Page 130 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง

วิจัยเผย พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง ส่งผลดีต่อลูกมากกว่าแม่อ่าน

กิจกรรมยอดฮิตสำหรับครอบครัวที่มีลูกน้อยวัยแบเบาะน่าจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คงหนีไม่พ้นการเล่านิทานให้เจ้าตัวน้อยฟังก่อนนอน แต่เมื่อนึกถึงภาพการอ่านนิทานให้เจ้าตัวน้อยฟัง หลายคนอาจเกิดภาพในจินตนาการว่าเป็นหน้าที่ของแม่มากกว่าจริงมั้ยคะ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ มีงานวิจัยที่เชื่อถือได้ ระบุว่า การที่ พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง จะทำให้ลูกได้ประโยชน์มากกว่าที่แม่อ่านให้ฟังเสียอีก

วิจัยเผย พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง ส่งผลดีกับลูกมากกว่าแม่อ่าน

คงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจคาดไม่ถึง ว่าการที่คุณพ่ออ่านนิทานให้ลูกฟังจะทำให้เกิดประโยชน์กับเจ้าตัวน้อยได้มากกว่าที่คุณแม่อ่านอย่างไร แต่ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยวูลลองกอง ประเทศออสเตรเลีย เผยว่า การที่พ่อพูดคุยหรือใช้คำศัพท์ต่าง ๆในระหว่างอ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง จะส่งผลดีต่อพัฒนาการทางด้านการใช้ภาษา (Language Development) ของลูกเป็นอย่างมาก  ซึ่งพัฒนาการทางภาษาถูกแบ่งออกเป็น 2 ด้านด้วยกันค่ะ

พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง
พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง

 

  1. ความเข้าใจภาษา คือ การที่เด็กเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นพูดสื่อสาร ทั้งในแง่ของการเข้าใจคำศัพท์ การเข้าใจคำสั่ง คำถาม ตลอดจนเข้าใจประโยค เรื่องเล่ายาวๆ หรือการสนทนาที่ซับซ้อนได้
  2. การสื่อสาร / การพูด คือ การที่เด็กสื่อสารโดยใช้ทั้งสีหน้า ท่าทางภาษากาย รวมทั้งการใช้คำพูดในการสื่อสารกับคู่สนทนาหรือสื่อสารกับผู้อื่นได้ ตลอดจนสามารถสื่อสารโดยใช้ประโยคยาวที่มีความซับซ้อน หรือใช้ภาษาในการบรรยายอธิบาย และเล่าเรื่องได้

ทีนี้กลับมาที่ผลการวิจัย โดยผลการวิจัยพบว่า เด็กจะค่อนข้างจดจ่อและตั้งใจฟังการเล่านิทานจากพ่อมากกว่าแม่ เนื่องจาก “วิธี” การอ่านหนังสือนิทานของพ่อและแม่ค่อนข้างต่างกัน โดยเฉพาะด้านการใช้คำศัพท์ หรือการตั้งถามกับลูก ตลอดจนการพูดเสริมระหว่างการเล่านิทานเพื่อต่อยอดจินตนาการที่นอกเหนือจากในนิทาน

ตัวอย่างเช่น :

แม่มักจะถามคำถามที่เป็นข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา ที่มาจากหนังสือ เช่น “หมูมีกี่ตัว? บ้านของหมูเเต่ละตัวเป็นอย่างไร?”เเต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ทำให้ลูกจดจ่อมากกว่าคือ พ่อมักจะถามคำถามที่อาศัยจินตนาการ บวกกับการใช้ภาษาที่ซับซ้อน และคิดนอกกรอบของลูก ซึ่งเป็นการท้าทายสติปัญญาของลูกได้มากกว่า เช่น “บ้านของเราเหมือนกับบ้านของหมูตัวไหนน้า” ซึ่งคำถามเชิงนามธรรมลักษณะนี้ จะทำให้ลูกได้ฝึกการคิดวิเคราะห์ จินตนาการ และฝึกสมองในการคิดเพื่อหาคำตอบซึ่งส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านภาษาของลูกได้มากกว่านั่นเอง

พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง

นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบอีกว่าลูกผู้หญิงจะได้ประโยชน์มากกว่าเมื่อพ่ออ่านนิทานให้ฟังอีกด้วย  ว่าแล้วก็รีบสะกิดคุณพ่อให้อ่านหนังสือนิทานก่อนนอนให้ลูกฟังบ่อยๆ กันนะคะคุณแม่  เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่ได้มุ่งสู่การสร้าง  Power BQ (Power Baby & Kids Quotients) ติดอาวุธให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกัน 

ซึ่งการเสริมสร้างพัฒนาการด้านภาษาให้ลูกถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ IQ : Intelligence Quotient คือ ความฉลาดสมองดี โดยเมื่อพ่อแม่มอบประสบการณ์ด้านการฟัง ให้ลูก เช่นการอ่านนิทานให้ฟัง จะทำให้เด็กได้รับการกระตุ้นพัฒนาการ เพราะฉะนั้นสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ดี ทั้งนี้ เด็กจะจดจำคำพูดที่ตนเองได้ยินซ้ำ ๆ และเป็นคำที่ตนเองมีความสุขหรือเป็นพฤติกรรมในทางบวก และที่สำคัญความฉลาดด้านสติปัญญา เช่น ด้านภาษายังเป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสในการเรียนรู้ต่างๆ และเป็นหนทางนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตของลูกได้ค่ะ

แนะนำนิทานดีๆ สไตล์คุณพ่ออ่านให้ลูกฟังค่ะ

ป๋องแป๋งรักพ่อจังเลย

ป๋องแป๋งรักพ่อจังเลย  ป๋องแป๋ง เด็กชายจอมซนคนเก่ง ที่พร้อมจุดประกายความเป็นสุภาพบุรุษสำหรับเด็กผู้ชายในศตวรรษที่ 21 ด้วยรูปแบบนิทานภาพคำกลอนสนุกอ่านง่าย

ปิงปิงไม่ซนอีกแล้ว

ปิงปิงไม่ซนอีกแล้ว (ชุดปิงปิงระวังภัย)  นิทานที่ช่วยเสริมทักษะการแก้ปัญหา พัฒนาทักษะชีวิตให้กับลูกสาว เพราะเรื่องไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

บ้านใต้ดิน 100 ชั้น

บ้านใต้ดิน 100 ชั้น  “บ้านใต้ดิน100ชั้น” หนังสือภาพเทคนิคพิเศษที่ต้องเปิดหนังสือในแนวตั้งและอ่านจากบนลงล่าง เด็กๆ จะสนุกสนานและตื่นเต้นไปกับการเดินทางไปยังบ้านใต้ดินที่มีถึง 100 ชั้นของคูจัง

เรื่องนี้หนูตอบได้รอบรู้รอบโลก

เรื่องนี้…หนูตอบได้ รอบรู้รอบโลก ทำไมทะเลจึงมีคลื่น นักบินอวกาศคนแรกคือใครกัน แลัวสัตว์อะไรตัวใหญ่ที่สุดในโลกน่ะ  เด็กๆมีคำถามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆบนโลกมากมายเลยใช่ไหมล่ะ ลองเปิดแผ่นป้ายหาคำตอบในหนังสือน่ารักสดใสเล่มนี้ดู แล้วหนูจะตอบได้แน่นอน!

สมาชิกใหม่บ้านต้นไม้ 10 ชั้น  นิทานภาพ เรื่องราวของคุณกบที่เดินผ่านมาเจอต้นไม้สูงใหญ่ จึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ และพบว่าต้นไม้นั้นคือบ้านต้นไม้ 10 ชั้น ที่มีคุณตุ่นเป็นผู้ดูแล เนื้อเรื่อง สนุกสนานเป็นมุมบวก ภาพสีสันสดใส และสื่อถึงเนื้อเรื่องได้ดี ภาพมีรายละเอียด ลายเส้นสวยงาม มีความตระการตา น่ารักอบอุ่น

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : Leeway, University of Wollongong

    พบเด็กติดเชื้อโควิด-19

    เปิดเรียนวันแรก พ่อแม่รีบกลับมารับลูกหลานกลับบ้านด่วน! หลัง พบเด็กติดเชื้อโควิด-19

    เปิดเรียนวันแรกก็มีเหตุให้คุณแม่ได้วุ่นกันแต่เช้า หลังจากมีคำสั่งให้ผู้ปกครองกลับมารับบุตรหลานของตนเองกลับบ้านโดยด่วน หลัง พบเด็กติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 5 ราย จึงต้องสั่งปิดโรงเรียนอย่างกะทันหัน

    สุดวุ่น!! เปิดเรียนวันแรก
    พ่อแม่รีบกลับมารับลูกหลานกลับบ้านด่วน!
    หลัง พบเด็กติดเชื้อโควิด-19

    หลังรัฐบาลผ่อนปรนให้มีการเปิดโรงเรียนได้ทั่วประเทศ แต่ที่อำเภอแม่สอด โดยเฉพาะเขตเทศบาลนครแม่สอด กลับ พบเด็กติดเชื้อโควิด-19 จึงทำให้เกิดเหตุอลเวงขึ้น เนื่องจาก นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ได้มีคำสั่งไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครแม่สอดให้แจ้งไปยังผู้ปกครอง ที่กำลังนำบุตรหลานของตนเองมาโรงเรียนในเขตเทศบาลทั้งหมด 5 แห่ง โรงเรียนระดับประถมอีกหลายแห่ง เพื่อเข้าเรียนหนังสือ ในวันเปิดวันแรก คือ 1 กุมภาพันธ์ 2564 หลังจากที่ปิดมานานนับเดือนจากสถานการณ์โควิด-19

    Must read >> เปิดเรียน 1 ก.พ. 64 กับ 15 มาตรการรับมือที่พ่อแม่ต้องรู้

    เนื่องจากมีการระบาดของเชื้อโควิด-19 ในเด็กนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งมีมากถึง 5 คนแล้ว ทางผู้บริหารเล็งเห็นว่าเพื่อเป็นการป้องกันการระบาดเบื้องต้นจึงมีคำสั่งหยุดเรียน และให้ผู้ปกครองนำบุตรหลานกลับภูมิลำเนาของตัวเอง ตั้งแต่เวลา 08.00 น.ที่ผ่านมา หลังเคารพธงชาติซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความปั่นป่วนแก่ผู้ปกครองที่นำบุตรหลานมาโรงเรียน เนื่องจากจู่ ๆ สั่งปิดโรงเรียนกะทันหัน ซึ่งผู้ปกครองบางรายพึ่งไปทำงานแต่ต้องกลับมารับลูกตนเองกลับบ้าน

     

    โควิด-19

    สาเหตุสืบเนื่องมาจาก ผู้ป่วยโควิดสูงอายุอยู่ในชุมชนอิสลาม อาชีพค้าขายของในตลาด ลูกหลานที่มีไทม์ไลน์ไปทั่วแม่สอด ซึ่งเป็นสาเหตุให้พยาบาลติดเชื้อและถูกกักตัว 25 คน และเมื่อคืนผลตรวจลูกหลานผู้ป่วย ติดเชื้ออีก 5 คน ทั้งนี้ผู้สูงอายุชาวอิสลามอาศัยในชุมชนอิสลาม แต่ไปค้าขายในตลาดเทศบาลนครแม่สอด ติดเชื้อโควิด-19 และนำเชื้อไปติดพยาบาลโรงพยาบาลแม่สอด จนต้องมีการกักตัวพยาบาลมากถึง 25 คน นอกจากนี้ยังนำเชื้อไปติดบุตรหลาน เพราะหลังจากหน่วยสอบสวนโรคทราบต้นตอได้ลงพื้นที่คัดกรองโรคพบติดเชื้อโควิดเพิ่มอีก 5 ราย รวมเป็น 6 ราย จึงต้องสั่งปิดชุมชนอิสลามเพื่อทำการสอบสวนโรคและปิด รร.อีก 15 แห่ง.

    ปิดโรงเรียน

    ทางด้านจากเพจ โรงพยาบาลแม่สอด เรื่องด่วน เรื่องแจ้งประชาสัมพันธ์ ก็ได้ออกมาแจ้งให้นักเรียนที่อาศัยอยู่ในชุมชนอิสลามได้ทราบ ดังนี้

    การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ปกครองและนักเรียนหลังพบเด็กติดเชื้อโควิด-19

    1.ให้นักเรียนงดมาเรียน

    2. นักเรียนคนใดที่ผู้ปกครองมาส่งโรงเรียนแล้วให้ผู้ปกครองพาเด็กกลับบ้านไปก่อนจนกว่าการสอบสวนโรคในชุมชนจะชัดเจน

    ทั้งนี้การป้องกันการแพร่ระบาดและการติดเชื้อโควิด-19 ต้องเริ่มจากตัวของเราเอง เราต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือบ่อย ๆ เว้นระยะห่าง เลี่ยงพื้นที่เสี่ยงอย่างเคร่งครัด และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตัวเอง

    เห็นข่าวแบบนี้แล้ว คุณแม่อยากให้เลื่อนเปิดเรียนหรือไม่ คิดเห็นอย่างไร มาแลกเปลี่ยนความคิดกันนะคะ

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     


    บทความที่น่าสนใจ

    ไขข้อสงสัย ‘หน้ากากอนามัย’ ชนิดไหนป้องกัน ‘โควิด-19’ และ ‘PM2.5’ ไปพร้อมกัน!!

    แนะวิธี “พ่อแม่ไปพื้นที่เสี่ยงโควิด” กักตัว 14 วัน ที่บ้านอย่างไร? ให้ลูกปลอดภัย ปลอดเชื้อ!

    ลดค่าเทอม 50% แบ่งเบาภาระผู้ปกครอง ฝ่าวิกฤตยุคโควิดยึดเมือง

    สสส. แนะวิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

    10 สิ่งของเสี่ยงติดโควิด พ่อแม่ควรระวังป้องกัน ฆ่าเชื้อโรค ก่อนถึงตัวลูก!

    ขอบคุณข้อมูลจาก : thairath, Sanook

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      Motive Influence

      Motive Influence เปิดกลยุทธ์ปี 64 รุกพัฒนาเทคโนโลยี ตอบโจทย์การทำ Influencer Marketing

      Motive Influence เปิดกลยุทธ์ปี 64 รุกพัฒนาเทคโนโลยี ตอบโจทย์การทำ Influencer Marketing
      ในช่วงปีที่ทุกคนต้องเผชิญกับ Covid-19 การทำงานและการใช้ชีวิตในแต่ละวันต้องถูกปรับเปลี่ยนอย่างมาก การทำธุรกิจต้องหยุดชะงัก อีเวนท์ใหญ่ๆ ต้องเลื่อนออกไป และยังมีเรื่องกำลังซื้อที่ลดลง ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจกันยกใหญ่ ทุกคนอยู่ใน Survival Mode ท่ามกลางความท้าทายที่ต้องเผชิญ Influencer Marketing ได้เข้ามามีบทบาทกับทุกธุรกิจ เป็นคีย์สำคัญใน Marketing Mix ที่เติบโตขึ้นทุกปี

      คุณสุทธิชัย รัตนวิไลวรรณ ผู้บริหาร Motive Influence ได้เผยมุมมองเกี่ยวกับ Influencer Marketing ในปี 2020 ว่า เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกคนและทุกธุรกิจได้รับผลกระทบจาก Covid-19 ทั้งสิ้น ผู้บริโภคลดการใช้เงิน แบรนด์ต้องรัดเข็มขัดให้มากที่สุด ทำให้ทุกการใช้จ่ายมีความคาดหวัง จากเดิมที่ใช้ Influencer Marketing เพื่อสร้าง Awareness ก็เริ่มหวังยอดขายมากขึ้น แม้แบรนด์จะลดการใช้สื่อออฟไลน์ ในขณะเดียวกันก็ยังทำ Influencer Marketing อย่างต่อเนื่อง

      กว่าจะมาถึงวันนี้ Influencer Marketing ผ่านการเปลี่ยนแปลงมาตลอด ในอดีตที่ยังไม่มีการว่าจ้าง Influencer มีจุดเริ่มต้นจากการใช้แล้วชอบ จึงแชร์ความคิดให้คนอื่นๆ รู้ หรือมีความสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วศึกษาจนเป็นกูรู ก็อยากถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ไปยังกลุ่มคนที่มีความสนใจเดียวกัน

      Influencer Marketing ปี 2021 กลับสู่โหมดดั้งเดิม เน้นการสื่อสารที่เป็นธรรมชาติ
      ปัจจุบัน Influencer Marketing เป็นองค์ประกอบสำคัญในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะในปี 2020 ที่ทุกแบรนด์ต้องปรับตัว เรียนรู้การทำตลาดออนไลน์ให้มากขึ้น สำหรับปี 2021 การทำตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะกลับไปสู่โหมดเดิมมากขึ้น นั่นคือ ร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์ที่มีความสนใจตรงกับแบรนด์จริงๆ และสื่อสารอย่างเป็นธรรมชาติ

      ปัจจุบันเม็ดเงินการใช้ Influencer ระดับท๊อปสูงถึง 70-80% ของงบการใช้อินฟลูเอนเซอร์ทั้งหมด ทว่าในปี 2021 Micro Influencer จะมีความสำคัญกว่าที่ผ่านมาและครองสัดส่วนการใช้งบมากขึ้นด้วย แบรนด์มีจุดประสงค์การทำ Influencer Marketing ที่ชัดเจนขึ้น เข้าใจว่าอินฟลูเอนเซอร์แต่ละกลุ่มมีบทบาทต่างกัน เช่น ใช้ Macro Influencer เพื่อสร้าง Awaerness และใช้ Micro Influencer เพื่อสร้าง Engagement และกระตุ้นยอดขาย

      ในส่วนของแนวทางการทำคอนเทนต์ ในปี 2021 ผู้บริโภคต้องการความจริงใจสูง เปิดใจยอมรับได้ว่า Influencer ต้องมีสปอนเซอร์ ถ้าทาง Influencer เปิดเผย ผู้ติดตามก็ยินดีรับฟัง เป็นความสัมพันธ์อย่างเข้าใจซึ่งกันละกัน

      Motive Influence มุ่งมั่นเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ทุกฝ่าย
      ตลอดปี 2020 ทุกแคมเปญที่เข้ามาล้วนมีท้าทายสูง เราไม่ได้มองแค่ผลลัพธ์ของลูกค้า แต่เราให้ความสำคัญกับ Member และทีมงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพราะอยากให้ทุกแคมเปญเป็นไปตามแผนที่วางไว้ บางครั้งอาจมีข้อจำกัดเรื่องเวลา สถานที่ และเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งท้าทายให้ทีมงานต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างเร่งด่วน อย่างไรก็ตามเรามุ่งมั่นที่จะเป็นสื่อกลางในการบริหารจัดการแคมเปญ Influencer Marketing เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด

      ยกตัวอย่าง แบรนด์เสื้อผ้า Superdry ที่ต้องการร่วมงานกับ Micro Influencer สายสตรีทแฟชั่น จำนวน 100 คน เพื่อโปรโมทเสื้อผ้า ความท้าทายสำหรับแคมเปญนี้อยู่ที่การหา Micro Influencer จำนวนมาก และมีสไตล์การแต่งตัวที่ชัดเจน โดยอินฟลูเอนเซอร์ต้องเดินทางไปหน้าร้าน ณ ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง ภายใต้ข้อจำกัดเรื่องเวลา ความปลอดภัย และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถกำหนดแผนการทำงานที่แน่นอนได้ บวกกับเรื่องข้อจำกัดในการเดินทางของอินฟลูฯ แต่ละคน จึงเป็นแคมเปญที่ท้าทายทีมงาน Motive Influence อย่างมาก แต่ก็สำเร็จไปได้ดี ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกคน

      แบรนด์เล็กขอลงสนาม Influencer Marketing บ้าง
      คุณสุทธิชัย เล่าว่า ที่ผ่านมาเรามักเห็นแบรนด์ใหญ่ๆ ใช้ Influencer Marketing อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อมี Covid-19 เข้ามา ส่งผลให้แบรนด์ต้องปรับตัวและหันมาทำตลาดออนไลน์ ปีนี้เราได้เห็นแบรนด์ขนาดเล็กหรือ SMEs กล้าใช้ Influencer Marketing มากขึ้น บ่อยครั้งที่ติดต่อเข้ามา เราจะช่วยดูให้ก่อนว่าโปรดักส์ของคุณพร้อมหรือเหมาะที่จะใช้หรือเปล่า เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับประสบการณ์และผลลัพทที่ดีอย่างแท้จริง

      ผลลัพธ์ที่ดี เกิดจากจุดเริ่มต้นที่ดี
      หลายคนมองว่า Influencer เป็นสื่อประเภทหนึ่ง ในความเป็นจริงการบริหารจัดการ Influencer ที่เป็นมนุษย์นั้นแตกต่างกับการบริหาร Media เป็นอย่างมาก การซื้อ Online Media ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่สามารถกำหนดราคาคลิก และ Engagement ได้ ซึ่งหากใช้วิธีนี้วัดผล Influencer คุณอาจจะได้ได้ตัวเลขที่คุณต้องการเสมือนกับว่าแคมเปญนี้เป็นไปตามเป้าหมาย แต่เมื่อพลิกดูเบื้องหลัง ตัวเลข Engagement ที่เกิดขึ้นในคอนเทนต์นั้นๆ อาจมาจากการใช้ Bots หรือ Pods ก็ได้ ซึ่ง Bots หรือ Pods เหล่านั้นจะกดไลก์ หรือแสดงความคิดเห็นเพื่อปั่นยอด Engagement แม้ตัวเลขจะดูดี แต่ไม่ได้ผลลัพธ์จริงตามที่ Brand ต้องการ

      ในฐานะที่ Motive Influence เป็นผู้ให้บริการด้าน Influencer Marketing ที่เน้นย้ำเรื่องคุณภาพมาตลอด เราจึงพัฒนาเทคโนโลยี AI เพื่อทำงานร่วมกับทีมงานที่มีประสบการณ์สูงกว่า 10 ปี เพื่อวิเคราะห์คุณภาพของ Influencer และ Follower ให้ดียิ่งขึ้น โดยให้ค่าความเสี่ยง Fraud Risk Score เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ Fake Follower และ Fake Engagement และคัดเลือก Influencer ที่มีความเข้ากันได้กับ Brands อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่แค่ตัวเลขที่สวยงาม แต่ยังสร้างผลลัพธ์ตอบโจทย์วัตถุประสงค์ทางการตลาดที่ตั้งไว้จริงๆ

      ดังนั้น การที่แบรนด์จะเลือกใช้กลยุทธ์ Influencer Marketing  ควรให้ความสำคัญกับตัว Influence เสียก่อน เช็คให้แน่ใจว่าผู้ติดตามเหล่านี้มีตัวตนจริง และมีความเข้ากันได้กับแบรนด์ที่จะนำเสนอหรือจะเข้ามาปรึกษา Motive Influence ก็ได้ เพราะเรามองว่า ผลลัพธ์ที่ดีเกิดขึ้นได้จากการมีจุดเริ่มต้นที่ดี

      การวัดผลด้วยตัวเลขไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป
      แบรนด์มักวัดผลการทำงานของ Influence ด้วยตัวเลข Reach, Impression หรือ Engagement อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จริงๆ แล้วการวัดว่า Influencer ได้ผลดีหรือไม่ดี ตัวเลขไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป เช่น การเอาเรื่องยอด Follower มาเป็นเกณฑ์ตั้งต้น หากอินฟลูเอนเซอร์คนนั้นมีผู้ติดตามไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหมด ก็อาจต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตัวเลข Follower ที่แบรนด์ต้องการ เช่นการซื้อ Follower ปลอม แน่นอนว่ามีตัวเลขผู้ติตตามถึง แต่ก็ไม่ใช่คนหรือกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของแบรนด์ และเมื่อปล่อยคอนเทนต์ออกไป ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด

      นักการตลาดจึงต้องหาวิธีอื่นในการวัดผล เช่น Conversion ที่มีความหมายต่อการทำธุรกิจมากกว่า อย่างการให้ Code ส่วนลดกับอินฟลูเอนเซอร์ โดยระบุว่าหาก Follower สนใจสินค้า ให้เข้าไปที่เว็บไซต์ของแบรนด์ แล้วใช้ Code เพื่อรับส่วนลดพิเศษ ซึ่งวิธีนี้จำเป็นต้องมี Code หลายอันสำหรับอินฟลูเอนเซอร์แต่ละคน เพื่อการวัดผลที่ชัดเจน และรู้ว่าลูกค้าได้ส่วนลดดังกล่าวมาจากใคร แบรนด์สามารถวิเคราะห์ต่อได้ว่าอินฟลูเอนเซอร์คนไหนเวิร์กหรือไม่เวิร์ก

      นอกจากนี้ การวัดผลด้วย Engagement ก็มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในทำนองเดียวกันกับการวัดผลด้วย Follower

      Technology สร้างผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติที่สุด
      แม้จะมีประสบการณ์ในวงการ Influencer Marketing มากว่า 10 ปี Motive Influence ยังเดินหน้าพัฒนาระบบ AI อยู่ตลอด ทำงานเก่งขึ้น รู้ว่าผู้ติตามของ Influencer มี Fake Follower เท่าไร สามารถวิเคราะห์ข้อความในคอมเมนต์ได้ เพื่อประเมินว่ามี Fraud Risk Score ในระดับใด เรียกได้ว่าเราหา Influencer ได้ตรงที่สุด และในอนาคตเรามีแผนเปิดตัว Apps ที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้ทั้งฝั่ง Influencer และแบรนด์ เพื่อให้การทำงานร่วมกันราบรื่น ได้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

      ก้าวต่อไปของ Motive Influence ปี 2021
      ที่ผ่านมา คนมองว่า Influencer เป็นสื่อที่ซื้อได้เหมือนกับสื่ออื่นๆ เราอยากชวนให้ทุกคนมองว่า Influencer เป็นคนธรรมดาทั่วไปเหมือนเรา ในปี 2021 เราอยากเห็นคนใช้ใน Influencer ในรูปแบบ Original มากขึ้น มีความชัดเจนในแง่วัตถุประสงค์ เช่น Macro Influencer เพื่อสร้าง Mass Awareness หรือใช้ Micro Influencer ในเซกเมนต์ที่ตัวเองถนัดเพื่อให้เกิด Micro Engagement ที่ดีและเป็นธรรมชาติ

      เรามี Member ในเครือข่ายที่มีคุณภาพและใหญ่ที่สุด เนื่องจากกระบวนการคัดกรองคนเข้ามามีหลายขั้นตอน ต้องดูอย่างละเอียด ณ วันนี้เรามี Member ในระบบกว่า 10,000 คน เราการันตีได้เลยว่าทั้ง 10,000 คนนี้ เป็นคนที่มีคุณภาพจริงๆ

      Motive Influence เป็นรายเดียวในตลาดที่ให้ความสำคัญตั้งแต่การคัดกรองคนภายใต้ความเชื่อที่ว่า “เมื่อได้คนที่ดี ผลลัพธ์ที่ดีจะตามมา”

        แผลผ่าตัดคลอด

        กินไข่แล้ว แผลผ่าตัดคลอด หายช้า-เป็นรอยนูน..จริงหรือ?

        แพทย์เผย คนไทยยังมีความเชื่อผิด ๆ ที่ว่ากินไข่แล้วจะทำให้ แผลผ่าตัดคลอด หายช้า แผลไม่สวยเป็นรอยนูน หรือเป็นคีลอยด์ จริง ๆ แล้วกินไข่หลังผ่าตัด มีประโยชน์กว่าที่คิด

        กินไข่แล้ว แผลผ่าตัดคลอด หายช้า-เป็นรอยนูน..จริงหรือ?

        นายแพทย์ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรมสบส.) กระทรวงสาธารณสุข เผยประชาชนยังเข้าใจวิธีการดูแลบาดแผลไม่ถูกต้อง โดยเข้าใจผิดว่ากินไข่แล้วทำให้แผลปูดเป็นแผลเป็น

        ปัญหาการเจ็บป่วยของคนไทยขณะนี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเชื่อที่ถ่ายทอดกันต่อ ๆ กันมา ซึ่งการปฏิบัติตามความเชื่อจะทำให้บุคคลมีความมั่นใจและรู้สึกปลอดภัย ถ้าต้องฝืนปฏิบัติในสิ่งที่ขัดกับความเชื่อ จะรู้สึกไม่ปลอดภัย เกรงว่าจะเป็นอันตราย จึงไม่ส่งผลดีต่อการรักษาของแพทย์ กรมสบส. จึงมีนโยบายเร่งเผยแพร่ความรู้สุขภาพแก่ประชาชนนำไปใช้ปฏิบัติดูแลตัวเองและครอบครัวให้มีสุขภาพดี

        และอีก 1 ความเชื่อผิด ๆ ที่ว่าการรับประทานไข่ ทำให้แผลเป็นนูนนั้น เป็นเรื่องไม่จริง การรับประทานไข่ไม่ได้ทำให้เกิดแผลเป็นนูน ซึ่งแผลเป็นนูนสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

        1. แผลเป็นนูนเกิน เกิดขึ้นแล้วผิวที่เป็นแผลนูนสามารถกลับมาใกล้เคียงกับแผลปกติได้ภายใน 1 ปี
        2. แผลเป็นคีลอยด์ คือแผลเป็นนูนที่จะนูนและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา สาเหตุเกิดจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อและคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมบาดแผลมากเกินไป และอาจเกิดจากพันธุกรรม

        ซึ่งการเกิดแผลนูนทั้ง 2 ชนิดนี้ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการรับประทานไข่ ดังนั้น หลังจากผ่าตัดคลอดแล้ว แม่ ๆ สามารถรับประทานไข่ได้ในปริมาณที่เหมาะสม ไข่จะไม่ทำให้เกิดแผลคีลอยด์แต่อย่างใด

        แพทย์ชี้ 2 วิธีง๊าย..ง่าย ดูแล แผลผ่าตัดคลอด ให้ปลอดภัย ไม่เป็นคีลอยด์

        แผลผ่าคลอด
        แผลผ่าคลอด

        หัวใจสำคัญของการดูแลบาดแผลทุกชนิดไม่ว่าแผลถลอก แผลเล็ก แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลผ่าตัด และ แผลผ่าตัดคลอด มี 2 วิธีง่าย ๆ คือ

        1. การรักษาความสะอาดแผล ป้องกันการติดเชื้อโรค ควรทำความสะอาดแผลทุกวัน หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลสกปรกหรือเปียกน้ำเพราะอาจทําให้แผลเกิดการอักเสบได้ และควรสังเกตลักษณะบาดแผล หากแผลบวม แดง ร้อน สีของบาดแผลเปลี่ยนไป มีหนอง ควรรีบไปพบแพทย์
        2. การบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยสารอาหารที่ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น ได้แก่
          • โปรตีน ซึ่งมีอยู่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ รวมถึงถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น โปรตีนจะช่วยสร้างเนื้อเยื่อทำให้เซลล์แต่ละเซลล์ ประสานยึดติดเป็นเนื้อเดียวกัน
          • วิตามินซี ซึ่งมีมากในผลไม้สดทุกชนิดพบมากในฝรั่ง มะละกอ ส้มต่าง  ๆ และยังพบในผัก เช่น บร็อคโคลี่ พริกหวานสีแดง วิตามินซีจะทำหน้าที่สร้างผนังของเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยมีความแข็งแรงและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ และยังช่วยในการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น
          • ธาตุสังกะสี ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ตับ ถั่วเหลือง ช่วยให้เซลล์จับกับวิตามินกระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น

        จะเห็นได้ว่า นอกจาก ไข่ จะไม่ใช่อาหารแสลงหรือต้องห้าม ที่ทานแล้ว แผลผ่าตัดคลอด จะไม่สวย หายช้า หรือเป็นคีลอยด์แล้ว ไข่ ยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ที่ะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นอีกด้วย เมื่อไข่ไม่ใช่อาหารแสลง หรือตัวการที่ทำให้แผลหายช้า แผลเน่า แผลเป็นรอยนูน แล้วมีอาหารอื่น ๆ หรือไม่? ที่ไม่ควรทานหลังผ่าตัด…..มีค่ะ

        อาหารแสลง ที่ไม่ควรทานหลังผ่าตัดคลอด

        1. สุรา เหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์

        เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือไม่แต่อาหารที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ทุกชนิด แม่หลังคลอดไม่ควรทานค่ะ สำหรับความเชื่อโบราณที่ว่าควรทานแอลกอฮอล์หลังคลอดเพื่อขับน้ำคาวปลา ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เนื่องจากของมึนเมาเหล่านี้มีส่วนกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อยจากส่วนต่าง ๆ และเข้าไปทำลายตับ นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ที่แม่ทานเข้าไป จะเข้าสู่กระแสเลือดของลูกผ่านทางน้ำนมได้ แม้จะเป็นปริมาณน้อยก็ตาม (อ่านต่อ แม่เล่า! ลูกติดเชื้อแบคทีเรีย เพราะสัมผัสจากคนกินเหล้า-สูบบุหรี่)

        2. อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารหมักดอง

        ควรงดไปก่อน เพราะในอาหารเหล่านี้อย่างที่เรารู้ ๆ กันว่ามักมีสารเคมีและสารพิษต่าง ๆ เจือปนอยู่ ซึ่งเมื่อแม่ ๆ บางรายรับประทานเข้าไป อาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระหว่างพักฟื้นบาดแผลได้เช่นกัน

        3. บุหรี่

        เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ แม่ ๆ หลายท่านมักจะเลิกสูบบุหรี่ และอยู่ห่างจากคนที่สูบบุหรี่เพื่อสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์ เมื่อคลอดแล้ว แม่ ๆ บางท่านอาจจะกลับไปสูบบุหรี่ใหม่ ขอบอกว่าอย่าเพิ่งกลับไปสูบเลยค่ะ เพราะสารที่อยู่ในบุหรี่จะไปทำลายเซลล์ที่จะซ่อมแซมการหายของแผล และมีผลทำให้เลือดที่จะมาหล่อเลี้ยงบริเวณผ่าตัดลดลง มีโอกาสทำให้ผิวหนังที่ผ่าตัดขาดเลือดหายช้า เสี่ยงต่อการติดเชื้ออีกด้วย และนอกจากนี้ ควันบุหรี่มือสองและมือสาม ยังสามารถทำร้ายลูกน้อยของคุณแม่ได้อีกด้วยนะคะ (อ่านต่อ ปอด อักเสบ ติดเชื้อ เพราะควันบุหรี่มือสอง)

        4. อาหารเสริมที่ไม่รู้ที่มาที่ไป

        ไม่ว่าอาหารเสริมที่คุณได้มานั้นจะเต็มเปี่ยมไปด้วยสรรพคุณ คุณค่าทางอาหารมากมายแค่ไหน แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าอาหารเสริมเหล่านั้นอาจส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัดของคุณได้เช่นกัน ดังนั้นหากไม่แน่ใจควรเลือกรับประทานอาหารเสริมที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ที่สุกหรือควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง

        5. อาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้

        เช่น อาหารทะเล ถั่ว นม เป็นต้น สำหรับแม่ ๆ ที่แพ้อาหารอยู่แล้ว หลังผ่าตัดยิ่งไม่ควรทานอาหารเหล่านั้น เพราะการทานเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมา บางทีอาจส่งผลกระทบต่อบาดแผลเป็นสองเท่าได้เช่นกัน

        หลังจากผ่าตัดคลอดแล้ว แผลที่เพิ่งเกิดจากการผ่าตัดคลอดนั้น อาจทำให้แม่ ๆ เป็นกังวลได้ ซึ่งแม้จะทำตามวิธีดูแล แผลผ่าตัดคลอด ที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น และยังหลีกเลี่ยงการทานอาหารแสลง คุณแม่หลาย ๆ ท่านก็ยังกังวลอยู่ ทีมแม่ ABK จึงมีอีก 4 วิธีในการดูแล แผลผ่าตัดคลอด ให้ไม่เป็นคีลอยด์ มาฝากกันค่ะ

        แม่หลังคลอด
        แม่หลังคลอด

        4 วิธีดูแล แผลผ่าคลอด ไม่ให้เป็นคีลอยด์

        1. ใช้แผ่นซิลิโคนปิด แผ่นซิลิโคนนี้จะเป็นแผ่นเจลใส ๆ ที่ทำมาจากซิลิโคน เราสามารถปิดไว้บนบาดแผล หลังจากบาดแผลหายดีแล้วประมาณ 7 วัน การปิดแผลนี้แนะนำให้ปิดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน ซึ่งข้อดีจะทำให้บริเวณผิวหนังที่อยู่ใต้แผ่นซิลิโคนนี้มีความชุ่มชื้นมากขึ้น ทำให้ลดการอักเสบได้
        2. ใช้แผ่นเทปเหนียว หรือ microporous tape แผ่นเทปเหนียวนี้สามารถใช้ปิดลงบนบาดแผลได้โดยตรง และจะทำให้ผิวหนังบริเวณใต้ต่อเทปนี้มีความชุ่มชื้นมากขึ้น ทำให้มีการอักเสบลดน้อยลง
        3. การฉีดยาด้วยยาสเตียรอยด์ จะลดการอักเสบของการเกิดเป็นแผลเป็นนูนเกินหรือคีลอยด์ได้ ยาที่แนะนำคือ Triamcinolone acetonide ซึ่งเป็นยาฉีดเฉพาะที่ สามารถลดการอักเสบ วิธีการรักษาคือฉีดยาเข้าไปในแผลเป็นโดยตรง แต่ก็อาจทำให้มีอาการเจ็บได้พอสมควรในระหว่างการฉีดยา จะแนะนำให้ฉีดแผลเป็นนี้ในช่วงระยะประมาณไม่เกิน 1 ปีแรกหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนใหญ่แล้วจะนัดมาฉีดประมาณเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งความถี่ในการฉีดขึ้นอยู่กับการตอบสนองของยาว่าเป็นอย่างไร วิธีนี้ต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น
        4. การผ่าตัด การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธีขึ้นอยู่กับรูปแบบของแผลเป็นนั้น ถ้าเป็นกรณีที่เกิดเป็นแผลเป็นนูนเกินหรือคีลอยด์ เราก็อาจจะใช้วิธีตัดออก หรือว่าลดขนาดลงบางส่วน วิธีนี้อาจจะใช้ร่วมกับการรักษาโดยวิธีอื่น เช่น การฉีดยา หรือการปิดด้วยแผ่นซิลิโคนก็ได้

        หมายเหตุ แผ่นซิลิโคน และ แผ่นเทปเหนียว ถูกจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ดังนั้น ควรสังเกตเลขที่ใบอนุญาตเครื่องมือแพทย์ก่อนซื้อทุกครั้ง

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        กระชับหน้าท้องหลังคลอดลูกให้แบนราบด้วยเทคนิคง่ายๆ

        เมนูอะโวคาโดลูกเหลืออย่าทิ้ง!รู้ไหมช่วยแม่ รักแร้ขาว ได้

        แนะนำเมนูสำหรับคุณแม่หลังคลอด ลดอาการเจ็บปวด+ฟื้นฟูร่างกาย+กระตุ้นน้ำนม

        ผักผลไม้เพิ่มน้ำนม 20 ชนิด เพิ่มน้ำนมให้คุณแม่

         

        ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, health.mthai.com

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          รักแร้ขาว ด้วยอะโวคาโด

          เมนูอะโวคาโดลูกเหลืออย่าทิ้ง!รู้ไหมช่วยแม่ รักแร้ขาว ได้

          รักแร้ขาว ใสเนียนน่ามอง ไร้ขนคุดที่คุณแม่ก็มีได้ไม่ยากด้วย อะโวคาโดที่เหลือจากเมนูมากประโยชน์ของลูกน้อย อย่าพึ่งทิ้งนะแม่ วัตถุดิบชั้นดีไว้ขัดจั๊กขาวใสได้ดี

          เมนูอะโวคาโดลูกเหลืออย่าทิ้ง! รู้ไหมช่วยแม่ รักแร้ขาว ได้

          อะโวคาโดมากประโยชน์ มีสารอาหารที่ดีทั้งต่อเด็ก และผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ  สิ่งนี้คงเป็นเรื่องที่คุณแม่เคยได้ยินกันมาบ้างแล้วใช่ไหม วันนี้ ทีมแม่ ABK ขออนุญาตเรียบเรียงประโยชน์ของเจ้าผลไม้สีเขียว น่าตาแปลก ๆ แต่คุณค่ามากเหลือนี้ให้รับรู้กันอีกสักเสียหน่อย ว่ามันมีดีอย่างไรกันบ้างนะ แล้วอย่าลืมบอกต่อให้ลูกได้รู้ถึงประโยชน์ดี ๆ เหล่านี้เพื่อที่เขาจะได้มีทักษะความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี ในการเลือกทานแต่ของที่ดี มีประโยชน์ อย่างเช่น อะโวคาโด เป็นต้น

          อะโวคาโด ฮีโร่เพื่อสุขภาพ

          อะโวคาโด (Avocado) เป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะมีทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายกว่า 20 ชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก ซึ่งประโยชน์ของอะโวคาโดนั้นมีหลากหลายด้าน เช่น บำรุงสมอง บำรุงดวงตา ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ไปจนถึงประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่น

          อะโวคาโดเพื่อสุขภาพ
          อะโวคาโดเพื่อสุขภาพ

          อะโวคาโดมีรสจืดและมีไขมันสูง โดยอะโวคาโดปริมาณ 100 กรัม มีไขมัน 15 กรัม แต่ในความจริงแล้ว การรับประทานอะโวคาโดนั้นไม่ได้ทำให้อ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเพิ่ม เพราะไขมันในอะโวคาโดจัดเป็นไขมันชนิดที่ดี อีกทั้งยังมีน้ำตาลน้อยและมีไฟเบอร์สูง ทำให้รู้สึกอิ่มนาน ช่วยในการลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี

          ประโยชน์ของอะโวคาโดต่อสุขภาพ

          อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์สูง เมื่อรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมอาจช่วยบำรุงสุขภาพในด้านต่อไปนี้

          • เป็นแหล่งของกรดไขมันชนิดดี

          อะโวคาโดมีไขมันชนิดดี คือ กรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (Monounsaturated fatty acids) ถึง 70% ซึ่งมีประโยชน์ต่อหลอดเลือดแดง เพราะจะช่วยลดไขมันเลวในหลอดเลือด เช่น คอเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (Low Density Lipoprotein-LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบและโรคหัวใจวายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

          • บำรุงระบบประสาทและสมอง

          ในอะโวคาโดมีกรดโอเลอิก (Oleic Acid) ซึ่งมีผลดีและจำเป็นต่อระบบประสาทและสมอง โดยกรดไขมันชนิดนี้อาจช่วยลดความเหนื่อยล้าของสมอง และช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองได้ดีมากยิ่งขึ้น

          อะโวคาโดบำรุงสมองลูก เหลือบำรุงผิวแม่ให้ รักแร้ขาวได้
          อะโวคาโดบำรุงสมองลูก เหลือบำรุงผิวแม่ให้ รักแร้ขาวได้

          • ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง

          มีวิตามินอี ซึ่งมีฤทธิ์ในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายจากมลพิษรอบตัวทั้งจากภายในและภายนอก ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านมในผู้หญิงได้ เพราะในอะโวคาโดมีลูทีน (Lutien) เป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาที่พบว่าสารสกัดอะโวคาโดอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ แต่การศึกษาเหล่านี้เป็นเพียงการศึกษาในหลอดทดลองและมีข้อจำกัดค่อนข้างมากจึงไม่สามารถยืนยันสรรพคุณในข้อนี้ได้

          • บำรุงและรักษาดวงตา

          มีสารลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin) มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพดวงตา มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคทางดวงตาหลายชนิด ที่สำคัญคือ โรคต้อกระจก และโรคจุดรับภาพเสื่อม

          • มีโพแทสเซียมสูง

          ในอะโวคาโด 100 กรัม จะมีโพแทสเซียมสูงถึง 14% และกล้วยจะมีโพแทสเซียมอยู่ 10% ซึ่งจากการวิจัยพบว่า หากเราได้รับโพแทสเซียมในปริมาณที่มากพอจะสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ นอกจากนั้นโพแทสเซียม ยังมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของน้ำ กรด-ด่างในร่างกายของเราอีกด้วย

          • มีไฟเบอร์สูง

          อะโวคาโดครึ่งลูกมีไฟเบอร์ 6-7 กรัม โดยแต่ละคนมีความต้องการไฟเบอร์ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ในหนึ่งวัน ผู้หญิงควรได้รับไฟเบอร์ 25 กรัม และผู้ชายควรได้รับไฟเบอร์ 38 กรัม รับประทานอะโวคาโดแค่ครึ่งลูกก็เกือบได้ไฟเบอร์ในปริมาณที่ต้องการในแต่ละวันแล้ว

          อะโวคาโดมาพร้อมกับประโยชน์ที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงผู้สูงอายุเลยทีเดียว และสามารถนำมาปรุงอาหารได้อย่างหลากหลายด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประโยชน์ของอะโวคาโดต่อสุขภาพนั้นจะมีมากมาย แต่ก็มีสรรพคุณบางข้อควรได้รับการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อยืนยันถึงประโยชน์และความปลอดภัยในการรับประทานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

          การบริโภคอะโวคาโดในปริมาณที่เหมาะสมนั้นค่อนข้างปลอดภัย โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้รับประทานอะโวคาโดไม่เกิน 1 ผลต่อวัน เพราะเป็นผลไม้ที่ให้ไขมันและพลังงานสูง แต่สำหรับผู้ที่มีอาการแพ้ยาง (Latex Allergy) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเพราะผลอะโวคาโดมียางเป็นส่วนประกอบจึงอาจเสี่ยงต่ออาการแพ้ที่เป็นอันตรายได้

          ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com

          เมนุอะโวคาโดเหลือ อย่าเพิ่งทิ้ง!ช่วย รักแร้ขาว ได้
          เมนุอะโวคาโดเหลือ อย่าเพิ่งทิ้ง!ช่วย รักแร้ขาว ได้

          คุณแม่คงเห็นประโยชน์จากอะโวคาโดกันจนอยากนำมาทำเมนูอร่อย ๆ ให้แก่เจ้าตัวน้อยกันแล้วใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นลองดูนี่เลย

          มาถึงตรงนี้ชื่อว่าคุณแม่คงจะว้าว! ในสรรพคุณของอะโวคาโดกันแบบน่าทึ่งแล้วใช่ไหม แต่ยังไม่หยุดแค่นั้น เชื่อหรือไม่?…ว่า อะโวคาโดสามารถช่วยบำรุง ฟื้นฟูผิว ทำให้ รักแร้ขาว ปราศจากปัญหาขนคุดได้อีกด้วยนะ ดังนั้น เวลาทำเมนูให้เจ้าตัวน้อยทานจากผลอะโวคาโดแล้ว หากมีเหลืออย่าเพิ่งทิ้ง!!

          ประโยชน์ของอะโวคาโดไม่ได้มีดีแค่กับสุขภาพร่างกายแต่เพียงเท่านั้น เพราะอะโวคาโดยังมีดีต่อความสวยความงามเช่นกัน โดยเฉพาะคุณแม่ คนไหนที่อยากสวยครบวงจรตั้งแต่หัวจรดเท้าแบบไม่ต้องจ่ายแพง เพียงแค่นำอะโวคาโดที่เหลือจากเมนูอร่อย ๆ ของลูกน้อยมาใช้เท่านั้น หากคุณแม่กำลังประสบปัญหารักแร้ดำ วงแขนหมองคล้ำ ขนคุดใต้ผิวหนัง วันนี้เรามีสูตรสครับผิวด้วยผลอะโวคาโดมาให้ลองกันรับรองได้ผลดีจนเกินคาด แถมยังสามารถทำเองได้ที่บ้าน ง่าย ๆ อีกด้วย อย่ามัวรอช้าไปดูวิธีกันเลยดีไหม

          รักแร้ขาว ใสเนียนได้ด้วยอะโวคาโด
          รักแร้ขาว ใสเนียนได้ด้วยอะโวคาโด

          สครับอะโวคาโดเพื่อรักแร้ขาวใส

          ผลของอะโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามินต่างๆ ทั้งวิตามินเอ ดี และอี แร่ธาตุต่างๆ เช่น โปแตสเซียม ซัลเฟอร์ และน้ำมันจากธรรมชาติ อโวคาโดจึงเหมาะอย่างยิ่งกับการนำมาพอกผิว  เพราะเนื้ออโวคาโดจะแทรกซึมสู่ ผิวหนังได้เป็นอย่างเป็นดี

          ขั้นตอนส่วนผสมของสครับอะโวคาโด 

          นำเนื้ออะโวคาโดสุกครึ่งลูกผสมกับนมสดครึ่งถ้วย คนจนผสมเป็นเนื้อครีม จากนั้นนำมาขัดเบา ๆ บริเวณใต้วงแขน แล้วพอกทิ้งไว้ 20-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ช่วยแก้ปัญหารักแร้ดำ และขนคุดใต้ผิวหนังได้เป็นอย่างดี

          สครับอะโวคาโดเพื่อมือนุ่มช่วงโควิด

          คุณแม่ช่วงนี้คงต้องเพิ่มความระมัดระวังป้องกันตัวเอง และคนในครอบครัวที่รักให้ห่างไกลจากเชื้อโคโรนา บ่อเกิดโรคโควิด-19 กันใช่ไหม ยิ่งโดยเฉพาะต้องเข้าครัวเตรียมอาหารด้วยแล้ว จึงจำเป็นต้องล้างมือบ่อยขึ้นหน่อยในช่วงนี้ ไหนจะต้องมือแห้งจากการล้างมือแล้ว ยังต้องเจอะเจอกับแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อต่าง ๆ นานาอีก คงทำให้มือของคุณแม่ขาดความนุ่มชุ่มชื้นไปมาก อะโวคาโดไม่เพียงจะมีดีต่อผิว และทำให้ รักแร้ขาว เท่านั้น แต่ในส่วนผิวมือที่แห้งกร้านของเราก็ยังสามารถนำมาใช้ทำเป็นสูตรสครับมือได้อีกด้วย

          ขั้นตอนส่วนผสมสครับมือให้นุ่มน่าสัมผัส 

          นำอะโวคาโด 1/2 ลูกมาบดให้ได้เนื้อละเอียด จากนั้นนำมาผสมกับข้าวโอ๊ตบดหยาบ 3-4 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยไข่ขาว 1 ฟองและน้ำมะนาวอีก 1 ช้อนชา เมื่อได้ส่วนผสมที่เข้ากันแล้ว ให้นำมาสครับผิวมือจนทั่ว แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงล้างมือให้สะอาดแล้วซับมือให้แห้ง ทาแฮนด์ครีมบำรุงต่อไป เพียงเท่านี้คุณแม่ก็จะสัมผัสได้ถึงมือที่นุ่มชุ่มชื้นมากขึ้นเยอะเลยล่ะ

          มือแห้ง เพราะล้างมือบ่อยช่วงโควิด
          มือแห้ง เพราะล้างมือบ่อยช่วงโควิด

          เปลือกอะโวคาโดก็มีดีนะเออ!!

          เติมมอยส์เจอไรเซอร์ให้ผิวชุ่มชื้น

          นอกจากการนำเนื้ออะโวคาโดมาใช้ประโยชน์ได้แล้ว คุณแม่รู้มั้ยว่าในส่วนของเปลือกอะโวคาโดก็ยังมีดีต่อการบำรุงผิวด้วยได้เช่นกัน บอกแล้วว่าอะโวคาโดที่เหลือจากเมนูของลูกอย่าพึ่งทิ้ง ใช้ได้แทบทุกส่วนเลยเชียว โดยหลังจากที่เราใช้เนื้ออะโวคาโดไปแล้ว ให้นำเปลือกด้านในมาถูบนผิวหน้าที่ล้างสะอาดแล้ว จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีเป็นอย่างน้อย แล้วล้างด้วยน้ำอุ่น และล้างด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง สูตรนี้นอกจากจะใช้กับผิวหน้าแล้ว ยังใช้ถูจุดที่แห้งและหยาบกร้านของผิวส่วนอื่น ๆ ได้อีกด้วย

          ในยุคที่เศรษฐกิจชะลอตัว แม่บ้านอย่างเรา ๆ อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัดกันจริงไหม การใช้ประโยชน์จากสิ่งใดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัวลงไปได้ แถมยังช่วยโลก ลดโลกร้อนได้อีกด้วยนะ อะโวคาโดหนึ่งผลนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งผล เห็นอย่างนี้แล้วคุณแม่อย่ามัวรอช้า รีบไปคว้าเจ้าผลไม้สีเขียวแต่มากประโยชน์ทั้งต่อลูกน้อย และความงามของคุณแม่กัน อย่าช้าทีเดียวเชียว!!

          ข้อมูลอ้างอิงจาก www.sanook.com

          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          8 วิธี “กระตุ้นสมอง” ทารกแรกเกิด ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

          ชวนเข้าครัว!ให้ อาหารเป็นยา กับเมนูอร่อยต้านโควิด-19

          ชี้เป้า 3 อันดับ นม UHT ยี่ห้อไหนดี มีแคลเซียมสูงสุด!

          วิธีชงนม ไม่มีฟอง ช่วยป้องกันทารกท้องอืดได้

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์

            เคล็ดลับการเลือก “เบบี้ไวพ์ (ทิชชู่เปียก)” ใช้แบบไหนห่างไกลแบคทีเรีย ลูกผิวไม่แพ้

            ผิวเด็กนะจ๊ะ แม่ๆ ต้องรู้ว่า บอบบาง อ่อนโยนสุดๆ จะใช้อะไรกับผิวลูกก็ต้องระวังให้มาก เพราะขนาดผิวผู้ใหญ่บางทียังแพ้เลย วันนี้ทีมแม่ABK จะขอมาพูดถึง “เบบี้ไวพ์” หรือที่เรียกกันคุ้นหูว่า “ทิชชู่เปียก”  ถามว่ามีประโยชน์มากไหม ตอบแบบไม่ต้องคิดเยอะว่า “มีประโยชน์มากจ้า ใช้ตั้งแต่ก่อนคลอดจนลูกโตเลย” แต่จะซื้อมาใช้กับลูก ก็เลือก ก็ดูกันหน่อยว่า ใช้แล้วต้องเช็ดสะอาด ห่างไกลแบคทีเรีย และที่สำคัญต้องอ่อนโยน ผิวลูกน้อยต้องไม่แพ้  ไม่พัง !!

            ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์

            เบบี้ไวพ์ หรือทิชชู่เปียก เลือกใช้แบบไหน ไม่ทำร้ายผิวลูกน้อย ?

            เดี๋ยวนี้การหาซื้อ เบบี้ไวพ์ (Baby Wipes)หรือทิชชู่เปียก มาไว้สำหรับใช้งาน ซื้อได้ง่ายๆ เพราะทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านค้าออนไลน์ หรือตามซูเปอร์มาร์เก็ต  ก็มีขายเต็มไปหมด ทีนี้จะซื้อแบบไหนดีล่ะ หลากหลายยี่ห้อมาก ขอให้ตั้งต้นจากโจทย์แม่ๆ ส่วนใหญ่ ที่มีความกังวลเกี่ยวกับการแพ้ ระคายเคืองที่อาจจะเกิดขึ้นกับผิวลูกน้อย ก็ควรต้องเลือกทิชชู่เปียกที่จะมาใช้กับลูกน้อย หลักๆ ให้ดูที่…

            ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์

             

            1. ลดการสะสมของแบคทีเรีย

            2. เหมาะสำหรับใช้กับผิวทารกหรือเด็กแรกเกิด 0+ โดยเฉพาะ

            3. ปราศจากสารเคมีอันตรายต่างๆ เช่น แอลกอฮอล์ พาราเบน สี ซิลิโคน กูลเตน และ SLS

            4. ยี่ห้อมีความน่าเชื่อถือ

            5. มีส่วนผสมของน้ำบริสุทธิ์ 99%

            6. มีสัญลักษณ์รับรองความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ

            7. ผ้าหนานุ่ม ไม่บาดผิวลูกน้อย

            8. มีค่า pH Balance ไม่ทำร้ายเกาะป้องกันของผิวลูกน้อย

            ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์

            และจากประสบการณ์ของแม่บ้านนี้ เราจะดูในเรื่องของสูตรด้วยนะ ยิ่งโดยเฉพาะถ้าผ่านการทดสอบจากแพทย์ Hypoallergenic Tested  แม่นี่พุ่งตัวเข้าไปหยิบใส่ตะกร้า เสียเงินแบบไม่เสียดายเลย เพราะเป็นของดี มีคุณภาพ แล้วยิ่งถ้าเป็นยี่ห้อที่ใช้ประจำ เราจะรู้เลยว่ายังไงก็ปลอดภัยต่อสุขภาพของลูกเราอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้แบคทีเรีย มลภาวะ ไวรัส RSV และ COVID-19 ยังระบาดอยู่ การใช้ Baby Wipes หรือทิชชู่เปียก ที่มีคุณสมบัติช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียเป็นสิ่งจำเป็น แม่ๆ ต้องมีติดบ้าน พกติดกระเป๋าไว้เลย หยิบใช้ตอนไหน ก็อุ่นใจ ช่วยให้มั่นใจในความสะอาดมากยิ่งขึ้น

            ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์

            ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์ ทิชชู่เปียก
            สูตรลดการสะสมของแบคทีเรีย ไม่ใช้ถือว่าพลาดของดี !!

            เพื่อน ๆ พี่ๆ ที่มีลูกเล็ก แม่บ้านนี้ขอแนะนำของดีนี่ ทิชชู่เปียก ที่ใช้อยู่ตอนนี้ เช็ดสะอาด อ่อนโยน ลูกไม่แพ้และแม่ก็ถูกใจมากด้วย ซื้อมาแล้วใช้กันได้ทั้งครอบครัว และนี่ก็คือ “ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์ ทิชชู่เปียก สูตรลดการสะสมของแบคทีเรีย” จริงๆ ดีนี่ เขามีทิชชู่เปียกหลายสูตรเลยค่ะ แต่อย่างที่บอกค่ะช่วงนี้กลัวเชื้อโรค บ้านเราเลยเลือกใช้ดีนี่ ทิชชู่เปียกสูตรนี้โดยเฉพาะ เพราะสูตรนี้ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย 99.9% ดีงามมากแม่ จะเช็ดมือ ของเล่น โต๊ะ เก้าอี้ รถเข็นก็ใช้ได้ทั้งครอบครัว

            เดี๋ยวจะว่าเชียร์เว่อร์ไป เราไปเช็กคุณสมบัติของ ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์ ทิชชู่เปียก สูตรลดการสะสมของแบคทีเรีย กันค่ะ

            1. เช็ดสะอาด ช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติถึง 3 ชนิด
            2. มีส่วนผสมน้ำบริสุทธิ์ 9% พร้อมค่า pH Balance รักษาสมดุลตามธรรมชาติของผิว
            3. ผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวพรรณ(Hypo-Allergenic Tested) ว่าไม่ทำให้เกิดการแพ้และการระคายเคือง
            4. ปราศจากเคมีอันตราย สารพาราเบน แอลกอลฮอล์ สี ซิลิโคน กลูเตน และ SLS
            5. เนื้อผ้าหนา นุ่มเป็นพิเศษ จึงทำความสะอาดผิวลูกน้อยด้วยสัมผัสนุ่มละมุน อ่อนโยนต่อผิว

            ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์ ทิชชู่เปียก

            สารพัดประโยชน์การใช้งานทิชชู่เปียก

            สำหรับเบบี้ไวพ์ (ทิชชู่เปียก) ประโยชน์การใช้งานเยอะมากค่ะ อยากให้มีติดบ้าน และพกใส่กระเป๋าไว้เลยค่ะ ยิ่งช่วงนี้อย่างที่รู้กันค่ะว่าเชื้อโรคมีอยู่รอบตัว คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กๆ ก่อนอุ้ม กอด หอมลูกน้อย ให้ใช้ดีนี่ ทิชชู่เปียก สูตรลดการสะสมของแบคทีเรียเช็ดทำความสะอาดมือ ช่วงแขน ที่ต้องสัมผัสลูกกันก่อนนะคะ

            ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์

             

            • เช็ดทำความสะอาดผิวก้นลูก หลังจากปัสสาวะ อุจจาระ
            • เช็ดมือลูก มือคุณพ่อคุณแม่ ก่อนหยิบ จับ อาหารเข้าปาก
            • เช็ดอุปกรณ์ของใช้ ของเล่นลูก
            • เช็ดโต๊ะ เช็ดเก้าอี้
            • เช็ดลูกบิดประตูบ้าน
            • เช็ดเบาะที่นั่ง ประตูรถ
            • เช็ดปาก เช็ดหน้า
            • เช็ดที่จับรถเข็นในซูเปอร์มาร์เก็ต
            • เช็ดหน้าจอมือถือ , คอมพิวเตอร์ , Notebook ฯลฯ
            • เช็ดเหรียญ

             

            ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์ ทิชชู่เปียก

            เห็นไหมคะว่า Baby wipes หรือทิชชู่เปียก เนี่ยจำเป็นต้องมีกันทุกบ้าน เพราะใช้ประโยชน์คุ้มจริงๆ นะจะบอกให้  นี่ที่บ้านก็เหลือห่อสุดท้ายแล้ว ช่วงนี้ใช้งานกันเยอะ เอาเป็นว่าถ้าอยากได้ Baby wipes ที่ปลอดภัยดีต่อสุขภาพ ใช้แล้วไม่ทำร้ายผิวลูก พูดเลยยังไงหนึ่งในเช็กลิสต์ของใช้ที่ต้องซื้อวันนี้  ก็ต้อง “ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์ ทิชชู่เปียก สูตรลดการสะสมของแบคทีเรีย” !!!

            หาซื้อได้แล้ววันนี้ที่โรบินสันและเซ็นทรัลทุกสาขา หรือช้อปออนไลน์ง่ายๆ แอด line @DneeThailand

            Shopee : https://bit.ly/2YcB5hm

            JD Central : ซื้อเดี่ยว https://bit.ly/3aeKEBM ซื้อยกลัง https://bit.ly/2MdIPx9

            อย่าลืมหาซื้อติดบ้าน พกใส่กระเป๋า ใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ามากค่ะ  #ดีนี่พิสูจน์แล้วว่าดี

            : ดีนี่ เบบี้ คลีน ไวพ์

             

              เด็กหาย

              เด็กหาย!! ทำอย่างไรให้เจอเร็ว ไม่เกิดเหตุร้าย?

              แม้ว่าเหตุการณ์ เด็กหาย จะเป็นเหตุการณ์ที่คุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้เกิดมากที่สุด แต่เหตุการณ์นี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ อ่านขั้นตอนว่าควรทำอย่างไรเมื่อพบว่าลูกหายไป เพื่อให้เจอเด็กได้เร็วที่สุด ก่อนจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน

              เด็กหาย!! ทำอย่างไรให้เจอเร็ว ไม่เกิดเหตุร้าย?

              จากกรณีที่มีเหตุ เด็กหาย จนเป็นข่าวสะเทือนขวัญกันมาแล้วมากมาย ข่าวเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์ให้คุณพ่อคุณแม่คอยระมัดระวังและคอยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น และวิธีป้องกันอีกอย่างหนึ่ง คือควรเรียนรู้ว่าเมื่อเกิดเหตุนี้ขึ้นมาจริง ๆ เราควรจะทำอย่างไรบ้าง เพื่อให้พบเจอลูกได้เร็วที่สุด การเจอลูกที่หายไป ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งปลอดภัยกับตัวเด็กเองมากเท่านั้น มาดูกันว่าเราควรทำอย่างไรบ้าง เมื่อลูกหายไป

              10 วิธีปฏิบัติและรับมือเมื่อลูกหาย

              ลูกหาย
              ลูกหาย

              1. ตั้งสติ

              คุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่รู้จักลูกตัวเองดีที่สุด ดังนั้นจึงต้องเป็นคนที่ตั้งสติให้ได้เร็วที่สุดเช่นกัน เพื่อเรียบเรียงลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนที่พบว่าลูกหายไป ได้แก่

                • ที่สุดท้ายที่ลูกอยู่คือที่ไหน
                • ลูกอยู่กับใครเป็นคนสุดท้ายก่อนหายไป
                • สถานที่ใกล้เคียงที่คิดว่าลูกน่าจะไป
                • รวบรวมข้อมูลลูกที่จำเป็นทั้งหมด เช่น สีเสื้อ ส่วนสูง อายุ ลักษณะรูปร่าง หน้าตา สีและความยาวของผม เป็นต้น

              2. แจ้งโรงพักในท้องที่ที่เด็กหายไป

              สถานีตำรวจใกล้บ้าน เป็นหน่วยงานแรกที่ครอบครัวควรไปแจ้งความ กรณีเป็นเหตุเร่งด่วนหรือไม่ได้รับความสะดวกจากสถานีตำรวจท้องที่ สามารถไปแจ้งความเพิ่มเติมได้ที่

                • ศูนย์สวัสดิภาพเด็ก เยาวชน และสตรี (ศ.ดส.) เฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร โทร 02-282-1815
                • กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดต่อเด็ก เยาวชน และสตรี (ป.ดส.) ทุกกรณีทั่วประเทศ โทร 02-511-4874

              บุคคลที่มีสิทธิในการไปแจ้งความคนหายที่สถานีตำรวจ ตามระเบียบการตำรวจเกี่ยวกับคดีเรื่องคนหายพลัดหลงและประมวลวิธีพิจารณาความอาญา คือ บุคคลดังต่อไปนี้

                1. ผู้บุพการีได้แก่ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย
                2. ผู้สืบสันดานได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื่อ
                3. ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล ของผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถ
                4. สามี ภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย

              3.  ไม่ต้องรอครบ 24 ชั่วโมงถึงแจ้งความได้

              แจ้งความประสงค์กับตำรวจว่า จะแจ้งความลูกหาย ให้ตำรวจช่วยตามหา ไม่ใช่ขอลงบันทึกประจำวันไว้เฉย ๆ ถ้าตำรวจไม่รับแจ้งความ บอกหายไม่ถึง 24 ชั่วโมง ให้ครอบครัวอ้างอิงหนังสือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เลขที่ 0001(กม.1)/051 ลงวันที่ 10 มกราคม 2557 ลงนามโดย พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ว่าตำรวจต้องรับแจ้งความคนหายทันที ไม่มีเงื่อนไขด้านเวลา

              4. เล่ารายละเอียดที่เกี่ยวข้องและเหตุสงสัยให้ตำรวจฟังทั้งหมด

              โดยนำข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลของลูก เพื่อให้ตำรวจสามารถช่วยตามหาได้ง่ายยิ่งขึ้น

              5. ลงบันทึกประจำวัน

              เสมียนประจำวันคดีลงบันทึกประจำวัน พนักงานสอบสวนมอบสำเนาบันทึกประจำวันให้แก่ผู้แจ้ง (ในกรณีที่พนักงานสอบสวนไม่มอบสำเนาบันทึกประจำวันดังกล่าวให้ ผู้แจ้งความต้องร้องขอ)

              6. ขอพบฝ่ายสืบสวน

              หากแจ้งความกับพนักงานสอบสวนแล้ว ครอบครัวต้องไปพบตำรวจฝ่ายสืบสวนเพื่อให้ลงพื้นที่ออกติดตามหา ถ้าได้แค่ใบแจ้งความกลับบ้านโดยไม่ได้พบฝ่ายสืบสวน ส่วนใหญ่จะไม่มีกระบวนการติดตามหาในพื้นที่ ดังนั้นการไปพบฝ่ายสืบสวนสำคัญมาก

              7. ขอดูกล้องวงจรปิด

              การดูกล้องวงจรปิด ควรให้ตำรวจช่วยประสานให้ และครอบครัวควรไปดูพร้อมกับตำรวจด้วย เพราะครอบครัวทราบรูปพรรณของเด็กมากที่สุด

              8.  ขอข้อมูลการติดต่อของตำรวจเพื่อสอบถามความคืบหน้า

              อย่าลืมขอชื่อ ยศ และเบอร์มือถือ ของตำรวจที่รับแจ้งความและตำรวจฝ่ายสืบสวนที่รับผิดชอบเรื่อง เพื่อใช้ในการติดต่อประสานงาน และสอบถามความคืบหน้า

              9. กรณีที่ไม่ได้รับความสะดวก

              หากไม่ได้รับความสะดวกทุกกรณีบนโรงพัก ควรเข้าพบ ผู้กำกับการหรือหัวหน้าสถานีตำรวจนั้นๆ ได้ทันที ส่วนใหญ่เบอร์โทรผู้กำกับ ติดไว้บนโรงพักอยู่แล้ว

              10. ขอคำปรึกษา

              ขอคำปรึกษาและแนะนำเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริหารจัดการคนหายและศพนิรนาม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร 1599 และ ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา โทร 0807752673 , 029732236-7

              แจ้งความเด็กหาย
              แจ้งความเด็กหาย

              สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อ เด็กหาย คือคุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมง ถึงจะแจ้งความได้ เพราะยิ่งแจ้งความและออกตามหาช้า ก็จะยิ่งลดโอกาสในการหาเด็กเจอมากขึ้น เมื่อเราทราบวิธีรับมือเมื่อลูกหายแล้ว เราควรป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ เด็กหาย ด้วย โดยวิธีป้องกัน มีดังนี้

              1. สอนให้ลูกจำเบอร์โทรของแม่หรือพ่อให้ได้เผื่อฉุกเฉิน กรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินจะได้ช่วยได้ทัน
              2. อย่ารับของคนแปลกหน้า เพราะมิจฉาชีพจะถือโอกาสทำความคุ้นเคย และนำพาไปสู่การลักพาตัว
              3. ตั้งรหัสลับของครอบครัว เช่น “หนูรักแม่” ซึ่งเราจะต้องบอกลูกไว้เลยว่า ถ้าไม่รู้รหัสลับห้ามไปด้วยเด็ดขาด
              4. อย่าปล่อยให้อยู่คนเดียว อย่าให้คลาดสายตา หรือ อย่าทิ้งลูกไว้ในรถคนเดียว เพราะอาจจะหายไปทั้งคนทั้งรถ (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง โจรแจ้งตำรวจจับแม่!! โทษฐาน “ทิ้งลูกไว้ในรถ”)
              5. ถ่ายรูปล่าสุดทุกครั้งก่อนไปเที่ยว เพื่อให้มีข้อมูลของลูกที่อัพเดทที่สุด
              6. ก่อนเดินเที่ยว พาลูกไปรู้จักจุดประชาสัมพันธ์ก่อน หรือ ถ้าไม่มีให้พาไปจุดที่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก่อน
              7. สำหรับคุณแม่ที่พอมีกำลังทรัพย์ สามารถซื้ออุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ เช่น สายจูง หรือเป้สายจูง คนไทยอาจจะไม่คุ้นเคย คล้าย ๆ กับจูงน้องหมาแต่อย่าไปสนใจ เพราะเวลาลูกหาย คนเหล่านี้ก็ใช่ว่าจะช่วยเหลือเราได้ ให้คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกเราเป็นหลัก หรืออาจจะซื้อนาฬิกาที่มีระบบ GPS เปิดกล้องดูได้ จากโทรศัพท์แม่ บางรุ่นก็มีปุ่มให้ลูกกดโทรกลับมาให้แม่ หรือ อุปกรณ์ที่ส่งสัญญาณได้ โดยใช้ผูกติดกับของสำคัญของลูก สามารถตั้งระยะได้ว่า ถ้าลูกอยู่ไกลเกิน 5 เมตร เครื่องจะส่งสัญญาณมาที่โทรศัพท์ของแม่ เป็นต้น

              สำหรับเด็กเล็ก แค่คลาดสายตาไปเพียงเสี้ยววินาที ก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรศึกษาข้อมูลเพื่อป้องกันและรับมือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ เด็กหาย ขึ้นมา จะช่วยให้เรามีสติในการปฏิบัติอย่างถูกต้องต่อไปค่ะ

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              3 วิธีดูแลและรับมือ เมื่อ ลูกถูกทำร้าย (ทั้งร่างกาย-จิตใจ) พ่อแม่คือคนสำคัญ!

              รวมข่าวครูทำร้ายเด็ก ความรุนแรงในสังคม ที่นับวันมีแต่เพิ่ม

              ข้อเท็จจริง มิจฉาชีพ ทำไมถึงลักพาตัวเด็กน้อย

              อันตรายจากรถหัดเดิน…ลูกถูกสิบล้อทับเพราะรถหัดเดินไหลลงถนน

               

              ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา, www.posttoday.com, ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อการต่อต้านการค้ามนุษย์, www.pptvhd36.com

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                หัวนมบอด หัวนมสั้น ท่าอุ้มเข้าเต้าที่ได้ผล

                ท่าอุ้มให้นม!จากประสบการณ์จริง เพื่อแม่ หัวนมบอด -สั้น

                ข่าวดีสำหรับคุณแม่หัวนมสั้น หัวนมบอด ที่อยากให้ลูกได้ทานนมแม่ เรามีสูตรเด็ดเคล็ดลับจากประสบการณ์จริงของเหล่าคุณแม่ผู้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคของร่างกายมาฝากกัน

                ท่าอุ้มให้นม!จากประสบการณ์จริง เพื่อแม่ หัวนมบอด -สั้น

                ถ้าวันนั้นบีเชื่อพยาบาลที่บอกว่า “หัวนมสั้น เข้าเต้าไม่ได้หรอก” วันนี้อาจไม่มีเพจนมแม่
                เพราะตัวบีเอง ปั๊มไม่ออกเลยนะคะ ปั๊มจนเจ็บรอบหัวนมไปหมด ลูกก็งับไม่ค่อยติด เพราะท่าอุ้มไม่ถูก กดหัว และท้องอืดเงยต้าน
                สิ่งที่ทำคือ บีบมือก่อนให้ลานนมนิ่มลง ปรับเปลี่ยนท่าอุ้ม ไม่กดหัวลูก
                พอบีเข้าเต้าได้ปุ๊บ น้ำนมก็เพิ่มขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ
                ตอนนั้นยังงงๆ แต่ยอมรับว่าลูกคือผู้เรียกน้ำนม อย่างแท้จริงค่ะ
                จะบอกว่า ท่าคีบบุหรี่ ประคองเต้าเป็นตัวซี เหล่านั้นไม่เวิร์คสำหรับบีเลย จึงปรับเปลี่ยนการเข้าเต้า
                พบวิธีนี้ในเว็บฝรั่งค่ะ
                วิธีเข้าเต้าแบบนี้ เรียกว่า asymmatric latch
                ลูกอมลึก แต่ไม่ต้องมิดลานนม ไม่เจ็บหัวนม นมนิ่มไว ได้น้ำนมมากค่ะ เพราะลิ้นลูกรีดน้ำนมที่ลานนม ไม่ได้หนีบบดหัวนมค่ะ
                ข้อมูลอ้างอิงจาก นมแม่แฮปปี้

                หัวนมบอด หัวนมสั้น ก็ให้ลูกกินนมแม่ได้
                หัวนมบอด หัวนมสั้น ก็ให้ลูกกินนมแม่ได้

                กระทู้คำถาม : หัวนมสั้น ลูกไม่ยอมดูดเต้าเลยทำไงดีค่ะ

                ตอนนี้คลอดลูกได้ 18 วันแล้วค่ะ มีปัญหาหัวนมสั้น พอจับลูกเข้าเต้าทีไรลูกก็ไม่ยอมดูดทุกทีเลยค่ะ ก็เลยใช้ที่ปั้มนมช่วยให้หัวนมใหญ่ขึ้น แต่ลูกก็ไม่ยอมดูดอีกเหมือนเดิมค่ะ ตอนนี้เลี้ยงลูกด้วยนมผสม และนมแม่บางครั้ง แล้วแต่จะปั้มได้น่ะค่ะ และตอนนี้ก็เริ่มจะปั้มไม่ค่อยออกแล้วด้วย มีวิธีแก้ปัญหาไหมค่ะ
                “ให้คลึงหัวนมค่ะ ใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งค่ะ คลึงๆบีบๆ แล้วก็ดึงๆ ยืดหัวนมค่ะ ช่วยได้ ดิฉันก็หัวนมสั้นลูกดูดไม่ได้ ก็ทำแบบนี้ทุกครั้งที่จะให้นมลูก ตอนนี้ลูกจะ 3 เดือนแล้วค่ะ ดูดนมได้เป็นปกติแล้วค่ะ ยังไงก็สู้ๆนะค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ”
                “เราก็สั้นค่ะ ตอนแรกสงสารน้องมากต้องดึงลงมายัดเจ้าปากเค้า ปากลูกก็เล็กต้องคอยดันและทุกวันเราต้อิงพยายามดึงหัวนมค่ะเจ็บมากแต่ต้องทน ตอนนี้น้องสี่เดือนนมแม่อย่างเดียวเจ็ดโลแล้ว”
                ข้อมูลอ้างอิงจาก Pantip.com

                สำหรับคนเป็นแม่แล้ว ลูกคือสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้นสิ่งใดที่ว่าดี แม้จะยากลำบากแค่ไหน แม่ก็ต้องพยายามหามาให้แก่ลูกน้อยจนได้ การเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ใช้สนับสนุนกับคำพูดข้างต้นได้เป็นอย่างดี เมื่อทั่วโลกต่างก็ยอมรับกันแล้วว่าการเลี้ยงทารกด้วยนมแม่เป็น แหล่งอาหารที่ดีที่สุดสำหรับเขา นอกจากจะมีสารอาหารครบถ้วนเพียงพอต่อการเจริญเติบโตแล้ว ยังมีภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติให้แก่ลูกน้อยอีกด้วย ดังนั้นจะมีหรือที่คุณแม่ทุกท่านจะพลาดสิ่งดี ๆ เหล่านี้ให้แก่ลูก แต่ด้วยธรรมชาติของร่างกายแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน คุณแม่บางคนก็พบอุปสรรคตั้งแต่แรกเริ่มของการตั้งใจให้นมแม่กันเลยทีเดียว นั่นคือ ปัญหาทางสรีระ การที่มี หัวนมบอด หัวนมสั้น ทำให้การให้นมลูกเป็นเรื่องที่ต้องฝ่าฟันมากกว่าปกติเสียหน่อย บางคนกังวลใจที่น้ำนมยังไม่ไหล ไม่สามารถนำลูกเข้าเต้าได้ ลูกไม่สามารถดูดไม่อย่างเต็มที่ทำให้น้ำนมน้อย เป็นต้น

                แต่จากประสบการณ์ของหลาย ๆ คุณแม่ข้างต้นที่เรานำมาเป็นตัวอย่าง เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่คุณแม่ทุกท่านที่กำลังพยายามทำตามความตั้งใจในการให้นมแม่แก่ลูกน้อยนั้น จะพบว่าหากใช้ความพยายามสักนิด ประกอบกับเทคนิคดี ๆ อีกสักหน่อย ความตั้งใจนั้นแม้มีอุปสรรคแต่คุณแม่ก็จะสามารถพบกับความสำเร็จอย่างที่ใจหวังได้เหมือนกับคุณแม่หลาย ๆ ท่านที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์เช่นกัน

                ท่าอุ้มให้นม สำหรับแม่ หัวนมบอด -สั้น
                ท่าอุ้มให้นม สำหรับแม่ หัวนมบอด -สั้น

                เทคนิคดี ๆ ในการอุ้มลูกเข้าเต้า ฉบับประสบการณ์จริง (ASYMMETRICAL LATCH)

                อ้าปากกว้างก่อนนะลูกจ๋า!!

                ก่อนอื่นเริ่มต้นคุณแม่ต้องสอนทารกให้อ้าปากกว้าง หรืออ้าปากค้างก่อน ทารกจำเป็นต้องอ้าปากกว้างก่อนที่จะนำลูกเข้าเต้า โดยใช้เทคนิค ดังนี้

                • หลีกเลี่ยงการอุ้มลูกนอนลงในท่าให้นมจนกว่าคุณแม่จะพร้อม เช่น จัดเสื้อชั้นใน วางอุปกรณ์ต่าง ๆ หมอนช่วยอุ้มให้นม ท่านั่ง เป็นต้น ให้พร้อมเรียบร้อยก่อนอุ้มลูกมานอนบนตัก  ยิ่งลูกรอนานเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น และลูกก็จะอ้าปากได้น้อยลง
                • อุ้มลูกเข้าหาเต้านม แตะริมฝีปากด้านบนของเขา กับหัวนมคุณแม่เบา ๆ
                • ขยับปากออกไปอย่างช้า ๆ
                • แตะริมฝีปากบนกับหัวนมอีกครั้ง และเลื่อนออกไปอีกครั้ง
                • ทำซ้ำจนกว่าทารกจะอ้าปากกว้าง และลิ้นไปข้างหน้า
                • หรืออีกวิธี ให้ใช้หัวนมแตะไปตามริมฝีปากบนของทารกจากมุมหนึ่งไปอีกมุมหนึ่งเบา ๆ จนกระทั่งทารกเปิดกว้าง

                ลูกอ้าปากพร้อม ลุยขั้นตอนต่อไป

                • อุ้มลูกโดยใช้มืออีกข้างประคองที่ต้นคอและท้ายทอย (ไม่กดที่ใบหู) ลูกเงยหน้าเล็กน้อย ใช้วิธีอุ้มลูกเข้าหาเต้า จะไม่ใช้วิธีโน้มตัวแม่เพื่อนำเต้านมเข้าหาลูก โดยร่างกายของลูกควรชิดกับแม่ (สะโพก และไหล่หันเข้าหาตัวแม่)
                • เคลื่อนลูกเข้ามาอย่างรวดเร็วหลังจากที่เขาอ้าปากกว้าง (อ้าปากค้างจากขั้นตอนแรก) โดยให้คางของลูกเข้ามาชิดกับเต้านมส่วนล่าง (สังเกตว่าจังหวะนี้จมูกของลูกจะอยู่ตรงกับหัวนมแม่ หัวนมไม่ได้อยู่ตำแหน่งกลางปากลูกแบบท่าเดิม)
                • ใช้มือประคองเต้านม โดยให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านบน เหนือขอบนอกของลานหัวนม ส่วนนิ้วที่เหลือประคองเต้านมด้านล่าง (ไม่ควรใช้ท่าแบบนิ้วคีบบุหรี่ เพราะช่องว่างระหว่างนิ้วจะแคบ ทำให้ลูกอมได้ไม่ลึกพอ และนิ้วอาจจะกดบริเวณท่อน้ำนม ทำให้น้ำนมไหลไม่ดี)
                • ใช้ฐานมือของแม่วางบนไหล่ของลูก เพื่อค่อย ๆ ดันลูกเข้าสู่เต้านม ลักษณะของลูกไม่ได้อยู่ในท่านอนหงาย แต่เอียงตัวตะแครงมาแนบชิดกับแม่
                • ให้ลูกอมงับถึงลานนม โดยให้อมลานนมส่วนล่างมากกว่าลานนมส่วนบน ให้คางลูกแนบชิดกับเต้านมส่วนล่าง วิธีนี้จะช่วยให้ลิ้นของลูกยื่นออกมารีดน้ำนมจากเต้าแม่ได้ดีขึ้น และจมูกของลูกจะอยู่ห่างออกจากเต้าแม่เล็กน้อย คุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะหายใจไม่สะดวก
                  การอุ้มลูกเข้าเต้าอย่างถูกต้อง นอกจากจะช่วยให้แม่ไม่เจ็บหัวนมแล้ว ยังทำให้ลูกดูดนมแม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

                  พ่อแม่มักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกน้อยเสมอ
                  พ่อแม่มักเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกน้อยเสมอ

                วิธีสังเกต…ลูกอมงับลานนมได้ดีแล้วหรือยัง

                หากคุณแม่ไม่มั่นใจว่าจัดท่าให้นมลูกได้ถูกต้องหรือไม่ ให้สังเกตง่าย ๆ ในขณะที่ลูกเข้าเต้าได้แล้ว (เมื่อมองจากด้านบนลงไป) ดังนี้

                1. ลูกอมลานนมด้านล่างได้มากกว่าด้านบน ซึ่งจะสังเกตเห็นว่ายังมองเห็นลานนมด้านบน ในขณะที่ลานนมด้านล่างถูกปากลูกอมจนมิดหรือเกือบมิด
                2. ปากลูกอ้ากว้างแนบสนิทกับเต้านมแม่
                3. ริมฝีปากล่างบานออกเหมือนปากปลา
                4. คางลูกต้องแนบชิดเต้านมแม่

                จัดท่าให้ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

                ท่าอุ้มที่เหมาะสมจะช่วยให้ลูกเข้าเต้า ดูดและกลืนน้ำนมได้ดี คุณแม่จึงควรเลือกท่าที่ถนัด ผ่อนคลายและเหมาะสมกับสภาวะของคุณแม่มากที่สุด อาจจะอุ้มในท่านั่ง ท่านอน หรือท่านั่งกึ่งนอนก็ได้ ถ้าเป็นท่านั่ง ควรนั่งหลังตรงตามสบาย ไม่เกร็ง ไม่ควรโน้มตัวไปข้างหน้าหรือเอนไปข้างหลังมากเกินไป เพราะจะทำให้เมื่อยหลัง ไม่ว่าคุณแม่จะอุ้มลูกในท่าไหน จะต้องมีองค์ประกอบต่อไปนี้

                • ให้ตะแคงลำตัวและศีรษะของลูกให้หันเข้าหาแม่
                • ลำตัวของลูกแนบชิดกับตัวแม่
                • ศีรษะ ไหล่และสะโพกของลูกควรอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน
                • ตัวของลูกได้รับการรองรับให้รู้สึกมั่นคง โดยใช้มือแม่หรือหมอนรองช้อนไว้

                ขณะอุ้มลูก ควรมีหมอนหลาย ๆ ใบไว้รองหลัง รองแขนหรือวางบนตักรองรับตัวลูก เพื่อช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบายขึ้น ช่วยหนุนลูกให้สูงขึ้นมาถึงบริเวณเต้านม และให้ปากลูกอยู่ตรงกับหัวนมแม่พอดี ท่าที่ใช้ในการให้นมลูกมีหลายท่า แต่ที่นิยมมีดังนี้

                1. ท่าลูกนอนขวางบนตัก (Cradle hold)

                เป็นท่าที่อุ้มลูกวางไว้บนตัก มือและแขนประคองตัวลูกไว้ ให้ลูกนอนตะแคงเข้าหาตัวแม่ ศีรษะลูกอยู่สูงกว่าลำตัวเล็กน้อย ท้ายทอยลูกวางอยู่บริเวณแขนของแม่ มืออีกข้างประคองเต้านมไว้

                2. ท่าลูกนอนขวางบนตักแบบประยุกต์ (Modified / cross cradle hold)
                คล้ายท่าแรก เพียงแต่เปลี่ยนมือ โดยใช้มือข้างเดียวกับเต้านมที่ลูกดูดประคองเต้านม มืออีกข้างรองรับต้นคอและท้ายทอยของลูกแทน ท่านี้เหมาะสำหรับนำลูกเข้าอมหัวนม จะช่วยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของศีรษะลูกได้ดี (เมื่อลูกโตขึ้น เริ่มสนใจสิ่งแวดล้อม เวลามีอะไรมาดึงความสนใจแล้วชอบหันไปดู ก็จะดึงหัวนมแม่ไปด้วย ทำให้แม่เจ็บ ท่านี้จะช่วยคุณแม่ได้มาก)

                หัวนมสั้น หัวนมบอด มีวิธีแก้ไข
                หัวนมสั้น หัวนมบอด มีวิธีแก้ไข

                3. ท่าอุ้มลูกฟุตบอล (Clutch hold หรือ Football hold)

                ลูกอยู่ในท่ากึ่งตะแคงกึ่งนอนหงาย ขาชี้ไปทางด้านหลังของแม่ มือแม่จับที่ต้นคอและท้ายทอยของลูก กอดลูกให้กระชับกับสีข้างแม่ ลูกดูดนมจากเต้านมข้างเดียวกับมือที่จับลูก มืออีกข้างประคองเต้านมไว้
                ท่านี้ใช้ได้ดีสำหรับ

                • แม่ที่ผ่าท้องคลอด เพราะตัวของลูกจะไม่ไปสัมผัสกับท้องของแม่ที่มีรอยผ่าตัดอยู่
                • แม่ที่มีเต้านมใหญ่ หรือลูกตัวเล็ก เพราะลูกจะเข้าอมงับเต้านมได้ดีกว่า
                • แม่ที่คลอดลูกแฝด ซึ่งจะสามารถให้ลูกดูดนมจากทั้งสองเต้าพร้อมๆ กันได้

                4. ท่านอน (Side lying position)

                แม่ลูกนอนตะแคงเข้าหากัน แม่นอนศีรษะสูงเล็กน้อย หลังและสะโพกตรง ให้ปากลูกอยู่ตรงกับหัวนมของแม่ มือที่อยู่ด้านล่างประคองตัวลูกให้ชิดลำตัวแม่ อาจใช้ผ้าขนหนูที่ม้วนไว้หรือหมอนหนุนหลังลูกแทนแขนแม่ก็ได้ มือที่อยู่ด้านบนประคองเต้านมในช่วงแรกที่เริ่มเอาหัวนมเข้าปากลูก เมื่อลูกดูดได้ดี ก็ขยับออกได้ ท่านี้เหมาะสำหรับแม่ที่ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ต้องการพักผ่อน หรือให้นมลูกเวลากลางคืน

                การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แม้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปกว่าความพยายามของบรรดาคุณแม่ทั้งหลายที่ตั้งใจแน่วแน่ให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด การศึกษาหาข้อมูล การเตรียมตัวให้พร้อมเป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยให้คุณแม่สามารถทำตามที่ตั้งใจได้อย่างมีแนวทาง และที่สำคัญการได้พูดคุย รับฟังข้อมูลจากประสบการณ์ของคุณแม่ท่านอื่น ๆ ที่ได้ผ่านปัญหาต่าง ๆ มาแล้วนั้น ก็จะยิ่งช่วยให้คุณแม่หาแนวทางการเลี้ยงลูกให้เข้ากันกับแบบฉบับของตนเองได้ดียิ่งขึ้น โปรดเชื่อพวกเรา ทีมแม่ ABK เถอะนะว่า แม้คุณแม่จะประสบปัญหา หัวนมบอด หัวนมสั้น ไม่มีเวลา หรือปัญหาอื่นใด ๆ แต่หากตั้งใจจริงแล้วละก็ คุณก็สามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างแน่นอน เพราะนมแม่เป็นแหล่งอาหารชั้นดีช่วยเสริมสร้าง IQ ทำให้ลูกน้อยเติบโตได้อย่างฉลาดสมองดี ทักษะความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี (Power BQ)

                ข้อมูลอ้างอิงจาก www.lactation-911.com /มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                5 เคล็ดลับเด็ดสู่การ “ปั๊มนมเกลี้ยงเต้า” มีน้ำนมแม่ให้ลูกกินได้นาน

                วิจัยเผย!! พ่อก็มี “น้ำนม” ให้ลูกกินได้นะ!!

                คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

                ทารกนอนนานเสี่ยงน้ำตาลต่ำ ต้องปลุกลูกกินนมทุกกี่ชั่วโมง?

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  โรงเรียนเปิด 1 ก.พ.

                  เปิดเรียน 1 ก.พ. 64 กับ 15 มาตรการรับมือที่พ่อแม่ต้องรู้

                  ช่วงนี้คุณแม่แต่ละบ้านต้องรับมือกับลูก ๆ ที่เรียนออนไลน์อยู่บ้าน เนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 จึงทำให้ต้องหลีกเลี่ยงการไปสถานที่แออัด หลีกเลี่ยงการสัมผัส และต้องเว้นระยะห่าง ส่งผลให้โรงเรียนบางที่ไม่สามารถเปิดการเรียนการสอนแบบปกติได้

                  …แต่ล่าสุดทาง สพฐ.ได้เสนอให้ เปิดเรียน 1 ก.พ. นี้ ยกเว้นโรงเรียนใน จ.สมุทรสาครทุกแห่ง โดยให้เรียนออนไลน์ พร้อมเน้นย้ำให้ทุกโรงเรียนต้องปฏิบัติมาตรการคุม ‘โควิด’ เคร่งครัด ทีมแม่ ABK จึงมีรายละเอียดพร้อมมาตรการรับมือที่พ่อแม่ควรรู้ มาฝากค่ะ

                  รมว.ศึกษาธิการ ลงนามประกาศ ให้ทุกสถานศึกษา ทุกจังหวัด เปิดการเรียนการสอน 1 ก.พ. นี้  ยกเว้น จ.สมุทรสาคร ทั้งนี้โซน กรุงเทพ นนทบุรี สมุทรปราการ ปทุมธานี และนครปฐม ให้เปิดได้ตามปกติ แต่ห้องเรียนห้ามเกิน 25 คน หากห้องไม่พอให้จัดการเรียนการสอนแบบสลับวันเรียน โดยมีลายละเอียดดังนี้

                  1. ให้สถานศึกษาทุกแห่งของรัฐและเอกชน ทั้งในระบบและนอกระบบซึ่งอยู่ในสังกัดและในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการเปิดการเรียนการสอนตามปกติ โดย เปิดเรียน 1 ก.พ. 2564 เป็นต้นไป โดยต้องดำเนินการตามมาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (CDVID-19) สำหรับสถานศึกษา ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขและมาตรการของหน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานผู้ดูแลอย่างเคร่งครัด
                  2. ให้ปิดการเรียนการสอนในจังหวัดสมุทรสาครต่อไป เนื่องจากเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 (ศบค.) กำหนด และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ยังมีจำนวนมาก ทั้งนี้ในระหว่างที่สถานศึกษาต้องปิดเรียนให้ส่วนราชการต้นสังกัดกำหนดแนวทางจัดการเรียนการสอนตามแนวทางที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ เช่น การสื่อสารแบบทางไกลหรือด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ หากไม่สามารถจัดการเรียนการสอนโดยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ สถานศึกษาอาจจัดการเรียนการสอนโดยใบสั่งงานหรือมอบหมายงานตามความเหมาะสมโดยไม่ต้องเข้าชั้นเรียน
                  3. ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนครปฐม และจังหวัดปทุมธานี) ให้สถานศึกษาเปิดการเรียนการสอนใต้ แต่ต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันโรคของกระทรวงสาธารณสุขและมาตรการของหน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานผู้กำกับดูแลอย่างเคร่งครัด โดยแต่ละห้องเรียนให้มีนักเรียนได้ไม่เกิน 25 คน กรณีห้องเรียนไม่เพียงพอให้จัดการเรียนการสอนด้วยการสลับวันเรียน

                  และให้สถานศึกษาติตตามประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 (ศบค.) และคณะกรรมการโรคติดต่อแต่ละจังหวัดอย่างเคร่งครัด หากมีการเปลี่ยนแปลงกระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการแก้ไขต่อไป

                  ทางด้านสำนักการศึกษาได้ก็มีการเตรียมพร้อมมาตรการหลักก่อนเปิดภาคเรียน ประกอบด้วย จำกัดผู้ปกครองและบุคคลที่จะเข้ามาในโรงเรียน การคัดกรอง การเน้นย้ำให้สวมหน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่าง การล้างมือ การทำความสะอาด การค้นหาและติดตามผู้สัมผัสเสี่ยงในโรงเรียน

                  โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับมาตรการอื่น ๆ อาทิ การเน้นให้นักเรียนได้เรียนในที่โล่ง การจำกัดเวลาในการรับประทานเพื่อให้นักเรียนใช้เวลาถอดหน้ากากอนามัยน้อยที่สุด โต๊ะอาหารต้องมีฉากกั้นและเว้นระยะนักเรียน แม่ครัว และพนักงานล้างจาน ต้องสวมหน้ากากอนามัย ถุงมือ อาหารที่ปรุงต้องสะอาดและสุกใหม่

                  จัดให้มีการเหลื่อมเวลาในการพักรับประทานอาหาร การใช้ห้องน้ำจะจัดให้สลับกันตามความเหมาะสม มีการรอคิวและเว้นระยะห่างอย่างชัดเจน และการดูแลให้นักเรียนล้างมือเป็นประจำทุกชั่วโมง

                  “ในวันที่ 28 ม.ค.นี้ โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครทั้ง 437 แห่งจะจัดกิจกรรม Big Cleaning พร้อมกัน เพื่อเตรียมพร้อมหากมีประกาศให้เปิดการเรียนการสอนและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ปกครอง”

                  จากนั้นสำนักพัฒนาสังคมได้รายงานมาตรการสำหรับศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานคร จำนวน 292 ศูนย์ ในพื้นที่ 45 สำนักงานเขต (ยกเว้น บางบอน บางรัก สัมพันธวงศ์ พระนคร และบางกอกใหญ่)

                  โดยได้ดำเนินการตามมาตรการเพื่อเตรียมพร้อมเปิดศูนย์แบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้ ระยะเตรียมการก่อนเปิด และระยะเปิดดำเนินการ ในส่วนของ

                  ห้องเรียน

                  ระยะเตรียมการก่อน เปิดเรียน 1 ก.พ.

                  ระยะเตรียมการก่อนเปิด ประกอบด้วย การติดตั้งแผ่นกรองอากาศ การทำความสะอาดพื้นผิวการเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ล้างมือ

                  ในส่วนของอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก ได้จัดอบรมหลักสูตรด้านการพัฒนาเด็กปฐมวัยเรื่องการป้องกันโรค การเตรียมการสอนและการจัดกิจกรรมโดยรักษาระยะห่าง รวมทั้งประชาสัมพันธ์แจ้งผู้ปกครองให้เตรียมเด็กให้พร้อม รวมทั้งหลีกเลี่ยงไปสถานที่แออัด และหมั่นให้เด็ก ๆ ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์

                  ล้างมือ

                  ระยะเปิดดำเนินการ เปิดเรียน 1 ก.พ. ประกอบด้วย

                  1.การคัดกรองอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก วัดไข้ น้ำมูก ซักประวัติ

                  2.การคัดกรองผู้ปกครองและเด็กก่อนวัยเรียน วัดไข้ น้ำมูก ซักประวัติ

                  3.การรับ-ส่งเด็กประจำวัน กำหนดช่องทางเข้า-ออกทางเดียว เว้นระยะห่าง 2 เมตร จำกัดมิให้แออัดหรือรวมกลุ่ม

                  4.หน้ากากอนามัย สวมหน้ากากอนามัย 100%

                  5.ล้างมือ จัดให้มีจุดล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ ล้างมือทุก 1-2 ชั่วโมง

                  6.การจัดอัตราส่วนเด็กก่อนวัยเรียน (Small Group) จัดกลุ่มกิจกรรม ไม่เกินกลุ่มละ 5 คนต่ออาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก 1 คน เว้นระยะห่างระหว่างกลุ่ม

                  7.การจัดกิจกรรมภายในศูนย์ฯ ยึดหลักเกณฑ์ 2 ตรม./คน จัดพื้นที่การเรียนรู้เป็นรายบุคคลและลดเวลาทำกิจกรรมเท่าที่จำเป็น ใช้อุปกรณ์เป็นรายบุคคล

                  8.กิจกรรมที่ควรงด งดการต่อแถวแบบประชิดและกิจกรรมที่มีการรวมกลุ่ม เช่น การแข่งกีฬา

                  9.การทำความสะอาด โดยเฉพาะพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อย ๆ กำจัดขยะมูลฝอยทุกวัน

                  10.อุปกรณ์สื่อการเรียนรู้ ส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกประเภทมีเพียงพอแก่เด็กทุกคน

                  11.อุปกรณ์ของใช้ของเด็กที่ทำจากผ้า ทำความสะอาดทุกวัน เช่น ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าเช็ดตัว

                  12.ทำความสะอาดร่างกาย (อาบน้ำ) อาสาสมัครผู้ดูแลเด็กทำความสะอาดร่างกายก่อนปฏิบัติหน้าที่

                  13.ตรวจร่างกายประจำปี (อาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก) อาสาสมัครผู้ดูแลเด็กตรวจร่างกายปีละ 1 ครั้ง

                  14.การยืนยันและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกำหนด ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนดอย่างเคร่งครัด

                  ทั้งนี้เมื่อมีการเปิดการเรียนการสอนตามปกติคุณแม่ และเด็ก ๆ อย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และที่สำคัญให้เด็ก ๆ พกเจลล้างมือหรือสเปรย์แอลกอฮอล์ไปด้วยนะคะ

                  บทความที่น่าสนใจ

                  วางแผนการศึกษาให้ลูก ลงทุนด้านการเรียนรู้ เน้นวัยไหนดีที่สุด

                  อยากให้ลูกเรียนรู้ได้ดีตั้งแต่เด็ก สมองลูกต้องดูแลอย่างไร?

                  4 ข้อดีของการเลือก “โรงเรียนใกล้บ้าน” ให้ลูก โดย พ่อเอก

                  ขอบคุณข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจ ออนไลน์

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    Power BQ

                    แนะเทคนิคเลี้ยงลูกให้ฉลาดรอบด้าน ด้วย Power BQ พ่อแม่สร้างได้ ตั้งแต่ลูก 6 เดือน

                    หมอแนะเทคนิคเลี้ยงลูก ด้วย Power BQ กับ 10Q 10 ความฉลาด ช่วยเพิ่มพลังให้ลูกเติบโต อยู่รอด และประสบความสำเร็จในอนาคตข้างหน้าได้ จะมีอะไรบ้างมาดูกัน

                    Power BQ ความสามารถที่เพิ่มพลังให้กับลูกในยุคนี้

                    เพื่อเป็นแนวทางในการเลี้ยงลูกในยุคนี้ รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้ให้คำแนะนำในการสร้างลูกด้วยพลังของพ่อแม่ พร้อมติดอาวุธช่วยเสริมให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกัน

                    โดยคุณหมอพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า…

                    ยุคสมัยที่อะไรรอบตัวก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูกล้วนต้องหมุนและปรับตัวให้เท่าทันกับความเป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นกันนะครับ

                    มีคุณพ่อคุณแม่หลายบ้านมาปรึกษาผมอยู่เสมอว่า จะต้องฝึกฝนอะไรให้กับลูกบ้างจะได้เก่งเท่าทันและมีพลังจากความสามารถที่พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงรอบตัวเหล่านี้ได้ ที่จริงแล้ว “ความลับที่ไม่ลับ” ของการส่งเสริมศักยภาพของเด็กอยู่ตรงความเข้าใจต่อไปนี้เองครับว่า… ความสามารถของเด็กทุกคนมีหลากหลายมากครับ บางด้านก็เด่นในบางคน บางคนก็เด่นหลายด้าน และหลายคนอาจจะโดดเด่นในเกือบทุกด้าน

                    โจทย์ของคุณพ่อคุณแม่คงจะเป็นว่า ทำอย่างไรถึงจะทำให้ลูกมีความสามารถหลากหลาย จนสามารถเป็นพลังบวกส่งเสริมการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง และใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม และมีความสุขต่อไป ให้สมกับเป็นความสามารถที่เพิ่มพลังให้กับลูก หรือPower BQ นั่นเองครับ

                    Power BQ

                    ความสามารถรอบด้านของเด็กมักถูกเรียกกันอย่างคุ้นหูและเป็นรูปธรรมว่า “ความฉลาด…” ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความฉลาดทางปัญญา ความฉลาดทางอารมณ์ ความฉลาดทางสังคม ซึ่งภาษาอังกฤษก็จะมีคำว่า Quotient หรือย่อเป็น Q อยู่ด้านหลัง เช่น IQ, EQ หรือ SQ ก่อนหน้านี้ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ ผู้คิดค้นทฤษฎีพหุปัญญา ได้กล่าวถึงความสามารถหรือความฉลาดที่หลากหลายของเด็กแต่ละคนไว้ โดยล่าสุดประมาณ 20 ปีเศษที่ผ่านมาได้กล่าวไว้ 8 ด้านด้วยกัน

                    ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่การ์ดเนอร์ได้เคยกล่าวไว้เพียง 7 ด้าน สาระโดยสรุป คือ เด็กแต่ละคนอาจมีความโดดเด่นในบางด้านที่แตกต่างกัน เช่น บางคนเรียนเก่งแต่เล่นกีฬาไม่เก่ง ก็ถูกจัดว่าเป็นเด็กที่มี ไอคิวโดดเด่น หรือ ความฉลาดทางปัญญาโดดเด่น ขณะที่ความสามารถด้านการเคลื่อนไหวอาจจะโดดเด่นน้อยกว่าความฉลาดทางปัญญา

                    จากสิ่งที่การ์ดเนอร์ได้ศึกษาไว้ เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ทักษะหรือความสามารถที่เด็กพึงมีก็ถูกแยกออกมาจากกลุ่มที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้เห็นและให้ความสำคัญกับการส่งเสริมต่อยอดทักษะด้านดังกล่าวมากขึ้น

                    มาถึงตรงนี้ Power BQ (Power Baby and Kids Quotients) คงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการนำทักษะ หรือความสามารถ หรือความฉลาดในด้านที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็กตั้งแต่วัยแบเบาะ ไปจนถึงช่วงที่พัฒนาการของเด็กเริ่มมีความสมบูรณ์มากขึ้น มาเป็นแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปส่งเสริมเพิ่มพูนให้กับลูกเพิ่มขึ้นเพื่ออนาคตที่ดีของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ

                    1. ความฉลาดทางสติปัญญา IQ 
                    2. ความฉลาดทางอารมณ์ EQ 
                    3. ความฉลาดทางคุณธรรม MQ
                    4. ความฉลาดของการเข้าสังคม SQ
                    5. ความฉลาดในการคิดสร้างสรรรค์ CQ 
                    6. ความฉลาดในการเล่น PQ
                    7. ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา AQ 
                    8. ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ
                    9. ความฉลาดในการคิดบวก OQ
                    และ 10. ความฉลาดในการคิดเป็น TQ

                    ลองมาดูกันนะครับว่า ตั้งแต่วัยเบบี๋อายุก่อน 1 ขวบการเลี้ยงดูกับปฏิสัมพันธ์ที่เรามีกับลูกจะส่งเสริม Power BQ อะไรให้กับลูกได้บ้าง

                    Power BQ

                    Power BQ” รวมความฉลาด ที่เด็กยุคใหม่ควรมี!!

                    ผมยกตัวอย่าง การตอบสนองต่อความต้องการของลูกอย่างทันท่วงทีตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 6 เดือน เช่น ให้นมเมื่อลูกหิว เปลี่ยนผ้าอ้อมเมื่อเปียกแฉะ เขาจะพัฒนาความผูกพันที่ดีกับคุณพ่อคุณแม่ที่ตอบสนองความต้องการของเขาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที ซึ่งความผูกพันที่มีต่อคุณพ่อคุณแม่นี้ เป็นพื้นฐานที่ดีของความฉลาดทางด้านสังคม (SQ) ที่จะพัฒนาต่อยอดต่อไปเมื่อเขาเติบโตขึ้น และที่สำคัญยังเป็นพื้นฐานของความฉลาดด้านอื่นอีกหลายด้านไม่ว่าจะเป็นด้านสติปัญญา คุณธรรม การเผชิญกับปัญหา การคิดบวก และคิดเป็น

                    พอเขาโตมาหน่อยอายุประมาณ 6 เดือนไปแล้ว การเปลี่ยนท่าทีจากการตอบสนองที่เคยรวดเร็วทันท่วงทีกับลูกเมื่อ 6​ เดือนแรกของเขา มาเป็นให้เขาได้เรียนรู้การอดทนรอคอยในเรื่องที่ไม่ได้ส่งผลเสียร้ายแรงบ้าง เช่น รอคอยกินนมเมื่อรู้สึกหิว รอคอยให้แม่มาเปลี่ยนผ้าอ้อม จะช่วยให้เขาได้พัฒนาความฉลาดหลายด้านไปในคราวเดียวกันไม่ว่าจะเป็น ความฉลาดในการเผชิญกับปัญหา (AQ) หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)

                    จากความสามารถในการควบคุมตัวเองเล็กๆ น้อยๆ  หรือ การที่คุณพ่อคุณแม่เล่นกับลูกผ่านกิจกรรมหรือข้าวของเครื่องใช้รอบตัวอย่างเหมาะสมกับความสามารถและพัฒนาการของเขาก็จะช่วยให้เขาได้พัฒนาความฉลาดในการเล่น (PQ) ไปพร้อมกับส่งเสริมความรู้จักสังเกต รู้จักคิดวิเคราะห์เพื่อแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆรอบตัวง่ายๆตามวัย ซึ่งเป็นพื้นฐานของความฉลาดทางปัญญา (IQ) ความฉลาดในการเผชิญกับปัญหา (AQ) และแม้แต่ความฉลาดในการคิดเป็น (TQ) ตั้งแต่ยังเล็กเลยนะครับ

                    คุณพ่อคุณแม่คงพอเห็นได้นะครับว่า ความฉลาดแต่ละด้านเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกได้พัฒนาอย่างรอบด้านตั้งแต่ยังเล็ก ตามความเหมาะสมของตัวลูกเอง บริบทของครอบครัวและสังคม ผ่านกระบวนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมพัฒนาการตามวัย การปรับพฤติกรรม การเล่น การเรียนรู้ในและนอกห้องเรียน หรือแม้แต่การใช้ชีวิตประจำวัน

                    อย่าลืมหาโอกาสอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างความคุ้นเคยและความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก จนเกิดความผูกพันที่ดีอันเป็นพื้นฐานของความฉลาดทางสังคม (SQ) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความฉลาดในด้านต่างๆ ให้กับลูกต่อไป เวลาคุณภาพที่มีให้กันในแต่ละวันจะช่วยให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูกได้เข้าใจซึ่งกันและกัน จนสามารถปรับตัวและเรียนรู้ซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดีครับ

                    ตอนต่อๆ ไป ผมจะมาขยายความของการส่งเสริมความฉลาดในแต่ละด้าน และขยายต่อไปจากวัยเบบี๋ให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำไปปฏิบัติเพื่อพัฒนา Power BQให้กับลูกกันนะครับ

                     

                    ขอบคุณบทความโดย : รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
                    รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    อ่านต่อบทความอื่นๆ น่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                    หมอแนะ การเลี้ยงลูกที่ดี ทำได้ด้วย 3 สูตรสำเร็จนี้!

                    กระทู้ดีจากพันทิป! แนวทาง การเลี้ยงลูกแบบฝรั่ง ที่น่ารัก

                    5 แนวทาง การเลี้ยงลูกแบบพ่อแม่ชาวเยอรมัน

                    แนวทางการเลี้ยงลูก ดีๆ แม้ “จะรวยแค่ไหน ก็ต้องเลี้ยงลูกแบบจน”

                      ลูกไม่กินข้าว เบื่ออาหาร

                      ลูกไม่กินข้าว เบื่ออาหาร ทำยังไงดี ?

                      ลูกไม่กินข้าว เบื่ออาหาร ปัญหานี้ทีมแม่ABK มีประสบการณ์มาก่อนค่ะ ตอนที่ลูกอายุได้ 1 ขวบกว่าๆ เริ่มไม่ค่อยยอมกินข้าว แม่ก็กลัวว่าลูกจะขาดสารอาหาร พอลูกยอมกินข้าวได้สอง สามคำ ดีใจสุดๆ เลยค่ะ และจากที่ลูกมีอาการไม่อยากกินข้าว เมนูอาหารแต่ละมื้อที่แม่เตรียมให้ ก็ดูไม่ค่อยจะสนใจกินสักเท่าไหร่ เรื่องนี้จึงต้องถึงคุณหมอค่ะ

                      การปรึกษาคุณหมอเด็ก ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้แม่ได้กลับมาสังเกตพฤติกรรมการรับประทานอาหารของลูกมากขึ้น เพราะได้รู้ว่าสาเหตุที่ลูกไม่กินข้าว เบื่ออาหารนั้นมาจากอะไร ซึ่งเด็กแต่ละคนก็อาจมีสาเหตุแตกต่างกันไปได้ค่ะ ทีมแม่ABK ขอสรุปกว้างๆ ที่คุณหมอเด็กอธิบายมาจากปัญหาที่เด็กไม่มีความยากกิน รู้สึกเบื่ออาหาร ซึ่งสาเหตุเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับเด็กได้เกือบทุกคนในช่วงวัยเริ่ม 1 ขวบขึ้นไป นั่นก็คือ…

                      1. มีความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกาย และจิตใจจนทำให้ส่งผลต่อการรับประทานอาหาร
                      2. ไม่คุ้นเคยกับหน้าตาของอาหาร ความชอบ ไม่ชอบ หรือ มีความไวต่อรสชาติของอาหารใหม่ๆ ที่ได้ลิ้มรส
                      3. เกิดจากความเข้าใจผิดของพ่อแม่ ว่าลูกกินน้อย ทั้งที่ปริมาณและอาหารที่ลูกกินอยู่นั้นเพียงพอกับความต้องการของร่างกายแล้ว เมื่อมีการยัดเยียดให้กินเพิ่มมากขึ้นจากที่ร่างกายรับได้ ก็มักจะทำให้ลูกต่อต้านการกินอาหารได้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว

                      พอจะทราบถึงสาเหตุเบื้องต้นที่เด็กๆ มีอาการเบื่ออาหาร ไม่อยากกินข้าวกันแล้วนะคะ ทีนี้ลองมาดูวิธีรับมือลูกไม่ยอมกินข้าว ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องช่วยกันดูแลให้ลูกสามารถกลับมาสนุกกับการรับประทาน รู้สึกอยากอาหารมากขึ้นค่ะ

                      ลูกไม่ยอมกินข้าว เบื่ออาหาร

                      ลูกไม่ยอมกินข้าว เบื่ออาหาร 5 วิธีรับมือง่ายๆ ที่เริ่มได้จากพ่อแม่

                      ขอบอกก่อนว่าทั้ง 5 วิธีนี้ แม่บ้านนี้ใช้กับเด็กๆ ที่บ้าน เพราะเขาอยู่ในวัยเริ่มเลือกกันได้แล้วว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร มีความปฏิเสธเล็กๆ กับอาหารที่จัดให้แต่ละมื้อ แต่ด้วยคำแนะนำจากคุณหมอ ที่นำมาใช้ ก็ได้ผลค่อนข้างดี ซึ่งเป็นวิธีปรับพฤติกรรมในการรับประทานอาหารให้กับเด็กเล็กๆ ที่ง่ายมากค่ะ

                      1. หลีกเลี่ยงอาหารหวาน น้ำหวาน ขนมหวาน

                      ต้องจำให้ขึ้นใจไว้เลยค่ะ ก่อนมื้ออาหารสัก 2 ชั่วโมง ต้องเลี่ยงที่จะไม่ให้ลูกดื่มน้ำหวาน หรือกินขนมหวาน เพราะการให้กินอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก่อนมื้ออาหารหลัก จะไปลดความยากอาหารลง ดังนั้นเพื่อให้ลูกได้รู้จักความหิว และสามารถกินข้าวได้เมื่อถึงเวลามื้ออาหารหลัก คุณพ่อคุณแม่ต้องเด็ดขาดในการที่ลูกร้องขอที่จะกินขนมนะคะ

                      2. จัดอาหารให้เหมาะสมกับความชื่นชอบของลูก

                      วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงอาหาร แนะนำว่าให้เลือกจากสิ่งที่ลูกชอบเป็นหลักก่อน เช่น หมูสับ แครอท เต้าหู้ปลา ไส้กรอก เนื้อไก่ ใบตำลัง ฟักทอง เป็นต้น วัตถุดิบเหล่านี้หากลูกชอบ ให้คุณแม่นำมาปรุง ดัดแปรงให้ได้หลากหลายเมนู และอาจจะค่อยๆ เพิ่มเนื้อสัตว์ที่นอกเหลือจากลูกชอบ รวมถึงผักต่างๆ เพื่อให้อาหารมีสีสันน่ารับประทานมากขึ้น โดยเลือกพืชผักที่กลิ่นไม่ฉุน และรสชาติไม่ขม ลูกจะค่อยๆ เปิดใจรับประทาน และสามารถทานได้โดยไม่ต้องบังคับค่ะ

                      3. จัดอาหารแลกเปลี่ยนให้ลูก

                      หากลูกไม่ชอบกินข้าว คุณแม่อาจปรับเปลี่ยนในบางมื้ออาหาร มาเป็นคาร์โบไฮเดรตในรูปแบบต่างๆ ให้ลูกได้สลับสับเปลี่ยนบ้าง อย่าง ขนมปัง สปาเก็ตตี้ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกรู้สึกเบื่ออาหารนั่นเองค่ะ

                      4. กำหนดเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อไม่เกิน 30 นาที

                      เพื่อเป็นการฝึกวินัยให้ลูกในการรับประทานอาหาร แนะนำให้กำหนดเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อให้ลูกอย่างชัดเจน ทำความเข้าใจอธิบายให้ลูกรู้เลยว่า อาหารมื้อเช้า กลางวัน เย็น เราจะใช้เวลาในการรับประทานกันไม่เกิน 30 นาที ซึ่งเมื่อครบเวลาแล้ว และลูกไม่กินแล้ว ก็ให้เก็บอาหารมื้อนั่นไปค่ะ และถ้าหากระหว่างนี้ลูกหิวก่อนถึงเวลาอาหารในมื้อถัดไป ก็ให้เบี่ยงแบนความสนใจในการพากันออกไปทำกิจกรรมอื่นๆ หรืออาจให้ดื่มนมแก้วเล็กๆ 1 แก้ว

                      5. ให้ลูกได้หยิบจับอาหารหรือตักอาหารใส่ปากด้วยตัวเอง

                      ลูกเริ่ม 1 ขวบแล้ว ลองให้เขาได้ใช้มือในการจับช้อนตักอาหารเข้าปากเอง หรือใช้มือหยิบอาหารเข้าปาก (เป็นการฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กให้แข็งแรงมากขึ้น) อาหารจะหกเลอะเทอะก็ไม่เป็นไร เพราะการที่ลูกได้ลองทำในสิ่งใหม่ๆ จะช่วยให้เขาไม่รู้สึกว่ากำลังถูกบังคับ ซึ่งนั่นก็จะทำให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย สนุกในการรับประทานอาหาร และก็จะทานได้มากขึ้นด้วยค่ะ

                      และอย่างที่รู้กันว่าเด็กในวัยเริ่ม 1 ขวบขึ้นไป เป็นวัยที่ทั้งร่างกาย และสมอง มีการเติบโต พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ฉะนั้นหากลูกไม่ยอมกินข้าว เบื่ออาหาร คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรปล่อยไว้นานค่ะ เพราะอาจเสี่ยงต่อการขาดสารอาหาร หากร่างกายได้รับโภชนาการสารอาหารที่เป็นประโยชน์ไม่เพียงพอ ก็จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทุกด้านของลูก ยิ่งโดยเฉพาะพัฒนาการการเจริญเติบโต และพัฒนาการด้านสมอง สติปัญญาค่ะ

                      ไลซีน (Lysine) และ วิตามินบี คอมเพล็กซ์ (Vitamin B Complex) ตัวช่วยสำคัญให้ลูกเจริญอาหารมากขึ้น

                      นอกจากคำแนะนำ 5 วิธีนี้แล้ว คุณแม่ยังสามารถกระตุ้นให้ลูกๆ ที่เบื่ออาหาร ได้เจริญอาหารมากขึ้น ด้วยการเสริมสารอาหารเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มสารอาหารอย่าง “ไลซีน และ วิตามินบี คอมเพล็กซ์”

                      ไลซีน ช่วยให้เจริญอาหาร เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็น สำคัญต่อร่างกาย และต้องได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ไลซีน (Lysine) มีประโยชน์ต่อร่างกายของเด็กๆ นั่นก็คือ

                      1. ช่วยให้เจริญอาหารมากขึ้น ด้วยกลไกที่ไลซีนมีผลช่วยให้ฮอร์โมนบางชนิดร่างกายมีความสมดุลที่ดีขึ้น ทำให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น
                      2. เพิ่มการเผาผลาญให้แก่ร่างกาย ไลซีนเป็นตัวนำกรดไขมันเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญ ทำให้ร่างกายนำพลังงานไปใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
                      3. ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และโปรตีนต่างๆ ภายในร่างกาย ส่งเสริมให้เด็กๆ เจริญเติบโตตามวัยได้อย่างเติมประสิทธิภาพ
                      4. ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย ลดโอกาสการเจ็บป่วย
                      5. ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม เสริมสร้างความแข็งแรง และพัฒนาการของกระดูกได้ดีขึ้น

                      ส่วนวิตามินบี คอมเพล็กซ์ ที่ประกอบไปด้วย วิตามิน B1 B2 B3 B5 B6 และ B12 เป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วยให้เจริญอาหารในเด็กได้ด้วยเช่นกันค่ะ การทำงานของวิตามินบี ก็คือจะไปช่วยเสริมกระบวนการเผาผลาญ ทำให้ร่างกายมีความอยากอาหารมากขึ้นค่ะ

                      Seven Seas วิตามินบำรุงร่างกายสำหรับเด็ก ได้รับรางวัล Mommy’s Choice จาก  Amarin Baby & Kids Awards 2020 สาขา KIDS DIETARY SUPPLEMENT คุณพ่อคุณแม่อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม คลิกที่ https://www.facebook.com/sevenseasthailand/

                      ทีมแม่ABK หวังว่าคำแนะนำที่นำมาฝากกันนี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกครอบครัว ที่กำลังเจอกับปํญหาลูกเบื่ออาหาร ไม่อยากกินข้าว จะได้นำไปปรับใช้กันนะคะ

                      #SevenSeas #Lysine #VitaminB

                        BEEP HAPPY MOMMY น้ำหัวปลีสกัดเย็น HPP

                        BEEP HAPPY MOMMY น้ำหัวปลีสกัดเย็น HPP ตัวช่วยคุณแม่ยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

                        BEEP (บีบ) น้ำผักและผลไม้สกัดเย็นแท้ 100% ขอแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด BEEP HAPPY MOMMY น้ำหัวปลีสกัดเย็น HPP ตัวช่วยเรื่องน้ำนมของคุณแม่ยุคใหม่ผู้รักสุขภาพ คิดค้นสูตรโดยนักโภชนาการและนักกำหนดอาหารระดับแถวหน้าของประเทศ ผ่านกรรมวิธีการสกัดเย็นด้วยเทคโนโลยี HPP (High Pressure Processing) ซึ่งฆ่าเชื้อด้วยแรงดันน้ำแทนการใช้ความร้อน เพื่อช่วยล็อคความสดและคงคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์ไว้อย่างครบถ้วน พร้อมยืดอายุการเก็บได้นานกว่า 30 – 45 วัน ผสมผสานวัตถุดิบคุณภาพดี อาทิ หัวปลี มัลเบอร์รี่ โป๊ยกั๊ก อินทผลัม สตรอว์เบอร์รี่ โกจิเบอร์รี่ และขิง ซึ่งอุดมไปด้วยแคลเซียม โปรตีน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน มีส่วนช่วยในการเพิ่มปริมาณน้ำนม เพิ่มคุณค่าสารอาหารในน้ำนมแม่ ช่วยบำรุงร่างกาย ลดความเครียด ผ่อนคลายระบบประสาท ลดการอักเสบและการอุดตันของท่อน้ำนม กระตุ้นให้น้ำนมไหลได้ดีขึ้น พร้อมเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพคุณแม่หลังคลอดและปลอดภัยต่อลูกน้อยที่คุณรัก

                        BEEP HAPPY MOMMY น้ำหัวปลีสกัดเย็น HPP

                        BEEP HAPPY MOMMY น้ำหัวปลีสกัดเย็น HPP

                        พิชญาภา ชินภูติ เจ้าของแบรนด์ BEEP กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ว่า “สำหรับ BEEP HAPPY MOMMY น้ำหัวปลีสกัดเย็น HPP เป็นผลิตภัณฑ์ที่เราให้ความใส่ใจทั้งเรื่องของวัตถุดิบที่ปลอดสาร ปลอดภัย ไม่มีสารปรุงแต่ง และสดใหม่ เข้มข้นแบบ 100% โดยใช้เทคโนโลยี Ultrasonic และ Ozone ในการล้างผักผลไม้ทุกชนิดก่อนทำการสกัดเย็นด้วยนวัตกรรมแบบพิเศษ เพราะเราใส่ใจถึงความสำคัญของการดูแลคุณแม่ตั้งแต่ช่วงใกล้คลอดไปจนถึงหลังคลอดลูกรัก ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่า BEEP เป็นน้ำหัวปลีที่สดที่สุดในตลาด พร้อมอุดมไปด้วยคุณประโยชน์และสารอาหารครบถ้วน เมื่อดื่มแล้วจะรู้สึกสดชื่น หายเหนื่อยล้า โดยมี 2 รสชาติให้ลิ้มลอง ได้แก่ รส Original Banana Blossom และรส Strawberry Banana Blossom ซึ่งเราเชื่อว่าคุณแม่จะแฮปปี้และยิ้มอย่างมีความสุขหลังได้ลองน้ำหัวปลีสกัดเย็น HPP ของเรา”

                        หมดห่วงเรื่องน้ำนมแม่ พร้อมสัมผัสรสชาติใหม่ที่ทั้งสด ใหม่ ดื่มง่าย และสดชื่นลงตัวของ BEEP HAPPY MOMMY น้ำหัวปลีสกัดเย็น HPP ใน 1 ชุด จำนวน 24 ขวด ราคา 2,500 บาท (จากราคาปกติ 2,760 บาท) สั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ https://bit.ly/beepthailand หรือ https://shop.line.me/@beepthailand

                        BEEP HAPPY MOMMY น้ำหัวปลีสกัดเย็น HPP

                        สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และติดตามความเคลื่อนไหวของ BEEP ได้ทาง Facebook: BEEP Happy Mommy หรือทางเว็บไซต์ https://beep.asia/

                          5 วิธีเตรียมความพร้อมให้ลูกก้าวทันเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต

                          ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าโลกเราปัจจุบันนี้มีวิวัฒนาการในเรื่องเทคโนโลยีที่ก้าวไกล รอบตัวเต็มไปด้วยความล้ำสมัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคนี้ ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีของเด็กสมัยใหม่จำเป็นมากค่ะ

                          วันนี้เราขอแนะนำ 5 วิธี ง่ายๆ จากโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรีกรุงเทพ ซิตี้แคมปัส ในการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กๆ สู่โลกดิจิทัลในอนาคต

                          1. กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น

                          เด็กๆ มักจะอยากรู้อยากเห็น อยากค้นหาคำตอบ และก็จะมีคำถามว่า ที่ไหน ใคร อะไร อันไหน อย่างไร เราจึงควรส่งเสริมให้เด็กๆ ตั้งคำถาม โดยคุณพ่อคุณแม่ และคุณครู ควรตอบในทุกๆ คำถามด้วยความจริง และใช้คำพูดและภาษาที่เป็นมิตรกับเค้า เพราะวัยเด็กเป็นวัยทีสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานชีวิต ประสบการณ์และความรู้รอบตัวทั่วๆ ไป ก็คือพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้เค้าเรียนรู้เรื่องใหม่อย่างเทคโนโลยีได้ดีขึ้น

                          โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี

                          2. จัดสภาพแวดล้อมเพื่อความคิดสร้างสรรค์

                          เด็กๆ มักจะชอบจินตนาการ และมีความคิดสร้างสรรค์ที่ควรได้รับการส่งเสริมอยู่เสมอ แต่สภาพแวดล้อมที่บ้านและที่โรงเรียนเหมาะสมที่จะให้เด็กๆ ได้สำรวจ และทดลองอย่างปลอดภัยหรือไม่ การจัดพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้และเอื้อต่อจินตนาการ จะเปลี่ยนให้การวิ่งเล่นสนุกกับตุ๊กตาไดโนเสาร์ของเด็กๆ เป็นการพัฒนาทักษะสมองในส่วนต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับอารมณ์ สังคม การสื่อสาร ความคิดสร้างสรรค์ และที่สำคัญที่สุดคือ ทักษะการแก้ปัญหา

                          มาร่วมสร้างจินตนาการ และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ด้วยการจัดสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศเพื่อการเรียนรู้กันนะคะ

                          โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี

                          3. ค้นหาคำตอบด้วยการสำรวจและทดลอง

                          การที่เราส่งเสริมให้เด็กได้สำรวจ ตั้งสมมุติฐาน ทดลอง และทดสอบสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างเปิดกว้าง เช่น เมื่อเด็กๆ เล่นกับน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแค่การเทน้ำลงไปในแก้วที่เต็มอยู่แล้ว เพื่อทดลองว่าถ้าไม่หยุดเทจะเกิดอะไรขึ้น น้ำจะไปไหน หรือจะถ้าผสมสิ่งนั้นกับสิ่งนี้แล้วจะเป็นอะไร จะสามารถช่วยพัฒนากระบวนการคิด วิเคราะห์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารจัดการข้อมูลมหาศาลของโลกดิจิทัล รวมถึงการเขียนโปรแกรมหุ่นยนต์ และการออกแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีความสลับซับซ้อน

                          การพิสูจน์หาคำตอบผ่านการสำรวจและทดลองนอกจากจะช่วยให้สมองได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์แล้ว ยังกระตุ้นความจำ ความคิดเชิงตรรกะ และความสามารถในการประมวลผลอย่างรวดเร็วอีกด้วยค่ะ

                          โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี

                          4. ข้อควรปฎิบัติ: เทคโนโลยีเป็นเพียงแค่เครื่องมือ

                          เราควรให้เด็กๆ ได้รู้จักกับเทคโนโลยีเมื่อไหร่ถึงจะเหมาะสม และไม่เป็นโทษต่อตัวเค้า แน่นอนว่าเราปฏิเสธไม่ได้เลยที่จะไม่ให้เด็กได้เข้าใกล้เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งถ้าใกล้ตัวที่สุดนั่นก็คือ อุปกรณ์สื่อเทคโนโลยี อย่างโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และโน๊ตบุ๊ค เมื่อไหร่ก็ตามที่จะให้เด็กๆ ได้ลองใช้ คุณพ่อคุณแม่สามารถกำหนดกับลูกว่าให้ใช้แค่ไหน ใช้อย่างไร และใช้เพื่ออะไร การเข้าถึงเว็บไซต์ รายการ และข้อมูลแบบไหนที่จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กๆ และการเรียนของลูก โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้สื่อเทคโนโลยี โดยฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าลูก เพราะเด็กๆ จะซึมซับและเข้าใจถึงความพอดีในการใช้จากพฤติกรรมของคุณพ่อคุณแม่

                          ที่สำคัญที่สุดคือ การสอนลูกให้เข้าใจตั้งแต่ยังเล็กๆ ว่าสื่อเทคโนโลยีเป็นเพียงเครื่องมือ เหมือนค้อนมีไว้ตอกตะปู หรือช้อนส้อมที่ใช้ตักอาหาร มิใช่โลกแห่งความจริง และไม่ยึดติดกับโลกโซเซียล โดยเมื่อไหร่ก็ตามที่ความสงสัยใคร่รู้ของเด็กๆ มาเจอกับความสามารถในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลให้เป็นเครื่องมือช่วยในการเดินทางสู่จุดหมาย พลังของเทคโนโลยีก็จะถูกนำมาใช้แก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และเกิดประโยชน์สูงสุด

                          5. มองการเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาส

                          เพราะมนุษย์ดำเนินชีวิตตามความเคยชิน การสร้างกิจวัตร และระเบียนแบบแผนในชีวิตตั้งแต่เด็กจึงมีความสำคัญ อย่างไรก็ตามชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง และเทคโนโลยีดิจิทัลก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดที่สามารถปรับตัวให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงก็จะสามารถใช้การเปลี่ยนแปลงนี้ให้เกิดประโยชน์ได้มากที่สุด ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นเรื่องยาก และมักจะเป็นเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของเราเสมอ แต่สิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุมได้คือตัวเอง ดังนั้นการปรับเปลี่ยนมุมมองและความคิด บวกกับการเรียนรู้ว่าสิ่งไหนที่สามารถควบคุมได้ สิ่งไหนควบคุมไม่ได้ และให้ความสำคัญเฉพาะสิ่งที่เราควบคุมได้ การเปลี่ยนแปลงก็จะกลายเป็นโอกาส

                          โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี

                          โรงเรียนโชรส์เบอรี ซิติ้แคมปัส เป็นโรงเรียนระดับอนุบาลและประถมศึกษา (3-11 ปี) แห่งแรกของโลกที่นำหลักสูตรการออกแบบ วิศวกรรม และสถาปนิก (Design, Engineer, Construct – DEC) จากประเทศอังกฤษมาใช้ในการเรียนการสอนเด็กวัยแรกเรียน โดยภายในห้องเรียนภาควิชาการออกแบบและเทคโนโลยี ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของเด็กๆ โดยเฉพาะ จะประกอบไปด้วยชุดแล็ปท็อปที่เพรียบพร้อมไปด้วยซอฟแวร์ CAD/CAM หุ่นยนต์ เครื่องปริ้นสามมิติ เครื่องตัดเลเซอร์ พื้นที่เวิร์กช็อป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทออื่นๆ อีกมากมาย

                           เตรียมพบกับหัวหน้าภาควิชาการออกแบบและเทคโนโลยี เคที่ ฮอลแลนด์ ได้ในงานเปิดบ้านออนไลน์ ผ่านโปรแกรมซูม ในหัวข้อการออกแบบและเทคโนโลยี (Virtual Open House: Why Design & Technology?) ในวันเสาร์ที่ 30 ม.ค. นี้ เวลา 10.00 น. โดยคุณครูเคที่ จะมาร่วมพูดคุยกับคุณอแมนด้า เดนนิสสัน อาจารย์ใหญ่ โรงเรียนโชรส์เบอรี ซิติ้แคมปัส ถึงความสำเร็จของการเรียนการสอนตามแนวทางโชรส์เบอรี สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจเยี่ยมชมโรงเรียนออนไลน์ สามารถลงทะเบียนได้ที่นี่

                           

                          WWW.SHREWSBURY.AC.TH/CITY   

                          FACEBOOK , INSTAGRAM, TWITTER, YOUTUBE @SHBCITYCAMPUS

                          [email protected]

                          +66 2 203 1222

                           

                            ฆ่าเชื้อโรค

                            10 สิ่งของเสี่ยงติดโควิด พ่อแม่ควรระวังป้องกัน ฆ่าเชื้อโรค ก่อนถึงตัวลูก!

                            พ่อแม่ต้องระวัง…ก่อนพาเชื้อเข้าบ้าน! นี่คือ 10 สิ่งของ สุดเสี่ยงที่อาจมีเชื้อไวรัสโควิด – 19 ติดอยู่ ต้องป้องกัน ฆ่าเชื้อโรค ก่อนเชื้อนั้นจะมาถึงตัวลูก

                            แนะวิธีป้องกันไวรัสโควิด – 19 รีบ ฆ่าเชื้อโรค ก่อนถึงตัวลูก!!

                            จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 ที่กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย และยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็มีข่าวการติดเชื้อมากมายโดยเฉพาะ แม้ผู้ติดเชื้อจะอาศัยอยู่แต่ในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุหรือ ลูกเล็กเด็กแดง ก็พากันป่วยติดเชื้อไปด้วย

                            ฆ่าเชื้อโรค

                            ซึ่งสาเหตุมาจากการที่พ่อแม่หรือคนในบ้านเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยง รวมไปถึงพื้นที่สาธารณะ ซึ่งที่นั้นอาจมีเชื้อโรค หรือเชื้อไวรัสโควิดเกาะอยู่บนสิ่งของ และพื้นผิวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ราวบันได, ราวจับรถสาธารณะ, ลูกบิดที่จับประตู, ตู้กดเงิน ATM, ตะกร้า/รถเข็นในซุปเปอร์มาร์เก็ต, ปุ่มกดลิฟต์ ห้องน้ำสาธารณะ หรือแม้แต่ในอากาศ … ทั้งนี้หากเผลอไปสัมผัสโดน และไม่ได้ล้างมือทันที เชื้อโรคหรือเชื้อโควิด – 19 ก็อาจติดมากับสิ่งของเครื่องใช้ที่ติดอยู่กับตัวที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใช้มือหยิบจับบ่อยครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้านหากไม่ป้องกัน ฆ่าเชื้อโรคก่อน ก็อาจทำให้เชื้อนั้นเข้ามาแพร่กระจายต่อในบ้านได้นั่นเอง

                            ฆ่าเชื้อโรค

                            10 สิ่งของสุดเสี่ยง อาจมีเชื้อไวรัสโควิด – 19 ติดอยู่

                            ทั้งนี้เมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งที่ต้องระวังก่อนเข้าบ้าน คือของใช้ต่างๆ ที่ติดตัวคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งสิ่งของเรานั้นผ่านการใช้มือที่สัมผัสบ่อยที่สุด หรือบางอย่างที่พกติดตัวไปก็อาจมีเชื้อโรค หรือเชื้อโควิดติดอยู่ ได้แก่

                            1. เหรียญ / ธนบัตร

                            2. โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต โน๊ตบุ๊ค

                            3. กระเป๋าถือ

                            4. ถุงผ้า ถุงพลาสติก

                            5. กระเป๋าสตางค์

                            6. เครื่องสำอาง

                            7. กุญแจรถ

                            8. เสื้อผ้า หมวก เสื้อคลุม

                            9. รองเท้า

                            10. นาฬิกา แหวน

                            จากสิ่งของทั้ง 10 อย่างเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องได้รับการฆ่าเชื้อโรคก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 มาสู่ลูกน้อยหรือสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว โดยคุณพ่อคุรแม่สามารถใช้ สามารถใช้ UV CARE POCKET STERILIZER (WHITE) อุปกรณ์ทำความสะอาดเชื้อโรค ฆ่าเชื้อโรค แบบพกพา นวัตกรรมขนาดเล็ก  มีน้ำหนักเบา ไร้สาย ผลิตขึ้นมาเพื่อกำจัดเชื้อไวรัส ฆ่าเชื้อโรคได้ทุกที ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน หรือตามสิ่งของเครื่องใช้ที่เป้นของส่วนตัวดังที่กล่าวมาข้างต้นทั้ง 10 อย่าง ก็สามารถใช้ UV Care Pocket Sterilizer อุปกรณ์ฆ่าเชื้อนี้จัดการได้ทันที โดยเฉพาะฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคหลายชนิดรวมถึง เชื้อไข้หวัดใหญ่ H1N1 และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์อื่นๆ

                            เชื้อโควิดบนสิ่งของ

                            ✨ สำหรับ UV Care Pocket Sterilizer อุปกรณ์ฆ่าเชื้อแบบพกพา จะช่วยทำลายสิ่งสกปรก ฆ่าเชื้อโรค เชื้อโควิดบนสิ่งของ และเชื้อโรคที่อาจส่งผลต่อสขุภาพ ด้วยกระบวนการฆ่าเชื้อไวรัส ,แบคทีเรีย ,สารก่อภูมิแพ้ และเชื้อรา ด้วยนวัตกรรมแสง UV-C ที่มีความยาวคลื่น 253.7 นาโนเมตร โดยผ่านการทดลองและทดสอบจากห้องแล็ป ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อไช้หวัดใหญ่สายพันธ์ H1N1 และ MRSA ได้ภายในเวลา 1 วินาที เหมาะสำหรับฆ่าเชื้อโรคสิ่งของขนาดเล็ก เช่น โทรศัพท์มือถือ รีโมทคอนโทรล คีย์บอร์ด อ่างล้างหน้า ของเล่นเด็ก ตุ๊กตา เครื่องเอทีเอ็มและอื่นๆอีกมากมาย

                            การใช้งานก็แสนง่าย สะดวกและรวดเร็ว เพียงแค่ฉายแสงยูวีซีไปที่สิ่งที่คุณต้องการทำความสะอาด เชื้อโรคก็จะถูกฆ่าในทันที!! ไม่ต้องคอยเหมือนการใช้สเปร์ย์ หรือการทำความสะอาดด้วยสารเคมี ง่ายต่อการใช้งาน

                            ฆ่าเชื้อโรค

                            ✨หากคุณพ่อคุณแม่สนใจ UV Care Pocket Sterilizer อุปกรณ์ ฆ่าเชื้อโรค แบบพกพา จากอเมริกา สามารถสั่งซื้อในราคาพิเศษเพียง 1,099.00 บาท (จากปกติ: 1,690.00 บาท) อย่ารอให้ภัยมาถึงตัว อย่ารอให้สายเกินไป ปกป้องคนที่คุณรัก คลิกเลย >> https://bit.ly/2XxH1RA

                             

                            ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับวิธีป้องกันและปฏิบัติตัว เพื่อไม่เป็นการนำเชื้อเข้ามาในบ้าน คุรพ่อคุณแม่สามารถทำได้ดังนี้

                            • ทำความสะอาด และ กำจัด ฆ่าเชื้อโรค ภายในรถ ในจุดที่สัมผัสบ่อยๆ ด้วยแอลกอฮอล์
                            • ถอดรองเท้าและเก็บไว้นอกบ้าน เพราะมีโอกาสที่รองเท้าจะไปสัมผัสเชื้อโรค ซึ่งหากต้องการนำเข้าบ้านก็สามารถ ฆ่าเชื้อโรค ด้วยเครื่อง UV Care Pocket Sterilizer นี้ก่อนก็สามารถนำร้องเท้าเข้ามาไว้ในบ้านได้แล้ว

                            ฆ่าเชื้อโรค

                            • หมวก หรือเสื้อคลุม ให้ถอดออกนอกบ้าน แล้วนำไปซัก หรือแขวนตากแดดในที่โล่ง
                            • หน้ากากผ้า หรือเสื้อผ้าที่ใส่แล้วให้นำไปซักทันทีอย่าเก็บไว้ โดยให้แยกซักผ้าที่ใช้ใส่ไปนอกบ้าน และในบ้าน ส่วนหน้ากากผ้าให้แยกซักมือ
                            • หากใส่หน้ากากอนามัย ก่อนเข้าบ้านให้ถอดออกแล้วใส่ถุงพลาสติก แยกทิ้งจากขยะทั่วไ
                            • ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บริเวณนอกบ้าน หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ก่อนเข้าบ้าน หรือจับลูกบิดประตู
                            • อุปกรณ์ส่วนตัวที่ใช้นอกบ้าน เช่น กระเป๋าถือ หรือ สิ่งของทั้ง 10 สิ่งที่อาจเสี่ยงติดเชื้อโรคดังที่กล่าวมาข้างต้น ให้ทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือ ฆ่าเชื้อโรค ด้วยเครื่อง UV Care Pocket Sterilizer แล้วแยกใส่กล่องเก็บไว้
                            • ไม่สัมผัสตัวกับลูกน้อย หรือสมาชิกในบ้าน รวมถึงสัตว์เลี้ยง ก่อนที่จะทำความสะอาดร่างกาย
                            • ไม่นั่งเก้าอี้ โซฟา หรือขึ้นเตียงนอน
                            • เมื่อเข้ามาในตัวบ้าน ให้รีบไปอาบน้ำและสระผมทันที

                            อย่างไรก็ตามสิ่งที่เสี่ยงรอบตัวเรามีมากมาย แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวคุณที่จะต้องดูแล และทำความสะอาดให้รอบคอบ เพราะเชื้อโควิคยังไม่หมดไป เพื่อคนที่คุณรักนะคะ


                            ขอบคุณข้อมูลจาก : www.facebook.com/thaimoph/www.facebook.com/1300.msociety.go.thwww.bugaboo.tv

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

                            ระวัง!! ภาวะ MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด โรคอันตรายที่พ่อแม่ต้องรู้!!

                            แนะวิธี “พ่อแม่ไปพื้นที่เสี่ยงโควิด” กักตัว 14 วัน ที่บ้านอย่างไร? ให้ลูกปลอดภัย ปลอดเชื้อ!

                            เชื้อโควิดบนสิ่งของ เกาะลูกบิดประตู อยู่ได้นานแค่ไหน

                            สธ.เคาะ ห้ามฉีดวัคซีนโควิด ใน “คนท้อง” และ”เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี”

                              กักตัว 14 วัน จะบอกลูกยังไงดี

                              หมอเด็กแนะ!!พ่อแม่ต้อง กักตัว 14 วัน จะบอกลูกยังไงดี?

                              ความกังวลหนึ่งเมื่อทราบว่าพ่อแม่เป็นกลุ่มเสี่ยงต้อง กักตัว 14 วัน นั่นคือ ใครจะดูแลลูก จะบอกลูกดีไหม และจะบอกยังไง มาฟังกันหมอเด็กมีคำแนะนำดี ๆ ให้

                              หมอเด็กแนะ!! พ่อแม่ต้อง กักตัว 14 วัน จะบอกลูกยังไงดี?

                              เมื่อการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาเริ่มรุนแรง จนเข้าใกล้ตัวเราเข้ามาทุกที การศึกษาวิธีการปฎิบัติตัวต่อเรื่องดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันตัวอย่างไรให้ห่างไกลการติดเชื้อ การดูแลรักษาตนเอง และคนใกล้ชิดอย่างถูกวิธี ล้วนเป็นหน้าที่ ที่เราพ่อแม่ต้องดูแลทุกคนในครอบครัวโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว และเด็ก นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราควรทำการศึกษาไว้ก่อนล่วงหน้า หากคุณพ่อคุณแม่เกิดโชคร้ายเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังการติดเชื้อจนอาจเป็นโรค COVID-19 ทำให้ต้องเข้าสู่กระบวนการการกักตัว 14 วัน (Quarantine) แล้วเราควรทำตัวอย่างไร รวมถึงสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ห่วงที่สุดนั่นคือ ลูกจะอยู่อย่างไร เมื่อไม่ได้สามารถใกล้ชิดเขาได้ ใครจะเป็นคนเลี้ยงลูก และมีวิธีอย่างไรที่จะบอกให้ลูกรับทราบแบบไม่ให้เขาต้องกระทบกระเทือนจิตใจ วิธีปฎิบัติต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อต้องกักตัวทาง ทีมแม่ ABK ได้หาคำตอบมาฝากกันเพื่อคุณพ่อคุณแม่จะได้มีแนวทางปฎิบัติตัวเมื่อจำเป็น ไม่กระทันหันจนเกินไป

                              ต้อง กักตัว 14 วัน จะบอกลูกดีไหม
                              ต้อง กักตัว 14 วัน จะบอกลูกดีไหม

                              กักตัวคืออะไร

                              การกักตัว มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Quarantine” ซึ่งแปลว่า กักบริเวณ, กักตัว โดยคำ ๆ นี้มีการปรากฏใช้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ที่มีการระบาดของกาฬโรค การกักตัวนั้นจะขึ้นอยู่กับระยะการฟักตัวของโรค ผู้ที่มีความเสี่ยง COVID-19 จะต้องกัก หรือแยกตนเองออกจากชุมชนเป็นเวลา 14 วัน แม้จะมีอาการเพียงเล็กน้อยจะต้องกักเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น และยังเป็นการสังเกตอาการตนเองก่อนเข้าพบแพทย์อีกด้วย

                              ใครบ้างเข้าข่ายต้องกักตัว

                              แน่นอนอยู่แล้วว่าผู้ที่มีความเสี่ยงจะต้องกักตนเอง คือ ผู้ที่เคยสัมผัสกับผู้ป่วยมาก่อน หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่น อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน เดินทางโดยใช้พาหนะเดียวกัน และผู้ที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงที่มีการระบาดของโรค

                              ถ้ามาจากพื้นที่เสี่ยง กักตัวเองในบ้านได้ไหม

                              การกักตัวเองในปัจจุบันถือได้ว่ามีความสะดวกสบายเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะอยู่บ้าน ก็ยังสามารถติดต่อโรคภายนอกได้อยู่ผ่านทาง Social ต่าง ๆ และอาจไม่จำเป็นต้องออกไปหาอาหารทานข้างนอกเนื่องจากในยุคนี้สามารถสั่งอาหารได้แม้อยู่ในบ้าน เมื่อความเป็นอยู่เหมือนจะไม่ใช่ปัญหาของการกักตนเองแล้ว เราจึงต้องมาเรียนรู้ต่อว่าเมื่อเรากักตนเองจะมีข้อปฏิบัติอย่างไรบ้าง

                              เว้นระยะห่าง เมื่อสงสัยว่าเสี่ยงติดเชื้อโควิด
                              เว้นระยะห่าง เมื่อสงสัยว่าเสี่ยงติดเชื้อโควิด

                              • แยกห้องนอนและห้องน้ำ ควรแยกการใช้ห้องนอน และห้องน้ำเพื่อป้องกันตัวเราเอง และลูกน้อย รวมถึงคนในครอบครัว ควรรักษาระยะห่างหากต้องอาศัยอยู่ร่วมกันระยะประมาณ 2 เมตร นอกจากนี้ยังไม่ควรใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่นด้วย
                              • ทำความสะอาดเสื้อผ้าและเครื่องนอน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ปนเปื้อนควรใช้น้ำยาในการทำความสะอาด หรือเลือกใช้แอลกอฮอล์ประมาณ 70 %ทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้
                              • ปิดจมูกเมื่อไอหรือจาม หากใช้มือปิดควรล้างมือทุกครั้งเพื่อความสะอาด แต่หากใช้วัสดุปิด เช่น กระดาษทิชชู เป็นต้น ให้นำไปทิ้งในถุงขยะแล้วปิดปากถุงให้แน่นหนา
                              • คอยสังเกตอาการของตนเอง คอยวัดไข้ของตนเองทุกวันหากมีอุณหภูมิตั้งแต่ 37.5 องศาขึ้นไป ประกอบกับมีอาการไข้ และมีปัญหาทางเดินหายใจควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจต่อไป
                              • สวมหน้ากากอนามัย ถึงแม้ว่าจะอยู่ในบ้านของตัวเราเอง แต่เชื้อโรคอาจติดมากับผู้อื่น การใส่หน้ากากอนามัยจึงเป็นแนวทางการป้องกันที่ดีทางหนึ่ง
                              • รักษาระยะห่าง ระหว่างคนในบ้านประมาณ 2 เมตร

                              การกักตัว 14 วัน อยู่ในบ้านเป็นสิ่งที่ควรทำหากเรารู้ตัวว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง และสงสัยว่าคุณพ่อคุณ แม่ติดโควิด-19 หรือไม่ การกักตัวเองในบ้านไว้ก่อนก็เป็นอีกทางเลือกเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไปสู่ลูก หรือบุคคลอื่นในบ้านได้เป็นอย่างดี

                              ข้อมูลอ้างอิงจาก www.petcharavejhospital.com

                              Self-Quarantine กักตัวเองแล้วใครเลี้ยงลูก

                              จากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ในกรณีที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ต้องทำ self-quarantine เนื่องจากอยู่ในกลุ่มเสี่ยงของการติดเชื้อ วันนี้ทีมแม่ ABK ได้นำคำแนะนำจากคุณหมอ พญ. ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว สาขาจิตเวชศาสตร์ จากรพ.สมิติเวช คุณหมอมีคำแนะนำดี ๆ มาฝากพ่อแม่ในการพูดคุยเรื่องนี้กับลูก ๆ เพื่อให้ลูกหลานของเราอยู่ได้ในระยะเวลาดังกล่าวกัน

                              วิธีอธิบายเรื่องการระบาดของโรค COVID-19 ให้ลูกฟัง

                              ก่อนจะ กักตัว 14 วัน ให้พูดอธิบายเหตุผลให้ลูกรับรู้ และเข้าใจโดยเนื้อหาการพูด ให้พิจารณาตามช่วงวัยของเด็กว่าเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโต

                              • เด็กเล็กวัยก่อนวัยเรียน วัยอนุบาล ให้พ่อแม่พูดอธิบายสั้น ๆ ง่าย ๆ ว่า พ่อแม่อาจจะติดเชื้อโรคหวัด (อ้างถึงโรคที่ลูกเข้าใจได้ง่าย ๆ เช่น โรคหวัด เป็นโรคที่เด็กเคยเป็นกันมาแล้วเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เขาเข้าใจได้ง่ายกว่า และรับรู้ว่าเป็นแล้วก็หายได้ เหมือนที่ผ่าน ๆ มา โดยไม่จำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดของโรคลงไปลึก ละเอียดเกินไปนัก) และพ่อแม่ต้องอยู่ห่างจากลูก และคนในครอบครัว 14 วัน เพื่อให้ทุกคนในบ้านปลอดภัย ไม่ต้องมีใครติดเชื้อจากพ่อแม่ได้
                              • เด็กโต วัยเรียน วัยรุ่น พ่อแม่สามารถพูดอธิบายถึงเหตุผลของการทำ self-quarantine ได้มากกว่านี้และบอกด้วยว่าสิ่งที่ทำอยู่คือ การแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเอง ครอบครัว สังคม ถือเป็นตัวอย่างของการทำความดีต่อตัวเอง และผู้อื่น จะได้เป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูกได้อีกด้วย

                                เมื่อพ่อแม่ต้อง กักตัว 14 วัน ควรทำอย่างไรดี
                                เมื่อพ่อแม่ต้อง กักตัว 14 วัน ควรทำอย่างไรดี

                              ท่าทีของพ่อแม่สำคัญมาก อย่าแสดงสีหน้าท่าทางกังวลหรือเศร้าหมองมากจนเกินไป ให้บอกตัวเอง และลูกอย่างมั่นใจว่าการกักตัวเองแบบที่กำลังทำอยู่นี้เป็นการกระทำที่ดี และเหมาะสมที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ ในบางครั้งคนเราต้องอดทนอดกลั้นต่อความต้องการบางอย่าง ในที่นี้คือความต้องการของพ่อแม่ที่จะใกล้ชิด และดูแลลูก รวมถึงความต้องการของลูกที่จะเข้าหาพ่อแม่ เพื่อให้เกิดสิ่งที่ดีกว่าในระยะยาว

                              ในกรณีทั่วไปเด็ก ๆ จะสามารถปรับตัวใช้ชีวิตอยู่กับการกักตัว 14 วัน ของพ่อแม่โดยที่มีผู้ใหญ่ใกล้ชิดคอยดูแลไปได้อย่างดีโดยที่ไม่มีปัญหาทางจิตใจ หรืออารมณ์กระทบกระเทือนจิตใจอะไร เพราะเป็นเพียงการแยกจากกันในระยะสั้น ๆ เมื่อพ่อแม่กลับจากกการกักตัว ครอบครัวก็อยู่ด้วยกันอย่างปกติได้เช่นเดิม

                              หาผู้ช่วยดูแลลูก แต่ต้องไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง

                              ในระหว่างนี้ถ้ามีผู้ใหญ่ใกล้ชิด เช่น คุณน้าคุณอา หรือคนที่คุณพ่อคุณแม่ไว้ใจสามารถมอบหมายให้อยู่ดูแลเด็ก ๆ แทนพ่อแม่ได้ ส่วนคุณลุงคุณป้า คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว กลุ่มนี้อาจต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้อยู่ใกล้ชิดกับเด็ก ๆ  เพราะผู้สูงอายุโดยเฉพาะที่อายุ  70 ปีขึ้นไป หรือ กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว จะมีอาการรุนแรงมากหากติดเชื้อขึ้นมา หากในระหว่างการกักตัวป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา ป้องกันการเกิดโรคโควิด-19 นี้ ถ้าเราคิดถึงกันเราก็ติดต่อกันได้ทาง social media สามารถ Video call หากันได้เสมอ ก็จะช่วยลดความวิตกกังวลของลูกไปได้บ้าง เขาจะได้รับรู้ว่าเราไม่ได้หายไปไหน และยังคงสบายดี

                              จิตแพทย์เด็กช่วยให้คำปรึกษาให้ลูกปรับตัวได้
                              จิตแพทย์เด็กช่วยให้คำปรึกษาให้ลูกปรับตัวได้

                              ปรึกษากุมารแพทย์พัฒนาการ หรือจิตแพทย์เด็กช่วยได้

                              ในบางกรณี หากลูกของท่านมีอาการวิตกกังวล ซึมเศร้า มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำ เช่น แยกตัว ร้องไห้บ่อย กินอาหารน้อยลงมาก นอนหลับยาก หงุดหงิด งอแง อาละวาด จนผู้ใหญ่ใกล้ชิดรับมือไม่ไหว การปรึกษากุมารแพทย์พัฒนาการหรือจิตแพทย์เด็ก น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่จะช่วยคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปกครองหาสาเหตุ ว่ามีปัจจัยอะไรแทรกซ้อนเพิ่มเติม จึงทำให้เด็กเกิดปฏิกิริยามาก ต่อการ กักตัวอยู่บ้าน ของพ่อแม่ จะได้แนะนำให้ญาติ หรือผู้ปกครองดูแลลูก ๆ ได้อย่างเหมาะสมต่อไป ซึ่งในปัจจุบันมีการให้คำปรึกษาจากคุณหมอผ่านระบบออนไลน์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องออกไปพบ หรือปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากผู้อื่น เมื่อต้องเข้าที่ชุมชน จึงเป็นการดีกว่าหากเราสามารถปรึกษาคุณหมอผ่านระบบออนไลน์ได้ ซึ่งเริ่มมีให้บริการในหลาย ๆ โรงพยาบาลแล้ว จึงไม่ต้องลังเลใจหากพบว่าลูกเริ่มมีพฤติกรรมที่ไม่ปกติ แม้เพียงเล็กน้อย เราก็สามารถปรึกษากุมารแพทย์พัฒนาการ หรือจิตแพทย์เด็ก เพื่อจะได้นำคำแนะนำของคุณหมอมาเป็นตัวช่วยให้ครอบครัวของคุณพ่อคุณแม่สามารถผ่านพ้นเหตุการณ์อันจำเป็นนี้ ให้ผ่านพ้นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น

                              การดูแลป้องกันตนเอง และครอบครัวให้ห่างไกลจากการเป็นโควิด-19 นั้น เป็นเรื่องที่เราทุกคนต้องใส่ใจ และปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่เพียงแต่เพื่อให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ แต่ยังหมายถึงการลดความเสี่ยงต่อคนในครอบครัวอันเป็นที่รักของคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย แต่หากว่าจำเป็นที่จะต้องเข้ารับการกักตัว หรือโชคร้ายติดเชื้อขึ้นมา ก็ขออย่าพึ่งวิตกกังวลมากจนเกินไปนัก เพราะทุกปัญหามีทางแก้เสมอ ตั้งสติ ปฎิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หากในระหว่างรักษาตัว หรือจำเป็นต้องกักตัว หากเกิดปัญหาก็สามารถหาคำแนะนำ และคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญมาเป็นตัวช่วยก็เป็นวิธีการที่ดีเช่นกัน อย่างน้อยหากเราสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปได้ ลูก ๆ ของเราก็จะได้รับประสบการณ์อันมีค่าในการเรียนรู้ถึง 1 ใน 10 ความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี (Power BQ) นั่นคือ ความฉลาดในการดูแลสุขภาพ (Health Quotient) ติดตัวเขาไปใช้ได้ตลอดชีวิตอีกด้วย

                              ข้อมูลอ้างอิงจาก www.samitivejhospitals.com

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              โควิดขยายวงจู่โจมทารก-เด็กเล็ก สหรัฐพบ เด็กติดโควิด19 แตะ 2 ล้านคน

                              ระวัง!! ภาวะ MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด โรคอันตรายที่พ่อแม่ต้องรู้!!

                              หมอเฉลย สาเหตุ “เด็ก 3 เดือนติดโควิด-19″ พ่อแม่ต้องระวัง!!

                              สาวไทยรีวิวฉีด วัคซีนโควิด-19 ฟรีที่แคนาดา ผลข้างเคียงเป็นยังไง

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                สอนลูกให้คิดเอง

                                เทคนิคดี สอนให้ลูกคิดเอง หาวิธีแก้ปัญหาเองได้ โดยพ่อเอก

                                เป็นเรื่องปกติ ที่เวลาลูกมาถามอะไร หรือมาให้สอนอะไร เราผู้ซึ่งเป็น คุณพ่อคุณแม่ซึ่งผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาแล้ว และก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ก็มักจะตอบหรือสอนว่าควรทำอะไรอย่างไร แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าเราสามารถ สอนให้ลูกคิดเอง ก่อนที่จะตอบคำถามลูก แม้ว่าคำตอบที่เขาตอบมาอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด ไม่ใช่วิธีที่ง่ายที่สุดก็ตาม

                                ผมเชื่อว่า ในโลกที่ลูกเรากำลังเติบโตขึ้นมา มันจะไม่สามารถใช้สูตรและสมการที่คนรุ่นเราใช้และประสบความสำเร็จมาแล้วได้ เพราะทางเลือกอันมากมาย จากการพัฒนาทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงของสังคม รวมไปถึงสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การรู้จักคิดตั้งโจทย์เอง คือ สิ่งที่สำคัญกว่า การแก้ปัญหาโจทย์ แบบที่คนรุ่นเราโตขึ้นมา

                                การจะ สอนให้ลูกคิดเอง หาคำตอบเอง มันคือการกระตุ้นให้รู้จักการตั้งโจทย์เอง เพราะพอมีปัญหานึง เขาจะเริ่มตั้งโจทย์ย่อยว่า ว่าทำไม อะไร อย่างไร แล้วหาทางแก้ปัญหา แต่นั่นแหละการจะกระตุ้นให้ลูกรู้จักคิดเอง มันก็มีความยากของคุณพ่อคุณแม่อยู่มี 2 อย่าง คือ

                                • จะยับยั้งใจตัวเองไม่ให้รีบให้คำตอบได้อย่างไร ซึ่งเหตุการณ์ตัวอย่างการปล่อยน้ำออกจากสระยางที่ผมจะเล่าให้ฟังข้างล่างเป็นตัวอย่างนึงว่า ถ้าเราบอกว่า ต้องทำแบบเรา เขาก็อาจจะทำแบบเรา แต่พอเราไม่บอก เขาอาจจะได้คำตอบและวิธีที่ดีกว่าเสียอีก
                                • จะยับยั้งใจตัวเองไม่ให้ตัวเองไปด้อยค่าคำตอบของลูก โดยยังไม่ได้ให้โอกาสเขาได้ลอง สมมติ มีของเล่นบางอย่างที่แตกหัก เด็กเข้าใจว่ากาวที่เราใช้แปะกระดาษมันสามารถแปะทุกอย่างในโลกได้ ถ้ามันไม่เสียหายอะไร ผมจะพยายามให้เขาลองก่อน เขาก็จะเรียนรู้ว่าได้หรือไม่ได้แล้วค่อยๆ ปรับหาวิธีที่ดีขึ้น เพราะหากเราไปเบรกเขาแต่ต้นทุกครั้ง แล้วบอกว่าต้องทำอย่างไร เขาก็จะเติบโตด้วยการเดินมาถามหาคำตอบ มากกว่าหาคำตอบด้วยตัวเอง

                                เทคนิค สอนให้ลูกคิดเอง หาวิธีแก้ปัญหาเองได้

                                เมื่อช่วงล็อคดาวน์กลางปี 2563 ช่วงนั้นสระน้ำยางเป็นของฮิตประจำครอบครัวที่มีเด็กเลย ครอบครัวเราเองก็เช่นกัน มีวันหนึ่งเราก็ลงเล่นน้ำในสระยางกับลูก พอได้เวลาเลิกเล่นก็จะต้องปล่อยน้ำออก​ ซึ่งวิศวกรความรู้ท่วมหัวอย่างผม ปกติถ้าเป็นคนปล่อยน้ำออก ก็จะทำตามขั้นตอนที่ควรทำคือ เปิดจุกที่อุดน้ำออก เพื่อปล่อยน้ำไหลออก​ไปตามรู ซึ่งรูของสระยางก็จะไม่ใหญ่นัก แต่ละครั้งก็ใช้เวลานานอยู่ เพราะสระยางมีขนาดยาวประมาณ 2.6 เมตรก็จุน้ำได้ไม่น้อย แต่วันนั้นพอเล่นเสร็จผมเดินเข้ามาหยิบของในบ้าน พี่ปูนปั้นก็ตะโกนขึ้นว่า

                                “ป๊าครับ… ปูนปั้นปล่อยน้ำเลยนะ”

                                แต่แทนที่พี่ปูนปั้นจะเปิดจุกปล่อยน้ำ พี่ปูนปั้นใช้วิธีเปิดจุกปล่อยลมสระแทน แป้บเดียวเท่านั้นเองสระก็ยวบแฟบลง แล้วน้ำหนักของน้ำก็ไหลครืนออกจะสระเกลี้ยงในแป้บเดียว ผมเดินมาเห็นก็หัวเราะกร๊าก แล้วก็บอกลูกว่า

                                “เออนั่นสิ…แบบนี้ เร็วกว่าตั้งเยอะ”

                                วิธีเอาลมออกจากสระเป่าลม
                                วิธีเอาลมออกจากสระเป่าลม

                                ———————-

                                อีกวิธีนึงที่ผมใช้ฝึกให้ลูกคิดเอง (ซึ่งจริงๆ ส่วนนึงก็ต้องขอบคุณวิธีการสอนของโรงเรียนที่ลูกอยู่ด้วยที่ชอบปล่อยให้เด็กคิดเองหาวิธีเอง) ผมมักจะให้ โจทย์ง่ายๆ ที่ต้องไปคิดวิธีการเอง เช่น เมื่อสัปดาห์ก่อนผมบอกให้ลูกไปหาขนาดของพื้นที่ของที่จอดรถของบ้านเรา

                                ลูกก็เริ่มคิด ทีแรกก็นึกไม่ออกว่าจะไปวัดอย่างไร (ไม้บรรทัดมันคงสั้นไป) ผมก็เลยถามว่า เวลาจะวัดอะไรยาวๆ เราใช้อะไรวัดดี ทีแรกลูกบอกไม้เมตร ผมก็บอกว่า นั่นก็โอเคเนอะ แต่เราไม่มีอะไร เขาก็นึกต่อแล้วก็ อ้อออ ตลับเมตร แล้วเขาก็ไปหยิบตลับเมตร พร้อมชวนน้องสาวออกไปด้วย (เพื่อช่วยก็จับสายวัด) สักพักทั้ง 2 กลับมาพร้อมรูปสี่เหลี่ยมที่มีความกว้าง ยาว ตามที่วัดมา คราวนี้ก็เกิดคำถามต่อมาแล้วจะตอบเป็นขนาดพื้นที่ได้อย่างไร ในที่สุดก็ออกมาเป็นการตีตารางเป็นช่องแล้วนับเป็นจำนวนช่อง ซึ่งนั่นก็ถูกต้อง และนั่นคือที่มาของคำว่า ตารางเมตรของสูตรในการหาพื้นที่ที่เราเรียนกันมาแต่เด็กนั่นแหละ (ปล. ผมเคยสอน โดยเอาตัวเลโก้ที่ยาวเท่าๆ กัน เป็นแถวๆ มาเรียงหลายๆ ตัว เขาก็ได้เรียนรู้ว่ามันคือการบวกจำนวนเท่าๆ กันหลายๆครั้ง แล้วต่อมาเขาก็เข้าใจว่ามันคือการคูณ) พอทำเสร็จมันก็เลยได้ข้อสรุปเป็นสูตรการหาพื้นที่สี่เหลี่ยมไปเลย (เราเรียนตอนเด็กๆ โดยท่องสูตร กว้างคูณยาว แล้วก็ได้คำตอบ แต่วิธีแบบนี้จะทำให้เด็กหาสูตรเองโดยไม่ต้องท่องจำ)

                                สอนลูกคำนวณพื้นที่โรงรถ
                                สอนลูกคำนวณพื้นที่โรงรถ

                                อีกหนึ่งวิธีที่ผมพยายามทำเสมอคือ ไม่ว่าลูกจะมาถามอะไร ผมพยายามจะตั้งคำถามกลับว่า แล้วลูกคิดว่า มันเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วลูกคิดว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรดี แต่อย่าลืมนะครับ ถ้าถามลูกแล้ว กลับไปเตือนตัวเองข้อ 1) และ 2) ข้างบนด้วยครับ


                                การสอนให้ลูกคิดเองได้ คิดเองเป็น หาวิธีแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง เป็นหนึ่งใน 10 ความฉลาด Power BQ ที่เด็กยุคนี้ต้องมี Thinking Quotient (TQ) ฉลาดคิดเป็น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างเสริมให้ลูกได้ เพื่อให้ลูกประสบความสำเร็จในแบบของเขาเอง ตามตัวอย่างที่พ่อเอกได้แนะนำไว้ คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปปรับใช้ไม่ยากเลย

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                ชวนลูกทำอาหาร “สร้างความมั่นใจ” ติดตัวไปจนโต โดย พ่อเอก

                                6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว โดย พ่อเอก

                                5 เทคนิค อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เริ่มตอนไหน? อ่านยังไง? โดย พ่อเอก

                                แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก โดย พ่อเอก

                                แชร์ประสบการณ์ ฝึกวินัยการกินให้ลูก กินข้าวตรงเวลา โดยพ่อเอก


                                >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                                หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                                ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
                                ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  เห็บหมาเข้าหูลูก

                                  อุทาหรณ์!! เลี้ยงหมาในบ้าน ระวัง “เห็บหมาเข้าหูลูก” 

                                  เฟซบุ๊ค กลุ่มคนมีลูก แชร์เรื่องราวเตือนใจคนเลี้ยงหมาในบ้าน ระวัง “เห็บหมาเข้าหูลูก” พร้อมวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ถูกต้อง

                                  อุทาหรณ์!! เลี้ยงหมาในบ้าน ให้ระวัง “เห็บหมาเข้าหูลูก”

                                  หลายครอบครัวรักสัตว์ เลี้ยงน้องหมา น้องแมว เสมือนเป็นลูก หรือคนสำคัญในครอบครัว แม้จะมีลูกน้อยมาเป็นสมาชิกใหม่ แต่ก็ไม่ต้องการย้ายสัตว์เลี้ยงดั้งเดิมออกจากบ้าน จนลืมระแวง”เห็บ” ปรสิตร้ายที่แฝงมากับสัตว์เลี้ยงแสนน่ารัก

                                  ล่าสุดได้มีการแชร์เรื่องเห็บสุนัขเข้าหูลูกไว้ในเฟซบุ๊ค กลุ่มคนมีลูก โดยคุณแม่ลูกแก้ว ผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ ไอติม ช็อกโกแลต ได้แชร์เหตุการณ์เกิดขึ้นกับลูกชาย น้องวอดก้า 1 ขวบ 4 เดือน เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยแม่ๆ บ้านอื่นๆ ที่เลี้ยงหมาไว้ในบ้าน

                                  “เตือนภัย!! สำหรับคนที่เลี้ยงหมาในบ้าน
                                  เห็บตัวร้ายอันตรายจริงๆ ค่ะ แม่เอะใจทำไมหูลูกแดงผิดปกติ เอาไฟส่องดูนังเห็บตัวดีมาอยู่ที่ใบหูลูก ยังโชคดีที่อยู่แค่ด้านนอกหู ฝากแม่ๆระวังกันด้วยนะคะ”

                                  เห็บหมาเข้าหูลูก

                                  นอกจากเคสคุณแม่ลูกแก้วแล้ว ยังพบอีกหลายเคสที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เรื่อยๆ เช่น

                                  เคสที่ 1

                                  ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Kwang Airada Preewan ได้โพสต์รูปและข้อความเตือนภัย เรื่อง เห็บหมาเข้าหูลูก วัย 4 ขวบ 6 เดือน คุณแม่เจ้าของเรื่องเล่าว่า ลูกชายบ่นเจ็บหูมาหลายวัน อาการเหมือน ยุงกัดหู เหมือนมดกัดข้างในหู ผู้เป็นแม่จึงใช้ไฟฉายส่องดู แล้วก็ต้องตกใจที่พบกับเห็บในหูเป็นจำนวนมาก รีบพาลูกส่งโรงพยาบาลทันที แต่ด้วยความที่ไข่เห็บเยอะมาก แพทย์จึงต้องวางยาสลบ เพื่อคีบไข่เห็บออกมาให้หมด จึงฝากเตือนผู้ปกครองให้ระวังกันภัยใกล้ตัวจากเห็บหมา แม้จะไม่ได้เลี้ยงหมา ก็อาจพบเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนตนได้

                                  เห็บเข้าหู
                                  อุทาหรณ์! เห็บวางไข่ในหู เด็กวัย 4 ขวบ

                                  Must Read >> อุทาหรณ์! แม่ช๊อคเจอ เห็บเข้าหู วางไข่ในหูลูกเป็นสัปดาห์!

                                  เคสที่ 2

                                  เพจเฟซบุ๊ก “PDRC ศูนย์วิจัยโรคปรสิต สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี” โพสต์เตือนภัย ว่า

                                  “คงเคยได้ยินเกี่ยวกับเห็บเข้าหูผู้ป่วยเรื่อยๆ เช่นเดียวกับผู้ป่วยเด็กชายวัย 9 ขวบรายนี้มาหาหมอที่ไปโรงพยาบาลด้วยอาการเสียงที่หูขวาดังหึ่งมา 3 วัน จากสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง แพทย์ตรวจพบเห็บเกาะอยู่ที่เยื่อแก้วหู และมีการอักเสบบริเวณดังกล่าว เอาออกได้ค่อนข้างลำบาก จนต้องดมยาสลบแล้วนำเข้าห้องผ่าตัด เพื่อส่องกล้องคีบเอาเจ้าเห็บสายพันธุ์ “Dermacentor variabilis” ตัวนี้ออก แพทย์ให้ยา ciprofloxacin สำหรับหยอดรักษาเยื่อแก้วหู จากนั้นอาการก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ

                                  หากท่านชื่นชอบเลี้ยงสัตว์รวมถึงลูกๆ ที่ชอบเล่นกับสัตว์เลี้ยง ก็ต้องหมั่นดูแลสัตว์ของเราให้ปลอดจากเห็บ หรือหมัดเหล่านี้ เพื่อเราจะได้ปลอดภัยไม่เป็นเช่นผู้ป่วยรายนี้ และยังลดการติดเชื้ออื่นๆ ตามมาด้วย

                                  เห็บหมาเข้าหูลูก
                                  เห็บเข้าหูเด็ก

                                  เห็บเข้าหู ปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไรดี

                                  แพทย์หญิง ภาณินี จารุศรีพันธุ์ ภาควิชา โสต ศอ นาสิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะนำวิธีฐมพยาบาลเบื้องต้น หากมีแมลง เห็บ หรือ สิ่งแปลกปลอม เข้าหู ดังนี้

                                  • รีบเอียงศีรษะข้างที่แมลงเข้าไปในหูขึ้น แล้วหยอดด้วยน้ำมันให้แมลงตาย เช่น เบบี้ออยล์ น้ำมันมะกอก น้ำมันพืช หรือยาหยอดหู ค่อย ๆ หยอดลงไป โดยดึงใบหูไปด้านหลังเพื่อให้รูหูอยู่ในแนวตรง เพื่อให้แมลงสามารถหนีขึ้นหรือลอยขึ้นมาได้
                                  • นอนตะแคงและเอียงหูลง เพื่อให้แมลงไหลลงมา
                                  • หากแมลงเข้าไปในหูแล้วมีอาการเจ็บภาย ไม่ควรหยอดน้ำมันใด ๆ ลงไป เพราะอาจจะทำให้อาการยิ่งรุนแรงขึ้น
                                  • ห้ามใช้นิ้วมือหรือสิ่งของลงไปแคะหรือเขี่ย เพราะอาจจะทำให้แมลงยิ่งลงไปลึกกว่าเดิม ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อช่วยนำออกให้

                                  ห้ามใช้ น้ำเปล่า น้ำยาล้างจาน น้ำสบู่ และน้ำยาล้างแผล หยอดลงในหูเด็ดขาด

                                  เห็บหมาเข้าหูลูก

                                  เรื่องต้องรู้เกี่ยวกับ เห็บหมัด เจ้าวายร้ายจิ๋ว

                                  1. เห็บผสมพันธุ์บนตัวหมา แต่วางไข่ที่พื้น
                                  วงจรชีวิตเห็บมี 4 ระยะ คือ ไข่ ตัวอ่อน ตัวกลางวัย และตัวเต็มวัย โดยเห็บจะผสมพันธุ์บนต้วสัตว์เลี้ยง จากนั้นจะทิ้งตัวลงพื้นเพื่อหาที่วางไข่ ซึ่งมักจะวางตามจุดอับต่างๆ เช่น ซอกกรงหมา ขอบกำแพง รอยแตกของปูน พื้นบ้าน สนามหญ้า ลักษณะขอไข่เห็บจะเป็น จุดเล็กๆ สีน้ำตาลที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เกาะอยู่ตามกำแพงบ้าน หรือพื้นบ้าน หากพบเห็นให้รีบทำความสะอาดทันที และพ่นยากำจัดเห็บบริเวณที่พบเจอไข่เห็บ
                                  2. เห็บวางไข่ได้มากถึงครั้งละ 4,000 ฟอง

                                  เห็บตัวเมียจะวางไข่เพียงครั้งเดียว แต่ปริมาณไข่นั้นมากถึง 2,000 – 4,000ฟอง โดยใช้เวลาในการวางไข่ประมาณ 10 วัน อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม หลังจากวางไข่แล้วประมาณ 3 สัปดาห์ ไข่จะฟักออกมาเป็นตัวอ่อนที่มีเพียง 6 ขา

                                  จากนั้นตัวอ่อนก็จะกลับขึ้นไปกินเลือดบนตัวสัตว์เลี้ยงจนตัวเต่ง ก่อนที่จะทิ้งตัวลงไปลอกคราบเป็นเห็บตัวกลางวัย 8 ขา และกลับขึ้นไปกินเลือดสัตว์เลี้ยงอีกครั้ง ก่อนที่จะทิ้งตัวลงสู่พื้นเพื่อลอกคราบกลายเป็นตัวเต็มวัย และผสมพันธุ์ตามวงจรไปเรื่อย ๆ ซึ่งวงจรชีวิตของเห็บใช้เวลาประมาณ 45-50 วัน

                                  3. ฤดูที่พบเห็บมากที่สุดคือ รอยต่อระหว่างฤดูร้อนกับฤดูฝน

                                  ความชื้นและอุณหภูมิที่พอเหมาะจะช่วยส่งเสริมความสมบูรณ์ของไข่ และการแพร่ขยายพันธุ์ของตัวอ่อนมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะฟักไข่ ยิ่งความชื้นสูงตัวอ่อนก็จะแพร่ขยายพันธุ์ได้มาก ดังนั้นในหน้าฝนจึงมีเห็บเยอะกว่าช่วงฤดูอื่น ยิ่งในช่วงรอยต่อของฤดูฝนที่ความชื้นกำลังพอดี คือ ประมาณช่วงเดือนเมษายนไปจนถึงกรกฏาคม สิงหาคม จะที่เป็นช่วงที่ความชื้นและอุณหภูมิเหมาะแก่การเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด

                                  Must Read >> พ่อแม่ระวัง! เห็บหมัดสุนัข และแมวช่วงหน้าฝน

                                  เห็บหมาเข้าหูลูก

                                  วิธีกำจัดเห็บให้สิ้นซากไปจากบ้านของเรา

                                  1.การกำจัดเห็บในบ้าน

                                  • อย่าปล่อยให้บ้านรก เพราเป็นที่ซ่อนตัวของเห็บได้เป็นอย่างดี
                                  • ซักเสื้อผ้าที่สกปรกมากๆ ด้วยน้ำร้อน เพราะบางครั้งเห็บจะเกาะติดอยู่กับเสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน หลีกเลี่ยงการทิ้งผ้าที่คิดว่ามีเห็บอยู่ไว้บนพื้น รวมทั้งห้ามนำผ้าที่คิดว่ามีเห็บไปใส่รวมกับเสื้อผ้าอื่นๆ
                                  • ทำความสะอาดบ้านอย่างละเอียด และสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นจากบนลงล่าง ตามซอกมุม ชั้นวางต่างๆ การใช้เครื่องดูดฝุ่นก็เป็นอีกอุปกรณ์ช่วยกำจัดเห็บเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นที่นอนของสัตว์เลี้ยง ตามโต๊ะ โซฟา เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
                                  • พ่นสารกำจัดเห็บเพิ่มเติมจากการทำความสะอาดทั่วไป
                                  • ดูแลสัตว์เลี้ยง เพราะอาจนำเห็บจากข้างนอกเข้ามาในตัวบ้าน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเห็บที่ได้รับคำแนะนำจากสัตวแพทย์

                                  2.การจำกัดเห็บนอกบ้าน

                                  เห็บที่พบนอกตัวบ้านมักพบในพื้นที่ที่มีต้นไม้ให้ร่มเงา บริเวณที่มีความชื้น หรือแม้แต่ตามทุ่งหญ้า โดยเฉพาะที่ที่มีกวางอาศัยอยู่

                                  • ตัดแต่งใบไม้รอบๆ บริเวณบ้านที่รกๆ เลี่ยงไม่ให้มีหญ้าสูงๆ ตัดหญ้าให้สั้น พยายามทำให้สวนหลังบ้าน สวนหน้าบ้านของคุณโล่ง และมีแสงสว่างส่องถึงเพราะเห็บไม่ชอบแสงแดด
                                  • ล้างทำความสะอาดลานบ้าน กวาดเก็บใบไม้แห้ง ใบไม้ร่วงต่างๆ ให้เรียบร้อย เพราะที่เหล่านี้อาจเป็นที่อยู่ของเห็บได้
                                  • ใช้ยาฆ่าแมลงที่ดูแล้วปลอดภัย

                                   3.ป้องกันเห็บ

                                  แม้เราจะดูแลสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างดี หรือบางบ้านอาจจะไม่ได้เลี้ยงเอง แต่มีเพื่อนบ้านเลี้ยง หรือมีหมาจรจัดอยู่ละแวกบ้าน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะมีเห็บนอกบ้านอพยพมาขออาศัยบ้านเราก็ได้ ดังนั้นควรป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิดเรื่องจะดีกว่า

                                  • ข้าวของต่างๆ ที่จำเป็นต้องเก็บกองรวมกัน พยายามหาที่แห้งวางเพราะถ้าเป็นกองไม้ เศษไม้เก่าๆ เมื่อวางกองรวมกันแล้วอาจเป็นที่ซ่อนตัวของเห็บได้
                                  • อย่าให้เด็กไปเล่นในบริเวณที่เราคิดว่ามีเห็บอาศัยอยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีหญ้าขึ้นสูง พื้นที่รกๆ
                                  • หมั่นตรวจสอบเด็ก หรือสัตว์เลี้ยง หลังจากพวกเขาออกไปวิ่งเล่น หรือไปเดินลุยสนามหญ้าต่างๆ ว่ามีเห็บติดมาตามศีรษะ เส้นผม วงแขน ฯลฯ หรือไม่ ห้ามบีบเห็บเป็นอันขาด เพราะจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของโรค

                                  Must Read >> ลูกโดน “เห็บกัด” อย่าชะล่าใจ อาจติดเชื้อจากโรคลายม์

                                  เห็บหมาเข้าหูลูก

                                   

                                  การเลี้ยงสัตว์ให้ปลอดภัยต่อคนในบ้าน ทำอย่างไร?

                                  สำหรับบ้านที่มีลูกเล็ก และมีสัตว์เลี้ยงตัวโปรด ทั้งที่เลี้ยงในบ้านและนอกบ้านนอกเหนือจากการดูแลเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษแล้ว ยังมีสิ่งที่ต้องระวังเพิ่มอีก ดังนี้

                                  • ไม่ปล่อยลูกไว้กับสัตว์เลี้ยงตามลำพัง
                                  • แบ่งแยกพื้นที่ของสัตว์เลี้ยงให้เป็นสัดส่วนชัดเจน ไม่ปะปนกับลูกน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่นำสัตว์เลี้ยงนอนรวมในห้องเดียวกับลูก
                                  • ทำความสะอาดบ้านอยู่เป็นประจำ โดยใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของน้ำยาฆ่าเชื้อ หรือผลิตภัณฑ์ป้องกันเห็บหมัด ที่ปลอดภัยกับเด็ก
                                  • ดูแลความสะอาดสัตว์เลี้ยงอยู่เสมอ พาไปฉีดวัคซีนกันพิษสุนัขบ้า และตรวจสุขภาพเพื่อป้องกันโรคต่างๆ
                                  • หมั่นคอยสังเกตุดูเนื้อตัวและซอกหลืบต่างๆ ในตัวลูก เพื่อป้องกันไม่ให้มีเห็บ หมัด กัดลูก หรือทำอันตรายอื่นๆ
                                  • ล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัส เล่น หรือให้อาหารสัตว์ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่คลานบนพื้นหรืออาจนำมือเข้าปาก
                                  • ไม่ให้สัตว์เลี้ยงขึ้นบนโต๊ะอาหารหรือเข้าไปในบริเวณที่เตรียมอาหาร รวมถึงไม่ควรอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงในอ่างล้างจานหรืออ่างอาบน้ำของตนเอง
                                  • ทำความสะอาดกรง รวมถึงบริเวณรอบ ๆ ที่อยู่ของสัตว์ และกำจัดมูลของสัตว์เลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งไม่ควรให้เด็ก ๆ เข้าไปเล่นในบริเวณที่เป็นที่ขับถ่ายของสัตว์ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
                                  • หลีกเลี่ยงการจูบ การนำปากเข้าไปใกล้ ๆ สัตว์เลี้ยง หรือการรับประทานอาหารจานเดียวกันกับสัตว์เลี้ยง เพราะเชื้อโรคส่วนใหญ่มักแพร่กระจายผ่านทางน้ำลาย
                                  • ขณะทำความสะอาดกรงหรือที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยหรือปิดปากและจมูกทุกครั้ง รวมทั้งขณะที่ทำความสะอาดกระบะทรายของแมว เพื่อป้องกันการหายใจเอาละอองหรือเชื้อโรคที่อาจก่อให้เกิดโรคเข้าสู่ร่างกาย
                                  • ควรพาสัตว์ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ไปตรวจรักษาโรคก่อนนำมาเลี้ยงร่วมกับสัตว์ตัวอื่น ๆ และควรแยกสัตว์ป่วยออก เมื่อรักษาจนหายดีแล้วจึงนำมาเลี้ยงร่วมกันตามปกติ

                                  Must Read >> Kid safety สอนเด็ก อย่าเล่นผิดวิธีกับสัตว์เลี้ยง

                                  นอกจากนี้สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมากในการเลี้ยงสัตว์ คือ การถูกแมวหรือสุนัขกัด โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าหรือมือ ซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและปัญหารุนแรงอื่นๆ ตามมาได้ โดยเฉพาะการถูกแมวข่วน ซึ่งจะเกิดอาการที่รุนแรงกว่าสุนัขข่วน เนื่องจากเล็บแมวมีความคมและฝังรอยเข้าไปได้ลึกกว่าเล็บสุนัข

                                  ดังนั้น หากคุณพ่อ คุณแม่ตัดสินใจที่จะมีสัตว์เลี้ยง หรืออนุญาติให้ลูกเลี้ยงสัตว์ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของคนในบ้าน จัดการแบ่งพื้นที่ให้ชัดเจน ทำความเข้าใจกับลูกถึงข้อจำกัดในการเล่นกับสัตว์เลี้ยง และให้ความรู้ลูกในการจัดการดูแลสัตว์เลี้ยงให้อยู่อย่างถูกสุขลักษณะด้วย เพื่อป้องกันอันตรายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด และเป็นการเสริมสร้างให้ลูกมี HQ (Health Quotient) หนึ่งใน 10 Power BQ ความฉลาด 10 ด้าน ที่เด็กยุคใหม่ควรมี

                                  HQ คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ เพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว

                                  Must Read >> เด็กยุคใหม่ ทำไมต้องมี Power BQ ติดอาวุธให้ลูกฉลาดรอบด้าน

                                  ขอขอบคุณ amarintv,  newtv,  petclub , คุณแม่ลูกแก้ว

                                   

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  แม่แชร์อุทาหรณ์! อันตรายจากควันบุหรี่ และกลิ่นที่ติดเสื้อ ทำลูก 2 ขวบเข้า ICU

                                  4 อุทาหรณ์ !ป้อนยาลูกผิด พร้อมวิธีสังเกตอาการหลังป้อน

                                  แม่เล่าอุทาหรณ์! “ลูกสาวข้อศอกเคลื่อน” เพราะเล่นเต้นรำ ดึงแขนลูก

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี

                                    เปิดจองสิทธิ์ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ประจำปี 2564

                                    โรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาค่ะ ยิ่งช่วงนี้เชื้อโควิด 19 ก็ยังอยู่ แล้วไหนโรคไข้หวัดใหญ่ก็กำลังจะมาอีก ฉะนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรงเป็นสิ่งจำเป็นมาก ทีมแม่ABK มีข่าวดีมาบอกเกี่ยวกับการเปิดจองสิทธิ์ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ประจำปี 2564 ใครจะได้สิทธิ์บ้างไปเช็กพร้อมกันค่ะ

                                    การขอรับสิทธิ์ต้องทำอย่างไร ?

                                    ในปีงบประมาณ 2564 นี้ ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) เปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิ์ และนัดฉีดวัคซีนล่วงหน้าได้ดังนี้ค่ะ

                                    1. คนกลุ่มเสี่ยงทั้ง 6 กลุ่ม สามารถลงทะเบียนผ่านระบบคอมผิวเตอร์ได้ที่หน่วยบริการ หรือโรงพยาบาลที่เข้าร่วมในระบบบัตรทอง

                                    2. ผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไปและมีโทรศัพท์มือถือสามารถลงทะเบียนจองสิทธิและนัดฉีดด้วยโทรศัพท์มือถือผ่าน Health Wallet บนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง”

                                    ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี

                                    ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิและนัดฉีดระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2564 และกำหนดการรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2564 สำหรับหญิงมีครรภ์สามารถขอลงทะเบียนและฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปีค่ะ

                                    ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ให้กับประชาชน 6 กลุ่มเสี่ยง

                                    สำหรับ 6 กลุ่มเสี่ยงที่เข้าข่ายในการได้สิทธิ์บริการเข้ารับ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ประจำปี 2564 ได้แก่  

                                    1. เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี
                                    2. ผู้มีโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค (โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน)
                                    3. ผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
                                    4. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้
                                    5. โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
                                    6. โรคอ้วน มีน้ำหนัก 100 กิโลกรัมขึ้นไป หรือดัชนีมวลกายมากกว่า 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร

                                    หมายเหตุ ในหญิงมีครรภ์ แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เมื่อมีอายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป สำหรับหญิงมีครรภ์สามารถขอลงทะเบียนและฉีดวัคซีนได้ตลอดทั้งปีค่ะ

                                    ทั้งนี้หากใครที่มีข้อสงสัย และต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามไปได้ที่สายด่วน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช) โทร. 1330 นะคะ

                                    ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี

                                    ไข้หวัดใหญ่ มีกี่สายพันธุ์ ?

                                    ไข้หวัดใหญ่จะแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์หลักๆ ได้แก่                                                                                                                         

                                    1. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A

                                    แบ่งออกเป็น H1N1 และ H3N2 เป็นไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรง มีการแพร่ระบาดที่ควบคุมได้ยากกว่าชนิดอื่น ๆ เชื้อที่ตรวจพบในร่างกาย ยังสามารถเสี่ยงต่อการกลายพันธุ์ได้สูง ซึ่งสามารถแพร่กระจายจากสัตว์สู่คนและติดเชื้อขึ้นมาได้

                                    2. ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B

                                    แบ่งออกเป็นตระกูล Victoria และ Yamagata เป็นไวรัสที่จะพบเชื้อได้ในคนเท่านั้น อาการไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ A ส่วนมากจะเกิดการแพร่ระบาดในช่วงฤดูหนาว เพราะสภาพแวดล้อมที่เชื้อไวรัสชนิดนี้ชอบคืออากาศเย็นและแห้ง โดยเฉพาะในช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมกราคมที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ส่วนในฤดูฝน จะมีไวรัสสายพันธุ์นี้ได้บ้าง กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการรับเอาเชื้อไวรัสเข้าไป ตามมาด้วยอาการที่รุนแรง คือ ผู้ป่วยโรคปอด โรคหัวใจ เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี คนท้อง และผู้สูงอายุ

                                    3. สำหรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ C

                                    มีความรุนแรงน้อย และไม่ทำให้เกิดการระบาด จึงไม่นับรวมอยู่ในกลุ่มของไข้หวัดใหญ่

                                    โรคไข้หวัดใหญ่ มีอาการอย่างไร?

                                    อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่

                                    1. ระยะฟักตัว 1-4 วัน

                                    จะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน เบื่ออาหาร ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดร้อนบริเวณรอบดวงตา ปวดแขนปวดขา มีอาการเจ็บคอ คอแดง มีน้ำมูกใส ตัวร้อนแดง ตาแดง มีไข้สูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส และมักมีอาการอาเจียนหรือท้องเดิน โดยจะเป็นไข้ประมาณ 2-4 วัน แล้วไข้จึงค่อย ๆ ลดลง แต่อาการคัดจมูก และอาการแสบคอยังคงอยู่ซึ่งอาจจะหายในช่วงเวลาประมาณ 1 สัปดาห์

                                    2. ระยะที่มีอาการรุนแรงและอาจเกิดโรคแรกซ้อน

                                    อาจพบการอักเสบของเยื้อหุ้มหัวใจ โดยผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บที่หน้าอก หรือบางครั้งมีอาการหัวใจวาย ในส่วนของระบบประสาทจะมีการพบเยื้อหุ้มสมองเกิดการอักเสบ รวมทั้งสมองก็มีการอักเสบด้วยเช่นกัน

                                    โดยอาการนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะอย่างมาก และมีอาการซึมลงตามมา ในส่วนของระบบหายใจก็จะมีอาการอักเสบเกิดขึ้นกับหลอดลม และทำให้มีอาการปอดบวม โดยผู้ป่วยจะมีอาการแน่นหน้าอกและเหนื่อยง่าย ส่วนระยะเวลาของการเป็นไข้หวัดนั้นจะหายในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น

                                    แต่สำหรับผู้ป่วยบางรายจะมีอาการไอและปวดตามเนื้อตัวนานถึง 2 สัปดาห์ อีกทั้งในกรณีผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดใหญ่จนถึงขั้นเสียชีวิต นั่นเป็นเพราะเกิดจากโรคแทรกซ้อนอย่างโรคปอดบวมและโรคหัวใจ หรือบางครั้งก็เกิดจากโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่โรค

                                    ไข้หวัดใหญ่ สามารถป้องกันการเกิดโรค หรือทุเลาความรุนแรงจากการป่วยลงได้ เพียงแค่รับการฉีดวัคซีนป้องกันเป็นประจำทุกปีนะคะ และอย่างลืมไปลงทะเบียนรับบริการ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี กันนะคะ …ด้วยความห่วงใย

                                    ขอขอบคุณข้อมูลจาก : Hfocus 

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


                                    อ่านบทความที่น่าสนใจ คลิก

                                    ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19 อันตราย! WHO เตือนคนท้อง-เด็กเล็ก ยิ่งต้องระวัง

                                    ภูมิแพ้ หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่างกันอย่างไร แยกให้ออกลูกเป็นโรคอะไรกันแน่!