Page 131 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

กักตัว 14 วัน

แนะวิธี “พ่อแม่ไปพื้นที่เสี่ยงโควิด” กักตัว 14 วัน ที่บ้านอย่างไร? ให้ลูกปลอดภัย ปลอดเชื้อ!

สสส. แนะวิธี กักตัว 14 วัน กับการปฏิบัติตัวสำหรับ พ่อแม่ หรือผู้ที่มีความเสี่ยง แล้วต้อง กักตัว 14 วัน ที่บ้าน เพื่อที่จะช่วยให้ครอบครัวปลอดภัยปลอดเชื้อ จะต้องทำยังไงบ้าง คลิกดูเลย

“พ่อแม่ไปพื้นที่เสี่ยงโควิด” กักตัว 14 วัน  ที่บ้านอย่างไร?
ให้ลูกปลอดภัย ปลอดเชื้อ!

จากสถานการณ์โรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่กลับมาแพร่ระบาดมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในประเทศไทยตอนนี้ (นับตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค. 2563) ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นทุกวัน เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบขั้นตอนการดูแลรักษาตัวเองในช่วงวิกฤตนี้อย่างถูกต้อง เพียงแต่ถ้าบุคคลไหนเข้าข่ายความเสี่ยงติดเชื้อถึงจะเริ่มการกักตัวเอง 14 วันเพื่อรอดูอาการต่อไป

ซึ่งบ้างบ้านก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สำหรับลูกน้อยที่ต้องอาศัยอยู่กับพ่อแม่และพี่น้อง ที่ไปยังไปพื้นที่เสี่ยงโควิด-19 จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่พ่อและแม่ต้องทำ self-quarantine เนื่องจากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของการติดเชื้อ แต่จะต้องปฏิบัติตัวหรือพูดคุยกับลูกอย่างไรบ้าง มาฟังคำแนะนำจากคุณหมอกันค่ะ

การปฏิบัติตัวของพ่อแม่ที่ต้องกักตัว 14 วัน อยู่ในบ้านกับลูก

การแยกห้องและของใช้

  • อยู่ในห้องแยกจากครอบครัว โดยแยกห้องนอน
  • หากแยกห้องนอนไม่ได้ ให้ใช้แผ่นกั้นห้องแบบพลาสติกแบ่งสัดส่วน
  • เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท
  • แยกของใช้ส่วนตัว
  • มีถังขยะติดเชื้อแยกเฉพาะ
    • สำหรับการจัดการขยะในบ้าน ให้แยกเป็น 2 ประเภท
      • ขยะทั่วไป
      • ขยะติดเชื้อ เช่น หน้ากากอนามัย กระดาษทิชชู่ ซึ่งในแต่ละวันให้เก็บรวบรวมและล้างถังด้วยน้ำยาฟอกขาวเพื่อทำลายเชื้อ
      • จากนั้นใส่ถุงขยะ 2 มัดปากถุงให้แน่น ก่อนนำไปทิ้งรวมกับขยะทั่วไป

การรับประทานอาหาร

การทำความสะอาด

  • เสื้อผ้า ชุดเครื่องนอน ผ้าเช็ดตัว ให้แยกทำความสะอาดด้วยผงซักฟอกตามปกติหรือซักร่วมกับน้ำร้อน
  • ของใช้ที่สัมผัสบ่อย เช่น โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ 70-90%
  • ห้องสุขา-สุขภัณฑ์ พื้นบ้าน ทำความสะอาดด้วยน้ำยาฟอกขาว 5% แต่อย่าฉีดพ่น!

การใช้ห้องสุขา

  • แยกใช้ห้องสุขา หากแยกไม่ได้ ให้ใช้เป็นคนสุดท้ายและทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทันที
  • กรณีใช้ชักโครก ให้ปิดฝาทุกครั้งก่อนกดชักโครก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

ข้อปฏิบัติสำคัญในการกักตัว 14 วัน

  • ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ อย่างน้อยครั้งละ 20 วินาที
  • สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าป้องกัน
  • อยู่ห่างกัน อย่างน้อย 1-2 เมตร หรือ 1-2 ช่วงแขน
กักตัว 14 วัน
ขอบคุณภาพจากเพจ Social Marketing Thaihealth by สสส.

 

 

วิธีอธิบายเรื่องการระบาดของโรค COVID-19 ให้ลูกฟัง

  1. ก่อนจะ กักตัว 14 วัน ให้พูดอธิบายเหตุผลให้ลูกรับรู้และเข้าใจโดยเนื้อหาการพูด ให้พิจารณาตามช่วงวัยของเด็กว่าเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโต
  2. ถ้าเป็นเด็กเล็กวัยก่อนวัยเรียน วัยอนุบาลให้พ่อแม่พูดอธิบายสั้นๆ ง่ายๆ ว่า พ่อแม่อาจจะติดเชื้อโรคหวัด ต้องอยู่ห่างจากลูกและคนในครอบครัว 14 วัน ทุกคนในบ้านจะได้ปลอดภัย ไม่มีใครติดเชื้อจากพ่อแม่ได้
  3. ถ้าเป็นเด็กโต วัยเรียน วัยรุ่นพ่อแม่สามารถพูดอธิบายถึงเหตุผลของการทำ self-quarantine ได้มากกว่านี้และบอกด้วยว่าสิ่งที่ทำอยู่คือการแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเอง ครอบครัว สังคม ถือเป็นตัวอย่างของการทำความดีต่อตัวเองและผู้อื่น

พ่อแม่ต้องกักตัว 14 วัน แล้วใครจะเลี้ยงลูก

เน้นให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ยังไม่ได้ป่วยหนัก และการที่พ่อแม่กักตัวเองแบบนี้ จะทำให้ทุกคนลดโอกาสการติดเชื้อจากพ่อแม่ และเมื่อครบ 14 วัน ครอบครัวเราก็กลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมได้ ในระหว่างนี้จะมีผู้ใหญ่ใกล้ชิด เช่น คุณน้าคุณอา หรือคนที่พ่อแม่ไว้ใจและมอบหมายให้อยู่ดูแลเด็กๆ แทนพ่อแม่ ระหว่างนี้ถ้าเราคิดถึงกันเราก็ติดต่อกันได้ทาง social media เรา Video call หากันได้เสมอ ส่วนคุณลุงคุณป้า คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย กลุ่มนี้อาจต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้อยู่ใกล้ชิดกับเด็กๆ  เพราะผู้สูงอายุโดยเฉพาะที่อายุ  70 ปีขึ้นไป คือ กลุ่มเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงมากหากติดเชื้อขึ้นมา ก็แนะนำให้คุยกับผ่าน social media เช่นกัน

***หมายเหตุ ในกรณีที่ผู้สัมผัสใกล้ชิดเป็นแม่ให้นม ยังสามารถให้นมบุตรได้ เนื่องจากปริมาณไวรัสที่ผ่านทางน้ำนมมีน้อยมาก แต่แม่ควรสวมหน้ากากอนามัยและล้างมืออย่างเคร่งครัดทุกครั้งก่อนสัมผัสหรือให้นมบุตร  >> อ่านเพิ่มเติม >>ประโยชน์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ผลวิจัยชี้ช่วยป้องกัน-รักษา โควิด-19

กักตัว 14 วัน

ท่าทีของพ่อแม่สำคัญมาก อย่าแสดงสีหน้าท่าทางกังวลหรือเศร้าหมองมากจนเกินไป ให้บอกตัวเองและลูกอย่างมั่นใจว่าการกักตัวเองแบบที่กำลังทำอยู่นี้เป็นการกระทำที่ดีและเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ ในบางครั้งคนเราต้องอดทนอดกลั้นต่อความต้องการบางอย่าง ในที่นี้คือความต้องการของพ่อแม่ที่จะใกล้ชิดและดูแลลูก รวมถึงความต้องการของลูกที่จะเข้าหาพ่อแม่ เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่าในระยะยาว

เมื่อครบ 14 วัน

ทั้งนี้เมื่อกักตัวครบ 14 วันแล้ว หากไม่มีอาการไข้ หรือไม่มีอาการไอ ไม่เจ็บคอ ไม่มีอาการหายใจถี่หรือหายใจหอบ ไม่มีน้ำหมูกไหล ก็จัดว่าปลอดชื้อไวรัสโควิดข19 สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่หากมีอาการดังที่กล่าวมาข้างต้น ให้ไปติดต่อยังกรมควบคุมโรค โทรสายตรง 1422 (หากโทรหากรมควบคุมโรค 1422 ไม่ติด แนะนำให้โทร 1669) เพื่อขอตรวจเชื้อ หรือสามารถตรวจสอบสิทธิ์ที่เรามีอาทิเช่น สิทธิประกันสังคมหรือ สิทธิบัตรทอง 30 บาท เพื่อขอรับการตรวจได้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

สุดท้ายนี้ทุกคนในครอบครัวต้องอดทนและทำใจให้เข้มแข็งเพื่อที่จะได้ผ่านช่วงเวลานี้ไปด้วยกัน  ในกรณีทั่วไปเด็กๆ จะสามารถปรับตัวใช้ชีวิตอยู่กับการกักตัว 14 วัน ของพ่อแม่โดยที่มีผู้ใหญ่ใกล้ชิดคอยดูแลไปได้อย่างดีโดยที่ไม่มีปัญหาทางจิตใจหรืออารมณ์อะไร เพราะเป็นเพียงการแยกจากกันในระยะสั้นๆ และเมื่อพ่อแม่กลับจากกการกักตัว ครอบครัวก็อยูด้วยกันอย่างปกติสุขเช่นเดิมนะคะ


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.facebook.com/socialmarketingthwww.dmh.go.thwww.samitivejhospitals.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ ⇓

5 ขั้นตอน รับ “เงินชดเชยว่างงาน” พิษโควิด-19 จาก ‘ประกันสังคม’

แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

ไขข้อสงสัย ‘หน้ากากอนามัย’ ชนิดไหนป้องกัน ‘โควิด-19’ และ ‘PM2.5’ ไปพร้อมกัน!!

    UHT ยี่ห้อไหนดี

    ชี้เป้า 3 อันดับ นม UHT ยี่ห้อไหนดี มีแคลเซียมสูงสุด!

    จะซื้อนม UHT ยี่ห้อไหนดี ให้ลูกดื่ม ได้แคลเซียมเน้นๆ .. ตามมาดู รีวิวนมจืด จากนมวัวแท้ 100% เทียบให้เห็นแบบชัดๆ 3 อันดับ จาก 9 ยี่ห้อ นม UHT ยี่ห้อไหนมีแคลเซียมสูงสุด

    ชี้เป้า 3 อันดับ นม UHT ยี่ห้อไหนดี มีแคลเซียมสูงสุด!

    แคลเซียม ถือเป็นแร่ธาตุที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของลูกน้อย ใช้ในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือด การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทอีกด้วย ซึ่งหากได้รับไม่เพียงพอ ร่างกายจะดึงแคลเซียมที่สะสมไว้ในกระดูกออกมาใช้ ทำให้กระดูกของลูกบางและเปราะได้ และมีโอกาสที่จะเกิดโรคกระดูกพรุนมากขึ้น

    ปริมาณแคลเซียมโดยเฉลี่ยที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันขึ้นอยู่กับอายุและสุขภาพของผู้บริโภคด้วย ดังนี้

    • เด็กอายุไม่เกิน 3 ปี:400-800 มิลลิกรัมต่อวัน
    • เด็กอายุ 3-10 ปี:800 มิลลิกรัมต่อวัน
    • วัยรุ่นและผู้ใหญ่:800-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
    • หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร:1,200 มิลลิกรัมต่อวัน

     

    ซึ่ง นมวัว หรือ นมสด รสจืด ถือเป็นหนึ่งในแหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูง มีประโยชน์กับเด็กๆ ในวัยเรียนเป็นอย่างมาก เพราะนมที่มีแคลเซียมจะช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงและเป็นการส่งเสริมให้ร่างกายสูงใหญ่ตามมาตรฐาน ทั้งนี้สำหรับนมวัวที่บรรจุอยู่ในกล่อง UHT จะสามารถให้เด็กๆ กินได้ โดยจะต้องเป็นเด็กในวัย 1 ขวบขึ้นไปแล้วเท่านั้น

    ทั้งนี้หากคุณพ่อคุณแม่อยากเพิ่มแคลเซียมให้ลูกน้อย แต่ไม่รู้จะซื้อนมUHT ยี่ห้อไหนดี มีแคลเซียมสูง ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมนมกล่อง UHT นมวัวแท้ 100% ในท้องตลาดกว่า 9 กล่องมาให้ดู เทียบแบบเน้นๆ มาดูกันว่า นม UHT ยี่ห้อไหนมีแคลเซียมสูงที่สุด

    UHT ยี่ห้อไหนดี

    UHT ยี่ห้อไหนดี

    สรุป 3 อันดับ นม UHT ยี่ห้อไหนดี มีแคลเซียมสูงสุด

    จะเห็นได้ว่าจาก นม UHT ทั้ง 9 ยี่ห้อ เมื่อนำมาเทียบเรียงกัน สรุปได้ว่า 3 อันดับ นมที่มีแคลเซียมสูงสุด คือ นมจิตรลดา ซึ่งมีปริมาณแคลเซียมที่อยู่ในกล่องมากถึง 30%

    อันดับ 2 มีแคลเซียม 25% คือ ดัชมิลล์ ซีเล็คเต็ด, วัวแดง, ฟาร์มโชคชัย, วาริช, หนองโพ, mMILK
    และอันดับ 3 มีแคลเซียม 15% คือ คันทรี่เฟรช และหนองโพ ไฮคิดส์

    Must read >> รีวิวดี!เพื่อลูกน้อย เทียบสารอาหารในนมวัวแท้ 100% ยี่ห้อไหนดี มีประโยชน์ที่สุด!

    ซึ่ง นม UHT นมจิตรลดา นี้เหมาะกับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป สามารถเข้าไปช่วยเรื่องของระบบขับถ่าย และช่วยในเรื่องการเจริญเติบโตของเด็กให้ดียิ่งขึ้น แต่ถ้าเด็กๆ ที่อายุยังไม่ถึง 1 ขวบ คุณแม่ควรจะดื่มแต่นมแม่ไปก่อน เพราะไม่มีน้ำนมไหนดีไปกว่านมของแม่อีกแล้ว

    UHT ยี่ห้อไหนดี

    ทั้งนี้ นมยูเอชที นมจิตรลดา เป็นนมวัวแท้ 100% จะบรรจุอยู่ในกล่องสีเหลือง ซึ่งสามารถเก็บเอาไว้ได้นานเกิน 6 เดือน โดยการเก็บรักษา นมยูเอชทีจิตรลดาสามารถเก็บรักษาโดยไม่จำเป็นต้องแช่กล่องนมจิตรลดาไว้ในตู้เย็นหรือในที่มีอุณหภูมิเย็นๆ เพียงแต่เก็บรักษาไว้ในที่ที่พ้นแสงแดดเท่านั้น

    UHT ยี่ห้อไหนดี

    >> สำหรับคุณแม่ที่สนใจ นมจิตรลดา โฉมใหม่ จับถนัดมือ นม UHT ที่มีแคลเซียมสูงที่สุด สามารถสั่งซื้อในราคาสุดพิเศษ เพียง 990.00 บาท ขนาด 200 ml. (2 ลัง 72 กล่อง) สนใจคลิ๊กสั่งซื้อง่ายๆ ตามลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://bit.ly/35DoJCV หรือ add line มาที่ @amvata หรือโทร 02-406-3663

     

    ทั้งนี้ปัจจุบันคนไทยยังดื่มนมน้อยมากต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานสากล ซึ่งตามสัดส่วนแล้วเด็ก (อายุ 1-12 ปี) ควรดื่มนม 3 แก้วต่อวัน แต่ถ้าเป็นวัยหนุ่มสาว (13-25 ปี) ควรดื่มนมวันละ 3-4 แก้ว ส่วนผู้ใหญ่ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไปควรดื่มนมไม่น้อยกว่าวัยละ 2 แก้ว หรือโดยเฉลี่ยแล้วทุกคนควรดื่มนมไม่น้อยกว่าวันละ 2 แก้ว แต่สำหรับคุณแม่ท้องหรือคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรอยู่ ควรดื่มนมไม่น้อยกว่าวันละ 3 แก้ว

    ซึ่งนมวัว ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ ‘บริโภคน้อยแต่ได้มาก’ กล่าวคือการดื่ม นมวัว ประมาณ 100 มิลลิลิตร จะให้แคลเซียมถึง 118 มิลลิกรัม ดังนั้นในเด็กที่ขาดแคลเซียมก็สามารถเพิ่มระดับแคลเซียมได้ด้วยการดื่มนมวัวเพียงกล่องเดียว! ก็สามารถช่วยเสริมแคลเซียมให้ร่างกายพร้อมเจริญเติบโตอย่างแข็งแรงได้แล้ว

     


    ขอบคุณข้อมูลจาก : www.pobpad.com

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

    รีวิว นมเปรี้ยว รสธรรมชาติ เพื่อลูกน้อยและทุกคนในครอบครัว

    เทียบสารอาหาร “นมสำหรับเด็กแพ้นมวัว” (นมถั่วเหลือง-นมอัลมอนด์-นมข้าว-นมลูกเดือย)

    เลือกนมดี เสริมลูกเตาะแตะเติบโตเต็มวัย

      เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ

      อนุมัติ! เพิ่ม เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ เยียวยาโควิด

      ครม.เห็นชอบเพิ่ม เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ หรือทุนเสมอภาค เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม รับเงินเพิ่มสูงสุด 9,100 บาท/ปี โดยมีรายละเอียดดังนี้

      อนุมัติแล้ว! เพิ่ม เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ เยียวยาโควิด

      เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลให้ครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษมีรายได้ลดลงและเกิดการว่างงาน ประกอบกับผลวิเคราะห์จากโครงการวิจัยพัฒนาระบบบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ ทางกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จึงมีข้อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีว่า อัตราเงินทุนเสมอภาคในปัจจุบัน ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาสำหรับครัวเรือนของนักเรียนยากจนพิเศษ ดังนั้นจึงเห็นควรให้เพิ่มอัตราเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษตั้งแต่ปีการศึกษา 2565 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคม ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างนักเรียนจากครอบครัวที่มีรายได้แตกต่างกัน และป้องกันความเสี่ยงในการหลุดออกจากระบบการศึกษาของประชากรกลุ่มนี้ในระยะยาว

      และเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 ทางคณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบให้เพิ่มอัตรา เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข ดังนี้

      เงินอุดหนุน
      เงินอุดหนุน

      อัตราเงินอุดหนุนใหม่

      ระดับอนุบาล

      • อัตราเดิม 4,000 บาท ต่อปี
      • อัตราใหม่ (ยังคงจ่ายเท่าเดิม)

      ระดับประถมศึกษา

      • อัตราเดิม 3,000 บาท ต่อปี
      • อัตราใหม่ 5,100 บาท ต่อปี

      ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น

      • อัตราเดิม 3,000 บาท ต่อปี
      • อัตราใหม่ 4,500 บาท ต่อปี

      ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

      • อัตราเดิม 3,000 บาท ต่อปี
      • อัตราใหม่ 9,100 บาท ต่อปี

      อาชีวศึกษา

      • อัตราเดิม 3,000 บาท ต่อปี
      • อัตราใหม่ 9,100 บาท ต่อปี
      ขอบคุณข่าวจาก : https://www.prachachat.net/politics/news-592799

      เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ (ทุนเสมอภาค) คืออะไร?

      แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 54 ระบุให้รัฐต้องดําเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลา 12 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียนจนจบการศึกษาภาคบังคับอย่างมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย แต่ข้อเท็จจริงมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่แม้จะได้เรียนฟรี แต่ความยากจนในระดับที่รุนแรงกว่า ยังเป็นอุปสรรคทำให้ไม่สามารถมาเรียนได้ เช่น ไม่มีค่าครองชีพ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง การช่วยเหลือลักษณะนี้จึงยังไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมลํ้าทางการศึกษาได้

      จึงนํามาสู่โครงการ จัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไข (Conditional Cash Transfer: CCT) หรือทุนเสมอภาค ที่เริ่มต้นในสถานศึกษาสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ตั้งแต่ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561

      โครงการนี้มีรากฐานจากงานวิจัย 3 เรื่องสําคัญ ได้แก่ บัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ (National Education Account of Thailand : NEA) การวิจัยระบบ เกณฑ์การคัดกรองรายได้ทางอ้อม (Proxy Means Tests) และระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการ ศึกษา ที่กสศ. ร่วมมือกับ สพฐ. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร นํามาสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย “การปฏิรูปการจัดสรรงบประมาณเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา” (Equity-based Budgeting) เพื่อปรับปรุง ประสิทธิภาพการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามอุปสงค์ (Demand-side Financing) ตรงตามความต้องการของนักเรียนเป็นรายบุคคล ในบริบทพื้นที่ซึ่งแตกต่างกันเพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและบรรเทาอุปสรรคการมาเรียน นอกเหนือจากค่าธรรมเนียมการศึกษา เป็นการช่วยลดความเหลื่อมลํ้าที่ต้นทาง ปกป้องเด็กไทย ไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษา

      สรุป ทุนเสมอภาค คือ เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ แบบมีเงื่อนไขของ กสศ โดยนักเรียนและโรงเรียนจะได้รับทุนอุดหนุนปีละ 3,000 – 9,100 บาท ต่อปี เพื่อนำไปใช้ลดอุปสรรคการมาเรียน เช่น ค่าเดินทาง ค่าอาหารเช้า ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เป็นต้น

      ใครบ้างที่เข้าเกณฑ์ได้รับ เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ?

      การคัดกรองนักเรียนยากจน คัดกรองด้วยวิธีการวัดรายได้ทางอ้อม Proxy Mean Test : PMT โดยประเมินจากข้อมูล 2 ประเภท ดังนี้

      • ประเภทที่ 1 คัดกรองจากข้อมูลรายได้เฉลี่ยสมาชิกครัวเรือน (ไม่เกิน 3,000 บาท/คน/เดือน)
      • ประเภทที่ 2 คัดกรองจากข้อมูลสถานะครัวเรือน 8 ด้าน ได้แก่
        • ครัวเรือนมีภาระพึ่งพิง
        • ยานพาหนะในครัวเรือน
        • ที่ดินทำการเกษตร
        • แหล่งไฟฟ้าหลัก
        • ประเภทที่อยู่อาศัย
        • สภาพที่อยู่อาศัย
        • ของใช้ในครัวเรือน
        • แหล่งน้ำดื่ม น้ำใช้

      ข้อมูลทั้ง 2 ประเภท จะถูกประมวลผลด้วยวิธีการวัดรายได้ทางอ้อม (PMT) เพื่อหาคะแนนความยากจนของนักเรียนแต่ละคน ดังนี้

      ทุนเสมอภาค
      ทุนเสมอภาค

      นักเรียนที่เข้าเกณฑ์นักเรียนยากจนพิเศษ คือ นักเรียนในครัวเรือนที่สมาชิกในครอบครัวมีรายได้เฉลี่ย 3,000 บาท/คน/เดือน และมีคะแนนความขาดแคลนทุนทรัพย์ (PMT) มากกว่า 0.9 ขึ้นไป

      ขั้นตอน ก่อนจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษอย่างมีเงื่อนไข

      1. นักเรียนสมัครขอรับเงินอุดหนุนนักเรียนยากจน
      2. ครูลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน เพื่อคัดกรองและรับรองข้อมูลสถานะครัวเรือนรายบุคคลโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
      3. ครูตรวจสอบข้อมูลพื้นฐาน สถานะความยากจนของเด็กเป็นรายบุคคล
      4. ประชุมคณะกรรมการสถานศึกษา เพื่อรับรองผลการบันทึกข้อมูลนักเรียนยากจนพิเศษ
      5. กสศ. ตรวจสอบข้อมูลตามหลักเกณฑ์ของกสศ.ก่อนการจัดสรรเงินอุดหนุน
      6. กสศ. จัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนทุนเสมอภาคตรงให้แก่นักเรียน และผู้ปกครอง หรือ เงินสดที่โรงเรียน
      7. หน่วยกำกับลงพื้นที่สุ่มตรวจ/ติดตาม
        1. การเบิกจ่ายของนักเรียน
        2. ผลการคัดกรองความยากจน
        3. ติดตามการใช้เงินของโรงเรียน
      8. สถานศึกษาส่งข้อมูลผลการติดตามเงื่อนไขการรับเงิน (การมาเรียน และผลการเรียน) ให้กองทุนผ่านระบบสารสนเทศ

      สำหรับครอบครัวไหนที่อาจจะเข้าเกณฑ์การได้รับ เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      เงินอุดหนุนบุตร 2564 ลงทะเบียนยังไง ใช้เอกสารอะไร ไปที่ไหน เงินเข้าเมื่อไหร่ เช็กเลย!

      เราชนะ แจกเงิน 7,000 บาท ลงทะเบียนเราชนะ เมื่อไหร่ ใครมีสิทธิ์บ้าง พ่อแม่เช็กเลย!

      แม่ต้องรู้! ลดหย่อนภาษี ฝากครรภ์-คลอดบุตร ได้เท่าไหร่?

      ออมสินปล่อยกู้สูงสุด 50,000 บาท ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์-ไม่ต้องมีคนค้ำ พ่อแม่เช็คสิทธิ์ด่วน

       

      ขอบคุณข้อมูลจาก : กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนเสมอภาค, ระบบปัจจัยพื้นฐานนักเรียนยากจน ภายใต้โครงการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อหลักประกันโอกาสทางการเรียนรู้

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        ลูกร้องโควิด

        ทำไม ลูกร้องโคลิค รู้สาเหตุ รับมือตรงจุดแก้ได้ไม่ยาก

        แม่รู้ไหมทำไม ลูกร้องโคลิค ร้องไห้นานไม่ยอมหยุด ร้องซ้ำเวลาเดิมๆ นานเป็นเดือน ลูกก็เหนื่อย แม่ก็เพลีย อยากให้ลูกหยุดร้อง แม่ต้องรู้ก่อน โคลิคเกิดจากอะไร จะได้แก้ตรงจุด

        ลูกร้องโคลิค แก้ไม่ยากแค่เปลี่ยนขวดนม

        โคลิค หรือ โคลิก (colic) คือชื่อของการร้องที่ผิดปกติของเด็กทารก มักเกิดขึ้นช่วงระหว่างอายุ 3 สัปดาห์ – 3 เดือน คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ได้ไม่ยาก เพราะหากลูกร้องโคลิคจะแตกต่างกับการร้องทั่วไปที่ทารกอยากสื่อสารให้พ่อแม่รู้ เพราะลูกจะร้องมาก ร้องนานจนหน้าแดงพร้อมกับกำหมัดแน่น หรือร้องจนตัวงอ ส่วนใหญ่มักร้องเวลาเดิมๆทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเย็นหรือกลางคืนและร้องต่อเนื่องนานกว่า 3 ชั่วโมง

        ลูกร้องโคลิค เกิดจากสาเหตุอะไร  

        ปัจจุบันข้อมูลทางการแพทย์ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าทำไม ลูกร้องโคลิค แต่หนึ่งในสาเหตุที่เกิดขึ้นบ่อยๆคือ เด็กกลืนอากาศมากเกินไปขณะดูดนมจากขวด แต่ไม่ได้เรอออกมา หรือคุณแม่จับเรอแล้วแต่ไม่มากพอ ทำให้มีอากาศค้างอยู่ในท้อง ลูกจึงรู้สึกอึดอัด แน่นท้องและกลายเป็นอาการร้องโคลิค

        ลูกร้องโคลิค

        ปัญหานี้แก้ไม่ยาก เพียงคุณแม่เปลี่ยนจากการใช้ขวดนมธรรมดามาเป็นขวดนมที่ช่วยป้องกันอาการโคลิค อย่างขวดนมรุ่น Anti-Colic Bottle จาก Philips Avent แบรนด์ขวดนมคุณภาพจากเนเธอแลนด์ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมที่คิดค้นและออกแบบมาขวดนมให้สามารถไล่อากาศออกจากท้อง ทันทีที่ลูกดูดนมวาล์วที่จุกนมจะไล่อากาศส่วนเกินออกมาด้วย ทำให้ไม่มีลมในมากเกินไป ลูกน้อยจึงสบายท้อง ไม่มีอาการท้องอืด แน่นท้องต้นเหตุของอาการโคลิค อาการกรดไหลย้อน แถมยังช่วยให้ดื่มนมได้มากขึ้นด้วย

        ขวดนมทำจากวัสดุเกรดดี ไม่มีสาร BPA และ BPS  คอขวดกว้างพร้อมกับมุมขวดที่โค้งมนจึงทำความสะอาดได้ง่าย รูปทรงออกแบบให้หยิบจับถนัดมือ ส่วนจุกนมซิลิโคนไม่แข็งเกินไป ควบคุมการไหลไม่ให้เร็วเกินไป ลูกดูดไม่สำลัก มีผิวเป็นร่องๆช่วยป้องกันการหดตัว ทำให้นมได้อย่างไม่ติดขัด

        ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่ดูแลสุขภาพลูกพร้อมตอบโจทย์คุณแม่ ทำให้ขวดนม Philips Avent Anti-colic bottle ได้รับการเสนอชื่อและคะแนนโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ให้ได้รับรางวัล Mommy’s Choice สาขา Best Baby Bottle & Nipple Product จาก AMARIN BABY AND KIDS AWARDS 2020

        ลูกร้องโคลิค

        Amarin Baby & Kids ขอจัดโปรโมชั่นดีๆ พลาดไม่ได้มาฝากกัน โดยคุณแม่สามารถซื้อขวดนม Philips Avent Anti-Colic Bottle ขนาด 9 ออนซ์ (เหมาะกับวัยแรกเกิด-3 เดือน) ซื้อ 2 ขวด แถม ฟรี 1 ขวด ทันที ในราคาเพียง 660 บาท จากปกติ 990 บาท สนใจคลิ๊กสั่งซื้อง่ายๆ ตามลิงค์นี้ได้เลยค่ะ https://bit.ly/2LPvWbO  หรือ add line มาที่ @amvata หรีือโทร 02-406-3663

        นอกจากการใช้ขวดนมป้องกันโคลิคแล้ว คุณแม่ควรมีวิธีรับมือเมื่อลูกร้องโคลิคอื่นๆ ด้วยโดยเริ่มจากการตั้งสติ ควบคุมอารมณ์ไม่ให้โมโห หรือเครียด หากลูกร้องเป็นเวลานานหลายๆ วันติดต่อกัน คงต้องคุณพ่อ หรือญาติผู้ใหญ่มาผลัดมือมาดูแลลูกน้อย เพื่อให้คุณแม่ได้มีเวลาพักผ่อน จะได้ไม่เครียดเกินไปเพราะนั่นจะส่งผลต่อสุขภาพของตัวเอง และพัฒนาการของลูกน้อยในระยะยาว

        ลูกร้องโคลิค

        เทคนิคดูแลลูกร้องโคลิค

        หากลูกๆ ของคุณพ่อคุณแม่มีอาการร้องโคลิค อาจเป็นการยากที่จะทำให้ลูกหยุดร้องในทันที แต่ก็พอที่ช่วยให้อาการร้องดีขึ้น ซึ่งคุณหมอได้มีคำแนะนำในการดูแลเมื่อ ลูกร้องโคลิค ดังนี้

        1. ให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตการร้องของลูกก่อนว่าร้องเพราะหิวนมหรือไม่ เพราะเด็กที่หิวนมมักจะร้องกวน
        2. ควรจัดสิ่งแวดล้อมรอบตัวลูก โดยเฉพาะในบ้าน ห้องนอน อย่าให้มีอะไรมากระตุ้นลูก อาทิ เสียงดังๆ หรือแสงรบกวน โดยเฉพาะแสงไฟที่จ้ามากไป
        3. การอุ้มลูกพาดบ่าเพื่อให้ลมในท้องดันเรอออกมา จะช่วยให้ลูกรู้สึกสบายตัวขึ้น
        4. เมื่อลูกเริ่มร้อง คุณแม่อาจใช้วิธีนวดตัวลูกเบาๆ เพื่อให้เขารู้สึกสบายขึ้น การลูบหลัง หรืออุ้มขึ้นมาแล้วเขย่าเบาๆ ก็ช่วยให้ลูกผ่อนคลายได้เช่นกัน
        5. การเปิดเพลงเบาๆ ให้ลูกฟัง สามารถช่วยทำให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายได้
        6. คุณพ่อคุณแม่เมื่อได้ยินลูกร้องนานมากกว่าปกติ ไม่ควรปล่อยลูกให้ร้องอยู่คนเดียว แต่ควรเข้าไปอุ้มแล้วปลอบโยกตัวลูกเบาๆ

        นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามทำให้ลูกอบอุ่น และรู้สึกสงบด้วยการอุ้มกอด กล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล อาจต้องใช้เวลาสักหน่อยแต่เมื่อแต่เมื่อผ่านพ้น 6-8 สัปดาห์แล้ว อาการร้องโคลิคจะค่อยๆดีขึ้นและหายไปเอง ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องทำใจยอมรับ อดทน และพยายามไม่เครียด แต่ถ้าสังเกตว่าลูกทารกมีอาการร้องไห้อย่างรุนแรง และไม่สามารถควบคุมได้ อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้บอกถึงอาการป่วย อื่นๆ ได้ด้วย จึงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดจะดีที่สุดค่ะ

        บทความน่าอ่านอื่นๆ 

        รวมคลิป เพลงแก้โคลิค คลื่นเสียงปราบอาการโคลิก ช่วยลูกหลับสบายทั้งคืน

        รวมข้อมูลสำคัญ!!ที่คุณแม่ควรรู้ก่อนซื้อ ขวดนม

        ลูกไม่เรอ ลูกเรอยาก ต้องดู! คลิปสอน วิธีจับลูกเรอ 2 วิธีทําให้ลูกเรอง่ายๆ

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

         

          อาหารเป็นยา ต้านโควิด19

          ชวนเข้าครัว!ให้ อาหารเป็นยา กับเมนูอร่อยต้านโควิด-19

          Covid-19อาจอยู่กับโลกเราไปอีกพักใหญ่ นอกจากการป้องกันการติดเชื้อ การเสริมภูมิคุ้มกันด้วยการกิน อาหารเป็นยา ให้ร่างกายแข็งแรงก็เป็นอีกวิธีที่น่าสนใจไม่น้อย

          ชวนเข้าครัว!ให้ อาหารเป็นยา กับเมนูอร่อยต้านโควิด-19

          ฮิปโปเครติส บิดาทางการแพทย์ของชาวกรีกได้บัญญัติไว้ในการรักษาเมื่อประมาณ 2,500 ปีที่แล้วว่า “จงใช้อาหารเป็นยาในการรักษาโรค” ซึ่งกลายมาเป็นปรัชญาในการรักษาโรคยุคต่อๆ มา และได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
          อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า อาหารเป็นสิ่งจำเป็นต่อการทำงานของร่างกายในการให้พลังงาน และสารอาหารที่จำเป็นในการดำรงชีวิต แต่ปัจจุบันมีหลักฐานเพิ่มเติมที่พบว่า องค์ประกอบของอาหารบางชนิดไม่จัดเป็นสารอาหารแต่อาจให้ประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพ ดังนั้น องค์ประกอบหลักในอาหารจึงแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนคือ
          • ส่วนที่เป็นสารอาหาร (nutrients)
          • ส่วนที่ไม่ใช่สารอาหาร (non-nutritive)

          องค์ประกอบทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์ต่อการป้องกัน หรือช่วยส่งเสริมการรักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคกระดูกพรุน เป็นต้น ดังนั้นเมื่อพูดถึงอาหารเราไม่ได้หมายถึงองค์ประกอบในรูปสารอาหารขนาดใหญ่ (macronutrient) และสารอาหารขนาดจิ๋ว (micronutrient) เท่านั้น แต่เราจะมองถึงองค์ประกอบที่มีฤทธิ์ต่อสรีรวิทยา หรือสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactive compound) และให้ผลในการลดหรือป้องกันโรค

          เมื่อโควิด-19 ระบาด ใช้ อาหารเป็นยา ป้องกันโรคได้
          เมื่อโควิด-19 ระบาด ใช้ อาหารเป็นยา ป้องกันโรคได้

          ร่างกายแข็งแรงห่างไกล COVID ด้วยอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน

          ร่างกายที่ดี สมบูรณ์แข็งแรง ย่อมทำให้เราห่างไกลจากเชื้อโรคร้ายต่าง ๆ ได้ รวมถึงเจ้าเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยเช่นกัน การจะทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ ด้วยวิธีง่าย ๆ จากการกินอาหารที่ส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยลดความเสี่ยงหรือความรุนแรงจากเชื้อไวรัสต่าง ๆ ได้ และยังเป็นสิ่งที่เราทุกคนทำได้ไม่ยากเพราะอาหารนั้นเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว เพียงแค่เราให้ความใส่ใจมากขึ้นในการเลือกอาหารที่มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ก็นับได้ว่าอาหารที่ดีจะช่วยป้องกันร่างกายให้แข็งแรงได้ทั้งครอบครัวเลยทีเดียว เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าไม่น้อย

          สารอาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

          การที่มีภาวะโภชนาการที่ดี ได้รับพลังงาน สารอาหารหลักทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และสารอาหารรองทั้งวิตามิน A, C, E, D, B6, B9 (โฟเลต), B12 และแร่ธาตุสังกะสี ซีลีเนียม เหล็ก ทองแดง แมกนีเซียม และแมงกานีส รวมทั้งดื่มน้ำสะอาด ที่เพียงพอและสมดุลอย่างต่อเนื่อง สิงเหล่านี้คือ สารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน  ซึ่งเราสามารถได้รับจากแหล่งอาหารจากธรรมชาติ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรับประทานในรูปแบบอาหารเสริมแต่อย่างใด เพราะยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันว่าวิตามินหรือแร่ธาตุตัวไหนจะป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัสได้

          แต่ถึงอย่างไร คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าพึ่งกังวลกันไป แม้จะไม่มีวิตามินหรือแร่ธาตุตัวไหนเด่นชัดที่จะใช้ป้องกันโควิดได้ แต่เรายังมีอาหารที่เป็นยา ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายแข็งแรง เพียงเท่านี้ก็ทำให้เรา และลูกน้อยสามารถห่างไกลจากโควิด แถมยังปลอดภัยจากเชื้อโรคร้ายอื่นอีกด้วย แหล่งอาหารที่ดี มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ขอหยิบยกสารอาหารตัวเด่น ๆ ที่บทบาทต่อภูมิต้านทาน ดังนี้

          วิตามินซี

          ช่วยการทำงานของเม็ดเลือดขาวและช่วยกระบวนการทำลายเชื้อโรค โดยความต้องการต่อวันตามข้อกำหนดปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2563 ในเด็กอายุ 1-8 ปี ควรได้รับ 25-40 มิลลิกรัมต่อวัน ในเด็กและวัยรุ่นช่วงอายุ 9-18 ปี ควรได้รับ 60-100 มิลลิกรัมต่อวัน และวัยผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป ควรได้รับ 85-100 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งแหล่งวิตามินซีในอาหารจะอยู่ในผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่

          เมนูอร่อยเสริมวิตามินซี -ต้านโควิด

          แยมสตรอว์เบอร์รี่ โฮมเมด

          สตรอว์เบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น เควอซิทิน (Quercetin) เคมเฟอรอล (Kaempferol) แอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งสารดังกล่าวมีส่วนช่วยในการยับยั้งสารก่อมะเร็งต่าง ๆ ได้ และยังมีวิตามินซีในปริมาณสูง โดยสตรอว์เบอร์รี่สดประมาณ 100 กรัม จะมีวิตามินมากถึง 58 มิลลิกรัม การนำสตอว์เบอร์รี่มาทำเป็นแยม นอกจากช่วยถนอมอาหารแล้ว ยังทำให้มีรสชาติอร่อย เหมาะแก่เด็ก ๆ รับประทานง่าย และที่สำคัญการทำแยมโฮมเมดนั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถกำหนดปริมาณน้ำตาล และสารอันไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ที่มีมากับแยมสำเร็จรูปที่วางขายตามท้องตลาดได้อีกด้วย

          วิตามินเอ

          ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน โดยแหล่งอาหารที่ดีที่ร่างกายสามารถดูดซึมและใช้ประโยชน์ได้สูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ ไข่แดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม และแหล่งอาหารรองลงมาจะได้จากพืช ได้แก่ ผักใบเขียวเข้ม ผักและผลไม้สีเหลืองและส้ม เช่น ตำลึง ผักบุ้ง แครอท ฟักทอง มันเทศสีเหลือง มะละกอสุก

          เมนูอร่อยเสริมวิตามินเอ -ต้านโควิด

          ต้มเครื่องในหมู

          เครื่องในมีสารอาหารเข้มข้นสูง เป็นแหล่งธาตุเหล็กและโปรตีนที่ดี มีวิตามินเอ บี12 และโฟเลต นอกจากนั้นยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่สำคัญอีกมาก

          ต้มเครื่องในหมู เสริมวิตามินเอ ให้ อาหารเป็นยา
          ต้มเครื่องในหมู เสริมวิตามินเอ ให้ อาหารเป็นยา

          ส่วนผสม

          • เครื่องในหมูต้มสุก            300 กรัม
          • ข่าแก่หั่นแว่น                    5 แว่น
          • หอมเล็กบุบพอแตก          2-3 หัว
          • ใบมะกรูดฉีก                      2-3 ใบ
          • น้ำเปล่า                              2 ถ้วย
          • น้ำปลา                               2 ช้อนโต๊ะ
          • น้ำมะขามเปียก                  2 ช้อนโต๊ะ
          • น้ำมะนาว                           2 ช้อนโต๊ะ
          • เกลือป่น                             1 ช้อนชา
          • พริกขี้หนูแห้งคั่วบดหยาบ  10-15 เม็ด
          • ผักชีฝรั่งซอย                      1-2 ใบ

          วิธีทำ

          1. ต้มน้ำให้เดือด จากนั้นใส่ข่า ตะไคร้ หอมเล็ก และใบมะกรูดลงไป ตั้งไฟต้มให้เดือดอีกครั้ง ใส่เครื่องในหมูลงเคี่ยวให้นุ่มขึ้น
          2. ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา น้ำมะขามเปียก ยกลงจากเตา เติมน้ำมะนาว
          3. ตักต้มเครื่องในหมูใส่ถ้วย ใส่พริกขี้หนูคั่วและผักชีฝรั่งท้ายสุด พร้อมเสิร์ฟได้เลย

          สังกะสี

          มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโต และแบ่งเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน รวมทั้งควบคุมการทำงานของเอนไซม์ที่เป็นกลไกหลักในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งแหล่งอาหารที่ดีเมื่อพิจารณาจากปริมาณและการดูดซึมเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ได้แก่ เนื้อสัตว์และเครื่องใน หอยนางรม สัตว์ปีกและปลา และที่รองลงมา ได้แก่ ไข่ นม

          เมนูอร่อยเสริมสังกะสี -ต้านโควิด

          ปีกไก่ยัดไส้

          มีทั้งคุณสมบัติและประโยชน์ที่ไม่ควรมองข้าง ปีกไก่ที่ปรุงอย่างถูกต้องมีผลในการรักษาความผิดปกติของระบบเผาผลาญ อุดมไปด้วยสารอาหารหลักมากมาย รวมทั้งสังกะสี อีกหนึ่งสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย

          โปรตีน

          ช่วยสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันและสารภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ซึ่งโปรตีนที่มีคุณภาพดีมีกรดอะมิโนจำเป็นที่ครบถ้วน สามารถได้รับจากเนื้อสัตว์ ไข่ นม (พร่องหรือขาดมันเนย) ชีส (เลือกชนิดที่ไขมันต่ำ) เต้าหู้ ถั่วเหลือง สำหรับโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วต่าง ๆ เมล็ดพืชต่าง ๆ สามารถเลือกรับประทานควบคู่กับแหล่งอาหารจากพืชอื่น ๆ เพื่อเติมเต็มในส่วนของกรดอะมิโนจำเป็นที่โปรตีนจากพืชชนิดนั้น ๆ ไม่ครบถ้วน เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง (ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ) คู่กับถั่วเปลือกแข็งหรือเมล็ดพืช

          เมนูอร่อยเสริมโปรตีน -ต้านโควิด

          น้ำสลัดเต้าหู้

          เต้าหู้นั้นมีหลายชนิด อาทิ เต้าหู้แข็ง เต้าหู้อ่อน เต้าหู้หลอด และเต้าหู้พวง เป็นต้น ซึ่งหากเป็นเต้าหู้ขาวแข็ง 100 กรัม จะให้พลังงาน 145 กิโลแคลอรี มีโปรตีน 16 กรัม ส่วนเต้าหู้ขาวอ่อน 100 กรัม ให้พลังงาน 76 กิโลแคลอรี มีโปรตีน 8 กรัม หากคุณพ่อคุณแม่อยากหาเมนูแปลกใหม่ เพื่อดึงดูดให้แก่ลูกได้ทานอาหารที่มีประโยชน์ และคุณค่าต่อการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายแล้วละก็ แนะนำเมนูนี้เลย

          จุลินทรีย์สุขภาพ (โพรไบโอติกส์) และอาหารสำหรับจุลินทรีย์สุขภาพ (พรีไบโอติกส์) 

          ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย โดยแหล่งอาหารที่ดีที่มีจุลินทรีย์สุขภาพ ได้แก่ โยเกิร์ตและนมเปรี้ยวที่ระบุไว้ว่ามีการเติมโพรไบโอติกส์ แต่ควรเลือกที่น้ำตาลต่ำ สำหรับอาหารสำหรับจุลินทรีย์สุขภาพ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในแหล่งอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ธัญพืช ข้าวโอ๊ต ถั่วเมล็ดแห้ง กล้วย หัวหอมใหญ่ กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง

          เมนูอร่อยเสริมโพรไบโอติกส์-พรีไบโอติกส์ -ต้านโควิด

          พาเฟ่ต์โยเกิร์ต 

          เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าในโยเกิร์ตนั้นอุดมไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ข้อควรระวังในการเลือกรับประทานโยเกิร์ต นั่นคือ ความหวาน ทางที่ดีพยายามเลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติให้แก่ลูกน้อย จะได้เพิ่มสารอาหารต้านทานโควิด แบบไร้กังวลให้แก่ร่างกาย

          การป้องกัน และต้านทานเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) ที่สามารถทำได้ง่ายดาย เพียงแค่กิน!! แต่เป็นการเลือกรับประทาน อาหารเป็นยา อาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และดีต่อการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย เรียกได้ว่าใส่ใจเพิ่มอีกเพียงนิด แล้วชีวิตจะเป็นสุข มาร่วมกันปลูกฝังการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายให้แก่ลูกหลานกันเถอะ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในสิบความฉลาดรอบด้าน (Power BQ) ที่เป็นทักษะที่จำเป็นแก่เด็กในยุคใหม่ที่พ่อแม่ควรปลูกฝัง นั่นคือ Health Quotient ความฉลาดทางสุขภาพ ยิ่งลูกน้อยมีมากเท่าไหร่ เขาก็จะสามารถดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีจากภายในได้อย่างที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องคอยห่วงอีกต่อไป

          ข้อมูลอ้างอิงจาก bangkokbiznews.com /rama.mahidol.ac.th /medthai.com/ Goodlifeupdate 

          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          9 อาหารไทย เพิ่มภูมิคุ้มกันต้านโควิด-19

          แจกสูตร 12 เมนูอาหารง่ายๆ สำหรับแม่ทำกับข้าวไม่เก่ง เข้าครัวเพื่อลูก!

          หมอเตือน!! กิน “มะม่วง” ที่มีจุดดำ เสี่ยงติดเชื้อได้!!

          ลดค่าเทอม 50% แบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ฝ่าวิกฤตยุคโควิดยึดเมือง

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ไอศกรีม ปนเปื้อน เชื้อไวรัสโคโรนาจากจีน

            ผงะ!!ไอศกรีม ปนเปื้อน โควิด19 จากโรงงานผลิตที่จีน

            ผวาหนักเมื่อจีนประกาศพบการ ปนเปื้อน เชื้อไวรัสโควิด19 ในไอศกรีมจากโรงงานผลิต และกำลังเรียกไอศกรีมล็อตนี้คืน น่าห่วงว่า “หรือโควิด19ติดได้จากอาหารจะเป็นจริง”

            ผงะ!!ไอศกรีม ปนเปื้อน โควิด19 จากโรงงานผลิตที่จีน

            เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวซินหัวของจีน เปิดเผยว่าทางการเทศบาลนครเทียนจินทางตอนเหนือของจีนเร่งแกะรอยไอศกรีมปนเปื้อนเชื้อไวรัสโคโรนา ที่ทำให้ป่วยเป็นโรค Covid-19  หลังจากตัวอย่างไอศกรีม 3 ราย มีผลตรวจเชื้อไวรัสเป็นบวก เป็นไอศกรีมที่ผลิดโดยบริษัท เทียนจิน ต้าเฉียว ฟู้ด จำกัด (Tianjin Daqiaodao Food) การสอบสวนการระบาดวิทยาเบื้องต้นชี้ว่าบริษัทผลิตไอศกรีมโดยใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศ เช่น นมผงนำเข้าจากนิวซีแลนด์ และเวย์ผงนำเข้าจากยูเครน

            ไอศกรีม ปนเปื้อน เชื้อก่อโควิด19
            ไอศกรีม ปนเปื้อน เชื้อก่อโควิด19

            กักตัวคนงานนับพัน ตรวจพบเชื้อไวรัสโควิดในไอศกรีม จีนเร่งปิดโรงงาน

            ไชน่าเดลี่ chinadaily.com.cn รายงานว่า โรงงาน ต้าเฉียวเต้า ฟูด ที่เมืองเทียนจิน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน จำเป็นต้องปิดตัวลงเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนา ที่ทำให้ป่วยโควิด-19 ในไอศกรีม

            ไอศกรีมล็อตดังกล่าวผลิตออกมาทั้งสิ้น 29,000 กล่อง แต่จัดส่งออกไปเพียง 390 กล่องเท่านั้น ทางบริษัทจึงกำลังเรียกไอศครีมล็อตดังกล่าวคืนทั้งหมด

            ทางการประกาศเตือนประชาชนที่ซื้อไอศกรีมไปกิน เข้าตรวจสุขภาพ พร้อมติดตามไทม์ไลน์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการผลิตรวมถึงกักตัวพนักงานอีกกว่า 1,662 คน ขณะนี้จะไม่มีรายงานว่ามีพนักงานติดโควิดจากไอศกรีมล็อตดังกล่าว

            บริษัท ต้าเฉียวฟูด ผู้ผลิตเปิดเผยว่า ทางบริษัทนำเข้าส่วนผสมต่างๆ จากต่างประเทศ ประกอบด้วย นมผงที่นำเข้าจากประเทศนิวซีแลนด์ และหางนมที่นำเข้ามาจากประเทศยูเครน

            ทางการจีนสันนิษฐานว่า เชื้อโควิด-19 ที่พบในไอศกรีมน่าจะมาจากต่างประเทศ โดยกรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการพบเชื้อก่อโรคโควิด-19 ในปลาและอาหารแช่แข็งอื่นๆสามารถเกิดขึ้นได้จริง แม้ว่าบรรดานักวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศจะเคลือบแคลงสงสัยต่อการตรวจพบดังกล่าวก็ตาม

            ข้อมูลอ้างอิง www.khaosod.co.th

            จากข่าวดังกล่าวทำให้ทั่วโลกตื่นตระหนกกับการพบเชื้อไวรัสโคโรนาในอาหารที่ไม่สามารถทำให้ปรุงสุกได้อย่างเช่น ไอศกรีม และลามไปยังความเคลือบแคลงสงสัยในความปลอดภัยของการรับประทานอาหารแช่แข็ง แต่ก็มีการตอบโต้ทันควันจากผู้เชี่ยวชาญการระบาดวิทยาของทางฝั่งยุโรป ดร.สตีเฟ่น กริฟฟิน นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยลีดส์ ที่ได้ให้ข้อสังเกตจากเหตุการณ์นี้ว่า ยังไม่ควรตื่นตระหนกมากเกินไป เพราะการรายงานของจีนนั้น เป็นการทดสอบที่ได้ผลในเชิงบวกของไอศกรีมเพียงครั้งเดียว ยังไม่สามารถสรุปความได้อย่างชัดเจน ซึ่งคาดว่าเชื้อน่าจะมาจากการที่ไอศกรีมที่ทำการทดสอบนั้นได้สัมผัสกับมนุษย์ และอุณหภูมิความเย็นของไอศกรีม รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้ไขมันจึงทำให้เชื้อไวรัสโคโรนาอยู่ได้นานกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาในโรงงานผลิตที่อาจไม่ได้มาตราฐาน และอาจส่งผลต่อสุขอนามัยของโรงงานก็เป็นได้ ดังนั้นจึงยังไม่ควรตื่นตระหนกมากไปนัก หากต้องการรับประทานจริง ๆ ควรเลือกแหล่งผลิตที่ได้มาตราฐานจะดีกว่า

            การ ปนเปื้อน ในอาหารเป็นที่กังวลต่อสุขภาพลูก
            การ ปนเปื้อน ในอาหารเป็นที่กังวลต่อสุขภาพลูก

            Dr Stephen Griffin, a virologist based at the University of Leeds, said the ice cream’s positive test likely derived from human contact and was a “one-off”.

            He told Sky News: “The chances are that this is the result of an issue with the production plant and potentially down to hygiene at the factory.’

            That the ice cream is made with fat and is stored at cold temperatures would make it easy for the virus to have survived, he said.

            But he added: “We probably don’t need to panic that every bit of ice cream is suddenly going to be contaminated with coronavirus.”

            ข้อมูลอ้างอิงจาก www.standard.co.uk

            ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ ใคร ๆ ก็ไม่อยากเสี่ยงติดเชื้อ และจากเหตุการณ์ในข่าวที่ประเทศจีนคราวนี้ที่พบการติดเชื้อไวรัสโคโรนาในไอศกรีม จึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจกันไม่น้อย เพราะเท่ากับเป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่า เชื้อไวรัสนี้สามารถพบได้บนอาหารใกล้ตัวที่เรารับประทานกัน แม้ว่าผลที่ออกมาจะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าเชื้อไวรัสโคโรนาในไอศกรีมนั้นจะสามารถนำมาสู่มนุษย์ได้หรือไม่ก็ตาม

            ความกังวลของผู้คนในเวลานี้ที่ต่างพากันระแวงถึงการติดเชื้อไวรัสโคโรนาว่าจะมีขอบเขตไปแค่ไหน เพื่อที่จะได้ระมัดระวังตัว ป้องกันการติดเชื้อกันได้อย่างตรงจุด จึงทำให้ก่อนหน้านี้ ในประเทศไทยมีการหวาดระแวงการรับประทานกุ้ง จนต่างพากันงดเมนูที่มีวัตถุดิบจากกุ้งสดไปแล้วนั้น ทำให้หลายฝ่ายเกิดความเสียหาย โดยเฉพาะบรรดาพ่อค้าแม่ค้าอาหารทะเลทั้งหลายที่ต้องออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลหาคำตอบ และออกมารับรองหากว่าไม่เป็นความจริง จนมีการเรียกความเชื่อมั่นด้วยการรับประทานอาหารที่ผลิตจากกุ้งสดโชว์กันหลากหลายที่กันเลยทีเดียว

            วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK เข้าใจในความกังวลใจของแม่ ๆ ทุกท่าน แม้ว่าจะมีผลสรุปที่ยังไม่แน่นอน แต่การป้องกันไว้ก่อน ก็ย่อมดีกว่าเสมอสำหรับครอบครัว ลูกน้อยอันเป็นที่รักของเรากันใช่ไหม ดังนั้นวันนี้จึงขอนำเอาคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงเชื้อไวรัสโคโรนาในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงในปัจจุบันกันว่าควรทำตัวอย่างไรเพื่อให้ปลอดภัยในยามที่ยังไม่มีอะไรที่ชัดเจนแน่นอน ณ เวลานี้ โดยเฉพาะประเทศไทยเรา

            หมั่นล้างมือ ก่อนรับประทานอาหาร ลดการ ปนเปื้อน
            หมั่นล้างมือ ก่อนรับประทานอาหาร ลดการ ปนเปื้อน

            กิน-ปรุงอาหารในช่วง “โควิด-19” อย่างไรให้ปลอดภัยไร้ไวรัส

            1. ใช้เขียง และมีดแยกต่างหากสำหรับเนื้อดิบ และอาหารที่ปรุงสุกแล้ว
            2. ล้างมือทุกครั้งระหว่างการเตรียมเนื้อดิบ และอาหารที่ปรุงสุกแล้ว (ถึงแม้ในพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัส  วัตถุดิบเนื้อต่างๆ ยังสามารถรับประทานได้หากผ่านการปรุงสุกอย่างทั่วถึงและมีการจัดเตรียมอย่างถูกต้อง)
            3. ไม่ควรรับประทานสัตว์ป่วยหรือสัตว์ที่ตายจากโรค

             

            นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังแนะนำเพิ่มเติม ดังนี้

            1. ล้างมือทุกครั้งก่อน และหลังรับประทานอาหาร
            2. กินร้อน หมายถึง กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ
            3. ช้อนตัวเอง ช่วงการระบาดของโควิด-19 อยากแนะนำให้แยกสำรับอาหาร และกับข้าวของใครของมันแทนการรับประทานกับข้าวจากจาน-ชามเดียวกัน แม้จะมีช้อนกลางยังอาจเสี่ยงไวรัสติดช้อนกลาง และการนั่งล้อมวงกินข้าวใกล้กันก็เสี่ยงแพร่เชื้อซึ่งกันและกันได้
            4. รักษาระยะห่างระหว่างกินข้าว นั่งห่างกัน 1.5-2 เมตร หรือแยกไปกินคนละที่ รวมถึงการยืน-นั่งในระหว่างวันด้วย

            วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนาเมื่อต้องรับประทานอาหารนอกบ้าน

            ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันคงเป็นการยากที่เราจะสามารถทำอาหารทานเองที่บ้านได้ทุกมื้อ ในทุก ๆ วัน ดังนั้นเรามีเคล็ดลับวิธีง่าย ๆ มาฝากกันเมื่อจำเป็นต้องออกไปทานข้าวนอกบ้าน ดังนี้

            1. สวมหน้ากากอนามัยเสมอ กลายเป็นของสำคัญสำหรับคนในยุคปัจจุบันไปเสียแล้ว การใส่หน้ากากอนามัยสามารถลดการติดเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่อย่าลืมใส่ และเตือนลูกให้ใส่เป็นประจำจนเป็นนิสัย ห่างต้องถอดตอนรับประทาน ก็ควรเว้นระยะห่างระหว่างคนอื่น และรีบใส่กลับเมื่อทานเสร็จทันที
            2. ล้างมือบ่อย ๆ ทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร หากอยู่นอกบ้านไม่สะดวกในการล้างมือ เจลล้างมือก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีทางหนึ่ง
            3. เลือกกินอาหารปรุงสุก ในช่วงนี้ควรงดการรับประทานอาหารดิบ หรือไม่สุกไปก่อน เช่น ปลาดิบ ซูซิ เป็นต้น
            4. พกอุปกรณ์การรับประทานเป็นของส่วนตัว การใช้อุปกรณ์ ช้อน ชาม ตะเกียบ ของตัวเองไปรับประทานข้างนอกทำให้เรามั่นใจได้ 100% จากการติดเชื้อมาจากการใช้ของร่วมกันผู้อื่น จึงควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาพกไว้ติดตัวก็ดีไม่น้อย

              เลือกร้านอาหารที่คนไม่มาก ไม่แออัด
              เลือกร้านอาหารที่คนไม่มาก ไม่แออัด
            5. เลือกร้านที่คนไม่แออัด อย่างที่ทราบกันดีว่า การเว้นระยะห่างจากผู้อื่นก็เป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส ดังนั้นการเลือกร้านที่คนไม่มาก หรือเลือกเวลาเข้าร้านรับประทานที่คนน้อยก็จะดีกว่า
            6. แยกสำรับอาหารของแต่ละคน ควรเลือกรับประทานอาหารที่เป็นของใครของมัน ไม่ทานร่วมกัน จะยิ่งช่วยลดการแพร่เชื้อ และโอกาสการติดเชื้อได้ดียิ่งขึ้น

            หากเราสามารถเข้าใจธรรมชาติของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาได้เป็นอย่างดีแล้ว ความตื่นตระหนกตกใจก็คงจะลดปริมาณลงไปได้บ้าง เพราะเราสามารถปฎิบัติตัวให้ห่างไกลจากโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสนี้ จำไว้ว่า “รักษาความสะอาด รับประทานที่ถูกสุขอนามัย และมีสติอยู่เสมอ ช่วยลดการติดเชื้อได้” ขอเอาใจช่วยให้ทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลาอันวิกฤตนี้ไปได้ด้วยดี อย่ามัวแต่ตื่นตระหนกกับข่าวมากมายในปัจจุบัน ควรเลือก และพิจารณารับฟังข้อเท็จจริงจะได้ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และลูก ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ก็จะได้มีทักษะความฉลาดคิดเป็น(Thinking Quotient)ในการเลือกรับฟังข่าวสารที่มีอย่างมากมายในโลกออนไลน์ได้ในทุกวันนี้ ซึ่งเป็นความฉลาด 10 ประการ(Power BQ)ที่เด็กในยุคปัจจุบันควรมี

            ข้อมูลอ้างอิงจาก www.sanook.com

            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

            ไขข้อสงสัย ‘หน้ากากอนามัย’ ชนิดไหนป้องกัน ‘โควิด-19’ และ ‘PM2.5’ ไปพร้อมกัน!!

            โควิด อาการ ที่ต้องสังเกต! สัญญาณอันตรายที่ต้องไปโรงพยาบาล

            โควิดขยายวงจู่โจมทารก-เด็กเล็ก สหรัฐพบ เด็กติดโควิด19 แตะ 2 ล้านคน

            สสส. แนะวิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              ของเล่นเสริมทักษะ

              หมอตอบ ของเล่นเสริมทักษะ – อุปกรณ์ IT ทำให้ลูก “เก่ง” ได้จริงหรือ?

              ของเล่นเสริมทักษะ รวมไปถึงอุปกรณ์ไอทีต่างๆ เช่น มือถือ แท็บเล็ต กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราไปแล้ว ซึ่งของเหล่านี้มันจำเป็นสำหรับลูกน้อยยุคดิจิทัลจริงมั๊ย? ทำให้ลูก “เก่ง” ได้จริงหรือ?

              หมอตอบ ของเล่นเสริมทักษะ – อุปกรณ์ IT ทำให้ลูก “เก่ง” ได้จริงหรือ?

              สมัยนี้ทั้ง ของเล่นเสริมทักษะ หรือ อุปกรณ์ไอที เรียกได้ว่า สำคัญต่อชีวิตและอนาคตของเด็กไทยแน่ๆ คำถามคือ >> มีปัญญาจะใช้หรือเปล่า ทั้งนี้ คำว่า “มีปัญญา” หรือ “ไม่มีปัญญา” ไม่ได้หมายถึงความฉลาด แต่ขึ้นอยู่กับทักษะ 2 ประการ คือ ทักษะเรียนรู้ (learning skills) และทักษะชีวิต (life skills)

              “ทักษะเรียนรู้ หมายถึงอะไร”

              ทักษะเรียนรู้ หมายถึง ความสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง  ก่อนหน้าจะเรียนรู้ด้วยตนเองยังมีเรื่องความอยากรู้ ความใฝ่รู้ ความกระตือรือร้นที่จะค้นหาคำตอบ ไปจนถึงได้คำตอบมาแล้วยังขี้สงสัยไม่เชื่อในทันที  ตามหาคำตอบที่สองต่อ

              shutterstock_176364533

              ซึ่งความอยากรู้และใฝ่รู้จะยากที่สุด  เด็กส่วนใหญ่ไม่ได้อยากรู้อะไรมากนักนอกจากเรื่องที่ต้องสอบ  ไม่ใฝ่รู้มากไปกว่าเรื่องที่ครูติว  หลายครั้งที่สงสัยอะไรบางอย่างวาบขึ้นมาในใจก็ไม่กระตือรือร้นมากพอที่จะลุกไปเปิดหนังสือหรือเปิดคอมพิวเตอร์หาคำตอบ  อ่านข่าวหรือฟังข่าวอะไรก็เชื่อตามกันไปหมดโดยไม่มีแม้กระทั่งความคิดที่จะ “ไม่เชื่อ” ซึ่งการศึกษาแบบของบ้านเราทำลายทั้งหมดนี้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่เตรียมอนุบาล  ดังนั้นยื่นสมาร์ทโฟนที่ดีที่สุดให้เขาก็ไม่ได้อยากเรียนรู้อะไร

              “ทักษะชีวิต หมายถึงอะไร”

              ทักษะชีวิต หมายถึง ความสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความหมายไปเรื่อยๆ โดยไม่ยอมแพ้ ประกอบด้วยความสามารถในการมองไปยังอนาคต เห็นภาพฝันของตนเอง อยากได้อะไร อยากเป็นอะไร รู้จักวางแผนไปถึงอนาคตนั้น กล้าตัดสินใจทำตามแผนแม้ว่าแผนจะไม่ดีที่สุด ตัดสินใจไปแล้วหากผิดพลาดหรือไม่ดีพอก็ยอมรับผิด ไม่ตีโพยตีพายหรือโทษคนอื่นโทษพ่อแม่  รู้จักปรับแผน เปลี่ยนแผน เปลี่ยนเส้นทางเดิน ลงมือปฏิบัติการอีกครั้งหนึ่ง พลาดหรือล้มก็นอนพัก ไม่ยอมแพ้แล้วลุกขึ้นใหม่ได้อีก  เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

              ทักษะชีวิตเป็นของฝึกได้ด้วยการฝึกทำงานบ้าน ซึ่งการศึกษาในศตวรรษที่ 21 คือไม่สอน  แต่ฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาด้วยความรู้  แต่การศึกษาบ้านเราไม่มีให้อีกเช่นกัน การสอนหนังสือและท่องสอบเอาชนะกันไม่ฝึกทักษะชีวิต  พลาดก็ฆ่าตัวตาย

              shutterstock_230022493

              วกกลับมาเรื่องอุปกรณ์ไอที มีความสำคัญมาก ดีกว่าและเร็วกว่าห้องสมุดหรือหนังสือแน่ๆ (ถึงอย่างไรห้องสมุดและหนังสือยังมีประโยชน์อยู่)   ปัญหาคือเรากำลังเผชิญปัญหาว่าเด็กไทยมิได้ใช้ไอทีเพื่อพัฒนาชีวิตของตนเอง  ในทางตรงข้ามกลับใช้ไอทีไปกับกิจกรรมที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่ตรงประเด็น (irrelevant) เสียมาก

              ดังนั้น … เมื่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการใช้ไอทีไม่ชัดเจนเสียแล้ว  ของเล่นเสริมทักษะ หรือ gadget ต่างๆ ก็จะกลายเป็นของฟุ่มเฟือย  คุณพ่อคุณแม่ก็บริหารเงินภายใต้หัวข้อสิ่งฟุ่มเฟือย แต่หากวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการใช้ไอทีชัดเจน ของเล่นเสริมทักษะ หรือ gadget ต่างๆ ก็จะกลายเป็นของจำเป็น คุณพ่อคุณแม่ก็บริหารเงินภายใต้หัวข้อสิ่งจำเป็นได้ครับ

               

              บทความโดย: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
              จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

              ♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

              อย่างไรก็ตามจเพราะโลกใบนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในทุกๆ วัน เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย  จากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง สภาพเศรษฐกิจที่ผันผวน การใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ผู้คนใจร้อนขึ้น การแข่งขันที่สูงขึ้น ไม่เฉพาะกับคนเก่ง แต่เด็กรุ่นใหม่ยังต้องสู้กับคู่แข่งหน้าใหม่ที่ฉลาดรอบรู้อย่าง AI อีกด้วย  พ่อแม่ยุคนี้เจอโจทย์ที่ยาก และท้าทายมาก ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้เติบโต อยู่รอด และประสบความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า ดังนั้นพ่อแม่ยุคใหม่จึงต้องมีสติและสตรอง มีความรู้ในเรื่อง Power BQ (Power Baby & Kids Quotients) ติดอาวุธให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกัน

              ซึ่ง Power BQ ความฉลาดทั้ง 10 ด้านนี้ จะเป็นอาวุธสำคัญให้ลูกของเราเติบโตอย่างมีคุณภาพ และสามารถเอาตัวรอดในอนาคตได้ ไม่ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนแค่ไหนก็ตาม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมและสนับสนุนให้ลูกมีครบได้ เพื่อเป็นรากฐานที่ดีของลูกน้อยที่จะติดตัวลูกไปในอนาคต

              ทั้งนี้สำหรับคำถามที่ว่า ของเล่นเสริมทักษะ – อุปกรณ์ IT ทำให้ลูก “เก่ง” ได้จริงหรือ?!! ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ TQ: Thinking Quotient หมายถึง ความฉลาดในการคิดดีและมีคุณค่า สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตและงานต่าง ๆ ได้ เช่น ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดประยุกต์ ฯลฯ ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะในยุคนี้ที่เด็กสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ มากมายได้อย่างง่ายดาย แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรผิดถูก ยังกลั่นกรองไม่เป็น พ่อแม่จึงต้องสอนให้ลูกรู้จักคิดเป็น ไม่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง การบูลลี่ การล่อลวง หรือสิ่งไม่ดีต่างๆ โตขึ้นลูกจะสามารถเป็นคนที่แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี สามารถคิดไตร่ตรองสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด และคิดเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้

              บทความแนะนำ เลี้ยงลูกอย่างไรให้มี TQ (Thinking Quotient) ฉลาดในการคิด เก่ง และประสบความสำเร็จ

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

              อ่านต่อบทความอื่นๆ น่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

              หมอแนะ! วิธีเล่นกับลูก วัยทารก สร้าง EQ ดี IQ เริ่ด พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!

              หมอแนะ! ลูกทำผิดในที่สาธารณะ ควร ทำโทษลูก ทันทีหรือทีหลังได้?

              ส่งลูก เรียนอนุบาล แต่พ่อแม่ไม่อยากให้รร. “เร่งอ่านเขียน” จะทำอย่างไรดี?

              หมอเตือน! พ่อแม่ทะเลาะกัน “ต่อหน้าลูก” เสี่ยงลูกพัฒนาการถดถอย สับสนทางเพศ

                ลดค่าเทอม

                แม่เฮ! สช.สั่งรร. ลดค่าเทอม-คืนค่าธรรมเนียมการศึกษา

                เมื่อลูกต้องอยู่บ้านเรียนออนไลน์ 1 เดือนเต็ม ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากผู้ปกครองให้โรงเรียน ลดค่าเทอม เพื่อแบ่งเบาภาระของพ่อแม่บ้าง และนี่คือประกาศด่วนจากกระทรวงศึกษาธิการ

                แม่เฮ! สช.สั่งโรงเรียน ลดค่าเทอม-คืนค่าธรรมเนียมการศึกษา

                จากการที่มีคำสั่งจากกระทรวงศึกษาธิการ ให้โรงเรียนที่อยู่ในจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุด 28 จังหวัด ปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ตั้งแต่ 4 – 31 ม.ค. 64 เพื่อลดเสี่ยงโควิด-19 แพร่ระบาดนั้น (อ่านต่อ ศธ. ประกาศสถานศึกษา 28 จังหวัด ปิดเรียนถึง 31 ม.ค. 64) โดยกำหนดแนวทางจัดการเรียนการสอนตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ เช่น การสื่อสารแบบทางไกล หรือด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ หากไม่สามารถจัดการเรียนการสอนโดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ สถานศึกษาอาจจัดการเรียนการสอนโดยใบสั่งงาน หรือมอบงานตามความเหมาะสม โดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน แม่ ๆ หลายคนก็ได้ตั้งคำถามถึงค่าเทอม ค่าธรรมเนียมการศึกษา และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น ค่าอาหาร ค่ารถรับส่ง ค่าเรียนพิเศษ ฯลฯ ที่ลูก ๆ ไม่ได้ใช้บริการนั้น ว่าทางโรงเรียนจะสามารถลดหรือจ่ายคืนค่าใช้จ่ายเหล่านี้คืนมา เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองได้หรือไม่นั้น ในวันที่ 15 มกราคม 2564 ทางสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้มีประกาศ เรื่อง ซักซ้อมความเข้าใจการจัดการเรียนการสอนระหว่างปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษและการคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาให้แก่ผู้ปกครอง โดยมีรายละเอียดดังนี้

                เรียนออนไลน์
                เรียนออนไลน์

                     ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ประกาศ ณ วันที่ 2 มกราคม 2564 กำหนดให้สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐและเอกชนปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองเป็นจำนวนมากว่าโรงเรียนในระบบประเภทสามัญศึกษา และประเภทนานาชาติ ได้บังคับให้นักเรียนระดับก่อนประถมศึกษาและระดับประถมศึกษาต้องเรียนผ่านออนไลน์เท่านั้น ซึ่งไม่เหมาะสมกับนักเรียน รวมทั้งยังเป็นการสร้างภาระและความเดือดร้อนให้แก่ผู้ปกครองมากยิ่งขึ้น จึงได้มีการเรียกร้องให้โรงเรียนคืนค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่น ๆ นั้น

                สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่องให้สถานศึกษาในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ประกาศ ณ วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2564 มิได้บังคับให้โรงเรียนต้องจัดการเรียนการสอนเฉพาะผ่านออนไลน์เท่านั้น หากแต่โรงเรียนยังสามารถบริหารจัดการเรียนการสอนได้ตามบริบทและความเหมาะสม กับนักเรียนโดยอาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง หรืออาจใช้หลายวิธีร่วมกันก็ได้ และหากโรงเรียนใดมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีใด ๆ ได้เลย ก็ให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนชดเชยเมื่อสามารถเปิดเรียนได้ตามปกติ ดังนั้น เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในระบบประเภทสามัญศึกษาและประเภทนานาชาติมีความเหมาะสมกับนักเรียนและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละโรงเรียน รวมทั้งเป็นการบรรเทาภาระและความเดือดร้อนให้แก่ผู้ปกครอง ในกรณีผู้ปกครองร้องขอคืนเงินค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าธรรมเนียมอื่น ให้โรงเรียนพิจารณา ดังนี้

                1. ค่าธรรมเนียมการศึกษารายการใดที่โรงเรียนจัดเก็บจากผู้ปกครองและไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเนื่องจากปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษ ควรพิจารณาคืนตามสัดส่วนที่เป็นจริง ได้แก่
                  1. ค่าอาหารและค่าอาหารว่าง
                  2. ค่ารถรับส่ง
                  3. ค่าเรียนดนตรี กีฬา และศิลปะ กรณีโรงเรียนไม่ได้การจัดการเรียนการสอนผ่านออนไลน์
                  4. ค่าทัศนศึกษา
                  5. ค่าอาหารเสริมนม กรณีโรงเรียนไม่ได้จัดซื้อและจัดส่งให้นักเรียนถึงบ้าน
                2. รายการค่าธรรมเนียมอื่นรายการใดที่โรงเรียนจัดเก็บจากผู้ปกครอง หากมิได้ดำเนินการใด ควรพิจารณาคืนตามความเหมาะสม ได้แก่
                  1. ค่าเรียนคอมพิวเตอร์ / ค่าอินเตอร์เน็ต / ค่าใช้บริการ ICT
                  2. ค่าเรียนเสริมภาษาต่างประเทศ
                  3. ค่าซักฟอก
                  4. ค่าเรียนว่ายน้ำ
                  5. ค่าเรียนเสริมวิชาการ
                  6. ค่ากิจกรรมค่ายเสริมทักษะวิชาการ/วิชาชีพ

                ทั้งนี้ รายการที่ 2 ให้หมายความรวมถึงรายการค่าธรรมเนียมอื่นที่โรงเรียนจัดเก็บโดยใช้ชื่อเรียกอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์ในทำนองเดียวกันด้วย

                คืนค่าธรรมเนียมการศึกษา
                คืนค่าธรรมเนียมการศึกษา

                จากประกาศนี้ สรุปได้ว่า ตามที่มีการประกาศให้โรงเรียนปิดเรียนด้วยเหตุพิเศษนั้น ไม่ได้มีการบังคับให้ทุกโรงเรียนจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์เพียงอย่างเดียว โรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีอื่นที่เหมาะสมได้ และหากไม่มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์ โรงเรียนก็ยังสามารถจัดการเรียนการสอนชดเชยวันที่หยุดไปในภายหลังได้ และสำหรับค่าธรรมเนียมการศึกษา ที่ทางโรงเรียนได้เรียกเก็บผู้ปกครองก่อนหน้านั้น ทางกระทรวงศึกษาธิการได้ให้ทางโรงเรียนพิจารณาคืนเงินในส่วนที่ไม่ได้ใช้ในช่วงที่ปิดเรียน ทั้งนี้ทางกระทรวงได้ให้ทางโรงเรียนพิจารณาคืนค่าธรรมเนียมการศึกษา และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ตามความเหมาะสม คือให้ผู้ปกครองและแต่ละโรงเรียนพิจารณาและตกลงกันเอง นั่นเอง

                สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการค่าธรรมเนียมตามที่ได้กล่าวไปนั้นคืน สามารถนำประกาศฉบับนี้ไปพูดคุยกับทางโรงเรียนได้ค่ะ สำหรับผู้ปกครองทุกคนนั้น นับว่าเป็นข่าวดี ที่อาจจะได้ส่วน ลดค่าเทอม หรือได้รับค่าธรรมเนียมการศึกษาคืนมาบ้างส่วนหนึ่ง เงินส่วนนี้ก็อาจจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ได้ไม่มากก็น้อย

                แต่ก็ยังมีเสียงเรียกร้องจากโรงเรียนเช่นกัน ว่าการที่โรงเรียนได้ปิดเรียนจากเหตุพิเศษนี้ แม้ว่าจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในบางส่วน แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายอีกหลายส่วนที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายบางส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ เช่น ค่าจ้างครูสอนพิเศษ เป็นต้น ทำให้ในบางโรงเรียนอาจจะไม่สามารถ ลดค่าเทอม หรือคืนค่าธรรมเนียมการศึกษา และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ได้ ดังนั้น ทั้งผู้ปกครองและโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนนานาชาติ แต่ละโรงเรียน ควรพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกัน ทีมแม่ ABK ขอเอาใจช่วยนะคะ

                อ่านต่อบทความดี ๆ น่าสนใจ คลิก

                ค่าเทอมโรงเรียนประถม 2563 – 2564 โรงเรียนชื่อดังในกทม.

                4 ผลกระทบของการให้เด็ก เรียนออนไลน์ (ใช้สื่อ online)

                ลูกติดจอ ติดมือถือ แก้ได้ด้วยกฎ 3 ต้อง 3 ไม่

                สสส. แนะวิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

                 

                ขอบคุณข้อมูลจาก : กลุ่มส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดฉะเชิงเทรา, Drama-Addict

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  เปิดเทอม อนุบาล-ประถม

                  รมว.ศึกษา เตรียมเสนอ เปิดเทอม เด็กอนุบาล-ประถม 1 ก.พ. นี้

                  ในช่วงโควิด-19 ระบาด เด็กๆ ทุกระดับต้องหยุดไปโรงเรียน แล้วเปลี่ยนเป็นเรียนออนไลน์ที่บ้าน ล่าสุด รมว.ศึกษาธิการ เล็งเห็นว่า ควร เปิดเทอม เด็กอนุบาล-ประถม’ ก่อน เพราะเด็กกลุ่มนี้มีความจำเป็นต้องเรียนในห้องเรียน

                  รมว.ศึกษา เตรียมชง เปิดเทอม เด็กอนุบาล-ประถม 1 ก.พ. นี้

                  ในภาวะสถานการณ์โรคโควิด-19 กลับมาแพร่ระบาดระลอกใหม่ รัฐบาลได้ออกมาตรการปิดสถานศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม และอุดมศึกษา เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งหลายแห่งก็ปรับตัวมาจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์แทน หลังจากทดลองเรียนออนไลน์ไปสักพัก ทั้งนักเรียน ผู้ปกครอง และคุณครู ต่างก็ประสบปัญหาที่หลากหลาย โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ ที่ดูจะไม่เหมาะกับการเรียนออนไลน์เท่าไหร่นัก

                  ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ เตรียมจะเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือศบค.ชุดเล็ก ให้เปิดการเรียนการสอน ระดับ อนุบาล- ประถม ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ เพราะเล็งเห็นว่า เด็กกลุ่มนี้มีความจำเป็นต้องเรียนในห้องเรียน อีกทั้งปัจจุบันรัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีขึ้น

                  เปิดเทอม เด็กอนุบาล-ประถม

                  นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ เปิดเผยถึงการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีการปิดสถานศึกษาในพื้นที่สีแดง 28 จังหวัด ว่าเข้าใจดีว่าการเรียนในช่วงโควิด-19 มีความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพราะนักเรียนก็มีทั้งความพร้อมและไม่พร้อมด้านอุปกรณ์ในการเรียน อีกทั้งการเรียนออนไลน์อาจส่งผลให้เด็กมีเวลาว่างมากจนเกินไป

                  ดังนั้นได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดูว่าจะมีวิธีการจัดสอบปลายภาคเรียนได้อย่างไรบ้าง ซึ่งรวมไปถึงการที่ตนได้เซ็นประกาศยกเลิกการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ระดับป.6 และม.3 เนื่องจากการเรียนของเด็กในห้องเรียนไม่เต็มที่อย่างแน่นอนจึงไม่สามารถวัดผลอะไรได้ ทั้งนี้ ตนเข้าใจดีว่าการเรียนการสอนในช่วงโควิดจะต้องมีความยืดหยุ่น

                  “ขณะนี้หลายฝ่ายเห็นว่ารัฐบาลคุมการแพร่ระบาดของโรคในประเทศได้ดีพอสมควร เพราะมีการติดเชื้อโควิดวันละ 150-200 ราย ส่วนใหญ่เป็นการแพร่ระบาดเฉพาะกลุ่ม ซึ่งสามารถสอบสวนโรคได้ ดังนั้นจึงอยากเสนอให้มีการเปิดเรียนเฉพาะเด็กระดับปฐมวัยไปจนถึงประถมศึกษาก่อน เนื่องจากเด็กเล็กกลุ่มนี้มีความ” จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียน และไม่สะดวกในการเรียนออนไลน์ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้มากขึ้น ซึ่งผมเตรียมจะเสนอศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ชุดเล็ก) ให้เปิดเรียนเฉพาะเด็กนักเรียนกลุ่มดังกล่าวก่อน โดยอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมกับ ศธ.ในการตัดสินใจด้วย แต่ขณะนี้ยังยืนยันที่จะเปิดเรียนตามกำหนดเดิมคือวันที่ 1 ก.พ.แต่ทั้งนี้จะต้องประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้านก่อน เพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของนักเรียน อย่างไรก็ตามเมื่อสามารถเปิดเรียนในสถานศึกษาตามปกติได้ขอให้สถานศึกษาทุกแห่งปฎิบัติการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) อย่างเคร่งครัดไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา การสลับวันมาเรียน การติดตั้งเจลล้างมือ” รมว.ศธ.กล่าว.

                  ขอขอบคุณข้อมูลจาก เดลินิวส์

                  Must Read >> 13 ทักษะที่ลูกควรมีก่อนเข้า โรงเรียนอนุบาล

                  เปิดเรียน เด็กอนุบาล-ประถม

                  การเรียนออนไลน์กับปัญหาหนักใจที่ต้องเจอ

                  หลังจากหลายๆ โรงเรียนได้นำระบบการเรียนออนไลน์ มาใช้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิ -19 ก็เกิดเสียงร้องเรียนมาจากหลายพื้นที่ ซึ่ง นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสเฟซบุ๊คส่วนตัว ถึงกรณีนี้  ซึ่งสามารถรวบรวมเป็นข้อๆ ได้ ดังนี้

                  1.ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอน เช่นโทรศัพท์มือถือ แท็บเลต โทรทัศน์

                  2.ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ในบางพื้นที่ ไม่สามารถเรียนทางออนไลน์ได้ และไม่มีจานดาวเทียม หรือจานดาวเทียมรับสัญญาณไม่ได้

                  3.สัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่สมบูรณ์ บางพื้นที่ในก็เกิดสภาพสัญญาณล่ม และสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่เสถียร ต้องจ้างช่างมาปรับจูนสัญญาณใหม่

                  4.นักเรียนขาดความพร้อมในการเรียนทางออนไลน์ ไม่มีสมาธิในการเรียน ไม่สามารถเรียนด้วยตนเองได้ ขาดแรงจูงใจ เพราะไม่มีครูคอยกระตุ้นเตือนเหมือนในห้องเรียน

                  5.จำนวนสมาชิกครอบครัวมีมากเกินอุปกรณ์การเรียน แต่มีโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์เพียงเครื่องเดียว ทำให้ไม่สามารถเรียนได้ครบทุกคน

                  6.ความเหลื่อมล้ำในการเรียน เกิดปัญหาปมด้อยของนักเรียน มีการเปรียบกับเพื่อนๆที่มีอุปกรณ์ในการเรียนที่ดีกว่า ทันสมัยกว่า มีความพร้อมมากกว่า

                  7.ภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น การสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองในการซื้ออุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ และการเรียนผ่านดาวเทียมเพิ่มขึ้นอีกในยามที่กำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นนี้

                  8.ผู้ปกครองไม่มีเวลา ในการเรียนออนไลน์ยังต้องมีผู้ใหญ่ หรือผู้ปกคองป็นพี่เลี้ยง คอยควบคุมและจัดการอุปกรณ์ต่างๆ ให้ลูกนั่งเรียนผ่านออนไลน์ ทำให้เสียเวลาในการทำงาน หรือประกอบอาชีพในการทำมาหากินของแต่ละวันได้

                  ขอขอบคุณข้อมูลจาก posttoday

                  Must Read >> ให้ลูกเรียนออนไลน์ อย่างไร? ถ้าแม่ต้องไปทำงาน?

                  online-learning

                  ซึ่งมีการวิจัยในช่วงแรกของการสอนออนไลน์ ในรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย พบว่า การเรียนออนไลน์ ทำให้นักเรียนขาด ความจำเชิงอัตชีวประวัติ (autobiographical memory)  ในโรงเรียน อันเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ซึ่งเป็นส่วนที่จะชี้นำให้การเรียนรู้ประสบความสำเร็จ

                  Autobiographical Memory ความจำเชิงอัตชีวประวัติ หมายถึงอะไร?

                  ความจำเชิงอัตชีวประวัติ (Autobiographical Memory)  คือ บันทึกของสมองเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรา สิ่งที่เราทำ วีธีที่การที่เราใช้ นอกจากนี้ยังรวมถึงความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่างๆ และแรงจูงใจของเราในเหตุการณ์นั้นๆ เราใช้ความทรงจำนี้อย่างต่อเนื่องในชีวิตของเรา เช่น ใช้คาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราไปที่ใหม่เป็นครั้งแรก การวิธีรับมือกับเครื่องใช้ในบ้านที่พัง และวิธีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น

                  นักเรียนที่เข้าเรียนในโรงเรียนจะมี ความทรงจำแบบอัตชีวประวัติ ของเหตุการณ์เกิดขึ้นในห้องเรียน รวมไปถึงการโต้ตอบกับเพื่อนการ ตอบสนองต่อคำแนะนำจากครูของพวกเขาในกิจกรรมการเรียนรู้  การปฏิบัติตามกิจวัตรและตารางเวลา และการปฏิบัติตนนอกเวลาเรียน ประสบการณ์ต่างๆ นี้ยังรวมไปถึงการเรียนรู้การโต้ตอบต่อสถานการณ์ต่างๆ เช่น ภาษากาย การสบตา และน้ำเสียงที่ครูและเพื่อนใช้ รวมถึงบรรยากาศในห้องเรียนโดยรวม

                  ประสบการณ์เหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำตอนอัตชีวประวัติของนักเรียน และจะถูกเรียกคืนขึ้นมาตลอดหากนักเรียนอยู่ในบริบทของห้องเรียน หรือกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งกระบวนการนี้พวกเขาจะพัฒนาเรียนรู้ควบคู่ไปกับการสอนเชิงเนื้อหา ซึ่งในช่วงของการเรียนออนไลน์ นักเรียนส่วนใหญ่ขาดความทรงจำร่วมต่างๆ เหล่านี้ น้อยคนที่จะมีประสบการณ์ที่ดีกับการเรียนออนไลน์

                   

                  Must Read >> เรียนออนไลน์ เตรียมตัวอย่างไรได้ผลดี ลูกแฮปปี้ ไม่เครียดเกินไป

                  เปิดเทอม เด็กอนุบาล-ประถม

                  9 เคล็ดลับ เปลี่ยนการเรียนออนไลน์ให้กลายเป็นเรื่องง่ายๆ

                  ถึงแม้ว่าการเรียนออนไลน์จะไม่เหมาะกับเด็กเล็ก แต่ด้วยสถานการณ์โควิดที่ยังไม่อาจไว้วางใจได้ คงต้องรอดูสถานการณ์กันต่อไป และประเมินว่าควรให้เด็กไปรร.แล้วหรือยัง ซึ่งหากสถานการณ์ยังไม่พร้อมจะเปิดเรียน การเรียนออนไลน์ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ดังนั้นเรามาปรับตัวให้เด็กๆ เรียนออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพด้วย 9 วิธีนี้

                  1. จำกัดสิ่งที่ทำให้เด็ก ๆ ไขว้เขว

                  เพื่อให้ความสนใจของเด็กๆ จดจ่อกับการเรียนออนไลน์ คุณแม่ต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กๆ มีสมาธิ เก็บอุปกรณ์ของเล่น หรือสิ่งของต่างๆ ที่ดึงความสนใจของลูกออกจากการเรียน เช่น หุ่นยนต์ รถบังคับ ตุ๊กตาตัวโปรด โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น โดยเก็บเอาไว้จนกว่าจะเรียนและทำการบ้านเสร็จเรียบร้อย คุณแม่อาจจะมีเวลาพักเบรก เพื่อผ่อนคลายระยะสั้นๆ ให้ลูกได้เล่นบ้าง แต่ต้องจำกัดเวลาในการเล่น เพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียน

                  2. สร้างพื้นที่สำหรับการเรียนรู้

                  กำหนดขอบเขต พื้นที่ สำหรับการเรียนออนไลน์ที่ชัดเจน ควรเป็นพื้นที่ที่เงียบสงบ และเตรียมสิ่งที่เอื้อต่อการเรียนของเด็กๆ เช่น โต๊ะเรียนหนังสือ โคมไฟ อุปกรณ์การเรียน พื้นที่เรียนควรห่างไกลจากเสียงดังรบกวน จัดข้าวของต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จะทำให้เด็ก ๆ มีสมาธิจดจ่อกับการเรียน และที่สำคัญควรเป็นพื้นที่ที่แตกต่างจากที่เคยเล่นเกม หรือดูโทรทัศน์ด้วย

                  3. มีการแบ่งเวลาที่ชัดเจน

                  กิจวัตรและตารางเรียนมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่โรงเรียน ดังนั้นเมื่อเรียนออนไลน์ที่บ้าน การจัดเวลาเรียนก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เด็ก ๆ จะเรียนรู้ได้ดีที่สุด หากคุณแม่รักษากิจวัตรประจำวันให้ใกล้เคียงกับกับตอนที่ลูกอยู่ที่โรงเรียนตามปกติ มีการเริ่มเรียนที่ตรงเวลา พักเบรกเป็นช่วงที่แน่นอน และมีเวลาในการพักที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ซึ่งจะทำให้เด็กรู้หน้าที่ของตนในแต่ละวัน ฝึกวินัยในตัวเองไปพร้อมๆ กัน

                  4. อนุญาตให้เด็กๆ ได้คุยกับเพื่อน ๆ ผ่านสื่อโซเชียลบ้าง

                  ส่วนมากเวลาเด็กๆ ไปโรงเรียนจะมีการเล่นกับเพื่อน คุยกับเพื่อนเป็นปกติ บางคนมีเพื่อนสนิทหลายคนอีกด้วย แต่เมื่อปรับมาเรียนออนไลน์ ทำให้เด็กๆ อดได้คุยเล่นกับเพื่อนเหมือนอย่างเคย ดังนั้นเพื่อไม่ให้เด็กๆ รู้สึกเหงามากไป คุณแม่ควรอนุญาตให้ลูกมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ ตามปกติ ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยการส่งข้อความหรือวิดีโอแชทบ้าง ในเวลาที่เหมาะสม

                  5. ปรับเปลี่ยนการเรียนผ่านหน้าจอเป็นอย่างอื่นบ้าง

                  เป็นที่ทราบกันดีว่า สำหรับเด็กๆ การใช้เวลากับหน้าจอนานเกินไปไม่ดีนัก เพราะมีผลเสียต่อสมองและสายตาของเด็กได้ ดังนั้นในการเรียนออนไลน์ คุณแม่ควรมีการปรับเปลี่ยนการเรียนรู้ให้หลากหลาย เช่น มีเวลาให้เด็กพักสายตา หากิจกรรมการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ ทำแบบฝึกหัดลงบนสมุดแทนการทำบนจอคอมเท่าที่จะสามารถทำได้

                  6. ติดต่อกับผู้ปกครองคนอื่น ๆ

                  เนื่องจากการเรียนออนไลน์เป็นเรื่องใหม่ของทุกบ้าน เราจึงต้องเรียนรู้พร้อมปรับตัวไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นการที่ผู้ปกครองได้พูดคุยกัน เป็นการได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เทคนิค และวิธีแก้ปัญหาต่างๆ ในการเรียนออนไลน์ รวมถึงคำแนะนำที่จะทำให้ลูกของเราและเพื่อนร่วมห้อง เรียนออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

                  7. ตารางเรียน ตารางเวลา สำคัญเสมอ

                  การเรียนจากที่บ้านอาจจะเป็นประสบการณ์ใหม่ของผู้ปกครองหลาย ๆ คน ดังนั้นการกำหนดตารางที่ชัดเจนจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเป็นตารางที่ไม่เพียงแต่ใช้ในเวลาเรียนรู้เท่านั้น แต่รวมไปถึงเวลาของกิจวัตรประจำวันด้วย เช่น เวลากิน เวลาอาบน้ำ เวลานอน โดยพยายามทำให้ตารางเวลานนั้นมีความคล้ายกับตอนที่ลูกไปโรงเรียนตามปกติมากที่สุด วิธีการนี้จะช่วยทำให้เด็ก ไม่รู้สึกว่าตัวอยู่บ้านไปวัน ๆ แบบไร้ความหมาย พวกเขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าคุณแม่ควรจะสร้างเป้าหมาย และกำหนดเวลาเหมือนผู้ใหญ่ เพื่อที่เวลาเด็ก ๆ บรรลุเป้าหมายพวกเขาจะได้มีความภูมิใจตัวเอง

                  8. อย่าปล่อยให้ลูก ๆ คิดว่าเป็นวันหยุดพักผ่อน

                  เวลานี้ที่บ้านอาจรู้สึกเหมือนเป็นวันหยุดพักผ่อนสำหรับลูก แต่สิ่งสำคัญคือต้องเตือนพวกเขาว่า การหยุดอยู่บ้านกรณีพิเศษนี้ไม่ใช่การหยุดเทอมปกติ แต่ลูกยังมีหน้าที่ต้องเรียนเช่นเดิม เพราะการวัดผล การสอบ ไม่ได้หยุดตามไปด้วย แค่ปรับเปลี่ยนการเรียนจากโรงเรียนมาอยู่ที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยให้ความช่วยเหลือในยามที่ลูกต้องการ หรือในยามที่ลูกไม่เข้าใจเนื้อหาการเรียน พยายามอย่าปล่อยให้ลูก ต้องเรียนรู้เพียงลำพัง เพราะเด็กจะขาดสมาธิทำให้การเรียนไม่เกิดประสิทธิภาพ

                  9. อย่าลืมกำหนดเวลาเพื่อความสนุกสนาน

                  แม้ว่าการหยุดเรียนช่วงนี้จะไม่ใช่การหยุดพักผ่อน มีการเรียน การบ้าน ให้ลูกๆ ได้ทำเหมือนไปโรงเรียน แต่คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมสนุกๆ มาผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนออนไลน์ และการกักตัวอยู่บ้านบ้าง ถือโอกาสที่ลูกหยุดเรียน คุณพ่อคุณแม่บางครอบครัว Work From Home ได้ใช้เวลาในการเรียนออนไลน์ และทำกิจกรรมต่างๆ รวมกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ของคุณกับลูกๆ

                  ขอขอบคุณข้อมูลจาก bestreview.asia

                  อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก

                  รวมสื่อ บทเรียนออนไลน์ ป.1-ป.6 เสริมความรู้ให้ลูกในช่วงปิดเทอมยาวๆ

                  ลูกเรียนออนไลน์ วิชาอะไรบ้าง ถ้าไม่เรียนได้หรือไม่

                  หมอเด็กแนะ 3 เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน ให้ลูกยอมเปิดใจ

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ทิ้งลูกไว้ในรถ

                    โจรแจ้งตำรวจจับแม่!! โทษฐาน “ทิ้งลูกไว้ในรถ”

                    เมื่อแม่ไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตโดย ทิ้งลูกไว้ในรถ สตาร์ทรถทิ้งไว้และไม่ล๊อครถ โจรจึงเปิดประตูรถและขับออกไป และนี่คือสิ่งที่โจรทำหลังพบเด็กในรถ

                    โจรแจ้งตำรวจจับแม่!! โทษฐาน “ทิ้งลูกไว้ในรถ”

                    ทีมแม่ ABK ขอนำข่าวจากรัฐโอเรกอน ประเทศสหรัฐอเมริกา มาเป็นอุทธาหรณ์เตือนแม่ ๆ ที่ ทิ้งลูกไว้ในรถ เพื่อไปทำธุระ ไม่ว่าธุระนั้น ๆ จะเร็วหรือนาน การ ทิ้งลูกไว้ในรถ ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

                    เรื่องมีอยู่ว่า มีแม่คนหนึ่งได้พาลูกวัย 4 ขวบ ไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งหนึ่ง เพื่อไปซื้อนม เนื้อสัตว์ และสิ่งของต่าง ๆ คุณแม่ได้ปล่อยให้ลูกรออยู่ในรถคนเดียว และตัวเองก็เข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตไป โดยสตาร์ทรถทิ้งไว้และไม่ได้ล๊อครถ เมื่อโจรขโมยรถที่แอบซุ่มดูอยู่ที่ลานจอดรถ เห็นดังนี้ จึงเข้าไปขโมยรถและขับรถออกไป เมื่อขับไปได้สักพัก ก็พบว่ามีเด็กอายุ 4 ขวบนั่งอยู่เบาะหลังของรถ โจรเห็นดังนั้นจึงเลี้ยวรถกลับไปที่เดิม พร้อมทั้งคืนลูกให้กับแม่คนนั้น แต่โจรคนนี้ไม่เพียงแต่คืนเด็กและรถเพียงอย่างเดียว โจรยังได้ดุและตำหนิแม่ถึงอันตรายของการ ทิ้งลูกไว้ในรถ คนเดียว พร้อมทั้งขู่แม่ว่าจะโทรเรียกตำรวจมาจับแม่อีกด้วย นอกจากนี้ โจรยังสั่งแม่อีกว่าให้พาลูกไปด้วยทุกครั้งที่ลงจากรถ ไม่ควรปล่อยลูกไว้แบบนี้!!

                    ลืมลูกในรถ
                    ลืมลูกในรถ

                    แม้ว่าข่าวนี้ยังไม่มีการสูญเสียใด ๆ เกิดขึ้น เนื่องจากโจรขโมยรถคนนี้กลับใจไม่ขโมยรถแถมยังสั่งสอนแม่อีกต่างหาก แต่ถ้าลองคิดในสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ เช่น หากโจรไม่สนใจว่าเด็กจะเป็นอย่างไร จึงขับรถออกไปและทิ้งเด็กไว้ที่ไหนสักที่ ลองคิดดูว่าเด็กจะหวาดกลัวและอาจเกิดอันตรายอื่น ๆ กับเด็กคนนี้ได้ใช่หรือไม่? หรือหากไม่มีโจรมาขโมยรถคันนี้ล่ะ รถจะถูกจอดทิ้งไว้นาน ๆ จนความร้อนภายในรถเพิ่มสูงขึ้นจนเด็กเสียชีวิตหล่ะ?

                    ทำไมลืมลูกในรถถึงทำเด็กตายได้?

                    กรณีเด็กติดอยู่ในรถแล้วเสียชีวิต คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเป็นเพราะขาดอากาศหายใจ เนื่องจากประตูหน้าต่างปิดสนิท แต่ความจริงแล้วอากาศที่หมุนเวียนอยู่ภายในรถทำให้สามารถคนเรานอนในรถได้นานเป็นชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่ที่เด็กจะเสียชีวิตเป็นเพราะสาเหตุต่อไปนี้

                    1. แม้จะติดค้างอยู่ในรถ ก็ยังอยู่ได้นาน แต่ที่เด็กต้องตายก็เพราะความร้อนภายในรถที่สูงขึ้น (เพียง 5 นาทีหลังดับเครื่องยนต์ อุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถอยู่ในรถได้) หากอยู่ในรถผ่านไป 10 นาที ร่างกายจะย่ำแย่ และ ภายใน 30นาทีก็จะถึงขั้นเสียชีวิต
                    2. ปกติแล้วร่างกายจะรักษาอุณหภูมิร่างกายไว้ที่ 37 องศาเซลเซียส เมื่อต้องติดอยู่ในรถที่ความร้อนสูงขึ้นช่วงใหม่ ๆ ร่างกายจะขับความร้อนออกมาในรูปแบบของเหงื่อ แต่เมื่อถึงจุด ๆ หนึ่งร่างกายจะทนไม่ไหว ทำให้ร่างกายหยุดทำงาน เกิดภาวะเลือดเป็นกรด ทำให้หยุดหายใจ และอวัยวะทุกอย่างหยุดทำงาน หากพบเจอเด็กที่ติดในรถได้เร็วจะเจอในสภาพที่เด็กตัวแดง แต่หากนานกว่านั้นเด็กจะตัวซีดและเสียชีวิตได้
                    3. ดังนั้น จึงห้ามทิ้งลูกไว้ในรถที่จอดกลางแจ้งเป็นอันขาด (ไม่ว่าจะลืมหรือไม่ ) แม้จะอยากจะลงไปธุระนอกรถเร็วหรือช้าก็ห้ามเด็ดขาด หากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่มากับเด็กต้องลงจากรถต้องนำเด็กลงไปด้วยทุกครั้ง
                    4. แม้แต่จะขอเปิดหน้าต่าง เหลือช่องไว้แล้วให้เด็กอยู่ภายใน ด้วยเข้าใจเองว่าการกระทำเช่นนี้เด็กจะปลอดภัย จากการขาดอากาศหายใจ เพราะสาเหตุที่เด็กเสียชีวิต ไม่ใช่เพราะขาดอากาศหายใจ แต่เป็นเพราะความร้อนต่างหาก
                    5. การเปิดแง้มหน้าต่างรถทิ้งไว้ ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าความร้อนภายในรถจะไม่สูงขึ้นและช่วยให้เด็กปลอดภัยได้ หรือ แม้แต่การรถจอดในที่ร่มก็ใช้ว่าเด็ก ๆ จะปลอดภัยไร้กังวล เพราะความร้อนก็ขึ้นสูงปรี๊ด จนเด็กเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้เช่นกัน (แม้อาจจะใช้เวลานานกว่ารถที่จอดกลางแจ้ง)

                    ป้องกันการลืมลูกไว้ในรถได้อย่างไร?

                    เพราะทุกความประมาท อาจเป็นหนทางสู่ความตายได้ โดยเฉพาะกับเด็กเล็กที่ยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เท่าผู้ใหญ่ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรระมัดระวังการลืมลูกไว้ในรถที่สุด และหากลูกไม่ได้นั่งรถที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนขับ คุณพ่อคุณแม่ควรจะระมัดระวังจุดไหนบ้าง จะป้องกันการลืมลูกไว้ในรถได้ ควรปฏิบัติดังนี้

                    1. ห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถโดยลำพังเด็ดขาด

                    ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะต้องไปทำธุระนอกรถเร็วหรือช้า ใกล้หรือไกล ก็ควรนำลูกลงจากรถไปด้วยทุกครั้ง แม้ลูกจะหลับอยู่ ก็ต้องปลุกลูกให้ตื่นเท่านั้น อย่ากังวลว่าลูกจะงอแง หรือนอนได้ไม่เต็มอิ่ม ถ้าลูกยังง่วงอยู่ เมื่อกลับมาขึ้นรถอีกครั้ง ลูกก็จะหลับต่อได้เอง คุณพ่อคุณแม่ควรคำนึงเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อน การเอาลูกลงจากรถด้วยทุกครั้ง ไม่ใช่เพียงเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น แต่เป็นการฝึกให้ลูกได้เรียนรู้ว่าทุกครั้งที่จอดรถ ลูกต้องลงจากรถ เมื่อลูกไปนั่งรถคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นรถโรงเรียน หรือรถคันอื่น ๆ ลูกก็จะตื่นได้เองเมื่อรถถูกดับเครื่องยนต์ค่ะ

                    2. แง้มหน้าต่างรถ หรือจอดรถในที่ร่มก็ไม่ได้!

                    ตามที่ได้ทราบกันไปแล้วว่าสาเหตุที่เด็กที่ติดอยู่ในรถเสียชีวิตนั้น ไม่ได้เป็นเพราะขาดอากาศหายใจตาย แต่เป็นเพราะความร้อน ทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด จนอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายหยุดทำงาน หยุดหายใจ ดังนั้น การเปิดแง้มหน้าต่างไว้ แล้วปล่อยลูกให้อยู่ในรถ ก็สามารถทำให้เด็กเสียชีวิตได้เช่นกัน นอกจากนี้การจอดรถทิ้งไว้ในที่ร่ม ก็ไม่ทำให้ลูกปลอดภัยได้ แม้จะไม่ได้มีความร้อนจากแดดมาช่วยให้อุณหภูมิภายในรถร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ทำให้เด็กที่อยู่ในรถคนเดียวเสียชีวิตได้ เพราะเพียง 5 นาทีหลังดับเครื่องยนต์ อุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถอยู่ในรถได้  และการสตาร์ทรถทิ้งไว้โดยไม่ได้ล๊อครถ ก็ยังเป็นโอกาสให้โจรมาขโมยรถพร้อมกับขโมยลูกของเราไปได้ด้วย

                    3. กรณีที่ต้องให้ลูกติดรถไปกับผู้อื่น

                    ให้คุณพ่อคุณแม่หมั่นตรวจสอบด้วยการโทรศัพท์ไปสอบถามเป็นระยะว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน? อย่างไร? เพราะการที่ต้องฝากลูกไว้กับผู้อื่น ซึ่งต้องเข้าใจว่าเขาไม่ได้ดูแลลูกเราเป็นประจำ อาจทำให้หลงลืมหรือเผลอเรอได้ และถ้าเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกันก็ควรจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ว่าอยู่กับเด็กเล็กต้องระมัดระวังด้วย แต่ทางที่ดีไม่ควรปล่อยลูกวัยเด็กเล็กฝากไว้กับผู้อื่น ควรจะต้องมีพ่อแม่หรือคนในครอบครัวประกบเด็กเล็กด้วยทุกครั้ง

                    4. กรณีที่เป็นรถโรงเรียน

                    พ่อแม่ต้องมั่นใจก่อนว่าจะตัดสินใจใช้บริการรถโรงเรียนของโรงเรียนหรือไม่ ความจริงไม่อยากแนะนำให้ลูกวัยเด็กเล็กใช้บริการรถโรงเรียน แต่ก็เข้าใจดีว่าด้วยสภาพการจราจรและวิถีชีวิตอาจทำให้ต้องตัดสินใจใช้บริการรถโรงเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถตู้ทึบ ฉะนั้น พ่อแม่ต้องดูถึงมาตรการความปลอดภัยของรถโรงเรียนด้วย หลักการเลือกรถรับส่งนักเรียนให้ปลอดภัย มีดังนี้

                    1. ปัจจุบันกรมขนส่งทางบก อนุญาตให้รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ที่มีที่นั่งเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 12 คน หรือ รย.2 (รถกระบะที่มีที่นั่งสองแถว หรือรถตู้โดยสาร) มาจดทะเบียนใช้เป็นรถรับส่งนักเรียนได้ ดังนี้
                      • กรณีเป็นรถตู้โดยสาร ต้องเป็นรถที่มีป้ายทะเบียนสีขาว ตัวหนังสือและตัวเลขสีฟ้า จัดวางที่นั่งเป็นแถวตอนตามความกว้างของตัวรถเท่านั้น
                      • กรณีเป็นรถกระบะที่มีลักษณะเป็นที่นั่งสองแถว ต้องเป็นรถที่มีป้ายทะเบียนสีขาว ตัวหนังสือและตัวเลขสีฟ้า หากมีทางขึ้นลงอยู่ด้านท้ายรถ ต้องปรับปรุงตัวรถให้ประตูและที่กั้นกันนักเรียนตกจากตัวรถ โดยที่นั่งท้ายรถไม่ควรต่อเติมยื่นเกินขอบท้ายรถ เพราะอาจจะทำให้เด็กตกจากตัวรถได้
                    2. รถรับส่งนักเรียนคนนั้นต้องผ่านการรับรองจากโรงเรียน โดยต้องได้รับหลักฐานการรับรองจากโรงเรียน เพื่อนำหลักฐานการรับรองไปยื่นพร้อมเอกสารอื่น ๆ ต่อสำนักงานขนส่งจังหวัดที่โรงเรียนตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ เพื่อตรวจสภาพรถ และขอจดทะเบียนเป็นรถรับส่งนักเรียน ซึ่งจะได้รับอนุญาตให้ใช้ครั้งละ 1 ภาคการศึกษาเท่านั้น
                    3. ด้านหน้าและท้ายรถ ต้องติดแผ่นป้ายสีส้มสะท้อนแสง ตัวหนังสือสีดำ คำว่า “รถโรงเรียน” ความสูงไม่น้อยกว่า 15 เซนติเมตร ติดอยู่ด้านหน้า และท้ายของตัวรถให้สามารถมองเห็นข้อความได้อย่างชัดเจน
                    4. ติดไฟสัญญาณสีเหลืองอำพัน เปิดปิดเป็นระยะ (กระพริบ) ติดไว้ที่ด้านหน้าและท้ายรถ ในขณะที่ใช้รับส่งนักเรียน
                    5. ติดฟิล์มกรองแสงแบบโปร่งใส หรือชนิดใส ที่วัดปริมาณแสงผ่านได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 เพื่อให้เห็นสภาพภายในรถได้ตลอดคัน
                    6. คนขับรถส่งนักเรียนต้องได้รับอนุญาตส่วนบุคคลมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือมีใบขับขี่รถยนต์สาธารณะ หรือเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถทุกประเภทตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และไม่เคยมีประวัติเสียหายจากการขับรถมาก่อน
                    7. จัดให้มีเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็น ติดตั้งเก็บไว้ในที่เหมาะสม เพื่อช่วยเหลือนักเรียนเมื่อมีอุบัติเหตุ หรือมีเหตุฉุกเฉินขึ้น รวมทั้งสามารถนำมาใช้งานได้โดยสะดวก พร้อมใช้งานได้ทุกขณะ
                    8. ภายในรถรับส่งนักเรียน ต้องไม่มีส่วนแหลมคม ที่นั่งผู้โดยสารต้องยึดแน่นมั่นคงแข็งแรง
                    9. จัดให้มีผู้ควบคุมดูแลนักเรียน ซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ ประจำอยู่ในรถตลอดเวลาที่ใช้รับส่งนักเรียน

                    และที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ต้องดูถึงเรื่อง ผู้ที่ต้องเป็นคนไปรับส่งลูกว่ามีใครบ้าง คนขับรถเป็นอย่างไร คนที่ติดรถเป็นคุณครูระดับปฐมวัย มีความเข้าใจเรื่องเด็กเล็กไหม เวลารับส่งเด็กขึ้นรถลงรถมีการเช็คชื่อเด็กหรือไม่ แล้วมาตรการของโรงเรียนเป็นอย่างไร เมื่อเด็กถึงโรงเรียนแล้วมีการดับเบิ้ลเช็คอีกครั้งหรือไม่

                    เด็กติดในรถ
                    เด็กติดในรถ

                    จากข่าวโจรขโมยรถที่กลับใจ นำรถมาคืนเพราะแม่ ทิ้งลูกไว้ในรถ ได้ทำให้เราตระหนักถึงอันตรายของการปล่อยลูกให้อยู่เพียงลำพังในรถว่าอาจทำให้ลูกเสียชีวิตได้ ดังนั้น อย่าปล่อยให้ลูกต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ด้วยคำว่า “แป๊ปเดียว เดี๋ยวมา” กันดีกว่านะคะ

                    อ่านต่อบทความดี ๆ ที่น่าสนใจ คลิก

                    สวม หมวกกันน็อก ให้ลูกทุกครั้งที่ขับขี่ ลดเจ็บ ลดตายได้!!

                    6 อันตรายนอกบ้าน ที่ควรสอนลูกให้ระวัง!

                    ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท หรือไม่ ทำไมไม่ควรอุ้มเด็กนั่งในรถระหว่างเดินทาง

                    4 อุทาหรณ์ !ป้อนยาลูกผิด พร้อมวิธีสังเกตอาการหลังป้อน

                     

                    ขอบคุณข้อมูลจาก : www.insider.com, Drama-Addict, ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      vaccine-covid-19

                      สธ.เคาะ ห้ามฉีดวัคซีนโควิด ใน “คนท้อง” และ”เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี”

                      หลังจากรอคอยกันมานาน วัคซีนโควิด-19 ก็คิดค้นสำเร็จ พร้อมจะนำมาใช้ป้องกันกับโรคร้ายแล้ว วันนี้ทีมแม่ ABK มาอัปเดตแผนการฉีดวัคซีน กลุ่มไหนจะได้ฉีดก่อน แล้วทำไมคนท้องถึงไม่สามารถฉีดวัคซีนโควิดได้?

                      อัปเดตคิวฉีด “วัคซีนโควิด” คนท้อง และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ห้ามฉีด!!

                      ข่าว วัคซีนโควิด-19 ล่าสุด ทำให้คนไทยมีความหวัง เมื่อวัคซีนระยะแรก กำลังจะมาในเดือน กุมภาพันธ์ นี้แล้ว โดยนพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ออกแถลงแผนงานการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย โดยได้พิจารณาครอบคลุมทั้งด้านวิชาการ ด้านนโยบาย และด้านการบริหารจัดการ

                      นพ.โอภาส กล่าวว่า แผนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้

                       

                      วัคซีนโควิด-19

                      Must Read >>  จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เผยการคัดเลือกวัคซีนเพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19

                      แผนการฉีดวัคซีน ระยะที่ 1

                      ระยะแรก วัคซีนโควิด-19 มีจำนวนจำกัด 200,000 โดส

                      เริ่มฉีดใน เดือน กุมภาพันธ์ ในกลุ่มเป้าหมาย ดังนี้

                      • บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น สาธารณสุขด่านหน้า (รวมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) เจ้าหน้าที่ทำงานภาคสนามในพื้นที่ควบคุมสูงสุด เช่น จ.สมุทรสาคร จ.ระยอง จ.ชลบุรี เป็นต้น จำนวน 20,000 คน
                      • กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อที่มีภาวะแทรกซ้อนสูง และกลุ่มจำเป็นอื่น ๆ จำนวน 180,000 คน ได้แก่
                        • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง หัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน
                        • ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
                        • เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 เช่น อสม. ทหาร ตำรวจ เป็นต้น ที่คัดกรองผู้ที่เข้ามาจากต่างประเทศและในพื้นที่ที่มีการระบาด

                      โดยเริ่มในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 5 จังหวัด ได้แก่ สมุทรสาคร ชลบุรี จันทบุรี ระยอง และตราด

                      บุคลากรทางการแพทย์

                      Must Read >> สสส. แนะวิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

                      แผนการฉีดวัคซีน ระยะที่ 2

                      ในเดือนมีนาคม 2564 เมื่อวัคซีนโควิด-19 มีมากขึ้น จะฉีดให้กลุ่มเป้าหมาย ดังนี้

                      • จำนวน 200,000 โดส ฉีดเป็นวัคซีนเข็มที่สองในกลุ่มที่ 1
                      • จำนวน 600,000 โดส ฉีดให้กลุ่มจังหวัดควบคุมสูงสุด ชายแดนตะวันตกและภาคใต้ เป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า (รวมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) จำนวน 60,000 คน
                      • กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อมีภาวะแทรกซ้อนสูงและกลุ่มจำเป็นอื่น ๆ จำนวน 540,000 คน

                      แผนการฉีดวัคซีน ระยะที่ 3

                      ตั้งแต่ มกราคม 2565 เป็นต้นไป วัคซีนจะมีเพียงพอ ให้กับกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในชุมชน

                      ทั้งนี้การฉีดวัคซีน ต้องเป็นไปตามความสมัครใจ โดยยกเว้นการฉีดให้กลุ่มหญิงตั้งครรภ์และเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากวัคซีนโควิด-19 เพิ่งถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ ยังมีมีการทดลองในกลุ่มนี้ จึงไม่มีผลการวิจัยรองรับ รวมถึงผลข้างเคียงของวัคซีนก็ยังไม่ปรากฏแน่ชัด

                      วัคซีนโควิด-19

                      เปรียบเทียบวัคซีนโควิด-19 จากบริษัทชั้นนำ

                      หลังจากแต่ละประเทศคิดค้น วัคซีนโควิด-19 เพื่อนำออกมาช่วยต่อสู้กับโรคระบาดสายพันธุ์ใหม่ ปัจจุบันมีหลายประเทศคิดค้นสำเร็จแล้ว และมีประสิทธิผลและความถี่-ห่างในการฉีดแตกต่างกันไป ดังนี้

                      • วัคซีนของไฟเซอร์ มีประสิทธิผล 95% โดยฉีด 2 โดส ห่างกัน 21 วัน
                      • วัคซีนของโมเดอร์นา มีประสิทธิผล 94.5% ฉีด 2 โดส ห่างกัน 28 วัน
                      • วัคซีนของแอสตราเซนเนกา มีประสิทธิผล 62-90% ขึ้นกับปริมาณการฉีด โดยฉีด 2 โดสห่างกัน 28 วัน
                      • วัคซีนของรัสเซีย มีประสิทธิผล 92% ฉีด 2 โดส ห่างกัน 14-21 วัน
                      • วัคซีนของซิโนฟาร์ม ประเทศจีน มีประสิทธิผล 79% ฉีด 2 โดส ห่างกัน 21 วัน
                      • วัคซีนของซิโนแวค ประเทศจีน มีประสิทธิผล 78%

                      โดยวัคซีนทั้ง 5 ตัวได้รับการขึ้นทะเบียนในประเทศต้นทางแล้ว ส่วนวัคซีนซิโนแวคที่จะนำเข้ามาฉีดเป็นกรณีเร่งด่วน 200,000 โดสนั้น อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนที่ประเทศจีน

                      ผลข้างเคียงของวัคซีนแต่ละชนิด

                      ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษาสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้กล่าวถึงผลค้างเคียงของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ว่า

                      “จุดมุ่งหมายของวัคซีนคือ ป้องกันความรุนแรงของโรคที่มีทั้งสามารถป้องกันได้ไม่ติดเชื้อเลย หรือบางชนิดไม่ป้องกันติดเชื้อแต่ป้องกันการเป็นโรค เช่น วัคซีนคอตีบ และกลุ่มที่ไม่ป้องกันการติดเชื้อหรือเป็นโรค แต่ลดการนอนโรงพยาบาล (รพ.) ลดอัตราการตาย สำหรับวัคซีนโควิด-19 เป็นของใหม่ยังไม่สามารถตอบได้ว่า จะป้องกันได้มากแค่ไหน แต่เชื่อว่ามีจุดมุ่งหมายคือ ลดการนอน รพ. และอัตราการตาย”

                      “ผลข้างเคียงวัคซีนโควิด-19 มีอย่างน้อยฉีดแล้วเจ็บ แม้กระทั่งฉีดยาหลอกก็ยังเจ็บ และส่วนใหญ่เป็นผลข้างเคียงเฉพาะที่ มีบางส่วนเป็นไข้ ส่วนผลข้างเคียงรุนแรง ยกตัวอย่าง ประเทศแคนาดา ฉีดไปหลักล้านโดส ก็ทราบผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้คือ การแพ้รุนแรง ขณะที่วัคซีนไฟเซอร์ระบุว่าโอกาสแพ้รุนแรง อาจอยู่ที่ 9 หรือ 10 ในล้านเข็ม ซึ่งเหมือนวัคซีนอื่นที่อาจแพ้ส่วนประกอบที่อยู่ในนั้น ดังนั้น หลังฉีดแล้วจะต้องนั่งสังเกตอาการใน รพ. อย่างน้อย 30 นาที เพื่อป้องกันการแพ้และให้แก้ไขทันท่วงที”

                       

                      วัคซีนโควิด-19

                      Must Read >> สาวไทยรีวิวฉีด วัคซีนโควิด-19 ฟรีที่แคนาดา ผลข้างเคียงเป็นยังไง

                      นายแพทย์โอภาส อธิบดีกรมควบคุมโรค  กล่าวว่า เนื่องจากวัคซีนโควิด 19 ยังเป็นวัคซีนชนิดใหม่ที่มีข้อมูลไม่มาก ที่ประชุมได้เห็นชอบให้ตั้งคณะที่ปรึกษาและคณะทำงาน 6 คณะ เพื่อติดตามการให้วัคซีนและติดตามผลข้างเคียง ได้แก่

                      • คณะที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์และแผนงาน
                      • คณะทำงานด้านวิชาการ
                      • คณะทำงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และสื่อสารประชาสัมพันธ์
                      • คณะทำงานด้านการให้บริการวัคซีน ฝึกอบรม และกำกับติดตามผล
                      • คณะทำงานด้านการประกันคุณภาพวัคซีนและติดตามอาการไม่พึงประสงค์ภายหลังได้รับใน 4 สัปดาห์
                      • คณะทำงานด้านระบบข้อมูลการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

                       

                      “วัคซีนเป็นเครื่องมือหนึ่งในการป้องกันโรค อย่างไรก็ตาม วัคซีนที่สำคัญที่เรามีวันนี้ก็คือ การใส่หน้ากากอนามัย การล้างมือ เว้นระยะห่าง ถึงแม้ว่าจะฉีดวัคซีนแล้วก็ยังคงใส่หน้ากาก 100% วัคซีนเป็นเครื่องมือหนึ่งจะช่วยเสริมทำให้ระบบป้องกันควบคุมโรคดีขึ้น” นายแพทย์โอภาส กล่าว

                        ถุงเก็บนมแม่

                        รีวิว Cleanimom ถุงเก็บนมแม่ ยอดเยี่ยมแห่งปี 2021 หนา 2 ชั้น ลดกลิ่นหืน เก็บครบทุกคุณค่าสารอาหารเพื่อลูก

                        รีวิว ถุงเก็บนมแม่ CLEANIMOM ผลิตภัณฑ์ใหม่จากบริษัท วีรินทร์ จำกัด ใช้วัสดุ FOOD GRADE พร้อมผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีแกมม่า แม่มั่นใจได้ สะอาด ปลอดภัยทุกครั้งที่บรรจุนมลงในถุง

                        อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกแรกเกิด คือ “นมแม่” เพราะน้ำนมแม่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย เป็นเกราะสร้างภูมิต้านทานที่ดีให้กับลูกน้อยได้ไปจนโต และสำหรับบ้านไหนที่คุณแม่ต้องกลับไปทำงาน หรือมีน้ำนมเยอะ การเก็บทำสต๊อกน้ำนมเป็นวิธีช่วยให้ลูกน้อยมีนมแม่ได้นานครบปี หรือต่อเนื่องได้ถึง 2-3 ปี

                        การจัดเก็บน้ำนมแม่ที่ถูกต้อง ต้องจัดเก็บในภาชนะที่สะอาด ปลอดภัยและจัดเก็บให้ถูกวิธี เพราะหากจัดเก็บผิดวิธีทำให้น้ำนมปนเปื้อนเชื้อโรค หากลูกกินเข้าไปจะเป็นอันตรายได้

                        ถุงเก็บน้ำนมเป็นไอเท็มที่คุณแม่ต้องใช้ในการปั๊มนมเพื่อทำน้ำนมสต๊อก ซึ่งมีหลายแบรนด์ให้เลือกในรูปแบบแตกต่างกันไป โดยส่วนใหญ่เน้นการใช้วัสดุที่ความทนทานสูง และกักเก็บน้ำนมได้ดี เพราะหลังจากเติมน้ำนมลงในถุงเก็บนมแล้ว ต้องนำไปเก็บไว้ในตู้แช่แข็งเพื่อเก็บรักษาน้ำนมให้มีอายุยาวขึ้น

                        แต่จะดีแค่ไหน ถ้าคุณแม่มีถุงเก็บน้ำนมที่สามารถถนอมคุณภาพได้ดี นมไม่เปลี่ยนรส ไม่มีกลิ่นหืน แถมยังใช้ง่ายไม่ยุ่งยาก ตอบโจทย์ความต้องการของคุณแม่ครบทุกด้าน

                        Amarin Baby & Kids ยกให้ ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom เป็น ของใช้คุณแม่
                        ที่ได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE
                        สาขา BEST BREAST MILK STORAGE BAGS
                        จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

                        ทีมบ.ก.ขอแนะนำถุงเก็บนมแม่ Cleanimom ผลิตภัณฑ์น้องใหม่จาก บริษัท วีรินทร์ จำกัด   ที่มาในลุคสุดคิ้วของนางเงือก โดดเด่นด้วยนวัตกรรมการผลิตและฆ่าเชื้อโรคที่ทันสมัย  เพื่อให้คุณแม่มั่นใจทุกครั้งว่าน้ำนมทุกหยดจากอกคุณแม่จะปลอดภัยเมื่อลูกกิน

                        พร้อมเพิ่มการปกป้องอีกขั้นด้วยรูปแบบซิปล็อก 2 ชั้น ที่ล็อกน้ำนมให้อยู่ในถุง เพื่อเก็บคุณภาพของน้ำนมแบบทูเวย์ ทั้งการป้องกันไม่ให้น้ำนมไหลออกมา และปิดสนิทไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปด้านใน ไม่คุณแม่จะวางถุงเก็บน้ำแม่ในแนวนอนหรือแนวตั้งก็ไม่ต้องห่วงน้ำนมรั่วไหล

                        ถุงเก็บนมแม่

                        รวมความว้าวของ ถุงเก็บนมแม่ Cleanimom กับรางวัลการันตี ถุงเก็บนมแม่ยอดเยี่ยมปี 2021

                        สำหรับความว้าวของถุงเก็บนมแม่ Cleanimomมาจากคุณสมบัติพิเศษช่วยลดกลิ่นหืนของน้ำนมแม่ได้ ตัวถุงเป็นแบบทึบแสง ช่วยเก็บรักษาคุณค่าสารอาหารได้เป็นอย่างดี ผลิตจากวัสดุที่ใช้สำหรับอาหาร (FOOD GRADE) อีกทั้งยังผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีแกมม่า และ BPA FREE ปลอดภัยจากสารก่อมะเร็งอีกทั้งโรงงานที่ผลิตยังได้มาตรฐาน ISO9001 และ FDA จากประเทศสหรัฐอเมริกา

                        นอกจากนี้ถุงเก็บน้ำนมยังทำจากพลาสติกคุณภาพดี หนาเป็นพิเศษ 90 micron ซึ่งมากกว่าถุงน้ำนมทั่วไป ทำจากพลาสติก 2 ชั้น จึงสามารถป้องกันอากาศและความชื้นได้ดี ใช้งานได้ในอุณหภูมิ -20 ถึง 110 องศาเซลเซียส จึงสามารถอุ่นด้วยเครื่องอุ่นนมได้

                        ถุงเก็บนมแม่ ถุงเก็บนมแม่

                        Cleanimom พิมพ์ลายสวยทั้งสองด้าน แต่ออกแบบบริเวณด้านหลังเป็นช่องใสๆเพื่อให้เห็นปริมาณน้ำนมข้างใน บริเวณก้นถุงสามารถวางตั้งได้ นอกจากเก็บน้ำนมแล้ว คุณแม่สามารถปรับแปลงไปใช้สำหรับเก็บอาหารปั่น น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มอื่นๆได้บนถุงสามารถเขียนชื่อ ลำดับ วันที่ เวลา ปริมาณ โดยถูกดีไซน์ให้อยู่เป็นสัดส่วน ปลอดภัยจากการปนเปื้อนของน้ำหมึก ถุงน้ำนมมีให้เลือกหลายขนาดให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำนมที่ลูกกินในแต่ละวัยด้วย

                        ถุงเก็บนมแม่

                        ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ถุงเก็บนมแม่Cleanimom ได้รับรางวัล EDITOR’s CHOICE สาขา BEST BREAST MILK STORAGE BAGS จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021 ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                        หากคุณพ่อคุณแม่สนใจ ถุงเก็บน้ำนมแม่ Cleanimom สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือเพื่อชมสินค้า ติดต่อไปได้ที่ช่องทางตามนี้ค่ะ

                          เด็กติดโควิด19

                          โควิดขยายวงจู่โจมทารก-เด็กเล็ก สหรัฐพบ เด็กติดโควิด19 แตะ 2 ล้านคน

                          เมื่อโควิดมาเคาะประตูบ้าน! เด็กติดโควิดได้ไม่ต่างจากผู้ใหญ่ ส่องสถานการณ์รอบโลก เด็กติดโควิด19 เยอะแค่ไหน ป้องกันอย่างไรให้ลูกเรารอด

                          โควิดระลอกใหม่ร้ายกว่าเดิม เมื่อมีรายงานพบทารกและเด็กเล็กไทยติดเชื้อโควิด-19อย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา  ล่าสุดพบทารกวัย 3 เดือนติดเชื้อจากเพื่อนของคุณพ่อซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงมากินเลี้ยงที่บ้าน และทารกวัย 5 เดือนจากจ.ระยอง ติดเชื้อปริศนาหลังตรวจไม่พบเชื้อจากพ่อแม่และคนใกล้ชิด

                          สหรัฐน่าเป็นห่วง ตัวเลข เด็กติดโควิด19 พุ่งไม่หยุด

                          หากมองสถานการณ์การติดเชื้อโควิดในต่างประเทศจะพบว่ามี เด็กติดโควิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายงานจากสถาบันกุมารแพทย์เวชศาสตร์อเมริกัน (AAP) ระบุว่ามีเด็กในสหรัฐเกือบ2.4 ล้านคนติดเชื้อโควิด-19 นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาด และมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ( 24 ธค 2020 – 7 มค 2021) มีเด็กทั่วประเทศติดเชื้อมากถึง 298,985 คน คิดเป็น 12.5 % จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด

                          เด็กติดโควิด

                          และที่น่ากลัวกว่านั้นคือแค่เพียงสัปดาห์เดียว (31ธค 2020 – 7 มค 2021) พบ เด็กติดโควิด19 เพิ่มมาถึง 171,079 คน เท่ากับว่าในจำนวนเด็ก 1 แสนคนจะตรวจพบเด็กเป็นโควิดมากถึง 3,055 คน ขณะที่พบว่ามีเด็กป่วยรุนแรงและเสียชีวิตจากเชื้อโควิดเพียง 0.00-0.02 % เท่านั้น จึงทำให้ดูเหมือนว่าขณะนี้อาการป่วยรุนแรงจากโควิด-19 ยังพบได้น้อยในเด็ก แต่นักวิทยาศาสตร์ต่างเสนอให้มีการเก็บข้อมูลเร่งด่วนเกี่ยวกับผลกระทบของโรคต่อสุขภาพหลังติดเชื้อ อารมณ์ และสุขภาพจิตของเด็กๆด้วย

                          สำหรับประเทศอื่นๆ ยังไม่มีรายงานจำนวน เด็กติดเชื้อโควิด19 ที่ชัดเจน เพียงแต่พบว่ามีมาตรการปิดโรงเรียน และสถานศึกษาระยะยาวในหลายประเทศ เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อังกฤษ กรีซ ไอซแลนด์ และแอฟริกา

                          ขณะที่ประเทศอังกฤษประกาศสถานการณ์ควบคุมการระบาดเข้มข้นหลังพบว่าเชื้อโควิดกลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว และเริ่มระบาดในหลายประเทศในยุโรปทั้งอิตาลี เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ รวมถึงอีกฟากหนึ่งของโลกอย่าง ออสเตรเลีย ฮ่องกง สิงคโปร์ รวมถึงประเทศไทยซึ่งตรวจพบจากชาวอังกฤษที่เดินทางเข้าประเทศ และได้กักตัวใน State Quarantine แล้ว

                          ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศเรียกไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ว่า ‘VUI-202012/01’ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมไปจากเชื้อก่อโรคโควิด-19 ดั้งเดิมจำนวนมาก มีความสามารถติดเชื้อสูงขึ้น 2 เท่าในห้องปฏิบัติการ และลดประสิทธิภาพของแอนตี้บอดี้ในเลือดของผู้ติดเชื้อลง ส่งผลให้ระบาดได้เร็วกว่าเชื้อดั้งเดิมสูงสุดถึงร้อยละ 70 ซึ่งอาจสามารถแพร่เชื้อในเด็กได้ง่ายขึ้นเหมือนกับผู้ใหญ่

                          เด็กติดโควิด

                          ด้านศาสตราจารย์ไรนา แมคอินไตย์ (Prof Raina MacIntyre) ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดจากมหาวิทยาลัยรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ระบุว่า

                          “ดูเหมือนว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้จะสามารถแพร่กระจาย และทำให้เกิดการระบาดในเด็กได้ง่าย มันจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ทั้งในแง่ของการปิดสถานศึกษา และความปลอดภัยในการเปิดทำการเรียนการสอน และเราต้องคำนึงถึงทั้งหมดนี้ จึงต้องระมัดระวังอย่างมาก ทุกสิ่งที่เข้ามายังออสเตรเลียนั้นล้วนมาจากต่างประเทศ ดังนั้น หากมีไวรัสโคโรนาชนิดใหม่เกิดขึ้นในอังกฤษ เรากำลังตกอยู่ในความเสี่ยงที่ไวรัสชนิดนี้จะเข้ามาในออสเตรเลีย”

                          ด้วยเหตุนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกจึงเฝ้าจับตาเจ้าเชื้อโควิดกลายพันธุ์นี้เป็นพิเศษ เพื่อศึกษาถึงความรวดเร็วในการแพร่ระบาดและความรุนแรงของโรคให้แน่ชัดต่อไป

                          เด็กติดโควิด

                          อาการของ เด็กติดโควิด19 รุนแรงแค่ไหน

                          เด็กติดเชื้อโควิด-19 มักมีอาการน้อยกว่าผู้ใหญ่ หรือไม่แสดงอาการใดเลย ส่วนใหญ่มักมีอาการเหมือน “ไข้หวัด” ทั่วไป ซึ่งหายได้องภายใน 1- 2 สัปดาห์ ส่วนที่พบว่ามีอาการรุนแรงถึงวิกฤตเป็นเพียง 6  % เท่านั้น ซึ่งมักอยู่ในกลุ่มทารกและเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ

                          MUST READ  วิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

                          MUST READ ภาวะ MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด โรคอันตรายที่พ่อแม่ต้องรู้!!

                          ส่วนอาการที่เข้าข่ายสงสัยว่า เด็กติดโควิด หรือไม่ จะพิจารณาเบื้องต้นจากอุณหภูมิร่างกายที่สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส (แต่พบว่าเด็กติดเชื้อราว 40 -56  % ไม่มีไข้) มีอาการเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก หายใจเร็ว หอบเหนื่อย พร้อมกับการสอบสวนโรคว่ามีการเดินทางในพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ เช่น อยู่บ้านเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่เคยพาไปตลาด ห้างสรรพสินค้า เดินทางด้วยรถสาธารณะ หรือสถานที่ชุมชนอื่นๆ

                          ฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ และทุกคนในบ้านต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตนอกบ้านให้มากขึ้น ทั้ง การเดินทาง การพบปะผู้คนในที่ทำงาน ช้อปปิ้ง กิจกรรมต่างๆนอกบ้าน หรือแม้แต่การแวะเวียนมาของคนนอกครอบครัวที่อาจต้องดูแลเป็นพิเศษด้วย

                          แหล่งข้อมูล www.si.mahidol.ac.th  www.bbc.com  www.dailynews.co.th  news.thaipbs.or.th

                          บทความน่าสนใจอื่นๆ 

                          เด็กติดโควิด ระวังเชื้อจากพ่อแม่ แพร่ Covid-19 สู่ลูก

                          โควิดรอบใหม่ ไร้อาการ ปอดอักเสบ หมอย้ำ “ติดง่ายเป็นหนัก” วัยทำงานต้องระวัง

                          เด็กติดโควิด-19 เพิ่ม เตือนพ่อแม่ระวัง อย่าพาเชื้อเข้าบ้าน

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            ป้องกันลูกจากโควิด

                            สสส. แนะวิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

                            ไทม์ไลน์บอกทุกอย่าง!  เผยตัวการ “ทำลูกเสี่ยงตาย” จากข่าวเด็กไทยติดโควิด-19 สูงขึ้น แม้ “ทารก” ก็ไม่เว้น! อะไรคือสาเหตุ และจะ ป้องกันลูกจากโควิด ได้ยังไงคลิกอ่านเลย!

                            เด็กติดโควิด เพราะ “พ่อแม่” คือ คนพาเชื้อ จริงหรือ?

                            จากสถานการณ์ โควิดระลอกใหม่ newly emerging ของประเทศไทย ที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นอีกครั้งโดยจุดเสี่ยงสูงของการติดเชื้อโควิด-19 ในครั้งนี้เกิดขึ้นใน “จ. สมุทรสาคร” ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ และผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ประกาศ “ล็อกดาวน์” จังหวัด ตั้งแต่คืนวันที่ 19 ธ.ค. 63 ซึ่งเมื่อดูลักษณะการระบาด พบว่าเกิดจากการติดเชื้อใหม่จากอีกกลุ่มก้อนหนึ่งซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว ไม่ได้เชื่อมโยงกับการระบาดในระลอกแรกอย่างตอนสนามมวยหรือผับที่ทองหล่อ

                            Must read >> เด็กติดโควิด ระวังเชื้อจากพ่อแม่ แพร่ Covid-19 สู่ลูก

                            Must read >> เด็กติดโควิด-19 เพิ่ม เตือนพ่อแม่ระวัง อย่าพาเชื้อเข้าบ้าน

                            ทั้งนี้จากการแพร่ระบาดของ โควิดระลอกใหม่ ตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2563 ถึง วันที่ 15 มกราคม 2564 มีผู้ป่วยที่ยืนยันว่าติดเชื้อ สะสม แล้ว 11,450 คน และเสียชีวิต 69 คน >> ซึ่งก็มีผู้ป่วยทั้งชาย-หญิง เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่วัยทำงาน ผู้สูงอายุ และ ทารก โดยจะเห็นได้ว่า จากข่าวมีผู้ป่วยส่วนมากเป็นผู้ใหญ่ที่ไปในสถานที่เสี่ยง เช่นเดียวกับการระบาดครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้มีความแตกต่างไปตรงที่เริ่มมีเด็กเล็กป่วยติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้น อาทิ จากข่าว โดยมีการระบุไทม์ไลน์ ไว้ดังนี้..

                            • เด็ก 1 ขวบ 10 เดือน จ. นครนายก ติดเชื้อจากผู้เป็นพ่อ พ่อค้าขายอาหารทะเลผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันก่อนหน้า

                             

                            • เด็ก 1 ขวบ 3 เดือน ป่วยโควิด-19 ใน อ.สองพี่น้อง เปิดไทม์ไลน์คาดติดจากย่า

                             

                            • เป็นเด็กหญิงอายุ 4 ปี อ.บางกรวย พบประวัติเป็นลูกสาวของผู้ป่วยยืนยันรายที่ 255 (แม่) และ 256 (พ่อ)

                            ป้องกันลูกจากโควิด

                             

                            • เด็กหญิงอายุ 8 ปี ชาวอำเกอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี มีประวัติติดตามบิดา-มารดา ไปบ่อนไก่ จ.อ่างทอง

                             

                            • ด.ญ.วัย 7 เดือน ติดเชื้อโควิด-19 เป็นรายที่ 3 ของ จ.สุพรรณบุรี พบมีประวัติแม่พาไปธนาคาร-ตลาดนัด

                            ป้องกันลูกจากโควิด

                             

                            จะเห็นได้ว่า จากข่าวสรุปไทม์ไลน์ในเคสเด็กติดโควิด ทั้ง 6 คน ไม่ว่าจะเป็นทารก เด็กเล็ก เด็กโต ที่ติดเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่เด็กอาศัยอยู่ที่บ้านไม่ได้ออกไปวิ่งเล่นพื้นที่เสี่ยง รวมไปถึงเด็กมักคลุกคลีอยู่กับพ่อแม่ หรือญาติผู้ใหญ่ที่เดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะไปทำงาน หรือไปทำธุระ จับจ่ายใช้สอยของจำเป็นเข้าบ้านก็ตาม ซึ่งจะเห็นได้ว่าแม้จะ ป้องกันลูกจากโควิด โดยใส่หน้ากาก หรือพกแอลกอฮอล์ล้างมือ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พาเชื้อมาติดลูกหลาน

                            ทั้งนี้เพราะด้วยร้อยละ 70 ของผู้ที่เข้ารับการตรวจหาเชื้อปอดอักเสบโคโรนา 2019 ได้ผลเป็นบวก แต่ไม่แสดงอาการป่วยออกมา เมื่อติดเชื้อแล้วสามารถส่งเชื้อแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้อย่างไม่รู้ตัว จึงทำให้การแพร่ระบาดของ โควิดระลอกใหม่ เข้าถึงเด็กๆ ได้ง่าย เพราะพ่อแม่ชะล่าใจนั่นเอง

                            Must read >>โควิดรอบใหม่ ไร้อาการ ปอดอักเสบ หมอย้ำ “ติดง่ายเป็นหนัก” วัยทำงานต้องระวัง

                            ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สาเหตุของการที่โควิดระลอกใหม่ ระบาดในครั้งนี้ มีข่าวเด็กติดเชื้อเยอะเพิ่มมากขึ้น ต้นเหตุ ก็คือ พ่อแม่ และคนใกล้ชิดเด็กๆ นั่นเอง … อย่างไรก็ตามเมื่อรู้สาเหตุแล้ว หากต้องการ ป้องกันลูกจากโควิด และบ้านปลอดเชื้อโควิด-19 ก็ต้องเริ่มต้นที่ พ่อแม่ มาร่วมมือกันดูแลตัวเองเพื่อคนที่คุณรัก ป้องกันลูกจากโควิด– 19 พร้อมระวังตัวให้มากขึ้นกันนะคะ

                            ป้องกันลูกจากโควิด

                            ป้องกันลูกจากโควิด 4 ข้อพ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง

                            ซึ่งทีมแม่ ABK มีคำแนะนำดีๆ  จากเพจ Social Marketing Thaihealth by สสส. กับเรื่องที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง (นอกเหนือจากเรื่องการดูแลป้องกันขั้นพื้นฐาน) ถ้าไม่อยากให้ลูกติดโควิด 4 ข้อสำคัญดังนี้

                            1. ระวัง! กลับถึงบ้าน อย่าเพิ่งรีบกอดลูก >> อาบน้ำทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน <<

                            เวลาคุณพ่อคุณแม่ออกไปทำงาน มีความเป็นไปได้ที่เชื้อโรคต่าง ๆ อาจติดมาตามเสื้อผ้า และร่างกาย ดังนั้นเมื่อกลับถึงบ้านคุณพ่อคุณแม่ควรรีบไปล้างมือ ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า หรือทางที่ดีควรอาบน้ำก่อนไปสัมผัสใกล้ชิดลูก เพื่อป้องกันการนำเชื้อโรคไปติดลูก

                            2. ระวัง! ไม่เป่าอาหารให้ลูก >> เชื้อโควิดอาจปะปนอยู่ในน้ำลาย ควรรอให้อาหารเย็นลงเอง <<

                            เนื่องจากเชื้อโควิด-19 สามารถแพร่เชื้อผ่านละอองฝอยของน้ำมูก น้ำลาย ดังนั้นเวลาที่พ่อแม่เป่าอาหารให้ลูก จึงมีความเสี่ยงที่เชื้อโรคต่าง ๆ จะปนเปื้อนในอาหารของลูก ทางที่ดีควรรอให้อาหารร้อนน้อยลง ก่อนที่จะป้อนให้ลูกกิน

                            3. ระวัง! ไม่ใช้ช้อนส้อมร่วมกัน >> ใช้ช้อนกลางเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ <<

                            เวลากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นช่วงเวลาสุขสันต์ของครอบครัว บางครั้งคุณพ่อ คุณแม่อาจเผลอใช้ช้อนส้อมตักอาหารให้กัน ซึ่งการทำเช่นนี้เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคต่าง ๆ ให้กัน ดังนั้นควรใช้ช้อนกลาง นอกจากเพื่อสุขอนามัย ยังเป็นการสอนนิสัยที่ดีให้แก่ลูกอีกด้วย

                            4. ระวัง! ของเล่นลูก แหล่งหลบซ่อนของเชื้อโรค >> หมั่นทำความสะอาดออยู่เสมอ <<

                            เด็ก ๆ มักไม่ค่อยระวังตัวเอง หยิบจับสิ่งต่าง ๆ มาเล่นแล้ว มักใช้มือมาสัมผัสใบหน้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อการรับเชื้อ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นทำความสะอาดของเล่นให้ลูก

                            ป้องกันลูกจากโควิด

                            วิธีสังเกต โควิดไม่แสดงอาการ เกิดขึ้นกับเรา และลูกหรือยัง

                            ทั้งนี้เนื่องจากหลังรับเชื้อระยะแรกผู้ป่วยเองอาจยังไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ ก็ยังเข้าสู่สังคม ใช้ชีวิตประจำวันปกติ เดินทางไปมาหาสู่ครอบครัวและเพื่อนพ้อง เมื่อละเลยการป้องกันตัวเอง กลายเป็นพาหะส่งเชื้อให้คนรอบข้างไม่รู้ตัว จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ควรสังเกตอาการตัวเอง หลังจากไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือสัมผัสผู้ติดเชื้อยืนยันแล้วภายใน 14 วัน ดังนี้

                            • มีไข้ ไอ จาม
                            • จมูกไม่ได้กลิ่น
                            • ลิ้นแยกรสชาติไม่ได้
                            • ปวดเมื่อยร่างกายเล็กน้อย
                            • ท้องเสียเล็กน้อย
                            • เมื่อยล้า อ่อนเพลีย

                            โดยอาการของไข้หวัดใหญ่ กับอาการโควิด-19 คล้ายคลึงกัน สิ่งที่พอจะแยกได้คือเรื่องการรับกลิ่นและรับรสชาติ อย่างไรก็ดีหากเดินทางไปยังสถานที่ที่ระบุว่าพบเชื้อสูง ควรแจ้งกับเจ้าหน้าที่คัดกรองก่อนเข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19 ด้วย

                            Must Read >> โควิด อาการ ที่ต้องสังเกต! สัญญาณอันตรายที่ต้องไปโรงพยาบาล

                            อาการต้องสงสัยว่าเด็ก ๆ เข้าข่ายติดเชื้อไวรัส COVID-19

                            โดยทั่วไป หากแพทย์จะสงสัยว่าเด็ก ๆ เข้าข่ายติดเชื้อไวรัส COVID-19 หากตรวจพบว่าเด็ก ๆ มีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 37.5 °C (เด็กส่วนหนึ่งอาจไม่มีไข้ รายงานผู้ป่วยเด็กโรค COVID-19 มีไข้ร้อยละ 40-56) ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจ เช่น เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก หายใจเร็ว หรือหายใจหอบเหนื่อย ร่วมกับในช่วง 14 วันที่ผ่านมามีประวัติเดินทางไปหรือมาจากพื้นที่ที่มีการระบาดของเชื้อนี้อย่างต่อเนื่อง หรือเด็ก ๆ อาจจะมีประวัติสัมผัสกับผู้ที่เข้าข่ายสงสัยหรือยืนยันว่ามีการติดเชื้อไวรัส COVID-19 โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในบ้านเดียวกัน หรือมีประวัติไปในที่ชุมชน เช่น ตลาดนัด ที่ขนส่งสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น … นอกจากนี้ถ้าเด็กมีอาการปอดอักเสบที่หาสาเหตุไม่พบ หรือเป็นปอดอักเสบที่ได้รับการรักษาแล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะทำการตรวจเพื่อหาการติดเชื้อ COVID-19 เช่นกัน

                            เมื่อสงสัยว่าลูกเข้าข่ายติดเชื้อไวรัส COVID-19 ป้องกันลูกจากโควิด สามารถทำได้ 2 ช่องทาง คือ

                            1. โทรสายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (24 ชั่วโมง) ซึ่งหากเด็ก เข้าเกณฑ์จะมีการประสานรถพยาบาลไปรับถึงที่พัก เพื่อไปทำการตรวจยืนยัน

                            2. ควรเดินทางไปที่สถานพยาบาลด้วยยานพาหนะส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในชุมชน และสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองต้องแจ้งให้กับบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ทราบว่าเด็กมีความเสี่ยงหรือสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรค COVID-19

                             


                            ขอบคุณข้อมูลจาก : www.bangkokbiznews.comwww.si.mahidol.ac.thddc.moph.go.th

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                            รวมประกันโควิด 2021 เทียบเบี้ยประกันไวรัสโคโรน่า COVID-19

                            เชื้อโควิดบนสิ่งของ เกาะลูกบิดประตู อยู่ได้นานแค่ไหน

                            เรื่องจริงจากหมอ “ทำคลอดแม่ติดโควิด” อันตรายสุด เตือนแม่ อย่าเสี่ยง อย่าปิดข้อมูล

                            คนท้องตรวจโควิดได้ไหม จำเป็นต้องตรวจไหม อาการแบบไหนไม่ควรปล่อยไว้

                              เด็ก2ขวบเสียด้วยภาวะ MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด

                              MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด!! อันตราย คร่าชีวิตเด็ก 2 ขวบหลังติดโควิดซ้ำ หมอแจงสาเหตุที่เสียชีวิตไม่ใช่จาก LongCovid แต่เป็นภาวะ MIS-C !!

                              แจงแล้ว!เด็ก2ขวบเสียด้วยภาวะ MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด

                              จากกรณีเพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part 3 เผยแพร่เรื่องราวของแม่ที่ต้องสูญเสียลูกชายวัย 2 ขวบหลังมีไข้สูง อาเจียน พาไปโรงพยาบาลตามสิทธิและถูกย้ายโดยไม่แจ้ง ก่อนอาการทรุดและเสียชีวิตในเวลาต่อมา แพทย์วินิจฉัยเป็น “ลองโควิด”   หรือ “Long Covid”

                              ล่าสุด นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การเสียชีวิตของเด็กชายวัย 2 ขวบไม่ใช่ลองโควิด แต่เป็นภาวะมิสซี หรือ MIS-C (multisystem inflammatory syndrome of children) มากกว่า

                              นพ.โอภาส  อธิบายว่า “ลองโควิด”  กับมิสซี ต่างกัน ลองโควิดเป็นภาวะที่เกิดขึ้นหลังจากหายป่วยโควิด เป็นอาการที่หลงเหลืออยู่จะทำให้มีอาการอ่อนเพลียพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมิสซีเป็นภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย ตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ไตอักเสบ เส้นเลือด สมอง และไม่ได้เกิดจากโควิดเพียงอย่างเดียว

                              ดังนั้น การป้องกันภาวะมิสซีคือให้เด็กรับวัคซีน ส่วนสัญญาณของมิสซีไม่สามารถบอกได้จากอาการไข้ เพราะส่วนใหญ่ไข้มักเป็นอาการพื้นฐาน แต่ต้องดูประวัติการป่วยของเด็กด้วยและภาวะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกราย    ดังนั้นเด็กที่หายป่วยแล้ว ยังต้องติดตามอาการ หรือหากไม่แน่ใจก็ควรรีบปรึกษาแพทย์

                              ที่มา : https://www.komchadluek.net
                              MIS-C ภาวะอันตรายของเด็กหลังหายจากโควิด19
                              MIS-C ภาวะอันตรายของเด็กหลังหายจากโควิด19

                               

                              ในประเทศไทย จำนวนเด็กติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะทำให้มีการพบผู้ป่วย MIS-C (มิสซีเพิ่มขึ้นเช่นกัน ภาวะ MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด ซึ่งพบในเด็กที่มีประวัติป่วยเป็นโรค COVID-19 และหายจากโรคนำมาก่อน หลังจากนั้นประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ ก็มีอาการ shock และ บางรายเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยที่เด็กเหล่านี้มักเป็นเด็กที่สุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัวมาก่อน ดังนั้น เรามาทำความรู้จัก ภาวะ MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด เพื่อให้พ่อแม่ได้ระวังและเฝ้าสังเกตอาการกันค่ะ

                              MIS-C คืออะไร?

                              MIS-C เอ็มไอเอสซี หรือ มิสซี ย่อมาจาก Multisystem Inflammatory Syndrome in Children and Adolescents เป็น กลุ่มอาการคล้าย โรคคาวาซากิ แต่รุนแรงกว่ามาก มีภาวะของอวัยวะอักเสบเฉียบพลันพร้อม ๆ กันหลาย ๆ อวัยวะ เด็กที่ป่วยเป็นภาวะ MIS-C จะมีอาการดังต่อไปนี้

                              mis-c ในเด็ก
                              ภาวะ mis-c ในเด็ก

                              ภาวะ MIS-C มีอาการอย่างไร?

                              ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (The Center of Disease Control -CDC) ได้ให้คำจำกัดความ ภาวะ MIS-C ดังต่อไปนี้

                              1. ผู้ที่มีอายุ น้อยกว่า 21 ปี
                              2. มีอาการดังต่อไปนี้
                                • มีประวัติไข้ ไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง หรือ วัด แล้วมี ไข้ (fever) ≥ 38.0 C ซึ่งอาการไข้ เป็นอาการที่สำคัญที่พบในผู้ป่วย MIS-C
                                • ตาแดง 2 ข้าง แต่ไม่มีขี้ตา
                                • ริมฝีปากแห้ง แดง ลิ้นแดงเป็นตุ่ม
                                • ผื่นขึ้นตามตัว
                                • ฝ่ามือ-เท้าบวม
                                • ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต มักเป็นข้างเดียวและไม่มีอาการเจ็บ
                                • ระบบการทำงานอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ทำงานผิดปกติ ตั้งแต่ 2 ระบบขี้นไป (ซึ่งประกอบด้วย ระบบ หัวใจ, ระบบไต, ระบบทางเดินหายใจ, ระบบเลือด, ระบบทางเดินอาหาร, ระบบผิวหนัง, และ ระบบประสาท)
                                • มีอาการรุนแรงจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล
                              3. พบมีหลักฐานการอักเสบจากการตรวจทางห้องปฏิบัติการ (evidence of inflammation) (โดยพบค่าความผิดปกติ มากกว่า 1 การตรวจ)
                              4. พบหลักฐานการติดเชื้อ SARS-CoV-2
                                • โดยวิธี reverse transcription polymerase chain reaction (RT-PCR), serology หรือ antigen test
                                • มีประวัติการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 ภายใน 4 สัปดาห์ ก่อนหน้าจะมีอาการ
                              5. ไม่สามารถวินิจฉัยโรคอื่นได้

                              เกณฑ์เฝ้าระวังโรค MIS-C ขององค์การอนามัยโลก

                              1. มีการอักเสบรุนแรงทั่วร่างกาย
                              2. ความดันต่ำ หรือภาวะช็อค
                              3. การทำงานของหัวใจผิดปกติ
                              4. มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
                              5. มีความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร

                              โรค MIS-C ต่างจาก KAWASAKI อย่างไร?

                              ภาวะ MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด นั้น มีลักษณะที่แตกต่างจาก Kawasaki disease ที่พบโดยทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ป่วยจากภาวะ MIS-C จะมีลักษณะเด่น คือ

                              1. ผู้ป่วยมักจะมีอายุมากกว่า (อยู่ในช่วง 6 เดือน ถึง 16 ปี)
                              2. มีอาการทางระบบทางเดินอาหารมากกว่า: อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง
                              3. มีความผิดปกติของการทำงานหัวใจทีรุนแรงกว่า
                              4. เม็ดเลือดขาว ชนิด neutrophil สูงกว่า ชนิด lymphocyte ต่ำกว่า, platelet count ต่ำกว่า, PT/ PTT, D-dimer สูงกว่า (มีระดับค่าเอนไซม์บางตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน)
                              5. ค่าการอักเสบ CRP สูงกว่า
                              6. พบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงมากกว่า ได้แก่ Kawasaki disease shock syndrome และภาวะ macrophage activation syndrome
                              7. พบภาวะ myocarditis และ ความผิดปกติของ echocardiography มากกว่า
                              โควิดในเด็ก
                              โควิดในเด็ก

                              ความรุนแรงของโรคส่งผลต่อเด็กอย่างไร?

                              ภาวะ MIS-C อาจก่อให้เกิดอาการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ทำให้เกิดอาการผิดปกติในหลายระบบ ได้แก่

                              • ระบบหัวใจและหลอดเลือด : ทำให้มีอาการช็อค ความดันต่ำ หัวใจอักเสบ ลิ้นหัวใจอักเสบ เส้นเลือดหัวใจผิดปกติ
                              • ระบบทางเดินหายใจ : ปอดอักเสบ กลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน ลิ่มเลือดอุดตันในปอด
                              • ไต : ไตวายฉับพลัน
                              • ระบบทางเดินอาหาร : ท้องเสีย ท้องอืด อาเจียน ปวดท้อง เลือดออกทางเดินอาหาร หรือตับอักเสบ
                              • ผิวหนัง : ผิวหนังแดง เยื่อบุอักเสบ เป็นผื่น
                              • ระบบประสาท : มีอาการชัก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
                              • ระบบเลือด : เกิดการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ

                              การรักษาผู้ป่วย MIS-C

                              เนื่องจาก MIS-C เป็นโรคที่พบใหม่ จึงยังไม่มีแนวทางการรักษาที่ชัดเจนเหมือนโรคคาวาซากิ ผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายที่จะเป็นโรคนี้ จึงควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อติดตามเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล แพทย์จะพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมต่อไป หากผู้ป่วยเข้าเกณฑ์การวินิจฉัยของโรคคาวาซากิ มักได้รับการรักษาตามแนวทางการรักษาที่เป็นมาตรฐานของโรคนี้ ส่วนในผู้ป่วยที่มีอาการอื่นๆ จะเป็นการรักษาแบบประคับประคอง ผู้ป่วยส่วนหนึ่งต้องได้รับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก (ICU) และ/หรือให้ยาในกลุ่มที่ใช้ยับยั้งภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีการทำงานมากเกินกว่าปกติ

                              แม้ผู้ป่วย MIS-C จะมีอาการรุนแรงกว่า KAWASAKI แต่ยังมีข่าวดีตรงที่ ส่วนใหญ่จะตอบสนองดีต่อการรักษาอาการด้วยยาลดการอักเสบกลุ่ม IVIG หรือ สเตียรอยด์ จนสามารถหายเป็นปกติได้ มีเพียงส่วนน้อยที่เสียชีวิต

                              MIS-C คือ
                              MIS-C คือ

                              สถานการณ์โรค MIS-C ในประเทศไทย

                              ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มอายุตั้งแต่ 0-18 ปีในการระบาดระลอกเดือน เม.ย. 2564 (1 เม.ย.- 11 ก.ย.) มีผู้ติดเชื้อสะสมแล้ว 174,645 ราย แบ่งเป็นเด็กวัยเรียนและวัยรุ่น (อายุ 6-18 ปี) 129,165 ราย เสียชีวิต 15 ราย และ เด็กปฐมวัย (อายุ 0-5 ปี) ติดเชื้อสะสม 45,480 ราย เสียชีวิต 14 ราย

                              ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย พบว่าจากการระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกล่าสุดทำให้มีเด็กอายุ 0-18 ปีติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะทำให้มีการพบผู้ป่วย MIS-C (มิสซีเพิ่มขึ้นเช่นกัน เนื่องจากเป็นอาการที่พบในเด็กหลังหลังติดเชื้อโควิด 2-8 สัปดาห์

                              จากการเก็บข้อมูลในประเทศไทยพบว่ามีเด็กป่วยเป็นโรค MIS-C ประมาณ 20-25 ราย เมื่อเทียบจำนวนเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 ในปีนี้ สัดส่วนเด็กที่ป่วยเป็นโรค MIS-C อยู่ที่ประมาณ 1:10,000 ราย

                              Must Read >> รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

                              การป้องกันโรค MIS-C

                              แม้จะเป็นโรคใหม่ยังไม่มีการรักษาที่ชัดเจน แต่สำหรับการป้องกัน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เช่น สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ รวมถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัยและห่างไกลจาก COVID-19

                              ขอบคุณข้อมูลจาก : workpointtoday.com/mis-c/ศูนย์ศรีพัฒน์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กรุงเทพธุรกิจchulalongkornhospital.go.th

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              แม่แชร์ เมื่อลูกติดโควิด! วิธีรักษา – Home Isolation เด็ก

                              รักษาโรคภูมิแพ้ ด้วยการปรับภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ลูกรักชนะโรคร้าย

                              โรค G6PD คือ อะไร อันตรายกับลูกแค่ไหน พ่อแม่ควรรู้!

                              ผื่นแพ้นมวัว จากโรคแพ้นมวัว ในทารกหรือเด็กเล็ก อาการเป็นอย่างไร

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                วัคซีนเด็ก64

                                รวมแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ปี 2564

                                คุณพ่อ คุณแม่คงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า วัคซีนสามารถช่วยชีวิตลูกน้อยของคุณได้ สามารถป้องกันการคุกคามของโรคร้ายต่าง ๆ มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคร้าย และสามารถลดความเสี่ยงการพิการในวัยเด็ก ทาง ทีมแม่ ABK จึงได้รวบรวมราคา แพ็กเกจวัคซีน ปี 2564 มาฝากคุณพ่อ คุณแม่ค่ะ

                                รวม แพ็กเกจวัคซีน ปี 2564

                                1. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลวิภาราม     

                                โรงพยาบาลวิภาราม

                                ระยะเวลา : ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564

                                สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : www.vibharam.com

                                 2. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลบางโพ

                                โรงพยาบาลบางโพ

                                PACKAGE วัคซีนสำหรับเด็ก   2 เดือน – 1 ปี  ราคา 5,399 บาท                                                                      

                                (2 เดือน) วัคซีนรวม 6 โรค (คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบและตับอักเสบบี เข็ม 2)

                                (4 เดือน) วัคซีนรวม 5 โรค (คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ)

                                (6 เดือน) วัคซีนรวม 6 โรค (คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบและตับอักเสบบี เข็ม 3)

                                (9 เดือน)  วัคซีนไข้สมองอักเสบ เข็ม 1

                                (12 เดือน) วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม เข็ม 1

                                เงื่อนไขการเข้ารับบริการ

                                1. ราคาดังกล่าว ไม่รวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาล

                                2. แพ็กเกจดังกล่าวไม่สามารถใช้ร่วมกับสิทธิ์และส่วนลดอื่น ๆ ได้

                                3. ผู้เข้ารับบริการชำระค่าใช้จ่าย ณ โรงพยาบาล ในวันที่เข้ารับบริการ

                                4. โรงพยาบาลขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

                                5.คลินิกกุมารเวช ชั้น 4 อาคาร 2 โรงพยาบาลบางโพ

                                สอบถามเพิ่มเติมโทร. 02 587 0144 ต่อ 2401 หรือ เว็บไซต์ : www.bangpo-hospital.com                                  

                                ระยะเวลา : วันนี้ – 30 มิถุนายน 2564 

                                3. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพ

                                แพ็กเกจวัคซีน IPD ราคา 2,200 บาท – 9,800 บาท

                                โรงพยาบาลศิครินทร์ กรุงเทพ

                                หมายเหตุ                                                                                                                                                                วัคซีน IPD สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 2 เดือนขึ้นไป หากเริ่มฉีดตั้งแต่อายุ 2 เดือน ฉีดวัคซีน PCV (10 หรือ 13 สายพันธุ์) เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน และฉีดกระตุ้นอีก 1 ครั้งที่อายุ 12 – 15 เดือน โดยห่างจากเข็มสุดท้ายอย่างน้อย 2 เดือน (รวมฉีดทั้งหมด 4 ครั้ง) หากเริ่มฉีดหลังอายุ 6 เดือน แต่น้อยกว่า 1 ปี ให้ฉีด 3 เข็ม โดยสองเข็มแรกฉีดห่างกัน 2 เดือน และฉีดกระตุ้นอีก 1 ครั้ง เมื่ออายุ 12 – 15 เดือน หากเริ่มฉีดหลังอายุ 1 ขวบ ฉีด 2 เข็มห่างกันสองเดือน

                                เงื่อนไข

                                1. โปรโมชั่นนี้ใช้ได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564

                                2. ราคาดังกล่าวเฉพาะค่ายา ยังไม่รวมค่าแพทย์ ค่าเวชภัณฑ์ และค่าบริการ

                                3. โปรโมชั่นนี้ไม่สามารถใช้ร่วมกับบัตรส่วนลด และสิทธิพิเศษส่งเสริมการขายอื่น ๆได้

                                4. ทางโรงพยาบาลขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลง โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

                                5. ติดต่อสถาบันกุมารเวช อาคาร 1 ชั้น 2 โทร 1728 ต่อ 10240, 10241

                                สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : www.sikarin.com

                                4. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลสินแพทย์ ศรีนครินทร์

                                แพ็คเกจวัคซีนเด็ก PACKAGE 2 ( 2 เดือน ถึง 1 ปีครึ่ง)

                                โรงพยาบาลสินแพทย์ ศรีนครินทร์ 1

                                2 เดือน วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิป ไวรัสตับอักเสกบี (6 โรค) วัคซีนป้องกันโรต้าไวรัส ครั้งที่ 1

                                4 เดือน วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิป (5 โรค) วัคซีนป้องกันโรต้าไวรัส ครั้งที่ 2

                                6 เดือน วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิป (6 โรค)

                                9 เดือน – 1 ปี วัคซีนไข้สมองอักเสบ ครั้งที่ 1

                                1 ปี วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม สุกใส

                                1 ปี – 1ปีครึ่ง วัคซีน คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิป (5 โรค)

                                หมายเหตุ : ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว
                                ราคาดังกล่าวสำหรับผู้ที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น

                                เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงพยาบาลกำหนด

                                ระยะเวลาตั้งแต่ 6 พ.ย.63 31 ธ.ค.64

                                ราคา   12,000   บาท

                                แพ็คเกจวัคซีนเด็ก PACKAGE 3 (6 เดือน ถึง 1 ปีครึ่ง)

                                โรงพยาบาลสินแพทย์ ศรีนครินทร์

                                6 เดือน วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิป (6 โรค)

                                9 เดือน – 1 ปี วัคซีนไข้สมองอักเสบ ครั้งที่ 1

                                1 ปี วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม สุกใส

                                1 ปี – 1ปีครึ่ง วัคซีน คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบฮิป (5 โรค)

                                หมายเหตุ : ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว

                                ราคาดังกล่าวสำหรับผู้ที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น

                                เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงพยาบาลกำหนด

                                ระยะเวลาตั้งแต่ 6 พ.ย.63 31 ธ.ค.64

                                ราคา   5,600   บาท

                                สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : www.synphaet.co.th

                                 5. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลบางมด

                                แพ็กเกจวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า

                                โรงพยาบาลบางมด1

                                เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564

                                ราคา 2,200 บาท (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแพทย์ และค่าบริการรพ. )

                                รับบริการได้ที่แผนกผู้ป่วยนอกชั้น 11  (สอบถามนัดหมายล่วงหน้า 02 867 0606 ต่อ 1106)

                                แพ็กเกจวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบเอ

                                โรงพยาบาลบางมด2

                                เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564                                                                                                                                        

                                Plan 1  ราคา 2,400 บาท (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแพทย์ และค่าบริการรพ.)                

                                Plan 2 ราคา 1,600 บาท (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแพทย์ และค่าบริการรพ. )                                                                             

                                รับบริการได้ที่แผนกผู้ป่วยนอกชั้น 11  (สอบถามนัดหมายล่วงหน้า 02 867 0606 ต่อ 1106

                                แพ็กเกจวัคซีนป้องกันเชื้อนิวโมคอคคัส

                                โรงพยาบาลบางมด3

                                เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564                                                                                                                                         

                                ราคา 6,900 บาท (ราคาดังกล่าวยังไม่รวมค่าแพทย์ และค่าบริการรพ. )

                                รับบริการได้ที่แผนกผู้ป่วยนอกชั้น 11  (สอบถามนัดหมายล่วงหน้า 02 867 0606 ต่อ 1106)

                                สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โทร 0 2867 0606 ต่อ 1106,3503,3504

                                Line : @bangmodhospital

                                Facebook : Bangmod Hospital

                                เว็บไซต์ : www.bangmodhospital.com

                                6. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลวิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล หนองแขม

                                วัคซีน นิวโมคอคคัส (IPD)

                                โรงพยาบาลวิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล หนองแขม1

                                ระยะเวลา : ตั้งแต่วันนี้ 31 ธันวาคม 2564

                                วัคซีนไวรัสโรต้า

                                โรงพยาบาลวิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล หนองแขม2

                                ระยะเวลา : ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564                                                                                                      สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : www.vichaivej.com/nongkhaem/

                                 7. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลพญาไท 2

                                โรงพยาบาลพญาไท 2

                                ระยะเวลา : ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564                                                                                                          สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : www.phyathai.com

                                 8. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน

                                โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน

                                สิ่งที่ลูกน้อยจะได้รับ : ลูกน้อยจะได้รับการตรวจสุขภาพโดยกุมารแพทย์ก่อนฉีดวัคซีนทุกครั้งรับสมุดบันทึกสุขภาพและบันทึกการรับวัคซีน 1 เล่ม

                                * ราคาเหมาจ่ายเฉพาะค่าวัคซีนยังไม่รวมค่าแพทย์และค่าบริการ
                                * ขอสงวนสิทธิ์ในการแลกเปลี่ยนหรือคืนเงินในกรณีที่รับวัคซีนไม่ครบตามแพคเกจเหมาจ่าย

                                รับบริการที่ : แผนกตรวจสุขภาพเด็กดี 02-625-9000 ต่อ 31330-1

                                สอบถามพิ่มเติมได้ที่ : www.bch.in.th                                                                                                                ระยะเวลา : 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2564

                                9. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลนครธน                                                                                                           

                                โรงพยาบาลนครธน1

                                โรงพยาบาลนครธน2

                                โรงพยาบาลนครธน3

                                ระยะเวลา : ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2564                                                                                                            สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ : www.nakornthon.com

                                 10. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลธนบุรี 2                                                                                                 

                                โรงพยาบาลธนบุรี 2

                                ระยะเวลา : ตั้งแต่วันนี้ – 30 ธันวาคม 2564                                                                                                            สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ :www.thonburi2hospital.com

                                 11. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

                                โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

                                เงื่อนไขในการเข้ารับบริการ 

                                1. ราคาดังกล่าวนี้รวมเฉพาะค่าวัคซีนและค่าฉีดยา ยังไม่รวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาล

                                2. แพ็กเกจนี้ใช้ได้เฉพาะแผนกผู้ป่วยนอกเท่านั้น และไม่สามารถใช้ร่วมกับสิทธิ์และส่วนลดอื่น ๆ ได้ เช่น ผู้ถือหุ้น บริษัทคู่สัญญา และบริษัทประกัน

                                3. โรงพยาบาลขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

                                4.ราคาดังกล่าวเฉพาะคนไทยและชาวต่างชาติที่พำนักถาวรอยู่ในประเทศไทยเท่านั้น

                                ระยะเวลา :1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2564                                                                                                            สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ :www.vichaiyut.com

                                12. ราคาแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลลาดพร้าว

                                แพ็กเกจวัคซีนเด็กแรกเกิด-1ปี

                                แพ็กเกจชุด  GOLD  ราคา  8,500 บาท

                                แพ็กเกจชุด PLATINUM   ราคา  15,900  บาท

                                โรงพยาบาลลาดพร้าว

                                หมดเขต 30 มิถุนายน 2564

                                สอบถามรายละเอียดและเข้ารับบริการได้ที่ : www.ladpraohospital.com

                                อาคาร 2 ชั้น 2  โทร 02-530-2556

                                ศูนย์กุมารเวชกรรม ต่อ 2200, 2201

                                ศูนย์พัฒนาการเด็ก ต่อ 2200, 2201

                                เพจ Facebook : ศูนย์กุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลลาดพร้าว

                                บทความที่น่าสนใจ

                                วัคซีนพื้นฐานสำหรับลูกน้อยในขวบปีแรก เป็นสิ่งจำเป็นและไม่ควรเลื่อนฉีด

                                ตารางวัคซีน 2564 ปีนี้มีปรับรายละเอียด? ลูกต้องฉีดอะไร ตอนไหนบ้าง เช็กเลย!

                                5 วัคซีนเด็ก สำคัญ! ป้องกัน 9 โรคร้ายให้ลูกตอนโต

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  รวมประกันโควิด 2021 เทียบเบี้ยประกันไวรัสโคโรน่า COVID-19

                                  รวมประกันโควิด 2021 เทียบเบี้ยประกันไวรัสโคโรน่า COVID-19

                                  ซื้อไว้อุ่นใจกว่า! รวมประกันโควิด 2021 เบี้ยเท่าไหร่ ได้ค่าอะไรบ้าง

                                  รวมประกันโควิด 2021

                                  แม้จะเข้าปี 2021 แล้ว แต่โควิด-19 ก็ยังวนเวียนไม่หายไปไหน หลาย ๆ ครอบครัวที่เคยซื้อประกันโควิดในปี 2020 ก็คงใกล้หมดระยะเวลาคุ้มครองแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องซื้อใหม่ แต่ก่อนที่จะซื้อประกันโควิดเพื่อคุ้มครองคนในครอบครัว มาดูแผนประกันและผลประโยชน์เพื่อเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจกันดีกว่า

                                  สินทรัพย์ประกันภัย ประกันโควิด-19 จ่ายค่ารักษาจากสินทรัพย์ประกันภัย ช่วงอายุ 1-99 ปี

                                  รวมประกันโควิด

                                  • แผน 1 เบี้ยประกันภัย 449 บาทต่อปี ค่ารักษา 100,000 บาท เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 500,000 บาท / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 50,000 บาท
                                  • แผน 2 เบี้ยประกันภัย 799 บาทต่อปี ค่ารักษา 100,000 บาท เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 1,000,000 บาท / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 100,000 บาท
                                  • แผน 3 เบี้ยประกันภัย 999 บาทต่อปี ค่ารักษา 100,000 บาท เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 2,000,000 บาท / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 100,000 บาท

                                  หมายเหตุ

                                  *รับเฉพาะผู้เอาประกันสัญชาติไทย

                                   

                                  กรุงเทพประกันภัย ประกันโควิดคัฟเวอร์ ประกันโควิด-19 และอุบัติเหตุ ช่วงอายุ 1-100 ปี

                                  ประกันโควิด 2021

                                  • แผน 1 เบี้ยประกันภัย 699 บาทต่อปี เจอจ่าย 50,000 บาท ค่ารักษา 50,000 บาท เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 500,000 บาท (เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย) / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 50,000 บาท
                                  • แผน 2 เบี้ยประกันภัย 289 บาทต่อปี ช่วงอายุ 1-100 ปี เจอจ่าย 10,000 บาท ค่ารักษา 20,000 บาท เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 200,000 บาท / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 20,000 บาท

                                  หมายเหตุ

                                  *รับเฉพาะผู้เอาประกันสัญชาติไทย

                                  *ผู้เอาประกันสามารถทำได้คนละ 1 ฉบับ

                                   

                                  อาคเนย์ประกันภัย ประกันโควิด-19 และอุบัติเหตุ จากอาคเนย์ ช่วงอายุ 1-99 ปี

                                  รวมประกันโควิด 2021

                                  • แผน 1 เบี้ยประกันภัย 260 บาทต่อปี เจอจ่าย 50,000 บาท / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 50,000 บาท
                                  • แผน 2 เบี้ยประกันภัย 519 บาทต่อปี เจอจ่าย 100,000 บาท / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 100,000 บาท
                                  • แผน 3 เบี้ยประกันภัย 778 บาทต่อปี เจอจ่าย 150,000 บาท / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 150,000 บาท
                                  • แผน 4 เบี้ยประกันภัย 1,037 บาทต่อปี เจอจ่าย 200,000 บาท / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 200,000 บาท

                                  หมายเหตุ

                                  *รับเฉพาะผู้เอาประกันสัญชาติไทย

                                   

                                  วิริยะประกันภัย ประกันโควิด-19 จากวิริยะประกันภัย

                                  รวมประกันโควิด 2021

                                  • โควิด ซูเปอร์ ชีลด์ แผน 1 เบี้ยประกันภัย 399 บาทต่อปี ช่วงอายุ 15 วัน – 99 ปี เจอจ่าย 50,000 บาท ชดเชยนอนโรงพยาบาล 500/วัน* (สูงสุดไม่เกิน 14 วัน) / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 50,000 บาท

                                  หมายเหตุ

                                  *ขอสงวนสิทธิ์ สำหรับผู้ที่มีประกันภัยโควิด 19 ของวิริยะประกันภัย ไม่สามารถซื้อแผนนี้เพิ่มได้

                                  *รับเฉพาะผู้เอาประกันสัญชาติไทย

                                  • โควิด ซูเปอร์ ชีลด์ แผน 2 เบี้ยประกันภัย 599 บาทต่อปี ช่วงอายุ 15 วัน – 99 ปี เจอจ่าย 100,000 บาท ชดเชยนอนโรงพยาบาล 500/วัน* (สูงสุดไม่เกิน 14 วัน) / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 50,000 บาท

                                  หมายเหตุ

                                  *ขอสงวนสิทธิ์ สำหรับผู้ที่มีประกันภัยโควิด 19 ของวิริยะประกันภัย ไม่สามารถซื้อแผนนี้เพิ่มได้

                                  *รับเฉพาะผู้เอาประกันสัญชาติไทย

                                  • โควิด โปรเทค (Covid Protect) เบี้ยประกันภัย 439 บาทต่อปี ช่วงอายุ 15 วัน – 75 ปี ค่ารักษา 30,000 บาท ชดเชยนอนโรงพยาบาล 500/วัน* (เงินชดเชยสูงสุด 14 วัน) เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 300,000 บาท / คุ้มครองอุบัติเหตุ เสียชีวิต 100,000 บาท

                                  หมายเหตุ

                                  *ไม่มีการเดินทางออกนอกประเทศไทยในระหว่าง 14 วันก่อนซื้อกรมธรรม์

                                  *ทำได้เฉพาะผู้มีสัญชาติไทยเท่านั้น ประกันอุบัติเหตุคุ้มครองทันที

                                   

                                  เอเชียประกันภัย ช่วงอายุ 1-75 ปี

                                  รวมประกันโควิด 2021

                                  • แผน COVID 500 เบี้ยประกันภัย 500 บาทต่อปี เจอจ่าย 50,000 บาท ชดเชยนอนโรงพยาบาล 1,000/วัน* เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 500,000 บาท

                                  หมายเหตุ

                                  *สูงสุด 50,000 บาท ไม่เกิน 50 วัน

                                  • แผน COVID 1825 เบี้ยประกันภัย 1,825 บาทต่อปี ค่ารักษา 250,000 บาท ชดเชยนอนโรงพยาบาล 2,500/วัน* เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 2,500,000 บาท

                                  หมายเหตุ

                                  *สูงสุด 125,000 บาท ไม่เกิน 50 วัน

                                   

                                  ทิพยประกันภัย ประกันไวรัสโคโรนา ช่วงอายุ 1-99 ปี

                                  รวมประกันโควิด 2021

                                  • แผน 1 เบี้ยประกันภัย 117 บาทต่อปี ค่ารักษา 7,000 บาท เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 70,000 บาท
                                  • แผน 2 เบี้ยประกันภัย 711 บาทต่อปี ค่ารักษา 70,000 บาท เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 700,000 บาท
                                  • แผน 3 เบี้ยประกันภัย 450 บาทต่อปี ค่ารักษา 50,000 บาท เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 500,000 บาท
                                  • แผน 4 เบี้ยประกันภัย 850 บาทต่อปี ค่ารักษา 100,000 บาท เจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (โคม่า) 1,000,000 บาท

                                  หมายเหตุ

                                  *เข้าโรงพยาบาลในเครือ ไม่ต้องสำรองจ่าย

                                  *ก่อนทำประกัน 14 วัน ไม่มีการเดินทาง ไป/กลับ จีน

                                   

                                  สำหรับประกันโควิด-19 ของแต่ละบริษัทมีการคุ้มครองที่แตกต่างกันไป ทั้งการเจอจ่าย ให้ค่ารักษาพยาบาล ดูแลในช่วงโคม่า มีการชดเชยรายได้ระหว่างนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล รวมถึงกรณีอุบัติเหตุ โดยมีเงื่อนไขความคุ้มครองที่แตกต่างกันออกไป จึงต้องศึกษาข้อมูลและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจ นอกจากนี้ ยังต้องเช็คประกันที่มีอยู่ เพราะประกันสุขภาพบางกรมธรรม์มีเงื่อนไขดูแลสุขภาพร่างกายอย่างครอบคลุมเพียงพออยู่แล้ว อาจไม่ต้องซื้อประกันโควิด-19 เพิ่มเติม

                                  อ้างอิงข้อมูล : insurance.counterservice.co.th และ insure.724.co.th

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                  อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                                  ฤกษ์คลอดลูก มกราคม 2564 ต้นปีฉลู คลอดลูกวันไหนดี พาแม่ร่ำรวย

                                  เล่นอะไรให้ลูกฉลาด หมอแนะ! วิธีเล่นกับลูกตั้งแต่แรกเกิด – 5 ปี

                                  หมอเฉลย5 วิธีกำจัดน้ำมูก ล้างจมูกทารก (ที่แชร์กัน)ดีจริงไหม?

                                  ค่าเทอมโรงเรียนประถม 2563 – 2564 โรงเรียนชื่อดังในกทม.

                                    น้ำผลไม้สําหรับทารก

                                    เตือนป้อนน้ำส้ม น้ำผลไม้สําหรับทารก ก่อนอายุ 6 เดือน เสี่ยงลูกสำลักเสียชีวิตได้!

                                    น้ำส้มคั้น น้ำผลไม้สําหรับทารก มีประโยชน์ก็จริง แต่ถ้าป้อนให้ลูกผิดเวลา หรือป้อนให้ก่อนวัย ก็อาจทำให้เกิดโทษ ถึงขั้นทำลูกน้อยเสียชีวิตได้ เช่นกับอุทาหรณ์เรื่องนี้!

                                    อุทาหรณ์! ทารกวัย 1 เดือน ต้องสังเวยชีวิต!
                                    หลังถูกยายป้อน!! “น้ำส้ม”
                                    น้ำผลไม้สําหรับทารก ที่ไม่ควรป้อนก่อนวัย!!

                                    ส้ม เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งผลไม้ยอดฮิต ที่พ่อแม่มักหามาป้อนให้ลูกกิน รวมไปถึงปู่ย่าตายาย ที่มักชอบคั้นน้ำส้ม น้ำผลไม้สําหรับทารก ให้กินเพื่อป้องกัน บรรเทาอาการปวดท้อง ท้องผูก  แต่อย่างไรก็ตามหากเผลอป้อนน้ำส้มให้ทารกกินก่อนวัยอันควร ก็อาจทำให้เกิดอันตรายต่อทารก ถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่นเดียวกับข่าวอุทาหรณ์เรื่องนี้..

                                    ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ จ.ชัยภูมิ ซึ่งทางสาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ ได้ออกมาเตือนคุณแม่มือใหม่ ให้ป้อนนม ป้อนอาหารลูกอย่างระวัง หลังหนูน้อยเพศชายวัย 1 เดือน ถูกยายรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ป้อนน้ำส้มให้กิน ก่อนเกิดอาการสำลักจนเสียชีวิต

                                    โดยผู้เป็นแม่วัย 16 ปี เล่าว่า หลังป้อนนมลูกเสร็จแล้ว ก็ไปนั่งกินข้าว ปล่อยให้แม่ของตน (ยายเด็ก) อายุ 55 ปี ดูแลลูกชายแทน ระหว่างนั้นลูกชายเกิดร้องไห้งอแง ไม่หยุด แม่ของตนก็เลยไปหยิบผลส้มมาปลอกเปลือก บีบน้ำคั้นใส่ปากลูกชาย กระทั่งลูกชายมีอาการสำลักน้ำส้ม เกร็งจนตัวเขียว ตกใจมากทำอะไรไม่ถูก จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ส่งโรงพยาบาล ปั๊มหัวใจยื้อชีวิต แต่ไม่สำเร็จ

                                    น้ำผลไม้สําหรับทารก
                                    ขอบคุณภาพข่าจาก : www.thaich8.com

                                    ด้านนายกิตติชัย ชัยทิพย์ ผู้ใหญ่บ้านหนองประดู่ จ.ชัยภูมิ เผยว่า หลังเกิดเหตุได้ยื่นมือช่วยเหลือครอบครัวนี้ในเบื้องต้น พร้อมประกาศทางหอกระจายข่าว เรื่องการให้อาหาร การป้อน น้ำผลไม้สําหรับทารก และนมกับเด็กแรกเกิด เนื่องจากในชุมชนมีเด็กแรกเกิดใหม่ 3 คน เพื่อเตือนให้ระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์สลดซ้ำอีก

                                    ด้านนายแพทย์วชิระ บถพิบูลย์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ แนะนำแม่มือใหม่ว่า ควรเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นหลัก แนะนำบีบนมแม่ใส่ตู้เย็นสำรองไว้ แล้วนำมาอุ่นป้อนลูกน้อย และควรจัดท่านอนให้ถูกต้อง ไม่ควรป้อนนมขณะเด็กอยู่ในท่านั่ง

                                    น้ำผลไม้สําหรับทารก

                                    ทั้งนี้ทางสมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAP) และหน่วยงานมาตรฐานอาหารแห่งประเทศอังกฤษแนะนำว่าไม่ควร ให้ลูกน้อยที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน ดื่ม น้ำผลไม้สําหรับทารก เนื่องจากเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 เดือนนั้นจะได้รับวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นต่างๆ จากน้ำนมแม่ในปริมาณที่เพียงพออยู่แล้ว ดังนั้นการให้ลูกน้อยดื่มน้ำผลไม้ (รวมถึงน้ำ) จึงไม่จำเป็นและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจทำให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ได้นั่นเอง

                                    สำหรับลูกน้อยที่อายุ 6 เดือนขึ้นไปซึ่งเป็นวัยที่เริ่มกินอาหารเสริมได้แล้ว การให้ลูกน้อยดื่ม น้ำผลไม้สําหรับทารก จึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่นั้นสามารถทำได้ แต่ก็มีข้อควรระวังดังนี้

                                    • ควรจะเป็นน้ำผลไม้ 100% ไม่ควรใช้น้ำผลไม้ที่มีส่วนผสมของน้ำตาล สารปรุงแต่งสี หรือสารปรุงแต่งกลิ่น และควรเป็นน้ำผลไม้ที่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์แล้วเท่านั้น เนื่องจากน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์นั้น อาจมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายแฝงอยู่ได้ เช่น เชื้อ Ecoli และเชื้อ Salmonella ซึ่งทำให้เกิดท้องเสียได้

                                    • ให้ลูกดื่ม/จิบน้ำผลไม้จากแก้ว ไม่ควรให้ลูกดูดจากขวด(นม) เพราะการดูดน้ำผลไม้จากขวด(นม)เสี่ยงต่อการทำให้ฟันของลูกน้อยอ่อนแอได้ ซึ่งเป็นผลจากน้ำตาลและกรดที่อยู่ในน้ำผลไม้นั่นเอง

                                    • ควรเจือจางน้ำผลไม้โดยการผสมกับน้ำสะอาด ในอัตราส่วนน้ำผลไม้ 1 ส่วนต่อน้ำ 1 ส่วนเป็นอย่างน้อย(ในประเทศอังกฤษนั้นแนะนำให้ผสมอัตราส่วนน้ำผลไม้ 1 ส่วนต่อน้ำ 10 ส่วน

                                    • ไม่ควรให้ลูกดื่มน้ำผลไม้ก่อนมื้ออาหารเสริม เพราะจะทำให้ลูกอิ่มและกินอาหารเสริมได้น้อยลงทำให้ได้รับวิตามิน แร่ธาตุ ไขมัน และโปรตีนจากอาหารเสริมน้อยลง

                                    • สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (AAP) แนะนำว่าในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 6 ปีไม่ควรดื่มน้ำผลไม้เกิน 4-6 ออนซ์ต่อวัน และไม่ควรเกิน 8-12 ออนซ์ต่อวันในเด็กอายุ 7 ปีขึ้นไป

                                    • เช่นเดียวกับการเริ่มต้นให้ลูกน้อยกินอาหารเสริม คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มให้ลูกดื่มน้ำผลไม้ทีละหนึ่งชนิด เพื่อสังเกตว่าลูกมีอาการแพ้หรือมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อน้ำผลไม้นั้นๆ อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการดื่มน้ำผลไม้มากเกินไป

                                    • อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับภาวะโภชนาการของลูก เช่น การได้รับโปรตีนหรือสารอาหารอื่นๆไม่เพียงพอ

                                    • น้ำตาลและกรดในน้ำผลไม้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพฟันของลูกได้

                                    • การดื่มน้ำผลไม้ที่ไม่สะอาด หรือมีการปนเปื้อน อาจทำให้เกิดการท้องร่วงได้

                                    • ทำให้ได้รับน้ำตาลในน้ำผลไม้มากเกินไป ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอ้วนได้

                                    อย่างไรก็ตามจากข่าวนี้จะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีอุบัติเหตุ โรคภัย หรืออันตรายจากเชื้อโรคต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย พ่อแม่ยุคนี้เจอโจทย์ที่ยาก และท้าทายมาก ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้เติบโต อยู่รอด และประสบความสำเร็จในอนาคตข้างหน้า ดังนั้นพ่อแม่ยุคใหม่จึงต้องมีสติและสตรอง มีความรู้ในเรื่อง Power BQ (Power Baby & Kids Quotients) ติดอาวุธให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกัน

                                    ทั้งนี้สำหรับเรื่อง การป้อน น้ำผลไม้สําหรับทารก ก่อนวัยอันควร!! ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ : Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ


                                    ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thaich8.com  ,  www.todayhealth.org

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                                    เตือนแม่มือใหม่ทุกคน! “ป้อนน้ำให้ลูกทารก” เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต จากภาวะน้ำเป็นพิษ

                                    ป้อนกล้วยทารก ก่อนวัย…ส่งผลเสียร้ายแรงกับลูก มากกว่าที่คุณคิด!

                                    อาหารเสริมเด็กทารก ป้อนก่อนวัยเสี่ยงอันตราย

                                    อาหารเสริมทารก เริ่มด้วยอาหารแบบไหน? ทานอย่างไร?