คำคมครอบครัว

รวม คำคมครอบครัว คำคมชีวิตครอบครัว อ่านแล้วโดนใจ

Alternative Textaccount_circle
event
คำคมครอบครัว
คำคมครอบครัว

รวม คำคมครอบครัว คำคมชีวิตครอบครัว ที่มีความหมายดี ๆ ซึ้ง ๆ อ่านแล้วโดนใจ ใช้ได้ทุกโอกาส ช่วยให้เกิดความผูกพันธ์และเป็นข้อคิดในครอบครัว

รวม คำคมครอบครัว คำคมชีวิตครอบครัว อ่านแล้วโดนใจ

ความหมายของคำว่า “ครอบครัว”

ครอบครัว หมายถึง กลุ่มคนที่อยู่ร่วมกันซึ่งอาจมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยการแต่งงานกัน มีลูก ปู่ย่า ตายาย และคนอื่น ๆ ที่มารวมอาศัยอยู่ร่วมกัน ซึ่งบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ ถูกสานสัมพันธ์ด้วยความรัก ความห่วงใย และบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ มีการตัดสินใจร่วมกันมีการรับรู้ความทุกข์สุข มีการติดต่อสื่อสารระหว่างกันและกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกัน และกัน มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมและจริยธรรมต่าง ๆ เพื่อการดำรงอยู่ในสังคมต่อไป

เพราะครอบครัวคือสถาบันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา การดูแลเอาใจใส่ต่อกันทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจก็มีส่วนทำให้ครอบครัวมีความสุข การส่งข้อความดี ๆ ให้กันก็เป็นอีก 1 วิธีในการบอกรักกัน ทีมแม่ ABK ขอรวบรวม คำคมครอบครัว คำคมชีวิตครอบครัว ให้เอาไปใช้กันได้เลยค่ะ ไม่หวง

รวม คำคมครอบครัว คำคมชีวิตครอบครัว ความหมายดี ๆ ซึ้ง ๆ

“การเป็นครอบครัวหมายความว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่วิเศษมาก หมายความว่าคุณจะรักและถูกรักตลอดชีวิต”

“ครอบครัวไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่มันคือทุกอย่าง”

“คิดถึงครอบครัวของคุณในวันนี้และทุก ๆ วันหลังจากนั้นอย่าปล่อยให้โลกที่วุ่นวายในวันนี้ขัดขวางคุณไม่ให้แสดงว่าคุณรักและชื่นชมครอบครัวของคุณมากแค่ไหน”

“ไม่สำคัญหรอกว่าบ้านเราใหญ่แค่ไหน มันสำคัญว่ามีความรักอยู่ในนั้น”

“สันติภาพคือความงามของชีวิต มันเป็นแสงแดด มันเป็นรอยยิ้มของเด็ก ความรักของแม่ความสุขของพ่อ การรวมกันของครอบครัว มันคือความก้าวหน้าของมนุษย์”

“มีแต่บ้าน… เท่านั้น ที่พร้อมจะเปิดต้อนรับเสมอ ไม่ว่าเราจะเหนื่อยแค่ไหน”

“ที่ทำงานอย่างบ้าคลั่ง เพราะเบื้องหลังคือ “ครอบครัว”

“ความอบอุ่นของครอบครัวไม่ใช่จำนวนคนที่อยู่ แต่คือความเข้าใจที่มี”

“บ้านที่อยู่แล้วมีความสุข อาจเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ แต่ข้างในมีครอบครัวที่อบอุ่มพร้อมหน้าคือบ้านที่น่าอยู่ที่สุด”

“ครอบครัวคือสิ่งที่ทำให้รู้ว่าเรามีทีม ที่กำลังไปสู้ด้วยกัน ไม่ว่าจะทะเลาะกันแค่ไหน ไม่ว่าจะเจอกับอะไรก็ไม่เคยทิ้งกัน”

“ใช้เวลาที่มีทำแต่สิ่งดี ๆ ให้แก่กัน ไม่จำเป็นต้องเป็นวันสำคัญ แค่ทำทุกวันให้รู้สึกดี”

“ความอบอุ่นของครอบครัวไม่ใช่จำนวนคนที่อยู่ แต่คือความเข้าใจที่มี”

“ไม่ได้ฝันว่าจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีแต่ฝันว่ามีครอบครัวที่มีสุข”

“ครอบครัวเป็นสิ่งแรกที่คุณจำ และเป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณจะลืม”

คำคมชีวิตครอบครัว
คำคมชีวิตครอบครัว

คำคมชีวิตครอบครัว ถ่ายทอดความรักของคำว่า “แม่”

“การเป็นคุณแม่เต็มเวลาเป็นงานที่ได้ค่าแรงแพงที่สุด เพราะค่าแรงนั้นจ่ายถูกด้วยความรักที่แสนบริสุทธิ์”

“เมื่อคุณเป็นแม่ คุณจะไม่คิดว่าตัวเองโดดเดี่ยวอีกต่อไป คนเป็นแม่จะคิดอยู่ 2 สิ่ง สิ่งหนึ่งเพื่อตัวเอง และสิ่งหนึ่ง.. เพื่อลูก”

“ไม่มีวิธีไหนเลยสำหรับการเป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ แต่มีนับล้านวิธีที่จะเป็นแม่ที่ดีคนหนึ่งได้”

“รักเดียวที่ฉันเชื่อ คือรักของแม่ที่มีให้กับลูก”

“คำว่า “แม่” พูดง่าย จะรู้ซึ้งถึงคำว่า “แม่” ก็ตอนได้ เป็นแม่คน”

“แม่ท่านนึงกล่าวไว้.. สาเหตุที่มีวันแม่ เพราะกลัวลูกลืมคนที่สำคัญที่สุดไป และสาเหตุที่ไม่มีวันลูก เพราะลูกสำคัญสำหรับแม่เสมอ”

“ผู้หญิงที่เรียกว่าแม่ อุ้มไม่หนัก เหนื่อยไม่พัก รักไม่จาง ห่วงไม่เลิก เบิกไม่คิด ผิดไม่แค้น ตายแทนลูกได้”

“รักไม่มีวันหมด รักที่ไม่จบ คือรักจากแม่”

เคล็ดลับสร้างครอบครัวที่อบอุ่น

  • ดูแลเอาใจใส่ต่อกัน คอยช่วยเหลือดูแลในเรื่องสุขภาพ อาหารการกิน เงินทอง ค่าใช้จ่าย การรับส่ง  สิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดความอบอุ่นทางใจได้ไม่มากก็น้อย
  • รู้จักกันและเข้าใจกันให้ดี รู้นิสัยซึ่งกันและกัน ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร มีจุดเด่นหรือจุดด้อยอย่างไร
  • เคารพซึ่งกันและกัน เป็นการเคารพที่มาจากใจ เกรงใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้รู้จักระมัดระวังการปฏิบัติตัวต่อกันให้ดี
  • ยอมรับความผิดหรือความชอบ ไม่ควรดึงดันหาเหตุผลมาอ้างเมื่อตนทำผิด
  • ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ความไว้วางใจ เป็นรากฐานที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ในครอบครัว ความไว้วางใจควรมีต่อกัน ทั้งทางกาย และทางใจ ซึ่งจะช่วยให้คนในครอบครัวมีความสบายใจ ไร้ความวิตกกังวลหรือความกลัว เป็นที่พึ่งพาได้
  • ให้กำลังใจกันและกัน จะช่วยเสริมสร้างพลังใจให้ทุกคนในครอบครัว ให้สามารถดำเนินชีวิตไปอย่างมีความสุข การให้กำลังใจอาจเป็นคำพูด และท่าทาง ที่ให้การสนับสนุน และชมเชยเมื่อทำสิ่งที่ถูกต้อง แนะแนวทางในการหาทางออก เมื่อมีปัญหาไม่ดุด่าหรือกล่าวโทษว่าเป็นความผิด
  • ให้อภัยซึ่งกันและกัน การที่มีคนมาอยู่รวมกัน บางครั้งมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่ครอบครัวก็ควรให้อภัยแก่กัน
  • ใช้เวลาด้วยกันอย่างมีคุณค่า ควรหาเวลาที่จะอยู่ด้วยกัน พูดคุยถามสารทุกข์สุกดิบระหว่างกัน ช่วยกันแก้ปัญหาต่าง ๆ มีกิจกรรมร่วมกัน
  • รู้จักการสื่อสารในครอบครัว การสื่อสาร พูดคุยกัน ควรใช้คำสุภาพ การตำหนิกันก็ทำได้ แต่ควรเป็นคำตำหนิที่ใช้ถ้อยคำที่น่าฟัง
  • ปรับตัวเข้าหากัน
  • รู้จักหน้าที่ในครอบครัว และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันในครอบครัว ต่างคนต่างมีบทบาท และหน้าที่ที่ต่างกัน ดังนั้นทุกคนในครอบครัวจะต้องตกลงกันให้ดีว่า เรื่องนี้ใครรับผิดชอบ เรื่องนั้นใครรับผิดชอบ มีสัดส่วนอย่างไร และมีแนวทางปฏิบัติอย่างไร
  • ให้ความใกล้ชิดทางสัมผัส โอบกอดกัน แสดงความรักต่อกัน เป็นการแสดงถึงความรักความอบอุ่นตามธรรมชาติของคน ดังนั้นจึงอย่าอายที่จะแสดงความรักต่อคนที่เรารักที่สุด นั่นก็คือครอบครัวของเราเอง

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

คำสอนของแม่ ถึงลูกสาว 30 ข้อ

คำสอนของแม่ ถึงลูกสาว 30 ข้อ

คำคมความรัก 2020 รวมแคปชั่นโดน ๆ คำคมเด็ด ๆ

คำคมความรัก 2021 รวมแคปชั่นโดน ๆ คำคมเด็ด ๆ

12 คำพูดให้กำลังใจลูก ที่คนเป็นพ่อแม่ช่วยได้

12 คำพูดให้กำลังใจลูก ที่คนเป็นพ่อแม่ช่วยได้

5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก

5 กฎของการใช้ชีวิตคู่ เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องลูก

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : thaihealthlife.com, forfundeal.com, hilight.kapook.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน

แม่รู้มั้ย! พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน เกิดอะไรขึ้นกับลูกในท้องบ้าง?

Alternative Textaccount_circle
event
พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน
พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน

หลังจากกระบวนการปฏิสนธิโดยสมบูรณ์ ไข่ผสมกับสเปิร์มและสร้างเป็นตัวอ่อน ตอนนี้คุณแม่กำลังตั้งครรภ์แล้วนะ ตั้งแต่วันแรกจนสิ้นสุดการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์จะมีพัฒนาการมากขึ้นตามลำดับจนกระทั่งคลอดออกมากลายเป็นทารกน้อยที่แสนน่ารักของคุณพ่อคุณแม่ ตอนนี้คุณแม่มือใหม่อยากรู้มั้ยค่ะว่า พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน จะเป็นอย่างไร และในช่วงตั้งครรภ์เดือนแรกแม่ต้องดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง

ขนาดทารกในครรภ์ 1 เดือน
ขนาดทารกในครรภ์ 1 เดือน

พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน ลูกตัวเล็กจิ๋วเท่า “เมล็ดงา” แล้วนะ

หลังจากปฏิสนธิแล้ว ไข่จะเคลื่อนตัวไปยังโพรงมดลูก โดยใช้เวลาประมาณ 36 ชั่วโมง ในขณะที่ไข่เคลื่อนตัวมานั้นจะมีการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนไปเรื่อย ๆ เมื่อไข่ถึงโพรงมดลูก ไข่จะมีเซลล์ประมาณ 100 เซลล์ เมื่อไข่ฝังตัวกับผนังมดลูกอย่างมั่นคงดีแล้ว ถือว่ากระบวนการปฏิสนธิโดยสมบูรณ์และเป็นจุดเริ่มต้นของการตั้งครรภ์อย่างแม้จริง ในช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่กำหนดเพศสภาพของลูกน้อยด้วย ซึ่งจะมีอสุจิเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่จะได้ปฏิสนธิกับไข่จนเกิดเป็นทารก ถ้าตัวอสุจิที่มีโครโมโซม X เข้าไปผสมกับไข่ที่มีโครโมโซม X ก็จะได้ผลเป็น XX คือ เพศหญิง แต่ถ้าตัวอสุจิที่มีโครโมโซม Y เข้าไปผสมกับไข่มีโครโมโซม X ก็จะได้ผลเป็น XY คือ เพศชาย โดยไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ เรียกว่า ไซโกเทต คือลูกบอลขนาด 32 เซลล์ที่มีขนาดเท่ากับ “เมล็ดงาดำ”

พัฒนาการทารกในครรภ์เดือนแรก เกิดอะไรขึ้นกับลูกในท้องบ้าง?

ในช่วงระยะ 1 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ตัวอ่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงและเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งออกได้เป็น 4 ช่วง ได้แก่

อายุครรภ์สัปดาห์ที่ 1 หลังจากการปฏิสนธิ ทารกในครรภ์จะยังเป็นเพียงเซลล์เล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ แบ่งตัวออกเป็น 3 ส่วน ซึ่งอวัยวะภายในและผิวหนังของทารกจะเริ่มพัฒนาขึ้น คือ

  • Ectoderm หรือชั้นนอกของเซลล์ ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นระบบประสาท ผิวหนัง ผม ขน ต่อมน้ำนม ต่อมเหงื่อ และฟัน
  • Mesoderm จะพัฒนาไปเป็นหัวใจ ระบบไหลเวียนโลหิต กล้ามเนื้อและกระดูก และระบบขับถ่าย
  • Endoderm จะพัฒนาไปเป็นอวัยวะภายใน เช่น ปอด ทางเดินอาหาร ตับ ตับอ่อน และต่อมไทรอยด์

อายุครรภ์สัปดาห์ที่ 2 หลังจากการปฏิสนธิทารกเริ่มพัฒนาหลอดประสาท ซึ่งเป็นโครงสร้างรูปร่างคล้ายท่อที่จะเติบโตกลายเป็นสมอง ไขสันหลัง ระบบประสาท และกระดูกสันหลังของทารกต่อไป

พัฒนาการทารกในครรภ์
พัฒนาการทารกในครรภ์

อายุครรภ์สัปดาห์ที่ 3 หัวใจของลูกก็เริ่มเต้นแล้วในช่วงนี้ มีการพัฒนาเป็นรกที่จะทำหน้าที่สำคัญระหว่างทารกภายในครรภ์กับคุณแม่ไปตลอด 40 สัปดาห์จนกว่าจะคลอด แม้ว่าหน้าตาของทารกน้อยจะยังไม่พัฒนาขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในช่วงตั้งครรภ์เดือนแรก แต่อวัยวะสำคัญหลายอย่าง เช่น ตา หู และปากของทารก จะเริ่มปรากฏให้เห็นลาง ๆ แล้ว ในระยะนี้หากคุณแม่ได้รับสารพิษ เช่น ยา สารเคมี เชื้อโรคบางชนิด หรือการกินเหล้า บุหรี่ ก็อาจทำให้ตัวอ่อนในครรภ์มีความพิการและแท้งออกมาได้จึงต้องระวังเป็นพิเศษ

อายุครรภ์สัปดาห์ที่ 4

  • ทารกในครรภ์จะมีความยาวประมาณ 4 มิลลิเมตร น้ำหนักไม่ถึง 1 กรัม มีลักษณะคล้ายกุ้งที่มีเอวคอดตรงกลาง มีส่วนหัว ส่วนข้าง และส่วนล่างที่ลักษณะเหมือนหางโค้งงอ
  • ภายในครรภ์จะเริ่มมีถุงน้ำคร่ำเกิดขึ้น ซึ่งจะมีน้ำคร่ำที่ทำหน้าที่คอยปกป้องตัวอ่อนจากสิ่งแวดล้อม การกระทบกระเทือนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากภายนอก และควบคุมอุณหภูมิให้ตัวอ่อน ทำให้ตัวอ่อนสามารถเคลื่อนไหวได้เพื่อการเจริญเติบโตของอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นแหล่งน้ำให้ตัวอ่อนอีกด้วย
  • ตัวอ่อนจะมีถุงเล็กติดอยู่ซึ่งเรียกว่า ถุงไข่แดง ซึ่งประกอบไปด้วยเส้นเลือดเล็ก ๆ มากมาย ที่คอยทำหน้าที่ให้อาหารกับตัวอ่อนในขณะที่ตัวอ่อนยังไม่สามารถดูดซึมอาหารด้วยตัวเองได้ และเมื่อตัวอ่อนเจริญเติบโตขึ้นก็จะเปลี่ยนมาใช้รกในการดูดซึมอาหารจากแม่แทน
  • ภายในหกสัปดาห์แรก สมองของทารกกำลังพัฒนาขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง และจะเริ่มแบ่งออกเป็นซีกซ้ายและซีกขวาอย่างชัดเจน
อาการแม่ท้องเดือนแรก
อาการแม่ท้องเดือนแรก

อาการแม่ท้องเดือนแรก ที่เป็นสัญญาณว่ากำลังตั้งครรภ์

คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์บางคนในช่วงเดือนแรกอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าท้อง แต่ก็สงสัยได้จากการที่ประจำเดือนไม่มา ซึ่งเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่ามีการตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถใช้ชุดทดสอบได้ว่าเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นหรือไม่ นอกจากนี้ยังอาการอื่น ๆ อีก เช่น เมื่อยล้า อ่อนเพลีย รู้สึกหงุดหงิดง่าย อารมณ์เปลี่ยน เป็นต้น

ท้อง 1 เดือนแรก ต้องเริ่มดูแลตัวเองอย่างไร

ในช่วง 1 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ตอนนี้มีชีวิตน้อย ๆ อยู่ในท้องแล้วนะ คุณแม่ต้องเริ่มดูแลตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม และเริ่มปรับพฤติกรรมเพื่อเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายทั้งแม่และลูกในท้อง เนื่องจากในช่วงการตั้งครรภ์นั้นร่างกายจะอ่อนเพลียง่าย คุณแม่ควรดูแลเรื่องอาหารการกินที่เป็นประโยชน์ ควรลดกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานเยอะ ควรได้พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ และสร้างความรู้สึกที่ดีให้กับตัวเองสำหรับการอุ้มท้องตลอด 9 เดือนนับจากนี้ ที่สำคัญเมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ว่าที่คุณแม่ควรไปทำการฝากครรภ์ภายใน 12 สัปดาห์และไปพบแพทย์ให้ตรงตามนัดเพื่อสุขภาพครรภ์ที่แข็งแรง

อาหารคนท้อง 1 เดือนแรก ควรกินอะไร

โภชนาการตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องที่คุณแม่ควรใส่ใจมากเป็นพิเศษ เพราะไม่ว่าคุณแม่จะรับประทานอะไรลงไปก็ล้วนมีผลต่อสุขภาพและพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะใน 1 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ที่คุณแม่ควรจะรับประทานอาหารดังต่อไปนี้ให้เพียงพอ

  • อาหารที่มีโฟเลต/ โฟลิค เช่น ผักโขม มันฝรั่ง กะหล่ำปลี บล็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง คะน้า น้ำส้ม อะโวคาโด ข้าวโพด เป็นต้น ซึ่งโฟเลตเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นอย่างมากในการตั้งครรภ์ เพื่อช่วยในเรื่องของพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์ และยังมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงจากการเกิดความผิดปกติแต่กำเนิดของทารกอีกด้วย
  • อาหารที่มีธาตุเหล็กสูง อาทิเช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ ถั่ว ธัญพืช ฯลฯ ซึ่งเป็นสารอาหารมีส่วนประกอบของฮีโมโกลบินที่อยู่ในเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ในการลำเลียงและขนส่งออกซิเจนไปยังทารกน้อยในครรภ์ รวมทั้งไปเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายให้สามารถทำงานได้ปกติ อีกทั้งยังช่วยรักษาระดับความเข้มข้นของเลือดให้กับคุณแม่
  • อาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะกรดอะมิโนที่มีอยู่ในโปรตีนจะช่วยในการสร้างอวัยวะต่าง ๆ ของทารกในครรภ์
  • อาหารประเภทวิตามินบี6 เช่น ถั่วลิสง ธัญพืชต่าง ๆ และกล้วย มีส่วนช่วยในการยับยั้งอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งเป็นอาการที่จะเกิดขึ้นในช่วงระยะแรกของการตั้งครรภ์ได้

อาหารคนท้อง 1 เดือนแรก

  • อาหารที่มีแคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่จะต้องได้รับอย่างพอเพียง ซึ่งแคลเซียมจะได้ถูกนำไปให้เซลล์ในอวัยวะต่างๆ ได้ใช้ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและรักษาความหนาแน่นของกระดูกให้คุณแม่และช่วยในการพัฒนาการเจริญเติบโตของลูกน้อยด้วย ในหนึ่งวัน คุณแม่ควรได้รับแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1,000 มิลลิกรัม  ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ นม โยเกิร์ต ชีส ปลาตัวเล็กตัวน้อย กุ้งฝอย ธัญพืชต่าง ๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้ และผักใบเขียวบางชนิด ได้แก่  ยอดแค ผักคะน้า  บร็อคโคลี และงาดำ เป็นต้น ถ้าหากคุณแม่ได้รับแคลเซียมในปริมาณที่พอเหมาะ ก็จะช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง ลดการเกิดตะคริว ได้อีกด้วย
  • ผลไม้ อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อแม่และลูกน้อยในท้อง อาทิ วิตามิน เบต้าแคโรทีน และไฟเบอร์ ที่มีอยู่ในส้ม กล้วย ผลไม้ตระกูลเบอรี่ มะละกอ มะพร้าว ฝรั่ง เป็นต้น โดยคุณแม่ท้องควรรับประทานผลไม้ให้ครบ 5 ส่วนต่อวัน ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย และป้องกันอาการท้องผูกที่จะเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำเปล่าถือว่าเป็นน้ำดีที่สุดสำหรับการดื่มในช่วงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะคุณแม่ท้องที่มักจะปัสสาวะบ่อยที่จะสูญเสียน้ำในร่างกายมากกว่าปกติซึ่งจะช่วยลดภาวะขาดน้ำลงได้ รวมทั้งช่วยป้องกันอาการอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์ เช่น อาการปวดหัว การเกิดตะคริว และท้องผูก นอกจากนี้การดื่มน้ำเปล่าในแต่ละวันจะดีต่อการลำเลียงสารอาหารส่งตรงถึงทารกในครรภ์ ช่วยให้สารอาหาร แร่ธาตุ รวมไปถึงออกซิเจนส่งถึงลูกน้อย ดังนั้นระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ควรค่อย ๆ จิบน้ำเปล่าตลอดทั้งวันให้ได้อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอากาศในแต่ละวัน

จะเห็นได้ว่า การตั้งครรภ์ในช่วง 1 เดือนแรกนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่ตัวอ่อนกำลังเจริญเติบโต การเอาใจใส่ต่อครรภ์นั้นมีผลต่อพัฒนาการเจริญเติบโตของลูกน้อยในครรภ์ไม่น้อย ไม่เฉพาะแต่อาหารที่แม่บริโภคด้วย ยังรวมถึงการออกกำลังกายเบา ๆ  การพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการดูแลอารมณ์ที่ไม่ควรให้เกิดความเครียด เมื่อการบำรุงครรภ์เป็นไปอย่างราบรื่นย่อมส่งผลไปถึงทารกน้อยในครรภ์ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ตลอด 9 เดือนก่อนคลอดออกมาลืมตาดูโลกนะคะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.kapook.comwww.honestdocs.cowww.sanook.com

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

พัฒนาการทารกในครรภ์ 9 เดือนมหัศจรรย์ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตน้อยๆ ของแม่บ้าง

10 รายชื่อหมอสูติ หมอฝากครรภ์ฝีมือดี ที่แม่ท้องบอกต่อ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว ทำนายฝัน

ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว ฝันดีหรือร้าย ทำนายฝันเลขเด็ด!!

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว ทำนายฝัน
ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว ทำนายฝัน

ฝันเห็นพ่อแม่ตัวเอง ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว เป็นฝันดีหรือลางบอกเหตุอะไรกันนะ ควรทำบุญอย่างไร เอ๊ะ ! หรือเลขเด็ดกำลังรออยู่ อย่าช้ารีบมาหาคำตอบกัน

ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว ฝันดีหรือร้าย ทำนายฝันเลขเด็ด!!

อันว่าความฝัน เป็นเรื่องราวของจิตใจมนุษย์ที่นักจิตวิทยาผู้ซึ่งค้นหาเรื่องราวเกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์ที่ใคร ๆ ต่างบอกว่า “ยากแท้หยั่งถึง” นั้น เชื่อว่า ความฝัน เป็นการแสดงออกของความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึก และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในสมอง คนเรามักจะฝันคืนละ 4-6 ครั้ง และคนกว่า 90% ทั่วโลก มักจะลืมความทรงจำเกี่ยวกับความฝัน หลังจากที่ตื่นนอนภายในเวลา 10 นาที แต่ก็มีบ่อยครั้งที่เมื่อเราตื่นขึ้นมายังสามารถจำเหตุการณ์ของความฝันของเราได้อยู่ โดยนักจิตวิทยาเชื่อว่า แม้เราจะมีความฝันมากมายหลายร้อยเรื่อง แต่ทุกความฝันจะมีแพทเทิร์นที่เหมือนกันอยู่ ซึ่งแพทเทิร์นเหล่านี้สามารถนำมาตีความ ความคิด ความรู้สึกของคน ๆ นั้นได้ว่าลึก ๆ ในจิตใจนั้นมีความกังวล ความหมกหมุ่น หรือความต้องการใด ๆ แฝงอยู่ในส่วนลึก เช่น

  • ฝันว่าฟันหลุด สาเหตุจาก สูญเสียความมั่นใจในตัวเอง เพราะฟันและช่องปากคือสัญลักษณ์ของความมั่นใจ
  • ฝันว่าโดนไล่ล่าหรือกำลังวิ่งหนี สาเหตุจาก คุณมีความต้องการที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรค แต่ยังหาวิธีที่จะแก้ไขมันไม่ได้
  • ฝันว่ากำลังทำข้อสอบหรือกำลังนั่งทำงาน มักเป็นฝันที่เกิดขึ้นกับคนที่ประสบความสำเร็จและกลัวความล้มเหลว หรือไม่ก็เป็นคนที่มาตรฐานสูง ชอบกดดันตัวเองมากเกินไป
ข้อมูลอ้างอิงจาก เอียน วอลเลซ (1946-2007) นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใต้สำนึก

ด้วยความที่ในทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่นอนของการฝันของมนุษย์ได้นั้น ความฝันจึงยังคงเป็นสิ่งที่ลึกลับน่าค้นหา และมนุษย์ก็พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันมานานหลายพันปีแล้ว โดยในบางความเชื่อ ก็เชื่อว่าความฝันเป็นสารสื่อจากผู้มีพลังอำนาจวิเศษ เช่น พระเจ้า บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ เป็นต้น

แม่ท้องมักกังวลจนอาจฝันเห็นแม่ ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว เพราะคิดถึงแม่
แม่ท้องมักกังวลจนอาจฝันเห็นแม่ ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว เพราะคิดถึงแม่

ดังนั้นเมื่อเรา ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว ฝันถึงคนรักที่จากไปนั้น จึงทำให้เรารู้สึกเป็นกังวล ครุ่นคิดถึงความหมายที่อาจเป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นที่จากไปต้องการบอกอะไรแก่เรา วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK จึงขอเป็นสื่อกลางรวบรวมข้อมูลในการทำนายฝันในเรื่องดังกล่าวมาให้ได้พิจารณากัน

ทำนายฝัน ตามความเชื่อ (ฟังหูไว้หู)

ฝันเห็นแม่

สำหรับการได้ฝันเห็นแม่นั้นมีความหมายของความฝันว่า ชีวิตของเจ้าของความฝันในช่วงระยะนี้ จะมีความสงบสุขราบรื่นดี ญาติมิตรหรือเพื่อนฝูงที่อยู่ห่างไกลก็จะเดินทางมาหา การทำธุรกิจใด ๆ ในช่วงนี้ก็จะมีความสำเร็จดี แต่ให้ระวังเรื่องเครื่องจักรหรือเครื่องไม้เครื่องมือในการทำงานอาจจะเกิดความเสียหายได้ แล้วก็ช่วงระยะนี้อาจจะมีเหตุให้ต้องใช้เงินมากกว่าปกติ หากประหยัดเอาไว้ก่อนบ้างก็จะดี เงินทองจะไม่ขาดมือจนกลายเป็นหนี้สิน สำหรับความหมายในเรื่องของความรัก คนที่ยังโสดอยู่กำลังจะพบเจอคนที่ถูกใจ แต่ก็จะยังไม่ใช่เนื้อคู่

ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว

การที่ได้ฝันเห็นคุณแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว ทำนายความหมายได้ว่า ช่วงนี้ตัวเจ้าของความฝันกำลังมีเกณฑ์ที่จะเกิดเหตุร้ายหรืออุบัติเหตุในบ้าน อาจจะมีคนในบ้านเจ็บป่วยหรือเจ็บตัวจากเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ระมัดระวังไว้ให้มาก ด้านโชคลาภในช่วงนี้นั้น จะได้มาจากความเสน่หาเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้านหน้าที่การงานเป็นช่วงที่ต้องแบกรับภาระหนัก ต้องอดทนและใช้ความพยายามให้เต็มที่ แล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็จะดีมากกับตัวคุณเอง คนที่ทำธุรกิจหรือมีอาชีพอิสระ ก็จะมีไอเดียใหม่ ๆ ที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ แต่ก็เป็นเหตุให้มีคนจ้องจะลอกเลียนแบบ ส่วนความหมายในเรื่องของความรักนั้น คนไหนที่ยังโสดอยู่ กำลังจะได้พบกับคนที่มีเสน่ห์มากและเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์ ก่อนที่จะกลายเป็นคู่รักในอนาคต ส่วนคนที่มีคู่แล้ว ให้ระวังข้อขัดแย้งที่อาจทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุนแรง แล้วกลายเป็นเหตุให้ต้องเลิกรากัน ดังนั้นต้องใจเย็นเข้าไว้และทำความเข้าใจกันให้มาก ๆ

ความผูกพันแม่ลูก ห่วงใยแม้ยามฝัน
ความผูกพันแม่ลูก ห่วงใยแม้ยามฝัน

ฝันว่าแม่ตาย

เจ้าของความฝันจะมีโชคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และจะเพลิดเพลินกับความรุ่งเรืองอย่างไม่ขาดสาย เร็ว ๆ นี้ คุณมีดวงที่จะต้องเดินทางไกล จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งมากมาย จะมีความกังวลมากกว่าปกติ ด้านหน้าที่การงาน จะต้องระวังเรื่องคำพูดเป็นพิเศษ มีโอกาสที่จะเกิดเรื่องขัดแย้งจนถึงเป็นปากเสียงกันได้ คนทำงานด้านบริการจะมีงานวิ่งเข้ามาหา ประเภทเพื่อนชักชวนลูกค้ามาให้ การงานออกนอกลู่นอกทางบ้าง ขาดความเอาใจใส่เท่าที่ควร ต้องมีสติ สมาธิ ความอดทนสู้กว่าปกติ ในความหมายของเรื่องความรักนั้น คนที่อยากมีกิ๊กบ้างคงต้องร้องเพลงรอเพราะอีกนานกว่าที่คุณจะสมหวัง คุณจะพบคนต่างเพศที่มีลักษณะต้องตาต้องใจ ไม่ว่าคุณยังโสดหรือไม่ก็ตาม ช่วงนี้คนรักของคุณมีอาการแอบงอน ให้คุณอดทนและควรจะคุยกันดี ๆ

ฝันเห็นแม่ที่เสียชีวิต
ฝันเห็นแม่ที่เสียชีวิต

ฝันว่าโดนแม่ตี

ถ้าฝันเห็นแม่แล้วโดนแม่ตีในฝัน มีความหมายของความฝันว่า ช่วงระยะนี้จะมีคนแปลกหน้าเข้ามาหาเจ้าของความฝันด้วยเจตนาที่ไม่ค่อยจะดี จึงไม่ควรไว้วางใจใครง่าย ๆ ด้านหน้าที่การงานจะต้องใช้สมองอย่างมาก จึงจะผ่านไปได้ คนที่ทำงานติดต่อสื่อสารกับต่างประเทศ มีโอกาสเกิดความผิดพลาดหรือล่าช้า อันเนื่องมาจากการสื่อสารที่ไม่เข้าใจได้ ด้านการเงินจะมีเรื่องที่ต้องใช้จ่าย แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ในความหมายของเรื่องความรักนั้น คนยังโสดให้ระวังการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนมีเจ้าของแล้วโดยไม่รู้ตัว จนอาจเป็นเหตุให้ต้องเกิดเรื่องยุ่งยากหรือเสื่อมเสียชื่อเสียงได้

ฝันเห็นแม่กำลังแต่งตัว

ระวังสิ่งของที่คนแปลกหน้านำมาให้นี้อาจมีเจตนาอื่นแฝงอยู่ ช่วงมารผจญ ระวังการกลับบ้านดึกๆ และหลีกเลี่ยงการไปงานศพ ระวังจะถูกเอาเปรียบจากคนที่คุณไม่คิดว่าเขาจะทำได้ ด้านหน้าที่การงาน และการเงิน มีโอกาสที่จะเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ในช่วงนี้ด้วย คุณยังต้องพยายามรักษาสัมพันธภาพกับหัวหน้าให้ดี เพื่อให้การงานของคุณราบรื่นขึ้น จะมีคนทำให้เสียทรัพย์สินเช่น รถยนต์ นาฬิกา ทอง เพราะความไว้ใจจึงทำให้เสียรู้คนอื่น การงานได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในสายงานเป็นอย่างดี ส่วนความหมายในเรื่องความรักนั้น คนโสดยังลงหลักปักฐานกับใครไม่ได้ เพราะคนที่เข้ามามักจะมีข้อเสียที่คุณรับไม่ได้ งั้นต้องอดทนรอต่อไป อยากได้บุตรหลาน ต้องขยันมีเพศสัมพันธ์ให้บ่อยครั้งจึงจะสมหวัง อย่าเล่นหูเล่นตากับใครเขาเข้าล่ะ เพราะจะมีสัมพันธ์เกินเลย

ฝันเห็นแม่ร้องไห้

ถ้าได้ฝันเห็นว่าแม่ร้องไห้ ทำนายความหมายของความฝันได้ว่า ในช่วงนี้คนที่มักมีปัญหากับผู้ใหญ่ ยังไม่ควรพาคนนอกเข้าบ้าน เพราะจะเกิดปัญหาขัดแย้งกับผู้ใหญ่ในบ้านได้ง่าย ในช่วงนี้เจ้าของความฝันมีเกณฑ์จะต้องเดินทางไกลอยู่บ่อย ๆ เงินทองมีเข้ามามาก แต่ก็จ่ายออกไปมากเช่นกัน ดังนั้นจึงควรระมัดระวังการใช้จ่าย ก่อนที่จะกลายเป็นหนี้สิน ส่วนความหมายในเรื่องความรักนั้น คนที่ยังโสดให้ระวังการพบรักกับคนมีเจ้าของแล้ว แล้วจะมีโอกาสพบรักในงานมงคล

ฝันเห็นแม่หัวเราะ

การที่ได้ฝันเห็นว่าแม่หัวเราะนั้น มีความหมายของความฝันว่า ช่วงนี้เจ้าของความฝันกำลังมีเคราะห์กรรมเก่าติดตาม ให้ระวังตัวให้มาก กำลังจะมีมิตรใหม่เข้ามาทำความรู้จัก แต่ก็มีเจตนาที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ให้ระวังเรื่องข้าวของในบ้านจะแตกหักเสียหายด้วย

ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว พร้อมคำทำนาย
ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว พร้อมคำทำนาย

ฝันเห็นแม่พ่อ

ระวังสิ่งของที่คนแปลกหน้านำมาให้นี้อาจมีเจตนาอื่นแฝงอยู่ จะทำของหาย หรือสูญเสียของที่รัก อยู่ในช่วงจังหวะชีวิตเปลี่ยนแปลง แต่มันจะทำให้คุณได้รับสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต ดวงการเงินและการงาน จะได้ลาภจากการทำงาน หรืออาจจะได้งานพิเศษทำแบบไม่คาดคิด คนทำธุรกิจอิสระจะมีโอกาส เจริญก้าวหน้า แต่ระวังจะมีคนคิดอยากจะก๊อปปี้งานในแบบของคุณ หากเรียกร้องเก็บหนี้สินจากใครต้องใช้เวลานาน และต้องอดทนพอสมควรถึงจะสามารถเก็บได้หมด ในเรื่องของความรัก คนโสดจะได้พบรักกับคนที่อยู่ทางไกล หรือพบรักในต่างแดน ความรักของคุณมักจะมาในรูปความเห็นใจซะมากกว่า แต่คุณก็ควรดูด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความรักหรือความสงสารกันแน่ ระวังจะมีเรื่องที่ต้องขัดแย้งและทะเลาะเบาะแว้งกับคนรักอย่างรุนแรง

ฝันเห็นแม่ เลขนำโชคมีเลขอะไรบ้าง?

เลขเด่นนำโชค 1 2 5

เลขเด่นรอง 75 786 405 933

ทำนายฝัน ลางบอกเหตุหรือแค่บังเอิญ
ทำนายฝัน ลางบอกเหตุหรือแค่บังเอิญ

วิธีแก้ฝันร้ายให้กลายเป็นดี

การแก้ความฝันนั้นหากเราแก้ฝันร้ายด้วยการเล่าให้ผู้อื่นฟัง ข้อห้ามสำคัญก็คือเราต้องไม่รับประทานอาหารในขณะเล่า เมื่อเล่าความฝันให้ผู้รับฟังจบแล้ว ผู้รับฟังต้องพูดคำว่า “ขอให้ฝันร้ายกลายเป็นดี” หรือการแก้ฝันร้ายนั้นเราสามารถไปทำบุญที่วัดอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรเพื่อความสบายใจได้เช่นกัน แต่หากฝันร้ายแล้วตกใจตื่นตอนกลางคืน ให้ตั้งจิตสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย 3 จบแล้วก้มกราบหมอน 3 ครั้งก่อนนอนต่อ วิธีแก้ความฝันนี้ เป็นกุศโลบายเพื่อให้ผู้ฝันสบายใจขึ้น โดยการเล่าให้คนอื่นฟัง โดยการทำบุญ และโดยการตั้งสมาธิและมีสตินั่นเอง

อย่างไรก็ตามคำทำนายฝัน ก็ยังคงเป็น คำทำนาย ดั่งชื่อของมันนั่นเอง การทำนายย่อมมีผิดมีถูกไม่แน่นอน การจะตกลงปลงใจเชื่อในสิ่งใดนั้นจึงควรตั้งอยู่บนสติ และปัญญาจึงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

ขอขอบคุณคลิปจาก พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ

*บทความทำนายฝันนี้ เป็นการเรียบเรียงข้อมูลทางความเชื่อ โปรดใช้วิจารณญาณในการใช้งาน

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.roproo.comwww.horoscope159.comhoroscope.mthai.com ,www.flagfrog.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

จริงหรือ? ฝันเห็นงู แปลว่าจะมีลูก! แท้จริงหมายถึงอะไร

 

6 เรื่องจริงของความฝัน ฝันว่าตั้งท้อง หมายความว่าอย่างไร?

 

ฤกษ์คลอดบุตร 2563 วันไหนฤกษ์ดี ผ่าคลอดได้ เช็กเลย!

 

ดูดวงตามเดือนเกิด 2563 ลูกเกิดเดือนไหน นิสัยจะเป็นยังไง?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ฝันว่าแต่งงาน

ฝันว่าแต่งงาน ฝันว่าแต่งงานใหม่ จะได้แต่งจริงๆ ไหม?

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันว่าแต่งงาน
ฝันว่าแต่งงาน

ฝันว่าแต่งงาน ฝันว่าแต่งงานใหม่ ฝันเห็นตัวเองได้แต่งงาน แปลว่าจะได้ใส่ชุดเจ้าสาวจริง ๆ ไหม? ฝันแบบนี้เป็นลางดีหรือลางร้าย? มาเช็คดวงและเลขเด็ดกัน

ฝันว่าแต่งงาน ฝันว่าแต่งงานใหม่ จะได้แต่งจริงๆ ไหม?

ความฝันที่สาว ๆ หลาย ๆ คนอยากให้เป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงานที่สุดอลังการ งานแต่งแบบเรียบง่าย งานแต่งตามประเพณีต่าง ๆ การทำนายฝันนั้นนับรวมเป็นงานแต่งงานทั้งสิ้น แล้วความฝันเกี่ยวกับการแต่งงาน จะแปลความฝันออกมาเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันนะ หากเป็นเรื่องดี จะหมายถึงการได้ลงเอยด้วยการแต่งงานแบบในฝันจริง ๆ หรือไม่ มาเช็คดวงกันค่ะ

ฝันว่าแต่งงาน ฝันเห็นตัวเองได้แต่งงาน

ผลคำทำนาย จะมีโชคอยู่ทางทิศเหนือ มาจากคนผิวสองสี ทำดีจะได้ผลดีกลับคืนโดยเร็ว ใครที่ประสงค์ร้ายกับคุณก็ได้ผลร้ายให้คุณเห็น ระวังต้องทุกข์ยากลำบากใจด้วยเหตุซึ่งเกิดจากบุคคลซึ่งมีวัยอ่อนกว่า!

ความรัก คนโสดอาจจะมีเรื่องรักซ้อนเข้ามาสอดแทรกให้ยุ่งยากใจได้ ระวังจะเกิดอาการรักสั่นคลอน เพราะไม่รู้จะเลือกใครดี ค่อย ๆ คิดไปก่อน คุณควรระวังในเรื่องคำพูด เพราะอาจะทำลายมิตรภาพจนขาดสะบั้นได้ง่าย ๆ

ดวงการเงิน การงาน จะมีโชคทางการเงินหรือมีลาภลอยในช่วงสั้น ๆ แต่ก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดอย่าประมาท คนทำงานราชการระวังเรื่องการขยับขยายตำแหน่งหน้าที่ อาจจะมีคนไม่พอใจ ขัดแข้งขัดขากันได้ สำหรับใครที่คิดอยากจะทำธุรกิจของตนเองนั้น ช่วงนี้เหมาะมากมีดวงทำมาค้าขายขึ้น

เลขมงคล เด่นนำโชค 0 6 7

เลขมงคล เด่นรอง 51 81 65 272 381

ฝันว่าได้ใส่ชุดแต่งงาน

ผลคำทำนาย ระวังจะเกิดเหตุร้ายหรืออุบัติภัยขึ้นในบ้าน ช่วงนี้ชีวิตคุณดูมีความสุข ดูมีชีวิตชีวา ใครเห็นแล้วก็รู้สึกสดชื่นไปตามคุณ ระวังเรื่องเดือดร้อนอันเกิดจากเพศตรงข้าม

ความรัก ความรักออกแนวศึกชิงรักหักสวาท มีเรื่องหึงหวงกวนใจกันตลอดเวลา ผู้ที่มีคนรักแล้วจะได้ของขวัญที่ถูกใจจากคนรัก คนรักก็เอาใจเก่ง พูดจาหวานหู ดูแล้วน่าอิจฉาจัง อย่าเล่นหูเล่นตากับใครเขาเข้าล่ะ เพราะจะมีสัมพันธ์เกินเลย

ดวงการเงิน การงาน จะมีผลให้การงานล่าช้ากว่าที่นัดหมาย ระวังจะถูกตำหนิได้ ต้องใช้ความพยายามอดทนสูง หากทำสัญญากู้หนี้ยืมสินระหว่างเพื่อนกันจะถูกอีกฝ่ายบิดพลิ้ว เอารัดเอาเปรียบได้ การเงินอาจต้องลำบากใจจากการขอหยิบขอยืมอยู่บ้าง แต่ก็จะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทต่างเพศเป็นอย่างดี

เลขมงคล เด่นนำโชค 2 8 9

เลขมงคล เด่นรอง 06 07 854 554

ฝันว่าแต่งงานใหม่
ฝันว่าแต่งงานใหม่

ฝันว่าแต่งงานใหม่

ผลคำทำนาย การเสี่ยงโชค ทิศเหนือเป็นทิศมงคลสำหรับคุณ คุณจะได้ลาภก้อนโตจากผู้ใหญ่ มีแต่คนคอยสร้างปัญหาให้คุณอยู่เสมอ

ความรัก คนโสดมีเพื่อนแปลกหน้าใหม่ ๆ เข้ามาอยู่เสมอ ทำให้ไม่เหงาใจ ระวังจะเกิดอาการรักสั่นคลอน เพราะไม่รู้จะเลือกใครดี ค่อย ๆ คิดไปก่อน คุณควรระวังในเรื่องคำพูด เพราะอาจะทำลายมิตรภาพจนขาดสะบั้นได้ง่าย ๆ

ดวงการเงิน การงาน เงินพิเศษจะมีเข้ามาเรื่อย ๆ จากงานเดิม ๆ เพราะด้วยความสามารถและผลงานของคุณที่ได้รับการยอมรับ จะมีคนมาทาบทามให้คุณไปทำงานด้วย แต่ช่วงนี้ดวงขึ้นยังไม่เหมาะกับการโยกย้ายงานรอประมาณช่วงสิ้นปีก่อนจะดีกว่า ภาระรับผิดชอบในหน้าที่การงานทำให้จำต้องสละแผนการพักผ่อนกระทันหัน

เลขมงคล เด่นนำโชค 0 1 4 5 7 8

เลขมงคล เด่นรอง 53 62 61 72

ฝันเห็นงานแต่งงานคนอื่น

ผลคำทำนาย การเสี่ยงโชค ช่วงนี้งดเสี่ยงโชคจะดีที่สุด มิตรรักจะแปรพักตร์เป็นอย่างอื่น คอยระวังไว้ด้วย จะได้รับข่าวดีเกินคาดจากเพื่อนหรือผู้คุ้นเคยในทางบวก

ความรัก ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นในกันและกันทั้งสองฝ่าย ความสุขจะบังเกิดกับคุณทันที ความรักของคุณมักจะมาในรูปความเห็นใจซะมากกว่า แต่คุณก็ควรดูด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความรักหรือความสงสารกันแน่ อารมณ์ของคุณในระยะนี้ขึ้น ๆ ลง ๆ บ่อยมากและมักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้

ดวงการเงิน การงาน ระวังการกระทำสิ่งมิชอบจากลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงาน ที่พาให้เราลำบากไปด้วย ใครที่เรียกร้องความยุติธรรมด้านการเงินให้ตัวเองอยู่จะมีผู้ใหญ่ช่วยเจรจาให้ และได้รับความเห็นใจ คุณมีเกณฑ์ดีในด้านรายรับ หาง่ายจ่ายคล่อง

เลขมงคล เด่นนำโชค 3 6

เลขมงคล เด่นรอง 36 89 45 394

ฝันว่าแต่งงานกับแฟนเก่า

ผลคำทำนาย จะได้พบกับมิตรหน้าใหม่มากหน้าหลายตาเพิ่มขึ้น มีโอกาสที่จะพบกับเรื่องความทุกข์ ความเศร้าหรือไม่สมหวัง อยู่ในช่วงเวลาของความลุ่มหลง รักสนุก พบปะสังสรรค์เฮฮา

ความรัก คนรักไปไหนคุณไปด้วย แต่ไม่วายที่คุณจะแอบเจ้าชู้หว่านเสน่ห์ไปทั่ว คุณมีแววได้คนอายุน้อยกว่ามาเป็นเพื่อนสนิทและอาจพัฒนาไปเป็นแฟนได้ในอนาคต ต้องหลีกเลี่ยงอย่าให้เกิดชนวนแห่งความขัดแย้ง

ดวงการเงิน การงาน มีโอกาสที่จะเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ในช่วงนี้ด้วย คุณยังต้องพยายามรักษาสัมพันธภาพกับหัวหน้าให้ดี เพื่อให้การงานของคุณราบรื่นขึ้น งานที่ทำร่วมกับผู้อื่นเป็นทีมเป็นคณะจะมีปัญหาแตกแยก คนร่วมทีมจะเกิดปากเสียงกัน แตกแยกกันเป็นกลุ่ม ช่วงนี้เงินทองหามาด้วยความยากลำบากจึงไม่ควรใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น

เลขมงคล เด่นนำโชค 1 6

เลขมงคล เด่นรอง 40 06 99 16 844

ไม่ว่าผลคำทำนายต่าง ๆ เกี่ยวกับการ ฝันว่าแต่งงาน นั้น จะออกมาดีหหรือไม่ดี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีสติ ยึดสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน ดีกว่ามาคอยกังวลถึงอนาคตจากคำทำนาย

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ทำนายฝันแม่ ๆ ฝันแบบนี้ได้ลูกชายหรือลูกสาว?

ทำนายฝันแม่ ๆ ฝันแบบนี้ได้ลูกชายหรือลูกสาว?

ฝันว่ามีลูก ฝันว่ามีลูกผู้ชาย จริงหรือเปล่าที่จะได้ลูก?

ฝันว่ามีลูก ฝันว่ามีลูกผู้ชาย จริงหรือเปล่าที่จะได้ลูก?

ฝันว่าตัวเองท้อง ลางดีหรือลางร้าย? ฝันแบบไหนถึงได้ลูก?

ฝันว่าตัวเองท้อง ลางดีหรือลางร้าย? ฝันแบบไหนถึงได้ลูก?

คำคมความรัก 2020 รวมแคปชั่นโดน ๆ คำคมเด็ด ๆ

คำคมความรัก 2021 รวมแคปชั่นโดน ๆ คำคมเด็ด ๆ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : horoscope.mthai.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

นานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ขอเชิญชวนเข้าร่วมรับฟังออนไลน์ผ่านระบบ Zoom ในหัวข้อ “Introduction to the Early Years”

Alternative Textaccount_circle
event
นานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ
นานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ขอเชิญชวนเข้าร่วมรับฟังออนไลน์ผ่านระบบ Zoom ในหัวข้อ “Introduction to the Early Years” แนะนำหลักสูตรปฐมวัย (3-5 ขวบ) ในวันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ร่วมรับฟัง และ ถาม – ตอบในทุกประเด็น เกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการสอนระดับปฐมวัย ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ รีเวอร์ไซด์ แคมปัส และซิตี้ แคมปัส รวมถึง กระบวนการเรียนการสอนในสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้แบบเกื้อกูล การดูแลเอาใจใส่และให้ความสำคัญในทุกๆ บริบท เพื่อวางรากฐานของพัฒนาการที่สำคัญต่อไปในอนาคต

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – รีเวอร์ไซด์ แคมปัส
เวลา: 13:00 น.
วิทยากร: Ms. Siobhan O’Brien ผู้ช่วยครูใหญ่ฝ่ายปฐมวัย ร่วมกับ Ms. Leanne Dix หัวหน้าครูระดับชั้น Early Year 1
ลงทะเบียนออนไลน์เพื่อรับรหัสได้ที่: https://bit.ly/3gjO2Og

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส
เวลา
10:00 น.
วิทยากร: Ms. Cath Okill  หัวหน้าฝ่ายปฐมวัย ร่วมกับ Ms. Hayley และ Ms. Elysia หัวหน้าครูระดับชั้น Early Year 1 และ 2
ลงทะเบียนออนไลน์เพื่อรับรหัสได้ที่: https://bit.ly/2TF26Ij

พัฒนาการลูกในครรภ์

8 พัฒนาการลูกในครรภ์ ช่วยให้แม่รู้จักลูกมากขึ้น!

event
พัฒนาการลูกในครรภ์
พัฒนาการลูกในครรภ์

นี่คือ พัฒนาการลูกในครรภ์ ที่ลูกน้อยสามารถทำได้ การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ลูกในท้องทําอะไร ได้บ้าง แต่ละไตรมาส พัฒนาการทารกในครรภ์ เป็นอย่างไร ตามมาดูกันเลย

8 พัฒนาการลูกในครรภ์ ช่วยให้แม่รู้จักลูกมากขึ้น

แม่จ๋ารู้หรือไม่? เจ้าตัวน้อยในท้อง สามารถทำอย่างนี้…ได้ด้วยนะ!

ถึงแม้อาการแพ้จะแตกต่างกันไปในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งทำให้ว่าที่คุณแม่แต่ละคนสุขมากสุขน้อยแบบเทียบกันไม่ได้ แต่สิ่งที่ดูจะต่างกันน้อยมาก คือ ความรู้สึกตื่นเต้น ใจจดใจจ่อ หรือว่าที่คุณแม่บางคนก็ “ลุ้น” กับการเปลี่ยนแปลงของเจ้าตัวน้อย ๆ ในท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ท้องแรก ดังนั้น ทีมแม่ ABK จึงมี 8 พัฒนาการลูกในครรภ์ ตลอด 9 เดือน ที่จะช่วยให้คุณแม่รู้จักลูกน้อยมากขึ้นและสังเกตการเปลี่ยนแปลงของตัวเองได้ดีขึ้นในแต่ละไตรมาส

พัฒนาการลูกในครรภ์ {0 – 13 weeks}

1. หนูเคลื่อนไหว + ฝึกหายใจ

ประมาณสัปดาห์ที่ 9 เจ้าตัวน้อยในท้องจะสามารถขยับได้แล้ว พร้อมกับเริ่มฝึกหายใจ ซึ่งเป็นทักษะจำเป็น เพื่อการมีชีวิตรอดทันทีที่คลอดออกมา เพราะทุกอย่างต่างจากในท้องแม่อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิ

2. หนูชิ้งฉ่องได้…

เจ้าตัวน้อยในท้องคุณแม่เริ่มผลิตปัสสาวะได้เมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ด้วยการกลืนน้ำคร่ำ ระบบการย่อยทำงาน ไตทำหน้าที่ขับของเสีย และเจ้าตัวน้อยก็ฉี่ออกมาในมดลูก ผสมกับน้ำคร่ำที่จะกลืนกลับเข้าไปอีก วนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

หากคุณแม่ตรวจครรภ์ด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ คุณหมอจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าลูกมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืนหรือไม่ เพื่อให้ คำปรึกษาได้ทันท่วงที

พัฒนาการลูกในครรภ์

พัฒนาการลูกในครรภ์ {14 – 27 weeks}

3. หนูมองเห็นแล้วนะ!

นักวิจัยพบว่า ทารกในครรภ์มีปฏิกิริยาเคลื่อนไหวเพื่อหลบแสงที่ส่องเข้าไปเมื่อตอนอายุครรภ์ 15 สัปดาห์ แม้ว่าในท้องของแม่จะไม่มีอะไรให้ดูมากมาย แต่เมื่ออายุครรภ์ย่างเข้าสัปดาห์ที่ 28 (เดือนที่ 7) ลูกก็รู้จักลืมตาแล้ว

ทั้งนี้ว่าที่คุณแม่ท้องก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะนักวิจัยยืนยันว่า แสงที่ส่องจ้าผ่านผิวหนังหน้าท้องคุณแม่นั้น ไม่เป็นอันตรายใด ๆ ต่อลูกน้อยเลย

4. หนูรับรสได้หลากหลายเลย

แม่กินอะไร ลูกน้อยในท้องก็จะได้แบบนั้นเหมือนกัน แต่วิธีที่ลูกจะได้รับรสชาติอาหารเหล่านั้น ต่างจากคุณแม่ตรงที่ส่วนผสมต่าง ๆ ในอาหารจะถูกดูดซึมผ่านไปทางน้ำคร่ำ ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่านี่คือวิธีสอนลูกให้รู้จักรสชาติอาหารที่หลากหลายตามธรรมชาติ

แต่เมื่ออายุครรภ์สัปดาห์ที่ 15 เป็นต้นไป ลูกในท้องจะแสดงให้เห็นว่าปลื้มรสหวาน โดยลูกจะกลืนน้ำคร่ำมากขึ้นเมื่อแม่กินอาหารรสหวาน และจะกลืนน้ำคร่ำน้อยลงเมื่อได้รับรสขม

ดังนั้นหากคุณแม่อยากให้ลูกน้อยเติบโตเป็นเด็กที่ลองลิ้มอาหารได้หลากหลาย การกินอาหารที่รสชาติแตกต่างกันตั้งแต่ช่วงท้อง ก็เป็นวิธีที่ดีไม่น้อย แม้รสหวานจะทำให้ลูกน้อยในท้องคุณตื่นตัว กระปรี้กระเปร่า แต่เมื่อคลอดออกมาคุณแม่ก็คงอยากให้ลูกน้อยกินอาหารได้หลาย ๆ อย่างและมีประโยชน์นอกเหนือจากรสหวานอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ

5. หนูยิ้มมม…พิมพ์ใจ ได้ด้วยยย…

แม้ความรู้ทางพัฒนาการเด็กจะบอกว่า ยิ้มของทารกในช่วงสัปดาห์แรก ๆ จะยังไม่ใช่ยิ้มที่มีความหมาย แต่หลักฐานจากอัลตราซาวนด์ 4 มิติ ก็ยืนยันว่า สัปดาห์ที่ 26 เจ้าตัวน้อยก็สามรถเริ่มยิ้มได้ตั้งแต่ยังนอนสบายอยู่ในท้องแล้ว

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

พัฒนาการลูกในครรภ์ {28 – 41 weeks}

6. หนูร้องไห้ได้ด้วยนะ

อย่าเพิ่งตกอกตกใจหากรู้ว่าลูกในท้องร้องไห้ได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง เพราะเป็นเรื่องปกติ ด้วยเทคโนโลยีการใช้อัลตราซาวนด์ทำให้นักวิทยาศาสตร์รู้ว่าการร้องไห้ คือพัฒนาการของทารกในครรภ์อย่างหนึ่ง และยังสังเกตเห็นถึงขนาดว่าริมฝีปากล่างของทารกมีอาการสั่นเล็กน้อยเวลาร้องไห้ เมื่อคลอดออกมาแล้ว การร้องไห้นี่เองยังคงเป็นวิธีเดียวที่ลูกน้อยจะสื่อสารกับคุณแม่ เพื่อบอกให้รู้ว่าต้องการความช่วยเหลือ เพราะลูกยังพูดไม่ได้นั่นเอง

พัฒนาการลูกในครรภ์

7. หนูสะอึกได้ด้วย

ทารกในครรภ์จะสะอึกได้ในช่วง 3 เดือนแรก แต่คุณแม่อาจจะรู้สึกได้มากในช่วงไตรมาสสุดท้าย โดยคุณแม่จะรู้สึกเหมือนท้องกระตุกเป็นจังหวะหรือเกร็งเล็กน้อยคล้ายกับที่ผู้ใหญ่สะอึก ซึ่งคำถามแรกที่ตามมาในใจคงเป็นว่า อันตรายหรือเปล่า?

ซึ่งการสะอึกของทารกในครรภ์ แสดงว่าลูกสามารถหายใจในน้ำคร่ำได้แล้ว แต่ที่เกิดสะอึกก็เพราะขณะที่น้ำคร่ำไหลเข้าและออกจากปอดนั้นไปกระตุ้นให้กล้ามเนื้อกะบังลมหดตัวอย่างเร็ว

การสะอึกจึงเป็นเรื่องปกติของทารก ไม่เป็นอันตรายใดๆ ต่อลูกน้อยในครรภ์ ทั้งนี้แม่ท้องบางคนก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าลูกน้อยในท้องสะอึก ขณะที่อีกหลายคนก็รับรู้อาการอิ๊บอั๊บของลูกทุกวันจนชิน

แต่ในบางครั้งอาการสะอึกของทารกในครรภ์อาจเกิดจากได้รับอากาศไม่เพียงพอ คำแนะนำของแพทย์ คือ ถ้าคุณแม่สังเกตว่าอาการสะอึกของลูกเปลี่ยนไป เร็วขึ้น รุนแรง หรือนานเกินไป ควรไปพบแพทย์หรือตรวจอัลตราซาวนด์

8. หนูจำเสียงแม่ได้…อื้อฮือ!!

ถึงจะไม่เห็นกัน แต่โลกของแม่และลูกน้อยในท้องไม่จำเป็นต้องมีอินเทอร์เน็ตหรือ WiFi เพื่อเชื่อมต่อ เพราะว่าที่คุณแม่กับลูกน้อยมีสิ่งที่เหนือกว่า นั่นคือความผูกพันตลอด 24 ชั่วโมง ของว่าที่คุณแม่มีลูกอยู่ด้วยตลอด

ยิ่งเป็นปลื้มกว่านั้นงานวิจัยยังพบว่า จนกระทั่ง 10 สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงกำหนดคลอดลูกทารกจะได้ยินเสียงของแม่ แม้จะไม่รู้ว่าแม่พูดอะไร พูดกับใครก็ตาม แต่เขาจะได้ยินน้ำเสียง โทนเสียง วิธีการพูดของคุณแม่จนจำเสียงแม่ได้ในทันทีที่คลอดออกมา ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้หลังจากที่ลูกน้อยได้ยินเสียงของคุณแม่ปลอบลูกก็จะหยุดร้องไห้ได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าเห็นตากันมาก่อน

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

พัฒนาการของทารกในครรภ์ ตั้งแต่ปฏิสนธิ จนกระทั่งเกิด (มีคลิป)

พัฒนาการทารกในครรภ์ 9 เดือนมหัศจรรย์ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตน้อยๆ ของแม่บ้าง

ลูบท้องให้ลูกฉลาด กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกในครรภ์ด้วย 5 วิธี

นี่คือพัฒนาการ ความจำ ของลูกทารกตั้งแต่แรกเกิด – 1 ขวบ

ตวาดลูก ทำให้ลูกเสียใจ

กระเทาะปมแม่ปุ๊ก ทำไม แม่ไม่รักลูก ตัวเอง?

account_circle
event
ตวาดลูก ทำให้ลูกเสียใจ
ตวาดลูก ทำให้ลูกเสียใจ

“แม่ใจยักษ์ ทำร้ายได้กระทั่งลูกในไส้” คำพูดเล่านี้มักเกิดขึ้นบ่อยๆ เวลามีข่าวแม่ทิ้งลูกแม่ทำร้ายลูกตัวเองปรากฎบนหน้าฟีดเฟสบุ๊ก หรือข่าวเด่นในทีวี จนทำให้เกิดคำถามว่าคนเป็น แม่ไม่รักลูก ตัวเองได้จริงหรือ แล้วอะไรทำให้ “แม่” ผู้ให้กำเนิด “เกลียดลูกตัวเอง” ได้ลงคอ มาหาคำตอบไปพร้อมกัน

ผิดไหมถ้า แม่ไม่รักลูก ตัวเอง

จากกรณีของ “แม่ปุ๊ก” ซึ่งเริ่มเป็นที่รู้จักในโลกโซเชียล เมื่อเธอโพสต์เรื่องราวน่าสงสารของลูกสาวและลูกชายของตัวเอง ในลักษณะบอกเล่าถึงอาการป่วยของลูกทั้งสองคนโดยอ้างว่าเป็นโรคประหลาด พร้อมกับขายสินค้ากึ่งรับบริจาคมาเป็นค่ารักษาพยาบาลที่สูงถึงหลักล้านบาท ซึ่งมีผู้ใจบุญมากมายเข้ามาช่วยเหลือแต่สุดท้ายก็ต้องเสียลูกสาวคนโตไป ส่วนลูกชายคนเล็กก็มีอาการคล้ายคลึงกับพี่และพบความผิดปกติหลายอย่างของผู้เป็นแม่ ทำให้คนในโลกโซเชียลตั้งคำถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่แม่ปุ๊กวางยาลูกทั้งสองคนเพื่อขอเงินบริจาค” จนเกิดความบาดหมางระหว่าง “แม่ปุ๊ก” กับ “ผู้ใจบุญ”กลายเป็นคดีความ

แม่ไม่รักลูก

ทั้งหมดนี้เป็นที่มาของการสืบหาความจริง และหลังตรวจร่างกายหนูน้อยก็พบสารเคมีกัดกร่อนที่เป็นส่วนผสมของน้ำยาล้างห้องน้ำหรือน้ำยาซักฟอก จนทำให้เกิดแผลในปาก และอวัยวะภายในเสียหาย หลังสืบสวนพบว่าเป็นการหาผลประโยชน์จากเด็กอย่างชัดเจน ทั้งลูกสาวคนโตที่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ และลูกชายคนเล็กที่เป็นสายเลือดของตัวเอง “แม่ปุ๊ก”ถูกจับกุมพร้อมความผิด 5 ข้อหา นำเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาลต่อไป

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่แม่กระทำรุนแรงกับลูกตัวเอง สร้างความหดหู่ให้กับคนในสังคมพร้อมกับเกิดคำถามว่า แม่ไม่รักลูก ตัวเองได้ด้วยหรือ เพราะคนเป็นแม่ที่อุ้มท้องนานถึง 9 เดือน และเลี้ยงดูลูกอย่างใกล้ชิด ให้กินนมจากอก อยู่ในอ้อมกอด และแม่คือคนที่ลูกรักมากที่สุด

มีจริงหรือ แม่ไม่รักลูก ตัวเอง

นี่เป็นคำถามบาดใจคุณแม่ และหากแม่คนไหนมีความคิดแบบนี้จะเป็น “ความผิดมหันต์” ที่ไม่อาจให้อภัยได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่า แม่ไม่รู้สึกรักลูกตัวเองมีอยู่จริง และเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้แม่ทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่หลังคลอดที่ยังรู้สึกว่างเปล่าเมื่อเห็นหน้าลูกครั้งแรก บางคนใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะรู้สึกรักและผูกพันกับหนูน้อยในอ้อมกอด

แม้ระหว่างการตั้งครรภ์ความสัมพันธ์ของแม่กับลูกจะถ่ายทอดผ่านสายสะดือ เสียงหัวใจ หรือกลิ่นตัวแม่ แต่คนเป็นแม่รับรู้ถึงตัวตนของลูกจากการดิ้น การพบหน้ากันครั้งแรกของแม่กับลูกจึงอาจไม่ใช่ การตกหลุมรักในทันทีแต่จะค่อยๆพัฒนาขึ้นหลังจากนั้นผ่านปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งการให้นม กล่อมนอน สบตา กอดหอม ซึ่งจะกระตุ้นฮอร์โมนอ๊อกซิโทซิน ในสมองให้สูงขึ้นก่อเกิดเป็นสายสัมพันธ์ที่แข็งแรง ฮอร์โมนตัวนี้เองที่กระตุ้นให้น้ำนมไหลเมื่อลูกอยู่ใกล้แม่

อย่างไรก็ตามมีคุณแม่ราว 20 % ที่ไม่รู้สึกรัก ผูกพันหรือแม้กระทั่งอยากจะกอดลูก ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ เช่น ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสระหว่างคลอด ระดับฮอร์โมนแปรปรวน ความเครียด ความไม่พร้อมของแม่ และภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เป็นต้น

แม่ไม่รักลูก

 

แม่ไม่รักลูกตัวเองเป็นเพราะอะไรกันแน่

สัญชาตญาญความเป็นแม่ตามธรรมชาติจะกำหนดให้แม่ทุกคนรักและปกป้องลูกของตัวเองให้ปลอดภัย แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ความรู้สึกรักของแม่น้อยลง หรือแทบไม่มีเหลือ จนกลายเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์สลดใจหลายครั้งที่เห็นในข่าว จากบทความเรื่อง WHY SOME PARENTS CAN’T LOVE THEIR CHILDREN โดย David Hosier MSc ระบุว่า แม่ไม่รักลูก เกิดจากหลายสาเหตุดังต่อไปนี้

แม่ไม่รักลูก

  1. แม่ที่มีลูกตอนไม่พร้อม แม่วัยใส แม่เลี้ยงเดี่ยว คือกลุ่มคุณแม่ที่อาจรู้สึกไม่พอใจกับการต้องรับผิดชอบเลี้ยงลูก หรือมองว่าลูกคือภาระที่ตัวเองไม่ได้ต้องการ
  2. แม่ที่เลิกรากับสามีด้วยความรู้สึกโกรธแค้น ผิดหวัง หากมีลูกที่หน้าตาคล้าย มีท่าทางหรือพฤติกรรมคล้ายมีสามีเก่า ทำให้แม่รู้สึกเกลียดลูกคนนั้นไปด้วย
  3. แม่บางคนรู้สึกว่าลูกมีความโดดเด่น หน้าตาดี ฉลาด หรือมีพฤติกรรมเป็นที่น่าสนใจเกินไป จนทำให้ตัวเองรู้สึกดูด้อยกว่า หรือบกพร่อง ส่วนใหญ่มักเกิดกับแม่ที่มีอุปนิสัยหลงตัวเอง
  1. แม่รู้สึกอิจฉาลูก เช่น แม่รู้สึกอิจฉาลูกสาววัยรุ่นที่สวยกว่า สาวกว่า
  2. แม่รู้สึกอับอายหรือผิดหวังกับพฤติกรรมของลูก เพราะทำให้ตัวเองถูกวิจารณ์หรือดูไม่ดีในวงสังคม
  3. ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเพราะระดับสารเคมีในสมองเปลี่ยนแปลงไป จึงมีอาการซึมเศร้า หม่นหมอง รู้สึกไม่อยากกอด ไม่อยากเลี้ยงลูก
  4. แม่ถูกทำร้ายร่างกายหรือจิตใจในวัยเด็กจึงแสดงออกถึงความรักที่มีต่อลูกไม่เป็น
  5. แม่รู้สึกว่าลูกเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าของหน้าที่การงาน หรือทำให้ต้องเปลี่ยนงาน
  6. ความเชื่อทางศาสนา หรือวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับลักษณะเฉพาะ หรือเพศของเด็ก เช่น การยกย่องแม่ที่มีลูกชาย แต่ถ้าคลอดออกมาเป็นลูกสาว ทำให้แม่ไม่รัก
  7. แม่มีฐานะยากจน ชีวิตยากลำบากหลังมีลูก จึงใช้การกระทำหรือคำพูดรุนแรงกับลูก เพื่อซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดในใจตัวเอง

ถ้ารู้สึกไม่รักลูกตัวเองต้องทำอย่างไร

เมื่อเกิดความรู้สึกเช่นนี้สิ่งแรกที่คุณแม่คววรทำคือ “อย่าโทษตัวเอง” ว่าเป็นแม่ที่ไม่ดี เป็นแม่ที่แย่ เพราะนั่นยิ่งทำให้สภาพจิตใจของคุณแม่แย่ลง แต่ให้มองหาต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร หากเป็นคุณแม่หลังคลอดที่เพิ่งได้เห็นหน้าลูกไม่กี่วัน แต่ยังไม่รู้สึกรักผูกพัน ก็ให้ทำหน้าที่ของแม่ไปตามปกติ เช่น ให้นม อุ้มนอน กอดหอม เพื่อให้เกิดความใกล้ชิดแม่ลูก ยิ่งแม่กับลูกอยู่ด้วยกันมากเท่าไร ความรู้สึกรักจะค่อยๆงอกงามขึ้นมาในไม่ช้า

แต่ถ้าพบว่าตัวเองมีภาวะซึมเศร้า รู้สึกหดหู่ตลอดเวลา เสียใจง่าย หรือรุนแรงจนถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง ท้ายที่สุดแล้ว การแบ่งปันความรู้สึกกับคนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็น สามี เพื่อนสนิท คุณยาย จะช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อคุณแม่ยิ้มได้ ลูกน้อยก็ยิ้มได้เช่นกัน


แหล่งข้อมูล  childhoodtraumarecovery.com  www.dailynews.co.th

 

ซึมเศร้าหลังคลอด อาการ ที่แม่หลังคลอดควรรู้ !

 

25 ภาพสะท้อนเรื่องจริง ที่ มนุษย์แม่ ต้องเจอ!

 

10 เรื่องแรกที่สามีควรทำต่อภรรยา เมื่อกลายเป็น แม่ของลูก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ระวัง! 3 อันตรายจากแสงสีฟ้า ทำร้ายตาลูกไม่รู้ตัว

event

อันตรายจากแสงสีฟ้า พ่อแม่ระวังให้ดี! ลูกต้องเรียนออนไลน์ new normal ชีวิตวิถีใหม่ อยู่กับหน้าจอตลอด เสี่ยงส่งผลร้ายต่อสายตา ควรเตรียมรับมือ

พ่อแม่ต้องใส่ใจ!! ปัญหา อันตรายจากแสงสีฟ้า
ผลต่อสุขภาพตาของเด็กยุคดิจิทัล

จากการแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย รัฐบาลจึงมีประกาศเลื่อนเปิดเทอมยาวออกไป ด้วยตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของนักเรียนที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าว! … จึงทำให้สถานศึกษามีการปรับการเรียนการสอนเป็นในรูปแบบของการเรียนทางออนไลน์ ทำให้เด็กๆ ต้องใช้เวลาไปกับหน้าจอดิจิทัลมากกว่าปกติเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน

พฤติกรรมเหล่านี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางด้านสายตาและสุขภาพตา เพราะ แสงสีฟ้า หรือ แสงสีน้ำเงิน (Blue light) จากอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน อาจเป็นอันตรายต่อดวงตาของเด็กๆ ได้ และการเล่นอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลานานๆ จะนำมาซึ่งปัญหาและผลกระทบต่อเด็ก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ภัยจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล

อันตรายจากแสงสีฟ้า ส่งผลต่อสายตาเด็กที่พ่อแม่อาจมองข้าม ประกอบด้วย

  1. ภาวะตาล้า (Digital Eye Strain) เกิดจากการจ้องจอมากเกินไปเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อเล็กๆ ในตาหดตัวเกือบตลอดเวลาทำให้มีอาการตาล้า จึงเป็นที่มาของการมองเห็นที่พร่ามัวชั่วคราว
  2. โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) โดยแสงสีน้ำเงินจากอุปกรณ์ดิจิทัล จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทตา หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้
  3. โรคสายตาสั้นมาก (pathological myopia) การเพ่งอยู่หน้าจอเป็นระยะเวลานานกว่า 5 ช.ม ต่อวัน โดยเฉพาะในระยะน้อยกว่า 20 ซ.ม นานกว่า 45 นาที เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นได้เร็วและมากขึ้นในเด็ก

นอกจากนี้ ไม่เพียงแค่ภาวะสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติ แต่ยังทำให้เสียบุคลิกภาพ เพราะต้องหยีตาตลอด เมื่อเด็กมองไม่ชัด ซึ่งภาวะสายตาสั้นทำให้จำเป็นต้องหยีตามองสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในระยะไกลตลอดเวลา ซึ่งมีผลต่อวิสัยทัศน์และบุคลิกภาพ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

♦ 5 ป้องกันอันตรายจากแสงสีฟ้า

ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยง อันตรายจากแสงสีฟ้า และปกป้องไม่ให้สายตาของลูกเสียก่อนวัยอันควร เอสซีลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สำหรับดวงตาชั้นนำของโลก มีข้อแนะนำดีๆสำหรับคุณพ่อคุณแม่มาฝากกัน

เลือกใช้แว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีน้ำเงิน

การเลือกใช้แว่นตาที่มีเทคโนโลยีกรองแสงสีน้ำเงิน จึงเป็นก้าวแรกในการถนอมดวงตาของเด็ก และลดความเสี่ยงจากโอกาสการเกิดปัญหาทางสายตาที่รุนแรงขึ้นในอนาคต เลนส์เอสซีลอร์ Blue UV Capture นวัตกรรมกรองแสงสีน้ำเงินชนิดอันตรายในเนื้อเลนส์แต่ปล่อยช่วงแสงที่มีประโยชน์ผ่านเข้ามา เลนส์ Blue UV Capture สามารถปกป้องดวงตามากกว่าเลนส์ใสทั่วไป 3 เท่า รวมถึงป้องกันรังสียูวีทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเลนส์มากถึง 35 เท่า เลนส์แว่นตาแม้ใช้เพียงปกป้องดวงตาโดยไม่มีค่าสายตาเพื่อแก้ไขการมองเห็น ก็ควรเลือกเลนส์คุณภาพเพื่อถนอมดวงตาของลูกน้อยในระยะยาว

อันตรายจากแสงสีฟ้า

ใช้จอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมและปรับแสงสว่างหน้าจอให้พอเหมาะ

พ่อแม่ควรเลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดมากกว่า 19 นิ้ว และเป็นจอที่กันแสงสะท้อน เพราะถ้ามีแสงสะท้อนจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา และที่สำคัญควรปรับสภาพแวดล้อม แสงสว่างโดยรอบให้พอดี เพื่อลดความสว่างของหน้าจอไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป และควรจัดแสงจากภายนอกให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ให้แยงตาโดยตรงเพราะจะทำให้ตาล้ามากขึ้น

กำหนดระยะห่างระหว่างสายตากับหน้าจอ

ระยะห่างที่พอเหมาะสำหรับอุปกรณ์ดิจิทัลจะทำให้ลูกของคุณไม่ต้องใช้กำลังโฟกัสของตามากเกินไปจนเกิดอาการล้าของตาได้ หากใช้แทบเล็ต หรือหน้าจอมือถือควรห่างประมาณ 1 ฟุต ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะควรห่างประมาณ 2 ฟุต ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรจัดระยะห่างให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพสายตาที่ดีสำหรับลูกๆ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่เองด้วย

ปรับขนาดตัวอักษรบนหน้าจอดิจิทัล ไม่ให้มีขนาดเล็กจนเกินไป

ขนาดตัวอักษรที่ทำให้อ่านได้สบายตาในเวลานานๆ จะต้องมีขนาดอย่างน้อย 3 เท่าของขนาดที่เล็กที่สุดที่สามารถอ่านได้ในระยะนั้น

พักสายตาด้วยเทคนิค 20-20-20

พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักพักสาตา ด้วยเทคนิค 20-20-20 คือทุก 20 นาทีในการจ้องหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ควรพักสายตา 20 วินาที โดยมองออกไปไกล 20 ฟุต เพื่อช่วยให้ดวงตามีการเปลี่ยนระยะโฟกัสและผ่อนคลาย ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ปกครองอาจให้เด็กๆ ได้พักจากหน้าจอลุกยืดเส้นยืดสายด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไปพร้อมกัน

นอกเหนือจากการดูแลปกป้องดวงตาของเด็กๆแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ควรพาลูกไปตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง เพราะการมองเห็นคือสิ่งสำคัญ เราจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจดวงตา เพราะโรคทางตาหลายโรคที่จะไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจสายเกินกว่าจะรักษาให้เป็นปกติได้

# # # ## # # #

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจคลิกที่ภาพได้เลย ⇓

ระวัง! ลูกจ้องจอนาน เสี่ยง สายตาสั้นเทียม ตัดแว่นได้ไม่ตรงค่าสายตา

5 ผักเทพช่วย บำรุงสายตาลูก

เลเซอร์เข้าตา ลูกน้อยเสี่ยงตาบอดจริงหรือ?

สายตาเสีย ตั้งแต่เล็กเพราะทำ 8 พฤติกรรรมเสี่ยง!

 

 

สอนหนังสือลูก

สอนหนังสือลูก 1 วัน ทำอะไรดี? ถ้าไม่เรียนออนไลน์ โดยพ่อเอก

Alternative Textaccount_circle
event
สอนหนังสือลูก
สอนหนังสือลูก

เรียนออนไลน์ เป็นหัวข้อที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนานบน social media แทบทุกวัน พิมพ์ใส่กันจน keyboard ลุกเป็นไฟ แต่ในขณะที่เราถกกันเรื่องคุณภาพการสอน เราก็ไม่ควรลืมนึกถึงความพร้อมที่จะเรียนรู้ของลูกเราด้วย ตอนนี้สิ่งที่ครอบครัวเรา สอนหนังสือลูก ในช่วงที่เป็นเทอมย๊าวยาว เราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเรียนรู้ในเชิงวิชาการอะไรมากมาย แต่ให้เรียนรู้ผ่านการใช้ชีวิตไปด้วย

เพราะเด็กตัวเล็กๆ ชั้นอนุบาล ประถมหนึ่งถึงหก จะหวังอะไรมากมายว่าจะนั่งมีสมาธิฟังครูจอสี่เหลี่ยม แถมไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมใดๆ ให้เด็กแต่เป็นเพราะพี่โควิด-19 ไม่พร้อมให้เด็กๆ ไปโรงเรียนแล้วเราจะคาดหวังว่าเอาเขามานั่งปุ๊กหน้าทีวีแล้วเรียนได้เลยรึ ผมกลับคิดว่าถ้าเด็กคนนั้นนั่งเรียนได้ทั้งวันสิน่าเป็นห่วง

สิ่งที่เราทำ เป็นการตกลงร่วมกันระหว่างพ่อแม่และลูก โดยมีการเขียนตารางในแต่ละวันว่าจะทำอะไรบ้าง เป็นตารางแผนกิจกรรมคล้ายๆ ตารางสอนที่เราไปโรงเรียน แต่ตารางมาจากการเสนอขึ้นมาของเด็กๆ โดยเราในฐานะพ่อแม่ก็ดูความเหมาะสมว่ามีกิจกรรม เรียนรู้ เล่น ทำงาน พักผ่อน ในระดับพอเหมาะ เพราะขืนให้เจ้าตัวเล็กวางตารางตามใจหมดมีหวังเต็มไปด้วยสารพัดการเล่น ตัวอย่างตารางในช่วงเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ของพี่ปูนปั้น

สอนหนังสือลูก 1 วัน ทำอะไรดี?

07.30-8.00               อาหารเช้า

08.00-09.00            LEGO

09.00-10.00            อ่านหนังสือ

10.00-11.00             วาดเขียน

11.00-12.00             free time

12.00-13.00             อาหารเที่ยง

นอกจากนั้นก่อนออกจากบ้าน ผมก็มักจะมี assignment ที่ผสมการเรียนรู้ การเล่นและการใช้ชีวิตให้ลูกได้ทำทุกวัน (ผมออกไปทำงานตามปกติ แต่ภรรยา work from home) เพื่อสร้างให้เขามีความรับผิดชอบและท้าทายไปด้วย ตัวอย่าง assignment ที่ผมเขียนให้ปูนปั้นวันละ 3 อย่าง เผื่อคุณพ่อคุณแม่จะไปลองปรับใช้ในการ สอนหนังสือลูก ที่บ้าน เช่น

การบ้านคณิตศาสตร์ :

ผมก็เอาโจทย์ชีวิตจริงมาเลย เพราะตอนเช้าผมจะฝากเงินไว้ให้ภรรยาไว้สำหรับ ซื้ออาหารกลางวัน หรือ เครื่องดื่ม ขนม ไว้ทานกัน

วันนี้ปะป๊าฝากเงินกับหม่ามี้ไว้                xx                         บาท

ซื้ออาหารกลางวัน                                (เติมเลข)               บาท

ซื้อเครื่องดื่ม                                         (เติมเลข)               บาท

เหลือเงิน                                               (เติมคำตอบ)         บาท

 

การบ้านภาษาไทย :

ให้ทำตัวละครจากเศษวัสดุ (เช่นกระดาษ กระป๋อง เป็นต้น) แล้วเล่าเป็นนิทาน 1 เรื่อง แล้วให้หม่ามี้อัดคลิปให้ปะป๊าดู

 

การบ้านภาษาอังกฤษ :

A book A day – หาหนังสืออังกฤษ 1 เล่มมาอ่านและตอบคำถามเมื่ออ่านจบ

เขียนเรื่อง 1 เรื่องที่มีอย่างน้อย 10 ประโยค

 

การบ้านอื่นๆ :

ไวโอลิน : แกะเพลง Happy Birthday และเขียนโน้ตใส่บรรทัด 5 เส้น

เลโก้ : ต่อเครื่องบินที่ต้องมี cockpit ให้นักบินเข้าไปนั่งได้

ประดิษฐ์ภาพจากเศษวัสดุ : เก็บเศษวัสดุ ในบ้านและรอบๆ บ้านมาทำเป็นรูปสัตว์

 

ลองเอาไปใช้ดูนะครับ เด็กๆ ได้เรียนรู้ไปแบบที่นึกว่ากำลังเล่นเกมส์ ส่วนคุณพ่อคุณแม่กลับมาตรวจการบ้านก็สนุกไปด้วย และจะได้ผลการเรียนรู้ที่ดีถ้าเรานั่งลงคุยกับลูกว่าที่หนูทำแต่ละอย่าง ได้เรียนรู้อะไร หนูคิดอะไรตอนทำออกมาแบบนี้ เป็นการทบทวนความคิดและเราสามารถเติมความรู้ให้เขาได้ อ้อออออ เคล็ดลับดึงดูดใจ มีของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ คำชมใหญ่ๆ ในการทำงานมาส่งให้เราด้วยนะครับ


>>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

6 กิจกรรมเล่นกับลูกสไตล์ มอนเตสเซอรี่ เสริมทักษะให้ลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน

30 กิจกรรม เล่นสนุกอยู่กับบ้านง่ายๆ เสริมพัฒนาการลูกน้อย

“โฟร์โมสต์-อีจัน” เตรียมพร้อมคาราวานรถนม ลงพื้นที่เดินหน้าภารกิจ ส่งมอบกำลังใจให้คุณแม่ พร้อมสารอาหารจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อเด็กๆ ภายใต้แคมเปญ “แม่ตกงานลูกอดนม”

Alternative Textaccount_circle
event

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ณ โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ตัวแทนผู้บริหาร บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ นำโดย ดร.โอฬาร โชว์วิวัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ (กลาง) และ คุณราชเทพ นฤหล้า ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (ซ้ายสุด) พร้อมทีมงาน ได้มอบผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มสำหรับเด็ก ตราโฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 และโยเกิร์ตพร้อมดื่มยูเอชที ตราโฟร์โมสต์ โอเมก้า จำนวน 2,390 ลัง มูลค่ากว่า 830,000 บาท

เพื่อเตรียมความพร้อมการลงพื้นที่เดินหน้าภารกิจ คาราวานรถนมอีจันสนับสนุนโดยโฟร์โมสต์ ส่งมอบกำลังใจให้คุณแม่ พร้อมสารอาหารจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อเด็กๆ ภายใต้แคมเปญ ‘แม่ตกงานลูกอดนม’ โดยผลิตภัณฑ์นมจะถูกส่งมอบให้คุณแม่ที่มีลูกเล็กและอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยกำหนดตั้งเป้าส่งมอบนมพร้อมดื่มถึงมือคุณแม่และเด็กๆ ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเขตต่างจังหวัดบางพื้นที่ โดยคาราวานรถนมจะเริ่มลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม จนถึงประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคม หรือจนกว่าสินค้าจะหมดโฟร์โมสต์และเพจอีจัน ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจต้านภัยโควิด-19 ด้วยการมอบโภชนาการที่ดีจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อเสริมสร้างให้เด็กๆมีร่างกายที่แข็งแรง พร้อมส่งกำลังใจให้คุณแม่ทุกท่านให้ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

500 ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว เรียกง่าย ทั้งเก๋ทั้งเท่ แถมไม่ตกยุค!

event
ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว
ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

รวม ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นพยางค์เดียว แม้จะเป็น ชื่อพยางค์เดียว แต่ก็เก๋ได้ เรียกง่าย ติดหู แถมไม่เชย ตั้งแต่ ก-ฮ จะมีชื่อใดบ้าง ตามมาดูกัน

รวม 500 ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว เรียกง่าย แต่ไม่เชย

หากคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาไอเดีย ตั้งชื่อลูก ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม ชื่อเล่นพยางค์เดียว มาฝากกว่า 500 ชื่อ ทั้งลูกสาว ลูกชาย ตั้งแต่ ก-ฮ ซึ่งแม้จะเป็น ชื่อพยางค์เดียว แต่ขอบอกว่าเป็นชื่อที่เก๋ เท่ แปลกหู ไม่เชย เรียกง่าย ไม่เหมือนใคร จะมีชื่อใดบ้าง ตามมาดูกันเลย

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

หมวด ก – ซ

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ก

กั๊ก , กัฟ , กู๊ด , แกรนด์ , เกรซ , กอล์ฟ , กาญจ์ , กัญจ์
เกื้อ , กิ๊บ , กีฟ , แก้ว , กช , การ์ด , กราฟ , เกมส์ , แก้ม
แก้ว , เกี๋ยว , ไกด์ , ก้อง , กริช , เกรฟ , กรีน , กัส , กก , เกียร์
เกล้า , เกล , กั้ง , เก็ต , กาย , กุมภ์ , กริ๊ง , กรุ๊ป

ชื่อเล่น

ขิม , เข็ม , เขม , เข้ม , เขต , ขวัญ , ข้าว , เขื่อน , ขุน

ชื่อเล่น ค , ฆ

คูณ , คอปป์ , คิว , เค , คิม , แคมป์ , คริส , โค้ด , โคช
คิง , ค่าย , เคน , คริสต์ , ไค , คีย์ , ควีน , ครีม , คีน
คอมพ์ , คลิ๊ก , ฆ้อง

ชื่อเล่น จ

จีน , เจล , เจย์ , จี , เจ , แจ็ค , เจมส์ , จิ๊ก , เจ็ท , จัส , จั๊ก
จั๊มพ์ , เจ๋ง , จิม , จุน , โจนส์ , จ๊ะ , จ๋า , เจส , จิ๊ง , จ๋อม

ชื่อเล่น ฉ , ช

ฉัตร , แชมป์ , ชัช , ชิน , เชียร์ , เชน , แชร์น
ชีส , ชิลล์ , ชิว , ช้อป , ชาร์จ

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

ซัพพ์ , ซอล , ซ่า , เซต , ซิกส์ , ซีล , โซ่  , แซม , เซนต์
แซนด์ , เซิฟ , เซิร์ท , ซัน , ซานด์ , ซูม , เซฟ , เซนส์
ซอฟท์ , เซ่ , เซย์ , แซ็ค , ซายน์ , ซ้ง , โซน , ซี

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

หมวด ฌ – ธ

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ฌ , ฐ , ฑ

ฌอร์น , ฌอณ , ฌาม , ฌาน

ฐา , เฑียร , เฑีย

ชื่อเล่น ด

ดรีม , เดย์ , ดอย  , ดิน , ดาว , ดราฟ , ดัมซ์ , ด้าย , ดิม
เดียร์ , แดน , โดม , ดิว , ดั๊มพ์ , เดฟ , ดีน , ไดรฟ์ , ดริ๊งก์ , ได

ชื่อเล่น ต

เติร์ด , เติร์ก , เตย์ , ต้อง ต้าร์ , ตอง , ตอย , แต๊งค์ , ตอล
ตุลย์ , ตาณ , ตาว , ต๊ะ , เติ้ล , เตนส์ , ต่อ , ต้อ , เตียง , ตู้
เต๋ง , ติณณ์ , เต้น , เต็นท์ , แต้ม

ชื่อเล่น ท

เทมส์ , ทอย , ทอท , ที , เทย์ , ไทป์ , แทน , ทาย
ไท , ไทย , ทิม , ไทม์ , ทาม , ทิวส์ , เท็น , ทัช , ทัพพ์
ทาวน์ , แท็ป

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

ธีม , ธรรม , ธูป , เธียร , ธีร์ , ธาม , ธันว์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

หมวด น – ฟ

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

นาฟ , ไนท์ , เนย์ , เนียร์ , นาว , นาย , นิกข์
เนตร , เนท , โน้ต , น่าน , ไนน์ , ไนล์ , นิวส์ , โน๊ะ
นอร์ท , เนย , นิ่ม

ชื่อเล่น บ

ไบร์ท , เบย์ , บุญ , บอส , เบียร์ , เบฟ , เบลล์ , บ๊วย
บอน์น , เบนซ์ , บีม , บุ๋น , แบม , เบสท์ , เบิร์ท , โบ๊ท
บุ๊ค , บลอนด์ , บลูม , บลู , บิวต์ , บัว , บริ้งค์ , แบงค์

ชื่อเล่น ป

ปั๊ม , เปย์ , ปอนด์ , ปูน , ป้าย , เป้ย , เป๊ก , ปิณณ์
ปิ่น , ปุณณ์ , ปันน์ , ปราย , ปาล์ม , ปาน , ป่าน , แป๊ก
แปน , ป๊อป , ปอร์ , ปลื้ม , ปราบ , ปั้น , ปิน , ปาร์ค
ปริ๊นท์ , ปีป , ไปร์ท , ปริม , เปรี้ยว , ปราชญ์ , ป๊วย

ชื่อเล่น ผ , ฝ

ไผ่ , ผา , เผ่า , ฝุ่น , ฝ้าย

ชื่อเล่น พ

พลัส , พราวด์ , เพิร์ล , พาย , โพธิ์ , พราว , พั๊นซ์ , เพลง
เพลิน , พลีส , พีช , พูห์ , พลอย , เพชร , โพสต์ , พิมพ์ , พินน์
พลับ , พรีม , พริม , พลัช , แพน , แพลนด์ , พีค , พ้ง , โพร์ท
แพท , แพ็กซ์ , เพื่อน , พร้อม , เพิ่ม , พิงค์ , พินต์ , พอร์ช

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

ฟร้อง , ฟรังค์ , เฟรนด์ , เฟียส , ฟอร์ด , ฟอร์ส , ฟิกซ์
ฟินน์ , เฟย , เฟย์ , แฟร์ , โฟม , โฟร์ , โฟน , ฟาง , ฟาร์
ฟิกน์ , เฟรม , ฟลุค , แฟ้ม , ฟาร์ม , เฟรช , ฟอร์ด , ฟราน
เฟี๊ยต , เฟิร์น , แฟรงค์ , เฟิร์ท , ไฟว์ , ฟง , เฟิร์ส
ฟร้อน , ฟรองต์ , ฟอง , ฟิล์ม , ฟิวส์ , ฟินส์ , โฟล์ค

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

หมวด ภ – ล

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

ภู , ภาค , ภีม , ภู่

ชื่อเล่น ม

มอลต์ , แม็กซ์ , เม้ย , เมย , มิว , มิ้ว , มิลล์ , มิลค์
มาร์ค , มายด์ , มาร์ช , ไม้ , มอส , มาร์ , ไมค์ , โม่ , มิกซ์
มีส , เม่น , มุก , ม่อน , มิ้นท์ , แมน , เมือง , มีน , มิน
มิวซ์ , มุ่ย , เม้าส์ , มุ้ย , มิ้ม

ชื่อเล่น ย

ยีนส์ , ยิ้ม , โย , ยูว์ , แยม , ยิว , ยิม , ยูน , ย้ง , ยอร์ช , ยุค

ชื่อเล่น ร

เรย์ , รินน์ , เรน , รุ้ง , รัน , ราม , ริช , เรียว

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ล

เลิฟ , เลย์ , เล้ง , ไลค์ , ลินน์

 

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

หมวด ว – ฮ

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ว , ศ , ส

วอยซ์ , ว่าน , วินส์ , วอร์ม , วี , เวียร์ , วิลด์ , ไวท์
เวย์ , เวฟ , วุ่น , เวลล์ , ไวน์ , วิ๊งค์

ศีล , เสิร์ช , เสือ , สิงห์ , แสบ

ชื่อเล่น ห , ฬ

เหม , หยก , ไหม , หวาย , หวาน , เหนือ , หนาม , หนุน
หลิน , หยิน , เหม่ย , หยวน , หมอก , โฬม

ชื่อเล่น อ

อาฟ , ออยล์ , อาร์ต , เอฟ , อาย , เอย , เอ๋ย , แอล
อุล , แอม , แอ้ม , แอ๊ม , อาร์ , อินท์ , เอื้อ , โอป , อีฟ
เอิง , เอิร์น , อัพ , เอม , อันน์ , อุ่น , อิฐ , เอิร์ธ , ไอซ์
อิงค์ , อาร์ม , เอิร์ก , อินซ์ , อาร์ค , อ้าย , อ๋อ , อ๋อง
แอป , เอฟ , อัยย์ , อิม , โอม , เอลฟ์ , เอิร์ท

ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ฮ

ฮุก , ฮาฟ , ฮาร์ด , ฮาร์ท , โฮป , ฮาย , ฮิม , ฮั่น
ฮอลล์ , ฮัท , ฮุย , ฮาวล์ , ฮิลล์ , ฮอต

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ นอกจาก ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

โปรแกรมตั้งชื่อลูก ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด ชื่อมงคล ความหมายดี เยอะที่สุด

ทำไงให้ท้อง? 12 ทางลัด ที่คนอยากมีลูกไม่ควรพลาด

7 ท่าเซ็กส์แนะนำ! ทำได้หลังคลอด ปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่กดทับแผล

อยากมีลูกต้องทำไง ? ลอง 9 วิธีแบบธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ ลูกมาแน่

858 ชื่อเล่น ลูกสาว-ลูกชาย สุดฮิตติดเทรนด์ ปี 2020

108 ชื่อลูกชาย 2 พยางค์ เท่ๆ มีครบตั้งแต่ ก-ฮ

15 นักร้องยุค 90 (ผู้ชาย) มีลูกแล้ว!

ฝันว่ามีลูก ฝันว่ามีลูกผู้ชาย จริงหรือเปล่าที่จะได้ลูก?

 

งานบ้าน

8 เคล็ดลับกระตุ้นให้ลูกทำ งานบ้าน เสริมสร้างทักษะชีวิตแต่เล็กมีแต่ได้กับได้

Alternative Textaccount_circle
event
งานบ้าน
งานบ้าน

คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการฝึกให้ลูกช่วยทำ งานบ้าน แม้ว่าจะเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับเป็นการเสริมสร้างทักษะชีวิตที่ฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบ ได้ความภาคภูมิใจ และเรียนรู้ในการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นการพัฒนาทักษะสมอง EF ด้วย จัดได้ว่าเป็นโอกาสทองของลูก ๆ ที่พ่อแม่ได้เปิดโอกาสให้ลูกช่วยทำงานบ้านตั้งแต่เล็ก

Julie Lythcott-Haims นักเขียนและอดีตผู้นำนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้กล่าวบนเวที TED Talk ว่า “จากการศึกษาวิจัยพบว่าความสำเร็จของลูก เริ่มต้นขึ้นจากการทำงานบ้านในช่วงวัยเด็ก ยิ่งให้ลูกเริ่มต้นเร็ว เด็กก็จะยิ่งเรียนรู้ได้ดีขึ้น แต่หากบ้านไหนสปอยล์ลูก ไม่ให้เด็กช่วยลงมือทำงานอะไรเลย เขาก็จะคิดว่าเดี๋ยวพ่อแม่ก็ต้องมาทำให้ เด็กก็จะซึมซับพฤติกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย ซึ่งไม่เพียงแต่ทำงานบ้านเท่านั้น แต่อาจรวมถึงการเรียน การทำการบ้านด้วย เป็นต้น” โดยการช่วยทำงานบ้านสำหรับเด็กนั้นสามารถฝึกให้ลูกช่วยทำได้ตั้งแต่วัยอนุบาล แต่สำหรับบ้านไหนที่ยังไม่เคยให้ลูกได้ลองช่วยทำงานบ้าน โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียนหรือลูกโตแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจต้องมีเทคนิคในการชวนลูกช่วยทำงานบ้านกันเล็กน้อย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้งานบ้านไม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อและสนุกสนาน

8 เคล็ดลับกระตุ้นให้ลูกทำ งานบ้าน เสริมสร้างทักษะชีวิตแต่เล็กมีแต่ได้กับได้

สอนลูกทํางานบ้าน

1.ทำงานเป็นทีม

วิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการให้ลูกช่วยทำงานบ้านอย่างการทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว ฯลฯ แบบสนุกยิ่งขึ้นก็คือการทำไปด้วยกัน พร้อมกับเปิดเพลงโปรดของลูก ร้องเพลงไปด้วยขณะทำความสะอาดไปด้วย ให้เวลาทำงานบ้านเท่ากับเวลาเล่น ก็จะเปลี่ยนการทำความสะอาดให้เป็นเรื่องน่าสนุกได้ และถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างครอบครัว

2.เปลี่ยนงานบ้านด้วยการเล่นเกมจับฉลาก

เปลี่ยนจากการทำความสะอาดห้องหรือทำหน้าที่ที่ลูกต้องรับผิดชอบอย่างจำเจ มาลองทำฉลากให้เด็ก ๆ จับเพื่อเลือกห้องที่จะทำความสะอาดหรือประเภทของงานบ้านอื่น ๆ กันดูค่ะ เช่น จับได้สีเขียว = ห้องนั่งเล่น สีชมพู = ล้างจาน สีแดง = ห้องนอนของพ่อแม่ เพื่อให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าพวกเขากำลังเลือกและได้ทำงานอื่น ๆ ที่ท้าทายและแปลกใหม่มากขึ้น

3.ให้รางวัลสะสมแต้ม

การให้รางวัลเป็นสิ่งกระตุ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการชวนให้เด็ก ๆ อยากทำงานบ้านที่แสนน่าเบื่อได้ดียิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจแจกสติ๊กเกอร์เป็นรางวัลหรือให้ดาวติดลงในสมุดทำความดี เพื่อให้ลูกนำมาแลกกับรางวัลที่เขาควรจะได้ เช่น การพาไปสถานที่โปรด อุปกรณ์การเรียน หนังสือเล่มใหม่ เป็นต้น

สอนให้ลูกช่วยงานบ้าน

4.ให้ลูกวางแผนงานบ้านด้วยตัวเอง

ให้เด็ก ๆ ได้วางแผนการทำงานในแต่ละสัปดาห์ด้วยตัวเอง เช่น วางแผนมื้ออาหารสุดโปรดและลงมือทำอาหารเย็นโดยมีคุณแม่เป็นลูกมือ การให้ลูกได้ออกแบบกิจกรรมเองจะทำให้มีความฉลาดเกี่ยวกับการวางแผน มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำสิ่งใหม่ ๆ  ซึ่งทำให้เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานมากกว่างานบ้านที่น่าเบื่อ

5.ชมเชย

เมื่อลูกได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการทำงานบ้านของครอบครัว เมื่อพวกเขาทำงานเสร็จแล้วคุณพ่อคุณแม่อย่าลืมที่จะเอ่ยคำชมเชยหรือขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่งานเล็ก ๆ น้อย เช่น พับผ้า พาน้องหมาไปเดินเล่น เอาขยะไปทิ้งถังหน้าบ้าน ล้างจาน ฯลฯ สิ่งนี้จะทำให้ลูกเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งขึ้น และรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง

6.ใช้ภาษาที่นุ่มนวล

การฝึกให้ลูกทำงานบ้าน กุญแจสำคัญคือการใช้ภาษาที่ไม่บ่งบอกว่าเป็นการบังคับ แทนที่จะเป็นคำสั่งที่จะบอกให้ลูกทำ เช่น “ลูกต้องเก็บที่นอนนะ!” เป็น “ถ้าลูกเก็บที่นอนของตัวเองทุกวันลูกจะดูน่ารักมากเลย” และคุณพ่อคุณแม่ควรพยายามที่จะรักษาน้ำเสียง เมื่อเด็ก ๆ บ่นอิดออดในการช่วยงาน ไม่พยายามพูดเสียงดุหรือขู่ แต่ใช้คำพูดเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ลูกทำจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ลูกจะมีความรู้สึกอยากทำมากขึ้น

ลูกช่วยงานบ้าน

7.ลงมือทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง

หากเพิ่มงานบ้านในชิ้นที่ยากขึ้นและลูกไม่เคยทำงานนั้น ๆ มาก่อน คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่างที่ละขั้นตอน คอยแนะนำและอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน และไม่คาดหวังว่าเด็ก ๆ จะทำได้เหมือนที่คุณพ่อคุณแม่ทำตั้งแต่ครั้งแรก ลองปล่อยให้ลูกทำเท่าที่ทำได้ เพื่อเป็นการฝึกฝนประสบการณ์เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ

8.ปล่อยให้ลูกได้ทำเองอย่างเป็นอิสระ

หลังจากคุณพ่อคุณแม่ได้มอบหมายงานบ้านให้ลูกทำ ควรปล่อยให้ลูกได้ทำอย่างเป็นอิสระ ให้เรียนรู้ด้วยตนเอง แม้ว่าบางอย่างในตอนนี้อาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี เช่น ยังมีคราบติดหลังลูกล้างจาน พื้นบ้านยังถูไม่ทั่ว ฯลฯ แต่คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งรีบเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง ปล่อยให้ลูกได้ทำจนสำเร็จด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการเรียนรู้เมื่อลูกเติบโตขึ้น ลูกจะช่วยเหลือตัวเองได้และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ดี

สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้สนุกกับการทำงานในบ้านมากขึ้น ข้อสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ควรกำหนดตัวเลือกงานบ้านให้เหมาะสมตามวัยของลูก โดยฝึกให้ทำเป็นประจำเรื่อย ๆ หลังกลับจากโรงเรียนหรือทำทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับงานบ้านในเด็กวัยเรียน อาทิเช่น

  • งานบ้านวัย 6-7 ปี เด็กในวัยนี้เริ่มโตและมีความรับผิดชอบมากขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถมอบหมายงานประจำเล็ก ๆ น้อยในบ้าน เช่น จัดโต๊ะทานข้าว เช็ดโต๊ะ กวาดบ้าน ถูบ้าน ช่วยคุณแม่ล้างจานชามหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หรืออาจจะชวนลูกเข้าช่วยคุณแม่ทำอาหาร ซึ่งอาจจะเริ่มจากขั้นตอนง่าย ๆ เช่น หุงข้าว ล้างผัก ผลไม้ หรือลงมือทำเมนูง่าย ๆ อย่าง สลัด ทอดไข่เจียว เป็นต้น

ช่วยทำงานบ้าน

  • งานบ้านวัย 8-11 ปี สามารถมอบหมายงานบ้านที่มีขั้นตอนเพิ่มมากขึ้นให้ลูกรับผิดชอบได้ด้วยตัวเอง เช่น ทำความสะอาดบ้าน ดูแลจัดเก็บห้องนอน ซักผ้า ตากผ้า พับผ้าของตัวเอง ช่วยคุณแม่ทำอาหาร ทำขนมในเมนูที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกหน่อยได้ หรืออาจจะปล่อยให้ลูกได้คิดเมนูและลองเตรียมอาหารมื้อง่าย ๆ ทำด้วยตัวเอง เป็นต้น
  • งานบ้านสำหรับวัย 12 ปีขึ้นไป ในวัยนี้ลูกโตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองเต็มที่แล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถมอบหมายให้รับผิดชอบงานบ้านได้หลายหลายประเภทมากขึ้น เช่น รีดผ้า ดูแลน้อง ทำอาหารเองได้ รวมถึงการซ่อมแซมงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ยังคงต้องคอยดูแลและคอยระวังเรื่องการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตราย

งานบ้านที่คุณพ่อคุณแม่มอบหมายให้ลูกได้ทำเรื่อย ๆ จะช่วยเสริมสร้างทักษะในการฝึกตนเองให้เก่งขึ้น มีความรับผิดชอบต่อตนเอง มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว อีกทั้งยังเป็นการสร้างฝึกวินัย รู้จักควบคุมตนเองที่ดีอีกด้วย ทั้งนี้มีจากการศึกษาพบว่าเด็กที่ทำงานบ้านมาตั้งแต่ยังอายุน้อย ๆ จะทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและตรงตามต้องการ มีสมาธิในการตั้งใจฟัง จับประเด็นได้ดีอันเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ง่าย มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น พร้อมจะให้ความช่วยเหลืออื่นได้ นอกจากนี้เด็กที่ทำงานบ้านมาตั้งแต่เด็ก ๆ และยิ่งทำมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้พวกเขามีความสุขและมีสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวมากยิ่งขึ้นด้วยนะคะ.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.mthai.com1896.htmlwww.parents.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

วิจัยชี้ฝึก ลูกช่วยทำงานบ้าน โตไปประสบความสำเร็จในชีวิต

11 งานบ้านทำเพลินแถม เบิร์นไขมัน เผาผลาญแบบไม่ต้องไปฟิตเนส

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม

คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม กินมากไปเสี่ยง 7 โรคกระทบลูกในท้อง

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม
คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม

เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “น้ำอัดลม” เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของใครหลายคนที่ให้ความสดชื่นและมีรสที่หวานอร่อย  ซึ่งมีคุณแม่ตั้งครรภ์จำนวนไม่น้อยที่ชอบดื่มน้ำอัดลมตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แต่ระหว่างท้องนี้ คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม มาไขข้อข้องใจนี้กันค่ะ

คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม กินมากไปเสี่ยง 7 โรคกระทบลูกในท้อง

ความจริงแล้วเราต่างรู้ดีกว่า ถึงแม้น้ำอัดลมจะเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น มีรสซ่า หวานอร่อย แต่ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับร่างกาย นอกจากไม่มีคุณค่าทางสารอาหารแล้วยังมีน้ำตาลสูงและแคลอรี่ในปริมาณมาก โดยน้ำอัดลมชนิดน้ำดำกระป๋องปริมาณ 325 มิลลิลิตร มีน้ำตาลประมาณ 31 กรัม หรือ 8 ช้อนชา และน้ำอัดลมน้ำสีและน้ำใสกระป๋องปริมาณ 325 มิลลิลิตร มีน้ำตาลประมาณ 39 กรัม หรือ 10 ช้อนชา เมื่อดื่มในปริมาณมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้

ทั้งนี้มีข้อมูลอ้างอิงว่า การดื่มน้ำอัดลมทุกวันระหว่างตั้งครรภ์ไม่ว่าจะมีคาเฟอีนหรือไม่ ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากมีงานวิจัยที่แนะนำว่า การดื่มน้ำอัดลมมากกว่า 1 แก้วต่อวันในช่วงตั้งครรภ์ สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดคลอดก่อนกำหนด และอันตรายของน้ำอัดลมอาจส่งต่อปัญหาสุขภาพของคุณแม่และกระทบต่อลูกน้อยในตั้งครรภ์ได้มากมาย อาทิเช่น

กินน้ำอัดลมตอนท้อง
กินน้ำอัดลมตอนท้อง

1.อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทารกในครรภ์

มีงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร the American Journal of Preventive Medicine ได้ให้ข้อมูลว่า คุณแม่ตั้งครรภ์อาจต้องหยุดบริโภคน้ำอัดลม เพราะอาจส่งผลถึงทักษะการเรียนรู้และความจำของลูกที่คลอดออกมา เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่า เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์บริโภคน้ำตาลมาก โดยเฉพาะน้ำตาลจากการดื่มน้ำอัดลม มีแนวโน้มว่าเด็กอาจมีทักษะด้านความรู้ความเข้าใจต่ำกว่าปกติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทักษะการพูด (verbal knowledge) และทักษะการสื่อสาร (non-verbal skills)

2.คาเฟอีนส่งผลกระทบต่อสุขภาพครรภ์

รู้หรือไม่ว่าในคาเฟอีนนั้นไม่ได้มีแค่ในเครื่องดื่มกาแฟหรือชาเท่านั้น แต่ยังมีอยู่ในเครื่องดื่มและอาหารอีกหลายชนิด ในน้ำอัดลมปริมาณ 355 มิลลิลิตร จะมีคาเฟอีนประมาณ 37 มิลลิกรัม ซึ่งสารชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น อาจไม่เป็นผลดีต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นัก โดยผลกระทบของการได้รับคาเฟอีนมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น อาจส่งผลต่อให้เกิดโอกาสที่จะเกิดการแท้ง ภาวะคลอดก่อนกำหนด ทารกมีน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าปกติ หรือเด็กพิการแต่กำเนิดได้ เป็นต้น ซึ่งทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดไว้ว่า ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ไม่ควรได้รับคาเฟอีนอยู่ เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน และควรควบคุมปริมาณการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนไม่ให้มากจนเกินไป

3.ขาดสมดุลทางโภชนาการต่อร่างกาย

หนึ่งในเหตุผลที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมในช่วงตั้งครรภ์เพราะในน้ำอัดลมนั้นถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่อยู่ในกลุ่ม อาหาร Empty Calories ที่มีองค์ประกอบหลักคือ น้ำ, น้ำตาล, กรดคาร์บอนิก, กรดฟอสฟอริก, คาเฟอีน, สีและกลิ่นหรือรส รวมถึงสารกันบูด จะเห็นได้ว่านอกจากน้ำตาลที่เป็นสารอาหารชนิดเดียวที่อยู่ในขวดน้ำอัดลมที่ให้ความหวานและพลังงานแล้ว ไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ นอกจากนี้การบริโภคน้ำอัดลมมาก จะทำให้คุณแม่รู้สึกอิ่มและรับประทานอาหารได้น้อยลง อาจเป็นเหตุให้ขาดสมดุลทางโภชนาการที่ดีด้วย

4.โรคกรดไหลย้อน

กรดไหลย้อนเป็นอีกอาการหนึ่งที่แม่ท้องอาจต้องเจอ โดยมีสาเหตุมาจากความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อตั้งครรภ์ แต่การดื่มน้ำอัดลมที่มีคาเฟอีนอยู่ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อนแย่ลงได้ ถ้าหากมีอาการนี้หลังจากดื่มน้ำอัดลมควรหยุดดื่มทันที ซึ่งโดยปกติอาการกรดไหลย้อนแม้จะไม่เป็นอันตรายต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น ทำให้คุณแม่ท้องต้องตื่นขึ้นมากลางดึก มีอาการกลืนลำบาก ไอ น้ำหนักลด หรืออุจจาระเป็นเลือด ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบ เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาทันที

กินน้ําอัดลมเยอะ

5.มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน

เป็นที่รู้กันว่าในน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูงนั้นหากดื่มในปริมาณมากก็จะส่งผลต่อสุขภาพน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โดยเฉพาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังจะตั้งครรภ์หรือตั้งครรภ์แล้ว โรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวที่มากเกินบวกกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตอนตั้งครรภ์ยิ่งส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์มากกว่าเดิมหลายเท่า เช่น เกิดความผิดปกติของการคลอด มีความดันโลหิตสูง การทำงานของระบบหัวใจผิดปกติ ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะตายคลอด และภาวะอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง 1.2 เท่า และภาวะแท้งซ้ำซาก 3.5 เท่า เป็นต้น ดังนั้นคุณแม่ที่มีน้ำหนักตัวเกินขณะตั้งครรภ์ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ได้รับการตรวจบ่อยครั้งมากขึ้น และต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น โดยเฉพาะการกินอาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงรสหวาน

บทความแนะนำ : คนท้องกินอย่างไรไม่ให้อ้วน กับ 9 วิธีคุมน้ำหนักตอนท้องให้ได้ผล

6.ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์

การดื่มน้ำอัดลมผสมน้ำตาลในปริมาณสูงหรือแม้แต่น้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล นอกจากทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนแล้ว ก็จะนำไปสู่ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (เบาหวานชนิดที่ 2) ที่จะเกิดอันตรายต่อคุณแม่และลูกน้อยในท้องได้ อาทิเช่น ความเสี่ยงที่จะเกิดครรภ์เป็นพิษ ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ร้อยละ 15-20 โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการคลอด เช่น การคลอดยาก การตกเลือดหลังคลอด ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกอาจพิการแต่กำเนิด มีโอกาสแท้งบุตรสูง หรือทารกที่คลอดอาจบาดเจ็บจากการคลอดเนื่องจากทารกตัวโตกว่าปกติ แม้กระทั่งหลังคลอดลูกน้อยยังเสี่ยงภาวะตัวเหลือง และเกิดภาวะแทรกซ้อน จากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำด้วย ดังนั้นหากคุณแม่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงหรือเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรเพิ่มความระมัดระวังเรื่องอาหารการกินให้มาก โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มน้ำตาลสูงรวมถึงน้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล ที่ควรจำกัดการดื่มให้ลดน้อยลง และปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด

บทความแนะนำ : อย่าคิดว่าดีแล้วดื่มไม่ยั้ง น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล ทำแม่ท้องเสี่ยงเบาหวาน น้ำหนักเกิน

7.โรคฟันผุขณะตั้งครรภ์และปัญหาต่าง ๆ ในช่องปาก 

น้ำอัดลมทั้งที่มีน้ำตาลและใช้น้ำตาลเทียมนั้นเป็นสาเหตุของอาการฟันผุได้ เนื่องจากมีส่วนผสมที่มีความเป็นกรดและน้ำตาลสูงที่เป็นตัวทำลายสารเคลือบฟันและน้ำตาลที่ตกค้างจะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียภายในปาก ทำให้เกิดการจับตัวของแบคทีเรียกับน้ำตาลกลายเป็นคราบหินปูน แม่ท้องที่ชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำหากไม่ดูแลอนามัยช่องปากที่ดีจึงมีโอกาสที่จะเกิดฟันผุ และมีโอกาสสูงที่เชื้อโรคจากช่องปากแม่ที่ฟันผุสามารถถ่ายทอดเชื้อสู่ลูกทางน้ำลายได้ ทำให้ทารกมีโอกาสเสี่ยงฟันผุเพิ่มมากขึ้นถึง 5 นอกจากนี้ ในรายที่เป็นโรคปริทันต์อาจก่อให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด และน้ำหนักตัวแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ ดังนั้นนอกจากแม่ท้องควรลดประมาณการดื่มน้ำอัดลมระหว่างตั้งครรภ์ลง ควรเข้ารับบริการขูดหินปูนและทำความสะอาดช่องปากลดภาวะเหงือกอักเสบและอุดฟันลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ รวมทั้งหมั่นกลั้วปากด้วยน้ำเปล่าหลังดื่มเครื่องดื่มหรือรับประทานอาหารที่เป็นกรดและมีความหวาน ทำความสะอาดฟันด้วยการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันเพื่อลดโอกาสที่จะไม่ทำให้สุขภาพฟันย่ำแย่และเกิดผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้

จะเห็นได้ว่าน้ำอัดลมที่เป็นเครื่องดื่มให้ความรู้สึกสดชื่น ดับกระหาย และกระชุ่มกระชวย แต่เครื่องดื่มน้ำตาลสูงชนิดนี้ก็ไม่ได้ให้คุณค่าทางสารอาหารและไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ หากคุณแม่ตั้งครรภ์อยากจะพอจิบให้ชุ่มคอ ควรดื่มในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป ควรจำกัดการบริโภคน้ำตาลให้ไม่เกิน 25 กรัมต่อวัน และควรจำกัดปริมาณคาเฟอีนในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเครื่องดื่มที่ดีต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็คือ น้ำเปล่านั่นเอง หรือเลือกดื่มน้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำนมไขมันต่ำวันละ 1 แก้ว เพื่อทดแทนเครื่องดื่มอย่างน้ำอัดลมก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพและปลอดภัยต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์นะคะ.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.hellokhunmor.comwww.pobpad.com

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

ไขข้อข้องใจ! คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม กินแล้วล้างไข คลอดง่าย ลูกออกมาผิวขาวจริงหรือ?

คนท้องห้ามกินอะไร 9 อาหาร ที่แม่ท้องควรห้ามใจ เลี่ยงได้เลี่ยงก่อนนะแม่!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

โรคที่มากับหน้าฝน

6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

Alternative Textaccount_circle
event
โรคที่มากับหน้าฝน
โรคที่มากับหน้าฝน

เข้าสู่หน้าฝน อากาศในช่วงนี้จะเริ่มเย็นลงและมีความชื้นสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดี ส่งผลให้เกิด โรคที่มากับหน้าฝน โดยเฉพาะในเด็กที่ระบบภูมิต้านทานในร่างกายยังไม่แข็งแรง เสี่ยงต่อการติดเชื้อและทำให้ป่วยง่าย มาทำความรู้จักกับโรคที่แฝงมากับหน้าฝนที่เด็กมักเป็นกัน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่พร้อมรับมือและดูแลสุขภาพของลูกน้อยเป็นพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกป่วยกันค่ะ

6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

โรคไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่

1.โรคไข้หวัดใหญ่

โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส พบได้เกือบทั้งปี แต่จะระบาดมากในช่วงฤดูฝน ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยพบไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ที่กลายพันธุ์มาจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลทั่วไป เพียงแต่รับเชื้อมาจากสัตว์ เช่น นกหรือหมู หากร่างกายของคนที่ไม่เคยมีภูมิต่อโรคก็จะมีโอกาสที่จะติดและเป็นง่าย สามารถติดต่อกันได้ทางการหายใจ เมื่อไอหรือจาม เชื้อจะเข้าทางจมูกหรือปาก โดยเฉพาะในช่วงเปิดเทอม เด็ก ๆ อาจได้รับเชื้อจากเพื่อนที่โรงเรียนได้ง่าย

สังเกตอาการ ไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาตรงที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เด็กที่ได้รับเชื้อจะมีอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ตัวร้อน ปวดหัว รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว และกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ คัดจมูก  มีน้ำมูกใส ๆ  หากมีอาการรุนแรงอาจมีโรคแทรกซ้อนที่มากับไข้หวัดก็คือไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบได้ ซึ่งเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ ผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะมีโอกาสเสี่ยงและมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น

วิธีป้องกัน ไข้หวัดใหญ่

คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้ฉีควัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี โดยแพทย์จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 1- 2 เดือนก่อนฤดูกาลระบาด และหากลูกต้องไปโรงเรียนหรือออกนอกบ้านควรป้องกันการติดเชื้อด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกสุขอนามัย จะเป็นการช่วยป้องกันการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้เป็นอย่างดี ในเด็กที่มีอาการไข้หวัดใหญ่ควรให้หยุดพักรักษาตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อกระจายไปสู่คนอื่น

โรคอีสุกอีใส
โรคอีสุกอีใส

2.โรคอีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใส เป็นโรคยอดฮิตที่พ่อแม่คุ้นเคยกันตั้งแต่เมื่อตอนเป็นเด็ก ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ (varicella zoster virus)เป็นโรคที่ระบาดแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วไป สามารถพบได้ตลอดทั้งปี ติดต่อได้โดยการหายใจเอาฝอยละอองจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยเข้าไป หรืออาจเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำที่ผิวหนังของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ คือ 1-2 วันก่อนผื่นขึ้นจนกระทั่งผื่นตกสะเก็ดหมด และระยะฟักตัวของโรคประมาณ 10-21 วัน แต่โดยเฉลี่ยคือประมาณ 14-17 วัน หลังจากได้รับเชื้อโรค หรือสัมผัสผู้ป่วย โดยทั่วไปจะพบอัตราการป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 5 – 9 ปี มักจะพบในเด็กที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ไม่ตรงตามวัย บางรายเป็นตอนเด็ก หรือบางรายอาจเป็นตอนโต ซึ่งถ้าเป็นในตอนโตจะมีอาการและการขึ้นตุ่มที่รุนแรงกว่า และบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะของร่างกายด้วยเมื่อระบาดแล้วโรคจะติดต่อกันเป็นทอด ๆ โดยเฉพาะการติดต่อจากเพื่อนที่โรงเรียน

สังเกตอาการ อีสุกอีใส

หลังจากได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย โรคอีสุกอีใสจะแสดงอาการภายใน 8-21 วัน เริ่มจากเด็กจะมีไข้ต่ำ ๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีผื่นเริ่มจากลำตัว ใบหน้า และลามไปแขนขา บางรายอาจพบตุ่มในช่องปากและเยื่อบุต่าง ๆ ลักษณะผื่นตอนแรกจะเป็นผื่นแดง มักมีอาการคันร่วมด้วย และจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส ๆ หลังจากนั้นจะเกิดเป็นสะเก็ดและแผลเป็นขึ้นได้ มักหายได้เองภายใน 2 – 3 สัปดาห์ เมื่อสังเกตว่าลูกมีอาการ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา โดยรักษาด้วยยาต้านไวรัสซึ่งอาจทำให้ระยะการเป็นโรคสั้นลง ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูงอาจให้ยาลดไข้กลุ่มพาราเซทามอล  อาจใช้ยาทาในการรักษา เช่น คาลาไมน์เพื่อบรรเทาอาการคัน หรือยารับประทานกลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเกา เพราะอาจเป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้

วิธีป้องกัน อีสุกอีใส

ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งมีประสิทธิภาพค่อนข้างดี สามารถเริ่มฉีดในเด็กตั้งแต่ 1 ขวบเป็นต้นไป และจะกระตุ้นอีกครั้งในตอน 4 ขวบ สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุเกิน 12 ปี ต้องฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ เมื่อฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม พบว่าร้อยละ 99 ของผู้รับจะเกิดภูมิต้านทานต่อโรค ซึ่งวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสจัดเป็นวัคซีนเสริม ยังไม่กำหนดเป็นมาตรฐานที่เด็กทุกคนจะต้องฉีด นอกจากการฉีดวัคซีนแล้วการดูแลสุขภาพรักษาร่างกายลูกให้แข็งแรง ฝึกให้เด็กหมั่นล้างมือบ่อย ๆ หลังสัมผัสสิ่งของ หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ สำหรับเด็กที่เป็นโรคอีสุกอีใสควรหยุดเรียนและให้แยกตัวจากผู้อื่นจนกว่าผื่นตกสะเก็ดจะหมด

โรคตาแดง
โรคตาแดง

3.โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง

โรคตาแดง (Conjunctivitis หรือ Pink eye) ถือว่าเป็นโรคติดต่อในอันดับต้น ๆ ที่พบได้บ่อยมากในกลุ่มเด็ก และระบาดอย่างยิ่งในช่วงหน้าฝน ซึ่งเกิดจากติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อไวรัส adenovirus ที่มาพร้อมกับโรคหวัดหรือการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ สามารถติดต่อกันได้ง่ายจากการสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรง เช่น ไอ จาม หายใจรดกัน การใช้สิ่งของร่วมกัน การสัมผัสกับขี้ตาหรือน้ำตาที่ติดอยู่บนมือหรือสิ่งของคนที่ป่วยเป็นโรคตาแดง และเชื้อโรคชนิดนี้มักแพร่ระบาดได้ตามสถานที่ที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันมาก ๆ จึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายในโรงเรียนด้วย

สังเกตอาการ ตาแดง

หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่า ดวงตาของลูกมีความผิดปกติมีอาการตาขาวเป็นสีแดง ตาดูฉ่ำ ๆ เด็กขยี้ตา หรือกะพริบตาบ่อยกว่าปกติ หรือมีขี้ตาติดที่หัวตาหรือที่เปลือกตาโดยเฉพาะช่วงตื่นนอน นั่นคืออาการที่บ่งบอกถึงโรคตาแดงหรือโรคเยื่อบุตาอักเสบ ในเด็กที่ติดเชื้อไวรัสจะมีอาการตาแดงอย่างรวดเร็ว ปวดเล็กน้อยในเบ้าตาเจ็บตา น้ำตาไหล รู้สึกคันตา เคืองตา รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตา เปลือกตาบวม อาจเกิดตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นบริเวณดวงตา ในกรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมาจะมีขี้ตามากทำให้ลืมตายากในช่วงตื่นนอน และอาจมีเลือดออกใต้เยื่อบุตาทำให้ตาดูแดงจัด บางรายมีต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตและเจ็บ และมีโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ ตาดำอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะหาย นอกจากนี้เด็กที่เป็นโรคตาแดงมักมีอาการของไข้หวัดมาก่อน เช่น เจ็บคอ มีไข้ เพราะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน อาการของโรคตาแดงอาจเกิดกับดวงตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างก็ได้ ในกรณีที่เป็นสองข้างจะเริ่มมีอาการที่ดวงตาข้างหนึ่งก่อนแล้วจึงลามไปอีกข้างภายใน 2-3 วัน ระยะเวลาของโรคนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์

วิธีป้องกัน โรคตาแดง

โรคตาแดงเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากทั้งขี้ตาและน้ำตา และเนื่องจากโรคตาแดงไม่มียารักษาโดยตรง ในเด็กเล็กจะได้รับเชื้อหรือแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย การป้องกันไม่ให้ติดโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งทำได้โดยการหมั่นล้างมือให้บ่อยและสะอาด คุณแม่ต้องพยายามสอนให้ลูกอย่าขยี้ตา และเมื่อรู้ว่าลูกเป็นตาแดงควรให้เด็กหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ตา เพราะจะทำให้อาการแย่ลงหรือทำให้ดวงตาอีกข้างติดเชื้อได้ ใช้กระดาษทิชชูชนิดนุ่มเช็ดขี้ตาหรือซับน้ำตาบ่อย ๆ แล้วทิ้งในถังขยะที่ปิดมิดชิด และไม่ควรซื้อยาทาหรือยาหยอดตาเอง ควรพาลูกไปหาคุณหมอซึ่งคุณหมอจะตรวจวินิจฉัยและจ่ายยามาให้หยอดตา และอาการตาแดงของลูกนี้ก็จะดีขึ้นและหายไปภายใน 2-4 สัปดาห์ ซึ่งในระยะนี้ควรให้ลูกพักเรียนอย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจายสู่เพื่อนคนอื่น

โรคมือ เท้า ปาก
โรคมือ เท้า ปาก

4.โรคมือ เท้า ปาก

โรคมือเท้าปาก พบได้ประปรายตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในฤดูฝนเกิดจากเชื้อไวรัส (Enterovirus 71, Coxsackie) สามารถติดต่อได้ทางการไอ จาม สัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ หรือสัมผัสทางอ้อม เช่น การสัมผัสผ่านของเล่น อาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ เป็นต้น มีระยะฟักตัวประมาณ 3 – 6 วัน พบเชื้อทางน้ำลาย 2 – 3 วัน ก่อนมีอาการ จนถึง 1-2 สัปดาห์ หลังมีอาการ โดยโรคนี้มักจะพบมากในเด็กอนุบาลและประถม

สังเกตอาการ โรคมือเท้าปาก

อาการของโรคคือ เด็กจะมีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย หลังจากนั้น 2 – 3 วันจะมีผื่นแดงหรือ ตุ่มน้ำใสขนาดเล็กตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า บางรายอาจมีผื่นที่ขาและก้นร่วมด้วย แต่จะไม่มีอาการคัน และมีแผลร้อนในปากหลายแผล กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก ถ้าเป็นแล้ว เด็กบางคนจะรับประทานอาหารและน้ำไม่ค่อยได้ เนื่องจากเจ็บปากมาก ในบางรายก็อาจไม่ยอมกลืนน้ำลาย ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้นต้องระวังไม่ให้เด็กมีไข้สูงเกินไปจนอาจเกิดอาการชักได้ ดังนั้นหากสังเกตว่าเด็กมีอาการของโรคมือเท้าปากให้รีบพาไปพบแพทย์ และเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมือเท้าปาก ต้องให้เด็กหยุดเรียนอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหาย ซึ่งอาการไข้มักหายได้เองภายใน 3 – 7 วัน จากนั้นอาการอื่น ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายเป็นปกติภายใน 7 – 10 วัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก และแม้จะดูว่าผื่นและแผลในปากหายไปแล้วก็ตาม แต่โรคมือเท้าปากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ไปจนถึงเสียชีวิตได้ โดยอาการแทรกซ้อนไม่สัมพันธ์กับจำนวนแผลในปากหรือตุ่มที่พบตามฝ่ามือฝ่าเท้า  ในรายที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงอาจมีแผลไม่กี่จุดในลำคอหรืออาจมีตุ่มเพียงไม่กี่ตุ่มตามฝ่ามือฝ่าเท้าก็ได้ โดยสัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที เช่น

  • ลูกมีอาการซึมลง ไม่เล่น ไม่อยากรับประทานอาหารหรือนม
  • บ่นปวดหัวมากจนทนไม่ไหว
  • มีอาการเพ้อ พูดไม่รู้เรื่อง สลับกับการซึมลง หรือเห็นภาพแปลก ๆ
  • ปวดต้นคอ คอแข็ง มีการรับรู้สับสน ซึมลง และอาเจียน
  • มีอาการสะดุ้งผวา ตัวสั่น ๆ แขนหรือมือสั่นบ้าง
  • มีอาการไอ หายใจเร็ว ดูเหนื่อย หน้าซีด มีเสมหะมาก โดยอาจมีหรือไม่มีไข้ร่วมด้วยก็ได้

วิธีป้องกัน โรคมือเท้าปาก

เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมือเท้าปาก สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลรักษาสุขอนามัยที่ดี ดื่มน้ำที่สะอาด รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และปรุงใหม่ สุก สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังและฝึกให้ลูกใช้ของใช้ส่วนตัวโดยไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ กระติกน้ำ ใช้ช้อนกลางขณะรับประทานอาหารทุกครั้งทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ให้ลูกล้างมือบ่อย ๆ หรือหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย ควรรีบล้างมือให้สะอาดโดยเร็ว หมั่นทำความสะอาดของเล่นเด็กและเครื่องใช้ส่วนตัวของลูก รวมทั้งถ้าไม่จำเป็นไม่ควรให้ลูกไปอยู่ในสถานที่แออัด หลีกเลี่ยงการให้ลูกคลุกคลีหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคมือ เท้า ปากนี้ด้วย

โรค rsv
โรค rsv

5.โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัส RSV

โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ เป็นอีกหนึ่งโรคที่เด็ก ๆ มักเป็นบ่อยในช่วงหน้าฝนโดยเฉพาะในเด็กเล็ก เป็นโรคที่มีอาการคล้ายไข้หวัด แต่เชื้อไวรัสนี้อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงสามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบได้ ชื้อนี้ติดต่อกันได้ง่ายมากโดยการสัมผัสใกล้ชิดกับสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ของผู้ติดเชื้อไวรัส RSV เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ เข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา หู จมูก ปาก หรือสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ จับของเล่น จับสิ่งของต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งไวรัส RSV จะมีชีวิตยู่ภายนอกร่างกายได้หลายชั่วโมง โดยอาศัยอยู่ตามวัตถุต่าง ๆ เด็กเล็กสามารถรับเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่แรกเกิด โดยเชื้อมีระยะฟักตัวประมาณ 2-6 วัน หลังจากที่ได้รับเชื้อ

สังเกตอาการ RSV

อาการของโรคติดเชื้อไวรัส RSV อาจคล้ายกับอาการไข้หวัดธรรมดา คือเด็กจะมีไข้ แต่ส่วนใหญ่ไข้จะไม่สูงนัก มีอาการไอ จาม หายใจลำบาก มีน้ำมูก ปวดหัว แต่มีอาการที่คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตเพิ่มเติมและสงสัยว่าลูกอาจได้รับเชื้อไวรัส RSV คือ

  • ลูกมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว หายใจแรง มีเสียงหายใจครืดคราดหรือเป็นเสียงหวีด หายใจตื้นเร็ว สั้น ดูเหนื่อย หายใจลำบาก ปีกจมูกบานเวลาหายใจ
  • มีภาวะขาดน้ำ สังเกตจากเวลาลูกร้องไห้ งอแง แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา
  • มีอาการไข้สูงขึ้น ๆ ลง ๆ และมีน้ำมูกใส ๆ ไหลตลอดเวลา
  • มีอาการเบื่ออาหาร และอาการซึม
  • ไอรุนแรง จามบ่อย มีเสมหะมาก เสมหะสีคล้ำเขียว หรือสีเหลือง
  • ปลายนิ้ว เล็บ เริ่มเปลี่ยนสีเป็นเขียวคล้ำ ตัวลายเขียวจากการขาดออกซิเจน

หากลูกมีอาการเหล่านี้ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ในทันที เนื่องจาก ไวรัส RSV พัฒนาไปสู่โรคขั้นรุนแรงได้หากเชื้อลงไปสู่ระบบหายใจส่วนล่าง มันจะทำลายเยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบ อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่ม ทำให้อาการรุนแรงอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตแต่ก็พบไม่มาก ซึ่งสาเหตุจากการเสียชีวิตเป็นเพราะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว หรือเป็นเพราะการส่งผู้ป่วยมารักษาช้าเกินไป

ทั้งนี้สำหรับเชื้อไวรัส RSV มี 2 กลุ่มย่อย คือกลุ่ม A และ B ซึ่งมีความสัมพันธ์กันแต่ไม่ใช่ตัวเดียวกัน ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยครั้งแรกไม่สามารถป้องกันได้ แต่ถ้าเป็นซ้ำ ๆ กันอาการจะไม่รุนแรงมากเท่ากับในครั้งแรก

วิธีป้องกัน ไวรัส RSV

ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคนี้โดยเฉพาะ โดยทั่วไปการรักษาจะเป็นไปตามอาการที่ป่วย รวมถึงการดูแลเรื่องการหายใจและเสมหะ เช่น ให้ยาแก้ไอละลายเสมหะ ยาขยายหลอดลม ยาลดไข้ หรือพ่นยา ตามแต่อาการของผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้  สำหรับการป้องกันโรคนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้เด็ก ๆ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสบู่ทุกครั้ง หมั่นทำความสะอาดของใช้ ของเล่น แยกการใช้ภาชนะส่วนตัว ป้องกันการติดเชื้อด้วยการใส่หน้ากากอนามัย หากลูกป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจ RSV คุณพ่อคุณแม่ควรแยกลูกเพื่อป้องกันการไอจามแพร่เชื้อ ควรให้ลูกหยุดเรียนอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์และรักษาให้หายดีเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ในเด็กบางรายถึงแม้จะหายแล้วก็ยังอาจมีอาการไอต่อเนื่องไปเป็นเดือนได้

ข้อมูล : www.khonkaenram.com

ไข้เลือดออก
ไข้เลือดออก

6.ไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออก (dengue hemorrhagic fever) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี เนื่องจากบริเวณแหล่งน้ำขังอันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย อาการของโรคไข้เลือดออกมีตั้งแต่รุนแรงไม่มากนักไปจนถึงเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

สังเกตอาการ ไข้เลือดออก

อาการที่สงสัยว่าลูกอาจจะเป็นไข้เลือดออกก็คือ อาการระยะแรกเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป มีไข้สูงเกิน 3 วันขึ้นไป กินยาลดไข้ไม่ลง ปวดหัว ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อหรือกระดูก มีอาการตาแดง หน้าแดง ปากแดง มีความรู้สึกอ่อนเพลีย มีผื่นขึ้นคล้ายผื่นของโรคหัด และอาจมีภาวะเลือดออกหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งมีลักษณะอาการเช่นเดียวกับโรคไข้เดงกี แต่ยังมีอาการอื่น ๆ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคไข้เลือดออก คือ

  • มีไข้สูงเฉียบพลันเกิน 38 องศาเซลเซียสประมาณ 2-7 วัน
  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
  • หน้าแดง อาจพบจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกสีแดงเล็ก ๆ ตามผิวหนัง หรือมีเลือดออกบริเวณอื่น เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ปัสสาวะ อุจจาระมีเลือดปน
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง กดเจ็บชายโครงด้านขวา ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะตับอักเสบได้
  • ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก หลังจากมีไข้มาแล้วหลายวัน ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะการไหลเวียนโลหิตล้มเหลวหรือภาวะช็อก และเข้าสู่ระยะที่เรียกว่า กลุ่มอาการไข้เลือดออกช็อก (dengue shock syndrome) โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเย็น ปัสสาวะน้อยลง ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ความดันโลหิตลดต่ำ วัดชีพจรไม่ได้ หน้ามืดและเป็นลม สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะช็อก หลังจากมีไข้สูง 2-7 วัน ไข้จะเริ่มลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ความดันโลหิตและชีพจรเริ่มคงที่ เมื่อผ่านไป 2-3 วัน จึงเข้าสู่ระยะหายเป็นปกติ ผู้ป่วยจะมีแรงมากขึ้น เริ่มรับประทานอาหารได้ อาการปวดท้องดีขึ้น ระยะนี้มักพบผื่นแดงและคันตามฝ่ามือและฝ่าเท้าซึ่งจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์

ดังนั้นหากสังเกตว่าลูกมีอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในระยะแรก คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพามาพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยว่าว่าลูกมีกลุ่มอาการตรงกับไข้เลือดออกหรือไม่และตรวจเลือดเพิ่มเติมต่อไป ไม่ควรรอให้เกิดอาการที่รุนแรงก่อนแล้วจึงมาพบแพทย์

วิธีป้องกัน โรคไข้เลือดออก

โรคไข้เลือดออกสามารถป้องกันได้โดยให้ลูกสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดแขนหรือขามิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณบ้านและใกล้เคียง เช่น ปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณบ้านให้สะอาดปราศจากเศษวัสดุที่อาจมีน้ำขังได้ เช่น ขวดเก่า กระป๋องเก่า กระถางเก่า ฯลฯ ทำให้บ้านโปร่ง ไม่อยู่ในที่อับทึบ ปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขังไม่ให้ยุงเข้าไปวางไข่ได้ และเปลี่ยนน้ำในภาชนะ เช่น แจกัน ถ้วยรองตู้กับข้าว ทุกสัปดาห์ หรือเลี้ยงปลาในอ่างบัว เป็นต้น สำหรับเด็กที่อายุมากกว่า 9 ปี และเคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้ว อาจพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกจากสายพันธุ์อื่น

โรคที่มากับฝน การป้องกัน

จะเห็นได้ว่าในหน้าฝนนั้นเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคต่าง ๆ กับเด็ก ๆ ขึ้นได้ง่าย เมื่อคุณแม่รู้เท่าทันทราบถึงสาเหตุและสังเกตกับอาการที่ปกติ รวมถึงวิธีการป้องกันโรค ก็สามารถที่จะรับมือกับโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับลูกเพื่อที่จะพามาหาคุณหมอได้ทันที เพราะถ้าวินิจฉัยโรคเร็ว ความรุนแรงของโรค และโอกาสที่รักษาให้หายจะมีแนวโน้มสูง อย่างไรก็ตามวิธีการป้องกันเบื้องต้นเพื่อไม่ให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นกับลูก คือการใส่ใจเรื่องสุขอนามัยของลูก ฝึกให้ลูกได้หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในสถานที่ที่คนเยอะ ๆ ปล่อยให้ลูกได้เล่นได้ออกกำลังกายตามวัย สอนลูกให้มี HQ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพและพัฒนาการในการเจริญเติบโตที่ดีของลูกต่อไปได้.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.bumrungrad.comwww.bangkokhospital.com

อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ

5 พาหะนำโรค หน้าฝน ภัยร้ายต่อสุขภาพลูกน้อย

 

วิธีดูแล เด็กเป็นไข้ อันตรายที่มากับหน้าฝน

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ให้เกียรติเมีย

ให้เกียรติเมีย ก็เหมือนให้เกียรติตัวเอง ข้อคิดสะกิดใจที่สามีควรอ่าน!

event
ให้เกียรติเมีย
ให้เกียรติเมีย

ข้อคิด..สะกิดใจสามี! ให้เกียรติเมีย ก็เหมือนให้เกียรติตัวเอง เพราะ เมียไม่ใช่คนใช้ อย่าทำลายน้ำใจด้วยคำพูด! บทความดีๆ จาก #สามีแม่บัวเพจอมรินทร์เบบี้แอนด์คิดส์ ที่ผู้ชายทุกคนควรอ่าน!

ให้เกียรติเมีย ก็เหมือนให้เกียรติตัวเอง
ข้อคิดสะกิดใจที่สามีควรอ่าน!

การมีชีวิตคู่ เป็นการตอบสนองความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจในด้านของความรัก การยอมรับ และความรู้สึกว่า ตัวเองมีความหมายและมีคุณค่าต่อกันและกัน ซึ่งคู่สมรสที่แต่งงานกันต่างก็ปรารถนาความรู้สึกนี้ทุกคน

การให้เกียรติ หมายถึง การแสดงให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าเป็นคนสำคัญสำหรับคุณ เป็นบุคคลที่มีคุณค่ามีความหมาย คุณเคารพในความเป็นเขา ทั้งความคิด การกระทำในฐานะบุคคลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และในฐานะคู่ชีวิต

ทั้งนี้โดยทั่วไปผู้ชายจะได้รับการยอมรับจากสังคมให้เป็นผู้นำครอบครัว ซึ่งส่วนมากก็จะมีความรู้สึกไว หากภรรยากระทำการใดที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการไม่ให้เกียรติ เพราะผู้ชายถือเรื่องศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญ

แต่ในทางกลับกัน สามีก็ควร ให้เกียรติเมีย ด้วย เพราะอะไรจึงต้อง ให้เกียรติเมีย ตามมาอ่านเรื่องราวความในใจของ สามีแม่บัวเพจอมรินทร์เบบี้แอนด์คิดส์ ที่อยากบอกเล่าถึงคุณสามีหรือคุณผู้ชายทุกคน เกี่ยวกับเหตุผลที่ ทำไมต้องให้เกียรติเมีย หรือ ให้เกียรติภรรยา นั่นเอง …

ให้เกียรติเมีย

#เมียไม่ใช่คนใช้ อย่าทำลายน้ำใจเพราะเห็นเป็นของตาย

ระหว่างที่นั่งพบปะเลี้ยงรุ่นกัน หัวข้อสนทนาของผู้ชายวัย 35++ คงหนีไม่พ้นเรื่อง ภรรยา
ผมเจอแต่เพื่อนๆ บ่นเรื่อง ภรรยาโทรม ภรรยาอ้วน ภรรยาไม่สวย
ทำกับข้าวไม่อร่อย งานบ้านไม่เป๊ะ เก็บของไม่เป็นที่ ภรรยาขี้บ่น ภรรยาคุยไม่หยุด

กลับจากงานเลี้ยง เห็นภรรยานอนฟุบรอที่โซฟา แล้วเกิดภาพสะท้อนใจ
ถ้าไม่นับงานบ้าน การดูแลลูกในแต่ละชั่วโมงให้ผ่านไป ผมว่าเป็นเรื่องหนักหนาเอาการสำหรับคนเป็นแม่ ต้องดูแลลูกทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า เรื่องนอน เรื่องกิน เรื่องเรียน ทุกอย่างที่เป็นลูก
แม่ต้องรับผิดชอบหมด ผู้ชายอย่างเราแม้จะทำงานบ้าน เจอปัญหาจากคนอื่นมาหนักหนาเท่าไหร่ กลับถึงบ้าน งานทั้งหมดก็จบแค่นั้น

แต่อาชีพแม่ ไม่มีทีท่าเลยว่าจะจบ!
นอกจากดูแลลูกแล้ว ยังต้องดูแลบ้าน ทำงานบ้าน ทำกับข้าว ซักผ้า เก็บผ้า รีดผ้า งานในบ้านจิปาถะ
ต้องดูแลสามี เตรียมอาหารการกิน เสื้อผ้าที่ต้องใส่ไปทำงาน รองเท้าที่เน่าเขรอะสกปรก

จะเดินทางไปเที่ยวแต่ละครั้ง คนที่ต้องเตรียมของ เตรียมตัวเยอะกว่าใครก็คงเป็นแม่
กลับจากเที่ยว คนที่เหนื่อยที่สุดเป็นใคร ย่อมรู้กันดี

จริงๆ แล้ว ผู้ชายอกสามศอกอย่างเรา ช่วยเป็นมือขวาให้ภรรยาได้นะครับ
ศักยภาพความเป็นพ่อของพวกเรา ไม่ด้อยกว่าแม่เลย หากเราลองเปิดใจยื่นมือช่วยภรรยา
ทำงานนอกบ้านเหนื่อย ใช่ว่าคนในบ้านจะไม่เหนื่อย
ที่ลูกไม่ติด ไม่เอาเรา เพราะเราเองไม่ค่อยเข้าหาลูกหรือเปล่า?
เล่นกับลูกไม่เป็น เพราะไม่ค่อยได้เล่นกับลูกหรือเปล่า?

ที่ภรรยาโทรม หัวฟู ก็ไม่ใช่เพราะเธอเอาเวลาไปเลี้ยงลูกให้พวกเราหรือครับ
เงินที่ต้องใช้เพิ่มความสวย เพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเอง เธอก็ทุ่มให้กับลูก
เสื้อผ้า สวยงามที่เราเคยเห็น ตอนนี้มันเปลี่ยนไป กลายเป็นเสื้อผ้าของลูก
ครีมบำรุงผิว ร้านเสริมสวย ยิมออกกำลังกาย ก็อย่าพูดถึง ในเมื่อเธออาบน้ำไม่ทันจะถูตัว คุณก็เรียกเธอแล้ว

ให้เกียรติเมีย

แล้วคุณตอบแทนอะไรให้กับเธอบ้าง นอกจาก คำว่า “เมียโทรม”

หากเวลาพรากความสวยไปจากพวกเธอ สามีอย่างเรานี่แหล่ะครับ ที่ต้องคอยเติมเต็มความสวยให้กับชีวิตภรรยา
เวลาเปลี่ยน ผิวพรรณ รูปร่างหน้าตาต้องเปลี่ยนตามเวลา ในเมื่อถ้าภรรยาแก่ได้ พวกเราก็ไม่ต่างกัน
คุณพร่ำบอกว่า ภรรยาไม่สวย โทรม หุ่นไม่ดี แล้วพวกเราเองหล่ะครับ ผมบาง หัวล้าน พุงยื่น หน้าเหี่ยว มีกลิ่นตัว พวกเธอไม่เคยจะบ่น หรือนินทาเราเลย กลับให้กำลังใจพวกเราด้วยซ้ำ

กับข้าว ถ้ากินไม่อร่อย ระหว่างทางขับรถกลับบ้านก็ช่วยหิ้ว ช่วยหามากินบ้าง จะได้รู้ว่า การหากับข้าวให้ถูกปาก มันไม่ใช่เรื่องง่าย
บ้านไม่สะอาด กลับจากทำงาน ก็ช่วยภรรยาสักนิด หยิบไม้กวาดสักหน่อย แบ่งเบาภาระภรรยาตัวเอง ผมว่ามันก็เท่ไม่หยอก
อย่าเอาแต่บอกว่าบ้านไม่สะอาด หากคุณทำรกเสียเอง และไม่ช่วยเธอเลย
เสื้อผ้าที่รีด ไม่เนี้ยบมาก ก็ปล่อยวางบ้าง ภรรยานะครับ ไม่ใช่ร้านซักรีด

แม่บ้าน คนใช้ ยังมีเวลาพักผ่อนเลยครับ แต่คิดดูซิ ตอนกลางคืน เธอต้องตื่นให้นม ปั๊มนม
ลูกร้องเมื่อไหร่ เธอเด้งตัวเมื่อนั้น ตัวผมเองยังนอนสนิท ไม่ได้ยินเสียงลูกร้องเลย

วันทั้งวันเธอต้องคอยแก้ปัญหา ดูแล ผจญกับเด็กที่ยังไม่ประสีประสา
บางครั้งลูกก็งอแง บางครั้งก็ดื้อ ถึงวัยที่ไปเรียน เธอต้องคอยรับส่ง คอยสอนการบ้าน กลับถึงบ้าน หากเธอไม่คุยกับคุณ ไม่ปรึกษา ไม่ระบาย จะให้เธอไปคุยกับใคร

♦ ตั้งสติ แล้วนิ่งคิดสักนิดครับ ว่านี่คือภรรยาของคุณ ผู้หญิงที่ทิ้งทุกอย่าง
แล้วออกเดินก้าวมาสร้างอนาคตกับคุณ
♦ ตั้งสติ แล้วนิ่งคิด ว่า เราคือสามี ผู้ชายที่เธอรัก เธอไว้ใจ
เธอคือแม่ของลูก คือภรรยา ไม่ใช่คนใช้
เปิดใจ ทำความเข้าใจ ภรรยาจะสวยได้ หากมีสามีช่วยเติมเต็ม

#ให้เกียรติเมียก็เหมือนให้เกียรติตัวเอง
#อ่านแล้วตอบตัวเองให้ได้ ที่ภรรยาไม่สวย เพราะอะไร?

#สามีแม่บัวเพจอมรินทร์เบบี้แอนด์คิดส์

คุณรู้ไหม? สามีเปลี่ยนไปหลังมีลูก เพราะอะไร

10 สูตรผัวรักผัวหลง มัดใจสามีให้ดิ้นไม่หลุด!

วิบากกรรมเรื่องชีวิตคู่ และวิธีแก้กรรมเพื่อให้ครอบครัวมีสุข

ภรรยา 7 ประเภท ในสมัยพุทธกาล

 

 

เลี้ยงลูกให้เก่ง

เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เริ่ม 1 – 7 ขวบ

event
เลี้ยงลูกให้เก่ง
เลี้ยงลูกให้เก่ง

หาก เลี้ยงลูกให้เก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง! ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เมื่อโตขึ้นลูกของคุณก็จะกลายเป็น คนเก่ง อยู่ในสังคม และเอาตัวรอดได้ แต่จะมีหลักวิธีการอย่างไร ตามมาดูกันเลย

4 หลักการ เลี้ยงลูกให้เก่ง
ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เริ่ม 1 – 7 ขวบ

เด็ก เป็นวัยที่พร้อมรับสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในช่วง 1 – 7 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่สมองซีกขวาเปิดกว้าง การทำงานของสมองเร็วกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า ถ้าคุณพ่อคุณแม่ใส่เรื่องที่ดีเข้าไป ลูกน้อยก็จะเก็บไว้เป็นพลังสร้างสรรค์ และปลดปล่อยพลังนั้นออกมาตลอดชีวิต

พลังในวัยเด็ก เป็นพลังที่มีความสำคัญต่อเด็ก มีพ่อแม่เป็นตัวแปรต่อพลังที่จะเกิดขึ้น ทันตแพทย์สม สุจีรา เผยว่า เด็กทุกคนมีความสงสัย หรืออยากรู้อยากเห็น เพราะการกระตุ้นสมองซีกขวา คำตอบที่ได้ แม้จะไม่เข้าใจ แต่จะถูกฝังไว้เป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการค้นหาในอนาคต

เช่น สนใจวิทยาศาสตร์ อาจสงสัยว่า… ทำไมปลาหายใจในน้ำได้! แล้วทำไมคนถึงหายใจในน้ำไม่ได้? พอถึงเวลาที่มีโอกาสได้ศึกษา พลังความสงสัยจะส่งผลทันที นั่นคือแรงจูงใจในการศึกษาเรื่องนั้นเป็นพิเศษโดยที่หาเหตุผลไม่ได้

ซึ่งถ้าบ้านไหนมีลูกเล็กๆ อยู่ในวัยช่างซักช่างถาม หากอยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรแสดงอาการเบื่อหน่าย เพราะถ้าเด็กเข้าใจผิดว่า ความสงสัยเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย อาจเป็นอันตรายกับชีวิตในอนาคตของตัวเด็กได้!

สิ่งที่ควรทำ คือ ให้ชื่นชมในความสงสัยของลูก และพยายามตอบให้มากที่สุด ไม่ว่าจะค้นจากหนังสือ หรือจากแหล่งอื่นๆ แม้ว่าลูกจะไม่เข้าใจ แต่ขอให้เชื่อว่า … ในอนาคต เขาจะนำความรู้จากการตอบ และอธิบายของพ่อแม่ในครั้งนั้น มาหาคำอธิบายเอ ซึ่งบางครั้งอาจรู้สึกว่า ลูกไม่ตั้งใจฟังคำตอบ แต่แท้ที่จริงตัวเด็กได้บันทึกลงสมองไปเรียบร้อยแล้ว นั่นเพราะสมองของเด็กสามารถรับข้อมูลได้ไวกว่าผู้ใหญ่ 3 เท่า หมายความว่า 3 วินาทีของคุณ คือ 1 วินาทีของเด็ก

1. การป้อนความจำ ในช่วง 1-7 ขวบ

วิธี ลี้ยงลูกให้เก่ง ที่ถูกต้อง เพื่อสร้างเสริมพลังในวัยเด็กให้ลูกอย่างถูกต้อง  ช่วงอายุ 1-7 ขวบ ควรปล่อยให้ลูกเล่นไปตามธรรมชาติ เพราะ การเล่น คือการจินตนาการที่มีความสุข รวมทั้งควรป้อนความรู้สึกให้กับลูกบ่อยๆ เช่น ความรัก ความศรัทธา ความมีเมตตา หรือความพยายาม ขณะเดียวกันเมื่อลูกมีข้อสงสัย ให้หาคำตอบมาอธิบายให้ลูกฟัง

นอกจากนี้ ควรลดการป้อนความจำให้กับเด็ก เพราะการพยายามกระตุ้นให้เด็กใช้สมองซีกซ้ายมากเกินไป เช่น เรียนคณิตศาสตร์ที่ยากๆ ก่อนวัย อาจเป็นผลเสียในอนาคตต่อตัวเด็กเองได้ เพราะเด็กส่วนใหญ่ จะเริ่มต้นใช้สมองซีกซ้ายอย่างเต็มที่ในช่วงประมาณ 10 ขวบ หรือประมาณป.4 ดังนั้นผลการเรียนในระดับ ป.1-ป.3 จะนำมาใช้วัดไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นเรียนเก่งจริง

ดังนั้น เด็กเล็กที่ถูกบังคับให้เรียนพิเศษคณิตศาสตร์อย่างหนัก แม้ว่าผลการเรียนจะออกมาดีมากในช่วงนั้น แต่เมื่อผ่านพ้น ป.4 เนื่องจากการชะงักของจินตนาการในช่วงก่อนหน้า จะทำให้เขามีผลการเรียนที่ลดลง และเป็นเช่นนั้นตลอดไปจนโต เพราะขาดจินตนาการ ความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นพลังแฝงที่จะเก็บไว้ตลอดเวลาในช่วงวัยเด็ก แล้วค่อยๆ ปล่อยพลังนั่นออกมา เมื่อโตขึ้นไปจนตลอดชีวิต

เลี้ยงลูกให้เก่ง

2. การป้อนความรู้สึก ในช่วง 1-7 ขวบ

การป้อนความรู้สึก เป็นอีกหนึ่งวิธี เลี้ยงลูกให้เก่ง โดยในช่วงอายุ 1-7 ขวบ พ่อแม่ควรป้อนความรู้สึกให้ลูกมากๆ เพราะสมองซีกขวาเปิดกว้างที่สุด ขณะที่ความจำควรป้อนให้น้อยที่สุด เช่น ให้ลูกเรียนคณิตศาสตร์ตั้งแต่ 3 ขวบ หรือให้เรียนสิ่งที่ยากๆ … วิธีดังกล่าวนี้ ยิ่งทำร้ายเด็ก เพราะจะไปสกัดจินตนาการ และความรู้สึกของเด็กออกหมด

ฉะนั้นข้อมูลความจำมันเรียนกันทีหลังได้ ความรู้สึกสำคัญกว่า เพราะจะส่งผลให้เด็กโตขึ้น พลังความรู้สึก หรือแรงบันดาลใจที่พ่อแม่ป้อนให้เขา จะมีพลังสูงมาก ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็ว และมีความสำเร็จได้สูง

เหมือนกับไอน์สไตน์ ตอน 4 ขวบ เขาสงสัยมาก ว่าทำไมเข็มทิศถึงชี้ไปทางทิศเหนือตลอด เขาก็ถามคนไปทั่วจนได้คำตอบว่า เพราะมันมีสนามแม่เหล็กดึงไป ซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าใจคำว่าสนามแม่เหล็กดีพอ จนกระทั่งตอนโต พอได้มาเรียน และสะดุดกับคำว่า สนามแม่เหล็ก ส่งผลให้พลังในการเรียนรู้มันมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำให้เขาสนใจที่จะเรียนรู้ในศาสตร์ดังกล่าวมากขึ้น

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

3. สังเกตการเล่น และเสริมให้โดดเด่นให้ลูก

หากอยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง พ่อแม่ ควรสังเกตการเล่นของลูกอยู่เสมอ ว่าลูกชอบเล่นอะไรเป็นพิเศษ เช่น ระบายสี ดนตรี เพื่อที่จะสนับสนุนความชอบของลูกให้โดดเด่น เช่นเดียวกับที่คุณพ่อของไทเกอร์ วูดส์ ที่มีคนถามว่า … เลี้ยงลูกอย่างไรให้เก่งกอล์ฟ? ซึ่งคุณพ่อของไทเกอร์ บอกว่า เขาก็เลี้ยงแบบพ่อแม่คนอื่นๆ เพียงแต่ว่า เขารู้ว่าลูกถนัดตีกอล์ฟ เพราะตอนเด็กๆ เขาสังเกตว่าลูกชอบถือไม้กอล์ฟพลาสติกตีเล่นเป็นพิเศษ จากนั้นจึงพาลูกไปเล่น และฝึกซ้อม จนเก่ง และเป็นมืออาชีพการเล่นกอล์ฟอย่างทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามวิธีการ เลี้ยงลูกให้เก่ง พ่อแม่ต้องสังเกตให้ดีด้วย เพราะเด็กบางคนสามารถทำได้ดีและเก่ง แต่ไม่ใช่ความชอบที่แท้จริง

เลี้ยงลูกให้เก่ง

4. ศิลปะ-ดนตรี-กีฬา 3 ศาสตร์ที่เหมาะกับเด็ก

สำหรับวิธี เลี้ยงลูกให้เก่ง ศาสตร์ที่เหมาะสมกับเด็กเล็ก ทันตแพทย์สม เผยว่า … มีอยู่ 3 ศาสตร์ คือ ศิลปะ ดนตรี และกีฬา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า เด็กเล็กที่มีความสามารถทางดนตรีมีปริมาณเส้นประสาทซึ่งเชื่อมระหว่างสมองทั้งสองซีกหนาแน่นกว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นดนตรี ดังนั้นเมื่อโตขึ้น สมองจะปรับการเรียนรู้จากจังหวะเสียง ทำนองของดนตรีให้ป้อนไปที่ศูนย์ภาษา ทำให้สามารถเรียน และออกสำเนียงภาษาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว

ขณะเด็กที่เล่นดนตรี กีฬา หรือทำงานศิลปะ จะมีความสามารถทางมิติสัมพันธ์ ส่งผลต่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และ คณิตศาสตร์ เมื่อโตขึ้นจะพบว่า สมาธิในเด็กกลุ่มนี้ จะสูงกว่าเด็กทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ทีมแม่ ABK เชื่อว่า คุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้อยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง แต่ไม่ต้องถึงกับขั้นเป็นอัจฉริยะก็ได้ เพียงแต่ให้ลูกอยู่ในสังคม และเอาตัวรอดได้ก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นจะ ให้ลูกเก่งอย่างเดียวไม่พอ แต่ควรให้ลูกฉลาดที่จะใช้ชีวิตด้วย หมายความว่า รู้จักเรียนรู้ และประยุกต์ทุกอย่าง เพื่อให้ชีวิตมีความสุข และเอาตัวรอดได้ดีด้วย ที่สำคัญควรสอนให้ลูกเข้าใจตัวเอง พร้อมกับเข้าใจ และรู้เท่าทันคนอื่น แต่ไม่ใช่เอาเปรียบคนอื่นนะ ต้องฉลาดแบบที่ตัวเองเป็นคนดี

เครดิต: Life & Family / Manager

อ่านต่อบทความน่าสนใจอื่นๆ คลิกที่ภาพ ด้านล่างได้เลย ⇓

10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว …พ่อแม่ที่มีลูกเก่งและฉลาด ต้องมีสิ่งเหล่านี้!

เลี้ยงลูกอย่างไรให้มี TQ (Thinking Quotient) ฉลาดในการคิด เก่ง และประสบความสำเร็จ

10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้ฉลาดรอบรู้ เก่ง ดี มีสุข ฉลาดทันคน เอาตัวรอดได้

วิกฤตโควิด-19

เคล็ดลับคุณแม่รับมือวิกฤตโควิด-19

Alternative Textaccount_circle
event
วิกฤตโควิด-19
วิกฤตโควิด-19

แม้เด็กเล็กในช่วงวัย 1-3 ปีไม่ได้ถูกจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคอุบัติใหม่  โควิด-19 แต่พวกเขาเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดไม่ต่างจากคนวัยอื่น  คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจะเป็นไกด์ไลน์นำทางสู่การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายเด็กเล็กวัย 1-3 ปีในสถานการณ์วิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19

วิกฤตโควิด-19

ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ความรู้ผ่านวิดีโอไลฟ์ในเว็บไซต์ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย  http://www.thaipediatrics.org/  ระบุว่า โรคโควิด-19 จะติดต่อมาถึงเด็กเล็กได้หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้  อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ทุกเพศทุกวัยถือว่ามีความเสี่ยงได้ทั้งหมด  และในกลุ่มเด็กมีอัตราร้อยละ 2 ของผู้ป่วยทั้งหมด เด็กส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการหรืออาการน้อยมากเมื่อได้รับเชื้อเพราะตามธรรมชาติของเด็กนั้นร่างกายจะถูกสร้างมาให้เผชิญกับ เชื้อโรคทุกชนิดอยู่แล้ว  การตอบสนองกับเชื้อใหม่จึงดีกว่าผู้ใหญ่ แต่คุณแม่ต้องไม่ประมาทและต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตนเองตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งไม่ประมาทในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้ลูกวัยเด็กเล็กด้วย คุณหมอให้คำแนะนำสำคัญ ได้แก่

– ผู้ใหญ่ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ใกล้ชิดเด็กเล็ก

– ต้องล้างมือบ่อย ๆ รวมทั้งล้างมือให้เด็กด้วย สำหรับเด็กอายุต่ำกว่าสองปี ไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัย

– ฝึกลูกให้ล้างมือถูกวิธี  และไม่เอามือไปสัมผัสหน้า

– ทำความสะอาดข้าวของ สถานที่ที่ลูกเล่นอยู่ในบ้านทุกวัน  ให้ล้างก่อนแล้วจึงฆ่าเชื้อ

– การรับวัคซีน ถ้าลูกอายุต่ำกว่าหนึ่งขวบ ควรไปรับวัคซีนตามนัด  แจ้งโรงพยาบาลก่อนเสมอ

– ถ้าลูกอายุหนึ่งขวบขึ้นไปสามารถเลื่อนการรับวัคซีนได้ 3-6 เดือนเพราะวัคซีนในช่วงวัยนี้เป็นการฉีดวัคซีนกระตุ้น

– หากต้องการให้ลูกเล่นกลางแจ้ง ให้เลือกที่ ๆ คนน้อยที่สุด และไม่พาเด็กไปเล่นรวมกลุ่มด้วยกัน

วิกฤตโควิด-19

การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงสำหรับลูกวัยเด็กเล็ก 1-3 ปี เรื่องอาหารและโภชนาการ มีความสำคัญมากเช่นกัน  พญ.กิติมา ยุทธวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก (PNMA) กล่าวว่า เคล็ดลับการจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี คือ เน้นอาหารครบคุณค่า 5 หมู่ในมื้อหลักวันละ 3 มื้อและให้ลูกกินนมวันละ 2-3 แก้ว  ถ้าเลือกเป็นนมเสริมสารอาหารสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี เด็กก็จะได้รับสารอาหารในกลุ่มไมโครนิวเทรียนต์ คือวิตามินแร่ธาตุต่างๆ  เพิ่ม  ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นที่เติมในนมเสริมสารอาหาร  นมประเภทนี้มีส่วนช่วยเติมเต็มโภชนาการจำเป็นในแต่ละวันที่เด็กจะได้รับให้มีความครบถ้วน สมดุลและพอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย  เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนก็จะมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง

สำหรับสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก (PNMA) ซึ่งมีพันธกิจสำคัญประการหนึ่งคือ การส่งเสริมสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องสู่สาธารณชน เกี่ยวกับโภชนาการที่ดี และปลอดภัย อย่างเหมาะสมสำหรับอาหารเด็กเล็ก แนะนำให้คุณแม่ได้ติดตามและรับทราบข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับนมเสริมสารอาหารสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี (Young Child Formula : YCF) จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เฟสบุ๊คเพจ 1-2-3 KidsPedia (https://www.facebook.com/123kidspedia/ ) ซึ่งเป็น Community สำหรับคุณแม่ยุคใหม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัย เด็กเล็ก 1-3 ปีสำหรับพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การเลี้ยงลูก

วิกฤตโควิด-19

ปิดท้ายด้วยคำแนะนำจากกุมารแพทย์ว่าด้วยเรื่องอาหารคือยาชั้นดีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง พญ.สุชาอร แสงนิพันธ์กูล กล่าวถึงกลุ่มสารอาหารหลักที่ให้พลังงานสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน  โดยมีคำแนะนำว่า คุณแม่ควรเลือกสรรโปรตีนคุณภาพดีและเป็นแหล่งของสารอาหารธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ เช่น หมูเนื้อแดง ปลา ไก่ ไข่ ตับ โดยทำเมนูให้ลูกกินสลับกันไปทุกวันเพื่อช่วยในการเจริญเติบโต อาหารที่มีธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ซึ่งมีผลต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์สมอง ธาตุเหล็กพบมากในเนื้อแดง เครื่องในจากสัตว์  ผักใบเขียว และอาหารทะเล

วิกฤตโควิด-19

นอกเหนือจากสารอาหารกลุ่มหลักแล้ว สารอาหารกลุ่มรองจำพวกวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ก็มีความจำเป็นเพราะเป็นสารอาหารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ได้แก่ สังกะสี  วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี โดยให้ลูกรับประทานเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ข้าวกล้อง  ปลาและอาหารทะเล ในทุกๆ วันให้เน้นผักผลไม้สดรสไม่หวานจัด  สีส้ม สีแดง และผักใบเขียวเข้ม ได้แก่ แครอท ฟักทอง ส้ม ฝรั่ง มะละกอ ผักโขม เป็นต้น ที่สำคัญคือ ควรให้ลูกได้กินอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับโภชนาการที่มีประโยชน์เพียงพอ

 

 

8 วิธี รับมือลูกดื้อ “เผลอทำผิด” โดยไม่ต้องดุด่า!

event

ลูกบ้านไหน เป็นเด็กดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่ ไม่ทำตามคำสั่ง … ตามมาดูวิธี รับมือลูกดื้อ พ่อแม่ต้องตั้งสติก่อนลงไม้ลงมือ ไม่ต้องดุด่า แค่ถามแบบนี้? ก็ช่วยให้ลูกสำนึกได้

วิธี รับมือลูกดื้อ เผลอทำผิด โดยไม่ต้องดุด่า

“ความดื้อ” คือพัฒนาการตามวัยของเด็กอย่างหนึ่ง การที่ลูกเล็กวัย 0-6 ปี แสดงอาการต่อต้านพ่อแม่ เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและพัฒนาการของเขา ลูกดื้อ ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงการเติบโตทางจิตใจว่าลูกของคุณกำลังคิดด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะใช้เหตุผล และตัดสินใจเลือก ซึ่งในฐานะพ่อแม่ควรรู้ให้ทันพัฒนาการของลูกน้อย และเตรียมตัวเตรียมใจ รับมือลูกดื้อ โดยใช้วิธีจัดการให้เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยนั้นๆ

รับมือลูกดื้อ

โดยส่วนมากเมื่อลูกดื้อ หรือทำความผิด เด็กจะรู้สึกกลัวอยู่แล้ว กลัวว่าพ่อแม่จะด่า กลัวจะถูกลงโทษ แล้วยิ่งถ้าพ่อแม่ดุด่าและตี เขาก็จะยิ่งต่อต้าน … ดังนั้นสำหรับการเลี้ยงลุกในยุคนี้คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ควร รับมือลูกดื้อ ด้วยการถามคำถามเหล่านี้กับลูกก่อน ซึ่งอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการด่วนตัดสินใจลงโทษลูก โดยลองให้ลูกมีส่วนร่วมในการคิดกฏการลงโทษ ดังนี้…

 

1. ถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น!

หนึ่งในวิธี รับมือลูกดื้อ คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกมีโอกาสพูดบ้าง อย่าเคยชินกับการด่วนตัดสิน และสิ่งสำคัญ คือ ไม่ควรดุด่า ว่ากล่าว หรือตะคอกโมโหใส่ลูก ควรจะฟังลูกอธิบายอย่างสงบ ทำความเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงจากมุมของลูก

ที่สำคัญ การให้โอกาสลูกได้พูด แม้ว่าจะทำผิดจริง ลูกก็ยินดีที่จะยอมรับความผิดของเขามากกว่า เพราะเขามีโอกาสแก้ตัวให้ตัวเองแล้ว

2. ถามลูกว่า รู้สึกยังไงบ้าง? หนูคิดอะไรอยู่?

ก่อนอื่นเลย…หลังเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องอย่าเพิ่งสั่งสอนลูก เพราะหัวใจของลูกได้รับการกระทบกระเทือน ไม่มีถูกผิด การถามความรู้สึกนึกคิดในสิ่งที่ลูกได้ทำไป ก็เพื่อให้ลูกมีทางออกของอารมณ์

ซึ่งหลายๆ ครั้ง เด็กก็แค่ต้องการพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาเท่านั้น เมื่อคนเรามีภาวะอารมณ์รุนแรง สิ่งเร้าภายนอกก็จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสมองง่ายๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า…ถ้าคนเรายังมีอารมณ์ติดค้างอยู่ คนอื่นพูดอะไรก็ฟังไม่เข้าหัวต้องรอให้อารมณ์เขาสงบลง ถึงสามารถคิดอย่างใจเย็นได้

เพราะฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกเชื่อฟังที่ตัวเองพูด ก็ควรจะต้องเข้าใจความรู้สึกของลูกก่อน ปล่อยให้อารมณ์ของลูกมีทางออก พอลูกสงบลงแล้วก็สามารถถามคำถามที่ 3

3. ถามลูกว่า ต้องการแบบไหน?

สำหรับตอนนี้เมื่อถามคำถามไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่ลูกพูดออกมาจะน่าอัศจรรย์แค่ไหน ขอให้คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าตกใจ อย่ากลัว ให้สงบใจไว้และถามคำถามข้อที่ 4

4. ถามต่อว่า หนูคิดว่าพ่อแม่ต้องทำยังไงกับความผิดของหนู?

เมื่อมาถึงตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องเคารพคำพูดของลูก และแสดงความเห็นแบบให้เกียรติ โดยสามารถคิดไปพร้อมกันกับลูก พร้อมช่วยเสนอแนะและแก้ปัญหาร่วมกัน

ซึ่งหากเป็นแบบนี้ต่อไปในอนาคต เมื่อลูกเจอปัญหาเขาก็จะคิดถึงการมาขอความช่วยเหลือจากตัวคุณพ่อคุณแม่ แต่ถ้ารอจนคิดไม่ออกแล้วก็ถามคำถามที่ 5

5. ถ้าพ่อแม่ทำแบบนี้แล้วหนูจะเป็นอย่างไร!

ให้ลูกได้คิดได้เข้าใจว่า วิธีการแก้ปัญหาทุกอันจะมีผลที่ลูกต้องรับผิดชอบ ลูกจะรับผลเหล่านี้ได้หรือไม่? ถ้าตอนนี้ลูกคิดไม่ออก คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าไปช่วยแนะนำและบอกว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แต่ควรหลีกเลี่ยงการเทศนา ทำเพียงให้พูดแค่ข้อเท็จจริงเท่านั้น

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

6. ถามลูกต่อว่า ตัดสินใจได้ไหมว่าเราควรทำอย่างไรดี?

เมื่อวิเคราะห์เรื่องราวและผลที่ตามมาครบหมดแล้ว ลูกก็จะสามารถชั่งข้อดีข้อเสียได้และเลือกวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและฉลาดที่สุด แม้ว่าสิ่งที่ลูกเลือกจะไม่ตรงตามที่คุณคาดไว้ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของลูก

เพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่พูดกลับไปกลับมาไม่ยอมรับสิ่งที่ลูกพูดมา อีกหน่อยลูกก็จะไม่เชื่อถือพ่อแม่ ถึงตรงนี้แม้ว่าลูกจะเลือกผิด เขาก็ยังสามารถเรียนรู้บทเรียนอันมีค่าและน่าจดจำจากความผิดพลาดนี้

7. ถามลูกว่าอยากให้พ่อแม่ทำอะไรดี!

เมื่อลูกบอกว่าพ่อแม่สามารถช่วยเขาได้ยังไง คุณพ่อคุณแม่จะต้องสนับสนุนอย่างแข็งขัน เพราะการสนับสนุนจากพ่อแม่คือเบื้องหลังความเข้มแข็งของลูก ทำให้ลูกยิ่งมั่นใจมากขึ้น รอจนเรื่องราวผ่านไปก็ถามคำถามสุดท้ายกับลูก

8. ถ้าลูกทำผิดแบบนี้อีกคราวหน้าพ่อแม่ต้องทำยังไง?

วิธี รับมือลูกดื้อ ข้อสุดท้าย พ่อแม่ควรรอจนเรื่องราวผ่านไปแล้ว ให้โอกาสลูกได้ทบทวนตัวเอง ทบทวนว่าการตัดสินใจและวิธีการแก้ปัญหาของเขาว่ามีประสิทธิภาพไหม นั่นก็เพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถในการตัดสินสิ่งต่างๆ

อย่างไรก็ตามยังมีคุณพ่อคุณแม่จำนวนไม่น้อยที่คิดว่าลูกตัวเองอายุยังน้อย ยังเด็กเกินไป ไม่มีความสามารถในการคิดแก้ไขปัญหา แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าเด็กจะอายุน้อยมาก แต่ก็สามารถมีความคิดใช้กลยุทธ์และวิธีการบางอย่างเพื่อแก้ปัญหาได้ สิ่งสำคัญคือการเลี้ยงลูกที่มีภาวะดื้อและต่อต้านเป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่ลูกก็จะสามารถดีขึ้นได้ หากได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมจากคนในครอบครัว ขอให้คุณพ่อคุณแม่ค้นให้พบและปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดู อีกไม่นานเขาก็จะกลับมาเป็นเด็กดีให้คุณพ่อคุณแม่ได้ชื่นใจอย่างแน่นอน สุดท้ายทุกคำสั่งสอนก้อย่าลืมใส่ใจพร้อมมอบความรักลงไปด้วยนะคะ

ขอบคุณที่มาจาก : aanplearn.com

อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

ภาพหาดูยาก! สอน การเลี้ยงลูกของคนจีน ในสมัยก่อน แต่ยังสอนได้ดีในสมัยนี้

37 แนวทาง เลี้ยงลูกให้ถูกธรรม!! ตามคำสอนพุทธ เพื่อให้ลูกเป็นคนดีและมีสุข

คำสอนดี ๆ ในการเลี้ยงดูลูกแบบคนจีน

5 เทคนิค ตามใจลูก [สร้างวินัยเชิงบวก] ฝึกลูกคิดเป็น มีความรับผิดชอบ

10 เคล็ดลับปรับพฤติกรรมลูก ก้าวร้าว พ่อแม่ยุคใหม่ต้องเข้าใจและพร้อมรับมือ

 

keyboard_arrow_up