เมนูอาหารง่ายๆ

แจกสูตร 12 เมนูอาหารง่ายๆ สำหรับแม่ทำกับข้าวไม่เก่ง เข้าครัวเพื่อลูก!

ในช่วงเวลาที่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านมากขึ้น เรื่องอาหารการกิน เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่ขาดไม่ได้ สำหรับคุณแม่ที่ทำกับข้าวไม่ค่อยเก่ง ทีมแม่ ABK ได้จัด เมนูอาหารง่ายๆ และใช้วัตถุดิบใกล้ตัวไม่กี่อย่าง ไม่ยุ่งยาก แต่ได้สารอาหารครบถ้วนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายให้กับคนในครอบครัวได้รับประทานกัน บอกเลยว่าง่าย คุณแม่ทำไม่ยาก จะมีเมนูอะไรบ้างมาดูกันเลยค่า

แจกสูตร 12 เมนูอาหารง่ายๆ สำหรับแม่ทำกับข้าวไม่เก่ง เข้าครัวเพื่อลูก!

1.ปลาหมึกทอดผัดกระเทียมพริกไทยดำ

ปลาหมึกทอดผัดกระเทียมพริกไทยดำ

ส่วนผสม

  • ปลาหมึกหั่นตามขวาง ½ ถ้วย
  • กระเทียมกลีบเล็กบุบพอแหลก ¼ ถ้วย
  • พริกไทยดำโขลกพอแหลก 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
  • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
  • แป้งทอดกรอบ ½ ถ้วย
  • ข้าวสวย 1 ถ้วย
  • น้ำมันสำหรับทอด
  • ผักชีสำหรับตกแต่ง

วิธีทำ

  1. คลุกปลาหมึกกับแป้งทอดกรอบให้ทั่ว ใส่ลงทอดในน้ำมันร้อนจัดจนสุกเป็นสีเหลืองทอง ตักขึ้น จากนั้นใส่กระเทียมลงทอดจนสุก ตักขึ้นพักไว้
  2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันที่เหลือจากทอดกระเทียมลงไปเล็กน้อย ใส่พริกไทยดำลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซอสปรุงรส และน้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน ใส่ปลาหมึกทอดลงไปคลุกเคล้าเบา ๆ
  3. ตักปลาหมึกทอดกระเทียมกรอบ ๆ เสิร์ฟพร้อมข้าวร้อน ๆ โรยหน้าตกแต่งด้วยกระเทียมและผักชีเล็กน้อย

Note : สำหรับเด็กเล็กถ้าลูกไม่ชอบกระเทียมกับผักชีก็ไม่ต้องใส่ก็ได้ค่ะ หรือถ้าลูกยังกินเผ็ดไม่ได้ก็ไม่ต้องใส่พริกไทยดำลงไปนะคะ รับรองว่าเมนูจานนี้จะเป็นเมนูโปรดของลูกอีกจานเลยละคะ แต่ถ้าไม่มีปลาหมึก คุณแม่สามารถใช้วัตถุดิบอื่น ๆ แทนได้ เช่น กุ้ง หมู ไก่ และทำตามสูตรเหมือนเดิม เท่านี้ก็ได้เมนูทอดกระเทียมที่ไม่จำเจแล้วละคะ

ขอบคุณสูตรและภาพจาก www.goodlifeupdate.com

2.ต้มจืดเต้าหู้ผักกาดขาว

ต้มจืดเต้าหู้ผักกาดขาว

ส่วนผสม

  • น้ำสต๊อกผัก 2½ ถ้วย (หรือน้ำเปล่าต้มสุกใส่เกลือเล็กน้อย)
  • รากผักชีบุบ 1 ต้น
  • แครอต หั่นแว่น 4 ชิ้น
  • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยขาวป่นเล็กน้อย
  • ผักกาดขาวหั่นขวาง 5 ใบ
  • เต้าหู้ไข่ 1 หลอด
  • ผักชี ต้นหอม สำหรับแต่งหน้า

วิธีทำ

1.ต้มน้ำสต๊อกผักในหม้อให้เดือด ใส่รากผักชีลงไป ตามด้วยแครอตต้มจนเริ่มนิ่ม จากนั้นปรุงรสด้วยน้ำปลาและพริกไทย
2. ใส่ผักกาดขาวลงไป พอผักเริ่มนิ่มให้ใส่เต้าหู้ไข่ลงไปต้มสักพัก ปิดไฟตักใส่ชาม โรยหน้าด้วยผักชีและต้นหอม ก่อนเสิร์ฟ

Note: เมนูจานนี้ได้สารอาหารครบถ้วน และมีแครอทเป็นส่วนประกอบที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยบำรุงผิว มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ดีต่อสุขภาพร่างกายของลูและทุกคนในครอบครัวค่ะ

ขอบคุณสูตรและภาพจาก www.goodlifeupdate.com

3.กุ้งทอดกระเทียม

กุ้งทอดกระเทียม

ส่วนผสม

  • กุ้งขาวแกะเปลือก 10 ตัว
  • กระเทียมจีน 15 กลีบ
  • รากผักชี 5 – 6 ต้น
  • พริกไทยขาว 2 ช้อนชา
  • ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซีอิ๊วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1/4 ช้อนชา หรือ 1-2 หยิบมือ

วิธีทำ

  1. โขลกรากผักชี พริกไทย กระเทียม แบบไม่ต้องละเอียดมาก แล้วแบ่งเป็น 2 ส่วน สำหรับหมักและเจียว
  2. หมักกุ้ง ใส่รากผักชี พริกไทย กระเทียมที่โขลกแล้วลงไปคลุก ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม น้ำปลา ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย คลุกเคล้าให้เข้ากัน พักไว้
  3. ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่รากผักชี พริกไทย กระเทียมที่แบ่งไว้ลงไปเจียว ให้สีเหลืองสวย (ระวังอย่าใช้ไฟแรง) ตักขึ้น
  4. นำกุ้งที่หมักไว้ลงกระทะไปผัดต่อ ใช้ไฟกลาง ผัดจนกุ้งสุกได้ที่ ตักขึ้น
  5. จัดเสิร์ฟโรยด้วยรากผักชี พริกไทย กระเทียม ที่เจียวไว้ ได้กลิ่นหอมๆ ยั่วยวน กินกับข้าวสวยร้อน ๆ นะ ลูกฟิน สามีฟิน มีขอเติมข้าวอีกแน่ค่า

ขอบคุณสูตรและภาพจาก www.goodlifeupdate.com

4.ข้าวผัดมาม่า 

ข้าวผัดมาม่า

ส่วนผสม

  • บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสตามใจชอบ 1 ซอง
  • ข้าวหุงสุกแช่เย็นข้ามคืน 80 กรัม
  • ไข่ไก่ 1-2 ฟอง
  • กระเทียมสับ 2 ช้อนโต๊ะ
  • ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ (หรือใช้ผักชีโรยแทนได้)
  • น้ำมันพืชสำหรับผัด

วิธีทำ 

  1. บีบซองมาม่าให้เส้นแตกไม่เป็นก้อน จากนั้นต้มเส้นมาม่าลงในน้ำเดือดจัด เมื่อสุกได้ที่ตักขึ้นพักไว้
  2. ตั้งกระทะไฟกลาง ใส่กระเทียมสับลงไปผัดให้หอม
  3. ใส่ไข่ลงไป ใช้ตะหลิวยีไข่ให้ทั่ว
  4. ใส่ข้าวเย็นลงไป ผัดให้ข้าวกับไข่เข้ากัน
  5. ใส่เส้นมาม่าที่ต้มสุกตามลงไปผัดให้เข้ากัน แล้วปรุงรสด้วยเครื่องปรุงในซองผัดให้เข้ากัน
  6. ใส่ต้นหอมซอยหรือผักชีผัดให้เข้ากันสักหน่อย แล้วปิดไฟ ตักเสิร์ฟเด็ก ๆ ได้เลยค่ะ

Note: คุณแม่สามารถใส่เนื้อสัตว์ตามชอบ เช่น หมู ไก่ เพิ่มได้ หรือใส่ผักอย่างกะหล่ำปลี แครอท หัวหอม ข้าวโพด ฯลฯ ลงไปเพื่อเพิ่มคุณค่าโภชนาการอาหารให้กับเจ้าตัวเล็กได้ค่ะ

ขอบคุณสูตรและภาพจาก www.goodlifeupdate.com

อ่านต่อ 12 เมนูทํากินเองง่าย ๆ คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    ดาราเลี้ยงลูก

    ส่อง “18 ดาราเลี้ยงลูก” อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ! วันๆ ทำอะไรกันบ้าง?

    ตามไปส่อง ดาราเลี้ยงลูก ช่วงนี้ที่ทุกคนต้องกักตัวหนีโควิด-19 อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ เหล่าพ่อแม่ดาราอยู่บ้านกับลูกวันๆ ทำอะไรกันบ้าง? บอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งมุมที่หลายคนอาจไม่เคยเห็น!

    ส่อง! ดาราเลี้ยงลูก อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
    วันๆ
    ทำอะไรกันบ้าง?

    เรียกได้ว่าโดนผลกระทบกันทั่วทุกหัวระแหง สำหรับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับเหล่าบรรดาคนบันเทิงที่ต้องพักงานกิจกรรมต่างๆ ที่ได้วางแผนเอาไว้ เพื่อตอบรับนโยบาย #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ตามคำแนะนำของรัฐบาล

    ทีมแม่ ABK จึงได้ไปแอบส่อง คุณพ่อคุณแม่ดาราแต่ละบ้าน ว่าเค้าใช้ชีวิตอยู่บ้านกับครอบครัว กันยังไงบ้าง บอกได้เลยว่า แต่ละบ้านไม่ได้ปล่อยให้เวลาในวันว่างผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ จะมีบ้านไหนทำกิจกรรมแสนสนุด สุดฮิตอะไรกันบ้าง ตามไปดูกันเลยค่า

    ใบเตย อาร์สยาม

    https://www.instagram.com/p/B-PBLUWnGkx/

    มากันที่บ้านแรกกับว่าที่คุณแม่ ใบเตย อาร์สยาม ที่กำลังอุ้มท้องลูกสาวอยู่ … ด้วยความเป็นศิลปินนักร้อง กิจกรรมที่คุณแม่ใบเตย ทำอยู่บ้านแก้เซ็งก็คือ แดนส์โชว์พุง ผ่านแอพ tiktok นั่นเองค่ะ เพราะลูกดิ้นมาก คุณแม่ก็เลยต้องลุกขึ้นดิ้นตามไปด้วยเลย ^^

     

    บ้านเตชะณรงค์

    ถัดมาเป็นโมเม้นท์สุดน่ารักในบ้านเตชะณรงค์ ซึ่งเมื่อใดที่สาวน้อยคนนี้ปรากฏตัวทุกครั้งต้องมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเปื้อนใบหน้าเหล่าญาติๆ อยู่ตลอด สำหรับ “น้องปีใหม่” ลูกสาววัยกำลังอยากรู้อยากเห็นเล่นทั้งวัน ของคุณแม่ “แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ” นั่นเอง … ซึ่งล่าสุด น้องปีใหม่ ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปพักผ่อนใช้เวลาช่วงวันหยุดร่วมกับครอบครัวคุณพ่อ สงกรานต์ เตชะณรงค์ ที่เขาใหญ่ โบนันซ่าพร้อมจัดเวทีกลางบ้าน โชว์ความสามารถอวดคุณปู่ คุณย่า ซะหน่อย งานนี้ น้องปีใหม่ เลยขอโชว์สเต็ปเต้นบัลเลต์ แถม รำไทยโชว์ อีกด้วย บอกได้เลยว่างานนี้คุณปู่คุณย่าที่ต้องอยู่บ้านหนีโควิดก็จะไม่เหงาแน่นอน

     

     

    บ้านปุณณกันต์

    https://www.instagram.com/p/B-HQ7nNFrKk/

    มาต่อกันที่บ้านปุณณกันต์ กันบ้าง ซึ่ง ดาราเลี้ยงลูก บ้านนี้ก็คือ แม่กบ สุวนันท์ ซึ่งก็มีกิจกรรมให้สองพี่น้องลูกสาวลูกชายอย่าง น้องณดา-ณดล ทำอยู่ตลอด โดยเฉพาะกับกิจกรรมพิเศษ ที่แม่กบ ช่วยรณรงค์แคมเปญ #อยู่บ้านเพื่อคุณหมอ #อยู่บ้านเพื่อชาติ โดยให้เด็กๆ แฟนคลับมีส่วนร่วม โดยให้เด็กๆ ที่บ้านไหนอยู่บ้าน ส่งภาพมาเพื่อโชว์พลังเด็กๆให้ทุกคนได้เห็นกัน แล้วแม่กบก็โพสต์ภาพขึ้น IG ตัวเอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้ดรมากๆเลยค่ะ

    https://www.instagram.com/p/B9_aDqRFa9a/

     

    บ้านสหวงษ์

    ดาราเลี้ยงลูก อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ถัดมาเป็นบ้านของแม่โบว์กับน้องมะลิ ขาแดนซ์ สาวน้อยสุดน่ารักของพี่จ๋า นั่นเอง ซึ่งแม่โบว์ ก็มีกิจกรรมให้น้องมะลิทำอยู่ตลอด โดยเฉพาะในเรื่องที่น้องมะลิชอบ นั่นก็คือ อัดคลิปเต้น มาอวดพี่จ๋า พร้อมส่งกำลังใจให้ คุณหมอและบุคลากรทางการแพทย์ บอกเลยว่าพี่จ๋าเห็นแล้วต้องยิ้มกันทุกคนแน่ๆ

     

    บ้านประเสริฐวัฒนกุล

    https://www.instagram.com/p/B-T4h2jJJWC/

    สำหรับ บ้านประเสริฐวัฒนกุล ที่มีสาวน้อยน่ารักถึงสองคนอยู่ในบ้าน นั่นคือ น้องฌานา และ น้องฌารีณ ลูกสาวฝาแฝด ของพ่อเอ็ม อภินันท์ และแม่มิ้ลค์ บอกเลยว่าบ้านนี้ก็มีกิจกรรมทำอยู่ทุกวัน ทั้ง Home School ประดิษฐ์สิ่งของ รวมไปถึง สวดมนต์ไหว้พระ เพื่อความเป็นสิริมงคล กันทุกเช้า บอกเลยทั้งดีและสร้างสรรค์มากๆ

    https://www.instagram.com/p/B-V7T_uJZrP/

     

    บ้านสุประกอบ

    ดาราเลี้ยงลูก อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ ต่อมาเป็นบ้านสุประกอบ ของพ่อกาย และแม่ฮารุ กับลูกๆ ทั้ง 3  น้องคีริน น้องไนร่า และน้องเอเดน ซึ่งสำหรับบ้านนี้ ทั้งพ่อกาย และแม้ฮารุ ต้องถูกกักตัว 14 วัน ก่อนหลังจากที่ทั้งคู่มีโอกาสเจอ “คุณแมทธิว ดีน” ที่ติดเชื้อโควิด-19 โดยทั้งคู่ได้ไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 รอบสอง เพื่อความสบายใจ ผลออกมาแล้วไม่พบเชื้อ เมื่อครบกำหนดก็ถ่ายภาพครอบครัวเซ็ทแรกในรอบ 14 วัน หลังกักตัว แต่ทั้งคู่ก็สรรหากิจกรรม ถ่ายคลิปสนุกๆ กับ ลูกๆ ทั้ง 3 คน ทำอยู่ที่ทุกวัน เพราะออกไปไหนได้

    https://www.instagram.com/p/B-ekSEUDmBK/

     

    บ้านศิลาชัย

    มาต่อกันที่บ้าน บ้านศิลาชัย ที่รวมซุป’ตาร์ “4 ออ” น้องออกัส ออก้า ออกู๊ด และ ออเกรซ ลูกสาวลูกชายทั้ง 4 ของ พ่อปิ้ลและแม่จูน ซึ่งด้วยความที่พ่อเปิ้ล ต้อง Work From Home ก็อาจจะทำให้ที่บ้านวุ่นวายนิดหน่อย

    แต่แม่จูนก็สามารถรับมือกับลูกๆ ได้ด้วยการหากิจกรรมให้ทำมากมาย ทั้งเล่นน้ำและถ่ายคลิปสนุกๆ ของทั้ง 4 ออ ให้แฟนคลับได้ชมอยู่ตลอด

     

     

    บ้านหิรัญยัษฐิติ

    https://www.instagram.com/p/B-d_TtKnht5/

    สำหรับบ้านของคุณพ่อมิคและคุณแม่เบนซ์ ที่มีลูกสาวสุดน่ารัก 2 คน คือ น้องปริมและน้องปราง คุณแม่เบนซ์ก็มีกิจกรรมที่เหมาะกับทั้งคนพี่และคนน้อง ให้ได้ทำอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ทั้งร้องเล่นไปด้วยกัน หรือสำหรับน้องปริมที่เข้าเรียนแล้วก็มีการเรียนออนไลน์ ประดิษฐ์สิ่งของส่งคุณครู รวมไปถึงฝึกทำขนมกับคุณยายด้วย

    https://www.instagram.com/p/B-eI4w-HlXd/

     

     

    บ้านอันติมานนท์

    https://www.instagram.com/p/B-a-jW4BwxY/

    ถัดมาเป็นบ้านของคุณพ่อจิม เจจินตัย  และคุณแม่บี พลอยพัชชา ที่มีลูกสาวน่ารักน่าเอ็นดู อย่าง “น้องพลอยเจ” ที่แม้ว่าน้องพลอยเจจะชอบไปโรงเรียนเอามากๆ แต่ตอนนี้ไม่สามารถออกไปไหนได้ แต่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็พยายามหากิจกรรมมากมายให้น้องพลอยเจทำไม่ซ้ำกันสักวัน ไม่ว่าจะเป็น ทำการบ้านส่งครู เปิดคอนเสิร์ตร้องเพลงให้คุณแม่ฟัง หัดทำขนม เล่นน้ำกับคุณพ่อ และถ่ายคลิปน่ารักๆ ให้แฟนคลับได้ชม เรียกได้ว่า ไม่มีหยุดพักเลยสักวัน

    https://www.instagram.com/p/B-D7pk1hytD/

     

    ดูต่อ >> อีก 8 ครอบครัวดาราเลี้ยงลูกอยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ
    วันๆ ทำอะไรกันบ้าง คลิกที่นี่
    !!

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      ครอบครัว Rutter

      สุดซึ้ง! ลูกๆ บอกลาแม่ที่กำลังจะจากไปด้วย โรคโคโรน่าไวรัส ผ่าน Walkie-Talkie

      เรื่องราวสุดซึ้งของ Sundee Rutter คุณแม่ลูก 6 ชาวอเมริกันผู้รอดชีวิตจากการต่อสู้กับมะเร็งเต้านมระยะที่ 4 แต่กลับมาเสียชีวิตจาก โรคโคโรน่าไวรัส ในวัย 42 ปี ซึ่งทำให้ลูกๆ ทั้ง 6 คนต้องพบกับความสูญเสียอีกครั้ง หลังจากที่พ่อของพวกเขาเสียชีวิตไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว

      โรคโคโรน่าไวรัส คร่าชีวิตคุณแม่นักสู้

      แม้ว่า Rutter จะพยายามระมัดระวังเชื้อโรค เพราะรู้ดีว่าเธอมีภูมิคุ้มกันต่ำจากการรักษามะเร็งอยู่แล้ว แต่ในฐานะแม่ และหัวหน้าครอบครัวเพียงคนเดียว เธอก็ยังคงต้องทำงาน เพื่อหาเลี้ยงอีก 6 ชีวิต ในครอบครัวของเธอ

      Rutter มีอาการป่วยเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน จึงไปโรงพยาบาลและถูกให้กลับมารักษาตัวที่บ้าน

      ไม่กี่วันต่อมา เธอมีไข้ ร่วมกับอาการหายใจลำบาก ซึ่งเป็นสัญญาณเสี่ยง 2 ข้อ ของโควิด-19 ลูกชายจึงพาเธอไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่หลังจากต่อสู้กับอาการป่วยได้เพียง 1 สัปดาห์ เธอก็เสียชีวิตลง

      ขณะที่ Rutter รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ลูกๆ ของเธอทำได้เพียงเฝ้าแม่อยู่ด้านนอก เพื่อเป็นไปตามมารตรการป้องกันการติดเชื้อไวรัสมรณะจากแม่ของพวกเขา

      แต่ก่อนที่ Rutter จะสิ้นใจ เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลได้จัดการให้ลูกทั้ง 6 ของเธอได้มีโอกาสบอกลาแม่เป็นครั้งสุดท้ายด้วย Walkie-Talkie ผ่านอีกฟากฝั่งของห้องกระจก

      Walkie-Talkie จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งผ่านความรัก และความในใจของลูกไปยังผู้เป็นแม่เป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าจะเข้าไปกอดแม่ไม่ได้ แต่อย่างน้อยลูกๆ ก็ยังได้กล่าวคำอำลา

      โดยเจ้าหน้าที่ได้วาง Walkie-Talkie ไว้บนหมอนที่ข้างเตียงของ Rutter ก่อนที่ลูกๆ ของเธอจะกล่าวคำอำลาและบอกรักแม่เป็นครั้งสุดท้าย

      sundee rutter
      sundee rutter

      Elijah ลูกชายวัย 20 ปี บอกกับแม่ว่า “ทุกอย่างจะดีขึ้น ลูกๆ ทุกคนจะผ่านมันไปได้ พวกเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่แม่อยากให้เป็น”

      Tyree พี่ชายคนโตวัย 24 ปี ตั้งใจจะดูแลน้องๆ ด้วยตัวเอง พวกเขาทุกคนจะอยู่ด้วยกัน และสู้ไปด้วยกัน

      ต่อจากนี้ลูกๆ ทั้ง 6 ของเธอ ต้องใช้ชีวิตกันตามลำพัง จึงได้มีการจัดระดุมทุนผ่าน GoFundme ในชื่อ the Ross-Rutter family เพื่อช่วยเหลือพวกเขาอีกด้วย

      ทั้งนี้การที่ร่างกายของ Rutter อ่อนแอจากการรักษามะเร็งอยู่เป็นทุนเดิม ถือว่าเป็น 1 ใน 7 กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

      มาดูกันค่ะว่า สำหรับบ้านเรา กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังการติด โรคโคโรน่าไวรัส หรือเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ได้แก่ใครบ้าง

      กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19

      1. กลุ่มเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปีลงมา
      2. วัยกลางคนจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไป
      3. คนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
      4. คนที่กินยากดภูมิต้านทานโรคอยู่
      5. ผู้ที่เดินทางไปในประเทศเสี่ยงติดเชื้อ เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อิตาลี อิหร่าน ฯลฯ
      6. ผู้ที่ต้องทำงาน หรือรักษาผู้ป่วย ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด
      7. ผู้ที่ทำอาชีพที่ต้องพบปะชาวต่างชาติจำนวนมาก เช่น คนขับแท็กซี่ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ลูกเรือสายการบินต่าง ๆ เป็นต้น

      เพราะฉะนั้น หากในบ้านคุณมีกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือมีโรคประจำตัว คนกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อ เพราะหากติดเชื้อแล้วจะอันตรายมากกว่าคนทั่วไปค่ะ

      ที่มา CNN

      ภาพประกอบ GoFundme

      อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        ทำไมลูกร้องไห้

        แม่รู้ไว้! ทำไมลูกร้องไห้ 7 เหตุผลของการงอแงที่จะทำให้แม่เข้าใจลูกมากขึ้น

        เมื่อพ่อแม่ต้องเจอกับการร้องไห้ของเจ้าตัวเล็ก ที่บางครั้งการร้องไห้งอแงของลูกเป็นเรื่องกวนใจและน่ารำคาญ เรื่องแบบนี้ ทำไมลูกร้องไห้ นี่เป็นเรื่องจริง โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมลูกน้อยถึงร้องไห้

        การร้องไห้ของลูกนั้นเกิดขึ้นจากเหตุผลมากมาย และแบ่งได้ตามช่วงวัย เช่น ทารกร้องไห้ เพราะไม่สามารถพูดได้ การร้องไห้สำหรับทารกจึงเป็นการสื่อสารที่ลูกใช้กับพ่อแม่ สำหรับวัยเด็กเล็ก การร้องไห้ของลูกจะเริ่มสื่อถึงอารมณ์มากขึ้น ถึงแม้พูดคุยได้ สื่อสารได้บ้าง แต่สำหรับชุดคำศัพท์ที่ยังไม่เยอะ เรื่องบางเรื่องก็อาจจะอธิบายให้พ่อแม่ฟังไม่เข้าใจ การร้องไห้จึงเป็นทางออกที่แสดงความรู้สึก เช่น กังวลใจ เสียใจ ผิดหวัง เศร้าใจ ฯลฯ ซึ่งก่อนที่ลูกในวัยเล็กจะเรียนรู้วิธีการพูดคุยอาจเป็นเรื่องยากที่ทำให้พ่อแม่บางคนไม่เข้าใจ นี่อาจเป็นเหตุผลของการร้องไห้ที่จะทำให้พ่อแม่เข้าใจลูกได้ดีกว่าเดิม

         แม่รู้ไว้! ทำไมลูกร้องไห้ 7 เหตุผลของการงอแงที่จะทำให้แม่เข้าใจลูกมากขึ้น

        ทําไมลูกร้องไห้ไม่หยุด

        1.ลูกเหนื่อยเกินไป

        สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกเหนื่อยล้า เช่น การขยี้ตา, หาว และเริ่มงอแง อาจเป็นเพราะว่า พ่อแม่จัดกิจกรรมให้ลูกมากเกินไป หรือปล่อยให้ลูกเล่นจนไม่ได้นอนกลางวัน ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกร้องไห้เพราะ “ความเหนื่อย” ที่นำไปสู่การงอแงที่ไม่มีเหตุผลได้ สำหรับเด็กเล็กนั้นควรจะมีเวลาได้นอนในช่วงกลางวันประมาณ 1.30-2.30 ชั่วโมง ดังนั้นคุณแม่สามารถลดความเหนื่อยล้าของลูกลงได้ ด้วยการจัดตารางกิจกรรมในแต่ละวันให้ลูกได้เล่นอย่างเหมาะสม และมีช่วงเวลาให้ลูกได้นอนกลางวันเป็นประจำ โดยเวลานอนกลางวันที่เหมาะสมสำหรับลูกวัย 12 เดือน ควรได้นอนกลางวันอย่างน้อย 2.15 ชั่วโมง วัย 18 เดือน 2 ชั่วโมง วัย 2 ขวบ 2 ชั่วโมง และวัย 3 ขวบ  ประมาณ 1.30 ชั่วโมง รวมถึงเวลานอนตอนกลางคืนที่คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกน้อยให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และได้นอนในจำนวนเวลาที่เหมาะสมเช่นกัน เมื่อเด็กได้นอนอย่างเพียงพอก็จะมีอารมณ์ที่สุดใส ไม่ร้องไห้งอแง และมีพัฒนาการที่ดีตามมาค่ะ

        2.ลูกกำลังหิว

        สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ ความหิวอาจเป็นสาเหตุของการร้องไห้ ถ้าเจ้าตัวเล็กเพิ่งตื่นขึ้นมาจากการงีบหลับ หรือเวลาผ่านไป 3-4 ชั่วโมงนับตั้งแต่คุณแม่ให้ลูกได้กินอาหาร หากลูกน้อยยังไม่ได้กินอะไร ก็เป็นไปได้ว่าจะเจอเจ้าตัวเล็กร้องไห้งอแง ซึ่งเด็กในวัยเล็กนั้นควรเน้นการกินให้บ่อยตลอดทั้งวัน โดยแบ่งเป็นเป็นอาหารอาหารมื้อหลัก 3 มื้อ และอาหารมื้อว่างที่มีประโยชน์ 2-3 มื้อต่อวัน เพื่อให้ลูกน้อยได้สารอาหารครบถ้วนแบบไม่แน่นท้องจนเกินไป

        3.ลูกฝันร้าย

        ลูกตื่นมาร้องไห้ตอนกลางคืนอาจเป็นเพราะเกิดจากการฝันร้ายหรือละเมอ ซึ่งสาเหตุเกิดจากการที่ลูกได้รับสิ่งกระตุ้นมากเกินไปในตอนกลางวัน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์สนุก ตื่นเต้น หรือตกใจกลัว และในวัยเด็กเล็กเป็นวัยที่มีจินตนการสูง จนอาจทำให้ฝันร้ายในตอนกลางคืนได้ วิธีช่วยให้ลูกหยุดร้องไห้จากการฝันร้าย คือโอบกอดและปลอบขวัญให้ลูกลดอาการตื่นกลัว เมื่อลูกสงบลงแล้ว ให้พาลูกเข้านอนตามปกติ ส่วนอาการละเมอนั้น ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ได้ยินเสียงตะโกนหรือเสียงร้องครางในขณะที่ลูกกำลังหลับ ไม่ได้ลืมตาตื่น ก็ปล่อยให้ลูกได้นอนหลับต่อไป แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไปปลุกหรือกระตุ้นลูกให้ตื่น อาจทำให้เด็กตกใจตื่นขึ้นมาและร้องไห้หนักกว่าเดิม ทั้งนี้หากคุณพ่อคุณแม่เจอลูกที่ตื่นมาร้องไห้ในตอนกลางคืนบ่อย ๆ ควรลดกิจกรรมที่กระตุ้นอารมณ์มากเกินไปในช่วงกลางวันลง เช่น ไม่ควรให้ดูทีวีในรายการที่มีความรุนแรงหรือน่ากลัว ไม่ควรพูดขู่ให้ลูกกลัว และช่วงก่อนเข้านอนอาจหากกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือนิทาน สวดมนต์ หรือเปิดเพลงเบา ๆ ก่อนเข้านอน เพื่อให้ลูกได้นอนหลับสนิททั้งคืนไม่ตื่นมาฝันร้าย

        ลูกร้องไห้

        อ่านต่อ>> สาเหตุที่ลูกร้องไห้ <<คลิกหน้า 2

          จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เผยการคัดเลือกวัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19

          จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เผยการคัดเลือกวัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 พร้อมประกาศความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา และประกาศคำมั่นสัญญาผลิตวัคซีนกว่า 1 พันล้านโดส รับมือการแพร่ระบาดฉุกเฉินทั่วโลก

          จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และ BARDA ร่วมลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อทำการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยบริษัทคาดว่าจะเริ่มวิจัยวัคซีนตัวเลือกทางคลินิกในเฟสแรกภายในเดือนกันยายน 2563 นี้

          จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เตรียมสร้างโรงงานผลิตวัคซีนเพิ่มเติมทั้งในและนอกสหรัฐฯ เพื่อเริ่มการผลิตวัคซีนให้รวดเร็วที่สุดเพื่อรับมือกับจำนวนความต้องการทีมีอยู่ทั่วโลก

          กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 31 มีนาคม 2563 – บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เผยผลการคัดเลือกวัคซีนที่จะใช้ต้านเชื้อโควิด-19 หลังจากเริ่มดำเนินการวิจัยตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากการต่อยอดความร่วมมือระหว่างบริษัท แจนเซ่น ฟาร์มาซูติกา ในเครือบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และ สำนักวิจัยและพัฒนาขั้นสูงด้านชีวการแพทย์ (BARDA) พร้อมประกาศเร่งอัตราการผลิตอย่างรวดเร็วเพื่อจัดหาวัคซีนจำนวนกว่า 1 พันล้านโดสให้เพียงพอต่อความต้องการทั่วโลก ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มการทดลองวัคซีนในมนุษย์เฟสแรกได้ภายในเดือนกันยายน 2563 เพื่อเข้าสู่กระบวนการรับรองทางกฎหมายและสามารถผลิตล็อตแรกเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินได้ในช่วงต้นปี 2564 กระบวนการทั้งหมดนี้ถือเป็นการดำเนินงานที่รวดเร็วเมื่อเทียบกับการพัฒนาวัคซีนทั่วไป

          BARDA ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสำนักงานผู้ช่วยรัฐมนตรีฝ่ายการเตรียมความพร้อมและการตอบสนอง (ASPR) ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา และ บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์สัน ได้ลงทุนร่วมกันกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อสนับสนุนโครงการวิจัย พัฒนาและทดลองทางคลินิกของวัคซีน โดยบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสันจะนำเอาแพลตฟอร์มการผลิตวัคซีนที่ได้รับการรับรอง และจัดสรรทรัพยากรทางด้านบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานทั่วไปจากทั่วโลกเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในครั้งนี้ นอกจากนี้ BARDA และบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยังได้จัดตั้งกองทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับการขยายฐานการวิจัยเพื่อค้นคว้าการรักษาและป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ด้วย

          บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยังคงดำเนินงานตามคำมั่นสัญญาที่จะเพิ่มกำลังการผลิตทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการก่อตั้งโรงงานการผลิตแห่งใหม่ในสหรัฐอเมริกาและเร่งกำลังการผลิตของโรงงานในประเทศอื่น ๆ เพื่อเร่งอัตราการผลิตวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า 1 พันล้านโดส และจัดส่งไปยังทั่วโลกในราคาที่เหมาะสมโดยไม่แสวงผลกำไร โดยบริษัทมีแผนที่จะเริ่มการผลิตอย่างเร็วที่สุดเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดฉุกเฉินในครั้งนี้

          มร. อเล็กซ์ กอร์สกี ประธานกรรมการบริหารของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า “โลกกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตด้านสาธารณสุข และเราจะทำหน้าที่ของเราตามคำมั่นสัญญาเพื่อผลิตวัคซีนป้องกันเชื้อโควิด-19 ให้แก่ผู้คนทั่วโลกอย่างรวดเร็วที่สุดในราคาที่เหมาะสม และในฐานะที่เราเป็นบริษัทด้านสาธารณสุขที่ใหญ่ที่สุดของโลก การดูแลให้สุขภาพของผู้คนดีขึ้นในทุกๆวันถือเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ของเรา จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน มีความพร้อมที่จะดำเนินการตามคำมั่นสัญญานี้ด้วยทีมผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ ระบบการปฏิบัติที่เข้มแข็งและความแข็งแกร่งด้านการเงิน เรามุ่งมั่นที่จะนำเอาทรัพยากรทั้งหมดที่เรามี เพื่อร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ ในการหยุดยั้งการแพร่ระบาดครั้งนี้ให้เร็วที่สุด”

          นายแพทย์พอล สตอฟเฟิลส์ รองประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของบริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กล่าวว่า “เรานับถือในความเชื่อมั่นและการสนับสนุนที่ได้รับจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาต่อความพยายามในการค้นคว้าวิจัยของเราเป็นอย่างมาก ทีมผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้ร่วมกันพัฒนางานวิจัยของเราไปสู่ระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และทีมของเราจะทำงานอย่างต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตรด้านวิทยาศาสตร์อย่าง BARDA และหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่วันนี้เราได้ผลสรุปจากการคัดเลือกวัคซีนตัวนี้ หลังจากความพยายามในการค้นคว้าวิจัยตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา เรากำลังเร่งขยับเวลาเพื่อทดลองวัคซีนในมนุษย์สำหรับเฟสแรกให้เร็วขึ้น ซึ่งอย่างช้าสุดคือภายในเดือนกันยายนปีนี้ และด้วยการสนับสนุนกำลังการผลิตจากทั่วโลกที่เราเร่งพัฒนาอยู่นั้น เราคาดว่าวัคซีนตัวนี้จะพร้อมสำหรับการใช้ฉุกเฉินภายในต้นปีหน้า”

          วัคซีนต้านโควิด-19 ที่ได้รับการคัดเลือกของ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน

          ทันทีที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19 จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้เริ่มวิจัยและทดลองหลากหลายวัคซีนที่มีศักยภาพในการต้านไวรัสนี้ตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยทีมวิจัยจากบริษัท แจนเซ่น ฟาร์มาซูติกา ได้ร่วมมือกันกับ Beth Israel Deaconess Medical Center หน่วยงานในสังกัดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพื่อคิดค้นและทดลองวัคซีนมากมายโดยใช้เทคโนโลยี AdVac® ของแจนแซ่น

          ด้วยความร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ในสถาบันวิชาการหลายแห่ง องค์ประกอบในวัคซีนต่าง ๆ ได้ถูกทดสอบเพื่อค้นหาองค์ประกอบที่มีศักยภาพมากที่สุด ในการสร้างการตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันในการทดลองระดับพรีคลินิก

          จากการดำเนินงานครั้งนี้ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้รับคัดเลือกให้เป็นวัคซีนตัวแรกที่จะถูกใช้ในการป้องกันโควิด-19  (โดยมีตัวสำรองอีก 2 รายการ) ซึ่งจะเริ่มต้นเข้าสู่กระบวนการผลิตขั้นตอนแรกต่อไป ภายใต้กรอบเวลาที่เร่งรัดนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะเริ่มการศึกษาทางคลินิกเฟสหนึ่งภายในเดือนกันยายนปีนี้ โดยคาดว่าข้อมูลทางคลินิกด้านความปลอดภัยและประสิทธิผลจะออกมาภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาจจะทำให้สามารถผลิตวัคซีนเพื่อการใช้ฉุกเฉินได้ในช่วงต้นปีหน้า และเมื่อเทียบกับขั้นตอนการพัฒนาวัคซีนทั่วไปแล้ว กระบวนการดังกล่าวต้องผ่านการวิจัยในขั้นต่าง ๆ ซึ่งอาจใช้เวลารวมกันนานถึง 5-7 ปี ก่อนที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นวัคซีนเพื่อขอรับการอนุมัติต่อไป

          กว่า 20 ปีแล้วที่ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้ทุ่มงบกว่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐในการผลิตยาต้านไวรัสและวัคซีน และโครงการวัคซีนโควิด-19 ได้ใช้เทคโนโลยี AdVac(R) และ PER.C6(R) ของแจนแซ่น ซึ่งมีความสามารถในการพัฒนาตัวเลือกของวัคซีนใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังยกระดับการผลิตวัคซีนที่ได้รับการคัดเลือกไปพร้อมกัน เทคโนโลยีเดียวกันนี้เคยถูกนำไปใช้พัฒนาและผลิตวัคซีนป้องกันอีโบลาของบริษัท และสร้างวัคซีนที่จะถูกนำไปคัดเลือกเพื่อต้านเชื้อซิกา อาร์เอสวี และ เอชไอวี ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาทางคลินิกเฟสสองหรือเฟสสาม

          การวิจัยที่ถูกต่อยอดสู่ยาต้านไวรัส

          นอกจากความพยายามในการพัฒนาวัคซีนแล้ว BARDA และจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ยังได้ขยายความร่วมมือ เพื่อเร่งการดำเนินงานของแจนเซ่นในการตรวจคัดกรองคลังสารเคมีที่เก็บไว้ (compound libraries) ซึ่งรวมถึงสารเคมีจากบริษัทเวชภัณฑ์อื่น ๆ ด้วย บริษัทมีเป้าหมายที่จะหาวิธีการรักษาที่มีศักยภาพในการต่อต้านเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ โดยทั้งจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน และ BARDA จะให้เงินทุนสนับสนุนในส่วนของความร่วมมือครั้งนี้ ความพยายามในการคัดกรองยาต้านไวรัสนี้เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือกับสถาบันเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ Rega (KU Leuven/University of Leuven) ในประเทศเบลเยียม

          ตามที่ประกาศไปในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บริษัทและ BARDA ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรทั่วโลก เพื่อตรวจคัดกรองแหล่งข้อมูลของแจนเซ่นซึ่งมีการเก็บโมเลกุลของยาต้านไวรัสไว้ เพื่อเร่งค้นหาวิธีรักษาโควิด-19 ให้เร็วขึ้น

          โรคโควิด-19 มีต้นเหตุจากกลุ่มไวรัสที่มีชื่อว่าโคโรนาซึ่งทำลายระบบทางเดินหายใจ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีน การรักษา หรือยารักษาโควิด-19 ใด ๆ ที่ได้รับการอนุมัติ

          สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการ ในการต่อสู้กับโรคระบาดนี้ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ได้ที่ www.jnj.com/coronavirus 

            Tags

            ทารกเสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19

            ทารกเสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 ด้วยวัยเพียง 6 สัปดาห์

            เริ่มมีข่าวให้ได้ยินอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับเชื้อไวรัสโคโรน่าในเด็ก ทั้งเคสในต่างประเทศและเคสในประเทศไทย โดยเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เพิ่งมีข่าว ทารกเสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 โดยข่าวรายงานว่า เด็กทารกคนหนึ่ง อายุไม่ถึง 1 ปี ในรัฐอิลลินอยส์ ของสหรัฐฯ เสียชีวิตลงหลังจากตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 โดยเด็กทารกรายนี้เป็นเคสที่อายุน้อยที่สุด รายแรกของโลกที่เสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19

            ล่าสุด มีข่าวสะเทือนใจยิ่งกว่า เมื่อสำนักข่าวอินดีเพนเดนต์  รายงานว่า นายเน็ด ลามอนต์ ผู้ว่าการรัฐคอนเนตทิคัต ของสหรัฐฯ ยืนยันในวันพุธที่ 1 เม.ย. 2563 ว่า พบเด็กทารกที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียง 6 สัปดาห์ เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เด็กคนนี้เป็นหนึ่งในผู้มีอายุน้อยที่สุด ที่เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19

            ทารกเสียชีวิตจากเชื้อโควิด-19 ด้วยวัยเพียง 6 สัปดาห์

            เด็กทารกรายนี้เกิดที่เขตฮาร์ตฟอร์ด ในรัฐคอนเนตทิคัต และถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากเด็กไม่มีอาการตอบสนอง โดยที่แพทย์ไม่สามารถยื้อชีวิตของเด็กเอาไว้ได้ ซึ่งนายลามอนต์ยืนยันว่า ผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในตัวเด็กคนนี้ออกมาเป็นบวก

            “ไวรัสตัวนี้เล่นงานผู้ที่เปราะบางที่สุดของเราอย่างไรความปรานี” นายลามอนต์ระบุผ่านทวิตเตอร์ “เรื่องนี้ยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของการอยู่แต่ที่บ้าน และจำกัดการสัมผัสกับบุคคลอื่น ชีวิตของคุณและชีวิตของคนอื่นๆ ขึ้นอย่างกับเรื่องนี้อย่างแท้จริง ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของเด็กคนนี้ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ด้วย”

            ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มากที่สุดในโลก ปัจจุบันอยู่ที่ 213,372 ราย และมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 4,757 ศพ โดยในรัฐคอนเนตทิคัตมีผู้ติดเชื้อ 3,557 ราย และเสียชีวิต 85 ศพ

            ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์

            ทีมแม่ ABK ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วยนะคะ สำหรับบ้านที่มีลูกเล็กอย่าเพิ่งเครียดไปค่ะ แม้ว่าลูกน้อยวัยทารกยังมีภูมิคุ้มกันต่ำ แต่หากคุณพ่อคุณแม่ร่วมมือกันทำให้บ้านของเราเป็นบ้านที่ปลอดเชื้อโควิด-19 ก็สามารถที่จะปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัยได้ค่ะ  ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำในการปกป้องลูกน้อยมาฝาก ดังนี้

            ป้องกันโควิด ก่อนออกจากบ้าน
            ท่องให้ขึ้นใจ ก่อนออกจากบ้าน ป้องกันให้แน่น ใส่เสื้อคลุม หน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า พกเจลแอลกอฮอลล์ล้างมือ

             

            ป้องกันโควิด ก่อนเข้าบ้าน
            ท่องให้ขึ้นใจ ก่อนเข้าบ้าน ตัวต้องปลอดภัย ปลอดเชื้อ

             

            วิธีป้องกันโควิด 1
            1.แขวนเสื้อ ถอดรองเท้าไว้นอกบ้าน ล้างหน้า ล้างมือด้วยสบู่ก่อนเข้าตัวบ้าน

             

            วิธีป้องกันโควิด 2
            2.อย่าเพิ่งรีบหอม กอด เล่นกับลูก อาบน้ำ สระผมให้สะอาดก่อนปลอดภัยกว่า

             

            วิธีป้องกันโควิด 3
            3.เช็ดมือถือ กุญแจรถ กระเป๋าสตางค์ ด้วยแอลกอฮอล์ทุกครั้งเมื่อถึงบ้าน

             

            วิธีป้องกันโควิด 4
            4. เช็ดรีโมท ลูกบิด ขอบประตู โต๊ะ เตียง เก้าอี้ เฟอร์นิเจอร์จับบ่อย ให้สะอาด ปลอดเชื้อ

             

            วิธีป้องกันโควิด 5
            5.ซักเสื้อผ้า ผ้าขนหนู ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ด้วยผงซักฟอกกับน้ำ หรือน้ำร้อย 60-90 องศาเซลเซียส

             

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            เผย 7 กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ควรปฏิบัติตามมาตรการรัฐบาลอย่างเคร่งครัด

            เปิด ลงทะเบียนว่างงาน รับเงินชดเชย โดนเลิกจ้าง หยุดทำงานเพราะพิษโควิด-19

            วิจัยพบ! คนสูบบุหรี่ เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ง่ายกว่าคนอื่น!

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              เจลล้างมือ

              24 ยี่ห้อ เจลล้างมือ มีแอลกอฮอล์ไม่ถึง 70% !

              เจลล้างมือ เป็นหนึ่งใน Item สำคัญที่จำเป็นต้องมีพกติดตัวไว้ใช้ตลอดเวลาที่ต้องออกนอกบ้าน ไม่ว่าจะเดินทางโดยสารด้วยรถประจำทางสาธารณะ หรือรถยนต์ส่วนตัว ไปทำงาน ไปจ่ายตลาด ไปโรงพยาบาล ฯลฯ ก็ต้องใช้เจลล้างมือล้างมือบ่อยๆ ที่อยู่นอกบ้าน หรือมือของเราต้องไปสัมผัส หยิบจับกับอะไรต่างๆ  เพื่อช่วยฆ่าเชื้อโรค เชื้อไวรัส แบคทีเรียต่างๆ โดยเฉพาะเพื่อป้องกันไวรัส Covid-19

              ทีมแม่ABK ได้ข่าวมาสดๆ ร้อนๆ เลยว่า มีเจลล้างมือแอลกอฮอล์มากถึง 24 ยี่ห้อ ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่ถึง 70% ซึ่งนั้นก็หมายความว่าไม่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อไวรัสได้ค่ะ มาดูกันว่ามียี่ห้ออะไรบ้าง และครอบครัวไหนที่ซื้อมาใช้ ให้เปลี่ยนไปใช้ย่ออื่นๆ ที่มีแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปนะคะ

               

              เจลล้างมือ 24 ยี่ห้อ มีแอลกอฮอล์ไม่ถึง 70%

              สำหรับ เจลล้างมือ 24 ยี่ห้อนี้นะคะ ได้ถูกเพิกถอนไม่อนุญาตให้วางจำหน่ายในท้องตลาด เนื่องจากตรวจพบว่ามีปริมาณแอลกอฮอล์ที่เป็นส่วนประกอบต่ำกว่าที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ คือต้องมีปริมาณแอลกอฮอล์ 70 % ขึ้นไป ถึงจะช่วยฆ่าไวรัส Covid-19 หรือเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียต่างๆ ที่ปนเปื้อนมากับข้าวของ อุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องหยิบ จับ สัมผัสในชีวิตประจำวัน ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพค่ะ

              มาเช็กรายชื่อกันด่วนๆ เลยค่ะ ใครใช้เจลล้างมือยี่ห้อเหล่านี้อยู่ ให้หยุดใช้ !

              1. เลขที่จดแจ้ง 10-1-5738056 เจลล้างมือ แฮนด์ ซานิไทเซอร์
              2. เลขที่จดแจ้ง 10-1-5835759 เจลล้างมือโพรโพลิส แฮนด์ สเปรย์
              3. เลขที่จดแจ้ง 10-1-5853494 แฮนด์ คลีนเนอร์
              4. เลขที่จดแจ้ง 10-1-5936359 เดอะ สแตนดาร์ด คลีนนิ่ง วอเตอร์
              5. เลขที่จดแจ้ง 10-1-5950870 แฮนด์ เจลเนเจอร์ซอฟท์
              6. เลขที่จดแจ้ง 10-1-6010046068 แฮนด์ แซนนิไทเซอร์
              7. เลขที่จดแจ้ง 10-1-6010058407 แอลกอฮอล์ เจล
              8. เลขที่จดแจ้ง 10-1-6100027004 แอลกอฮอล์ แฮนด์ เจล
              9. เลขที่จดแจ้ง 10-1-6100039262 แอลกอฮอล์ เจล
              10. เลขที่จดแจ้ง 10-2-5833623 เพอร์ฟูม แฮนด์คลีนเจล เฟรนซ์ ราชเบอรี่
              11. เลขที่จดแจ้ง 10-2-5833624 เพอร์ฟูมแฮนด์ คลีนเจล เกรซพีโอนี
              12. เลขที่จดแจ้ง 10-2-5833625 เพอร์ฟูมแฮนด์ คลีนเจล ออเรนทอล แมนดาริน
              13. เลขที่จดแจ้ง 10-2-5833626 เพอร์ฟูมแฮนด์คลีนเจล เพียวกรีนที
              14. เลขที่จดแจ้ง 10-2-5833627 เพอร์ฟูมแฮนด์ คลีนเจล ซูการ์พีช
              15. เลขที่จดแจ้ง 10-2-5842067 อินซแท็นท์ แฮนด์ แซนนิไทเซอร์
              16. เลขที่จดแจ้ง 10-2-6010030159 สมาร์ทเตอร์เจลล้างมือ กลิ่นเชียร์ฟูลบลู
              17. เลขที่จดแจ้ง 10-2-6010030161 เจลล้างมือ กลิ่นเชียร์ฟูลบลู
              18. เลขที่จดแจ้ง 10-2-6010030162 เจลล้างมือ กลิ่นชาร์มมิ่งพิ้งค์
              19. เลขที่จดแจ้ง 10-2-6010031630 ลาเวนเดอร์ แฮนด์ แซนิไทเซอร์
              20. แฮนด์เจล เลขที่จดแจ้ง 10-2-6010033612 พิ้งค์บลอสซั่ม มอยเจอร์ไรซิ่ง
              21. เลขที่จดแจ้ง 10-2-6010033613 พิ้งค์ บลอสซั่ม มอยเจอร์ไรซิ่ง แฮนด์ เจล
              22. เลขที่จดแจ้ง 10-2-6010036457 ลาเวนเดอร์ โลชั่น
              23. 23. เลขที่จดแจ้ง 10-2-6100051706 รีเฟรซซิ่ง แฮนด์ เจล
              24. เลขที่จดแจ้ง 12-1-6300003473 แฮนด์ เจล แคร์

              การล้างมือให้สะอาดด้วยเจลล้างมือแอลกอฮอล์ เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติกันอย่างมากนะคะ เพราะช่วยฆ่าเชื้อโรค เชื้อไวรัส ลดความเสี่ยงต่อการติดต่อจากไวรัส Covid-19 แต่ถ้าจะใช้แอลกอฮอล์เจลสำหรับล้างมือ แนะนำให้เลือกซื้อใช้ที่ได้มาตรฐานมีปริมาณส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้ว่าต้อง แอลกอฮอล์ 70 ++ ถึงจะมีประสิทธิภาพเหมาะแก่การใช้งานค่ะ ด้วยความห่วงใย

              เจลล้างมือ

              เจลล้างมือ

               

              เจลล้างมือ

               

              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

              วิธีทำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ฆ่าเชื้อโรค ไว้ใช้เองที่บ้าน

              5 โรคที่มากับมือ ไม่อยากเป็นล้างมือให้สะอาด 

              กรมอนามัยแนะแม่ท้อง 9 วิธีป้องกัน covid 19 ให้ปลอดภัยทั้งแม่ลูก

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


              เครดิต : thebangkokinsight  

              prachachat

               

                กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19

                เผย 7 กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ควรปฏิบัติตามมาตรการรัฐบาลอย่างเคร่งครัด

                ใครป่วยเป็นโรค G6PD ระวังให้ดี!! หนึ่งใน กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไม่สามารถใช้ยารักษา COVID-19 บางตัวได้ .. เตือนทุกคนที่เสี่ยงติดเชื้อง่ายควรปฏิบัติตามมาตรการควบคุม COVID-19 ของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด

                ระวัง!! “ลูก เป็น G6PDหนึ่งใน กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19
                ใช้ยารักษา COVID-19
                บางตัวไม่ได้

                โรคแพ้ถั่วปากอ้า หรือ โรค G6PD ย่อมาจาก Glucose-6-phosphate dehydrogenase deficiency โดยทางการแพทย์จะเรียกโรคนี้ว่า ภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งทำให้ร่างกายขาดเอนไซม์ที่ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงทำงานได้เป็นปกติ จึงอาจส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดแดงสลายตัวจนเกิดภาวะโลหิตจางตามมาได้ หรือ ทำให้เกิดอาการเม็ดเลือดแดงแตกได้ง่ายนั่นเอง

                โดยสาเหตุของการพร่องเอนไซม์ G6PD เกิดจากความผิดปกติของพันธุกรรมของโครโมโซมเพศชนิดโครโมโซมเอกซ์ มีการถ่ายทอดยีน G6PD เป็นแบบ X-linked recessive จากแม่ … โดยมีโอกาสที่ลูกชายจะเป็นโรคร้อยละ 50 ลูกสาวจะเป็นพาหะร้อยละ 50 ดังนั้นโรคนี้จึงพบในเด็กผู้ชายได้มากกว่าเด็กผู้หญิง

                Must read >> 5 โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ที่พบได้บ่อยในครอบครัวไทย

                โรคนี้ในภาวะปกติจะไม่มีอาการ แต่มักเกิดขึ้นหลังมีภาวะติดเชื้อ โดยจะมีอาการซีดเมื่อมีเหตุปัจจัยภายนอกที่เป็นสิ่งกระตุ้นได้แก่ การติดเชื้อต่างๆ เช่น ไข้หวัด ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ไข้เลือดออก มาลาเรีย เป็นต้น รวมไปถึงการได้รับยาปฏิชีวนะในกลุ่มซัลฟา แอสไพริน ยารักษามาลาเรียพวก primaquine ได้สัมผัสสารเคมี เช่น ลูกเหม็น รับประทานถั่วปากอ้า ที่จะเป็นตัวชักนำให้เกิดการแตกทำลายของเม็ดเลือดแดง อาการประกอบด้วย ซีด เหลืองหรือดีซ่าน และปัสสาวะสีโคคาโคลา ถ่ายปัสสาวะน้อยจนอาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลันได้ นอกจากนี้ยังส่งผลให้การควบคุมสมดุลของสารเกลือแร่ต่างๆ ในร่างกายเสียไปด้วย โดยเฉพาะการเกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ซึ่งมีความรุนแรงมากและมีอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

                Must read >> โรค G6PD หรือโรคแพ้ถั่วปากอ้าคืออะไร? ห้ามกินอะไรบ้าง?

                ซึ่งจากอาการข้างต้นที่กล่าวมาของโรค G6PD ถือเป็น หนึ่งใน กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 (COVID-19) ทางกรมการแพทย์ของไทย ได้มีเอกสารแจ้งถึงแนวทางการดูแลรักษา และการใช้ยาต้านไวรัส กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ว่าหนึ่งในนั้นมีการใช้ยารักษามาลาเรีย ซึ่งยาตัวนี้หากใช้ในคนที่เป็น G6PD จะทำให้เม็ดเลือดแดงเขาแตกและเป็นอันตรายได้

                กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19

                จากเรื่องนี้เองจึงทำให้มีคุณแม่ท่านหนึ่งได้โพสต์ภาพขึ้นในเฟซบุ๊ก โดยต้องขึ้นป้ายเตือนหน้าบ้านว่า “ลูกชายบ้านนี้ เป็น G6PD ไม่สามารถใช้ยาบางตัวในการรักษาไวรัสโควิด-19 ได้”

                กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19

                นั่นเป็นเพราะออปชั่นในการรักษาของพวกเขา น้อยกว่าคนทั่วไป จึงขอความร่วมมือเพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกชายของคุณแม่จะติดเชื้อโดยการห้ามเข้ามาในบ้าน (ทางบ้านของคุณแม่เป็นร้าน ออกแบบ+ติดตั้งงานป้าย)

                 

                ซึ่งหากใครที่เห็นป้ายเตือนแบบนี้ หรือคนที่เป็นโรค G6PD ก็ถือเป็น กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ต้องระวัง และให้ทำตามที่ป้ายเตือนอย่างเคร่งครัด เพราะสำหรับคนไทยแล้วโรคนี้ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่เป็นกัน แต่ผู้ใหญ่ที่เป็นภาวะนี้ ประมาณ 10% ของประชากร จึงจำเป็นต้องระวังเป็นอย่างดีที่สุดกว่าคนอื่นด้วยนะคะ

                ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก คุณแม่แก้ม (จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ อิ กิม)

                อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

                ดูต่อ >> “7 กลุ่มคนที่เสี่ยงติดเชื้อโรคโควิด-19” คลิกหน้า 2

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  ลงทะเบียนว่างงาน

                  เปิด ลงทะเบียนว่างงาน รับเงินชดเชย โดนเลิกจ้าง หยุดทำงานเพราะพิษโควิด-19

                  ประกันสังคมอัดฉีดมาตรการช่วยเหลือลูกจ้าง พนักงานบริษัท ที่โดนเลิกจ้าง หรือต้องหยุดพักงานจากพิษโควิด-19 ระบาดหนัก หลังมาตรการปิดสถานที่เสี่ยงในหลายพื้นที่ พร้อมเปิดให้ ลงทะเบียนว่างงาน เงื่อนไขพิเศษ พร้อมปรับอัตราเงินชดเชยให้สูงขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ที่เสียไป

                  ลงทะเบียนว่างงาน แล้วได้สิทธิรับเงินชดเชยส่วนใดบ้าง ?

                  ภายหลังการประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มข้นทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และตามหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ที่ผ่านมาระยะหนึ่งและยังต้องดำเนินต่อไปอีก 1 เดือน ทั้งการปิดห้างสรรพสินค้า สถานบันเทิง สถานบริการ สนามกีฬา ฟิตเนส และสถาบันสอนต่างๆ  รวมถึงการประกาศปิดร้านค้าในช่วงเวลา 23.00 -05.00 น. ในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเป็นวงกว้าง ทั้งเจ้าของกิจการ พ่อค้าแม่ค้า รวมถึงพนักงานลูกจ้างที่ตกงาน หรือหยุดพักงานชั่วคราวทันทีนับแสนคน

                  ลงทะเบียนว่างงาน

                  รัฐบาลจึงได้ประกาศใช้มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-12 ในระยะที่ 2 โดยส่วนแรก เป็นการดูแลผู้ที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม (กลุ่มแรงงานนอกระบบ) โดยจะสนับสนุนเปิดให้ ลงทะเบียนรับเงิน 5000 เพื่อให้มีค่าครองชีพเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน  รวม 15,000 บาท  (เมษายน-มิถุนายน 2563)  อ่านวิธีลงทะเบียนรับเงิน 5000 บาท ได้ที่นี่

                  พนักงาน ลูกจ้างตามสิทธิประกันสังคม ได้เงินชดเชยหรือไม่

                  ส่วนลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็นพนักงานบริษัท ลูกจ้างทั่วไป หรือผู้ทำอาชีพอิสระที่ส่งประกันสังคมด้วยตัวเอง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ใน 2 ลักษณะ ได้แก่

                  1. กรณีนายจ้างให้หยุดงานเพื่อกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน เนื่องจากสัมผัสหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย

                  2. กรณีภาครัฐมีคำสั่งให้หยุดกิจการชั่วคราวเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ส่งให้ผลลูกจ้างไม่สามารถทำงาน และไม่ได้รับค่าจ้าง

                  ทางสำนักงานประกันสังคมได้กำหนดให้มีการ ลงทะเบียนว่างงาน สำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 กรณีว่างงานเนื่องจากเหตุสุดวิสัย ทั้งหมด 2 มาตรการหลัก ดังต่อไปนี้

                  • การเพิ่มสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานให้ลูกจ้าง ซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเมื่อนายจ้างไม่ให้ทำงานเพราะต้องกักตัวสังเกตอาการ 14 วัน

                  เมื่อผู้ประกันตนมา ลงทะเบียนว่างงาน จะได้รับเงินชดเชยเพิ่มขึ้นเป็น 60 % ของค่าจ้างรายวัน โดยได้รับตลอดระยะเวลาที่ผู้ประกันตนไม่ได้ทำงาน แต่ไม่เกิน 90 วัน จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไปก่อนหน้านี้ ให้ได้รับค่าชดเชย 50 % ของค่าจ้างรายวัน โดยได้รับตลอดระยะเวลาที่ผู้ประกันตนไม่ได้ทำงาน แต่ไม่เกิน 180 วัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มเงินกระเป๋าให้มากขึ้นสำหรับการใช้สอยในชีวิตประจำวัน

                  ลงทะเบียนว่างงาน

                  • ในกรณีถูกเลิกจ้าง หรือหยุดพักงานแล้วไม่ได้รับค่าจ้าง เนื่องจาก “ภาครัฐมีคำสั่งให้นายจ้างหยุดกิจการเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค” เมื่อเข้าไป ลงทะเบียนว่างงาน ลูกจ้างจะได้รับเงินชดเชยในกรณีว่างงานเพิ่มเป็น 62 % ของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่นายจ้างหยุดประกอบกิจการตามคำสั่ง แต่ไม่เกิน 90 วัน เพิ่มขึ้นจากเดิม

                  คุณพ่อคุณแม่ที่ยังทำงานกันอยู่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะสำนักงานประกันสังคมได้ออกมาตรการช่วยเหลือสำหรับลูกจ้างเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเช่นกัน โดยให้สิทธิพนักงานตามสิทธิประกันสังคมที่ยังทำงานอยู่ รวมถึงเจ้าของกิจการ สามารถลดอัตราเงินสมทบนายจ้างให้เหลือเพียง 4 % ส่วนลูกจ้างให้เหลือ 1 %  เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่งวดเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2563 รายละเอียดตามภาพ

                  ลงทะเบียนคนว่างงาน

                  อ่านต่อ มาตรการช่วยเหลือลูกจ้างประกันสังคม และเจ้าของกิจการ เพิ่มที่หน้า 2

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    เช็คลิสต์ 60 ของใช้เด็กแรกเกิด อย่างไหนควรซื้อเลย อย่างไหนไม่ต้องรีบ!

                    สำหรับว่าที่พ่อแม่มือใหม่คงตื่นเต้นไม่น้อยกับการรอคอยสมาชิกใหม่ที่กำลังจะลืมตาดูโลกในอีกไม่นาน การเตรียมของใช้ให้เบบี๋แต่เนิ่น ๆ ในตอนนี้จึงเป็นอีกเรื่องจำเป็นที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ไม่เร่งรีบเมื่อถึงตอนใกล้คลอด เพื่อที่วันคลอดจะได้มีใช้ทันที ไม่ฉุกละหุก และเมื่อมีเวลาเตรียมตัวก็ทำให้รู้ว่าบางรายการนั้นอาจจะยังไม่จำเป็นต้องซื้อใช้ในตอนแรก ๆ มาเช็กลิสต์ก่อนซื้อรายการ ของใช้เด็กแรกเกิด อย่างละเอียด อย่างไหนควรซื้อเลย อยากไหนเอาไว้ก่อนได้บ้าง

                    เช็คลิสต์ 60 ของใช้เด็กแรกเกิด อย่างไหนควรซื้อเลย อย่างไหนไม่ต้องรีบ!

                    #หมวดเสื้อผ้า

                    1.ผ้าห่อตัวหรือผ้าพันตัวผืนใหญ่ ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรมีเตรียมไว้ก่อนคลอด เพื่อใช้ในที่พาลูกน้อยออกจากโรงพยาบาลหรือไปหาคุณหมอ เพราะในช่วงเดือนแรกทารกยังอยู่ในช่วงปรับตัวควรมีผ้าไว้ห่อตัวเด็กเพื่อสร้างความอบอุ่น ผ้าห่อตัวควรเป็นผ้าสำลีที่จะช่วยให้อบอุ่นกว่าเนื้อผ้าอื่น ๆ เหมาะสำหรับห่อตัวเด็กแรกเกิด

                    2.เสื้อผ้าเด็กอ่อน เป็นของใช้เบบี๋อีกหนึ่งอย่างที่คุณแม่ควรเตรียมไว้ก่อนคลอด การเลือกซื้อเสื้อผ้าสำหรับทารกแรกเกิดต้องละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ไม่แพ้ของใช้เด็กอ่อนอื่น ๆ เลยทีเดียว แต่การซื้อเสื้อผ้าให้เบบี๋ในช่วงแรก ๆ คุณแม่ไม่จำเป็นต้องเตรียมซื้อไว้เยอะเกินไปเพราะเด็กในช่วงนี้จะโตไว้ อาจซื้อประมาณแค่ 2-3 ชุดเพื่อสลับเปลี่ยนตามช่วงอายุ คือ ไซส์ 60 สำหรับช่วงแรกเกิด ไซส์ 70 สำหรับช่วง 1-3 เดือน และไซส์ 80 สำหรับช่วงอายุ 4 เดือนขึ้นไป ควรเลือกผ้าที่นุ่ม เช่น ผ้าฝ้ายหรือผ้าป่าน เพื่อไม่ให้ระคายเคืองต่อผิว เนื่องจากผิวทารกแรกเกิดบอบบางมาก และควรเป็นเสื้อแบบคอกว้าง เลือกแบบมีเชือกผูกเพื่อให้ง่ายต่อการใส่

                    3.หมวก/ ถุงมือ/ ถุงเท้า การรักษาอุณหภูมิของทารกแรกเกิดเป็นเรื่องที่สำคัญ การเตรียมหมวก เอาไว้คลุมศีรษะลูกในวันที่แดดร้อนหรือหนาว ถุงมือ เอาไว้ใส่เพื่อป้องกันลูกน้อยเอาเล็บข่วนหน้าตัวเอง ถุงเท้า เลือกไซส์ให้พอดีป้องกันการหลุดออกจากเท้า จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมไว้ซัก 2-3 ชุด เพื่อไว้ใช้สลับกันค่ะ ทั้งนี้คุณแม่ควรให้ลูกน้อยได้ใส่ถุงมือและถุงเท้าได้ในช่วงแรก ๆ เท่านั้น แนะนำให้ใส่เพียงแค่ 1-2 อาทิตย์ เพื่อให้ทารกปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศภายนอกเพราะว่าลูกยังเล็กอยู่ แต่หลังจากนั้นเมื่อลูกเริ่มขยับและเริ่มตอบสนองได้แล้ว คุณแม่ก็ควรเลิกใส่ เพราะว่าเจ้าตัวน้อยจะได้มีโอกาสขยับนิ้วและขยับมือไปตามพัฒนาการของเขาด้วย

                    4.ผ้าอ้อมสาลู อีกหนึ่งไอเทมของใช้ที่จำเป็นสำหรับเด็กแรกเกิด เนื้อผ้านุ่ม ซักคราบเปื้อนออกได้ง่าย และแห้งไว ควรมีเตรียมไว้อย่างน้อย 2 โหลเพื่อสลับการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปค่ะ ซึ่งปกติทารกแรกเกิดจะขับถ่ายบ่อย โดยจะปัสสาวะเฉลี่ย 10-15 ครั้งต่อวัน และอุจจาระประมาณ 10 ครั้งต่อวัน การใช้ผ้าอ้อมสาลูจะช่วยให้คุณแม่ง่ายต่อการใช้งาน แถมยังช่วยประหยัดเงินซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปได้ด้วย

                    เตรียมของใช้ก่อนคลอด

                    5.ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ปัจจุบันมีผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ออกแบบไซส์ New born มาสำหรับเด็กแรกเกิด เหมาะกับลูกน้อยที่มีน้ำหนักตั้งแต่ แรกเกิด – 5 กิโลกรัม ในส่วนของผ้าอ้อมสำเร็จรูปคุณแม่อาจไม่ต้องเตรียมซื้อไว้เยอะก็ได้นะคะ เพราะส่วนใหญ่เวลาคนมาเยี่ยมเจ้าตัวน้อยก็จะเลือกซื้อผ้าอ้อมติดไม้ติดมือมาฝาก คุณแม่อาจจะเตรียมซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปเอาไว้อย่างน้อย 2 แพ็คเอาไว้ใช้ในช่วงสัปดาห์แรกก็ได้ ควรเลือกซื้อผ้าอ้อมที่อ่อนโยนต่อผิว มีแผ่นรองรับการดูดซึมที่รวดเร็ว สามารถระบายอากาศได้ดี ที่สำคัญเวลาใส่ผ้าอ้อมให้ลูกควรระวังตรงง่ามขาไม่ให้รัดจนเกิดไป เพราะจะทำให้คันระคายเคือง เจ็บ เป็นรอยแดง เกิดผื่นผ้าอ้อมได้ หรือไม่ให้หลวมจนเกิดไปเพราะฉี่ลูกก็อาจจะทะลักออกมาได้ค่ะ เพราะผิวทารกแรกเกิดบอบบางและไวต่อการสัมผัส คุณพ่อคุณแม่ต้องเอาใจใส่ดูแลเป็นกรณีพิเศษนะคะ

                    6.กางเกงผ้าอ้อมแบบซักได้ เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่เพิ่มมาในยุคปัจจุบันที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบง่าย สบายสำหรับคุณแม่ และมีแบบน่ารัก ๆ ให้คุณแม่ได้สนุกกับการแต่งตัวลูกสาวหรือลูกชายมากขึ้น ควรเลือกซื้อกางเกงผ้าอ้อมขนาดที่ใหญ่กว่าลูก 1 ไซส์ พร้อมกับแผ่นรองซับปัสสาวะที่ไว้รองในกางเกงผ้าอ้อม ที่มีทั้งแบบทำจากไมโครไฟเบอร์หรือนาโนที่กันน้ำและดูดซับได้ดี และแบบออร์แกนิกที่ช่วยต่อต้านแบคทีเรียและผื่นผ้าอ้อม แต่ถ้าหากคุณแม่เลือกที่จะใช้ผ้าอ้อมสาลูสลับกับการใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแล้ว กางเกงผ้าอ้อมก็อาจจะไม่ต้องรีบซื้อมาใช้ในช่วงแรก ๆ ก็ได้นะคะ

                    7.ผ้ากันน้ำลาย ไอเทมที่ควรมีไว้เผื่อหลาย ๆ ผืน เพราะทารกมักมีน้ำลายหรือน้ำนมไหลออกมาจากปาก คุณแม่ควรเลือกผ้าที่ซับน้ำได้ดีและทำความสะอาดได้ง่าย อย่างผ้าฝ้ายหรือผ้าคอตตอน 100%

                    #หมวดอุปกรณ์อาบน้ำและทำความสะอาด

                    8.อ่างอาบน้ำ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับของใช้เด็กแรกเกิดที่ควรซื้อติดบ้านไว้อีกชิ้นเพื่อไว้อาบน้ำเด็กอ่อน คุณแม่ควรเลือกแบบชนิดที่มีที่กั้นกันลื่นเพื่อความปลอดภัย เพราะการอาบน้ำเบบี๋สำหรับคุณแม่มือใหม่อาจจะไม่ใช่เรื่อง่าย แต่ถ้าหัดไปเรื่อย ๆ ก็จะเกิดความชำนาญขึ้นค่ะ

                    9.ตาข่ายรองอาบน้ำเด็ก ใช้สำหรับพยุงตัวลูกเวลาอาบน้ำ เพื่อความสะดวกและปลอดภัย และเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่เป็นกังวลกลัวว่าลูกจะหลุดมือในขณะอาบน้ำ

                    ซื้อของเตรียมคลอดมีอะไรบ้าง

                    10.สบู่/ แชมพูสระผม สำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายและผมทารกคุณแม่สามารถเลือกใช้แบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบบ Head to Toe ที่ใช้อาบน้ำและสระผมได้ในขวดเดียวกัน และสำหรับทำความสะอาดเด็กแรกเกิดควรเลือกเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมธรรมชาติหรือเลือกสูตรที่อ่อนโยนที่สุด เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันการแพ้หรือระคายเคือง และไม่เป็นอันตรายต่อดวงตา

                    11.แป้งเด็ก ความจริงแล้วสำหรับทารกนั้นหมอแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องทาแป้งให้ก็ได้ค่ะ เพราะในแป้งนั้นมีส่วนผสมของทัลคัม ซึ่งเป็นสารที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งรังไข่ได้ ถึงแม้ว่าสารนี้จะไม่ทำให้เกิดอันตรายในช่วงสั้นๆ แต่แร่หินทัลคัมไม่สามารถย่อยสลายได้เอง ถ้าสูดดมเข้าไปทีน้อย เป็นเวลานานๆ อาจสะสมอยู่ในปอด ผิวปอดจะจับแป้งเอาไว้เป็นก้อน ทำให้มีปัญหาการหายใจ มีอาการไอ จาม ระบบทางเดินหายใจติดขัด หากเป็นเด็กทารกอาจทำให้ปอดอักเสบ เสี่ยงเกิดโรคเนื้องอกในปอด และเสียชีวิตได้  ดังนั้นการเลือกแป้งเด็กสำหรับทารก ควรเลือกแป้งเด็กที่ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ ผ่านการทดสอบจากสถาบันที่น่าเชื่อถือแล้วว่าปลอดภัย ปราศจากสารทัลคัม ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ สามารถใช้ได้ปกติในเด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง แต่ถ้าในเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืด หมอจะไม่แนะนำให้ทาแป้งจนกว่าเด็กจะโตกว่านี้ แป้งสำหรับทารกยังมีให้เลือกหลายตัวเลือกทั้งแบบโลชั่นเนื้อแป้ง ที่แห้งและลื่นขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนการทาแป้ง หรือแป้งที่ทำด้วยแป้งข้าว แป้งเด็กที่แม่ ๆ บอกต่อกัน เช่น Newborn Reiscare เป็นต้น ส่วนการทาแป้งให้ทารก ควรเทแป้งลงบนฝ่ามือแล้วค่อยลูบลงบนตัว เพื่อลดการฟุ้งกระจายและการสูดดมเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจค่ะ

                    12.โลชั่น/ เบบี้ออยล์ ใช้โลชั่นหรือเบบี๋ออยล์หลังอาบน้ำ เพื่อเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นผิวให้ลูกน้อย และควรเลือกสูตรที่เป็นธรรมชาติ อ่อนโยนที่เหมาะกับผิวเด็ก

                    13.ฟองน้ำล้างตัว เอาไว้สำหรับชุบน้ำและบีบเวลาล้างตัวให้ลูกน้อยขณะอาบน้ำ ควรเลือกซื้อแบบที่เป็นธรรมชาติ

                    14.หมวกกันน้ำเด็ก สำหรับคุณแม่มือใหม่ที่กังวลว่าเวลาสระผมกลัวแชมพูหรือน้ำกระเด็นเข้าตาก็สามารถหาซื้อมาติดบ้านไว้ได้ค่ะ

                    15.ผ้าเช็ดตัว ควรเลือกผ้าที่นุ่มและซึมซับน้ำได้ดี คุณแม่ควรเตรียมผ้าเช็ดตัวที่ใช้ห่อตัวหลังอาบน้ำให้ลูกน้อย 1 ผืน และผ้าขนหนู 2 ผืน รวมถึงผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ อีก 1-2 ผืน เพื่อสลับเปลี่ยนใช้หลังทำความสะอาด

                    16.สำลีก้าน (คอตตอนบัด) / สำลีก้อน/ สำลีแผ่นแบบรีดข้าง ควรใช้สำลีผ่านการฆ่าเชื้อ สะอาด ปลอดภัย และไร้สารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว หรือเลือกที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ 100% และควรมีสำลีหลาย ๆ แบบติดบ้านไว้

                    • คอตตอนบัด สำหรับทำความสะอาดรูหู เช็ดสะดือ และอื่น ๆ
                    • สำลีแผ่นแบบรีดข้าง สำหรับเช็ดเปลือกตา
                    • สำลีแบบก้อนหรือแบบแผ่นสำหรับไว้ใช้เช็ดก้นลูก หรือเช็ดคราบต่าง ๆ บนร่างกาย

                    อ่านต่อ 60 รายการของใช้ ที่แม่ต้องเตรียมให้เบบี๋ก่อนคลอด คลิกหน้า 2

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      แม่ให้นมกินทุเรียน

                      แม่ให้นมกินทุเรียน แล้วน้ำนมเหม็น ลูกเมินนมแม่! จริงมั้ย?

                      ทุเรียนที่ส่งกลิ่นยั่วยวน จัดเป็นผลไม้โปรดของใครหลาย ๆ คน และมีทั้งคนไม่ชอบเพราะกลิ่นเหม็นด้วยเช่นกัน สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนชอบรับประทานทุเรียนอยู่ก่อนแล้ว คงอดที่จะมีคำถามไม่ได้ว่า แม่ให้นมกินทุเรียน ได้มั้ย? กินแล้วจะส่งผลอะไรกับเบบี๋หรือเปล่า มาดูคำตอบกันค่ะ

                      แม่ให้นมกินทุเรียน แล้วน้ำนมเหม็น ลูกเมินนมแม่จริงหรือ?

                      แม่ลูกอ่อนกินทุเรียนได้ไหม
                      แม่ลูกอ่อนกินทุเรียนได้ไหม

                      ใช่ว่าทุเรียนจะเป็นผลไม้ที่ถึงขนาดห้ามแม่ลูกอ่อนไม่ให้กินตอนให้นมลูก ซึ่งจริง ๆ แล้วคุณแม่ให้นมสามารถกินทุเรียนได้ แต่ไม่ควรกินเยอะ เนื่องจากทุเรียนนั้นมีปริมาณน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง โดยในทุเรียน 1 เม็ด (น้ำหนัก 40 กรัม) จะให้พลังงานประมาณ 50-60 แคลอรี่ ดังนั้นหากคุณแม่อยากกิน ควรกินในปริมาณที่ไม่เกินวันละ 1-2 พู และไม่ควรกินบ่อย ๆ ติดกันเป็นระยะนาน หรือนาน ๆ กินทีจะดีกว่า เพราะถ้ากินทุเรียนเยอะในขณะที่ให้นมลูกอยู่นั้น กลิ่นของทุเรียนที่คุณแม่กินไปจะออกมาทางน้ำนม ซึ่งอาจทำให้ทารกที่กินนมอยู่นั้นรับรู้กลิ่นทุเรียนผ่านนมแม่ได้ เด็กบางคนอาจจะไม่ชอบทำให้ลูกมีอาการงอแงไม่อยากดูดนมในรอบนั้นขึ้นมา หรือทารกบางคนที่กินนมแม่คลื่นไส้อาเจียนได้ ส่งผลให้ลูกไม่อยากดื่มนมแม่จากเต้า ทำให้การให้นมลูกยากขึ้น และได้ปริมาณสารอาหารจากนมแม่ในมื้อนั้นไม่เพียงพอ อีกกรณีหนึ่ง การกินทุเรียนทอดก็จะส่งผลให้ลูกที่กินนมแม่มีแผลร้อนในในปากได้ ซึ่งการกินของทอด ของหวานยังเป็นสาเหตุทำให้ท่อน้ำนมอุดตันได้ด้วย

                      นอกจากนี้ผลเสียจากการทุเรียนเยอะจะส่งผลอื่น ๆ ได้อีก เช่น

                      • ผลจากการทุเรียนมากไป อาจทำให้ลูกถ่ายอุจจาระเป็นสีเหลือง หรือสีเขียว
                      • ทุเรียนเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไขมันและมีปริมาณน้ำตาลที่มีสูงมากกว่าผลไม้อื่น ๆ หากกินมากไปก็อาจไปเพิ่มให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาก เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน และมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นได้ด้วยส่งผลทำให้เป็นโรคอ้วนได้
                      • ทุเรียนที่ผ่านการแปรรูปอื่น ๆ เช่น ทุเรียนกวน ทุเรียนทอด ที่ถึงแม้จะแปรรูป แต่หากทานมากเกินไปก็มีผลกระทบต่อลูกที่กินนมแม่ได้เช่นกัน

                      หลังคลอดลูกกินทุเรียน

                      ทั้งนี้ผลไม้อย่างทุเรียนที่เป็นของชอบของคุณแม่นั้น มีคุณค่าทางสารอาหารมากมาย ได้แก่ โฟเลต แคลเซียม วิตามิน ใยอาหาร คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล โปรตีน ไขมัน แร่ธาตุ ฯลฯ การทานทุเรียนแต่พอดีในปริมาณที่เหมาะสม จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น

                      • ช่วยบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำของคุณแม่และลูกน้อยให้ดีขึ้น
                      • สารโฟเลต ช่วยป้องกันความผิดปกติที่จะเกิดขึ้นกับระบบประสาท และยังช่วยสร้างและพัฒนาเซลล์สมองของเด็กได้ดี ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ได้
                      • ในทุเรียนมีฟอสฟอรัส ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย
                      • ในทุเรียนมีวิตามินซีสูงมาก มีผลต่อการป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ อาทิ ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากโรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนของเลือด
                      • การกินทุเรียนครั้งละไม่เกิน 1-2 พู เมื่อทานเข้าไปในร่างกายจะเกิดการเผาผลาญด้วยความร้อนจากกำมะถัน จะช่วยเข้าไปเร่งการเผาผลาญภายในร่างกายได้
                      • ให้พลังงานแก่ร่างกายสูง

                      จะเห็นได้ว่าทุเรียนเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แต่หากรับประทานแต่พอดีแล้ว ลูกยังไม่กินนมแม่ คุณแม่ก็ควรที่จะงดกินทุเรียนในช่วงนี้ เพื่อให้ลูกได้กินนมแม่อย่างเต็มที่ และหันมาลองเลือกรับประทานผลไม้อื่น ๆ ที่หลากหลาย และมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งแม่และลูก ซึ่งผลไม้ที่คุณแม่ควรกินระหว่างให้นมลูกที่จะช่วยผลิตน้ำนมได้ดี เช่น

                      ผลไม้เพิ่มน้ำนม

                      ผลไม้แม่ลูกอ่อน
                      ผลไม้แม่ลูกอ่อน

                      มะละกอ

                      ในมะละกอมีทั้งวิตามิน ไฟเบอร์ ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก สำหรับคุณแม่ที่ให้นมควรเลือกกินมะละกอสุกหรือนำไปทำเป็นน้ำมะละกอปั่นดื่มกิน จะช่วยกระตุ้นในการผลิตน้ำนมให้มากขึ้น แถมยังมีเอนไซน์ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดีด้วยนะ

                      เมล็ดขนุนต้ม

                      สารอาหารในเมล็ดขนุน เช่น โปรตีน ไขมัน ธาตุเหล็ก คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส และวิตามินบี 1 มีส่วนช่วยกระตุ้นในการผลิตน้ำนม ทำให้น้ำนมมีมาก

                      อินทผลัม

                      อินทผลัม เป็นผลไม้ทีอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ทั้ง เบต้าแคโรทีน ลูติน และซีแซนทิน แคลเซียม ซัลเฟอร์ ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมงกานิส แมกนีเซียม และยังมีวิตามิน A วิตามิน B1 วิตามิน B2 วิตามิน B6 วิตามิน K และไฟเบอร์ ซึ่งล้วนแต่จำเป็นต่อร่างกายมีประโยชน์สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ไปจนถึงคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมหลังคลอด อินทผลัมจะช่วยเพิ่มสารอาหารในน้ำนม และเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกาย ส่งต่อไปยังลูกน้อยที่กินนมแม่ให้มีสุขภาพที่แข็งแรงด้วย

                      แก้วมังกร

                      แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน เกลือแร่ มีแร่ธาตุแมกนีเซียมแคลเซียม มีแคลอรี่ต่ำ แถมยังเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง ที่กินแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย ผิวพรรณ แถมยังช่วยรักษาหุ่นคุณแม่ได้เป็นอย่างดี และที่ดีต่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยแม่คือช่วยกระตุ้นการขับน้ำนมให้กับคุณแม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

                      บทความแนะนำ : ผักผลไม้เพิ่มน้ำนม 20 ชนิด เพิ่มน้ำนมให้คุณแม่

                      แม่ลูกอ่อน กินผลไม้อะไรได้บ้าง

                      จะเห็นได้ว่านอกจากทุเรียนแล้วยังมีผลไม้หลากหลายที่มีประโยชน์แตกต่างกัน และสามารถเป็นตัวเลือกรับประทานในช่วงที่แม่ให้นมลูกได้ แต่ต้องเข้าใจว่าอะไรที่แม่ทานเข้าไปทารกก็จะได้รับสิ่งนั้นผ่านทางนมแม่ได้วยเช่นกัน ดังนั้นบางอย่างหากกินมากไปก็จะส่งเสียต่อตัวแม่และลูกด้วย นอกจากการรับประทานผลไม้แล้ว การกินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ ได้ออกกำลังกาย และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะดีต่อสุขภาพของคุณแม่ และทำให้มีน้ำนมเพียงพอต่อลูกน้อยด้วยนะคะ

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.momandbaby.net

                      อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก : 

                      โภชนาการของ อาหารช่วงให้นมบุตร และผลกระทบต่อน้ำนม

                      วิธีรับมือสำหรับแม่ให้นม เมื่อลูกกลายเป็น เด็กแพ้อาหาร

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน

                        อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน ด้วยพลัง”ผัก ผลไม้ 5 สี”

                        อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน ที่กินแล้วช่วยให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรงขึ้น อยากรู้ไหมคะว่าควรจะต้องกินอะไรถึงจะทำให้สุขภาพแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันสามารถต้านทานกับเชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ได้ โดยเฉพาะไวรัสร้ายที่ทุกคนกำลังเผชิญกันอยู่ตอนนี้ อย่างไวรัสโควิด 19 (Covid-19) วันนี้ทีมแม่ABK มีมาแนะนำให้ค่ะ

                         

                        อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน สำคัญอย่างไร ?

                        ก่อนที่ทีมแม่ABK จะพาไปดูว่ามี อาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน อะไรบ้างที่ไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ก็รับประทานได้ในทุกวันนั้น เราต้องไปทำความรู้จักกับ “ภูมิคุ้มกัน” ในร่างกายของเรากันก่อนค่ะ

                        ภูมิคุ้มกัน (immunity) คำนี้ได้ยินกันอยู่บ่อยๆ เลยค่ะ และในเด็กเล็กๆ ตั้งแต่แรกคลอด คุณหมอจะบอกว่าคุณแม่ให้ลูกกินนมแม่ ลูกจะได้รับสารภูมิคุ้มกันที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ ซึ่งสารภูมิคุ้มกันที่ว่าเนี่ยมีส่วนสำคัญมากๆ ในการช่วยปกป้องไม่ให้ร่างกายของลูกเจ็บป่วยง่ายนั่นเองค่ะ ถ้าจะอธิบายให้ลึกเข้าไปอีกนิด ภูมิคุ้มกัน (immunity) ก็คือ กลไกของร่างกายที่ต้านทานต่อโรคใดโรคหนึ่ง โดยภูมิคุ้มกันอาจเกิดเพียงชั่วคราวหรือตลอดไป

                        สำหรับ “ภูมิคุ้มกัน” โดยธรรมชาติของร่างกายจะมีอยู่ด้วยแล้วส่วนหนึ่ง นั่นก็คือ “เม็ดเลือดขาว” ที่เป็นเหมือนองครักษ์คอยสอดส่องดูว่ามีเชื้อโรค หรือสารพิษอะไรเข้าสู่ร่างกายหรือไม่ ถ้ามีก็จะต่อสู้และกำจัดออกไป แต่โดยธรรมชาติของร่างกายกระบวนการการสร้างเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดงก็จะต้องให้สมดุลกันค่ะ ถ้ามีเม็ดเลือดขาวมากกว่าเม็ดเลือดแดง ก็ไม่ดีต่อร่างกายได้เช่นกันค่ะ

                        ถามว่าแล้วร่างกายจะได้ภูมิคุ้มกันจากที่ไหนอีก นอกเหนือจากที่มีอยู่ในร่างกายแล้วส่วนหนึ่ง เท่าที่รู้มานะคะ ภูมิคุ้มกันที่ อยู่ในร่างกายเมื่อถูกใช้ไปก็มีวันหรึกหรอ ลดน้อยลงได้ค่ะ จะสังเกตได้จากการที่เจ็บป่วย ไม่สบายบ่อยๆ เช่น เป็นหวัด  ปวดหัว ตัวร้อน หรือถ้าหนักหน่อยก็เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจ ภูมิแพ้อากาศ ภูมิแพ้อาหาร ฯลฯ  ฉะนั้นนะคะ เราจะต้องเติมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็จะได้จาก…

                        1. น้ำนมแม่ แนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่แรกเกิดไปจนอย่างน้อยถึง 6 เดือน ในน้ำนมแม่มีสารภูมิคุ้มกันที่ เข้มข้น มีประโยชน์ดีต่อร่างกายลูกมากๆ ช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นกับเด็กเล็กๆ และสาร ภูมิคุ้มกันที่ลูกได้รับจากน้ำนมแม่ ยังจะอยู่กับลูกไปจนโตเลยค่ะ
                        2. วัคซีน ทุกคนจะได้รับการฉีดวัคซีนกันมาตั้งแต่เป็นทารกน้อย และได้รับวัคซีนต่อเนื่องกันมาตามช่วงวัย พัฒนาการ และพอโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ เช่น วัคซีนไข่หวัดใหญ่(ฉีดทุกปี) , วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี , วัคซีน HPV(สำหรับผู้หญิง) ฯลฯ
                        3. ออกกำลังกาย การที่ร่างกายได้ออกกายบริหารอยู่อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายได้ดี มากๆ เมื่อร่างกายแข็งแรง ก็จะลดอัตราเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยลงได้ค่ะ
                        4. นอนหลับ การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไปให้ กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์มากขึ้น
                        5. อาหาร คือปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง การกินอาหารที่มีประโยชน์ครบหลักอาหาร 5 หมู่ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา

                        ถ้าเด็กๆ และผู้ใหญ่ ทุกคนมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง รับรองว่าจะไม่เจ็บป่วย ไม่สบายบ่อยๆ อย่างแน่นอน ที่สำคัญเมื่อภูมิในร่างกายแข็งแรง ก็จะสามารถช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ไม่ให้มาทำลายสุขภาพให้แย่ได้ค่ะ โดยเฉพาะไวรัสร้าย Covid-19 โรคภัยสมัยนี้รุนแรง และน่ากลัวขึ้นทุกวัน ก็ต้องหันมาดูแลสุขภาพกันให้มากขึ้นนะคะ เพื่อจะได้อยู่กับคนที่รักไปนานๆ ค่ะ

                        สำหรับอาหารเพิ่มภูมิคุ้มกัน ทีมแม่ABK แนะนำให้รับประทานผัก ผลไม้ 5 สี เพื่อที่ร่างกายจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราได้ค่ะ

                        อ่านต่อ ผัก ผลไม้ 5 สี อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านโควิด 19 คลิกหน้า 2

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          คู่มือป้องกันโรคโควิด

                          จีนออก คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 (ฉบับภาษาไทย) ต้องทำยังไงเพื่อให้รอดจากเชื้อไวรัสโคโรน่า

                          จีนรอด..เราก็ต้องรอด เผย!! คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 ของจีน เวอร์ชั่นภาษาไทย จะมีวิธีรับมือและดูแลป้องกันตัวเองให้รอดจากเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ยังไงบ้าง ตามมาดูกันเลย

                          จีนออก “คู่มือป้องกันโรคโควิด 19” ฉบับภาษาไทย
                          จัดทำโดย มหาวิทยาลัยการแพทย์คุนหมิง

                          ช่วงที่ประเทศไทยตอนนี้กำลังเกิดการแพร่เชื้อโควิด-19 อย่างหนัก เนื่องจากมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 100+ ทุกวัน ซึ่งทางทีมแม่ ABK ก็ได้เกาะติดสถานการณ์อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด พร้อมหาข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการรับมือกับเจ้าเชื้อไวรัสโคโรน่านี้

                          ซึ่งล่าสุดก็ไปเจอข้อมูลจาก เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict ที่ได้แชร์ หนังสือวิธีป้องกัน covid-19 จัดทำโดย มหาลัยวิทยาลัยแพทย์คุนหมิง ประเทศจีน เป็น คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 ฉบับภาษาไทย โดยภายในเล่มเป็นความรู้เกี่ยวกับ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโรคโควิด-19 การดูแลป้องกันตัวเองทั้งเมื่ออยู่ในบ้านและเมื่ออกนอกบ้าน รวมไปถึงวิธีเพิ่มภูมิคุ้มกัน ด้วยการรับประทานอาหารอะไรที่มีประโยชน์ ซึ่งในคู่มือได้มีการอธิบายเอาไว้อย่างครบถ้วน

                          ดังนั้นทางทีมแม่ ABK จึงได้สรุปข้อมูลจาก คู่มือป้องกัน covid-19 ออกมาให้อ่านถึงวิธีดูแลตัวเองและการเพิ่มภูมิคุ้มกัน เพื่อป้องกันตัวเองและลูกน้อย ให้รอดจากเชื้อไวรัสโคโรน่า มาฝาก ตามมาดูกันเลย…

                          โควิด 19 อาการ เป็นอย่างไร ควรไปพบแพทย์ตอนไหน?

                          ซึ่งก่อนที่จะไปดูวิธีการป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัสโควิด-19 คุณพ่อคุณแม่ควรรู้จักอาการของโรคนี้ก่อน เพื่อจะได้สังเกตตัวเองเป็น โดยเบื้องต้นหากมีไข้ (อุณหภูมิใต้รักแร้ ≥ 37.3°C) ไม่มีเรี่ยวแรง ไอแห้ง อาการเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถยืนยันว่าได้รับเชื้อมาแล้ว แต่หากมีอาการเหล่านี้ปรากฎขึ้นหลังไปในอยู่ในพื้นที่เสี่ยง …

                          1. โดยก่อนหน้าที่จะแสดงอาการป่วย 14 วัน มีประวัติการเดินทางท่องเที่ยวหรือพักอาศัยในบริเวณที่เกิดการแพร่ระบาดของโรค
                          2. ก่อนหน้าที่จะแสดงอาการป่วย 14 วัน ได้มีการใกล้ชิดหรือสัมผัสกบผู้ป่วยโรคโควิด-19 (ได้รับการยืนยันจากการตรวจสอบกรดนิวคลีอิกที่ให้ผลเป็นบวก)
                          3. ก่อนหน้าที่จะแสดงอาการป่วย 14 วัน มีการใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ที่เดินทางมาจากแหล่งแพร่ระบาดของโรค
                          4. มีการไปรวมกลุ่มชุมนุม (ภายในระยะเวลา 14 ได้ไปหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่พบผู้ป่วยมากกวา 2 คนขึ้นไปที่มีไข้และโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ที่บ้าน สํานักงาน ห้องเรียน เป็นต้น )

                          จากที่กล่าวมาหากตัวเองหรือคนในบ้านมีอาการ ให้รีบแจ้งคนในครอบครัว และรักษาระยะห่าง พร้อมสวมใส่หน้ากากอนามัย แล้วรีบไปโรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยทันที

                           

                          Must read >> เด็กติดโควิด-19 เพิ่ม เตือนพ่อแม่ระวัง อย่าพาเชื้อเข้าบ้าน

                           

                          เชื้อโรคโควิด-19 ชอบคนประเภทไหน!

                          ใน คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 ฉบับภาษาไทย จากประเทศจีน เล่มนี้ได้บอกไว้ว่า ทุกคนมีโอกาสติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ทั้งนั้น แต่คนที่สุขภาพดี มีภูมิต้านทานแข็งแรง ออกกําลังกายสม่ำเสมอ มีจิตใจเบิกบาน โอกาสที่จะถูกแพร่เชื้ออาจจะค่อนข้างน้อย แต่คนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ เช่น คนแก่และเด็กน้อย ตลอดจนคนที่มักจะป่วยง่าย ก็มีโอกาสที่จะได้รับการแพร่เชื้อค่อนข้างสูง และมีอาการป่วยกจะค่อนข้างหนัก

                          7 วิธีป้องกันตัวเองจากเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่ออยู่ที่บ้าน (แนะนำโดย คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 ฉบับภาษาไทย จากประเทศจีน)

                          1. ล้างมือบ่อยๆ คือต้องล้างมือให้สะอาดโดยทันที หลังเมื่อกลับมาจากการออกไปนอกบ้าน , ก่อนและหลังรับประทานอาหาร , หลังจากไอหรือจาม , หลังจากเข้าห้องน้ำ , หลังจากสัมผัสกับสัตว์และจัดการกับอุจจาระ

                          คู่มือป้องกันโรคโควิด
                          ขั้นตอนการล้างมือ ภาพจาก คู่มือป้องกันโรคโควิด 19 (ฉบับภาษาไทย)

                          2. ทำให้บ้านมีอากาศถ่ายเทสะดวก โดยเปิดหน้าต่างภายในห้องทุกวัน เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศอยู่เสมอ

                          3. ฆ่าเชื้อบ่อยๆ ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ในบ้าน ถูพื้นบ่อยๆ โดยจะต้องทำความสะอาดทุกวันเป็นประจํา และหากมีแขกมาบ้าน ต้องรีบทําการฆ่าเชื้อสิ่งของต่างๆในบ้านโดยทันที และหากซักผ้าต้องผสมน้ำยาฆ่าเชื้อลงไปด้วยจะยิ่งดี

                          4. มีมารยาทในการจามและไอ คนในบ้านใช้กระดาษทิชชู่ หรือข้อศอกปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย ทุกครั้งขณะไอหรือจาม เช่นนนี้แล้วไวรัสก็จะไม่สามารถแพร่กระจายออกมาได้ ไม่ว่าคุณจะป่วยหรือไม่ก็ตาม

                          คู่มือป้องกันโรคโควิด

                          5. ใช้ชีวิตประจําวันตามปกติ และออกกําลังกายอย่างเหมาะสมที่บ้าน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเพื่อนบ้านของคุณ

                          6. ตรวจเช็คสุขภาพประจําวันของคุณและครอบครัว เมื่อพบว่าตนเองหรือคนในครอบครัวมีอาการป่วยดังนี้ ควรจะทําการกักตัว และไปพบแพทย์เพื่อรับความช่วยเหลือโดยทันที อาการที่เข้าข่ายต้องสงสัยว่าติดเชื้อ จะรวมถึง ตัวร้อน เป็นไข้ ไอ เจ็บคอ แน่นหน้าอก หายใจลําบาก เบื่ออาหาร ไม่มีแรง ซึม คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดศีรษะ ใจสั่น ตาแดง ปวดตามข้อหรือปวดกล้ามเนื้อบริเวณเอวและหลัง เป็นต้น

                          Must read >> รีวิว ปรอทวัดไข้ อุณหภูมิเท่าไหร่? แปลว่า ลูกมีไข้ กันแน่!

                          7. เตรียมพร้อมในการป้องกันครอบครัว

                          • เมื่อตนเองหรือคนในครอบครัวออกไปข้างนอก จะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยสวมใส่หน้ากากอนามัย ละอองเชื้อโรคก็จะถูกปิดกันโดยหน้ากากอนามัย ไม่สามารถปลิวเข้าปากและจมูกของผู้คนได้

                          • หากพบว่าคนในครอบครัวแสดงพฤติกรรมที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น การบ้วนน้ำลายหรือเสมหะลงบนพื้น เป็นต้น ให้ทําการห้ามและตักเตือนโดยทันที

                          • หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็ นบุคลากรทางการแพทย์ จะต้องเตือนให้เพิ่มความระมัดระวังในการดูแลตนเองให้มากขึ้น

                           

                          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

                           

                          อ่านต่อ >> วิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า
                          เมื่อต้องออกนอกบ้าน” คลิกหน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            11 งานบ้านทำเพลินแถม เบิร์นรัวๆ เผาผลาญไขมันแบบไม่ต้องไปฟิตเนส

                            ในเมื่อต้องอยู่บ้านกันแบบยาว ๆ สำหรับคุณแม่บ้านหรือพ่อบ้านสายฟิตเนสคงจะอึดอัดไม่น้อยที่ไม่ได้ออกกำลังกาย แต่รู้มั้ยคะ งานบ้านหลายอย่างภายในบ้านช่วย เบิร์นไขมัน ทำงานบ้านหนึ่งครั้งก็ช่วยให้คุณแม่ได้เผาผลาญแคลอรี่ พอ ๆ กับการเข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายเลยนะ นี่คืองานบ้านที่ช่วยให้คุณแม่ได้บ้านเนี๊ยบและหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์ม มีอะไรบ้างไปดูกันเลย

                            11 งานบ้านทำเพลินแถม เบิร์นรัวๆ เผาผลาญไขมันแบบไม่ต้องไปฟิตเนส

                            1.ขัดห้องน้ำ

                            การขัดห้องน้ำคล้าย ๆ กับการอยู่ในห้องอบซาวน่าที่จะช่วยให้คุณแม่ได้เหงื่อและออกกำลังช่วงแขน ช่วยกระชับกล้ามเนื้อแขนและหัวไหล่ได้เป็นอย่างดี การขัด ๆ ถู ๆ ขจัดคราบสกปรกที่ติดอยู่ตามโถส้วม อ่างล้างหน้า อ่างอาบหน้า และบริเวณพื้นห้องน้ำ ถ้าใช้เวลาออกแรงประมาณ 15 นาที จะสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้สูงสุดถึง 100 แคลอรี่ เท่ากับการสก็อตจั๊มพ์ 30 ครั้ง แต่ถ้าใช้เวลาขัด/ล้างห้องประมาณ 1 ชั่วโมง จะเผาผลาญพลังงานไปได้ถึง 190-240 แคลลอรี่เชียวค่ะ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและการออกแรงด้วย หลังจากได้เบิร์นแล้วคุณแม่ยังได้ห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยมห้องสมใจด้วย

                            2.ทำความสะอาดหน้าต่าง

                            สำหรับบ้านที่มีหน้าต่างหลายบาน และบานใหญ่ งานบ้านข้อนี้คงถูกใจคุณแม่สบายเบิร์นไม่น้อย เพราะการเช็ดทำความสะอาดกระจกหน้าต่างให้ครบทุกบาน เช็ดขัดถูให้สะอาดใสเพื่อความสวยงาม ประมาณ 30 นาทีก็ช่วยสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ 150 แคลอรี่ แต่ถ้าทำเช็ดถึงหนึ่งชั่วโมงก็สามารถเบิร์นพลังงานได้ถึง 334 แคลอรี่ พอ ๆ กับการวิดพื้นถึง 40 ครั้ง ยิ่งถ้าต้องมีการปีนป่ายหรือต่อเก้าอี้เพื่อเช็ด ก็จะยิ่งใช้พลังงานมากขึ้น เรียกว่าช่วยฟิตหุ่น ออกกำลังกายไปในตัวได้ดีทีเดียวค่ะ

                            3. ล้างจาน

                            รู้มั้ยคะ งานล้างจานที่เรียกว่าเป็นกิจวัตรปกติของคุณแม่ แม้จะไม่มีการขยับเคลื่อนไหวของร่างกายเท่าไหร่ แต่แค่การยืนล้างจานเพียง 15 นาทีต่อวันก็ช่วยให้แม่เผาผลาญได้ถึง 102 – 122 แคลอรี่ เทียบเท่ากับการเดินประมาณ 15 นาที และถ้ามีจานชามในมื้อใหญ่ ๆ ให้ล้างเยอะ มีคราบจานที่สกปรกมาก ๆ หรือล้างกระทะ ขัดหม้อ ที่ทำให้แม่ต้องออกแรงล้างมากกว่าปกติ ก็อาจเพิ่มการเผาผลาญไขมันได้ถึง 126 แคลอรี่ มิน่าแม่บ้านที่ล้างจานบ่อย ๆ เลยหุ่นดีแบบนี้นี่เอง

                            เบิร์นไขมันออก

                            4. รีดผ้า

                            การใช้เวลารีดผ้าประมาณ 30 – 45 นาที ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ออกแรงไม่มาก แต่ช่วยกระชับต้นแขนได้พอ ๆ กับการซักผ้าด้วยมือ แถมยังช่วยคุณแม่เผาผลาญพลังงานได้ถึง 80-157 กิโลแคลอรี่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของเตารีด ประมาณของจำนวนผ้าที่รีด รวมถึงปัจจัยอื่นประกอบด้วย และถ้าใช้เวลารีดผ้าอย่างน้อยเฉลี่ย 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็จะสามารถเผาผลาญได้ 420 แคลอรี่ เทียบเท่าการเข้าคลาสซุมบ้าในฟิตเนสได้เลยค่ะ ยิ่งถ้าคุณแม่ยืนรีดผ้าเป็นเวลานาน ๆ ก็จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญให้มากขึ้นได้ เนื่องจากการใช้แรงกดไปบนผ้า นอกจากนี้การสลับแขนในระหว่างรีดผ้าซ้ายขวา จะเป็นการเพิ่มกล้ามเนื้อให้บาลานซ์กันทั้งสองข้างด้วยนะคะ

                            5.ล้างรถ

                            ไม่ต้องง้อคุณพ่อให้มาช่วยล้างรถกันเลยทีเดียว ถ้าคุณแม่รู้ว่าการล้างรถประมาณ 30 นาทีนั้นช่วยเผาผลาญได้ถึง 135-150 แคลอรี่ แถมยังดูเหมือนว่าการล้างรถนั้นช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อแขนขาได้ดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเขย่งเท้าไปล้างหลังคารถ ซึ่งช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อบริเวณน่อง และการย่อลงมาล้างล้อรถก็เหมือนกับการออกกำลังกายในท่าสควอช การออกแรงขัดล้างรถช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อแขน การล้างรถด้วยตัวเองดีแบบนี้นี่เอง

                             

                            อ่านต่อ 11  งานบ้านช่วยเผาผลาญไขมัน ไม่ง้อฟิตเนส คลิกหน้า 2

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              วาโก้เดินหน้าผลิตหน้ากากอนามัยแจกฟรี จับมือคนไทยผ่านวิกฤติ โควิด-19

                              บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) ลดความเสี่ยงตามแนวทางการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข นอกจากจะมีมาตรการดูแล เฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด   โควิด-19 ภายในองค์กรเพื่อความปลอดภัยของพนักงานและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อแล้ว นโยบายเร่งด่วนของวาโก้คือการหยุดผลิตชุดชั้นใน เพื่อหันมาผลิตหน้ากากอนามัยจากผ้าสเปเซอร์แจกฟรี สู้ภัยโควิด-19 อย่างจริงจังและจริงใจ

                              นายบุญดี อำนวยสกุล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “วาโก้มีมาตรกรป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 มาตั้งแต่ระยะแรก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในองค์กร และเป็นที่ทราบกันดีว่าวาโก้คือผู้ผลิตชุดชั้นในและเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจผู้หญิงไทย ในวันนี้ที่      คนไทยต้องเจอกับการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เราไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสู้วิกฤตินี้ ร่วมกับคนไทยทุกคน จึงมีนโยบายเร่งด่วนให้หยุดการผลิตชุดชั้นใน เพื่อหันมาผลิตหน้ากากอนามัยจากผ้าสเปเซอร์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบใหม่ของส่วนประกอบของชุดชั้นใน เป็นการนำวัตถุดิบที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื้อผ้าผลิตจากเส้นใย Nylon ขนาดเล็กระดับ Microfiber มีความละเอียดสูง อีกทั้งมีส่วนผสมของ Spandex Melt หลอมละลายยึดติดเข้ากับโครงสร้างผ้า ซึ่งถักแบบ 2 ชั้น (Interlock Knit) ด้วยเครื่องถักที่มีความหนาแน่นสูง ทำให้ผ้ามีความอ่อนนุ่ม ไม่รุ่ย ไม่รัน ไม่ม้วน ยืดหยุ่นตัวดี กระชับเข้ากับรูปหน้าเมื่อสวมใส่ เนื้อผ้าผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจากสีและสารเคมีอันตราย มอก.2346:2550 และผ่านการทดสอบการผ่านของอากาศ (Air Permeability Test) เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานผ้าสำหรับทำหน้ากากอนามัย ตามที่สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอกำหนด ซึ่งได้ค่า 7.5 cm3/cm2/sec. จึงมีประสิทธิภาพในการกรองฝุ่น PM 2.5 และยังช่วยป้องกันการกระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 สามารถซักทำความสะอาดและนำกลับมาใช้ซ้ำได้ตลอดอายุการใช้งาน ช่วยลดขยะชุมชน ลดการทำลายสิ่งแวดล้อม

                              ในเฟสแรกวาโก้ได้ผลิตหน้ากากผ้าสเปเซอร์มอบให้พนักงานวาโก้ฯ จำนวน 5,000 ชิ้น และองค์กรอื่นๆ อาทิ กรุงเทพมหานคร เพื่อส่งต่อให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จำนวน 3,000 ชิ้น ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จำนวน 1,000 ชิ้น เพื่อใช้ในการดำเนินงานของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ และอื่นๆ ตามที่ได้มีการขอมา รวมกว่า 15,000 ชิ้น ในขณะนี้ได้สั่งนำเข้าผ้าสเปเซอร์จากต่างประเทศ เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัยโดยเฉพาะ พร้อมเร่งการผลิตเพื่อให้ทันแจกประชาชนในช่วงที่มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างต่อเนื่องตั้งเป้า 52,000 ชิ้น ในเร็วๆ นี้ 

                              นอกจากหน้ากากอนามัยแบบผ้าสเปเซอร์แล้ว วาโก้ยังมอบหน้ากากอนามัยผ้าฝ้าย (Cotton) ให้ประชาชนโดยรอบบริษัทฯวาโก้ จำนวน 1,500 ชิ้น และหน้ากากอนามัยกระดาษให้กับประชาชนทั่วไป จำนวน 30,000 ชิ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าจากสถานการณ์นี้ส่งผลค่าถึงครองชีพของผู้มีรายได้น้อย       เพราะหน้ากากอนามัยทุกชนิดมีราคาค่อนข้างสูงและหาซื้อได้ยาก หากเป็นเนื้อผ้าสเปเซอร์หรือเนื้อผ้าคล้ายกันที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดก็ราคาประมาณชิ้นละ 120 บาท เพราะวาโก้รู้ซึ้งว่าเงินทุกบาทมีค่า จึงขอแบ่งเบาภาระนี้และจับมือผ่านวิกฤติโควิดไปด้วยกัน” นายบุญดี กล่าวทิ้งท้าย

                                Tags

                                วิธีป้องกัน covid 19

                                กรมอนามัยแนะแม่ท้อง 9 วิธีป้องกัน covid 19 ให้ปลอดภัยทั้งแม่ลูก

                                กรมอนามัยแนะ การดูแล และ วิธีป้องกัน covid 19 สำหรับแม่ท้อง แม่หลังคลอดและทารกแรกเกิด โดยเฉพาะ เพื่อให้ปลอดภัยภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19

                                กรมอนามัยแนะแม่ท้อง แม่ลูกอ่อน
                                9
                                วิธีป้องกัน covid 19 ให้ปลอดภัยทั้งแม่ลูก

                                ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ COVID-19 ที่ตอนนี้มียอดผู้ติดเชื้อในไทยสูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเฉลี่ยประมาณวันละ 100+ คน จึงทำให้หลายคนกังวลใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกเล็ก หรือมีคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เพราะลำพังตัวเองก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว แต่สำหรับคุณแม่ท้องก็อาจยิ่งมีอาการจิตตกแบบเท่าตัว เพราะมีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องรับผิดชอบอยู่ในครรภ์

                                Must read >> เผย “ความในใจคนเป็นแม่” หลัง ลิเดียติดเชื้อไวรัสโควิด-19

                                ซึ่งหากคุณแม่ท้องไม่อยากเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 หรือเครียดหนักจากข้อมูลผิด ๆ ทีมแม่ ABK มีข้อมูลและ วิธีป้องกัน covid 19 จากทางกรมกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข มาแนะนำ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะมีวิธีดูแลแม่ท้อง แม่หลังคลอด และทารกแรกเกิด อย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

                                Q: แม่ท้องสามารถถ่ายทอดเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปยังลูกในครรภ์ได้หรือไม่?

                                เรียกได้ว่าเป็นคำถามแรกที่คาใจของแม่ท้องหลายคน ซึ่งแม้ว่าตัวเองจะไม่ได้เป็นบุคคลที่ไปในพื้นที่เสี่ยง และยังไม่ติดเชื้อโควิด19 ก็ตาม แต่สิ่งที่กังวลใจมาก่อนอันดับแรก คือ ถ้าตัวเองได้รับเชื้อ ไวรัสโคโรน่า หรือโควิด-19 (Covid-19) แล้ว ลูกในท้องจะติดด้วยหรือไม่  ?

                                ซึ่งเรื่องนี้ก็มีข้อมูลจากศูนย์ภูมิต้านทาน และระบบทางเดินหายใจแห่งชาติ (National Center for Immunization and Respiratory Diseases หรือ NCIRD) และกองโรคแพร่ระบาดของสหรัฐ (Division of Viral Diseases) ระบุว่า… ไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ยังถือเป็นโรคใหม่ที่ยังมีข้อมูลในเรื่องของความเสี่ยงในการติดเชื้อค่อนข้างน้อยอยู่ ดังนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ 100% ว่าผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสมากไปกว่าคนทั่วไป หรือ หากคุณแม่ท้องติดเชื้อแล้วจะมีความเสี่ยงแท้ง ลูกมีความผิดปกติ ลูกติดเชื้อไวรัสไปด้วย หรือส่งผลกระทบต่อสุขภาพที่แตกต่างไปจากคนปกติทั่วไปอย่างไรหรือไม่

                                ซึ่งก็ข้อมูลจากสถิติในผู้ป่วยในเมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน แจ้งว่า มีหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ จำนวน 9 ราย ที่ได้รับรายงานมา ซึ่งทั้งหมดนั้น ไม่มีรายงานว่าเชื้อไวรัสจากแม่ท้องเหล่านี้ ถูกส่งผ่านไปยังทารกในครรภ์ หรืออาจบอกได้ว่า น้ำคร่ำ น้ำนม และ เลือดสายสะดือ ไม่ได้เป็นสื่อที่สามารถส่งผ่านเชื้อ ไวรัสโคโรน่า หรือโควิด-19 (Covid-19) ได้ 

                                ทั้งนี้ในกรณีข่าวของเด็กทารกแรกเกิดคนหนึ่ง ที่มีผลเลือดเป็นบวก เพียง 30 ชั่วโมง หลังจากคลอดเท่านั้น นั่นก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เชื้อสามารถส่งผ่าน จากแม่สู่ทารกในครรภ์ได้ … แต่อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ 100% แต่ยังจากสถิติยังไม่มีทารกที่ถูกระบุว่าติดโควิด-19 จากใครในท้องแม่

                                วิธีป้องกัน covid 19

                                Q: แม่ท้องควรปฏิบัติอย่างไรเพื่อป้องกันตนเองจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19?

                                การดูแล และ วิธีป้องกัน covid 19 สำหรับแม่ท้อง และแม่หลังคลอด (กลุ่มปกติ) โดยกลุ่มปกติ ในที่นี้คือ กลุ่มที่ไม่ได้ติดเชื้อ ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ COVID-19 ให้ใช้หลักการป้องกัน 3 ล. (เลี่ยง ลด ดูแลตนเอง) อย่างเคร่งครัด โดย

                                1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไอ เป็นไข้ หรือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือรวมกลุ่มกันจำนวนมาก
                                2. รักษาระยะห่าง ในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นด้วยการอยู่ห่างกัน 1 – 2 เมตร
                                3. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณดวงตา ปาก และจมูก
                                4. กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ หรือปรุงอาหารให้สุกร้อนทั่วถึง
                                5. หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะรับประทานอาหารและของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
                                6. หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาดนานอย่างน้อย 20 วินาที ทุกครั้งที่มีการไอจาม สัมผัสสิ่งแปลกปลอม ก่อนกินอาหาร หรือออกจากห้องน้ำ หากไม่มีสบู่ ให้ใช้ Alcohol gel 70%
                                7. ในขณะไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ถ้ามีอาการไอ จาม ให้ใช้ต้นแขนด้านบนปิดปากทุกครั้ง
                                8. คุณแม่ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากมีอาการป่วย เล็กน้อย ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ถ้ามีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจเหนื่อย ควรรีบไปพบแพทย์
                                9. คุณแม่ท้องสามารถฝากครรภ์ได้ตามนัด

                                 

                                อ่านต่อ >> “การดูแลแม่ท้องและแม่หลังคลอด
                                ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19
                                ” คลิกหน้า 2

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

                                  รวมสุดยอด นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก นมดีสำหรับเด็กเจ็นฯ นี้ “ดูแลสายตา บำรุงสมอง” ลูกกินได้ทุกวัน

                                  เมื่อลูกน้อยเริ่มเข้าสู่วัยแห่งการเรียนรู้ตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่อย่างเพียงพอในปริมาณที่เหมาะสม ตามวัย นอกจากอาหารมื้อหลักแล้ว ก็ยังจำเป็นต้องดื่มนมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีพัฒนาการการเจริญเติบโตที่สมวัย ซึ่งเด็ก วัย 1 ขวบ++ คุณแม่ควรเริ่มให้ลูกได้ดื่มนมกล่อง UHT สำหรับเด็กกันค่ะ   

                                  นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก ดูแลสายตา บำรุงสมอง

                                  และเพื่อให้คุณแม่มีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกนมกล่อง UHT กล่องแรกให้ลูก มาดูกันค่ะว่ามีนมกล่อง UHT สำหรับเด็ก   ยี่ห้อไหนที่ดีต่อพัฒนาการของลูก ทั้งในเรื่องการบำรุงสายตา และบำรุงสมองที่อยู่วัยกำลังโตบ้าง สำหรับนมกล่องสำหรับเด็ก ที่คุณแม่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจเลือกให้ลูกดื่ม ก็จะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ  

                                  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านการมองเห็น   

                                  คุณพ่อคุณแม่รู้ไหมคะว่า สมองของลูกจะเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่า 80% เกิดมาจากการมองเห็นที่ดีของ “ดวงตา” เพราะ 1 ใน 3 ของเซลล์สมองจะถูกเชื่อมโยงเข้ากับดวงตา ฉะนั้นถ้าคุณภาพดวงตาดี ก็จะมองเห็นได้ดี ก็จะส่งผลให้สมองเกิดการเรียนรู้ จดจำได้อย่างแม่นยำมีประสิทธิภาพนั่นเองค่ะ 

                                  การมองเห็นที่ดีเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ที่มีศักยภาพค่ะ ซึ่งโภชนาการสารอาหารที่ดีต่อการดูแลสายตาของลูกในช่วงวัยกำลังโต สนุกกับการเรียนรู้ต้องเป็นสารอาหารจำพวกวิตามินเอ และลูทีน ยิ่งถ้าเป็นสารสกัดจากธรรมชาติยิ่งดีค่ะ

                                  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านสมอง สติปัญญา   

                                  เมื่อสายตาเป็นด่านแรกของการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ  ส่งผลให้เกิดการสื่อสารไปยังสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการเรียนรู้และพัฒนาการด้านต่าง ๆ อย่างสมวัย สารอาหารที่ดีต่อสมองของเด็ก ๆ ควรเป็นสารอาหารจำพวก โอเมก้า 3 6 9  ทอรีน โคลีน ดีเอชเอ ไอโอดีน เหล็ก สังกะสี วิตามินบี 12   

                                  • ส่งเสริมพัฒนาการการเจริญเติบโต 

                                  สายตาดี สมองดี ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยบ่อย ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการการเจริญเติบโตตามช่วงวัยที่ดีค่ะ และยิ่งคุณแม่ดูแลอาหารการกินให้ลูกเหมาะสมตามวัย ได้รับในปริมาณที่เพียงพอครบ 5 หมู่ ก็จะยิ่งช่วยให้ลูก ๆ เติบโตได้ดียิ่งขึ้น สำหรับสารอาหารที่ดีต่อการเจริญเติบโตของลูก จะเป็นสารอาหารจำพวก แคลเซียม ซึ่งควรกินควบคู่กับ วิตามินดี เพื่อเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม และสารอาหารอื่น ๆ อย่าง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ฟอสฟอรัส ไขมัน เป็นต้น

                                  • ส่งเสริมพัฒนาการด้านภูมิคุ้มกัน 

                                  ร่างกายที่แข็งแรงของลูกต้องมาจากภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดี เพราะจะช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยลงได้ค่ะ ดังนั้นในทุก ๆ วันคุณแม่ควรดูแลสุขภาพร่างกายลูกให้มีภูมิคุ้มกันโรคที่แข็งแรงอยู่ตลอดเวลานะคะ สำหรับสารอาหารที่ช่วยบำรุงกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มให้กับร่างกายจะเป็นสารอาหารจำพวกวิตามินและแร่ธาตุ ได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินอี เหล็ก สังกะสี เป็นต้น 

                                  สารอาหารแต่ละชนิดจะให้ประโยชน์ที่ดีต่อร่างกาย ทำหน้าที่แตกต่างกันไปค่ะ ทีนี้ไปดูกันต่อค่ะมีนมกล่องสำหรับเด็กยี่ห้อไหนที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของสายตาสำหรับเด็กเจ็นฯ นี้ที่เลี่ยงไม่ได้กับการใช้งานสมาร์ทโฟน และสมองที่ฉลาดเปิดรับการเรียนรู้ พร้อมรับมือสถานการณ์โลกในทุกวัน

                                  ให้ลูกดื่ม “นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก ” ยี่ห้อไหนดีนะ ? 

                                  จริง ๆ นมกล่องสำหรับเด็กมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อเลยค่ะ แต่วันนี้เราคัดมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ดูให้รู้กันว่านมกล่องยี่แต่ละห้อมีสารอาหารอะไรบ้าง โดยเฉพาะสารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา บำรุงสมองของเด็ก ๆ  ต้องไม่พลาดนมกล่อง UHT สำหรับเด็กทั้ง 5 ยี่ห้อนี้ ได้แก่ ดัชมิลล์ เจ็นไอ วีคิวพลัส, โฟร์โมสต์ โอเมก้า 369, โฟร์โมสต์ โอเมก้า โกลด์, ไฮคิว 3 พลัส, เอนฟาโกร เอพลัส สูตร 4 และดูเม็กซ์ ดูโกร

                                  พอแยกสารอาหารให้ดูกันแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่จะเห็นว่ามีปริมาณสารอาหารแต่ละชนิดที่แตกต่าง ลดหลั่นกันไปค่ะ  สำหรับนมกล่อง UHT สำหรับเด็กทั้ง 5 ยี่ห้อนี้ เป็นนมที่มีสารอาหารครอบคลุมทั้งในเรื่องการเจริญเติบโต ส่งเสริม ภูมิคุ้มกัน บำรุงสายตาและสมอง แต่ถ้าถามว่านมกล่องยี่ห้อไหนมีความโดดเด่นในเรื่องสารอาหารอะไรบ้าง มาสรุปพร้อมกันค่ะ

                                  ดัชมิลล์ เจ็นไอ วีคิวพลัส

                                  นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

                                   

                                  เด่นในเรื่องสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการด้านสายตา และสมอง มีสารอาหารอย่าง ลูทีนสูงถึง 3,150 มก. / กล่อง ซึ่งเป็นลูทีนธรรมชาติจากกีวี่สกัด และโอเมก้า 3 6 9 อยู่ที่ 150 500 1,400 มก. / กล่องตามลำดับ มีอยู่ในปริมาณที่สูงที่สุด  แถมมีแคลเซียม และวิตามิน ดี สูงส่งเสริมการเจริญเติบโตอีกด้วย

                                  โฟร์โมสต์ โอเมก้า 3 6 9

                                  นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

                                   

                                  จะเน้นในเรื่องสารอาหารที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องของพัฒนาการสมอง มีสารอาหารอย่าง โอเมก้า 9 สูง 1,400 มก. / กล่อง

                                  โฟร์โมสต์ โอเมก้า โกลด์

                                  นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

                                   

                                  เป็นนมกล่องที่มีปริมาณสารอาหาร ดีเอชเอสูงถึง 27 มก. / กล่อง

                                  ไฮคิว 3 พลัส

                                  นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

                                   

                                  มีสารอาหารบำรุงสมองอย่างโอเมก้า 9 สูง 1,445 มก. / กล่อง 

                                  เอนฟาโกร เอพลัส สูตร 4

                                   

                                  นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

                                  จะให้พลังงานอยู่ที่ 120 มิลลิกรัม และโอเมก้า 9 สารอาหารบำรุงสมองอยู่ที่ 1,100 มก. / กล่อง

                                  ดูเม็กซ์ ดูโกร

                                  นมกล่อง UHT สำหรับเด็ก

                                   

                                   จะให้โอเมก้า 9 สารอาหารบำรุงสมอง อยู่ที่ 1,175 มิลลิกรัมต่อกล่อง

                                  สายตาดี สมองฉลาด นมกล่องไหนดีนะ   

                                  เพราะการมองเห็นเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ ดังนั้นสารอาหารที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยส่งเสริมให้เด็ก ๆ มีสุขภาพสายตาที่ดี และส่งเสริมการพัฒนาการสมอง  ซึ่งนมสำหรับเด็กทั้ง 5 ยี่ห้อนี้ก็มีให้อย่างครบถ้วน แต่ถ้าเป็นนมกล่อง UHT ที่ให้สารอาหารครบทั้งในเรื่องบำรุงสายตา บำรุงสมองของลูก ที่คุณแม่ส่วนใหญ่แนะนำกัน คือ ดัชมิลล์ เจ็นไอ วีคิวพลัส เพราะเขามีสารอาหารหลายตัวที่โดดเด่นมาก นั่นคือ…

                                  • ลูทีนธรรมชาติ จากผงกีวี่สกัด มีส่วนช่วยปกป้องจอประสาทตาจากรังสียูวี แสงแดด และแสงสีฟ้าจากจอภาพ     “ลูทีนจึงเปรียบเสมือนเป็น แว่นกันแดดธรรมชาติที่ช่วยปกป้องจอประสาทตา
                                  • มี วิตามิน เอ สูง มีส่วนช่วยในการบำรุงจอประสาทตา และการรับรู้สี  
                                  • โอเมก้า 3-6-9 กรดไขมันดี 3 ชนิด มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยมี โอเมก้า 3 เป็น   กรดไขมันดีที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาทตา และสมองโดยตรง   
                                  • มี วิตามิน บี 12 สูง มีส่วนช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทในสมอง และความจำ   
                                  • มี ไอโอดีน สูง ช่วยในการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ สำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และสมอง   
                                  • มี แคลเซียม สูง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูก และฟันที่แข็งแรง
                                  • มี วิตามิน ดี สูง ช่วยดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส

                                  ที่สำคัญนะคะไปสืบทราบมาว่า นอกจากนม ดัชมิลล์ เจ็นไอ วีคิวพลัสจะเป็นนมที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์กับเด็กๆ ที่มีจุดเด่นในเรื่องของพัฒนาการด้านสายตา และสมองแล้ว ยังผลิตมาจากนมวัวแท้ที่ผ่านกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานสากล  พร้อมจำหน่ายในราคาที่สบายกระเป๋าคุณพ่อคุณแม่ เพื่อให้เด็กๆ สามารถทานนมดี มีสารอาหารสูงได้ทุกวันอีกด้วยนะคะ เรียกได้ว่า เป็นนมดีที่ผลิตมาเพื่อเสริมพัฒนาการของเด็กๆในวัยเรียนรู้ อย่างแท้จริงค่ะ

                                  หวังว่าข้อมูลที่นำมาฝากกันนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ถ้าต้องเลือกนมกล่องสำหรับเด็ก กล่องแรกให้ลูก 

                                    work from home

                                    จัดตาราง work from home แบบนี้ แฮปปี้ทั้งครอบครัว โดยพ่อเอก

                                    ยังคงเป็นเรื่องราวหนังชีวิตต่อเนื่องมาจากผลกระทบของเจ้าโควิดเป็นตอนที่ 3 ติดต่อกัน ในยามปกติการได้อยู่กับบ้านพร้อมลูกๆเป็นความสุขขั้นสุด แต่เมื่อต้อง work from home พร้อมเจ้าตัวยุ่งที่ หันมาเป็น homeschool กันหมด ชีวิตมันก็ไม่ได้หรรษาลั้ลลากันตามปกติ แล้วจะทำอย่างไรดีให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่คุณลูกอยู่ร่วมกันได้ในภาวะที่บ้านกลายเป็นทั้ง บ้านที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน และ โรงเรียนในคราวเดียวกัน

                                    ลองมานึกภาพเวลาลูกไปโรงเรียน วิธีที่คุณครูใช้ในการบริหารจัดการเด็กๆ ทะโมนทั้งหลาย ให้รู้ว่าจะต้องทำอะไร มันก็คือ ตารางเวลาหรือตารางสอนหรือตารางเรียนรู้ก็สุดแล้วแต่ ดังนั้นเราก็ควรมี ตาราง work from home ที่บ้านเหมือนกันเพื่อให้บริหารจัดการกันได้ทั้งการงานและการบ้าน

                                    จัดตาราง work from home แบบนี้ แฮปปี้ทั้งครอบครัว

                                    7.00-8.00              ตื่นนอน จัดการธุรส่วนตัว เก็บที่นอน อาบน้ำแปรงฟัน

                                    คุณพ่อคุณแม่ที่ยังไม่เคยให้คุณลูกเก็บที่นอน อาบน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน หาเสื้อผ้า แต่งตัวเอง โอกาสมาแล้วฮะ ส่วนบ้านนี้จัดการเองหมดตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน ลูกจัดการเองได้หมดเมื่อใด คุณพ่อคุณแม่จะมี เวลาเคลียร์งานแต่เช้า และหลังโควิดคุณแม่จะมีเวลาแต่งตัวแต่งหน้าแบบลั้ลลา

                                    8.00-9.00              จัดการเตรียมอาหาร และทานอาหาร

                                    เป็นโอกาสที่ดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ทำอาหารเองพอได้ ที่จะสอนให้ลูกทำ ซึ่งกิจกรรมตรงนี้เป็นได้ทั้งทำกับข้าวจริงๆจังๆโดยเป็นลูกมือคุณพ่อคุณแม่ หรือ ฉายเดี่ยวทำอาหารจานง่ายๆ หุงข้าว ทอดไข่ ต้มอะไรง่ายๆ หรือจะเริ่มจากพื้นฐานกว่านั้นคือชงเครื่องดื่ม ทาขนมปังก็ได้ … ผลพลอยได้คือ จบโควิด คุณแม่คุณพ่อก็อย่าให้หยุดทำ เราก็สบายบรื๋อ

                                    9.00-10.00           กิจกรรมร่วม

                                    เป็นเวลาที่จะต้องมาเล่นกับลูกหละ เดี๋ยวลงไปเลือกชุดกิจกรรมร่วมในเมนูข้างล่างเลย

                                    10.00-11.00         เรียนหนังสือ ทำการบ้านนะลูกนะ

                                    เพลิดเพลินมาพอแล้ว ลูกได้เวลาเรียนหนังสือ ตามสื่อ online ที่คุณครูส่งมาแล้วนะเออ

                                    11.00-12.00         กิจกรรมอิสระ

                                    ปล่อยเขาบ้าง อยากทำอะไรก็ตามสบาย เพราะคุณพ่อคุณแม่จะไปเคลียร์งานต่อ : ลงไปดูชุดกิจกรรมเดี่ยวข้างล่างได้เลย

                                    12.00-13.00         เตรียมอาหารและทานอาหาร

                                    ได้เวลาหาอะไรอร่อยๆทำกัน เมื่อลูกมาช่วย มันจะเป็นหนึ่งชั่วโมงที่แป๊บเดียว เพราะมันจะได้กับข้าวไม่เยอะเหมือนทำเองหรอกฮะ แต่ระยะยาวคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

                                    13.00-14.00         นอนลูกนอน + ตื่นมาสลึมสลือ ล้างหน้าล้างตา ดื่มนม ให้สดชื่น

                                    อันนี้แล้วแต่บุญทำกรรมแต่ง คุณพ่อคุณแม่ท่านไหนลูกนอนง่าย นอนยาว ท่านก็มีเวลาเคลียร์งานยาวๆ แต่ถ้าไม่ใช่ก็อาจจะต้องยอมปล่อยเขากลิ้งไปมาในห้องนอนแล้วท่านก็มาเคลียร์งาน

                                    14.00-15.00         เรียนหนังสือ ทำการบ้านนะลูกนะ

                                    ได้เวลาเรียนหนังสือ ตามสื่อ online ที่คุณครูส่งมาอีกรอบแล้ว เชื่อสิว่าไม่ได้มีวิชาเดียวหรอกใช่มั้ยละเออ

                                    15.00-16.00         กิจกรรมร่วม

                                    ลงไปเลือกชุดกิจกรรมร่วมในเมนูข้างล่างเลย

                                    16.00-17.00         กิจกรรมอิสระ

                                    ลงไปเลือกชุดกิจกรรมร่วมในเมนูข้างล่างเลย

                                    อ่านต่อ เมนูกิจกรรมร่วม และเมนูกิจกรรมอิสระ คลิกหน้า 2