Face shield

หมอเตือน! อย่าใส่ Face shield ให้ทารกแรกเกิด เสี่ยงกระทบต่อระบบประสาท

หมอเตือน! อย่าใส่ Face shield ให้ทารกแรกเกิด เสี่ยงต่อการหายใจ กระทบถึงระบบประสาท .. Face Shield คือ อะไร ช่วยป้องกันเชื้อไวรัสโควิด19 ได้จริงหรือ?

หมอเตือน! อย่าใส่ Face shield ให้ทารกแรกเกิด

เฟซ ชิลด์ หรือ (Face Shield) คือ หน้ากากชนิดปกป้องทั้งใบหน้า เพื่อป้องกันละอองฝอยและสารคัดหลั่ง ทั้งน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ และเลือด ที่จะกระเด็นเข้า เข้าสู่ตา จมูก ปาก ทำมาจากแผ่นใส ฟองน้ำ กระดาษกาว ถือเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์สำคัญที่ทีมแพทย์และพยาบาลใช้สำหรับใส่ป้องกันในการทำหน้าที่ต่อสู้กับโควิด-19 ตอนนี้

ซึ่งหลังจากที่ หน้ากากชนิดปกป้องทั้งใบหน้า ถูกนำมาใช้ในโรงพยาบาล บางโรงพยาบาลก็ได้มีการประยุกต์เพื่อสวมใส่ให้กับเด็กแรกเกิดทั้งขณะอยู่ที่ รพ. และ กลับบ้าน เพื่อป้องกันละอองฝอยและสารคัดหลั่งต่างของเชื้อไวรัสโควิด-19

Face shield

แต่ล่าสุดทาง ชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย ได้ออกมาประกาศเตือน โดยระบุว่า จากการหารือในคณะกรรมการของชมรมมีข้อแนะนำ อ้างอิงจากมาตรฐานสากลทั้งองค์การอนามัยโลก และ Centers for Drisease Control and Prevention ช่องทางการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 ไปสู่ทารกแรกเกิดที่สำคัญที่สุด คือการกระจายจากผู้เลี้ยงดูทารถ ซึ่งได้แก่ บิดามารดา ญาติ หรือพี่เลี้ยง ผ่านทางละอองฝอยจากการจาม หรือไอ หรือทางสัมผัสจากมือผู้เลี้ยง หรืออุปกรณ์ สิ่งของที่สัมผัสทารก ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดไม่ให้แพร่เชื้อสู่ทารกคือ

  • ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสทารก และผู้เลี้ยงควรสวมหน้ากากอนามัย หากไม่แน่ใจในอาการของตัวเอง
  • หากไม่สบาย โดยเฉพาะมีอาการทางระบบหายใจ งดเข้าใกล้ทารก
  • งดการนำทารกออกนอกบ้าน ยกเว้นพาไปฉีดวัคซีนตามกำหนด หรือพบแพทย์เมื่อไม่สบาย
  • หากจำเป็นต้องพาทารกไปที่ชุมชน ควรให้ห่างจากผู้อื่นประมาณ 2 เมตร
  • งดการเยี่ยมทารกจากบุคคลภายนอก ทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน ควรแสดงความยินดีแก่ครอบครัวผ่านโซเชียลมีเดียแทน

Must read >> 8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

ทั้งนี้ทางชมรมฯ ไม่แนะนำให้ใส่ Face Shields รวมไปถึงหน้ากากอนามัย ให้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ โดยภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดกับทารกในการใส่ Face Shield หรือ Face mask คือ

  1. เนื่องจากทารกหายใจทางจมูกเป็นหลัก ยังไม่มีความสามารถหายใจชดเชยด้วยการอ้าปากหายใจได้เมื่อขาดอากาศ หรือออกซิเจน
  2. อีกทั้งวัสดุต่างๆ ที่นำมาผลิตเป็นหน้ากาก หากมีคุณสมบัติต่อต้านการไหลของอากาศเข้าออกสูงเกินไป ก็อาจทำให้ทารกหายใจไม่เพียงพอ และมีโอกาสเกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ เกิดอันตรายต่อระบบประสาทของทารก
  3. รวมถึงวัสดุพลาสติกบังหน้าอาจมีความคม บาดใบหน้า ดวงตาทารกได้

Face shieldขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : Facebook เพจ ชมรมเวชศาสตร์ทารกแรกเกิดแห่งประเทศไทย

 

โดยเรื่องนี้คุณหมออร เจ้าของเพจ เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ ยังได้ให้คำแนะนำเสริมด้วยว่า .. เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า เพราะมีความเสี่ยงที่จะหายใจไม่ออก เนื่องจากขนาดของทางเดินหายใจเด็กมีขนาดเล็ก ซึ่งในภาวะปกติที่ไม่สวมหน้ากาก ก็หายใจลำบากมากกว่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว พอใส่หน้ากาก ยิ่งหายใจลำบากขึ้นไปอีก จึงเสี่ยงต่อการขาดอากาศหายใจ แถมเด็กเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าหายใจไม่ออก และไม่สามารถถอดหน้ากากได้ด้วยตนเอง … จึงไม่แนะนำให้เด็กทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี สวมหน้ากาก ยกเว้นว่าอยู่ในที่คนแออัด เลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ใส่ได้

#ถ้าไม่ให้ใส่หน้ากากแล้วจะป้องกันยังไง!
📌พ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่า ถ้าเด็กจะติด ก็คือ ติดมาจากคนเลี้ยงดู ผ่านทางการไอ จาม หรือมือที่มีเชื้อโควิดมาสัมผัสตัวเด็ก เพราะฉะนั้น คนที่ต้องใส่หน้ากาก คือ ผู้ใหญ่ !! ไม่ใช่เด็ก 
📌ผู้เลี้ยงควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนอุ้มลูก
📌งดพาเด็กออกนอกบ้าน ยกเว้นการพาไปฉีดวัคซีน หรือไปพบแพทย์เมื่อไม่สบาย

Must read >> ข้อควรปฏิบัติ! เมื่อต้อง พาลูกไปโรงพยาบาล ช่วงโควิด-19 ระบาด

#ถ้าต้องพาไปฉีดวัคซีนหรือพาไปรพ. จะป้องกันยังไง?
✔️ให้ลูกอยู่ห่างจากคนอื่นอย่างน้อย 2 เมตร 
✔️ล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาทีทุกครั้งก่อนอุ้มลูก 
เทคนิคเพิ่มเติม 
✔️เอาลูกใส่รถเข็น แล้วคลุมด้วยผ้าคลุมด้านหน้ารถเข็น หรือพลาสติกกันฝน ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะวิ่งไปจับโน่น จับนี่ หรือถ้าใช้เป้อุ้ม แนะนำให้หันหน้าเข้า

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องการใส่หน้ากากอนามัยของเด็ก รศ.พญ.วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ กุมารเวชศาสตร์ โรคติดเชื้อ จาก มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก ได้ให้คำแนะนำไว้ ดังนี้

การใส่หน้ากากอนามัยของเด็กเล็ก 😷🏥คำแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของอเมริกา (US CDC) แนะนำใส่หน้ากากอนามัยป้องกันการติดเชื้อในเด็กอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป เมื่ออยู่ในที่ชุมชน โดยวัตถุประสงค์หลักไม่ใช่เพื่อปกป้องการติดเชื้อให้กับผู้สวมใส่ แต่เป็นการป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสจากคนที่ใส่ในกรณีที่ผู้ใส่เริ่มมีการเจ็บป่วยชนิดที่ยังไม่มีอาการ ไม่ให้แพร่กระจายไปในชุมชน

Must read >> หมอเผย 4 เหตุผลสำคัญ ทำไมต้อง เลื่อนเปิดเทอม เป็น 1 ก.ค.63

ส่วนเด็กก่อนวัยเรียนมักจะไม่สามารถที่จะใส่หน้ากากได้ตลอดเวลา อาจจะมีการใส่ๆถอดๆหรือขยับหน้ากากบ่อยๆ จึงเพิ่มโอกาสที่จะใช้มือมาสัมผัสใบหน้ามากขึ้น ถ้าไม่ได้ล้างมือบ่อยๆก็อาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น ปัจจุบันก็ยังไม่มีหน้ากาก n95 ที่ได้รับการรับรองให้ใช้สำหรับเด็กเล็ก

ดังนั้นเด็กที่มีปัญหาเรื่องระบบทางเดินหายใจหรือป่วยเฉียบพลันด้วยภาวะหายใจลำบากอยู่เดิม รวมถึงเด็กที่สูญเสียการควบคุมของกล้ามเนื้อเช่นเด็กที่เป็นโรคสมอง หรือเด็กที่ไม่สามารถควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อได้ตามปกติไม่สามารถที่จะถอดหน้ากากได้เอง ไม่ควรจะใส่หน้ากาก

Face shield

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    ดรีมเวิลด์ ชวนคนไทย สู้ COVID-19 ผ่านคลิป “สู้โควิด ด้วยกัน”

    สวนสนุกดรีมเวิลด์ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่หยุดการให้บริการล่วงหน้าก่อนการประกาศปิดสถานที่ของราชการ ด้วยเหตุผล เพื่อความปลอดภัยสูงสุดแก่ลูกค้า และพนักงาน จนวันนี้ ประกาศปิดบริการชั่วคราว จนถึงวันที่ 30 เมษายน  2563 หรือจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น 

    แม้ว่าจะปิดบริการชั่วคราว ทางสวนสนุกฯ ยังคงสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการผลิตหน้ากากFece shield  จำนวน 10,000 ชิ้น  มอบให้บุคลากรการแพทย์ทั่วประเทศ โดยพนักงานดรีมเวิลด์ สลับเปลี่ยนหมุนเวียนเข้าร่วมกันผลิตขึ้น โดยยังคงรักษา  Physical  Distance ระหว่างกัน และเริ่มทยอยส่งผ่านไปรษณีย์แล้ว

    นอกจากนี้ ยังผลิตคลิปพิเศษ “สู้โควดด้วยกัน” โดยงานนี้ พัณณิน  กิติพราภรณ์  ลงมือ เขียนสคลิป กำกับ และตัดต่อด้วยตัวเอง เพื่อส่งกำลังใจให้คนไทยทุกคนสู้โควิด-19 ผ่านคลิป “สู้โควิด ด้วยกัน”  สามารถติดตามชมได้ทางwww.facebook.com/dreamworldpark และทาง Youtube ช่อง Dream world park

      Tags

      “โฟร์โมสต์” เดินหน้าภารกิจ “ปันนมปันน้ำใจร่วมต้านภัย COVID-19” มอบผลิตภัณฑ์นม แก่โรงพยาบาลรัฐ และศูนย์การแพทย์ 19 แห่งทั่วประเทศ

      กรุงเทพ – บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ เพื่อคนไทยมานานกว่า 60 ปี เดินหน้าปฏิบัติภารกิจ “โฟร์โมสต์ ปันนมปันน้ำใจ ร่วมต้านภัย COVID-19” ร่วมใจมอบผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีตราโฟร์โมสต์ ซึ่งผลิตด้วยน้ำนมโคสดจากเกษตรกรโคนมไทยมูลค่า 1,382,000 ล้านบาท ให้กับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และโรงพยาบาลรัฐ 19 แห่งทั่วประเทศ เพื่อเป็นกำลังใจให้ บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ดูแลคัดกรองผู้ป่วย ที่ได้เสียสละทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้ โฟร์โมสต์ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจต้านภัยโควิด-19 ด้วยการมอบโภชนาการที่ดีจากน้ำนมโคธรรมชาติ 100% เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้บุคลากรทางการแพทย์ ในการช่วยเหลือประเทศไทยให้ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน

        Tags

        ดูแลฟันน้ำนม

        หมอเตือน? 4 ผลร้าย หากพ่อแม่ดูแลฟันน้ำนมของลูกไม่ดี!

        อุทาหรณ์ปล่อยลูกให้ตายายเลี้ยง ดูแลฟันน้ำนม ของลูกไม่ดี ทำฟันผุ ต้องเสียฟันน้ำนมไปก่อนวัยอันควร ส่งผลต่อช่องปาก การงอกของฟันแท้ การเคี้ยว และการพูดของลูกไปจนโต

        แม่โพสต์เตือน! “ควร ดูแลฟันน้ำนม ให้ดี”
        อย่าปล่อยให้เสียฟันน้ำนมไปก่อนวัยอันควร

        ไม่ใช่แค่ ฟันแท้ ที่สำคัญ แต่การ ดูแลฟันน้ำนม ของลูกให้ดีตั้งแต่ซี่แรก ไม่ให้เสียไปก่อนวัยอันควร ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นที่พ่อแม่ต้องใส่ใจด้วย เพราะหาก ดูแลฟันน้ำนม ไม่ดีก็อาจทำให้ลูกฟันผุ และต้องถอนฟันตั้งแต่ยังเล็ก … เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านนี้ ที่ลูกสาววัยเพียง 2 ขวบ มีฟันน้ำนมผุ จนถูกถอนถึง 4 ซี่ โดยคุณแม่ใช้เฟซบุ๊กชื่อ พรนชา บรรหาร โพสต์เตือนในกลุ่ม HerKid รวมพลคนเห่อลูก ว่า…

        ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์… สำหรับพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกน้อย… ปล่อยให้อยู่กับผู้เฒ่าผู้แก่… ออกจากบ้านไปทำงานตั้งแต่ลูกยังไม่ตื่น… กลับบ้านอีกทีลูกก็หลับไปแล้ว… พอรู้ตัวอีกที…ก็สายเกินแก้… อุด 6 ซี่ ถอน 4 ซี่… ทั้งดิ้นทั้งร้อง…จนต้องจับมัด… สุขภาพของลูกน้อยคือสิ่งสำคัญ… อย่าลืมดูแลสุขภาพฟันของลูกน้อยให้ดีๆนะคะ… ด้วยความปรารถนาดี… #นชา (2 ขวบ)

        ดูแลฟันน้ำนม

        จะเห็นได้ว่าจากที่คุณแม่ได้โพสต์เตือนนั้น หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ลูกฟันน้ำนมผุ มาจากการเลี้ยงดู ดูแลฟันน้ำนม ไม่ดี ซึ่งคุณตาคุณยายที่มีอายุมากแล้วไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษเท่าไหร่และตัวคุณแม่เองก็ไม่มีเวลา

        อย่างไรก็ตามสาเหตุส่วนใหญ่ที่เด็กๆ ฟันน้ำนมผุ สามารถเกิดได้ตั้งแต่เด็กอายุยังไม่ถึง 1 ขวบ เนื่องจากชั้นเคลือบฟันน้ำนมบางประมาณครึ่งหนึ่งของฟันแท้เท่านั้น ทำให้ฟันน้ำนมผุได้ง่ายกว่าฟันแท้ ซึ่งมาจากพฤติกรรมเสี่ยงคือการหลับคาขวด เนื่องจากการดูดขวดนมแล้วปล่อยให้เด็กนอนหลับคาขวด ส่งผลให้แบคทีเรียในช่องปากย่อยน้ำตาลในนมเกิดกรดทำลายเคลือบฟันของเด็กได้นั่นเอง

        Must read >> ฟันน้ำนมผุ ไม่รักษา ลูกเสี่ยงเป็นหนอง ตาบอดตั้งแต่เล็ก

        Must read >> ลำดับการขึ้นของฟัน และวิธีดูแลฟันลูกอย่างถูกวิธีตั้งแต่ซี่แรก

        ดูแลฟันน้ำนม

        ปัญหาฟันน้ำนมผุของเด็กเกิดจากอะไร ?

        นอกจากเรื่องขวดนมแล้ว ปัญหาฟันน้ำนมผุ ยังอาจเกิดได้จากโครงสร้างของฟันเด็กที่ไม่สมบูรณ์ อาจเป็นเพราะคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย แม่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กยุคนี้ฟันผุง่าย ก็คือ การกินขนมตามใจชอบ แล้วไม่ยอมแปรงฟันนั่นเอง อีกทั้งผู้ปกครองหลายคนมักมีความเชื่อผิดๆ ว่า เดี๋ยวฟันน้ำนมก็ต้องหลุดไป มีฟันแท้มาแทนที่ จึงไม่ได้ใส่ใจการกินขนมและการแปรงฟันของลูกมากนัก และลูกก็ยังไม่สามารถทำความสะอาดฟันอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ฟันผุได้ง่ายนั่นเอง

         

        และเมื่อ ดูแลฟันน้ำนม ไม่ดี ลูกฟันผุ ผลกระทบที่ตามมา คือ อาการปวดฟัน ฟันผุเป็นหนอง มีเชื้อโรคในช่องปาก โดยเฉพาะฟันกราม หากผุแล้วลุกลามมาก อาจส่งผลให้ต้องถูกถอนไปก่อนเวลาอันสมควร ทั้งนี้เมื่อพบว่าลูกมีฟันน้ำนมผุ คุณพ่อคุณแม่ก็ควรรีบพาไปพบทันตแพทย์เพื่อรักษาและรับคำแนะนำ วิธีดูแลทันตสุขภาพที่ถูกต้องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดฟันผุซ้ำต่อไป

        อ่านต่อ >> “ผลร้ายหากพ่อแม่ดูแลฟันน้ำนมของลูกไม่ดี” คลิกหน้า 2

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ให้ลูกเลี้ยงสัตว์

          10 ข้อดีของการ ให้ลูกเลี้ยงสัตว์ ส่งผลทั้งร่างกายและจิตใจ

          ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ การเลี้ยงสัตว์ในบ้าน หรือ ให้ลูกเลี้ยงสัตว์ ส่งผลดีต่อเด็กมากมาย ทั้งร่างกายและจิตใจ ว่าแต่จะมีข้อดีอะไรบ้างของการให้ลูกมีสัตว์เลี้ยง ตามมาดูกัน!

          ข้อดีของการ ให้ลูกเลี้ยงสัตว์

          หากคุณพ่อคุณแม่กำลังชั่งใจว่า จะสามารถเลี้ยงน้องหมาน้องแมว พร้อมกับเลี้ยงลูกได้ไหม หรือ หากลูกอยากขอมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเองจะดีหรือไม่ ลองมาอ่านข้อคิดดีๆ อบอุ่นหัวใจ ของการ ให้ลูกเลี้ยงสัตว์ จากคุณพ่อกอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ กันค่ะ

          โดยคุณพ่อกอล์ฟ ได้โพสต์เรื่องราวนี้ผ่านอิสตาแกรม ถึงวิกฤตที่เกิดขึ้นเมื่อแมวในบ้านซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดขอองน้องชูใจ มีนิสัยไม่ดี และพ่อกอล์ฟก็ถึงขั้นบอกอยากจะเอาไปปล่อยที่อื่น แต่เมื่อน้องชูใจ ได้ยินเข้า กลับพูดบางอย่างกับพ่อกอล์ฟทั้งน้ำตา ซึ่งทำเอาพ่อกอล์ฟถึงกับอึ้ง และได้รู้ซึ้งว่า การให้ลูกรู้จักรักสัตว์ ให้ลูกเลี้ยงสัตว์ อยู่ด้วยกันในบ้านนั้น มีข้อดีที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

          ใจความของโพสต์มีอยู่ว่า…

          View this post on Instagram

          บ้านเราเกิดวิกฤตมาซักพัก เป็นวิกฤตแมวตัวหนึ่งชื่อนูนู่รุกรานกินอาหารคน กล่าวคือไม่ว่าจะวางขนม กับข้าว ใส่หีบห่ออย่างดีแค่ไหนวางไว้บนโต๊ะอาหาร นูนู่จะใช้แรงและความสามารถกัดถุง ตะปบกล่อง แกะของออกมากิน กินไปเรื่อยตั้งแต่โดนัท ปลาทู จนถึงแกงเทโพ ใช้วิธีซ่อนก็ดี มัดปากถุงแน่นหนาก็ดี ล้วนหยุดนูนู่ไม่ได้ บ้านเราต่างก็กลุ้มใจในวิกฤตการณ์นี้ เพราะนอกจากเราจะห่วงว่าเราจะไม่มีอะไรกินแล้ว เรายังเป็นห่วงแมวว่ากินมั่วๆแบบนี้อาจจะเจ็บป่วยถึงชีวิต โดยเฉพาะเบลจะกลุ้มแบบออกนอกหน้าเรื่องนี้เป็นที่สุด เพราะนูนู่เป็นแมวตัวโปรด แก้ปัญหาขายผ้าเอาหน้ารอดเรื่อยมา ซ่อนอาหารบ้าง แช่ตู้เย็นหนีแมวบ้าง จนเมื่อวานนี้เผลอเอายำปลาแซลม่อนมาวางไว้บนโต๊ะ สัญญาณจานอาหารตกบนพื้นดังโครมทำให้ทุกคนลุกไปดู แล้วก็พบนูนู่ตัวการเขี่ยจานยำหกหมด สันนิษฐานว่าคงจะมาแอบกิน เบลหมดความอดทน จับนูนู่ห่อผ้าห่มแล้วเริ่มนั่งเทศนาแมว เธอใช้วิธีดุแมวแบบจริงจังเหมือนดุลูก ผมเห็นว่าเปล่าประโยชน์ เลยแกล้งถ่ายรูปนูนู่แล้วใช้วิธีขู่ว่าจะเอารูปไปประกาศหาบ้านใหม่ถ้านูนู่ยังไม่กลับตัว บรรยากาศดูมาคุ นูนู่ดูตาเศร้าๆ ผมแกล้งแสดงละครขู่แมวต่อว่าอุ้ย โพสท์แป้บเดียวมีคนอยากได้เยอะแยะเลยเนี่ย มีโรงงานลูกชิ้นแมวที่อยุธยาบอกว่าอยากได้ไปทำลูกชิ้นด้วยนะ นี่ไง ร้านข้าวหน้าแมวนครปฐมก็อยากได้ บอกอ้วนๆแบบนี้ทำข้าวได้หลายจาน เบลรับมุข เล่นต่อด้วย ทันใดนั้นเอง เสียงร้องไห้กระซิกๆก็ดังขึ้นจากอีกฝั่งบ้าน ชูใจที่แอบยืนฟังอยู่ก็วิ่งร้องไห้โผมาแย่งแมวออกจากตักแม่ "ม่ายยยยยย อย่าเอานูนู่ไปทำลูกชิ้น เราเป็นครอบครัว เราไม่ทิ้งกัน" "แต่นูนู่กินข้าวคน นูนู่ทำผิดนะลูก โรงงานลูกชิ้นเค้าอยากได้มากเลย" ผมนึกสนุก เลยแสร้งพูดเย้าต่อ "ก็ให้เค้าเอาป๊ะป๋าไปทำลูกชิ้นเลย หนูจะสอนนูนู่เอง ถ้านูนู่ทำผิดหนูจะดุเอง" ลูกตอกกลับทั้งน้ำตาแล้วก้มกอดแมวร้องไห้ ดราม่าซีนใหญ่สะท้อนใจเราสองผัวเมียยิ่งนัก โดยเฉพาะการส่งพ่อไปทำลูกชิ้นแทนแมว ฟังแล้วน่าสะอึกพิกล คืนนั้นทั้งคืนชูใจเลยเฝ้าระวังนูนู่ กลัวยิ่งนักว่าจะถูกสองผัวเมียใจร้ายส่งไปทำลูกชิ้น ผมชอบความอ่อนโยนที่ลูกรักสัตว์ด้วยใจบริสุทธิ์ เห็นแมวเป็นครอบครัว เป็นพี่เป็นเป็นน้อง แต่อีกใจก็กลุ้มกับพฤติกรรมแมว ระหว่างนี้ก็คิดว่าจะเซิร์ชหาโรงเรียนฝึกแมว หวังว่าจะส่งนูนู่ไปปรับทัศนคติเร็วๆนี้ ซึ่งแม้มันจะเป็นเรื่องวิกฤตการณ์ระดับบ้านที่เราต้องเร่งแก้ไข แต่ในเรื่องแย่ก็มีเรื่องดีเกิดขึ้น อย่างน้อยลูกสาวผมก็เริ่มเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว ว่าหัวใจของคำว่าครอบครัว .. คือเราต้องไม่ทิ้งกันตอนใครซักคนเผชิญปัญหา

          A post shared by Fucking Hero (@ftodah) on

           

          ♥ จะเห็นได้การว่าหนึ่งในข้อดีที่น้องชูใจมีน้องแมวเป็นเพื่อน ได้เลี้ยงน้องแมวเป็นของตัวเอง คือ ความอ่อนโยน การรักสัตว์ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ และเห็นแมวเป็นครอบครัว เป็นพี่เป็นน้อง ซึ่งนั่นคือหนึ่งในข้อดีของการ ให้ลูกเลี้ยงสัตว์ เลยก็ว่าได้

          ดังนั้นสำหรับบ้านไหนที่กำลังมีปัญหาต่างๆในการเลี้ยงสัตว์ในบ้านจนคิดที่อยากจะนำไปปล่อย ด้วยเหตุผลบางประการ แต่ถ้ามองในมุมกลับกันเหมือนที่น้องชูใจคิด คือ แม้ว่าคน(หรือสัตว์)ในครอบครัวจะมีปัญหาแต่เราก็ไม่ควรทิ้งกันในตอนที่ใครซักคนเผชิญปัญหา หากเป็นครอบครัวเดียวกันก็ควรสู้ไปด้วยกัน และนี่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สอนให้ทุกคนรู้จักคำว่า หัวใจของ “ครอบครัว” อย่างแท้จริง ตามที่พ่อกอลืฟบอกไว้นั่นเอง

           

          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก : 

          อ่านต่อ >> “10 ข้อดีของการให้ลูกเลี้ยงสัตว์
          และสัตว์เลี้ยงอะไรบ้างเหมาะกับลูก” คลิกหน้า
          2

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            เลื่อนเปิดเทอม

            หมอเผย 4 เหตุผลสำคัญ ทำไมต้อง เลื่อนเปิดเทอม เป็น 1 ก.ค.63

            เพจหมอออกมาโพสต์ ไขข้อสงสัยทำไมต้อง เลื่อนเปิดเทอม เป็นวันที่ 1 ก.ค. และไม่มีปิดเทอมช่วง ต.ค. 63 และ เม.ย. 64 เหตุผลในเชิงหลักวิชาการแพทย์ เป็นเพราะ!?

            ครม.ไฟเขียว เลื่อนเปิดเทอม เป็นวันที่ 1 ก.ค. 63

            จากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบให้สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ เลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จากวันที่ 16 พฤษภาคม 2563 เป็นวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นั้น

            การเลื่อนเปิดเทอม ในครั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัย ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเด็กนักเรียน นักศึกษา รวมไปถึงครู ผู้สอน และบุคลากรทางการศึกษา

            ทั้งนี้การจัดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2563 ก็จะไม่มีการปิดภาคเรียนที่ 1 ในเดือนตุลาคม 2563 และเดือนเมษายน 2564 เนื่องจากมีการเลื่อนเปิดภาคเรียนที่ล่าช้าไปกว่า 2 เดือนแล้ว ดังนั้นทางสถานศึกษาจะต้องมีการจัดการเรียนการสอนให้ครบตามหลักสูตร

            โดยกำหนดกรอบเวลาการดำเนินงานออกเป็น

            • การรับสมัครสอบนักเรียนชั้น ป.1, ม.1, และ ม.4 ทั่วประเทศ ในเดือนพฤษภาคม

            • หลังจากนั้นเดือนมิถุนายนจึงดำเนินการเรื่องสถานที่สอบ

            • ก่อนที่จะไปเปิดภาคเรียนจริงในวันที่ 1 กรกฎาคม

            ซึ่งในช่วงเวลาที่ขยับ เลื่อนเปิดเทอม ไปนั้น จะมีการนำช่วงปิดเทอมในเดือนตุลาคม และปลายปีมาชดเชย ก็ทำให้จำนวนชั่วโมงเรียนในหลักสูตรยังเท่าเดิม เพียงแค่ขยับชั่วโมงการสอนเท่านั้น นั่นหมายถึงการจัดการเรียนการสอนในปีการศึกษา 2563 จะไม่มีการปิดภาคเรียนที่ 1 ในเดือนตุลาคม 2563 และเดือนเมษายน 2564 เนื่องจากมีการเลื่อนเปิดภาคเรียนที่ล่าช้าไปกว่า 2 เดือนแล้วนั่นเอง

            ทั้งนี้เรื่องการรับสมัครนักเรียนชั้น ม.1 และ ม.4 จะเริ่มดำเนินการรับสมัครผ่านระบบออนไลน์ ในเดือนพฤษภาคม 2563 โดย ศธ.จะมีการตรวจสอบรายชื่อเพื่อป้องกันการซ้ำซ้อน เมื่อมีความพร้อมก็จะเปิดสอบพร้อมกันทั่วประเทศ แต่หากช่วงนั้นไวรัสโควิด-19 ยังระบาดอยู่ ก็จะหาวิธีจัดสอบแบบออนไลน์

            เลื่อนเปิดเทอม

            ซึ่งทาง กระทรวงศึกษาธิการ เองยังได้เตรียมความพร้อมในการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ทั้งครู และนักเรียน โดยแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา

            รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านอุปกรณ์การเรียนการสอนที่จะใช้รองรับการเรียนการสอนผ่านระบบดังกล่าว ซึ่งในเดือนพฤษภาคมจะเริ่มออนแอร์การเรียนการสอนออนไลน์ผ่านระบบทีวีดิจิทัล เพื่อให้เด็กปรับตัวกับการเรียน และทดลองสัญญาณในการออกอากาศ

            อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการเตรียมดำเนินการที่จะจัดซื้ออุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอนออนไลน์ที่มีความเหมาะสมแจกนักเรียนอีกด้วย โดยอาจจะเป็น Tablet หรือ Laptop ที่มีความแตกต่างจากที่เคยแจกในครั้งที่แล้ว ให้สามารถใช้เรียนออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความเหมาะสมกับเทคโนโลยีในปัจจุบัน และคุ้มค่ากับงบประมาณที่ใช้ไป

            อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้รัฐได้ออกมาตรการให้ทุกคนกักตัวอยู่บ้าน เพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งนั้นก็ส่งผลกระทบทุกภาคส่วน ตั้งแต่เศรษฐกิจระดับประเทศ จนถึงประชาชนตัวเล็กๆ ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนสถานที่ทำงาน โดยหลายๆ ออฟฟิศก็เริ่มให้ทำงานที่บ้าน หรือ Work from home และล่าสุดยังมีคำสั่ง เลื่อนเปิดเทอม อีก สำหรับเรื่องนี้ก็ยิ่งอาจทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองหลายบ้านเครียดจนต้องยกมือกุมขมับว่า จะรับมือกับเด็กๆ ไม่ว่าจะเด็กเล็ก วัยเรียน หรือวัยรุ่นอย่างไรดี และทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาได้ว่า ทำไมต้องเลื่อนเปิดเทอม

            Must read >> แนะตารางกิจกรรมเช้า-ค่ำ พร้อม 12 กิจกรรมให้ลูกทําสุดเจ๋ง
            เมื่อต้องอยู่บ้านหนีโควิด19+
            ปิดเทอมยาว

            Must read >> งานก็ต้องทำ ลูกก็ต้องเลี้ยง work from home ยังไงให้ดี ถ้ามีลูกต้องดูแล

             

            สำหรับเหตุผลที่ ทำไมต้องเลื่อนเปิดเทอม เพจเฟซบุ๊ก Infectious ง่ายนิดเดียว ซึ่งมีแอดมินผู้ดูแลเพจเป็นคุณหมอโรคติดเชื้อ ID (Infectious disease) ได้โพสต์ข้อความระบุว่าถึงเหตุผลที่ต้องเลื่อนเปิดเทอม และไม่มีปิดเทอมช่วงตุลาคม 63 และเมษายน 2564 นั้น มีเหตุผลในเชิงหลักวิชาการแพทย์ ดังนี้…

            อ่านต่อ >> “คุณหมอไขข้อสงสัย
            ทำไมต้องเลื่อนเปิดเทอม” คลิกหน้า 2


            ขอบคุณข้อมูลจาก : www.bangkokbiznews.com , www.prachachat.net

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              โรคไข้หวัดใหญ่

              โรคไข้หวัดใหญ่ ระบาดหนัก 3 เดือนแรก พบเด็กแรกเกิด-4 ปี ป่วยมากสุด!

              กรมควบคุมโรคเผยสถานการณ์ โรคไข้หวัดใหญ่ 3 เดือนแรกต้นปี 63 พบผู้ป่วยกว่า 9.2 หมื่นคน และเสียชีวิตไปแล้ว 3 ราย เด็กเล็กต่ำกว่า 5 ขวบเสี่ยงสุด!

              สถานการณ์ โรคไข้หวัดใหญ่ 2563

              กรมควบคุมโรครายงานสถานการณ์ของ โรคไข้หวัดใหญ่ ในปี 2563 (ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 มี.ค.) พบว่าผู้ป่วยมากถึง92,129 ราย และเสียชีวิตไปแล้ว 3 ราย ซึ่งจำนวนผู้ป่วยสะสมในภาพรวมของปี 2563 นี้ พบว่าสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง

              โดยกลุ่มอายุที่พบอัตราการป่วย โรคไข้หวัดใหญ่ มากที่สุดคือ แรกเกิด-4 ปี รองลงมาคือ 5-9 ปีและ 10-14 ปี ส่วนจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด คือ จังหวัดพะเยา เชียงใหม่ หนองคาย ตามลำดับ

              ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า… กรมควบคุมโรคพยากรณ์ คาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง บางพื้นที่อาจมีฝนตกจากพายุฤดูร้อน ทำให้ร่างกายโดยเฉพาะเด็กๆ อาจปรับตัวไม่ทันทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย

              ซึ่งสถานที่ที่พบผู้ป่วยสงสัยหรือยืนยันไข้หวัดใหญ่เป็นกลุ่มก้อน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-2 เม.ย. 63 พบ 24 เหตุการณ์ ใน 18 จังหวัด โดยพบมากในโรงเรียน/มหาวิทยาลัย เรือนจำ สถานที่ทำงาน 15 เหตุการณ์ การเข้าค่ายฝึกอบรม และ 3 เหตุการณ์ เป็นสถานที่รวมตัวกันเป็นหมู่มาก

              กลุ่มเสี่ยง โรคไข้หวัดใหญ่

              1. ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป

              2. เด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี

              3. หญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์มากกว่า 7 เดือน

              4. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม

              5. ผู้ที่มีโรคประจำตัว

              6. บุคลากรทางการแพทย์

              ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และหากมีอาการป่วยให้ไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ได้

              โรคไข้หวัดใหญ่
              ขอบคุณภาพจาก ddc.moph.go.th/

               

              ทั้งนี้ทั้งนั้นกรมควบคุมโรค จึงขอเตือนให้ทุกคนหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ที่มีการรวมตัวกัน เช่น ห้างสรรพสินค้า และตลาด และในช่วงนี้ควรงดจัดกิจกรรมและงานการแสดงต่างๆ ที่สำคัญพ่อแม่ลูกควรป้องกันตนเองโดย..

              • สวมหน้ากากอนามัย
              • ล้างมือให้สะอาดบ่อยครั้ง
              • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก
              • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่นหรือผู้ที่มีอาการป่วย
              • รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่
              • หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
              • ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
              • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผัก ผลไม้
              • พักผ่อนให้เพียงพอ

              การปฎิบัติตัวดังกล่าวนอกจากจะช่วยหลีกเลี่ยง โรคไข้หวัดใหญ่ ได้แล้วยังช่วยเลี่ยงจากโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ได้ด้วย … หากบ้านไหนมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อไปได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

               

              อ่านต่อ >> “วิธีสังเกตอาการ, การรับมือ
              และวิธีป้องกันลูกน้อยจากไข้หวัดใหญ่” คลิกหน้า 2


              ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : www.thansettakij.com

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                สั่งซื้อของสดออนไลน์

                สั่งซื้อของสดออนไลน์ พ่อแม่ซื้อง่ายรับได้ที่บ้าน

                ช่วงกักตัวแบบนี้ จะออกไปซื้อของใช้ก็ลำบาก เสี่ยงต่อการติดเชื้อโรค ทำให้คุณพ่อ คุณแม่หลายคนกังวลว่าจะไม่ได้ของใช้ที่ต้องการ รวมถึงของสดที่จะเอามาทำอาหารก็จะซื้อยาก แม่น้องเล็กก็เลยรวบรวมร้าน สั่งซื้อของสดออนไลน์ มาให้คุณพ่อ คุณแม่ได้ช้อปเพลินเหมือนได้ไปห้างเลยค่ะ

                Continue reading “สั่งซื้อของสดออนไลน์ พ่อแม่ซื้อง่ายรับได้ที่บ้าน”

                  กิจกรรมให้ลูกทํา

                  แนะ!12 กิจกรรมให้ลูกทํา สุดเจ๋ง เมื่อต้องอยู่บ้านหนีโควิด19+ปิดเทอมยาว

                  แนะ 12 กิจกรรมให้ลูกทํา สุดเจ๋งไม่ซ้ำใคร เมื่อถูกให้ปิดเทอมยาว และต้องอยู่แต่บ้านหนีโควิด19 อยู่บ้านทั้งวันแบบนี้..ทำอะไรกันดี!

                  แนะ!! 12 กิจกรรมให้ลูกทํา สุดเจ๋ง!
                  เมื่อต้องอยู่บ้าน โควิด 19 + ปิดเทอมยาว

                  เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (Covid-19) ทำให้มียอดผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวันทั่วโลก และในประเทศไทยก็ยังไม่สามารถหยุดเรื่องนี้ได้ รัฐบาลจึงได้ออกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยแคมเปญ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” จากนั้นก็ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั่วราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 – 30 เมษายน 2563

                  และล่าสุดวันที่ 7 เมษายน ทางโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้ออกมาเปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอให้สถานศึกษาเลื่อนการเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จากวันที่ 16 พ.ค. 63 เป็นวันที่ 1 ก.ค. 63

                  ทำให้ลูกๆ ต้องอยู่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่นานขึ้นไปอีก ซึ่งหากมองในแง่บวก การอยู่บ้าน หยุดเชื้อเพื่อชาติ ก็สามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง ทำให้พ่อแม่ลูกได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น แต่การอยู่ด้วยกันทั้งวันทุกวันคงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหากพ่อแม่ไม่มี กิจกรรมให้ลูกทํา แก้เซ็งให้ลูกๆ ผลร้ายที่อาจตามมาคือ ลูกอาจกลายเป็นเด็กติดจอได้เพราะไม่ได้ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหน เพื่อป้องกันผลเสียของเรื่องนี้ ทางทีมแม่ ABK จึงมี ตารางกิจกรรมสำหรับเด็กๆ กิจกรรมให้ลูกทํา ยุคโควิด 19 มาแนะนำกัน จาก โรงพยาบาล วิชัยยุทธ

                  กิจกรรมให้ลูกทํา
                  ขอบคุณภาพจากเพจ Vichaiyut Hospital โรงพยาบาล วิชัยยุทธ

                   

                  โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถดูตารางนี้เป็นแนวทางได้ว่า ในแต่ละวันที่ตื่นมาจนกระทั่งเข้านอน จะมี กิจกรรมให้ลูกทํา แบบไหน อย่างไรบ้าง ทั้งนี้จะเห็นว่าในตารางมีทั้ง ชั่วโมงเรียนรู้กับโลกออฟไลฟ์ / ชั่วโมงเรียนรู้กับโลกออนไลน์ , ชั่วโมงนักสร้างสรรค์ , ชั่วโมงเรียนรู้ด้วยตนเอง , ชั่วโมงบ้านสะอาด , กิจกรรมต้านไวรัสโควิด19 , กิจกรรมนอกบ้านยามเย็น และชั่วโมงอิสระ

                   

                  ซึ่งจากกิจกรรมตามชั่วโมงต่างๆ ที่ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แนะนำ บางอย่างอาจเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่รู้และทำกันอยู่แล้ว แต่พอนานไปเข้าลูกก็อาจเบื่อ ดังนั้นแม่ฮันน่าห์จึงมีอีก 12 กิจกรรมสุดเจ๋ง กิจกรรมให้ลูกทํา มาแนะนำ ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าสุดสนุก แถมสร้างสรรค์ ไม่มีซ้ำ ไม่น่าเบื่อ จะมีกิจกรรมอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

                   

                  ดูต่อ >> 12 กิจกรรมให้ลูกทําที่บ้าน สุดเจ๋ง! คลิกหน้า 2

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ผลกระทบจากโควิด

                    ผลกระทบจากโควิด ของคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกแรกเกิด

                    ข่าวน่าสะเทือนใจจากเว็บไซต์ Daily Mail ซึ่งพบว่ามี คุณแม่ตั้งครรภ์เสียชีวิต ผลกระทบจากโควิด ระหว่างการคลอดในโรงพยาบาล Whittington ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อครอบครัวอย่างรุนแรง โดยแพทย์สามารถช่วยชีวิตลูกของเธอเอาไว้ได้

                    Continue reading “ผลกระทบจากโควิด ของคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกแรกเกิด”

                      ฤกษ์คลอด

                      [เรื่องจริงจากหมอสูติฯ] เชื่อฤกษ์คลอด..จนลูกเสียชีวิตในครรภ์

                      เรื่องเล่าเคสจริงจากหมอสูติฯ เมื่อครอบครัวยึดมั่นกับ ฤกษ์คลอด มาก! ทั้งที่เลยกำหนดคลอดที่คุณหมอแนะนำแล้ว คือ 41 สัปดาห์ ทำให้ลูกเสียชีวิตในครรภ์ สาเหตุเพราะอะไร?

                      อุทาหรณ์พ่อแม่เชื่อ ฤกษ์คลอด จนลูกเสียชีวิตในครรภ์!

                      เรื่องราวที่ทีมแม่ ABK นำมาฝากต่อไปนี้ เป็นอรื่องเล่าของคุณหมอสูติฯ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับ การเชื่อฤกษ์คลอด จนทำให้คุณแม่ท้องที่ต้องคลอดภายในกำหนอที่หมอบอก ไม่ยอมทำคลอด เพราะรอวันคลอดตามที่แม่สามีต้องการ จนทำให้ลูกน้อยเสียชีวิตตั้งแต่ในท้อง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ตามไปดูกันค่ะ

                       

                      ฉันชื่อภัทชา (ชื่อสมมุติ) อายุ 31 ปี ตั้งท้องที่หนึ่งได้ 9 เดือนหรือ 39 สัปดาห์ ในวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม ฉันไปหาหมอที่ฝากครรภ์ตามนัด โดยมีแม่สามีตามไปด้วย

                      “ภัท ลูกอย่าลืมบอกหมอนะ” แม่สามีสำทับก่อนที่ฉันจะเข้าพบหมอ

                      “ค่ะ” ฉันตอบรับ

                      เรื่องที่แม่สามีจะให้พูดกับหมอคือ ห้ามคลอดปีนี้เด็ดขาด!! เนื่องจากเป็นปีชงกับครอบครัว หากลูกคลอดปีนี้จะเป็นกาลกิณี ทำให้ครอบครัวประสบโชคร้ายอย่างรุนแรง ฉันเองไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างอื่นนอกจากทำตาม แม้ฉันจะทำงานเป็นบุคลากรทางการแพทย์ เชื่อฤกษ์บ้าง ไม่เชื่อบ้าง แต่เรื่องนี้ในครอบครัวที่ฉันย้ายไปอยู่อาศัยด้วย เชื่อมาก

                      เชื่อฤกษ์คลอด ตั้งครรภ์เกินกำหนด สำลักขี้เทา

                      ฉันรักกับสามีมา 9 ปี กว่าจะได้แต่งงาน สามีและครอบครัวสามีดีต่อฉันมาก แต่มีความเชื่อเรื่องฤกษ์ยาม เชื่อเรื่องดวง ทางครอบครัวมีอาชีพค้าขาย คงมีประสบการณ์เรื่องนี้ อีกทั้งสามีเป็นลูกชายคนโตที่พ่อแม่หวังพึ่งพิงมาก

                      แม้ตกลงแต่งงานแล้ว  ครอบครัวสามีเอาวันเดือนปีเกิดฉันไปดูหลายครั้ง ว่าเข้ากันได้กับสามีและครอบครัวสามีไหม เมื่อหมอดูว่าไม่ดี การแต่งงานก็เลยไม่เกิด เลื่อนไปนานถึงสองปี จนสุดท้าย แม่ของฉันบอกว่า วันเดือนปีเกิด ของฉันนั้นผิด เพราะแจ้งเกิดช้า เลยเปลี่ยนวันและเดือนเกิด นั่นแหละจึงลงตัว แต่ก็ต้องเปลี่ยนชื่อจากสุมาลี เป็นภัทชา ต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์มือถือ เพราะหมอดูโทรศัพท์ดูว่า หากใช้หมายเลขที่ใช้อยู่ จะมากชู้หลายชาย ใช้เงินเปลือง เก็บเงินไม่ได้ ธุรกิจไม่รุ่งเรือง เรื่องคบชู้ ฉันอยากหัวเราะ เพราะฉันมีแฟนคนเดียวและคบกันตั้งแต่เรียน แต่ก็ต้องทำตามในธรรมเนียม ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

                      แต่งงานได้นาน 2 ปีจึงท้อง ก่อนท้องแม่สามีก็หายาแผนจีนมาบำรุง ดูแลฉันอย่างดี แต่มามีปัญหาเรื่องวันเดือนปีเกิด เพราะเขาไปดูฤกษ์ไว้ตอนท้องอ่อนๆว่าต้องคลอดวันพุธ ของปีหน้า คือวันที่ 6 มกราคม เวลา 08.59 น. ซึ่งเป็นฤกษ์มังกร เด็กจะพิเศษสมกับที่เกิดมาจากสรวงสวรรค์ จะนำความสำเร็จ ร่ำรวย ความสุขสมหวัง มาให้ครอบครัว หัวเด็ดตีนขาดจะคลอดปีนี้ไม่ได้เด็ดขาดวันนี้เป็นวันที่แพทย์นัดตรวจ แม่สามีบอกว่าต้องมากำกับ คุยกับหมอ เพื่อไม่ให้คลอดปีนี้

                      Must read >> ดวงวันเกิดลูก กับพ่อแม่ วันไหนเป็นมิตร วันไหนเป็นศัตรู

                      “สวัสดีค่ะคุณภัทชา วันนี้ถือว่าครบกำหนดคลอดแล้วนะคะ สบายดีไหมคะ ลูกดิ้นดีไหมคะ ปวดท้องไหมคะ” หมอทักทาย

                      “สบายดีค่ะ ไม่ปวดท้อง ลูกดิ้นดี เออ…คุณหมอคะ ภัทจะคลอดเมื่อไหร่คะ” ฉันถามหมอ

                      หมอยิ้มกับคำถาม “ปกติหากรอคลอดเองตามธรรมชาติ ก็คงต้องรอปวดท้อง หมอเองคงบอกไม่ได้ว่าจะคลอดเมื่อไหร่ แต่ทางการแพทย์มักไม่ให้ตั้งครรภ์เกิน 41 สัปดาห์ เพราะอาจจะเกิดอันตราย เช่น รกแก่ เลือดไปเลี้ยงเด็กไม่พอ น้ำคร่ำแห้ง เด็กถ่ายขี้เทาตอนอยู่ในท้อง เด็กสำลักขี้เทาตนเอง

                      ฉันนับเวลา หาก 41 สัปดาห์ ก็เป็นวันที่ 28 ธันวาคม ยังไม่ได้ฤกษ์ตามครอบครัวสามีสั่ง

                      เชื่อฤกษ์คลอด ตั้งครรภ์เกินกำหนด สำลักขี้เทา

                      “ตอนนี้ลูกในท้องภัทแข็งแรงดีไหมคะ” ฉันถามหมอ

                      หมอตรวจด้วยเครื่องอัลตร้าซาวนด์แล้วอธิบายว่า…

                      “ตอนนี้ลูกคุณภัทแข็งแรงดีค่ะ เด็กโตดี ประมาณน้ำหนักเด็กจากเครื่องอัลตร้าซาวนด์ 3,200 กรัม แต่รกเริ่มแก่ อาทิตย์หน้าก็ครบ 40 สัปดาห์ เดี๋ยวหมอนัดมาตรวจอีก1 อาทิตย์นะคะ คุณภัทคอยดูน้องดิ้นนะคะ ดิ้นดีแสดงว่าน่าจะแข็งแรงดี”

                      ตรวจครรภ์เสร็จแม่สามีถามฉันว่า “หมอว่าไง รอถึงวันพุธปีหน้าได้ไหม”

                      “หมอบอกว่าเด็กยังแข็งแรงดีแม่ อาทิตย์หน้ามาตรวจใหม่ค่ะแม่”

                      “อย่าลืมบอกหมอนะ ต้องคลอดวันพุธปีหน้า”

                       

                      อ่านต่อ “[เรื่องจริงจากหมอสูติฯ]
                      เพราะเชื่อฤกษ์คลอด..จนลูกเสียชีวิตในครรภ์” คลิกหน้า 2

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        วิธีดูแลใจเด็กๆ

                        วิธีดูแลใจเด็กๆ ในช่วงวิกฤติโควิด-19

                        ตอนนี้ผลกระทบจากโควิด-19 อาจจะทำให้คุณพ่อ คุณแม่เกิดความเครียด รวมไปถึงลูกน้อย เพราะต้องถูกกักบริเวณ ไม่ให้ออกไปไหน เนื่องจากต้องป้องกันการติดต่อของเชื้อโรค ทำให้เด็กๆ วิตกกังวลต่อสถานการณ์นี้ตามไปด้วย แม่น้องเล็ก จึงมี วิธีดูแลใจเด็กๆ มาฝากกันค่ะ

                        Continue reading “วิธีดูแลใจเด็กๆ ในช่วงวิกฤติโควิด-19”

                          รับเงินค่าไฟคืน

                          รับเงินค่าไฟคืน พ่อแม่ต้องลงทะเบียนอย่างไร?

                          จากผลกระทบของโควิด-19 ทำให้หลายครอบครัวต้องจำกัดการออกนอกบ้าน อาศัยอยู่แต่ในบ้าน ทำให้การใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลจึงมีมาตรการช่วยเหลือด้วยการคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า มีเงื่อนไข และวิธีการอย่างไรบ้างที่จะได้ รับเงินค่าไฟคืน ไปอ่านกันเลยค่ะ

                          Continue reading “รับเงินค่าไฟคืน พ่อแม่ต้องลงทะเบียนอย่างไร?”

                            แหล่งเรียนรู้ออนไลน์

                            อยู่บ้านแต่ไม่หยุดเรียนรู้! รวมลิงค์องค์กรใจดีแจกฟรี แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ สำหรับเด็ก

                            เมื่อเด็ก ๆ ต้องติดแหงกอยู่กับบ้านในช่วงสถานการณ์ covid-19 ที่ทำให้ลูก ๆ ไม่ได้ออกไปเปิดประสบการณ์นอกบ้าน แต่หยุดอยู่บ้านเพื่อชาติครั้งนี้ลูกจะไม่หยุดเรียนรู้ มีองค์กรใจดีมากมายที่พร้อมจะปลดล็อกการเสียค่าสมาชิก แจกฟรี แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ สำหรับเด็ก ต่อให้วิถีชีวิตต้องปรับโหมดอยู่บ้านทุกวัน คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถหากิจกรรมให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้อยู่กับบ้านเพื่อพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่งได้เหมือนกัน จะมีที่ไหนบ้างมาดูกันเลยค่ะ

                            10 แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ สำหรับเด็ก อยู่บ้านแต่ไม่หยุดเรียนรู้!

                            1.NASA Stem@Home

                            NASA Stem@Home
                            ขอบคุณภาพจาก NASA Stem@Home

                            Nasa ได้เปิดเว็บไซต์ NASA Stem@Home ให้สำหรับเด็ก ๆ ตั้งแต่วัยอนุบาลถึงมัธยมต้นได้เรียนรู้และ workshop กิจกรรมสนุกมากมายได้ง่าย ๆ ร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ที่สามารถทำเองได้อยู่บ้านเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์โดยไม่ต้องออกจากบ้าน ทำกันให้หายเบื่อไปเลย อาทิเช่น

                            สามารถเข้าไปดูกิจกรรมมากมายกว่านี้ได้ที่ NASA Stem@home

                            2.Amazon

                            Amazon.com
                            ขอบคุณภาพจาก https://stories.audible.com/start-listen

                            เว็บไซต์ Amazon.com นับว่าเป็นอีกแหล่งเรียนรู้ออนไลน์ที่ดีมาก ๆ อีกหนึ่งแหล่งสำหรับเด็ก ๆ ค่ะ ช่วงนี้ Amazon ประกาศยกเลิกการเสียค่าสมาชิก และเปิดให้เด็ก ๆ ทั่วโลกได้ฟังหนังสือเสียงจากทุกมุมโลกฟรี! โดยได้รวมรวบหนังสือสำหรับเด็ก ๆ ตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงวัยรุ่นมาไว้ให้อ่านเพียบ มีหลายภาษาให้เลือกฟัง

                            สามารถเข้าไปเลือกฟังหนังสือเสียงได้ที่ https://stories.audible.com/discovery

                            3.British Council

                            british counsil
                            ขอบคุณภาพจาก www.learnenglishkids.britishcouncil.org

                            บริติช เคานซิล ได้ออกแบบเว็บไซต์ LearnEnglish Kids เพื่อรวบรวมกิจกรรมที่สามารถต่อยอดและส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของเด็ก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น

                            • แฟลชการ์ด สนุกกับการทำแฟลชการ์ดและภาพระบายสี ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถปริ๊นท์ออกมาเล่นกับลูก ๆ ได้ เพื่อเสริมพัฒนาการ เพิ่มทักษะความจำ และได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น kitchen objects flash card
                            • ระบายสี เรียนรู้คำศัพท์จากการอ่านประโยคภาษาอังกฤษและระบายสีในรูปภาพให้ถูกต้อง เช่น ภาพ Desert Island
                            • Fun and Games มีเกมออนไลน์มากมายในหัวข้อต่างๆ แต่ละเกมมีระบบเสียงเพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใช้ทักษะ ความคิด แก้ปัญหา สามารถฝึกออกเสียงได้ เสริมพัฒนาการได้มากมาย คลิก
                            • Listen and watch เรื่องราวพร้อมเพลงประกอบมากมาย ที่มีคำศัพท์ง่าย ๆ เพื่อช่วยในการขยายคำศัพท์ของเด็ก ๆ ให้พวกเขาเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ได้จากการดูและการฟัง โดยให้เด็ก ๆ ได้เลือกหนึ่งเพลงและให้เล่นเกมคำศัพท์ก่อนที่จะเปิดคลิปเพลงดู หลังจากนั้นให้เด็ก ๆ ได้ดูวิดีโอพวกเขาก็จะได้เจอคำศัพท์ที่อยู่ในเพลงจากการเล่นเกมที่ผ่านตามาแล้วนั่นเอง คลิก
                            • Read and Write แบบฝึกหัดและใบงาน ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถดาวน์โหลดเพื่อนำไปฝึกฝนทักษะการอ่านและการเขียนให้กับเด็ก ๆ คลิก

                            กิจกรรมทั้งหมดนี้จะช่วยฝึกฝนไวยากรณ์และคำศัพท์ต่าง ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่บ้านได้ด้วยตนเองหรือร่วมกับคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างสนุกสนาน

                            สามารถเข้าไปเลือกกิจกรรมมากมายได้ที่  www.learnenglishkids.britishcouncil.org

                            4.YouTube Learning at home

                            YouTube Learning at home
                            ขอบคุณภาพจาก www.learnathome.withyoutube.com

                            YouTube ได้เปิดเว็บไซต์ Learn@Home ที่นำช่อง YouTube เพื่อการศึกษาให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ในขณะที่หยุดอยู่บ้านได้ โดยได้แบ่งประเภทช่องเป็น 3 ระดับ ได้แก่

                            • ครอบครัวที่มีเด็กปฐมวัย ช่อง YouTube Kids ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เด็ก ๆ เพลิดเพลินและเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยมีคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด คลิก
                            • ครอบครัวที่มีเด็กอายุ 5 ปีขึ้นไป เรียนรู้ผ่านช่อง YouTube Kids เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ผ่านวิดีโอออนไลน์ได้อย่างปลอดภัยและง่ายยิ่งขึ้น ตั้งแต่รายการและเพลงโปรด ไปจนถึงเรียนรู้วิธีสร้างแบบจำลองภูเขาไฟ (หรือวิธีทำสไลม์) และอื่น ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถควบคุมได้ เพื่อให้เป็นการดูยูทูปอย่างสร้างสรรค์และเหมาะสมกับวัยของลูก คลิก
                            • ครอบครัวที่มีเด็กอายุ 13 ปีขึ้นไป คลิก

                            อ่านต่อ แจกฟรี 10 แหล่งเรียนรู้ออนไลน์สำหรับเด็ก คลิกหน้า 2

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              อาหารไทย

                              9 อาหารไทย เพิ่มภูมิคุ้มกันต้านโควิด-19

                              นอกจากใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และเว้นระยะห่าง (social distancing) จะเป็นวิธีป้องกันโควิด-19 จากภายนอก คุณแม่ยังสามารถปกป้องลูกน้อยและทุกคนในบ้านให้มีสุขภาพดี ภูมิคุ้มกันเยี่ยมกันง่ายๆจากในบ้าน ด้วยเมนู อาหารไทย รสคุ้นเคย ที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มภูมิ ต้านโรคได้อย่างไม่เชื่อ

                              เปิดเมนู อาหารไทย กินเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านไวรัสโควิด-19 

                              แม่ทราบไหมคะว่า เมนู อาหารไทย ที่ทำกับข้าวกินที่บ้านอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่แค่รสชาติอร่อยถูกปาก ชนะใจสามีและลูกๆเท่านั้น แต่ยังมีสรรพคุณทางยาช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย อร่อยแถมมีประโยชน์แบบไม่ต้องเสียเงินซื้อแพงๆด้วย

                              นายแพทย์ มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบายดีกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกได้ให้คำแนะนำในการเตรียมพร้อมร่างกายไว้สู้โควิด-19 ไว้ว่า “การระบาดของเชื้อในหลายพื้นที่ทั่วโลก ทำให้ประชาชนอาจเกิดความวิตกกังวลหรือเครียด แต่หากเตรียมความพร้อมให้สร้างสุขภาพตนเองให้แข็งแรง ด้วยการรับประทานอาหารที่มีสารกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และมีศักยภาพในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส ก็จะเป็นเกราะป้องกันตนเอง ลดโอกาสติดเชื้อไวรัส หรือหากติดเชื้อก็อาจช่วยลดความเสี่ยงที่มีอาการรุนแรง

                              เพราะในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ป้องกันเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมอันตราย หรือหากรับเชื้อเข้ามาแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันนี้จะกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปให้เร็วที่สุด ฉะนั้นการทำให้ระบบภูมิคุ้มกันสมบูรณ์แข็งแรงอยู่ตลอดเวลาจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยมาจากสิ่งพื้นฐานง่ายๆ 3 อย่างได้แก่ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และได้สารอาหารที่จำเป็นอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงมีโรคระบาดรุนแรง ยิ่งต้องเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากกว่าปกติ

                              อาหารไทย

                               

                              อาหารไทย ช่วยป้องกันโควิด-19 ได้อย่างไร

                              อาหารไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าปรุงด้วยการต้ม ผัด แกง ทอด มักใช้พืชผักสมุนไพรเป็นส่วนผสม เพื่อช่วยปรับแต่งรสชาติให้กลมกล่อม นอกจากกินอร่อยแล้วยังมีฤทธิ์เป็นยาช่วยป้องกันโรคโควิด—19 ได้อีกด้วย

                              จากรายงานศึกษาของนักวิจัยในประเทศจีน โดยได้จำลองโครงสร้าง 3 มิติ ของสารสำคัญจากสมุนไพรพบว่า มีประสิทธิภาพในการจับตัวรับไวรัสทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันไวรัสเข้าเซลล์ และการจับกันของโปรตีนที่จำเป็นต่อการเพิ่มจำนวนของไวรัส ซึ่งช่วยป้องกันการแบ่งตัวของไวรัสได้

                              อาหารไทย

                              ประเภทสมุนไพรในอาหารไทย เพิ่มภูมิต้านโรค

                              ขณะเดียวกันกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือกได้แนะนำผักผลไม้สมุนไพร ช่วยเสริมภูมิต้านทานร่างได้3 กลุ่ม ดังต่อไปนี้

                              1. เสริมภูมิคุ้มกัน ได้แก่ เห็ดหอม เห็ดนางฟ้า เห็ดเออรินจิ พลูคาวหรือผักคาวดอง และน้ำตรีผลา (ทำจากสมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม)
                              2. วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง

                              ผักสมุนไพรที่มีวิตามินซีสูงได้แก่ ดอกขี้เหล็ก ยอดมะยม ใบเหลียง ยอดสะเดา มะระขี้นก ฟักข้าว ผักเชียงดา คะน้า มะรุม ผักแพว มะขามป้อม

                              ผักที่มีสารแอนโทไซยานิน ที่มีฤทธิต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ลูกหม่อน และผักผลไม้หลากสีต่างๆ เช่น แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง บรอกโคลี พริกระฆัง มะเขือม่วง เป็นต้น

                              1. สารสำคัญที่มีศักยภาพในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19

                              สมุนไพรกลุ่มนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าสู่เซลล์ ลดโอกาสการติดเชื้อได้ มีทั้ง 3 ประเภท ดังต่อไปนี้

                              • สารเคอร์ซีตินสูงจาก พลูคาว หอมแดง หอมหัวใหญ่ มะรุม ใบหม่อน แอปเปิ้ล
                              • สารเฮสเพอริจดิน และรูตินสูงจาก ผิวและเยื่อหุ้มด้านในเปลือกของผลพืชตระกูลส้ม เช่น ส้ม มะนาว มะกรูด ส้มซ่า
                              • สารโอเรียนทินจาก กะเพรา

                              นอกจากนี้ยังพบว่า การนำเปลือกส้มหรือใบหม่อนมาชงดื่มแทนน้ำชาตามศาสตร์แพทย์แผนจีน ยังช่วยป้องกันปอดบวมอักเสบจากการติดเชื้อโควิด-19ได้อีกด้วย

                              อ่านต่อ  9 เมนู อาหารไทย ต้านโควิด พร้อมสูตรทำเองได้ อร่อยไม่แพ้เชฟ หน้า 2

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                เป็นไมเกรนตอนท้อง

                                เป็นไมเกรนตอนท้อง รับมืออย่างไร ?

                                เป็นไมเกรนตอนท้อง เพราะสาเหตุใด แล้วจะกินยาแก้ปวดไมเกรนได้ไหม จะกระทบถึงลูกในท้องหรือเปล่า?  มีคุณแม่ท้องถามทีมแม่ABK เข้ามาว่าคนท้องกับไมเกรนมีโอกาสเป็นมากน้อยแค่ไหน เอาเป็นว่าเราไปหาคำตอบพร้อมกันเลยค่ะ

                                อาการแทรกซ้อนทางสุขภาพสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาขณะตั้งครรภ์ คนท้องบางคนมีอาการทางสุขภาพเล็กน้อยไม่ถึงขั้นต้องกินยา แค่พักผ่อน ปรับเรื่องอาหารการกินนิดหน่อยอาการไม่สบายก็ค่อยๆ ดีขึ้นได้ แต่ในคนท้องบางคนก็อาจมีอาการแทรกซ้อนทางสุขภาพที่ถึงขั้นต้องกินยาระหว่างตั้งครรภ์ ในส่วนนี้จะต้องอยู่ในการดูแลควบคุมจากคุณหมออย่างใกล้ชิดค่ะ เพราะการกินยาบางชนิดอาจไม่ปลอดภัยต่อทารกน้อยในครรภ์ค่ะ และหนึ่งในนั้นก็มี “ไมเกรน” ร่วมอยู่ด้วย

                                 

                                เป็นไมเกรนตอนท้อง เพราะสาเหตุใด ?

                                คุณแม่ที่ เป็นไมเกรนตอนท้อง อาจเกิดขึ้นได้จากหลายๆ ปัจจัย มาดูกันว่าเป็นไมเกรนได้จากสาเหตุใดบ้าง เพื่อที่คุณแม่จะได้ดูแลสุขภาพร่างกายได้อย่างเข้าใจ และถูกต้องค่ะ

                                1. *การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน ในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์อาจส่งผลให้เกิดภาวะปวดศีรษะได้ โดยอาการมักทุเลาลงในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่ระดับฮอร์โมนเริ่มคงที่ และร่างกายสามารถปรับตัวได้แล้ว
                                2. การยืนหรือการนั่งที่ไม่เหมาะสม ส่วนใหญ่เกิดในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3 ซึ่งครรภ์ของคุณแม่เริ่มใหญ่ขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ต้องแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้น หากคุณแม่ตั้งครรภ์มีอริยาบทที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลให้ปวดศีรษะได้เช่นกัน ซึ่งภาวะปวดศีรษะในช่วงนี้ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงหรือครรภ์เป็นพิษ หากพบอาการผิดปกติควรรีบพบแพทย์ทันที
                                3. ขาดสารอาหารและความหิว เพราะกลัวน้ำหนักขึ้นมากเกินไปในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้คุณแม่อดอาหาร จนขาดสารอาหารหรือรู้สึกหิวระหว่างวัน
                                4. พักผ่อนน้อย เนื่องจากนอนได้ลำบากขึ้น หรือรู้สึกอึดอัดจนนอนไม่ค่อยหลับ
                                5. การงดการดื่มชา กาแฟ เมื่อร่างกายไม่ได้รับคาเฟอีนเหมือนเดิม ส่งผลให้ปวดศีรษะได้
                                6. ความวิตกกังวลและความเครียด ส่งผลโดยตรงกับอาการปวดศีรษะ
                                7. ขาดน้ำ คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่อยากเข้าห้องน้ำบ่อย อาจแก้ปัญหาด้วยการดื่มน้ำน้อยลง จนเกิดภาวะขาดน้ำ และปวดศีรษะ*

                                *เครดิต : พญ.ธนินจิตรา พูลเพชรพันธุ์ โรงพยาบาลสมิติเวช

                                 

                                ทั้งหมดนี้คือสาเหตุเบื้องต้นที่ทำให้คุณแม่เป็นไมเกรนตอนท้องกันได้ค่ะ แต่เชื่อว่าก็ยังมีความสงสัยกันอยู่ว่าแล้วลักษณะอาการปวดไมเกรนเป็นแบบไหน จะเหมือนกับอาการปวดศีรษะทั่วไปเปล่า จากที่ทีมแม่ABK เคยสอบถามกับคุณหมอตอนที่ตัวเองตั้งครรภ์ เพราะระหว่างท้องก็มีอาการปวดศีรษะด้วยเช่นกัน ตอนนั้นไปพบคุณหมอที่ดูแลครรภ์ และเล่าอาการปวดหัวให้ฟัง คุณหมอวินิจฉัยโดยรวมแล้ว อาการปวดหัวครั้งนั้นไม่ได้มาจากไมเกรน แค่ปวดหัวธรรมดาทั่วไปค่ะ

                                อาการปวดไมเกรน จะมีจุดสังเกตอาการปวดที่เด่นๆ ก็คือ

                                • มีอาการปวดตุบๆ(คล้ายเส้นเลือดเต้น) ด้านใดด้านหนึ่งของศีรษะ ความปวดจะค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้น
                                • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
                                • บางคนอาจมีอาการแสดงเตือนก่อนที่จะมีอาการปวดศีรษะตามมา เช่น ตาพร่า หรือมองเห็นแสงกระพริบๆ จากนั่นก็จะค่อยๆ เริ่มปวดหัว (ระดับความปวดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนถึงขั้นปวดรุนแรง)

                                และก็อย่างที่รู้กันว่าการกินยาในระหว่างตั้งครรภ์ ควรเป็นเรื่องที่ต้องหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด เพราะการกินยาอาจมีผลกระทบต่อลูกในท้องได้ ทีมแม่ABK แนะนำว่า คนท้องควรไปพบคุณหมอที่ดูแลครรภ์ของคุณแม่ทุกครั้งที่มีอาการเจ็บป่วยแทรกซ้อนขึ้นมา ไม่เฉพาะจะต้องอาการปวดศีรษะนะคะ คือไม่ว่าจะเท้าบวม เวียนหัว ปวดหลัง มีไข้ ตัวร้อน ฯลฯ ถ้าสังเกตเห็นว่าตัวเองมีอาการผิดปกติถึงจะเล็กๆ น้อยๆ ก็ไปโรงพยาบาลให้คุณหมอเช็กตรวจดูอาการที่ชัดเจนอีกทีนะคะ ไม่แนะนำให้ซื้อยามารับประทานเองเด็ดขาดค่ะ

                                หากคุณแม่ปวดหัว และไม่แน่ใจว่าจะใช่ไมเกรนหรือไม่ แนะนำว่าควรให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียดค่ะ เพราะถ้าเป็นอาการไมเกรนจริงๆ คุณหมอจะให้คำแนะนำในการดูแลรักษาเพื่อบรรเทาอาการได้อย่างถูกต้อง และอาจไม่ต้องกินยา หรือถ้าต้องกินยา คุณหมอจะเป็นคนจัดยาที่ปลอดภัยให้กับคุณแม่ค่ะ

                                อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ไมเกรนสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยแวดล้อม และอาการปวดหัวไมเกรนจะรุนแรงมากกว่า อาการปวดหัวธรรมดาทั่วไป ซึ่งหากปกติแล้วสามารถกินยาพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาอาการปวดหัวให้ทุเลาได้ลงค่ะ แต่ในคนท้องทีมแม่ABK ไม่แนะนำให้กินยาอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะปวดหัวธรรมดา หรือปวดหัวไมเกรน เบื้องต้นอย่างที่แนะนำไปคือ แม่ท้องควรไปพบคุณหมอที่ดูแลครรภ์ ให้ตรวจดูอาการปวดหัวจะดีที่สุดค่ะ

                                แต่ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่เกิดอาการปวดหัวไมเกรนขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ให้คุณแม่หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะกันค่ะ

                                วิธีป้องกันอาการปวดไมเกรน ที่แม่ท้องทำได้ง่ายๆ

                                1. หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นภาวะไมเกรน เช่น ผงชูรส น้ำตาลเทียม ชีส แอลกอฮอล์ ช็อกโกแล็ต ชา และกาแฟ
                                2. ระหว่างวันให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ หรืออย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน น้ำจะช่วยให้ออกซิเจน และเลือดไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดีมากขึ้น เลือดลมเดินสะดวก ก็ช่วยลดอาการปวดศีรษะได้ค่ะ
                                3. คนท้องควรนอนหลับแต่หัวค่ำ ก่อนนอนให้ดื่มนมอุ่นๆ หรือน้ำขิงๆ จะช่วยให้หลับสบายมากขึ้น ส่วนช่วงกลางวันหากสะดวกควรหลับงีบสัก 1 -2 ชั่วโมง หากคุณแม่ท้องต้องทำงานออฟฟิศ อาจพักงีบในช่วงพักเที่ยงสัก 30 นาที การนอนจะช่วยให้ตื่นมาสมองโล่ง และสดชื่นค่ะ
                                4. ข้อปฎิบัติของคนที่ปวดไมเกรน ที่จะช่วยให้อาการปวดบรรเทาขึ้นได้เร็ว คือเมื่อเริ่มมีอาการปวดหัวให้เข้าห้องนอนพักทันที ปิดไฟ เพื่อไม่ให้แสงในห้องสว่างจ้า นอนสักพักอาการปวดหัวจะค่อยๆ บรรเทาลงจนเป็นปกติ
                                5. หากอยู่บ้าน คุณแม่อาจใช้วิธีประคบเย็น ด้วยผ้าขนหนูชุบน้ำเย็น หรือผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งก้อนเล็กๆ แล้วประคบตรงบริเวณศีรษะที่ปวดค่ะ
                                6. ที่สำคัญห้ามซื้อยาแก้ปวดศีรษะ และยาไมเกรนมารับประทานเองเด็ดขาดนะคะ ควรพบแพทย์เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสม และไม่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ค่ะ

                                การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงพร้อมอยู่ตลอดเวลา สามารถช่วยลดอาการเจ็บป่วยไม่สบายที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ได้นะคะ โดยเฉพาะการเป็นไมเกรนตอนท้อง ถ้าคุณแม่รู้เท่าทันสาเหตุ ก็สามารถป้องกัน และบรรเทาอาการได้ไม่ต้องกินยาให้เป็นอันตรายต่อทารกน้อยในครรภ์ค่ะ …ด้วยความห่วงใย

                                อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                8 อาการที่ทรมานกว่าตอน เจ็บท้องใกล้คลอด 

                                ครรภ์เป็นพิษ ภัยใกล้ตัว! อันตรายต่อคุณแม่และลูกในท้อง 

                                คนท้องยืนนานๆ กระทบลูกหรือไม่ เสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง?

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


                                ขอขอบคุณข้อมูลจาก : samitivejhospitals   ,   siphhospital   ,  paolohospital

                                  แอปติดตามโควิด

                                  แอปติดตามโควิด หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงปลอดภัยทั้งครอบครัว

                                  ในสถานการณ์แพร่กระจายเชื้อโควิด-19 แบบนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็น่าเป็นกังวลไปหมด เพราะกลัวว่าจะได้รับเชื้อเข้าไปทางการหายใจ คุณพ่อ คุณแม่ หลายคนจึงพยายามหลีกเลี่ยงการออกไปในที่ชุมชน แม่น้องเล็กมี แอปติดตามโควิด มาแนะนำเพื่อคอยติดตามสถานการณ์กันค่ะ

                                  Continue reading “แอปติดตามโควิด หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงปลอดภัยทั้งครอบครัว”

                                    เมนูอาหารblw

                                    แจก! 20 เมนูอาหารBLW สำหรับลูกวัย 6 เดือนขึ้นไป

                                    เมนูอาหารblw ฝึกลูกกินเอง กินแบบ blw จะต้องทำอาหารแบบไหน เมนู BLW 6 เดือน ทำอะไรให้ลูกกินดี ทีมแม่ ABK มีไอเดีย 20 เมนูอาหารblw มาฝาก! จัดเต็มเพื่อแม่และลูก

                                    รวม เมนูอาหารblw สำหรับลูกวัย 6 เดือนขึ้นไป!

                                    เมื่อลูกถึงวัย 6 เดือน ก็จะเริ่มหยิบจับของต่างๆ ได้ และมักเอาของเข้าปากตัวเอง ซึ่งตอนนี้คุณแม่ก็สามารถเริ่มให้ลูกกินอาหารเสริมได้นอกเหนือจากการกินนมแม่เพียงอย่างเดียวแล้ว และเพราะลูกจะต้องปรับตัวครั้งใหญ่กับการกินอาหารครั้งแรกในชีวิต ดังนั้นการเปิดโอกาสให้ลูกน้อยได้ทำความรู้จักกับสิ่งที่เขาต้องเอาเข้าปากผ่านการหยิบ ดม ชิม ไปจนถึงการ ฝึกลูกกินอาหาร ด้วยตัวเอง ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งการเรียนรู้ เพื่อเสริมพัฒนาการลูก ช่วยให้ลูกคุ้นเคยกับการกินได้ง่ายขึ้น การกินอาหารด้วยวิธี Baby Led Weaning หรือ การกินแบบ BLW จึงเป็นอีกทางเลือกที่พ่อแม่รุ่นใหม่กำลังให้ความสนใจ

                                    Must read >> รู้จัก BLW ฝึกลูกกินอาหารเอง หยิบเอง แม่ไม่ต้องป้อนตั้งแต่มื้อแรก

                                    การฝึกให้ลูกกินแบบ BLW คือ การให้ลูกกินอาหารเองได้ 100 % โดยไม่ต้องป้อน และไม่ใช่การกินอาหารที่ผ่านการบด ครูด หรือปั่นอย่างที่คุณแม่เคยรู้จัก แต่ เมนูอาหารblw เด็ก ๆ จะได้กินเหมือนกับพ่อแม่ เพียงแต่ไม่ปรุงรส และหั่นเป็นชิ้น เพื่อให้หยิบเข้าปากเอง พร้อมนั่งกินร่วมบนโต๊ะอาหารเดียวกัน

                                    เมนูอาหารblw

                                    ซึ่งการกินแบบ BLW คุณแม่สามารถจัดการอาหารให้ลูก โดยการหั่นอาหารให้ถูกวิธี และอาหารแต่ละอย่าง ทั้งผัก เนื้อสัตว์ ผลไม้ ก็จะมีการหั่นที่ไม่เหมือนกัน โดยสามารถดู การหั่นอาหาร blw หั่นแบบไหน ลูกกินแล้วไม่ติดคอ? ได้ที่นี่! นอกจากนี้คุณแม่ควรนำเสนออาหารให้ลูกให้ครบ 5 หมู่ ไม่จำเจเมนูใดเมนูหนึ่งจนเกินไป สำหรับไอเดีย การทำ เมนูอาหารblw คือ สมมุติว่าวันนี้คุณพ่อคุณแม่อยากกิน เมนู ผัดฟักทอง ขั้นตอนการทำ อาหารแบบ blw ให้ลูกด้วยคือ

                                    1. หั่นฟักทองให้ถูกสำหรับลูก (หั่นเป็นชิ้นแท่งเท่านิ้วชี้ จะช่วยให้หยิบจับง่ายขึ้นสำหรับเด็กที่เพิ่งเริ่มกิน)
                                    2. หากคุณพ่อคุณแม่ กินแบบหมูชิ้นก็ควรหั่นให้ถูก แต่ถ้าใช้หมูสับก็ยีๆ ผัดแบบเรากินได้เลย ไม่ต้องปั้นก้อน
                                    3. ผัดกระเทียมกับน้ำมันก่อน แล้วเอาฟักทองและหมูลงผัดให้สุก
                                    4. เติมน้ำซุปที่เราทำเองลงไป แล้วจึงใส่ไข่
                                    5. ตักของน้องขึ้นก่อน แล้วปรุงของผูใหญ่ลงไป
                                    6. เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยปกติ จะวางบนจาน หรือวางบนถาดก็ได้

                                    เมนูอาหารblw

                                    สุดท้ายคือเมื่ออาหารพร้อมแล้ว ก็จัดการนั่งลงกินข้าวพร้อมกันได้เลยค่ะ ดังนั้น หากถามว่าจะให้ลูกเริ่มกินอะไรดีในมื้อแรก หรือใน BLW คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องถามย้อนตัวเราเองว่า “วันนี้เราจะทำอะไรกินดีก่อน!?” เพราะ BLW = การกินอาหารครอบครัว

                                    Must read >> คัมภีร์ ตารางอาหารตามวัย สำหรับลูกน้อยในวัยขวบปีแรก

                                    แต่อย่างไรก็ดีหากคุณแม่สนใจจะฝึกให้ลูกกินแบบ BLW และยังนึกไม่นอกจริงๆ ว่าจะทำ เมนูอาหาร blw อะไรให้ลูกกินดี? ทีมแม่ ABK จึงมี ไอเดีย 20 เมนูอาหาร blw มาฝาก ซึ่งเมนูเหล่านี้ เป็นไอเดียจาก คุณแม่อีฟ จอมใจ ไตรพร เจ้าของเพจ กินพาเพลิน อาหารเด็ก 6 เดือน+ และคุณแม่ของน้องอิงฟ้า ซึ่งคุณแม่อีฟเป็นหนึ่งในแม่ยุคใหม่ที่สนใจเลี้ยงลูกแบบ BLW โดยทำ เมนูอาหารblw ให้น้องอิงฟ้ากินตั้งต่ที่น้องถึงวัย 6 เดือน คือเริ่มกินอาหารเสริมได้แล้ว จะมีเมนูอะไรบ้าง และแต่ละเมนูจะหน้าตาเป็นแบบไหน ตามไปดูกันเลย

                                    Must read >> แชร์ประสบการณ์แม่น้องอิงฟ้า หนูน้อย BLW ฝึกลูกกินเอง ตั้งแต่ 6 เดือน!

                                    ไอเีย เมนู BLW 6 เดือน
                                    4 เมนู blw มื้อแรก ง่ายๆ ของลูก

                                    เมนูอาหารblw

                                    เมนูอาหารblw

                                    เมนูอาหารblw

                                    เมนูอาหารblw

                                    ดูต่ออีก >> “16 เมนูอาหาร BLW สำหรับลูกวัย 6 เดือนขึ้นไป” คลิกหน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่