Page 103 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ประจำเดือนสีดำ เลือดล้างหน้าเด็ก

ประจำเดือนสีดำ &เลือดล้างหน้าเด็กจะมีข่าวดีหรือผิดปกติ?

ประจำเดือนสีดำ ผิดปกติไหม ร่างกายกำลังเตือนอะไรเราอยู่ ใช่เลือดล้างหน้าเด็กไหม หรือเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังจะมีข่าวดี ได้เป็นแม่มีเจ้าตัวน้อยเป็นสมาชิกใหม่

ประจำเดือนสีดำ หรือเลือดล้างหน้าเด็ก จะมีข่าวดีหรือผิดปกติกันนะ?

ประจำเดือน หมายถึง การมีเลือดออกมาช่องคลอดประจำทุกเดือน เป็นอาการแสดงความพร้อมของร่างกายสู่การเจริญพันธ์ุ ประจำเดือนเกิดจากการที่สมองหลั่งฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองมากระตุ้นรังไข่ให้สร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้น เพื่อเตรียมรอการฝังตัวของตัวอ่อน ในแต่ละเดือนจะมีไข่ตกเดือนละ 1 ฟอง หากไม่มีการปฏิสนธิ หรือการตั้งครรภ์เกิดขึ้น เยื่อบุโพรงมดลูกที่เตรียมไว้รอรับตัวอ่อนก็จะหลุดออกมาเป็นประจำเดือน

แบบไหนเรียกว่า “ประจำเดือน” มาปกติ???

  1. ผู้หญิงมีประจำเดือนทุก ๆ 28-30 วัน (หรืออยู่ในช่วง 21-35 วัน)
  2. ผู้หญิงมีประจำเดือนมา 3-5 วัน หรือไม่ควรมาเกิน 7 วัน
  3. ปริมาณประจำเดือนที่ออกมาในแต่ละวันไม่ควรเกิน 80 cc. หรือเทียบได้กับปริมาณการเปลี่ยนผ้าอนามัย 4 แผ่นต่อวัน (มีเลือดชุ่มเต็มแผ่น)
ปวดท้องประจำเดือน ประจำเดือนสีดำ สัญญาณบอกโรคได้
ปวดท้องประจำเดือน ประจำเดือนสีดำ สัญญาณบอกโรคได้

ประจำเดือนสัญญาณเตือนบอกโรค!!

ประจำเดือนมาไม่ปกติบอกอะไรเรา

  • หากประจำเดือนมาไม่ปกติ อาจเป็นสัญญาณบอกการเกิดภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome) เป็นความผิดปกติของต่อมไร้ท่อที่พบบ่อยในผู้หญิงช่วงอายุ 18-45 ปี เกิดจากความผิดปกติของฮอร์โมนหลายตำแหน่งรวมทั้งที่รังไข่ ทำให้มีฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติ อาการแสดงของฮอร์โมนเพศชายเกิน เช่น หน้ามัน สิวขึ้นง่าย ขนดก เป็นต้น
  • รังไข่เสื่อมก่อนกำหนด
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.siphhospital.com

สีประจำเดือนบอกโรค!!

การทำนายโรคจากสีของประจำเดือนที่มีการกล่าวถึงกันอย่างมากมายนั้น เราควรเชื่อหรือไม่ มาฟังคำตอบของ พญ.จุฑาธิป พูนศรัทธา สูตินารีเวชวิทยา โรงพยาบาลเวชธานี ได้กล่าวไว้ดังนี้

สีประจำเดือนนั้น ผู้หญิงหลายคนมักมีคำถามว่า ประจำเดือนที่มานั้น บางครั้งเป็นสีแดงสด บางครั้งสีคล้ำเข้มไปจนถึงเกือบดำ หรือบางทีมีลิ่มเลือดออกมาด้วย สีและลักษณะเหล่านี้มีความแตกต่างกันอย่างไร แล้วบ่งบอกถึงอันตรายอะไรหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว ประจำเดือนที่ “ปกติ” สามารถมีสีที่ต่างกันได้ ไม่ว่าจะเป็น สีแดงสด แดงเข้ม น้ำตาล ไปจนถึงสีคล้ำเกือบดำ โดยเลือดที่ออกมาใหม่ ๆ จะเป็นสีแดงสด แต่บางครั้งเมื่อเลือดออกมาแล้ว ยังตกค้างอยู่ในโพรงมดลูกหรือช่องคลอดก่อนจะออกมาสู่ภายนอก จากสีแดงสดก็จะเริ่มคล้ำ จนกลายเป็นสีน้ำตาลหรือดำได้ สิ่งที่คุณผู้หญิงควรกังวล ไม่ได้อยู่ที่สีของประจำเดือน แต่ให้สังเกตอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่บ่งชี้ถึงบางภาวะหรือโรคต่าง ๆ เช่น

  1. มีเลือดออก ร่วมกับประวัติประจำเดือนขาด มาช้า หรือมาน้อยกว่าปกติ ให้สงสัยว่าอาจตั้งครรภ์ หากตั้งครรภ์แล้วมีเลือดออก ไม่ว่าจะเป็นสีอะไร ควรมาพบแพทย์
  2. มีเลือดออกสีแดงสด หรือสีคล้ำ มาไม่ตรงรอบประจำเดือน ปริมาณไม่มาก มีอาการตกขาวร่วมด้วย อาจมีการติดเชื้อที่ปากมดลูก หรือมดลูก
  3. เลือดออกเป็นสีแดงสด ร่วมกับประจำเดือนมามาก มานานกว่าปกติ หากเป็นแบบนี้หลาย ๆ เดือน ให้ระวังอาจมีติ่งเนื้อหรือเนื้องอกในมดลูก
  4. เลือดเป็นสีแดงจาง ๆ ปริมาณน้อย กะปริดกะปรอย อาจเกิดจากการใช้ยาคุมกำเนิด วัยใกล้หมดประจำเดือน หรือเป็นเลือดออกช่วงกลางรอบเดือนที่เกิดจากการมีไข่ตกได้
  5. เลือดเป็นสีเทา สีปนเขียว ๆ ข้น ร่วมกับตกขาวมาก มีปวดท้องน้อย หรือมีไข้ร่วมด้วย เป็นอาการบ่งบอกถึงการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน

อย่างไรก็ตาม หากมีเลือดออกผิดปกติ ร่วมกับอาการต่าง ๆ ที่กล่าวไป อย่าลังเลใจ ให้มาพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาต่อไป

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.vejthani.com
ประจำเดือนสีดำ พร้อมอาการร่วมที่น่ากังวล ควรปรึกษาหมอ
ประจำเดือนสีดำ พร้อมอาการร่วมที่น่ากังวล ควรปรึกษาหมอ

ประจำเดือนสีดำ กับ เลือดล้างหน้าเด็ก

อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า สีของประจำเดือนอาจมีสีที่แตกต่างได้ ขึ้นอยู่กับการตกค้าง และระยะเวลาของเลือดที่อยู่ในร่างกาย หากเป็นเลือดที่ค้างอยู่หลายวันก็อาจเกิดสีคล้ำขึ้น เป็นประจำเดือนสีดำได้ โดยให้เราสังเกตจากอาการข้างเคียงร่วมด้วยในการสังเกตว่าร่างกายผิดปกติหรือไม่

ประจำเดือนสีดำ ที่น่ากังวล!!

หากประจำเดือนของคุณมีสีดำ และมาพร้อมกับประจำเดือนมาน้อย มีกลิ่นเหม็น อาจต้องทำการปรึกษาแพทย์ เพราะอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของการติดเชื้อรา หรือแบคทีเรียภายในช่องคลอด

ประจำเดือนสีดำ มาน้อย ๆ ใช่สัญญาณการตั้งครรภ์??

ในบางครั้งเราอาจจะพบว่ามีเลือดออกเปื้อนกางเกงชั้นใน เหมือนเป็นประจำเดือนสีดำ สีเข้มคล้ำ จนเกิดข้อสงสัยว่ารอยเปื้อนนั้น คือ ประจำเดือน หรือ เลือดล้างหน้าเด็ก ก่อนตั้งครรภ์ กันแน่นะ

เลือดล้างหน้าเด็ก ทางแพทย์มีศัพท์เฉพาะว่า “Implantation bleeding” คือ อาการที่มีเลือดออกมาจากช่องคลอดแบบกระปริบกระปรอยแต่ไม่ใช่ประจำเดือน เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอทุก ๆ 28 วัน จะมีการตกไข่ในช่วงประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน (นับจากการมีประจำเดือนวันแรก) เมื่อมีเพศสัมพันธ์กัน ไข่ถูกผสมกับตัวอสุจิแล้วมีการปฏิสนธิเกิดขึ้นที่ท่อนำไข่ ซึ่งจะเกิดขึ้นภายใน 12-24 ชั่วโมงหลังไข่ตก หลังจากนั้นไข่ที่ถูกผสมแล้ว (Zygote) จะเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนเรื่อย ๆ (Blastocyst) และเดินทางต่อไปยังมดลูกเพื่อฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก จากการฝังตัวนี้เอง ในบางครั้งอาจทำให้มีหลอดเลือดเล็ก ๆ ในผนังมดลูกแตกจึงทำให้มีเลือดออกมาทางช่องคลอดได้ ซึ่งจะเกิดหลังตกไข่ประมาณ 6-12 วัน ขณะที่ประจำเดือนจะเกิดขึ้น 14 วันหลังจากไข่ตก สองเหตุการณ์นี้ คือเลือดประจำเดือนและเลือดล้างหน้าเด็กเกิดช่วงเวลาใกล้เคียงกันทำให้เกิดความสับสนได้

ประจำเดือน หรือ เลือดล้างหน้าเด็ก
ประจำเดือน หรือ เลือดล้างหน้าเด็ก

สรุปความแตกต่างระหว่างเลือดล้างหน้าเด็ก กับประจำเดือน

ความแตกต่าง

เลือดล้างหน้าเด็ก

ประจำเดือน

ระยะเวลาที่มีเลือดออก พบเลือดไหลออกทางช่องคลอดเร็วกว่า โดยจะพบประมาณ 6-12 วัน หรือเฉลี่ย 9 วันหลังไข่ตก พบเลือดไหลออกทางช่องคลอด ประมาณ 14 วันหลังไข่ตก
ลักษณะเลือดที่ออก จะมีออกมาเพียงเล็กน้อย กะปริดกะปรอย หรือแค่หยดเลือดเป็นรอยเปื้อนกางเกงชั้นใน และหยุดไปเอง มีเลือดออกมากกว่า มาหลายวัน
สีเลือด สีเลือดล้างหน้าเด็กจะเป็นสีชมพูจาง ๆ ไม่เป็นสีแดงสด และจะกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม สีสนิมแบบน้ำตาลอมแดง หรือเป็นสีดำ จะมีสีแดงสดใส หรือสีแดงเข้ม
ระยะเวลาที่เลือดออก จะอยู่นานแค่ 1 หรือ 2  วัน จะเป็นนาน 3-5 วัน แต่ไม่เกิน 7 วัน

เลือดล้างหน้าเด็ก จะเกิดขึ้นในการตั้งครรภ์เพียงประมาณ 1 ใน 3 หรือเพียงร้อยละ 30 ผู้หญิงที่ตั้งท้องครั้งแรกมีความเป็นไปได้ที่จะมีเลือดล้างหน้าเด็ก มากกว่าตั้งท้องครั้งหลัง ๆ เนื่องจากเคยมีการฝังตัวของตัวอ่อนมาก่อนแล้ว

ประจำเดือนสีดำ ข่าวดี หรือผิดปกติ??
ประจำเดือนสีดำ ข่าวดี หรือผิดปกติ??

เลือดออกทางช่องคลอดอาจมาจากสาเหตุอื่น!!

อาการเลือดออกทางช่องคลอดอาจเกิดมาจากสาเหตุอื่นได้ด้วยเช่นกัน โดยสาเหตุที่อาจทำให้เกิดเลือดออกจากช่องคลอดในช่วงตั้งครรภ์ได้แก่

  • การมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์ที่รุนแรง หรือการใช้สิ่งแปลกปลอมสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศขณะที่เพศสัมพันธ์ก็อาจทำให้ภายในช่องคลอดเกิดการฉีกขาดจนทำให้เลือดออกทางช่องคลอดได้ แต่ถ้าหากเป็นสตรีที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ จะเป็นช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลงจนทำให้ความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น และการมีเพศสัมพันธ์อาจทำให้มีเลือดออกมาจากช่องคลอดได้เช่นกัน
  • การคุมกำเนิด การรับประทานยาคุมกำเนิด หรือการใช้วิธีการคุมกำเนิดด้วยห่วงอนามัย สามารถทำให้เลือดออกทางช่องคลอดได้ โดยเฉพาะการใช้ยาคุมกำเนิดที่ไม่สม่ำเสมออาจทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติได้ด้วย
  • การติดเชื้อหรือการอักเสบของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน การติดเชื้อในบริเวณอุ้งเชิงกรานซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเลือดออกทางช่องคลอดได้ โดยเฉพาะโรคทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคซิฟิลิส หนองใน หรือกามโรคอื่น ๆ
  • การทำงานที่ผิดปกติของมดลูกและโรคทางระบบสืบพันธ์ อาทิเช่น โรคกลุ่มอาการรังไข่ที่มีถุงน้ำหลายใบ (PCOS) ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือรอบเดือนมีความผิดปกติ ก็อาจพบเลือดออกจากช่องคลอดได้
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก ถือเป็นความผิดปกติที่ค่อนข้างอันตรายทั้งกับแม่และเด็ก ซึ่งภาวะนี้จะก่อให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและมีเลือดออกมามากผิดปกติ ถ้าหากมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจอันตรายถึงชีวิตได้
  • การแท้ง อาการเลือดออกและปวดท้องอย่างรุนแรง เป็นสัญญาณอันตรายของภาวะแท้งที่ผู้หญิงที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ทุกคนควรระมัดระวัง และหากเกิดอาการขึ้นควรรีบพบแพทย์ในทันที

    เลือดล้างหน้าเด็ก อาการของหญิงกำลังตั้งครรภ์
    เลือดล้างหน้าเด็ก อาการของหญิงกำลังตั้งครรภ์

การมีเลือดล้างหน้าเด็กนั้น บ่งบอกการตั้งครรภ์ เป็นเรื่องปกติที่ไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ผู้หญิงก็สามารถตั้งครรภ์โดยไม่มีเลือดล้างหน้าเช่นกัน หลังการฝังตัวที่มีเลือดล้างเด็กออกมาประมาณ 3-4 วัน สามารถไปตรวจเลือดเพื่อทราบการตั้งครรภ์ได้ หรืออาจตรวจปัสสาวะได้ผลบวก ประมาณ 5-6 วันหลังหลังจากนั้น

ดังนั้น ผู้หญิงที่ยังไม่มั่นใจว่าจะเป็นประจำเดือน หรือจะเป็นเลือดล้างหน้าเด็ก ควรจะรอประมาณ1 สัปดาห์หลังมีเลือดออกวันแรกเพื่อจะตรวจปัสสาวะทดสอบการตั้งครรภ์จะได้ผลตรวจที่แน่นอนกว่า

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.lovecarestation.com/www.pobpad.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ประจำเดือนเป็นก้อน เป็นลิ่มเลือด เกิดจากอะไร อันตรายมั้ย ต้องรู้!

ตกขาว ต้องเข้าใจ ตกขาวผิดปกติ ต้องสังเกต

ประจําเดือนเลื่อน กี่วันถึงจะท้อง? ตรวจครรภ์ได้ตอนไหน?

รวม 17 อาการเตือนคนเริ่มท้อง สังเกตให้รู้ว่า “ท้องแล้วจ้า”

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ผลิตภัณฑ์กันยุง

รีวิวจัดหนัก 4 ผลิตภัณฑ์กันยุง สำหรับเด็ก ตัวไหนใช้ดี ปกป้องผิวบอบบางอยู่หมัด

ปัญหายุงร้ายกวนใจ บ้านไหนๆก็หนีไม่พ้น แค่มาบินมาเฉี่ยวใกล้ๆลูกน้อยยังทำให้หงุดหงิดใจ แล้วถ้าเห็นยุงกัดจนเป็นตุ่มแดงแม่จะโมโหขนาดไหนกัน เพราะแม่ๆรู้กันดีว่ายุงกัดไม่ใช่แค่ทำให้ลูกเจ็บตัว แต่ยังเป็นศัตรูตัวร้ายประจำหน้าฝน และต้นเหตุของโรคติดต่อร้ายแรงทั้งโรคไข้เลือกออก โรคชิคุนกุนย่า โรคไข้สมองอักเสบ ซึ่งเป็นอันตรายกับทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะเด็กๆ

คนเป็นแม่อย่างเราจึงต้องเฟ้นหา ผลิตภัณฑ์กันยุง มาเป็นเกราะป้องกันให้ผิวบอบบางของลูกน้อยแบบอยู่หมัด ไม่ให้เข้ามาใกล้ และต้องปลอดภัยกับผิวบอบบางของลูกด้วย ในท้องตลอดมี ผลิตภัณฑ์กันยุง หลายรูปแบบให้เลือกใช้ ทั้งสเปรย์กันยุง โลชั่นทากันยุง ซึ่งสัมผัสกับผิวลูกน้อยโดยตรง หรือจะเป็นเครื่องไล่ยุงไฟฟ้าชนิดน้ำ ที่เสียบปลั๊กแล้วทำให้เกิดไอระเหยไล่ยุง ทั้งหมดนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันยุงแตกต่างกัน

สิ่งสำคัญที่ต้องระวังเป็นพิเศษ คือ สารเคมีอันตรายที่แฝงมาในผลิตภัณฑ์กันยุง ภัยเงียบที่ทำลายสุขภาพลูกน้อยแบบไม่รู้ตัว อย่างสาร DEET ซึ่งเป็นสารเคมีประเภท amide มีคุณสมบัติปกปิดกลิ่นเหงื่อจากร่างกาย

ทำให้ยุงไม่ได้กลิ่นจึงไม่ล่อเข้ามากัดราวกับว่าไม่มีคนอยู่บริเวณนั้น  แต่ DEET เป็นสารเคมีอันตรายที่ไม่ควรใช้กับทารกเป็นอันขาด ทำให้มีอาการ ลมพิษ ผื่นแดง ระคายเคือง ปากชา มึนงง ปวดหัว คลื่นไส้ และเป็นอันตรายถึงชีวิต ส่วนเด็กที่อายุต่ำกว่า 8 ขวบ ยิ่งถ้าสัมผัสกับผิวหนังของลูกโดยตรงและใช้ต่อเนื่องนานๆ จะก่อให้เกิดสารตกค้างในผิวหนัง เป็นสาเหตุให้มีอาการชักเกร็งได้  ฉะนั้นคุณแม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์กันยุงที่มั่นใจได้ว่ามีความอ่อนโยนและปลอดภัยกับลูกน้อยแน่นอน

4 ผลิตภัณฑ์กันยุง สำหรับเด็ก ไล่ยุงไกล ปลอดภัยกับลูกทุกวัย

ผลิตภัณฑ์กันยุง

1. Tiger Balm Mosquito Repellent Patch

เริ่มต้นที่ตัวแรกกันเลย เป็นแผ่นแปะกันยุงจากแบรนด์ดังคือ Tiger Balm หรือ “ตราเสือ” ที่คุณแม่น่าจะคุ้นเคยดีมายาวนานจากโปรดักส์ดูแลสุขภาพหลายชนิด แผ่นแปะกันยุงตราเสืออ่อนโยนมาก ผลิตจากสารสกัดธรรมชาติ คือน้ำมันเลมอนยูคาลิปตัสที่มากถึง 12% ซึ่งมีสรรพคุณไล่ยุง ช่วยปกป้องลูกจากยุงร้ายได้อย่างปลอดภัย ไร้ DEET และสารเคมีอันตรายอื่น จึงใช้ได้กับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด

 Tiger Balm Mosquito Repellent Patch

Tiger Balm Mosquito Repellent Patch 1 กล่อง 159 บาท

ในหนึ่งกล่องจะมีซองแยก แผ่นแปะ 1 ชิ้นต่อ 1 ซอง เพื่อมั่นใจว่าสะอาดปลอดภัยทุกครั้งที่ใช้ แผ่นแปะเป็นทรงกลม มีความหนาจับถนัดมือเวลาติด พื้นผิวมีลายสีเหลืองทำให้สังเกตเห็นได้ชัดเจน คุณแม่ไม่ต้องกลัวลืมแกะออกเวลาซักผ้า แผ่นสติ๊กเกอร์มีส่วนแยกให้จับ ไม่ต้องกลัวเหนียวติดมือ ติดแน่นทนทาน ไม่หลุดออกง่าย ใช้กับพื้นผิวได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแบบไหน ตุ๊กตาตัวโปรดของน้องเบบี๋ ชุดกระโปรงตัวเก่งของสาว หรือแปะแขนเสื้อของลูกชาย ห้ามติดบนร่างกาย

ผลิตภัณฑ์กันยุง Tiger Balm Mosquito Repellent Patch

ผลิตภัณฑ์กันยุง Tiger Balm Mosquito Repellent Patch

หอมกลิ่นอ่อนๆของตะไคร้และน้ำมันยูคาลิปตัส ไม่ฉุนเกินไป ไม่แสบจมูก แปะติดตัวได้ตลอดวัน  ปกป้องทั้งลูกและทุกคนในครอบครัวได้ยาวนานตั้งแต่ 4 ชั่วโมงขึ้นไปจนถึง 8 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับสถานที่) คุณแม่ที่กำลังมองหา แผ่นแปะกันยุงดีจริง คุ้มจริง แนะนำตัวตัวนี้เลย ตอบโจทย์มาก ๆ ค่ะ

2. Neoplast 3M

อีกแบบหนึ่งเป็นแผ่นแปะกันยุงนีโอพลาสท์ในซองสีชมพูจากแบรนด์3เอ็ม สำหรับคุณแม่ที่ชอบความสะอาดละมุน น่าใช้ แผ่นแปะมาในซองขนาดกะทัดรัด พกพาสะดวกมีทั้งหมด 5 ชิ้น เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมขนาดค่อนข้างใหญ่ เนื้อผ้านุ่มๆ ไม่หนา ยืดหยุ่นดี กาวติดหนึบมาก ถ้าสัมผัสกับผิวหนังอ่อนๆควรรีบล้างทันที

แผ่นแปะกันยุง Neoplast 3M
           

Neoplast 3M ชิ้นละ 30 บาท

 แผ่นแปะกันยุง Neoplast 3M

ทำจากส่วนผสมของตะไคร้หอมเยอะมาก กลิ่นค่อนข้างฉุน ซึ่งเหมาะกับเด็กโตอายุ 4 ขวบขึ้นไปเป็นวัยที่ทำกิจกรรมนอกบ้าน หรือวิ่งเล่นในสวน น่าจะช่วยปกป้องยุงตัวร้ายได้ดี แต่ไม่ข้อมูลระบุว่าใช้ได้นานกี่ชั่วโมง

3. AKITO

มาถึงแผ่นแปะกันยุงแบบแพ็คใหญ่แบรนด์อะกิโตะที่เด่นที่จำนวน  1 กล่องมีทั้งหมด 36 ชิ้น ใช้ได้นาน ไม่ต้องซื้อบ่อย แผ่นแปะมีเอกลักษณ์เป็นสีเขียว โดดเด่นมาก แผ่นค่อนข้างหน้า สามารถแปะบนพื้วผิวได้หลากหลายทั้งเสื้อผ้า ของใช้ ของเฟอร์นิเจอร์ที่ลูกใช้บ่อยๆ  แถมกาวเหนียว ติดแน่นดี กลิ่นค่อนข้างอ่อน ไม่ฉุนมาก ก่อนใช้คุณแม่ต้องชัวร์ก่อนว่าลูกน้อย 4 ขวบขึ้นไป

ผลิตภัณฑ์กันยุง AKITO
               

AKITO 1กล่อง 225 บาท

ผลิตภัณฑ์กันยุง AKITO

4. Mozzi guard

คุณแม่สายคิวท์ต้องไม่ชอบกับแผ่นแปะเอาใจลูกน้อยของแบรนด์มอสซี่การ์ด ที่โดดเด่นด้วยแผ่นแปะลวดลายสัตว์น่ารัก สีสันสดใส ที่เด็กๆชื่นชอบอย่าง เพนกวิน กระต่าย ลิง แกะ หรือแมว ไม่ต้องกลัวว่าหนูจะแอบแกะออก สามารถใช้แปะบนของใช้ส่วนตัว  สอนให้ลูกเรียนรู้การเป็นเจ้าของ รู้จักรักษาของใช้ได้ด้วย

แผ่นแปะกันยุง MOSSI GUARD

MOSSI GUARD 1 กล่อง 280 บาท

แผ่นแปะกันยุง MOSSI GUARD

แผ่นกาวเหนียวมากอาจแกะออกยาก แต่ติดทนทาน กลิ่นค่อนข้างอ่อน เพราะมีสารสกัดน้ำมันตะไคร้แค่ 9 %  เหมาะกับคุณแม่ที่ต้องการแผ่นแปะกลิ่นอ่อนโยน

ก่อนคุณแม่ตัดสินใจซื้อ แผ่นแปะกันยุงหรือ ผลิตภัณฑ์กันยุง แบบใดก็ตาม ต้องศึกษาข้อมูลส่วนผสมให้มั่นใจว่ามาจากส่วนผสมจากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีอันตราย และควรหลีกเลี่ยงการใช้แบบสัมผัสกับผิวหนังของลูกโดยตรง เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ หรือมีสารตกค้าง ซึ่งการใช้แผ่นแปะกันยุงสามารถใช้แปะสิ่งของ และพื้นผิวใกล้ตัวลูกแทนยังสามารถกันยุงให้ห่างจากลูกน้อยได้เช่นกัน

 

 

น้ำหนักทารกในครรภ์

ตรวจให้ชัด!! น้ำหนักทารกในครรภ์ แบบไหนที่ควรพบหมอ

น้ำหนักทารกในครรภ์ ที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาสุขภาพของลูกในท้องว่าดีไหม ปกติหรือไม่ มาดูวิธีคำนวณ พร้อมปัญหาน้ำหนักของลูกที่คุณแม่ควรรีบปรึกษาแพทย์ ก่อนสาย

ตรวจให้ชัด!! น้ำหนักทารกในครรภ์ แบบไหนที่ควรพบหมอ

คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ คงเข้าใจความรู้สึกถึงตอนแรกที่ได้รับรู้ว่ามีเจ้าตัวน้อยอยู่ในท้องเราเป็นอย่างดีกันทุกคนว่า มีความรู้สึกตื่นเต้น มหัศจรรย์ และวิเศษขนาดไหน ดังนั้นไม่ต้องบอกก็คงทราบกันดีแล้วว่า ต่อจากนี้ไปคุณแม่ที่ตั้งท้องทุกคนคงต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดีขนาดไหน เพราะนอกจากเพื่อสุขภาพของคุณแม่แล้ว เรายังมีอีกหนึ่งชีวิตหนึ่งที่ต้องดูแล รักษาด้วยเช่นกัน

คุณแม่ท้องหลายคนคงมีข้อสงสัยกันในใจว่า เราจะทราบได้อย่างไรว่าลูกในท้องมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ตามที่คุณแม่ดูแลตัวเองหรือไม่ เราดูแลตัวเองมากเพียงพอ และได้ส่งถึงลูกหรือไม่กันนะ ลูกตัวโตไปถึงไหนกันแล้ว และอีกนานาสารพันคำถาม ที่วันนี้ ทีมแม่ ABK มีคำตอบมาให้คลายข้อสงสัยกัน

น้ำหนักทารกในครรภ์ บอกสุขภาพลูกน้อยในท้องได้
น้ำหนักทารกในครรภ์ บอกสุขภาพลูกน้อยในท้องได้

น้ำหนักทารกในครรภ์ ดูได้จากไหน อย่างไร??

  • ตรวจร่างกาย

วัดความสูงของมดลูก ใช้สายวัดวัดระดับยอดมดลูก โดยการวัดระยะจากรอยต่อของกระดูกหัวหน่าวไปจนถึงยอดมดลูก โดยแนบตามส่วนโค้งของมดลูก ซึ่งในช่วงอายุครรภ์ 18–30 สัปดาห์ จะเป็นช่วงเวลาที่สามารถสังเกตขนาดของมดลูกได้ง่าย ระยะที่วัดได้เป็นเซนติเมตร จะเท่ากับอายุครรภ์เป็นสัปดาห์ เช่น หากอายุครรถ์ 25 สัปดาห์ ควรวัดได้ 25 เซนติเมตร เป็นต้น

  • อัลตราซาวด์

การอัลตราซาวด์ช่วยประเมินน้ำหนักลูกในครรภ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสามารถมองเห็นความสมบูรณ์ และสามารวัดขนาดตัวของลูกได้ โดยจะประเมินจาก

  1. ปริมาณน้ำคร่ำในท้อง
  2. ขนาดหน้าท้อง
  3. การลอยตัวของทารก

การอัลตราซาวด์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก คุณแม่ควรฝากครรภ์ และรับการอัลตราซาวด์เพื่ออยู่ในความดูแลของแพทย์ตลอดการตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัย

น่าอ่าน : อัลตราซาวด์ มีประโยชน์มากกว่าที่คิด!!

เช็ก น้ำหนักทารกในครรภ์ อีกหนึ่งขั้นตอนสำคํญในการฝากท้องกับคุณหมอ
เช็ก น้ำหนักทารกในครรภ์ อีกหนึ่งขั้นตอนสำคํญในการฝากท้องกับคุณหมอ
  • ดูจากน้ำหนักตัวของแม่

หลังจากตั้งครรภ์ได้ครบ 3 เดือน น้ำหนักคุณแม่ควรขึ้นเฉลี่ยประมาณสัปดาห์ละ 0.2-0.5 กิโลกรัม แต่ในช่วง 3 เดือนแรก น้ำหนักอาจลดลงหรือไม่เพิ่มขึ้นก็ได้ เนื่องจากว่าอาจเกิดจากการแพ้ท้อง ทำให้รับประทานอาหารได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลใจกันไป

น่าอ่าน : ตารางน้ำหนักทารกในครรภ์ พร้อมวิธีการตรวจดูขนาดของลูกในท้องว่าตัวเล็กหรือใหญ่!!

น้ำหนักทารกในครรภ์ “น้อย” : ลูกตัวเล็ก น่ากังวลใจหรือไม่??

สาเหตุที่ทำให้น้ำหนักทารกในครรภ์น้อยกว่าเกณฑ์ปกติ

ไม่น่ากังวลใจ

น่ากังวลใจ

(ควรปรึกษาแพทย์)

 

พันธุกรรม ของพ่อแม่  

 

หากคุณพ่อคุณแม่เป็นคนตัวเล็ก ลูกจึงมีน้ำหนักน้อย หรือตัวเล็กตาม
สาเหตุจากตัวเด็กเอง

 

ตั้งครรภ์แฝด ทำให้ต้องเฉลี่ยน้ำหนักกันไป
  • ทารกมีความพิการแต่กำเนิด มีความผิดปกติทางโครโมโซมของลูก
  • ลูกในท้องมีการติดเชื้อในขณะอยู่ในครรภ์

 

สาเหตุจากรก
  • ภาวะรกเสื่อมก่อนกำหนด รกลอกตัวก่อนกำหนด ส่งผลให้ออกซิเจน หรือสารอาหารที่ลูกควรได้รับในท้องผิดปกติ ไม่เพียงพอ
  • รกเกาะตำแหน่งที่ผิดปกติ รกเกาะต่ำ
  • มีการติดเชื้อที่รก
สาเหตุจากพฤติกรรมของแม่ คุณแม่ตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หรือยังเป็นช่วงวัยรุ่น คุณแม่เลือกรับประทานอาหารมากเกิน

การสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์

สาเหตุจากสุขภาพร่างกายของแม่ โรคประจำตัวที่ส่งผลต่อลูกในท้องได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต โรคหัวใจ เป็นต้น ทำให้คุณแม่ที่มีโรคประจำตัวดังกล่าวขณะตั้งครรภ์ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
วิธีเพิ่ม น้ำหนักทารกในครรภ์
วิธีเพิ่ม น้ำหนักทารกในครรภ์

วิธีเพิ่มน้ำหนักทารกในครรภ์

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้มีเลือดสูบฉีดไปเลี้ยงลูกในท้องมากขึ้น ควรนอนเวลากลางคืนอย่างน้อย 8 ชั่วโมง และงีบหลับตอนกลางวัน 1-2 ชั่วโมง
  2. ทำงานให้น้อยลงหรือหาเวลาผ่อนคลายจากความเครียด เนื่องจากความเครียดส่งผลถึงน้ำหนักทารกในครรภ์ ทำให้ลูกตัวเล็กได้
  3. งดเว้นการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
  4. งดยาที่ไม่จำเป็น เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่ และคุณลูก
  5. รับประทานอาหารที่เหมาะสำหรับคนท้องให้ครบทุกมื้อ หรือหากคุณแม่มีปัญหาแพ้ท้อง หรืออยู่ไม่สามารถรับประทานอาหารได้มาก อาจแบ่งรับประทานเป็นมื้อเล็ก ๆ และรับประทานให้บ่อยขึ้น เพื่อไม่ให้ปริมาณมากจนเกินไป ลดความอึดอัด แต่ยังคงสามารถทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ต้องการได้ครบถ้วน และรับประทานอาหารได้ครบ 5 หมู่
  6. รับประทานอาหารพลังงานสูงที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะประเภทโปรตีน เช่น ปลา ไข่ ถั่วต่าง ๆ หรือธัญพืช ผักใบเขียว อะโวคาโด้ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโต แต่ทั้งนี้ควรเน้นเรื่องการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน และน้ำตาลสูง เช่น ขนมหวาน หรือเนื้อสัตว์ติดมัน เป็นต้น
  7. ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับอายุครรภ์
  8. แม่ท้องที่มีโรคประจำตัว ควรปฎิบัติตนตามที่คุณหมอแนะนำอย่างเคร่งครัด
  9. ตรวจติดตามกับคุณหมอที่ฝากครรภ์อย่างต่อเนื่อง ถ้าลูกในท้องอยู่ในเกณฑ์ตัวเล็ก คุณหมอจะนัดตรวจติดตามถี่กว่าปกติ เพื่อตรวจสุขภาพของลูกน้อยอย่างละเอียด

เช็กสุขภาพลูกในครรภ์ด้วยวิธีง่าย ๆ จากน้ำหนักคุณแม่

อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า วิธีเช็กน้ำหนักทารกในครรภ์ง่าย ๆ วิธีหนึ่ง คือ การดูจากน้ำหนักตัวของคุณแม่เอง ดังนั้นตลอดระยะเวลาการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรทำการควบคุมน้ำหนักของตนเองให้พอดี โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ควรมีน้ำหนักตามดัชนีมวลกาย ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

เพิ่มน้ำหนักตอนท้อง อ้างอิงจากดัชนีมวลกายก่อนท้อง
เพิ่มน้ำหนักตอนท้อง อ้างอิงจากดัชนีมวลกายก่อนท้อง

ดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์ (BMI)

คำนวณโดยน้ำหนัก (กก.) / ความสูง (เมตร)

น้ำหนักควรเพิ่มขึ้นทั้งหมด

(กิโลกรัม)

BMI < 18.5 (น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์) 12.5 – 18.0
BMI 18.5 – 24.9 (น้ำหนักตัวปกติ) 11.5 – 16.0
BMI 25.0 -29.9 (น้ำหนักตัวเกิน) 7.0 – 11.5
BMI ≥  30 (โรคอ้วน) 5.0 – 9.0

 

ปัญหาน้ำหนักที่ควรรีบไปหาหมอ!!

ช่วง 2-4 เดือนแรก น้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น

ในช่วงของการตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่เพื่อรองรับกับการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดอาการแพ้ท้องกันเสียส่วนใหญ่ จึงเป็นสาเหตุหลักทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่ในช่วงนี้ไม่เพิ่มขึ้น หรือบางรายอาจลดลงกว่าเดิมได้ โดยในช่วงแรกนี้อาจยังไม่ต้องกังวลใจมากเกินไปนัก เพราะลูกน้อยในท้องในช่วงไตรมาสแรกนี้ ยังไม่ต้องการสารอาหารมากนัก เขาสามารถดึงสารอาหารจากร่างกายของคุณแม่ที่สะสมไว้อยู่แล้ว โดยลูกต้องการสารอาหารจริง ๆ ในช่วงเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป เพราะร่างกายของลูกกำลังสร้างกล้ามเนื้อ และพัฒนาระบบต่าง ๆ ของร่างกาย

แม่คุมน้ำหนักตอนท้อง เพื่อให้คลอดลูกได้อย่างปลอดภัย ลูกแข็งเรง
แม่คุมน้ำหนักตอนท้อง เพื่อให้คลอดลูกได้อย่างปลอดภัย ลูกแข็งเรง

แต่หากคุณแม่ยังคงรับประทานได้ปกติ ไม่มีอาการแพ้ท้อง หรือการแพ้ไม่ได้กระทบต่อการรับประทานอาหาร แต่น้ำหนักตัวในช่วงนี้กลับไม่เพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับลูกในท้อง โดยการที่น้ำหนักตัวไม่ขึ้น หรือขึ้นน้อย จะกระทบถึงทารกในครรภ์ในระดับที่แตกต่างไป ตั้งแต่ไม่ผิดปกติ ไปจนถึงระดับความผิดปกติรุนแรง เช่น ติดเชื้อตั้งแต่ในครรภ์ จะทำให้ทารกพิการแต่กำเนิด ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ น้ำคร่ำน้อย อันเป็นสาเหตุให้ทารกเสียชีวิตได้ เป็นต้น ซึ่งหากเกิดปัญหาน้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น โดยไม่มีสาเหตุควรทำการปรึกษาแพทย์จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

เมื่อคุณแม่ไปพบคุณหมอในเรื่องน้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น หรือขึ้นน้อย คุณหมอจะทำการตรวจวินิจฉัยด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด อัลตราซาวด์ หรือตรวจคลื่นหัวใจทารก เป็นต้น แล้วจึงจะประเมินความเสี่ยง ปัญหา และบอกวิธีดูแลตนเองที่ถูกต้องให้กับคุณแม่

น่าอ่าน :  แจกสูตร เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน กินอย่างไรให้ลงลูก!!

ช่วง 3-6 เดือน น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์

การเพิ่มขึ้นของน้ำหนักคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะกระทบต่อทั้งสุขภาพของตัวคุณแม่เอง และลูกน้อยในครรภ์ โดยอาจเกิดโรคต่อไปนี้ในระหว่างตั้งครรภ์

  • โรคเบาหวาน
  • ความดันโลหิตสูง
  • เพิ่มความเสี่ยงต่อการผ่าคลอด คลอดธรรมชาติไม่ได้
  • ลูกมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดการคลอดติดไหล่
  • เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด
  • โรคอ้วน
ข้อมูลอ้างอิงจาก รพ.นครธน  /mommyliciousjuice.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ เช็กน้ำหนักส่วนสูง ความสมส่วนของลูก

5 ท่าเซ็กส์ปลอดภัย ขณะตั้งครรภ์

ค่าอัลตร้าซาวด์สี่มิติ 26 โรงพยาบาลในกรุงเทพ

คัดมาให้จากตำรา 212 ชื่อมงคล ผู้หญิง เน้นชื่อเพราะ ความหมายดี

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

จดทะเบียนสมรสใช้เอกสารอะไรบ้าง 2564

เตรียมให้พร้อม! จดทะเบียนสมรสใช้เอกสารอะไรบ้าง 2564

กระทรวงมหาดไทย ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสมรส-รับรองบุตร เหลือ 1 บาท ถึง 31 ธ.ค. นี้ ใครที่จะแต่งงานต้องดู!! จดทะเบียนสมรสใช้เอกสารอะไรบ้าง 2564

เตรียมให้พร้อม! จดทะเบียนสมรสใช้เอกสารอะไรบ้าง 2564

มหาดไทย เว้นค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสมรส รับรองบุตร – เปลี่ยนชื่อสกุล เหลือ 1 บาท

ราชกิจจานุเบกษา แพร่ประกาศกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ยกเว้นค่าธรรมเนียม การจดทะเบียนสมรส รวมถึงการขอเปลี่ยนชื่อสกุล เหลือ “หนึ่งบาท”

วันที่ 18 กันยายน 2564 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย การลดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนครอบครัว การจดทะเบียนสมรสเหลือฉบับละ “หนึ่งบาท” ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 รายละเอียดดังนี้

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลกระทบในทางเศรษฐกิจ และการดำรงชีพของประชาชนทั่วไปอย่างกว้างขวาง ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน และลดภาระของประชาชน

ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเกี่ยวข้องกับการจะทะเบียนครอบครัวในเรื่องต่อไปนี้ ในเขตพื้นที่ภัยที่เกิดโรคติดเขื้อไวรัส โคโรนา 2019 ที่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่ควบคุม ตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นับแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับจนถึง 31 ธันวาคม 2564

(1) การขอคัดสำเนาหรือคัดและรับรองสำเนาทะเบียนครอบครัว ฉบับละหนึ่งบาท

(2) การจดทะเบียนสมรสหรือจดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียนโดยมีผู้ขอ รายละหนึ่งบาท

(3) การจดทะเบียนสมรส ณ สถานที่สมรสซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอนุมัติให้มีขึ้น รายละหนึ่งบาท

และยังเผยแพร่ ประกาศของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย การออกหนังสือสำคัญเกี่ยวกับชื่อบุคคลเหลือฉบับละ “หนึ่งบาท” ให้มีผลนับตั้งแต่วันที่ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ดังต่อไปนี้

(1) การออกหนังสือสำคัญแสดงการเปลี่ยนชื่อตัวหรือชื่อรอง

(2) การออกหนังสือสำคัญแสดงการรับจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อสกุล

(3) การออกหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อสกุล

ขอบคุณข่าวจาก : ประชาชาติธุรกิจ ออนไลน์
ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสมรส
ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสมรส

สำหรับคู่รักที่กำลังจะแต่งงานแล้ว หรือ คู่รักที่แต่งงานแล้วแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส ในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะจูงมือกันไปจดทะเบียนสมรสแล้วค่ะ เพราะนอกจากค่าธรรมเนียมจะลดเหลือ 1 บาทแล้ว การจดทะเบียนสมรสยังมีข้อดี ดังนี้

ข้อดี-ข้อเสีย ของการจดทะเบียนสมรส

ประเด็น จดทะเบียนสมรส ไม่จดทะเบียนสมรส
1. สิทธิต่างๆ ตามกฎหมาย – การอุปการะเลี้ยงดูซึ่ งกันและกัน
– สิทธิที่ภรรยาจะได้ใช้ชื่อสกุลสามี และเปลี่ยนสัญชาติตามสามีได้ (หรือไม่เปลี่ยนก็ได้)
– สิทธิที่จะได้รับมรดกหากอีกฝ่ายจากไปก่อน (เป็นทายาทโดยธรรมในการรับมรดก)
– สิทธิที่จะหึงหวงคู่สมรสอย่างถูกกฎหมาย ถ้ามีชู้ สามารถฟ้องร้องค่าเสียหายจากคู่สมรสและชู้ได้
– ถ้าหย่าร้าง มีสิทธิเรียกร้องค่าเลี้ยงดูได้
– มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย หรือเอาผิดแทนกันได้
– มีสิทธิรับเงินสินไหม หรือเงินชดเชยจากราชการ กรณีเสียชีวิตและทุพพลภาพ
– ไม่สามารถเรียกร้องสิทธิใดๆ ได้ตามกฎหมาย
– ไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดก ยกเว้นมีชื่อเป็นทายาทตามพินัยกรรม (พินัยกรรมระบุให้รับมรดก)
2. ทรัพย์สิน สินสมรส ได้แก่ รายได้ ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นหลังสมรสแล้ว รวมถึงดอกผลของสินส่วนตัว ซึ่งต่างก็มีอำนาจจัดการสินสมรสเองได้ ไม่ต้องขออนุญาตต่อกัน เว้นแต่เป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของครอบครัว ตามที่กฎหมายบัญญัติควบคุมไว้ จะต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งก่อน
– ต่างฝ่ายมีสิทธิในสินสมรสกึ่งหนึ่ง
– หากพิสูจน์ได้ว่ามีการอยู่กินฉันท์สามีภรรยา มีทรัพย์สินที่เกิดจากการทำมาหาได้ร่วมกัน จะถือว่ามีสิทธิร่วมกันในทรัพย์สินนั้น โดยจะมีสิทธิในทรัพย์คนละครึ่ง แต่หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมให้แบ่งทรัพย์สิน อาจต้องฟ้องร้อง (และต้องหาหลักฐานมายืนยัน)
3. การทำนิติกรรมต่างๆ – ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส ทำให้มีความยุ่งยากในการจัดการทรัพย์สิน – ถ้าเป็นนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์ที่มีสิทธิร่วมกัน ต้องได้รับความยินยอมเช่นกัน แต่ถ้าเป็นนิติกรรมส่วนตัว ไม่ต้องขอความยินยอม
4. หนี้สิน – หนี้ส่วนตัว ใช้สินส่วนตัวชำระก่อน ถ้าไม่พอจึงใช้สินสมรสในส่วนของตน
– หนี้ร่วม (หนี้สมรส) เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกบังคับชำระหนี้ได้จากสินสมรส หากไม่พอชำระหนี้ เจ้าหนี้สามารถเรียกเอาจากสินส่วนตัวของทั้ง 2 ฝ่าย
– ถ้ามีหนี้สินที่เกิดจากการทำมาหาได้ร่วมกัน ใช้ทรัพย์สินที่มีสิทธิ์ร่วมชำระ
– ถ้าเป็นหนี้ส่วนตัว ก็เป็นภาระส่วนตัว
5. บุตร – บุตรจะเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายของทั้งบิดาและมารดา
– ในกรณีเกี่ยวกับสิทธิของผู้รับค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมาย บิดาหรือมารดา มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าสินไหม แทนกันและกัน ตัวอย่างเช่น รับเงินชดเชย ค่าสินไหมทดแทน กรณีที่ผู้เยาว์ มีบิดาหรือมารดา ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองยังมีชีวิตอยู่
– เป็นทายาทโดยธรรมของทั้งบิดาและมารดา
– บิดามารดาก็เป็นทายาทโดยธรรมของบุตรเช่นกัน
– บุตรจะเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายของมารดาเท่านั้น และจะไม่สามารถฟ้องเรียกค่าเลี้ยงดูจากบิดา เว้นแต่บิดาจดรับรองบุตร หรือรับรองโดยพฤติการณ์ (เชิดชู ให้ใช้นามสกุล ส่งเสียเลี้ยงดู) บุตรจึงจะมีสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมของบิดา และสามารถเรียกค่าเลี้ยงดูได้   (แต่บิดาไม่มีสิทธิรับมรดกจากบุตร เพราะไม่ใช่บิดาตามกฎหมาย)
6. การลดหย่อนภาษี – ลดหย่อนคู่สมรส*
– ลดหย่อนบิดามารดาของคู่สมรส*
– ลดหย่อนประกันชีวิตของคู่สมรส*
– ลดหย่อนประกันสุขภาพของบิดามารดาคู่สมรส*
– ลดหย่อนบุตร
–  มีสิทธิเลือกที่จะแยกยื่นแบบหรือรวมยื่นแบบกับคู่สมรสได้ เพื่อการวางแผนภาษีที่เหมาะสม
–  * กรณีรวมยื่นหรือคู่สมรสไม่มีรายได้
– ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้
7. ผลประโยชน์จากกรมธรรม์ประกันชีวิต – เงินคืนรายงวด เงินปันผล และเงินครบสัญญาจากกรมธรรม์ประกันชีวิตถือเป็นสินสมรส
– หากเป็นผู้รับผลประโยชน์จากกรมธรรม์ประกันชีวิต เช่น พ่อแม่ทำประกันชีวิตไว้ และให้คู่สมรสเป็นผู้รับผลประโยชน์ หากพ่อแม่เกิดเสียชีวิต ผลประโยชน์ที่ได้จากกรมธรรม์ถือเป็นสินส่วนตัว
– ถือเป็นทรัพย์สินส่วนตัว
8. หากต้องการเลิกรากัน – ต้องไปจดทะเบียนหย่า ซึ่งหากอีกฝ่ายไม่ยินยอม ต้องฟ้องร้องกัน – สามารถเลิกรากันได้เลย

การจดทะเบียนสมรส นอกจากจะมีผลในด้านกฎหมายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย เมื่อทั้งคู่พร้อมแล้ว มาดูกันว่า จดทะเบียนสมรสใช้เอกสารอะไรบ้าง 2564 และมีขั้นตอนในการจดอย่างไรบ้างกันค่ะ

จดทะเบียนสมรสใช้เอกสารอะไรบ้าง
จดทะเบียนสมรสใช้เอกสารอะไรบ้าง

เตรียมให้พร้อม! จดทะเบียนสมรสใช้เอกสารอะไรบ้าง 2564

  • บัตรประจำตัวประชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้
  • สำเนาหนังสือเดินทาง (กรณีชาวต่างประเทศ)
  • หนังสือรับรองสถานภาพบุคคลจากสถานทูต หรือสถานกงสุลหรือองค์การของรัฐบาลประเทศนั้น มอบหมาย พร้อมแปล (กรณีชาวต่างประเทศขอจดทะเบียนสมรส)
  • สำเนาทะเบียนบ้าน (ตัวจริง)
  • พยานบุคคล จำนวน 2 คน
  • พยาน 2 คน (พร้อมบัตรประชาชนของพยานด้วย) ที่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
  • ถ้าเคยหย่ามาก่อน ให้พกหลักฐานการหย่าไปด้วย
  • กรณีคู่สมรสคนก่อนหน้าเสียชีวิต ต้องมีหลักฐานการเสียชีวิต เช่น ใบมรณบัตร ประกอบ
  • สูจิบัตรและทะเบียนบ้านของบุตร กรณีที่มีลูกก่อนที่จะจดทะเบียนสมรส
  • แบบฟอร์ม คร.1 ตัวนี้สามารถขอได้จากที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนที่ไปจดทะเบียนสมรส
จดทะเบียนสมรส
จดทะเบียนสมรส

ขั้นตอนการจดทะเบียนสมรส

  1. รับเรื่อง – ผู้ร้องแจ้งความประสงค์ต่อนายทะเบียน โดยลงชื่อในคำร้องตามแบบคร.1 ที่นายทะเบียนเป็นผู้บันทึกข้อความ และจัดพิมพ์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์
  2. ตรวจสอบหลักฐานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
    • นายทะเบียนตรวจสอบหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้สำหรับบุคคลซึ่งไม่ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนตามกฎหมาย หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
    • สำเนาทะเบียนบ้าน
    • หนังสือให้ความยินยอม (กรณีผู้ร้องขอยังไม่บรรลุนิติภาวะและผู้มีอำนาจให้ความยินยอมไม่ได้มาด้วย)
    • ผู้มีอำนาจให้ความยินยอม (กรณีผู้ร้องขอยังไม่บรรลุนิติภาวะ และผู้มีอำนาจให้ความยินยอมมาด้วยตนเอง)
    • ผู้ร้องขอเคยจดทะเบียนสมรสมาก่อนหรือไม่ หากหย่าแล้วต้องตรวจ สอบหลักฐานการหย่า หรือคู่สมรสตาย ให้ตรวจสอบหลักฐานการตาย
    • คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลที่ให้จดทะเบียน (กรณีมีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล)
    • พยานอย่างน้อย 2 คน
  3. นายทะเบียนตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ร้องทั้งสองฝ่าย
  4. ผู้มีอำนาจในการจดทะเบียน ได้แก่ นายทะเบียน (นายอำเภอ / ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ / อำนวยการเขต / หรือผู้รักษาราชการแทน)
  5. หากผู้ร้องทั้งสองฝ่ายประสงค์จะให้บันทึก ข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือเรื่องอื่น ให้นายทะเบียนพิมพ์รายละเอียดนั้นไว้ในช่องบันทึก
  6. ตรวจสอบข้อความในทะเบียนสมรส เมื่อพิมพ์ข้อความลงในทะเบียนสมรสแล้ว หากมีข้อผิดพลาดสามารถแก้ไขได้ทันทีก่อนการสั่งพิมพ์ กรณีไม่มีการแก้ไขและได้สั่งพิมพ์แล้วจะไม่สามารถเรียกกลับมาแก้ไขได้อีก เพื่อเป็นการป้องกันการแก้ไขหรือลบข้อมูลโดยมิชอบ
  7. เมื่อเห็นว่าถูกต้องให้สั่งพิมพ์ทะเบียนสมรส และใบสำคัญการสมรสเพื่อให้ผู้ร้อง ผู้ให้ความยินยอม (ถ้ามี) และพยานลงลายมือชื่อในทะเบียนสมรส  และนายทะเบียนลงลายมือชื่อในใบสำคัญการสมรส
  8. มอบใบสำคัญการสมรส ให้แก่คู่สมรสฝ่ายละหนึ่งฉบับ และนายทะเบียนเก็บรักษาทะเบียนสมรสไว้เป็นหลักฐาน
  9. การใช้นามสกุลของคู่สมรส ให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างคู่สมรสให้ทางทะเบียนท้องที่บันทึกข้อตกลงของคู่สมรสว่าจะใช้ชื่อสกุลของฝ่ายใดโดยให้บันทึกต่อท้ายในแบบ คร. 2

เมื่อทราบกันแล้วว่า จดทะเบียนสมรสใช้เอกสารอะไรบ้าง 2564 ก็อย่าลืมจูงมือแฟน พ่อ/แม่ของลูก ไปจดกันได้เลยค่า

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

รวม 5 สิทธิประโยชน์ ลดหย่อนภาษี คู่สมรส

วิจัยชี้! ข้อดีของการแต่งงาน ลดความเสี่ยง โรคสมองเสื่อม

คุณแม่ควรรู้ไว้!! ประโยชน์ของ ทะเบียนสมรส ที่คุณอาจไม่เคยรู้

วางแผนมีลูก กับ 10 เรื่องที่ต้องเจอ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณนิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ CFP® นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร, สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ดีเอ็มพี โรสฮิป แอนด์ คาโมมายล์

“ดีเอ็มพี โรสฮิป แอนด์ คาโมมายล์” โลชั่นออร์แกนิค ชุ่มชื้น อ่อนโยน ดูแลผิวดุจสัมผัสรักจากแม่

อะไรใช้แล้วดี ทีมแม่ABK ก็ว่าดี โดยเฉพาะเบบี้โลชั่น ถ้ามีสูตรใหม่ต้องรีบหาซื้อมาลองใช้กับผิวเรา ผิวลูก และที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ เบบี้โลชั่นขวดน่ารัก น่าใช้มาก ดีเอ็มพี โลชั่น เขาออกสูตรใหม่ !! ค่ะคุ๊ณ  “ดีเอ็มพี โรสฮิป แอนด์ คาโมมายล์ ออร์แกนิค pH5.5” เบบี้โลชั่นสูตรนี้หลังจากได้ลองใช้แล้ว แม่ให้เต็ม 10 ไม่หัก วันนี้ก็เลยจะมารีวิว โลชั่นบำรุงผิว ดีเอ็มพี โรสฮิป & คาโมมายล์ ออร์แกนิค pH5.5 ขวดนี้เพื่อผิวลูกน้อยเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นยาวนานตลอดวัน

 

ดีเอ็มพี โรสฮิป แอนด์ คาโมมายล์ ออร์แกนิค pH5.5 ทำไมถึงเหมาะกับเด็ก ?

ผิวลูกน้อยบอบบาง ไวต่อการระคายเคือง เกิดผื่น แพ้ง่าย แห้งขาดความชุ่มชื้น ผิวของเด็กทารก เด็กเล็กมักจะมีลักษณะประมาณนี้เลยค่ะ ชี้จุดให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ถ้าจะซื้อเสื้อผ้าผลิตภัณฑ์ซักผ้า ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ ผลิตภัณฑ์ทาผิว เป็นต้น สำคัญคือจะต้อง “อ่อนโยนต่อผิวสุด ๆ” เพราะสัมผัสกับผิวลูกโดยตรง ฉะนั้นถามว่าทำไม ดีเอ็มพี โรสฮิป แอนด์ คาโมมายล์ ถึงเหมาะกับผิวลูก

ดีเอ็มพี โรสฮิป แอนด์ คาโมมายล์

  1. เนื้อสัมผัสของโลชั่นอ่อนโยน ซึมผิวดีมาก มีกลิ่นหอมธรรมชาติอ่อน ๆ
  2. ส่วนผสมมาจากสารสกัดธรรมชาติที่เป็นออร์แกนิค

อันนี้จากที่ใช้กับผิวตัวแม่เอง แล้วก็ผิวเด็ก ๆ ที่บ้าน คือไม่แพ้ ไม่คันผิวเลย ก็มั่นใจไปได้ว่าดีเอ็มพี โรสฮิป แอนด์ คาโมมายล์โลชั่นออร์แกนิคขวดนี้ปลอดภัยต่อผิวของลูกอย่างแน่นอนค่ะ

ทีมแม่ABK มีเกริ่น ๆ ไปว่าเบบี้โลชั่น สูตรใหม่ของดีเอ็มพี ขวดสีเขียวอ่อนละมุนน่ารัก น่าใช้ขวดนี้มีส่วนผสมเป็นสารสกัดธรรมชาติออร์แกนิค เราไปดูคุณสมบัติพิเศษของสารสกัดธรรมชาติที่ว่านี้กันสักหน่อยค่ะ แล้วแม่ ๆ จะรู้ว่าทำไม๊ ทำไม ต้องใช้ดีเอ็มพี เบบี้โลชั่นออร์แกนิคขวดนี้ ใช้เลย!!

ดีเอ็มพีออกแบบขวดเบบี้โลชั่น ให้ใช้งานง่าย เป็นแบบขวดปั๊ม ทรงขวดโลชั่นจะโค้งคอดทำให้หยิบจับใช้สะดวก เนื้อโลชั่นมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทาที่ผิวลูกแล้ว กอด หอมได้ทั้งวันเลยล่ะค่ะ สำหรับเนื้อโลชั่นจะนุ่มมาก ทาที่ผิวแล้วเกลี่ยง่าย ซึมซาบลงสู่ผิวได้เร็ว แม่บ้านไหนที่ไม่ชอบความเหนียวเหนอะหนะเวลาทาโลชั่น ต้องถูกใจกันแน่นอนค่ะ

ดีเอ็มพี โลชั่นออร์แกนิค pH5.5

ว้าว!! 3 สารสกัดธรรมชาติที่มีให้เฉพาะดีเอ็มพี เบบี้ โลชั่นสูตรใหม่

อ่านดูส่วนผสมข้างขวดเบบี้โลชั่น เจอ 3 ส่วนผสมนี้เข้าไป ถูกใจสุด ๆ เพราะเป็นส่วนผสมธรรมชาติที่ช่วยบำรุงผิวไม่ใช่แค่ชุ่มชื้นนะคะ และยังเป็นเกราะปกป้องผิวลูกน้อยให้มีความแข็งแรง สุขภาพผิวดีด้วยค่ะ

  1. ออร์แกนิค โรสฮิป (Rosehip) อุดมด้วยสารธรรมชาติ มีวิตามินเอ และกรดไขมันจำเป็นโอเมก้า 6 ช่วยบำรุงผิวให้นุ่มชุ่มชื้น
  2. ออร์แกนิค คาโมมายล์ (Chamomile) ช่วยปกป้องการระคายเคืองผิว
  3. เชียร์บัตเตอร์ (Shea Butter) อุดมด้วยวิตามินอี มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น และป้องกันการสูญเสีย moisturizer ใต้ผิว ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื่นขึ้น

ทั้งหมดนี้คือสารสกัดธรรมชาติ ระดับตัวท็อปพระเอก นางเอก ขึ้นชื่อในเรื่องการบำรุง กักเก็บน้ำในผิว ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ที่สำคัญสารสกัดออร์แกนิค คาโมมายล์ ตัวนี้ยังทำให้ผิวลูกน้อยสบาย ลดการเกิดอาการระคายเคืองผิว เดี๋ยวจ้ะแม่ ๆ ดีเอ็มพี เบบี้โลชั่นออร์แกนิคขวดนี้ เนื้อโลชั่นเขาเนี่ยมีค่า pH-Balance 5.5 ด้วยนะจะบอกให้ ดีเวอร์วังสุด ๆ เพราะ pH-Balance เนี่ยช่วยในเรื่องการรักษาสมดุล และปกป้องน้ำหล่อเลี้ยงตามธรรมชาติของผิว

ปรบมือดัง ๆ ให้กับดีเอ็มพี โรสฮิป แอนด์ คาโมมายล์ ออร์แกนิค pH5.5 เบบี้โลชั่นขวดเลยค่ะ บอกเลยน่าใช้มาก ๆ ไม่ว่าจะผิวลูก หรือผิวแม่ ถ้าไม่ได้ใช้ดีเอ็มพี โรสฮิป & คาโมมายล์ ถือว่าพลาดมาก! เพราะเป็นเบบี้โลชั่นที่อ่อนโยน ปลอดภัยกับผิวจริง ๆ ดีเอ็มพี โรสฮิป & คาโมมายล์ สูตรใหม่เขาเพิ่มประสิทธิภาพของส่วนผสม และยังใส่ใจต่อผู้บริโภค เข้าใจความเป็นแม่ที่มีความกังวลกับผิวลูก และยังปราศจาก 7 สารที่เป็นอันตรายต่อผิว ได้แก่ Paraben , Formaldehyde , SLS , DEA , Alcohol , Phthalate , Triclosan

ให้การดูแลปกป้อง ถนอมผิวลูกน้อยตั้งแต่แรกคลอด ดุจสัมผัสรักจากแม่ตลอด 365 วัน ใช้ดีเอ็มพี โรสฮิป แอนด์ คาโมมายล์ โลชั่นออร์แกนิค ดูแลผิวลูกน้อยกันนะคะ

#ชี้เป้า ดีเอ็มพีโรสฮิป & คาโมมายล์ ซื้อใช้ได้ที่ช่องทางจัดจำหน่ายตามนี้เลยค่ะ Shopee คลิก →   https://shopee.co.th/Dmp

 

ดีเอ็มพี โลชั่นออร์แกนิค pH5.5

การบ้านเยอะ การบ้านไม่เหมาะสม

เรียนออนไลน์ การบ้านเยอะ งานลูกพ่อแม่เครียดรับมือยังไง

การบ้านเยอะ การบ้านยาก ตัวการขัดขวางการพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนรู้ของลูก เมื่อเข้าสู่ยุคเรียนออนไลน์ พ่อแม่ควรรับมือกับการเรียนของลูกอย่างไร ให้ไม่เครียด

เรียนออนไลน์ การบ้านเยอะ งานลูกพ่อแม่เครียดรับมือยังไง??

ในยุคการเรียนออนไลน์ในช่วงวิกฤตโรคระบาดไวรัส Covid-19 ที่เด็กจำเป็นต้องปรับตัวจากการเรียนในโรงเรียน เข้าสู่การเรียนที่บ้านผ่านหน้าจอ ซึ่งนอกจากจะสร้างความเครียดให้แก่เด็กแล้ว ปัจจุบันยังพบว่าพ่อแม่ก็ได้รับความเครียดจากการเรียนออนไลน์ของลูกไม่แพ้กัน ซึ่งจะเห็นได้จากข่าวที่แชร์กันออกมาถึงการบ้านของลูกในวัยต่าง ๆ ที่พ่อแม่ต่างต้องอึ้ง และค้นพบว่าเด็กสมัยนี้ต้องเรียนด้วยเนื้อหายาก ๆ กันแบบนี้เลยเชียวหรือ

ล่าสุดเกิดเป็นดราม่า เมื่อผู้ปกครองแชร์การบ้านของเด็กๆ ซึ่งระบุว่า เป็นการบ้านของเด็ก ป.4 แต่เมื่ออ่านโจทย์แล้ว งานนี้พ่อแม่ผู้ปกครอง ถึงกับต้องเอามาแชร์ให้ชาวเน็ตช่วยด้วย เพราะยากมากจริงๆ โดยการบ้านดังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษที่ถามว่า ส่วนประกอบใดที่เป็นแผ่นบางอยู่นอกกระดูกกระโหลกศีรษะ โดยมีคำตอบให้เลือก 3 ข้อ คือ 1.periosteum (เยื่อหุ้มกระดูก) 2.cancellous bone (กระดูกเนื้อโปร่ง) และ 3.compact bone (กระดูกส่วนแข็ง)

อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองได้แชร์ภาพของการบ้านเด็กๆในยุคนี้และเนื้อหาการเรียนการสอนว่ามีความยากและเนื้อหาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างซึ่งกลายเป็นประเด็นถกเถียงว่าเด็กสมควรต้องเรียนยากขนาดนี้หรือไม่อย่างไรหรือเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเท่านั้น

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.khaosod.co.th

 

ข่าวการบ้านเด็กประถม การบ้านยาก การบ้านเยอะ
ข่าวการบ้านเด็กประถม การบ้านยาก การบ้านเยอะ
ข้อมูลอ้างอิงจาก www.brighttv.co.th

 

แม้การเรียนออนไลน์จะสร้างภาระ และปัญหาทั้งจากความไม่พร้อม จากการปรับตัวของบางครอบครัว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราผู้ใหญ่ได้เพิ่มความตระหนักเกี่ยวกับเด็กในยุคปัจจุบันขึ้นมาจากการเรียนออนไลน์ นั่นคือ การได้กลับมาทบทวนถึงหลักสูตร และเนื้อหาของการเรียนในปัจจุบันต่อเด็ก และลูกหลานของเราว่า การเน้นเนื้อหาความยากของหลักสูตรการศึกษาสมัยนี้ มากเกินความจำเป็นไปหรือไม่ ภาระงาน การบ้านเยอะ ของพวกเขาสามารถสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนได้จริงหรือ

การบ้านกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็ก

ได้มีการศึกษาที่เชื่อมโยงการบ้านและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็ก โดยเป็นการศึกษาที่ไม่ได้ควบคุมความแตกต่างของนักเรียน ในการศึกษาดังกล่าวได้ทำการศึกษาจาก 35 รายการ พบว่าประมาณ 77 เปอร์เซ็นต์จากรายการทั้งหมด พบความเชื่อมโยงระหว่างการบ้านกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้นเป็นไปในทางบวก แต่ที่น่าสนใจที่สุดคือผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยระหว่างการบ้านและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เด็กที่อายุน้อยในระดับก่อนวัยเรียน วัยอนุบาล หรือประถมวัยตอนต้น โดยธรรมชาติการเรียนรู้สำหรับเด็กวัยนี้ คือ การเรียนรู้ผ่านการเล่น เนื่องจากเด็กไม่สามารถขจัดสิ่งที่รบกวนสมาธิ บังคับตนเองให้นั่งนาน ๆ ในการทำการบ้านได้ และยิ่งโดยเฉพาะการบ้านยาก หรือ การบ้านเยอะ เกินกว่าวัยของเด็กแล้วนั้น ยิ่งทำให้การเรียนรู้ของเขาเกิดขึ้นได้ยากขึ้นไปอีก จึงทำให้ความสัมพันธ์ของการบ้าน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระดับประถมศึกษาจึงแสดงเพียงเล็กน้อย ไปจนถึงไม่มีเลยในผลการศึกษาดังกล่าว

 

ความสัมพันธ์ของ การบ้านเยอะ กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ความสัมพันธ์ของ การบ้านเยอะ กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน

ทำความเข้าใจ!! กับจุดประสงค์ของการบ้าน

แม้ว่าความสัมพันธ์ของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับการบ้านในเด็กประถมวัย จะมีเพียงเล็กน้อยไปจนถึงไม่มีเลย แต่จากการศึกษาก็จะพบว่า ยังมีผลความเชื่อมโยงกับทั้งสองเรื่องนั้น เป็นไปในทางบวก ถึง 77% นั่นหมายถึง การบ้านช่วยเพิ่มศักยภาพของเด็กได้จริง หากเราทำให้การบ้านนั้น เหมาะสมกับวัย และมีปริมาณที่เหมาะสม

จุดประสงค์ของการบ้าน

  1. การบ้านช่วยเพิ่มทักษะ พัฒนาความรู้ความสามารถของเด็ก ๆ โดยเด็กสามารถทบทวน และใช้เป็นการประเมินความรู้ความเข้าใจของตนเองต่อบทเรียนนั้น ๆ ว่าเข้าใจแค่ไหน เข้าใจหรือไม่อีกด้วย
  2. เพื่อฝึกวินัย ความรับผิดชอบ และการควบคุมตนเอง หากลูกยอมมานั่งทำการบ้านของเขา ควบคุมตนเองให้ทำการบ้านให้เสร็จก่อนไปเล่น (ความสามารถในการรับผิดชอบตนเอง สามารถลำดับหน้าที่ความสำคัญได้) ก็นับว่าเขาได้รับประโยชน์จากการบ้านแล้ว
  3. หากเป็นงานกลุ่ม ยังเป็นการเพิ่มพูนทักษะการเข้าสังคมได้อีกด้วย
  4. ทำให้คุณครูสามารถประเมินการสอนว่า การสอนแบบนี้เด็กสามารถเข้าใจในบทเรียนมากแค่ไหน ควรปรับเปลี่ยนอย่างไร
  5. การบ้านยังช่วยให้ผู้ปกครองได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน ได้ประเมินลูกหลานว่ามีพัฒนาการที่ดีขึ้นหรือไม่ 

    การบ้านเยอะ พ่อแม่เครียด
    การบ้านเยอะ พ่อแม่เครียด

การบ้านลูก ทำไมพ่อแม่เครียด??

แม้ว่าการศึกษาของไทย จะหลักสูตร เป้าหมายอย่างไรก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่า “การบ้าน” แล้ว นั่นก็คือ การได้รับมอบหมายภาระงานให้ทำที่บ้าน ดังนั้น ผู้ที่มีความสำคัญในการจัดการ ดูแลลูกหลานไม่ให้เกิดความเครียด หรือผลเสียจากการทำการบ้านนั้น ก็คือ พ่อแม่นั่นเอง สิ่งสำคัญสิ่งแรกที่เราต้องทำเพื่อให้ลูกได้รับประโยชน์จากการทำการบ้านได้อย่างเต็มที่ หรือ ไม่เครียดจนเกินไป ต้องอยู่ที่การปรับความเข้าใจในทัศนคติของคุณพ่อคุณแม่เสียก่อนว่า “ผลลัพธ์ที่ได้ ไม่สำคัญเท่าลูกได้เรียนรู้กระบวนการหาผลลัพธ์นั้น ๆ มากกว่า” หรือหากจะพูดให้ง่าย ๆ นั่นก็คือ อย่ามัวแต่สนใจผลงาน คะแนน ความถูกต้องของการบ้านนั้น มากกว่าการได้สอนให้ลูกได้คิด วิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตนเองจากการบ้านนั้น ๆ เอง หากคิดได้เช่นนี้เหตุการณ์ที่เราได้เห็นพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย นั่งทำการบ้านส่งแทนลูกหลาน หรือการทะเลาะกับลูกเวลาสอนการบ้านก็คงไม่มีให้เห็นกันอีกต่อไป

นอกจากกการปรับทัศนคติของตัวพ่อแม่เองแล้ว ยังมีปัจจัยที่จะช่วยให้ การบ้านสามารถเป็นตัวช่วยพัฒนาประสิทธิภาพของเด็กให้ได้ดีขึ้น โดยพิจารณาจากเหตุอีก 3 ปัจจัย ดังนี้

การบ้านเยอะ การบ้านมากเกินวัยไปหรือไม่??

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Duke ได้ทบทวนการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการบ้านมากกว่า 60 เรื่องระหว่างปี 2530 ถึง 2546 และสรุปว่าการบ้านส่งผลดีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน

Harris Cooper (แฮร์ริส คูเปอร์ ) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยา กล่าวว่า งานวิจัยที่เขานำแสดง แสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์เชิงบวกของการบ้านกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนั้น มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา ผู้ที่อยู่ในเกรด 7 ถึง 12 มากกว่านักเรียนในโรงเรียนประถม

ในขณะที่ชัดเจนว่าการบ้านเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ คูเปอร์ยังกล่าวว่าการศึกษายังแสดงให้เห็นว่าการบ้านเยอะ การบ้านมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อนักเรียนทุกระดับ

“แม้แต่นักเรียนมัธยม การบ้านมากเกินไปก็ไม่สัมพันธ์กับเกรดที่สูงขึ้น”

Harris Cooper เป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและประสาทวิทยาที่ Duke ซึ่งเขายังเป็นผู้กำกับโครงการด้านการศึกษาของมหาวิทยาลัย และเป็นผู้เขียนเรื่อง
“The Battle over Homework: Common Ground for Administrators, Teachers, and Parents” (Corwin Press)

 

การเรียนรู้ของเด็ก คือการเล่น
การเรียนรู้ของเด็ก คือการเล่น

 

แล้วเด็กควรทำการบ้านมากแค่ไหน? Cooper กล่าวว่างานวิจัยนี้สอดคล้องกับ “กฎ 10 นาที” ที่เสนอการบ้านที่เหมาะสมที่สุดที่ครูควรมอบหมาย คูเปอร์กล่าวว่า “กฎ 10 นาที” เป็นแนวทางปฏิบัติที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป โดยครูจะเพิ่มการบ้าน 10 นาทีในขณะที่นักเรียนก้าวหน้าไปหนึ่งเกรด

  • เด็กในเกรด K-2 (เทียบเท่ากับเด็กประถม 1-2 ) การบ้านจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อใช้เวลาทำการบ้านไม่เกิน 10-20 นาทีในแต่ละวัน
  • เด็กโตในเกรด 3-6 (เทียบเท่ากับเด็กประถม 3-6) สามารถจัดการการบ้านได้ในเวลา 30-60 นาทีต่อวัน
  • ในมัธยมต้นและมัธยมปลาย จำนวนการบ้านจะแตกต่างกันไปตามวิชา แต่ควรใช้เวลาทำการบ้านเฉลี่ยไม่เกิน 1 ชั่วโมง ต่อวัน

การบ้านยากเกินวัยของเด็กไปหรือไม่??

คำว่า “ยากเกินไป” อาจเป็นคำที่ประเมินยาก หรือหาคำนิยามร่วมกันได้ยากเสียหน่อย ดังนั้น พ่อแม่สามารถยึดหลักโดยดูจากลูกของเราเองว่า การบ้านของลูกนั้นเหมาะสมกับเขามากน้อยเพียงใด

  • หากว่า ลูกทำการบ้านไม่ได้ หรืองอแงเนื่องมาจากการไม่เข้าใจในบทเรียน หากเราเข้มงวด หรือปล่อยผ่านไปอาจทำให้เขารู้สึกท้อ ไม่มีความมั่นใจในตัวเองได้ พ่อแม่สามารถช่วยเหลือลูกได้ โดยการทำให้ดูเป็นตัวอย่างก่อน แล้วจึงตั้งโจทย์เพิ่มให้เขาลองทำด้วยตนเองอีกครั้งว่าสามารถทำได้หรือยัง ติดขัดตรงไหนบ้าง การลงมือทำพร้อมกันไปกับลูกทำให้พ่อแม่สามารถมองเห็นปัญหาที่แท้จริงของลูกได้มากกว่าการปล่อยให้เขานั่งทำด้วยตนเอง หรือบอกคำตอบผ่านไปเพียงเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องส่งครู ก็จะทำให้ลูกไม่ได้เรียนรู้ และไม่มีความภูมิใจในตนเอง อาจเลยเถิดไปถึงการไม่เห็นถึงคุณค่าในตนเองในอนาคตได้
  • หากว่า การบ้านยาก เกินวัยของลูกไปมาก การดูว่าการบ้านที่ได้รับนั้น ยากเกินวัยของลูกไปหรือไม่ อาจทำได้โดยการปรึกษา พูดคุยกันเองระหว่างผู้ปกครอง สอบถามกันดูว่าส่วนใหญ่เด็กสามารถทำการบ้านนั้น ๆ ได้หรือไม่ ถ้าพบว่าการบ้านยากเกินวัยของลูก(ดังเช่นตัวอย่างข่าวข้างต้น) พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรกดดัน หรือบีบบังคับให้เด็กต้องพยายามต่อ การที่ลูกทำไม่ได้ไม่ได้ผิดปกติ หรือไม่เก่ง เพราะเรากำลังคาดหวังในสิ่งที่เกินความสามารถในวัยของลูก สิ่งที่ควรทำ คือ การพูดคุยกับคุณครูผู้สอน เพื่อให้เข้าใจตรงกัน หรือหาวิธีที่สามารถทำให้ลงตัวได้ เช่น การปรับลดเนื้อหาลงให้เหมาะสมกับวัย หรือ แนะนำวิธีการสอนที่ช่วยให้เด็กเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ พ่อแม่ควรปล่อยวางไม่ลงโทษ เข้มงวดในสิ่งที่เกินวัยของลูก มิเช่นนั้นอาจได้ผลเสียมากกว่าผลดี 

    การบ้านที่ดี ต้องเหมาะสมกับวัย ทั้งปริมาณและความยากง่าย
    การบ้านที่ดี ต้องเหมาะสมกับวัย ทั้งปริมาณและความยากง่าย

 

การควบคุมตนเองของลูก (Self Control) ไม่ดีพอ

ในกรณีนี้ลูกคงต้องได้รับการช่วยเหลือจากพ่อแม่ หรือผู้ปกครอง โดยใช้วิธีการ Task Analysis เป็นวิธีการสอนที่เหมาะสมกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษวิธีหนึ่ง ซึ่งพ่อแม่สามารถวางแผนการสอนอย่างดีมีเป้าหมาย โดยแบ่งกิจกรรมหรือการบ้านที่ยาก และเยอะนั้น ๆ ให้เป็นขั้นตอนย่อย ๆ จากขั้นตอนแรกไปจนขั้นตอนสุดท้าย และสอนไปตามลำดับขั้นตอนทีละขั้นจนเด็กทำได้สำเร็จ เช่น  หากการบ้านมีหลายหน้า อาจแบ่งทำเป็นช่วง ๆ จนครบ โดยแต่ละช่วงที่ลูกทำสำเร็จ พ่อแม่ต้องชื่นชม ให้กำลังใจ ให้ลูกรู้สึกว่า เขาทำได้ ทำสำเร็จ เห็นเส้นชัยแม้ว่า การบ้านเยอะ การบ้านยาก แต่เขาก็สามารถค่อย ๆ ทำจนสำเร็จได้ นอกจากลูกจะได้รับความภูมิใจในตนเองแล้ว เขายังได้เรียนรู้การแบ่งงาน วิธีการจัดการปัญหาเพื่อไปสู่เป้าหมายได้อีกด้วย

การบ้านลูก พ่อแม่ไม่เครียด และเข้าใจ ก็สามารถช่วยให้ลูกเรียนรู้ และได้รับประโยชน์จากการบ้านได้อย่างเต็มที่อย่างแน่นอน เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัว และฝากข้อคิดจากคุณหมอโอ๋ เพจเลี้ยงลูกนอกบ้านมาเป็นอีกหนึ่งกำลังใจกัน

รักลูก… อย่ารบกับลูกเรื่องการบ้าน ด้วยการใช้วิธีวิธีบ่นว่าแบบเดิมๆนะคะ

“ไม่มีเด็กคนไหนจะทำอะไรได้ดี ในวันที่รู้สึกแย่ๆ”

ข้อมูลอ้างอิงจาก Duke Today
ตกขาว

ตกขาว ต้องเข้าใจ ตกขาวผิดปกติ ต้องสังเกต

ตกขาว ถือเป็นเรื่องปกติของผู้หญิง แต่หากตกขาวผิดปกติขึ้นมา มีอาการคัน หรือมีกลิ่น อย่าอายที่จะไปหาหมอ นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร, กรรมการแพทยสภา เจ้าของเพจ เค้าเรียกผมว่า หมอเมนส์ ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับตกขาวแบบต่างๆ ที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้ไว้ดังนี้

ตกขาวผิดปกติ เป็นหนึ่งในภาวะที่พบบ่อยในคลินิกนรีเวช มีการศึกษาพบว่ากว่า 1 ใน 5 ของหญิงชาวอเมริกามีตกขาวผิดปกติ ในปีที่ผ่านมา

ตกขาวคืออะไร

ตกขาว เป็นสารคัดหลั่งชนิดหนึ่ง ที่สร้างมาจากปากมดลูก และเยื่อบุผิวของช่องคลอด โดยจะมีปริมาณเฉลี่ย 1-4 ซีซี ต่อวัน มีสีขาว หรือใส มีความหนืดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของรอบประจำเดือน และมักจะไม่มีกลิ่น

ตกขาวจะสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น เกิดได้จากปัจจัยหลายอย่าง เช่น อาหารที่ทาน การใช้ยาคุมกำเนิด การใช้ยาชนิดต่างๆ การมีเพศสัมพันธ์ ร่วมถึงความเครียดด้วย อย่างไรก็ดีสีอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้บ้าง ตกขาวเป็นสีเหลืองข้น มีกลิ่นเล็กน้อย แต่จะไม่ทำให้เกิดอาการคัน  เจ็บ แสบร้อน ไม่ทำให้เกิดการบวมแดงของปากมดลูกและช่องคลอด

ตกขาวผิดปกติ อาการเป็นอย่างไร

ผู้หญิงที่มีตกขาวผิดปกติ สามารถมาด้วยอาการที่หลากหลาย เช่น

  • มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณ สี กลิ่น
  • มีอาการคัน
  • มีอาการแสบร้อน
  • มีอาการระคายเคือง
  • มีอาการบวมแดงที่ปากช่องคลอด
  • มีอาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์
  • มีอาการเจ็บเวลาปัสสาวะ
  • หรือมีอาการเลือดออกกะปริดกะปรอย

สาเหตุที่ทำให้ตกขาวผิดปกติ

แบ่งได้ 2 สาเหตุหลัก ได้แก่

  • ตกขาวผิดปกติจากการติดเชื้อ โดยเชื้อที่พบบ่อยได้แก่ เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อโปรโตซัว
  • ตกขาวผิดปกติจากการไม่ติดเชื้อ เช่น ภาวะวัยทอง การมีเพศสัมพันธ์ การใช้สารเคมีสวนล้างช่องคลอด เป็นต้น

การวินิจฉัยว่าตกขาวที่ผิดปกติ เกิดจากอะไร ต้องใช้การซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เป้าหมายเพื่อให้การรักษาสามารถทำได้ถูกกับโรค เนื่องจากแต่ละโรคมีการรักษาที่แตกต่างกัน

ตกขาวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย อาการเป็นแบบไหน

อาการเด่นของตกขาวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จะมีตกขาวสีขาวปนเหลือง ออกเทาเล็กน้อย ลักษณะเป็นเนื้อเดียวกัน มักจะมีกลิ่นรุนแรงคล้ายกลิ่นปลาเน่า

ตกขาวที่เกิดจากเชื้อรา อาการเป็นแบบไหน

อาการที่พบบ่อยของตกขาวที่เกิดจากเชื้อรา มักจะมีอาการคันที่บริเวณปากช่องคลอด มีอาการเจ็บ ออกแสบร้อน และระคายเคือง และอาจมีอาการเจ็บเวลาปัสสาวะร่วมได้ด้วย ลักษณะของตกขาวจะเป็นสีขาวข้นคล้ายนมบูด มักจะไม่มีกลิ่น

ตกขาวที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัว อาการเป็นแบบไหน

อาการที่พบได้บ่อยจากตกขาวที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัว คือ จะมีตกขาวปริมาณมาก ไม่ค่อยมีความหนืด กลิ่นรุนแรง และมักพบร่วมกับอาการแสบคัน บริเวณปากช่องคลอด มีอาการเจ็บเวลาปัสสาวะ มีอาการปวดท้องน้อย หรือมีอาการเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์

อย่างไรก็ดี อาการที่เป็นอาจจะไม่ชัดเจน จำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกายและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาเชื้อที่เป็นสาเหตุร่วมด้วย ดังนั้นจึงไม่แนะการซื้อยาทำการรักษาเอง เพราะหากรักษาได้ไม่ถูกต้อง อาจจะเกิดผลเสียตามมาได้

สุดท้ายนี้หมอจึงอยากบอกว่า ตกขาว ต้องเข้าใจ และอยากให้มาตรวจกันนะครับ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 


Heatlh Quotient ฉลาดดูแลสุขภาพ หนึ่งใน Power BQ 10 ความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี เริ่มต้นได้โดยคุณแม่เป็นแบบอย่างที่ดีในการรักษาสุขภาพ รวมถึงสอนให้ลูกรู้จักการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล เตรียมพร้อมหาข้อมูลต่างๆ ในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อส่งต่อสุขภาพที่ดีสู่ลูกน้อย เพราะสุขภาพที่แข็งแรงจะเป็นต้นทุนชีวิตที่ดีตั้งแต่แรกเกิดให้กับลูกน้อย


ติดตามเรื่องน่ารู้สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และสุขภาพสตรี กับคุณหมอโอฬาริก

ได้ที่เพจ เค้าเรียกผมว่า หมอเมนส์

เพจ หมอโอฬาริก

 

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

หมอเฉลย คุมกำเนิดแบบไหนดีที่สุด? โดยคุณหมอโอฬาริก

รวมคำถามพบบ่อย คนท้องกับโควิด โดยคุณหมอโอฬาริก

คนท้องติดโควิด คนท้องทำ Home isolation ได้ไหม?

คนท้องติดโควิดกินยาอะไรได้บ้าง ยาที่กินได้ vs ยาต้องห้าม

 

ลูกขี้กลัว

ลูกขี้กลัว 6 เทคนิครับมือ เมื่อลูกต้องเผชิญกับความกลัว

ลูกขี้กลัว ผิดปกติหรือไม่? คุณพ่อคุณแม่จะช่วยลูกอย่างไรเมื่อลูกต้องเผชิญกับความกลัว พญ. ศรินพร มานิตย์ศิริกุล ทิพย์อุดม เจ้าของเพจ “หมอสมองเลี้ยงลูกแฝด มีคำแนะนำดีๆ มาฝากคุณพ่อคุณแม่นำไปใช้สอนลูก “รับมือกับความกลัวของเด็ก”กันค่ะ

Fear ความกลัว เป็นการตอบสนอง “ปกติ” ของสมองเมื่อรับรู้ถึง “อันตราย” หรือสิ่งที่ “ไม่ปลอดภัย” เพื่อให้เราเลือกว่าจะ “สู้ ” หรือ “หนี ” เพื่อปกป้องตัวเราเองให้ “ปลอดภัย”

ลูกขี้กลัว เพราะอะไร?

หลายๆ ครั้งลูกต้องเผชิญกับความกลัว ในสิ่งที่เจอในชีวิตประจำวัน เช่น #กลัวเสียงดัง #กลัวสัตว์ #กลัวความมืดฯ เพราะลูกอาจไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร มีอันตรายหรือไม่ หรืออาจมีประสบการณ์ มีจินตนาการไม่ดีเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น

#นิวโร เดิมทีเป็นเด็กที่กลัวสัตว์มาก ไม่กล้าเข้าใกล้ ร้องไห้ทุกครั้งเวลาเจอ ก่อนโควิดแม่พาลูกไปซาฟารีเวิลด์และสวนสัตว์ที่ต่างๆบ่อยมากกกกกก ขับรถกอล์ฟเที่ยวเขาเขียว จนลูกเริ่มคุ้นเคย ชอบไปสวนสัตว์ เราจึงเริ่มไปให้อาหารสัตว์ ซึ่งตอนสองสามครั้งแรกลูกไม่ยอมให้ ต่อมาพ่อแม่ทำให้ดูจนลูกรู้ว่าปลอดภัย ตอนนี้เลยกลับกลายเป็นเด็กที่ “ชอบ” และ “กล้า” ให้อาหารสัตว์มาก และ #ร้องขอ ไปเองทุกครั้ง แต่ก็มีบางครั้งที่สัตว์ จู่โจม วิ่งนอกรั้ว ที่ลูกยังรู้สึกว่าไม่โอเค ซึ่งแม่ก็คิดว่าต้องให้เวลาค่ะ

รับมือ ความกลัวของเด็ก
ลูกขี้กลัว วิธีรับมือ ความกลัวของเด็ก

การรับมือ กับความกลัวของเด็ก

สิ่งที่แม่พยายามทำคือ

  1. ให้ความมั่นคงในจิตใจลูก
    ไม่ส่งเสียงตกใจ ไม่แกล้งแหย่ลูก ไม่หัวเราะในสิ่งที่ลูกกลัว อยู่ข้างๆ ลูก สัมผัส จับมือ บอกลูกว่าพ่อแม่อยู่ข้างๆลูก อุ้มเมื่อลูกร้องขอ ให้ลูกมีความมั่นคง รู้สึกปลอดภัยว่าพ่อแม่พร้อมช่วยเหลือไม่ทิ้งไปไหนค่ะ
  2. ให้เวลาลูก
    พ่อแม่ต้องนิ่ง ให้เวลาลูกสังเกต เรียนรู้ ปรับตัวในสิ่งที่ลูกกลัว ไม่บังคับหรือเร่งรัดลูกจนเกินไป เด็กๆต้องใช้เวลามากน้อยต่างกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ตัวเองค่ะ
  3. เป็นตัวอย่างให้ลูก
    อยากให้ลูกหายกลัวอะไร พ่อแม่อาจต้องทำให้ลูกเห็นว่ามันไม่อันตราย มันปกติ ตัวแม่เองกลัวสัตว์มากกกกก แต่พยายามไม่แสดงออกให้ลูกกลัวตาม ไม่กรีดร้อง ไม่วิ่งหนี ยอมให้อาหารสัตว์ทั้งๆ ที่ไม่เคย เพื่อให้ลูกดู บางครั้งก็ส่งพ่อไปเป็นตัวแทน
    ไปๆ มาๆ จากเดิมที่แม่กลัวไก่มาก พอไปกับลูกบ่อยๆ แม่ก็เดินผ่านดงไก่ได้แล้วค่ะ
  4. ไม่ใช้ความกลัวในการเลี้ยงลูก
    หลายๆ ครั้งเราใช้ความกลัวในการเลี้ยงลูก #ระวังตุ๊กแกกินตับนะ #เดี๋ยวจะมีตำรวจมาจับ #ดื้อมากเดี๋ยวให้หมอมาฉีดยา
    ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้ลูกกลัวโดยการจินตนาการถึงสิ่งต่างๆ ที่อาจไม่เกิดขึ้นจริง ทำให้ลูกมีความไม่มั่นคงทางอารมณ์ได้ค่ะ
  5. อธิบายตามหลักความจริง
    เสียงดังเกิดจากอะไร เช่น
    เค้าเจาะประตู เสียงเลยดัง หนูดูไกลๆ ได้ แต่เข้าใกล้ไม่ได้เพราะมันมีเศษไม้อาจเข้าตาได้
    หนูให้อาหารสัตว์ได้ สัตว์เค้าจะอ้าปากมากิน แต่หนูให้แล้วต้องปล่อยมือ อย่าให้โดนฟันของพี่นะคะ
  6. ความกลัวยังเป็นสิ่งที่ดี
    หลายๆ อย่างเราก็ต้องสอนให้ลูกกลัวในสิ่งที่เหมาะสม (ย้ำว่าสอนไม่ใช่ขู่หรือหลอกค่ะ) เช่น
    ไม่ข้ามถนนคนเดียว วิ่งลงกลางถนน เพราะรถชนบาดเจ็บได้
    ไม่วิ่งเล่นหนีแม่ เพราะอาจมีคนไม่ดีจับตัวไปได้หรือหลงทางได้
    ไม่เอานิ้วแหย่ปลั๊กเพราะไฟจะดูด
    ซึ่งแม่สอนเรื่องนี้ผ่านนิทาน สอนพร้อมให้ลูกคิดตาม ตอบคำถามที่ลูกคาใจ ให้ลูกไม่กลัวเกินกว่าความเป็นจริงค่ะ

ย้ำอีกครั้งว่าความกลัวเป็นเรื่องปกติ เป็นการตอบสนองของร่างกายเพื่อให้เราอยู่รอดปลอดภัย แต่เราก็ไม่ควรจะหลอกให้เด็กกลัวจนเกินกว่าความเป็นจริง และเมื่อไหร่ที่ลูกเรากลัว เราควรจะอยู่เคียงข้างให้เวลา แล้วค่อยอธิบายเพื่อสร้างความมั่นคงในจิตใจให้ลูก

เพราะความกลัวเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อของพัฒนาการของลูกค่ะ

#หมอสมองเลี้ยงลูกแฝด

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 


1 ใน Power BQ 10 ความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี คือการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ หรือ EQ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก เพราะความกลัวเป็นเรื่องปกติของทุกคน หากลูกได้เรียนรู้วิธีรับมือกับความกลัวอย่างถูกต้องจากคุณพ่อคุณแม่ ก็จะสร้างความมั่นคงในจิตใจของลูก ให้เติบโตเป็นคนที่มี EQ ดี มีโอกาสในการประสบความสำเร็จทั้งในด้านหน้าที่การงาน และ การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง


ติดตามความรู้การพัฒนาสมอง และการเรียนรู้ของเด็ก กับคุณหมอศรินพร

ได้ที่เพจ หมอสมองเลี้ยงลูกแฝด

หมอสมองเลี้ยงลูกแฝด

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

ลูกตกจากที่สูง หัวฟาดพื้น ทำยังไงดี?

8 วิธีฝึก “สมองส่วนหน้า” ที่ให้ลูกได้มากกว่าทักษะ EF

 

คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน

คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน ใช่อาการโควิดไหม อันตรายหรือไม่?

คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน แค่ช่วงปกติก็ว่าห่วงแล้ว ยิ่งสถานการณ์ช่วงโควิด 19 ระบาดยิ่งจิตตกไปกันใหญ่ หยุดกังวลเชิญมาฟังคุณหมออธิบาย เช็กให้ชัวร์ว่าอันตรายไหม

คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน ใช่อาการโควิดไหม อันตรายหรือไม่?

เมื่อได้รับข่าวดีว่าจะได้เป็นแม่ รับรองได้ว่าคุณแม่ทุกคนต่างก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาดูโลกกันอย่างเต็มที่ ทั้งเรื่องการ เตรียมความพร้อม ทั้งเรื่องการวางแผนอนาคต และรวมถึงสุขภาพร่างกายของคุณแม่เองที่ต้องดูแลเป็นพิเศษกว่าเดิม เรียกได้ว่าไม่อยากให้เจ็บป่วยใด ๆ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตามที แต่ขึ้นชื่อว่า โรคภัยไข้เจ็บ แล้ว เราคงไม่สามารถป้องกันได้อย่าง 100% ดังนั้นการเรียนรู้ ศึกษาอาการ และวิธีการรับมือต่าง ๆ จึงน่าจะเป็นหนทางออกสำหรับคุณแม่ที่จะได้ดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้อง และไม่วิตกกังวลจนเกินไป

คุณแม่ดูแลตัวเองเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์
คุณแม่ดูแลตัวเองเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์

เมื่อ คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน … อันตรายหรือไม่??

โดยปกติแล้วคุณแม่ตั้งครรภ์มีโอกาสเป็นไข้ได้ง่ายเนื่องจากมีภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ ซึ่งไข้คือปฏิกิริยาหนึ่งที่ร่างกายของคนเราแสดงออกมาเมื่อมีการติดเชื้อหรือมีอาการอักเสบต่างๆ ในร่างกาย ฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณแม่ตั้งครรภ์มีไข้ ก็จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าร่างกายกำลังมีการติดเชื้อหรืออักเสบเกิดขึ้น จึงต้องรีบหาสาเหตุโดยเร็วเพื่อป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ และควรรีบบรรเทาอาการต่าง ๆ โดยเร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อการคลอด และลูกน้อยในท้องได้

คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน ทำไมถึงอันตราย ?

ในระหว่างการตั้งครรภ์ หากคุณแม่เป็นไข้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ทารกเจริญเติบโตได้อย่างไม่เต็มที่ และอาจนำไปสู่การแท้งบุตรหรือส่งผลให้ทารกมีภาวะพิการแต่กำเนิดได้ โดยมีการศึกษาพบว่า ผู้ที่เป็นไข้ก่อนตั้งครรภ์หรือมีอาการขณะตั้งครรภ์ในระยะแรกเสี่ยงต่อภาวะพิการแต่กำเนิด โรคปากแหว่งเพดานโหว่ ภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือเกิดความผิดปกติของการปิดของท่อระบบประสาท (Neural Tube Defect: NTDs) สูงกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีอาการ อีกทั้งทารกในครรภ์ยังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกลุ่มอาการออทิสติกมากขึ้นหากมารดาเป็นไข้ขณะตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 2

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรไปพบแพทย์ทันทีหากเป็นไข้สูงติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันระหว่างตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทั้งระยะสั้นและเรื้อรัง ซึ่งแพทย์อาจสั่งให้มีการตรวจด้านอื่นเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของอาการไข้ อย่างการตรวจตัวอย่างเลือดหรือปัสสาวะ

คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน สังเกตอาการ ปรึกษาแพทย์
คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน สังเกตอาการ ปรึกษาแพทย์

ดูแลตัวเองอย่างไร เมื่อ คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน

เมื่อคุณแม่เกิดอาการไข้ สามารถดูแลตนเอง เพื่อบรรเทาอาการไข้ให้ดีขึ้นได้เบื้องต้น ดังนี้

  • ดื่มน้ำให้มาก เพื่อช่วยลดอุณหภูมิของร่างกาย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ แต่ไม่ควรนอนพักในอากาศร้อน หรือห่มผ้านวม สวมเสื้อผ้าที่ระบายอากาศไม่ดี หรือแน่นจนเกินไป
  • หากมีอาการเจ็บคอสามารถกลั้วคอด้วยน้ำเกลือเพื่อบรรเทาอาการได้
  • การใช้ยาลดไข้ ควรเลือกยาพาราเซตามอล เนื่องจากเป็นยาที่ปลอดภัยที่สุดเมื่อต้องใช้ในขณะตั้งครรภ์ แต่จำเป็นต้องรับประทานยาในปริมาณที่ฉลากยากำหนดอย่างเคร่งครัด และไม่ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
  • ห้ามรับประทานยาแก้อักเสบกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโรเฟน หรือ แอสไพริน นอกจากจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของทารกได้
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และอุดมไปด้วยกรดโฟเลต เพื่อช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงทั้งคุณแม่ และคุณลูก
ข้อมูลอ้างอิงจาก pobpad.com

คนท้อง กับ โควิด( Covid19)!!

ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid19) นอกจากสร้างความยากลำบาก และความหวาดกลัวให้กับชีวิตผู้คนในสังคมอย่างมากแล้ว คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ในช่วงเวลานี้ยิ่งนับว่ามีความกังวลเพิ่มมากขึ้นจากคนปกติไปอีกหลายเท่า เพราะนอกจากที่เราจะต้องดูแลตัวเองเพื่อให้ลูกน้อยในครรภ์ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้เขาเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง สมบูรณ์แล้ว คุณแม่ยังต้องป้องกัน และดูแลตนเองให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโควิด 19 นี้อีกด้วย เพราะหาก คนท้องติดโควิด นอกจากจะมีอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไปแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอีกด้วย

คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน เป็นไข้ธรรมดา หรือโควิด-19
คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน เป็นไข้ธรรมดา หรือโควิด-19

คุณแม่ตั้งครรภ์กับการป่วย COVID-19

รู้หรือไม่???   

  • คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 มากกว่า 2 ใน 3 มักไม่แสดงอาการ
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 แล้วมีอาการรุนแรงมักมีภาวะอ้วน อายุมาก มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ เป็นต้น
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีโอกาสส่งต่อเชื้อไปยังลูก 2 – 5% แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนเรื่องการแท้งลูก
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีโอกาสทารกคลอดก่อนกำหนด 15.1%
ข้อมูลอ้างอิง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ความเสี่ยงเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ป่วย COVID-19

  • ครรภ์เป็นพิษ 
  • คลอดก่อนกำหนด
  • เลือดแข็งตัวผิดปกติ
  • ทารกที่เกิดจากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 มีโอกาสคลอดก่อนกำหนด และน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์น้อยโอกาสที่ทารกจะได้รับเชื้อน้อยกว่าทารกในครรภ์ที่คุณแม่ใกล้คลอด

คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน เป็นไข้หวัดธรรมดา หรือ โควิด -19 กันแน่??

อาการ

Covid-19

ไข้หวัดทั่วไป

มีไข้ น้ำมูกไหล มีไข้สูงมากกว่า 37.5 องศา มีไข้สูงผ่านไป 3-4 วัน

อาการจะเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ไอ จาม มีเสมหะ ไอแห้ง ไอมีเสมหะ เจ็บคอนานเกิน 4 วัน เสมหะอาจมีเลือดติดมา อาจมีไอ จาม เล็กน้อย ผ่านไป 3-4 วัน อาการจะดีขึ้น
ถ่ายเหลวท้องเสีย บางคนอาจมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ไม่มีอาการท้องเสีย
หายใจลำบาก หายใจลำบาก ในรายที่รุนแรงจะมีปอดอักเสบ หรือปอดบวม มีอาการคัดจมูก น้ำมูกอุดตัน ทำให้หายใจลำบาก ไม่สะดวก
ปวดตามตัว ปวดตัวเมื่อยตัว ทานอะไรไม่ลง อ่อนเพลีย ปวดตามตัว
ข้อสังเกต : อาการของโควิด-19 จะสังเกตได้จากการไอ มีเสมหะ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตัว

: อาการของไข้หวัดทั่วไป สังเกตได้จากการมีไข้ขึ้น อ่อนเพลีย มีไอ หรือจามบ้างเพียงเล็กน้อย

ข้อมูลอ้างอิงจาก vibharamamata.com
คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน อาเจียน ใช่อาการโควิด-19 หรือไม่
คนท้องเป็นไข้ตัวร้อน อาเจียน ใช่อาการโควิด-19 หรือไม่

คลายกังวล…กับการรักษาคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ป่วย Covid-19

แม้ว่าข้อมูลปัจจุบันบ่งชี้ว่าแม่ท้องที่ติดเชื้อ COVID-19 จะมีอาการไม่ต่างจากคนปกติ แต่การรักษาก็จะมีความซับซ้อนกว่า เช่น ต้องคำนึงถึงอายุครรภ์ ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ภาวะคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น

วิธีการรักษาคุณแม่ตั้งครรภ์ป่วย COVID-19

  • การให้สารน้ำ แก้ไขภาวะขาดสมดุลของเกลือแร่ ให้ออกซิเจน
  • การให้ยาต้านไวรัสในคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง
  • การให้ยาปฏิชีวนะหากติดเชื้อแบคทีเรีย
  • การใช้เครื่องช่วยหายใจกรณีที่อาการรุนแรง ขึ้นอยู่กับการประเมินโดยแพทย์

ข้อจำกัดในการรักษาคุณแม่ตั้งครรภ์ป่วย COVID-19 คือ การใช้ยาบางชนิดที่อาจมีผลข้างเคียง และคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่สามารถนอนคว่ำเพื่อรับออกซิเจนให้เพียงพอเมื่อดั่งคนปกติทั่วไป จึงอาจต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเพื่อเพิ่มระดับการให้ออกซิเจนแทน

ฝากครรภ์ช่วงสถานการณ์ COVID-19

คุณแม่ท้องที่ต้องการฝากครรภ์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้ ยังคงแนะนำให้ไปฝากครรภ์ตามปกติ เพราะการฝากครรภ์ทำให้คุณหมอสามารถตรวจสอบอาการต่าง ๆ ของการตั้งครรภ์ของคุณแม่ในแต่ละช่วงระยะเวลาอายุครรภ์ได้ว่าเป็นปกติหรือไม่ หากมีปัญหาหรือความเสี่ยงใด ๆ จะได้แก้ไขปัญหานั้นได้ทันถ่วงที แต่ในรายที่คุณแม่มีอายุครรภ์มากกว่า 32 สัปดาห์ หรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไทรอยด์ หัวใจ หอบหืด ปอดเรื้อรัง ไต เป็นต้น อาจจะต้องดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เพิ่มความป้องกัน ระมัดระวังเป็นสองเท่า โดยทาง ทีมแม่ ABK ได้นำวิธีการดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจาก โควิด-19 มาฝากกัน ดังนี้

  • ฝากครรภ์ตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง โดยนัดเวลาล่วงหน้าเพื่อให้ใช้เวลาที่โรงพยาบาลน้อยที่สุด 
  • เลี่ยงการเดินทางโดยรถสาธารณะ
  • ผู้ติดตามที่ไปด้วยต้องไม่เกิน 1 คน
  • สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาที่ออกนอกบ้าน 
  • ล้างมือให้บ่อย พกเจลหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ติดตัวตลอดเวลา
  • เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตรในทุกกิจกรรม
  • กลับถึงบ้านล้างมือ ถอดหน้ากากทิ้งทันที เปลี่ยนเสื้อผ้า
  • สังเกตความผิดปกติของการตั้งครรภ์ เช่น บวม ลูกดิ้นน้อยลง มีเลือดออกทางช่องคลอด เจ็บครรภ์ น้ำเดิน หากมีอาการรีบพบแพทย์ทันที 
  • ในช่วง 3 – 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หากไม่มีการตรวจพิเศษอื่น ๆ อาจเลื่อนนัดได้ตามสถานการณ์

    ดูแลตัวเอง รักษาป้องกัน ห่างไกลโควิด-19
    ดูแลตัวเอง รักษาป้องกัน ห่างไกลโควิด-19

คุณแม่ตั้งครรภ์ สามารถฉีดวัคซีน covid-19 ได้หรือไม่?

คุณแม่ตั้งครรภ์ สามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้ทุกชนิดในขณะนี้ (เมื่อมีอายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์เป็นต้นไป)

โดยควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 พร้อมกับวัคซีนชนิดอื่น ๆ ยกเว้นมีความจำเป็นตามดุลยพินิจของแพทย์ โดยควรเว้นระยะห่างอย่างน้อยประมาณ 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลการฝากครรภ์ก่อนตัดสินใจเข้ารับวัคซีน

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.sikarin.com / www.bangkokhospital.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

คนท้องติดโควิดกินยาอะไรได้บ้าง ยาที่กินได้ vs ยาต้องห้าม

แนวทางปฏิบัติตัวช่วงโควิด สำหรับ คนท้อง แม่หลังคลอด ทารกแรกเกิด

คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร? กระทบลูกในท้องหรือไม่?

วิธีเช็กความ เสี่ยงติดโควิด-19 อาการแบบไหนต้องรีบไปตรวจหาเชื้อ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

คนท้องน้ำตาลต่ำ

คุมอาหารมากไป! คนท้องน้ำตาลต่ำ ระหว่างตั้งครรภ์ อันตรายไหม?

คนท้องน้ำตาลต่ำ – การตั้งครรภ์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในร่างกาย รวมถึงการควบคุมและการเผาผลาญกลูโคสตลอดจนความสามารถในการใช้อินซูลินของร่างกายเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของคนท้องให้เป็นปกติ  วันนี้เราจะมาพูดถึงภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำระหว่างตั้งครรภ์ สาเหตุ ผลกระทบ ตลอดจนวิธีการรับมือค่ะ

คุมอาหารมากไป! คนท้องน้ำตาลต่ำ ระหว่างตั้งครรภ์ อันตรายไหม

แบบไหนที่เรียกว่าภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ?

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นภาวะทางการแพทย์ เมื่อน้ำตาลในเลือดลดลงน้อยกว่า 70 มก./ดล.  ซึ่งความรุนแรงขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดและสภาพของผู้ป่วย

ตามมาตรฐานการดูแลทางการแพทย์ผู้ป่วยเบาหวาน โดยสมาคมโรคเบาหวานแห่งอเมริกา (ADA) กำหนดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำไว้ 3 ระดับ ได้แก่

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มก./ดล. แต่เท่ากับ 54 มก./ดล. หรือสูงกว่า
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำปานกลาง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 54 มก./ดล.
  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรง ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 40 มก./ดล.

ทั้งนี้ โรคเบาหวาน คือหนึ่งในหลาย ๆ สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในหญิงตั้งครรภ์ได้  โรคเบาหวานจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่ฉีดอินซูลิน มีการศึกษาจากต่างประเทศ ที่ชี้ให้เห็นว่าระหว่าง 19 ถึง 44% ของผู้หญิงที่เป็นเบาหวานมักมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในระหว่างตั้งครรภ์ และสตรีมีครรภ์ที่เป็นเบาหวานมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรงได้อย่างน้อยหนึ่งครั้งในระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำในคนท้อง ได้แก่

สาเหตุทั่วไปที่ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำ

  • การรับประทานอาหารไม่เพียงพอ หรือ คุมอาหารหรือปริมาณน้ำตาลมากเกินไปเนื่องจากกลัวว่าจะเป็นเบาหวาน รวมทั้งการอดอาหาร สามารถส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ ทารกในครรภ์จะใช้กลูโคสของมารดาอย่างต่อเนื่องโดยไม่คำนึงถึงปริมาณอาหารที่บริโภค ดังนั้นสตรีมีครรภ์ควรรับประทานอาหารที่สมดุลและดีต่อสุขภาพด้วยคาร์โบไฮเดรตและอาหารที่ไม่ผ่านการขัดสีอย่างเพียงพอเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ
  • การออกกำลังกายที่มากเกินไป  การออกกำลังกายที่หักโหมเกินไปสามารถทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงเนื่องจากร่างกายเปลี่ยนกลูโคสเป็นพลังงานเพื่อเป็นเชื้อเพลิงให้กับร่างกาย
คนท้องน้ำตาลต่ำ
คนท้องน้ำตาลต่ำ

สตรีมีครรภ์ที่เป็นเบาหวานอาจจำเป็นต้องปรับปริมาณอินซูลินของตนเอง เนื่องจากอินซูลินที่มากเกินไปจะลดน้ำตาลในเลือดได้มากเกินไป ส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

หมอแจงแล้ว! ชาไข่มุก ไม่ทำให้ลำไส้อุดตัน แต่ทำให้เป็นเบาหวาน!

คนท้องต้องรู้! กินน้ำตาล ตรวจเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ทำอย่างไร?

มันฝรั่งทอด กินมากไปเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์

ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำ

  • เป็นเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูงและต่ำอาจเกิดขึ้นได้ในระยะต่างๆ ระหว่างตั้งครรภ์ ขึ้นอยู่กับอินซูลินและยารักษาโรคเบาหวาน สตรีมีครรภ์ต้องติดตามและปรับขนาดอินซูลินระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากระดับอินซูลินอาจผันผวนได้
  • กำลังตั้งครรภ์ไตรมาสแรก ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเกิดขึ้นบ่อยขึ้นในช่วงไตรมาสแรกเมื่อคนท้องมีอาการคลื่นไส้อาเจียน (แพ้ท้อง) บ่อยครั้ง การศึกษาพบว่าสตรีมีครรภ์ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรงในช่วงไตรมาสแรกมากกว่าก่อนตั้งครรภ์ถึง 3 เท่า ช่วงเวลาที่มีโอกาสเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรงที่สุดคือระหว่าง 8 ถึง 16 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ เวลาที่มีโอกาสน้อยที่สุดคือในไตรมาสที่สอง
  • เคยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำก่อนการตั้งครรภ์
  • ความอยากอาหารลดลง  โดยเฉพาะเมื่อมีอาการป่วยหลายอย่าง อาจทำให้รู้สึกไม่อยากอาหาร และหากไม่ได้รับอาหารเพียงพอหรือสม่ำเสมออาจพัฒนาไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้
  • เป็นโรคขาดสารอาหาร สิ่งสำคัญคือต้องได้รับแคลอรีเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์ ควรเน้นการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด ยารักษาโรคเบาหวานสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เมื่อรับประทานอาหารไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจนเป็นอันตราย นอกจากนี้ ยาบางชนิดอาจลดน้ำตาลในเลือดได้ อาทิ ซาลิไซเลตหรือยาแก้ปวดรวมทั้งแอสไพริน ซึ่งแพทย์ส่วนใหญ่ไม่แนะนำในระหว่างตั้งครรภ์ ยาปฏิชีวนะที่เรียกว่ายาซัลฟา และยาเพนทามิดีน ตลอดจนยารักษาโรคปอดบวม เป็นต้น

อันตรายเมื่อคนท้องน้ำตาลต่ำ

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเพียงครั้งเดียวระหว่างตั้งครรภ์อาจเป็นอันตรายต่อมารดาหรือทารกในครรภ์ แต่หากคนท้องมีอาการน้ำตาลต่ำอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดปัญหาที่ร้ายแรงได้ เพราะ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรงอาจทำให้เกิดอาการชัก โคม่า และเสียชีวิตได้ในผู้ป่วยเบาหวานในระหว่างตั้งครรภ์ และ ทารกแรกเกิดอาจมีภาวะแทรกซ้อนเช่นเดียวกันเมื่อเกิดมาพร้อมกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือพัฒนาทันทีหลังคลอด

ทารกที่เกิดจากมารดาที่เป็นเบาหวาน อาจมีอาการที่เรียกว่าภาวะแมคโครโซเมีย (macrosomia) ซึ่งทำให้ลูกมีขนาดตัวใหญ่ผิดปกติ ทารกแรกเกิดเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการตรวจและติดตามอาการผิดปกติ เนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดอาจลดลงจนเป็นอันตรายและมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาในการหายใจ

สัญญาณเตือน และอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

อาการน้ำตาลในเลือดลดลง เมื่อน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจและร่างกาย อย่างไรก็ตาม อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดคงที่อีกครั้ง

  • สัญญาณลดน้ำตาลในเลือดในช่วงต้น
  • คลื่นไส้และอาเจียน วิงเวียนศีรษะ
  • รู้สึกหิวผิดปกติ
  • มึนหัว
  • ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
  • มือสั่น
  • เหงื่อออกมาก
  • วิตกกังวล
  • หน้าซีด
  • รู้สึกเหนื่อย
  • รู้สึกชาที่ริมฝีปาก

การป้องกันและการรักษา

หากคุณเริ่มรู้สึกถึงอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ให้ทำดังต่อไปนี้

  • ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดของคุณอย่างสม่ำเสมอและตระหนักถึงอาการของระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเพื่อให้คุณสามารถรักษาได้อย่างรวดเร็ว
  • หากเกิดอาการ ให้หาที่ที่ปลอดภัยที่สามารถนั่งหรือนอนเอนตัวได้ หากคุณกำลังขับรถ ให้หาที่จอดรถ
  • พกขนมหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลติดตัวไปด้วยเสมอ เช่น ]ลูกอมเม็ดกลูโคส นมเม็ด น้ำผลไม้แบบกล่อง หรือขนมหวาน หากคุณมีชุดฉีดกลูคากอน ให้เก็บไว้กับตัวเสมอ การกินหรือดื่มคาร์โบไฮเดรต ประมาณ 15 กรัม จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในร่างกายให้เป็นปกติได้
  • ไม่ควรงดมื้ออาหารระหว่างวัน
  • แจ้งให้แพทย์ทราบถึงภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำที่เกิดขึ้น

หากคุณป่วยเป็นเบาหวาน แพทย์อาจทำการปรับยาเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ คุณอาจได้รับใบสั่งยาสำหรับสิ่งที่เรียกว่าชุดกลูคากอน ชุดนี้ประกอบด้วยฮอร์โมนกลูคากอนสังเคราะห์ และเข็มฉีดยาที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เมื่อฉีดเข้าไป กลูคากอนจะกระตุ้นตับให้หลั่งกลูโคสสะสม ในทางกลับกันทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น วิธีนี้ใช้เป็นเครื่องช่วยชีวิตสำหรับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำอย่างรุนแรง

กุญแจสำคัญคือการลดความเสี่ยงของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำก่อนเป็นอันดับแรก

  • กินอาหารมื้อเล็ก ๆ แต่บ่อยและพอดี เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในปริมาณคงที่
  • ในขณะที่นอนหลับ ซึ่งร่างกายไม่ได้รับสารอาหารใดๆ อาจทำให้เกิดอาการน้ำตาลต่ำกำเริบได้ ดังนั้นอย่าลืมเก็บขนมไว้ข้างเตียงนอนเพื่อที่คุณจะได้กินได้ถ้าตื่นกลางดึก
  • ออกกำลังกายให้เหมาะสม เว้นแต่แพทย์จะสั่งห้าม อย่างไรก็ตามไม่ควรออกกำลังเกินระดับปกติของตัวเอง ผลของการออกกำลังกายที่มากเกินไปต่อระดับน้ำตาลในเลือดต่ำอาจคงอยู่ได้นานถึง 24 ชั่วโมง

คนท้องน้ำตาลต่ำ

ในระหว่างตั้งครรภ์ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักเกี่ยวข้องกับการควบคุมเบาหวาน ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่พอเหมาะ ตลอดจนการออกกำลังกายที่ไม่หนักจนเกินไปเหมาะกับสภาพร่างกายของคนท้องแต่ละคน จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ มีแรงรับมือกับอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ระหว่างตั้งครรภ์ได้อย่างแน่นอนค่ะ

เมื่อถึงวันคุณแม่คลอดเจ้าตัวน้อยออกมาจนลูกเติบโตพอที่สามารถเรียนรู้เรื่องของโภชนาการที่มีประโยชน์ ตลอดจนการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีแล้ว อย่าลืมปลูกฝังให้ลูกๆ ได้เข้าใจถึงความสำคัญของการทานอาหารและการมีสุขภาพที่ดีด้วยการออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างให้เด็กๆ เกิดทักษะความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) สามารถเรียนรู้และเข้าใจวิธีดูแลและป้องกันตัวเองให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com , medicalnewstoday.com , nhs.uk

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แม่แชร์! เป็นเบาหวานตอนท้อง และวิธีคุมน้ำตาลแบบง่ายและได้ผลดี

ไขข้อข้องใจ คนท้องลื่นล้ม หกล้ม ลูกจะเป็นอะไรไหม แท้งได้หรือเปล่า?

วิจัยล่าสุดเผย! คนท้องอ่อนตากแดด ลดความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดได้!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกไม่ยอมให้กอด

แม่ใจหาย! ลูกไม่ยอมให้กอด ทำตัวเหินห่างไม่เหมือนตอนเด็ก เป็นเพราะอะไร?

ลูกไม่ยอมให้กอด – ช่วงเวลาที่มีความสุขของคนเป็นพ่อแม่คงไม่พ้นการได้อยู่ใกล้ชิดกับลูก ตั้งแต่วันแรกที่เจ้าตัวน้อยลืมตาดูโลกเป็นห้วงเวลาที่แสนพิเศษที่บางครั้งก็บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ การได้ยินลูกส่งเสียงร้องอุแว้ ๆ ครั้งแรก ได้เห็นแววตาอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ได้ยินลูกพูดส่งเสียงที่มีความหมายครั้งแรก พ่อแม่เฝ้าดูแลประคบประหงมไม่ห่างจนลูกค่อยๆ เติบใหญ่ จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี ตลอดช่วงเวลาแห่งความสุขที่ผ่านพ้นทั้งหมดการได้แสดงความรักกับลูก ทั้งการได้อุ้มลูก หอม กอด จูบ ล้วนสร้างความสุขและสายสัมพันธ์อันดีด้วยสัมผัสแห่งรักระหว่างพ่อแม่ลูกได้ในแบบที่ไม่มีความรู้สึกไหนจะเทียบได้

แต่แน่นอนว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักมีจำกัด เมื่อเวลาผ่านไป ความใกล้ชิดที่ลูกเคยมีให้อาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลง จากที่เคยยินยอมให้พ่อแม่แสดงความรักหอม กอด จูบ อย่างเต็มใจ แต่เมื่อถึงวัยหนึ่งของชีวิตลูกกลับมีท่าทีต่อต้านไม่ต้องการให้พ่อแม่แสดงความรักเหมือนครั้งที่พวกเขายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ จนบางครั้งหัวอกพ่อแม่อดรู้สึกใจหายสะเทือนใจไม่ได้เมื่อนึกย้อนถึงวันเก่าๆ

แม่ใจหาย! ลูกไม่ยอมให้กอด ทำตัวเหินห่างไม่เหมือนตอนเด็ก เป็นเพราะอะไร?

เด็กวัยรุ่นกับการแสดงความรักของพ่อแม่

การเปลี่ยนพฤติกรรมและการแสดงออกแบบเด็กๆ เพื่อเริ่มต้นการเดินทางสู่การเป็นวัยรุ่น ส่วนใหญ่เริ่มที่ อายุประมาณ 9-13 ปี ซึ่งเป็นวัยที่เด็กๆ จะเริ่มโตเป็นหนุ่มสาว เริ่มมีการปฏิเสธ หรือต่อต้านวิธีการแบบเด็กๆ ที่พ่อแม่คุ้นเคย  เช่น หอม กอด จูบ ตลอดจนความสนใจ และความชอบต่างๆ ที่เปลี่ยนไป เด็กวัยแรกรุ่นจะเริ่มวางตัวเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เมื่อวางตัวเป็นผู้ใหญ่ขึ้นก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาอาจเลือกที่จะละทิ้งการแสดงความรู้สึกและการยอมรับการแสดงความรักทางกายกับพ่อแม่ไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ต้องการถูกนิยาม และปฏิบัติเหมือนตอนเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกต่อไป

สิ่งที่พ่อแม่อาจเผชิญในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ คือ ลูกชายหรือลูกสาวอาจแสดงความขัดแย้ง และไม่ตอบสนองทางร่างกาย ปฏิเสธการแสดงความรักแบบเก่าๆ พวกเขาอาจรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม หรือแม่แต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าอายโดยเฉพาะเมือ่พ่อแม่แสดงความรักต่อเขาต่อหน้าเพื่อนๆ ของพวกเขา หรือในที่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังของการแสดงออกของลูกเมื่อเริ่มโตเป็นวัยรุ่นอาจมีความซับซ้อนกว่านั้นแบบที่พ่อแม่อาจนึกไม่ถึง ซึ่งต่อไปนี้อาจเป็นเหตุผลบางประการที่อาจกระตุ้นให้ลูกปฏิเสธพ่อแม่ หรือต่อต้านการแสดงความรักจากพ่อและแม่ได้

1. พ่อแม่ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนยังเป็นเด็ก

วัยรุ่นต้องการรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  ยิ่งเราทำให้ลูกรู้สึกว่าได้รับความเคารพและได้รับเกียรติในฐานะผู้ใหญ่ที่แตกต่างจากตอนพวกเขายังเด็กมากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะยังทำตัวเหมือนเด็กบ้างในบางครั้งก็ตาม แต่มันเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะสนับสนุนความเป็นผู้ใหญ่ในตัวพวกเขาด้วยความเข้าใจในพัฒนาการตามช่วงวัยของเด็ก

ดังนั้นเมื่อลูกๆ ของเราเริ่มเป็นวัยรุ่น เราจำเป็นต้องปรับวิธีที่เราปฏิบัติต่อพวกเขา ด้วยการเปลี่ยนวิธีที่เราเคยสื่อสารกับลูกๆ จำไว้ว่าถึงเวลายกระดับมาตรฐาน และสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างภาคภูมิ การปฏิบัติต่อลูกแบบผู้ใหญ่จะทำให้ลูกตอบสนองกับพ่อแม่ในเชิงบวกได้ดี

ลูกไม่ยอมให้กอด
ลูกไม่ยอมให้กอด

2. ให้อิสระกับลูกมากเกินไป

บางครั้งคุณอาจคิดว่าการเป็นพ่อแม่ที่ให้ลูกวัยรุ่นมีอิสระอย่างเต็มที่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่ลูก แต่มันอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป การให้อิสระแก่วัยรุ่นมากเกินไปหรือเร็วเกินไป อาจนำพาพวกเขาเข้าสู่ความยากลำบากของสังคมภายนอกที่พวกเขาอาจจะยังไม่พร้อม เช่น การเผชิญกับแรงกดดันจากคนรอบข้างที่พวกเขาไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไร ซึ่งผลลัพธ์คือลูกจะพยายามปรับตัวเข้ากับที่อื่นและไม่ต้องการแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตกับพ่อแม่

3. วิพากษ์วิจารณ์ลูกมากเกินไป

หากลูกๆ ของคุณรู้สึกว่าทุกครั้งที่พวกเขาอยู่บ้าน พวกเขามักถูกพ่อแม่จู้จี้ขี้บ่น พวกเขาจะหาวิธีที่จะไม่อยู่ติดบ้าน แน่นอนว่าเมื่อลูกเริ่มเป็นวัยรุ่นก็มีสิ่งที่เราต้องสั่งสอน และวิพากษ์วิจารณ์ เพื่อให้ลูกเรามีพฤติกรรมและจิตสำนึกที่ดีในการใช้ชีวิตในสังคม แต่เราต้องเลือกที่จะสอนพวกเขาอย่างชาญฉลาด การสร้างสมดุลในการแก้ไขปัญหาและการวิจารณ์ของเราด้วยการให้กำลังใจที่ดีต่อสุขภาพจิตของลูก ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน คำพูดที่ให้กำลังใจ และแสดงถึงความเข้าใจในตัวลูกอย่างเฉพาะเจาะจงสเพียงไม่กี่คำสามารถพลิกสถานการณ์ที่ย่ำแย่ระหว่างพ่อแม่ลูกให้ดีขึ้นได้

4. สภาพแวดล้อมในบ้านไม่พึงประสงค์

ไม่ว่าคุณจะเครียดตลอดเวลา ทะเลาะกับคู่สมรส หรือแค่เดินไปรอบๆ บ้านท่ามกลางอารมณ์ฉุนเฉียวหงุดหงิดหัวเสียให้ลูกเห็นบ่อยๆ แน่นอนว่าสิ่งเหล่านั้นย่อมส่งผลกระทบทางลบต่อลูกของคุณอย่างแน่นอน เมื่อพวกเขายังเด็กพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยมีความสุขมากนัก แต่เมื่อพวกเขาโตเป็นวัยรุ่นพวกเขาสามารถคำนึงถึงทางเลือกต่างๆ ที่จะหลีกหนีสภาพแวดล้อมที่พวกเขาต้องพบเจอ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องการอยู่ในที่ที่ไม่มีความสุข

ดังนั้นคุณอาจต้องการย้อนกลับมามองและพิจารณาสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศภายในบ้านของคุณ บางทีคุณอาจมีบางอย่างที่ต้องจัดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง มองหาวิธีที่จะทำให้บรรยากาศภายในบ้านน่าอยู่ยิ่งขึ้น แล้วคุณจะแปลกใจที่พบว่าลูกวัยรุ่นของคุณเปิดรับและยอมรับคุณมากขึ้น หรืออยู่ติดบ้านมากขึ้น

5. ไม่รับฟังลูก ไม่แสดงความสนใจในสิ่งที่ลูกวัยรุ่นสนใจ

วัยรุ่นมีความคิด ความคิดเห็น คำถาม และข้อกังวลต่างๆ อยู่เสมอ แม้แต่วัยรุ่นที่ไม่ค่อยพูดจาก็ยังมีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในหัว หากคุณยุ่งเกินกว่าจะรับฟังความคิดเห็นในแต่ละวันของลูกวัยรุ่น พวกเขาจะมองหาใครสักคนที่ให้ความสนใจเขาหรือใครสักคนพวกเขา เราจะได้รับความไว้วางใจจากวัยรุ่นสำหรับการสนทนาครั้งใหญ่ก็ต่อเมื่อเราพร้อมสำหรับการสนทนาทุกวัน

แน่นอนว่าอาจเป็นเรื่องยากถ้าเราเรางานยุ่ง หรือมีเรื่องมากมายที่ต้องให้คิดให้ทำในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามควรให้ความสนใจและใส่ใจลูกเท่าที่คุณจะทำได้ พยายามหยุดและฟังเมื่อวัยรุ่นของคุณมีเรื่องจะพูด หยุดการกระทำทุกอย่างก่อน และสบตาวัยรุ่นของคุณเมื่อพวกเขาพูด แสดงให้พวกเขาเห็นว่าคุณเห็นคุณค่าในสิ่งที่พวกเขาพูด สิ่งนี้สามารถสร้างความแตกต่างให้กับความสัมพันธ์ของคุณกับลูกวัยรุ่นได้

6. พ่อแม่ไม่รับผิดชอบในความผิดพลาดของตัวเอง

หากพ่อแม่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับในความผิดของตัวเอง หากบ่อยเข้าลูกวัยรุ่นจะหมดความเคารพต่อเราได้ง่ายๆ เมื่อคุณรู้ตัวว่าทำบางอย่างผิดต่อลูก สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือเข้าหาลูกด้วยความนอบน้อม ขอให้ลูกอภัย และขอเริ่มต้นใหม่ แม้ว่าพวกเขาอาจจะให้อภัยได้ไม่เร็วเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก แต่วัยรุ่นส่วนใหญ่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ ลองให้เวลาพวกเขาบ้าง วิธีนี้จะช่วยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกของคุณ แม้ว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้นและเป็นตัวของตัวเองแค่ไหนก็ตาม

วิธีจัดการพฤติกรรมลูกวัยรุ่น

หากคุณพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากจากพฤติกรรมของลูกที่เข้าเริ่มปรับเปลี่ยนสู่การเป็นวัยรุ่น ให้เตือนตัวเองว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยว มีพ่อแม่อีกมากมายที่ประสบปัญหาแบบเดียวกับคุณ ต่อไปนี้คือคำแนะนำบางประการในการใช้ประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์นี้ คำแนะนำต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสามารถเชื่อมต่อความสัมพันธุ์กับลูกวัยรุ่นของคุณได้ดียิ่งขึ้น

ทานอาหารร่วมโต๊ะ : การเตรียมอาหารอาจดูน่าเบื่อ  แต่การทานอาหารร่วมกันของครอบครัวจะช่วยสร้างสรรค์เวลาอันมีค่าร่วมกันระหว่างพ่อแม่ลูก ดังนั้นควรกำหนดเวลามื้ออาหารของครอบครัวให้เหมือนกับที่คุณทำกับกิจกรรมอื่นๆ นั่งลงด้วยกัน ทานอาหารพร้อมหน้า ปิดทีวีและสิ่งรบกวนต่างๆ หากไม่สามารถทำทุกวัน ให้จัดตารางอาหารค่ำประจำสัปดาห์ของครอบครัวที่เหมาะกับตารางเวลาของเด็กๆ ทำให้เป็นเรื่องสนุก และให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเตรียมอาหารหรือทำความสะอาด การแบ่งปันหน้าที่และมีกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน จะช่วยสร้างความใกล้ชิดได้เป็นอย่างดี

ทำช่วงเวลาก่อนนอนให้มีคุณค่า : ลูกของคุณไม่จำเป็นต้องนอนกับคุณอีกต่อไป แต่การรักษากิจวัตรเวลานอนที่สม่ำเสมอจะช่วยให้เด็กๆ ได้นอนหลับที่จำเป็นต่อการมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง ดังนั้นควรใช้เวลาร่วมกันก่อนที่จะดับไฟในห้องนอน หรือแยกย้ายกันเข้านอน เช่น อ่านหนังสือด้วยกัน พูดถึงเรื่องที่ทำในวันนี้ และจะทำในวันพรุ่งนี้ และแม้ว่าลูกของคุณจะโตเกินกิจวัตรประจำวันแล้ว แต่อย่างน้อยรับรองว่ายังมีที่ว่างให้การจูบหรือกอดก่อนนอนแน่นอน

แบ่งปันช่วงเวลาดีๆ กับลูก: หาโอกาสให้คุณกับลูกได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน พาสุนัขไปเดินเล่น วิ่งออกกำลังกายกับลูก ช่วยกันล้างรถ อบคุกกี้  ดูรายการทีวีเรื่องโปรด ทั้งหมดนี้ถือเป็นโอกาสที่จะได้สานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่ลูก และยังเป็นโอกาสให้เด็กๆ ได้พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ในใจ แม้แต่การนั่งรถก็เป็นโอกาสในการได้สื่อสารกัน เมื่อคุณกำลังขับรถวัยรุ่นของคุณมีแนวโน้มที่จะพูดถึงปัญหาที่น่าหนักใจที่กำลังพบเจออยู่ เนื่องจากคุณจดจ่ออยู่กับท้องถนน เขาหรือเธอจึงไม่ต้องสบตา ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกไม่สบายใจในการพูดเปิดใจกับพ่อแมได้

ลูกไม่ยอมให้กอด

 

สร้างเวลาพิเศษร่วมกัน: สร้างประเพณีจากการเฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญของครอบครัวนอกเหนือจากวันเกิดและวันหยุด การทำเครื่องหมายโอกาสเล็ก ๆ เช่นบัตรรายงานที่ดีหรือเกมฟุตบอลที่ชนะช่วยเสริมสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัว

แสดงความรักอย่างเหมาะสม : อย่าดูถูกคุณค่าของการพูดและแสดงความรักต่อลูก การทำเช่นนี้จะช่วยให้เด็ก รู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจ เพราะคุณกำลังแสดงให้เห็นถึงวิธีที่ดีต่อสุขภาพในการแสดงความรัก อย่างไรก็ตาม เด็กที่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นอาจเริ่มรู้สึกประหม่าเกี่ยวกับการแสดงความรักจากพ่อแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่สาธารณะ พวกเขาอาจปฏิเสธการกอดและจูบของคุณ

ทางแก้คือ เก็บความรักแบบตอนลูกเด็กๆ นี้ไว้สำหรับเวลาที่เพื่อนๆ พวกเขาไม่อยู่ หรือไม่ใช้วิธีนี้ในที่สาธารณะ ลองหาวิธีอื่นเพื่อแสดงว่าคุณห่วงใยหรือสามารถสื่อถึงความรู้สึกอบอุ่นในขณะที่ยังเคารพขอบเขต

มีส่วนร่วมกับลูกเสมอ :  การมีส่วนร่วมทำให้คุณกับลูกมีเวลาร่วมกัน และได้แบ่งปันประสบการณ์มากขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าหน่วยลูกเสือ แม่ของโฮมรูม หรือผู้ฝึกสอนฟุตบอลจึงจะมีส่วนร่วมได้ และลูกของคุณอาจต้องการทำกิจกรรมอื่นๆ ที่คุณไม่ได้รับผิดชอบ ไม่เป็นไร. ไปที่เกมและแนวปฏิบัติเมื่อทำได้ เมื่อทำไม่ได้ ให้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นและตั้งใจฟัง ช่วยเด็ก ๆ พูดคุยเกี่ยวกับความผิดหวังและเห็นอกเห็นใจเกี่ยวกับฟลายบอลที่พลาดไปซึ่งชนะเกมให้อีกทีมหนึ่ง ทัศนคติของคุณเกี่ยวกับความพ่ายแพ้จะสอนให้เด็กก่อนวัยเรียนของคุณยอมรับและรู้สึกโอเคกับมัน และเรียกความกล้าที่จะลองอีกครั้ง

ให้ความสนใจลูกอยู่เสมอ: ให้ความสนใจ ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แสดงถึงความอยากรู้เกี่ยวกับความคิด ความรู้สึก แของลูก หากคุณรับฟังสิ่งที่เขาพูด คุณจะสามารถแนะนำมุมมองต่างๆ ตลอดจนสนับสนุน และตอบสนองลูกได้เหมาะสม จำไว้ว่าการรับฟังโดยไม่ตัดสินจะทำให้ลูกวัยรุ่นของคุณมีแนวโน้มที่จะเข้าหาคุณมากขึ้นทุกเมื่อที่มีปัญหายากๆ ในชีวิตเกิดขึ้น

จัดการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์:  เมื่อเด็กโตขึ้น พวกเขามักมีอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้น ทั้ง แท็บเล็ต  แล็ปท็อป หรือโทรศัพท์มือถือ เป็นของตัวเอง แม้ว่าการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางอย่างจะเป็นประโยชน์สำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น ในการติดต่อกับเพื่อนๆ ของพวกเขา การใช้งานที่มากเกินไปหรือไม่ถูกจำกัดอาจนำไปสู่การลดคุณภาพและความถี่ในเวลาของครอบครัว ดังนั้นกำหนดขอบเขตที่สอดคล้องกับค่านิยมของคุณ ในขณะที่ให้อิสระภายในขอบเขตเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น อย่าสอดแนมในโซเชียลมีเดีย และการสนทนาด้วยข้อความ เว้นแต่จำเป็นสำหรับความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของบุตรหลานของคุณ แอพ โปรแกรม และโมเด็ม (เช่น Circle with Disney) สามารถช่วยให้คุณบังคับใช้ขอบเขตได้ สุดท้าย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้สร้างแบบจำลองการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ดีต่อสุขภาพ

เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารของคุณ: ความเป็นอิสระที่เพิ่งค้นพบในช่วงก่อนวัยรุ่นของคุณอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการสื่อสาร ในขณะที่เด็กเล็กๆ อาจชื่นชมที่คุณแก้ปัญหาให้พวกเขา แต่สำหรับเด็กก่อนวัยรุ่นหลายๆ คน การพูดคุยเรื่องความท้าทายในชีวิต พวกเขาอาจไม่อยากให้พ่อแม่ช่วยแก้ปัญหาให้อีกต่อไป บางครั้งพวกเขาต้องการแค่การรับฟังและการสนับสนุน คุณอาจรู้สึกอยากช่วยแก้ปัญหาทุกปัญหาให้ลูก  แต่สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัญหาเล็กน้อย จำไว้ว่าพวกเขาอาจต้องการแค่ที่ระบาย และการสนับสนุน  เพื่อที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยตัวของพวกเขาเอง เมื่อคุณได้ยินเกี่ยวกับปัญหาที่ไม่ต้องการวิธีแก้  ลองพูดกับลูกๆ ว่า “แม่เข้าใจได้ว่าทำไมมันถึงทำให้ลูกรู้สึกไม่ดี แม่อยู่ที่นี่นะถ้าลูกต้องการอะไร หรือต้องการพูดคุย เกี่ยวกับเรื่องนี้” ถ้าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาจะถามคุณ แต่การพร้อมสนับสนุน การรับฟัง และความเห็นอกเห็นใจของคุณจะช่วยให้พวกเขารู้สึกมีพลังในการค้นหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : psychologytoday.com , monicaswanson.com , kidshealth.org

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

23 คำพูดให้กำลังใจ ที่เพิ่มศักยภาพลูก..สู่ความสำเร็จ

ทำความเข้าใจ โรคกลัวสังคมในเด็ก (Social Anxiety) รู้เร็ว รักษาได้!

11 เรื่องที่ ลูกต้องการจากพ่อแม่ ขอแค่นี้ ให้หนูได้ไหม?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อาหารคนท้อง

7 ข้อแนะนำ อาหารคนท้อง กินอย่างไรถูกหลักไม่ขาด-เกิน

อาหารคนท้อง แตกต่างจากอาหารธรรมดาทั่วไปอย่างไร วันนี้มาดู 7 ข้อแนะนำสำหรับการกินของว่าที่คุณแม่กันว่ากินอย่างไรให้ถูกหลักพร้อมตัวอย่างรายการอาหารที่แนะนำ

7 ข้อแนะนำ อาหารคนท้อง กินอย่างไรให้ถูกหลัก ไม่ขาด ไม่เกิน!!

หัวข้อหลัก ๆ ที่ต้องเตรียมตัวเมื่อคุณแม่รับรู้ว่าตั้งครรภ์ หนึ่งในหัวข้อนั้น ๆ ก็คือเรื่อง อาหารการกิน โภชนาการของหญิงตั้งครรภ์ หรือ อาหารคนท้อง นั่นเอง นับว่าเป็นเรื่องที่คุณแม่ท้องทั้งหลายให้ความสำคัญ เพราะเป็นส่วนที่ส่งผลต่อลูกในท้อง เป็นอาหารที่จะเข้าไปหล่อเลี้ยงให้เขาเติบโตอย่างสมบูรณ์ภายในครรภ์มารดา

อาหารคนท้อง กับอาหารปกติ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
อาหารคนท้อง กับอาหารปกติ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร

ความสำคัญของ อาหารคนท้อง

แม่ท้อง ย่อมมีความต้องการพลังงาน และสารอาหารมากกว่าคนปกติ เพื่อที่จะนำไปสร้างเนื้อเยื่อของร่างกาย และการเจริญเติบโตของทารก นอกจากนั้นยังต้องการสารอาหารไปบำรุงร่างกายของคุณแม่เพื่อใช้สำหรับการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับลูกน้อยในท้องอย่างมาก

พาส่อง!! สารอาหารที่คนท้องต้องการ

  • พลังงาน เมื่อท้องคุณแม่จะต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นจากเดิม 300 กิโลแคลอรีต่อวัน
  • โปรตีน มีมากในเนื้อสัตว์ ถั่วเมล็ดแห้ง และผลิตภัณฑ์นม และไข่ ถ้าได้รับไม่เพียงพอจะทำให้การเจริญเติบโตของลูกในท้องไม่ปกติ และส่งผลต่อการพัฒนาของสมองให้ไม่สมบูรณ์
  • แร่ธาตุเหล็ก มีมากในเลือด ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ ซึ่งมีส่วนสำคัญกับร่างกายของคุณแม่ในการสร้างพัฒนาสมองของทารก
  • ไอโอดีน มีมากในอาหารทะเล เกลือเสริมไอโอดีน หากทารกขาดสารอาหารนี้ตั้งแต่ในครรภ์อาจทำให้เกิดมาเป็นโรคเอ๋อ ปัญญาอ่อน หูหนวก เป็นใบ้ การทำงานของกล้ามเนื้อไม่ประสานกัน
  • วิตามินโฟเลท มีมากในตับ และผักใบเขียว เช่น กุยช่าย หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น โฟเลทสำคัญต่อแม่ท้องอย่างมากโดยเฉพาะระยะครรภ์ช่วงเดือนแรก เพราะโฟเลทมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเซลล์สมองของทารก
  • แคลเซียม มีมากในนม ผลิตภัณฑ์จากนม ปลา ชีส เนย โยเกิร์ต เป็นต้น แคลเซียมมีส่วนสำคัญในการสร้างเสริมกระดูก และฟัน โดยเฉพาะทารกในครรภ์  โดยปกติ ผู้หญิงตั้งครรภ์มักจะต้องการแคลเซียมประมาณ 1,000 มิลลิกรัม/วัน
  • ไขมัน แม่ท้องจำเป็นต้องได้รับไขมัน แต่ควรเลือกไขมันดี ที่เป็นแหล่งกรดไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้า 3 และ DHA ที่มีมากใน ปลาทู ปลาแซลมอน ไข่ไก่ และถั่ววอลนัท เป็นต้น เพราะกรดไขมันโอเมก้า 3 จะช่วยพัฒนาระบบประสาท และสมองของทารก ส่วน DHA เป็นกรดไขมันที่สำคัญต่อการพัฒนาสมองโดยเฉพาะด้านความจำ และการเรียนรู้
  • น้ำสะอาด โดยควรดื่มวันละ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยสร้างน้ำในเซลล์เด็ก เพิ่มปริมาณน้ำในเลือดให้ผิวชุ่มชื่น ช่วยขับของเสีย

    อาหารคนท้อง ควรรับประทานอย่างไร
    อาหารคนท้อง ควรรับประทานอย่างไร

ตารางแสดงอาหาร และปริมาณอาหารของหญิงทั่วไป และหญิงตั้งครรภ์

หมวดอาหาร

ปริมาณ

หญิงทั่วไป

หญิงมีครรภ์

เนื้อสัตว์ต่าง ๆ 6-12 ช้อนคาว 12 ช้อนคาว
นมสด 1-2 แก้ว

(1 แก้ว=240 มล.)

1-2 แก้วหรือมากกว่า
ข้าว แป้ง 8-12 ทัพพี 9 ทัพพี
ผักใบเขียว และผักอื่น ๆ 4-6 ทัพพี 6 ทัพพี
ผลไม้ต่าง ๆ 3-5 ส่วน 6 ส่วน
น้ำมันพืช 3 ช้อนชา 5 ช้อนชา
พลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี 2,300 กิโลแคลอรี

 

ตัวอย่างรายการ อาหารคนท้อง ใน 1 วัน

อาหาร

ปริมาณ

อาหารเช้า

·         ข้าวต้มไก่

·         นมสด 1 แก้ว

·         เงาะ 6 ผลกลาง

470 กิโลแคลอรี
อาหารว่างเช้า

·         น้ำฝรั่ง 180 มิลลิลิตร

·         แตงโม 10 ชิ้น

120 กิโลแคลอรี
อาหารกลางวัน

·         ข้าวสวย  3 ทัพพี

·          แกงจืดผักกาดขาว

·         ผัดฟักทอง

·         ปลาไส้ตันทอด

·         ส้มเขียวหวาน 1 ผลขนาดกลาง

617.5 กิโลแคลอรี
อาหารว่างบ่าย

·         นมสด 1 ถ้วยตวง

·         แซนวิชไก่ 1 ถ้วยตวง

385 กิโลแคลอรี่
อาหารกลางวัน

·         ข้าวสวย 3 ทัพพี

·         ต้มยำกุ้ง

·         ผัดผักกวางตุ้ง

·         ปลากะพงนึ่งบ๊วย

·         ฝรั่ง ครึ่งผลขนาดกลาง

557.5 กิโลแคลอรี่
ก่อนนอน

นมสด 1 แก้ว

150 กิโลแคลอรี
รวมพลังงานทั้งวัน 2,300 กิโลแคลอรี
แม่ท้อง กับโภชนาการคนตั้งครรภ์
แม่ท้อง กับโภชนาการคนตั้งครรภ์

7 ข้อแนะนำ อาหารคนท้อง ไว้ใช้เลือกรับประทาน

1. เนื้อสัตว์ต่าง ๆ

อย่างที่ทราบกันดีว่าเนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีน ในช่วงที่คุณแม่กำลังเริ่มตั้งครรภ์ใหม่ ๆ ร่างกายของคุณแม่ และเจ้าตัวเล็กนั้นต้องการได้รับโปรตีนที่เพียงพอเข้าไปช่วยสร้างกล้ามเนื้อ และบำรุงให้ร่างกายแข็งแรง โดยสารอาหารจำพวกโปรตีนจะเข้าไปช่วยต้านทานโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย อีกทั้งยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

  • ข้อแนะนำ สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด แต่ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดหนังจะดีกว่า

2. ไข่เป็ดหรือไข่ไก่

สามารถรับประทานได้ทุกวัน วันละ 1 ฟอง เพราะไข่นอกจากให้สารอาหารโปรตีนแล้ว ยังมากด้วยธาตุเหล็ก โฟเลท และวิตามินเออีกด้วย

  • ข้อแนะนำ คุณแม่ควรรับประทานไข่ที่ปรุงสุกแล้ว เพราะร่างกายคนปกติย่อยไข่ไม่สุกได้ยาก และยังเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ที่จะก่อให้เกิดอันตราย และไข่ขาวดิบยังขัดขวางการดูดซึมวิตามินไบโอติน ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อกระบวนการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ร่างกายรับประโยชน์จากสารอาหารที่รับประทานเข้าไปได้ไม่เต็มที่

3. นมสด

นม เป็นแหล่งแคลเซียมที่คุณแม่สามารถรับประทานเพื่อให้แคลเซียมบำรุงร่างกาย ลดการเกิดตะคริว ปวดหลัง ซึ่งเป็นอาการที่คุณแม่ตั้งครรภ์พบบ่อย

  • ข้อแนะนำ แม้ว่านมจะเป็นแหล่งแคลเซียมสูงที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ทันที แต่หากคุณแม่มีอาการแพ้นมวัว ก็สามารถเลี่ยงไปรับประทานอาหารชนิดอื่นที่ให้สารอาหารแคลเซียมได้เช่นกัน เช่น นมถั่วเหลือง นมแพะ หรือถั่วเมล็ดแห้งอื่น ๆ เป็นต้น

4. ธัญพืช และถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ

ธัญพืชเป็นอาหารที่มีความสำคัญสำหรับแม่ท้องตั้งแต่ไตรมาสแรก ถึงไตรมาสสุดท้าย เหมาะสำหรับคุณแม่ที่รับประทานเนื้อสัตว์น้อย หรือเป็นมังสวิรัติ เพราะสามารถให้สารอาหารทดแทนเนื้อสัตว์ได้ นอกจากนั้นยังมีโคลีน โฟลิก โฟเลต วิตามินบี 1-6 และใยอาหาร ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแม่ท้อง และลูกน้อยในครรภ์

  • ข้อแนะนำ ในธัญพืช และถั่วเมล็ดแห้งต่าง ๆ จะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตมาก ซึ่งได้มีคำเตือนเกี่ยวกับปริมาณคาร์โบไฮเดรตกับคนท้องว่า ไม่ควรได้รับมากเกินไป อาจส่งผลเสียในเรื่องน้ำหนักตัว เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษอีกด้วย จึงควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

5. ข้าวและผลิตภัณฑ์จากแป้ง

ข้าว และแป้ง จะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง คาร์โบไฮเดรตสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงาน และคนเราต้องการสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตประมาณ 50-60% ของพลังงานทั้งหมด แป้ง และข้าว เป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทเชิงซ้อน ซึ่งใช้ระยะเวลาในการย่อยนาน แต่ด้วยความที่มีกากใย ก็จะช่วยพาอาหารชนิดอื่น เคลื่อนที่ผ่านช่องทางเดินอาหารในเวลาที่รวดเร็ว ทำให้มีเวลาดูดซึมสารอาหารที่จะทำให้คุณแม่อ้วนน้อยลง และยังช่วยในการขับถ่ายได้ดีอีกด้วย

  • ข้อแนะนำ แป้งข้าวเจ้าจะไม่มีไขมันและมีคุณค่าอาหารสูงกว่าแป้งสาลี และหากเลือกรับประทานข้าวซ้อมมือได้จะให้ประโยชน์ได้ดีกว่า เพราะมีวิตามินบี 1 และกากใยที่สูงกว่าช่วยป้องกันเหน็บชา และลดอาการท้องผูกได้

    ผัก และผลไม้ อาหารที่มากด้วยสารอาหารสำหรับคนท้อง
    ผัก และผลไม้ อาหารที่มากด้วยสารอาหารสำหรับคนท้อง

6. ผักและผลไม้ต่าง ๆ

ผัก และผลไม้ เป็นแหล่งอาหารที่ให้วิตามิน เกลือแร่ และกากใยที่ดีมาก ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายสะดวก และไม่ให้ท้องผูก

  • ข้อแนะนำ ควรรับประทานผักผลไม้ตามฤดูกาล และรับประทานให้หลากหลายชนิดสลับกันไป ระหว่างผลไม้ที่ให้น้ำตาลสูง และน้อย เช่น ลำไยทุเรียน เป็นผลไม้ให้น้ำตาลสูง ฝรั่ง ชมพู ผลไม้ให้น้ำตาลน้อย เป็นต้น เพื่อป้องกันปริมาณน้ำตาลในผลไม้บางชนิดที่มีสูง

7. ไขมัน หรือน้ำมัน

ไขมัน เป็นหนึ่งในสารอาหารที่มีความเป็นต่อร่างกาย มันอยู่ในอาหารหลักที่เราขาดไม่ได้ หรือ ที่เรียกว่า อาหาร 5 หมู่ ไม่ใช่ไขมันทุกชนิดจะเป็นไขมันที่ควรรับประทาน เราจะเน้นเฉพาะไขมันที่มีประโยชน์บางอย่างเท่านั้น เช่น ไขมันในกลุ่ม โอเมก้า 3 ซึ่งมีกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและเสริมพัฒนาการของลูกในครรภ์ได้ ไขมันที่มีประโยชน์ ก็เช่น ไขมันจากปลาทะเล กุ้ง ผลอาโวคาโด้ เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก ซึ่งไขมันเหล่านี้ช่วยในเรื่องการขจัดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกขึ้น ลดปัญหาเรื่องความดันโลหิต

  • ข้อแนะนำ ควรเลือกน้ำมันที่ได้จากพืช เพราะไม่มีโคลเรสเตอรอล และยังมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น น้ำมันถั่วเหลือง

    อาหารคนท้อง เพื่อสุขภาพลูกน้อย
    อาหารคนท้อง เพื่อสุขภาพลูกน้อย

อย่างไรก็ตาม หากคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์รู้สึกสับสนในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อลูกน้อยในครรภ์ ว่าต้องเลือกแบบไหน แค่ไหนถึงเรียกว่าพอดี ถูกต้องตามหลักการ ขอให้พึงระลึกหลักการใหญ่ ๆ ในการเลือกรับประทานอาหาร สำหรับ อาหารคนท้อง ไว้ ดังนี้

  • รับประทานได้แบบปกติ โดยให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายทุกวัน
  • งดของหมักดอง แอลกอฮอล์ อาหารรสจัด
  • ดื่มน้ำสะอาด และพักผ่อนให้เพียงพอ

เพียงเท่านี้ คุณแม่ก็สามารถรับประทาน อาหารคนท้อง ได้อย่างถูกต้อง ถูกหลักการตามโภชนาการของคนท้อง ได้เป็นอย่างดีแล้ว จะได้ไม่เป็นกังวลเกินไปนัก

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.si.mahidol.ac.th/www.bangkokhospital.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

แจกสูตร เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน กินอย่างไรให้ลงลูก

คนท้องติดโควิด คนท้องทำ Home isolation ได้ไหม?

วิจัยล่าสุดเผย! คนท้องอ่อนตากแดด ลดความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดได้!

คนท้องกินทุเรียนได้ไหม คำถามที่ควรรู้และสิ่งที่ต้องระวัง!!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

น้ำยาล้างขวดนม Babi Mild

3 หัวใจสำคัญที่แม่มือใหม่ต้องรู้ ก่อนเลือกซื้อ “น้ำยาล้างขวดนม” มาใช้

ถ้าถามว่าอะไรคือความอ่อนโยน และปลอดภัยสำหรับลูกตั้งแต่วัยทารกแรกคลอด ทีมแม่ABK ขอตอบว่า “น้ำนมแม่” เพราะสด สะอาด บริสุทธิ์ มีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน และเหตุผลทั้งหมดนี้ นอกจากแม่บ้านนี้แล้ว คุณแม่ส่วนใหญ่ก็อยากให้ลูกได้ใช้ ได้สัมผัสกับข้าวของเครื่องใช้ที่มีคุณภาพ สะอาด อ่อนโยน เป็นมิตรกับสุขภาพ

ทีมแม่ABK ลองลิสต์ของใช้ที่ลูกต้องสัมผัสด้วยการนำเข้าปาก ก็จะมีอย่างเช่น จุกนม ขวดนม แก้วหัดดื่ม ชุดทานอาหารเด็ก(ช้อน จาน ชาม) ยางกัด จุกหลอก เป็นต้น ของใช้ทั้งหมดนี้  เชื่อว่าด้วยความเป็นพ่อแม่ก็จะใส่ใจเลือกที่ดีมีคุณภาพกันอยู่แล้ว แต่ความสำคัญอยู่ที่การล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ของใช้เหล่านี้ของลูกค่ะ

น้ำยาล้างขวดนม

ซึ่งพระเอกของทีมแม่ABK ก็คือ “น้ำยาล้างขวดนม”  บอกเลยว่าเป็นไอเทมของใช้เด็กที่ไม่ซื้อใช้ไม่ได้  เราไม่แนะนำให้บ้านที่มีลูกวัยทารก เด็กเล็ก ๆ ล้างขวดนม จุกนม ภาชนะสำหรับทารกโดยเฉพาะ และของเล่น ด้วยน้ำยาล้างจานทั่วไปกันนะคะ เพราะถึงจะล้างสะอาด แต่ก็อาจมีสารเคมีตกค้างได้ค่ะ

ฉะนั้นถ้าจะล้างทำความสะอาดขวดนม จุกนม ภาชนะสำหรับทารก และของเล่น ควรใช้เป็น “น้ำยาล้างขวดนม” เท่านั้นนะคะ เพราะปลอดภัยกับสุขภาพมากกว่า สำหรับว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างขวดนม ทีมแม่ ABK แนะนำเบื้องต้นให้เช็กดูข้อมูลของผลิตภัณฑ์น้ำยาล้างขวดนมว่ามี 3 เรื่องนี้ระบุไว้ด้วยหรือเปล่า

✅ มีสารทำความสะอาดจากธรรมชาติ

✅ มีการทดสอบการระคายเคือง

✅ มีความสามารถในการขจัดคราบ และกลิ่นได้อย่างหมดจด

อันนี้จากประสบการณ์แม่บ้านนี้ ที่ล้างขวดนมลูกแล้วยังมีกลิ่นเหม็นหืนติดอยู่ที่ขวดนม กลิ่นหืนที่เกิดขึ้นก็มาจากการล้างเอาคราบไขมันนมออกไม่หมด ทีนี้พอหมักหมมมาก ๆ ก็ทำให้ขวดนม จุกนมมีกลิ่นได้ค่ะ ลูกร้องยี้  ไม่ยอมกินนม แม่นี่เครียดเลย!!

เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ เบบี้ ยูเทนซิล คลีนเซอร์

และนี่คือโฉมหน้าของน้ำยาล้างขวดนม ที่ทีมแม่ABK ใช้อยู่ ขอบอกว่าเลิฟมาก และชอบที่จะนำมาจัดเป็นชุดรับขวัญให้กับญาติ ๆ เพื่อน ๆ ที่คลอดลูกได้ใช้กัน คือเป็นผลิตภัณฑ์ล้างทำความสะอาดที่มีคุณสมบัติตามโจทย์ที่อยากได้ แม่ให้เต็ม 10 ไม่หักเลย เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ เบบี้ ยูเทนซิล คลีนเซอร์ มาค่ะ จะพาไปดูว่าทำไม๊ ทำไม ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ ครอบครัวมือใหม่ต้องเตรียมซื้ออยู่ในลิสต์ 1 ใน 10 ของใช้สำหรับเด็กทารก

Babi Mild Organic Baby Utensil Cleanser

 

ฮอตไอเทมเบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ เบบี้ ยูเทนซิล คลีนเซอร์  ที่แม่ต้องซื้อใช้ !

สำหรับผลิตภัณฑ์ล้างขวดนม เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ เบบี้ ยูเทนซิล คลีนเซอร์ ความพิเศษคือ เขาคิดค้นและออกแบบมาเพื่อใช้ทำความสะอาดขวดนม จุกนม ภาชนะสำหรับทารกโดยเฉพาะ รวมถึงของเล่นด้วย มีคุณสมบัติเด่น ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้ได้อย่างสบายใจ ว่าถูกสุขอนามัยสำหรับลูกน้อยอย่างแน่นอน ทีมแม่ABK สรุปมาให้เรียบร้อย ดังนี้…

  • มีความอ่อนโยนจากธรรมชาติ x2 มีการผสมผสานเอสเซ้นส์ออร์แกนิคคาโมมายล์ ไม่ใช่เล่น ๆ นะคะ เพราะได้รับรองมาตราฐาน ECOCERT ® และออร์แกนิคจากดอกฮันนี่ซัคเคิล ที่ก็ได้รับรองมาตราฐาน USDA อ่อนโยนจากออร์แกนิคที่เพิ่มความมั่นใจให้แม่อย่างเรา ๆ ที่สุดเลยว่าไหมคะ
  • มีสารทำความสะอาดในผลิตภัณฑ์ล้างขวดนม ที่สังเคราะห์มาจากพืชธรรมชาติ 4 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพด มะพร้าว ผลปาล์ม และข้าวสาลี
  • “เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ เบบี้ ยูเทนซิล คลีนเซอร์” ไม่มีการเติมสารพาราเบน ไม่ใส่สีสังเคราะห์ และมีการทดสอบการระคายเคือง** (Dermatologically Tested)
  • และคุณสมบัติข้อนี้ดีงามสุด ๆ ถูกใจแม่ แม่เลิฟ คือสามารถขจัดคราบไขมัน รวมถึงกลิ่นที่ตกค้างบนขวดนม จุกนม และภาชนะได้อย่างสะอาดหมดจด

คุณภาพดีขนาดนี้คุณแม่ ๆ ต้องใช้แล้วล่ะค่ะ อย่าลืมนะคะ ถ้าจะเตรียมซื้อของใช้สำหรับลูกตั้งแต่แรกคลอด ต้องมีผลิตภัณฑ์ล้างขวดนม  “เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ เบบี้ ยูเทนซิล คลีนเซอร์” ซื้อเตรียมรอไว้ได้เลย ยังไงก็ต้องใช้ค่ะ

หาซื้อได้แล้ววันนี้ตามร้านค้าชั้นนำและห้างสรรพสินค้าทั่วไป หรือช่องทางออนไลน์ที่ Babi mild Official – Lazada, Shopee, JD Central และ Osotspa Delivery

Lazada: https://bit.ly/3zdBzUc

Shopee: https://bit.ly/2XjyTb5

JD:  https://bit.ly/3lpnONp

OSP deli: https://bit.ly/3CfmDqE

 

 

*ออร์แกนิค สื่อถึง เอสเซ้นส์คาโมมายล์และฮันนี่ซัคเคิลออร์แกนิคที่มีในสูตรผลิตภัณฑ์
**จากผลทดสอบการระคายเคืองผิวหนังในกลุ่มตัวอย่าง 20 คน อายุ 20-60 ปี ม.ค. 62
โดย DRC Thailand Co., Ltd. ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองในกลุ่มตัวอย่างเว้นแต่การแพ้หรือระคายเคืองส่วนบุคคล

 

พาลูกไปฉีดวัคซีน

อ่านเลย! ก่อน พาลูกไปฉีดวัคซีนโควิด พ่อแม่ควรรู้อะไรบ้าง?

พาลูกไปฉีดวัคซีนโควิด – หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกมาประกาศนโยบายการฉีดวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์ให้กลุ่มเด็กนักเรียนอายุ 12-17 ปี ในเดือน ต.ค. นี้ หรือ วัคซีนตัวอื่นๆ ที่มีการอนุมัติใ้ใช้ในเด็กได้ ผู้ปกครองหลายคนอาจเริ่มคิดหนัก และพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงต่างๆ ของวัคซีนในเด็ก ว่าฉีดแล้วลูกจะปลอดภัยไหม  ควรรีบจองให้ลูกฉีดเลยดีไหม มีข้อควรรู้อย่างไรบ้าง วันนี้ทีมงาน ABK จะมาไขข้อข้องใจในเรื่องนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ค่ะ

อ่านเลย! ก่อน พาลูกไปฉีดวัคซีนโควิด พ่อแม่ควรรู้อะไรบ้าง?

ควรให้ลูกฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 หรือไม่?

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า การให้เด็กได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะส่งผลดีและมีมีประโยชน์มากมาย เนื่องจากวัคซีนช่วยป้องกันไม่ให้เด็กติดเชื้อโควิด-19 แม้ว่าบางครั้งโรคโควิด-19 ในเด็กจะไม่รุนแรงเท่าในผู้ใหญ่ แต่เด็กบางคนอาจติดเชื้อในปอดขั้นรุนแรง ป่วยหนัก และต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล เด็กอาจมีโรคแทรกซ้อน เช่น กลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็กที่อาจต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด หรืออาการเรื้อรังที่ส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ไวรัสอาจทำให้เสียชีวิตในเด็กแม้ว่าจะพบได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ก็ตาม

วัคซีนจะช่วยป้องกันหรือลดการแพร่กระจายของ COVID-19  เหตุผลเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ คือ เด็ก ๆ ก็สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ หากพวกเขาติดเชื้อ แม้ว่าจะไม่มีอาการก็ตาม การรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สามารถปกป้องเด็กและคนอื่นๆ ได้ ลดโอกาสที่พวกเขาจะแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่น รวมถึงสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากการติดเชื้อรุนแรงมากขึ้น

การฉีดวัคซีนสำหรับ COVID-19 สามารถช่วยหยุดสายพันธุ์อื่นไม่ให้เกิดขึ้น  นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหญ่ coronavirus SARS-CoV-2 ที่เป็นสาเหตุของ COVID-19 ได้กลายพันธุ์ หนึ่งในสายพันธุ์ต่างๆ สายพันธุ์เดลต้า นั้นสามารถติดต่อได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ  กรณีของ COVID-19 เพิ่มขึ้นในหมู่เด็กและสายพันธุ์เดลต้าดูเหมือนจะเป็นตัวการสำคัญ การลดการแพร่กระจายของไวรัสโดยการฉีดวัคซีนยังช่วยลดโอกาสที่ไวรัสจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ที่อาจเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงการไม่ได้รับการฉีดวัคซีนครบตามที่กำหนด (สำหรับวัคซีนที่ต้องฉีด 2 ครั้ง) จะทำให้มีโอกาสเกิดโรคต่างๆ ขึ้นได้

อีกเหตุผลหนึ่งที่ควรคำนึงถึงการให้เด็กได้รับวัคซีนโควิด-19 คือ การช่วยปกป้องชุมชนแวดล้อม สำหรับบุตรหลานของคุณ คือ การปกป้องสุขภาพของผู้ที่อาศัยและอยู่ใกล้ชิดกับเด็กๆ เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัสแต่ละคนสามารถแพร่เชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นในชุมชนได้ เพราะการแพร่กระจายของเชื้อแต่ละครั้งจะเปิดโอกาสให้ไวรัสกลายพันธุ์ต่อไป และเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจดื้อต่อวัคซีนและการรักษาที่มีอยู่ ซึ่งการติดเชื้อโดยรวมที่น้อยลงในหมู่ประชากรหมายถึงโอกาสที่การติดเชื้อรุนแรงและการเสียชีวิตในชุมชนน้อยลงและ ป้องกันสายพันธุ์ใหม่ที่เป็นอันตรายกว่าเดิมไม่ให้เกิดขึ้น

พาลูกไปฉีดวัคซีนโควิด
พาลูกไปฉีดวัคซีนโควิด

วัคซีน COVID-19 ชนิดใดบ้าง ที่อนุมัติให้ใช้สำหรับเด็กในประเทศไทย

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) แนะนำให้เด็กที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 เพื่อช่วยป้องกัน COVID-19  และหยุดยั้งการแพร่ระบาด เด็กที่ได้รับวัคซีนครบแล้วสามารถกลับมาทำกิจกรรมที่เคยทำก่อนการระบาดใหญ่ได้ตามปกติ

สำหรับประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แนะนําให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ในเด็กและวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 16 ปีจนถึงน้อยกว่า 18 ปี ทุกราย หากไม่มีข้อห้ามในการฉีด ทั้งเด็กที่ปกติแข็งแรงดี และที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง โดยสำนักอนามัย กทม. จะเริ่มมีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กนักเรียนในสังกัดที่อยู่ในกลุ่มผู้มีภาวะเสี่ยงและผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 โรคเรื้อรัง ตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย. 64 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย ได้อนุมัติให้สามารถฉีดวัคซีนโมเดอร์นาในเด็ก ช่วงอายุ 12-17 ปี ได้ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีสถานพยาบาลเปิดให้จองสิทธิล่วงหน้าหลายแห่งด้วยกัน

และล่าสุดราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ได้มีการเตรียมวัคซีนซิโนฟาร์ม ในโครงการ “VACC 2 School” เพื่อนำร่องฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับเด็กและเยาวชน อายุ 10  ถึง 18 ปี กว่า 2,000 คน จากโรงเรียนต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และผู้ปกครองได้เซ็นยินยอมที่จะให้เด็ก ๆ ได้ฉีดวัคซีน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโควิด-19 และเตรียมความพร้อมนักเรียนที่จะได้กลับมาเรียนแบบ ON Site ในเทอม 2 เดือนพฤศจิกายน

(update ล่าสุด มติ อย. ไม่อนุญาตให้ฉีดวัคซีน Sinopharm ในเด็กอายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เนื่องจากข้อมูลความปลอดภัย-ประสิทธิภาพไม่เพียงพอ)

ผลในการป้องกันโรค และความปลอดภัยของวัคซีนแต่ละชนิด

  • Pfizer

การวิจัยพบว่าวัคซีน Pfizer มีประสิทธิภาพ 100% ในการป้องกัน COVID-19 ในเด็กอายุ 12 ถึง 15 ปี และมีประสิทธิภาพ 91% ในการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรงด้วย COVID-19 ในผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป การวิจัยเบื้องต้นชี้ให้เห็นว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ 96% ในการป้องกันโรคร้ายแรงด้วย COVID-19 ที่เกิดจากสายพันธุ์เดลต้า ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่พบในการแพร่ระบาดมากที่สุดในขณะนี้

  • Moderna

จากข้อมูล ณ ขณะนี้ พบว่า วัคซีนโมเดอร์นา  มีประสิทธิภาพ 93% ในการป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรงจาก COVID-19 ในเด็กอายุ 12 ถึง 17 ปี หลังจากเข็มแรกและ 100% สองสัปดาห์หลังจากเข็มที่สอง โดยไม่มีรายงานผู้ป่วย COVID-19 ในกลุ่มผู้เข้าร่วมการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ ยังไม่มีการระบุข้อกังวลด้านความปลอดภัยที่ร้ายแรง จากการทดลองในเด็กและวัยรุ่น มากกว่า 3,700 คน

  • Sinopharm

จากข้อมูลการวิจัยในระดับสากล วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ Sinopharm ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินสำหรับเด็ก  3 ถึง 17 ปี หลังจากการทดลองทางคลินิกในระยะเริ่มต้นและระยะกลางพบว่าปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในกลุ่มอายุได้ค่อนข้างดี  โดยกระตุ้นการตอบสนองของแอนติบอดีในผู้เข้าร่วมการทดลองมากกว่า 96 % ที่สำคัญคือ พบว่ามีความปลอดภัยสูง และเกิดผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยมาก ที่พบบ่อยคือ เจ็บตำแหน่งที่ฉีด และมีไข้บ้าง ซึ่งก็หายได้ในเวลาไม่กี่วัน   

ผลข้างเคียงของวัคซีน (ชนิด mRNA)ในเด็กและวัยรุ่น

ภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงของวัคซีนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คุณพ่อคุณแม่กังวล ลูกอาจรู้สึกเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด (ต้นแขน) และอาจพบผลข้างเคียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ชั่วคราวและโดยทั่วไปจะหายไปภายใน 48 ชั่วโมง ซึ่งผลข้างเคียงจากวัคซีนชนิด mRNA ที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่

  • ปวดบริเวณที่ฉีด
  • ความเหนื่อยล้า
  • ปวดศีรษะ
  • หนาวสั่น
  • เจ็บกล้ามเนื้อ
  • มีไข้
  • ปวดข้อ

เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ เด็กอาจพบผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนได้ประมาณ  1 ถึง 3 วัน  อย่างไรก็ตามในเด็กและวัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่พบว่ามีผลข้างเคียง หลังจากที่เด็กได้รับวัคซีนป้องกัน COVID-19 จะได้รับการสังเกตปาการ เป็นเวลา 15 ถึง 30 นาทีเพื่อดูว่ามีอาการแพ้ที่น่ากังวลและต้องได้รับการรักษาหรือไม่

พาลูกไปฉีดวัคซีนโควิด

ข้อควรระวังก่อนการฉีดวัคซีน ชนิด mRNA

  • ไม่ควรให้ยาแก้ปวดเพื่อป้องกันผลข้างเคียงก่อนการฉีดวัคซีน แต่หลังจากที่ลูกของคุณได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สามารถทำได้
  • เด็กที่มีอาการ MIS-C หรือ อาการอักเสบหลายระบบ CDC แนะนำว่าควรพิจารณาเลื่อนการฉีดวัคซีน COVID-19 จนกว่าจะหายจากโรคนี้และเป็นเวลา 90 วัน
  • หากเด็กมีประวัติ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และ ภาวะหัวใจล้มเหลวมาก่อน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนฉีดวัคซีนชนิด mRNA

ข้อควรปฏิบัติหลังการฉีดวัคซีนชนิด mRNA

หลังจากการฉีดวัคซีน ควรให้ลูกงดออกกําลังกายหนัก หรือการทํากิจกรรมหนักๆ ประมาณหนึ่งสัปดาห์  เนื่องจากมีรายงานการเกิดผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบภายหลังการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ชนิด mRNA อย่างไรก็ตามยังพบในอัตราที่ต่ำมาก จากการศึกษาพบว่ากล้ามเนื้อหัวใจอักสบส่วนใหญ่ที่พบในเด็กนั้นไม่รุนแรง และเกือบทั้งหมดฟื้นตัวในเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ และไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากอาการดังกล่าว

ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์หากมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจเหนื่อยหรือ หายใจไม่อิ่ม ใจสั่นหน้ามืดเป็นลมควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ หากแพทย์สงสัยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหรือ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบควรพิจารณาทําการตรวจค้นเพิ่มเติม

สําหรับเด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป จนถึงน้อยกว่า 16 ปี ที่สุขภาพแข็งแรงดี และในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี รวมทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ชนิดอื่นๆ ในเด็ก ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามผลการศึกษาถึงประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย จะมีคำแนะนําเพิ่มเติมในการฉีดวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ในอนาคตอันใกล้

ในการให้คำแนะนําด้านการฉีดวัคซีนแก่เด็กและวัยรุ่น ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยกล่าวว่าก็เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเด็กและวัยรุ่น โดยให้ผู้ปกครองชั่งน้ำหนักระหว่างผลเสียที่อาจเกิดขึ้น และประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากวัคซีน ทั้งนี้จะให้น้ำหนักเรื่องความปลอดภัยแก่เด็กเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก และจะต้องมีประโยชน์ที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

เมื่อพิจารณาที่จะให้ลูกรับวัคซีนป้องกันโควิด-19 สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องปฏิบัติ คือ การให้ความรู้แก่เด็กๆ ถึงสาเหตุที่เราต้องฉีดวัควีนป้องกันโรคในครั้งนี้ ตลอดจนแนวทางปฏิบัติก่อนการฉีดวัคซีน และหลังจากการได้รับวัคซีน ซึ่งจะทำให้เด็กๆ เกิดทักษะความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)ได้อีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : news.thaipbs.or.th , mayoclinic.org , chinadaily.com.cn

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ทำความรู้จัก!! วัคซีน Pfizer ป้องกันโรคโควิด-19 ในเด็ก

รู้ก่อนป้องกันได้! ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ เด็กติดโควิดเสียชีวิต คืออะไร?

เคล็ด(ไม่)ลับ ป้องกัน ลูกติดเกมช่วงโควิด ไม่ตึงไม่หย่อน ช่วยลูกผ่อนคลาย!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

น้ำยาซักผ้าเด็ก Babi Mild

เคล็ด(ไม่)ลับ ซักเสื้อผ้าลูก สะอาดอ่อนโยน หอมนานตลอดวัน

คุณแม่ที่เตรียมจะคลอด , คุณแม่มีลูกวัยทารก ลูกเล็ก แวะมาตรงนี้เลยค่ะ ทีมแม่ABK มีหนึ่งไอเทมสำคัญสำหรับคุณแม่ ๆ บอกเลยยังไง๊ ยังไง ก็ต้องอยู่ในลิสต์ของใช้สำหรับลูก นี่เลย “น้ำยาซักผ้าเด็ก Babi Mild” รับรองว่าที่เลือกมาแนะนำให้สูตรนี้นอกจากจะซักเสื้อผ้าลูก ได้สะอาดอ่อนโยน* เนื้อผ้าไม่แข็งกระด่าง ยังทำให้เสื้อผ้าหอมนานตลอดวันด้วยนะคะ

ทีมแม่ABK เคยบอกแม่ ๆ กันอยู่บ่อย ๆ เกี่ยวกับการซักเสื้อผ้าลูก โดยเฉพาะเสื้อผ้าเด็กทารก เด็กเล็ก ๆ ที่มีลักษณะผิวค่อนข้างบอบบาง ไวต่อการแพ้ระคายเคืองได้ง่าย ฉะนั้นน้ำยาซักผ้าก็ควรเลือกใช้เป็นผลิตภัณฑ์ซักทำความสะอาดที่เขาออกแบบมาเพื่อเสื้อผ้าเด็กโดยเฉพาะค่ะ เพราะผลิตภัณฑ์ซักผ้าสำหรับเด็ก จะอ่อนโยน และไม่มีสารเคมีที่มีปฏิกิริยารุ่นแรงต่อผิวลูกน้อย

ทีนี้มีอีกหนึ่งปัญหาที่แม่ ๆ ส่วนใหญ่น่าจะเคยเจอกัน ที่ถึงแม้จะซักเสื้อผ้าลูกด้วยผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก แต่หลังซักทำความสะอาดตากเสื้อผ้าแห้งแล้ว พบว่าเนื้อผ้าแข็งกระด่าง ผิวสัมผัสของเนื้อผ้าไม่นุ่ม ไม่อ่อนโยน พอใส่ชุดเสื้อผ้าให้ลูกแล้วรู้สึกไม่สบายผิว ไม่สบายตัว อาการอย่างหนึ่งที่สังเกตได้คือ ลูกมักจะร้องโยเย ตรงนี้แม่บ้านนี้เจอกับตัว ลูกร้องโยเยตลอด ทั้งที่ก็กินนมอิ่ม ผ้าอ้อมก็ไม่เปียก สังเกตจนคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเสื้อผ้าที่ลูกใส่ แม่ไม่รอช้าจ้ะ ลองเปลี่ยนน้ำยาซักผ้าก็น่าจะช่วยได้ ซึ่งก็ช่วยได้จริง ๆ ลูกแฮปปี้ แม่ก็แฮปปี้  สำหรับผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก มีให้เลือกใช้หลากหลายยี่ห้อมาก และน้ำยาซักผ้าเด็กแต่ละยี่ห้อก็มีข้อดีต่างกันไป แต่ที่ทีมแม่ABK อยากแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองใช้กัน เป็นผลิตภัณฑ์ “ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก Babi Mild”  2 สูตรนี้ เราใช้แล้วดี ตอบโจทย์ในเรื่องความอ่อนโยนต่อเนื้อผ้าของลูกน้อยมาก ๆ ก็อยากให้คุณแม่ ๆ ได้ใช้ของดีกันค่ะ

น้ำยาซักผ้าเด็ก Babi Mild

ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก Babi Mild 2 สูตรซักเสื้อผ้าลูก สะอาดอ่อนโยน* กลิ่นหอมสดชื่นตลอดวัน
มาเริ่มกันที่สูตรแรก สูตรนี้คือ “เบบี้มายด์ เบบี้ ลิควิค แฟบริค วอช เบบี้ ทัช” สูตรนี้เขาออกแบบมาเพื่อเด็กทารกแรกเกิด (0+) ทีมแม่ABK ชอบแพ็คใหม่! สุดคุ้ม 2,400 มล. มาก เพราะเปิดใช้ง่าย เป็นถุงเปิดฝาเกรียว ใช้เสร็จไม่หกเลอะเทอะ วางเก็บ หยิบใช้ง่าย ที่สำคัญ กลิ่นหอมเบบี๋ติดทนเนื้อผ้าตลอดวันเลยค่ะ

น้ำยาซักผ้าเด็ก Babi Mild

บอกทริคคุณพ่อคุณแม่มือใหม่กันตรงนี้นะคะว่า น้ำยาซักผ้าเด็ก ราคาจะถูก จะแพง ไม่สำคัญค่ะ จุดสำคัญที่ต้องให้ความใส่ใจก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ซักผ้าสำหรับเด็ก อยู่ที่ส่วนผสมเป็นสำคัญ !! สำหรับ “เบบี้มายด์ เบบี้ ลิควิค แฟบริค วอช เบบี้ ทัช” คือดีมากแม่พูดเลย เพราะทั้งหมดไม่ได้แค่ทำให้ซักเสื้อผ้าลูกสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่ให้ความอ่อนโยนต่อเนื้อผ้า เพื่อผิวบอบบางของลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ด้วย นี่คือจุดเด่นของสูตรนี้ …

  • อ่อนโยนด้วยเอสเซ้นส์คาโมมายล์ออร์แกนิค ( มาตรฐาน ECOCERT®)
  • สารทำความสะอาดสังเคราะห์จากพืชธรรมชาติ (Plant-based surfactant derived from Natural Palm Kernel)
  • ผ่านการทดสอบการระคายเคือง** (Dermatologically tested) ไม่ใส่สี ไม่ใส่สารฟอกขาว ไม่ใส่สารเรืองแสง ไม่ใส่สารพาราเบน
  • ลดกลิ่นอับชื้น^และป้องกันคราบสกปรกย้อนกลับติดผ้า

ดีขนาดนี้ กับผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก Babi Mild สูตร “เบบี้มายด์ เบบี้ ลิควิค แฟบริค วอช เบบี้ ทัช” อยากให้ได้ลองใช้กันจริง ๆ แต่ยังไม่หมดแค่นี้ เพราะเรายังมีอีกสูตร คือสูตรนี้ปังมาก แม่บอกเลย เพราะเพิ่มความสะดวกสบายเวลาซักผ้าที่ไม่ต้องยุ่งยากใช้น้ำยาปรับนุ่ม แม่เหลือเวลาไปนั่งจิบน้ำผลไม้ มาส์กหน้ารอลูกตื่นมากินนม

 

นี่ค่ะคุ๊ณ “เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ 2อิน1 ไวท์ ซากุระ เบบี้ ลิควิค แฟบริค วอช” ความพิเศษของสูตรนี้ คือเขาผสมปรับผ้านุ่มด้วย ทำความสะอาดเสื้อผ้าซักพร้อมปรับจบในขั้นตอนเดียว เห็นไหมว่าสะดวก สบายกับแม่มาก ๆ  สูตรนี้ก็ใช้ได้กับเสื้อผ้าเด็กแรกเกิด (0+) เลยค่ะ

น้ำยาซักผ้าเด็ก Babi Mild

ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเบบี้มายด์สูตรนี้มีความเด่นตรงกลิ่น คือเป็น “กลิ่นหอมน่ารัก” อยากรู้ว่ากลิ่นหอมน่ารักเป็นยังไง ต้องซื้อมาลองใช้กันค่ะ

กลิ่นหอมว่าเด่นแล้ว ยังมีอีก 5 ความเด่น ที่มีให้ใน”น้ำยาซักผ้าเด็ก Babi Mild” สูตรนี้…

  • สูตร 2in1 ผสมปรับผ้านุ่ม ผ้าสะอาด สัมผัสนุ่มด้วยเนเชอรัลโพริเมอร์ สารสกัดธรรมชาติ
  • อ่อนโยนด้วยเอสเซ้นส์คาโมมายล์ออร์แกนิค ( มาตรฐาน ECOCERT®)
  • สารทำความสะอาดสังเคราะห์จากพืชธรรมชาติ (Plant-based surfactant derived from Natural Palm Kernel)
  • ผ่านการทดสอบการระคายเคือง*** (Dermatologically tested) ไม่ใส่สี ไม่ใส่สารฟอกขาว ไม่ใส่สารเรืองแสง ไม่ใส่สารพาราเบน
  • ลดกลิ่นอับชื้น^และป้องกันคราบสกปรกย้อนกลับติดผ้า

 

ผลิตภัณฑ์ น้ำยาซักผ้าเด็ก Babi Mild ทั้ง 2 สูตร “เบบี้มายด์ เบบี้ ลิควิค แฟบริค วอช เบบี้ ทัช” และ “เบบี้มายด์ อัลตร้ามายด์ 2อิน1 ไวท์ ซากุระ เบบี้ ลิควิค แฟบริค วอช” แม่ชี้เป้าให้แล้ว ซื้อมาใช้กันได้ตามช่องทางจัดจำหน่ายนี้เลยค่ะ  หาซื้อได้แล้ววันนี้ตามร้านค้าชั้นนำและห้างสรรพสินค้าทั่วไป หรือช่องทางออนไลน์ที่ Babi mild Official – Lazada, Shopee, JD Central และ Osotspa Delivery

Lazada: https://bit.ly/3hqMWlO

Shopee: https://bit.ly/3nwp5VQ

JD: https://bit.ly/2Xnro2z

OSP deli: https://bit.ly/3EikyMo

 

*อ่อนโยนต่อเนื้อผ้า
**จากผลทดสอบการระคายเคืองผิวหนังในกลุ่มตัวอย่าง 20 คน อายุ 20-60 ปี พ.ค. 64
โดย DRC Thailand Co., Ltd. ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองในกลุ่มตัวอย่างเว้นแต่การแพ้หรือระคายเคืองส่วนบุคคล
***จากผลทดสอบการระคายเคืองผิวหนังในกลุ่มตัวอย่าง 20 คน อายุ 20-60 ปี ก.พ. 63
โดย DRC Thailand Co., Ltd. ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองในกลุ่มตัวอย่างเว้นแต่การแพ้หรือระคายเคืองส่วนบุคคล
^ด้วยกลไกการทำงานของสารดักจับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์และกลิ่นของน้ำหอม
ลูกลื่นล้ม

อุทาหรณ์!! “ลูกลื่นล้ม” ธรรมดาแต่นำพาสู่ การผ่าตัดใหญ่!!

แม่แชร์ประสบการณ์ที่ทรมานใจที่สุดในชีวิต!! ใครจะเชื่อว่าแค่ ลูกลื่นล้ม แต่กลับอันตรายถึงชีวิต ถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดใหญ่!!

อุทาหรณ์!! “ลูกลื่นล้ม” ธรรมดาแต่นำพาสู่ การผ่าตัดใหญ่!!

ประสบการณ์ ลูกลื่นล้ม เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนจะต้องเคยเจอ เริ่มตั้งแต่วัยหัดเดิน หัดคลาน จนถึงวัยซนที่เริ่มวิ่งและปีนป่าย อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับลูกน้อย แน่นอนว่าไม่มีใครอยากให้เกิด แต่หากเกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือการสังเกตอาการและคอยซักถามลูกอยู่เสมอ ไม่ว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นจะรุนแรงหรือไม่รุนแรงก็ตาม ดังเช่นอุทาหรณ์จากคุณแม่น้องไอล่า ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์ วิธีสังเกตอาการของลูกเมื่อ ลูกลื่นล้ม รวมถึงการรักษาโดยละเอียด ให้กับทีมแม่ ABK เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้คุณแม่ทุกท่าน ดังนี้

!!จากลื่นล้มธรรมดา นำพาสู่การ ผ่าตัดใหญ่ อันตรายถึงชีวิต ยาวหน่อยนะคะ

ลูกลื่นล้ม
ลูกลื่นล้ม

วันนี้น้องออกจาก รพ.มาพักฟื้นที่บ้านแล้ว แม่มีเวลาเลย ขอมาแชร์ประสบการที่บีบหัวใจที่สุดในชีวิต

Part 1 หกล้มที่โรงเรียน

ประมาณเกือบ สี่โมงเย็น วันเสาร์ที่ 4 กันยายน 2564 แม่ได้รับโทรศัพท์จากครู (ป้าแท้ ๆ ของน้อง พี่สาวแม่) บอกว่าให้รีบพาน้องไป รพ.ด่วน น้องลื่นล้มที่โรงเรียน แม่รีบบึ่งรถไปทันที ภาพที่เห็นก็คือครู(ป้า) อุ้มน้องวิ่งมาที่รถพร้อมขบวนเพื่อน ๆ พี่นักเรียนที่วิ่งตามมา

ในหัวแม่คือน้องต้องแขนหัก ขาหักแน่ ๆ ครูถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้ พอขึ้นรถมาแม่รีบซักถามอาการจากครู ว่าน้องล้มแบบไหน ลงท่าไหน มีส่วนไหนที่กระแทกบ้าง สรุปคือน้องลื่นขาข้างหนึ่งพลาดลงร่องน้ำ แล้วส่วน อกกระแทกกับขอบร่องน้ำ ซึ่งเป็นอิฐบล็อก ครูบอกว่ากระแทกแรงมาก (น้องล้มต่อหน้าครูและเพื่อน ๆ) น้องจุกและหน้าซีด ถามอาการน้องคือเจ็บส่วนหน้าอกเพราะแรงกระแทก ตามร่างกายไม่มีบาดแผล หรือรอยฟกช้ำใด ๆ

พอไปถึงโรงพยาบาล หมอสั่ง x-ray ตรวจคือช่วงทรวงอกปกติดี ไม่มีกระดูกแตกหรือร้าวอะไร น้องก็ไม่งอแงไม่เจ็บเหมือนตอนแรก ๆ หมอบอกว่า การบาดเจ็บกระดูกชายโครงจะมีอาการปวดปกติ ซึ่งต้องใช้เวลาสักระยะ อาการเจ็บจะหายไปเองค่ะ อันนี้แม่รู้ดีเพราะ แม่ก็เคยเป็น จะเจ็บมาก ๆ ช่วงอาทิตย์แรกหายใจก็เจ็บ ขยับตัวก็เจ็บ วันนี้หมอจึงให้กลับบ้านได้ เพราะน้องไม่มีอาการบ่งชี้อื่น ๆ ค่ะ (หาก X-ray แล้วไม่พบกระดูกร้าวหรือแตกหัก หรือหายใจติดขัด แบบนี้คุณหมอมักจะจ่ายยาและให้กลับบ้านได้)

Part 2 น้องปวดท้อง

หลังจากกลับมาบ้านน้องก็ปวดช่วงทรวงอกน้อยลง ทุกอย่างเป็นปกติ กินข้าว อาบน้ำ เป็นปกติ และเข้านอนจนช่วงเช้าน้องปลุกแม่บอกว่า น้องปวดท้องมาก ๆ แม่ก็แปลกใจทำไมน้องบอกปวดท้อง ไม่ปวดที่อกแล้ว แม่ชักเอะใจ แต่ก็คิดว่ามันน่าจะปวดรวม ๆ ไปทั่วช่องท้อง เพราะแรงกระแทกและน้องอาจจะอธิบายไม่ถูก (น้อง 9 ขวบ แต่ตัวผอม) แม่บอกให้น้องนอนพักเยอะ ๆ สังเกตอาการน้องเป็นระยะ น้องเริ่มร้องไห้มากขึ้น ตัวเริ่มซีด เท้าซีดมาก ๆ และบ่นอยากอ้วก

แม่เห็นว่าอาการไม่ดีจากประสบการณ์ที่แม่เคยเห็นคนใกล้ตัวที่มีอาการแบบนี้ รู้ทันทีน้องต้องมีปัญหากับอวัยวะในช่องท้องแน่ ๆ แม่จึงตัดสินใจพาน้องไปตรวจ รพ.ในเมืองแบบเร่งด่วน และให้น้อง NPO งดน้ำงดอาหารทันที เผื่อต้องมีการผ่าตัดเร่งด่วน (รพ.ชุมชนที่ไปครั้งแรก ไม่มีอุปกรณ์เพียงพอที่จะตรวจและต้องย้อนกลับไปอีก 30 กม. ค่ะ) เลยเข้าในเมืองเพื่อไม่ให้เสียเวลา จากบ้านเข้าตัวเมืองเกือบ 100 กิโล

ตัวเริ่มซีด
ตัวเริ่มซีด

Part 3 วิกฤต

พอคุณหมอตรวจน้อง คุณหมอบอกว่าอาการแบบนี้ต้องทำอัลตราซาวนด์หรือ CT Scan แบบเร่งด่วน เพราะตอนนี้ช่วงท้องข้างขวาน้องบวมขึ้นมาก ๆ ตัวซีดกว่าตอนอยู่ที่บ้าน น้องอ้วกถี่มาก ๆ หมอสั่งแอดมิดและ X-ray, Ultrasound, CT scan และเจาะเลือดตรวจแบบด่วน ระหว่างนี้น้องยังร้องไห้ปวดท้องตลอด ผลการตรวจคือ ตับน้องฉีก มีเลือดออกในตับ (ที่เราเรียกกันบ่อย ๆ ว่า เลือดตกใน ) จึงส่งผลให้ความเข้มข้นของเลือดต่ำ เป็นเหตุให้ร่างการเสียเลือดจนช็อก ซึ่งอาจเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาในทันที

คุณหมอแจ้งถึงแนวทางการรักษาคือ ให้ยาแก้ปวดชนิดแรง (มอร์ฟิน) ให้ยาเพื่อลดอาการเลือดออกในตับ เจาะเลือดตรวจทุก 4 ชั่วโมง และวัดไข้ วัดความดัน ทุก 10 นาที คุณหมอบอกว่า หากให้ยาไปแล้ว ค่าของเลือดน้องยังคงที่ ความดันเลือดไม่ลดลง ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด

ในช่วงที่สังเกตอาการ น้องร้องไห้และอ้วกตลอดเวลา เจาะเลือดแล้วเจาะเลือดอีกเจาะจนแขนเล็ก ๆ ไม่มีที่จะให้เจาะแล้ว แรก ๆ น้องให้ความร่วมมือดีมาก หลัง ๆ น้องเริ่มงอแงด้วยความที่คงปวดท้องมากและแขนก็เต็มไปด้วยรูเข็ม แม่น้ำตาตกทุกครั้งที่พยาบาลเข้ามาเจาะเลือด สงสารลูกจับใจแต่ก็ภาวนาให้ผลเลือดขึ้น

ในช่วงนี้เป็นเวลาที่ทรมานและบีบหัวใจที่สุด น้องต้องงดข้าว งดน้ำ น้องต้องเจาะเลือดตรวจเป็นสิบ ๆ ครั้ง อ้วกและเวียนหัวเพราะฤทธิ์ยามอร์ฟีน น้องนอนซมหมดเรี่ยวแรง หลังจากเจาะเลือดทุกสี่ชั่วโมงเพื่อดูเกร็ดเลือด สรุปคือเกร็ดเลือดต่ำลงทุก ๆ ครั้งที่ตรวจ นั่นแสดงว่า เลือดยังไม่หยุด ยังคงออกเพิ่มในตับ ตอนนี้น้องเริ่มร้องไห้ปวดท้องขึ้นเรื่อย ๆ เด็กตัวเล็ก ๆ ร้องไห้หาคุณหมอ น้องถามแม่ว่าน้องปวดมากเลย เมื่อไหร่คุณหมอจะมารักษาน้อง ปกติเด็ก ๆ จะกลัวคุณหมอใช่ไหมคะ คิดดูว่าเขาจะปวดขนาดไหนถึงเรียกให้คุณหมอมารักษา

ช่วงค่ำคุณหมอมาตรวจอีกรอบและแจ้งกับแม่ว่า เกร็ดเลือดยังคงลดลงแต่ลดลงไม่มาก คุณแม่จะผ่ามั้ย ถ้าไม่อยากทนเห็นน้องเจ็บแบบนี้ แม่ตอบคุณหมอว่า แล้วแต่คุณหมอเห็นสมควร คุณหมอเลยให้รอผลเลือดต่อไปค่ะ (น้องยังคงต้องงดน้ำงดอาหาร) คืนนั้นพี่พยาบาลมาวัดไข้ วัดความดัน เจาะเลือดตลอด น้องแทบไม่ได้พักผ่อน (พยาบาลดูแลดีมาก ๆ ค่ะ)

ผ่านไป 12 ชั่วโมง หมอแจ้งว่าต้องผ่าตัดเร่งด่วน เพราะตอนนี้ผลเลือดลดลงมาก แม่ใจเสียมาก ณ จุดนี้ สงสารลูกที่สุด ทำไมเด็กตัวเล็ก ๆ จะต้องมาเจอ อะไรแบบนี้ ทำไมต้องผ่าตัดใหญ่ ทำไมต้องถูกวางยาสลบ น้องต้องมีแผลผ่าตัด แม่กังวลทุกสิ่งอย่าง หมอสั่งเติมเลือด 1 ถุง เข็นน้องเข้าห้องผ่าตัดด่วน

ลูกพักฟื้นหลังผ่าตัด
ลูกพักฟื้นหลังผ่าตัด

Part 4 ผ่าตัดว่าบีบหัวใจแล้ว พักฟื้น บีบหัวใจยิ่งกว่า

ก่อนเข้าห้องผ่าตัด แพทย์วิสัญญีแจ้งแม่ว่า น้องจะต้องวางยาสลบหากหลังการผ่าตัดทุกอย่างไม่ดีน้องจะยังต้องใส่ท่อช่วยหายใจและพักต่อที่ห้อง ICU แต่หากว่าทุกอย่างราบรื่นจะส่งน้องกลับห้องพัก ระหว่างที่รอน้องอยู่หน้าห้องผ่าตัด แม่น้ำตาไหลตลอดเวลา ครู (ป้า) ก็ร้องไห้หนัก โทษตัวเองว่าดูแลหลานไม่ดี ผ่านไป 3 ชั่วโมง

การผ่าตัดผ่านไปด้วยดีทุกอย่าง น้องกลับมาพักที่ห้องสายระโยงระยางเต็มตัวไปหมด แม่น้ำตาไหลไม่หยุด สงสารลูกมาก ๆ น้องตื่นมาแปป ๆ ร้องไห้ปวดแผลแล้วก็หลับ เป็นเพราะฤทธิ์ยาสลบ และมอร์ฟีน หลังออกจากห้องผ่าตัด คืนนั้นแม่แทบไม่ได้นอน เพราะน้องไข้ขึ้นสูง 38-39 องศา ตลอดทั้งคืน แม่ต้องคอยเช็ดตัวให้น้อง พี่พยาบาลก็ต้อง วัดไข้ วัดความดัน ทุก ๆ สองชั่วโมง

น้องนอนแบบนั้นอยู่สองวัน หลับตลอดเวลา มีไข้สูง แม่ใจคอไม่ดีเลย เห็นแผลลูกยิ่งเจ็บปวด คิดวนไปวนมา ทำไมต้องเกิดกับลูกเรา เด็กตัวเล็ก ๆ ทำไมต้องมาเจ็บปวดอะไรแบบนี้ แม่แค่ผ่าคลอดยังเจ็บขนาดนั้น ตอนนี้ทุกคนในบ้านเป็นกังวลกันหมด ช่วงโควิดมาเยี่ยมก็ไม่ได้ แม่ก็ต้องปิดเรื่องไม่ให้ยายรู้ จิตใจห่อเหี่ยวที่สุดในชีวิตแม่แล้วตอนนี้ (งดอาหารเป็นวันที่ 3)

กายภาพหลังผ่าตัด
กายภาพหลังผ่าตัด

Part 5 ฟื้นฟู

เข้าวันที่ 3 หลังการผ่าตัด น้องเริ่มตื่นมากขึ้นไข้เริ่มลดลง แม่ดีใจ ใจชื้นขึ้นมาก แผลน้องยาวมาก น้องคงจะเจ็บแต่ต้องลุกนั่งและเดิน เพราะตอนนี้น้องบวมไปทั้งหน้าและตัวอาจเพราะการให้น้ำเกลือและนอนนาน วันนี้คุณหมออนุญาตให้ถอดสายเสมหะและสายฉี่

พ่อน้องจึงบังคับให้น้องลุกเอง (พ่อน้องเป็นนักกายภาพบำบัด) เข้าห้องน้ำเอง ออกกำลังกายเบา ๆ น้องก็ทำตามไม่งอแงเลย ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วน้องเพลียมาก ๆ ทำแบบเดียวกับคุณแม่หลังผ่าคลอดค่ะที่ต้องลุกเองทันทีหลังผ่าคลอด น้องฟื้นตัวได้เร็วลุกเองได้ เดินช้า ๆ ได้ ขับถ่ายดี วันนี้คุณหมอก็ให้ทานอาหารแบบเหลวได้ น้องเริ่มยิ้ม เล่น เป็นปกติ ทุกคนดีใจมากและคุณหมอก็ให้กลับบ้านได้ค่ะ

กลับบ้านแล้ว
กลับบ้านแล้ว

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจมีคำถามว่า ทำไมหมอที่แรกไม่ตรวจให้ เคสแบบนี้ตรวจตอนนั้นก็จะยังไม่เจอค่ะ เพราะเลือดจะค่อย ๆ ซึมออกในตับ น้องจึงไม่แสดงอาการทันทีในตอนนั้น หากไม่มีอาการบ่งชี้ คุณหมอจะไม่สั่งให้ตรวจค่ะ และการ X–Ray ทั่วไปก็ไม่เห็น จะต้องทำอัลตร้าซาวด์หรือทำการ  CT SCAN เท่านั้นถึงจะเห็นว่ามีเลือดออกตรงจุดไหน การตรวจรังสีวินิจฉัยทุกอย่างมีความเสี่ยง หากไม่มีอาการบ่งชี้ หมอจะไม่ตามใจคนไข้สั่งตรวจนะคะ

ฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครอง เมื่อลูกเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะรุนแรงหรือไม่ สิ่งที่ควรทำก็คือ ซักถามอาการและคอยสังเกตอาการน้องเสมอ หากพบความผิดปกติให้พาไปพบแพทย์ทันที แจ้งอาการอย่างละเอียด หากน้อง ๆ อยู่กับคุณปู่คุณย่าคุณยายต้องเน้นย้ำให้ท่านเข้าใจ เพราะบางทีเด็กตัวเล็ก ๆ เขาจะไม่สามารถอธิบายได้ว่าเจ็บปวดแบบไหน

หากน้องเกิดอุบัติเหตุที่โรงเรียนคุณครูก็ควรแจ้งผู้ปกครอง เพื่อที่ผู้ปกครองจะได้สังเกตอาการน้องด้วยค่ะ ทั้งนี้ ทั้งหมดเป็นเพียงประสบการณ์ของคุณแม่ที่อยากแชร์เท่านั้น ทางที่ดีต้องเชื่อคำแนะนำของคุณหมอนะคะ สุดท้ายนี้ขอให้ประการณ์ที่แม่เจอเป็นวิทยาทาน แก่คุณพ่อคุณแม่ที่ได้อ่านบทความนี้ค่ะ

แม่น้องไอล่า

ทีมแม่ ABK ขอขอบคุณคุณแม่น้องไอล่า ที่ได้มาแชร์ประสบการณ์อย่างละเอียด ให้กับแม่ ๆ ทุกท่านได้อ่านกันนะคะ เราหวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้แม่ ๆ ได้สังเกตอาการลูกเมื่อ ลูกลื่นล้ม ค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ลูกคันก้น อาการพยาธิในเด็ก ต้องสังเกต พยาธิชอนไชจากรูทวาร

สอนลูกจำ เบอร์โทรฉุกเฉิน ลดสูญเสียเป็นฮีโร่เมื่อมีเหตุร้าย

โชคดีพ่อทำเป็น! ปั๊มหัวใจ ลูกชาย 3 ขวบจมน้ำ รอดหวุดหวิด!

อุทาหรณ์ อุบัติเหตุในเด็กเล็ก พร้อม 6 วิธี ลดเสี่ยงเกิดเหตุ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณแม่น้องไอล่า

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

โรค Tic Tok

ลูกติดโซเชียลหนัก ระวังป่วย โรค Tic Tok ชอบพูดซ้ำๆ กล้ามเนื้อกระตุกเอง!

โรค Tic Tok – เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป โรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ ก็โผล่มาให้เห็นได้เรื่อยๆ ท่ามกลางโรคระบาดครั้งใหญ่ของโลก อย่างโควิด-19 ที่กำลังดำเนินไปอย่างไม่มีทีท่าจะสงบลงง่ายๆ ก็ได้มีโรคอุบัติใหม่ให้พ่อแม่อย่างเราๆ ต้องได้กังวลกันอีกแล้ว กับโรคที่เด็กๆ จะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อแบบไม่ได้ตั้งใจควบคุมไม่ได้ ชอบพูดอะไรซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งความจริงแล้วตัวการสำคัญก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็น “โลกโซเชียล” ที่พวกเรารู้จักกันดี

คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับ “โรคติกส์” หรือ “โรคทูเร็ตต์” ซึ่งเป็น ภาวะความผิดปกติทางระบบประสาทส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากเคลื่อนไหวร่างกายไปมาซ้ำๆ หรือ เปล่งเสียงซ้ำๆ ร่วมกับมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อบริเวณต่างๆ ของร่างกายโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น สะบัดคอไปมา ทำหน้าผากย่น กระตุกมุมปาก และ ขยิบตา เป็นต้น  และด้วยอาการใหม่ที่พบในครั้งนี้ มีความคล้ายคลึงกับ “โรคติกส์” หรือ “โรคทูเร็ตต์” ทีมแพทย์จึงเรียกอาการใหม่นี้ด้วยชื่อชั่วคราวว่า “กลุ่มอาการคล้ายโรคติกส์” หรือ “Tic Tok” ไปก่อน และยังไม่ฟันธงว่าเป็นอาการเดียวกับโรคติกส์ และ ทูเร็ตต์ หรือไม่

ลููกติดโซเชียลหนัก ระวังป่วย โรค Tic Tok ชอบพูดซ้ำๆ กล้ามเนื้อกระตุกเอง!

โรค Tic Tok คืออะไร?

ชื่อกลุ่มอาการเจ็บป่วยใหม่ที่ไม่คุ้นหู อย่าง “Tic Tok”  หรือ กลุ่มอาการคล้ายโรคติกส์ อาจยังไม่ใช่ชื่อโรคทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ เพราะเป็นอาการที่แพทย์และผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตเด็ก ตลอดจนงานวิจัยต่างๆ ได้ทำการศึกษา และค้นพบเมื่อเร็วๆ นี้  ดาวิเด มาร์ติโน นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยคาลการี กล่าวว่า โรคนี้ อาจเป็นเหมือน “โรคระบาด ภายในโรคระบาด”
โรค Tic Tok
โรค Tic Tok
นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 กุมารแพทย์และผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตเด็กได้สังเกตเห็นอาการกระตุกที่เพิ่มขึ้นในเด็กและวัยรุ่นบางคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระตุกเกร็งหรือโรคติกส์ นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจคือการพบว่าเด็กที่มีอาการของโรคจะส่งเสียงที่มีลักษณะซับซ้อน และแปลกประหลาดอย่างกะทันหัน
โดยทีมวิจัยหลายทีม ได้ค้นพบอาการแปลก จากการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์ของเด็กในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19  โดยการวิจัยส่วนใหญ่ยกตัวอย่าง กรณีของแอพ Tik Tok เป็นหลัก โดยนักวิจัยพบว่าอาการของโรคมีความสัมพันธ์กับการใช้แอพ Tik Tok  ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้เด็กๆ มีอาการคล้ายกับโรคทูเร็ตต์แบบชั่วคราวได้
โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิงอายุตั้งแต่ 12-25 ปี ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ในเด็กหญิง 100 คน มีถึง 20 คน ที่มีอาการของ “โรคติกส์” หรือ “โรคทูเร็ตต์” แบบชั่วคราว ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย เพราะตามปกติแล้วอาการของโรคทูเร็ตต์ มักพบในเด็กที่อายุน้อยกว่านี้ และที่สำคัญมักพบในเด็กผู้ชายมากกว่าผู้หญิง นอกจากนี้หลักฐานทางการศึกษาวิจัย ยังพบว่า ความเครียดและวิตกกังวลส่วนบุคคล สามารถทำให้อาการรุนแรงขึ้น และยืดเยื้อได้

สาเหตุของโรค Tic Tok

จากช่วงเวลาที่โรคนี้ปรากฏขึ้น ทีมวิจัยได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า อาการกระตุกของกล้ามเนื้อแบบไม่ได้ตั้งใจ และการชอบพูดอะไรซ้ำไปซ้ำมา อาจเกิดได้จากความเครียดสะสมที่เกิดขึ้นในช่วงของการต้องใช้ชีวิตอยู่กับบ้านและโลกออนไลน์เป็นเวลานาน แม้ในปัจจุบันจะยังไม่มีการชี้ชัดว่าสาเหตุเกิดมาจากโลกออนไลน์ หรือ ภาวะโรคระบาดกันแน่  อย่างไรก็ตาม มีเด็กๆ ที่มีอาการคล้ายกับโรคทูเร็ตต์เพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคย
ซึ่งนักวิจัย รวมถึงงานวิจัยหลายชิ้นพบว่า คนที่มีอาการส่วนใหญ่ คือ เด็กผู้หญิง ซึ่งพบในช่วงของโรคระบาด และทั้งหมดเป็นคนที่ติดตาม เน็ตไอดอล หรือ อินฟลูเอนเซอร์ที่อยู่ บนโลกออนไลน์ ซึ่งในท้ายที่สุดที่ผลการวิจัยยังคลุมเครือ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า ความเครียดของการต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว การไม่ได้พบปะผู้คน การใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในช่วงระบาดใหญ่ของโควิด-19 โดยรวม รวมถึงการดูคลิปใน Tik Tok ที่ผู้คนเปล่งคำพูดสำบัดสำนวนต่างๆ บนโซเชียลมีเดีย ก็อาจมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดอาการของโรคนี้ได้

โรค Tic Tok

สำหรับโรคติกส์ ที่มีอาการคล้ายคลึงกับโรค Tic Tock  นั้นไม่สามารถรักษา ให้หายขาดได้ การใช้ยาจะบรรเทาอาการได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น โดยอาการมักเป็นๆ หายๆ และแน่นอนว่า เมื่อเกิดโรคแปลกประหลาดที่อ้างอิงผลจากงานวิจัยในครั้งนี้ อาจทำให้พ่อแม่ที่มีลูกวัยเรียนวัยรุ่น รู้สึกกังวลใจกับการใช้โซเชียลมีเดียของลูกได้
ดังนั้นทางที่ดี ผู้ปกครองควรดูแล และจำกัดการใช้งานหน้าจอต่างๆ ของลูกๆ ให้พอเหมาะ อย่างไรก็ตาม มีหลายวิธีที่คุณพ่อคุณแม่โดยเฉพาะของเด็กผู้หญิงกลุ่มที่งานวิจัยพบว่ามีความเสี่ยง โดยเราสามารถชี้แนะลูกๆ ถึงโทษ และภัยจากการใช้โซเชียลมีเดียอย่างไม่เหมาะสมได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับลูกแล้วยังเป็นการเสริมสร้างความฉลาดรอบด้านให้กับลูกๆด้วน Power BQในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQได้อีกด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : futurism.com , vice.com 
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

แป้งเด็กเนื้อโลชั่น

7 เหตุผลที่ควรใช้ “แป้งเด็กเนื้อโลชั่น” ทางเลือกดีดี๊ที่แม่วางใจได้

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นโรคที่พบได้ในทุกช่วงอายุ แต่พบบ่อยที่สุดใน “วัยเด็ก” โดยเฉพาะช่วงก่อนอายุ 1 ขวบ มีลักษณะเป็นผดผื่นแดงตามตัว เจ้าตัวเล็กอาจมีอาการคัน และผิวหนังแห้งอักเสบ เพราะผิวของเด็กทารกแสนบอบบาง จึงทำให้ไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมนั่นๆ และทำให้เกิดผื่นแพ้ขึ้นมา ส่งผลให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกหงุดหงิด งอแง ขัดขวางต่อพัฒนาการการเรียนรู้ เรียกได้ว่าทำให้คุณแม่หลายคนกังวลใจเป็นอย่างมาก

ดูแลอย่างไร? ให้ลูกน้อยห่างไกลผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

เนื่องจากโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเกิดได้จากหลายปัจจัยร่วมกันทางทางพันธุกรรม (หลีกเลี่ยงไม่ได้) และสิ่งแวดล้อม การดูแลผิวหนังของเจ้าตัวเล็ก เช่น การอาบน้ำที่ถูกวิธี หรือการเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม และการทาสารเพิ่มความชุ่มชื้นผิวหนัง รวมถึงการให้เจ้าตัวเล็กหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ เช่น สิ่งแวดล้อมสภาพอากาศ สิ่งระคายเคือง อย่างสารเคมี น้ำหอม เหงื่อ ความอับชื้น ตัวไรฝุ่น หรือเนื้อผ้าที่ระคายผิวต่างๆ ก็สามารถช่วยป้องกันเจ้าตัวเล็กเกิดผดผื่นแพ้ และลดความรุนแรงของผื่นได้

แป้งเด็กเนื้อโลชั่น

ทั้งนี้ในปัจจุบันมีผลการศึกษาที่สนับสนุนว่า…การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสูตรที่เหมาะสมสำหรับผิวทารกและผิวแพ้ง่าย ตั้งแต่ทารกแรกคลอดจนถึงอายุ 6 เดือน ก็สามารถช่วยลดการเกิดโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อช่วยให้คุณแม่หายกังวลใจ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการเลี้ยงดูลูกน้อยจึงต้องเป็นสูตรที่อ่อนโยน ปราศจากสารเคมีอันตรายต่างๆ ทีมแม่ ABK ขอแนะนำทางเลือกใหม่ กับผลิตภัณฑ์ แป้งเด็ก ที่ตอบโจทย์เรื่องไร้ฝุ่น ไม่ฟุ้งกระจาย ช่วยลูกห่างไกลภูมิแพ้ และดูแลผิวของลูกน้อยอย่างอ่อนโยนไปพร้อมๆ กัน อย่าง ดีนี่ แป้งเด็กเนื้อโลชั่น สูตรออร์แกนิค

7 เหตุผลที่ควรใช้ “แป้งเด็กเนื้อโลชั่น” ทางเลือกดีดี๊ที่แม่วางใจได้

เพราะคนเป็นแม่ ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูก ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษกับอุปกรณ์ของใช้ส่วนตัวลูก และถึงแม้จะเป็นแป้งเด็กก็ใช่ว่าจะเหมือนกันทุกยี่ห้อ อย่างแป้งเด็กดีนี่ แป้งเนื้อโลชั่น ที่แม่ถูกใจ วางใจได้ พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการเรื่องผิวของลูกน้อย และนี่คือเหตุผลที่ทำไมคุณแม่ต้องเลือกใช้ ดีนี่ แป้งเด็กเนื้อโลชั่น สูตรออร์แกนิค

  1. ดีนี่ แป้งเด็กเนื้อโลชั่น สูตรออร์แกนิค อ่อนโยน ใช้ทาให้ลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิด 0 ขวบ เป็นแบรนด์แรกที่พัฒนาเป็นสูตรออร์แกนิค เพิ่มความมั่นใจให้คุณแม่เรื่องความอ่อนโยนที่เหนือกว่า ปลอดภัยต่อระบบทางเดินหายใจของลูกน้อย สามารถใช้ได้แม้แต่เด็กที่เป็นโรคภูมิแพ้
  2. ผสาน 2 คุณค่าของแป้งเด็กและโลชั่น ให้ลูกตัวหอม เมื่อทาแล้วผิวลูกแห้งสบายเหมือนทาแป้ง แต่ช่วยให้ผิวเนียนนุ่มเหมือนทาโลชั่น แถมมีกลิ่นหอมนานติดผิว หอมอ่อนๆ จากธรรมชาติ ช่วยให้ลูกน้อยอารมณ์ดี และนอนหลับสบาย
  3. เนื้อแป้งเด็กเนื้อโลชั่น มีคุณสมบัติ เนื้อบางเบาซึมซาบไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ หมดกังวลเรื่องความฟุ้งกระจาย ช่วยลูกห่างไกลภูมิแพ้
  4. ดีนี่ แป้งเด็กเนื้อโลชั่น มีส่วนผสมจากอะลันโทอิน ป้องกันการแพ้และช่วยลดผดผื่นจากความเปียกชื้นได้ดี
  5. ผสานพลังคุณค่ามอยซ์เจอร์ไรเซอร์บริสุทธิ์จากสารสกัดธรรมชาติ 7 ชนิด ช่วยลดการระคายเคืองและเป็นเกราะปกป้องผิวของทารกให้เนียนนุ่มชุ่มชื้น
  6. ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ว่าอ่อนโยน ปลอดภัย ไม่ระคายเคือง (Hypoallergenic tested) มาตรฐานการทดสอบประเทศฝรั่งเศส
  7. ดีนี่ แป้งเด็กเนื้อโลชั่น ปราศจากพาราเบน แร่ใยหิน กลูเตน แอลกอฮอล์ และสีสังเคราะห์ ทำให้คุณแม่ มั่นใจ และปลอดภัยต่อลูกน้อย
แป้งเด็กเนื้อโลชั่น
เนื้อแป้งของ ดีนี่แป้งเด็กเนื้อโลชั่น

อย่างไรก็ตาม ผดผื่นที่เกิดขึ้นกับลูกน้อยอาจรุนแรงได้หากไม่รักษาอย่างถูกสุขอนามัย การป้องกันที่ดีที่สุดคือการลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวลูกน้อย และหากมีผื่นที่สร้างความกังวลหรือไม่หายด้วยการบรรเทาเบื้องต้น คุณพ่อคุณแม่ควรขอคำแนะนำจากแพทย์จะดีที่สุด

ทั้งนี้ถ้าคุณแม่อยากทาแป้งให้ลูกน้อย ลองเลือกใช้ ดีนี่ แป้งเด็กเนื้อโลชั่น สูตรออร์แกนิค เป็นตัวเลือกอีกทาง ที่ดีต่อสุขภาพของลูกน้อย ซึ่งช่วยปกป้องดูแลถนอมผิวลูกได้อย่างปลอดภัย เนื้อแป้งไม่ฟุ้งกระจาย ไม่รบกวนทางเดินหายใจของลูกน้อย ก็ช่วยลดความกังวลว่าลูกจะป่วยเป็น “ภูมิแพ้” ด้วยค่ะ

และหากคุณแม่สนใจ ดีนี่ แป้งเด็กเนื้อโลชั่น สูตรออร์แกนิค ขนาด 180 ml. ราคา 80 บาท เท่านั้น สามารถไปหาซื้อได้ที่ Lotus, Big C, Tops, Gourmet market, Home Fresh Mart , Max Value, Boost หรือช้อปออนไลน์ได้ที่ Konvy , Lazada, , Shopee และ JD Central กันเลยค่ะ


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.phyathai.com