ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

ทำอย่างไรดี? ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ โมโหร้าย ตีพ่อแม่ เมื่อมีใครมาขัดใจ พฤติกรรมเหล่านี้จะทำให้ลูกเป็นเด็กก้าวร้าวเมื่อโตขึ้นหรือไม่? รับมืออย่างไรให้ได้ผลดี?

10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

บางครั้ง “ลูก” ก็ถูกออกแบบมาเพื่อทดสอบความอดทนของพ่อแม่ เมื่อเจ้าตัวเล็กที่แสนจะน่ารัก อยู่ ๆ ก็ร้องกริ๊ดเสียงดัง กระทืบเท้า อาละวาด เมื่อถูกขัดใจ พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพราะผลกรรมของพ่อแม่ที่เคยดื้อในตอนเด็ก ๆ กับพ่อแม่ของตัวเองหรอกนะคะ และที่ลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเพราะลูกผิดปกติ หรือโตมาจากการเลี้ยงดูที่ผิดค่ะ ก่อนอื่นเราจึงต้องทำความเข้าใจกับสาเหตุที่ทำให้ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ กันก่อน เพราะเมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงสาเหตุและไปแก้ที่ต้นเหตุ พร้อมทั้งสร้างวินัยเชิงบวกให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ก็จะสามารถเปลี่ยนเด็กที่โมโหร้ายให้เป็นเด็กที่รู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองได้ดีขึ้น

ทำความเข้าใจกับ “เหตุผล” ของลูก

การที่เด็กวัย 2 ขวบมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น โมโหร้าย ตี ทำร้าย กัด พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู ไม่แบ่งปัน ไม่ทำตามกฎกติกา พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพราะลูกอยากจะทำตัวไม่ดีให้พ่อแม่ดุหรอกนะคะ พฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของลูกซ่อนอยู่ ดังนี้

  1. ลูกยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ สาเหตุหลักที่ลูกอาละวาด โมโหร้ายนั้น เป็นเพราะว่า สมองของเด็กวัยนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จึงยังไม่รู้ถึงวิธีการรับมือเมื่อมีอารมณ์โกรธ และยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนผู้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อลูกโกรธ และลูกต้องการระบายอารมณ์โกรธ สิ่งที่ทำได้คือการอาละวาดให้หายโมโหนั่นเอง
  2. ลูกอยู่ในวัยที่กำลังเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์และกติกา เด็กวัยนี้กำลังอยู่ในวัยที่ลองผิดลองถูก ในบางครั้งลูกก็อาจจะอยากที่จะแหกกฎเกณฑ์ที่พ่อแม่รวมถึงคนรอบข้างตั้งไว้ดูบ้าง เพื่อดูว่าพ่อแม่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร และผลของการแหกกฎเกณฑ์ครั้งนี้เป็นอย่างไร
  3. เด็กกำลังเรียนรู้ภาษา เด็กวัย 2 ขวบจะยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดได้ 100% ดังนั้นการที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกจะสามารถเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่กำลังพูดกำลังสอนได้เหมือนผู้ใหญ่เลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
  4. พ่อแม่คาดหวังมากไปหรือเปล่า? ลอง​คิด​ถึง​การ​เปลี่ยน​แปลง​ที่​เกิด​ขึ้น​กับ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ ที่ตั้ง​แต่​เกิด​มา พ่อ​แม่​คอย​ดู​แล​เอา​ใจ​ใส่​เขา​ทุก​อย่าง ​เช่น วิ่งไปหาทันทีเมื่อลูกร้องไห้ เพื่อดูว่าลูกหิวนมหรือไม่ ต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือไม่ พ่อ​แม่​ทำ​ทุก​อย่าง​เพื่อ​ให้​ลูก​รู้สึก​สบาย​ขึ้น ​เพราะ​ลูก​​ยัง​ช่วยเหลือ​ตัว​เอง​ไม่​ได้ แต่เมื่อลูกอายุสอง​ขวบ เริ่มที่จะสื่อสารสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น สามารถทำอะไรเองได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปหยิบสิ่งที่ต้องการ การกินอาหารได้เอง ลูกจะ​เริ่ม​รู้​ว่า​พ่อ​แม่​ไม่​ได้​ทำ​อะไร​ให้​เขา​ทุก​อย่าง​อีก​ต่อ​ไป เมื่อพ่อแม่ไม่ทำสิ่งต่าง ๆ ​ให้​ลูกเหมือนตอนเป็นทารก แถมยังต้องการให้ลูกทำ​ตาม​ที่​พ่อ​แม่ต้องการ ตามกฎกติกาต่าง ๆ ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ​จึงอาจ​ไม่​ยอม​รับ​การ​เปลี่ยน​แปลงนี้ จึง​เริ่ม​ต่อต้าน​ด้วย​การ​ร้อง​อาละวาด

การที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ทราบถึงเหตุผลของลูก และดุด่าว่ากล่าวเพื่อไม่ให้ทำอีก จึงไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เพราะเมื่อลูกไม่ได้รับการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ก็จะทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อไปอีกเรื่อย ๆ ดังนั้น เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ลูกอาละวาดแล้ว ทีมแม่ ABK ก็มีวิธีรับมือและสร้างวินัยเชิงบวกให้กับเด็กอาละวาด เอาแต่ใจ มาฝากค่ะ

ลูกดื้อ
ลูกดื้อ

10 วิธีรับมือ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

แทนที่จะคิดว่าจะลงโทษลูกอย่างไรดีเมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ลองเปลี่ยนมาเป็นจะป้องกัน แนะนำ และสอนลูกถึงพฤติกรรมที่เหมาะสมแทนจะดีกว่านะคะ คุณพ่อคุณแม่ลองนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้กับลูก ๆ กันได้เลยค่ะ

  1. ใช้เวลาคุณภาพร่วมกับลูก

ให้คุณพ่อคุณแม่ลองกำหนดช่วงเวลาอย่างน้อย 20 นาทีในแต่ละวัน ที่จะมีเวลาคุณภาพร่วมกันกับลูก โดยในช่วงเวลานั้น คุณพ่อคุณแม่จะต้องไม่จับมือถือ ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่คิดถึงเรื่องงานหรือเรื่องอื่น ๆ เลย ให้ใช้ช่วงเวลานั้นกับลูกเพียงอย่างเดียว ลองฟังในสิ่งที่ลูกพูดหรือคิด เล่นกับลูกโดยให้ลูกเป็นผู้นำ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องทั่วไป และไม่น่าจะเกี่ยวกับการที่ลูกอาละวาด แต่รู้ไหมคะ ว่าการที่คุณพ่อคุณแม่ตั้งใจฟังลูก และเรียนรู้นิสัยของลูกผ่านการใช้เวลาคุณภาพนี้ จะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของลูกมากขึ้น เมื่อเข้าใจลูกมากขึ้น ก็จะเข้าใจถึงเหตุผลที่ลูกอาละวาดได้ดีขึ้

2.คาดเดาถึงปัญหา (ที่กำลังจะเกิด)

ให้คุณพ่อคุณแม่ลองคาดเดาสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ลูกจะต้องอาละวาดแน่ ๆ และให้หาทางแก้ปัญหาเหล่านั้นก่อนที่จะเกิดขึ้น เช่น เมื่อพาลูกไปเล่นที่บ้านเพื่อน แน่นอนว่าลูกจะรู้สึกไม่พอใจหรือโมโหเมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้าน ดังนั้น ให้คุณพ่อคุณแม่ทำความตกลงกับลูกก่อนที่จะพาไปเล่นว่าเมื่อถึงเวลากลับจะต้องทำตัวอย่างไร และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับบ้านจริง ๆ แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะให้ลูกกลับทันทีเลย ลองบอกลูกว่าอีก 5 นาทีจะกลับบ้านแล้ว เพื่อให้ลูกเตรียมใจก่อนถึงเวลาจริง เป็นต้น

3. ใจเย็น ๆ

การตอบกลับต่อพฤติกรรมที่รุนแรงด้วยความรุนแรง ไม่ได้ทำให้ลูกอารมณ์เย็นขึ้น ในบางครั้งที่ลูกหยุดอาละวาด ไม่ได้เป็นเพราะลูกเข้าใจถึงเหตุผลที่พ่อแม่ต้องการที่จะสอน แต่เป็นเพราะลูกกลัวค่ะ ดังนั้นเมื่อลูกร้อนมา คุณพ่อคุณแม่ต้องเย็นกลับ เพื่อให้ลูกได้อารมณ์เย็นลง และรับฟังคุณพ่อคุณแม่ได้ดีขึ้น

4. กอดช่วยได้

เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ชอบตี กัด หรือทำร้ายคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรตีกลับ หรือลงโทษกลับ แต่จะปล่อยให้ลูกทำร้ายก็ไม่ได้ ดังนั้น การหยุดไม่ให้ลูกทำร้ายที่ดีที่สุดคือการกอดค่ะ กอดเพื่อให้ลูกหยุดทำร้ายร่างกาย กอดให้ลูกรับรู้ถึงความรักของพ่อแม่ ในระหว่างที่กอด ให้คุณพ่อคุณแม่พูดว่า อย่าตีแม่ แม่เจ็บนะ แม่รู้สึกไม่ดีเลยที่ถูกลูกตี เป็นต้น เพื่อให้ลูกได้รับรู้ว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นไม่เหมาะสม และทำให้พ่อแม่เสียใจ

5. สนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวก

เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่เหมาะสม ควรชื่นชมลูกว่าสิ่งที่กำลังทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ลูกเก่งมากที่ทำได้ เมื่อลูกได้รับรู้ถึงการสนับสนุนสิ่งที่ตนเองทำ รับรู้ว่าหากทำแบบนี้แล้วจะได้รับการชื่นชม ลูกก็จะอยากทำแบบเดิมอีกเพื่อให้ได้รับคำชมนั่นเอง

6. ฟังลูกพูด

การที่ลูกร้องไห้ อาละวาด นั้นมีเหตุผล แม้ว่าเหตุผลเหล่านั้นจะไม่มีเหตุผลในสายตาคุณพ่อคุณแม่ก็ตาม แต่เหตุผลนั้นมันยิ่งใหญ่มากสำหรับลูกนะคะ ดังนั้น การตั้งใจฟังถึงเหตุผลที่ลูกร้องไห้ จะช่วยทำให้ลูกรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่เอาใจใส่ เข้าใจ และพร้อมที่จะสนับสนุนเขา เขาก็จะพร้อมที่จะรับฟังวิธีแก้ไขกับปัญหาที่เขาเจอ

7. ให้ทางเลือกกับลูก 

แทนที่จะบอกว่า อย่าทำนะ ห้ามเล่นนะ ห้ามวิ่งนะ ลองเปลี่ยนมาเป็น ถ้าลูกวิ่งตรงนี้ซึ่งเป็นหินที่ขรุขระ เมื่อล้มจะเจ็บตัวได้ เปลี่ยนมาวิ่งบนสนามหญ้าจะดีกว่า เพราะเมื่อล้มก็จะได้ไม่เจ็บมากแทน เพราะเมื่อเด็กโดนห้าม มักจะมีความรู้สึกว่าอยากจะทำ ดังนั้นลองเสนอทางเลือกให้ลูกได้เลือก ลูกก็จะรู้สึกว่าตนเองเลือกเอง ไม่ได้โดนบังคับให้หยุดทำ

8. ให้ในสิ่งที่ลูกต้องการไปเลย

ข้อนี้ดูเหมือนจะขัดต่อวิธีการรับมือใช่ไหมล่ะคะ แต่คุณพ่อคุณแม่อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเด็กในวัยนี้ ไม่สามารถที่จะทำตามเหตุผลได้เหมือนผู้ใหญ่ เด็กในวัยนี้ยังใช้อารมณ์เป็นหลัก ดังนั้น บางทีการยอมให้ในสิ่งที่ลูกต้องการ ซึ่งสิ่งนั้นต้องไม่ใช่สิ่งที่ใหญ่โตอะไร และก็ไม่ควรยอมให้ไปทั้งหมด ควรจะมีข้อแม้ หรือควรจะมีการต่อรองกับลูกว่าให้ได้ แต่ไม่สามารถให้ได้ทั้งหมดที่ลูกต้องการ เช่น ลูกอยากกินขนมก่อนนอน หากคุณพ่อคุณแม่ยังดึงดันไม่ให้ลูกทาน แต่เมื่อลูกอยู่ในอารมณ์ที่อยากทานจริง ๆ ลูกก็จะอาละวาดอยู่อย่างนั้น ลองยอมให้ลูกทาน แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไปแปรงฟันอีกครั้งก่อนนอน เป็นต้น

9. ผลัดกันเล่น แทนการแบ่งปัน

เมื่อลูกเป็นเด็กที่ไม่ชอบแบ่งปัน อาจไม่ใช่เพราะลูกหวงของก็ได้นะคะ แต่อาจเป็นเพราะลูกก็ยังอยากเล่นของเล่นชิ้นนั้นอยู่ หรืออาจเป็นเพราะลูกคิดว่าเมื่อแบ่งให้เพื่อนเล่นแล้ว กว่าจะได้เล่นอีกทีคงจะอีกนานก็ได้ ดังนั้น แทนที่คุณพ่อคุณแม่จะบังคับให้ลูกแบ่งปัน ลองเปลี่ยนเป็นให้ลูกผลัดกันเล่นกับเพื่อนแทน วิธีนี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกว่ายังสามารถเล่นของเล่นชิ้นนั้นได้อยู่ ลูกก็จะยอมให้เพื่อนเล่นด้วย

10. เล่นบทบาทสมมุติ

คุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่าการเล่นบทบาทสมมุติเกี่ยวอะไรกับวิธีรับมือ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ อยากบอกว่าวิธีนี้เป็นวิธีสอนลูกให้เข้าใจได้ดีกว่าการพูดเพียงอย่างเดียว เพราะการเล่น เป็นสิ่งที่เด็กชอบ การสอนลูกผ่านการเล่นบทบาทสมมุติ จะช่วยให้ลูกเห็นภาพ และเข้าใจถึงสถานการณ์ได้ง่ายกว่าค่ะ

การสอนลูก ไม่มีกฎเกณฑ์ใดที่ตายตัว ไม่มีผิดไม่มีถูก มีแต่เหมาะหรือไม่เหมาะกับแต่ละบ้าน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถปรับวิธีการรับมือลูกอาละวาด เอาแต่ใจ จาก 10 ข้อนี้ ให้เหมาะสมกับลูกของตนเองได้เลยค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อุทาหรณ์เลี้ยงลูกผิด! ตามใจลูกเกินไป จนไม่รู้ค่าของเงิน

สิ่งที่ควรสอนลูก 10+1 ข้อ พ่อแม่ห้ามพลาด! เพื่อลูกมีความสุขไปตลอดชีวิต

5 นิทานคุณธรรม ปลูกฝังให้ลูกทำดีได้ตั้งแต่เล็ก!

วัยทอง 2 ขวบ Terrible Two จะรับมืออย่างไร ?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thebump.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    เช็ก 10 สัญญาณมะเร็งปากมดลูก ภัยเงียบใกล้ตัวแม่

    มะเร็งปากมดลูก ภัยเงียบที่คุกคามผู้หญิงทุกคน แม้แต่ “คนเป็นแม่”  ที่สำคัญโรคนี้จัดเป็นอยู่ในอันดับสามของโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตผู้หญิงไทย ไปไม่น้อย เพราะกว่าจะรู้ว่า “ตัวเองเป็นมะเร็ง” อาการของโรคก็ลุกลามบานปลาย หลายคนต้องผ่านกระบวนการรักษาที่ยาวนาน และกระทบต่อสุขภาพหลายด้าน หนทางป้องกันดีที่สุดคือ การสังเกตสัญญาณเตือนของมะเร็งปากมดลูก เพื่อรักษาตั้งแต่เนิ่น

    มะเร็งปากมดลูก คร่าชีวิตหญิงไทยถึงวันละ 6 คน

    ในปีพ.ศ. 2562 พบว่า มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 5,513 คน และหญิงไทยเสียชีวิตจาก มะเร็งปากมดลูก 2,251 คนต่อปี เฉลี่ยวันละ 6 คน ถึงแม้ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะลดน้อยลงกว่าปีพ.ศ. 2561 ที่มากถึงวันละ 14 คน แต่ก็เรียกได้ว่ายังคงเป็นสถิติที่น่ากังวลอยู่ดี ผู้หญิงทุกคนจึงควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก เพื่อลดโอกาสการเสียชีวิตให้น้อยลง

     

     HPV สาเหตุสำคัญของมะเร็งปากมดลูก

    เชื้อ HPV หรือ Human Papillomavirus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อเอชพีวี แพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง หรือการมีเพศสัมพันธ์ เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอ เป็นต้น เชื้อ HPV มีอยู่กว่า 150 สายพันธุ์ แต่สำหรับผู้หญิง สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของโรค มะเร็งปากมดลูก สูงถึง 70% และสาเหตุส่วนใหญ่ของการติดเชื้อเอชพีวีคือติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ โดยมะเร็งปากมดลูก พบมากในผู้หญิงอายุ 35-60 ปี

    หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก 2,251 คนต่อปี

    อ่านเพิ่มเติม >> หญิงไทยฟังทางนี้!! ตรวจมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมฟรี!!

     

    ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก

    1.เกิดจากการมีคู่นอนหลายคน หรือมีเพศสัมพันธ์ในช่วงอายุน้อยกว่า 17 ปี เพราะเป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปากมดลูกมาก และมีความไวต่อสารก่อมะเร็ง

    2.มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส และหนองใน ก็จะยิ่งทำให้มีความเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก มากขึ้น

    3.ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานกว่า 5 ปี มีความเสี่ยงสูงขึ้นถึง 1.3 เท่า ถ้ารับประทานนานถึง 10 ปี มีความเสี่ยงถึง 2.5 เท่า

    ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก
    ทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก

    4.คลอดลูกมากกว่า 4 ครั้ง อาจทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัวเลยทีเดียว

    5. สูบบุหรี่ มีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน เช่น โรคเอดส์ หรือรับยากดภูมิคุ้มกัน อาจเป็นตัวเร่งให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

     10 สัญญาณมะเร็งปากมดลูก แม่ต้องรู้

    สัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูก

    1. มีเลือดออกผิดปกติ ที่ไม่ใช่ประจำเดือน เช่น เลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน เลือกออกเป็นระยะ เลือดออกหลังจากตรวจภายใน

    2. เลือดออกหลังวัยทอง เช่น ผู้หญิงวัย 55 ปี หมดประจำเดือนไป 3 ปี แล้วมีเลือดออกทางช่องคลอดอีก ควรรีบไปพบแพทย์

    3. ตกขาวผิดปกติ เช่น เป็นหนอง มีกลิ่นเหม็น มีน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด มีเลือดปน

    4. ปัสสาวะขัด ปวดแสบ อาจเป็นสัญญาณมะเร็งปากมดลูก หรืออาจติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ไม่แน่ชัดว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกเสียทีเดียว แต่ก็ไม่ควรประมาท และสังเกตอาการอื่นร่วมด้วย

    5. เจ็บขณะร่วมเพศ เป็นหนึ่งสัญญาณเตือนมะเร็งปากมดลูก

    6.ประจำเดือนมามากและนานผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งปากมดลูก

    7. ปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โดยจากสถิติผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก มักจะมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และเลือดปน

    8. เจ็บปวดตามร่างกาย โดยเฉพาะ ขา หลัง และเชิงกราน เนื่องจากมะเร็งกระจายส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด

    9. อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เพราะระบบการรักษาสมดุลของร่างกายทำงานหนัก เพื่อต่อต้านและกำจัดมะเร็งออกไป

    10 .น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ เพราะร่างกายจะสร้างโปรตีนที่ทำหน้าที่กำจัดไขมันส่วนเกินมากเกินไป ทำให้น้ำหนักลดทั้งๆ ที่ไม่ได้อดอาหาร

     

    วิธีป้องกันมะเร็งปากมดลูก

    1. ตรวจคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก ปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุ 30 ปีขึ้นไป

    ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปีเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก

     

    อ่านเพิ่มเติม >> แพทย์แนะหญิงไทย ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก ทุกสามปี

    อ่านเพิ่มเติม >> 8 ข้อควรรู้ ก่อนพาลูกไป ฉีดวัคซีน มะเร็งปากมดลูก

     

    2. ผู้หญิงที่ใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยฮอร์โมน เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ควรตรวจหา มะเร็งปากมดลูก ทุก 6 เดือน

    3. ลดการดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่

    4. ดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของร่างกายอยู่เสมอ

    5. ฉีดวัคซีนป้องกันโรค มะเร็งปากมดลูก สามารถติดต่อโรงพยาบาลเพื่อขอฉีดวัคซีนได้

     

    ถึงแม้ว่ามะเร็งปากมดลูก จะเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้ป่วยไปเป็นจำนวนมาก แต่ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ ทำให้ในปัจจุบันนี้ มะเร็งปากมดลูกเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งโดยวิธีการผ่าตัดและการใช้รังสีรักษา นอกจากนี้ ยังเป็นโรคที่สามารถฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน และสามารถตรวจคัดกรองได้เป็นระยะ ๆ ดังนั้น  อย่าหลงผิดไปรักษาผิดวิธี เช่น การไปรักษาโดยยาสมุนไพร หรือกลัวการรักษาจนเกินเหตุ ทำให้โรคเป็นมากขึ้น โอกาสหายจากโรคน้อยลง

     


    ขอบคุณข้อมูลจาก

    thaijobsgov.com, สถาบันมะเร็งแห่งชาติราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลหน่วยสารสนเทศมะเร็ง, โรงพยาบาลเปาโล, Line Today

    อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม

    ตรวจคัดกรองมะเร็ง ในผู้หญิงควรตรวจเมื่อไหร่?

    ไขข้อสงสัย! ใส่ผ้าอนามัยนานๆ เสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูกจริงหรือ?

    9 อาหารช่วยลดความเสี่ยงการเกิด มะเร็งปากมดลูก

    หญิงไทยฟังทางนี้!! ตรวจมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านมฟรี!!

      โรคติดเชื้อในกระแสเลือด

      โรคติดเชื้อในกระแสเลือด ในเด็ก อาการเป็นอย่างไร อันตรายแค่ไหน แม่ควรรู้!

      มือไม่สะอาดอย่าจับลูกเด็ดขาด! แม่เล่าอาการ ลูกวัย 3 เดือนป่วยเป็น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด เตือน!! ก่อนสัมผัสลูกควรล้างมือให้สะอาด เพราะเชื้อโรคที่มองไม่เห็นอาจติดมากับมือทำลูกป่วยได้

      สุดสงสาร! ลูกวัย 3 เดือนป่วยเป็น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด

      โรคติดเชื้อในกระแสเลือด คือ ภาวะการติดเชื้อในกระแสโลหิต อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา สามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ แต่ช่วงอายุที่ต้องเฝ้าระวังคือ เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี และในผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรงได้มากกว่าวัยอื่น โดยเชื้อโรคมักอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ในร่างกายและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเด็กโดยไม่ก่อโรค แต่เมื่อไหร่ที่ร่างกายอยู่ในสภาวะอ่อนแอก็จะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายและเกิดการติดเชื้อได้

      การติดเชื้อโดยทั่วไปสามารถเกิดการติดเชื้อในอวัยวะต่างๆ ได้ เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อทางเดินอาหาร และอาจไม่มีตำแหน่งการติดเชื้อที่ชัดเจน โดยการติดเชื้อดังกล่าวถ้ามีอาการรุนแรง เชื้อโรคก็สามารถผ่านเข้าไปในกระเลือดและเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมด้วยได้ โดยการติดเชื้อร่วมกับมีสัญญาณชีพผิดปกติ และเมื่อตรวจเลือดพบว่าจำนวนเม็ดเลือดขาวผิดปกติ จะเรียกภาวะนี้ว่า Sepsis ส่วนในกรณีที่เชื้อโรคเข้าไปในกระแสเลือดร่วมด้วยจะเรียกว่า Septicemia

      … เช่นเดียวกับหนูน้อยวัย 3 เดือนคนนี้ที่ป่วยเป็น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด โดยคุณแม่ได้โพสตืเตือนในเฟซบุ๊กกรุ๊ปหนึ่ง เพื่อเตือนพ่อแม่ที่มีลูกเล็กให้ระวังให้ดี ควรล้างมือให้สะอาดก่อนอุ้มลูก เพราะคุณหมอบอกว่าสาเหตุที่ ลูกติดเชื้อในกระแสเลือด ได้เกิดเพราะเชื้อโรคที่มาจากมือ โดยคุณแม่ได้เล่าอาการของน้องอย่างละเอียดไว้ว่า …

      #วันนี้วันที่11แล้วค่ะ #ที่หนู ติดเชื้อในกระแสเลือด #วันนี้จะมาบอกอาการ แรกเริ่มให้แม่บ้านอื่น #ไว้สังเกตลูกๆนะคะ
      • วันแรกๆ น้องเเค่ตัวรุมๆ ค่ะ แม่ก็ให้กินยาแก้ไข้ปกติ
      • วันที่2 น้องเริ่มไข้ขึ้นสูง เลยตัดสินใจไปคลีนิคค่ะ เพราะคิดว่าสะดวกสะบาย ไม่ต้องรอคิว หมอให้ยาลดไข้ กินปกติ
      • วันที่3 น้องงอแง เริ่มไม่กินนม +ไข้สูง ก็ได้กินยาลดไข้ปกติ
      • วันที่4 น้องเริ่มมือเย็น แต่ตัวร้อน แม่คิดว่าอากาศคงเย็น และก็เริ่มถ่ายเหลว อ้วกพุ่งกินอ้วก ตัวร้อนแต่มือเริ่มเย็นขึ้น เริ่มงอแง ร้องไห้ตลอดเวลาไม่เอานมโดนตัวก็ร้อง
      เลยตัดสินใจพาไปโรงพยาบาล พอมาถึง หมอก็วัดไข้ตรวจเลือด หมอให้นอนโรงพยาบาล พยาบาลมาบอกน้องเกร็ดเลือดต่ำนะแม่ น่าจะเป็นไข้เลือดออก ใจเริ่มเสีย เด็กแค่ 3 เดือนเป็นไข้เลือดออก
      ตกดึก น้องมีอาการไข้สูงขึ้นเรื่อยๆ พยาบาลมารุมเช็ดตัว เช็ดจนชุ่ม เช็ดๆ ประมาณ 3 รอบ ไข้ไม่ลดค่ะ น้องเริ่มสั่นสั้นมาก สั่นแบบน่าสงสารมากๆ ตาเริ่มลอย พยาบาลอุ้มเข้าห้องเจาะเลือดเลยค่ะ เข้าไปอยู่นานพยาบาล พยาบาลเรีกไปดูสิ่งที่เห็นคือ น้องใส่สายออกซิเจนค่ะ พยาบาลบอกน้องหายใจเร็วมากนะแม่ ตอนนี้กำลังตามหมอใหญ่มาดู ตอนนั้นเริ่มจิตตก โทษเเต่ตัวเองค่ะ ที่ปล่อยมาขนาดนี้ น้ำตาไหลตลอดที่เค้าเจ็บปวด โทษตัวเอง อยากตีตัวเองมากๆ
      ผ่านไป 2 ชั่วโมง พยาบาลก็อุ้มออกมา ไข้ลด โล่งอก เช้าต่อมา หมอใหญ่มาบอก ผลเลือดออกอีกรอบ หมอบอกไม่ได้เป็นไข้เลือดออกนะแม่ #น้อง ติดเชื้อในกระแสเลือด นะคะ และทำให้กระเพาะปัสวะอักเสบ ค่ะ นึกสภาพคนโตเป็นยังแสบขัดยังเจ็บขนาด แล้วเด็กตัวเล็กๆ เป็นจะขนาดไหน อันนี้โชคดีนะคะไม่ลามไปที่ปอดค่ะ
      หมอได้เอาเลือดไปเพาะเชื้อว่าเป็นเชื้อตัวไหน หมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อ ไข้ก็ขึ้นๆ ลงๆ มือเท้าเย็นมาก แล้วผลเลือดก็ออกอีกครั้ง หมอบอกเชื้อที่น้องติดคือ เชื้อดื้อยา เชื้อที่อันตรายสุด เพราะดื้อยา และต้านยา
      ติดเชื้อในกระแสเลือด
      ภาพ เชื้อดื้อยา จากการติดเชื้อในกระแสเลือด
      ตอนนี้ก็กำลังให้ยาฆ่าเชื้อตัวที่ 4 อยู่ค่ะ หมดยาไป 3 ตัวเชื้อลดแค่ 30-50 หมอบอกน่าจะอยู่อีกยาวๆ #เชื้อโรคเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแม่ๆ ออกนอกบ้านหรือพ่อไปทำงานกลับมาล้างมืออาบน้ำก่อนมาอุ้มลูกกันด้วยนะคะ #ฝากเป็นอุทาหรณ์ #และฝากดูอาการลูกๆ ด้วยนะคะ ถ้าตัวร้อนไข้สูง ให้เข้าโรงบาลดีกว่า #บ้านนี้เข็ดจนตายค่ะ #นึกสภาพถ้ามาช้ากว่านี้คงเสียใจตลอดชีวิต ขอบคุณค่ะที่อ่านจนจบ
      ขอบคุณข้อมูลและภาพจากคุณแม่ Monthiya Chiyala

       

      อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยการติดเชื้อในกระแสเลือด นั้นทำได้ยาก เนื่องจากหมอไม่สามารถวินิจฉัยเพื่อระบุสาเหตุของการติดเชื้อได้อย่างชัดเจน จึงต้องใช้วิธีการตรวจหลายอย่าง ซึ่งขึ้นอยู่กับอาการและความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละคนด้วย

      การป้องกันลูกป่วยเป็น โรคติดเชื้อในกระแสเลือด

      สิ่งสำคัญที่เป็นต้นเหตุของการติดเชื้อ คือ เชื้อโรคที่มีอยู่รอบตัวเรา ซึ่งสามารถป้องกันได้โดยรักษาความสะอาดและสุขภาวะอนามัยทั้งของคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อย เช่น ถ้าลูกยังเล็ก ก่อนสัมผัสลูกควรล้างมือให้สะอาด หมั่นเช็กเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยๆ อย่าปล่อยให้หมักมหมม ควรระวังให้ให้ลูกอมมือ และต้องคอยทำความสะอาดของเล่น ของใช้ที่วางใกล้มือลูกด้วย เมื่อลูกโตควรสอนให้ล้างมือบ่อยๆ ก่อนหยิบจับอาหารเข้าปาก หรือเมื่อหยิบจับสิ่งของ ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงพาลูกไปเที่ยวที่ชุมชนที่มีคนหนาแน่น หลีกเลี่ยงผู้ที่มีอาการเจ็บป่วย นอกจากนี้การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดสามารถการป้องกัน หรือ ลดความรุนแรงโดยการรับวัคซีน เช่น วัคซีนฮิบ (Hib) หรือ วัคซีนไอพีดี (IPD) เป็นต้น


      ขอบคุณข้อมูจาก : www.pobpad.comwww.phyathai.com

      อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

      แม่แชร์ประสบการณ์สำลักนม ทำลูกปอดติดเชื้อ มีไข้สูงชักตัวเกร็ง

      ปล่อยคนแปลกหน้า จุ๊บลูก ครั้งเดียว ติดเชื้อหนักเกือบตาบอด

      อุทาหรณ์! ลูกติดเชื้อจากรถเข็นในห้าง

      3 โรคที่แม่ป่วย ต้องระวัง อยู่กับลูกอย่างไรไม่ให้ลูกติดเชื้อ

      ลูกติดเชื้อ เพราะดูดนมผิดวิธีจริงหรือไม่?

        เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด

        เตือนพ่อแม่! ปล่อยลูก เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้!!

        แม่แชร์เตือน…อุทาหรณ์ เลี้ยงลูกด้วยมือถือ เรื่องเสี่ยงภัยที่ไม่ควรละเลย เพราะหากปล่อยให้ลูก เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้! ทำกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ถ้าไปรักษาผ่าตัดไม่ทันเวลา

        อุทาหรณ์ ปล่อยลูก เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้!!

        เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้! เรียกได้ว่าเรื่องนี้..ถือเป็นอีกหนึ่งภัยที่เด็กสมัยนี้เสี่ยงเป็นกันมาก เพราะด้วยความก้าวล้ำของเทคโนโลยี ซึ่งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่อยู่ที่ว่าเราจะใช้เทคโนโลยีอย่างไรให้เกิดประโยชน์ เช่นเดียวกับกรณีนี้..ที่คุณแม่ได้ออกมาโพสต์เตือนเพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคุณพ่อคุณแม่คนอื่นๆ อุทาหรณ์ เลี้ยงลูกด้วยมือถือ ให้ลูกเล่นโทรศัพท์มือถือตั้งแต่เล็กๆ จนตอนนี้ลูก 7 ขวบ ต้องเข้ารับการผ่าตัดตาด่วน

        โดยคุณแม่ได้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ สมฤดี ชาวบ้านเกาะ โพสต์ภาพลูกชายที่มีผ้าปิดตา นอนอยู่โรงพยาบาลพร้อมระบุข้อความว่า..

        “เก่งมาก คนเก่งของเเม่ เรื่องมือถือ พ่อเเม่อย่าชะล่าใจ สำคัญมาก อย่าปล่อยเขาอยู่กับมือถือนานๆ ควรมีลิมิตให้ลูก #อย่ามองข้าม #อย่าละเลย!!
        เคสนี้ ลูกชายผ่า เพราะเกิดจากกล้ามเนื้อตาอ่อนเเรง ดูโทรศัพท์เเต่เล็กๆ สะสมมาเรื่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ จนกล้ามเนื้อตาอ่อนเเรง มีผลหากไม่รีบทำการรักษา ผ่าเเล้วหายไหม ดีขึ้นค่ะ เเต่ใช่จะหายสนิท หายเเล้วก็ยังต้องใส่เเว่นประคับประคองตาไว้อยู่ สงสารจับใจหัวอกคนเป็นเเม่ เเผลจะเป็นลักษณะเเผลในตาเล็กน้อย ไม่มีเเผลข้างนอกเลย”

        ทั้งนี้คุณแม่ยังได้เล่าอาการของลูกชายว่าก่อนหน้านี้ เกิดจากสายตาสั้นและเอียง จากนั้นเริ่มมีอาการตาเข เพราะจ้องหน้าจอโทรศัพท์มากจนเกินไป จึงต้องใส่แว่นตาประคองไว้ตลอด ซึ่งตอนแรกคุณแม่คิดว่าลูกชายเป็นเพียงสายตาสั้น แต่หมอพบว่าน้องมีอาการ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ตั้งแต่ช่วงที่น้องอายุ 4 ขวบ และหมอบอกว่า สามารถผ่าตัดได้เมื่ออายุ 5 ขวบขึ้นไป

        คุณแม่จึงตัดสินใจให้ลูกชายผ่าตัดเพื่อทำการรักษาในวัย 7 ขวบ เพราะลูกชายโตขึ้นและสามารถให้ความร่วมมือกับแพทย์ได้ดี อีกทั้งหมอแนะนำว่าถ้าผ่าตัดตั้งแต่ตอนนี้ มีโอกาสหายมากกว่า โดยหลังจากนี้น้องยังคงต้องใส่เเว่นตาเพื่อประคับประคองดวงตาเอาไว้ … จึงอยากเตือนเพื่อเป็นอุทาหรณ์ และแนะนำว่าควรแบ่งเวลาให้ลูกในการใช้โทรศัพท์ ไม่ให้ใช้โทรศัพท์มากจนเกินไป และทำกิจกรรมอย่างอื่นแทนการใช้โทรศัพท์

        ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สมฤดี ชาวบ้านเกาะ
        ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : www.pptvhd36.com
        เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด
        ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ เล่นโทรศัพท์มาก เสี่ยงตาบอด ได้จริงหรือ?

        เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด ได้จริงหรือ?

        จากสถิติพบเด็กมีปัญหาด้านการสื่อสารและร่างกายจากการดูโทรศัพท์มือถือนานๆ มากขึ้นทุกปี เตือนว่า เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรดูโทรศัพท์มือถือ ถ้าโตกว่านี้ พ่อแม่ก็ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ใช้โทรศัพท์มือถือให้เกิดประโยชน์กับลูก ไม่ใช่หยิบยื่น ผลเสียให้กับลูก

        โดย ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ อันดับแรกที่เห็นได้ชัดและมีข่าวออกมาบ่อยคือ โรคทางตา ซึ่งแพทย์หญิงสายจินต์ อิสีประดิฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า… ผู้ป่วยที่เข้ามารักษาโรคตาจากความผิดปกติของสายตาและการเพ่งมอง สาเหตุมาจากการใช้สายตาเพ่งมองหน้าจอมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดกลุ่มอาการตาไม่สู้แสง โดยจะมีอาการแสบตา ตาแห้ง ปวดตา อาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นชั่วคราวเมื่อพักตาอาจช่วยบรรเทาอาการ

        และแม้จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อตาอย่างเฉียบพลัน แต่ทำให้เกิดความไม่สบายตา ระคายเคือง และเป็นปัญหารบกวนการใช้สายตาอยู่เสมอ หากปล่อยทิ้งไว้อาจเกิดผลตามมา เช่น กระจกตาอักเสบ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง หรือ กล้ามเนื้อตาล้า ทั้งนี้หากมีปัญหาสายตาควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติและรับการรักษาอย่างทันท่วงที

        อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่สามารถถนอมดวงตาได้ด้วยวิธีการกระพริบตาให้บ่อยเมื่ออยู่หน้าจอเพื่อป้องกันตาแห้ง หากมีอาการตาแห้งควรใช้น้ำตาเทียม เพื่อลดการระคายเคืองตาควรพักสายตาเป็นระยะทุก 20-30 นาที และพักจากจอประมาณ 30-60 วินาที โดยมองออกไปไกลๆ หรือหลับตาหากจำเป็นต้องอยู่หน้าจอนานเกิน 30 นาที .. รวมไปถึงกินอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา ได้แก่ ผักผลไม้ที่มีสีเหลืองส้มอาทิ แครอท ฟักทอง หรือผักใบเขียว เช่น คะน้า ปวยเล้ง ฯลฯ และดื่มน้ำให้เพียงพอเนื่องจากการดื่มน้ำบ่อยๆ จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ดวงตา

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

        เล่นโทรศัพท์มาก ตาบอด
        ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก Facebook เพจ กรมการแพทย์

         

        อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

        แม่เตือน! ลูกเล่นมือถือนาน เกินไป สุดท้ายตาอักเสบ

        4 ผลกระทบของการให้เด็ก เรียนออนไลน์ (ใช้สื่อ online)

        วิจัยชี้! เด็กเล่นมือถือ-แท็บเล็ต เสี่ยงเครียด-วิตกกังวล-ซึมเศร้า

        อุทาหรณ์ ลูกถูกไฟช็อต จากสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ

        9 แอพ เกมลับสมอง เล่นสนุก เพิ่มรอยหยัก ฝึกความจำ ให้ลูกมีไหวพริบฉลาดยิ่งขึ้น

          12 พฤติกรรม ทำลายสมองลูก

          12 พฤติกรรม ทำลายสมองลูก ที่พ่อเเม่ยุคใหม่ควรรู้

          การดูแลพัฒนาการสมองของลูกน้อย เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อกับคุณแม่ให้ความสำคัญ เพราะพัฒนาการสมองของลูกควรได้พัฒนาอย่างเหมาะสมในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะวัยก่อน 3 ขวบปีที่สมองจะเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ แต่ปัจจุบัน ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันกลับทำให้วิธีเลี้ยงดูลูกน้อยเปลี่ยนแปลงไป พ่อแม่เล่นกับลูกน้อยลง ลูกดูเข้าถึงหน้าจอเร็วและนานขึ้น อาหารสำเร็จรูปที่สั่งปุ๊บได้กินปุั๊บ กลายเป็นดาบสองคมที่กลับไป ทำลายสมองลูก เรามาลองเช็คกันดีกว่าค่ะ ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นศัตรูตัวฉกาจต่อพัฒนาการสมองของลูกน้อย ก่อนจะปล่อยให้สายเกินไป

          เช็ค 12 พฤติกรรมควรเลี่ยงเสี่ยง ทำลายสมองลูก

          สมองคืออวัยวะสำคัญที่ควบคุมกลไกการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ รวมถึงใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน บันทึกความทรงจำ อารมณ์ ความรู้สึก รวมทั้งสติปัญญาที่เราใช้ในการแสดงศักยภาพ  นอกจากการส่งเสริมทักษะรอบด้านที่ช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงสิ่งอันตรายที่สามารถสมองลูกได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งมีดังต่อไปนี้

          1. ปล่อยให้ลูกเล่นโทรศัพท์มือถือ/แท็บเล็ต นานเกินไป

          พ่อแม่บ้านไหนที่กำลังวนเวียนอยู่กับ “ฝากลูกไว้กับหน้าจอ”  อาจต้องปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลลูก หลาย ๆ บ้านเพียงแค่ยื่นมือถือหรือแท็บเล็ตให้เด็ก ๆ ทุกอย่างก็จะสงบ ลูกน้อยนิ่งเงียบ ไม่ซุกซนรบกวน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการทำร้ายลูกน้อยโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ด้วยเพราะ ภาพในหน้าจอ รวมถึงแสง สี มีการเปลี่ยนค่อนข้างไว ทำให้เด็กคุ้นเคยกับความรวดเร็ว ส่งผลให้เด็กมีอาการสมาธิสั้น

          เเต่ในยุคสมัยนี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะเลี่ยงไม่ให้ลูก เเตะโทรศัพท์มือถือ แต่ควรมีการควบคุมระยะเวลาให้เหมาะสมตามวัยของเด็ก ๆ

          (อ่านต่อบทความน่าสนใจ มือถือ คอมพิวเตอร์ อันตรายเสี่ยงลูกป่วยทางสายตา” / แก้ปัญหาลูกติดมือถือใน 7 วัน”)

          โทรศัพท์/เเท็บเล็ต ทำลาสมองลูก

           

          2. คลื่นมือถือเป็นอันตรายต่อลูก แม้ลูกไม่ได้เล่น 

          พฤติกรรม “วางมือถือไว้ใกล้หัวขณะหลับ” เพราะโทรศัพท์สามารถปล่อยคลื่นรังสีออกมา เมื่อสมองรับคลื่นมือถือเข้าไปเป็นเวลาต่อเนื่อง จึงมีความเสี่ยงต่อการถูกทำลายเซลล์สมอง โดยเฉพาะเนื้อเยื่อสมองของเด็กเล็ก ซึ่งดูดซึมรังสีมากกว่าผู้ใหญ่ถึงเกือบ 5 เท่า

          คลื่นมือถือ ทำลายสมองลูก

          3. ปล่อยลูกไว้กับโทรทัศน์

          การปล่อยให้เด็กเล็กนั่งดูทีวีติดต่อกันนาน 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมองโดยตรง โดยเฉพาะพัฒนการด้านภาษา เพราะเด็กขาดการกระตุ้น ขาดปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง อีกทั้งยังใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งอยู่หน้าจอ ปล่อยให้ภาพหลั่งไหลผ่านสายตาไปเรื่อย ๆ ขาดการวิเคราะห์ตาม ซึ่งแตกต่างกับการอ่านหนังสือ ที่เด็กจะได้ใช้ความคิดและสร้างจินตนาการไปพร้อมกับการอ่าน จึงทำให้กระบวนการรับรู้ทางภาษาไม่พัฒนาไปตามวัย

          ปัจจุบัน สมาคมกุมารแพทย์ของอเมริกา ได้ออกมาให้คำแนะนำว่า ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบดูโทรทัศน์ และไม่ควรให้เด็ก อายุมากกว่า 2 ขวบ ดูโทรทัศน์เกิน 2 ชม.

          ทีวีทำร้ายสมองลูก

          4.สร้างความเครียด เรื่องราวสะเทือนใจยิ่ง ทำลายลูก

          นักวิทยาศาสตร์พบว่า การที่เด็กประสบภาวะถูกกดดัน เครียด เศร้าสะเทือนใจ จะส่งผลต่อระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลโดยตรง ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์ ทำให้การควบคุมการตอบสนองทางอารมณ์นั้นแย่ลงกว่าปกติ 20 – 30 %  ส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม

          เมื่อฮอร์โมนคอร์ติซอลได้รับผลกระทบ และลูกขาดความรัก ความอบอุ่นจากการเลี้ยงดู จึงส่งผลต่อสมองส่วนบนสุดคือคอร์เท็กซ์ และ ลิมบิก ซึ่งสมองส่วนทั้งสองดูแลกรทำงานด้านความคิด และ การแสดงออกทางอารมณ์ เด็กจึงอาจไม่มีพัฒนาการทางสมองที่เหมาะสม ส่งผลทางตรงต่อระบบการเรียนรู้

           

          ความเครียด ทำลายสมองลูก

          5. ให้ลูกทานอาหารขยะ 

          การรับประทานอาหารขยะ ในที่หมายถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อย มีแคลอรี่สูง โดยมักประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต ไขมัน หรือโซเดียมในปริมาณมาก เช่น ขนมขบเคี้ยว น้ำอัดลม พิซซ่าเป็นต้น   หลาย ๆ คน คงทราบว่าอาหารขยะมีส่วนช่วยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนในวัยเด็ก โรคหัวใจ และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ในอีกด้านหนึ่งเมื่อรับประทานอาหารขยะปริมาณมาก หรือกินบ่อย อาจส่งผลให้ระบบความจำทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากขาดสารอาหารที่มีประโยชน์ไปบำรุงสมอง ทำให้มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ และเกี่ยวข้องกับภาวะต่าง เช่น ภาวะซึมเศร้า การสูญเสียความจำ การวิตกกังวล  และ ภาวะสมองเสื่อม

          ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรเลี่ยงการให้ลูกน้อยทานอาหารขยะ อาจให้ทานได้ในรูปแบบนาน ๆ ทีครั้งหนึ่ง แต่ไม่ควรให้ทานมากจนเกินไป เพราะ อาจนำมาซึ่งผลกระทบตามที่กล่าวมาข้างต้น

          อาหารขยะ ทำลายสมองลูก

           

          6. ปล่อยลูกทานของหวาน

          สมอง ไม่ใช่ความรักที่จะต้องหมั่นเติมความหวานอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเด็กที่ชอบหม่ำของหวานติดเป็นนิสัยแล้ว ซึ่งส่งผลให้น้ำตาลไปขัดขวางการดูดซึมของโปรตีนและสารอาหาร เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สมองทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร

          ขนมหวาน ทำลายสมองลูกได้

          7. ปล่อยลูกเผชิญปัญหามลพิษ pm2.5

          มลพิษทางอากาศที่เราหายใจเอาเข้าร่างกายในทุกวัน เป็นอีกหนึ่งตัวอันตรายสำคัญทำลายสมองได้ โดยเฉพาะฝุ่นละเองขนาดเล็ก pm 2.5ที่กระทบสุขภาพของเด็กโดยตรง ด้วยขนาดฝุ่นพิษที่เล็กจิ๋ว จึงสามารถซึมผ่านเข้าไปยังกระแสเลือดและเดินทางไปถึงส่วนสำคัญอย่าง ปอด หัวใจ และสมองโดยตรง  หากสะสมเข้าไปในร่างกายมาก ๆ จะส่งผลกระทบต่อทักษะด้านการคิด การทำความเข้าใจ และการจดจำ

          12 ศัตรูตัวร้าย ทำลายสมอง

          8.  ปล่อยลูกนอนดึกบ่อย ๆ

          เด็กแต่ละวัยก็มีชั่วโมงการนอน หลับพักผ่อนแตกต่างกัน ตามนาฬิกาในสมอง (Biological clock) เด็กเล็กควรนอนตั้งแต่ 2 ทุ่มหรือ 2 ทุ่มครึ่งช้าที่สุด นอนหลับลึกช่วงกลางคืน 10-12 ชั่วโมง ถ้าหากนอนดึก ตื่นเช้าบ่อย ๆ แล้วล่ะก็  อาจทำให้เด็ก ๆ สูงไม่ตรงตามเกณฑ์ของวัย เเละ อาจจะทำให้เซลล์สมองไม่ได้รับการทดแทนจากการฟักตัวของเซลล์ใหม่ เซลล์สมองที่ตายแล้วจะสะสมจนมีปริมาณมาก ทำให้สมองไม่พัฒนาเท่าที่ควร

          12 ศัตรูตัวร้าย ทำลายสมองลูก

          9. ลูกได้รับสารอาหารจากมื้อเช้า ไม่เพียงพอ

          อาหารเช้าเป็นแหล่งพลังงานมื้อสำคัญของร่างกาย เพื่อเตรียมพร้อมกับกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตตั้งแต่อนุบาล ประถม จำเป็นต้องรับประทานอาหารเช้า เพราะมีส่วนช่วยในการทำงานกลไกของสมองซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก การงดอาหารเช้า หรือ กินอาหารเช้าที่สารอาหารไม่ครบถ้วน จึงอาจนำไปสู่ปัญหาในเรื่องของความจำ การเรียนรู้

          เด็กควรได้รับสารอาหารให้ครบ ทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ในแต่ละวันได้ใช้พลังงานอย่างเต็มที่ ระยะเวลาทานอาหารเช้าที่เหมาะสม คือช่วง 7.00 – 9 โมงเช้า เพราะเป็นช่วงที่ระบบย่อยอาหารจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          12 ศัตรูตัวร้าย ทำลายสมอง

          10. ของเล่นไม่ได้มาตรฐาน

          ของเล่นสีสวย น่าเล่นอาจมีสารพิษและสารเคมีประเภทตะกั่วหรือสารปรอทปนเปื้อนอยู่ เด็กเล็กๆมันหยิบของเล่นเข้าปากเป็นประจำ จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง หากไสั่งสมเป็นเวลานาน และปริมาณมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อสมองได้ คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกซื้อของเล่นที่ได้รับเครื่องหมาย มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรม) จึงจะมั่นใจได้ว่าปลอดภัยแน่นอน

          ของเล่นก็ทำลายสมองลูกได้

          11. ปล่อยลูกอยู่ใกล้ควันบุหรี่

          สำหรับบ้านที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ สภาพแวดล้อมในบ้านไม่ปลอดโปร่ง อาจทำให้สมองของเด็กได้รับสารพิษ และเป็นการสกัดกั้นและบั่นทอนศักยภาพสมองให้ลดลงได้ เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่ต้องการออกซิเจน และอากาศที่สดชื่น

          ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกประเมินว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรเด็กทั้งโลก ได้หายใจเอาอากาศที่ปนเปื้อนควันบุหรี่เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กอยู่ในบ้าน จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กมากๆ เพราะยิ่งเด็กหายใจเข้าไปมากเท่าไร สมองก็ยิ่งจะเสื่อมลงไปทุกที ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย ควรคิดให้ดีก่อนจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบในบ้าน

          ทำลายสมองลูก

          12. ตามใจนิสัยการกินของลูก จนเด็กน้อยอ้วนตุ๊ต๊ะ 

          จากสถิติพบว่าเด็กไทย 1 ใน 5 เสี่ยงต่อภาวะการเป็นโรคอ้วน ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่ากังวล เนื่องจากการปล่อยให้ลูก ๆ มีภาวะการเป็นโรคอ้วนนับเป็นความเสี่ยงทางสุขภาพ

          หากคุณลูกเลือกหม่ำทุกอย่างที่ขวางหน้า จนน้ำหนักตัวเริ่มฉุดไม่อยู่แล้ว กลายเป็นคนอ้วนตุ๊ต๊ะขึ้นมา ก็อาจส่งผลให้เส้นเลือดในสมองหนาขึ้น เพราะการเกาะตัวของไขมันจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้จะส่งผลทำให้สมองทำงานได้ช้าลงเช่นเดียวกัน

          มั่นใจ 12 พฤติกรรมเลี่ยงเเล้วไม่ ทำลายสมองลูก

          การลดความเสี่ยงของปัจจัยต่าง ๆ ที่ ทำลายสมองลูก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการสำคัญที่จะช่วยให้ลูกน้อยเติบโตมาด้วยสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง สามารถใช้ศักยภาพสมองได้อย่างเต็มที่ พร้อมรับมือกับการใช้ชีวิตในอนาคต

          ความอ้วนทำลายสมองลูกได้


          ขอบคุณที่มาของข้อมูล :  หนังสือ “คู่มือ พัฒนา สมองลูกด้วยสองมือพ่อเเม่” เรียบเรียงจากนิตยสารบทความนิตยสารรักลูก

          โพสต์ทูเดย์  MThai BangkokHealth  คณะการเเพทย์แผนไทยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 

          อ่านบทความเพิ่มเติม

          อาหาร ขยะ ภัยร้ายทำลายสมองลูกไอคิวต่ำ !!

          9 สิ่งอันตราย รอบตัวแม่ท้อง “ทำลายสมองและพัฒนาการลูกในครรภ์”

          เตือนแม่ท้อง สูดฝุ่น PM2.5 เสี่ยงทำลายสมองลูก

          ปล่อยให้ลูกร้องไห้นานๆ ทำลายสมองจริงหรือ?

            คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป

            คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป แบบไหน ? ที่ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีตั้งแต่แรกเกิด

            ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ หลายๆ ครอบครัวที่กำลังเตรียมซื้ออุปกรณ์ ของใช้เพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่   และหนึ่งในนั้นแน่นอนว่าต้องมี ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป แต่สิ่งสำคัญคือก่อนที่จะเลือกซื้อผ้าอ้อมเด็กให้กับ ลูกน้อย แนะนำว่าต้องพิจารณาจาก “คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป” ที่เหมาะสมและตอบโจทย์กับลูกวัย ทารกเป็นสำคัญ เพราะทารกเป็นช่วงวัยแรกที่ต้องสัมผัสกับผ้าอ้อมค่ะ

             

            คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป

            ” คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป ”
            เช็กลิสต์ 7 เรื่องต้องรู้ ก่อนเลือกผ้าอ้อมให้ลูกน้อย

            1. ยี่ห้อ

            หากจะพูดถึงผ้าอ้อมเด็กที่มีในปัจจุบันนี้ คุณพ่อคุณแม่จะเห็นว่ามีให้เลือกใช้หลากหลายแบรนด์ และก็ อาจทำให้ไม่สามารถ ตัดสินใจได้ว่าควรเลือกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปยี่ห้อไหนดี แนะนำง่ายๆ ค่ะว่าให้เลือกจากยี่ห้อที่มีความน่าเชื่อถือ หาซื้อง่าย และหากมีรีวิวการใช้งานจริงจากผู้บริโภค จะช่วยให้มั่นใจและ ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งในช่วงนี้ มีผ้าอ้อมหลายยี่ห้อเข้ามาขายในเมืองไทย ล้วนเป็นผ้าอ้อมที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ เหมือนโทรศัพท์มือถือ ที่ทั้งบาง และซึมซับดี ที่สำคัญคือเมื่อลูกน้อยใช้แล้วต้องไม่ระเคืองต่อผิวสัมผัสค่ะ

            2. คุณสมบัติของผ้าอ้อม

            ในเด็กแรกเกิดช่วง 1 เดือนแรก ทารกจะปัสสาวะบ่อยมากถึงวันละ 10-15 ครั้ง ฉะนั้น คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป ที่ควรมี คือ มีเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ไม่ระคายเคืองผิวของลูกน้อย หรือทำให้เกิดผื่นแพ้ ซึมซับได้มาก ไม่ไหลย้อนกลับ ระบายอากาศได้เร็ว เพื่อที่จะให้ก้นของลูกน้อยแห้งและเย็นสบายตัวตลอดเวลา ไม่ทำให้ลูกน้อยรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว ไม่สบายผิวก้นขณะส่วมใส่ผ้าอ้อม เป็นต้น

            3. น้ำหนักลูกน้อย

            ผ้าอ้อมเด็กมีหลายแบบ ทั้งแบบเทปและแบบกางเกง แต่ละแบบจะเหมาะกับแต่ละช่วงอายุของลูกน้อย เช่นเด็กทารกแรกเกิด เด็กจะอยู่ในท่านอนตลอด ควรใช้ผ้าอ้อมแบบเทป เพราะผ้าอ้อมแบบเทปใช้สวมใส่ให้เด็กทารกได้ง่ายกว่าแบบกางเกง เมื่อลูกน้อยโตขึ้นเดินได้เองก็ควรเลือกใส่ผ้าอ้อมแบบกางเกง ผ้าอ้อมมีไซส์ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงเด็กโต เพื่อให้ไซส์มีความพอดีกับตัวลูกน้อย เพราะเด็กแต่ละช่วงวัยจะมีขนาดรูปร่างและน้ำหนักที่ไม่เท่ากัน ฉะนั้นเพื่อตอบโจทย์การใช้งานกับลูกน้อย การเลือกผ้าอ้อมเด็กจึงควรเลือกไซส์ตามน้ำหนักตัวของลูกน้อยเป็นหลัก ดังนี้

            • ไซส์ NB หรือ Newborn สำหรับเด็กแรกเกิด ถึงน้ำหนัก 5 กิโลกรัม
            • ไซส์ S สำหรับเด็กน้ำหนัก 4 ถึง 8 กิโลกรัม
            • ไซส์ M สำหรับเด็กน้ำหนัก 6 ถึง 11 กิโลกรัม
            • ไซส์ L สำหรับเด็กน้ำหนัก 9 ถึง 14 กิโลกรัม
            • ไซส์ XL สำหรับเด็กน้ำหนัก 12 ถึง 17 กิโลกรัม
            • ไซส์ XXL สำหรับเด็กน้ำหนัก มากกว่า 15 กิโลกรัม

            4. การขับถ่ายของลูกน้อย

            คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป ข้อนี้สำคัญมากค่ะ อย่างที่บอกไปว่าในเด็กทารกแรกเกิดจะมีการขับถ่ายถี่และบ่อยมาก ทั้งปัสสาวะ และอุจจาระ โดยเริ่มจาก

            • ลูกน้อยอายุ 1 เดือนแรก จะปัสสาวะ 10-15 ครั้งต่อ/วัน อุจจาระ 9-10 ครั้ง/วัน
            • ลูกน้อยอายุ 1-3 เดือน จะปัสสาวะ 10-12 ครั้ง/วัน อุจจาระ 8-10 ครั้ง/วัน
            • ลูกน้อยอายุ 4-12 เดือน จะปัสสาวะ 8-10 ครั้ง/วัน อุจจาระ 2-5 ครั้ง/วัน
            • ลูกน้อยอายุ 13-24 เดือน จะปัสสาวะ 6-8 ครั้ง/วัน อุจจาระ 1-3 ครั้ง/วัน
            • ลูกน้อยอายุ 25-36 เดือน จะปัสสาวะ 5-6 ครั้ง/วัน อุจจาระ 1-2 ครั้ง/วัน

            ส่วนมากเมื่อลูกอายุย่างเข้า 3 ขวบ คุณแม่จะค่อยๆ ฝึกให้ลูกน้อยขับถ่ายด้วยการนั่งกระโถน และการนั่งชักโครกสำหรับเด็ก ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนที่ลูกๆ จะเริ่มเข้าโรงเรียนนั่นเองค่ะ

            การใช้ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป หากลูกน้อยมีการอุจจาระ จำเป็นต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมชิ้นใหม่นะคะ เพื่อความสะอาด และเพื่อสุขอนามัยที่ดีของลูก แต่การซึมซับปัสสาวะ ควรเปลี่ยนชิ้นใหม่เมื่อผ้าอ้อมเต็ม ซึ่งปัจจุบันผ้าอ้อมยี่ห้อใหม่ๆ จะมีแถบอินดิเคเตอร์ที่วัดระดับการซึมซับ  โดยแถบอินดิเคเตอร์จะเปลี่ยนสีเพื่อช่วยเตือนให้คุณแม่เปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกน้อยได้ทันเวลาค่ะ

            5. ราคา

            จากประสบการณ์นะคะ ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปเป็นของใช้จำเป็นของทุกครอบครัวที่มีลูกวัยทารก เด็กเล็ก จำเป็นต้องใช้ ทั้งนี้ในเรื่องของราคาก็ขึ้นอยู่กับกำลังการจ่ายของแต่ละครอบครัว ว่าเรทราคาประมาณไหนที่จ่ายได้ แต่อย่าลืมนึกถึงการใช้งานของผ้าอ้อมประกอบด้วยค่ะ เพราะการใส่ผ้าอ้อมที่มีการซึมซับได้มากในเวลานอน จะช่วยให้ลูกน้อยหลับสนิทได้ยาวนาน ซึ่งการหลับที่ยาวนานจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อยได้ดีกว่า อีกทั้งคุณแม่ก็ได้พักผ่อนอย่างเพียงพออีกด้วยค่ะ

            6. ผิวที่บอบบางไวต่อการสัมผัส

            สิ่งสำคัญของการเลือกผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป คุณแม่ต้องคำนึงถึงผิวลูกน้อยเป็นสำคัญ เพราะผิวลูกวัยทารกเป็นผิวที่บอบบาง อ่อนโยน จึงทำให้ง่ายต่อการเกิดการระคายเคือง คัน เกิดผดผื่น ผื่นแพ้ผ้าอ้อมขึ้นได้ง่ายมาก ฉะนั้นผ้าอ้อมสำเร็จรูปต้องมีผิวสัมผัสที่อ่อนโยน นุ่ม ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ต่อผิวลูกน้อย นอกเหนือจากนั้น ยังต้องดูการออกแบบของผ้าอ้อมด้วยนะคะ คุณแม่ควรเลือกผ้าอ้อมที่ออกแบบผิวสัมผัสด้านในของผ้าอ้อมที่มีรูปทรงเป็นคลื่นหรือเป็นทรงนูน เพราะผิวสัมผัสแบบที่มีคลื่นหรือทรงนูน จะช่วยลดการสัมผัสของผ้าอ้อมกับผิวของลูกน้อยได้ดีค่ะ

            7. สะดวกใช้ หาซื้อง่าย

            จากประสบการณ์การเลือกใช้ผ้าอ้อมเด็ก ที่นอกจากจะดูในคุณสมบัติเบื้องต้นทั้ง 6 ข้อแล้ว ยังต้องดูในเรื่องของการหยิบใช้ สวมใส่ให้ลูกง่าย ไม่ใช้เวลานาน และที่สำคัญคือสามารถหาซื้อได้สะดวกทั้งใน ซุปเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และช่องทางออนไลน์ เพราะปัจจุบันนี้แม่ที่มีลูกมักนิยมเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้ลูกน้อยผ่านช่องทางออนไลน์ สะดวก และประหยัดเวลา อีกทั้งยังสามารถเลือกซื้อผ้าอ้อมที่มีรายการโปรโมชั่น หรือให้บริการจัดส่งฟรีค่ะ

            คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป

            ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ควรช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดี

            ลูกแต่ละช่วงวัยมีพัฒนาการการเจริญเติบโต และพัฒนาการการเรียนรู้ไม่เหมือนกัน อย่างในลูกวัยทารก วงจรชีวิตในช่วงเริ่มแรกจะหมดไปกับการนอนเกือบจะ 24 ชั่วโมง ฉะนั้นผ้าอ้อมเด็ก ที่เลือกให้ลูกใช้ จะต้องไม่รบกวนการนอนของลูก ผ้าอ้อมควรจะเป็นแบบเทปที่ให้ความแห้งสบาย ขอบเอว ขอบขาของผ้าอ้อมต้องนุ่มเป็นพิเศษ รูปทรงของผ้าอ้อมควรจะเข้ากับสรีระของลูกวัยทารก

            และเมื่อลูกน้อยเข้าสู่ช่วงวัย 6-8 เดือนขึ้นไป พัฒนาการร่างกาย พัฒนาการการเรียนรู้ จะมีเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคืบ คลาน ตั้งไข่ เริ่มเกาะ หัด เดิน และวิ่งได้ในที่สุด ลูกน้อยจะนอนกลางวันน้อยลง และใช้เวลาไปกับการเล่นสนุก สนใจสิ่งแปลกใหม่ที่อยู่รอบตัวตลอดเวลา ฉะนั้นผ้าอ้อมจะต้องตอบโจทย์การใช้งานของเด็กวัยกำลังโต คือ ผ้าอ้อมต้องกระชับกับสรีระรูปร่าง น้ำหนักที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของลูก เพื่อให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ เล่นสนุกกับทุกกิจกรรมได้อย่างไม่มีสะดุด สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือการให้ลูกน้อยได้นอนหลับสนิทในตอนกลางคืนที่ยาวนาน จะช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่รวดเร็วขึ้นค่ะ

            Sunny Baby ผ้าอ้อมสำเร็จรูป ผ้าอ้อมเด็กที่ตอบโจทย์ความต้องการของพ่อแม่ และช่วยเสริมสร้าง พัฒนาการลูกน้อย

            ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ หรือครอบครัวที่มีลูกเล็ก และกำลังมองหาผ้าอ้อมสำเร็จรูปให้กับลูกน้อย อยากแนะนำให้รู้จักกับ Sunny Baby ผ้าอ้อมสำเร็จรูปคุณภาพดีอันดับ 1 ของประเทศไทย ที่มีความปลอดภัยต่อผิวลูก และช่วยเสริมสร้างให้ลูกน้อยมีพัฒนาการช่วงวัยที่ดีค่ะ

            คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการผ้าอ้อมเด็ก ที่ให้ในเรื่องของการซึมซับได้ปริมาณมาก ระบายอากาศได้ดี แห้งสบาย ผิวสัมผัสนุ่ม มี อยู่ใน Sunny Baby ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูประดับซุปเปอร์พรีเมี่ยมยี่ห้อนี้เลยค่ะ และที่สำคัญยังมีให้เลือกใช้กันตั้งแต่ไซส์ Newborn หรือ NB ไปจนถึง ไซส์ XXL

            คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป

             

            คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป ที่ได้จาก Sunny Baby   

            1. สวมง่าย ใส่สบาย การผลิตผ้าอ้อมใช้เทคโนโลยีการขึ้นรูปแบบอัลตร้าโซนิค รูปทรงแบบ 3 มิติ จึงทำให้กระชับ เข้ากับสรีระของลูกในทุกช่วงวัย ขอบเอวและเนื้อผ้าอ่อนนุ่มเป็นพิเศษ ใส่สบายและถอดออกได้ง่าย
            2. อ่อนนุ่ม ไม่ระคายเคือง เพราะเป็นผ้าฝ้ายสัมผัส 3 มิติ ซึ่งจะช่วยลดการสัมผัสของแผ่นดูดซับกับผิวของลูกน้อย ทำ ให้ดูดซับได้อย่างรวดเร็ว และให้ความรู้สึกนุ่มสบาย
            3. แผ่นดูดซับ ไม่ยุ่ย ไม่ห่อตัว ปัญหาหนึ่งของผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูปคือ พอใส่ไปแล้วระหว่างชั่วโมง ระหว่างวัน ผ้าอ้อมมักจะไม่ได้รูปเดิม ทำให้ลูกไม่สบายตัว และร้องงอแง Sunny Baby เป็นผ้าอ้อมเด็กที่ออกแบบให้โครงสร้าง แผ่นดูดซับ มีลักษณะเป็นใยตาข่ายที่มีความเหนียว ไม่ยุ่ย ไม่ห่อตัว จึงทำให้ลูกน้อยเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
            4. เย็นสบาย ไม่อับชื้น Sunny Baby เป็นผ้าอ้อมเด็กที่มีนวัตกรรมระบายอากาศรูปแบบใหม่ ตรงแผ่นแบคชีทมีรู มากกว่า 10 ล้านจุด ทำให้ระบายอากาศได้อย่างรวดเร็ว ลูกน้อยจะรู้สึกแห้งสบายตัวตลอดเวลาขณะสวมใส่ผ้าอ้อม
            5. บอกระดับการซึมซับด้วยอินดิเคเตอร์ คุณแม่จะรู้ได้ทันทีว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมผืนใหม่ให้ลูกน้อยแล้ว เพราะบนผ้าอ้อมจะมีแถบอินดิเคเตอร์ปรากกฎอย่างชัดเจนเมื่อผ้าอ้อมลูกน้อยเต็มไปด้วยปริมาณปัสสาวะ อุจจาระ

            ผ้าอ้อมยี่ห้อแรกของลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด หากเป็น Sunny Baby ผ้าอ้อมสำเร็จรูปคุณภาพระดับซุปเปอร์พรีเมี่ยม พูดได้เลยค่ะว่า ตอบโจทย์ของคุณพ่อคุณแม่ได้ทุกข้อ ค่ะ

            Sunny Baby “สัมผัสนุ่ม แห้งสบาย ที่ลูกน้อยต้องการ”

            คุณสมบัติผ้าอ้อมสำเร็จรูป แบบไหน ? ที่ช่วยให้ลูกมีพัฒนาการดีตั้งแต่แรกเกิด

            แสดงแบบ : คุณแม่ออย น้องเอด้า อายุ 9 เดือน 

              หายใจดั้น

              ลูก หายใจดั้น คืออะไร พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร

              คุณพ่อคุณแม่เคยประสบปัญหาลูกร้องไห้หนักมาก แล้วกลั้นหายใจจนตัวเขียวไหมคะ? ” หายใจดั้น ” เป็นหนึ่งในอาการที่แสดงถึงพฤติกรรมของ “เด็กดื้อ”  “ไม่พอใจ”  “ไม่ถูกใจ”  แต่อาการเช่นนี้เกิดกับใครบ้าง อันตรายหรือไม่ และจะแก้ไขอย่างไรไม่ให้ลูกทำอะไรน่ากลัวแบบนี้ มาหาคำตอบไปพร้อมกันเลยค่ะ

               

              หายใจดั้นคืออะไร ทำไมลูกทำแบบนี้ พฤติกรรมต่อต้านที่พ่อแม่ต้องเข้าใจ

              ลูกหายใจดั้น

              อาการหายใจดั้นไม่ใช่โรค

              คุณหมอสุริยเดว ทรีปาตี หรือคุณหมอเดว จิตแพทย์เด็กวัยรุ่นและครอบครัว อธิบายถึงอาการดังกล่าวว่า เป็นพฤติกรรมการโต้ตอบทางอารมณ์อย่างรุนแรงในเด็กบางกลุ่ม นั่นคืออาการหายใจดั้น เพราะพอลูกเริ่มแยกแยะตัวเองได้ พัฒนาการทางอารมณ์จึงเริ่มปรากฏชัดเจน การหายใจดั้นจะพบบ่อยในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 1 ปีเท่านั้น !! เมื่อลูกโตขึ้นพฤติกรรมต่อต้านไม่ได้หายไป แต่จะเปลี่ยนไปใช้ “ลูกเล่น” อื่นแทน อาการของภาวะหายใจดั้นสังเกตได้ง่ายๆ ดังนี้

              1. ลูกร้องไห้หนัก เสียงดัง และยาวนานเมื่อถูกขัดใจจนโกรธและโมโหอย่างรุนแรง

              2. ลูกหน้าเขียว ตัวเขียวเหมือนขาดอากาศหายใจ เพราะระหว่างร้องไห้ก็กลั้นหายใจด้วย

              อย่างไรก็ตาม ภาวะหายใจดั้นอาจเกิดกับเด็กที่ป่วยด้วยโรคอื่นๆ เด็กกลุ่มนี้แม้จะไม่มีเรื่องขัดใจอยู่ก็พบภาวะตัวเขียวได้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว และสมองพิการ หากคุณแม่ไม่แน่ใจควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องต่อไป แต่สำหรับเด็กสุขภาพแข็งแรง เจริญเติบโตดีเมื่อเกิดภาวะ หายใจดั้น นั่นหมายถึงการแสดงออกทางอารมณ์ล้วนๆ

              ลูกหายใจดั้นอันตรายถึงชีวิตหรือไม่

              เวลาลูกหายใจดั้นหลังจากร้องไห้ดัง พยายามแผดเสียงออกมาให้ดังที่สุด พร้อมกับกลั้นหายใจทำให้พ่อแม่ตกใจกลัวจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ความจริงแล้วการหายใจดั้นไม่ได้ส่งผลใดๆกับร่างกายทั้งสิ้น เพราะเมื่อกลั้นหายใจ จนปริมาณออกซิเจนลดต่ำลงในขณะที่คาร์บอนไดออกไซด์สูงขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนไปที่สมองว่า “กลับมาหายใจได้แล้ว” การสั่งงานของสมองระดับนี้เป็นส่วนสัญชาตญาณที่ควบคุมการหิว อิ่ม และหายใจซึ่งไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อร่างกายเข้าสู่ภาวะอันตราย สมองจะสั่งงานทันที ต่างจากสมองส่วนอารมณ์หรือลิมบิก กับสมองส่วนคิดขั้นสอง ( EF) ดังนั้นการกลั้นหายใจไม่ทำให้ขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิตได้

               

              อ่านเพิ่มเติม >> พัฒนาการทารก 2 เดือน ตื่นบ่อย ร้องไห้เก่ง ใช่โคลิคหรือเปล่า ?

               

              ทำความเข้าใจอาการ หายใจดั้น
              ทำความเข้าใจอาการ หายใจดั้น

               

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              วิธีรับมือเมื่อลูก หายใจดั้น

              หากลูกมีอาการหายใจดั้น คุณพ่อคุณแม่ควรฉุกคิดทันทีเพื่อหาสาเหตุต่อไปว่าทำไมลูกถึงทำแบบนี้เพราะแม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่การเห็นลูกกลั้นหายใจจนหน้าเขียววันละหลายรอบ คงทำให้พ่อแม่หนักไม่น้อย การที่ลูกแสดงอาการผ่านภาวะหายใจดั้น แสดงว่าลูกต้องการสื่อสารถึงอารมณ์ภายในที่กำลังเผชิญใน 2 ลักษณะ คือ

              1. ลูกรู้สึกโมโห โกรธจัด แสดงออกด้วยการร้องไห้ออกมาและหายใจดั้นไปพร้อมกันจนตัวเขียว
              2. ลูกรู้สึกหวาดกลัว ผวา เช่นถูกทำให้ตกใจสุดขีด ก็อาจหายใจดั้นได้ แต่หน้าจะซีดขาวคล้ายจะเป็นลม พฤติกรรมนี้มักเกิดกับกลุ่มเด็กที่มีพื้นฐานอารมณ์อ่อนไหวง่าย

              อ่านเพิ่มเติม >> 3 วิธีจัดการ พฤติกรรมไม่น่ารัก เมื่อลูกน้อยโมโห!

              อ่านเพิ่มเติม >> นักจิตวิทยาระดับโลกแนะ 3 วิธีรับมือ “ลูกดื้อ”

               

              สมมติว่าลูกเล็กอยากเล่นโทรศัพท์มือถือ ตอนแรกแม่ไม่ให้เพราะรู้ว่าลูกยังใช้ไม่เป็น เขาจะเอาไปโยนเล่น เมื่อแม่ไม่ให้ลูกก็ไม่พอใจและร้องไห้จนหายใจดั้น ด้วยความตกใจแม่ก็รีบปลอบ เมื่อลูกหายจากอาการดังกล่าว คุณแม่ก็ไม่กล้าขัดใจลูกอีก เมื่อลูกขอก็ให้ทันที ลูกจึงเกิดการเรียนรู้เงื่อนไขว่าถ้าจะให้พ่อแม่ยอมต้อง หายใจดั้น ครั้งถัดไปอยากได้อะไรอีกก็ หายใจดั้นมันเสียเลย ทำให้การ หายใจดั้น กลายเป็นพฤติกรรมแสดงอารมณ์รุนแรงอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการจัดการอารมณ์ที่ดี เรียกว่าสูญเสียการจัดการอารมณ์ค่ะ

              วิธีรับมือเมื่อลูก หายใจดั้น
              วิธีรับมือเมื่อลูก หายใจดั้น

              ดังนั้น เมื่อคุณพ่อคุณแม่ตระหนักแล้วว่าลูกหายใจดั้นเพราะอารมณ์ และเราไม่อยากให้ลูกทำอีก เมื่อลูกงอแงเพื่อเรียกร้องสิ่งที่ต้องการ คุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรตระหนกและไม่ควรตามใจเขา กรณีเกิดกับลูกเล็กอาจต้องใช้วิธีเบี่ยงเบนความสนใจไปที่สิ่งอื่น ด้วยการให้ของชิ้นใหม่ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกว่ามาให้เขาแทน หรือฝึกลูกให้มี “วินัยเชิงบวก” เพื่อป้องกันปัญหาตั้งแต่เนิ่น ด้วยการจัดการสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม (Structured Environment) เพื่อไม่ให้ครั้งหน้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เช่น

               รู้ว่าลูกอยากเล่นโทรศัพท์มือถือ แต่พ่อแม่ไม่อยากให้เขาเล่น ก็ไม่ต้องวางให้เขาเห็น

              รู้ว่าเด็กชอบสำรวจปลั๊กไฟ แต่มันอันตราย เราไม่อยากให้เขาทำ ก็หาเครื่องมือป้องกันมาปิดรูปลั๊กไว้

              รู้ว่าเด็กเห็นแก้วน้ำแล้วอยากเล่น เรากลัวแก้วตกแตก ก็เอาแก้วพลาสติกมาวางไว้ให้แทน

              เมื่อคุณพ่อคุณแม่ป้องกันโดยการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เด็กก็จะไม่เห็นสิ่งล่อตาล่อใจให้เกิดความอยาก เมื่อไม่อยากเขาก็จะไม่ร้องงอแงจ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องใจหายใจคว่ำเมื่อเห็นลูกตัวเขียว เรียกว่าป้องกันตั้งแต่ต้นเหตุ แค่นั้นก็จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย

              เด็กทุกประเภทงอแงเวลาถูกขัดใจเหมือนกันทุกคน เพราะมันคือพัฒนาการปกติซึ่งเขากำลังเรียนรู้ เพียงแต่ว่าปฏิกิริยาความรุนแรงในการโต้ตอบอาจต่างกัน ถ้าลูกเลี้ยงง่าย การโต้ตอบก็จะเบาบางเหมือนที่มีคนพูดว่าทำไมบ้านนี้คลอดลูกมาเงียบเชียว แต่อีกบ้านลูกร้องตลอดคืน ก็จะแตกต่างกันประมาณนี้

               


              ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากหนังสือ เด็กไม่ใช่ผ้าขาว อย่าเข้าใจผิด สำนักพิมพ์ Amarin Kids

               

              บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

              5 เทคนิค ตามใจลูก [สร้างวินัยเชิงบวก] ฝึกลูกคิดเป็น มีความรับผิดชอบ

              [สร้างวินัยเชิงบวก] 3 เทคนิคเชิงบวก ฝึกลูกเล็กควบคุมอารมณ์ และความรู้สึกให้ได้ผล!

              พัฒนาการทารก 2 เดือน ตื่นบ่อย ร้องไห้เก่ง ใช่โคลิคหรือเปล่า ?

              หมอชี้! วิธีปราบ เด็กร้องไห้ ลูกร้องแบบไหนเรียกเอาแต่ใจ

                เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน

                เปิดเทอมนี้ เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน ต้องมีอะไรบ้าง

                เพราะเปิดเทอมใหม่นี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกโรงเรียนมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพราะเมื่อเด็กๆ มารวมกันจำนวนมาก ทำกิจกรรมร่วมกัน เล่นกัน อาจไม่ได้ระมัดระวังตัวเท่าที่ควร ขณะเดียวกันคุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องเตรียมตัวลูกน้อยให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคร้ายเช่นกัน มาดูกันว่าต้อง เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน เด็กๆต้องมีอะไรบ้าง  เพื่อให้ลูกห่างไกลจากโควิด

                แม้บ้านเราจะไม่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มมาหลายวันและทางรัฐบาลได้ผ่อนปรนมาตรการต่างๆให้ผู้คนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว พ่อแม่ได้กลับไปทำงาน ส่วนลูกๆก็ต้องกลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ แต่มาตรการป้องการการแพร่ระบาดของโรคนี้ยังคงอยู่ ทั้งการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing)

                เปิดเทอมใหม่ เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน อย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด

                ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิสร้างเสริมวิถีบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ (มอส.) กรมอนามัย และกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ร่วมกันจัดทำ “คู่มือการจัดการโรงเรียนรับมือโควิด-19”  ในรูปแบบต่างๆ เช่น คู่มือการจัดการโรงเรียน โปสเตอร์รณรงค์ชีวิตวิถีใหม่ สติ๊กเกอร์ระยะห่าง นิทานความรู้ให้เด็กๆ พร้อมทั้งคำแนะนำสำหรับเด็กๆเมื่อไปโรงเรียนด้วย

                 

                ลูกต้องทำอย่างไรเมื่อไปโรงเรียน

                สสส.ได้ทำคำแนะนำและข้อปฏิบัติเบื้องต้นสำหรับเด็กๆที่ต้องไปโรงเรียน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่นำไปปรับใช้เพื่อเตรียมตัวลูกน้อยให้พร้อมสำหรับการไปโรงเรียนแต่เนิ่นๆ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจ ทำตามได้โดยไม่ต่อต้าน มีทั้งหมด 9 ประการหลักๆ ดังต่อไปนี้

                1. สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อไปโรงเรียน
                2. ถ้ามีไข้ ไอจาม เป็นหวัด หรือหายใจเหนื่อยหอบ ให้รีบแจ้งคุณครูเพื่อให้ผู้ปกครองพาไปพบแพทย์ และหยุดเรียนจนกว่าจะหายดี
                3. ไม่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมีอาการหวัด มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก
                4. ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ หรือสบู่กับน้ำบ่อยๆ และทุกครั้งก่อนกินอาหาร เข้าห้องน้ำ
                5. หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา ปาก จมูกโดยไม่จำเป็น
                6. สอนให้ลูกเว้นระยะห่างกับคนอื่นๆอย่างน้อย 1 เมตร ไม่ว่าจะตอนนั่งเรียน กินอาหาร หรือเล่นกับเพื่อน
                7. มีอุปกรณ์ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้ว ช้อน ส้อม เป็นต้น
                8. อาบน้ำทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน เล่นกับเพื่อนหลังเลิกเรียน และกลับจากนอกบ้าน
                9. ดูแลสุขภาพลูกให้แข็งแรง กินอาหารครบห้าหมู่ ผักผลไม้ 5 สี ออกกำลังกายเป็นประจำและนอนหลับให้เพียงพอ 9-10 ชั่วโมงต่อวัน

                เช็กลิสต์…ของมันต้องมี เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน สไตล์นิวนอร์มอล

                นอกจากการสอนให้ลูกตระหนักถึงอันตรายของโควิด วิธีการล้างมือที่ถูกต้อง และการปฏิบัติตัวระหว่างอยู่โรงเรียนแล้ว คุณแม่ต้องวางแผน เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน สำหรับใช้ระหว่างวันโดยเฉพาะของใช้ส่วนตัว อุปกรณ์การเรียนและอุปกรณ์ทำความสะอาด ที่ต้องแบ่งเป็นสัดส่วน ไม่ใช้ปะปนกับคนอื่น จะมีอะไรบ้างตามมาดูกันเลย

                ไอเท็มลูกต้องมี…รับมือโควิด  

                เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน

                1. หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า

                สามารถใช้ได้ทั้งสองชนิด ควรเลือกขนาดให้เหมาะกับวัยของลูก ถ้าเป็นหน้ากากผ้าควรเลือกชนิดของผ้าที่ไม่ระคายเคืองผิวลูกน้อย ซักความสะอาดได้ง่าย แต่หากใช้หน้ากากอนามัยควรใช้ครั้งเดียวทิ้ง ไม่นำมาใช้ซ้ำ คุณแม่ควรเตรียมหน้ากากเผื่อไว้สัก 2 ชิ้นกรณีลูกทำหาย หรือสกปรกจะได้มีเปลี่ยนใส่ระหว่างวัน หรือจะเตรียมถุงซิปล็อคให้ลูกไว้ใส่หน้ากากเวลากินข้าว หรือล้างหน้าเพื่อป้องกันสิ่งสกปรก

                สำหรับเด็กเล็กที่ยังดูแลของส่วนตัวเองไม่ได้ คุณแม่อาจเลือกใช้หน้ากากที่มีสายคล้องคอเพื่อป้องกันการหายได้ แต่มีราคาค่อนข้างสูงสักหน่อย หรือซื้อเฉพาะสายคล้องคอมาติดกับหน้ากากแทนก็ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้พอสมควร สามารถหาซื้อได้จากแอพช้อปปิ้ง และร้านค้าออนไลน์ทั่วไป

                 MUST READ : วิธีทำหน้ากากผ้าง่ายๆ ให้ลูก จาก “ผ้ามัสลิน”

                 MUST READ: วิธีทำแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ฆ่าเชื้อโรค ไว้ใช้เองที่บ้าน

                 

                1. เจลแอลกอฮอล์

                ไอเท็มประจำตัวลูกน้อยที่ขาดไม่ได้ ไว้ใช้ล้างมือบ่อยได้สะดวกตลอดเวลา คุณแม่ควรเลือกซื้อเจลแอลกอฮอล์คุณภาพดี ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ (เกรดทำยา) 70 % ขึ้นไป  มีฉลากระบุชื่อ ส่วนผสม วิธีใช้ และผู้ผลิตอย่างชัดเจน มีลักษณะเป็นเนื้อเจลใส ไม่เป็นตะกอน ไม่จับตัวเป็นก้อนหรือแยกชั้น และควรซื้อจากร้านขายยา หรือร้านค้าที่เชื่อถือได้

                สามารถซื้อเจลแอลกอฮอล์ขนาดเล็ก ลูกหยิบใช้ได้สะดวก ที่มีทั้งชนิดหลอดและขวด หรือซื้อแบ่งใส่ขวดเล็กมีสายคล้องกระเป๋าหรือเข็มขัดให้ ไว้เติมเจลให้พอดีกับที่ต้องใช้ในแต่ละวัน ที่สำคัญคุณแม่ต้องฝึกให้ลูกล้างมือบ่อยๆ ด้วยนะคะ

                 

                เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน

                1. สบู่ล้างมือ

                โรงเรียนส่วนใหญ่จะเตรียมสบู่ล้างมือไว้ให้นักเรียน แต่ถ้าคุณแม่อยากมั่นใจว่า ลูกจะได้ล้างมือสะดวกแน่ๆ สามารถเตรียมสบู่ล้างมือติดกระเป๋าไว้ได้ ควรเลือกชนิดพกพา จะได้ไม่หนักกระเป๋าเกินไป หรือเลือกใช้ “สบู่แผ่น” เป็นแผ่นสบู่บางๆ นำมาเหยาะน้ำถูกให้เกิดฟอง ใช้ทำความสะอาดได้สบู่ทั่วไป พกสะดวก

                4.กระดาษทิชชู่ หรือทิชชู่เปียก

                เวลามีเหงื่อ เด็กๆเผลอใช้มือเช็ดอยู่บ่อยๆ เพื่อลดการใช้มือสัมผัสสิ่งต่างๆ เอามือมาถูใบหน้า ถูตัว  โดยเฉพาะคุณแม่ควรเตรียมกระดาษทิชชู่ หรือ ทิชชู่เปียก ติดกระเป๋าไว้ให้ลูกใช้เช็ดมือ เช็ดหน้ารวมถึงอุปกรณ์การเรียนเพื่อทำความสะอาดด้วย

                1. สติ๊กเกอร์แปะกันยุง

                โรงเรียนเลื่อนมาเปิดเทอมช่วงหน้าฝนแบบนี้ สิ่งที่ตามมาด้วยไม่พ้น “ยุงลาย” ตัวร้าย ต้นเหตุของโรคไข้เลือดออก ที่มีเด็กๆต้องป่วยหลายร้อยคนทุกปี เพื่อป้องกันให้ลูกน้อยรอดพ้นจากโรคร้าย คุณแม่ลองหาสติ๊กเกอร์แปะกันยุงมาติดไว้ตามปลายแขนเสื้อ ชายกระโปรง หรือขากางเกงลูกน้อย อาจต้องซ่อนไว้ด้านในสักหน่อยกันหนูน้อยดึงเล่น เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องลูกได้ระดับหนึ่ง หลักในการเลือกซื้อสติ๊กเกอร์ คือควรเลือกสติ๊กเกอร์ที่ใช้ส่วนผสมอ่อนโยน ไม่มีสารเคมีรุนแรง และไม่ระคายเคืองผิวลูก

                1. กระติกน้ำส่วนตัว

                ของติดตัวที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือ กระติกน้ำประจำตัว ไว้ให้ลูกได้ดื่มน้ำระหว่างอยู่โรงเรียน นอกจากช่วยให้ลูกดื่มน้ำได้บ่อยๆแล้วยังช่วยลูกห่างจากโควิดด้วย ทั้งนี้คุณแม่ควรขนาดให้เหมาะกับวัยของลูก และพัฒนาการของลูกน้อย ถ้าเป็นเด็กอนุบาลควรเลือกระติกน้ำไม่ใหญ่เกินไป เป็นแบบหลอดดูดใช้ได้สะดวก ส่วนเด็กโตชั้นประถมอาจใช้กระติกแบบยกดื่มแทนได้ ทั้งนี้ควรเลือกกระติกที่ปลอดสาร BPA และสารอันตรายเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

                1. สติ๊กเกอร์ชื่อติดของใช้

                ช่วงโควิดเด็กๆต้องแยกของใช้ส่วนตัวให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ปะปนกับเพื่อนในห้อง แม้แต่อุปกรณ์การเรียนต่างๆทั้งดินสอ ยางลบ ดินสอสี หรือรองเท้านักเรียน แต่ของใช้เด็กเหมือนๆ กันจนแยกไม่ออกจึงอาจใช้ของสลับกันได้ คุณแม่อาจเตรียมสติ๊กเกอร์พิมพ์ชื่อลูกไว้สำหรับแปะสิ่งของต่างๆ เพื่อเตือนใจทั้งลูกโดยไม่ต้องบ่นปากเปียกปากแฉะ

                1. ชุดนักเรียน ถุงเท้า รองเท้า

                สิ่งที่ขาดไม่ได้ก่อนไปโรงเรียน คุณแม่หลายบ้านสาละวนกับการเตรียมชุดนักเรียน ถุงเท้า รองเท้าให้ลูกน้อย สำหรับน้องที่ไปโรงเรียนครั้งแรกหรือเปลี่ยนโรงเรียนใหม่อาจตื่นเต้นเป็นพิเศษ  ส่วนลูกที่ขึ้นชั้นเรียนใหม่ คุณแม่คงต้องวัดขนาดชุดนักเรียน รองเท้ากันใหม่ว่ายังใส่ได้หรือเปล่า เพราะเด็กๆโตเร็วมากโดยเฉพาะวัยอนุบาลและประถมต้น เสื้อผ้าสามารถซื้อเผื่อโตไว้ได้ แต่คุณแม่ไม่ควรซื้อรองเท้าเผื่อไซส์มากเกินไป เพราะการใส่รองเท้าใหญ่กว่าเท้าจริงมีผลต่อรูปเท้าและการเดินของลูก

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                 

                9 กระเป๋านักเรียน หนังสือเรียน อุปกรณ์การเรียน

                หนังสือเรือนไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลเพราะโรงเรียนจะจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย หรือเตรียมลิสต์รายการให้คุณแม่ไปซื้อได้สะดวก ส่วนการเลือกซื้อกระเป๋านักเรียน คุณแม่ควรพิจารณาจากเหมาะสมของเด็กแต่ละวัย แม้โรงเรียนส่วนใหญ่จะมีเป้หรือกระเป๋าสะพายของสถาบันให้ซื้อใช้เพื่อความเป็นระเบียบ แต่บางโรงเรียนให้อิสระในเรื่องนี้หากเป็นเด็กปฐมวัย คุณแม่ยังสามารถใช้เป้สะพายใบเล็กๆ ใส่แค่ของจำเป็น ส่วนของใช้อื่นๆควรใส่ถุงแยกให้คุณครู เพื่อไม่ให้ลูกแบกน้ำหนักมากเกินไป

                 MUST READ :แม่แชร์ ประสบการณ์ผ่าตัด กระดูกสันหลังคดในเด็ก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

                ส่วนวัยประถมที่ต้องแบกหนังสือเรียนจนหนักอึ้ง คุณแม่ควรฝึกให้ลูกจัดตารางเรียนของแต่ละวัน ไม่ใช่แบกหนังสือทุกเล่มไปเพราะทำให้หนักจนกระดูกสันหลังผิดรูปได้ แต่ถ้าลองถือดูแล้วกระเป๋ายังหนักอยู่ดี อาจต้องเปลี่ยนไปใช้กระเป๋าลาก หรือกระเป๋าเป้ที่ใส่แนบกระชับหลัง  เพื่อไม่ทำให้สรีระของลูกน้อยผิดเพี้ยนไป

                1. ผ้าเช็ดหน้า ผ้าขนหนู ชุดเปลี่ยน ของใช้ส่วนตัว

                สิ่งของเหล่านี้คุณแม่ต้อง เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน และขาดไม่ได้สำหรับเด็กอนุบาล ที่มีกิจวัตรประจำวันคล้ายกับที่บ้านคือ การนอนกลางวัน แปรงฟันก่อนเข้านอน จึงต้องมีชุดนอน ชุดเปลี่ยน ผ้าเช็ดหน้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และแก้วน้ำไว้ใช้เป็นของส่วนตัว

                11. นมและของว่าง

                เด็กวัยนี้ยังต้องกินนมช่วงกลางวัน สามารถกินนมโรงเรียนได้ก็ไม่ต้องเตรียม แต่ถ้าลูกแพ้นมคุณแม่ควรใส่นมกล่องแบบที่ชอบไว้ในกระเป๋าให้ลูกหยิบมากินเองได้สะดวก ทั้งนี้ควรหัดให้ลูกน้อยเลิกขวดก่อนชั้นอนุบาล เพื่อพัฒนาการที่ดีและสุขอนามัย สำหรับของว่าง โรงเรียนแทบทุกแห่งมีเตรียมไว้ให้เป็นเบเกอรีบ้าง ขนมหวาน หรือผลไม้บ้าง แต่บางโรงเรียนก็ให้เด็กเลือกขนมไปกินเองได้ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กเลือกและแบ่งปันกับเพื่อนๆ คุณแม่ควรเลือกขนมที่เหมาะสมกับโภชนาการของลูก ไม่ควรเป็นขนมกรุบกรอบ มีรสจัด เค็มหรือหวานเกินไป เพื่อสร้างนิสัยการกินที่ดีให้ลูกในอนาคต

                นอกเหนือจากการ เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียนแล้ว คุณแม่ต้องปรับพฤติกรรม กิจวัตรประจำวันของลูกให้พร้อมสำหรับการเปิดเทอมอีกครั้ง หลังหยุดยาวมาร่วม 3 เดือนเต็ม เด็กๆหลายบ้านนอนดึก ตื่นสาย กินอาหารไม่เป็นเวลา การปรับวงจรชีวิตให้มีระเบียนวินัยเช่นเดิม จะช่วยให้เด็กปรับตัวกับการเปิดเทอมได้ไม่ยาก ส่วนคุณพ่อคุณแม่เองก็ควรปรึกษาและเตรียมความพร้อมกับการเรียน การใช้ชีวิตในโรงเรียนวิถีใหม่กับคุณครูให้เข้ากัน และศึกษาเส้นทางไปโรงเรียนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้การไปโรงเรียนวันแรกของปีนี้เป็นไปอย่างราบรื่น แม้โควิดจะยังอยู่ แต่เราทุกคนก็สู้ได้


                แหล่งข้อมูล : www.thaihealth.or.th

                 

                 

                ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี ? แม่ลองวิธีนี้ช่วยลูกได้ ไม่ต้องบังคับ

                 

                รร.สังกัดกทม เตรียม เปิดเทอมอนุบาล – ประถม เน้นแบ่งห้องเรียน จัดตารางสอนให้เหมาะสม

                 

                แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

                 

                ทำไมเด็กไม่ควรใส่ “หน้ากากผ้า” เหมือนกันไปโรงเรียน

                 

                  วิธีรักษาแผลผ่าคลอด

                  10 วิธี รักษาแผลผ่าคลอด ไม่ให้เป็นคีลอยด์

                  หลังผ่าคลอด คุณแม่หลายคนคงพบปัญหาแผลจากการผ่าตัดที่คอยกวนใจ รู้สึกเจ็บ ๆ คัน ๆ บริเวณแผลผ่า นอกจากนี้ยังกังวลเรื่องของแผลเป็นที่อาจตามมา วันนี้ทีมแม่ ABK มีวิธีการดูแลแผลผ่าตัดหลังคลอดมาฝากให้คุณแม่รู้เเนวทาง รักษาแผลผ่าคลอด อย่างถูกวิธีค่ะ 

                  รับมือแผลผ่าคลอด
                  รับมือแผลผ่าคลอด

                  ในงานเสวนาเรื่อง รู้จริงเรื่องแผลเป็น นพ.ธรรมนูญ พนมธรรม ศัลยแพทย์ตกแต่ง โรงพยาบาลราชวิถี ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดรอยแผลเป็นว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเกิดรอยแผลเป็นหลัก ๆ มีด้วยกัน 3 ปัจจัย

                  วิธีรักษาแผลผ่าคลอด ทำแบบนี้ไม่ทิ้งรอยให้กวนใจ

                  อย่างแรกคือ เรื่องอายุ เนื่องจากคนที่อายุน้อยกว่ามีโอกาสสร้างพังผืดเยอะกว่าคนที่มีอายุมาก อย่างที่สองคือ ลักษณะผิวหนัง  เพราะ คนที่มีผิวสี มีโอกาสในการเกิดแผลเป็นนูนมากกว่าคนที่มีผิวขาว และปัจจัยสุดท้ายคือตำแหน่งของแผล ถ้าตำแหน่งที่เกิดอยู่บริเวณหน้าอก ทั้งด้านหน้าด้านหลัง ไหล่ หู  หรือบริเวณผิวหนังที่มีการเคลื่อนไหวบ่อย ๆ มีโอกาสสูงที่จะเกิดแผลเป็นได้

                  ปัญหาของแผลผ่าตัดที่ควรรู้เพื่อ รักษาแผลผ่าคลอด

                  1. แผลเป็นเกิดนูนแดงนั้น กลายเป็น แผลที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือที่เรียกว่า คีลอยด์
                  2. หลังจาก 1 ปีหรือ 1 ปีครี่งไปแล้ว แผลนั้นยังแดงอยู่ แดงอยู่นาน และรอยแดงไม่ลดลง
                  3. มีอาการเจ็บหรือคัน
                  4. เป็นแผลที่เกิดตรงบริเวณข้อต่อ ทำให้ขยับข้อต่อได้ไม่เต็มที่ หรือนิ้วงอ หรือมีการผิดรูปเกิดขึ้น
                  5. แผลที่ไม่มีปัญหา เพียงแต่ดูไม่ดี แต่เป็นสิ่งต้องการและความคาดหวังในการรักษาของคนไข้

                  วิธีการ รักษาแผลผ่าคลอด ไม่ให้เป็นคีลอยด์

                  ทีมแม่ ABK จึงมีวิธีการดูแลแผลผ่าคลอด ของคุณแม่มือใหม่แบบง่าย ๆ มาแนะนำกันค่ะ

                  1. พยายามลุกขยับเดิน

                  หลังจากผ่าคลอดผ่าคลอดได้ 1 วัน คุณแม่อาจมีอาการเจ็บแผลจนรู้สึกไม่อยากขยับร่างกาย แต่ทั้งนี้คุณแม่ควรลุกขยับร่างกาย หรือ เดิน เพื่อลดโอกาสเกิดพังผืดที่เกาะอวัยวะภายในช่องคลอดทำให้เสี่ยงท่อนำไข่อุดตัน หรือ ผ่าตัดครั้งต่อไปอาจทำได้ยาก หรืออาจมีอาการท้องผูกเรื้อรัง

                  2. ใช้ผ้ารัดหน้าท้องหลังคลอด

                  การใช้ผ้ารัดหน้าท้องหลังคลอดจะช่วยพยุงกล้ามเนื้อส่วนหลังเวลาเดิน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการเจ็บอีกด้วย

                  3. ระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ

                  ช่วงแรก ควรระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ คุณหมอจะปิดแผลผ่าตัดหลังคลอด ด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ คุณแม่ไม่ต้องล้างแผล หรือล้างแผลตามวิธีแนะนำของคุณหมอ หรือไม่เปิดแผลบ่อย ๆ

                  4. ทานอาหารจำพวกโปรตีน

                  เนื่องจากขณะป่วยโปรตีนถือเป็นสารอาหารหลักสำคัญที่ช่วยในการเสริมสร้างเนื้อเยื่อและสมานแผลไวขึ้น ควรทานแต่พอดี ให้ครบทุกมื้อและพักผ่อนให้เพียงพอ

                  5. เลี่ยงการยกของหนัก

                  ช่วงสามเดือนแรกไม่ควรยกของหนัก ขยับตัวได้เท่าที่ไม่รู้สึกเจ็บ ถ้าเจ็บ หรือตึง แสดงว่าแผลยืดเหยียดมากเกินไป และจะทำให้ร่างกายปรับสภาพตัวเอง เนื่องจากกลัวว่าแผลจะหลุด จึงสร้างเส้นใยคอลลาเจนหนาๆ เพื่อทำให้แผลแน่นขึ้น เมื่อเส้นใยคอลลาเจนหนาเกินไปจึงกลายเป็นแผลนูนขึ้นมาเป็นแผลคีลอยด์ในที่สุด

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  6. ใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของเสตียรอยด์อ่อนๆ / วิตามินอี

                  หลังแผลผ่าคลอดแห้งสนิทแล้ว สามารถเปิดแผลได้ ถ้ามีแผลเป็นให้ใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของเสตียรอยด์อ่อนๆ หรือครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีทาบริเวณแผล ไม่มีผลต่อการให้นมลูกเพราะเป็นยาใช้ภายนอก

                  7. ปรับหัวนอนให้สูงขึ้น

                  ปรับหัวนอนให้สูงขึ้นจะช่วยให้แผลผ่าที่หน้าท้องไม่ตึงจนเกินไป ช่วยลดอาการเจ็บแผล

                  8. ใช้แผ่นซิลิโคนใสทับแผลเป็น

                  ตามคำแนะนำการดูแลรอยแผลเป็นของ The International Clinical Guidelines for Scar Management 2002 บอกว่าเมื่อใช้แผ่นเจลซิลิโคนแล้วจะช่วยปรับสีของแผลให้จางลงและแผลแบนราบลงได้ เนื่องจาก แผ่นซิลิโคนใสเหมาะสำหรับแผลเป็นที่มีสีแดงหรือสีคล้ำหรือนูน ในการใช้แผ่นเจลซิลิโคนนี้ไม่ควรจะใช้ในขณะแผลเปิด ควรเริ่มใช้ทันทีที่แผลปิดสนิทหรือหลังตัดไหมสำหรับแผลเย็บ โดยปิดแผ่นเจลซิลิโคนนี้ทับแผลเป็นหรือคีลอยด์เป็นระยะเวลานานมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน จะช่วยให้แผลเป็นนี้ยุบลงได้ โดยที่ไม่เจ็บ

                  อ่านเพิ่มเติม เคล็ด(ไม่)ลับ วิธีดูแลแผลผ่าคลอด ให้รอยแผลเป็นอ่อนนุ่ม และสีจางลง

                  9. การฉีดยาคอร์ติโคสตีรอยด์ (Intra lesional corticosteroid)

                  เมื่อใช้แผ่นซิลิโคนใสแล้วยังไม่หายดี ตามคำแนะนำการดูแลรอยแผลเป็นของ The International Clinical Guidelines for Scar Management 2002การฉีดยาคอร์ติโคสตีรอยด์ (Intra lesional corticosteroid) การฉีดยาเสตียรอยด์เข้าใต้ตำแหน่งของแผลเป็นจะช่วยให้แผลเป็นนั้นนุ่มลงและแบนราบลงได้ การฉีดยาได้ผลพอใช้ได้ แต่ทำให้เกิดความรู้สึกเจ็บขณะที่ฉีดยา และต้องมาฉีดเป็นระยะตามที่แพทย์นัด

                  10. การนวดบริเวณแผลเป็น

                  การนวดบริเวณแผลเป็น จะช่วยกระตุ้นให้แผลนุ่มขึ้น แต่ควรใช้มอยเจอร์ไรเซอร์และโลชั่นมาช่วยนวดและทาเพื่อให้แผลเป็นชุ่มชื้น จะได้นุ่มได้ไวขึ้น แบนราบได้เร็วขึ้น และทำให้อาการปวดจากแผลเป็นเหล่านี้ลดลงไปได้ด้วย อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการนวดก็คือ นวดในแผลเปิด แผลอาจปริขึ้นมา หรือบวมขึ้นมา หรือหากพบอาการแพ้โลชั่นก็ต้องหยุด

                  รับมือแผลผ่าคลอด
                  รับมือแผลผ่าคลอด

                  สำหรับคุณเเม่มือใหม่การดูแลแผลผ่าคลอดก็เป็นอีกหนึ่งกระบวนการสำคัญ เพื่อให้ร่างกายสามารถฟื้นฟูตัวเอง มีสุขภาพร่างกายที่เเข็งเเรงพร้อมเลี้ยงดูเจ้าตัวน้อยอย่างเต็มที่


                  ขอบคุณข้อมูลจาก : ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย, The International Clinical Guidelines for Scar Management 2002, นพ.ธรรมนูญ พนมธรรม ศัลยแพทย์ตกแต่ง โรงพยาบาลราชวิถี

                  บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                  ตรวจหลังคลอด..เจ็บไหม? ต้องตรวจอะไรบ้าง?

                  แผลผ่าคลอด แนวนอนกับแนวตั้งต่างกันอย่างไร และแบบไหนดีกว่ากัน!

                  แผลผ่าคลอดอักเสบ ปวด คัน เป็นหนอง ต้องทำอย่างไร?

                    ผื่นแพ้ในทารก

                    เช็กลิสต์ 5 ผื่นแพ้ในทารก พร้อมวิธีรับมือที่แม่ต้องรู้

                    ผื่นแพ้ในทารก เป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็กเล็ก เพราะผิวหนังของลูกมีความบอบบางมาก ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ ผ้าอ้อม สารเคมีต่าง ๆ ที่มาจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับลูก หรืออาหารที่ลูกกินเข้าไป วันนี้ เราไปทำความรู้จักกับ ผื่นแพ้ในทารก 5 ประเภท ที่พบได้บ่อย ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร พร้อมวิธีรับมือสำหรับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อดูแลลูกให้ดีที่สุดกันค่ะ

                    ผื่นแพ้ในทารก 5 ประเภทที่พบบ่อย พร้อมวิธีรับมือ

                     

                     

                    อ่านเพิ่มเติม >> โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง คืออะไร

                     

                    เกิดได้จากการเป็นผื่นแพ้ผิวหนัง หรือผิวแห้งเพราะโดนแสงแดดนาน โดยผิวหนังของลูกจะเป็นผื่นวงกลมหรือวงรี สีออกขาว จางกว่าผิวหนังปกติ หรืออาจมีขุยติดอยู่ พบบ่อยบริเวณใบหน้า คอ ไหล่และแขน กลากน้ำนมนี้ไม่มีอันตราย จะหายไปได้เองเมื่อลูกโตขึ้นค่ะ แต่ก็ควรดูแลไม่ให้ผิวหนังของลูกแห้งหรือระคายเคืองเพิ่มมากขึ้น

                    คุณพ่อคุณแม่ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้ลูกถูกแสงแดดจัด ไม่อาบน้ำล้างหน้าบ่อยจนเกินไป เลือกใช้สบู่อ่อน ๆ สำหรับเด็กที่ไม่ทำให้ผิวหนังแห้งและระคายเคือง

                     

                    3. คราบไขมันที่หนังศีรษะ

                    ผื่นแพ้ในทารก
                    คราบไขมันที่หนังศีรษะ

                    เป็นผื่นแพ้อีกชนิดที่ทำให้หนังศีรษะลูกมีคราบไขมันคล้ายรังแคเกิดขึ้น หรือบางคนอาจเป็นผื่นชนิดนี้ลามไปที่ใบหน้า ซอกคอ หรือรักแร้ได้ หากลูกมีคราบไขมันนี้ไม่ต้องกังวลใจ เพราะลูกมักจะไม่คันและไม่ทำให้ผมร่วงแต่อย่างใด และเมื่อลูกโตขึ้นผื่นหรือคราบไขมันนี้จะค่อย ๆ น้อยลงไปเองค่ะ

                    หากลูกมีคราบไขมันที่หนังศีรษะ สามารถใช้น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์หรือน้ำมันเพิ่มความชุ่มชื้นสำหรับทาผิวทารก ทาเบา ๆ บนคราบไขมันที่เห็น แล้วทิ้งไว้ 5-10 นาที จากนั้นจึงสระผมให้เด็กด้วยแชมพูสำหรับเด็ก

                     

                    4. ผื่นผ้าอ้อม

                    ผื่นแพ้ในทารก
                    ผื่นผ้าอ้อม

                    เป็น ผื่นแพ้ในทารก ชนิดหนึ่ง เกิดจากผิวหนังที่สัมผัสหรือสวมใส่ผ้าอ้อมเกิดการระคายเคือง เพราะความอับร้อน เหงื่อ หรือปัสสาวะ อุจจาระที่สะสมทำให้เปียกชื้น จนทำให้ผิวหนังลูกบริเวณต้นขาด้านใน ก้น อวัยวะเพศ มีผื่น เป็นตุ่มหรือปื้นแดง

                    เมื่อเริ่มมีอาการน้อย ๆ ควรทาขี้ผึ้งหรือครีมเคลือบผิวเพื่อป้องกันผิวหนังไม่ให้ถูกสารเคมีหรือสิ่งต่างๆ มาเสียดสีหรือทำให้ระคายเคือง เปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้ลูกใส่ผ้าอ้อมที่เปียกแฉะนาน ๆ ถ้าลูกเป็นผื่นมากอาจติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราแทรกซ้อน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อการรักษา

                     

                    อ่านเพิ่มเติม >> วิธีดูแลลูกน้อย ให้ห่างไกลจากผื่นผ้าอ้อม

                     

                    5. ผื่นแพ้นมวัว

                    ผื่นแพ้ในทารก
                    ผื่นแพ้นมวัว

                    เด็กทารกบางคนที่แม่ไม่สามารถให้นมแม่ได้ มีความจำเป็นต้องให้นมผสมดัดแปลงสำหรับเด็ก หรือในแม่ที่ให้นมลูกบางกรณีอาจเกิดลูกแพ้นมแม่ (เด็กไม่ได้แพ้นมแม่ แต่สาเหตุจริง ๆ คือแพ้อาหารที่แม่กินแล้วมีส่วนผสมของนมวัว) กรณีนี้เรียกว่าการแพ้นมวัวที่เกิดจากการกินอาหารก่อโรคที่แม่ทานเข้าไป ซึ่งอาการแสดงว่าแพ้นมวัว คือ ผิวหนังบริเวณใบหน้ามีการอักเสบรุนแรง เป็นผื่นแดง คัดจมูกเรื้องรัง น้ำหนักขึ้นช้า

                    สำหรับวิธีรับมือ คุณพ่อคุณแม่ต้องทราบก่อนว่าลูกแพ้นมวัวจากสาเหตุใด

                    • อาการแพ้ที่เกิดจากการกินนมผงดัดแปลง แนะนำให้ปรึกษากุมารแพทย์ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อที่จะได้ทราบว่าควรดูแลอาการแพ้นมวัวอย่างไร และควรปรับเปลี่ยนเป็นนมสูตรพิเศษสำหรับเด็กแพ้นมวัวโดยเฉพาะ ซึ่งคุณหมอจะเป็นคนแนะนำให้อีกครั้ง
                    • อาการแพ้ที่เกิดจากการกินนมแม่ หากลูกกินนมแม่แล้วมีอาการแพ้นมวัว ควรแก้ที่ต้นเหตุคือ แม่จะต้องลด หลีกเลี่ยง หรือเลิกกินอาหารที่มีส่วนผสมของนมวัว เช่น นมวัว เค้ก คุกกี้ อาหาร ขนม รวมทั้งเครื่องดื่มทุกชนิด ที่มีส่วนผสมของนมวัว ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่ลูกจะแพ้นมวัวลงได้

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    ผื่นแพ้ทารก กันไว้ดีกว่าแก้

                    เด็กทารกยังมีภูมิคุ้มกันของสุขภาพที่ไม่แข็งแรงเหมือนกับในผู้ใหญ่  จึงทำให้ไวและง่ายต่อการเกิดเจ็บป่วยได้ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย  ซึ่งวิธีป้องกันที่ดีที่สุด ที่คุณพ่อคุณแม่ และผู้ดูแลเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดสามารถทำได้ นั่นคือ การเฝ้าระวัง และใส่ใจในการเลือกอุปกรณ์ของใช้ รวมถึงเรื่องอาหารการกินให้เหมาะสมกับวัยของลูก ควรหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่จะก่อให้ลูกเกิดการแพ้ ทั้งของใช้ และอาหาร ฯลฯ เพราะการป้องกันก่อนเกิดการเจ็บป่วย ดีกว่าเกิดป่วยขึ้นมาแล้วไปตามรักษาทีหลัง

                     

                    สิ่งสำคัญในการดูแลลูกที่มีผื่นแพ้ คือช่วยลดอาการคัน และรักษาสุขอนามัยส่วนตัวให้สะอาด เช่น ตัดเล็บลูกให้สั้น ดูแลผิวให้สะอาด เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ปลอดภัยต่อลูก และปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะใช้ยาเองค่ะ

                     


                    ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลอ้างอิงจาก
                    รศ.พญ.วาณี  วิสุทธิ์เสรีวงศ์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล. ผื่นแพ้ในเด็ก. www.si.mahidol.ac.th
                    นายแพทย์เบนจามิน สป๊อก กุมารแพทย์. โรคภูมิแพ้. หนังสือคัมภีร์เลี้ยงลูก วัยแรกเกิด-วันรุ่นตอนปลาย หน้า  468.

                     

                    บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

                    3 เคล็ดลับจัดการปัญหา “ผิวแพ้ง่าย ผดผื่นระคายเคือง” ของลูกน้อยให้แข็งแรงสุขภาพดี

                    ทำอย่างไรเมื่อลูกน้อยมีผดผื่น ?

                    Covid toe ผื่นแดงขึ้นเท้า สัญญาณเตือน ลูกติดโควิดแม่อย่าชะล่าใจ

                      ประโยชน์ของอะโวคาโด

                      เยอะมากแม่! 12 ประโยชน์ของอะโวคาโด พัฒนาสมอง ป้องกันลูกพิการตั้งแต่ในท้อง

                      อะโวคาโดจัดว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพและถูกยกให้เป็น superfood ที่มีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นอยู่หลายชนิด  ซึ่งดีสำหรับคนท้องที่จะรับประทานในระหว่างตั้งครรภ์ ประโยชน์ของอะโวคาโด นั้นมีมากมายที่ดีต่อสุขภาพคุณแม่และการเจริญเติบโตของทารกในท้อง

                      อะโวคาโด (Avocado) อาจจะเป็นผลไม้ที่คุณแม่หลายคนเคยชิมแล้วรู้สึกแปลก ๆ เพราะมันอาจจะมีรสชาติที่แตกต่างจากผลไม้ทั่วไป คล้ายกับเนยที่มีจากนมวัว ดูแล้วเหมือนเป็นผลไม้ที่มีไขมันสูง แต่ความจริงแล้ว ได้มีงานของนักโภชนาการและนักวิทยาศาสตร์การอาหารหลายสำนัก ระบุตรงกันว่า อะโวคาโด ไม่ได้ส่งผลทำให้อ้วน ในเนื้อผลอะโวคาโดแต่ละพันธุ์จะประกอบด้วยไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวประมาณ 4-20% ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และประกอบด้วยไขมันชนิดที่ดี ซึ่งทำให้ระดับคอเลสเตอรอลตัวไม่ดี (LDL) หรือ ไขมันเลวในเลือดลดลงได้อีกด้วย

                      เมื่อเทียบกับผลไม้อื่น อะโวคาโดนับว่าเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารแน่นทั้งวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มากกว่า 20 ชนิด ในอะโวคาโด 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้

                      • วิตามิน B5 14 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
                      • วิตามิน B6 13 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
                      • วิตามิน C 17 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
                      • วิตามิน E 10 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
                      • วิตามิน K 26 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
                      • โพแทสเซียม 14 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
                      • โฟเลต 20 เปอร์เซนต์ (ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน)
                      • รวมทั้งแร่ธาตุและวิตามินที่สำคัญอีกมากมาย ได้แก่ แมกนีเซียม แมงกานีส ทองแดง เหล็ก สังกะสี ฟอสฟอรัส และวิตามินเอ, วิตามิน B1, B2, และวิตามินบี 3 โปรตีน ไขมันดี 15 กรัม คาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์

                      ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสารอาหารของแม่ขณะตั้งครรภ์ทุกวัน และมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและการพัฒนาของทารกในครรภ์อีกด้วย

                      ประโยชน์ของอะโวคาโดสําหรับคนท้อง
                      ประโยชน์ของอะโวคาโดสําหรับคนท้อง

                      12 ประโยชน์ของอะโวคาโด สำหรับคนท้อง ดีต่อแม่และลูกน้อย

                      1.ป้องกันความพิการแต่กำเนิดของทารกในครรภ์

                      อะโวคาโดถ้วยเดียวมีสารอาหารเกือบเท่ากับสารอาหารโฟเลตที่ร่างกายต้องการต่อวัน พบว่ามีโฟเลตมากถึง 150 ไมโครกรัมต่ออะโวคาโดครึ่งลูก ซึ่งโฟเลตจัดเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับแม่ท้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์จนถึงให้นมลูกหลังคลอด  เป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเกิดความพิการของทารกตั้งแต่เริ่มสร้างร่างของตัวอ่อนในครรภ์ ช่วยให้ลูกในท้องมีร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ได้ เนื่องจากทารกในครรภ์นั้นต้องการกรดโฟลิกหรือโฟเลตที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตและการพัฒนาของอวัยวะ นอกจากนี้หากว่าร่างกายของแม่ท้องได้รับสารโฟเลตอย่างเต็มที่ก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ หัวใจวาย ความดันเลือดได้

                      2.มีส่วนช่วยพัฒนาสมองของทารกในครรภ์

                      ในอะโวคาโดหนึ่งถ้วยมีโคลีน 22 มก. ที่เป็นสารอาหารจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและเส้นประสาทของทารกในครรภ์และการพัฒนาของเส้นประสาท มีโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันการเสื่อมของสมองและระบบประสาท

                      3.ป้องกันโรคโลหิตจาง

                      การขาดธาตุเหล็กในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางในหญิงตั้งครรภ์ ในอะโวคาโดมีปริมาณธาตุเหล็กจำนวนมาก ซึ่งจะช่วยป้องกันจากภาวะโรคโลหิตจางในระหว่างตั้งครรภ์

                      4.ลดอาการท้องผูก

                      อาการท้องผูกถือเป็นอาการที่อาจเกิดขึ้นได้กับแม่ท้องในระหว่างตั้งครรภ์แทบทุกคน ในอะโวคาโดประมาณครึ่งผล ประกอบไปด้วยใยอาหาร 5 กรัม และมีโปรตีนที่สูงกว่าผลไม้ชนิดอื่นซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย จึงช่วยในการย่อยอาหารและช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น ปลดล็อกอาการท้องถูกของคุณแม่ตั้งครรภ์ให้สบายขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้

                      5.ลดอาการแพ้ท้อง

                      อาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียนที่จะทำให้คุณแม่เหนื่อยและอ่อนเพลียในช่วงสามเดือนแรก วิตามินซีในอะโวคาโดจะสามารถช่วยคุณแม่บรรเทาอาการนี้ลงได้ ทั้งยังช่วยป้องกันหวัดและเลือดออกตามไรฟันอีกด้วย

                      6.ลดความเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 

                      อะโวคาโด อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เป็นไขมันที่ย่อยง่ายมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือดระหว่างตั้งครรภ์ จึงเป็นผลไม้สำหรับคุณแม่ที่เป็นโรคเบาหวานหรือป้องกันภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์รับประทานได้

                      7.ลดอาการตะคริว

                      ตะคริวเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในคนท้อง โพแทสเซียมและแคลเซียมในอะโวคาโดจะมีส่วนช่วยลดอาการตะคริว บรรเทาอาการปวดขาให้คุณแม่ได้

                      8.ช่วยในการดูดซึมสารอาหาร

                      อะโวคาโดไม่เพียงให้สารอาหารที่หลากหลายเท่านั้น แต่ปริมาณโปรตีนในอะโวคาโดจะยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่ละลายไขมันได้มากขึ้นจากอาหารอื่น ๆ เมื่อรับประทานร่วมกัน เช่น มันเทศ ผักใบเขียว และแครอท เป็นต้น

                      9.ลดความเสี่ยงของภาวะครรภ์เป็นพิษ

                      ในร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของสรีระเพื่อให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงเด็กทารกในครรภ์ได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นความดันโลหิตของคุณแม่ตั้งครรภ์ จึงมีโอกาสที่จะเกิดความดันต่ำและความดันสูง โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ใหม่ ๆ จะมีความดันโลหิตที่ต่ำลงจนถึงช่วงกลางของการตั้งครรภ์ และการเกิดความดันสูงระหว่างการตั้งครรภ์ ในกรณีที่คุณแม่เป็นความดันสูงก่อนการตั้งครรภ์ หรือคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เดิมมีความดันปกติ แต่เมื่อตั้งครรภ์เป็นความดันสูงก็อาจจะทำให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ ดังนั้นการได้กินอาหารที่มีโพแทสเซียมในปริมาณที่มากพอระหว่างตั้งครรภ์จะสามารถช่วยลดระดับความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งในอะโวคาโดมีแร่ธาตุโพแทสเซียมสูงมาก อะโวคาโดขนาด 100 กรัม มีปริมาณโพแทสเซียม 14 เปอร์เซนต์ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดครรภ์เป็นพิษต่อแม่ท้องลงได้ด้วย

                      10.ช่วยควบคุมน้ำหนักขณะตั้งครรภ์

                      คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเป็นพิเศษตลอดการตั้งครรภ์ และถึงแม้ว่าเรื่องอาหารเป็นสิ่งสำคัญในตอนท้อง แต่ขณะเดียวกันการรับประทานมากเกินไป อาจจะทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่ท้องเพิ่มมากเกินความจำเป็น ซึ่งก็จะส่งผลต่อการเกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นการดูแลน้ำหนักตัวของแม่ท้องนั้นควรเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่เหมาะสม และควรเลือกกินอาหารเป็นพิเศษ ซึ่งการกินอะโวคาโดจะช่วยแม่ท้องควบคุมน้ำหนักไม่ทำให้อ้วนหรือมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น และยังได้รับคุณค่าทางโภชนาการสูง มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เนื่องจากในอะโวคาโดมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่ำ มีน้ำตาลต่ำ มีโปรตีนสูง และมีไฟเบอร์สูงถึง 14 กรัม จึงช่วยลดโอกาสในการเพิ่มน้ำหนักอย่างมาก และมีไขมันชนิดที่ดี ไม่มีคอเลสเตอรอลหรืโซเดียม และมีไขมันอิ่มตัวต่ำ แต่ให้พลังงานและทำให้รู้สึกอิ่มท้องนานขึ้น อะโวคาโดสุก 100 กรัมหรือเพียงครึ่งผลก็เหมาะสำหรับทานเป็นมื้อว่างระหว่างวันของคุณแม่ท้องได้

                      11.ช่วยบำรุงประสาทและสมอง

                      ในอะโวคาโดมีกรดโอเลอิกสูง มีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่มีส่วนช่วยบำรุงระบบประสาทและสมองให้ทำงานได้ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์

                      12.ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายคุณแม่ขณะตั้งครรภ์

                      ในผลอะโวคาโดมีวิตามินหลากหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อาทิเช่น วิตามินซีช่วยป้องกันหวัดได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน วิตามินเอช่วยบำรุงสายตา วิตามินบีป้องกันการเกิดโรคปากนกกระจอก และช่วยป้องกันการเกิดโรคเหน็บชา วิตามินอี ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายจากมลพิษรอบตัวทั้งจากภายในและภายนอก และช่วยให้ระบบการทำงานภายในร่างกายแข็งแรง ช่วยป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ เช่น ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ เป็นต้น

                      คนท้องกินอะโวคาโด

                      กินอะโวคาโดอย่างไรได้ประโยชน์สำหรับแม่ท้อง

                      ถึงแม้อะโวคาโดจะเป็นผลไม้ที่ดูรูปร่างแปลกตา แถมยังมีรสชาติจืด ๆ เนื้อเนียน ๆ แต่เราก็เห็นแล้วว่าคุณค่าสารอาหารในอะโวคาโดนั้นอัดแน่นมากมายสำหรับคุณแม่ตั้งแม่ตั้งครรภ์และดีต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกขนาดไหน อย่างไรก็ตามอะโวคาโดก็เหมือนกับอาหารอื่น ๆ ที่มีพลังงาน การทานที่ให้ผลดีต่อคนท้องที่สุดคือ รับประทานครั้งละไม่เกินครึ่งผล (100 กรัม) หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1 ผลต่อวัน และควรทานควบคู่กับอาหารอื่นให้หลากหลาย ก็จะได้รับคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมต่อรางกาย หากรับประทานมากเกินไปก็จะทำให้เกิดแก๊สในลำไส้มาก อาจส่งผลให้เกิดอาการแพ้ท้องมากยิ่งขึ้น หรือทำให้เกิดอาการร้อนใน แน่นท้อง จุกเสียด ไม่สบายตัว เกิดกรดไหลย้อน

                      ควรเลือกกินอะโวคาโดสุก ส่วนผลที่ดิบสีเขียวไม่ควรรรับประทาน เพราะมีสารแทนนินในปริมาณจะมีรสขม เมื่อกินเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ หรือบางรายอาจมีอาการแพ้อะโวคาโด โดยอาจจะแพ้ในรูปของละอองเกสร หรือแพ้หลังจากการรับประทานไปแล้วก็ได้ อาการที่ปรากฏ ได้แก่ ปวดท้อง อาเจียน ผื่นคัน ลมพิษ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากสังเกตุอาการแพ้เหล่านี้ควรหยุดกินและรีบไปพบแพทย์ทันทีนะคะ.

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.momjunction.comwww.cheewajit.com

                      อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

                      22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

                      ผลไม้แม่ท้อง อะไรบ้างที่ควรและไม่ควรทาน

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        ฝังเข็มคุมกำเนิด

                        ฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไร? ข้อดี ข้อเสีย ที่ต้องรู้ก่อนทำ!

                        ขอบคุณภาพจาก www.semanticscholar.org

                         แม่ควรรู้ก่อนทำ! จะคุมกำเนิดด้วยวิธี ฝังเข็ม ดีหรือไม่? ฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไร? มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ทีมแม่ABK มีคำตอบจากนายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์) มาฝากค่ะ

                        โดยคุณหมอกล่าวว่า… มีคุณแม่หลายท่านแวะเวียนเข้ามาถามหมอว่า “คุณหมอคะ การฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไรคะ และฝังแล้วจะดีไหมคะ” วันนี้หมอจึงอยากมาให้ความรู้เรื่องการฝังเข็มคุมกำเนิด เพื่อให้คุณผู้หญิงทุกๆคนเข้าใจตรงกันและนำไปบอกเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนสนิทมิตรสหายให้เข้าใจได้ถูกต้อง

                        ฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไร?

                        ยาฝังคุมกำเนิด หรือ ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง (Contraceptive Implant)  คือ วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวชนิดหนึ่ง ที่ใช้ฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) บรรจุในหลอดพลาสติกชนิดพิเศษ ที่ไม่ละลายเมื่ออยู่ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีขนาดเล็กเท่าๆ กับก้านไม้ขีดไฟ ฝังเข้าสู่ร่างกายบริเวณใต้ท้องแขน (การฝังยาคุมกำเนิดสามารถทำได้ทั้งข้างซ้ายหรือข้างขวา ปกติจะฝังด้านที่เราไม่ถนัด ) มีประสิทธิภาพสูงในการคุมกำเนิดได้ยาวนาน 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของยา ปัจจุบันมีใช้อยู่ 3 แบบด้วยกัน คือ

                        1. นอร์แพลนท์ (Norplant) เป็นยาคุมกำเนิดแบบฝัง ชนิดแรกสุด ซึ่งประกอบด้วยตัวยาขนาด 3.4 x 24 เซนติเมตร จำนวน 6 แท่ง ฝังเข้าสู่ร่างกายบริเวณท้องแขนเป็นรูปพัด เนื่องจากจำนวนแท่งที่มากถึง 6 แท่ง ทำให้ต้องใช้เวลาในการฝังยาและการถอดยาออกนานกว่าชนิดอื่นๆ ปัจจุบันจึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก
                        2. อิมพลานอน (Implanon) ตัวแท่งยา ขนาด 4.0×2 เซนติเมตร มาพร้อมชุดฝังสำเร็จรูปพร้อมใช้งาน เพื่อทำให้หมอฝังยาได้ง่าย และ แท่งยาอยู่ในระดับที่เหมาะสมใต้ผิวหนัง ไม่ตื้นหรือลึกจนเกินไป ทำให้เวลาถอดยาออกก็ทำได้ง่ายเช่นกัน และถ้าต้องการคุมกำเนิดต่อ สามารถฝังยาแท่งใหม่หลังเอายาแท่งเก่าออกได้ทันที ระยะเวลาคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี
                        3. จาเดลล์ (Jadelle) ตัวแท่งยาขนาด 4.3×25 เซนติเมตร จำนวน 2 แท่ง ฝังในแบบเดียวกับ อิมพลานอนสามารถคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี
                        ฝังเข็มคุมกำเนิด
                        ขนาดของเข็มคุมกำเนิด

                        ตอนนี้หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า ยาฝังคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร? … ยาฝังเข็มคุมกำเนิด ออกฤทธิ์โดยการหลั่งฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เพียงอย่างเดียว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน  ซึ่งยาฝังคุมกำเนิดจะทำหน้าที่ป้องกันการตั้งครรภ์ ผ่าน 3 กระบวนการ คือ

                        1. การยับยั้งการตกไข่ หรือการยับยั้งการพัฒนาของฟองไข่ ในแต่ละรอบเดือน
                        2. การทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวข้นขึ้น ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิในการว่ายเข้าสู่โพรงมดลูกได้ยาก
                        3. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลง ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของตัวอ่อน

                        จากกระบวนการหลายส่วนดังกล่าว ทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยาฝังคุมกำเนิดสูงมาก หรือจะเรียกว่าสูงที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยประสิทธิภาพการคุมกำเนิดด้วย ฝังเข็มคุมกำเนิด นี้จะวัดกันที่อัตราความล้มเหลว (Failure Rate) ของแต่ละวิธี หรือจำนวนการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นต่อปี

                        ซึ่งพบว่า ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง หรือวิธี ฝังเข็มคุมกำเนิด มีอัตราความล้มเหลว ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เพียงร้อยละ 0.05 (1 ใน 2,000 คน) เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่า ยาเม็ดคุมกำเนิด (ร้อยละ 0.3) ยาฉีดคุมกำเนิด (ร้อยละ 0.2) ตลอดจนถึงการทำหมันหญิง (ร้อยละ 0.5)

                        ฝังเข็มคุมกำเนิด
                        การฝังเข็มคุมกำเนิด

                        ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฝังยาคุมกำเนิด คือ ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นในขณะที่ฝังยา หรือ หลังการแท้งบุตรไม่เกิน 2 สัปดาห์ หรือหลังคลอดบุตรไม่เกิน 6 สัปดาห์ ส่วนวิธีฝังยาคุมกำเนิดก็ไม่ได้ยุ่งยากใดๆ โดย ขั้นแรกเมื่อคนไข้เลือกชนิดของยาได้แล้ว หมอจะทำความสะอาดผิวหนังตรงตำแหน่งที่เลือกจะฝังยา ทำการฉีดยาชา แล้วสอดเครื่องมือซึ่งมีลักษณะคล้ายเข็มฉีดยาปลายแหลม เข้าไปใต้ผิวหนัง เมื่อได้ตำแหน่งที่ต้องการแล้ว จะมีตัวดันยาออกจากหลอดให้ยาเข้าไปอยู่ในบริเวณใต้ผิวหนัง ใช้เวลา 10-15 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย

                        การใช้เวลาในการฝังมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของยาดังที่กล่าวมาแล้ว (1 แท่ง 2 แท่ง หรือ 6 แท่ง) และประสบการณ์ของแพทย์ผู้ฝังยา หลังจากนั้นจะปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ (ไม่ต้องเย็บแผล)  ตามด้วยผ้าพันแผลพันทับอีกชั้นหนึ่ง หลัง 24 ชั่วโมงสามารถเอาผ้าพันแผลออกได้ ถ้าหมอติดพลาสเตอร์กันน้ำก็สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นพลาสเตอร์ไม่กันน้ำ ควรไม่ให้แผลโดนน้ำประมาณ 3-5 วัน หมออาจให้ยาแก้ปวดกลับไปทานถ้ามีอาการปวดในช่วง 1-2 วันแรก และนัดมาดูแผล 1 สัปดาห์ หลังจากฝังยาต้องคอยสังเกตอาการของการอักเสบของแผลที่ฝังยา ปกติแผลจะหายเป็นปกติภายใน 7 วัน ถ้าแผลมีอาการบวมแดง มีหนอง หรือ มีไข้ ต้องรีบกลับไปพบแพทย์

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด

                        นอกจาก ฝังเข็มคุมกำเนิด จะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ยังเป็นวิธีที่มีความสะดวก เพราะฝังยาเพียงครั้งเดียวป้องกันได้นาน 3-5 ปี และออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้เร็ว (หลังจากฝังยาได้ 7 วัน สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้) ไม่ต้องกลัวลืมทานยา หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เหมือนการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทาน สามารถเลิกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ หลังจากเอายา ฝังเข็มคุมกำเนิด ออก ภาวะเจริญพันธ์ หรือการกลับมาตั้งครรภ์ ได้เร็วกว่ายาคุมกำเนิดชนิดฉีด ยาฝังคุมกำเนิดใช้ได้ดีกับผู้หญิงหลังคลอดที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะไม่มีผลต่อปริมาณน้ำนม นอกจากนี้ยังทำให้เลือดประจำเดือนน้อยลง ลดภาวะโลหิตจาง และป้องกันโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้อีกด้วย

                        ข้อเสียของวิธี ฝังเข็มคุมกำเนิด

                        สำหรับข้อเสีย หรือ ผลข้างเคียงหลังจากฝังยาคุมกำเนิด ในช่วงแรกประจำเดือนอาจจะไม่สม่ำเสมอ มาแบบกะปริบกะปรอยในช่วงแรก หรือบางรายอาจมีประจำเดือนมามากติดต่อกันหลายวัน หรือบางรายไม่มีประจำเดือนมาเลย (บางรายถ้าประจำเดือนผิดปกติมาก แพทย์อาจใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ช่วยปรับเรื่องประจำเดือนผิดปกติในช่วงแรกของการฝังยา เพื่อให้ประจำเดือนสม่ำเสมอขึ้น) ฮอร์โมนในยาฝังคุมกำเนิดอาจส่งผลทำให้มีอารมณ์แปรปรวน สิว คลื่นไส้ เจ็บคัดเต้านมได้ในบางราย ยาฝังคุมกำเนิดควรระวังในการใช้กับผู้หญิงบางราย เช่น ผู้ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์ ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน ประวัติโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด ผู้ป่วยโรคตับ ประวัติมะเร็งเต้านม ถ้าสงสัยโรคดังกล่าวควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะได้ประเมินว่าเหมาะสมที่จะรับการฝังยาคุมกำเนิดหรือไม่ และระลึกไว้เสมอว่า การฝังยาคุมกำเนิดไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

                        สุดท้ายคงเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการฝังยาคุมกำเนิด ถ้าฝังยาในโรงพยาบาลของรัฐ จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,000 – 4,000 บาท แต่ถ้าเป็นส่วนโรงพยาบาลเอกชน ราคาอาจจะแตกต่างกันในแต่ละโรงพยาบาล สามารถตรวจสอบราคาก่อนเข้ารับบริการได้ทุกสถานพยาบาล

                        >> ปัจจุบันมีโครงการของรัฐ เพื่อ ฝังเข็มคุมกำเนิด ฟรี!! ให้กับวัยรุ่นอายุ 10-20 ปี ตาม พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 สามารถเข้ารับการฝังยาคุมกำเนิดฟรีที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ

                        สรุปได้ว่า… ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง และมีฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน 3- 5 ปี จีงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดระยะยาว ท่านที่สนใจควรพบแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้ยานี้ทุกครั้ง

                        บทความโดย : นายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์)
                        แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
                        พันธุศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอบกิ้น สหรัฐอเมริกา

                         

                        อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

                        กินยาคุม ทำไมยังท้องได้

                        กินยาคุมแล้วมีลูกยาก กับความเชื่อที่แม่ควรรู้

                        แม่เล่า ขาดกรดโฟลิก ตอนท้อง ลูกเกิดมาพิการเป็นโรคนี้..แต่กำเนิด

                        คุมกำเนิดหลังคลอด เมื่อไหร่? อย่างไรดี!

                        อึ้ง!! เด็กซื้อยาคุมกำเนิด กับผลข้างเคียงที่ตามมาในอนาคต

                          พยาธิตืดหมู

                          เตือนภัย! กินผักสด หมูดิบ ต้องระวัง พยาธิตืดหมู ไชยั้วเยี้ยเต็มร่างกาย

                          เรื่องของกินคือเรื่องอร่อยของทุกคน แต่สำหรับคนชอบกินผักสด หมูดิบ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบควรต้องระวัง หลังพบว่าโรค พยาธิตืดหมู ส่งผลต่อร่างกายเกินกว่าที่จะคิดได้!

                          เตือนภัย! กินผักสด หมูดิบต้องระวัง พยาธิตืดหมู ไชยั้วเยี้ยเต็มร่างกาย

                          ปลุกกระแสให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องโภชนาการกับการบริโภคอาหารแบบปรุงสุก หลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบ ๆ หรือการรับประทานผักสดที่จำเป็นต้องล้างให้สะอาดก่อนกิน เมื่อมีเรื่องราวเตือนภัยของผู้ป่วยอายุ 18 ปี ไปโรงพยาบาลด้วยอาการปวดศีรษะ อาเจียน ชัก และประสาทสัมผัสที่เปลี่ยนแปลง โดยจากการตรวจเริ่มแรกพบหนังตาขวาบวม ผู้ป่วยมีอาการชัก ตามด้วยกล้ามเนื้อตึง เกร็ง และหมดสติ ก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยมีอาการเจ็บที่บริเวณขาหนีบนำมาก่อน ตามด้วยเจ็บที่อัณฑะขวา ผลการตรวจด้วย MRI พบซีสต์จำนวนมากในเนื้อเยื่อสมอง ศีรษะ กล้ามเนื้อ คอ ผนังหน้าอก ผนังหน้าท้อง กล้ามเนื้อข้างกระดูกสันหลัง สะโพก กระดูกเชิงกราน และกล้ามเนื้อแขนขา และยังพบซีสต์ในตาและอัณฑะ ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “พยาธิตืดหมู” การได้รับเชื้อนี้ เกิดจากการกินไข่พยาธิที่ปนเปื้อนในผัก ผลไม้ น้ำ หรือดินที่ติดมากับมือแล้วไม่สะอาด

                          พยาธิตืดหมูในคน

                          ภาพจากเพจ PDRC ศูนย์วิจัยโรคปรสิต สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ระบุว่า จุด ๆ สีขาวนั้นคือซีสต์พยาธิตืดหมูกระจายเต็มตัวไปหมด ซึ่งเป็นระยะตัวอ่อน cysticercus ของพยาธิตืดหมู

                          โรคพยาธิตืดหมู คืออะไร?

                          พยาธิตืดหมู หรือตัวตืดหมู คือปรสิตชนิดหนึ่งที่เป็นพยาธิของคน เกิดจากพยาธิตืดหมูชื่อที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Taenia solium  เป็นพยาธิตัวแบนซึ่งเป็นกระเทย เนื่องจากมีอวัยวะเพศผู้และเพศเมียอยู่ในปล้องเดียวกัน พยาธิตืดตัวเต็มวัยอยู่ในลำไส้เล็กได้หลายปี มีความยาวประมาณ 2 ถึง 7 เมตร ลักษณะลำตัวมี สีขาวขุ่น เป็นปล้องแบน แต่ละปล้องจะมีไข่ประมาณ 30,000- 50,000 ฟอง ซึ่งอยู่ส่วนปลายจะหลุดออกจากตัวเต็มวัย และเคลื่อนที่ได้ จึงอาจคืบคลานออกมาทางรูทวารได้เอง หรือปล้องสุกอาจจะแตกก่อนที่บริเวณลำไส้ใหญ่ และปล่อยไข่ปะปนออกมากับอุจจาระของคน และกระจายอยู่ในธรรมชาติ รอเวลาเข้าสู่คนหรือหมูเป็นวงจรต่อไป

                          พยาธิตืดหมูสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งคนและหมู หมูและคนเมื่อได้รับไข่พยาธิจะทำให้เกิดการติดเชื้อ แบ่งเป็น พยาธิตืดหมูอาศัยอยู่ในลำไส้ ซึ่งในกรณีนี้คนทำหน้าที่เป็นโฮสต์สุดท้ายหรือโฮสต์จำเพาะ โดยตัวอ่อนจะฝังตัวตามอวัยวะต่าง ๆ คนจะได้รับเชื้อนี้โดยการรับประทานไข่พยาธิ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งปนเปื้อนอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาดหรือที่ออกมากับอุจจาระ และพยาธิตัวอ่อนในถุงน้ำ หรือที่เรียกว่า ซีสต์เม็ดสาคู เข้าไปฝังตัวในเนื้อเยื่อของคน เรียกว่า โรคซีสติเซอร์โคซิส (Cysticercosis) ในกรณีนี้คนทำหน้าที่เป็นโฮสต์ตัวกลาง โรคดังกล่าวพบได้ทั่วโลก โดยพบได้บ่อยในประเทศด้อยพัฒนาและในประเทศที่กำลังพัฒนา รวมถึงทุกแหล่งที่มีการสาธารณสุขที่ไม่ดี ทั้งนี้ทั่วโลกพบการติดเชื้อโรคนี้ได้ประมาณ 50-100 ล้านคน การติดเชื้อนี้พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ ผู้หญิงและในผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคใกล้เคียงกัน

                          ซีสต์ตืดหมู

                          ภาพนี้เป็นซีสต์ตัวอ่อนพยาธิตืดหมู Taenia solium ตีพิมพ์โดย Beda John Mwang’onde (2019) ในหมูอายุ 8 เดือน มีระยะติดต่อ cysticercus เต็มไปหมดที่กล้ามเนื้อหัวใจ (a) สมอง (b) และกล้ามเนื้อท้อง (c) เคสนี้กระจายไปหมด ถือว่ารุนแรงมาก จากเพจ PDRC ศูนย์วิจัยโรคปรสิต สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

                          พยาธิตืดหมูเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?

                          • ติดต่อผ่านทางอาหารและการปนเปื้อนในอาหาร เมื่อคนรับประทานอาหารที่ประกอบจากเนื้อหมูที่มีตัวอ่อนของพยาธิที่อยู่ในกล้ามเนื้อของหมู ซึ่งนำมาทำเป็นอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ รับประทาน เช่น ลาบ ลู่ น้ำตก หมู แหนม เป็นต้น
                          • จากการดื่มน้ำที่ไม่สะอาดและการรับประทานอาหารที่มีไข่ของพยาธิ เช่น ผักสด ผลไม้สด ที่ล้างไม่สะอาด หรือที่ผลิตผลอยู่บนดินหรือมีหัวอยู่ในดิน เช่น สตรอเบอรี่ แครอท หัวไชเท้า รวมทั้งพืชผักที่ใช้อุจจาระของคน หรือสัตว์เป็นปุ๋ย เป็นต้น
                          • จากการที่ขย้อนปล้องสุกเข้าสู่กระเพาะ ทำให้เหมือนกินไข่พยาธิเข้าไปกับอาหาร
                          • จากการที่ผู้ป่วยมีพยาธิตัวเต็มวัยอยู่ในลำไส้อยู่แล้ว และใช้มือล้างหรือเกาบริเวณทวารหนักโดยไม่ทำความสะอาดมือ ไข่พยาธิที่มาติดอยู่บริเวณนั้นติดนิ้วมือไป เมื่อนำมือมาจับอาหารเข้าปากหรืออมนิ้ว ไข่พยาธิก็จะเข้าปากเกิดการติดเชื้อได้

                          Taenia solium

                           อันตรายจากพยาธิตืดหมู

                          เมื่อคนกินไข่ของพยาธิตืดหมูที่ปนเปื้อนในอาหาร ผักสด ผลไม้ หรือน้ำที่ไม่สะอาดเข้าไปเข้าไป ไข่พยาธิก็จะโตเป็นระยะตัวอ่อนเม็ดสาคูในร่างกายคน หรือเกิดการขย้อนปล้องสุกของพยาธิตืดหมูที่อยู่ในลำไส้กลับขึ้นไปในกระเพาะอาหาร จะทำให้พยาธิตัวอ่อนในไข่ฟักตัวออกมาแล้วไชทะลุผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ไปเติบโตเป็นถุงน้ำ ตัวตืด ลักษณะแบบเดียวกับเม็ดสาคูในเนื้อหมู โดยกระจายไปอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง ตา หัวใจ ตับปอด เนื้อเยื่ออื่น ๆ และกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย หรือบางครั้งอาจคลำเป็นเม็ด ๆ ใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการรุนแรง ภาวะที่มีตัวอ่อนเม็ดสาคูในร่างกาย เรียกว่า ซิสติเซอร์โคซิส (cysticercosis) อาจก่อให้เกิดพยาธิสภาพที่รุนแรงได้ ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ตัวอ่อนไปฝังตัวอยู่ เมื่ออยู่ในอวัยวะที่สำคัญ ๆ เช่น ในสมองและไขสันหลัง (neurocysticercosis) บางทีรุนแรงอาจถึงเสียชีวิตได้ หรือตาบอดเมื่ออยู่ในตา (ocular cysticercosis)

                          อาการเมื่อมีพยาธิตืดหมูในร่างกาย

                          • รู้สึกกินเก่งขึ้น เนื่องจากมีพยาธิตัวเต็มวัยในลำไส้คอยแย่งอาหาร
                          • หิวบ่อย แต่น้ำหนักลด ร่างกายผอมลง
                          • มีอาการปวดท้อง ท้องอืด
                          • คลื่นไส้ อาเจียน
                          • อุจจาระบ่อย เนื่องจากมีการระคายเคืองต่อลำไส้
                          • อุจจาระออกมาพร้อมปล้องสุกของพยาธิ เป็นเส้นยาว ๆ แบน ๆ สีขาวอมเหลือง
                          • มีภาวะซีด
                          • อาจเกิดเป็นซีสต์ ซึ่งอาการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของซีสต์ เช่น ซีสต์อยู่ที่ตาก็จะปวดตา ตาพร่ามัว แต่หากเกิดซีสต์ที่เนื้อเยื่อสมอง อาจไม่มีอาการหรือมีอาการ เช่น ปวดศีรษะ ชัก มือเท้าชา วิงเวียนศีรษะ เป็นลม หรืออาจจะมีอาการปวดศีรษะเนื่องจาก ซีสต์ไปอุดทางเดินน้ำไขสันหลังทำให้ความดันในสมองสูง ซึ่งเป็นอาการที่ผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด เรียกว่า โรคนิวโรซีสติเซอร์โคซีส (Neurocysticercosis) ถ้าผู้ป่วยเป็นมากอาจเสียชีวิตได้

                          หากรู้สึกมีอาการดังกล่าวควรพบแพทย์โดยทันที ในกรณีนี้ถ้าสังเกตเห็นพยาธิออกมาก็สามารถนำมาให้แพทย์ตรวจดูด้วย

                          การป้องกันไม่ให้เกิดโรคพยาธิตืดหมู

                          1.หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อหมูหรืออาหารแบบสุก ๆ ดิบ ๆ

                          2.สังเกตลักษณะของเนื้อหมูที่ซื้อมา หากพบว่ามีตุ่มขาวเหมือนเม็ดสาคูเม็ดใหญ่ในเนื้อหมูไม่ควรรับประทานอย่างยิ่ง

                          โรคพยาธิตืดหมู

                          3.ล้างผักผลไม้สดที่ซื้อให้สะอาดก่อนรับประทานเสมอ เพราะในผักผลไม้สดอาจมีไข่พยาธิตัวตืดปะปนมาได้ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีลักษณะของหัวที่อยู่ใต้ดิน

                          4.ล้างมือให้สะอาดหลังเข้าห้องน้ำ ฟอกสบู่หลังจากถ่ายอุจจาระทุกครั้ง เพื่อกำจัดไข่พยาธิที่อาจติดมือไปแพร่ให้ตนเอง และผู้อื่นทางการปนเปื้อนอาหารได้

                          5.ล้างมือก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ควรใช้ช้อนตักอาหารเข้าปาก หลีกเลี่ยงการใช้มือจับอาหารเข้าปาก และควรสอนลูกไม่ให้ติดนิสัยดูดนิ้วอมนิ้ว

                          6.การเตรียมอาหารหรือประกอบอาหารควรล้างมือ ฟอกสบู่ ก่อนทำอาหารทุกครั้ง เพื่อป้องกันไข่พยาธิปะปนลงไปในอาหาร

                          7.ถ่ายอุจจาระในห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ ไม่ถ่ายอุจจาระลงแม่น้ำลำคลองหรือบนพื้นดิน และไม่ใช้อุจจาระคนเป็นปุ๋ยรดต้นผักเพราะเป็นการทำให้ไข่พยาธิอยู่ในดินและหมูมากินเข้าไป กลายเป็นวงจรเกิดพยาธิตืดหมูได้

                          8.ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุก

                          คุณพ่อคุณแม่อาจจะเห็นได้ว่า การเกิดพยาธิตืดหมูดูเหมือนเป็นโรคที่ไกลตัวแต่จริง ๆ แล้วอาจเกิดขึ้นใกล้ตัวต่อคนในครอบครัวได้ ดังนั้นการดูแลสุขอนามัยและโภชนาการที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงการฝึกนิสัยให้ทุกคนได้ล้างมือบ่อย ๆ กินร้อน และใช้ช้อนกลาง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะมีส่วนช่วยให้ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ ได้นะคะ

                          ขอบคุณภาพจาก : PDRC ศูนย์วิจัยโรคปรสิต สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.eent.co.thwww.siamhealth.netwww.mittraparphosp.com

                          อ่านต่อบทความดี ๆ น่าสนใจ คลิก!

                          เตือนภัย! ยาชุดแก้ปวดเมื่อย ไม่ช่วยให้หาย…แถมเสี่ยงตายไม่รู้ตัว

                          แม่เตือนภัย…ระวัง กิ้งกือมีพิษ ปล่อยสารโดนลูกน้อยเกือบตาบอด

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            วิธีแก้กรดไหลย้อน

                            วิธีแก้กรดไหลย้อน ขณะตั้งครรภ์ อะไรที่แม่ท้องควรกิน vs ไม่ควรกิน

                            ในระหว่างตั้งครรภ์จะมีอาการคนท้องมากมายเกิดขึ้นกับร่างกายคุณแม่ “ภาวะกรดไหลย้อน” ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีแก้กรดไหลย้อน ต้องทำยังไงให้คุณแม่รู้ไว้เตรียมรับมือ เพื่อช่วยให้รู้สึกสบายตัวและใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

                            วิธีแก้กรดไหลย้อน ตอนท้อง ช่วยให้แม่ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

                            อาการ “กรดไหลย้อน” เป็นภาวะของการที่กระเพาะอาหารมีการผลิตน้ำย่อยออกมามากจนเกินไปเนื่องจากสิ่งเร้า ประกอบกับหูรูดรอบ ๆ กระเพาะอาหารส่วนบนที่ติดกับบริเวณหลอดอาหารนั้นมีภาวะเสื่อมจึงไม่สามารถหดปิดได้สนิท กรดจึงไหลย้อนขึ้นมาได้ง่าย โรคนี้เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปและเป็นอีกหนึ่งอาการยอดฮิตที่แม่ตั้งครรภ์ต้องเผชิญ ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและระบบภายในของร่างกาย ที่ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง และทำให้กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณปลายหลอดอาหารที่อยู่ติดกับกระเพาะคลายตัวบ่อยกว่าปกติ รวมทั้งอาการอาจจะมากขึ้นเมื่ออายุครรภ์เพิ่มขึ้น เพราะช่วงเวลาที่ทารกในครรภ์เจริญเติบโตขึ้น มดลูกมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น จนไปกดทับและดันกระเพาะอาหารให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ประกอบกับเมื่อคุณแม่รับประทานอาหารมาก ๆ โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้ง น้ำตาล และไขมันในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น เนื่องจากน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร ในกรณีของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นอยู่แล้วอาจมีผลให้อาการกรดไหลย้อนทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นได้ อาการนี้มักเกิดขึ้นได้หลังประทานอาหารเสร็จและในช่วงเวลากลางคืน และมักเกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วง 6-12 สัปดาห์และเกิดขึ้นร่วมด้วยกับอาการแพ้ท้อง รวมทั้งระหว่างตั้งครรภ์ 3-6 เดือน และช่วงใกล้คลอดด้วย

                            อาการกรดไหลย้อนตอนท้อง
                            อาการกรดไหลย้อนตอนท้อง

                            อาการกรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์

                            • รู้สึกแสบร้อนบริเวณคอ บริเวณหน้าอก หรือใต้ลิ้นปี่ บางครั้งอาจแสบย้อนไปถึงกล่องเสียง และจมูกได้
                            • ระคายเคืองคอ เจ็บคอ หรือเสียงแหบ
                            • เรอออกมาบ่อย เรอเปรี้ยว หรือรู้สึกขมไหลย้อนขึ้นมาที่คอหรือปาก
                            • คลื่นไส้ อาเจียน
                            • ท้องอืด แน่นท้อง แน่นในคอ

                            พฤติกรรมเสี่ยงกรดไหลย้อนที่แม่ท้องต้องระวัง!

                            • การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อน
                            • รับประทานอาหารแต่ละมื้อละมากเกินไป
                            • รับประทานอาหารก่อนนอน เนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะยังทำงานอยู่และน้ำย่อยมีฤทธิ์เป็นกรดจะเข้าไปกัดเนื้อเยื่อของหลอดอาหารที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้
                            • นอนราบหลังรับประทานอาหารเสร็จ เพราะอาจทำให้น้ำย่อยไหลย้อนจากกระเพาะอาหารขึ้นไปตามหลอดอาหารและลำคอได้
                            • ดื่มน้ำในระหว่างรับประทานอาหาร ควรดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารเสร็จ หรือในช่วงระหว่างวัน

                            7 อาหารเสี่ยงกรดไหลย้อนที่แม่ท้องไม่ควรกิน

                            1.อาหารที่มีแก๊สมาก เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ โซดา อาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด อาหารรสเผ็ดจัด และถั่ว เพราะอาหารเหล่านี้กระตุ้นการสร้างน้ำย่อยมากขึ้น อาจก่อให้เกิดกรดไหลย้อนขึ้นได้

                            2.อาหารไขมันสูง เช่น อาหารทอด อาหารมัน ฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ นม เนย ชีส ไอศกรีม หรือไขมันจากเนื้อสัตว์ เป็นต้น เนื่องจากไขมันจากอาหารเหล่านี้จะไปรวมกับกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการจุก แน่น หรือร้อนที่กลางอกได้

                            3.ผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรดมาก การรับประทานผลไม้สำหรับคนท้องเป็นสิ่งที่ดี แต่ในช่วงที่คุณแม่ท้องมีอาการกรดไหลย้อนควรเลี่ยงผลไม้ที่มีกรดมากไว้ก่อน เช่น ส้ม องุ่น มะนาว สับปะรด มะเขือเทศ หรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยวจัดก็ควรเลี่ยงด้วยเช่นกัน

                            4.ผักที่มีกรดแก๊สมาก เช่น หอมหัวใหญ่ดิบ กระเทียม พริก พริกไทย หอมแดง หรือสะระแหน่ รวมทั้งผักดิบทุกชนิดก็ควรเลี่ยงนะคะ เพราะผักเหล่านี้จะไปเพิ่มกรดแก๊สในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก

                            กรดไหลย้อน ป้องกัน

                            5.อาหารหมักดอง เช่น ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม กิมจิ ซูชิบางชนิดที่มีผักดอง ฯลฯ ซึ่งโดยปกติอาหารหมักดองก็เป็นอาหารประเภทที่แม่ท้องควรหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมีอาการกรดไหลย้อนคุณแม่ควรงดรับประทานอาหารเหล่านี้เพราะจะมีส่วนเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร ก่อให้เกิดอาการจุดเสียดแน่นท้องได้

                            6.ขนมหรือของหวาน เช่น คุกกี้เนยที่มีไขมันสูง บราวนี่ ช็อคโกแลต โดนัท ขนมที่ทำจากข้าวโพด

                            7.อาหารเสริม/ วิตามินเสริม อาหารเสริมและวิตามินเสริมบางชนิดที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น สารสกัดจากกระเทียม วิตามินอีหรือวิตามินซี ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มกรดในกระเพาะด้วย ซึ่งสำหรับคุณแม่ท้องการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือวิตามินเสริมควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่กินเข้าไป ล้วนส่งผ่านและมีผลกระทบต่อลูกในท้องได้ การกินอาหารเสริมเพิ่มเติมควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อประเมินว่าจำเป็นหรือไม่ หรือกินวิตามินของคนท้องตามที่คุณหมอแนะนำ

                            นอกจากอาหารเสี่ยงกรดไหลย้อนที่ควรหลีกเลี่ยง ยังมีอาหารอีกมากมายที่คุณแม่สามารถรับประทานได้ระหว่างตั้งครรภ์เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพและให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่

                            6 อาหารช่วยลดอาการกรดไหลย้อน

                            1.น้ำขิง เพราะขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน นอกจากจะช่วยลดอาการแพ้ท้องแล้ว การดื่มน้ำขิงสามารถช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาการกรด-แก๊สในกระเพาะเกินได้ ช่วยย่อย กระตุ้นการทำงานของลำไส้ บรรเทาอาการของโรคกรดไหลย้อนได้

                            2.เนื้อสัตว์หรืออาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา, ไก่, ไข่ขาว หรือผลิตภัณฑ์จากไข่ขาว เป็นต้น

                            3.ผลไม้ที่มีค่าความเป็นกรดต่ำหรือเป็นด่าง เช่น กล้วย แอปเปิ้ล แก้วมังกร อะโวคาโด แตงโม เมล่อน มะละกอสุก มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน เป็นต้น

                            4.ผักใบเขียวที่มีค่าความเป็นด่างสูง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี ผักเคล บล็อคโคลี่ แครอทและผักโขม เป็นต้น การรับประทานผักสีเขียวเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้กระเพาะอาหารมีความเป็นกลางมากขึ้น ช่วยบรรเทาอาการของโรคกรดไหลย้อนได้

                             

                            เป็นกรดไหลย้อนกินโยเกิร์ตได้ไหม

                            5.ผลิตภัณฑ์นม เช่น นมไขมันต่ำหรือพร่องมันเนย โยเกิร์ต สูตรที่ไม่หวานและไขมันต่ำ (Low fat) เชดดาร์ชีส ครีมชีสปราศจากไขมัน เป็นต้น

                            6.ธัญพืช เช่น ขนมปังธัญพืช ขนมปังข้าวโพด โยเฉพาะข้าวโอ๊ต สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคกรดไหลย้อนได้เป็นอย่างดีที่ช่วยเคลือบเยื่อบุในกระเพาะอาหารได้

                            6 วิธีรับมือเมื่อคุณแม่เป็นกรดไหลย้อน

                            1.ควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเปลี่ยนมารับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลง แต่แบ่งอาหารเป็นมื้อย่อย ๆ และเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน โดยเฉพาะมื้อเย็นควรรับประทานแต่พออิ่ม และควรกินอาหารก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมงจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกรดไหลย้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้

                            2.ไม่เอนตัวนอนหลังรับประทานอาหารเสร็จ ควรลุกเดิน นั่งหรือยืน ซัก 10 – 15 นาที เพื่อให้อาหารได้ย่อยง่ายมากขึ้นก่อนเอนตัวลงนอน

                            3.นอนคะแคงซ้าย ควรเลี่ยงหลีกท่านอนหงายและท่านอนตะแคงขวา เพราะกระเพาะอาหารจะอยู่เหนือหลอดอาหารทำให้หูรูดหลอดอาหารเปิดออกได้จนทำให้เกิดกรดไหลย้อน และควรใช้หมอนหนุนบริเวณลำตัวส่วนบนระหว่างนอนหลับให้สูงอย่างน้อย 6 นิ้ว เพื่อให้หลอดอาหารอยู่สูงกว่ากระเพาะอาหาร ป้องกันกรดไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหารได้

                            4.ออกกำลังกาย ในขณะตั้งครรภ์คุณแม่สามารถออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่น โยคะคนท้อง เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนักตอนท้อง การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อนได้

                            5.ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล เพราะเมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะกระตุ้นให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งออกมามากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ อาการเครียดอาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้ง่าย ๆ ดังนั้นคุณแม่อาจหาวิธีคลายเครียด เช่น การฟังเพลง การดูหนัง การดูละคร เดิ้อปปิ้งหาคนพูดคุย นั่งสมาธิ ฯลฯ วิธีนี้เหล่านี้ก็จะช่วยคุณแม่ขจัดความเครียดออกไปได้ระดับหนึ่ง

                            6.ใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เช่น Cimetidine, Ranitidine ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป มีฤทธิ์ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยให้มีกรดเกินไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหารน้อยลง อย่างไรก็ตามแม้ยาลดกรดจะไม่พบว่ามีอันตรายต่อการตั้งครรภ์แต่อย่างใด แต่หากคุณแม่มีอาการควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อยารับประทานหรือให้คุณหมอสั่งยา เพื่อความปลอดภัยต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ดีที่สุด

                            กรดไหลย้อนอันตรายไหม
                            กรดไหลย้อนอันตรายไหม

                            กรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์เป็นอันตรายต่อลูกในท้องหรือไม่?

                            หากคุณแม่มีภาวะกรดไหลย้อนไม่มากนักในขณะตั้งครรภ์ ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์แต่อย่างใด แต่ถึงแม้จะไม่เป็นอันตรายก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคุณแม่ได้ เพราะจะทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บแสบเมื่อเกิดอาการขึ้น สร้างความลำบาก รำคาญใจ ทำให้แม่ท้องหงุดหงิดได้ง่าย แต่ถ้ามีอาการของโรคมากและต่อเนื่อง อาจทำให้คุณแม่ไม่สามารถที่จะรับประทานอาหารได้มากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารก็จะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ทำให้ลูกมีน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และอาจมีผลต่อการพัฒนาร่างกายทารกในระยะยาวทั้งในส่วนของระบบประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะภายในส่วนต่าง ๆ ได้ หรือในรายที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบได้ แต่อาการนี้จะค่อย ๆ หายไปเองหลังคลอด

                            ในช่วงที่คุณแม่ต้องเจอกับอาการกรดไหลย้อนระหว่างตั้งครรภ์ การดูแลตัวเองและการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์บางส่วนในชีวิตประจำวัน เช่น ปรับพฤติกรรมการกิน การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารที่มีความเป็นกรดหรือมีไขมันสูง ฯลฯ ก็จะช่วยให้คุณแม่ห่างไกลจากอาการกรดไหลย้อนในขณะตั้งครรภ์ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้ อย่างไรก็ตามหากพบว่ามีอาการไหลย้อนที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น เช่น ทำให้คุณแม่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก มีอาการกลืนลำบาก ไอ น้ำหนักลด หรืออุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในขณะตั้งครรภ์ได้นะคะ

                            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.pobpad.comwww.paolohospital.comwww.honestdocs.co

                            อ่านเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

                            TOP 5 อาการแม่ท้อง ที่พร้อมรับมือได้

                            อาการคนท้อง ที่เกิดมักเกิดกับแม่ตั้งครรภ์

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              ฝึกลูกเขียนหนังสือ

                              10 ทักษะ ที่ลูกต้องมี! ก่อนพ่อแม่ ฝึกลูกเขียนหนังสือ

                              นักกิจกรรมบำบัดเด็กเผยข้อมูล! กว่าลูกจะจับดินสอได้ หรือ ฝึกลูกเขียนหนังสือ ให้เป็น ลูกต้องใช้ทักษะอะไรบ้าง? พ่อแม่ควรรู้ ก่อนฝึกลูกเขียนหนังสือ

                              กว่าจะ ฝึกลูกเขียนหนังสือ ได้ ต้องมีทักษะเหล่านี้ก่อน!

                              สำหรับเด็กเล็ก กล้ามเนื้อมัดเล็กของลูกอาจยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ การหยิบจับสิ่งของต่างๆ จะเริ่มต้นด้วยวิธีการกำมือก่อน จนกระทั่งเริ่มซับซ้อนเเละมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ถ้าเด็กบางคนที่ไม่ได้ฝึกฝน พ่อแม่ไม่ได้คอย ฝึกลูกเขียนหนังสือ เมื่อจับดินสอหรือสิ่งของต่างๆ ก็อาจทำได้ยาก ส่งผลต่อเนื่องทำให้ไม่ยอมเขียนหนังสือ หรืออาจจับดินสอ ปากกาเเบบผิดวิธีเมื่อโตขึ้นก็เป็นได้

                              ซึ่งการที่เด็กจะสามารถหยิบจับสิ่งของ หรือ ฝึกลูกเขียนหนังสือ ควบคุมเครื่องเขียน ทั้งดินสอ, ปากกา หรือเเท่งสีได้นั้น ต้องอาศัยทักษะในด้านต่างๆ ทั้ง สหสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวที่ดี เเละการควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็กในมือที่ผสานร่วมกัน

                              ฝึกลูกเขียนหนังสือ

                              สำหรับเรื่องการฝึกให้ลูกเขียนหนังสือคุณพ่อคณแม่ต้องรู้ก่อนว่า ลูกควรมีทักษะอะไรบ้าง ก่อนที่จะพัฒนาการร่างกาย บังคับใช้มือและนิ้วให้หยิบจับ และ ฝึกลูกเขียนหนังสือได้ โดยทีมแม่ ABK มีข้อมูลจาก ครูน้ำฝน เจ้าของเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก และ เพจ Mor-Online มาแนะนำค่ะ

                              พัฒนาการ “การหยิบจับดินสอ” ก่อน ฝึกลูกเขียนหนังสือ

                              หากอยากจะ ฝึกลูกเขียนหนังสือ พ่อแม่ต้องรู้ก่อนว่า พัฒนาการการหยิบจับดินสอของเด็กเป็นอย่างไร ซึ่งจะเริ่มจากการกำสิ่งของเเบบทั้งมือก่อน ทั้งนี้การกำ จะช่วยให้มีกำลังในการเคลื่อนไหวได้มากกว่าการใช้นิ้วมือนิ้วใดนิ้วหนึ่ง โดยลูกจะใช้หัวไหล่ในการเคลื่อนไหว ซึ่งจะค่อยๆ พัฒนารูปเเบบการวางนิ้วไปเรื่อยๆ จนถึงอายุประมาณ 4 ปี เเต่หากการพัฒนาไม่ถูกต้องจะส่งผลทำให้การเขียนที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะต้องใช้เเรงมาก ซึ่งเป็นเหตุทำให้ทั้งมือเเละแขนเกิดความล้าตามมาได้นั่นเอง

                              ฝึกลูกเขียนหนังสือ
                              ภาพพัฒนาการ การหยิบจับดินสอของลูก
                              ขอบคุณภาพจากเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก

                              ลูกเขียนหนังสือได้ตอนกี่ขวบ

                              ถัดมาเป็นเรื่องของ พัฒนาการเขียนหนังสือของเด็กแต่ละวัย สำหรับวัย 1-3 ขวบ จะเริ่มจากการขีดเขียนแบบไร้ทิศทาง ดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง และไม่เป็นความหมาย เมื่อเริ่มเข้าวัย 4 ขวบ ลูกจะสามารถลากเส้นตามจุดได้แล้ว อาจจะไม่สวย ไม่ตรง แต่มีความเข้าใจเรื่องจุดต่อของเส้นปะแต่ละจุดรวมไปถึงวาดรูปทรงต่างๆ ได้ด้วย ซึ่งเมื่อลูกทำได้พ่อแม่ควรชมเชย และไม่ควรเร่งให้ลูกเขียนบ่อยหรือมากเกินไปลูกอาจเบื่อได้ค่ะ

                              ฝึกลูกเขียนหนังสือ
                              ภาพพัฒนาการ พัฒนาการเขียนหนังสือของเด็กแต่ละวัย
                              ขอบคุณภาพจากเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              10 ทักษะ ที่ลูกต้องมี! ก่อนพ่อแม่ ฝึกลูกเขียนหนังสือ

                              อย่างไรก็ตามเด็กที่มีพัฒนาการการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดเล็กและการใช้มือที่ล่าช้าหรือบกพร่อง มักจะมีความยากลำบากในการหยิบจับดินสอและการเขียนร่วมด้วย ซึ่งทักษะที่ลูกควรมีและคุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกก่อน ที่จะไปฝึกลูกเขียนหนังสือ มีดังนี้

                              1. In hand manipulation ความสามารถในการจัดการวัตถุภายในมือ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น เนื่องจากการเคลื่อนไหวดินสอไปบนกระดาษต้องอาศัยความสามารถจำแนกการเคลื่อนไหวของนิ้วมือแต่ละนิ้วร่วมกับการเคลื่อนไหวนิ้วหัวแม่มือไปด้วย โดยคุณแม่สามารถฝึกทักษะนี้ให้ลูกแต่ละวัยได้ คือ
                                • 12-15 เดือน ให้ลองหยิบเหรียญด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เข้ามาอยู่ในมือ
                                • 2-2.5 ปี นำเหรียญที่กำในฝ่ามือเคลื่อนมายังปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ หรือฝึกบิดหมุนขวดน้ำ
                                • 3-3.5 ปี ให้ลูกจับและฝึกปรับตำแหน่งดินสอขึ้นลง เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่เขียนได้ถนัด
                                • 6-7 ปี ลูกสามารถหมุนวัตถุด้วยปลายนิ้วมือ โดยมีรอบการหมุนประมาณ 180-360 องศา หรือทำซ้ำติดต่อกันได้
                              1. Crossing midline การเคลื่อนไหวแนวกลางข้ามลำตัว เป็นพัฒนาการขั้นพื้นฐานของสมองที่เกิดจากการทำงานร่วมกันของสมองทั้งสองซีก เป็นทักษะจำเป็นที่ต้องพัฒนาขึ้นก่อนนำไปสู่การประสานสัมพันธ์ระหว่างตาและมือ ความถนัดของมือ การเคลื่อนไหว และความรู้ความเข้าใจอื่นๆ โดยคุณแม่สามารถฝึกทักษะนี้เช่น การเล่นพายเรือแจว บนผ้าห่มหรือรถของเล่น เพื่อให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า
                              2. Bilatetal ทักษะการใช้มือทั้งสองข้างร่วมกัน ฝึกโดยให้ลูกหัดทำขนมแล้วใช้มือจับไม้บดทั้งสองข้างเพื่อบดนวดแป้ง เมื่ออายุเข้าช่วงวัย 2-3 ปี ลูกก็จะแสดงมือข้างที่ถนัดออกมาให้เห็นผ่านการหยิบจับเขียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่างๆ และอายุ 5-6 ปี ก็จะแสดงมือข้างที่ถนัดอย่างชัดเจน
                              3. Posture ลูกจะนั่งเขียนได้ ต้องสามารถจัดวางร่างกายให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม และรักษาสมดุลของร่างกายเพื่อให้เกิดความมั่นคงขณะนั่งและเคลื่อนไหว
                              4. Proximal control การควบคุมการทำงานของแขนและไหล่ให้มั่นคงอยู่ในตำแหน่งทิศทางเหมาะสม เพื่อให้ข้อมือ นิ้วมือ หยิบจับ เขียนได้ดี ดังนั้นถ้าเด็กที่ข้อต่อหัวไหล่หรือกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงก็จะส่งผลต่อการเขียนได้ เช่น เด็กนั่งได้ไม่นาน ลุกเดินบ่อย หรือล้าง่าย
                              5. Vitual perception and Visual motor integration โดย Vitual perception คือ กระบวนการทั้งหมดที่ตอบสนองต่อการรับการแปลความหมายและการทำความเข้าใจต่อสิ่งเร้าทางสายตา ซึ่งมีองค์ประกอบหลายด้าน ยกตัวอย่างด้านที่เกี่ยวกับการเขียน เช่น
                                • figure ground การแยกภาพวัตถุออกจากพื้นหลังได้ เช่น ลูกสามารถหาคำที่ต้องการแยกออกจากพื้นกระดาษได้
                                • visual clorure แยกแยะวัตถุได้ แม้ว่าวัตถุนั้นจะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ เช่น ลูกคัดลอกงานจากกระดานได้ถึงแม้ต้องมองไกลก็สามารถมองออกว่าคือตัวอะไร
                                • position in space การรับรู้ตำแหน่งทิศทางของวัตถุกับสิ่งแวดล้อม ช่วยให้เข้าใจความหมาย ใน นอก บน ล่าง ว้าย ขวาเช่น ลูกสามารถเขียนตัวอัการที่มีความใกล้เคียงกันได้อย่างถูกต้อง อย่า ถ-ภ ด-ค

                              ส่วน Visual motor integration เป็นการผสานการรับรู้ทางสายตาร่วมกับการเคลื่อนไหว ทำให้เด็กสามารถคัดลอกตัวเลขและตัวอักษรได้ถูกต้อง เช่น เด็กมองดูรูปทรงตัวอักษร แล้วแปลความหมายว่าคือตัวอะไร จนเขียนออกมาได้

                              ฝึกลูกเขียนหนังสือ
                              ภาพรูปทรงที่เด้กควรสามารถคัดลอกได้
                              ขอบคุณภาพจากเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก

                               

                              1. Kinesthesia เป็นการรับรู้ถึงน้ำหนักของวัตถุและทิศทางการเคลื่อนไหวข้อต่อและระยางค์ต่างๆ เป็นความรู้สึกทางกาย ช่วยให้ลูกสามารถกะหรือปรับแรงในขณะเขียนได้ ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางการเคลื่อนไหว ขณะเขียนตัวอักษร ซึ่งหากลูกมีปัญหาด้านนี้จะทำให้จับดินสอไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลการเขียนล่าช้า กิจกรรมที่ส่งเสริมด้านนี้ เช่น
                                • ใช้นิ้วลากเส้นประ แล้วใช้ดินสอสีเขียนอีกครั้ง
                                • ใช้นิ้วเขียนตัวอักษนในอากาศ /ทราย หรือบนถุงซิปที่ใส่แป้งเปียก
                                • ใช้หลอดดูดน้ำนำมาสร้างเป้นตัวอักษร

                              ฝึกลูกเขียนหนังสือ

                              1. Motor planning การเขียนแต่ละตัวต้องการความสามารถในการวางแผนการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ถ้า Kinesthesia ไม่ดี ก็จะมีความสัมพันธ์กับการวางแผนการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีตามมา โดยการวางแผนการเคลื่อนไหวจะส่งผลต่อความสามารถของเด็กในการวางแผน ลำดับ และเขียนตัวอักษรที่ต้องการออกมาได้ เพราะการวางแผนจำเป็นต่อการกระทำการเคลื่อนไหวที่ไม่คุ้นเคยได้ จึงสำคัญเมื่อจะ ฝึกลูกเขียนหนังสือ เรียนรู้ในครั้งแรก โดยกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมทักษะด้านนี้ได้ เช่น การเต้นประกอบเพลง , เล่นเป่ายิ้งฉุบ หรือการทำเลียนแบบท่าทางของมือ
                              2. Psychosocial สภาวะอารมณ์ จิตใจ แรงจูงใจในการเขียนก็สำคัญเหมือนกัน ยิ่งเด็กที่มีความยากลำบากในการเขีย มักขับข้องใจ มีความรู้สึกในคุณค่าตนเองต่ำลง ทำให้หลีกเลี่ยงที่จะเขียน ไม่อยากเขียน ดังนั้น พ่อแม่หรือคุรครู ต้องพยายามเข้าใจเด็กๆก่อน โดยวิเคราะห์หาปัญหาที่เป็นสาเหตุ แล้ว ฝึกลูกเขียนหนังสือ แบบเข้าใจ ไม่กดดัน พร้อมให้กำลังใจเสมอ
                              3. Cognition ทักษะสุดท้ายในการฝึกลูกเขียนหนังสือ คือเรื่องความคิดความเข้าใจ เมื่อลูกขึ้นชั้นเรียนสูงขึ้น ต้องอ่าน เขียน สะกดคำ โดยอาสัยการทำงานของสมองหลายส่วน จึงต้องมีทักษะความรู้ความเข้าใจด้วย เช่น การจัดหมวดหมู่ แบ่งประเภท, การมีสมาธิ สนใจที่จะทำงานได้สำเร็จ, ความจำในการเก้บข้อมูลเพื่อดึงมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ EF ทักษะของสมองขั้นสูงที่ใช้ในการจัดการควบคุมตัวเอง เป็นต้น

                              อย่างไรก็ตามการฝึกลูกเขียนหนังสือ พ่อแม่ควรรู้ก่อนด้วยว่าเด็กบางคนอาจจะเขียนหนังสือได้เร็วหรือช้าแตกต่างกัน แต่ช่วงอายุของพัฒนาการจะไม่ห่างกันมาก ถ้าต้องการให้ลูกใช้กล้ามเนื้อแขนและมือมากกว่า ก้ควรฝึกให้ลูกหัดหยิบจับเปิด ปิด สิ่งของบ่อยๆ เช่น หยิบข้าวกินเอง เปิดฝากระบอกหรือขวดน้ำ ฉีกกระดาษ เก็บของเล่น ถ้าลูกทำแบบนี้บ่อยๆพัฒนาการของลูกไปเร็วแน่นอนค่ะ


                              ขอบคุณข้อมูลจาก ครูน้ำฝน เจ้าของเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก และ เพจ Mor-Online
                              www.kombinery.com

                              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่รูปด้านล่างได้เลย ⇓

                              แบบฝึกหัด ฝึกเขียนอนุบาล แจกฟรี!! กว่า 50 ใบงานอนุบาล 1-3

                              ลูก 5 ขวบ อ่านหนังสือไม่ได้ ทำไงดี? มาช่วยลูกให้ “อ่านออก” กัน

                              5 ข้อดีของ การเขียนบันทึกประจำวัน ยิ่งเขียน ยิ่งฉลาด โดย พ่อเอก

                              โรงเรียนเร่งอ่านเขียน แต่พ่อแม่ไม่ต้องการ ทำอย่างไร?

                                ใครมีลูกสาวต้องรู้

                                ใครมีลูกสาวต้องรู้ 25 เรื่องสุดคิวท์ของเจ้าหญิงประจำบ้าน

                                ใครมีลูกสาวต้องรู้ !! ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อมาดเข้ม ทำแต่เรื่องแมนๆ เท่านั้น หรือคุณแม่สุดเนี๊ยบ ที่ต้องเป๊ะตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เมื่อมีลูกสาวทุกอย่างก็เปลี่ยนไป  ด้วยบุคลิกของ “ลูกสาว” ทั้งความมุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้ง ขี้อ้อน รักสวยรักงามเป็นที่หนึ่ง แต่โกรธเมื่อไรวีนเหวี่ยงเป็นที่สุด

                                 25 เรื่องสุดคิวท์ของสาวน้อยประจำบ้านที่ ใครมีลูกสาวต้องรู้

                                พ่อแม่อย่างเราจึงได้ทำ “หลายอย่าง” แบบที่ไม่เคยทำและไม่คิดว่าจะทำได้ในชีวิตนี้ เชื่อเถอะว่า ลูกสาวจะทำให้เราอมยิ้มได้เสมอ มารู้จักกับ 25 เรื่องราวที่คนมีลูกสาวเท่านั้นจะรู้ดี

                                1. ใช้คำพูดน่ารัก

                                เวลาพูดคุยกับลูกสาว หลายคนคงเผลอใช้เสียงสอง เสียงเล็กเสียงน้อยแสนน่ารักแบบไม่รู้ตัว ขนาดคุณพ่อหน้าครึมยังต้องพูดคุยจ๊ะจ๋า คะขา แกล้งพูดไม่ชัด หรือใช้คำพูดน่ารักๆ เรียกตัวเองเป็น “ปาปี๊”  “ป้อป้อ” หรือประดิษฐ์ศัพท์ใหม่ๆ ใช้เรียกอุจจาระ หรืออวัยวะเพศของลูก

                                1. ลูกจับอารมณ์เก่ง

                                เด็กผู้หญิงจะรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกของคนอื่นรวดเร็ว  และลึกซึ้งกว่าเด็กผู้ชาย   ในวันแย่ๆที่คุณพ่อคุณแม่อาจเผลอมีน้ำตา หรือเกรี้ยวกราดให้ลูกเห็น เขาจะสัมผัสได้และมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันที เช่น วิ่งมากอด ร้องไห้ตาม เป็นต้น

                                 

                                ใครมีลูกสาวต้องรู้

                                1. ลูกสาวช่างสังเกต

                                ตั้งแต่ยังไม่ทันจะพูดได้ ลูกสาวจะคอยจ้องมองทุกอย่างด้วยความสนใจ หากคุณแม่ตัดผม ลูกอาจจะร้องไห้ ถ้าวันไหนใส่ต่างหู ลูกจะดึงต่างหูเล่น   และอาจเอาต่างหูมาแหย่ใส่หูตัวเองบ้าง   หยิบรองเท้าส้นสูงมาลองใส่ ส่วนของเล่นสุดโปรดของลูกสาว  คงหนีไม่พ้น “เครื่องสำอาง” ของคุณแม่ ที่พวกเธอมักจะแอบหยิบมาแต่งหน้าบ่อยครั้งเมื่อมีโอกาส   คุณแม่รู้ดีว่าลิปสติกบางแท่งก็ได้ใช้เองแค่ครั้งเดียว

                                1. ฟังจนหูชา

                                เด็กผู้หญิงมีพัฒนการด้านภาษาที่รวดเร็ว พูดเก่ง สื่อสารดี ใช้คำพูดน่ารักๆ หรือเล่าเรื่องยาวๆได้มากกว่าลูกผู้ชาย โดยเฉพาะวัยหัดพูด ใครมีลูกสาวต้องรู้ คนเป็นพ่อแม่ต้องทนฟังเสียงเจื้อยแจ้วตลอดวัน ถ้าขืนหันหน้าหนี หรือไม่ยอมฟัง หนูน้อยก็ตอแยให้หันไปฟังจนสำเร็จ มีสิทธิ์หูชาเลยทีเดียว

                                1. จู้จี้เรื่องเสื้อผ้า

                                เมื่อลูกสาวใส่เสื้อผ้าเองเป็น จะเริ่มมีคำพูดอธิบายว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อใส่เสื้อผ้าชุดนั้น ชุดนี้ที่พ่อแม่เลือกให้ ถ้าคนไหนเป็นเด็กง่ายๆ จะจับใส่ชุดไหนก็ไม่มีปัญหา แต่หลายคนช่างเลือก ต้องเป็นชุดเจ้าหญิง ชุดเอลซ่า ต้องสีชมพูเท่านั้น ต้องมีกิ๊ฟวิ๊งๆ ตุ้มหูยาวๆ ถุงเท้า รองเท้าครบถึงจะยอมออกจากบ้าน (เหงื่อตกกันทั้งบ้าน) ถึงจะวุ่นวายแค่ไหน พ่อแม่ควรให้ลูกเลือกเสื้อผ้าใส่เอง แม้บางทีชุดจะไม่เข้ากันเลย นั่นเป็นความสนุกของลูกสาวและเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นของตัวเอง

                                1. สนุกกับการแต่งตัวแปลกๆ ให้ลูก

                                เสื้อผ้าของเด็กผู้หญิงมีให้เลือกมากมาย จะแต่งชุดไหนก็ดูน่ารักน่ามอง ลองเปลี่ยนวันหยุดธรรมดาให้สนุกขึ้นด้วยการแปลงร่างลูกสาว เป็น “ตุ๊กตาบาร์บี้” จับแต่งตัวในแบบที่แม่ไม่เคยใส่ในชีวิตจริงๆ อย่าง กระโปรงฟูฟ่อง แจ็คเก็ตหนัง ชุดลายเสือดาว รองเท้าติดเลื่อมแวววาว  โบว์ดอกไม้ใหญ่ๆ  กลายเป็นกิจกรรมสนุกร่วมกันของครอบครัวด้วย

                                ใครมีลูกสาวต้องรู้

                                1. เจ้าหญิงมีกี่คน พ่อแม่ต้องรู้จักให้หมด

                                เอลซ่า, แอนนา, จัสมิน, เอเรียล, มู่หลาน, ซินเดอเรลล่า, ราพันเซล ฯลฯ จำนวนเจ้าหญิงที่คุณแม่ต้องรู้จักชื่ออาจเยอะกว่าจำนวนเพื่อนในชีวิตจริงของคุณแม่เสียอีก เป็นธรรมดาที่ลูกสาวจะอยากเล่นบทบาทสมมติเป็นเจ้าหญิง และคุณแม่กับคุณพ่อ อาจต้องรับบทบาทเป็นเพื่อนหรือเป็นเจ้าชาย   หญิงสาวเหล่านี้คือคนสำคัญในชีวิตของลูกที่ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้จักและจำชื่อได้ด้วย คงได้คะแนนบวกจากลูกสาวมากโขเลยทีเดียว

                                1. ตุ๊กตาจ๋า

                                นอกจากเจ้าหญิงโฉมงามจากหนัง, การ์ตูน และนิทานแล้ว เมื่อลูกสาวติดใจคาแรกเตอร์ดังจากเรื่องไหน ก็มีแนวโน้มที่จะชอบตุ๊กตาเจ้าหญิงและผองเพื่อนเหล่านั้นด้วย ใครมีลูกสาวต้องรู้ เรื่องนี้เพราะนอกจากสโนว์ไวท์แล้ว ตุ๊กตาอาจต้องมีคนแคระทั้ง 7 หรือเหล่าลูกสมุนและเจ้าชายติดมาด้วย เมื่อถึงเวลาซื้ออุปกรณ์การเรียนหรือเสื้อผ้า คอลเล็กชั่นเอลซ่า แอนนา คิตตี้ ก็จะมาในรูปแบบดินสอ, ยางลบ, ไม้บรรทัด, ชุดนอน, รองเท้า, ผ้าปูที่นอน หวานแหววไปทั้งบ้านจนกว่าจะถูกใจเจ้าหญิงคนใหม่

                                1. ทรงผมอลังการ

                                เมื่อลูกสาวเข้าสู่วัยเรียน ตอนเย็นหลังจากรับลูกกลับจากโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นทรงผมอลังการงานสร้างจากคุณครูอนุบาลที่รังสรรค์ทรงผมให้ลูกสาวสวยเป๊ะ จนเราต้องคอยหาเวลาฝึกฝนพัฒนาฝีมือให้ได้อย่างคุณครูบ้าง

                                1. ให้โลกนี้เป็นสีชมพู

                                เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบสีชมพู จะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ถ้าลูกสาวปักใจชอบสีชมพูแล้ว ทุกอย่างในโลกรอบตัวลูกจะกลายเป็นสีชมพู ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า โบว์ติดผม หากเสื้อผ้ามีสีชมพูอยู่แล้ว ชุดใหม่ก็อาจเป็นสีชมพูคนละเฉด คุณพ่อต้องเรียนรู้เฉดสีชมพูเพิ่มเติมด้วย

                                1. ชอบความระยิบระยับ

                                ลูกสาวจะมีความสุขสุดๆ เมื่อได้ตกแต่งของเล่นหรืองานประดิษฐ์ด้วยกลิตเตอร์หรือกากเพชร หากได้กลิตเตอร์สักหลอดมาอยู่ในมือ ทั้งบ้าน และหน้าตาหัวหูของลูกจะระยิบระยับไปหมด

                                1. ซักเสื้อผ้าวนไป

                                นอกจากเสื้อผ้าอยู่บ้านปกติและเครื่องแบบนักเรียนแล้ว ลูกสาวที่เริ่มโตจะชอบเลือกเสื้อผ้าเอง และหากเล่นเลอะเทอะก็จะยินดีเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ วันละหลายรอบ หากลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่น เครื่องซักผ้าจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานหนักมาก

                                1. ตุ๊กตาแขนขาด

                                บ้านไหนมีลูกสาว มักมีตุ๊กตาหัวขาดหรือแขนขาหลุดนอนกองอยู่กลางบ้าน นอกจากจะชอบเล่นแต่งตัวตุ๊กตา หรือเล่นพ่อแม่ลูกแล้ว สาวน้อยหน้าหวานอาจแฝงนิสัยนักสำรวจในตัว ชอบหมุนแขนหมุนขาตุ๊กตา และอยากรู้อยากลอง ต้องถอดหรือดึงออกมาดู เป็นความน่ารักที่ดูน่ากลัวอยู่นิดๆ

                                1. ซ่อมของเล่น

                                ถึงจะเป็นลูกสาวแต่ความซนอาจไม่แพ้ลูกชาย พ่อแม่ต้องรับบทบาทเป็น “ช่างซ่อมประจำบ้าน” คอยดูแลสภาพของเล่นให้กลับมาเล่นได้ ทั้งต่อหัวตุ๊กตาบาร์บี้ เย็บแขนขาหมีเท็ดดี้ ระหว่างซ่อมแซมอาจชวนลูกให้มาช่วยงานง่ายๆ เช่น ทากาว หรือเลือกสีด้ายที่ใช้เย็บตุ๊กตา เพื่อสอนให้ลูกถนอมของเล่นและรู้จักใช้เครื่องมือต่างๆ ไปด้วย

                                1. เล่นบทบาทสมมติ

                                คุณพ่ออาจต้องเล่นบทบาทสมมติตามจินตนาการ วันนี้อาจเป็นคุณหมีตัวโต พรุ่งนี้เป็นเจ้าชายรูปงาม อีกวันอาจกลายเป็นโจรสลัดน่าเกรงขาม ลูกสาวจะเล่นบทบาทสมมติได้นานทีละหลายชั่วโมง หลายๆ ครั้งคุณพ่อก็ต้องสวมบทบาทเป็นเพื่อนเจ้าหญิง หรือเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย ตามแต่บทบาทที่ได้รับมอบหมาย ทำให้เราได้เห็นภาพน่ารักๆ ของคุณพ่ออยู่เสมอ ถึงจะเหนื่อยสักหน่อย แต่เพื่อนเล่นดีที่สุดของลูกคือพ่อแม่ เชื่อเถอะว่าการเล่นบทบาทสมมติช่วยสร้างเสริมจินตนาการให้ลูกได้ดีมาก

                                1. นักเจรจา

                                ท่านทูตประจำประเทศควรมีลูกสาวเพื่อฝึกเรื่องการเจรจาต่อรอง  เพราะเด็กผู้หญิงมีความสามารถในการเจรจาต่อรองเป็นเลิศ หากคุณพ่อคุณแม่บอกให้ลูกอาบน้ำ จะต้องเตรียมใจรับการเจรจาต่อรองว่าขอทำอย่างโน้นอย่างนี้ก่อนได้ไหม ขอเวลาอีก…นาที หรือหากให้กินข้าวอีก 5 คำ คุณพ่อคุณแม่จะต้องฟังคำต่อรองว่า 4 คำ 3 คำ 2 คำ หรือ 1 คำได้ไหม

                                1. ลูกสาวตัวนุ่มน่ากอด

                                การได้กอดลูกสาวตัวน้อย คือความสุขเรียบง่ายแต่มหาศาลของครอบครัว เพราะไม่ว่าจะโตไปแค่ไหน ลูกสาวก็ยอมให้พ่อแม่กอดหอมได้วันละหลายเวลา ต่างจากลูกชายที่โตเป็นหนุ่มแล้วก็มักจะเขินอายกับการแสดงความรักกับคนในครอบครัว

                                1. ที่พึ่งทางใจคนละมุม

                                เวลาลูกสาวอยากเล่นสนุก มักชอบอยู่กับพ่อ และอ้อนพ่อ แต่หากมีเรื่องสะเทือนใจหรือมีปัญหาทางอารมณ์ ลูกสาวมักเข้ามาหาแม่ก่อนเป็นคนแรก เพราะถึงยังไงแม่คือตัวแทนของความอ่อนโยนที่ช่วยเยียวยาใจลูกได้มากที่สุด

                                1. ต้องสอนลูกในเรื่องที่ตัวเองลืมไปแล้ว

                                เมื่อลูกเริ่มโต พ่อแม่อาจต้องสอนลูกทำงานบ้านในสิ่งที่ตัวเองทำจนเคยชินและกลายเป็นกิจวัตรแล้ว อย่างเช่น การรีดผ้า, เปลี่ยนหลอดไฟ ตรวจเช็คเครื่องยนต์เบื้องต้น หรือเรื่องของผู้หญิงอย่างเช่น การวัดไซส์เสื้อชั้นใน หรือการแต่งหน้า เพื่อเป็นพื้นฐานให้ลูกสามารถดูแลตัวเองได้

                                1. มีเพื่อนช้อปปิ้ง

                                ตอนที่ลูกยังเล็ก แม่เป็นฝ่ายช้อปปิ้งของเล่นและเสื้อผ้าให้ลูก แต่โตขึ้นการช้อปปิ้งยังเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนจากผู้เลือก เป็นเพื่อนช้อปด้วยเท่านั้น  เพราะลูกจะเริ่มบอกความต้องการของตัวเอง และมีเรื่องที่สนใจเป็นพิเศษ หากความสนใจถูกต้องตรงกัน ลูกสาวจะเป็นเพื่อนขาช้อปฯ อย่างดี

                                1. มีมารยาทงาม

                                พอลูกสาวอายุเข้าสู่วัยประถม เขาจะเริ่มรู้จักวิธีวางตัวในสังคม และรักษามารยาท เช่นเด็กผู้หญิงมักไม่ผายลม เรอ หรือทำเรื่องไม่สุภาพในที่สาธารณะ และมักไม่ชอบเมื่อคนอื่นทำเรื่องเสียมารยาท

                                1. สอนลูกให้ป้องกันตัวเอง

                                การสอนลูกสาวมีรายละเอียดมากมาย หนึ่งในเรื่อง ใครที่มีลูกสาวต้องรู้ คือการสอนให้ลูกรู้จักป้องกันตัวเอง เมื่อถูกเพื่อนแกล้งหรือทำร่ายร่างกาย หากเป็นเด็กเล็กต้องสอนให้ลูกแจ้งคุณครู หากเป็นเด็กโตอาจสอนให้ลูกรู้จักวิธีป้องกันตัวหรือสอนศิลปะป้องกันตัวให้ลูกบ้าง

                                1. ต้องรู้จักนักร้องคนดัง

                                ถ้าไม่รู้จัก เอลซ่า, มินเนียน หรือ ลิซ่า แบล็กพิงค์ กับ GOT7 เราอาจกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่เก๋ และจะคุยกับลูกไม่รู้เรื่อง

                                1. มีผู้รับฟัง

                                ลูกสาวคือผู้ฟังที่ดีมาก เธอจะพัฒนาความรู้สึกเห็นอกเห็นใจได้อย่างยอดเยี่ยม ในวันหนึ่ง ลูกสาวจะเป็นผู้รับฟังที่เราจะหันหน้าไปพูดคุยด้วยได้

                                1. วันเกิดคือวันสำคัญเสมอ

                                วันที่ตื่นเต้นและรอคอยที่สุดแห่งปีของลูกสาวคือวันเกิด วันที่จะได้แต่งตัวสวย เป่าเค้ก และได้ของขวัญ ในขณะที่เด็กผู้ชายอาจจะแค่รอแกะกล่องหุ่นยนต์ตัวใหม่ แต่ลูกสาวจะตื่นเต้นยินดีกับการตกแต่งบ้าน หรือการชวนเพื่อนๆ มากินเค้กวันเกิดด้วยกัน

                                แม้ว่าลูกสาวจะมีรายละเอียดมาก แต่ทุกรายละเอียดของลูกคือความสุขที่ครอบครัวจะได้ใช้เวลาร่วมกัน และยังเป็นความทรงจำดีๆ ที่ทุกคนจะมีด้วยกันตลอดไป


                                แหล่งข้อมูล  bestlifeonline.com / www.redbookmag.com / www.indiaparenting.com

                                 

                                6 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกสาว ให้สตรอง ฉบับพ่อ “ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง “

                                 

                                รวม 20 คําสอนของแม่ ที่ควรสอนลูกสาว!

                                  ทารกกินน้ำผึ้ง

                                  ให้ “ทารกกินน้ำผึ้ง” ความเชื่อผิด ๆ ที่อันตรายถึงตาย!!

                                  เขาว่ากันว่าให้ ทารกกินน้ำผึ้ง จะทำให้ลูกมีผิวสวย แข็งแรง ผมดกดำ รู้หรือไม่ว่า อาจทำให้ทารกเสี่ยงติดโรคโบทูลิซึม ที่อาจทำให้เสียชีวิตได้!!

                                  ให้ “ทารกกินน้ำผึ้ง” ความเชื่อผิด ๆ ที่อันตรายถึงตาย!!

                                  ทารกกินน้ำผึ้ง ได้หรือไม่?

                                  ทางการแพทย์ ห้ามไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบกินน้ำผึ้ง เพราะอาจทำให้เกิดภาวะโบทูลิซึม เนื่องจากในน้ำผึ้งอาจมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียชื่อ Clostridium botulinum ซึ่งจะสร้างสปอร์และผลิตสารพิษที่ชื่อว่า botulinum toxin ในทางเดินอาหารของเด็กทารกได้ ซึ่งสารพิษชนิดนี้เป็นสารพิษที่รุนแรงมาก ทารกที่ได้รับเชื้อนี้ จะมีอาการ 

                                  • ท้องผูก
                                  • กินอาหารได้น้อย เบื่ออาหาร กลืนอาหารได้ลำบาก
                                  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ร้องไห้เสียงเบา คออ่อนพับ ตัวอ่อนปวกเปียก
                                  • ทารกบางราย อาจมีอาการหายใจลำบาก
                                  • หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตกระทันหัน (Sudden Infant Death Syndrome หรือ SIDS)

                                  เนื่องจากสปอร์ของเชื้อโรคที่อยู่ตามดิน อาจติดไปกับขาของผึ้ง แล้วนำไปเก็บไว้ในรังผึ้ง หากผู้ใหญ่หรือเด็กโตกว่า 1 ขวบกินเข้าไป จะไม่อันตราย เพราะลำไส้จะกำจัดเชื้อออกไปจากร่างกายได้ก่อนที่เชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากมายในร่างกาย ขณะที่เด็กต่ำกว่า 1 ขวบยังไม่สามารถกำจัดเชื้อนี้ได้ จะมีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นในลำไส้แล้วสร้างพิษออกมา ไปส่งผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อได้

                                  อ่านข่าว >> เด็กชายญี่ปุ่นวัย 6 เดือน เสียชีวิตด้วยโรคโบทูลิซึมในทารก
                                  เพราะน้ำผึ้งเป็นเหตุ!

                                  แม่ที่ให้นมลูก สามารถกินน้ำผึ้งได้ไหม?

                                  คุณแม่ที่ให้นมลูก กินน้ำผึ้งได้ค่ะ เพราะถึงมีสปอร์ก็จะถูกกำจัดออกไปทางลำไส้ของคุณแม่ ไม่ได้ออกทางน้ำนม แต่ก็ไม่ควรกินเยอะ เพราะจะทำให้คุณแม่เป็นโรคอ้วนได้ค่ะ

                                  ใช้นิ้วป้ายน้ำผึ้งใส่ปากลูก หรือผสมน้ำให้กินเพียงเล็กน้อย ได้หรือไม่?

                                  หาก น้ำผึ้งที่ให้ลูกทานไปในปริมาณเพียงเล็กน้อย อาจไม่มีเชื้อโรคปนเปื้อน หรืออาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนก็ได้ค่ะ ดังนั้น จึงไม่ควรให้ลูกเสี่ยงกับเชื้อโรคชนิดนี้ เพราะแม้จะได้รับเพียงปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เชื้อโรคก็อาจจะอยู่ในน้ำผึ้งปริมาณเล็กน้อยนั้นได้เช่นกันค่ะ ถึงแม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็ยังเสี่ยงไม่มากเท่าการให้กินน้ำผึ้งปริมาณมากเป็นประจำ ดังนั้น ควรสังเกตอาการไปก่อน โดยอาการที่ผิดปกติ จะเริ่มปรากฏหลังจากทานน้ำผึ้งไปประมาณ 8 – 36 ชม. เช่น อาเจียน ท้องผูก ไม่กินนมหรืออาหาร กลืนลำบาก น้ำลายสอ ร้องไห้เสียงเบา ตัวอ่อนปวกเปียก หายใจลำบาก เป็นต้น ดังนั้น หากลูกไม่มีอาการผิดปกติอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่ได้อันตรายอะไรค่ะ แต่มีอาการผิดปกติดังที่กล่าว ก็ให้รีบพาไปพบแพทย์

                                  "<yoastmark

                                  โรคโบทูลิซึม คืออะไร?

                                  โรคโบทูลิซึม เกิดจากการได้รับสารพิษโบทูลินัมจากเชื้อแบคทีเรียคลอสติเดียมโบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ส่วนใหญ่มักเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือผ่านทางบาดแผลที่มีรอยเปิดบนผิวหนัง โดยสารพิษดังกล่าวจะสร้างความเสียหายแก่ระบบประสาท ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หากไม่รีบไปพบแพทย์ก็อาจทวีความรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

                                  การรักษาโรคโบทูลิซึม

                                  ผู้ป่วยโรคโบทูลิซึมจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งแพทย์จะรักษาตามชนิดของโรค โดยวิธีรักษาที่อาจนำมาใช้ มีดังนี้

                                  • ประเมินสภาวะการหายใจ ในขั้นแรกแพทย์จะประเมินสภาวะการหายใจของผู้ป่วย หากไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้หรือหายใจลำบาก อาจจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ นอกจากนั้น แพทย์จะงดให้น้ำและอาหารทางปากแก่ผู้ป่วย เพื่อป้องกันผู้ป่วยสำลักน้ำหรืออาหารลงปอด
                                  • การใช้ยา ยาที่แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทาน ได้แก่
                                    • ยาต้านพิษ มีฤทธิ์ทำลายสารพิษที่อยู่ในเลือด และช่วยประคับประคองอาการป่วยไม่ให้รุนแรงขึ้น
                                    • ยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย มักใช้กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียคลอสติเดียมโบทูลินัมทางบาดแผล
                                    • การบำบัด เมื่ออาการป่วยเริ่มคงที่ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดเพื่อฟื้นฟูการทำงานด้านต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การกลืน การพูด การเคลื่อนไหวแขนและขา เป็นต้น

                                  ภาวะแทรกซ้อนของโรคโบทูลิซึม

                                  ผู้ป่วยที่รีบไปพบแพทย์ตั้งแต่อาการยังไม่รุนแรงมักมีโอกาสรอดชีวิตสูง และฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้นโดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจไม่สามารถหายเป็นปกติได้โดยสมบูรณ์ เพราะส่วนใหญ่มักมีปัญหาทางการหายใจในระยะยาว เช่น อาการหายใจถี่ หรือรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เป็นต้น

                                  การป้องกันภาวะโบทูลิซึมในทารก

                                  ไม่ควรให้ทารกรับประทานน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมจากข้าวโพด ไม่ว่าจะปริมาณเล็กน้อย หรือปริมาณมากก็ตาม เพราะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้

                                  น้ำผึ้ง เป็นอาหารที่มีประโยชน์ชนิดหนึ่ง เช่น ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ แก้หวัด ช่วยทำให้ชุ่มคอ แก้ท้องผูกได้ เป็นต้น แต่ก็ควรให้ลูกทานในวัยที่ร่างกายพร้อมแล้วเท่านั้น คือมีอายุ 1 ขวบขึ้นไป เพราะการให้ทารกที่อายุไม่ถึง 1 ขวบทาน แทนที่จะได้ประโยชน์ กลับเสี่ยงทำให้ลูกอาจเป็นโรคโบทูลิซึม ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเชื่ออะไรก็ตาม ควรรอให้ลูกอายุเกิน 1 ขวบก่อนนะคะ

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  12 เมนู อาหารเด็ก 6 เดือน กับสูตรอร่อยเพื่อลูกวัยเริ่มกิน!

                                  12 เมนู อาหารเด็ก 6 เดือน กับสูตรอร่อยเพื่อลูกวัยเริ่มกิน!

                                  15 ชนิด อาหารที่ทารกควรหลีกเลี่ยง

                                  15 ชนิด อาหารที่ทารกควรหลีกเลี่ยง

                                   

                                  ผลไม้สำหรับเด็กเล็ก วัย 6-12 เดือน กินอะไรได้บ้าง?

                                  ผลไม้สำหรับเด็กเล็ก วัย 6-12 เดือน กินอะไรได้บ้าง?

                                  เครื่องดื่มของลูก อย่างไหนควร อย่างไหนห้าม!

                                  เครื่องดื่มของลูก อย่างไหนควร อย่างไหนห้าม!

                                   

                                  ขอบคุณข้อมูลจาก : สวท.ระยอง, ป้าหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ, www.pobpad.com

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    ตวาดใส่ลูก

                                    วิจัยเผย 5 ผลร้าย! ตวาดใส่ลูก บ่อย ๆ ส่งผลต่อพัฒนาการสมอง-ร่างกาย-จิตใจ

                                    รู้หรือไม่? ยิ่งพ่อแม่ ตวาดใส่ลูก บ่อย ๆ อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการสมอง รวมไปถึงอารมณ์และพฤติกรรมของลูกได้ ถ้าพ่อแม่กำลังโกรธ หรือโมโหลูก จะมีวิธีควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างไรไม่ให้  ตวาดใส่ลูก ตามมาดูกันเลย

                                    ผลเสียของการที่พ่อแม่เผลอ ตวาดใส่ลูก

                                    เวลาที่คุณพ่อคุณแม่เกิดความรู้สึกหงุดหงิด ลูกงอแง ไม่เชื่อฟัง จนคุณแม่เผลอใช้อารมณ์กับลูก ตวาดใส่ลูก ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่ส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของลูกทั้งนั้นค่ะ เพราะการตวาดใส่ลูก ให้ผลเสียมากกว่าที่คิด!! ทีมแม่ ABK จึงมีข้อมูลเกี่ยวกับผลเสียของการตวาดใส่ลูก รวมไปถึงวิธีในการควบคุมอารมณ์สำหรับคุณพ่อคุณแม่มาฝากค่ะ

                                    ตวาดลูก ทำให้ลูกเสียใจ
                                    ตวาดลูก ทำให้ลูกเสียใจ

                                    ตวาดใส่ลูก ทำให้ลูกเสียใจ

                                    คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวไว้ว่า… เมื่อคุณพ่อคุณแม่ตวาดใส่ลูก ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ตามมาก็คือ “ลูกเสียใจ” แน่นอน!! แต่จะมากน้อยแค่ไหน หรือคงอยู่นานเท่าไหร่ ต้องดูเป็นกรณีไป

                                    หากเชื่อในทฤษฎี จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ความเสียใจนั้นจะถูกซ่อนไว้ในจิตใต้สำนึก ถ้าไม่มากก็ไม่เป็นอะไร แต่หากมากเกินไปหรือสะสมไปเรื่อย ๆ จะเป็นบ่อเกิดของพยาธิสภาพทางจิตใจ หรืออาจไปรบกวนการสร้างซูเปอร์อีโก้  (Superego) ซึ่งจะเป็นมาตรฐานทางศีลธรรมหรือจริยธรรม หรือข้อปฏิบัติของเด็ก ๆ ที่จะเจริญรอยตามพ่อแม่ในวันข้างหน้า

                                    ในเด็กที่อายุมากกว่า 5 ขวบ ความเสียใจนั้นอาจจะพุ่งเข้ามาภายในแล้วทำร้ายจิตใจเกิดเป็นบาดแผลตรง ๆ หากบาดแผลไม่มากก็หายเองได้เหมือนแผลถลอก น้อยมากก็ไม่มีแผลเป็น มากหน่อยก็อาจจะเป็นแผลนิดหน่อย ทำซ้ำ ๆ ก็ย่อมเกิดเป็นแผลเป็น และหากแผลใหญ่มาก ความเจ็บปวดก็อาจจะมากและนาน เป็นต้นเหตุของอารมณ์เศร้าได้

                                    ตวาดใส่ลูก ให้ผลเสียมากกว่าที่คิด
                                    ตวาดใส่ลูก ให้ผลเสียมากกว่าที่คิด

                                    ตวาดใส่ลูก ให้ผลเสียมากกว่าที่คิด

                                    สำหรับเรื่องนี้สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ NIH ได้ออกมาเผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับการตวาดใส่ลูก ที่ชี้ให้เห็นว่าการตะโกน หรือตวาดใส่ลูก ทำให้เด็กก้าวร้าวมากขึ้นทั้งร่างกายและคำพูด การตะโกนเสียงดังไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับความโกรธหรือไม่ ย่อมทำให้เด็กกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัย

                                    นอกจากนี้ยังมีการศึกษามากมายเกี่ยวกับผลเสียจากการตวาดใส่ลูก ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมมาไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองอ่านทั้งหมด 5 ข้อ ดังนี้ค่ะ

                                    1. ยิ่งตวาดใส่ลูก พฤติกรรมลูกยิ่งแย่ลง

                                    คุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าการตวาดใส่ลูกจะช่วยแก้ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกได้ และทำให้ลูกไม่มีพฤติกรรมดังกล่าวอีกในอนาคต แต่งานวิจัยจากสมาคมวิจัยเพื่อการพัฒนาเด็ก (SRCD) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลที่ตรงกันข้าม เพราะการตวาดใส่ลูกจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาในระยะยาว ทำให้ปัญหาพฤติกรรมของลูกแย่ลงเรื่อย ๆ

                                    2. การตะโกน ตวาดใส่ลูก ส่งผลต่อการพัฒนาสมองของลูก

                                    การตะโกน ตวาดใส่ลูก หรือ ใช้วิธีการอบรมลูกที่รุนแรงของพ่อแม่ ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของลูกด้วยนะคะ นั่นเพราะว่าสมองของมนุษย์มีการประมวลผลเหตุการณ์ที่แย่ได้รวดเร็วกว่าเหตุการณ์ที่ดีค่ะ งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากสถาบัน NIH ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบผลการสแกน MRI สมองของผู้ที่มีประวัติการใช้คำพูดรุนแรงในครอบครัวในวัยเด็ก กับผู้ที่ไม่เคยมีประวัติดังกล่าว พบว่ามีความแตกต่างอย่างชัดเจนในสมองส่วนที่ประมวลผลเกี่ยวกับเสียงและภาษา

                                    การตะโกน ตวาด ส่งผลต่อการพัฒนาสมองของลูก
                                    การตะโกน ตวาด ส่งผลต่อการพัฒนาสมองของลูก

                                    3. การตวาดใส่ลูก นำไปสู่ภาวะซึมเศร้า

                                    นอกจากจะรู้สึกเจ็บปวด เสียใจ และกลัวเวลาที่ถูกตวาดแล้ว การตวาดใส่ลูกอาจนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตเมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย งานวิจัยหลายชิ้นจากสถาบัน NIH แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างความรุนแรงทางอารมณ์ที่เด็กเคยเผชิญกับภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวล ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถนำไปสู่พฤติกรรมที่แย่ลงในอนาคต

                                    4. การตวาดใส่ลูก ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย

                                    งานวิจัยจากสถาบัน NIH บอกว่าความเครียดในวัยเด็กที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ปกครองใช้คำพูดรุนแรง สามารถเพิ่มความเสี่ยงทางปัญหาสุขภาพบางอย่างของเด็กได้ในระยะยาว

                                    5. การตะโกน ตวาด อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดเรื้อรัง

                                    นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังมีงานวิจัยจากสถาบัน NIH ที่ว่า การที่เด็กเติบโตมาด้วยประสบการณ์ในแง่ลบ เช่น โตมาในครอบครัวที่ใช้คำพูดรุนแรง อาจนำไปสู่อาการปวดเรื้อรังต่าง ๆ อาทิ ปวดศีรษะ ปวดคอและหลัง รวมไปถึงปัญหาไขข้อต่าง ๆ ด้วยค่ะ

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    สอนลูกอย่างไรโดยไม่ใช้อารมณ์ 

                                    เป็นเรื่องปกติที่คุณพ่อคุณแม่จะหงุดหงิดกับลูก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สิ่งสำคัญก็คือการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยวิธีที่ถูกต้อง เพราะการแสดงออกของคุณพ่อคุณแม่ส่งผลสำคัญต่อการพัฒนาบุคลิกภาพและสุขภาพในระยะยาวของลูกเสมอ มาดูวิธีการควบคุมอารมณ์ของตนเองในยามหงุดหงิด รวมไปถึงเทคนิคที่ใช้สอนลูกอย่างได้ผลกันดีกว่าค่ะ

                                    สอนลูกโดยไม่ใช้อารมณ์
                                    สอนลูกโดยไม่ใช้อารมณ์

                                    1.ขอเวลานอก

                                    ถ้าหากว่ารู้ตัวว่ากำลังจะควบคุมอารมณ์และน้ำเสียงไม่ไหว ทางเลือกที่ดีก็คือ “การขอเวลานอก” ให้ตัวเองค่ะ พาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นสักครู่ แล้วหายใจเข้าออกลึก ๆ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ใจเย็นลงแล้ว ยังเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนให้ลูกรู้จักควบคุมและจัดการอารมณ์ของตัวเองด้วย

                                    2. พูดกับลูกตรง ๆ เกี่ยวกับความรู้สึก

                                    ความโกรธ เป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกับความสุข ความเศร้า การพูดคุยกันอย่างเปิดเผยจะเป็นการสอนให้ลูกได้เรียนรู้และรู้จักจัดการอารมณ์ของตัวเอง นำไปสู่การพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อทั้งตนเองและผู้อื่น

                                    3. จัดการกับพฤติกรรมไม่ดีอย่างใจเย็น แต่หนักแน่น

                                    ลูกอาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบ้าง เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต วิธีที่เหมาะสมคือการพูดให้ลูกเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการกระทำดังกล่าวไม่ดีอย่างไร โดยคุณพ่อคุณแม่อาจเข้าไปนั่งใกล้ ๆ หรือพูดคุยกับลูกในระดับสายตาแทนการยืนพูดในระดับที่สูงกว่าหรือพูดจากที่ไกล ๆ ก็ได้ค่ะ

                                    4. ตักเตือน ดีกว่า ตวาด

                                    อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการตวาดหรือการใช้อารมณ์จะยิ่งส่งผลที่ไม่ดีแก่ลูก ดังนั้น การตักเตือนด้วยเหตุผลจะทำให้ลูกเชื่อฟังมากกว่านะคะ ยกตัวอย่างเช่น เตือนลูกว่าของเล่นมีไว้เล่น ไม่ได้มีไว้ใช้ตีกัน หากลูกไม่เชื่อ ค่อยยึดของเล่นนั้นมา

                                    ตักเตือน ดีกว่า ตวาด
                                    ตักเตือน ดีกว่า ตวาด

                                     

                                    5. บอกด้วยความนิ่ง สงบ เอาจริง แล้วเงียบ

                                    คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ แนะนำว่า … หลักของการปรับพฤติกรรมที่ได้ผลดีข้อหนึ่ง คือ การสูญพันธุ์ (Extinction) กล่าวคือ เราต้องจับคู่พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์กับ ความเงียบ (Silent) ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อเราจับคู่พฤติกรรมใด ๆ กับความเงียบอยู่เรื่อย ๆ ทำอะไรก็ไม่มีอะไรตอบสนอง พฤติกรรมนั้นก็จะหายไปเอง

                                    หลักการข้อนี้ใช้กับเด็กเล็กได้ผลเสมอ ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะค่ะ ว่าจะมีความพยายามและความอดทนเพียงใด การตวาดใส่ลูก อาจเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายในเวลาสั้น ๆ แต่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของลูกในระยะยาว นอกจากจะไม่ช่วยให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เกิดผลเสียตามมาในหลาย ๆ ด้าน ดังนั้น การพูดคุยกับลูกด้วยเหตุผล ค่อย ๆ สอนให้ลูกเข้าใจถึงพฤติกรรมนั้นว่าไม่ดีอย่างไร ย่อมเป็นวิธีการที่ดีที่จะทำให้ลูกเติบโตมาอย่างมีความสุข และทำให้ทั้งครอบครัวมีความสุขด้วยนะคะ

                                     


                                    ขอบคุณข้อมูลจาก

                                    คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จากนิตยสาร

                                     Amarin Baby & Kids

                                    บทความน่าสนใจเพิ่มเติม คลิกที่ภาพ ⇓

                                    8 คำพูดที่ลูกไม่อยากได้ยิน จากปากพ่อแม่ พูดแบบนี้โตไปลูกแย่แน่!

                                    ลงโทษ Time out!! วิธีการนี้ดีหรือไม่…ลูกจะรู้สึกอย่างไร?

                                    นักจิตวิทยาชี้ “การดุลูก” ส่งผลให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้า

                                    [สร้างวินัยเชิงบวก] ชวนพ่อแม่สำรวจ เรา “สั่ง” หรือ “สอน” ลูกอยู่นะ