Page 179 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

นักกล้าเรียน

แชร์เทคนิคดี! สอนลูกให้เป็น “นักกล้าเรียน” โดยพ่อเอก

ในช่วงที่เรา work from home และโรงเรียนลูกปิดเทอมยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ผมบังเอิญเพิ่งไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง ที่น่าสนใจทีเดียว ชื่อ The Brave Learner เขียนโดยคุณ จูลี่ โบการ์ต แปลไทยโดย  คุณวารีรัตน์ อันวีระวัฒนา ในชื่อว่า นักกล้าเรียน ซึ่งเนื้อหาหลัก จะเป็นการให้แนวทางจากประสบการณ์ที่ทำ homeschool ให้ลูก แต่แม้ไม่ทำ homeschool หนังสือเล่มนี้ก็น่าสนใจมาก เพราะให้แนวทางในการที่จะทำอย่างไรให้การเรียนเป็นความสนุก แม้ปิดเทอมจะเป็นช่วงเวลาการพักผ่อนของลูก แต่เราก็คงไม่อยากให้ลูกหยุดเรียนรู้ ดังนั้นถ้าเรา ‘ทำการเล่นให้เป็นการเรียนรู้’ ไปด้วยได้คงดีไม่น้อย

ตอนที่น่าสนใจตอนหนึ่งคือ การเรียนรู้ที่ดีของเด็กไม่ใช่ ผ่านการพูดสอนปาวๆ หรือ การบังคับให้ทำการบ้าน นั่นไม่ใช่การเรียนแบบที่จะกระตุ้นให้เด็กใฝ่รู้ จริงอยู่เด็กบางคนอาจจะชอบเรียน พ่อแม่คุณครูให้ทำการบ้านหรือทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่เด็กเรียนเก่งกับเด็กรักการเรียนรู้ต่างกัน เราเห็นเพื่อนร่วมรุ่นมากมายที่เรียนได้ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม แต่ออกมาทำงาน เราเห็นเด็กกลางๆ ท้ายๆ มากมายที่ประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะคนเรียนเก่ง แต่อาจจะไม่ใช่นักใฝ่หาความรู้ใหม่ๆ ที่การทำงานนั้น ชุดความรู้ในห้องเรียนอาจจะแทบไม่ได้ใช้เลย (เพราะบางทีการเป็นเด็กเรียนเก่ง ก็เป็นกำแพงชั้นดีในการที่จะกั้นเด็กเหล่านั้นจากความรู้ใหม่ๆ เป็นกำแพงที่กั้นจากการลงไปเริ่มต้นเป็นเด็กไม่รู้อะไรเลยในเรื่องใหม่ๆ เหมือนคนอื่นๆ ที่เข้ามาเรียนรู้งานใหม่ด้วยกัน)

สอนลูกให้เป็น “นักกล้าเรียน” ทำอย่างไร

วกกลับมาส่วนที่น่าสนใจในหนังสือ นักกล้าเรียน คือ เราจะให้เด็กเรียนรู้ โดยเอาความสนใจของเด็กเป็นที่ตั้ง แล้วให้เขาเรียนรู้วิชาต่างๆ สิ่งต่างๆ จากสิ่งที่เขาชอบ เช่น ปูนปั้นชอบเลโก้ เราก็วางแผนที่จะสอน ให้ความรู้เขา โดยผ่านเลโก้

คณิตศาสตร์ : ชิ้นส่วนเลโก้ใช้เป็นตัวสอนเลขอย่างดี ทั้ง บวก ลบ คูณ และ เศษส่วน หรือใช้สอนรูปทรงเรขาคณิตก็ได้

ประวัติศาสตร์ : ดูต้นกำเนิดว่า เลโก้เริ่มมาจากที่ไหนเมื่อไหร่ โดยใคร

ภาษาอังกฤษ : เลโก้มีสารพัด ทั้ง City, Technic, Friends และอื่นๆ ซึ่งสามารถต่อเป็นสารพัดรูปแบบซึ่งเราก็สอนให้เขารู้ศัพท์อังกฤษของสิ่งเหล่านั้น เช่นส่วนประกอบต่างๆ ของเครื่องบิน รถยนต์ เป็นต้น

ภาษาไทย : ให้เขาเล่นเลโก้โดยเล่าเป็นเรื่องราว และถ้าเขาเขียนได้ก็ให้เขียนเป็นเรื่องราวลงสมุด

ศิลปะ : ให้เขาวาดรูปเลโก้ที่ชอบ หรือ การต่อเลโก้ให้เป็นรูปร่างต่างๆ ก็เป็นการเรียนศิลปะและเสริมความคิดสร้างสรรค์อยู่แล้ว

วิทยาศาสตร์ : ใบพัด ล้อรถ เฟือง และ ส่วนต่างๆ ของเลโก้สามารถใช้สอนเรื่องการเคลื่อนที่ได้ ยิ่งถ้าสามารถต่อเลโก้เทคนิคจะยิ่งสอนได้เยอะ เช่น ตอนนี้ปูนปั้นเพิ่งต่อตัวที่มีระบบนิวเมติค เขาตื่นเต้นมากกับการที่ลูกสูบลมสามารถใช้บังคับ และพอเขาได้ยินเสียงลม เขาจะต่อยอดไปทันที่เหมือนประตูรถบัส เหมือนที่ประตูชินกันเซ็น ใช่มั้ยปะป๊า

ต่อเลโก้
ปูนปั้นตั้งใจต่อเลโก้สุดๆ

จะเห็นว่ามันอาจจะไม่ใช่การเรียนรู้เชิงทฤษฎี หรือ ครอบคลุมไปทั้งเนื้อหาวิชา แต่มันสร้างความกระหายอยากเรียนรู้ พอรู้จากการเล่น เขาอยากลองเอาไปต่อยอดเอง แล้วการเรียนรู้มันจะไม่จบอยู่ตรงนั้น และ การเรียนรู้มันจะไม่จำเป็นต้องเริ่มที่ผู้ใหญ่มาบอกมาสอนเขา

และจุดสำคัญอีกอย่างคือ ขอให้เราจดจ่อกับสิ่งที่เขาทำ มากกว่า คอยตำหนิแนะนำแก้ไข เช่น หากลูกกำลังเล่าเรื่อง แล้วลูกอาจจะใช้คำไม่ถูกต้องบ้าง ขอให้เราจดจ่อกับเรื่องราวแสนสนุกของลูก อย่าไปมัวแก้คำผิด ให้เขารู้ว่า การเล่าเรื่องของเขาน่าสนใจน่าสนุก หรือ ลูกเขียนไดอารี่หากเขียนสะกดผิดก็ขอให้เราตื่นเต้นไปกับเนื้อหา มากกว่าจะไปมัวแก้คำผิด เพราะอย่างแรกจะกระตุ้นให้เขาอยากเขียนอยากเล่า อย่างหลังจะทำให้เขาหยุดเขียน เพราะเขาจะรู้สึกว่า งานเขียนมันช่างยากเย็นและไม่สนุกเลย ปล่อยเขาสนุก ปล่อยเขาเรียนรู้ เพราะเมื่อเขาสนุกเขามีความสุขเขาจะค่อยๆ พัฒนาที่สิ่งที่เขาทำให้ดีขึ้นเอง และเขาจะหาวิธีเขียนคำให้ถูกต้องเอง โดยเราไม่ต้องไปคอยแก้ไข

มาสนุกไปกับลูกกันเถอะ

บทความน่าสนใจอื่นๆ

“ลูกทำผิด” เทคนิคสอนลูก แบบไม่ต้อง “ทำโทษ” โดย พ่อเอก

“ลูกช่างถาม” รับมืออย่างไร ไม่ขัดพัฒนาการลูก โดย พ่อเอก


>>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    Kirei

    ผลิตภัณฑ์โฟมล้างมือและเจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ

    “ไลอ้อนร่วมส่งกำลังใจ สู้ภัยโควิด-19” เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2563 บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ได้มอบผลิตภัณฑ์โฟมล้างมือ และเจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ ผลิตภัณฑ์ล้างจานไลปอนเอฟ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดลุค รวมมูลค่า 1,034,940 บาท ให้กับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์ ในการดูแลสุขภาพและความสะอาดให้กับคนไทย โดยแพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย ได้ให้เกียรติเป็นผู้รับมอบ

    คิเรอิคิเรอิ เจลล้างมือ และโฟมล้างมือ

    เจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ

    ทั้งนี้บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ “โฟมล้างมือ และเจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ” (Kirei Kirei Foaming Hand Soap / Kirei Kirei Waterless Hand Sanitizer Gel) ขอชี้แจงเรื่องการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของทางบริษัทฯ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัส Covid-19 ทำให้ผลิตภัณฑ์โฟมล้างมือ และเจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ เป็นที่ต้องการของผู้บริโภคในระดับสูง จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ที่มีผู้นำผลิตภัณฑ์ไปจัดจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าที่ทางบริษัทฯ ได้ตั้งราคาจำหน่ายไว้ อีกทั้งยังมีสินค้าปลอมที่ทำเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของคิเรอิคิเรอิ ดังนั้นทางแบรนด์ จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้ผู้บริโภครับทราบโดยทั่วกันดังนี้

    โฟมล้างมือ และเจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ

    1. เจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ มีจำหน่าย 2 ขนาด ได้แก่แบบหลอด ขนาด 50 มล. และแบบขวด ขนาด 200 มล. โดย  เจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ สูตรใหม่ มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ 70% โดยปริมาตร  ซึ่งสามารถช่วยลดโอกาสการรับและแพร่กระจายเชื้อโรค
    2. ราคาขายของเจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ ขนาด 50 มล. คือ 40 บาท/หลอด และ ขนาด 200 มล. คือ 175 บาท/ขวด
    3. โฟมล้างมือคิเรอิคิเรอิ มีจำหน่าย 3 ขนาด ได้แก่ แบบขวด ขนาด 450 มล. แบบขวด ขนาด 250 มล. และแบบถุงเติม ขนาด 200 มล. โดยโฟมล้างมือคิเรอิคิเรอิ สามารถช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียได้ถึง 99%
    4. ราคาขายของโฟมล้างมือคิเรอิคิเรอิ ขนาด 450 มล. คือ 119 บาท/ขวด ขนาด 250 มล. คือ 75 บาท/ขวด และ ขนาด 200 มล. คือ 35 บาท/ถุง
    5. ช่องทางการขายอย่างเป็นทางการของโฟมล้างมือและเจลล้างมือคิเรอิคิเรอิ มีดังนี้   
    • ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และร้านค้าทั่วไป

    • ช่องทางออนไลน์ ได้แก่ Lion Shop Online และ LINE Official Account “@LIONFAMILY”

     

    อย่างไรก็ตามบริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด ขอร่วมรณรงค์ให้ประชาชนช่วยเหลือ แบ่งปัน และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน โดยการซื้อสินค้าเท่าที่จำเป็น และไม่นำผลิตภัณฑ์คิเรอิคิเรอิไปจำหน่ายเกินราคา ทั้งนี้ทางบริษัทฯ ยังคงเร่งดำเนินการผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค และทางบริษัทฯ ได้ตั้งใจและพยายามอย่างเต็มความสามารถ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

      สู้ไปด้วยกัน! “นกเหยี่ยว Falcon” ผุดไอเดีย “Falcon Sharing Café” ร่วมสนับสนุนทีมแพทย์ สู้โควิด-19

      กรุงเทพฯ – บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม “นกเหยี่ยว Falcon” แบรนด์นมคุณภาพจากผู้ผลิตเดียวกับโฟร์โมสต์  ขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมฝ่าภัยวิกฤตโควิด-19 ผุดไอเดีย Falcon Sharing Café ขายเครื่องดื่มยอดฮิตผ่านช่องทางออนไลน์ มอบรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย ร่วมสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (Personal Protection Equipment) ตั้งเป้าบริจาค 1 ล้านบาท มอบให้แก่โรงพยาบาลที่ขาดแคลน นอกจากนี้ยังร่วมมือกับพันธมิตรร้านชากาแฟ เริ่มเฟสแรก 18 ร้าน รอบโรงพยาบาล 13 แห่งที่กรุงเทพฯ ตรัง และปัตตานี แจกเครื่องดื่มฟรี!ให้กับบุคคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาลทุกท่าน

      “นกเหยี่ยว Falcon” ผลิตภัณฑ์นมสำหรับปรุงอาหาร เครื่องดื่ม และเบเกอรี่ คู่แท้มืออาชีพของผู้ประกอบการทั่วประเทศ เปิดตัว Falcon Sharing Café สร้างสรรค์เมนูเครื่องดื่มพิเศษสุดอร่อย จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเริ่มต้นที่กรุงเทพฯก่อนเป็นเฟสแรก มอบรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่าย ร่วมสมทบทุนซื้ออุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (Personal Protection Equipment) ให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลน ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย N95 ถุงมือยาง แว่นตากันเชื้อในห้องปฏิบัติการ ชุดป้องกันสารเคมี เสื้อกาวน์ของแพทย์ และน้ำยาฆ่าเชื้อ งานนี้นอกจากผู้บริโภคจะได้เอร็ดอร่อยกับเครื่องดื่มที่ส่งถึงบ้านแล้ว ยังได้มีส่วนร่วมในการบริจาคกันแบบเต็มๆ เริ่มสั่งได้เลย เพียงเข้าไปที่ แอพพลิเคชั่น Lineman หรือ Grab กดค้นหา Falcon Sharing café จากนั้นเลือกสาขาที่ใกล้บ้าน และกดสั่งเครื่องดื่มพิเศษสุดอร่อยจากทาง “นกเหยี่ยว Falcon” ได้เลย Falcon Sharing café พร้อมให้บริการที่ช่องทาง Lineman วันที่ 20 เมษายนนี้ และ Grab วันที่ 29 เมษายนนี้เป็นต้นไป

      นอกจากนี้ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับนักรบแนวหน้า นกเหยี่ยว Falcon ได้ร่วมมือกับพันธมิตรร้านชากาแฟแจกเครื่องดื่มฟรี! ให้กับเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ การพยาบาล และผู้ปฎิบัติการในโรงพยาบาลทุกภาคส่วน เพียงแสดงบัตรพนักงานของโรงพยาบาล ณ.ร้านชากาแฟที่ร่วมรายการ Falcon Sharing Cafe  เริ่มตั้งแต่วันนี้ จนถึง วันที่ 16 พ.ค. รอบโรงพยาบาล 13 แห่ง อันได้แก่ 

      1. โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
      2. โรงพยาบาลราชวิถี
      3. โรงพยาบาลรามาธิบดี
      4. โรงพยาบาลเลิดสิน
      5. โรงพยาบาลศิริราช
      6. โรงพยาบาลตำรวจ
      7. โรงพยาบาลกันตรัง จ.ตรัง
      8. โรงพยาบาลสิเกา จ.ตรัง
      9. โรงพยาบาลปะเหลียง จ.ตรัง
      10. โรงพยาบาลย่ายตาขาว จ.ตรัง
      11. โรงพยาบาลปัตตานี จ.ปัตตานี
      12. โรงพยาบาลหนองจิก จ.ปัตตานี
      13. โรงพยาบาลยะรัง จ.ปัตตานี

      นกเหยี่ยว Falcon แบรนด์นมคุณภาพจากผู้ผลิตเดียวกับโฟร์โมสต์  ขอเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมด้วยช่วยกันให้คนไทยผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี

        Tags

        ลูกวัยกำลังโต

        ลูกวัยกำลังโต ควรเสริมอาหารแบบไหน?

        เพื่อการเติบโตและพร้อมเรียนรู้ของลูกวัยกำลังโต ควรเสริมอาหารแบบไหน มาฟังคำตอบจากนักกำหนดอาหารวิชาชีพกันค่ะ

        อ่านข้อมูลโภชนาการเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/3cl5yP6

         

          กินไข่ดิบ

          กินไข่ดิบ เสี่ยงอาหารเป็นพิษ จากเชื้อซาลโมเนลลา

          กินไข่ดิบ ถามว่ากินได้ไหม ก็กินได้ แต่ถ้ากินไข่ปรุงสุกจะได้ประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าค่ะ ครอบครัวไหนที่ชอบกินไข่ ดิบ หรือไข่ที่ปรุงกึ่งสุกกึ่งดิบ ทีมแม่ABK แนะนำว่าควรกินไข่แบบปรุงให้สุก เพราะไข่ดิบ อาจเสี่ยงป่วยอาหารเป็นพิษ ที่มาจากเชื้อซาลโมเนลลา Salmonella ที่ปนเปื้อนมากับ “ไข่”

          เกริ่นมาแบบนี้สายกินไข่อาจไม่ชอบใจนัก แต่ขอให้ฟังทีมแม่ABK สักนิด ที่เตือนเพราะห่วงสุขภาพของทุกคน ยิ่งน่าร้อน  แบบนี้ การกินอาหารที่ทำมาจากวัตถุดิบที่ไม่สด สุก สะอาด ก็เสี่ยงที่ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสีย ท้องร่วง อาหารเป็นพิษกันได้ง่ายมากค่ะ

          พอบอกว่ากินไข่ดิบแล้วอาจเสี่ยงเติดเชื้อซาลโมเนลลา ใช่ค่ะก็เสี่ยงอยู่ แต่ในไข่ดิบก็มีประโยชน์อยู่นะคะ ในไข่ดิบ 1 ฟองให้สารอาหารอย่างโคลีนมากถึง 147 มิลลิกรัม สำหรับโคลีนนะคะถือเป็นสารอาหารสำคัญจำเป็นต่อทำงานของสมอง และโคลีนยังดีต่อสุขภาพหัวใจ และตับด้วยค่ะ โคลีน (Choline) ในไข่เป็นวิตามินกลุ่มเดียวกับวิตามินบี ช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ป้องกันโรคหัวใจ และช่วยให้เซลล์ตับมีการเผาผลาญไขมันได้อย่างปกติ ลดการสะสมของไขมันที่ตับหรือภาวะไขมันพอกตับ ก็ว่าทำไมคนญี่ปุ่นเขาถึงนิยมกินไข่ดิบกับข้าวสวยร้อนๆ เหยาะซอสถั่วเหลืองนิด ใส่วาซาบิหน่อย เพิ่มรสชาติให้ไข่ดิบกินอร่อยมากขึ้น แต่ไข่ดิบที่เขานำมากินสดนั้น เป็นไข่สดที่ผ่านมาตรฐานรับรองความปลอดภัย และระบุไว้ว่ากินสดได้เป็นไข่ชนิดออแกนิค สามารถรับประทานได้ภายในกี่วัน

           

          กินไข่ดิบ ระวัง!! เชื้อซาลโมเนลลา Salmonella

          ตอนที่ทีมแม่ABK กำลังจะตักไข่ดาว ที่ดาวมาแบบไม่สุก เพื่อนที่นั่งๆ นี่ร้องห้ามดังมาก บอกเธอ กินไข่ดิบ ระวังกินเชื้อ ซาลโมเนลลาเข้าไปด้วยนะ เราก็งงว่าเชื้ออะไรชื่อแปลกไม่คุ้นหูเลย ถามไปถามมาได้ความว่า เชื้อซาลโมเนลลาเนี่ย เป็น  สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการ!!! “อาหารเป็นพิษ”

          กลับบ้านมาเลยมาหาข้อมูลเพิ่มเติม เพราะถ้าเราสามารถเตือนให้คนอื่นได้ตระหนักรู้ถึงพิษภัยจากวัตถุดิบที่ไม่ว่าบ้านไหนก็  ต้องมี “ไข่” ติดครัวกันทั้งนั้น ไข่หากปรุงสุกแล้วกิน อันนี้ไม่มีปัญหา แต่คนที่ชอบกินไข่ดิบ หรือไข่ดาวทอดไม่สุกแบบเรา  อาจมีปัญหากับสุขภาพได้ค่ะ

          ก่อนอื่นขอทำควมเข้าใจก่อนว่า “ไข่” ที่ทุกคนบริโภคในทุกๆ วัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นไข่สดที่ได้มาตรฐานการบริโภคมาแล้ว  แต่ถ้าจะบริโภคให้ปลอดภัยต่อสุขภาพ ควรนำไข่ที่ซื้อมาจากตลาด ร้านค้า ซุปเปอร์มาร์เกต ฯลฯ นำ “ไข่” มาปรุงให้สุกก่อน “ไข่สุก” ให้คุณค่าโภชนาการที่ดีกว่า “ไข่ดิบ” ที่สำคัญไข่สุกกินแล้วไม่เกิดโทษต่อสุขภาพร่างกายค่ะ

          ข้อมูลจากสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม ได้อธิบายเกี่ยวกับ เชื้อซาลโมเนลลา Salmonella ไว้ว่าเป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่ ทำให้อาหารเป็นพิษ และสามารถถ่ายทอดเข้าสู่ร่างกายได้ โดยรับประทานอาหารที่มีเชื้อซาลโมเนลลาปนเปื้อน ได้แก่อาหารประเภทเนื้อ เช่น พายเนื้อ ไส้กรอก แฮม เบคอน แซนวิช และมักเป็นอาหารที่เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง นอกจากนี้ยังพบ  ในเนื้อไก่ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์ปลา อาหารทะเลที่ไม่ได้ผ่านความร้อนอย่างเพียงพอ1   

          1เครดิต : สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม

          สำหรับเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคชนิดนี้นะคะ ส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการอาหารเป็นพิษ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ มีอาการท้องร่วง มีไข้ หนาวสั่น เป็นต้น ซึ่งคนที่มีอาการหนักมากๆ อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ค่ะ

          กินไข่ดิบ

          วิธีป้องกัน เชื้อซาลโมเนลลา

          การทำลายเชื้อซาลโมเนลลา Salmonella ที่อาจปนเปื้อนมากับ ไข่ หรือเนื้อสัตว์ต่างๆ แนะนำให้ใช้ความร้อนค่ะ ให้ปรุงวัตถุดิบให้สุกในอุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 4-5 นาที หรือที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส นาน 1 นาที แค่นี้เจ้าเชื้อซาลโมเนลลาก็ถูกทำลายแล้วค่ะ  ทำเมนูไข่ครั้งต่อๆ ไป ควรทำให้ไข่สุกก่อนแล้วค่อยรับประทานกันนะคะ อาหารที่สด ปรุงสุก ใหม่ รับรองว่าดีต่อสุขภาพ เชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ทำให้เราป่วยไม่ได้อย่างแน่นอนค่ะ

          สำหรับใครที่บางมื้ออาหารอยากจะกินไข่ดิบกับข้าวสไตล์ญี่ปุ่น หรือกินไข่ดาวสุกไม่มาก แนะนำให้เลือกซื้อไข่สดจากแหล่งที่ได้มาตรฐาน เลือกเป็นไข่สดออแกนิค ที่มีตรารับรองว่าสามารถรับประทานสดได้ภายในกี่วัน ก็จะช่วยให้มั่นใจว่าปลอดภัยจากเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่อาจปนเปื้อนมากับไข่ได้ค่ะ แต่ถ้าจะให้ดีต่อสุขภาพไม่ควรกินไข่ดิบบ่อยๆ นะคะ กินไข่สุก ให้คุณค่าสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากกว่าค่ะ

          การสร้างภูมิคุ้มกันแข็งแรงให้กับร่างกายอยู่ตลอดเวลา จะช่วยลดอัตราการเจ็บ ป่วย ไม่สบายได้นะคะ ทีมแม่ABK แนะนำให้ทุกคนหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ปรับเปลี่ยนมาบริโภคอาหารที่มีคุณค่าสารอาหารครบ 5 หมู่ สด สะอาด และก็ต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างน้อย 3-5 วันต่อสัปดาห์ สุขภาพดี เริ่มที่ตัวเราค่ะ …ด้วยความห่วงใย

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


          อ่านบทความเรื่องอื่นที่น่าสนใจ

          แพทย์เตือน! กินไข่ไม่สุก อันตรายถึงชีวิต! 

          รู้หรือไม่? นมถั่วเหลือง ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยแข็งแรงไม่ป่วยบ่อย 

          ไข่ไก่ กับ ไข่เป็ด อะไรดีกว่ากัน ลูกควรกินไข่ชนิดไหน?

           

            ยื่นอุทธรณ์เราไม่ทิ้งกัน

            ยื่นอุทธรณ์เราไม่ทิ้งกัน ใครบ้างที่ไม่มีสิทธิ์

            หลังจากที่มีมาตรการเยียวประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ด้วยการช่วยเหลือเงิน 5,000 บาท เพื่อเป็นการดูแลผู้ที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม หรือกลุ่มแรงงานนอกระบบ ผ่านเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com หลายคนไม่ได้รับเงินเยียวยา ใครบ้างที่ไม่มีสิทธิ์ และจะ ยื่นอุทธรณ์เราไม่ทิ้งกัน ได้อย่างไรบ้าง เราไปอ่านรายละเอียดกันค่ะ

            Continue reading “ยื่นอุทธรณ์เราไม่ทิ้งกัน ใครบ้างที่ไม่มีสิทธิ์”

              วัคซีนในผู้หญิง

              9 วัคซีนสำหรับผู้หญิง ที่จำเป็นต้องฉีด!

              วัคซีนสำหรับผู้หญิง มีแฟนๆ ของทีมแม่ABK หลังไมค์มาถามกันบ่อยเลยค่ะว่า วัคซีน HPV หรือวัคซีนไวรัสตับอักเสบ และ วัคซีนอื่นๆ  จำเป็นต้องฉีดไหม?   หากไม่ฉีดวัคซีนจะมีผลเสียหรือไม่  อย่างไร?  ทีมแม่ABK จึงหาคำตอบมาไขข้อข้องใจแม่ๆ กันค่ะ ว่าจริงๆ แล้ววัคซีนสำหรับผู้หญิง มีทั้งหมดกี่วัคซีน  และมีวัคซีนอะไรบ้างที่จำเป็นต้องฉีด

               

              วัคซีนสำหรับผู้หญิง เกราะป้องกันสุขภาพดี

              การออกกำลังกาย การกินอาหารที่มีประโยชน์ และการฉีด วัคซีนสำหรับผู้หญิง ปัจจัยเหล่านี้คือตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้  ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้นได้ค่ะ ซึ่งการมีภูมิคุ้มกันแข็งแรง จะช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเจ็บป่วยจากโรคร้ายแรงต่างๆ หรือโรคภัยที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ไม่สบายในเปอร์เซ็นต์ที่น้อย หรืออาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้

              วัคซีนสำหรับผู้หญิงที่อยากแนะนำให้ได้ฉีดกันนั้น ทีมแม่ABK ก็เพิ่งไปรับการฉีดมาหลังจากตรวจสุขภาพประจำปี อย่าง วัคซีนไข้หวัดใหญ่ กับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี  และก็ได้สอบถามจากคุณหมอว่าควรต้องฉีดวัคซีนอะไรอีกบ้าง เพราะในเร็วๆ นี้กำลังเตรียมแพลนว่าจะมีน้อง  ก็อยากจะฉีดวัคซีนที่ร่างกายไม่มีภูมิกับวัคซีนชนิดนั้นๆ ไปแล้ว ให้ร่างกายกลับมามี ภูมิอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ไม่สบาย ที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อน-ระหว่าง-หลัง ตั้งครรภ์ ค่ะ

              เรามาดูกันว่ามีวัคซีนอะไรบ้างที่ผู้หญิงควรฉีดเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายมีความแข็งแรงกันค่ะ

              1. วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV

              วัคซีน HPV จัดเป็นวัคซีนจำเป็นที่ทางการแพทย์แนะนำให้ผู้หญิงทุกคนได้รับการฉีดกันค่ะ สำหรับ HPV เป็นวัคซีนช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูก การเริ่มต้นฉีดในผู้หญิงควรฉีด 2 เข็ม ในช่วงอายุ 9-14 ปีค่ะ แต่มีข้อควรรู้คือหากในช่วงอายุระหว่างนี้เกิดไปมีเพศสัมพันธ์ ก่อนฉีดวัคซีน HPV ต้องแจ้งประวัติให้แพทย์ทราบอย่างละเอียดก่อนนะคะ เพื่อตรวจดูก่อนว่ามีความผิดปกติหรือไม่ หากไม่มีก็สามารถฉีดวัคซีนได้ตามปกติค่ะ ส่วนผู้หญิงที่มาฉีดกันตอนที่อายุเกิน 14 ปีขึ้นไปแล้ว วัคซีน HPV จะฉีดทั้งหมด 3 เข็มตามที่แพทย์แนะนำค่ะ ถามว่าแล้วจะฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV ขณะตั้งครรภ์ได้หรือเปล่า ตอบว่า “ไม่ได้” ฉะนั้นควรฉีดก่อนมีการตั้งครรภ์จะปลอดภัยกว่าค่ะ

              2. วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

              วัคซีนไวรัสตับอักเสบ จำได้ว่าเคยฉีดตอนเด็กๆ ค่ะ และหลังจากนั้นก็ไม่ได้มีการฉีดอีกเลย จนช่วงปีที่แล้วทีมแม่ABK ไปตรวจสุขภาพ และคุณหมอซักประวัติทำให้รู้ว่าหากอนาคตมีปัญหาเกี่ยวกับตับ อาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับได้ จากที่เข้าใจมาตลอดว่าคนที่เป็นมะเร็งตับต้องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ความจริงแล้วยังมีอีกหลายปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลต่อตับได้ค่ะ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการอักเสบของตับที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส  สำหรับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี จะฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ดังนี้ค่ะ ฉีดเข็มที่ 1 หลังหนึ่งเดือนฉีดเข็มที่ 2 หลังห้าเดือนฉีดเข็มที่ 3

              อ่านต่อ วัคซีนในผู้หญิง ฉีดเพิ่มภูมิคุ้มกันลดเสี่ยงโรคร้ายแรง คลิกหน้า 2

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                ทำความสะอาดของเล่น

                ทำความสะอาดของเล่น ลูกน้อยปลอดภัยจากเชื้อโรค

                เด็กๆ ชอบเล่นของเล่น และไม่รู้ถึงอันตรายที่มากับเชื้อโรคที่ติดอยู่ที่ของเล่น โดยเฉพาะเด็กเล็กที่ชอบอม และเอาของเล่นเข้าปาก ยิ่งถ้าไม่ได้รับการทำความสะอาดสม่ำเสมอ ลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่อาจเจ็บป่วยได้ง่าย มาเรียนรู้การ ทำความสะอาดของเล่น ให้ลูกน้อยปลอดภัยกันค่ะ

                Continue reading “ทำความสะอาดของเล่น ลูกน้อยปลอดภัยจากเชื้อโรค”

                  ลูกในท้องไม่ดิ้น

                  ลูกในท้องไม่ดิ้น แม่อย่านิ่งนอนใจ ลูกไม่ดิ้นไม่ดีแน่!

                  ลูกดิ้น ถือเป็นการส่งสัญญาณของลูกน้อยในครรภ์ให้คุณแม่ดีใจว่าลูกกำลังขยับเขยื้อนร่างกายอยู่ แต่ถ้า ลูกในท้องไม่ดิ้น หรือลูกดิ้นน้อยลงขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น จะทำยังไงดี?

                  คุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะเริ่มรู้สึกว่าลูกในท้องดิ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 16-20 ของการตั้งครรภ์ นั่นคือการเคลื่อนไหวครั้งแรกของทารกที่นำมาสู่ความตื่นเต้นดีใจให้กับว่าที่พ่อแม่มือใหม่ และถือเป็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเจริญเติบโตและความแข็งแรงของลูกน้อยในครรภ์ โดยสาเหตุที่ทำให้ลูกดิ้นหรือมีการขยับตัวนั้น อาจมาจากการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์และอากัปกิริยาต่าง ๆ เช่น การสะอึก การได้รับสารอาหารและออกซิเจน บางครั้งอาจเป็นการสื่อสารที่ทารกต้องการตอบสนองกับมารดา ที่ต่อจากนี้คุณแม่ต้องคอยสังเกตความผิดปกติ และคอยจดบันทึกนับการดิ้นของลูกเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

                  บทความแนะนำ : แจก ตารางจดบันทึกลูกดิ้น พร้อมวิธีนับลูกดิ้น เพื่อความปลอดภัยของลูกในท้อง

                  ลูกดิ้น

                  ลูกในท้องไม่ดิ้น แม่จะรู้ได้ยังไง? ความรู้สึกแบบนี้ใช่ “ลูกดิ้น” หรือเปล่า

                  อาการลูกดิ้นในช่วงแรก ๆ ทารกในครรภ์จะขยับตัวเพียงเล็กน้อยและไม่บ่อย แต่ก็ทำให้คุณแม่รู้สึกได้ว่ามีการขยับตัวของลูกน้อยภายในท้องซึ่งมีทั้งการถีบ เตะ กระทุ้ง พลิกตัว หรือโก่งตัว คล้ายกับโดนปลาตอดหรือโดนกระตุกเบา ๆ ที่ท้อง เมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์ 4-6 เดือน) การดิ้นของลูกจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้คุณแม่สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของลูกได้อย่างชัดเจนและบ่อยมากขึ้นและอาจรู้สึกถึงความเจ็บท้องในขณะที่ลูกดิ้น ซึ่งการดิ้นของทารกในครรภ์นั้นยังบอกได้ถึงสภาวะทางอารมณ์ของลูกน้อย รวมทั้งเกิดขึ้นได้จากปัจจัยที่มีผลตอบสนองต่อการดิ้นของทารกด้วย ได้แก่ ปริมาณน้ำคร่ำ อาหารที่คุณแม่ทาน ระดับน้ำตาลในเลือดของแม่ และสิ่งกระตุ้นภายนอกอื่นๆ เช่น แสง หรือเสียง เป็นต้น

                  บทความแนะนำ : ลูกดิ้นตอนกี่เดือน ลูกดิ้น สัญญาณสำคัญที่แม่ท้องต้องรู้

                  นับจำนวนการดิ้น เช็กความแข็งแรงของลูกน้อย

                  สำหรับการนับความถี่การดิ้นของทารกในครรภ์ คุณแม่สามารถใช้การนับลูกดิ้นด้วยวิธีง่าย ๆ คือ นับจำนวนครั้งการดิ้นของลูกตั้งแต่เช้าถึงเย็นหรือประมาณ 10-12 ชั่วโมง แล้วดูว่าลูกดิ้นมากกว่า 10 ครั้งหรือไม่ ถ้ามากกว่า 10 ครั้งถือว่ายังปกติ หรือถ้าลูกดิ้นตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป ภายใน 1 ชั่วโมงแสดงว่ายังปกติ แต่ถ้านับแล้วมีการดิ้นน้อยกว่า 3 ครั้งให้ลองนับต่อไปอีก 1 ชั่วโมง เนื่องจากว่าทารกในครรภ์จะมีการหลับอยู่ที่ประมาณ 20-40 นาที หรืออาจหลับยาวนานถึง 75 นาที เพราะฉะนั้นการนับการดิ้นของลูกต่อเนื่องไปชั่วโมงที่สองต้องไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง แต่ถ้านับได้น้อยกว่า 3 ครั้ง ติดกันทั้ง 2 ชั่วโมง อาจแสดงถึงภาวะผิดปกติของลูกน้อยในครรภ์ คุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ซึ่งโดยปกติแล้วการดิ้นของทารกในแต่ละวันนั้นอาจจะไม่เท่ากัน บางวันดิ้นมากบางวันดิ้นน้อย แต่ก็จะดิ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ แสดงให้เห็นถึงทารกมีการเจริญเติบโตด้านระบบประสาทและกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง โดยประมาณแล้วช่วงอายุครรภ์ประมาณ 20 สัปดาห์ ทารกในครรภ์จะดิ้นอยู่ประมาณ 200 ครั้งต่อวัน และจะดิ้นได้สูงสุดเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 30-32 สัปดาห์ โดยมีอัตราการดิ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 375-700 ครั้งต่อวัน หลังจากนั้นเมื่อทารกตัวโตขึ้นจนเต็มโพรงมดลูก ทำให้พื้นที่ในการดิ้นลดลง จำนวนครั้งของการดิ้นที่นับได้จึงน้อยลงด้วย

                  ลูกไม่ดิ้น ผิดปกติ ไหม

                  ลูกในท้องไม่ดิ้นแม่อย่านิ่งนอนใจ!

                  การดิ้นของทารกนั้น แม้จะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงพัฒนาการของทารกในครรภ์ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติที่อาจซ่อนอยู่ได้เช่นกัน เพราะการที่ลูกดิ้นมาก มีการเคลื่อนไหวที่ลดน้อยลง หรือลูกไม่ดิ้นนั้นอาจมีข้อบ่งชี้มาจาก

                  • คุณแม่ตั้งครรภ์มีโรคหรือมีความผิดปกติที่ตรวจพบอยู่ก่อนแล้วหรือกำลังรักษาอยู่ หากพบว่าลูกในครรภ์ดิ้นแรงมากอยู่ระยะหนึ่งแล้วหยุดดิ้นไปเลยและไม่มีอาการดิ้นอีกต่อไป นั่นคือสัญญาณอันตรายที่บอกว่าทารกในครรภ์เสียชีวิตไปแล้ว
                  • ลูกน้อยในครรภ์ไม่ได้รับออกซิเจนหรือสารอาหารที่เพียงพอตามความต้องการผ่านทางรก
                  • ทารกในครรภ์มีน้ำหนักตัวน้อยเกินไปหรืออาการแทรกซ้อนในระยะแรกของการตั้งครรภ์
                  • พื้นที่ในโพรงมดลูกคับแคบจนกระทั่งลูกแทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้ หรือทารกตัวใหญ่จนขยับตัวได้ยาก
                  • เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์จนลูกไม่มีแรงจะดิ้น หากปล่อยไว้นานก็จะทำให้ทารกไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลยก็เป็นได้

                  ดังนั้นเมื่อคุณแม่รับรู้ได้ว่าลูกดิ้นการรับจำนวนครั้งในการดิ้นของลูกจึงเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างในช่วงเวลาตั้งครรภ์ และสามารถกระตุ้นการดิ้นของทารกในครรภ์ให้เกิดการตอบสนองได้ อาทิเช่น

                  • การยืน เดิน ขยับตัวเคลื่อนไหวเบา ๆ ไปรอบ ๆ ห้อง
                  • แตะท้องให้เป็นจังหวะเบา ๆ หรือลูบท้องบ่อย ๆ
                  • การรับประทานของว่าง
                  • การดื่มน้ำเย็น
                  • การร้องเพลงหรือเปิดเพลงให้ลูกฟัง
                  • ส่องไฟฉายไปที่ท้อง
                  • แต่ถ้าลูกยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็เป็นไปได้ว่าอาจเกิดความผิดปกติกับการตั้งครรภ์หรือมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของลูกน้อย ซึ่งคุณแม่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียดนะคะ นอกจากนี้
                  • ปรับเปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคงซ้าย ตะแคงขวาบ้าง หรือจะกึ่งนั่งกึ่งนอน
                  • ออกกำลังกายสำหรับคนท้อง เช่น โยคะคนท้อง ว่ายน้ำ

                  หากใช้วิธีกระตุ้นให้ลูกดิ้นและมีการเคลื่อนไหวคุณแม่ก็สามารถเบาใจและคลายกังวลลงได้ เพราะการที่ลูกดิ้นน้อยหรือไม่ดิ้นในช่วงเวลาหนึ่งอาจเป็นเพราะทารกในครรภ์กำลังหลับซึ่งทำให้ลูกขยับน้อยมากนั้นเอง แต่ถ้าพบว่าไม่ว่าจะมีการกระตุ้นใด ๆ ก็ตาม ลูกไม่มีการเคลื่อนไหวเพื่อตอบสนองต่อการกระตุ้น หรือการเคลื่อนไหวของลูกน้อยลดลงอย่างมีนัยสำคัญหรือค่อย ๆ ลดลงเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน เมื่อสังเกตเห็นอาการแบบนี้ควรไปพบหมอทันที และที่สำคัญการฝากครรภ์เพื่อไปพบหมอตามนัดให้คุณแม่และลูกน้อยได้รับการตรวจสุขภาพอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงต่าง ๆ ในขณะตั้งครรภ์ไปจนถึงช่วงคลอดให้ลูกน้อยได้ลืมตาดูโลกได้อย่างปลอดภัยกันทั้งคู่นะคะ

                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.sanook.comwww.pobpad.comwww.paolohospital.com

                  อ่านบทความที่น่าสนใจ คลิก :

                  ลูกดิ้นน้อยลง อาการนี้ที่แม่ท้องแก่ต้องรู้!

                  ลูกดิ้นตอนกี่เดือน ลูกดิ้น สัญญาณสำคัญที่แม่ท้องต้องรู้

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    วิตามินซีเด็ก

                    รีวิว “4 วิตามินซีเด็ก วิตามินรวม” อีกหนึ่งตัวช่วยที่แม่ควรรู้จัก!

                    รีวิว วิตามินซีเด็ก วิตามินรวม กลัว ลูกขาดสารอาหาร เป็นหวัด ป่วยง่าย ต้องห้ามพลาดรีวิวแนะนำ 4 วิตามินสำหรับเด็ก อีกหนึ่งตัวช่วยที่คุณแม่ควรรู้จัก จะมีอะไรบ้าง มาดูกัน

                    วิตามินซีเด็ก วิตามินรวม อีกหนึ่งตัวช่วยที่คุณแม่ควรรู้จัก!

                    โภชนาการสำหรับเด็ก เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กเล็กก่อนวัยเรียน เป็นช่วงที่มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง อาหาร จึงเป็นสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ควรให้ลูกกินครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนเพียงพอและสมวัย

                    Must read >> โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ เช็กน้ำหนักส่วนสูง ความสมส่วนของลูก

                    แต่ก็มีลูกวัยซนบ้างบ้าน ที่ไม่ยอมกินอาหาร หรือดูดแต่ขวดนม กินอาหารได้ไม่ครบ 5 หมู่ เช่น ไม่กินข้าว เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ หรือห่วงแต่เล่น จนทำให้พ่อแม่เกิดความวิตกกังวลกลัวลูกจะขาดอาหาร จึงพยายามสรรหา วิตามินซีเด็ก วิตามินรวมมาเสริม หวังให้ลูกได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ

                    ทั้งนี้ นพ.สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า.. วิตามิน ที่พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะเสริมให้ลูก ได้แก่ วิตามินซีเด็ก น้ำมันตับปลา วิตามินรวม ธาตุเหล็ก เป็นต้น ซึ่งในกรณีที่เด็กขาดสารอาหารมีความจำเป็นต้องได้รับวิตามินเสริม คุณหมอจะพิจารณาให้ตามความเหมาะสม ว่าลูกน้อยของเรามีโรคประจำตัว เป็นเด็กขาดสารอาหาร ขาดวิตามิน แร่ธาตุ หรือป่วยเป็นโรคอะไร ถึงมีความจำเป็นต้องได้รับวิตามินเสริม เพราะวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดก็มีข้อจำกัดในการกิน หากกินวิตามินบางชนิดในปริมาณที่มากเกินไป อาจะทำให้เกิดการสะสมในร่างกายและมีผลข้างเคียงตามมา

                    อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันกรมการแพทย์ เผยว่าเด็กไทยป่วยเป็นโรคขาดวิตามินซีเพิ่มขึ้น ทำให้ป่วยง่าย และส่งผลต่อพัฒนาการอาจรุนแรงถึงขั้นเดินไม่ได้ สาเหตุสำคัญเกิดจากพฤติกรรมการกิน ที่กินนมเป็นประจำแต่ไม่กินผักผลไม้ที่มีวิตามินซีด้วย

                    วิตามินซีเด็ก

                    วิตามินซี สำคัญต่อเด็ก อย่างไร?

                    เพราะ วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ วิตามินซีมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หากกินเป็นประจำยังช่วยในการรักษาและป้องกันโรคหวัดด้วย โดยปริมาณ วิตามินซีเด็ก ที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน คือ

                    • อายุ 1-3 ปี: 45 มิลลิกรัม
                    • อายุ 4-6 ปี: 45 มิลลิกรัม

                    และถึงแม้ว่าวิตามินซีจะไม่ได้ช่วยรักษาหวัดได้โดยตรง แต่ก็ยังคงมีประโยชน์สำหรับร่างกายอีกหลายอย่าง แต่เนื่องจากร่างกายของคนเราไม่สามารถสร้างวิตามินซีเองได้ ส่วนใหญ่จะได้รับวิตามินซีจากการกินผักและผลไม้ โดยอาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผัก เช่น ผักใบเขียว มันฝรั่ง มะเขือเทศ ดอกกะหล่ำ และผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว เช่น เบอร์รี่ ส้ม ฝรั่ง

                    Must read >> รวมฮิต ติดชาร์ต ผักผลไม้วิตามินซีสูงเพื่อลูก

                    Must read >> แร่ธาตุ + วิตามิน จำเป็นต่อร่างกายและสมอง

                    นอกจากนี้ก็ยังมีวิตามินซีในรูปแบบที่สกัดออกมาและวางขายในหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ดเคี้ยว แบบเม็ดฟู่ แบบเม็ดอม แบบเม็ดรับประทาน แบบแคปซูล

                    ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนต้องการเสริมวิตามินให้กับลูกน้อย สำหรับเด็กที่ไม่ค่อยยอมกินข้าว กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และป่วยเป็นหวัดง่าย … ทีมแม่ ABK มี  วิตามินซีเด็ก วิตามินรวม สำหรับลูกน้อยมาแนะนำ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลคร่าวๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ แต่ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนให้ลูกกิน

                    อ่านต่อ >> “รวม 4 วิตามินซีเด็ก วิตามินรวม
                    อีกหนึ่งตัวช่วยที่แม่ควรรู้จัก” คลิกหน้า 2

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      คำพูดที่ลูกไม่อยากได้ยิน

                      8 คำพูดที่ลูกไม่อยากได้ยิน จากปากพ่อแม่ พูดแบบนี้โตไปลูกแย่แน่!

                      เวลาโมโหลูก ไม่ว่าคำพูดอะไรก็ประเดประดังใส่ลูกไปซะหมด ทั้ง ๆ แค่อยากพูดให้ลูกคิดได้ แม้จะคิดว่าคำพูดหรือประโยคที่พูดให้ลูกฟังอาจดูไม่เป็นอันตราย แต่ก็มีบาง คำพูดที่ลูกไม่อยากได้ยิน จากปากพ่อแม่ ยิ่งพูดซ้ำ ๆ ลูกยิ่งจำไปจนโต ส่งผลทำให้ลูกไม่ประสบความสำเร็จในอนาคตได้

                      8 คำพูดที่ลูกไม่อยากได้ยิน จากปากพ่อแม่ พูดแบบนี้โตไปลูกแย่แน่!

                      1.”ตัวปัญหา”

                      เอาแต่มองว่าลูกเป็นตัวสร้างปัญหา แค่ทำอะไรผิดนิดหน่อยโดยไม่ทันฟังเหตุผล พ่อแม่ก็เปิดปากว่า เมื่อลูกได้ยินคำนี้จะทำให้ลดทอนคุณค่าของตัวเองลงไป ทำอะไรก็ผิดในสายตาพ่อแม่ไปหมด ทำให้มองว่าตัวเองไม่มีค่า เมื่อพ่อแม่ฝังชิพว่าลูกเป็นตัวปัญหา อาจทำให้เด็กเกิดการประชดประชดและสร้างปัญหาที่แย่ขึ้นจริง ๆ ขึ้นได้

                      2.”ทำไมไม่เหมือนคนอื่น”

                      แม้ว่าการมีตัวอย่างที่ดีเพื่อให้ลูกได้เลียนแบบ แต่การเปรียบเทียบไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง คนในครอบครัว หรือเพื่อนของลูก ว่าคนนั้นคนนี้ดีกว่า เก่งกว่า หวังจะทำให้ลูกพยายามทำตัวดีขึ้น แต่ลึก ๆ แล้วก็ส่งผลทำให้ลูกรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เสียใจ และอาจทำให้ลูกกลายเป็นคนมีอคติ เป็นเด็กขี้อิจฉา เกลียดชังคนที่พ่อแม่นำไปเทียบด้วย ซึ่งก็จะส่งผลลบในแง่พฤติกรรมของลูกได้มากกว่าผลดี

                      พูดกับลูกว่าไม่รัก
                      พูดกับลูกว่าไม่รัก

                      3.”ทำแบบนี้ไม่รักแล้ว”

                      เมื่อได้ยินพ่อแม่พูดว่า “ไม่รัก” เหมือนโลกทั้งใบของลูกมืดลงไปทันที เด็ก ๆ มีพ่อแม่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เป็นหลุมหลบภัย เป็นที่พักพิงตั้งแต่เกิด คำพูดว่าไม่รักจึงมีผลต่อความรู้สึกลูกเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลทำให้ลูกเสียใจ หดหู่ รู้สึกไม่ปลอดภัย และอาจทำให้หันไปมองหาคนที่เห็นคุณค่ามากกว่า เข้าใจมากกว่า ลดทอนความรักที่มีต่อพ่อแม่ลงเช่นกัน ซึ่งในเวลาที่ลูกรู้สึกว่าโดดเดี่ยวอาจถูกชักนำไปในทางที่ผิดได้ง่าย

                      4.”ทำไมไม่ได้ดั่งใจ”

                      พ่อแม่แทบทุกคนต่างก็มีความคาดหวังให้ลูกเก่ง ฉลาด เอาตัวรอดทันคนอื่น ๆ แต่เด็กทุกคนต่างเกิดมาก็มีต้นทุนความถนัดไม่เท่ากัน การที่ใช้คำพูดว่าลูกทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ จะส่งผลให้ลูกเกิดความเสียใจ น้อยใจได้ไม่น้อยเลยนะคะ และยิ่งทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถ ไม่เป็นที่พอใจของพ่อแม่ เกิดความรู้สึกท้อแท้ และไม่อยากตั้งใจทำอะไรอีกเลย เป็นการปิดกั้นพัฒนาการที่จะส่งผลเสียต่อลูกในอนาคตได้

                      อ่านต่อ คำพูดแบบไหนที่ลูกไม่อยากได้ยิน คลิกหน้า 2

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        โรคของผู้หญิง

                        4 โรคของผู้หญิง ที่ไม่ควรมองข้าม อย่าอายที่จะไปตรวจ!

                        ไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรือว่าอยากให้มีโรคภัยมาเยือน โดยเฉพาะ โรคของผู้หญิง ที่มีสัดส่วนของการเกิดโรคได้มากกว่าผู้ชาย บางโรคยากเกินกว่าจะทันรู้ตัว และผู้หญิงส่วนใหญ่ก็อายที่จะไปตรวจ แต่ไม่ยากเกินไปที่จะป้องกัน

                        4 โรคของผู้หญิง ที่ไม่ควรมองข้าม อย่าอายที่จะไปตรวจ!

                        1.โรคเนื้องอกมดลูก

                        เป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดของผู้หญิง ส่วนมากจะพบในผู้หญิงช่วงอายุ 40 – 50 ปี เป็นการเปลี่ยนแปลงของเซลล์กล้ามเนื้อบางตำแหน่ง มีการแบ่งตัวและเจริญเติบโตจนกลายเป็นก้อนเนื้อแทรกอยู่ในชั้นกล้ามเนื้อที่ไม่ใช่เนื้อร้าย สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม การใช้ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนเพศหญิงและตัวเร่งการเจริญเติบโตที่มดลูกจะทำให้เนื้องอกโตขึ้น เพราะพบว่าส่วนใหญ่เนื้องอกจะมีขนาดเล็กลงหลังวัยหมดระดู แม้จะไม่ใช่โรคร้าย แต่ในบางรายอาจจะมีอาการรุนแรงได้

                        โรคเนื้องอกมดลูก อาการ: 

                        • มีอาการตกขาวมากผิดปกติและมีติดต่อกันหลายวัน
                        • มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ส่วนใหญ่มักมีเลือดประจำเดือนออกมากขึ้น บางรายคิดว่าเป็นเลือดจากประจำเดือนที่ออกมากแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่หากปล่อยเป็นเวลานานจะทำให้ร่างกายสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากจนชีด มีอาการเหนื่อยง่าย หรือหน้ามืด เป็นลมได้บ่อย
                        • รู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายจากภาวะซีด
                        • อาการจากการกดเบียดของมดลูกที่โตขึ้น ทำให้มีอาการไม่สบายบริเวณหัวหน่าว บางรายอาจปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะบ่อย และอาจกดบริเวณทวารหนักทำให้ท้องผูกร่วมด้วย
                        • ถ้าเนื้องอกก้อนค่อนข้างใหญ่ ก็อาจคลำเจอก้อนได้ทางหน้าท้อง หรือรู้สึกท้องโตขึ้นโดยไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย
                        • มีอาการเจ็บปวดบริเวณท้องน้อย แต่โดยทั่วไปเนื้องอกมดลูกจะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด นอกจากจะเกิดภาวะแทรกช้อนอื่น เช่น เลือดออกภายในก้อนเนื้องอก หรือเกิดการอักเสบของก้อนเนื้องอก เป็นต้น

                        โรคเนื้องอกมดลูก การรักษา: ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจภายในหรืออัลตร้าซาวด์ ทำการรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัดต่อไปขึ้นอยู่กับขนาดและจำนวนของเนื้องอกในบริเวณที่พบ

                        ช็อกโกแลตซีสต์

                        2.โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่หรือช็อกโกแลตชีสต์

                        โดยปกติแล้วการลอกหลุดของเยื่อบุโพรงมดลูกในแต่ละรอบเดือน ทำให้เกิดเลือดประจำเดือนตามปกติ แต่เมื่อเยื่อบุเหล่านี้ไปเจริญอยู่ผิดตำแหน่งที่ควรจะเป็น เช่น เยื่อบุช่องท้อง ผนังหรือกล้ามเนื้อมดลูก ลำไส้ และรังไข่ และมีโอกาสเกิดขึ้นบริเวณลำไส้ตรง กระเพาะปัสสาวะ ปากมดลูก หรือช่องคลอดได้เช่นกัน ซื่งภาวะที่เยื่อบุผนังมดลูกเจริญภายนอกมดลูก ทำให้เกิดเยื่อบุหนาที่สลายตัวกลายเป็นเลือดประจำเดือนไปเรื่อย ๆ จนร่างกายขับออกมาได้ไม่หมด อาจเกิดจากการย้อนกลับของเลือดประจำเดือนเข้าสู่อุ้งเชิงกราน และบางรายอาจมีพังผืดในอุ้งเชิงกราน หากขังอยู่ปริมาณมากและนานจนเกิดเป็นถุงน้ำเล็ก ๆ ที่มีของเหลวเหมือนช็อกโกแลต ค่อยๆ เบียดเนื้อรังไข่ และขยายใหญ่จนเป็นถุงน้ำขนาดใหญ่ขึ้น ที่เรียกกันว่า “ช็อกโกแลตชีสต์” จนทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อย ซึ่งโอกาสเป็นโรคนี้พบได้บ่อยมากในสตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยประมาณร้อยละ 10 ในวัยนี้จะเป็นโรคนี้ขึ้นได้ เนื่องจากผู้หญิงในปัจจุบันมีประจำเดือนเร็วและนาน รวมทั้งส่งผลในผู้หญิงที่เป็นโรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากตามมา เนื่องจากเกิดเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นมาเรื่อย ๆ จนอุดตันรังไข่ ส่งผลให้ไข่ไม่สามารถออกไปรับการปฏิสนธิกับอสุจิที่ท่อนำไข่

                        ช็อกโกแลตชีสต์ อาการ: 

                        • มีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง รวมทั้งประจำเดือนมามากผิดปกติ และบางรายอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วม เช่น ปวดมากจนเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย
                        • มีอาการปวดท้องน้อย มักเกิดขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนและปวดบีบมากในช่วงที่มีรอบเดือน
                        • ปวดอุ้งเชิงกรานตลอดเวลา และปวดยิ่งขึ้นเมื่อประจำเดือนใกล้มาและในช่วงที่มีรอบเดือน
                        • มีอาการเจ็บช่องคลอดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และมีอาการปวดต่อเนื่องไปอีก 1-2 ชั่วโมง
                        • ถ้าโรคกระจายไปกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ใหญ่อาจมีอาการปัสสาวะหรือถ่ายอุจจาระมีเลือดปน บางรายอาจมีอาการของลำไส้แปรปรวนได้
                        • บางรายอาจมีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติ ในช่วงที่ไม่มีรอบเดือนหรือประจำเดือนมามากผิดปกติ

                        ช็อกโกแลตชีสต์ การรักษา: เมื่อรู้สึกมีอาการผิดปกติไม่ควรนิ่งเฉย ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง ด้วยการตรวจภายในและอัลตร้าซาวด์ อาจมีการให้ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ ยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนในการรักษา หรือรวมกับการผ่าตัด เพื่อลดปัญหาอื่น ๆ ที่ร้ายแรงตามมาได้

                        อ่านต่อ 4 โรคที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้ คลิกหน้า 2

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก

                          เมื่อลูก “เป็นไข้” ดูแลอย่างไรให้หายดี ?

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก เป็น Item ของใช้ดูแลสุขภาพลูกน้อย ที่พ่อแม่มือใหม่มักจะมีคำถามว่าถ้าจะใช้กับลูกตอนเป็นไข้ ตัวร้อน   ควรจะใช้อย่างไรเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี วันนี้เราจึงมีคำแนะนำการใช้ แผ่นเจลลดไข้ มาฝากกันค่ะ

                           

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก กับอุณหภูมิร่างกายลูกน้อย

                          ไหนใครวัดอุณหภูมิร่างกายลูกด้วยการเอามืออังหน้าผากลูก เชื่อว่ามีพ่อแม่ส่วนหนึ่งวัดไข้ลูกด้วยวิธีนี้กัน สำหรับการวัดไข้ลูกที่ถูกวิธีเพื่อให้รู้แน่ชัดว่าที่ลูกตัวร้อนนั้น มีไข้หรือเปล่า เบื้องต้นแนะนำให้ใช้ปรอทวัดไข้แบบดิจิตอล สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป มาใช้ในการวัดไข้ให้ลูกดีกว่าการเอามืออังที่หน้าผากค่ะ เพราะการใช้ปรอทวัดไข้จะแสดงผลที่ชัดเจนว่า ณ ขณะนั้นลูกมีอุณหภูมิร่างกายอยู่ที่กี่องศาเซลเซียส บวกกับมีอาการแสดงที่บ่งบอกว่าลูกกำลังไม่สบายร่วมด้วยหรือไม่ เช่น มีอาการซึม อาเจียน กินนม กินอาหารน้อยลง หรือไม่กินเลย ร้องโยเยอยู่ตลอดเวลา เป็นต้น

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก

                          ใช้ปรอทวัดอุณหภูมิร่างกาย จะรู้ได้อย่างไรว่า “ลูกเป็นไข้” ?   

                          • อุณหภูมิร่างกายระหว่าง 37.5- 38.0 องศาเซลเซียส ลูกน้อยมีไข้ต่ำ ควรบรรเทาอาการไข้ให้ลดลงใน 48 ชั่วโมง ถ้า ไข้ไม่ลดลง ให้รีบพาไปโรงพยาบาล
                          • อุณหภูมิร่างกาย 38.5 องศาเซลเซียส ลูกน้อยมีไข้สูงปานกลาง ควรบรรเทาอาการไข้ให้ลดลงใน 24 ชั่วโมง ถ้าไข้ไม่ลดลง ให้รีบพาไปโรงพยาบาล
                          • อุณหภูมิร่างกายมากกว่า 5 ขึ้นไป องศาเซลเซียส ลูกน้อยมีไข้สูงมากค่ะแม่ ถ้าลูกมีไข้สูงขนาดนี้ ให้รีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันที เพราะถ้าดูแลลดไข้เองที่บ้าน แล้วไข้ไม่ลดลง ลูกอาจมีอาการช็อกจากไข้ขึ้นสูง อันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ

                          หลังจากวัดอุณหภูมิร่างกายลูกน้อยแล้วพบว่ามีไข้ แนะนำว่าต้องบรรเทาอาการไข้ ด้วยการลดไข้ให้ลูกน้อยทันทีค่ะ ซึ่งวิธี “ลดไข้” เบื้องต้นสามารถทำได้ดังนี้…

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก

                          1. เช็ดตัวลดไข้

                          การเช็ดตัวจะช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย ทำให้ไข้ลดลง ให้คุณแม่เตรียมน้ำอุณหภูมิปกติ (ที่ไม่ใช่ผสมน้ำเย็น  หรือน้ำร้อน) แล้วใช้ผ้าขนหนูนิ่มๆ ชุบน้ำ บิดพอหมาดๆ แล้วนำมาเช็ดตัวลูก การเช็ดตัวที่ถูกต้อง ให้เช็ดจากปลายมือ และ ปลายเท้าเข้าสู่ลำตัว เพื่อให้รูขุมขนเปิด ร่างกายจะระบายความร้อนดี เมื่อเช็ดตัวลูกน้อยหลังจาก 30 นาทีไปแล้วให้วัดไข้อีก  ครั้ง หากไข้ยังไม่ลดลง ให้เช็ดตัวซ้ำอีกครั้ง

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก

                          2. ให้ยาลดไข้

                          ในกรณีที่ลูกไม่ได้มีไข้สูงมาก หลังจากเช็ดตัวแล้วคุณแม่สามารถให้รับประทานยาลดไข้สำหรับเด็กได้ค่ะ หลังจากกินยา   แล้วภายใน 4 ชั่วโมงไข้ยังไม่ลดลง สามารถให้ลูกกินยาลดไข้ได้อีก

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก

                          3. แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก   

                          หลังจากที่เช็ดตัว และให้ลูกกินยาลดไข้แล้ว คุณแม่สามารถใช้แผ่นเจลลดไข้แปะผิวตรงบริเวณหน้าผากลูก การใช้แผ่นเจลลดไข้จะช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย ความเย็นจากแผ่นเจลจะช่วยลดไข้ และทำให้ลูกน้อยสบายตัวขึ้น วิธีการใช้คือให้ลอกแผ่นปิดกาวออก จากนั้นก็ค่อยๆ วางแผ่นเจลแปะลงบนหน้าผากลูกค่ะ สำหรับแผ่นเจลลดไข้ไม่ต้องใส่ในตู้เย็นก่อนนำมาใช้งานนะคะ  และใช้แผ่นเจลลดไข้แค่ 1 แผ่นต่อ 1 ครั้งเท่านั้น ไม่ควรนำกลับมาใช้ซ้ำอีก

                           

                           

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก

                          ByeBye-FEVER แผ่นเจลลดไข้ ที่แม่เลือกใช้กับลูก
                          (ByeBye-FEVER Cooling gel patch, item that mom chooses for their children)

                          แผ่นเจลลดไข้ ByeBye-FEVER ที่แม่เลือกใช้ “ลดไข้” ให้ลูกน้อย

                          เจลลดไข้คือหนึ่งในอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ควรมีติดกระเป๋ายาไว้พร้อมใช้ที่บ้านกันค่ะ แผ่นเจลลดไข้ ByeBye-FEVER ที่มีมาสคอตเพนกวินน่ารักๆ เป็นแผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็กโดยเฉพาะ สามารถใช้แปะลดไข้ให้ลูกน้อย ร่วมกับการกินยา ลดไข้ได้เลยค่ะ

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก

                          ByeBye-FEVER แผ่นเจลลดไข้ เหมาะสำหรับเด็กอายุ 2 ปีขึ้น มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น ไม่มีสาร แต่งสีหรือสารเคมีที่เป็นอันตราย คุณแม่มั่นใจได้เลยว่าหากใช้แผ่นเจลลดไข้ ByeBye-FEVER จะอ่อนโยน ปลอดภัยต่อผิวลูกน้อยอย่างแน่นอน ที่สำคัญหลังจากแปะแผ่นเจลลดไข้ที่หน้าผากให้ลูกน้อย คุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหลุดออกขณะที่ ลูกน้อยนอนหลับขยับ พลิกตัว เพราะแผ่นเจลลดไข้ติดแน่น ไม่หลุดง่าย แผ่นเจลให้ความเย็นได้นานต่อเนื่องถึง 10 ชั่วโมง  ช่วยระบายความร้อนที่เกิดจากการเป็นไข้ (สามารถลดไข้และให้ความเย็นได้อย่างรวดเร็ว) และบรรเทาอาการปวดหัวได้อีกด้วยค่ะ

                          ทุกครั้งที่ลูกมีอาการตัวร้อน ต้องเช็กให้มั่นใจก่อนว่าลูกมีไข้หรือไม่ ด้วยการวัดอุณหภูมิร่างกายด้วยปรอทวัดไข้ แล้วจึงค่อยดูแลบรรเทาอาการเป็นไข้ ตัวร้อนให้ลูกน้อยอย่างถูกวิธี ที่สำคัญอย่าลืมใช้ “แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก ช่วยระบายความร้อนที่เกิดจากการเป็นไข้

                           

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก

                          ไข้ลดแล้ว ลูกอารมณ์ดีมาก

                          คุณพ่อคุณแม่สามารถหาซื้อ ByeBye-FEVER ไว้ใช้ที่บ้านเวลาลูกน้อยเป็นไข้ ตัวร้อน แบบกล่อง 6 ชิ้น ซื้อได้ที่ร้านขายยาทั่วไปค่ะ หรือจะพกแผ่นเจลลดไข้ ByeBye-FEVER แบบแพ็คเล็ก 2 ชิ้นติดไว้ในกระเป๋าคุณแม่ เผื่อฉุกเฉินอยู่นอกบ้านแล้วลูกตัวร้อนรุมๆ ก็หยิบใช้งานได้สะดวกทันที ซึ่งสามารถหาซื้อได้ที่ ร้านซูรูฮะ (Tsuruha) หรือร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านค่ะ

                          แผ่นเจลลดไข้สำหรับเด็ก

                           

                          แสดงแบบ : คุณแม่ภัทรพร สุขมงคล และ น้องปีมงคล สุขมงคล 

                            ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา

                            ผิดไหม? ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ลูกสาวเล่นรถ พ่อแม่ควรทำไงดี!

                            ทำจะอย่างไรดี หาก ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ส่วน ลูกสาวเล่นรถ แบบนี้แปลว่า ลูกเบี่ยงเบนทางเพศ หรือเปล่า? พ่อแม่ควรปล่อยให้ ลูกชายเล่นตุ๊กตา ไปแบบนี้ หรือควรหยุด!!

                            ผิดไหม? ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ลูกสาวเล่นรถ

                            “เมื่อลูกชายชอบสีชมพู ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ลูกชายชอบเล่นทําอาหาร
                            ส่วน ลูกสาวชอบสีฟ้า ลูกสาวชอบเล่นรถ เล่นหุ่นยนต์”

                            เชื่อว่าพ่อแม่หลายคนที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ ต้องเริ่มเป็นกังวล เมื่อเห็นลูกเล่นของเล่นในแบบที่ไม่สมดุลกับเพศของเขา คือ เด็กชายเล่นของเล่นของเด็กผู้หญิง ส่วนเด็กหญิงเล่นของเล่นเด็กผู้ชาย

                            ปัญหาเหล่านี้อาจทำให้พ่อแม่เกิดคำถามขึ้นในใจว่าลูกของเราเมื่อโตขึ้นไปจะมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนทางเพศหรือไม่ โดยเรื่องนี้ก็ได้มีคำพูดที่ว่า “ของเล่นทั้งหมดนั้นแท้ที่จริงแล้วสะท้อนให้เห็นจักรวาลขนาดเล็กที่เป็นโลกของผู้ใหญ่” ซึ่งเป็นคำพูดของโรลอง บาร์ตส์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ในหนังสือสุดคลาสสิกของเขาชื่อ มายาคติ ที่พยายามชี้ให้เห็นเรื่องบางเรื่องในสังคมที่เรารู้สึกว่าเป็นปกตินั้น แท้จริงแล้วมันกลับเป็นภาพลวงหรือมีบางสิ่งบางอย่างแฝงอยู่

                            ทำให้พ่อแม่บางคนรู้สึกแปลกๆ หรือไม่พอใจที่ ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ชอบเล่นตุ๊กตาบาร์บี้ เช่นเดียวกับที่ผู้หญิงไม่ควรเล่นรถยนต์หรือหุ่นยนต์มากเท่าไร

                            ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา

                            อย่าให้ของเล่น เป็นกรงขังเพศของเด็ก

                            ในอดีตเมื่อกำหนดให้เด็กผู้ชายต้องเล่นรถถังหรืออาวุธ ส่วนเด็กผู้หญิงเล่นตุ๊กตาได้อย่างเดียว จึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก แต่สาเหตุที่ทำให้เด็กต้องเล่นของเล่นอย่างนั้นอย่างนี้ตามเพศทางกายภาพของเขา ก็เป็นผลมาจากกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ไม่ว่าจะมาจากพ่อแม่ ครอบครัว สื่อ และโรงเรียน ที่มีส่วนต่อการสร้างหรือก่อรูปต้นแบบของเพศสภาพต่อเด็ก และยังทำหน้าที่สร้างลักษณะเฉพาะของพฤติกรรมทางเพศ บ่มเพาะปมความเป็นชาย ปมความเป็นหญิงให้เกิดขึ้นกับเด็กอย่างมาก

                            สาเหตุที่มีการเลือกของเล่นข้างต้นให้เด็กแบบนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากความเชื่อว่า เด็กผู้ชายเป็นพวกที่มีนิสัยชอบการแข่งขัน ก้าวร้าว และชอบเครื่องยนต์กลไก ก็เลยทำให้ได้หุ่นยนต์และอาวุธเป็นของเล่นเสมอ ในขณะที่เด็กผู้หญิงจะถูกคาดหวังว่าเป็นคนที่รักสวยรักงาม ชอบการดูแลคนและเด็ก (เช่นเดียวกับต้องเป็นภรรยาที่ดีในอนาคต) ก็เลยทำให้ได้ตุ๊กตาบาร์บี้ ชุดทำกับข้าว หรือชุดปฐมพยาบาลไปเล่น

                            ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา

                            อย่างไรก็ดี บางอย่างย่อมมีข้อยกเว้น เราจึงไม่อาจมองอะไรแบบสุดโต่งได้เสมอไป เพราะมีงานวิจัยจำนวนหนึ่งที่ทำการทดลองกับเด็กแล้วพบว่า เด็กบางคนก็มีกลไกบางอย่างในการที่จะเลือกของเล่นตรงกับเพศของตัวเองเหมือนกัน คือเด็กชายวิ่งไปหาหุ่นยนต์ โดยที่อิทธิพลของพ่อแม่หรือสังคมไม่ได้แสดงผลอย่างมีนัยชัดเจน และก็พบเช่นกันว่าเด็กผู้หญิงมักชอบเล่นของเล่นผู้ชาย มากกว่าของเล่นผู้หญิง

                            แต่สรุปสั้นๆ ก็คือ เพศสภาพของเด็กนั้นถูกลับถูกสร้างโดยผ่านโลกของผู้ใหญ่ไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่ง หรือพูดอีกแบบก็คือ ความเป็นชายเป็นหญิงของเด็กนั้นมาจากสังคมผู้ใหญ่ไม่ใช่ตัวเด็กเองทั้งหมด    

                            อ่านต่อ >> “พ่อแม่ควรทำอย่างไร
                            หากลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ลูกสาวเล่นรถ” คลิกหน้า 2


                            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : thestandard.co/postmodern-children

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              เพราะใส่กระโปรงยาวสะดุดล้มทำลูก กระดูกหัก รักษานานเป็นเดือน

                              กระดูกหัก เพราะใส่กระโปรงยาว อุบัติเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้ลูกสาววัยหัดเดินขาขวาหักทันที  ต้องเข้าเฝือก นอนถ่วงน้ำหนัก นานนับเดือน แม่โพสต์เตือนอุ้มเด็กเล็กต้องระวัง อันตรายอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

                              เตือนแม่ ใส่กระโปรงยาว สะดุดล้ม ทำลูก 10 เดือนขาหักทันที

                              ใครจะคิดว่า ชุดโปรดหรือเสื้อผ้าของคุณแม่จะทำให้ลูกได้รับบาดเจ็บร้ายแรงได้ แต่แค่เราประมาทเพียงนิด อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นง่ายๆ แบบไม่ทันตั้งตัว เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นคุณแม่ท่านหนึ่งที่ใช้ชื่อเฟสบุ๊กว่า Memory Love โพสต์เล่าเรื่องราวเป็นอุทาหรณ์ไว้ในกลุ่ม “คุณแม่ลูกอ่อน” ว่า

                              กระดูกหัก
                              เครดิตภาพ: เฟตบุีกแม่ Memory Love

                              #สงสารลูกสาวมากๆค่ะ ไม่รู้จะบรรยายยังไง ทำไมต้องเกิดกับลูกเรา ลูกเเม่เเค่ 10 เดือน 21 วันเองค่ะ เเต่อุบัติเหตุก้อไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น

                              ป้าน้องอุ้มน้อง สะดุดกระโปรงล้มทั้งป้าทั้งหลาน จังหวะทีล้มลงป้าทับขาหลาน ทำให้หลานขาหัก ต้องใส่เฝือก 1 เดือนค่ะเเม่ๆทุกคนไม่อยากให้เกิด เเต่มันเกิดขึ้นเเล้วก็ต้องยอมรับมัน #ไว้เป็นอุทาหรณ์ให้เเม่ๆค่ะเเค่เสี้ยววินาทีเดียว

                              คุณแม่ได้เล่าให้ฟังทาง Amarin Baby & Kids เพิ่มเติมว่า เหตุการณ์การเกิดขึ้นที่บ้านของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ลูกสาวอยู่กับป้าที่บ้าน หลังคุณพ่อกลับจากการละหมาดที่มัสยิดมารับลูกสาว จึงขอให้ป้าอุ้มลูกมาหาหน้าบ้าน ด้วยความเร่งรีบบวกกับชุดกระโปรงยาวในแบบผู้หญิงมุสลิม จึงสะดุดล้มลงพร้อมกับลูกสาว ตอนแรกลูกไม่ร้องเลย ก็ไม่คิดว่าจะทำให้ กระดูกหัก เพราะป้องรับตัวน้องไว้ทัน แต่ผ่านไปเพียง 5 นาทีถึงเอามือจับที่ขาแล้วร้องไม่หยุด พอไปถึงโรงพยาบาลถึงรู้ว่า กระดูกหน้าแข้งหัก

                              คุณหมอสั่งแอดมิททันที ต้องเข้าเผิอกครึ่งตัว ทั้งขาสองข้างมาจนถึงช่วงเอว และมีไม้ด้ามด้านหน้าไว้เพื่อไม่ให้ขยับ โดยต้องนอนอยู่นิ่งๆ เพื่อถ่วงน้ำหนักเอาไว้นานถึง 7 วัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเด็กอายุเพียง 10 เดือน ที่กำลังอยู่ในวัยหัดเดิน แถมยังต้องอยู่กับเฝือกไปอีก 1 เดือนเต็ม

                              กระดูกหัก

                              กระดูกหัก
                              เครดิตภาพ: เฟตบุีกแม่ Memory Love

                               

                              แม้น้องจะไม่มีอาการผวาหลังเกิดเหตุการณ์ แต่รู้สึกกลัวทุกครั้งที่คุณป้าเข้ามาใกล้หรือขออุ้ม เพราะจำได้ว่าเป็นคนทำให้เขาเจ็บ ถึงวันนี้น้องถอดเฝือกออกแล้ว แต่ยังไม่กล้าลุกเดินใช้วิธีคลานเหมือนกลัวเจ็บ

                              รู้ได้อย่างไรว่าลูก กระดูกหัก

                              เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่รุนแรงมาก อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตได้ยากว่าลูก กระดูกหัก หรือไม่ เนื่องจากเด็กๆยังไม่สามารถบอกความรู้สึก บอกอาการได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเด็กวัยทารกที่ยังพูดไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเช็กอาการเบื้องต้นของกระดูกหักได้ดังต่อไปนี้

                              *เจ็บบริเวณที่ถูกจับหรือบีบ ถ้าเป็นเด็กเล็กที่ทนความเจ็บไม่ได้ มักร้องงอแงเป็นเวลานาน

                              *บริเวณที่กระดูกหักจะมีอาการบวมแดง มีรอยช้ำหรือห้อเลือด

                              *สีผิวตรงจุดที่หักคล้ำขึ้นอย่างชัดเจน อาจรู้สึกชาซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า เส้นประสาทใกล้กระดูกได้รับความเสียหายด้วย

                              *เด็กจะไม่ยอมลุกขึ้น หรือขยับส่วนที่เจ็บ เช่น ยืนไม่ได้ เดินไม่ได้ หรือยืดแขนตรงไม่ได้

                              *ถ้าประสบอุบัติเหตุรุนแรง กระดูกจะบิดเบี้ยวผิดรูป หรือโผล่ออกนอกผิวหนัง

                              *ได้ยินเสียง กระดูกหัก “แกร๊บ” อย่างชัดเจน

                              อย่างไรก็ตาม การสังเกตด้วยตาเปล่าอาจระบุชัดเจนไม่ได้ว่ากระดูกหักหรือไม่ หากมีอาการบ่งชี้ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ต้องเฝ้าสังเกตอาการของลูกหลังประสบอุบัติเหตุอย่างใกล้ชิด เพื่อจับสัญญาณผิดปกติได้ทันท่วงที

                              อ่าน วิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกกระดูกหัก หน้า 2

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                เช็คสิทธิ์ประกันสังคม

                                วิธี เช็คสิทธิ์ประกันสังคม ง่ายๆ แต่ละมาตรา 33 39 40 ต่างกันอย่างไร?

                                แนะวิธี เช็คสิทธิ์ประกันสังคม ตรวจสอบสิทธิประกันสังคม ทั้งข้อมูลยอดการส่งเงินสมทบ การขอเบิกสิทธิประโยชน์ต่างๆ ทั้งกรณีคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ว่างงาน ต้องทำยังไงบ้างมาดูกัน

                                เช็คสิทธิ์ประกันสังคม มาตรา 33 39 40 ต่างกันอย่างไร?

                                สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ทำงานบริษัทหรือห้างร้านต่างๆ ในทุกๆ เดือนจะต้องจ่าย ประกันสังคม ซึ่งเป็นสวัสดิการที่ทางรัฐมอบให้แก่ลูกจ้าง โดยลูกจ้างและนายจ้างต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมตามกฎหมาย โดยจะทำการหักเงินจากฐานเงินเดือน 5% สูงสุดไม่เกิน 750 บาท/เดือน

                                ถือเป็นการสร้างหลักประกันสังคมในการดำรงชีวิตของสมาชิกที่มีรายได้ ในการคุ้มครองลูกจ้างจากการเจ็บป่วย ทั้งที่เกิดขึ้นจากการทำงานและนอกเหนือจากการทำงาน โดย “ผู้ประกันตน” (ลูกจ้างหรือพนักงาน) จะต้องเลือกสถานพยาบาลที่ตนเองสะดวก ซึ่งผู้ประกันตนได้รับการดูแลและการทดแทนรายได้ เช่น เมื่อผู้ประกันตนไปหาหมอเพื่อรักษาอาการป่วย ก็สามารถใช้สิทธิประกันสังคมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา โดยสามารถใช้สิทธิเบิกได้ทั้งค่า รักษาพยาบาล การคลอดบุตร ทุพพลภาพ ว่างงาน สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และกรณีเสียชีวิต

                                คนทำงานหลายคนอาจจะยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดมากพอ รู้เพียงแต่ว่าในแต่ละเดือนเราต้องจ่ายค่าประกันสังคม แต่ไม่รู้ว่าทำไมเราต้องจ่าย แล้วเราจะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้างจากการจ่ายเงินในแต่ละเดือน บางครั้งคนทำงานหลายคนจะรู้สึกว่าการจ่ายเงินประกันสังคมเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเลย เพราะแทบจะไม่ได้ใช้สิทธิดังกล่าว การที่หลายคนคิดเช่นนั้น เป็นเพราะเขาไม่รู้ว่าเราจะได้ใช้สิทธิอะไรจากประกันสังคมบ้าง หากรู้แล้วก็จะเข้าใจระบบประกันสังคมได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

                                ผู้ประกันตนมีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร

                                ทั้งนี้ทางกองทุนประกันสังคม จะแบ่งผู้ประกันตนออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

                                • พนักงานเอกชนทั่วไป (มาตรา 33) ได้รับความคุ้มครอง 7 กรณี

                                • เคยเป็นพนักงานแต่ลาออก (มาตรา 39) ได้รับความคุ้มครอง 6 กรณี

                                • อาชีพอิสระ/แรงงานนอกระบบ (มาตรา 40) ได้รับความคุ้มครอง 3 หรือ 4 กรณี

                                เช็คสิทธิ์ประกันสังคม มาตรา 33 39 40 ต่างกันอย่างไร

                                แม้ว่าผู้ประกันตนแต่ละประเภทจะได้รับความคุ้มครองด้วยสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกัน แต่มีหน้าที่ที่จะต้องส่งเงินเข้ากองทุนเหมือนกัน เพื่อเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นเพื่อให้เห็นความแตกต่างของผู้ประกันตนแต่ละประเภทอย่างชัดเจน ลองมาดูข้อสรุปของสิทธิประโยชน์ คุณสมบัติของผู้ประกันตนว่ามีอะไรบ้าง

                                ผู้ประกันตนภาคบังคับ มาตรา 33

                                สิทธิประกันสังคมมาตรา 33 ผู้ประกันตนในกลุ่มนี้ คือ ลูกจ้าง “ผู้ซึ่งทํางานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้าง” หรือ พนักงานบริษัทเอกชนทั่วไป … โดยมีสถานะเป็นลูกจ้างที่ทำงานอยู่ในสถานประกอบการที่มีพนักงานตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องเป็นลูกจ้างที่ไม่ได้รับการยกเว้นตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 4 มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี และไม่เกิน 60 ปี

                                ต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุน คิดเป็นสัดส่วนดังนี้ ลูกจ้าง 5% + นายจ้าง 5% + รัฐบาล 2.75% ของฐานเงินค่าจ้าง ขั้นต่ำตั้งแต่ 1,650 บาท แต่ไม่เกิน 15,000 บาท

                                สิทธิประโยชน์ ของผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับความคุ้มครอง 7 กรณี คือ

                                1.กรณีเจ็บป่วย
                                2.กรณีคลอดบุตร
                                3.กรณีทุพพลภาพ
                                4.กรณีตาย
                                5.กรณีสงเคราะห์บุตร
                                6. กรณีชราภาพ
                                7. กรณีว่างงาน

                                อ่านต่อ >> “วิธีเช็คสิทธิประกันสังคม
                                ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40” คลิกหน้า 2

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  ทำไมต้องผ่าคลอด ข้อบ่งชี้ที่แม่เลือกคลอดเองตามธรรมชาติไม่ได้!


                                  ในปัจจุบันวิธีการผ่าคลอดก็ถือเป็นทางเลือกสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ที่ต้องการความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น ต้องการฤกษ์วันคลอดแน่นอน และต้องการคลอดแบบชนิดที่ไม่ต้องมีอาการเจ็บปวดมาก จึงเป็นเหตุให้สถานการณ์การผ่าตัดคลอดเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งโดยปกติการผ่าคลอดแพทย์มักจะกำหนดวันล่วงหน้า แต่ก็มีอีกหลายกรณีที่เป็นสัญญานเตือนว่า ทำไมต้องผ่าคลอด ข้อบ่งชี้ที่คุณแม่ไม่สามารถเลือกได้เองว่าจะขอคลอดลูกแบบธรรมชาติ

                                  ทำไมต้องผ่าคลอด ข้อบ่งชี้ที่แม่เลือกคลอดเองตามธรรมชาติไม่ได้!

                                  ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ส่งเสริมให้เกิดการคลอดเองตามธรรมชาติก่อน และโดยปกติแพทย์จะแนะนำคุณแม่ตั้งครรภ์ให้คลอดปกติเองก่อน แต่ก็มีข้อบ่งชี้ที่จำเป็นต้องผ่าคลอดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจคาดไม่ถึง ถ้าแพทย์มีความเห็นว่าการคลอดด้วยวิธีปกติจะทำให้คุณแม่หรือทารกในครรภ์มีความเสี่ยงมากเกินไป ก็จะแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัดคลอด

                                  ผ่าตัดคลอดบุตร

                                  กรณีเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์แม่

                                  • ลูกไม่กลับหัว หรือทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง, ท่าก้นออก ซึ่งถือเป็นท่าที่ผิดปกติในการคลอด เพราะการคลอดโดยธรรมชาติทารกจะต้องเอาศีรษะลง ดังนั้นการผ่าคลอดจึงเป็นวิธีเหมาะสมที่สุด
                                  • มีความผิดปกติของรก เช่น ภาวะรกเกาะต่ำขวางทางออกของทารก อาจจำเป็นต้องนอนพักบนเตียงเพื่อดูอาการ และเมื่อถึงกำหนดคลอดก็อาจต้องใช้การผ่าคลอด ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด อาการนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวอาจทำให้เกิดเลือดออกและปวดที่บริเวณมดลูก อีกทั้งยังทำให้ทารกไม่ได้รับออกซิเจนจึงทำให้ต้องทำการผ่าคลอดแบบฉุกเฉินเพื่อรักษาชีวิตทารกในครรภ์
                                  • มีภาวะแทรกซ้อนที่ต้องทำให้คลอดโดยเร็ว เช่น สายสะดือย้อย, สายสะดือพันคอ
                                  • มีภาวะผิดสัดส่วนระหว่างศีรษะทารกและอุ้งเชิงกราน ทารกในครรภ์มีขนาดศีรษะที่ใหญ่กว่ากระดูกเชิงกรานของแม่ ทำให้เด็กไม่สามารถลอดผ่านเชิงกรานแม่ออกมาได้ จึงต้องใช้การผ่าคลอด
                                  • ครรภ์เป็นพิษอย่างรุนแรง ทารกอยู่ในภาวะวิกฤติ เสียงหัวใจลูกเต้นช้าผิดปกติ ภาวะความดันโลหิตสูง หรือมีการแตกของมดลูก
                                  • ทารกสำลักน้ำคร่ำ
                                  • มดลูกแตก คือแม่และทารกในครรภ์ขาดออกซิเจน จำเป็นต้องได้รับการผ่าคลอดโดยด่วน
                                  • ภาวะความเครียดของทารกในครรภ์ ซึ่งมักจะเกิดจากการที่ทารกขาดออกซิเจนไปเลี้ยงอย่างเพียงพอ จำเป็นต้องผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัย
                                  • ตั้งท้องแฝดหรือท้องแฝด 3 คนขึ้นไป ในบางกรณีที่มีลักษณะการกลับตัวของทารกไม่พร้อมสำหรับการคลอด หรือร่างกายคุณแม่ไม่พร้อมสำหรับการคลอดแบบธรรมชาติ ก็อาจต้องใช้การผ่าคลอดแทน

                                  กรณีที่เกิดจากร่างกายของแม่ตั้งครรภ์

                                  • คุณแม่เคยผ่าคลอดมาก่อนหรือเคยผ่าตัดมดลูก โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อคุณแม่เคยผ่านการผ่าคลอดมาแล้ว การคลอดครั้งต่อไปก็อาจต้องใช้การผ่าคลอดเช่นกัน
                                  • มีการวินิจฉัยพบปัญหาสุขภาพที่อาจเป็นอันตรายต่อแม่ตั้งครรภ์หากทำวิธีคลอดแบบธรรมชาติเช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็งปากมดลูก ครรภ์เป็นพิษ มีความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรงหรือมีความเจ็บป่วยอื่น เป็นต้น ซึ่งหากมีภาวะแทรกซ้อนก็จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าคลอด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับทารกในครรภ์
                                  • ปากมดลูกไม่เปิด มีการคลอดที่เป็นไปได้ช้า มีแนวโน้มการคลอดลูกเองตามธรรมชาติไม่สำเร็จ
                                  • การติดเชื้อของแม่ เช่น ติดเชื้อไวรัส HIV โรคตับอักเสบ หรือมีการกำเริบของเริมที่อวัยวะเพศที่สามารถติดต่อสู่ลูกผ่านการคลอดทางช่องคลอด ก็จำเป็นต้องทำการผ่าคลอดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อจากแม่สู่ลูกที่อาจเป็นอันตรายต่อทารก
                                  • อุ้งเชิงกรานแคบผิดปกติหรือไม่ขยาย โดยปกติเมื่อครบกำหนดคลอดอุ้งเชิงกรานจะขยายออกเพื่อให้เด็กได้คลอดออกจากท้องแม่ แต่หากคุณแม่มีอุ้งเชิงกรานที่ผิดปกติหรืออุ้งเชิงกรานไม่ขยาย ก็จำเป็นต้องคลอดด้วยการผ่าตัดคลอดเท่านั้น

                                  ทั้งนี้ข้อบ่งชี้บางข้อในแต่ละโรงพยาบาลอาจตั้งไว้ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการวินิจัยของคุณหมอ ความพร้อมของบุคลากรและเครื่องมือของแต่ละโรงพยาบาล โดยการผ่าคลอดนั้นแบ่งได้เป็น 2 กรณีคือ แบบวางแผนล่วงหน้าและแบบฉุกเฉิน และมักเป็นตัวเลือกหลัง ๆ หากคุณแม่มีร่างกายที่แข็งแรงและสามารถคลอดด้วยวิธีธรรมชาติได้

                                  อ่านต่อ เตรียมตัวอย่างไรเมื่อแม่ต้องผ่าคลอด คลิกหน้า 2

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    ภรรยาที่ดี

                                    นี่คือ 10 ลักษณะ “ภรรยาที่ดี” ที่สามีต้องการ!

                                    ฝากให้คุณสามีทั้งหลายอ่าน! ผลวิจัยเผย ภรรยาที่ดี ต้องเป็นคนที่ชอบอารณ์เสีย ภรรยาขี้บ่น จะช่วยให้สามีสุขภาพดีขึ้น และอายุยืน ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร ตามมาดูกัน!

                                    วิจัยเผย! ภรรยาที่ดี ต้องเป็นคนที่ชอบอารณ์เสีย

                                    มีผลการวิจัยเกี่ยวกับการปลดปล่อยอารมณ์โมโห เผยว่าการกระทำเช่นนี้จะช่วยให้คนคนนั้นมีสุขภาพดีขึ้นได้ โดยอธิบายว่า… เมื่อคนๆ หนึ่งโกรธ เขาจะสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น น่าจะเป็นเพราะกลไกทางอารมณ์ ที่ทำให้สมองเพิกเฉยต่อสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้น ๆ ออกไป จึงทำให้การตัดสินใจมีประสิทธิภาพมากขึ้น

                                    ซึ่งก็สอดคล้องกับงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่บอกว่าการเป็นภรรยาขี้บ่น ขี้โมโห จู้จี้จุกจิก และชอบออกคำสั่งกับคุณสามี จะช่วยให้เขามีชีวิตยืนยาวกว่าปกติ และมีสุขภาพดีกว่าคนทั่วๆ ไป

                                    โดยงานวิจัยนี้ ได้ทำการเก็บข้อมูลจากคู่รัก จำนวน 1,228 คู่ ที่มีอายุ 57 – 85 ปี ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อศึกษาว่า “ชีวิตคู่ที่ไม่มีความสุขนั้นมีผลต่อสุขภาพและช่วงอายุที่สั้นลงหรือไม่?”

                                    ผลปรากฎว่าผลการวิจัยที่ออกมานั้น ตรงกันข้ามกับสิ่งที่หลายๆ คนคิดเป็นอย่างมาก โดยจากการเก็บข้อมูล พบว่า… สามีที่มีภรรยาที่เจ้ากี้เจ้าการ จู้จี้จุกจิก จะกลายเป็นคนที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพน้อยกว่าหรือ หากมีอาการป่วย ก็จะมีโอกาสที่จะสามารถรักษาให้หายขาดได้มากกว่าอีกด้วย

                                    Hui Liu หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า… “เป็นเรื่องจริงที่ภรรยาเหล่านี้ มักจะคอยจับตาดูสามีของตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องของสุขภาพและหากสามีมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวานที่ต้องตรวจสอบบ่อยครั้ง การมีภรรยาที่คอยห้ามหรือคอยบังคับให้ทำโน่นทำนี่ อารมณ์เสียใสเมื่อสามีทำตัวไม่ดี พวกเขาก็มักจะมีสุขภาพที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ และมีช่วงชีวิตที่ยืนยาวมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปอีกด้วย”

                                    Must read >> 10 ข้อเช็คเลยเรื่องอะไรที่ สามีภรรยาทะเลาะกัน มากที่สุด

                                    ภรรยาขี้บ่น ชอบโมโห ดีอย่างไร? ที่ดี

                                    อาจเรียกได้ว่าการมีภรรยาที่ชอบอารมณ์เสีย เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งก็มีคำกล่าวที่คล้ายกันว่า .. การมองหาภรรยาต้องหาผู้หญิงที่ชอบ “อารมณ์เสีย วีนใส่” เพราะว่าผู้หญิงที่ไม่เคยอารมณ์เสีย หรือ วีนใส่ ก็เหมือน “น้ำเปล่า” แก้วหนึ่ง สามารถดับกระหายได้ แต่ไร้รสชาติ จืดชืด

                                    ดังนั้นผู้หญิงที่มี “อารมณ์ฉุนเฉียว” ก็เปรียบเหมือนสุรา ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าจดจำ แต่ในความเป็นจริงนั้นแล้ว การที่เธออารมณ์เสียก็เพื่อตัวคุณสามีเอง เช่น เมื่อคุณมาสาย เธอจะโกรธคุณมาก นั่นเป็นเพราะเธอกังวลและเป็นห่วง กลัวว่าจะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นกับคุณอะไร

                                    เมื่อคุณสามีไม่ดูแลตัวเอง ภรรยที่ดี ก็จะวีนใส่ นั่นเป็นเพราะเธอเป็นห่วงสุขภาพของคุณ หรือเมื่อคุณดื่มเธอจะอารมณ์เสีย เป็นเพราะเธอกังวลว่าจะไม่มีใครดูแลคุณ และกลัวว่าจะเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับคุณ นั่นก็คือการเป็นห่วงนั่นเอง

                                    ซึ่งก็มีคุณผู้ชายหลายคนที่ฟังเสียงของภรรยาเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านไป ภรรยาที่ดี จึงต้องอารมณ์เสีย และวีนใส่ นั่นก็เพื่อหวังว่าคุณสามีจะจดจำเรื่องเหล่านั้นไว้ในใจและตั้งใจทำมันอย่างจริงจัง ตลอดๆ

                                    เชื่อได้เลยว่าจากที่กล่าวมาข้างต้น คุณสามีมักประพฤติตัวให้ภรรยาต้องบ่นกันเป็นส่วนใหญ่แน่นอน ซึ่งถ้าคุณสามีคนไหน ที่โดนภรรยาดุบ่อยๆ อย่าเพิ่งน้อยใจ เพราะหากเขาจุกจิกจู้จี้ เอาใจใส่ทุกเรื่องเป็นแม่ที่ดี ดูแลลูกและตัวคุณเป็นอย่างดี ก็ถือว่าคุณก็เป็นสามีที่โชคดีมากๆ

                                    แต่อย่างไรก็ตามขอฝากไว้กับเหล่าภรรยาที่ดีทั้งหลายว่า การบังคับ หรือจู้จี้จุกจิกมากเกินไป ก็อาจจะส่งผลร้ายมากกว่าดี และทำให้อีกฝ่ายเกิดความเครียดสะสม จนอาจนำไปสู่การเลิกรากันได้ในที่สุด … ล้วถ้าเป็นเช่นนั้น ภรรยาที่ดี ต้องทำตัวแบบไหน มีลักษณะอย่างไร เพื่อมัดใจให้สามีอยู่ในโอวาท หรือ รักกันไปตลอด ตามมาดู 10 คุณสมบัติทของ ภรรยาที่ดี ที่ควรมีเพื่อความสัมพันธ์ที่ยืนยาวและมีความสุข กันค่ะ

                                    อ่านต่อ >> “10 ลักษณะภรรยาที่ดี ที่สามีต้องการ” คลิกหน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่