Page 104 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ไดร์เป่าผม Panasonic

8 ความลับ! ของการดูแลเส้นผมให้สวย ฉบับคุณแม่ยุคใหม่

สำหรับคุณแม่ยุคใหม่แล้ว นอกจากการทำงานที่แสนจะหนักหน่วง ยังมีลูกน้อยที่จะต้องดูแลอีกด้วย ทำให้ต้องบริหารเวลาในการจัดการเรื่องต่าง ๆ มากมาย บางครั้งคุณแม่ก็ละเลยไปว่าการดูแลตัวเองก็เป็นสิ่งสำคัญ นี่จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายของคุณแม่ ที่จะต้องลุกขึ้นมาจัดการความวุ่นวายในชีวิต สำหรับวันนี้เราจะพามาดูวิธีดูแลตัวเองกับ 8 ความลับ! ของการดูแลเส้นผมให้สวย ฉบับคุณแม่ยุคใหม่ รับรองได้ว่าถูกใจแม่! แน่นอน

1. เล็มปลายผมเป็นประจำ

ยิ่งปล่อยให้ผมยาวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดผมแตกปลายมากขึ้นเท่านั้น การเล็มปลายผมเป็นประจำ จะช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลายได้ เนื่องจากปลายผมที่แห้งเสียจะถูกกำจัดออกไป โดยควรเล็มปลายผมเป็นประจำทุก ๆ 6-8 สัปดาห์ เพื่อรักษาปลายผมให้ดูสุขภาพดีอยู่เสมอ

การดูแลเส้นผม ด้วยไดร์เป่าผม Panasonic EH-NA98

 

2. ไม่หวีผมแรง ใช้หวีซี่ห่าง

รู้หรือไม่!? การหวีผมด้วยการใช้หวีซี่ถี่ และหวีผมด้วยความแรงมาก ๆ เป็นสาเหตุให้เส้นผมขาดและแตกปลายได้ง่าย รวมทั้งยังทำให้เส้นผมอ่อนแออีกด้วย ดังนั้นเมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็ไม่ควรหวีผมแรง และเลือกใช้หวีซี่ห่างหวีผมจะดีกว่า

ดูแลเส้นผม ด้วยไดร์เป่าผม Panasonic EH-NA98

 

3.ไม่สระผมบ่อย

ใช่อยู่ว่าการสระผมจะทำให้ผมของเราดูสะอาด แต่การสระผมบ่อยมากเกินไป แทนที่จะส่งผลดี อาจทำให้ผมของคุณแม่เสียมากกว่าที่คิด เพราะการสระผมบ่อยเกินไป เป็นการทำลายสมดุลของน้ำมันหล่อเลี้ยงเส้นผม และทำให้ผมแตกปลายง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย เนื่องจากตอนที่ผมเปียกเป็นช่วงเวลาที่เส้นผมเปราะบาง และเสี่ยงผมขาดหลุดร่วงง่าย ดังนั้นการสระผมทุก ๆ 2-3 วัน ก็เพียงพอแล้ว

การดูแลเส้นผม ด้วยไดร์เป่าผม Panasonic EH-NA98

 

4. ลดความเครียด

ใคร ๆ ก็คงไม่อยากมีความเครียดกันทั้งนั้น แต่เนื่องด้วยภาระที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ยุคใหม่ที่ต้องดูแลทั้งงานและลูกน้อย ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคเกี่ยวกับผมร่วงได้ วิธีที่ดีคือ ควรหาเวลาทำกิจกรรมผ่อนคลายสมอง เช่น การออกกำลังกาย ฟังเพลง อ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ หรือทำอาหาร พร้อมกับนวดศีรษะเป็นประจำ จะช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนบนหนังศีรษะได้ดี ส่งผลให้เส้นผมของคุณแม่ดูแข็งแรงมากขึ้น

ไดร์เป่าผม Panasonic EH-NA98

 

5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์

หากสุขภาพภายในดี ย่อมส่งผลดีสุขภาพภายนอกเช่นเดียวกัน อาหารที่มีประโยชน์นอกจากทำให้ร่างกายสุขภาพดีแล้ว ยังทำให้สุขภาพเส้นผมดีตามไปด้วย ควรเน้นรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง หรืออาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น ถั่ว, ธัญพืช, งาดำ, ลูกเดือย หรือผัก ผลไม้หลากชนิด

ไดร์เป่าผม Panasonic EH-NA98

 

6. หลีกเลี่ยงการดัด ยืด ย้อมผม

หยุดทำร้ายเส้นผมก่อนจะสายเกินแก้! หากอยากมีผมสวย สุขภาพดีคุณแม่ต้องหลีกเลี่ยงการดัด ยืด ย้อม หรือทำสีผมต่าง ๆ เพราะความร้อนจากการดัด ยืดผมและสารเคมี จากการย้อมหรือทำสีผม จะทำให้ผมและหนังศีรษะอ่อนแอ จนทำให้ผมร่วงมากขึ้นไปอีก

ดูแลเส้นผม ด้วยไดร์เป่าผม Panasonic EH-NA98

 

7. เลือกใช้แชมพู & ทรีทเม้นท์บำรุงผมสูตรอ่อนโยน

เมื่อเส้นผมอ่อนแอลง จึงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ การดูแลทำความสะอาดเส้นผมคุณแม่ด้วยการสระผม ควรจะเลือกสระด้วยแชมพูสูตรอ่อนโยนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พร้อมทรีทเม้นท์บำรุงผมสูตรอ่อนโยน หรือ ครีมนวดผมที่มีส่วนผสมที่ไม่เข้มข้นจนเกินไป เพื่อไม่ให้หนังศีรษะเกิดอาการแพ้ง่าย

การดูแลเส้นผม ด้วยไดร์เป่าผม Panasonic EH-NA98

 

8. เลือกใช้ไดร์เป่าผมคุณภาพดี

คงไม่มีคุณแม่คนไหนอยากปล่อยให้ตัวเองมีผมยุ่งฟู ไม่เป็นทรงอย่างแน่นอน ดังนั้นการลงทุนกับไดร์เป่าผมที่ดี จะให้ผลลัพธ์เกี่ยวกับสุขภาพของเส้นผมที่ดีขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นผมแห้งเร็วขึ้น หนังศีรษะไม่มันจากการสลับใช้งานลมร้อนเย็น รากผมแข็งแรงกว่าเดิม

 

ไดร์เป่าผมเพื่อผมสวย สุขภาพดี ไดร์เป่าผม Panasonic EH-NA98

มาพร้อมฟังก์ชันการดูแลและช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้เส้นผมแข็งแรงสุขภาพดี จัดเต็มด้วย 4 โหมด และดีไซน์พิเศษ ที่ออกแบบเฉพาะเพื่อผมแห้งเร็วทันใจและจัดแต่งทรงได้ง่ายขึ้นด้วยหัวเป่าแห้งเร็ว (Quick-dry nozzle) ที่ทำให้ผมของคุณแม่แห้งเร็วขึ้นกว่าเดิม ประหยัดเวลาสุด ๆ

  • โหมดควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะ สามารถเป่าผมได้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม โดยไม่ต้องกังวลว่าลมที่เป่าออกมา จะร้อนเกินไปจนทำลายเส้นผม เพราะระบบเซนเซอร์อัจฉริยะ จะช่วยควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะกับเส้นผม พร้อมให้ความรู้สึกสบายขณะที่เป่าอีกด้วย
  • โหมดสลับลมร้อน / เย็นอัตโนมัติ ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน คุณแม่ก็สามารถเอนจอยไปกับการเป่าผมด้วย ไดร์เป่าผม nanoe™ นี้ ด้วยโหมดลมร้อนสลับเย็น จะช่วยให้ผมของคุณแม่เปล่งประกายเงางามยิ่งขึ้นมากกว่าที่เคย
  • โหมดถนอมหนังศีรษะ คุณแม่จะต้องปลื้ม เพราะโหมดนี้จะช่วยลดความตึง และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับหนังศีรษะอย่างอ่อนโยน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นของหนังศีรษะ ด้วยลมอุ่นในอุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส
  • โหมดสกินแคร์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ไดร์เป่าผมนี้มีโหมดสกินแคร์ดูแลผิวโดยเฉพาะ โดยคุณแม่สามารถดูแลตัวเองได้มากขึ้น หลังจากเป่าผมเสร็จแล้ว ใช้ไดร์เป่าผิวหน้าประมาณ 1 นาที เพื่อรักษาและเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหน้าได้ทั้งผมสวยและผิวสวยในไดร์เดียว

มาพร้อมเทคโนโลยี nanoe™ และ Double Mineral Ions

ไดร์เป่าผม Panasonic EH-NA98

  • nanoe™ ไดร์เป่าผมมาพร้อมเทคโนโลยี nanoe™ ที่มีอนุภาคน้ำขนาดเล็กมาก จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ที่มีความชุ่มชื้นมากกว่าไอออนถึง 1,000 เท่า โดยเทคโนโลยี nanoe™ จะแทรกซึมไปในเกล็ดผม พร้อมให้คุณแม่สัมผัสผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม โดยดูแลหนังศีรษะให้แข็งแรง เพิ่มประจุลบให้เส้นผม ลดไฟฟ้าสถิต ลดปัญหาผมชี้ฟู เพิ่มความชุ่มชื้นแก่เส้นผม เพื่อให้ผมแลดูสุขภาพดีขึ้น

การดูแลเส้นผม

  • Double Mineral Ions ที่ปิดเกล็ดผมได้ดีที่สุด ช่วยให้ผมแข็งแรงและสุขภาพดียิ่งขึ้น เพราะ Double Mineral Ions เปรียบเสมือนกาวเชื่อมที่ยึดเหนี่ยวเกล็ดผมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เกล็ดผมปิดสนิทมากยิ่งขึ้น ช่วยลดการเสียดสีที่ทำลายเส้นผม ปัญหาผมแตกปลายจะน้อยกว่าการเป่าผมด้วยไดร์ธรรมดาถึง 5 เท่า และที่สำคัญยังปกป้องผมไม่ให้ถูกทำร้ายจากรังสียูวี ส่งผลให้ผมไม่แห้งเสียหรือหยาบกร้านกว่าเดิมการได้ทำหน้าที่คุณแม่ คือความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ เมื่อได้เฝ้ามองการเจริญเติบโตของลูกน้อยอย่างมีคุณภาพ แต่ว่าคุณแม่ต้องอย่าลืมดูแลตัวเองด้วย เพราะการดูแลตัวเองคือสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงหวังว่า 8 ความลับ! ของการดูแลเส้นผมให้สวย ฉบับคุณแม่ยุคใหม่ คงจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณแม่ยุคใหม่ ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง ให้สามารถดูแลตัวเองได้ง่าย เห็นผลลัพธ์ และสะดวกยิ่งกว่าเดิม

    ช้อปไดร์เป่าผมราคาดีที่

    Lazada  https://bit.ly/3Ae1Tix

    Shopee https://bit.ly/2XnxNL4

เงินอุดหนุนบุตร

เช็คด่วนเดือนนี้ เงินอุดหนุนบุตร เข้าวันไหน?พร้อมปฎิทินตลอดปี 2565

เงินอุดหนุนบุตร 600 บาท งวดเดือนธันวาคม 2564 เข้าแล้ว รีบตรวจสอบบัญชีตัวเองด่วน ใครได้แล้ว ใครตกเบิก รีบเช็ก รีบยืนยันสิทธิก่อนใคร ไม่เสียสิทธิ์ รีบเลย!!

เช็คด่วนเดือนนี้ เงินอุดหนุนบุตร เข้าวันไหน?พร้อมปฎิทินตลอดปี 2565

แม่ ๆ จ๋า เงินอุดหนุนบุตร งวดเดือนธันวาคม 2564 มาแล้ว!! รีบเช็กสิทธิ์ของตัวเองด่วน!! ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด กรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้แจ้งการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 600 บาท ประจำเดือนธันวาคม 2564 มีกำหนดการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารผู้ที่ได้รับสิทธิในวันที่ 9 ธันวาคม 2564 (ตามเวลาเปิด-ปิดของธนาคาร) โดยคุณแม่สามารถเช็กเงินอุดหนุนบุตร จะเข้าวันวันไหนในรอบต่อไป ใครได้บ้าง แล้วได้เท่าไหร่นั้น ทาง ทีมแม่ ABK มีคำตอบ

เงินอุดหนุนบุตร เงินอุดหนุนเลี้ยงดูทารกแรกเกิด
เงินอุดหนุนบุตร เงินอุดหนุนเลี้ยงดูทารกแรกเกิด

เช็กรอบจ่ายเงินอุดหนุนงวดต่อไปได้เลย!!

หากคุณแม่ไม่อยากต้องคอยตามข่าวว่า เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกแกิด ที่จะได้รับการเบิกจ่ายต่อเดือนของเดือนถัด ๆ ไปนั้นเข้าวันไหนกันบ้าง ก็ง่าย ๆ เพียงแค่คุณแม่ดาวน์โหลดปฎิทินการจ่ายเงินเข้าบัญชีไว้ เพียงแค่นี้ก็ไม่พลาดการเช็กวันเบิกจ่าย และสามารถเข้าไปตรวจสอบบัญชีของตนเองได้ทันทีตามวันที่ระบุไว้ในปฎิทินว่า เงินได้เข้าบัญชีเราหรือไม่ ตกหล่นหรือเปล่า ซึ่งมีให้เช็กกันยาว ๆ ถึงงวดปีหน้า 2565 กันเลยทีเดียว

ปฎิทินการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด
ปฎิทินการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

สารพันคำถาม เงินอุดหนุนบุตร !!

สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งทราบถึงสิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐที่ให้เงินสนับสนุน เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด อาจยังสับสนถึงโครงการดังกล่าว ไม่ต้องกังวลใจกันไป เราได้รวบรวมคำถาม คำตอบสำหรับทุกข้อสงสัยกันไว้ เพื่อจะได้เข้าใจ และปฎิบัติตามเงื่อนไขกันได้อย่างถูกต้อง ไม่เสียสิทธิ์ ไม่พลาดข้อมูลดี ๆ อย่างแน่นอน

คำถาม : เงินอุดหนุนบุตร เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ประจำเดือนธันวาคม 2564 เข้าหรือยัง และจะได้รับวันไหน???

ธนาคารจะโอนเงินเข้าบัญชีผู้มีสิทธิ์ ในวันที่ 9 ธันวาคม 2564 (ตามเวลาเปิด-ปิดของธนาคาร)

ปล. ควรตรวจสอบบัญชีธนาคารของคุณแม่ที่ใช้รับเงินอุดหนุนว่าเงินเข้าหรือยัง ดีกว่าสอบถามไปทางกรมกิจการเด็กและเยาวชน เพราะทางกรมจะทราบผลการจ่ายเงินหลังจากที่มีการจ่ายเงินไปแล้ว 14 วัน ทำให้การเช็กเงินเข้าในบัญชีธนาคารเราเองจะเร็วกว่า

คำถาม : หากพบปัญหาการโอนเงินเข้าบัญชี จะติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ไหน???

คุณแม่สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

  • ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โทร 08-2091-7245 / 08-2037-9767 / 08-3431-3533 / 06-5731-3199 (ในวันเวลาราชการ จันทร์ – ศุกร์ ระหว่างเวลา 08.30 – 17.00 น.)
  • ศูนย์ช่วยเหลือสังคม กระทรวง พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง
  • เว็บไซต์กรมกิจการเด็กและเยาวชน

คำถามสงสัย : ใครเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนบุตรบ้าง???

สำหรับผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนรอบนี้ ได้แก่

  1. ผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนรายเดิม (กลุ่มเด็กที่เกิดตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 – ธันวาคม 2564)
  2. ผู้มีสิทธิ์รายใหม่ที่ผ่านการพิจารณา โดยมีข้อมูลสมบูรณ์ในระบบฐานข้อมูลของโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ภายใน  25 พฤศจิกายน 2564
  3. ผู้ที่ลงทะเบียนรายใหม่ ที่มายื่นขอรับสิทธิ์ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 เป็นต้นไป ที่ขึ้นสถานะ “รอผลการเบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง”

    เช็กเลย! เงินอุดหนุนบุตร เข้าวันไหน
    เช็กเลย! เงินอุดหนุนบุตร เข้าวันไหน

คำถาม : จะตรวจสอบได้อย่างไรว่าเราได้รับสิทธิ์ในการรับเงินอุดหนุน???

วิธีการตรวจสอบสิทธิการรับเงินอุดหนุนบุตร

  1. เข้าเว็บไซต์ csgcheck.dcy.go.th
  2. กรอกเลขบัตรประจำตัวประชาชนผู้ลงทะเบียน
  3. กรอกเลขประจำตัวประชาชนเด็กแรกเกิด
  4. ระบุรหัสยืนยันตามรูปภาพ
  5. กดค้นหาข้อมูล

โดยในหน้าเว็บไซต์ที่ใช้ในการตรวจสอบสิทธิ นอกจากจะแจ้งการได้รับสิทธิ์หรือไม่แล้ว ยังมีการแจ้งสถานะต่าง ๆ และแนวทางปฏิบัติในการรับสิทธิ์ต่าง ๆ ไว้ด้วย

ปล.หากพบข้อมูลที่ต้องแก้ไข ให้คุณแม่ทำการติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อทำการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องจะดีกว่าเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาที่อาจสูญเสียสิทธิ์ได้ภายหลัง

  • ข้อมูลอยู่ในพื้นที่ส่วนภูมิภาค ให้ติดต่อ สำนักงานพัฒนาสังคม และความั่นคงของมนุษย์จังหวัด(พมจ.)ที่ได้ลงทะเบียนไว้
  • กรุงเทพมหานคร ให้ติดต่อ กรมกิจการเด็ก และเยาวชน
  • กรณีมีการแก้ไข ปรับปรุง เพิ่มเติม และบันทึกข้อมูลเข้าไปใหม่หลังวันที่ 25 ของเดือน ให้รอปรับสถานะใหม่ในเดือนถัดไป

ถาม : เงื่อนไขการจ่ายเงินอุดหนุนบุตรเป็นอย่างไรบ้าง???

เงื่อนไขการจ่ายเงินอุดหนุนบุตร มีดังนี้

  • จ่ายตรงงวด จำนวน 600 บาทต่อเดือน
  • จ่ายตกเบิกย้อนหลังให้ตามสิทธิของท่าน
  • ผู้ลงทะเบียนรายใหม่ ที่มายื่นขอรับสิทธิ์ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 เป็นต้นไป จะได้รับเงินในเดือนที่ยื่นขอรับสิทธิ์ ไม่ย้อนหลังให้ไปจนถึงเดือนที่เด็กเกิด

    QR Code เช็กสิทธิรับเงินอุดหนุนบุตร
    QR Code เช็กสิทธิรับเงินอุดหนุนบุตร
คำถาม:  หากเป็นผู้ยังไม่เคยได้รับเงินอุดหนุน (รายใหม่) สามารถลงทะเบียนได้ถึงวันไหน???
การลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนบุตร สามารถลงทะเบียนได้ตลอด ถ้ามีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข ทางกรมเปิดรับลงทะเบียนอย่างต่อเนื่อง
ถาม : สามารถไปลงทะเบียนได้ที่ไหนบ้าง???
การลงทะเบียนขอรับสิทธิรับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด สามารถลงทะเบียนได้ในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิด และผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง โดยสถานที่ที่เปิดรับลงทะเบียน เป็นดังนี้
  • กรุงเทพมหานคร ลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเขต
  • เมืองพัทยา ลงทะเบียนได้ที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา
  • ภูมิภาคต่าง ๆ ลงทะเบียนได้ที่ องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือ เทศบาล

คำถาม : เอกสารที่ใช้ในการลงทะเบียน ต้องเตรียมอะไรไปบ้าง???

เอกสารที่ต้องใช้ในการลงทะเบียนขอรับสิทธิ์รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด มีดังนี้

  1. แบบคำร้องขอลงทะเบียน (ดร.01)
  2. แบบรับรองสถานะของครัวเรือน (ดร.02)
  3. บัตรประจำตัวประชาชนของผู้ปกครอง
  4. สูติบัตรเด็กแรกเกิด
  5. สมุดบัญชีเงินฝากของผู้ปกครอง โดยรับเพียงแค่ ธนาคารกรุงไทย , ธนาคารออมสิน ,ธกส. อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
  6. สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก  เฉพาะหน้าที่ 1 ที่มีชื่อของคุณแม่ (หญิงตั้งครรภ์)
  7. ใบรับรองเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ของทุกคนในครอบครัวที่มีรายได้ประจำ
  8. สำเนาเอกสาร หรือบัตรข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ บัตรแสดงสถานะ หรือตำแหน่ง หรือเอกสารอื่นใดที่แสดงตนของผู้รับรองคนที่ 1 และผู้รับรองคนที่ 2

    หน้าเว็บไซต์เช็กสิทธิ์รับเงินอุดหนุน
    หน้าเว็บไซต์เช็กสิทธิ์รับเงินอุดหนุน
ถามมา : เงินอุดหนุนบุตร ได้รับจนถึงเมื่อไหร่???
ผู้มีสิทธิ์ในการรับเงินอุดหนุนบุตรจ่ายในอัตรา 600 บาทต่อคน ต่อเดือน จนเด็กมีอายุครบ 6 ปี และสิทธิ์ที่ได้รับนับตั้งแต่วันที่ลงทะเบียน ไม่ย้อนหลังไปจนถึงเดือนที่เด็กเกิด
คำถาม : มีข้อแนะนำให้ปฎิบัติตนอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้พลาดการรับสิทธิ์ดังกล่าว???
ขอแนะนำด้วยคำแนะนำ 3 ข้อ เพื่อให้การรับสิทธิรับเงินอุดหนุนบุตรไม่ชะงัก ยุ่งยาก หรือมีเหตุอันต้องโมฆะ ดังนี้
  • หมั่นตรวจสอบข้อมูลต่าง ๆ ของคุณแม่ที่ต้องใช้ในระบบตรวจสอบสิทธิ์อยู่เป็นประจำ เพื่อไม่ให้ลงข้อมูลขาดตกบกพร่องจะยิ่งทำให้การได้รับสิทธิ์ช้าลง หรือยุ่งยากในการไปแก้ไข
  • หากมีการเปลี่ยนแปลง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลสำคัญอื่นใด ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้แก้ไขข้อมูลของคุณแม่ให้เป็นปัจจุบัน คอยอัพเดทข้อมูล เพื่อการติดตามของเจ้าหน้าที่จะได้รวดเร็ว
  • หมั่นตรวจสอบบัญชีธนาคารที่ลงไว้ในการขอรับเงินอุดหนุนบุตรของคุณแม่ ว่าใช้งานได้อยู่หรือไม่
สิทธิ์ประโยชน์จากภาครัฐเพื่อเด็กแรกเกิด
สิทธิ์ประโยชน์จากภาครัฐเพื่อเด็กแรกเกิด

อย่างไรก็ตาม เราเป็นเพียงผู้เรียบเรียงข้อมูลคำถามที่คุณแม่ส่วนใหญ่อยากรู้มานำเสนอให้คลายข้อสงสัยกัน หากคุณแม่มีคำถามอื่นใด ที่นอกเหนือจากข้อมูลที่เรานำมา ขอแนะนำว่าควรติดต่อสอบถามกับทางกรมกิจการเด็กและเยาวชนโดยตรง จะได้รับคำตอบที่ถูกต้องชัดเจนกว่า หรืออย่างไรสามารถติดตามข่าวสารความคืบหน้าจากทางเพจ facebook ของทางโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดก็ได้เช่นได้ จะได้ไม่พลาดข้อมูลดี ๆ และสิทธิประโยชน์ที่แม่ควรได้รับ

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก www.facebook.com/โครงการงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

บัตรทอง 2563 พ่อแม่มีสิทธิประโยชน์อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง อัปเดตได้ที่นี่

ตรวจฟรีทั่วประเทศ! ไวรัสตับอักเสบบี – ซี ลดเสี่ยงติดเชื้อจากแม่สู่ลูกได้

แก้ไขใบสูติบัตร ถอนชื่อพ่อออกจากใบเกิด ทำได้ไหม?

สั่งซื้อของสดออนไลน์ พ่อแม่ซื้อง่ายรับได้ที่บ้าน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

โรคกลัวสังคมในเด็ก

ทำความเข้าใจ โรคกลัวสังคมในเด็ก (Social Anxiety) รู้เร็ว รักษาได้!

โรคกลัวสังคมในเด็ก – เด็กแต่ละคนมีนิสัยที่แตกต่างกันออกไป บางคนกล้าแสดงออก บางคนขี้อาย หรือบางคนพูดเก่ง แต่เด็กอีกหลายคนก็อาจพูดน้อย ชอบที่จะอยู่เงียบๆ หรือไม่แสดงออกมากนักเวลาอยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย อย่างไรก็ตามพฤติกรรมที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้เป็นความผิดปกติที่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด หากเด็กๆ ยังมีความสุขในการใช้ชีวิต กินอิ่ม นอนหลับ ได้อย่างปกติสุข และมีความสุขสนุกสนานตามประสาของวัยเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ

แต่ถ้าหากพฤติกรรมที่แสดงออกโดยเฉพาะการต้องพบเจอคนแปลกหน้า หรือแม้แต่คนในครอบครัวดูแปลกไปอย่างผิดสังเกต เช่น ลูกไม่กล้าสบตาเวลาพูดด้วย เหงื่อออกมาก ตัวสั่น พูดเสียงสั่น พึมพำอยู่ในลำคอ และทำทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์บางอย่าง ลูกของคุณอาจ กำลังเข้าข่ายป่วยเป็น “โรคกลัวสังคม” ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อผลของการรักษาที่น่าพอใจ

ทำความเข้าใจ โรคกลัวสังคมในเด็ก (Social Anxiety) รู้เร็ว รักษาได้! 

โรคกลัวสังคมคืออะไร?

ความรู้สึกหวาดกลัวทางสังคม แตกต่างจากความเขินอาย เนื่องจากเด็กที่ขี้อายอาจแค่เพียงรู้สึกไม่สบายใจบ้างเมื่อต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่นแต่ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงต่อสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ ซึ่งต่างจากเด็กที่ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม ความหวาดกลัวทางสังคมอาจทำให้เด็กที่ป่วย เกิดความบกพร่องในการทำงานตามปกติที่ควรจะเป็น และอาจส่งผลให้เกิดการแยกตัวทางสังคมด้วยความกลัวอย่างแรงกล้าต่อสถานการณ์ทางสังคมที่เด็กอาจกลัวการถูกตัดสิน จับจ้อง หรือจับผิดจากผู้อื่น

โรคกลัวสังคม หรือ วิตกกังวลทางสังคม (Social Anxiety) เป็นความวิตกกังวลชนิดหนึ่งที่อาจทำให้เด็กรู้สึกกังวลอย่างมาก ว่าจะถูกปฏิเสธหรือถูกตัดสินในแง่ลบจากผู้อื่น พวกเขารู้สึกกลัวจนมีอาการผิดปกติอย่างมากทางกาย และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงในการทำสิ่งที่ต้องการหรือจำเป็นต้องทำ

สาเหตุของโรคกลัวสังคม

ความหวาดกลัวเป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นภาวะที่กระตุ้นการตอบสนอง “ต่อสู้หรือหนี” และสร้างความรู้สึกของอันตรายที่ใกล้เข้ามาซึ่งเกินกับความเป็นจริงของสถานการณ์ เด็กสามารถพัฒนาโรควิตกกังวลได้ด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่ :

ปัจจัยทางชีววิทยา : สมองมีสารเคมีพิเศษที่เรียกว่าสารสื่อประสาท ซึ่งส่งข้อความไปมาเพื่อควบคุมความรู้สึกของบุคคล เซโรโทนินและโดปามีนเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญสองชนิด ซึ่งเมื่อ “หมดสติ” อาจทำให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลได้

ปัจจัยด้านครอบครัว : ความวิตกกังวลและความกลัวเป็นสิ่งที่สามารถส่งต่อแบบรุ่นสู่รุ่นได้ เช่น เดียวกับที่เด็กสามารถสืบทอดผมสีน้ำตาล ตาสีเขียว และสายตาสั้นของพ่อแม่ได้ เด็กก็สามารถสืบทอดแนวโน้มที่ผู้ปกครองมีความวิตกกังวลมากเกินไปได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้เด็กอาจเรียนรู้ความวิตกกังวลจากสมาชิกในครอบครัวและคนอื่นๆ ที่มีความเครียดหรือวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น เด็กที่พ่อแม่แสดงความกลัวอย่างมากต่อแมงมุม อาจเรียนรู้ที่จะกลัวแมงมุมด้วยเช่นเดียวกัน

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม : ประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ (เช่น การหย่าร้าง การเจ็บป่วย หรือการเสียชีวิตในครอบครัว) หรือแม้แต่เหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น การเปิดเทอมการต้องเจอผู้คนใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย ก็อาจทำให้เกิดโรคกลัวสังคมหรือวิตกกังวลทางสังคมได้เช่นเดียวกัน

โรคกลัวสังคมในเด็ก
โรคกลัวสังคมในเด็ก

 

ประเภทของโรคกลัวสังคมในเด็ก

ลูกษณะของการกลัวสังคมในเด็ก เด็กอาจแบ่งประเภทออกได้ต่อไปนี้

  • ความหวาดกลัวแบบเฉพาะเจาะจง เด็กที่มีความหวาดกลัวเฉพาะ จะรู้สึกและแสดงความกลัวอย่างแรงกล้าต่อบุคคล หรือ ประเภทของบุคคล สถานที่ วัตถุ กิจกรรม หรือสถานการณ์ที่ต้องพบเจอ
  • กลัวแบบตื่นตระหนก (Panic Disorder) แม้ว่าส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว แต่สามารถเกิดกับเด็กได้ ความผิดปกตินี้ทำให้เกิดความกลัวและวิตกกังวลรุนแรงที่คาดไม่ถึง และคาดเดาไม่ได้ ซึ่งมักเป็นการตอบสนองต่อ “สิ่งกระตุ้น” ที่อาจไม่ชัดเจน
  • โรคกลัวที่ชุมชน (Agoraphobia) เด็กบางคนประสบกับโรคตื่นตระหนกร่วมกับอาการหวาดกลัวที่ชุมชน (agoraphobia) เป็นความหวาดกลัวอย่างแรงกล้าต่อโลกภายนอก ในกรณีเหล่านี้ เด็ก ๆ มักกลัวที่จะเผชิญหน้าหรือประสบกับสิ่งที่ตนเองกลัวจนรู้สึกไม่ปลอดภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เว้นแต่อยู่ที่บ้าน

อาการของโรคกลัวสังคม 

โรคกลัวสังคมในเด็กโดยส่วนใหญ่พบว่ามักเริ่มมีอาการเมื่อเด็กอายุประมาณ 8 ถึง 15 ปี ความผิดปกติต่างๆ สามารถตรวจสอบได้จากประวัติในวัยเด็ก เช่น ความประหม่าในการเข้าสังคม ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ รวมถึงการโดนกลั่นแกล้ง

เด็กที่แพทย์ลงความเห็นว่าป่วยเป็นโรคกลัวสังคม  ได้แก่ เด็กที่มีความกลัว หรือ มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางสังคมอย่างน้อยหนึ่งสถานการณ์ ต่อไปนี้

  1. กลัวการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น
  2. กลัวการถูกสังเกตหรือจ้องมองโดยผู้อื่น
  3. กลัวการต้องแสดงออกต่อหน้าผู้อื่น

นอกจากนี้ อาการ อื่น ๆ ของโรควิตกกังวลทางสังคม ยังมีอีกหลายรูปแบบ อาทิ

  • กลัวการถูกประเมินในทางลบ
  • ฉุนเฉียว  ร้องไห้ เยือกเย็น ไม่พูดจา เมื่อเกิดความวิตกกังวล
  • หลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคมเพราะรู้สึกกลัวและกังวลอย่างรุนแรง
  • วิตกกังวลและกลัวเกินกว่าความเป็นจริงไปมาก
  • หลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้กลัว นานกว่า 6 เดือนขึ้นไป
  • ทุกข์ทรมาน ในการเข้าสังคม เช่น ในโรงเรียน ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว
  • กลัวล่วงหน้านานหลายสัปดาห์ ก่อนที่กิจกรรมที่ทำให้กลัว จะเกิดขึ้น เช่น การต้องพูดหน้าชั้นเรียน
  • ยึดติดกับคนที่สนิทหรือคุ้นเคยมากเกินไป
  • มีอาการทางร่างกาย หน้าแดง หัวใจเต้นแรง เสียงสั่น ตัวสั่น คลื่นไส้ พูดลำบาก เมื่อต้องพูดในระหว่างที่มีคนจับจ้อง

การรักษาโรคกลัวสังคม

หลังจากการประเมินอาการและซักประวัติต่างๆ อย่างเต็มรูปแบบ จิตแพทย์จะประเมินทางเลือกในการรักษาโดยดูตามอาการ ทั้งการรักษาด้วยการ

  • บำบัดทางความคิด และพฤติกรรม หรือที่เรียกว่าจิตบำบัด (CBT)
  • การใช้ยาบางชนิด ซึ่งมีประโยชน์ในการรักษาอาการในเด็ก
โรคกลัวสังคมในเด็ก

โดยวิธีบำบัดแบบ CBT หรือ จิตบำบัด นักบำบัดจะสอนทักษะการเข้าสังคมแบบใหม่ให้เด็กรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ เด็กจะได้รับคำแนะนำในการระบุถึงสถานการณ์ที่ท้าทาย เช่น การพูดหน้าชั้นเรียน การคุยโทรศัพท์ หรือการขอความช่วยเหลือ ด้วยความช่วยเหลือของนักบำบัด เด็กๆ จะได้เรียนรู้ที่จะค่อยๆ เผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ โดยใช้ทักษะใหม่ๆ  ส่วนยาที่ใช้ในการรักษาโรคกลัวสังคมในปัจจุบัน เรียกว่า selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs) ซึ่งยาเหล่านี้จะส่งผลต่อสารสื่อประสาท (เซลล์ประสาทในสมองที่ส่งสัญญาณ) ที่เชื่อมโยงกับความวิตกกังวล ซึ่งออกฤทธิ์ช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินในสมอง ทั้งนี้หากเด็กที่ป่วยได้รับการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะมีโอกาสหายเป็นปกติได้สูงและไม่ส่งผลกระทบเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

วิธีช่วยให้ลูกรับมือกับโรคกลัวสังคม

ขั้นตอนแรกที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้บุตรหลานของคุณรับมือกับเรื่องนี้ได้คือการชี้แนะ เด็กที่เป็นโรควิตกกังวลทางสังคมรู้ว่าตนเองรู้สึกหวาดกลัวและวิตกกังวลในสถานการณ์ต่างๆ แต่บางครั้งเด็กๆ อาจไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงต้องรู้สึกแบบนี้

การช่วยให้พวกเขาเชื่อมโยงจุดต่างๆ ระหว่าง การตอบสนองทางอารมณ์ อาการทางร่างกาย และสิ่งกระตุ้นที่ทำให้รู้สึกกลัว เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเรียนรู้ที่จะรับมือกับความกลัวได้ การให้ความรู้ลูกของคุณเกี่ยวกับวิธีการที่ความวิตกกังวลส่งผลต่อการคิด และพฤติกรรม เป็นสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์เชิงลบ และขุ่นมัวที่เกิดขึ้น

สอนวิธีผ่อนคลาย

เด็กจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีต่างๆ เพื่อนำใช้เมื่อรู้สึกกระวนกระวายใจ ซึ่งขั้นตอนแรกคือการเรียนรู้ที่จะสงบสติอารมณ์เมื่อเกิดความรู้สึกที่ไม่ดี คือ

  • การหายใจลึกๆ  สอนลูกของคุณให้นึกภาพการเป่าลูกโป่งขณะหายใจเข้าลึกๆ นับลูกของคุณออกเพื่อช่วยชะลอการหายใจ (4 ใน 4 ค้างไว้ 4 ออก)
  • ภาพที่มีคำแนะนำ ลูกของคุณสามารถผจญภัยที่ผ่อนคลายในใจขณะหายใจเข้าลึกๆ บอกเล่าเรื่องราวสั้นๆ ด้วยเสียงที่เบาและสม่ำเสมอเพื่อช่วยให้บุตรหลานของคุณหาจุดศูนย์กลางของเธอเจอ
  • การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เด็กที่วิตกกังวลมักจะเกร็งกล้ามเนื้อเมื่ออยู่ภายใต้ความเครียด สอนลูกของคุณให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและคลายความตึงเครียดโดยเริ่มจากมือและแขนของเธอ กำหมัดแน่นเป็นเวลาห้าวินาทีแล้วค่อยปล่อย ย้ายไปที่แขน คอ และไหล่ และเท้าและขา

สอนการตีกรอบความคิด

เด็กที่เป็นโรควิตกกังวลทางสังคมมักถูกครอบงำด้วยความเชื่อเชิงลบที่ตอกย้ำความคิดวิตกกังวลของพวกเขา ความเชื่อของพวกเขามักจะจัดอยู่ในประเภทต่อไปนี้

  • สมมติสถานการณ์กรณีที่เลวร้ายที่สุด
  • เชื่อว่าตัวเองดูไม่ดีในสายตาคนอื่น
  • คิดลบมากเกินไปต่อเหตุการณ์ที่ดูปกติธรรมดา

สอนลูกของคุณให้รู้จักความคิดเชิงลบ ผลของความคิดเชิงลบ และแทนที่ด้วยความคิดเชิงบวก หากลูกของคุณมักจะพูดว่า “ครูคิดว่าหนูโง่เพราะหนูอ่านหนังสือไม่เก่ง” ให้ช่วยลูกได้รับรู้ถึงความคิดเชิงลบนี้ และให้เหตุผลว่าในความเป็นจริง งานของครูคือการช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ ไม่ใช้คอยตัดสินว่าเด็กแต่ละคนฉลาดหรือโง่ และแทนที่ด้วยความคิดเชิงบวก เช่น “หนูอ่านหนังสือไม่เก่ง แต่ครูจะช่วยให้หนูอ่านดีขึ้นได้”

 สอนทักษะการแก้ปัญหา

เด็กที่เป็นโรคกลัวสังคม หรือ วิตกกังวลทางสังคมมักหาวิธีหลีกเลี่ยงสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ในที่สุด พวกเขาทำในสิ่งที่จะทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องมีส่วนร่วมในสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวล ซึ่งจะทำให้ความวิตกกังวลทางสังคมแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป

สอนลูกของคุณให้ต่อสู้กับความรู้สึกกลัวและวิตกกังวล โดยการพัฒนาทักษะการแก้ปัญหา หากเด็กกลัวการพูดในที่สาธารณะ อาจให้เด็กๆ ฝึกพูดที่บ้านหน้ากระจกได้หลาย ๆ ครั้งจนชิน ให้ใครซักคนถ่ายวิดีโอเอาไว้ดูย้อนหลัง ฝึกทำใบหน้าที่เป็นมิตรในห้อง และฝึกการสบตา ฝึกการหายใจลึกๆ เพื่อระงับความรู้สึกวิตกกังวล ช่วยลูกของคุณเล่าถึงสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกระหว่างที่ต้องแสดงออก ระดมความคิดเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่สามารถปฏิบัติตามแนวทางในการช่วยเหลือลูกให้ห่างไกลจากโรคกลัวสังคมได้ จะช่วยเสริมทักษะความฉลาดที่รอบด้านให้กับลูกๆ ด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : psycom.net , raisingchildren.net.au , childrenshospital.org

แม่ท้องต้องรู้!! “ลูกดิ้น” บอกอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด?

จะรู้ได้ยังไง! ว่า ลูกดิ้น เพราะการดิ้นของลูกในท้อง ถือเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้คุณแม่รู้ว่าลูกในครรภ์ยังมีชีวิตอยู่ แล้วลูกควรดิ้นวันละกี่ครั้ง ถึงเป็นสัญญาณปกติ มาฟังคำแนะนำจากคุณหมอกันค่ะ

ลูกดิ้น สัญญาณสำคัญที่คุณแม่ควรรู้

สำหรับเรื่อง ลูกดิ้น สัญญาณสำคัญที่คุณแม่ควรรู้ คุณหมอนิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ พันธุศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอบกิ้น สหรัฐอเมริกา ได้บอกกับทีมแม่ ABK ว่า…

หมอจะได้รับคำถามจากคุณแม่ที่ตั้งครรภ์มือใหม่ รวมถึงคุณแม่ท้องสอง ท้องสาม เป็นประจำที่ส่วนใหญ่สอบถามเกี่ยวกับสัญญาณการดิ้นของลูกในท้อง จะรู้ได้ยังไงว่าลูกดิ้น” ,  “ลูกดิ้นมีลักษณะอาการเป็นอย่างไร จะต้องนับการดิ้นของลูกในท้องยังไง” , “รู้สึกว่าลูกไม่ดิ้นเลย เป็นต้น วันนี้หมอจะมาให้ข้อมูลในเรื่องนี้กันอย่างละเอียดครับ

  • ทารกในครรภ์ดิ้นเพราะอะไร ทำไมต้องดิ้น

ตอบ : เพราะคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ของสิ่งมีชีวิต คือการที่สามารถเคลื่อนไหวได้ ทารกในครรภ์ก็เช่นกัน เป็นสิ่งมีชีวิต ตัวน้อย ๆ จึงสามารถ ดิ้นได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นสัญชาตญาณ อย่างหนึ่งของสิ่งมีชีวิต เพราะเด็กในครรภ์ ก็มีวงจรการนอนหลับและการตื่น เหมือนเด็ก ทารกที่คลอดออกมาจากท้องแม่ใหม่ ๆ

โดยช่วงนอนหลับ ของทารกในครรภ์ หรือช่วงพัก จะกินเวลาประมาณ 20 นาที ช่วงนี้ทารกจะหยุดเคลื่อนไหว ส่วนของลำตัวและแขนขา แต่ยังหายใจอยู่สม่ำเสมอ และช่วงตื่น นานเฉลี่ย 40 นาที จะเคลื่อนไหว อย่างมาก ดังนั้น ทารกที่นอนหลับหรือหยุดเคลื่อนไหวนานกว่าหนึ่งชั่วโมง ซึ่งนานกว่าวงจรหลับตื่นตามปกติ จึงถือว่า ผิดปกติ

นอกจากนี้ การดิ้นของทารกในครรภ์ ยังบ่งบอกถึงความ สมบูรณ์ หรือสุขภาพ ของทารกแต่ละคน ว่าอยู่ในท้องแม่ตั้งครรภ์ ได้สุขสบายดีหรือไม่ ทารกที่แข็งแรง จะสามารถดิ้นได้ เป็นปกติ ในขณะที่ทารก มีปัญหาสุขภาพ รูปแบบการดิ้น จะมีความผิดปกติ จากปริมาณการดิ้นที่น้อยลง หรือ หยุดดิ้นเลย ซึ่งถ้าเราไม่สามารถ วินิจฉัย ภาวะดังกล่าว และทำคลอด เอาเด็ก ออกมาข้างนอกได้ทัน ก็จะเกิดภาวะทารกเสียชีวิตในครรภ์ได้

  • ลูกเริ่มดิ้นตอนอายุครรภ์กี่สัปดาห์ อาการลูกดิ้นแม่ท้องจะรู้สึกอย่างไร

ทารกในครรภ์ สามารถดิ้นได้ ตั้งแต่อายุครรภ์ 7 สัปดาห์เป็นต้นไป แต่เนื่องจากขนาดของทารก ยังเล็กมาก แม่ตั้งครรภ์ จึงยังไม่สามารถรับรู้การดิ้นของลูกได้ … แต่สามารถดูได้จาก การตรวจอัลตร้าซาวด์ทางช่องคลอด สูตินรีแพทย์ สามารถชี้ให้เห็นลักษณะการเคลื่อนไหว แบบกระตุกเล็ก ๆได้ และการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ จะซับซ้อนมากขึ้นเป็นระบบมากขึ้น เมื่อทารกมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีการพัฒนาของระบบประสาทส่วนกลาง ที่ทำหน้าที่ ในการสั่งการเคลื่อนไหว และจะปรากฏให้เห็นเด่นชัดในช่วงอายุครรภ์ 28-32สัปดาห์ มารดาจะเริ่มรู้สึกว่าทารกในครรภ์เริ่มดิ้น ตั้งแต่ไตรมาสที่สองเป็นต้นไป โดยจะรับรู้ในอายุครรภ์ 18-20 สัปดาห์ในท้องแรก และ 16-18 สัปดาห์ในท้องหลัง

การที่แม่ในท้องหลัง รับรู้การดิ้นของลูก ได้เร็วกว่าท้องแรก อาจจะเป็นเพราะประสบการณ์ การรับรู้การดิ้นของลูกตั้งแต่ท้องแรก เมื่ออายุครรภ์มากขึ้นการเคลื่อนไหวแรงขึ้น มารดาจะสามารถแยกการดิ้นของทารกออกจากการเคลื่อนไหวอื่น เช่น การเคลื่อนไหวของลำไส้ได้ง่ายขึ้น การรับรู้การดิ้น ในช่วงแรกจะเป็นลักษณะ การดิ้นแบบกระตุก แม่ตั้งครรภ์จะรับรู้ในลักษณะของการ กระตุกเป็นจังหวะสั้น ๆ ซึ่งบางคนเรียกว่าการตอด เหมือนลักษณะ ปลาตอดเบ็ด ในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ ทารกเจริญเติบโตและระบบสมองสมบูรณ์ขึ้น ทำให้มีการเคลื่อนไหว ที่ประสานกันเป็นระบบมากขึ้น เช่น มีการเคลื่อนไหวทั้งแขน ขา ลำตัว และศีรษะ ไปพร้อมๆกัน ทารกจะเคลื่อนไหวมากที่สุดในช่วงอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ลดลงไปบ้างจนกระทั่งคลอด แต่การลดลงนี้มีเพียงเล็กน้อยไม่มีผลต่อค่าปกติของการนับจำนวนลูกดิ้นแต่อย่างใด

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา

  • วิธีนับการดิ้นของลูก ลูกควรดิ้นวันละกี่ครั้ง ถึงยังเป็นสัญญาณปกติ

การนับลูกดิ้น เป็นวิธีการ ตรวจสอบความแข็งแรง ของทารกในครรภ์ ถ้าทารกในครรภ์ มีภาวะเครียด เช่น ภาวะขาดออกซิเจน การไหลเวียนของเลือดที่รกลดลง ทารกจะเคลื่อนไหวน้อยลงหรือหยุดไป โดยที่หัวใจยังเต้นอยู่ เกิดจากการกดระบบประสาท หรือเพราะร่างกายต้องการลดการใช้พลังงานและออกซิเจนเพื่อสงวนไว้ให้อวัยวะสำคัญ เช่น สมองและหัวใจ ธรรมชาติของทารกในครรภ์ที่อยู่ในภาวะเครียด มักจะมีการดิ้นที่น้อยลง ก่อนที่จะเสียชีวิต หัวใจจะไม่หยุดเต้นโดยฉับพลัน การที่ทารกดิ้นน้อยลง จนกระทั่งหยุดดิ้น นานอย่างน้อย 12 ชั่วโมงและยังคงฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ได้เรียกว่า Movement  alarm signal (MAS) หรือสัญญาณอันตราย ที่ทารกพยายามบอกเตือนมารดาว่า ทารกในครรภ์กำลังตกอยู่ในภาวะคับขัน อาจจะเสียชีวิตได้ ถ้าให้การช่วยเหลือไม่ทัน

รายงานวิจัย พบว่า ทารกในครรภ์ เคลื่อนไหวมากที่สุด ในช่วงเวลา 21.00-01.00 น. ๆและเป็นช่วงที่มารดารู้สึกว่าทารกเคลื่อนไหวมากขึ้นด้วย แต่มารดาตั้งครรภ์ ก็ไม่จำเป็นถึงขนาดต้องตื่นมานับ ลูกดิ้นในช่วงเวลาดังกล่าว

การนับลูกดิ้นจากความรู้สึกของแม่ เป็นวิธีการที่ดี และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งมีวิธีการนับ แตกต่างกันหลายวิธี พัฒนาจากในช่วงแรกที่ต้องนับเป็นระยะเวลานาน 6-12 ชั่วโมง ปัจจุบัน พัฒนาให้เหลือกันนับที่สั้นลง (1-4 ชั่วโมง)  เพื่อสะดวก ต่อมารดาในการนับลูกดิ้น ก่อนเริ่มการนับแนะนำให้มารดานอนตะแคงซ้ายเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงมดลูกและทารกได้ดีขึ้น ควรนอนในห้องที่เงียบสงบไม่มีเสียงรบกวน เพื่อที่จะมีสมาธิในการสังเกตและการนับจำนวนลูกดิ้นได้ดี

 

การนับลูกดิ้น มี 2 รูปแบบคือ

1. แบบกำหนดช่วงเวลา (fixed time period) เช่น วิธีของ Rayburn เป็นการนับจำนวนเด็กดิ้นในหนึ่งชั่วโมงวันละหนึ่งครั้ง เวลาตามที่สะดวก (ถ้าดิ้นน้อยกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้ง ต่อชั่วโมงถือว่าผิดปกติ)

2. แบบกำหนดจำนวนครั้งที่ทารกดิ้น (fixed number) เช่น วิธีของ Moore หรือเรียกว่าวิธี Count-to-ten โดยนับจำนวนเด็กดิ้นจนครบ 10 ครั้ง ในเวลาสี่ชั่วโมง ถ้าเด็กดิ้นได้ครบสี่ครั้งก็สามารถเลิกนับได้ เป็นวิธีที่ใช้เวลาสั้นที่สุด และ สะดวกที่สุดในปัจจุบัน (ถ้าเด็กดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งใน 4 ชั่วโมงถือว่าผิดปกติ)

สมัยก่อนการนับลูกดิ้น อาจจะต้องเตรียมอุปกรณ์สำหรับการจดบันทึก เช่น ปากกาหรือดินสอกับกระดาษ แต่ปัจจุบัน มีแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ มากมายที่อำนวยความสะดวก เช่น Baby Kick Count, Pregnancy Kick Count , Baby Movement Track เป็นต้น เราสามารถเข้าไปแล้วจดบันทึก ในแอปพลิเคชันเหล่านั้นได้เลย บางแอปพลิเคชั่นสามารถแชร์ ส่งข้อมูลให้แพทย์ผู้ดูแล ได้รับทราบ ผลของการนับลูกดิ้นของคุณแม่ได้ด้วย

ลูกดิ้น

  • สาเหตุที่ลูกไม่ดิ้น ดิ้นน้อย เกิดจากอะไร แก้ไขอย่างไร

ภาวะพร่องออกซิเจน  (Hypoxia) ในภาวะพร่องออกซิเจนเรื้อรัง ทารกจะตอบสนองโดย พยายามลดการใช้ออกซิเจน ด้วยการลดหรือหยุดการเคลื่อนไหว เมื่อมารดาตั้งครรภ์พบว่า ทารกในครรภ์ ดิ้นน้อยกว่าปกติหรือหยุดดิ้น ควรรีบมาโรงพยาบาลทันที เพื่อแพทย์จะได้ ทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม ด้วยเครื่องมือ ที่ให้ผลการตรวจ แม่นยำ กว่าการนับลูกดิ้น เช่น การตรวจโดยอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่สามารถบันทึก การเปลี่ยนแปลงของหัวใจและการบีบตัวของมดลูก (External fetal monitor) หรือการตรวจด้วย คลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) เพื่อประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์ (Biophysical profile: BPP) เมื่อแพทย์พบว่าทารก อยู่ในภาวะคับขัน ไม่เหมาะที่จะอยู่ในครรภ์มารดาอีกต่อไป จะได้รีบดำเนินการ ทำการคลอดเพื่อนำทารกที่มีปัญหาออกมาดูแล ข้างนอกเพื่อป้องกันภาวะทารกเสียชีวิตในครรภ์

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ 

  1. ความพิการของทารก ทารกที่มีความพิการรุนแรงมักเคลื่อนไหวน้อยลง เช่นทารกหัวบาตร ทารกบวมน้ำ
  2. ผลของยา ยาบางชนิด สามารถดูดซึมผ่านรก ไปมีผลต่อทารกในครรภ์ได้ เช่น กลุ่มยานอนหลับหรือยากล่อมประสาทต่างๆ อาจกดการเคลื่อนไหวของทารกไว้ชั่วคราว นอกจากนี้การสูบบุหรี่ของมารดา ก็มีผลลดการเคลื่อนไหว และการหายใจของทารกได้ จากผลของสารนิโคติน ซึ่งทำให้การไหลเวียนของเลือดในทารกลดลง
  3. ท่าทางของมารดาตั้งครรภ์ มารดาจะรู้สึกเด็กดิ้นได้ดีเมื่ออยู่ในท่านอน มากกว่าท่านั่ง และรู้สึกน้อยที่สุดในท่ายืน ซึ่งอาจเนื่องมาจากการให้ความสนใจต่อการดิ้น แตกต่างกันในท่าต่าง ๆ ดังนั้น การนับลูกดิ้นจึงควรทำในท่านอนสบาย ๆ
  4. ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ปริมาณน้ำคร่ำ ในรายที่มีปริมาณน้ำคร่ำมาก (Polyhydramnios) ทำให้ตัวทารกลอยห่างออกจากผนังหน้าท้อง อาจทำให้การรับรู้ของมารดา ต่อการดิ้นของทารกน้อยลง ตำแหน่ง การเกาะของรก ที่ด้านหน้าของผนังมดลูก(Anterior placenta) ทำให้เสมือนหน้าท้องหนาขึ้น อาจทำให้การรับรู้การดิ้นของมารดาลดลง

เพื่อการตั้งครรภ์คุณภาพตลอด 40 สัปดาห์ หากคุณแม่ท้องพบสัญญาณผิดปกติใด ๆ ที่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นสัญญาณอันตราย หรือสัญญาณปกติทั่วไปในคนท้องหรือไม่ แนะนำให้แจ้งกับคุณหมอที่ดูแลการตั้งครรภ์คุณแม่ทราบทันทีครับ

บทความโดย : นายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์)
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ พันธุศาสตร์การแพทย์
มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอบกิ้น สหรัฐอเมริกา

สำหรับเรื่อง ลูกดิ้น ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ  หนึ่งใน 10 ของ Power BQ (Power Baby & Kids Quotients) อาวุธที่ช่วยให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกันนั่นเอง ทั้งนี้ HQ หรือ Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ
ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

หมอสูติตอบชัด! คนท้องฉีดวัคซีนโควิดได้ไหม ฉีดอย่างไรให้..ปลอดภัยทั้งแม่ลูก

แม่ท้องไม่สบาย กินยาได้ไหม? หมอแนะ “ยาที่คนท้องกินได้” และ “ยาต้องห้าม”

หมอสูติตอบเอง ฝากท้องแบบไหนดี? “ ฝากครรภ์พิเศษ VS ฝากครรภ์ธรรมดา ”

วิจัยล่าสุดเผย! คนท้องอ่อนตากแดด ลดความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดได้!

 

checklist เตรียมของก่อนคลอด ยังไงไม่บานปลายได้ของครบ

ทารกท้องอืด ลูกท้องอืด

ทารกท้องอืด ลูกท้องอืด แบบไหนอันตรายพร้อมวิธีรับมือ

ทารกท้องอืด ลูกท้องอืดแบบไหน อาการแบบใดจึงเป็นอันตรายต้องระวัง ท้องอืดในเด็กทารกเรื่องเล็ก ๆ ที่ควรระวัง มาดูวิธีรับมือ และป้องกันจากแนวทางคุณหมอกันดีกว่า

ทารกท้องอืด ลูกท้องอืด แบบไหนอันตราย..พร้อมวิธีรับมือ!!

อาการท้องอืดในเด็กทารก เป็นสิ่งที่พ่อแม่อาจสังเกตได้ยาก เพราะลูกทำได้แค่เพียงร้องไห้งอแง ไม่สามารถบอกถึงความไม่สบายเนื้อสบายตัวของตัวเองเป็นคำพูดให้แก่พ่อแม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องคอยสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นเมื่อลูกร้องไห้งอแงผิดปกติว่า ลูกน้อยอาจงอแงจากอาการท้องอืดก็เป็นได้

การที่พ่อแม่สามารถสังเกตอาการจนรู้ได้ว่าสาเหตุการงอแงของทารกนั้นมาจากสาเหตุใดได้ ก็สามารถแก้ปัญหา และรับมือกับอาการเจ็บป่วยของลูกได้ตรงจุด และทันท่วงที แม้ว่าอาการท้องอืดนั้นอาจเป็นอาการเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร แต่รู้หรือไม่ว่า เมื่อ ทารกท้องอืด บ่อย ๆ หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกของปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารที่รุนแรงได้

ทารกท้องอืด มักร้องไห้งอแง
ทารกท้องอืด มักร้องไห้งอแง

สัญญาณบ่งบอกว่าลูกน้อยท้องอืด

ทารกท้องอืด อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อายุ 2-3 สัปดาห์ ซึ่งเขายังไม่สามารถแสดง หรือสื่อสารบอกพ่อแม่ได้ ดังนั้นจึงควรสังเกตอาการต่อไปนี้ที่สามารถบ่งบอกว่าลูกท้องอืด ดังนี้

  • ร้องไห้ งอแงผิดปกติ
  • ยกขาขึ้นสูงเอนไปทางหน้าท้อง
  • ดิ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังดื่มนม
  • กำมือแน่น
  • ใบหน้าแดง เบ่ง

อย่างไรก็ตาม ทารกมักรู้สึกสบายตัวขึ้น และหยุดร้องไห้หลังผายลม หรือเรอออกมา แต่หากยังร้องไห้ไม่หยุดทั้งที่ผายลมออกมาแล้ว อาจแสดงว่าสัญญาณผิดปกติดังกล่าวเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น กรดไหลย้อน ท้องผูก โคลิค เป็นต้น

6 สัญญาณเตือนปัญหาระบบย่อยอาหารในเด็ก

แม้ว่าอาการท้องอืดนั้น จะไม่เป็นอันตรายต่อทารก และสามารถหายได้ด้วยการดูแล แต่ในบางกรณี การมีแก๊สสะสมในกระเพาะอาหารอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของความผิดปกติทางระบบย่อยอาหารที่รุนแรง หากสงสัยว่าลูกน้อยท้องอืดร่วมกับมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที

  • อาเจียน 

ในเด็กอาจเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น เมารถ อาหารเป็นพิษ(ในเด็กวัยที่เริ่มรับประทานอาหารเสริม) มีไข้ ไอมากเกินไป หรือรับประทานอาหารมากเกิน ตื่นเต้น หรือกังวล เป็นต้น อาการเหล่านี้ก็อาจส่งผลให้เด็กอาเจียนได้ แต่หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกอาเจียนบ่อยครั้ง อาเจียนปนเลือดหรือน้ำดี ไม่สามารถดื่มน้ำได้ พบสัญญาณของภาวะขาดน้ำอย่างปัสสาวะน้อยลง ริมฝีปากแห้ง ไม่มีเรี่ยวแรง หรือดูรู้สึกไม่สบาย นี่อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที  เพราะอาจเกิดจากโรครุนแรง เช่น เยื่อหุ้มสมองอักสบ ไส้ติ่งอักเสบ หรือลำไส้อุดตัน เป็นต้น

เคล็ดลับดูแลลูกน้อย : หากลูกไม่อาเจียนซ้ำหลังจากผ่านไปแล้ว 8 ชั่วโมง ควรให้เด็กดื่มนมแม่หรือนมผงตามปกติ ส่วนเด็กวัยหัดเดิน ควรรับประทานอาหารอ่อน งดอาหารรสจัด ของทอด หรือของมัน และให้ลูกดื่มน้ำให้มากขึ้น

ทารกท้องผูก ลูกท้องผูก มักมาร่วมกับอาการท้องอืด
ทารกท้องผูก ลูกท้องผูก มักมาร่วมกับอาการท้องอืด

  • ปวดท้อง 

ในเด็กทารกจะสังเกตได้จากการยกขาขึ้นสูงเอนไปทางท้อง เบ่งหน้าแดง อาการปวดท้องอาจเกิดได้จากปัญหาสุขภาพมากมาย แต่หากลูกมีอาการรุนแรง หรือปวดท้องนานกว่า 1 วัน ควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุจะดีที่สุด

เคล็ดลับดูแลลูกน้อย : ให้ลูกอาบน้ำอุ่น หรือประคบหน้าท้องด้วยถุงน้ำร้อน ช่วยบรรเทาอาการลงได้

  • ท้องผูก อุจจาระมีเลือดปน ถ่ายไม่ออก ถ่ายยาก

คุณพ่อคุณแม่อาจสังเกตได้จากพฤติกรรมการขับถ่ายของลูก โดยเด็กที่มีอาการท้องผูกมักจะถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่งผลให้อุจจาระแข็งเป็นก้อน ถ่ายยาก และรู้สึกเจ็บหรือมีเลือดปนขณะขับถ่าย เป็นอาการบ่งบอกถึงสัญญาณเตือนเกี่ยวกับปัญหาระบบย่อยของลูกได้

เคล็ดลับดูแลลูกน้อย : ดื่มน้ำบ่อย ๆ ร่วมกับการดื่มนม รวมทั้งไม่ให้ลูกดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากเกินไป โดยเด็กเล็กไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเกิน 120 มิลลิลิตรต่อวัน ขณะที่เด็กโตไม่ควรเกิน 180 มิลลิลิตรต่อวัน

  • ท้องเสีย

มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน โดยอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย อาหารเป็นพิษ ภูมิแพ้อาหาร ปัญหาลำไส้ หรือเป็นผลข้างเคียงจากยาบางชนิด ซึ่งอาจส่งผลให้ร่างกายของเด็กขาดน้ำหรือดูดซึมสารอาหารผิดปกติ ทั้งนี้ อาการที่เกิดขึ้นอาจเป็นอาการเฉียบพลัน หรือเรื้อรังก็ได้

เคล็ดลับดูแลลูกน้อย : สามารถดื่มน้ำผสมผงเกลือแร่ตามคำแนะนำของแพทย์ อาจนำน้ำเกลือแร่เด็กมาดัดแปลงทำเป็นไอศกรีม เพื่อให้รับประทานง่ายขึ้นได้

  • ร้องไห้ไม่หยุดเป็นเวลานานกว่า 2 ชั่วโมง

เมื่อลูกน้อยไม่สบายตัว ไม่สบายท้อง ก็จะแสดงอาการให้พ่อแม่ได้รับรู้ด้วยการร้องไห้ แต่หากลูกร้องไห้ไม่หยุดเป็นเวลานาน เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่าปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นกับลูกยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือรักษา ก่อนที่จะลงความเห็นกันเองว่าลูกเป็นโคลิค ควรพาไปพบแพทย์ตรวจให้ละเอียด และจะได้รักษาได้ตรงจุดอีกด้วย

เคล็ดลับดูแลลูกน้อย : อุ้มทารกพร้อมโยกเบา ๆ อาจช่วยให้สงบลงได้ คุณแม่อาจลองอุ้มนั่งบนเก้าอี้โยกไปมา แกว่งไปมาเบา ๆ ขณะเดิน หรือแม้แต่วางลงในเปลแล้วแกว่งไปมา เพื่อให้ลูกได้สงบลงบาง ก่อนถึงเวลาพาไปพบแพทย์

  • มีไข้ โดยเฉพาะทารกอายุต่ำกว่า 3 เดือนที่มีไข้สูงตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป

เด็กมีอายุต่ำกว่า 3 เดือน และมีอุณหภูมิที่วัดจากทางทวารหนัก 38 องศาเซลเซียสขึ้นไป ซึ่งถือเป็นภาวะเร่งด่วน เพราะการมีไข้แม้เพียงเล็กน้อยในช่วงวัยนี้อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

เคล็ดลับดูแลลูกน้อย : หากเด็กมีไข้จนชัก ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและพบได้ในเด็กช่วงอายุ 6 เดือนถึง 6 ปี โดยอาจไม่แสดงอาการชักออกมาอย่างชัดเจน แต่ดูคล้ายเด็กกำลังจะหมดสติ ควรจัดท่าให้เด็กนอนตะแคง ห้ามให้กัดช้อนหรืออุปกรณ์ใด ๆ และรีบโทรเรียกหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน หรือพาเด็กไปพบแพทย์ทันทีหากเด็กชักเป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตาม เด็กหลายคนอาจจะอธิบายความผิดปกติหรืออาการที่ตนเองรู้สึกได้ไม่ถูก แต่หากผู้ปกครองรู้สึกกังวลเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ก็สามารถพาลูกไปพบแแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดได้ แม้ว่าเด็กจะมีอาการของระบบย่อยอาหารไม่ชัดเจน อาการยังไม่รุนแรง มีอาการเฉียบพลันหรือเรื้อรังก็ตาม แต่เพื่อความสบายใจ และเหตุผลที่ว่ารู้ก่อนรักษาเร็ว โอกาสหายสูงจึงเป็นหน้าที่พ่อแม่ที่ต้องหมั่นสังเกตอาการของลูกน้อยอยู่เสมอ

ทารกท้องอืด ร้องไห้ยกขาสูงมาทางหน้าท้อง
ทารกท้องอืด ร้องไห้ยกขาสูงมาทางหน้าท้อง

กันไว้ดีกว่าแก้กับปัญหา…ลูกท้องอืด!!

แม้ว่าอาการท้องอืดจะเป็นอาการเบื้องต้นที่ไว้ใช้สังเกตการผิดปกติของระบบย่อยอาหารของทารก แต่ก็มิได้หมายความว่า เด็กส่วนใหญ่ที่เกิดปัญหาท้องอืดจะเกิดปัญหาโรครุนแรงตามมาเสมอไป ดังนั้นจึงไม่ควรวิตกกังวลมากจนเกินไปนัก อย่างไรก็ตามอาการท้องอืดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกน้อยรู้สึกไม่สบายตัว และร้องไห้งอแงที่พบเห็นได้บ่อยครั้ง และอาการดังกล่าวสามารถป้องกันได้

 มองหาสาเหตุทารกท้องอืด 

หากลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่มีอาการท้องอืดบ่อย ๆ นั่นอาจเป็นเพราะว่า มีพฤติกรรมหนึ่งพฤติกรรมใดที่ทำให้เกิดการสะสมแก๊สขึ้นมามากในกระเพราะอาหาร ดังนั้นจึงควรสังเกตดูว่าเรามีพฤติกรรมการเลี้ยงลูกแบบนี้หรือไม่ เพื่อหยุดต้นตอของการเกิดอาการท้องอืด

  • ลูกดื่มนมช้าเกินไป อาจเกิดจากลักษณะของจุกขวดนม หรือหัวนมของมารดา เช่น หัวนมบอด อาจทำให้น้ำนมไหลออกมาน้อยหรือไหลช้า ส่งผลให้ลูกน้อยกลืนอากาศเข้าไปมากขึ้นในระหว่างดูดนม
  • ลูกดื่มนมเร็วเกินไป หากน้ำนมจากเต้าของมารดา หรือจุกขวดนมไหลออกมามากเกินไป ลูกน้อยจะต้องกลืนน้ำนมอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เกิดแก๊สสะสมในกระเพาะอาหารได้มากเช่นกัน
  • ดื่มนมที่มีฟองอากาศ สำหรับทารกที่ดื่มนมผง ในระหว่างขั้นตอนผสมนมผงกับน้ำอาจมีฟองอากาศเกิดขึ้น ทารกอาจท้องอืดได้หากกลืนฟองอากาศมากเกินไป ดังนั้น หลังผสมนมเสร็จแล้วควรทิ้งไว้สัก 2-3 นาที เพื่อให้ฟองอากาศแตกตัวก่อนให้ลูกน้อยดื่ม
  • ร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้ลูกน้อยกลืนอากาศเข้าไปจำนวนมาก คุณแม่จึงควรคอยปลอบให้ทารกหยุดร้องโดยเร็ว
  • กระบวนการย่อยอาหาร ระบบย่อยอาหารของทารกในช่วง 3 เดือนแรกยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ การเกิดแก๊สในกระเพาะอาหารเมื่อดื่มนมแม่จึงเป็นเรื่องปกติ อาการของทารกจะค่อย ๆ ดีขึ้นเองเมื่อมีอายุมากขึ้น ส่วนทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไปที่เริ่มรับประทานอาหารชนิดอื่นนอกจากนมแม่ได้แล้ว ในช่วงแรกระบบย่อยอาหารอาจยังไม่คุ้นชินกับอาหารชนิดใหม่ ๆ ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารได้เช่นกัน

นอกจากนี้ การรับประทานอาหารบางประเภทอาจทำให้ลูกน้อยมีแก๊สสะสมในกระเพาะอาหารมากกว่าปกติ เช่น พืชตระกูลถั่ว บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี รำข้าว ข้าวโอ๊ตบด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เป็นต้น บางรายเกิดแก๊สสะสมเนื่องจากมีอาการแพ้โปรตีนจากอาหารบางชนิด โดยเฉพาะนมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม เช่น โยเกิร์ต ชีส รวมถึงโปรตีนในนมผงและน้ำนมแม่ นอกจากนี้ อาหารที่คุณแม่รับประทานก็อาจไหลผ่านน้ำนมและส่งผลให้ทารกมีอาการท้องอืดได้ แม้เด็กไม่ได้รับประทานเองโดยตรง

การสังเกตอาการเมื่อ ทารกท้องอืด รู้เร็วช่วยลูกได้เร็ว
การสังเกตอาการเมื่อ ทารกท้องอืด รู้เร็วช่วยลูกได้เร็ว

 ป้องกันอาการทารกท้องอืดอย่างไร? 

วิธีป้องกันอาการท้องอืดของทารกทำได้โดยการหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร และพยายามไม่ให้ลูกน้อยกลืนอากาศเข้าไปจำนวนมาก

  • ป้อนนมให้ทารกในปริมาณที่พอเหมาะ
  • จัดท่าทางของทารกให้เหมาะสมขณะป้อนนม โดยยกศีรษะให้อยู่สูงกว่าลำตัวเล็กน้อย
  • ขณะป้อนนมควรยกขวดนมขึ้นเพื่อป้องกันอากาศไหลผ่านช่องว่างบริเวณจุกนม รวมทั้งปรับขนาดรูบนจุกนมไม่ให้ใหญ่หรือเล็กเกินไป หรือใช้ขวดนมที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อให้ลูกน้อยกลืนอากาศเข้าไปน้อยที่สุด
  • สำหรับลูกที่กินนมแม่ หากพบว่านมแม่ไหลมากหรือเร็วเกินไป ซึ่งนั่นมักจะเกิดในช่วงต้นของน้ำนม แม่อาจทำการบีบน้ำนมส่วนต้นออกสักเล็กน้อย เพื่อให้ส่วนที่ไหลเร็ว และแรงผ่านไปก่อนให้ลูกดูดนม
  • แม่ที่น้ำนมน้อย หัวนมบอด อาจใช้เครื่องปั๊มน้ำนมเข้าช่วยได้
  • ทารกที่หย่านมแม่แล้ว พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการให้ลูกน้อยรับประทานอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สในกระเพาะมาก เช่น รำข้าว ข้าวโอ๊ต กะหล่ำปลี ถั่วต่าง ๆ อาหารที่ทำจากนม เป็นต้น ส่วนคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเหล่านี้เช่นกัน เพราะอาจส่งแก๊สผ่านปริมาณน้ำนมไปสู่ลูกน้อยได้
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ผู้เชี่ยวชาญคาด อนาคตโควิดจะกลายเป็น โรคระบาดในเด็กเล็ก

อุทาหรณ์! ลูก ลำไส้อักเสบเรื้อรัง เพียงเพราะแม่อยากให้ลูกอ้วน

เด็กแต่ละวัย แรกเกิด-6 ปี ควร “ตรวจสุขภาพ” อะไรบ้าง?

วัคซีนโรต้า จำเป็นไหม?รวมข้อมูลควรรู้ให้แม่ก่อนตัดสินใจ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Checklist 7 วิธีเลือกสบู่เหลวเด็ก ครีมอาบน้ำเด็ก โดยคุณหมอนิอร

ยุคโควิดนี้ทำให้คุณพ่อ คุณแม่หลายๆ ท่านอาจจะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ สำหรับลูกน้อยด้วยวิธีช้อปปิ้งออนไลน์กันอยู่ใช่มั๊ยคะ และบางครั้งคงจะมึนงงกันบ้างว่าเลือก สบู่เหลวเด็ก หรือ ครีมอาบน้ำเด็ก ตัวไหนดีสินค้ามีเยอะไปหมด ดูจากการรีวิวสินค้าเพียงพอหรือไม่

การอาบน้ำเป็นกิจวัตรประจำวันที่เราทำกันทุกวันเพื่อความสะอาดของร่างกาย ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวจึงเป็นสิ่งเรามีใช้กันทุกครอบครัว พญ. นิอร บุญเผื่อน กุมารแพทย์ทางด้านโรคผิวหนังในเด็ก เจ้าของเพจ “ผิวเด็ก” จึงมาบอกเคล็ด (ไม่) ลับในการเลือกซื้อสบู่เหลวสำหรับเด็ก ครีมอาบน้ำเด็ก ให้คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกซื้อได้อย่างมั่นใจด้วยตัวเองอ้างอิงตามหลักวิชาทางการแพทย์เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผิวลูกน้อยกันค่ะ

ประเมินสภาพผิวกันก่อน ลูกน้อยของคุณมีผิวแบบไหน?

เริ่มต้นมาลองประเมินสภาพผิวของลูกน้อยกันนะคะ ว่าลูกเป็นเด็กผิวแห้งหรือผิวปกติ โดยทั่วไปในเด็กเล็กเรามักไม่พบปัญหาเรื่องผิวมันค่ะ เพราะต่อมไขมันจะถูกกระตุ้นจากฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น

  • ลูกผิวปกติ

เราจะพบว่าผิวเรียบลื่น ไม่แห้งตึง ไม่มีขุยหรือสะเก็ดให้เห็น สีมีลักษณะตามสีผิวธรรมชาติของแต่ละคน หากลูกมีผิวปกติการเลือกใช้สบู่นั้นไม่ยุ่งยากค่ะ เราสามารถเลือกสบู่สำหรับเด็กที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปได้ ตามชนิดที่ลูกชอบ ราคาที่จับต้องได้ แต่ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากเกินไป อาบน้ำบ่อยหรือแช่น้ำนานจนเกินไป เนื่องจากสภาพผิวสามารถเปลี่ยนแปลงได้

  • ลูกผิวแห้ง

เราจะเห็นลักษณะผิวที่แห้ง มีขุยสีขาว เมื่อลูบคลำจะรู้สึกหยาบกร้านไม่เรียบเนียน และแย่ลงเมื่ออาบน้ำอุ่น เข้าสู่ฤดูหนาว หรือเมื่อขาดการทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว สาเหตุของผิวแห้ง มีหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรมซึ่งอาจสังเกตได้ว่าคุณพ่อคุณแม่เองก็มีผิวแห้ง การอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานานๆ การใช้สบู่ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว เช่น สบู่ก้อน การอาบน้ำอุ่น การแช่น้ำเป็นเวลานานหรืออาบน้ำวันละหลายครั้ง หากอาการผิวแห้งเป็นรุนแรงมาก หรือมีโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังอยู่ด้วย อาจจะทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ แดง คัน ตามมา ในกลุ่มนี้คุณพ่อคุณแม่มีความจำเป็นที่ต้องระมัดระวังการเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวมากเป็นพิเศษนะคะ

วิธีเลือกครีมอาบน้ำเด็ก

Checklists ในการเลือกสบู่เหลวสำหรับเด็กผิวบอบบาง-แพ้ง่าย

  • มีค่าความเป็นกรดเล็กน้อย (pH 5-5.5)
  • ปราศจากน้ำหอม
  • ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองง่าย เช่น Sodium Lauryl Sulfate (SLS), Sodium Laureth Sulfate (SLES)
  • ไม่เลือกสบู่ก้อน เนื่องจากมีค่าความเป็นด่างสูง จะชะล้างไขมันออกไปจากผิวทำให้ผิวแห้งมากขึ้น
  • ไม่มีส่วนผสมของอาหาร เช่น แป้งสาลี ข้าวโอ๊ต นมวัว นมแพะ เป็นต้น เนื่องจากผิวของเด็กในกลุ่มภูมิแพ้มีโอกาสถูกกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้ประเภทอาหารที่ผ่านเข้ามาทางผิวหนังที่ผิดปกติได้
  • มองหาคำว่า “Non-irritating” “Safety tested” “Dermatologically tested” หรือ “Clinically tested” หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านการทดสอบโอกาสการเกิดการระคายเคืองมาแล้ว
  • มองหาคำว่า “Hypoallergic” “Hypoallergic tested” “Non-sensitizing” หมายความว่าผลิตภัณฑ์นั้นได้รับการผ่านการทดสอบโอกาสการเกิดอาการแพ้ขั้นต่ำจากการสัมผัสผลิตภัณฑ์มาแล้ว

เคล็ดลับง่ายๆ เพียงเท่านี้คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถเลือกสบู่สำหรับเด็ก ครีมอาบน้ำเด็ก ให้เหมาะสมและปลอดภัยกับผิวลูกน้อยได้แล้วค่ะ

บทความลิขสิทธิ์ Copyright © พญ.นิอร บุญเผื่อน All rights reserved. อนุญาตให้เฉพาะ Amarin Baby & Kids เท่านั้น ห้ามคัดลอก ดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 


Heatlh Quotient ฉลาดดูแลสุขภาพ หนึ่งใน Power BQ 10 ความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี เริ่มต้นที่คุณพ่อคุณแม่ เตรียมพร้อมในการดูแลรักษาสุขภาพลูกน้อย และทุกคนในครอบครัว รวมถึง สุขภาพผิวอันบอบบางของลูกน้อย เพราะปัญหาสุขภาพผิวอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ และพัฒนาการของเด็ก คุณพ่อคุณแม่จึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพผิวลูกน้อยให้แข็งแรง เพื่อพัฒนาการที่ไม่สะดุด และพร้อมเรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ


ติดตามเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพผิวเด็กและโรคผิวหนังในเด็ก

กับคุณหมอนิอร ได้ที่เพจ ผิวเด็ก

เพจผิวเด็ก

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ผดร้อน และโรคผิวหนังในหน้าร้อน ที่ทารกต้องระวัง!!

ดูแลผิวลูกหน้าฝน รับมือเชื้อราและแบคทีเรีย

โรคผิวหนังหน้าหนาว 4 โรค พบบ่อยในเด็ก ทารก ผู้สูงอายุ

คุมกำเนิดแบบไหนดีที่สุด

หมอเฉลย คุมกำเนิดแบบไหนดีที่สุด? โดยคุณหมอโอฬาริก

“ไม่มีการคุมกำเนิดที่ดีที่สุดมีแต่การคุมกำเนิดที่เหมาะที่สุดสำหรับแต่ละคน” วันนี้คุณหมอโอ นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร, กรรมการแพทยสภา เจ้าของเพจ เค้าเรียกผมว่า หมอเมนส์ จะมาไขข้อข้องใจกับคำถามที่พบบ่อยว่า คุมกำเนิดแบบไหนดีที่สุด ? และแบบไหนเรียกว่า “เหมาะที่สุด” สำหรับแต่ละคน

คุณหมอเล่าว่า…

หมอมักจะถูกถามว่า คุมกำเนิดแบบไหนดีที่สุด โดยปกติแล้วหมอจะมีคำถาม เป็นแนวทางว่าจะคุมกำเนิดด้วยวิธีไหน?

“เมื่อไหร่มี Sex ถี่ไหม ใช้ก่อนหน้า ที่ว่าชอบ สอบความจำ ทำฉุกเฉิน เมินโรคติดต่อ ขอราคา”

  • เมื่อไหร่มี

เมื่อไหร่มี หมายถึง เมื่อไหร่จะมีลูก เพราะการคุมกำเนิดแต่ละชนิดมีระยะเวลาไม่เท่ากัน เช่น ยาฝังคุมกำเนิดคุมได้ 3-5 ปี ดังนั้นถ้าอยากมีลูกในช่วง 3 เดือนที่จะถึงนี้อยากฝัง อาจจะไม่เหมาะ ในทางกลับกัน ถ้าต้องการคุมกำเนิดนาน ยาฝังคุมกำเนิดก็เป็นตัวเลือกที่ดี

  • Sex ถี่ไหม

Sex ถี่ไหม หมายถึง มีเพศสัมพันธ์บ่อยขนาดไหน คนที่มีเพศสัมพันธ์นานๆ ครั้ง เช่น ทุก 3 เดือน อาจจะเลือกการคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยร่วมกับยาคุมฉุกเฉิน เพราะใช้เพียงแค่ครั้งเดียว ในทางกลับกันถ้ามีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอทุกวัน ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี เพราะอาจจะเกิดผลข้างเคียงได้มาก

ให้นมลูก ท้องได้ไหม

  • ใช้ก่อนหน้า

ใช้ก่อนหน้า หมายถึง ก่อนหน้านี้เคยใช้การคุมกำเนิดชนิดใด และมีประสบการณ์เป็นอย่างไร เช่น เคยใช้วิธีนับวันปลอดภัยแล้วเกิดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ การคุมกำเนิดในปัจจุบันก็ควรจะเลือกวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม

  • ที่ว่าชอบ

ที่ว่าชอบ หมายถึง เคยใช้การคุมกำเนิดใดๆ ก่อนหน้านี้และประทับใจ ทั้งประสิทธิภาพหรือประโยชน์อื่นๆ จากการคุมกำเนิดเช่นทานยาคุมกำเนิดแล้วสามารถปรับรอบประจําเดือนให้มาสม่ำเสมอ และลดปริมาณเลือดประจำเดือน

วิธีคุมกำเนิด

  • สอบความจำ

สอบความจำ หมายถึง เป็นคนที่หลงลืมในการใช้การคุมกำเนิดหรือไม่ เช่น คนที่ลืมกินยาคุมกำเนิดบ่อยๆ ก็ไม่ควรเลือกคุมกำเนิดโดยการกิน เนื่องจากประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดจะไม่ดี

  • ทำฉุกเฉิน

ทำฉุกเฉิน หมายถึง มีเพศสัมพันธ์แบบฉุกเฉินบ่อยหรือไม่ หากมีเพศสัมพันธ์แบบฉุกเฉินบ่อยๆ ควรจะเลือกวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงในทุกช่วงของรอบประจำเดือน

  • เมินโรคติดต่อ

เมินโรคติดต่อ การคุมกำเนิดชนิดเดียวที่สามารถป้องกันโรคติดต่อได้คือ ถุงยางอนามัย หากไม่แน่ใจคู่นอนว่ามีความเสี่ยงเรื่องติดเชื้อหรือไม่ แนะนำคุมกำเนิดด้วยถุงยางอนามัยทุกครั้ง

  • ขอราคา

ขอราคา เนื่องจากการคุมกำเนิดแต่ละชนิดมีราคาแตกต่างกัน ดังนั้น ราคาจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ในการตัดสินใจ อย่างไรก็ดีรัฐบาลให้สิทธิ์ประโยชน์ในการเข้าถึงการคุมกำเนิดในทุกช่วงวัย หมอขอแนะนำให้ทุกท่านใช้สิทธิ์ของตัวเองในการเข้าถึงบริการการคุมกำเนิด

บทความแนะนำ ท้องไม่พร้อม ไม่สนุก!! รู้ยังวัยรุ่น ฝังยาคุม ฟรี

สุดท้ายนี้หมออยากฝากไว้ว่ามีลูกตามคิด ชีวิตมีสุข

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 


Thinking Quotient ฉลาดคิดเป็น และฉลาดเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง หนึ่งใน Power BQ 10 ความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี ซึ่งเริ่มต้นได้ที่ตัวคุณแม่เองก่อน ในการที่จะเตรียมพร้อมหาข้อมูลการคุมกำเนิดที่เหมาะสม เพื่อป้องกัน “ท้องไม่พร้อม” ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา หากคุณตั้งท้อง แต่ยังไม่พร้อมมีลูก


ติดตามเรื่องน่ารู้สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และสุขภาพสตรี กับคุณหมอโอฬาริก

ได้ที่เพจ เค้าเรียกผมว่า หมอเมนส์

เพจ หมอโอฬาริก

 

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

รวมคำถามพบบ่อย คนท้องกับโควิด โดยคุณหมอโอฬาริก

คนท้องติดโควิด คนท้องทำ Home isolation ได้ไหม?

คนท้องติดโควิดกินยาอะไรได้บ้าง ยาที่กินได้ vs ยาต้องห้าม

เตรียมของก่อนคลอด

checklist เตรียมของก่อนคลอด ยังไงไม่บานปลายได้ของครบ

เตรียมของก่อนคลอด แบบไหนไม่ฉุกละหุก เมื่อกลับจากโรงพยาบาลหลังคลอด ได้ของครบทั้งคุณแม่ และลูกน้อย แถมงบไม่บานปลายเอาใจคุณพ่อ เรื่องสำคัญที่แม่ท้องควรรู้!!

checklist เตรียมของก่อนคลอด ยังไงไม่บานปลายได้ของครบ!!

การเตรียมทำรายการข้าวของเครื่องใช้ สำหรับต้อนรับลูกน้อย สมาชิกใหม่ในบ้าน ใครว่าไม่สำคัญ? หากเป็นความเชื่อสมัยก่อนรุ่นคุณปู่คุณย่า หรือคุณทวด อาจไม่ใช่สิ่งที่นิยมทำกันมากนัก เพราะมีความเชื่อโบราณที่ว่า เตรียมของก่อนคลอด ทำให้โชคร้าย??? (จริงหรือ) เตรียมของก่อนคลอด ทำให้ลูกงอแง??? (จริงหรือ)

ในปัจจุบันความเชื่อต่าง ๆ เหล่านี้คงเหลือไว้เพียงเรื่องเล่า เพราะวิวัฒนาการ และเทคโนโลยีสมัยใหม่ สามารถตอบคำถาม และข้อห่วงใยของคนโบราณได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น การที่กล่าวว่า เตรียมของก่อนคลอด อาจทำให้โชคร้าย มีเหตุผลมาจาก ข้อห่วงใยที่กลัวจะเกิดการแท้งลูก ซึ่งในปัจจุบันการฝากท้อง การรับรู้ข้อมูลการดูแลตนเองขณะตั้งครรภ์มีมากมายกว่าในสมัยก่อนมาก ทำให้โอกาสในการแท้งลูกจึงลดน้อยลง และเข้าใจกันแล้วว่าการแท้งลูกมิได้มาจากการเตรียมของลูกไว้ก่อนแต่อย่างใด เป็นต้น

อ่านต่อ  5 ความเชื่อผิด ๆ ของคุณแม่ตั้งครรภ์

เตรียมของก่อนคลอด ได้ของครบงบไม่บานปลาย
เตรียมของก่อนคลอด ได้ของครบงบไม่บานปลาย

การเตรียมของก่อนคลอด จึงเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้คุณแม่ โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างเต็มที่ ไม่ติดขัด เมื่อกลับจากโรงพยาบาลหลังคลอด เพราะร่างกายของคุณแม่ก็ต้องการการฟื้นฟู อีกทั้งยังต้องมีภารกิจในการเลี้ยงทารกแรกเกิด ที่นับว่าเป็นงานที่ไม่เบาเลยทีเดียว การมีตัวช่วย เช่น ข้าวของ เครื่องใช้สำหรับเด็กอ่อน ก็จะช่วยเบาแรง และไม่ต้องห่วงเรื่องสุขอนามัย ความปลอดภัยของเจ้าตัวเล็กมากนัก

Checklist เตรียมของใช้ให้งบไม่บานปลาย ได้ของครบ

การทำรายการสิ่งของ เครื่องใช้ที่จำเป็นก่อนการเลือกซื้อนั้น นอกจากจะช่วยให้เราไม่ซื้อของซ้ำ และมากเกินไปแล้ว ยังทำให้ไม่เกิดการตกหล่นในของบางอย่างที่คุณแม่อาจไม่สะดวกออกไปเลือกซื้อหลังคลอด ดังนั้นเพื่อมิให้เป็นการขาดตกบกพร่อง จะขอแบ่ง Checklist ออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้

 เตรียมของก่อนคลอดสำหรับคุณแม่ 

  • กางเกงรัดหน้าท้อง ผ้ารัดหน้าท้องหลังคลอด สำหรับคุณแม่ที่คลอดด้วยวิธีการผ่าคลอด กางเกงรัดหน้าท้องจะช่วยกระชับหน้าท้อง และป้องกันไม่ให้ขอบกางเกงในเสียดสีกับแผลผ่าคลอด
  • ชุดชั้นในสำหรับให้นมลูก
  • ผ้าอนามัย เนื่องจากหลังคลอดยังมีน้ำคาวปลาไหลออกมาอยู่ จึงต้องใช้ผ้าอนามัยหลังคลอด แนะนำเป็นผ้าอนามัยชนิดแผ่นหนาจะดีที่สุด
  • แผ่นซับน้ำนม ทั้งแบบซักได้ใช้ซ้ำ จะช่วยประหยัดได้มาก หรือแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เหมาะสำหรับเวลาออกไปข้างนอก จะสะดวกกว่า
  • ครีมทารักษาหัวนมแตก สำหรับแม่มือใหม่อาจเกิดปัญหาหัวนมแตกจากการเข้าเต้าของลูกน้อยยังไม่ถนัด ผิดวิธี ก็จะเกิดปัญหาดังกล่าวได้ง่าย
  • หมอนให้นม เป็นตัวช่วยเวลาให้นมลูก จะช่วยให้ง่ายต่อการอุ้มลูกเข้าเต้าได้ถูกวิธีมากขึ้น และป้องกันการปวดคอ ปวดหลังของแม่ได้
  • เครื่องปั๊มนม เลือกที่ได้มาตราฐาน มีรับประกัน

    เครื่องปั๊มนม เตรียมของก่อนคลอด ของใช้แม่
    เครื่องปั๊มนม เตรียมของก่อนคลอด ของใช้แม่

 เคล็ดลับประหยัดงบ!! 

คุณแม่อาจซักถามทางโรงพยาบาลที่จะไปคลอดว่า ทางโรงพยาบาลมีสิ่งของสำหรับคุณแม่หลังคลอดอะไรเตรียมไว้ให้แล้วบ้าง โดยเฉพาะหากคุณแม่ซื้อแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย มักจะมีของรวมอยู่ในราคาเหมาจ่ายนั้นแล้ว เช่น ผ้ารัดหน้าท้อง ผ้าอนามัย เป็นต้น จะได้ไม่ซื้อของซ้ำกับทางโรงพยาบาลก็ช่วยประหยัดไปได้มากเช่นกัน

 เตรียมของก่อนคลอดสำหรับลูก 

ขึ้นชื่อว่าของลูกน้อย รับรองว่าทุกบ้านมักจัดเต็มกับข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ นานา สำหรับเจ้าตัวน้อยกันอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อให้ครบถ้วนในคราวเดียว ควรวางแผนเผื่อระยะเวลาสักหน่อยให้คุณแม่ได้ค่อย ๆ เลือกซื้อของเข้าบ้านทีละน้อย นอกจากสบายเงินในกระเป๋า ที่ไม่ต้องจ่ายมาก ๆ ในคราวเดียวแล้ว ยังทำให้ไม่ต้องเครียดจนเกินไป และควรวางแผนเรื่องจำนวนของสิ่งของแต่ละอย่างตามความเป็นจริงด้วย เช่น เสื้อผ้าเด็กอ่อน ถึงแม้จะดูน่ารักน่าซื้อ แต่ไม่ควรเตรียมไว้มากเกินเพราะลูกโตเร็วมาก ส่งผลให้ใช้ได้ไม่ครบหากมากเกิน และเป็นการเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น เป็นต้น

 เคล็ดลับประหยัดงบ!!

การเตรียมของใช้สําหรับทารกแรกเกิด

  • การเลือกซื้อของใช้ต่าง ๆ คุณแม่จะต้องใจเย็น ๆ ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อ ควรเดินดูเพื่อเปรียบเทียบราคา และหาโปรโมชั่นในช่วงเวลาต่าง ๆ ก็จะทำให้ได้ส่วนลด ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้บ้าง
  • เครื่องใช้สำหรับลูกอาจไม่จำเป็นต้องซื้อใหม่หมดทุกอย่าง และควรเลือกที่มีอายุการใช้งานนาน ๆ เพราะลูกจะโตเร็วมาก การลงทุนซื้อของใช้บางอย่างจึงอาจไม่คุ้มค่า เช่น เปล หรือรถเข็น ถ้าสามารถหยิบยืมจากญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงได้ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก
  • สิ่งของจำเป็นหลายอย่างที่สามารถเก็บได้นาน และจำเป็นต้องมีแน่นอน เช่น ขวดนม ผ้าอ้อม สำลี เป็นต้น คุณแม่สามารถเตรียมเผื่อไว้ได้ เพราะของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องใช้อยู่แล้ว และไม่จำเป็นต้องรีบร้อนซื้อเร็วไปนัก เพราะบางช่วงเวลาอาจมีโปรโมชั่นลดราคาก็สามารถทยอยซื้อได้เช่นกัน
  • สิ่งของเครื่องใช้สำหรับลูกควรเลือกที่มีลวดลายน่ารักสีสันสดใส เพราะจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูกได้
  • อุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มีเชือกผูก จะต้องผูกให้แน่น ถ้าเชือกยาวไปจนเกะกะก็ควรตัดทิ้ง เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกกลืนเข้าไปจนสำลัก
  • รถเข็น ตะกร้าหิ้วเด็ก หรือเปล ต้องไม่มีเหลี่ยมมุมอันตราย ขอบที่แหลมคม หรือช่องใด ๆ ที่นิ้วของลูกจะเข้าไปติดค้างได้
  • ควรทยอยซื้อของเก็บไปเรื่อย ๆ จะได้ไม่เครียด และอาจจะได้ของในแบบเดียวกันที่ราคาถูกกว่าในแต่ละที่ก็เป็นได้

    เตียงนอนเด็ก สามารถใช้ของมือสองจากญาติพี่น้องเพื่อประหยัดงบ
    เตียงนอนเด็ก สามารถใช้ของมือสองจากญาติพี่น้องเพื่อประหยัดงบ

Checklist รายการเตรียมของก่อนคลอดสำหรับลูกน้อย (แบ่งตามหมวดหมู่)

หมวดเครื่องแต่งกาย

  • เสื้อเด็กทารกแบบป้ายด้านหน้า ผูกโบว์หน้า ซึ่งจะง่ายต่อการสวมใส่ (หากเลือกแบบผูกโบว์ด้านหลัง คุณแม่จะใส่ยากนิดหนึ่งและจะทำให้ลูกเจ็บหลังเวลานอนทับ)
  • เสื้อทารกป้ายด้านหน้าแขนสั้น + กางเกงขาสั้น อย่างน้อย 3 – 4 ชุด
  • เสื้อทารกป้ายด้านหน้าแขนสั้น + กางเกงขาสามส่วน อย่างน้อย 3 – 4 ชุด
  • เสื้อทารกป้ายด้านหน้าแขนยาว + กางเกงขายาว อย่างน้อย 3 – 4 ชุด
  • ชุดไปเที่ยวเสื้อแขนสั้น + กางเกงขาสั้น สัก 2 ชุด / เสื้อแขนยาว + กางเกงขายาว สัก 2 ชุด เท่านี้ก็พอ เพราะอันที่จริงแล้ว ช่วง 3 เดือนแรก คุณหมอไม่แนะนำให้พาลูกออกนอกบ้าน เพราะภูมิคุ้มกันเค้ายังน้อยมาก เสี่ยงต่อการรับเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย
  • ถุงมือและถุงเท้า อย่างละ 4 คู่ (ถุงมือช่วยป้องกันลูกพลาดมือจิ้มตาตัวเอง เพราะการควบคุมกล้ามเนื้อของเด็กทารกยังไม่ดีพอ แต่การใส่ถุงมือถุงเท้าไม่ควรใส่ตลอดเวลา เพราะจะไปปิดกั้นพัฒนาการของลูกได้ แนะนำใส่เวลาที่คุณแม่จำเป็นต้องไปทำงานที่ไม่ได้อยู่ใกล้ลูกจะดีกว่า)
  • รองเท้า  2 คู่
  • หมวกเด็กอ่อน 2 ใบ เอาไว้ใส่สลับกัน
  • ผ้ากันเปื้อน ผ้ากันน้ำลาย เด็กวัยแรกเกิดมักมีน้ำลายไหลออกมาจากปากอยู่เสมอ ผ้ากันน้ำลายจึงเป็นสิ่งที่ควรมีไว้หลาย ๆ ผืน เพราะจะได้มีไว้เปลี่ยนให้ลูกได้สบายตัวขึ้น ไม่เฉอะแฉะ
  • ผ้าอ้อมหรือผ้าห่อตัว แนะนำเป็นผ้าสำลี เพราะลูกจะนุ่มสบายตัวขนาด 30×30 หรือจะเป็นผ้าสาลู ขนาด 29×29 เตรียมไว้ 3-4 โหล เพราะจะได้ไม่เสียเวลาค่อยซักบ่อย ๆ
  • ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ค่อนข้างสะดวก เตรียมไว้เวลาไม่สะดวกเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือตอนกลางคืน แต่สำหรับเด็กอ่อนอาจทำให้ระคายเคืองได้ต้องหมั่นเปลี่ยน
  • ผ้าอ้อมแบบผ้าสำลี ประมาณ 1-2 โหล เพราะใช้ปูทับผ้ายาง จะช่วยซับปัสสาวะลูกได้ดี และจะได้ไม่ต้องทำความสะอาดผ้ายางบ่อยๆ
  • เข็มกลัดซ่อนปลาย หากไม่สบายใจกลัวทิ่มลูกน้อย แนะนำวิธีพับผ้าอ้อมให้ลูกน้อยที่มีหลายวิธีที่ไม่จำเป็นต้องใช้เข็มกลัด

    รถเข็นเด็ก ของใช้ที่สามารถเตรียมได้ตั้งแต่ก่อนคลอด
    รถเข็นเด็ก ของใช้ที่สามารถเตรียมได้ตั้งแต่ก่อนคลอด

หมวดอุปกรณ์สำหรับทำความสะอาด

  • อ่างอาบน้ำเด็ก แนะนำซื้อไซส์ใหญ่ เพราะลูกโตเร็วมาก ควรเลือกแบบที่มีช่องเปิดปิดเพื่อระบายน้ำที่ก้นอ่าง คุณแม่จะได้ไม่ต้องก้มทิ้งน้ำให้ปวดหลัง และเจ็บแผลอีกต่างหาก
  • เครื่องวัดอุณหภูมิน้ำ เพื่อทดสอบความอุ่นของน้ำ
  • แชมพูสบู่อาบน้ำเด็ก Head to Toe สำหรับเด็กแรกเกิด ควรเลือกที่ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ว่าไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวของลูกน้อย
  • หมวกกันแชมพู
  • เบบี้โลชั่น หรือเบบี้ออยล์
  • แป้งฝุ่น ควรเทแป้งที่ฝ่ามือคุณแม่ก่อน แล้วค่อยทาที่ลูก ไม่ควรเทแป้งลงตัวเด็กโดยตรง เพราะผงฝุ่นจะไปรบกวนทางเดินหายใจของลูกได้ เนื่องจากระบบทางเดินหายใจของลูกนั้นยังเล็กมาก
  • สำลีก้านเล็ก สำหรับเช็ดรูจมูก และรอบหู
  • สำลีก้านธรรมดา สำหรับเช็ดสะดือ
  • สำลีก้อนผ่านการฆ่าเชื้อ สำหรับเช็ดก้น
  • สำลีแผ่นตัดข้าง สำหรับเช็ดเปลือกตา
  • baby wipe เวลาออกไปข้างนอกจะได้ไม่ต้องพกสำลีหลายแบบ
  • ผ้าขนหนูอาบน้ำผืนใหญ่ 2 ผืน
  • น้ำยาซักผ้าเด็ก
  • น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก
  • เครื่องนึ่งขวดนม

หมวดที่นอน

  • เตียงเด็ก มีความแข็งแรง มีตัวล็อกหนาแน่น ลูกกรงที่กั้นโดยรอบเตียงมีความสูงพอที่จะไม่ให้ลูกปีนข้าม ส่วนซี่กรงควรห่างกันไม่เกิน 6 เซนติเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้หัวของลูกเข้าไปติดอยู่เพราะความซน และที่กั้นเตียงควรสูงจากที่นอนอย่างน้อย 26 นิ้ว
  • เบาะนอนทารก ไม่ควรเลือกที่นุ่มหรือแข็งจนเกินไป เพราะถ้าหากนุ่มมาก ๆ จะเสี่ยงที่ทารกหน้าจมฟูก ทารกอาจหายใจไม่ออก
  • ผ้าปูที่นอน อย่างน้อย 2-3 ชุด
  • ผ้าห่ม ไม่ควรมีชายรุ่ยร่าย เพราะอาจพันนิ้วเล็ก ๆ ของลูกหรือลูกอมเข้าปากจนเกิดการสำลักได้
  • หมอนหนุน
  • หมอนข้างเอาไว้กันตัวลูก
  • รถเข็นเด็ก
  • คาร์ซีท
  • เบาะสำหรับนอนเล่น
  • ของเล่นโมบายล์ ที่มีสีสันสดใสและมีเสียงดนตรีที่ไพเราะ จะเหมาะสำหรับแขวนไว้เหนือเตียง หรืออาจห้อยเอาไว้ให้อยู่ในระดับสายตาลูก (8-10 นิ้ว) เพราะจะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสสายตาของลูกให้ทำงานได้ดี

    ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ตัวช่วยคุณแม่ได้ดี
    ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ตัวช่วยคุณแม่ได้ดี

หมวดเบ็ดเตล็ด

  • กรรไกรตัดเล็บสำหรับเด็ก
  • ลูกยางแดง สำหรับดูดน้ำมูก(อุปกรณ์ดูดน้ำมูก) ในกรณีที่เด็กมีปัญหาน้ำมูกคั่ง ทำให้ดูดนมหรือหายใจลำบาก คุณแม่สามารถใช้ลูกยางแดงหรืออุปกรณ์ดูดน้ำมูกที่ขายในแผนกขายของใช้สำหรับเด็กหรือตามร้านขายยาได้
  • ตะกร้าสำหรับใส่ของใช้ลูก
  • ปรอทวัดไข้ ปรอทแก้วไม่ควรใช้ เพราะอาจเกิดอันตรายได้หากแตกหัก
  • มหาหิงส์(ป้องกันท้องอืด) จะใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ แต่ควรเลือกแบบที่มีแอลกอฮอล์น้อย ๆ
  • วาสลีน
  • ครีมทากันยุง
  • แซมบัค ทาหลังยุงกัดหรือหัวโน
  • ตู้เสื้อผ้าลูก
  • อื่น ๆ เช่น ที่กันกระแทกมุมโต๊ะ, ที่กั้นประตู, ที่กั้นพัดลม (กันลูกเอานิ้วไปแหย่)

    เตรียมของก่อนคลอด ได้ของครบ แม่สบายใจพร้อมไปคลอด
    เตรียมของก่อนคลอด ได้ของครบ แม่สบายใจพร้อมไปคลอด

รายการทั้งหมดนี้ และจำนวนปริมาณ อาจยืดหยุ่นตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว ที่สำคัญควรจดไว้ในสมุดบันทึก และเช็ครายการที่ได้เตรียมไว้แล้วเพื่อป้องกันการลืม และซื้อซ้ำ หากคุณแม่ลองทำตามเช่นนี้รับรองได้เลยว่าได้ของครบ สบายใจหลังคลอด แถมงบไม่บานปลายอีกด้วย เรียกได้ว่า สุขใจทั้ง พ่อ แม่ และลูก ทั้งครอบครัวเลยทีเดียว

ข้อมูลอ้างอิงจาก medthai.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

สุดเจ๋ง! 15 ไอเดียสำหรับพ่อแม่มือใหม่ใช้เลี้ยงลูก

เทคนิคการใช้ ที่ตรวจไข่ตก ใช้ให้ถูก เพิ่มโอกาสมีลูกไว

ผักผลไม้ต้องห้าม สำหรับแม่ท้อง และให้นมลูก

ตั้งชื่อเล่นลูก 100 ชื่อเล่นไทยๆ ลูกชาย ลูกสาว เพราะดี มีความหมาย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เตรียมของไปคลอด

คู่มือ! เตรียมของไปคลอด ให้ครบ! จบ! ในกระเป๋าใบเดียว

จัดแล้วจัดอีกก็กลัวของที่เตรียมไว้จะไม่ครบ!! มาดูเช็คลิสต์ เตรียมของไปคลอด กันได้ที่นี่ จัดเต็ม จัดครบ จบ ได้ในกระเป๋าใบเดียว!!

คู่มือ! เตรียมของไปคลอด ให้ครบ! จบ! ในกระเป๋าใบเดียว

การเตรียมความพร้อมก่อนไปคลอดที่โรงพยาบาลนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทารกนั้นไม่สามารถใช้สิ่งของแบบเดียวกับผู้ใหญ่ได้ อีกทั้งยังต้องมีอุปกรณ์มากมายมาเป็นตัวช่วยในการเลี้ยงดูอีกต่างหาก การจะรอให้คลอดก่อนแล้วค่อยไปหาซื้อนั้น ลืมไปได้เลยค่ะ!! คุณแม่ต้องพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล ไม่น่าจะออกไปหาซื้อได้ง่าย ๆ แม้จะสามารถฝากคุณพ่อให้ไปซื้อได้ แต่แน่นอนว่า คุณแม่ไม่ถูกใจเหมือนไปซื้อเองหรอกค่ะ ดังนั้น มาดูกันว่าสิ่งที่ต้อง เตรียมของไปคลอด มีอะไรบ้าง ที่จัดไว้แล้วมีครบหรือยัง แต่ก่อนที่จะเตรียมของ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเตรียมก็คือ เตรียมตัว คุณแม่เองให้พร้อมสำหรับการคลอดค่ะ คุณแม่ต้องเตรียมความพร้อม ดังนี้

เตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนไปคลอด

สุขภาพร่างกายของคุณแม่ต้องมีความพร้อม โดยในช่วงเดือนที่ 9 ของการตั้งครรภ์ หมอจะนัดคุณแม่มาตรวจครรภ์และตรวจดูความพร้อมของร่างกายทุกสัปดาห์ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมไว้เผื่อมีการคลอดฉุกเฉินขึ้น และเพื่อดูอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ ในการตรวจสุขภาพก่อนถึงสัปดาห์ของการคลอด หมอจะตรวจดูความพร้อมของทารกว่าอยู่ในท่าที่ส่วนนำหรือศีรษะเคลื่อนกลับลงมารออยู่ที่อุ้งเชิงกรานของคุณแม่แล้วหรือไม่ ซึ่งในบางกรณีที่ทารกไม่กลับศีรษะคุณแม่อาจไม่สามารถคลอดเองได้ตามธรรมชาติ หมอจะต้องใช้การผ่าคลอดเข้าช่วย ซึ่งหากทราบถึงพัฒนาการของทารกในครรภ์ก็จะง่ายต่อการประเมินในการให้คุณแม่เตรียมตัวคลอดได้

นอกจากการตรวจร่างกายโดยคุณหมอแล้ว ยังมีอีก 3 เตรียม ที่คุณแม่จะต้องจัดการให้พร้อมก่อนคลอดคือ

  1. เตรียมร่างกายตนเอง คุณแม่ควรฝึกบริหารและดูแลร่างกายให้แข็งแรง เพื่อให้การคลอดดำเนินไปอย่างราบรื่น เช่น การฝึกเทคนิคเกร็งและคลายเพื่อระงับความกลัวและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในขณะคลอด ล้างสีทาเล็บให้เรียบร้อย เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้รัดผมเพื่อไม่ให้รกรุงรัง (อ่านต่อ เคล็ดลับการนั่งท่าผีเสื้อประยุกต์ ลดการเจ็บปวดและช่วย เร่งปากมดลูกเปิดเร็ว)
  2. เตรียมใจให้พร้อม แน่นอนว่าใกล้ถึงเวลาคลอด คุณแม่ทุกคนมักจะกังวลใจ แต่การคลอดเป็นสิ่งที่แม่ทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ไม่สามารถหลีกหนีได้ ดังนั้น คุณแม่ต้องทำจิตใจให้สบาย ผ่อนคลาย คุณแม่อาจหาตัวช่วยโดยการพูดคุยกับคนใกล้ชิดเพื่อให้สบายใจขึ้น แต่หากยังรู้สึกว่าสภาพจิตใจไม่ดีขึ้น คุณแม่สามารถขอคำปรึกษาจากคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญได้
  3. เตรียมเวลา เตรียมลาคลอด สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่คุณแม่จะได้รับในขณะลาคลอดจะช่วยให้คุณแม่ที่ต้องทำงานมีเวลาเตรียมตัวเป็นคุณแม่ได้อย่างเต็มตัวเพื่อดูแลทารกทั้งก่อนและหลังคลอดได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น ดังนั้นจึงควรใช้โอกาสนี้อย่างเต็มที่ อย่าปล่อยให้ช่วงเวลาดี ๆ เหล่านี้สูญเปล่า
    • คุณแม่ที่รับราชการ มีสิทธิ์ลาคลอดได้ 90 วัน (นับรวมวันหยุดด้วยทุกกรณี) โดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ คุณแม่ที่เป็นข้าราชการสามารถรับเงินเดือนจากส่วนราชการได้ตามปกติจำนวน 90 วัน ส่วนพนักงานราชการจะรับเงินเดือนจากส่วนราชการได้ตามปกติ 45 วัน และรับจากสำนักงานประกันสังคมอีก 45 วัน พร้อมมีสิทธิ์ลากิจเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้ไม่เกิน 150 วันทำการ โดยไม่ได้รับเงินเดือน นอกจากนี้ยังสามารถเบิกเงินช่วยเหลือการคลอดบุตร ค่ารักษาพยาบาล พร้อมยังได้รับเงินสวัสดิการสำหรับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย
    • คุณแม่ที่ทำงานในรัฐวิสาหกิจ สามารถเบิกเงินช่วยเหลือการคลอดบุตร ค่ารักษาพยาบาล และยังได้รับเงินช่วยเหลือบุตร พร้อมสิทธิ์ลาคลอดได้ 60 วัน โดยได้รับเงินเดือนตามปกติ และอาจลากิจเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้ไม่เกิน 30 วัน โดยไม่ได้รับเงินเดือน
    • คุณแม่ที่ทำงานในบริษัทเอกชน จะมีสิทธิ์ลาคลอดได้ 90 วัน โดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ ส่วนค่าใช้จ่ายตามกฎหมายแล้วบริษัทจะต้องทำบัตรประกันสังคมให้คุณแม่ทุกท่าน ซึ่งคุณแม่จะได้รับสิทธิ์ค่าทำคลอดบุตรแบบเหมาจ่ายจากบัตรประกันสังคม นอกจากนี้ยังได้รับเงินช่วยเหลือการหยุดงานเพื่อคลอดบุตร โดยนายจ้างจะจ่ายค่าจ้างให้ 45 วัน และประกันสังคมจ่ายให้ 45 วัน
    • คุณแม่ที่ประกอบอาชีพอิสระ สามารถใช้บริการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองได้ฟรี สำหรับการคลอดบุตรไม่เกิน 2 ครั้ง พร้อมการตรวจรักษารวมถึงค่าห้องและค่ายา

ของใช้เตรียมคลอด
ของใช้เตรียมคลอด

เตรียมของไปคลอด (ของใช้คุณแม่และลูกน้อย)

ในขั้นตอนนี้ จะเตรียมเฉพาะของใช้สำหรับคุณแม่และลูกน้อยกันก่อนนะคะ สำหรับเอกสารและสิ่งอื่น ๆ จะแจงรายละเอียดกันในขั้นตอนต่อไปค่ะ โดยของที่ต้องเตรียมมีดังนี้

ของใช้คุณแม่

  1. กระเป๋าใบเล็ก ในกระเป๋าใบนี้จะใส่ของใช้ในห้องน้ำ ของใช้ส่วนตัว ของใช้กระจุกกระจิก ได้แก่
    • สบู่หรือเจลอาบน้ำ
    • แชมพูสระผม
    • โฟมล้างหน้า
    • ครีมทาตัว
    • กระจก
    • หวี
    • ที่หนีบผม ที่ผูกผม หรือที่คาดผม
    • เครื่องสำอาง (คุณแม่อาจสอบถามคุณหมอก่อนคลอดได้นะคะว่าอนุญาตให้แต่งหน้าก่อนไปคลอดได้หรือไม่)
  2. ผ้าขนหนูสำหรับเช็ดตัว ผ้าขนหนูผืนเล็ก สำหรับเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อ
  3. รองเท้าแบบไม่มีส้นหรือรองเท้าแตะ
  4. คอนแทคเลนส์หรือแว่นตาสำรอง (เฉพาะคุณแม่ที่จำเป็นต้องใช้)
  5. คุณแม่อาจโหลดเกม ซีรีย์ หรือ สิ่งที่ทำให้คุณแม่เพลิดเพลินได้ระหว่างรอคลอด เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการปวดท้องคลอดได้ค่ะ
  6. กระเป๋าน้ำร้อน บรรเทาอาการปวดหลัง และคลายอาการปวดหลังคลอด
  7. นาฬิกาที่มีเข็มวินาที เพื่อใช้สำหรับจับเวลาการบีบรัดตัวของมดลูก
  8. กล้องถ่ายรูปหรือกล้องถ่ายวิดีโอเพื่อบันทึกภาพ รวมทั้งสายชาร์จและแบตฯ สำรองเพื่อบันทึกเหตุการณ์อันควรค่าแก่ความทรงจำ (ควรถามทางโรงพยาบาลก่อนว่าอนุญาตให้มีการบันทึกภาพในห้องคลอดได้หรือไม่)
  9. เสื้อใน แผ่นซับน้ำนม และกางเกงใน  คุณแม่ควรเตรียมเสื้อในสำหรับเตรียมให้นมลูก 2-3 ตัว
  10. เสื้อผ้าสำหรับใส่ในวันกลับ โดยเสื้อที่เตรียมควรเลือกแบบที่สามารถเปิดปิดให้นมได้สะดวก
  11. ผ้าอนามัย สำหรับผ้าอนามัยควรใช้ชนิดที่มีห่วงและสายคาดครับ ซึ่งมีไว้เพื่อใช้ซับน้ำคาวปลาหลังคลอด ส่วนใหญ่แล้วทางโรงพยาบาลจะมีให้อยู่แล้ว สามารถสอบถามไว้ก่อนล่วงหน้าได้ค่ะ
  12. หมอนให้นม สามารถช่วยอำนวยความสะดวกสำหรับคุณแม่ในเวลาให้นมลูกได้เป็นอย่างดี
  13. ถุงพลาสติกใบใหญ่ที่เอาไว้ใส่เสื้อผ้าที่ใช้แล้ว
  14. หน้ากากอนามัย ควรเตรียมไปใช้ในโรงพยาบาลอย่างน้อย 10-20 ชิ้น
  15. แอลกอฮอล์ สำหรับล้างมือ

ของใช้ลูกน้อย

คุณแม่ควรสอบถามกับทางโรงพยาบาลก่อนว่าควรนำสิ่งของใดมาให้ลูกบ้าง เช่น ผ้าห่อตัว เสื้อผ้า ฯลฯ เพราะบางโรงพยาบาลได้จัดเตรียมเอาไว้ให้แล้ว ถ้าโรงพยาบาลมีไว้บริการคุณแม่ก็อาจจะใช้ของโรงพยาบาลไปก่อนจนกว่าจะถึงวันกลับ ซึ่งคุณแม่ต้องเตรียมของเหล่านี้เอาไว้เวลาพาลูกกลับบ้านด้วย ได้แก่

  1. ผ้าอ้อมที่ซักแล้วหรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป 1 โหล
  2. สำลีเช็ดก้นน้อง ทิชชูเปียก (เผื่อไว้ทำความสะอาดลูกน้อย) พร้อมถุงเอาไว้ใส่ทิชชูหรือสีลำใช้แล้ว ฯลฯ
  3. แชมพูอาบน้ำ ยาสระผมสำหรับทารก ผ้าเช็ดตัว สำหรับใช้เช็ดตัวลูกหลังอาบน้ำ
  4. ฟองน้ำธรรมชาติ 100% เผื่อไว้ใช้สำหรับอาบน้ำทารกแรกเกิด
  5. ผ้าขนหนูขนาดกลางสำหรับห่อตัวเด็ก 3-4 ผืน ไว้ใช้ห่อตัวให้ลูกรู้สึกอุ่นสบาย
  6. เสื้อเด็กอ่อน ถุงมือ หมวกและถุงเท้าประมาณ 3 ชุด
  7. คาร์ซีท สำหรับให้ลูกนั่งตอนออกจากโรงพยาบาล

เตรียมของใช้ทารกแรกเกิด
เตรียมของใช้ทารกแรกเกิด

เตรียมของไปคลอด (เอกสารและอื่น ๆ )

นอกจากการเตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมของใช้แล้ว ยังมีเอกสารและอีกหลายสิ่งที่คุณแม่ต้องเตรียม ดังนี้

  1. เอกสารต่าง ๆ เช่น บัตรประจำตัวผู้ป่วย, บัตรประกันสุขภาพ, บัตรทอง, ทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนทั้งของคุณแม่และคุณพ่อ (เพราะบางโรงพยาบาลจะมีบริการทำสูติบัตรให้พร้อม), บันทึกการฝากครรภ์ (เป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง เพราะข้อมูลทุกอย่างตอนฝากครรภ์จะอยู่ในนั้น ห้ามลืมเป็นอันขาด) ควรถ่ายเอกสารบัตรประชาชนของคุณพ่อ-คุณแม่ และเอกสารต่าง ๆ มาด้วย)
  2. เตรียมตั้งชื่อลูกน้อย คุณพ่อและคุณแม่ควรคิดตั้งชื่อลูกเผื่อเอาไว้ให้เรียบร้อย เพราะเมื่อถึงเวลาคลอดแล้วลูกยังไม่มีชื่อ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะตั้งชื่อให้ไปก่อน ทำให้ต้องเสียเวลาไปเปลี่ยนแปลงแก้ไข นอกจากนี้ควรวางแผนไว้ล่วงหน้าสำหรับทะเบียนบ้านที่จะแจ้งให้ลูกไปอยู่อาศัย เพราะจะเกี่ยวพันไปถึงโรงเรียนที่จะเข้าเรียนในอนาคตด้วย (อ่านต่อ ตั้งชื่อลูกชายและลูกสาว รวมไอเดียในการตั้งชื่อลูก พร้อมความหมาย ด้วยชื่อมงคล เลือกชื่อลูกจากชื่อพ่อและแม่ ตั้งชื่อตามวันเกิด หาชื่อใหม่ให้ลูกน้อย)
  3. เตรียมค่าใช้จ่าย เป็นอีกเรื่องที่สำคัญอย่างมากสำหรับการเตรียมงบประมาณในการคลอดและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เผื่อเอาไว้ ซึ่งคุณแม่อาจทราบค่าใช้ในการคลอดล่วงหน้าจากโรงพยาบาลที่ไปฝากครรภ์ ว่าต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง แต่ขอแนะนำให้คุณแม่เผื่อวงเงินไว้ในอัตราสูงสุดที่ทางโรงพยาบาลตั้งไว้ เพราะเมื่อถึงเวลาคลอดจริง ๆ คุณแม่อาจไม่สามารถคลอดได้เอง และแพทย์ต้องตัดสินใจผ่าคลอดทันทีเพื่อความปลอดภัย ก็จะทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงมากขึ้น นอกจากจะเตรียมเงินไว้สำหรับการคลอดแล้ว ควรเตรียมเงินเอาไว้สำหรับภาวะเสี่ยงหลังคลอดด้วย เพราะหลังการคลอดแล้วอาจเกิดภาวะต่าง ๆ ทั้งกับตัวคุณแม่และลูกน้อยได้ ซึ่งก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้นตามอาการและจำนวนวันที่พักฟื้น

นอกจากการ เตรียมของไปคลอด แล้ว คุณแม่อย่าลืมเตรียมของใช้ต่าง ๆ สำหรับลูกน้อยหลังจากกลับจากโรงพยาบาลด้วยนะคะ เพราะตอนอยู่โรงพยาบาลยังมีคุณหมอ คุณพยาบาล และเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล แต่หลังจากกลับจากโรงพยาบาลแล้ว คุณพ่อและคุณแม่จะต้องเลี้ยงลูกน้อยเอง การจะไปหาซื้อหลังจากคลอดแล้วอาจจะวุ่นวายมากค่ะ ดังนั้น จัดเตรียมห้อง หรือที่นอนสำหรับลูกน้อย พร้อมทั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมไว้จะดีกว่านะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

รวมคลิปการคลอดลูก นี่แหละที่เรียกว่า “ความเจ็บปวดที่งดงาม”

รวมเคล็ดลับ วิธีช่วยให้แม่ท้องคลอดง่าย

ฉีกกฎทุกการรีวิว! คุณแม่แชร์ประสบการณ์ การคลอดลูก แบบไร้ความเจ็บปวด

3 วิธี คลอดลูก คลอดแบบธรรมชาติ แบบผ่าคลอด หรือคลอดลูกในน้ำ คลอดแบบไหนดี?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : medthai.com, โรงพยาบาลรวมแพทย์พิษณุโลก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ลูกติดเกมช่วงโควิด

เคล็ด(ไม่)ลับ ป้องกัน ลูกติดเกมช่วงโควิด ไม่ตึงไม่หย่อน ช่วยลูกผ่อนคลาย!

ลูกติดเกมช่วงโควิด – ในช่วงที่เด็กๆ ต้องอยู่กับบ้านมากขึ้นด้วยสถานการณ์โควิด-19 และต้องใช้เวลาอยู่หน้าจอ ทั้งคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือ แท็บเล็ต มากขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนด้วยความจำเป็นต้องเรียนในรูปแบบออนไลน์ เพราะโรงเรียนยังไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนตามปกติได้ ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่หลายบ้านอาจต้องเจอในสถานการณ์ช่วงนี้นอกจากความเครียดในเรื่องการที่ทั้งพ่อแม่และเด็กต้องปรับวิถีชีวิตและพบกับความท้าทายในการเรียนแบบออนไลน์แล้ว การแบ่งเวลาในการเล่นเกมบนมือถือหรือคอมพิวเตอร์ของลูกก็อาจกลายเป็นปัญหาที่พ่อแม่ต้องปวดหัวเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งเรื่อง

เคล็ด(ไม่)ลับ ป้องกัน ลูกติดเกมช่วงโควิด ไม่ตึงไม่หย่อน ช่วยลูกผ่อนคลาย!

การได้เล่นเกมอาจทำให้เด็กมีความสุข รู้สึกผ่อนคลายความตึงเครียดต่างๆ ในชีวิต แต่หากเล่นเกมทุกวันวันละหลายเวลา เช้า กลางวัน เย็น แบบไม่มีกฎกติกามาควบคุม ก็อาจทำให้ “เด็กติดเกม” จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต ที่สำคัญคือการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กอาจถดถอยได้

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกำลังส่งเสียงเตือนถึงความรุนแรงของการติดเกมโดยเฉพาะในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เด็กๆ วัยเรียน มีเวลาอยู่หน้าจอมากขึ้น บางคนถึงกับอ้างว่าการติดเกมสามารถเปรียบเทียบได้กับการติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์  “เราทราบดีว่าการเล่นเกมสร้างโดปามีนที่ทำให้สมองเสพติดได้จริง ทำให้เกิดความตื่นเต้นและความเพลิดเพลินต่อเกมอย่างหนัก เจฟฟรีย์ เดเรเวนสกี ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชแห่งมหาวิทยาลัยแมคกิลล์กล่าว

สำหรับผู้ปกครองที่กังวลว่าลูก ๆ  เล่นเกมมากเกินไป  ควรเช็คสัญญาณเตือนต่อไปนี้ 

  • ลูกของคุณคิดเกี่ยวกับเกมแม้ในขณะที่ไม่ได้เล่นหรือไม่?
  • ลูกของคุณรู้สึกกระสับกระส่าย หงุดหงิด อารมณ์เสีย โกรธ วิตกกังวล เบื่อ หรือเศร้าเมื่อพวกเขาพยายามลดหรือหยุดเล่นเกม หรือเมื่อพวกเขาไม่สามารถเล่นได้ หรือไม่?
  • ลูกของคุณรู้สึกว่าควรเล่นน้อยลง แต่ไม่สามารถลดระยะเวลาในการเล่นเกมได้หรือไม่?
  • ลูกของคุณหมดความสนใจหรือลดการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสันทนาการอื่น ๆ เนื่องจากการเล่นเกมหรือไม่?
  • ลูกของคุณเคยหลอกลวงหรือโกหกครอบครัว เพื่อน หรือคนอื่น ๆ ว่าพวกเขาเล่นเกมมากแค่ไหน? หรือพยายามไม่ให้ครอบครัวหรือเพื่อนฝูงรู้ว่าพวกเขาเล่นเกมมากแค่ไหน?
  • ลูกของคุณเล่นเกมเพื่อหนีหรือลืมปัญหาส่วนตัวหรือเพื่อบรรเทาความรู้สึกไม่สบายใจ เช่น ความรู้สึกผิด วิตกกังวล หมดหนทาง หรือซึมเศร้าหรือไม่?

ลูกติดเกมช่วงโควิด
ลูกติดเกมช่วงโควิด

ผลกระทบของการติดวิดีโอเกม

การเล่นวิดีโอเกมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตวัยรุ่นที่สนุกและเป็นเรื่องปกติ แต่มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถควบคุมเวลาในการเล่นเกมของตัวเองได้ นักวิจัยกำลังศึกษาเพิ่มเติมว่าใครมีความเสี่ยงที่จะติดเกมได้มาก และเพราะเหตุใด ประมาณ 10% ของวัยรุ่นมีอาการของการเล่นเกมที่ไม่ดีต่อสุขภาพและแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไปซึ่งเด็กเหล่านี้ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่เหมือนกัน คือ มีพฤติกรรมก้าวร้าว มีปัญหากับการเรียน การพักผ่อน ออกกำลังกาย หรือการสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวและเพื่อนฝูง พวกเขาอาจมีภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล ความประหม่า และมีปัญหากับการใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ซึ่งเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น/สมาธิสั้น (ADHD) มีความเสี่ยงเป็นพิเศษที่จะติดเกมได้มากกว่าเด็กทั่วไป

วิดีโอเกมอาจไม่ต่างจากการพนันที่สามารถกระตุ้นระบบการให้รางวัลในสมอง แม้ว่าทางการแพทย์ยังไม่มีการยืนยันว่าเกมทำให้เสพติดคล้ายกับยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ได้ แต่ก็มีการต้องข้อสังเกตว่าการเล่นวิดีโอเกมมากเกินไปสามารถส่งผลเสียที่ร้ายแรงต่อเด็กได้ ซึ่งต่อไปนี้คือผลเสียบางประการของการติดวิดีโอเกม

  • พฤติกรรมครอบงำ – หมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมและแสดงพฤติกรรมหงุดหงิด กระสับกระส่าย และก้าวร้าวเมื่อไม่ได้เล่น
  • อดนอน – เด็กที่เล่นมากเกินไปจะทำเช่นนั้นจนถึงเช้าตรู่ ส่งผลให้อดนอนซึ่งเป็นอันตรายต่อจิตใจที่ยังคงพัฒนาอยู่มากขึ้น เมื่อพวกเขาไปโรงเรียนในวันรุ่งขึ้นจะส่งผลต่อความสนใจและการเรียนรู้ของพวกเขา การอดนอนยังทำให้ปวดหัวและรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน
  • ขาดการออกกำลังกาย – เด็กที่ออกกำลังกายน้อยเกินไป ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่นๆ รวมทั้งสูญเสียโอกาสในการพัฒนาสมอง เนื่องจากการออกกำลังกายนั้นดีต่อสมอง
  • ปัญหาทางกายภาพ – การใช้เมาส์หรือตัวควบคุมมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการทางกายภาพ เช่น ตาแห้ง ปวดหัวไมเกรน และปวดหลัง  และอาจละเลยสุขอนามัยของตัวเอง
  • แยกตัวออกจากสังคม – การเล่นมากเกินไปทำให้ห่างจากการโต้ตอบกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนฝูง กีดกันเด็กๆ จากการพัฒนาทักษะทางสังคมที่ควรเรียนรู้ แม้ว่าเกมออนไลน์ส่วนใหญ่จะเป็นโซเชียล แต่ทักษะที่เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้จากเกมนั้นมีจำกัดมาก เนื่องจากไม่ใช่การโต้ตอบแบบเห็นหน้ากัน
  • การเล่นเกมกลายเป็นจุดสนใจเดียวในชีวิต – เด็กสามารถหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเกมได้จนเขาได้รับแรงบันดาลใจจากเกมมากเกินไป พูดถึงเกมตลอดเวลาและความคิดส่วนใหญ่มักมุ่งไปที่การเล่นเกม
  • ละเลยกิจกรรมและความรับผิดชอบ – เหตุเพราะติดเกมอย่างหนัก เด็กบางคนอาจละเลยการเรียน ไม่ทำการบ้าน และผลการเรียนตกต่ำ
  • ขาดความสนใจในการอ่านและงานอดิเรกอื่น ๆ – ที่มีประโยชน์ทางการศึกษา เมื่อเด็กเล่นเกมมากเกินไป จะไม่สนใจงานอดิเรกอื่น ๆ ที่ช่วยพัฒนาสติปัญญา เช่น การอ่านหนังสือที่หลากหลาย และมีส่วนร่วมในกิจกรรมสร้างสรรค์
  • หนีปัญหาชีวิตแทนที่จะเผชิญหน้า – เด็กบางคนที่ใช้ชีวิตที่ตึงเครียดหาทางหนีออกด้วยโลกแห่งจินตนาการของเกม การหลบหนีจะทำให้เด็กไม่สามารถเผชิญปัญหาและหาทางแก้ไข ซึ่งเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญที่ควรได้รับการพัฒนาตั้งแต่ยังเด็ก
  • หงุดหงิด ซึมเศร้า เมื่อไม่สามารถเล่นได้ – เมื่อเด็กไม่ได้เล่นเกมอย่างที่ตั้งใจ เด็กบางรายแต่เป็นส่วนน้อย อาจมีอาการแสดงออกที่รุนแรง เช่น เหงื่อออก ตัวเย็น หงุดหงิด ปวดหัวไมเกรน
  • รู้สึกเสียใจที่เสียเวลาในชีวิต – การเล่นเกมไม่สร้าวปัญหาให้ใครหากรู้จักเล่นอย่างพอประมาณ แต่ถ้ามากเกินไป เวลาในการทำสิ่งอื่นๆ ที่มีประโยชน์ก็อาจเสียไป และในอนาคตหากตระหนักได้ว่าพวกเขาได้เสียเวลาและโอกาสไปโดยไร้ประโยชน์ อาจนำไปสู่ความเสียใจและรู้สึกผิดต่อตัวเอง
  • ทำให้มีนิสัยโกหก หลอกลวง – การเล่นเกมที่มากเกินไปอาจทำให้เด็กไม่ซื่อสัตย์หรือหลอกลวงพ่อแม่เกี่ยวกับเวลาที่ใช้ในการเล่นเกม ในบางกรณีพวกเขาอาจขโมยเงินเพื่อใช้จ่ายในการเล่นเกม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาส่วนตัวที่ร้ายแรง

ลูกติดเกมช่วงโควิด

จะป้องกันการเล่นเกมที่ไม่ดีต่อสุขภาพลูกได้อย่างไร?

มีวิธีที่พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถทำได้ เพื่อป้องกันการติดเกม และการเล่นเกมที่ไม่ดีต่อสุขภาพของเด็กๆ  ซึ่งการคอยติดตามสอดส่องและมีกติกาที่รอบคอบว่าลูกหลานใช้สื่อมากน้อยเพียงใดสามารถช่วยได้

  • วางแผนการใช้หน้าจอของลูกให้รอบคอบ เพื่อป้องกันลูกติดเกม เล่นได้แต่ต้องมีกฎกติกาที่ชัดเจน เช็คให้แน่ใจว่าการเล่นเกม จะไม่กระทบกับกิจกรรมสำคัญอื่นๆ เช่น การบ้าน การออกกำลังกาย หรือการนอนหลับ เป็นต้น
  • ควรรู้ว่าลูกใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างไร เกมและแอปใดที่ลูกดาวน์โหลด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเกมมีความเหมาะสมกับวัยและเหมาะสมกับเนื้อหา
  • ให้เล่นเกมในพื้นที่ส่วนกลาง แน่นอนว่าอาจเป็นไปไม่ได้เสมอไป เพราะลูกต้องใช้โทรศัพท์และทำการบ้านโดยใช้แล็ปท็อป ซึ่งยากที่จะติดตามทุกสิ่งที่พวกเขาทำ แต่อย่างไรก็ตามควรทำเท่าที่จะทำได้
  • ร่วมเล่นเกมกับลูก และเป็นตัวอย่างที่ดี สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้คุณเห็นว่าพวกเขากำลังทำอะไรและทำอย่างไร แต่ยังช่วยจำกัดเวลาในการเล่นเกมอีกด้วย
  • มุ่งเน้นไปที่เกมในโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับเด็กเล็ก เด็กเล็กเรียนรู้ได้มากเมื่อเชื่อมต่อกับผู้อื่น ส่งเสริมให้พวกเขาเล่นกับของเล่น หนังสือ และดินสอสี
  • หาวิธีสร้างสรรค์ เพื่อให้เกมและเวลาเทคโนโลยีสมดุลกับกิจกรรมกลางแจ้ง
  • สังเกตบุตรหลาน ว่าโต้ตอบกับอุปกรณ์และเกมอย่างไร หากมีพฤติกรรมก้าวร้าว หงุดหงิด อาจหมายความว่าจำเป็นต้องให้ลูกใช้เวลาอยู่หน้าจอน้อยลง

เด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่เล่นวิดีโอเกมอาจไม่ได้ติดเกม หรือมีปัญหาอื่นๆ ที่น่าเป็นห่วง แต่เมื่อการเล่นเกมเริ่มเป็นอุปสรรคต่อชีวิตในด้านอื่นๆ ก็ถึงเวลาที่พ่อแม่ต้องก้าวเข้ามาช่วยเหลือ  การตั้งกติกาและกฎเกณฑ์ต่างๆ ตลอดจนการคอยสอดส่องดูแลเวลาหน้าจอของเด็กๆ และการหาเวลามีส่วนร่วมกับลูกให้มากขึ้นในการทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน จะช่วยให้เด็กๆ ห่างไกลจากการเสพติดการเล่นเกมได้

ทั้งนี้พ่อแม่สามารถสอนและแนะนำลูกๆ ได้ ว่าการติดเกมจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อชีวิตของลูกๆ บ้าง เพื่อให้เด็กๆ เกิดความตระหนัก และระลึกได้ว่าควรเล่นอย่างไรให้พอดีที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจเพื่อสร้างวินัยในการปฏิบัติตามกฎกติกาต่างๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันปัญหาการติดเกมแล้ว ยังเป็นการเสริมทักษะความฉลาดที่รอบด้วยด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ให้ลูกๆ ได้อีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : webmd.com , ctvnews.ca , healthychildren.org

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แนะวิธี แก้ปัญหาลูกติดมือถือ ด้วยแอพพลิเคชัน NetCare พ่อแม่ทำได้แค่ปลายนิ้ว

ระวัง! พ่อแม่ติดมือถือ สื่อสารกับลูกน้อยลง ส่งผลเสียกว่าที่คิด!

5 วิธีแก้ ลูกติดโซเชียล เหลียวแต่หน้าจอทั้งวันทั้งคืน!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ที่ตรวจไข่ตก

เทคนิคการใช้ ที่ตรวจไข่ตก ใช้ให้ถูก เพิ่มโอกาสมีลูกไว

เมื่อกล่าวถึงวิธีการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ให้อสุจิสามารถผสมกับไข่ได้อย่างทันเวลา บทความนี้ คุณหมอหน่อย จากเพจ หมอหน่อย-Dr.Noi The Family มีเทคนิคการใช้ ที่ตรวจไข่ตก หรือ Ovulation strip test ที่จะช่วยคาดการณ์ช่วงเวลาที่ไข่จะตก และทำภารกิจในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้ค่ะ

ความเข้าใจผิดๆ ในการใช้ที่ตรวจไข่ตก

หมอหน่อยเชื่อว่าหลายคนยังเข้าใจผิดในการใช้ที่ตรวจไข่ตกนะคะ เพราะ

  • ที่ตรวจไข่ตก ไม่ได้ Positive หลังจากไข่ตก
  • ที่ตรวจไข่ตก ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
  • ที่ตรวจไข่ตก แม้ผลจะเป็นลบ ก็อาจมีไข่ตกได้

ถ้าใครยังเข้าใจผิดกันอยู่ หมอหน่อยแนะนำว่า ไม่ควรพลาดบทความนี้นะคะ เพราะหมอหน่อยจะอธิบายให้เข้าใจการทำงานของมันจริงๆค่ะ ไปเตรียมพร้อมก่อนตั้งครรภ์กันค่ะ

ที่ตรวจไข่ตก มีหลักการทำงานอย่างไร

หลักการทำงานชุดตรวจไข่ตก จะใช้ตรวจหาระดับสูงสุดของฮอร์โมน LH (Luteinizing hormone) หรือ LH surge ซึ่งฮอร์โมน LH นี้เป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดการตกไข่ หลังช่วง LH surge นี้ประมาณ 12-36 ชั่วโมงถัดมา ก็จะเกิดการตกไข่ (ดั่งภาพแสดง) ดังนั้นชุดตรวจไข่ตกนี้ จะช่วยคาดการณ์ช่วงเวลาที่ไข่จะตกนั่นเอง

วงจรการตกไข่

“เพราะโอกาสตั้งครรภ์จะสูงที่สุด หากมีเพศสัมพันธ์ 2 วันก่อนไข่ตก และที่ตรวจไข่ตกจะ Positive 12-36 ชั่วโมงก่อนไข่ตก ดังนั้นแผ่นตรวจตั้งครรภ์จึงมีประโยชน์มาก ที่จะทำให้เรามีเพศสัมพันธุ์ในช่วงเวลาที่เหมาะสมสุดๆค่ะ”

ประโยชน์ของที่ตรวจไข่ตก

โอกาสตั้งครรภ์จะสูงที่สุดคือ มีเพศสัมพันธ์ 2 วันก่อนไข่ตก (50%) ถ้าชุดตรวจไข่ตก Positive เราจะคาดการณ์ได้ว่าจะมีไข่ตกภายใน 12-36 ชั่วโมงหลังจากนี้ ดังนั้น นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะปฎิบัติภารกิจ เพื่อนให้โอกาสมีลูกสำเร็จได้มากขึ้นค่ะ

วิธีใช้ ที่ตรวจไข่ตก 

  • เริ่มใช้ที่ตรวจไข่ตกได้ ในช่วงก่อนวันไข่ตก 4-5 วัน เช่น รอบเดือน 28 วัน ไข่จะตกวันที่ 14 ของรอบเดือน ให้เริ่มใช้ที่ตรวจในวันที่ 9-10 ของรอบเดือน

  • ใช้ที่ตรวจ ตรวจเรื่อยๆ จนผลได้ Positive

  • ไม่ควรตรวจหลังตื่นนอนทันที ควรตรวจสายๆ หรือช่วงบ่าย เพราะระดับ LH จะสูงมากในสายหรือบ่าย และควรกลั้นปัสสาวะก่อนตรวจเพื่อให้ระดับเข้มข้นขึ้น

  • ควรตรวจอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน และควรตรวจช่วงเวลาเดียวกันทุกวัน

  • ทำตามคำแนะนำของแต่ละยี่ห้อ โดยทั่วไปคือ เก็บปัสสาวะในภาชนะ จุ่มแผ่นตามแถบที่แนะนำไม่เกิน 10 วินาที แปลผลไม่เกิน 10 นาที

  • ถ้าแถบที่ 2 ขึ้นชัด เท่ากับหรือมากกว่าเส้นควบคุม (Control) แปลผล Positive นั่นคือจะมีไข่ตกภายใน 12-36 ชั่วโมงหลังจากนี้

  • ควรทำต่อเนื่องกันอย่างน้อย 3 cycle ( 3 รอบเดือน)

  • อาจใช้ตัวช่วยอื่นเพื่อดูการตกไข่ เช่น อุณหภูมิร่างกาย มูกจากช่องคลอด หรือ ultrasound ดูรังไข่เป็นต้น

ที่ตรวจไข่ตก ขึ้น 2 ขีด
หากชุดตรวจไข่ตก ขึ้น 2 ขีด แปลว่าจะมีไข่ตกภายใน 12-36 ชั่วโมงหลังจากนี้

ถ้าผลเป็นลบตลอด จนพ้นวันที่ไข่ควรตก อาจเกิดจาก

  • ใช้ปัสสาวะช่วงเช้า

  • ระดับ LH ต่ำมากจนไม่สามารถตรวจเจอ

  • ตรวจเร็วไป หรือช้าไป ทำให้ตรวจไม่เจอ

  • บางเดือนไข่ไม่ตกจริง จากสาเหตุต่างๆ เช่นความเครียด เจ็บป่วย

  • ตรวจผิดวิธี เช่น ปัสสาวะใสไปจากการดื่มน้ำมากเกิน หรือไม่ทำตามคำแนะนำเป็นต้น

ทำอย่างไรหากชุดตรวจไข่ตกเป็น Positive

ถ้าแผ่นตรวจไข่ตก Positive หมายถึงคุณอยู่ช่วงวัยเจริญพันธ์สูง แนะนำให้มีเพศสัมพันธ์ในวันที่ได้รับผลบวก และมีต่อเนื่องอีก 2-3 วันถัดมา เพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ โอกาสสำเร็จอยู่แค่เอื้อมค่ะ

ชุดตรวจไข่ตกไม่เหมาะกับใครบ้าง

ชุดตรวจไข่ตกไม่เหมาะกันคนที่มีปัญหา PCOS หรือ Polycystic ovary syndrome หรือ ถุงน้ำในรังไข่หลายใบ เพราะภาวะนี้มักไม่มีไข่ตก ทำให้ผลไม่น่าเชื่อถือได้

คำแนะนำจากหมอหน่อย

  • ใช้ชุดตรวจไข่ตกอย่างน้อย 3 วันก่อนวันไข่ตกทำเรื่อยๆ ทุกวันจนได้ผล Positive

  • ถ้าผลเป็นบวกให้ปฎิบัติภารกิจ (มีเพศสัมพันธ์) ในวันนั้น และ/หรือทำอีกหลังจากนั้น 2 วันถัดมา

  • ตรวจช่วงสายๆ หรือบ่าย ควรงดปัสสาวะ 4 ชั่วโมง และไม่ควรดื่มน้ำเยอะก่อนตรวจ

หมอหน่อยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะทำให้เพื่อนๆ สามารถใช้ประโยชน์จากที่ตรวจไข่ตกนี้ ให้ได้ผลและมีประสิทธิภาพจริงๆ นะคะ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 


Heatlh Quotient ฉลาดสุขภาพดี หนึ่งใน Power BQ 10 ความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี เริ่มต้นได้ตั้งแต่ในท้องแม่ โดยคุณแม่ เตรียมพร้อมหาข้อมูลต่างๆ ในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพ และสุขภาพที่ดีสู่ลูกน้อยในครรภ์ เป็นต้นทุนชีวิตที่ดีตั้งแต่แรกเกิดให้กับลูกน้อย


ติดตามเรื่องน่ารู้การเตรียมตัวก่อนท้อง และข้อมูลที่ควรรู้ช่วงตั้งครรภ์ กับคุณหมอหน่อย

ได้ที่เพจ หมอหน่อย-Dr.Noi The Family

หมอหน่อย
บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

11 สาเหตุมีลูกยาก อยากมีลูก ทำไมไม่ท้องซักที?

อาหารทำให้ท้อง สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่อยากมีลูก

5 ท่าบริหารสำหรับ “คนอยากมีลูก”

 

วิจัยล่าสุดเผย! คนท้องอ่อนตากแดด ลดความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดได้!

คนท้องอ่อนตากแดด – แน่นอนว่าสำหรับคุณแม่ที่อุ้มท้องเจ้าตัวน้อยต่างก็หวังให้ตัวเองมีครรภ์คุณภาพลูกน้อยในครรภ์มีพัฒนาการตลอดจนสุขภาพที่ดี และที่สำคัญคือการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัยตลอดรอดฝั่งไปจนถึงวันกำหนดคลอด ล่าสุดงานวิจัยในสกอตแลนด์เผยผลการศึกษาวิจัยชิ้นใหม่ว่าสตรีมีครรภ์ที่ได้รับแสงแดดปริมาณที่มากขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์จะลดความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนดและสูญเสียการตั้งครรภ์ได้

วิจัยล่าสุดเผย! คนท้องอ่อนตากแดด ลดความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดได้!

การศึกษาในเดือนกรกฎาคม ซึ่งตีพิมพ์ใน Frontier in Reproductive Health ได้วิเคราะห์บันทึกด้านสุขภาพของแม่เกือบ 400,000 คน และทารกมากกว่า 500,000 คนที่เกิดในสกอตแลนด์ หลังจากตั้งครรภ์ได้ 24 สัปดาห์ นักวิจัยตรวจสอบข้อมูลกับบันทึกสภาพอากาศจากช่วงเวลาเดียวกันเพื่อวัดปริมาณแสงแดดความเสี่ยงโดยรวมของการคลอดก่อนกำหนดอยู่ที่ 6% แต่ ความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดลดลงสำหรับผู้ที่ได้รับแสงแดดมากขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์

นักวิจัยพบว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับแสงแดดมากขึ้นในช่วงไตรมาสแรก มีความเสี่ยงต่ำกว่า 10% ที่จะเกิดปัญหากับรกที่เชื่อมโยงกับการคลอดก่อนกำหนดและการสูญเสียทารกเมื่อเทียบกับหญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับแสงแดดน้อย อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างแสงแดดกับความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดในไตรมาสที่สอง โดยผู้วิจัยกล่าวว่า “นี่คือแนวทางการรักษาที่เป็นไปได้สำหรับการป้องกันการคลอดก่อนกำหนด”

การคลอดก่อนกำหนด คือ ทารกคลอดก่อนอายุครรภ์ครบ 37 สัปดาห์ ซึ่งทารกที่คลอดก่อนกำหนดมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนทางสุขภาพที่ร้ายแรงมากกว่าทารกที่คลอดตามกำหนด ซึ่งอาจรวมถึงปัญหาสุขภาพตลอดชีวิต เช่น สมองพิการ และความบกพร่องทางการเรียนรู้

ปัจจัยที่ส่งผลให้หญิงตั้งครรภ์คลอดก่อนกำหนด 

  • เคยมีประสบการณ์คลอดก่อนกำหนดมาก่อน
  • ปากมดลูกสั้น ซึ่งเป็นความผิดปกติแต่กำเนิด
  • โรคประจำตัวของมารดาขณะตั้งครรภ์ อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
  • มดลูกขยายตัวมากเกินไป เช่น ครรภ์แฝด ภาวะน้ำคร่ำมากกว่าปกติ
  • อาการบาดเจ็บระหว่างการคลอดบุตร
  • เลือดออกทางช่องคลอดระหว่างตั้งครรภ์
  • การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
  • น้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ต่ำกว่าเกณฑ์
  • การสูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์
  • ฟันผุ และการอักเสบของเหงือก
  • ภาวะทุพโภชนาการ
  • อายุน้อยกว่า 17 หรือมากกว่า 35

เช็กให้ดี ผักและผลไม้แม่ท้องต้องระวัง เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด

วิจัยสำเร็จ!! ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กคลอดก่อนกำหนดได้

อัณฑะไม่ลงถุง ความผิดปกติที่อาจเกิดกับทารกคลอดก่อนกำหนด

คนท้องอ่อนตากแดด
คนท้องอ่อนตากแดด

ทำไมแสงแดดป้องกันการคลอดก่อนกำหนดได้?

การศึกษาไม่ได้เจาะลึกในประเด็นว่าทำไมแสงแดดถึงช่วยป้องกันการคลอดก่อนกำหนได้ แต่ Sarah Stock  ผู้ร่วมเขียนงานวิจัย และนักวิจัยด้านการแพทย์สำหรับมารดาและทารกในครรภ์ The University of Edinburgh เปิดเผยว่า

” เป็นไปได้ที่ แสงแดดทำให้เกิดการปลดปล่อยไนตริกออกไซด์ออกจากผิวหนังซึ่งทำให้หลอดเลือดผ่อนคลาย ซึ่งสิ่งนี้สามารถช่วยให้การตั้งครรภ์มีสุขภาพดีในครรภ์ได้ เนื่องจาก ไนตริกออกไซด์อาจทำให้มดลูกคลายตัวจึงช่วยป้องกันการหดตัวในระยะแรกของการตั้งครรภ์”

ทั้งนี้สำหรับการสัมผัสกับแสงแดดระหว่างการตั้งครรภ์ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่แพทย์จะสามารถแนะนำสิ่งนี้สำหรับผู้ป่วยได้ แต่สิ่งที่มั่นใจได้คือการได้รับแสงแดดในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ไม่สามารถทำอันตรายต่อคนท้องได้ แต่การหลีกเลี่ยงการถูกแดดเผาหรือตากแดดที่แรงเกินไปอาจดูสมเหตุสมผล แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยสิ้นเชิง

นอกจากนี้ อีกทฤษฎีหนึ่งที่ Sarah Stock กล่าวถึง คือ มีความเชื่อมโยงระหว่างการคลอดก่อนกำหนดกับแสงแดด อาจเกี่ยวกับวิตามินดีที่ร่างกายสามารถผลิตได้มากขึ้นเมื่อได้รับแสงแดดที่เหมาะสม “ผลการศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าอัตราการคลอดก่อนกำหนดพบได้บ่อยกว่าในผู้หญิงที่มีระดับวิตามินดีต่ำ จึงมีน้ำหนักที่เพียงพอที่จะตอบได้ว่า วิตามินดีจะช่วยป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ของคนท้องที่อาจนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดได้ ”

วิตามินดี คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร?

วิตามินดี อาจเป็นที่รู้จักในชื่อ “Sunshine vitamins” เนื่องจากร่างกายของเราสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้บริเวณผิวหนัง จากการสัมผัสแสงแดด วิตามินดี (Vitamin D) เป็นวิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน มีความสำคัญต่อร่างกาย คือ ช่วยในการดูดซึมแคลเซี่ยม และฟอสฟอรัส ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน การทำงานของหัวใจ รวมถึงช่วยในการทำงานของฮอร์โมนต่างๆ ของร่างกาย พบปริมาณมากในอาหาร เช่น นมสด น้ำผลไม้ น้ำมันปลา และอาหารเสริมวิตามินดี นอกจากนี้ จากข้อมูลการศึกษาพบว่า การให้วิตามินดี เสริมระหว่างตั้งครรภ์ ปริมาณ 200-4,000 IU ต่อวัน มีผลดีต่อน้ำหนักแรกคลอด ความยาว และเส้นรอบวงศีรษะของทารก รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะทารกมีน้ำหนักแรกเกิดน้อย (Low birth weight) อีกด้วย

หญิงตั้งครรภ์ขาดวิตามินดี ส่งผลกระทบอย่างไร?

มีข้อมูลจากการวิจัยหลายชิ้นที่เชื่อมโยงการขาดวิตามินดีกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ เช่น เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ครรภ์เป็นพิษ การคลอดก่อนกำหนด และน้ำหนักแรกเกิดต่ำ โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าการขาดวิตามินดีพบได้บ่อยในสตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งรวมถึงผู้ที่ได้รับแสงแดดไม่เพียงพอ อาศัยอยู่ในประเทศที่อากาศหนาวเย็น และสวมเสื้อผ้าหลายชั้นเพื่อป้องกันสภาพอากาศ เช่นเดียวกับคนที่มีผิวคล้ำ

นอกจากนี้ การขาดวิตามินดีที่ส่งผลต่อหญิงตั้งครรภ์ อาจส่งผลให้กระดูกเปราะหรือหักในเด็กแรกเกิดได้ ดังนั้นสตรีมีครรภ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงควรได้รับการตรวจคัดกรองระดับวิตามินดี หากสตรีมีภาวะขาดวิตามินดีในระหว่างตั้งครรภ์ อาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติของกระดูกในเด็กแรกเกิด เช่น โรคกระดูกเปราะในทารก

คนท้องอ่อนตากแดด

หญิงตั้งครรภ์ต้องการวิตามินดีมากแค่ไหน?

ปริมาณวิตามินดีเป็นหัวข้อถกเถียงกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ ปริมาณที่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์มีตั้งแต่ 600 ถึง 2,000 หน่วยสากล (IU) ต่อวัน ปัจจุบันสถาบันการแพทย์แนะนำให้ผู้หญิงทุกคนที่อายุต่ำกว่า 70 ปี ไม่ว่าจะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรหรือไม่ก็ตาม ควรได้รับวิตามินดี 600 หน่วยสากล (IU) หรือ 15 ไมโครกรัม (ไมโครกรัม) ต่อวัน

วิธีลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด

เพื่อลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด สิ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรปฏิบัติ คือ ควรทานวิตามินรวมก่อนคลอด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และควันบุหรี่มือสอง ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และรับประทานอาหารที่สมดุล นอกจากนี้ การนัดหมายกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์เป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน  นอกจากนี้ ขั้นตอนสำคัญที่ต้องทำคือรับการฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องจากการวิจัยพบว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างการมีไวรัสและการคลอดก่อนกำหนด ทั้งศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) วิทยาลัยสูตินรีแพทย์และสูตินรีแพทย์แห่งอเมริกา (ACOG) แนะนำให้คนท้องได้รับการฉีดวัคซีน

นอกจากการได้รับวิตามินดีในระหว่างการตั้งครรภ์จะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพแล้ว วิตามินดียังมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของกระดูกและฟันของเด็กเล็ก การให้เด็กได้รับวิตามินดีที่เพียงพอจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เนื่องจากเด็กที่ได้รับวิตามินดีในปริมาณที่ไม่เพียงพออาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ กระดูกอ่อน ซึ่งเป็นภาวะกระทบต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของกระดูกได้

นอกจากนี้การปลูกฝังให้เด็กๆ ได้ออกไปเล่นนอกบ้าน ได้มีกิจกรรมกลางแจ้งเพื่อโอกาสในการได้รับแสงแดดที่เหมาะสมก็เป็นอึกหนึ่งวิธีที่จะช่วยเสริมวิตามินดี ให้เด็กๆได้ นอกจากความสนุกสนานแล้วยังเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหากทำเป็นประจำ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ให้กับเด็กๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellhealth.com , babycenter.com , samitivejhospitals.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แจกสูตร เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน กินอย่างไรให้ลงลูก

คนท้องปวดท้องน้อย อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง?

ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย พัฒนาการลูกจะเป็นอย่างไร อันตรายไหม

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ชุดตรวจ ATK

ชุดตรวจ ATK จำเป็นแค่ไหน? ใช้ยังไง ควรระวังอะไรบ้าง?

ชุดตรวจ ATK – ชุดตรวจโควิด ATK  (Antigen Test Kit) กำลังเป็นที่รู้จักมากขึ้นในบ้านเรา ล่าสุด กรมอนามัย มีคำแนะนำ ให้ใช้ Antigen Test Kit เพื่อประโยชน์ในการหยุดการแพร่เชื้อภายในครอบครัว ด้วยจำนวน สถิติของเด็กเล็กที่ติดเชื้อโควิดจากสมาชิกภายในครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากอย่างน่าวิตก โดยในขณะนี้ในประเทศไทย พบเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ติดเชื้อโควิด-19 สะสม เกินกว่า 30,000 รายแล้ว

ชุดตรวจ ATK จำเป็นแค่ไหน? ใช้ยังไง ควรระวังอะไรบ้าง?

Antigen Test Kit คืออะไร?

 คือ ชุดตรวจคัดกรองโควิด-19 ด้วยตนเองแบบเร่งด่วนด้วยการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากร่างกาย มีทั้งการตรวจด้วยการเก็บสารคัดหลั่ง จากโพรงจมูก โพรงหลังจมูก และจากน้ำลาย เพื่อตรวจองค์ประกอบของไวรัสได้แก่ โปรตีนหรือแอนติเจนของเชื้อก่อโรคโควิด-19 (SARS-CoV-2) ผู้ที่ควรใช้ชุดตรวจ ATK ได้แก่ ผู้ที่สัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการ และ ผู้ที่เริ่มมีอาการสงสัยว่าติดเชื้อโควิด-1 โดย ชุดตรวจ ATK มี 2 แบบ คือ สำหรับเจ้าหน้าที่ และสำหรับประชาชนตรวจด้วยตนเอง

ประโยชน์ของ Antigen Test Kit

เมื่อ 13 ก.ค. 64 ราชกิจจานุเบกษา ประกาศให้ใช้ Antigen test self-test kits  เป็นชุดตรวจโควิดด้วยตนเองแบบเร่งด่วน ประชาชนสามารถซื้อชุดตรวจ ATK ตรวจหาเชื้อ COVID-19 ได้ด้วยตนเอง ปัจจุบันเริ่มมีคนหันมาใช้ชุดตรวจชนิดนี้เป็นจำนวนมากด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของโรคในวงกว้าง ชุดตรวจโควิดแบบ ATK จึงช่วยให้สามารถตรวจคัดกรองเชื้อได้ การนำ ATK มาใช้ ทำให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงการตรวจลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อและได้รับการดูแลรักษาได้เร็วขึ้น

  • ใช้งานง่ายมาก ทำด้วยตัวเองได้ โดยใช้ของเหลวจากจมูก ลำคอ หรือน้ำลาย
  • เหมาะกับการตรวจผู้ที่ได้รับเชื้อมาแล้ว ประมาณ 5-14 วันขึ้นไป
  • ทราบผลภายในเวลา 15-30 นาที

ข้อดี

  • ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจได้ด้วยตัวเอง โดยทำความเข้าใจได้ไม่ยาก
  • รู้ผลได้เร็ว ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปสถานที่ตรวจ หรือในสถานพยาบาลที่ไม่มีห้องแล็บ

ข้อด้อย

  • ก่อนทำการตรวจ ต้องศึกษาวิธีให้ถูกต้อง โดยต้องแยงไม้ sawp เข้าไปในจุดที่ลึกระดับหนึ่ง หมุนโดยรอบ ซึ่งหากทำผิดวิธีอาจเกิดความผิดพลาด หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกรก่อนทำการตรวจ
  • ในกรณีที่เพิ่งได้รับเชื้อไม่นาน ชุดตรวจ ATK อาจจะตรวจไม่พบเชื้อ และมีโอกาสแสดงผลผิดพลาดได้
  • การทิ้งชุดตรวจที่ใช้งานแล้วในที่สาธารณะ อาจนำไปสู่การแพร่กระจายได้หากทำไม่ถูกวิธี

ประเภทของ Antigen Test Kit

ชุดตรวจ แบบATK แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ

  1. เก็บตัวอย่างจากโพรงจมูก (nasal)
  2. เก็บตัวอย่างจากโพรงหลังจมูก (nasopharyngeal)
  3. เก็บตัวอย่างจากช่องปาก ลำคอ หรือ น้ำลาย (oropharyngeal)

ชุดตรวจด้วยตัวเองส่วนใหญ่จะเป็นแบบแหย่โพรงจมูก (Nasal swab) ซึ่ง ไม้ swab จะสั้นกว่า และไม่ต้องแหย่ให้ลึกเท่ากับแบบหลังโพรงจมูกที่ใช้ในโรงพยาบาล (Nasopharyngeal swab)

ความแม่นยำของ Antigen Test Kit

Antigen Test Kit มีความแม่นยำเฉลี่ย ประมาณ 80%-90% อาจมากหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับงานวิจัยในแต่ละที่ และวิธีตรวจ ซึ่งแม้จะคัดกรองเชื้อได้ในระดับหนึ่ง แต่ชุดตรวจ ATK ก็มีโอกาสที่จะให้ผลที่ไม่ถูกต้อง เช่น ลบหรือบวกปลอมได้ ผลการตรวจอาจไม่แม่นยำเท่าวิธี RT-PCR ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐาน แต่ด้วยปีนี้ความชุกการติดเชื้อค่อนข้างสูง เพราะฉะนั้น ถ้าได้ผลบวกก็ไม่ควรนิ่งนอนใจในการเตรียมตัวเข้าสู่กระบวนการการรักษาให้เร็วที่สุด

 

ชุดตรวจ ATK
ชุดตรวจ ATK

Antigen Test Kit ใช้อย่างไร?

ก่อนตรวจหาเชื้อ COVID-19 ควรอ่านวิธีการใช้ หรือคำแนะนำ Antigen Test Kit ให้ละเอียด โดยการใช้งานเบื้องต้น มีขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้

  • ชุดตรวจแบบแยงโพรงจมูก 

ในหนึ่งชุด ประกอบด้วย แผ่นทดสอบ หลอดดูด น้ำยา ก้าน swab และหลอดตัวอย่าง กรวยเก็บน้ำลาย และแถบทดสอบ

วิธีใช้

1. เทน้ำยาลงในหลอดตัวอย่างให้ถึงจุดที่กำหนด

2. นำก้าน swab แหย่จมูก หมุน 3-4 ครั้ง ค้างไว้ 3 วินาที (การแหย่ ไม้ swab จะต้องไปตามแนวของฐานจมูก (Nasal floor) หรือขนานกับเพดานปาก)

3. นำก้าน swab ใส่หลอด หมุนวนในน้ำยาประมาณ 5 ครั้ง

4. นำหลอดดูดน้ำยา หยดลงช่องประมาณ 2-3 หยด

5. ถ้าขึ้น 2 แถบ ที่ C และ T แสดงว่า ติดเชื้อโควิด-19

ผลเป็น บวก ให้แจ้งหน่วยบริการใกล้บ้าน แยกกักตัว แนะนำให้ตรวจซ้ำด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้ง
ผลเป็น ลบ คือขึ้นแค่ 1 แถบที่ C ให้ทดสอบซ้ำในอีก 3-5 วัน

  • ชุดตรวจแบบใช้น้ำลาย

ใน 1 ชุด ประกอบด้วย หลอดน้ำยาเก็บตัวอย่าง ฝาปิดและหยดตัวอย่าง

งดอาหารและเครื่องดื่ม และงดสูบบุหรี่ ก่อนทำการตรวจ 30 นาที

วิธีใช้

1. เก็บตัวอย่างน้ำลายโดยนำกรวยมารองบนปากหลอดก่อน บ้วนน้ำลายประมาณ 5 มล. ให้ถึงขีดที่กำหนด

2. จากนั้นปิดฝาหลอดด้วยที่ปิดให้แน่น แล้วผสมให้เข้ากัน โดยคว่ำหลอดขึ้น-ลง 10 ครั้ง

3. นำแถบทดสอบวางบนพื้นราบ หยดตัวอย่างตรวจ 3 หยด ลงบนหลุมของแถบทดสอบ

4. ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที (ไม่ควรเกิน 20นาที) แล้วทำการอ่านผล

ผลเป็น บวก ให้แจ้งหน่วยบริการใกล้บ้าน แยกกักตัว แนะนำให้ตรวจซ้ำด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้ง
ผลเป็น ลบ คือขึ้นแค่ 1 แถบที่ C ให้ทดสอบซ้ำในอีก 3-5 วัน

การอ่านและแปลผล Antigen Test Kit

ชุดตรวจ ATK
วิธีอ่านผล ชุดตรวจ ATK  ( ขอบคุณภาพจาก pharmacy.mahidol.ac.th )

ข้อควรรู้และระวัง ในการใช้ Antigen Test Kit

การใช้งานชุดตรวจโควิด  ATK ต้องเลือกชนิดที่มีฉลากระบุว่า “สำหรับใช้ทดสอบด้วยตนเอง” (Home use, home test, self-test) และได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว หรือซื้อจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรแนะนำ ซึ่งชุดตรวจแต่ละยี่ห้อแต่ละแบบมีวิธีการใช้แตกต่างกัน เช่น เก็บตัวอย่างจากโพรงจมูก โพรงหลังจมูก หรือน้ำลาย ก่อนใช้ควรอ่านคำแนะนำที่ให้มาในชุดตรวจให้ละเอียด และทิ้งชุดตรวจหลังจากใช้งานด้วยวิธีที่ถูกต้อง

กรณีได้ผลตรวจเป็นบวก ถือว่าเป็นผู้ที่เข้าข่ายสงสัยว่าติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้นต้องปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับผู้ติดเชื้อ โดยหลังจากทราบผลให้ทำการแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์ในสถานพยาบาลอย่างเหมาะสม  กักตัวงดออกจากบ้านโดยเด็ดขาด แจ้งคนใกล้ชิดให้ทราบเพื่อประเมินความเสี่ยง เว้นระยะห่างทางสังคม สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ที่สำคัญต้องแยกการใช้ห้องน้ำ ของใช้ส่วนตัวต่าง ๆ รวมถึงถุงขยะ

นอกจากนี้ควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน หากสมัครใจแยกกักตัวรักษาอยู่ที่บ้านด้วยวิธี Home isolation ต้องสังเกตอาการของตัวเองทุกวันอย่างสม่ำเสมอ โดยตรวจวัดระดับออกซิเจนปลายนิ้วและวัดไข้ หากมีไข้ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาดให้มาก ๆ หากรับประทานยาลดไข้แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นๆ เช่น ไอหนักขึ้น นอนราบไม่ได้ หายใจลำบาก ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ของสถานพยาบาลที่รับผิดชอบทันที

ในกรณีทำการตรวจแล้วได้ผลเป็นลบ ไม่ควรวางใจว่าไม่ติดเชื้อ ซึ่งสาเหตุที่ผลเป็นลบสามารถเกิดจาก

  • เชื้อยังอยู่ในระยะฟักตัว
  • เก็บตัวอย่างผิดวิธี
  • มีปริมาณเชื้อที่โพรงจมูกน้อยเกินไป

อย่างไรก็ตามควรปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับผู้ติดเชื้อ และทำการตรวจซ้ำอีกใน 3-5 วัน หรือตรวจทันทีถ้าเป็นไปได้ หากมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น มีน้ำมูก ไอ  มีไข้ แต่ผลตรวจยังเป็นลบ ควรต้องป้องกันโรคเช่นเดียวกับคนปกติ

สำหรับชุดตรวจโควิด ATK ที่ใช้แล้ว จัดว่าเป็นขยะติดเชื้อ ต้องใช้ความระมัดระวังในการทิ้ง ควรใส่ถุงแดงอย่างมิดชิด ใช้แอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นบริเวณปากถุง หรือหากไม่มีถุงแดงให้เขียนบนถุงว่าขยะติดเชื้อและใช้แอลกอฮอล์ฉีดฆ่าเชื้อเช่นเดียวกัน จากนั้นควรแยกทิ้งในถังขยะ ในกรณีมีมีข้อสงสัยที่ไม่แน่ใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

สำหรับบ้านที่มีเด็กเล็กๆ และมีการประเมินความเสี่ยงว่าค่อนข้างเสี่ยงติดเชื้อในระดับสูง คุณพ่อคุณแม่อาจจำเป็นต้องใช้ชุดตรวจแบบ ATK ตรวจให้ลูก โดยอธิบายให้ลูกฟังว่าทำไมเราถึงจำเป็นต้องตรวจหาเชื้อด้วยวิธีนี้ ตลอดจนแนะนำวิธีปฏิบัติตัวหากพบว่าลูกติดเชื้อ หากเป็นเด็กเล็กๆ อาจต้องใช้ความพยายามในการตรวจและการพูดคุย เพราะเด็กอาจอยู่ไม่นิ่งควรช่วยกันจับเด็กไว้ให้นิ่งระหว่างการเก็บตัวอย่าง เพื่อป้องกันอันตรายขณะแหย่ไม้ swab เข้าไปในโพรงจมูก ทั้งนี้การที่เด็กๆ รับรู้และเข้าใจถึงความจำเป็นของการตรวจหาเชื้อ และวิธีปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสมในกรณีมีความเสี่ยงติดเชื้อสูงจะช่วยเสริมทักษะความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : pharmacy.mahidol.ac.th , ddc.moph.go.th , chulalongkornhospital.go.th

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ทำความรู้จัก!! วัคซีน Pfizer ป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็ก

รู้ก่อนป้องกันได้! ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ เด็กติดโควิดเสียชีวิต คืออะไร?

ผู้เชี่ยวชาญคาด อนาคตโควิดจะกลายเป็น โรคระบาดในเด็กเล็ก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

Eucerin Sun Protection

บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ ประเทศไทย ยืนยัน ผลิตภัณฑ์กันแดด นีเวีย ซัน และ ยูเซอริน ปราศจาคสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการัง เข้าอุทยานแห่งชาติได้ มั่นใจไม่เสี่ยงถูกปรับ 100,000 บาท

เนื่องจากปัจจุบัน มีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทางทะเลจำนวนมาก รวมทั้งมีการนำและใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ยืนยันว่ามีสารเคมีหลายชนิดที่พบในครีมกันแดดที่นักท่องเที่ยวใช้รวมกันกว่า 14,000 ตันต่อปีในท้องทะเลทั่วโลกที่มีส่วนทำให้แนวปะการังเสื่อมโทรมลง ทั้งยังทำลายปะการังวัยอ่อน ทำลาย DNA จนปะการังไม่สามารถขยายพันธุ์ ตลอดจนทำให้ปะการังเกิดการฟอกขาวอีกด้วย ล่าสุดกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช จึงได้ประกาศห้ามนำและใช้ครีมกันแดดตามที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าในอุทยานแห่งชาติ โดยสารทั้งสี่ชนิด ได้แก่

  1. สารกรองรังสียูวี Oxybenzone (Benzophenone-3, BP-3)
  2. สารกรองรังสียูวี Octinoxate (Ethylhexyl methoxycinnamate)
  3. สารกรองรังสียูวีบี 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC)
  4. สารกันเสีย Butylparaben

Nivea Sun

Eucerin Sun Protection

บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตครีมกันแดดยี่ห้อ นีเวีย ซัน และยูเซอริน ตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ปะการังเสมอมา และเป็น “ความห่วงใย” ที่บริษัทฯ คำนึงถึงมากที่สุดในการดำเนินธุรกิจ ทั้งต่อลูกค้าและสิ่งแวดล้อม โดยสาร 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC) และ Butylparaben นั้นไม่ได้เป็นสารพื้นฐานที่บริษัทฯใช้มาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว และตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา ทางไบเออร์สด๊อรฟ ได้เริ่มนำสารกรองรังสียูวี Oxybenzone และ Octinoxate ที่เป็นส่วนผสมหลักที่เป็นอันตรายต่อปะการังออกจากผลิตภัณฑ์กันแดดทั้งหมดจนครบทุกผลิตภัณฑ์ในปี 2020 บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการติดตามและสนับสนุนงานวิจัยผลกระทบของสารกันแดดต่อสิ่งแวดล้อมนี้อย่างใกล้ชิด เพราะความปลอดภัยและความอ่อนโยนต่อผิว คือสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งในการเลือกสารกรองรังสียูวีแต่ละชนิดมาใช้ในผลิตภัณฑ์กันแดดของบริษัทฯ ดังนั้นทางไบเออร์สด๊อรฟจึงเลือกสรรเฉพาะสารกรองรังสียูที่ได้มาตรฐานตามกฏการควบคุมเครื่องสำอางของทวีปยุโรป (EU Cosmetic Regulation) อีกทั้งยังต้องมั่นใจในประสิทธิภาพการกรองรังสียูวีเพื่อการปกป้องผิวในระดับสูงสุด และขอรับรองว่า ผลิตภัณฑ์กันแดดทั้งนีเวีย ซันและ ยูเซอริน ไม่มีส่วนผสมของ Oxybenzone (Benzophenone-3, BP-3), Octinoxate (Ethylhexyl methoxycinnamate), 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC), Butylparaben ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อปะการัง นอกจากนี้ ไบเออร์สด๊อรฟ ยังคงมุ่งมั่นที่จะวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กันแดดทั้งนีเวีย ซัน ยูเซอรินอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

Nivea Sun

Nivea Sun

ในส่วนของผลิตภัณฑ์กันแดด นีเวีย ซัน นั้น บริษัทฯ เริ่มให้ความรู้เกี่ยวกับการเลือกครีมกันแดดที่ไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อปะการังกับผู้บริโภคมาตั้งแต่ปี 2019 โดยทำการสื่อสารผ่านสื่อดิจิตัล เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ถึงข้อมูลอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์ที่บริเวณท่าเที่ยบเรืออ่าวฉลอง จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเที่ยวทะเลเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน ทั้งยังมีการตั้งจุดทำกิจกรรมเล่นเกมส์เพื่อให้ความรู้และประชาสัมพันธ์แก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับความสำคัญและการร่วมกันรักษ์ปะการังโดยยังได้มีการเชิญข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต นักธุรกิจในแวดวงดำน้ำและครูสอนดำน้ำระดับมาสเตอร์มาร่วมงานเพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างอีกด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดของนีเวีย ซัน ที่เป็นสูตรกันน้ำเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาพักผ่อนตามเมืองชายหาด ดังนั้น ไบเออร์สด๊อรฟ จึงเห็นความสำคัญในจุดนี้ นอกจากนี้ยังได้มีการให้ข้อมูลกับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยผ่านสื่อการตลาดดิจิตัลในรูปแบบภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน

สำหรับข่าวราชกิจจานุเบกษาประกาศการห้ามนำเข้าและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีทั้งสี่ชนิดที่กล่าวนั้น ทาง ไบเออร์สด๊อรฟ ไม่ได้รู้สึกตระหนกกับประกาศห้ามครั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ทางแบรนด์ได้ทำการสื่อสารมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวทางทะเล ทั้งนี้พลังเสียงในการสื่อสารออกไปของแบรนด์ผู้ผลิตสินค้าอาจไม่สามารถสร้างความเข้าใจและตระหนักรู้แก่ผู้บริโภคได้เพียงพอ ดังนั้นข่าวข้อประกาศห้ามตามราชกิจจานุเบกษาจึงนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นอันดีที่ช่วยให้คนไทยได้เข้าใจถึงผลกระทบนี้อย่างกว้างขวางมากขึ้น โดยผลิตภัณฑ์นีเวีย ซัน ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นไป และยูเซอริน จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าเป็นครีมกันแดดที่ไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมตามข้อประกาศห้ามดังกล่าว และสามารถนำเข้าและใช้ในอุทยานแห่งชาติได้อย่างมั่นใจ ไม่ถูกปรับ 100,000 บาทอย่างแน่นอน

เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน

เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน ให้แม่เตรียมร่างกายฟิตพร้อมเพื่อลูกน้อย

เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน แจกฟรีเมนูแบบไหนที่กินแล้ว happyทั้งแม่และลูก เตรียมร่างกายให้พร้อม เพื่อลูกในท้องแข็งแรงสมบูรณ์ตั้งแต่ในครรภ์

แจกสูตร เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน ให้แม่เตรียมร่างกายฟิตพร้อมเพื่อลูกน้อย

คุณแม่มือใหม่ที่กำลังกังวลใจกับการบำรุงครรภ์ เพื่อให้ลูกน้อยในท้องได้รับสารอาหาร และประโยชน์มากที่สุด อีกทั้งยังต้องการเตรียมร่างกายของคุณแม่ให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะตั้งครรภ์ ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอีกมากในอีกต่อจากนี้นับไป 9 เดือนเต็ม

นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย ระบุว่าอาหารและโภชนาการที่สำคัญที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับประทานให้เป็นประจำ ในช่วงระยะเวลาการตั้งครรภ์ 9 เดือน ได้แก่ เน้นกินอาหารให้ครบ 5 กลุ่ม ได้แก่ ข้าวหรือแป้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ ควบคู่กับการดื่มนมรสจืด 2-3 แก้วทุกวัน เพื่อให้ได้รับสารอาหารให้ครบถ้วนเพียงพอ สำหรับการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์

แม่ท้องกับอาหารการกิน
แม่ท้องกับอาหารการกิน

นอกจากนี้ “หญิงตั้งครรภ์” ในแต่ละช่วงอายุครรภ์ ก็มีความต้องการสารอาหารแตกต่างกันไป ดังนี้

1. อายุครรภ์ 0-3 เดือน (ตั้งครรภ์ไตรมาสแรก)

อายุครรภ์ในช่วงนี้ทารกเริ่มมีการสร้างอวัยวะ แต่ยังไม่มีการขยายขนาดของร่างกายมากนัก น้ำหนักตัวคุณแม่อาจเพิ่มขึ้นเพียง 1-2 กิโลกรัม แต่ถ้ามีอาการแพ้ท้อง ก็อาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงไปบ้าง พลังงานสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับในระยะนี้ใกล้เคียงกับก่อนตั้งครรภ์ หากแพ้ท้องมากจนทำให้กินอาหารได้น้อย วิธีแก้ไขคือแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อย่อยๆ ในปริมาณน้อยลง แล้วกินให้บ่อยขึ้น

2. อายุครรภ์ 4-6 เดือน (ตั้งครรภ์ไตรมาสที่สอง)

อายุครรภ์ช่วงไตรมาสที่ 2 คุณแม่จะเริ่มกินอาหารได้มากขึ้น ในขณะที่ระยะนี้ทารกกำลังสร้างอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย และมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักของทารกจะเพิ่มขึ้น และจำเป็นต้องใช้พลังงานและสารอาหารสำหรับสร้างระบบไหลเวียนเลือด ระบบประสาท กล้ามเนื้อ กระดูก และอวัยวะต่างๆ ของทารก และสำหรับร่างกายของมารดาเองด้วยดังนั้น “คนท้อง” ในระยะนี้ จึงจำเป็นต้องกินอาหารที่มีพลังงานและสารอาหารสูงกว่าคนปกติ เพื่อควบคุมน้ำหนักตัวให้เพิ่มขึ้นตามเกณฑ์คือ 2 กิโลกรัมต่อเดือน โดยช่วงนี้ร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน ส่วนสารอาหารที่ต้องเน้นเป็นพิเศษ ได้แก่

 โปรตีน จากเนื้อสัตว์ นม ไข่ เพื่อใช้สร้างเนื้อเยื่อในร่างกาย

– ธาตุเหล็ก จากเครื่องในสัตว์ เลือด เพื่อใช้สร้างเม็ดเลือดแดง

– โฟเลท จากตับ เนื้อสัตว์ ผักใบเขียวเข้ม เพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิด และปากแหว่งเพดานโหว่ในทารก

– แคลเซียมและฟอสฟอรัส จากนม ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้แข็ง ธัญพืช และผักเขียวเข้ม ใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน

– ไอโอดีน จากอาหารทะเล ช่วยในการพัฒนาระบบประสาทและเซลล์สมองของทารก

3. อายุครรภ์ 7-9 เดือน (ตั้งครรภ์ไตรมาสที่สาม)

อายุครรภ์ในระยะนี้ ร่างกายของ “คนท้อง” ยังคงต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นประมาณ 300 กิโลแคลอรีต่อวัน ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกมีการขยายขนาดร่างกายเพิ่มขึ้นมาก รวมถึงการสร้างกระดูกและฟัน คุณแม่จึงควรกินอาหารที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง เน้นอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันดี เช่น ปลาทู ปลาจะระเม็ด

ผข้อมูอ้างอิงจาก www.bangkokbiznews.com

ท้องไตรมาสแรกก็สำคัญนะ
ท้องไตรมาสแรกก็สำคัญนะ

เจาะลึก 7 อาหารสำหรับแม่ท้องไตรมาสแรก (เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน)

ช่วงแรกของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงสำคัญของการเจริญเติบโตของสมอง ระบบประสาท และไขสันหลังของลูกในท้อง สำหรับสารอาหารที่จำเป็นที่คุณแม่ท้องในช่วงนี้ควรเน้นเป็นพิเศษ คือ

  • ดีเอชเอ (DHA) เป็นกรดไขมันจำเป็นที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของเซลล์สมอง และจอประสาทตา

อาหารที่มีดีเอชเอสูง ได้แก่ ปลาทะเลน้ำเย็น เช่น ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น

  • ธาตุเหล็ก มีส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงที่จะนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงสมอง

อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ เครื่องใน ไข่แดง ลูกเดือย ข้าวกล้อง เป็นต้น

  • ไอโอดีน มีส่วนสำคัญในกระบวนการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน (Thyroid Hormone) ที่มีความจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ร่างกายและสมอง

อาหารที่มีไอโอดีนสูง ได้แก่ อาหารทะเลทุกชนิด

  • โฟเลต เป็นสารที่แม่ท้องจำเป็นต้องได้รับก่อนการตั้งครรภ์ การขาดโฟเลตในช่วงสามเดือนแรก อาจทำให้แกนกลางประสาทของลูกในครรภ์เกิดความพิการได้

อาหารที่มีโฟเลตสูง ได้แก่ ผักใบเขียวทุกชนิด ผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง แป้งถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน มะเขือเทศ เป็นต้น

ไตรมาสแรกใครว่าไม่สำคัญ!!

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ทั้งหลายคงเริ่มตระหนักแล้วว่า อาหารสำหรับคนท้องไตรมาสแรกนั้นสำคัญมากแค่ไหน นอกจากจะให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์เพื่อร่างกายของตัวคุณแม่เองแล้ว ยังจำเป็นต้องเผื่อสารอาหารที่ดี มีประโยชน์ให้แก่ลูกน้อยในครรภ์ เพื่อนำไปใช้ในการสร้างร่างกายให้สมบูรณ์ แข็งแรงอีกด้วย ลองมาส่องเมนูแนะนำ ที่วันนี้เรานำมาฝากคุณแม่ทั้งหลายให้ได้ลิ้มลอง รสชาติความอร่อยที่ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อย แต่ยังมากด้วยคุณค่าทางโภชนาการอีกด้วย เรียกได้ว่า อาหารพร้อมฟิตร่างกายของแม่เพื่อประโยชน์ถึงแก่ลูกน้อยแน่นอน

1. Chickpeas หรือถั่วลูกไก่

นักวิจัย ได้ค้นพบว่าถั่วลูกไก่นั้นมีส่วนสำคัญในการก่อตัวของ “ท่อประสาท” ซึ่งจะสร้างสมอง และไขสันหลังของทารกในครรภ์ แถมเป็นแหล่งโฟเลตสูง สารอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแม่ที่ตั้งครรภ์

เมนูถั่ว chickpeas
เมนูถั่ว chickpeas

มะเขือม่วงอบชีส และถั่วลูกไก่ (chickpeas)

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่) เตรียม 20 นาที ปรุง 40 นาที

  • กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนชา
  • หอมหัวใหญ่สับละเอียด 2 ช้อนชา
  • เนื้อมะเขือเทศหั่นเต๋าเล็ก 100 กรัม
  • แครอตหั่นเต๋าเล็ก 20 กรัม
  • ถั่วลูกไก่ต้มสุก 100 กรัม
  • มะกอกดำ 6 ลูก
  • มะเขือม่วง หั่นตามขวางหนาประมาณ 0.5 เซนติเมตร 6 ชิ้น
  • มอซซาเรลลาชีสขูด 150 กรัม
  • ผงขมิ้นและผงยี่หร่า อย่างละเล็กน้อย
  • เกลือและพริกไทยดำป่นอย่างละเล็กน้อยสำหรับปรุงรส
  • น้ำมันมะกอก สำหรับผัดและย่างมะเขือม่วง
  • น้ำเปล่าเล็กน้อย

วิธีทำ

  1. อุ่นเตาอบด้วยไฟบน – ล่างไว้ที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส เตรียมไว้
  2. ทำซอส โดยตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอกลงไปใช้ไฟปานกลาง พอร้อนใส่กระเทียมและหัวหอมลงไปผัดให้สุกมีกลิ่นหอม หรี่ไฟลงแล้วใส่มะเขือเทศผัดจนนิ่ม เติมน้ำเล็กน้อยพอเดือดใส่แครอต ถั่วลูกไก่ และมะกอกลงไป ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ใส่ผงขมิ้นและผงยี่หร่าเพิ่มความหอม ผัดให้เข้ากันพอส่วนผสมเริ่มแห้งปิดไฟ ยกลงพักให้เย็น
  3. นำมะเขือม่วง ไปย่างกับน้ำมันมะกอกบนกระทะพอสุก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทยตักขึ้น วางมะเขือม่วงชิ้นที่ 1 ลงในจานเสิร์ฟที่เข้าอบได้ ตามด้วยซอสที่ผัดไว้ในข้อ 2 วางมะเขือม่วงชิ้นที่ 2 ทับลงไปสลับกับซอส และปิดท้ายด้วยมะเขือม่วงชิ้นที่ 3 จึงโรยด้วยชีสให้ทั่วนำเข้าอบประมาณ 3 นาที จนชีสละลายและเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง นำออกมาพร้อมเสิร์ฟ
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สูตร : Seven Spoons ภาพ : จิรวัฒน์ มหาทรัพย์ถาวร สไตล์ : พิมฝัน ใจสงเคราะห์ : goodlifeupdate.com

2. ผักใบเขียว 

ผักใบเขียวนอกจากจะอุดมไปด้วยโฟเลตที่จำเป็นต่อแม่ท้องแล้ว ในช่วงเวลาตั้งครรภ์มักพบว่า อาการท้องผูกมักเกิดขึ้นบ่อย ดังนั้นใยอาหาร และไฟเบอร์จากผักจะช่วยให้ระบบขับถ่ายของแม่ท้องเป็นไปได้ด้วยดีมากยิ่งขึ้น

กุยช่ายผัดตับ เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน
กุยช่ายผัดตับ เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน

 กุยช่ายผัดตับ 

ส่วนผสม
  • ดอกกุยช่าย 100 กรัม (ประมาณ 3 – 4 ถ้วย)
  • ตับหมู (จากหมูเลี้ยงตามธรรมชาติ) 100 กรัม
  • ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยป่น ¼ ช้อนชา
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  • น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทรายเล็กน้อย (หากไม่ชอบหวานไม่ใส่ก็ได้)
  • น้ำเปล่าสำหรับลวกตับหมู
  • น้ำเย็นสำหรับแช่ตับหมูที่ลวกแล้ว
  • เกลือเล็กน้อย
  • ข้าวต้มข้าวกล้องห้าสี
วิธีทำ
  1. ล้างดอกกุยช่ายให้สะอาด หั่นเป็นท่อน พักไว้
  2. ล้างตับหมูให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นใหญ่ พักไว้ ใส่น้ำลงในหม้อ เติมเกลือ ยกขึ้นตั้งไฟให้เดือดใส่ตับหมูลงไปลวกประมาณ 3 นาทีแล้วนำไปแช่ในน้ำเย็น พักไว้
  3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันงาลงไป ตามด้วยขิงและกระเทียมสับ ผัดจนมีสีเหลืองและหอมนำตับลวกขึ้นจากน้ำเย็นใส่ลงไปผัด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย เร่งไฟขึ้นแล้วใส่ดอกกุยช่าย ผัดเร็วๆ จนสุก ปิดไฟ ตักใส่จานโรยพริกไทย รับประทานกับข้าวสวยหรือข้าวต้มข้าวกล้องห้าสี
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สูตรอาหาร : อาจารย์วันทนี ธัญญา เจตนธรรมจักร ภาพ :Anthony Adamson : goodlifeupdate.com

อ่านต่อ>> แจกสูตรเด็ด เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน ทั้งอร่อยได้ประโยชน์ คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เรียนจีนออนไลน์

ส่งลูกไปเรียนที่จีน VS เรียนจีนออนไลน์ ข้อดี ข้อเสีย

คุณพ่อคุณแม่คิดเหมือนกันไหมคะว่า ต่อให้สถานการณ์ทางสังคม ทั้งในบ้านเราเอง หรือต่างประเทศไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ไม่อยากให้เป็นอุปสรรคกระทบกับอนาคตลูก ก็คือในเรื่องของการศึกษา ซึ่งการเรียนตามวิชาพื้นฐานในโรงเรียน หรือการส่งเสริมให้ลูกได้เรียนพิเศษภาษาที่สาม เช่น ภาษาจีน เชื่อว่าย่อมส่งผลดีมากกว่าผลเสียกับตัวของเด็ก ๆ ค่ะ

ภาษาจีน กลายเป็นภาษาที่สามที่เด็กยุคใหม่ไม่รู้ไม่ได้รองลงมาจากภาษาอังกฤษ ภาษาจีนเป็นหนึ่งในภาษาที่สาม ช่วยเปิดประตูโอกาสด้านอาชีพ หน้าที่การงาน และธุรกิจต่าง ๆ ในอนาคตได้ดีมาก ๆ เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศมหาอำนาจ และมีแบรนด์ดังจากจีนมากมายที่ก่อตั้งขึ้นมาหลากหลาย บริษัท require & perfer คนที่พูดภาษาจีนได้เป็นอันดับแรก ดังนั้นการรู้ภาษาจีน จึงสร้างความได้เปรียบให้กับลูกในอนาคตได้มากกว่า

LingoAce

ทีมแม่ABK บอกแบบนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ที่สนใจอยากจะให้ลูกได้เรียนภาษาจีนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาจจะกำลังคิดว่าก็ส่งลูกไปเรียนที่จีนเลยซิ เพื่อที่จะได้มีความเข้าใจ และกล้าที่จะสื่อสาร สามารถฟัง พูด อ่าน เขียน ได้อย่างคล่องแคล่ว มีประสิทธิภาพเก่งเหมือนกับเจ้าของภาษา

แต่ช้าก่อน และใจเย็น ๆ กันสักนิดนะคะ การส่งลูกไปเรียนที่จีน หากจะให้เรียนคอร์สระยะสั้น หรือเรียนระยะยาว กับสถานการณ์ปัจจุบันนี้ คงต้องคิดให้รอบครอบสักนิดว่า จริง ๆ แล้วเราควรจะส่งลูกไปเรียนที่จีน ? หรือเรียนออนไลน์เสริมภาษาจีนสำหรับเด็กที่ไทยก็ได้ น่านะเวิร์ค ประหยัดเงิน ประหยัดเวลามากกว่า ?

น่าคิดนะคะ ถ้อย่างนั้นเราลองมาสรุปข้อดี ข้อเสีย ของการส่งลูกไปเรียนที่จีน กับ เรียนจีนออนไลน์ อยู่ที่บ้าน แบบไหนจะเวิร์คกว่ากัน

เรียนจีนออนไลน์ LingoAce

ถามว่าการส่งลูกไปเรียนภาษาที่จีนดีไหม ดีค่ะ เพราะลูกจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ ได้ประสบการณ์การใช้ชีวิต ได้เรียนกับเจ้าของภาษา แต่ถ้าเทียบกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ บวกกับสถานการณ์ความเสี่ยงของการแพร่ระบาดโควิด การให้ลูกได้เรียนจีนออนไลน์อยู่ที่ไทย น่าจะปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้มากกว่า

ที่สำคัญ การเรียนจีนออนไลน์ กับสถาบันสอนภาษาจีนออนไลน์สำหรับเด็ก LingoAce เป็นสถาบันสอนภาษาจีนอันดับต้น ๆ ที่มีหลักสูตรการเรียนภาษาจีนออนไลน์สำหรับเด็กอายุ 6 – 15 ปี เป็นหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการจีน และสิงค์โปร์ นอกจากนี้คุณครู (เหล่าซือ) เจ้าของภาษาคนจีนแท้ ๆ มีประสบการณ์การสอนมากกว่า 3 ปี ผ่านการคัดเลือกมาอย่างเข้มข้น คือถึงเด็ก ๆ จะไม่ได้เดินทางไปเรียนที่จีน แต่เรียนอยู่ที่ไทยก็ได้ประสิทธิภาพไม่แพ้กันเลยค่ะ

หลักสูตรการเรียนภาษาจีนออนไลน์สำหรับเด็ก ที่ LingoAce จะแบ่งออกเป็น 2 หลักสูตร ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการจีน และสิงค์โปร์

1. หลักสูตรสิงคโปร์ (Singapore Program)

พัฒนามาจากหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ เป้าหมายของการเรียนคือเพื่อให้มีความสามารถในการสอบจบระดับประถมศึกษาของสิงคโปร์ (PSLE) ซึ่งเน้นพัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน โดยจำลองสิ่งต่าง ๆ  และมีการโต้ตอบกับเหล่าซือตลอดคาบเรียน หลักสูตรนี้แบ่งออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่

ระดับที่ 1 และ 2 – เน้นการออกเสียงขั้นพื้นฐานและทักษะการพูด

ระดับที่ 3 และ 4 – ฝึกทักษะการอ่านและเขียน การสนทนาโต้ตอบ

ระดับที่ 5 และ 6 – การสนทนาด้วยปากเปล่า การอ่านบทความยาวและการเขียน

2. หลักสูตรสากล (International Program)

สำหรับเด็กไม่มีพื้นฐานก็เรียนได้ เน้นพัฒนาทักษะฟัง พูด อ่านและเขียนให้เด็ก ๆ สามารถสื่อสาร ภาษาจีน ในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ โดยแบ่งคลาสเรียนออกเป็น 4 ระดับ

เลเวล 1 – ทำความเข้าใจวลี ประโยคที่ใช้ประจำวันได้

เลเวล 2 – ฝึกให้สามารถพูดคุยสื่อสารขั้นต้นได้

เลเวล 3 – สื่อสารหัวข้อในชีวิตประจำวันที่คุ้นเคยกับอิริยาบถทั่วไป

เลเวล 4 – สื่อสารภาษาจีนเพื่อการศึกษา ในขั้นต้นและระดับผู้เชี่ยวชาญ

สถาบันสอนภาษาจีนออนไลน์สำหรับเด็ก LingoAce เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6-15 ปี ที่ LingoAce ดีมาก ๆ อย่างหนึ่งเลยคือเขาการันตีให้กับเด็ก ๆ ที่ไม่มีพื้นฐานภายใน 3 เดือนสามารถพูดได้คล่อง หรือเด็กที่มีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว ต้องการมาเรียนเพื่อนำไปใช้สอบ ทาง LingoAce ก็การันตีผลลัพธ์ให้ด้วยเช่นกันค่ะ คลาสเรียนมีทั้งแบบกลุ่มไม่เกิน 6 คน และแบบเดี่ยว ราคาเริ่มต้นเพียง 300 บาทต่อครั้ง* มีหลากหลายแพ็กเกจให้เลือกตั้งแต่ Small , Medium และ Large

รูปแบบการเรียนจีนออนไลน์ กับสถาบันสอนภาษาจีนออนไลน์สำหรับเด็ก LingoAce จะมีการสอนแบบ Gamification & Interaction เด็ก ๆ จะเรียนสนุก ได้ประสิทธิภาพ ไม่น่าเบื่อ ในระยะเวลาที่เหมาะสม 55 นาที ต่อ 1 ครั้ง มีผู้ดูแลและที่ปรึกษาทางการเรียนแบบ 4 ต่อ 1 คอยออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ที่เหมาะสมให้กับเด็กแต่ละคน ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ และมีประสิทธิภาพไม่แพ้การไปเรียนที่ประเทศจีนเลยล่ะค่ะ

หากการ เรียนจีนออนไลน์ ที่ไทยจะทำให้เด็ก ๆ มีทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน ได้เก่งมีประสิทธิภาพเหมือนกับส่งไปเรียนที่จีน แถมยังช่วยประหยัดงบประมาณต่าง ๆ ลงได้มากขนาดนี้ ทีมแม่ABK ก็แนะนำให้ลูก ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ได้เรียนจีนออนไลน์อยู่ที่ไทยกันนะคะ

พิเศษสำหรับแฟนเพจ Amarin Baby Kids 10 ท่านแรก รับสิทธิ์ทดลองเรียนและโปรโมชั่นที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ลงทะเบียนรับสิทธิ์ที่นี่ https://bit.ly/3kFq1DZ  ด่วนจำนวนจำกัด  

 

วัคซีน Pfizer

ทำความรู้จัก!! วัคซีน Pfizer ป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็ก

รัฐบาลเผย!! วัคซีน Pfizer 30 ล้านโดส ทยอยเข้าไทยตุลาคมนี้ ทยอยฉีดให้เด็ก 12-18 ปี ประมาณ 4 ล้านคน ก่อนรัฐบาลเปิดให้เด็ก ๆ ได้ฉีด เรามาทำความรู้จักกับวัคซีนไฟเซอร์กันเถอะ!!

ทำความรู้จัก!! วัคซีน Pfizer ป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็ก

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล” ถึงการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุเกิน 12 ปีขึ้นไป ตามข่าวดังนี้

รัฐบาล เผยไฟเซอร์ 30 ล้านโดส ทยอยเข้าไทย ต.ค.นี้ จะทยอยฉีดให้เด็ก 12-18 ปี ประมาณ 4 ล้านคน ย้ำผู้ปกครองไม่ต้องกังวล ดูแลทุกกลุ่มแน่นอน

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ ”แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล” ถึงการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กอายุเกิน 12 ปีขึ้นไป ว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และประชาชนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง 7 โรค และขณะนี้รัฐบาลลงนามจัดซื้อวัคซีนวัคซีนไฟเซอร์ 30 ล้านโดส โดยจะทยอยเข้ามาในเดือน ต.ค.นี้ และจะทยอยฉีดให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ที่จะต้องไปโรงเรียนและรวมกลุ่มทางสังคม เนื่องจากได้รับการยอมรับให้ฉีดในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้

โดยกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ จะบริหารจัดการวัคซีนให้เด็กอายุระหว่าง 12- 18 ปี ที่มีประมาณ 4 ล้านคน และวันนี้ได้ฉีดให้เด็กอายุ 12-18 ปี ที่อยู่ในกลุ่ม 7 โรคเสี่ยงแล้วเหมือนกับประชาชนทั่วไป ฉะนั้นผู้ปกครองไม่ต้องกังวลเพราะรัฐบาลดูแลคนทุกกลุ่มอย่างแน่นอน

ขอบคุณข่าวจาก : ข่าวสด

สำหรับแม่ ๆ ที่มีลูกอายุ 12 – 18 ปี อาจจะกังวลถึงอาการข้างเคียงและอยากรู้ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับ วัคซีน Pfizer เพื่อเตรียมพร้อมร่างกายให้ลูกเมื่อถึงเวลาที่จะได้รับวัคซีน ทีมแม่ ABK จึงขอรวบรวมข้อมูล วัคซีน Pfizer มาให้ได้อ่านกันค่ะ

วัคซีนไฟเซอร์
วัคซีนไฟเซอร์

รู้จักวัคซีนโควิดชนิดต่าง ๆ

เราทราบกันดีว่าวัคซีนโควิดนั้นมีหลากหลายชนิด มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ก่อนอื่น มาทำความรู้จักวัคซีนโควิดชนิดต่าง ๆ กันก่อนค่ะ วัคซีนโควิดในขณะนี้มีอยู่ 3 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่

  1. วัคซีนชนิด mRNA คือ การใช้สารพันธุกรรม RNA ไวรัส ส่วนที่สร้างโปรตีนหนามแหลมแล้วห่อหุ้มด้วยไขมันเพื่อให้เชลล์ของเราสร้างหนามแหลม (Spike) โปรตีนมากระตุ้นการสร้างภูมิต้านทาน วัคซีนชนิดนี้ เช่น ไฟเซอร์ – ไอโอเอ็นเทค (Pfizer – BioNTech) และโมเดอร์นา (Moderna)
    • วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้สูง
    • ในอดีตยังไม่มีวัคซีนที่ผลิตด้วยกระบวนการนี้ใช้ในมนุษย์มาก่อน
    • ต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิ -70 ํC ถึง -20 ํC ทำให้ขนส่งได้ยากราคาแพง
  2. วัคซีนชนิดไวรัสเวคเตอร์ คือ การใช้พันธุกรรมส่วนหนามแหลมของไวรัสที่ก่อโรคโควิด-19 ฝากไว้ในไวรัสชนิดอื่นที่ไม่ก่อโรคในมนุษย์ ในการสร้างภูมิต้านทานในร่างกาย วัคซีนชนิดนี้ เช่น ออกซ์ฟอร์ด-แอสทราเซเนกา (Oxford-AstraZeneca) สปุตนิก-ไฟว์ (Sputnik V) แคนซีโน ไบโอโลจิกส์ (CanSino Biologics)
    • เป็นวัคซีนที่สามารถผลิตได้จำนวนมากอย่างรวดเร็ว
    • ราคาถูกกว่า
    • เก็บรักษาได้ง่ายในอุณภูมิเย็นธรรมดา 2-8ํ ํC
  3. วัคซีนชนิดเชื้อตาย เพาะเลี้ยงไวรัสในเซลล์เพาะลี้ยงจำนวนมาก ทำให้ตายด้วยสารเคมีทำให้บริสุทธิ์ และใส่รวมเข้ากับสารกระตุ้นภูมิ (Adjuvant) วัคซีนชนิดนี้ เช่น ซิโนแวค (Sinovac) ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) ของจีน
    • วัคซีนนี้ใช้ได้คนที่มีภูมิต้นทานต่ำได้ พราะเป็นเชื้อที่ไม่ก่อโรค
    • มีความยากลำบากในการผลิต ที่ต้องใช้สถานที่ที่ปลอดภัยสูงทำให้มีราคาแพง

วัคซีนโควิด
วัคซีนโควิด

วัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer Vaccine Covid) คืออะไร?

วัคซีนโควิดไฟเซอร์ คือ วัคซีนสำหรับฉีดเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด SARS-CoV-2 มีชื่อทางการค้าตามเอกสารกำกับยาภาษาไทยว่า โคเมอร์เนตี (COMIRNATYTM) ปัจจุบัน มีการอนุมัติใช้กับเด็กอายุตั้งแต่ 12-18 ปี ภายในประเทศไทยเป็นชนิดแรก (ณ เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2564) โดยมีข้อมูลการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัย ดังต่อไปนี้

ประสิทธิภาพของวัคซีน Pfizer ในเด็ก

  1. วัคซีน Pfizer มีประสิทธิภาพ 100% ในการป้องกันโรคโควิด-19 ที่แสดงอาการ เมื่อเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพการป้องกันในผู้ใหญ่
  2. วัคซีน Pfizer สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในเด็ก ระดับใกล้เคียงกับผู้ใหญ่อายุ 16-25 ปี โดยมีระดับภูมิคุ้มกันอยู่ในเกณฑ์ดีถึงดีมาก

ผลข้างเคียงของวัคซีน Pfizer ในเด็ก

  1. ผลข้างเคียงที่พบบ่อย เช่น เจ็บบริเวณตำแหน่งที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
  2. อาการข้างเคียงเฉพาะที่ ที่เกิดขึ้นเล็กน้อย เช่น บวม แดงในตำแหน่งที่ฉีด
  3. อาการข้างเคียงทั้งระบบ เช่น ไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ
  4. และอาการข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเป็นอาการข้างเคียงที่พบรายงานในอัตราต่ำมาก

นอกจากนี้ยังมีอาการที่พบไม่บ่อย ดังนี้

  1. ผื่น คัน ลมพิษ ปฏิกิริยาภูมิไวเกิน (Angioedema)
  2. นอนไม่หลับ
  3. ภาวะต่อมน้ำเหลืองโต (Lymphadenopathy)
  4. ปวดตามแขนขา
  5. คัน หรือ รู้สึกไม่สบายบริเวณที่ฉีดยา

คำแนะนำจากแพทย์

จากภาพรวมข้อมูลด้านประสิทธิภาพของวัคซีน Pfizer ที่มีการฉีดในเด็กพบว่า มีผลดีมากกว่าผลข้างเคียง ซึ่งพบได้ในอัตราที่ต่ำ ปัจจุบันในประเทศไทยแนะนำให้ฉีดวัคซีนในผู้ป่วยเด็กที่มีโรคประจำตัวหรือมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรงซึ่งขณะนี้มีเพียงวัคซีนชนิด mRNA เช่น วัคซีน Pfizer ที่มีข้อแนะนำให้สามารถฉีดในเด็กได้ ส่วนวัคซีนชนิดอื่น ๆ เช่น วัคซีนชนิดเชื้อตาย หรือชนิดไวรัสเวกเตอร์ ยังไม่มีคำแนะนำการฉีดในเด็ก

ข้อควรระวังเมื่อต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิดไฟเซอร์ (Pfizer)

  • วัคซีนโควิดไฟเซอร์ (Pfizer) หรือวัคซีนโคเมอร์เนตี ไม่ควรใช้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ตัวยา หรือส่วนประกอบตัวใดตัวหนึ่งของวัคซีน
  • หากมีรายงานพบการแพ้แบบ Anaphylaxis ควรเตรียมความพร้อมการแพ้ยาขั้นรุนแรง (Anaphylactic Reaction) หลังจากฉีดวัคซีน ด้วยการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดหลังฉีดวัคซีน 30 นาที
  • พบรายงานการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบหลังจากฉีดวัคซีนเข็ม 2 ภายใน 14 วัน ในผู้รับวัคซีนเพศชายวัยหนุ่ม แต่อาการไม่แตกต่างจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในสภาวะปกติ

ผู้ที่มีอาการต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัย

  • อาการที่เป็นผลจากความวิตกกังวล ปฏิกิริยาของเส้นประสาทวากัส (หมดสติ) ภาวะหายใจถี่กว่าปกติ หรือปฏิกิริยาอันเนื่องมาจากความเครียด
  • มีไข้สูงเฉียบพลัน ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนไปก่อน
  • ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ และความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ควรฉีดวัคซีนด้วยความระมัดระวังในผู้ที่ได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • ยังไม่มีการทำการประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย และความสามารถในการสร้างภูมิในผู้ที่ภูมิคุ้มกันบกพร่อง แต่ในเอกสารกำกับยาระบุว่า ประสิทธิผลของวัคซีนโควิดโคเมอร์เนตีอาจลดลง

ข้อจำกัดของวัคซีนโควิดไฟเซอร์ (Pfizer)

การฉีดวัคซีนโควิดไฟเซอร์ ไม่ได้ป้องกันโรคในผู้รับวัคซีนทุกราย เช่นเดียวกับวัคซีนอื่น และยังไม่ทราบระยะเวลาป้องกันโรคที่ชัดเจน เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการศึกษาผลวิจัย

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ผู้เชี่ยวชาญคาด อนาคตโควิดจะกลายเป็น โรคระบาดในเด็กเล็ก

รู้ก่อนป้องกันได้! ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ เด็กติดโควิดเสียชีวิต คืออะไร?

แยกให้ออก ภูมิแพ้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่กับโควิด -19 อาการ ต่างกันยังไง?

แม่แชร์ เมื่อลูกติดโควิด! วิธีรักษา – Home Isolation เด็ก

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : ศ. พญ.ธนินี สหกิจรุ่งเรือง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, ศ. นพ.ยง ภู่วรวรรณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย, ไทยรัฐ ออนไลน์, สำนักคณะกรรมการอาหารและยา, pfizer.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ทารกไม่ถ่าย ลูกไม่ถ่าย

ทารกไม่ถ่าย ลูกไม่ถ่าย เรื่องใหญ่ไหม?สวนก้นเลยดีไหม?

ทารกไม่ถ่าย ลูกไม่ถ่าย แบบไหนที่เรียกว่าผิดปกติ ไม่ถ่าย 1-2วันปกติไหม ปัญหาสุขภาพที่พ่อแม่ควรรู้และสังเกต เพราะเป็นอาการที่ไร้สัญญาณเตือน รู้เร็วช่วยลูกได้

ทารกไม่ถ่าย ลูกไม่ถ่าย เรื่องใหญ่ไหม? สวนก้นเลยดีไหม?

ลูกน้อยวัยทารก สำหรับคุณพ่อคุณแม่ โดยเฉพาะพ่อแม่มือใหม่ด้วยแล้ว คงเกิดคำถามในใจว่า

“จะทราบได้อย่างไรว่าลูกกำลังสุขภาพดี สบายตัว ไม่เจ็บป่วย?”

สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถประเมินได้ว่า ลูกน้อยวัยทารกแข็งแรงสมบูรณ์ดี หรือมีความผิดปกติหรือไม่นั้น คือ การสังเกตการขับถ่ายของลูก ไม่ว่าจะเป็นปัสสาวะ หรืออุจจาระ โดยสังเกตจากความถี่ในการเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือสังเกตลักษณะของของเสียที่ลูกถ่ายออกมาเปื้อนบนผ้าอ้อม นั่นเอง

ลูกไม่ถ่าย ทารกไม่ถ่าย ไม่สบายตัว งอแง
ลูกไม่ถ่าย ทารกไม่ถ่าย ไม่สบายตัว งอแง

ความถี่ในการขับถ่าย

ความถี่ในการเปลี่ยนผ้าอ้อม นั่นแสดงถึงความถี่ในการขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระของทารก คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกต และนับจำนวนในการขับถ่ายของลูก เพราะสิ่งนี้สามารถบ่งบอกถึงภาวะการขาดน้ำ และอาการท้องผูกของทารกได้

  • ทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือน อาจถ่ายวันละประมาณ 2-3 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 5-40 ครั้ง
  • ทารกอายุ 3-6 เดือน จะถ่ายวันละ 2-4 ครั้ง
  • ทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไป อาจถ่ายวันละประมาณ 1-2 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 5-28 ครั้ง

ทั้งนี้ ทารกอาจไม่ได้ถ่ายทุกวัน ซึ่งการที่ทารกไม่ถ่ายนั้นไม่ได้บ่งบอกว่ามีอาการท้องผูกเสมอไป หากสงสัยว่าลูกท้องผูก ควรสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมกับลักษณะอุจจาระว่าแข็งหรือมีเลือดปนออกมาด้วยหรือไม่

 แบบไหนเรียกว่าท้องผูกกันนะ? 

ทารกแต่ละคนมีความถี่ในการขับถ่ายแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเด็กดื่มนมแม่ หรือนมชง หัดกินอาหารได้หรือยัง และกินอาหารอะไรไปบ้าง พ่อแม่ควรหมั่นสังเกตอาการหรือความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่าย อาการแบบไหนที่เรียกว่าท้องผูกกันนะ

  1. ทารกไม่ถ่าย ลูกไม่ถ่าย ติดต่อกันนานกว่า 2-3 วัน
  2. ออกแรงเบ่งอุจจาระมากกว่าปกติ หรือร้องไห้ขณะขับถ่าย
  3. อุจจาระมีเลือดปน มีลักษณะก้อนแข็งคล้ายเม็ดกระสุน
  4. อิ่มเร็ว ไม่กินอาหาร
  5. ท้องแข็ง

    เด็กท้องผูก ถ่ายยาก
    เด็กท้องผูก ถ่ายยาก

แก้ได้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ (สาเหตุทารกไม่ถ่าย)

หากลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่มักมีอาการถ่ายไม่ออกบ่อย ๆ หรือท้องผูกเป็นประจำ เราควรหันมาสังเกตถึงพฤติกรรม และต้นเหตุที่แท้จริงว่า สาเหตุที่ทารกไม่ถ่ายเกิดจากเหตุอะไร ซึ่งสาเหตุที่ทารกท้องผูก ลูกไม่ถ่ายอาจแบ่งได้เป็น 2 ช่วงวัย ดังนี้

ทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน

  • ความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด หากทารกอายุน้อยกว่า 1 เดือน และมีอาการท้องผูก ไม่ถ่ายควรรีบปรึกษากุมารแพทย์ เนื่องจากอาจเป็นอาการของภาวะลำไล้ใหญ่โป่งพองแต่กำเนิด แต่อย่าพึ่งกังวลมากไป เพราะมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณ 1 ใน 5,000 คน ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์จะเป็นการดีที่สุด
  • แพ้นม ทารกที่รับประทานนมแม่มักไม่เกิดปัญหาท้องผูก หรือถ่ายยาก เนื่องจากน้ำนมแม่มีไขมัน และโปรตีนที่ช่วยให้อุจจาระไม่แข็งตัว จึงมีปัญหาเรื่องลูกไม่ถ่าย น้อยกว่าเด็กที่รับประทานนมชง แต่หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตได้ว่าลูกเริ่มมีอาการถ่ายไม่ออก ท้องผูก อาจเป็นไปได้ว่าลูกแพ้นมสูตรนั้น ๆ สำหรับเด็กที่รับประทานนมชง หรือแพ้อาหารบางอย่างที่คุณแม่รับประทานเข้าไป และส่งผ่านน้ำนมแม่ไปสู่ลูกได้
  • คลอดก่อนกำหนด เนื่องจากระบบย่อยอาหารยังเจริญไม่เต็มที่ ส่งผลให้อาหารที่รับประทานเข้าไปเคลื่อนผ่านทางเดินอาหารช้า และย่อยได้ไม่สมบูรณ์ อุจจาระจึงมีลักษณะแห้ง และแข็ง ทำให้ลูกถ่ายไม่ออก

การดูแลเมื่อทารกไม่ถ่าย ลูกไม่ถ่าย ท้องผูก

สำหรับเด็กที่รับประทานนมแม่ คุณแม่ที่ให้นมบุตรจึงควรเลี่ยงอาหารที่ส่งผลต่อการขับถ่ายของลูก โดยการหมั่นสังเกต และจดบันทึกอาหารที่รับประทานในแต่ละวันที่ส่งผลต่อการขับถ่ายของลูกว่าสอดคล้องกันหรือไม่

ทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไป

เมื่อทารกอายุมากกว่า 6 เดือน เริ่มเข้าสู่การรับประทานอาหารเสริม นอกเหนือจากนมในบางบ้าน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และนำไปสู่ภาวะท้องผูกได้

  • นมชง เด็กที่ดื่มนมชงเพียงอย่างเดียวเสี่ยงเกิดท้องผูกได้มาก อีกทั้งยังต้องคอยปรับสูตรนมตามวัยของลูกอีกด้วยทำให้มีโอกาสเสี่ยงในการแพ้มากขึ้น และเนื่องจากนมชงมีส่วนผสมที่อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานมากขึ้น  ส่งผลให้อุจจาระเป็นก้อน นอกจากนี้ หากทารกแพ้โปรตีนในน้ำนมก็อาจเกิดอาการท้องผูกได้

    กล้วย กับข้าว ทำให้ ลูกไม่ถ่าย ทารกไม่ถ่าย ท้องผูก
    กล้วย กับข้าว ทำให้ ลูกไม่ถ่าย ทารกไม่ถ่าย ท้องผูก
  • อาหารเสริม เมื่อเด็กเริ่มรับประทานอาหารเสริมนอกเหนือจากนมแม่ อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับของเหลว หรือน้ำในปริมาณเท่าเดิม และอาหารบางอย่างมีเส้นใยต่ำ ทำให้เป็นต้นเหตุให้เกิดอาการท้องผูกได้ง่าย
  • ภาวะขาดน้ำ อุจจาระ คือสิ่งหนึ่งที่เราสามารถสังเกตภาวะขาดน้ำของทารกได้ หากทารกประสบภาวะขาดน้ำหรือได้รับน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายจะดูดซึมน้ำจากอาหารที่กินเข้าไป รวมถึงน้ำจากกากของเสียในร่างกาย ส่งผลให้อุจจาระแห้งและแข็งจนขับถ่ายลำบาก
  • อาการป่วยและยา อาการท้องผูกในทารกอาจเกิดจากปัญหาสุขภาพต่าง ๆ เช่น ไฮโปไทรอยด์ โบทูลิซึม (Botulism) อาการแพ้อาหารบางชนิด โรคเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญอาหาร เป็นต้น รวมถึงอาการป่วยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้เด็กกินอาหารหรือดื่มน้ำน้อยลง ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายผิดปกติ และนำไปสู่ปัญหาท้องผูก นอกจากนี้ การใช้ยาระงับปวดชนิดเสพติดหรือธาตุเหล็กในปริมาณสูงก็ทำให้เกิดท้องผูกได้

การดูแลเมื่อทารกไม่ถ่าย ลูกไม่ถ่าย ท้องผูก

ปรับอาหารการกินของลูก การขับถ่ายมักสัมพันธ์กับอาหารการกินเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงควรเริ่มจากการปรับอาหารที่ลูกรับประทานในแต่ละมื้อ ดังนี้

  • เปลี่ยนการให้นม ทารกที่ดื่มนมชงอาจแพ้ส่วนผสมบางอย่างของนมผง จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยี่ห้อนม รวมทั้งสังเกตว่าเด็กแพ้ส่วนผสมใดในนมผง
  • เติมน้ำผลไม้ในนม น้ำผลไม้อาจบรรเทาอาการท้องผูกได้หากบริโภคในปริมาณเล็กน้อย โดยควรผสมน้ำแอปเปิ้ล น้ำลูกแพร์ หรือน้ำลูกพรุนลงไปในนมชง หรือน้ำนมแม่วันละประมาณ 30-60 มิลลิลิตร
  • เสริมใยอาหาร ด้วยอาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น บร็อคโคลี่ ลูกพรุน ลูกแพร์ แอปเปิ้ล ลูกพีช ธัญพืช เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่เสี่ยงทำให้ท้องผูก ลดข้าว กล้วย แครอทสุก ที่สำคัญควรเลี่ยงไม่ให้ลูกกินข้าวกับกล้วย เนื่องจากข้าวและกล้วยจะจับตัวเป็นก้อนได้ง่าย ทำให้ย่อยยาก
  • ดื่มน้ำเยอะขึ้น เพราะน้ำเปล่า และนมจะช่วยให้ร่างกายของเด็กชุ่มชื้น และขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอ
  • ดื่มน้ำลูกพรุนหรือน้ำลูกแพร์เพื่อกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ โดยควรผสมน้ำเปล่าเพื่อเจือจางความเข้มข้นของน้ำผลไม้ไม่ให้หวานจนเกินไป

อ่านต่อ 12 เมนูอาหารเด็ก 6 เดือน กับสูตรอร่อยเพื่อลูกวัยเริ่มกิน

ทารกไม่ถ่าย ลูกไม่ถ่าย สังเกตจากลักษณะอุจจาระ
ทารกไม่ถ่าย ลูกไม่ถ่าย สังเกตจากลักษณะอุจจาระ

ลูกไม่ถ่ายหลายวัน สวนทวารทารกเลยดีไหม?

ก่อนอื่นเมื่อลูกไม่ถ่ายหลายวัน ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตพฤติกรรมการรับประทานนมว่า ลูกได้รับนมในปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายหรือไม่

ทารกนมแม่

หากทารกนมแม่ถ่ายน้อยลง เพราะนมไม่พอ จะรู้ได้จากการชั่งน้ำหนัก เพราะเราไม่สามารถรู้ปริมาณน้ำนมที่ลูกได้รับแบบชัดเจนเหมือนดั่งทารกที่เลี้ยงด้วยนมชง ถ้าน้ำหนักเคยเพิ่มเฉลี่ย 5 วัน 150 กรัม ก็แสดงว่านมแม่ไม่พอ ลูกจึงไม่ถ่าย เพราะเด็กกินน้อยลง ก็ถ่ายน้อยลงตามไปด้วย ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่า ลูกไม่ถ่ายเพราะท้องผูกเสมอไป ต้องดูองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย

ทารกนมชง

ถ้าลูกกินนมครั้งละ 100 cc. วันละ 7 ครั้ง นมที่ได้ถือว่าเพียงพอ หากลูกอายุต่ำกว่า 6 เดือนยังไม่ควรให้ดื่มน้ำ เพราะจะทำให้เขาอิ่มเร็วก่อนที่จะได้รับปริมาณน้ำนมที่เพียงพอ

ทารกนมชง มีโอกาสท้องผูกมากกว่าทารกนมแม่
ทารกนมชง มีโอกาสท้องผูกมากกว่าทารกนมแม่

ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่สังเกตพฤติกรรมลูกน้อยดังกล่าวแล้วพบว่าลูกไม่ได้ไม่ถ่าย เพราะรับปริมาณนมไม่เพียงพอ ยังคงกินได้ปกติ ทารกยังคงดูดนมได้ดี น้ำหนักขึ้นปกติ แต่ลูกไม่ถ่ายทุกวัน อันนี้ก็ต้องขอทำความเข้าใจว่าคนเราทุกคนไม่จำเป็นต้องถ่ายอุจจาระทุกวัน ถ้าเด็กถ่ายอุจจาระตามความถี่ปกติของวัยที่กล่าวมาข้างต้น และลักษณะอุจจาระไม่แข็ง ก็ไม่เรียกว่า ท้องผูก แต่หากลักษณะอุจจาระแข็งมีเลือดปน เด็กร้องทรมานทุกครั้งที่เบ่ง แสดงว่า ท้องผูก ต้องทำให้เด็กถ่ายอุจจาระออกมาให้ไว อย่าปล่อยไว้จนแข็งขึ้นไปอีก

ยาสวนทวาร กับทารก

ในเด็กทารกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือนไม่แนะนำให้ใช้ยาสวนทวารที่ซื้อมาเอง ควรปรึกษาแพทย์ในการรักษา เพราะการสวนก้น ลูกน้อยจะทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุลำไส้ และกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักอาจเป็นแผลทำให้เกิดความเจ็บปวด ยิ่งส่งผลให้ลูกไม่ยอมเบ่ง เพิ่มพฤติกรรมกลัวการถ่ายอุจจาระ และยิ่งทำให้ท้องผูกมากยิ่งขี้น และส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กในระยะยาวได้

ยาถ่าย กับทารก

หากใช้บ่อยเกินไป จะส่งผลให้ลำไส้เคลื่อนไหวผิดปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกเป็นโรคลำไส้กลืนกันได้

สรุปได้ว่า หากทารกเกิดอาการท้องผูก ไม่ถ่ายหลายวัน ควรปรึกษาแพทย์ในการรักษา จะได้ทำการรักษาอาการท้องผูกให้ตรงจุด ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบข้างเคียงแก่ลูกน้อยที่อาจเกิดขึ้นได้หากเราแก้ปัญหาท้องผูกของลูกไม่ตรงกับต้นเหตุที่แท้จริง

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร อาจารย์พิเศษภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย /
รศ.นพ. เสกสิต โอสถากุล ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาสงขลานครินทร์

หมัดเด็ด…เคล็ดลับ

วิธีการกระตุ้นการขับถ่ายของทารก

นอกจากการดูแลทารกเรื่องอาหารการกินที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอาการท้องผูกของลูกน้อยแล้ว คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถใช้เคล็ดลับในการช่วยกระตุ้นร่างกายของเจ้าตัวน้อยให้สามารถขับถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้นได้อีกด้วย ดังนี้

  • ขยับบ่อย ๆ จะดีที่สุด

การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยเร่งการย่อยอาหาร ส่งผลให้ร่างกายลำเลียงของเสียออกไปได้เร็ว โดยพ่อแม่อาจฝึกทารกที่ยังเดินไม่ได้ให้ถีบจักรยานกลางอากาศ หรือหากทารกยังคลานไม่ได้ อาจช่วยนวดกระตุ้นขา

นวดท้องกระตุ้นการขับถ่าย
นวดท้องกระตุ้นการขับถ่าย

  • นวดท้องกระตุ้น สัมผัสรักจากแม่

วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นลำไส้ ช่วยให้ขับถ่ายได้ง่าย โดยเริ่มจากการนวดท้องส่วนล่างด้านซ้ายของลูก ซึ่งอยู่ใต้สะดือประมาณ 3 นิ้วมือ โดยใช้ปลายนิ้วกดลงไปเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอประมาณ 3 นาที และควรหมั่นนวดวันละหลายครั้งจนกว่าจะถ่ายได้ปกติ

  • ว่านหางจระเข้ช่วยได้

หากลูกถ่ายลำบากจนมีเลือดออก หรือผิวหนังบริเวณทวารหนักฉีกขาด อาจช่วยบรรเทาด้วยการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ทาบริเวณดังกล่าวเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

กินนมแม่..แต่..ลูกไม่ถ่าย..แม่ควรกินอะไร?

อุทาหรณ์..แม่เตือน ล้างขวดนม ผิดวิธี เสี่ยงทำลูกติดเชื้อในกระเพาะอาหารได้

5 วิธีแก้ปัญหา ลูกท้องอืดท้องเฟ้อ

8 ตัวการทำ “น้ำนมหด น้ำนมน้อย” แม่ลูกอ่อนอย่าหาทำ!!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่