่ปนเปื้อนควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กอยู่ในบ้าน จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กมากๆ เพราะยิ่งเด็กหายใจเข้าไปมากเท่าไร สมองก็ยิ่งจะเสื่อมลงไปทุกที ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ควรคิดให้ดีก่อนจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบในบ้าน

ทำลายสมองลูก

12. ตามใจนิสัยการกินของลูก จนเด็กน้อยอ้วนตุ๊ต๊ะ 

จากสถิติพบว่าเด็กไทย 1 ใน 5 เสี่ยงต่อภาวะการเป็นโรคอ้วน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่ากังวล เนื่องจากการปล่อยให้ลูก ๆ มีภาวะการเป็นโรคอ้วนนับเป็นความเสี่ยงทางสุขภาพ

หากคุณลูกเลือกหม่ำทุกอย่างที่ขวางหน้า จนน้ำหนักตัวเริ่มฉุดไม่อยู่แล้ว กลายเป็นคนอ้วนตุ๊ต๊ะขึ้นมา ก็อาจส่งผลให้เส้นเลือดในสมองหนาขึ้น เพราะการเกาะตัวของไขมันจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้สมองทำงานได้ช้าลงเช่นเดียวกัน

มั่นใจ 12 พฤติกรรมเลี่ยงเเล้วไม่ ทำลายสมองลูก

การลดความเสี่ยงของปัจจัยต่าง ๆ ที่ ทำลายสมองลูก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการสำคัญที่จะช่วยให้ลูกน้อยเติบโตมาด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ศักยภาพสมองได้อย่างเต็มที่ พร้อมรับมือกับการใช้ชีวิตในอนาคต

ความอ้วนทำลายสมองลูกได้


ขอบคุณที่มาของข้อมูล :  หนังสือ “คู่มือ พัฒนา สมองลูกด้วยสองมือพ่อเเม่” เรียบเรียงจากนิตยสารบทความนิตยสารรักลูก

โพสต์ทูเดย์  MThai BangkokHealth  คณะการเเพทย์แผนไทยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 

อ่านบทความเพิ่มเติม

อาหาร ขยะ ภัยร้ายทำลายสมองลูกไอคิวต่ำ !!

9 สิ่งอันตราย รอบตัวแม่ท้อง “ทำลายสมองและพัฒนาการลูกในครรภ์”

เตือนแม่ท้อง สูดฝุ่น PM2.5 เสี่ยงทำลายสมองลูก

ปล่อยให้ลูกร้องไห้นานๆ ทำลายสมองจริงหรือ?

คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป

คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป แบบไหน ? ที่ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีตั้งแต่แรกเกิด

Alternative Textaccount_circle
event
คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป
คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป

ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ หลายๆ ครอบครัวที่กำลังเตรียมซื้ออุปกรณ์ ของใช้เพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่   และหนึ่งในนั้นแน่นอนว่าต้องมี ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป แต่สิ่งสำคัญคือก่อนที่จะเลือกซื้อผ้าอ้อมเด็กให้กับ ลูกน้อย แนะนำว่าต้องพิจารณาจาก “คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป” ที่เหมาะสมและตอบโจทย์กับลูกวัย ทารกเป็นสำคัญ เพราะทารกเป็นช่วงวัยแรกที่ต้องสัมผัสกับผ้าอ้อมค่ะ

 

คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป

” คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป ”
เช็กลิสต์ 7 เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกผ้าอ้อมให้ลูกน้อย

1. ยี่ห้อ

หากจะพูดถึงผ้าอ้อมเด็กที่มีในปัจจุบันนี้ คุณพ่อคุณแม่จะเห็นว่ามีให้เลือกใช้หลากหลายแบรนด์ และก็ อาจทำให้ไม่สามารถ ตัดสินใจได้ว่าควรเลือกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปยี่ห้อไหนดี แนะนำง่ายๆ ค่ะว่าให้เลือกจากยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือ หาซื้อง่าย และหากมีรีวิวการใช้งานจริงจากผู้บริโภค จะช่วยให้มั่นใจและ ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในช่วงนี้ มีผ้าอ้อมหลายยี่ห้อเข้ามาขายในเมืองไทย ล้วนเป็นผ้าอ้อมที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เหมือนโทรศัพท์มือถือ ที่ทั้งบาง และซึมซับดี ที่สำคัญคือเมื่อลูกน้อยใช้แล้วต้องไม่ระเคืองต่อผิวสัมผัสค่ะ

2. คุณสมบัติของผ้าอ้อม

ในเด็กแรกเกิดช่วง 1 เดือนแรก ทารกจะปัสสาวะบ่อยมากถึงวันละ 10-15 ครั้ง ฉะนั้น คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป ที่ควรมี คือ มีเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ไม่ระคายเคืองผิวของลูกน้อย หรือทำให้เกิดผื่นแพ้ ซึมซับได้มาก ไม่ไหลย้อนกลับ ระบายอากาศได้เร็ว เพื่อที่จะให้ก้นของลูกน้อยแห้งและเย็นสบายตัวตลอดเวลา ไม่ทำให้ลูกน้อยรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว ไม่สบายผิวก้นขณะส่วมใส่ผ้าอ้อม เป็นต้น

3. น้ำหนักลูกน้อย

ผ้าอ้อมเด็กมีหลายแบบ ทั้งแบบเทปและแบบกางเกง แต่ละแบบจะเหมาะกับแต่ละช่วงอายุของลูกน้อย เช่นเด็กทารกแรกเกิด เด็กจะอยู่ในท่านอนตลอด ควรใช้ผ้าอ้อมแบบเทป เพราะผ้าอ้อมแบบเทปใช้สวมใส่ให้เด็กทารกได้ง่ายกว่าแบบกางเกง เมื่อลูกน้อยโตขึ้นเดินได้เองก็ควรเลือกใส่ผ้าอ้อมแบบกางเกง ผ้าอ้อมมีไซส์ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงเด็กโต เพื่อให้ไซส์มีความพอดีกับตัวลูกน้อย เพราะเด็กแต่ละช่วงวัยจะมีขนาดรูปร่างและน้ำหนักที่ไม่เท่ากัน ฉะนั้นเพื่อตอบโจทย์การใช้งานกับลูกน้อย การเลือกผ้าอ้อมเด็กจึงควรเลือกไซส์ตามน้ำหนักตัวของลูกน้อยเป็นหลัก ดังนี้

  • ไซส์ NB หรือ Newborn สำหรับเด็กแรกเกิด ถึงน้ำหนัก 5 กิโลกรัม
  • ไซส์ S สำหรับเด็กน้ำหนัก 4 ถึง 8 กิโลกรัม
  • ไซส์ M สำหรับเด็กน้ำหนัก 6 ถึง 11 กิโลกรัม
  • ไซส์ L สำหรับเด็กน้ำหนัก 9 ถึง 14 กิโลกรัม
  • ไซส์ XL สำหรับเด็กน้ำหนัก 12 ถึง 17 กิโลกรัม
  • ไซส์ XXL สำหรับเด็กน้ำหนัก มากกว่า 15 กิโลกรัม

4. การขับถ่ายของลูกน้อย

คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป ข้อนี้สำคัญมากค่ะ อย่างที่บอกไปว่าในเด็กทารกแรกเกิดจะมีการขับถ่ายถี่และบ่อยมาก ทั้งปัสสาวะ และอุจจาระ โดยเริ่มจาก

  • ลูกน้อยอายุ 1 เดือนแรก จะปัสสาวะ 10-15 ครั้งต่อ/วัน อุจจาระ 9-10 ครั้ง/วัน
  • ลูกน้อยอายุ 1-3 เดือน จะปัสสาวะ 10-12 ครั้ง/วัน อุจจาระ 8-10 ครั้ง/วัน
  • ลูกน้อยอายุ 4-12 เดือน จะปัสสาวะ 8-10 ครั้ง/วัน อุจจาระ 2-5 ครั้ง/วัน
  • ลูกน้อยอายุ 13-24 เดือน จะปัสสาวะ 6-8 ครั้ง/วัน อุจจาระ 1-3 ครั้ง/วัน
  • ลูกน้อยอายุ 25-36 เดือน จะปัสสาวะ 5-6 ครั้ง/วัน อุจจาระ 1-2 ครั้ง/วัน

ส่วนมากเมื่อลูกอายุย่างเข้า 3 ขวบ คุณแม่จะค่อยๆ ฝึกให้ลูกน้อยขับถ่ายด้วยการนั่งกระโถน และการนั่งชักโครกสำหรับเด็ก ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนที่ลูกๆ จะเริ่มเข้าโรงเรียนนั่นเองค่ะ

การใช้ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป หากลูกน้อยมีการอุจจาระ จำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมชิ้นใหม่นะคะ เพื่อความสะอาด และเพื่อสุขอนามัยที่ดีของลูก แต่การซึมซับปัสสาวะ ควรเปลี่ยนชิ้นใหม่เมื่อผ้าอ้อมเต็ม ซึ่งปัจจุบันผ้าอ้อมยี่ห้อใหม่ๆ จะมีแถบอินดิเคเตอร์ที่วัดระดับการซึมซับ  โดยแถบอินดิเคเตอร์จะเปลี่ยนสีเพื่อช่วยเตือนให้คุณแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกน้อยได้ทันเวลาค่ะ

5. ราคา

จากประสบการณ์นะคะ ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปเป็นของใช้จำเป็นของทุกครอบครัวที่มีลูกวัยทารก เด็กเล็ก จำเป็นต้องใช้ ทั้งนี้ในเรื่องของราคาก็ขึ้นอยู่กับกำลังการจ่ายของแต่ละครอบครัว ว่าเรทราคาประมาณไหนที่จ่ายได้ แต่อย่าลืมนึกถึงการใช้งานของผ้าอ้อมประกอบด้วยค่ะ เพราะการใส่ผ้าอ้อมที่มีการซึมซับได้มากในเวลานอน จะช่วยให้ลูกน้อยหลับสนิทได้ยาวนาน ซึ่งการหลับที่ยาวนานจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อยได้ดีกว่า อีกทั้งคุณแม่ก็ได้พักผ่อนอย่างเพียงพออีกด้วยค่ะ

6. ผิวที่บอบบางไวต่อการสัมผัส

สิ่งสำคัญของการเลือกผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป คุณแม่ต้องคำนึงถึงผิวลูกน้อยเป็นสำคัญ เพราะผิวลูกวัยทารกเป็นผิวที่บอบบาง อ่อนโยน จึงทำให้ง่ายต่อการเกิดการระคายเคือง คัน เกิดผดผื่น ผื่นแพ้ผ้าอ้อมขึ้นได้ง่ายมาก ฉะนั้นผ้าอ้อมสำเร็จรูปต้องมีผิวสัมผัสที่อ่อนโยน นุ่ม ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ต่อผิวลูกน้อย นอกเหนือจากนั้น ยังต้องดูการออกแบบของผ้าอ้อมด้วยนะคะ คุณแม่ควรเลือกผ้าอ้อมที่ออกแบบผิวสัมผัสด้านในของผ้าอ้อมที่มีรูปทรงเป็นคลื่นหรือเป็นทรงนูน เพราะผิวสัมผัสแบบที่มีคลื่นหรือทรงนูน จะช่วยลดการสัมผัสของผ้าอ้อมกับผิวของลูกน้อยได้ดีค่ะ

7. สะดวกใช้ หาซื้อง่าย

จากประสบการณ์การเลือกใช้ผ้าอ้อมเด็ก ที่นอกจากจะดูในคุณสมบัติเบื้องต้นทั้ง 6 ข้อแล้ว ยังต้องดูในเรื่องของการหยิบใช้ สวมใส่ให้ลูกง่าย ไม่ใช้เวลานาน และที่สำคัญคือสามารถหาซื้อได้สะดวกทั้งใน ซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และช่องทางออนไลน์ เพราะปัจจุบันนี้แม่ที่มีลูกมักนิยมเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้ลูกน้อยผ่านช่องทางออนไลน์ สะดวก และประหยัดเวลา อีกทั้งยังสามารถเลือกซื้อผ้าอ้อมที่มีรายการโปรโมชั่น หรือให้บริการจัดส่งฟรีค่ะ

คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป

ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ควรช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดี

ลูกแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการการเจริญเติบโต และพัฒนาการการเรียนรู้ไม่เหมือนกัน อย่างในลูกวัยทารก วงจรชีวิตในช่วงเริ่มแรกจะหมดไปกับการนอนเกือบจะ 24 ชั่วโมง ฉะนั้นผ้าอ้อมเด็ก ที่เลือกให้ลูกใช้ จะต้องไม่รบกวนการนอนของลูก ผ้าอ้อมควรจะเป็นแบบเทปที่ให้ความแห้งสบาย ขอบเอว ขอบขาของผ้าอ้อมต้องนุ่มเป็นพิเศษ รูปทรงของผ้าอ้อมควรจะเข้ากับสรีระของลูกวัยทารก

และเมื่อลูกน้อยเข้าสู่ช่วงวัย 6-8 เดือนขึ้นไป พัฒนาการร่างกาย พัฒนาการการเรียนรู้ จะมีเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคืบ คลาน ตั้งไข่ เริ่มเกาะ หัด เดิน และวิ่งได้ในที่สุด ลูกน้อยจะนอนกลางวันน้อยลง และใช้เวลาไปกับการเล่นสนุก สนใจสิ่งแปลกใหม่ที่อยู่รอบตัวตลอดเวลา ฉะนั้นผ้าอ้อมจะต้องตอบโจทย์การใช้งานของเด็กวัยกำลังโต คือ ผ้าอ้อมต้องกระชับกับสรีระรูปร่าง น้ำหนักที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของลูก เพื่อให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ เล่นสนุกกับทุกกิจกรรมได้อย่างไม่มีสะดุด สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือการให้ลูกน้อยได้นอนหลับสนิทในตอนกลางคืนที่ยาวนาน จะช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่รวดเร็วขึ้นค่ะ

Sunny Baby ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผ้าอ้อมเด็กที่ตอบโจทย์ความต้องการของพ่อแม่ และช่วยเสริมสร้าง พัฒนาการลูกน้อย

ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ หรือครอบครัวที่มีลูกเล็ก และกำลังมองหาผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้กับลูกน้อย อยากแนะนำให้รู้จักกับ Sunny Baby ผ้าอ้อมสำเร็จรูปคุณภาพดีอันดับ 1 ของประเทศไทย ที่มีความปลอดภัยต่อผิวลูก และช่วยเสริมสร้างให้ลูกน้อยมีพัฒนาการช่วงวัยที่ดีค่ะ

คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการผ้าอ้อมเด็ก ที่ให้ในเรื่องของการซึมซับได้ปริมาณมาก ระบายอากาศได้ดี แห้งสบาย ผิวสัมผัสนุ่ม มี อยู่ใน Sunny Baby ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูประดับซุปเปอร์พรีเมี่ยมยี่ห้อนี้เลยค่ะ และที่สำคัญยังมีให้เลือกใช้กันตั้งแต่ไซส์ Newborn หรือ NB ไปจนถึง ไซส์ XXL

คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป

 

คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป ที่ได้จาก Sunny Baby   

  1. สวมง่าย ใส่สบาย การผลิตผ้าอ้อมใช้เทคโนโลยีการขึ้นรูปแบบอัลตร้าโซนิค รูปทรงแบบ 3 มิติ จึงทำให้กระชับ เข้ากับสรีระของลูกในทุกช่วงวัย ขอบเอวและเนื้อผ้าอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ใส่สบายและถอดออกได้ง่าย
  2. อ่อนนุ่ม ไม่ระคายเคือง เพราะเป็นผ้าฝ้ายสัมผัส 3 มิติ ซึ่งจะช่วยลดการสัมผัสของแผ่นดูดซับกับผิวของลูกน้อย ทำ ให้ดูดซับได้อย่างรวดเร็ว และให้ความรู้สึกนุ่มสบาย
  3. แผ่นดูดซับ ไม่ยุ่ย ไม่ห่อตัว ปัญหาหนึ่งของผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปคือ พอใส่ไปแล้วระหว่างชั่วโมง ระหว่างวัน ผ้าอ้อมมักจะไม่ได้รูปเดิม ทำให้ลูกไม่สบายตัว และร้องงอแง Sunny Baby เป็นผ้าอ้อมเด็กที่ออกแบบให้โครงสร้าง แผ่นดูดซับ มีลักษณะเป็นใยตาข่ายที่มีความเหนียว ไม่ยุ่ย ไม่ห่อตัว จึงทำให้ลูกน้อยเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
  4. เย็นสบาย ไม่อับชื้น Sunny Baby เป็นผ้าอ้อมเด็กที่มีนวัตกรรมระบายอากาศรูปแบบใหม่ ตรงแผ่นแบคชีทมีรู มากกว่า 10 ล้านจุด ทำให้ระบายอากาศได้อย่างรวดเร็ว ลูกน้อยจะรู้สึกแห้งสบายตัวตลอดเวลาขณะสวมใส่ผ้าอ้อม
  5. บอกระดับการซึมซับด้วยอินดิเคเตอร์ คุณแม่จะรู้ได้ทันทีว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมผืนใหม่ให้ลูกน้อยแล้ว เพราะบนผ้าอ้อมจะมีแถบอินดิเคเตอร์ปรากกฎอย่างชัดเจนเมื่อผ้าอ้อมลูกน้อยเต็มไปด้วยปริมาณปัสสาวะ อุจจาระ

ผ้าอ้อมยี่ห้อแรกของลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด หากเป็น Sunny Baby ผ้าอ้อมสำเร็จรูปคุณภาพระดับซุปเปอร์พรีเมี่ยม พูดได้เลยค่ะว่า ตอบโจทย์ของคุณพ่อคุณแม่ได้ทุกข้อ ค่ะ

Sunny Baby “สัมผัสนุ่ม แห้งสบาย ที่ลูกน้อยต้องการ”

คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป แบบไหน ? ที่ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการดีตั้งแต่แรกเกิด

แสดงแบบ : คุณแม่ออย น้องเอด้า อายุ 9 เดือน 

หายใจดั้น

ลูก หายใจดั้น คืออะไร พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร

Alternative Textaccount_circle
event
หายใจดั้น
หายใจดั้น

คุณพ่อคุณแม่เคยประสบปัญหาลูกร้องไห้หนักมาก แล้วกลั้นหายใจจนตัวเขียวไหมคะ? ” หายใจดั้น ” เป็นหนึ่งในอาการที่แสดงถึงพฤติกรรมของ “เด็กดื้อ”  “ไม่พอใจ”  “ไม่ถูกใจ”  แต่อาการเช่นนี้เกิดกับใครบ้าง อันตรายหรือไม่ และจะแก้ไขอย่างไรไม่ให้ลูกทำอะไรน่ากลัวแบบนี้ มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยค่ะ

 

หายใจดั้นคืออะไร ทำไมลูกทำแบบนี้ พฤติกรรมต่อต้านที่พ่อแม่ต้องเข้าใจ

ลูกหายใจดั้น

อาการหายใจดั้นไม่ใช่โรค

คุณหมอสุริยเดว ทรีปาตี หรือคุณหมอเดว จิตแพทย์เด็กวัยรุ่นและครอบครัว อธิบายถึงอาการดังกล่าวว่า เป็นพฤติกรรมการโต้ตอบทางอารมณ์อย่างรุนแรงในเด็กบางกลุ่ม นั่นคืออาการหายใจดั้น เพราะพอลูกเริ่มแยกแยะตัวเองได้ พัฒนาการทางอารมณ์จึงเริ่มปรากฏชัดเจน การหายใจดั้นจะพบบ่อยในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 1 ปีเท่านั้น !! เมื่อลูกโตขึ้นพฤติกรรมต่อต้านไม่ได้หายไป แต่จะเปลี่ยนไปใช้ “ลูกเล่น” อื่นแทน อาการของภาวะหายใจดั้นสังเกตได้ง่ายๆ ดังนี้

1. ลูกร้องไห้หนัก เสียงดัง และยาวนานเมื่อถูกขัดใจจนโกรธและโมโหอย่างรุนแรง

2. ลูกหน้าเขียว ตัวเขียวเหมือนขาดอากาศหายใจ เพราะระหว่างร้องไห้ก็กลั้นหายใจด้วย

อย่างไรก็ตาม ภาวะหายใจดั้นอาจเกิดกับเด็กที่ป่วยด้วยโรคอื่นๆ เด็กกลุ่มนี้แม้จะไม่มีเรื่องขัดใจอยู่ก็พบภาวะตัวเขียวได้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว และสมองพิการ หากคุณแม่ไม่แน่ใจควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องต่อไป แต่สำหรับเด็กสุขภาพแข็งแรง เจริญเติบโตดีเมื่อเกิดภาวะ หายใจดั้น นั่นหมายถึงการแสดงออกทางอารมณ์ล้วนๆ

ลูกหายใจดั้นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่

เวลาลูกหายใจดั้นหลังจากร้องไห้ดัง พยายามแผดเสียงออกมาให้ดังที่สุด พร้อมกับกลั้นหายใจทำให้พ่อแม่ตกใจกลัวจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ความจริงแล้วการหายใจดั้นไม่ได้ส่งผลใดๆกับร่างกายทั้งสิ้น เพราะเมื่อกลั้นหายใจ จนปริมาณออกซิเจนลดต่ำลงในขณะที่คาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนไปที่สมองว่า “กลับมาหายใจได้แล้ว” การสั่งงานของสมองระดับนี้เป็นส่วนสัญชาตญาณที่ควบคุมการหิว อิ่ม และหายใจซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อร่างกายเข้าสู่ภาวะอันตราย สมองจะสั่งงานทันที ต่างจากสมองส่วนอารมณ์หรือลิมบิก กับสมองส่วนคิดขั้นสอง ( EF) ดังนั้นการกลั้นหายใจไม่ทำให้ขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิตได้

 

อ่านเพิ่มเติม >> พัฒนาการทารก 2 เดือน ตื่นบ่อย ร้องไห้เก่ง ใช่โคลิคหรือเปล่า ?

 

ทำความเข้าใจอาการ หายใจดั้น
ทำความเข้าใจอาการ หายใจดั้น

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีรับมือเมื่อลูก หายใจดั้น

หากลูกมีอาการหายใจดั้น คุณพ่อคุณแม่ควรฉุกคิดทันทีเพื่อหาสาเหตุต่อไปว่าทำไมลูกถึงทำแบบนี้เพราะแม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่การเห็นลูกกลั้นหายใจจนหน้าเขียววันละหลายรอบ คงทำให้พ่อแม่หนักไม่น้อย การที่ลูกแสดงอาการผ่านภาวะหายใจดั้น แสดงว่าลูกต้องการสื่อสารถึงอารมณ์ภายในที่กำลังเผชิญใน 2 ลักษณะ คือ

  1. ลูกรู้สึกโมโห โกรธจัด แสดงออกด้วยการร้องไห้ออกมาและหายใจดั้นไปพร้อมกันจนตัวเขียว
  2. ลูกรู้สึกหวาดกลัว ผวา เช่นถูกทำให้ตกใจสุดขีด ก็อาจหายใจดั้นได้ แต่หน้าจะซีดขาวคล้ายจะเป็นลม พฤติกรรมนี้มักเกิดกับกลุ่มเด็กที่มีพื้นฐานอารมณ์อ่อนไหวง่าย

อ่านเพิ่มเติม >> 3 วิธีจัดการ พฤติกรรมไม่น่ารัก เมื่อลูกน้อยโมโห!

อ่านเพิ่มเติม >> นักจิตวิทยาระดับโลกแนะ 3 วิธีรับมือ “ลูกดื้อ”

 

สมมติว่าลูกเล็กอยากเล่นโทรศัพท์มือถือ ตอนแรกแม่ไม่ให้เพราะรู้ว่าลูกยังใช้ไม่เป็น เขาจะเอาไปโยนเล่น เมื่อแม่ไม่ให้ลูกก็ไม่พอใจและร้องไห้จนหายใจดั้น ด้วยความตกใจแม่ก็รีบปลอบ เมื่อลูกหายจากอาการดังกล่าว คุณแม่ก็ไม่กล้าขัดใจลูกอีก เมื่อลูกขอก็ให้ทันที ลูกจึงเกิดการเรียนรู้เงื่อนไขว่าถ้าจะให้พ่อแม่ยอมต้อง หายใจดั้น ครั้งถัดไปอยากได้อะไรอีกก็ หายใจดั้นมันเสียเลย ทำให้การ หายใจดั้น กลายเป็นพฤติกรรมแสดงอารมณ์รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการจัดการอารมณ์ที่ดี เรียกว่าสูญเสียการจัดการอารมณ์ค่ะ

วิธีรับมือเมื่อลูก หายใจดั้น
วิธีรับมือเมื่อลูก หายใจดั้น

ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่ตระหนักแล้วว่าลูกหายใจดั้นเพราะอารมณ์ และเราไม่อยากให้ลูกทำอีก เมื่อลูกงอแงเพื่อเรียกร้องสิ่งที่ต้องการ คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรตระหนกและไม่ควรตามใจเขา กรณีเกิดกับลูกเล็กอาจต้องใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจไปที่สิ่งอื่น ด้วยการให้ของชิ้นใหม่ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกว่ามาให้เขาแทน หรือฝึกลูกให้มี “วินัยเชิงบวก” เพื่อป้องกันปัญหาตั้งแต่เนิ่น ด้วยการจัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม (Structured Environment) เพื่อไม่ให้ครั้งหน้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เช่น

 รู้ว่าลูกอยากเล่นโทรศัพท์มือถือ แต่พ่อแม่ไม่อยากให้เขาเล่น ก็ไม่ต้องวางให้เขาเห็น

รู้ว่าเด็กชอบสำรวจปลั๊กไฟ แต่มันอันตราย เราไม่อยากให้เขาทำ ก็หาเครื่องมือป้องกันมาปิดรูปลั๊กไว้

รู้ว่าเด็กเห็นแก้วน้ำแล้วอยากเล่น เรากลัวแก้วตกแตก ก็เอาแก้วพลาสติกมาวางไว้ให้แทน

เมื่อคุณพ่อคุณแม่ป้องกันโดยการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เด็กก็จะไม่เห็นสิ่งล่อตาล่อใจให้เกิดความอยาก เมื่อไม่อยากเขาก็จะไม่ร้องงอแงจ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องใจหายใจคว่ำเมื่อเห็นลูกตัวเขียว เรียกว่าป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุ แค่นั้นก็จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย

เด็กทุกประเภทงอแงเวลาถูกขัดใจเหมือนกันทุกคน เพราะมันคือพัฒนาการปกติซึ่งเขากำลังเรียนรู้ เพียงแต่ว่าปฏิกิริยาความรุนแรงในการโต้ตอบอาจต่างกัน ถ้าลูกเลี้ยงง่าย การโต้ตอบก็จะเบาบางเหมือนที่มีคนพูดว่าทำไมบ้านนี้คลอดลูกมาเงียบเชียว แต่อีกบ้านลูกร้องตลอดคืน ก็จะแตกต่างกันประมาณนี้

 


ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากหนังสือ เด็กไม่ใช่ผ้าขาว อย่าเข้าใจผิด สำนักพิมพ์ Amarin Kids

 

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

5 เทคนิค ตามใจลูก [สร้างวินัยเชิงบวก] ฝึกลูกคิดเป็น มีความรับผิดชอบ

[สร้างวินัยเชิงบวก] 3 เทคนิคเชิงบวก ฝึกลูกเล็กควบคุมอารมณ์ และความรู้สึกให้ได้ผล!

พัฒนาการทารก 2 เดือน ตื่นบ่อย ร้องไห้เก่ง ใช่โคลิคหรือเปล่า ?

หมอชี้! วิธีปราบ เด็กร้องไห้ ลูกร้องแบบไหนเรียกเอาแต่ใจ

เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน

เปิดเทอมนี้ เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน ต้องมีอะไรบ้าง

account_circle
event
เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน
เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน

เพราะเปิดเทอมใหม่นี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกโรงเรียนมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพราะเมื่อเด็กๆ มารวมกันจำนวนมาก ทำกิจกรรมร่วมกัน เล่นกัน อาจไม่ได้ระมัดระวังตัวเท่าที่ควร ขณะเดียวกันคุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องเตรียมตัวลูกน้อยให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคร้ายเช่นกัน มาดูกันว่าต้อง เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน เด็กๆต้องมีอะไรบ้าง  เพื่อให้ลูกห่างไกลจากโควิด

แม้บ้านเราจะไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมาหลายวันและทางรัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการต่างๆให้ผู้คนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว พ่อแม่ได้กลับไปทำงาน ส่วนลูกๆก็ต้องกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ แต่มาตรการป้องการการแพร่ระบาดของโรคนี้ยังคงอยู่ ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing)

เปิดเทอมใหม่ เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน อย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด

ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิสร้างเสริมวิถีบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ (มอส.) กรมอนามัย และกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมกันจัดทำ “คู่มือการจัดการโรงเรียนรับมือโควิด-19”  ในรูปแบบต่างๆ เช่น คู่มือการจัดการโรงเรียน โปสเตอร์รณรงค์ชีวิตวิถีใหม่ สติ๊กเกอร์ระยะห่าง นิทานความรู้ให้เด็กๆ พร้อมทั้งคำแนะนำสำหรับเด็กๆเมื่อไปโรงเรียนด้วย

 

ลูกต้องทำอย่างไรเมื่อไปโรงเรียน

สสส.ได้ทำคำแนะนำและข้อปฏิบัติเบื้องต้นสำหรับเด็กๆที่ต้องไปโรงเรียน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่นำไปปรับใช้เพื่อเตรียมตัวลูกน้อยให้พร้อมสำหรับการไปโรงเรียนแต่เนิ่นๆ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจ ทำตามได้โดยไม่ต่อต้าน มีทั้งหมด 9 ประการหลักๆ ดังต่อไปนี้

  1. สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อไปโรงเรียน
  2. ถ้ามีไข้ ไอจาม เป็นหวัด หรือหายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบแจ้งคุณครูเพื่อให้ผู้ปกครองพาไปพบแพทย์ และหยุดเรียนจนกว่าจะหายดี
  3. ไม่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมีอาการหวัด มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก
  4. ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือสบู่กับน้ำบ่อยๆ และทุกครั้งก่อนกินอาหาร เข้าห้องน้ำ
  5. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูกโดยไม่จำเป็น
  6. สอนให้ลูกเว้นระยะห่างกับคนอื่นๆอย่างน้อย 1 เมตร ไม่ว่าจะตอนนั่งเรียน กินอาหาร หรือเล่นกับเพื่อน
  7. มีอุปกรณ์ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้ว ช้อน ส้อม เป็นต้น
  8. อาบน้ำทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน เล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียน และกลับจากนอกบ้าน
  9. ดูแลสุขภาพลูกให้แข็งแรง กินอาหารครบห้าหมู่ ผักผลไม้ 5 สี ออกกำลังกายเป็นประจำและนอนหลับให้เพียงพอ 9-10 ชั่วโมงต่อวัน

เช็กลิสต์…ของมันต้องมี เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน สไตล์นิวนอร์มอล

นอกจากการสอนให้ลูกตระหนักถึงอันตรายของโควิด วิธีการล้างมือที่ถูกต้อง และการปฏิบัติตัวระหว่างอยู่โรงเรียนแล้ว คุณแม่ต้องวางแผน เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน สำหรับใช้ระหว่างวันโดยเฉพาะของใช้ส่วนตัว อุปกรณ์การเรียนและอุปกรณ์ทำความสะอาด ที่ต้องแบ่งเป็นสัดส่วน ไม่ใช้ปะปนกับคนอื่น จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันเลย

ไอเท็มลูกต้องมี…รับมือโควิด  

เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน

  1. หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า

สามารถใช้ได้ทั้งสองชนิด ควรเลือกขนาดให้เหมาะกับวัยของลูก ถ้าเป็นหน้ากากผ้าควรเลือกชนิดของผ้าที่ไม่ระคายเคืองผิวลูกน้อย ซักความสะอาดได้ง่าย แต่หากใช้หน้ากากอนามัยควรใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่นำมาใช้ซ้ำ คุณแม่ควรเตรียมหน้ากากเผื่อไว้สัก 2 ชิ้นกรณีลูกทำหาย หรือสกปรกจะได้มีเปลี่ยนใส่ระหว่างวัน หรือจะเตรียมถุงซิปล็อคให้ลูกไว้ใส่หน้ากากเวลากินข้าว หรือล้างหน้าเพื่อป้องกันสิ่งสกปรก

สำหรับเด็กเล็กที่ยังดูแลของส่วนตัวเองไม่ได้ คุณแม่อาจเลือกใช้หน้ากากที่มีสายคล้องคอเพื่อป้องกันการหายได้ แต่มีราคาค่อนข้างสูงสักหน่อย หรือซื้อเฉพาะสายคล้องคอมาติดกับหน้ากากแทนก็ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้พอสมควร สามารถหาซื้อได้จากแอพช้อปปิ้ง และร้านค้าออนไลน์ทั่วไป

 MUST READ : วิธีทำหน้ากากผ้าง่ายๆ ให้ลูก จาก “ผ้ามัสลิน”

 MUST READ: วิธีทำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ฆ่าเชื้อโรค ไว้ใช้เองที่บ้าน

 

  1. เจลแอลกอฮอล์

ไอเท็มประจำตัวลูกน้อยที่ขาดไม่ได้ ไว้ใช้ล้างมือบ่อยได้สะดวกตลอดเวลา คุณแม่ควรเลือกซื้อเจลแอลกอฮอล์คุณภาพดี ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ (เกรดทำยา) 70 % ขึ้นไป  มีฉลากระบุชื่อ ส่วนผสม วิธีใช้ และผู้ผลิตอย่างชัดเจน มีลักษณะเป็นเนื้อเจลใส ไม่เป็นตะกอน ไม่จับตัวเป็นก้อนหรือแยกชั้น และควรซื้อจากร้านขายยา หรือร้านค้าที่เชื่อถือได้

สามารถซื้อเจลแอลกอฮอล์ขนาดเล็ก ลูกหยิบใช้ได้สะดวก ที่มีทั้งชนิดหลอดและขวด หรือซื้อแบ่งใส่ขวดเล็กมีสายคล้องกระเป๋าหรือเข็มขัดให้ ไว้เติมเจลให้พอดีกับที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ที่สำคัญคุณแม่ต้องฝึกให้ลูกล้างมือบ่อยๆ ด้วยนะคะ

 

เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน

  1. สบู่ล้างมือ

โรงเรียนส่วนใหญ่จะเตรียมสบู่ล้างมือไว้ให้นักเรียน แต่ถ้าคุณแม่อยากมั่นใจว่า ลูกจะได้ล้างมือสะดวกแน่ๆ สามารถเตรียมสบู่ล้างมือติดกระเป๋าไว้ได้ ควรเลือกชนิดพกพา จะได้ไม่หนักกระเป๋าเกินไป หรือเลือกใช้ “สบู่แผ่น” เป็นแผ่นสบู่บางๆ นำมาเหยาะน้ำถูกให้เกิดฟอง ใช้ทำความสะอาดได้สบู่ทั่วไป พกสะดวก

4.กระดาษทิชชู่ หรือทิชชู่เปียก

เวลามีเหงื่อ เด็กๆเผลอใช้มือเช็ดอยู่บ่อยๆ เพื่อลดการใช้มือสัมผัสสิ่งต่างๆ เอามือมาถูใบหน้า ถูตัว  โดยเฉพาะคุณแม่ควรเตรียมกระดาษทิชชู่ หรือ ทิชชู่เปียก ติดกระเป๋าไว้ให้ลูกใช้เช็ดมือ เช็ดหน้ารวมถึงอุปกรณ์การเรียนเพื่อทำความสะอาดด้วย

  1. สติ๊กเกอร์แปะกันยุง

โรงเรียนเลื่อนมาเปิดเทอมช่วงหน้าฝนแบบนี้ สิ่งที่ตามมาด้วยไม่พ้น “ยุงลาย” ตัวร้าย ต้นเหตุของโรคไข้เลือดออก ที่มีเด็กๆต้องป่วยหลายร้อยคนทุกปี เพื่อป้องกันให้ลูกน้อยรอดพ้นจากโรคร้าย คุณแม่ลองหาสติ๊กเกอร์แปะกันยุงมาติดไว้ตามปลายแขนเสื้อ ชายกระโปรง หรือขากางเกงลูกน้อย อาจต้องซ่อนไว้ด้านในสักหน่อยกันหนูน้อยดึงเล่น เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องลูกได้ระดับหนึ่ง หลักในการเลือกซื้อสติ๊กเกอร์ คือควรเลือกสติ๊กเกอร์ที่ใช้ส่วนผสมอ่อนโยน ไม่มีสารเคมีรุนแรง และไม่ระคายเคืองผิวลูก

  1. กระติกน้ำส่วนตัว

ของติดตัวที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือ กระติกน้ำประจำตัว ไว้ให้ลูกได้ดื่มน้ำระหว่างอยู่โรงเรียน นอกจากช่วยให้ลูกดื่มน้ำได้บ่อยๆแล้วยังช่วยลูกห่างจากโควิดด้วย ทั้งนี้คุณแม่ควรขนาดให้เหมาะกับวัยของลูก และพัฒนาการของลูกน้อย ถ้าเป็นเด็กอนุบาลควรเลือกระติกน้ำไม่ใหญ่เกินไป เป็นแบบหลอดดูดใช้ได้สะดวก ส่วนเด็กโตชั้นประถมอาจใช้กระติกแบบยกดื่มแทนได้ ทั้งนี้ควรเลือกกระติกที่ปลอดสาร BPA และสารอันตรายเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

  1. สติ๊กเกอร์ชื่อติดของใช้

ช่วงโควิดเด็กๆต้องแยกของใช้ส่วนตัวให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ปะปนกับเพื่อนในห้อง แม้แต่อุปกรณ์การเรียนต่างๆทั้งดินสอ ยางลบ ดินสอสี หรือรองเท้านักเรียน แต่ของใช้เด็กเหมือนๆ กันจนแยกไม่ออกจึงอาจใช้ของสลับกันได้ คุณแม่อาจเตรียมสติ๊กเกอร์พิมพ์ชื่อลูกไว้สำหรับแปะสิ่งของต่างๆ เพื่อเตือนใจทั้งลูกโดยไม่ต้องบ่นปากเปียกปากแฉะ

  1. ชุดนักเรียน ถุงเท้า รองเท้า

สิ่งที่ขาดไม่ได้ก่อนไปโรงเรียน คุณแม่หลายบ้านสาละวนกับการเตรียมชุดนักเรียน ถุงเท้า รองเท้าให้ลูกน้อย สำหรับน้องที่ไปโรงเรียนครั้งแรกหรือเปลี่ยนโรงเรียนใหม่อาจตื่นเต้นเป็นพิเศษ  ส่วนลูกที่ขึ้นชั้นเรียนใหม่ คุณแม่คงต้องวัดขนาดชุดนักเรียน รองเท้ากันใหม่ว่ายังใส่ได้หรือเปล่า เพราะเด็กๆโตเร็วมากโดยเฉพาะวัยอนุบาลและประถมต้น เสื้อผ้าสามารถซื้อเผื่อโตไว้ได้ แต่คุณแม่ไม่ควรซื้อรองเท้าเผื่อไซส์มากเกินไป เพราะการใส่รองเท้าใหญ่กว่าเท้าจริงมีผลต่อรูปเท้าและการเดินของลูก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

 

9 กระเป๋านักเรียน หนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน

หนังสือเรือนไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลเพราะโรงเรียนจะจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย หรือเตรียมลิสต์รายการให้คุณแม่ไปซื้อได้สะดวก ส่วนการเลือกซื้อกระเป๋านักเรียน คุณแม่ควรพิจารณาจากเหมาะสมของเด็กแต่ละวัย แม้โรงเรียนส่วนใหญ่จะมีเป้หรือกระเป๋าสะพายของสถาบันให้ซื้อใช้เพื่อความเป็นระเบียบ แต่บางโรงเรียนให้อิสระในเรื่องนี้หากเป็นเด็กปฐมวัย คุณแม่ยังสามารถใช้เป้สะพายใบเล็กๆ ใส่แค่ของจำเป็น ส่วนของใช้อื่นๆควรใส่ถุงแยกให้คุณครู เพื่อไม่ให้ลูกแบกน้ำหนักมากเกินไป

 MUST READ :แม่แชร์ ประสบการณ์ผ่าตัด กระดูกสันหลังคดในเด็ก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

ส่วนวัยประถมที่ต้องแบกหนังสือเรียนจนหนักอึ้ง คุณแม่ควรฝึกให้ลูกจัดตารางเรียนของแต่ละวัน ไม่ใช่แบกหนังสือทุกเล่มไปเพราะทำให้หนักจนกระดูกสันหลังผิดรูปได้ แต่ถ้าลองถือดูแล้วกระเป๋ายังหนักอยู่ดี อาจต้องเปลี่ยนไปใช้กระเป๋าลาก หรือกระเป๋าเป้ที่ใส่แนบกระชับหลัง  เพื่อไม่ทำให้สรีระของลูกน้อยผิดเพี้ยนไป

  1. ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู ชุดเปลี่ยน ของใช้ส่วนตัว

สิ่งของเหล่านี้คุณแม่ต้อง เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน และขาดไม่ได้สำหรับเด็กอนุบาล ที่มีกิจวัตรประจำวันคล้ายกับที่บ้านคือ การนอนกลางวัน แปรงฟันก่อนเข้านอน จึงต้องมีชุดนอน ชุดเปลี่ยน ผ้าเช็ดหน้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และแก้วน้ำไว้ใช้เป็นของส่วนตัว

11. นมและของว่าง

เด็กวัยนี้ยังต้องกินนมช่วงกลางวัน สามารถกินนมโรงเรียนได้ก็ไม่ต้องเตรียม แต่ถ้าลูกแพ้นมคุณแม่ควรใส่นมกล่องแบบที่ชอบไว้ในกระเป๋าให้ลูกหยิบมากินเองได้สะดวก ทั้งนี้ควรหัดให้ลูกน้อยเลิกขวดก่อนชั้นอนุบาล เพื่อพัฒนาการที่ดีและสุขอนามัย สำหรับของว่าง โรงเรียนแทบทุกแห่งมีเตรียมไว้ให้เป็นเบเกอรีบ้าง ขนมหวาน หรือผลไม้บ้าง แต่บางโรงเรียนก็ให้เด็กเลือกขนมไปกินเองได้ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กเลือกและแบ่งปันกับเพื่อนๆ คุณแม่ควรเลือกขนมที่เหมาะสมกับโภชนาการของลูก ไม่ควรเป็นขนมกรุบกรอบ มีรสจัด เค็มหรือหวานเกินไป เพื่อสร้างนิสัยการกินที่ดีให้ลูกในอนาคต

นอกเหนือจากการ เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียนแล้ว คุณแม่ต้องปรับพฤติกรรม กิจวัตรประจำวันของลูกให้พร้อมสำหรับการเปิดเทอมอีกครั้ง หลังหยุดยาวมาร่วม 3 เดือนเต็ม เด็กๆหลายบ้านนอนดึก ตื่นสาย กินอาหารไม่เป็นเวลา การปรับวงจรชีวิตให้มีระเบียนวินัยเช่นเดิม จะช่วยให้เด็กปรับตัวกับการเปิดเทอมได้ไม่ยาก ส่วนคุณพ่อคุณแม่เองก็ควรปรึกษาและเตรียมความพร้อมกับการเรียน การใช้ชีวิตในโรงเรียนวิถีใหม่กับคุณครูให้เข้ากัน และศึกษาเส้นทางไปโรงเรียนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การไปโรงเรียนวันแรกของปีนี้เป็นไปอย่างราบรื่น แม้โควิดจะยังอยู่ แต่เราทุกคนก็สู้ได้


แหล่งข้อมูล : www.thaihealth.or.th

 

 

ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี ? แม่ลองวิธีนี้ช่วยลูกได้ ไม่ต้องบังคับ

 

รร.สังกัดกทม เตรียม เปิดเทอมอนุบาล – ประถม เน้นแบ่งห้องเรียน จัดตารางสอนให้เหมาะสม

 

แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

 

ทำไมเด็กไม่ควรใส่ “หน้ากากผ้า” เหมือนกันไปโรงเรียน

 

วิธีรักษาแผลผ่าคลอด

10 วิธี รักษาแผลผ่าคลอด ไม่ให้เป็นคีลอยด์

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีรักษาแผลผ่าคลอด
วิธีรักษาแผลผ่าคลอด

หลังผ่าคลอด คุณแม่หลายคนคงพบปัญหาแผลจากการผ่าตัดที่คอยกวนใจ รู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ บริเวณแผลผ่า นอกจากนี้ยังกังวลเรื่องของแผลเป็นที่อาจตามมา วันนี้ทีมแม่ ABK มีวิธีการดูแลแผลผ่าตัดหลังคลอดมาฝากให้คุณแม่รู้เเนวทาง รักษาแผลผ่าคลอด อย่างถูกวิธีค่ะ 

รับมือแผลผ่าคลอด
รับมือแผลผ่าคลอด

ในงานเสวนาเรื่อง รู้จริงเรื่องแผลเป็น นพ.ธรรมนูญ พนมธรรม ศัลยแพทย์ตกแต่ง โรงพยาบาลราชวิถี ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดรอยแผลเป็นว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นหลัก ๆ มีด้วยกัน 3 ปัจจัย

วิธีรักษาแผลผ่าคลอด ทำแบบนี้ไม่ทิ้งรอยให้กวนใจ

อย่างแรกคือ เรื่องอายุ เนื่องจากคนที่อายุน้อยกว่ามีโอกาสสร้างพังผืดเยอะกว่าคนที่มีอายุมาก อย่างที่สองคือ ลักษณะผิวหนัง  เพราะ คนที่มีผิวสี มีโอกาสในการเกิดแผลเป็นนูนมากกว่าคนที่มีผิวขาว และปัจจัยสุดท้ายคือตำแหน่งของแผล ถ้าตำแหน่งที่เกิดอยู่บริเวณหน้าอก ทั้งด้านหน้าด้านหลัง ไหล่ หู  หรือบริเวณผิวหนังที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย ๆ มีโอกาสสูงที่จะเกิดแผลเป็นได้

ปัญหาของแผลผ่าตัดที่ควรรู้เพื่อ รักษาแผลผ่าคลอด

  1. แผลเป็นเกิดนูนแดงนั้น กลายเป็น แผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า คีลอยด์
  2. หลังจาก 1 ปีหรือ 1 ปีครี่งไปแล้ว แผลนั้นยังแดงอยู่ แดงอยู่นาน และรอยแดงไม่ลดลง
  3. มีอาการเจ็บหรือคัน
  4. เป็นแผลที่เกิดตรงบริเวณข้อต่อ ทำให้ขยับข้อต่อได้ไม่เต็มที่ หรือนิ้วงอ หรือมีการผิดรูปเกิดขึ้น
  5. แผลที่ไม่มีปัญหา เพียงแต่ดูไม่ดี แต่เป็นสิ่งต้องการและความคาดหวังในการรักษาของคนไข้

วิธีการ รักษาแผลผ่าคลอด ไม่ให้เป็นคีลอยด์

ทีมแม่ ABK จึงมีวิธีการดูแลแผลผ่าคลอด ของคุณแม่มือใหม่แบบง่าย ๆ มาแนะนำกันค่ะ

1. พยายามลุกขยับเดิน

หลังจากผ่าคลอดผ่าคลอดได้ 1 วัน คุณแม่อาจมีอาการเจ็บแผลจนรู้สึกไม่อยากขยับร่างกาย แต่ทั้งนี้คุณแม่ควรลุกขยับร่างกาย หรือ เดิน เพื่อลดโอกาสเกิดพังผืดที่เกาะอวัยวะภายในช่องคลอดทำให้เสี่ยงท่อนำไข่อุดตัน หรือ ผ่าตัดครั้งต่อไปอาจทำได้ยาก หรืออาจมีอาการท้องผูกเรื้อรัง

2. ใช้ผ้ารัดหน้าท้องหลังคลอด

การใช้ผ้ารัดหน้าท้องหลังคลอดจะช่วยพยุงกล้ามเนื้อส่วนหลังเวลาเดิน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการเจ็บอีกด้วย

3. ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ

ช่วงแรก ควรระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ คุณหมอจะปิดแผลผ่าตัดหลังคลอด ด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ คุณแม่ไม่ต้องล้างแผล หรือล้างแผลตามวิธีแนะนำของคุณหมอ หรือไม่เปิดแผลบ่อย ๆ

4. ทานอาหารจำพวกโปรตีน

เนื่องจากขณะป่วยโปรตีนถือเป็นสารอาหารหลักสำคัญที่ช่วยในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและสมานแผลไวขึ้น ควรทานแต่พอดี ให้ครบทุกมื้อและพักผ่อนให้เพียงพอ

5. เลี่ยงการยกของหนัก

ช่วงสามเดือนแรกไม่ควรยกของหนัก ขยับตัวได้เท่าที่ไม่รู้สึกเจ็บ ถ้าเจ็บ หรือตึง แสดงว่าแผลยืดเหยียดมากเกินไป และจะทำให้ร่างกายปรับสภาพตัวเอง เนื่องจากกลัวว่าแผลจะหลุด จึงสร้างเส้นใยคอลลาเจนหนาๆ เพื่อทำให้แผลแน่นขึ้น เมื่อเส้นใยคอลลาเจนหนาเกินไปจึงกลายเป็นแผลนูนขึ้นมาเป็นแผลคีลอยด์ในที่สุด

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

6. ใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของเสตียรอยด์อ่อนๆ / วิตามินอี

หลังแผลผ่าคลอดแห้งสนิทแล้ว สามารถเปิดแผลได้ ถ้ามีแผลเป็นให้ใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของเสตียรอยด์อ่อนๆ หรือครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีทาบริเวณแผล ไม่มีผลต่อการให้นมลูกเพราะเป็นยาใช้ภายนอก

7. ปรับหัวนอนให้สูงขึ้น

ปรับหัวนอนให้สูงขึ้นจะช่วยให้แผลผ่าที่หน้าท้องไม่ตึงจนเกินไป ช่วยลดอาการเจ็บแผล

8. ใช้แผ่นซิลิโคนใสทับแผลเป็น

ตามคำแนะนำการดูแลรอยแผลเป็นของ The International Clinical Guidelines for Scar Management 2002 บอกว่าเมื่อใช้แผ่นเจลซิลิโคนแล้วจะช่วยปรับสีของแผลให้จางลงและแผลแบนราบลงได้ เนื่องจาก แผ่นซิลิโคนใสเหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูน ในการใช้แผ่นเจลซิลิโคนนี้ไม่ควรจะใช้ในขณะแผลเปิด ควรเริ่มใช้ทันทีที่แผลปิดสนิทหรือหลังตัดไหมสำหรับแผลเย็บ โดยปิดแผ่นเจลซิลิโคนนี้ทับแผลเป็นหรือคีลอยด์เป็นระยะเวลานานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยให้แผลเป็นนี้ยุบลงได้ โดยที่ไม่เจ็บ

อ่านเพิ่มเติม เคล็ด(ไม่)ลับ วิธีดูแลแผลผ่าคลอด ให้รอยแผลเป็นอ่อนนุ่ม และสีจางลง

9. การฉีดยาคอร์ติโคสตีรอยด์ (Intra lesional corticosteroid)

เมื่อใช้แผ่นซิลิโคนใสแล้วยังไม่หายดี ตามคำแนะนำการดูแลรอยแผลเป็นของ The International Clinical Guidelines for Scar Management 2002การฉีดยาคอร์ติโคสตีรอยด์ (Intra lesional corticosteroid) การฉีดยาเสตียรอยด์เข้าใต้ตำแหน่งของแผลเป็นจะช่วยให้แผลเป็นนั้นนุ่มลงและแบนราบลงได้ การฉีดยาได้ผลพอใช้ได้ แต่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บขณะที่ฉีดยา และต้องมาฉีดเป็นระยะตามที่แพทย์นัด

10. การนวดบริเวณแผลเป็น

การนวดบริเวณแผลเป็น จะช่วยกระตุ้นให้แผลนุ่มขึ้น แต่ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์และโลชั่นมาช่วยนวดและทาเพื่อให้แผลเป็นชุ่มชื้น จะได้นุ่มได้ไวขึ้น แบนราบได้เร็วขึ้น และทำให้อาการปวดจากแผลเป็นเหล่านี้ลดลงไปได้ด้วย อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการนวดก็คือ นวดในแผลเปิด แผลอาจปริขึ้นมา หรือบวมขึ้นมา หรือหากพบอาการแพ้โลชั่นก็ต้องหยุด

รับมือแผลผ่าคลอด
รับมือแผลผ่าคลอด

สำหรับคุณเเม่มือใหม่การดูแลแผลผ่าคลอดก็เป็นอีกหนึ่งกระบวนการสำคัญ เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูตัวเอง มีสุขภาพร่างกายที่เเข็งเเรงพร้อมเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยอย่างเต็มที่


ขอบคุณข้อมูลจาก : ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย, The International Clinical Guidelines for Scar Management 2002, นพ.ธรรมนูญ พนมธรรม ศัลยแพทย์ตกแต่ง โรงพยาบาลราชวิถี

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ตรวจหลังคลอด..เจ็บไหม? ต้องตรวจอะไรบ้าง?

แผลผ่าคลอด แนวนอนกับแนวตั้งต่างกันอย่างไร และแบบไหนดีกว่ากัน!

แผลผ่าคลอดอักเสบ ปวด คัน เป็นหนอง ต้องทำอย่างไร?

ผื่นแพ้ในทารก

เช็กลิสต์ 5 ผื่นแพ้ในทารก พร้อมวิธีรับมือที่แม่ต้องรู้

Alternative Textaccount_circle
event
ผื่นแพ้ในทารก
ผื่นแพ้ในทารก

ผื่นแพ้ในทารก เป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กเล็ก เพราะผิวหนังของลูกมีความบอบบางมาก ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ผ้าอ้อม สารเคมีต่าง ๆ ที่มาจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับลูก หรืออาหารที่ลูกกินเข้าไป วันนี้ เราไปทำความรู้จักกับ ผื่นแพ้ในทารก 5 ประเภท ที่พบได้บ่อย ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร พร้อมวิธีรับมือสำหรับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อดูแลลูกให้ดีที่สุดกันค่ะ

ผื่นแพ้ในทารก 5 ประเภทที่พบบ่อย พร้อมวิธีรับมือ

 

 

อ่านเพิ่มเติม >> โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง คืออะไร

 

เกิดได้จากการเป็นผื่นแพ้ผิวหนัง หรือผิวแห้งเพราะโดนแสงแดดนาน โดยผิวหนังของลูกจะเป็นผื่นวงกลมหรือวงรี สีออกขาว จางกว่าผิวหนังปกติ หรืออาจมีขุยติดอยู่ พบบ่อยบริเวณใบหน้า คอ ไหล่และแขน กลากน้ำนมนี้ไม่มีอันตราย จะหายไปได้เองเมื่อลูกโตขึ้นค่ะ แต่ก็ควรดูแลไม่ให้ผิวหนังของลูกแห้งหรือระคายเคืองเพิ่มมากขึ้น

คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกถูกแสงแดดจัด ไม่อาบน้ำล้างหน้าบ่อยจนเกินไป เลือกใช้สบู่อ่อน ๆ สำหรับเด็กที่ไม่ทำให้ผิวหนังแห้งและระคายเคือง

 

3. คราบไขมันที่หนังศีรษะ

ผื่นแพ้ในทารก
คราบไขมันที่หนังศีรษะ

เป็นผื่นแพ้อีกชนิดที่ทำให้หนังศีรษะลูกมีคราบไขมันคล้ายรังแคเกิดขึ้น หรือบางคนอาจเป็นผื่นชนิดนี้ลามไปที่ใบหน้า ซอกคอ หรือรักแร้ได้ หากลูกมีคราบไขมันนี้ไม่ต้องกังวลใจ เพราะลูกมักจะไม่คันและไม่ทำให้ผมร่วงแต่อย่างใด และเมื่อลูกโตขึ้นผื่นหรือคราบไขมันนี้จะค่อย ๆ น้อยลงไปเองค่ะ

หากลูกมีคราบไขมันที่หนังศีรษะ สามารถใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์หรือน้ำมันเพิ่มความชุ่มชื้นสำหรับทาผิวทารก ทาเบา ๆ บนคราบไขมันที่เห็น แล้วทิ้งไว้ 5-10 นาที จากนั้นจึงสระผมให้เด็กด้วยแชมพูสำหรับเด็ก

 

4. ผื่นผ้าอ้อม

ผื่นแพ้ในทารก
ผื่นผ้าอ้อม

เป็น ผื่นแพ้ในทารก ชนิดหนึ่ง เกิดจากผิวหนังที่สัมผัสหรือสวมใส่ผ้าอ้อมเกิดการระคายเคือง เพราะความอับร้อน เหงื่อ หรือปัสสาวะ อุจจาระที่สะสมทำให้เปียกชื้น จนทำให้ผิวหนังลูกบริเวณต้นขาด้านใน ก้น อวัยวะเพศ มีผื่น เป็นตุ่มหรือปื้นแดง

เมื่อเริ่มมีอาการน้อย ๆ ควรทาขี้ผึ้งหรือครีมเคลือบผิวเพื่อป้องกันผิวหนังไม่ให้ถูกสารเคมีหรือสิ่งต่างๆ มาเสียดสีหรือทำให้ระคายเคือง เปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้ลูกใส่ผ้าอ้อมที่เปียกแฉะนาน ๆ ถ้าลูกเป็นผื่นมากอาจติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราแทรกซ้อน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อการรักษา

 

อ่านเพิ่มเติม >> วิธีดูแลลูกน้อย ให้ห่างไกลจากผื่นผ้าอ้อม

 

5. ผื่นแพ้นมวัว

ผื่นแพ้ในทารก
ผื่นแพ้นมวัว

เด็กทารกบางคนที่แม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ มีความจำเป็นต้องให้นมผสมดัดแปลงสำหรับเด็ก หรือในแม่ที่ให้นมลูกบางกรณีอาจเกิดลูกแพ้นมแม่ (เด็กไม่ได้แพ้นมแม่ แต่สาเหตุจริง ๆ คือแพ้อาหารที่แม่กินแล้วมีส่วนผสมของนมวัว) กรณีนี้เรียกว่าการแพ้นมวัวที่เกิดจากการกินอาหารก่อโรคที่แม่ทานเข้าไป ซึ่งอาการแสดงว่าแพ้นมวัว คือ ผิวหนังบริเวณใบหน้ามีการอักเสบรุนแรง เป็นผื่นแดง คัดจมูกเรื้องรัง น้ำหนักขึ้นช้า

สำหรับวิธีรับมือ คุณพ่อคุณแม่ต้องทราบก่อนว่าลูกแพ้นมวัวจากสาเหตุใด

  • อาการแพ้ที่เกิดจากการกินนมผงดัดแปลง แนะนำให้ปรึกษากุมารแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อที่จะได้ทราบว่าควรดูแลอาการแพ้นมวัวอย่างไร และควรปรับเปลี่ยนเป็นนมสูตรพิเศษสำหรับเด็กแพ้นมวัวโดยเฉพาะ ซึ่งคุณหมอจะเป็นคนแนะนำให้อีกครั้ง
  • อาการแพ้ที่เกิดจากการกินนมแม่ หากลูกกินนมแม่แล้วมีอาการแพ้นมวัว ควรแก้ที่ต้นเหตุคือ แม่จะต้องลด หลีกเลี่ยง หรือเลิกกินอาหารที่มีส่วนผสมของนมวัว เช่น นมวัว เค้ก คุกกี้ อาหาร ขนม รวมทั้งเครื่องดื่มทุกชนิด ที่มีส่วนผสมของนมวัว ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่ลูกจะแพ้นมวัวลงได้

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ผื่นแพ้ทารก กันไว้ดีกว่าแก้

เด็กทารกยังมีภูมิคุ้มกันของสุขภาพที่ไม่แข็งแรงเหมือนกับในผู้ใหญ่  จึงทำให้ไวและง่ายต่อการเกิดเจ็บป่วยได้ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย  ซึ่งวิธีป้องกันที่ดีที่สุด ที่คุณพ่อคุณแม่ และผู้ดูแลเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดสามารถทำได้ นั่นคือ การเฝ้าระวัง และใส่ใจในการเลือกอุปกรณ์ของใช้ รวมถึงเรื่องอาหารการกินให้เหมาะสมกับวัยของลูก ควรหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่จะก่อให้ลูกเกิดการแพ้ ทั้งของใช้ และอาหาร ฯลฯ เพราะการป้องกันก่อนเกิดการเจ็บป่วย ดีกว่าเกิดป่วยขึ้นมาแล้วไปตามรักษาทีหลัง

 

สิ่งสำคัญในการดูแลลูกที่มีผื่นแพ้ คือช่วยลดอาการคัน และรักษาสุขอนามัยส่วนตัวให้สะอาด เช่น ตัดเล็บลูกให้สั้น ดูแลผิวให้สะอาด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปลอดภัยต่อลูก และปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะใช้ยาเองค่ะ

 


ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลอ้างอิงจาก
รศ.พญ.วาณี  วิสุทธิ์เสรีวงศ์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. ผื่นแพ้ในเด็ก. www.si.mahidol.ac.th
นายแพทย์เบนจามิน สป๊อก กุมารแพทย์. โรคภูมิแพ้. หนังสือคัมภีร์เลี้ยงลูก วัยแรกเกิด-วันรุ่นตอนปลาย หน้า  468.

 

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

3 เคล็ดลับจัดการปัญหา “ผิวแพ้ง่าย ผดผื่นระคายเคือง” ของลูกน้อยให้แข็งแรงสุขภาพดี

ทำอย่างไรเมื่อลูกน้อยมีผดผื่น ?

Covid toe ผื่นแดงขึ้นเท้า สัญญาณเตือน ลูกติดโควิดแม่อย่าชะล่าใจ

ประโยชน์ของอะโวคาโด

เยอะมากแม่! 12 ประโยชน์ของอะโวคาโด พัฒนาสมอง ป้องกันลูกพิการตั้งแต่ในท้อง

Alternative Textaccount_circle
event
ประโยชน์ของอะโวคาโด
ประโยชน์ของอะโวคาโด

อะโวคาโดจัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพและถูกยกให้เป็น superfood ที่มีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นอยู่หลายชนิด  ซึ่งดีสำหรับคนท้องที่จะรับประทานในระหว่างตั้งครรภ์ ประโยชน์ของอะโวคาโด นั้นมีมากมายที่ดีต่อสุขภาพคุณแม่และการเจริญเติบโตของทารกในท้อง

อะโวคาโด (Avocado) อาจจะเป็นผลไม้ที่คุณแม่หลายคนเคยชิมแล้วรู้สึกแปลก ๆ เพราะมันอาจจะมีรสชาติที่แตกต่างจากผลไม้ทั่วไป คล้ายกับเนยที่มีจากนมวัว ดูแล้วเหมือนเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง แต่ความจริงแล้ว ได้มีงานของนักโภชนาการและนักวิทยาศาสตร์การอาหารหลายสำนัก ระบุตรงกันว่า อะโวคาโด ไม่ได้ส่งผลทำให้อ้วน ในเนื้อผลอะโวคาโดแต่ละพันธุ์จะประกอบด้วยไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวประมาณ 4-20% ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และประกอบด้วยไขมันชนิดที่ดี ซึ่งทำให้ระดับคอเลสเตอรอลตัวไม่ดี (LDL) หรือ ไขมันเลวในเลือดลดลงได้อีกด้วย

เมื่อเทียบกับผลไม้อื่น อะโวคาโดนับว่าเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารแน่นทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มากกว่า 20 ชนิด ในอะโวคาโด 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้

  • วิตามิน B5 14 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
  • วิตามิน B6 13 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
  • วิตามิน C 17 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
  • วิตามิน E 10 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
  • วิตามิน K 26 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
  • โพแทสเซียม 14 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
  • โฟเลต 20 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
  • รวมทั้งแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญอีกมากมาย ได้แก่ แมกนีเซียม แมงกานีส ทองแดง เหล็ก สังกะสี ฟอสฟอรัส และวิตามินเอ, วิตามิน B1, B2, และวิตามินบี 3 โปรตีน ไขมันดี 15 กรัม คาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์

ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสารอาหารของแม่ขณะตั้งครรภ์ทุกวัน และมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาของทารกในครรภ์อีกด้วย

ประโยชน์ของอะโวคาโดสําหรับคนท้อง
ประโยชน์ของอะโวคาโดสําหรับคนท้อง

12 ประโยชน์ของอะโวคาโด สำหรับคนท้อง ดีต่อแม่และลูกน้อย

1.ป้องกันความพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์

อะโวคาโดถ้วยเดียวมีสารอาหารเกือบเท่ากับสารอาหารโฟเลตที่ร่างกายต้องการต่อวัน พบว่ามีโฟเลตมากถึง 150 ไมโครกรัมต่ออะโวคาโดครึ่งลูก ซึ่งโฟเลตจัดเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับแม่ท้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงให้นมลูกหลังคลอด  เป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเกิดความพิการของทารกตั้งแต่เริ่มสร้างร่างของตัวอ่อนในครรภ์ ช่วยให้ลูกในท้องมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้ เนื่องจากทารกในครรภ์นั้นต้องการกรดโฟลิกหรือโฟเลตที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตและการพัฒนาของอวัยวะ นอกจากนี้หากว่าร่างกายของแม่ท้องได้รับสารโฟเลตอย่างเต็มที่ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ หัวใจวาย ความดันเลือดได้

2.มีส่วนช่วยพัฒนาสมองของทารกในครรภ์

ในอะโวคาโดหนึ่งถ้วยมีโคลีน 22 มก. ที่เป็นสารอาหารจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและเส้นประสาทของทารกในครรภ์และการพัฒนาของเส้นประสาท มีโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันการเสื่อมของสมองและระบบประสาท

3.ป้องกันโรคโลหิตจาง

การขาดธาตุเหล็กในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ ในอะโวคาโดมีปริมาณธาตุเหล็กจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยป้องกันจากภาวะโรคโลหิตจางในระหว่างตั้งครรภ์

4.ลดอาการท้องผูก

อาการท้องผูกถือเป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้กับแม่ท้องในระหว่างตั้งครรภ์แทบทุกคน ในอะโวคาโดประมาณครึ่งผล ประกอบไปด้วยใยอาหาร 5 กรัม และมีโปรตีนที่สูงกว่าผลไม้ชนิดอื่นซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย จึงช่วยในการย่อยอาหารและช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ปลดล็อกอาการท้องถูกของคุณแม่ตั้งครรภ์ให้สบายขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้

5.ลดอาการแพ้ท้อง

อาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียนที่จะทำให้คุณแม่เหนื่อยและอ่อนเพลียในช่วงสามเดือนแรก วิตามินซีในอะโวคาโดจะสามารถช่วยคุณแม่บรรเทาอาการนี้ลงได้ ทั้งยังช่วยป้องกันหวัดและเลือดออกตามไรฟันอีกด้วย

6.ลดความเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 

อะโวคาโด อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เป็นไขมันที่ย่อยง่ายมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดระหว่างตั้งครรภ์ จึงเป็นผลไม้สำหรับคุณแม่ที่เป็นโรคเบาหวานหรือป้องกันภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์รับประทานได้

7.ลดอาการตะคริว

ตะคริวเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในคนท้อง โพแทสเซียมและแคลเซียมในอะโวคาโดจะมีส่วนช่วยลดอาการตะคริว บรรเทาอาการปวดขาให้คุณแม่ได้

8.ช่วยในการดูดซึมสารอาหาร

อะโวคาโดไม่เพียงให้สารอาหารที่หลากหลายเท่านั้น แต่ปริมาณโปรตีนในอะโวคาโดจะยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่ละลายไขมันได้มากขึ้นจากอาหารอื่น ๆ เมื่อรับประทานร่วมกัน เช่น มันเทศ ผักใบเขียว และแครอท เป็นต้น

9.ลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ

ในร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของสรีระเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงเด็กทารกในครรภ์ได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นความดันโลหิตของคุณแม่ตั้งครรภ์ จึงมีโอกาสที่จะเกิดความดันต่ำและความดันสูง โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ใหม่ ๆ จะมีความดันโลหิตที่ต่ำลงจนถึงช่วงกลางของการตั้งครรภ์ และการเกิดความดันสูงระหว่างการตั้งครรภ์ ในกรณีที่คุณแม่เป็นความดันสูงก่อนการตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เดิมมีความดันปกติ แต่เมื่อตั้งครรภ์เป็นความดันสูงก็อาจจะทำให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ ดังนั้นการได้กินอาหารที่มีโพแทสเซียมในปริมาณที่มากพอระหว่างตั้งครรภ์จะสามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งในอะโวคาโดมีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูงมาก อะโวคาโดขนาด 100 กรัม มีปริมาณโพแทสเซียม 14 เปอร์เซนต์ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดครรภ์เป็นพิษต่อแม่ท้องลงได้ด้วย

10.ช่วยควบคุมน้ำหนักขณะตั้งครรภ์

คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษตลอดการตั้งครรภ์ และถึงแม้ว่าเรื่องอาหารเป็นสิ่งสำคัญในตอนท้อง แต่ขณะเดียวกันการรับประทานมากเกินไป อาจจะทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่ท้องเพิ่มมากเกินความจำเป็น ซึ่งก็จะส่งผลต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นการดูแลน้ำหนักตัวของแม่ท้องนั้นควรเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม และควรเลือกกินอาหารเป็นพิเศษ ซึ่งการกินอะโวคาโดจะช่วยแม่ท้องควบคุมน้ำหนักไม่ทำให้อ้วนหรือมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น และยังได้รับคุณค่าทางโภชนาการสูง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากในอะโวคาโดมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ มีน้ำตาลต่ำ มีโปรตีนสูง และมีไฟเบอร์สูงถึง 14 กรัม จึงช่วยลดโอกาสในการเพิ่มน้ำหนักอย่างมาก และมีไขมันชนิดที่ดี ไม่มีคอเลสเตอรอลหรืโซเดียม และมีไขมันอิ่มตัวต่ำ แต่ให้พลังงานและทำให้รู้สึกอิ่มท้องนานขึ้น อะโวคาโดสุก 100 กรัมหรือเพียงครึ่งผลก็เหมาะสำหรับทานเป็นมื้อว่างระหว่างวันของคุณแม่ท้องได้

11.ช่วยบำรุงประสาทและสมอง

ในอะโวคาโดมีกรดโอเลอิกสูง มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่มีส่วนช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ทำงานได้ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์

12.ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายคุณแม่ขณะตั้งครรภ์

ในผลอะโวคาโดมีวิตามินหลากหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อาทิเช่น วิตามินซีช่วยป้องกันหวัดได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีป้องกันการเกิดโรคปากนกกระจอก และช่วยป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายจากมลพิษรอบตัวทั้งจากภายในและภายนอก และช่วยให้ระบบการทำงานภายในร่างกายแข็งแรง ช่วยป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ เป็นต้น

คนท้องกินอะโวคาโด

กินอะโวคาโดอย่างไรได้ประโยชน์สำหรับแม่ท้อง

ถึงแม้อะโวคาโดจะเป็นผลไม้ที่ดูรูปร่างแปลกตา แถมยังมีรสชาติจืด ๆ เนื้อเนียน ๆ แต่เราก็เห็นแล้วว่าคุณค่าสารอาหารในอะโวคาโดนั้นอัดแน่นมากมายสำหรับคุณแม่ตั้งแม่ตั้งครรภ์และดีต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกขนาดไหน อย่างไรก็ตามอะโวคาโดก็เหมือนกับอาหารอื่น ๆ ที่มีพลังงาน การทานที่ให้ผลดีต่อคนท้องที่สุดคือ รับประทานครั้งละไม่เกินครึ่งผล (100 กรัม) หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1 ผลต่อวัน และควรทานควบคู่กับอาหารอื่นให้หลากหลาย ก็จะได้รับคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมต่อรางกาย หากรับประทานมากเกินไปก็จะทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มาก อาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้ท้องมากยิ่งขึ้น หรือทำให้เกิดอาการร้อนใน แน่นท้อง จุกเสียด ไม่สบายตัว เกิดกรดไหลย้อน

ควรเลือกกินอะโวคาโดสุก ส่วนผลที่ดิบสีเขียวไม่ควรรรับประทาน เพราะมีสารแทนนินในปริมาณจะมีรสขม เมื่อกินเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ หรือบางรายอาจมีอาการแพ้อะโวคาโด โดยอาจจะแพ้ในรูปของละอองเกสร หรือแพ้หลังจากการรับประทานไปแล้วก็ได้ อาการที่ปรากฏ ได้แก่ ปวดท้อง อาเจียน ผื่นคัน ลมพิษ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากสังเกตุอาการแพ้เหล่านี้ควรหยุดกินและรีบไปพบแพทย์ทันทีนะคะ.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.momjunction.comwww.cheewajit.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

ผลไม้แม่ท้อง อะไรบ้างที่ควรและไม่ควรทาน

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ฝังเข็มคุมกำเนิด

ฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไร? ข้อดี ข้อเสีย ที่ต้องรู้ก่อนทำ!

event
ฝังเข็มคุมกำเนิด
ฝังเข็มคุมกำเนิด
ขอบคุณภาพจาก www.semanticscholar.org

 แม่ควรรู้ก่อนทำ! จะคุมกำเนิดด้วยวิธี ฝังเข็ม ดีหรือไม่? ฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไร? มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ทีมแม่ABK มีคำตอบจากนายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์) มาฝากค่ะ

โดยคุณหมอกล่าวว่า… มีคุณแม่หลายท่านแวะเวียนเข้ามาถามหมอว่า “คุณหมอคะ การฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไรคะ และฝังแล้วจะดีไหมคะ” วันนี้หมอจึงอยากมาให้ความรู้เรื่องการฝังเข็มคุมกำเนิด เพื่อให้คุณผู้หญิงทุกๆคนเข้าใจตรงกันและนำไปบอกเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนสนิทมิตรสหายให้เข้าใจได้ถูกต้อง

ฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไร?

ยาฝังคุมกำเนิด หรือ ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง (Contraceptive Implant)  คือ วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวชนิดหนึ่ง ที่ใช้ฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) บรรจุในหลอดพลาสติกชนิดพิเศษ ที่ไม่ละลายเมื่ออยู่ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีขนาดเล็กเท่าๆ กับก้านไม้ขีดไฟ ฝังเข้าสู่ร่างกายบริเวณใต้ท้องแขน (การฝังยาคุมกำเนิดสามารถทำได้ทั้งข้างซ้ายหรือข้างขวา ปกติจะฝังด้านที่เราไม่ถนัด ) มีประสิทธิภาพสูงในการคุมกำเนิดได้ยาวนาน 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของยา ปัจจุบันมีใช้อยู่ 3 แบบด้วยกัน คือ

  1. นอร์แพลนท์ (Norplant) เป็นยาคุมกำเนิดแบบฝัง ชนิดแรกสุด ซึ่งประกอบด้วยตัวยาขนาด 3.4 x 24 เซนติเมตร จำนวน 6 แท่ง ฝังเข้าสู่ร่างกายบริเวณท้องแขนเป็นรูปพัด เนื่องจากจำนวนแท่งที่มากถึง 6 แท่ง ทำให้ต้องใช้เวลาในการฝังยาและการถอดยาออกนานกว่าชนิดอื่นๆ ปัจจุบันจึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก
  2. อิมพลานอน (Implanon) ตัวแท่งยา ขนาด 4.0×2 เซนติเมตร มาพร้อมชุดฝังสำเร็จรูปพร้อมใช้งาน เพื่อทำให้หมอฝังยาได้ง่าย และ แท่งยาอยู่ในระดับที่เหมาะสมใต้ผิวหนัง ไม่ตื้นหรือลึกจนเกินไป ทำให้เวลาถอดยาออกก็ทำได้ง่ายเช่นกัน และถ้าต้องการคุมกำเนิดต่อ สามารถฝังยาแท่งใหม่หลังเอายาแท่งเก่าออกได้ทันที ระยะเวลาคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี
  3. จาเดลล์ (Jadelle) ตัวแท่งยาขนาด 4.3×25 เซนติเมตร จำนวน 2 แท่ง ฝังในแบบเดียวกับ อิมพลานอนสามารถคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี
ฝังเข็มคุมกำเนิด
ขนาดของเข็มคุมกำเนิด

ตอนนี้หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า ยาฝังคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร? … ยาฝังเข็มคุมกำเนิด ออกฤทธิ์โดยการหลั่งฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เพียงอย่างเดียว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน  ซึ่งยาฝังคุมกำเนิดจะทำหน้าที่ป้องกันการตั้งครรภ์ ผ่าน 3 กระบวนการ คือ

  1. การยับยั้งการตกไข่ หรือการยับยั้งการพัฒนาของฟองไข่ ในแต่ละรอบเดือน
  2. การทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวข้นขึ้น ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิในการว่ายเข้าสู่โพรงมดลูกได้ยาก
  3. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลง ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของตัวอ่อน

จากกระบวนการหลายส่วนดังกล่าว ทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยาฝังคุมกำเนิดสูงมาก หรือจะเรียกว่าสูงที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยประสิทธิภาพการคุมกำเนิดด้วย ฝังเข็มคุมกำเนิด นี้จะวัดกันที่อัตราความล้มเหลว (Failure Rate) ของแต่ละวิธี หรือจำนวนการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นต่อปี

ซึ่งพบว่า ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง หรือวิธี ฝังเข็มคุมกำเนิด มีอัตราความล้มเหลว ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เพียงร้อยละ 0.05 (1 ใน 2,000 คน) เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่า ยาเม็ดคุมกำเนิด (ร้อยละ 0.3) ยาฉีดคุมกำเนิด (ร้อยละ 0.2) ตลอดจนถึงการทำหมันหญิง (ร้อยละ 0.5)

ฝังเข็มคุมกำเนิด
การฝังเข็มคุมกำเนิด

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฝังยาคุมกำเนิด คือ ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นในขณะที่ฝังยา หรือ หลังการแท้งบุตรไม่เกิน 2 สัปดาห์ หรือหลังคลอดบุตรไม่เกิน 6 สัปดาห์ ส่วนวิธีฝังยาคุมกำเนิดก็ไม่ได้ยุ่งยากใดๆ โดย ขั้นแรกเมื่อคนไข้เลือกชนิดของยาได้แล้ว หมอจะทำความสะอาดผิวหนังตรงตำแหน่งที่เลือกจะฝังยา ทำการฉีดยาชา แล้วสอดเครื่องมือซึ่งมีลักษณะคล้ายเข็มฉีดยาปลายแหลม เข้าไปใต้ผิวหนัง เมื่อได้ตำแหน่งที่ต้องการแล้ว จะมีตัวดันยาออกจากหลอดให้ยาเข้าไปอยู่ในบริเวณใต้ผิวหนัง ใช้เวลา 10-15 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย

การใช้เวลาในการฝังมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของยาดังที่กล่าวมาแล้ว (1 แท่ง 2 แท่ง หรือ 6 แท่ง) และประสบการณ์ของแพทย์ผู้ฝังยา หลังจากนั้นจะปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ (ไม่ต้องเย็บแผล)  ตามด้วยผ้าพันแผลพันทับอีกชั้นหนึ่ง หลัง 24 ชั่วโมงสามารถเอาผ้าพันแผลออกได้ ถ้าหมอติดพลาสเตอร์กันน้ำก็สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นพลาสเตอร์ไม่กันน้ำ ควรไม่ให้แผลโดนน้ำประมาณ 3-5 วัน หมออาจให้ยาแก้ปวดกลับไปทานถ้ามีอาการปวดในช่วง 1-2 วันแรก และนัดมาดูแผล 1 สัปดาห์ หลังจากฝังยาต้องคอยสังเกตอาการของการอักเสบของแผลที่ฝังยา ปกติแผลจะหายเป็นปกติภายใน 7 วัน ถ้าแผลมีอาการบวมแดง มีหนอง หรือ มีไข้ ต้องรีบกลับไปพบแพทย์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด

นอกจาก ฝังเข็มคุมกำเนิด จะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ยังเป็นวิธีที่มีความสะดวก เพราะฝังยาเพียงครั้งเดียวป้องกันได้นาน 3-5 ปี และออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้เร็ว (หลังจากฝังยาได้ 7 วัน สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้) ไม่ต้องกลัวลืมทานยา หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เหมือนการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทาน สามารถเลิกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ หลังจากเอายา ฝังเข็มคุมกำเนิด ออก ภาวะเจริญพันธ์ หรือการกลับมาตั้งครรภ์ ได้เร็วกว่ายาคุมกำเนิดชนิดฉีด ยาฝังคุมกำเนิดใช้ได้ดีกับผู้หญิงหลังคลอดที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะไม่มีผลต่อปริมาณน้ำนม นอกจากนี้ยังทำให้เลือดประจำเดือนน้อยลง ลดภาวะโลหิตจาง และป้องกันโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้อีกด้วย

ข้อเสียของวิธี ฝังเข็มคุมกำเนิด

สำหรับข้อเสีย หรือ ผลข้างเคียงหลังจากฝังยาคุมกำเนิด ในช่วงแรกประจำเดือนอาจจะไม่สม่ำเสมอ มาแบบกะปริบกะปรอยในช่วงแรก หรือบางรายอาจมีประจำเดือนมามากติดต่อกันหลายวัน หรือบางรายไม่มีประจำเดือนมาเลย (บางรายถ้าประจำเดือนผิดปกติมาก แพทย์อาจใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ช่วยปรับเรื่องประจำเดือนผิดปกติในช่วงแรกของการฝังยา เพื่อให้ประจำเดือนสม่ำเสมอขึ้น) ฮอร์โมนในยาฝังคุมกำเนิดอาจส่งผลทำให้มีอารมณ์แปรปรวน สิว คลื่นไส้ เจ็บคัดเต้านมได้ในบางราย ยาฝังคุมกำเนิดควรระวังในการใช้กับผู้หญิงบางราย เช่น ผู้ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์ ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน ประวัติโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด ผู้ป่วยโรคตับ ประวัติมะเร็งเต้านม ถ้าสงสัยโรคดังกล่าวควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะได้ประเมินว่าเหมาะสมที่จะรับการฝังยาคุมกำเนิดหรือไม่ และระลึกไว้เสมอว่า การฝังยาคุมกำเนิดไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สุดท้ายคงเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการฝังยาคุมกำเนิด ถ้าฝังยาในโรงพยาบาลของรัฐ จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,000 – 4,000 บาท แต่ถ้าเป็นส่วนโรงพยาบาลเอกชน ราคาอาจจะแตกต่างกันในแต่ละโรงพยาบาล สามารถตรวจสอบราคาก่อนเข้ารับบริการได้ทุกสถานพยาบาล

>> ปัจจุบันมีโครงการของรัฐ เพื่อ ฝังเข็มคุมกำเนิด ฟรี!! ให้กับวัยรุ่นอายุ 10-20 ปี ตาม พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 สามารถเข้ารับการฝังยาคุมกำเนิดฟรีที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ

สรุปได้ว่า… ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง และมีฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน 3- 5 ปี จีงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดระยะยาว ท่านที่สนใจควรพบแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้ยานี้ทุกครั้ง

บทความโดย : นายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์)
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
พันธุศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอบกิ้น สหรัฐอเมริกา

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

กินยาคุม ทำไมยังท้องได้

กินยาคุมแล้วมีลูกยาก กับความเชื่อที่แม่ควรรู้

แม่เล่า ขาดกรดโฟลิก ตอนท้อง ลูกเกิดมาพิการเป็นโรคนี้..แต่กำเนิด

คุมกำเนิดหลังคลอด เมื่อไหร่? อย่างไรดี!

อึ้ง!! เด็กซื้อยาคุมกำเนิด กับผลข้างเคียงที่ตามมาในอนาคต

keyboard_arrow_up