Page 122 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

แม่นมน้อย

แม่นมน้อย น้ำนมไม่พอ ทำยังไงให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ

แม่นมน้อย – การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับคุณแม่มือใหม่ หลายคนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำนมให้เพียงพอเพื่อให้ทารกมีสุขภาพดีซึ่งแตกต่างจากการให้ลูกดูดขวดตรงที่สามารถบอกได้ว่าลูกได้รับนมมากแค่ไหน ดังนั้นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมบางคน อาจไม่แน่ใจว่าลูกได้รับนมมากน้อยเพียงใด นั่นอาจทำให้คุณแม่มือใหม่ มีคำถามต่างๆ เกิดขึ้น เช่น นมแม่เพียงพอหรือไม่? ทารกจะได้รับสารอาหารเพียงพอหรือเปล่า?  วันนี้เรามาหาทางออกกับปัญหานี้ไปพร้อมกันค่ะ

แม่นมน้อย น้ำนมไม่พอ ทำยังไงให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกระบวนการในการผลิตน้ำนมของคุณแม่มือใหม่กันก่อนค่ะ

ร่างกายแม่ผลิตนมอย่างไร?

ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ร่างกายของคุณจะเริ่มเตรียมพร้อมกับการต้องให้นมบุตร โดยจะมีการพัฒนาเนื้อเยื่อและต่อมที่จำเป็นในการผลิตน้ำนม และเพิ่มจำนวนท่อน้ำนมในเต้านมของคุณ ในตอนท้ายของไตรมาสที่สองร่างกายของคุณจะเริ่มพร้อมต่อการให้นมบุตรได้

เมื่อลูกน้อยของคุณคลอดออกมา ฮอร์โมนที่เรียกว่าโปรแลคตินจะกระตุ้นการผลิตน้ำนมและฮอร์โมนออกซิโทซินจะทำให้เซลล์กล้ามเนื้อเล็ก ๆ ในเต้านมหดตัวและขับน้ำนมออกมา ระดับโปรแลคตินของคุณจะเพิ่มขึ้นและมีการผลิตน้ำนมมากขึ้นตามวัฏจักรของอุปสงค์และอุปทานที่ต่อเนื่อง กล่าวคือ ยิ่งทารกดูดนมจากเต้าของคุณมากเท่าไหร่เต้านมจะตอบสนองโดยการผลิตน้ำนมให้มากขึ้น

สาเหตุที่ทำให้แม่มือใหม่น้ำนมน้อย

อาจยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ว่าสาเหตุใดที่ทำให้คุณแม่บางคนผลิตน้ำนมได้น้อย  แต่สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่ :

  • มีการเสริมอาหารให้ลูก หากเพิ่มอาหารอื่นๆ ให้ลูก นอกเหนือจากนมแม่ ลูกอาจกินนมจากเต้าน้อยลง ซึ่งจะทำให้เต้านมของคุณผลิตน้ำนมน้อยลงนั่นเอง
  • ความถี่การให้นมลูก การยืดเวลาระหว่างมื้ออาหารออกไป (เช่นสี่ชั่วโมง) อาจจะง่ายกว่าสำหรับคุณแม่มือใหม่ แต่อาจหมายความว่าเต้านมของคุณจะไม่ได้รับการกระตุ้นที่จะผลิตน้ำนมในปริมาณที่เพียงพอ ตัวอย่างเช่น ลูกน้อยของคุณใช้เวลาในการนอนหลับนานเกินไป
  • ระยะเวลาในการให้นม หากคุณให้ลูกได้ดูดเต้า เช่น ข้างละ 5 นาทีในแต่ละเต้า ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยให้ลูกน้อยของคุณได้รับน้ำนมส่วนหลังที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เต้านมของคุณจะไม่ได้รับการระบายน้ำนมออกอย่างเพียงพอ และหากไม่มีการขับน้ำนมออกอย่างเพียงพอก็จะไม่มีการกระตุ้นให้ผลิตน้ำนม
  • ทารกติดจุกหลอก สำหรับทารกบางคน เวลาที่ใช้ในการดูดจุกนมหลอกหมายถึงเวลาของการดูดนมจากเต้น้อยลง การดูดนมน้อยลงอาจหมายถึงการผลิตน้ำนมน้อยลงนั่นเองค่ะ
แม่นมน้อย
แม่นมน้อย

สัญญาณบ่งบอกว่าลูกน้อยของคุณได้รับนมเพียงพอ

แม้ว่าจะยากที่จะบอกว่าน้ำนมออกมาจากเต้ามากแค่ไหนเว้นแต่คุณจะปั๊ม แต่ก็มีสัญญาณหลายอย่างที่สามารถบ่งบอกว่าลูกน้อยของคุณได้รับนมเพียงพอ

  • ดูจากการอุจจาระ หากคุณเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กอย่างน้อยสามถึงสี่ชิ้นที่เต็มไปด้วยอุจจาระสีมัสตาร์ดขนาดใหญ่ทุกวันเมื่อเขาอายุ 5 ถึง 7 วันลูกน้อยของคุณจะได้รับนมเพียงพอ และเมื่อลูก อายุ 2 ถึง 3 เดือน คาดว่าอัตราดังกล่าวจะลดลงเหลือวันละ 1 ครั้ง หรือแม้แต่วันเว้นวันนั่นก็หมายความว่าเขาได้รับนมเพียงพอ
  • ดูจากปัสสาวะ  หากผ้าอ้อมเด็กเปียกทุกครั้งที่เปลี่ยน (อย่างน้อยหกครั้งต่อวันในช่วงเดือนแรก ๆ ) แสดงว่าคุณมีน้ำนมมากพอ
  • สีของปัสสาวะ  ถ้าฉี่ของทารกมีสีเหลืองอ่อนหรือไม่มีสี แสดงว่าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอ
  • ลูกน้อยของคุณกลืนน้ำลายระหว่างดูดเต้า นั่นเป็นสัญญาณว่าน้ำนมแม่กำลังจะลดลง แต่หากทารกไม่มีอาการดังกล่าว แต่น้ำหนักตัวยังคงเพิ่มขึ้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลเช่นกัน
  • อาการของทารกหลังการให้นม  หลังอาหารมื้อใหญ่ ผู้ใหญ่อย่างเรายังมีอาการง่วง เช่นเดียวกัน  หากลูกน้อยของคุณร้องไห้และงอแงมากหลังจากการให้นมบุตรอาจหมายความว่าเขายังคงหิวอยู่ อย่างไรก็ตามโปรดทราบว่าเขาอาจจะงอแงด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับความหิว เช่น ผ้าอ้อมเต็ม ปวดท้อง หรือจุกเสียดท้อง โดยทั่วไปหากลูกน้อยของคุณตื่นตัวและมีสุขภาพโดยรวมที่ดีคุณก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
  • ลูกน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงปริมาณน้ำนมที่ดีไปกว่าทารกมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4 ถึง 7 ออนซ์ ต่อสัปดาห์ สิ่งนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าลูกได้รับนมเพียงพอ (แม้ว่าเด็กทารกจำนวนมากจะลดน้ำหนักทันทีหลังคลอดและอาจอยู่ต่ำกว่าน้ำหนักแรกเกิดในช่วงเจ็ดถึง 10 วันแรก)

สัญญาณบ่งบอกว่าลูกน้อยอาจได้รับนมไม่เพียงพอ

ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดของปัญหานี้ คือ ทารกน้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ทารกส่วนใหญ่น้ำหนักค่อยๆ ลดลงหลังคลอด ทารกที่มีอายุครบกำหนด น้ำหนักไม่ควรลดลงเกิน 7 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักแรกเกิดในช่วงสองสามวันแรกหลังคลอด  อย่างไรก็ตามการลดน้ำหนักที่มากขึ้นเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องปกติได้เช่นกัน

เมื่ออายุได้ 10 วัน ทารกควรกลับมามีน้ำหนักใกล้เคียงน้ำหนักเมื่อตอนแรกเกิด และเริ่มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4 ถึง 7 ออนซ์ ต่อสัปดาห์ หากลูกน้อยของคุณน้ำหนักไม่เพิ่มหรือน้ำหนักลดลงนั่นแสดงว่าเขาได้รับนมไม่เพียงพอ

มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการลดน้ำหนักชั่วคราวในทารกแรกเกิดหลังคลอดอาจทำให้คุณแม่คิดว่าคุณแม่เองผลิตน้ำนมไม่เพียงพอ และอาจมีการเริ่มให้นมเสริมทันทีซึ่งสิ่งนี้อาจนำไปสู่ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับการผลิตน้ำนมของแม่ได้

แม่นมน้อย

แม่น้ำนมน้อยแก้ปัญหาอย่างไร?

พูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ กุมารแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการให้นมบุตรโดยเร็วที่สุด หากคุณกังวลว่าคุณจะผลิตน้ำนมไม่เพียงพอ หรือหากน้ำหนักตัวของทารกเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ยังมีแนวทางที่คุณสามารถปฏิบัติตามทำได้เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมของคุณ

วิธีเพิ่มปริมาณน้ำนม

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณให้นมทารกได้ถูกต้องตามคำแนะนำเกี่ยวกับท่าให้นม และเคล็ดลับในการเข้าเต้าที่ดี
  • ปล่อยให้ลูกดูดเต้าจนอิ่มทุกครั้ง (อย่าสนใจมองนาฬิกามากนัก)
  • เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตามความต้องการของลูก (ทุกสองถึงสามชั่วโมงในช่วงเดือนแรก) อย่ายึดติดกับตารางเวลาที่เข้มงวด
  • การไม่ให้ทารกนอนคว่ำเป็นหนึ่งในพื้นฐานด้านความปลอดภัยในการนอนหลับของทารก แต่สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ สิ่งที่ควรรู้คือ  การนอนคว่ำ หรือหากเต้านมถูกกดทับเป็นประจำในตอนกลางคืนอาจทำให้การผลิตน้ำนมช้าลงได้
  • หลีกเลี่ยงการเสริมด้วยสูตรอาหารเว้นแต่แพทย์ของคุณเห็นว่าจำเป็นสำหรับทารกในการเพิ่มน้ำหนักและควรจำกัดการใช้จุกนมหลอก
  • พิจารณาการปั๊มนมระหว่างการให้นมหากคุณสามารถทำได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการผลิตน้ำนมได้
  • ขยันปั๊มนมเก็บสต๊อกไว้ จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมของคุณได้ เช่น  ปั๊มออกวันละประมาณหนึ่งชั่วโมง (เช่นปั๊ม 20 นาทีแล้วพัก 10 จากนั้นปั๊ม 10 แล้วพัก 10 และอื่น ๆ ) วิธีนี้อาจใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  คุณแม่ที่อ่อนเพลีย และขาดโภชนาการที่ดี อาจไม่สามารถผลิตน้ำนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอเสมอ

ปัญหาน้ำนมน้อยเป็นปัญหาที่พบบ่อยในบรรดาคุณแม่มือใหม่ที่ตตั้งใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ค่ะ ดังนั้นหากคุณแม่กำลังกังวลใจอยู่ อย่างน้อยคุณก็ไม่ได้โดเดี่ยว ยังมีคุณแม่อีกมากมายหลายล้านคนที่ประสบปัญหาเดียวกันและทุกข์ใจกับปัญหานี้ อย่างไรก็ตามการได้พูดคุยกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการให้นมบุตรเป็นสิ่งที่จะช่วยคลายความกังวลและหาทางออกให้คุณได้ค่ะ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นอกจากจะเป็นการสานใยรักระหว่างแม่กับลูกได้เป็นอย่างดีแล้ว การที่ทารกได้ทานนมแม่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพของเด็กอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยคุณประโยชน์หลายประการในน้ำนมแม่ที่ส่งผลโดยตรงต่อทารก หลายคนตั้งใจจะให้ลูกได้กินนมแม่ให้นานที่สุดเพื่ออยากให้ลูกน้อยมีสุขภาพร่างกายและสติปัญญาที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่อย่างน้อยถ้าหากคุณแม่สามารถให้ลูกดูดเต้าได้จนถึงอายุ 6 เดือน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วค่ะ ทั้งนี้ เมื่อลูกค่อยๆ โตขึ้นเข้าสู่วัยเตาะแตะ คุณแม่สามารถปลูกฝังถึงความสำคัญของการใส่ใจในสุขภาพเพื่อให้ลูกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมวัยได้หลายวิธี ทั้งการสนับสนุนเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย การให้ลูกได้มีกิจกรรมต่างๆ เพื่อการพัฒนากระดูก กล้ามเนื้อ และสมอง เมื่อเด็กๆ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องนี้ตั้งแต่ยังเล็ก ก็มีแนวโน้มที่จะมีทักษะความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเด็กยุคนี้ได้แน่นอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : whattoexpect.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

5 เคล็ดลับเด็ดสู่การ “ปั๊มนมเกลี้ยงเต้า” มีน้ำนมแม่ให้ลูกกินได้นาน

คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

3 สเต็ปพร้อม…ก่อนแม่กลับไปทำงาน หมดปัญหาไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    เทคนิคสยบ ลูกร้องไห้ ทารกร้องไห้ได้ทั้งวัน ปกติไหม?

    ลูกร้องไห้ – หลังจากที่คุณแม่ให้นมลูกแล้ว จัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมก็แล้ว แต่ลูกของคุณยังคงร้องไห้แบบไม่มีทีท่าจะสงบลงง่ายๆ และดูเหมือนว่าคุณต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันหรือทั้งคืนในการจัดการกับปัญหานี้อยู่บ่อยๆ  เชื่อว่า เรื่องนี้คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้แม่มือใหม่เครียดไม่มากก็น้อย แน่นอนว่าการร้องไห้เป็นทักษะการสื่อสารเพียงอย่างเดียวที่ทารกแรกเกิดจะทำได้ ทารกอาจร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่สามารถเข้าใจได้ตั้งแต่แรกว่าทำไมลูกถึงอารมณ์เสีย ทว่าการถอดรหัสความหมายการร้องไห้ของลูกก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของคุณสงบลงได้ เราลองมาดูสาเหตุที่พบบ่อยที่ทำให้ทารกร้องไห้ และวิธีปลอบลูกน้อยของคุณเพื่อให้คุณคลายความเครียดลงได้กันค่ะ

    เทคนิคสยบ ลูกร้องไห้ ทารกร้องไห้ได้ทั้งวัน ปกติไหม?

    ทำไมลูกถึงร้องไห้?

    คำถามคลาสสิคที่มีมาทุกยุคทุกสมัย คงไม่พ้น คำถามว่า ทำไม่ลูกถึงร้องไห้ไม่หยุด? ลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า? เพื่อช่วยให้รู้สาเหตุที่ทำให้ลูกร้องไห้ อาจต้องลองเช็คในเรื่องต่างๆ ต่อไปนี้ ที่อาจอยู่เบื้องหลังการร้องไห้ของลูก ได้แก่ :

    • ความหิว ควรให้นมลูก หรือให้ลูกดูดขวดทุกสองสามชั่วโมง หรือ 8 ถึง 12 ครั้ง ในช่วง 24 ชั่วโมง หากลูกน้อยของคุณร้องไห้ก็เป็นโอกาสดีที่ลูกจะพร้อมกินนมอีกครั้ง หมั่นสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกถึงความหิวของลูก เช่น การตบริมฝีปาก เอามือปิดหรือแตะปากตัวเอง เป็นต้น
    • ลมและแก๊สในทางเดินอาหาร การกินนมสามารถดักอากาศให้เข้าไปในท้องของทารกทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดไม่สบายท้องได้ วิธีแก้ไข คือ ต้องให้ลูกเรอหลังกินนมทุกครั้ง โดยตบที่หลังเบา ๆ หรือใช้วิธี อุ้มลูกเรอ
    • ผ้าอ้อมเปียกหรือสกปรก คงไม่มีใครอยากนั่งในกางเกงในที่เต็มไปด้วยฉี่หรืออึ เด็กทารกใช้ผ้าอ้อมจนเปียกได้มากกว่าหกชิ้นต่อวันดังนั้นควรตรวจดูก้นเล็ก ๆ ของลูกบ่อยๆว่าแห้งสบายดีหรือไม่
    • ความเหนื่อยล้า ตั้งแต่วันที่หนึ่งถึงเดือนที่สาม ทารกแรกเกิดจะนอนหลับประมาณ 14 ถึง 17 ชั่วโมงเต็มวัน ควรแน่ใจว่าลูกของคุณได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่
    • จุกเสียดจากการร้องไห้ การร้องไห้มากเกินไปอาจทำให้จุกเสียดในท้องได้ – สอบถามกุมารแพทย์หากคุณกังวลว่าลูกร้องไห้มากเกินไปจนอาจเกิดอาการจุกเสียด
    • เบื่อหน่าย ใช่ค่ะ เด็ก ๆ อาจเบื่อที่จะนั่งมองฉากเดิมๆ  ในที่เดิม การขจัดความเบื่อหน่ายของลูก คุณอาจพาลูกไปนั่งเก้าอี้โยกกับคุณ ไปยืนข้างหน้าต่าง ออกไปเดินเล่น หรือเดินเล่นจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งก็ได้แล้วแต่ความสะดวกค่ะ
    • รู้สึกถูกรบกวน ลูกน้อยของคุณควรได้พักผ่อนและได้รับการกล่อมจากคุณอย่างเงียบ ๆ ในที่สงบ ห่างจากผู้คนและเสียงรบกวน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดูดจุกหลอกก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกถูกรบกวนได้บ้าง หรือคุณอาจลองห่อตัวลูกด้วยผ้าห่มเบา ๆ เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและสบายตัว
    • ร้อน – หรือหนาว เกินไป  การสวมเสื้อผ้าที่หนาเกินไปอาจทำให้ลูกอึดอัด หรือ สวมเสื้อผ้าบางเกินไปท่ามกลางอากาศเย็นก็ทำให้ลูกไม่สบายตัว และเป็นที่มาของการร้องไห้ได้
    • ความเจ็บป่วย บางครั้งการร้องไห้ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าลูกน้อยของคุณอาจกำลังไม่สบายได้ ดังนั้นควรปรึกษากุมารแพทย์ หากคุณสงสัยว่าลูกอาจมีไข้ หรือมีอาการใดๆ ที่ผิดปกติ
    ลูกร้องไห้
    ลูกร้องไห้

    จะทราบได้อย่างไรว่าลูกร้องไห้แบบไหนผิดปกติ?

    การร้องไห้เป็นเรื่องปกติสำหรับทารกในช่วงแรกของชีวิต แต่สำหรับพ่อแม่แล้ว ขั้นต่อไปที่ยากขึ้น คือ การหาว่าเสียงร้องของลูกที่ได้ยินนั้นมีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร เพราะลูกอาจกำลังเผชิญกับความหิว ความเหนื่อยล้า และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้อยู่อีกมากมาย

    เมื่อคุณสามารถรับรู้ และแยกแยะได้ว่าเสียงร้องแต่ละประเภทเป็นอย่างไร คุณจะรู้ว่าเสียงร้องไห้ที่คุณได้ยินน่าจะเป็นเรื่องปกติหรือไม่ อย่างไรก็ตามการกรีดร้องที่รุนแรงมากขึ้นอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติได้ หากลูกของคุณร้องไห้มากเกินไปแม้ว่าคุณจะจัดการด้วยวิธีต่างๆ แล้วให้รีบปรึกษาแพทย์ เพราะลูกอาจต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ ทางการแพทย์เกิดขึ้น หากแพทย์สงสัยว่าลูกมีอาการจุกเสียด พวกเขาสามารถแนะนำสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยลูกของคุณ

    นอกจากนี้การร้องไห้ที่เหมือนเสียงครวญเบา ๆ อาจหมายความว่าลูกน้อยของคุณไม่สบาย และไม่สามารถรวบรวมกำลังได้เพียงพอที่จะร้องไห้ออกมาให้เสียงดังได้ กรณีนี้ควรโทรหาแพทย์เพื่อบรรยายอาการของลูกน้อย และเรียนรู้วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาอาการเจ็บป่วยของลูก แพทย์อาจแนะนำให้คุณพาลูกของคุณไปตรวจสุขภาพอย่างละเอียดต่อไป

    อาการ โคลิค กับ การร้องไห้ปกติ

    กฎสามส่วนเป็นวิธีที่ดีในการพิจารณาว่าลูกน้อยของคุณอาจมีอาการจุกเสียดหรือไม่ ทารกที่ร้องไห้มากกว่าสามชั่วโมงต่อวันเป็นเวลานานกว่าสามวันต่อสัปดาห์ในช่วงสามสัปดาห์อาจมีอาการโคลิค สอบถามแพทย์หากคุณไม่แน่ใจว่าการร้องไห้ของลูกคุณในตอนนี้ถือว่ามากเกินไปหรือไม่

    สัญญาณของอาการโคลิคอีกอย่างหนึ่ง คือ การร้องไห้ซึ่งเหมือนกับเสียงกรีดร้องมากกว่า และมักเกิดขึ้นในช่วงบ่ายหรือเย็นครั้งละหลายชั่วโมง

    แม้ว่าจะไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจน ของคำว่า “การร้องไห้ปกติ” แต่ก็มีแนวโน้มว่าเป็นการร้องไห้ที่คุณสามารถเข้าใจได้ และสามารถระงับได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่าง เช่น เสียงร้องที่เป็นจังหวะเสียงต่ำ พร้อมกับเสียงดูดหรือเสียงตบปากอาจบ่งบอกถึงความหิว ในขณะที่เสียงร้องโหยหวนอย่างต่อเนื่องที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ อาจหมายความว่าทารกของคุณกำลังเหนื่อยล้าหรือไม่สบายตัว

    ลูกร้องไห้

    วิธีปลอบโยนเมื่อลูกร้องไห้

    เมื่อคุณตัดสาเหตุต่างๆ ที่ชัดเจนแล้วว่าอาจทำให้ลูกน้อยของคุณร้องไห้ได้ เช่น ท้องว่าง ผ้าอ้อมเปียก หรือนอนหลับมากเกินไป และกุมารแพทย์ มีความเห็นว่าลูกไม่ได้มีอาการป่วยให้ลองใช้เทคนิค ต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้ลูกสงบและรู้สึกดีขึ้น

    • ใช้ผ้าห่อตัวลูก การห่อตัวที่แสนสบายในผ้าห่ม ช่วยให้เจ้าตัวน้อยของคุณรู้สึกปลอดภัย การห่อตัวจะช่วยปลอบประโลมทารกเพราะมันทำให้รู้สึกสบายตัวเหมือนอยู่ในครรภ์ พ่อแม่หลายคนพบว่าการห่อตัวช่วยให้ทารกนอนหลับได้เร็วขึ้นและนอนหลับได้นานขึ้นอีกด้วย
    • กระตุ้นการดูด ทารกมักจะปลอบตัวเองด้วยการดูดแม้ไม่ได้รับสารอาหารใดๆ ที่จะทำให้ท้องอิ่ม แต่การดูดไปเรื่อยๆ จะทำให้พวกเขาสงบลง หากลูกน้อยของคุณกำลังร้องไห้ให้ช่หานิ้วโป้ง กำปั้น หรือจุกหลอก ให้ลูกดูด ก็เป็นเคล็ดลับในการบรรเทาการร้องได้เช่นกัน แต่วิธีนี้ควรรอจนกว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ดีก่อน
    • ลองใช้เป้สะพายหลัง การวางลูกน้อยของคุณในเป้อุ้มและเดินไปรอบ ๆ เป็นวิธีที่ดีในการปลอบประโลมลูกที่ดี ทารกจะเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกใกล้ชิดและสัมผัสได้ถึงจังหวะการก้าวของคุณ
    • เหวี่ยงหรือไกวลูกไปมา  อุ้มลูกน้อยในขณะที่คุณนั่งบนเก้าอี้โยก หรือจะวางลูกไว้ในชิงช้าเด็กที่มีมอเตอร์แกว่งอัตโนมัติก็ได้เช่นกัน แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยของผู้ผลิตเกี่ยวกับข้อจำกัด ด้านอายุและน้ำหนักสำหรับอุปกรณ์เหล่านี้
    • เปิดเสียงที่ฟังสบาย ทารกบางคนสงบลงได้ด้วยเสียงที่ฟังสบาย ที่สะกด และกล่อม พวกเขาให้นึกถึงตอนอยู่ครรภ์ได้
    • ร้องเพลงให้ลูกฟัง ลูกน้อยของคุณไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณร้องเพลงเพราะหรือเพี้ยน สิ่งที่ลูกรู้ก็คือ คุณกำลังอาบน้ำให้พวกเขา พร้อมด้วยเสียงเพลงและความรักที่สัมผัสได้ ครั้งต่อไปที่ลูกงอแง ให้ลองร้องเพลงกล่อมเด็ก หรือเพลงอะไรก็ได้ที่คุณชอบ
    • นวด การนวดลูกน้อยของคุณอาจช่วยลูกให้ผ่อนคลายเป็นวิธีที่ดีในการทำให้เสียงร้องของลูกน้อยของคุณสงบลงได้ สามารถทดลองใช้โลชั่นหรือน้ำมันนวดตัวสำหรับเด็กได้ ให้ใช้สัมผัสที่อ่อนโยนหนักแน่น แต่อย่าทำให้ลูกรู้สึกจั๊กจี้
    • เปลี่ยนบรรยากาศ การเคลื่อนไหวอาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ลูกต้องการเพื่อสงบสติอารมณ์ รวมทั้งการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็สามารถสร้างความมหัศจรรย์ให้กับเด็กทารกที่ร้องโยเยได้ แสงอากาศและอุณหภูมิรวมถึงสถานที่ท่องเที่ยว เสียงและกลิ่นใหม่ ๆ จะทำให้ทารกคนอารมณ์ดีขึ้นได้รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ด้วย
    • สร้างความสนุกสนาน แม้แต่เด็กเล็กก็รู้สึกเบื่อได้ เพื่อให้ลูกน้อยของคุณได้รับความบันเทิงลองบรรยายการกระทำของคุณประกอบไปด้วยเสียงตลก ๆ และการแสดงออกที่มีการเคลื่อนไหว คุณอาจเล่นกับลูกและแสดงให้เห็นว่าของเล่นของลูกสั่นและหมุนอย่างไร

    ทำอย่างไรถ้ารู้สึกหงุดหงิดกับการร้องไห้ของลูก

    ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย เครียดกับการจัดการปัญหาเรื่องลูกจากการร้องไห้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรแบ่งเบาภาระของคุณลงบ้าง โดยการให้คู่ของคุณ ปู่ย่าตายาย หรือพี่เลี้ยงช่วยรับช่วงต่อ และลองให้เวลากับตัวเองบ้าง สิ่งที่ควรระวังเป็นอย่างยิ่ง คือ ไม่ว่าคุณจะหงุดหงิดแค่ไหนแต่สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือ การเขย่าตัวลูก การเขย่าอย่างรุนแรง เช่นการเผลอทำด้วยความไม่พอใจ หรืออารมณ์ชั่ววูบ อาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะของทารก (AHT) ได้ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโรค shaken baby syndrome (SBS) แม้ว่าจะเป็นการเขย่าในช่วงสั้น ๆ ก็ตาม การเขย่าอย่างรุนแรงในเด็กอาจทำให้สมองถูกทำลายอย่างรุนแรง หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะเด็กทารกและเด็กเล็กร่างกายยังอ่อนแอมากเป็นพิเศษ

    หากคุณรู้สึกเหมือนจะระเบิดอารมณ์ในไม่ช้า ให้วางลูกน้อยของคุณไว้ในเปล และสงบสติอารมณ์อย่างเงียบ ๆ ในห้องอื่น จนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น การหายใจและนับ 1 ถึง 10 การระบายกับคนใกล้ชิด หรือฟังเพลงแบบเบาๆ สบาๆ จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ หากคุณรู้สึกหนักใจและคิดว่าจำเป็นต้องพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณ ให้โทรสายด่วนสุขภาพจิตหรือผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณได้ทันที

    ทั้งนี้การที่คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของลูกทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ ย่อมช่วยให้ลูกได้ซึมซับความรู้สึกที่ดีได้ในวัยที่เขาเริ่มรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของคนรอบข้าง ลูกจะเกิดความเข้าใจและตระหนักได้ถึงสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ ใส่ใจห่วงใยในตัวเขา ด้านการให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวที่ช่วยกันเฝ้าระวังดูแลกันและกัน และที่สำคัญ การปลูกฝังให้ลูกได้รู้จักกับการดูแลสุขภาพของตัวเองเมื่อลูกยังเล็ก จะช่วยให้เด็กๆ เกิดทักษะที่สำคัญในการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน ด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ได้อีกด้วยค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : whattoexpect.com

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    ลูกร้องไห้งอแง ทารกร้องแบบไหนเรียกว่าผิดปกติ?

    วิจัยเผย! ทารกร้องไห้ เก่งที่สุดพบมากในประเทศนี้…!?

    ทารกร้องไห้มีน้ำตาตอนกี่เดือน

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      ลูกขี้กลัว

      เทคนิค คลายปัญหา ลูกขี้กลัว ช่วยลูกปรับตัว ในทุกเหตุการณ์

      ลูกขี้กลัว – ความกลัวในสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้สำหรับเด็กๆ ประสบการณ์ชีวิตยังน้อยนัก สำหรับเด็กบางคนความกลัวอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นรบกวนความสุขของชีวิตได้ บางครั้งความวิตกกังวล และความกลัวต่างๆ ของเด็กมักมาในรูปแบบของสถานการณ์เฉพาะที่กระตุ้นให้เกิดความกลัว  โดยความวิตกกังวลจะผ่านไปก็ต่อเมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากตัวกระตุ้นเหล่านี้  หากตอนนี้คุณสงสัยว่าลูกของคุณอาจเป็นโรควิตกกังวลต่อสถานการณ์ต่างๆ และไม่รู้จะช่วยเหลือลูกได้อย่างไร วันนี้เรามีวิธีดีๆ มาแนะนำค่ะ

      เทคนิค คลายปัญหา ลูกขี้กลัว ช่วยลูกปรับตัว ในทุกเหตุการณ์

      สำหรับเด็กทุกวัย ความวิตกกังวลสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเตือนก่อนล่วงหน้า โดยปกติ เด็ก ๆ จะมีอาการวิตกกังวลเมื่อต้องพบเจอสถานการณ์ใหม่ ๆ หรือเมื่อมีการรับรู้ว่าความเจ็บปวดต่อร่างกายกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า หรือเมื่อลูกกลัวว่าพวกเขาจะต้องแยกจากคุณ  ในกิจวัตรประจำวันต่างๆ ของเด็กสามารถมีสิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกกลัวและวิตกกังวลได้เสมอ แม้ว่าคุณจะพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยให้พวกเขาพร้อมสำหรับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่ต้องเจอ แต่พวกเขายังอาจรู้สึกวิตกกังวลเล็ก น้อยปานกลางหรือรุนแรงต่อสถานการณ์เหล่านี้ได้ ซึ่งเด็กแต่ละคนก็จะแสดงอาการวิตกกังวลในรูปแบบที่ต่างกันออกไป

      การกลัวและกังวลต่อสถานการณ์ต่างๆ มีผลกระทบต่อเด็กอย่างไร?

      เด็กที่ทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลในสถานการณ์เฉพาะ จะตอบสนองด้วยความกลัวที่เพิ่มขึ้นต่อสถานการณ์ เหตุการณ์หรือประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงเหล่านั้น บ่อยครั้งที่ความวิตกกังวลนี้มาพร้อมกับอาการทางกายภาพหลายอย่าง เช่น ตัวสั่น เวียนศีรษะ หัวใจเต้นแรง ปวดหัว หรือเหงื่อออก แม้ว่าความกังวลอาจเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการของเด็ก แต่หากเด็กหรือวัยรุ่นยังคงตอบสนองในทางลบต่อสิ่งกระตุ้นเดิม ๆ ก็อาจต้องทนทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลตามสถานการณ์ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างสถานการณ์บางอย่างที่อาจทำให้เด็กเกิดความวิตกกังวลตามสถานการณ์ และเคล็ดลับบางประการเกี่ยวกับวิธีที่คุณสามารถช่วยได้

      1. กลัวการเจอหมอ

      จากการสำรวจใหม่ของพ่อแม่ 726 คน ของเด็กที่อายุ 2 ถึง 5 ขวบ พบว่า เด็กกว่าครึ่งหนึ่ง มีความกลัวและกังวลต่อการไปพบหมอ กลัวการฉีดยา ฉีดวัคซีน กลัวว่าต้องเจ็บตัว  บางครั้งความกลัวนี้อาจอยู่ได้เกินอายุ 5 ขวบ และอาจรุนแรงขึ้นจนเด็กอาจวิตกกังวลหรือตื่นตระหนกทุกครั้งที่ต้องเข้าพบหมอ หรือแม้แต่เข้าใกล้สถานที่ที่รู้ว่ามีหมออยู่ที่นั่น

      วิธีบรรเทา : ตรวจสอบความรู้สึกของบุตรหลานก่อนและระหว่างการเดินทางไปพบแพทย์ แสดงความเห็นอกเห็นใจโดยรับรู้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร บอกให้พวกเขารู้ว่าแม้บางครั้งลูกจะรู้สึกประหม่าเมื่อต้องไปหาหมอ แต่คุณก็ดีใจเสมอที่ไปหาเพราะอยากมีสุขภาพดี หรืออาจบอกว่า หากลูกอย่างแข็งแรงเราก็ต้องอดทน ฉีดวัคซีน เจ็บนิดหน่อยก็หายแล้วนะ เป็นต้น นอกจากนี้ควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปพบหมอครั้งต่อไป โดยบอกให้ลูกทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้ว่าจะรวมถึงการฉีดวัคซีนก็ตาม ลองฝึกเทคนิคการฝึกสติ เช่น การหายใจช้าๆ ท่าโยคะที่ผ่อนคลาย หรือทำสมาธิเงียบ ๆ ก่อนเข้าพบคุณหมอ

      ลูกขี้กลัว
      ลูกขี้กลัว

      2. ย้ายบ้านใหม่หรือโรงเรียนใหม่

      สำหรับเด็กๆ สถานการณ์ใหม่ที่ต้องพบอาจเป็นเรื่องยากที่จะปรับตัว การย้ายบ้านใหม่ หรือโรงเรียนใหม่ อาจทำให้เด็กรู้สึกวิตกกังวลได้มากมายราวกับว่าทุกสิ่งในโลกช่างไม่คุ้นเคย กลัวการต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ครูคนใหม่ และโอกาสที่จะได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งความวิตกกังวลต่างๆ อาจรบกวนการนอนหลับของพวกเขาได้

      วิธีบรรเทา : หากมีการต้องย้ายบ้านหรือย้ายโรงเรียน พยายามช่วยให้บุตรหลานของคุณสร้างกิจวัตรประจำวันรูปแบบใหม่เพื่อการปรับตัวโดยเร็วที่สุด ง่ายๆ เพียงลองเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันบางอย่างให้ลูกได้ฝึกการปรับตัวจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการช่วยให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน นอกจากนี้เรื่องการย้ายโณงเรียนใหม่ คุณควรสอนพื้นฐานเรื่องทักษะการเข้าสังคมให้ลูก เพื่อให้ลูกปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ได้ง่าย

      3. การพูดในที่สาธารณะและการสอบแข่งขัน

      เด็กๆ อาจวิตกกังวลมากเมื่อนึกถึงการพูดในที่สาธารณะ หรือต้องทำแบบทดสอบแข่งขันที่สำคัญ เด็กๆ อาจกลัวคำวิจารณ์ที่มาพร้อมกับการทำอะไรเปิ่นๆ หรือผิดพลาด (ทางกายหรือทางวาจา) ต่อหน้าฝูงชน จนรู้สึกจมอยู่กับความกดดันมากมาย

      วิธีบรรเทา : เพื่อช่วยให้เด็กๆ รู้สึกพร้อมสำหรับการพูดหรือการสอบมากที่สุด การซ้อมพูดก่อนวันจริงให้คล่องหรือการให้ลูกได้ลองทำข้อสอบตัวอย่างเป็นวิธีที่จะช่วยให้ลูกพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ต้องเจอได้ดีกว่าการไม่เตรียมพร้อมอะไรเลย นอกจากนี้คุณต้องฝึกให้ลูกมีนิสัยการคิดเชิงบวก เช่น“ ฉันมั่นใจ” หรือ“ ฉันพร้อมแล้ว” คอยย้ำให้ลูกนึกถึงช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จในอดีตที่เคยเกิดขึ้นจากการพูดต่อหน้าสาธารณะชนหรือการสอบแข่งขันที่หนักหน่วง เพื่อให้พวกเขาระลึกถึงช่วงเวลาแห่งความสำเร็จเหล่านี้ได้ เมื่อต้องอยู่ภายใต้แรงกดดัน

      4. ความกลัวเฉพาะตัว

      เด็กอาจเกิดความกลัวกับสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว กลัวสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง หรือสถานที่หรือเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับที่เคยทำให้พวกเขากลัว  เช่น กลัวความสูง กลัวความมืด กลัวที่แคบเป็นต้น เด็ก ๆ หลายคนเติบโตขึ้นแต่ประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีอาจฝังใจอยู่ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ได้

      วิธีบรรเทา  : พยายามให้ลูกสนใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายและพฤติกรรมของเขาเมื่อต้องเผชิญกับความกลัวหรือความหวาดกลัว เช่น ฝ่ามือที่มีเหงื่อออก หรือตัวสั่น ไม่ใช้การลงโทษที่ทำให้ลูกอับอาย ถามลูกถึงการสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อเกิดความกลัว เพื่อช่วยให้เขาตระหนักถึงการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด จากนั้นสร้างแบบจำลองเทคนิค เช่น การหายใจช้าๆ หรือเบี่ยงเบนความสนใจไปจุดอื่น อย่างไรก็ตามหากความกลัวเฉพาะตัวดูจะมีปัญหามากและแก้ไขได้ยาก ควรพาลูกไปพบจิตแพทย์เด็กเพื่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

      ลูกขี้กลัว

      วิธีฝึกให้ลูกหายกลัว และรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ 

      ก่อนอื่นต้องช่วยให้บุตรหลานของคุณเข้าใจว่าความรู้สึกวิตกกังวลเป็นเรื่องปกติ และพฤติกรรมหรืออารมณ์ของทุกคนจะเปลี่ยนไปได้  อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าสถานการณ์ที่ทำให้เราไม่สบายใจสามารถทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวลได้อย่างไร และความรู้สึกเหล่านี้อาจทำให้ศีรษะและร่างกายของเราเจ็บปวดได้อย่างไร

      อธิบายว่าผู้คน (รวมทั้งตัวคุณเอง) ทุกคนรู้สึกเครียดและวิตกกังวลได้ในบางครั้ง และทุกคนก็รู้สึกแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น คุณอาจลองพูดว่า“ ฉันไม่ชอบที่จะต้องคุยกับคนใหม่ ๆ เหมือนกัน บางครั้งถ้าฉันรู้สึกประหม่ามือและเท้าของฉันจะมีเหงื่อออกมาก” ช่วยให้ลูกเข้าใจว่าการรู้สึกวิตกกังวลไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ นั่นเป็นเพียงวิธีที่ร่างกายของเราบอกให้เรารู้ว่าไม่สบายใจเท่านั้น

      เมื่อคุณช่วยให้ลูกรับรู้ถึงความวิตกกังวลและปรับความรู้สึกนี้ให้เป็นปกติได้แล้วตอนนี้คุณสามารถช่วยให้ลูกผ่อนคลายได้ ขั้นตอนแรกของคุณคือการพูดคุยกับบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์และพยายามบรรเทาความกลัวด้วยวาจาถ้าเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่นบุตรหลานของคุณอาจรู้สึกกระวนกระวายอย่างมากในห้องรอแพทย์ การพูดคุยกับบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่รบกวนพวกเขาไม่เพียง แต่จะชี้แจงว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร แต่ยังช่วยให้คุณมีโอกาสให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังได้อีกด้วย

      หากลูกของคุณยังคงมีอาการวิตกกังวลให้ใช้เทคนิคการลดความเครียดเพื่อช่วยบรรเทาความรู้สึก วิธีการบางอย่างที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเด็ก ได้แก่ การสอนเทคนิคการ ฝึกสติ ให้ลูกเช่น การหายใจช้า ๆ และการส่งเสริมนิสัยที่ดีต่อสุขภาพในการนอนหลับ และโภชนาการ สามารถเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับสถานการณ์ที่กระตุ้นความวิตกกังวลในอนาคตได้ ทางเลือกสุดท้ายอาจจำเป็นต้องเดินออกจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดแล้วลองใหม่อีกครั้ง

      ลูกขี้กลัว

      หากลูกของคุณมีอารมณ์ฉุนเฉียวกรีดร้องหรือแสดงอาการตื่นตระหนกควรพาพวกเขาไปยังสถานที่ที่พวกเขารู้สึกปลอดภัย อย่าบังคับให้ลูกทำสิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวโดยไม่จำเป็น เด็กที่กลัวความสูงไม่ควรถูกบังคับให้มองข้ามขอบของโครงสร้างสูง เด็กที่กลัวตัวตลกไม่ควรถูกยัดเยียดให้โพสท่าถ่ายรูปกับตัวตลกที่เขากลัว เด็กที่ได้รับการแทรกแซงแบบบังคับเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะพัฒนาความหวาดกลัวและความไม่พอใจที่ฝังแน่นไปจนโต

      ควรสนับสนุนให้บุตรหลานของคุณทำตามขั้นตอนเล็ก ๆ เพื่อเอาชนะความวิตกกังวลในสถานการณ์เมื่อเวลาผ่านไป หากความวิตกกังวลของบุตรหลานรบกวนมากจนไม่สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เหมาะสมและจำเป็นหรือหากเป็นเรื้อรังจนห้ามไม่ให้มีชีวิตทางสังคมที่ดีต่อสุขภาพ ให้ติดต่อกุมารแพทย์ของบุตรหลานเพื่อขอคำแนะนำ

      สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจต้องการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ การปฏิเสธที่จะเข้าโรงเรียนของบุตรหลาน การไม่สามารถรักษาพฤติกรรมการนอนหลับที่ดีต่อสุขภาพ ความอยากอาหารที่เปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติ หรือการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของจิต ในฐานะพ่อแม่คุณมีอิทธิพลสำคัญที่สุดต่อความสามารถของบุตรหลานในการรับมือกับความวิตกกังวล  จำไว้ว่าทุกสิ่งที่คุณทำในการฝึกฝน และสั่งสอนลูก จะค่อยๆ สร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจให้ลูกของคุณมีภูมิคุ้มกันที่ดีเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ตึงเครียดในอนาคต แล้วเมื่อพวกเขาโตขึ้น ทักษะสำคัญในการใช้ชีวิตในสังคม ที่เรียกว่า ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ) ก็จะติดตัวลูกของเราไปจนพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ได้ค่ะ

      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : childdevelopmentinfo.com , discoverbrillia.com

      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

      7 วิธีช่วยลดระดับ ลูกกลัวความมืด

      ทำยังไงดี ลูกกลัวของเล่น

      สอนลูกให้กล้า ไม่กลัวความล้มเหลว ปูหนทางสู่ความสำเร็จในชีวิต

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

        เทคนิค “จับ-จด” เปลี่ยนชีวิต สร้างนิสัยรู้จักคิด หยุด! ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

        ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น พ่อแม่จะทำยังไงถ้าไม่อยากซื้อของเล่นให้ลูก ไม่อยากให้ลูกฟุ่มเฟือย และของเล่นลูกต้องเยอะแค่ไหนถึงจะพอ? ผศ.ดร.ปนัดดา มีคำแนะนำมาฝาก

        เทคนิค “จับ-จด” เปลี่ยนชีวิต สร้างนิสัยรู้จักคิด
        หยุด! ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น ได้ผลชะงัด!

        เพราะเด็กๆ กับของเล่นเป็นของคู่กันเพราะงานหลักของเด็กคือการเล่นและการเล่นคือการเรียนรู้ …ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเล่น แต่ไม่อยากซื้อของเล่นให้ลูกจะทำอย่างไร? ไม่อยากให้ลูกฟุ่มเฟือยจะทำอย่างไร? และของเล่นลูกต้องเยอะแค่ไหนถึงจะพอ?

        จริงอยู่ว่าสำหรับเด็กๆ แล้วการเล่นนั้นมีประโยชน์มากมาย เพราะจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กรอบด้านไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านร่างกายอารมณ์จิตใจสังคมภาษากระบวนการรู้คิดและทักษะสมอง EF แต่การเล่นก็อาจเสริมสร้างนิสัยที่ไม่เหมาะสมได้เช่นกันหากเรามองข้ามเรื่องการสอนวินัยกฎกติกาและมารยาทให้กับลูก

        Good to know : การฝึกทักษะสมอง EF เพื่อสร้างนิสัยให้ลูกรู้จักคิด Executive Function (EF) คือ การทำงานของสมองด้านการจัดการ ซึ่งมีอิทธิพลต่อความสำเร็จในชีวิต โดยอาศัยกระบวนการทางปัญญา เช่น การยับยั้งความคิด การแก้ปัญหา การวางเป้าหมาย การวางแผนการปฏิบัติ การจดจำ ความยืดหยุ่นทางปัญญา เป็นความสามารถในการควบคุมความคิดตนเอง เช่น มีรูปแบบความคิดที่หลากหลาย การคิดนอกกรอบ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนความคิดและความสนใจตามสถานการณ์ รวมถึงการปฏิบัติตามคำสั่งที่ซับซ้อน

        ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

        โดยปกติ เวลาเด็กส่วนใหญ่เจอของเล่นก็อยากได้เป็นธรรมดา พฤติกรรมที่เด็กเรียกร้องแล้วร้องไห้ลงไปนอนดิ้นกับพื้นแล้วกรี๊ดก็พบเห็นได้บ่อย คำถามก็คือแล้วทำไมลูกของเราถึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ ผู้เป็นพ่อแม่ต้องมองย้อนกลับมาดูว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่ทำให้ลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้หรือไม่

        ซึ่งส่วนใหญ่พ่อแม่ที่มีลูกน้อยมีพฤติกรรมแบบนี้ มักเกิดคำถามว่าทำไมลูกเราถึงเป็นแบบนี้ ทำไม ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น และพยายามหาวิธีจัดการแก้ปัญหา หรือปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของลูกออกไปให้ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนวิธีคิด จากที่ว่าจะจัดการพฤติกรรมของลูกอย่างไร มาเป็นการปรับพฤติกรรมของตัวเราเองกันก่อน ดังนี้

        1. ตรวจสอบตัวเอง

        พ่อแม่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราเป็นพ่อแม่ที่มักจะตามใจลูกอยู่เสมอหรือไม่ ลูกอยากได้อะไรก็ไม่ค่อยขัด ถ้าใช่แล้วล่ะก็ต้องปรับตัวเองก่อนว่าจากนี้ไปจะไม่ตามใจลูกพร่ำเพรื่อ ควรจะมีขอบเขตบ้าง บางอย่างก็ต้องขัดใจบ้าง แต่เวลาขัดใจต้องอธิบายให้ลูกฟังด้วยว่าเพราะอะไร เช่น ของเล่นชนิดนี้หนูมีหลายชิ้นแล้ว หรือไม่ก็ต้องบอกว่าลูกมีของเล่นมากแล้ว เราลองเอาของเล่นที่มีอยู่มาปรับเปลี่ยนวิธีเล่น หรือพ่อแม่ก็สามารถร่วมเล่นกับลูกด้วย

        ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

        2. ต้องใจแข็ง

        เวลาเจอเสียงร้องของลูก ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น คนเป็นพ่อแม่มักทนไม่ได้ กลัวลูกไม่รักบ้าง กลัวลูกเสียใจ กลัวลูกไม่มีเหมือนคนอื่น กลัวลูกเสียงแหบ กลัวลูกจะกลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ ฯลฯ เรียกว่ามีเหตุให้กลัวมากมาย และนั่นก็นำไปสู่อาการใจอ่อนกับลูกทุกครั้งเมื่อลูกร้องไห้ แล้วจะไม่ให้ลูกจับทางพ่อแม่ถูกได้อย่างไร เด็กฉลาดกว่าที่เราคิด และมักใช้ความรักของพ่อแม่เป็นเครื่องมือต่อรองอยู่เสมอ ที่สำคัญมักสำเร็จด้วย เพราะเขารู้ว่าจะต้องทำแบบไหนเดี๋ยวพ่อหรือแม่ก็ใจอ่อนเอง

        3. ตกลงกันก่อน ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

        ทุกครั้งที่จะต้องเดินทางออกนอกบ้านไม่ว่าจะไปที่ไหนทั้งครอบครัว ควรจะพูดคุยกับเจ้าตัวน้อยของเราให้ชัดเจน เช่น เราจะไปห้างสรรพสินค้า จะไปเที่ยวทะเล ไปบ้านญาติ ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่ควรจะพูดคุยกับลูกก่อนที่จะไปในสถานที่นั้นๆ เช่นจะไปห้างสรรพสินค้า ก็ควรตกลงกันว่าจะไม่ซื้อของเล่น (อย่าคิดว่าเขาเล็กเกินไปนะคะ) เขารู้เรื่องค่ะ เพียงแต่แรกๆ หนูน้อยอาจจะอยากลองของกันบ้าง ก็บอกเขาว่าเราตกลงกันแล้วนะจ๊ะ ว่าแม่ไม่อนุญาตให้ซื้อของเล่น อย่าใช้อารมณ์ค่ะ พยายามพูดกับลูกดีๆ และต้องยืนยันคำพูดเดิมว่าเราตกลงกันไว้แล้วนะลูก พร้อมกับเตือนตัวเองในข้อสองด้วย

        ข้อเท็จจริงที่สำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับการเล่นของลูก คือ การเล่นที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับของเล่น จำนวนของเล่นและ ราคาของเล่นแต่ขึ้นอยู่กับ กระบวนการเล่นให้เป็นไปตามวินัย กฎ กติกา และมารยาทในการเล่น

        ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ต้องเป็นกังวลว่า ของเล่นจะต้องเยอะแค่ไหน ลูกถึงจะมีพัฒนาการที่ดี และการไม่ซื้อของเล่นก็ไม่ได้แปลว่า เราไม่รักไม่ส่งเสริมพัฒนาการให้กับลูก!!!

        ในทางตรงกันข้าม การไม่ซื้อของเล่น กลับใช้เป็นการส่งเสริมลักษณะนิสัยให้กับลูกน้อยได้เช่นกัน ซึ่งเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวก นั้นคือ “การหยุดคิดก่อนซื้อ” ด้วยเทคนิคการ “จับจด” ซึ่งมี 2 ขั้นตอนดังนี้ค่ะ

         

        • จับวันพิเศษ

        ขั้นตอนนี้คือการทำข้อตกลงกับลูกว่า วันพิเศษที่เราจะอนุญาตให้ลูกซื้อของได้ คือวันอะไรบ้าง เช่น วันสุดท้ายของการสอบ วันเกิด วันคริสต์มาส วันปีใหม่ เป็นต้น เมื่อตกลงได้แล้ว ให้เขียนวันพิเศษในกระดาษ หน้าละ 1 วัน และเหลือพื้นที่เอาไว้เขียนรายการชื่อของเล่นที่ลูกอยากได้

        • จดชื่อของเล่น

        ขั้นตอนนี้ คือ ให้ลูกจดชื่อของเล่นที่อยากได้ลงในวันต่างๆ ซึ่งลูกจะต้องเลือกว่าของเล่นชิ้นไหน จะซื้อในวันไหน คุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยกับลูกและให้เขาเลือกได้ว่า ของเล่นที่ไหนที่หนูอยากได้มากที่สุด และอยากได้เร็วที่สุด และหนูลองดูว่า วันพิเศษไหน ที่จะมาถึงก่อนเพื่อน หนูก็จับวันพิเศษนั้น มาจดชื่อของเล่นลงไป และเมื่อถึงวันพิเศษ คุณพ่อคุณแม่ก็ซื้อของเล่นชิ้นที่ลูกจดไว้ให้ลูก

        โดยคุณแม่สามารถช่วยลูกจับวันพิเศษและจดชื่อของเล่น ได้ดังนี้

        วันสอบ
        –  ตุ๊กตาหมี

        –  รถไฟของเล่น

        วันเกิด
        –  บล็อกไม้

        –  ตัวต่อเลโก้

        วันคริสต์มาส
        –  รถของเล่น

        –  เครื่องบิน

        วันปีใหม่
        –  ลูกบอล

        –  กลอง

        หากว่าลูกยังเล็กคุณพ่อคุณแม่อาจเป็นคนจดรายการของเล่นให้ลูกหรือให้ลูกวาดรูปไว้ก็ได้ค่ะและเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกร้องอยากได้ของเล่นอีกบอกลูกไปเลยค่ะว่า “ได้เลย พ่อ/แม่อยากซื้อให้ หนูไปจับวันพิเศษ มาจดชื่อของเล่นไว้เลย วันไหนมาถึงก่อน พ่อ/แม่ซื้อให้เลย” รับรองว่านอกจากจะช่วยให้ลูกรู้จักหยุดคิดก่อนจะซื้อแล้ว ยังสามารถช่วยลดปัญหาการทะเลาะกับลูกเรื่องไม่ซื้อ ของเล่นให้ลูกหรือการร้องไห้ดิ้นกับพื้นเพราะอยากได้ของเล่นได้อีกด้วยค่ะ

        ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

        4. ตักเตือนและเบี่ยงเบน

        แม้คุณพ่อคุณแม่จะทำการบ้านมาดี แต่เวลาเด็กเห็นของเล่นแล้ว น้อยคนที่จะบังคับใจตัวเองไม่ให้อยากได้ มันเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจด้วย ไม่ใช่ดุว่าอย่างเดียวว่าตกลงกันแล้วไงว่าไม่ซื้อๆ หน้าตาขมึงเชียว เด็กก็คือเด็ก พ่อแม่ควรเตือนควบคู่ไปกับการปลอบใจว่า “เราตกลงกันแล้วนะลูกว่าจะไม่ซื้อของเล่นในคราวนี้ แม่ว่าเราลองไปดูหนังสือกันไหม” เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของลูกให้ไปสนใจในสิ่งอื่น หรือในสิ่งที่พ่อแม่อยากชักชวนให้ลูกเรียนรู้ร่วมกัน เพราะความสนใจของเด็กยังสั้นอยู่

        5. เดินหนี

        หาก ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น การเดินหนี ไม่การเดินหนีไปที่อื่น จริงอยู่ว่าโดยปกติเด็กจะจะร้องอยู่สักพัก แต่เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้แน่ๆ เขาจะวิ่งไปหาพ่อแม่เอง แล้วเขาก็จะเรียนรู้ว่าทำวิธีนี้ก็ไม่ได้อยู่ดี ซึ่งส่วนใหญ่คนเป็นพ่อแม่มักจะไม่สามารถผ่านด่านลูกร้องไห้แล้วดิ้นไปได้ สุดท้ายก็เลยกลายเป็นปัญหาทางด้านพฤติกรรมของลูกต่อไป

        วิธีการเดินหนีอยากจะให้เป็นหนทางสุดท้าย เพราะเป็นการทำร้ายจิตใจเด็กด้วย และแนวโน้มคนเป็นพ่อแม่ก็มักพลาดพลั้งเพราะทนไม่ได้ที่เห็นลูกร้อง หรือเพราะอายผู้คนก็ตาม ฉะนั้น ถ้ามีการเตรียมรับมืออย่างดีมาก่อนหน้านี้ ก็อาจไม่ต้องมีใครเสียน้ำตา และไม่ต้องมีใครมาเสียใจในภายหลังด้วย

        ◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊

        นอกจากการซื้อของเล่นให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่อาจประยุกต์ของเล่นของใช้อื่นที่มีอยู่แล้วในบ้าน มาเล่นให้ได้ประโยชน์เดียวกันทดแทนของเล่นชิ้นใหม่ได้ เช่น อาจนำตัวต่อมาเรียงต่อกัน ให้ลูกเอาไม้ตีแทนการเล่นระนาด หรือ ของใช้ประจำวันของคุณพ่อคุณแม่นำมาประยุกต์เป็นของเล่นให้ลูกเล่น ก็สร้างความตื่นเต้นเสริมสร้างพฤติกรรมเลียนแบบให้สนุกได้ง่ายๆ รวมทั้งการลงมือทำของเล่นด้วยตัวเอง นอกจากจะสร้างคุณค่าทางจิตใจที่ดีของลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจที่เห็นลูกเล่นสนุกตามไปด้วย

        การเล่นและของเล่นของเด็กเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ เพราะจะเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้นในช่วงวัยต่อๆมา เด็กที่ขาดโอกาสในการเล่นอาจทำให้ประสบปัญหาการเรียนรู้และมีพัฒนาการล่าช้าได้ อย่างไรก็ดี เพื่อป้องกัน ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น ของเล่นที่ดีสุดของลูกก็คือคุณพ่อคุณแม่เอง ดังนั้นขอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่จัดสรรเวลาเพื่อเล่นกับลูกให้มากขึ้นแทนการหาของเล่นเพิ่มขึ้น นอกจากจะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการสมวัยได้อย่างแน่จริงแล้ว ยังเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆอีกด้วย 

        ทั้งนี้หลายพฤติกรรมของลูกที่เป็นปัญหามากมาย ผู้ใหญ่มักสรุปว่าเป็นเพราะนิสัยใจคอของเด็ก ลูกชอบเอาแต่ใจ ลูกดื้อ ลูกไม่เชื่อฟัง หรือสอนแล้วไม่จำ แต่แท้จริงแล้วพฤติกรรมที่เป็นปัญหาหลายอย่างของเด็ก ก็บ่งบอกและสะท้อนถึงการถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรด้วย เพราะบางครั้งก็เกิดจากพฤติกรรมของคนเป็นพ่อแม่ค่ะ

        บทความโดย : ผศ.ดร. ปนัดดา ธนเศรษฐกร  อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์
        สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว  มหาวิทยาลัยมหิดล

          โควิดสายพันธุ์อังกฤษ

          โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ต้นตอโควิดระลอกใหม่ อันตรายแค่ไหน แม่ต้องรู้

          ติดง่าย ลามไว ไม่แสดงอาการ โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ทำคนไทยติดเชื้อรายวันเพิ่มหลักร้อยพบเชื่อมโยงคลัสเตอร์ “ผับ-บาร์-สถานบันเทิง” กลางกรุงแล้วร่วม 20 จังหวัด อันตรายแค่ไหน ป้องกันอย่างไร วัคซีนโควิดป้องกันได้หรือเปล่า ไปหาคำตอบกัน

          โควิดสายพันธุ์อังกฤษ อันตรายกว่าสายพันธุ์อู่ฮั่นหรือไม่ ป้องกันอย่างไรให้รอดชัวร์

          ใกล้ช่วงสงกรานต์เข้ามาทุกที แต่คนไทยกลับต้องตกอยู่ในความกังวลอีกครั้ง เมื่อพบผู้ติดเชื้อโควิดเป็นกลุ่มก้อนจากสถานบันเทิงย่ายทองหล่อ และกระจายตัวไปในคนหลายวงการ หลายอาชีพ และในหลายพื้นที่ของประเทศ จากรายงานของศบค. (วันที่ 8 เม.ย.64) พบมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 405 คนเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 391 คน โดยมีผู้ติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์สถานบันเทิงราว 500 คนใน 20 จังหวัดทั่วประเทศ

          โควิดสายพันธุ์อังกฤษ

          จากการตรวจสอบพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน ไม่แสดงอาการผิดปกติเหมือนการระบาดระลอกก่อน ที่สังเกตได้จากอาการ มีไข้สูง จมูกไม่ได้กลิ่น และลิ้นไม่รับรส ภายหลังมีรายงานจากศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ตรวจพันธุกรรม SARS -CoV-2 จากตัวอย่างบางแค และทองหล่อ ด้วยวิธี Specific probe Real Time RT-PCR เพื่อแยกสายพันธุ์อังกฤษ กับสายพันธุ์ปกติ (Wild type) พบว่าสายพันธุ์ที่ระบาดจากคลัสเตอร์ทองหล่อ เป็นเชื้อ โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ซึ่งสามารถระบาดได้รวดเร็วขึ้น กว่าสายพันธุ์ปกติ 1.7 เท่า และมีปริมาณไวรัสในผู้ป่วยสูงมากแม้ไม่แสดงอาการ

          โควิดสายพันธุ์อังกฤษคืออะไร มาจากไหน

          ศ.นพ. โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย ระบุว่า “โควิดสายพันธุ์B1.1.7 ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา กระจายตัวไปในอเมริกาและหลายบประเทศในยุโรป ไวรัสชนิดนี้มีคุณสมบัติจับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพในการแบ่งตัวดี เพราะฉะนั้นจะตรวจพบเชื้อในโพรงจมูกมาก และติดเชื้อง่าย และเลี่ยงหลบจากภูมิต้านทานได้”

          การกลายพันธุ์นี้เป็นผลให้พบผู้ติดเชื้อในประเทศอังกฤษมากถึงวันละ 6 แสนคนจนต้องประกาศล็อคดาวน์ทั้งประเทศ และอนุญาตให้มีการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนเป็นประเทศแรก ซึ่งปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆเหลือวันละประมาณหลักพันคน

          ขณะที่ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ระบุถึงความน่ากลัวของเชื้อ โควิดสายพันธุ์อังกฤษไว้ว่า “มันสามารถแพร่กระจายได้เร็วมาก จึงไม่แปลกว่าเหตุใดสถานบันเทิงจึงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งมากกว่าปีที่แล้ว 10 เท่า หากผู้ติดเชื้ออยู่อาศัยร่วมกับผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง ทำให้เกิดปอดบวมสูง โอกาสเกิดจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ในปีนี้จึงมีความน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะการเคลื่อนย้ายของประชาชนเป็นเหตุทำให้การแพร่กระจายของโรคไปได้ไกล”

          โควิดสายพันธุ์อังกฤษ

          คุมเข้มคนมาจากต่างประเทศ เชื้อสายพันธุ์อังกฤษเข้ามาได้อย่างไร

          อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยว่า ประเทศไทยมีมาตรการคุมเข้มการเข้า-ออกต่างประเทศมาระยะหนึ่ง เพื่อสกัดกั้นไม่ให้มีการนำเชื้อโควิดจากต่างประเทศเข้ามา โดยผู้เดินทางจากต่างประเทศจะต้องเข้ารับการตรวจเชื้อก่อนบิน และเมื่อถึงเมืองไทยก็ต้องเข้าสู่มาตรการกักตัวอีก 14 วัน จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์อังกฤษนี้จะเล็ดลอดมาจากสถานที่กักกันตัวใช่หรือไม่

          MUST READ : รวมประกันโควิด 2021 

          MUST READ : เรื่องจริงจากหมอ “ทำคลอดแม่ติดโควิด” อันตรายสุด

          MUST READ:เด็กติดโควิด ระวังเชื้อจากพ่อแม่ แพร่ Covid-19 สู่ลูก

          ด้านนายแพทย์ยงได้โพสต์อธิบายถึงเรื่องดังกล่าวไว้ว่า  “มีการระบาดของสายพันธุ์อังกฤษอย่างมากในประเทศเขมร ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 64 – 19 มีนาคม 64 มีจำนวนผู้ป่วยกว่า  1500 ราย สายพันธุ์ที่ตรวจพบ รายงานโดย องค์การอนามัยโลก เป็นสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมากในเขมร

          เมื่อเป็นเช่นนี้่ต้นต่อของการระบาดในประเทศไทยครั้งนี้ ที่เกิดจากสายพันธุ์อังกฤษ “ไม่น่าจะมาจากสถานกักกัน ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่น่าจะมาจากการเคลื่อนย้ายของประชาชนระหว่างประเทศเขมรและไทย เพราะพบสายพันธุ์นี้ในเขมร ตั้งแต่วันที่ 20 กพ 64 และยังระบาดอย่างรุนแรงในเขมร รายงานต่างด่าว หรือคนไทยที่ข้ามไป ข้ามมา น่าจะเป็นต้นเหตุ ในการแพร่ระบาดครั้งนี้”

          โควิดสายพันธุ์อังกฤษ

          สำหรับวันหยุดยาวสงกรานต์ที่คนไทยจะเดินทางกันเยอะทั้งกลับบ้าน และท่องเที่ยวกลายเป็นช่วงเวลาน่ากังวลใจอย่างยิ่ง  ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา  คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวในรายการโหนกระแส ออกอากาศเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564  “ช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าพวกเราการ์ดตก ไม่ใส่หน้ากาก ล้างมือ ไม่เว้นระยะห่าง ประจวบเหมาะกับที่เชื้อ โควิดสายพันธุ์อังกฤษ เข้ามา ทำให้แพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว

          ถ้าเป็นไปได้หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ข้ามพื้นที่ เพราะไม่รู้ว่าในตัวเรามีไวรัสหรือเปล่า จะได้ไม่กระจายเชื้อออกไป รอบนี้ผมถึงเป็นห่วงมากพอการ์ดตก แล้วถูกซ้ำเติมด้วยสายพันธุ์ที่กระจายง่าย ตัวเลขผู้ติดเชื้อก็จะทะลุไปถึงหลักพันในที่สุด

          สิ่งสำคัญคืออย่าปิดบังข้อมูล เมื่อกลัดกระดุมเสื้อผิดแล้ว อย่ากลัดไปเรื่อยๆ หยุดเถอะ แล้วกลับมาช่วยกันดีกว่า ตอนนี้อยากให้ทุกคนกลับมายกการ์ดสูง ใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างกันเหมือนปีที่แล้ว สงกรานต์นี้เราจะได้ปลอดภัย”

          ขณะเดียวกันประเทศไทยยังต้องเฝ้าระวังเชื้อโควิดกลายพันธุ์อีก 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์แอฟริกา ซึ่งแพร่เชื้อมาแล้วระยะหนึ่งในอเมริกาและยุโรป กับอีกหนึ่งสายพันธุ์คือ สายพันธุ์บราซิลที่กำลังระบาดอย่างหนัก พบผู้ติดเชื้อ 6แสนกว่าคนในประเทศบราซิล และมีการแพร่ระบาดในอเมริกาและอังกฤษแล้วเช่นกัน แต่ยังไม่มีข้อมูลวิชาการมากนัก

          ช่วงนี้เวลาคุณพ่อคุณแม่อยุู่นอกบ้านต้องระวังให้มาก เพราะถ้าจะไม่มีอาการใดๆ ก็ไม่ได้หมายความจะปลอดภัย เพราะเราอาจกลายเป็นพาหะชั้นดีพาเชื้อร้ายกลับไปติดลูกที่บ้านแบบไม่รู้ตัว วิธีง่ายๆที่ช่วยให้ปลอดภัยจากเชื้อ มีดังนี้

          1. ยกการ์ดสูงทุกด้าน ใส่หน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ ไม่สัมผัสกับจุดเสี่ยง เว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปในสถานที่มีคนพลุกพล่าน
          2. เฝ้าติดตามสถานการณ์โควิดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทราบข้อมูล และไม่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง
          3.  ลดการรวมกลุ่มระหว่างคนทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การรับประทานอาหาร่วมกัน หรือนัดสังสรรค์ อาจต้องเลื่อนไปก่อน
          4. กลับถึงบ้านแล้วต้องทำความสะอาดตัวเองทันที ก่อนสัมผัสลูก
          5. หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์ที่นำไปนอกบ้าน และมีโอกาสที่ลูกจะสัมผัสด้วย เช่น กุญแจบ้าน กุญแจรถ โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ เป็นต้น

          MUST READ : 10 สิ่งของเสี่ยงติดโควิด ควรระวังป้องกัน ฆ่าเชื้อโรค ก่อนถึงตัวลูก!

          ในเมื่อต้องอยู่บ้านกันยาวๆแบบนี้ อย่าลืมหากิจกรรมดีๆไว้เล่นสนุกกับลูกน้อย ช่วยเสริมสร้างพัฒนาและทักษะรอบด้าน ไปพร้อมๆ กับสร้าง “เวลาคุณภาพ” กับลูกน้อยอย่างปลอดภัย ด้วยนะคะ

          ขอบคุณข้อมูลจาก: รายการโหนกระแส /  thairathnews / the standard

          บทความน่าสนใจอื่นๆ

          CDC ชี้! หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ดีกว่าวัคซีน

          หมอเด็กแนะ!!พ่อแม่ต้อง กักตัว 14 วัน จะบอกลูกยังไงดี?

           

          สสส. แนะวิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ

            3 ข้อท่องไว้ ใช้รับมือเมื่อ ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ !!

            เมื่อลูกไม่น่ารัก อารมณ์ร้าย ชอบปาของ พ่อแม่จะมีวิธีลดพฤติกรรม ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ ได้อย่างไร ลองดูกฎ 3 ข้อ กระตุ้น ชื่นชม ชัดเจน ช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

            3 ข้อท่องไว้ ใช้รับมือเมื่อ ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ !!

            ลูกชอบปาของ เป็นพฤติกรรมที่พ่อแม่ควรต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า หากเกิดขึ้นในเด็กเล็ก วัยเตาะแตะ (ประมาณช่วงอายุ 1-3 ปี) นั้น นับว่าเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ของลูกอย่างหนึ่ง เด็กวัยนี้กำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนากล้ามเนื้อมือ และทักษะทางร่างกายหลาย ๆ อย่าง เขาจะรู้สึกตื่นเต้น และต้องการทดลองดูว่าเขาสามารถหยิบจับทำสิ่งใด ๆ ได้ด้วยตัวเอง และจะยิ่งมีความสุขมากที่ได้เห็นการตอบสนองของคนรอบข้างจากการกระทำนั้น ๆ ดังนั้นเราจึงมักจะพบว่า เด็กวัยนี้จะหัวเราะชอบใจเวลาโยนของ ปาของลงบนพื้น เมื่อแม่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อให้แม่เก็บของนั้นขึ้นมา แต่สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องสอนเขานั่นคือ กำหนดชัดเจนว่าสิ่งใดโยนได้ สิ่งไหนไม่ได้ เพื่อลูกจะได้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมไหนบ้างที่เหมาะสม

            เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของเด็กก่อนนะคะ ถึงจะแก้ปัญหานี้ได้ยั่งยืน

            1. เด็กวัยนี้กำลังพัฒนาทักษะการใช้มือทำงานที่มีประโยชน์ เช่น เก็บของใสกล่อง เอาของวางบนโต๊ะอย่างบรรจง เทน้ำใส่ขวด เจาะหลอดลงกล่อง ระบายสี เล่นของเล่น ปอกไข่ฯลฯ

            2. เด็กต้องการเสียงตอบสนองเชิงบวกว่าเขาใช้มือทำงานได้ดีจริงๆ ซึ่งแปลว่าเด็กต้องมีข้อ 1 มากพอก่อนเขาถึงจะได้ข้อ 2

            3. เด็กต้องการให้แม่แยกเรื่องให้ชัดเจนว่า ตอนไหนคือเล่นที่แม่อนุญาตให้โยน ตอนไหนจริงจังแม่ไม่อนุญาตเด็ดขาด

            ข้อมูลอ้างอิงจาก FB: หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก
            ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ หรือแค่เรียนรู้ทักษะใหม่ของเขา
            ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ หรือแค่เรียนรู้ทักษะใหม่ของเขา

            เมื่อ ลูกชอบขว้างของ บ่อย ๆ ความสนุกที่ได้ค้นพบได้ด้วยตัวเอง แต่กลับเกิดปัญหากับพ่อแม่ที่ต้องมาตามเก็บนั้น เราสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยการเข้าใจในธรรมชาติของลูกเสียก่อน จากนั้นก็สามารถยึดหลักกฎ 3 ข้อที่พ่อแม่ต้องทำเพื่อปรับพฤติกรรมนั้น ๆ ให้เข้าสู่ความเหมาะสม ให้ลูกได้เรียนรู้ในพฤติกรรมว่าแบบไหนควรกระทำ แบบไหนที่ไม่น่ารักเสียเลย

            กฎข้อที่ 1 กระตุ้น

            พ่อแม่ส่วนใหญ่มักใช้วิธีการห้ามไม่ให้ทำพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ และชื่นชมเวลาลูกแสดงพฤติกรรมที่ดีเพียงเท่านั้น น้อยคนนักที่จะทำการกระตุ้นพฤติกรรมที่ต้องการให้ลูกได้เรียนรู้ การหากิจกรรมมากระตุ้นให้ลูกใช้มือทำงานที่สร้างสรรค์ ก็นับว่าเป็นส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาเรื่องการโยนของ ของเด็กวัยนี้ได้เช่นกัน เช่น

            • ชวนลูกมาเล่นเก็บของ วิธีเล่นก็แสนง่าย แค่รอให้ลูกขว้างของลงบนพื้นไปเรื่อย ๆ จนเขาหยุดเอง จากนั้นให้คุณพ่อคุณแม่เปิดเพลงโปรดของลูกแล้วชวนกันมาเก็บของที่เกลื่อนกลาดบนพื้นให้ได้ก่อนเพลงจบ อาจหารางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สติ๊กเกอร์มาเพิ่มแรงจูงใจให้กับลูกอีกทางหนึ่งด้วยก็ได้
            • เก็บผ้าใส่ตระกร้า เสื้อผ้าในตระกร้าก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลูกมักชอบโยนออกมา แม้จะเป็นการเพิ่มงานให้กับคุณแม่ แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งของที่ไม่เป็นอันตราย เมื่อโยนได้ก็ต้องเก็บเองได้นะจ๊ะเจ้าตัวน้อย
              ตักข้าวเอง กิจกรรมกระตุ้นการทำงานของมือที่สร้างสรรค์
              ตักข้าวเอง กิจกรรมกระตุ้นการทำงานของมือที่สร้างสรรค์

               

            • ตักอาหารใส่จาน เรื่องนี้อาจเป็นสิ่งที่หนักใจของพ่อแม่หลาย ๆ คน โดยเฉพาะสังคมไทยที่มักจะใช้วิธีป้อนข้าวลูกเสียเองเลย เพื่อป้องกันการหกเลอะเทอะ แต่หากคุณพ่อคุณแม่เปิดใจยอมสักนิด ลองให้ลูกได้ตักข้าวเข้าปากเอง หรืออาจเปลียนเป็นช่วยตักอาหารใส่จานบ้าง ก็เป็นการกระตุ้นให้ลูกได้ใช้มือทำงานที่สร้างสรรค์ นอกจากเขาจะได้ฝึกกล้ามเนื้อแล้ว ยังเพิ่มความภาคภูมิใจในตัวเองแก่ลูกอีกด้วย

            กฎข้อที่ 2 ชื่นชม

            การชื่นชมเจ้าตัวน้อยเวลาทำพฤติกรรมที่ดี ที่ต้องการ เป็นสิ่งจำเป็นที่พ่อแม่ควรฝึกไว้จนเป็นนิสัย เพราะการชื่นชม เป็นการตอบสนองความพยายามของลูก ทำให้เขามีกำลังใจ และเรียนรู้ที่จะพฤติกรรมนั้นซ้ำ การชื่นชมนอกจากคำพูดที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดแล้ว พ่อแม่ยังสามารถชื่นชมด้วยสีหน้า รอยยิ้ม ต่อผลงานของลูกได้ด้วยเช่นกัน

            การโยนของ เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งของเด็กวัยเตาะแตะ
            การโยนของ เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งของเด็กวัยเตาะแตะ

            กฎข้อที่ 3 ชัดเจน

            ชัดเจนในเรื่องที่ว่าพฤติกรรมไหนทำได้ พฤติกรรมไหนไม่ให้ทำ เช่น การปาอาหาร เราต้องอธิบายว่าอาหารไม่ใช่ของเล่น ทิ้งขว้างไม่ได้ หากลูกไม่สนใจ ยังโยนอาหารอีก เราต้องหนักแน่น จับมือลูก บอกลูกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไม่โยนอาหารเล่น” พร้อมทั้งชวนให้ลูกใช้มือตักอาหารเข้าปากเองแทนการโยนเล่น เมื่อเขาทำได้อย่าลืมชม ลูกอาจไม่สามารถทำได้ในครั้งแรกเลย แต่เมื่อเขาเกิดพฤติกรรมนั้น ๆ อีก พ่อแม่ต้องใจเย็น และชัดเจนย้ำในเรื่องเดิมจนกว่าเขาจะเข้าใจ และเลิกทำไปในที่สุด

            หลักสำคัญคือ การชัดเจนในการสอนว่าไม่ให้ทำพฤติกรรมนั้น ในบางครั้งหากเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรง ครั้งแรก ๆ พ่อแม่อาจไม่ได้กำหนดว่าห้ามทำ แต่พอครั้งหลัง ๆ กลับมาดุว่าเวลาลูกทำ แบบนี้จะทำให้ลูกสับสนและไม่สามารถเลิกพฤติกรรมการปาของนั้น ๆ ได้

            ข้อควรระวัง พ่อแม่ไม่ควรบ่นจุกจิก ถึงจะยาก แต่รู้หรือไม่ว่าถ้าพ่อแม่ยิ่งแสดงออกว่าไม่พอใจหรือโกรธลูกมากเท่าใด สำหรับลูกวัยเตาะแตะ การบ่น ดุ ว่า จะกลายเป็นแรงผลักให้ลูกอยากแสดงพฤติกรรมนี้บ่อยขึ้น เข้าทำนอง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ

            ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ หนึ่งในพฤติกรรมอารมรณ์ร้าย
            ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ หนึ่งในพฤติกรรมอารมรณ์ร้าย

            ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ

            การที่ลูกวัยเตาะแตะโยนของเพื่อการเรียนรู้ และสนุกที่ได้เห็นพ่อแม่ตามเก็บของที่เขาโยนนั้น ลูกมักมีพฤติกรรมดังกล่าวไปพร้อมกับรอยยิ้ม หรือพ่อแม่จะสังเกตได้ว่าเขาไม่ได้มีอารมณ์โกรธ โมโห แต่ถ้าพฤติกรรมการขว้างปาข้าวของในยามที่เจ้าตัวน้อยเกิดอารมณ์โมโหด้วยแล้วนั้น นับว่าเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งในการแสดงอาการโกรธที่ไม่ธรรมดาของเด็กในเบื้องต้น ซึ่งพ่อแม่ควรหันมาใส่ใจ และสังเกตพฤติกรรมของลูกว่าเขาได้แสดงอาการโกรธ ก้าวร้าวรุนแรงขึ้นหรือไม่

            CHECKLIST ความโกรธที่น่าเป็นห่วง

            เจ้าตัวเล็กอาจไม่สามารถควบคุมความโกรธ และแสดงพฤติกรรมรุนแรงได้ตั้งแต่อายุ 1 ขวบเป็นต้นไป ซึ่งพ่อแม่สามารถสังเกตอาการโกรธที่ไม่ธรรมดาของเด็กเบื้องต้น ได้แก่

            • หยิก
            • ดึงผม
            • ฉุดกระชาก
            • ดื้อมากไม่ฟังใคร
            • ขว้างปาข้าวของ
            • โมโหร้าย อาละวาด
            • ชักดิ้นชักงอ
            • ร้องไห้นานเป็นชั่วโมง
            • ตบหน้าพ่อแม่หรือทำร้ายคนเลี้ยงดู เช่น พี่เลี้ยง
            • ทุบตีหรือทำร้ายเพื่อนที่โรงเรียนและผู้อื่น

              หากิจกรรมทำกับลูก ลดอารมณ์โกรธ ลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ได้
              หากิจกรรมทำกับลูก ลดอารมณ์โกรธ ลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ได้

            สอนลูกจัดการความโกรธ

            การสอนวิธีบริหารจัดการความโกรธ (Anger Management) ให้กับลูกคือสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรใส่ใจเพื่อให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ทำได้ไม่ยาก ดังนี้

            • เป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็ก เมื่อพ่อแม่มีความโกรธให้นิ่งหรือปลีกตัวออกมาจนรู้สึกผ่อนคลายเสียก่อนแล้วค่อย ๆ พูดคุยกับคนรอบข้างด้วยความนุ่มนวล ทำให้เด็กเห็นเป็นประจำเพื่อให้ซึมซับตัวอย่างที่ดีในการจัดการอารมณ์โกรธ
            • ปล่อยลูกให้อยู่กับตัวเองแล้วค่อยอธิบายภายหลัง หากเด็กมีความโกรธไม่รุนแรง เช่น หน้าบึ้ง ร้องไห้ ฮึดฮัด เป็นต้น ลองปล่อยให้อยู่กับตัวเองจนใจเย็นลง แล้วค่อยเข้าไปถามความรู้สึก และเปิดโอกาสให้เขาได้เล่าถึงความคับข้องใจของเขา พ่อแม่ควรใช้โอกาสนี้ในการที่จะรับฟัง อย่าตำหนิ แต่ควรชี้ให้เขาเห็นว่าอะไรคือผลที่ตามมาจากการกระทำของเขา สอนให้เขารู้จักที่จะขอโทษ เช่นเดียวกับการรู้อภัย  และบอกถึงวิธีจัดการความโกรธที่เหมาะสมสำหรับเหตุการณ์ครั้งต่อ ๆ ไปที่จะตามมาในอนาคต และเส้นทางอื่น ๆ ในการระบายความรู้สึกไม่พอใจในรูปแบบอื่น ๆ ที่ไม่ต้องผ่านความรุนแรง เช่น เมื่อโกรธให้ถอยออกมาจากวงของความขัดแย้ง สงบสติอารมณ์ แล้วแยกตัวไปอยู่ในที่ที่เงียบสงบหรือไปเล่นดนตรี เล่นกีฬา เล่นกับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
            • เข้าใจความโกรธของลูก เมื่อเห็นเด็กโกรธ พ่อแม่บอกลูกให้รู้และเข้าใจว่าความโกรธของเขาถือเป็นเรื่องธรรมชาติปกติ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะโกรธได้ แต่เมื่อโกรธแล้วจะต้องรู้จักวิธีที่จะสงบสติอารมณ์ของตนเองลงให้ได้เสียก่อนเป็นลำดับแรก การเบี่ยงเบนความสนใจเป็นวิธีหนึ่งที่มีความเหมาะสม เมื่อเขาอารมณ์นิ่งขึ้นจึงให้ลูกเลือกวิธีที่จะจัดการกับความโกรธของเขาที่ยังเหลืออยู่อย่างเหมาะสมโดยเปิดโอกาสให้เขาได้หัดคิดและเรียนรู้ โดยมีพ่อแม่คอยช่วยประคับประคอง
            • สำหรับพฤติกรรมโกรธที่รุนแรงมากควรรีบปรึกษาจิตแพทย์ ในกรณีที่เด็กมีการทำร้ายตนเอง ผู้อื่น และข้าวของ ควรต้องรีบหยุดเด็กในตอนนั้น และพาไปปรึกษาจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นทันที
            • แลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องความรุนแรงในสังคม ตามสื่อต่าง ๆ ทั้งข่าว ละคร มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรงปรากฏขึ้น พ่อแม่ควรอธิบายเหตุผลให้ลูกฟัง และฟังความคิดเห็นของเขาเพื่อแนะนำอย่างเหมาะสม

             

            ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ ปล่อยไว้อาจพัฒนาไปเป็นการทำร้ายเพื่อนเวลาโต
            ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ ปล่อยไว้อาจพัฒนาไปเป็นการทำร้ายเพื่อนเวลาโต

            จะเห็นได้ว่า หากการขว้างปาของหากมาพร้อมกับอารมณ์โกรธของลูก เมื่อ  ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ วิธีการรับมือ ปรับพฤติกรรมที่ไม่ต้องการนี้ของพ่อแม่จึงควรเริ่มจากการทำให้ลูกอารมณ์เย็นลงก่อน จากนั้นถึงจะใช้วิธีตามกฎ 3 ข้อ ของการสอนลูกไม่ปาของได้ เพราะความโกรธเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยเด็กที่เป็นวัยแห่งการเรียนรู้ พ่อแม่ควรสอนวิธีจัดการความโกรธอย่างถูกต้องเพื่อให้เจ้าตัวเล็กควบคุมอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม แล้วจึงค่อยสอน หรือปรับพฤติกรรมในส่วนที่ไม่เหมาะสมของลูก เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างมีคุณภาพและสามารถจัดการอารมณ์ มีความฉลาดทางอารมณ์ติดตัวต่อไป

            ข้อมูลอ้างอิงจาก www.sanook.com/www.bangkokhospital.com

            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

            10 วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด เมื่อลูกพูดช้าเพราะแม่รู้ใจเกินไป!!

            7 วิธี สยบปัญหา พี่น้องตีกัน พี่น้องทะเลาะกัน ต้องรีบแก้ไข

            วิจัยเผย! เลี้ยงลูกกับสุนัขด้วยกัน ได้ประโยชน์กว่าที่คิด

            7 เคล็ดลับ! สยบ ลูกขี้หงุดหงิด แบบไม่พึ่งหน้าจอ ลูกก็สงบได้!

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              นมA2

              “นมA2” นวัตกรรมล่าสุด ให้ลูกกินนมแล้วย่อยง่าย สบายท้อง

              ใครเคยดื่มนมA2 บ้างคะ ในตลาดต่างประเทศนมชนิดนี้เป็นที่นิยมกันมากๆ ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่มีปัญหาการดื่มนม หรือมีปัญหาเรื่องการย่อยนม วันนี้ทีมแม่ABK ได้หาข้อมูล และพบว่าที่บ้านเรามี นมA2 สำหรับเด็กเล็กแล้วนะคะ จึงอยากมาแชร์ให้แม่ๆ ทราบกันค่ะ เผื่อจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคุณแม่ในการเลือกนมให้ลูกน้อยดื่ม โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่มักมีอาการไม่สบายท้องหลังจากดื่มนม

              เด็กเล็กโดยปกติจะดื่มนมแม่ เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และมีโปรตีนเบต้า-เคซีน A2 (โปรตีน A2) ที่ดีต่อระบบการย่อย ช่วยทำให้ไม่เกิดอาการไม่สบายท้องจากการดื่มนมค่ะ

              • นมแม่ กับ โปรตีน A2 เพื่อการย่อยที่ดี ลูกน้อยสบายท้อง

              อย่างที่รู้กันว่านมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกตั้งแต่แรกเกิด ในน้ำนมแม่มีสารอาหารหลายร้อยชนิด เช่น แลคโตส ไขมัน โปรตีน และแร่ธาตุ ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของลูกน้อย และความพิเศษของน้ำนมแม่ จะมีโปรตีนเบต้า-เคซีน A2 ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เนื่องจากย่อยและดูดซึมได้ง่าย ช่วยให้ลูกน้อยสบายท้อง  ซึ่งเหมาะสมกับระบบการย่อยของลูกน้อยมากที่สุด เมื่อร่างกายย่อยและดูดซึมสารอาหารไปใช้งานได้หมด ก็จะไม่มีปัญหาอาการไม่สบายท้องเกิดขึ้นค่ะ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เข้าใจกันแล้วใช่ใหมคะว่า ทำไมเด็กทารกควรกินแต่น้ำนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดไปจนถึง 6 เดือน โดยที่ไม่ต้องกินอาหารเสริมใดๆ รวมถึงการให้ดื่มน้ำด้วยค่ะ

              • โปรตีนA2 นอกจากมีใน “นมแม่” แล้ว “นมวัว” มีหรือเปล่า ?

              มีค่ะ โปรตีนA2 ก็มีอยู่ในนมวัวทั่วไป   โดยในนมวัวทั่วไปอาจมีในปริมาณน้อยเพราะจะมีโปรตีนเบต้า-เคซีนชนิดอื่น ๆ เช่น ชนิด A1 ผสมอยู่ด้วย แต่นมจากวัวสายพันธุ์ดั้งเดิมตามธรรมชาติจะมีเฉพาะโปรตีนเบต้า-เคซีน ชนิด A2 (โปรตีนA2)  เท่านั้น  โปรตีนA2 เป็นโปรตีนคุณภาพจากธรรมชาติ และก็มีโครงสร้างโปรตีนใกล้เคียงกับโครงสร้างโปรตีนในนมแม่ด้วยค่ะ ทีมแม่ABK ว้าวมากกับโปรตีนA2 เพราะขนาดมีในน้ำนมวัว ยังต้องได้มาจาก “วัวสายพันธุ์ดั้งเดิมตามธรรมชาติ” เท่านั้น เพื่อให้ได้โปรตีนคุณภาพที่ใกล้เคียงในนมแม่

              • นมA2 นวัตกรรมน้ำนมทางเลือกใหม่ ที่ลูกดื่มได้อย่างสบายท้อง

              ถ้าเด็กเล็กดื่มนมแล้วมีอาการไม่สบายท้อง เช่น อาการท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือท้องเสีย ก็อาจส่งผลกระทบต่อการมีสุขภาพที่ดี คุณแม่สามารถเปลี่ยนจากนมวัวสูตรปกติทั่วไป มาเป็นสูตรนมA2  ให้ลูกดื่มได้นะคะ ซึ่งในขวบปีแรกที่เริ่มเสริมนมให้ลูกดื่ม นอกจากนมแม่ อาจต้องเลือกนมที่เหมาะสมกับร่างกายของลูกน้อยด้วย เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดอาการไม่สบายท้อง และเพื่อการเจริญเติบโตที่ดี ครบถ้วน สมบูรณ์ค่ะ

              ปัจจุบันมีนมA2 ที่เป็นนวัตกรรมคัดสรรโปรตีนคุณภาพจากธรรมชาติ ที่เหมาะกับลูกน้อย เป็นนมสูตรพรีเมี่ยม ที่แตกต่างจากนมวัวปกติทั่วไป และถึงแม้ว่าปัจจุบันวัวสายพันธุ์ดั้งเดิมตามธรรมชาติ จะเริ่มเหลือจำนวนน้อยลง แต่เราสามารถคัดสรรได้  ด้วยการตรวจสอบ DNA และตรวจชนิดโปรตีนในน้ำนม ว่าเป็นวัวที่ผลิตน้ำนมที่มีโปรตีนเบต้า – เคซีนเฉพาะชนิด A2 จริงๆ เท่านั้น แม่ๆ จึงมั่นใจได้ว่า นมA2 จะช่วยให้ลูกน้อยกินแล้วย่อยง่าย สบายท้องค่ะ

              อาการไม่สบายท้องอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการการเจริญเติบโต และพัฒนาการการเรียนรู้ของลูกน้อยได้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกนมที่เหมาะสมกับวัยของลูกน้อย สูตรนมพรีเมี่ยมที่มีโปรตีนA2 ถือเป็นทางเลือกที่ดีมากๆ ที่จะส่งเสริมให้ลูกน้อยมีสุขภาพทางเดินอาหารที่ดี ลดโอกาสการเกิดอาการไม่สบายท้อง เพื่อลูกน้อยพร้อมเรียนรู้ได้เต็มที่

              นอกจากเลือกนมที่มีโปรตีนคุณภาพอย่าง A2 แล้ว ลูกยังคงต้องการโภชนาการ เพื่อส่งเสริมภูมิคุ้มกัน พัฒนาการทางด้านสมอง และสุขภาพทางเดินอาหารที่ดี จาก MFGM และ DHA ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่พบได้ในนมแม่ และ PDX-GOS/FOS ซึ่งเป็นใยอาหารสุขภาพ ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ของลูก ช่วยให้ลูกมีสุขภาพทางเดินอาหารที่ดี  เพื่อพัฒนาการที่ก้าวล้ำ ทั้งร่างกาย สมอง และจิตใจ คุณแม่ควรเลือกสรรแต่โภชนาการที่ดีให้แก่ลูกน้อยนะคะ เพราะทุกสิ่งที่มาจากธรรมชาติ ย่อมดีที่สุด

                เป็นRSV

                ลูกไม่ป่วย เป็นRSV แน่ ถ้าพ่อแม่ดูแลได้แบบนี้!

                เป็นRSV-  โรค RSV (Respiratory syncytial virus)  คือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่สามารถส่งเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ทว่าเชื้อชนิดนี้จะส่งผลร้ายแรงกว่าในเด็กทารกและเด็กเล็ก เนื่องจากทางเดินหายใจของทารกและเด็กเล็กอาจยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่  ในรายที่มีอาการหนักอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะปอดอักเสบได้จากการเกิดพยาธิสภาพของหลอดลมเล็ก (bronchiole) และถุงลม (alveoli)

                ทำความรู้จักเชื้อ RSV

                เชื้อไวรัส RSV แบ่งออกได้ 2 สายพันธุ์ ได้แก่ RSV-A และ RSV-B  สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผ่านทางการสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือซึ่งการติดเชื้อดังกล่าวมักพบในเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และมีการระบาดเกือบทุกปี ในคนส่วนใหญ่ RSV ทำให้เกิดอาการหวัดโดยมักจะมีอาการไอร่วมด้วย ในเด็กทารก RSV อาจมีการเจ็บป่วยที่รุนแรงขึ้นจากหลอดลมฝอยอักเสบ ทารกที่เป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบจะหายใจได้ค่อนข้างลำบาก นอกจากนี้เชื้อไวรัสยังสามารถนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรง เช่น ปอดบวม  RSV เป็นไวรัสที่ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ  มีเพียงการรักษาตามอาการเพื่อลดระยะและความรุนแรงของการติดเชื้อเท่านั้น

                เป็นRSV
                เป็นRSV

                อาการของ RSV ในทารกและเด็กเล็ก

                ในเด็กโต RSV อาจทำให้เกิดอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล แต่ในทารกและเด็กเล็กที่อายุไม่เกิน 3 ขวบ ไวรัสอาจทำให้เด็กมีอาการรุนแรงกว่า โดยสามารถมีอาการโรคลุกลามไปยังทางเดินหายใจส่วนล่าง (หลอดลม เนื้อปอด) ทำให้หลอดลมใหญ่อักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบและปอดอักเสบตามมาได้ โดยไวรัส RSV มักระบาดในช่วงปลายฝนต้นหนาว หรือประมาณ เดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน

                อาการเริ่มต้นของโรคผู้ป่วยอาจมีความอยากอาหารลดลง หรือน้ำมูกไหล หลังจากนั้นอาการที่รุนแรงมากขึ้นอาจปรากฏภายในสองสามวันต่อมา

                อาการของทารกและเด็กที่ติดเชื้อ RSV ได้แก่ :

                • หายใจเร็วกว่าปกติ
                • หายใจลำบาก
                • ไอ
                • มีไข้
                • กระวนกระวาย
                • ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
                • คัดจมูก น้ำมูกไหล
                • จาม
                • หายใจลำบาก (ใช้กล้ามเนื้อหน้าอกช่วยหายใจ)

                ทารกบางคนมีความเสี่ยงต่ออาการ RSV มากกว่า ซึ่งรวมถึงเด็กที่คลอดก่อนกำหนดหรือทารกที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอดหรือหัวใจ

                ลูกมีอาการแบบไหนควรรีบไปพบแพทย์

                ผู้ป่วย RSV อาจมีอาการหวัดเล็กน้อยไปจนถึงหลอดลมฝอยอักเสบขั้นรุนแรง แต่ถ้าคุณสงสัยว่าลูกของคุณติดเชื้อ RSV ควรโทรหากุมารแพทย์หรือขอการดูแลทางการแพทย์ฉุกเฉิน

                โดยอาการที่ต้องระวัง ได้แก่ :

                • ลูกมีอาการขาดน้ำ เช่น ไม่มีน้ำตาเมื่อร้องไห้
                • ไอมีเสมหะเป็นมูกข้น มีสีเขียวหรือเหลือง ทำให้หายใจลำบาก
                • มีไข้สูงกว่า 38 °C  ตรวจทางทวารหนักในทารกที่อายุน้อยกว่า 3 เดือน
                • มีไข้สูงกว่า 39.4 °C ในเด็กทุกวัย
                • น้ำมูกเหนียวข้นทำให้หายใจลำบาก
                • รีบไปพบแพทย์ทันทีหากเล็บหรือปากของทารกเริ่มมีสีเขียว สิ่งนี้บ่งชี้ว่าเด็กอาจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ

                การรักษา RSV ในทารก

                ในกรณีที่รุนแรงอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ และยาละลายเสมหะ แต่ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมากและมีอาการหนักอาจต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลม หรือให้น้ำเกลือผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอดและดูดเสมหะออก ยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์ในการรักษาหากไม่มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน  นอกจากนี้หากเด็กมีอาการขาดน้ำ แพทย์อาจพิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (IV)

                เป็นRSV

                ลูกไม่ป่วย เป็นRSV แน่ถ้าพ่อแม่ดูแลแบบนี้!

                จะป้องกันลูกจากการติดเชื้อได้อย่างไร

                ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีน ไม่มียาป้องกัน จึงควรป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ดังนี้
                • หมั่นล้างมือบ่อย ๆ  เพื่อลดเชื้อ RSV และเชื้ออื่นๆ ที่ติดมากับมือ การล้างมือสามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้สูงถึงร้อยละ 70
                • ในกรณีฉุกเฉินสามารถใช้แอลกอฮอลเจลถูมือช่วยป้องกันโรคได้
                • หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัดถ้าไม่จำเป็น
                • ทำความบริเวณสะอาดบ้าน ของใช้ และของเล่นเด็กเป็นประจำ
                • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ มีรายงานว่าทารกที่สูดดมควันบุหรี่ มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส RSV ได้ง่าย และอาการมักรุนแรง
                • รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
                • พักผ่อนให้เพียงพอ ทั้งนี้ไม่ควรอยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา
                • เมื่อบุตรหลานมีไข้หรือมีน้ำมูก ควรแยกเด็กที่ป่วยออกจากเด็กปกติเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

                อย่างที่ทราบกันว่า RSV เป็นโรคที่มักระบาดในช่วงปลายฝนต้นหนาว หากคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงวิธีการรับมือ และการปฏิบัติตนให้ครอบครัวห่างไกลโรค ก็ทำให้ลูกมีโอกาสเจ็บป่วยได้น้อยลง อย่างไรก็ตาม การปลูกฝังลูกให้ดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่ลูกยังเล็ก โดยการอธิบายให้เด็ก ๆ ได้รู้ว่าการไม่ดูแลตนเอง ไม่รักษาความสะอาดนั้นจะก่อให้เกิดโรคขึ้นได้ง่าย ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ดีในการที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะการป้องกันตัวเองจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆให้ลูกได้ กล่าวคือ ลูกจะเป็นเด็กที่มีทักษะความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) เป็นเด็กที่สามารถเติบโตสมวัยไปพร้อมกับการพัฒนาการที่ดีและที่สำคัญมีสุขภาพที่ดีได้ค่ะ

                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :

                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                เตือนแม่ สังเกตอาการ RSV รีบพาไปตรวจหากเข้าข่ายนี้!

                Rhinovirus แตกต่างจาก RSV อย่างไร ระวังลูกเป็นโรคทางเดินหายใจ

                ไวรัส RSV ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ อันตรายรุนแรงได้คล้ายอาการ RSV ในเด็ก

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  หัวใจเต้น

                  แม่ลูก หัวใจเต้น พร้อมกันไหม จะเริ่มได้ยินเสียงหัวใจลูกเมื่อไหร่

                  หัวใจเต้น – สำหรับว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เฝ้ารอวันที่ลูกน้อยจะลืมตาดูโลก เป็นธรรมดาที่คุณแม่อาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับลูกในครรภ์มากมายหลายเรื่อง หนึ่งในนั้น ก็อาจเป็นเรื่องการเต้นของหัวใจลูก หลายคนสงสัยว่าหัวใจของแม่กับลูกในท้องจะเต้นพร้อมกันไหม แล้วเราจะสามารถได้ยินเสียงหัวใจลูกเต้นได้เมื่อไหร่วันนี้เรามาไขข้อข้องใจกันค่ะ

                  แม่ลูก หัวใจเต้น พร้อมกันไหม จะเริ่มได้ยินเสียงหัวใจลูกเมื่อไหร่

                  ความจริงแล้ว จังหวะการเต้นของหัวใจของคนเราย่อมแตกต่างกัน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้ง อายุ เพศ สภาพความแข็งแรงของร่างกาย บางคนหัวใจเต้นเร็ว บางคนหัวใจเต้นช้าและสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์กับทารกตัวน้อยที่นอนหลับสบายอยู่ในท้องแม้จะเหมือนเป็นคนเดียวกันกับคุณแม่ แต่จังหวะการเต้นของหัวใจแม่กับลูกก็ไม่ได้พร้อมกันเสมอไป โดยปกติหัวใจของลูกจะเต้นเร็วกว่าหัวใจแม่ได้ถึง 2 เท่า

                  การได้ยินเสียงหัวใจทารก

                  การได้ยินเสียง หัวใจเต้น ของทารกครั้งแรก ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่ายินดี สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ แพทย์อาจตรวจพบการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ได้โดยอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดได้เร็วที่สุด คือ เมื่อคุณมี อายุครรภ์ได้ 5-6 สัปดาห์ แต่เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 7  ของการตั้งครรภ์ จะสามารถประเมินการเต้นของหัวใจได้ดีขึ้น และจะเป็นช่วงเวลาที่แพทย์อาจทำการอัลตราซาวนด์ช่องท้องหรือช่องคลอดเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจหาสัญญาณของการตั้งครรภ์ที่ดี ทั้งนี้การเต้นของหัวใจของทารกในช่วงสัปดาห์ที่ 7 ควรอยู่ระหว่าง 90-110 ครั้งต่อนาที (bpm) และเมื่อถึงสัปดาห์ที่ 9 ของการตั้งครรภ์ การเต้นของหัวใจของทารกควรเต้นอยู่ที่ 140-170 ครั้งต่อนาที (bpm)

                  หัวใจเต้น
                  หัวใจลูกเต้น

                  เหตุใดถึงไม่ได้ยินเสียงหัวใจของทารก

                  คุณอาจไม่ได้ยินเสียงหัวใจของทารกเมื่ออัลตราซาวนด์ครั้งแรก ส่วนใหญ่เป็นเพราะอายุครรภ์ยังน้อยเกินไป ซึ่งการไม่ได้ยินเสียงหัวใจ ไม่ได้หมายความว่าจะมีปัญหาที่น่าวิตกเกิดขึ้นเสมอไป โดยแพทย์ของคุณอาจแนะนำให้คุณกลับมาอัลตราซาวนด์อีก 1 ถึง 2 สัปดาห์หลังจากนั้น

                  สาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้ไม่ได้ยินการเต้นของหัวใจ ได้แก่ :

                  • ตำแหน่งของมดลูกอยู่ผิดปกติ เช่น มดลูกหงาย
                  • หน้าท้องมีขนาดใหญ่
                  • คำนวณวันผิด หากไม่แน่ใจว่าประจำเดือนครั้งสุดท้ายมาเมื่อไร อายุครรภ์อาจคลาดเคลื่อน

                  หัวใจเต้น

                  หลังจากสัปดาห์ที่ 6 หากตรวจไม่พบถุงตั้งครรภ์ แพทย์ของคุณอาจขอตรวจเลือดเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์หรือขอให้คุณกลับมาตรวจอัลตร้าซาวด์อีกครั้งในอีกสองสามวัน จากการศึกษาระยะยาวในปี 2542 ของผู้หญิง 325 คนในสหราชอาณาจักรที่มีประวัติการแท้งบุตร มีรายงานว่าหากตรวจพบการเต้นของหัวใจในช่วง 6 สัปดาห์ มีโอกาส 78 เปอร์เซ็นต์ที่จะตั้งครรภ์ต่อไป เมื่อ 8 สัปดาห์มีโอกาส 98 เปอร์เซ็นต์และเพิ่มขึ้นถึง 99.4 เปอร์เซ็นต์หลังจาก 10 สัปดาห์

                  มะเร็งมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก รู้ทัน รักษาเร็ว โอกาสหายขาดสูง!

                  ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ มดลูกข้างซ้าย อันตรายหรือเปล่า

                  ภาวะแท้งจากติ่งเนื้อที่ปากมดลูก อันตรายที่แม่ท้องห้ามประมาท

                  วิธีที่ใช้ในการฟังการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์

                  ในการอัลตราซาวนด์ครั้งแรกแพทย์จะใช้อัลตร้าซาวด์ทางช่องท้องหรืออัลตราซาวนด์ช่องท้องแบบ 2 มิติหรือ 3 มิติ โดยการอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดจะใช้ในระหว่างการตั้งครรภ์ระยะแรกเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนของตัวอ่อน  สำหรับการอัลตราซาวนด์ 3 มิติ จะช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นความกว้างความสูงและความลึกของทารกในครรภ์และอวัยวะต่างๆ ของทารกได้ดีขึ้น

                  จะได้ยินเสียง หัวใจเต้น ของทารกด้วยหูได้หรือไม่?

                  การฟังหรือตรวจจับการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ด้วยหูเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่มีรายงานว่าคุณแม่บางคนเคยได้ยินเสียงหัวใจเต้นของลูกน้อยได้หากอยู่ในห้องที่เงียบสงบ และอายุครรภ์อยู่ในช่วงใกล้คลอด ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลหากคุณไม่ได้ยินเสียงหัวใจของลูกน้อยที่บ้าน หากคุณกังวลเกี่ยวกับการเต้นของหัวใจของทารกทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดคือติดต่อแพทย์ของคุณ พวกเขาสามารถกำหนดเวลาในการทำโซโนแกรมเพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าการเต้นของหัวใจของทารกเป็นปกติ

                  ใช้แอปพลิเคชันเพื่อฟังเสียง หัวใจเต้น ของทารกได้ไหม

                  ปัจจุบันมีแอปและอุปกรณ์มากมายตามท้องตลาดที่โฆษณาว่าสามารถใช้ฟังเสียงหัวใจของลูกน้อยเองได้ที่บ้าน แต่ทั้งนี้คุณภาพของแอปและอุปกรณ์เหล่านี้แตกต่างกันไปจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาจทำให้คุณอ่านค่าการเต้นของหัวใจไม่ถูกต้อง และทำให้เกิดความกังวลหรือตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น พูดคุยกับแพทย์ของคุณและถามว่าพวกเขาแนะนำให้ใช้อุปกรณ์เพื่อฟังเสียงหัวใจลูกเองได้หรือไม่

                  ครบเครื่องเรื่องคุณแม่ กับสุดยอดแอปพลิเคชัน ที่จะเปลี่ยนคุณแม่มือใหม่ ให้เป็นคุณแม่มือโปรฯ

                  เปิดตัว Mobile Application “RDU รู้เรื่องยา” ครั้งแรกกับการให้ข้อมูลด้านยาที่ถูกต้องผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือ

                  แนะวิธี แก้ปัญหาลูกติดมือถือ ด้วยแอพพลิเคชัน NetCare พ่อแม่ทำได้แค่ปลายนิ้ว

                  หัวใจเต้น

                  รู้หรือไม่? การเต้นของหัวใจทารก เปลี่ยนแปลงตลอดการตั้งครรภ์

                  ตลอดการตั้งครรภ์ หัวใจของทารกจะยังคงพัฒนาต่อไป การเต้นของหัวใจของทารกจะอยู่ที่  90 ถึง 110 ครั้งต่อนาที(bpm) ในช่วงสัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ และจะเพิ่มขึ้นประมาณสัปดาห์ที่ 9 ถึง 10 โดยอัตราการเต้นของหัวใจจะอยู่ที่  140 ถึง 170 ครั้งต่อนาที(bpm)

                  หลังจากนั้นการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ที่ปกติจะอยู่ระหว่าง 110 ถึง 160 ครั้งต่อนาที(bpm) ในไตรมาสที่สองและสาม โปรดทราบว่าการเต้นของหัวใจของทารกอาจแตกต่างกันไปในระหว่างตั้งครรภ์และในการนัดหมายแพทย์ก่อนคลอดแต่ละครั้ง  หากแพทย์ของคุณมีข้อกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการของหัวใจของทารกแพทย์อาจกำหนดเวลาการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจของทารกในครรภ์เพื่อตรวจดูหัวใจของทารกเพิ่มเติมค่ะ

                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com

                  บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                  ใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจ แต่ไม่ได้ยินเสียงลูกในท้อง ต้องกังวลไหม?

                  แม่รู้มั้ย? พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน น่าอัศจรรย์เพิ่มขึ้นอย่างไร

                  พัฒนาการทารกในครรภ์ 9 เดือนมหัศจรรย์ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตน้อยๆ ของแม่บ้าง

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    IPHA-Foremost

                    ‘โฟร์โมสต์’ ผ่านการรับรอง IPHA ยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์นมโคคุณภาพเพื่อผู้บริโภคชาวไทย

                    บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)โดยฟรีสแลนด์คัมพิน่า ได้ผ่านการรับรอง “IPHA : Industrial and Production Hygiene Administration” เป็นสถานประกอบการที่มีการบริหารจัดการสถานที่ กระบวนการผลิตและบุคลากร ตามมาตรการร่วมและมาตรฐานด้านสุขอนามัย ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ได้แก่ กรมควบคุมโรค สถาบันอาหาร และสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (ISO) เป็นผู้จัดทำแนวทางตรวจสอบ และรับรองมาตรฐาน

                    คุณอาเมีย มูเนีย ผู้อำนวยการฝ่ายผลิต บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยในการผลิตผลิตภัณฑ์ของเราในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลี้ยงโคนม การเลือกสรรวัตถุดิบ ตลอดจนกระบวนการผลิตเป็นระบบปิดตลอดทั้งกระบวนการ และผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนที่อุณหภูมิตั้งแต่ 90 ถึง 139 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถทำลายเชื้อไวรัส Covid-19 ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเชื้อไวรัส Covid-19 ไม่สามารถทนความร้อนได้และจะถูกทำลายที่อุณหภูมิสูงกว่า 70 องศาเซลเซียส

                    ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีความปลอดภัยสูงสุดและได้ส่งออกไปถึงผู้บริโภคอย่างมีคุณภาพมาตรฐาน ทั้งนี้ในตลอดช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทฯได้เพิ่มมาตรการควบคุมมาตรฐานตามสุขอนามัยในสถานประกอบการถึงขั้นสูงสุด และมีการจัดทำระบบคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารอย่างเข้มงวดในระดับสากล ซึ่งการรับรอง IPHA นี้ได้พิจารณาถึงการบริหารจัดการสุขอนามัยใน 3 ด้านหลักของผู้ประกอบการคือ 1) สถานประกอบการ  2) กระบวนการผลิต และ 3) บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรฐานของ IPHA โดยนอกจากการรับรองนี้ บริษัทฯ ยังได้รับรองมาตรฐาน GMP มาตรฐานในการผลิตอาหาร , HACCP มาตรฐานควบคุมดูแลความปลอดภัยในทุกกระบวนการผลิตอาหาร และ ISO 22000 มาตรฐานระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร ”

                    “เราให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าเป็นอย่างยิ่ง และเราได้ดำเนินการยกระดับมาตรการดูแลจัดการในสถานการณ์การระบาด Covid-19 ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคตลอดจนคู่ค้าของเรา ตลอดจนสานต่อเจตนารมณ์ในการส่งมอบนมโคคุณภาพแก่ผู้บริโภคชาวไทย พร้อมผลักดันภาคอุตสาหกรรมนมไทยให้มีศักยภาพ และผลิตน้ำนมโคได้อย่างมีคุณภาพอย่างยั่งยืน ” คุณอาเมีย กล่าวทิ้งท้าย

                    สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 02-620-1900 เว็บไซต์ www.foremostthailand.com และเฟซบุ๊ก www.facebook.com/ForemostThailand

                      โรคพิษสุนัขบ้า

                      เด็ก!! เสี่ยงติด “โรคพิษสุนัขบ้า” โรคที่ไม่ได้เกิดจากแค่สุนัข

                      โรคพิษสุนัขบ้า โรคที่มักจะระบาดในหน้าร้อน โดยทั่วไปพ่อแม่จะระวังไม่ให้ลูกไปเล่นกับสุนัขจรจัด แต่รู้หรือไม่ว่า กระต่าย ลิง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็มีเชื้อพิษสุนัขบ้า

                      เด็ก!! เสี่ยงติด “โรคพิษสุนัขบ้า” โรคที่ไม่ได้เกิดจากแค่สุนัข

                      โรคพิษสุนัขบ้า หรือที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปนิยมเรียกว่า เรียก “โรคกลัวน้ำ” (Hydrophobia) เป็นโรคติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลางที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต พบเกิดในสัตว์ เลือดอุ่นทุกชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าและยังติดต่อมาสู่มนุษย์ พาหะนำโรคที่สำคัญที่สุดสู่มนุษย์ และสัตว์อื่นๆ คือ สุนัข รองลงมาคือแมว โรคนี้เกิดจากเรบี่สไวรัส (Rabies virus)

                      สัตว์และคนติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้จากไหน

                      พาหะนำโรคคือ สัตว์เลือดอุ่นเลี้ยงลูกด้วยนม ที่ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า เช่น สุนัข แมว โค กระบือ สุกร หนู ลิง ชะนี กระต่าย ค้างคาว ฯลฯ ในประเทศไทยสัตว์พาหะนำโรคที่สำคัญคือ สุนัขและแมว

                      ไม่ใช่แค่กัด ข่วน เลีย โดนน้ำลายสัตว์ ก็ติดเชื้อได้!!

                      การติดเชื้อที่สำคัญที่สุดคือการถูกสัตว์เป็นบ้ากัด แต่เชื้อโรคพิษสุนัขบ้าก็สามารถเข้าสู่ร่างกายโดยการถูก ข่วน เลีย หรือน้ำลายสัตว์กระเด็นเข้าแผลรอยขีดข่วน เยื่อบุตา จมูก ปาก หรือการปลูกถ่ายกระจกตา ได้เช่นกัน นอกจากนี้ เชื้ออาจติดต่อจากการกินได้ถ้ามีบาดแผลภายในช่องปากและหลอดอาหาร ซึ่งจะพบกรณีสัตว์กินเนื้อตัวป่วย หรือที่ตายใหม่ ๆ เข้าไป

                      จากผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เชื้อจะยังคงอยู่บริเวณนั้นระยะหนึ่ง โดยเพิ่มจำนวนในกล้ามเนื้อ ก่อนจะเดินทางผ่านเข้าสู่เส้นประสาทส่วนปลาย ไขสันหลัง และเข้าสู่สมอง มีการแบ่งตัวในสมอง พร้อมทำลายเซลล์สมอง และปล่อยเชื้อกลับสู่ระบบขับถ่ายต่างๆ เช่น ต่อมน้ำลาย น้ำปัสสาวะ น้ำตา ตามแขนงประสาทต่างๆ ทำให้เกิดอาการ บางรายเกิดอาการช้านานเกิน 1 ปี บางรายเกิดอาการเร็วเพียง 4 วันเท่านั้น แต่โดยเฉลี่ย 3 สัปดาห์ถึง 4 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ

                      • จำนวนเชื้อที่เข้าไป บาดแผลใหญ่ ลึก หรือมีหลายแผล มีโอกาสที่เชื้อจะเข้าไปได้มาก
                      • ตำแหน่งที่เชื้อเข้าไป ถ้าอยู่ใกล้สมองมาก เชื้อก็จะเดินทางไปถึงสมองได้เร็ว ถ้าน้ำลายถูกผิวหนังปกติ ไม่มีรอยข่วนหรือบาดแผล ไม่มีโอกาสติดโรค การติดต่อโดยการหายใจ มีโอกาสน้อยมาก ยกเว้นมีจำนวนไวรัสในอากาศเป็นจำนวน มาก เช่น ในถ้ำค้างคาวนอกจากนั้นติดต่อจากการกินได้ ถ้ามีบาดแผลภายในช่องปากและหลอดอาหาร ซึ่งจะพบกรณีสัตว์กินเนื้อสัตว์ที่ป่วยตายใหม่ๆ
                      • อายุคนที่ถูกกัด เด็กและคนชราจะมีความต้านทานของโรคต่ำกว่าคนหนุ่มสาว
                      • ความรุนแรงของเชื้อ เชื้อจากสัตว์ป่าอันตรายกว่าสัตว์เลี้ยง สุนัขและแมวที่ป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้า สามารถแพร่เชื้อได้ก่อนแสดงอาการ เพราะ เชื้อจะออกมาในน้ำลายเป็นระยะ ๆ ประมาณ 1-7 วัน ก่อนแสดงอาการ
                      พิษสุนัขบ้า
                      พิษสุนัขบ้า

                      วิธีสังเกตสัตว์ที่อาจติดเชื้อพิษสุนัขบ้า

                      สัตว์ที่ได้รับเชื้อจะแสดงอาการภายใน 14-90 วัน หรืออาจนานกว่านี้โดยเฉลี่ยประมาณ 21 วัน อาการของสัตว์แต่ละตัวจะแตกต่างกันมาก แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

                      • แบบดุร้าย (furious form) สัตว์จะแสดงอาการเบื่ออาหาร อุปนิสัยเปลี่ยนไป บางรายชอบกิน ดิน หิน เป็นต้น แสดงอาการตื่นเต้น ร้อง หาว ดุร้าย วิ่งชนคน หรือสิ่งกีดขวาง แสดงอาการกลืนลำบาก (ทำให้เรียกว่าโรคกลัวน้ำ) มีน้ำลายไหลมาก แสดงอาการไวต่อแสงและเสียงอย่างมาก เมื่อโรคดำเนินต่อไปถึงขั้นสมองอักเสบ สัตว์จะแสดงอาการอัมพาต ล้มลงนอน ชัก และตายในที่สุด
                      • แบบซึม (dumb or paralytic form) สัตว์จะแสดงอาการในระยะตื่นเต้นสั้นมากจนสังเกตไม่เห็น อาการจะเข้าระยะอัมพาตอย่างรวดเร็ว ซึม มีน้ำลายไหลมาก กล้ามเนื้อขาไม่สัมพันธ์กัน ล้มลงนอน ชักหายใจไม่ออกและตายในที่สุด

                      ทำอย่างไรเมื่อถูกสัตว์ ข่วน เลีย กัด?

                      • ล้างแผลด้วยน้ำและน้ำสบู่หลายๆ ครั้ง โดยให้น้ำไหลผ่านเป็นเวลานาน แล้วทายาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน (Povidone-iodine) หรือแอลกอฮอล์
                      • จดจำลักษณะของสัตว์ เพื่อค้นหาเจ้าของและสอบถามประวัติและความเสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้า
                      • พบแพทย์ทันทีเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้เร็วที่สุด รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
                      • กักสัตว์ตัวที่กัดไว้เพื่อสังเกตอาการ 10 วัน หากสัตว์ตายให้รีบแจ้งปศุสัตว์ในพื้นที่

                      หากเพียงลูกสุนัขหรือแมวข่วนเป็นรอยถลอก จำเป็นต้องไปพบแพทย์หรือไม่?

                      ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเคยรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อนหรือไม่ก็ตาม จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและฉีดวัคซีนป้องกัน

                      เมื่อคนติด โรคพิษสุนัขบ้า จะมีอาการอย่างไร?

                      เชื้อพิษสุนัขบ้ามีระยะฟักตัวนานเป็นสัปดาห์จนถึงหลายปี ดังนั้น ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการตั้งแต่ 1 สัปดาห์จนถึงระยะเวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปีหลังจากสัมผัสเชื้อ โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร ไม่ค่อยสบายตัว คันหรือเจ็บบริเวณแผลที่ถูกกัด

                      • อาการแสดงระบบประสาท – สับสน กระวนกระวายใจ กลืนลำบาก อยู่ไม่นิ่ง กลัวน้ำ
                      • อาการแสดงระบบหัวใจ – เริ่มหัวใจล้มเหลว หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตในที่สุด

                      ทำไม “เด็ก” ถึงมีความเสี่ยงติดเชื้อพิษสุนัขบ้า?

                      ไม่ว่าวัยไหนก็มีโอกาสติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้ แต่สำหรับในเด็กนั้นมีความเสี่ยงมากกว่าวัยอื่น ๆ เพราะพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย ที่มีความอยากรู้อยากเห็น ชอบสัตว์ อยากจับ อยากสัมผัส จึงมีโอกาสที่จะถูกสัตว์กัดได้ง่าย และอาจไม่บอกผู้ปกครอง และปล่อยทิ้งไว้จนเกิดแผลติดเชื้อ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรคอยดูแลลูกอยู่ตลอดเวลาขณะที่เล่น ป้อนอาหาร หรือจับสัตว์

                      โรคพิษสุนัขบ้า อาการ
                      โรคพิษสุนัขบ้า อาการ

                      “ป้องกัน” สำคัญกว่า “รักษา”

                      ปัจจุบัน ยังไม่มียารักษา โรคพิษสุนัขบ้า หากผู้ป่วยมีอาการของโรคแล้ว จะเสียชีวิตเกือบ 100% แต่หากได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการรักษาอย่างทันท่วงทีและถูกวิธีหลังการสัมผัสโรค จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การเลี่ยงไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการโดนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กัด ข่วน หรือเลีย จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสุนัขที่เราไม่ทราบประวัติที่ชัดเจน ควรเรียนรู้พฤติกรรมสุนัขและวิธีปฏิบัติตนไม่ให้ถูกสุนัขกัด เช่น

                      • หลีกเลี่ยงไม่ให้เข้าใกล้หรือจับต้องสุนัขแปลกหน้า
                      • สุนัขที่กำลังกินอาหารหรือกัดแทะสิ่งของ เพราะอาจหวงอาหาร หรือสิ่งของนั้น
                      • สุนัขแม่ลูกอ่อน เพราะอาจหวงลูก
                      • เลี่ยงการไปอยู่ใกล้สุนัขที่ผูกล่ามไว้ เพราะอาจเครียด รู้สึกไม่ปลอดภัย หรือกลัว
                      • สุนัขที่นอนหลับหรือไม่เห็นว่ามีคนกำลังเข้ามาใกล้ เพราะอาจตกใจ

                      ในช่วงวันหยุด คุณพ่อคุณแม่มักจะพาลูก ๆ ไปเที่ยวสวนสัตว์ ฟาร์ม และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่อาจมีสัตว์ต่าง ๆ ให้ป้อนอาหาร อุ้ม เล่น เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใกล้ชิดและเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ แต่เนื่องจากการพาไปสถานที่เหล่านี้ก็อาจทำให้ลูกเสี่ยงต่อการโดนสัตว์ต่าง ๆ ข่วนหรือกัดได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมที่จะสอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน โรคพิษสุนัขบ้า ก่อนให้ลูก ๆ เข้าไปเล่นนะคะ

                      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                      7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

                      เมื่อลูกปวดท้องจาก “โรคบิด” ภัยร้ายหน้าร้อนที่ต้องระวัง!!

                      Kid Safetyระวังลูก จมน้ำ ด้วย5ทักษะความปลอดภัยทางน้ำ

                      20 อาหารอันตรายช่วงหน้าร้อน แม่ลูกต้องระวัง

                       

                      ขอบคุณข้อมูลจาก : องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก, สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ, กรมควบคุมโรค, โรงพยาบาลพญาไท

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        ผิวทารก

                        รู้จักผิวลูก ผิวทารก บอบบางแค่ไหน เลือกสบู่เหลวแบบไหนใช้แล้วไม่แพ้

                        ผิวทารก แพ้ง่ายจริงหรือ” เรื่องจริงที่คุณแม่มือใหม่ต้องรู้ลึก เพราะหลายกิจกรรมในชีวิตประจำวันอาจเป็นสาเหตุที่ทำลายผิวลูกน้อยให้เกิดผื่นแพ้ รอยแดง และสารพัดปัญหาผิวอันตราย

                        อย่าชะล่าใจ ผิวทารก ไม่เหมือนผิวผู้ใหญ่ จึงทำให้ต้องดูแลต่างกัน

                        ความจริงแล้วผิวหนังของทารกแรกเกิดทุกคนบอบบางมาก เพราะเซลล์ผิวหนังยังพัฒนาไม่เต็มที่จึงมีช่องว่างระหว่างเซลล์อยู่มากทำให้ผิวหนังสูญเสียน้ำและความชุ่มชื้น มากกว่าผิวหนังของผู้ใหญ่ถึง 5 เท่า

                        ผิวทารก

                        ขณะเดียวกันชั้นหนังกำพร้า ซึ่งอยู่ชั้นบนสุดที่ปกป้องผิวจากแสงแดด อากาศ และสิ่งแปลกปลอมภายนอกยังบางกว่าผิวหนังของผู้ใหญ่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ หากสัมผัสกับสารเคมีหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารตกค้างก็จะซึมเข้าผิวหนังชั้นลึกได้ง่าย ก่อให้เกิดการระคายเคือง อาการแพ้ต่างๆ เช่น ผื่นแดง ตุ่มน้ำ รู้สึกแสบคัน และเป็นอันตรายได้มากกว่า

                        แม้ว่าช่วงแรกเกิดลูกน้อยจะมีไขมันบางๆเคลือบผิวไว้ตั้งแต่อยู่ในท้อง และคอยทำหน้าที่คล้ายชั้นฟิล์มเคลือบผิวเพื่อลดการสูญเสียน้ำ รักษาสมดุลผิวให้เป็นปกติ แต่การสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมภายนอก แสงแดด อากาศเย็นจากแอร์ หรือกิจวัตรประจำวันอย่างการอาบน้ำอาจเป็นการทำลายผิวลูกได้โดยไม่ตั้งใจ

                        ด้วยเหตุนี้คุณแม่จึงต้องใส่ใจกับการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่ใช้สัมผัสกับผิวของลูกน้อยเป็นพิเศษ โดยเฉพาะสบู่เหลวที่ต้องใช้อยู่บ่อยๆ ยิ่งต้องเลือกให้ดีและมั่นใจว่าอ่อนโยน ปลอดภัย และเหมาะกับ ผิวทารก ของลูกน้อยและใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิด

                        ตามหา 2 สัญลักษณ์การันตี สบู่เหลวที่อ่อนโยนต่อผิวทารก

                        เพราะผิวลูกน้อยบอบบางขนาดนี้ คุณแม่ต้องเลือกใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ต้องไม่มีสารเคมีอันตรายที่ทำให้ลูกแพ้ ระคายเคืองผิวหนังหรือดวงตา รวมถึงไม่ทำลายความชุ่มชื้นตามธรรมชาติเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งง่าย ที่สำคัญจะเลือกแบรนด์ไหนคุณแม่ต้องเชื่อมั่นได้ว่าดีจริง

                        2 สัญลักษณ์สำคัญที่ช่วยให้คุณแม่สังเกตง่ายๆว่าสบู่เหลวยี่ห้อไหนเป็นสบู่เหลวที่เหมาะกับ ผิวทารก โดยไม่ต้องมัวอ่านส่วนผสมตัวเล็กๆ หรือแปลความหมายของชื่อวิทยาศาสตร์แปลกๆให้วุ่นวาย ได้แก่

                        1. “Dermatological tested” ซึ่งเป็นข้อความที่ระบุให้รู้ว่า สบู่เหลวยี่ห้อนี้ผ่านการทดสอบทางการแพทย์หรือผ่านการทดสอบโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ว่าสินค้าไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองต่อผิว หรืออีกนัยหนึ่งคือไม่มีส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ เช่น แอลกอฮอล์ พาราเบน หรือสารกันเสียต่างๆ ซึ่งช่วยให้คุณแม่มือใหม่มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้นปลอดภัยจริง
                        2. “Tear Free” จะปรากฎบนผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจกับดวงตาของทารกแรกเกิดโดยเฉพาะ เพราะระหว่างอาบน้ำอาจมีฟองสบู่กระเด็นเข้าตาลูกน้อย ซึ่งทำให้การระคายเคืองตา  ตาแดง หรือตาอักเสบได้ การใช้สบู่เหลวสูตร Tear Free จะช่วยให้ไม่ระคายเคืองตาหรือแสบตา

                        ผิวทารก, สบู่เหลว

                        ทั้งหมดนี้มีอยู่ในสบู่เหลวเด็ก Pureen  Head to Toe Wash สูตร Zero ปราศจากสารเคมีที่ทำร้ายผิวลูกน้อย 0% พาราเบน 0% SLS 0% MIT  ผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลผิวบอบบางโดยเฉพาะด้วยสูตรอ่อนโยนพิเศษ ใช้ได้ทั้งอาบน้ำและสระผมในขวดเดียว การันตีด้วยเครื่องหมาย“Dermatological tested”ว่าผ่านการทดสอบทางการแพทย์ผิวหนัง จึงมั่นใจได้ว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง

                        คุณแม่สังเกตเห็นความอ่อนโยนได้จากเนื้อเจลใส มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ฟองน้อย ใช้อาบน้ำทั้งตัวแล้วล้างออกง่ายๆ ไม่เหลือสารตกค้าง นำไปสระผมก็ล้างออกง่าย ไม่ต้องกลัวลูกแสบตา เพราะเป็นสูตร Tear free นอกจากนี้สบู่เหลวเพียวรีนยังมีคุณสมบัติพิเศษในการกักเก็บความชุ่มชื้น ป้องกันผิวแห้งหลังอาบน้ำ มีวิตามินอี และโปรวิตามินบี 5 ทำให้ผิวของลูกน้อยเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นอีกด้วย

                        และการันตีคุณภาพด้วย รางวัล Editor’s Choice Best Baby Wash จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2020” ที่มอบให้กับสบู่เหลวเด็กคุณภาพดีจริง ใช้ได้จริงจากเว็บไซต์ amarinbabyandkids.com

                        คุณแม่ที่สนใจหาซื้อสบู่เหลวเด็ก Pureen  Head to Toe Wash ได้ที่ห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป หรือติดตามโปรโมชั่นและข่าวคราวดีๆได้ที่ www.facebook.com/pureenthai

                         

                         

                          สร้างสมดุลชีวิต

                          13 เทคนิค สร้างสมดุลชีวิต งานก็ไม่เสีย ครอบครัวก็แฮปปี้!

                          สร้างสมดุลชีวิต – การมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ให้กับงานประจำและครอบครัวอย่างเท่าเทียมกันดูเหมือนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากสำหรับคุณแม่ที่ต้องทำงานประจำ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะเป็นได้ทั้งลูกจ้างที่ทุ่มเท และแม่ที่เต็มที่ไปกับลูกๆ แต่จริงๆแล้วเราอาจไม่ต้องทำให้ชีวิตยากเย็นขนาดนั้นก็ได้ค่ะ เพราะการทำงานประจำได้อย่างเต็ม พร้อมกับการสวมบทบาทของแม่ที่ไม่ขาดตกบกพร่องไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากคุณเรียนรู้ที่จะหาจุดสมดุลชีวิตที่เหมาะสม เคล็ดลับต่อไปนี้อาจช่วยให้ชีวิตคุณแม่ที่มีสองบทบาทจัดการ ชีวิตง่ายขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย

                          13 เทคนิค สร้างสมดุลชีวิต งานก็ไม่เสีย ครอบครัวก็แฮปปี้!

                          1. ลดบทบาทซูเปอร์มัมลงบ้าง

                          แม่มักถูกตัดสินว่า “ ทอดทิ้งลูก” เมื่อถึงคราวต้องกลับไปทำงานเต็มเวลา ในขณะที่ผู้เป็นพ่อ สังคมทั่วไปมองว่า การทำงานประจำ คือการ “หาเลี้ยง” ทั้งครอบครัว ดูแล้วเหมือนจะไม่ค่อยแฟร์กับคนเป็นแม่เลยจริงมั้ยคะ? เหตุผลของคุณแม่หลายๆ คนที่เลือกการกลับไปทำงานประจำหลังจากใช้สิทธิ์ลาคลอดจนครบโควต้ามีหลายเหตุผล เช่น ไม่ต้องการละทิ้งอาชีพ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามการตัดสินใจเป็นแม่ที่ต้องทำงานประจำ ก็เป็นทางเลือกที่ควรชื่นชม หากคุณรู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่กับลูกตลอดเวลาก็ถึงเวลาปล่อยมันไปได้แล้วค่ะ ทางที่ดีควรมุ่งเป้าไปที่สิ่งดีๆ ที่ชีวิตการทำงานของคุณมีส่วนช่วยเหลือครอบครัวของคุณให้มีความสุข จงมั่นใจว่าคุณได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทั้งครอบครัว รวมถึงตัวคุณเองแล้ว ด้วยสิ่งนี้ลูกของคุณจะรู้สึกถึงความรัก และเข้าใจในความเสียสละของคุณ

                          2. หาวิธีที่ช่วยให้สิ่งต่างๆในชีวิตง่ายขึ้น

                          เพื่อให้คุณสามารถทำงานได้มากที่สุด โดยใช้เวลาน้อยที่สุด คุณควรใช้ทางลัด และการวางแผนงาน ทั้งงานบ้าน งานประจำอย่างมีกลยุทธ์ เช่น สั่งซื้อของใช้ต่างๆ ที่จำเป็น ทางออนไลน์แบบที่มีบริการส่งถึงบ้านซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและทำให้แน่ใจว่าคุณจะไม่ลืมของสำคัญอะไรไป กำหนดเวลาการประชุมทางโทรศัพท์ระหว่างการเดินทางของคุณและทำธุระอย่างรวดเร็วในช่วงพักกลางวัน เพื่อให้มีเวลาว่างมากขึ้นในระหว่างสัปดาห์ เตรียมชุดใส่ไปทำงานล่วงหน้าเพื่อที่คุณจะได้เพลิดเพลินกับลูกๆ ได้ในตอนเช้า แทนที่จะต้องรีบออกจากบ้านอย่างตาลีตาเหลือก

                          สร้างสมดุลชีวิต
                          สร้างสมดุลชีวิต

                          3.ใช้บริการเนอสเซอรี่ที่ไว้ใจได้

                          การได้รู้ว่าบุตรหลานของคุณได้รับการดูแลอย่างดีเป็นสิ่งสำคัญต่อความสบายใจเมื่อคุณอยู่ที่ทำงาน ลองหาสถานรับเลี้ยงเด็ก พี่เลี้ยงเด็ก หรือคนที่คุณรู้จักที่คุณไว้วางใจที่จะฝากลูกของคุณไว้กับพวกเขาได้ สถานรับเลี้ยงเด็กที่มีคุณภาพควรมีชั่วโมงที่ยืดหยุ่น อัตราส่วนของครูต่อจำนวนเด็กที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่สะอาดและกว้างขวางมีใบอนุญาตที่น่าเชื่อถือ สำหรับพี่เลี้ยงเด็กให้มองหาคนที่มีประสบการณ์และมีข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้ควรให้คนเลี้ยงทดลองงานอย่างน้อยหนึ่งวันเพื่อสังเกตว่าพวกเขาเหมาะสมกับงานหรือไม่  ถ้าเป็นไปได้ให้ติดต่อกันตลอดทั้งวันและขอข้อมูลอัปเดต และขอดูรูปถ่ายลูกของคุณเป็นระยะๆ

                          แม่โพสต์เตือน! หลัง พี่เลี้ยงเด็ก ทำลูกหัวแตกจนต้องเย็บ

                          เนอสเซอรี่ เลือกอย่างไรให้ปลอดภัยกับลูกน้อย

                          คุณแม่รับสมัครพี่เลี้ยงเด็ก ค่าจ้างปีละ 2.2 ล้าน

                          4. พูดคุยอย่างเปิดอกกับหัวหน้างาน

                          การเป็นแม่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นพนักงานที่ทำงานด้วยประสิทธิภาพที่ลดลง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คุณมีลูกแล้ว มันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ แม่มักจะเป็นผู้รับผิดชอบหลักเมื่อเด็กป่วยหรือมีนัดต่างๆ  ดังนั้นคุณแม่ที่ทำงานมักต้องการความยืดหยุ่นในตารางเวลาชีวิต แต่คุณแม่ที่เป็นพนักงานที่มีความมุ่งมั่นกับงานสมำเสมอ! พักกลางวันไม่ตรงเวลา ทำงานแม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ผู้หญิงเหล่านี้จะไม่ใช้ลูกมาเป็นข้ออ้างในการเย่อหย่อนต่อหน้าที่การงาน สิ่งสำคัญคือ ต้องแน่ใจว่าคุณได้สื่อสารกับหัวหน้าหรือผู้จัดการของคุณว่าความต้องการของคุณคืออะไร รวมถึงวิธีที่คุณจะทำงานของคุณให้ดีต่อไปได้ตามปกติ เปิดใจคุยกับหัวหน้า ไม่ยากหรอกที่เขาจะเข้าใจ และชื่นชมในความโปร่งใส และความทุ่มเทของคุณต่อทั้งครอบครัวและหน้าที่การงานที่คุณต้องรับผิดชอบ

                          5. ลดการรบกวน และการเสียเวลา

                          เวลามักเป็นของล้ำค่า เมื่อคุณเป็นแม่ที่ต้องทำงานประจำ ในที่ทำงานให้คำนึงถึงเวลาที่คุณใช้ในการสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงาน หากสิ่งนั้นส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของคุณ จำกัดช่วงพักกลางวันที่ยาวนาน และท่องอินเทอร์เน็ตเพื่อให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากเวลาทำงานเมื่ออยู่ที่บ้านให้โฟกัสไปที่คู่ของคุณและลูกๆ ของคุณมากกว่าโทรศัพท์หรือทีวี เพื่อให้แน่ใจว่าเวลาที่ใช้ร่วมกันมีความหมาย

                          สร้างสมดุลชีวิต

                          6. อย่าปล่อยให้ชีวิตคู่เหี่ยวเฉา

                          กุญแจสำคัญ ที่ทำให้ครอบครัวมีความสุขเริ่มต้นด้วยชีวิตแต่งงานที่มีความสุข จงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของคุณ เพราะมันจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสิ่งอื่น ๆ ถ้าเป็นไปได้ฝากลูกไว้กับปู่ย่าตายายหรือคนที่ไว้ใจได้ และออกไปเดทกันบ้างในคืนวันธรรมดา ทำสิ่งต่างๆ ที่คุณและสามีชอบทำ ก่อนที่จะเป็นพ่อแม่ วางแผนอย่างอื่นนอกเหนือจากอาหารค่ำในสถานที่ปกติของคุณ สนทนาอย่างตรงไปตรงมากับคู่ของคุณที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงานหรือเด็กๆบ้าง

                          สร้างสมดุลชีวิต

                          7. สร้างกิจกรรมครอบครัวที่พิเศษและมีความหมาย

                          ให้ช่วงเวลาที่คุณใช้ร่วมกับครอบครัวมีค่าอย่างแท้จริงโดยการวางแผนกิจกรรมที่ทุกคนจะรอคอยและเพลิดเพลินไปพร้อมกัน อาจกำหนดให้มี คืนเล่นเกมสำหรับครอบครัวในทุกสัปดาห์ หรือมีวันปิกนิกในสวนหลังบ้าน หรือไปเล่นมินิกอล์ฟ เดินเล่นกับครอบครัวในสวนสาธารณะใกล้บ้าน สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้เรามีโอกาสได้เคลื่อนไหว และมีการสนทนาที่ดี ลองขอความเห็นจากลูกๆ ของคุณ และให้พวกเขามีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าพวกเขาอยากทำอะไร หรืออยากจะไปที่ไหนด้วยยิ่งดี

                          8. ใช้ปฏิทินและการวางแผนล่วงหน้าในการจัดระเบียบชีวิต

                          ภาระทางจิตใจที่คุณแม่ที่ทำงานประจำต้องรับภาระ เป็นความรับผิดชอบที่ไม่มีใครเข้าใจได้ คุณเป็นผู้รับผิดชอบในการติดตามการนัดหมายของแพทย์ ลงนามในใบอนุญาตนำอาหารเครื่องดื่ม จำวันเกิด เขียนการ์ดอยู่ด้านบนของเสื้อผ้า และขนาดรู้ว่ามีอะไรอยู่ในตู้เย็นและตู้กับข้าว อย่าปล่อยให้ของกินของใช้ในบ้านหมด  ลองใช้แอปพลิเคชันที่ช่วยคุณวางแผนชีวิต และแหล่งข้อมูลอื่น ๆ เพื่อย้ำเตือนสิ่งต่างๆ มากมาย ที่คุณต้องทำ และปล่อยน้ำหนักทางจิตใจบางส่วนออกไป หรือจะเพิ่มกิจกรรมลงในปฏิทินที่แชร์ให้สามีทราบถึงกำหนดการต่างๆ ของคุณ และช่วยเหลือคุณได้ง่ายหากทำได้  จำไว้ว่าควรวางแผนล่วงหน้าให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดความฉุกละหุกในนาทีสุดท้าย

                          9. มอบหมายงานบ้านให้กับทุกๆ คน

                          ภาระงานบ้านไม่ควรตกอยู่ที่แม่เพียงคนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีหน้าที่สำคัญในการดูแลลูกวัยแบเบาะ สามีของคุณควรช่วยคุณทำงานบ้านได้อย่างเต็มที่ และหากลูกของคุณโตแล้วให้มอบหมายงานง่ายๆ ให้พวกเขาทำเพื่อพวกเขาจะได้เรียนรู้ที่จะสร้างนิสัยที่ดีตั้งแต่เนิ่นๆ และมีบทบาทอย่างแข็งขันในการมีส่วนช่วยเหลือครอบครัว

                          8 เคล็ดลับกระตุ้นให้ลูกทำ งานบ้าน เสริมสร้างทักษะชีวิตแต่เล็กมีแต่ได้กับได้

                          ผลวิจัยชี้ชัด! ผู้ชายทำงานบ้าน จะทำให้ฉลาด สุขภาพแข็งแรง

                          แนะ! 10 เทคนิค สอนลูกให้ทำงานบ้าน แบบราบรื่น

                          10. พูดว่า “ได้ค่ะ” ให้น้อยลง

                          คุณไม่จำเป็นต้องตอบตกลงทุกคำเชิญของปาร์ตี้ที่ทำงาน หากมันทำให้คุณวิตกกังวลมากกว่าเพลิดเพลินหรือมีความสุข พิจารณาว่าตารางเวลาของคุณสามารถจัดการความเหมาะสมได้มากน้อยเพียงใด ควรเลือกกิจกรรมที่บุตรหลานของคุณชอบมากที่สุด อย่ารู้สึกแย่กับการปฏิเสธเพื่อนๆ หรือหัวหน้าที่ทำงาน เพราะหากคุณไม่รู้จักการปฏิเสธ จะทำให้คุณโดนแย่งเวลาชีวิต และสูญเสียความเป็นส่วนตัวไปโดยใช่เหตุ

                          11. ลดความคาดเพอร์เฟกลงบ้าง

                          คุณแม่บ้างคนอาจติดกับตำแหน่งแม่ครัวมือหนึ่งที่ต้องปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพและอร่อยในทุกวัน หรือต้องดูแลบ้านให้สะอาดไม่มีที่ติ และต้องการเป็นแม่ที่สมบูรณ์แบบ จริงๆ หากจะว่าไปแล้วไม่มีใครที่เรียกร้องสิ่งต่างๆ มากเท่าที่คุณเรียกร้องจากตัวคุณเอง เมื่อคุณลดความคาดหวังลงบ้าง คุณจะพบว่าคุณจะสามารถขจัดความเครียดที่ไม่จำเป็นมากมายออกไปได้ บ้านของคุณไม่จำเป็นต้องสะอาดสะอ้านทุกครั้งที่มีแขกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าแขกมีลูกๆ มาด้วย การซื้อคุกกี้เข้าบ้านแทนการอบด้วยตัวเองไม่ได้ทำให้คุณเป็นแม่ที่ไม่ดี อาหารที่ปรุงเองที่บ้านทุกวันแม้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่อาหารที่ซื้อจากนอกบ้านก็สามารถเลี้ยงครอบครัวของคุณได้เช่นกัน

                          12. หาเวลาให้ตัวเองบ้าง

                          การหาเวลาให้ตัวเองเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสงบภายในและความสมดุลชีวิต ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการทำงานและชีวิตที่วุ่นวาย คุณแม่ส่วนใหญ่อาจมีนิสัยที่ไม่ดี ในการเอาความต้องการของตัวเองเป็นอันดับสุดท้าย เพื่อดูแลคนอื่นๆ ก่อน แต่ถ้าคุณไม่ดูแลตัวเองคุณจะคาดหวังได้อย่างไรว่าจะดูแลใครได้ดี? หาเวลาให้ตัวเองเป็นประจำ และทำกิจกรรมที่จะทำให้คุณผ่อนคลายและเติมพลัง และเกิดแนวคิดดีๆ บางอย่าง เช่น การทำสมาธิ โยคะ การออกกำลังกายการอ่านการเขียน การพูดคุยกับเพื่อนๆ หรือการปรนเปรอตัวเอง หรือลองเขียนลงในสมุดบันทึกแสดงความขอบคุณ มันจะช่วยให้คุณ มองสิ่งต่าง ๆ อย่างซาบซึ้งมากขึ้น และทำให้ความกังวลและความวิตกกังวลทุเลาลงได้ค่ะ

                          13. แบ่งปันสารทุกข์สุขดิบกับคุณแม่ที่ทำงานประจำคนอื่น ๆ บ้าง

                          คุณไม่ได้อยู่คนเดียว มีคุณแม่วัยทำงานหลายล้านคนที่ต้องเผชิญกับสิ่งเดียวกันกับคุณในแต่ละวัน คุณแม่ที่ทำงานเต็มเวลามีความยืดหยุ่นมากขึ้นในระหว่างสัปดาห์ในการจัดมีตติ้ง แต่คุณแม่ที่ทำงานก็สามารถมีชุมชนประเภทเดียวกันได้เช่นกัน ลองหาเพื่อนร่วมงานที่เป็นแม่ที่ต้องทำงานประจำเหมือนกัน เพราะพวกเธอคือผู้หญิงที่คุณจะสามารถมีความสัมพันธ์ในระดับที่แตกต่างไปจากเดิม นัดเจอกลุ่มแม่ๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือเดินเล่นด้วยกันหลังเลิกงาน การได้หัวเราะและร่วมกันแบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ต่างๆ กับผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันจะทำให้ชีวิตคุณไม่เครียดจนเกินไปค่ะ

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : lifehack.org

                          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                          เทคนิค บริหารเวลาส่วนตัว เวลาแม่น้อยต้องใช้สอยให้คุ้ม!

                          3 สเต็ปพร้อม…ก่อนแม่กลับไปทำงาน หมดปัญหาไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน

                          อยาก มีลูกคนที่สอง ต้องวางแผนการเงินอย่างไรดี

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            หนังสือมดประเทศไทย

                            อพวช. เปิดตัว “หนังสือมดประเทศไทย” พร้อมผลักดันองค์ความรู้ด้านอนุกรมวิธานสู่สังคม

                            องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดตัว “หนังสือมดประเทศไทย” พร้อมจัดกิจกรรม “กว่าจะเป็นหนังสือมดเมืองไทย” โดยเสวนาในหัวข้อ “เบื้องหลังการจัดทำหนังสือมดประเทศไทย” เพื่อมาถ่ายทอดเรื่องราวและเจาะลึกการทำหนังสือมดประเทศไทย เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพของมดและสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ที่ถูกต้อง โดยนักธรรมชาติวิทยาผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธานระดับประเทศ พร้อมส่งต่อองค์ความรู้ด้านอนุกรมวิธานสู่สังคม

                            หนังสือมดประเทศไทย

                            ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ กล่าวว่า “องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีภารกิจในการสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งได้นำผลการศึกษาวิจัย การเก็บรักษาวัสดุตัวอย่างที่มีความสำคัญและมีคุณค่า นำมาสร้างองค์ความรู้และถ่ายทอดไปสู่สังคม โดยนักธรรมชาติวิทยาของ อพวช. ได้ดำเนินงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพมากว่า 10 ปี ในการศึกษาวิจัยและค้นพบมดชนิดใหม่ ๆ ของโลกเกิดขึ้นมากมายกว่า 80 ชนิด และผลงานหรืองานวิจัยเหล่านี้ได้ถูกนำไปตีพิมพ์ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการระดับนานาชาติมาโดยตลอด

                            ที่สำคัญ อพวช. ถือเป็นแหล่งข้อมูลและแหล่งเก็บตัวอย่างมดที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งยังมีหน้าที่ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะทางด้านธรรมชาติวิทยา ซึ่ง อพวช. ได้เล็งเห็นถึงปัญหาการขาดแคลนช่องทางในการเรียนรู้ และข้อมูลที่ถูกต้อง จึงได้จัดพิมพ์ “หนังสือมดประเทศไทย” ขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพของมด อันเป็นแมลงที่มีความใกล้ชิดกับมนุษย์อย่างถูกต้อง พร้อมกันนี้เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ การจัดพิมพ์หนังสือมดประเทศไทย อพวช. จึงได้จัดกิจกรรม “กว่าจะเป็นหนังสือมดประเทศไทย” ขึ้น โดยมีกิจกรรม การเสวนาในหัวข้อ “เบื้องหลังการจัดทำหนังสือมดประเทศไทย” เพื่อมาถ่ายทอดเรื่องราวและเจาะลึกการทำหนังสือมดประเทศไทยที่เกิดขึ้นนี้ รวมทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันของนักเขียนระหว่างหน่วยงานที่ร่วมมือกันพัฒนาอย่างพิถีพิถันในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ออกมาสู่สายตาสาธารณชน”

                            สำหรับ “หนังสือมดประเทศไทย” จัดจำหน่ายในราคาเล่มละ 1,000 บาท โดยสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.nsmscienceshop.com  หรือ เดินทางมาซื้อได้ด้วยตนเองที่ NSM Science Shop ณ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า อพวช. ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0832722727

                            หนังสือมดประเทศไทย

                              Tags

                              ดูแลท้องแรก

                              เคล็ด (ไม่) ลับ ดูแลท้องแรก ด้วยสารอาหารครบ 32 ชนิด ให้แม่ยุคใหม่พร้อมเอ็นจอยไลฟ์ได้ทุกวัน

                              ใครว่าเป็น”แม่”แล้วผู้หญิงอย่างเราจะเป็นตัวเองไม่ได้ คุณแม่ท้องยุคใหม่สามารถเอ็นจอยกับทุกไลฟ์สไตล์ที่เคยทำ
                              พร้อมกับดูแลท้องแรกอย่างมีคุณภาพเพื่อให้ลูกน้อยสมบูรณ์แข็งแรงตลอดอายุครรภ์ได้ด้วยกิจกรรมและโภชนาการที่เหมาะสม

                              เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยอยู่ในท้อง คุณแม่มือใหม่พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงมากมายตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ทั้งหน้าท้องขยายตัว                ระดับฮอร์โมนปรับเปลี่ยน หัวใจเต้นเร็วขึ้น 10-20 ครั้งต่อนาที เหนื่อยง่ายกว่าปกติ จึงเคลื่อนไหวร่างกายลำบาก จนเกิดความกังวลว่าจะทำกิจกรรมที่ชอบได้อย่างออกกำลังกาย ทำงาน เดินทางท่องเที่ยวได้ไม่คล่องตัวเหมือนเดิม หรือต้องหยุดไปเพราะกลัวกระทบกับสุขภาพของลูกน้อย

                              ความจริงแล้วคุณแม่ยังสามารถทำทุกกิจกรรมได้เป็นปกตินะคะ เพราะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้สภาพจิตใจและอารมณ์ของคุณแม่ดีขึ้น ไม่เครียด ไม่หงุดหงิดหรือซึมเศร้า เมื่อคุณแม่มีความสุขย่อมส่งต่อความรักและความสุขไปถึงลูกน้อย ทำให้มีพัฒนาการครรภ์ดีตามไปด้วย  มาเป็นคุณแม่ยุคใหม่สายสตรองที่มีความสุขกับชีวิตในทุกวันไปพร้อมกันค่ะ

                              ดูแลท้องแรก

                              1. คุณแม่ท้องสายกิน

                              แม่ท้องหิวบ่อย กินมากกว่า 3 มื้อต่อวัน เป็นเรื่องปกติมากค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานสำหรับคน 2 คน(คุณแม่และทารกในครรภ์) เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ดังนั้นเมื่อคุณแม่จะกินอาหาร ก็ต้องเลือกกินในสิ่งที่เหมาะสม มีประโยชน์ ต้องได้คุณค่าทางโภชนาการหลากหลายครบถ้วน 5 หมู่ และกินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป หรือน้อยจนเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ

                              ข้อควรระวัง : เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเบาหวานแทรกซ้อน และน้ำหนักเกินเกณฑ์ระหว่างตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต อาหารที่มีน้ำตาลสูง แนะนำให้คุณแม่ท้องเลือกกินอาหารมีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ เน้นอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อปลา นม ไข่ ถั่ว และกินวิตามินจากพืชผักและผลไม้ที่ย่อยง่ายมีกากใย (Fibre)สูง หรือ สารอาหาร DR10 เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ไม่มีอาการท้องผูกค่ะ

                              ดูแลท้องแรก

                              2. คุณแม่สายฟิต

                              คนท้องไม่ใช่คนป่วย ฉะนั้นที่สงสัยกันว่าท้องแล้วจะออกกำลังกายได้อยู่หรือเปล่า จริงๆ แม่ท้องสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติเลยค่ะ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยลดอาการปวดหลัง เกิดตะคริวที่ขา ช่วยให้เลือดในร่างกายสูบฉีดไหลเวียนดี ป้องกันน้ำหนักขึ้นเกินระหว่างตั้งครรภ์ และทำให้อารมณ์ดี ผ่อนคลายลดความเครียด ความกังวลต่างๆ ได้ด้วยค่ะ กายบริหารที่เหมาะกับคนท้อง เช่น ว่ายน้ำ แอโรบิคในน้ำ โยคะ หรือเดินช้าๆ วันละ 20-30 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พอเหมาะ ไม่เป็นอันตรายกับลูกน้อยในครรภ์ แถมการยืดเส้นยืดสายยังช่วยให้คลอดลูกง่ายด้วยนะคะ

                              ข้อควรระวัง : ในช่วง 3 เดือนแรก ไม่แนะนำให้ออกกำลังกาย เพราะเป็นช่วงตั้งครรภ์อ่อนๆ อาจเสี่ยงต่อการแท้งได้ค่ะ หรือถ้าหากคุณแม่อยากออกกำลังกายเบาๆ แนะนำให้คุณแม่ปรึกษากับคุณหมอที่ดูแลครรภ์ก่อนทุกครั้งว่าควรออกกำลังกายแบบไหนได้ เนื่องจากคนท้องแต่ละคนอาจมีข้อกำจัดในการออกกำลังกาย ฉะนั้นคุณหมอจะแนะนำกายบริหารที่เหมาะกับคุณแม่ให้ค่ะ

                              ดูแลท้องแรก

                              3. คุณแม่สายเที่ยว

                              จะเที่ยวได้ไหม เที่ยวได้ไหมเอ่ย ?? ได้ซิค่ะ ทำไมจะเที่ยวไม่ได้ คุณแม่ที่ก่อนหน้านี้เป็นสายท่องเที่ยว ร้อยเอ็ด เจ็ดย่านน้ำ พอท้องแล้วไม่จำเป็นต้องหยุดเที่ยวกันนะคะ การพาตัวเองออกไปท่องเที่ยวแบบ #Babymoon ที่คุณแม่และคุณพ่อสามารถพาลูกน้อยในท้องไปเที่ยวด้วยกัน ก็ช่วยเพิ่มความสุข ได้ความสนุกไปอีกรูปแบบค่ะ ที่สำคัญเมื่อกายและใจได้ผ่อนคลายเต็มที่ ฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน สารแห่งความสุข (Endorphin) ก็หลั่งออกมา ทำให้ไม่เครียด ลูกน้อยในครรภ์รับรู้ได้ เป็นการกระตุ้นพัฒนาการทุกด้านให้สมบูรณ์ขึ้นด้วยค่ะ

                              ข้อควรระวัง : คุณแม่ไม่ควรเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องเดินทางนานเกิน 10 ชั่วโมง และควรเลือกการเดินทางที่ง่าย สะดวก รถยนต์ส่วนตัว เพื่อที่คุณแม่จะได้ไม่ต้องนั่งนานๆ บนรถ และสามารถแวะพักตามที่ต่างๆ ได้ ช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่อาจต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ระหว่างเดินทางจึงควรมีจุดแวะพักให้เข้าห้องน้ำและเดินยืดเส้นยืดสายด้วยนะคะ นอกจากนี้ ระหว่างเดินทาง ต้องเลือกเส้นทางที่ถนนเรียบ ไม่กระแทกอันตราย อย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัย และไม่ควรขับรถเร็วเกินไปด้วยค่ะ

                               

                              และเพื่อให้คุณแม่สามารถเอ็นจอยกับไลฟ์สไตล์ในแบบตัวเอง และเติมพลังให้แม่พร้อมเติมรักให้ลูกน้อยในครรภ์ได้เต็มร้อย คุณแม่สามารถเสริมโภชนาการให้พร้อมตั้งแต่วันแรกของการเป็นแม่ไปจนตลอดการอายุครรภ์ ด้วยการดื่มนมผลิตภัณฑ์นมแอนมัม (Anmum) ที่มีสารอาหารสำคัญ 32 ชนิดเพื่อคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะ ทั้ง GA และ DHAสารอาหารหลักที่มีส่วนช่วยพัฒนาการด้านสมองและความจำของลูกน้อย DR10 หรือโพรไบโอติก จุลินทรีย์มีชีวิตชึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของคุณแม่ให้แข็งแรง รวมถึงมีโฟเลต แคลเซียม ธาตุเหล็ก ไฟเบอร์ วิตามินเอ ซี ดี บี6 บี12 และสารอาหารจำเป็นอีกหลายชนิด สามารถดื่มได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงให้นมบุตรเลยนะคะ เพื่อให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละวัน

                              ผลิตภัณฑ์นมแอนมัม  มีหลายรูปแบบหลากรสชาติให้เลือกดื่มมากๆ สามารถปรับให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณแม่แต่ละคนได้เลยอย่าง แถมยังดื่มง่ายและอร่อยอีกด้วย แอนมัมมีทั้งนมผงพร่องมันเนยรสจืดและรสช็อกโกแลตสำหรับชงดื่มอุ่นๆสบายท้องหรือจะชงแบบเย็นก็อร่อยสดชื่น แค่วันละ 2 แก้วก็ได้ครบทั้งโฟเลตและแคลเซียม 100% นมพร่องมันเนยยูเอชที อร่อย ดื่มง่าย มีทั้งรสจืด มอล์ตและรสน้ำผึ้งพกพาสะดวก ครบคุณค่าโภชนาการในกล่องเดียวเหมาะกับวันทำงานหรือวันที่ออกไปชิลล์นอกบ้านหรือโยเกิร์ตพร้อมดื่ม ไขมัน 0% สำหรับคุณแม่ท้องไตรมาสแรกที่ยังมีอาการแพ้ท้อง รสชาติจากผลไม้รวมและรสส้ม จะช่วยดื่มง่ายขึ้นด้วยค่ะ อร่อย สดชื่น หมดกังวลเรื่องไขมัน

                              อยากรู้ว่านมแอนมัม ดีอย่างไร อร่อยแค่ไหนสามารถคลิกเพื่อรับขนาดทดลองฟรีๆ ได้ที่นี่เลยค่ะ https://www.anmum.com/th/th/contactus/sample-request

                              ดูแลท้องแรก

                               

                               

                                ภาวะขาดน้ำในเด็ก

                                เช็คสัญญาณเตือนลูกขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำในเด็ก เป็นแบบไหน?

                                ภาวะขาดน้ำในเด็ก – เด็กและผู้ใหญ่ทุกคนสูญเสียน้ำในร่างกายได้ตลอดทั้งวัน น้ำสามารถระเหยจากผิวหนังและจากร่างกายเมื่อ เราหายใจ ร้องไห้ เหงื่อออก และขับถ่าย  โดยปกติแล้วเด็กวัยเตาะแตะ จะได้รับน้ำเพียงพอจากการกินและดื่มเพื่อทดแทนของเหลวที่สูญเสียไป ยิ่งบ้านเราเป็นเมืองร้อนน้ำยิ่งมีความสำคัญเพราะร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย และในบางกรณีเด็กอาจสูญเสียน้ำได้มากกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากความเจ็บป่วยบางอย่างของร่างกาย เช่น มีไข้ ท้องอืด การออกไปข้างนอกในสภาพอากาศร้อน หรือการออกกำลังกายมากเกินไป

                                ความต้องการน้ำของเด็กยังแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านต่างๆ เช่น อายุ เพศ สภาพอากาศ และความหนักเบาของกิจกรรมที่ทำ  ซึ่งอาจทำให้สูญเสียของเหลวมากเกินไป และสามารถนำไปสู่ภาวะขาดน้ำได้  เมื่อเด็กเกิดภาวะขาดน้ำ ร่างกายจะไม่มีของเหลวและน้ำเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ความเสียหายของสมองหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ วันนี้เรามาเรียนรู้สัญญาณเตือนของการขาดน้ำในเด็กตลอดจนเคล็ดลับในการป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำในเด็กกันค่ะ

                                เช็คสิ! ลูกของคุณเสี่ยงต่อการขาดน้ำหรือไม่?

                                การขาดน้ำเกิดขึ้นเมื่อของเหลวออกจากร่างกายมากกว่าที่จะเข้าสู่ร่างกาย เด็กมักขาดน้ำได้ง่ายกว่าวัยรุ่นและผู้ใหญ่ เนื่องจากขนาดร่างกายที่เล็กกว่า และมีปริมาณน้ำสำรองน้อยกว่า นอกจากนี้เด็กวัยเตาะแตะบางคนขาดน้ำเพราะดื่มน้ำไม่เพียงพอ ปัจจัยบางอย่างอาจทำให้เด็กมีความเสี่ยงสูงต่อการขาดน้ำ

                                ได้แก่ :

                                • มีไข้สูง
                                • อาเจียน
                                • ท้องร่วง
                                • เหงื่อออกมากเกินไป
                                • ปริมาณของเหลวที่ไม่ดีระหว่างการเจ็บป่วย
                                • ความเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน หรือความผิดปกติของลำไส้
                                • การสัมผัสกับอากาศร้อนและชื้น
                                • อาการท้องร่วงอาจเกิดจากการติดเชื้อ (ไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต) การแพ้อาหาร หรืออาการทางการแพทย์ เช่น โรคลำไส้อักเสบ หรือปฏิกิริยาจากยาบางชนิด

                                หากลูกของคุณอาเจียน อุจจาระเป็นน้ำ หรือไม่สามารถดื่มน้ำ หรือไม่อยากดื่มน้ำ เนื่องจากความเจ็บป่วย ให้ตรวจดูสัญญาณของการขาดน้ำ และเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

                                ภาวะขาดน้ำในเด็ก
                                ภาวะขาดน้ำในเด็ก

                                เช็คสัญญาณเตือนลูกขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำในเด็ก เป็นแบบไหน?

                                สัญญาณเตือนภาวะขาดน้ำในเด็กเล็ก

                                ภาวะขาดน้ำอาจค่อยๆ เกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหัน เด็กวัยเตาะแตะที่มีอาการเจ็บป่วยโดยเฉพาะไข้หวัดลงกระเพาะ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณของการขาดน้ำ ทางที่ดี อย่าปล่อยให้ลูกกระหายน้ำมากเกินไป หากพวกเขากระหายน้ำมาก อาจเข้าสู่ภาวะขาดน้ำแล้ว ดังนั้นควรระวังสัญญาณเตือนเหล่านี้ไว้:

                                • ริมฝีปากแห้งแตก
                                • ปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ
                                • ปัสสาวะน้อยหรือไม่มีเลยเป็นเวลาแปดชั่วโมง
                                • ผิวเย็น หรือแห้ง
                                • ง่วงนอน
                                • ระดับพลังงานต่ำ
                                • ไม่มีน้ำตาเมื่อร้องไห้
                                • กระวนกระวาย
                                • หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว
                                • ในกรณีที่ร้ายแรงเด็กอาจเพ้อหรือหมดสติได้

                                ภาวะขาดน้ำในเด็ก

                                การรักษาภาวะขาดน้ำในเด็กเล็ก

                                วิธีเดียวที่จะรักษาภาวะขาดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือการเติมของเหลวทดแทนที่สูญเสียไป การขาดน้ำเพียงเล็กน้อยสามารถจัดการได้ที่บ้าน หากลูกน้อยของคุณมีอาการท้องร่วงอาเจียนมีไข้หรือมีอาการขาดน้ำให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

                                • ให้สารละลายทางช่องปาก (ORS) ให้ลูกได้รับสารละลายทางช่องปาก เช่น พีเดียไลท์ (Pedialyte) สารละลายเหล่านี้ประกอบด้วยน้ำและเกลือแร่ในสัดส่วนที่เหมาะสมและย่อยง่าย โดยปกติน้ำเปล่าจะไม่เพียงพอหากคุณไม่มีวิธีการให้น้ำทางช่องปากเนื่องจากน้ำเปล่ามีอิเล็กโทรไลต์ต่ำ คุณสามารถลองใช้นมหรือน้ำผลไม้เจือจางกับสารละลายนี้ได้ อย่างไรก็ดี ควรให้ Pedialyte แก่เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
                                • ค่อยๆให้ทีละน้อย จนกว่าจะสังเกตว่าปัสสาวะลูกดูใสขึ้น หากลูกของคุณอาเจียน ควรให้ทีละน้อยจนกว่าจะสามารถระงับอาการได้ แม้เด็กอาจจะรับน้ำได้ครั้งละหนึ่งช้อนโต๊ะ แต่ก็ดีกว่าไม่ให้ร่างกายได้รับของเหลวทดแทนเลย ทางที่ดี ให้ค่อยๆ เพิ่มความถี่และปริมาณ การให้เร็วเกินไปมากเกินไปมักจะทำให้อาเจียนได้
                                • หากคุณยังให้นมบุตร สามารถให้ต่อไป นอกจากนี้คุณยังสามารถ ผสม พีเดียไลท์ (Pedialyte) ให้ลูกในขวดนมได้อีกด้วย

                                การป้องกันการขาดน้ำในเด็กเล็ก

                                เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองที่จะต้องเรียนรู้สัญญาณเตือนของการขาดน้ำ เพราะหากปล่อยลูกให้กระหายน้ำมากเกินไปก็อาจสายเกินแก้ได้ทัน ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนในการป้องกันภาวะขาดน้ำในเด็กเล็ก

                                • หากลูกของคุณป่วย ให้ระมัดระวังเกี่ยวกับปริมาณของเหลวของพวกเขา เริ่มให้น้ำทดแทน และเฝ้าสังเกตดูอาการ
                                • เด็กที่ไม่กินหรือดื่มเนื่องจากอาการเจ็บคออ าจต้องบรรเทาความเจ็บปวดด้วยยาแก้ปวดลดไข้สำหรับเด็ก
                                • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกของคุณฉีดวัคซีนครบถ้วน รวมถึงวัคซีนโรตาไวรัส โรตาไวรัสเป็นสาเหตุหนึ่งในสามของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องร่วงในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี พูดคุยกับแพทย์ของคุณหากคุณมีข้อกังวลหรือคำถามเกี่ยวกับวัคซีนโรตาไวรัส
                                • สอนลูกๆ ของคุณ ถึงวิธีล้างมือก่อนรับประทานอาหารและการดื่มน้ำ และหลังใช้ห้องน้ำด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อต่างๆ
                                • กระตุ้นให้เด็กดื่มน้ำมาก ๆ ก่อน ระหว่าง และหลัง การออกกำลังกาย

                                ควรพาลูกไปพบแพทย์เมื่อใด

                                พาลูกของคุณไปพบแพทย์ ถ้าหาก :

                                • ลูกดูอาการไม่ดีขึ้นหรือขาดน้ำมากขึ้น
                                • มีเลือดปนในอุจจาระ หรืออาเจียน
                                • ลูกของคุณปฏิเสธที่จะดื่มหรือ ไม่ได้รับสารละลายในช่องปาก
                                • การอาเจียนหรือท้องร่วงของเด็กวัยเตาะแตะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรงและไม่สามารถดื่มของเหลวได้เพียงพอเพื่อให้ทันกับปริมาณที่สูญเสียไ
                                • อาการท้องร่วงเป็นเวลานานกว่าสองสามวัน
                                • แพทย์สามารถตรวจหาภาวะขาดน้ำและเติมของเหลวและเกลือแร่ให้บุตรหลานของคุณได้อย่างรวดเร็วทางหลอดเลือดดำหากจำเป็น

                                ทั้งนี้การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะส่งผลดีระบบต่างๆ ของร่างกาย น้ำที่ดื่มเข้าไปจะทดแทนส่วนที่สูญเสียไปในแต่ละวัน หากสามารถปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร ก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีได้ นอกจากนี้การปลูกฝังให้ลูกหันมาใส่ใจเรื่องการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพที่ดี ก็จะช่วยให้ลูกๆ ปลอดภัยจากภาวะอันตรายที่เกิดจากการขาดน้ำได้ แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือหาเด็กๆ ได้รับการ ส่งเสริมและปลูกฝังจากคุณพ่อคุณแม่ให้รู้จักดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันก็จะเป็นกาเสริมสรา้งทักษะ ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)ได้อีกด้วยค่ะ

                                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.healthline.com

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                อาการที่ต้องพาลูกไปหาหมอ วิธีสังเกตว่าลูกป่วย ต้องรีบไปโรงพยาบาล

                                7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

                                10 รายชื่อหมอเด็ก ที่เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์และเฉพาะทางโรคเด็ก ที่แม่บอกต่อ

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  ปั๊มหัวใจ

                                  โชคดีพ่อทำเป็น! ปั๊มหัวใจ ลูกชาย 3 ขวบจมน้ำ รอดหวุดหวิด!

                                  ปั๊มหัวใจ-  เรื่องราวความโชคดีครั้งนี้ สืบเนื่องจาก แดน เมเยอร์ส ชาวเมือง St. Simon’s Island รัฐจอร์เจีย ในสหรัฐอเมริกา ได้ดึงลูกชายวัย 3 ขวบที่หมดสติจากการจมน้ำขึ้นมาจากสระน้ำ จากนั้นได้ทำ CPR ด้วยการปั๊มหัวใจ และผายปอดให้ลูกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนความช่วยเหลือมาถึง

                                  โชคดีพ่อทำเป็น! ปั๊มหัวใจ ลูกชาย 3 ขวบจมน้ำ รอดหวุดหวิด!

                                  ในวันเกิดเหตุพวกผู้ใหญ่ กำลังช่วยกันเตรียมอาหารสำหรับงานปาร์ตี้ มีเด็กๆ เล่นกันอยู่รอบๆ บ้าน ทันใดนั้น คาเดนลูกชายวัย 3 ขวบของเมเยอร์ส กระโดดลงสระว่ายน้ำโดยไม่มีห่วงยางและได้จมน้ำในที่สุด เมื่อเมเยอร์สเห็นว่าลูกชายจมลงไปในสระน้ำ จึงรีบวิ่งไปดึงลูกชายของเขาขึ้นมาทันที เขาสังเกตเห็นว่าลูกชายของเขาไม่ตอบสนอง จึงรีบโทรไปที่หมายเลข 911 ทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ 911 สั่งให้ เมเยอร์สเล่าว่า เขา เริ่มกดหน้าอกและช่วยชีวิตลูกต่อโดยไม่หยุดพัก เพื่อรอจนหน่วยบริการการแพทย์จะมาถึง ทันใดนั้นคาเดนเริ่มหายใจแต่ยังคงไม่ตอบสนอง พอดีกับหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเดินทางมาถึง คาเดนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อทำการรักษา และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในเวลาต่อมา

                                  ปั๊มหัวใจ
                                  เมเยอร์สและลูกชายของเขา (Credit ภาพ : redcross.org)

                                  แดน เมเยอร์ส  กล่าวว่า  “ผมเคยได้รับการฝึกอบรม การทำ CPR จากสภากาชาดมาตั้งแต่มัธยมปลาย”  “ สิ่งเดียวที่ผมคิดตอนเกิดเหตุ คือ ทำยังไงก็ได้ ให้ลูกชายกลับมาหายใจอีกครั้ง ต่อให้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ผมก็จะไม่หยุดทำ CPR จนกว่าลูกจะกลับมาหายใจได้”

                                  จากเหตุการณ์นี้ทำให้ตระหนักได้ว่า เหตุฉุกเฉิน สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา แม้กระทั่งในบ้านของตัวเองที่ดูเหมือนว่าปลอยภัย การฝึกอบรมการทำ CPR จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้มีความรู้และทักษะที่อาจช่วยชีวิตคนที่อยู่ใกล้ยามเกิดเหตุได้ เมื่อผู้ประสบเหตุไม่หายใจแต่ยังมีชีพจร คุณจะต้องทำการช่วยหายใจ หากไม่มีการหายใจและไม่มีชีพจรคุณควรทำ CPR อย่างเต็มที่ จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง

                                  อย่างไรก็ดี ต่อไปนี้คือเทคนิคการช่วยชีวิตเด็กที่หมดสติหรือหยุดหายใจจากอุบัติเหตุ ที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนควรรู้ไว้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิดกับลูกๆ

                                  เทคนิคการปฐมพยาบาลทารกและเด็กเล็กที่หมดสติ

                                  สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี

                                  ตรวจสอบการตอบสนอง: แตะทารกเบา ๆ และตะโกนเพื่อดูว่าเด็กส่งเสียงตอบรับหรือเคลื่อนไหวหรือไม่ ในกรณีที่เด็กไม่มีการตอบสนองให้โทรเรียกรถฉุกเฉินทันที ระหว่างนั้นให้ทำ CPR เป็นเวลาอย่างน้อยสองนาที

                                  ตรวจสอบการหายใจ: อุ้มวางเด็กทารกให้นอนหงาย (หากมีโอกาสที่เด็กจะได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังควรมีคนช่วยเคลื่อนย้ายทารกเพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะหรือคอบิด) ขณะที่ทารกนอนหงาย ให้ยกคางขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง ในขณะที่ใช้มืออีกข้างกดลงบนหน้าผากเพื่อตรวจดูการหายใจ โดยวางหูไว้ใกล้กับปากและจมูกของทารก ให้ฟังและรู้สึกถึงลมหายใจที่แก้มของคุณ พร้อมกับเช็คหน้าอกของทารกว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่

                                  ทำการช่วยหายใจ: หากคุณไม่ได้ยินหรือรู้สึกว่าทารกหายใจ คุณจะต้องทำการช่วยชีวิตแบบเม้าท์ทูเม้าท์ โดยให้ปิดปากและจมูกของทารกเบาๆ ด้วยปากของคุณ (หรือปิดแค่จมูกของทารกแล้วปิดปากไว้) ยกคางของทารกขึ้นและเอียงศีรษะไปด้านหลัง หายใจเข้าสั้นๆ 2 ครั้ง (แต่ละครั้งควรใช้เวลาประมาณหนึ่งวินาทีและควรทำให้หน้าอกของทารกสูงขึ้น) พึงระลึกไว้เสมอว่าลูกน้อยของคุณไม่ต้องการอากาศมาก ไม่ควรเป่าลมให้แรงจนเกินไป

                                  ปั๊มหัวใจ

                                  การทำ CPR : หลังจากที่คุณได้ทำการช่วยหายใจสองครั้งแล้ว ให้ตรวจดูการตอบสนองต่าง ๆ เช่น ดูว่าเด็กหายใจหรือไม่ หากเด็กยังไม่ตอบสนองให้เริ่มกดหน้าอก โดยให้วางนิ้วสองนิ้วบนกระดูกหน้าอกของทารกใต้ราวนม อย่ากดที่ปลายสุดของกระดูกหน้าอก ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งวางไว้บนหน้าผากของทารกโดยให้ศีรษะเอียงไปด้านหลังเล็กน้อย (เพื่อให้ทางเดินหายใจยังเปิดอยู่) ให้กดหน้าอก 30 ครั้งด้วยสองนิ้ว แต่ละครั้งปล่อยให้หน้าอกของทารกสูงขึ้นจนสุด การบีบอัดของคุณควรเร็วและหนักโดยไม่มีการหยุด นับการกดอย่างรวดเร็ว

                                  หลังจากเสร็จสิ้นการกด 30 ครั้งให้ช่วยเด็กหายใจอีกสองครั้ง และดูหน้าอกของเด็ก – ซึ่งควรจะสูงขึ้นเมื่อคุณเป่าลมเข้าปากของเด็ก

                                  หลังจากนั้นให้ทำ CPR ต่อด้วยการกดหน้าอก 30 ครั้ง ตามด้วยการช่วยหายใจ 2 ครั้งทำซ้ำรูปแบบนี้เป็นเวลาประมาณสองนาที

                                  หลังจากทำ CPR ไปแล้ว 2 นาทีหากเด็กยังไม่มีเสียงลมหายใจปกติ ไม่ไอ และไม่เคลื่อนไหว ให้หยุดก่อนแล้วโทรเรียกรถพยาบาล จากนั้นทำ CPR ซ้ำ (30 ครั้งตามด้วยการหายใจ 2 ครั้ง) จนกว่าทารกจะฟื้น หรือจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง หากลูกน้อยของคุณฟื้นตัวให้วางทารกในท่าพักฟื้น คว่ำหน้าลงเหนือแขนโดยให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าลำตัวเล็กน้อย ประคองศีรษะและคอของทารกด้วยมือของคุณโดยให้มองเห็นปากและจมูกของทารกชัดเจนในขณะที่รอให้ความช่วยเหลือมาถึง

                                  ปั๊มหัวใจ

                                  สำหรับ เด็ก 1 ถึง 8 ขวบ

                                  ตรวจสอบการตอบสนอง: เขย่าหรือแตะตัวเด็กเบา ๆ และตะโกนเพื่อดูว่าเด็กมีการเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงหรือไม่ หากเด็กไม่ตอบสนองให้หาคนช่วยโทรเรียกรถพยาบาล และแจ้งว่าขอเครื่องกระตุ้นหัวใจภายนอกอัตโนมัติ(AED)หากมี ระหว่างนั้นให้ทำ CPR เป็นเวลาอย่างน้อยสองนาที

                                  ตรวจสอบการหายใจ: วางเด็กในท่านอนหงายอย่างระมัดระวัง หากมีโอกาสที่เด็กอาจได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังให้ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในการเคลื่อนย้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการบิดศีรษะและคอ เมื่อเด็กนอนลง ให้เปิดทางเดินหายใจโดยยกคางขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างหนึ่งดันหน้าผากลงพร้อมกัน มองและฟังว่าเด็กหายใจได้หรือไม่ โดยวางหูไว้ใกล้ปากและจมูกของเด็กเพื่อให้รู้สึกถึงลมหายใจ – พร้อมกับเฝ้าดูหน้าอกของเด็กว่ามีการเคลื่อนไหวใด ๆ หรือไม่

                                  ทำการช่วยหายใจ: หากเด็กไม่หายใจ ให้ปิดปากให้แน่นด้วยปากของคุณ และบีบจมูกให้ปิด ยกคางของเด็กขึ้นและเอียงไปข้างหลัง หายใจเข้าออกสองครั้ง (การหายใจแต่ละครั้งควรกินเวลาประมาณหนึ่งวินาทีและควรทำให้หน้าอกของเด็กสูงขึ้น)

                                  ทำ CPR: วางอุ้งมือข้างหนึ่งไว้ที่กระดูกหน้าอกของเด็กใต้ราวนม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุ้งมือของคุณของคุณไม่ได้อยู่ที่ส่วนปลายสุดของกระดูกหน้าอก วางมืออีกข้างไว้ที่หน้าผากของเด็กและให้ศีรษะของเด็กเอียงไปข้างหลัง กดหน้าอกของเด็กลง ประมาณหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งของความลึกของหน้าอกและกด 30 ครั้ง อย่าลืมปล่อยให้หน้าอกสูงขึ้นทุกครั้ง การออกแรงกดของคุณควรรวดเร็ว และหนักหน่วง โดยไม่มีการหยุดชั่วคราว นับการบีบอัดอย่างรวดเร็ว

                                  หลังจากเสร็จสิ้นการกด 30 ครั้ง ให้หายใจช่วยเด็กอีก 2 ครั้ง และตรวจดูให้แน่ใจว่าหน้าอกสูงขึ้น ทำ CPR ต่อไป (กด 30 ครั้งตามด้วยการช่วยหายใจสองครั้ง) ประมาณสองนาที หลังจากผ่านไปประมาณสองนาทีหากเด็กยังหายใจไม่ปกติ ไม่ไอ และยังไม่เคลื่อนไหวให้ปล่อย และ รีบโทรเรียกรถฉุกเฉิน ทำ CPR ต่อไป (กด 30 ครั้งตามด้วยการช่วยหายใจสองครั้ง) จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง หรือลูกของคุณฟื้นตัว

                                  หากเด็กเริ่มหายใจอีกครั้ง ให้ช่วยให้เด็กอยู่ในท่าพักฟื้น โดยให้คุกเข่าข้างๆ ตัวเด็กแล้ววางแขนของเด็กให้อยู่ใกล้คุณมากที่สุดและตรงออกจากลำตัว จับแขนอีกข้างของเด็กและช่วยจับมือของเธอกับแก้มอีกข้างของเด็ก (โดยให้มือด้านหลังสัมผัสแก้มของเด็ก ให้ฝ่ามือหันเข้าหาคุณ) จับและงอเข่าของเด็ก ปกป้องศีรษะของเด็กด้วยมืออีกข้างหนึ่ง (ที่ด้านบนของมือของเด็กและข้างแก้มของเด็ก) ค่อยๆ หมุนเด็กเข้าหาตัวคุณโดยดึงเข่าที่อยู่ไกล ออกไปที่พื้น จากนั้นเอียงศีรษะของเด็กขึ้นเล็กน้อยเพื่อเปิดทางเดินหายใจและตรวจสอบให้แน่ใจว่ามือของเด็กยังคงซุกอยู่ใต้แก้มของเขา เพื่อไม่ให้ศีรษะอยู่เหนือพื้น ควรอยู่ใกล้ ๆ กับเด็กและตรวจดูการหายใจต่อไปจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง

                                  ปั๊มหัวใจ
                                  ปั๊มหัวใจ

                                  เด็กอายุ 9 ปีขึ้นไป

                                  หมายเหตุ: การช่วยหายใจและการทำ CPR สำหรับเด็กวัยนี้จะเหมือนกับผู้ใหญ่

                                  ตรวจสอบการตอบสนอง: เขย่าหรือแตะลูกของคุณเบา ๆ และตะโกนเพื่อดูว่ามีการเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงหรือไม่ หากเด็กไม่ตอบสนองให้คนรีบไปโทร เรียกรถฉุกเฉิน และขอเครื่องกระตุ้นหัวใจภายนอกอัตโนมัติ (AED) หากมี

                                  วางเด็กลงอย่างระมัดระวัง หากมีโอกาสที่เด็กอาจได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังให้ขอความช่วยเหลือจากคนสองคนในการเคลื่อนย้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการบิดที่ศีรษะและคอ เมื่อเด็กนอนราบให้เปิดทางเดินหายใจโดยใช้สองนิ้วยกคางขึ้นและในขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างดันหน้าผากลง

                                  ตรวจสอบการหายใจ: ดูฟังและรู้สึกถึงการหายใจได้โดย วางหูไว้ใกล้ปากและจมูกของเด็กเพื่อให้รู้สึกและฟังลมหายใจ – พร้อมกันเฝ้าดูหน้าอกของเด็กว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่

                                  ทำการช่วยหายใจ: หากเด็กไม่หายใจ หรือมีปัญหาในการหายใจ ให้ปิดปากของเด็กให้แน่นด้วยปากของคุณและบีบจมูกให้ปิด ยกคางของเด็กและศีรษะเอียงไปข้างหลัง หายใจเข้าออกสองครั้ง (การหายใจแต่ละครั้งควรกินเวลาประมาณหนึ่งวินาทีและควรทำให้หน้าอกของเด็กสูงขึ้น)

                                  ทำ CPR: วางอุ้งมือข้างหนึ่งไว้ที่กระดูกหน้าอกของเด็กใต้ราวนม วางอุ้งมืออีกข้างไว้ด้านบนสำหรับส่วนแรกแล้วประสานมือเข้าหากัน จัดตำแหน่งร่างกายของคุณให้สูงขึ้นและเหนือกว่ามือของคุณในขณะที่คุณคุกเข่าข้างๆตัวเด็ก กดหน้าอก 30 ครั้ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการกดของคุณเร็วและแรงมาก คุณควรกดหน้าอกลงไปประมาณสองนิ้ว และหลังจากการบีบแต่ละครั้งปล่อยให้หน้าอกของเด็กสูงขึ้นจนสุด นับการบีบอัดอย่างรวดเร็ว

                                  หลังจากเสร็จสิ้นการกด 30 ครั้งให้หายใจช่วยเด็กอีก 2 ครั้ง และตรวจดูให้แน่ใจว่าหน้าอกสูงขึ้น

                                  ทำ CPR ต่อไป (กด 30 ครั้งตามด้วยการช่วยหายใจ 2 ครั้ง) จนกว่าเด็กจะฟื้นหรือจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง หากมีเครื่อง AED ให้ใช้โดยเร็วที่สุด

                                  หากเด็กเริ่มหายใจอีกครั้ง ต้องช่วยจับให้อยู่ในท่าพักฟื้น โดยการคุกเข่าข้างๆ ตัวเด็กแล้ววางแขนของเด็กที่อยู่ใกล้คุณมากที่สุดตรงออกจากลำตัว จับแขนอีกข้างของเด็กแล้วเอามือแนบแก้ม (โดยให้หลังมือแตะแก้ม ฝ่ามือหันเข้าหาคุณ) จับและงอเข่าด้านที่ไกลของเด็ก พร้อมกับปกป้องศีรษะของเด็กด้วยมืออีกข้างหนึ่ง (ที่ด้านบนของมือเด็ก และข้างแก้มของเด็ก) ค่อยๆ หมุนเด็กเข้าหาตัวคุณโดยดึงเข่าที่อยู่ไกลออกไปที่พื้น จากนั้นเอียงศีรษะของเด็กขึ้นเล็กน้อยเพื่อเปิดทางเดินหายใจและตรวจสอบให้แน่ใจว่ามือของเด็กยังคงซุกอยู่ใต้แก้มของขาเพื่อไม่ให้ศีรษะอยู่เหนือพื้น อยู่ใกล้ ๆ กับเด็กและตรวจดูการหายใจต่อไปจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง

                                  การศึกษาวิธีการช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน นับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาไว้ ตลอดจนการปลูกฝังให้ลูกๆ ได้รู้ถึงอุบัติภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้จากความประมาท สอนให้ลูกรู้จักระมัดระวังตัวเอง และส่งเสริมให้ลูกๆ ให้ความสำคัญและใส่ใจในความปลอดภัยของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมลูกเกิดทักษะด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) สิ่งสำคัญที่ต้องสอนลูก คือ ไม่ว่าลูกจะเล่นหรือทำกิจกรรมใด ๆ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎอย่างเค่งครัด เช่น การลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ หรือการไปเล่นในที่สาธารณะต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

                                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : redcross.org,parents.com

                                  บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                  แนะ ขั้นตอนการทำ CPR พ่อแม่ทำได้ ช่วยชีวิตลูกทัน!

                                  วิธีการทำ CPR 3 ขั้นตอนง่ายๆ ช่วยชีวิตได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

                                  เทคนิคสอนเด็กว่ายน้ำเอาตัวรอด ป้องกันเด็กจมน้ำ

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ทารกตัวเหลือง

                                    ทารกตัวเหลือง กินน้ำจะหายไหม พ่อแม่ควรทำอย่างไร?

                                    ทารกตัวเหลือง – หลังจากที่คุณแม่อุ้มท้องมาอย่างยาวนาน เมื่อถึงวันที่ลูกน้อยคลอดออกมาลืมตาดูโลก ในเด็กทารกบางคนแพทย์อาจพบความผิดปกติที่เรียกว่า ภาวะตัวเหลือง ซึ่งหากเกิดภาวะนี้ขึ้น ทารกอาจจะยังไม่สามารถกลับบ้านได้ทันทีหรืออาจต้องมีการเฝ้าระวังหลังคลอดอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามภาวะตัวเหลืองสามารถเกิดขึ้นได้นอกจากนี้ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยกับวิธีดูและรักษาเมื่อทารกตัวเหลืองให้เห็นอยู่

                                    ภาวะตัวเหลืองในทารกคืออะไร?

                                    ทารกที่มีภาวะตัวเหลือง ผิวหนังและดวงตา จะมีสีเหลืองอย่างเห็นได้ชัด เกิดขึ้นได้เมื่อทารกมีบิลิรูบินในเลือดมากเกินไป บิลิรูบิน (bill-uh-ROO-bin) เป็นสารสีเหลืองที่เกิดจากการสลายของเม็ดเลือดแดงที่เกิดขึ้นตามปกติ โดยปกติตับจะกำจัดบิลิรูบินออกจากเลือดและส่งผ่านไปยังลำไส้เพื่อให้ออกจากร่างกายได้ แต่ตับของทารกแรกเกิดยังไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินได้ดี และบิลิรูบินสร้างขึ้นเร็วเกินกว่าที่ตับของทารกจะสลายและส่งผ่านออกจากร่างกายได้ ภาวะตัวเหลืองส่วนใหญ่จะหายไปเอง หรือหากอาการหนักต้องได้รับการรักษาเพื่อลดระดับบิลิรูบินในเลือด

                                    ทารกตัวเหลือง
                                    ทารกตัวเหลือง

                                    รู้ได้อย่างไรว่าทารกมีภาวะตัวเหลือง

                                    แพทย์มักจะวินิจฉัย ภาวะตัวเหลืองในทารกโดยพิจารณาจากลักษณะของทารก อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องวัดระดับบิลิรูบินในเลือดของทารก เนื่องจากจะเป็นตัวกำหนดแนวทางในการรักษา ซึ่งการทดสอบเพื่อตรวจหาภาวะตัวเหลืองและวัดบิลิรูบิน มีดังนี้ :

                                    • การตรวจร่างกาย
                                    • การทดสอบในห้องปฏิบัติการ เก็บตัวอย่างเลือดของทารก
                                    • การทดสอบผิวหนัง ด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่าบิลิรูบินอมิเตอร์ผ่านผิวหนัง ซึ่งจะวัดการสะท้อนของแสงพิเศษที่ส่องผ่านผิวหนัง
                                    • แพทย์อาจสั่งให้ตรวจเลือดหรือตรวจปัสสาวะเพิ่มเติม หากมีหลักฐานว่าอาการตัวเหลืองของทารกเกิดจากความผิดปกติอื่น

                                    สาเหตุของภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด

                                    ทารกแรกเกิดที่มีสุขภาพแข็งแรงส่วนใหญ่อาจมีอาการตัวเหลืองทางสรีรวิทยาได้ปกติ เนื่องจากทารกแรกเกิดมีเซลล์เม็ดเลือดมากกว่าผู้ใหญ่ เซลล์เม็ดเลือดเหล่านี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่ได้นาน ดังนั้นจึงมีการสร้างบิลิรูบินมากขึ้น เมื่อเซลล์เม็ดเลือดแตกตัวอาการตัวเหลืองจะปรากฏ หลังจากทารกคลอดได้ 2-4 วันและจะค่อยๆ หายไปเองได้เมื่อทารกอายุได้ 2 สัปดาห์

                                    ทารกมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะตัวเหลืองได้จากกรณีต่อไปนี้ :

                                    • คลอดก่อนกำหนด

                                    ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายอาจกำจัดบิลิรูบินน้อย เนื่องจากการทำงานของตับในทารกคลอดก่อนกำหนดยังไม่สมบูรณ์  ทำให้ทารกมีอาการตัวเหลืองได้มากกว่าทารกที่คลอดตามเกณฑ์  ซึ่งอาการตัวเหลืองพบได้มากโดยเฉพาะในคนเอเชีย

                                    • ได้รับนมแม่ไม่เพียงพอ (Inadequate breastfeeding jaundice)

                                    มักเกิดขึ้นในช่วงสองสามวันแรกของชีวิต เนื่องจากทารกอาจยังไม่ได้รับนมแม่ หรือแม่มีปัญหาในการให้นม ทำให้ทารกขับขี้เทาและสารสีเหลืองออกทางอุจจาระได้ช้า ทางที่ดีควรให้นมบ่อยขึ้น หากคุณแม่มีปัญหาเรื่องการให้นมสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ ซึ่งโดยปกติแล้วควรให้ทารกได้กินนมแม่อย่างน้อย 8 มื้อต่อวัน

                                    • ตัวเหลืองจากนมแม่ (Breastmilk jaundice)

                                    อาการตัวเหลืองจากน้ำนมแม่ มักเกิดขึ้นหลังจากสัปดาห์แรกของชีวิต พบได้หลังลูกอายุ 5 วัน สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีบางสมมุติฐานที่เชื่อว่ามีสารบางชนิดในนมแม่อาจรบกวนกระบวนการขับสารสีเหลือง เช่นโดยการยับยั้งเอนซัยม์ที่ช่วยในกระบวนการนี้ โดยทั่วไปภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายในทารกครบกำหนด สามารถให้ลูกกินนมแม่ต่อไปได้ ระดับสารตัวเหลืองจะขึ้นสูงสุดในระหว่าง 10– 21 วัน แล้วค่อยๆ ลดลงจนหายไปเองในช่วง 3–12 สัปดาห์ แต่บางรายอาการเหลืองอาจยังมีเล็กน้อยจนถึงเดือนที่ 3

                                    • กรุ๊ปเลือดต่างกับมารดา

                                    หากแม่และลูกมีกรุ๊ปเลือดต่างกัน ร่างกายของแม่จะสร้างแอนติบอดีที่ทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดแดงของทารก สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อ:
                                    – กรุ๊ปเลือดของแม่คือ O และกรุ๊ปเลือดของทารกคือ A หรือ B (ความไม่ลงรอยกันของ ABO) หรือ
                                    – ปัจจัยเรื่อง Rh  (โปรตีนที่พบในเซลล์เม็ดเลือดแดง) ของมารดา เป็นลบและทารกมีค่า Rh เป็นบวก

                                    • ปัญหาทางพันธุกรรม

                                    ที่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเปราะบางมากขึ้น เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกตัวได้ง่ายขึ้น จากการเกิภาวะ  spherocytosis ทำให้เกิดความผิดปรกติที่ผนังของเม็ดเลือดแดงรวมถึง การขาดเอนไซม์ G6PD ที่ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงทำงานได้เป็นปกติ จึงอาจส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดแดงสลายตัวจนเกิดภาวะโลหิตจางได้

                                    • ทารกเกิดมาพร้อมจำนวนเม็ดเลือดแดงสูงผิดปกติ

                                    (polycythemia) หรือรอยช้ำขนาดใหญ่ที่ศีรษะ (cephalohematoma)

                                    ทารกตัวเหลือง
                                    ทารกตัวเหลือง

                                    การรักษาภาวะตัวเหลืองในทารก

                                    อาการตัวเหลืองในทารกที่ไม่รุนแรงมักจะหายไปเองภายในสองหรือสามสัปดาห์ สำหรับในระดับปานกลางหรือรุนแรงลูกน้อยของคุณอาจต้องอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กแรกเกิดนานขึ้นหรือถูกส่งไปโรงพยาบาล

                                    การรักษาเพื่อลดระดับบิลิรูบินในเลือดของทารกอาจรวมถึง:

                                    • โภชนาการที่เพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันทารกน้ำหนักลด แพทย์อาจแนะนำให้กินนมบ่อยขึ้นหรือให้อาหารเสริมเพื่อให้แน่ใจว่าลูกน้อยของคุณได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
                                    • การบำบัดด้วยแสง (การส่องไฟ) ลูกน้อยของคุณอาจถูกวางไว้ใต้โคมไฟพิเศษที่เปล่งแสงในสเปกตรัมสีเขียวอมฟ้า แสงจะเปลี่ยนรูปร่างและโครงสร้างของโมเลกุลบิลิรูบินในลักษณะที่สามารถขับออกได้ทั้งในปัสสาวะและอุจจาระ ในระหว่างการรักษาลูกน้อยของคุณจะสวมเฉพาะผ้าอ้อมและแผ่นปิดตาเท่านั้น การบำบัดด้วยแสงอาจเสริมด้วยการใช้เบาะ หรือที่นอนที่เปล่งแสง
                                    • ให้อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำ (IVIg) โรคดีซ่านอาจเกี่ยวข้องกับความแตกต่างของกรุ๊ปเลือดระหว่างแม่และทารก ภาวะนี้ส่งผลให้ทารกมีแอนติบอดีจากแม่ซึ่งมีส่วนในการสลายเม็ดเลือดแดงของทารกอย่างรวดเร็ว การให้อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำซึ่งเป็นโปรตีนในเลือดที่สามารถลดระดับของแอนติบอดี – อาจลดอาการตัวเหลืองและลดความจำเป็นในการถ่ายแลกเปลี่ยนแม้ว่าผลลัพธ์จะยังไม่สามารถสรุปได้
                                    • ถ่ายเลือด น้อยครั้งเมื่ออาการตัวเหลืองรุนแรงไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ ทารกอาจต้องได้รับการถ่ายเลือด สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการถอนเลือดจำนวนเล็กน้อยซ้ำ ๆ และแทนที่ด้วยเลือดของผู้บริจาคซึ่งจะทำให้บิลิรูบินและแอนติบอดีของมารดาเจือจางลงซึ่งเป็นขั้นตอนที่ดำเนินการในหออภิบาลทารกแรกเกิด

                                    การดูแลรักษาอาการที่บ้าน

                                    เมื่ออาการตัวเหลืองในทารกไม่รุนแรงแพทย์อาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนโภชนาการของลูกที่สามารถลดระดับบิลิรูบินได้ พูดคุยกับแพทย์หากคุณมีคำถามหรือข้อกังวลเกี่ยวกับความถี่ในการให้นมของทารก หรือหากคุณมีปัญหาในการให้นม เมื่อพาลูกกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ขั้นตอนต่อไปนี้อาจช่วยลดอาการตัวเหลืองได้ :

                                    • ให้นมบ่อยขึ้น การให้นมบ่อยขึ้นจะช่วยให้ลูกได้รับน้ำนมมากขึ้นและทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของลำไส้มากขึ้นทำให้ปริมาณบิลิรูบินที่กำจัดออกไปในอุจจาระของทารกเพิ่มขึ้น ทารกที่กินนมแม่ควรให้นมได้ 8 ถึง 12 ครั้ง ต่อวันในช่วงหลายวันแรกของชีวิต และทารกที่กินนมผสมควรได้รับนม 1 ถึง 2 ออนซ์ (ประมาณ 30 ถึง 60 มิลลิลิตร) ทุกๆ สอง ถึงสามชั่วโมงในสัปดาห์แรก
                                    • การให้อาหารเสริม หากลูกน้อยของคุณมีปัญหาในการดูดนมกำลังลดน้ำหนักหรือขาดน้ำแพทย์ของคุณอาจแนะนำให้กินนมผงหรือน้ำนมแม่เพื่อเสริมการให้นม ในบางกรณีแพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ใช้สูตรเพียงอย่างเดียวเป็นเวลาสองสามวันแล้วจึงให้นมต่อ ถามแพทย์ว่าตัวเลือกการให้นมใดที่เหมาะกับลูกน้อย

                                    ทารกตัวเหลือง

                                    ทารกตัวเหลือง กินน้ำจะหายไหม ตากแดดช่วยได้หรือเปล่า?

                                    มีความเชื่อที่คลาดเคลื่อนหรืออาจยังคลุมเครือ ที่พ่อแม่มือใหม่ มักเข้าใจผิด เกี่ยวกับการดูแลรักษาอาการตัวเหลืองในทารก

                                    • ทารกตัวเหลือง ป้อนน้ำจะหายไหม?

                                    เด็กทารกเป็นวัยที่ยังไม่ควรได้รับน้ำ เนื่องจากในนมมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากพออยู่แล้ว ปริมาณน้ำส่วนเกินอาจทำให้เกิดโลหิตจางเป็นอันตรายกับทารกได้ ทารกต่ำกว่าหกเดือนจึงไม่ควรทานน้ำเพิ่มค่ะ  บางคนเชื่อว่าที่ทารกตัวเหลืองเพราะขาดน้ำ กินน้ำน้อย ถ้าได้กินน้ำอาการเหลืองก็จะหายไป แต่จริงๆ แล้ว การให้เด็กที่มีภาวะตัวเหลืองกินน้ำ ไม่ได้ช่วยรักษาอาการเหลืองให้หายไป ในทางกลับกันอาจเป็นอันตราย คือ เด็กอาจเสียชีวิตได้

                                    • ทารกตัวเหลือง ตากแดดช่วยได้ไหม? 

                                    ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าการอุ้มทารกตากแดด จะช่วยให้ภาวะตัวเหลืองหายได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ หากคุณได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้อุ้มทารกไปรับแดด ควรเป็นแดดในช่วงเช้าที่ความเข้มของแสงไม่มากนัก เนื่องจาก ถ้าทารกโดดแดดแรงเกินไปอาจส่งผลเสียได้ เช่น อุณภูมิร่างกายสูงเกินไป หรืออาจเกิดการบาดเจ็บจากการไหม้แดดได้เนื่องจากผิวหนังของทารกยังบอบบาง จำไว้ว่าการช่วยให้อาการตัวเหลืองหายเป็นปกติได้เร็ว และดีที่สุดยังเป็นการให้ทารกได้รับนมแม่ให้ได้มากที่สุดค่ะ

                                    การทำความเข้าใจโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทราบถึงแนวทางในการจัดการรับมือกับปัญหาทางสุขภาพที่เกิดขึ้นกับลูกๆทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณสมารถให้ลงมือปฏิบัติในการให้ความดูแลลูกได้อย่างเหมาะสมกับโรคที่เกิดขึ้น ในช่วงชีวิตของเด็กคนหนึ่งอาการเจ็บป่วยอาจมาเยือนได้หลากหลายรูปแบบ หากคุณพ่อคุณมีความรู้รอบตัวในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่ดี และหมั่นให้ความสนใจและใส่ใจต่อการปฏิบัติตัวอันจะนำมาซึ่งสุขภาพดีของคนในครอบครัวอยู่เสมอก็จะทำให้คนที่คุณรักห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บได้

                                    นอกจากนี้หากคเราได้ปลูกฝังลูกๆ ถึงแนวทางปฏิบัติตนให้ห่างไกลโรค และการมีสุขภาพที่ดีได้ก็จะยิ่งส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะด้านความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)  ติดตัวไปยามเมื่อลูกโตขึ้นได้อย่างแน่อนอนค่ะ

                                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : mayoclinic.org,kidshealth.org

                                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                    หมอแจง! ทำไมลูกตัวเหลือง? อันตรายจากตัวเหลืองในทารก

                                    โรค G6PD คือ อะไร อันตรายกับลูกแค่ไหน พ่อแม่ควรรู้!

                                    8 โรคติดต่อทางพันธุกรรม ที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่ ควรตรวจให้รู้ก่อนตั้งครรภ์

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่