ลูกนอนน้อย

ลูกนอนน้อย นอนดึก แก้ได้ด้วย 5 ต้องห้าม 5 ต้องทำ!!

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกนอนน้อย
ลูกนอนน้อย

ลูกนอนน้อย นอนดึก ส่งผลต่อพัฒนาการ อารมณ์ และสมองของลูกโดยตรง หากปล่อยให้ลูกนอนน้อยไปจนเป็นนิสัย อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคร้ายหลายโรค!!

ลูกนอนน้อย นอนดึก แก้ได้ด้วย 5 ต้องห้าม 5 ต้องทำ!!

การนอนเป็นอาหารสมอง เป็นสิ่งสำคัญ หากลูกนอนหลับได้เพียงพอ ก็จะช่วยทำให้ร่างกายได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ สร้างภูมิต้านทานโรค สดชื่นแจ่มใสอารมณ์ดี มีความกระฉับกระเฉง ร่าเริง จดจำสิ่งต่าง ๆ ที่เรียนรู้ไปได้อย่างแม่นยำ แต่หาก ลูกนอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะมีปัญหาเรื่องพัฒนาการและพฤติกรรม ดังนั้นการนอนเป็นเรื่องสำคัญของคนทุกคนและควรสนับสนุนให้เด็ก ๆ นอนให้เพียงพอ

การนอนหลับของเด็กเป็นเรื่องที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่สับสน เพราะการนอนของเด็กแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกัน อีกทั้งในช่วงทารก จะมีภาวะหลับตื่นสลับกันไปตลอดทั้งวันและทั้งคืน ทำให้ไม่แน่ใจว่าที่ลูกนอนหลับไปนั้น เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือยัง ลูกของคุณควรนอนวันละกี่ชั่วโมงกันแน่

เด็กแต่ละวัย …. นอนแตกต่างกันอย่างไร?

  1. วัยทารก วัยนี้จะมีภาวะหลับตื่นสลับกันไปตลอดทั้งวัน แต่เมื่ออายุได้ประมาณ 4 เดือนจะเริ่มหลับกลางคืนได้ยาวประมาณ 6 ชั่วโมงและเมื่ออายุ 6 เดือนจะสามารถหลับได้นานถึง 10 ชั่วโมงแต่ก็ยังสามารถตื่นได้ในระหว่างการนอนหลับ ซึ่งทารกบางคนสามารถกลับไปหลับต่อได้ด้วยตัวเอง แต่บางคนต้องการการกล่อมจึงจะหลับต่อได้
  2. วัยเรียน วัยนี้ต้องการการนอนประมาณ 9 – 12ชั่วโมง ซึ่งเด็กแต่ละคนอาจต้องการจำนวนชั่วโมงในการนอนแตกต่างกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตว่าลูกนอนพอหรือไม่ ได้จากพฤติกรรมของลูกระหว่างวัน เช่น สามารถปลุกตื่นได้ง่าย ไม่ผล็อยหลับตอนกลางวัน (ถามได้จากคุณครู) และเมื่อเข้านอนสามารถหลับได้ภายใน 15 – 30 นาที
  3. วัยรุ่น วัยนี้ต้องการเวลานอน 8 – 10 ชั่วโมง แต่ลักษณะการนอนของเด็กวัยนี้จะเปลี่ยนไปจากวัยเรียน โดยที่วัยรุ่นจะเข้านอนดึกและตื่นสายซึ่งเป็นภาวะปกติเมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่น ดังนั้นในช่วงเปิดเทอมที่วัยรุ่นต้องมาโรงเรียนในตอนเช้าจะมีผลทำให้วัยรุ่นนอนไม่พอได้บ่อย และอาจกระทบต่อการเรียน และวัยรุ่นมักจะมานอนชดเชยในวันหยุด

สัญญาณที่แสดงว่าลูกกำลังมีปัญหาด้านการนอนหลับ

  • คุณพ่อคุณแม่ใช้เวลามากเกินไป “ช่วย” ให้ลูกของคุณนอนหลับ
  • ลูกตื่นขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทั้งคืน
  • ลูกมีปัญหาเรื่องพัฒนาการและพฤติกรรม เช่น หงุดหงิดง่าย มักจะผล็อยหลับตอนกลางวัน
  • คุณพ่อคุณแม่อดนอน เนื่องจากปัญหาด้านการนอนหลับของลูก

ลูกนอนน้อย นอนไม่พอ ส่งผลต่ออะไรได้บ้าง?

  1. จะเกิดปัญหาการเจริญเติบโตไม่ดี

การนอนหลับมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต การพัฒนาสมองและสุขภาพของเด็ก โดยเวลานอนทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) มากขึ้น ส่งผลกระตุ้นการเจริญเติบโต และควบคุมสัดส่วนของไขมันในกล้ามเนื้อ โดยพบว่าฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะหลั่งมากในเวลากลางคืน หลังจากที่หลับไปแล้ว 1 – 2 ชั่วโมง ถ้านอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้การหลั่งของฮอร์โมนการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางด้านความสูง

2. การเรียนรู้ช้าลง

เด็กเป็นวัยที่เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทุกวัน เมื่อลูกนอนหลับ สมองจะทำหน้าที่จัดเก็บและจัดระเบียบข้อมูลที่เรียนรู้มาในช่วงระยะของการหลับลึก เพื่อพร้อมให้ดึงกลับมาใช้ใหม่ มีผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กเรียนรู้ในสิ่งเดียวกัน แล้วมาทำแบบทดสอบภายหลัง พบว่าเด็กที่ได้มีโอกาสนอนหลังจากการเรียน จะสามารถทำแบบทดสอบได้ดีกว่ากลุ่มที่ยังไม่ได้นอนอย่างชัดเจน ดังนั้นการนอนหลับอย่างเพียงพอ จะส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กเป็นอย่างมาก

3. ความจำลดลง

การที่ ลูกนอนน้อย ส่งผลให้ระบบจัดเก็บความทรงจำหรือระบบประสาทมีประสิทธิภาพลดลง โดยอวัยวะที่สำคัญ คือ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) จะทำหน้าที่ถ่ายโอนข้อมูลที่เรียนรู้ในระหว่างวัน เข้าสู่ความทรงจำระยะยาว ซึ่งอวัยวะชิ้นนี้จะทำงานตอนที่เรานอนหลับเท่านั้น และจะทำงานได้ดีหากร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ

4. การสร้างภูมิต้านทานโรคลดลง ทำให้ติดเชื้อง่าย

การนอนไม่พออาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากระหว่างนอนหลับ ร่างกายจะหลั่งสารอินเตอร์ลิวคิน-1 (interleukin-1) ออกมา ซึ่งเป็นสารประกอบที่กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการนอนไม่พอติดต่อกันหลายคืน สามารถรบกวนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก ๆ ได้

ลูกนอนไม่พอ
ลูกนอนไม่พอ

5 ต้องห้าม 5 ต้องทำ เพื่อสร้างนิสัยการนอนที่ดีให้ลูกน้อย

5 ต้องทำ เพื่อสร้างนิสัยการนอนที่ดีให้ลูกน้อย

  • สร้างกิจวัตรก่อนนอนให้เป็นเวลาพิเศษที่จะพูดคุยกับลูก เพื่อให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัย เมื่อลูกรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยแล้ว ลูกจะสามารถนอนหลับได้อย่างไม่ต้องกังวล ไม่ตื่นมากลางดึกบ่อย ๆ
  • ให้ลูกเข้านอนและตื่นนอนตรงเวลา เวลาที่เริ่มกล่อมให้ลูกเข้านอน ควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน และไม่ควรให้ลูกตื่นสายจนเกินไป เพราะเมื่อถึงเวลานอนอีกครั้งจะทำให้ลูกไม่ยอมนอนหรือนอนไม่หลับได้ ดังนั้นจึงควรให้ลูกตื่นนอนให้ตรงเวลาด้วย
  • จัดบรรยากาศห้องนอนให้เหมาะสมสำหรับการนอน สำหรับเด็กเล็กสามารถใช้เสียงที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่ดัง ไม่กระตุ้น หรือเสียง White Noise เป็นเสียงที่ช่วยกล่อมให้เด็กนอน
  • สร้างกิจวัตรในระหว่างวันให้มีตารางเวลาสม่ำเสมอ เวลาตื่นนอน เวลาทานข้าวเช้า กลางวัน เย็น เวลาอาบน้ำ เวลาเล่น เวลาของกิจกรรมก่อนนอน ควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน เพราะการทำกิจวัตรระหว่างวันไม่ตรงตามเวลาที่กำหนด อาจจะไปกระทบต่อเวลาที่ควรจะเข้านอนได้ เช่นหากทานอาหารมื้อเย็นช้าเกินไป จะทำให้มีเวลาอาบน้ำ และเวลากิจกรรมก่อนนอนน้อยลง จนไปทำให้ต้องเข้านอนดึกขึ้น เป็นต้น
  • ควรปิดไฟ หรือ หรี่แสงไฟในห้องนอน เมื่อถึงเวลานอน และควรให้เด็กได้เจอแสงแดดธรรมชาติในเวลากลางวัน

5 ต้องห้าม!! เพื่อสร้างนิสัยการนอนที่ดีให้ลูกน้อย

  • ทารกควรเลี่ยงการให้เด็กหลับคาขวดนม การใช้ขวดนมในการกล่อมให้ลูกนอนหลับไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เด็กควรนอนหลับได้ด้วยตัวเอง การใช้ตัวช่วยต่าง ๆ เช่น การนอนหลับคาขวดนม การอุ้มกล่อม จะส่งผลต่อปัญหาในการหลับต่อเองเมื่อตื่นกลางดึกได้ ดังนั้น ควรฝึกให้ลูกกล่อมตัวเองนอนหลับแทนการใช้ตัวช่วยต่าง ๆ
  • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่เร้าใจ ตื่นเต้น หรือ กิจกรรมที่ต้องเผชิญกับแสงที่จ้ามากเกินในช่วงเวลา 2 – 3 ชั่วโมงก่อนนอน เช่น การดูทีวี ดูมือถือ ดูแท็ปเล็ตก่อนนอน จะทำให้ลูกตื่นเต้น คิดแต่เรื่องที่เพิ่งจะดูมา จนทำให้นอนไม่หลับ หรือเป็นกังวลจนนอนหลับไม่สนิทได้
  • อย่าให้การนอนเกิดจากการขู่ หรือ เป็นการลงโทษจากการทำความผิด ควรสอนให้เด็กรับรู้ว่าการนอนเป็นเวลาของความสุข เพื่อให้ลูกนอนหลับไปอย่างมีความสุข ไม่ใช่ความกลัว เพราะหากหลับด้วยความกลัว ลูกจะนอนหลับได้ไม่สนิท ตื่นตอนกลางคืนบ่อย ๆ ได้
  • หลีกเลี่ยงการเอาของเล่นมาให้เด็กเล่นเมื่อถึงเวลานอน ของเล่นที่สามารถนำมาเล่นก่อนนอนได้ควรเป็นของเล่นที่เหมาะกับกิจกรรมก่อนนอน เช่น ตุ๊กตา หนังสือนิทาน เป็นต้น
  • หลีกเลี่ยงอาหารหนัก หรือ ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ เพราะการทานอาหารหนักก่อนนอน อาจทำให้ลูกต้องลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น และสำหรับทารก หากมีการขับถ่ายตอนกลางคืน จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้ และสำหรับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน จะกระตุ้นให้ลูกรู้สึกตื่นตัวจนนอนไม่หลับได้

ปัญหาการนอนหลับที่เกิดขึ้นในเด็กส่วนใหญ่ ไม่ได้เกิดจากความบกพร่องของการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่แต่อย่างใด และก็ไม่ได้แปลว่าเด็กมีความผิดปกติทางจิต หรือทางกายแต่อย่างใดด้วย หากคุณพ่อคุณแม่ได้ทำตามหลัก 5 ต้องห้าม 5 ต้องทำแล้ว ยังพบว่าลูกมีปัญหาการนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของปัญหาต่อไป

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ตารางการนอนของทารก นอน/ตื่นกี่ครั้ง นอนนานแค่ไหน?

ฝึกลูกนอน (เร็วและเป็นเวลา) จำเป็นไหม? พร้อมวิธีฝึกลูกให้หลับเร็ว

5 เคล็ดลับสร้างนิสัย “การนอนของทารก” ให้มีประสิทธิภาพ

REM Sleep ช่วง “การนอนของทารก” ที่ทำให้ลูกโตช้า

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล , สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ผลไม้สำหรับคนท้อง

22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

Alternative Textaccount_circle
event
ผลไม้สำหรับคนท้อง
ผลไม้สำหรับคนท้อง

ในช่วงตั้งครรภ์ โภชนาการที่ดีถือเป็นเรื่องสำคัญที่แม่ท้องควรใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยที่กำลังเจริญเติบโตในครรภ์ นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว “ผลไม้” ก็เป็นอีกแหล่งอาหารที่ประกอบด้วยสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และและกากใยที่เป็นประโยชน์สำหรับแม่ท้อง มาดูกันค่ะว่ามี ผลไม้สำหรับคนท้อง อะไรบ้างที่คุณแม่กินแล้วดี บำรุงสุขภาพคุณแม่และได้ประโยชน์ต่อลูกน้อยด้วย

22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น ได้ประโยชน์ดีต่อแม่และลูกในท้อง

คนท้องกินส้มได้ไหม

1.ส้ม

ผลไม้ตระกูลส้มไม่ว่าจะเป็นส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง ส้มสายน้ำผึ้ง ส้มบางมด ฯลฯ ล้วนให้คุณค่าสารอาหารคล้าย ๆ กัน

  • มีวิตามินซีสูงมาก ที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายของคุณแม่ ป้องกันการเป็นหวัดระหว่างตั้งครรภ์ และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายอีกด้วย
  • มีกากใย ที่ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้กับแม่ท้อง ช่วยลดอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี
  • มีโฟเลตซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ช่วยป้องกันความผิดปกติของหลอดเลือด ช่วยป้องกันข้อบกพร่องของท่อประสาท ที่ทำให้ลูกน้อยในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง

2. มะละกอสุก

แม้ว่ามะละกอจะเป็นผลไม้ที่สามารถกินได้ทั้งสุกและดิบ แต่ในช่วงตั้งครรภ์นั้นการเลือกกินมะละกอสุดที่อุดมไปด้วยวิตามินซี สารเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี และแคลเซียม จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายแม่มากกว่า สารอาหารเหล่านี้ช่วยให้แม่ท้องขับถ่ายง่ายขึ้นแก้ปัญหาท้องผูกที่เกิดขึ้นได้ในขณะตั้งครรภ์ และยังช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน บำรุงระบบประสาทและสายตา ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย คุณแม่สามารถกินมะละกอสุกเป็นมื้อว่างระหว่างวันหรือหลังรับประทานอาหารได้ทุกวัน แต่ควรซื้อแล้วนำมาปอกเปลือกทานเองที่บ้าน หรือเลือกซื้อผลไม้จากร้านที่สะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับเชื้อโรคปนเปื้อน เพื่อความปลอดภัยต่อคุณแม่และลูกน้อยในท้อง

3. กล้วย

กล้วย เป็นผลไม้ที่หาซื้อและรับประทานได้ง่ายอีกหนึ่งชนิดที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมายทั้งธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินเอ, บี 1, บี 2, บี 3, มีวิตามินบี 6 ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียนในขณะตั้งครรภ์ และวิตามินซี ในกล้วยมีปริมาณเส้นใยอาหารสูงจะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายของแม่ท้อง แก้ปัญหาท้องผูกได้ รวมทั้งมีกรดอะมิโนที่ชื่อTryptophan ที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ ช่วยให้คุณแม่อารมณ์ดี แก้ปัญหาภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ได้ โดยทั่วไปคุณแม่สามารถกินกล่วยวันละ 1 ลูก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกที่มีอาการแพ้ท้อง

4. ละมุด

ละมุดเป็นผลไม้ที่มีรสหวานและเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์จำนวนมาก เช่น อิเล็กโทรไลต์ วิตามิน A คาร์โบไฮเดรต และพลังงาน ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการวิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้ อาการลำไส้แปรปรวนลงได้ คุณแม่สามารถกินละมุดได้ตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ แต่ก็ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดภาวะเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์

มะพร้าว คนท้องกินได้ไหม

5. มะพร้าว

มะพร้าวเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่คุณแม่สามารถกินได้ตอนท้อง มีคุณค่าทางอาหารสูงและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น เกลือแร่ โพแทสเซียม วิตามินซี โปรตีน โซเดียม แคลเซียม คลอไรด์ และเส้นใยอาหาร ที่ให้คุณประโยชน์สำหรับแม่ท้อง เช่น

  • โซเดียมโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต และการทำงานของหัวใจคุณแม่ตั้งครรภ์ให้เป็นปกติ
  • แมงกานีส ช่วยบำรุงโลหิตและเสริมสร้างกระดูกให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
  • วิตามินซี ช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ มีผิวพรรณสดใส
  • กลูโคสและฟรักโทสในปริมาณมาก ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที เมื่อแม่ท้องได้ดื่มก็จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น แก้กระหาย
  • กรดลอริก ที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อไวรัส เชื้อหวัด และเชื้อรา จึงช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของแม่และทารกในครรภ์ และช่วยป้องกันการติดเชื้อของโรคไข้หวัดใหญ่ เอชไอวี และโรคเริม
  • มีไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติละลายน้ำดี (MCT) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมที่มีส่วนช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย
  • มีโฟเลตประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อร่างกายได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด
  • เกลือแร่ที่มาจากธรรมชาติ ช่วยลดภาวะการขาดน้ำและช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้ดีทีเดียว

สำหรับคุณแม่ท้องที่ต้องการกินมะพร้าว ควรกินในปริมาณที่พอดีหรือ 1 ลูกต่อวัน เลือกซื้อมะพร้าวอ่อนแบบเป็นลูก เพื่อความปลอดภัย สะอาด เท่านี้ก็จะได้ประโยชน์จากสารอาหารครบถ้วนในมะพร้าวได้เป็นอย่างดีด้วย

บทความแนะนำที่น่าสนใจ : ไขข้อข้องใจ! คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม กินแล้วล้างไข คลอดง่าย ลูกออกมาผิวขาวจริงหรือ?

6. ลูกพรุน

ลูกพรุนเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องโลหิตจาง ในลูกพรุนจะมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญคือธาตุเหล็ก ที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และมีวิตามิน บี 2 ที่จะช่วยในสร้างแคลเซียม เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟันของแม่และทารกในครรภ์ รวมทั้งลูกพรุนยังเป็นผลไม้ที่ตอบโจทย์สำหรับแม่ท้องที่มีอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี เนื่องจากลูกพรุนมีไฟเบอร์กากอาหารมาก ซึ่งจะช่วยในการขับถ่ายที่ดี

บทความแนะนำที่น่าสนใจ : ตารางเปรียบเทียบสารอาหารใน ลูกพรุนและน้ำลูกพรุน แก้อาการท้องผูก

7. ฝรั่ง

ฝรั่งนับเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสารอาหารที่หลากหลายเหมาะสำหรับรับประทานระหว่างตั้งครรภ์ได้ดี ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม หากเทียบกับส้มที่ว่าเป็นผลไม้ที่วิตามินซีสูงแล้ว ฝรั่งยังมีวิตามินซีสูงกว่าถึง 5 เท่า ! และยังประกอบด้วยวิตามินเอสูง ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและความดันโลหิตในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งยังช่วยเรื่องเหงือกและฟันให้แข็งแรง อุดมไปด้วยวิตามิน E, iso-flavonoids, Carotenoids และ Polyphenols สารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก และให้ความแข็งแรงแก่ระบบประสาทของทารก นอกจากนี้รสชาติอร่อย กลิ่นหอมสดชื่นของฝรั่งยังช่วยในเรื่องอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดีด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรกินฝรั่งในปริมาณที่มากเกินไป เนื่องจากจะทำให้ย่อยยากและส่งผลทำให้ท้องอืดได้ ดังนั้นคุณแม่ท้องควรเลือกกินแต่พอดีและควรเคี้ยวให้ละเอียดก่อนเสมอ เท่านี้การกินฝรั่งก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพต่อแม่และลูกน้อยในท้อง

บทความแนะนำที่น่าสนใจ : “ฝรั่ง” ผลไม้มีประโยชน์…แต่คนท้องไม่ควรกินมาก!

8. องุ่น

องุ่นสามารถเป็นผลไม้ทานเล่นระหว่างมื้อที่ดีต่อสุขภาพในระหว่างตั้งครรภ์ ในองุ่นเต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ เช่นวิตามินนานาชนิด, สารต้านอนุมูลอิสระ มีเส้นใย น้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตสที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งยังมีแมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก กรดโฟลิก และอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ และนอกจากนี้องุ่นสีเข้มยังมีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอยที่สำคัญและทำให้ผิวของคุณแม่ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม่ท้องควรกินในปริมาณที่เหมาะสมคือ 10-12 ผล และควรล้างทำความสะอาดเปลือกผิวด้านนอกขององุ่นก่อนรับประทานเนื่องจากอาจมีสารเคมีที่ตกค้างอยู่บนเปลือก

9. แอปริคอต

แอปริคอตเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและยังสามารถรับประทานได้ทั้งผล คือทั้งเนื้อและเมล็ด อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการป้องกันภาวะโลหิตจาง มีแคลเซียมที่ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง และยังมีวิตามิน A, C, E รวมไปถึงเบต้าแคโรทีน ฟอสฟอรัส ซิลโคน แคลเซียม และโพแทสเซียม สุดยอดสารอาหารเหล่านี้ช่วยในการพัฒนาและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ มีเส้นใยสูงและดีเยี่ยมที่ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของธาตุอาหารหลัก เช่นทองแดงแมกนีเซียมและแมงกานีส แร่ธาตุเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์บางชนิดและมีความสำคัญต่อการทำงานของกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย

คนท้องกินผลไม้อะไรดี
คนท้องกินผลไม้อะไรดี

10. สตรอวเบอร์รี่

สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้แสนอร่อยเหมาะที่คุณแม่ท้องจะกินในมื้อว่างได้ดี เพื่อเพิ่มสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ในสตรอวเบอร์รี่อุดมไปด้วย

  • วิตามินซีและวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อาทิเช่น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด ลดอาการภูมิแพ้ ลดอาการเลือดออกตามไรฟันที่เกิดจากการขาดวิตามินซี และช่วยบำรุงสายตา เป็นต้น
  • ไฟเบอร์และโฟเลต ช่วยในการลดความเสี่ยงของข้อบกพร่องของท่อประสาท
  • แร่ธาตุต่างๆ อย่าง ธาตุเหล็ก แมงกานีส และโพแทสเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกของลูกน้อยในครรภ์ที่กำลังเติบโตให้แข็งแรงขึ้น และช่วยในการปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ มีฟลาโวนอยด์สูงที่มีศักยภาพสูงในการลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
  • สารต้านอนุมูลอิสระอยู่สูงช่วยลดอาการอักเสบ อาการปวดตามข้อ เนื่องจากมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะตั้งครรภ์
  • กรดฟอลิค ป้องกันทารกมีอาการผิดปกติทางสมอง ที่คุณแม่สามารถรับประทานตั้งแต่ในช่วงแรก ๆ ของการตั้งครรภ์
  • อุดมด้วยใยอาหารสูง ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ

อย่างไรก็ตามก่อนซื้อสตรอเบอร์รี่มารับประทานแต่ละครั้งควรเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่เน้นความปลอดภัย เนื่องจากมีการใช้ยากำจัดศัตรูพืช และคุณแม่ควรล้างทำความสะอาดก่อนรับประทานเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพตามมา

บทความแนะนำที่น่าสนใจ : สตรอเบอร์รี คนท้อง ผลไม้ดีต่อสุขภาพ

11. เชอร์รี่

เชอร์รี่จัดว่าเป็นผลไม้ที่เป็นแหล่งวิตามินซีที่ยอดเยี่ยม ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระหว่างตั้งครรภ์ให้กับคุณแม่และลูกน้อยได้จากโรคติดเชื้อ เช่น โรคหวัดและผื่น การรับประทานเชอร์รี่ยังช่วยในการส่งเลือดไปเลี้ยงรกและทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชอร์รี่ยังมีสารเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพช่วยในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ดี ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยต้านความเครียดที่จะทำให้คุณแม่นอนหลับสนิทได้อีกด้วย

12. บลูเบอร์รี่

บลูเบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลเบอ์รี่อีกหนึ่งชนิดที่เหมาะสำหรับทานเล่นในมื้ออาหารว่างระหว่างตั้งครรภ์ มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี มีสารอาหารที่จำเป็นต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ อย่างเช่น วิตามินซีและวิตามินนานาชนิด รวมไปถึงแคลเซียมและเส้นใยอาหารที่สูง หากกินในปริมาณที่เหมาะสมก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ แนะนำว่าในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่สามารถกินบลูเบอร์รี่ร่วมกับอาหารอย่างอื่นเพื่อให้ทานง่ายขึ้นและป้องกันการกินที่มากเกินจำเป็นได้ เช่น ผสมกับโยเกิร์ต ซีเรียล ทำแพนเค้ก ทำสลัดผลไม้ หรือทำเป็นน้ำผลไม้ปั่นรสอร่อย

13. กีวี่

กีวี่สีเขียวและกีวี่สีทองเป็นหนึ่งในบรรดาผลไม้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ในปริมาณแคลอรีต่ำที่สุดและมีสารอาหารหนาแน่นสำคัญมากมาย อาทิ วิตามิน C, E, A, โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, แมกนีเซียม กรดโฟลิกและใยอาหาร มีการวิจัยพบว่ากีวีหนึ่งผล มีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกาย และประโยชน์มากมายจากการรับประทานกีวี่ เช่น ช่วยเสริมสร้างการทำงานของภูมิคุ้มกันโรค ช่วยรักษาระบบทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันอาการหวัด ไอ หรือหายใจไม่ออก ลดความเสี่ยงของการแข็งตัวของเลือด เพื่อให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ง่ายขึ้นได้ อีกทั้งกีวีมีปริมาณโฟเลตสูงซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับคุณแม่และทารกในครรภ์ และยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี

คนท้องกินแอปเปิ้ลได้ไหม

14.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยสารอาหารทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สารฟลาโวนอยด์ มีเส้นใยอาหารสูง วิตามินซีสูง วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก เป็นต้น และประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายกับแม่และลูกในท้อง อาทิเช่น

  • ในแอปเปิ้ลมีวิตามินซีสูงที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานเชื้อโรค และอาการติดเชื้อต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคุณแม่และลูกในท้องได้
  • มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าการกินแอปเปิ้ลขณะตั้งครรภ์อาจช่วยลดโอกาสที่ทารกจะเป็นโรคหอบหืดและภูมิแพ้เมื่อโตขึ้นได้ อีกทั้งยังสามารถลดอาการตีบแคบของทางเดินหายใจได้อีกด้วย
  • แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยสารอาหารและมีวิตามิน A, E และ D และสังกะสี
  • มีคาร์โบไฮเดรต ที่ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายให้กับแม่ท้อง
  • มีแคลเซียมสูงช่วยเสริมสร้างกระดูกของแม่และลูกในท้องให้แข็งแรง
  • แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารที่ช่วยในระบบย่อยอาหาร ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดีและลดความผิดปกติของลำไส้
  • มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งแม่และลูก ซึ่งจะส่งผลดีให้กับการทำงานของปอด ช่วยให้ระบบการหายใจของคุณแม่และลูกในท้องทำงานได้ดีขึ้น
  • กินแอปเปิ้ลตอนท้องมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน อาการแสบร้อนกลางอกซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในตอนตั้งครรภ์

สำหรับแอปเปิ้ลนั้นเป็นผลไม้ที่แม่ท้องสามารถกินอย่างน้อยวันละ 1 ลูก เป็นประจำทุกวัน ได้สบายหายห่วงโดยไม่ต้องกังวลระหว่างตั้งครรภ์ เพราะเป็นผลไม้ที่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ จึงไม่ต้องกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อน้ำหนักตัวหากคุณแม่อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก

บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : แอปเปิ้ล ผลไม้สร้างสุขภาพสำหรับแม่ท้อง

15. มะม่วงสุก

มะม่วงสุก เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมายที่ให้ประโยชน์ต่อแม่และลูกในครรภ์ เช่น

  • แคลเซียม ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันของแม่ท้องให้แข็งแรง ทั้งยังช่วยสร้างกระดูกและฟันให้กับทารกในครรภ์อีกด้วย
  • ในมะม่วงสุกยังมีวิตามิน A ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ
  • วิตามิน C ในปริมาณมาก ที่ช่วยการควบคุมระบบการย่อยอาหาร ช่วยลดอาการท้องผูกและบรรเทาอาการติดเชื้อเล็ก ๆ ได้ในขณะตั้งครรภ์ และช่วยเสริมสร้างกระดูกให้กับทารกในครรภ์ ช่วยแก้ปัญหาเลือดออกตามไรฟัน ช่วยบรรเทาอาการหวัดหรือภูมิแพ้ได้ นอกจากนี้ยังมาช่วยในการเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • มีไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร ช่วยลดอาการท้องผูกสำหรับแม่ท้องที่ปัญหาเรื่องของระบบขับถ่ายได้

อย่างไรก็ตามการกินมะม่วงสุกตอนท้องก็ไม่ควรทานบ่อยหรือทานทานในปริมาณมาก ๆ เนื่องจากมีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือเป็นภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้

บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : กินมะม่วงตอนท้อง ได้ประโยชน์หรือได้โทษ

16.มะนาว

มะนาว ถือเป็นแหล่งของวิตามินซีและเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างมากในระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะกินแบบคั้นเป็นน้ำ หรือนำมาปรุงอาหารเพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกใจ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกที่มะนาวจะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี และยังมีประโยชน์ของน้ำมะนาวอีกมากมาย เช่น

  • วิตามินซีในน้ำมะนาวที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ ช่วยปรับสมดุลและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ป้องกันจากอาการไข้หวัดตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย กระตุ้นระบบย่อยอาหาร กระตุ้นการขับถ่ายและช่วยให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้ดี ช่วยรักษาอาการท้องผูก และวิตามินซียังเป็นส่วนช่วยให้กระดูกทารกแข็งแรงอีกด้วย
  • มีโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ในการบำรุงรักษาความดันโลหิตในระดับปกติ ช่วยป้องกันการติดเชื้อทั่วไป และช่วยให้สมองทารกเติบโตในครรภ์ได้เป็นอย่างดี
  • มีแมกนีเซียมและแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงกระดูกของแม่และทารกในครรภ์

คุณแม่สามารถดื่มน้ำมะนาวตอนท้องได้อย่างน้อยวันละ 1 แก้วก็เพียงพอต่อประโยชน์ที่จะได้รับตลอดการตั้งครรภ์ ทั้งนี้ควรเลือกเป็นน้ำมะนาวสดเท่านั้น ซึ่งจะให้ผลดีกว่าการกินน้ำมะนาวสำเร็จรูป เพราะอาจมีสารปนเปื้อนจากขวดพลาสติก

บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : คนท้องกินน้ำมะนาวได้ไหม?

17.ลูกพลับ

เป็นอีกผลไม้ที่มีรสหวานที่สามารถกินได้ทั้งแบบสดหรือแบบที่แปรรูปเป็นลูกพลับแห้ง พลับเชื่อม น้ำลูกพลับ แยมลูกพลับ ฯลฯ ในลูกพลับนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายของแม่ท้อง อาทิเช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของกระดูกของทารก แคโรทีนและวิตามินเอช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ สายตา และวิตามินซีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน รวมทั้งแมกนีเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต ลดภาวะเครียดระหว่างตั้งครรภ์ที่ช่วยแก้โรคนอนไม่หลับของคุณแม่ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรกินลูกพลับหลังมื้ออาหารซัก 3-4 ชิ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ดี เนื่องจากการกินลูกพลับขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก เมื่อรวมเข้ากับยางในลูกพลับ ก็อาจทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

คนท้องกินแตงโม
คนท้องกินแตงโม

18.แตงโม

แตงโมจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุอยู่ภายในมากมาย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล เส้นใย โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี กรดโฟลิก แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และ สังกะสี เป็นต้น และมีประโยชน์ต่อสุขภาพแม่ท้องมากมาย อาทิเช่น

  • แตงโมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิตของร่างกาย ช่วยรักษาระดับความดันโลหิตของคุณแม่ไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งก็จะลดความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษได้ดี
  • มีวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • แตงโมอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง มีส่วนช่วยบำรุงสายตาของทารกในครรภ์
  • การกินแตงโมขณะตั้งครรภ์มีส่วนช่วยช่วยบรรเทาลดอาการจุกเสียด ท้องอืด อันเนื่องมาจากมีลมหรือกรดในกระเพาะมากเกินไป
  • แตงโมสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน สำหรับคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องในตอนเช้าให้ดีขึ้นทั้งยังช่วยให้คุณแม่รับประทานอาหารได้ดี เจริญอาหารได้มากขึ้นอีกด้วย
  • แตงโมมีน้ำเป็นส่วนผสมมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ การรับประทานแตงโมระหว่างตั้งครรภ์นั้น จะช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ที่จะป้องกันอาการขาดน้ำในระหว่างตั้งครรภ์ได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแตงโมจะมีประโยชน์ต่อคนท้องมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังอย่ากินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ ด้วยความที่แตงโม เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน หากคุณแม่รับประทานมากเกินไปก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ ซึ่งหากมีอาการรุนแรงมากก็อาจถึงขั้นเกิดอาการครรภ์เป็นพิษเลยก็ว่าได้

บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : ห้าม คนท้องกินแตงโม จริงหรือไม่?

19. สับปะรด

ในสับปะรดมีสารอาหารมากมายที่ดีต่อสุขภาพของคุณแม่ท้องและลูกน้อยในครรภ์ ไม่ว่าจะเป็น

  • วิตามินบี 1 ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและหัวใจ
  • วิตามินบี 6 ช่วยป้องกันโลหิตจาง และบรรเทาอาการแพ้ท้อง
  • แมงกานีส ช่วยบำรุงกระดูกและฟันคุณแม่และลูกในท้อง
  • เบต้าแคโรทีน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

อย่างไรก็ตามการกินสับปะรดตอนท้องนั้น ควรจำกัดปริมาณให้เหมาะสมเนื่องจากสับปะรดมีความหวาน หากคุณแม่กินมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดอาการเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ หรือการกินสับปะรดขณะท้องว่างจะไปกระตุ้นการเกิดกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารเกิดการระคายเคืองขึ้นได้ ดังนั้นแม่ท้องควรทานสับปะรดสัก 2-3 ชิ้นหลังมื้ออาหารก็จะดีต่อสุขภาพร่างกายมากกว่ากินตอนท้องว่าง

บทความแนะนำที่น่าสนใจ : ไขข้อข้องใจ สับปะรด เร่งคลอด ได้จริงหรือ?

20. ทับทิม

แม้ทับทิมจะเป็นผลไม้ที่กินค่อนข้างยาก เพราะมีเมล็ดมาก แต่ในทับทิมนั้นมีแร่ธาตุและวิตามินจำนวนมาก เป็นแหล่งพลังงานที่ดี เป็นผลไม้ที่แม่ท้องไม่ควรพลาดเลยทีเดียว มีเป็นประโยชน์มากมาย อาทิเช่น

  • มีปริมาณเส้นใยสูง ช่วยลดอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์
  • มีธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์
  • ทับทิมมีวิตามินซีสูง มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนที่มีส่วนช่วยให้กระดูกและฟันของลูกในท้องแข็งแรง
  • มีวิตามินเคสูง ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกของแม่ท้อง และยังช่วยในการพัฒนาความแข็งแรงของกระดูกของลูกน้อยในท้อง
  • ในทับทิม 1 เม็ด จะประกอบด้วยโฟเลตสูงถึง 16% คุณแม่ท้องที่ได้รับโฟเลตอย่างเพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความพิการของลูกในท้องได้ โฟเลตจะช่วยสร้างเซลล์ประสาทในสมอง รวมทั้งไขสันหลังของทารกได้เป็นอย่างดี
  • มีสารเคมีธรรมชาติ ที่จะช่วยลดความดันโลหิตระหว่างตั้งครรภ์ได้
  • มีไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับการพัฒนาระบบประสาทของลูกในท้อง ไอโอดีนยังป้องกันไม่ให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดและการแท้งบุตร
  • แมกนีเซียม แคลเซียม และฟอสฟอรัสในน้ำทับทิม มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อกระดูกให้กับลูกในท้อง
  • มีเส้นใยสูง ที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกในขณะตั้งครรภ์ได้ดี

อย่างไรก็ตามแม้ว่าทับทิมจะให้ประโยชน์มากมายกับแม่ท้องและลูกในท้อง แต่เนื่องจากทับทิมเป็นผลไม้ที่มีปริมาณแคลอรี่สูง การกินทับทิมในปริมาณมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับแคลอรี่เกินความจำเป็นต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดได้

บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง :ประโยชน์ของทับทิม ที่คนท้องไม่ควรพลาด

21. แก้วมังกร

แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่ท้องและทารกในครรภ์ ซึ่งสารอาหารในแก้วมังกรไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณแม่ท้องมีสุขภาพครรภ์ที่ดีแต่ยังช่วยป้องกันลูกในท้องจากความผิดปกติต่าง ๆ ได้ด้วย อาทิเช่น

  • มีปริมาณโฟเลตสูง ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และป้องกันโรคสมองพิการของทารกในครรภ์ได้
  • อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับฮีโมโกบินของคุณแม่ท้อง เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตจางที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์ได้
  • มีแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันของทั้งแม่และลูกให้แข็งแรง ทั้งยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของกระดูกทารกในครรภ์อีกด้วย
  • มีไฟเบอร์หรือกากใยสูง ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างปกติ ช่วยให้ระบบย่อยภายในกระเพาะทำงานได้ดียิ่งขึ้น ปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้การขับถ่ายให้สะดวก แก้ปัญหาอาการท้องผูกระหว่างการตั้งครรภ์
  • มีวิตามินซีสูงและวิตามินที่มีประโยชน์มากมาย ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงทั้งคุณแม่และลูกน้อย รวมทั้งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสมองของลูกน้อยในครรภ์ และช่วยส่งเสริมสุขภาพการเจริญเติบโต และพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ดี
  • อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับแม่ท้อง และเมล็ดสีดำเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในผลแก้วมังกรจะอุดมไปด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยต่อต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ระหว่างตั้งครรภ์ได้

ถึงแม้แก้วมังกระจะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แถมปริมาณแคลอรี่ต่ำที่กินแล้วอิ่มง่ายแบบไม่ต้องกลัวน้ำหนักจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ให้พลังงานน้อย ดังนั้นควรให้ได้สารอาหารครบถ้วนต่อร่างกาย แนะนำคุณแม่ท้องทานแก้วมังกรไม่เกินวันละ 1 ลูก หลังมื้ออาหาร หรือจะทานเป็นของว่างระหว่างวัน และรับประทานอาหารอื่น ๆ ให้ครบถ้วน 5 หมู่ก็จะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเต็มที่และมีพลังงานเพียงพอสำหรับสุขภาพครรภ์ที่ดี

บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : รวม 9 ประโยชน์ของ “ แก้วมังกร ” ที่แม่ท้องไม่ควรพลาด!!

อะโวคาโดเหมาะกับคนท้อง
อะโวคาโดเหมาะกับคนท้อง

22.อะโวคาโด

อะโวคาโด ถือเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่มีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นอยู่หลายชนิด และยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารสำคัญมากมายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ อาทิเช่น

  • ในอะโวคาโดมีโฟเลตมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น อะโวคาโดถ้วยเดียวมีสารอาหารเกือบเท่ากับโฟเลตที่ร่างกายของทุกคนต้องการต่อวัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับแม่ท้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ที่ช่วยป้องกันการเกิดการพิการตั้งแต่เริ่มสร้างร่างของตัวอ่อน ช่วยให้ลูกในท้อง แข็งแรงสมบูรณ์ และถ้าหากว่าร่างกายของคุณแม่ได้รับสารโฟเลตอย่างเต็มที่ก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ หัวใจวาย และความดันเลือดได้ ได้
  • มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งให้พลังงานและช่วยป้องกันข้อบกพร่องของท่อประสาท และยังเพิ่มเซลล์ที่รับผิดชอบในการสร้างผิวหนังและเนื้อเยื่อสมองของทารกที่กำลังพัฒนา
  • โพแทสเซียมในอะโวคาโดสามารถบรรเทาอาการปวดขาซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในระหว่างตั้งครรภ์โดยเฉพาะในไตรมาสที่สาม
  • เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน A (เบต้าแคโรทีน) ช่วยบำรุงสายตา, วิตามิน B ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก, วิตามิน C ช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน, วิตามิน E ซึ่งเป็นสาร antioxidant  ที่มีคุณค่าในการปกป้องเซลล์ร่างกายจากมลพิษทางอากาศ น้ำ และอาหาร ป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ และวิตามิน K
  • มีเส้นใยโคลีนแมกนีเซียมและโพแทสเซียม
  • มีธาตุเหล็ก โคลีน ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบเส้นประสาทของทารก ช่วยป้องกันการเสื่อมของสมอง
  • มีสารกลูตาไธโอน ที่มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • อะโวคาโดอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เป็นไขมันที่ย่อยง่ายมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์และอาการที่เสี่ยงในกลุ่มครรภ์เป็นพิษ
  • มีโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเส้นใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นแก้ปัญหาอาการท้องผูกของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์ได้
  • ในอะโวคาโดมีทั้ง โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่บำรุงสมองและระบบประสาทและเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อยในครรภ์

อะโวคาโดนั้นนอกจากจะดีต่อสุขภาพคุณแม่ยังดีต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ด้วย อย่างไรก็ตามการกินอะโวคาโดแบบได้ประโยชน์ที่สุดควรกินอะโวคาโดสุกและแนะนำให้ทานปริมาณครั้งละไม่เกิน ครึ่งผล หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1 ผลต่อ ถ้ากินมากไปหรือกินผลดิบ จะทำให้มีรสขมอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้

บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : อะโวคาโด ผลไม้มากคุณค่า เพื่อสุขภาพคุณแม่ท้องและสมองของลูกน้อย

จะเห็นได้ว่า การรับประทานผักและ ผลไม้สำหรับคนท้อง เป็นอาหารว่างที่ดีในระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อนร่างกายมากมาย ที่ช่วยพัฒนาการของทารกในครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคและข้อบกพร่องบางอย่างและช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายของคุณแม่ ทั้งนี้ผลไม้แต่ละอย่าง แม่ท้องควรกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากรับประทานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้ ควรกินผลไม้ที่สลับกันไปในแต่ละวัน ควบคู่กับอาหารทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ก็จะช่วยให้มีสุขภาพครรภ์ดีตลอดการตั้งครรภ์นี้นะคะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.momjunction.comwww.mommychooses.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

แม่เช็กก่อนซื้อ! นี่คือ 6 ผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างมากที่สุด

7 ผลไม้แก้ท้องผูก ช่วยแม่ท้องระบบขับถ่ายดีตลอด 9 เดือน

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี? หมอแนะ 10 วิธีรับมือเมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว

event
ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี
ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี !? หากบ้านไหนกำลังประสบกับปัญหานี้อยู่ ลูกเบื่ออาหาร ลูกไม่ยอมกินข้าว ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำดีๆ จาก คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก มาฝากค่ะ

หมอแนะวิธีแก้ปัญหา? ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

นพ. พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้กล่าวถึงปัญหา เด็กไม่ยอมกินข้าว ว่า…

ลูกไม่กินข้าว เป็นหนึ่งในปัญหาหนักอกที่พบกว่าครึ่งของคุณพ่อคุณแม่ทั่วโลก ซึ่งจะเกิดกับเด็กที่อยู่ในวัยเตาะแตะตั้งแต่เริ่มหัดเดินประมาณ 1 ขวบเศษ ไปจนถึงก่อนเข้าอนุบาล โดยคุณพ่อคุณแม่มักบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า >> หลอกล่อก็แล้ว บังคับขู่เข็ญก็แล้ว ก็ยังมีปัญหา “ลูกไม่กินข้าว” อยู่ดี

วันนี้ผมมีวิธีดีๆ ตั้งแต่จะดูได้อย่างไรว่า “ลูกไม่กินข้าว” นั้นเป็นเรื่องจิ๊บๆที่รับมือได้ไม่ยาก ไปจนถึง “ลูกไม่กินข้าว” ที่มีความรุนแรงจากความเจ็บป่วยซึ่งต้องพบคุณหมอโดยเร็ว มาฝากคุณพ่อคุณแม่กัน

สาเหตุของปัญหา “ลูกเบื่อข้าว” ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

ที่พบบ่อย มักเป็นปัญหาทางพฤติกรรมเลือกกิน ประเภทนั่นก็ไม่กิน นี่ก็ไม่กิน กินเฉพาะบางสิ่งบางอย่างที่พ่อแม่รู้สึกว่าไม่ควรกิน หรือ ปฏิเสธอาหารใหม่ที่ไม่เคยกินโดยเฉพาะอาหารหลักอย่างบ้านเรา ซึ่งก็ คือ ข้าว

ส่วนที่พบน้อยแต่เป็นความรุนแรง เพราะ กินไม่ได้เนื่องจากมีความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น มีปัญหาพัฒนาการด้านการกิน มีปัญหาความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของรสชาติ หรือพฤติกรรมซ้ำของเด็กออทิสติกจนทำให้ไม่สามารถกินอาหารได้ตามปกติ

ซึ่งในกลุ่มที่ “ลูกไม่กินข้าว” อย่างรุนแรงจากความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจนี้พบได้น้อยมาก ไม่ถึง 1 ใน 20 คนของปัญหา ดังนั้น 19 ใน 20 คนของปัญหาเด็กไม่กินข้าว ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจาก ความไม่เข้าใจของพ่อแม่ต่อพฤติกรรมการกินของลูกเป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถรับมือและทำให้ลูกกินข้าวได้มากขึ้น จนเป็นปัญหาให้สงสัยอยู่ตลอดว่า ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี ตามมานั่นเอง!!

ขณะเดียวกันก็มีเด็กจำนวนหนึ่ง ที่คุณพ่อคุณแม่พามาพบคุณหมอด้วยปัญหา “ลูกไม่ยอมกินข้าว” ซึ่งเมื่อประเมินทั้งตัวเด็ก อาหารที่เด็กรับประทานแล้วก็พบว่า ที่จริงลูกกินข้าวได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าลูกกินน้อยเกินไปจึงเป็นที่มาของการพาลูกเข้าพบหมอ ซึ่งในที่นี้หมอขอแบ่งกลุ่ม ปัญหา ลูกไม่กินข้าว แบบง่ายๆ เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ

1. มีความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจจนทำให้ส่งผลตามมา คุณพ่อคุณแม่สังเกตกันอย่างนี้ครับ เช่น ใช้เวลากินนานมาก ปฏิเสธอาหารบางประเภทชัดเจนอย่างนมที่เป็นอาหารเหลว ดูลูกเครียดมากเมื่อถึงเวลาอาหาร สำลักอาหาร กลืนแล้วเจ็บ กลืนไม่ลง อาเจียน ท้องเสีย พัฒนาการด้านอื่นล่าช้า มีอาการหอบเหนื่อยระหว่างรับประทานอาหาร การเจริญเติบโตล่าช้าไม่สมวัย หากลูกมีอาการเหล่านี้ร่วมกับปัญหาไม่ยอมกินข้าว หรือ ลูกกินยาก ให้พาลูกไปตรวจ และถ้ายิ่งมีอาการแสดงให้เห็นมากอย่าง ยิ่งบ่งบอกว่าน่าจะมีความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจมากขึ้น

2. ไม่คุ้นเคยความชอบไม่ชอบ หรือ มีความไวต่อรสชาติของอาหารใหม่ หรือ เป็นเด็กที่ต้องการเวลาในการปรับตัวกับอาหารใหม่ กลุ่มนี้จะไม่มีปัญหาทางร่างกายและจิตใจ แต่อาจเลือกกินเลยทำให้กินได้เฉพาะอาหารบางอย่าง ถ้าเลือกมากกินไม่พอก็อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตได้ แต่ต้องเน้นย้ำว่า เป็นการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมนอกจากตามวัยของเขาแล้ว ก็ยังต้องเหมาะสมตามศักยภาพในการเจริญเติบโตของเขาด้วยครับ เช่น พ่อแม่ตัวเล็กลูกก็จะตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน

3. เกิดจากความเข้าใจผิดของคุณพ่อคุณแม่ ว่า.. ลูกกินน้อย ทั้งที่ปริมาณและอาหารที่ลูกกินอยู่นั้นเพียงพอกับความต้องการของร่างกายแล้ว กลุ่มนี้การเจริญเติบโตของเด็กมักปกติ บางรายน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์ปกติตามวัยหรือตามความสูงด้วยครับ

เมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นที่มาที่ไปของปัญหาแล้ว ถึงตรงนี้จะเห็นได้เลยว่า กลุ่มที่ 1 ต้องพบคุณหมอ ส่วนกลุ่มที่ 3 ต้องปรับทัศนคติของตัวเอง และกลุ่มที่ 2 ให้คุณพ่อคุณแม่ลองรับมือไปพร้อมกับการลับสมองไปพร้อมกัน

ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี
10 วิธีรับมือ แก้ปัญหาลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

วิธีรับมือ ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

โดยมีหลักการง่ายๆ  หากลูกไม่ยอมกินข้าว ก็จะกินข้าวได้มากขึ้นได้เอง ถ้าเขา “หิว อาหารชวนกิน และบรรยากาศเป็นใจ” ดังนั้นโจทย์ของคุณพ่อคุณแม่ คือ ทำอย่างไรดีให้ลูกหิว! ทำอย่างไรให้อาหารชวนกิน? และทำอย่างไรบรรยากาศถึงจะเป็นใจ ตามมาดูกันเป็นข้อๆเลย

  1. กินอาหารเป็นมื้อเป็นคราว กินทั้งวันลูกก็จะไม่หิวเมื่อถึงเวลาที่เราจะกินข้าวกัน ลูกเล็กหน่อย วัยก่อนเข้าป. 1 อาจมีอาหารว่างมื้อเล็กที่ 10 โมงเช้า กับ บ่าย 2 โมง ก็ได้ แต่ต้องมื้อเล็กและมีคุณค่าทางโภชนาการ หลีกเลี่ยงขนมกรุบกรอบ
  2. กำหนดเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อไม่เกิน 30 นาที ฝึกวินัยให้ลูกรู้ว่า เวลาไหนกิน กินนานเท่าไร ถ้าลูกเล่นเพลินไม่กินแล้วแสดงว่าลูกไม่หิว ก็บอกลูกดีๆ ว่า “ลูกคงอิ่มแล้ว แม่เก็บนะคะ เราจะกินกันอีกที ตอน ……(มื้อถัดไป) นะคะ” ระหว่างนี้ถ้าลูกหิว ให้อาหารว่างได้ตามเวลา ถ้าไม่ใช่เวลากิน ให้เบี่ยงเบนความสนใจของลูกไปสู่กิจกรรมที่ชวนลูกสนุกแทน
  3. หลีกเลี่ยงอาหารหวาน น้ำหวาน ขนมหวาน โดยเฉพาะก่อนมื้ออาหารสัก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกได้รู้จักความหิว
  4. ให้ลูกได้มีกิจกรรมทางร่างกาย เด็กก่อนเข้าป.1 ควรมีกิจกรรมการเคลื่อนไหว เช่น วิ่งเล่นอย่างอิสระอย่างน้อยวันละ 60 นาทีขึ้นไป ยิ่งมากยิ่งดี และจะทำให้ลูกหิวมากขึ้นด้วย… อย่าปล่อยให้ลูกนั่งนิ่งๆนานเกินกว่า 60 นาทีต่อเนื่องกัน โดยเฉพาะผ่านหน้าจอทั้งหลาย เว้นแต่ทำกิจกรรมร่วมกับพ่อแม่
  5. ลูกอายุ 6 เดือนถึง 1 ปี ควรเริ่มอาหารตามวัย ร่วมกับนมแม่โดยไม่จำเป็นต้องปรุงรสชาติ เพื่อไม่ให้เด็กติดรสชาติเมื่อโตขึ้นและจะทำให้กินยากตามมา อาหารเด็กควรเพิ่มความหยาบมากขึ้นตามวัย จนสามารถรับประทานอาหารเหมือนผู้ใหญ่ที่ไม่แข็งจนเกินไปได้เมื่ออายุ 1 ปี
  6. ให้ลูกได้หยิบจับอาหารหรือตักอาหารใส่ปากด้วยตัวเอง เมื่อเขาเริ่มทำได้ให้มากที่สุด ความเลอะเทอะ คือ การเรียนรู้ ถ้าพ่อแม่วุ่นวายกับความสะอาดมากจนต้องทำความสะอาดกันตลอดเวลาระหว่างกิน อาจเกิดปัญหาลูกกินยากตามมา
  7. จัดอาหารให้เหมาะสมกับความชื่นชอบของเด็ก เช่น สีสันที่ลูกชอบ ลักษณะอาหารที่ลูกคุ้นเคย ชนิดของอาหารที่ลูกคุ้นชิน ก่อนขยับขยายไปแนะนำอาหารอื่นโดยเฉพาะสำหรับเด็กที่ปรับตัวได้ช้ากับอาหารใหม่ อย่างเด็กบางคนกินผักตำลึงได้ คุณพ่อคุณแม่ก็อาจขยับขยายไปหาผักโขม ที่มีสีเขียวและลักษณะสัมผัสใกล้เคียงกัน หรือ ลูกกินฟักทองนึ่งได้ก็ลองขยับไปเป็นแครอทต้มสุก ลูกจะได้รู้จักอาหารใหม่ได้มากขึ้น
  8. จัดอาหารแลกเปลี่ยนให้ลูกเป็น เช่น หากลูกไม่ชอบกินข้าว ก็หาอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตให้ลูกได้สลับสับเปลี่ยนบ้าง อย่าง ขนมปัง สปาเก็ตตี้ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เขาจะได้ไม่เบื่อ
  9. ให้ลูกได้กินอาหารร่วมกับคนอื่นในบ้าน และทุกคนร่วมสร้างบรรยากาศให้สนุกไปกับการกิน
  10. เวลากินเป็นกิน ไม่ทำกิจกรรมอื่นไปด้วย เช่น ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่ดูวิดีโอ

สุดท้าย หากลูกปฏิบัติดีให้เสริมแรง เช่น ชมเชย ตบมือ ยิ้มให้ แล้วบอกว่า ที่คุณพ่อคุณแม่พอใจ คือ พฤติกรรมอะไร

อย่างไรก็ตามถือว่ามีเทคนิคให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกนำไปประยุกต์เพื่อปฏิบัติกันหลายวิธี ซึ่งก้ควรเลือกไปใช้ให้เหมาะกับบริบทของลูกและครอบครัวกันนะครับ …ได้ผลไม่ได้ผลอย่างไร มาส่งข่าวบอกกันนะครับ ^^ และอย่าลืมว่าปัญหาเด็กไม่กินข้าว ส่วนใหญ่เป็นเด็กปกติ ที่เราเพียงปรับทัศนคติมุมมองของเรา และปรับการตอบสนองต่อพฤติกรรมลูก เพียงแค่นี้ก็รับมือกับปัญหา ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี ได้ไม่ยากแล้วครับ

บทความโดย : นพ. พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

รีวิว “4 วิตามินซีเด็ก วิตามินรวม” อีกหนึ่งตัวช่วยที่แม่ควรรู้จัก!

10 วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร ทำยังไงให้ลูกกินข้าว?

10 เมนูลูกวัย 12 เดือน สูตรสำหรับฝึกเคี้ยวโดยเฉพาะ!

ลูกกินยาก กินแต่อาหารซ้ำซาก เสี่ยงโรค Neophobia

ดื่มน้ำลดความอ้วน

เผยสูตร ดื่มน้ำลดความอ้วน “ดื่มถูกหลัก” ได้ผลเริ่ด แถมสุขภาพดี!

event
ดื่มน้ำลดความอ้วน
ดื่มน้ำลดความอ้วน

ดื่มน้ำลดความอ้วน ได้จริงหรือ? กินน้ำถูกวิธี จะช่วยลดน้ำหนัก ลดพุงได้อย่างไร! ตามมาดูสูตรดื่มน้ำลดอ้วน ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันว่าทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี ต้องทำอย่างไรมาดูกันเลย

เผยเคล็ดลับ ดื่มน้ำลดความอ้วน ดื่มถูกวิธีก็ผอมได้

การรักษารูปร่างให้สวยแข็งแรง เป็นเรื่องที่คุณแม่หลังคลอดอยากทำกันมาก แต่ติดอยู่ตรงที่ต้องให้นมลูก ซึ่งช่วงให้นมลูกคุณแม่ไม่ควรงดอาหาร แต่ถ้าอยากผอมสวยสุขภาพดีแบบปลอดภัย ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำการ ดื่มน้ำลดความอ้วน มาฝากค่ะ

ดื่มน้ำลดความอ้วน : ประโยชน์ของน้ำต่อร่างกาย

ร่างกายของเราทุกคนประกอบไปด้วยน้ำมากถึง 60-75 % และน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายจะขาดไม่ได้รองมาจากออกซิเจน หรืออากาศที่เราใช้หายใจกันในทุกๆ วัน  โดยธรรมชาติแล้วร่างกายจะใช้พลังงานจากอาหารที่ร่างกายสะสมไว้ ในกรณีที่เกิดขาดแคลนอาหาร หรืออดอาหาร ทุกคนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เป็นสัปดาห์ แต่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำแค่ 1-2 วัน ทำเอาร่างกายแย่กันเลยค่ะ

น้ำมีความสำคัญต่อระบบการย่อยอาหาร สารอาหารจากอาหารที่ทานกันในทุกวัน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะต้องละลายน้ำก่อนจึงจะผ่านเยื่อบุลำไส้เข้าสู่ร่างกายตามกระแสโลหิต และหลอดน้ำเหลืองได้อย่างสมบูรณ์  และน้ำก็ยังช่วยในการขับถ่ายของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการใช้ออกจากร่างกาย  แล้วก็ยังช่วยในการรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกายด้วยค่ะ  นอกจากนี้น้ำยังมีประโยชน์กับร่างกายอีกหลายอย่าง คือ

  1. ช่วยลดการเกิดกลิ่นปาก
  2. ช่วยในการย่อยอาหาร
  3. ช่วยลดอาการท้องผูก
  4. ช่วยให้สมองทำงานได้ดี
  5. ช่วยรักษาสุขภาพไตให้แข็งแรง , ป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต
  6. ช่วยให้ดวงตาดูสดใส มีชีวิตชีวา
  7. ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย , ให้สุขภาพผิวดูมีน้ำมีนวลสดใส
  8. ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่
  9. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
  10. ช่วยลดอาการการปวดศีรษะและไมเกรน
  11. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลในร่างกาย
  12. ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพ
Good to know… “ในหนึ่งวันควรดื่มน้ำวันละกี่ลิตร ให้ใช้สูตรการคำนวณปริมาณน้ำที่ต้องดื่ม คือ เอาน้ำหนักตัว(กิโลกรัม) คูณ 40 แล้วหารด้วย 1000 เป็นปริมาณน้ำ(ลิตร) ตัวอย่าง น้ำหนักตัว 56 กิโลกรัม ปริมาณน้ำที่ควรได้รับคือ 56X40 /1000 =  2.24 ลิตร”

ดื่มน้ำเท่าไหร่ถึงจะพอ?

จำนวนน้ำที่พอเหมาะกับความต้องการน้ำของร่างกายในแต่ละวัน คือ ดื่มน้ำ 4 แก้วต่อการสูญเสียพลังงาน 1,000 แคลอรี ซึ่งเท่ากับ 12 แก้วต่อหนึ่งวันสำหรับผู้ชาย และ 9  แก้วต่อหนึ่งวันสำหรับผู้หญิง  

  • แต่สำหรับคนที่ออกกำลังกายและอยู่กลางแจ้ง ควรดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนออกกำลังกายสองชั่วโมง และดื่มน้ำครึ่งแก้วทุก 15 นาทีของการออกกำลังกาย
  • คนท้องควรดื่มน้ำอยู่ที่วันละ 8-10 แก้วต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน ให้สังเกตดูว่าถ้าปากไม่แห้ง ปัสสาวะสีใสๆ ก็แสดงว่าร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอ
Good to know… “ร่างกายคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 2 ใน 3 ส่วน และอวัยวะสำคัญต่างๆ ก็มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ปอดมีน้ำอยู่เกือบ 90 % สมองมีน้ำอยู่ถึง 75 %”

 

ดื่มน้ำลดความอ้วน

สูตร ดื่มน้ำลดความอ้วน ที่มีงานวิจัยยืนยันว่าทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี คือ

1. น้ำเปล่า 2 แก้วก่อนอาหาร

ลด 75 กิโลแคลอรี งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ใน Journal of the American Dietetic Association ระบุว่า การดื่มน้ำเปล่า 2 แก้วก่อนกินอาหารเช้าครึ่งชั่วโมงทุกวัน ช่วยให้กินอาหารลดลง 13 เปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับ 75 กิโลแคลอรี สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 3.5 กิโลกรัมภายใน 1 ปี สอดคล้องกับผลการทดลองร่วมระหว่าง Institute for Public Health and Water Research และ Virginia Tech University ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งให้อาสาสมัครสองกลุ่มกินอาหารพลังงานต่ำ ต่างกันที่กลุ่มแรกดื่มน้ำเปล่า 2 แก้ว ก่อนกินอาหารทั้งสามมื้อหลัง 12 สัปดาห์พบว่า กลุ่มที่ดื่มน้ำเปล่ามีน้ำหนักตัวลดลงมากกว่า โดยสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 2 กิโลกรัม

2. น้ำเปล่าเผาไขมัน + น้ำตาล

ศาสตราจารย์ ดร. บาร์รี ป็อปคิน ผู้อำนวยการศูนย์ UNC Interdisciplinary Obesity Center (IDOC) ประจำมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา แสดงทัศนะว่า การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณเหมาะสมช่วยลดน้ำหนัก เพราะเหตุผลสองประการ คือ

  • น้ำทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลง ร่างกายจึงเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลความร้อน ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตามไปด้วย ช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินสะสม
  • เมื่อดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น ทำให้ลดโอกาสดื่มน้ำหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง จึงควบคุมน้ำหนักง่ายขึ้น

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ตาราง ดื่มน้ำลดความอ้วนดื่มน้ำลดความอ้วน ลดพุง แถมช่วยให้สุขภาพดี

1. ดื่มน้ำลดความอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดี ครั้งแรกให้ ดื่มน้ำตอนเช้าหลังจากตื่นนอน 2 แก้ว จะช่วยให้ร่างกายตื่น เพิ่มความสดชื่น กระตุ้นการขับถ่าย และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี (หากดื่มน้ำอุ่นได้จะดีมาก)

2. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารเช้า 30 นาที เพื่อช่วยให้อิ่มไวและระบบย่อยอาหารทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
3. หลังจากรับประทานอาหารเช้า 1 ชั่วโมง ดื่มน้ำ 1 แก้ว ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนมื้อรับประทานอาหารกลางวัน 30 นาที ช่วยให้อิ่มไว และระบบย่อยทำงานดี
5. หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน 1 ชั่วโมง ดื่มน้ำ 1 แก้ว จะช่วยย่อยอาหารและช่วยในการขับถ่าย
6. บ่าย 3 โมง ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว เพื่อให้ร่างกายสดชื่นระหว่างวัน และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
7. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานมื้อเย็น 30 นาที จะช่วยลดความอยากอาหารและช่วยให้อาหารย่อยง่ายขึ้น
8. ช่วง 1-2 ทุ่ม ให้ดื่มน้ำ 2 แก้ว เพื่อให้ระบบเลือดไหลเวียน และระบบลำไส้ทำงานได้ดี 
9. สุดท้ายของวัน ตาราง ดื่มน้ำลดความอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดี ให้ดื่ม 1 ชั่วโมง ก่อนนอน เพื่อชำระล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้ 

ดื่มน้ำลดความอ้วน ดื่มตอนไหนให้ประโยชน์กับร่างกายมากที่สุด

1. หลังตื่นนอน ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำทันที 2- 5 แก้ว เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นเท่านั้น ที่ต้องดื่มตอนเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายขับสารพิษได้ดีที่สุด

2. ดื่มน้ำแต่น้อยระหว่างรับประทานอาหาร ไม่ควรเกิน 1 แก้ว หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที จึงค่อยดื่มน้ำตาม  เพื่อให้กระเพาะย่อยอาหารได้เต็มที่ ที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะจะไปรบกวนระบบการย่อยอาหาร

 

อย่างไรก็ตามการที่จะให้รูปร่างสวยผอม และมีสุขภาพดีได้นั้น ดื่มน้ำลดความอ้วน อาจช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้คุณแม่ และผู้หญิง รวมถึงผู้ชายที่อยากลดน้ำหนัก ควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องของแต่ละคนด้วย นั่นคือควรลดการทานอาหารประเภท ของทอด ปิ้ง ย่าง อาหารหวาน มัน งดน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่นทันที เพราะเครื่องดื่มประเภทนี้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบค่อนข้างสูง นอกจากนี้ก็ต้องหมั่นออกกำกายอย่างสม่ำเสมอ  ทานผัก ผลไม้ ให้มากกกว่าการทานขนมหวานหลัง หรือระหว่างวัน เพียงเท่านี้การดื่มน้ำเพื่อลดน้ำหนักก็จะเกิดประสิทธิภาพอย่างแน่นอนค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงเรื่อง ดื่มน้ำลดความอ้วน จาก :  women.mthai.com , healthcarethai.com, manager.co.th, health2shape.com, medthai.com , mgronline.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

ตรวจหลังคลอด..เจ็บไหม? ต้องตรวจอะไรบ้าง?

11 อาหารบำรุงสมองลูกในท้อง มีอะไรบ้างที่แม่ควรกิน

5 วิธีรับมือ “ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน” ลูกแพ้อาหารผ่านนมแม่ ทำไงดี?

12 อาหารบำรุงแม่หลังคลอด ทำอย่างไรให้น้ำนมมีคุณภาพ

4 สูตร “อาหารหลังคลอด” คัดเฉพาะเมนูที่ปรุงง่าย ไม่ยุ่งยาก

 

โรคแทรกซ้อนโควิด-19

แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

Alternative Textaccount_circle
event
โรคแทรกซ้อนโควิด-19
โรคแทรกซ้อนโควิด-19

อย่าคิดว่าเป็นโควิด-19 จะรู้ได้ถ้ามีไข้ หรือพบจุดขาวในปอดตอนเอ็กซเรย์เท่านั้น หลังพบเด็กจำนวนมากป่วยหนักด้วยอาการประหลาด “เป็นผื่น เจ็บคอ ปวดท้อง ตาแดง หลอดเลือดหัวใจตีบ “ และมีเชื้อโควิดในร่างกาย ” โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ” ภัยเงียบที่แฝงมาทำร้ายลูกน้อย อันตรายถึงชีวิต เตือนพ่อแม่อย่านิ่งนอนใจ สังเกตเจอสัญญาณผิดปกติ รีบพาหมอทันที

 

เด็กกับโรคโควิด-19 

เราอาจเคยได้ยินข้อมูลที่ว่า ผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 จะมีอาการรุนแรงและอันตรายถึงชีวิตมากกว่าเด็ก ๆ ใช่ไหมคะ เพราะเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 มักไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่อันตรายกับเด็กเลย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโรคประหลาดที่มีความสัมพันธ์กับโรคโควิด-19 เกิดขึ้นกับเด็กจำนวนมากในหลายประเทศทางตะวันตกอีกด้วย จะมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง ไปทำความเข้าใจกันค่ะ 

โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ” ภัยเงียบที่แฝงมาร้ายลูกน้อย

 

เมื่อเด็กที่หายจากโควิด-19 ป่วยหนักอีกครั้ง
เมื่อเด็กที่หายจากโควิด-19 ป่วยหนักอีกครั้ง

เมื่อเด็กที่หายจากโควิด-19 ป่วยหนักอีกครั้งด้วยอาการคล้ายโรคคาวาซากิ 

โรคคาวาซากิ” (Kawazaki diseaseเป็นโรคที่มีสาเหตุการเกิดไม่ทราบแน่ชัด เมื่อมีการติดเชื้อในผู้ป่วย มักทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานดีมากจนเกินไป กลายเป็นการทำร้ายตัวเอง จนสุดท้าย ส่งผลต่อหลอดเลือดหัวใจโป่งพอง และเยื่อบุหัวใจอักเสบ  

เด็กที่ป่วยเป็นโรคคาวาซากิ จะมีอาการไข้สูง ตาแดง ปากแดง ปวดศีรษะ เจ็บคอ ปวดท้อง และอาเจียน บางรายมีผื่นและอาการช็อก ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน คือ การเกิดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ อาจทำให้หลอดเลือดหัวใจมีลักษณะโป่งพอง ตีบหรือแคบได้ ในรายที่หลอดเลือดตีบมาก อาจเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน ในภาวะแทรกซ้อนนี้ อาจเป็นสาเหตุเสียชีวิตได้ แม้ไม่เสียชีวิตก็อาจจะเป็นโรคนี้ไปตลอดชีวิตของเด็กคนนั้นก็ได้ 

 

อ่านเพิ่มเติม >>  Covid toe ผื่นแดงขึ้นเท้า สัญญาณเตือน ลูกติดโควิดแม่อย่าชะล่าใจ

อ่านเพิ่มเติม >> โรคคาวาซากิ ภัยร้ายเด็กเล็กที่ก่อโรคหัวใจในเด็ก

 

ประมาณกลางเดือนเมษายน 2563 หลังโรคโควิด-19 เริ่มมีการระบาดอย่างหนักในยุโรปประมาณ 1 เดือน กุมารแพทย์ในประเทศอังกฤษพบเด็กป่วยที่ไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้ ในผู้ป่วยบางคนมีอาการครบข้อบ่งชี้โรคคาวาซากิ โดยพบว่าผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่แสดงว่าเคยมีการติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน โดยอาจจะพบหรือไม่พบเชื้อในทางเดินหายใจของผู้ป่วยก็ได้ แสดงให้เห็นว่าการระบาดของโรคโควิด-19 น่าจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดโรคที่มีอาการคล้ายโรคคาวาซากิได้ 

 

องค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งชื่อเรียกภาวะคาวาซากิที่เกิดในคนไข้โควิด-19 นี้ว่า Multisystem Inflammatory Disorder in Children and Adolescents หรือ MIDCA 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

หลังจากที่พบเด็กป่วยด้วยอาการคล้ายโรคคาวาซากิจำนวนมาก ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ของประเทศสหราชอาณาจักรได้มีการออกจดหมายเตือนกุมารแพทย์เกี่ยวกับโรคดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2563 โดยให้ชื่อว่า Pediatric Multisystem Inflammatory Syndrome – Temporally Associated with Covid-19 (PMIS-TS) หลังจากนั้นได้มีการยืนยันว่าพบภาวะดังกล่าวในเด็กจากอีกหลายประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยบางรายมีอาการรุนแรงจนทำให้เด็กเสียชีวิต ส่วนทาง Center for Disease Control (CDC) หรือศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการออกคำเตือนเกี่ยวกับโรคนี้เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 โดยให้ชื่อว่า Multisystem Inflammatory Syndrome in Children Associated with Covid-19 (MIS-C) 

MIS-C อาการป่วยที่คล้ายกับโรคคาวาซากิ 
MIS-C อาการป่วยที่คล้ายกับโรคคาวาซากิ

รู้จัก MIS-C อาการป่วยที่คล้ายกับโรคคาวาซากิ 

โรค Multisystem Inflammatory Syndrome in Children หรือ MIS-C คือกลุ่มอาการที่ทำให้เกิดภาวะอักเสบในหลายอวัยวะ ผู้ป่วยเด็กโรค MIS-C จะมีอาการที่มีความคล้ายคลึงกับผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคคาวาซากิหลายประการ เช่น มีไข้สูง ผื่น ตาแดง ปากแดง ต่อมน้ำเหลืองโต 

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบ MIS-C กับโรคคาวาซากิ จุดสังเกตคือ โรคคาวาซากิเกิดในเด็กเล็กถึงอายุ 5 ปี ส่วน MIS-C จะเป็นในเด็กโต อายุเฉลี่ย 7.5 ปี พบสูงสุด 21 ปี โดย MIS-C จะมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารบ่อยกว่า มีภาวะช็อกจากภาวะหัวใจล้มเหลว ส่วนหนึ่งกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติชั่วคราว และมีเกล็ดเลือดต่ำ มีอาการทางสมอง ขณะที่คาวาซากิมักไม่ค่อยมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร มีหลอดเลือดอักเสบแต่ไม่ถึงภาวะช็อก เกล็ดเลือดค่อนข้างสูง 

 

อ่านเพิ่มเติม >> โรคอักเสบรุนแรงในเด็ก ที่อาจเกี่ยวข้องกับโควิด 19

 

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงมีคำถามว่า สรุปแล้วโรคโควิด-19 เป็นสาเหตุของอาการป่วยคล้ายโรคคาวาซากิที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายด้วยหรือไม่ ในเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนจากวงการแพทย์ค่ะ เพราะยังไม่มีผู้ป่วยดังกล่าวที่ตรวจพบชื้อไวรัสโควิด-19 ทุกราย แต่มีแนวโน้มว่าโรคทั้งสองโรคนี้มีความสัมพันธ์กันอยู่ อย่างไรก็ตาม หากอาการเด็กน่าสงสัยเข้าลักษณะกลุ่มอาการโรคคาวาซากิ หรือ MIS-C ต้องให้เฝ้าระวังความสัมพันธ์กับการติดเชื้อโควิด-19 และให้ทำการตรวจหาเชื้อนี้ร่วมไปด้วย 

เปิดเทอมนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมพร้อม
เปิดเทอมนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมพร้อม

ด้วยความที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลาย รัฐบาลจึงมีการปลดล็อกมาตรการหลายอย่างเพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามเดิม รวมไปถึงจะมีการเปิดเทอมในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นี้ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน และการระบาดระลอกสองของโควิด-19 อาจมาถึงได้ทุกเมื่อ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อย่าชะล่าใจ ดูแลลูกให้ที่สุด และปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เตรียมหน้ากากอนามัยให้ลูก บอกให้เขาล้างมือบ่อย ๆ เพราะป้องกันไว้ ดีกว่าแก้ไขทีหลังแน่นอนค่ะ 

 


ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย

MGR Online

ไทยรัฐออนไลน์

แพทย์ไทย ไอเดียสุด / Doc Idea D

อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม

โรคคาวาซากิ ประสบการณ์โรครุนแรงในเด็กเล็ก

6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

WHO เตือน ไวรัสอีโบลา ระบาดซ้ำ โรคร้ายต่างแดนแม่ต้องระวัง

รร.สังกัดกทม เตรียม เปิดเทอมอนุบาล – ประถม เน้นแบ่งห้องเรียน จัดตารางสอนให้เหมาะสม

account_circle
event

กทม.เคาะแล้วแผน เปิดเทอมอนุบาล ประถม มัธยม ในสังกัด จัดการเรียนตามขนาดโรงเรียน เพื่อยึดตามหลัก social distancing เน้นเรียนผสมผสานระหว่าง “เข้าเรียน –ออนไลน์-ออนแอร์” เริ่ม 1 ก.ค. นี้

รร.สังกัดกทม. เริ่มก่อน แผนเตรียม เปิดเทอมอนุบาล-ประถม คุมเข้มโควิด-19

หลังกระทรวงศึกษาธิการให้นักเรียนทั่วประเทศทดลองเรียนออนไลน์ผ่านการศึกษาทางไกล DLTV มาระยะหนึ่งและกำลังพิจารณาถึงแผนการเปิดเทอมที่เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบ้านเรา ทางสำนักงานการศึกษา กรุงเทพมหานครได้เปิดเผยถึงแผนการสอนของโรงเรียนในสังกัดกทม.ทั้งหมด 437 แห่ง ได้ดังต่อไปนี้

 

เปิดเทอมอนุบาล

เปิดเทอมอนุบาล – ประถมตามขนาดโรงเรียน

เมื่อต้องเปิดเทอม เนอสเซอรี่และโรงเรียนอนุบาลคือกลุ่มที่มีความอ่อนไหวมากที่สุด เพราะทั้งหมดเป็นเด็กเล็ก 2 -6 ขวบซึ่งภูมิคุ้มกันร่างกายยังทำงานไม่เต็มที่  การอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย จึงกำหนดให้มีมาตรการลดจำนวนเด็กในห้องเรียน จากเดิมอาจมีนักเรียนห้องละ 40 คน ให้เหลือห้องละ 20 – 25 คน พร้อมกับจัดให้มีระยะห่างในพื้นที่ส่วนกลางอย่าง โรงอาหาร สนามเด็กเล่น ห้องน้ำ ด้วย รวมถึงการพิจารณาเปิดเทอมล่วงหน้าสำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อม

โรงเรียนในสังกัดกทม. จะแบ่งโรงเรียนออกเป็น 3 กลุ่มตามจำนวนนักเรียน เพื่อดำเนินการตามแผนการเรียนที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. โรงเรียนขนาดเล็ก นักเรียนไม่เกิน 400 คน อนุญาตให้จัดการเรียนการสอนตามปกติ นักเรียนมาโรงเรียนทุกวัน แต่ต้องทำตามมาตรการ social distancing ตลอดเวลาที่อยู่โรงเรียน ทั้งเวลาเรียน พัก และรับประทานอาหาร
  2. โรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียนระหว่าง 401 – 800 คน ให้เตรียมการสอนไว้ 2 รูปแบบ คือ

*สลับวันมาโรงเรียน  กรณีที่โรงเรียนมีตั้งแต่ชั้นอนุบาล – มัธยมปลายให้สลับกันมาโรงเรียน เช่น  ชั้นอนุบาล ประถมต้น มัธยมต้นมาโรงเรียนในวันอังคาร และพฤหัสบดี  ส่วนชั้นประถมปลาย และมัธยมปลายมาเรียนในวันจันทร์ พุธ และศุกร์

*เรียนผ่านออนไลน์และออนแอร์ ส่วนช่วงเวลาที่เด็กไม่ได้มาโรงเรียนให้จัดการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ หรือทีวี DLTV โดยที่คุณครูคอยดูแลวิธีการเรียนรู้ จัดทำแบบฝึกหัด การบ้าน หรือใบงานให้ตามความเหมาะสม

  1. โรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียน 801 – 1,500 คน ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่สอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล – มัธยมปลาย ซึ่งมีจำนวนห้องมากพอสำหรับรองรับการแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก กทม.จึงกำหนดให้ เด็กชั้นอนุบาลและประถมต้นไปโรงเรียนตามปกติ ส่วนเด็กประถมปลายและมัธยมทั้งหมด สลับวันเรียน

อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานศึกษาของกทม.อนุญาตให้แต่ละโรงเรียนพิจาณาแผนการสอนตามความเหมาะสม โดยจะเข้าไปตรวจความพร้อมของแต่ละโรงเรียนช่วงวันที่ 1 – 20 มิถุนายนอีกครั้ง

 

 MUST READ :  ให้ลูกเรียนออนไลน์ อย่างไร? ถ้าแม่ต้องไปทำงาน?

MUST READ : Twinkl สื่อการสอนจากประเทศอังกฤษ แจกโค้ดโหลดฟรี!

รร.เสี่ยงน้อยให้เปิดก่อน เปิดเทอมอนุบาล ยังไม่ใช่กลุ่มแรก

ที่ประชุมศบค.ได้พิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะให้โรงเรียนบางส่วนได้เปิดเรียนก่อน โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งมีโอกาสเกิดโรคไม่มาก โรงเรียนขนาดเล็กมีจำนวนนักเรียนต่อห้องน้อย ได้ข้อสรุปว่าให้ยึดวัน เปิดเทอมอนุบาล ประถม และมัธยมเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม เช่นเดิมไปก่อน หากพิจารณาแล้วพบว่ามีความพร้อมเพียงพอก็อาจให้เปิดเร็วขึ้นได้ ภายใต้หลักการ 3 ประการ คือ

  1. ขนาดโรงเรียนว่ามีนักเรียนมากน้อยแค่ไหน จะจัดการเรียนให้สามารถรักษาระยะห่างทางสังคมได้อย่างไร
  2. สถานที่ตั้งของโรงเรียน พิจารณาว่าอยู่ในพื้นที่ชุมชน หรือพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ที่มีโอกาสแพร่กระจายของเชื้อได้น้อยกว่า
  3. หากโรงเรียนอยู่ในเมืองที่เด็กต้องเดินทางจากต่างอำเภอเข้ามา จะต้องจัดเวลาเข้าเรียนให้สลับเหลื่อมกัน 3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อไม่ให้เกิดการแออัดทั้งระหว่างการเดินทางและในโรงเรียน
  4. หากโรงเรียนเปิดเทอมก่อนกำหนด ให้เน้นเฉพาะกลุ่มเด็กโต ชั้นประถมขึ้นไป เพราะหากเด็กเล็กมาโรงเรียนจะอยู่ใกล้ชิดกัน นอนกลางวัน และเล่นกันอาจเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อได้

สำหรับโรงเรียนนานาชาติที่ต้องการเปิดเทอมเร็วขึ้นเพื่อให้ทันกับการเรียนในมาตรฐานของต่างประเทศ ที่ประชุมศบค.ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาไปพิจารณารายละเอียดและหาข้อสรุปมานำเสนออีกครั้ง

เปิดเทอมอนุบาล

ทำไมเด็กอนุบาล-ประถมต้องกลับไปเรียนก่อน

คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจรู้สึกเป็นกังวลและสงสัยในความจำเป็นต่อการกลับไปโรงเรียนของเด็กอนุบาล และประถม เพราะดูจะเป็นกลุ่มเสี่ยงจะเป็นอันตรายจากเชื้อได้ง่าย ในอีกมุมหนึ่งของโลก รัฐบาทอังกฤษให้ เปิดเทอมอนุบาล ประถม 1- 6 ก่อนชั้นอื่นๆ เพราะมองว่า การศึกษามีความสำคัญมากต่อเด็กกลุ่มนี้ เด็กๆอายุยังน้อยมีแนวโน้มว่าจะป่วยน้อยกว่าหากติดเชื้อ ขณะที่เด็กโตชั้นมัธยมมีแนวโน้มจะพบปะกับเพื่อนฝูง ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ มากกว่า จะยิ่งแพร่เชื้อได้มาก  และที่สำคัญคือ เด็กโตสามารถเรียนหนังสือจากที่บ้านได้ดีกว่า

อย่างไรก็ตาม นักเรียนชั้นม.-4- 6 ในอังกฤษจะได้กลับไปโรงเรียนในวันที่ 15 มิถุนายน โดยแบ่งนักเรียนราว 1 ใน 4 ของนักเรียนทั้งหมดที่จะได้ไปโรงเรียนในแต่ะละครั้ง แต่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้เด็กประถมกลับไปเรียนได้เมื่อไร


แหล่งข้อมูล  www.bbc.com    www.posttoday.com  mgronline.com  www.dailynews.co.th

 

7 ประเทศดูแลเด็กๆ อย่างไรเมื่อ โรงเรียนเปิดเทอม 2563

หมอเผย 4 เหตุผลสำคัญ ทำไมต้อง เลื่อนเปิดเทอม เป็น 1 ก.ค.63

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

การขู่ลูก

แม่แชร์เทคนิค การขู่ลูก ไม่ช่วยแก้ปัญหา อยากให้ลูกเชื่อฟังต้องใช้วิธีนี้!

event
การขู่ลูก
การขู่ลูก

การขู่ลูก ไม่ได้แปลว่าสอน แถมไม่ช่วยแก้ปัญหา! หากอยากให้ลูกเชื่อฟังอย่าขู่ลูก แต่ลองใช้วิธีอื่นดู ทีมแม่ ABK มีเทคนิคดีๆ จากคุณแม่ลูกสองมาแนะนำ หากไม่ให้ขู่ลูกจะทำยังไงดี?

แม่แชร์เทคนิค การขู่ลูก ใช้ได้ไหม? ถูกหรือผิดที่ขู่ลูก?

เชื่อว่ามีคุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายบ้านที่ชอบพูดขู่ลูก แม้จะเป็น การขู่ลูก พูดขู่เล่นๆ หรือแค่พูดเพราะอยากให้ลูกกลัว แต่นั่นอาจทำให้เด็กๆคิดจริง ซึ่งการขู่ให้ลูกกลัวถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการเลี้ยงลูกแบบผิด ๆ เป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม แม้ช่วงแรกการขู่จะใช้ได้ผล ลูกเชื่อฟัง แต่ก็เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น เพราะในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อตัวลูกที่คุณอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ดังนั้นเพื่อเป็นแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่ หากขู่ลูกไม่ได้ จะสามารถทำวิธีใดได้บ้างหรือควรพูดสอนลูกอย่างไรให้ลูกเชื่อฟัง ไม่ดื้อไม่ซน ทีมแม่ ABK มีเทคนิคดีๆ จากคุณแม่แพท เจ้าของเพจ Mrs. Melon’s Diary คุณแม่ลูกสอง (น้องนิสสาและน้องแซม) ที่เป็นทั้ง ครูและแม่ ซึ่พบงเจอเด็กๆ มาเยอะ รู้ว่าอะไรดีไม่ดี นิสัยไหนอยากให้ลูกมี หรือไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มที่ขวบปีแรก เพราะหากช้ากว่านี้ก็สายแล้วอย่างที่เขาว่าจริงๆ

การขู่ลูก

โดยคุณแม่ได้เขียนเทคนิค การขู่ลูก ว่าไม่ควรทำไว้ ดังนี้!

รีรัน : “ขู่ลูก” ใช้ได้ไหม? ถูกหรือผิดที่ขู่ลูก?

ด้วยความที่ลูกมักจะอยู่ไม่สุขและก็ท้าทายตลอดเวลา บวกกับพูดรู้เรื่องแล้ว บางครั้งเวลาที่ลูกควบคุมยาก แพทก็อยากจะใช้คำพูดขู่ลูกเหมือนกัน เช่น “วิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นเดี๋ยวคนนั้นก็จับไปหรอก” ของแพทส่วนใหญ่มักจะรู้สึกอยากใช้ตอนที่ลูกวิ่งหนีค่ะ เพราะมันเกินเอื้อมและหยุดยากจริงๆ แต่…แพทก็ไม่ได้พูด เพราะแพทรู้ว่ามันไม่ดีต่อลูก

การขู่ลูก ไม่ได้แก้ปัญหา ไม่ได้สอนและไม่ได้กระตุ้นเรื่องความรับผิดชอบ

การขู่ หรือ หลอกเกินจริง ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ณ ตอนนั้น ขณะนั้น เช่น

“เดี๋ยวคนก็จับไปหรอก ไม่เห็นหน้าพ่อหน้าแม่เลยนะ”
“เดี๋ยวล้มหัวฟาดตายเลยนะ”

จะทำให้ลูกรู้สึกกลัว เขาจะรู้สึกไม่ไว้ใจโลก และจะทำให้ลูกคิดเลยเถิดไปสำหรับทุกเรื่อง กลายเป็นเด็กขี้กลัว 
เพราะสำหรับเด็ก แค่บอกว่า เดี๋ยวเจ็บ ร้องไห้แงๆ ก็พอแล้วค่ะ ไม่ต้องไปไกลถึงตายจากกัน

นอกจากนั้นเวลาที่เราใช้คำขู่ ลูกจะรู้สึกว่า เขาไร้ประสิทธิภาพที่จะควบคุมตัวเอง พ่อแม่เลยต้องควบคุมเขาด้วยคำขู่เหล่านี้

มิหนำซ้ำ คำขู่ที่ใช้ ถ้าสังเกตดู มันไม่ได้ผลนะคะ ถึงแม้ว่าวันนี้ ตอนนี้มันได้ผล แต่มันจะเปลี่ยนค่ะ ลูกจะเรียนรู้ที่จะไม่ฟัง ไม่เชื่อ ไม่สนใจ และพ่อแม่จะเรียนรู้ที่จะเลิกควบคุมลูก (ควบคุมไม่ได้แล้ว) โดยเฉพาะเมื่อเราขู่ในสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น

“ทำไมทำแบบนี้ เดี๋ยวแม่จะเรียกตำรวจมาจับ”
“ไม่ยอมนอน เดี๋ยวผีมาหลอกแน่” 
“ไม่เก็บของ แม่จะเอาไปทิ้งให้หมดเลย”

แน่นอนว่าเมื่อลูกต่อต้านขึ้นมา พ่อแม่ไม่สามารถทำให้ตำรวจมาจับ หรือผีมาหลอกจริงๆ ได้ แต่ถ้าพ่อแม่ทำจริงๆ อันนี้ก็จะเกินเหตุไปหน่อย

การขู่ลูก ที่ทำร้ายความรู้สึก เช่น 
“ถ้าไม่เดินมา แม่จะทิ้งแล้วนะ” 
“แม่ไม่รักแล้ว ทำแบบนี้” 

จะทำให้ลูกรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ ลูกควรจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่ก็ยังรักและจะดูแลตลอดเวลา นี่คืออย่างน้อยยยยยที่สุดที่พ่อแม่ควรทำให้ลูกได้ เพราะฉะนั้นไอ้พวกคำว่า ไม่รักแล้ว เบื่อแล้ว อะไรพวกนี้ แพทว่าเป็นคำที่แย่มากๆ เลิกพูดกันซะนะคะ

การขู่ลูก โดยใช้บุคคลที่ 3 เช่น 
“ดื้อแบบนี้ แม่จะบอกพ่อ เดี๋ยวพ่อกลับมา พ่อจะจัดการเราแน่” 
“ดื้อแบบนี้เดี๋ยวจะไปฟ้องครู ให้ครูจัดการ” 
“จะหยุดร้องไหม ไม่งั้นจะให้หมอจับฉีดยา” 

การขู่ลูก หรือใช้คำขู่แบบนี้ ในที่สุดลูกจะคิดได้ว่า อ๋อ แม่ไม่สามารถทำอะไรเราได้ จนกว่าพ่อจะกลับ จนกว่าจะเจอครู จนกว่าจะเจอหมอ ดังนั้นเขาสามารถจะซนเท่าไหร่ก็ได้ จนกว่าพ่อจะกลับมา หรือจนกว่าจะเจอครูอีกครั้ง มันจึงไม่ช่วยให้ชีวิตของคนขู่ดีขึ้นเท่าไหร่

นอกจากนั้น หากว่าพ่อกลับบ้านมาและมาดุลูกจริง ต่อไป ลูกจะรู้สึกเป็นกังวลว่าพ่อหรือครูหรือหมอจะดุเขาไหม เขาจะไม่ยินดีต้อนรับพ่อกลับบ้าน ไม่รู้สึกดีใจที่พ่อจะกลับบ้าน เพราะกังวลกลัวพ่อดุ

จริงๆ เราในฐานะพ่อแม่ ควรเป็นคนที่ลูกเคารพทั้งคู่ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง และมันไม่แฟร์เอาซะเลย ที่จะยัดความรู้สึกแย่ๆ จากลูก ไปให้ใครคนใดคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ

ทั้งหมดทั้งมวล ถ้าพลาดขู่ไปแล้ว และรู้สึกตัวว่าเฮ้ย เราไม่น่าพูดงี้กับลูกเลย ให้เราถอนคำพูดนะคะ ให้พูดต่อเลยค่ะว่า

“แม่ขอโทษค่ะ แม่พูดผิด แม่หมายถึง….” 

เพราะส่วนใหญ่ที่เราขู่ลูก เรามักจะไม่ได้คิดให้รอบครอบก่อนพูด หรือถ้าเราขู่และเราทำจริง แต่ว่ามันเป็นอะไรที่เกินกว่าเหตุ เราก็สามารถขอโทษลูกได้เช่นกันค่ะ บางทีแพทก็จำพูดว่า “ไม่เอาดีกว่า แม่ว่าแม่ก็เกินไปหน่อย เอาเป็นแค่… ดีกว่า”

วิธีอื่นๆ ที่สามารถช่วยได้แทน การขู่ลูก เช่น 

  1. ให้ตัวเลือก เช่น แทนที่จะพูดว่า “อย่าเอาไม้มาตีแม่ ไม่งั้นแม่จะเอาไปทิ้งเลยนะ” ลองเปลี่ยนเป็น “อย่าตีแม่ แม่เจ็บ เอาไปตีพื้น หรือตีหม้อแทนสิคะ”
  2. พูดอะไรที่เป็นไปได้ เช่น แทนที่จะพูดว่า “ถ้าไม่เก็บหนังสือ แม่จะเอาไปเผาทิ้งให้หมดเลย” เปลี่ยนเป็น “ถึงเวลาเก็บของแล้วค่ะ” สำหรับแพท ถ้าลูกไม่เก็บ แพทจะจับมือเก็บแล้วบอกว่า “ขอบคุณที่ช่วยแม่เก็บหนังสือค่ะ” (ชมพฤติกรรมดี)
  3. บอกลูกล่วงหน้า ว่าเราคาดหวังอะไรจากเขา เช่น “เดี๋ยวเราจะไปห้างกัน แม่อยากให้หนูนั่งบนรถเข็นเท่านั้นนะคะ” พอไปถึงห้าง ก็ให้ถามลูกซ้ำว่า เดี๋ยวลูกจะต้องนั่งตรงไหนคะ เวลาแม่ซื้อของ? เมื่อถึงเวลาที่ลูกงอแง ไม่ให้ความร่วมมือ เราสามารถบอกลูกว่า “ถ้าหนูนั่งบนรถเข็น แม่ก็จะให้หนูเลือกซีเรียลเองได้ 1 อย่าง แต่ถ้าไม่นั่ง เราก็คงจะต้องยืนรอจนกว่าลูกจะนั่ง ซึ่งแม่ว่ามันน่าจะเบื่อสำหรับหนูมากเลย” และถ้าหากลูกยังไม่ยอมนั่งอีก เราก็สามารถที่จะยืนอยู่ที่จุดๆ เดิมจนกว่าลูกจะเบื่อและยอมนั่ง อย่าลืมว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เรามีความอดทนมากกว่าเด็กมาก การเผื่อเวลาไว้เยอะๆ จะทำให้เราสามารถรอลูกได้จนกว่าลูกจะยอมทำตาม
  4. รู้จักขีดจำกัดของลูก เช่น ถ้าวันนี้ลูกเหนื่อยมากทั้งวันแล้ว การไปนั่งกินมื้อเย็นนอกบ้าน และคาดหวังให้ลูกนั่งที่เก้าอี้กินเรียบร้อยอาจจะไม่ใช่ความคาดหวังที่เหมาะสม เราต้องเลือกศึกที่จะรบกับลูก ไม่ใช่สู้กันไปทุกเรื่อง

โดยส่วนตัวแพทจะไม่ขู่ลูกเลยค่ะ ทุกอย่างที่พูด เป็นสิ่งที่ทำได้จริง ไม่ได้แปลว่าแพทยอมให้ลูกทุกอย่าง กฎและสิ่งที่ต้องทำ ก็ยังคงต้องทำ และบอกชมแบบเจาะจงทุกครั้งที่ลูกทำตามที่ขอ

“แม่จะไปแล้วนะ” และเริ่มเดินนำไปเลย ลูกจะวิ่งตาม ถ้าเรารู้อยู่แล้วว่าลูกเหนื่อย คงเดินไม่ไหว ก็จะตัดสินใจอุ้มแต่แรกค่ะ

“ไม่กินแล้วใช่ไหม แม่จะเก็บแล้วนะ ไว้หิวแล้วค่อยมาบอกใหม่แล้วกัน” แพทก็จะเก็บอาหารไปเลย และพอหิวเขาก็จะมาขอกินเอง ถ้ามันเสียแล้ว กินไม่ได้แล้ว เขาก็ต้องยอมรับว่าเขาจะอดกิน

“มาแต่งตัว” แต่ลูกวิ่งหนี อันนี้แพทก็จะไม่เรียก จะหันหน้าหนี ไม่สบตา และลูกจะวิ่งมาดูเองว่าแม่ทำอะไร 555

“ไปอาบน้ำ แปรงฟัน” แต่วิ่งหนี ถ้าแพทไม่มีเวลามาหลอกล่อ แพทก็จะพาจูงเข้าไปอาบน้ำแบบร้องไห้นั้นแหละค่ะ และก็ค่อยหาของเล่น แปรงสีฟันอะไรในห้องน้ำเบี่ยงเบนความสนใจให้เล่น

ที่มา : www.babycenter.com

 

จะเห้็นได้ว่า การขู่ลูก นอกจากไม่ได้เป็นการสอนแล้วยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี เพื่อหยุดลูกอีกด้วย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถลองนำเทคนิคของคุณแม่แพทไปปรับใช้กันได้นะคะ ได้ผลเช่นไรอย่าลืมมาเล่าให้ทีมแม่ ABK ฟังด้วยนะคะ


ขอบคุณบทความดีๆ จากคุณแม่แพท เจ้าของเพจ Mrs. Melon’s Diary

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

How to สอนลูกให้มีระเบียบวินัย ต้องไม่ตี ไม่ขู่ ไม่เกิดผลเสียในระยะยาว

ลงโทษ Time out!! วิธีการนี้ดีหรือไม่…ลูกจะรู้สึกอย่างไร?

ลูกฉลาด หรือไม่ ดูที่พ่อแม่จริงหรือ!?

ลูกถูกไฟช็อต

อุทาหรณ์ ลูกถูกไฟช็อต จากสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกถูกไฟช็อต
ลูกถูกไฟช็อต

ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ลูกน้อยของคุณกำลังเฝ้าดูและพยายามจะทำตามทุกการกระทำของคุณ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในพัฒนาการปกติของเด็กทั่วไป แต่สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของลูก เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังให้ดีเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องของปลั๊กไฟ กับสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ ที่อาจทำให้ ลูกถูกไฟช็อต โดยไม่คาดคิดมาก่อน

ดังกรณีที่ คุณแม่ท่านหนึ่ง ได้แชร์ประสบการณ์ ลูกถูกไฟช็อต จากสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ เพราะหนูน้อยอยากจะเลียนแบบแม่ ด้วยการลองเสียบสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ อย่างที่เห็นแม่ทำอยู่เป็นประจำ และผลที่ได้รับก็คือ ลูกถูกไฟช็อต จนมือเป็นแผลไหม้

คุณแม่เล่าว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอ สายชาร์จฝั่งหนึ่งเสียบอยู่คาเต้าเสียบ เธอไม่คาดคิดว่า หนูน้อยจะหยิบสายชาร์จอีกฝั่งขึ้นมาและเสียบเข้าไปในเต้าเสียบอีกอัน และทันใดนั้นเอง ก็เกิดเสียงไฟฟ้าช็อต พรึ่บ เกิดประกายไฟ และควันสีดำ ส่งผลให้หนูน้อยกระเด็นไปไกล 2-3 ฟุตและนิ่งไป สักพักก็เริ่มกรีดร้องและร้องไห้ เธอรีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันที

ในช่วงแรกคุณหมอมีความกังวลว่า หนูน้อยจะได้รับการบาดเจ็บภายในหรือไม่ ส่งผลกระทบต่อคลื่นไฟฟ้าหัวใจหรือเปล่า จึงต้องขอให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาลก่อน แต่โชคยังดี ที่ไม่พบการบาดเจ็บในส่วนอื่น นอกจากแผลไหม้ที่ฝ่ามือของหนูน้อย

เธอตำหนิตัวเอง รู้สึกผิดมากๆ ที่ทำให้ลูกของเธอได้รับบาดเจ็บ ทั้งที่เธอพยายามจะป้องกันทุกอย่างให้บ้านนี้ปลอดภัยที่สุดสำหรับลูกของเธอ เธอมีทั้งที่ปิดปลั๊กไฟ ที่กั้นประตู ฝาครอบเตาแก๊ส แต่เธอก็ดันพลาดให้กับเรื่องที่เธอคิดไม่ถึงจนได้ จึงฝากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์กับคุณแม่ทุกท่าน ให้ระวังอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับเด็กคนอื่นอีกเลย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ช่วยลูกอย่างไร หาก “ลูกถูกไฟช็อต”

ไฟฟ้าช็อตเป็นอุบัติเหตุที่พบได้บ่อย อาจเกิดขึ้นเพราะความประมาท การใช้เครื่องไฟฟ้าอย่างผิดวิธี หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นต้น

อาการเมื่อถูกไฟช็อต

ผู้ที่ถูกไฟฟ้าช็อตอาจมีอาการรุนแรงแตกต่างกันไปตั้งแต่บาดแผลไหม้เล็กน้อยจนถึงเสียชีวิต ซึ่งปัจจัยที่ทำให้อาการของผู้ที่ถูกไฟฟ้าช็อตแตกต่างกันไป เช่น ลักษณะของผิวหนังส่วนที่สัมผัสถูกไฟฟ้า ชนิดของกระแสไฟฟ้า ตำแหน่งและทางเดินของกระแสไฟฟ้าในร่างกาย และระยะเวลาสัมผัส

โดยบางรายอาจเพียงทำให้ล้มลงกับพื้น หรือของหล่นจากมือเมื่อถูกไฟฟ้าช็อต แต่ถ้าไฟฟ้าช็อตแล้วตกจากที่สูงก็อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ อาจมีอาการชักเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายถ้าเป็นแบบรุนแรง แล้วตามมาด้วยอาการตื่นเต้น หายใจเร็ว หมดสติ อาจมีอาการหยุดหายใจหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในทันที

ในบางรายอาจหมดสติไปชั่วครู่ และอาจจะรู้สึกปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ และมีความรู้สึกหวาดผวา หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว หรือบางรายอาจทำให้เป็นแผลไหม้ และไม่รู้สึกเจ็บถ้าเกิดแผลไหม้ผิวหนังแล้วกินลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง และอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำเช่นเดียวกับบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และอาจติดเชื้อแทรกซ้อนได้ถ้าบาดแผลมีขนาดใหญ่ หรือเนื่องจากการชักกระตุกหรือตกจากที่สูงอาจทำให้กระดูกสันหลังและกระดูกส่วนอื่นๆ หักได้ หรือมีอาการซีดเหลืองจากภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเกิดขึ้นได้

ลูกโดนไฟช็อต

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ถูกไฟฟ้าช็อต

  • รีบปิดสวิตช์ไฟหรือถอดปลั๊กไฟทันที
  • ถ้าทำไม่ได้ ควรช่วยให้ผู้ที่ถูกไฟช็อตหลุดจากกระแสไฟที่วิ่งอยู่ด้วยความระมัดระวัง โดยยืนบนฉนวนที่แห้ง เช่น ไม้กระดาน กระดาษหนังสือพิมพ์ ผ้าห่ม เสื่อ ผ้ายาง หรือผ้า แล้วใช้ด้ามไม้กวาด ไม้กระดาน ขาเก้าอี้ไม้ หรือไม้เท้าหรือไม้ที่แห้ง เขี่ยสายไฟให้พ้นจากผู้ป่วยหรือดันร่างกายส่วนที่สัมผัสไฟให้หลุดออกจากสายไฟ ไม่ควรให้โลหะหรือวัตถุที่เปียกน้ำเป็นอันขาด ควรใช้ไม้หรือฉนวนไฟฟ้าที่แห้ง และไม่ควรแตะต้องถูกตัวผู้ป่วยโดยตรงจนกว่าจะหลุดพ้นออกจากสายไฟเสียก่อน
  • ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจทันที ถ้าหัวใจหยุดเต้นให้ทำการนวดหัวใจพร้อมกันไปจนกว่าจะหายใจได้เอง และถ้าผู้ป่วยหายใจได้เองแต่หมดสติควรจัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่าพักฟื้น และให้การปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ป่วยหมดสติจากสาเหตุอื่นๆ
  • รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล ควรตรวจการหายใจอย่างใกล้ชิด ถ้าหยุดหายใจให้เป่าปากช่วยหายใจไปตลอดทางจนกว่าจะถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

การรักษา

ควรตรวจดูอาการต่อไปนี้ถ้าผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่หลังจากถูกไฟฟ้าช็อต เช่น ดูอาการเต้นของหัวใจว่าผิดจังหวะหรือไม่ ดูภาวะช็อก ภาวะขาดน้ำ บาดแผลไหม้ กระดูกหัก เป็นต้น และให้การรักษาไปตามอาการที่พบ

ควรให้การดูแลรักษาแบบบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกสำหรับบาดแผลไหม้ ในบางครั้งแม้แผลภายนอกจะดูเล็กน้อยแต่เนื้อเยื่อส่วนลึกอาจถูกทำลายรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ หรือมีเลือดออก หรือติดเชื้อแทรกซ้อนในเวลาต่อมา ดังนั้นจึงต้องเฝ้าระวังในส่วนนี้ด้วย

การป้องกัน

ควรติดตั้งและซ่อมแซมสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มีความปลอดภัยสูงอยู่เสมอ และใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยความระมัดระวังเสมอไม่ควรประมาท

ผู้ช่วยเหลืออย่าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ให้มีสติเสมอ ก่อนทำการช่วยเหลือให้โทรแจ้งการแพทย์ฉุกเฉินทันที เพื่อทีมแพทย์จะได้เดินทางมาระหว่างที่กำลังช่วยเหลือเบื้องต้น ให้ทำตามขั้นตอนวิธีการที่แนะนำ อย่าทำอะไรแรงโดยพลการอย่างเด็ดขาด เพราะชีวิตที่สูญเสียไปมันไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้

ฉะนั้น จึงขอให้คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นดูแลความปลอดภัยในบ้านอยู่ตลอดเวลา อย่าประมาทกับเรื่องไฟฟ้า เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยและทุกคนในครอบครัวค่ะ


ขอบคุณข้อมูลจาก : babyology.com.aucprkids.com.au, healthcarethai.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

นาทีชีวิต เด็กหญิงห้อยโหนตู้เย็นเล่น เกือบล้มทับร่าง !

รวมอุทาหรณ์ เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน

“ฝึกลูกนอนคว่ำ” อันตราย! เสี่ยงขาดอากาศหายใจ

พัฒนาการทารก 1 เดือน

พัฒนาการทารก 1 เดือน เช็กให้รู้ ลูกต้องการอะไรบ้าง?

account_circle
event
พัฒนาการทารก 1 เดือน
พัฒนาการทารก 1 เดือน

พัฒนาการทารก 1 เดือน เจอกันไม่นาน แม่รู้สึกว่าลูกโตไวมาก เช็กให้รู้พัฒนาการรอบด้านมีอะไรบ้าง พร้อมเคล็ดลับดูแลลูกสำหรับพ่อแม่มือใหม่

หลังจากได้พบหน้าทารกน้อยที่รอคอยมาตลอด 9 เดือน ช่วงเวลาสั้นในหนึ่งเดือนที่แม่กับลูกต่างเริ่มต้นเรียนรู้กัน ทารกที่เหมือนจะเอาแต่นอน กิน ร้องไห้ อึกับฉี่ และต้องคอยพึ่งพาคุณพ่อคุณแม่ตลอดเวลา แต่ระหว่างนี้พัฒนาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจของเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนแปลงในหลายอย่างทีเดียว

พัฒนาการทารก 1 เดือนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพริบตา พ่อแม่ต้องรู้

พัฒนาการทารก 1 เดือน

พัฒนาการทางร่างกาย หนึ่งเรื่องสำคัญของ พัฒนาการทารก 1 เดือน

ลูกน้อยวัย 1 เดือนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว เช่น เสียงของแม่ เสียงสัตว์เลี้ยง หรือเสียงเปิดปิดประตูบ้าน ด้วยการทำหน้าเบ้เมื่อได้ยินเสียงดัง หรือหรี่ตาเมื่อถูกแสงจ้า สามารถยกกำปั้นเข้าหาปาก แม้จะตรงเป้าบ้างไม่ตรงบ้าง

ในวัยนี้ลูกน้อยได้ยินเสียงของคุณแม่ได้ชัดเจนแล้ว บางคนอาจหันตามเสียงที่คุ้นเคย สามารถมองเห็นวัตถุที่ห่างออกไป 8-12 นิ้วได้ชัดเจน สบตาเป็น เห็นภาพเป็นสีขาว-ดำ ชอบสัมผัสนุ่มๆของผิวคุณแม่หรือผ้าห่ม แต่รู้สึกไม่ปลอดภัยเลยถ้าโดนเหวี่ยง หรือจับเปลี่ยนทิศเร็วเกินไป

พัฒนาการทารก 1 เดือน
ภาพพัฒนาการทางสายตาของทารกวัย 1 เดือน

 

MUST READ :อันตราย !! จากการ อุ้ม เขย่าทารก “Shaken baby syndrome”

พัฒนาการทางอารมณ์ พื้นฐานจิตใจของพัฒนาการทารก 1 เดือน

แม้ลูกวัย 1 เดือนจะยังพูดคุยกับคุณแม่ได้ แต่ก็รู้จักสื่อสารความต้องการผ่านเสียงร้อง ฉะนั้นไม่ว่าลูกจะรู้สึกหิว กลัว ไม่สบายตัว อยากให้อุ้ม ลูกก็จะร้องบอกแม่รู้ พวกเขาสามารถตอบสนองต่อเสียงและรอยยิ้มของพ่อแม่ได้แล้ว สังเกตว่าเวลาแม่ยิ้มให้ ลูกจะยิ้มตอบ สนุกกับการได้มองหน้าคนใกล้ๆ จึงไม่จำเป็นต้องซื้อของเล่นในวันนี้

อย่างไรก็ดี ทารกแต่ละคนมีพัฒนาการเร็ว-ช้าแตกต่างกัน โดยไม่มีผลเกี่ยวข้องกับความฉลาดหรือความแข็งแรงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรเป็นกังวลมากเกินไปหากทารกยังไม่มีพัฒนาการครบทุกข้อ ยกเว้นกรณีดังต่อไปนี้

พัฒนาการทารก 1 เดือน

อย่างไรก็ตาม พัฒนาการเด็กข้างต้นนี้เป็นเกณฑ์อ้างอิงเบื้องต้นสำหรับเด็กทั่วไปว่าสามารถทำอะไรได้ใน แต่ละช่วงวัย ซึ่งอาจมีทักษะบางอย่างที่เด็กปกติ จำนวนหนึ่งทำได้เร็วหรือช้ากว่าเกณฑ์นี้เล็กน้อย คุณแม่ไม่ต้องกังวลใจไป ขอเพียงลูกเป็นเด็กที่แข็งแรง สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ อารมณ์ดี ก็เพียงพอ

เช็ก  7 พัฒนาการช้า ลูกเป็นแบบนี้รีบแก้ด่วน

  1. มีปัญหาเรื่องการกลืน กลืนนมแล้วสำลัก หรืออาเจียนบ่อย
  2. ไม่กระพริบตาเมื่อมีแสงจ้า ไม่สอบสนองเสียงดัง
  3. ไม่สบตา สายตาไม่โฟกัสไปที่จุดใดจุดหนึ่ง ไม่มองตามวัตถุ
  4. มีอาการขากรรไกรขณะอยู่เฉยๆ ไม่ร้องไห้
  5. นอนนิ่ม ไม่ขยับแขนขยับขา  หรือแขนขาอ่อนแรง หรือแรงเยอะเกินไป

เคล็ดลับดูแลลูกน้อยอย่างเข้าใจ

* ทารกมีอาการคัดจมูกบ่อย และอาจเกิดจากโรคหวัดได้ถึง 10-12 ครั้งต่อปี แถมมีโอกาสติดเชื้อและมีอาการแพ้ได้ง่ายด้วย

* ทารก 1 เดือนอาจมีอาการไอบ่อยเช่นเดียวกับคัดจมูก โดยเฉพาะในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย บางคนอาจไอติดต่อกันนานถึง 21 วัน ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรซื้อยาแก้ให้ลูกเอง

 MUST READ : วิธีช่วยลูกหายคัดจมูกไม่ต้องกินยา

* วัยแรกเกิด นมแม่คืออาหารหลักของลูกน้อย จะกินนมบ่อยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง (ถ้าเป็นนมผงลูกจะร้องหิวทุก 3 ชั่วโมง)  ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา คุณแม่อาจเริ่มสังเกตได้ว่าตอนไหนลูกจะหิว หรือแยกเสียงร้องของลูกได้ว่า เสียงใดเป็นเสียงร้อยหิวนม

การให้นมสำหรับคุณแม่ให้นมเอง ควรปล่อยให้กินตามต้องการ เมื่ออิ่มก็จะเบือนหน้าออกจากเตา หรือหลับคาอกเลย ระยะนี้คุณแม่ยังต้องให้นมลูกบ่อยสักหน่อย แต่ไม่นานลูกจะดูดนมต่อมื้อมากขึ้นและอิ่มเร็วขึ้นเอง  ไม่จำเป็นต้องให้ลูกดื่มนม เพราะในนมมีปริมาณน้ำมากพอแล้ว

ส่วนการขับถ่ายของลูกน้อยจะสอดคล้องกับปริมาณการกิน โดยเฉพาะทารกจะถ่ายวัน 2 ครั้ง ส่วนเด็กนมแม่ล้วนอาจไม่ถ่ายเป็นบางวัน ลองสังเกตดูหากอึของลูกเป็นก้อนกลมแข็ง แสดงว่าอาการท้องผูก

 Thing to do ลิสต์นี้แม่ห้ามลืม

  • พาลูกไปพบแพทย์และฉีดวัคซีนตามนัด
  • หาเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย หรือเดทกับคุณพ่อบ้าง
  • ถ่ายภาพลูกวัย 1 เดือน

แหล่งข้อมูล    www.thebump.com

 

ถอดรหัส เสริมพัฒนาการ 11 กระบวนท่าของทารกที่พ่อแม่มือใหม่ควรรู้!

 

ประโยชน์ที่พ่อและแม่ควรนอนใกล้กันกับลูกน้อย

จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

แจกฟรี! ไฟล์ภาพ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ กว่า 40 แบบ โหลดเลย!!

event
จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ
จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

ดาวน์โหลด..แล้วปริ้นได้เลยแม่ แจกฟรี! ไฟล์ภาพ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ อย่างง่าย คัดมาสำหรับเด็กเล็กโดยฉพาะ ช่วยฝึกสมอง เพิ่ม IQ เสริมพัฒนาการให้ลูกน้อยได้เป็นอย่างดี

แจกฟรี! ไฟล์ภาพ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

จิ๊กซอว์ ถือเป็นอีกหนึ่งของเล่นเสริมทักษะ ช่วยเสริมพัฒนาการทางด้านการคิดและจินตนาการ ให้กับลูกน้อยได้ป็นอย่างดี ซึ่งจิ๊กซอว์เหมาะเป็นทั้งของเล่นเด็กและของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ เพราะสามารถเล่นหรือประกอบให้เกิดความสมบูรณ์ของภาพหรือโมเดลนั้นๆ โดยอาศัยทักษะการจำแนก จินตนาการและความจำที่ต้องค่อนข้างดี

ทั้งนี้เสน่ห์ของ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ เกมส์ฝึกเชาว์ปัญญาชนิดนี้ คือการที่เด็กจะต้องจำภาพหรือจินตนาการถึงภาพแรกที่ชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้ยังประกอบเข้าล๊อคกันอยู่ และเมื่อชิ้นส่วนต่างๆ ถูกแยกออกจากกันแล้ว ก็ต้องพยายามนำชิ้นส่วนที่มีเฉด,โทนของสี หรือรูปแบบของชิ้นส่วนที่จะสามารถประกอบเข้ากันได้ แล้วออกมาเป็นภาพหรือรูปทรงต้นแบบ มาลองประกอบเข้าด้วยกันจนสำเร็จ

จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

ประโยชน์ของการให้ลูกเล่นจิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

  1. ช่วยฝึกทักษะการใช้สมอง สายตา และมือที่ทำงานประสานเชื่อมโยงกัน โดยในการต่อจิ๊กซอว์แต่ละชิ้น ๆ จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ การทำงานฝึกฝนการใช้ สมอง สายตา และมือ ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
  2. เสริมสร้างจินตนาการของลูกน้อย ในการออกไอเดีย ต่อจิ๊กซอว์ในรูปแบบต่าง ๆ
  3. ฝึกกระบวนการคิด จากขั้นตอนการต่อจิ๊กซอว์ ที่เริ่มจากการวาดภาพในใจ และ ลงมือต่อจิ๊กซอว์ รวมถึงการปรับแต่งรูปร่างการต่อจิ๊กซอว์ ตามความเหมาะสม ที่เด็ก ๆ อยากให้เป็น ฝึกพัฒนาความคิดในด้านตรรกะ ความคิดเชื่อมโยง ช่วยให้เด็ก ๆ คิดวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเหตุเป็นผล ในการปูพื้นฐานกระบวนการคิดต่อไปในอนาคต
  4. พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ในการหยิบจับจิ๊กซอว์ขนาดพอดีกับมือน้อง ๆ และการพยายามต่อจิ๊กซอว์ ให้เป็นรูปร่างแบบต่าง ๆ จะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กของลูกน้อยได้เป็นอย่างดีด้วย
  5. พัฒนาการด้านอารมณ์ และ สมาธิ เพราะการต่อจิ๊กซอว์ ต้องใช้สมาธิ และ ความพยายาม ในการประกอบจิ๊กซอว์ แต่ละตัวให้สำเร็จ ลูกจะจดจ่อกับการต่อจิ๊กซอว์ และ เมื่อต่อสำเร็จก็จะสร้างความภูมิใจ ในตนเองอีกด้วย

ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถร่วมต่อจิ๊กซอว์กับลูกได้ เพื่อเป็นการช่วยเสริมพัฒนาการ ได้ใช้เวลาร่วมกัน สร้างความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว และทำให้เด็กๆ ไม่เบื่ออีกด้วย

ดังนั้นเพื่อไม่ให้คุณพ่อคุณแม่ไปเสียเวลาหาซื้อจิ๊กซอว์ ทีมแม่ ABK จึงมีไฟล์ภาพ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ อย่างง่าย คัดมาสำหรับเด็กเล็กโดยฉพาะ มาแจกฟรี!! ซึ่งคุณพ่อคุแม่สามารถเซฟหรือดาวน์โหลดไฟล์ภาพจิ๊กซอว์นี้ แล้วปริ้นท์ใส่ประดาษแข็งออกมาให้ลูกน้อยเล่นได้เลย

***การเซฟภาพหรือดาวน์โหลด สำหรับมือถือให้เปิดเลือกดุภาพ แล้วกดค้างไว้เพื่อดาวนืดหลด ระบบจะเซฟลงไว้ในเครื่องให้ ถ้าเป้นคอมพิวเตอร์ให้คลิกที่ภาพแล้วกดคลิกขวาที่เม้าส์ จากนั้นก้เซฟลงเครื่อง แล้วสั่งปริ้นทืได้ทันที

ภาพจิ๊กซอว์ เสริมพัฒนาการ รูปสัตว์น่ารัก แบบ 4 ชิ้น

ภาพจิ๊กซอว์ เสริมพัฒนาการ รูปผัก แบบ 4 ชิ้น

ภาพจิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ รูปยานพาหนะ แบบ 4 ชิ้น

ภาพจิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ รูปสัตว์ แบบ 10 ชิ้น

จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการรูปสัตว์ แบบ 4 ชิ้น

ไฟล์ภาพจิ๊กซอว์ เสริมพัฒนาการรูปสัตว์ แบบ 3 ชิ้น

จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

 

จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการรูปน่ารักสีสันสดใส แบบ 4 ชิ้น

 


ขอบคุณภาพจากเพจ : Free Worksheets สื่อการสอน print ฟรี

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.smartbomcrafts.biz

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

ของเล่นธรรมชาติ ของเล่นเสริมพัฒนาการ ที่ไม่สำเร็จรูป แต่มหัศจรรย์ต่อลูกน้อย

ของเล่นเสริมพัฒนาการ เด็กแรกเกิด-6 เดือน แบบไหนเหมาะกับวัยลูก?

การเลือกของเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็ก

7 สัญญาณ “ทารกพัฒนาการช้า” พ่อแม่สังเกตได้ตั้งแต่แรกเกิด

ของติดจมูกลูก

เตือนแม่ ของติดจมูกลูก ห้ามล้างจมูกเด็ดขาด

account_circle
event
ของติดจมูกลูก
ของติดจมูกลูก

ของติดจมูกลูก เจอแล้วต้องรีบช่วย แต่ต้องระวัง ห้ามใช้วิธีล้างจมูกเด็ดขาด ยิ่งติดลึกเอาออกยาก อาจเสี่ยงหลุดลงหลอดลมทำลูกขาดอากาศหายใจ

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอโดยเฉพาะเด็กวัยซนที่สนุกกับการหยิบจับองชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผสมกับความอยากรู้อยากเห็น ลูกลองยัดสิ่งแปลกหลอมเข้ารูจมูกตัวเองโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นของชิ้นใหญ่สักหน่อยอาจเข้าไปขวางทางเดินหายใจ ทำให้ลูกหายใจไม่ออกถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่มีหลายกรณีที่ของชิ้นเล็กมากไมได้เข้าไปอุดรูจมูกไว้ทั้งหมด ลูกจึงยังหายใจได้เป็นปกติ แต่ทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมา เช่น คัดจมูก มีน้ำมูกไหลตลอดเวลาแต่ไม่เป็นหวัด หรือมีน้ำมูกข้นเหนียว เป็นต้น

อย่างกรณีที่เพจ Infectious ง่ายนิดเดียว ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลทางการแพทย์ได้โพสต์เหตุการณ์ที่พ่อแม่พาลูกสาววัย 2 ขวบมาพบคุณหมอหลังพบว่ามีเศษพลาสติกติดอยู่ในจมูกของลูก แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร

เด็กหนอเด็กน้อย!! สาวสวย อายุ 2 ปี เอาเศษพลาสติกยัดจมูก พ่อแม่ไม่รู้ว่าคืออะไร เอาออกไม่ได้ อยู่ลึก รูจมูกขวา

การรักษาของหมอ 

1)ใช้คลิปหนีบกระดาษกาง ถ่าง ออก

2) จับเด็กมัดแน่นๆ ทั้งตัว ให้ดิ้นไม่ได้ ร้องก็ให้ร้องไป

3)ใช้ไฟฉายส่อง ในรูจมูก

4)แล้วค่อยๆเขี่ย จากด้านใน ให้ออกมา

สักพักก็หลุด จุกหยุด  คลายยยยยย ดูแลเหมือนจะเป็น จุกปลายพลาสติกหุ้มไม้แขวนเสื้อ!!

เครดิตภาพ https://www.facebook.com/Infectious1234/

จุกไม้แขวนเสื้อไปอยู่ในจมูกลูกได้อย่างไร

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักคิดว่า ของติดจมูกลูก น่าจะเป็นของเล่นที่ลูกเล่นติดมืออยู่เป็นประจำ ความจริงแล้วยังมีสิ่งแปลกปลอมหลายอย่างที่ลูกเผลอหยิบเข้าไปใส่จมูกได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางคนอาจใส่แค่ข้างเดียว หรือจมูกทั้งสองข้างก็เป็นไปได้หมด มีทั้งเศษอาหารอย่าง เมล็ดข้าว เมล็ดส้ม น้อยหน่า แตงโม ส้มโอ ละมุด ลำไย หรือเมล็ดถั่วต่างๆ  รวมถึงของใช้ที่คุณพ่อคุณอาจทำตักไว้บนพื้นอย่าง เม็ดกระดุม ยางรัดผม เหรียญสตางค์ ลูกปัด ลูกแก้ว หรือแม้กระทั่งก้อนกรวดเล็กนิดเดียว ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ จุกไม้แขวนเสื้อจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมในจมูกของหนูน้อยคนนี้ได้เช่นกัน

รวมเคส ของติดจมูกลูก อุบัติเหตุชั่วพริบตาที่พ่อแม่ต้องระวัง

นอกจากจุกไม้แขวนเสื้อแล้ว ยังมีสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ที่ลูกน้อยหยิบเข้าจมูกได้สารพัด พ่อแม่ต้องระวังให้มาก

เคสที่ 1

ลูกชายวัย 2 ขวบของคุณแม่ท่านหนึ่ง ชอบหยิบยางรัดผมใส่จมูก และทำอยู่บ่อยๆ จนคุณแม่ต้องพาไปโรงพยาบาลถึง 3 ครั้ง

เคสที่ 2

ลูกชายยัดเม็ดน้ำหอมปรับอากาศเข้าไปในจมูก แม่ตกใจมากเพราะเม็ดโตพอสมควร โชคดีที่น้องจามแล้วเม็ดน้ำหอมหลุดออกมาเอง

เคสที่ 3

ลูกสาววัย 2 ขวบ ยัดกระดาษห่อลูกเข้าในจมูก ไม่มีใครในบ้านเห็นเลยจนลูกมีน้ำมูกไหลและพาไปพบคุณหมอ ตอนแรกตรวจดูแล้วไม่พบความผิดปกติ แต่กินยาลดน้ำมูกได้ 2 วันยังไม่มี แถมจมูกมีกลิ่นเหม็นเน่ามาก จึงพากลับไปหาหมออีกรอ หลังจากนั้นลูกแอบเอาเม็ดพลาสติกที่เป็นกระสุนของปืดอัดลมใส่จมูกอีก โชคดีว่าพี่ชายเห็นเหตุการณ์ จึงรีบพาไปให้คุณเครื่องดูดออกทันเวลา ไม่เป็นอันตราย

เคสที่ 4

คุณแม่อีกท่านสังเกตเห็นก้อนดำๆนูนๆที่เพดานปาก เข้าใจว่าห้อเลือดเพราะมีอะไรกระแทกปาก จึงพาไปพบคุณหมอฟันลองเขี่ยดูดังป๊อกๆ  พบว่าเป็นเม็ดพลาสติก หลังจากคุณหมอเอาออกแล้วจึงทราบว่าเป็นชิ้นส่วนจมูกของหมวกน้องหมีคู่ใจ ที่ลูกสาวแกะไปอมเล่น

จะรู้ได้อย่างไรว่ามี ของติดจมูกลูก

บางครั้งสิ่งแปลกปลอมมีขนาดไม่ใหญ่จนทำให้หายใจไม่ออก พ่อแม่จึงไม่รู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมติดในจมูกลูก มีวิธีสังเกตง่ายๆ หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวดังต่อไปนี้

  1. ลูกหายใจขัด คล้ายเป็นหืดหอบ หรือสังเกตว่าลูกหายใจสะดวกจากรูจมูกเพียงข้างเดียว
  2. ลูกใช้นิ้วแคะจมูกหรือดันจมูกบ่อยๆ
  3. มีน้ำมูกใส หรือน้ำมูกสีเขียวปนหนอง ปนเลือดไหลออกมาจากรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง อาจมีไข้ตัวร้อน ปวดศีรษะ
  4. ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ อาจมีน้ำมูกเขียวข้นคล้ายไซนัสอักเสบ
  5. หากสิ่งของติดอยู่เป็นเวลานาน อาจกลายเป็นหินปูนแข็งๆ เกาะติดในโพรงจมูก

พ่อแม่ควรทำอย่างไรเมื่อลูกเอาของยัดจมูก

อย่างแรก ที่พ่อแม่ต้องทำให้ได้ ! คือตั้งสติ เพื่อลดความตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ถ้าเป็นเช่นนั้นสถานการณ์อาจเลวร้ายลง เพราะลูกเองก็กลัวอยู่แล้วยิ่งเห็นพ่อแม่ตกใจอาจทำให้ลูกเสียขวัญกว่าเดิม เมื่อตั้งสติแล้วควรหันมาปลอบโยนและกำลังใจ ลูกจะกลัวน้อยลง การช่วยเหลือก็จะง่ายขึ้น

สอง ถ้าลูกอายุ 5 ขวบขึ้นไป ทำตามคำสั่งได้แล้ว บอกให้ลูกหายใจทางปาก เงยหน้าขึ้น จากนั้นลองส่องไฟฉายดูว่าสิ่งแปลกปลอมมีขนาดเล็กแค่ไหน อยู่ลึกหรือไม่ แล้วใช้มือปิดจมูกข้างที่ปกติไว้ ลองสั่งน้ำมูกเบาๆ อาจช่วยให้หลุดออกมา (ทั้งนี้ไม่ควรสั่งแรงหรือทำบ่อยครั้งเกินไป เพราะเป็นอันตรายกับแก้วหู

สาม หาก ของติดจมูกลูก อยู่ลึกเข้าไปโพรงจมูก ควรพาไปพบแพทย์ทันที

** ของติดจมูกลูก ห้ามใช้น้ำเกลือล้างจมูก เขี่ย แคะ หรือคีบออกมาเด็ดขาด เพราะอาจทำให้สิ่งของติดลึกไปกว่าเดิม หากตกไปหลังโพรงจมูก หรือหลอมลม เสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้**

สี่   กรณีลูกอายุน้อยกว่า  5 ขวบไม่ควรช่วยเหลือด้วยตัวเองเป็นอันขาด ไปพบแพทย์จะเป็นวิธีดีที่สุด

ป้องกันอย่างไรให้ไม่ให้ลูกเอาของยัดจมูก

หลายครั้งการที่ลูกเอาขอยัดใส่จมูกตัวเอง อาจไม่แสดงอาการให้เห็นทันที แต่ถ้าปล่อยไว้จะทำให้เกิดอาการอักเสบในโพรงจมูกแน่นอน จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งแปลกปลอม ดังนั้นทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรป้องกันเหตุร้ายตั้งแต่เนิ่นด้วยเทคนิคดังต่อไปนี้

  • เข้าใจธรรมชาติของเด็กก่อนว่า วัย 1-4 ขวบเป็นวัยอยากรู้อยากเห็น แต่ลูกพอเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่สอน
  • สอนลูกด้วยภาษาง่ายๆ อย่างตรงไปตรงมา ทำท่าทางประกอบให้เด็กสนใจ จดจำได้ เช่น “ลูกเอาเม็ดนี้เข้าจมูกไม่ได้นะครับ พร้อมกับโบกมือว่าไมได้ ถ้าใส่ไปแล้วจะเจ็บมากเลยนะ”
  • ควรปัดกวาดเช็ดถูกบ้านบ่อยๆ เก็บชิ้นส่วนเล็กน้อยให้หมด เพื่อให้บ้านปลอดภัยที่สุด เพราะเด็กเล็กมักนั่งกับพื้น จึงมีโอกาสหยิบสิ่งของยัดใส่จมูกได้ง่าย

แหล่งข้อมูล  https://www.facebook.com/Infectious1234/  http://www.csip.org/

 

อุทาหรณ์! ลูกยัดถ่านเข้าจมูก คีบไม่ออกจนถ่านเข้าไปในท้อง

 

รวมอุทาหรณ์ เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน

ล้างจมูกลูก อย่างไรให้ปลอดภัย ถูกต้องแต่ละช่วงวัย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

น้ำนมน้อย

10 สาเหตุที่แม่ น้ำนมน้อย แก้ได้ด้วยวิธีกระตุ้นน้ำนมสุดเวิร์ก

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำนมน้อย
น้ำนมน้อย

สำหรับคุณแม่มือใหม่แล้วปัญหา น้ำนมน้อย นมแม่ไม่พอ เป็นอีกหนึ่งปัญหาระดับอกที่ทำให้แม่กลุ้มใจ กังวลว่าลูกน้อยจะไม่มีนมแม่กินและได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งปัจจัย “น้ำนมน้อย” ที่พบบ่อยเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง มีวิธีไหนที่จะช่วยคุณแม่รับมือปัญหานี้และแก้ไขได้ มาดูกันดีกว่าค่ะ

นี่ไง! 10 สาเหตุที่แม่ น้ำนมน้อย

แม่เครียดหลังคลอด
แม่เครียดหลังคลอด

1.ความเครียดหลังคลอด

ภาวะความเครียดที่อาจเกิดขึ้นได้กับแม่มือใหม่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น วิธีการเลี้ยงลูก กลัวน้ำนมมาน้อยไม่เพียงพอต่อลูก ฯลฯ ซึ่งความเครียดที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้น้ำนมหด แห้ง หายได้ โดยเฉพาะการให้นมในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดที่คุณแม่มือใหม่อาจจะประสบปัญหาน้ำนมมาน้อย หรือบางคนแทบจะไม่มีเลย เพราะกลไกการผลิตน้ำนมในเต้านมของแม่และกระเพาะลูกน้อยเพิ่งเริ่มทำงานกันทั้งคู่ ในระยะแรกหลังคลอดจึงเป็นช่วงที่คุณแม่ต้องมีการปรับตัวมากพอสมควร การกระตุ้นให้ทารกได้ดูดนมจากเต้าบ่อย ๆ และให้ลูกน้อยดูดนมอย่างน้อยข้างละประมาณ 10-15 นาที ยิ่งทารกดูดบ่อยก็จะช่วยกระตุ้นให้น้ำนมผลิตเพิ่มขึ้นมาได้ ดังนั้นปริมาณน้ำนมที่ผลิตจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความถี่ในการกระตุ้นเป็นสำคัญนี่เอง ซึ่งโดยมากน้ำนมแม่จะเริ่มมาใน 3-4 วันหลังคลอด หากพบว่าในช่วงแรก ๆ แม่มีน้ำนมน้อยอย่าเพิ่งเครียด วิตกกังวลไป เพราะถ้ายิ่งเครียด ก็จะส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคตินที่กระตุ้นให้เซลล์ผลิตน้ำนมออกมาลดลง ทำให้น้ำนมไหลออกมาน้อยเกินไปได้

2.เคยผ่าตัดเต้านมมาก่อน

คุณแม่ที่เคยผ่าตัดลดขนาดของเต้านมมาก่อน อาจมีผลลดปริมาณน้ำนมได้ แต่ในกรณีที่เคยผ่าตัดเสริมอก หากเป็นการผ่าตัดที่ไม่ตัดท่อน้ำนมหรือกระเปาะน้ำนม เป็นการลงมีดตามแนวรัศมีวงกลม ก็จะไม่มีปัญหากับปริมาณการผลิตน้ำนม สามารถกระตุ้นให้ลูกดูดนมแม่เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมได้ปกติ

กินยาคุมหลังคลอด
กินยาคุมหลังคลอด

3.ใช้ยาคุมกำเนิดในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด

สำหรับคุณแม่ที่ใช้ยาคุมกำเนิดในระหว่างให้นมลูกหลังคลอดอาจส่งผลให้น้ำนมและคุณภาพของน้ำนมคุณแม่ลดน้อยลงได้ เนื่องจากยาคุมกำเนิดโดยทั่วไปจะมีส่วนประกอบของฮอร์โมน 2 ชนิดรวมกัน คือเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนจะกระตุ้นให้มีการเติบโตของท่อ และระบบการหลั่งเก็บนม หากรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนตัวนี้มากก็จะไปออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างน้ำนม ทำให้น้ำนมลดน้อยลงได้ ดังนั้นหากคุณแม่ต้องการคุมกำเนิดในช่วงที่กำลังให้นมลูกอยู่ ใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือเลือกทานยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว

4.ยาบางชนิด

ยาแก้แพ้จำพวก CPM (คลอเฟนิรามีน) หรือ Pseudoephedrine ที่ใช้ลดน้ำมูก แก้คัดจมูก ถึงแม้จะสามารถใช้ได้ในขณะให้นมลูก แต่หากใช้ต่อเนื่องหลาย ๆ วันก็มีผลทำให้น้ำนมลดได้ แต่หลังจากงดใช้ยาก็จะสามารถผลิตน้ำนมกลับมาเหมือนเดิม ดังนั้นหากคุณแม่จำเป็นต้องใช้ก็ไม่ควรใช้อย่างพร่ำเพรื่อ และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง

ลูกไม่ดูดเต้า
ลูกไม่ดูดเต้า

5.ลูกไม่ดูดเต้า

ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ไม่ดูดนมแม่ อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น ลูกดูดเต้าไม่เป็น แม่เอาลูกเข้าเต้าผิดวิธี ทำให้ลูกอมงับไม่ลึกพอ อาการเจ็บป่วยทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายตัวจนไม่อยากที่จะขยับปากดูดนม ปัญหาลูกน้อยอาจจะเป็นพังผืดใต้ลิ้น ที่ส่งผลให้การดูดนมแม่เป็นไปได้ยาก หรือหัวนมแม่บอด ที่ทำให้ดูดนมจากเต้าแม่ลำบากออกแรงดูดน้ำนมแม่ก็ยังไม่ออกมา ดังนั้นคุณแม่ต้องคอยสังเกตว่าลูกทำไมไม่ยอมเข้าเต้า หรือใช้เวลาในการดูดน้อยเกินไป อาจจะส่งผลให้น้ำนมไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเพียงพอและเหมาะสม ทำให้น้ำนมแม่มาน้อยลงได้

6.ใช้จุกนมหลอก

แม้ว่าจุกนมหลอกสำหรับทารกจะมีข้อดีที่ช่วยลดการเล่นน้ำลาย ดูดนิ้ว ช่วยทำให้เบบี๋อารมณ์ดี ลดอาการงอแง หรือช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อภาวะการตายเฉียบพลันในทารก (SIDS) ลงได้ แต่การใช้จุกนมหลอกนั้นเหมาะสำหรับทารกวัย 2 – 12 เดือน และไม่ควรใช้กับทารกแรกเกิด เพราะเป็นช่วงที่ทารกเริ่มรับประทานนมแม่ใหม่ ๆ หากให้ลูกดูดจุกนมหลอกควบคู่กันหรือปล่อยให้ลูกดูดบ่อย ๆ อาจทำให้ทารกเกิดความสับสนระหว่างหัวนมของคุณแม่กับจุกหลอกจนไม่ยอมกลับไปดูดนมแม่ตามที่ควรจะเป็น เมื่อลูกปฏิเสธเต้าแม่ ก็จะทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมลดลงได้

7.ลูกน้อยไม่ตื่นมาดูดนมตอนกลางคืน

เมื่อทารกหิวเมื่อไหร่ คุณแม่สามารถให้ลูกดูดนมได้บ่อยตามความต้องการของลูก ซึ่งโดยมากทารกจะดูดนมประมาณ 8-12 ครั้งต่อวัน ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ถ้าหากว่าลูกหลับนานกว่า 3 ชั่วโมงก็ควรปลุกลูกขึ้นมาดูดนมด้วย รวมถึงในช่วงเวลากลางคืนทารกอายุ 1 – 2 เดือนแรก ยังจำเป็นต้องให้ลูกได้ตื่นขึ้นมาเพื่อดูดนมแม่ในตอนกลางคืน เพราะในเวลากลางคืนเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตน้ำนมได้ดี การให้ทารกดูดนมมื้อดึกอย่างน้อย 1 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วง 2 – 3 สัปดาห์แรก จะช่วยให้ฮอร์โมนโปรแลกตินที่หลั่งออกมามากในเวลากลางคืนสูงขึ้น ซึ่งช่วยให้การสร้างน้ำนมเป็นไปด้วยดี ลูกน้อยจะได้รับน้ำนมอย่างเพียงพอและยังช่วยป้องกันปัญหาเต้านมคัดและน้ำนมลดลงได้ เมื่อทารกอายุ 4 – 5 เดือน กระเพาะอาหารเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ดูดนมแม่ได้มากขึ้น และเว้นระยะห่างระหว่างมื้อนมได้นานขึ้น รวมทั้งนอนได้นานขึ้น (นอนประมาณ 4 – 5 ชั่วโมงโดยไม่ตื่นมากินนม) ช่วงวัยนี้จึงไม่จำเป็นต้องปลุกลูกมากินนมมื้อดึกได้ แต่สำหรับคุณแม่หลาย ๆ คนการให้นมในเวลากลางคืนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการมีน้ำนมน้อย หรือยังควรที่จะปั๊มนมออกมาเพื่อให้น้ำนมสร้างมาใหม่สำหรับวันพรุ่งนี้ การทำแบบนี้เพื่อทำให้ร่างกายคุณแม่รับรู้ว่าต้องสร้างน้ำนมอีก เป็นการกระตุ้นน้ำนมเพื่อไม่ให้น้ำนมแม่มาน้อยลงในวันถัดไป

ท่อน้ำนมอุดตัน
ท่อน้ำนมอุดตัน

8.ท่อน้ำนมอุดตัน

ท่อน้ำนมอุดตัน ทำให้น้ำนมน้อย ไหลได้ไม่ดี และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเต้านมอักเสบได้ เกิดจากการที่ไม่ได้ให้ลูกดูดนมแม่บ่อย หรือจำกัดเวลาในการดูดนมของลูก หรือลูกน้อยดูดนมไม่เกลี้ยงเต้า ทำให้มีน้ำนมค้างอยู่ท่อ หรือปริมาณน้ำนมที่มากเกินไปและระบายออกได้ไม่สมดุลกับปริมาณน้ำนมที่ผลิต เมื่อขังไปนานๆ เข้าท่อน้ำนมก็เต็มแน่นจนมีอาการปวด บวม แดง ทำให้เนื้อเยื่อบวม อักเสบ และการผลิตน้ำนมหยุดชะงักได้ แนะนำคุณแม่ให้ทารกได้ดูดนมจากเต้าให้บ่อยขึ้น อย่างน้อย 8-12 ครั้ง/วัน และดูดนานอย่างน้อยข้างละ 15-20 นาที เพื่อล้างท่อน้ำนมให้มากที่สุด ให้ลูกดูดจากเต้าที่มีปัญหาก่อน เพราะขณะที่ลูกหิวจัดลูกจะดูดแรง ทำให้ระบายน้ำนมออกได้มาก และหลังจากที่ลูกดูดนมเสร็จให้บีบหรือปั๊มน้ำนมออกจะช่วยให้หายเร็วขึ้น จัดท่าให้ลูกดูดนมให้ถูกต้อง และนวดเต้านมเบาๆ ขณะลูกดูดนม โดยนวดเหนือบริเวณที่อุดตัน ไล่ลงไปถึงหัวนม เพื่อดันให้ก้อนที่อุดตันหลุดออก

9.การเสริมนมผง

การเสริมนมผสมจากขวดนมทำให้ลูกติดการดูดจุกนมมากกว่าดูดนมจากเต้า ทำให้ลูกได้ดูดนมแม่ไม่บ่อยพอ และเป็นผลทำให้ร่างกายคุณแม่ไม่ผลิตน้ำนมและน้ำนมลดน้อยลง นมแม่ไม่ไหลออกตามความต้องการของลูกน้อย ทำให้ลูกหงุดหงิด ร้องไห้เมื่อดูดนมแม่ แม่จึงจำเป็นต้องกลับมาให้นมผสมเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งสุดท้ายก็อาจจะต้องหยุดให้นมแม่ไปในที่สุดได้ ดังนั้นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังคลอด คุณแม่ไม่ควรเสริมนมผงให้ทารก ควรให้ลูกได้ดูดนมแม่เพียงอย่างเดียว

10.กินไม่ดี พาน้ำนมหด

นอกจากปริมาณน้ำนมแม่จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความถี่ในการดูดนมของลูกและเข้าเต้าได้ถูกวิธีแล้ว การบริโภคอาหารและการดื่มน้ำของแม่ก็มีส่วนต่อปริมาณน้ำนมด้วย มีการศึกษาวิจัยพบว่าแม่ที่กินอาหารน้อยกว่า 1,800 กิโลแคลอรีต่อวัน จะมีการผลิตน้ำนมลดลง ส่วนแม่ที่กินอาหารน้อย หรือตั้งใจลดน้ำหนักทันทีหลังคลอด อาจเสี่ยงต่อการขาดโปรตีนและพลังงาน ซึ่งการศึกษาพบว่าแม่กลุ่มนี้ จะมีปริมาณโปรตีนและน้ำนมน้อยลงกว่าปกติด้วย ดังนั้นในช่วงให้นมลูก คุณแม่ควรกินอาหารเพิ่มขึ้นกว่าตอนก่อนตั้งครรภ์ 500 กิโลแคลอรีต่อวัน หรือเพิ่มอาหารจาก 3 มื้อ เป็น 4 มื้อต่อวัน และดื่มน้ำอย่างน้อย 1-2 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 8-12 แก้ว หรือหากจะให้ดีก่อนและหลังให้นมลูกหรือปั๊มนม คุณแม่ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว เนื่องจากองค์ประกอบของนมแม่กว่า 80% คือน้ำ หากดื่มน้ำไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อการผลิตน้ำนมโดยตรงได้

ข้อมูล www.haijai.com

แม่ลูกอ่อน

แม่มือใหม่อย่าเพิ่งเครียด! ทำอย่างไรจะกระตุ้นให้มีน้ำนม?

อันดับแรกคุณแม่ต้องมั่นใจว่า “นมแม่” นั้นมีเพียงพอสำหรับลูกน้อยและสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย หลักการสร้างน้ำนมที่ดีที่สุดคือ การกระตุ้นให้ลูกน้อยดูดเต้า และวิธีอื่น ๆ เช่น

  • ให้นมลูกบ่อยขึ้นและนานขึ้น (อย่างน้อย 8 ครั้งต่อวัน) ถ้าไม่ได้อยู่กับลูก ก็ควรบีบหรือใช้วิธีปั๊มนมออกให้เกลี้ยงเต้าทุก 3 ชั่วโมง
  • จัดท่าให้ลูกดูดนมอย่างถูกวิธี ให้ลูกอมหัวนมและลานนมได้ลึกพอ
  • กระตุ้นเต้านมด้วยการนวดประคบเต้า โดยใช้ผ้าอุ่นจัดประคบเต้านม 3 – 5 นาทีก่อนให้นม นวดเต้านมและคลึงหัวนมเบา ๆ จะช่วยให้คุณแม่ที่มีน้ำนมน้อยมีน้ำนมพุ่งได้ และทำให้ปั๊มนมออกง่าย ช่วยลดอาการท่อน้ำนมอุดตันหรือเต้านมเป็นไตได้
  • หลีกเลี่ยงการเสริมนมผสม ให้น้ำ หรืออาหารเสริมอื่นให้ทารกก่อนอายุ 6 เดือน
  • หาวิธีทำตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด พักผ่อนให้เต็มที่ ด้วยการฟังเพลง หรือนึกถึงแต่สิ่งดี ๆ ในขณะให้นมลูกหรือขณะปั๊มนม
  • รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเลือกทานอาหารเพิ่มน้ำนม เช่น ที่มีส่วนผสมของโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุต่าง ๆ ได้แก่ เนื้อปลาแซลมอน ไข่ ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น จะช่วยให้ปัญหาน้ำนมน้อยดีขึ้นได้
  • ใช้เครื่องปั๊มนมเพื่อช่วยกระตุ้นปริมาณน้ำนม ในกรณีที่คุณแม่ต้องไปทำงาน ไม่อยู่บ้านให้นมลูกได้ โดยในช่วงแรก ๆ ให้ปั๊มนมเป็นเวลาอย่างน้อย 10-15 นาทีต่อข้าง ต่อการปั๊มแต่ละครั้ง เมื่อปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้นแล้ว พยายามปั๊มให้นานขึ้นอย่างน้อย 20-30 นาที หรือปั๊มต่ออีก 2 นาทีหลังจากน้ำนมถูกปั๊มออกหมดแล้ว การปั๊มให้เกลี้ยงเต้าจะช่วยให้น้ำนมผลิตได้เร็วขึ้น ยิ่งปั๊มได้บ่อยแค่ไหนต่อวัน ก็จะยิ่งทำให้เต้านมผลิตน้ำนมได้มากขึ้นเท่านั้น สำหรับคุณแม่ที่มีปัญน้ำนมน้อยนอกจากการให้ลูกได้ดูดเต้าอย่างสม่ำเสมอแล้วก็สามารถนำวิธีการปั๊มเพื่อกระตุ้นน้ำนมร่วมด้วยได้เช่นกัน

หากคุณแม่ได้ลองทำวิธีดังกล่าวแล้วสำหรับการติดตามผล อาจใช้เวลาประมาณ 4 – 7 วันจึงจะเห็นผลว่าน้ำนมมามากขึ้น อย่างไรก็ตามปัญหา “น้ำนมน้อย” หรือ “นมไม่พอ” ของแม่แต่ละคนนั้นแม้จะดูเป็นปัญหาเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาในเรื่องนี้ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ปัจจัยและวิธีแก้ไขก็จะแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นหลังคลอดถ้าคุณแม่เริ่มต้นดีสำหรับการให้นมลูกน้อย ปัญหาเรื่องนี้ก็อาจจะคลายกังวลลงได้ ทีมแม่ ABK ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทุกคนนะคะ.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.todaysparent.com, www.moneyhub.in.thwww.beanbagsnacks.com

อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก : 

ผักผลไม้เพิ่มน้ำนม 20 ชนิด เพิ่มน้ำนมให้คุณแม่

ให้ลูกกินน้ำนมได้ไหม ถ้าแม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ติดเชื้อโควิด-19

แม่ให้นมกินทุเรียน แล้วน้ำนมเหม็น ลูกเมินนมแม่! จริงมั้ย?

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ไม่ต้องรอคลอด! 9 วิธีกระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ สร้างลูกฉลาด อารมณ์ดีได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง

Alternative Textaccount_circle
event

ไม่ต้องรอจนลูกน้อยคลอดออกมา คุณแม่ก็สามารถเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในท้องได้ด้วยวิธีกระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ ที่เริ่มได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกจนถึงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งช่วงเวลาที่ทารกเจริญเติบโตภายในครรภ์นั้นเซลล์ประสาทและระบบภายในร่างกายเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือเป็นช่วงเวลาไม่ว่างเปล่าที่คุณแม่จะส่งเสริมทักษะอันหลากหลายให้กับเจ้าตัวน้อยได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง พัฒนาการของทารกในครรภ์ไม่ว่าจะเป็นด้านสมอง ร่างกายจะได้รับการพัฒนาเมื่อถูกคุณแม่กระตุ้น เพื่อให้ลูกคลอดออกมาเป็นเด็กฉลาด ไหวพริบดี อารมณ์ดี มีสุขภาพที่ดีแข็งแรงเพิ่มขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

กระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ เริ่มต้นเมื่อไหร่ดี

นับตั้งแต่กระบวนการปฏิสนธิโดยสมบูรณ์ ไข่ผสมกับสเปิร์มและสร้างเป็นตัวอ่อน สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ภายในท้องของคุณแม่ก็เริ่มพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ และสร้างระบบอวัยวะต่างมากมายรวมทั้งเซลล์สมองที่มีการเพิ่มทั้งจำนวนและขนาด เกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองและเชื่อมโยงกันเองเกิดเป็นข่ายใยเส้นประสาทอย่างมากและรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ดังนั้นช่วงทองที่คุณแม่จะกระตุ้นพัฒนาการของสมองลูกน้อยสามารถเริ่มได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ตลอด 9 เดือนกันเลย

ไม่ต้องรอคลอด! 9 วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการ
สร้างลูกฉลาด อารมณ์ดีได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง

การรับรู้ของทารกในครรภ์
การรับรู้ของทารกในครรภ์

1.ลูบหน้าท้องกระตุ้นความรู้สึก

ช่วงไตรมาสแรกแม้ทารกจะเป็นตัวอ่อนอยู่ แต่ภายในเดือนที่ 2 ทารกจะเริ่มรับรู้สัมผัสทางกายได้ การที่คุณแม่ได้สัมผัสหน้าท้องหรือลูบท้องเบา ๆ จะทำให้ทารกรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะท้อน ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น นอกจากนี้ความรัก ความอบอุ่นที่ผ่านจากปลายมือเหมือนกำลังสัมผัสร่างกายส่วนต่าง ๆ ของลูกน้อยที่ช่วยให้คุณแม่รู้สึกใกล้ชิดกับเจ้าต้วน้อยในท้องมากขึ้น และการส่งเสียงทักทายพูดคุยกับเบา ๆ ที่ทำให้คุณแม่มีความสุขในช่วงเวลานี้ ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดรฟินหรือสารแห่งความสุขจะถูกส่งผ่านไปทางสายสะดือไปยังทารกในครรภ์ จะทำให้ลูกน้อยเป็นเด็กอารมณ์ดี เลี้ยงง่าย มีพัฒนาการที่ดีทั้ง IQ และ EQ

อ่านหนังสือให้ลูกในท้องฟัง
อ่านหนังสือให้ลูกในท้องฟัง

2.อ่านหนังสือให้ลูกฟังกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกน้อย

สิ่งที่น่าอัศจรรย์ระหว่างชีวิตน้อย ๆ ในท้องกับคุณแม่ก็คือการได้ยินกันและกันผ่านผนังหน้าท้อง แม้ว่าลูกจะอยู่ภายในอีกด้านหนึ่ง แต่ก็สามารถสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ โดยทารกในครรภ์จะเริ่มได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่เดือนที่ 5 ดังนันเพื่อเป็นการกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกน้อยด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงแค่คุณแม่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านออกเสียงให้ลูกได้ฟัง ใช้เวลาซัก 30 นาทีหรือก่อนนอน เช่น นิทานเด็ก หนังสือวรรณกรรมเด็กและเยาวชน หรือคู่มือเลี้ยงลูก เป็นต้น เสียงสะท้อนจากคุณแม่จะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อสมองในชั้นที่มีความซับซ้อนด้านการได้ยิน การตีความเสียง และส่วนของความทรงจำ ที่มีส่วนช่วยให้ลูกมีพัฒนาการได้เร็ว ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อคุณแม่อ่านหนังสือด้วยการใช้โทนเสียงที่มีจังหวะสูงต่ำเหมือนการเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง และเอามือแตะท้องเบา ๆ ไปด้วยในขณะอ่าน ก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกตอบสนองกับเสียงของแม่ไปด้วย และนอกจากลูกน้อยจะได้พัฒนาการที่ดีจากการที่คุณแม่อ่านหนังสือให้ฟังแล้ว ลูกยังได้คุ้นชินกับเสียงของคุณแม่ตั้งแต่ในครรภ์ ความรู้สึกที่ส่งผ่านไปจะทำให้ลูกผ่อนคลาย อารมณ์ดี มีแนวโน้มที่เป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายอีกด้วย

3.เล่นหน้าท้องกระตุ้นลูกดิ้น

นอกจากการสัมผัสหน้าท้อง ลูบหน้าท้องเบา ๆ ที่คุณพ่อกับคุณแม่สามารถทำได้บ่อย ๆ ตลอดการตั้งครรภ์ ในช่วงไตรมาสที่ 2 คุณแม่จะรับรู้ได้ถึงการดิ้นของลูก ในขณะที่ลูกดิ้นหรือโก่งตัวเคลื่อนไปมา คุณแม่อาจตอบสนองโดยใช้มือเล่นหน้าท้องกับลูกด้วยการลูบให้แรงขึ้น โดยวนเป็นวงกลมจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบนก่อนก็ได้ หรือใช้นิ้วจิ้มไปยังจุดที่ลูกเคลื่อนไหว หากจังหวะนั้นลูกในท้องมีปฏิกิริยาตอบรับ มีการเคลื่อนที่หรือดิ้นไปยังทิศทางหนึ่ง แสดงว่าลูกมีการตอบสนองจากสิ่งเร้าที่คุณแม่สร้างให้ ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาสมอง เพิ่มเติมความฉลาดให้กับลูกน้อยในท้องได้อีกวิธี

เปิดเพลงให้ลูกในท้องฟัง
เปิดเพลงให้ลูกในท้องฟัง

4.ให้ลูกน้อยฟังเพลงกระตุ้นพัฒนาการได้ยิน

ลูกน้อยในครรภ์จะเริ่มได้ยินตั้งแต่อายุครรภ์เดือนที่ 5 หูของทารกในครรภ์จะมีความสมบูรณ์ในสัปดาห์ที่ 20 และเริ่มต้นรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ในสัปดาห์ที่ 24 ได้ยินเสียงในสัปดาห์ที่ 30 สามารถแยกแยะเสียงได้ในสัปดาห์ที่ 34 ซึ่งระบบประสาทการรับฟังถือว่าเป็นพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสของเด็กที่พัฒนาในอับดับต้น ๆ ดังนั้นเสียงต่าง ๆ จากภายนอกก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น  โดยเฉพาะเสียงเพลง หากเปิดดนตรีให้ลูกได้ฟังในระหว่างตั้งครรภ์ ประมาณ 10-15 นาที/วัน เปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดังพอประมาณ คลื่นเสียงจะไปกระตุ้นการได้ยินให้พัฒนาระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทั้งนี้คุณแม่สามารถเปิดเพลงในแนวที่คุณแม่ชอบฟังหรือเพลงที่มีทำนองไพเพราะ ท่วงทำนองฟังสบาย อย่างเพลงคลาสสิคที่ขึ้นว่ามีส่วนช่วยเพิ่มไอคิวเสริมสร้างพัฒนาการทำให้สมองดี เฉลียวฉลาด และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี อีกทั้งเมื่อลูกน้อยที่ได้ยินเสียงผ่านผนังหน้าท้องอาจจะมีการตอบสนองต่อเสียงเพลงด่วยการเคลื่อนไหว ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

5.ชวนลูกคุยบ่อย ๆ กระตุ้นพัฒนาการได้ยิน ภาษา และอารมณ์

ในระยะไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในเดือนที่ 6 ที่ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินของทารกเริ่มทำงานได้เต็มที่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการอ่านหนังสือ เปิดเพลงให้ลูกฟังล้วนมีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาการการได้ยินของลูกน้อย และอีกหนึ่งวิธีที่คุณพ่อคุณแม่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านนี้ได้ดียิ่งขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คือ การพูดคุยกับลูกในท้องบ่อย ๆ เสียงพูดของคุณพ่อคุณแม่จะส่งผ่านเข้าไปถึงลูกน้อยช่วยกระตุ้นพัฒนาการการได้ยิน รับรู้ แยกแยะเสียง และทำให้ทารกในครรภ์มีทักษะด้านภาษาและสื่อสารตั้งแต่ยังไม่ได้คลอด ทั้งนี้ทารกสามารถจำเสียงคุณพ่อคุณแม่ได้ตั้งแต่อยู่ในท้องด้วย หลังคลอดหากทารกงอแง หงุดหงิดง่าย เมื่อได้ยินเสียงของคุณพ่อคุณแม่ก็อาจทำให้ลูกน้อยสงบลงได้ง่ายขึ้น ไม่เพียงเท่านี้การพูดคุยกับลูกน้อยในครรภ์ยังเป็นการเชื่อมสายใยรัก ความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

ส่องไฟทารกในครรภ์
ส่องไฟทารกในครรภ์

6.ส่องไฟฉายกระตุ้นพัฒนาการการมองเห็น

ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือนทารกในครรภ์สามารถลืมตา กระพริบตา รับรู้แสง มองเห็นแสง และแยกความแตกต่างระหว่างความมืดและความสว่างได้แล้ว ในระยะนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการมองเห็นให้กับลูกน้อยด้วยการใช้ไฟฉายส่องที่หน้าท้อง เปิดปิดไฟแบบกะพริบ ๆ เพื่อให้แสงเคลื่อนที่บนล่างอย่างช้า ๆ ผ่านหน้าท้องไปที่น้ำคร่ำ เล่นกับลูกด้วยวิธีวันละ 5-10 ครั้งประมาณ 1-2 นาที ซึ่งลูกอาจจะมีการตอบสนองแสงไฟด้วยการดิ้นให้คุณแม่รับรู้ได้ การส่องไฟที่หน้าท้องนี้จะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นของทารกมีพัฒนาดีขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นของทารกในภายหลังคลอด

7.ดมกลิ่นหอม ๆ กระตุ้นการรับกลิ่นของลูกน้อย

ในช่วงอายุครรภ์เดือนที่ 9 แม้ประสาทสัมผัสด้านการได้กลิ่นของทารกจะเริ่มทำงานไม่ชัดเจนนัก แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกน้อยในด้านนี้ได้ด้วยการใช้กลิ่นหอมจากธรรมชาติหรือออโรมาอ่อน ๆ ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมภายในบ้าน แถมกลิ่นหอมอ่อน ๆ นอกจากช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลาย ลดภาวะเครียดในช่วงใกล้คลอดลงได้ เมื่อคุณแม่อารมณ์ดี ไม่เครียด ก็จะส่งผลต่อไอคิวของลูกน้อยให้ฉลาดจากฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินที่หลั่งออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ทำไมต้องกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์

8.กินดีช่วยกระตุ้นพัฒนาการการรับรส

ในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์มีการเจริญเติบโตและมีพัฒนากาารที่ดีขึ้น รวมทั้งประสาทสัมผัสที่เกี่ยวกับการรับรส ลูกน้อยในครรภ์จะสามารถรับรู้รสจากการกลืนน้ำคร่ำและอาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไป ดังนั้นการใส่ใจโภชนาการในช่วงตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง คุณแม่ควรรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะสารอาหารที่จำเป็นต่อแม่ท้อง เช่น ไอโอดีน ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองของทารกในครรภ์ และธาตุเหล็ก ทั้งนี้มีงานวิจัยพบว่าการขาดสารอาหาร 2 ตัวนี้ในระหว่างตั้งครรภ์จะทำให้เด็กในท้องคลอดออกมามีไอคิวที่ต่ำได้ DHA ที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการสมองและสายตาของลูกน้อยในครรภ์ โปรตีน สำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของทารกในครรภ์ แคลเซียม สำคัญต่อการเจริญเติบโตกระดูกของลูกในท้อง กรดโฟลิคหรือโฟเลต เป็นต้น

กระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์

9.ออกกำลังกายกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น

เมื่อคุณแม่ท้องออกกำลังกายมีส่วนทำให้ลูกน้อยในครรภ์มีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย เคล็ดลับของออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์ คือ เลือกออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน โยคะคนท้อง ว่ายน้ำ ฯลฯ ให้เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างน้อยวันละ 20-30 นาที การได้ออกกำลังกายจะช่วยให้หัวใจของแม่ทำงานได้ดี เลือดไหลเวียนได้ดี การขยับเขยื้อนของคุณแม่จะส่งผลให้ผิวของทารกไปโดนกับผนังด้านในของมดลูก ผลดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น

จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาที่คุณแม่ตั้งท้องมีวิธีกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกน้อยที่ส่งผลต่อความฉลาด อารมณ์ และพัฒนาการด้านอื่น ๆ ได้หลายวิธี ลองทำแบบนี้ได้บ่อย ๆ กับลูกตั้งแต่อยู่ในท้อง ก็เป็นการสร้างความฉลาดให้ลูกติดตัวมาได้ไม่ยากเลย ทั้งนี้รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ให้ข้อมูลว่า “ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเลยว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่และวิธีการใดเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพียงแต่มีข้อสังเกตว่าทารกจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มีสติปัญญาดี เลี้ยงง่าย อารมณ์ดี” ดังนั้นถ้าคุณแม่อยากจะกระตุ้นพัฒนาการของลูกในครรภ์จะด้วยวิธีการใดก็ตาม ถ้าคุณแม่ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองสบายดี มีความสุข และไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้องก็สามารถทำได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.si.mahidol.ac.thwww.happymom.in.th

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

7 พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในครรภ์ฉลาด

10 วิธีกระตุ้นให้ลูกดิ้น ต้องเล่นกับลูกในท้อง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

น้ำแร่ Iceland Spring

น้ำแร่ Iceland Spring pH8.88 แพ็กเกจใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำแร่ Iceland Spring
น้ำแร่ Iceland Spring

ร่างกายของเราทุกคนมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 70% ควรดื่มน้ำวันละ 6 – 8 แก้ว จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย น้ำแร่ Iceland Spring pH8.88 น้ำแร่ธรรมชาติจากประเทศไอซ์แลนด์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ มีค่าความเป็นด่างสูงถึง 8.88 (pH8.88) ช่วยขับกรดจากร่างกาย และเป็นน้ำแร่ที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุด (Purity) มีแร่ธาตุต่ำเพียง 58 มก./ลิตร ซึ่งค่าบริสุทธิ์หมายถึงปริมาณแร่ธาตุ หากตัวเลขยิ่งต่ำคือคุณสมบัติที่ดี ร่างกายจะปราศจากการสะสมแร่ธาตุที่สูงจากการดื่มน้ำแร่ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่เป็นทรงเหลี่ยมดีไซน์ทันสมัย สามารถย่อยสลายได้ 100% เพื่อยกระดับของการเป็นแบรนด์น้ำแร่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มาพร้อมขนาด 0.5 ลิตร 1 ลิตร และ 1.5 ลิต

น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88 ขนาด 0.5 ลิตร 1 ลิตร และ 1.5 ลิตร
น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88 ขนาด 0.5 ลิตร 1 ลิตร และ 1.5 ลิตร

สร้างสมดุลให้คุณแม่และลูกน้อย ด้วย น้ำแร่ Iceland Spring

  • เป็นด่างอ่อนๆ ลดกรด ช่วยกำจัดของเสีย
  • ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
  • สร้างสมดุล ขับกรดออกจากร่างกาย
  • ช่วยบำบัด และป้องกันท้องผูก
  • ช่วยลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
  • ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใสจากภายในสู่ภายนอก ลดปัญหาผิวแห้ง ผิวแตก และ ผิวคัน ทำให้หน้าดูกระจ่างใส ให้ผิวดูอ่อนเยาว์
  • เสริมรสเอกลักษณ์ ของวัตถุดิบต่างๆ และ รสชาติของอาหารดีขึ้น เมื่อนำน้ำแร่ Iceland Spring ไปเป็นส่วนประกอบของอาหาร
  • ช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือด ทำให้ระบบสูบฉีดไหลเวียนมีประสิทธิภาพเหมาะกับผู้ออกกำลังกาย
  • ช่วยขับเหงื่อและลดการเสียน้ำจากการออกกำลังกาย
­ช่วยขับเหงื่อและลดการเสียน้ำจากการออกกำลังกาย
­ช่วยขับเหงื่อและลดการเสียน้ำจากการออกกำลังกาย

นอกจากนี้ สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคุณแม่ที่มีลูกเล็ก น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88 ก็ตอบโจทย์เช่นกันค่ะ เพราะช่วยชะลอการเกิดโรคกระดูกพรุน เหมาะกับสตรีมีครรภ์ มีโมเลกุลขนาดเล็ก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้นในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ช่วยเร่งกระบวนการสร้างแคลเซียมให้กับแม่และเด็ก และยังสามารถนำไปชงนมสำหรับลูกได้ด้วยนะคะ

ร่วมรักษาสมดุลของร่างกายจากภายในสู่ภายนอก เพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง กับน้ำแร่จากธรรมชาติ “Iceland Spring” ในบรรจุภัณฑ์ใหม่ทั้ง 3 ขนาดได้แล้ววันนี้ ที่ห้างสรรพสินค้า และซุปเปอร์มาเก็ตชั้นนำ หรือ โฮม เดลิเวอรี่ (Home Delivery) โทร. 02-911-4855 หรือที่ Line ID: @icelandspring

น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88
น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด

ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด อยากให้ลูกหายไข้ พ่อแม่ต้องทำอย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด
ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด

โอกาสที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพบเจอกับอาการเจ็บป่วย ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด ของลูกในช่วงวัยเด็กได้บ่อยครั้ง และไม่ว่าสาเหตุของการที่ลูกมีไข้จะเกิดจากอะไร ก็อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่วิตกกังวล ซึ่งเมื่อลูกเป็นไข้ตัวร้อนสิ่งที่พ่อแม่ควรทำในเบื้องต้นให้เร็วที่สุดก็คือการหาวิธีลดไข้ลูก เพราะหากลูกมีไข้สูงต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการชักได้

ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด เกิดจากอะไร?

ไข้หรือตัวร้อนในเด็กเป็นอาการของโรคที่แม้ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากโรคหรือภาวะที่ร้ายแรง แต่ถ้าหากลูกมีไข้สูงก็อาจเป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคอื่น ๆ ได้มากมาย และระยะเวลาที่ไข้จะปรากฏในแต่ละโรคจะยาวนานต่างกัน โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการไข้ของลูกว่าตัวร้อนกว่าปกติหรือไม่ ได้จากการสัมผัส และการวัดไข้ด้วยเทอร์โมมิเตอร์

ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด ทําไงดี

ตัวร้อนแค่ไหนถือว่ามีไข้

โดยปกติอุณหภูมิร่างกายจะถูกควบคุมด้วยสมองส่วนที่เรียกว่าไฮโปโทลามัส สมองส่วนนี้จะคอยส่งสัญญาณให้ร่างกายรักษาอุณหภูมิไว้ในระดับที่เหมาะสม คือ ประมาณ 37 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิร่างกายปกติไม่ควรเกิน 37.6 องศาเซลเซียส ดังนั้นถ้าลูกมีอาการตัวร้อนวัดไข้แล้วมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 37.6-38.4 องศาเซลเซียส แสดงว่ามี “ไข้ต่ำ” แต่ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปจะจัดว่ามี “ไข้สูง” และอุณหภูมิที่ถือว่าไข้สูงมากอย่างรุนแรงหรือ ซึ่งเป็นภาวะที่จัดว่าเป็นอันตายที่สุดคือ 41.1 องศาเซลเซียสขึ้นไป ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อย  มักเกิดจากการติดเชื้อโรครุนแรงในกระแสโลหิต หรือเกิดจากภาวะเลือดออกในสมอง

นอกจากนี้การมีไข้อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วยในช่วงที่อุณหภูมิร่างกายเริ่มสูงขึ้น และอาจมีเหงื่อออกเมื่อไข้เริ่มลดลง ซึ่งเป็นกลไกปลดปล่อยความร้อนที่มากเกินไปออกจากร่างกาย ซึ่งอาการที่ลูกตัวร้อนหรือมีไข้นั้นเกิดจากสมองส่วนไฮโปโทลามัสปรับอุณหภูมิร่างกายให้สูงกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นผลที่เกิดจากปัจจัยเหล่านี้ได้ เช่น

  • การติดเชื้อเป็นสาเหตุของการมีไข้ที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งมีทั้งอาการติดเชื้อจากการอักเสบเฉพาะที่ เช่น คออักเสบ ลำไส้อักเสบ ข้ออักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น เช่น ไข้หวัด ไข้มาลาเรีย ไข้จากแผล ฝีหนอง และยังมีการติดเชื้อซึ่งไม่มีอาการเฉพาะที่ เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ไข้ไทฟอยด์ เป็นต้น
  • การก่อภูมิคุ้มกันเด็กสามารถมีไข้อ่อน ๆ ได้หลังจากได้รับวัคซีน ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคนั้น ๆ ขึ้นมา
  • การสวมใส่เสื้อผ้าหนาเกินไปหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อึดอัดก็อาจส่งผลให้ลูกตัวร้อน เนื่องจากร่างกายมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นกับเด็กทารกเพราะร่างกายยังปรับอุณหภูมิได้ไม่ดีเท่าเด็กที่โตกว่า
  • มีไข้ได้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น การออกกำลังกายกลางแดด การกินยาบางชนิด การแพ้ยา ความผิดปกติของการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ หรือจากภาวะขาดน้ำ เป็นต้น

อยากให้ลูกหายไข้ พ่อแม่ควรทำอย่างไร?

หากคุณแม่สังเกตว่าลูกมีอาการตัวร้อนและมีไข้ แต่ยังสามารถกินอาหาร ดื่มน้ำได้ปกติ มีพฤติกรรมต่าง ๆ ตามปกติ  ไม่มีอาการซึมหรือไม่มีอาการอึดอัดไม่สบายตัว ในเบื้องต้นอาจบรรเทาลดไข้ลูกด้วยวิธีต่อไปนี้

วิธีลดไข้ลูก

1.เช็ดตัวลดไข้ลูกเพื่อเป็นการนำความร้อนออกจากร่างกาย วิธีที่ได้ผลดีคือ

  • ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดาบอดหมาดพอควร
  • เริ่มเช็ดบริเวณใบหน้า และพักไว้ที่หน้าผาก ซอกคอ ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง
  • เช็ดบริเวณหน้าอกและลำตัว และเช็ดย้อนขึ้นจากปลายมือไปยังต้นแขน และรักแร้ เพื่อระบายความร้อน ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
  • เช็ดขาย้อนขึ้นจากปลายเท้าไปสู่ต้นขาและขาหนีบ ทำซ้ำ 3 – 4 ครั้ง และพักผ้าบริเวณใต้เข่า ขาหนีบ
  • ปรับท่าให้ลูกนอนตะแคงเช็ดบริเวณหลัง ตั้งแต่ก้นกบขึ้นคอ ทำซ้ำ 3 – 4 ครั้ง จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง ใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ให้ลูก

การเช็ดตัวลดไข้ควรทำนานประมาณ 30 นาที ควรเปลี่ยนน้ำอุ่นบ่อย ๆ แต่การเช็ดตัวจะช่วยให้อุณหภูมิลดลงเพียงชั่วคราวเท่านั้นเพราะการเป็นไข้เกิดจากการที่อุณหภูมิในร่างกายสูง หลังจากเช็ดตัวลดไข้ประมาณ 15 นาที ให้วัดอุณหภูมิซ้ำ หากยังมีไข้ควรมีการเช็ดตัวใหม่อีกครั้ง และระหว่างมีไข้ไม่ควรให้ลูกอาบน้ำเย็น

วิธีลดไข้ลูกตัวร้อน
วิธีลดไข้ลูกตัวร้อน

2.หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของลูก หากเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด คุณพ่อคุณแม่อาจให้ลูกรับประทานยาลดไข้อย่างพาราเซตามอล โดยปฏิบัติตามคำเตือนและวิธีการใช้ยาอย่างระมัดระวัง และไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ยาแอสไพริน เพราะอาจมีโอกาสแพ้ยา และทำให้เกิด Reye’s syndrome (โรคที่มีความผิดปกติของตับและสมองอย่างเฉียบพลัน) ได้

3.ให้ลูกดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและช่วยให้อุณหภูมิร่างกายลดลง

4.หากลูกมีอาการหนาวสั่น ควรให้ห่มผ้า เมื่อไข้ลดลงให้นำผ้าที่ห่มออก ไม่ควรให้ลูกใส่เสื้อผ้าที่หนาหรืออึดอัดจนเกินในระหว่างนอนหลับ เพราอาจทำให้ไข้ไม่ลดเรื่องจากการใส่เสื้อผ้าหนาเกิน และให้นอนพักอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท เย็นสบาย ไม่ร้อนจนเกินไป เพื่อให้อุณหภูมิร่างกายลดลง

ถึงแม้ว่าการมีไข้ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตราย แต่ในภาวะที่มีไข้สูงในเด็ก อาจส่งผลเสียทำให้ลูกมีอาการขาดน้ำ เนื่องจากผลข้างเคียงที่เกิดจากไข้ เช่น ท้องเดิน อาเจียน ดื่มน้ำไม่ได้ ทำให้ขาดน้ำมากขึ้น จากการที่ดื่มน้ำได้น้อยลง หรือเสียน้ำไปทางลมหายใจ รวมถึงเด็กที่มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น เด็กที่เป็นโรคหอบร่วมกับไข้สูง อาจทำให้ความต้องการออกซิเจนสูงขึ้นทำให้หอบมากขึ้น โรคหัวใจที่มีอัตราการเต้นหัวใจที่เร็วอยู่แล้ว ไข้อาจทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น โรคโลหิตจาง ติดเชื้อในกระแสโลหิต ช็อค ไข้อาจทำให้การปรับตัวของร่างกายเสียสมดุลได้ อาการชักจากไข้สูง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายแต่ไม่แสดงอาการชักออกมาอย่างชัดเจน เด็กจะดูคล้ายกำลังหมดสติ มักพบในผู้ป่วยเด็กช่วงอายุ 6 เดือน ถึง 6 ปี โดยเด็กที่เคยชักเวลามีไข้สูงหรือในครอบครัวที่มีประวัติชักเมื่อไข้สูง ต้องระวังเป็นพิเศษในขณะมีไข้ ดังนั้นการลดไข้ในเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่พอ่แม่ควรเรียนรู้วิธี โดยเช็ดตัวและให้ยาลดไข้เพื่อป้องกันไม่ให้ไข้สูง

ลูกเป็นไข้หลายวันไม่หาย
ลูกเป็นไข้หลายวันไม่หาย

เมื่อไรควรพาลูกไปพบแพทย์ ?

หากลูกตัวร้อน มีไข้ โดยให้รับประทานยาลดไข้และเช็ดตัวบ่อย ๆ แล้วไข้ยังไม่ลด อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหรือมีอาการผิดปกติเหล่านี้ร่วมกับมีไข้สูง อาทิเช่น

  • ง่วงซึม อ่อนแรง ไม่มีความอยากอาหาร หงุดหงิดง่าย
  • ลูกปฏิเสธการดื่มน้ำและกินอาหาร หรือดูป่วยเกินกว่าจะดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ
  • มีอาการของภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ ไม่มีน้ำตาเมื่อร้องไห้ เฉื่อยชาผิดปกติ เป็นต้น
  • ริมฝีปาก คอ หรือเล็บเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
  • ลูกบ่นปวดหัว ไอ เจ็บคอ เจ็บหู หรือมีอาการปวดผิดปกติอย่างรุนแรง
  • มีอาการอาเจียนและท้องเสียอย่างต่อเนื่อง
  • มีผื่นแดงขึ้นหรือจุดสีม่วงบนผิวหนังคล้ายรอยฟกช้ำ
  • มีปัญหาในการหายใจ หายใจเร็ว หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
  • มีอาการชัก

ทั้งนี้คุณแม่ต้องทราบด้วยว่าการให้กินยาลดไข้เป็นเพียงยาบรรเทา ไม่ใช่ยารักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดไข้ เมื่อกินยาหนึ่งครั้งยาจะออกฤทธิ์ลดไข้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง หากสาเหตุที่ทำให้เกิดไข้ยังไม่หายควรใช้ยาลดไข้เมื่อไข้สูงเท่านั้น ซึ่งควรอ่านฉลากการใช้ยาลดไข้สำหรับเด็กอย่างชัดเจน และทำร่วมกับการเช็ดตัวลดไข้ ถ้าภายใน 2-3 วันอาการไข้ยังไม่ทุเลา หรือพบอาการผิดปกติดังกล่าว คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการโดยเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตาม อาการไข้ โดยทั่วไปถือว่าเป็นการตอบสนองของร่างกาย ที่เกิดขึ้นได้กับเด็กแทบทุกคน ซึ่งมักจะไม่ทำอันตรายต่อตัวเด็กจากไข้เอง เมื่อลูกเป็นไข้ตัวร้อนหากคุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างถูกวิธี ก็สามารถดูแลและบรรเทาอาการไข้ของลูกน้อยได้ในเบื้องต้น อย่าเพิ่งร้อนใจวิตกกังวลมากเกินไปจนเครียด ไม่ได้พักผ่อนนะคะ เพราะสุขภาพคุณพ่อคุณแม่ก็สำคัญไม่น้อยเช่นกัน.

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.pobpad.comwww.seedoctornow.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

กินยาดักไข้ กันลูกเป็นหวัด เป็นไข้ ได้จริงหรือ?

9 คาถากันโรคภัยไข้เจ็บ สวดได้ทุกวันทั้งครอบครัว

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

นมกล่องสำหรับเด็ก

เช็กลิสต์..นมวัวแท้ 100% ยี่ห้อไหนให้สารอาหารดี มีประโยชน์ที่สุดกับเด็กๆ

Alternative Textaccount_circle
event
นมกล่องสำหรับเด็ก
นมกล่องสำหรับเด็ก

นมกล่องสำหรับเด็ก กล่องนั้นก็นมวัว กล่องนี้ก็นมวัว แล้วจะให้ลูกดื่มนมวัวยี่ห้อไหนดีล่ะเนี่ย เลือกไม่ถูกแบบนี้ คุณแม่มาเช็กดูสารอาหารกันสักนิดดีไหมคะ จะได้ตัดสินใจได้ว่า นมกล่อง UHT นมวัวแท้ 100% กล่องไหนที่ให้สารอาหารสูง แคลเซียมสูง เด็กๆ ดื่มแล้วพัฒนาการเติบโตดีสมวัยค่ะ

 

นมกล่องสำหรับเด็ก ทำจากนมวัว มีประโยชน์อะไรบ้างนะ ?

มีหลายครอบครัวค่ะที่นอกจากเลือกไม่ถูกว่าจะให้ลูกดื่ม นมกล่องสำหรับเด็ก ที่มีส่วนประกอบเป็นนมวัวยี่ห้อไหนแล้ว ก็ยังมีความไม่แน่ใจในเรื่องของประโยชน์ที่จะได้รับจาก “นมวัว” ฉะนั้นเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังตัดสินใจว่าจะให้ลูกดื่ม  หรือไม่ดื่มนมวัว เราจะมาสรุปให้ได้รู้กันค่ะว่า “นมวัว”  ให้ประโยชน์อะไรร่างกายอย่างไรบ้าง การดื่มนมวัวที่เป็นนมวัวแท้ 100% จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ค่ะ

  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง เพราะในนมวัวจะมีสารอาหารอย่างแคลเซียมสูง ซึ่งแคลเซียมจะช่วยใน  การเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน เป็นต้น
  • ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในนมวัวจะมีคาร์โบไฮเดรตที่เป็นน้ำตาลแลคโตส ซึ่งช่วยควบคุม  ปริมาณจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้อุจจาระนุ่ม ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
  • ช่วยซ่อมแซมและพัฒนากล้ามเนื้อ ในนมวัวมีโปรตีน กรดอะมิโนหลากหลายชนิด ซึ่งจะในการซ่อมแซมเซลล์ เนื้อเยื้อในร่างกาย กล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
  • ช่วยให้ระบบประสาท และสมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากโอเมก้า 3 6 9 และ บี 12

คุณพ่อคุณแม่พอจะทราบกันไปในเบื้องต้นแล้วนะคะ ถึงประโยชน์ของนมวัว ซึ่งยังมีอีกหลากหลายประโยชน์ที่ดีต่อ สุขภาพร่างกายของเด็กๆ ดังนั้นนะคะเพื่อให้คุณแม่ง่ายในการตัดสินใจกับการเลือกนมกล่องสำหรับเด็ก นมกล่อง UHT  ให้ลูกๆ ได้ดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง มีพัฒนาการการเติบโตที่ดี เราจึงคัดเน้นๆ มาให้ถึง 7 ยี่ห้อ กับนมวัวแท้ 100% ไปดูกันค่ะว่ามียี่ห้อไหนบ้าง และให้สารอาหารอาหารอะไรบ้างคะ

นมวัวทั้ง 7 ยี่ห้อนี้ เราซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ฉะนั้นจะขอไม่พูดถึงเรื่องราคา เนื่องจากนมวัวแต่ละ  ยี่ห้อ จะมีช่วงโปรโมชั่นราคาที่แตกต่างกันไปค่ะ อย่างนมกล่อง UHT 7 ยี่ห้อที่จะแนะนำให้คุณแม่ได้รู้ข้อมูลโภชนาการสารอาหาร ปริมาณสุทธิน้ำนมต่อกล่องจะอยู่ที่ 200 – 250 มิลลิกรัมค่ะ และโจทย์ในการทำรีวิวครั้งนี้ เนื่องจากมีคำถาม มาว่า “นมกล่องสำหรับเด็ก” ยี่ห้อไหนบ้างที่ให้ แคลเซียม โปรตีน และให้พลังงานสูง

 

7 ยี่ห้อ นมกล่อง UHT นมวัวแท้ ?

ในส่วนของปริมาณสารอาหารนมกล่อง UHT ทั้ง 7 กล่องนี้ เป็นการเทียบปริมาณน้ำนม 100 มิลลิลิตร กับปริมาณสารอาหารจริงของนมแต่ละกล่อง(ยี่ห้อ)นะคะ

นมกล่องสำหรับเด็ก

นมวัวทั้ง 7 ยี่ห้อนี้เป็นนมวัวแท้ 100 % ค่ะ ที่เลือกมาเป็นรสชาติจืด เหมาะกับเด็กๆ ที่อยู่ในวัยกำลังโต วัยเรียนมากๆ ค่ะ ที่นี่เรามาดูว่ามียี่ห้อไหนบ้างที่ให้ 3 สารอาหารหลักๆ ที่ต้องมีอยู่ในนม นั่นก็คือ พลังงาน โปรตีน แคลเซียมสูงบ้าง เริ่มกันที่…

นมกล่อง UHT

  • นมกล่อง UHT สำหรับเด็กที่ให้พลังงานสูง 4 อันดับ

นมวาริช ให้พลังงาน 75.0 แคลอรี , นมโฟรโมสต์ ให้พลังงาน 66.6 แคลอรี , นมจิตรลดา ให้พลังงาน 65.0 แคลอรี และ นมคันทรีเฟรช ให้พลังงาน 65.0 แคลอรี

พลังงานมีประโยชน์กับเด็กมากค่ะ เพราะจะช่วยให้มีแรงพลังในการเรียน และทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งวัน

นมกล่องสำหรับเด็ก

  • นมกล่อง UHT สำหรับเด็กที่ให้โปรตีนสูง 4 อันดับ

นมไทย-เดนมาร์ค ให้โปรตีน 3.2 กรัม, นมโฟรโมสต์ ให้โปรตีน 3.1 กรัม , นมหนองโพ ให้โปรตีน 3.1 กรัม และ นมจิตรลดา ให้โปรตีน 3.0 กรัม

โปรตีนมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างสารควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น ฮอร์โมน และเอนไซม์ต่างๆ

นมกล่องสำหรับเด็ก

  • นมกล่อง UHT สำหรับเด็กที่ให้แคลเซียมสูง 4 อันดับ

นมหนองโพ ให้แคลเซียม 15.5%, นมจิตรลดา ให้แคลเซียม 15.0%, นมโชคชัย ให้แคลเซียม 15.0% และ นมโฟรโมสต์ ให้แคลเซียม 13.3%

แคลเซียมมีส่วนสำคัญในการช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยให้พัฒนาการการเจริญเติบโตของเด็กๆ สมวัย

นมกล่องสำหรับเด็ก

  • นมกล่อง UHT สำหรับเด็กที่มีสารอาหารธรรมชาติหลากหลาย สูงสุด 4 อันดับ : ปริมาณสารอาหาร 24 ชนิด/กล่อง

นมโฟรโมสต์ มีปริมาณสารอาหาร 22 ชนิด/กล่อง , นมจิตรลดา มีปริมาณสารอาหาร 12 ชนิด/กล่อง , นมโชคชัย 12 ชนิด/กล่อง และ นมหนองโพ 12 ชนิด/กล่อง

เท่าที่ดูปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในนมกล่อง UHT จะเห็นชัดเจนเลยว่าปริมาณสารอาหารในนมวัว 1 กล่องที่แยกออกมาได้ 24 สารอาหาร นมโฟรโมสต์ จะมีสารอาหารต่อกล่องทั้งหมด 22 สารอาหาร ถือว่าสูงมากค่ะ ฉะนั้นไปดูเพิ่มเติมกันอีกนิดค่ะว่า นมโฟรโมสต์ ที่ผลิตจากนมโคสดแท้ 100% รสจืดกล่องนี้ยังมีคุณประโยชน์อะไรซ่อนอยู่อีกบ้าง

นมกล่องสำหรับเด็ก

นมกล่องสำหรับเด็ก UHT ผลิตจากนมโคสด 100% จากฟาร์มโคนมคุณภาพ และได้มาตรฐาน ระดับสากล จากรอยัลฟรีสแลนด์คัมพิน่า ประเทศเนเธอร์แลนด์ และยังผ่านการควบคุมคุณภาพของน้ำนมวัวคุณภาพที่ได้อีกกว่า 100 ขั้นตอน ที่สำคัญยังมีสารอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย นั่นคือ

แคลเซียมสูง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง

กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด มีโปรตีนสูง ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

โอเมก้า 3 6 9 มีวิตามินบี 12 มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง

วิตามินบี 5 ช่วยในการใช้ประโยชน์ของไขมัน และคาร์โบไฮเดรต

วิตามินบี 2 ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน

เอาเป็นว่าหากคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหา และตัดสินใจเลือกนมกล่อง UHT ให้ลูกอยู่ตอนนี้ ก็น่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ ที่จะให้ลูกได้ดื่มอร่อย สุขภาพแข็งแรง พัฒนาการร่างกายเติบโตดีสมวัย และมีสติปัญญาดี กันแล้วนะคะ

ลูกดื่มนมวัวยี่ห้อได้ดี ก็เลือกยี่ห้อนั้นได้เลยนะคะ

นมวัวแท้ 100% ดีต่อพัฒนาการร่างกาย และสมอง

ลูกถูกเชือกรัดคอ

รวมอุทาหรณ์ เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกถูกเชือกรัดคอ
ลูกถูกเชือกรัดคอ

เมื่อได้ยินข่าว เด็กถูกเชือกผ้าม่านรัดคอ คุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า เชือกผ้าม่าน จะเป็นต้นเหตุคร่าชีวิตลูกได้ แต่ในความเป็นจริงมีเคส เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน โดยที่พ่อแม่ไม่คาดคิด จำนวนหลายรายต่อปี ไม่ว่าจะเป็น สายมู่ลี่ เชือกหูรูดหมอนข้าง สายโทรศัพท์ เป็นต้น

อย่างเช่นกรณีล่าสุด ที่เด็กชายอายุ 7 ขวบ นักเรียนชั้น ป.1 โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ใน จ.อุดรธานี เสียชีวิตภายในบ้าน จากการตรวจสอบตามร่างกายของเด็กชายที่เสียชีวิต ไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือถูกทำร้าย คาดว่าเด็กน่าจะเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจด้วยการผูกคอ เนื่องจากบริเวณคอพบรอยเชือกชัดเจน

ลูกเล่นโรลเลอร์เบลด พลาดถูกเชือกผ้าม่านรัดคอเสียชีวิต

คุณพ่อของเด็กเล่าว่า บ้านหลังนี้อาศัยอยู่ 4 คน มีตน ลูกชาย แม่ และป้าที่พิการหูหนวก โดยคุณพ่อมีลูกคนเดียว และภรรยาทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อนเกิดเหตุ ตนพาแม่ไปนั่งเล่นที่สวนหน้าบ้าน ส่วนลูกชายก็กำลังเล่นโรลเลอร์เบลดอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งใกล้มืด ตนก็เข้าบ้านไปก็พบร่างของลูกชายแขวนคออยู่กับราวผ้าม่านบนหัวเตียงนอนของแม่แล้ว จึงรีบวิ่งไปนำร่างลูกชายลงมา

ตนพยายามปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิตลูกอยู่นานหลายนาที แต่ลูกไม่มีอาการตอบสนอง จึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือ แต่ก็สายไปแล้ว โดยตนรู้สึกผิดมากที่ดูแลลูกไม่ดี หากแม่เขารู้คงไม่ให้อภัย เพราะลูกคนนี้เป็นเด็กเรียนเก่ง ฉลาด พูดจาไพเราะ เป็นที่รักของทุกๆ คน

นอกจากนี้พ่อของเด็กยังบอกอีกว่า ลูกตนมีนิสัยชอบเล่นชักเชือกธงชาติ โดยจะนำเชือกมาผูกและแขวนไว้ตามราวผ้าม่านหน้าต่างรอบบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ซึ่งตนก็คิดว่าลูกคงทำไปตามประสาเด็กที่เคยทำมา แต่ครั้งนี้ที่เท้าลูกมีโรลเลอร์เบลดติดอยู่ด้วย จึงอาจพลาดลื่นไถล คอไปเกี่ยวกับเชือกที่ผูกเป็นบ่วงเอาไว้ เพราะลูกยังเล่นโรลเลอร์เบลดไม่ชำนาญ

เบื้องต้นทางตำรวจสันนิษฐานว่า เป็นอุบัติเหตุจากพฤติกรรมของเด็ก ที่ชอบเล่นเชือกชักธงชาติ ตามจุดต่างๆ ของบ้าน นอกจากนี้ยังพบเชือกอยู่ที่ราวผ้าม่านหน้าต่าง มีลักษณะเหมือนกันกับจุดที่เด็กเสียชีวิต ซึ่งญาติก็ไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต และเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุเช่นกัน เนื่องจากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือที่เด็กคนนี้ดูอยู่เป็นประจำ มีการเปิดดูวิธีสอนเล่นเกมในยูทูบ ซึ่งเป็นเกมที่ไม่มีความรุนแรง จึงเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเหตุจูงใจในพฤติกรรมเลียนแบบแต่อย่างใด

รวมเคส เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน อุบัติเหตุที่พ่อแม่ต้องระวัง

นอกจากเชือกผ้าม่านแล้ว อุปกรณ์ภายในบ้านที่เป็นบ่วงอย่างสายมู่ลี่ ก็เป็นอันตรายที่คร่าชีวิตเด็กมาแล้วหลายต่อหลายเคส เป็นอุทาหรณ์ที่พ่อแม่ต้องระวังให้ดี

เชือกรัดคอลูก เสียชีวิต เพราะ สายมู่ลี่

สายมู่ลี่
บ่วงของสายมู่ลี่สามารถรัดคอลูกเสียชีวิตได้

เคสที่ 1

ก่อนหน้านี้เคยมีเคสเด็กอายุ 2 ขวบเล่นคนเดียวอยู่ในห้องนั่งเล่น แม่ทำครัวอยู่หลังบ้าน เมื่อออกมาพบว่าลูกอยู่ในท่าแขวนคอ มีสายปรับมู่ลี่รัดรอบคอ และมีกล่องของเล่น อยู่ที่บริเวณเท้าคล้ายเด็กจะปีนกล่องเพื่อเล่น สายมู่ลี่ ก่อนจะพลัดตกจากกล่อง

เคสที่ 2

คุณแม่ปล่อยลูกวัย 2 ขวบไว้ในห้องนอนตามลำพัง ส่วนตัวเองนั่งเล่นอยู่ภายในบ้าน เมื่อคุณแม่เดินผ่านห้องของลูกสาว ก็พบว่า หนูน้อยถูกเชือกปรับมู่ลี่รัดคอจนขาดอากาศหายใจ ร่างแน่นิ่งอยู่ในท่าที่กำลังพยายามเขย่งเท้าเปิดมู่ลี่ดูวิวภายนอกบ้าน เหตุการณ์นี้ทำให้สมองของเด็กขาดออกซิเจนไปหลายนาที กลายเป็นหนูน้อยพิการ และมีปัญหาทางสมองและหัวใจ หลังจากนั้น 3 เดือนหนูน้อยก็เสียชีวิตลง

เคสที่ 3

เด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกเชือกมู่ลี่รัดคอ หลังจากที่พ่อแม่เพิ่งส่งลูกเข้านอนได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น หนูน้อยถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลโดยด่วน และเสียชีวิตในอีก 5 วันต่อมา

พ่อแม่จะป้องกันอันตรายจากสายมูลี่ได้อย่างไร

มีข้อมูลที่พบว่า เด็กอายุน้อยกว่า 4 ขวบ ซึ่งมักถูกจัดให้นอนบนเตียงที่อยู่ใกล้กับหน้าต่างที่เด็กสามารถคว้าเล่นสายมู่ลี่ได้ เสียชีวิตจากเชือกกระตุกมู่ลี่ที่ขดเป็นวง หลายรายต่อปี ส่วนเด็กอายุมากกว่า 1 ขวบ มักจะปีนป่ายโดยต่อเก้าอี้บ้าง กล่องบ้าง แล้วเล่นเชือกสายมู่ลี่ ก่อนจะพลัดตกจากสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ปีนจนทำให้สายเชือกรัดคอเสียชีวิต

คำแนะนำสำหรับบ้านที่มีเด็กเล็ก

  1. ตรวจสอบมู่ลี่ในบ้านว่ามีเชือกที่มีลักษณะเป็นห่วงห้อยอยู่ด้านหน้าหรือไม่ หากเห็นว่าเสี่ยงอันตรายให้เปลี่ยนไปใช้มู่ลี่ที่ไม่มีเชือก เปลี่ยนสายจากลักษณะเป็นวง กลายเป็นปลายเปิดทั้งสองข้างก็สามารถลดความเสี่ยงแบบนี้ลงได้
  2. อย่าตั้งเตียงเด็ก หรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ไว้ใกล้กับหน้าต่างมู่ลี่ เพราะเด็กอาจปีนขึ้นไปเพื่อจะคว้าเอาเชือกปรับมู่ลี่ได้
  3. เปลี่ยนระบบการปรับมู่ลี่ เป็นมู่ลี่ระบบมอเตอร์ ซึ่งจะไม่มีเชือกห้อยระโยงระยางออกมา

เชือกหูรูดหมอนข้าง ก็รัดคอเด็กได้

จากเหตุเด็กอายุ 10 เดือนนอนอยู่กับแม่ เมื่อพ่อกลับถึงบ้านมืดและตรงเข้าหอมลูก รู้สึกว่าลูกตัวเย็นผิดปกติ จึงเปิดไฟดูแล้วพบว่า เชือกหูรูดหมอนข้างพันเกลียวอยู่รอบคอลูก ขณะที่แม่ยังหลับอยู่โดยไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับลูก นับเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ เชือกรัดรอลูกเสีย ชีวิตในบ้าน ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังให้ดีค่ะ

นอกจากนี้ ของที่มีสายยาวอื่นๆ ภายในบ้านก็สามารถเป็นอันตรายต่อเด็กได้ เช่น โทรศัพท์ที่มีสาย สร้อยคอ กีตาร์คล้องคอ เพราะสายอาจรัดคอเด็ก ทำให้กดการหายใจได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเก็บให้พ้นมือเด็กเช่นกัน

ที่มา 1  2

ขอบคุณภาพประกอบจาก cpsc.gov

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ

แม่เล่าอุทาหรณ์! “ลูกสาวข้อศอกเคลื่อน” เพราะเล่นเต้นรำ ดึงแขนลูก

“ฝึกลูกนอนคว่ำ” อันตราย! เสี่ยงขาดอากาศหายใจ

5 ภัยอันตรายใน สนามเด็กเล่น ต้องสอนลูกให้ระวัง!

เตือนภัยแม่ซื้อ นาฬิกาโทรศัพท์ สมาร์ทวอทช์เด็ก ให้ลูกยังไม่ทันใช้ ชาร์จเสร็จไฟลุก (มีคลิป)

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ชื่อลูก

ไอเดีย ชื่อลูก 1,000 ชื่อ รวมฮิตชื่อเล่น ชื่อลูกสาว-ลูกชาย หลายภาษา

event
ชื่อลูก
ชื่อลูก

รวมฮิต ชื่อลูก กว่า 1,000 ชื่อ ไอเดียตั้งชื่อลูก ชื่อเล่นลูก หลากหลายภาษา เก๋ไก๋ ทันสมัย ไม่ตกยุค ครบทั้ง ชื่อลูกสาว และ ชื่อลูกชาย จะมีชื่อลูก อะไรบ้าง มาดูกัน

รวมฮิต ชื่อลูก 1,000 ชื่อ หลายภาษา ครบทั้งลูกสาว-ลูกชาย

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังจะมีสมาชิกใหม่ในเร็วๆ นี้ และกำลังเตรียมตั้งชื่อลูกอยู่ หากคุณกำลังมองหาไอเดียตั้งชื่อลูก ต้องห้ามพลาดบทความนี้ เพราะทีมแม่ ABK ได้รวบรวม ชื่อลูก ชื่อเล่น 1000 ชื่อ หลากหลายภาษาทั้ง ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอังกฤษ เรียงตามตัวอักษร ก – ฮ จะมี ชื่อลูก อะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

***หมายเหตุ: แนะนำให้อ่านทุกบรรทัด ค่อยๆ อ่าน
เพราะหากดูผ่านๆ ข้ามๆ ไป อาจพลาด ชื่อลูก เพราะๆ ดีๆ ไปนะคะ

ชื่อลูก

กระถิน  กาโตว์  กูเกิ้ล  แก้มเต่ง  กะทิ  กันตา  กองพล
กราฟฟิค กัสบี กัปตัน  กองหนุน  กล้าหาญ  ก้อนดิน
กรุงไทย กรุงเทพ  กองปราบ  ก้ามปู  กรีซ  กอแก้ว
กัสดาฟี่  แกรมมี่  กีฟฟี่ ก้านธูป  กะเพรา  ก๊อบแก๊บ
แก้มใส  แก้วใจ  กำไล  กัสจัง  กาฟิลด์  โกเบ  กอหญ้า
แกรมม่า กุญแจ  เกี๊ยว  เกรฟ  กรีน  ก๋วยเตี๋ยว  ก๋วยเจ๋ง
กุนซือ กรุ๊งกริ๊ง  ก้อนเมฆ  กีตาร์  กังฟู  กาตอย
กองทัพ  กำปั่น เกมส์เพลย์  เกรซไบร์ท  การ์ตูน กิมจิ
กุมภ์  กล้วยไม้ การบูร

 

ชื่อลูก

ข้าวตู  ขุนศึก  เข็มทิศ  ข้าวหมาก  ข้าวสวย  ข้าวผัด
ข้าวหอม ข้าวแกง ขันหมาก  ขันเงิน เขียนฟ้า  ขนม
ขนมผิง  ขนมจีน  ขิม ขุมทรัพย์ ขลุ่ยผิว เขตแดน
เขื่อน  ขุนเขา  ข้าวฟ่าง  ขงเบ้ง ข้าวขวัญ  ไข่ดาว

 

ชื่อลูก

คอมม่า  คริสตัล  คูเปอร์  คิวอาร์  โคนัน  คณิต
โควทาโร่  เคมี คิวเท  คะนิ้ง  คำแพง  คีริน  คิม  แคมป์
คูเปอร์ คอตตอล คัตโตะ เคนโด้  คูก้า  เคนตะ  คอนโด
เควิน  คิมซิ่ง  คีตะ  แคนนอล  คริสต์มาส  คลื่น  คนดี
คิมหันต์  คัมภีร์  โคลอี้  เคธี่  คิมซุน  คิมม่อน  ค่าย

 

ชื่อลูก ฆ , ง

ฆ้องเงิน  ฆ้องมอญ  //  เงินล้าน  เงินปอนด์

 

ชื่อลูก

แจสเปอร์  เจทท์  จอมเทพ  จูนี่  จัสติน  จีน่า  จุ้นห่าว
จูเหนียน  จอมแก่น  จาจัง  จีฮุน  จันทร์เจ้า  เจได  จอมพล
จิงเกิล  เจสซี่  เจโช  จาวา  เจแปน  จิ๊กซอว์  จัสมิน  จันจิ
โจเซฟ  จีเมล จูเนียร์  จ๊ะจ๋า  จุนอู  จีซู  เจ้าสัว เจ้าขา
เจ้านาย  เจ้าขุน  เจ้าคุณ จอมทัพ จั่นเจา จีจ้า
แจ๊กพอต  ไจแอนท์  จินตะ  จาติม  จุงกิ  จอมยุทธ์
แจ๊คพ็อต  จีเนียส  เจด้า จีน  จูล่ง  จูโน่

 

ชื่อลูก

ฉลาม  ฉีฉี  เฉิน  ฉิงฉิง

 

ชื่อลูก

ชบา  ชิชา  ชิกะ  ชาแนล  ไชน่า  ชอเฌอ  แชมป์  โชกุน
ช้อปเปอร์  เชียร์ แชร์น  ชูก้า  ชมพู  ชีต  ชีต้าร์
แชมเปญ ชูใจ  ชินจัง  ชีโต้ส  ชาร์ลอท  เชอรีน

 

ชื่อลูก

ซีเอล  โซดา โซฟี่  เซย่า โซล่าร์ เซลฟี่ ซิม ซันญ่า
ซีโร่ เซอไพรส์ ซีรีน  ซันเป ซัมเมอร์  ซีซั่น เซิฟ  เซิร์ท
ซันเป  เซฟ เซนส์  ซอฟท์  เซ่  เซย์  ซายน์  แซม
ซิกเซ้นส์ เซิฟเวอร์  ซีเนียร์  ซันเดย์ เซนเตอร์
ซอโซ่  เซี่ยงไฮ้  ซานต้า ซานฟราน  ซูกัส  ซิดนีย์
ซูพรีม  ซีแกรม  แซมมี่  ซากุระ  โซล่า  ซอล  แซ้งค์
ซูโม่  ซีเปีย  ซีรีย์  ซันชายน์  ซีนาย ซิลวา  ซิลเวอร์
ไซอิ๋ว  ซันไช่  ซานฟราน  โซเฟีย

 

ชื่อลูก

เฌอแตมป์  เฌอเอม  เฌอปราง  เฌอร์ลิน  ฌาม
เฌอรีน  ฌอห์ณ  เฌอเบลล์  ฌาร์ล

 

ชื่อลูก ญ , ฐ , ณ

ญาดา  ญี่ปุ่น  ญาญ่า  //  ฐิสา ฐา
ณัชชา  ณิชา  ณคุณ  ณมน

 

 

ชื่อลูก

ดัชมิลค์  ดอกคูณ  ดราฟ  ดิสนีย์  โดนัท  เดย์  ดอยตุง
ดาต้า  ดอลล่าร์  ดาร์ก้อน ไดม่อนด์  เดลต้า  ดีเจ
แดเนียล  ดิสโก้  ดีเทล  ดาหลา  ดาหวัน  ดีไซน์
ดั๊มพ์  เดฟ  ดีน  ไดรฟ์  ดริ๊งก์  ไดร์  ดาวเหนือ  เดบิวต์
เดมี่ เดโม่ ดีแลน  ดินสอ  เดซี่  ดันเต้ ดามิสา  ดรีมเมอร์

 

ชื่อลูก

เติมเต็ม  เต็นท์  ตังเม  ตั้งเต  ตาณ  ตาว  เตนส์  ตอล
ติณณ์  ต้นหอม  ตุลย์ต้นแต้ว  ไตตัล  แต๊งค์กิ้ว
ใต้หล้า  เต้าเจี้ยว  ตะวัน  ต้นปุญญ์  ตั้งใจ  ตรัยคุณ
ตั้งต้น  ต้นหนาว  ตัวโน๊ต  เตยหอม  ติ๊ช่า  ตูมตาม
ตาลหวาน  ตฤณ  ต้นกก  โตโน่  ต้นอ้อ  ต้าเหนิง
เต็งหนึ่ง  แต้มเหนือ  ไตตัล โตเกียว  เติร์ก ตะหลิว
ไต้ฝุ่น  ต้นกล้า  แตงกวา  ต้นไผ่  ติวเตอร์  เตียง

 

ชื่อลูก

ถิงถิง  ถังแป้ง  ถังเบียร์  ถั่วหวาน  ถอถุง  ถุงแป้ง

 

ชื่อลูก

ทิวเขา  ไท่หลิน  เทอร์โบ  ไททั่น  ท๊อฟฟี่  ทาโร่
ทอย  เทย์แลน  ทิวไผ่  ทิวทัศน์  ที่รัก  ไทเลอร์
ไทป์  เทมป์  แทนไท  ทอฝัน  ทิกเกอร์  ทะเล  ทิโม
ทาม  ไทม์  ทิวสน  เทคออฟ  ไทก้า  แทนคุณ
ทรงเผ่า  เทย่า  ทิ๊วเดย์  ทิม

 

ชื่อลูก

ธงรบ  ธารใส  ธารบุญ  ธามไท  ธรรมดี  ธูปหอม
ธันวา  ธีม  ธิชา  ธันเดอร์  เธียร

 

 

ชื่อลูก

นาเดียร์  นาวา  โนว่า  นาบุญ  นิปปอน  เนเวอร์
นอร์ท  เนปาล  นะโม เนย์มาร์  นิวตั้น นลิน  นาโต้
นินจา  นิวเคลียร์  นักรบ  นิวเยียร์  นับตังค์
นาขวัญ  นาที  เนวิ  โนเกีย  นอร์เวย์  นาเนียร์
เนเน่  นาซ่า นาจา  นามิ นารา  นิต้า  โนเบล
นุ่มนิ่ม  นาโน  นานะ  นาฟ  นับดาว  นิกกี้
น้ำฟ้า  น้ำปิง  น้ำเหนือ  น้ำหนาว  น้ำอบ  น้ำปรุง
น้ำพริก น้ำฝาย น้ำพุ  น้ำเย็น  น้ำอุ่น น้ำเทียน  น้ำปั่น
น้ำใส  น้ำว้า  น้ำน่าน  น้ำไนล์  น้ำหอม
น้ำมนตร์  นิสสา  น๊อตโตะ  นาฬิกา

 

ชื่อลูก

เบลินน์  แบมบู  แบมแบม  โบนัส  โบอิ้ง
โบกี้  ไบเบิ้ล  บุ๊ค  บุฟเฟ่  เบต้า  ใบไผ่
ใบตาล  ใบตอง  ใบเตย  ใบบัว  ใบชา  ใบพลู
ใบเฟิร์น  ใบข้าว  ใบหม่อน  โบอา  บีเติร์ด
บิ๊กเบลล์  เบลล่า  บีกิน  บีฟอร์  บุ้งกี๋  บิงโก
บรูโน่  บีอาย  บับเบิ้ล  บะหมี่  บีติส  บีลีฟ
บรู๊คลิน  ไบร์ท  บอมเบย์  บิ๊กไบค์  บีเอ็ม
บาร์เล่  บาซ่า  บับเบิ้ล  บีบี  บะหมี่  บิวตี้
บีเลิฟ  บูเก้  เบรนด้า  เบอร์ด้า  เบฟ  บีน่า
เบอร์รี่  แบบฝัน  บัตเตอร์  บิ๊กบอส  บิสกิต

 

ชื่อลูก

ปิ่นมุก  ป๊อปอาย  เป็นเอก  ปฐพี  แป้งกรอบ
ปันโน  ปลานิล  ปันผล  ปาร์ค เปียโน  ปอร์เช่
ป่าปูน เปี่ยมสุข  แป้งร่ำ  ปีเตอร์แพน  ปริ๊นซ์  ปิงปิง
เปปเปอร์  ปาร์ตี้  ปันปัน  โปรตรอน  ปั้นฝัน  ปูติน
ปั้นจั่น  ปังปอนด์  แป้งร่ำ  แป้งหอม  โปเต้  แป้งพิมพ์
ปีเตอร์แพน  ปูม้า  ปูนปั้น  โปรแกรม ไปเปอร์
ป๊อกกี้  แป้งหอม  เปอร์เซ็นต์  ปุยฝ้าย  ปันโน
ปารีส  ปลาวาฬ  เป่าเปา  เปตอง  ปังย่าห์  โปรเจค

 

ชื่อลูก ผ , ฝ

ผู้กอง  ผิงอัน  ผิงผิง  ผักกาด  ผักหวาน  ผัดไท
ผ้าแพร  แผ่นเสียง ผืนผ้า  แผ่นดิน ผ้าพิมพ์  เผื่อแผ่

ฝากรัก ฝากฟ้า

 

ชื่อลูก

พรอนโต้  แพลงตอน  พอเพียง  พั๊นซ์  เพียงออ
โพสต์  พอร์ช แพนด้า  พีเจ้น พู่กัน  พิกเล็ต  โพธิ์
เพลงขลุ่ย  พริกอ่อง เพิร์ท พิตต้า พอตเตอร์
พะนาย  พรีเมี่ยม  เพลงพิณ  เพ่ยเพ่ย  พลอยใส
แพททริค  พาย  พรีเมียร์  ไพธอน พายุ  พีจี
พะเพื่อน  พะแพง  เพียงออ  พิกเซล  เพชรนิล
พลอยเจ  พริกแกง  เพอร์ฟูม  แพทตี้  พูม่า
พันไมล์  พัตเตอร์  เพิ่มเติม  แพททริค  พบรัก

 

ชื่อลูก

เฟย  เฟย์  ฟิลเตอร์  ฟอร์จูน  ฟอเรสท์  ฟินน์
ฟ้าใส  ฟาเดียร์  ฟูจิ  ฟรีโน่ ฟอร์ยู  ฟารีน  ฟาร์
พรีเซนต์  ฟรีด้อม  ฟีฟาย  ฟีเนล  ฟิจิ  ฟ้าหลั่น
ฟู่ซาณ  เฟอร์กัส  ฟ้าคราม  ฟาไฉ่  ฟองเบียร์
เฟอร์บี้  เฟอร์รี่ เฟสบุ๊ค  ฟิลลิปส์  เฟรี่  ฟาเรน
ฟีเวอร์  ฟรังค์  ฟีฟ่า  ฟิวส์  โฟกัส  ฟร็องซ์  เฟฟ
ฟรานซ์  แฟรี่  ฟรองก์  แฟนต้า  โฟม  ฟักแฟง
เฟียสต้า  เฟรย่า  ฟาร์ม ฟิวเจอร์  ไฟต์เตอร์
ฟินิกส์  เฟิร์สพาส  ฟลายอิ้ง  ฟิลเตอร์  แฟรงค์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ชื่อลูก

ภูผา  ภูเวียง  ภูพิงค์  ภูเขา  ภีม  ภู่  ภีชชี่  ภันเต

 

ชื่อลูก

เม้ย  เมย  ไม้หวาย  โมจิ  มาร์ติน  มาตังค์
เมสซี่  เมโลดี้  มาร์วิน  เมจิ  มิวสิค  มีนา  เมเจอร์
มิกิ  มาร์กี้  มิรินด้า มันแกว  มะลิ  มิ้งก้า  มาตา
มอนติ  มิลินท์  มีรัก  มัดใจ  มีฝัน  เมเจอร์  มานา
มาริโอ้  เมอร์เมด มิกเซอร์  มายมิ้นท์  มัฟฟิน
มิเกล  มอเตอร์  มะเฟือง  มอลต์ มารีน  มินนี่
มิคกี้  มายู  มังกร  มีเดีย  มีคุณ  มีอา เมอา
โมน่า เม่ยเม่ย  เมซอน  มะลิ  มีย่า เมญ่า
เมอา มานา  มุนี  มันปู แม่ทัพ  มาเฟีย  มัลดีฟ
มาแตง  มัสแตง  มิรินด้า  มันแกว  มะเหมี่ยว
มินนา มารีอา โมเดล  ไมเนอร์  เมอร์ซี่  โมรัน
เมทัล  เมเปิ้ล  มิเกล  มียู  มีญ่า  มิก้า  มาร์เวล

 

ชื่อลูก

ยูมิ  ยูทูป  ยูฟ่า  ยีนส์  ยี่หวา  โยปัน  โยฮัน
ยิปซี  ยิปโซ  ยอร์ช  ยูจิน  ยินดี  ยูยี่
ยาหยี  ยูไบร์ท  ยามะ  ยูโร  โยเกิร์ต  ยูกิ
ยูนิต  โยชิ  โยดา

 

ชื่อลูก

รถโฟลค์  ร่มโพธิ์  ร่มบุญ  รีวิว  รีวอร์ด
ริกเตอร์  รีเบล  เรนจิ  เรย์   ริชา  ระฆัง
ร็อกเกต   รีสรอท  ริชชี่  รถดั๊ม  รถเมล์
รถบัส  รถดิ๊ฟ  ราฟฟี่  โรบอท เรียวมะ
เรนนี่  ราชีฟ  รินดา  ริรัณ  รีอา  เรนโบว์
รีรัน  เรดาร์  ริวจิน  รันชู ริซ่า ไรวิน  เรสคิว
ราล์ซาน  ร็อกเกต  รันนิ่ง  แร๊บบิท  เรซซิ่ง
ริชา เรนจิ  รักกัน

 

ชื่อลูก

ลูกหว้า  ลูเทอร์  เล่าปี่  เลนน่อน  ลิซ่า  ลูกอม
เล็กซ์ซัส  เลิฟ  ไลลา  ลูกคลื่น  เลโอ  ลาเต้
ลูกชิ้น  ลิชชี่  ลูก้า  ลินด้า  เลสเตอร์  ลลิล  เลโก้
ลีโอ  ลูฟี่  ลูกหวาย  เลม่อน  โลตัส  ลีอาห์  ลูกปัด

 

ชื่อลูก

วินเนอร์  วินนิ่ง  วินโดว์  ไวท์  วั๊นซ์  วาเลน
วาฟเฟิล  วีซ่า  วาว่า  วิ๊งค์  วาฟเฟิล  เวสป้า
วายุ  เวลา  วีออส วินโดว์  เวกัส เวียนนา
เวียงพิงค์ วันเดอร์ วีต้า  วินนี่   วีอาม  เวนิส
วุ่นวาย  เว็บไซต์  วินเทอร์  วิมมิ่ง เวฬา  วีด้า
วิคเตอร์  วินตัน  วินเซนต์ วาเลน  ไวตามิลค์

 

ชื่อลูก

ศีล  ศาสตร์  ศิลา  ศิลป์

 

ชื่อลูก

เสือ  สิงห์  แสบ  สิบทิศ  สมายด์   สเกล
เสี่ยวซาน  เสี่ยวลู่  สโนวไวท์  สิตางค์
สิมิลัน  สายซอ  สเปย์  สปาย  โสนน้อย
สิบหมื่น  สโตร์  สายฟ้า  สุดเขต  สตอร์ม
สายธาร  สาธุ  แสนดี  สไปร์ท  สโนว์
สายป่าน  สิงโต  สนุ๊ก  สายรุ้ง

 

ชื่อลูก

เหรียญทอง  หมอก  เหนือเมฆ  หนูดี  หมีพูห์
หว่าหวา  เหม่ยหลิง  เหม่ยลี่  หมูแฮม  หมูหยอง
เหม่ยหลิน  หนึ่งเดียว  หลิงหลิง  เหม่ยอิง
หลินหลิน  หยาหยี  หมูเต๊ะ หมั่นโถว  หมี่ฟ่าน

 

ชื่อลูก

อนึ่ง โอโม่  อิเมจ  ออนไลน์  ออสการ์
โอโซน อาฟเตอร์ ออแกรนด์ โอเปิ้ล
ออเดอร์ อาร์เจ โอชิ ไอจิ ออกแบบ
ออเจ้า อัลต้า ออนิค อาร์มี่  ออล์ไบรท์
ออนิว ออก้า ออกัส เอิงเอย อิ่มเอม
อาเธอร์ อินเตอร์ อันดามัน ออโต้
แอลจี อามีน  อัญญ่า อังกฤษ อินชอน
อัสลาน เอวา อลิซ  อาน่า  แอลเอ
แอนฟิลด์ แอมแปร์ อาร์ก้อน อัลติส อั่งเปา
องศา อัลมอนด์ อเกน แอนดริว อัลฟ่า
ไอออน โอเพ่น โอเปร่า อองตอง เอเชีย
อบอุ่น โอก้า เอลเดอร์ อันนา  อิซาเบลล่า
เอลซ่า เอเธนส์  อินอุ่น  เอริ เอแคลร์
อาเซีย ไอเดียร์ อเดล โอดิน อิงฟ้า อิงบุญ
แอร์พอต  ไอโฟน  อี๋หลิว ไอด้า  อิงแลนด์
อาร์ย่า  อาโป ไอคอน อินดี้  ออสก้าร์
อาเบะ ไอวี่ อาโมเน่ อาชิ อาทิ เอสเจ อิคคิว
เอนจอย  เอเซีย ไอติม โอลีฟ อินโทร ไอดี
เอริ เอเดน ไอรีน ไอริส เอลฟ์ เอพริล
โอบกอด  อาธิ เอริก้า ออนนิก้า แอร์พอร์ท
อะตอม อยิน ไอชา อินจัย โอเชี่ยน เอลล่า
เอลลี่  เอเว่น อี้ฟู่ ไอเท็ม เอนเทอร์ อมาเบลล์
อ๋อมแอ๋ม เอมมี่ อาบิเกล  ไอจิ  อาร์ค  เอก้อน
โอปอลล์  ออสโม้ เอญ่า  อิฐมอญ  อาชิ ไอดอล
อองฟองต์  เอลฟี่  เอพริล  อาโนล์  ไอโกะ
อิงกิต  ไอดิน  อันปัน  เอ็มดี  ออร์เดร์  โอลีฟ
เอ็มเจ  อินเดีย  อั่งเปา  อาฉี  แองจี้  เออร์วิน

 

ชื่อลูก

ฮาจิ  เฮงเจีย  เฮนน่า  แฮปปี้  ฮุนได  โฮป  ฮั่น
ฮอลล์  ฮาวล์  ฮ่องเต้ ไฮไฟว์  ฮาร์เปอร์
ฮาร์ท  ฮอนด้า  ฮิวโก้  ฮาวา  ฮันเตอร์  ฮันนี่
ฮีโร่  โฮชิ  ฮาร์ดดิส  ฮันน่าห์  ฮานา  ฮานะ
ฮาฟ  ฮิคาริ  ฮุก  ฮารุ  ฮิม

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย

แก้ไขใบสูติบัตร ถอนชื่อพ่อออกจากใบเกิด ทำได้ไหม?

รวม กระบวนท่ารัก (sex) สำหรับทำลูกสาว-ลูกชาย

ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด ชื่อมงคล ครบทุกวัน จ.- อา.

ชวนแม่ ตั้งชื่อลูกไทยๆ ตามตัวละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส

ไอเดีย! ตั้งชื่อลูก ตามหนัง และการ์ตูนดังกว่า 50 ชื่อ

 

ตั้งชื่อลูก 70 ชื่อพยางค์เดียว เท่ๆ ง่ายๆ ความหมายดี

 

 

keyboard_arrow_up