พ่อลืมลูกในรถนาน 4 ชม.ท่ามกลางอากาศร้อน รู้ตัวรีบเอาลูกแช่ตู้เย็นแต่ไม่ฟื้น

Alternative Textaccount_circle
event

พ่อชาวอเมริกันลืมลูกน้อยวัย 6 เดือนไว้ในรถที่จอดอยู่กลางแจ้ง 4 ชั่วโมงจนนอนหมดสติ พอรู้ตัวรีบอุ้มร่างลูกมาแช่ตู้เย็นหวังจะช่วยให้ลูกฟื้น แต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้ ลูกเสียชีวิตแล้ว

รายงานจากสถานีโทรทัศน์ WFAA  สหรัฐอเมริกา ผู้เป็นพ่อชื่อไมเคิล เธดฟอร์ด อดีตครูสอนฟิสิกส์และเคมีที่ลาออกมาเลี้ยงลูก ได้พาลูก 2 คน วัย 5 ขวบ และ 3 ขวบ ไปส่งที่สถานรับเลี้ยงเด็ก ส่วนลูกคนเล็กสุดวัย 6 เดือน ที่เอานั่งไปในรถด้วย แต่ไม่ได้เอาไปฝากเลี้ยงด้วย เนื่องจากลูกมีไข้

เมื่อไมเคิลกลับมาถึงบ้าน เขากลับลืมเอาลูกน้อยลงจากรถ ซึ่งจอดอยู่นอกบ้านท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ แล้วเข้าไปนอนหลับในบ้าน เมื่อเวลาผ่านไป 4 ชั่วโมง เขาตื่นขึ้นมาและนึกขึ้นได้ว่าลืมลูกน้อยไว้ในรถ จึงรีบวิ่งออกไปที่รถแล้วอุ้มร่างลูกที่อยู่ในสภาพหมดสติไม่ไหวติงเข้าบ้าน ทันที

father forgot baby in the car died

ไมเคิลเผยว่า หลังจากเขาไปอุ้มลูกเข้าบ้าน ก็พยายามทำ CPR (*การกู้ชีวิต หรือ การช่วยฟื้นชีวิต หมายถึง การปฏิบัติการเพื่อช่วยฟื้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดที่หยุดการทำงานอย่างกะทันหันเพื่อให้หัวใจกลับมาเต้นเองได้ตามปกติ โดยไม่เกิดความพิการของสมอง…อ่านต่อวิธีการทำ CPR ในผู้ป่วยเด็กเล็กไม่เกิน 1 ปี) ให้ให้ลูกแต่ไม่ฟื้น ก่อนเอาร่างลูกน้อยแช่ตู้เย็นโดยหวังเพื่อให้อุณหภูมิลดลง จากนั้นเขาได้โทรศัพท์หาคุณหมอให้เข้ามาช่วยเหลือยื้อชีวิตลูกเขาไว้ แต่ทั้งหมดสายเกินไป หมอไม่สามารถช่วยลูกของเขาให้ฟื้นกลับมาได้…ทั้งนี้ ไมเคิลจึงได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีทางกฎหมาย แต่ต่อมาได้รับการประกันตัว

ผู้เป็นปู่ของทารกน้อยที่เสียชีวิตได้กล่าวว่า ตนรู้สึกพูดไม่ออกที่รู้ว่าลูกชายลืมหลายชายของเขาไว้ในรถ พร้อมทั้งกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับทุกคน

จากเหตุการณ์นี้นับเป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดีสำหรับครอบครัวที่มีลูกน้อยไม่ควรเผลอปล่อยลืมลูกน้อยไว้ในรถ อาจจะต้องติดตั้งระบบเซ็นเซอร์ไว้ในรถเพื่อตรวจหาว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ในรถหรือเปล่า แต่ที่สำคัญแม้เทคโนโลยีจะอำนวยได้แค่ไหนแต่ถ้าเราคอยระวังและใส่ใจลูกน้อยทุกขณะอยู่เสมอ ก็จะไม่มีวันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้

คลิกอ่านบทความน่าสนใจ

>> ขั้นตอนปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ CPR ในผู้ป่วยเด็กเล็กไม่เกิน 1 ปี


ที่มาจาก : www.wfaa.com

ขอบคุณภาพและข้อมูลข่าวจาก : hilight.kapook.com , news.sanook.com

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up