Page 183 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

แม่ให้นมกินทุเรียน

แม่ให้นมกินทุเรียน แล้วน้ำนมเหม็น ลูกเมินนมแม่! จริงมั้ย?

ทุเรียนที่ส่งกลิ่นยั่วยวน จัดเป็นผลไม้โปรดของใครหลาย ๆ คน และมีทั้งคนไม่ชอบเพราะกลิ่นเหม็นด้วยเช่นกัน สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนชอบรับประทานทุเรียนอยู่ก่อนแล้ว คงอดที่จะมีคำถามไม่ได้ว่า แม่ให้นมกินทุเรียน ได้มั้ย? กินแล้วจะส่งผลอะไรกับเบบี๋หรือเปล่า มาดูคำตอบกันค่ะ

แม่ให้นมกินทุเรียน แล้วน้ำนมเหม็น ลูกเมินนมแม่จริงหรือ?

แม่ลูกอ่อนกินทุเรียนได้ไหม
แม่ลูกอ่อนกินทุเรียนได้ไหม

ใช่ว่าทุเรียนจะเป็นผลไม้ที่ถึงขนาดห้ามแม่ลูกอ่อนไม่ให้กินตอนให้นมลูก ซึ่งจริง ๆ แล้วคุณแม่ให้นมสามารถกินทุเรียนได้ แต่ไม่ควรกินเยอะ เนื่องจากทุเรียนนั้นมีปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง โดยในทุเรียน 1 เม็ด (น้ำหนัก 40 กรัม) จะให้พลังงานประมาณ 50-60 แคลอรี่ ดังนั้นหากคุณแม่อยากกิน ควรกินในปริมาณที่ไม่เกินวันละ 1-2 พู และไม่ควรกินบ่อย ๆ ติดกันเป็นระยะนาน หรือนาน ๆ กินทีจะดีกว่า เพราะถ้ากินทุเรียนเยอะในขณะที่ให้นมลูกอยู่นั้น กลิ่นของทุเรียนที่คุณแม่กินไปจะออกมาทางน้ำนม ซึ่งอาจทำให้ทารกที่กินนมอยู่นั้นรับรู้กลิ่นทุเรียนผ่านนมแม่ได้ เด็กบางคนอาจจะไม่ชอบทำให้ลูกมีอาการงอแงไม่อยากดูดนมในรอบนั้นขึ้นมา หรือทารกบางคนที่กินนมแม่คลื่นไส้อาเจียนได้ ส่งผลให้ลูกไม่อยากดื่มนมแม่จากเต้า ทำให้การให้นมลูกยากขึ้น และได้ปริมาณสารอาหารจากนมแม่ในมื้อนั้นไม่เพียงพอ อีกกรณีหนึ่ง การกินทุเรียนทอดก็จะส่งผลให้ลูกที่กินนมแม่มีแผลร้อนในในปากได้ ซึ่งการกินของทอด ของหวานยังเป็นสาเหตุทำให้ท่อน้ำนมอุดตันได้ด้วย

นอกจากนี้ผลเสียจากการทุเรียนเยอะจะส่งผลอื่น ๆ ได้อีก เช่น

  • ผลจากการทุเรียนมากไป อาจทำให้ลูกถ่ายอุจจาระเป็นสีเหลือง หรือสีเขียว
  • ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไขมันและมีปริมาณน้ำตาลที่มีสูงมากกว่าผลไม้อื่น ๆ หากกินมากไปก็อาจไปเพิ่มให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาก เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นได้ด้วยส่งผลทำให้เป็นโรคอ้วนได้
  • ทุเรียนที่ผ่านการแปรรูปอื่น ๆ เช่น ทุเรียนกวน ทุเรียนทอด ที่ถึงแม้จะแปรรูป แต่หากทานมากเกินไปก็มีผลกระทบต่อลูกที่กินนมแม่ได้เช่นกัน

หลังคลอดลูกกินทุเรียน

ทั้งนี้ผลไม้อย่างทุเรียนที่เป็นของชอบของคุณแม่นั้น มีคุณค่าทางสารอาหารมากมาย ได้แก่ โฟเลต แคลเซียม วิตามิน ใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุ ฯลฯ การทานทุเรียนแต่พอดีในปริมาณที่เหมาะสม จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น

  • ช่วยบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำของคุณแม่และลูกน้อยให้ดีขึ้น
  • สารโฟเลต ช่วยป้องกันความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับระบบประสาท และยังช่วยสร้างและพัฒนาเซลล์สมองของเด็กได้ดี ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ได้
  • ในทุเรียนมีฟอสฟอรัส ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
  • ในทุเรียนมีวิตามินซีสูงมาก มีผลต่อการป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ อาทิ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนของเลือด
  • การกินทุเรียนครั้งละไม่เกิน 1-2 พู เมื่อทานเข้าไปในร่างกายจะเกิดการเผาผลาญด้วยความร้อนจากกำมะถัน จะช่วยเข้าไปเร่งการเผาผลาญภายในร่างกายได้
  • ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง

จะเห็นได้ว่าทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แต่หากรับประทานแต่พอดีแล้ว ลูกยังไม่กินนมแม่ คุณแม่ก็ควรที่จะงดกินทุเรียนในช่วงนี้ เพื่อให้ลูกได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ และหันมาลองเลือกรับประทานผลไม้อื่น ๆ ที่หลากหลาย และมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งแม่และลูก ซึ่งผลไม้ที่คุณแม่ควรกินระหว่างให้นมลูกที่จะช่วยผลิตน้ำนมได้ดี เช่น

ผลไม้เพิ่มน้ำนม

ผลไม้แม่ลูกอ่อน
ผลไม้แม่ลูกอ่อน

มะละกอ

ในมะละกอมีทั้งวิตามิน ไฟเบอร์ ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สำหรับคุณแม่ที่ให้นมควรเลือกกินมะละกอสุกหรือนำไปทำเป็นน้ำมะละกอปั่นดื่มกิน จะช่วยกระตุ้นในการผลิตน้ำนมให้มากขึ้น แถมยังมีเอนไซน์ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดีด้วยนะ

เมล็ดขนุนต้ม

สารอาหารในเมล็ดขนุน เช่น โปรตีน ไขมัน ธาตุเหล็ก คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส และวิตามินบี 1 มีส่วนช่วยกระตุ้นในการผลิตน้ำนม ทำให้น้ำนมมีมาก

อินทผลัม

อินทผลัม เป็นผลไม้ทีอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ทั้ง เบต้าแคโรทีน ลูติน และซีแซนทิน แคลเซียม ซัลเฟอร์ ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมงกานิส แมกนีเซียม และยังมีวิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน B6 วิตามิน K และไฟเบอร์ ซึ่งล้วนแต่จำเป็นต่อร่างกายมีประโยชน์สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ไปจนถึงคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมหลังคลอด อินทผลัมจะช่วยเพิ่มสารอาหารในน้ำนม และเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย ส่งต่อไปยังลูกน้อยที่กินนมแม่ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงด้วย

แก้วมังกร

แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ มีแร่ธาตุแมกนีเซียมแคลเซียม มีแคลอรี่ต่ำ แถมยังเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง ที่กินแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย ผิวพรรณ แถมยังช่วยรักษาหุ่นคุณแม่ได้เป็นอย่างดี และที่ดีต่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยแม่คือช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมให้กับคุณแม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

บทความแนะนำ : ผักผลไม้เพิ่มน้ำนม 20 ชนิด เพิ่มน้ำนมให้คุณแม่

แม่ลูกอ่อน กินผลไม้อะไรได้บ้าง

จะเห็นได้ว่านอกจากทุเรียนแล้วยังมีผลไม้หลากหลายที่มีประโยชน์แตกต่างกัน และสามารถเป็นตัวเลือกรับประทานในช่วงที่แม่ให้นมลูกได้ แต่ต้องเข้าใจว่าอะไรที่แม่ทานเข้าไปทารกก็จะได้รับสิ่งนั้นผ่านทางนมแม่ได้วยเช่นกัน ดังนั้นบางอย่างหากกินมากไปก็จะส่งเสียต่อตัวแม่และลูกด้วย นอกจากการรับประทานผลไม้แล้ว การกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ได้ออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะดีต่อสุขภาพของคุณแม่ และทำให้มีน้ำนมเพียงพอต่อลูกน้อยด้วยนะคะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.momandbaby.net

อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก : 

โภชนาการของ อาหารช่วงให้นมบุตร และผลกระทบต่อน้ำนม

วิธีรับมือสำหรับแม่ให้นม เมื่อลูกกลายเป็น เด็กแพ้อาหาร

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน

    อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน ด้วยพลัง”ผัก ผลไม้ 5 สี”

    อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน ที่กินแล้วช่วยให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรงขึ้น อยากรู้ไหมคะว่าควรจะต้องกินอะไรถึงจะทำให้สุขภาพแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันสามารถต้านทานกับเชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ได้ โดยเฉพาะไวรัสร้ายที่ทุกคนกำลังเผชิญกันอยู่ตอนนี้ อย่างไวรัสโควิด 19 (Covid-19) วันนี้ทีมแม่ABK มีมาแนะนำให้ค่ะ

     

    อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน สำคัญอย่างไร ?

    ก่อนที่ทีมแม่ABK จะพาไปดูว่ามี อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน อะไรบ้างที่ไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ก็รับประทานได้ในทุกวันนั้น เราต้องไปทำความรู้จักกับ “ภูมิคุ้มกัน” ในร่างกายของเรากันก่อนค่ะ

    ภูมิคุ้มกัน (immunity) คำนี้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เลยค่ะ และในเด็กเล็กๆ ตั้งแต่แรกคลอด คุณหมอจะบอกว่าคุณแม่ให้ลูกกินนมแม่ ลูกจะได้รับสารภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ ซึ่งสารภูมิคุ้มกันที่ว่าเนี่ยมีส่วนสำคัญมากๆ ในการช่วยปกป้องไม่ให้ร่างกายของลูกเจ็บป่วยง่ายนั่นเองค่ะ ถ้าจะอธิบายให้ลึกเข้าไปอีกนิด ภูมิคุ้มกัน (immunity) ก็คือ กลไกของร่างกายที่ต้านทานต่อโรคใดโรคหนึ่ง โดยภูมิคุ้มกันอาจเกิดเพียงชั่วคราวหรือตลอดไป

    สำหรับ “ภูมิคุ้มกัน” โดยธรรมชาติของร่างกายจะมีอยู่ด้วยแล้วส่วนหนึ่ง นั่นก็คือ “เม็ดเลือดขาว” ที่เป็นเหมือนองครักษ์คอยสอดส่องดูว่ามีเชื้อโรค หรือสารพิษอะไรเข้าสู่ร่างกายหรือไม่ ถ้ามีก็จะต่อสู้และกำจัดออกไป แต่โดยธรรมชาติของร่างกายกระบวนการการสร้างเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดงก็จะต้องให้สมดุลกันค่ะ ถ้ามีเม็ดเลือดขาวมากกว่าเม็ดเลือดแดง ก็ไม่ดีต่อร่างกายได้เช่นกันค่ะ

    ถามว่าแล้วร่างกายจะได้ภูมิคุ้มกันจากที่ไหนอีก นอกเหนือจากที่มีอยู่ในร่างกายแล้วส่วนหนึ่ง เท่าที่รู้มานะคะ ภูมิคุ้มกันที่ อยู่ในร่างกายเมื่อถูกใช้ไปก็มีวันหรึกหรอ ลดน้อยลงได้ค่ะ จะสังเกตได้จากการที่เจ็บป่วย ไม่สบายบ่อยๆ เช่น เป็นหวัด  ปวดหัว ตัวร้อน หรือถ้าหนักหน่อยก็เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ ภูมิแพ้อากาศ ภูมิแพ้อาหาร ฯลฯ  ฉะนั้นนะคะ เราจะต้องเติมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็จะได้จาก…

    1. น้ำนมแม่ แนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดไปจนอย่างน้อยถึง 6 เดือน ในน้ำนมแม่มีสารภูมิคุ้มกันที่ เข้มข้น มีประโยชน์ดีต่อร่างกายลูกมากๆ ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆ และสาร ภูมิคุ้มกันที่ลูกได้รับจากน้ำนมแม่ ยังจะอยู่กับลูกไปจนโตเลยค่ะ
    2. วัคซีน ทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนกันมาตั้งแต่เป็นทารกน้อย และได้รับวัคซีนต่อเนื่องกันมาตามช่วงวัย พัฒนาการ และพอโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เช่น วัคซีนไข่หวัดใหญ่(ฉีดทุกปี) , วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี , วัคซีน HPV(สำหรับผู้หญิง) ฯลฯ
    3. ออกกำลังกาย การที่ร่างกายได้ออกกายบริหารอยู่อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ดี มากๆ เมื่อร่างกายแข็งแรง ก็จะลดอัตราเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยลงได้ค่ะ
    4. นอนหลับ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไปให้ กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น
    5. อาหาร คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง การกินอาหารที่มีประโยชน์ครบหลักอาหาร 5 หมู่ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา

    ถ้าเด็กๆ และผู้ใหญ่ ทุกคนมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง รับรองว่าจะไม่เจ็บป่วย ไม่สบายบ่อยๆ อย่างแน่นอน ที่สำคัญเมื่อภูมิในร่างกายแข็งแรง ก็จะสามารถช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ไม่ให้มาทำลายสุขภาพให้แย่ได้ค่ะ โดยเฉพาะไวรัสร้าย Covid-19 โรคภัยสมัยนี้รุนแรง และน่ากลัวขึ้นทุกวัน ก็ต้องหันมาดูแลสุขภาพกันให้มากขึ้นนะคะ เพื่อจะได้อยู่กับคนที่รักไปนานๆ ค่ะ

    สำหรับอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทีมแม่ABK แนะนำให้รับประทานผัก ผลไม้ 5 สี เพื่อที่ร่างกายจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราได้ค่ะ

    อ่านต่อ ผัก ผลไม้ 5 สี อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านโควิด 19 คลิกหน้า 2

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      คู่มือป้องกันโรคโควิด

      จีนออก คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 (ฉบับภาษาไทย) ต้องทำยังไงเพื่อให้รอดจากเชื้อไวรัสโคโรน่า

      จีนรอด..เราก็ต้องรอด เผย!! คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 ของจีน เวอร์ชั่นภาษาไทย จะมีวิธีรับมือและดูแลป้องกันตัวเองให้รอดจากเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ยังไงบ้าง ตามมาดูกันเลย

      จีนออก “คู่มือป้องกันโรคโควิด 19” ฉบับภาษาไทย
      จัดทำโดย มหาวิทยาลัยการแพทย์คุนหมิง

      ช่วงที่ประเทศไทยตอนนี้กำลังเกิดการแพร่เชื้อโควิด-19 อย่างหนัก เนื่องจากมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 100+ ทุกวัน ซึ่งทางทีมแม่ ABK ก็ได้เกาะติดสถานการณ์อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด พร้อมหาข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการรับมือกับเจ้าเชื้อไวรัสโคโรน่านี้

      ซึ่งล่าสุดก็ไปเจอข้อมูลจาก เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ที่ได้แชร์ หนังสือวิธีป้องกัน covid-19 จัดทำโดย มหาลัยวิทยาลัยแพทย์คุนหมิง ประเทศจีน เป็น คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 ฉบับภาษาไทย โดยภายในเล่มเป็นความรู้เกี่ยวกับ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 การดูแลป้องกันตัวเองทั้งเมื่ออยู่ในบ้านและเมื่ออกนอกบ้าน รวมไปถึงวิธีเพิ่มภูมิคุ้มกัน ด้วยการรับประทานอาหารอะไรที่มีประโยชน์ ซึ่งในคู่มือได้มีการอธิบายเอาไว้อย่างครบถ้วน

      ดังนั้นทางทีมแม่ ABK จึงได้สรุปข้อมูลจาก คู่มือป้องกัน covid-19 ออกมาให้อ่านถึงวิธีดูแลตัวเองและการเพิ่มภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันตัวเองและลูกน้อย ให้รอดจากเชื้อไวรัสโคโรน่า มาฝาก ตามมาดูกันเลย…

      โควิด 19 อาการ เป็นอย่างไร ควรไปพบแพทย์ตอนไหน?

      ซึ่งก่อนที่จะไปดูวิธีการป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัสโควิด-19 คุณพ่อคุณแม่ควรรู้จักอาการของโรคนี้ก่อน เพื่อจะได้สังเกตตัวเองเป็น โดยเบื้องต้นหากมีไข้ (อุณหภูมิใต้รักแร้ ≥ 37.3°C) ไม่มีเรี่ยวแรง ไอแห้ง อาการเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถยืนยันว่าได้รับเชื้อมาแล้ว แต่หากมีอาการเหล่านี้ปรากฎขึ้นหลังไปในอยู่ในพื้นที่เสี่ยง …

      1. โดยก่อนหน้าที่จะแสดงอาการป่วย 14 วัน มีประวัติการเดินทางท่องเที่ยวหรือพักอาศัยในบริเวณที่เกิดการแพร่ระบาดของโรค
      2. ก่อนหน้าที่จะแสดงอาการป่วย 14 วัน ได้มีการใกล้ชิดหรือสัมผัสกบผู้ป่วยโรคโควิด-19 (ได้รับการยืนยันจากการตรวจสอบกรดนิวคลีอิกที่ให้ผลเป็นบวก)
      3. ก่อนหน้าที่จะแสดงอาการป่วย 14 วัน มีการใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ที่เดินทางมาจากแหล่งแพร่ระบาดของโรค
      4. มีการไปรวมกลุ่มชุมนุม (ภายในระยะเวลา 14 ได้ไปหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่พบผู้ป่วยมากกวา 2 คนขึ้นไปที่มีไข้และโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ที่บ้าน สํานักงาน ห้องเรียน เป็นต้น )

      จากที่กล่าวมาหากตัวเองหรือคนในบ้านมีอาการ ให้รีบแจ้งคนในครอบครัว และรักษาระยะห่าง พร้อมสวมใส่หน้ากากอนามัย แล้วรีบไปโรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยทันที

       

      Must read >> เด็กติดโควิด-19 เพิ่ม เตือนพ่อแม่ระวัง อย่าพาเชื้อเข้าบ้าน

       

      เชื้อโรคโควิด-19 ชอบคนประเภทไหน!

      ใน คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 ฉบับภาษาไทย จากประเทศจีน เล่มนี้ได้บอกไว้ว่า ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ทั้งนั้น แต่คนที่สุขภาพดี มีภูมิต้านทานแข็งแรง ออกกําลังกายสม่ำเสมอ มีจิตใจเบิกบาน โอกาสที่จะถูกแพร่เชื้ออาจจะค่อนข้างน้อย แต่คนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ เช่น คนแก่และเด็กน้อย ตลอดจนคนที่มักจะป่วยง่าย ก็มีโอกาสที่จะได้รับการแพร่เชื้อค่อนข้างสูง และมีอาการป่วยกจะค่อนข้างหนัก

      7 วิธีป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่ออยู่ที่บ้าน (แนะนำโดย คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 ฉบับภาษาไทย จากประเทศจีน)

      1. ล้างมือบ่อยๆ คือต้องล้างมือให้สะอาดโดยทันที หลังเมื่อกลับมาจากการออกไปนอกบ้าน , ก่อนและหลังรับประทานอาหาร , หลังจากไอหรือจาม , หลังจากเข้าห้องน้ำ , หลังจากสัมผัสกับสัตว์และจัดการกับอุจจาระ

      คู่มือป้องกันโรคโควิด
      ขั้นตอนการล้างมือ ภาพจาก คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 (ฉบับภาษาไทย)

      2. ทำให้บ้านมีอากาศถ่ายเทสะดวก โดยเปิดหน้าต่างภายในห้องทุกวัน เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศอยู่เสมอ

      3. ฆ่าเชื้อบ่อยๆ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ในบ้าน ถูพื้นบ่อยๆ โดยจะต้องทำความสะอาดทุกวันเป็นประจํา และหากมีแขกมาบ้าน ต้องรีบทําการฆ่าเชื้อสิ่งของต่างๆในบ้านโดยทันที และหากซักผ้าต้องผสมน้ำยาฆ่าเชื้อลงไปด้วยจะยิ่งดี

      4. มีมารยาทในการจามและไอ คนในบ้านใช้กระดาษทิชชู่ หรือข้อศอกปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย ทุกครั้งขณะไอหรือจาม เช่นนนี้แล้วไวรัสก็จะไม่สามารถแพร่กระจายออกมาได้ ไม่ว่าคุณจะป่วยหรือไม่ก็ตาม

      คู่มือป้องกันโรคโควิด

      5. ใช้ชีวิตประจําวันตามปกติ และออกกําลังกายอย่างเหมาะสมที่บ้าน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเพื่อนบ้านของคุณ

      6. ตรวจเช็คสุขภาพประจําวันของคุณและครอบครัว เมื่อพบว่าตนเองหรือคนในครอบครัวมีอาการป่วยดังนี้ ควรจะทําการกักตัว และไปพบแพทย์เพื่อรับความช่วยเหลือโดยทันที อาการที่เข้าข่ายต้องสงสัยว่าติดเชื้อ จะรวมถึง ตัวร้อน เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ แน่นหน้าอก หายใจลําบาก เบื่ออาหาร ไม่มีแรง ซึม คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาแดง ปวดตามข้อหรือปวดกล้ามเนื้อบริเวณเอวและหลัง เป็นต้น

      Must read >> รีวิว ปรอทวัดไข้ อุณหภูมิเท่าไหร่? แปลว่า ลูกมีไข้ กันแน่!

      7. เตรียมพร้อมในการป้องกันครอบครัว

      • เมื่อตนเองหรือคนในครอบครัวออกไปข้างนอก จะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยสวมใส่หน้ากากอนามัย ละอองเชื้อโรคก็จะถูกปิดกันโดยหน้ากากอนามัย ไม่สามารถปลิวเข้าปากและจมูกของผู้คนได้

      • หากพบว่าคนในครอบครัวแสดงพฤติกรรมที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น การบ้วนน้ำลายหรือเสมหะลงบนพื้น เป็นต้น ให้ทําการห้ามและตักเตือนโดยทันที

      • หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็ นบุคลากรทางการแพทย์ จะต้องเตือนให้เพิ่มความระมัดระวังในการดูแลตนเองให้มากขึ้น

       

      อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

       

      อ่านต่อ >> วิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า
      เมื่อต้องออกนอกบ้าน” คลิกหน้า 2

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        11 งานบ้านทำเพลินแถม เบิร์นรัวๆ เผาผลาญไขมันแบบไม่ต้องไปฟิตเนส

        ในเมื่อต้องอยู่บ้านกันแบบยาว ๆ สำหรับคุณแม่บ้านหรือพ่อบ้านสายฟิตเนสคงจะอึดอัดไม่น้อยที่ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่รู้มั้ยคะ งานบ้านหลายอย่างภายในบ้านช่วย เบิร์นไขมัน ทำงานบ้านหนึ่งครั้งก็ช่วยให้คุณแม่ได้เผาผลาญแคลอรี่ พอ ๆ กับการเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายเลยนะ นี่คืองานบ้านที่ช่วยให้คุณแม่ได้บ้านเนี๊ยบและหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม มีอะไรบ้างไปดูกันเลย

        11 งานบ้านทำเพลินแถม เบิร์นรัวๆ เผาผลาญไขมันแบบไม่ต้องไปฟิตเนส

        1.ขัดห้องน้ำ

        การขัดห้องน้ำคล้าย ๆ กับการอยู่ในห้องอบซาวน่าที่จะช่วยให้คุณแม่ได้เหงื่อและออกกำลังช่วงแขน ช่วยกระชับกล้ามเนื้อแขนและหัวไหล่ได้เป็นอย่างดี การขัด ๆ ถู ๆ ขจัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ตามโถส้วม อ่างล้างหน้า อ่างอาบหน้า และบริเวณพื้นห้องน้ำ ถ้าใช้เวลาออกแรงประมาณ 15 นาที จะสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้สูงสุดถึง 100 แคลอรี่ เท่ากับการสก็อตจั๊มพ์ 30 ครั้ง แต่ถ้าใช้เวลาขัด/ล้างห้องประมาณ 1 ชั่วโมง จะเผาผลาญพลังงานไปได้ถึง 190-240 แคลลอรี่เชียวค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและการออกแรงด้วย หลังจากได้เบิร์นแล้วคุณแม่ยังได้ห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมห้องสมใจด้วย

        2.ทำความสะอาดหน้าต่าง

        สำหรับบ้านที่มีหน้าต่างหลายบาน และบานใหญ่ งานบ้านข้อนี้คงถูกใจคุณแม่สบายเบิร์นไม่น้อย เพราะการเช็ดทำความสะอาดกระจกหน้าต่างให้ครบทุกบาน เช็ดขัดถูให้สะอาดใสเพื่อความสวยงาม ประมาณ 30 นาทีก็ช่วยสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ 150 แคลอรี่ แต่ถ้าทำเช็ดถึงหนึ่งชั่วโมงก็สามารถเบิร์นพลังงานได้ถึง 334 แคลอรี่ พอ ๆ กับการวิดพื้นถึง 40 ครั้ง ยิ่งถ้าต้องมีการปีนป่ายหรือต่อเก้าอี้เพื่อเช็ด ก็จะยิ่งใช้พลังงานมากขึ้น เรียกว่าช่วยฟิตหุ่น ออกกำลังกายไปในตัวได้ดีทีเดียวค่ะ

        3. ล้างจาน

        รู้มั้ยคะ งานล้างจานที่เรียกว่าเป็นกิจวัตรปกติของคุณแม่ แม้จะไม่มีการขยับเคลื่อนไหวของร่างกายเท่าไหร่ แต่แค่การยืนล้างจานเพียง 15 นาทีต่อวันก็ช่วยให้แม่เผาผลาญได้ถึง 102 – 122 แคลอรี่ เทียบเท่ากับการเดินประมาณ 15 นาที และถ้ามีจานชามในมื้อใหญ่ ๆ ให้ล้างเยอะ มีคราบจานที่สกปรกมาก ๆ หรือล้างกระทะ ขัดหม้อ ที่ทำให้แม่ต้องออกแรงล้างมากกว่าปกติ ก็อาจเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ถึง 126 แคลอรี่ มิน่าแม่บ้านที่ล้างจานบ่อย ๆ เลยหุ่นดีแบบนี้นี่เอง

        เบิร์นไขมันออก

        4. รีดผ้า

        การใช้เวลารีดผ้าประมาณ 30 – 45 นาที ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ออกแรงไม่มาก แต่ช่วยกระชับต้นแขนได้พอ ๆ กับการซักผ้าด้วยมือ แถมยังช่วยคุณแม่เผาผลาญพลังงานได้ถึง 80-157 กิโลแคลอรี่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของเตารีด ประมาณของจำนวนผ้าที่รีด รวมถึงปัจจัยอื่นประกอบด้วย และถ้าใช้เวลารีดผ้าอย่างน้อยเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็จะสามารถเผาผลาญได้ 420 แคลอรี่ เทียบเท่าการเข้าคลาสซุมบ้าในฟิตเนสได้เลยค่ะ ยิ่งถ้าคุณแม่ยืนรีดผ้าเป็นเวลานาน ๆ ก็จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญให้มากขึ้นได้ เนื่องจากการใช้แรงกดไปบนผ้า นอกจากนี้การสลับแขนในระหว่างรีดผ้าซ้ายขวา จะเป็นการเพิ่มกล้ามเนื้อให้บาลานซ์กันทั้งสองข้างด้วยนะคะ

        5.ล้างรถ

        ไม่ต้องง้อคุณพ่อให้มาช่วยล้างรถกันเลยทีเดียว ถ้าคุณแม่รู้ว่าการล้างรถประมาณ 30 นาทีนั้นช่วยเผาผลาญได้ถึง 135-150 แคลอรี่ แถมยังดูเหมือนว่าการล้างรถนั้นช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อแขนขาได้ดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเขย่งเท้าไปล้างหลังคารถ ซึ่งช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อบริเวณน่อง และการย่อลงมาล้างล้อรถก็เหมือนกับการออกกำลังกายในท่าสควอช การออกแรงขัดล้างรถช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อแขน การล้างรถด้วยตัวเองดีแบบนี้นี่เอง

         

        อ่านต่อ 11  งานบ้านช่วยเผาผลาญไขมัน ไม่ง้อฟิตเนส คลิกหน้า 2

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          วาโก้เดินหน้าผลิตหน้ากากอนามัยแจกฟรี จับมือคนไทยผ่านวิกฤติ โควิด-19

          บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ลดความเสี่ยงตามแนวทางการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นอกจากจะมีมาตรการดูแล เฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด   โควิด-19 ภายในองค์กรเพื่อความปลอดภัยของพนักงานและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อแล้ว นโยบายเร่งด่วนของวาโก้คือการหยุดผลิตชุดชั้นใน เพื่อหันมาผลิตหน้ากากอนามัยจากผ้าสเปเซอร์แจกฟรี สู้ภัยโควิด-19 อย่างจริงจังและจริงใจ

          นายบุญดี อำนวยสกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “วาโก้มีมาตรกรป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตั้งแต่ระยะแรก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในองค์กร และเป็นที่ทราบกันดีว่าวาโก้คือผู้ผลิตชุดชั้นในและเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้หญิงไทย ในวันนี้ที่      คนไทยต้องเจอกับการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เราไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสู้วิกฤตินี้ ร่วมกับคนไทยทุกคน จึงมีนโยบายเร่งด่วนให้หยุดการผลิตชุดชั้นใน เพื่อหันมาผลิตหน้ากากอนามัยจากผ้าสเปเซอร์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบใหม่ของส่วนประกอบของชุดชั้นใน เป็นการนำวัตถุดิบที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื้อผ้าผลิตจากเส้นใย Nylon ขนาดเล็กระดับ Microfiber มีความละเอียดสูง อีกทั้งมีส่วนผสมของ Spandex Melt หลอมละลายยึดติดเข้ากับโครงสร้างผ้า ซึ่งถักแบบ 2 ชั้น (Interlock Knit) ด้วยเครื่องถักที่มีความหนาแน่นสูง ทำให้ผ้ามีความอ่อนนุ่ม ไม่รุ่ย ไม่รัน ไม่ม้วน ยืดหยุ่นตัวดี กระชับเข้ากับรูปหน้าเมื่อสวมใส่ เนื้อผ้าผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากสีและสารเคมีอันตราย มอก.2346:2550 และผ่านการทดสอบการผ่านของอากาศ (Air Permeability Test) เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานผ้าสำหรับทำหน้ากากอนามัย ตามที่สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอกำหนด ซึ่งได้ค่า 7.5 cm3/cm2/sec. จึงมีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่น PM 2.5 และยังช่วยป้องกันการกระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถซักทำความสะอาดและนำกลับมาใช้ซ้ำได้ตลอดอายุการใช้งาน ช่วยลดขยะชุมชน ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม

          ในเฟสแรกวาโก้ได้ผลิตหน้ากากผ้าสเปเซอร์มอบให้พนักงานวาโก้ฯ จำนวน 5,000 ชิ้น และองค์กรอื่นๆ อาทิ กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งต่อให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จำนวน 3,000 ชิ้น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จำนวน 1,000 ชิ้น เพื่อใช้ในการดำเนินงานของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ และอื่นๆ ตามที่ได้มีการขอมา รวมกว่า 15,000 ชิ้น ในขณะนี้ได้สั่งนำเข้าผ้าสเปเซอร์จากต่างประเทศ เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยโดยเฉพาะ พร้อมเร่งการผลิตเพื่อให้ทันแจกประชาชนในช่วงที่มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่องตั้งเป้า 52,000 ชิ้น ในเร็วๆ นี้ 

          นอกจากหน้ากากอนามัยแบบผ้าสเปเซอร์แล้ว วาโก้ยังมอบหน้ากากอนามัยผ้าฝ้าย (Cotton) ให้ประชาชนโดยรอบบริษัทฯวาโก้ จำนวน 1,500 ชิ้น และหน้ากากอนามัยกระดาษให้กับประชาชนทั่วไป จำนวน 30,000 ชิ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าจากสถานการณ์นี้ส่งผลค่าถึงครองชีพของผู้มีรายได้น้อย       เพราะหน้ากากอนามัยทุกชนิดมีราคาค่อนข้างสูงและหาซื้อได้ยาก หากเป็นเนื้อผ้าสเปเซอร์หรือเนื้อผ้าคล้ายกันที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดก็ราคาประมาณชิ้นละ 120 บาท เพราะวาโก้รู้ซึ้งว่าเงินทุกบาทมีค่า จึงขอแบ่งเบาภาระนี้และจับมือผ่านวิกฤติโควิดไปด้วยกัน” นายบุญดี กล่าวทิ้งท้าย

            Tags

            วิธีป้องกัน covid 19

            กรมอนามัยแนะแม่ท้อง 9 วิธีป้องกัน covid 19 ให้ปลอดภัยทั้งแม่ลูก

            กรมอนามัยแนะ การดูแล และ วิธีป้องกัน covid 19 สำหรับแม่ท้อง แม่หลังคลอดและทารกแรกเกิด โดยเฉพาะ เพื่อให้ปลอดภัยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19

            กรมอนามัยแนะแม่ท้อง แม่ลูกอ่อน
            9
            วิธีป้องกัน covid 19 ให้ปลอดภัยทั้งแม่ลูก

            ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ COVID-19 ที่ตอนนี้มียอดผู้ติดเชื้อในไทยสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเฉลี่ยประมาณวันละ 100+ คน จึงทำให้หลายคนกังวลใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกเล็ก หรือมีคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เพราะลำพังตัวเองก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว แต่สำหรับคุณแม่ท้องก็อาจยิ่งมีอาการจิตตกแบบเท่าตัว เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องรับผิดชอบอยู่ในครรภ์

            Must read >> เผย “ความในใจคนเป็นแม่” หลัง ลิเดียติดเชื้อไวรัสโควิด-19

            ซึ่งหากคุณแม่ท้องไม่อยากเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 หรือเครียดหนักจากข้อมูลผิด ๆ ทีมแม่ ABK มีข้อมูลและ วิธีป้องกัน covid 19 จากทางกรมกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มาแนะนำ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะมีวิธีดูแลแม่ท้อง แม่หลังคลอด และทารกแรกเกิด อย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

            Q: แม่ท้องสามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปยังลูกในครรภ์ได้หรือไม่?

            เรียกได้ว่าเป็นคำถามแรกที่คาใจของแม่ท้องหลายคน ซึ่งแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นบุคคลที่ไปในพื้นที่เสี่ยง และยังไม่ติดเชื้อโควิด19 ก็ตาม แต่สิ่งที่กังวลใจมาก่อนอันดับแรก คือ ถ้าตัวเองได้รับเชื้อ ไวรัสโคโรน่า หรือโควิด-19 (Covid-19) แล้ว ลูกในท้องจะติดด้วยหรือไม่  ?

            ซึ่งเรื่องนี้ก็มีข้อมูลจากศูนย์ภูมิต้านทาน และระบบทางเดินหายใจแห่งชาติ (National Center for Immunization and Respiratory Diseases หรือ NCIRD) และกองโรคแพร่ระบาดของสหรัฐ (Division of Viral Diseases) ระบุว่า… ไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ยังถือเป็นโรคใหม่ที่ยังมีข้อมูลในเรื่องของความเสี่ยงในการติดเชื้อค่อนข้างน้อยอยู่ ดังนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ 100% ว่าผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสมากไปกว่าคนทั่วไป หรือ หากคุณแม่ท้องติดเชื้อแล้วจะมีความเสี่ยงแท้ง ลูกมีความผิดปกติ ลูกติดเชื้อไวรัสไปด้วย หรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพที่แตกต่างไปจากคนปกติทั่วไปอย่างไรหรือไม่

            ซึ่งก็ข้อมูลจากสถิติในผู้ป่วยในเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน แจ้งว่า มีหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ จำนวน 9 ราย ที่ได้รับรายงานมา ซึ่งทั้งหมดนั้น ไม่มีรายงานว่าเชื้อไวรัสจากแม่ท้องเหล่านี้ ถูกส่งผ่านไปยังทารกในครรภ์ หรืออาจบอกได้ว่า น้ำคร่ำ น้ำนม และ เลือดสายสะดือ ไม่ได้เป็นสื่อที่สามารถส่งผ่านเชื้อ ไวรัสโคโรน่า หรือโควิด-19 (Covid-19) ได้ 

            ทั้งนี้ในกรณีข่าวของเด็กทารกแรกเกิดคนหนึ่ง ที่มีผลเลือดเป็นบวก เพียง 30 ชั่วโมง หลังจากคลอดเท่านั้น นั่นก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เชื้อสามารถส่งผ่าน จากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ … แต่อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ 100% แต่ยังจากสถิติยังไม่มีทารกที่ถูกระบุว่าติดโควิด-19 จากใครในท้องแม่

            วิธีป้องกัน covid 19

            Q: แม่ท้องควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อป้องกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19?

            การดูแล และ วิธีป้องกัน covid 19 สำหรับแม่ท้อง และแม่หลังคลอด (กลุ่มปกติ) โดยกลุ่มปกติ ในที่นี้คือ กลุ่มที่ไม่ได้ติดเชื้อ ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 ให้ใช้หลักการป้องกัน 3 ล. (เลี่ยง ลด ดูแลตนเอง) อย่างเคร่งครัด โดย

            1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไอ เป็นไข้ หรือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือรวมกลุ่มกันจำนวนมาก
            2. รักษาระยะห่าง ในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นด้วยการอยู่ห่างกัน 1 – 2 เมตร
            3. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา ปาก และจมูก
            4. กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ หรือปรุงอาหารให้สุกร้อนทั่วถึง
            5. หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะรับประทานอาหารและของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
            6. หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดนานอย่างน้อย 20 วินาที ทุกครั้งที่มีการไอจาม สัมผัสสิ่งแปลกปลอม ก่อนกินอาหาร หรือออกจากห้องน้ำ หากไม่มีสบู่ ให้ใช้ Alcohol gel 70%
            7. ในขณะไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ถ้ามีอาการไอ จาม ให้ใช้ต้นแขนด้านบนปิดปากทุกครั้ง
            8. คุณแม่ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากมีอาการป่วย เล็กน้อย ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ถ้ามีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจเหนื่อย ควรรีบไปพบแพทย์
            9. คุณแม่ท้องสามารถฝากครรภ์ได้ตามนัด

             

            อ่านต่อ >> “การดูแลแม่ท้องและแม่หลังคลอด
            ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19
            ” คลิกหน้า 2

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

              รวมสุดยอด นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก นมดีสำหรับเด็กเจ็นฯ นี้ “ดูแลสายตา บำรุงสมอง” ลูกกินได้ทุกวัน

              เมื่อลูกน้อยเริ่มเข้าสู่วัยแห่งการเรียนรู้ตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่อย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสม ตามวัย นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องดื่มนมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีพัฒนาการการเจริญเติบโตที่สมวัย ซึ่งเด็ก วัย 1 ขวบ++ คุณแม่ควรเริ่มให้ลูกได้ดื่มนมกล่อง UHT สำหรับเด็กกันค่ะ   

              นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก ดูแลสายตา บำรุงสมอง

              และเพื่อให้คุณแม่มีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกนมกล่อง UHT กล่องแรกให้ลูก มาดูกันค่ะว่ามีนมกล่อง UHT สำหรับเด็ก   ยี่ห้อไหนที่ดีต่อพัฒนาการของลูก ทั้งในเรื่องการบำรุงสายตา และบำรุงสมองที่อยู่วัยกำลังโตบ้าง สำหรับนมกล่องสำหรับเด็ก ที่คุณแม่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเลือกให้ลูกดื่ม ก็จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ  

              • ส่งเสริมพัฒนาการด้านการมองเห็น   

              คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมคะว่า สมองของลูกจะเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่า 80% เกิดมาจากการมองเห็นที่ดีของ “ดวงตา” เพราะ 1 ใน 3 ของเซลล์สมองจะถูกเชื่อมโยงเข้ากับดวงตา ฉะนั้นถ้าคุณภาพดวงตาดี ก็จะมองเห็นได้ดี ก็จะส่งผลให้สมองเกิดการเรียนรู้ จดจำได้อย่างแม่นยำมีประสิทธิภาพนั่นเองค่ะ 

              การมองเห็นที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่มีศักยภาพค่ะ ซึ่งโภชนาการสารอาหารที่ดีต่อการดูแลสายตาของลูกในช่วงวัยกำลังโต สนุกกับการเรียนรู้ต้องเป็นสารอาหารจำพวกวิตามินเอ และลูทีน ยิ่งถ้าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติยิ่งดีค่ะ

              • ส่งเสริมพัฒนาการด้านสมอง สติปัญญา   

              เมื่อสายตาเป็นด่านแรกของการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ  ส่งผลให้เกิดการสื่อสารไปยังสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่าง ๆ อย่างสมวัย สารอาหารที่ดีต่อสมองของเด็ก ๆ ควรเป็นสารอาหารจำพวก โอเมก้า 3 6 9  ทอรีน โคลีน ดีเอชเอ ไอโอดีน เหล็ก สังกะสี วิตามินบี 12   

              • ส่งเสริมพัฒนาการการเจริญเติบโต 

              สายตาดี สมองดี ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยบ่อย ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการการเจริญเติบโตตามช่วงวัยที่ดีค่ะ และยิ่งคุณแม่ดูแลอาหารการกินให้ลูกเหมาะสมตามวัย ได้รับในปริมาณที่เพียงพอครบ 5 หมู่ ก็จะยิ่งช่วยให้ลูก ๆ เติบโตได้ดียิ่งขึ้น สำหรับสารอาหารที่ดีต่อการเจริญเติบโตของลูก จะเป็นสารอาหารจำพวก แคลเซียม ซึ่งควรกินควบคู่กับ วิตามินดี เพื่อเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม และสารอาหารอื่น ๆ อย่าง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส ไขมัน เป็นต้น

              • ส่งเสริมพัฒนาการด้านภูมิคุ้มกัน 

              ร่างกายที่แข็งแรงของลูกต้องมาจากภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดี เพราะจะช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยลงได้ค่ะ ดังนั้นในทุก ๆ วันคุณแม่ควรดูแลสุขภาพร่างกายลูกให้มีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลานะคะ สำหรับสารอาหารที่ช่วยบำรุงกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มให้กับร่างกายจะเป็นสารอาหารจำพวกวิตามินและแร่ธาตุ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี เหล็ก สังกะสี เป็นต้น 

              สารอาหารแต่ละชนิดจะให้ประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย ทำหน้าที่แตกต่างกันไปค่ะ ทีนี้ไปดูกันต่อค่ะมีนมกล่องสำหรับเด็กยี่ห้อไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของสายตาสำหรับเด็กเจ็นฯ นี้ที่เลี่ยงไม่ได้กับการใช้งานสมาร์ทโฟน และสมองที่ฉลาดเปิดรับการเรียนรู้ พร้อมรับมือสถานการณ์โลกในทุกวัน

              ให้ลูกดื่ม “นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก ” ยี่ห้อไหนดีนะ ? 

              จริง ๆ นมกล่องสำหรับเด็กมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อเลยค่ะ แต่วันนี้เราคัดมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ดูให้รู้กันว่านมกล่องยี่แต่ละห้อมีสารอาหารอะไรบ้าง โดยเฉพาะสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา บำรุงสมองของเด็ก ๆ  ต้องไม่พลาดนมกล่อง UHT สำหรับเด็กทั้ง 5 ยี่ห้อนี้ ได้แก่ ดัชมิลล์ เจ็นไอ วีคิวพลัส, โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369, โฟร์โมสต์ โอเมก้า โกลด์, ไฮคิว 3 พลัส, เอนฟาโกร เอพลัส สูตร 4 และดูเม็กซ์ ดูโกร

              พอแยกสารอาหารให้ดูกันแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่จะเห็นว่ามีปริมาณสารอาหารแต่ละชนิดที่แตกต่าง ลดหลั่นกันไปค่ะ  สำหรับนมกล่อง UHT สำหรับเด็กทั้ง 5 ยี่ห้อนี้ เป็นนมที่มีสารอาหารครอบคลุมทั้งในเรื่องการเจริญเติบโต ส่งเสริม ภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตาและสมอง แต่ถ้าถามว่านมกล่องยี่ห้อไหนมีความโดดเด่นในเรื่องสารอาหารอะไรบ้าง มาสรุปพร้อมกันค่ะ

              ดัชมิลล์ เจ็นไอ วีคิวพลัส

              นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

               

              เด่นในเรื่องสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการด้านสายตา และสมอง มีสารอาหารอย่าง ลูทีนสูงถึง 3,150 มก. / กล่อง ซึ่งเป็นลูทีนธรรมชาติจากกีวี่สกัด และโอเมก้า 3 6 9 อยู่ที่ 150 500 1,400 มก. / กล่องตามลำดับ มีอยู่ในปริมาณที่สูงที่สุด  แถมมีแคลเซียม และวิตามิน ดี สูงส่งเสริมการเจริญเติบโตอีกด้วย

              โฟร์โมสต์ โอเมก้า 3 6 9

              นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

               

              จะเน้นในเรื่องสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการสมอง มีสารอาหารอย่าง โอเมก้า 9 สูง 1,400 มก. / กล่อง

              โฟร์โมสต์ โอเมก้า โกลด์

              นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

               

              เป็นนมกล่องที่มีปริมาณสารอาหาร ดีเอชเอสูงถึง 27 มก. / กล่อง

              ไฮคิว 3 พลัส

              นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

               

              มีสารอาหารบำรุงสมองอย่างโอเมก้า 9 สูง 1,445 มก. / กล่อง 

              เอนฟาโกร เอพลัส สูตร 4

               

              นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

              จะให้พลังงานอยู่ที่ 120 มิลลิกรัม และโอเมก้า 9 สารอาหารบำรุงสมองอยู่ที่ 1,100 มก. / กล่อง

              ดูเม็กซ์ ดูโกร

              นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

               

               จะให้โอเมก้า 9 สารอาหารบำรุงสมอง อยู่ที่ 1,175 มิลลิกรัมต่อกล่อง

              สายตาดี สมองฉลาด นมกล่องไหนดีนะ   

              เพราะการมองเห็นเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ ดังนั้นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยส่งเสริมให้เด็ก ๆ มีสุขภาพสายตาที่ดี และส่งเสริมการพัฒนาการสมอง  ซึ่งนมสำหรับเด็กทั้ง 5 ยี่ห้อนี้ก็มีให้อย่างครบถ้วน แต่ถ้าเป็นนมกล่อง UHT ที่ให้สารอาหารครบทั้งในเรื่องบำรุงสายตา บำรุงสมองของลูก ที่คุณแม่ส่วนใหญ่แนะนำกัน คือ ดัชมิลล์ เจ็นไอ วีคิวพลัส เพราะเขามีสารอาหารหลายตัวที่โดดเด่นมาก นั่นคือ…

              • ลูทีนธรรมชาติ จากผงกีวี่สกัด มีส่วนช่วยปกป้องจอประสาทตาจากรังสียูวี แสงแดด และแสงสีฟ้าจากจอภาพ     “ลูทีนจึงเปรียบเสมือนเป็น แว่นกันแดดธรรมชาติที่ช่วยปกป้องจอประสาทตา
              • มี วิตามิน เอ สูง มีส่วนช่วยในการบำรุงจอประสาทตา และการรับรู้สี  
              • โอเมก้า 3-6-9 กรดไขมันดี 3 ชนิด มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยมี โอเมก้า 3 เป็น   กรดไขมันดีที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาทตา และสมองโดยตรง   
              • มี วิตามิน บี 12 สูง มีส่วนช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และความจำ   
              • มี ไอโอดีน สูง ช่วยในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ สำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และสมอง   
              • มี แคลเซียม สูง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูก และฟันที่แข็งแรง
              • มี วิตามิน ดี สูง ช่วยดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส

              ที่สำคัญนะคะไปสืบทราบมาว่า นอกจากนม ดัชมิลล์ เจ็นไอ วีคิวพลัสจะเป็นนมที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์กับเด็กๆ ที่มีจุดเด่นในเรื่องของพัฒนาการด้านสายตา และสมองแล้ว ยังผลิตมาจากนมวัวแท้ที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานสากล  พร้อมจำหน่ายในราคาที่สบายกระเป๋าคุณพ่อคุณแม่ เพื่อให้เด็กๆ สามารถทานนมดี มีสารอาหารสูงได้ทุกวันอีกด้วยนะคะ เรียกได้ว่า เป็นนมดีที่ผลิตมาเพื่อเสริมพัฒนาการของเด็กๆในวัยเรียนรู้ อย่างแท้จริงค่ะ

              หวังว่าข้อมูลที่นำมาฝากกันนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ถ้าต้องเลือกนมกล่องสำหรับเด็ก กล่องแรกให้ลูก 

                work from home

                จัดตาราง work from home แบบนี้ แฮปปี้ทั้งครอบครัว โดยพ่อเอก

                ยังคงเป็นเรื่องราวหนังชีวิตต่อเนื่องมาจากผลกระทบของเจ้าโควิดเป็นตอนที่ 3 ติดต่อกัน ในยามปกติการได้อยู่กับบ้านพร้อมลูกๆเป็นความสุขขั้นสุด แต่เมื่อต้อง work from home พร้อมเจ้าตัวยุ่งที่ หันมาเป็น homeschool กันหมด ชีวิตมันก็ไม่ได้หรรษาลั้ลลากันตามปกติ แล้วจะทำอย่างไรดีให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่คุณลูกอยู่ร่วมกันได้ในภาวะที่บ้านกลายเป็นทั้ง บ้านที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน และ โรงเรียนในคราวเดียวกัน

                ลองมานึกภาพเวลาลูกไปโรงเรียน วิธีที่คุณครูใช้ในการบริหารจัดการเด็กๆ ทะโมนทั้งหลาย ให้รู้ว่าจะต้องทำอะไร มันก็คือ ตารางเวลาหรือตารางสอนหรือตารางเรียนรู้ก็สุดแล้วแต่ ดังนั้นเราก็ควรมี ตาราง work from home ที่บ้านเหมือนกันเพื่อให้บริหารจัดการกันได้ทั้งการงานและการบ้าน

                จัดตาราง work from home แบบนี้ แฮปปี้ทั้งครอบครัว

                7.00-8.00              ตื่นนอน จัดการธุรส่วนตัว เก็บที่นอน อาบน้ำแปรงฟัน

                คุณพ่อคุณแม่ที่ยังไม่เคยให้คุณลูกเก็บที่นอน อาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน หาเสื้อผ้า แต่งตัวเอง โอกาสมาแล้วฮะ ส่วนบ้านนี้จัดการเองหมดตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน ลูกจัดการเองได้หมดเมื่อใด คุณพ่อคุณแม่จะมี เวลาเคลียร์งานแต่เช้า และหลังโควิดคุณแม่จะมีเวลาแต่งตัวแต่งหน้าแบบลั้ลลา

                8.00-9.00              จัดการเตรียมอาหาร และทานอาหาร

                เป็นโอกาสที่ดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ทำอาหารเองพอได้ ที่จะสอนให้ลูกทำ ซึ่งกิจกรรมตรงนี้เป็นได้ทั้งทำกับข้าวจริงๆจังๆโดยเป็นลูกมือคุณพ่อคุณแม่ หรือ ฉายเดี่ยวทำอาหารจานง่ายๆ หุงข้าว ทอดไข่ ต้มอะไรง่ายๆ หรือจะเริ่มจากพื้นฐานกว่านั้นคือชงเครื่องดื่ม ทาขนมปังก็ได้ … ผลพลอยได้คือ จบโควิด คุณแม่คุณพ่อก็อย่าให้หยุดทำ เราก็สบายบรื๋อ

                9.00-10.00           กิจกรรมร่วม

                เป็นเวลาที่จะต้องมาเล่นกับลูกหละ เดี๋ยวลงไปเลือกชุดกิจกรรมร่วมในเมนูข้างล่างเลย

                10.00-11.00         เรียนหนังสือ ทำการบ้านนะลูกนะ

                เพลิดเพลินมาพอแล้ว ลูกได้เวลาเรียนหนังสือ ตามสื่อ online ที่คุณครูส่งมาแล้วนะเออ

                11.00-12.00         กิจกรรมอิสระ

                ปล่อยเขาบ้าง อยากทำอะไรก็ตามสบาย เพราะคุณพ่อคุณแม่จะไปเคลียร์งานต่อ : ลงไปดูชุดกิจกรรมเดี่ยวข้างล่างได้เลย

                12.00-13.00         เตรียมอาหารและทานอาหาร

                ได้เวลาหาอะไรอร่อยๆทำกัน เมื่อลูกมาช่วย มันจะเป็นหนึ่งชั่วโมงที่แป๊บเดียว เพราะมันจะได้กับข้าวไม่เยอะเหมือนทำเองหรอกฮะ แต่ระยะยาวคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

                13.00-14.00         นอนลูกนอน + ตื่นมาสลึมสลือ ล้างหน้าล้างตา ดื่มนม ให้สดชื่น

                อันนี้แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนลูกนอนง่าย นอนยาว ท่านก็มีเวลาเคลียร์งานยาวๆ แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะต้องยอมปล่อยเขากลิ้งไปมาในห้องนอนแล้วท่านก็มาเคลียร์งาน

                14.00-15.00         เรียนหนังสือ ทำการบ้านนะลูกนะ

                ได้เวลาเรียนหนังสือ ตามสื่อ online ที่คุณครูส่งมาอีกรอบแล้ว เชื่อสิว่าไม่ได้มีวิชาเดียวหรอกใช่มั้ยละเออ

                15.00-16.00         กิจกรรมร่วม

                ลงไปเลือกชุดกิจกรรมร่วมในเมนูข้างล่างเลย

                16.00-17.00         กิจกรรมอิสระ

                ลงไปเลือกชุดกิจกรรมร่วมในเมนูข้างล่างเลย

                อ่านต่อ เมนูกิจกรรมร่วม และเมนูกิจกรรมอิสระ คลิกหน้า 2

                  วิธีเคลมประกันโควิด-19

                  วิธีเคลมประกันโควิด-19 เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ควรรู้

                  หลังจากการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ติดต่อกันไปทั่วโลก คุณพ่อ คุณแม่หลายคน อาจกำลังตัดสินใจทำประกันเอาไว้ให้ทุกคนในครอบครัว เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินถ้าจำเป็นต้องใช้เงินในการรักษา มาเตรียมความพร้อมศึกษา วิธีเคลมประกันโควิด-19 หากเจ็บป่วยจะได้รับมือได้ทัน

                  Continue reading “วิธีเคลมประกันโควิด-19 เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ควรรู้”

                    ตั้งชื่อจริงลูก

                    ตั้งชื่อจริงลูก 250 ชื่อจริง ความหมายดี ชื่อมงคล ปี 2023

                    ไอเดียสำหรับ ตั้งชื่อจริงลูก 250 ชื่อ รวมชื่อจริงแปลกๆ ชื่อจริงอ่านยากๆ ชื่อจริงยาวๆ ความหมายดี เป็นมงคล ทั้งลูกสาวและลูกชาย เด็กไทยยุค Gen Z พ่อแม่จะ ตั้งชื่อจริงลูก ว่าอะไรกันบ้าง? ตามไปดูกันเลย

                    ไอเดีย ตั้งชื่อจริงลูก ชื่อจริงอ่านยาก
                    ชื่อจริงแปลกๆ ความหมายดี เป็นมงคล ทั้งชาย-หญิง

                    การตั้งชื่อ ถือเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของคนไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดและเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะแตกต่างจากสมัยรุ่นปู่ย่าตายายที่มักมีชื่อที่เรียกกันง่ายๆ เช่น ยายบุญ, นายมี, สมศรี, สมชาย … แต่ถ้าเป็นชื่อจริงของเด็กรุ่นใหม่ยุค Gen Z สมัยนี้ที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นการ ตั้งชื่อจริงลูก ที่คุณพ่อคุณแม่เปิดตำราตั้งให้เอง ก็จะเป็นการตั้งชื่อลูกยากๆ ชื่อจริงแปลกๆ ความหมายดี มีความหมายของชื่อที่เฉพาะ หรือเป็น ชื่อจริงอ่านยากๆ ทั้งการออกเสียงและการเขียน เป็นคำตัวอักษรที่ไม่คุ้นเคย บางชื่อก็อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนต่างกันก็มี

                     

                    ทักษาปกรณ์ กับ ชื่อลูกยากๆ

                    ซึ่งหากมองถึงหลักการตั้งชื่อให้กับลูกในยุค Gen Z ถือเป็นการตั้งชื่อ ตามหลักทักษาปกรณ์ ซึ่งจะหลีกเลี่ยงการใช้อักขระ วรรคกาลกิณี โดยในชื่อเด็กชายมักใช้ วรรคเดช นำหน้า ตามหลัง หรือเป็นส่วนประกอบ และสำหรับเด็กหญิงมักจะใช้ วรรคศรี นำหน้า ตามหลัง หรือเป็นส่วนประกอบ หรือใช้วรรคอื่นๆ นำหน้าชื่อก็ได้ เพื่อเป็นการแก้ข้อบกพร่อง หรือส่งเสริมในเรื่องต่าง ๆ

                    ซึ่งในปัจจุบันการ ตั้งชื่อจริงลูก ปี 2023 ส่วนใหญ่ที่พบไม่ใช่ชื่อแปลกใหม่เท่าไร แต่แค่มีการเขียนแปลกต่างไปจากเดิม คือ มีการนำพวกตัวอักษร ฌ, ฏ, ฐ มาใช้เพิ่มมากขึ้น หรือที่พบอีกกรณีก็คือ ตัวลูกเองเมื่อโตขึ้นก็มีการตั้งชื่อตัวเองใหม่ โดยมีเหตุผลว่า ชื่อเดิมมีตัวอักษรเป็นกาลกิณี แต่การตั้งชื่อจริงใหม่เอง ก็จะสามารถเลือกตามที่ชอบและนำคำมาประสมกัน ความหมายก็ลงตัว และเป็นสิริมงคล

                     

                    ข้อควรคำนึงในการ ตั้งชื่อจริงลูก ให้เป็นสิริมงคล

                    สำหรับการ ตั้งชื่อจริงลูก จะมีสิ่งที่ต้องคำนึงอยู่ ดังนี้ ก็คือ บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี กาลกิณี ซึ่งหลักเบื้องต้นก่อนตั้งชื่อคุณพ่อคุณแม่ควรเลือกอักษรที่เหมาะกับวันเกิดของลูกด้วย โดยจะเลือกตัวอักษรมงคลอะไรมาตั้งก็ได้ แต่ควรเลี่ยงอักษรที่เป็นกาลกิณีด้วย โดยอักษรที่ห้ามนำมาใช้ตั้งชื่อของแต่ละวัน มีดังนี้ (ความเชื่อส่วนบุคคล)

                     

                    • ชื่อคนเกิดวันอาทิตย์ : ห้ามตัวอักษร ศ ษ ส ห ฬ ฮ

                    • ชื่อคนเกิดวันจันทร์ : ห้าม สระ ทั้งหมด

                    • ชื่อคนเกิดวันอังคาร : ห้ามตัวอักษร ก ข ค ฆ ง

                    • ชื่อคนเกิดวันพุธกลางวัน : ห้ามตัวอักษร จ ฉ ช ซ ฌ ญ

                    • ชื่อคนเกิดวันราหูวันพุธกลางคืน : ห้ามตัวอักษร บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม

                    • ชื่อคนเกิดวันพฤหัสบดี : ห้ามตัวอักษร ด ต ถ ท ธ น

                    • ชื่อคนเกิดวันศุกร์ : ห้ามตัวอักษร ย ร ล ว

                    • ชื่อคนเกิดวันเสาร์ : ห้ามตัวอักษร ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

                     

                    Must read >> ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด ชื่อมงคล ครบทุกวัน จ.- อา.

                    Must read >> การตั้งชื่อลูก คิดให้ดีก่อนส่งผลกระทบต่อจิตใจในอนาคต

                    ทั้งนี้ในส่วนของตัวอักษรที่ไม่ได้กล่าวมาในแต่ละวัน คือ ตัวอักษรที่สามารถใช้ได้ ดังนั้นเมื่อรู้หลักการ ตั้งชื่อจริงลูก แล้ว เพื่อเป็นไอเดียในการ ตั้งชื่อจริงลูก ให้เหมาะกับยุคสมัยนี้ ทีมแม่ ABK จึงได้รวบรวมชื่อจริง ความหมายดี เป็นมงคล ประจำปี 2021 ของทั้งลูกสาวลูกชาย มาฝาก … โดยคัดเฉพาะชื่อที่มีตัวอักษรเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตของลูกโดยเฉพาะ จะมีชื่อจริงอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

                     

                    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกชายเกิดวันอาทิตย์

                    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
                    กฤตัชญ์กริ-ตัดผู้รู้คุณคนอื่น มีความกตัญญู
                    คณุตม์คะ-นุดประเสริฐกว่าคนทั้งหลาย
                    จิรทีปต์จิ-ระ-ทีบรุ่งเรืองตลอดกาลนาน
                    ณัฐปคัลภ์นัด-ปะ-คันปราชญ์ผู้องอาจ
                    ติณณภพติน-นะ-พบผู้ข้ามภพได้ ชื่อของผู้บรรลุธรรม
                    นิพพิชฌน์นิบ-พิดปัญญา เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ตรัสรู้
                    ผรัณชัยผะ-รัน-ไชมีชัยชนะไปทั่ว
                    พิทยุตม์พิด-ทะ-ยุดผู้มีความรู้สูงสุด
                    ศาตนันท์สา-ตะ-นันมีความสุขและความเพลิดเพลิน
                    อนันยชอะ-นัน-ยดเกิดมาเป็นที่หนึ่ง
                    อิงครัตอิง-คะ-รัดผู้ยินดีในความรู้

                    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกสาวเกิดวันอาทิตย์

                    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
                    กานต์พิชชากาน-พิด-ชามีความรู้เป็นที่รัก
                    จิณัฐตาจิ-นัด-ตาความเป็นผู้ฉลาดที่ได้สั่งสมมา
                    จารุพิชญาจา-รุ-พิด-ชะ-ยานักปราชญ์ผู้งดงาม
                    จิรภิญญาจิ-ระ-พิน-ยาความรู้ยั่งยืน
                    ชนัญชิดาชะ-นัน-ชิ-ดาผู้ชนะคนอื่น
                    ฐานิฏฐ์ถา-นิดเป็นที่น่าพอใจ
                    นันทัชพรนัน-ทัด-ชะ-พอนคนประเสริฐเกิดมาเพื่อความสุข
                    พิชญ์สินีพิด-สิ-นีหญิงงามผู้ฉลาด
                    พิชามญชุ์พิ-ชา-มนผู้งดงามด้วยความรู้
                    ภิญญาพัชญ์พิน-ยา-พัดผู้มีปัญญารู้ในกรอบ
                    มัญชุพรมัน-ชุ-พอนงามและประเสริฐ
                    สุภาพิชญ์สุ-พา-พิดนักปราชญ์ผู้มีความงาม
                    อนรรฆวีอะ-นัก-คะ -วีมีค่ามาก

                     

                    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกชายเกิดวันจันทร์

                    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
                    กฤตยชญ์กริด-ตะ-ยดนักปราชญ์ผู้คงแก่เรียน
                    คณพศคะ-นะ-พดมีอำนาจในหมู่คณะ
                    ชวกรชะ-วะ-กอนผู้สร้างเชาวน์ ผู้มีเชาวน์
                    ณฏฐพลนัด-ถะ-ทะ-พนกำลังของนักปราชญ์
                    ธนลภย์ทะ-นะ-ลบได้ทรัพย์
                    ธรรมปพนทำ-ปะ-พนมีคุณธรรมบริสุทธิ์
                    นฤสรณ์นะ-รึ-สอนเป็นที่พึ่งของคนทั้งหลาย
                    วรลภย์วอ-ระ-ลบผู้มีลาภอันประเสริฐ
                    วฤนท์ธมวะ-ริน-ทมมากมายยิ่งใหญ่
                    สรฐชญณ์สอน-ถะ-ชนมีความรู้เป็นที่พึ่งอย่างมั่นคง

                     

                    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกสาวเกิดวันจันทร์

                    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
                    กนกอรกะ-หนก-ออนผู้หญิงที่ดี
                    กฤตพรกริด-ตะ-พอนผู้สร้างพร มีความประเสริฐ
                    จรรย์อมลจัน-อะ-มนผู้มีความประพฤติดีไม่มีที่ติ
                    จรรยมณฑน์จัน-ยะ-มนผู้มีความประพฤติดี เป็นเครื่องประดับ
                    พรลภัสพอน-ละ-พัดมีลาภอันประเสริฐ
                    พรสรวงพอน-สวงเป็นพรของสวรรค์
                    พรรธน์ชญมนพัด – ชะ – ยะ – มนผู้มีใจงามมีความรู้และเจริญ
                    มนพรมะ-นะ-พอนมีใจประเสริฐ
                    วรรจชนกวัด-ชะ-นกศักดิ์ศรีบิดา
                    วรณภัทรชญณ์วอ-ระ-นะ-พัด-ชนที่ซึ่งดีงามประเสริฐและมีความรู้
                    ศตพรสะ-ตะ-พอนมีพรมากหรือมีความประเสริฐมากมาย

                    ตั้งชื่อจริงลูก

                    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกชายเกิดวันอังคาร

                    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
                    จรณินทร์จะ-ระ-นินเป็นใหญ่เพราะความประพฤติดี
                    จิรัฎฐ์จิ-รัดดำรงมั่น อยู่นาน
                    ชิณณวรรธน์ชิน-นะ-วัดอยู่กับความเจริญ
                    ญานุจจัยยา-นุด-ไจสะสมความรู้ มีความรู้มาก
                    ถิรพุทธิ์ถิ-ระ-พุดมีความรู้มั่นคง
                    ทัณฑธรทัน-ทะ-ทอนผู้พิพากษา
                    ปุณณัตถ์ปุน-นัดผู้สมปรารถนา สมประสงค์
                    พฤนท์เดชพริน-เดดมีอำนาจทางทหาร
                    ภัทรจารินพัด-ทระ-จา-รินมีความประพฤติดี
                    ฤทธิรณริด-ทิ-รนความเก่งกล้าในการรบ
                    วัณณุวรรธน์วัน-นุ-วัดทางแห่งความเจริญ
                    อจลวิชญ์อะ-จะ-ละ-วิดมีความรู้ไม่หวั่นไหว
                    อติวัณณ์อะ-ติ-วันการสรรเสริญ ผู้มีตระกูลสูง
                    อติวิชญ์อะ-ติ-วิดนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีตระกูลสูง
                    อัฑฒ์อัดชายผู้ร่ำรวย

                    momketing 2021

                    วันสุดท้าย!! Amarin Baby & Kids ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่ที่มีลูกอายุ0-6 ปีร่วมทำแบบสำรวจความคิดเห็นคุณแม่ ลุ้นรับผลิตภัณฑ์สำหรับแม่ลูกฟรี 50 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 10,000 บาทคลิกที่ลิงก์นี้เลย >> https://bit.ly/3z4Eqzp

                    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกสาวเกิดวันอังคาร

                    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
                    จิรัจฌาจิ-รัด-ชากิริยาดีตลอดกาล
                    ชุติมณฑน์ชุ-ติ-มนมีความรุ่งเรืองเป็นเครื่องประดับ
                    ธิษณามดีทิด-สะ-นา-มะ-ตีมีความคิดฉลาด
                    นันท์นพินนัน-ทะ-พินผู้มีความสุขใหม่ ๆ มีความสุขเสมอ
                    ปดิวรัดาปะ-ดิ-วะ-รัด-ดาภักดีในสามี ปรนนิบัติสามีดี
                    ปุริมปรัชญ์ปุ-ริม-ปรัดนักปราชญ์คนแรก
                    ปัณฑารีย์ปัน-ดา-รีประเสริฐด้วยปัญญา
                    เปมนีย์เป-มะ-นีน่ารัก
                    พรสุนีติ์พอน-สุ-นีผู้นำที่ดีเลิศ
                    ภวรัญชน์พะ-วะ-รันทำให้ชาวโลกยินดี เป็นที่ยินดีของชาวโลก
                    วรวลัญช์วอ-ระ-วะ-ลันผู้มีลักษณะอันประเสริฐ
                    สัณห์ฤทัยสัน-รึ-ไทมีจิตใจละเอียดอ่อน จิตใจงาม

                    ตั้งชื่อเล่นลูกชาย

                    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกชายเกิดวันพุธกลางวัน

                    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
                    คณุฒน์คะ-นุดประเสริฐกว่าคนทั้งหลาย
                    ฐปนวัฒน์ถะ-ปะ-นะ-วัดเจริญอย่างมั่นคง
                    ฐิตธีร์ถิ-ตะ-ทีปราชญ์ผุ้มั่นคง
                    ฐิติวัสส์ถิ-ติ-วัดยืนยาวตลอดปี
                    ธุวานันท์ทุ-วา-นันมีความยินดียั้งยืน มีความสุขยั่งยืน
                    นนทิวรรธน์นน-ทิ-วัดยินดีในทรัพย์
                    นัธทวัฒน์นัด-ทะ-วัดมีความเจริญเป็นที่มั่นคง
                    ปัณฑ์ธรปัน-ทอนทรงไว้ซึ่งความรู้
                    พิชญุตม์พิด-ชะ-ยุดฉลาดและยิ่งใหญ่
                    พลัฎฐ์พะ-ลัดตั้งอยู่ในกำลัง ทรงพลัง
                    วริทธิ์นันท์วะ-ริด-นันยินดีในความสำเร็จอันประเสริฐ
                    วเรณย์วะ-เรนประเสริฐสุด
                    อุกฤษฎ์อุก – กริดประเสริฐสุด

                     

                    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกสาวเกิดวันพุธกลางวัน

                    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
                    กัณฐมณีกัน-ถะ-มะ-นีของที่รัก
                    ขยาทิมาตขะ-ยา-ทิ-มาดมีชื่อเสียงเลื่องลือ
                    ขรินทร์ทิพย์ขะ-ริน-ทิบเทวดาผู้เป็นใหญ่และเก่งกล้า
                    คคนางค์คะ-คะ-นางท้องฟ้า
                    ณภัทรฐนันนะ-พัด-ถะ-นันมีความเจริญก้าวหน้า
                    ณัฏฐริกานัด-ถะ-ริ-กาผู้เป็นปราชญ์
                    โตษณาการโต-สะ-นา-กานอาการปลื้มปีติยินดี
                    ธนันกรกานต์ทะ-นัน-กอน-กานสร้างทรัพย์และเป็นที่รัก
                    ธิษณาธรทิด-สะ-นา-ทอนทรงความรู้ความเข้าใจ
                    นลินณัฐมนนะ-ลิน-นัด-ถะ-มนจิตใจที่ประเสริฐดั่งดอกบัวและฉลาด
                    นิษฐการต์นิด-ถะ-กานน่ารักอยู่เสมอๆ
                    ปรีย์ประภัสสรปรี-ปะ-พัด-สอนเป็นที่รักแห่งความรุ่งเรือง
                    เปรมาวรินทร์เปร-มา-วะ-รินมีความรักความชอบและประเสริฐยิ่งใหญ่
                    พรรธน์ธวัลพัด-ทะ-วันเจริญก้าวหน้าและบริสุทธิ์
                    พิมลดาลภัสพิ-มน-ดา-ละ-พัดงดงามยิ่ง
                    ภาวรรณวรางค์พา-วัน-วะ-รางรูปร่างดีและผิวพรรณงาม

                     

                    ดูต่อหน้า 2 “ไอเดีย ตั้งชื่อจริงลูกพร้อมความหมาย
                    วันพุธ ถึง วันเสาร์” คลิกเลย!!

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      วัคซีนสำหรับคนท้อง จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ?

                      วัคซีนสำหรับคนท้อง ควรฉีดไหม? ฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์ไม่เป็นอันตรายกับลูกในท้องใช่ไหม ? ถามกันมาบ่อยๆ แบบนี้ วันนี้ทีมแม่ABK จะมาตอบให้หายสงสัย เพื่อที่แม่ท้อง หรือว่าที่คุณแม่ได้คลายความกังวลกันด้วยค่ะ

                       

                      วัคซีนสำหรับคนท้อง จำเป็นต้องฉีดหรือไม่?

                      จากที่ทีมแม่ABK เคยตั้งครรภ์ที่ผ่านก็มีได้รับการฉีด วัคซีนสำหรับคนท้อง มาด้วยเช่นกัน เป็นวัคซีนไข้หวัดใหญ่ค่ะ เดี๋ยว จะมาบอกรายละเอียดว่าฉีดวัคซีนได้ตอนช่วงไหนของการตั้งครรภ์ คุณหมอมีแนะนำมานะคะว่าการฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์มีความจำเป็นและสำคัญมากๆ เพราะเป็นการสร้างภูมิคุ้มให้กับร่างกายของแม่ท้อง

                      เมื่อร่างกายแม่ถูกกระตุ้นให้มีภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงในระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยขณะตั้งครรภ์ได้ค่ะ เพราะถ้าหากแม่เจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมาก็อาจส่งผลกระทบโดยตรงกับลูกน้อยในครรภ์ อย่าลืม!! ว่าการกินยาเพื่อรักษาอาการป่วยไม่สบาย ไม่เป็นผลดีต่อลูกในท้องเลยค่ะ

                       

                      ทำไมไม่ฉีดวัคซีนก่อนท้อง ?

                      การวางแผนในการตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ทีมแม่ABK แนะนำอยู่ตลอดค่ะ การตรวจสุขภาพร่างกายก่อนท้อง จะช่วยให้เรารู้ว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคหรือเปล่า หรือถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน คุณหมอก็จะแนะนำว่าต้องได้รับการฉีควัคซีนที่จำเป็นอะไรบ้าง ซึ่งวัคซีนพื้นฐานจำเป็นก็เช่น บาดทะยัก ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ วัคซีนเหล่านี้จำเป็นและสำคัญมากๆ กับสุขภาพร่างกายของแม่ท้องทุกคนนะคะ

                      แล้วถ้าไม่ได้ไปตรวจสุขภาพก่อนท้อง แล้วมีการตั้งครรภ์ขึ้นมา ในระหว่างนี้จะฉีดวัคซีนอะไรได้บ้าง ทีมแม่ABK ขอบอกให้คุณแม่ท้องทุกคนได้สบายใจก่อนค่ะ ว่าในเบื้องต้นเมื่อเรารู้ตัวแล้วว่ามีการตั้งครรภ์ สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำในทันที รอไม่ได้ นั่นก็คือการไป “ฝากครรภ์” ยิ่งฝากครรภ์เร็วยิ่งช่วยลดภาวะเสี่ยงจากการเจ็บป่วย ไม่สบายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากตั้งครรภ์ไปแล้วได้ค่ะ

                      การฝากครรภ์คุณหมอจะเช็กสุขภาพ และสอบถามประวัติการได้รับวัคซีนต่างๆ ให้กับคุณแม่ด้วยค่ะ ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้ได้รู้ เบื้องต้นว่าร่างกายคุณแม่ยังจำเป็นต้องได้รับวัคซีนอะไรบ้าง สำหรับวัคซีนแม่ท้อง ที่สามารถรับการฉีดได้ในขณะตั้งครรภ์ ที่ทางการแพทย์แนะนำไว้ คือ…

                       

                      ฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์ อะไรได้บ้างที่ไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง ?

                      การได้รับการฉีดวัคซีนหากเป็นไปได้คุณหมอก็แนะนำว่าให้ฉีดเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนตั้งครรภ์ค่ะ แต่ที่บอกไปตอนต้นว่าทีมแม่ABK ก็มีฉีดวัคซีนตอนท้องด้วยเหมือนกัน เป็นวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ค่ะ และนี่คือวัคซีนที่คุณแม่ถามกันมาว่าคนท้องฉีดวัคซีนอะไรได้บ้าง มีดังนี้ค่ะ

                      1. วัคซีนป้องกันบาดทะยัก

                      วัคซีนป้องกันบาดทะยักเป็นวัคซีนสำหรับคนท้อง ที่คุณหมอแนะนำให้ฉีดกันค่ะ ซึ่งโดยปกติวัคซีนบาดทะยักทุกคนจะได้รับฉีดกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะคะ แต่โตมาเป็นผู้ใหญ่วัคซีนบาดทะยักก็ยังจำเป็นอยู่นะคะ ปกติควรฉีดทุกๆ 10 ปี สำหรับคุณแม่ท้องที่ไม่ได้มีการฉีดวัคซีนบาดทะยักมามากกว่า 10 ปี และไม่เคยได้มีการฉีดมาก่อนท้อง หลังจากตั้งครรภ์คุณหมอจะฉีดให้ 3 เข็ม การฉีดเข็มแรกเดือนที่ 1(ของการตั้งครรภ์) และเข็มที่ 2 ในเดือนที่ 6(ของการตั้งครรภ์) ส่วนเข็มที่ 3 จะฉีดให้คุณแม่หลังจากที่คลอดลูกเรียบร้อยแล้วค่ะ

                      2. วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน

                      พอบอกว่าเป็นวัคซีนคอตีบ ไอเกรน จะต้องฉีดหลายเข็มหรือเปล่า ไม่ต้องกลัวค่ะคุณแม่ เพราะวัคซีนเข็มนี้เป็นวัคซีนรวมในเข็มเดียวกัน และก็ฉีดแค่เข็มเดียว เป็นวัคซีนที่ช่วยปกป้องคุณแม่จากการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ให้มีอัตราเสี่ยงน้อยลง หรือไม่มีเลยค่ะ คุณหมอจะฉีดวัคซีนให้คุณแม่ได้ในช่วงอายุครรภ์ 27-36 สัปดาห์ค่ะ

                      3. วัคซีนไข้หวัดใหญ่

                      คนท้องถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้ป่วยไม่สบายเป็นไข้หวัดใหญ่กันเลยค่ะ เพราะเมื่อป่วยแล้วโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจะรุนแรงมากกว่าคนที่ไม่ท้องค่ะ โดยปกติแล้ววัคซีนไข้หวัดใหญ่จะมีแนะนำให้ฉีดกันในทุกๆ ปีค่ะ ปีละ 1 เข็ม สำหรับคุณแม่ท้องที่ไม่ได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ก่อนตั้งครรภ์ คุณแม่จะสามารถฉีดให้ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ในช่วงอายุครรภ์หลัง 28 สัปดาห์ไปแล้วค่ะ

                      ส่วนนี้เป็นวัคซีนพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับคนท้อง ซึ่งวัคซีนนอกเหนือจากนี้ จะเป็นการพิจารณาการได้รับวัคซีนที่จะอยู่ในการควบคุมของคุณหมอที่ดูแลครรภ์ให้คุณแม่เป็นกรณีๆ ไปค่ะ

                      นอกจากนี้นะคะก็ยังวัคซีนได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค สุกใส (Varicella) งูสวัด (Zoster) และวัคซีน คางทูม หัด หัดเยอรมัน ( Measles, mumps, rubella ) เป็นวัคซีนที่คุณหมอจะไม่ฉีดให้คุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์กันนะคะ ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ฉีดกันก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ฉีดมาล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน สาเหตุที่ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีคซีนกลุ่มนี้ขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น หากฉีดขณะตั้งครรภ์อาจเสี่ยงที่จะทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ และอันตรายถึงพิการได้นั่นเองค่ะ

                      การสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดีที่สุดก็คือการได้รับวัคซีนที่จำเป็นๆ ประจำทุกปี เพื่อให้ร่างกายกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด บวกกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ไม่กินหวาน มัน เค็ม เผ็ดจัดๆ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย เป็นการตั้งครรภ์ สมบูรณ์แข็งแรงทั้งคุณแม่ และลูกน้อยในท้องด้วยค่ะ …ด้วยความห่วงใย

                       

                      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                      7 สัญญาณ อันตรายระหว่างตั้งครรภ์ ที่แม่ท้องต้องรีบหาหมอ 

                      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1

                      มันฝรั่งทอด กินมากไปเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 

                      วัคซีนผู้ใหญ่ ใครว่าไม่สำคัญ พ่อแม่ควรฉีดถ้าอยากอยู่กับลูกไปนานๆ

                      โรคหัด หัดเยอรมัน ต่างกันอย่างไร

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


                      เครดิต : โรงพยาบาลวิชัยยุทธ , โรงพยาบาลเปาโล 

                       

                       

                        work from home

                        งานก็ต้องทำ ลูกก็ต้องเลี้ยง work from home ยังไงให้ดี ถ้ามีลูกต้องดูแล

                        Work from home (WFH) หรือ “ทำงานที่บ้าน” ที่หลายบริษัทได้ตัดสินใจให้พนักงานอยู่บ้านทำงานเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ COVID-19 แม้ว่าจะต้องเตรียมพื้นที่สำหรับนั่งทำงานที่บ้านให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องรับมือกับเจ้าตัวเล็กจอมซนในบ้านที่จำเป็นต้องอยู่บ้านเช่นเดียวกัน ไหนจะมาอ้อนให้แม่เล่นด้วย ไหนจะเล่นส่งเสียงดัง ฯลฯ เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยากสำหรับแม่เมื่ออยู่บ้านไปพร้อมกับลูก ๆ จะแบ่งเวลายังไงดี

                        งานก็ต้องทำ ลูกก็ต้องเลี้ยง work from home ยังไงให้ดีถ้ามีลูกต้องดูแล

                        1.จัดโซนนิ่งทำงาน

                        จัดพื้นที่ทำงานให้เป็นส่วนสัดชัดเจน เพื่อให้ลูกเข้าใจว่านี่คือ “พื้นที่ทำงาน” ของคุณแม่ไม่ให้เข้ามารบกวนเวลาทำงาน เวลาเริ่มต้นทำงานจึงเป็นการส่งสัญญาณให้ลูกเข้าใจว่า “แม่จะเริ่มทำงานแล้วนะ”  อีกทั้งการจัดโซนทำงานที่แยกจากส่วนอื่น ๆ ของบ้าน จะช่วยสร้างบรรยากาศให้รู้สึกจดจ่อกับการทำงานเป็นอันดับแรก แต่แน่นอนว่าพื้นที่ทำงานในบ้านไม่เหมือนที่ออฟฟิศ ถ้าในบ้านไม่มีห้องทำงานโดยเฉพาะ คุณแม่ลองหาพื้นที่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง แล้วหาสิ่งของมากั้นให้เป็นสัดส่วนดูนะคะ

                        ทํางานที่บ้าน

                        2.แจ้งหัวหน้า ทีม หรือเพื่อนร่วมงานว่าในบ้านมีเด็ก

                        แน่นอนว่าการทำงานที่บ้าน อาจจำเป็นต้องมีการสื่อสารร่วมกับที่ทำงาน บางครั้งการคุยงานผ่านโทรศัพท์ หรือการประชุมผ่าน VDO Conference สำหรับคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกเอง หากไม่มีพี่เลี้ยงหรือญาติผู้ใหญ่ ควรแจ้งกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานให้ทราบด้วยว่า อาจมีเสียงของเด็กๆ รบกวนบ้าง โดยเฉพาะบ้านที่เด็กเล็กที่มีพฤติกรรมเหนือการควบคุม แต่ก็จะพยายามจัดการช่วงเวลาทำงานอย่างดีที่สุด

                        3.ให้คนในครอบครัวช่วยดูแลลูก

                        เป็นเรื่องดีหากมีคนในครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่คุณย่าหรือญาติพี่น้องที่สนิท เพราะพวกเขาจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการเลี้ยงลูกเมื่อคุณแม่นั่งทำงานที่บ้าน อย่างน้อยที่สุดก็คือช่วงเวลาที่คุณแม่จัดสรรในการทำงานจนกระทั่งถึงเวลาพัก

                        4.จัดตารางการทำงานและกำหนดความสำคัญของงาน

                        การจัดตารางงานในแต่ละวันจะทำให้คุณแม่แบ่งเวลาระหว่างการทำงานและเวลาที่จะดูแลลูกได้ กำหนดเป็นตารางเวลาให้ชัดเจนและวางแผนเริ่มต้นจัดลำดับงานที่สำคัญก่อน เช่น เลือกทำงานหนักที่สุด หรือยากที่สุด  ทั้งนี้เมื่อทำงานที่บ้านก็สามารถยืดหยุ่นได้ เช่น ถ้าลูกกวนเวลาที่ทำงานคุณแม่อาจจะสลับเวลาเล่นกับลูกมาแทน เพื่อให้เกิดผลดีแก่ทั้งสองอย่าง แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ work from home ด้วยกันทั้งคู่ก็อาจจะใช้วิธีสลับกันดูแลลูกก็ได้เช่นกัน ส่วนช่วงที่ลูกเข้านอนคุณแม่อาจจะใช้เวลาช่วงนี้เคลียร์งานที่เหลือได้อย่างเต็มที่หรือวางแผนสำหรับวันถัดไป การวางแผนที่ดีจะช่วยทำให้คุณแม่เหนื่อยน้อยลง ไม่ทำให้เครียด และอาจช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นนะคะ

                        5.อธิบายให้ลูกเข้าใจเมื่อคุณแม่ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน

                        เมื่อเริ่มต้นทำงานคุณแม่จำเป็นต้องสื่อสารให้ลูกเข้าใจว่า นี่คือการทำงานที่บ้านเพียงแต่ไม่ได้เดินทางไปที่ออฟฟิศเท่านั้น และช่วงเวลาทำงานคุณแม่ไม่สามารถเล่นกับลูกได้จนกว่าจะถึงเวลาพัก หรือใช้วิธีตั้งกฏกับคนในครอบครัวว่าในเวลาทำงานอย่าเพิ่งเข้ามารบกวน เพื่อช่วยให้เข้าใจตรงกันและไม่ส่งผลกระทบต่องานของคุณแม่ค่ะ

                        วิธีทํางานที่บ้าน

                        6.จัดตารางกิจกรรมให้ลูก

                        คุณแม่ลองวางแผนกิจกรรมของเจ้าตัวเล็กให้ทำในแต่ละวันในช่วงเวลาที่แม่ทำงานดูค่ะ โดยปกติเวลาในการ WFH ของบริษัทส่วนใหญ่จะประมาณ 9:00–18:00น. และเวลาพักกลางวัน 12:30-13:30 น. เหมือนเวลาเข้างานปกติ ข้อดีของการทำงานที่บ้านทำให้คุณแม่มีเวลาในช่วงเช้าเตรียมอาหาร กินข้าว และเล่นกับลูกได้ รวมถึงเวลาพักเที่ยง พักเบรคเล็กน้อย ดังนั้นในช่วงเวลาทำงานของคุณแม่ก็มีตารางกิจกรรมให้คุณลูกเช่นกัน เพื่อไม่ให้เจ้าตัวเล็กมารบกวนเวลาทำงานของคุณแม่ เช่น อาจจะหาแบบฝึกหัด ทำการบ้านปิดเทอม หรือหากิจกรรมง่าย ๆ ให้ลูกทำอย่างวาดภาพ ทำศิลปะประดิษฐ์ อ่านหนังสือ เล่นบอร์ดเกม เล่นเกม หรือการปล่อยให้ได้ดูทีวี ดูมือถือบ้าง แต่ก็ควรกำหนดเวลาดูให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ในแต่ละวันลูกอยู่กับหน้าจอมากเกินไป

                        บทความแนะนำ : 6 กิจกรรมเล่นกับลูกสไตล์ มอนเตสเซอรี่ เสริมทักษะให้ลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน

                        7.ให้รางวัลเด็กดี

                        เมื่อลูกเข้าใจและไม่มารบกวนคุณแม่เวลาทำงานตามที่ตกลงไว้ได้ คุณแม่อาจให้รางวัลกับเจ้าตัวน้อยเป็นคำชมเชยเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมีขนมอร่อย ๆ ให้กิน สำหรับความร่วมมือที่ช่วยให้การทำงานที่บ้านของคุณแม่ไม่ยากลำบาก และเมื่อเสร็จจากงานในแต่ละวัน คุณแม่ควรใช้เวลาเล่นกับลูกหรือพูดคุยกับลูกให้เต็มที่เลยค่ะ แต่หากว่าคุณแม่เจอเจ้าตัวเล็กมาขัดจังหวะเวลาทำงาน อาจจำเป็นต้องหยุดทำงานเพื่อมาทำความเข้าใจกับลูก อธิบายให้ลูกฟังว่าการที่ลูกไม่รบกวนจะช่วยให้คุณแม่ทำงานได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่าถ้าไม่มากวนเด็ก ๆ ก็ควรจะได้รับรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ

                        working from home

                        8.พักเบรกแล้วพักเล่นกับลูก

                        โดยปกติเวลาทำงานที่บริษัทคุณแม่ยังมีเวลาลุกออกจากโต๊ะทำงานเพื่อยืดเส้นยืดสาย พักสายตา ดังนั้นในระหว่างที่สามารถนั่งทำงานที่บ้าน คุณแม่ควรแบ่งเวลาพัก เพื่อเดินออกไปดูลูก พูดคุยกับลูก เช่น ใน 1 ชั่วโมง คุณแม่สามารถแบ่งเวลาทำงาน 50 นาที และพักอีก 10 นาที เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าแม่ยังคอยดูแล ไม่ปล่อยเขาไว้อยู่คนเดียว และช่วยให้แม่ได้ผ่อนคลายจากการทำงาน พักสมองจากความเครียดด้วยค่ะ

                        9.อย่าเคร่งเครียดมากเกินไป

                        การปรับตัว work from home ในช่วงแรก ๆ อาจจะเกิดการติดขัด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ระบบ การสื่อสารระหว่างที่ทำงาน แม้กระทั่งการปรับตัวทำงานที่บ้านที่มี่เจ้าตัวเล็กอยู่ด้วย แถมการทำงานที่เจ้านายมองไม่เห็นทำให้คุณแม่ต้องมีวินัยมาก การทำงานที่บางทีต้องทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย อาจทำให้คุณแม่เครียด ความเครียดแม้เพียงเล็กน้อยก็จะส่งผลต่อสุขภาพและกระทบไปถึงการทำงานได้ ดังนั้นคุณแม่ควรทำความเข้าใจว่าการ WFH อยู่ในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติ อย่าเครียด หรือหักโหมมากเกินไป พยายามสื่อสารกับคนในออฟฟิศ หรือคิดง่าย ๆ ว่าเราทำงานเหมือนตอนเข้าออฟฟิศปกตินั่นเอง เมื่อทำงานเสร็จแล้ว ให้ปิดหน้าจอแล้วก็มาสนุกกับเจ้าตัวเล็กเพื่อพักผ่อนคลายเครียดกันค่ะ

                        แม้ว่าการ Work from home จะเป็นเรื่องที่ยังไม่คุ้นชินสำหรับพนักงานออฟฟิศ แต่ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทำให้องค์กร บริษัท และพนักงานต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งยังคงต้องรับผิดชอบในส่วนงานให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่เหมือนเดิม ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้ลองทำงานจากที่บ้าน จากที่เคยใช้ชีวิตประจำวันจันทร์-ศุกร์เข้าออฟฟิศ ก็ถือเป็นประโยชน์ที่คุณแม่จะได้เรียนรู้การทำงานในอีกระบบไปพร้อม ๆ กับการเลี้ยงลูก ๆ ที่บ้าน แม้ว่าบางอย่างมันจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่น แต่อย่างน้อยการร่วมด้วยช่วยกันอยู่บ้านก็ช่วยลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อ ได้อยู่อย่างปลอดภัย และมีสุขภาพดีนะคะ

                        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :www.brandinside.asiawww.fastcompany.com

                        อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

                        11 ข้อพ่อแม่ควรทำ & ไม่ควรทำ รับมือ COVID-19 โดย พ่อเอก

                        แม่ไทยในอิตาลีแชร์ “วิธีรับมือ COVID-19” ในวันที่ต้องปิดประเทศ

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          วิธีคลายเครียด

                          เมื่อแม่จิตตก! 9 วิธีคลายเครียด ดูแลสุขภาพใจไม่ให้ Panic ช่วงโควิด-19

                          ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 บวกกับความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสารที่มีทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม จนทำให้แม่ ๆ หลายคนเลี้ยงลูกด้วยอาการจิตตก มีทั้งความรู้สึกกังวล ห่วงครอบครัว จนเกิดอาการ “เครียด” ที่นอกจากจะบั่นทอนจิตใจยังส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ไม่น้อย การเตรียมพร้อมรับมือกับความวิตกกังวลดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง มาดู วิธีคลายเครียด ที่อย่างน้อยก็ต้องทำจิตใจและร่างกายให้แข็งแรงขึ้นเพื่อดูแลลูกและครอบครัวกันค่ะ

                          นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้อธิบายถึงความกังวลที่เกิดขึ้นในสถานการณ์แบบนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่กังวลน้อยไป กลุ่มที่ 2 กังวลมากไป ซึ่งแบ่งความกังวลได้เป็น กลัวคนอื่นจะมาติด กลัวว่าคนป่วยหรือคนเสี่ยงจะมาทำให้เราติด กลัวอาหารหมดจนต้องไปกักตุน กลัวหน้ากากหมด กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่ 3 ตระหนักแต่ไม่ตระหนก รู้จักป้องกันตนเอง ด้วยวิธีการพื้นฐาน ตระหนักรู้ว่าเราต้องทำอย่างไร

                           “การที่เรากลัวเกินไป ส่งผลกระทบต่อสังคม สิ่งสำคัญคือ สุขภาพจิตเสีย นอนไม่หลับ ใช้เวลาในการรับรู้ข่าวสารยาวนานเกินไป เกิดความเครียด มีผลเสียต่อสุขภาพกาย เวลาที่เราเครียดทำให้เราภูมิคุ้มกันตก เราควรอยู่ในระดับความกังวลที่พอดี คือ กลุ่มที่ 3 หากกังวลน้อยไปก็ต้องเปลี่ยน แต่หากกังวลมากไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพจิต แต่หากอยู่ในความพอดี คุณคือคนสำคัญที่จะเตือนคนรอบข้างของเราได้” นายแพทย์ยงยุทธ กล่าว”

                          ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้กล่าวถึงผลเสียที่เกิดจากความเครียดว่า “หากมีความเครียดสะสมในระดับที่มากไปจะส่งผลต่อสุขภาพกาย  นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดท้อง และส่งผลต่อสุขภาพจิต หงุดหงิด โกรธง่าย เบื่อหน่าย คิดมาก วิตกกังวล เศร้าหมอง รวมทั้งอาจมีพฤติกรรม เก็บตัว ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่น”

                          เมื่อแม่จิตตก! 9 วิธีคลายเครียด ดูแลสุขภาพใจไม่ให้ Panic ช่วงโควิด-19

                          วิธีช่วยคุณแม่ลดความกังวลใจในสถานการณ์เกี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 สามารถทำได้หลายทาง เช่น

                          วิธีคลายเครียด วิตกกังวล
                          วิธีคลายเครียด วิตกกังวล

                          1.เว้นระยะการรับข้อมูลข่าวสาร การอ่านข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไปทำให้เกิดความกังวลใจได้มาก ซึ่งก็มีทั้งข่าวจริงและที่เป็นเฟคนิวส์ เมื่อเสพข่าวที่ล้นเกินไปทำให้สามารถเสียการควบคุมตัวเองได้ จนเกิดอาการบั่นทอนทางจิตใจ ซึ่งสิ่งที่ทำให้คลายกังวลหรือการติดตามข่าวสารอย่างมีสติ และเรียนรู้ที่จะคัดกรองแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ ได้ เช่น เว็บไซต์ WHO หรือกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สามารถเฝ้าระวังและรับมือได้อย่างเหมาะสม

                          2.การพูดคุยด้วยวิธีออนไลน์ กับคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนที่ไว้ใจ จะสามารถช่วยคลายความรู้สึกเครียด หรือวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดีตามไปด้วย

                          3.พยายามรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่ประโยชน์เพื่อส่งผลดีต่อสุขภาพ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

                          4.หากิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ทำให้ตัวเองมีความสุขในเวลาว่างทำ เช่น ดูซีรีส์ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำงานประดิษฐ์ ฯลฯ

                          5.ดูแลร่างกายตัวเองมากขึ้น ฝึกการกำหนดลมหายใจเข้าออก คือเมื่อหายใจเข้าหน้าท้องจะพองออก และเมื่อหายใจออกหน้าท้องจะยุบลง หายใจเข้าลึก ๆ และช้า ๆ กลั้นไว้ชั่วครู่แล้วจึงหายใจออก หมั่นลองฝึกเป็นประจำทุกวัน จนสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ การหายใจแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ควบคุมให้หัวใจเต้นช้าลง ทำให้สมองแจ่มใส และคลายกังวลมากขึ้น

                          วิธีแก้เครียด คิดมาก

                          6.นั่งสมาธิ เป็นอีกวิธีที่ได้ผลดีในการช่วยบำบัดความเครียดและต้องการผ่อนคลาย โดยเริ่มต้นนั่งจากท่าที่สบาย จากนั้นให้หลับตาแล้วหายใจเข้าออกช้าๆ เริ่มทำสมาธิด้วยการเอาใจไปจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวด้วยการใช้วิธีนับลมหายใจเป็นหลัก ซึ่งก็จะช่วยทำให้ความเครียด ความรู้สึกวิตกกังวลลดลงได้

                          7.ให้เวลากับตัวเองเงียบ ๆ คล้ายกับการทำสมาธิ เพียงแต่ไม่ต้องกำหนดลมหายใจ โดยใช้เวลาประมาณ 15   นาที นั่งหรือนอนในท่าที่สบาย จากนั้นหลับตาเพื่อตัดสิ่งรบกวนจากภายนอก หายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ ฝึกครั้งละ 10-15 นาที ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง

                          8.ปรับตัวเพื่อปรับสภาพจิตใจ โดยหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหาไปสักระยะหนึ่ง และพยายามไม่คาดหวังในสิ่งต่าง ๆ มากจนเกินไป พยายามคิดบวกเข้าไว้ แต่ถ้าหากคุณแม่รู้สึกเครียด รู้สึกจิตใจตัวเองย่ำแย่เกินไป การปรึกษานักจิตวิทยานับว่าเป็นทางออกที่ดี

                          9.ออกกำลังกาย หากิจกรรมที่สามารถออกกำลังภายในบ้านได้ เช่น โยคะ บางท่าของโยคะถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการลดความตึงเครียดและผ่อนคลายร่างกายได้ การยืนบิดตัวยืดเส้นยืดสาย หรือการเดิน/ วิ่งรอบ ๆ บ้านก็จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อนผ่อนคลายลง และยังเพิ่มระดับเอ็นโดรฟินหรือสารอื่น ๆ ที่ดีต่อสุขภาพและอารมณ์ ซึ่งช่วยคลายเครียดได้เป็นอย่างดี

                          วิธีรับมือความเครียด
                          ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/csdthai

                          ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ที่ส่งผลให้ทุกคนเกิดความเครียดได้ โดยสาเหตุหลัก ๆ คือเกิดจากความกลัวและความกังวล ทำให้เกิดอาการนอนหลับยากขึ้น มีสมาธิน้อยลงเพราะมีสิ่งรบกวนจิตใจ แน่นอนว่าช่วงนี้ความเครียดอาจเป็นสิ่งที่หนีไปพ้น แต่ก็สามารถหาวิธีคลายเครียดลงได้ เพื่อทำให้ทุกคนสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขและมีสุขภาพที่ดีนะคะ.

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.brandinside.asia. www.bangkokbiznews.com, www.goodlifeupdate.com

                          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

                          หมอรามาแนะแนวทาง รับมือไวรัสโคโรน่า “5 วิธีดูแล+สอนลูก รอดจาก COVID-19”

                          8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            เด็กติดโควิด-19

                            เด็กติดโควิด-19 เพิ่ม เตือนพ่อแม่ระวัง อย่าพาเชื้อเข้าบ้าน

                            โควิด-19 ไม่ได้รักเด็กอีกต่อไป หลังจากเริ่มมีข่าว เด็กติดโควิด-19 เพิ่มขึ้น จากเคสแรก เด็ก 8 ขวบติดจากปู่ย่า ต่อมาไม่นานเด็ก 6 เดือนติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19 ซึ่งเป็นเคสที่อายุน้อยที่สุดในไทย และในยามที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในบ้านเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เชื้อได้มีการแพร่กระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ก็ทำให้พบ เด็กติดโควิด-19 เพิ่มที่โคราชอีก 2 รายค่ะ

                            โดยล่าสุด (26 มี.ค. 2563) ได้มีการรายการสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด –19 ในจังหวัดนครราชสีมา พบผู้ป่วยเพิ่ม 4 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 1 ขวบ 2 เดือน ติดจากญาติ และอีกเคสหนึ่งเป็นเด็ก 9 ปี ติดเชื้อจากแม่ที่กทม.

                            จะเห็นได้ว่า ในเด็กเล็ก แม้เราจะให้เขาอยู่แต่ในบ้าน เขาก็ยังสามารถได้รับเชื้อจากผู้ใหญ่ที่ยังเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะไปทำงาน หรือไปทำธุระ จับจ่ายใช้สอยของจำเป็นเข้าบ้านก็ตาม แม้จะใส่หน้ากาก หรือพกแอลกอฮอล์ล้างมือ ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ใหญ่ที่ออกนอกบ้าน จะไม่พาเชื้อเข้าบ้าน มาติดลูกหลานที่ยังมีภูมิต้านทานไม่เท่าผู้ใหญ่

                            ทีมแม่ ABK จึงมีคำแนะนำดีๆ  ให้บ้านนี้ปลอดเชื้อโควิด-19 ต้องเริ่มต้นที่พ่อแม่ มาร่วมมือกันดูแลตัวเองเพื่อคนที่คุณรัก  ป้องกัน เด็กติดโควิด-19 กันเถอะ

                            บ้านนี้ปลอดเชื้อโควิด-19
                            บ้านนี้ปลอดเชื้อโควิด-19

                            เมื่อจำเป็นต้องออกนอกบ้าน

                            1. วางแผนก่อนออกจากบ้าน ทำรายการกิจกรรมที่ต้องออกไปทำ เช่น รายการสถานที่ที่ต้องไป ของที่ต้องซื้อ
                            2. วัดอุณหภูมิร่างกายก่อนออกจากบ้าน
                            3. สวมหน้ากาอนามัย / หน้ากากผ้าทุกครั้ง ไม่สวมนาฬิกา เครื่องประดับ เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค
                            4. พกเจลล้างมือ / สเปรย์แอลกอฮอล์
                            5. ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก หรือใบหน้า
                            6. สวมชุดคลุม หากผมยาวควรใส่หมวก
                            7. หากไปซื้อของเลือกเวลาและสถานที่ที่คนไปน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการใช้ลิฟท์
                            8. รักษาระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตร
                            9. รีบไปรีบกลับ

                            วิธีป้องกันโควิด เมื่อออกนอกบ้าน

                            อ่านต่อ วิธีป้องกันโควิด-19 เมื่อกลับมาถึงบ้าน คลิกหน้า 2

                              ช่วงโควิด19

                              ข้อควรปฏิบัติ! เมื่อต้อง พาลูกไปโรงพยาบาล ช่วงโควิด-19 ระบาด

                              ไขข้อสงสัย? ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด จำเป็นต้องพาลูกไปฉีดวัคซีนหรือไม่? เลื่อนนัดได้หรือเปล่า! และถ้าลูกป่วย ต้อง พาลูกไปโรงพยาบาล ควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้ลูกปลอดภัย

                              ข้อควรปฏิบัติ! เมื่อต้อง พาลูกไปโรงพยาบาล
                              ช่วงโควิด-19
                              ระบาด

                              เมื่อคุณแม่มีความจําเป็นต้อง พาลูกไปโรงพยาบาล พบคุณหมอ แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) คงทำให้คุณพ่อคุณแม่ผู้เกิดความกังวลใจอยู่ไม่น้อยที่จะต้องพาลูกไปพบคุณหมอตามนัดหรือเข้ารับการรักษา ซึ่ง ช่วงโควิด-19 ระบาด แบบนี้ โรงพยาบาลแต่ละแห่งอาจมีการรับมือและข้อปฏิบัติในการ ควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ต่างกันทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่

                              Must read >> เผย “ความในใจคนเป็นแม่” หลัง ลิเดียติดเชื้อไวรัสโควิด-19

                              Must read >> วิธี ลงทะเบียนรับเงิน 5,000 บาท
                              ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ใครมีสิทธิ์บ้าง? เช็กเลย!!

                               

                              สำหรับคำถามที่ว่า เมื่อถึงกำหนดฉีดวัคซีนแล้วต้องพาลูกไปฉีดวัคซีน แต่ก็ไม่กล้า พาลูกไปโรงพยาบาล จะสามารถเลื่อนการรับวัคซีนออกไปก่อนได้หรือไม่? เพื่อคลายข้อสงสัยที่คุณพ่อคุณแม่กำลังเป้นกังวลกันมากในเรื่องนี้ ทางทีมแม่ ABK จึงได้นำคำตอบจาก คุณหมออร พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล กุมารแพทย์ เฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมนเด็ก) มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบกัน โดยคุณหมออร ได้โพสต์ในเพจ เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ ว่า …

                               

                              Q: หากถึงกำหนดฉีดวัคซีน แต่ไม่กล้า พาลูกไปโรงพยาบาล จะเลื่อนฉีดออกไปก่อนได้มั้ย?

                              A: คำตอบ คือ ขึ้นกับอายุของเด็ก

                               

                              *ถ้าลูกอายุต่ำกว่า 1 ปี คุณหมอแนะนำให้ควรไปฉีดให้ครบตามกำหนด เพราะลูกอาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้ออื่นๆ ได้ เนื่องจากลูกยังไม่มีภูมิคุ้มกันอะไรเลย

                              ไม่ว่าจะเป็น โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ ฮิบ (HIB) ตับอักเสบบี และโรต้า ก็อาจจะอันตรายกว่าถ้าไม่ได้รับวัคซีนโดยเฉพาะวัคซีนโรต้า ที่มีกำหนดช่วงอายุที่สามารถรับได้ คือ หยอดครั้งแรก ต้องอายุไม่เกิน 15 สัปดาห์ และครั้งสุดท้ายไม่เกิน 32 สัปดาห์ หรือ 8 เดือน

                              Must read >> เซฟไว้ดูเลย! ตารางวัคซีน 2563
                              อัปเดตจากสมาคมโรคติดเชื้อฯ ปีนี้ลูกต้องฉีดอะไรบ้าง?

                              พาลูกไปโรงพยาบาล

                              ทั้งนี้คุณหมออรยังได้บอกอีกว่า…

                              ถ้าเลื่อนการรับวัคซีนออกไป ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าต้องเลื่อนออกไปอีกนานแค่ไหน เพราะสถานการณ์แนวโน้มการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน และอาจจะกินเวลาอีกหลายเดือน

                              >> อีกทางเลือกนึง คือ อาจจะเปลี่ยนไปฉีดที่คลินิกใกล้บ้านที่คนไม่พลุกพล่านก็สามารถทำได้

                              ซึ่งเรื่องนี้ทีมแม่ ABK ก็เห็นด้วยคือคุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกน้อยไปฉีดวัคซีนที่คลินิก หรือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ใกล้บ้านที่อาศัยอยู่ก็ได้เช่นกัน

                              *แต่ถ้าอายุหลัง 1 ปีไปแล้ว ส่วนใหญ่วัคซีนที่เด็กได้รับจะเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งลูกก็มีภูมิคุ้มกันพอสมควรแล้ว สามารถเลื่อนไปก่อนได้ ไว้มาฉีดหลัง สถานการณ์โควิด-19 สงบลง

                              อีกอย่างนึง คือ ช่วงนี้เด็กๆ อยู่แต่บ้าน ไม่ได้ไปโรงเรียน โอกาสได้รับเชื้อก็น้อย เพราะฉะนั้นเลื่อนออกไปก่อนได้

                               

                              อ่านต่อ >> “วิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องพาลูกป่วยไปโรงพยาบาล” คลิกหน้า 2

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                เสียวหมี่ เปิดตัว เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C รับเทรนด์ Work from Home เมื่องานก็ต้องทำ บ้านก็ต้องคลีน

                                ในช่วงที่เทรนด์ Work from Home งานก็ต้องทำ บ้านก็ต้องคลีนแบบนี้ จะตามแม่บ้านมาช่วยเวลานี้ก็คงไม่มีใครออกมา ดังนั้นเราคงต้องหาตัวช่วยอัจฉริยะกันสักหน่อย ล่าสุด เสียวหมี่ ผู้นำเทคโนโลยีของโลก ได้เปิดตัว เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C ประสบการณ์ทำความสะอาดแบบไม่เปลืองแรง ด้วยการออกแบบที่สามารถเคลื่อนย้ายพกพาไร้สายกวนใจ เครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นใหม่นี้ยังคงมาพร้อมมอเตอร์ DC brushless motor ที่มีความสามารถในการหมุนเร็วถึง 100,000 รอบต่อนาที จากรุ่นก่อนหน้านี้แต่ได้รับการอัพเกรดให้มีพลังการดูดถึง 120 AW รวมไปถึงระบบการกรองฝุ่นอย่างละเอียดมากถึง 5 ขั้นตอน ดังนี้ ระบบการแยกแบบแอดวานซ์มัลติ-ไซโคลนและมีการกรองอย่างละเอียดด้วย H12-class HEPA filter ทำให้เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C สามารถจับฝุ่นได้มากถึง 99.97% แม้ฝุ่นที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอนก็สามารถจัดการได้ ให้คุณมั่นใจว่าเครื่องจะปล่อยแต่อากาศบริสุทธิ์ออกมา

                                นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานได้นานถึง 60 นาทีภายใต้โหมดอีโค Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C ยังมาพร้อมหัวดูดให้เลือกหลากหลายถึง 4 หัว ที่จะให้คุณสามารถปรับใช้กับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม ให้คุณสามารถทำความสะอาดบ้านได้ทั้งหลังและยังซอกซอนตามร่องลึกพื้นผิวเบาะหรือบางหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากผ้าได้อย่างง่ายดาย

                                เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C วางจำหน่ายในราคา 7,999 บาท ตั้งแต่วันนี้ ณ ร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากทางเสียวหมี่, Lazada, Shopee และ JD Central โดยเริ่มวางจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ครั้งแรกผ่านแพลตฟอร์มลาซาด้าในวันที่ 27 มีนาคม 2563

                                นอกจากจะเปิดตัวเครื่องดูดฝุ่นแล้วยังเปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวล่าสุด Redmi Note 9S: ขุมพลังแห่งชัยชนะ ไว้สำหรับคนขี้เหงาอยากพักจากงานแล้วหันมาเล่นเกมบนมือถือชิปเซ็ตทรงพลัง Qualcomm® Snapdragon™ 720G ที่จะทำให้การเล่นเกมไหลลื่น ไม่มีสะดุด พร้อมความจุของแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 5020mAh มากที่สุดเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนอื่นในรุ่นราคาเดียวกัน สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานตลอดทั้งวันคราวนี้ไม่ว่าจะเรื่องงานเรื่องบ้านเรื่องเกม ก็ทำให้ช่วงวันอยู่บ้านเป็นวันที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

                                สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวเสียวหมี่ สามารถเข้าชมได้ที่  http://blog.mi.com/en/

                                  Tags

                                  30 กิจกรรม เล่นสนุกอยู่กับบ้านง่ายๆ เสริมพัฒนาการลูกน้อย

                                  ช่วงวัยเด็กของลูกถือเป็นช่วงเวลาที่ควรสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในทุกด้านของพัฒนาการ และสิ่งที่จะช่วยกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการที่ดีใน 5 ด้านและเหมาะกับลูกมากที่สุดก็คือ “การเล่น” ซึ่งจัดเป็นส่วนสำคัญของชีวิตในวัยเด็กที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพัฒนาการ การเรียนรู้ สร้างพฤติกรรม และทักษะ ที่จะทำให้ลูกได้เติบโตอย่างมีรากฐานที่ดี และช่วยกระตุ้นพัฒนาการทั้ง 5 ด้าน อันได้แก่ พัฒนาการด้านสติปัญญา (Cognitive Development) พัฒนาการด้านร่างกาย (Physical Development) พัฒนาการด้านสังคม/ อารมณ์ (Social/ Emotion Development) พัฒนาการด้านภาษา (Language Development) พัฒนาการและทักษะการช่วยเหลือตัวเอง SELF-HELP Development มี กิจกรรม แบบไหนเหมาะสำหรับเจ้าตัวเล็กบ้างมาดูกันค่ะ

                                  30 กิจกรรม เล่นสนุกอยู่กับบ้านง่ายๆ เสริมพัฒนาการลูกน้อยก่อนเข้าเรียน

                                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา

                                  ช่วยในการการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ ให้ลูกได้เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ กับตนเอง ช่วยกระตุ้นให้ลูกได้คิด เรียนรู้ หาเหตุผล แก้ไขปัญหา และสื่อสาร เช่น

                                  1.ร้องเพลง ร้องเพลงไปกับลูกและกระตุ้นให้ลูกได้ร้องเพลงไปดัวยกัน ไม่ว่าจะเป็นเพลงโปรดหรือเพลงที่เปิดประจำในบ้าน ในที่สุดลูกก็จะจดจำและอาจเริ่มร้องเพลงด้วยตัวเอง กิจกรรมนี้ช่วยส่งเสริมความจำและการคำศัพท์ได้ดีทีเดียวค่ะ

                                  2.ฟังเสียงที่ได้ยินบ่อย ๆ เช่น เสียงน้ำไหล เสียงเคาะประตู เสียงสตาร์ทรถ จะทำให้ลูกเริ่มเข้าใจว่าเสียงเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันของเขาอย่างไร

                                  3.เล่นตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็นบัตรคำ ของเล่นตัวอักษร หนังสือที่เกี่ยวกับตัวอักษร หรือปริศนาตัวอักษรที่จะช่วยให้ลูกจำพยัญชนะได้มากขึ้น

                                  4.ฝึกนับเลข ชวนเจ้าตัวเล็กมาหัดนับเลข 1-10 รอบตัว เช่น นับจำนวนรองเท้า นับกระดุมบนเสื้อ จำนวนสไลด์ที่สนามเด็กเล่น ในไม่ช้าก็จะพบว่าพวกเขากำลังนับทุกอย่างได้แล้ว

                                  กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการ
                                  กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการ

                                  5.ฝึกรูปทรงและสี สร้างกิจกรรมรูปทรงและสีด้วยของเล่นที่เป็นรูปทรงและสีต่าง ๆ เช่น การใช้ลูกบอลหลากสี และพูดว่า “ลูกบอลกลมสีฟ้า” เมื่อลูกโตขึ้นอีกนิดเขาก็จะสามารถอธิบายสิ่งของให้คุณพ่อคุณแม่ฟังได้อย่างละเอียดมากกว่าจะระบุแค่อย่างเดียว

                                  6.ถามคำถาม การตั้งคำถามง่าย ๆ เป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะกระตุ้นให้เจ้าตัวเล็กได้เรียนรู้ที่จะคิดด้วยตนเอง เช่น “ลูกต้องการใส่กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลหรือสีน้ำเงิน” หรือคำถามง่าย ๆ รอบตัว “นั่นอะไร” “นี่อะไร” การถามคำถามจะช่วยให้ลูกเรียนรู้วิธีการหาคำตอบ แก้ปัญหา และรู้จักกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ดีขึ้น และยังเป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับพัฒนาการด้านภาษาที่จะทำให้ลูกรู้จักสร้างประโยคที่จะตอบคำถาม การตั้งคำถามกับลูกจะมีส่วนช่วยปูพื้นฐานทางด้านสติปัญญาและภาษาที่ดีสำหรับอนาคต

                                  7.พากันออกไปเที่ยวที่น่าสนใจ ปัจจุบันมีแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสำหรับเด็กเล็กมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด พิพิธภัณฑ์เด็ก ฟาร์ม ที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ฯลฯ พาลูกออกไปเที่ยวเพื่อที่จะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น และมอบประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน แต่ถ้าในวันที่อยู่บ้า้นคุณแม่อาจจะหาหนังสือภาพท่องเที่ยวมาเปิดให้ลูกดูก็ได้นะคะ

                                  8.เล่นกับของใช้ในบ้าน นอกจากของเล่นเสริมพัฒนาการทั่วไปแล้ว การเล่นกับของใช้ในครัวเรือนก็สร้างความสนุกและการเรียนรู้ให้ลูกได้ไม่น้อย เช่น จับคู่ฝาขนาดต่าง ๆ เข้ากับหม้อที่ใช้ จับคู่ช้อนกับส้อม เป็นต้น

                                  9.เล่นเกม เล่นเกมที่หลากหลายกับลูกเพื่อกระตุ้นการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ เช่น เล่นจ๊ะเอ๋ เล่นซ่อนแอบ ต่อบล็อก เป็นต้น

                                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย

                                  ทักษะการพัฒนาทางด้านร่างกายเป็นส่วนสำคัญของวัยเด็ก เป็นความสามารถของร่างกายในการทรงตัวและการเคลื่อนไหว โดยการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ รวมถึงมือและตาที่ประสานกันได้ดีในการทำกิจกรรมต่าง ๆ  กิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านนี้จึงควรเน้นไปที่การให้ลูกได้เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น

                                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย
                                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย

                                  10.เดิน วิ่ง กระโดด ปีนป่าย พาเจ้าตัวเล็กออกไปเดินเล่น วิ่งเหยาะ ๆ สร้างด่านอุปสรรคภายในบ้าน หรือหากมีโอกาสก็พาเจ้าตัวเล็กได้ออกไปใช้พลังในการทำกิจกรรมนอกบ้าน ที่นอกจากจะช่วยเสริมพัฒนาการร่างกายยังทำให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเพิ่มขึ้นด้วย

                                  11.เล่นกระบะทราย ให้ลูกได้จับ ขยำเล่น เนื้อหยาบ ๆ ของทราย เป็นการช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสของกล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้ใช้นิ้ว และฝ่ามือทั้งสองข้างได้ดีมากขึ้น

                                  12.เล่นกับน้ำ เด็ก ๆ กับน้ำเป็นของเล่นที่สนุกคู่กัน สร้างกิจกรรมที่ให้ลูกได้สัมผัสน้ำ เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ เป่าบับเบิ้ล หรืออะไรที่เกี่ยวข้องสบู่และน้ำ ก็คือความสนุกที่เต็มเปี่ยมที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กพยายามจะวิ่งไล่จับทั้งนี้ต้องคอยดูแลเรื่องความปลอดภัยเวลาลูกอยู่ใกล้น้ำเสมอด้วยนะคะ

                                  13.สร้างด่านกีดขวาง ด้วยการใช้อุปกรณ์ในบ้านง่าย ๆ อย่างหมอน กล่องลังกระดาษหรือวัตถุอื่น ๆ ที่ทำให้เจ้าตัวเล็กได้ปีนข้าม วิ่งไปมา

                                  14.เล่นลูกบอล ช่วยกระตุ้นให้เจ้าตัวเล็กได้เตะ ได้วิ่ง ได้จับ ได้ขว้าง เป็นกิจกรรมสนุกที่ช่วยเสริมได้ทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่

                                  15.เปิดเพลงเต้นรำ เสียงเพลงที่เป็นจังหวะจะช่วยให้เจ้าตัวเล็กได้ขยับร่างกายเคลื่อนไหวที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางร่างกายได้ดี

                                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการ ปฐมวัย

                                  16.ระบายสี วาดภาพ ทำศิลปะ ให้ลูกได้ใช้มือหยิบจับดินสอ จับชอล์ก มีส่วนช่วยฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของลูก นอกจากนี้ศิลปะยังเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ ช่วยเสริมจินตนาการ เป็นทางออกสำหรับการแสดงออกทางอารมณ์ รวมถึงมีส่วนช่วยเสริมพัฒนาการในด้านสติปัญญาอีกด้วย

                                  17.ให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวัน เช่น แปรงฟัน แต่งตัว ติดกระดุม ล้างมือ เป็นต้น

                                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านสังคม/ อารมณ์

                                  เด็ก ๆ เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ กิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการในด้านนี้จะช่วยให้ลูกได้รู้จักปรับพฤติกรรมและอารมณ์ตัวเอง สามารถสร้างสัมพันธ์กับเด็กคนอื่น ๆ และผู้ใหญ่รอบตัว เข้าใจผู้อื่น และเป็นปัจจัยในการช่วยพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญ เช่น

                                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม
                                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม

                                  18.เล่มเกมเป็นกลุ่ม ส่งเสริมการพัฒนาสังคมของลูกโดยให้ลูกเล่มเกมที่ต้องผลัดกันเล่น แบ่งปัน และร่วมมือ เช่น playgroup บอร์ดเกมที่เหมาะกับวัยของลูก หรือกีฬาแข่งขันกลางแจ้งเพื่อความสนุกและสอนลูกให้รู้จักกฏกติกาการเล่น น้ำใจนักกีฬา

                                  19.บทบาทสมมุติ การส่งเสริมให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วมในการสวมบทบาทสมมุติ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ได้เป็นอย่างดี เพราะต้องใช้การสื่อสารทั้งคำพูดและท่าทาง และยังช่วยกระตุ้นจินตนาการให้ลูกในระหว่างเล่นสวมบทบาท รวมถึงการเสริมสร้างทักษะภาษา ชุดคำศัพท์อีกหลากหลาย และให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้การเล่นละครร่วมกันกันเป็นกลุ่ม

                                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านภาษา

                                  การพัฒนาภาษาให้กับเจ้าตัวเล็กเริ่มต้นได้จากการใช้ภาษาและการสื่อสารกับลูก เพื่อเสริมสร้างทักษะการฟังและทำความเข้าใจ ด้วยกิจกรรมง่าย ๆ และสนุกกระตุ้นให้เด็ก ๆ มั่นใจในขณะใช้คำพูดได้ เช่น

                                  20.ร้องเพลงกับลูก ฝึกพัฒนาการทางด้านภาษาให้กับลูกผ่านการร้องเพลงง่าย ๆ สั้น ๆ ร้องซ้ำ ๆ วนไปเพื่อให้ลูกหัดออกเสียงคำและจดจำคำศัพท์ได้ เช่น เพลงชาติ (เพลงชาติไทย) เพลงช้าง ฯลฯ และเสียงเพลงยังทำให้เด็ก ๆ มีความสุขอีกด้วย

                                  21.เล่นเกมฮัลโหล ให้โทรศัพท์ของเล่นเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมนี้ คุณแม่อาจจะแสร้งว่ากำลังโทรหาลูก กระตุ้นให้ลูกยกหูรับสาย สอนวิธีพูดว่า ‘สวัสดี’ เมื่อลูกรับโทรศัพท์ การทำกิจกรรมนี้เป็นประจำจะช่วยให้ลูกพัฒนาทักษะการพูดแถมยังรู้จักมารยาททางโทรศัพท์ที่ดีอีกด้วยนะ

                                  22.เล่นเกมเรียกชื่อ คุณแม่ลองชี้ไปที่วัตถุต่าง ๆ ในบ้านและขอให้ลูกลองเรียกชื่อสิ่งของเหล่านั้น คุณแม่สามารถช่วยได้จนกว่าลูกจะเริ่มพูดคำศัพท์นั้นออกมา นี่เป็นวิธีง่าย ๆ ในการกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษา และเกมนี้สามารถเล่นได้ทุกที่ทั้งในบ้าน ในสวนสาธารณะ หรือแม้แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ต

                                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา
                                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา

                                  23.อ่านหนังสือกับลูก การอ่านหนังสือด้วยกันทุกคืนเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกระตุ้นให้ลูกได้รู้จักกับคำศัพท์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น สำหรับเจ้าตัวเล็กการอ่านหนังสือที่มีคำศัพท์ง่าย ๆ พร้อมรูปภาพ ในขณะที่อ่านคุณแม่ลองชี้ไปที่ภาพในหนังสือ ถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว ชวนให้ลูกบอกว่าคืออะไร สิ่งนี้สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาของลูกให้ดีขึ้นได้

                                  24.เล่นหุ่นนิ้วหรือตุ๊กตา ใช้หุ่นเชิดเพื่อพูดคุยกับลูก เป็นวิธีกระตุ้นให้เจ้าตัวเล็กสนทนาตอบโต้ได้ง่าย ๆ แถมเวลาเล่นเด็กจะรู้สึกสนุกด้วย

                                  สื่อที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านภาษา

                                  25.จับคู่ตัวอักษร ใช้บัตรคำหรือแฟลชการ์ดเพื่อให้ลูกได้ลองจับคู่รูปภาพกับตัวอักษร ด้วยวิธีนี้จะทำให้ลูกรู้จักพยัญชนะ การออกเสียงตัวอักษรกับวัตถุ และความสามารถในการสะกดอย่างถูกต้องตามมา

                                   

                                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการและทักษะการช่วยเหลือตัวเอง

                                  กิจกรรมที่ฝึกให้ลูกได้ช่วยเหลือตนเอง มีอิสระที่จะทำสิ่งต่าง ๆ จะทำให้เด็ก ๆ มีความมั่นใจ มีความกล้าที่การลองสิ่งใหม่ ๆ และสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง เช่น

                                  กิจกรรมเสริมพัฒนาการ 2 ขวบ

                                  26.ให้ลองกินอาหารด้วยตัวเอง ปล่อยให้ลูกมีความเป็นอิสระมากที่สุดในช่วงเวลาอาหาร กระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้ลองใช้มือ ใช้ช้อนส้อม กินด้วยตัวเอง ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ

                                  27.แต่งตัวด้วยตัวเอง กระตุ้นให้ลูกได้หยิบเสื้อผ้ามาใส่ด้วยตัวเอง คุณแม่เพียงแค่ให้ความช่วยเหลือน้อยที่สุด อาจจะเริ่มต้นจากการใส่ถุงเท้าถอดถุงเท้า หรือช่วยในขั้นตอนที่ยากขึ้น เช่น การรูดซิปหรือติดกระดุม

                                  28.ปัสสาวะด้วยตัวเอง กระตุ้นให้ลูกเรียนรู้ที่จะใช้ห้องน้ำเพื่อปัสสาวะที่โถ จัดการถอดกางเกงขึ้นและลง และล้างมือหลังทำธุระเสร็จเองได้

                                  กิจกรรมเสริมทักษะชีวิต
                                  กิจกรรมเสริมทักษะชีวิต

                                  29.ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเอง กระตุ้นให้เด็ก ๆ ดูแลกิจวัตรด้านสุขอนามัยในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน หวีผม เป็นต้น

                                  30.ช่วยทำงานบ้าน ชวนให้ลูกมาช่วยทำงานบ้านทุกวัน รับผิดชอบงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เก็บของเล่น จัดโต๊ะอาหาร ล้างจาน ฯลฯ เด็กที่มีส่วนร่วมในการทำงานบ้านก่อนอายุ 4 ขวบ จะมีแนวโน้มที่จะมีความรับผิดชอบ ดูแลตัวเองได้ดีมากกว่าเด็กที่ไม่มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือตัวเอง

                                  เป็นอย่างไรกันบ้าง กับกิจกรรมที่ทีมแม่ ABK ได้คัดสรรมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำมากระตุ้นสร้างพัฒนาการดี ๆ ให้กับเจ้าตัวเล็ก อย่าให้ช่วงวัยเด็กที่สำคัญของลูกปล่อยผ่านไป ลองหาเวลาที่จะทำกิจกรรมร่วมกับลูกทำกันนะคะ.

                                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :www.friendshipcircle.org, www.stayathomeeducator.com, www.babycenter.com, www.living.thebump.com, www.parenting.firstcry.com, www.childcare.extension.org

                                    คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก

                                    9 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก บั่นทอนจิตใจลูกถึงโต!

                                    คำพูดพ่อแม่นั้นมีอิทธิพลต่อลูกมาก ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพูด น้ำเสียง ลูกจะเติบโตมาอย่างไร คำพูดจากพ่อแม่ก็คือผลลัพธ์ที่ส่งผ่านมาถึงตัวเด็ก เมื่อเจ้าตัวเล็กของคุณพ่อคุณแม่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม บ่อยครั้งที่คำพูดว่ากล่าวจากพ่อแม่กลายเป็น คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก และทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว เพราะคำพูดนั้นอาจเป็นคำพูดที่แรงเกินไป มีทัศนคติในเชิงลบ เป็นคำตำหนิที่ดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งคำพูดจากปากไม่กี่คำกลับส่งผลกระทบยาวนานต่อความรู้สึกลูกได้คุณพ่อคุณแม่ ควรเลือกคำพูดที่จะใช้สอนลูก ว่ากล่าวลูกอย่างระมัดระวัง และไม่ควรใช้คำพูดแบบนี้กับลูก

                                    9 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก บั่นทอนจิตใจลูกถึงโต!

                                    1.“ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง”

                                    การบอกลูกว่าพฤติกรรมที่ลูกทำไม่เหมาะสม ไม่เป็นประโยชน์ แม้แต่การเปรียบเทียบว่าทำได้ไม่ดีเหมือนพี่ หรือเหมือนน้องตัวเอง ก็เป็นการดูถูกความเป็นตัวตนของลูก ทำให้ลูกรู้สึกน้อยใจและเสียใจที่พ่อแม่มองไม่เห็นข้อดี หรือความตั้บงใจในสิ่งที่ตนเองทำ ส่งผลทำให้ลูกกลายเป็นเด็กขาดความมั่นใจ ไม่กล้าที่ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งจะผลเสียต่อตัวเด็กในระยะยาว ด้วยคำพูดเชิงลบแบบนี้จึงเป็นคำพูดที่ควรหลีกเลี่ยง ยิ่งกับพี่น้องในครอบครัวเดียวกันยิ่งไม่ควรนำมาเปรียบเทียบ ลองเปลี่ยนคำพูดด่าทอในเวลาเมื่อลูกทำผิดพลาดมาเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจ และข้อแนะนำให้ลูกได้ลองทำ หรือตั้งใจทำให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้จะดีกว่านะคะ

                                    คำที่ลูกไม่อยากได้ยิน
                                    คำที่ลูกไม่อยากได้ยิน

                                    2.“ทำแบบนี้ไม่มีใครรักหรอก”

                                    คำว่า “พ่อแม่ไม่รัก” เป็นคำพูดที่บั่นทอนจิตใจลูกเป็นที่สุด เด็กที่ได้ยินพ่อแม่พูดบ่อยว่าจะไม่รัก หรือไม่มีใครรัก นอกจากจะทำให้ลูกเสียใจมาก ยังทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นคง กลัวว่าพ่อแม่ไม่รัก กลัวว่าพ่อแม่จะทิ้งไป ไม่สนใจ จนทำใหลูกไม่กล้าที่จะทำอย่างอื่นเพราะกลัวว่าถ้าทำไปแล้วไม่ดีพอ ไม่ถูกใจ พ่อแม่จะไม่รัก คำพูดนี้จะทำร้ายจิตใจของลูกอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นคุณค่าของตัวเอง และเป็นปมด้อยของลธกไปจนโตได้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าคนเป็นพ่อแม่จะรักลูกจริง ๆ ก็ตาม แต่คำพูดประชดประชันว่า “ไม่รักลูก” ด้วยอารมณ์และความพลั้งปากของพ่อแม่นั้นจะกระทบความรู้สึกในจิตใจลูกเป็นอย่างมาก คำพูดแบบนี้ไม่ควรพูดกับลูกเลยนะคะ

                                    3.“รอให้พ่อกลับมาก่อนเถอะ”

                                    ถ้าคุณแม่ไม่สามารถจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของลูกได้ บางทีการนำคำขู่มาใช้เพื่อแสดงถึงอำนาจให้ลูกกลัว เช่น “จะให้พ่อจัดการให้เข็ด” “ถ้าพ่อรู้เมื่อไหร่โดนแน่” ฯลฯ เมื่อขู่ด้วยประโยคเดิม ๆ ลูกก็จะรับรู้ได้ว่า นี่เป็นแค่คำขู่ และไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผลที่ตามมาคือลูกก็จะไม่สนใจคำขู่อีกต่อไปก็เป็นได้

                                    บอกลูกว่าไม่รัก

                                    4.“หยุดร้องไห้เลยนะ”

                                    เด็ก ๆ มักจะระบายออกทางความรู้สึกด้วยการร้องไห้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถบอกอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้ดีมากกว่าคำพูด โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เมื่อถูกคุณพ่อคุณแม่ดุ หรืองอแงเอาแต่ใจตัวเอง การร้องไห้จึงเป็นวิธีช่วยป้องกันตัวจากความรู้สึกต่าง ๆ ได้ แต่การบอกให้ลูกหยุดร้องไห้ อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีนัก เพราะการร้องไห้ของเด็กจะทำให้ลูกรู้สึกปลอดโปร่ง และสบายใจขึ้น ดังนั้นหากเจ้าตัวเล็กกำลังเศร้าเสียใจ ไม่ควรไปบอกหรือห้ามเสียงดังว่าให้หยุดร้องไห้ แต่ควรมานั่งข้าง ๆ และโอบกอด แสดงความรัก ยอมรับความรู้สึกของลูก และเปลี่ยนจากการดุด่าเป็นคำพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อลูกหยุดร้องหรือระบายอารมณ์เรียบร้อยแล้ว จากนั้นค่อย ๆ สอนลูกและอธิบายเหตุผล มากกว่าการออกคำสั่งให้ลูกหยุดร้องไห้จะดีที่สุดค่ะ

                                    5.“เด็กอะไรนิสัยไม่ดี”

                                    เมื่อลูกทำผิดในเรื่องนั้น ๆ แต่กลับได้ยินคุณพ่อคุณแม่มาบอกว่า “นิสัยไม่ดี” อาจทำให้ลูกคิดว่าเป็นการตัดสินโดยภาพรวมมากกว่าสิ่งที่ทำผิดตรงหน้า ทั้งที่บางเรื่องอาจเป็นความผิดแค่เรื่องเพียงนิดเดียว คำพูดแบบนี้ก็จะสร้างผลกระทบต่อจิตใจลูกไม่น้อยเช่นกันค่ะ ดังนั้นเมื่อลูกทำผิดอย่าพยายามว่า “นิสัยไม่ดี” แต่ควรว่ากล่าวเฉพาะเรื่อง และควรพูดชมเชยเมื่อลูกแสดงพฤติกรรมที่ดีนะคะ

                                    6.”ทำเดี๋ยวนี้เลยนะ”

                                    โดยธรรมชาติของเด็กมักจะไม่ชอบการถูกบังคับ การออกคำสั่งกับลูกบ่อย ๆ และบังคับให้ลูกทำทันที เด็กบางคนถ้าถูกออกคำสั่งเสียงดังก็อาจจะไม่ยอมทำตาม ดื้อต่อต้าน เป็นผลทำให้พ่อแม่โมโหและใส่อารมณ์กับลูกมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ตามมาได้ ดังนั้นแทนที่จะเป็นประโยคออกคำสั่ง ควรเปลี่ยนคำพูดให้เป็นประโยคคำถามหรือเป็นการขอร้องให้ลูกช่วย เช่น คนเก่งมาช่วยคุณแม่รองน้ำหน่อยได้ไหมคะ” หรือชวนลูกมาทำงานบ้านพร้อมกันมากกว่าตะโกนสั่งให้ลูกทำ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เห็นตัวอย่างและอยากทำด้วยตัวเองมากกว่าการถูกบังคับนะคะ

                                    คำพูดที่ แม่ไม่ควรพูดกับลูก

                                    7.“หยุดเถียงเลยนะ”

                                    เมื่อลูกโตขึ้น มีความคิดเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น การเจอลูกที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนตอนเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องหาได้ง่าย ๆ ของคุณพ่อคุณแม่อีกต่อไป บางครั้งที่พ่อแม่พูดไปอาจจะเจอลูกแสดงความคิดเห็นกลับมา เมื่อคุณพ่อคุณแม่เจอประโยคที่ไม่เห็นด้วย การออกคำสั่งให้ลูก “หยุดเถียง” ไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่ควรมีสติและเพิกเฉยเพื่อไม่ให้เกิดการโต้เถียงทั้งสองฝ่าย เมื่ออารมณ์เย็นลงแล้วค่อยตามมาด้วยการฟังเหตุผลและคำแนะนำ

                                    8.”จะไม่สนใจอีกต่อไป”

                                    ถึงแม้การบอกให้ลูกทำอะไรซักอย่างในเรื่องเดิม ๆ นับสิบครั้งจะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกหงุดหงิด จนบางครั้งส่งผลต่ออารมณ์และพลั้งปากพูดไปว่า “จะไม่สนใจลูก” หากลูกไม่ยอมทำตามที่สอน คำพูดนี้จะส่งผลกระทบต่อจิตใจลูก ดังนั้นหากสิ่งที่บอกให้ลูกทำแต่ยังไม่ได้ผลดี คุณพ่อคุณแม่ลองปรับเปลี่ยนคำพูดใหม่ พยายามใช้คำถามแบบเปิดให้มากขึ้นเพื่อจะได้รู้สาเหตุที่ลูกไม่อยากทำ เพื่อคุณพ่อคุณแม่จะได้ช่วยกันหาทางออกมากกว่าใช้คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูกนะคะ

                                    9.”ทำไมสู้เด็กบ้านอื่นไม่ได้”

                                    ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะเข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกัน และเราไม่ควรนำลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น แต่เวลาโมโหอาจจะมีการพลั้งคำพูดที่ทำร้ายลูก และเป็นการสร้างความกดดันให้กับลูกได้ ทำให้ลูกรู้สึกอยากเป็นเหมือนคนอื่น ลดความรักในตัวเองลง เพื่อให้พ่อแม่จะได้ชื่นชม ถ้าไม่อยากให้ลูกลดคุณค่าของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนคำพูดเปรียบเทียบเป็นการให้กำลังใจกับสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่ ส่งเสริมความสามารถที่ลูกถนัด และที่สำคัญคือการไม่เปรียบเทียบลูกคนหนึ่งกับลูกอีกคนหรือลูกของคนอื่นนะคะ

                                    จะเห็นได้ว่า พ่อแม่เองคือบุคคลที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกของลูกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ ดังนั้นก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเริ่มตักเตือนเจ้าตัวเล็ก ควรปรับอารมณ์ตัวเองให้ดี และเข้าใจลูกว่าความผิดพลาดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ในบางเรื่องหรือพฤติกรรมที่เอาแต่ใจตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้สำหรับเด็ก ๆ และเป็นประสบการณ์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ทั้งนี้นอกจากปรับเปลี่ยนคำพูดสอนลูก พร้อมการใช้บทสนทนาในเชิงบวกแล้ว ยังควรมองให้เห็นถึงศักยภาพในตัวลูกว่ามีความสามารถในด้านไหนเพื่อสนับสนุนในสิ่งที่ลูกชอบ มอบความรัก ความเอาใจใส่มากกว่าการดุด่าและทำให้ลูกกลัว เพื่อนำไปสู่พัฒนาการที่ดีและทำให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุขนะคะ.

                                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.verywellfamily.comwww.sanook.com

                                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก !

                                    12 คำพูดของพ่อแม่ ที่มักหลุดปาก ทำลูกเสียใจ!!

                                    10 คำพูดร้าย ทำลายครอบครัว

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่