Page 121 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ภาวะแท้งคุกคาม

เลือดออกตอนท้องอ่อนๆ สาเหตุ ภาวะแท้งคุกคาม แม่ท้องต้องสังเกตให้เป็น!

“ทอม อิศรา” เผยสาเหตุ!!! ภรรยาแท้งลูกคนแรก หลังมีอาการปวดท้อง ท้อง6สัปดาห์ มีเลือดออก สุดท้าย หมอแจ้ง มี ภาวะแท้งคุกคาม

ภาวะแท้งคุกคาม แม่ท้องต้องสังเกตให้เป็น

แท้งคุกคาม Threatened abortion คือ ภาวะใกล้แท้งหรือภาวะที่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการสิ้นสุดการตั้งครรภ์หรือนำไปสู่การแท้งบุตร ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งจากความผิดปกติจากธรรมชาติ และปัจจัยเสี่ยงจากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อาจไม่ได้ตั้งใจและไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำนั้นกำลังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแท้งคุมคามนี้ได้

ทั้งนี้ ภาวะแท้งคุกคาม มักจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ท้องที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง หรือมีภาวะ อยู่ในสถานการร์เสี่ยง ต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะนี้ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

มิเช่นนั้นอาจเกิดเรื่องน่าเศร้า เช่นเดียวกับครอบครัวของ นักร้องหนุ่ม ทอม-อิศรา กิจนิตย์ชีว์ (ทอม room39) เมื่อภรรยาสาว ฟิล์ม วณัชยา ต้องแท้งลูกคนแรกแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หลังรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ได้เพียงแค่ 6 สัปดาห์ โดยคุณทอมเล่าว่า…เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งตอนแรกไปหาคุณหมอทุกอย่างยังปกติ ลูกอยู่ในเกณฑ์แข็งแรงดีมาก แต่พอกลับมาถึงบ้านภรรยาเกิดปวดท้องหนักจนต้องกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง คุณหมอบอกว่ามีภาวะแท้งคุกคามจึงฉีดยากันแท้ง แต่สุดท้ายน้องก็จากไป

“เรื่องภรรยาแท้งลูกก็ใช่ครับ ทีแรกผมก็ไม่รู้นะว่าคนจะรู้กันเยอะขนาดนี้ ก็คิดอยู่ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี จะบอกหรือไม่บอกดี เพราะว่าจริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องของความรู้สึกที่เราอาจจะยังเสียใจกันอยู่ ก็จะมีเฉพาะคนสนิทๆ จริงๆที่รู้ขนาดว่าบางคนสนิทมากเราก็ยังไม่ได้บอกเลย เพราะว่าบางทีเราไม่อยากให้ภรรยาเราต้องตอบคำถามเยอะว่าที่มาที่ไปเป็นอะไรยังไง เราก็เป็นห่วงเรื่องความรู้สึกเขา ความรู้สึกของเราก็แย่ไปด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานเลยเมื่อวานนี้ยังไปฟอลโล่อัพอยู่เลย ยังต้องไปคอยเจอคุณหมอ ก็ยังน่าจะต้องเช็กต่อไปเรื่อยๆ อีก 2-3 เดือน ตอนที่รู้ว่าสูญเสียคือตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6 สัปดาห์ ถือว่าค่อนข้างรู้ตัวเร็วนะ ตอนนั้นคุณหมอยังบอกว่าโอเคทุกอย่างดูเพอร์เฟ็ค แต่อยู่ดีๆกลับมาบ้านก็มีอาการปวดท้องเลยพาไปโรงพยาบาลอีก พอไปถึงคุณหมอก็ฉีดยากันแท้งให้ เขาเรียกว่ามีภาวะแท้งคุกคาม และพอได้กลับบ้านเช้าวันรุ่งขึ้นก็ปวดท้องอีก”
ภาวะแท้งคุกคาม
ขอบคุณภาพจาก : for_film.s
“ตอนที่รู้ว่าน้องจะไม่อยู่แล้ว ก็เสียใจครับ กับภรรยาจริงๆ แล้วผมว่าเราอยู่ด้วยกันมานาน จนเรามองตากันก็รู้แล้ว บางทีเราไม่อยากจะไปพูดว่าไม่เป็นไรนะ บางทีมันก็เป็นแต่เราจะไปพูดบอกเขาว่าไม่เป็นอะไรยังไง แผนต่อจากนี้คุณหมอก็นัดอีก คือตอนนี้ภรรยาเขามีโรคประจำตัวด้วย มันเลยเป็นอะไรที่ผมกังวลมาก ในภายภาคหน้ามันจะเป็นยังไงบ้างถ้าเกิดกำลังตั้งครรภ์อยู่ ฟิล์มเป็นโรค SLE แพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง ก็จะมีเรื่องของเลือด เป็นคนเลือดจาง ป่วยง่าย ภูมิต่ำ ทุกวันนี้ก็คือพยายามต้องบำรุงเลือด ถ้าเลือดไม่พอก็จะเป็นอันตรายทั้งต่อลูกและต่อแม่ด้วยครับ แต่ผมยังไม่ถอดใจเรื่องลูกครับ ถ้ามีก็อยากจะพยายามมีแบบธรรมชาติก่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอให้สุขภาพฟิล์มดีจริงๆ เพราะผมเองก็ยังเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างๆ ตัวเราเองอยู่ครับ ตอนนี้ก็ต้องรอสุขภาพภรรยาก่อนครับ ส่วนตัวผมแข็งแรงมากครับ หมอบอกว่าสุดยอด (หัวเราะ)”

ทำแท้งเถื่อน

สาเหตุของ ภาวะแท้งคุกคาม

สำหรับแม่ท้องที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 20 สัปดาห์ มีเลือดออกผ่านปากมดลูกที่ปิดอยู่ หรือในช่วง 1-3 เดือนแรก…ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยปกติแล้วภาวะนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า 80% ในช่วงอายุครรภ์ 1-12 สัปดาห์มากที่สุด และส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ ทำให้อาจจะไม่ทันได้ระวังตัวหรือดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เช่น การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่ทราบว่าตนเองกำลังตั้งท้อง หรือในบางรายอาจจะเกิดภาวะแท้งคุกคามเนื่องจากความผิดปกติของโครโมโซม ส่งผลให้ไม่สามารถพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนที่เป็นปกติ และเกิดการแท้งได้ในที่สุด

จุดสังเกตอาการแรกของภาวะแท้งคุกคาม

  • อาจมีเลือดออกทางช่องคลอดซึ่งปริมาณเลือดที่ออกนี้อาจมากหรือน้อยแตกต่างกัน ซึ่งหากเลือดไม่หยุดไหลก็เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างอันตราย จึงควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
  • สังเกตสีของเลือด หากเป็นสีแดงสด อาจเกิดจากรกที่ลอกก่อนกำหนด ซึ่งทำให้เกิดภาวะแท้งคุกคามได้ แต่หากเป็นเลือดสีดำ อาจเป็นเลือดเก่าที่ค้างอยู่ ถ้าลักษณะเช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลมากนัก
  • มีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย ซึ่งอาการที่ว่านี้จะเริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็เป็นสัญญาณว่ามดลูกอาจกำลังบีบตัวและทำให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้

ซึ่งหากคุณแม่รู้สึกไม่แน่ใจกับความผิดปกติและเริ่มมีความเครียด แนะนำว่าให้รีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจสอบจะดีที่สุด อย่าปล่อยทิ้งไว้หรือคิดไปเองต่างๆ นานาๆ

การรักษาภาวะแท้งคุกคาม

ถ้าตรวจพบว่าตัวอ่อนยังมีชีวิตอยู่ แพทย์จะเฝ้าติดตามการตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด โดยให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวต่อผู้ตั้งครรภ์ ดังนี้

  • ให้นอนพักผ่อนให้มากที่สุด ห้ามเดินมากๆ
  • งดเว้นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกาะของทารก เช่น งดการมีเพศสัมพันธ์ การยกของหนัก หรือกิจกรรมใดๆก็ตามที่เป็นการเกร็งหน้าท้อง หรือเพื่อความดันในช่องท้อง
  • ติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด แนะนำให้ทำใจให้สบาย กินอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงทานโฟลิก

ส่วนการรักษา ภาวะแท้งคุกคาม โดยการรับประทานฮอร์โมน หรือ การฉีดยาฮอร์โมนที่มักเรียกกันว่า ยากันแท้ง เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มีผลต่อการเกาะผนังมดลูกของทารกในครรภ์ มีประโยชน์ในรายที่การมีเลอืดออกเกิดจากภาวะขาดฮอร์โมนดังกล่าว แต่การพิสูจน์โดยการเจาะเลือดตรวจระดับฮอร์โมนดังกล่าว อาจต้องใช้เวลานานส่วนใหญ่จึงพิจารณาให้ใช้รายที่สงสัยว่าเกิดจากการขาดฮอร์โมนดังกล่าว แต่ต้องมั่นใจว่าเห็นสัญญาณการตั้งครรภ์ปกติในโพรงมดลูกและเห็นการเต้นของ หัวใจลูกแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจะเป็นการประคองครรภ์ที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการแท้งที่ยึดเยื้อออกไป ทำให้ตกเลือดเป็นระยะเวลานาน และอาจจะทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนได้


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.dailynews.co.thwww.paolohospital.comwww.phyathai.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

ตรวจ DNA ตอนท้อง เสี่ยงแท้งจริงหรือ?

ทำแท้ง อันตรายไหม? สธ.เปิดสายด่วนรับปรึกษาทำแท้งถูกกฎหมาย

หมอเตือน คนท้องห้ามนวด! เสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน-แท้ง-เสียชีวิต

คุณแม่ท้องโพสต์เตือน เกือบแท้งลูก เพราะกินมะม่วงหาวมะนาวโห่

ปฎิรูปการศึกษา ยกเลิกสอบจัดอันดับ

มองเพื่อนบ้าน ปฎิรูปการศึกษา เลิกจัดอันดับเด็กลดเครียด

ปฎิรูปการศึกษา ไทยถึงเวลาแล้วหรือยัง เมื่อประเทศเพื่อนบ้านต่างพากันยกเลิกระบบจัดลำดับในชั้นเรียน เพื่อให้เด็กพัฒนาทักษะชีวิตมากกว่าวัดใครเก่ง กันที่คะแนนสอบ

มองเพื่อนบ้าน ปฎิรูปการศึกษา เลิกจัดอันดับเด็กลดเครียด!

“ทำไมถึงไม่สอบได้ที่หนึ่ง ดูเพื่อนสิก็เรียนห้องเดียวกัน ทำไมเขาถึงทำได้…ต้องอ่านหนังสือเยอะ ๆ จะได้เก่งเท่าเขา”

ประโยคข้างต้น ที่แม้ว่าอาจจะใช้คำแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ยังคงความหมายการเปรียบเทียบ การผิดหวัง และการตีตราลูกด้วยคะแนนสอบที่ยังคงวนเวียนมาให้ได้ยินในทุกยุคทุกสมัย โดยเชื่อว่าพ่อแม่ที่ว่ากล่าวตำหนิลูกนั้น ในช่วงวัยเด็กของตัวเองก็คงได้ยิน ได้ฟังคำกล่าวทำนองนี้มาก่อนที่จะกลายมาเป็นฝ่ายพูดเสียเองด้วยเหมือนกัน

ในยุคสมัยใหม่ ที่จิตวิทยาด้านการศึกษาย่างกรายเข้ามาสู่จิตใจผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ที่คำนึงถึงจิตใจของเด็กมากกว่าการมุ่งหวังระดับความเก่ง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการอัดการเรียน การสอนเข้าไปให้แก่เด็ก ทำให้เริ่มเกิดแนวคิดการ ปฎิรูปการศึกษา ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติของมนุษย์ เริ่มหันกลับมามองว่าธรรมชาติของเด็กประถมวัยนั้น หน้าที่หลักของการเรียนรู้ของเด็กนั้นอยู่ที่การเล่น การพัฒนากล้ามเนื้อ และระดับการเรียนรู้ของเขาคงไม่เหมาะสมกับการต้องมานั่งเรียนนิ่ง ๆ นาน ๆ เพราะสมาธิของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนามากพอเท่าผู้ใหญ่ หรือเด็กโต

จากแนวคิดดัวกล่าวทำให้ประเทศเพื่อนบ้านของเรานั้นเริ่มหันมาแก้ไข พัฒนาระบบการศึกษาของประเทศตนเองให้สอดคล้อง และเชื่อว่าจะทำให้คุณภาพการศึกษาของเขานั้นดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยเน้นการพัฒนาการรอบด้านของเด็กมากกว่าที่จะโฟกัสไปที่การพัฒนาระดับ IQ ด้านสมองเพียงด้านเดียว ทำให้เราได้เห็นข่าวการปฎิรูปการศึกษาของทั้งประเทศสิงคโปร ประเทศที่เดิมที่มีนโยบายผลักดันเยาวชนในเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ภายใต้แนวคิดค่านิยม KAISU (ภาษาจีน แปลว่า กลัวจะแพ้เขา) ซึ่งค่านิยมดังกล่าวแม้จะช่วยให้ประเทศสิงคโปรสามารถผลักดันประเทศให้ก้าวกระโดดขึ้นมาได้อย่างดี แต่ผลที่ตามมาคือ การที่เยาวชนของสิงคโปรชอบชิงดีชิงเด่น และไม่สามารถทำงานเป็นทีมได้ดี จึงทำให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาดนี้ด้วยการ ยกเลิกการสอบ โดยมุ่งเน้นหลักการที่ว่า ความสมดุลของความสุขในการเรียนรู้และการแข่งขันในการศึกษาต้องไปด้วยกัน

จีน สิงคโปร์ ปฎิรูปการศึกษา ยกเลิกการสอบจัดอันดับ
จีน สิงคโปร์ ปฎิรูปการศึกษา ยกเลิกการสอบจัดอันดับ

ล่าสุดนี้ กระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ ได้ประกาศทำการยกเลิกระบบ ‘จัดอันดับในชั้นเรียน’ และยกเลิกการ ‘สอบ’ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นประถมและมัธยม ตามนโยบาย การเรียนรู้เพื่อชีวิต’ (Learn For Life)

โดยหวังเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนจดจ่ออยู่กับกระบวนการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงระบบการสอนในโรงเรียน ให้เป็นการเรียนรู้อย่างแท้จริง ไม่ใช่การแข่งขันกันเรียนเหมือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สิงคโปร์จะเริ่มเปลี่ยนระบบในปีการศึกษา 2019 ดังรายการต่อไปนี้

– ไม่มีการตัดเกรดบันทึกลงในสมุดพก และจะไม่มีการจัดอันดับภายในชั้นเรียน หลีกเลี่ยงปัญหาการถูกเปรียบเทียบ

– ยกเลิกการสอบทุกชนิดในระดับชั้นประถม 1 และ 2 ใช้ระบบควิซถามประเมินความรู้ความเข้าใจแทน

– ยกเลิกการสอบกลางภาคในระดับชั้นมัธยมปีที่ 1 และภายในปี 2020 – 2021 จะนำไปใช้กับชั้นประถม 3 ประถม 5 และมัธยม 3 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนในช่วงชั้นดังกล่าว มีเวลาว่าง เลือกเรียนเพิ่มเติมในวิชาที่ตนเองสนใจ

– ในแต่ละวิชาจะมีการสอบเพียงครั้งเดียวต่อเทอม ที่จะถูกนำไปคิดเป็นคะแนนรวมปลายภาคเรียน

– ทุนการศึกษาที่รัฐมอบให้ในระดับชั้นประถม 1 และ 2 เปลี่ยนกฎการตัดสินจากผลการเรียน มาเป็นทัศนคติทางด้านการเรียนรู้แทน

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.catdumb.com

ซึ่งนอกจากประเทศสิงคโปร์แล้ว ล่าสุดแม้แต่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ก็ได้ทำการปฏิรูปการศึกษาของเขาเช่นกัน นั่นแสดงให้เห็น และตอบข้อสงสัยของใครหลาย ๆ คนที่ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า ประเทศฟินแลนด์ที่นับว่าเป็นประเทศที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดี แม้ว่าจะมีระบบการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นแกนกลาง ไม่อัดวิชาการมากเกินไปนั้น เป็นประเทศที่ทำเช่นนี้ได้เพราะเขามีประชากรน้อย แต่เมื่อพี่ใหญ่อย่างประเทศจีนก็เริ่มขยับและทำการปฎิรูปยกเซ็ต เพื่อเด็ก ๆ ของเขาได้เช่นกัน

การเรียนรู้ไม่ได้มีแค่วิชาการ
การเรียนรู้ไม่ได้มีแค่วิชาการ

จีน ปฏิรูปยกเซ็ต คุมความถี่การจัดสอบ-ปริมาณการบ้าน ห้าม ร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ไชน่า ซินหัว เปิดเผยว่า หน่วยงานรัฐของจีนเผยแพร่เอกสารฉบับล่าสุด ซึ่งสั่งห้ามมิให้โรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น เปิดเผยคะแนนสอบและการจัดอันดับคะแนนของนักเรียน

แนวปฏิบัติเพื่อการประเมินคุณภาพการศึกษาภาคบังคับของจีนฉบับนี้ ซึ่งเผยแพร่โดยกระทรวงศึกษาธิการกับหน่วยงานรัฐอีก 5 แห่ง มุ่งแก้ปัญหาการยึดติดกับคะแนนสอบ อัตราการสมัครเรียน วุฒิการศึกษา งานวิจัย และตำแหน่งในภาคการศึกษาจนเกินควร

เอกสารเรียกร้องให้โรงเรียนควบคุมความถี่ของการจัดการสอบอย่างเข้มงวด พร้อมปรับปริมาณการบ้านและเวลาที่นักเรียนใช้ในการทำการบ้าน เพื่อลดแรงกดดันทางการศึกษาที่มีต่อเด็ก

แนวปฏิบัติ ระบุให้ประเมินครูโดยอิงจากทั้งพัฒนาการรอบด้านของเด็กร่วมกับผลการศึกษาเชิงวิชาการ พร้อมแนะให้เลิกยึดติดกับคะแนนและอัตราการสมัครเรียนเพียงอย่างเดียว

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.matichon.co.th

ผลเสียของการจัดอันดับการสอบ

แม้ว่าการสอบ จะเป็นตัวชี้วัดที่ดี และง่ายในการวัดความเข้าใจ และการเรียนรู้ของเด็ก แต่ในปัจจุบันเริ่มมีผลการทดลอง และการวิจัย ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนแล้วว่า การอัดวิชาการให้แก่เด็กเล็ก ซึ่งเป็นวัยที่ยังไม่พร้อมต่อการเรียนรู้ในแบบนี้นั้น กลับกลายเป็นผลเสียต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กมากขึ้นไปอีก แถมยังส่งผลเสียในอีกหลาย ๆ ด้านอีกด้วย เช่น การเห็นคุณค่าในตนเองของเด็ก การพัฒนา 10 ทักษะความฉลาดรอบด้าน เป็นต้น

ผลเสียของการจัดอันดับการสอบ ปฎิรูปการศึกษา คือคำตอบ
ผลเสียของการจัดอันดับการสอบ ปฎิรูปการศึกษา คือคำตอบ

ครูหวาน’ ธิดา พิทักษ์สินสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย และกรรมการบริหารสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทย บอกว่า ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงวัยที่สมองพัฒนาสูงสุด โดยเฉพาะสมองส่วนหน้าหรือที่เรียกกันว่า Executive Function (EF) เปรียบเสมือน CEO ของสมอง

“ในช่วง 3-6 ปี สมองมีอัตราการพัฒนาสูงสุดกว่าทุกช่วงวัย ซึ่งเป็นฐานการพัฒนาไปจนตลอดชีวิต ทักษะสมอง EF คือตัวที่บ่มเพาะอุปนิสัยในตัวเด็ก และจะเป็นทักษะที่เด็กจะสะสมติดตัวไป”

“แล้วการสอบมันส่งผลยังไงต่อเด็ก ถ้าเป็นในเด็กโต สภาวะการสอบของเด็กโตจะมีความคงทนต่อความเครียดได้สูงกว่าเด็กเล็กซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่สูญเสียไม่ได้ในเรื่องความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์ ความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง การเห็นคุณค่า เห็นความสามารถของตนเองที่จะพัฒนาต่อไป แล้วถ้ามันถูกกระทบถูกทำลายไป มันจะส่งผลต่อมนุษย์คนหนึ่งไปจนตลอดชีวิตได้”

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์และนักเขียน ที่เหล่าพ่อๆ แม่ๆ และคนแวดวงการศึกษาเรียกกันว่า ‘หมอประเสริฐ’ บอกประเด็นนี้อย่างรวดเร็วว่า “ไม่ให้สอบ และพัฒนาทุกโรงเรียนในประเทศไทยให้มีคุณภาพเท่ากัน”

“เราติดกับวาทกรรมคลาสสิกมาครึ่งศตวรรษแล้ว ข้อแรกคือ ‘เราทำไม่ได้หรอก’ แต่จริงๆ คือเราไม่ยอมทำ หลายคนยินดีปล่อยให้ประเทศมีสภาพที่มีโรงเรียนคุณภาพสูงอยู่ 10 โรงเรียน แต่ปล่อยให้ที่เหลืออยู่ในสภาพพอดูได้ ส่วนที่บ้านนอกนั้นดูไม่ได้เลย ข้อสองคือ ‘เราไม่มีเงิน’ ซึ่งไม่จริง เรามีเงิน และมีมากพอที่จะให้เราทำงานด้านการศึกษาและสาธารณสุขให้ดีได้ แต่เรามีคำถามว่าเงินอยู่ไหนเสียมากกว่า

“เราจะไม่มีวันทำได้ถ้าปล่อยให้ส่วนกลางทำ ทุกอย่างยังผ่านผู้ว่าฯ และส่วนกลาง จะว่าไปการจัดการตนเองของท้องถิ่นยังเป็นระดับทารกอยู่เลย แต่ทารกพัฒนาได้ ท้องถิ่นก็พัฒนาได้ ทำได้แน่นอนเมื่อปล่อยอำนาจการจัดการและเงินให้ส่วนท้องถิ่นทำ”

หมอประเสริฐอธิบายถึงความหมายของโรงเรียนอนุบาลชั้นดีว่า ในศตวรรษที่ 21 คุณภาพไม่อยู่บนฐานของการอ่านออกเขียนได้อีกต่อไปแล้ว แต่อยู่บนฐานการเรียนรู้ประเด็นสุขภาพ เศรษฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ความเป็นพลเมือง ทักษะชีวิต ไอที ตัวชี้วัดของโรงเรียนที่มีคุณภาพเปลี่ยนไปแล้ว

ส่วนหนึ่งของบทความ ธิติ มีแต้ม จาก www.the101.world
เด็กไทยเรียนหนักแค่ไหน
เด็กไทยเรียนหนักแค่ไหน

ประเทศไทยตื่นตัวกับการปฎิรูปการศึกษาแค่ไหน?

แม้ว่าในปัจจุบันความชัดเจน ฟันธงของระบบการศึกษาของไทยเรายังไม่เด่นชัดเท่ากับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ใช่ว่าจะละเลยไปเลยเสียทีเดียว ดังจะเห็นได้จากการที่มี พรบ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ถึงแม้ว่าอาจเป็นที่ผิดหวังของใครหลาย ๆ คนที่ต้องการเห็นความชัดเจนในเรื่องของการสอบมากกว่านี้ แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีของไทยที่ได้เริ่มมีการตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาของเด็กไทย โดยเฉพาะในเด็กวัยปฐมวัยที่เชื่อว่าเป็นวัยที่สำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ และเป็นรากฐานในการพัฒนาของเด็กไปตลอดชีวิต

ปฎิรูปการศึกษาเริ่มได้เลยจากที่บ้าน

แม้ว่าการปฎิรูปการศึกษานั้นเป็นเรื่องของระบบใหญ่ ต้องรอคอยการพัฒนาปรับปรุงจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อให้นโยบายดำเนินไปได้อย่างสอดคล้องกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราพ่อแม่สามารถเริ่มต้นปรับปรุงได้เลย นั่นคือ ทัศนคติของพ่อแม่ที่มีต่อการเรียนของลูก แม้ว่าภาพรวมใหญ่จะเป็นเช่นไร เรายังคงต้องเป็นส่วนสนับสนุนผลักดันให้มันเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม แต่ก็ยังคงต้องรอเวลาในการศึกษา หาข้อมูลเพื่อประกาศใช้ให้รอบคอบ รัดกุมเสียก่อน ซึ่งน่าจะใช้เวลาอยู่พอสมควร ดังนั้นพ่อแม่จึงควรเริ่มต้นจากที่บ้าน ที่ ๆ เราสามารถควบคุมดูแลได้ในทันที เพียงแค่พ่อแม่เข้าใจ และไม่กดดันลูกเพียงเท่านี้ก็เป็นการช่วยส่งเสริมการพัฒนาการเรียนรู้ของลูกได้เป็นอย่างดี จึงขอหยิบยกแง่คิดดี ๆ จากครูก้า กรองทอง บุญประคอง ครูและผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก และผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย) เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลลูก ๆ ของเรามาฝากกัน

ถ้าลูกเราไม่เรียน ก็กลัวว่าพัฒนาการจะไม่เท่าคนอื่น

พ่อแม่รุ่นนี้เติบโตมาจากอะไร มาจากการติวใช่ไหม เราเลยไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เคยเชื่อว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของลูก เพราะว่าสมัยเรา ถ้าเราจะเก่งได้ พ่อแม่จะพาเราไปติว ดังนั้น เราจะเชื่อมั่นในครู ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

แต่แท้จริงแล้ว ลูกต้องการพ่อแม่ ต้องการสัมผัส วิชาที่ไม่มีใครสอนได้คือวิชาชีวิต ลูกต้องการดูว่าพ่อแม่ใช้ชีวิตอย่างไร ลูกต้องการดูว่าพ่อแม่มองโลกอย่างไร เมื่อมีสถานการณ์หนึ่งเข้ามา พ่อแม่โต้ตอบกับสถานการณ์นั้นอย่างไร ขับรถไปมีคนปาดหน้า พ่อแม่ทำอย่างไร นี่คือสิ่งที่ลูกเฝ้ามองเราอยู่ แต่เราไม่เคยเชื่อในตัวเอง เพราะเราถูกทำลายความเชื่อนั้นมาตั้งแต่สมัยเรายังเด็ก พ่อแม่ก็พาเราไปเรียนพิเศษ แล้วก็ไม่เชื่อว่าเราสามารถเรียนได้ด้วยตัวเอง

พ่อแม่คือตัวแบบที่ดีให้ลูกเรียนรู้ ไม่ต้องรอ การปฎิรูปการศึกษา จากรัฐเพียงอย่างเดียว
พ่อแม่คือตัวแบบที่ดีให้ลูกเรียนรู้ ไม่ต้องรอ การปฎิรูปการศึกษา จากรัฐเพียงอย่างเดียว

อย่างครูก้าสมัยนั้น โชคดีว่ามันยังไม่ได้มีการเรียนพิเศษอะไรขนาดนั้น มันเลยทำให้เรามีความเชื่อมือ เชื่อมั่น เชื่อว่าเรานั้นจะทำได้ทุกอย่าง แต่เด็กรุ่นหลังไม่มีโอกาสได้ค้นพบตัวเองในมุมนี้เลย เพราะเรารุกล้ำเข้าไปในอิสรภาพของเด็กมาก เราไม่เคยเชื่อ ว่าเด็กเขาจะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง แม่ต้องช่วย ครูต้องช่วย ฉะนั้น เมื่อตอบคำถามว่าฉันคือใคร เด็กก็จะตอบว่า ฉันคือคนที่ต้องมีคนช่วย

เช่น การเรียนว่ายน้ำ เด็กกับน้ำเป็นของคู่กัน ให้เล่นน้ำเรียกเท่าไรก็ไม่ขึ้น แต่ให้เรียนว่ายน้ำ เรียกเท่าไรก็ไม่ลง มันเป็นแบบนั้นเพราะอะไร เพราะคนสอนไม่เข้าใจธรรมชาติของเด็กหรือเปล่า ถามว่าเด็กอนุบาลจำเป็นต้องรู้ไหม ว่าท่าฟรีสไตล์มันว่ายอย่างไร สิ่งที่เขาต้องการคือเขาอยากเล่นน้ำกับพ่อแม่ เวลาไปทะเล เรียกแล้วขึ้นไหมล่ะ (หัวเราะ)

นอกจากความสุข เขากำลังเรียนรู้ด้วย เขาได้ทดลองตัวเองกับน้ำ เขาเคยเดินบนบกด้วยท่าแบบหนึ่ง พอเขาลงไปในน้ำ เขาพบว่ามันไม่เหมือนกัน งั้นเขาจะต้องทำท่าอย่างไร เขาลองดำน้ำได้ไหม เขาออกแบบท่าแปลกๆ ได้ไหม เขาไม่เอาท่าฟรีสไตล์ เพราะเขาไม่เห็นภาพว่ามันคืออะไร แต่เขารู้จักปลาดาว ปลาวาฬ เขาอยากเป็นปลานีโม่ เขาก็เลียนแบบปลาที่เขาอยากเป็น นั่นคือเขารู้จักตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราทำให้เด็กไม่รู้จักตัวเอง เพราะเราไม่เชื่อว่าเขามีตัวเองอยู่

ข้อมูลอ้างอิงจาก ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ครูก้า กรองทอง บุญประคอง จาก aboutmom
การเรียนรู้นอกห้องเรียน ดีต่อเด็กปฐมวัย
การเรียนรู้นอกห้องเรียน ดีต่อเด็กปฐมวัย

การปฎิรูปการศึกษาเริ่มต้นได้ที่เรา พ่อแม่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้การเรียนรู้ของลูกให้เป็นไปอย่างสมดุล ความสุขและการเรียนควรพัฒนาควบคู่กันไป เพราะหากเด็กสามารถเข้าใจได้ว่าการเรียนเป็นเรื่องที่สนุก ไม่น่าเบื่อ การที่เขาจะบังคับตนเองให้สนใจเรียนจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ดังนั้น ผู้ใหญ่อย่างเราควรร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาวิธีการเรียนรู้ให้ดำเนินไปอย่างมีความสุข ไม่กดดันเพียงแค่ผลคะแนนสอบเพียงเท่านั้น จะดีกว่าไหม

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

5 วิธีเตรียมความพร้อมให้ลูกก้าวทันเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต

50 แนวทาง เป็นพ่อแม่ที่ดี วิธีเป็นสุดยอดพ่อแม่มีแค่นี้!

ลูกเล่นเท้าเปล่า ลูกไม่ยอมใส่รองเท้า พ่อแม่ควรห้ามหรือควรปล่อย?

วิธีส่งเสริม กิจกรรมทางกาย ช่วยลูกให้แข็งแรง สมองดี!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ผดร้อน

ผดร้อน และโรคผิวหนังในหน้าร้อน ที่ทารกต้องระวัง!!

อากาศร้อน ๆ ทำให้เหงื่อออกง่าย ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองเป็น ผดร้อน และโรคผิวหนังต่าง ๆ ได้ มาดูกันว่ามีกี่โรคผิวหนังบ้างที่ทารกต้องระวัง พร้อมวิธีป้องกัน!!

ผดร้อน และโรคผิวหนังในหน้าร้อน ที่ทารกต้องระวัง!!

ช่วงหน้าร้อน แดดที่จ้ามาก ๆ ทำให้เกิดผิวไหม้จากแสงแดด ผิวคล้ำ และอากาศที่ร้อนอบอ้าวยังเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรคผิวหนังชนิดต่าง ๆ ได้ เมื่ออากาศร้อนขึ้น อุณหภูมิในร่างกายที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาเพื่อระบายความร้อน “เหงื่อ” จึงเป็นสาเหตุที่สำคัญที่จะทำให้เกิดโรคผิวหนังในช่วงหน้าร้อนได้ โดยทั่วไปแล้ว ผดร้อน และโรคผิวหนังบางโรค ไม่ได้เป็นอันตรายมาก แต่โรคเหล่านี้ สามารถสร้างความรำคาญใจ รวมถึงรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ที่เป็นโรคได้ และสำหรับ ผดร้อน และโรคผิวหนังบางโรคหากไม่หาสาเหตุและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้โรคเหล่านี้รุนแรงได้ ดังนั้น ทีมแม่ ABK ขอรวบรวมโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในหน้าร้อน มาให้คุณแม่ได้ระวังและหาวิธีป้องกันกันค่ะ

4 โรคผิวหนังที่พบบ่อยในหน้าร้อน พร้อมวิธีป้องกัน

ผดร้อนในทารก และเด็กเล็ก

ผดร้อน เป็นตุ่มคันขนาดเล็ก เกิดจากต่อมเหงื่อที่อุดตันใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะเมื่อเหงื่อออก หรืออยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและชื้น ซึ่งผดร้อนอาจปรากฏขึ้นได้ทั่วร่างกาย สำหรับเด็กเล็กมักเกิดผดร้อนบริเวณคอ หัวไหล่ และหน้าอก และบางครั้งอาจปรากฏอาการบริเวณรักแร้ ข้อพับแขน และขาหนีบได้ ผดร้อนอาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ แต่มักจะมีอาการดังนี้

  • ตุ่มน้ำใสขนาด 1-2 มิลลิเมตร ไม่แสดงอาการเจ็บหรือคัน แต่อาจแตกเป็นสะเก็ดได้ง่าย มักเกิดจากการอุดตันในผิวหนังชั้นที่ตื้นที่สุด ทำให้เหงื่อที่รั่วออกมาจากท่อเหงื่อสะสมอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณนั้นซึ่งถูกปกคลุมด้วยผิวหนังบาง ๆ โดยมักเกิดขึ้นหลังจากผู้ป่วยสัมผัสอากาศร้อนไม่กี่วัน และพบได้ทั่วตัวในทารก หรือบริเวณลำตัวในผู้ใหญ่
  • ผดแดง ซึ่งทำให้รู้สึกคัน เจ็บแสบ หรือระคายเคือง และมักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่มีการเสียดสี เช่น อก คอ หลัง และข้อพับ
  • ตุ่มสีเนื้อขนาด 1-3 มิลลิเมตร ลักษณะคล้ายผิวห่าน และไม่แสดงอาการอื่น ๆ เกิดจากการรั่วของต่อมเหงื่อชั้นหนังแท้ ซึ่งมักเกิดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังสัมผัสความร้อน
  • ตุ่มเป็นหนองจากการอักเสบติดเชื้อ

แม้ ผดร้อน เป็นภาวะทางผิวหนังที่ไม่อันตราย และอาจหายได้เองเมื่ออากาศเย็นลง แต่ควรไปพบแพทย์ หากปรากฏอาการดังต่อไปนี้

  • ผดไม่ยอมหาย ยังคันและเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องเกิน 2-3 วัน
  • ผดมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป เช่น ผดมีสีแดงสว่าง หรือเป็นริ้วลาย และผดเกิดขึ้นหลังจากใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาตัวใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน
  • เจ็บปวดเพิ่มขึ้น อาจเกิดร่วมกับอาการบวม แดง หรือ รู้สึกอุ่น ๆ บริเวณที่เป็นผด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม ซึ่งอาจเกิดขึ้นบริเวณรักแร้ คอ และขาหนีบ
  • ติดเชื้อ เมื่อผดร้อนที่เกิดขึ้นเริ่มมีหนองหรืออาการติดเชื้ออื่น ๆ
  • มีไข้ หรือมีสัญญาณของภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ

การป้องกันผดร้อน

  •  เลือกสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม ไม่สวมเสื้อผ้าที่รัดเกินไปจนทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และเลือกสวมเสื้อผ้าให้เหมาะตามฤดูกาล เช่น ใส่เสื้อผ้าที่นุ่ม เบา ทำจากผ้าฝ้าย ระบายอากาศได้ดีในฤดูร้อน และเลือกสวมเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในฤดูหนาว แต่ไม่ควรสวมเสื้อผ้าหนาเกินไปจนทำให้รู้สึกร้อน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ ครีม หรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของปิโตรเลียมเจลลี่ หรือน้ำมันแร่ที่อาจทำให้รูขุมขนอุดตัน
  • ใช้สบู่ที่ไม่ทำให้ผิวแห้ง ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือไม่มีการเจือสี
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและชื้น
  • ทำให้ผิวเย็นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเหงื่อออกมาก เช่น อาบน้ำเย็น อยู่ในที่ร่มหรือห้องปรับอากาศ และอาจแเพื่อลดอุณหภูมิผิวหนังร่วมด้วย แต่ไม่ควรประคบผิวหนังนานเกิน 20 นาที
  • เปิดเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมเวลานอน เพื่อป้องกันความร้อนหรือความชื้นที่อาจเกิดขึ้นในขณะนอนหลับ สำหรับเด็กเล็ก ควรปรับความเย็นให้เหมาะสม ระวังไม่ให้เย็นจนเกินไป (อ่านต่อ
    เปิดพัดลมจ่อ ลูกเสี่ยงปอดอักเสบ)
  • คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอยู่เสมอว่าผิวของเด็กร้อนหรือชื้นเกินไปหรือไม่ โดยเฉพาะบริเวณลำคอ หว่างขา และบริเวณอื่น ๆ ที่อาจกักเหงื่อไว้ หากพบผิวหนังบริเวณที่ร้อนชื้น ควรล้างบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำเย็น และพยายามให้ผิวหนังบริเวณนั้นแห้งอยู่เสมอ โดยห้ามใช้แป้งเด็ก เพราะแป้งอาจไปอุดตันรูขุมขนจนทำให้ผิวหนังเกิดความร้อน และห้ามใช้ผ้าอ้อมที่ทำจากพลาสติก เพราะอาจทำให้เด็กร้อนและระคายเคืองได้
โรคผิวหนัง
โรคผิวหนัง

โรคเชื้อราที่ผิวหนังในเด็กทารก

คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจสังเกตเห็นว่าลูกน้อยเกิดผื่นแดง โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าอ้อม  สาเหตุหนึ่งที่อาจเป็นได้คือ “เชื้อรา” เชื้อราที่ผิวหนัง เชื้อราชนิดที่พบบ่อยที่สุดในเด็กทารกคือ แคนดิดอะซิส (Candidiasis) เชื้อราชนิดนี้ปกติแล้วจะอยู่ที่ผิวหนังของคนเราได้โดยไม่ก่อให้เกิดโรค เพราะมีแบคทีเรียชนิดดีคอยทำหน้าที่ดูแลควบคุมปริมาณของเชื้อราอยู่ อย่างไรก็ตาม ถ้าสิ่งแวดล้อมที่ดีของผิวหนังถูกเปลี่ยนไปเป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา เชื้อราจะเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วและก่อโรคได้ อย่างในเด็กทารก เมื่อมีอุจจาระและปัสสาวะปนเปื้อนออกมาสัมผัสกับผิวหนังเป็นเวลานาน ความชื้นที่ผิวหนังก็จะสูงขึ้น พอรวมกับสภาพความเป็นด่างของอุจจาระและปัสสาวะ ผิวหนังจึงเปื่อยยุ่ยและเกิดบาดแผลได้ง่าย และเสียสภาพการต้านทานเชื้อโรคในที่สุด (โดยปกติแล้วเชื้อราจะชอบความชื้นและสภาวะที่เป็นด่าง ส่วนเชื้อแบคทีเรียชนิดดีที่ผิวหนังจะชอบสภาวะที่เป็นกรดอ่อนๆ)

นอกจากนี้ อุจจาระและปัสสาวะเองยังเป็นอาหารให้เชื้อราเจริญเติบโตได้มากยิ่งขึ้น นอกจากเชื้อราจะอยู่ตามผิวหนังแล้ว ยังพบว่าเชื้อราอาจจะปนเปื้อนกับปัสสาวะและอุจจาระ กลายเป็นเชื้อก่อโรคที่ผิวหนังได้อีกด้วย

การป้องกันโรคเชื้อราที่ผิวหนัง

เมื่อเด็กเป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนังแล้ว ควรได้รับการรักษาโดยแพทย์ แพทย์จะพิจารณาในการรักษาด้วยยาพร้อมกับแนะนำการดูแลรักษาผิวอย่างถูกวิธี สำหรับเด็กที่ยังเกิดโรคนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคเชื้อราที่ผิวหนังได้ดังนี้

  • ควรเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อมสำเร็จรูปหรือผ้าอ้อมจากผ้าที่ใช้กันทั่วไป ไม่ปล่อยให้ผิวหนังสัมผัสอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเวลานาน
  • หากมีคราบอุจจาระหรือปัสสาวะเปื้อนบริเวณผิวหนัง ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดอย่างแรงหรือขัดออก เนื่องจากจะทำให้ผิวได้รับความระคายเคืองเป็นแผลถลอก ทำให้ติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น แนะนำให้ใช้น้ำสะอาดอุณหภูมิห้องเปิดผ่านชำระคราบอุจจาระหรือปัสสาวะออกไป หรือใช้ผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำสะอาดหรือน้ำมันมะกอกเช็ดออกเบา ๆ
  • ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สบู่ทำความสะอาดทุกครั้ง เนื่องจากสบู่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะยิ่งทำให้ผิวหนังได้รับความระคายเคืองมากยิ่งขึ้น หากจำเป็นต้องใช้สบู่ให้ใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมและแอลกอฮอล์

ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันของร่างกาย มีคุณสมบัติหลายประการที่ป้องกันเชื้อต่าง ๆ เข้ามาทำให้เกิดโรค เช่นน้ำมันจากต่อมไขมัน แบคทีเรียประจำถิ่นบนผิวหนัง (normal skin flora) ความเป็นกรดด่างของผิวหนังและผิวหนังชั้นหนังกำพร้าที่เป็นปกติ เป็นต้น แต่หากมีการเสียสมดุลของคุณสมบัติเหล่านี้หรือมีแผลเกิดขึ้น บริเวณผิวหนัง จะทำให้เชื้อโรคผ่านเข้าสู่ผิวหนังและก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังได้

โรคผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรียเป็นโรคที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้ในทุกเพศ ทุกวัย มีลักษณะอาการที่หลากหลาย เช่น โรครูขุมขนอักเสบ โรค 4S หรือ Staphylococcal Scalded Skin Syndrome ฝีที่ผิวหนังโดยเกิดขึ้นตามซอกพับ ขาหนีบ หรือก้น เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เสื้อผ้าที่รัดแน่น อากาศที่ถ่ายเทไม่สะดวก และเหงื่อที่เพิ่มขึ้น

การป้องกันภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง

  1. รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยการอาบน้ำฟอกสบู่ หากมีแผลเกิดขึ้นควรได้รับการล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและทำแผลให้ถูกวิธี
  2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดบาดแผลบริเวณผิวหนัง เช่น การแกะเกา การเดินเท้าเปล่าโดยไม่สวมใส่รองเท้า
  3. รักษาโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่อาจเป็นช่องทางให้เกิดบาดแผลที่ผิวหนังทำให้เชื้อแบคทีเรียสามารถผ่านเข้าไปก่อโรคได้ เช่น โรคเชื้อราที่ผิวหนัง เป็นต้น
  4. รักษาสุขลักษณะทั่วไป ตัดเล็บสั้น เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคต่าง ๆ บริเวณเล็บ
โรคผิวหนังในเด็ก
โรคผิวหนังในเด็ก

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)

โรคนี้พบบ่อยในเด็ก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมอยู่เป็นพื้นฐาน ผู้ป่วยมักมีประวัติแพ้อากาศ ไอ จามบ่อยๆ หอบหืดหรือเยื่อบุตาอักเสบ โดยเฉพาะเวลาที่อากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลง นอกจากพันธุกรรมแล้วปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญคือ สิ่งแวดล้อมเช่น อาหาร ไรฝุ่น สารก่อการระคาย หรือสารก่อภูมิแพ้ผิวหนังของผู้ป่วยจะไว (sensitive) ต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวทั้งสภาพทางกายภาพ เช่น ภาวะอากาศร้อนเกินไป เย็นเกินไป แห้ง ชื้น สารเคมีที่ระคายผิวหนังและสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น แมลง เชื้อโรค เป็นต้น

ผิวหนังโดยทั่วไปของเด็กที่เป็นโรคนี้จะค่อนข้างแห้ง โดยอาการจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอายุของผู้ป่วย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  1. วัยทารก พบระหว่างอายุ 2 เดือนถึง 2 ปี ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไป โดยมักจะเริ่มพบผื่นแดงคัน มีตุ่มแดงและตุ่มน้ำเล็ก ๆ อยู่ในผื่นแดงนั้นที่แก้ม ถ้าตุ่มน้ำแตกออกจะมีน้ำเหลืองเยิ่มหรือตกสะเก็ด อาจพบร่องรอยจากการเกาหรือขัดถู โดยเฉพาะบริเวณที่ทารกคืบ ถูไถ สัมผัสกับพื้นหรือที่นอน ผื่นอาจลุกลามไปยังผิวหนังบริเวณอื่นๆของร่างกาย เช่น ลำตัว ข้อศอก เข่า ในรายที่เป็นมาก ๆ ผื่นจะเกิดทั่วร่างกายได้
  2. วัยเด็ก อายุระหว่าง 2-12 ปี ตำแหน่งรอยโรคที่พบบ่อย ได้แก่ บริเวณรอบคอ ข้อพับด้านในของแขนและขา เมื่อโรครุนแรงอาจลุกลามไปยังผิวหนังส่วนอื่น ๆ ได้ ผื่นมักประกอบด้วยตุ่มนูนแดงแห้ง ๆ มีขุยเล็กน้อย มักไม่พบตุ่มน้ำแตกแฉะเหมือนวัยทารก มีอาการคัน ผู้ป่วยมักเกาจนเกิดรอยถลอกหรืออาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในรอยโรคได้
  3. วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ มักพบผื่นบริเวณรอบคอ ข้อพับแขน ขา คล้ายที่พบในเด็กโต ในรายที่เป็นมาก ๆ ผื่นจะเกิดทั่วร่างกายได้เช่นกัน ผู้ป่วยโรคนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดผิวหนังอักเสบบริเวณมือได้ง่าย

หลักการดูแลและรักษา

เนื่องจากโรคนี้เกิดจากพันธุกรรม และสภาพแวดล้อมรอบตัวต่าง ๆ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ มีคำแนะนำในการดูแลรักษา ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบมากขึ้น เช่น หลีกเลี่ยงการใช้หรือสัมผัสกับสารระคายเคือง สบู่ควรใช้สบู่อ่อนๆ ไม่ควรใช้สบู่บ่อยเกินไป ผงซักฟอกเลือกชนิดที่ระคายเคืองน้อยควรซักล้างออกให้หมด เสื้อผ้าเลือกใช้เสื้อผ้านุ่มโปร่งสบาย เช่น ผ้าแพร ผ้าฝ้าย หลีกเลี่ยงผ้าขนสัตว์ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมาก ๆ ลดความเครียด ความวิตกกังวล เป็นต้น
  2. แนะนำไม่ให้ผู้ป่วยเกา เนื่องจากการเกาจะทำให้ผื่นผิวหนังที่อักเสบกำเริบเห่อมากขึ้น
  3. ป้องกันและรักษาผิวแห้งโดยการทามอยซ์เจอไรเซอร์ หรือโลชั่น ควรทาหลังอาบน้ำทันที ถ้าผิวหนังยังแห้งมากควรทาเพิ่ม สามารถทาได้วันละหลายครั้ง

หากคุณพ่อคุณแม่ได้ปฏิบัติตามหลักในการดูแลรักษาดังกล่าวแล้ว ผื่นยังไม่ดีขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อการรักษาขั้นถัดไป เพราะโรคนี้มักเป็นเรื้อรัง อาการของโรคมักเป็น ๆ หาย ๆ ผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังร้อยละ 60 จะปรากฏอาการก่อนอายุ 1 ปี ประมาณร้อยละ 85 จะปรากฏอาการก่อนอายุ 5 ปี อาการมักจะดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย อาการจะดีขึ้นเมื่ออายุ 10 ปี ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมีเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่อาจจะ ยังคงมีอาการจนกระทั่งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือปรึกษาแพทย์เมื่อมีปัญหา

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

อาหารเป็นพิษ โรคหน้าร้อน ที่ทุกครอบครัวต้องระวัง

หวัดแดด โรคหน้าร้อน ที่ต้องระวังในเด็กเล็ก

เมื่อลูกปวดท้องจาก “โรคบิด” ภัยร้ายหน้าร้อนที่ต้องระวัง!!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : ศ.นพ. เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย, พญ.กัญญลักษณ์ มั่นพรหม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, pobpad.com, hd.co.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ดีแทค

ดีแทค ขอชวนน้องๆ มา #เปลี่ยนโลกช่วงปิดเทอม กับ dtac Young Safe Internet Leader Cyber Camp ซีซั่น 3

สานเครือข่ายเยาวชน Gen Z ร่วมสร้างและออกแบบ “วัฒนธรรมออนไลน์สร้างสรรค์”

23 มีนาคม 2564 – ดีแทค ขอชวนน้องๆ อายุ 13-18 ปี มา #เปลี่ยนโลกช่วงปิดเทอม สร้างเครือข่าย และแสดงพลังลงมือสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยการต่อยอดความรู้ ส่งเสริม “วัฒนธรรมออนไลน์สร้างสรรค์” มีความรับผิดชอบ เพื่อพื้นที่ออนไลน์ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน สมัครได้แล้ววันนี้ที่ https://learn.safeinternet.camp

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ดีแทคเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การติดอาวุธทางปัญญาและส่งเสริมทักษะด้านดิจิทัลให้แก่เด็กและเยาวชนจะช่วยส่งเสริมให้เกิด “วัฒนธรรมสร้างสรรค์” (Constructive culture) บนพื้นที่ออนไลน์ แสดงให้เห็นถึงคุณค่าบนสังคมออนไลน์”

ดีแทค ดำเนินโครงการ Young Safe Internet Leader Camp ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 4 ภาคการศึกษา โดยมุ่งหวังเพิ่มพูนทักษะด้านดิจิทัลแก่เด็กและเยาวชนในอนาคต ในซีซั่นนี้ น้องๆ จะได้มีโอกาสเปิดโลกองค์ความรู้ด้านดิจิทัลอย่างมากมาย พร้อมกับสัมผัสประสบการณ์กระบวนการบ่มเพาะความคิด (Incubation process) ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งยังได้รับคำแนะนำและการแบ่งปันจากที่ปรึกษาผู้มีชื่อเสียง ที่จะมาร่วมแบ่งปันไอเดียความคิด เพื่อร่วมสร้างวัฒนธรรมสร้างสรรค์คบนพื้นที่ออนไลน์ ที่สำคัญ ยังได้ร่วมสร้างเครือข่ายเยาวชนในรุ่นเดียวกันอีกด้วย

จากผลการศึกษาของ Wunderman Thomson Intelligence ระบุว่าเด็กและเยาวชน Gen Z (อายุ 13 – 23 ปี)​มีจำนวนมากถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ โดยพวกเขามีความกังวลเกี่ยวกับโลกที่พวกเขาต้องใช้ชีวิตต่อไปในอนาคต และเยาวชน Gen Z มีความฝันที่ต้องการเห็นโลกที่เขาอยู่นั้นดีขึ้น ทั้งนี้ ในรายงานยังระบุอีกว่าเด็กและเยาวชน Gen Z จำนวนกว่า 75% มีความเชื่อว่า Gen Z มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้นได้

ดีแทค

เรียนสนุก ปลุกไฟฝัน สร้างนวัตกรรมสู้ภัยร้ายออนไลน์ ไปกับเพื่อนๆ Gen Z

ค่าย Young Safe Internet Leader Cyber Camp ซีซั่น 3 ประกอบด้วยกิจกรรม 3 กลุ่มใหญ่ ให้เยาวชนได้ปล่อยพลังแห่งการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์

  1. ความรู้เพื่อสร้างทักษะดิจิทัลที่จำเป็นและทักษะรับมือกับความเสี่ยงออนไลน์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องอาชญากรรมไซเบอร์ ภัยคุกคามและการรักษาข้อมูลส่วนบุคคล การถูกล่วงละเมิดหรือแสวงหาประโยชน์ทางเพศบนสังคมออนไลน์ เท่าทันกลโกงในการซื้อ-ขายออนไลน์ การทำความเข้าใจในเสรีภาพในการแสดงออกบนโลกออนไลน์เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างสร้างสรรค์ และมหาสมุทรแห่งสารสนเทศและอัลกอริทึม เป็นต้น
  2. สร้างแรงบันดาลใจผ่านการพูดคุยสดๆ กับผู้เชี่ยวชาญและทำความรู้จักกับอาชีพใหม่ๆ ในโลกดิจิทัล ดีแทคเชิญผู้เชี่ยวชาญ นักปฏิบัติ และคนทำอาชีพที่ใช้ทักษะดิจิทัลใหม่ๆ มาบอกเล่าประสบการณ์ และแลกเปลี่ยนมุมมอง สร้างแรงบันดาลใจ ผ่านการพูดคุยสดๆ ในหัวข้อ นวัตกรรมเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เคล็ดลับของการทำแคมเปญออนไลน์ การแนะนำอาชีพแห่งอนาคต ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นอาชีพนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล หรือ data scientist การเป็นนักบินโดรนที่จะนำโดรนไปใช้งานด้านต่างๆ ภาคการเกษตร ขนส่ง การแพทย์ฉุกเฉิน การสำรวจ เป็นต้น และการฝึกเครื่องเพื่อใช้การทำปัญญาประดิษฐ์ หรือ Machine training
  3. ลงมือพัฒนาโปรเจคร่วมกับเพื่อนในค่ายเพื่อรับมือภัยเสี่ยงออนไลน์ พร้อมพัฒนาทักษะการเป็นผู้ประกอบการ ยกระดับความสามารถด้วยกระบวนการแบบสตาร์ทอัพ โดยจะมีการจับกลุ่มทำโครงการ Project Matching : Accelerating Ideas ด้วยเทคนิค Project Model Canvas / Project based learning ด้วยพันธมิตรจาก FabCafe Bangkok และมอบทุนสนับสนุนสำหรับการทำโครงการรวมมูลค่า 500,000 บาท ระหว่างการทำโครงการที่บ่มเพาะไอเดีย (Incubation program) เป็นเวลาสี่เดือน ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวจะมีพี่เลี้ยงเป็นที่ปรึกษา ในการพัฒนาไอเดีย ให้เป็นรูปธรรมและติดตามความก้าวหน้า

สมัครร่วมโครงการและติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ https://learn.safeinternet.camp #เปลี่ยนโลกช่วงปิดเทอม

ดีแทค

โรคขาดธรรมชาติ

เด็กไทยเสี่ยงป่วย โรคขาดธรรมชาติ ติดกับดักโลกเสมือนจริง!

โรคขาดธรรมชาติ – หรือภาวะขาดธรรมชาติในเด็ก สิ่งนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยเปลี่ยนผ่านมาจนถึงยุคดิจิทัลอย่างทุกวันนี้ ดูเหมือนว่าเราต้องหันมาทำความเข้าใจ และตระหนักถึงโรคขาดธรรมชาติในเด็กอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมมากขึ้น ด้วยความที่ดูแน้วโน้มว่าโรคนี้จะเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที คำถามคือ กำลังเกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ รุ่นใหม่ ที่รอบกายรายล้อมไปด้วยวัฒนธรรมสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าแทบจะตลอดเวลา จนดูเหมือนว่ามีความสัมพันธ์กับโลกภายนอกได้บกพร่องไป และด้วยเหตุนี้เอง อาจนำมาสู่ปัญหาในการทำความรู้จักโลกธรรมชาติ หรือโลกแห่งความจริงที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งย่อมส่งผลเสียกับชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เด็กไทยเสี่ยงป่วย โรคขาดธรรมชาติ ติดกับดักโลกเสมือนจริง!

สถานการณ์เด็กกับโรคธรรมชาติในปัจจุบัน 

รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวในงานประชุมวิชาการระดับชาติ ครั้งที่ 7 ในประเด็น “เด็กกับโรคขาดธรรมชาติ Children & Nature-deficit Disorder” ว่า “ปัจจุบัน ภาวะขาดธรรมชาติในเด็ก เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเด็กไทยเสี่ยงต่อภาวะการขาดธรรมชาติอยู่ในหลายมิติ ทั้งในเรื่องของสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ปัญหามลพิษ ตลอดจนปัญหาการเลี้ยงดูเด็กของผู้ปกครองและผู้ดูแลที่ไม่มีเวลาให้กับเด็กอย่างเพียงพอ และที่สำคัญคือการเข้ามาของโลกเสมือนจริง อย่างโลกโซเชียลมีเดีย”

กล่าวคือ แทนที่เด็กๆ จะได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งเป็นโลกโดยธรรมชาติ แต่กลับถูกกระตุ้นให้เข้าไปติดอยู่ในโลกเสมือนจริง ที่น่าตกใจคือมีการใช้เวลาเกือบทั้งวันในการเล่นเกมส์ หรือเล่นกับเพื่อนในโลกเสมือนจริง ซึ่งส่งผลให้เด็กเกิดภาวะของการขาดธรรมชาติ

ด้าน ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ได้เปิดเผยข้อมูล ผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย ปี2558 –2559 โดยองค์การยูนิเซฟประเทศไทย สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พบว่า เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สูงถึงร้อยละ 67.1 เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี เล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สูงถึง ร้อยละ 24.2 ทำให้เด็กๆ ขาดโอกาส และฝืนธรรมชาติการพัฒนาการของมนุษย์ เพราะในขณะที่สมองของมนุษย์พร้อมที่จะเดินพร้อมที่วิ่ง แต่กลับขาดโอกาสนี้ไป ปัญหาคือ เวลาและสถานที่ ไม่เอื้ออำนวยให้เด็ก ๆ ได้วิ่งเล่นอย่างเพียงพอ ในขณะที่สมองพร้อมที่จะพูดแล้ว แต่กลับไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่เท่าที่ควร

โรคขาดธรรมชาติ
โรคขาดธรรมชาติ

อาจารย์ธาม เชื้อสถาปนศิริ วิทยากรบรรยายในหัวข้อ รุ่นในร่ม In-door Generation เด็กกับการเรียนรู้โลกจริง โลกเสมือนจริง และ เหนือจริง กล่าวว่า “เด็กกับ
โรคขาดธรรมชาติ คือ ภาวะที่เด็กขาดการติดต่อ การสัมผัสหรืออยู่ในบริบทแวดล้อมของโลกธรรมชาติ

ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีต่าง ๆ มีความเจริญก้าวเหน้า ยิ่งทำให้เด็กเข้าสู่ภาวะที่อยู่กับสื่อดิจิทัลมากขึ้น และทำให้เด็กนั้นเข้าสู่โลกที่พึ่งพิงธรรมชาติน้อยลง เช่น ลดการใช้เวลาหรือทำกิจกรรมกับธรรมชาติ กลายเป็นว่าเด็กอยู่ในห้องแอร์ อยู่ในอาคารมากขึ้น ซึ่งลักษณะปัญหาเหล่านี้ทำให้ภูมิคุ้มกันหรือวิธีการเรียนรู้จากโลกเปลี่ยนแปลงไป

5 วิธีแก้ ลูกติดโซเชียล เหลียวแต่หน้าจอทั้งวันทั้งคืน!

แนะวิธี แก้ปัญหาลูกติดมือถือ ด้วยแอพพลิเคชัน NetCare พ่อแม่ทำได้แค่ปลายนิ้ว

คุณพ่อแชร์ ลูกพัฒนาการล่าช้า เพราะโดนเลี้ยงหน้าจอทีวี

สรุป สาเหตุของการเกิด โรคขาดธรรมชาติ

  • พ่อแม่ลูกไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน  กล่าวคือ ขาดเวลาคุณภาพที่พ่อแม่ลูกได้ใช้ร่วมกัน พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาได้พาลูกไปเที่ยวเล่น สัมผัสกับธรรมชาติ
  • การเลี้ยงดูให้เด็กโตกับมือถือ เล่นกับหน้าจอ เด็กใช้เวลาเกือบทั้งวันหมดไปกับการเล่นเกมส์ หรือเล่นกับเพื่อนในโลกเสมือนจริง
  • สภาพการเลี้ยงดู ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ดูแลเด็กกับตัวเด็ก การเลี้ยงดูของปู่ย่าตายายมีแนวโน้มที่จะทำให้เด็กเป็นโรคขาดธรรมชาติ จากการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเลี้ยงหลาน เพราะการให้เด็ก ดูทีวี โทรศัพท์มือถือ เกมคอมพิวเตอร์หรือสื่อดิจิทัลต่าง ๆ
  • อาศัยในเมืองที่มีพื้นที่ธรรมชาติน้อย เด็กที่ได้แต่เล่นสนุกภายในบ้านในตึกในคอนโด มีโอกาสสัมผัสธรรมชาติน้อย มีโอกาสที่จะเป็นโรคขาดธรรมชาติ
  • เด็กขาดการสัมผัสหรืออยู่ในบริบทแวดล้อมของโลกธรรมชาติ  ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้เด็กเข้าสู่ภาวะที่อยู่กับสื่อดิจิทัลมากขึ้น เด็กๆ อยู่ในโลกที่พึ่งพิงธรรมชาติน้อยลง เช่น ลดการใช้เวลาหรือทำกิจกรรมกับธรรมชาติ เป็นต้น

โรคขาดธรรมชาติ

สรุป ผลเสียของโรคขาดธรรมชาติ 

ผลเสียจากโรคขาดธรรมชาติของเด็ก ๆ ปรากฏ ให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ

  • ร่างกายไม่สมบูรณ์สมวัย
  • กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง
  • ใช้สมรรถภาพร่างกายได้ไม่เต็มที่
  • เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว
  • ขาดสมาธิจดจ่อ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ยาก
  • พัฒนาการทางด้านภาษาแย่ พูดช้า
  • การเรียนรู้ที่ลดต่ำลง สังเกตเห็นได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
  • เด็กกับพ่อแม่มีสัมพันธภาพที่ไม่ดีต่อกัน
  • ส่งผลเสียโดยตรงต่ออนาคตของชาติ หรือทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ

สรุป แนวทางป้องกันลูกหลานให้ห่างไกลโรคขาดธรรมชาติ

  • ให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและสิ่งแวดล้อมภายนอก  ฝึกให้ลูกเผชิญปัญหา อุปสรรค รู้จักวิธีคิด แก้ไขปัญหา ปรับตัว เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เรียนรู้ที่จะดูแลความสัมพันธ์ และ อยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ และผู้คนได้อย่างปกติสุข
  • อย่าหยิบยื่นเทคโนโลยี ให้เด็กเร็วเกินไปอย่างไม่มีเงื่อนไข  ทางที่ดีไม่ควรให้เด็ก อายุ ต่ำกว่า 3 ขวบ ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทุกชนิด นอกจากนี้ เด็กอายุ 6-12 ปี ควรใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ในการดูแลของผู้ปกครอง
  • สนับสนุนให้ลูกทำกิจกรรมกับปู่ย่าตายายในบางโอกาส  โดยปกติของคนสูงวัย มักมีแนวโน้มที่จะเข้าหาธรรมชาติ ผู้สูงอายุมักชอบ ทำสวน ปลูกต้นไม้  ชมวิถีชีวิต เที่ยวชมธรรมชาติ และถ้ามีหลานก็มักจะชวนหลานทำในสิ่งที่ตัวเองชอบด้วยกัน ซึ่งหลานก็จะได้สัมผัสชีวิตธรรมชาติไปพร้อม ๆ กับปู่ย่าตายาย

โรคขาดธรรมชาติ

  • ปลูกฝังลูกเรื่องการใช้ชีวิตให้มีคุณค่า พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก หาเวลาเล่นกับลูก เช่น อ่านนิทานให้ฟัง ที่สำคัญควรมีกฎกติกาในการใช้อิเล็กทรอนิกส์ สำหับเด็กโตพ่อแม่ควรกำหนดเวลาในการเล่นให้ชัดเจน

มาถึงตรงนี้เราคงต้องตระหนักว่าถึงเวลาที่เราต้องรีบคืนธรรมชาติให้กับเด็ก ๆ แล้วค่ะ ซึ่งถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังการใกล้ชิดกับธรรมชาติให้ลูกตั้งแต่พวกเขายังเล็ก ลูกก็จะมีแนวโน้มในการมีชีวิตที่ดี มีความเป็นธรรมชาติ เข้าใจเพื่อนมนุษย์ พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจเป็นไปอย่างสมวัย และสามารถเติบโตเป็นเด็กที่มีความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ได้ ไม่ว่าจะเป็น ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) , ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) และ ความฉลาดในการคิดเป็น(TQ) เป็นต้น

ขอขอบคุณข้อมูลอ่างอิงจาก : งานประชุมวิชาการระดับชาติ “เด็กกับโรคขาดธรรมชาติ,posttoday.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แพทย์เตือน! โรคภาวะขาดธรรมชาติ โรคใหม่ที่พ่อแม่ต้องรู้!

10 รายชื่อหมอเด็ก ที่เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์และเฉพาะทางโรคเด็ก ที่แม่บอกต่อ

รวม ตารางการเลี้ยงลูก ครบทั้งการกิน-นอน และพัฒนาการเติบโตของร่างกาย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เป็นพ่อแม่ที่ดี

50 แนวทาง เป็นพ่อแม่ที่ดี วิธีเป็นสุดยอดพ่อแม่มีแค่นี้!

เป็นพ่อแม่ที่ดี – อย่างที่รู้กันว่า อาชีพพ่อแม่ เป็นงานที่ไม่สามารถลาออกหรือขอยกเลิกสัญญาได้ เป็นงานที่ว่ากันว่าเหนื่อยยากที่สุดที่คนคนหนึ่งจะได้รับมอบหมาย แต่เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนยินดีและเต็มใจที่จะเหน็ดเหนื่อย อดทน อดหลับอดนอน ตลอดจนพัฒนาตัวเองในหลายๆ ด้าน เพื่อที่จะทำหน้าที่พ่อแม่ให้ดีที่สุด หวังเพียงให้ลูกเป็นคนดี คนเก่ง เติบโตอย่างสมบูรณ์พร้อม และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข

สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่อาจยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเข็มทิศชี้ทาง ว่าคำนิยามของการเป็นพ่อแม่ที่ดี ควรเป็นอย่างไร ต้องทำแบบไหน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นพ่อแม่ที่ดีได้ วันนี้เรามีแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้คุณได้ชื่อว่า เป็นสุดยอดคุณพ่อคุณแม่มาฝากกันค่ะ

50 แนวทาง เป็นพ่อแม่ที่ดี วิธีเป็นสุดยอดพ่อแม่มีแค่นี้!

1.ดูแลเอาใจใส่ลูกในขอบเขตที่เหมาะสม

  • ส่งเสริมในสิ่งที่ลูกสนใจ  แสดงความรักของคุณด้วยการสนับสนุนและกำหนดทิศทางชีวิตให้ลูกๆ เพื่อให้ลูกของคุณสามารถสำรวจและค้นพบในสิ่งที่พวกเขาสนใจได้อย่างปลอดภัย ท่ามกลางโลกในยุคดิจิทัลอันสับสนวุ่นวาย
  • ให้อิสระทางความคิด สิ่งสำคัญของเด็กวัยเตาะแตะ คือ การได้รับอิสรภาพ ดังนั้นเมื่อลูกมีพัฒนาการที่ดีในะระดับหนึ่งแล้ว เราควรฝึกกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ ให้ลูก เช่น เก็บที่นอน กินข้าวเอง แต่งตัวเอง เป็นต้น การให้เด็กๆ ฝึกมีความรับผิดชอบ จะช่วยสร้างความภาคภูมิใจ และความมั่นใจในตนเองให้กับลูกได้เป็นอย่างดี
  • อย่าพยายามแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้ลูก เปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้ค้นพบวิธีการแก้ปัญหาด้วยตนเอง เมื่อคุณยอมรับความผิดหวังเล็กๆ น้อยๆ ของเด็กด้วยความรัก โดยไม่รีบเข้าไปช่วยลูกในทันที ลูกจะได้รู้จักกับ การพึ่งพาตนเอง และความยืดหยุ่นทางอารมณ์พร้อมที่จะลุกขึ้นจากความผิดพลาดได้เสมอ อย่างมั่นคง
  • จำไว้ว่าวินัยไม่ใช่การลงโทษ การบังคับใช้กฎเกณฑ์ต่างๆ กับลูก เป็นเรื่องของการสอนเด็ก ๆ ว่าควรปฏิบัติตนอย่างไรในสังคม และช่วยให้พวกเขามีความรับผิดชอบ เอาใจใส่ และสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองได้
  • อย่าวางกฎเกณฑ์ให้ลูกเข้มงวดนัก เด็ก ๆ วัยนี้อาจไม่เข้าใจกฎและข้อบังคับต่างๆ ที่ซับซ้อนมากเกินไปหากคุณไม่ทำให้มันเคลียร์ ทางที่ดีอย่าใส่ใจหรือไปกะเกณฑ์กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของลูกมากเกินไป เช่น การเลือกเสื้อผ้าของลูก การพูดจาภาษาเด็กที่อาจฟังไม่ได้ศัพท์บางครั้ง เป็นต้น แต่สิ่งที่ควรมุ่งเน้น และควรให้สำคัญมากกว่า เช่น การไม่ใช้กำลังต่อกัน การพูดจาหยาบคาย หรือ การโกหกพ่อแม่ เป็นต้น
เป็นพ่อแม่ที่ดี
เป็นพ่อแม่ที่ดี

2. สร้างเวลาคุณภาพกับลูก

  • เล่นกับลูกๆ  ปล่อยให้ลูกมีอิสระในการเลือกกิจกรรมต่างๆ และไม่ต้องกังวลกับกฎเกณฑ์อะไรมากนัก เพียงทำให้เป็นธรรมชาติ และมีความสุขไปกับลูก
  • อ่านหนังสือด้วยกันทุกวัน สิ่งนี้สามารถเริ่มต้นได้เลยตั้งแต่ลูกเป็นทารก ทารกชอบฟังเสียงของพ่อแม่ การกอดลูก การที่ลูกได้ใกล้ชิดกับพ่อแม่และหนังสือถือเป็นประสบการณ์ของความผูกพันที่ดี ที่จะทำให้ลูกมีนิสัยรักการอ่านหนังสือไปตลอดชีวิต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ตัวต่อลูกอย่างมาก
  • กำหนดเวลาพิเศษประจำวัน ให้ลูกของคุณเลือกกิจกรรมที่คุณจะได้อยู่กับลูก เป็นเวลา 10 หรือ 15 นาที โดยไม่มีการขัดจังหวะ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการแสดงความรักของคุณในช่วงเวลาพิเศษนี้
  • ส่งเสริมเวลาของพ่อ ทรัพยากรที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการพัฒนาชีวิตของลูก ๆ คือ เวลาที่ลูกได้อยู่กับพ่อตั้งแต่ยังแบเบาะ เด็กที่มีพ่อที่มีส่วนร่วมด้วยเสมอจะเรียนได้ดีขึ้นในโรงเรียน มีแนวโน้มที่จะแก้ปัญหาได้สำเร็จ และสามารถรับมือกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้ดี
  • สร้างความทรงจำที่อบอุ่น ลูก ๆ อาจจะจำอะไรที่คุณพูดกับพวกเขาไม่ได้ในช่วงที่พวกเขายังเล็ก แต่พวกเขาจะสามารถจำช่วงเวลาดีๆ ของครอบครัวที่สร้างความอบอุ่นใจให้กับพวกเขาได้ เช่น เวลาที่พ่อแม่กล่อมเข้านอน หรือคืนเล่านิทานที่พ่อแม่ทำร่วมกับลูกๆ ได้อย่างแม่นยำ

3. เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก

  • เป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกได้เดินตาม เด็ก ๆ เรียนรู้จากการดูพ่อแม่เป็นแนวทางปฏิบัติ การสร้างแบบจำลองพฤติกรรมที่เหมาะสมน่าเคารพจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการพูดหรือบอกเฉยๆ ว่าลูกๆ ต้องทำอะไร
  • สารภาพและยอมรับผิด หากคุณทำอะไรที่ผิดพลาดไป นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแสดงให้ลูกเห็น ว่าควรขอโทษอย่างไร และเมื่อไหร่
  • ใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แสดงให้ลูก ๆ เห็นคุณค่าในการดูแลสิ่งแวดล้อม  การรีไซเคิลนำกลับมาใช้ใหม่ การประหยัดทรัพยากร อาจใช้เวลาช่วงบ่ายวันหยุดไปกับลูกๆ เพื่อให้ลูกช่วยเก็บขยะรอบ ๆ ละแวกบ้าน
  • พูดความจริงเสมอ คุณต้องการให้ลูกพูดความจริงกับคุณใช่ไหม? เช่นเดียวกันเลยค่ะ
  • จูบและกอดคู่สมรสของคุณต่อหน้าเด็ก ๆ  ชีวิตการครองรักของพ่อและแม่เป็นตัวอย่างที่ดีของการให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณทั้งสองที่จะทำสิ่งนี้ให้ชัดเจน
  • เคารพความแตกต่างในการเลี้ยงลูก สนับสนุนแนวทางของคุณและคู่ของคุณในการเลี้ยงลูก ควรให้เกียรติซึ่งกันและกัน การวิพากษ์วิจารณ์ หรือโต้เถียง ทะเลาะเบาะแว้งกับคู่รักของคุณ อาจบั่นทอนชีวิตสมรส และความรู้สึกปลอดภัยของลูกได้มากกว่าที่เราคิด

เป็นพ่อแม่ที่ดี

4. รู้วิธีที่ดีที่สุดในการชื่นชมลูก

  • ให้คำชมตามสมควร แทนที่จะพูดง่ายๆว่า “คุณเยี่ยมมาก” พยายามเจาะจงว่าบุตรหลานของคุณทำอะไรเพื่อให้สมควรได้รับการตอบรับในเชิงบวก คุณอาจพูดว่า “การรอจนกว่าฉันจะปิดโทรศัพท์เพื่อขอคุกกี้นั้นยากและฉันชอบความอดทนของคุณมาก”
  • ชื่นชมและสนับสนุนในการทำความดี เมื่อคุณสังเกตเห็นว่าลูกของคุณทำสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือเป็นประโยชน์ให้เขารู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร เป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างพฤติกรรมที่ดีเพื่อให้เขามีแนวโน้มที่จะทำต่อไป
  • ซุบซิบเกี่ยวกับลูก ๆ ของคุณ ความจริง: สิ่งที่เราได้ยินนั้นมีศักยภาพมากกว่าสิ่งที่เราได้รับการบอกเล่าโดยตรง ทำให้คำชมมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยให้ลูกของคุณ “จับ” คุณกระซิบคำชมเกี่ยวกับเขากับคุณยายพ่อหรือแม้แต่ตุ๊กตาของเขา

5. เชื่อมั่นในตัวเอง

  • ให้ตัวเองหยุดพัก แวะซื้ออาหารจากร้านแบบ ไดร์ฟ ทรูว์ บ้าง เมื่อคุณเหนื่อยเกินไปที่จะทำอาหารทานเอง สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้คุณเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีค่ะ
  • เชื่อสัญชาตญาณของคุณ ไม่มีใครรู้จักลูกของคุณดีไปกว่าคุณ ทำตามสัญชาตญาณของคุณในเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ของเขา หากคุณคิดว่ามีอะไรผิดพลาด
  • เพียงพูดว่า “ไม่” ต่อต้านการกระตุ้นให้ต้องรับภาระหน้าที่พิเศษในที่ทำงาน หรือเป็นแกนนำอาสาสมัครที่โรงเรียนของลูกๆ ถ้าทำได้ คุณจะไม่มีวันเสียใจ ที่ได้ใช้เวลากับลูก ๆ มากขึ้น
  • อย่ายอมรับการดูหมิ่นจากลูกของคุณ อย่ายอมให้เธอหยาบคายหรือพูดเรื่องที่ทำร้ายคุณ หรือใคร ๆ ถ้าลูกทำเช่นนั้นให้บอกอย่างหนักแน่นจริงจังว่าคุณจะไม่ยอมให้มีการดูหมิ่นทุกรูปแบบ
  • ทำตามแผนของคุณ สื่อสารกับที่มีส่วนในการคนดูแลลูกทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา ปู่ย่าตายาย หรือคนรับเลี้ยงเด็ก พี่เลี้ยงเด็ก ทั้งนี้ เพื่อช่วยเสริมสร้างค่านิยมและพฤติกรรมที่คุณต้องการปลูกฝัง ซึ่งรวมถึงทุกอย่างตั้งแต่การกล่าวขอบคุณและการมีน้ำใจ เป็นต้น

6. ไม่ลืมที่จะสอนทักษะทางสังคม

  • ถามคำถามลูก ๆ  สามคำถามทุกวัน ศิลปะการสนทนาเป็นทักษะทางสังคมที่สำคัญ แต่พ่อแม่มักละเลยที่จะสอน ถามเด็ก ๆ เช่น “คุณสนุกที่โรงเรียนไหม”; “คุณทำอะไรในงานเลี้ยงที่คุณไป?”; หรือ “พรุ่งนี้บ่ายวันพรุ่งนี้คุณอยากไปที่ไหน”
  • สอนเด็ก ๆ ด้วยเคล็ดลับความกล้าหาญนี้ บอกให้พวกเขาสังเกตสีตาของคนเสมอ การสบตาจะช่วยให้เด็กที่ลังเลมีความมั่นใจมากขึ้น และจะช่วยให้เด็ก ๆ กล้าแสดงออกมากขึ้น และมีโอกาสน้อยที่จะถูกเลือก
  • รับรู้ถึงอารมณ์ที่รุนแรงของลูก เมื่อลูกของคุณขาดการควบคุมทางอารมณ์ ให้ถามเขาว่า “ลูกรู้สึกอย่างไร” และ “อะไรจะทำให้ดีขึ้น” แล้วฟังเขา เขาจะหายจากอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่ายขึ้น ถ้าคุณปล่อยให้ลูกพูดระบายออกไป

เป็นพ่อแม่ที่ดี

7. หมั่นปลูกฝังเรื่องความกตัญญู

  • แสดงให้ลูกเห็นการรับผิดชอบในฐานะพลเมืองดี หาวิธีช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอ ลูกๆ จะรู้สึกถึงคุณค่าในตนเองได้โดยการได้เป็นอาสาสมัครในการทำประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม
  • ไม่สนับสนุนการเอาแต่ใจ โปรดจำไว้ว่าลูกไม่ควรทำตัวเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ดังนั้นจงอย่ายอมอ่อนข้อต่อการเอาแต่ใจโดยไร้เหตุผลของลูก
  • พูดถึงความหมายของการเป็นคนดี เริ่มต้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อาจสอดแทรกไปในการอ่านนิทานก่อนนอนของคุณให้ถามลูกวัยเตาะแตะของคุณว่าตัวละครในนิทานเป็นคนมีจิตใจดีหรือไม่อย่างไร การเป็นคนดีของตัวละครตัวนั้นๆ ได้ผลตอบรับที่ดีอย่างไร เป็นต้น
  • อธิบายให้ลูกฟังว่าเหตุใดค่านิยมจึงมีความสำคัญ   เป็นธรรมดาที่คนใจดี ใจกว้าง ซื่อสัตย์ และให้ความเคารพผู้อื่นจะทำให้คนรอบข้างรู้สึกดี ที่สำคัญกว่านั้น คือ คนที่ทำดีย่อมรู้สึกดีกับตัวเอง จงสอนสิ่งนี้ให้กับลูกอย่างสม่ำเสมอ
  • “ชั่วโมงแสดงความขอบคุณ”  ทุกคืนในมื้อค่ำ ให้ทุกคนวนกันพูดไปรอบ ๆ โต๊ะ ผลัดกันพูดคุยเกี่ยวกับผู้คนต่างๆ ที่มีน้ำใจ และเมตตาต่อคุณในวันนั้น อาจฟังดูซ้ำซาก แต่สิ่งนี้จะทำให้ทุกคนในครอบครัวรู้สึกดีได้

8. การกินใครว่าไม่สำคัญ จงทำให้มีคุณค่า

  • สนับสนุนให้ลูกได้ลองทานของดีๆ หากลูกของคุณปฏิเสธอาหารดีๆ มีประโยชน์ที่คุณอยากให้ลูกทาน อย่าเพิ่งรู้สึกท้อ คุณอาจต้องเสนอให้ลูกทานอีกหกหรือแปดครั้งหรือสิบครั้งก่อนที่ลูกจะทาน ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจได้ว่าลูกคุณจะชอบ
  • หลีกเลี่ยงการทะเลาะเรื่องการกิน เด็กที่มีสุขภาพแข็งแรง จะรู้ไดโดยสัญชาตญาณว่าต้องกินมากน้อยแค่ไหน ถ้าเขาไม่ยอมทานอาหารที่อยู่ในจานให้หมดก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไปค่ะ
  • รับประทานอาหารพร้อมกัน อย่างน้อยหนึ่งมื้อในแต่ละวัน การนั่งลงที่โต๊ะด้วยกันเป็นวิธีที่ผ่อนคลายสำหรับทุกคนในการเชื่อมต่อถึงกันเป็นช่วงเวลาแห่งการแบ่งปันข่าวสาร พูดคุย หรือเล่าเรื่องตลก นอกจากนี้ยังช่วยให้บุตรหลานของคุณพัฒนานิสัยการทานที่ดีต่อสุขภาพได้
  • ให้บุตรหลานของคุณกำหนดเมนู  หรือสั่งอาหารที่ลูกชอบมาสัปดาห์ละครั้ง ให้ลูก ๆ ได้เลือกเมนูที่ตัวเองชอบหรืออยากทานด้วยตัวเอง

9. บอกรักลูกอย่างสม่ำเสมอ

  • รักลูกเท่า ๆ กัน  ในกรณีที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคน ควรดูแลความรู้สึกทั้งของพี่และน้อง
  • พูดว่า “พ่อแม่รักลูก” พูดคำนี้ เมื่อใดก็ตามที่คุณรู้สึกอยากจะพูด แม้ว่าจะเป็นวันละ 800 ครั้งก็ตาม
  • ระลึกถึงสิ่งที่พ่อแม่คุณสั่งสอน เด็ก ๆ ไม่ใช่ของคุณตลอดไป พวกเขาจะมีเวลาใกล้ชิดอยู่กับคุณเพียงชั่วคราว สิ่งที่คุณจะทำได้ดีที่สุดคือจงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยให้พวกเขาเติบโตเป็นคนดีในสังคมและก้าวอย่างมั่นคงด้วยขาของตัวเองได้
  • นี่แหละชีวิตคนเป็นพ่อแม่ จริงอยู่ ที่การเป็นพ่อแม่ คือ งานที่เหนื่อยที่สุดในโลก ไหนจะต้องทำบ้านให้เป็นระเบียบ ซักผ้ากองพะเนินเทินทึก ไล่ตามเก็บของเล่นที่เกลื่อนกลาด แต่ลูกของคุณแค่หัวเราะสนุกไปวันๆ จงจำไว้ว่า จะอย่างไรก็แล้วแต่ พยายามอย่าใส่อารมณ์กับลูกหากคุณกำลังเหนื่อยเกินไปทางที่ดีควรสงบสติอารมณ์ก่อน

10. กระตุ้นพลังสมองและกิจกรรมทางกายให้ลูกๆ

  • สอนลูกให้แสดงความต้องการ การที่เด็กพูดไม่ได้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอะไรที่ลูกอยากจะพูด สัญญาณง่ายๆ สามารถช่วยให้คุณรู้ว่าลูกต้องการอะไรและรู้สึกอย่างไรก่อนที่ลูกจะมีคำพูดจะบอกคุณ
  • ทีวีหรือหน้าจอต่างๆ ควรอยู่แค่ในห้องนั่งเล่น การวิจัยพบว่าเด็กที่มีทีวีในห้องนอนมีเกณฑ์น้ำหนักตัวมากขึ้น นอนพักผ่อนน้อยลง และมีปัญหากับการเรียน มีทักษะทางสังคมที่แย่ลง
  • ให้เด็ก ๆ ได้เคลื่อนไหว ผลการวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าพัฒนาการทางสมองในเด็กเล็กเชื่อมโยงกับระดับกิจกรรมของพวกเขา ในระหว่างวันคุณควรปล่อยให้เด็กวัยหัดเดินของคุณได้เดินแทนการนั่งรถเข็นเด็กบ้าง หรือหาโอกาสให้ลูกวัยเรียนได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สิ่งนี้จะส่งผลดีต่อพัฒนาการในหลายด้านของลูก

11. ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านสุขภาพ

  • พาลูกไปฉีดวัคซีน จงให้ความสำคัญกับสุขภาพของลูกเป็นอันดับแรก เช่นการพาลูกไปฉีดวัคซีนตามกำหนด
  • ปกป้องรอยยิ้มสวยๆ ของลูก การส่งเสริมให้ลูกแปรงฟันวันละสองครั้งด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์จะช่วยป้องกันฟันผุได้เป็นอย่างดี
  • ระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย ดูแลบ้านของคุณให้สะอาด และอย่าปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบอยู่ในอ่างน้ำ หรือใกล้แหล่งน้ำตามลำพัง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าติดตั้งคาร์ซีทในรถอย่างถูกต้องและควรให้ลูกหลานสวมหมวกนิรภัยเมื่อขี่จักรยานหรือสกูตเตอร์ทุกครั้ง
  • ทำตามคำแนะนำขแงเพทย์  ลูกของคุณมีไข้ ไม่สบาย ปวดหัวตัวร้อน ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรให้ลูกใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะยาที่ดีที่สุดคือการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การได้ดื่มน้ำสะอาด และการมีโภชนาการที่ดี การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาทางการแพทย์ เช่น การเกิดเชื้อดื้อยาได้ หากเลือกใช้ยารักษาที่ไม่เหมาะสมกับอาการ
  • เก็บครีมกันแดดไว้ข้างๆ ยาสีฟัน สำหรับเด็กเล็กๆ ผิวพรรณอาจยังบอบบาง คุณพ่อคุณแม่อาจต้องใส่ใจเรื่องการปกป้องดูแลผิวของลูกจากแสงแดดบ้าง ถ้าเป็นไปได้ให้ทาโลชั่นกันแดดสำหรับเด็กให้ลูกทุกวันเหมือนส่วนหนึ่งของกิจวัตรตอนเช้าเช่นเดียวกับการแปรงฟัน
  • พาลูกน้อยเข้านอน  ตอนที่ลูกๆ กำลังเคลิ้มๆ วิธีนี้ช่วยให้ลูกของคุณเรียนรู้ที่จะปลอบตัวเองให้เข้านอนและป้องกันปัญหาก่อนนอนได้
  • รู้ว่าเมื่อไหร่ลูกควรเข้าห้องน้ำ สังเกตสัญญาณสองอย่างที่บ่งบอกว่าลูกของคุณพร้อมที่จะใช้กระโถน คือ ลูกรู้สึกได้ถึงความอยากที่จะฉี่ (ซึ่งแตกต่างจากการรู้ว่าเขาฉี่แล้ว)  และ ลูกเดินมาขอให้คุณเปลี่ยนผ้าอ้อม

การมอบสิ่งที่ดีให้กับลูก ทั้งเรื่องการสอนและปลูกฝังสิ่งที่ดีงาม การสนับสนุนลูกในเรื่องต่างๆ ตามสมควร ไม่ลืมที่จะสอนทักษะทางสังคมให้กับลูก การสร้างกฎเกณฑ์ให้ลูกปฏิบัติเพื่อสร้างวินัยอย่างยั่งยืน ตลอดจนการให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดี และอื่นๆ อีกมากมาย จะช่วยเสริมสร้างทักษะความฉลาดด้านต่างๆ ด้วย Power BQ ให้ลูกได้ อาทิ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) , ความฉลาดในการเข้าสังคม(SQ), ความฉลาดทางคุณธรรม(MQ) ซึ่งทักษะด้านต่างๆ หากคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังลูกตั้งแต่ยังเล็กก็จะเกิดเป็น ทักษะที่ยั่งยืนติดตัวลูกไปในวันที่ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในสังคมได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parents.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

เตือนภัยพ่อแม่! ชุดว่ายน้ำเด็ก สีไม่สดใส อันตรายกว่าที่คิด

ความสัมพันธ์ในครอบครัว สำคัญมากต่ออนาคตลูก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

นม S-26 Gold UHT สูตรใหม่

เลือกนม UHT อย่างไร ให้เหมาะกับเด็กเจนอัลฟ่า

สังคมเปลี่ยนไป การเลี้ยงลูกก็ต้องพัฒนาเปลี่ยนไปตามยุคสมัยค่ะ เด็กๆ ในยุคเจเนอเรชั่นอัลฟ่า (Generation Alpha) นี้ เขามีรูปแบบการเรียนรู้เป็นแบบไหน และเราในฐานะพ่อแม่สมัยใหม่ จะส่งเสริมลูกให้เรียนรู้ได้อย่างก้าวทัน ต้องทำยังไง ?

ถ้าจะให้นิยามเด็ก เจนอัลฟ่า แบบเห็นภาพชัดๆ ก็คือ “จับอุปกรณ์ดิจิตอล สัมผัสเทคโนโลยีตั้งแต่เกิด”

การเรียนรู้ของเด็ก เจนอัลฟ่า เป็นแบบไหนกันนะ ?

เด็กเจนอัลฟ่า เป็นเด็กที่เกิดมาจากพ่อแม่ยุค Gen Y ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก็โตมาพร้อมกับเทคโนโลยีเช่นกัน แต่ถ้าเทียบกับรุ่นลูกที่เติบโตมาในปัจจุบันนี้ เด็กรุ่นนี้จะมีความก้าวไกลในเรื่องเทคโนโลยีที่มากกว่าค่ะ ถามว่าการเรียนรู้ของเด็กเจนอัลฟ่า เป็นอย่างไรใช่ไหมคะ

  • เรียนรู้ ค้นหาข้อมูล ดูเนื้อหาจาก VDO ผ่านทางหน้าจอมากกว่าการเปิดหนังสือ เกือบจะ 100%
  • เน้นว่าต้องมีพัฒนาการทางสมองและสายตาที่เรียนรู้ได้ไว
  • ทำการบ้านส่งผ่านทางอีเมล หรือการนำเสนอรายงานเป็นแบบพรีเซนเทชั่น
  • มีความถนัด เข้าใจรูปแบบการใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต
  • ใช้แอปพลิเคชันใหม่ๆ ได้ดี เช่น Facebook , Youtube , Line , Facetime และ Tiktok

สิ่งสำคัญที่สุดของพ่อแม่ยุคใหม่คือการได้เห็นลูกเติบโตขึ้นมามีความพร้อมทั้งพัฒนาการร่างกายที่สมวัย และพัฒนาการการเรียนรู้ สติปัญญา และพัฒนาการทางสายตา เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และศักยภาพค่ะ

S-26 Gold UHT สูตรใหม่

สารอาหารที่เหมาะกับการเรียนรู้เด็กเจนอัลฟ่า ต้องเป็นแบบไหนนะ ?

อย่างที่บอกไปค่ะว่ารูปแบบการเรียนรู้ของเด็กๆ ยุคนี้ เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก เรียนหนัก ใช้สมองค้นคว้าหาข้อมูลเยอะ คุณแม่ก็ต้องดูแลให้ลูกได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์จากอาหารหลัก 3 มื้ออย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่หลากหลายครบ 5 หมู่  แล้วเสริมด้วยนมกล่อง UHT วันละ 2 กล่อง ทีมแม่ ABK เราเป็นแม่ Gen Y ที่ชอบหาข้อมูล อยากได้สิ่งที่ดีมีประโยชน์กับลูกมากที่สุด ซึ่งนมกล่องแรกของลูก จึงมีความสำคัญและต้องมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ ดีต่อร่างกาย และสมองของลูกค่ะ

สารอาหารบำรุงสมอง อย่าง “สฟิงโกไมอีลิน และ DHA” เป็นหนึ่งในสารอาหารสำคัญที่มีประโยชน์เหมาะกับเด็กวัยเรียนรู้

  • Sphingomyelin สฟิงโกไมอีลิน เป็นไขมันที่มีส่วนสำคัญในการสร้างไมอีลินในสมอง ซึ่งไมอีลินจะส่งผลโดยตรงต่อการส่งสัญญาณประสาท และการประมวลผลในสมอง ไมอีลินถ้ามีในสมองเด็กมากๆ จะช่วยให้เรียนรู้ดี เรียนรู้ได้ไวขึ้น
  • Docosahexaenoic acid หรือที่เรียกกันว่า DHA เป็นกรดไขมันที่สำคัญในการพัฒนาระบบประสาทและการมองเห็น

นมยูเอชที่คุณแม่เลือกสำหรับลูกๆ ในยุคเจนอัลฟ่า จึงต้องมั่นใจได้ว่ามีสารอาหารเพื่อพัฒนาการสมองและการเรียนรู้ รวมถึงพัฒนาการที่ดีทางด้านสายตาด้วย

S-26 Gold UHT สูตรใหม่

S26 Gold UHT สูตรใหม่ นมกล่องที่แม่เลือกให้ลูก

ต้องบอกว่าถูกใจแม่ Gen Y อย่างเรามากค่ะ เพราะ S-26 Gold UHT เป็นนมกล่องสูตรใหม่ที่วิจัยและพัฒนาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขอบอกว่าเป็นนมกล่องที่อัดแน่นไปด้วยโภชนาการสารอาหารเพื่อเด็กวัยเรียนรู้โดยเฉพาะเลยค่ะ ซึ่งมีสองสารอาหารตัวเอกอย่าง

  • “สฟิงโกไมอีลิน Sphingomyelin” เป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองของเด็กเจนอัลฟ่ามากๆ เพราะจะช่วยให้เรียนรู้ได้ไวขึ้นค่ะ

“สฟิงโกไมอีลิน เป็นสารอาหารสำคัญในการสร้างปลอกไมอีลินของวงจรประสาทในสมอง ซึ่งไมอีลินช่วยให้สมองสามารถส่งสัญญาณประสาทได้อย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด สมองจึงสามารถประมวลผลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ จดจำ คิดวิเคราะห์ และการพัฒนาสมองอย่างรวดเร็วเต็มศักยภาพ”

  • “ดีเอชเอ DHA” เป็นอีกหนึ่งสารอาหารสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เสริม IQ ให้กับเด็กๆ ซึ่งในนมกล่อง S-26 Gold UHT มีมากถึง 10 มก. ต่อกล่องเลยค่ะ
“DHA มีบทบาทเกี่ยวกับการพัฒนาระบบประสาท และการมองเห็น มีความสําคัญต่อการสร้างสารที่ทําหน้าที่ส่งสัญญาณระหว่างเส้นประสาท ซึ่งมีผลต่อการทํางานหรือการสั่งงานของสมอง”

สารอาหารยังไม่หมดแค่นี้ค่ะ เพราะดื่มนมกล่อง S-26 Gold UHT กล่องนี้ เด็กๆ ยังจะได้สารอาหารที่หลากหลาย ดีต่อร่างกาย และสมอง อย่างเช่น โอเมก้า 3, 6, 9, โคลีน และลูทีน เพิ่มเข้าไปด้วยค่ะ  คุณพ่อคุณแม่เห็นไหมว่าคุ้มค่า ได้ประโยชน์เต็มๆ กล่องมากๆ ค่ะ

S-26 Gold UHT สูตรใหม่

ผลิตภัณฑ์นม S26 Gold UHT สูตรใหม่ มีให้เลือก 2 สูตร ที่เหมาะกับเด็กแต่ละช่วงวัย

  1. เอส-26 โกลด์ สูตร 3 (S-26 Gold 3) สำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไปและทุกคนในครอบครัว
  2. เอส-26 โกลด์ สูตร 4 (S-26 Gold 4) สำหรับเด็กและทุกคนในครอบครัว

S-26 Gold UHT เป็นนมกล่องที่เด็กๆ ชอบกันมาก เพราะมีกลิ่นหอมวานิลลาอ่อนๆ รสชาติอร่อย ดื่มง่าย !! เอาเป็นหากครอบครัวไหนที่มีลูกอยู่ในวัยเรียนรู้ และกำลังมองนมกล่อง ที่จะเป็นนมกล่องแรกของลูก เสริมโภชนาการให้มีพัฒนาการสมองเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพ เพราะการเรียนรู้ของเด็ก เกิดได้ทุกที่ แนะนำให้ลอง S-26 Gold UHT ทั้งสองสูตรนี้ รับรองว่าถูกใจกันทั้งครอบครัวแน่นอนค่ะ

S-26 Gold UHT สูตรใหม่

สามารถหาซื้อ S-26 Gold UHT สูตรใหม่ได้ที่ซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วประเทศ หรือที่ เซเว่น อีเลฟเว่น และช้อปออนไลน์ผ่านทาง Lazada และ Shopee นะคะ

อย่าลืม เลือกยูเอชที ที่มีสฟิงโกไมอีลิน

S-26 Gold UHT สูตรใหม่ สูตรเฉพาะที่มีสฟิงโกไมอีลิน

 

 

 

ข้อมูลอ้างอิง :
5Susuki K
. Nature Education. 2010;3(9):59.
https://med.mahidol.ac.th/rama_hospital/th/services/knowledge/10072020-1458
https://www.bangkokpattayahospital.com/th/newsroom-th/health-articles-th/item/1859-how-to-food-for-smart-kid-th.html
บีบยาสีฟัน

หมอฟันตอบเอง..แท้จริงแล้ว! ควร บีบยาสีฟัน ให้ลูกแค่ไหนถึงจะพอดี

แท้จริงแล้ว! ควร บีบยาสีฟัน ให้ลูกแค่ไหนถึงจะพอดี ลูกวัยไหนควรใช้ปริมาณยาสีฟันเท่าไร? ถึงจะเหมาะสม ตามมาดูคำแนะนำจากหมอฟันเด็กกันค่ะ

หมอฟันแนะ!! พ่อแม่ควร บีบยาสีฟัน
ให้ลูกแค่ไหน?

การดูแลฟันลูกน้อย แต่ละช่วงวัยจะมีการดูแลสุขภาพช่องปากที่แตกต่างกัน คุณแม่ควรดูแลปากและฟันของลูก โดยเริ่มตั้งแต่วัยทารกไปจนถึงวัยที่ฟันขึ้น และหัดให้ลูกดูแลรักษาสุขภาพช่องปากตั้งแต่เด็ก เพื่อให้เด็กๆ เห็นว่าการดูแลปากและฟันเป็นเรื่องที่สำคัญ

การดูแลลูกน้อยเมื่อฟันยังไม่ขึ้น  ช่วงนี้ลูกจะกินแต่นม ซึ่งอาจทำให้ลิ้นเป็นฝ้าขาว แต่จะหายเองได้ ในช่วงนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เช็ดทำความสะอาดลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้มวันละ2 ครั้ง ตอนเช้า-เย็น

สำหรับช่วงที่ฟันเพิ่งขึ้นพ้นเหงือก หรือหลัง 6 เดือนที่ลูกกินอาหารเสริมแล้ว ช่วงนี้การใช้แปรงสีฟันทำความสะอาดฟันจะยังไม่สะดวกเพราะแปรงสีฟันขนาดใหญ่เกินไป ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว แล้ว เช็ดทำความสะอาดลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้มวันละ2 ครั้ง ตอนเช้า-เย็นเด็กที่ฟันเพิ่งขึ้นอาจมีเลือดออกขณะแปรงฟันหรือเช็ดฟัน ไม่ต้องตกใจ

ทั้งนี้เมื่อฟันของลูกน้อยงอกขึ้นมาเกินครึ่งซี่แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณแม่ต้องใช้แปรงและยาสีฟันกับลูกน้อย โดยให้เลือกแปรงสีฟันไนล่อนที่มีขนาดเหมาะสมกับช่องปากของลูก ขนนุ่มหน้าตัดตรง ปลายขนแปรงกลมมน มีด้ามจับถนัดมือ และที่สำคัญให้เลือกใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์สำหรับเด็ก

ทั้งนี้อธิบดีกรมอนามัย ได้เปิดเผยว่า…ฟลูออไรด์เป็นสารที่ช่วยป้องกันการเกิดฟันผุที่ได้รับการยอมรับของวงการทันตแพทย์ทั่วโลก การนำฟลูออไรด์มาใช้ในการป้องกันฟันผุนั้น กรมอนามัยได้กำหนดปริมาณและวิธีใช้ที่เหมาะสม และปลอดภัย ซึ่งยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ที่มีประสิทธิภาพ คือ

  • ต้องได้รับเครื่องหมายรับรองจาก อย.
  • มีวันเดือนปีที่ผลิตไม่เกิน 3 ปี
  • และการบีบใช้แต่ละครั้งต้องเหมาะสมกับแต่ละวัย

ลูกวัยไหน ควรบีบยาสีฟัน เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม?

  • เด็กอายุระหว่าง 0 – 3 ปี ให้ บีบยาสีฟัน แตะขนแปรงพอเปียก
  • เด็กอายุ 3 – 6 ปี ให้ บีบยาสีฟัน ขนาดเท่าความกว้างของแปรง
  • ผู้ที่อายุมากกว่า 6 ปี ให้ บีบยาสีฟัน เท่าความยาวของแปรง

ทั้งนี้เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เห็นภาพชัดเจนขึ้น คุณหมอตุ๊กตา เจ้าของเพจ ฟันน้ำนม ได้ทำภาพพร้อมแนะนำเคล็ดลับการบีบยาสีฟันเด็ก ในปริมาณที่ถูกต้องเหมาะสมให้ดู โดยคุณหมอกล่าวว่า

คำแนะนำให้ บีบยาสีฟัน ขนาดเท่าเม็ดถั่วนั้นมาจากฝั่งอเมริกา ที่ว่า

เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบ ใช้ยาสีฟันฟลูออไรด์แค่พอแตะขนแปรงหรือเท่าเม็ดข้าว

เด็กอายุ 3-6 ขวบ ใช้ยาสีฟันฟลูออไรด์เท่าเม็ดถั่ว (pea size)

ซึ่ง pea size แปลว่า ถั่วลันเตา ไม่ใช่ถั่วเขียว

ยาสีฟันเด็ก

อ้างอิง https://www.aapd.org/…/policies…/bp_fluoridetherapy.pdf

โดยส่วนตัวหมอจะแนะนำเท่าเม็ดข้าวโพด ซึ่งคนไทยอาจจะคุ้นเคยและเห็นภาพได้ดีกว่าถั่วลันเตา หรือทางทันตแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ จะใช้คำอธิบายง่าย ๆ คือ บีบให้เท่ากับความกว้างของแปรงค่ะ

ยาสีฟันเด็ก

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก หมอตุ๊กตา
(ทพญ.ปวีณา คุณนาเมือง ทันตแพทย์เฉพาะทางด้านทันตกรรมสำหรับเด็ก) เจ้าของเพจ ฟันน้ำนม

ข้อควรระวังการใช้ยาสีฟันในเด็กเล็ก

การใช้ยาสีฟันให้ลูกน้อย พ่อแม่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มักกลืนยาสีฟันโดยไม่ตั้งใจ และยาสีฟันเด็ก มักแต่งกลิ่นเติมรสผลไม้ เพื่อให้เด็กชอบและอยากแปรงฟัน เช่น รสส้ม สตรอเบอรี่ รสโคล่า เป็นต้น ทำให้ลูกอยากกินยาสีฟัน พ่อแม่จึงต้องควบคุมดูแลการแปรงฟันลูกน้อยเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้รับฟลูออไรด์มากเกินไป

การแปรงฟันยึดหลัก 2-2-2

สำหรับเคล็ดลับการแปรงฟันที่ทันตแพทย์ แนะนำให้ใช้ได้ในทุกกลุ่มวัย ควรดูแลสุขภาพช่องปากด้วยการแปรงฟันยึดหลัก 2-2-2 คือ

  • แปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนนอนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เนื่องจากขณะนอนหลับ ภายในช่องปากจะมีน้ำลายหลั่งน้อย เชื้อโรคต่างๆ เจริญเติบโตได้ดีกว่าปกติ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ
  • แปรงฟันอย่างน้อยครั้งละ 2 นาที เพื่อให้การแปรงฟันสะอาดทั่วถึง ทุกซี่ ทุกด้าน และให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันจับกับเคลือบผิวฟัน เพื่อป้องกันฟันผุ
  • ภายใน 2 ชั่วโมง หลังแปรงฟันควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งการทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันโรคฟันผุและเหงือกอักเสบได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามการพาเด็กเล็กไปพบหมอฟันมีส่วนช่วยป้องกันฟันผุได้ โดยที่ลูกจะได้ประโยชน์ จากการตรวจสภาพช่องปาก เพื่อตรวจหารอยผุในระยะเริ่มแรกที่ยังไม่เป็นรู หากพบจะสามารถให้การป้องกันไม่ให้ลุกลามเป็นรูผุได้ รวมทั้งการตรวจความสะอาดช่องปากร่วมกับการซักถามถึงการเลี้ยงดูเด็ก จะทำให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมต่อการดูแลฟันเด็กในแต่ละคน ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พ่อแม่จะได้เรียนรู้ หรือฝึกการแปรงฟันให้ลูกได้ และยังมีส่วนช่วยให้ลูกเกิดความคุ้นเคยกับหมอฟัน และให้ความร่วมมือที่ดีต่อการรักษาฟันต่อไป โดยทั่วไปเด็กๆ ควรได้รับการตรวจช่องปากตั้งแต่มีฟันขึ้น หรืออย่างช้าที่สุด เมื่ออายุได้ 1 ปี

สำหรับเรื่อง ปริมาณการบีบยาสีฟัน ที่ถูกต้องเหมะสมนี้ ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ : Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : pr.moph.go.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

Super Nanny | Ep.25 | แนะ 4 ขั้นตอนการแปรงฟันลูกน้อยที่ถูกวิธี

หมอเตือน? 4 ผลร้าย หากพ่อแม่ดูแลฟันน้ำนมของลูกไม่ดี!

จัดฟันเด็ก พาลูกไป จัดฟัน อายุเท่าไหร่ ดีที่สุด?

รวม ตารางการเลี้ยงลูก ครบทั้งการกิน-นอน และพัฒนาการเติบโตของร่างกาย

โรคบิด

เมื่อลูกปวดท้องจาก “โรคบิด” ภัยร้ายหน้าร้อนที่ต้องระวัง!!

โรคบิด โรคทางเดินอาหารที่ทำให้เด็กปวดท้องบิดอย่างรุนแรง เด็กจะทรมานกับอาการปวดท้องเป็นอย่างมาก พบได้บ่อยในช่วงหน้าร้อน มาดูสาเหตุและวิธีการป้องกัน กันเถอะ!

เมื่อลูกปวดท้องจาก “โรคบิด” ภัยร้ายหน้าร้อนที่ต้องระวัง!!

ในช่วงหน้าร้อน โรคที่มักจะพบได้บ่อยในเด็กคือโรคที่เกี่ยวกับทางเดินอาหาร เด็กมักจะมีอาการท้องเสีย ถ่ายเหลว แต่อาการที่สุดทรมานใจพ่อแม่และตัวลูก คือ อาการปวดท้องบิด (อาการปวดเกร็งในท้อง ปวดท้องบิดอย่างรุนแรงเป็นระยะ ๆ) ในความเป็นจริงแล้ว อาการปวดท้องในเด็ก สามารถพบได้บ่อย ๆ แต่อาการปวดท้องจากโรคบิดนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ไม่ทันสังเกตและแยกไม่ได้ว่าเป็นการปวดท้องจากโรคบิดหรือไม่ อาจทำให้รักษาได้ไม่ทันการจนอาจทำให้เกิดอาการรุนแรงได้ ดังนั้น มาทำความรู้จัก โรคบิด รวมถึงสาเหตุ วิธีการรักษา และการป้องกันกันเถอะ!!

โรคบิด คืออะไร?

โรคบิดเป็นอาการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินอาหารของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือโปรโตซัวที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ถ่ายเหลว ปวดบิดท้องเป็นระยะ ร่วมกับการ มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ มีอาการเหมือนถ่ายไม่สุด ในเด็กอาจพบอาการชักร่วมด้วย โดยผู้ป่วยที่อาการชัดเจนจะถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือมูกเลือด ซึ่งเป็นผลมาจากการแตกของฝีขนาดเล็ก ๆ ที่ติดเชื้อแบคทีเรีย โดยทั่วไปโรคบิดแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โรคบิดชนิดไม่มีตัว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มซิเกลลา (Shigella) สามารถพบได้ทั่วไปในพื้นที่ที่มีสุขอนามัยไม่ดี และโรคบิดชนิดมีตัว เกิดจากสัตว์เซลล์เดียว (โปรโตซัว) ที่ชื่อว่า อะมีบา (Ameba) มักพบการติดเชื้อได้ในพื้นที่ร้อนชื้น

ติดต่อกันได้อย่างไร?

โรคบิด สามารถติดต่อกันได้ผ่านเชื้อโรคที่อยู่ในอุจจาระของผู้ป่วย โดยเมื่อเชื้อปนเปื้อนไปสู่แหล่งน้ำ ลงไปในอาหาร หรือตกค้างอยู่ที่มือของผู้ป่วย อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ ไม่เพียงเท่านั้นแมลงวันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้อีกด้วย ขณะที่ผู้ป่วยที่มีเชื้อของโรคบิดสามารถเป็นพาหะและแพร่เชื้อได้ตลอดเวลาที่มีอาการ เพราะจะมีเชื้อออกมากับอุจจาระทุกครั้งที่ถ่าย และเชื้อจะค่อย ๆ หมดไปหลังจาก 2-3 สัปดาห์

ปวดบิดในเด็ก
ปวดบิดในเด็ก

วิธีสังเกตว่าลูกป่วยเป็นโรคบิดหรือไม่?

เนื่องจากโรคบิดสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ โรคบิดชนิดไม่มีตัว และโรคบิดชนิดมีตัว อาการของโรคบิดทั้ง 2 ชนิดนี้ก็แตกต่างกันไปด้วย ดังนี้

อาการของบิดไม่มีตัว

  1. ไม่มีอาการใด ๆ เลย แต่จะรู้สึกไม่สบายท้อง เพราะมีเชื้อแบคทีเรียอยู่ในลำไส้
  2. มีอาการน้อย ถ่ายเหลวเป็นมูกเลือด และปวดบิดแต่ไม่มาก
  3. กรณีที่มีอาการรุนแรง จะปวดท้องบิดอย่างรุนแรง มีไข้สูง อาเจียน ถ่ายมีมูกเลือดและหนองปน ถ่ายน้อยแต่บ่อยมาก ถ้าร่างกายอ่อนแอ อาจจะมีการช็อคได้
  4. อาจเกิดโรคแทรกซ้อน หากรักษาไม่ถูกวิธี เชื้อโรคเข้าไปยังกระแสเลือด ทำให้เลือดเป็นพิษ อาจช็อคจนเสียชีวิตได้ ลำไส้ใหญ่อาจมีการอักเสบอย่างรุนแรง เกิดอาการเสียน้ำอย่างมากจนช็อคและเสียชีวิตได้

อาการของบิดมีตัว

  1. ไม่มีอาการใด ๆ เลย แต่จะรู้สึกไม่สบายท้อง ถ้าไปตรวจจะพบอะมีบา Entamoeba histolytica ในอุจจาระ
  2. มีอาการชนิดเฉียบพลัน ปวดบิด ถ่ายอุจจาระเหลว อุจจาระมีกลิ่นคล้ายหัวกุ้งเน่า อาการไม่แรงเท่าบิดไม่มีตัว ถ้าผู้ป่วยต้านทานโรคได้น้อย อาจจะมีไข้สูงและถ่ายเป็นมูกเลือดมาก
  3. ในกรณีที่มีอาการชนิดเรื้อรัง เป็นผลจากบิดชนิดเฉียบพลัน แล้วรับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง อะมีบาจึงตายไม่หมด ทำให้อาการไม่หายขาด และเป็นไปเรื่อย ๆ
  4. อาจเกิดโรคแทรกซ้อน ลำไส้เกิดการทะลุ เกิดแผลที่ลำไส้ใหญ่ ตัวอะมีบาจะเข้าไปทำให้เนื้อเยื่อในอวัยวะถูกทำลาย หรือก่อให้เกิดฝีที่อวัยวะต่าง ๆ และนำไปสู่อาการติดเชื้อ หรืออาการอื่น ๆ ที่รุนแรงขึ้น หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที จะทำให้เสียชีวิตได้

เพราะเด็กยังอธิบายได้ไม่ละเอียดว่าปวดท้องลักษณะไหน คุณพ่อคุณแม่จึงควรสังเกตที่อาการท้องเสียด้วยการนับจำนวนครั้งที่ถ่าย หากเริ่มถ่ายติดต่อกันมากกว่า 3 ครั้งก็เข้าข่ายว่าท้องเสีย และอาการท้องเสียจากโรคบิดจะรุนแรงกว่าท้องเสียทั่วไป เพราะจะมีอาการอุจจาระเป็นน้ำ มีมูกหรือมูกเลือดปนออกมากับอุจจาระ ร่วมกับอาการปวดเกร็ง ปวดบีบที่ท้องเป็นพัก ๆ ปวดหน่วงที่ทวารหนัก และหากลูกมีอาการต่อไปนี้ร่วมด้วย ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับยาฆ่าเชื้อทันที

  • คลื่นไส้ อาเจียนบ่อย
  • มีไข้ขึ้นสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส หรือชัก
  • ปวดท้องมาก
  • ถ่ายเหลวหลายครั้ง (มากกว่า 10 ครั้งต่อวัน)
  • ถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือมูกเลือด
  • ท้องอืด
  • หอบลึก
  • ไม่ยอมดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ทุกชนิดและ/หรือไม่ยอมดื่มนมหรือกินอาหาร
  • ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่แล้วแต่เด็กยังดูเพลีย ซึม

การรักษาโรคบิด

โรคบิดสามารถรักษาให้หายได้ และหากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็จะช่วยให้ความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนลดลง ซึ่งการรักษาจะคำนึงถึงชนิดของโรคบิดและความรุนแรงของอาการ โดย  โรคบิดชนิดไม่มีตัว หากอาการไม่รุนแรงและผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีอยู่แล้ว การรักษาจะเน้นไปที่การรักษาภาวะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายจากการท้องเสียเท่านั้น การใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่จะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูได้เร็ว แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะ เพราะยาดังกล่าวจะช่วยลดระยะเวลาของอาการ และป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่กระจายหรือส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต

ให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่อย่างไร?

สารละลายน้ำตาลเกลือแร่มีจำหน่ายทั่วไปทั้งที่ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมและบริษัทต่าง ๆ โดยทั่วไปจะผสม 1 ซองต่อน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว 1 แก้วน้ำหรือ 1 ขวดนม 8 ออนซ์ หรือหากคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ซื้อสาลละลายน้ำตาลเกลือแร่ ก็สามารถเตรียมเองได้ง่าย ๆ โดยใช้น้ำข้าวใส่เกลือเล็กน้อย (ประมาณ 2 หยิบนิ้วมือต่อน้ำข้าว 8 ออนซ์หรือ 1 แก้ว) หรือ อาจผสมเองโดยใช้น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะและเกลือป่น 2 หยิบนิ้วมือใส่น้ำต้มสุก 1 แก้วน้ำ น้ำซุบ, น้ำแกงจืด, น้ำผลไม้ต่าง ๆ, น้ำเต้าหู้, น้ำชา, โจ๊กไก่ ก็เป็นอาหารเหลวที่สามารถนำมาให้เด็กที่มีปัญหาท้องเสียได้

วิธีการให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ ควรใช้ช้อนตักป้อนทีละน้อยเพื่อช่วยลดปัญหาการอาเจียน การปฏิเสธการกินและยังช่วยให้ดูดซึมได้ดีกว่าการให้ดูดจากขวด รวมทั้งการดูดในปริมาณมากอาจดูดซึมไม่ทันและถ่ายเป็นสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ ทำให้เข้าใจผิดว่ายิ่งกินยิ่งถ่าย ในเด็กโต อาจให้จิบจากแก้วทีละน้อยบ่อย ๆ

  • เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี ควรให้ครั้งละ 2-3 ออนซ์ (1/4-1/2 แก้วน้ำ), ทุกครั้งที่ถ่ายเป็นน้ำ
  • 2-10 ปี ครั้งละ ½-1 แก้วน้ำ (3-6 หรือ 8 ออนซ์)
  • 10 ปีขึ้นไปปริมาณมากเท่าที่ดื่มได้

สำหรับโรคบิดชนิดมีตัว จะเน้นที่การใช้ยาเป็นหลัก เนื่องจากอะบีมาไม่สามารถออกไปจากร่างกายของเราได้หมด และสามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้แม้จะไม่มีอาการของโรคบิดก็ตาม

ท้องเสีย
ท้องเสีย

แพทย์แนะ! 8 วิธีป้องกันโรคบิด

  1. การล้างมือให้สะอาด ทั้งก่อนการปรุงอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร โดยเฉพาะหลังการเข้าห้องน้ำ
  2. ดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก หรือน้ำดื่มบรรจุขวดที่ผ่านเครื่องกรองน้ำที่ได้มาตรฐานเท่านั้น ไม่ดื่มน้ำคลองหรือน้ำบ่อแบบดิบ ๆ และไม่รับประทานน้ำแข็งที่เตรียมไม่สะอาด
  3. รับประทานอาหารปรุงสุกในขณะที่ยังร้อนอยู่ หากซื้ออาหารบรรจุสำเร็จควรอุ่นอาหารให้ร้อนจัดก่อนการรับประทานทุกครั้ง
  4. เลือกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างปลอดภัย เช่น นมที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ ผักและผลไม้ควรล้างด้วยน้ำสะอาดอย่างทั่วถึง (อ่านต่อ 16 วิธีล้างผักผลไม้ ให้ปลอดสารก่อนให้ลูกทาน)
  5. เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลงวัน หนู หรือสัตว์อื่น ๆ
  6. ส่งเสริมให้มีการเลี้ยงทารกด้วยน้ำนมแม่ เพื่อให้เด็กมีภูมิคุ้มกันโรค
  7. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ อย่าถ่ายลงคลองหรือตามพื้นดิน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรค
  8. ทิ้งขยะในถังขยะที่มีฝาปิด และกำจัดขยะอย่างสม่ำเสมอ

จะเห็นได้ว่าการล้างมือให้สะอาดก็ยังเป็นวิธีที่ป้องกันโรคที่ดีที่สุดใน โรคบิด และอีกหลาย ๆ โรค เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ โรคโควิด-19 ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรเน้นย้ำให้ลูก ๆ คอยล้างมือบ่อย ๆ นะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

รู้ทัน…ไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ในเด็ก

แม่โพสต์เตือน! สาเหตุที่ทำให้ ทารกท้องเสีย เป็นโรคลําไส้อักเสบ

รีวิวดี!เพื่อลูกน้อย เทียบสารอาหารในนมวัวแท้ 100% ยี่ห้อไหนดี มีประโยชน์ที่สุด!

เปิดจองสิทธิ์ ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี ประจำปี 2564

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมการแพทย์, pobpad.com, th.wikipedia.org, ผศ.พญ.นิยะดา วิทยาศัย งานโรคระบบทางเดินอาหารและตับ กลุ่มงานกุมารเวชศาสตร์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

โปรแกรมทายหน้าลูก

โปรแกรมทายหน้าลูก จากหน้าพ่อแม่ อยากรู้ลูกจะหน้าเหมือนใคร

แม่ท้องอยากรู้ลูกในท้องหน้าเหมือนใคร คนโสดฝันได้ หาพ่อของลูกแบบไหนให้ลูกสวยหล่อเป๊ะปังได้อย่างใจ ลองวิธีนี้เลย โปรแกรมทายหน้าลูก จากหน้าพ่อแม่ เลือกได้อยากให้ลูกหน้าเหมือนใคร  3 สเต็ปง่ายๆ รู้ผลได้ใน 1 นาที ไม่ต้องลงแอพให้เปลืองเน็ต

อยากรู้ลูกหน้าเหมือนพ่อหรือแม่ อยากให้สวยหล่อแค่ไหน สั่งได้ด้วย โปรแกรมทายหน้าลูก

ตั้งท้องแล้วอยากรู้จังลูกในท้องจะออกมาน่ารักน่าชังขนาดไหน จะเหมือนพ่อหรือแม่กันแน่ ไม่ต้องรออัลตร้าซาวด์ตอนท้อง 5 เดือนอีกต่อไป คุณพ่อคุณแม่มือใหม่สามารถทำนายหน้าตาของลูก หรือใครอยากจิ้นกับไอดอลในดวงใจ อยากให้มาเป็นพ่อของลูก ลองให้โปรแกรมวิเคราะห์ดูหน้าลูกให้ฟินจิกหมอน เพลินๆ ก็ยังได้ด้วยโปรแกรมนี้

โปรแกรมทายหน้าลูกเป็นเว็บไซต์วิเคราะห์หน้าลูกของประเทศญี่ปุ่น ด้วยเทคโนโลยี AI ชื่่อว่า” StyleGAN” ที่จะสามารถทำหน้าหน้าลูกในอนาคตด้วยการสแกนภาพถ่ายของ “คุณพ่อ” และ “คุณแม่” เพื่อสร้างภาพเสมือนของลูกน้อยได้แบบคมกริบ ดูละมุุนเหมือนภาพถ่ายของลูกจริงๆ

ขั้นตอนใช้โปรแกรมทายหน้าลูก

การใช้งานโปรแกรมทายหน้าลูก ไม่ยาก เพียงแต่เว็บไซต์เป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด ทีมแม่ ABK ขออาสาแนะนำวิธีใช้โปรแกรมแบบง่าย ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่ออกก็ใช้งานได้ เพียง 5 สเต๋็ป ต่อไปนี้ค่ะ

 

โปรแกรมทายหน้าลูก

  1. เข้าเว็บไซต์  baby-ac.com

โปรแกรมทายหน้าลูก

2.  คลิ๊กช่องด้านบน เพื่ออัพโหลด ภาพคุณพ่อ

3.คลิ๊กช่องด้านล่าง เพื่ออัพโหลด ภาพคุณแม่

4. เลือกให้ลูกหน้าคล้ายพ่อ คลิ๊กเลือกช่องหมายเลข 1  / เลือกให้ลูกหน้าคล้ายแม่ คลิ๊กเลือกช่องหมายเลข 2

5. คลิ๊กแถบสีส้มด้านล่าง รอประมาณ 30 วินาทีิ

6. ภาพลูกน้อยในอนาคตก็ปรากฎ

7.คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกเซฟภาพได้หลายทั้งแบบ ภาพเดี่ยวของลูกในฝัน (คลิ๊กแถบสีส้ม) ภาพครอบครัวพ่อแม่ลูก คลิ๊กแถบสีดำหรือขาว) หรือคลิ๊กแชรไปแพลตฟอร์มอื่นๆได้ทันที

สำหรับ โปรแกรมทายหน้าลูกที่แนะนำนี้ สามารถเปลี่ยนหน้าได้ 2 ครั้ง และในหนึ่งวันเล่นได้จำกัดที่ 5 ครั้ง ส่วนข้อมูลภาพที่อัพโหลดไว้  จะถูกลบอัตโนมัติใน 24 ชั่วโมง จึงหมดห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว ใครลองเข้าไปใช้แล้วอย่าลืมแชร์ภาพลูก (ทิพย์) มาให้ดูกันด้วยนะคะ

แหล่งข้อมูล  news.livedoor.com

บทความน่าสนใจอื่นๆ 

คัดมาให้จากตำรา 212 ชื่อมงคล ผู้หญิง เน้นชื่อเพราะ ความหมายดี

คาถาบูชาเทวดาประจำตัว ลูกน้อย พร้อมวิธีทำบุญ-กรวดน้ำ-ขอขมา เพื่อเป็นสิริมงคล

7 ภาพการ์ตูนที่ต้องดู! ก่อนมี “ลูกคนแรก” ทั้งซึ้งและน่ารัก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

 

 

D-nee Organic Head & Body Wash

ไอเท็มเดียวนัมเบอร์วัน D-nee Organic ง่ายต่อแม่ อ่อนโยนต่อลูกน้อย ดีต่อใจคูณสอง

ทีมแม่ABK รอบนี้ขอถือโอกาสต้อนรับคุณแม่มือใหม่ ด้วยการบอกต่อไอเท็มสุดเริ่ด! D-nee Organic Head & Body Wash เพื่อเป็นตัวช่วยคู่ใจในวันที่ชีวิตแม่ๆ ยุ่งเหยิง เพราะนางมาพร้อมกับคุณสมบัติดีต่อใจคูณสอง ง่ายต่อแม่ และอ่อนโยนต่อลูกน้อย

เหตุเพราะล่าสุดเห็นซิสๆ แม่หลายคนเพิ่งเปลี่ยนบทบาทกลายเป็นคุณแม่เต็มตัว เลยยังจับต้นชนปลายไม่ถูกกับสถานะนี้ จนปวดเศียรเวียนเกล้า ผมเผ้าฟูรุงรัง ขอบตาคล้ำกันยกใหญ่ เพราะหน้าที่แม่เต็มไปด้วยสิ่งที่ต้องทำและเรียนรู้มากมายก่ายกองจริงๆ โดยสิ่งสำคัญแบบนัมเบอร์วันเลย ก็ต้องยกให้กับการดูแลลูกน้อยอย่างดีที่สุดและอ่อนโยนที่สุด เพราะทารกยังบอบบางมากต่อทุกสิ่งทุกอย่าง จะทำอะไรหรือใช้อะไรกับเบบี๋ ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ

D-nee Organic Head & Body Wash

ดังนั้น การเลือกใช้ข้าวของกับลูกน้อย จึงเป็นเรื่องที่เหล่าแม่ๆ ต้องพินิจพิเคราะห์อย่างถ้วนถี่ เช็กแล้วเช็กอีกถึงความปลอดภัย หรือถ้าได้ไอเท็มที่เป็นสูตรออร์แกนิคมาใช้ เชื่อว่าแม่ๆ ก็คงเบาใจไปได้เยอะ และคงจะเริ่ดที่สุดสำหรับคุณแม่มือใหม่ หากไอเท็มนั้นสารพัดประโยชน์ ช่วยให้วิถีชีวิตของแม่ๆ ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น จริงไหมล่ะคะ?

ด้วยเหตุนี้แหละค่ะ ทีมแม่ABK จึงไม่พลาดนำไอเท็มเดียวจบ! แถมการันตีความอ่อนโยน อย่าง D-nee Organic สบู่เหลวอาบน้ำและสระผม มาป้ายยาให้เหล่าแม่ๆ ติดใจในความดีงามของนาง (เหมือนทีมแม่ABK ยังไงล่ะคะ) ทั้งความทูอินวัน และความออร์แกนิค ซึ่งช่วยให้วิถีชีวิตของแม่ๆ แฮ็ปปี้แบบคูณสอง

D-nee Organic Head & Body Wash

ที่ทีมแม่ABK กล้าย้ำว่า D-nee Organic สบู่เหลวอาบน้ำและสระผม เป็นไอเท็มตัวช่วยสำหรับคุณแม่มือใหม่ ก็เพราะนางเป็นสบู่เหลวที่สามารถใช้ได้ทั้งอาบน้ำและสระผมให้กับทารก เรียกว่าหยิบมาใช้ขวดเดียวก็จบเลย ไม่ต้องยุ่งยาก หยิบขวดนี้ที หยิบขวดนั้นที แถมนางยังล้างออกง่าย สะดวกสบายดีต่อใจแม่ๆ เหลือเกิน

D-nee Organic Head & Body Wash

นี่แหละค่ะคือความเริ่ดสุดๆ ของ D-nee Organic สบู่เหลวสำหรับอาบน้ำและสระผม ซึ่งสร้างสรรค์สูตรออร์แกนิคมาเพื่อทารกโดยเฉพาะ ขึ้นแท่นไอเท็มที่ทีมแม่ABK และเหล่าแม่ๆ ปลื้มกันหนักมาก จนอดไม่ได้ที่จะนำมาแชร์ให้กับคุณแม่มือใหม่ รวมถึงว่าที่คุณแม่ทุกคน ถ้ามี D-nee Organic สบู่เหลวสำหรับอาบน้ำและสระผม เป็นไอเท็มคู่ใจล่ะก็ รับรองว่าวิถีชีวิตของแม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือโปร ก็ฉลุยราบรื่นแน่นอน

โดยซิสๆ แม่สามารถหาซื้อ D-nee Organic Head & Body Wash กันได้ง่ายๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป หรือช่องทางออนไลน์ดังนี้

D-nee Organic Head & Body Wash

D-nee Organic Head & Body Wash

มาถึงเรื่องที่คุณแม่มือใหม่แพนิคหนักสุดๆ อย่างความปลอดภัยต่อลูกน้อย D-nee Organic สบู่เหลวอาบน้ำและสระผม ก็สามารถมั่นใจในความออร์แกนิค ด้วยการมีสารสกัดจากธรรมชาติถึง 7 ชนิด ซึ่งช่วยให้ผิวบอบบางของเบบี๋ชุ่มชื้นอย่างอ่อนโยน แถมยังเป็นสูตร pH Balance ที่ช่วยรักษาสมดุลให้ผิวและเส้นผมของลูกน้อย ที่สำคัญคือผ่านการทดสอบทางการแพทย์ Hypoallergenic Tested แล้วว่าอ่อนโยนต่อทารก ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และระคายเคือง รวมถึงยังปราศจาก 6 สารเคมีอันตราย อย่างกลูเตน, พาราเบน, SLS, ซิลิโคน, แอลกอฮอล์ และสี เรียกว่าการันตีความอ่อนโยนให้เหล่าแม่ๆ อุ่นใจทุกวิถีทางเลยทีเดียว

 

 

 

mom-to-mom

เปิดตัวชุดชั้นในสำหรับคุณแม่ แบรนด์ “Mom to Mom”

คุณแม่หลังคลอดมักจะประสบปัญหาการใส่ชุดชั้นในแบบเดิมที่คอยกวนใจเวลาให้นมลูก รู้สึกอึดอัดและไม่สบายตัว ทาง แบรนด์ Mom to Mom ได้ออกแบบชุดชั้นในสำหรับให้นมลูก เพื่อช่วยการรองรับสรีระของคุณแม่ รวมถึงเนื้อผ้าที่นำมาใช้เพราะจะต้องให้คุณแม่ใส่สบาย ไม่อึดอัด และต้องสามารถป้องกันเชื้อราเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูก เวลาที่คุณแม่ให้น้ำนมอีกด้วย ดังนั้นทาง ทีมแม่ABK  จึงได้รวบรวมข้อมูลมาฝากคุณแม่กันค่ะ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

Mom to mom

 2 คุณแม่คนเก่ง “เบนซ์-พรชิตา ณ สงขลา”  คุณแม่ลูก 3 นักแสดงสาวมากความสามารถและ “กิ๊ฟ-สาวิตรี ธนาลงกรณ์” คุณแม่ที่มีประสบการณ์ในการบริหารธุรกิจชุดชั้นในชั้นนำแบรนด์“จินตนา” จับมือเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจเปิดตัวโปรเจ็กต์ “Pornchita x Mom to Mom” ผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณแม่แม่ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่คงเสน่ห์ คงความเซ็กซี่ เนื้อผ้าคุณภาพ แพทเทิร์นที่ลงตัว พร้อมคุณสมบัติพิเศษและนวัตกรรมอีกมากมายที่มีเฉพาะสินค้าของ Pornchita x Mom to Mom” ที่รับประกันเรื่องสวมใส่สบาย รองรับสรีระและกิจกรรมของคุณแม่ยุคใหม่ ในราคาสุดพิเศษ

“Mom to Mom” เป็นผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในที่ มาพร้อมจุดเด่นทั้งด้านแพทเทิร์นและเนื้อผ้าที่สวมใส่สบาย  เหมาะสมกับสรีระของคุณแม่ยุคใหม่และสะดวกสบายในยามให้น้ำนมลูกน้อย

คุณ”กิ๊ฟ-สาวิตรี ธนาลงกรณ์  ผู้ก่อตั้งแบรนด์ชุดชั้นในสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ “Mom to Mom” เผยถึงที่มาของแบรนด์ว่า

“เริ่มต้นจากตนเอง ที่เกิดและเติบโตมากับวงการการผลิตชุดชั้นใน  จึงมีโอกาสเรียนรู้การผลิต ทั้งเรื่องการทำแพทเทิร์น ตัดเย็บดีไซน์ จึงเริ่มศึกษาตลาดเกี่ยวกับชุดชั้นใน จนมาเจอกลุ่มชุดชั้นในสำหรับคุณแม่ ณ ช่วงเวลานั้น ยังไม่ค่อยมีแบรนด์ไหนในประเทศไทยที่ให้ข้อมูล หรือผลิตสินค้าเพื่อคุณแม่จริง ๆ จนกระทั่งตั้งครรภ์ จึงเริ่มศึกษาข้อมูลมากยิ่งขึ้น และนำมาทดลองจากประสบการณ์จริงของตนเอง รวมถึงพัฒนาเรื่องแพทเทิร์นให้รองรับสรีระของคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเนื้อช่วงลำตัวหรือเต้าทรงที่เริ่มขยายขึ้น รวมถึงเนื้อผ้าที่นำมาใช้ก็มีส่วนสำคัญเพราะจะต้องให้คุณแม่ใส่สบาย ไม่อึดอัด และต้องสามารถป้องกันเชื้อราเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับลูกเวลาที่คุณแม่ให้น้ำนมด้วยเหมือนกัน ช่วงเวลาเหล่านี้ จึงมองว่าเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นสำหรับคุณแม่คนหนึ่ง ที่อยากส่งต่อเรื่องราวดี ๆให้กับคุณแม่ต่อไป”

“เพราะเรารู้ว่า…เรื่องของลูกสำคัญที่สุดเสมอ”

“ดังนั้นจุดประสงค์ของการรังสรรค์ Mom to Mom ขึ้นมา  เพราะเชื่อว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนมีความกังวลมาก ๆ เรารู้ว่าหลายๆอย่างกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เราต้องเตรียมความพร้อมให้กับอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังจะเกิดขึ้นมา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้อารมณ์ของแม่จะแปรปรวน ขึ้น-ลง ผสมกันทั้งทุกข์และสุข บางครั้งก็สงบลงได้ด้วยตัวเอง แต่ในบางเวลาคุณแม่เองก็ต้องการใครสักคนที่คอยรับฟังและอยู่ข้างกันเพื่อที่จะแนะนำได้ว่า ฉันจะต้องเจอกับอะไร  พรุ่งนี้และในวันถัด ๆ ไปฉันต้องเตรียมตัวอย่างไร ด้วยคำถามอีกมากมายที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้น กิ๊ฟจึงอยากให้ Mom to Mom เป็นแบรนด์ที่มีความจริงใจ คอยเป็นผู้ฟังที่ดีว่าคุณแม่แต่ละคนเจอปัญหาอะไร ช่วยแนะนำสิ่งที่เหมาะสมกับคุณแม่แต่ละคน และจะอยู่ข้าง ๆ เป็นอีกหนึ่งกำลังใจว่าเราจะผ่านช่วงนี้ไปด้วยกัน”

ทั้งนี้คุณกิ๊ฟได้ชูจุดเด่นของบราคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดว่า เรื่องแรกที่ตนมั่นใจมากคือ มีแพทเทิร์นที่สามารถรองรับสรีระคุณแม่ได้เป็นอย่างดี เก็บทรงสวย สามารถใส่ได้ทั้งวันไม่อึดอัด ไม่ระคายเคือง สายแขนปรับให้กว้างขึ้น ด้านข้างลำตัวสูงขึ้น เพิ่มตะขอเป็น 3 ตา เพื่อรองรับการขยายตัวของหน้าอก ด้านหลังออกแบบให้เว้าเป็นรูปตัว U เพื่อลดการรองรับน้ำหนัก บรรเทาอาการปวดไหล่ ปวดหลัง สำหรับเสื้อชั้นในที่มีโครง เลือกใช้โครงอ่อนเท่านั้น เพราะโครงตัวนี้จะเข้ารูปเต้าทรง ไม่กดทับบริเวณหน้าอกในช่วงที่คุณแม่คัดนม เนื้อผ้าทุกตัวที่ผลิตออกมาเป็นผ้าชนิดกันเชื้อรา เนื้อผ้ามีความเย็น ใส่สบาย และที่สำคัญฟองน้ำ Spacer จะต้องป้องกันเชื้อราที่จะเกิดขึ้นจากการให้น้ำนมได้ด้วย รวมถึงการเปิดเต้าทรงที่กว้าง สามารถใส่ที่ปั๊มนมได้สะดวก เรียกได้ว่าให้น้ำนมได้ทุกที่ไม่ว่าจะบนรถ หรือ ในห้องทำงาน

ด้านคุณเบนซ์-พรชิตา กล่าวถึงความรู้สึกที่ได้ร่วมทำชุดชั้นในสำหรับคุณแม่ “Pornchita X Mom to Mom”  ในฐานะของ Business Partner ว่า

“เราได้ร่วมกันคิด ออกแบบ ใส่ฟังก์ชั่นสำหรับชุดชั้นในของคุณแม่ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการให้กับแม่แม่ค่ะ ทางเบนซ์เองได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ในการสวมใส่ และ แชร์สิ่งที่คุณแม่ต้องการในชุดชั้นใน ทั้งตอนตั้งท้องและ หลังคลอดค่ะ ส่วนทางแบรนด์ Mom to Mom” เองก็เชี่ยวชาญมีประสบการณ์ในการทำชุดชั้นในอยู่แล้ว ทุกอย่างลงตัวมากค่ะ”

คุณเบนซ์ ซึ่งเป็นคุณแม่คนเก่งกับลูกที่น่ารักถึงสามคน ยังมองว่า  ชุดชั้นในสำหรับคุณแม่ทั้งตอนท้อง และ หลังคลอด ถือว่าสำคัญมาก เพราะเป็นชุดชั้นในเป็นสิ่งที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับลูก ๆ ยิ่งตอนให้นม เสื้อชั้นในที่ดี ต้องดีทั้งกับคุณแม่ และ ลูกด้วย โดยต้องสวมใส่สบาย แต่ยังมีความกระชับเพื่อให้คุณแม่มั่นใจเพราะไม่ว่าจะช่วงตั้งท้อง หรือหลังคลอดสรีระคุณแม่เปลี่ยนอยู่ตลอด และที่สำคัญคือ เนื้อผ้าที่ต้องป้องกันเชื้อรา ระบายอากาศได้ดี เพราะน้ำนมแม่ไหลอยู่ตลอด ข้อนี้ถือว่าจำเป็นมาก ๆ เพราะถ้าเสื้อชั้นในเป็นเชื้อราไม่ดีกับลูกเราแน่ ทั้งนี้ในการร่วมเป็น Business Partner ครั้งนี้ คุณเบนซ์ได้มีส่วนร่วมในการทำงานหลายอย่างด้วยกัน

“เบนซ์ ร่วมคิด ร่วมลงมือทำในทุกขั้นตอนค่ะ ตั้งแต่คิดคอนเซปท์สินค้า คิดโลโก้ เลือกวัตถุดิบ ผ้า สี และ ฟิตติ้งเองทุกรุ่นค่ะ เพื่อให้ได้สินค้าที่คุณแม่แม่ มั่นใจว่า Pornchita x Mom to Mom ได้ผ่านการทำงาน คัดสรร มาอย่างดีค่ะ ฝากถึงคุณแม่แม่ที่กำลังมองหาชุดชั้นในสำหรับคุณแม่ว่า เบนซ์ ตั้งใจมาก ๆทำชุดชั้นในเพื่อคุณแม่ครั้งนี้ ครบทุกฟังก์ชั่นและราคาน่ารักมากค่ะ ”

สำหรับคอลเลคชั่นบราล่าสุดสำหรับคุณแม่ ” Pornchita X Mom to Mom”  มี3 รุ่นดังนี้

มีโครง ฟองน้ำบาง

1.CONFIDENT รุ่นมีโครงเสริมฟองบาง สีเรียบ

  • เจาะกลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอดอายุเฉลี่ย 25 – 38 ปี มีเนื้อผ้าใส่สบาย/สามารถใส่ได้ทุกวัน/เปิดเต้าให้นมได้สะดวก/โครงไม่กดทับท่อน้ำนม/ฟองน้ำแห้งไว ขจัดปัญหาอับชื้นง่ายที่ทำให้เกิดเชื้อรา
  • เหมาะกับคุณแม่ที่มีสไตล์ชอบความเรียบง่าย สามารถใส่วันปกติทำงาน หรืออยู่บ้าน
  • มีสีน้ำเงิน สีเลือดหมู สีเทา สีเบจ สนนราคา990บาท
  • มาคู่กับกางเกงในเอวสูงไร้ตะเข็บ ไม่รัดแผบผ่าตัด สวมใส่สบาย ระบายอากาศ สนนราคา 450 บาท

ไม่มีโครง ฟองน้ำบาง

 

2.POLKADOT  รุ่นไม่มีโครงมีฟองบาง ลายจุด

  • เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอดอายุระกว่าง25-38 ปีที่ไม่ชอบโครง เน้นใส่สบาย/เปิดให้นมสะดวก / เนื้อผ้าใส่แล้วไม่ระคายเคือง แก้ปัญหาเสื้อในไม่พอดีตัว ใส่แล้วไม่กระชับ ผ้าแห้งช้า มีกลิ่นอับชื้น นอกจากนี้ยังมีสีสันสดใสเหมาะกับคุณแม่ที่มีบุคลิกร่าเริง สามารถใส่ได้ทุกวัน
  • มีสีเขียว สีม่วง ให้เลือกสนนราคา 990 บาท
  • มาคู่กับกางเกงในเอวสูง ราคา450 บาทไม่มีโครง ลายลูกไม้

  3.GLAM  รุ่นไม่มีโครง ลายลูกไม้เหมาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอดอายุเฉลี่ย                    25 – 38 ปี

  • ที่ต้องการชุดชั้นในไม่มีโครงใส่สบายและคุณแม่ทันสมัยตามแฟชั่น การตกแต่งด้วยลูกไม้ทำให้ดูสวยงามและเพิ่มความเซ็กซี่ให้คุณแม่ มีเนื้อผ้านุ่ม ลื่น ระบายอากาศ /เปิดเต้าให้นมสะดวก /ช่วยเรื่องซึมซับน้ำนมคุณแม่ และช่วยต้านแบคทีเรียและเกิดกลิ่นอับ ช่วยแก้ปัญหาเดิม ๆ เรื่องเต้าเปิดยากให้นมลำบาก ทำให้ปวดหลัง/ ไม่เก็บกระชับด้านข้างลำตัว / ผ้าหนาใส่แล้วไม่ระบายเหงื่อ
  • มีสีเบจ สีชมพู ให้เลือกราคา 990บาท
  • มาคู่กางเกงในเอวสูงสวมใส่สบายราคา 450 บาท

พิเศษในช่วงนี้มีโปรโมชั่นลดราคาจากราคาป้าย

ซื้อ 2ชิ้นลด 20% /3ชิ้นลด 30%  โดยมีช่องทางจำหน่ายหลายช่องทาง

“เพราะเรารู้ว่า…เรื่องของลูกสำคัญที่สุดเสมอ ..จากประสบการณ์คุณแม่…ที่เข้าใจทุกความต้องการ”

 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ชุดชั้นในสำหรับให้นมลูกของแบรนด์ Mom to Mom ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยในการกระชับสรีระร่างกายของคุณแม่ ทำให้คุณแม่ไม่รู้สึกอึดอัด สวมใส่สบายและไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยเวลาให้นมอีกด้วย

สามารถสั่งซื้อได้ที่

Line : @momtomom

FB : Momtomom maternity

IG : Momtomommaternity

และ ช่องทาง Lazada / Shopee

ขอบคุณข้อมูลจาก : แบรนด์ “Mom to Mom”

 บทความที่น่าสนใจ

เลือกบราให้เก็บทรงสวย ใส่สบาย มั่นใจได้ทุกชุด

พบกับ วิวัฒนาการชุดชั้นใน ที่คุณแม่ไม่ควรพลาด (มีคลิป)

10 เทคนิค ” การโกยนม ” ให้อึ๋ม เด้งดึ๋ง ไม่แพ้สาวแรกรุ่น!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

โชรส์เบอรี จัดงาน Easter Family Fun Day

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี จัดงาน Easter Family Fun Day วันเสาร์ที่ 20 มี.ค. นี้!

ร่วมสนุกกับครอบครัวโชรส์เบอรี ในงาน Easter Family Fun Day วันเสาร์ที่ 20 มี.. 2564 พบกับเกมส์หาไข่อีสเตอร์ (Easter Egg Hunt) กิจกรรมแนะนำโรงเรียน งานประดิษฐ์หมวกอีสเตอร์ (Easter Bonnet) ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย สัตว์น้อยสุดน่ารัก รถไฟเล็ก ร้านอร่อย และกิจกรรมสร้างสรรค์แสนสนุกอีกมาก ลงทะเบียนได้ที่นี่ 

Easter Family Fun Day

ไอเดียสุดปิ๊ง 4 กิจกรรมครอบครัวสำหรับลูกเล็ก แค่มี เป้อุ้มi-angel รุ่น Dr.Dial ก็สนุกได้ทุกวัน

ช่วงนี้ไหนจะฝุ่น PM 2.5 และโควิด 19 ก็ยังแพร่ระบาดอยู่ ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะพาลูกเล็กๆ ออกไปเที่ยวนอกบ้าน ว่าแต่จะทำอะไรกับลูกดี คิดออกกันไหมคะ? อยู่บ้านกันทั้งวัน ไม่ได้การล่ะ ต้องรีบหากิจกรรมมาเอนเตอร์เทนเล่นกับลูกแล้วล่ะค่ะ

ทีมแม่ABK มีไอเดียกิจกรรมสนุกๆ ที่คุณแม่สามารถทำ และเลี้ยงลูกไปพร้อมในเวลาเดียวกัน รับรองว่าได้ประโยชน์ดีกับทั้งคุณแม่ และลูกน้อย มาแนะนำให้ค่ะ อ่อ…ลืมบอกไปว่ากิจกรรมที่เล่นสนุกกับลูกทั้งหมดนี้ มีผู้ช่วยอย่างเดียวเลยก็คือ เป้อุ้มi-angel รุ่น Dr.Dial ค่ะ

กิจกรรมเด็กเล็ก สนุกได้ทุกวัน แค่มี “เป้อุ้มเด็ก”

 เป้อุ้ม i-angel รุ่น Dr.Dial

1.เข้าครัวทำอาหาร

บางวันที่ต้องอยู่บ้านกับลูกสองคน แล้วลูกก็ไม่ยอมที่จะนั่งเล่นคนเดียวระหว่างที่คุณแม่ต้องเข้าครัวทำอาหาร ก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร ก็แค่อุ้มลูกให้นั่งอยู่บนเป้อุ้ม แล้วพาเข้าครัวไปทำอาหารด้วยกันค่ะ

Tips : เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ลูกมีพัฒนาการการเรียนรู้ และจดจำ เพิ่มมากขึ้น คุณแม่สามารถใช้วัตถุดิบ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ในครัว เป็นเครื่องมือในการสอนลูกได้ เช่น ให้ลูกพูดออกเสียงทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ พักต่างๆ เรียกว่าอะไร มีสีอะไรบ้างๆ  เป็นต้น 

2.รดน้ำต้นไม้ เรียนรู้ธรรมชาติรอบบ้าน

ช่วงเช้า หรือช่วงเย็น ควรพาลูกออกมาเปลี่ยนบรรยากาศนอกบ้านบ้างค่ะ ซึ่งแน่นอนว่าไปไหนไม่ได้ไกล อย่างมากก็แค่สนามหญ้าหน้าบ้าน หรือส่วนหย่อม พักสวนครัวหลังบ้าน คุณแม่ใส่อุปกรณ์เป้อุ้มที่เอวแล้ว ก็อุ้มลูกขึ้นนั่ง แล้วพาลูกออกไปช่วยลดน้ำต้นไม้กันค่ะ

Tips:   ระหว่างรดน้ำต้นไม้ คุณแม่ให้ลูกได้ใช้มือน้อยๆ  ได้ลองช่วยจับสายยางรดน้ำ สัมผัสกับความเปียก เย็นของน้ำ ได้จับใบไม้ ดอกไม้ ลำต้นไม้ สิ่งที่ลูกจะได้ คือ

  • ได้รู้จักกับลักษณะของพื้นผิวที่แตกต่างกัน
  • ได้ฝึกใช้มือในการจับ และกำ เป็นช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อมัดเล็กบริเวณมือทั้งสองข้างให้มีความแข็งแรงมากขึ้น

3. เก็บกวาด จัดบ้านให้เป็นระเบียบ

การทำงานบ้าน ปัดกวาด เช็ด ถู นอกจากจะได้บ้านสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังถือเป็นการ Exercise ที่ดีมากๆ สำหรับคุณแม่ด้วยนะคะ แต่สำหรับลูกน้อยนั้น ถือเป็นการกล่อมให้นอนหลับได้ดีอีกวิธีหนึ่งค่ะ

Tips: เสียงเครื่องดูดฝุ่น จัดเป็นเสียง White Noise ที่ให้ระดับเสียงราบเรียบ มีความถี่ของเสียงที่ออกมาสม่ำเสมอ ช่วงกลางวันถ้าลูกยังไม่ยอมนอน คุณแม่ให้ลูกนั่งบนเป้อุ้ม แล้วพากันดูดฝุ่น เสียงของเครื่องดูดฝุ่น กับการโยกตัวของคุณแม่ จะเป็นการช่วยกล่อมให้ลูกหลับได้ค่ะ

(White Note หรือ เสียงสีขาว คือลักษณะเสียงที่คล้ายกับเสียงที่ทารกเคยได้ยินตอนที่อยู่ในท้องของแม่ เป็นเสียงที่คล้ายกับเสียงเลือดที่ไหลผ่านรก )

 เป้อุ้ม i-angel รุ่น Dr.Dial

4.ออกกำลังกาย

แม่ที่มีลูกเล็ก แล้วอยากออกกำลังกายพร้อมเลี้ยงลูกไปด้วย ไม่ยากค่ะ ก็แค่ให้ลูกนั่งบนเป้อุ้ม แล้วออกกายบริหารไปพร้อมกัน น้ำหนักตัวของลูก ถือเป็นดัมเบลให้คุณแม่ได้ดีมากๆ ค่ะ

Tips : การออกกำลังของแม่ที่มีลูกเล็ก แนะนำให้เดินช้าๆ วันละ 15-20 นาที หรือ แยกขาออก แล้วโยกซ้าย-ขวาประมาณ 30 ครั้ง เหงื่อออก ร่างกายเผาผลาญได้ดี และการออกกำลังกายยังทำให้ร่างกายหลั่งสารความสุข (เอนดอร์ฟิน) ออกมา ช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย มีความสุข

 เป้อุ้ม i-angel รุ่น Dr.Dial

 เป้อุ้มi-angel รุ่น Dr.Dial ผู้ช่วยที่ดีของแม่

อย่างที่บอกค่ะว่าช่วงนี้ออกนอกบ้านไปเที่ยวกันไม่ได้ ก็ต้องอยู่บ้านให้สนุกกับลูกๆ ค่ะ ทีมแม่ABK ทำกิจกรรมครอบครัวทุกอย่างกับลูก ด้วยการเลือกให้ “เป้อุ้ม i-angel รุ่น Dr.Dial  (ด็อกเตอร์ ได-แอ๊ล)” เป็นผู้ช่วย เพราะลูกของแม่บ้านนี้ยังเล็กอยู่ การมีเป้อุ้มคุณภาพดีไว้ใช้ ถือว่าจำเป็นอย่างมากค่ะ เพราะช่วยทุ่นแรงของแม่ได้เยอะเลยค่ะ

ที่เลือกใช้เป็น เป้อุ้มของ i-angel รุ่น Dr.Dial ก็เพราะว่า…

1. ได้การรับรองจากสถาบัน IHDI และ โฟมด้านในเป็นแบบ Dual foam ว่าปลอดภัยต่อสรีระลูกน้อย ไม่ทำให้ขาโก่งและสะโพกเสียรูป

2. เบาะโฟม Dual Foam ช่วยลดแรงกดทับบริเวณหน้าท้องขณะอุ้มลูก ที่สำคัญไม่กดทับแผลผ่าคลอดด้วยค่ะ คุณแม่คนไหนที่ผ่าคลอด หมดความกังวลเรื่องนี้ได้ค่ะ

3.Back Support เป้อุ้ม รุ่น Dial ออกแบบมาให้เหมาะกับทุกสรีระของผู้อุ้ม ซึ่งมีผลเทสรับรองว่าช่วยลดแรงกดทับได้สูงถึง 54.1 เปอร์เซ็นต์ ไม่ปวดหลังแม้ต้องอุ้มลูกนาน หรือลูกมีน้ำหนักตัวมาก คุณแม่ก็ยังรู้สบายที่หลังค่ะ

4. สามารถใช้งานได้ตั้งแต่ลูกวัย 3 เดือนขึ้นไป และรับน้ำหนักได้สูงถึง 20 กิโลกรัม (ลูกประมาณ 3-4 ขวบ)

5. ได้รับรางวัลสาขา BEST BABY CARRIER จาก Amarin Baby & Kids Award ประจำปี 2020

ได้คำตอบกันแล้วนะคะว่า อยู่บ้านสามารถทำอะไรกับลูกได้บ้าง การได้ใช้เวลาร่วมกันพ่อแม่ลูก ไม่ใช่แค่ความสนุกสนานเพลินเพลินเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นพัฒนาการให้ดีสมวัยด้วยค่ะ ทีมแม่ABK หวังว่าไอเดียที่นำมาแชร์ให้กันนี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกครอบครัว ที่จะได้ใช้เวลาทำกิจกรรมครอบครัวที่สนุก ลูกน้อยอารมณ์ดีแม้ต้องอยู่แต่บ้านในช่วงนี้ค่ะ   

แล้วอย่าลืมผู้ช่วยที่ดีสำหรับคุณแม่อย่าง “ เป้อุ้มi-angel รุ่น Dr.Dial ” ซื้อมาใช้กันนะคะ

 

คุณแม่ที่สนใจผลิตภัณฑ์ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่

FB Page : www.facebook.com/iangelthailand

IG : www.instagram.com/iangel.thailand/

Line Official Account : https://lin.ee/dUkPwE3

หรือโทร. 091-698-9865 และ 082-659-1619

ภาษาเด็กเล็ก

วิธีพูดกับลูกด้วย ภาษาเด็กเล็ก ช่วยลูกพูดไว สื่อสารได้เร็ว!

ภาษาเด็กเล็ก – ในช่วงที่ลูกวัยหัดเดินของคุณเริ่มที่จะพูดและสื่อสารได้ ลูกจะเป็นเหมือนฟองน้ำที่ดูดซับทุกสิ่งที่คุณพูด นี่เป็นเหตุผลที่สำคัญว่าเราควรพูดคุยกับลูกๆ วัยนี้อย่างไรเพื่อช่วยกระตุ้นให้เขาได้เรียนรู้ที่จะพูดและสื่อสารได้อย่างสมวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากลูกของคุณพูดช้า และมีความต้องการพิเศษหรืออยู่ในช่วงการบำบัดเรื่องการพูด วิธีที่ควรนำมาฝึกให้ลูกพูดและสื่อสารได้เร็ว เราเรียกว่าการพูดลักษณะนี้ว่า Self-Talk และ Parallel Talk

วิธีพูดกับลูกด้วย ภาษาเด็กเล็ก ช่วยลูกพูดไว สื่อสารได้เร็ว!

พูดกับตัวเอง (Self-talk)

Self ‐ Talk เป็นกลยุทธ์ที่คุณแม่และคุณพ่อ พูดออธิบายถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ โดยในขณะที่คุณกำลังทำสิ่งใดอยู่ ให้คุณคิดคำพูดเพื่ออธิบายการกระทำนั้นๆ ของคุณโดยไม่ต้องคาดหวังให้ลูกของคุณตอบสนองเสมอไป เราควรใช้ Self-Talk กับลูก ๆ ในทุกๆ วัน ทารก เด็กเล็ก และเด็กก่อนวัยเรียน ทุกคนจะได้รับประโยชน์จากการพูดด้วยวิธีนี้ เป็นวิธีที่ดีในการช่วยให้ทารกและเด็กเล็กพัฒนาคำศัพท์และรูปแบบในการพูดที่มีแบบแผน มีเหตุผลที่มาที่ไป

ตัวอย่าง Self-Talk :

  • แม่นั่งลงที่โต๊ะข้างๆ พี่สาวของหนู แม่อยากเห็นว่าพี่สาวของหนูกำลังเขียนอะไรอยู่ในสมุดน๊า
  • พ่อกำลังผสมเนยกับน้ำตาลเพื่อทำคุกกี้ให้พวกเราได้กินกัน กลิ่นหอมดีจัง เดี๋ยวพ่อจะลองชิมดูก่อนนะ
  • นี่ดูสิ! แม่กำลังใส่ถุงมือเตรียมจะทำงานบ้านแล้ว!
  • ตอนนี้พ่อกำลังเขียนคำว่า “สวัสดีครับ” ขึ้นต้นด้วยตัว ส และลงท้ายด้วยตัว “บ”
ภาษาเด็กเล็ก
ภาษาเด็กเล็ก

การพูดคุยแบบคู่ขนาน (Parallel Talk)

Parallel Talk เป็นเทคนิคที่คุณแม่และคุณพ่ออธิบาย ว่าลูกกำลังทำอะไร หรือสนใจอะไร เมื่อคุณใช้ Parallel Talk คุณจะเป็นเสมือนผู้พากย์เหตุการณ์ ให้คุณดูการกระทำ และอธิบายให้ลูกฟัง โดยไม่ต้องคาดหวังการตอบรับหรือตอบโต้จากลูก ที่สำคัญไม่ควรถามคำถามลูก ระหว่างการพูดคุย แบบ Parallel Talk

ตัวอย่าง Parallel Talk :
หากลูกของคุณเล่นต่อบล็อกคุณอาจพูดว่า: โอ้คุณวางบล็อกสีเหลืองไว้ด้านบน ตอนนี้คุณกำลังเลื่อนสีเขียวถัดจากบล็อกสีแดง หอคอยสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
หากบุตรหลานของคุณกำลังเล่นกับตัวละคร Sesame Street คุณอาจพูดว่า: มาแล้ว Oscar the Grouch เขาขี่รถไปกับ Cookie Monster Cookie Monster อยู่ด้านหลัง เขามองไปรอบ ๆ แล้วรถก็แล่นเร็วขึ้น และเร็วขึ้นไปอีก บรื้นน!

14 เทคนิค ฝึกลูกพูด ให้มีทักษะการพูดที่ดี..ไปจนโต!

สังเกตการพูดของลูก ติดอ่างหรือแค่ พูดซ้ำๆ

ลูกดูดนิ้ว ยันโต ส่งผลต่อโครงสร้างฟันและการพูด ..มาดูวิธีป้องกัน!

สิ่งที่ควรรู้เมื่อต้องใช้การพูดคุยแบบ Self-talk และ Parallel Talk

  • บรรยายถึงสิ่งที่ลูกสนใจ ในขณะที่ลูกของคุณกำลังทอดสายตามองไปรอบ ๆ  ตัว การใช้การพูด ทั้งสองแบบ คือการ “มุ่งเน้นที่เด็กเป็นหลัก” ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องกะเกณฑ์ว่าลูกของคุณจะสนใจหรือตั้งใจฟังคุณหรือไม่
  • พูดในช่วงเวลาสั้น ๆ  อย่าใช้ Self talk ตลอดเวลามิฉะนั้นคุณจะดูเหมือนพ่อแม่ในการ์ตูน สังเกตลูกให้ดี ถ้าลูกกำลังให้ความสนใจอะไรอยู่ ให้พูดประโยคที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ลูกกำลังสนใจได้เลยค่ะ
  • อย่าคาดหวังว่าลูกของคุณจะทำตาม แค่ทำซ้ำๆ ให้ลูกซึมซับ อย่าหวังผลในทันที เพื่อที่ลูกจะได้ใช้ภาษาที่ได้ยินเก็บเอาไปใช้ในภายหลังได้
  • ใช้ประโยคสั้น ๆ ง่ายๆ ที่เป็นมิตรกับเด็ก แทนที่จะพูดว่าเป็น“ ตอนนี้แม่พับเสื้อเชิ้ตสีชมพูลายการ์ตูนเพื่อให้ลูกมีเสื้อผ้าใส่ไปเที่ยวพรุ่งนี้” ลองเปลี่ยนเป็นคำสั้นๆ เช่น  “แม่พับเสื้ออยู่” และ “ นี่คือเสื้อเชิ้ตสีชมพู” เป็นต้น

ประโยชน์ของการพูดแบบ Self Talk และ Parallel Talk

  • ช่วยให้ผู้ปกครองและบุตรหลานพัฒนาความสัมพันธ์

กลยุทธ์ของ Self Talk และ Parallel Talk เป็นจุดเริ่มต้นสิ่งที่ควรพูดคุยเมื่อคุณแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระทำของบุตรหลานและทำตามผู้นำของบุตรหลาน หากบุตรหลานของคุณอารมณ์เสีย Parallel Talk จะช่วยให้เขารู้สึกเคารพและตรวจสอบได้ หากบุตรหลานของคุณมีส่วนร่วมในการเล่นเธอจะสนุกกับเวลาและความสนใจ

ภาษาเด็กเล็ก

  • ช่วยเด็กที่ขี้อายหรือมีข้อ จำกัด ด้านภาษา

Self Talk และ Parallel Talk เป็นวิธีที่ดีในการเริ่มพูดคุยกับเด็กๆ ได้ตลอดเวลา เด็กมีโอกาสที่เปิดกว้างในการพัฒนาด้านภาษา แต่อย่าคาดหวังว่าเด็กจะตอบสนอง เทคนิคเหล่านี้สามารถใช้ได้ผลโดยเฉพาะกับเด็กที่ใช้ท่าทางแทนคำพูด เด็กที่ขี้อาย และกับผู้เรียนภาษาอังกฤษ เป็นวิธีในการเปิดโลกของภาษาให้กับเด็กได้เป็นอย่างดี

ข้อแนะนำในการใช้ Self Talk และ Parallel Talk

ในการใช้ Self Talk และ Parallel Talk คุณจะได้เรียนรู้วิธีการอธิบายแบบใหม่ที่ไม่ใช่การตั้งคำถามลูก แต่เป็นการพูดบอกเล่าที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ลูกกำลังสนใจ การสังเกตการกระทำของลูกอย่างรอบคอบ เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ

อย่างไรก็ตามคุณไม่จำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นในทุกการกระทำ  สำคัญที่การสร้างจังหวะการสนทนาที่เป็นธรรมชาติ และมีช่องว่างเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกของคุณตอบสนองได้หากเขาเลือกที่จะโต้ตอบกับคุณ

การใช้เทคนิค Self talk และ Parallel talk บ่อยๆ จะช่วยส่งเสริมทักษะด้านภาษาให้ลูกได้อย่างเป็นระบบ เมื่อคุณปลูกฝัง และกระตุ้นให้ลูกสามารถพูดและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่อายุยังน้อย ก็มีแนวโน้มที่ลูกของคุณจะมีทักษะความฉลาดในหลายๆ ด้าน ด้วย Power BQ ทั้ง ความฉลาดทางสติปัญญา(IQ)  ความฉลาดในการคิดสร้างสรรค์(CQ) หากรูปแบบประโยค Self talk และ Parallel ที่คุณพูด เกี่ยวข้องกับการแสดงออกอย่างเหมาะสมทางอารมณ์ ลูกก็จะพลอยเรียนรู้และเกิดทักษะ ความฉลาดทางอารมณ์(EQ) ได้ อีกเช่นเดียวกันค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : halseyschools.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพูดช้า ผิดปกติ?

ลูกพูดไม่ชัด แม่เช็กเองได้ด้วยวิธีนี้!

ลูกพูดไม่รู้เรื่อง หรือเรานั่นแหละที่ไม่เข้าใจลูก โดย พ่อเอก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

พี่น้องตีกัน

7 วิธี สยบปัญหา พี่น้องตีกัน พี่น้องทะเลาะกัน ต้องรีบแก้ไข

พี่น้องตีกัน – บ้านที่มีลูกหลายคน คุณพ่อคุณแม่คงรู้ดี ว่าความสัมพันธ์ฉันพี่น้องนั้นอาจมีความไม่ลงรอยในบางครั้ง  การแข่งขันระหว่างพี่น้อง ถือเป็นเรื่องท้าทายที่คนเป็นพ่อแม่จะต้องหาวิธีรับมือให้ได้เพื่อไม่ให้ปัญหาบานปลายใหญ่โต ซึ่งคุณอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “มีลูก 1 คน คุณคือผู้ปกครอง แต่ถ้ามีลูก 2 คน คุณจะกลายเป็น กรรมการ ในทันที”

“ การแข่งขันระหว่างพี่น้องเป็นเรื่องยุ่งยาก” นักจิตวิทยาคลินิก รีเบคก้า เคนเนดี กล่าวว่าเด็ก ๆ มักมองว่าพี่น้องเป็นคู่แข่ง  ต้องการที่จะแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงความสนใจ หรือเรียกร้องความรัก จากพ่อแม่”

สาเหตุทั่วไปของความขัดแย้งในพี่น้อง

ขั้นแรกให้ทำความเข้าใจก่อน ว่าสาเหตุการต่อสู้ของพี่น้องเกิดจากอะไร โดยทั่วไปปัญหาพี่น้องตีกันแต่ละครั้งมักเกิดได้จากการมีบางเรื่องที่ขัดแย้งกัน เช่น ลูกต่อสู้กันเพื่อที่จะแย่งกันกวาดพื้น หรือ ใครจะเป็นคนที่ได้เลือกดูทีวีช่องโปรด หรือบางกรณีอาจเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น

ในบางครั้ง ปัญหาอาจเกิดจากความแตกต่างกันของบุคลิก บางกรณีลูกๆ อาจรู้สึกว่าไม่สามารถแก้ไขการขัดแย้งกันได้ด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่น เด็กอาจรู้สึกว่าแม่หรือพ่อรักพี่น้องของตนมากกว่า เด็กอีกคนอาจรู้สึกไม่พอใจ น้อยใจเพราะเขาคิดว่าเขาทำอะไรเหมือนพี่ไม่ได้ เป็นเพราะเขายังเด็กกว่า หรือพี่น้องบางคนอาจชอบอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่เงียบสงบในขณะที่อีกคนชอบการเล่นผาดโผน ผจญภัย โหวกเหวกโวยวาย

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัย ลองทายนิสัยลูกจากกรุ๊ปเลือด เด็กแต่ละคนมีนิสัยอย่างไรกันบ้าง?!

ทำไม พี่น้องนิสัยต่างกัน ทั้งที่เลี้ยงเหมือนกัน? โดย พ่อเอก

5 ลักษณะนิสัยของเด็กอารมณ์ดีมีความมั่นคงทางจิตใจ

หากคุณกำลังประสบกับปัญหา พี่น้องตีกัน ลองอ่าน 7 วิธี ที่ผู้ปกครองสามารถนำมาใช้ เพื่อช่วยลดปัญหาการแข่งขันกันระหว่างพี่น้องได้ ลองดูค่ะ

7 วิธี สยบปัญหา พี่น้องตีกัน พี่น้องทะเลาะกัน ต้องรีบแก้ไข

1. ขั้นแรกให้สอนเด็ก ๆ ถึงวิธีจัดการกับความขัดแย้งในเชิงบวก

เด็กที่ได้รับการสอนถึงวิธีจัดการความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์ เช่น เปิดรับฟังความคิดเห็นและมุมมองของพี่น้อง จะมีกรอบความคิดที่ดีกว่าในการยุติข้อพิพาทต่างๆ  เด็กที่เติบโตมาโดยได้เรียนรู้วิธีป้องกัน และแก้ไขความขัดแย้งกับพี่น้องจะสามารถเจรจาและจัดการกับความสัมพันธ์ในอนาคตได้ดีทั้งในที่ทำงานและที่บ้าน การเรียนรู้วิธีจัดการกับข้อพิพาทกับพี่น้องจะช่วยให้เด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีทักษะในการแก้ไขความแตกต่างระหว่างบุคคล และจัดการความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี

2. เน้นย้ำถึงความสามัคคีปรองดองว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งครอบครัว

อธิบายให้ลูกฟังว่าครอบครัวของคุณเปรียบเสมือนทีม และเช่นเดียวกับทีมที่ดี ทุกคนไม่ว่าจะเป็นแม่พ่อและลูก ๆ ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้บ้านเกิดความสงบสุขและเปี่ยมไปด้วยความรักเห็นอกเห็นใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน การทะเลาะระหว่างสมาชิกในครอบครัว สามารถทำร้ายทั้งทีม หรือครอบครัวได้

พี่น้องตีกัน

3. เฝ้าดูห่างๆ แต่อย่าเมินเฉย

พ่อแม่บางคนเชื่อว่าการให้ให้เด็กๆ ได้จัดการกับความขัดแย้งด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งนี้จะใช้ได้ผล ก็ต่อเมื่อ เด็กๆ มีพื้นฐานของการจัดการความขัดแย้งด้วยวิธีที่สร้างสรรค์ คิดบวกและยึดถือสันติวิธี แต่ถ้าการโต้เถียงรุนแรงขึ้น หรือมีความก้าวร้าวทางวาจาหรือทางกาย คุณพ่อคุณแม่ควรรีบเข้าไปห้ามทัพในทันที ให้คุณนั่งลงกับพวกเขา และพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น และแสดงท่าทีที่ชัดเจนหนักแน่นจริงจัง ว่าการทะเลาะเบาะแว้งกันไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามไม่ใช่แนวทางปฏิบัติของครอบครัวคุณ

4. ฟังความทั้งสองข้าง

เรื่องราวจะมีสองด้านเสมอในการต่อสู้ของพี่น้อง พยายามให้เด็กๆ แต่ละคน รู้สึกว่าคุณรับฟังโดยไม่ตัดสิน มีอคติ  บ่อยครั้งที่เด็ก ๆ รู้สึกดีขึ้นมาก หลังจากได้ระบายปัญหากับพ่อแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขารู้สึกว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากพ่อแม่อย่างแน่นอนด้วยเหตุและผล

เทคนิค ช่วยลูกค้นพบตัวเอง รู้จักตัวเองไว โตไปชีวิตรุ่ง

เข้าถึงใจลูกด้วยการ รับฟังลูก อย่างใส่ใจ ทักษะที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องไม่มองข้าม

เทคนิค ช่วยลูกค้นพบตัวเอง รู้จักตัวเองไว โตไปชีวิตรุ่ง

5. กระตุ้นให้เด็ก ๆ เจาะจงถึงปัญหา

บอกลูกของคุณให้จดจ่อกับสิ่งที่พวกเขาไม่พอใจ มากกว่าที่จะพูดล่ากล่าวพี่น้อง ตัวอย่างเช่น หากลูกของคุณไม่พอใจที่พี่น้องชอบเป็นคนเลือกก่อนเสมอว่าจะเล่นเกมอะไร พวกเขาควรพูดถึงปัญหา แทนที่จะพูดว่า “พี่นี่ขี้โกงจัง!” โดยให้ลูกฝึกพูดในทำนองว่า “เรามีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการเลือกเกมนะ”  แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่พฤติกรรมแย่ๆ ของพี่น้อง สิ่งนี้จะทำให้การทะเลาะเบาะแว้งคลี่คลายลงได้

พี่น้องคุยกัน

6.ขอให้ลูกแนะนำวิธีแก้ปัญหาบางอย่าง ให้ลูกของคุณคิดสถานการณ์หรือวิธีบางอย่างที่ยุติธรรมสำหรับทั้งสองฝ่าย กระตุ้นให้พวกเขาสวมบทบาทของอีกฝ่ายก่อนที่พวกเขาจะให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาเหล่านั้น

7.สร้างแบบจำลองพฤติกรรมการแก้ปัญหาที่ดี

เด็ก ๆ เฝ้าดูและเรียนรู้จากพ่อแม่เสมอ การยุติความขัดแย้งจากวิธีที่คุณพ่อคุณแม่จัดการปัญหากับคู่ครอง เพื่อนและครอบครัวของเรา หากเราเคารพ ให้เกียรติกันเสมอแม้จะมีความขัดแย้งกันบ้าง ลูก ๆ ของเราจะเรียนรู้และนำทักษะการแก้ไขความขัดแย้งเหล่านั้นมาใช้ได้เองค่ะ

การปลูกฝังการแก้ปัญหา เรื่อง พี่น้องทะเลาะกันหาด้วยวิธีเชิงบวกและเน้นสันติ และการเป็นแบบอย่างที่ดีในการแก้ปัญหาต่างๆ ของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าลูกได้รับการอบรมสั่งสอนในแนวทางเหล่านี้ แน่นอนว่าเด็กๆ จะเติบโตไปพร้อมกับทักษะด้าน ความฉลาดทางคุณธรรม(MQ) เป็นคนที่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว คิดดี ทำดี พูดดี ความเมตตาปรานี และรู้จักให้อภัยผู้อื่นได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งกับการใช้ชีวิตในสังคมที่ใหญ่ขึ้นต่อไปในอนาคตของลูกๆ ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : sports.yahoo.com,verywellfamily.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

15 มารยาททางสังคม สอนลูกให้มีติดตัวไว้ โตขึ้นไปมีแต่คนรักและเอ็นดู

เลี้ยงลูกให้พี่น้องรักกันคุณเองก็ทำได้!

สอนให้พี่น้องรักกัน ด้วย 7 วิธีง่ายๆ ในการปลูกฝังที่พี่คนโต

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ไอโอดีน

อย่ามองข้าม ไอโอดีน สารอาหารสำคัญ ที่จำเป็นต่อทุกวัย!

ไอโอดีน – สารอาหารที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ มีความสำคัญต่อการเติบโตพัฒนาการและสุขภาพที่ดี แม้ร่างกายของเราต้องการเพียงเล็กน้อยแต่ก็ขาดไม่ได้ ไอโอดีนเป็นแร่ธาตุในธรรมชาติ พบมากในสัตว์และพืชทะเล เช่น กุ้งทะเล หอยทะเล ปูทะเล ปลาทะเล และสาหร่ายทะเล เป็นต้น นอกจากอาหารทะเลแล้ว อาหารอื่นๆ ในธรรมชาติก็มีไอโอดีนอยู่เหมือนกัน แต่ในปริมาณไม่มาก

อย่ามองข้าม ไอโอดีน สารอาหารสำคัญ ที่จำเป็นต่อทุกวัย!

ทำไมเราถึงต้องการไอโอดีน

ต่อมไทรอยด์ของเราต้องการไอโอดีนเพื่อผลิตฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญ การเจริญเติบโต และพัฒนาการหากเด็กและผู้ใหญ่ได้รับไอโอดีนไม่เพียงพออาจทำให้ขาดไอโอดีน ทำให้ต่อมไทรอยด์มีขนาดเพิ่มขึ้น ต่อมไทรอยด์โตหรือคอหอยพอก ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อไปนี้ได้

  • ส่งผลโดยตรงต่อการผลิตฮอร์โมน
  • กลืนและหายใจลำบาก
  • พร่องฮอร์โมนไทรอยด์ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ เช่นน้ำหนักเกินเกณฑ์ ผิวแห้ง ผมร่วง เหนื่อยง่าย เป็นหวัดง่าย และซึมเศร้า
  • การเติบโตที่แคระแกรนและความบกพร่องทางสติปัญญา
  • ประสิทธิภาพการทำงานทุกระบบลดลง หัวใจเต้นผิดปกติ รวมไปถึงอาการบวมที่เท้า
ไอโอดีน
อาหารที่อุดมไปด้วยไอโอดีน

ไอโอดีนกับการตั้งครรภ์และให้นมบุตร

ในระหว่างตั้งครรภ์ต่อมไทรอยด์ของผู้หญิงต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ เนื่องจากฮอร์โมนที่สร้างขึ้นช่วยในการเจริญเติบโตของสมองและระบบประสาทของทารกในครรภ์ เนื่องจากต่อมไทรอยด์ของหญิงตั้งครรภ์ทำงานหนักขึ้น จึงต้องการไอโอดีนเสริมเพื่อที่ร่างกายจะได้ไม่ขาดไอโอดีน การขาดไอโอดีนอย่างรุนแรงในหญิงตั้งครรภ์อาจนำไปสู่การแท้งบุตร หรือความพิการทางสติปัญญาในทารก

นอกจากนี้นมแม่เป็นแหล่งของไอโอดีนซึ่งจะช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาท ซึ่งหมายความว่าการขาดสารไอโอดีนในมารดาที่เลี้ยงลูกด้วยนมอาจเสี่ยงต่อทารกได้เช่นกัน

หากคุณกำลังตั้งครรภ์พยายามตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรขอแนะนำให้คุณรับประทานอาหารเสริมไอโอดีน 150 ไมโครกรัม ต่อวัน หากคุณมีปัญหาต่อมไทรอยด์ที่มีอยู่ก่อนแล้วควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริม

นิสัยกินน้อย กินยาก ทำเด็กวัย 1-3 ปีมีโอกาสขาดสารอาหารมากกว่าวัยอื่น

22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

ไทรอยด์เป็นพิษ ลูกเป็นแต่เล็ก ส่งผลต่อพัฒนาการล่าช้า

แหล่งที่มาของไอโอดีน

การรวมอาหารต่อไปนี้ในอาหารของครอบครัวในแต่ละสัปดาห์ ช่วยให้แน่ใจได้ ว่าคุณและลูก ๆ จะได้รับไอโอดีนในปริมาณที่เพียงพอ

อาหารทะเล: ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทานอาหารทะเล 2-3 มื้อต่อสัปดาห์ หากคุณกำลังตั้งครรภ์คุณควรระมัดระวังในการเลือกปลา เพราะปลาบางชนิด เช่น ปลาทูน่า มีสารปรอทสูงกว่าปลาชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ ปลาสีกุน ปลาทูนึ่ง ปลากระบอก กุ้งทะเลตัวเล็ก หอย ปู และสาหร่ายทะเลสำหรับทำแกงจืด ก็เป็นแหล่งอาหารที่ดีมากของไอโอดีน
ไข่และผลิตภัณฑ์จากนม: ไข่ไก่ ไข่เป็ด เป็นแหล่งอาหารที่ดี ของไอโอดีน นอกจากนี้สำหรับคนที่ทานมังสวิรัติอาจต้องพิจารณาอาหารเสริมไอโอดีน หรืออาหารมังสวิรัติที่อุดมด้วยไอโอดีน เช่น นมถั่วเหลือง และสาหร่ายทะเล เป็นต้น

ไอโอดีน

คนเราต้องการไอโอดีนมากแค่ไหน

ค่าอ้างอิงขิงปริมาณไอโอดีนที่ควรได้รับต่อวัน

  •  0-6 เดือน ต้องการ 90 ไมโครกรัมต่อวัน
  • 7-12 เดือน ต้องการ 90 ไมโครกรัมต่อวัน
  •  1-8 ปี ต้องการ 90 ไมโครกรัมต่อวัน
  • 9-13 ปี ต้องการ 120 ไมโครกรัมต่อวัน
  • 14-18 ปีและผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ต้องการ 150 ไมโครกรัมต่อวัน
  • หญิงตั้งครรภ์และผู้ที่พยายามตั้งครรภ์ ต้องการ 250 ไมโครกรัมต่อวัน
  • สตรีที่ให้นมบุตร ต้องการ 250 ไมโครกรัมต่อวัน

ทำไมบางคนถึงได้รับไอโอดีนไม่เพียงพอ

สาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากการที่ปัจจุบันหลายครอบครัวลดเกลือออกจากอาหารทำให้ปริมาณไอโอดีนลดลง แม้ว่าจะเติมเกลือลงในมื้ออาหาร แต่ก็มักจะอยู่ในรูปของเกลือธรรมดาหรือเกลือทะเลแทนที่จะเป็นเกลือแกงเสริมไอโอดีน

การได้รับไอโอดีนที่มากเกินไป

เป็นไปได้ที่ร่างกายมนุษย์จะได้รับไอโอดีนมากเกินไป แต่การบริโภคในระดับสูงในครั้งเดียวที่เป็นอันตรายนั้นค่อนข้างยาก เพราะอาจต้องต้องกินชีสถึง 1 กก. หรือไข่ต้ม 25 ฟอง หรือดื่มนม 5 แก้วต่อหนึ่งครั้งเพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณไอโอดีนที่มากเกินไป ยาและอาหารเสริมบางชนิดอาจมีไอโอดีนในปริมาณสูง นอกจากนี้ร่างกายบางคนอาจมีความไวต่อไอโอดีนมากเป็นพิเศษซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหากับต่อมไทรอยด์ หรือ เกิดผื่นคันจากการแพ้ (หรือถึงกับเกิดอาการช็อกได้) สิวขึ้น มือเท้าชา แขนขาอ่อนแรง นอกจากนี้ไอโอดีนที่มากเกินไป อาจยับยั้งการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน จนอาจนำไปสู่ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน ไปจนถึงภาวะผิดปกติต่างๆของร่างกาย

หากคุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญกับเรื่องสารอาหารต่างๆ ที่ร่างกายควรได้รับอย่างเหมาะสม เพื่อให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ อย่าลืมที่จะปลูกฝังแนวคิดนี้ให้กับลูกๆ ของคุณด้วยค่ะ เพื่อที่ในอนาคตลูกของคุณจะได้มีทักษะของ ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี(HQ) คุณพ่อคุณแม่สามารถแนะนำให้ลูกฉลาดเลือกได้ว่าอาหารที่ทานมีประโยชน์ต่อร่างกายมากน้อยอย่างไร ทำให้ลูกได้เห็นถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี และการใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน แน่นอนว่า หากลูกๆ มีทักษะนี้แล้วเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างมีความสุขด้วยการมีสุขภาพที่ดีได้แน่นอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : raisingchildren.net.au

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

10 เช็กลิสต์ 12 วินัยป้องกันลูกเป็น โรคขาดสารอาหาร!!

“ โปรตีน” สารอาหารสำคัญช่วยให้ลูกสมองดี

10 อาหาร บำรุงสมองลูกยิ่งกิน ยิ่งความจำดี-ไอคิวสูง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกเล่นเท้าเปล่า ลูกไม่ยอมใส่รองเท้า พ่อแม่ควรห้ามหรือควรปล่อย?

ลูกไม่ใส่รองเท้า – บางครั้ง เวลาลูกๆ วัยเตาะแตะ ไม่ยอมสวมรองเท้าไปวิ่งเล่นนอกบ้าน ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะพูดยังไงแต่ดูเหมือนลูกจะไม่สนใจ เราพลอยคิดไปว่าลูกดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง แต่ความจริงแล้วพฤติกรรมต่อต้านนี้ มีอะไรบางอย่างสำคัญกว่าที่เราคิดค่ะ

ลูกเล่นเท้าเปล่า ลูกไม่ใส่รองเท้า พ่อแม่ควรห้ามหรือควรปล่อย?

คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่? จริงๆ แล้วการเดินเท้าเปล่า ก็มีประโยชน์สำหรับเด็กๆ ค่ะ อย่างที่เราทราบกันดี ว่าเด็กทารก เกิดมาพร้อมกับเท้าเปล่าๆ ขนาดน้อยๆของเขา การเดินเท้าเปล่ามีส่วนช่วยให้เด็กมีพัฒนาการในการเดินได้ดีกว่า ช่วยให้พวกเขาทรงตัวได้ดีและหลีกเลี่ยงการหกล้มเจ็บตัวได้

อย่าเพิ่งวิตกกังวลเกินไป หากลูกของคุณเพิกเฉยต่อคำพูดของเรา เช่น“ ห้ามวิ่งเท้าเปล่านะลูก” หรือ“ ใส่รองเท้าก่อนเล่นนอกบ้านนะ” เราอาจไม่สบายใจเมื่อลูกวัยเตาะแตะ ฝ่าฝืนกฎที่กำหนดไว้ แต่พึงระลึกไว้เสมอ ว่าพฤติกรรมดื้อรั้นของลูก เป็นการตอกย้ำบุคลิกภาพของเขาเองค่ะ ด้วยเหตุผลเดียวกับที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เด็กเดินเท้าเปล่าเช่นเดียวกับเมื่อคุณอยู่บนชายหาด อย่างไรก็ตามเมื่อคุณอยู่ในบ้านคุณอาจต้องเลือกใช้ถุงเท้าชนิดที่มีพื้นกันลื่นให้ลูก สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกอุ่นใจในการเดินและปกป้องเขาจากการลื่นล้ม

เชื่อหรือไม่ว่าเท้าของทารกมีการประมวลผลประสาทสัมผัสที่ดีกว่ามือของพวกเขายาวไปจนถึงอายุ 9 เดือน ดังนั้นเท้าจึงมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ต่อพัฒนาการทางระบบประสาทของทารก สำหรับทารกแล้วเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญที่ใช้เชื่อมต่อกับโลกแห่งการเรียนรู้

ลูกไม่ยอมใส่รองเท้า
ลูกไม่ยอมใส่รองเท้า

นอกจากนี้การเดินเท้าเปล่ายังช่วยเพิ่มการรับรู้พื้นที่สัมผัสของเด็กๆ เนื่องจากเท้าของเด็กเคลื่อนไหวตลอดเวลา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การปล่อยให้เท้าของลูกคุณปราศจากรองเท้าที่บีบรัด จะส่งผลให้พัฒนาการของระบบประสาทดีขึ้น สิ่งนี้จะส่งผลการเจริญเติบโตที่ถูกต้องของความสามารถในการเคลื่อนไหวของเด็ก และอีกมากมาย! การสัมผัสที่ลูกของคุณได้รับผ่านเท้าเปล่า จะทำให้ลูกรับรู้ร่างกายของตัวเองได้ดีกว่า

5ประโยชน์ของการ วาดรูประบายสี ที่สะท้อนพัฒนาการลูก

ระวัง! ของเล่นอาบน้ำ เป็ดเหลือง ทำลูกติดเชื้อ เสี่ยงตาบอด

รวม เพลงเป็ด เพลงเด็กอนุบาล ฝึกร้องเล่นเต้น เสริมพัฒนาการ ให้ลูกน้อยอารมณ์ดี

5 เหตุผล ที่ควรปล่อยให้ลูกเล่นเท้าเปล่า

จำวันที่ไร้กังวล และเท้าเปล่าๆ บนผืนทรายได้มั้ยคะ? ทรายอุ่น ๆ ระหว่างนิ้วเท้าของคุณ? มีก้อนหิน หรือ เปลือกหอย ทิ่มแทงใต้ฝ่าเท้าของคุณ ครั้งสุดท้ายที่ลูก ๆ ของคุณเดินเท้าเปล่าออกไปข้างนอก คือเมื่อไหร่? ครั้งสุดท้ายที่คุณทำ คือเมื่อไหร่?

การวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ให้เห็นว่าการเดินเท้าเปล่าไม่ได้เป็นเพียงแค่การสร้างความทรงจำในวัยเด็กเท่านั้น แต่เป็นการฝึกฝนที่อาจเปลี่ยนแปลงสุขภาพที่เราทุกคนควรนำไปปฏิบัติเป็นประจำทั้งเด็กและผู้ใหญ่! ซึ่งผลการวิจัย ระบุถึงเหตุผลที่ควรปล่อยให้ลูกเดินเล่นเท้าเปล่าดังนี้

1. ได้สัมผัสกับพลังจากธรรมชาติโดยตรง
การเชื่อมต่อผิวหนังของคนเราโดยตรงกับพื้นผิวธรรมชาติของโลก ประจุลบจากโลกจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของเรา สิ่งนี้จะชดเชยมวลของประจุบวกที่เราดูดซับทุกวันจากการอาศัยอยู่ในโลกที่รายล้อมไปด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า Wi-Fi และ สัญญาณโทรศัพท์มือถือ การเชื่อมต่อกับพื้นผ่านฝ่าเท้าของเราจะช่วยคืนสมดุลตามธรรมชาติให้ร่างกายได้

2. ต่อต้านอนุมูลอิสระและนอนหลับสบายขึ้น
ความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้า การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน และโรคเรื้อรังต่างๆ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการอักเสบที่เกิดจากอนุมูลอิสระ การเพิ่มจำนวนประจุลบในร่างกายของเรามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมอนุมูลอิสระให้อยู่ภายใต้การควบคุม และวิธีที่ง่ายที่สุดในการทำเช่นนั้น คือการเดินเท้าเปล่า การได้เดินเท่าเปล่าเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงบนพื้นผิวธรรมชาติของโลกจะทำให้ร่างกายของเรามีเวลาดูดซับประจุลบที่จำเป็นเหล่านั้น การส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้มีชั่วโมงแห่งการเดินเท้าเปล่าร่วมกับคุณ อาจช่วยปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับของทุกคนในบ้านได้!

ลูกไม่ยอมใส่รองเท้า

3. กระตุ้นระบบประสาท
เมื่อเด็กสวมรองเท้าเดินเล่นบนพื้นหญ้าหรือหาดทราย พวกเขาอาจพลาดประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสขั้นพื้นฐานที่สุดของพวกเขาซึ่งทั้งหมดนั่นคือความรู้สึกของสิ่งต่างๆ ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า เท้าของเรามีจุดปลายประสาทเพื่อกระตุ้นไปยังอวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย การสวมรองเท้าทำให้ประสิทธิภาพของปลายประสาทเหล่านี้ลดลงไป

อุทาหรณ์จากแม่! ลูกเล่นไอแพด จนระบบประสาทมีปัญหา

วิจัยชี้! เด็กที่กิน อาหาร 5 หมู่ ไม่ครบ อาจเตี้ยกว่าเพื่อน 20 ซม.

5 ผลเสียหากให้ลูกต่ำกว่า 2 ขวบกินอาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน !!

4. เสริมสร้างข้อต่อและกล้ามเนื้อ
การเดินเท้าเปล่าช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เท้าและข้อเท้าของเด็กช่วยเพิ่มความสมดุลและท่าทาง ช่วยกระชับส่วนโค้งของเท้าเสริมสร้างความแข็งแรงและปรับปรุงการจัดตำแหน่งของกล้ามเนื้อทั่วทั้งขา ในทางกลับกันสิ่งนี้จะช่วยป้องกันปัญหาความมั่นคงในข้อต่อ เช่นสะโพก หัวเข่า และข้อเท้าลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บในภายหลัง

5. ส่งเสริมการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ
การถอดรองเท้าเดินกับพื้น ทำให้เด็ก ๆ สัมผัสกับสภาพแวดล้อมมากขึ้น เช่น ความรู้สึกจากการเหยีบพื้น? มีหินแหลมคมอยู่ข้างหน้าหรือไม่? อะไรคือเสียงกรอบแกรบในพุ่มไม้? ประสาทสัมผัสของพวกเขาจะได้ทำงานมากขึ้น  ทำให้เกิดความดื่มด่ำไปในโลกของธรรมชาติที่พวกเขากำลังเดินผ่านไป พวกเขารู้สึกได้ถึงใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาที่พื้น ความนุ่มของหญ้า ความคมของหนาม เมื่อประสาทสัมผัสทั้งห้าทำงานอย่างเต็มที่ พวกเขาจะเชื่อมต่อกับธรรมชาติอย่างสมบูรณ์และจะมีเวลาไหนดีไปกว่าวัยเด็ก ในการพัฒนาความรักในการอยู่ในโลกของธรรมชาติ?

ประโยชน์อื่น ๆ ของการให้ลูกเดินเท้าเปล่า:

  • ช่วยหลีกเลี่ยงการขับเหงื่อของเท้าและเชื้อราที่เท้า
  • ปรับท่าทางของเท้าที่เหมาะสำหรับการเริ่มหัดเดิน
  • การเดินเท้าเปล่าจะทำให้หัวเข่าทำงานน้อยลง และช่วยให้ขาแข็งแรงขึ้น
  • การไม่สวมรองเท้ามีประโยชน์ต่อกล้ามเนื้อฝ่าเท้าและข้อเท้า
  • การเดินด้วยเท้าเปล่าจะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีและผลิตออกซิเจนได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม บนพื้นผิวนอกบ้านที่คุณพ่อคุณแม่ไม่แน่ใจว่าอาจมีเชื้อโรค หรือพยาธิต่างๆ แฝงอยู่ เช่น จากมูลสัตว์ โดยเฉพาะพื้นดินที่ชื้นแฉะอาจเสี่ยงต่อการมีพยาธิแฝงอยู่ ดังนั้นก็อาจพิจารณาตามความเหมาะสมในการปล่อยให้ลูกเดินเท้าเปล่าค่ะ เพราะหากลูกเกิดติดเชื้อโรคขึ้นมาก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ดี

ทั้งนี้การส่งเสริมให้ลูกได้เดินเท้าเปล่า วิ่งเล่นเท้าเปล่าบ้าง จะช่วยส่งเสริมทักษะด้านความฉลาดในการเล่น (PQ) “การเล่น” ถือเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเด็กให้เกิดขึ้นได้หลายทาง เป็นการปูพื้นฐานทางด้านสติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคม การแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันต่าง ๆ ได้เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : youaremom.com,ecoexplorers.com.au

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ทำความรู้จัก Surfskate กีฬาสุดฮิต เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นดี

ทำไมต้อง จักรยานขาไถ 10 เรื่องที่ควรรู้ ก่อนซื้อให้ลูกเล่น

โรคเท้าปุก คืออะไร พร้อม 4 วิธีสังเกต

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่