หน้ากากผ้า

ทำไมเด็กไม่ควรใส่ “หน้ากากผ้า” เหมือนกันไปโรงเรียน

account_circle
event
หน้ากากผ้า
หน้ากากผ้า

หน้ากากผ้า แบบไหนเด็กควรใส่ไปโรงเรียนดี หลังกระแสวิจารณ์หนักในโลกโซเชียลเมื่อโรงเรียนกำหนด “สีหน้ากาก” ที่เด็กต้องใส่ให้ถูกระเบียบ แพทย์ชี้ ใส่หน้ากากเหมือนกันอาจได้ไม่คุ้มเสีย

จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟสบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพกระดานแสดงตัวอย่างของหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้าและ Face shield ที่เหมาะกับเครื่องแบบนักเรียน ซึ่งควรเป็น หน้ากากผ้า สีพื้นไม่มีลวดลาย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์ถึงความเหมาะสมและจุดประสงค์ของการให้เด็กใส่หน้ากากไปโรงเรียน ภายหลังนายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ ได้ชี้แจ้งแล้วว่าทางกระทรวงไม่มีข้อบังคับใดๆเกี่ยวกับหน้ากากเพราะจุดมุ่งหมายหลักของการใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าก็เพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19ในกลุ่มเด็กนักเรียน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน ครู อาจารย์ หรือบุคลากรทางการศึกษาสามารถเลือกใส่หน้ากากได้ตามความเหมาะสม

 

แม้จะไม่ใช่ข้อกำหนดที่โรงเรียนต้องทำแต่คุณพ่อคุณแม่หลายคนยังสับสนและไม่แน่ใจว่า ควรซื้อหน้ากากแบบไหนให้ลูกใส่ไปโรงเรียนดี เพจ Doctor กล้วย ได้แสดงทัศนคติถึงประเด็นดังกล่าว และระบุถึงเหตุผลว่า“ทำไมเด็กๆจึงไม่ควรใสส่หน้ากากเหมือนกัน” ว่า

เหตุผลที่ ทำไมถึงไม่ควรให้เด็กนักเรียนใส่หน้ากากอนามัยเหมือนกัน และสถานศึกษาไม่ควรออกกฎแบบนั้นเพราะว่า

1.เด็กจะแลกเปลี่ยนหน้ากากอนามัยกันโดยไม่รู้ตัว นึกภาพเด็กทั้งโรงเรียนใส่สีเดียวกัน สลับกันบันเทิงเริงใจเลยครับ อันตรายในการส่งต่อเชื้อให้เพื่อนๆมากๆ ข้อนี้สำคัญที่สุดอย่าออกกฎว่าต้องเหมือนกันมันอันตราย

2.หน้ากากอนามัยที่มีลวดลายสีสันจะจูงใจให้เด็กๆอยากใส่การใส่หน้ากากอนามัยมันลำบากอยู่แล้ว ให้เด็กๆมีอิสระไดเลือกหน้ากากเอง อย่าคิดว่าความแตกต่างคือความไร้ระเบียบเลย

3.สิ้นเปลืองมากเด็กๆจะต้องไปหาซื้อหน้ากากอนามัยตามสีที่กำหนด เราต้องการให้เด็กใส่ ก็อย่าเพิ่มภาระอีกเลย

การใส่หน้ากากอนามัยคือการเคารพรับผิดชอบต่อสังคมอยู่แล้ว…สอนเขาเถอะครับ ขอให้เด็กๆใส่ แอดก็ดีใจแล้ว อย่าเอาระเบียบสีไร้สาระมาบังคับเลย หวังว่าสถานศึกษาที่คิดจะออกระเบียบเรื่องนี้เปลี่ยนใจเถอะครับ… ขอแค่เด็กทุกคนใส่หน้ากากอนามัยมาโรงเรียนหมอก็ยิ้มแล้ว

เลือก หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยอย่างไรให้เหมาะกับลูก

เมื่อเปิดเทอมแล้ว ลูกต้องใส่หน้ากากอนามัยไปโรงเรียนทุกวัน และอาจจำเป็นต้องใส่ “ตลอดทั้งวัน” เพราะเด็กๆมักเล่นกันเป็นกลุ่มและอยู่ใกล้ชิดกันมาก โดยเฉพาะเด็กอนุบาลหรือประถมต้น หากมีใครติดเชื้อจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แต่การจะฝึกให้เด็กอดทนใส่หน้ากากได้ทั้งวันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทั้งรู้สึกอึดอัด น่ารำคาญ การเลือกซื้อหน้ากากให้เหมาะกับวัยของลูก จะช่วยให้ลูกใส่หน้ากากได้ง่ายขึ้น

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัยได้ให้คำแนะนำการเลือกใช้หน้ากากและวิธีการสวมใส่ของเด็กแต่ละวัย ดังต่อไปนี้

เด็กแรกเกิด – 1 ขวบ ไม่ใครใส่หน้ากากให้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า ระบบทางเดินหายใจของทารกยังไม่แข็งแรงพอ และหายใจทางจมูกเป็นหลัก หายใจทางปากไม่เป็น เมื่อหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปไม่พอ มีโอกาสที่จะเกิดการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์ได้ เป็นอันตรายต่อระบบประสาท ขณะที่การใส่ Faceshield อาจทำให้ขอบพลาสติกบาดใบหน้าและดวงตาได้

MUST READ : หมอเตือน! อย่าใส่ Face shield ให้ทารกแรกเกิด เสี่ยงกระทบต่อระบบประสาท

เด็กเล็กอายุ 1-2 ขวบ เด็กส่วนใหญ่ยังถอดหน้ากากเองไม่เป็น จึงไม่ควรให้ใส่เป็นเวลานาน และควรอยู่ในการดูแลของผู้ใหญ่อย่างใกล้ชิด เพราะอาจทำให้เด็กขาดอากาศหายใจได้

เด็กวัยอนุบาล – ประถมต้น สามารถสวมใส่และถอดหน้ากากเองได้เมื่อรู้สึกอึดอัด ยกเว้นเด็กที่มีร่างกายบกพร่อง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมีความบกพร่องทางสมอง คุณพ่อคุณแม่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

ส่วนประเภทของหน้ากากสำหรับเด็ก สามารถใส่ได้ทั้งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ surgical mask แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ต้องกำชับลูกให้แน่ใจว่าไม่นำมาใส่ซ้ำ  แต่หากใช้หน้ากากผ้าควรเลือกชนิดที่ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่จำเป็นต้องใช้หนา 2 -3 ชั้นเพื่อไม่ให้ลูกอึดอัดเกินไป

MUST READ : วิธีทำหน้ากากผ้าง่ายๆ ให้ลูก จาก “ผ้ามัสลิน” กันโควิด-19 ดีสุด!

นอกจากการใส่หน้ากากแล้ว คุณพ่อคุณแม่และโรงเรียนต้องดูแลความสะอาด และทำตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด- 19 ทั้ง การล้างมือ ทำความสะอาดโต๊ะ ห้องเรียน จำกัดการร่วมกลุ่ม ทำระยะห่างทางสังคม และสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปลูกฝังและฝึกฝนให้ลูกๆดูแลสุขอนามัยของตัวเองจนเป็นนิสัย เพราะเด็กๆมักหยิบของเล่นตลอดเวลา และไม่อาจใส่หน้ากากตลอดทั้งวัน การล้างมือบ่อยๆจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากการสัมผัสได้มากขึ้น


แหล่งข้อมูล www.bangkokbiznews.com  www.komchadluek.net   เพจDoctor กล้วย

 

7 ประเทศดูแลเด็กๆ อย่างไรเมื่อ โรงเรียนเปิดเทอม 2563

6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกไม่ไปโรงเรียน ทำไงดี

ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี ? แม่ลองวิธีนี้ช่วยลูกได้ ไม่ต้องบังคับ

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกไม่ไปโรงเรียน ทำไงดี
ลูกไม่ไปโรงเรียน ทำไงดี

ลูกเริ่มไป โรงเรียนอนุบาล แล้วช่วงแรก ๆ แฮปปี้ดี อยากไปโรงเรียนทุกวัน แต่ผ่านไปไม่กี่วัน พฤติกรรมลูกเปลี่ยน “งอแง” ร้องลั่นบ้านไม่อยากไปโรงเรียน บ้านไหนเจอสถานการณ์แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ถึงกับกุมขมับ ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี  Amarin Baby & Kids

พ่อแม่รู้ไหม บางครั้งลูกอาจเจอสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ไม่รู้ว่าจะจัดการกับปัญหาอย่างไรดี ทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายใจ เช่น ทะเลาะกับเพื่อน หรือถูกเพื่อนแกล้งแล้วไม่รู้วิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมจน ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำยังไงดี สถานการณ์เช่นนี้ “การเล่นสมมติ” เป็นอีกหนึ่งวิธีให้คุณแม่ค้นหาสาเหตุความกังวลของลูก สอนลูกให้รียนรู้ รวมถึงหาวิธีในการจัดการแก้ไขปัญหาของตนเองได้ดีขึ้น

ลูกไม่อยากไปโรงเรียน

ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี ต้องหาสาเหตุให้เจอก่อน

ลูกไม่อยากไปโรงเรียนมักเกิดจากหลายสาเหตุ   เช่น รู้สึกกังวลที่ต้องแยกจากคุณพ่อคุณแม่ (Separation Anxiety) มีปัญหาที่โรงเรียน เช่น ทะเลาะกับเพื่อน ยังไม่ไว้วางใจคุณครู ไม่กล้าบอกความต้องการของตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก ทำให้การอยู่โรงเรียนไม่มีความสุข ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ควรถามสาเหตุกับเด็ก แต่ถ้าเขาไม่บอกตรง ๆ “การเล่นบทบาทสมมติ” เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งช่วยให้ลูกเปิดเผยความลับในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะการเล่นเป็นภาษาของเด็ก ๆ ทำให้ลูกรู้สึกสนุก ผ่อนคลาย บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปด้วย ไม่นานลูกจะกล้าพูดคุยถึงปัญหาของตนเองออกมา

 

 MUST READ :เข้าใจหัวอกแม่ ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน ทำยังไงดี?

 

ชวนลูกเล่นสมมติอย่างไรให้รู้ทำไมลูกไม่อยากไปโรงเรียน

  • ถึงแม่อยากรู้ใจจะขาดว่า ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี แต่การถามตรงๆอาจไม่ได้คำตอบ คุณแม่ชวนลูกมาเล่นสมมติ โดยสร้างสถานการณ์เกี่ยวกับการไปโรงเรียน ผ่านการเล่นใช้ตุ๊กตา หุ่นมือ ของเล่นชิ้นโปรด หรือสมมติว่าตัวลูกและคุณแม่เองกำลังอยู่ที่โรงเรียนก็ได้ เช่น สมมติให้ตุ๊กตาหมีตัวโปรดเป็นนักเรียนที่ไม่อยากไปโรงเรียน ส่วนลูก และตัวคุณพ่อคุณแม่สวมบทบ่ทเป็นเด็กในห้องเดียวกับคุณหมี จากนั้นลองพูดคุยถึงเรื่องราวของคุณหมีที่ไม่อยากมาโรงเรียน เช่น การถามขึ้นมาว่า  “วันนี้คุณหมีไม่มาโรงเรียน เป็นเพราะอะไรกันนะ เราไปคุยกับคุณหมีกันดีไหม”

 

  • ในบทสนทนาระหว่างพูดคุย ควรมุ่งไปที่การหาสาเหตุและช่วยกันหาวิธีแก้ไขปัญหา  เช่น  “ถ้าคุณหมีไม่อยากมาโรงเรียนเพราะคิดถึงแม่ คุณหมีจะทำยังไงดีนะ” เราอาจให้ลูกพยายามคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเองดูก่อน ถ้าลูกคิดไม่ออก คุณพ่อคุณแม่ช่วยเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาได้ เช่น เวลาคิดถึงคุณแม่ให้ไปหาคุณครูและให้คุณครูช่วยปลอบ หรือชวนคุณหมีไปเล่นของเล่นสนุก ๆ คิดเสียว่าเดี๋ยวไม่นานแม่ก็มารับแล้ว เป็นต้น การะดมสมองช่วยกันคิดหาวิธีแก้ปัญหา จะช่วยให้ลูกมีทางเลือกดี ๆ เพื่อนำไปใช้ได้หลาย ๆ สถานการณ์

 

  • เล่นสมมติเพื่อให้ลูกฝึกซ้อมวิธีแก้ปัญหา เช่น “ถ้าเลือกวิธีไปบอกคุณครูให้ช่วยปลอบ จะพูดกับคุณครูว่าอย่างไรดี เราลองมาฝึกซ้อมวิธีการพูดกับคุณครูกันเถอะ” หลังจากได้ลองฝึกซ้อมเช่นนี้ จะช่วยให้ลูกมีความมั่นใจมากขึ้น และพร้อมรับมือกับปัญหาตรงหน้าได้ดีขึ้น รู้สึกว่ามีคนที่เข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและคุณพ่อคุณแม่ได้ดี รวมทั้งช่วยพัฒนาอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของลูก

เรียนรู้ผ่านการเล่นสมมติ

ถ้าลูกมีปัญหากับเพื่อน “เล่นสมมติ” ช่วยแก้ปัญหาได้ 

ในบางครั้งลูกอาจมีปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนแล้วไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ไม่ว่าจะเป็น ลูกไม่มีเพื่อนเล่น ทะเลาะกับเพื่อน  เรามาดูวิธีการเล่นสมมติในสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้กันค่ะ

สถานการณ์ที่ 1 : อยากเล่นกับเพื่อน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

  • จำลองเหตุการณ์สมมติให้ลูกลองคิดว่า “ถ้าคุณหมีอยากเล่นกับเพื่อนหมีตัวอื่น ๆ ต้องทำอย่างไรดี” จากนั้นคุณพ่อคุณแม่รอให้ลูกค่อยๆคิด และอธิบายความคิดเห็นของตัวเองออกมา ไม่ต้องเร่งรีบ หลังจากลูกคิดออกแล้ว ให้ลองฝึกพูดและฝึกทำ เช่น การเดินเข้าไปหาเพื่อนหมีตัวอื่น ๆ มองหน้าสบตาเพื่อน แล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า “เราขอเล่นด้วยคนนะ”

 

  • อย่าลืมฝึกเล่นสมมติในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะโลกนอกบ้านไม่ได้เป็นอย่างใจลูกทุกอย่าง เขาจะเริ่มเรียนรู้ว่าต้องอดทน วิธีการเจรจา หว่านล้อม การแบ่งปัน การแก้ปัญหาระหว่างเด็กด้วยกันเอง  เช่น ถ้าเพื่อนไม่ยอมให้เล่นด้วย ลูกควรแก้ปัญหาอย่างไรดี การฝึกเล่นสมมติเช่นนี้ จะช่วยให้เด็ก ๆ เผื่อใจรับความผิดหวัง และหาทางแก้ปัญหาได้เก่งขึ้น
การเล่นกับเพื่อนใหม่ ๆ
การเล่นกับเพื่อนใหม่ ๆ

สถานการณ์ที่ 2 :ลูกโดนเพื่อนแกล้ง 

  • ในรั้วโรงเรียนที่ลูกต้องใช้ชีัวิตกับคนอื่น ไม่ใช่แค่คนในครอบครัวเหมือนก่อนเข้าโรงเรียน ก็มีโอกาสที่ลูกจะโดนเพื่อนแกล้ง นอกจากคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเหตพฤติกรรมของลูกแล้ว การเปิดโอกาสให้ลูกได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ช่วยให้เข้าไปแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที  แต่การให้ลูกเล่าซ้ำถึงเหตุการณ์เลวร้าย อาจทำร้ายจิตใจได้ การเล่นสมมติให้เป็นสถานการณ์อื่น ใช้ตุ๊กตา หรือตัวการ์ตูนแทนตัวลูก จะทำให้รู้สึกปลอดภัย และกล้าจะเล่าความจริงได้ง่ายกว่า เช่น “คุณหมีควรจะทำอย่างไรดีนะ มาช่วยกันคิดหาทางออกให้คุณหมีกัน”

 

  • ระหว่างเล่นสมมติคุณพ่อคุณแม่ควรฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ฟังด้วยความเข้าใจม่ด่วนชี้นำหรือตัดสินถูกผิด และเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน  แสดงความเชื่อมั่นในตัวเด็กว่าเขาจะสามารถจัดการกับปัญหาได้ในที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของการเล่นที่ทำให้เด็กมีความสุขและช่วยพัฒนาเด็กได้เป็นอย่างดี แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะรู้สึกไม่สบายใจ และอยากเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้ลูกแค่ไหน แต่การฝึกให้เด็กสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกเมื่อโตขึ้น อีกทั้งยังปลูกฝังความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองให้เกิดขึ้นด้วย

ประโยชน์จากการเล่นสมมติ

 MUST READ :ลูกโดนรังแก บ่อยควรสอนให้สู้ไม่ถอย หรือหนีเอาตัวรอดเป็น

 

ข้อดีจากการเล่นสมมติโดยใช้วิธีการดังกล่าว คือ ช่วยพัฒนาอารมณ์ทางบวก เด็กจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รัก มีความสำคัญ มีคนเข้าใจ ช่วยพัฒนาความคิดและการตัดสินใจ เด็กจะได้ฝึกซ้อมวิธีการแก้ปัญหา ทำให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น และเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถนำการเล่นสมมติมาปรับใช้กับปัญหาในสถานการณ์อื่น ๆ ของเด็กได้ตามความเหมาะสมด้วยนะคะ

 


 

บทความโดย

ฉันทิดา สนิทนราทร เวชมงคลกร นักเล่นบำบัดและนักจิตวิทยาพัฒนาการ โรงพยาบาลมนารมย์

จากนิตยสาร Amarin Baby & Kids

 

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

ทำไมพ่อแม่ต้อง เล่นสนุกกับลูก ?

7 กิจกรรมเล่นกับลูก ได้จินตนาการ เสริมพัฒนาการลูกดีทุกด้าน

8 บอร์ดเกมเด็ก ต้องมีติดบ้าน ช่วยเพิ่มทักษะรอบด้านให้ลูก

 

 

โตโยต้า เปิดตัวรถยอดนิยมระดับโลกฝีมือคนไทย ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ พลังแกร่งเหนือนิยาม และ ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ

Alternative Textaccount_circle
event

มร.มิจิโนบุ ซึงาตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เปิดตัวรถกระบะคุณภาพระดับโลก  โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ และรถอเนกประสงค์สุดหรู โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ เมื่อวันที่  4 มิถุนายน 2563

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เริ่มต้นโครงการ IMV ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Innovative International Multi-purpose Vehicle”  เมื่อปี พ.ศ.2547 โดยเป็นการย้ายฐานการผลิตรถกระบะและรถอเนกประสงค์จากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทย เพื่อทำการผลิตและจำหน่ายทั้งภายในประเทศ และส่งออกจำหน่ายในทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในระยะเวลาอันรวดเร็ว ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม ห้องโดยสารกว้างขวาง สมรรถนะเครื่องยนต์อันทรงพลัง ประหยัดน้ำมัน เป็นเยี่ยม ให้ความมั่นใจในทุกสภาพการใช้งาน ทนทาน อัตราการดูแลรักษาต่ำ และรองรับทุกรูปแบบการใช้งานตั้งแต่ กระบะบรรทุกมาตรฐาน – สมาร์ทแค็บ – ดับเบิ้ลแค็บ  รวมไปถึงรถอเนกประสงค์อย่างโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ส่งผลให้รถทั้ง 2 รุ่นดังกล่าวเป็นรถยอดนิยมของคนไทย โดยมีลูกค้าครอบครองเป็นเจ้าของแล้ว รวมทั้งสิ้นกว่า 2.6 ล้านคัน* (*ข้อมูลยอดขายสะสมของโครงการ IMV ตั้งแต่ปี 2547 – พฤษภาคม 2563)

  มร.มิจิโนบุ ซึงาตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “ก่อนอื่นเราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทุกท่านที่ได้รับผลกระทบจากโรคเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย และขอส่งกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงระหว่างรับการรักษาโรคนี้ ด้วยเหตุนี้เราจึงดำเนินโครงการ “โตโยต้าเคียงคู่ไทย สู้ภัยโควิด-19” (Toyota Stay with You) โดยผนึกกำลังร่วมกับกลุ่มผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ และกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนโตโยต้าในการสนับสนุนรถยนต์โตโยต้าจำนวนทั้งสิ้น 280 คัน เพื่อช่วยส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ตลอดจนภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยและอุ่นใจในทุกเส้นทาง นอกจากนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้ว่ารถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ของเราได้มีส่วนในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยในสถานการณ์ที่ลำบากเช่นนี้

        จากการที่พวกเราต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้ ในขณะที่โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย มีแผนประกาศเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เป็นครั้งแรกของโลก ทำให้ตัวผมเองคิดถึงวิธีการที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของเราออกสู่สาธารณชน และด้วยการที่ผมได้สังเกตเห็นความแข็งแกร่งของประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ทำให้ผมนึกถึงคำว่า“THE UNBEATABLE” ในภาษาอังกฤษขึ้นมา ผมมั่นใจว่าประเทศไทยและคนไทยจะสามารถเอาชนะสถานการณ์นี้ไปได้โดยปราศจากความย่อท้อ แม้ว่าจะต้องพบกับอุปสรรคที่ยากลำบากใดๆ ก็ตาม ผมจึงนำคุณลักษณะของ“THE UNBEATABLE” ของคนไทยมาใช้กับการแนะนำรถโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ใหม่ และรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ใหม่ ในการเปิดตัวทั่วโลก

สำหรับโตโยต้า ไฮลักซ์ และโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าในประเทศไทย และส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ภายใต้โครงการ IMV ซึ่งมียอดขายสะสมกว่า 2.6 ล้านคัน โดยในปี 2562 โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ และโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ ยังคงมียอดขายเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งการตลาดรถกระบะ Pure Pick-up 38.3% และส่วนแบ่งการตลาดรถ PPV 43.4%  ส่งผลให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ที่เชื่อมั่นในด้านคุณภาพการผลิตและศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยแต่งตั้ง ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ และโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยคนไทย อีกทั้งยังประกอบขึ้นด้วยฝีมือคนไทย และส่งออกไปยังทั่วโลกโดยคนไทย

พบกับ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่…พลังแกร่งเหนือนิยาม (THE UNBEATABLE)

ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค กล่าวว่า “เราเริ่มพัฒนาโปรเจคนี้ด้วยเป้าหมายที่ต้องการ “สร้างรถที่ดีที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”  โดยการลงพื้นที่เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้รถจากทั่วทุกทวีป เพื่อให้ได้ข้อมูลในการออกแบบรถที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ทั่วโลกมากที่สุด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่เรานำเสนอรถในตระกูลนี้ถึง 5 รุ่น พร้อมกัน ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยฝีมือคนไทยตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยการนำเอาข้อมูลท้ังหมดที่ได้รับจากการลงภาคสนาม นำมาสู่การพัฒนา รถโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ ภายใต้แนวคิด TOUGHNESS FOR EVERYONE ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

และพบกับโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่…Wisdom of a Leader

พร้อมกันนี้ โตโยต้าได้เปิดตัวรถอเนกประสงค์สุดหรู โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีด้วยยอดขายอันดับ 1 ในตลาด PPV ตลอดมา

ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค  กล่าวว่า “อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ โตโยต้า นั่นก็คือโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รถยนต์อเนกประสงค์ประเภท PPV ที่มียอดขายสูงสุดในประเทศไทยมาโดยตลอด นับตั้งแต่มีการเปิดตัวในเจเนเรชั่นที่ 2 ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโฉมอย่างเป็นทางการในรอบ 5 ปี โดยเราได้ออกแบบและพัฒนารูปลักษณ์ให้มีความ “Prestige & Cool” มากยิ่งขึ้น เพื่อสะท้อนตัวตนความเป็นผู้นำของผู้ขับขี่อย่างมีระดับ เน้นความหรูหราและทันสมัย เหมาะกับคนรุ่นใหม่และกลุ่มวัยกลางคนที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยว และใช้งานในชีวิตประจำวัน ในครั้งนี้ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ มาพร้อมกันถึง 2 รุ่น 2 ดีไซน์ โดยมีรุ่นมาตรฐานและรุ่นพิเศษ”

โดยโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ มีเป้าหมายเจาะกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น ด้วยดีไซน์ใหม่และฟังค์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มอายุ ที่มีวิสัยทัศน์ และมองหารถที่สะท้อนตัวตนความเป็นผู้นำ มีองค์ประกอบที่โดดเด่นในทุกมิติ พร้อมลุยไปได้ทุกที่ และสำคัญที่สุดคือ ความคุ้มค่าของรถ จะถูกแนะนำ 2 รุ่นด้วยกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าโตโยต้า

พบกับ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่…พลังแกร่งเหนือนิยาม และ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่…สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ

ที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน เป็นต้นไป
ทดลองขับได้ที่ Toyota Driving Experience Park (TDEX) บางนา (กม.3)
ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน เป็นต้นไป

ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.toyota.co.th/
Facebook: Toyota Motor Thailand , Hilux Revo Thailand
LINE ID: @ToyotaThailand

Stay Active

ฝึกลูกให้ Stay Active ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์ที่บ้าน

Alternative Textaccount_circle
event
Stay Active
Stay Active

ใกล้เปิดเทอมแล้ว เด็กๆ ทุกคนต่างตื่นเต้นและเตรียมพร้อม  เพื่อที่จะได้ไปโรงเรียน ได้เจอเพื่อนๆ และคุณครู ฉะนั้นช่วงนี้เพื่อให้เด็กๆ ตื่นตัวพร้อมสำหรับการไปโรงเรียน แนะนำให้คุณแม่หากิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นส่งเสริมร่างกาย ของลูกให้แอคทีฟอยู่ตลอดเวลากันค่ะ

ช่วงปิดเทอมที่กำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ถือเป็นช่วงระยะเวลาของการปิดเทอมที่นาน กว่าปกติ ซึ่งทำให้ลูกคุ้นชินกับการใช้เวลาที่บ้านมากๆ จนอาจทำให้เป็นคนติดบ้าน ติดการได้อยู่นิ่งๆ ใช้เวลาหมดไปกับการดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมที่ไม่ค่อยได้ขยับเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก พอถึงเวลาที่ จะต้องกลับไปเรียนในโรงเรียน เด็กๆ อาจจะรู้สึกเนือย ปรับตัวไม่ทัน รู้สึกไม่ค่อยคล่องแคล่ว และกระฉับกระเฉงกันสักเท่าไหร่ แบบนี้คุณแม่ต้องรีบหาตัวช่วยแล้วนะคะ

Stay Active

Stay Active เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยส่งเสริมให้ลูกๆ ได้สร้างร่างกายแข็งแรง มีการขยับ เคลื่อนไหว ได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งยังช่วยเรื่องการพัฒนาด้านอารมณ์ของเด็กๆ โดยเฉพาะกับเด็กวัย 7-12 ปี คุณแม่จำเป็นอย่างมากที่จะต้องกระตุ้นให้พวกเขาได้ทำกิจกรรมแอคทีฟอยู่อย่างต่อเนื่อง การ Stay Active ให้ประโยชน์กับเด็กในหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น

  • หลังจากกินกับนอนมาทั้งวัน ก็ได้ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงาน ได้เผาผลาญแคลอรีส่วนเกิน
  • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรง
  • ช่วยทำให้กระดูก และกล้ามเนื้อแข็งแรง
  • สร้างความแข็งแกร่ง และอดทน
  • ช่วยลดความเครียด มีความสุข และช่วยให้มีสมาธิ
  • ช่วยให้ลูกนอนหลับได้ดี
  • ร่างกาย จิตใจ สมอง สื่อประสานร่วมกันได้ดี
  • ช่วยให้เลือด และออกซิเจนในร่างกายไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงสมอง และอวัยวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น

Stay Active

เห็นประโยชน์ของการส่งเสริมให้ลูก Stay Active กันแบบนี้แล้ว คุณแม่ควรเตรียมลูกให้พร้อมทั้งร่างกาย  จิตใจ และอารมณ์ ด้วยกิจกรรมสนุกๆ ให้ลูกเล่นได้จากที่บ้านกันนะคะ

ส่วนถ้าคุณแม่คนไหนยังไม่มีไอเดียที่จะหากิจกรรมมาให้ลูกๆได้เตรียมพร้อม ก็ลองเข้าไปดูกิจกรรมสนุกๆ ที่จะเปลี่ยนพื้นที่ในบ้านให้เป็นลานกิจกรรม ช่วยกระตุ้นให้ลูกได้แอคทีฟ ขยับ เคลื่อนไหวร่างกายกันอย่างอิสระเต็มที่ที่เพจ MILO THAILAND ซึ่งในระหว่างนี้ ไมโล ก็แนะนำกิจกรรมที่คุณแม่สามารถประยุกต์เอาข้าวของเครื่องใช้ในบ้านมาดัดแปลงเป็นทำเป็นอุปกรณ์กีฬาเล่นกับลูกได้ และเป็นไอเดียให้คุณแม่ได้ชวนลูกออกกำลังที่บ้านกันอย่างสนุกสร้างสรรค์ เรียกว่าไม่มีเบื่อ แถมยังได้ใช้เวลาที่ดีกับครอบครัวอีกด้วย

กิจกรรมแอคทีฟสร้างสรรค์จากไมโล ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณแม่ทำ  “ลานกิจกรรมในบ้าน” เล่นกับลูก ซึ่งไมโลจะมีกิจกรรมกีฬาสนุกๆ ออกมาสัปดาห์ละ 2 กิจกรรม ทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) ทั้งหมดรวมแล้ว 10 กิจกรรม แล้วที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ คุณแม่ยังสามารถมาร่วมสนุกกับ

ภารกิจชิงรางวัล “แอคทีฟที่บ้านกับไมโล” ตลอดเดือนพฤษภาคม – มิถุนายนนี้ค่ะ คุณแม่เข้าไปติดตามดูรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ กันได้ที่หน้าเพจ FB MILO Thailand นะคะ

ไวรัสอีโบลา

WHO เตือน ไวรัสอีโบลา ระบาดซ้ำ โรคร้ายต่างแดนแม่ต้องระวัง

account_circle
event
ไวรัสอีโบลา
ไวรัสอีโบลา

โควิดไม่ทันซา “ ไวรัสอีโบลา ” ผู้ร้ายหน้าเดิม ที่เคยมีผู้ติดเชื้อแล้วหลายพันคน ย้อนกลับมาระบาดซ้ำ ครั้งที่ 11!  WHO สั่งจับตาเป็นพิเศษ หลังผู้ติดเชื้อเสี่ยงเสียชีวิตสูงถึง 80-90 % แม้จะไม่เคยพบผู้ติดเชื้อในไทย แต่แม่อย่างเราประมาทไม่ได้ เพราะเชื้อติดต่อง่ายจากคนสู่คน

“นี่เป็นเครื่องเตือนใจว่า โควิด-19ไม่ได้เป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพเพียงอย่างเดียวที่ผู้คนต้องเผชิญ”

ข้อความจากนายเทดรอส อะดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกเผยแพร่ในทวิตเตอร์  ตอกย้ำถึงสถานการณ์การระบาดของ ไวรัสอีโบลา ในคองโกประเทศแถบแอฟริกาซึ่งกลับมาเป็นระลอกที่ 11 หลังถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2519 โดยกระทรวงสาธารณสุขคองโก ได้ตรวจพบผู้ป่วยแล้ว 6 ราย และ4 รายเสียชีวิตแล้ว ขณะที่ยังมู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังและรอผลยืนยันจากห้องปฏิบัติการอีก 3 คน ทั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะพบผู้ป่วยจำนวนมาก จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจับตาอย่างใกล้ชิด และเฝ้าระวังการร่วมกลุ่มของผู้คนจำนวนมากเพิ่มขึ้นด้วย

ทำไม ไวรัสอีโบลา ถึงอันตราย

เชื้อโรคชนิดนี้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ “โรคไข้เลือดออก”จากเชื้ออีโบลาและเป็นโรคติดต่อรุนแรง หากได้รับเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตในเวลาอันสั้นสูงถึง 80-90   % จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด พบการระบาดมากในประเทศแถบแอฟริกา ปัจจุบันพบแล้ว 5 สายพันธุ์ได้แก่

อีโบลา-ซาร์อี (Ebola-Zaire)

อีโบลา-ซูดาน (Ebola-Sudan)

อีโบลา-โกตดิวัวร์ (Ebola-Côte d’Ivoire)

อีโบลา-เรสตัน (Ebola-Reston) และ อีโบลา-บันดิบูเกียว (Ebola-Bundibugyo)

และยังมีสายพันธุ์ อีโบลา-เรสตัน ที่เชื้อไม่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยในมนุษย์

ความน่ากลัวของโรคไม่ใช่เฉพาะเชื้อโรคที่รุนแรงเท่านั้น แต่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วจากคนสู่คน โดยผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งจากร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย เลือด เหงื่อ ปัสสาวะ หรืออสุจิ คล้ายคลึงกับเชื้อโควิด-19 แต่จะไม่แพร่ระบาดทาง ”ละอองฝอย” ดังนั้นการสัมผัสสิ่งของร่วมกันในที่สาธารณะหรือในครอบครัว เช่น ลิฟต์ ราวบันได ลูกบิดประตู จานช้อน ก็สามารถติดเชื้อได้ทันที

นอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่า พาหะของโรคอาจเป็น “ค้างคาวผลไม้” ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชาวแอฟริกานิยมทำเป็นอาหาร การกินค้างคาวก็อาจติดเชื้อได้เช่นกัน ทางองค์การอนามัยโลกได้ประกาศเตือนผู้คนในพื้นที่เสี่ยงงดล่าและนำค้างคาวมาทำอาหารแล้ว

ติดเชื้อ ไวรัสอีโบลา มีอาการแบบนี้

หลังการค้นพบครั้งแรกในประเทศคองโกเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีวัคซีน หรือยารักษาโรคโดยเฉพาะ หากติดเชื้อก็ทำได้เพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น นอกจากนี้อาการเบื้องต้นของโรคที่มีลักษณะเป็นผื่นและตาแดง คล้ายคลึงกับโรคชนิดอื่น ทำให้การวินิจฉัยโรคไม่แม่นยำ ล่าช้า ซึ่งเป็นปัจจัยให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

ผู้ป่วยส่วนมากจะแสดงอาการหลังรับเชื้อแล้ว  8 – 10 วัน โดยจะมีไข้ ปวดหัว อ่อนเพลีย ท้องเสีย อาเจียน ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อและข้อ อาจทำให้เกิดอาการเลือดออกในอวัยวะภายในหรือนอกร่างกาย อาการเด่นของโรคที่สังเกตได้ชัดเจนคือ มีเลือดออกที่ตา จมูก หู และปาก ต่อมาจะทำให้หายใจติดขัด เจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก เจ็บหน้าอก ตาแดง ไอ สะอึก และมีผื่น เป็นต้น

ยังไม่เคยพบเชื้อในประเทศไทย แต่ระวังไว้ดีที่สุด

แม้ที่ผ่านมาจะยังไม่เคยพบผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบลา ในบ้านเรา แต่มีการประเมินความเสี่ยงไว้ว่าเชื้ออาจแพร่เข้าสู่ประเทศไทย จากพาหะอย่าง สัตว์ป่าจากแอฟริกา และลิงชิมแปนซี  จุดกระจายโรคมากที่สุดน่าจะเป็น “นักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศระบาด”

หากพบว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยง เดินทางกลับจากประเทศแถบแอฟริกา มีไข้สูงทันที อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และเจ็บคอ ควรรีบพบแพทย์และให้ประวัติวการเดินทางระหว่างช่วง 21 วันก่อนเกิดอาการอย่างละเอียด เพื่อแพทย์จะให้การรักษาที่ถูกต้องได้รวดเร็วที่สุด นอกจากนี้ประชาชนที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่นอาชีพที่ต้องพบเจอกับนักท่องเที่ยวบ่อยๆ ก็ต้องเพิ่มการระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นกัน แม่ศึกษาข้อมูลเหล่านี้ไว้เพื่อปกป้องตัวเอง และคนในครอบครัวห่างไกลจากโรค เพราะทุกวันนี้ โรคภัยต่างๆมีความรุนแรงมากขึ้นและอาจเกิดเป็นสถานการณ์ระบาดขนาดใหญ่เช่นเดียวกับเชื้อโควิด-19 ได้ตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัย กินอาหารมีประโยชน์ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันที่ป้องกันภัยจากโรคต่างๆได้ดีที่สุด


แหล่งข้อมูล    www.siphhospital.com  news.thaipbs.or.th  vibhavadi.com

 

บทความน่าสนใจอื่นๆ 

 

6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

 

พ่อแม่ต้องรู้! 10 ความแตกต่าง อาการไข้เลือดออก vs อาการโควิด 19

เซฟไว้ดูเลย! ตารางวัคซีน 2563 อัปเดตจากสมาคมโรคติดเชื้อฯ ปีนี้ลูกต้องฉีดอะไรบ้าง?

ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

แม่แชร์เทคนิคจากหมอญี่ปุ่น! 5 วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

event
ฝึกลูกเลิกมื้อดึก
ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

แม่แชร์วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก จากคุณหมอญี่ปุ่น! กินมื้อดึกมีผลเสียอะไรบ้าง และหากอยากให้ลูกเลิกนมมื้อดึก ก่อนลูกโตต้องทำอย่างไร ตามมาดูเทคนิคดีจากคุณแม่ท่านนี้กันเลยค่ะ

แม่แชร์เทคนิคจากหมอญี่ปุ่น วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

เด็กๆ กับนม เป็นของคู่กันตั้งแต่เกิดจนอายุ 1-2 ปี และควรได้รับนมแม่เป็นดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้กินนมแม่ก็ต้องกินนมผสมจากขวด และเมื่อลูกโตขึ้นก็ควรดื่มนมจากแก้วหรือกล่อง เพื่อให้เหมาะสมกับพัฒนาการ ทั้งนี้การกินนมจากขวด เด็กๆ มักติดใจ เพราะน้ำนมไหลเร็วดี และมีความสุขกับการได้ดูด ซึ่งนั่นจึงนำไปสู่ปัญหาลูกกินแต่นมไม่ยอมกินข้าว หรือกินแต่นมจนเป็นโรคอ้วนและติดนมมื้อดึกจนทำให้ฟันผุ

นมมื้อดึกจำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องเลิกมื้อดึก

โดยธรรมชาติลูกวัย 2-3 เดือนแรก จะตื่นบ่อย กินบ่อย เพราะยังมีการปรับตัววงจรการนอนที่ไม่แน่นอน ความจุของกระเพาะอาหารยังเล็กจึงหิวบ่อย แต่เมื่อโตขึ้นวงจรการนอนจะเหมือนผู้ใหญ่ เริ่มนอนได้นานขึ้น กระเพาะอาหารก็โตขึ้น

ซึ่งลูกวัย 6 เดือน จะสามารถนอนกลางคืนได้นาน 6-8 ชั่วโมง โดยไม่หิว และสำหรับเด็กที่กินนมผสม มักนอนกลางคืนนาน 4-6 ชั่วโมง โดยไม่ตื่นมากินนมมื้อดึกเมื่ออายุ 4 เดือน ในขณะที่ทารกที่กินนมแม่มักเลิกได้เมื่ออายุประมาณ 5 เดือนหากลูกได้รับการฝึกฝน ฝึกลูกเลิกมื้อดึก ที่เหมาะสม ก็จะเลิกนมมื้อดึกได้เมื่ออายุประมาณ 6 เดือน

ดังนั้น ทาง ทีมแม่ ABK จึงมีแนวทางวิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก มาฝาก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจจาก “คุณแม่ริ” คุณแม่คนไทยที่ไปอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น มีลูกน้อยสุดน่ารัก ชื่อ “น้องซาริ” ในวัย 1 ขวบ … โดยคุณแม่ได้ปรึกษาคุณหมอเด็กของญี่ปุ่น และนำคำแนะนำที่ได้จากคุณหมอ มาใช้กับน้องซาริ ซึ่งก็ได้ผลดี คุณแม่ริจึงนำมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกัน

Must read >> แม่แชร์ 11 วิธีรับมือ “ลูกชอบร้องงอแง” เทคนิคดีจากหมอญี่ปุ่น!

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ทั้งนี้สำหรับ วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก ที่หมอไทยแนะนำ ก็ตรงคำแนะนำของคุณหมอญี่ปุ่น ที่ให้คุณพ่อคุณแม่เริ่มฝึกลูกงดนมมื้อดึกเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป นั่นก็เพราะจะทำให้ลูกได้นอนยาว นอนเต็มที่ โกรทฮอร์โมนหลั่งเต็มประสิทธิภาพ แถมทั้งพ่อและแม่ก็ได้พักผ่อนแบบเต็มที่อีกด้วย

ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

กินมื้อดึกมีผลเสียอะไรบ้าง?

  1. ลูกจะเคยชิน น้ำย่อยจะหลั่งในเวลาเดิมตลอด น้ำย่อยที่หลั่งในเวลานอนถือว่าไม่ถูกสุขลักษณะเอามากๆ
  2. ลูกกินกลางคืน บางครั้งจะทำให้อิ่มยาวจนถึงเช้า และจะทำให้กินกลางวันได้น้อยลง พอกลางวันกินได้น้อย กลางคืนก็กลับมาหิวอีก วนๆ อยู่แบบนี้
  3. พอลูกกินยาก ไม่กินอาหารหลัก พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายก็เริ่มกังวล เครียด ก็เลยเอาอย่างอื่นให้ลูกกินแทน ขนม หรืออาหารอื่นๆที่อาจไม่มีประโยชน์ เพราะคิดว่า กินไปเถอะ ดีกว่าไม่กินอะไร แบบนี้ก็ลามไปปัญหาอื่นๆ อีก
  4. อีกเรื่องคือ พอลูกตื่นมากินกลางคืน ทำให้ไม่ได้นอนยาว โกรทฮอร์โมน หรือ ฮอร์โมนเทพ ที่มีประโยชน์ต่อสมองและการเติบโตของลูกไม่มีโอกาสหลั่ง ทำให้ลูกไม่สูง หรือด้านความเจริญเติบโตอื่นๆที่ลูกควรได้รับเต็มที่กว่านี้ เช่น ลูกควรจะเติบโตได้แบบ 100% พอขาดฮอร์โมนนี้ การเติบโตของลูกก็ลดเหลือสัก 50 หรือ 60 %
  5. แน่นอน ในเด็กบางคนทำให้มีปัญหาเรื่องฟันผุ เด็กที่ฟันผุ จะมีปัญหาตามมาอีกหลายเรื่อง

5 เทคนิค ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

#ทีนี้มาดูเทคนิค จะทำยังไงเพื่อให้ลูกเลิกมื้อดึกได้

  1. เพิ่มปริมาณนม และเพิ่มความห่างของชั่วโมงการให้นมขึ้นอีก เช่น เคยให้ 4 oz ทุก 4 ชั่วโมง >> ก็เปลี่ยนเป็น เพิ่มเป็น 6 oz ทุก 6 ชั่วโมง จะเพิ่มกี่ oz หรือให้กินทุกกี่ ชั่วโมง ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของคุณแม่เลยค่ะ
  2. ลดมื้อดึกลงทีละนิด อาจจะทีละ 1 oz ทุก 4 – 5 วัน, ถ้าเป็นนมแม่ ให้กะเวลาให้ลูกเลิกดูดเร็วขึ้นทีละนิดเหมือนกันค่ะ
  3. ถ้าลูกตื่น ไม่ต้องรีบให้นมลูก อาจรอสัก 5 หรือ 10 นาที ค่อยให้นมค่ะ บางครั้งลูกตื่นมาไม่ได้หิว แต่ตื่นเพราะความเคยชินหรืออื่นๆ ลองกล่อมด้วยการตบตูดเบาๆ ในเด็กบางคนจะนอนหลับต่อไปได้ค่ะ
  4. แต่ถ้าทำทุกแบบข้างต้นแล้ว ยังไม่เห็นผล ให้คุณแม่ใช้วิธีแบบหักดิบเลยค่ะ แบบนี้จะโหดนิดนึง แต่ได้ผลไว คือลูกตื่นมาร้องกินนม ก็ยังไม่ต้องให้ค่ะ >> ปล่อยให้เค้าตื่นหรือร้องไป เดี๋ยวเค้าจะหลับไปเอง แบบนี้สัก 2 – 3 คืน ลูกจะไม่ตื่นมาร้องกินนมแล้ว เพราะเค้ารู้ว่าถึงตื่น หรือร้อง ยังไงแม่ก็ไม่ให้กิน งั้นนอนยาวเลยละกัน
  5. การฝึกลูกงดนม ต้องใช้ความอดทนและความสม่ำเสมอ แรกๆอาจจะเจอความงอแงของลูกมากหน่อย แต่ผ่านไปสักพักลูกเค้าจะค่อยๆปรับตัวได้ค่ะ

****************

ทั้งนี้การที่ลูกตื่นกลางดึก ไม่ใช่เพราะหิวเสมอไป อาจมีสาเหตุอื่น เล่น ลูกรู้สึกไม่สบายตัว ฉี่เต็มผ้าอ้อม หรือสาเหตุอื่นๆ ก็เป็นได้ สิ่งสำคัญของการ ฝึกลูกเลิกมื้อดึก คือ พยายามอย่าให้ลูกกินนมทุกครั้งที่ตื่น ให้หาสาเหตุอื่นๆ ดูก่อน

 

สุดท้ายนี้ ทีมแม่ ABK ขอฝากไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องตั้งใจและใจแข็ง ฝึกให้เด็กดูดนมมื้อดึกโดยค่อยๆ ทำ หรืออาจเสริมด้วยการเล่านิทานเรื่องเกี่ยวกับการเลิกขวดนม และอย่าลืมชมเชยลูกด้วยถ้าเขาเริ่มเลิกขวดนมได้บ้างแล้ว เพราะหาก ฝึกลูกเลิกมื้อดึก ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ก็จะถือเป็นบันไดขั้นต้นที่ช่วยให้ลูกเลิกขวดนมได้ง่ายขึ้นเมื่ออายุหลัง 1 ปี  สิ่งสำคัญคือ การที่ปล่อยให้ลูกนอนหลับอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ฮอร์โมนที่ช่วยการเจริญเติบโตหลั่งได้ดี นอกจากนี้สารเคมีที่ช่วยการพัฒนาสมองจะทำงานได้ดี เกิดผลดีต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของลูกน้อยอีกด้วย


ขอบคุณข้อมูลจากคุณแม่ริ เฟซบุ๊ก : ริริ จัง

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

เลิกนมมื้อดึก และฝึกหลับยาว สำหรับลูกน้อยวัยเด็กเล็ก

เลิกเต้า …. อย่าเพิ่งเฉานะจ๊ะลูกจ๋า

ฝึกลูกน้อยวัยขวบเลิกผ้าอ้อมสำเร็จรูป

ลูก”ติดจุกหลอก” อยากให้เลิกแต่ไม่รู้ทำอย่างไร คลิก!

ลูกหวงของ

ลูกหวงของ สอนลูกให้รู้จักแบ่งปัน ด้วยวินัยเชิงบวก

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกหวงของ
ลูกหวงของ

คุณพ่อคุณแม่กำลังประสบปัญหา ลูกหวงของ อยู่ใช่ไหมคะ! แล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยพูดประโยคเหล่านี้อยู่บ่อยครั้งในยามที่ต้องการให้ลูกรู้จักแบ่งปันของเล่นหรือของกินให้กับเพื่อน ๆ บ้างหรือไม่?

“แบ่งเพื่อนเล่นบ้างสิลูก”

“หยิบให้พี่เขาชิ้นหนึ่ง”

“ไม่หวงของนะลูก  แบ่งให้เพื่อนเล่นบ้างเดี๋ยวนี้”

“ไม่แบ่งงั้นไม่ต้องเล่น เก็บของเล่นเลยแล้วกัน” 

 

เด็กกับของเล่น

แน่นอนว่า “การเล่นมีความสำคัญต่อเด็กอย่างมาก  เพราะนอกจากจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการ การเรียนรู้ และทักษะความสามารถในทุกด้านแล้ว ยังนำมาซึ่งความสุข ความสนุกสนาน ความผ่อนคลาย  และความผูกพันอีกด้วย แต่หลายครั้ง “การเล่น” ก็นำมาซึ่งความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง การถูกต่อว่า  และอาจลงเอยด้วยความไม่เข้าใจ น้ำตา และความเสียใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาที่ดูจะหลีกเลี่ยงเสียไม่ได้ นั่นก็คือ ปัญหาการ ลูกหวงของ นั่นเอง 

ลูกหวงของ

ที่จริงแล้ว ลูกชอบแบ่งปันนะ

อันที่จริงแล้ว คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะ ว่าเด็ก ๆ นั้นชอบแบ่งปันมากกว่าหวงของ และลูกของเราก็แบ่งของเป็นเหมือนกัน ลองสังเกตดูได้ว่าลูกน้อยชอบมากที่จะส่งของให้เราถือ บางทีนั่งอยู่เฉยๆ ก็ชอบแบ่งของเล่นมาให้เราโดยที่เราไม่ต้องบอก นั่นก็เป็นเพราะว่าเวลาที่เด็กอารมณ์ดี เขาจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในสังคมและรู้สึกปลอดภัย เด็ก ๆ ก็จะมีความรู้สึกอยากให้ผู้อื่น และแบ่งของได้ง่ายขึ้นนั่นเอง แต่เมื่อไรที่เขารู้สึกกลัว รู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยขึ้นมา เมื่อนั้นการแบ่งของก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และยากลำบากมากสำหรับเด็ก ๆ ขึ้นมาทันที  

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกลัวว่าให้ไปแล้วจะไม่ได้คืน หรือความกลัวว่าให้ไปแล้วจะหมดแล้วอดกิน 

 

ยิ่งขู่ บังคับให้แบ่ง ลูกยิ่งหวงของ

และยิ่งถ้าเราไปบอก สั่ง หรือขู่บังคับให้ลูกแบ่งของตอนที่เขารู้สึกกลัวด้วยแล้ว ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมลูกถึงยิ่งหวง ยิ่งไม่อยากแบ่ง และรู้สึกไม่ดีกับการแบ่งของ ดังนั้นหัวใจหลักของการแก้ปัญหา ลูกหวงของ และการสอนให้ลูกรู้จักแบ่งของก็คือ การช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัย และมั่นใจได้ว่า ถึงแม้ว่าเขาจะแบ่งของไป เขาก็จะยังได้สิ่งที่เขาต้องการอยู่ ซึ่งเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวกที่นำมาแนะนำคือ การให้ทางเลือก และให้ลูกตัดสินใจด้วยตัวเอง

ยิ่งขู่ ยิ่งบังคับ ลูกยิ่งหวง
ยิ่งขู่ ยิ่งบังคับ ลูกยิ่งหวงของ

 

อ่านเพิ่ม >> How to สอนลูกให้มีระเบียบวินัย ต้องไม่ตี ไม่ขู่ ไม่เกิดผลเสียในระยะยาว

 

เคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่า ทางเลือกที่ให้ต้องเป็นทางเลือกที่ไปถึงเป้าหมาย และเมื่อลูกเลือกแล้วเรายอมรับได้ เช่น แทนการบอกให้ลูกแบ่ง ลองถามลูกว่า 

“หนูจะแบ่งของเล่นรถสีแดงหรือรถสีน้ำเงินให้เพื่อน” 

“หนูจะให้เพื่อนเล่น 5 นาที หรือ  10 นาที แล้วเอาคืนหนู” 

“หนูจะแบ่งให้พี่ 4 หรือ 5 ชิ้น” 

 

จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าลูกเลือกทางไหน สีแดงหรือสีน้ำเงิน, 5 หรือ 10 นาที, 4 หรือ 5 ชิ้น หากเรายอมรับได้ เราก็จะสอนลูกให้ไปถึงเป้าหมาย นั่นก็คือ “ลูกได้แบ่งปัน” และที่สำคัญคือ เมื่อลูกได้แบ่งปันแล้ว การชม การแสดงความภูมิใจและชื่นใจในตัวลูกที่แบ่งปันได้ ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ลูกมีแรงที่อยากจะแบ่งอีก 

สอนลูกให้รู้จักแบ่งปัน
สอนลูกให้รู้จักแบ่งปัน

 

การให้ทางเลือกและให้ลูกเป็นคนตัดสินใจที่จะทำให้ไร้ผล คือ การให้ทางเลือกที่ไปไม่ถึงเป้าหมาย เช่น 

“จะแบ่งหรือไม่แบ่ง” 

“จะแบ่งหรือกลับบ้าน” 

“จะแบ่งหรือจะกินคนเดียว” 

 

การสอนที่ไม่บรรลุเป้าหมาย

หากลูกเลือกที่จะไม่แบ่ง เลือกกลับบ้าน หรือเลือกกินคนเดียว การสอนของเราก็จะไม่บรรลุเป้าหมาย เพราะเขาจะไม่ได้แบ่งปันให้ใคร และทางเลือกนั้นก็เป็นทางเลือกที่เรายอมรับไม่ได้ ก็จะทำให้การสอนของเราไม่สำเร็จเช่นกัน เช่น “หนูจะให้เพื่อนเล่น 5 นาที หรือ 10 นาที แล้วเอาคืนหนู” แต่พอลูกเลือก 10 นาที แล้วพ่อแม่ยอมรับไม่ได้ บอกว่าเอาแค่ 5 นาทีพอ เป็นต้น 

หลักการให้ทางเลือกและให้ลูกตัดสินใจ นอกจากจะเป็นการให้ข้อมูลทีทำให้ลูกมั่นใจได้ว่าเขาจะได้ของคืน ยังทำให้ลูกรู้สึกมั่นคงปลอดภัยด้วย เพราะเขาได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง และเมื่อลูกมีโอกาสได้ลิ้มรสความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับจากการแบ่งปันด้วยแล้ว ความรู้สึกอยากแบ่งปันก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอีกต่อไป 

 

ลูกหวงของ เป็นเรื่องธรรมชาติ

เด็กกับการหวงของเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะของของใคร ใครก็ห่วง ซึ่งการจะทำให้ลูกก้าวผ่านความกลัวจนกลายเป็นเด็กที่รู้จักแบ่งปันนั้นไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของเราที่จะต้องสอนและฝึกฝนลูกด้วยความเข้าใจจึงจะสำเร็จตามเป้าหมาย…หรือไม่จริง 

 

ขอบคุณบทความจากนิตยสาร Amarin Baby & Kids
โดย ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์

สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

ทำความสะอาดของเล่น ลูกน้อยปลอดภัยจากเชื้อโรค

ทำไมพ่อแม่ต้อง เล่นสนุกกับลูก ?

ฝึกลูกนอนหลับยาว

พัฒนาการที่ดีของลูก สำคัญที่การนอน

Alternative Textaccount_circle
event
ฝึกลูกนอนหลับยาว
ฝึกลูกนอนหลับยาว

ในเด็กเล็กๆ การนอนหลับไม่ใช่เพียงแค่ให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเดียวเท่านั้น แต่การนอนของเด็กยังส่งผลต่อพัฒนาการ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านร่างกาย สมอง อารมรณ์ เป็นต้น แต่จะทำอย่างไรให้ลูกนอนหลับดี มีคุณภาพ หลับสนิทตลอดคืน คุณแม่มือใหม่จำเป็นต้องรู้ เพื่อจะได้ “ฝึกลูกนอนหลับยาว” กันค่ะ

 

ฝึกลูกนอนหลับยาว แม่ต้องรู้ก่อนว่าลูกน้อยนอนกันวันละกี่ชั่วโมง ?

การนอนของเด็ก คุณแม่รู้ไหมว่าต่างวัย ก็ต่างกันนะคะ ฉะนั้นก่อนที่จะฝึกลูกนอนหลับยาว นอนหลับอย่างมีคุณภาพ มาดูกันก่อนว่าเด็กแต่ละวัย มีการนอนหลับแตกต่างกันอย่างไร…

  • เด็กวัยทารกแรกเกิด – 6 เดือน

เริ่มกันที่เด็กวัยทารก ซึ่งเด็กวัยนี้อย่างที่รู้กันค่ะว่า จะใช้เวลาไปกับการนอนหลับ ตื่นขึ้นมากินนม ขับถ่ายเสร็จแล้วก็นอนหลับต่อ ชั่วโมงการนอนโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 14-17 ชั่วโมง จะมีภาวะหลับตื่นตลอดทั้งวัน และเมื่ออายุได้ 4 เดือน ก็จะเริ่มนอนหลับกลางคืนได้นานขึ้นประมาณ 6 ชั่วโมง จากนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 6 เดือน จะนอนหลับได้นาน 10 ชั่วโมง แต่อาจจะมีตื่นขึ้นมาระหว่างการนอนหลับบ้าง

  • เด็กวัย 6-12 เดือน

เด็กในช่วงวัยระหว่างนี้จะเริ่มนอนหลับช่วงกลางคืนได้นานขึ้น และจะหลับช่วงกลางวันสั้นๆ ชั่วโมงการนอนโดยรวมจะ อยู่ที่ประมาณ 12-15 ชั่วโมง

  • เด็กวัย 1 – 3 ขวบ

เมื่อเข้าสู่ขวบปีแรกขึ้นไป ในช่วงกลางวันเด็กๆ จะมีกิจกรรมเล่นสนุกมากขึ้น ในเด็กบางคนอาจไม่ค่อยนอนกลางวัน ทำให้ช่วงนอนหลับกลางคืน นอนนานจนถึงเช้า (หากไม่มีอะไรมีสิ่งแวดล้อมรอบข้างๆ มากวนขณะนอนหลับ) ชั่วโมงการนอนโดยรวมจะอยู่ที่ประมาณ 11-14 ชั่วโมง

  • เด็กวัยเรียน (วัยอนุบาล)

เด็กที่เริ่มเข้าเรียนช่วงอนุบาลในระหว่างวันจะมีกิจกรรมที่โรงเรียนเพิ่มเตรียมพร้อมไปสู่วัยที่โตขึ้น ซึ่งเด็กๆ ยังจะได้นอนกลางวันอยู่ แต่เด็กบางคนก็ไม่นอนกลางวัน ถือเป็นเรื่องปกติค่ะ ดังนั้นความต้องการการนอนหลับต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 9-12 ชั่วโมง และเมื่อขวบวัยเพิ่มขึ้น ชั่วโมงการนอนจะปรับเหมือนกับผู้ใหญ่ คือ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน

ฝึกลูกนอนหลับยาว

การนอน ดีต่อพัฒนาการอย่างไร ?

การนอนหลับคืออาหารสมอง และหัวใจ เพราะการนอนจะช่วยทำให้ร่างกายได้พักผ่อน สร้างภูมิต้าน เซลล์และระบบต่างๆ  ในร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอไปให้กลับมาสมบูรณ์  ในเด็กเล็กๆ มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการพักผ่อนด้วยการนอนให้ครบชั่วโมงตามพัฒนาการช่วงวัย เนื่องจากการนอนหลับที่หลับสนิท หลับลึก ร่างกายจะมีการหลั่งโกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) สำหรับโกรทฮอร์โมน คือ ฮอร์โมนหลักที่ผลิตจากต่อมใต้สมอง (Pituitary Gland) จะมีหน้าที่ช่วยควบคุมการเจริญเติบโต และการทำงานของอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ส่งเสริมการสร้างเซลล์ใหม่ การทำงานเอนไซม์ และระบบสมอง หากคุณแม่อยากให้ลูกน้อยมีพัฒนาการการเจริญเติบโตที่ดีสมวัย และมีพัฒนาการการเรียนรู้ดี อารมณ์ดี สดใสทุกวัน จะต้องไม่ให้ลูกมีพฤติกรรมการนอนดึก หรือนอนหลับๆ ตื่นๆ นะคะ สำหรับโกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมาได้ดีตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่นอนหลับสนิท ระหว่างช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ถึงตี 3

 

ทำอย่างไรจะช่วยให้ลูกนอนหลับได้คุณภาพ หลับสนิทตลอดคืน

ลูกน้อยจะมีพัฒนาการดีสมวัย คุณแม่ต้องดูแลให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมให้ลูกมีการนอนหลับที่ได้คุณภาพ การนอนหลับที่ได้คุณภาพ เมื่อลูกตื่นขึ้นมาจะสดชื่น อารมณ์ดี  ซึ่งการดูแลให้ลูกนอนหลับสบายตลอดคืน สามารถทำได้ดังนี้

  • จัดห้องนอนให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ห่างเปิดเครื่องปรับอากาศให้ลูกขณะนอนหลับ ควรปรับอุณหภูมิที่ประมาณ 25 องศา (อากาศในห้องนอนต้องไม่ร้อนมาก หรือเย็นมากเกินไป)
  • ห้องนอนต้องเงียบไม่มีเสียงรบกวน เช่น เสียงทีวี โทรศัพท์มือถือ รวมถึงความสว่างในห้องต้องไม่สว่างจ้าจนมากวนการนอนของลูก
  • ไม่ควรให้อิ่มมากเกินไป คุณแม่ควรดูแลเรื่องอาหารการกินของลูกก่อนถึงเวลาเข้านอนห่างประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง การกินอิ่มมากไป หรือกินไม่อิ่ม หลังจากเข้านอนมักเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เด็กนอนได้ไม่ค่อยดีค่ะ
  • ไม่ควรให้ลูกทำกิจกรรมที่ส่งผลต่อจิตใจก่อนนอน เช่น ดูหนัง อ่านหนังสือ ที่มีเนื้อเรื่องกระตุ้นให้สมองเครียด หรือสร้างความตื่นกลัว ตื่นเต้น เป็นต้น
  • ในลูกเล็กๆ ก่อนเข้านอนหากมีคุณแม่ หรือคุณพ่ออยู่ข้างๆ กล่อมนอนจะช่วยให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และหลับได้ง่ายขึ้น

 

มีเทคนิคง่ายๆ สำหรับช่วยคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยไม่เกิน 2 ขวบให้เจ้าตัวน้อยหลับสบาย แค่นวดให้หนูน้อยก่อนนอน

คุณแม่สามารถใช้ตัวช่วยขณะนวดผิวกายลูกเบาๆ ได้ด้วย และนั่นก็คือ “Vicks BabyBalsam” จะช่วยทำให้ผิวลูกน้อยชุ่มชื่นไม่แห้งคัน และรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว  Vicks BabyBalsam อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์จากวิคส์ที่คุณแม่ๆวางใจ ซึ่งมีส่วนผสมที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ เหมาะกับผิวอ่อนบางของลูกน้อยอายุ 3 เดือนขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็น

  • Lavender Oil และ Rosemary Oil : ให้กลิ่นหอม สดชื่น ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย
  • Aloe Vera Oil Extract: ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวลูกน้อย

Vicks Baby Balsam

โดยคุณแม่สามารถทา Vicks BabyBalsam ที่ผิวของลูกน้อยเบาๆ ได้ทั่วทั้งตัว เช่น ผิวบริเวณหน้าอก หลัง ลำคอ แขน ขา และเท้า สามารถใช้ได้เสมอเมื่อต้องการ แต่ไม่ควรทาบริเวณใกล้ดวงตานะคะ  อย่างไรก็ดี Vicks BabyBalsam ไม่มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการคัดจมูกจากโรคหวัด ดังนั้นหากลูกรักมีอาการคัดจมูกควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บรรเทาอาการคัดจมูกที่เหมาะสม เช่น ยาทาบรรเทาอาการคัดจมูก ยาบรรเทาอาการคัดจมูกชนิดพ่นหรือหยด สำหรับใช้เฉพาะที่ หรือยารับประทานเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก แล้วแต่กรณี

  • Vicks BabyBalsam บรรจุในขวด เนื้อครีมไม่เหลวหกง่าย สะดวกในการใช้ ดังนั้นหากมี Vicks BabyBalsam ติดบ้านหรือติดกระเป๋า(เดินทาง)ไว้ตลอด จะช่วยให้คุณแม่รับมือกับปัญหาลูกน้อยนอนหลับยากได้ทุกวันค่ะ
  • สามารถหาซื้อ Vick BabyBalsam ได้ที่ร้านขายยาชั้นนำทั่วไป หรือ สามารถสอบถามถึงสถานที่จำหน่ายอื่นๆ รวมทั้งข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้ที่ P&G Thailand 1800-295-545 (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) หรือ Facebook: Vicks Thailand https://www.facebook.com/VicksThailand/

 

การนอนที่ได้คุณภาพ ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการดีสมวัย ฉะนั้นคุณแม่ควรมีตัวช่วยให้ลูกนอนหลับอย่างสบายใจกันนะคะ

#เมื่อลูกสบายตัวก็หลับได้อย่างสบายใจ (#VicksThailand) #VicksBabyBalsam

 

ฝึกลูกนอนหลับยาว

 

ทักษะชีวิต

ทักษะชีวิต 12 ข้อสอนลูกให้ติดตัว พร้อมเผชิญหน้ากับชีวิตในอนาคตได้ดี

Alternative Textaccount_circle
event
ทักษะชีวิต
ทักษะชีวิต

ทักษะชีวิต (life skills) คือความเชี่ยวชาญที่จะมีขึ้นมาในชีวิตและใช้ในการเผชิญชีวิตในทุก ๆ วัน ลูกในวัยเรียนที่อยู่ในช่วงอายุ 6-12 ปี แม้จะโตขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังต้องการพ่อแม่คอยดูแล สอน และเป็นต้นแบบที่ดี การฝึกทักษะชีวิตให้ลูกตั้งแต่เล็กควบคู่ไปกับพัฒนาการจะช่วยให้เด็ก ๆ มีความพร้อมเผชิญหน้ากับชีวิตในอนาคตได้เป็นอย่างดี ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างทักษะชีวิตให้ลูกได้หลายวิธี ควรสอนทักษะอะไรให้เหมาะสำหรับลูกบ้าง มาดูกันค่ะ

ทักษะชีวิต 12 ข้อ สอนลูกให้ติดตัว พร้อมเผชิญหน้ากับชีวิตในอนาคตได้ดี

1.สอนลูกให้รู้จักมารยาทการเข้าสังคม

การกล่าวคำทักทาย คำขอโทษ คำขอบคุณ การเคารพผู้ใหญ่ การพูดให้มีหางเสียง และกล่าวคำสุภาพที่เป็นสากล สอนให้ลูกวางตัวและยอมรับในความแตกต่างของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นเพศ วัย ฐานะ ระดับสติปัญญา การศึกษา อาชีพ ที่ช่วยให้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รวมทั้งสอนเรื่องกฏกติกาของสังคม เช่น การเข้าคิวเพื่อซื้อของ การแบ่งปันของเล่นกับเพื่อน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานเริ่มต้นง่ายๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกเป็นนิสัยติดตัวได้ตั้งแต่เล็ก เด็กที่มีสัมมาคารวะจะเป็นที่รักใคร่เอ็นดูแก่คนรอบข้าง และเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

สอนลูกให้ทํางานบ้าน
สอนลูกให้ทํางานบ้าน

2.สอนลูกให้ช่วยทำงานบ้าน

บางครั้งมันอาจจะง่ายสำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่จะลงมือทำทุกอย่างภายในบ้านด้วยตัวเอง แต่หนึ่งในทักษะชีวิตที่จะช่วยลูกเติบโตมาประสบความสำเร็จในอนาคต คือการให้ลูกได้ช่วยทำงานบ้าน การได้ทำงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ส่งเสริมให้ลูกช่วยเหลือตัวเองตามวัย เช่น เก็บเตียงของตัวเอง เก็บของเล่นให้เข้าที่ ให้อาหารสัตว์เลี้ยงเป็นต้น โดยคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลและให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกต้องการ เป็นการฝึกให้เด็กเรียนรู้ที่จะลำบาก เรียนรู้ว่าการที่จะทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้สำเร็จต้องลงมือทำ สอนให้รู้คุณค่าของงาน  อีกทั้งยังเป็นการสร้างนิสัยให้ลูกรู้จักมีความรับผิดชอบ และฝึกความมีวินัย ทำตนเองให้เกิดคุณค่าสามารถที่จะลงมือทำเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น

3.สอนให้รู้จักตัดสินใจได้ด้วยตนเอง

การตัดสินใจที่ดีเป็นทักษะชีวิตที่เด็กทุกคนควรเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อย ลองปล่อยให้ลูกเป็นอิสระในการคิด ตัดสินใจ และแก้ปัญหาด้วยตัวเองบ้าง เริ่มเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ลูกลังเล แล้วให้ลูกตัดสินทางเลือกเองก่อนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ให้ลูกเลือกเสื้อผ้าในการแต่งตัวเอง วันหยุดนี้อยากไปเที่ยวที่ไหน เย็นนี้อยากทำเมนูอะไร ฯลฯ ขั้นตอนในการตัดสินใจจะทำให้เด็ก ๆ ได้คิดวิเคราะห์ประเมินข้อดีข้อเสียของการตัดสินใจด้วยตัวเองเป็น โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะตั้งคำถามให้ลูกคิดและตัดสินใจ หลังจากนั้นคุณค่อยมาอธิบายผลลัพธ์ในข้อที่พลาดหรือชื่นชมในการตัดสินใจที่ดีในแต่ละเหตุการณ์ เพื่อให้เด็กสามารถเลือกที่จะตัดสินใจในเรื่องอื่นครั้งต่อไปได้อย่างมีประสบการณ์

สอนลูกทําอาหาร
สอนลูกทําอาหาร

4.สอนลูกทำอาหาร

เด็ก ๆ สามารถสามารถเรียนรู้วิธีการเตรียมอาหารและช่วยคุณแม่ในครัวได้ตั้งแต่เล็ก ๆ เมื่อลูกเข้าวัยประถมคุณแม่สามารถสอนเมนูหรือการใช้งานเครื่องครัวที่มีขั้นตอนมากขึ้นได้ เช่น สอนวิธีใช้ไมโครเวฟได้ สอนหุงข้าว สอนวิธีปรุงรสชาติอาหารที่ต้องการ ฯลฯ เมื่อลูกมีความมั่นใจมากขึ้นพวกเขาสามารถเพิ่มทักษะการเตรียมอาหารมื้ออื่น ๆ เช่น สามารถเลือกทำอาหารง่าย ๆ บนเตาด้วยการดูแลของคุณพ่อคุณแม่หรือวางแผนมื้ออาหารของตนเอง มีผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนที่ทำอาหารกินที่บ้านบ่อย ๆ จะดีต่อสุขภาพเพราะเราสามารถเลือกปรุงอาหารที่มีประโยชน์เองได้ ดังนั้นการสอนเด็ก ๆ ให้รู้จักทำอาหารชวนลูกเข้าครัวบ่อยครั้งนั้นหมายถึงการจัดเตรียมอาหารที่ดีต่อสุขภาพในอนาคต นอกจากนี้อาหารที่ปรุงเองที่บ้านทำให้ครอบครัวประหยัดค่าใช้จ่ายในการออกไปกินนอกบ้าน ซึ่งก็จะทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้วิธีการใช้เงินไปในตัวด้วย

5.สอนให้ลูกรู้จักการใช้เวลา จัดลำดับความสำคัญในชีวิต

เพราะคุณพ่อคุณแม่รู้ดีว่าการจัดการเวลาที่ดีนั้นมีประโยชน์อย่างไร และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กที่จะเริ่มให้ลูกเรียนรู้ ไม่เพียงแต่เริ่มสอนให้ลูกรู้จักการทำงานเสร็จตามกำหนดเวลา การทำ to do  list หรือแม้แต่การวางแผนตารางกิจวัตรประจำวัน สอนให้ลูกรู้จักการทำอะไรก่อนหลัง ฯลฯ การเรียนรู้ทักษะชีวิตในเรื่องนี้ยังช่วยให้เด็ก ๆ สามารถทำทุกอย่างได้อย่างตรงเวลา รู้จักริเริ่มทำสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นขั้นตอนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย

6.สอนให้ลูกเห็นความสำคัญของการเรียน

ในเด็กวัยเรียนมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ คือ ความรับผิดชอบต่อการเรียน หมั่นหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรจัดตารางเวลาสำหรับการเรียนให้ลูกอย่างเหมาะสม ไม่บังคับหรือยัดเยียดการเรียนพิเศษที่หนักจนเกินไป หรือพิจารณาดูว่าทักษะใดเหมาะสมกับลูกและสนับสนุนตามความถนัดของลูก การตั้งใจใฝ่รู้ตามความชอบ มีทักษะความรู้ติดตัวก็จะเกิดประโยชน์ที่ดีต่อตัวเด็กและทำให้ประสบความสำเร็จในอนาคตได้

สอนลูกออมเงิน
สอนลูกออมเงิน

7.สอนลูกให้รู้จักวางแผนการเงิน รู้จักรายรับ และรายจ่ายของตนเอง

ลูกวัยเรียนซึ่งอยู่ในระดับประถมจะเริ่มนับเลข บวกลบเลข พอเป็นแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการสอนเด็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่องการจัดการเงิน เพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนรู้วิธีการออมเงินเพื่อสะสมเป็นทุนในอนาคต การใช้เงิน สอนให้ลูกรู้จักรายรับ รายจ่ายที่พอเพียงกับรายได้ของครอบครัว ต้องรู้จักขยันเพื่อหารายได้ และไม่ใช่จ่ายในสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็น ชี้ให้เห็นถึงปัญหาหากไม่มีการวางแผนการเงินที่ดี ทักษะนี้ถือเป็นเตรียมพร้อมสำหรับในอนาคตที่ลูกสามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง

8.สอนลูกให้รู้จักดูแลสุขภาพ

เด็กวัยนี้ไม่เล็กเกินไปที่จะเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับสุขภาพและสุขอนามัย เพราะทักษะชีวิตในการดูแลเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการสอนให้ลูกรู้จักอาบน้ำ แปรงฟัน ทำความสะอาดร่างกายไปตลอดจนการแต่งตัวใส่เสื้อผ้า ติดกระดุม ใส่รองเท้าด้วยตัวเอง ฯลฯ อธิบายว่าทำไมสุขภาพและสุขอนามัยจึงเป็นส่วนสำคัญสำหรับลูก สอนให้พวกเขาดูแลรักษาสุขภาพอนามัยของตัวเอง และหมั่นออกกำลังกายให้กลายเป็นนิสัย สนับสนุนกีฬาที่ลูกชอบ การปลูกฝังให้ลูกรู้จักดูแลตัวเองเป็นตั้งแต่เล็ก ๆ ส่งเสริม HQ หรือความฉลาดทางสุขภาพให้ลูก เด็กก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดี ช่วยให้ลดอัตราการเจ็บป่วยลงไปได้ ทำให้ลูกมีสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์ แข็งแรง ฉลาด สดใส เติบโตขึ้นอย่างสมวัยที่ดีในอนาคต

สอนทักษะชีวิตให้ลูก

9.สอนให้ลูกเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์

ในยุคที่เด็ก ๆ ชอบเข้าร้านสะดวกซื้อเพื่อไปเลือกซื้อขนมสุดโปรด คุณพ่อคุณแม่สามารถแนะนำลูกได้ว่า ควรกินอะไรจึงจะเหมาะกับสุขภาพ และขนมแบบไหนที่กินแล้วไม่มีประโยชน์ อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงคุณค่าทางโภชนาการที่จะได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เพื่อให้ลูกสามารถเลือกซื้ออาหารได้อย่างชาญฉลาดนอกจากนี้ยังสามารถปลูกฝังนิสัยการรับประทาน เช่น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล ของหวาน ของทอด อาหารที่มีไขมันและโซเดียมสูง ฯลฯ และกระตุ้นให้ลูกได้ทานอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนอย่างหลากหลายในปริมาณที่พอเหมาะ การที่ฝึกให้ลูกรู้จักเลือกในการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จะเป็นผลดีต่อร่างกายและการเจริญเติบโตที่ดีในอนาคต เพราะร่างกายต้องการอาหารที่ช่วยบำรุงสมองและช่วยเติมเต็มพลังงาน สร้างร่างกายให้เจริญเติบโตแข็งแรงยิ่งขึ้น

สอนทักษะชีวิตให้ลูก

10.สอนลูกให้เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีดิจิตอลที่เหมาะสมกับวัย

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเกดเจทต่าง ๆ ได้เข้ามามีบทบาทกับเด็กในยุคดิจิตอลมากมาย นอกจากเล่นเกม ดูสื่อแล้ว อินเทอร์เนทยังเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการเรียนรู้ และค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเอง ที่ทำให้เด็ก ๆ สามารถต่อยอดความสนใจได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่เพื่อให้ลูกได้รับประโยชน์ทางด้านนี้อย่างเหมาะสม คุณพ่อคุณแม่ควรกำหนดการใช้งานตามวัย สำหรับเด็กในช่วงวัยเรียนสามารถให้ลูกรู้จักวางแผนการใช้สื่อต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ควรชั่งน้ำหนักระหว่างการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและการเล่นหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย ควรใช้เวลาอยู่กับหน้าจอไม่เกิน 2 ชั่วโมง/ วัน เพื่อไม่ให้กระทบสุขภาพและการพักผ่อน และที่สำคัญควรสอนให้ลูกเข้าใจถึงประโยชน์และโทษของการใช้เทคโนโลยี เพื่อที่จะทำให้ลูกเรียนรู้และใช้ทักษะในด้านนี้ให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีได้

11.สอนลูกให้รู้จักควบคุมอารณ์และควบคุมความคิดของตนเองได้อย่างเหมาะสมตามวัย

รู้จักควบคุมอารมณ์และแสดงออกอย่างเหมาะสม เช่น ถ้าลูกอยากได้ของเล่นแล้วพ่อแม่ไม่ซื้อให้ ลูกต้องฟังเหตุผลไม่ใช่ร้องโวยวาย หรือแสดงอาการเอาแต่ใจ สอนให้ลูกรู้จักแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ จากการรับรู้ รับฟังด้วยเหตุและผล สอนให้ลูกรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น มีความคิดที่จะทำสิ่งดี ๆ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ทักษะนี้สามารถฝึกได้ตั้งแต่เมื่อลูกยังเล็ก ๆ วัยอนุบาลหรือวัยประถม เพื่อให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมที่เหมาะสมมีความสุขในการดำเนินชีวิตในสังคมได้

ทักษะชีวิตที่ควรเรียนรู้

12.สอนให้ลูกรู้จักเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค

อีกหนึ่งทักษะชีวิตที่ควรสอนให้ลูกมีติดตัวในยุคสมัยที่โลกปรับเปลี่ยนสถานการณ์อย่างรวดเร็ว คือ ทักษะความสามารถในการเผชิญปัญหาและฟันฝ่าอุปสรรค (AQ) มีความอดทนและพยายามแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเอง มองว่าปัญหาเป็นสิ่งที่แก้ไขและต้องผ่านไปให้ได้อย่างไม่หยุดท้อแท้เพื่อให้ให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งถ้าสามารถฝ่าฟันปัญหาต่าง ๆ ไปได้ ก็สามารถเอาตัวเองรอดจากปัญหาอุปสรรค และจะพบกับความสำเร็จ และเมื่อแก้ปัญหาได้แล้วก็จะนำสิ่งที่เป็นปัญหามาทบทวนวิธีการแก้ปัญหาของตนต่อไป เพื่อปรับปรุงสิ่งที่ยังมีข้อบกพร่องอยู่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือแก้ไขได้รวดเร็วขึ้น เด็กที่มีลักษณะนี้จะมีบุคลิกที่มั่นใจในตัวเองและมีจิตใจที่เข้มแข็ง ทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteeming) ซึ่งเด็กที่ได้รับการปลูกฝังหรือฝึกฝนให้เรียนรู้จักการพยายามแก้ไขปัญหา มักเชื่อว่าปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ มักเป็นเด็กที่มองโลกในแง่ดีด้วย โดยไม่ได้มองว่าปัญหานั้นเกี่ยวข้องกับดวงไม่ดีหรือเป็นความโชคร้าย แต่มองว่าปัญหาคือบททดสอบหนึ่ง ที่พร้อมจะยอมรับและหาทางออกของปัญหา เมื่อมีทักษะในด้านนี้ก็จะทำให้ลูกรู้จักรักตัวเอง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขได้

ทักษะชีวิตที่พ่อแม่มอบให้ถือเป็นบทเรียนที่มีค่าที่เด็ก ๆ จะใช้ติดตัวไปได้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสอนด้วยคำพูด การเป็นต้นแบบที่ดี การให้ลูกได้ลงมือปฏิบัติใช้ชีวิต และเรียนรู้ไปกับสิ่งต่าง ๆ ทักษะเหล่านี้จะทำให้ลูกสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นคงและมีความสุข นอกจากนี้การเลี้ยงดูลูกด้วยความรัก คำสอนที่ดี และการใช้เวลาร่วมกันอย่างคุ้มค่าในทุกวัน จะทำให้เด็ก ๆ ได้ซึมซับถึงความรักความอบอุ่น และความรู้สึกปลอดภัยจากพ่อแม่ จะช่วยให้ลูกมีกำลังใจ พร้อมที่จะเรียนรู้ และดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคตได้อย่างดีค่ะ.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.verywellfamily.comwww.thaihealth.or.thwww.britishcouncil.or.th

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

มาแล้วจ้า! 25 การ์ตูนเสริมพัฒนาการ เสริมทักษะ สร้างความรู้ คู่ไปกับความสนุก

10 ทักษะ เพื่อ อาชีพเงินเดือนสูง น่าส่งลูกไปเรียน!

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

คนท้องกินน้ำขิงได้ไหม

คนท้องกินน้ำขิงได้ไหม 12 ประโยชน์ของ “น้ำขิง” กินตอนท้องแล้วดีอย่างนี้เอง!

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้องกินน้ำขิงได้ไหม
คนท้องกินน้ำขิงได้ไหม

มีอาหารและเครื่องดื่มมากมายหลายอย่างในขณะตั้งครรภ์ที่ควรกินและไม่ควรกิน “น้ำขิง” ก็เป็นเครื่องดื่มอีกหนึ่งเมนูที่คุณแม่ท้องสงสัยว่าความเผ็ดร้อนของน้ำขิงนั้น คนท้องกินน้ำขิงได้ไหม จะส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์หรือไม่ ถ้ากินได้ควรกินแค่ไหนจึงจะดีกับร่างกายมากที่สุด มาศึกษาคำตอบนี้ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

คนท้องกินน้ำขิงได้ไหม?

เป็นที่รู้กันดีว่า “ขิง” นั้นเป็นสมุนไพรประจำบ้านที่มีสรรพคุณทางยาหลากหลาย มีทั้งวิตามินและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนู รวมถึงนำมาต้มเป็นเครื่องดื่ม ใน “น้ำขิง” เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย เช่น วิตามิน A, B1, B2, B3, C เบต้าแคโรทีน ธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน และคาร์โบไฮเดรต มีสรรพคุณช่วยบรรเทารักษาอาการจากโรคต่าง ๆ ได้ดี เช่น บรรเทาอาการหวัด แก้ร้อนใน แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย  ฯลฯ ด้วยประโยชน์มากมายเหล่านี้ แม่ท้องก็สามารถดื่มน้ำขิงในขณะตั้งครรภ์ได้ ช่วยทำให้ร่างกายคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้รับประโยชน์ไปพร้อม ๆ กัน แต่ทั้งนี้ควรเลือกดื่มความเข้มข้นของน้ำขิงในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ให้ออกเผ็ดขิงจนเกินไป ในขณะเดียวกันก็ไม่ควรให้น้ำขิงมีรสหวานจนเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นได้กับแม่ท้องด้วย

น้ําขิงคนท้องกินได้ไหม

12 ข้อที่บอกว่า “น้ำขิง” มีประโยชน์สำหรับท้องนี้

1.ช่วยลดอาการแพ้ท้อง

ในขิงนั้นอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีน้ำมันหอมระเหย จัดว่ามีคุณประโยชน์หลักกับคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องในช่วงไตรมาสแรกได้ดี เพราะการจิบน้ำขิงและกลิ่นหอม ๆ ของขิงจะช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน และลดอาการวิงเวียนศีรษะได้เป็นอย่างดีโดยปราศจากผลข้างเคียง ซึ่งในเรื่องนี้ วิทยาลัยราชแพทย์นารีเวชและสูตินารีเวชของอังกฤษ สูตินารีเวชของประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยเอง ได้มีคำแนะนำสำหรับคุณแม่ที่แพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียน ให้จิบน้ำขิงอุ่น ๆ หรือนำขิงสดมาประกอบอาหารรับประทาน จะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง ช่วยลดความรู้สึกคลื่นไส้ ไม่สบายกาย และทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นได้ รวมทั้งยังช่วยให้แม่ท้องคลายความอ่อนเพลีย ลดความวิตกกังวล และความตึงเครียดของอาการแพ้ท้องลงได้

2.ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน รสร้อนของขิงจะไปช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบไหลเวียนเลือดให้ดีขึ้น เมื่อคุณแม่ดื่มน้ำขิงในช่วงตั้งครรภ์จึงช่วยให้เลือดไหลเวียน ส่งผลให้การทำงานของระบบในร่างกายก็จะดีขึ้น เลือดลมทำงานดี ช่วยให้ทารกได้รับปริมาณเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งในขิงมีธาตุเหล็กสูงที่มีส่วนช่วยบำรุงเลือดทั้งคุณแม่และทารก ช่วยลดความเสี่ยงของโลหิตจาง ป้องกันภาวะซีดหลังคลอด ช่วยปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และช่วยทำให้เลือดแข็งตัวได้ช้าลงอีกด้วย

3.ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด
ในระหว่างตั้งครรภ์แม่ท้องมักมีอาการท้องอืด รู้สึกไม่สบายท้อง ซึ่งเกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร และการขยายตัวของมดลูกที่ไปดันกระเพาะอาหาร ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานลำบากขึ้น ย่อยได้ช้าลง มีลมในกระเพาะมาก มีกรดเกิน การได้จิบน้ำขิงซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับไล่ลมออกจากกระเพาะ ลดกรดเกินในกระเพราะอาหาร ช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อน และช่วยให้ระบบการทำงานของลำไส้เป็นไปได้อย่างปกติ

4.ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยดูดซึมคอเลสเตอรอลออกจากลำไส้และขจัดออกจากร่างกายโดยการขับถ่าย จึงช่วยในการลดระดับไขมันหรือคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องดื่มอีกเมนูหนึ่งสำหรับช่วยคุณแม่ท้องที่ต้องการควบคุมไขมันให้น้อยลงได้เป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้น้ำหนักระหว่างเพิ่มขึ้นมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์

5.ช่วยบรรเทาอาการอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อ
น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นของคุณแม่ในขณะตั้งครรภ์ส่งผลให้ร่างกายต้องแบกรับน้ำหนักและทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ทำงานหนักขึ้น จนทำให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเท้า หรือปวดข้อตามจุดต่าง ๆ การได้ดื่มน้ำขิงจะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยขจัดกล้ามเนื้อเจ็บปวดได้ดีเป็นพิเศษ โดยไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดซึ่งจะดีต่อคุณแม่ตั้งครรภ์

คนท้องดื่มน้ําขิงได้ไหม

6.ช่วยในการดูดซึมสารอาหาร

การดื่มน้ำขิงนั้นจะช่วยให้ร่างกายของคุณแม่ดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ที่คุณแม่ได้รับประทานเข้าไปในระหว่างตั้งครรภ์มาใช้ประโยชน์ในร่างกายได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ที่จะได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และเสริมภูมิคุ้มกันให้กับทารกอีกด้วย

7.ช่วยลดอาการบวม

อาการเท้าบวม มือบวม คอบวม หรืออาจจะบวมทั้งตัว ถือเป็นอาการปกติที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ได้ในช่วงใกล้คลอด การดื่มน้ำขิงจะช่วยขับเหงื่อและน้ำออกจากร่างกาย ช่วยให้อาการบวมลดลงได้

8.ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน

ขิงเป็นสมุนไพรที่มีแคลเซียมสูง การได้จิบน้ำขิงเป็นประจำจะมีส่วนช่วยบำรุงกระดูกและฟันของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ให้แข็งแรง

9.ช่วยลดอาการท้องผูก

ฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายระหว่างการตั้งครรภ์ ส่งผลต่อการทำงานของลำไส้ให้ทำงานได้ช้าลง จึงทำให้คุณแม่ท้องมักประสบปัญหาท้องผูกได้ ในขิงมีใยอาหารสูง การจิบน้ำขิงจึงมีส่วนช่วยบรรเทาอาการท้องผูกลงได้

10.ช่วยเพิ่มความอยากอาหาร

สำหรับคุณแม่ท้องที่มีอาการเบื่ออาหารตอนท้อง จู่ ๆ ก็ไม่อยากกินโดยไม่มีสาเหตุ แม้จะเคยเป็นอาหารโปรดก็ตาม ซึ่งอาการนี้มักจะเกิดในช่วงสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ โดยอาจจะเป็น ๆ หาย ๆ และบางคนอาจเป็นต่อเนื่องไปตลอดการตั้งครรภ์หรือนานกว่านั้น เมื่อรู้สึกเบื่ออาหารให้ลองดื่มน้ำขิง ฤทธิ์ร้อนของขิงจะช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำลายและน้ำย่อย กระตุ้นความอยากอาหาร ซึ่งจะช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ที่กำลังเบื่ออาหารกลับมาเจริญอาหาร อยากกินได้อีกครั้ง

11.ช่วยแก้หวัด

หากคุณแม่เป็นไข้หวัดในช่วงตั้งครรภ์ ปวดศีรษะ ไอ มีเสมหะหรือเจ็บคอ การดื่มน้ำขิงจะมีส่วนช่วยแก้หวัด รักษาอาการป่วยให้หายไวขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งยาและไม่ส่งอันตรายต่อลูกน้อยด้วย แต่ทั้งนี้จะให้ได้ผลดีต่อก็เมื่อเริ่มกินตั้งแต่เริ่มรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นไข้หวัด ก็สามารถต้มน้ำขิงสดดื่มซึ่งจะช่วยขับเหงื่อได้ดีกว่าน้ำขิงสำเร็จรูป น้ำขิงที่สดและใหม่จะมีสรรพคุณทางยาเต็มที่ช่วยทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น จนรู้สึกสบาย ร่างกายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้ไข้ลดลงอีกด้วย

12.ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้คุณแม่และทารกในครรภ์

ในขิงมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีวิตามินซีและธาตุเหล็ก เปรียบเสมือนยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติและเป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ และที่สำคัญยังช่วยลดภาวะความเสี่ยงที่จะเกิดโรคพิการแต่กำเนิดอีกด้วย

คนท้อง กินน้ําขิง

ข้อควรระวังในการดื่มน้ำขิงขณะตั้งครรภ์

แม้ว่าการดื่มน้ำขิงในขณะตั้งครรภ์จะเป็นผลดีต่อร่างกายคุณแม่ แต่เนื่องจากขิงเป็นยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน การดื่มน้ำขิงในปริมาณที่มีความเข้มข้นมากเกินไปบ่อย ๆ จะทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงมากขึ้น อาจทำให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้ เช่น ทำให้คลอดก่อนกำหนด หรือเพิ่มความเสี่ยงในการแท้งบุตรได้ เป็นต้น ดังนั้นคุณแม่ควรจะดื่มน้ำขิงในระดับความเข้มข้นที่พอเหมาะ และไม่เข้มข้นเกินไป หรือมากเกินไปก็จะได้คุณประโยชน์จากน้ำขิงอย่างเต็มเปี่ยมที่ช่วยบำรุงสุขภาพคุณแม่และลูกน้อยได้เป็นอย่างดี

สำหรับคุณแม่ที่มีภาวะเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำขิงแบบสำเร็จรูป เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลผสมอยู่มาก ควรดื่มน้ำขิงสดจากการต้มดื่มเองโดยไม่ใส่น้ำตาล เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้พุ่งสูงขึ้น

จะเห็นได้ว่าน้ำขิงเป็นเครื่องดื่มบำรุงครรภ์ที่มีประโยชน์ที่คุณแม่สามารถดื่มได้ตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในท้องแต่อย่างใด รวมทั้งหลังคลอดก็สามารถจิบดื่มได้เพราะขิงยังช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำนมแม่ให้มากขึ้นได้ดีอีกด้วยนะคะ.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.kapook.comwww.sukkaphap-d.com

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม กินมากไปเสี่ยง 7 โรคกระทบลูกในท้อง

ไขข้อข้องใจ! คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม กินแล้วล้างไข คลอดง่าย ลูกออกมาผิวขาวจริงหรือ?

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พ่อแม่เลิกกัน ควรบอกลูกไหม บอกอย่างไรให้ลูกเข้าใจ ไม่มีปม

Alternative Textaccount_circle
event

พ่อแม่เลิกกัน สร้างปมในใจให้ลูกจริงหรือ? การแยกทางหรือหย่าร้างสร้างความเจ็บปวดให้กับทุกฝ่าย ขนาดกับผู้ใหญ่ยังยาก แล้วลูกที่เป็นเด็กเล็กๆ จะผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างไร และคำถามที่คู่ (เคย) รักคิดไม่ตกคือ เราจำเป็นต้องบอกลูกหรือเปล่า?  “ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นในครอบครัว”  แต่เมื่อสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นและมีผลต่อลูกโดยตรง คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องบอกให้ลูกรับรู้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ พ่อแม่ต้องช่วยให้ลูกผ่านเรื่องนี้ไปได้โดยไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

 จะบอกลูกอย่างไรให้เข้าใจเมื่อ พ่อแม่เลิกกัน 

พ่อแม่เลิกกัน บอกลูกยังไง

วิธีบอกให้ลูกรู้ว่า พ่อแม่เลิกกัน เปรียบเหมือนกับ หอมหัวใหญ่”

เรื่องที่ พ่อแม่เลิกกัน ก็เปรียบเหมือนหอมหัวใหญ่ที่มีกลีบซ้อนกันหลายชั้น เมื่อจะบอกเรื่องราวให้ลูกรู้ต้องค่อยๆทำเหมือนการลอกชั้นหอมออก หมายถึงการบอกเฉพาะสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น และเป็นไปต่อจากนี้ ไม่จำเป็นต้องเล่าทั้งหมด หรืออธิบายความรู้สึกภายในของพ่อแม่ออกมา ส่วนเรื่องที่พูดควรเป็น “เรื่องอนาคต” ไม่ต้องพาดพิงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอดีต หรือกล่าวโทษคนใดคนหนึ่งให้ลูกฟังบอกด้วยภาษาสั้นๆ เข้าใจง่าย บอกความจริงด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่ท่าทีอ่อนโยน เน้นใจความสั้นง่าย เช่น

  • พ่อและแม่ตกลงว่าจะไม่อยู่ด้วยกันแล้ว
  • พ่อแม่รักลูกมากที่สุดเสมอ และจะช่วยกันดูแลลูก
  • ถึงพ่อ/หรือแม่ จะไม่สะดวกดูแลลูก แต่พ่อ/หรือแม่ (อีกคนหนึ่ง) จะรักลูก ดูแลลูก และอยู่กับลูกตลอดไป

ทั้งนี้ พ่อแม่ควรทำใจยอมรับอย่างหนึ่งว่า เมื่อลูกได้ฟังแล้วย่อมมีปฏิกิริยาตอบกลับมาแตกต่างกัน เด็กบางคนอาจยอมรับได้เร็ว ปรับตัวง่าย บรรยากาศในบ้านจึงไม่แย่นัก แต่เด็กบางคนฟังแล้วยอมรับไม่ได้ และอาจมีคำถามตามมาว่า “ทำไม”อยู่หลายครั้ง เพราะลูกอาจไม่เข้าใจ

พ่อกับแม่ไม่ควรตอบกลับด้วยความโมโห หรือต่อว่า เช่น “บอกไปหลายครั้งแล้ว ทำไมยังไม่รู้เรื่องอีก” หรือ “จะถามอีกกี่ครั้ง พ่อ/แม่เบื่อแล้วนะ” เพราะเด็กกำลังรู้สึกกังวล และกลัวอย่างมากว่าจะไม่มีใครรัก ไม่มีใครดูแลตัวเขาต่อไปเมื่อ พ่อแม่เลิกกัน

พ่อแม่เลิกกัน

“6 อย่าทำ” พฤติกรรมแบบนี้ไม่ดีกับลูก

อย่าโทษว่าใครเป็นคนผิด

ไม่ว่าพ่อหรือแม่เป็นฝ่าย “ผิด” ที่ทำให้ต้องยุติความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา ก็ไม่ควรหยิบเรื่องนี้มาขุดคุ้ย หรือกล่าวโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะต่อหน้าลูก เพราะทำให้เด็กโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุของการหย่าร้าง ความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้นกับเด็กวัยเล็กวัยก่อน 8 ขวบ

สิ่งที่พ่อแม่ควรทำมากที่สุด คือการย้ำให้ลูกฟังด้วยน้ำเสียงจริงใจและอ่อนโยนว่า “เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะลูก” แต่เกิดจากพ่อกับแม่สองคนเท่านั้น

อย่าให้ลูกต้องเลือกข้าง

ความผิดพลาดที่พ่อแม่กำลังร้างลากันทำบ่อยๆ คือ ให้ลูกมีส่วนตัดสินใจเกี่ยวกับปัญหานี้ เช่น “ถามลูกว่าจะอยู่กับพ่อหรือแม่”  เพราะยิ่งทำร้ายความรู้สึกลูก เด็กรู้สึกลำบากใจที่ต้องเลือก ไม่ว่าจะเป็นพ่อหรือแม่ ลูกรักพ่อและแม่ไม่ต่างกัน ฉะนั้นพ่อแม่จำเป็นตัดสินใจเรื่องลูกให้เบ็ดเสร็จ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดต่อตัวลูกเป็นหลัก อย่าลืมว่า เด็กๆไม่สามารถตัดสินใจได้องว่าอะไรคือทางเลือกดีที่สุดสำหรับตัวเองในอนาคต

สิ่งเดียวที่เด็กมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ คือการรับรู้ถึงการตัดสินใจของพ่อแม่ กรณีที่ลูกโตพอแล้วอาจความรู้สึก หรือพูดทำความเข้าใจกับลูก แต่ต้องไม่โยนให้ลูกเลือกข้างเป็นอันขาด

พ่อแม่เลิกกัน ลูกเจ็บปวดที่สุด

อย่าโกหก

คำโกหกไม่เป็นผลดีกับใคร สุดท้ายลูกต้องรู้ความจริงในสักวัน และเมื่อนั้นลูกจะผิดหวัง และสูญเสียความเชื่อมั่นต่อพ่อแม่ในทันที ยิ่งในช่วงเวลาลำบากแบบนี้ ความรักที่จริงใจ การบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมาจะทำให้ลูกรู้สึกดีกว่าว่ายังเชื่อใจพ่อแม่ได้ หลายคู่เลือกจะปกปิดไว้เพราะกลัวลูกเสียใจ แต่ผลลัพ์ที่ตามอาจเลวร้ายกว่า อย่าลืมว่า เด็กสนใจกับสิ่งเกิดขึ้นปัจจุบัน เข้าใจความจริงได้ง่ายกว่าการหลอกลวง อีกไม่นานเขาก็จะสามารถปรับตัวให้อยู่กับความจริงนี้ได้

อย่าบอกความลับ

การใช้ลูกมาเป็นพวกเพื่อเงื่อนไขบางอย่างด้วยวิธีการ เล่าความลับบางอย่างให้ลูกฟัง แล้วให้ปิดบังอย่างให้อีกฝ่ายรู้ เช่น “อย่าบอกแม่นะ ว่าพ่อมาหาที่โรงเรียน” หรือ “อย่าบอกพ่อนะว่าแม่ซื้อเสื้อตัวใหม่ให้” ถึงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่จะทำให้ลูกรู้สึกสับสนและตั้งคำถามกับคุณธรรมเรื่องความซื่อสัตย์ ซึ่งมีผลอย่างมากต่อทัศนคติและการกระทำของลูกในอนาคต

อย่าพูดจาเชิงลบ

แม้ว่า พ่อกับแม่เลิกกัน แล้วแต่ก็ไม่จำเป็นต้องด่าทอ พูดจาด้วยความไม่สุภาพ หรือปฏิบัติไม่ดีต่อกัน เพราะทำให้ลูกรู้สึกว่าสิ่งนี้ทำให้พ่อแม่ไม่รักกัน ต้องสูญเสียครอบครัว จนไม่อยากพูดคุย หรือเล่นสนุกกับพ่อแม่เหมือนเดิม หากปล่อยให้บรรยากาศของบ้านเป็นเช่นนี้  ลูกจะไม่รู้สึกว่า “บ้าน” คือที่พักใจของเขาอีกต่อไป ซึ่งส่งผลเสียอย่างมากเมื่อโตขึ้น

อย่าให้ลูกเป็น “สะพาน”

พ่อแม่ที่เลิกรากันด้วยความรู้สึกไม่ดี จนไม่อยากพูดคุยกันตรงๆ แต่ให้ลูกมาทำหน้าที่เป็น “นกพิราบสื่อสาร” เพื่อให้อีกฝ่ายทำตามที่ตัวเองต้องการ เช่น บอกลูกให้โทรตามพ่อกลับบ้าน หรือ ฝากคำเย้ยหยัน ประชดประชันไปบอกอีกฝ่าย ลูกจะตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง สะสมเป็นความเครียดและยิ่งทำให้สุขภาพจิตของลูกที่ต้องเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตแย่ลงไปอีก

แม้การหย่าร้างจะเป็นเรื่องลำบากสำหรับทุกคนในครอบครัว ก่อนจะตัดสินใจทำอะไร ขอให้คุณพ่อคุณแม่ถือประโยชน์ของลูกเป็นที่ตั้ง ทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี เพราะสุดท้ายแล้ว ไม่ว่าสถานภาพของ “สามี-ภรรยา” จะเปลี่ยนไป แต่ความเป็น “พ่อ แม่ ลูก” จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง

 


แหล่งข้อมูล นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์, www.kidspot.com.au, www.psychologytoday.com

 

7 ข้อทำร้ายใจลูกเมื่อ พ่อแม่นอกใจกัน

5 พฤติกรรมพ่อแม่ ทำลูกเครียดร้องไห้

สร้างความมั่นใจให้ลูก…เมื่อพ่อแม่ต้องแยกทาง

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

คำคมชีวิตคู่

รวม 100 คำคมชีวิตคู่ คำคมกวน ๆ ซึ้ง ๆเพิ่มดีกรีความหวาน

Alternative Textaccount_circle
event
คำคมชีวิตคู่
คำคมชีวิตคู่

รวม คำคมคู่ชีวิต คำคมชีวิตคู่ คติสอนใจชีวิตคู่ เพื่อให้คุณและคู่ชีวิตเข้าใจความรักและความสัมพันธ์มากขึ้น คาถาเพื่อคู่รักให้ครองรักยาวนาน เพิ่มดีกรีความหวาน

รวม 100 คำคมชีวิตคู่ คำคมกวน ๆ ซึ้ง ๆเพิ่มดีกรีความหวาน

“ขอบคุณมาก ๆ นะ สำหรับการเตือนสติ ที่มาทันเวลาพอดี ก่อนจะตัดสินใจ”

“อ่านแล้วรู้สึกดี เราจะพยายามปรับตัวใหม่ดูบ้าง”

“คำคมนี้ใช่เลย บอกถึงความรักของเราได้ดี”

ใครว่าคำคม เป็นเพียงแค่แคปชั่นเท่ห์ ๆ ไร้สาระ คนเราบางครั้งการได้มีอะไรมาเตือนสติ หรือช่วยให้หวนรำลึกความรักครั้งยังข้าวใหม่ปลามัน มันก็ช่วยให้ความรู้สึกดี ๆ หวนกลับมาช่วยเติมเต็มความรักของเราสองให้กลับมาหวานชื่นดั่งเดิมได้เช่นกันนะ

เมื่อคน 2 คนมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ร่วมทุกข์สุขมาด้วยกัน แน่นอนว่าระหว่างทางเดินนั้น ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ด้วยทิฐิอาจทำให้เราไม่ยอมหันหน้ามาคุยกัน เพื่อให้ความรักของคน 2 คน มีความเข้าใจกันและกันมากขึ้น รู้จักการให้อภัยกันมากขึ้น ทีมแม่ ABK ขอรวม คำคมคู่ชีวิต คำคมชีวิตคู่ มาเพื่อเป็นข้อคิด สะกิดใจ ให้ความรักของคุณทั้งคู่ได้ทบทวนถึงความหลังเมื่อครั้งยังหวาน เตือนสติ แถมเพิ่มดีกรีความรักให้มากยิ่งขึ้นได้อีกด้วย

คำคมชีวิตคู่ ปลุกความหวานยามแรกรัก
คำคมชีวิตคู่ ปลุกความหวานยามแรกรัก

1 – 10 คำคมคู่ชีวิต คิดแต่สิ่งดี ๆ

ไม่มีความสัมพันธ์ไหนที่จะสว่างสดใสได้ตลอด อยู่ที่คนสองคนต่างหากว่าจะสามารถฝ่าพายุภายใต้ร่มคันเดียวกันได้หรือไม่
ความสัมพันธ์ที่แท้จริงคือการที่คนไ่ม่สมบูรณ์แบบสองคนต่างก็ไม่ยอมแพ้ เลิกราต่อกันอย่างง่ายดาย
อย่ารอที่จะให้คนดี ๆ คนที่ใช่ เข้ามาในชีวิต แต่จงทำให้ตัวเองเป็นคนดี ๆ คนที่ใช่ ที่เดินเข้าไปในชีวิตใครสักคน
เวลาที่เราบอกรัก ไม่ได้บอกเพื่อให้ได้ยินคำว่ารักกลับคืน แต่บอกเพื่อให้เธอรู้ว่ารักต่างหาก
ความสัมพันธ์ที่ดีควรมี 2 อย่างนี้ คือ 1 ชื่นชมในความเหมือนกัน 2 เคารพในความแตกต่างของอีกฝ่าย
ความสัมพันธ์ที่ดีต้องใช้เวลา ใช้การสื่อสารที่ดี ใช้ความเข้าใจ และใช้ความซื่อสัตย์
จงตกหลุมรักข้างในจิตใจและจิตวิญญาณ ไม่ใช่หน้าตาและความสวยงาม
การมีคู่ชีวิต เป็นเหมือนสถานที่พักใจให้อบอุ่นปลอดภัย
เราทุกคนล้วนเคยทำความผิด แต่อย่าถือเอาความผิดพลาด (เพียงครั้งสองครั้ง) มาเป็นเหตุผลในการเลิกรักใครสักคน
ความสัมพันธ์ก็เหมือนกับบ้าน เมื่อไฟในบ้านเสีย เราไม่ไปซื้อบ้านใหม่หรอก เราแค่ซ่อมไฟที่เสียนั้นก็พอ
แคปชั่นชีวิตคู่ กวน ๆ ฮา ๆ
แคปชั่นชีวิตคู่ กวน ๆ ฮา ๆ

11 -20 คำคมชีวิตคู่ สอนการใช้ชีวิตคู่

ตัวเลือกคือสิ่งที่ทุกคนอยากมี แต่ไม่มีใครอยากเป็น
ชีวิตคู่มันมีอะไรมากกว่าคำว่ารัก
ความรักไม่ใช่สองคนต่างหาคนที่จะมาเติมเต็ม แต่มันคือ การที่สองคนเติมเต็มตัวเองเป็นแล้วมาร่วมเดินทางไปด้วยกัน
เราอาจจะรู้วันที่เราเกิด แต่ไม่มีใครรู้วันตาย ทุกคนล้วนมี “เวลาที่จำกัด” ในการที่จะรักกัน ยิ่งใช้เวลารู้สึกไม่ดีต่อกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหลือเวลาที่รักกันน้อยลงเท่านั้น
คนเราเมื่อคิดจะพัก ก็ต้องพักให้ถูกที่ ถ้าพักผิดที่เมื่อไหร่เราก็จะไม่มีความสุข การที่เราเลือกคู่ชีวิตก็เหมือนกัน ควรเลือกคนที่ใช่ ไม่ใช่เลือกคนที่ชอบ….
ชีวิตคู่ อย่าใช้คำว่า “ทน” กับปัญหา ให้ใช้คำว่า “เรียนรู้..และแก้ไข” ไปด้วยกัน
สุดท้ายความสำคัญของชีวิตคู่ มันไม่ได้สุดที่การแต่งงานหรอก แต่มันคือความสุขจากความสัมพันธ์ ที่จะจับมือพากันไป จนแก่ด้วยกัน
การที่เรามีคนรัก เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความรักเท่านั้น ส่วนความรักจะยืนยาวแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการใส่ใจ ห่วงใย ดูแลกัน
เมื่อรักแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหน ความรักก็ยังอยู่เหนือทุกสิ่ง
คบด้วยเงิน เงินหมดเขาก็ไป คบด้วยใจไม่มีอะไรเขาก็อยู่

 

21 – 30 คำคมชีวิตคู่ แง่คิดเตือนใจ

ทุกคนมีโอกาสที่จะได้มีชีวิตคู่ แต่จะมีสักสองสามคนที่จะได้เจอคู่ชีวิต
เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ แต่ต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมามันสอนอะไรมาบ้าง
คนรักกัน มันต้องมีบ้างที่ต้องทะเลาะผิดใจกัน แต่ท้ายที่สุดยังคิด…จะอยู่ด้วยกันอีกไหม? นั่นสำคัญที่สุด!!!
ทะเลาะกันแค่ไหนก็ได้ แต่..อย่าปล่อยให้ค้างคา จนเรื่องมันข้ามคืน
ขอบคุณทุก ๆ อย่างที่ทำให้เรามาเจอกัน วันหน้าจะเป็นยังไงก็ไม่รู้… รู้แค่วันนี้ฉันมีเธออยู่ข้าง ๆ ก็พอ
มองข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆว่าเป็นเรื่องดี ถ้าหากเขาดีกว่านี้ รับรองได้แต่ละปีมีศัตรูเพิ่มแน่นอน
คนสองคนคบกัน…คนสองคนทะเลาะกันต่อให้มีคำแนะนำ จากหลายคน ก็จะมีแค่คนสองคน ที่ต้องเคลียร์กันเอง
ไม่ได้หวังจะเจอรักที่สมบูรณ์แบบ แค่หวังจะได้เจอรักที่ยอมรับในความ ไม่สมบูรณ์แบบของกันและกันได้ และรักในแบบที่ตัวเราเป็นเรา
ไม่ว่าตอนนี้ชีวิตจะเจอกับอะไรอยู่อดทนหน่อยนะเดี๋ยวมันก็ผ่านไป
อย่ารอที่จะเห็น “คุณค่า” ของใคร ในเวลาที่ “สูญเสีย” เค้าไปแล้ว เพราะ “ความรู้สึก” ก็เหมือนกับแก้ว ถ้าแตกแล้ว แม้ “ซ่อมได้” มันก็ “ไม่เหมือนเดิม…!!!

 

คำคมชีวิตคู่ คาถาครองรักยืนยาว
คำคมชีวิตคู่ คาถาครองรักยืนยาว

31 – 40 คำคมชีวิตคู่ของสองเรา

รักไม่มีคำว่า “ถ้า” คำว่า “เพราะ” รักมีแต่คำว่า “ไม่ว่าจะยังไง”, “แม้ว่า” และ “ทั้ง ๆ ที่” ต่างหาก
การตกหลุมรักน่ะง่าย สิ่งสำคัญกว่าคือการดำรงความรักนั้นไว้ต่างหาก
ความรักมักจะหวานตอนแรกเริ่ม แต่จะหวานกว่าหากรักนั้นเป็นรักแท้
สำหรับชีวิตคู่ อย่าพยายามทำทุกอย่าง คนเดียว
ชีวิตคู่ไม่ได้แฮปปี้ทุกวัน ขอแค่ไม่ทอดทิ้งกันในวันที่ทุกข์ใจ
คนหนึ่งร้อย อีกคนต้องเย็น มันถึงจะอยู่ด้วยกันรอด
อาจไม่เสมอต้นเสมอปลายนัก แต่ยังคงรักไม่เปลี่ยนแปลง
ถ้ามัวแต่อุ้มอดีตไว้ แล้วจะเอามือที่ไหนไปคว้าอนาคต
คนรักกัน ต้องยอมทิ้งพยศ ลดมานะ ละทิฐิ ทิ้งความเป็นเธอ ทิ้งความเป็นฉัน แล้วหลอมกันเป็นเรา
“คู่ชีวิต” ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่สมบูรณ์ทุกอย่าง แต่ควรเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วทำให้รู้สึกว่า “ทุกอย่างสมบูรณ์”
ลิ้นกับฟัน ทะเลาะเบาะแว้งของคู่รัก เรื่องธรรมดาที่ไม่ควรปล่อยผ่าน
ลิ้นกับฟัน ทะเลาะเบาะแว้งของคู่รัก เรื่องธรรมดาที่ไม่ควรปล่อยผ่าน

41 – 50 คำคมชีวิตคู่ เพิ่มดีกรีความหวาน

ความลับของชีวิตแต่งงานที่มีความสุข คือ จงยอมรับผิดเมื่อคุณเป็นฝ่ายผิด แต่จงเงียบไว้เมื่อคุณเป็นฝ่ายถูก
ชีวิตคู่ไม่จำเป็นต้องมีทุกอย่างหรอก แค่คุณอยู่กับใครแล้วมีความสุข แค่นั้นก็พอแล้ว
ความรักเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่จะมีสักกี่คนที่เดินเคียงคู่กันไปจนตลอดชีวิต
อะไรที่ไม่ใช่ จะพยายามยังไงก็ไม่ชอบ ดังนั้น อย่าเปลี่ยนอะไรที่ไม่ใช่เรา จงให้เขารักเราที่เราเป็นตัวเอง แล้วความสุขจะตามมา
ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนเวลาจะพรากไป ใส่ใจคนที่อยู่ข้าง ๆ กายก่อนที่จะไม่มีใครอยู่ข้าง ๆ เรา
สุดท้ายความสำคัญของชีวิตคู่ มันไม่ได้สุดที่การแต่งงานหรอก แต่มันคือความสุขจากความสัมพันธ์ที่จะจับมือพากันไป จนแก่ด้วยกัน
ยิ่งให้เวลาอยู่ด้วยกันมากแค่ไหน ความผูกพันมันก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
บอกรักกันในวันที่มีโอกาส เพราะไม่รู้ว่าเราจะจากกันวันไหน
ปอดโดนทำลายเพราะโควิด แต่การไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ชีวิต ทำลายลึกถึงหัวใจ
การเลือกคู่ชีวิต เป็นเรื่องสำคัญ …ถ้าเลือกผิด “ชีวิตเปลี่ยน” จนกว่าจะเลิกแล้วหาใหม่ที่ดีกว่า

 

คำคมชีวิตคู่ คติสอนใจชีวิตคู่
คำคมชีวิตคู่ คติสอนใจชีวิตคู่

51 – 60 คำคมชีวิตคู่รู้ไว้อยู่ยาว

เรื่องที่ทะเลาะกันส่วนใหญ่ก็เรื่องเดิม ๆ ถ้าไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไข มันก็ไปกันไม่รอด
อะไรที่ไม่ดี ก็ต้องปรับปรุงให้มันดีขึ้น ไม่ใช่ปล่อยให้มันเป็นเรื่องที่ซ้ำซากน่าเบื่อ
ผู้ชายที่ดูดีที่สุด “คือผู้ชายที่รู้จักหยุด” ที่ผู้หญิงเพียงคนเดียว
เรื่องกินไม่เคยยอมแพ้ แต่เรื่องรักแท้ทำไม “แพ้เธอ”
สิ่งที่ยากกว่าการรักกัน คือ ทำยังไงให้ทุกวันไม่รักกันน้อยลงไปกว่าเดิม
ถึงแม้ว่าเราจะทะเลาะกันบ่อยแค่ไหน ฉันก็ยังอยากให้เธออยู่ในชีวิตของฉันอยู่ดี
ปล่อยวางบ้างแล้วชีวิตจะมีความสุข…อย่าไปกำมันไว้แน่นมันอาจจะเสียสิ่งดี  ๆ ไป
คนพิเศษไม่ใช่แค่คนที่ทำให้เรายิ้มเวลามีเขาอยู่ใกล้ๆ แต่เป็นคนที่เรานึกถึงทีไรเราก็จะยิ้มออกมาได้แม้ข้างกายจะไม่มีเขาอยู่ก็ตาม
บางอย่างไม่ได้มีไว้ครอบครอง แค่ได้มองก็เป็นสุขใจ
อย่าทิ้งคนที่รักและซื่อสัตย์กับคุณ เพียงเพราะเขาไม่น่ารักเหมือนวันแรกที่คบ เพราะหากคุณทิ้งไปแล้ว คุณจะไม่มีทางพบรักแท้อีกแน่นอน

61 – 70 คำคมชีวิตคู่ กวนๆ

คนที่ปากดีในวันนั้น คือคนที่มานั่งคิดถึงกันในวันนี้
หลงผิดยังมีโรงพัก หลงรักจะพักที่ไหน
ถ้าอยากให้เขาดูแลแสดงว่า “เหงา” ถ้าอยากดูแลเขาแสดงว่า “รัก”
กินอาหารก็ต้องรอคิว ถ้าอยากได้รักชิว ๆ ต้องมาหาพี่
ทุกอย่างบนโลกนี้ดูยาก แต่ตกหลุมรักเธอ ทำไมง่ายจัง
เบื่อจังความโสด อยากอยู่ในโหมดมีแฟน
เมษาอะหน้าร้อน แต่เธอขี้อ้อนอะน่ารัก
ไม่มีหุ่นเพรียว ๆ ให้เธอหลงใหล มีแต่อวบ ๆ ใส ๆ ให้เธอหลงรัก
สงกรานต์ปีนี้ถ้าไม่มีที่ไป มาอยู่ในใจเราก่อนก็ได้นะ
เป็นคนแฟร์ ๆ ถึงดูไม่แคร์ แต่ก็รักนะ
แคปชั่นคู่รัก
แคปชั่นคู่รัก

71 – 80 คำคมชีวิตคู่ ฮาๆ

ถึงผมจะไม่ใช่พี่มาก แต่ผมก็รักพี่มากนะครับ
ไหนบอกว่าอ้างว้าง เมื่อคืนไปค้างที่ไหนมา
แอบส่องเป็นสิบรอบ เพราะคำว่า “ชอบ” แค่คำเดียว
ให้เบื่อง่าย ๆ คงยาก พอดีรักมากซะด้วย
อยู่คนเดียวมันอ้างว้าง รับสมัครคนเคียงข้าง 1 อัตรา
เลิกคุยทั้งอำเภอ หรือเพราะเธอไม่มีเน็ตกันแน่
ไม่ได้วิ่งตามผู้ชาย แค่ออกกำลังกายเท่านั้นเอง
ไม่สวย ไม่ออร่า แต่ตัวข้า รักออเจ้า
ถึงหน้าตาเราจะเกเร แต่เราไม่เทเธอแน่นอน
สิ่งที่อยากได้คือใจ สิ่งที่ห่วงใยคือเธอ

 

81 – 90 คำคมชีวิตคู่ ฮาๆ กวน ๆ

เราไม่ได้เลือกคนที่หน้าตา แต่เลือกคนที่พร้อมชราไปด้วยกัน
คนที่ออกสื่อนะ “ตัวหลอก” แต่คนที่ไม่บอกอะ “ตัวจริง”
เขียนโปรแกรมเจอแต่ bug แต่เจอเธอปั๊บ อยากจะรักเธอจังเลย
กันฝุ่นต้องใส่หน้ากาก กันรักพลัดพรากต้องใส่ใจ
อาหารปลาต้องซากุระ แต่รักนะคะต้องซารางเฮโย
ถ้าขี้เกียจเรียนในโดด ถ้าขี้เกียจโสดให้มาทางนี้
เราอะหน้าเหมือนหมู แต่เนื้อคู่อะหน้าเหมือนเธอ
เป็นคนตลก แต่ไม่ตลอด แต่ว่า “น่ากอด” อะตลอดเวลา
ชื่อเราอาจจะไม่เพราะ แต่เราเหมาะกับนามสกุลเธอนะ
จงเอาชนะความชั่ว ด้วยความชั่วที่เหนือกว่า จงเอาชนะความชรา ด้วยคนที่พร้อม “ซ่า” ไปกับเรา
คำคมชีวิตคู่ รักเราไม่เก่าเลย
คำคมชีวิตคู่ รักเราไม่เก่าเลย

91 – 100 คำคมชีวิตคู่ โดนๆ

เงินพี่อาจมีน้อย แต่ใจพี่มีเกินร้อยนะคนดี
ไม่รักอย่าแซว เด็กแนวไม่ชอบ ไม่รักอย่าหยอก เดี๋ยวจะโดนข้อศอกเด็กแนว
คนอะไรน่ารักเป็นบ้า สงสัยหลุดมาจากศรีธัญญาแน่นอน
ไม่ได้ดีไปกว่าใคร แต่ถ้ารักใคร หมดใจเท่าที่มี
เราเป็นคนรักธรรมชาติ บางทีขึ้นเขา บางทีให้เขาขึ้น
หัวใจไม่ว่าง เพราะมีเธอคนข้างๆ จองแล้ว
วาเลนไทน์มีวันเดียว แต่รักเธอคนเดียวอะมีทุกวัน
อดีตเป็นไงไม่สำคัญ แต่ปัจจุบันขออยู่เคียงข้างเธอ
ฝนตกเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ผมรักคุณมากเป็นเรื่องพิเศษ
ประเทศไทยมีหลายอำเภอ แต่ฉันสิ เฮ้อ! มีเธอคนเดียว

ความหมายของการใช้ชีวิตคู่ อาจเริ่มต้นด้วยความรัก แต่หลังจากนั้น คู่ชีวิตแต่ละคู่จะต้องมีความเข้าใจ การให้อภัย ความอดทน และ การให้เกียรติกัน ถึงจะทำให้ชีวิตคู่นั้น ๆ มีความมั่นคงและยืนยาว ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ทำยากใช่ไหมล่ะคะ เพราะว่าการที่คน 2 คนที่มาจากที่ที่ต่างกัน มีนิสัยที่ต่างกัน แน่นอนว่าจะต้องมีการทะเลาะกันและไม่เข้าใจกันบ้าง ดังนั้นหากเราอยากคงความรักของเราให้ยืนยาว ลองมาดูหลักในการใช้ชีวิตคู่  12 ประการ นำมาปรับใช้เป็นคติประจำใจกันดูดีไหม

หลัก 12 ประการในการใช้ชีวิตคู่

1. ยอมรับซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งสำคัญเบื้องต้นของการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน เพราะการที่คนสองคนต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันตลอดชีวิต ต้องเห็นหน้ากันทุกวัน ต้องมีกิจกรรมทุกวันร่วมกัน ต้องปรึกษาหารือกันทุกวัน แก้ปัญหาร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การยอมรับกันในทุกแง่มุมจะช่วยให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันโดยไม่ขัดแย้งทางความคิดและอารมณ์

2. อย่าคาดหวังว่า “คู่ครองของคุณ” จะสมบูรณ์แบบ เพราะไม่มีใครที่จะสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด แม้แต่ตัวของเราเองยังมีทั้งจุดที่ดีและไม่ดี การมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจำเป็นต้องเรียนรู้ ที่จะพึงพอใจกับข้อดีของกันและกัน ยอมรับข้อเสียของกันและกัน เราไม่สามารถคาดหวังว่าเราจะเข้ากันได้กับคู่ครองของเราทุก ๆ เรื่อง หรือ จะไปคาดหวังให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการ แต่ต้องอาศัยวิธี “การปรับตัว” เข้าหากัน

3. รู้จักที่จะสื่อสารกัน การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญอีกสิ่งหนึ่งของชีวิตคู่ เพราะการสื่อสารเป็นการใช้ภาษาเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจความคิด ความรู้สึก และความต้องการของกันและกัน

หลักการใช้ชีวิตคู่ มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง
หลักการใช้ชีวิตคู่ มีเวลาอยู่ด้วยกันบ้าง

4. รู้จักขอโทษอีกฝ่าย เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดพลาดไป จงคิดไว้เสมอว่าไม่เคยมีใครไม่เคยทำผิดพลาด ฝ่ายที่ทำผิดเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ควรรู้จักขอโทษ ส่วนอีกฝ่ายก็ควรรู้จักการให้อภัย  ไม่เก็บความโกรธแค้นขุ่นเคืองไว้ในใจ

5. มีเวลาอยู่ร่วมกัน การมีเวลาอยู่ร่วมกัน จะทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีเวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ยอมรับและปรับตัวเข้าหากัน แม้ในสมัยนี้ที่ต่างคนต่างต้องทำงานนอกบ้าน เวลามีให้กันอาจจะไม่มากนัก แต่ทั้งคู่สามารถทำให้เวลาที่มีอยู่ในแต่ละวันมีคุณภาพอย่างแท้จริง โดยการทำกิจกรรมที่พอใจและมีความสุขร่วมกัน

6. เพศสัมพันธ์ในชีวิตคู่ การสร้างความสมดุลในเรื่องเพศสัมพันธ์ ย่อมนำมาซึ่งความพึงพอใจของคู่สมรส และถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ชีวิตคู่ราบรื่นและเป็นสุข คู่สมรสจำเป็นต้องเรียนรู้ความต้องการของกันและกัน รู้ว่าคู่ของเราชอบหรือไม่ชอบอะไร แบบไหนที่ทำให้คู่ของเรามีความสุข เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงความสัมพันธ์ทางเพศให้พึงพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย

7. เรียนรู้และทำความเข้าใจธรรมชาติความแตกต่างระหว่างเพศชายเพศหญิง เพราะความแตกต่างระหว่างเพศส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมต่างกัน ธรรมชาติผู้ชายจะชอบใช้เหตุผล ไม่สนใจเรื่องความรู้สึกมีความสุขุมนิ่งและแข็งแรงมากกว่า ต้องการความเป็นส่วนตัว กลัวการขาดอิสระ แต่ต้องการดูแลเอาใจใส่ ถืออำนาจ เกียรติและศักดิ์ศรี ต้องการเป็นผู้นำ ไม่ชอบพูดเรื่องไร้สาระ ไม่ชอบการถูกตำหนิ การบ่น ในขณะที่ผู้หญิงจะมีลักษณะตรงกันข้าม แต่หากมองว่านี่คือธรรมชาติที่แตกต่างกัน และพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากันได้และรู้จักใช้ส่วนดีของแต่ละฝ่ายที่ธรรมชาติสร้างมา เมื่อนั้นชีวิตคู่จะมีความสุข

8. รู้จักภาระหน้าที่ในครอบครัว สามี ภรรยาจะมีบทบาทและหน้าที่ของตนเอง โดยทั่วไปทั้งคู่จะมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการเป็นสามีภรรยา การหาเลี้ยงชีพ ทำงานบ้าน และเลี้ยงลูก ดังนั้นจึงควรคุยกันว่าแต่ละฝ่ายมีบทบาทหน้าที่ดังกล่าวมากน้อยเพียงใดและอย่างไร

การพูดคุยในเรื่องเพศสัมพันธ์ ช่วยเพิ่มความเข้าใจ
การพูดคุยในเรื่องเพศสัมพันธ์ ช่วยเพิ่มความเข้าใจ

9. จัดการกับความขัดแย้ง ความขัดแย้งถือเป็นเรื่องปกติของการใช้ชีวิตคู่ ดังนั้นเมื่อเกิดความขัดแย้ง การพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะจะนำไปสู่การหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน จุดสำคัญในการพูดคุย ไม่ควรพูดคุยกันในขณะที่อารมณ์โกรธ เพราะจะนำไปสู่การโต้ถียงกันมากกว่า ควรรอให้ต่างฝ่ายต่างอารมณ์เย็นแล้วมาพูดคุยปรับความเข้าใจและร่วมกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

10. เสริมความรักให้เติบโต การใช้ชีวิตคู่นั้นเริ่มมาจากคนสองคนรักกัน ดังนั้นความรักจึงเป็นพื้นฐานในการอยู่ร่วมกัน กันมีความรักให้แก่กัน จะช่วยให้คนสองคนมีความเข้าใจกันมากขึ้น ยอมให้อภัยกันมากขี้นได้

11. บริหารจัดการเรื่องการเงิน เพราะปัญหาเรื่องการเงินมักเป็นปัญหาใหญ่กับคู่ชีวิต ดังนั้นทั้ง 2 คนจึงควรทำความตกลงถึงการใช้จ่ายเงินในด้านต่าง ๆ

12. มีชีวิตเป็นของตนเองด้วย ระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีใครอยากรักหรือผูกผันกับคนที่ไม่รักแม้แต่ตนเอง การดูแลตนเองเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากคุณรู้จักดูแลตนเอง คุณก็จะมีความพร้อมที่จะดูแลคนรักได้ดีเช่นกัน

คำคมชีวิตคู่ แม้เป็นเพียงแค่ตัวหนังสือ แต่หากเราลองค่อย ๆ อ่านในยามโกรธ หรือลองคิดทบทวนตามแต่ละความหมาย และตัวอักษร บางทีประโยชน์ดี ๆ ที่ซ่อนอยู่ในตัวหนังสือเหล่านั้น อาจเป็นคาถาชั้นดีที่จะช่วยให้คุณค้นพบคำว่า “รักเราไม่เก่าเลย”

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : twitter.com, sistacafe.com, สำนักพัฒนาสุขภาพจิต

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

จงเลี้ยงลูกให้มีเยื่อใยต่อกัน เพราะมันคือจุดเริ่มต้นของคำว่าครอบครัว

10 คำพูดร้าย ทำลายครอบครัว

คำคมความรัก 2021 รวมแคปชั่นโดน ๆ คำคมเด็ด ๆ

รวม คำคมครอบครัว คำคมชีวิตครอบครัว อ่านแล้วโดนใจ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ลงทะเบียนกลุ่มเปราะบาง

ไขข้อสงสัย ลงทะเบียนกลุ่มเปราะบาง ให้ลูกต้องทำอย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
ลงทะเบียนกลุ่มเปราะบาง
ลงทะเบียนกลุ่มเปราะบาง

หลังจากที่รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาสำหรับกลุ่มเปราะบางโดยการเพิ่มเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดให้กับครอบครัวที่ยากจนเป็นจำนวน 3,000 บาท มีคุณแม่ที่อยากรู้ว่าการ ลงทะเบียนกลุ่มเปราะบาง ต้องทำอย่างไร และหากไม่เคยลงทะเบียนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไว้ จะสามารถลงทะเบียนได้อยู่หรือไม่ ทีมแม่ ABK หาคำตอบมาฝากคุณแม่แล้วค่ะ

ลงทะเบียนกลุ่มเปราะบาง ให้ลูก มีขั้นตอนอะไรบ้าง 

เงินเยียวยาสำหรับกลุ่มเปราะบางคืออะไร? 

เงินเยียวยากลุ่มเปราะบาง คือ เงินเยียวยาที่รัฐบาลให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม สำหรับกลุ่มคนที่เข้าถึงปัจจัยพื้นฐานทางสังคมในการดำรงชีวิต เข้าไม่ถึงบริการทางสังคม เดิมเรียกว่า กลุ่มด้อยโอกาส ได้แก่

  • เด็กจากครอบครัวยากจน ตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึง 6 ขวบ ประมาณ 1.45 ล้านคน
  • ผู้สูงอายุ ประมาณ 9.66 ล้านคน
  • ผู้พิการ มีจำนวน 2 ล้านคน

ได้รับเงินเท่าไหร่? 

คนกลุ่มนี้จะได้รับเงินรายละ 1,000 บาทต่อเดือน นานต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ พ.ค. – ก.ค. 2563) โดยจะเริ่มจ่ายในเดือน มิ.ย. จำนวน 2,000 บาท (เป็นการสมทบงวดเดือนพฤษภาคมจ่ายพร้อมกับเดือนมิถุนายน) และให้ต่อในเดือน ก.ค. อีก 1,000 บาท

หมายความว่า หากคุณแม่เคยลงทะเบียนเพื่อรับเงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 600 บาทต่อเดือนแล้ว และได้รับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบางด้วย ก็จะได้รับเงินในเดือนมิถุนายนรวม 2,600 บาท และเดือนกรกฎาคม รวม 1,600 บาท

เงินอุดหนุน
เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด – 6 ปี

ลงทะเบียนกลุ่มเปราะบาง เพื่อรับเงินเยียวยาต้องทำอย่างไร?

การจ่ายเงินเยียวยาครั้งนี้เป็นการเพิ่มจากเงินอุดหนุนที่กลุ่มเปราะบางได้รับอยู่แล้ว ได้แก่ เงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เดือนละ 600 บาท, เบี้ยความพิการ เดือนละ 1,000 บาท และเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เดือนละ 600-1,000 บาท ซึ่งผู้ที่ได้รับสิทธินี้อยู่แล้วไม่ต้องลงทะเบียนใด ๆ  เพิ่มเติม เนื่องจากกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์มีฐานข้อมูลอยู่แล้ว

สำหรับผู้ที่มีรายชื่อรับเงินจากโครงการอื่น ๆ เช่น เราไม่ทิ้งกัน เยียวยาเกษตรกร จะได้รับสิทธิเยียวยากลุ่มเปราะบางด้วยหรือไม่นั้น จะต้องรอมติจาก ครม. ต่อไปค่ะ

กลุ่มเปราะบางที่ไม่เคยได้รับเงินช่วยเหลือมาก่อนต้องทำอย่างไร?

สำหรับผู้สูงอายุ ผู้พิการ และเด็กแรกเกิด ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนรับเงินหรือเบี้ยช่วยเหลือใด ๆ จะยังไม่มีชื่อและข้อมูลในระบบ สามารถไปติดต่อที่สำนักงานเขต เทศบาล หรือสำนักงาน อบต. ตามภูมิลำเนาที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ กระทรวงการคลังและกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กำลังหารือถึงแนวทางช่วยเหลือกลุ่มผู้ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนเหล่านี้ให้ได้รับความช่วยเหลือ เช่นเดียวกัน

ลงทะเบียนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด
ลงทะเบียนเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด

วิธีลงทะเบียนรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด

ทีมแม่ ABK มีรายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนการลงทะเบียนเพื่อรับเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดเดือนละ 600 บาท สำหรับคุณแม่ที่ยังไม่เคยลงทะเบียนมาฝาก มีรายละเอียดดังนี้

คุณสมบัติเด็กแรกเกิดที่มีสิทธิลงทะเบียน 

  • มีสัญชาติไทย (พ่อแม่มีสัญชาติไทย หรือพ่อหรือแม่มีสัญชาติไทย)
  • เกิดตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไป จนมีอายุครบ 6 ปี
  • อาศัยอยู่กับผู้ปกครองที่อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
  • ไม่อยู่ในสถานสงเคราะห์ของหน่วยงานของรัฐ หรือเอกชน

คุณสมบัติผู้ปกครองที่มีสิทธิลงทะเบียน 

  • มีสัญชาติไทย
  • เป็นบุคคลที่รับเด็กแรกเกิดไว้ในความอุปการะ
  • เด็กแรกเกิดต้องอาศัยรวมอยู่ด้วย
  • อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย คือ สมาชิกครัวเรือนมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคนต่อปี

(มารดาที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ยังไม่ต้องมายื่นคําร้องขอลงทะเบียนขอรับสิทธิเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด)

เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงทะเบียน  ได้แก่

  1. แบบคําร้องขอลงทะเบียน(ดร.01) และแบบรับรองสถานะของครัวเรือน(ดร.02) ดาวน์โหลดที่นี่
  2. บัตรประจําตัวประชาชนของผู้ปกครอง
  3. สูติบัตรเด็กแรกเกิด
  4. สมุดบัญชีเงินฝากของผู้ปกครอง (บัญชีออมทรัพย์ธนาคารกรุงไทยบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกธนาคารออมสิน หรือบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น)
  5. สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก เฉพาะหน้าที่ 1ที่มีชื่อของหญิงตั้งครรภ์ (กรณีที่สมุดสูญหาย ให้ใช้เฉพาะสําเนาหน้าที่ 1 พร้อมให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขบันทึกข้อมูลและรับรองสําเนา)
  6. กรณีที่ผู้ยื่นคําร้องขอลงทะเบียนและสมาชิกในครัวเรือนของผู้ยื่นคําร้องขอลงทะเบียน เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐพนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานบริษัท ต้องมีเอกสารใบรับรองเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ของทุกคนที่มีรายได้ประจํา (สลิปเงินเดือน หรือเอกสารหลักฐานที่นายจ้างลงนาม)
  7. สําเนาเอกสาร หรือบัตรข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐ บัตรแสดงสถานะหรือตําแหน่งหรือเอกสารอื่นใดที่แสดงตนของผู้รับรองคนที่ 1 และผู้รับรองคนที่ 2

ขั้นตอนการลงทะเบียน

ผู้ที่ต้องการลงทะเบียน สามารถเตรียมเอกสารข้างต้นและเดินทางไปลงทะเบียนกับหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่เด็กแรกเกิด และผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง ดังนี้

กรุงเทพมหานคร : ลงทะเบียนที่สํานักงานเขต

เมืองพัทยา : ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา

ส่วนภูมิภาค : ลงทะเบียนที่องค์การบริหารส่วนตําบล หรือเทศบาล

เมื่อลงทะเบียนที่หน่วยงานตามภูมิลำเนา และผ่านกระบวนการทางราชการเรียบร้อยแล้ว หากต้องการตรวจสอบข้อมูลและสิทธิต่าง ๆ สามารถลงทะเบียนเพื่อตรวจสอบข้อมูลได้ด้วยตนเอง ที่ระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม (e-Social Welfare) https://govwelfare.cgd.go.th/welfare โดยเลือก เมนู “ตรวจสอบประวัติการรับสวัสดิการ”

ทั้งนี้ หากคุณแม่มีข้อสงสัยและต้องการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเพิ่มเติม ให้ติดต่อสอบถามไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ที่ศูนย์ปฏิบัติการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด กรมกิจการเด็กและเยาวชน call center 02 255 5850 – 7 ต่อ 121,122,123,124,147 และ 02 651 6920

ช่องทางการติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการ ลงทะเบียนกลุ่มเปราะบาง 

สามารถสอบถามได้ที่ call center กรมบัญชีกลาง 02 270 6400 ในวันและเวลาราชการ  หรือ ระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม โทรศัพท์ 02 127 7000 หรือ 02 270 6401ในวันและเวลาราชการ

 


แหล่งข้อมูล กรมบัญชีกลาง   กรุงเทพธุรกิจ  กระทรวงแรงงาน  องค์การบริหารส่วนตำบลดอนนางหงส์

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

เงินอุดหนุนบุตร 2563 เข้าวันไหน จะได้สิทธิ์หรือไม่ เช็กเลย!

รับเงิน เยียวยากลุ่มเปราะบาง 1,000 บาท 3 เดือน ใครได้บ้าง..ต้องทำยังไง เช็กเลย!

แนะวิธี เช็คสิทธิ์เงินอุดหนุนบุตร สาเหตุที่ไม่ได้เพราะอะไร?

 

 

“โฟร์โมสต์” ตอกย้ำพันธกิจ “มอบโภชนาการเพื่อเด็กไทย” ในช่วงวิกฤตโควิด-19 จับมือเพจอีจัน ลงพื้นที่ 17 ชุมชนใน 4 จังหวัด ส่งมอบนมโคคุณภาพให้เด็กๆ พร้อมข้อความกำลังใจให้คุณแม่ภายใต้แคมเปญ ‘แม่ตกงานลูกอดนม’

Alternative Textaccount_circle
event

บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ ในประเทศไทยมากว่า 60 ปี ตอกย้ำพันธกิจการมอบโภชนาการจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อเด็กไทย โดยร่วมกับทีมจิตอาสาจากเพจอีจัน นำคาราวานรถนมลงพื้นที่ 17 ชุมชนใน 4 จังหวัด เพื่อส่งมอบนมโคคุณภาพให้เด็กๆ พร้อมข้อความกำลังใจให้คุณแม่ ภายใต้แคมเปญ “แม่ตกงานลูกอดนม” เพื่อบรรเทาผลกระทบในกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงวิกฤตโควิด-19

โฟร์โมสต์ โดยฟรีสแลนด์คัมพิน่า ตอกย้ำพันธกิจ ‘การมอบโภชนาการจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อเด็กไทย’ เดินหน้าภารกิจต้านภัยโควิด-19 ร่วมกับทีมจิตอาสาจากเพจอีจันลงพื้นที่นำคาราวานรถนมอีจันสนับสนุนโดยโฟร์โมสต์ ส่งมอบน้ำนมโคคุณภาพให้เด็กๆ พร้อมข้อความกำลังใจให้คุณแม่ภายใต้แคมเปญ ‘แม่ตกงานลูกอดนม’ โดยภารกิจนี้สอดรับกับแนวคิดหลักที่โฟร์โมสต์ให้ความสำคัญมาโดยตลอดคือ การมอบโภชนาการที่ดีจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อผู้บริโภค โดยรณรงค์ให้เด็กๆรวมถึงคนไทยมีสุขภาพดีโดยการ “ดื่มนมและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มน้ำนมโคคุณภาพที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญและโภชนาการที่ครบถ้วน อย่างน้อยวันละ 1-2 แก้ว ควบคู่กับ “การออกกำลังกาย” อย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตด้านร่างกายอย่างเต็มที่และส่งเสริมการมีพัฒนาการที่สมวัยในวัยเด็ก

โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ฟรีสแลนด์คัมพิน่าได้ส่งมอบผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มสำหรับเด็ก ตราโฟร์โมสต์ โอเมก้า369 และโยเกิร์ตพร้อมดื่มยูเอชที ตราโฟร์โมสต์ โอเมก้า369 จำนวน 2,390 ลัง มูลค่ารวม 830,000 บาท พร้อมแผ่นกระดาษที่เขียนข้อความกำลังใจจากพนักงานบริษัทโฟร์โมสต์ ให้คุณแม่ที่มีลูกเล็กและอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ 12 ชุมชน ในเขตปริมาณฑล จ.สมุทรปราการและ จ.นครปฐม รวม 3 ชุมชน และ จ.ประจวบคีรีขันธ์ 2 ชุมชน รวมทั้งหมด 17 ชุมชนใน 4 จังหวัด ซึ่งภารกิจคาราวานรถนมได้ลงพื้นที่ไปในช่วงตั้งแต่วันที่ 18-31 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา

ถึงแม้ว่าผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส (COVID-19) ได้ส่งผลครอบคลุมทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยมาตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบันและทำให้มีกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก แต่หนึ่งใน ‘กลุ่มเปราะบาง’ ที่ควรได้รับการดูแลเป็นอย่างมากนั้นคือ กลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งโดยประมาณในประเทศไทยมีจำนวนเด็กเล็กเกือบ 1 ล้านคน โดยแบ่งเป็นอายุ 0-1 ปี จำนวน 350,000 คน อายุ 1-2 ปี จำนวน 330,000 คน และอายุ 2-3 ปี จำนวน 327,000 คน ที่ขาดแคลนอาหารโดยเฉพาะนมสำหรับเด็กเล็ก (อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)) โฟร์โมสต์และทีมงานเพจอีจัน จึงขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจต้านภัยโควิด-19 ด้วยการมอบโภชนาการที่ดีจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อเสริมสร้างให้เด็กๆมีร่างกายที่แข็งแรง พร้อมส่งกำลังใจให้คุณแม่ทุกท่านให้ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน

อยากมีลูกง่าย

ควรมี เซ็ก สัปดาห์ละกี่ครั้ง มากน้อยแค่ไหนถึงจะฟินและดีต่อชีวิตคู่

Alternative Textaccount_circle
event
อยากมีลูกง่าย
อยากมีลูกง่าย

สำหรับคู่แต่งงานหรือคู่รักที่คบกันมาหลายปี เซ็กส์ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคู่ในการแสดงความรัก ช่วยกระชับความสัมพันธ์ และเป็นปัจจัยหนึ่งของการมีลูกที่จะมาเติมเต็มครอบครัวให้สมบูรณ์ รวมถึงยังช่วยส่งดีด้านสุขภาพด้วย แต่การมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งก็ไม่ได้สวยหรูสำหรับคู่รักเสมอไป สามีภรรยาควรมีเซ็กส์กันมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้การมีเซ็กส์ไม่ส่งผลต่อชีวิตรัก

ควรมี เซ็กส์ สัปดาห์ละกี่ครั้ง มากน้อยแค่ไหนถึงจะฟินและดีต่อชีวิตคู่

ได้มีงานวิจัยจาก Indiana University พบว่า ความถี่ของการมีเซ็กจะผันแปรตามช่วงอายุ โดยค่าความถี่เฉลี่ยที่ดีในการมีเพศสัมพันธ์ของคนที่มีอายุระหว่าง 18-29 ปี คือจำนวน 112 ครั้งต่อปี หรือประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนคนที่มีอายุ 30 – 39 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 86 ครั้งต่อปี หรือ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ทั้งนี้ข้อมูลจาก www.women.mthai.com ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “มีผลจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยโตรอนโตเผยว่า ข้อมูลจากคน 28,000 คน พบว่า คู่รักที่มีเซ็กส์ช่วงอาทิตย์ละครั้ง จะเป็นคู่ที่มีความสุขมากที่สุด จัดเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับหลาย ๆ คู่ และผลสำรวจจากการสุ่มคู่แต่งงาน 2,400 คู่ที่แต่งงานอยู่ด้วยกันมากกว่า 14 ปีขึ้นไป ก็พบว่าสามีภรรยาที่มีเซ็กส์อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้งนั้นมีความพึงพอใจกับชีวิตคู่ตัวเองเช่นกัน” จัดเป็นช่วงเวลาที่สามารถจะรักษาระดับความสัมพันธ์ของชีวิตคู่ให้ดีอยู่ได้ รวมทั้งคู่รักที่อยากมีลูกก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์มากขึ้น

การมีเซ็กส์ดีต่อสุขภาพ (ผู้หญิง) มากแค่ไหน

นอกจากเซ็กส์จะช่วยสร้างความสุขให้กับหัวใจของคนมีความรักแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายได้ดีอีกด้วย อาทิเช่น

  • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน นักวิจับพบว่าการมีเซ็กส์สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งนั้นจะช่วยเพิ่มระดับสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้บางชนิดที่อยู่ในส่วนของเนื้อเยื่อช่องคลอดต่อมน้ำลาย ได้สูงกว่าคู่รักทีฟีเจอริ่งน้อยครั้ง  เช่น ในช่วงที่เป็นประจำเดือนการที่มีสารชนิดนี้อยู่ภายในจะช่วยป้องกันเชื้อโรค ไวรัส และสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ ได้
  • ช่วยลดความเครียด การมีเซ็กส์ที่ชวนให้อยู่ในห้วงอารมณ์บรรเจิดนั้นส่งผลให้ฮอร์ในร่างกายได้หลั่งสารเอนดอร์ฟิน และอ็อกซิโทซิน ที่ช่วยทำให้รู้สึกดีในขณะมีเพศสัมพันธ์ เป็นผลให้ความเครียดลดลงและช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง ทั้งนี้มีงานวิจัยหนึ่งพบว่าการมีเซ็กส์นั้นยังช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงขณะเกิดภาวะเครียดได้ด้วย
  • ช่วยให้นอนหลับสบาย เมื่อถึงจุดสุดยอด ร่างกายจะหลังจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินและสารออกซิโทซิน ที่ช่วยทำให้จิตใจสงบและนอนหลับได้ดีขึ้น ซึ่งการได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มหลังการร่วมรักลุล่วงไปด้วยดีจะส่งผลดีต่อสมองและร่างกาย ทำให้มีพลังงานในการทำกิจกรรมต่าง ๆ หลังตื่นมาได้ดีขึ้น
  • ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน มีผลการวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า การมีเซ็กส์อาจช่วยลดอาการปวดหัวบางชนิดลงได้ เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา โดยฮอร์โมนชนิดนี้เป็นสารระงับความเจ็บปวดที่ร่างกายผลิตขึ้นตามธรรมชาตินั่นเอง
  • ช่วยให้ผิวหน้าดูสดใส การมีเพศสัมพันธ์มีส่วนช่วยส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดและช่วยกระตุ้นรังไข่ให้หลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนวัยลง
  • ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน เซ็กส์ที่มีคุณภาพหรือการได้ถึงจุดสุดยอดของคุณผู้หญิงนั้น จะช่วยลดอาการปวดท้องขณะมีประจำเดือนลงได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อที่หดเกร็งขณะถึงจุดสุดยอดอาจช่วยคลายกล้ามเนื้อมดลูกที่ตึงอยู่ รวมทั้งสารเอนดอร์ฟินที่หลั่งออกมาจะถูกส่งไปยังสมอง ซึ่งช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย และช่วยบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือน อาทิ ปวดหัว ปวดหลัง อารมณ์แปรปรวน หงุดหงดง่าย ไม่สบายตัว เครียด ลงได้เช่นกัน
  • ช่วยส่งผลดีต่อหัวใจ การมีเซ็กนั้นอาจถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่นอกจากช่วยส่งผลดีต่อร่างกายให้สุขภาพดีและหุ่นดีแล้วยังดีต่อหัวใจเช่นเดียวกับการออกกำลังกายอื่น ๆ เช่น การ ออกกำลังกายแบบแอโรบิก เดินเร็ว ขี่จักรยาน และว่ายน้ำเร็วปานกลาง เป็นต้น โดยมีการศึกษาชิ้นหนึ่งระบุว่าการมีเซ็กเป็นเวลาประมาณ 25 นาที จะช่วยให้ผู้ชายสามารถเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 4 แคลอรี่/นาที และผู้หญิงประมาณ 3 แคลอรี่/นาที

 

เซ็กส์กับคนรัก
เซ็กส์กับคนรัก

เรื่องบนเตียงสําคัญกับชีวิตคู่

แม้การมีเพศสัมพันธ์จะส่งผลดีต่อร่างกายและใจ แต่การที่จะบอกว่าควรมีเซ็กส์กี่ครั้งถึงจะเรียกว่ามากหรือเพียงพอ อาจไม่สามารถกำหนดเป็นปริมาณตัวเลขที่ตายตัวได้ตราบใดที่กิจกรรมดังกล่าวส่งผลให้คู่รักทั้งคู่มีความสุขและเพลิดเพลิน ทั้งนี้อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยและปัญหาที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน เช่น อายุที่เพิ่มมากขึ้น ช่วงเวลาที่ไม่สัมพันธ์กัน หรือความรู้สึกเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดความรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่อยากมีเซ็กส์ที่บ่อยเกินไป ทั้งนี้มีการสำรวจคู่รักที่แต่งงานแล้วและมีเซ็ก 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์พบว่า เรื่องบนเตียงที่บ่อยมากเกินไปไม่ได้มีความสุขมากกว่าการขึ้นสังเวียนสัปดาห์ละครั้งแต่อย่างใด หากไม่ได้เกิดจากความต้องการของทั้งคู่ และอาจทำให้ส่งผลเสียได้หากมีเซ็กบ่อยเกินไป

การมีเซ็กส์ที่ฟินทั้งสองฝ่ายและส่งผลดีต่อชีวิตคู่จะเกิดขึ้นหากทั้งคู่มีอารมณ์ร่วม มีการสนองความต้องการทางเพศของทั้ง 2 ฝ่าย และการได้บอกถึงความต้องการชัดเจนว่าอยากมีเซ็กส์แบบไหนที่จะช่วยให้ฟินกันทั้งคู่ เช่น ผู้หญิงบางคนอาจชอบแบบอ่อนโยน บางคนชอบแบบถึงใจ ความถี่ในการมีเซ็กส์แต่ละครั้ง การเล้าโลมให้ตรงจุด จุดไหนที่ต้องการให้สามีทำแล้วทำให้เสียวสะท้านถึงจุดสุดยอด รวมทั้งการเปล่งเสียงและแสดงออกถึงความสุขในขณะร่วมรักกัน หรือพากันเปลี่ยนบรรยากาศ เปลี่ยนสถานที่ทั้งในและนอกบ้าน เพื่อกระตุ้นความตื่นเต้นและเร้าใจ หรือเซ็กส์แบบไหนที่ทำให้หมดอารมณ์ เพราะถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกไม่สนุกกับเรื่องบนเตียง หรือแค่คิดว่าทำไปตามหน้าที่ ก็จะส่งผลให้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่มีอารมณ์ เกิดความทรมาน ความเครียด ซึ่งก็จะกลายเป็นปัญหาส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ได้

แม้การมีเซ็กส์จะเป็นกิจกรรมที่ทำให้คู่รักผูกพันกัน แต่การเซ็กส์ที่มีคุณภาพนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ฟีเจอริ่งบนเตียงเพียงอย่างเดียว ความสุขของชีวิตคู่นั้นยังรวมถึงการปฏิบัติตัวที่ดี การแสดงความรัก และเอาใจใส่หลังมีเพศสัมพันธ์ ที่จะส่งผลดีทำให้ชีวิตรักแฮปปี้ ใช้ชีวิตคู่ที่ยืนยาวยิ่งขึ้นนะคะ.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.pobpad.comwww.kapook.comwww.honestdocs.co

อ่านต่อบทความอื่นที่น่าสนใจ :

7 โรคมาแน่ ถ้าชีวิตนั้น ขาดเซ็กส์

ล้วงลึก! 5 ความคิดผู้ชายขณะมีเซ็กส์

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

มีลูกคนที่สอง

อยาก มีลูกคนที่สอง ต้องวางแผนการเงินอย่างไรดี

Alternative Textaccount_circle
event
มีลูกคนที่สอง
มีลูกคนที่สอง

“อยาก มีลูกคนที่สอง จัง” ความคิดนี้น่าจะเกิดขึ้นกับคุณแม่หลายคน หลังทิ้งระยะจากความเหนื่อยล้า การอดหลับอดนอน และเลี้ยงดูลูกคนแรกได้เริ่มเข้าที่เข้าทาง แถมเวลาไปไหนใครๆ ก็ทักว่าทำไมไม่มีลูกน่ารักอีกสักคน แต่อีกใจก็คิดหนักเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะการมีลูกหนึ่งคนใชเงินไม่น้อยทั้งค่าใช้จ่ายทั่วไป สุขภาพและการศึกษา ต้องวางแผนการเงินให้ดี จึงทำให้หลายบ้านยังคิดสองจิตสองใจว่าควรมีลูกอีกคนหรือแค่คนเดียวดี

มีลูกคนที่สอง ต้องวางแผนการเงินอย่างไรให้ครอบครัวมั่นคง

เมื่อมีลูกคนที่สอง ภาระรับผิดชอบด้านการเงินของคุณพ่อคุณแม่ย่อมเพิ่มขึ้นมาเป็นเงาตามตัว ยิ่งช่วงนี้สภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองจากปัจจัยหลายด้านรวมถึง ภาวะโรคระบาดไปทั่วโลก คุณพ่อคุณแม่จึงควรไตร่ตรองให้ดีและวางแผนการเงินไว้แต่เนิ่นเพื่อไม่ให้ประสบปัญหาภายหลัง เพราะต้องไม่ลืมว่าเมื่อมีลูก 2 คน เท่ากับครอบครัวจะใหญ่ขึ้น ค่าใช้จ่ายของลูกต้องคูณสอง ลองมาคิดกันคร่าวๆ ก่อนว่าถ้า มีลูกคนที่สอง แล้วจะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

มีลูกคนที่สอง

ค่าใช้จ่ายเมื่อ มีลูกคนที่สอง

ค่าฝากครรภ์และค่าคลอด พอมีเบบี๋น้อยมาอยู่ในท้องคุณแม่กัน ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็เกิดขึ้นทันทีเหมือนกับตอนมีลูกคนแรก เพราะพบไปคุณหมอเพื่อฝากครรภ์, ตรวจเลือด, ตรวจสุขภาพ, ค่าอัลตร้าซาวด์ รวมไปถึงค่าทำคลอดซึ่งแตกต่างกันไปตามลักษณะการคลอด

หากเป็นการคลอดธรรมชาติ รพ.รัฐอยู่ที่ 5,000 บาทขึ้นไป ส่วนรพ.เอกชนอยู่ที่ 30,000 บาทขึ้นไป ส่วนการผ่าตัดคลอดจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า โดยรพ.รัฐ ราว 20,000 บาทขึ้นไป รพ.เอกชนเริ่มต้นที่ราว 40,000 บาทขึ้นไป ทั้งนี้รพ.เอกชนส่วนใหญ่มักจัดแพ็คเก็จคลอดให้คุณแม่เลือกได้ตามความเหมาะสม

เช็กค่าอัลตร้าซาวด์ 4มิติ ปี2563

เช็กแพ็คเกิจคลอดลูกรพ.กทม ปี2563

นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในกรณีที่ไม่คาดคิด เช่น เมื่อคลอดแล้วทารกตัวเหลืองต้องนอนตู้อบ หรือมีความจำเป็นอื่นๆ ที่ต้องดูอาการที่โรงพยาบาลต่อ

ค่าพี่เลี้ยง

หากพ่อแม่ทำงานนอกบ้านทั้งคู่  หรือเป็นแม่ฟูลไทม์แต่ไม่มีญาติผู้ใหญ่ช่วยเหลือ เมื่อมีลูกสองคนโดยเฉพาะวัยใกล้เคียงกัน อาจจำเป็นต้องเตรียมค่าใช้จ่ายสำหรับจ้างพี่เลี้ยงด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ตกลงกัน มีทั้งแบบมาอยู่เป็นพี่เลี้ยงประจำบ้าน กินนอนบ้านเดียวกัน ให้พี่เลี้ยงมาดูแลระหว่างวัน หรือพาลูกไปดูแลที่บ้านพี่เลี้ยง ค่าใช้จ่ายก็จะต่างกันออกไป เริ่มต้นตั้งแต่ 5,000 บาทจนถึงหลักหมื่นบาท ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกน้อยเป็นสำคัญ จึงต้องหาพี่เลี้ยงที่ไว้วางใจได้และสามารถดูแลเด็กอ่อนได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้บางบ้านตัดสินใจว่าจะคุณพ่อหรือคุณแม่ออกจากงานประจำมาดูแลลูกแทน

ค่าอาหารและโภชนาการ

ในช่วงขวบปีแรกที่ลูกยังเกิดนมเป็นอาหารหลัก ก็จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายหลักในส่วนนี้ แต่ถ้าบ้านไหนเลี้ยงด้วยนมแม่ก็จะช่วยประหยัดค่านมไปได้มาก จะมีจ่ายก็เฉพาะค่าอาหารเสริมเท่านั้น แต่เมื่อลูกอายุควบขวบปีแล้ว ค่าอาหารส่วนนี้จะบวกรวมเข้ากับค่าอาหารของสมาชิกในบ้านได้ ค่านมผงเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 4,000 บาทขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับนมแม่ละยี่ห้อ)

ค่าของใช้จำเป็นสำหรับทารก

เช่น ค่าผ้าอ้อมสำเร็จรูป อุปกรณ์อาบน้ำ เสื้อผ้า ของใช้สำหรับทารก หากมีลูกวัยใกล้เคียงกันอาจใช้ของชิ้นเดียวกับพี่คนโตได้ เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อาบน้ำ อุปกรณ์ดูแลความสะอาด แต่มีอีกหลายอย่างที่ต้องซื้อเป็นประจำ เช่น ผ้าอ้อมสำเร็จรูป น้ำยาซักผ้า น้ำยาล้างขวดนม ทิชชู่เปียก สบู่เหลว เป็นต้น โดยเฉลี่ยค่าของใช้จำเป็นเมื่อ มีลูกคนที่สอง อยู่ราว 1,500 บาทต่อเดือน

ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ  

เด็กเล็กอาจเจ็บป่วยได้ง่าย หลายบ้านอาจเลือกซื้อประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษาโรคและค่าใช้จ่ายในการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อประกันชีวิตคู่กับประกันสุขภาพราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความคุ้มครอง ค่านอนโรงพยาบาล วงเงินการรักษาทั้งผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก เริ่มต้นตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป

นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกซื้อประกันสุขภาพของลูกได้หลายกรมธรรม์ เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด (โดยจำเป็นต้องจ่ายเงินสดเพิ่มอีก) อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่ยังต้องเตรียม ค่าวัคซีนสำหรับเด็กที่ เบิกประกันไมได้เอาไว้ด้วย

เช็กประกันสุขภาพลูก ปี2563

เช็กค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล กทม-ปริมณฑล ปี2563

เงินออมสำหรับการศึกษาในอนาคต  

แม้ว่าเด็กเล็กจะยังไม่ต้องเข้าเรียนจริง แต่ภายใน 3-4 ปี ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้แน่นอน คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ลืมเตรียมการล่วงหน้าสำหรับค่าเทอมที่จะมาแบบ x 2 ในทุกๆ ปี

 วางแผนการเงินให้ดีเมืื่อมีลูกคนที่สอง

เมื่อครอบครัวขยายขึ้น ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเช่นนี้ อย่างนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่คิดว่าจะมีเบบี๋อีกคนควรวางแผนไว้อย่างไรดีให้เหมาะสม และสามารถวางรากฐานทางการเงินที่มั่นคงให้ครอบครัวในอนาคต มาเริ่มต้นด้วยเทคนิคง่ายๆ เพื่อเตรียมเป็นพ่อแม่ เมื่อมีลูกคนที่สอง ให้พร้อมกันดีกว่า

1.ทำงบการเงินใหม่  หากตอนมีลูกคนแรกได้ววางแผนค่าใช้จ่ายในบ้านอยู่แล้ว ก่อนมีลูกอีกคนให้ลองบวกค่าใช้จ่ายสำหรับลูกคนที่สองเข้าไปในบัญชีรายจ่ายประจำบ้านดู แล้วคำนวณเป็นตัวเลขว่า เมื่อเพิ่มรายจ่ายของเบบี๋น้อยเข้าไปแล้ว สภาพคล่องทางการเงินของครอบครัวเป็นอย่างไรบ้าง สามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนใด หรือหารายได้เพิ่มเติมใดได้บ้าง

2.นำของเก่ากลับมาใช้ซ้ำ   ถ้าบ้านไหนๆวางแผนตั้งแต่ต้นแล้วว่า “อยากมีลูกมากกว่า 1 คน”  ก็ควรวางแผนการใช้อุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น คาร์ซีท รถเข็นเด็ก เตียงนอน เก้าอี้นั่งกินข้าวที่สามารถใช้ได้ระยะยาว เพื่อส่งต่อจากพี่ไปถึงน้องได้ โดยเน้นการดูแลทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ

วิธีนี้ก็ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้มาก ส่วนเสื้อผ้า รองเท้าอาจต้องดูก่อนว่าพี่น้องเป็นเพศเดียวกันหรือไม่ ถ้าของบางชิ้นเป็นสีกลางๆไม่บ่งบอกความเป็นหญิงหรือชายมากเกินไป ก็สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทั้งนี้ควรเช็คสภาพให้มีความปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายจากการใช้งาน

3.คิดก่อนซื้อ สำหรับคุณแม่นัก CF ช้อปของลูกไม่ยั้งสมัยมีลูกโทน อาจต้องปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายให้โอนช้าลงอีกสัก ให้เป็นคิดก่อนซื้อและดูความจำเป็นมากขึ้น หรือเวลาที่ซื้อของเล่นให้ลูกคนโต อาจลองเลือกสีหรือรูปแบบกลางๆ ที่ใช้ได้กับทั้งเพศหญิงและชาย

4.วางแผนการซื้อและเตรียมอาหาร  ค่าอาหารคือค่าใช้จ่ายภายในบ้านก้อนใหญ่ ยิ่งจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น ค่าอาหารก็ยิ่งทวีคูณตามไปด้วย การวางแผนซื้ออาหารสดและอาหารแห้งจะช่วยประหยัดเงินได้มาก หากคุณแม่เตรียมตัวล่วงหน้าว่าสัปดาห์นี้จะกินอะไร วัตถุดิบหลายอย่างเมื่อซื้อในปริมาณมากจะได้ราคาถูก และสามารถปรับเปลี่ยนได้หลายเมนู ยิ่งถ้ามีเวลาจดรายการที่ต้องซื้อไว้ล่วงหน้า เมื่อมีโปรโมชั่นดีๆ จากห้างร้าน ก็สามารถเลือกซื้อได้ทันที แบบไม่ต้องนำของลดราคามากักตุนด้วย

5.ใช้เงินเพื่อความสุขในบ้าน มากกว่าออกไปหาความสุขข้างนอก  เทรนด์ใหม่ของครอบครัวในยุคโควิด-19 ก็คือการหากิจกรรมสนุกให้ลูกทำที่บ้าน ถ้าจะใช้จ่ายเพื่อซื้อความบันเทิง ลองเปลี่ยนจากการซื้อของเล่นมาเป็นการประดิษฐ์ของเล่น หรือจัดพื้นที่ในบ้านเพื่อทำบ่อทราย, ชิงช้า, ที่ปีนหน้าผาจำลอง หรือเครื่องเล่นอื่นๆ หรือแทนที่จะออกไปเที่ยวเล่นตามคาเฟ่นอกบ้าน ลองซื้ออุปกรณ์ทำขนมมาชวนลูกทำขนมง่ายๆ หรือผสมสี นวดแป้งโดว์ใช้เอง ก็เป็นการประหยัดเงินและยังได้ใช้เวลาร่วมกันทั้งครอบครัวด้วย

แม้การมีลูกคนที่สองจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นมามากมาย แต่หากคุณพ่อคุณแม่วิเคราะห์และเตรียมวางแผนการเงินมาอย่างดี เชื่อว่าพอได้เห็นรอยยิ้มน้อยๆ แล้ว ความเครียดและความเหนื่อยล้าน่าจะหายเป็นปลิดทิ้งเลยละค่ะ


แหล่งข้อมูล  www.mybanktracker.com , www.discover.com

บทความน่าสนใจอื่นๆ

 

5 ข้อดีและข้อเสียของการ “มีลูกคนเดียว”

 

เชื่อหรือไม่? ข้อดีของการมีน้องสาว ช่วยให้คนเป็นพี่มีความสุขได้!

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เชื้อไวรัสที่มากับหน้าฝน

5 เชื้อไวรัสที่มากับหน้าฝน พ่อแม่ที่มีลูกเล็กต้องระวัง !

Alternative Textaccount_circle
event
เชื้อไวรัสที่มากับหน้าฝน
เชื้อไวรัสที่มากับหน้าฝน

เชื้อไวรัสที่มากับหน้าฝน พอจะนึกกันออกไหมคะว่ามีเชื้อไวรัสอะไรบ้าง เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่อาจจะนึกกันไม่ออก ทีมแม่ ABK จะพาไปรู้จักกับเชื้อไวรัสหน้าฝน ที่ถ้าหากบ้านไหนมีลูกเล็ก เด็กน้อย ต้องระวังกันให้มากค่ะ เพราะเชื้อไวรัสเหล่านี้  ล้วนเป็นตัวก่อโรคให้ลูกเจ็บป่วยไม่สบายกันหนักมากในช่วงหน้าฝนค่ะ

เชื้อโรค แบคทีเรีย รวมถึงเชื้อไวรัส ปกติมักจะมีปะปนมากับอาหาร อากาศ และตามฤดูกาลต่างๆ ค่ะ และนับวันความ รุนแรงของตัวก่อโรคเหล่านี้ก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น อย่างเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ก็พัฒนาเป็นสายพันธุ์ A สายพันธุ์ B ทำให้เมื่อป่วยเป็นหวัด มักจะใช้เวลาในการรักษานานขึ้น กว่าอาการป่วยจะทุเลา หายเป็นปกติ ทีมแม่ABK เชื่อว่าโรคต่างๆ  ที่มากับหน้าฝน คุณพ่อคุณแม่อาจจะรู้จักกันอยู่บ้างแล้ว แต่เราจะไปตามหากันค่ะว่า โรคที่มากับหน้าฝน อย่าง โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ โรคมือเท้าปาก โรคไอพีดี และ โรคท้องเสีย เกิดจากเชื้อไวรัส อะไร และควรดูแลป้องกันสุขภาพอย่างไร เพื่อให้ลูกน้อยของเราไม่ป่วยกันค่ะ

 

เชื้อไวรัสที่มากับหน้าฝน รู้เท่าทัน ลดเสี่ยงลูกป่วย

เวลาที่เข้าสู่หน้าช่วงหน้าฝน หัวอกคนเป็นพ่อแม่จะมีความกังวลในเรื่องสุขภาพของลูกกันมาก เพราะเป็นช่วงระหว่างที่ลูกต้องไปโรงเรียน อากาศเย็น ชื้น ละอองฝน ทำให้เด็กๆ ไม่สบายกันมาก และนี่คือ 5 เชื้อไวรัสที่มากับหน้า ตัวก่อโรคที่ซ้อนมากับสายฝนเย็นฉ่ำค่ะ

1. โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza)

ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา ( Influenza Virus) สำหรับเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา สามารถแยกไข้หวัดใหญ่ที่มักป่วยกันบ่อยๆ คือ

  • ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่มีมาก่อนอยู่แล้ว คนที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลสามารถ ป่วยได้ซ้ำ ซึ่งเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ มีภูมิคุ้มกันโรคแข็งแรงเป็นทุนเดิม ก็มักจะมีอาการป่วยไม่หนักมาก
  • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นไข้หวัดใหญ่ที่พัฒนาจากสายพันธุ์ปกติให้รุนแรงขึ้น เกิดจากเชื้อไข้หวัด ใหญ่ ชนิด เอช 1 เอ็น 1 (H1N1) เด็กๆ และผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคไข้หวัด ทำให้เสี่ยงป่วยได้ง่ายขึ้น

วิธีดูแลสุขภาพ คุณแม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคของลูกน้อยให้แข็งแรงอยู่ตลอดเวลา ได้ด้วยการให้รับประทานอาหารที่  มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ เน้นเพิ่มเติมผัก ผลไม้ที่ให้วิตามินซี ช่วยป้องกันโรคหวัด และรวมทั้งให้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ หมั่นให้ออกกำลังเป็นประจำ ที่สำคัญควรพาลูกน้อยไปรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี

2. โรคไข้เลือดออก (dengue hemorrhagic fever)

ไข้เลือดออก เด็กๆ สามารถป่วยกันได้ตลอดทั้งปีค่ะ แต่จะหนักหน่อยในช่วงหน้าฝน เพราะมีน้ำท่วมขัง ยุงมักออกมาวางไข้ เมื่อประชากรยุงมาก ก็ต้องการอาหาร(เลือดจากคน) พอยุงมากัดลูกเล็ก เด็กน้อย ก็จะทำให้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกกันเยอะมาก โรคไข้เลือดออก เกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรคค่ะ  เชื้อไวรัสเดงกีปัจจุบันนี้มีอยู่ 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 DENV-4 ที่สำคัญไข้เลือดออกอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันที

วิธีดูแลสุขภาพ ง่ายๆ คืออย่าให้ลูกโดยยุงกัน ภายในบ้าน ตามประตู หน้าต่าง ควรติดมุงลวด และถ้าลูกเล็กมากๆ ควรมีมุ้งครอบตอนนอนค่ะ บริเวณรอบบ้านดูแลอย่างให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น น้ำในกระถางต้นไม้ อ่างบัว แหล่งน้ำขังต่างๆ ทีมแม่ABK แนะนำให้ปลูกต้นไม้กันยุงไว้บริเวณบ้าน เช่น ตระไคร้หอม ต้นสะระแหน่ ต้นโหระพา ต้นเจอเรเนียม เป็นต้น  หากพาลูกออกนอกบ้าน ควรฉีดสเปรย์กันยุงสมุนไพร(ไม่มีสารเคมีอันตราย) ก็จะช่วยปกป้องยุงไม่ให้กัดได้ค่ะ

3. โรคมือเท้าปาก (Hand Foot Mouth Disease)

โรคมือเท้าปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) และคอคซาคีไวรัส (Coxsackievirus) ซึ่งโรคมือเท้าปากนี้นะคะ มักพบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี(เด็กทารกและเด็กเล็ก) ป่วยกันมากและมีอาการรุนแรงกว่าเด็กโตค่ะ

ลูกๆ ในทีมแม่ABK ก็เคยป่วยเป็นมือเท้าปาก น่าสงสารมากค่ะ สำหรับโรคมือเท้าปากเป็นโรคที่มีการระบาดหนัก โดยเฉพาะในโรงเรียน พบว่าเด็ก 1 คนป่วยเป็นมือเท้าปาก ก็สามารถที่จะแพร่กระจายเชื้อไปสู่เพื่อนๆ ในห้องเรียนเดียวกันได้ง่ายมากค่ะ ฉะนั้นหากสังเกตพบว่าลูกมีอาการไข้ 2-3 วันแล้วอาการไข้ไม่ดีขึ้น บวกกับมีผื่นแดงอังเสบที่ลิ้น เหงือก หรือผื่นแดงบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ให้สงสัยว่าเป็นโรคมือเท้าปาก ควรให้ลูกหยุดเรียน และรีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันทีค่ะ

วิธีดูแลสุขภาพ ในช่วงหน้าฝนที่โรคมือเท้าปากมักระบาดนี้นะคะ แนะนำให้คุณแม่ดูแลเรื่องความสะอาดอุปกรณ์ของใช้ลูก เวลาไปโรงเรียนต้องกำชับลูกว่าห้ามดื่มน้ำแก้วเดียวกับเพื่อนๆ วิธีที่ดีคือควรเตรียมกระบอกน้ำส่วนตัวให้ลูกไปใช้ที่โรงเรียน หรือกล่องข้าวไปโรงเรียนด้วย กลับมาบ้านให้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค ไวรัสต่างๆ ค่ะ

4. โรคไอพีดี (Invasive Pneumococcal Disease)

ไอพีดี(IPD) เป็นหนึ่งในโรคที่เด็กเล็กๆ อายุต่ำกว่า 2 ปี เสี่ยงป่วยกันมากค่ะ โรคไอพีดี เกิดจาการติดเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า “นิวโมคอคคัส (Streptococcus pneumoniae)” ซึ่งเชื้อนิวโมคอคคัส ยังเป็นตัวนำก่อโรค เช่น โรคปอดอักเสบ โรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคไซนัสอักเสบ และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น ขอบอกว่าโรคไอพีดีมีอาการรุนแรงที่ส่งผลให้เกิดการพิการ หรือเสียชีวิตได้ค่ะ

วิธีดูแลสุขาพ แนะนำว่าลูกวัยทารก เด็กเล็กๆ ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคที่น้อยและไม่แข็งแรง สิ่งที่จะกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ดีอย่างแรก คือ ให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่แรกคลอด(ในน้ำนมแม่จะมีสารสร้างภูมิคุ้มให้กับร่างกายลูก ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากโรคติดเชื้อต่างๆ ได้) และให้ลูกได้รับการฉีดวัคซีนที่กำหนดตามช่วงวัยค่ะ ที่สำคัญให้ดูแลเรื่องความสะอาด และไม่ควรพาลูกไปในสถานที่ที่แออัด อากาศถ่ายเทน้อย อากาศไม่สะอาดนะคะ

5. โรคท้องเสีย (Diarrhea)

ช่วงหน้าฝนเชื้อโรค เชื้อไวรัสปะปนมากับอากาศ และอาหารได้ค่ะ หากอาหารที่รับประทานไม่สะอาด ก็อาจเสี่ยงต่ออาการ ท้องเสีย ท้องร่วงได้ค่ะ โรคท้องเสีย อุจจาระร่วง เกิดจากการติดเชื้อโรต้าไวรัส (Rotavirus) เด็กๆ มักมีอาการนี้กันเยอะมาก  และที่สำคัญคือการติดเชื้อไวรัสโรต้ายังไม่มียารักษาโดยตรงนะคะ เป็นเพียงแค่การรักษาตามอาการให้อาการค่อยๆ ทุเลาและดีขึ้นจนปกติ

วิธีดูแลสุขภาพ แนะนำให้กระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกตั้งแต่แรกคลอดด้วยการให้กินน้ำนมแม่ ดูแลเรื่องควมสะอาด  สุขอนามัยต่างๆ ของลูก การปลุกอาหารต้องล้างทำความสะอาดวัตถุดิบให้สะอาด ขั้นตอนการปรุงต้องสะอาดด้วยเช่นกัน

ทีมแม่ABK หวังว่าลูกๆ ของทุกครอบครัวจะปลอดภัย ไม่เจ็บป่วยจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ที่แฝงตัวมาในหน้าฝนนี้นะคะ เมื่อรู้สาเหตุ ก็ป้องกันดูแลให้มากเป็นพิเศษ  รับประทานอาหารที่ดี วัคซีนต้องฉีดตรงเวลาตามช่วงวัย รับรองว่าลูกน้อยจะมีภูมิต้านทานโรค ร่างกายแข็งแรง เพราะมีภูมิคุ้มกันที่ดีค่ะ …ด้วยความห่วงใย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 


อ่านบทความเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

5 พาหะนำโรค หน้าฝน ภัยร้ายต่อสุขภาพลูกน้อย

RSV ไวรัส ในหน้าฝนทำร้ายสุขภาพลูก

หมอเตือน อย่าใช้ยาลดไข้สูง รักษาโรคไข้เลือดออก

 

ข้อมูลอ้างอิงจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ , สมาคมติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย , โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ , โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ 

เล่นสนุกกับลูก

ทำไมพ่อแม่ต้อง เล่นสนุกกับลูก ?

account_circle
event
เล่นสนุกกับลูก
เล่นสนุกกับลูก

หน้าที่ของเด็กคือการเล่นสนุก ผลการวิจัยมากมายทั้งใหม่และเก่าต่างก็ชี้ชัดไปในทางเดียวกันว่า การเล่นสำหรับเด็กนั้นมีประโยชน์หลายอย่าง แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรลงไป เล่นสนุกกับลูก ด้วยตัวเอง เพราะนอกจากจะเป็นการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวแล้ว ยังส่งผลดีต่อพัฒนาการและมีส่วนเสริมสร้าง EF ที่จะทำให้ชีวิตในวันหน้าของลูกประสบความสำเร็จด้วย

“เด็กทุกคนชอบสนุก” และอยากให้พ่อแม่มา  เล่นสนุกกับลูก ด้วย

เล่นสนุกกับลูก

พ่อแม่ เล่นสนุกกับลูก ดีอย่างไร

เล่นสนุกกับลูก เป็นกิจกรรมที่เริ่มทำกับลูกตั้งแต่วัยทารก ไม่จำเป็นต้องมีของเล่น อุปกรณ์เสริมพัฒนาการใดๆ เพราะคุณพ่อคุณแม่คือของเล่นที่ดีที่สุดของลูก ได้สบตา ยิ้ม หัวเราะ ฟังเสียงอ่อนโยนของแม่ เล่นจั๊กกะจี๋บนตัวลูก หรือเล่นจ๊ะเอ๋ ก็ช่วยเสริมพัฒนาการได้มากมาย โดยเฉพาะเซลล์ประสาทในสมองนับแสนล้างเซลล์ที่จะเชื่อมต่อกันเป็นร่างแห ส่งผลต่อการเรียนรู้ในอนาคต มาดูกันว่า แค่พ่อแม่เล่นกับลูกอย่างน้อยวันละ 30 นาทีช่วยพัฒนาอะไรบ้าง

กิจกรรมเล่นกับลูกเสริม พัฒนาการทารก 1 เดือน

กิจกรรมเล่นกับลูก เสริม พัฒนาการทารก 2 เดือน

กิจกรรมเล่นกับลูก เสริม พัฒนาการทารก 3 เดือน

พัฒนาทักษะรอบด้าน

เวลาเล่นกับลูก สมองของเด็กๆเปรียบเสมือนฟองน้ำคอยซึมซับทุกอย่างรอบตัวไว้ แม้แต่ตอนที่พ่อแม่คุยด้วย ลูกจะเรียนรู้วิธีสื่อสาร บอกความต้องการของตัวเอง รู้จักการโต้ตอบ รวมถึงการปฏิบัติต่อกัน เช่น พ่อคุยกับแม่อย่างไร แม่คุยกับคุณยายอย่างไร สิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำ ยิ่งเล่นมากลูกยิ่งได้เรียนรู้เพิ่ม เพราะพ่อแม่เป็นผู้ใหญ่แล้วสามารถคิดรูปแบบการเล่นได้หลากหลาย ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากว่า การได้แล่นกับพ่อแม่จึงช่วยขยายจินตนาการของลูกให้มากขึ้นด้วย

สร้างพื้นฐานที่ดีในอนาคต

การเล่นรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเกม ของเล่นเสริมทักษะหรือกีฬา ช่วยกระตุ้นความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น ยิ่งถ้าเป็นรูปแบบกีฬาง่ายๆที่เล่นได้ในบ้าน ปลูกฝังนิสัยรักการออกกำลังกายในตัวลูกเมื่อโตขึ้นเขาจะเป็นคนที่มีสุขภาพดี จิตใจเข้มแข็ง หลายครอบครัวที่ลูกเป็นนักกีฬา หรือศิลปินตามรอยพ่อแม่ ก็มีจุดเริ่มต้นจากการ เล่นสนุกกับลูก นั่นเอง

เชื่อมสายใยรักให้แข็งแกร่ง

เด็กทุกคนชอบเรื่องสนุก ยิ่งได้เล่นสนุกกับพ่อแม่ คนที่ลูกไว้วางใจมากที่สุด ยิ่งเล่นกับบ่อยมากเท่าไร จะก่อเกิดเป็นสายใยความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกที่ลึกซึ้งมากขึ้น ลูกวัยเบบี๋จะรับรู้ว่าพ่อแม่มีตัวตนอยู่จริง จึงรู้สึกปลอดภัยและวางใจโลกใบใหม่ที่เขาเพิ่งรู้จักได้มากขึ้น ลูกมีความมั่นคงทางจิตใจ เชื่อใจพ่อแม่ได้อย่างสนิทใจ ซึ่งเป็นเกราะป้องกันชั้นดีเมื่อโตเป็นวัยรุ่น

ไม่ใช่แค่ลูกสนุก พ่อแม่ก็แข็งแรงด้วย

จริงอยู่ที่ประโยชน์หลักๆ ของการเล่นกับลูกนั้นทำเพื่อตัวลูกเอง ขณะเดียวกันพ่อแม่ได้โบนัสคืนกลับมาด้วย เวลาที่เล่นกันอย่างมีความสุข ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนอ็อกซิโตซิน (Oxytocin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความรัก ทำให้เกิดความรัก ความผูกพัน เข้าอกเข้าใจผู้อื่น และช่วยลดความเครียดได้ แถมยังเป็นวิธีมัดใจสามีอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมีการตีพิมพ์ผลการศึกษาในวารสาร Proceedings of the National Academy of Sciences ซึ่งให้ข้อมูลว่าฮอร์โมนชนิดนี้ทำให้ผู้ชายเป็นคนรักเดียวใจเดียวต่อภรรยามากขึ้นด้วย

เล่นสนุกกับลูก

 

อยากให้ลูกเก่งรอบด้าน ควรเล่นอะไรกับลูกดี

การเล่นกับลูกไม่จำเป็นต้องหาซื้อของเล่นราคาแพงหรือไปเล่นตามห้างและสวนสนุก แต่พ่อแม่หลายคนอาจรู้สึกขัดเขินหรือไม่รู้จะเล่นกับลูกอย่างไร ลองมาดูไอเดียเหล่านี้กันค่ะ

  • เล่นทราย – เป็นการเล่นที่ง่าย เพลิดเพลิน และเสริมทักษะให้ลูกได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงคุณพ่อคุณแม่เตรียมกองทรายไว้หนึ่งกอง อาจมีถังน้ำ หรือของสำหรับขุดตักนิดๆ หน่อยๆ เด็กจะหาทางเล่นทรายด้วยตัวเองได้ หรือเล่นด้วยกันกับลูก นั่งเป็นเพื่อนพูดคุย หรือแม้แต่นั่งอ่านหนังสืออยู่ด้วยกันก็ยังได้ เด็กๆ จะได้ใช้จินตนาการในการเล่น ได้ระบายความเครียด ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก แถมยังอยู่นิ่งได้นาน

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก เล่นกับลูกในบ้านง่ายๆ

“ลานกิจกรรมในบ้าน” กับชีวิต New Normal ที่ทุกครอบครัวก็สามารถทำได้

  • เล่นบทบาทสมมติ เป็นวิธีเล่นที่ช่วยพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม รวมทั้งจินตนาการได้อย่างดี ลองหาหม้อ ไห จาน ชาม เก่าๆ เก็บดอกไม้มาเล่นขายของเป็นพ่อค้าแม่ค้า หรือเอาเครื่องสำอางของตัวเองมาให้ลูกสมมติเป็นช่างแต่งหน้า หรือจะให้หนุ่มน้อยเป็นคุณหมอ เป็นคนขับรถไฟ ก็แล้วแต่ลูกๆ จะเลือก แล้วพ่อแม่คอยรับบทเป็นผู้ตามหรือผู้ช่วยลูกอีกที

เล่นสนุกกับลูก

  • เล่นปั้น – ไม่ว่าจะปั้นแป้งโดว์ ปั้นดินน้ำมัน หรือดินเหนียว เด็กๆ จะได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กซึ่งมีส่วนสำคัญในการเขียนหนังสือและเรียนรู้ขั้นต่อไป ธรรมชาติของเด็กทารกนั้นชอบขยำ เมื่อขยำ เด็กๆ จะได้เห็นรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงด้วยฝีมือของตนเอง เกิดความภูมิใจ ซึ่งเป็นรากฐานของการเห็นคุณค่าในตัวเอง พ่อแม่เองสามารถปั้นผลงานของตัวเองไปพร้อมกับลูกๆ อาจลองเอ่ยชมเชยความตั้งใจของลูกเพื่อให้ลูกมีกำลังใจ

วิธีทำความสะอาดของเล่น ให้สะอาด ปลอดภัย ห่างไกลโรค

40 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ 

  • เล่นระบายสี เป็นกิจกรรมยอดฮิตที่เด็กๆ ทุกคนชื่นชอบ พ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกได้ระบายสีแบบอิสระ ไม่บังคับว่าต้นไม้ต้องสีเขียว หรือแอ๊ปเปิ้ลต้องสีแดงเสมอไป ปล่อยให้ลูกได้ขีดเขียนและระบายความรู้สึกของตัวเองอย่างเต็มที่ไม่ต้องกำหนดกรอบหรือตีค่าความสวยงาม เพราะทุกครั้งที่เด็กๆ ขีดเขียนบนพื้นผิวต่างๆ สมองของเด็กจะเกิดการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา คุณพ่อคุณแม่อาจลองถามเพิ่มว่าภาพที่ลูกวาดหรือระบายนั้นมีความหมายอย่างไร แล้วช่วยลูกจดบันทึกไว้
  • เล่นต่อบล็อก กิจกรรมนี้เป็นการเล่นปลายเปิด ที่ปล่อยให้เด็กๆได้แปลงร่างบล็อกให้เป็นอะไรก็ได้ โดยใช้การคิดวิเคราะห์และสังเกต มีส่วนจะช่วยพัฒนาการเรื่องมิติสัมพันธ์ คุณพ่อคุณแม่อาจชวนให้ลูกต่อบล็อกอย่างอิสระ หรือจะชวนลูกต่อแบบสูง ซึ่งมีความเสี่ยงที่ปราสาทหรือไม้แท่งเดียวจะล้มพังลงมาจนต้องต่อใหม่ ความเสี่ยงนี้จะฝึก EF (Executive Function ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำ เพื่อไปสู่ความสำเร็จ

การเล่นกับลูกไม่จำเป็นต้องมีของเล่นหรูหราราคาแพง สิ่งสำคัญคือขณะเล่น คุณพ่อคุณแม่ควรมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเด็กๆ เต็มที่ วางโทรศัพท์มือถือ มองหน้าและสบตาลูก นอกจากการเล่นกับลูกจะส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็กๆ แล้ว ยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดและความทรงจำดีๆ ร่วมกันสำหรับทุกคนในครอบครัวด้วย

 


แหล่งข้อมูล www.activeforlife.com, www.psychologytoday.com, www.exchangefamilycenter.org, นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

บทความน่าสนใจอื่นๆ 

7 กิจกรรมเล่นกับลูก ได้จินตนาการ เสริมพัฒนาการลูกดีทุกด้าน

6 กิจกรรมเล่นกับลูกสไตล์ มอนเตสเซอรี่ เสริมทักษะให้ลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

keyboard_arrow_up