“แอ็บซอร์บา” เปิดตัวหน้ากาก และ แจ็คเก็ต ทำจาก “นวัตกรรม ผ้ายับยั้งเชื้อไวรัส”

“แอ็บซอร์บา” เปิดตัวหน้ากาก และ แจ็คเก็ต ทำจาก “นวัตกรรม ผ้ายับยั้งเชื้อไวรัส”  เพื่อคุณแม่และลูกน้อยได้อุ่นใจกว่าเดิม เริ่มขายครั้งแรกในงานสหกรุ๊ปแฟร์ ออนไลน์ปี 63  วันที่ 2 – 5 ก.ค. นี้

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียในปัจจุบันนี้  ทำให้ประชาชนให้ความสำคัญกับการดำเนินชีวิตแบบปลอดภัยจากเชื้อโรค (New Normal) มากขึ้น

แบรนด์เสื้อผ้าเด็กชั้นนำ “แอ็บซอร์บา” ตระหนักถึงความสำคัญนี้ จึงนำ  “นวัตกรรมผ้ายับยั้งเชื้อไวรัส”  มานำร่องการผลิต โดยเริ่มปล่อยสินค้ากลุ่มแรก คือ  หน้ากากผ้า และ แจ็คเก็ตเด็ก  เป็นการตอบโจทย์ของคุณแม่และลูกน้อยที่จำเป็นต้องออกไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้าน ได้อุ่นใจมากขึ้นกว่าเดิม

“นวัตกรรมผ้ายับยั้งเชื้อไวรัส” ผลิตขึ้นจากเนื้อผ้า ViralOff  เคลือบสาร Silver Chloride  ที่มีคุณสมบัติพิเศษคือช่วยลดการสะสมของเชื้อไวรัสได้ 99% ภายใน 2 ชั่วโมง * และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้ 99%**    นอกจากนี้ ตัวเนื้อผ้าเองก็มีคุณสมบัติแห้งไว ระบายอากาศได้ดี ช่วยลดการเกิดกลิ่นอับชื้น และด้วยความพิถีพิถันทุกขั้นตอนการผลิตตามมาตรฐานของแบรนด์ “แอ็บซอร์บา” คุณแม่สามารถมั่นใจได้ว่าทุกผลิตภัณฑ์ของสินค้า “แอ็บซอร์บา”  ปลอดภัยต่อผิวบอบบางของลูกน้อยอย่างแน่นอน

ราคาขาย หน้ากากผ้า แอ็บซอร์บา สำหรับเด็ก (2 – 5 ปี) ราคา 169.- สำหรับผู้ใหญ่ ราคา 199.-
ราคาขาย  แจ็คเก็ตเด็ก 2,790 บาท    

เริ่มจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศที่ งานงานสหกรุ๊ปแฟร์ ออนไลน์ปี 63 วันที่ 2 – 5 ก.ค. 2563 ผ่านช่องทางออนไลน์ Lazada, Shopee และ JD Central

ติดตามข่าวสารได้ที่ Facebooks : Absorba TH

*อ้างอิง ผลการทดสอบจากการเพาะเชื้อในห้องทดลอง สถาบัน Boken Quality Evaluation Institute Osaka Function Textile Testing Center ประเทศญี่ปุ่น ทำการทดสอบกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H3N2 Test Report No.20219067944-1 มาตรฐานการทดสอบ ISO18184:2019  หลังผ่านการซัก 20 ครั้ง ประสิทธิภาพยังคงอยู่

**ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย อ้างอิงผลการทดสอบจากการเพาะเชื้อในห้องทดลอง สถาบันSGS (Thailand) Limited  ทำการทดสอบกับเชื้อ  Staphylococcus aureus Test Report No.4598764 มาตรฐานการทดสอบ JIS L 1902 : 2015 หลังผ่านการซัก 20 ครั้ง ประสิทธิภาพยังคงอยู่

    Tags

    โฟร์โมสต์รักษ์โลก เดินหน้าภารกิจลดการใช้พลาสติก เปิดตัว ‘กล่องนมจากป่าปลูก’ รีไซเคิลได้ 100%

    โฟร์โมสต์เดินหน้าภารกิจลดการใช้พลาสติกอย่างยั่งยืนเพื่อสานต่อพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อม นำร่องก่อนด้วยการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ขนาด 200 มล. มาเป็นกล่องกระดาษที่ผลิตจากป่าปลูก และสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% พร้อมสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้นำกลับมารีไซเคิลได้ทั้งหมดภายในปี 2025 

    บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ เพื่อคนไทยมานานกว่า 60 ปี สานต่อพันธกิจระดับโลกของฟรีสแลนด์คัมพิน่าด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน พร้อมตอบสนองเทรนด์ผู้บริโภคที่กำลังมองหาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นำร่องก่อนด้วยการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ในไลน์ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์ขนาด 200 มล. จากขวดพลาสติกประเภท HDPE มาเป็นกล่องกระดาษทรงหน้าจั่ว (Gable Top) ซึ่ง 100% ของกล่องนมผลิตด้วยกระดาษที่มาจากต้นไม้ในป่าปลูกที่มีการจัดการป่าอย่างรับผิดชอบและยั่งยืน โดยมีการปลูกทดแทนมากกว่าปริมาณที่ใช้  ( Renewable, Responsibly managed and Sustainable forest) อีกทั้งพลังงานกว่า 50 % ที่ใช้ในการผลิตกล่องนมยังมาจากพลังงานชีวภาพที่สามารถผลิตทดแทนได้ (Renewable and Bio-energy) และกล่องนี้ยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด 100% Recycle อีกด้วย โดยบริษัทฯ คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนมาใช้กล่องนมที่ทำจากกระดาษในครั้งนี้ จะสามารถลดปริมาณการใช้พลาสติกได้ถึง 0.38 ล้านตันต่อปี โดยการเริ่มปรับเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์ที่ Eco-friendly นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนงานของบริษัทในเครือฟรีสแลนด์คัมพิน่าทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย เพื่อสอดรับกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดยเรามีเป้าหมายที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์ทั้งหมดสามารถนำไปรีไซเคิลได้ หรือนำกลับมาใช้ได้ใหม่ภายในปี 2025 

    โฟร์โมสต์เรามุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพและสร้างความยั่งยืนในทุกองค์ประกอบทั้งห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบของน้ำนมโคนั้นคือฟาร์มโคนม การผลิตที่มีมาตรฐานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ 100% ทั้งนี้เพื่อส่งมอบโภชนาการที่ดีจากน้ำนมโคธรรมชาติจากฟาร์มโคนม ถึงมือผู้บริโภคชาวไทยให้มีสุขภาพดีและร่างกายที่แข็งแรง

    ผลิตภัณฑ์นมพาสเจอร์ไรซ์รสจืด ช๊อคโกแลต และสตรอเบอรี ขนาด 200 มล. ในกล่องกระดาษแบบใหม่ ! มีจำหน่ายที่ 7-11 ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป หรือค้นหาข้อมูลผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์เพิ่มเติมได้ที่เวปไซต์ www.foremostthailand.com หรือเฟสบุ๊ค www.facebook.com/ForemostThailand

      Tags

      โรคฮิตเปิดเทอม

      8 โรคฮิตเปิดเทอม พ่อแม่เตรียมไว้เลย เปิดเทอมนี้ เจอแน่!!

      โรงเรียน 1 ในแหล่งที่เด็กจะต้องอยู่ร่วมกัน นอกจากพ่อแม่ต้องระวังโรคโควิด-19 แล้ว ยังต้องระวังอีก 8 โรคฮิตเปิดเทอม ด้วย เช่น โรคมือเท้าปาก โรคไข้หวัดใหญ่ RSV

      8 โรคฮิตเปิดเทอม พ่อแม่เตรียมไว้เลย เปิดเทอมนี้ เจอแน่!!

      เปิดเทอมทีไร สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ เด็ก ๆ ที่มักจะมีปัญหาทางด้านสุขภาพตามมา เนื่องจากการอยู่ร่วมกันหลาย ๆ คน เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อโรคต่าง ๆ ให้กันและกันนั่นเอง ดังนั้น ทีมแม่ ABK จึงได้รวบรวม 8 โรคฮิตเปิดเทอม โรคที่พบได้บ่อยเมื่อเปิดเทอม เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้ เตรียมตัว และคอยสังเกตลูก ๆ เมื่อลูกมีอาการต้องสงสัย จะได้พาลูกไปพบแพทย์ได้ทันท่วงที

      8 โรคฮิตเปิดเทอม พ่อแม่เตรียมไว้เลย เปิดเทอมนี้ เจอแน่!!

      1. โรคสุกใส หรือ โรคอีสุกอีใส

      โรคอีสุกอีใส เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่มาด้วยอาการไข้ออกผื่น พบมากในเด็กแต่สามารถพบในผู้ใหญ่ได้โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ บางกรณีสามารถหายได้เอง แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หลังจากหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสนี้จะไปหลบอยู่ที่ปมประสาทของผู้ป่วย และสามารถทำให้เกิดโรคงูสวัดได้หากผู้ป่วยรายนี้มีภูมิต้านทานลดลง

      สาเหตุ โรคอีสุกอีใสเกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลล่า (varicella zoster virus) ซึ่งแพร่กระจายโดยการหายใจเอาฝอยละอองจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยเข้าไป หรืออาจเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำที่ผิวหนังของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ

      อาการของโรค หลังจากรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยโรคอีสุกอีใส อาการจะแสดงภายใน 8-21 วัน เริ่มจากมีไข้ต่ำ ๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและมีผื่นเริ่มจากลำตัว ใบหน้าและลามไปแขนขา อาจพบตุ่มขึ้นในช่องปากและเยื่อบุต่าง ๆ ได้ มักมีอาการคัน ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำอย่างรวดเร็ว และตกสะเก็ดจะหลุดหายไปในเวลา 5-20 วัน

      โรคสุกใส
      โรคสุกใส

      2. โรคมือเท้าปาก

      เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ทำให้มีตุ่ม ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และภายในปาก และสร้างความเจ็บปวด พบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี แต่สามารถเกิดกับเด็กโตและผู้ใหญ่ได้เช่นกัน โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นและหายป่วยภายในเวลาประมาณ 7-10 วัน

      สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ส่วนใหญ่เกิดจากสายพันธุ์ค็อกซากี้ เอ16 (Coxsackie A16 Virus) และส่วนที่เกิดจากเอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71) ซึ่งพบได้ไม่บ่อยนักและอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาะแทรกซ้อนหรืออาการที่รุนแรงเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอย่างภาวะสมองอักเสบ โดยเชื้อไวรัสเหล่านี้จะสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนผ่านการปนเปื้อนอยู่ในของเหลวในร่างกายของผู้ที่ติดเชื้อ เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ของเหลวในแผลหนอง อุจจาระ และของเหลวที่ออกมาจากการไอหรือจาม

      อาการของโรค ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียสเป็นอาการนำก่อน จากนั้นจึงมีอาการอื่น ๆ ตามมาภายใน 1-2 วันหลังจากมีไข้ คือ ไอ เจ็บคอ ไม่อยากอาหาร อ่อนเพลีย และจะเริ่มมีตุ่ม ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และบริเวณปากทั้งภายนอกและภายใน

      3. เฮอร์แปงไจน่า

      โรคเฮอร์แปงไจน่า เป็นโรคที่ติดเชื้อจากไวรัสชนิดเดียวกันกับมือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นกลุ่มของ เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) แต่มีอาการที่แตกต่างกันคือจะมีแผลเฉพาะที่ปากเท่านั้น ขณะที่โรคมือเท้าปาก นอกจากจะมีแผลที่ปากแล้วจะมีผื่นขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าด้วย กลุ่มเสี่ยงของโรคเฮอร์แปงไจน่าส่วนมากจะเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 10 ขวบ และเจอในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กยังไม่มีภูมิต้านทานของเชื้อนี้ โดยเฉพาะเด็กที่อยู่รวมกันในโรงเรียนอนุบาล มักเล่นของเล่นรวมกัน หยิบจับสิ่งของรวมกัน จึงมีโอกาสติดต่อได้ง่าย โดยตัวเชื้อจะอยู่ได้นานในอากาศเย็นและชื้น จึงระบาดมากในฤดูฝน แต่ก็สามารถพบได้ในทุกฤดู

      สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) การติดต่อเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสกับเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ ของคนที่มีเชื้อ เพราะบางครั้งอาจสัมผัสแล้วเผลอรับประทานเข้าไป ก็ทำให้ติดเชื้อได้

      อาการของโรค ลักษณะอาการจะมีไข้สูงประมาณ 39.5-40 องศาเซลเซียส และมีแผลในช่องปากบริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ ต่อมทอนซิล และในโพรงคอหอยด้านหลัง แต่ถ้าเป็นมือ เท้า ปาก ไข้จะไม่สูง และมีแผลกระจายอยู่ทั่วปาก รวมทั้งมีผื่นขึ้นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าด้วย

       

      4. ไข้หวัดใหญ่ โรคไข้หวัด

      ไข้หวัดใหญ่ (Flu or Influenza) คือ โรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจในส่วนของจมูก ลำคอ และปอด อาการเบื้องต้นคล้ายไข้หวัดธรรมดา มีไข้ ตัวร้อน น้ำมูกไหล ไอหรือจาม แต่มีความรุนแรงและมีโอกาสพัฒนาสู่ภาวะแทรกซ้อนได้ โรคนี้เป็นโรคที่สามารถพบได้ตลอดปี และระบาดในช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูที่มีสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงฉับพลัน โดยเฉพาะในฤดูหนาวและฤดูฝนที่เอื้อต่อการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้เป็นอย่างดี

      สาเหตุ เกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสกลุ่ม Influenza Virus ผ่านทางประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่นเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ การรับของเหลวที่มีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ผ่านการกิน การดื่ม หรือการสัมผัสเชื้อเข้าสู่เนื้อเยื่อร่างกายโดยตรงทางเลือด น้ำเหลือง น้ำหล่อลื่นที่ดวงตา

      อาการของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการเบื้องต้นคล้ายผู้ป่วยไข้หวัดธรรมดา แต่อาการป่วยไข้หวัดใหญ่จะส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกายได้มากกว่า เช่น มีไข้สูงมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียหมดแรง ไอ จาม เจ็บคอ คออักเสบ บางคนมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและท้องร่วงร่วมด้วย บางราย ผู้ป่วยมีอาการแสดงอย่างอื่น แต่ไม่มีไข้ และอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่นได้ด้วย ทั้งนี้อาการป่วยที่อาจเกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับร่างกาย อายุ และโรคประจำตัวเดิมของแต่ละบุคคลด้วย

      5. โรค RSV

      ไวรัส RSV คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ชื่อภาษาอังกฤษคือ Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจได้ทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ทำให้ร่างกายผลิตเสมหะออกมาจำนวนมาก เชื้อไวรัสชนิดนี้ มักจะก่อให้เกิดอาการรุนแรงในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ

      สาเหตุ เชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกาย มักติดต่อผ่านทางการ ไอ จาม รวมถึงการสัมผัสโดยตรงจากสารคัดหลั่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่ของผู้ป่วย โรค RSV มักมาจากการเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กมาก ๆ หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว อาจจะเกิดภาวะรุนแรงถึงขั้นการหายใจล้มเหลว ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเสียชีวิตได้

      อาการของโรค ไวรัส RSV ในระยะเริ่มต้นนั้นใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ 3-6 วัน หลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา เริ่มจากการมีน้ำมูก จาม ไอ ทำให้รู้ตัวช้า ดังนั้นจึงต้องคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด และพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มด้วย เช่น ไอ จาม มีเสมหะจำนวนมาก หายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าหลอดลมตีบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ

      โรค RSV
      โรค RSV

      6. ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ

      เกิดจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่มีการปนเปื้อน ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือปวดท้อง ซึ่งอาการส่วนใหญ่มักไม่ร้ายแรง แต่หากเกิดอาการรุนแรงขึ้นก็อาจทำให้ร่างกายเสียน้ำและเกลือแร่จนเป็นอันตรายได้

      สาเหตุ ส่วนใหญ่ภาวะอาหารเป็นพิษเกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิต ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์ดิบ ไข่ดิบ นม และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม อาหารกระป๋องที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น หน่อไม้ปี๊บ หน่อไม้ดอง ผักกาดดอง เนื้อสัตว์แปรรูป เป็นต้น

      อาการของโรค ผู้ที่ได้รับเชื้อส่วนใหญ่จะแสดงอาการภายใน 1-2 วัน ขึ้นอยู่กับประเภทและปริมาณของเชื้อที่ร่างกายได้รับเข้าไป ผู้ป่วยมักจะรู้สึกพะอืดพะอม คลื่นไส้ อาเจียนติดต่อกันหลายครั้ง หรืออาเจียนเป็นเลือด มีอาการปวดท้องแบบบิดเกร็งเป็นพัก ๆ ถ่ายท้อง ถ่ายมีมูกหรือเลือดปน ไม่อยากอาหาร มีอาการสูญเสียน้ำ เช่น รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย วิงเวียนศีรษะ หมดเรี่ยวแรง ปากแห้ง ตาโบ๋ กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะน้อย เป็นต้น มีอาการทางระบบประสาท เช่น มองเห็นไม่ชัด แขนเป็นเหน็บ หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น

      7. โรคตาแดง

      โรคตาแดง คืออาการเยื่อบุตาอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อมักติดต่อกันได้ง่าย เชื้อที่ทำให้เกิดโรคตาแดงที่พบได้บ่อยได้แก่ เชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย

      สาเหตุ เป็นโรคระบาดทางตาที่พบได้บ่อย มักมีการระบาดเป็นช่วง ๆ เป็นประจำทุกปี ส่วนใหญ่เป็นในช่วงฤดูฝนติดต่อกันได้ง่ายและรวดเร็ว การติดต่อของโรคเกิดโดยตรงจากการสัมผัส การใช้ของร่วมกัน การไอจาม แม้กระทั่งการหายใจรดกันก็อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ หลังจากได้รับเชื้อแล้วจะทำให้เกิดอาการภายใน 1-2 วัน และเมื่อเกิดเป็นตาแดงขึ้น จะมีโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นนานถึง 2 สัปดาห์

      อาการของโรค ผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีอาการตาแดงอย่างเฉียบพลัน เคืองตามาก เคืองแสง เจ็บตา น้ำตาไหล ตาบวม มักไม่มีขี้ตาหรือมีขี้ตาเป็นเมือกใส ๆ เล็กน้อย ถ้ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมาจึงจะมีขี้ตามาก บางคนมีต่อมน้ำเหลืองหน้าใบหูโตและเจ็บ ผู้ที่เป็นตาแดงมักเป็นกับตาข้างหนึ่งก่อน ต่อมาอีก 2-3 วัน อาจลุกลามเป็นกับตาอีกข้างหนึ่งได้ ระยะเวลาของโรคนี้จะเป็นนานประมาณ 10-14 วัน

      8. โรคไข้เลือดออก

      โรคไข้เลือดออก
      โรคไข้เลือดออก

      ไข้เลือดออก (Dengue Fever) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue) ที่แพร่สู่ร่างกายคนจากการกัดของยุงลายตัวเมีย ผู้ป่วยจะมีไข้สูง มีอาการป่วยรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา ยุงลายที่เป็นพาหะนำโรคเป็นยุงที่ออกหากินเฉพาะในตอนกลางวัน ชอบอาศัยอยู่ในแถบอากาศร้อนชื้น อาจพบโรคนี้ประปรายตลอดปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนคือเดือนพฤษภาคม-กันยายน

      สาเหตุ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ พบใน”ยุงลาย” เชื้อไวรัสเดงกี่จะอาศัยอยู่บริเวณผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง ดังนั้นเมื่อยุงที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่ที่ต่อมน้ำลายไปกัดคน เท่ากับว่าคนคนนั้นรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายไปเต็ม ๆ

      อาการของโรค อาการเบื้องต้นคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น มีไข้สูง ตัวร้อน ปวดหัว ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย แต่ผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีอาการแสดงที่รุนแรงกว่า คือ มีไข้สูงมาก ปวดหัวมาก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วลำตัว ในบางรายอาจคลื่นไส้อาเจียน อาจพบผื่นแดงหรือจ้ำเลือดใต้ผิวหนังทั่วตัว หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เช่น มีเลือดออกตามเนื้อเยื่อในร่างกายในรายที่ร่างกายอ่อนแอและมีภูมิคุ้มกันต่ำ

      หากสังเกตุดี ๆ โรคฮิตเปิดเทอม เกือบทุกโรคนั้น มีการติดต่อผ่านการไอ จาม และการใช้สิ่งของร่วมกัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรเน้นย้ำให้ลูก ๆ ทำตามมาตรการการป้องกันโรคของโรงเรียนอย่างเคร่งครัด เช่น งดใช้สิ่งของร่วมกัน ล้างมือบ่อย ๆ สวมใส่หน้ากากเป็นประจำ เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันโรคโควิด-19 ได้แล้ว ยังช่วยป้องกัน โรคฮิตเปิดเทอม นี้ได้อีกด้วย

      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      โรคเฮอร์แปงไจน่า โรคระบาดในเด็กเล็ก ที่พ่อแม่ต้องระวัง

      การเรียนลูก เป็นเพียงเรื่องของครู จบที่โรงเรียนจริงหรือ?

      เปิดเทอมนี้ เตรียมของให้ลูกไปโรงเรียน ต้องมีอะไรบ้าง

      แนะ 4 วิธี ทำความสะอาดของใช้ ใกล้ตัว ให้ปลอดเชื้อโควิด-19

       

      ขอบคุณข้อมูลจาก : สสส., www.pobpad.com, www.rama.mahidol.ac.th, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        โรคเฮอร์แปงไจน่า

        โรคเฮอร์แปงไจน่า ในเด็กไม่รุนแรงแต่ต้องระวังภาวะแทรกซ้อน

        โรคเฮอร์แปงไจน่า โรคระบาดที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายกับโรคมือ เท้า ปาก มักเกิดกับเด็กเล็ก มีวิธีป้องกันอย่างไร พ่อแม่ต้องรู้ภาวะแทรกซ้อนจากโรคอันตราย!!

        โรคเฮอร์แปงไจน่า ในเด็กไม่รุนแรงแต่ต้องระวังภาวะแทรกซ้อน!!

        ในบรรดาโรคระบาดที่น่ากลัวสำหรับเด็ก โรคเฮอร์แปงไจน่า อาจเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูสำหรับใครหลายคน แต่ว่าโรคนี้อยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะกับเด็กอายุน้อยที่อยู่รวมกันในสถานที่ต่าง ๆ จำนวนมาก คุณพ่อคุณแม่ควรทำความรู้จักกับโรคนี้ไว้เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพ และเพื่อป้องกันโรคให้ลูกรักกันนะคะ

        รู้จักโรคเฮอร์แปงไจน่า รู้ไว้ไม่ประมาท

        รู้จัก โรคเฮอร์แปงไจน่า
        รู้จัก โรคเฮอร์แปงไจน่า

        โรคเฮอร์แปงไจน่า (Herpangina) เป็นโรคที่ติดเชื้อจากไวรัสชนิดเดียวกันกับโรคมือ เท้า ปาก ซึ่งเป็นกลุ่มของเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) แต่มีอาการที่แตกต่างกันคือจะมีแผลเฉพาะที่ปากเท่านั้น เป็นโรคที่พบได้ทุกช่วงอายุ แต่จะพบมากในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โรคนี้จะติดต่อกันได้ในสถานที่ที่มีเด็ก ๆ อยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก เป็นต้น

         

        ขอขอบคุณคลิปดี ๆ จาก RAMA CHANNEL

        อ่านเพิ่มเติม >> การติดเชื้อ เอนเทอโรไวรัส 71 โรคระบาดสายพันธุ์รุนแรง

        อ่านเพิ่มเติม >>ทำไมเด็ก ๆ ถึงชอบเป็น โรคมือเท้าปาก

         

        โรคมือ เท้า ปาก กับ โรคเฮอร์แปงไจน่า แตกต่างกันอย่างไร? 

        แม้ว่าโรคมือ เท้า ปาก และ โรคเฮอร์แปงไจน่า จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่มเดียวกัน แต่อาการแตกต่างกัน คือ โรค มือ เท้า ปาก จะมีไข้ มีผื่น ตุ่มน้้าใส หรือเม็ด แดง ๆ ในปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า บางรายอาจมีอาการ อาเจียน ถ่ายเหลวรุนแรง ร่างกายขาดน้้า ปอดบวมน้้า หอบเหนื่อย ซึม ชัก เกร็ง ช็อกเสียชีวิต

        ส่วนโรคเฮอร์แปงไจน่า จะไม่พบผื่นบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า จะสังเกตอาการของโรคนี้ได้ค่อนข้างลำบากในช่วงแรก ต่อเมื่อเริ่มมีผื่นขึ้นจึงจะสามารถสังเกตอาการได้ บางรายอาจพบเพียงผื่น และแผลตื้น ๆ กราย ๆ ในช่องปาก เท่านั้น

         

        เฝ้าระวังอาการแบบไหนคือเฮอร์แปงไจน่า

        อาการของโรคจะแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคน  ที่พบได้คือ

        • มีไข้แบบเฉียบพลัน ได้รับยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น และอาจมีไข้สูง 40 องศา เด็กบางคนอาจมีอาการชักจากไข้สูง
        มีไข้ อาเจียน ซึมลง
        มีไข้ อาเจียน ซึมลง
        • กลืนลำบาก ทำให้เบื่ออาหาร น้ำลายไหล
        • อาเจียน
        • อาจพบมีภาวะร่างกายขาดน้ำ เช่น ริมฝีปากแห้ง ตาโหล ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ปัสสาวะสีเข้ม ปัสสาวะน้อย
        • พบแผลในปาก เป็นแผลเล็ก ๆ หลายแผลบริเวณเพดานอ่อน ต่อมทอนซิล ผนังคอด้านหลัง ลักษณะของแผลที่พบจะเกิดใน 2 วันหลังการติดเชื้อ โดยแผลมีขนาด 2-4 มิลลิเมตร สีขาวหรือเทาอ่อนมีขอบแดง ซึ่งส่วนใหญ่แผลหายภายใน 7 วัน

        แพทย์จะวินิจฉัยจากลักษณะรอยแผลในปาก โดยเฮอแปงไจน่าจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากแผลจากโรคอื่น ๆ ทั้งนี้แพทย์จะซักประวัติอาการป่วยเพิ่มเติมอย่างละเอียด

        การติดต่อของโรคเฮอร์แปงไจน่า

        การติดต่อเกิดขึ้นได้จากการสัมผัส นอกจากนี้ยังสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายผ่านทางน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ อุจจาระ หรือการแพร่เชื้อที่ปนเปื้อนมาในน้ำ อาหาร ภาชนะ มือ ของเล่น โต๊ะเก้าอี้ จึงมักพบในโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก

        โรคเฮอร์แปงไจน่าอันตรายแค่ไหน?

        โดยทั่วไปแล้วโรคเฮอร์แปงไจน่ามักจะมีอาการไม่รุนแรง ยกเว้นไข้สูง แต่ก็ต้องระวังภาวะแทรกซ้อนที่สามารถพบได้จากโรคนี้ เช่น การอักเสบของก้านสมอง กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตามภาวะแทรกซ้อนดังกล่าวพบได้น้อย

        ตื่นตัวไม่ตื่นตูม

        โรคเฮอร์แปงไจน่า ปาก ลำคอมีแผล
        โรคเฮอร์แปงไจน่า ปาก ลำคอมีแผล

        สำหรับไวรัสเอนเทอโร ที่เป็นไวรัสก่อโรคเฮอร์แปงไจน่า พบว่า ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พบว่า ไวรัสเอนเทอโรเป็นต้นเหตุของสมอง และเยื่อหุ้มสมองอักเสบในเด็กอายุน้อยกว่า 14 ปี 34 ราย และผู้ใหญ่ 4 ราย จากจำนวนทั้งหมด 930 ราย

        ทั้งนี้ ในผู้ใหญ่ พบว่าอาการไม่มากเป็นเพียงเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และหายเองภายในเวลา 2-3 วัน และยังพบอีกว่า ทารกแรกคลอดเมื่อกลับบ้านก็มีโอกาสติดเชื้อได้ทันที และมีจำนวน 36% ในเด็กอายุน้อยกว่า 3 เดือน ที่มีการติดเชื้อรุนแรงและสมองอักเสบ ที่เกิดจากเชื้อเอนเทอโร
        “การที่ผู้ใหญ่พบการติดเชื้อน้อย น่าจะอธิบายจากการที่ได้สัมผัสเชื้อ ต่อเนื่องเป็นเวลานานจนมีภูมิต้านทาน ดังนั้น…ถ้ามีการติดเชื้อและมีอาการรุนแรงในวงกว้างของเชื้อเอนเทอโรในผู้ใหญ่ จำเป็นต้องมีการหาสาเหตุอย่างละเอียด…เมืองไทยก็มีสายพันธุ์ต่าง ๆ ของเชื้อเอนเทอโร 71 เกือบครบถ้วนไม่แตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านนัก”

        โดยมีทั้ง C1 C2 และ C4 รวมทั้ง B5 แต่ก็ไม่มีโรครุนแรงดังเช่นประเทศต่างๆ เป็นเครื่องแสดงว่า ชนิดของสายพันธุ์มิได้เป็นตัวกำหนดความรุนแรงเพียงอย่างเดียว ยังขึ้นกับปัจจัยในคนอีกด้วย

        สิ่งสำคัญที่ควรท่องจำกันให้ขึ้นใจนั่นก็คือ ข้อควรปฏิบัติในการป้องกันตนเอง โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด “กินร้อน…ช้อนกลาง และล้างมือด้วยน้ำสบู่บ่อย ๆ ไอจามปิดปาก ผู้ใดมีอาการเจ็บป่วยต้องแยกตัวไม่แพร่เชื้อไปสู่คนอื่น”

        การทำความสะอาดกำจัดเชื้อก่อโรค

        ถึงแม้เจลล้างมือ แอลกอฮอล์ 70% จะสามารถฆ่าเชื้อโรคได้มากมายหลายชนิด แต่ไม่ได้ผลในการฆ่าเชื้อเอนเทอโรไวรัส รวมถึงเชื้อก่อโรคมือเท้าปากที่กำลังเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขวันนี้ ดังนั้น แม้สะดวกแต่ไม่ได้ผลในการกำจัดเชื้อวิธีทำความสะอาดที่เหมาะสม คือ การล้างมือด้วยน้ำ และสบู่ เพื่อชะล้างเชื้อจากผิวหนัง

        ส่วนการฆ่าเชื้อที่พื้น และอุปกรณ์จะต้องใช้ Sodium hypochlorite 0.5% เช่น ไฮเตอร์ Clorox ในกรณีที่เป็นผง ให้ใช้ขนาด 5 กรัม กับน้ำ 950 ซีซี เก็บไว้ใช้ได้นาน 7 วัน ยกเว้นถ้าเปลี่ยนสีแสดงว่าหมดอายุต้องทิ้ง เตรียมใหม่ น้ำยานี้ใช้ทำความสะอาดพื้นผิว สิ่งของ เครื่องใช้ ชุบน้ำยาชุ่มเช็ดบนพื้นผิวที่ต้องการ หรือราดที่พื้น ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างหรือเช็ดออก

        การนำอุปกรณ์ที่ทำความสะอาดแล้วตากแดดให้แห้ง จะช่วยเสริมการกำจัดเชื้อได้ดีขึ้น ส่วนน้ำยาฆ่าเชื้ออื่นที่ใช้ไม่ได้คือ แอลกอฮอล์ 70% ไลซอล อีเทอร์ คลอโรฟอร์ม ไอโซโปรพานอล (isopropyl alcohol) ความร้อนต่ำกว่า 50 องศาเซลเซียส สำหรับอาหารควรอุ่นให้เดือดหรือร้อนจัดอย่างน้อย 10 นาที

        เด็กเปิดเทอม ทำให้มีโอกาสติดเชื้อสูง
        เด็กเปิดเทอม ทำให้มีโอกาสติดเชื้อสูง

         

        ดูแลอย่างไร หากลูกป่วยเป็นเฮอร์แปงไจน่า

        โรคนี้มีอาการไม่รุนแรง สามารถหายเองได้ภายใน 7-10 วัน ด้วยการรักษาตามอาการ ดังนี้

        • ให้ยาลดไข้ พาราเซตามอล หรือ ให้ไอบูโปรเฟน ในกรณีเด็กมีไข้สูง โดยต้องมีการเช็ดตัวร่วมด้วยเสมอจนกว่าไข้จะลดลง
        • ให้เด็ก จิบ ดื่มน้ำเย็นบ่อย ๆ หรือดื่มนมเย็นที่มีรสไม่หวานมาก
        • กินน้ำแข็ง หรือไอศครีมที่มีรสชาติไม่เปรี้ยวและไม่หวานมาก
        • ให้อาหารจืด อ่อน ย่อยง่าย (ไม่ควรให้น้ำผลไม้หรืออาหารรสเปรี้ยวมาก)
        • ในกรณีที่เด็กไม่ยอมรับประทานอาหาร แพทย์อาจใช้ยาที่มีส่วนผสมของยาชา

        แต่หากเด็กมีไข้สูง ได้ยาลดไข้แล้วไม่ดีขึ้น เด็กมีอาการชักจากไข้สูง ไม่ยอมดื่มน้ำ นม หรือรับประทานอาหารได้น้อยมาก มีภาวะขาดน้ำที่เห็นได้ชัด เช่น ปัสสาวะน้อยและมีสีเข้มมาก ริมฝีปากแห้ง ตาโหลลึก ซึมผิดสังเกต หรือแสดงอาการกระสับกระส่าย ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กมาพบแพทย์โดยเร็ว

         

        การป้องกันโรคเฮอร์แปงไจน่า

        เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรคนี้ คุณพ่อคุณแม่จะต้องดูแลเรื่องสุขอนามัยให้ลูกอยู่เสมอ ดังนี้

        หมั่นล้างมือ ป้องกันติดเชื้อ
        หมั่นล้างมือ ป้องกันติดเชื้อ
        • หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ โดยเฉพาะก่อนหลังรับประทานอาหาร รวมถึงก่อนปรุงอาหาร
        • ใช้กระดาษชำระหรือผ้าเช็ดหน้าปิดเวลาไอจาม หรือใช้ท้องแขนปิดปาก
        • ทิ้งกระดาษชำระที่ใช้แล้วลงถังขยะ และล้างมือหลังจากใช้ห้องน้ำทุกครั้ง
        • ผู้ที่ดูแลเด็กที่ป่วยเป็นโรคนี้ ต้องล้างมือก่อนและหลังการเปลี่ยนผ้าอ้อม ชุดชั้นในเด็ก หรือหลังการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ อุจจาระของเด็ก
        • หมั่นทำความสะอาด พื้น โต๊ะ เก้าอี้ ของเล่น และวัสดุอื่นที่เด็กชอบหยิบจับ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อบ่อย ๆ
        • หากเด็กป่วยเป็นโรคเฮอร์แปงไจน่า ต้องหยุดเรียน 1 สัปดาห์  เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อ

        เด็กเล็กภูมิคุ้มกันเขายังไม่มากพอ ดังนั้นพ่อแม่จึงควรดูแลลูกรักอย่างใกล้ชิด หมั่นรักษาความสะอาด ดูแลสุขอนามัย โดยเฉพาะในช่วงนี้ ที่เป็นช่วงเปิดเทอมที่เด็ก ๆ ต้องอยู่รวมกลุ่มกันในโรงเรียน เมื่อลูกไม่สบาย พ่อแม่ก็อย่าประมาท เฝ้าระวังอย่าให้ลูกอาการหนัก เมื่อติดเชื้อ แม้โอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนจะมีน้อยก็ตาม

        ขอบคุณข้อมูลจาก
        โรงพยาบาลเปาโล , รายการพบหมอรามา , โรงพยาบาลสมิติเวช , www.thairath.co.th

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        โรคมือเท้าปาก อาการ สาเหตุ และวิธีป้องกัน ที่พ่อแม่ควรรู้!

        มือเท้าปากระบาด เตือนคุณพ่อ คุณแม่ให้ระวัง

        แผลในปาก ลูกน้อย สาเหตุและวิธีการดูแลรักษา

        การติดเชื้อ เอนเทอโรไวรัส 71 โรคระบาดสายพันธุ์รุนแรง

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          โรคจิต

          โรคจิต แอบถ่ายในห้าง โดนเด็ก 10 ขวบสั่งสอนแบบนี้

          โรคจิต แอบถ่ายต้องละอาย เมื่อเด็ก 10 ขวบ สั่งสอนชุดใหญ่ “หนูเป็นเด็กยังมีความคิดเลย พี่โตเท่าควายแล้วแต่ไม่มีความคิด” หลังถูกจับได้ว่าแอบถ่าย “แม่” ในห้องน้ำกลางห้างดัง

          “ควรทำตัวดีกว่านี้” เด็ก 10 ขวบสั่งสอน โรคจิต แอบถ่ายแม่ในห้องน้ำ

          รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ได้นำเสนอ เรื่องราวความกล้าหาญของหนูน้อยวัยเพียง 10 ขวบ ที่ออกโรงปกป้องคุณแม่สุดตัวหลังทราบว่ามีโจร โรคจิตแอบถ่ายคุณแม่ตัวเองในห้องน้ำ  เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ห้างแห่งหนึ่งในจังหวัดพัทลุง หลังพลเมืองดีจับกุมตัวชายวัย 21 ปีขณะใช้โทรศัพท์มือถือแอบถ่ายภาพหญิงวัย 37 ปีที่กำลังเดินเข้าห้องน้ำ พร้อมของกลางเป็นภาพถ่ายก้นของหญิงคนดังกล่าว

          โรคจิต
          เครดิตภาพจาก รายการ เรื่องเล่าเช้านี้

          หญิงผู้เสียหายเล่าเหตุการณ์ว่า ตนไปซื้อของกับลูกสาววัย 10 ขวบ หลังจากซื้อของเสร็จจึงเข้าห้องน้ำก่อนกลับบ้าน ขณะเดินออกมาพบชาย โรคจิต คนนี้แอบถ่ายภาพตนเองตลอดทางรวมถึงผู้หญิงอีกหลายคนด้วย โชคดีที่มีพลเมืองจับตัวไว้ได้จึงโทรแจ้งตำรวจไปดำเนินคดี

          นี่คือ…สาเหตุ “ลูกถูกล่วงละเมิดเพศ” ที่พ่อแม่คาดไม่ถึง!

          เตือนภัย! ภัยใกล้ตัว คนคุ้นหน้าหวังฉุดดญ. ขึ้นรถตู้ “ข่มขืน”

           

          เครดิตภาพจาก รายการ เรื่องเล่าเช้านี้

          หลังจากสอบสวน ชายคนดังกล่าวยอมรับสารภาพว่าแอดถ่ายคลิปไว้จริง จึงถูกตั้งข้อกล่าวหาก่อนความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ผู้อื่นตามมาตรา 394 โดยต้องจ่ายค่าปรับ 1,000 บาท พร้อมกล่าวตักเตือน และปล่อยตัวไป

          โรคจิต
          เครดิตภาพ: รายการเรื่องเล่าเช้านี้

          แต่ลูกสาววัย 10 ขวบใจกล้าคนนี้ไม่ยอมจบเรื่องง่ายๆ เธอเดินตรงเข้าไปต่อว่า พร้อมกับอบรมสั่งสอนหนุ่มโรคจิตคนนี้อย่างไม่เกรงกลัว โดยมีใจความตอนหนึ่งว่า

           “คนไทยต้องเป็นคนดีนะ ไม่ใช่แบบนี้ พี่จำไว้ด้วยนะ รู้ไหมหนูเป็นเด็ก หนูยังมีความคิดเลย พี่โตเท่า…พี่ไม่มีความคิดเลย”

           “หนูดูพี่มีระดับนะ แต่พี่ทำตัวเหมือน… ควรทำตัวให้ดีกว่านี้นะ”

          “ รู้ไว้ด้วยว่าพ่อแม่ลูกคนอื่นเขาก็เสียใจ รู้ไหมถ้าพ่อแม่พี่รู้ว่าพี่เป็นคนแบบนี้ พ่อแม่พี่จะรู้สึกยังไง ทีนี้อย่าทำอีกนะ”

          งานนี้บอกได้คำเดียวว่า…มีแต่อาย

          สอนลูกรับมือ โรคจิต แบบไหนให้ได้ผล

          ปัญหาคุมคามทางเพศจากคนโรคจิตเกิดขึ้นบ่อยๆกับผู้หญิงทุกวัย ไม่เว้นแม่แต่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรสอนวิธีรับมือให้กับลูกน้อยเป็นความรู้ติดตัวไว้เอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขัน และไม่ตกเป็นเหยื่อของอันตรายเหล่านี้

          • คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความใส่ใจ คอยดูแล และให้ความใกล้ชิดกับลูกมาก ๆ และที่สำคัญคือ อย่าปล่อยให้ลูกต้องอยู่คนเดียว คุณพ่อคุณแม่บางท่านพาลูกไปด้วยทุกที่เพราะกลัวลูกจะเป็นอันตรายหากต้องอยู่ห่างจากสายตา
          • สอนให้ลูกรู้จักระมัดระวังตัว อย่าไว้ใจคนแปลกหน้า
          • สอนให้ลูกปฏิบัติตัวอย่างเหมาะสม เช่น เด็กในช่วงวัยเริ่มเป็นวัยรุ่นประมาณ 12 ปี ขึ้นไปมักจะต้องการเป็นที่สนใจของเพศตรงข้าม จึงมักแสดงออกหรือทำตัวเพื่อให้อีกฝ่ายสนใจ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องสอนให้ลูกอย่าทำตัวล่อแหลม และคอยดูแลในเรื่องการแต่งกายให้เหมาะสม ไม่เปิดนั่นเว้านี่ เพราะจะเป็นช่องทางที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ง่ายขึ้น

           เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          •   หากใส่กระโปรงสั้น ควรสอนให้ลูกใส่กางเกงซับในเสมอ
          • หากลูกสาวโตพอที่จะเข้าห้องน้ำเองได้ เวลาเข้าห้องน้ำสาธารณะควรสอนให้ลูกสังเกตรอบๆ ห้องว่ามีรู รอยแยก หรือสิ่งของที่ไม่ควรอยู่ในห้องน้ำหรือไม่ เพราะอาจเป็นกล้องที่โจร โรคจิตติดตั้งไว้สำหรับแอบถ่าย
          • หากไม่แน่ใจ ควรแนะนำให้ลูกหาแฟ้ม กระเป๋านักเรียน หรือกระดาษมีปิดไว้ก่อนถอดเพื่อทำธุระ
          • เวลาขึ้นบันได หรือนั่งเก้าอี้ในรถสาธารณะ พยายามเอากระเป๋ามาบังหรือปิดกระโปรงไว้
          • พยายามอย่าเข้าใจวัตถุต้องสงสัยว่าติดกล้อมแอบถ่ายไว้ ส่วนใหญ่มักวางไว้ที่พื้นเช่น กระเป๋า หรือรองเท้า
          • การแอบถ่ายใต้กระโปรงมักเกิดจากด้านหลัง หากไปในที่คนพลุกพล่านควรสอนให้ลูกหันมองด้านหลังบ่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณก่อนขึ้นบันได
          • พูดคุยกับลูกอย่างเปิดอกเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ เพื่อให้ลูกสิ่งนี้เป็นเรื่องเลวร้าย ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม หากใครมากรทำแบบนี้กับลูก ให้บอกพ่อแม่ คุณครู หรือเจ้าหน้าที่ได้ทันที
          • กรณีลูกโดนแอบถ่าย สอนลูกให้ตั้งสติก่อน แล้วแสดงออกว่า เรารู้ตัวและไม่ยินยอม
          • ลุกหนีออกจากบริเวณดังกล่าวทันที และร้องขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างให้เร็วที่สุด
          • แจ้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุด

          แหล่งข้อมูล  รายการเรืิ่องเล่าเช้านี้    www.thairath.co.th  sistacafe.com

           

          ข้อเท็จจริง มิจฉาชีพ ทำไมถึงลักพาตัวเด็กน้อย

           

          สอนลูกให้รู้จัก “พื้นที่ส่วนตัว” ป้องกันถูกละเมิดทางเพศ

           

          ลูกโตก่อนวัย ภัยอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

           

           

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด ฉบับญี่ปุ่น สุดง่าย เห็นผลใน 5 วัน

            เชื่อว่าคุณแม่หลังคลอดหลายคนกำลังกังวลกับปัญหาน้ำหนักเกิน รูปร่างไม่กระชับเหมือนก่อนตั้งท้อง แต่ไม่สามารถออกกำลังกายอย่างเต็มที่เพื่อลดน้ำหนักได้เพราะร่างกายยังฟื้นตัวได้ไม่สมบูรณ์ อีกทั้งยังต้องกินอาหารบำรุงเพื่อให้นมลูกอีกด้วยใช่ไหมคะ? วันนี้ ทีมแม่ ABK มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝาก กับ เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด ฉบับญี่ปุ่น ที่ให้คุณแม่หลังคลอดได้ลดน้ำหนักง่าย ๆ จะเป็นอย่างไร ไปอ่านกันเลยค่ะ

             

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด ฉบับญี่ปุ่น

            ทำง่าย แค่อาบน้ำก็ลดน้ำหนักได้ เห็นผลใน 5 วัน

             

            รู้ไหม แค่อาบน้ำอุ่นก็ลดน้ำหนักได้

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด

            การอาบน้ำ ไม่เพียงแต่จะเป็นการทำความสะอาด ชำระล้างสิ่งสกปรก และทำให้รู้สึกผ่อนคลายหลังจากทำงานอย่างเหนื่อยล้ามาทั้งวันเท่านั้น แต่การอาบน้ำอุ่นตามเทคนิคลดน้ำหนักนี้ จะเป็นการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานส่วนเกินในร่างกาย และทำให้คุณแม่หลังคลอด รวมไปถึงคุณผู้หญิงทุกคนสามารถลดน้ำหนักได้อย่างง่าย ๆ ด้วยค่ะ

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด ด้วยการอาบน้ำอุ่น

            โดยปกติแล้ว การแช่น้ำอุ่นอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 15-20 นาที ความร้อนและความดันของน้ำจะช่วยให้การหมุนเวียนเลือดและของเหลวในร่างกายดีขึ้น ซึ่งจะช่วยกำจัดของเสียและไขมันส่วนเกินได้ และมีเคล็ดลับที่สาวญี่ปุ่น มักจะทำหลังอาบน้ำเสร็จ เป็นเคล็ดลับที่ง่าย รวดเร็ว และได้ผลจริง มีวิธีดังนี้ค่ะ

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด เทคนิคที่ 1

            เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อย ให้ปรับอุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 38-41 องศา จากนั้นยืนหันหลังให้ฝักบัว แล้วใช้ฝักบัวฉีดค้างลงตรงบริเวณก้นกบ(บริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ) ให้น้ำไหลผ่านประมาณ 15-30 วินาที

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด

            วิธีนี้จะช่วยให้นอนหลับสบายมากขึ้น และช่วยให้ระบบเผาพลาญดีขึ้น ผลลัพธ์ของสาวญี่ปุ่นที่ได้ลองทำติดต่อกัน 5 วัน พบว่าน้ำหนักลดลงไป 1 กิโลกรัม

            อ่านเพิ่มเติม >> 9 วิธีลดน้ำหนักหลังคลอด..ให้คุณแม่กลับมาสวยเป๊ะเหมือนเดิม!

             

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด เทคนิคที่ 2

            เทคนิคที่ 2 เป็นเทคนิคลดหน้าท้อง และลดน้ำหนัก ที่ทำได้ง่ายอีกวิธีหนึ่งค่ะ คุณผู้หญิงและคุณแม่หลังคลอดสามารถทำได้ขณะอาบน้ำเช่นกัน ไปดู 4 ขั้นตอนลดหน้าท้องและลดน้ำหนักด้วยน้ำอุ่นกันค่ะ

            1. เตรียมน้ำอุ่นประมาณ 40 องศาเซลเซียส
            2. นั่งคุกเข่าในน้ำในท่าตัวตรงยืดอก ใช้มือแนบที่บริเวณหน้าท้องช้า ๆ ค่อย ๆ ลูบกดลงเบา ๆ ประมาณ 20 ครั้ง

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด

            3. ใช้ฝ่ามือคลึงบริเวณหน้าท้อง ในลักษณะวงกลมวนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ประมาณ 20-30 ครั้ง

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด

            4. ฉีดน้ำอุ่นที่ปรับอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย บริเวณหน้าท้อง

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด

             

            อ่านเพิ่มเติม >> “แช่น้ำอุ่น สูตรลดน้ำหนัก” ตามสไตล์ของคุณแม่ชาวญี่ปุ่น!

             

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด ด้วยการดื่มน้ำอุ่น

            การอาบน้ำด้วยน้ำอุ่น นอกจากจะช่วยให้ผ่อนคลายและเป็นเคล็ดลับลดน้ำหนักได้แล้ว การดื่มน้ำอุ่นยังมีประโยชน์กับร่างกายมากกว่าที่่คิดด้วยนะคะ

            ดื่มน้ำอุ่น ดีอย่างไร?

            1. ช่วยป้องกันอาการบวมน้ำและความอ้วนจากไขมันสะสม การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยรักษาอุณหภูมิในร่างกาย และเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญอาหารและขยายหลอดเลือด จึงช่วยป้องกันอาการดังกล่าวได้

            2. ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็วขึ้น การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยกระตุ้นความรู้สึกอบอุ่นที่เยื่อเมือกในช่องปาก เพิ่มความเร็วในการไหลเวียนเลือดไปยังกระเพาะอาหาร ซึ่งจะส่งสัญญาณให้สมองรับรู้ว่าอิ่มเร็วขึ้น จึงลดการกินอาหารส่วนเกินได้

            3. ช่วยปรับสภาพผิวแห้งและบอบบาง เนื่องจากน้ำอุ่นช่วยขยายหลอดเลือดและเพิ่มอัตราการไหลเวียนเลือดได้ถึง 3,000 มิลลิลิตรต่อนาที ทำให้เอนไซต์ภายในเซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า และยับยั้งการสร้างเม็ดสีตัวการของผิวหมองคล้ำได้อีกด้วย

            4. ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค การดื่มน้ำอุ่นจะช่วยป้องกันอาการเลือดข้นกว่าปกติ จึงไม่เป็นต้นเหตุแพร่กระจายของแบคทีเรียในร่างกาย และยังช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวที่เป็นส่วนสำคัญของภูมิคุ้มกัน  ทำให้ร่างกายแข็งแรง

             

            เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด

             

            เคล็ดลับลดน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำอุ่น

            และวันนี้ นอกจากจะมี เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด มาแบ่งปันแล้ว ทีมแม่ ABK ยังมีเคล็ดลับในการดื่มน้ำอุ่นเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกายมาฝากด้วย

            1. ดื่มน้ำอุ่นหลังตื่นนอนตอนเช้า โดยให้ดื่มน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส 1 แก้ว

            2. อย่าเพิ่งกลืน เมื่อดื่มน้ำอุ่นอึกแรก อย่าเพิ่งรีบกลืน ให้กลั้วคอทําความสะอาดช่องปากแล้วค่อยบ้วนทิ้ง เพราะการกลั้วคอจะช่วยทําความสะอาดช่องปากในตอนเช้า วิธีนี้สามารถเพิ่มภุมิคุ้มกันโรคในช่องปากได้

            3. ค่อย ๆ ดื่ม ขณะดื่มน้ำอุ่น ห้ามดื่มอึกใหญ่โดยเด็ดขาด ให้ค่อย ๆ ดื่มน้ำลงท้องเพื่อกระตุ้นอวัยวะภายในช้า ๆ อย่างนุ่มนวล น้ำ 1 แก้ว ควรใช้เวลาดื่มประมาณ 10 นาที จึงจะเหมาะสมที่สุด วิธีนี้เป็นการฝึกความอดทนและจดจ่ออยู่กับความรู้สึกของร่างกาย

            4. ให้ดื่มน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิผิวหนัง หรือประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่พอเหมาะ เพราะไม่ร้อนและไม่เย็นเกินไป ซึ่งจะทําให้กระบวนการเคมีที่สลายโมเลกุลใหญ่ทํางานดีขึ้น

             

            อ่านเพิ่มเติม >> เผยสูตร ดื่มน้ำลดความอ้วน “ดื่มถูกหลัก” ได้ผลเริ่ด แถมสุขภาพดี!

            อ่านเพิ่มเติม >> อยากผอมต้องสูตรนี้! 7 สูตร น้ำผักผลไม้ปั่น สูตรลดน้ำหนัก สำหรับแม่หลังคลอด

             

            ยังไม่หมดเท่านี้นะคะ เรายังมีสูตรเครื่องดื่มลดความอ้วนด้วยน้ำอุ่น มาฝาก เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้คุณผู้หญิงสามารถทำดื่มกันได้ตามความชอบ ดังนี้

            ดื่มน้ำอุ่น กับ มะนาว

            แช่มะนาวฝาน 1 ชิ้นลงในน้ำอุ่น แล้วดื่ม กลิ่นน้ำมันหอมระเหยของมะนาวจะช่วยระงับความอยากอาหาร ทำให้กินอาหารน้อยลง หรืออาจจะนำน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นแล้วดื่มหลังตื่นนอนเป็นประจำ จะช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย และทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยนะคะ

            ดื่มน้ำอุ่น กับ กีวี

            แช่ กีวีหั่น 1 ชิ้นลงในน้ำอุ่น เติมน้ำผึ้งเล็กน้อย แล้วดื่ม กีวีมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีน และอุดมด้วยใยอาหาร จึงกระตุ้นการย่อยของกระเพาะอาหารให้สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น

            ดื่มน้ำอุ่น กับ สะระแหน่

            แช่สะระแหน่ 3 ใบลงในน้ำอุ่น แล้วดื่ม สะระแหน่มีสรรพคุณกระตุ้นการเผาผลาญ กลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่เย็นสดชื่นยังทำให้สมองตื่นตัว ยิ่งส่งเสริมการเผาผลาญให้ดีมากยิ่งขึ้น

             

            จาก เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด ฉบับญี่ปุ่น และเคล็ดลับการลดน้ำหนักด้วยการอื่มน้ำอุ่นที่ได้แบ่งปันไปข้างต้น หากใครได้ลองทำดูแล้ว ได้ผลหรือไม่อย่างไร อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญที่สุดในการลดน้ำหนักที่ได้ผล ก็คือ ความมีวินัย ค่ะ เพราะนอกจากเทคนิคที่เราได้แบ่งปันแล้ว ควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ และกินอาหารที่มีประโยชน์ ถ้าทำได้ รับรองว่ารูปร่างที่ดีและสุขภาพที่แข็งแรง อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ


            ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : moteco-web.jp , www.cosmenet.in.th , goodlifeupdate.com
            และข้อมูลประกอบจาก
            : นิตยสารชีวจิต , women.mthai.com

             

            อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม

            5 วิธีฟื้นฟูร่างกายหลังคลอด ให้กลับมาแข็งแรง สุขภาพดี

            กินไข่ ลดน้ำหนัก อย่างไรให้แม่ลดอ้วน ?

            2 สูตร น้ำขิง ลดน้ำหนัก กินแล้วสวย หุ่นดี

            อ้วนหลังคลอด น่ากลัวอย่างไร อยากรู้ต้องอ่าน!

             

             

             

              ผมร่วงหลังคลอด แม่มือใหม่รับได้มั้ย 6 เคล็ดลับป้องกันผมร่วงให้ลูกจำหน้าแม่ได้แบบสวยๆ

              สำหรับคุณแม่มือใหม่หลาย ๆ คนต้องเผชิญปัญหา ผมร่วงหลังคลอด ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์เห็นผมของตัวเองร่วงหลุดออกมาเยอะมาก อาจจะรับไม่ได้ เป็นเพราะอะไรทั้งที่ก่อนคลอดผมยังดูดก ไม่ร่วงบาง ผมร่วงเยอะแบบนี้อันตรายมั้ย แล้วจะหยุดร่วงเมื่อไหร่ มาหาคำตอบกันค่ะ

              ผมร่วงหลังคลอด เกิดจากอะไร แม่มือใหม่รับได้มั้ย?

              โดยปกติผู้หญิงส่วนใหญ่ล้วนมี “ผมร่วง” เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว แต่ปัญหาของคุณแม่มือใหม่ที่ต้องเจอคือเส้นผมหลุดร่วงหนักมากหลังคลอด ทั้งที่ในระหว่างตั้งครรภ์กลับพบว่ามีผมร่วงน้อยมาก แม้กระทั่งก่อนตั้งครรภ์ในคนที่เคยมีผมร่วงง่าย เส้นผมที่ควรจะร่วงปกติก็กลับยังคงอยู่ แถมเส้นผมยังดูมีสุขภาพดีอีกด้วย นั่นเป็นเพราะความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศในระหว่างที่คุณแม่ตั้งครรภ์ ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ทำให้เส้นผมแข็งแรงและดกหนาไม่ค่อยร่วงเลยในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ฮอร์โมนตัวนี้จะลดฮวบลงหลังคุณแม่คลอดลูก ทำให้เส้นผมที่เคยอยู่ในช่วงเติบโตเป็นจำนวนมาก เปลี่ยนไปอยู่ในช่วงพัก หลังจากที่เคยหยุดร่วงนานกว่า 9 เดือน และกลับมาหลุดร่วงออกไปจากศีรษะพร้อม ๆ กัน ทำให้คุณแม่มือใหม่ต้องเผชิญกับภาวะ “ผมร่วงหลังคลอด”

              ผมร่วงผิดปกติ

              ผมร่วงหลังคลอดอันตรายไหม แบบไหนเรียกว่า “ร่วงผิดปกติ”

              อาการของผมร่วงหลังคลอดจะเป็นการร่วงกระจายไปทั่วบริเวณศีรษะจนสังเกตได้ ซึ่งก็จะทำให้คุณแม่ดูเหมือนว่ามี “ผมร่วงมากขึ้น” กว่าปกติ ในช่วงประมาณ 1-6 เดือนหลังคลอด (เฉลี่ยอยู่ที่ 3 เดือน) โดยเส้นผมจะร่วงได้มากถึงวันละ 400 – 500 เส้น ไม่ว่าจะเป็นตอนสระผม ตอนหวีผม บางครั้งร่วงเป็นกระจุก บางครั้งอาจไม่พบทันที่หลังคลอดแต่กลับพบว่าผมเริ่มร่วงมากเมื่อเข้าสู่ช่วงประมาณ 3-4 เดือนหลังคลอดก็ได้ ทำให้คุณแม่หลายคนมีอาการผมร่วงหลังคลอดเกิดขึ้นเมื่อทารกอายุได้ 3 เดือน

              ทั้งนี้อาการผมร่วงหลังคลอดถือว่าไม่เป็นอันตรายและไม่ได้เกิดขึ้นกับแม่ทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นภาวะชั่วคราวเท่านั้น อาการผมร่วงจะเกิดขึ้นและจะหยุดร่วง มีเส้นผมงอกขึ้นใหม่เข้าสู่ภาวะปกติ เมื่อถึงช่วง 6-12 เดือนหลังคลอด และอาจจะมีผมร่วงบ้างเป็นปกติ แต่ถ้าหลังจากนี้คุณแม่สังเกตว่าผมยังร่วงมากผิดปกติ มีการร่วงต่อเนื่องเกินร่วงเกินวันละ 30-50 เส้น อาการผมร่วงยังไม่หายไปหลังจากคลอดลูกแล้วกว่า 1 ปี อาจเป็นสัญญาณเตือนที่เกิดจากโรคหรือความผิดปกติของร่างกาย เช่น โรคโลหิตจาง หรือโรคที่เกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุของอาการผมร่วงและแนวทางการรักษาต่อไป

              นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดภาวะผมหลุดร่วงหลังคลอดได้อีก เช่น

              • ภาวะโภชนาการบกพร่อง การได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะแม่ท้องที่กินอาหารน้อยเกินไปหรือลดกินอาหารที่มีสารอาหารจำพวก วิตามินบี 3, บี 5, บี 6, และบี 7 (ไบโอติน) ธาตุเหล็กและ สังกะสี ทำให้แม่ท้องขาดสารอาหารเหล่านี้ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผมร่วงได้
              • ภาวะไข้สูง มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคต่าง ๆ หลังจากมีไข้สูง 39-40 องศา ก่อนจะมีผมร่วง 60-120 วัน เช่น โรคไข้เลือดออก, ไข้หวัดใหญ่, ไข้จากการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ ฯลฯ อาการผมร่วงจากภาวะนี้ อาจจะเป็นผลโดยตรงจากโรคเหล่านี้หรือเป็นจากยาที่ใช้รักษาโรคเหล่านี้ที่ได้รับช่วงเจ็บป่วย
              • ความเครียด แม่หลังคลอดอาจเกิดภาวะเครียดที่ขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลี้ยงดูลูกในบทบาทคุณแม่มือใหม่ การให้นม อาการที่เกิดขึ้นหลังคลอด ฯลฯ ซึ่งเมื่อเกิดความเครียดจะส่งผลโดยตรงกับฮอร์โมนในร่างกาย อาจหยุดการทำงานที่ไม่จำเป็นเช่น การสร้างผมก็หยุดไว้ก่อน จนทำให้ผมร่วง

              กินยาคุมผมร่วง

              • การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ชนิดฮอร์โมนรวม อาจทำให้เกิดผมร่วงได้โดยเฉพาะคนที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เพราะยาคุมกำเนิดส่งผลกระทบต่อการเจริญปกติของเส้นผมได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดอาการผมร่วงในระยะ 3 เดือนแรกหลังจากได้ใช้ยาคุมกำเนิดไปสักระยะแล้ว หลังจากหยุดใช้ยาคุมกำเนิด ภาวะผมร่วงจะยังไม่หยุดทันที อาจจะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือน อาการผมร่วงจึงจะหยุดร่วง จากนั้นเส้นผมจะงอกขึ้นมาใหม่แล้วแต่ปฏิกิริยาของแต่ละบุคคล สำหรับคุณแม่หลังคลอดลูกแล้ว ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดนี้หลัง 6 เดือนขึ้นไป แต่ควรระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นด้วย
              • การสระผมบ่อยเกินไป คุณแม่ที่ชอบสระผมทุกวันอาจทำให้หนังศีรษะแห้ง จนเกิดอาการคันศีรษะ ระคายเคือง จนเป็นรังแค และทำให้ผมร่วงได้ในที่สุด รวมถึงการใช้ไดร์เป่าผมหลังสระผมบ่อยเกินไป ความร้อนที่นอกจากจะทำให้ผมแห้งเสีย ขาดความชุ่มชื่นแล้ว ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เส้นผมหลุดร่วงได้ง่ายด้วยเช่นกัน
              ผมขาดหลุดร่วงจากการทําสี
              ผมขาดหลุดร่วงจากการทําสี
              • ทำสีผม ดัดผม ยืดผม สารเคมีจากน้ำยาเหล่านี้นอกจากจะทำร้ายสุขภาพเส้นผมแล้ว ยังทำร้ายหนังศีรษะ เนื่องจากสารเคมีจะซึมลึกเข้าไปถึงโคนผม ทำให้มีอาการคันและผมร่วงตามมา โดยเฉพาะคุณแม่หลังคลอดที่อยู่ในช่วงให้นมลูก ที่นอกจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้ผมร่วงอยู่แล้ว แม้การทำสีผม ดัดผม ยืดผมสามารถทำได้ แต่อาจจะต้องคิดให้ดีเพื่อไม่ให้ผมหลุดร่วงมากกว่าเดิม

              6 เคล็ดลับป้องกันผมร่วงให้ลูกจำหน้าแม่ได้แบบสวยๆ

              1.เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

              สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมร่วงเกิดจากการขาดสารอาหาร ซึ่งการรับประทานครบ 5 หมู่นั้นก็จะมีส่วนช่วยทำให้เส้นผมงอกขึ้นใหม่ แต่ในช่วงที่มีอาการผมร่วงหลังคลอดคุณแม่ควรเน้นรับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อเส้นผม ได้แก่

              • อาหารที่มีธาตุเหล็กได้แก่ ธัญพืช ถั่วต่าง ๆ เนื้อสัตว์ ไข่แดง ตับ และผักใบเขียวต่างๆ
              • อาหารที่มีธาตุสังกะสีได้แก่ ธัญพืช ข้าวโพด ข้าวกล้อง และเนื้อสัตว์
              • อาหารที่มีวิตามิน B และไบโอตินสูงได้แก่ เนื้อสัตว์ เครื่องใน ปลาเนื้อขาว ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม ข้าว ข้าวโพด ธัญพืชไม่ขัดสี และผักหลากสี เป็นต้น
              • ผลไม้ที่อุดมด้วย วิตามินซี วิตามินอี ซิลิเนียม ทองแดง เป็นต้น เพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงและสุขภาพของเส้นผมให้ดีขึ้น

              นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด อาหารที่ใส่ผงชูรสเยอะ หรืออาหารที่มีไขมันสูงด้วยจะดีที่สุด

              2.ไม่เครียด/ ไม่จิตตก

              คุณแม่มือใหม่หลายคนมีภาวะเครียดจากการเลี้ยงลูก ไหนจะต้องปรับตัวกับบทบาทใหม่ ซึ่งการเกิดภาวะเครียดก็เป็นสาเหตุของผมหลุดร่วงได้ วิธีแก้ปัญหาคือ การปล่อยใจให้สบาย ๆ หลีกเลี่ยงเรื่องที่ทำให้เกิดความเครียด หากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายให้เวลากับตัวเองเพื่อไม่ให้เครียดจากการเลี้ยงลูกมากเกินไป เช่น ออกกำลังกาย ฟังเพลง ทำงานอดิเรกที่ชอบ กินให้อิ่ม นอนพักผ่อนให้เพียงพอ และหาผู้ช่วยมาสลับสับเปลี่ยนเลี้ยงลูกน้อยในช่วงเวลาสั้น ๆ บ้าง

              3.หลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด

              ในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด ถือเป็นการคุมกำเนิดตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 98% ดังนั้นเพื่อไม่ให้มีภาวะผมร่วงมากยิ่งขึ้น ในระยะนี้คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด โดยเฉพาะยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หากใช้ยาคุมกำเนิดแล้วมีอาการผมร่วงไม่หาย หรือผมร่วงมากกว่าผิดปกติ หากสงสัยหรือไม่แน่ใจว่าเกิดจากยาคุมกำเนิดหรือไม่ ควรเปลี่ยนชนิดยาคุมกำเนิดที่ใช้หรือเปลี่ยนวิธีการคุมกำเนิด

              4.สระผมให้ถูกวิธี

              แม้การสระผมจะดูเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผมร่วงได้จากการสระผมบ่อย ๆ ซึ่งที่ถูกต้องนั้นควรสระผมวันเว้นวัน ใช้แชมพูที่อ่อนโยน และในขณะสระผมไม่ควรเกาหนังศีรษะแรง ๆ ควรใช้ปลายนิ้วมือนวดเบา ๆ เป็นการกระตุ้นเส้นเลือดที่หนังศีรษะเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดที่รูขุมขนทำให้รากผมแข็งแรงขึ้นได้และหลังจากสระผมเสร็จแล้วควรเช็ดและปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติ ไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมหรือใช้เครื่องหนีบผมด้วยความร้อน เพราะจะยิ่งทำให้เส้นผมหลุดร่วง บางลงกว่าเดิมจนทำให้คุณแม่เสียความมั่นใจ

              แก้ปัญหาผมร่วงหลังคลอด

              5.หลีกเลี่ยงการทำสี ดัด ย้อมผม

              เรื่องความสวยงามมาคู่กับผู้หญิงทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่หลังคลอดที่รู้สึกตัวเองโทรม อยากเข้าร้านเสริมสวย ทำผม เพื่อปรับปรุงให้หน้าตาดูสดใส แต่การใช้ความร้อนกับเส้นผม รวมไปถึงการใช้สารเคมีในการเปลี่ยนสีผม ดัด หรือย้อมผมบ่อย ๆ จะทำให้เส้นผมอ่อนแอและง่ายต่อการหลุดร่วง

              6.ตัดผมให้สั้นลงหรือเปลี่ยนทรงผม

              หากผมหลุดร่วงเป็นปริมาณมากจนมองเห็นหนังศีรษะ คุณแม่อาจแก้ไขด้วยการตัดผมให้สั้นลงเพื่อลดอาการผมร่วง หรือเปลี่ยนทรงผมเป็นทรงอื่นที่ช่วยให้ผมดูหนาขึ้น เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้คุณแม่เพิ่มขึ้นได้

              แม่ผมร่วง ลูกจําหน้าได้
              แม่ผมร่วง ลูกจําหน้าได้

              ผมร่วงหลังคลอดแสดงว่าลูกจำหน้าแม่ได้จริงหรือ?

              โดยปกติพัฒนาการทารกในช่วงอายุระหว่าง 3 – 5 เดือน ลูกจะเริ่มมองเห็นได้ดีขึ้น ด้วยความใกล้ชิดและความผูกพันที่แสนวิเศษจะทำให้ลูกจำหน้าคุณแม่ได้ และที่กล่าวกันว่า ผมร่วงหลังคลอดแสดงว่าลูกจำหน้าแม่ได้ เนื่องจากภาวะผมที่ร่วงมากนั้นจะอยู่ในช่วงประมาณ 3-6 เดือนหลังคลอด เป็นช่วงเวลาเดียวกับพัฒนาการของทารกที่ลูกจะเห็นหน้าและจดจำหน้าแม่ได้นั่นเอง โดยสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกน้อยจำหน้าคุณแม่ได้แล้ว เช่น

              • จ้องหน้าแม่ไม่ละสายตา ลูกจะมองทุกอย่างที่เป็นแม่ไม่ว่าจะเป็นดวงตา ผม รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะดังนั้นไม่ว่าคุณแม่จะมีผมหลุดร่วงในช่วงนี้ หรือจะเปลี่ยนทรง ตัดผม เจ้าตัวน้อยก็ยังจำหน้าแม่ได้ชัดเจน
              • จำกลิ่นแม่ได้ กลิ่นตัวของแม่นั้นมีลักษณะเฉพาะตัวไม่ซ้ำแบบใคร ลูกสามารถจำได้ว่าคน ๆ นั้นไม่ใช่แม่ของตัวเองภายในช่วงเวลาเพียงไม่นาน
              • จำเสียงแม่ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงแม่ ลูกจะหันหน้าตามทุกครั้งที่ได้ยินเสียง และจะแสดงความกระตือรือร้นหันตามหาเสียงของแม่อย่างจริงจัง
              • พูดส่งเสียงไม่หยุด ทุกครั้งที่แม่อยู่ใกล้ ๆ และมองเห็นแม่อยู่ตรงหน้า เจ้าตัวน้อยจะส่งเสียงคุยอ้อแอ้ เริ่มยิ้ม และมีปฏิสัมพันธ์กับคุณแม่

              ถึงแม้ว่าการเป็นคุณแม่มือใหม่จะทำให้เส้นผมที่รักจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง อาการผมร่วงหลังคลอดอาจทำให้คุณแม่หลายคนหวั่น ๆ กลัวว่าผมจะบาง หมดสวยลงไปบ้าง แต่ก็เป็นเพียงอาการชั่วคราวที่คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ในระยะนี้ถ้าคุณแม่ได้ใส่ใจดูแลตัวเองเป็นอย่างดี และหลัง 6 เดือนเมื่อฮอร์โมนเข้าที่เข้าทาง วงจรการเติบโตของเส้นผมเข้าสู่ภาวะปกติผมก็กลับมางอกใหม่ ให้คุณแม่สวยได้เหมือนเดิมแล้วละคะ

              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.pobpad.comwww.lovefitt.com

              อ่านต่อเรื่องอื่นที่น่าสนใจ คลิก!: 

              วิธีรับมือ ผมร่วง หลังคลอด ด้วย 15 สูตรสมุนไพรแก้ผมร่วง

              คลิกเลย! ทรงผมเสริมดวง แม่ 12 ราศี

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                วิธีเพิ่มความสูง

                ฮาวทู 5 วิธีเพิ่มความสูง อยากให้ลูกสูง ต้องทำแบบนี้ทุกวัน

                สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังวิตกกังวลกลัวว่าลูกเตี้ย มีความสูงไม่ได้มาตรฐานสมวัย สูงไม่เท่าเพื่อนในวัยเดียวกัน มาลองดู วิธีเพิ่มความสูง ที่เป็นแนวทางช่วยให้ลูกมีส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมาได้

                ปัจจัยที่ส่งต่อผลความสูงและ วิธีเพิ่มความสูง ให้ลูกรัก

                หากคุณพ่อคุณแม่มองว่าลูกตัวเล็ก กลัวว่าลูกไม่สูงสมวัย ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “ส่วนสูง” ของเด็กแต่ละคนนั้นจะมีอัตราความสูงที่ไม่เท่ากัน และมีปัจจัยที่ส่งผลต่อความสูงได้ เช่น

                • กรรมพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่พบมากที่สุด ในกรรมพันธุ์ของพ่อแม่มีผลประมาณ 60-80 % หากพ่อแม่สูงทั้งคู่ลูกก็มีโอกาสที่จะสูง หรือถ้าพ่อแม่ไม่สูงทั้งคู่ ลูกก็จะมีโอกาสไม่สูงได้ แต่ถ้าพ่อหรือแม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูง ลูกก็จะมีความสูงในระดับกลาง ๆ ซึ่งพันธุกรรมของฝ่ายแม่จะมีผลต่อความสูงมากกว่าฝ่ายพ่อ
                • โภชนาการ อาหารมีความสำคัญอย่างมากต่อการเจริญเติบโตของลูกตั้งแต่ในช่วงตั้งครรภ์ได้รับและในวัยที่กำลังเจริญเติบโต การได้สารอาหารไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม หรือลูกมีพฤติกรรมที่เลือกกิน ลูกกินน้อย ก็อาจทำให้เด็กเจริญเติบโตช้าและตัวเตี้ยกว่าเด็กที่มีโภชนาการดี
                • ขาดการออกกำลังกายในวัยเด็ก
                • ลูกเครียด อันเกิดจากสภาพแวดล้อมหรือการเลี้ยงดู ซึ่งความเครียดจะมีผลโดยตรงต่อการหลั่งฮอร์โมนในการเจริญเติบโต

                ลูกเครียด

                • การเจ็บป่วยหรือป่วยเรื้อรังด้วยโรคหรือความผิดปกติบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและส่วนสูงได้ เช่น โรคหอบหืด ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ความผิดปกติเกี่ยวกับต่อมนี้อาจส่งผลให้ร่างกายเจริญเติบโตช้ากว่าคนทั่วไป โรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงรูปเคียว เป็นต้น รวมถึงการใช้ยาบางตัวในการรักษาโรคอาจมีผลกับการเจริญเติบโต หรือการที่ร่างกายถูกกระทบกระเทือนทางศีรษะอย่างแรงหรือบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น การหกล้ม ตกบันได ตกชิงช้าก็มีผลต่อความสูงได้เช่นเดียวกัน
                • ร่างกายขาดฮอร์โมนที่ช่วยเจริญเติบโตหรือความสูงหรือฮอร์โมนไม่สมดุล ได้แก่ ภาวะขาดโกรทฮอร์โมน ฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน ( ในเพศหญิง) และเทสโทสเตอโรน (ในเพศชาย) ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกายและช่วยควบคุมสมดุลของการสร้างกระดูก ทำให้เด็กมีความสูงไปตามพันธุกรรมที่กำหนดไว้ รวมทั้งภาวะขาดไทรอยด์ (Thyroid Gland) โดยเฉพาะไทร็อกซิน (Thyroxin) เป็นตัวกระตุ้นให้กระดูกมีพัฒนาการที่ดีหากขาดตัวนี้อาจทำให้เตี้ยและไม่สมส่วนได้

                อัตราความเร็วในการเพิ่มส่วนสูงของเด็กแต่ละวัย

                • ทารกแรกเกิดมีส่วนสูงเฉลี่ย 50 เซนติเมตร
                • ช่วงอายุ 6 เดือนแรก เด็กสูงขึ้นเฉลี่ย 2.5 เซนติเมตรต่อเดือน/ ช่วงอายุ 6 เดือนหลัง เด็กสูงขึ้นเฉลี่ย 1.5 เซนติเมตรต่อเดือน
                • ช่วงอายุ 1-2 ปี ความสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 12 เซนติเมตร
                • ช่วงอายุ 2-7 ปี ความสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5-6 เซนติเมตร/ปี
                • ช่วงอายุ 8-15 ปี ความสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7-8 เซนติเมตร/ปี

                ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ

                ช่วงเวลาที่เด็กแต่ละเพศสามารถสูงได้อย่างรวดเร็วที่สุด คือ

                • อัตราการเจริญเติบโตร่างกายของเด็กผู้หญิง มักเริ่มต้นเมื่ออายุประมาณ 9-10 ปี จะสามารถสูงได้มากที่สุดตอนอายุ 11 ปี ในช่วงวัยก่อนมีประจำเดือน ซึ่งในช่วงเวลานี้เด็กหญิงจะสามารถสูงขึ้นเฉลี่ยถึง 8-10 เซนติเมตรต่อปี ถือว่าเป็นช่วงเป็นโอกาสทองของความสูง และจะสูงขึ้นช้าลงเมื่อมีประจำเดือน จนกระทั่งอายุประมาณ 16-18 ปี ความสูงก็จะค่อนข้างคงที่หรือหยุดสูง
                • อัตราการเจริญเติบโตร่างกายของเด็กผู้ชาย มักเริ่มต้นเมื่ออายุประมาณ 11 ปี และจะสามารถสูงได้มากที่สุดตอนอายุ 13 ปี และความสูงก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วประมาณ 4-5 ปี จนกระทั่งร่างกายจะค่อย ๆ ลดอัตราการเติบโตลงเมื่อมีอายุ 18-20 ปี

                ดังนั้นความสูงของร่างกายเด็กจะคงที่และมีร่างกายมีการเติบโตเกือบเต็มที่เช่นเดียวกับความสูงของผู้ใหญ่ ในช่วงอายุ 17-18 ปีและร่างกายจะหยุดสูงเมื่อมีอายุ 20 ปี

                หยุดสูงตอนอายุเท่าไหร่

                ทำไมร่างกายถึงหยุดสูง?

                การเจริญเติบโตของร่างกายบางด้านนั้นมีข้อจำกัด รวมถึงความสูงที่จะหยุดสูงในที่สุด เนื่องจากการหยุดเจริญเติบโตของกระดูก โดยเฉพาะบริเวณแผ่นการเจริญเติบโต (Growth Plate) ซึ่งเป็นกระดูกอ่อนพิเศษบริเวณส่วนปลายของกระดูกยาว ซึ่งในช่วงวัยเด็กกระดูกส่วนนี้ยังเจริญเติบโตต่อเนื่องส่งผลให้กระดูกตามส่วนต่าง ๆ ยาวขึ้น จนเข้าสู่ช่วงอายุประมาณ 20 ที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้กระดูกอ่อนดังกล่าวกลายเป็นส่วนของกระดูกแข็ง และไม่สามารถเติบโตได้อีก ดังนั้นก่อนที่ลูกจะหยุดสูง ไม่อยากให้ลูกเตี้ย การสร้างพฤติกรรมและทำกิจกรรมเพื่อช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ตั้งแต่ยังเล็ก เป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความสูงให้กับลูกได้

                ฮาวทู 5 เคล็ดลับช่วยเพิ่มความสูงให้ลูกรัก

                1.ให้ลูกได้กินอาหารที่มีประโยชน์

                อาหารที่ช่วยเพิ่มความสูงคือ อาหารที่มีสารอาหารจำพวกวิตามินส่วนช่วยในการเติบโต เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 12 และ วิตามินดี เป็นต้น แร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียมและฟลูออไรด์ที่มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่เปราะหักง่าย และโปรตีนที่เป็นสารอาหารหลักช่วยในการเจริญเติบโต ซึ่งมาจากแหล่งอาหาร ได้แก่ เนื้อ นม ไข่ ปลาตัวเล็กๆ ผักใบเขียว และผลไม้ พืชตระกูลถั่ว เป็นต้น เน้นให้ลูกรับประทานสารอาหารเหล่านี้ควบคู่กันการกินให้ครบ 5 หมู่ และครบ 3 มื้อทุก ๆ วัน

                เพิ่มความสูง

                2.ดื่มนม

                ในน้ำนม อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารมากมาย ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และและเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง กระดูกแข็งแรง จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเด็กที่ไม่ได้แพ้นมวัวควรได้ดื่มนมรสจืดนมอย่างน้อย 2 แก้วต่อวันควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การดื่มนมในวัยเด็กจะช่วยเพิ่มความหนาของมวลกระดูกได้และยังช่วยเรื่องความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อได้ด้วย

                3.ให้ลูกได้ออกกำลังกายเป็นประจำ

                เด็ก ๆ ควรได้ออกกำลังกายทุกวัน วันละอย่างน้อย 30 นาที -1 ชั่วโมง การออกกำลังกายแป็นประจำมีส่วนช่วยเสริมสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เพราะจะช่วยทำให้ร่างกายกระตุ้นการหลั่งของโกรทฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโตให้เพิ่มมากขึ้น กีฬาที่มีส่วนช่วยเพิ่มความสูงได้ เช่น กระโดดเชือก กระโดดสูงหรือเล่นแทมโบลีน ว่ายน้ำ โหนบาร์ นอกจากนี้ยังมีกีฬาบาสเก็ตบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอล วิ่ง เต้นแอโรบิก โยคะ ต่อยมวย หรือแม้แต่การเดินเร็วก็มีส่วนในการกระตุ้นความสูงทั้งสิ้น

                4.จัดท่าทางให้ถูกต้อง

                ไม่ว่าจะเป็นการยืน เดิน นั่ง นอน หรือทำกิจกรรมในท่าทางต่าง ๆ ถ้าอยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้องอาจกระทบต่อส่วนสูงได้ เช่น การเดินหลังค่อมหรือนั่งหลังงอตลอดเวลาอาจจะทำให้กระดูกคดงอผิดรูป แถมยังทำให้ดูเสียบุคลิกภาพและดูเตี้ยกว่าปกติด้วย การนอนงอตัว ที่จะทำให้กระดูกสันหลังคดงอ ร่างกายเติบโตได้ไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตท่าทางของลูก และช่วยปรับท่าให้ยืนตัวตรงหรือนั่งหลังตรงจนชิน เพื่อบุคลิกภาพที่ดีและส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น

                โกรทฮอร์โมน เพิ่มความสูง

                5.นอนหลับเป็นเวลาและเพียงพอ

                ในวัยเด็กที่ร่างกายมีเจริญเติบโตอยู่นั้น ควรนอนอย่างน้อย 9-11 ชั่วโมง ซึ่งในขณะนอนหลับสนิทนั้นจะเป็นเวลาที่ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมน ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้มีผลต่อความสูงของลูก หากนอนไม่เพียงพออาจส่งผลให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดนี้และฮอร์โมนชนิดอื่น ๆ น้อยลง ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่

                เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กังวลว่าลูกจะไม่สูง เมื่อได้ทราบสาเหตุและเทคนิคเพิ่มความสูงกันไปแล้วก็ลองเลือกวิธีที่เหมาะสมนำไปใช้กันดูในช่วงวัยที่ลูกกำลังเจริญเติบโต ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถเช็กกราฟเพื่อติดตามส่วนสูงของลูกจากกรมอนามัยได้ ที่นี่

                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.pobpad.comwww.gh3tallplus.com

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                รู้ทันภาวะ “เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย” ก่อนลูกหยุดสูง

                โรคเตี้ยในเด็ก โรคใกล้ตัวที่พ่อแม่ควรทำความรู้จัก

                  เด็กวัยเรียน

                  อยากให้ลูกสมองแอคทีฟ ร่างกายแข็งแรง พร้อมเรียนรู้ทุกวัน ต้องทำไง ?

                  ช่วงนี้เด็กๆ ต้องอยู่บ้านกันนานขึ้น เหตุเพราะโรงเรียนมีการเลื่อนเปิดเทอมออกไป แต่เพื่อไม่ให้การเรียนรู้ต้องสะดุดลง เรามีคำแนะนำที่จะช่วยให้ลูกรักของคุณพ่อคุณแม่ มีสมอง และร่างกายแข็งแรง พร้อมสำหรับการเรียนรู้นอกห้องเรียนกันค่ะ

                  ไวรัสโควิด-19 ยังระบาดอยู่ค่ะ เด็กๆ อาจจะป่วยได้ถ้าพาออกไปสนุกข้างนอก ฉะนั้นเราจะมาเปลี่ยนบ้านให้เป็นสถานที่เรียนรู้นอกห้องเรียนสำหรับเด็กๆ กันค่ะ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถหากิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ลูกได้ใช้เวลาทุกวัน 2-3 ชั่วโมงไปกับการ

                  • เรียนหลักสูตรออนไลน์ ซึ่งหลายๆ สถาบันการเรียน เช่น สอนภาษา คณิตศาสตร์ ดนตรี ฯลฯ หรือ แม้แต่โรงเรียนของเด็กๆ เอง ก็ได้มีการปรับรูปแบบการสอนมาเป็นโปรแกรมออนไลน์ เด็กๆ สามารถเรียนได้จากที่บ้าน
                  • เรียน Home School กับคุณพ่อคุณแม่
                  • การทำกิจกรรมสนุกๆ Home Learning ให้ความรู้ต่าง เช่น ปลูกผักสวนครัว , การทำงานประดิษฐ์ DIY , การทำ Cooking ฯลฯ

                  แต่สิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้การเรียนรู้ทั้งใน และนอกห้องเรียนมีประสิทธิภาพ สมอง และร่างกายของลูกต้อง พร้อมอยู่ตลอดเวลาค่ะ

                  เด็กวัยเรียน

                  เด็กวัยเรียน ต้องบำรุงสมองและร่างกาย ให้พร้อมสำหรับทุกการเรียนรู้ในทุกวัน

                  คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน การกระตุ้นให้สมองของเด็กๆ ตื่นตัว พร้อมสำหรับการเรียนรู้ในทุกวัน เป็นเรื่องที่ดีค่ะ แต่การมีสมองดี ต้องมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรงด้วย ถึงจะส่งผลให้การเรียนมีทั้งประสิทธิภาพและศักยภาพ

                  และอย่างที่รู้กันว่าช่วงนี้เด็กๆ ต้องเผชิญกับภาวะทางสุขภาพ ไม่ใช่มีแค่ไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดเท่านั้น  แต่ยังมีเชื้อโรค เชื้อไวรัสต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลตลอดทั้งปี ซึ่งปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็กๆ อย่างแน่นอน หากภูมิต้านทานโรคในร่างกายไม่แข็งแรง ก็จะเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย ไม่สบายได้ตลอดเวลาค่ะ ร่างกายไม่แข็งแรง สมองก็จะเรียนรู้ได้ไม่เต็มที่ค่ะ

                  ดังนั้นหากอยากให้ลูกสมองดี เรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ ร่างกายมีภูมิต้านทานแข็งแรง คุณแม่ต้องให้ความสำคัญกับโภชนาการอาหารการกินของลูกค่ะ โดยเฉพาะเด็กวัยเรียน ที่ต้องเรียนรู้จำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ทั้งต่อสมอง และร่างกาย ซึ่งนอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว การหาอาหารเสริมที่เป็นเครื่องดื่มสำหรับเด็ก ก็มีส่วนสำคัญในการทำให้เด็กๆพร้อมสำหรับทุกการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน

                  เด็กวัยเรียน

                  ทุกเช้าให้ลูกดื่ม สก๊อต คิตซ์  ซุปไก่สกัดผสมนม รสช็อกโกแลตที่ ผสานคุณค่าของซุปไก่สกัด เข้ากับนม  มี DHA , Omega3 และ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ 8 ชนิด (B1, B2, B6 ,B12 , กรดแพนโทธินิค , โฟเลต , ไนอะซิน , ไบโอติน)  อร่อย ดื่มง่าย  เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการเรียนรู้ ทั้งในและนอกห้องเรียน

                  เด็กวัยเรียน

                  และเพื่อให้ลูกพร้อมสำหรับเช้าวันใหม่ อย่างสดใส ช่วงเวลากลางคืน ถือเป็นช่วงที่สมองของเด็กๆ จะได้พักผ่อน เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี เติบโตอย่างสมวัย ก่อนเด็กๆ เข้านอน ให้คุณแม่เตรียม สก๊อต คิตซ์ ช็อกโก ซุปไก่สกัด สำหรับเด็ก ให้ลูกดื่มก่อนเข้านอน  เมื่อเด็กๆได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ เด็กๆจะตื่นเช้ามาด้วยพลังที่เต็มเปี่ยม พร้อมสำหรับทุกการเรียนรู้ในทุกๆวัน

                  สก๊อต คิตซ์ ช็อกโก ซุปไก่สกัดสำหรับเด็ก เป็น ซุปไก่สกัดที่อร่อย ดื่มง่าย ไม่มีกลิ่นคาวของซุปไก่สกัด มีโอเมก้า 3 ( Omega 3 )  ดีเอชเอ ( DHA ) พร้อมวิตามินบี 12 ที่มีส่วนช่วยในการทำงานตามปกติของระบบประสาทและสมองของเด็กๆ

                  เด็กๆ สามารถดื่มได้ทุกวัน กับ สก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัดผสมนม ดื่มตอนเช้า และ สก๊อต คิตซ์ ซุปไก่สกัด ดื่มก่อนนอน เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียนได้ในทุกๆวัน  

                  เมื่อเด็กๆไปโรงเรียน ยากที่จะหลีกเลี่ยงเชื้อโรค หรือไวรัสต่างๆ ที่ไม่ว่าจะเรียน เล่น ก็ต้องรับมือกับเชื้อโรค ไวรัสต่างๆ ถ้าร่างกายเด็กๆแข็งแรง มีภูมิต้านทาน ก็สู้ได้ไม่ยากค่ะ

                  เด็กวัยเรียน

                   

                    ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่

                    จีนพบ “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่” แม่เตรียมตัวระวังลูกเล็กให้ดี

                     ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ มาซ้ำ ไม่รอให้โควิดจบ เชื้ออุบัติใหม่ก็พร้อมโจมตีผู้คนอีกครั้ง หลังนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนค้นพบ โรคไข้หวัดใหญ่ ที่ไม่เคยมีในโลกมาก่อน พร้อมสั่งเฝ้าระวังใกล้ชิด เพราะอาจระบาดรุนแรงไม่แพ้เชื้อโคโรน่าในปัจจุบัน  !! เชื้อโรคจะอันตรายแค่ไหน รักษาได้หรือไม่ มาหทำความรู้จักกับไข้หวัดใหญ่ชนิดนี้กันแต่เนิ่นๆ เพื่อปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัยกันดีกว่า

                     เตรียมรับมือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ หลังค้นพบแพร่จากหมูในจีน

                    หมู”เป็นพาหะแต่อาจร้ายกว่า “ไข้หวัดหมู”

                    สะพรึงกันทั้งโลก เมื่อนักวิทยาศาสตร์ประกาศว่ามีการค้นพบ “ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่”  ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า G4 EA H1N1 โดยมีสุกรเป็นพาหะและ “สามารถติดต่อสู่คนได้” 100 % มันสามารถเพิ่มจำนวนไวรัสได้เมื่อเข้าสู่เซลล์ทางเดินหายใจของคน อีกทั้งยังตรวจพบร่องรอยการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ในกลุ่มคนงานโรงฆ่าสัตว์และอุตสาหกรรมสุกรในประเทศจีน

                    ถึงแม้สถานการณ์ปัจจุบันจะยังไม่น่าเป็นห่วง แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ย้ำถึงความอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาว่า ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ นี้มีองค์ประกอบครบทุกอย่างที่จะพัฒนากลายเป็น “ไวรัสที่ติดต่อไปสู่มนุษย์” จึงจำเป็นต้องที่ทั่วโลกจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะเหตุผลสำคัญก็คือ  มนุษย์อาจมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่ำ หรืออาจไม่มีเลย!! ดังนั้นหากมันกลายพันธุ์จนติดต่อสู่คนได้ง่ายเมื่อไร ก็ย่อมจะกลายเป็นการระบาดใหญ่ในที่สุด

                    ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่

                    วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ป้องกัน ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ไม่ได้

                    เพราะไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคประจำฤดูกาลที่ระบาดหนักในช่วงหน้าฝนและหนาวของทุกปี โดยในแต่ละปีพบผู้ป่วยวัยแรกเกิด จนถึงเด็กเล็ก 5 ขวบเข้ารับการรักษาจำนวนมาก และเสี่ยงติดเชื้อรุนแรงเพราะภูมิคุ้มกันร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ  เด็กกลุ่มนี้จึงควรได้รับวัคซีนต่อเนื่องทุกปี เพื่อป้องกันทั้ง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a และ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ b แม้จะไม่เคยป่วยก็ตาม แต่สำหรับ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่เพิ่มค้นพบนี้ยังไม่มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่สามารถป้องกันเชื้อได้ ซึ่งอาจต้องพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ทันทีหากมีความจำเป็น

                    เป็นแล้วอันตรายแค่ไหน ถ้าไวรัสแพร่จากหมูสู่คน

                    ถึงเวลานี้การต่อสู้กับเชื้อโควิดเป็นเรื่องสำคัญที่สุด แต่มนุษย์ก็ไม่อาจละเลยไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆที่ร้ายแรงไม่แพ้กันได้  ในอดีตไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์หนึ่ง หรือไข้หวัดหมูเคยระบาดครั้งใหม่มาแล้วเมื่อปี 2009 และมีวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่พัฒนาใหม่ทุกปี ส่วน ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จากจีนนี้ก็มีลักษณะคล้ายกับไข้หวัดหมู 2009 เช่นกัน แต่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงเพิ่มอีกหลายอย่าง ซึ่งอาจทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น

                    ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่

                    ไข้หวัดใหญ่มีกี่สายพันธุ์ ?

                    ปัจจุบันไข้หวัดใหญ่ หรือที่มีชื่อเรียกทางการแพทย์ Influenza เป็นโรคติดเชื้อที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลัน สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายสายพันธุ์ด้วยกันได้แก่ สายพันธุ์ a สายพันธุ์ b  ซึ่งมีความรุนแรงของเชื้อมาก ขณะที่สายพันธุ์ c มีความรุนแรงน้อยกว่าและไม่ทำให้เกิดการระบาดใด สายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดคือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a ชนิด H1N1  เกิดจากการผสมผสานของไวรัสสายพันธุ์ของคน หมู และนก ไม่มีการปรากฎแน่ชัดว่าโรคนี้เริ่มติดต่อกับคนเป็นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่เมื่อมีการระบาดเกิดขึ้นก็จะแพร่กระจายและติดต่อจากคนสู่คน  ที่สำคัญเชื้อนี้ไม่ได้พบในหมูทั่วไป จึงไม่ติดต่อโดยการสัมผัสหรือกินเนื้อหมู

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    ขณะที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ b จะพบเฉพาะในคน และไม่ค่อยทำให้เกิดอาการรุนแรง ส่วนมากจะระบาดในช่วงหน้าหนาว เพราะไข้หวัดชนิดนี้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในอากาศเย็น ซึ่งพบมากที่สุดในระหว่างเดือนธันวาคมและมกราคม และในฤดูฝนคือช่วงเดือนสิงหาคม ซึ่งใคร ๆ ก็ป่วยเป็นไข้หวัดสายพันธุ์ bได้ แต่กลุ่มที่เสี่ยงและต้องระวังคือ คนที่ป่วยเป็นโรคปอด โรคหัวใจ และเด็กเล็ก ๆ อายุน้อยกว่า 2 ปี รวมทั้งคนแก่ และคนท้องด้วย

                    สำหรับ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ที่โลกเฝ้าจับตามองอยู่ยังไม่สามารถระบุสายพันธุ์ที่ชัดเจน รวมถึงคาดคะเนความรุนแรงของโรคได้ในขณะนี้ แต่ผู้เชี่ยวชาญทั่วดลกจำเป็นต้องทำการค้นคว้าและติดตามโรคอย่างละเอียดต่อไป เพื่อเตรียมพร้อมรับมือหากเกิดการระบาดขึ้นในมนุษย์

                     

                    ถึงตอนนี้ไวรัสตัวใหม่จะยังมาไม่เกิดการแพร่ระบาด แต่พอเปิดเทอมที่เด็กได้กลับไปโรงเรียนอีกครั้ง ก็มีโอกาสที่ลูกน้อยจะป่วยด้วยโรคติดต่อต่างๆ ก็มีมากขึ้น โดยเฉพาะ ไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 ซึ่งแสดงอาการใกล้เคียงกัน วิธีแพร่เชื้อเหมือนกัน โอกาสที่ลูกเล็กวัย 6 เดือน -5 ปี จะเป็นได้ทั้งสองโรค หากเป็นแล้วทำให้อาการรุนแรงขึ้น และต้องให้ยารักษาทั้งโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 ที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต

                    5 อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ ที่มีแนวโน้มจะมีภาวะติดเชื้อร่วมด้วย ได้แก่

                    ข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส

                    เจ็บคอ ไอ

                    ปวดศีรษะ

                    คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล

                    ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และร่างกายอ่อนเพลีย

                    ฉะนั้นคุณแม่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมให้ลูกน้อย ทั้งอุปกรณ์ทำความสะอาดและเครื่องใช้ส่วนตัว รวมถึงการฝึกฝนลูกคุ้นเคยกับมาตราการป้องกันโรคต่างๆ ทั้ง ล้างมืออย่างถูกวิธี ใส่หน้ากากอนามัย และการเว้นระยะห่างของเด็กๆ เพื่อที่อย่างน้อยจะเป็นเกราะป้องกันให้ลูกห่างไกลจากการติดเชื้อได้ระดับหนึ่ง หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกน้อยหรือตัวเองมีอาการผิดปกติ ไข้ ไอ เหนื่อย หรือมีความเสี่ยงต้องอยู่กับกลุ่มเสี่ยงในบ้าน ให้รีบมาพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อนำไปสูการวินิจฉัย รักษา และลดการแพร่เชื้อให้กับผู้อื่น


                    แหล่งข้อมูล  www.bbc.com

                     

                    บทความน่าสนใจอื่นๆ 

                    หมอเตือน! อาการไข้หวัดใหญ่ คล้ายกับโควิด-19 ติดร่วมกันได้ทำให้ป่วยหนัก

                     

                    ประโยชน์ของนมเปรี้ยว ช่วยเสริมภูมิต้านไข้หวัดใหญ่

                     

                    แม่แชร์! ลูกชายเสียชีวิตเพราะ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ

                     

                      LION SHOP ONLINE

                      LION SHOP ONLINE ช้อปด้วยใจ ช่วยไทยไปด้วยกัน

                      LION SHOP ONLINE ให้ทุกการใช้จ่ายซื้อของเข้าบ้าน มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น เพราะทุกการสั่งซื้อสินค้าคุณภาพเยี่ยมของ LION จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสมทบทุนช่วยเหลือซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์

                       

                      LION SHOP ONLINE

                      “LIFE GOES ON ช้อปด้วยใจ ช่วยไทยไปด้วยกัน”

                      มาทำให้ทุกการซื้อของเข้าบ้านของคุณ = การช่วยให้คนอื่นมีชีวิตดีขึ้นได้

                      ที่ทุกการสั่งซื้อสินค้าคุณภาพเยี่ยมของ LION ผ่าน LION SHOP ONLINE ทั้ง 5 ช่องทางของคุณในวันนี้

                      จะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสมทบทุนช่วยเหลือซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

                      สุขยิ่งกว่า การรับ คือ การเป็นผู้ให้ มาช้อปช่วยคนไทยไปกับเราด้วยกันนะคะ

                      ช่องทางเว็บไซต์ lionshoponline.com > https://bit.ly/3emlUsA

                      ช่องทาง LINE @LIONFAMILY > https://bit.ly/317Pvlr

                      ช่องทาง Lazada > https://bit.ly/2SnxZEB

                      ช่องทาง Shopee > https://bit.ly/2CpCzwT

                      ช่องทาง JD CENTRAL > https://sl.jd.co.th/100-1JvM

                       

                        4 พฤติกรรม “สปอยล์ลูก” สุดเสี่ยงที่พ่อแม่ควรเลี่ยง

                        สปอยล์ลูก คือการตามใจลูกมากเกินไป จนทำให้เกิดผลเสียตามมาได้ อยากรู้ว่าลูกถูกสปอยล์มากไปหรือไม่? เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้โดนสปอยล์ อ่านได้ที่นี่

                        4 พฤติกรรม “สปอยล์ลูก” สุดเสี่ยงที่พ่อแม่ควรเลี่ยง

                        พ่อแม่ทุกคนรักลูก แต่การรักลูกโดยการตามใจลูกจนเกินพอดี มักจะมีผลต่อพฤติกรรมของลูกเมื่อโตขึ้น เช่น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล ตัวเองถูกเสมอ คนอื่นสิผิด หรือ เอาแต่ใจตัวเอง อยากได้อะไรต้องได้ ซึ่งพฤติกรรมผิด ๆ เหล่านี้ ดันเกิดจากพ่อแม่ที่ปลูกฝังให้ลูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การ สปอยล์ลูก มากเกินไป ก็อาจทำให้ลูกเสียคนได้เหมือนกัน โดยเฉพาะคนที่ถูกสปอยล์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้น หากไม่อยากให้ลูกเสียคน พ่อแม่ต้องหยุดพฤติกรรมเหล่านี้ให้ได้ โดยก่อนอื่นมาดูกันว่าลูกของเรานั้น เข้าข่ายเป็นเด็กที่โดนสปอยล์หรือไม่

                        เช็กลิสต์อาการลูกถูกสปอยล์

                        ตามที่ สถาบันกุมารเวชศาสตร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้นิยาม อาการของเด็กที่ถูกสปอยล์ ไว้ว่า เด็กในกลุ่มนี้ มักจะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตนเอง มีพฤติกรรมที่ถดถอย (ทำในสิ่งที่เด็กในวัยนั้น ๆ ไม่ทำกันแล้ว) แต่พ่อแม่หลายคนอาจสับสนว่าพฤติกรรมที่ลูกกำลังทำนั้น เรียกได้ว่าเป็นเด็กที่ถูกสปอยล์หรือไม่? หรือเป็นเพียงพฤติกรรมที่ปกติในช่วงวัยนั้น ๆ ? มาดู เช็กลิสต์อาการลูกถูกสปอยล์ กัน

                        • หลงตัวเอง หมกมุ่นอยู่กับการโอ้อวดตัวตนของตนเอง
                        • ไม่มีความเคารพผู้ใหญ่และเด็กคนอื่น ๆ
                        • ไม่เชื่อฟังคนอื่น ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน
                        • มีอารมณ์แปรปรวน
                        • ไม่มีแรงจูงใจในการเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ
                        • ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้
                        • จอมบงการ
                        • พยายามดิ้นรนหาเพื่อน

                        4 พฤติกรรมพ่อแม่จอม “สปอยล์ลูก”

                        สาเหตุที่พ่อแม่สปอยล์ลูกมากเกินไปนั้นมีหลายสาเหตุ เช่น ลูกทำเองได้ช้าไม่ทันใจ กลัวลูกไม่อิ่ม กลัวลูกไม่โต กลัวลูกไม่ทันเพื่อน ความหวังดีความกังวลของพ่อแม่เหล่านี้แหละค่ะ ที่เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกถูกสปอยล์มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว มาดูกันค่ะ ว่าเราได้เผลอทำพฤติกรรมเหล่านี้กับลูกไปหรือเปล่า

                        • ทำให้ลูกเป็น “ทุกลมหายใจของพ่อแม่”

                        เมื่อมีลูก พ่อแม่หลายคนก็ได้อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้กับลูก เป็นทุกอย่าง ทำทุกอย่าง คิดทุกอย่าง ให้ลูกจนลูกไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง พ่อแม่กลุ่มนี้ จะไม่อยู่ห่างจากลูก ยอมทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อทำตามสิ่งที่ลูกต้องการ และทำให้ลูกเป็นศูนย์กลางจักรวาล

                        • ชดเชยความผิดของพ่อแม่ด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ความรัก

                        เช่น พ่อแม่ที่ต้องทำงาน มักจะรู้สึกผิดที่ไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกได้มากพอ จึงซื้อของเล่นให้ลูกเยอะ ๆ เพื่อชดเชยความผิดนี้ การทำแบบนี้ สอนให้เด็กรู้ว่าเมื่อคนอื่นทำอะไรผิด เขาจะได้รับสิ่งของเป็นการตอบแทน สำหรับพ่อแม่ที่ต้องทำงานนอกบ้าน ไม่ต้องกังวลใจไปว่าการมีเวลาอยู่กับลูกเพียงเล็กน้อย จะทำให้ลูกมีปัญหา เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ใช้เวลาคุณภาพอยู่กับลูก โดยการหากิจกรรมทำร่วมกัน และช่วงเวลาที่อยู่กับลูก ให้คุณพ่อคุณแม่โฟกัสไปที่ลูกเพียงอย่างเดียว ไม่หยิบมือถือ ไม่คิดเรื่องงานหรือเรื่องอื่น ๆ แม้จะเป็นการใช้เวลาร่วมกันเพียงน้อยนิด แต่ก็ช่วยเติมเต็มให้ลูกได้มากกว่าการอยู่กับลูกทั้งวัน แต่พ่อแม่ไม่สนใจลูกอีกค่ะ

                        • ใช้ชีวิตแทนลูก

                        พ่อแม่กลุ่มนี้จะวางแผนชีวิตให้ลูก บงการให้ลูกใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองเลือกไว้เท่านั้น ลูกจะไม่สามารถใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองเลือกได้ และพ่อแม่กลุ่มนี้จะเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามที่พ่อแม่ได้วาดฝันไว้ว่าจะให้ลูกเป็นหรือให้ลูกมี การให้ลูกเรียนในสิ่งที่ตัวเองเคยอยากจะเรียน หรือการซื้อของให้ลูกเพราะในวัยเด็กตนเองอยากได้ ก็เป็นหนึ่งในการสปอยล์ลูกอย่างหนึ่ง เพราะการไม่ถามว่าลูกอยากได้หรืออยากเรียนสิ่ง ๆ นั้นหรือไม่ ก็เรียกได้ว่าเป็นการใช้ชีวิตแทนลูก

                        • ไม่เคยปล่อยให้ลูกรอ

                        เมื่อลูกอยากได้อะไร ชี้อะไร สิ่งของเหล่านั้นจะมาอยู่ตรงหน้าลูกทันที พฤติกรรมที่พ่อแม่ทำนี้จะทำให้ลูกไม่รู้จักการรอคอย การอดทน การอดออม เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมาเป็นของตน ลูกจะไม่เห็นสิ่งอื่น ๆ มีค่า เพราะไม่เคยต้องอดทนรอหรือคอยเลย บางครั้งการปล่อยให้ลูกได้หิว ร้อน เหนื่อยบ้าง จะทำให้ลูกรู้ว่า อาหารที่อยู่ตรงหน้าอร่อยเพียงใดก็เป็นได้

                        ต้องเข้าใจว่า เด็กก็คือเด็ก ในบางครั้งลูกอาจจะงอแง อยากมี อยากได้ ตามวัยของเขา และพ่อแม่ทุกคนก็ไม่อยากเห็นลูกเสียใจหรอกค่ะ เพราะเราทั้งรักและห่วงลูกเป็นที่สุด แต่จะตามใจลูกได้แค่ไหน? เพื่อไม่ให้ลูกโดนสปอยล์จนเสียคน

                        ตามใจลูก
                        ตามใจลูก

                        4 เทคนิคเลี้ยงลูกแบบไม่สปอยล์

                        • รับฟังความต้องการของลูก แต่แก้ปัญหาตามแนวทางของพ่อแม่

                        ให้ลองรับฟังลูกว่าลูกต้องการอะไร รู้สึกเสียใจเพราะอะไร แม้ว่าความต้องการนั้น ๆ จะไม่มีเหตุผลเลยก็ตาม คุณพ่อคุณแม่ก็ควรรับฟังไว้ และไม่ควรต่อว่าลูกว่าไร้สาระ หรือไม่มีความจำเป็น การเป็นผู้ฟังที่จะทำให้ลูกเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจพ่อแม่ และเมื่อรับฟังแล้วสิ่งสำคัญหลังจากนั้นคือแนวทางการช่วยแก้ปัญหาให้ลูก พ่อแม่ควรยึดหลักและกฎเกณฑ์ในบ้านเป็นหลัก ไม่ควรแหวกกฎเกณฑ์เพื่อตามใจลูก เช่น เมื่อลูกอยากได้โทรศัพท์มือถือเพราะเพื่อนมีกันหมดแล้ว ให้คุณพ่อคุณแม่รับฟังว่าลูกรู้สึกอย่างไร ต้องการมากแค่ไหน หลังจากนั้นให้ย้ำถึงกฎเกณฑ์ว่าเราได้ตกลงกันแล้วว่าลูกจะมีโทรศัพท์มือถือได้เมื่อลูกอยู่ในวัยที่เหมาะสมเท่านั้น เป็นต้น

                        • อย่ากลัวที่จะให้ลูกผิดพลาด

                        ผิดเป็นครู ถ้าลูกไม่รู้จักผิดพลาด ผิดหวังเลย จะมีแรงจูงใจอะไรให้พยายามทำสิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จได้ และลูกจะรู้จักระมัดระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาดหรือไม่ถ้าไม่เคยทำผิดเลย ตัวอย่างเช่น เวลาเล่นเกมกับลูก ไม่จำเป็นต้องยอมแพ้และให้ลูกชนะทุกครั้ง การให้ลูกรู้จักแพ้บ้าง เพื่อให้ลูกได้พยายามทำให้ตัวเองชนะ ก็เหมือนกับการที่พ่อแม่ต่อขั้นบันไดให้ลูกได้ปีนผ่านอุปสรรคต่าง ๆ จนทำสิ่งเหล่านั้นได้สำเร็จนั่นเอง และเมื่อลูกทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง ลูกจะมีความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem) ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ จะเป็นผลดีกับชีวิตของลูกในอนาคต

                        • อย่าสรรเสริญเยินยอลูกจนมากเกินไป

                        การชื่นชมลูกเพื่อเป็นกำลังใจให้ลูกเป็นสิ่งสำคัญ แต่การชมจนมากเกินไปจนถึงขั้นสรรเสริญเยินยอ ก็อาจจะเป็นการทำร้ายลูกได้ เพราะเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมที่หลงตัวเองจนเกินพอดี หรือบางครั้งอาจจะเป็นการกดดันลูกได้ เพราะลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่คาดหวังให้ลูกเป็นแบบนั้น การชมลูกที่ถูกต้อง ควรเน้นที่การชมถึงความพยายามของลูก ว่าการที่ลูกทำสิ่งนั้น ๆ สำเร็จได้ เป็นเพราะลูกพยายาม เช่น เมื่อลูกสอบได้คะแนนดี แทนที่จะชมว่าลูกหัวดี เรียนเก่ง ให้ลองปรับคำพูดเป็น “เป็นเพราะลูกพยายาม ตั้งใจเรียน ตั้งใจทบทวนอ่านหนังสือ เลยทำให้ลูกได้คะแนนดี” เป็นต้น

                        • รักษากฎเกณฑ์ภายในบ้าน

                        อย่าปล่อยให้ลูกแหวกกฎเกณฑ์ภายในบ้านซ้ำ ๆ เพราะจะทำให้ลูกลดความเคารพในสิทธิของคนอื่น ๆ การตั้งกฎเกณฑ์ภายในบ้านของทุกบ้าน เป็นเพราะพ่อแม่ต้องการจำลองสถานการณ์ให้ลูกได้รู้จักกฎของการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น ๆ ดังนั้นอย่าปล่อยให้ลูกทำตามใจตนเอง เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ทำตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เมื่อต้องอยู่ร่วมกับคนในครอบครัว เพราะหากลูกทำจนชิน เมื่อลูกต้องออกไปอยู่ร่วมกับสังคม ลูกจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนในสังคมนั่นเอง

                        อ่านมาถึงตรงนี้ พ่อแม่หลายคนอาจจะกลัวจนไม่กล้าตามใจลูกเลย เพราะกลัวจะเป็นการ สปอยล์ลูก อยากบอกว่าเราสามารถตามใจลูกได้นะคะ แต่ควรตามใจแต่พอดี ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป ส่วนการจะตามใจมากน้อยแค่ไหนให้พิจารณาตามความเหมาะสมและโอกาส สิ่งที่สำคัญคือ ควรให้มีการรอคอยบ้างตามความเหมาะสม ทั้งเรื่องของเล่น ขนม อย่าให้ทันทีทุกครั้ง

                        และเมื่อลูกมีอาการร้องไห้งอแง โวยวาย ให้ตั้งสติก่อนปรับพฤติกรรมลูก อย่าใช้อารมณ์ และเน้นใช้ความสม่ำเสมอ นั่นคือ ไม่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมที่ลูกแสดงออก หากอยู่ในที่สาธารณะให้พาไปในที่เงียบสงบ ใช้การอธิบายที่นิ่งและมั่นคง ไม่แสดงอารมณ์ เมื่อพ่อแม่แสดงออกถึงวุฒิภาวะที่มั่นคง ลูกจะค่อย ๆ อาการงอแง และโวยวายจะค่อย ๆ ลดลงไป แต่ความรู้สึกถึงความรักจากพ่อแม่จะยังคงอยู่

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

                        ลูกไม่เชื่อฟัง พ่อแม่ต้องรีบสอน 5 อย่างนี้ สร้างให้ได้ก่อน 8 ขวบ!

                        สอนลูกเรื่องการออมเงิน ควรเริ่มเมื่อไหร่ดี?

                        ลูก 4 ขวบ เอาแต่ใจ ดราม่าเจ้าน้ำตา แม่ต้องตามใจจริงเหรอ?

                         

                        ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thebump.com

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          เมนูหัวปลี

                          เมนูหัวปลี ตัวช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ หัวปลีทำอะไรได้บ้าง?

                          หัวปลี ตัวช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ ที่คุณแม่รู้ ลูกน้อยรู้ ทุกคนรู้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนำหัวปลีมาทำอาหารอย่างไรให้ดูน่ากิน มาดู เมนูหัวปลี กันว่า หัวปลีทำอะไรได้บ้าง?

                          เมนูหัวปลี ตัวช่วยเพิ่มน้ำนมแม่ หัวปลีทำอะไรได้บ้าง?

                          ขึ้นชื่อว่า “แม่” แล้วสำหรับลูกน้อยนั้นต้องเฟ้นหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกเสมอ เราเข้าใจและอยากขอร่วมเป็นแรงใจให้กับคุณแม่ทุกคน ที่ตั้งมั่นที่จะให้นมแม่แก่ลูกน้อยของเราให้ได้เต็มที่ และนานที่สุด เพราะน้ำนมแม่มีคุณประโยชน์มากหลาย ลองมาดูประโยชน์ของน้ำนมแม่เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่คุณแม่ ๆ ทั้งหลายว่าเราได้มาถูกทางแล้วกันดีกว่า

                          ประโยชน์ของนมแม่ ที่มีต่อทารก

                          • ทารกที่กินนมแม่จะลดอัตราเสี่ยงการเป็นโรคไหลตายในเด็ก (Sudden Infant Death Syndrome หรือ SIDS)
                          • ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันโรคหลายชนิด
                          • การดูดที่อกแม่ช่วยกระตุ้นให้เกิดพัฒนาการของฟันและอวัยวะในการออกเสียงอย่างเหมาะสม
                          • การให้ลูกดูดนมจากเต้ายังช่วยให้ลูกน้อยได้ใกล้ชิดกับแม่สร้างความผูกพัน อบอุ่นใจ และ ทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัยอีกด้วย

                          หาข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์นมแม่เพิ่มเติมได้ที่ ประโยชน์ของนมแม่ ข้อดีที่มีต่อสุขภาพทั้งแม่และลูก

                          คุณแม่ทั้งหลายคงมีคำถามในใจว่า แล้วจะทำอย่างไรให้น้ำนมเรามีพอเพียงต่อลูกน้อยของเรากันนะ วันนี้เรามีตัวช่วยให้คุณแม่ได้คลายกังวลด้วยวัตถุดิบพื้นบ้านแบบไทย ๆ ที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคุณประโยชน์เพียบต่อการกระตุ้นน้ำนมของคุณแม่แน่นอน

                          หัวปลี
                          หัวปลี

                          หัวปลี ผักพื้นบ้านของไทยเราที่ขึ้นชื่อในหมู่ของคุณแม่ที่ต้องการเพิ่มน้ำนม หัวปลี มีสรรพคุณมากมาย ทั้งแก้โรคกระเพาะอาหาร ลำไส้ บำรุงเลือด ตั้งแต่โบราณสอนกันต่อ ๆ มาว่าผู้หญิงที่คลอดลูกใหม่ ๆ ให้กินมาก ๆ จะได้มีน้ำนมให้เลี้ยงลูกนาน ๆ แต่ เมนูหัวปลี มีอะไรบ้าง หัวปลีทำอะไรได้บ้างนั้น ลองมาดู เมนูหัวปลี เพิ่มน้ำนม ที่จะว่าไปก็มีมากมายหลายเมนูให้คุณแม่ได้เลือกทานกัน ดังนี้

                          ทอดมันปลีกล้วย

                          ทอดมันปลีกล้วย
                          ทอดมันปลีกล้วย

                          ส่วนผสม

                          • ปลีกล้วย
                          • หมูสับ
                          • ไข่ไก่
                          • เครื่องปรุงรส เกลือ พริกไทย แป้งทอดกรอบ
                          • น้ำมันสำหรับทอด
                          • น้ำจิ้มไก่

                          วิธีทำ

                          1. ปลอกปลีกล้วย ซอยปลีกล้วยให้บาง ๆ แช่ทิ้งไว้ในน้ำเกลือ แล้วพักไว้
                          2. ขยำปลีกล้วย และบีบน้ำออก วางให้สะเด็ดน้ำ
                          3. ใส่เครื่องปรุงรสทั้งหมดคลุกให้เข้ากันแล้วพักไว้
                          4. ตั้งกระทะใส่น้ำมัน รอน้ำมันร้อน ตักส่วนผสม 1 ช้อน ลงทอด เกลี่ยให้แบน ทอดจนเหลืองกรอบน่ารับประทาน
                          5. ยกเสริฟ รับประทานทอดมันปลีกล้วยพร้อมน้ำจิ้มไก่…….อร่อย

                          ยำหัวปลีใส่กุ้ง

                          ยำหัวปลีใส่กุ้ง
                          ยำหัวปลีใส่กุ้ง

                          ส่วนผสม

                          • หัวปลีกกล้วยเผา
                          • กุ้งสด
                          • ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ
                          • มะพร้าวขูดคั่ว
                          • พริกขี้หนูซอย
                          • ไข่ต้ม
                          • เครื่องปรุงรสน้ำยำ น้ำพริกเผา กะทิ น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ

                          วิธีทำ

                          1. นำหัวปลีไปเผาทั้งหัว จากนั้นแกะแต่ส่วนด้านในที่เป็นสีขาวออกมาซอยเป็นเส้นยาว ๆ แช่น้ำเตรียมไว้
                          2. แกะเปลือก ผ่าหลังกุ้ง แล้วนำไปลวกให้สุก
                          3. นำส่วนผสมทุกอย่างมายำรวมกันในอ่างผสมปริมาณตามชอบ
                          4. ตักใส่จาน โรยด้วยใบสะระแหน่ ไข่ต้ม พร้อมเสริฟ……..อร่อย

                          ปลาทับทิมทอด-น้ำยำหัวปลี

                          ปลาทับทิมทอด น้ำยำหัวปลี
                          ปลาทับทิมทอด น้ำยำหัวปลี

                          ส่วนผสม

                          • ปลาทับทิม 1 ตัว
                          • หัวปลี ครึ่งหัว
                          • หอมแดง 6 หัว
                          • พริกขี้หนู 8 เม็ด
                          • พริกแห้ง 10 เม็ด
                          • แป้งทอดกรอบ
                          • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
                          • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
                          • มะนาว 2 ลูก
                          • นมคาเนชั่น 2 ช้อนโต๊ะ
                          • พริกเผา 1 ช้อนโต๊ะ

                          ขั้นตอน

                          1. หั่นเนื้อปลาทับทิมออกเป็นชิ้นๆ ให้เหลือแต่หัวติดกับก้างและหาง
                          2. นำเนื้อปลาคลุกแป้งนวลทอดกรอบ และตัวปลาทอดโดยไม่ต้องคลุกแป้ง
                          3. ซอยหอมแดง แล้วนำไปเจียว และทอดพริกแห้ง พักไว้
                          4. จัดเรียงโดยวางโครงก้างปลา แล้วนำเนื้อปลาวาง จากนั้นโรยด้วยหอมแดงเจียวให้สวยงาม
                          5. ซอยหัวปลีแล้วแช่น้ำเปล่าที่ผสมน้ำมะนาวจะช่วยให้หัวปลีไม่ดำ
                          6. ทำน้ำยำ ใส่ส่วนผสมลงไปได้แก่ พริกเผา น้ำปลา น้ำมะนาว นมคาเนชั่น และพริกขี้หนูซอยให้ส่วนผสมทั้งนั้นเข้ากัน
                          7. นำหัวปลีใส่ลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน
                          8. ตักใส่ถ้วยจัดเรียงให้สวยงาม

                          ไข่เจียวหัวปลีหมูสับ

                          ไข่เจียวหัวปลีหมูสับ
                          ไข่เจียวหัวปลีหมูสับ

                          ส่วนผสม

                          • หัวปลี
                          • ไข่ไก่
                          • หมูสับ
                          • น้ำปลา

                          วิธีทำ

                          1. นำหัวปลีเลือกที่อ่อน มาซอยแล้วแช่น้ำมะนาวพักไว้
                          2. ล้างหัวปลีที่ซอยไว้ นำมาผสมรวมกับไข่ไก่ หมูสับ แล้วปรุงรสด้วยน้ำปลาตามชอบ
                          3. ตีไข่จนฟู แล้วนำมาทอดในกระทะที่ตั้งน้ำมันไว้จนร้อน
                          4. ทอดไข่เจียวหัวปลีหมูสับจนสุกทั้งสองด้าน
                          5. ตักใส่จานพร้อมเสริฟ อาจทานคู่กับน้ำพริกต่าง ๆ ………..อร่อย

                          แกงหัวปลีใส่กระดูกหมู

                          แกงหัวปลีใส่กระดูกหมู
                          แกงหัวปลีใส่กระดูกหมู

                          ส่วนผสม

                          • หัวปลีแกะให้เหลือแต่สีขาวอ่อนๆ 2 หัว
                          • กระดูกหมู 200 กรัม
                          • ชะอมเด็ด 1 กำ
                          • ใบชะพลูหั่นหยาบ 1 กำ
                          • มะเขือเทศผ่าซีก 4 ลูก
                          • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
                          • น้ำเปล่า 1/2 ลิตร
                          • พริกแห้งเม็ดเล็ก 10 เม็ด
                          • กระเทียมกลีบเล็ก 10 กลีบ
                          • หอมแดง 3 หัว
                          • เกลือ 1/2 ช้อนชา
                          • กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
                          • ผงปรุงรส 1/2 ช้อนชา

                          วิธีทำ

                          1. โขลกพริกแกงรวมกันให้ละเอียด พักไว้
                          2. ตั้งหม้อใส่น้ำมันพอร้อน ใส่เครื่องแกงที่โขลกไว้ลงไปผัดให้หอม แล้วใส่หมูลง คั่วพอให้หมูเกือบสุก เติมน้ำเปล่า
                          3. เปิดไฟอ่อนค่อยตุ๋น ประมาณ10 นาที จนหมูสุกนิ่ม ใส่หัวปลีและมะเขือเทศลงไป กดหัวปลีให้จม ไม่งั้นจะทำให้หัวปลีดำ แล้วรอเดือดอีกรอบ
                          4. ใส่ชะอมเด็ด ใบชะพลูหั่นหยาบ ลงไป คนให้เข้ากันแล้วชิมรสชาติ หากอร่อย พอใจแล้วปิดใฟ ตักใส่ชามเสิร์ฟได้เลยค่ะ

                          เป็นอย่างไรกันบ้างกับเมนู ที่ได้เลือกมาให้ได้ลอง ยังคงมีอีกหลากหลายเมนูที่ทำจากหัวปลี วัตถุดิบชั้นยอดของเหล่าบรรดาแม่ ๆ ในการช่วยเพิ่มน้ำนม คงจะช่วยตอบปัญหาคาใจคุณแม่หลาย ๆ ท่านได้ว่า หัวปลีทำอะไรได้บ้าง? กันเป็นอย่างดี

                          นอกจาก หัวปลี จะสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการทำอาหารรับประทานแล้ว สำหรับคุณแม่ท่านไหนที่ต้องการเพิ่มความเข้มข้นในบำรุงร่างกายให้มีน้ำนมเพียงพอต่อลูกน้อย อยากให้น้ำนมแน่นล้นสต๊อกแล้วละก็ ลองนำ หัวปลี มาต้มเป็น น้ำหัวปลี ที่เราก็มี สูตรน้ำหัวปลี เรียกน้ำนมแม่ มาฝากกันด้วย

                          น้ำหัวปลีเรียกน้ำนมแม่

                          น้ำหัวปลี
                          น้ำหัวปลี

                          ส่วนผสม

                          • หัวปลี
                          • เกลือ
                          • น้ำมะนาว
                          • น้ำผึ้ง

                          วิธีทำ

                          1. นำหัวปลีแกะแต่ใบขาวมาแช่น้ำเกลือประมาณครึ่งชั่วโมง
                          2. นำหัวปลีมาต้มในน้ำเดือด ใส่เกลือลงไปประมาณ 1 ช้อนชา ต้มจนสุก
                          3. นำหัวปลีที่สุกแล้วมาหั่นฝอย แล้วนำไปปั่นกับน้ำต้มหัวปลีให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
                          4. เติมน้ำมะนาว หรือน้ำผึ้งตามชอบ เพื่อลดความฝาดของน้ำหัวปลี

                          หากคุณแม่ท่านไหนไม่สะดวก หรือมีเวลาไม่มากพอเดี๋ยวนี้ก็มี น้ำหัวปลีสำเร็จรูปขาย เพิ่มความสะดวกสบายจะได้เหลือเวลาไว้เป็นเวลาส่วนตัวกันบ้าง อย่าลืมนะว่า การพักผ่อนที่เพียงพอก็มีผลต่อปริมาณ และคุณภาพน้ำนมของคุณแม่เช่นเดียวกัน ขอเอาใจช่วยให้คุณแม่ทั้งหลายสามารถมีน้ำนมเพียงพอ เพียงแค่ทาน เมนูหัวปลี เหล่านี้ รับรองน้ำนมล้นสต๊อกกันไปเลย

                          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                          12 อาหารบำรุงแม่หลังคลอด ทำอย่างไรให้น้ำนมมีคุณภาพ

                          เทคนิคเพิ่มน้ำนมแม่ ให้ลูกมีกินได้นานเป็นปี

                          ผักผลไม้เพิ่มน้ำนม 20 ชนิด เพิ่มน้ำนมให้คุณแม่

                          แม่ให้นมกินทุเรียน แล้วน้ำนมเหม็น ลูกเมินนมแม่! จริงมั้ย?

                           

                          ขอขอบคุณข้อมูลจาก : cookpad.com

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน

                            แม่รู้มั้ย? พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน น่าอัศจรรย์เพิ่มขึ้นอย่างไร

                            เมื่อการตั้งครรภ์เข้าสู่เดือนที่ 2 การเริ่มต้นเป็นว่าที่คุณแม่ยังคงทำให้คุณแม่รู้สึกตื่นเต้น มีความสุข และวิตกกังวลกับสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ในท้องไม่น้อย ซึ่งตอนนี้ พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน มีความอัศจรรย์เพิ่มขึ้นกว่าเดือนที่แล้วในหลาย ๆ ด้าน มาดูไปพร้อม ๆ กันค่ะ

                            พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน หัวใจลูกเริ่มเต้นแล้วนะ!

                            เจ้าตัวน้อยในท้องที่ขนาดเท่าเมล็ดงาในเดือนแรก ตอนนี้ลูกน้อยของคุณแม่ได้พัฒนามีขนาดตัวเท่าผลเชอร์รี่แล้วนะ มีขนาดลำตัวยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ในเดือนนี้คุณแม่สามารถตรวจเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์ได้อย่างแม่นยำ เรียกว่าเป็นว่าที่คุณแม่ได้แล้ว ตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์ในเดือนที่ 2 พัฒนาการของลูกน้อยจะเพิ่มมากขึ้น โครงสร้างใบหน้าของทารกมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หัวใจเริ่มเต้น อวัยวะต่างๆ เริ่มเจริญเติบโต หูแต่ละข้างจะเริ่มขึ้นเป็นรอยพับขนาดเล็กของผิวหนังที่ด้านข้างของศีรษะ มีการสร้างแขนและขาเกิดขึ้น รวมถึงนิ้วมือและนิ้วเท้า สมองซีกขวาและซ้ายของทารกจะเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ และมวลเซลล์สมองเติบโตอย่างรวดเร็ว กระดูกอ่อนเริ่มพัฒนาและตับเริ่มผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง และในช่วงนี้หลอดประสาท สมอง ไขสันหลัง และเนื้อเยื่อประสาทอื่น ๆ มีการพัฒนาเป็นอย่างดี ทางเดินอาหารและอวัยวะรับสัมผัสเริ่มมีการพัฒนาในช่วงนี้ และอายุครรภ์ในแต่ละสัปดาห์ ทารกจะมีพัฒนาการอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง

                            แม่รู้มั้ย? พัฒนาการของทารกในครรภ์เดือนที่ 2 น่าอัศจรรย์เพิ่มขึ้นอย่างไร

                            ทารกในครรภ์ 2 เดือน

                            พัฒนาการทารกในครรภ์สัปดาห์ที่ 5

                            • อายุครรภ์ 5 สัปดาห์หลังจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย ตัวอ่อนในครรภ์จะยังคงมีการแบ่งกลุ่มเซลล์ต่อไปเพื่อที่จะเจริญเติบโตกลายเป็นอวัยวะต่าง ๆ บางส่วนก็จะกลายเป็นสมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ หรือกระดูก สร้างหัวใจครบ 4 ห้อง
                            • ทารกน้อยในครรภ์ยังคงมีขนาดเล็ก ขนาดประมาณ 4 มิลลิเมตร
                            • ในช่วงต้นของสัปดาห์ที่ 5 อวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น หัวใจ ไต ตับ กระเพาะอาหารเริ่มทำงานได้แล้ว สมองและไขสันหลังของลูกน้อยเริ่มพัฒนาเช่นกัน แต่ยังเปิดอยู่และจะปิดสนิทในภายหลัง กล้ามเนื้อ และกระดูก ปอด ลำไส้ รวมถึงตา หู จมูก ปาก เกิดขึ้นแล้ว ส่วนแขนขานั้นก็เริ่มยื่นออกมาจากลำตัวเป็นเพียงแท่งสั้น ๆ โดยรกจะทำหน้าที่นำสารอาหารจากแม่สู่ทารก และถุงน้ำคร่ำจะให้สภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและปลอดภัยกับลูกน้อย ทำให้ทารกสามารถเคลื่อนที่ได้ง่าย และในช่วงนี้จะมีการสร้างสายสะดือขึ้นซึ่งเชื่อมต่อระหว่างทารกกับระบบหมุนเวียนเลือดของคุณแม่
                            ท้อง 2 เดือน อัลตราซาวด์
                            ท้อง 2 เดือน อัลตราซาวด์
                            • คุณพ่อคุณแม่อาจมองเห็นการเต้นของหัวใจลูกน้อยในครรภ์ผ่านการอัลตร้าซาวด์ครั้งแรก เห็นสัญญาณชีพจากการเต้นของหัวใจ หัวใจลูกเริ่มเต้นสูบฉีด สามารถเต้นได้ 100-160 ครั้งต่อนาที (เต้นมากกว่าหัวใจของคุณแม่ถึง 2 เท่า) ระบบไหลเวียนโลหิตก็เริ่มทำงานแล้วเช่นกัน มองเห็นการเต้นของของหัวใจทารกในครรภ์จากการตรวจอัลตร้าซาวด์
                            • หัวใจของทารกยังคงมีขนาดเล็กและยังไม่แบ่ง 4 ห้องชัดเจน แต่หลอดเลือดหัวใจทำงานสมบูรณ์ตามพัฒนาการและส่งผ่านเลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
                            • ตอนนี้ลูกน้อยสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้ แต่ก็เบามากจนคุณแม่ไม่รู้สึก

                            Tips: สัปดาห์นี้คุณแม่ที่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ ควรได้ไปพบสูตินรีแพทย์ให้เร็วที่สุดเพื่อฝากครรภ์ การเริ่มดูแลสุขภาพครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ถือเป็นสิ่งควรทำเพื่อสุขภาพของคุณแม่และทารกในครรภ์จะได้สมบูรณ์แข็งแรงตลอดการตั้งครรภ์

                            พัฒนาการทารกในครรภ์สัปดาห์ที่ 6

                            • ช่วงนี้ทารกจะเข้าสู่สัปดาห์ที่ 6 ของพัฒนาการแล้ว ตอนนี้ลูกมีความสูงประมาณ 8 มม.
                            • แม้หน้าตาของลูกยังเห็นไม่ชัด เพราะเป็นระยะเริ่มแรกของการพัฒนาตัวอ่อน แต่อวัยวะสำคัญหลายอย่างกำลังพัฒนา โดยเริ่มจากดวงตาและจมูกก่อน มีการสร้างเปลือกตาและหูขึ้น สมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์พัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการพัฒนานิ้วมือและนิ้วเท้าในลักษณะที่ยังติดกันอยู่
                            • ทารกเริ่มมีกราม คาง และแก้มแล้ว แต่ก็มีขนาดเล็กจิ๋วตามสัดส่วนของร่างกาย และจะค่อย ๆ เห็นชัดเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น
                            • ในส่วนระบบประสาทส่วนกลางมีการพัฒนาหลอดประสาท ซึ่งประกอบด้วยสมอง ไขสันหลัง และเนื้อเยื่อเส้นใยประสาทมากมาย ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณกับเซลล์อื่น ๆ เพื่อพัฒนาการตอบสนองและพัฒนากล้ามเนื้อ ทำให้ลูกน้อยเริ่มขยับตัว
                            • เมื่อเติบโตจนถึงปลายสัปดาห์ที่ 6 ขนาดลำตัวของลูกน้อยจะมีขนาดลำตัวความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร หนักไม่ถึง 1 กรัม และอยู่ในท่าขดตัวและงอช่วงเข้ามากลางลำตัวมีลักษณะตัวงอคล้ายกุ้ง หากทำการอัลตร้าซาวน์ก็จะเห็นหัวและกระดูกสันหลังได้อย่างชัดเจน และสามารถเริ่มแยกได้แล้วว่าส่วนไหนเป็นศีรษะซึ่งมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับลำตัว ขณะเดียวกันด้านข้างของร่างกายเริ่มเห็นปุ่มเล็ก ๆ ที่กำลังจะเริ่มพัฒนาต่อไปเป็นแขนและขาของทารกในครรภ์ และสองข้างของศีรษะมีรูเล็ก ๆ ที่จะกลายเป็นช่องหูต่อไป
                            • ระบบทางเดินอาหารและระบบหายใจของทารกในครรภ์เริ่มสร้าง หัวใจเริ่มเต้นประมาณ 100–130 ครั้งต่อนาที เลือดเริ่มไหลเวียน

                            Tips : ในช่วงอายุครรภ์ 6 สัปดาห์ถือว่าเป็นช่วงที่ทารกในครรภ์กำลังพัฒนาอวัยวะต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว จนทำให้คุณแม่รู้สึกว่า ทำไมช่วงนี้ถึงรู้สึกเหนื่อยมากผิดปกติ นั่นก็เพราะว่าพลังงานของคุณแม่ถูกใช้ไปในการสร้างอวัยวะใหม่ของลูกน้อยตลอดเวลา แม้แต่เวลาคุณแม่หลับแล้วพัฒนาการของทารกในครรภ์ก็ยังดำเนินต่อไป ดังนั้นการพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม และรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และรับประทานวิตามินบำรุงขณะตั้งครรภ์ตามคำแนะนำของคุณหมอก็จะช่วยให้คุณแม่มีพลังงานและสารอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายตัวเองและลูกน้อยในครรภ์นะคะ

                            อายุครรภ์ 7 สัปดาห์
                            อายุครรภ์ 7 สัปดาห์

                            พัฒนาการทารกในครรภ์สัปดาห์ที่ 7

                            • ในช่วงนี้ลูกมีส่วนสูงประมาณ 12 มม. จากตัวอ่อนเริ่มดูเป็นเด็กทารกขึ้นอีกเล็กน้อย หลายๆ ส่วนของร่างกายมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น คือ หัวใจ ปอด ลำไส้ไส้ติ่ง สมอง ไขสันหลัง และส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าเริ่มปรากฏชัดขึ้น  โดยจะสังเกตเห็นจุดสีดำบริเวณดวงตา สีของม่านตามองเห็นได้ชัดเจน ส่วนเลนส์ตาก็กำลังเป็นรูปเป็นร่าง เปลือกตา นิ้วเท้า และนิ้วมือก็เริ่มเป็นรูปร่างแม้จะมีพังผืดหนาๆ เชื่อมอยู่ จมูกเป็นรูปเป็นร่างเห็นรูจมูกชัดเจนขึ้นและเริ่มเห็นปลายจมูก ปากเป็นรอยเว้า เห็นร่องของหูอยู่ที่ด้านข้างของคอและส่วนกลางของหูเชื่อมต่อกับหูชั้นในแล้ว กะโหลกศีรษะด้านหลังของทารกโตเร็วกว่าด้านหน้า มีส่วนแขนและขาขึ้นมาดูคล้ายกับใบพัดหรือพายเล็ก ๆ ยื่นออกมาจากด้านข้างของหน้าอกจะพัฒนาชัดเจนขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์
                            • ในสมองของทารกพัฒนาไปเร็วมาก โดยสมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนใหญ่ที่สุดและมีรอยหยักมากที่สุดกำลังเจริญเติบโตขึ้น เซลล์ประสาทกำลังเจริญเติบโต มีการแตกกิ่งก้านสาขาและเริ่มเชื่อมต่อกัน โดยเซลล์สมองแบ่งตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 100 เซลล์ทุก ๆ นาที ส่วนกะโหลกนั้นยังคงโปร่งใสอยู่ โดยส่วนหัวของทารกจะมีการขยายออกอย่างรวดเร็วเพื่อให้ทันกับสมอง
                            • ระบบการย่อยอาหารพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะลำไส้ส่วนหนึ่งยื่นเข้าไปในสายสะดือ ระบบหัวใจของลูกน้อยจะเต้นเร็วประมาณ 2 เท่าของคุณแม่ ตับของลูกเริ่มฟอกเม็ดเลือดแดงได้และทำหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดแดงไปก่อนจนกว่าไขกระดูกจะเจริญเติบโตพร้อมรับหน้าที่ต่อไป
                            • สายสะดือสำหรับการรับออกซิเจนสารอาหารจากแม่ และขับของเสียของทารกเริ่มก่อตัวขึ้น รวมถึงร่างกายเริ่มสร้างไตขึ้นมาแล้ว แม้จะยังทำหน้าที่กรองของเสียออกจากระบบเลือดไม่ได้ แต่เริ่มผลิตปัสสาวะที่มาจากการน้ำคร่ำที่ทารกกลืนเข้าไปทางปากในระหว่างลอยอยู่ในท้องแม่ไปตลอดการตั้งครรภ์ ซึ่งถือว่าลูกน้อยเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้นกับการอยู่ในมดลูกของคุณแม่
                            • ต่อมเพศของทารกในครรภ์เริ่มสร้างขึ้นในช่วงนี้ แต่การตรวจอัลตราซาวด์ในสัปดาห์นี้ก็ยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าลูกเป็นเพศชายหรือหญิง
                            • เส้นใยกล้ามเนื้อก็เริ่มก่อตัวเพื่อให้ร่างกายทารกเริ่มเคลื่อนไหวได้เล็กน้อย

                            Tips : ในช่วงนี้คุณแม่อาจจะรู้สึกหิวบ่อย เป็นเพราะว่าลูกน้อยในท้องนั้นต้องใช้พลังงานในการสร้างเซลล์สมองและพัฒนาการต่าง ๆ อย่างรวดเร็วนั่นเอง ดังนั้นในแต่ละวันคุณแม่สามารถแบ่งมื้ออาหารทานมื้อละน้อย ๆ ได้แทน 3 มื้อใหญ่ หรือมีมื้อว่างระหว่างวัน ไม่ควรปล่อยให้กระเพาะอาหารว่าง เพราะจะทำให้รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนได้

                            พัฒนาการทารกในครรภ์สัปดาห์ที่ 8

                            • ตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ 8 สัปดาห์ขึ้นไป ลูกน้อยเติบโตจากตัวอ่อนกลายเป็นทารกตัวจิ๋วในครรภ์แม่แล้ว ตอนนี้ลูกมีความสูงประมาณ 6 เซนติเมตร ลักษณะหัวโตตัวเล็ก คล้ายกับลูกอ๊อดตัวกลมที่มีส่วนหหางสั้นลง นอนตัวงอเป็นกุ้งหรือคล้ายกับตัว C ลอยตัวอยู่ในน้ำคร่ำในมดลูกของคุณแม่
                            • ในช่วงสัปดาห์นี้ลูกน้อยจะเริ่มมีพัฒนาการบนใบหน้ามากขึ้น อวัยวะทุกส่วนจะเริ่มเข้าที่ ตา ปาก และจมูกจะเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น เห็นปลายจมูก ปลายนิ้วมือ ปลายนิ้วเท้า ริมฝีปาก เปลือกตา และเริ่มเห็นส่วนที่เป็นแขนขาจะเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น ส่วนของมือและเท้าเป็นนิ้วชัดเจนขึ้นมีลักษณะคล้ายใบพายเล็ก ๆ จะมีนิ้วมือและนิ้วเท้าให้เห็นแล้วมือและเท้า มีเล็บงอกออกมา แต่ดวงตายังอยู่ห่างกันมากราวกับจะแยกกันอยู่ด้านข้างของใบหน้า หลังจากนั้นจะค่อย ๆ ขยับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
                            • กระดูกสันหลังของลูกจะตรงขึ้น ศีรษะจะมีลักษณะก้มไปข้างหน้าเข้าหาลำตัว และมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับส่วนล่างของลูก
                            • เซลล์ประสาทในสมองเริ่มพัฒนาและเติบโต เซลล์กระดูกเริ่มเป็นรูปร่างขึ้นมาแทนที่กระดูกอ่อน ข้อต่อเล็ก ๆ เริ่มเจริญเติบโตขึ้น ปุ่มฟันน้ำนมเริ่มเป็นรูปร่างและลูกจะเริ่มมีลายนิ้วมือในระยะนี้
                            • ทารกเริ่มมีลิ้นหัวใจแล้ว มีท่อทางเดินหายใจซึ่งจะช่วยให้อากาศไหลเวียนจากลำคอไหลเข้าสู่ปอด
                            • เริ่มเห็นตุ่มที่กำลังจะพัฒนาเป็นอวัยวะเพศ
                            • ในช่วงสัปดาห์นี้ทารกในครรภ์เริ่มขยับตัวได้ เริ่มงอแขนช่วงข้อศอกและข้อมือได้ แต่คุณแม่จะยังไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของลูกในท้อง เนื่องจากลูกยังมีขนาดตัวที่เล็กอยุ่

                            Tips : เข้าสู่อายุครรภ์ 8 สัปดาห์หรือราว 2 เดือน ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อพัฒนาการของลูกน้อยในครรภ์ซึ่งเติบโตรวดเร็วมาก อาการแพ้ท้องหรืออารมณ์แปรปรวนขึ้น ๆ ลง ๆ ที่มีผลต่อพัฒนาการลูกในท้องได้ ดังนั้นในช่วงนี้คุณแม่ควรใส่ในในเรื่องการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ ไม่ให้เกิดความเครียดมากเกินไป

                            อาการคนท้อง 2 เดือน
                            อาการคนท้อง 2 เดือน

                            ตั้งครรภ์เดือนที่ 2 แม่ต้องเจอกับอะไรบ้าง

                            ในช่วงเดือนที่สองนี้ หน้าท้องของคุณแม่อาจจะยังไม่ขยายใหญ่มากเท่าไรนัก หรืออาจไม่มีอาการแพ้ท้อง จนคุณแม่บางคนอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ แต่ก็มีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่ทำให้สัมผัสได้ว่าคุณแม่กำลังมีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ อยู่ในท้องแล้วนะ โดยอาการของแม่ตั้งครรภ์ที่พบบ่อย เช่น

                            • อาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ คุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรกประมาณ 70%-80% จะมีอาการแพ้ท้องหนักมาก เพื่อลดอาการ “แพ้ท้อง” ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มัน ๆ หรือรสจัด ควรเลือกกินอาหารที่ย่อยง่าย และรับประทานอาหารมื้อเล็ก ๆ ระหว่างมื้ออาหาร หรือก่อนนอน เช่น นม แครกเกอร์ เพื่อช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่และช่วยลดอาการแพ้ท้องตอนเช้าวันรุ่งขึ้นได้ และดื่มน้ำขิงที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้อาเจียนได้อย่างดีดี
                            • รู้สึกไม่สบาย เมื่อยล้า อ่อนเพลียบ่อย พัฒนาการของลูกในท้องที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้การตั้งครรภ์ต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ช่วงนี้คุณแม่อาจรู้สึกอ่อนเพลียมากกว่าเดิม รู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ มีความรู้สึกอยากนอนตลอดทั้งวัน ลองหาเวลางีบพักผ่อนระหว่างวันอย่างน้อยสัก 10 นาทีหรือพักผ่อนให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะช่วยให้คุณแม่รู้สึกดีขึ้น รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยเติมพลังงานสร้างความกระฉับกระเฉงให้คุณแม่สามารถต่อสู้กับความเหนื่อยล้าได้
                            • อาการท้องผูก ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์ โดยสาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนโพรเจสเทอโรนในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและลำไส้ ทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวและย่อยอาหารได้ช้าลง รวมทั้งการเจริญเติบโตของลูกน้อยในท้องก็ทำให้คุณแม่ท้องผูกได้ เมื่อคุณแม่ต้องเจอกับอาการท้องผูกควรรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์หรือกากใยสูง เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ หมั่นออกกำลังกายเบา ๆ เช่น การเดิน ว่ายน้ำ โยคะ เป็นต้น ก็จะช่วยให้อาการท้องผูกดีขึ้น
                            • อยากกินของแปลก ๆ หรือเบื่ออาหาร ฮอร์โมนที่สูงขึ้นในขณะตั้งครรภ์ช่วงแรก ๆ ทำให้คุณแม่อยากกินอะไรแปลก ๆ ที่ไม่เคยกินได้ หรือกลับมีอาการเบื่ออาหารขึ้นมาก็ได้ อย่างไรก็ตามคุณแม่จำเป็นต้องกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ หรือแบ่งเป็นมื้อน้อย ๆ แต่กินให้บ่อย ๆ พยายามดูแลเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อไม่ให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพร่างกายคุณแม่และลูกน้อยในท้อง
                            • รู้สึกเหม็นง่ายไวต่อกลิ่น เป็นอาการปกติอีกอย่างหนึ่งของคนท้องที่เกิดขึ้นได้ในช่วงไตรมาสแรก จมูกของคุณแม่จะไวต่อกลิ่นทุกชนิดมากเป็นพิเศษ อาจจะรู้สึกเหม็นกลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย เหม็นกลิ่นอาหารบางชนิด แม้กระทั่งกลิ่นตัวคุณพ่อ ได้กลิ่นทีไรก็อยากจะอาเจียนขึ้นมาทันที ในช่วงนี้การได้พักผ่อนมากที่สุดจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และนอกจากการรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย น้ำอุ่น หรือน้ำขิง ลองเลือกกินสับปะรด และกล้วย ก็เป็นผลไม้ที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาเจียนนี้ได้ดี
                            • เต้านมขยายใหญ่ขึ้น ในช่วงประมาณเดือนที่ 2 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะสังเกตเห็นว่าเต้านมจะขยายใหญ่ขึ้นจากเดิมได้ถึง 1-2 ไซส์ โดยเฉพาะในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก ซึ่งผิวหนังที่ยืดขยายอาจทำให้คุณแม่รู้สึกคัดตึงเต้านมมาก และมีรอยแตกลายบริเวณเต้านมด้วย อาการนี้เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับการตั้งครรภ์และให้นมลูกหลังคลอดนั่นเอง
                            • มีอารมณ์แปรปรวนเป็นภาวะปกติที่อาจเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะในช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ทำให้คุณแม่มีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อ่อนไหว ซึมเศร้า อ่อนล้า หรือบางครั้งก็รู้สึกหงุดหงิดได้ง่าย ๆ โดยไม่มีสาเหตุ ในช่วงนี้คุณแม่อาจหากิจกรรมต่าง ๆ ทำเพื่อให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น เช่น การพูดคุยกับสามีหรือเพื่อน ๆ การนั่งสมาธิ ออกกำลังกาย หรืองานอดิเรกที่ชื่นชอบ เป็นต้น

                            จะเห็นได้ว่าเมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนที่ 2   ของการตั้งครรภ์ พัฒนาการของทารกในครรภ์นั้นเริ่มเป็นรูปเป็นร่างได้ชัดขึ้น ในช่วงเดือนนี้คุณแม่มองเห็นพัฒนาการลูกน้อยครั้งและและได้ยินเสียงหัวใจเต้นผ่านการอัลตร้าซาวด์ได้ นับเป็นเดือนที่สร้างความตื่นเต้น ความอัศจรรย์ และเพิ่มความสุขให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้ไม่น้อยทีเดียว

                            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :www.huggies.co.thwww.scarymommy.comwww.honestdocs.co

                            อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                            แม่รู้มั้ย! พัฒนาการทารกในครรภ์ 1 เดือน เกิดอะไรขึ้นกับลูกในท้องบ้าง?

                            พัฒนาการทารกในครรภ์ 9 เดือนมหัศจรรย์ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตน้อยๆ ของแม่บ้าง

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              วันดื่มนมโลก (World Milk Day) 1 มิถุนายนปีนี้ โฟร์โมสต์ชวนคนไทยร่วมแบ่งปันสุขภาพดีให้น้องๆมูลนิธิกระจกเงา

                              กรุงเทพ – บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ เพื่อคนไทยมานานกว่า 60 ปี บริจาคนมพร้อมดื่มยูเอชทีตราโฟร์โมสต์ 8,704 กล่อง ให้กับมูลนิธิกระจกเงา เนื่องในโอกาส วันดื่มนมโลก (World Milk Day) ซึ่งองค์การอาหารแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO กำหนดให้วันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปีเป็นวันดื่มนมโลก เพื่อให้ประเทศและองค์กรต่างๆ ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์กระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการดื่มนม   

                              โฟร์โมสต์จัดกิจกรรมรณรงค์วันดื่มนมโลกทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้เด็กๆรวมถึงคนไทยทุกคน ตระหนักถึงโภชนาการที่ดีและประโยชน์ที่ได้จากการดื่มนมเป็นประจำอย่างน้อย 1-2 แก้วต่อวัน ตามคำแนะนำของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข โดยในปีนี้โฟร์โมสต์ได้จัดกิจกรรมออนไลน์ “ปันนมปันน้ำใจ One Like One Share” ผ่านเฟซบุ๊คเพจของโฟร์โมสต์ โดยบริษัทฯ จะบริจาคนมให้กับเด็กๆ มูลนิธิกระจกเงา เท่ากับยอด Like ทั้งหมดที่ได้รับซึ่งปรากฎว่ามียอดกว่า 8,704 Like ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ โดยเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2563 คุณชุมาภา ดีสุดจิต ฝ่ายองค์กรสัมพันธ์โฟร์โมสต์ ได้มอบผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มยูเอชทีตราโฟร์โมสต์ 8,704 กล่อง ให้กับคุณวีราภรณ์ ประสพรัตนสุข ฝ่ายสื่อสารองค์กรมูลนิธิกระจกเงา โดยทางมูลนิธิฯ จะดำเนินการนำผลิตภัณฑ์นมทั้งหมดใส่ใน ‘กล่องแบ่งปัน’ ภายใต้โครงการอาสามาเยี่ยมเฟส 2 ของมูลนิธิฯ ซึ่งเริ่มเปิดให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 สามารถลงทะเบียนรับบริจาคได้ทุกวันตลอดทั้งเดือนมิถุนายนนี้ วันละ 300 ครอบครัว เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม โดยตั้งเป้าส่งมอบ ‘กล่องแบ่งปัน’ ให้ได้ 9,000 ครอบครัวทั่วประเทศ

                                Tags

                                สอนลูกเก็บของ ฝึกวินัยแบบไม่ต้องบังคับ

                                5 เทคนิค สอนลูกเก็บของ ฝึกวินัยแบบไม่ต้องบังคับ

                                กิจกรรมในครอบครัวอย่างหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่ลูกได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ คือการชวนลูกให้มาจัดระเบียบข้าวของในบ้านด้วยกัน นอกจากจะได้ พื้นที่ใช้สอย พื้นที่ทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกันเพิ่มขึ้นแล้ว ยังได้ปลูกฝังความมีระเบียบวินัยให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งเริ่มง่ายๆ ได้จากเรื่องใกล้ตัว สอนลูกเก็บของ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เสื้อผ้าของลูกน้อย ของเล่นของใช้ ตุ๊กตา หนังสือนิทาน เป็นต้น

                                มาดูเทคนิคง่ายๆ 5 ข้อที่จะทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกมาเพิ่มพื้นที่แหล่งความสุข พร้อมกับ สอนลูกเก็บของ ไปพร้อมๆ กันค่ะ

                                1. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง

                                พ่อแม่คือแบบอย่างที่ดีของลูก  เพียงเริ่มจากการเก็บของให้ลูกเห็นเป็นประจำ ลูกจะเรียนรู้จากการกระทำของพ่อแม่ว่า เล่นแล้วต้องเก็บ ใช้แล้วต้องเก็บ ของใช้ในบ้านไม่ว่าจะเป็นหนังสือนิทาน นิตยสาร แก้วนม ถ้วยกาแฟ ฯลฯ ที่ใช้แล้ว ต้องเก็บให้เรียบร้อย เมื่อลูกเห็นว่าการจัดเก็บของในบ้านให้เป็นระเบียบเป็นเรื่องปกติ เมื่อไรก็ตามที่คุณแม่ชวนลูกมาช่วยกันเก็บให้เรียบร้อย ลูกจะไม่ปฏิเสธ ยิ่งถ้าทำแล้ว คุณแม่ชื่นชม หรือให้กินขนมอร่อยๆ ก็จะยิ่งรู้สึกว่า กิจกรรมงานบ้านเป็นเรื่องสนุก ทำเสร็จแล้วยังได้กินขนมอร่อยๆ ฝีมือคุณแม่อีกด้วย

                                ตู้เก็บของแบบ 3 ลิ้นชัก

                                ตู้เก็บของแบบ 3 ลิ้นชัก รุ่นGODISHUS/โกดิสฮุส จากสโตร์อิเกีย
                                หรือซื้อออนไลน์ที่
                                https://bit.ly/IKEA_GODISHUS

                                เริ่มด้วยการแบ่งงานเบาๆ ให้ลูกทำ เช่น เก็บของเล่น หนังสือนิทาน อุปกรณ์ศิลปะ เครื่องเขียนที่วางอยู่บนโซฟา เก็บวางใส่ในชั้นตู้เก็บของให้เรียบร้อย

                                ทิปส์ : เพิ่มตัวช่วยให้ลูกด้วยสติกเกอร์สีสดใส ที่มาพร้อมกับตู้ ให้ลูกเลือกสีที่ชอบติดที่ตู้แต่ละชั้น เพื่อช่วยให้จดจำได้ง่ายว่าอะไรควรเก็บไว้ชั้นไหน

                                2. ให้ลูกครีเอทได้เอง

                                การเปิดโอกาสให้ลูกได้ครีเอทเองว่า อยากจัดเก็บอะไรในรูปแบบไหน และไว้ตรงไหน เป็นการกระตุ้นให้ลูกน้อยเกิดความกระตือรือร้นและอยากจะจัดเก็บของต่างๆ ให้เป็นระเบียบ คุณแม่อาจถามลูกเป็นคำถามปลายเปิด แล้วให้เขาคิดต่อว่า การเก็บของ เช่น ชุดเสื้อผ้า ถุงเท้า ผ้าขนหนู ของใช้ส่วนตัวที่เขาต้องใช้ทุกวัน ควรจะต้องเก็บใส่ไว้ตรงไหน ห้องไหน มุมไหนของบ้าน เมื่อลูกรู้แล้วว่าจะต้องเก็บของใช้เหล่านี้ไว้ตรงไหนได้แล้ว แนะนำให้คุณแม่นั่งเก็บของไปพร้อมกันกับลูก

                                ชั้นวาง 5 ช่อง

                                ชั้นวาง 5 ช่อง รุ่น RASSLA/ราสลา จากสโตร์อิเกีย
                                หรือซื้อออนไลน์ที่ https://bit.ly/IKEA_RASSLA

                                สอนให้ลูกแยกเสื้อผ้าที่ใส่แล้วไว้ในตระกร้า สำหรับเก็บเอาไปซักทำความสะอาด ส่วนเสื้อผ้าที่ซัก แห้งแล้ว ต้องแยก ต้องพับ หรือแขวนจัดเก็บใส่ไว้ในชั้นตู้เสื้อผ้าอย่างไร เพื่อให้ประหยัดพื้นที่ และดูเป็นระเบียบ หยิบออกมาใช้ง่าย

                                ทิปส์ : เพิ่มตัวช่วยให้ลูกน้อยเกิดไอเดียใหม่ๆ ด้วยชั้นวางของ 5 ช่องแบบแนวตั้ง ประหยัดพื้นที่ใช้สอยด้วยมุมมองที่ไม่ซ้ำใคร ทำให้ตู้ใบเดิมไม่ธรรมดาแบบเดิมอีกต่อไป

                                3. ให้รางวัลดาวเด็กดี

                                เนรมิตพื้นที่กิจกรรมในบ้านที่เพิ่มขึ้น คุณแม่สามารถชวนลูกเก็บของ ด้วยกิจกรรมสนุกๆ แข่งเก็บของกับลูกๆ โดยมีรางวัลเป็นดาวเด็กดี ว่าถ้าลูกเก็บของ เก็บของเล่นเข้าที่ทุกครั้งหลังเล่น หลังใช้เสร็จ จะได้ดาวเด็กดี 1 ดวง เมื่อครบ 10 ดวง จะได้รางวัลเป็นไอติม หรือแล้วแต่ข้อตกลงของแต่ละครอบครัวได้เลยค่ะ กิจกรรมนี้คุณพ่อก็ต้องเล่นด้วยนะคะ เพื่อที่ลูกได้เห็ว่าทุกคนในบ้านมีส่วนร่วมกับกิจกรรมนี้

                                ชุดตู้เก็บของ

                                ชุดตู้เก็บของ รุ่น TROFAST/ทรูฟัสท์ จากสโตร์อิเกีย
                                หรือซื้อออนไลน์ที่  https://bit.ly/IKEA__TROFAST

                                ทิปส์ : ควรเลือกกล่องจัดเก็บของที่น้ำหนักเบา ช่วยให้ลูกเลื่อนออกมาใช้ และเลื่อนเก็บได้  อย่างง่ายดาย ยกไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย

                                4. แบ่งปันเพื่อเปลี่ยนแปลง

                                การสอนลูกให้เก็บของที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เพียงส่งเสริมให้มีพฤติกรรมที่ดีติดตัวลูก ไปจนโตเท่านั้น แต่คุณแม่ยังสอดแทรกเพิ่มเติมให้ลูกได้รู้จักการแบ่งปันสิ่งของให้กับคนที่มีโอกาสน้อยกว่าในสังคม

                                กล่องเก็บของพร้อมฝาปิด

                                กล่องเก็บของพร้อมฝาปิด รุ่น GLIS/กลีส จากสโตร์อิเกีย
                                หรือซื้อออนไลน์ที่ https://bit.ly/IKEA_GLIS

                                การปลูกฝังลูกว่าสิ่งของบางอย่างที่ยังอยู่ในสภาพดี และลูกไม่ได้ใช้ ไม่ได้เล่นแล้ว สามารถนำไปบริจาค ทำให้เกิดประโยชน์กับเด็กคนอื่นๆ ได้นะ และเพื่อให้ลูกไม่รู้สึกว่าเสียดาย หวงของขึ้นมา คุณแม่อาจต้องอธิบายว่าของๆ เขาชิ้นนั้น เมื่อบริจาคไปแล้ว จะเป็นประโยชน์ต่อผู้รับอย่างไรบ้าง เช่น หนังสือนิทาน ส่งไปมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่อาสาสมัครก็จะอ่านเนื้อเรื่องในนิทานอัดบันทึกเสียง ไว้ใช้เปิดให้กับเด็กๆ ผู้พิการทางสายตา ได้เรียนรู้ สนุกไปกับเนื้อหาในหนังสือนิทาน เป็นต้น เมื่อลูกเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการแบ่งปันแล้ว ก็ลงมือช่วยกันคัดแยกของที่สภาพดี แต่ไม่ได้ใช้งานแล้ว มาทำความสะอาดให้เรียบร้อย

                                อุปกรณ์ของใช้ชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย ที่เก็บแยกได้จากตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือที่บ้าน หากชิ้นไหนยังใช้งานได้ให้แยกออกมาค่ะ ชุดเสื้อผ้า หนังสือนิทาน ของเล่น ตุ๊กตา ฯลฯ ที่ต้องการบริจาคให้จัดเก็บใส่ลงกล่องกระดาษใบใหญ่ แนะนำว่าให้เลือกเป็นวันคล้ายวันเกิดลูกปีละครั้ง เพื่อเป็นการสร้างความทรงจำดีๆ ในชีวิตของลูกค่ะ

                                ทิปส์ : เพื่อให้อุปกรณ์ ของใช้ หรือของเล่นชิ้นเล็กๆ อย่างอุปกรณ์เครื่องเขียน เครื่องคิดเลข การ์ดเกม อุปกรณ์ทำงานฝีมือ เช่น เส้นเอ็น ลูกปัด ฯลฯ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย และหยิบใช้งานได้ง่าย คุณแม่สามารถใช้เป็นกล่องพลาสติกเล็กๆ หลากสีที่มีฝาปิด แล้วให้ลูกช่วยกันจัดเก็บลงในกล่องใบเล็กค่ะ 

                                5. คำพูดเสริมพลังบวก

                                เสริมพลังบวกให้ลูกด้วยคำพูดดีๆ จากพ่อแม่ ใช้ช่วงเวลาก่อนเข้านอน สอบถาม พูดคุยกับลูก อ่านนิทานให้ลูกฟัง บอกรักลูกในทุกๆ วัน สร้างสายใย เชื่อมใจลูกเชื่อมใจแม่เข้าด้วยกัน  ชมลูกบ่อยๆ เมื่อลูกทำดี คือสิ่งที่เขาอยากได้ยิน  “ลูกทำได้ดีแล้ว ทำต่อไปนะ พ่อกับแม่เชียร์ลูกอยู่ข้างๆ นะจ๊ะ”

                                เตียงเสริมแบบมีลิ้นชักเก็บของ

                                เตียงเสริมแบบมีลิ้นชักเก็บของแบบนี้ จากสโตร์อิเกีย
                                หรือซื้อออนไลน์ที่ https://bit.ly/5_SLÄKT_New

                                ทิปส์ : เลือกเตียงเสริมแบบมีลิ้นชัก ช่วยให้การจัดเก็บของในห้องนอนง่ายและสะดวก เพียงเลื่อนลิ้นชักข้างเตียงออกมา ก็สามารถเลือกหนังสือนิทานเล่มโปรดออกมาอ่านให้ลูกฟังได้ทันที

                                เพียงเท่านี้ การสอนลูกเก็บของจะง่ายกว่าเคย การฝึกวินัยให้ลูกจะง่ายกว่าที่คิด ด้วยตัวช่วยดีๆ จากอิเกียที่เพิ่มพื้นที่แห่งความสุขในบ้านของคุณ

                                 

                                 

                                  การเรียนลูก

                                  การเรียนลูก เป็นเพียงเรื่องของครู จบที่โรงเรียนจริงหรือ?

                                  อยากให้ลูกได้คะแนนดี สอบเข้าโรงเรียนดี ๆ ได้ พ่อแม่ต้องให้ลูกเรียนหนัก เรียนเสริม แต่?? การเรียนลูก ที่เป็นแบบทุกวันนี้ ดีกับลูกจริงหรือ?

                                  การเรียนลูก เป็นเพียงเรื่องของครู จบที่โรงเรียนจริงหรือ?

                                  เร็ว ๆ นี้ทางเพจ Facebook ของ  TEP – Thailand Education Partnership ภาคีเพื่อการศึกษาไทย ได้ปล่อยคลิปที่น่าสนใจสำหรับผู้ปกครองที่มีลูกหลานอยู่ในวัยเรียนอย่างเรา ๆ ให้ได้ฉุกคิดถึงบทบาทของผู้ปกครองต่อการเรียนของเด็กในสมัยนี้ ว่าพ่อแม่ที่คิดว่าจะทำทุกอย่าง ทุกวิธีการ เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกรักของเราเพื่อให้ได้เรียนเก่ง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นติวเตอร์ที่ไหนที่ว่าดี โรงเรียนไหนที่ว่าดัง  สอบยากแค่ไหนก็ต้องฝ่าฟันให้ลูกเข้าไปเป็นหนึ่งในนั้นให้ได้ แต่เพียงแค่นี้จะเพียงพอต่อชีวิตของลูกน้อยของเราแล้วจริงหรือ? การเรียนเป็นแค่เรื่องของตำราเรียน ตัวหนังสือ และการบ้านเท่านั้นจริงหรือไม่?

                                  ดูคลิป!! จัดการลูกได้เลยครู เอาให้หนัก!!

                                  ขอบคุณคลิปจาก : TEP – Thailand Education Partnership ภาคีเพื่อการศึกษาไทย

                                  จากคลิปดังกล่าว ที่แสดงให้ผู้ชมเห็นถึงกลุ่มตัวอย่างผู้ปกครองที่คาดหวังให้ลูกเรียนหนัก ๆ ได้เข้ามาพูดคุยกับทางคุณครูว่าอยากให้ครูดูแลลูกอย่างไรบ้าง ? โดยยังไม่ทราบถึงว่าจะมีการทดลองให้ผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างเหล่านั้นได้เรียนด้วยตนเองเสมือนกับตัวเองเป็นลูกที่ต้องมานั่งเรียนในห้องเรียนจริง ๆ

                                  “ถ้าสมมติเขาไม่ตั้งใจเรียน จัดการได้เลยค่ะครู เอาให้หนัก”

                                  “อยากให้เขามีการบ้านทุกวัน จะได้มีความจำเพิ่มขึ้น เพราะหน้าที่ของเขาคือเรียน”

                                  “อยากให้ครูจี้ให้เขาสนใจเรียนตลอดเวลา”

                                  ประโยคยอดฮิตของเหล่าผู้ปกครองเวลาเข้าพบครูของลูก แต่เมื่อตัวเองต้องมาเจอสถานการณ์เดียวกันกับลูกจะยังคงคิดแบบนี้อยู่หรือไม่ ในคลิปก็มีคำตอบให้เรา ๆ เหล่าบรรดาผู้ปกครองได้เห็น และตระหนักถึงความรู้สึกของลูก เวลาต้องเข้ามาเรียนในห้องเรียนแบบเดิม ๆ ที่ใช้แต่การท่องจำ อ่าน เขียน ตอบ นั่งเฉย ๆ ในห้องสี่เหลี่ยมว่าคงไม่ใช่วิธีการที่ดีในการเรียนรู้เป็นแน่ ขนาดว่าวุฒิภาวะของผู้ใหญ่อย่างแม่ ๆ กลุ่มตัวอย่างในคลิปยังไม่สามารถเก็บเกี่ยวความรู้ไปได้อย่างเต็มที่ในการเรียนการสอนแบบนี้ แต่เมื่อคุณครูได้เฉลย และขอให้เปลี่ยนวิธีการใหม่ ให้มาร่วมกันระดมความคิดว่าต้องการรูปแบบการเรียนรู้แบบไหน และทำตาม บรรยากาศการเรียนการสอนของห้องก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พร้อม ๆ กับความรู้สึกของบรรดาแม่กลุ่มตัวอย่างที่เห็นด้วยว่าการเรียนไม่จำเป็นต้องท่องแต่ตำราเหมือนดั่งความรู้สึกตอนแรกอีกต่อไป

                                  ลูกเรียนหนัก
                                  ลูกเรียนหนัก

                                  คลิปนี้ สอนอะไรเราบ้าง?

                                  ในคลิปดังกล่าว ถือว่าเป็นการทดลองจำลองสถานการณ์ที่ดีมาก เมื่อได้ดูแล้วจะได้แง่คิดต่าง ๆ มากมายกับ การเรียนลูก เราในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของ

                                  • บทบาทของพ่อแม่ต่อการเรียนของลูก ที่ไม่ใช่เพียงแค่การซับพอร์ตเรื่องค่าใช้จ่าย หาที่เรียน ที่ติวเท่านั้น แต่ควรมีความเข้าใจในหลักสูตรการเรียนของลูกบ้าง จะได้ช่วยเสริมจุดอ่อนของลูกได้ ซึ่งเด็กแต่ละคนก็คงมีปัญหาที่ต่างกันไป ถ้าเรารู้ถึงเนื้อหาที่แท้จริง ก็คงไม่ทำให้ลูกเกิดความรู้สึกว่า แม่ดีแต่สั่งให้เรียน แต่ไม่เคยเข้าใจเขาเลย
                                  • วิธีการสอนของครู ถึงแม้บางคนอาจจะมองส่วนนี้ควรเป็นหน้าที่ของครูในการจัดการ แต่ถ้าพ่อแม่เข้าใจว่า การเรียนลูก มิได้เป็นเพียงการท่องจำ หรือนั่งอ่านเพียงอย่างเดียวเราก็จะสามารถเลือกครู หรือติวเตอร์ที่มีเทคนิคการสอนที่มาช่วยเสริมการเรียนรู้ของลูกเราได้
                                  • ความจ้ำจี้จ้ำไชลูกเราจะหมดไป หากเราเข้าใจกับคำว่า “คุณภาพ” ดีกว่า “ปริมาณ” มีพ่อแม่หลายคนที่ต้องการเห็นลูกนั่งทำการบ้านมาก ๆ จะได้รู้สึกว่าเขาตั้งใจเรียน แต่จากในคลิปจะเห็นได้ว่า การนั่งท่องจำทำอย่างไรก็ไม่สามารถจำได้หมดแม้แต่วัยผู้ใหญ่อย่างแม่ในคลิป แต่เมื่อเป็นการเรียนจากการเล่น การทดลองกลับพบว่าประสิทธิผลในการเรียน การจำ ทำได้ดีกว่ามาก

                                  5 สัญญาณที่บอกว่าคุณกำลังกดดันลูกมากเกินไป

                                  เราลองมาสังเกตตัวเองกันดูว่ามีพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้หรือไม่ ที่อาจเป็นบ่อเกิดสร้างแรงกดดันมากเกินไปในเรื่อง การเรียนลูก หรือไม่? ถ้ามีทั้ง 5 ข้อนี้ ควรปรับพฤติกรรมโดยด่วน!!

                                  1. คำติมากกว่าคำชม ในพ่อแม่บางคนยึดหลักการว่า “ติเพื่อก่อ” แต่ในปัจจุบันมีงานวิจัย และบทความทางวิชาการมากมายที่แสดงให้เห็นแล้วว่า วัยเด็กนั้น จะมีพัฒนาการที่ดีกว่าหากผู้ปกครองรู้จักชม มากกว่าการตำหนิ เพราะจะเป็นการสร้างแรงจูงใจในการทำสิ่งใด ๆ ได้ดีกว่าที่ต้องคอยรู้สึกว่าตัวเองแย่ไม่ได้เรื่องตลอดเวลา
                                  2. ไม่ปล่อยให้ลูกได้จัดการกับเรื่องของเขาเอง หากคุณมักจะคอยทำ หรือกำหนดเรื่องต่าง ๆ ให้แก่ลูกคุณ และพวกเขามีหน้าที่ที่แค่คอยทำตามคำสั่งคุณเท่าน้ั้น รู้หรือไม่ว่าจะเกิดผลเสียอย่างมากมายกับพฤติกรรมของลูกน้อยของคุณ อาจทำให้เขากลายเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตนเอง ไม่มีภาวะผู้นำ หากคุณกังวลถึงความผิดพลาด ลองค่อย ๆ ให้เขาได้จัดการและตัดสินใจในเรื่องเล็ก ๆ ค่อย ๆ พัฒนาการกันไป
                                  3. หากคุณพบว่าคุณมักจะพูดถึงผลเสียที่ร้ายแรงหากเขาไม่สามารถทำได้สำเร็จอยู่บ่อย ๆ นั่นเป็นพฤติกรรมที่คุณกำลังกดดันลูกของคุณอย่างไม่รู้ตัว เพราะในโลกของการแข่งขันย่อมมีแพ้ชนะอยู่เสมอ หลักความเป็นจริงถึงเขาจะแพ้ในการแข่งนี้แต่ก็มิได้หมายความว่าเขาจะแพ้ตลอดไป ลองเปลี่ยนเป็นการร่วมกันวิเคราะห์ข้อผิดพลาดเพื่ออนาคตครั้งหน้าจะดีกว่าไหม
                                  4. คุณมักเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น ด้วยความหวังว่าเขาจะได้มีแรงฮึดสู้ แต่ในทางกลับกัน ลูกอาจรู้สึกว่ากดดันจนไม่อยากแข่งขันกับใครอีกต่อไป เขาก็อาจจะทำสิ่งนั้นอย่างระแวง ไม่มีความสุข เมื่อเป็นแบบนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงไม่ดีเท่าที่ควร
                                  5. คุณอารมณ์เสียบ่อย ๆ นั่นเพราะมาจากการที่คุณไปตั้งความหวังกับลูกอยู่ทุกเรื่องตลอดเวลา เมื่อเรื่องใดไม่เป็นไปตามที่คาดหวังก็ทำให้คุณเกิดความหงุดหงิดใจ ซึ่งมันจะแสดงออกและลูกคุณสามารถรับรู้ได้ จึงเป็นพฤติกรรมที่สร้างความกดดันให้ลูกคุณอย่างมาก

                                  ตัวอย่างแง่คิดเพียงเล็กน้อยที่ได้จากคลิปสั้น ๆ  เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ก็ทำให้เราตระหนักถึงว่า การเรียนรู้มิได้หยุดอยู่แค่ตำรา หรือในโรงเรียน และมิใช่เป็นเพียงแค่เรื่องของครู แต่เป็นความร่วมมือทั้งจากครู นักเรียน และเรา ผู้ปกครองที่ต้องร่วมกัน ทำความเข้าใจแล้วจะสามารถพัฒนาระบบการศึกษาของไทยเราไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ มาร่วมกันสร้าง การเรียนของลูก ให้เป็นการเรียนที่มีประสิทธิภาพร่วมกัน

                                  “อนาคตของลูกน้อย อนาคตของชาติ พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนช่วยสร้าง….เริ่มกันตั้งแต่วันนี้”

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  สิ่งที่ต้องสอนลูกก่อนวัย 3 ขวบ เพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโรงเรียน

                                  ให้ลูกเรียนออนไลน์ อย่างไร? ถ้าแม่ต้องไปทำงาน?

                                  กดดันเรื่องการเรียน ได้ผลเสียมากกว่าผลดี

                                  ดนตรีพัฒนาสมอง เพิ่มทักษะการเรียนรู้ให้ลูกน้อย

                                  ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก Honestdocs

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    กิจกรรมจิตอาสา

                                    12 กิจกรรมจิตอาสา ปลูกฝังให้ลูกมีน้ำใจ สร้างจิตสาธารณะตั้งแต่เล็ก

                                    กิจกรรมจิตอาสา เป็นอีกกิจกรรมที่พ่อแม่ยุคใหม่ให้ความสนใจพาลูกออกไปเปิดประสบการณ์ที่นอกจากจะได้ความรู้ ความสนุก และน่าตื่นเต้นสำหรับเด็ก ๆ แล้ว การเป็นจิตอาสายังสอนลูกให้รู้จักมีจิตสาธารณะ การแบ่งปัน ความร่วมแรงรว่มใจ และความมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งยังเป็นการให้ลูกได้เรียนรู้จักกับการเข้าสังคม มีเพื่อนใหม่ ซึ่งในปัจจุบันนี้โครงการจิตอาสาในหลายกิจกรรมที่สามารถทำได้ทุกเพศทุกวัย

                                    ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมกิจกรรมจิตอาสาที่เหมาะสำหรับเด็ก ๆ เดินทางง่าย แบบไปเช้าเย็นกลับ และทำในวันหยุด มาให้คุณพ่อคุณแม่เลือกพาลูกไปเป็น “จิตอาสา” กันค่ะ

                                    12 กิจกรรมจิตอาสา น่าพาลูกไปจอย สร้างจิตสาธารณะตั้งแต่เล็ก

                                    สมุดทำมือ

                                    1.จิตอาสาทำสมุดทำมือจากกระดาษรีไซเคิลให้น้อง ๆ ด้อยโอกาส

                                    บ้านไหนที่เริ่มต้นเป็นจิตอาสามือใหม่ ลองพาลูกมาจอยงานนี้ก่อนดูค่ะ เพราะเป็นการทำงานด้านจิตอาสาผ่านกระบวนการง่าย ๆ และเริ่มต้นทำได้จากเรื่องใกล้ตัว คือการทำสมุดจากกระดาษที่เหลือมาใช้มารีไซเคิลให้เป็นสมุดดี เพื่อนำไปบริจาคต่อให้กับน้อง ๆ ที่ขาดแคลนตามถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ เป็นกิจกรรมดี ๆ ที่มาร่วมกันเป็นจิตอาสาได้ทุกเพศทุกวัยกันเลยค่ะ

                                    สถานที่ : บ้านจิตอาสา มูลนิธิบูรณะชนบทแห่งประเทศไทยฯ จ. กรุงเทพมหานคร
                                    จัดช่วง : วันอาทิตย์ 26 ก.ค. 2563 เวลา 13:00 – 16:00 น. (เช้าไป-เย็นกลับ)
                                    ผู้จัด : Paper Ranger
                                    เบอร์ติดต่อ : 0896704600
                                    Line : paperranger
                                    ค่าใช่จ่าย : สมทบค่าอุปกรณ์ 300 บาท
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    เพ้นท์เสื้อ

                                    2.อาสาเพ้นท์เสื้อสวยบริจาคให้น้องๆ ด้อยโอกาส

                                    พาเด็ก ๆ ไปโชว์ฝีมือวาดรูปสวย ๆ ร่วมกันเพ้นท์เสื้อเพื่อไปมอบให้กับกลุ่มเด็กที่ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล โดยกิจกรรมนี้เด็ก ๆ จะได้สนุกไปกับการทำศิลปะ ครีเอทความคิดสร้างสรรค์ลายลงบนเสื้อที่มีเพียงตัวเดียวในโลก ถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยฝึกสมาธิเพื่อให้ลูกทำชิ้นงานให้เสร็จ อีกทั้งยังได้รู้จักการแบ่งปันและการช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน ก่อให้เกิดความสุขใจทั้งกับผู้ให้และผู้รับ

                                    สถานที่ : ศูนย์การค้า Union mall ชั้นG จ. กรุงเทพ
                                    จัดช่วง : วันเสาร์ 11 ก.ค. 2563 เวลา 13:00 – 17:00 น.(เช้าไป-เย็นกลับ)
                                    ผู้จัด : พบมิตร จิตอาสา
                                    เบอร์ติดต่อ : 0814897499
                                    Line : Pobmitvolunteer
                                    ค่าใช่จ่าย : สมทบค่าอุปกรณ์ท่านละ 220 บาท
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    อาสาเก็บขยะ ทะเล

                                    3.อาสาเก็บขยะหาดดงตาล เกาะยอ ที่สัตหีบ

                                    ในกิจกรรมอาสานี้เด็ก ๆ จะได้ขึ้นเรือไปทำกิจกรรมเก็บขยะที่เกาะยอ ซึ่งเป็นหนึ่งในเกาะของทหารเรือสำหรับไว้ซ้อมยิงปืน ไม่มีบ้านพัก ไม่มีร้านค้า และสิ่งปลูกสร้างใดๆ การเข้าเกาะ ต้องไปขออนุญาตจากทหารก่อน ซึ่งจำกัดคนเข้าเกาะต่อวันด้วย บรรยากาศบนเกาะจึงเงียบสงบ กิจกรรมในครั้งนี้จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ใหม่ ๆ ที่ให้เด็ก ๆ ได้ทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ และยังได้นั่งเรือชมความสวยงามของรอบอ่าวสัตหีบ พร้อมกิจกรรมดำน้ำดูปะการังและปลานีโม่ด้วย เด็ก ๆ ต้องชอบกิจกรรมนี้แน่นอนค่ะ

                                    สถานที่ : เกาะยอ เกาะหมู กองเรือยุทธการ ฐานทัพเรือสัตหีบ จ.ชลบุรี
                                    จัดช่วง : วันเสาร์ที่ 7 พ.ย. 2563 เวลา 06:00 – 18:00 น. (เช้าไป-เย็นกลับ)
                                    ผู้จัด : one fine day
                                    เบอร์ติดต่อ : 0831919554
                                    Line : navigatorsutee
                                    ค่าใช่จ่าย : 1,180 บาท/ คน
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    จิตอาสา ทาสี

                                    4.อาสาทำดี แต้มสีเติมฝัน ให้น้อง โรงเรียนบ้านหนองพงนก

                                    โครงการจิตอาสานี้ไม่น่ายากเกินไปสำหรับเด็ก ๆ ค่ะ ชวนทั้งครอบครัวไปทาสีปรับปรุงอาคารเรียน โต๊ะเรียน และทาสีสนามเด็กเล่นให้เด็ก ๆ ที่โรงเรียนหนองพงนก รับรองว่าชวนลูกมาทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นแบบนี้ได้ทั้งครอบครัวและสนุกชัวร์ค่ะ

                                    สถานที่ : โรงเรียนบ้านหนองพงนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
                                    จัดช่วง : วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563
                                    ผู้จัด : อาสาบ้านดินไทย
                                    เบอร์ติดต่อ : นายสุรัช สะราคำ 086-770-2233
                                    ค่าใช่จ่าย : สมทบค่าใช้จ่ายท่านละ 690 บาท  เดินทางเอง 390 บาท
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    ทุ่นดักขยะ

                                    5.อาสาทำทุ่นดักขยะ วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ

                                    ในโครงการนี้เด็ก ๆ จะได้ช่วยและเรียนรู้วิธีการทำ “ทุ่นดักขยะ” ที่ทำด้วยขวดพลาสติกปิดฝากับโฟมที่ใช้แล้ว ห่อด้วยผ้าจีวรทอจากพลาสติกและตาข่าย เพื่อนำไปดักขยะพลาสติกที่ปากแม่น้ำก่อนลงทะเล เป็นกิจกรรมจิตอาสาที่จะทำให้ทุกคนได้ช่วยกันแก้ไขปัญหาขยะตั้งแต่ต้นทาง และลดปริมาณขยะไหลสู่ทะเล ได้ถึงร้อยละ 30 ของขยะทะเล ที่มีแหล่งกำเนิดจากพื้นที่บนบกไหลผ่านปากแม่น้ำไหลลงสู่ทะเล ซึ่งขยะที่พบมากสุดคือ ถุงพลาสติก รองลงมาคือ แก้วพลาสติก ขวดพลาสติก ชวนลูกมาร่วมกันสร้างจิตสาธารณะเพื่อสังคมกันค่ะ

                                    สถานที่ : วัดจากแดง พระประแดง จ.สมุทรปราการ
                                    จัดช่วง : วันอาทิตย์ที่ 15 พ.ย. 2563 เวลา 07:00 – 16:00 น. (เช้าไป-เย็นกลับ)
                                    ผู้จัด : one fine day
                                    เบอร์ติดต่อ : 0831919554
                                    Line : navigatorsutee
                                    ค่าใช่จ่าย : 780 บาท/ คน
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    ว่าวไล่นก

                                    6.อาสาทำว่าวไล่นก งดใช้สารเคมี

                                    งานนี้อาจต้องใช้ฝีมือในการประดิษฐ์กันสักหน่อย แต่ก็เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ที่จะมาเรียนรู้วิธีการทำว่าวไล่นก เพื่อไล่นกที่มากินเมล็ดข้าวของชาวสวนชาวนา งดใช้สารเคมี ในการกำจัดศัตรูพืช ทั้งยังเป็นสันติวิธีในการอยู่ร่วมกันของคนและสัตว์ กิจกรรมนี้ได้วิทยากร อ.เม่น มหาชัย ผู้อนุรักษ์และสืบสานการละเล่นว่าวไทยและยังเป็นอาจารย์สอนทำว่าวจุฬาให้กับเด็ก ๆ และเยาวชนในจังหวัดสมุทรสาคร อยากหากิจกรรมดี ๆ ทำกับครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ลองพาลูกมาร่วมกิจกรรมจิตอาสานี้ดูนะคะ

                                    สถานที่ : ศูนย์อนุรักษ์ว่าวจุฬา มหาชัย จ.สมุทรสาคร
                                    จัดช่วง : วันอาทิตย์ 16 สิงหาคม 2563
                                    ผู้จัด : one fine day
                                    เบอร์ติดต่อ : 0831919554
                                    Line : navigatorsutee
                                    ค่าใช่จ่าย : 1,100 บาท/คน เดินทางเอง 900 บาท/ คน
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    ทําสีน้ําจากธรรมชาติ

                                    7.อาสาทำสีน้ำมอบให้น้อง ๆ พื้นที่ห่างไกล

                                    การพาลูกไปเป็นจิตอาสา ถือเป็นการได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากมาย กิจกรรมอาสานี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้วิธีการทำสีน้ำจากวัสดุที่ทำมาจากธรรมชาติ และส่งต่อสิ่งดี ๆ ไปให้กับเด็กในพื้นที่ห่างไกล ทั้งยังได้เกิดความสุขจากการสร้างงานศิลปะร่วมกับคนอื่นด้วย

                                    สถานที่ : ร้าน Let’s say cafe ถนนพญาไท ราชเทวี จ.กรุงเทพฯ
                                    จัดช่วง : วันอาทิตย์ 19 ก.ค. 2563 เวลา 08:30 – 12:30 น. (เช้าไป-เย็นกลับ)
                                    ผู้จัด : พบมิตร จิตอาสา
                                    เบอร์ติดต่อ : 0814897499
                                    Line : Pobmitvolunteer
                                    ค่าใช่จ่าย : สมทบค่าอุปกรณ์ท่านละ 280 บาท
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    อาสาปลูกป่า

                                    8.อาสาปลูกป่า เดินป่าศึกษาธรรมชาติ เขาราวเทียนทอง จ.ชัยนาท

                                    เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมเพื่อสังคม ที่คุณพ่อคุณแม่จะพาเด็ก ๆ มาปลูกป่า ทำฝายและได้ใกล้ชิดธรรมชาติในพื้นที่ป่าชุมชนเขาราวเทียนทอง ที่เคยเป็นพื้นที่เขาหัวโล้น และต่อมาชาวบ้านจึงร่วมมือกันอนุรักษ์ป่าผืนนี้ซึ่งเป็นป่าไม่กี่ที่ในจังหวัดชัยนาท ที่มีจุดมุ่งหมายให้การปลูกป่าได้สร้างความชุมชื่นให้กับป่าและอยู่คู่ชุมชน งานนี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้วิถีชีวิตผู้คนในชนบททำกิจกรรมร่วมกับชุมชน ได้ศึกษาเส้นทางธรรมชาติ รู้จักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นการปลูกฝังการเสียสละส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมให้กับเด็ก ๆ ด้วยค่ะ

                                    สถานที่ : ป่าชุมชนเขาราวเทียนทอง จ.ชัยนาท
                                    จัดช่วง : วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2563 เวลา 07:00 – 19:00 น. (เช้าไป-เย็นกลับ)
                                    ผู้จัด : one fine day
                                    เบอร์ติดต่อ : 0831919554
                                    Line : navigatorsutee
                                    ค่าใช่จ่าย : 780 บาท/คน
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    สร้างฝายชะลอน้ํา

                                    9.อาสาทำโป่ง + ปลูกป่า + สร้างฝาย

                                    ในกิจกรรมนี้นอกจากเด็ก ๆ จะได้ไปปลูกต้นไม้เพิ่มผืนป่าให้ธรรมชาติ ยังได้ช่วยกันทำฝายหินทิ้งที่จะช่วยชะลอน้ำให้ไหลช้าลงในพื้นที่เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี ได้เห็นการร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อจะให้ภารกิจเสร็จลุล่วงไปด้วยดี ทั้งยังได้เรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์สัตว์ป่าในเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่า ปลูกจิตสำนึกในการรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับเด็ก ๆ ได้อีกทางอีกด้วย

                                    สถานที่ : หน่วยพิทักษ์ป่าหน่องยาว สวนผึ้ง จ.ราชบุรี
                                    จัดช่วง : วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม 2563
                                    ผู้จัด : อาสาบ้านดินไทย
                                    เบอร์ติดต่อ : นายสุรัช สะราคำ 086-770-2233
                                    ค่าใช่จ่าย : เดินทางเอง ท่านละ 390 บาท
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    โครงการจิตอาสา

                                    10.อนุรักษ์สัตว์น้ำ พาฉลามกลับทะเล ณ หาดเตยงาม

                                    กิจกรรมจิตอาสานี้ชวนให้คุณพ่อคุณแม่พาเด็ก ๆ ไปเที่ยวทะเลแบบสนุกและตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีก กับการ “ปล่อยปลาฉลามทรายกลับบ้าน” เพื่อเพิ่มจำนวนปลาฉลามในระบบนิเวศให้มากขึ้นและอนุรักษ์ปลาฉลามให้อยู่คู่ท้องทะเลไทยตลอดไป นอกจากปลูกจิตสำนึกการอนุรักษ์ธรรมชาติแล้ว เด็ก ๆ ยังได้ความรู้เรื่องแนวปะการัง ปลาฉลามในท้องทะเลไทยที่บางชนิดได้ถูกขึ้นบัญชีอนุรักษ์ปลาฉลามแล้ว เช่น ปลาฉลามวาฬ ปลาฉลามหัวค้อนใหญ่ ปลาฉลามหัวค้อนสีน้ำเงิน ปลาฉลามหัวค้อน ปลาฉลามครีบยาว และปลาฉลาม เป็นต้น

                                    สถานที่ : หาดเตยงาม สัตหีบ จ.ชลบุรี
                                    จัดช่วง : วันอาทิตย์ 30 ส.ค. 2563 เวลา 06:30 – 18:00 (เช้าไป-เย็นกลับ)
                                    ผู้จัด : one fine day
                                    เบอร์ติดต่อ : 0831919554
                                    Line : navigatorsutee
                                    ค่าใช่จ่าย : 1,480/ คน
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    ค่ายอาสา

                                    11.ค่ายอาสาปลูกป่าเขาค้อ สร้างสวนป่าปฏิบัติธรรม

                                    เขยิบพาลูกเดินทางไกลไปเข้าค่ายอาสาปลูกป่าเขาค้อ สร้างสวนป่าปฏิบัติธรรม จ.เพชรบูรณ์ กันค่ะ เป็นโครงการปลูกป่าคืนชีวิตให้แผ่นดินในสถานที่ปฏิบัติธรรมและประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อให้ต้นไม้เป็นร่มเงาและสร้างความร่มเย็นให้กับชาวบ้านและผู้ที่มาปฏิบัติธรรม และปลูกไว้เพื่อเป็นมรดกแก่ลูกหลาน กิจกรรมนี้เด็ก ๆ จะได้เข้าวัดทำบุญ ปลูกป่า สร้างมหากุศล รวมทั้งได้กางเต็นท์นอนค้างคืน ตื่นมาชมทะเลหมอก ได้สัมผัสกับธรรมชาติ ได้เดินป่าศึกษาธรรมชาติ และสถานที่ท่องเที่ยวบนเขาค้อ เป็นงานอาสาที่ได้ครบรสทีเดียว

                                    สถานที่ : เขาค้อ จังหวัด เพชรบูรณ์
                                    จัดช่วง : วันเสาร์-อาทิตย์ที่ 18 – 19 ก.ค. 2563
                                    ผู้จัด : อาสาสมัคร อนุรักษ์สิ่งดีงาม
                                    เบอร์ติดต่อ : 0827792256
                                    Line : 0827792256
                                    ค่าใช่จ่าย : 1,450 บาท/ คน
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    ทําเสื้อมัดย้อม

                                    12.อาสาแต้มสีทำเสื้อมัดย้อมบริจาคให้น้องๆ ด้อยโอกาส

                                    กิจกรรมนี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้กระบวนการทำมัดย้อมที่ลูกจะต้องชอบกิจกรรมนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการทำลายมัดย้อมที่ได้ลวดลายแปลก ๆ จนถึงวิธีการลงสีมัดย้อม ที่นอกจากจะได้สร้างสรรค์ผลงานของตัวเองแล้ว ยังได้ความสนุกและได้บุญกลับบ้านกันด้วย

                                    สถานที่ : ลานกิจกรรมท่าดินแดง บางลำภูล่าง คลองสาน จ.กรุงเทพฯ
                                    จัดช่วง : วันเสาร์ 25 ก.ค. 2563 เวลา 08:30 – 12:30 (เช้าไป-เย็นกลับ)
                                    ผู้จัด : พบมิตร จิตอาสา
                                    เบอร์ติดต่อ : 0814897499
                                    Line : Pobmitvolunteer
                                    ค่าใช่จ่าย : สมทบค่าอุปกรณ์ท่านละ 220 บาท
                                    ข้อมูลเพิ่มเติม คลิก

                                    ทั้งหมดนี้คือกิจกรรมจิตอาสาที่คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกไปลองทำ เพื่อปลูกฝังความมีน้ำใจ สร้างจิตสำนึกที่ดี และทำให้ลูกได้รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รวมถึงมีจิตสาธารณะที่จะดูแลสิ่งแวดล้อม สังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น และยังมีโครงการจิตอาสาให้เข้าร่วมมากมายทั้งแบบไปกลับและค้างคืนที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกให้เหมาะสมกับลูกได้ ทีมแม่ ABK เชื่อว่าการไปเป็น “จิตอาสา” ทำแล้วจะได้ความอิ่มอกอิ่มใจกับการเป็น “ผู้ให้” อย่างมีความสุขและสนุกแน่นอนค่ะ.

                                    อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                                    8 กิจกรรมยามว่างพัฒนา สมองซีกซ้าย vs ซีกขวา ฝึกลูกใช้เหตุผลและมีความคิดสร้างสรรค์

                                    9 กิจกรรม & เกมพัฒนาสมอง ของลูกวัย 6+ ให้ลูกฉลาดและอารมณ์ดี

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่