Page 121 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

อาการผิดปกติ

10 อาการผิดปกติ ตอนท้อง ที่แม่ควรรีบไปหาหมอ!

อาการผิดปกติ – ช่วงเวลาที่น่าประทับใจ และน่ายินดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของผู้หญิง คือ ช่วงเวลาที่ได้มีโอกาสดูแลและเลี้ยงดูทารกน้อยให้สมบูรณ์แข็งแรง  แต่ความทุกข์อาจอยู่ไม่ไกลออกไปนัก หากแม่ท้องพบว่าตัวเองมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ หรือมีผลกระทบจากโรค หรือความผิดปกติใด ๆ ก็อาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อทารกในครรภ์ได้  ในบางครั้งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อทั้งแม่และลูกในเวลาเดียวกัน ดังนั้นหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ไม่ควรมั่นใจว่าจะไม่เป็นอะไร หรือลงมือแก้ปัญหาด้วยตัวเองเพียงลำพัง แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดคือปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและได้รับคำแนะนำจากมืออาชีพ  ต่อไปนี้ คือ อาการผิดปกติ 5 ที่พบเจอได้บ่อยซึ่งสามารถเป็นข้อบ่งชี้ของการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติและคนท้องควรต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

10 อาการผิดปกติ ตอนท้อง ที่แม่ควรรีบไปหาหมอ!

การตั้งครรภ์สามารถทำให้เกิดอาการต่างๆ มากมายซึ่งเป็นปกติ ตั้งแต่ ความอยากอาหารไปจนถึงการแพ้ท้อง และแน่นอนคือเรื่องของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น แต่ทว่าอาการที่ผิดปกติก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่าภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญ คือ คนท้องควรต้องตระหนักถึงอาการการผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ ต่อไปนี้ และคุณควรรีบติดต่อแพทย์ทันที :

1. อ่อนเพลียหรือเวียนศีรษะมาก

เป็นเรื่องปกติที่คนท้องจะรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติเล็กน้อยในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ความเหนื่อยล้าและเวียนศีรษะที่ค่อนข้างรุนแรง อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคโลหิตจางได้ โรคโลหิตจางเป็นผลมาจากจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำซึ่งหมายความว่ามีการขนส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายไม่เพียงพอ

นอกเหนือจากความเหนื่อยล้าอย่างมากและหายใจถี่แล้วยังสามารถเห็นภาวะแทรกซ้อนจากการหายใจได้อีกด้วย นี่เป็นอีกข้อบ่งชี้ว่าการขนส่งออกซิเจนไม่มีประสิทธิภาพ โดยปกติแล้วสิ่งนี้สามารถรักษาได้อย่างโดยการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กมากขึ้น หรืออาหารเสริมธาตุเหล็ก

อาการผิดปกติ
อาการผิดปกติ

2. คลื่นไส้อย่างรุนแรง

อาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นอาการที่พบบ่อยโดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์  โดยทั่วไปเรียกว่าอาการ แพ้ท้อง อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามมีเส้นแบ่งระหว่างอาการปกติและผิดปกติ หากแม่ท้องมีการอาเจียนไม่หยุด นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีภาวะที่เรียกว่า อาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง (hyperemesis gravidarum) ซึ่งเป็นภาวะที่มีโอกาสทำให้ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา หากคุณไม่สามารถลดการอาเจียนได้ภายใน 8 ชั่วโมง คุณควรโทรติดต่อแพทย์ของคุณอย่างเร่งด่วน

3. ตรวจช่องคลอด พบว่ามีเลือดออก

การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงประมาณ 20-30% มีอาการเลือดออกในระหว่างการตั้งครรภ์ระยะแรก ในบางกรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในสองสัปดาห์แรกหลังการปฏิสนธิ อาจมีเลือดออกจากช่องคลอดซึ่งเกิดจากไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวเองในเยื่อบุมดลูก ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ในการตั้งครรภ์ระยะแรก อาจเกิดจากการติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI)  หรือการระคายเคืองที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์

อย่างไรก็ตามหากคุณพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอด อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ที่มากขึ้น แนะนำให้ใส่แผ่นรองหรือซับในกางเกงใน เพื่อให้คุณสามารถตรวจสอบได้ว่าคุณมีเลือดออกมากแค่ไหน และเป็นลักษณะเลือดออกแบบใด หากคุณพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดเป็นสีแดงสดจำนวนมาก หรือมีลิ่มเลือดอุดตัน คุณควรโทรติดต่อแพทย์ของคุณ

4. เป็นตะคริวที่ท้องอย่างรุนแรง

ในขณะที่ความเจ็บปวดจากการเตะของลูกน้อยในครรภ์เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังของการตั้งครรภ์ แต่คนท้องควรสังเกตอาการตะคริวหรือปวดท้องอย่างรุนแรง หากอาการตะคริวไม่บรรเทาลงอาจบ่งบอกถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับรกหรือการหยุดชะงักตามธรรมชาติของการตั้งครรภ์ซึ่ง รวมถึงการแท้งบุตร

อาการผิดปกติ

5. ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นผิดปกติ

ความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระหว่างตั้งครรภ์อาจเป็นเรื่องปกติเนื่องจากความเครียดที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย อย่างไรก็ตามหากความดันโลหิตเริ่มสูงขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่นอาการบวมและตาพร่ามัวอาจมีภาวะที่เรียกว่าครรภ์เป็นพิษ หากเป็นเช่นนี้อาจจำเป็นต้องคลอดก่อนกำหนด และทารกอาจต้องใช้เวลาเพิ่มเติมภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อให้มีพัฒนาการตามธรรมชาติต่อไปก่อนออกจากโณงพยาบาลได้

6. การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ลดลง

ในช่วงอายุครรภ์ระหว่าง 13 ถึง 25 สัปดาห์ คุณจะรู้สึกว่าลูกน้อยของคุณเริ่มเคลื่อนไหวได้  ในหลาย ๆ กรณีคุณแม่อาจไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครั้งแรก แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องจำไว้ว่าผู้หญิงแต่ละคน และการตั้งครรภ์ในแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน หากคุณตั้งครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ และไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ให้ปรึกษาแพทย์ของคุณ เมื่อคุณรู้สึกว่าลูกน้อยของคุณเคลื่อนไหวแล้วคุณควรติดต่อแพทย์ของคุณ หากคุณสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ลดลง (น้อยกว่า 10 ครั้งในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมง)

7. มีไข้สูงกว่า 38 °C

คุณอาจคิดว่าการมีไข้เล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าคุณตั้งครรภ์ และมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส และแม้จะทานยาลดไข้แล้วก็ตามแต่ไข้ก็ไม่มีท่าทีจะลดลงดังนั้นการไปพบแพทย์คือทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

8. ปัสสาวะแสบขัด และปัสสาวะบ่อย 

ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ หรือการเปลี่ยนแปลงความถี่ในการปัสสาวะ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ประมาณ 5% ของผู้หญิงสามารเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) ได้ อย่างน้อยหนึ่งครั้งในระหว่างตั้งครรภ์ และในจำนวนนี้ 1 ใน 3 มีแนวโน้มที่จะมีอาการกำเริบ โดยทั่วไป การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจะได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ในกรณีที่การติดเชื้อลามไปถึงบริเวณไตแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด (IV)  ข้อควรระวังคือ อาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การติดเชื้อในไต รวมทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการขัดขวางการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษและการคลอดก่อนกำหนดได้

อาการผิดปกติ

9. ของเหลวในช่องคลอดมีสีหรือกลิ่น

การเกิดมูกหรือตกขาวไม่ใช่เรื่องแปลกในระหว่างตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามของเหลวที่เกิดขึ้นควรเป็นสีใสหรือสีขาวและไม่มีกลิ่น ถ้านอกเหนือจากนี้แสดงว่าอาจเกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นได้ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เจ้าของครรภ์

10. อาการเจ็บท้องคลอด

หากคุณมีอาการเจ็บท้อง คุณควรโทรหาแพทย์ทันที ซึ่งอาการเจ็บท้อง รวมถึงการหดรัดตัวของมดลูก 5 ครั้งใน 1 ชั่วโมงหากอายุครรภ์น้อยกว่า 36 สัปดาห์ การหดรัดตัวของมดลูกทุก ๆ  5 นาที หรือน้อยกว่าเป็นเวลา 1 ชั่วโมง และ /หรือ การแตกของเยื่อบุมดลูกหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “น้ำคร่ำแตก” ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องรีบเดินทางไปพบแพทย์ในทันที

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : raleighob.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เลือดออกตอนท้องอ่อนๆ สาเหตุ ภาวะแท้งคุกคาม แม่ท้องต้องสังเกตให้เป็น!

ครรภ์เป็นพิษเกิดจากอะไร ประสบการณ์ครรภ์เป็นพิษ ต้องยุติการตั้งครรภ์

เลือดออกทางช่องคลอด ไม่ใช่เลือดประจำเดือน สัญญาณอันตรายที่ต้องไปหาหมอ!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    ลูกไม่มีเพื่อน

    เคล็ดลับแก้ปัญหา ลูกไม่มีเพื่อน ลูกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ทำไงดี?

    ลูกไม่มีเพื่อน – การเล่นร่วมกันอย่างเรียบร้อย ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแย่งชิงกัน เป็นทักษะที่เด็ก ๆ ควรได้รับการอบรมสั่งสอน และต้องเรียนรู้ ไม่เพียงแต่จะทำให้บ้านและสังคมมีความสุขมากขึ้น ยังทำให้คุณไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาต่างๆ ที่อาจตามมาเวลาปล่อยให้ลูกเล่นกับคนอื่นหรือกับพี่น้องอีกด้วย ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี หากมีคนมาบอกว่าลูกของคุณชอบแย่งของเล่นเพื่อน หรือเข้าสังคมกับผู้อื่นไม่ได้ ก่อนที่ปัญหาเหล่านี้จะเกิด คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักวิธีการสั่งสอนลูกให้อยู่ร่วมกันกับคนอื่นได้อย่างราบรื่น ต้องสอนลูกยังไงบ้างวันนี้เรามาติดตามกันค่ะ

    เคล็ดลับแก้ปัญหา ลูกไม่มีเพื่อน ลูกเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ทำไงดี?

    จะเป็นอย่างไรหากบุตรหลานของคุณไม่ชอบเข้าสังคมหรือชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวในช่วงปิดภาคเรียนหรือหลังเลิกเรียน ในฐานะพ่อแม่มีบางวิธีที่คุณสามารถช่วยได้ Kristen Eastman ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพพฤติกรรมเด็กกล่าว “ ถ้าลูกของคุณไม่มีเพื่อนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน พวกเขาอาจต้องการแค่การฝึกสอนและฝึกฝนทักษะทางสังคม”

    พ่อแม่ทุกคนรู้ดีว่ามิตรภาพในโรงเรียนมีความสำคัญ เพื่อนจะช่วยเสริมสร้างชีวิต เพิ่มความภาคภูมิใจในตนเองและให้การสนับสนุนทางศีลธรรมที่เราต้องการ เมื่อเราท่องจำตารางสูตรคูณ การพูดอย่างมีพัฒนาการ การหาเพื่อนในโรงเรียนมีความสำคัญพอ ๆ กับการได้รับ เกรด 4 การเรียนรู้วิธีสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนที่ประสบความสำเร็จเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเด็กและเป็นทักษะที่พวกเขาจะต้องปรับใช้ไปตลอดชีวิต

    แต่เด็กบางคนก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการปรับตัวเข้ามาสิ่งสำคัญของปฏิสัมพันธ์ในวัยเด็ก เช่น การแบ่งปันของเล่นหรือการมีส่วนร่วมในการทำให้เชื่ออาจทำให้พวกเขาหลุดรอดไปได้ แม้ว่าพ่อแม่จะหาเพื่อนให้ลูกไม่ได้ แต่ก็สามารถช่วยพัฒนาและฝึกฝนทักษะทางสังคมที่สำคัญได้ หากคุณเห็นบุตรหลานของคุณพยายามหาเพื่อนหรือถูกเด็กคนอื่นปฏิเสธโปรดทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อช่วยเหลือ

    1. สร้างทักษะทางสังคมให้ลูก

    ทักษะทางสังคมไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคนโดยธรรมชาติ เด็กที่หุนหันพลันแล่น และสมาธิสั้นมักแสดงออกในลักษณะที่ขัดขวางความปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับมิตรภาพ  ศาสตราจารย์ แมรี่ รูนี่  นักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสมาธิสั้นและความผิดปกติของพฤติกรรมก่อกวน กล่าวว่า  “พวกเขามักจะมีปัญหาในการเปลี่ยนและควบคุมความโกรธเมื่อไม่เข้าทาง เด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนมากขึ้นอาจทำตัวเหม่อลอยหรือลอยอยู่ตรงขอบของกลุ่มเด็กเล่นโดยไม่แน่ใจว่าจะยืนยันตัวเองอย่างไร”

    ลูกไม่มีเพื่อน
    ลูกไม่มีเพื่อน

    หากคุณสังเกตเห็นว่าลูกของคุณมีปัญหาในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้ลองสอนลูกที่บ้าน โดยเน้นสอนเรื่องการแบ่งปันระหว่างช่วงเวลาเล่นของครอบครัวและอธิบายว่าเพื่อน ๆ คาดหวังพฤติกรรมที่ดีเช่นเดียวกัน เด็กที่หุนหันพลันแล่นจะได้รับประโยชน์จากการฝึกกลยุทธ์ต่างๆ ในการจัดการกับความขัดแย้งระหว่างเพื่อน การสวมบทบาทจะมีประโยชน์มาก แน่นอนว่าในฐานะพ่อแม่คุณควรระมัดระวังในการแสดงพฤติกรรมทางสังคมที่ดีด้วยตัวคุณเองเมื่อพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนของคุณเอง

    สำหรับเด็กที่ต้องการคำแนะนำที่เข้มข้นขึ้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ “สคริปต์โซเชียล” หรือบทสนทนาง่ายๆในชีวิตประจำวันที่เด็ก ๆ สามารถฝึกฝนกับผู้ปกครองได้ คุณสามารถทำงานร่วมกับแพทย์หรือนักบำบัดพฤติกรรมของบุตรหลานเพื่อเลือกสคริปต์ที่เหมาะสมและพัฒนากลยุทธ์ในการซักซ้อมและนำไปใช้ สคริปต์ทางสังคม มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเด็กในกลุ่มออทิสติกที่ต้องการเรียนรู้ทักษะทางสังคมที่สำคัญโดยเจตนา เช่น การสบตาและตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้อื่น

    สุดท้ายนี้หากบุตรหลานของคุณมีปัญหาในการคบหาเพื่อนดร. รูนีย์แนะนำให้นัดพบกับครูของเขา “ บ่อยครั้งเด็ก ๆ จะพูดว่า ‘ทุกคนเกลียดฉัน’ แต่พวกเขาอาจอธิบายไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ครูสามารถให้ความรู้สึกที่ดีขึ้นเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนของบุตรหลานของคุณและแนะนำเพื่อนร่วมชั้นในเชิงบวกมากขึ้นสำหรับการเล่นหลังเลิกเรียน

    2. ฝึกฝนลูกระหว่าง การเล่นแบบ playdates

    Playdates หรือการ การนัดให้ลูกได้มีโอกาสไปเล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ เป็นวิธีที่ดีสำหรับเด็ก ๆ ในการสร้างทักษะทางสังคม รูนีย์แนะนำให้ผู้ปกครองใช้เวลาสักพักก่อนที่ playdates จะทบทวนตัวชี้นำทางสังคมให้กับลูก ๆ กิจกรรมบางอย่างสำหรับ การเล่น playdate ได้แก่ :

    • พูดคุยกับบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับความหมายของการเป็นเจ้าบ้านที่ดี ลูกของคุณจะทำอย่างไรเพื่อให้แขกของลูกรู้สึกสบายใจ?
    • ให้ลูกของคุณเลือกเกมล่วงหน้าสักสองสามเกม บุตรหลานของคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาที่จะต้องเล่นเกมต่อไป
    • ถามลูกว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าแขกของลูกมีช่วงเวลาที่ดี พวกเขายิ้ม? หรือ หัวเราะ? หรือไม่

    ตราบใดที่เด็ก ๆ ไม่หันเหไปสู่การเล่นที่เป็นอันตราย ให้ปล่อยให้ playdate ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น ศาสตรราจารย์ เจมี่ โฮวาร์ด นักจิตวิทยาคลินิกของ Child Mind Institute กล่าวว่า เด็ก ๆ เรียนรู้จากผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการกระทำของพวกเขา ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการฝึกให้เด็กๆ รู้จักการเข้าสังคมในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและมีการสนับสนุนที่ดีจึงมีความสำคัญมาก

    ลูกไม่มีเพื่อน

    3. ให้ความช่วยเหลือเด็กขี้อาย

    เด็กบางคนเข้าสังคมกับเด็กคนอื่นๆ ได้โดยธรรมชาติ แต่ในขณะที่เด็กบางคนอาจต้องการเวลามากขึ้นในการอุ่นเครื่องกับสถานการณ์ใหม่ ๆ อย่ากังวลหากบุตรหลานของคุณลังเลในสถานการณ์ทางสังคมที่ต้องเจอบ้างเล็กน้อย การคาดหวังให้เด็ก ๆ ทุกคนกระโดดเข้ามาเป็นผู้นำกลุ่มนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรุกหรือยัดเยียดที่หนักหน่วงเกินไป อย่างไรก็ตามผู้ปกครองไม่ควรทำผิดพลาด เช่น การกักขังเด็กไว้ที่บ้านเช่นกัน ดร. ราเชล บุสแมน นักจิตวิทยาที่ทำงานกับเด็กที่มีความวิตกกังวล อธิบายว่า “มีความแตกต่างระหว่างการรองรับและการเปิดใช้งาน สำหรับเด็กขี้อายเราต้องการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้พบกับเด็กใหม่ ๆ แต่เราต้องการช่วยเชื่อมต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้พวกเขาอึดอัดเกินไป”

    บุสแมน แนะนำให้วางแผน playdates ที่บ้านของคุณก่อนซึ่งลูกของคุณจะสบายใจที่สุด ชมรมหรือกิจกรรมอื่น ๆ ก็เป็นวิธีที่ดีในการหาเพื่อนเพราะมีโครงสร้างในตัวที่ช่วยลดความวิตกกังวลให้น้อยที่สุด หากบุตรหลานของคุณไม่เต็มใจให้ลองหาเพื่อนที่คุ้นเคยมาร่วมกิจกรรมกับลูก เช่นเดียวกับทักษะทางสังคม ผู้ปกครองสามารถช่วยเด็กขี้อายฝึกซ้อมล่วงหน้าสำหรับสถานการณ์ที่อาจทำให้พวกเกิดความเขากังวลใจ เช่น ต้องไปงานวันเกิดเพื่อน หรือต้องพบปะกับผู้คนกลุ่มใหม่ เป็นต้น

    4. เด็กทุกคนแตกต่างกัน

    ดร. บุสแมนกล่าวว่านอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างเด็กที่ขี้อายและเด็กที่ชอบเก็บตัวและชอบใช้เวลาอ่านหนังสือหรือวาดภาพคนเดียว “ เด็กแต่ละคนในครอบครัวเดียวกันอาจมีขีดจำกัดทางสังคมและระดับความรู้สึกสะดวกใจในการเข้าสังคมที่แตกต่างกัน เด็กที่ชอบความเงียบ หรืออยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงเด็กคนอื่น ๆ” แต่สิ่งสำคัญคือเด็กที่เก็บตัวมากขึ้นจะยังคงได้รับโอกาสในการทำความรู้จักกับเพื่อน บุสแมนแนะนำว่าบุตรหลานของคุณสามารถรับมือกับความคาดหวังได้มากเพียงใด เด็กบางคน เพียงพอแล้วที่จะหาสิ่งเดียวที่พวกเขาชอบทำประมาณสัปดาห์ละครั้ง

    ประการสุดท้ายสิ่งสำคัญคือพ่อแม่ไม่ควรคาดหวังทางสังคมกับเด็กมากเกินไป   “ เด็ก ๆ ต้องการเพื่อนที่ดีเพียงหนึ่งหรือสองคน คุณไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะเป็นเด็กที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในชั้นเรียน”  จำไว้ว่าสิ่งที่สำคัญ คือ หากคุณพ่อคุณแม่หมั่นฝึกฝนทักษะทางสังคมให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก จะช่วยส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะทีสำคัญ ได้แก่ ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี เพื่อให้ลูกสามารถเติบโตขึ้นไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกันผู้คนที่หลากหลายได้อย่างไร้ปัญหา

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : childmind.org

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    9 วิธีสอนลูกไม่ให้แกล้งเพื่อน หรือไปทำร้ายคนอื่น

    7 เคล็ด(ไม่)ลับ สอนลูกให้ซื่อสัตย์ ตรงมาตรงไป โตไปไม่โกง

    เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      คนท้องติดโควิด

      อัปเดท คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร?

      อัปเดท คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร? 

      แม่ท้องทุกคนไม่มีใครไม่กังวลใจกับสถานการณ์โรคระบาดในตอนนี้ เพราะแม่ท้องต้องดูแลอีก 1 ชีวิตที่กำลังจะลืมตาดูโลก หากติดโควิดขึ้นมา จะทำอย่างไร ทีมแม่ ABK จึงขอนำข้อมูลจากกรมการแพทย์ ที่นำเสนอล่าสุดว่าหาก คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร? มาฝากกันค่ะ

       

      ท้อง ติดโควิด
      ท้อง ติดโควิด

      อัปเดต แนวทางในการรักษาหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด

      เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงต่อการเป็น COVID-19 ที่รุนแรง ร่วมกับอาจจะมีข้อจำกัดของทางเลือกในการรักษา
      หลักการรักษา COVID-19 ในหญิงตั้งครรภ์ให้พิจารณาการใช้ยาต้านไวรัสเหมือนกับผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ยกเว้นบางกรณี
      ดังต่อไปนี้
      1. การใช้ favipiravir ในหญิงตั้งครรภ์อาจทำให้เด็กอ่อนในท้องเสียชีวิตหรือพิการได้ (teratogenic effect) ในกรณีที่
      ผู้ป่วยเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์ควรพิจารณาตรวจการตั้งครรภ์ก่อนเริ่มยา
      2. ไม่แนะนำให้ใช้ favipiravir ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาส 1
      3. สามารถใช้ favipiravir ได้ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาส 2 และ 3 ถ้ามีข้อบ่งชี้และแพทย์พิจารณาแล้วว่าจะได้ประโยชน์
      มากกว่าความเสี่ยง โดยมีการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
      4. มีข้อมูลความปลอดภัยของการใช้ remdesivir ในหญิงตั้งครรภ์จำนวนหนึ่งแต่ไม่มาก สามารถใช้ remdesivir ได้ใน
      หญิงตั้งครรภ์ทุกไตรมาส ควรใช้ตามข้อบ่งชี้เหมือนผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ถ้ามีข้อบ่งชี้และแพทย์พิจารณาแล้วว่าจะได้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง โดยมีการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
      5. ยังไม่มีข้อมูลการศึกษา nirmatrelvir/ritonavir ในหญิงตั้งครรภ์ แต่ถ้าแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์มากกว่า
      ความเสี่ยง ให้ใช้ได้ถ้ามีข้อบ่งชี้ โดยมีการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
      6. เนื่องจาก molnupiravir มี teratogenic effect จึงห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ในทุกไตรมาส
      7. หากหญิงตั้งครรภ์มีแนวโน้มอาการรุนแรง ให้รีบส่งต่อโรงพยาบาลที่สามารถดูแลได้ให้เร็วที่สุด ตามดุลยพินิจของแพทย์

      หากแม่ท้องมีอาการหนัก จะได้รับการรักษาอย่างไร? จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกยังมีสุขภาพดีอยู่?

      อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีอาการปานกลาง หรืออาการหนัก ต้องรับไว้ในโรงพยาบาล มีการตรวจติดตามสัญญาณชีพ ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจทารก หรือเรียกว่า CTG ตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์เป็นต้นไป และก็มีการให้ยาตามแนวทางของกรมควบคุมโรค แต่ถ้าอาการแย่ลงอาจจะต้องย้ายเข้า ICU มีการให้เครื่องช่วยหายใจในแง่ของ respiratory support และมีการให้ยาอย่างเหมาะสมเพื่อดูแลต่อไป

      ส่วนในกรณีที่อาการหนัก เป็นมาก ออกซิเจนต่ำ หรือแม่ช็อก อาจมีความจำเป็นต้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพื่อเอาเด็กออกมาก่อน หรือในกรณีต้องปฏิบัติการกู้ชีพ ในการผ่าตัด ถ้าจะต้องผ่าตัดก็แนะนำให้ทำในห้องที่มีความดันลบ การระงับความเจ็บปวดขึ้นอยู่กับวิสัญญีแพทย์ว่าจะเป็นการบล็อคหลังหรือใส่ tube ก็แล้วแต่ สำหรับทีมงานที่จะทำการผ่าตัดแนะนำให้ใส่ full PPE มีการเตรียมทีมกุมารแพทย์ใส่ PPE ในการรับเด็ก สำหรับทารกหลังคลอดจะมีการเช็ดตัว ทำความสะอาดและส่งให้กุมารแพทย์ประเมิน

      แม่ท้องติดโควิด
      แม่ท้องติดโควิด

      อ่านมาถึงตรงนี้ แม่ท้องหลายคนก็จะยิ่งวิตกกังวลก็แล้วใช่ไหมล่ะคะ เพราะแค่ตัวคนเดียวที่ต้องระวังไม่ให้ติดโควิดก็ลำบากมากพอแล้ว แต่แม่ท้องที่ต้องระวังโรคระบาดนั้น ยากขึ้นเป็น 2 เท่า ทีมแม่ ABK จึงขอนำแนวทางการป้องกันโรคโควิด-19 จาก นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์​ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า โดยหลักการสตรีตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์ตามปกติ และดำเนินการป้องกันโรคเหมือนคนทุกคน ทั้งสวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยการล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตา จมูก และปาก โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือแออัด ถ้าจำเป็นต้องเดินทางให้อยู่ห่างจากคนอื่นประมาณ 1.5 เมตร มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับหญิงตั้งครรภ์กับโรคโควิด-19 ดังนี้

      • ควรฝากครรภ์ตามปกติ
      • สวมหน้ากากอนามัย
      • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยการล้างมือบ่อย ๆ
      • หลีกเลี่ยงการสัมผัส ดวงตา จมูก และปาก
      • หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือแออัด
      • ถ้าจำเป็นต้องเดินทาง ให้อยู่ห่างจากคนอื่น (ประมาณ 1.5 เมตร)
      • ส่วนใหญ่ (มากกว่า 2 ใน 3) ของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่แสดงอาการ
      • อาจพบอาการรุนแรงในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะอ้วน อายุมาก มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน (DM, HT)
      • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก อาจพบได้ 2-5%
      • มีโอกาสทารกคลอดก่อนกำหนด 15.1% แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนเรื่องการแท้งบุตร
      • ควรได้รับการดูแลจากสูติ-นรีแพทย์อย่างใกล้ชิด

       

      ทั้งนี้ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีไข้ ไอ เป็นผู้ที่อาศัยอยู่หรือเพิ่งกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและเพื่อให้แพทย์สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับการตรวจและการวินิจฉัยได้

      อย่างที่ทราบกันดี ไวรัสชนิดนี้เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบ คุณแม่ควรติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ พร้อมศึกษาวิธีการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อความปลอดภัยทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ

      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      วิธีเช็กความ เสี่ยงติดโควิด-19 อาการแบบไหนต้องรีบไปตรวจหาเชื้อ

      เปิดจองสิทธิ์ประกันสังคมพื้นที่กทม ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ต้องทำอย่างไร

      CDC ชี้! หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ดีกว่าวัคซีน

      เตือนใส่ หน้ากากอนามัยเด็ก -เบบี๋อันตรายมากกว่าป้องกัน

       

      ขอบคุณข้อมูลจาก : www.komchadluek.net, สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ, กรมการแพทย์

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        พ่อแม่จ๋าเช็กให้ดี กับปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ โฮมสคูล !!

        เทรนด์การศึกษาใหม่มาแรงช่วงการระบาดของโรคโควิด19นี้ โฮมสคูล ดูจะเป็นทางเลือกใหม่ที่พ่อแม่สนใจ แต่อย่าลืมเช็กความพร้อม และปัจจัยที่ต้องมีก่อนตัดสินใจให้ลูก

        พ่อแม่จ๋าเช็กให้ดี กับปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ โฮมสคูล !!

        สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า (โควิด19) ที่ยังคงมีต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันหลากหลายด้าน รวมถึงการเรียนของลูก ข้อจำกัดของการปฎิบัติตัวในสถานการณ์การระบาดนี้ ทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมรวมกลุ่มกันได้อย่างเต็มที่ และเพิ่มความกังวลให้แก่พ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน ทำให้เกิดกระแสความสนใจหันไปหาการศึกษาแบบทางเลือกนอกเหนือจากการเรียนการศึกษาตามระบบในโรงเรียน โฮมสคูลนับว่าเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ได้ดี แต่การทำโฮมสคูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะไม่ยากเกินความพยายามของครอบครัวที่ตั้งใจ ซึ่งก็มีตัวอย่างหลาย ๆ ครอบครัวที่ทำแล้วประสบความสำเร็จให้เห็นก็ตาม ดังนั้นก่อนเริ่มตัดสินใจเรามาลองเช็กความพร้อมของครอบครัวเรากันก่อนดีไหม

        6 ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มทำโฮมสคูล

        • เหตุผลที่ตัดสินใจเลือกโฮมสคูลคืออะไร

        การตัดสินใจเลือกการศึกษาให้แก่ลูกในแนวทางนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจ เนื่องจากแนวทาง และวิธีการไม่ได้เป็นรูปแบบสำเร็จเหมือนดั่งการศึกษาแบบในโรงเรียน ดังนั้นก่อนที่จะทำการตัดสินใจลองมาทบทวนตัวเองดูว่าเหตุผลใดที่ครอบครัวเราจะเลือกในแนวทางนี้ เช่น เห็นด้วยกับแนวคิด อยากจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก ให้เหมาะกับแต่ละคนที่ระดับการเรียนรู้ไม่เท่ากัน หรือมีปัญหามาจากทางโรงเรียน (ลูกถูกบุลลี่ มีปัญหากับครู) หรือมีปัญหาด้านสุขภาพ เป็นต้น การรู้เหตุผลที่แท้จริงที่ต้องการจัดการศึกษาแบบโฮมสคูลก็จะช่วยให้เราหาข้อดี ข้อเสีย ของเหตุผลนั้น แล้วนำมาพิจารณาว่าครอบครัวเราเหมาะสมกับโฮมสคูลจริงหรือไม่ได้

        ความหมายของโฮมสคูล

        โฮมสคูล Homeschool หรือ บ้านเรียน เป็นการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง เป็นผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาด้วยตนเอง เป็นระบบของการบูรณาการการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้จากวิถีชีวิตจริงจากทุกสถานที่ และกิจกรรมต่างๆ ที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มุ่งให้โอกาสผู้เรียนได้ทำในสิ่งที่สนใจ เพื่อการค้นพบความถนัดและความสามารถของตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ หลายๆ ครอบครัวจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อการพัฒนาทักษะชีวิต และความฉลาดทางอารมณ์ นำไปสู่การเป็นผู้คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น รู้วิธีการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือของการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งประเทศไทยรับรองการจัดการศึกษาในรูปแบบนี้ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

         

        โฮมสคูล รูปแบบการเรียนรู้จากชีวิตจริงได้ทุกสถานที่
        โฮมสคูล รูปแบบการเรียนรู้จากชีวิตจริงได้ทุกสถานที่

         

        การตัดสินใจว่าการเรียนแบบโฮมสคูลเหมาะกับครอบครัวคุณพ่อคุณแม่หรือไม่ให้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น

        1. ปัจจัยเรื่องเวลา ลองพิจารณาดูว่าพ่อแม่มีเวลาพร้อมดูแลจริงจังหรือไม่ แนะนำว่าควรมีหนึ่งคนที่มีความพร้อมดูแลเต็มเวลาจะดีกว่า
        2. ข้อดีข้อเสียของการโฮมสคูลตามความต้องการของครอบครัว เพราะเหตุผลของแต่ละครอบครัวแตกต่างกัน จึงควรมานั่งพิจารณาร่วมกันทั้งพ่อแม่ และลูกว่าครอบครัวเราพร้อมสำหรับแนวทางนี้หรือไม่
        3. ถามความคิดเห็นของสมาชิกทุกคนในบ้าน แม้คุณพ่อคุณแม่จะเห็นพ้องต้องกันในการเลือกการศึกษาในแนวโฮมสคูล แต่สิ่งที่ควรทำอีกอย่างคือ การสอบถามลูกของคุณพ่อคุณแม่ว่าพร้อมแค่ไหนกับการเรียนแนวนี้ เพราะอย่าลืมว่าเขาเป็นผู้ที่ต้องได้รับผลมากที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดในการให้เข้าร่วมตัดสินใจได้ถูกต้อง นั่นคือ การให้เขาได้รับรู้ข้อมูลร่วมด้วยกันกับพ่อแม่
        • ทำความเข้าใจกับกฎระเบียบ กฏหมายโฮมสคูลให้ถ่องแท้

        เมื่อเราเข้าใจในหลักการของการจัดทำโฮมสคูลดีแล้ว และเหตุผลของครอบครัวว่าต้องการจัดทำการเรียนแบบนี้ให้แก่ลูกไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามนั่นแสดงว่าคุณพ่อคุณแม่ยอมรับ และต้องเสียสละเวลาในการมาจัดรูปแบบการเรียนรู้ให้แก่ลูกของเรา เบื้องต้นจึงควรต้องทำความเข้าใจในเรื่องกฎระเบียบ กฎหมายในการจัดการศึกษาในรูปแบบโฮมสคูลว่าเราจะจัดการศึกษาให้แก่ลูกได้ในระดับใดบ้าง ซึ่งในส่วนนี้เป็นในส่วนวิธีการได้มาซึ่งวุฒิการศึกษา จึงขออธิบายอย่างคร่าว ๆ ดังนี้

        การศึกษาแบบ Homeschool สามารถเริ่มจัดได้ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา โดยสามารถไปจดทะเบียนตามสถานที่ที่ในแต่ละระดับชั้นกำหนดไว้

        สำหรับระดับปฐมวัย (อนุบาล) จะสามารถจดทะเบียนเพื่อจัดการศึกษาบ้านได้เมื่อเด็กอายุ 3 ขวบ ซึ่งในระดับอนุบาลคุณพ่อคุณแม่จะจดทะเบียนโฮมสคูลให้กับลูกหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าหากพร้อมก็สามารถไปยื่นคำอนุญาตจดทะเบียนในเขตพื้นที่การศึกษาได้เลย

         

        โฮมสคูล เมื่อการเรียนในระบบโรงเรียน ไม่ใช่คำตอบ
        โฮมสคูล เมื่อการเรียนในระบบโรงเรียน ไม่ใช่คำตอบ

         

        ระดับประถมศึกษา ครอบครัวสามารถยื่นขออนุญาตจดทะเบียน และจัดการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาตามภูมิลำเนา

        ระดับมัธยมศึกษา ครอบครัวจะต้องยื่นขออนุญาตจดทะเบียนจัดการศึกษาที่
        – สำนักงานเขตพื้นที่การมัธยมศึกษา
        – ลงทะเบียนเป็นนักเรียนกับ กศน. (การศึกษานอกระบบ)
        – ลงทะเบียนเป็นนักเรียนกับ การจัดการศึกษาทางไกล

        โดยการจดทะเบียนแบบนี้เมื่อเรียนจบการศึกษาในแต่ระดับ ก็จะได้รับวุฒิการศึกษาในระดับนั้น ๆ ซึ่งก็จะสามารถนำวุฒิการศึกษาไปใช้เรียนต่อในระบบได้เลย หรือหากเรียนจบในระดับมัธยมปลายก็จะสามารถนำวุฒิการศึกษาไปสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ตามปกติ

        การยื่นคำขอจดทะเบียนกับเขตพื้นที่การศึกษาจะมีขั้นตอนดังนี้

        1.  ยื่นคำขออนุญาตจัดการศึกษาที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ครอบครัวมีภูมิลำเนาอยู่
        2.  จัดทำแผนการศึกษา ครอบครัวและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องร่วมกันกำหนดตามความมุ่งหมาย หลักการและแนวทางการจัดการศึกษาตามกฏหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
        3. ดำเนินการจัดการศึกษาให้เป็นไปตามแผนการจัดการศึกษาของครอบครัว
        4. ดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามหลักเกณฑ์ และวิธีการวัดผล และประเมินผลของหลักสูตร  การศึกษาขึ้นพื้นฐาน
        5. จัดทำรายงานการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนและสภาพปัญหาที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากำหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
        6. ปรับปรุงผลการเรียนของผู้เรียน ตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเสนอแนะ

        ในที่นี้หากจดทะเบียนกับเขตพื้นที่การศึกษาแม้การจดทะเบียนจะมีขั้นตอนที่มากกว่า แต่จะสามารถขอรับเงินค่าอุดหนุนรายหัวตามที่ สพฐ.กำหนดไว้ได้ด้วย หรือถ้าหากคุณพ่อคุณแม่อยากจะขอจดทะเบียนแบบไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ก็สามารถจดทะเบียนกับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ Homeschool ได้  ซึ่งก็มีโรงเรียนรุ่งอรุณ กทม. และที่หมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี แต่การจดทะเบียนในรูปแบบนี้จะไม่สามารถขอรับเงินอุดหนุนรายหัวได้

        ทุกที่คือห้องเรียน สำหรับเด็ก โฮมสคูล
        ทุกที่คือห้องเรียน สำหรับเด็ก โฮมสคูล

         

        • เริ่มต้นอย่างแข็งแกร่ง

        เมื่อผ่านขั้นตอนการตัดสินใจต่าง ๆ มาได้แล้ว ต่อไปก็เป็นการเริ่มต้นศึกษากระบวนการเรียนรู้แบบโฮมสคูลกันแล้ว ซึ่งในช่วงแรก ๆ อาจเกิดความลังเลขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวลูกเอง หรือสมาชิกในครอบครัว และแม้แต่ตัวคุณเอง สิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถเริ่มต้นกระบวนการได้อย่างแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง คือ การได้เข้าไปพูดคุย เรียนรู้ หาข้อมูลจากผู้ที่ได้ผ่านประสบการณ์มาก่อน ซึ่งก็มีกลุ่มหลากหลายให้พ่อแม่ได้เข้าร่วม เช่น Homeschool Thailand ,Unschooling Thailand ,โฮมสคูลอนุบาล ,โฮมสคูลประถม ,โฮมสคูลกศน และสถาบันการศึกษาทางไกล เป็นต้น กลุ่มเหล่านี้สามารถเป็นแหล่งกำลังใจที่ดี ช่วยในการเลือกหลักสูตรทำความเข้าใจสิ่งที่จำเป็นเกี่ยวกับการทำโฮมสคูล แบ่งปันเทคนิคและแบ่งปันกิจกรรมดี ๆ ได้อีกด้วย

        • เลือกหลักสูตร หรือวิธีการการเรียนรู้

        ในขั้นตอนนี้ อยากทำความเข้าใจโดยการแบ่งวิธีการทำโฮมสคูลออกเป็นวิธีการได้วุฒิการศึกษา (ซึ่งได้กล่าวไปแล้วข้างต้น) กับวิธีการเรียนรู้ ซึ่งหากเราแยกกระบวนการศึกษาแบบโฮมสคูลออกมาเป็นสองวิธีดังกล่าว จะทำให้เราเข้าใจหลักการมากยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้จะขอกล่าวถึงการเลือกวิธีการเรียนรู้ให้แก่ลูกของคุณตามหลักการของการศึกษาแนวนี้ ขอบอกว่าปัจจุบันมีหลากหลายแนวทางให้เลือก เช่น เรียนออนไลน์ เรียนกับครูสอนพิเศษ เรียนรู้ด้วยตนเอง และจัดการเรียนการสอนโดยผู้ปกครอง เป็นต้น หากจะแบ่งประเภทของการเรียนรู้ อาจแบ่งได้อย่างคร่าว ๆ ดังนี้

        1. Traditional เรียนเหมือนโรงเรียนในระบบ ทั้งหนังสือที่ใช้เรียน เพียงแค่ไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียน
        2. Classical Learning How to think เรียนรู้วิธีคิด หาคำตอบจากคำถามที่ตั้งไว้
        3. Charlotte Mason ไม่เน้นหนังสือเรียน ใช้วิธีให้เด็กเป็นผู้พูด เล่าเรื่อง เขียนตอบมากกว่า
        4. Unit Studies เป็นการทำโปรเจค ทำกิจกรรม โดยให้เรียนรู้ผ่านการคิด และลงมือทำกิจกรรมนั้น ๆ
        5. Unschooling ไม่มีหลักสูตร ไม่มีตาราง เรียนรู้จากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน

        อย่างไรก็ตามการเรียนรู้ในรูปแบบโฮมสคูลจะไม่มีรูปแบบตายตัว สามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว สุดท้ายก็จะมีการประเมินผลเพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาตามข้อกำหนดที่มีไว้ เป็นการเช็กได้ว่าเราได้จัดการเรียนรู้มาถูกทางหรือไม่อีกทางหนึ่ง นอกจากการสังเกตผู้เรียน (ลูก) เป็นหลัก

         

        การเรียนนอกห้องเรียน ทุกอย่างน่าเรียนรู้
        การเรียนนอกห้องเรียน ทุกอย่างน่าเรียนรู้

        การสอบแบบ Homeschool พ่อแม่จะเป็นผู้สอบและผู้วัดผลการสอบด้วยตัวเอง

        สำหรับการประเมินผล ครอบครัวจะเป็นผู้ประเมินความรู้ของเด็กตามหลักเกณฑ์ในหลักสูตรขั้นพื้นฐาน หรือตามข้อตกลงที่ตกลงไว้กับทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา  โดยทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะเข้ามาประเมินร่วมกับครอบครัวปีละ 1 ครั้ง ว่ามีพัฒนาการตรงตามที่ครอบครัวประเมินไว้หรือไม่ และกำหนดความสามารถของเด็กว่าเทียบได้ในระดับชั้นใดแล้ว ซึ่งวุฒิการศึกษาที่ได้ก็จะเหมือนกับผู้เรียนในระบบการศึกษา และที่สำคัญวุฒิการศึกษาที่ได้จะสามารถนำเข้าไปเรียนต่อในระบบการศึกษาปกติตามระดับชั้นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้เทียบไว้ได้ด้วย

        • เรียนรู้พื้นฐานการเก็บบันทึก การจัดตารางเวลา

        ส่วนนี้เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในการตัดสินเลือกรูปแบบการเรียนของลูกในแนวทางโฮมสคูล เพราะพ่อแม่ต้องเข้าใจว่า การเรียนในแนวทางนี้ เราต้องเป็นผู้จัดทำทั้งตารางการเรียนรู้ และบันทึกเพื่อไปใช้ในการประเมินของทางภาครัฐอีกที ดังนั้น หากจะเลือกจัดการเรียนการสอนแนวนี้ พ่อแม่ต้องเรียนรู้ในการหลักการจัดทำทั้งตาราง และบันทึก (การเก็บร่องรอย) รวมถึงถามตัวเองว่าพร้อมไหมในการดูแล จัดการเรื่องดังกล่าว

        • ยืดหยุ่น พร้อมปรับตัว เปลี่ยนแปลงแค่ไหน

        มีหลายวิธีในการโฮมสคูลลูกของคุณพ่อคุณแม่ การค้นหาสไตล์ที่เหมาะกับครอบครัวอาจต้องใช้การลองผิดลองถูก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะลองใช้วิธีต่าง ๆ สองสามวิธีตลอดหลายปีที่เรียนแบบโฮมสคูล หรือเพื่อผสมผสานและจับคู่ ซึ่งอาจพบว่าบางแง่มุมของการเลิกเรียนแนวนี้อาจใช้ได้ผลกับครอบครัวของคุณ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้คือเปิดใจรับสิ่งที่เหมาะกับครอบครัวแทนที่จะรู้สึกว่าคุณต้องทุ่มเทไปตลอดชีวิตกับวิธีการเรียนแบบโฮมสคูลโดยเฉพาะ ไม่กล่าวโทษ ไม่รู้สึกผิดหากทำได้ไม่สำเร็จ

         

        โฮมสคูล ทางเลือกหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน
        โฮมสคูล ทางเลือกหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน

         

        การเรียนของลูก เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่พ่อแม่ต่างให้ความสำคัญ ดังนั้นหากเราจะตัดสินใจแบบใด ก็ควรคิดให้รอบคอบ และหาข้อมูลให้รอบด้านเสียก่อนที่จะเริ่ม ก็จะเป็นการช่วยให้ความผิดพลาดนั้นน้อยลงไปได้ อย่างไรก็ตามขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวที่กำลังหาทางเลือกทางการศึกษาให้แก่ลูกน้อยของคุณ หากแน่วแน่ในการเรียนแบบโฮมสคูลแล้วละก็ ความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และความพร้อมก็สามารถช่วยให้ครอบครัวสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้ประสบความสำเร็จไปด้วยดีได้ไม่ยาก

        ข้อมูลอ้างอิงจาก dek-d.com/ www.greelane.com/ Homeschool Thailand
          เจ็บหัวนม

          8 วิธีช่วยแม่ให้นม แม่เจ็บหัวนม ต้องแก้ยังไง?

          แม่เจ็บหัวนม – อาการเจ็บหัวนมเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้สำหรับคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บางคนคิดว่านี่เป็นประสบการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือใครๆ ก็เป็นกัน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้นมบุตรเปิดเผยว่าความเจ็บปวดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการให้นมลูก เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น หากคุณพบว่าคุณมีอาการเจ็บหัวนม  พบว่าหัวนมแตก เป็นแผล หรือมีเลือดออกระหว่างหรือหลังการให้นมลูกนี่คือสิ่งที่คุณทำได้เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ

          8 วิธีช่วยแม่ให้นม แม่เจ็บหัวนม ต้องแก้ยังไง?

          เมื่อคุณมีลูกและเริ่มให้นมลูกครั้งแรกอาการเจ็บหัวนมเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ คุณอาจรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเมื่อลูกดูดนมหรือเมื่อน้ำนมแม่เริ่มลดลง ความเจ็บปวดเล็กน้อยนี้เป็นเรื่องปกติและควรหายไปเมื่อคุณต้องคอยดูแลลูกน้อยของคุณ

          เมื่อเวลาหลายสัปดาห์ผ่านไป การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะสะดวกสบายมากขึ้น แน่นอนว่านี่ไม่ใช่กรณีเสมอไป บางครั้งความอ่อนโยนจะแย่ลงและหัวนมของคุณอาจเจ็บอย่างรุนแรง น่าเสียดายที่อาการเจ็บหัวนมเป็นปัญหาที่พบบ่อยในการให้นมบุตร

          พวกเขาสามารถพัฒนาได้จากหลายสาเหตุรวมทั้งสลักให้นมไม่ดีการใช้เครื่องปั๊มนมไม่ถูกต้องหรือการติดเชื้อ จากนั้นเมื่อคุณมีอาการเจ็บหัวนมอาจนำไปสู่การปล่อยยากน้ำนมแม่มีน้อยหรือการหย่านมก่อนกำหนด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้คุณควรพยายามหยุดอาการเจ็บหัวนมก่อนที่จะเริ่ม นี่คือแปดวิธีในการป้องกันอาการเจ็บหัวนม

          แม่เจ็บหัวนม
          แม่เจ็บหัวนม

          1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกอมหัวนมและลานนมได้ดี

          ลักษณะการดูดเต้าที่ดีเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ประสบความสำเร็จและยังช่วยป้องกันอาการเจ็บหัวนม  เมื่อลูกน้อยของคุณจับเข้าที่เต้านมของคุณอย่างถูกต้องเขาจะมีหัวนมทั้งหมดของคุณและบริเวณรอบ ๆ บางส่วนอยู่ในปากของเขา หัวนมของคุณควรอยู่ลึกเข้าไปในปากของทารก หากทารกแรกเกิดของคุณติดกับหัวนมของคุณเพียงอย่างเดียวเหงือกของเขาจะกดลงในขณะที่เขาพยายามจะดูดนมแม่ เมื่อเขาดูดเฉพาะหัวนมที่บอบบางของคุณอาจทำให้เจ็บหัวนมได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ทารกหิวและจุกจิกอยู่เสมอเนื่องจากลูกของคุณจะไม่ได้รับนมแม่มากนักหากเธอไม่สามารถดูดนมได้ดีและบีบท่อน้ำนมรอบลานนมของคุณ คุณสามารถช่วยป้องกันอาการเจ็บหัวนมได้โดยเรียนรู้วิธีการให้นมลูกอย่างถูกต้องตั้งแต่การให้นมลูกครั้งแรก

          2. ให้นมลูกในท่าที่ดี

          ท่าให้นมที่ดีจะสะดวกสบายสำหรับทั้งคุณและลูกน้อยของคุณและจะกระตุ้นให้เกิดการล็อคที่เหมาะสม 2 ที่ยึดแท่นวางแบบไขว้และที่ยึดลูกฟุตบอล (คลัทช์) จะทำงานได้ดีเมื่อคุณเริ่มออกเดินทางครั้งแรกเนื่องจากทั้งสองตำแหน่งนี้ ให้มุมมองที่ดีขึ้นของหัวนมของคุณและปากของทารก

          การใช้หมอนพยาบาลและที่วางเท้าพยาบาลอาจเป็นประโยชน์ อุปกรณ์เสริมสำหรับการให้นมบุตรเหล่านี้ช่วยยกตักของคุณและทำให้ลูกของคุณอยู่ในระดับเดียวกับเต้านมของคุณ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ดีนั้นง่ายกว่าเมื่อคุณเลี้ยงลูกเพราะไม่ต้องเอนตัว การเอนตัวลงจะทำให้ไม่สบายตัวและอาจทำให้หลังแขนและคอของคุณตึงได้

          คุณยังสามารถสลับตำแหน่งการให้นมที่คุณใช้ในการให้นมแต่ละครั้งได้ เมื่อคุณให้นมลูกในท่าเดิมตลอดเวลาปากของลูกน้อยจะกดจุดเดิมบนหัวนมของคุณเสมอ

           

          แม่เจ็บหัวนม

          3. ทำให้หน้าอกของคุณนิ่มลงเพื่อให้ลูกน้อยของคุณสามารถดูดนมได้

          อาการคัดตึงของเต้านมเป็นเรื่องปกติในช่วงเปลี่ยนถ่ายของการผลิตเต้านมซึ่งคุณน่าจะพบมากที่สุดภายในสองสามสัปดาห์แรกของการให้นมบุตร อย่างไรก็ตามเต้านมของคุณสามารถบีบรัดได้เช่นกันหากคุณพลาดการให้นมหรือหากคุณมีปริมาณน้ำนมแม่มากเกินไป 3 เมื่อเต้านมของคุณบีบรัดและแข็งเป็นเรื่องยากสำหรับทารกแรกเกิดที่จะดูดนม

          เพื่อให้ลูกของคุณง่ายขึ้นคุณสามารถเอานมแม่ออกเล็กน้อยก่อนให้นมแต่ละครั้งเพื่อบรรเทาอาการตึงและทำให้เนื้อเยื่อเต้านมนิ่มลง เมื่อเต้านมของคุณนิ่มลงลูกน้อยของคุณจะสร้างผนึกที่ดีบนเต้านมได้ง่ายกว่ามาก และดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้สลักที่ดีจะช่วยป้องกันการเจ็บหัวนม

          แม่สงสัย ดูแลเต้านม อย่างไรช่วงให้นมลูก

          สัญญาณมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นเพราะอะไร พร้อมวิธีตรวจด้วยตัวเอง

          นม แม่ ให้นมลูกอย่างไรให้สำเร็จภายใน 14 วัน

          4.ให้นมลูกอย่างน้อยทุกๆ 2 ถึง 3 ชั่วโมง

          ทารกแรกเกิดมีกระเพาะเล็ก ๆ และย่อยนมแม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาต้องกินบ่อยๆ ยิ่งคุณรอให้นมลูกนานเท่าไหร่ลูกน้อยของคุณก็จะหิวมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อทารกหิวมากเขาสามารถดูดนมได้มากขึ้น

          หากคุณรอนานเกินไประหว่างการให้นมหน้าอกของคุณอาจบีบรัดทำให้ทารกดูดนมได้ยากขึ้น การรวมกันของสลักที่ไม่ดีและการดูดที่รุนแรงอาจทำให้หัวนมเจ็บได้อย่างรวดเร็ว

          คุณสามารถลดโอกาสของการคัดตึงและการดูดที่แรงเกินไปโดยให้นมลูกตามความต้องการอย่างน้อยทุกๆ 2 ถึง 3 ชั่วโมงและก่อนที่เธอจะหิวเกินไป

          5. ดูแลผิวหนังบริเวณหน้าอกและหัวนมของคุณให้ดี

          ไม่ใช่เรื่องยากที่จะดูแลหน้าอกของคุณเอง คุณไม่ต้องทำอะไรมากเกินไปเนื่องจากหน้าอกของคุณถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นมบุตร คุณยังมีการกระแทกเล็กน้อยบน areola ของคุณที่เรียกว่า Montgomery Glands ที่ให้ความชุ่มชื้นและปกป้องหน้าอกและหัวนมของคุณ แต่คุณสามารถช่วยให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีและป้องกันอาการเจ็บหัวนมได้ด้วยการทำบางสิ่ง

          เมื่อคุณล้างหน้าอกให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้แห้งระคายเคืองและทำให้ผิวหนังบริเวณหน้าอกและหัวนมแตกได้ นอกจากนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมขี้ผึ้งหรือโลชั่นเพื่อป้องกันปัญหาหัวนมก่อนที่จะเริ่ม ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์จำนวนมากไม่เป็นประโยชน์ ในความเป็นจริงพวกเขาสามารถทำให้เจ็บหัวนมแย่ลงได้

          อย่างไรก็ตามหากคุณมีหัวนมแห้งแตกอยู่แล้วหรือหากคุณอาศัยอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งคุณอาจได้รับประโยชน์จากมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงหัวนม มีผลิตภัณฑ์บางอย่างเช่นลาโนลินเกรดทางการแพทย์หรือครีมทาหัวนมอเนกประสงค์ (APNO) ของดร. แจ็คนิวแมนที่ช่วยผ่อนคลายและเป็นประโยชน์

          หากคุณคิดว่าคุณอาจต้องการมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่หัวนมให้ปรึกษาแพทย์ของคุณ เธอสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับคุณให้ใช้ในขณะที่คุณให้นมบุตร

          แม่เจ็บหัวนม
          แม่เจ็บหัวนม

          6.ป้องกันการรั่วซึมของน้ำนมและเปลี่ยนแผ่นซับน้ำนมบ่อยๆ

          อาจเป็นเรื่องยากที่จะทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นหนึ่งในผู้หญิงจำนวนมากที่มีปัญหาการรั่วซึมบ่อยครั้ง แต่พยายามดูแลหน้าอกเสื้อชั้นในและแผ่นซับน้ำนมให้สะอาดและแห้ง ใส่ชุดชั้นในพยาบาลที่สะอาดทุกวันและเปลี่ยนทุกครั้งที่เปียกหรือสกปรก หากคุณใส่แผ่นซับน้ำนมพยายามอย่าใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่มีพลาสติกหรือซับที่กันน้ำได้เนื่องจากมีความชื้น

          ให้เลือกแผ่นซับน้ำนมที่ซักและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติหรือแผ่นรองซับน้ำนมแบบใช้แล้วทิ้งที่ระบายอากาศดูดซับและสวมใส่สบาย ไม่ว่าคุณจะชอบแผ่นรองพยาบาลแบบใช้ซ้ำได้หรือแบบใช้แล้วทิ้งก็ตามอย่าลืมเปลี่ยนบ่อยๆ การเจริญเติบโตของแบคทีเรียหรือเชื้อราอาจทำให้ผิวหนังของคุณพังและนำไปสู่อาการเจ็บหัวนมเชื้อราหรือการติดเชื้อที่เต้านม หากคุณทิ้งแผ่นซับน้ำนมที่เปียกไว้บนผิวหนังเป็นระยะเวลานานสิ่งเหล่านี้สามารถให้สภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับจุลินทรีย์ที่จะเติบโต

          ป้าหมอเผย วิธีเตรียมเต้า กระตุ้นน้ำนม ก่อนคลอด

          วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน ทำความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรค

          คุณแม่มือใหม่เลือก เครื่องปั๊มนม แบบไหนดี ใช้งานคล่องตัว ปั๊มได้ไม่สะดุด

          7. ระมัดระวังการเอาทารกออกจากเต้านม

          เมื่อลูกของคุณเข้าเต้าได้ดี และกินนมแม่ได้อยากราบรื่น ลูกจะสร้างรอยผนึกที่แน่นหนาระหว่างปากกับเต้านมของคุณ ในตอนท้ายของการให้นมเธออาจปลดผนึกและปล่อยเต้านมของคุณเองหรือเธออาจจะอยู่ติดกับคุณแม้ว่าเธอจะหลับไปก็ตาม

          หากลูกน้อยของคุณไม่ปล่อยคุณไปด้วยตัวเองเมื่อสิ้นสุดการให้นมอย่าดึงเธอออกจากเต้านมของคุณ การดึงปากของเด็กออกจากเต้านมหลังการให้นมอาจทำให้หน้าอกและหัวนมเสียหายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณทำซ้ำแล้วซ้ำอีก

          เพื่อป้องกันไม่ให้หัวนมของคุณเสียหายให้ใช้เวลาในการเรียนรู้เทคนิคที่เหมาะสมในการเอาลูกออกจากเต้านม การวางนิ้วลงที่ด้านข้างของปากของทารกเบา ๆ คุณสามารถทำลายการดูดของสลักได้อย่างปลอดภัย จากนั้นเมื่อคุณทำลายผนึกนั้นคุณสามารถเกี่ยวนิ้วของคุณไปรอบ ๆ หัวนมเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกบีบขณะที่คุณเอาเต้านมออกจากปากของทารก

          8. ใช้เครื่องปั๊มนมอย่างถูกวิธี

          ไม่ว่าคุณจะปั๊มนมอยู่ตลอด หรือปั๊มเป็นครั้งคราวเพื่อบรรเทาอาการคัดตึงของเต้านมหรือเพิ่มปริมาณน้ำนมคุณควรใช้เครื่องปั๊มนมอย่างถูกต้อง หน้าแปลนปั๊ม (โล่ปั๊ม) มีหลายขนาด ดังนั้นอย่าคิดว่าชิ้นส่วนที่มาพร้อมกับเครื่องปั๊มของคุณเหมาะกับคุณ ตรวจสอบดูว่าผู้ผลิตเครื่องปั๊มของคุณทำขนาดอื่นหรือมองหาผลิตภัณฑ์เช่นหน้าแปลนปั๊มนม Pumpin ‘Pal Super Shield เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าหน้าแปลนปั๊มของคุณพอดีกับคุณอย่างถูกต้องและสะดวกสบาย

          ปัญหาอื่น ๆ ของการใช้เครื่องปั๊มนม คือการตั้งค่าการดูดที่แรงเกินไป ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการปั๊มด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นและระดับความแรงของการดูดที่สูงขึ้นจะทำให้มีน้ำนมออกมามาก แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งนี้มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความเจ็บปวดที่หัวนมได้มากขึ้น และอาจส่งผลให้นมแม่น้อยลง ดังนั้นเพื่อป้องกันการเจ็บที่หัวนมและความเสียหายของเต้านมจากการปั๊มนมใ ห้ใช้หน้าแปลนปั๊มที่พอดีและเริ่มด้วยระดับความแรงของการดูดจากเบาๆ ก่อน

          การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นอกจากจะเป็นการสานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่ลูกแล้ว ยังช่วยให้เด็กมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงจากการได้รับสารอาหารที่อุดมไปด้วยประโยชน์จากน้ำนมแม่ มีหลักฐานทางการแพทย์มากมายที่บ่งบอกว่าน้ำนมแม่ส่งผลดีต่อสติปัญญาและสุขภาพที่ดีของทารก เมื่อลูกของคุณคลอดและเติบโตขึ้นด้วยการได้รับนมแม่อย่างเหมาะสม สามารถกินนมแม่ได้นานจนถึงวัยที่แนะนำ แน่นอนว่าจะเป็นการเสริมสร้างสมองของลูกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กยุคใหม่ให้กับลูก ให้ลูกมีความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power  BQ  เช่น ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) , ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)  ได้อีกด้วยค่ะ

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily.com

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          13 สาเหตุการ เจ็บหัวนม อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้าย

          ท่าอุ้มให้นม!จากประสบการณ์จริง เพื่อแม่ หัวนมบอด -สั้น

          คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            ลูกทะเลาะกับเพื่อน

            วิธีรับมือ ลูกทะเลาะกับเพื่อน ต้องเตือนหรือสอนลูกยังไง?

            ลูกทะเลาะกับเพื่อน – ตัวแสบที่บ้านแม่ๆ มักจะมีเรื่องเทาะเลาะหรือมักมีปัญหากับคนรอบข้างหรือเพื่อนๆ ที่โรงเรียนกันบ้างมั้ยคะ? วันนี้เรามีวิธีดีๆ  ในการแก้ไขความขัดแย้งซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม และการแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับลูกน้อยของคุณมาฝากเพื่อให้ปัญหาการทะเลาะกับเพื่อนๆ หรือพี่น้องลดลงหรือดีขึ้นได้ค่ะ

            วิธีรับมือ ลูกทะเลาะกับเพื่อน ต้องเตือนหรือสอนลูกยังไง?

            ในฐานะพ่อแม่คงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะน่ายินดีนัก ถ้าต้องเฝ้าดูลูกๆ ของเราไม่สบายใจ จากการมีปัญหาทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียน  อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตของเด็กๆ แม้ว่าเด็ก ๆ สำหรับพ่อแม่แล้ว แทนที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาปัญหาชีวิต ผู้ปกครองสามารถช่วยลูก ๆ ได้มากขึ้นกว่านั้น โดยการเป็นผู้สังเกตการณ์ผู้ฟัง โค้ช และเชียร์ลีดเดอร์ ด้วยวิธีนี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ และพบเจอแนวทางที่ดี ว่าพวกเขาจะสามารถจัดการกับประสบการณ์ชีวิตอย่างไร

            เป็นธรรมดาที่คนเราจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่โดยธรรมชาติ สำหรับเด็ก ๆ แล้ว พวกเขาไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการจัดการกับความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพ โลกของเด็กก็มีความขัดแย้งระหว่างเพื่อนฝูงคล้ายกับในวัยผู้ใหญ่ แต่ทว่าความขัดแย้งของเด็กเมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะมีความเข้มข้นกว่า ศาสตราจารย์ ปีเตอร์ โคลแมน  ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยากล่าว  แต่บางครั้งอาจฟังดูแปลกอยู่บ้างว่าการโต้เถียงหรือการเกิดความขัดแย้ง ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่แฝงอยู่

            ลูกทะเลาะกับเพื่อน
            ลูกทะเลาะกับเพื่อน

            เป็นการช่วยเน้นย้ำความจริงที่ว่ายังมีปัญหาในชีวิตที่คนเราต้องหาทางแก้ไข การโต้แย้งยังมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างทักษะทางสังคมและการแก้ปัญหาของมนุษย์เรา “ครอบครัวคือสังคมแห่งแรกของเรา สถาบันแห่งแรกที่เราได้สัมผัสและเรียนรู้เกี่ยวกับกับคู่แข่งและความเป็นมิตร ไปจนถึงการปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ก่อนที่จะพร้อมก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้าและกฎการอยู่ร่วมกันอีกมากมาย

            ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำตามคำแนะนำต่อไปนี้  เพื่อช่วยให้บุตรหลานของคุณรับมือกับการทะเลาะกับเพื่อนไม่ว่าจะเกิดขึ้นในสนามเด็กเล่นหรือในระหว่างการนอนกลางวันที่โรงเรียน

            1. รับฟังและเห็นอกเห็นใจ

            หากลูกของคุณอารมณ์เสียจากการทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อน ให้ช่วยลูกได้สงบสติอารมณ์ด้วยการฝึกสมาธิ หรือการหายใจ  เช่น ให้ลูกหายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วถามว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น กับลูก? ตั้งใจรับฟังสิ่งที่พวกเขากำลังประสบ คุณอาจพูดว่า “แม่เห็นว่าหนูอารมณ์เสียมาก และดูหงุดหงิดไม่เบานะ” การตอบสนองนี้จะช่วยให้ลูกของคุณรู้สึกดีที่ได้ยิน และยังช่วยบ่งบอกอารมณ์ของพวกเขาซึ่งอาจทำให้แสดงความรู้สึกในครั้งต่อไปได้ง่ายขึ้น

            เด็กสามารถเรียนรู้ว่าพวกเขามีความกล้าหาญและมั่นใจที่จะจัดการกับประสบการณ์ในชีวิต พวกเขาสามารถรับผิดชอบในส่วนของพวกเขา ในการสร้างความเจ็บปวดและสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เป็นเรื่องดีที่มีคนรับฟังโดยไม่ช่วยเหลือหรือตำหนิพวกเขา ในกรณีของปัญหาด้านความปลอดภัยเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ว่าคุณอยู่ที่นั่นเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับความช่วยเหลือตามที่ต้องการ

            2. ฝึกให้ลูกได้เห็นมุมมองของเพื่อน

            ควรกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกการมองสถานการณ์จากมุมมองของเด็กคนอื่น ๆ สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อรู้สึกโกรธใครบางคน อาจเป็นเรื่องง่ายที่เด็กจะคิดถึงปัญหาจากมุมมองของตัวเองเท่านั้น ดังนั้นพยายามช่วยให้ลูกของคุณมองเห็นหรือลองนึกถึงมุมมองของเพื่อน ถ้าลูกของคุณเรียกเพื่อนด้วยคำนำหน้าที่ไม่สุภาพ คุณอาจพูดว่า “แม่เข้าใจว่าหนูอารมณ์เสียที่เพื่อไม่ยอมให้ลูกเล่นด้วย” และ “แต่หนูจะรู้สึกอย่างไรถ้ามีคนเรียกชื่อหนูแบบนั้นเหมือนกัน” หลังจากที่พวกเขาตอบคุณ อาจถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่เพื่อนของลูกจะรู้สึกเศร้าหรือโกรธลูก”

             

            ลูกทะเลาะกับเพื่อน
            ลูกทะเลาะกับเพื่อน

            3. อย่าควบคุมความคิดลูกมากเกินไป

            ตราบใดที่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ร้ายแรง เช่น การโดนกลั่นแกล้ง คุณไม่ควรรีบติดต่อกับโรงเรียนหรือผู้ปกครองของเด็กคนอื่น ๆ เพราะปัญหาเรื่องมิตรภาพอาจเกิดขึ้นตลอดชีวิตของลูกได้ ดังนั้นจึงควรเรียนรู้วิธีจัดการปัญหาเหล่านี้ด้วยตนเอง หากต้องการความช่วยเหลือโปรดถามคำถามปลายเปิดกับลูก ตัวอย่างเช่น“ ครั้งหน้าคุณจะทำอะไรให้ดีขึ้นได้บ้าง” และ“ คุณคิดว่าต้องเกิดอะไรขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้” การทำตามขั้นตอนนี้จะช่วยให้พวกเขาสร้างทักษะในการแก้ไขความขัดแย้งและคิดถึงขั้นตอนต่อไปที่อาจต้องทำ

            เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

            เด็กฆ่าตัวตาย เพราะถูกเพื่อนแกล้ง สังคมที่ต้องได้รับการเยียวยา

            ลูกถูกเพื่อนรังแก พ่อแม่จะรับมืออย่างไร?

            4. ถามคำถามเพื่อระบุสิ่งที่เป็นความขัดแย้ง

            ขอให้ลูกของคุณใช้เวลาสังเกตเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น เพื่อที่คุณจะได้ช่วยพวกเขา จำกัดตัวกระตุ้นทางร่างกายที่อาจเกิดขึ้น (ความเหนื่อยล้าความหิว ฯลฯ ) หรืออารมณ์ (ความอิจฉาความเหงา ฯลฯ ) บอกให้เด็ก ๆ พูดคุยกันในประเด็นต่างๆ ในช่วงเวลาที่ต่างคนต่างใจเย็นลงแล้ว พวกเขาสามารถถามคำถามอย่างใจเย็นเช่น “คุณดูโกรธวันนี้ฉันทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า คำถามที่ตรงไปตรงมาสามารถช่วยคลายความโกรธได้โดยเปิดโอกาสให้เพื่อนอีกคนได้อธิบายตัวเองและช่วยให้ลูกของคุณหาสาเหตุของความไม่เห็นด้วย

            5. แก้ปัญหาไปตามขั้นตอน

            เมื่อบุตรหลานของคุณทราบว่าพวกเขาต้องการก้าวต่อไปอย่างไรให้เสนอคำแนะนำตามสิ่งที่พวกเขาเลือก ตัวอย่างเช่นหากพวกเขารู้สึกไม่ดีกับการมีส่วนร่วมในการต่อสู้และต้องการบอกว่าพวกเขาขอโทษให้แสดงบทบาทขอโทษง่ายๆที่อาจได้ผล ตัวอย่างเช่น“ ฉันขอโทษที่เรียกชื่อคุณแบบผิด ๆ ”

            หากพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาทำผิดให้สนับสนุนให้พวกเขาแบ่งปันความรู้สึกกับเพื่อน พวกเขาอาจพูดว่า“ เมื่อวานฉันรู้สึกเศร้าจริงๆ เมื่อคุณไม่สนใจฉัน” บางครั้งเป้าหมายของบุตรหลานของคุณอาจคือการได้เพื่อนที่ดีกว่า ดังนั้นให้ช่วยพวกเขาหาวิธีแสดงออก เช่น“ ฉันชอบเป็นเพื่อนของคุณ แต่คุณไม่สามารถรับสิ่งของของฉันได้โดยไม่ต้องร้องขอ” ในกรณีอื่น ๆ การต่อสู้หมายถึงมิตรภาพสิ้นสุดลงแล้ว หากบุตรหลานของคุณตัดสินใจว่าพวกเขาไม่ต้องการเป็นเพื่อนกับเพื่อนคู่กรณีอีกต่อไปให้เคารพการตัดสินใจของพวกเขา

            6. ฝึกฝนลูกในแนวทางที่คุณต้องการ

            “ เด็กเล็กเป็นฟองน้ำที่ซึมซับสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำและพร้อมที่จะนำมาใช้โดยอัตโนมัติ” ดร. โคลแมนกล่าว “ดังนั้นอย่าสอนทักษะการแก้ไขความขัดแย้งที่สร้างสรรค์ให้กับเด็ก ๆ แต่กลับเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี โดยการใช้อารมณ์กับลูกหรือคู่สมรสของคุณซะเอง ผู้ใหญ่ควรรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตนเอง” ให้ลูกของคุณเห็นช่วงเวลาที่คุณยอมรับว่าคุณทำผิดและพยายามที่จะแก้ไข

            พร้อมไหม ให้ลูกนอนคนเดียว ฝึกลูกให้นอนเองได้ ตอนไหนดี

            เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

            30 คำถามหลังเลิกเรียน ไขปริศนา ลูกถูกเพื่อนแกล้ง หรือไม่?

            ลูกไม่มีเพื่อน

            7. เลี้ยงลูกให้อยู่กับความจริงของโลก

            ผู้ปกครองจำนวนมากกระตือรือร้นที่จะดูแลลูกให้มีความสุขอยู่เสมอ หรือทนไม่ได้ที่เห็นลูก ๆ โกรธ เสียใจ และน้ำตาไหล ด้วยเพราะความต้องการที่จะให้ลูกมีความสุขตลอดเวลาจึงพยายามป้องกันไม่ให้ลูกมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร โดยสอนให้ลูกอยู่ห่างจากเด็กคนอื่น ๆ หรือ อาจถลาเข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาแทนลูก หรือมอบทางออกที่จะยุติการต่อสู้ทันที ในโ,ก แห่งความจริงแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ที่คนเราจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้และความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ตราบใดที่ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม สิ่งที่พ่อแม่ควรให้ลูกได้เรียนรู้ คือ วิธีแก้ไขการต่อสู้เพื่อให้การแก้ปัญหานั้นยุติธรรมสำหรับทุกคน  ในขณะที่คุณเลี้ยงลูก – พยายามเลี้ยงดูเขาในโลกแห่งความจริงที่ซึ่งมีความโกรธความเศร้าและความผิดหวังเกิดขึ้นบ่อยพอ ๆ กับความสุขและความพึงพอใจ

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parents.com,positivediscipline.com,whatparentsask.com

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            ลูกทะเลาะกับเพื่อนเมื่อไหร่ ใช้วิธีเหล่านี้จัดการ

            หมอเตือน! พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูกเสี่ยงลูกพัฒนาการถดถอย สับสนทางเพศ

            4 วิธี ช่วยแก้ปัญหา เมื่อลูกทะเลาะกับเพื่อน

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              สั่งสอนลูก

              อย่าหาทำ! 10 ข้อผิดพลาดในการ สั่งสอนลูก ที่พบได้บ่อย!

              การ สั่งสอนลูก ให้มีวินัย  รู้ว่าอะไรควรไม่ควร อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับพ่อแม่ หากคุณได้ลองใช้วิธีต่างๆ เพื่อให้ลูกของคุณเชื่อฟังหรือเข็ดหลาบ แต่ลูกยังคงไม่สะทกสะท้าน หากคุณตัดสินใจทำบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับลูกด้วยอารมณ์ หรือ ความสิ้นคิด สิ่งเหล่านั้นอาจทำลายความพยายามในการสร้างวินัยที่คุณเคยทำมาทั้งหมดได้ค่ะ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดต่อไปนี้ และจงอดทนในแนวทางที่ถูกต้องที่คุณเคยทำมาตลอด เพื่อให้ลูกมีพฤติกรรมที่ค่อยๆ ดีขึ้นได้ในอนาคต

              อย่าหาทำ! 10 ข้อผิดพลาดในการ สั่งสอนลูก ที่พบได้บ่อย!

               

              1.ดุลูกในที่สาธารณะ

              คุณควรจัดการกับพฤติกรรมที่เป็นอันตรายกับลูก เช่น วิ่งเล่นบนถนน หรือ ผลักเด็กคนอื่นออกจากชิงช้า  แต่สิ่งที่คุณไม่ควรทำอย่างยิ่งในการ ลงโทษหรือสั่งสอนลูก คือการตีสั่งสอนลูกต่อหน้าคนอื่น เพราะเมื่อคุณทำเช่นนั้น ลูกอาจจะจดจ่ออยู่กับผู้อื่นรอบตัวมากกว่าสิ่งที่คุณพยายามจะสอนเขา  Erica Reischer,  มองหาสถานที่ส่วนตัวที่คุณสามารถพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครเห็นหรือได้ยิน หากคุณไม่สามารถหาพื้นที่สำหรับพูดคุยได้ในขณะนั้น ให้บอกลูกถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแบบสั้น ๆ และบอกให้ลูกรู้ว่าคุณจะคุยเรื่องนี้ที่บ้านในภายหลัง

              2.ให้คำแนะนำที่คลุมเครือ

              หากคุณเคยบอกเคยสอนลูกหลายต่อหลายครั้งว่าอย่าโยนสิ่งของต่างๆ ภายในบ้าน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล นั้น เป็นเพราะลูกอาจยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการสอนอย่างแท้จริง  การสอนให้ลูกไม่ทำในสิ่งต่างๆ ที่ไม่เหมาะไม่ควร ต้องไม่ใช่แค่การพูดกับลูกว่า “อย่าทำ…”  แต่ควรต้องบอกให้ชัดเจนและกำหนดแนวทางให้ลูกรู้ บอกลูกว่าสิ่งที่ควรทำกับสิ่งของที่ลูกโยนเหล่านั้น คืออะไร เช่น “แทนที่ลูกจะโยนชุดนอน ลูควรแขวนชุดนอนของลูกไว้ในตู้เสื้อผ้า” เป็นต้น

              สั่งสอนลูก
              สั่งสอนลูก

              3.ให้รางวัลจูงใจในทางที่ผิด

              คุณอาจเคยซื้อขนมเพื่อแลกกับการหยุดความซนและพฤติกรรมที่เหนือการควบคุมของลูกที่เคาน์เตอร์ชำระเงินในซูเปอร์มาร์เก็ต วิธีนี้อาจใช้ได้ผลแค่ในนาทีนั้น “การให้รางวัลกับพฤติกรรมที่ไม่ดีของเด็ก” เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง  หากคุณทำแบบนี้เป็นประจำ ก็อย่าได้แปลกใจถ้าลูกของคุณจะแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการในครั้งต่อไป หน้าที่ของพ่อแม่คือ การสอนให้ลูกตระหนักว่าพฤติกรรมที่เหมาะสมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การรอคอยอย่างอดทน หรือการทำตัวดีกับพี่น้องไม่ได้มาพร้อมกับสิ่งของใด ๆ ตอบแทนเสมอไป

              เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

              5 เทคนิค สอนลูกให้เรียนรู้ จากความล้มเหลว เพื่อลุกขึ้นสู้!

              10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

              4. ละเลยความหิวของลูก

              แน่นอนว่าคุณจะไม่สามารถคาดหวังให้ลูกของคุณอยู่ในอารมณ์ปกติ หรือเชื่อฟังคุณได้อย่างราบรื่น หากท้องของลูกว่างเปล่า (ไม่น่าแปลกใจที่ลูกจะขี้แง!) ความหิวทำให้เด็กขาดสมาธิ และอาจทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้น

              5.ไม่ให้ทางเลือกที่ชัดเจนกับลูก

              เช่น ถ้าลูกบอกอยากไปวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่นใกล้บ้าน แต่คุณแม่บอกแค่ว่า “ไม่ไปลูก” ด้วยความรู้สึกส่วนตัว ลูกอาจเกิดความสงสัย และถามต่อว่าเพราะอะไรคุณถึงไม่ไป แต่ถ้าคุณตอบกลับไปเพียง ว่า “แม่บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ” จากเหตุการณ์นี้ สิ่งเดียวที่ลูกจะทำได้ คือ งงกับสิ่งที่แม่พูด และ อาจเสียความรู้สึก พร้อมเกิดคำถามในใจอย่างมาก

              6. ตะคอกดุลูกอย่างขาดสติ

              สมมุติ ลูกของคุณทิ้งต่างหูคู่โปรดลงชักโครก แล้วคุณตะคอกดุใส่ลูกด้วยความขาดสติ สิ่งนี้จะทำลายความสามารถของคุณในการเข้าถึงใจลูก “ เด็ก ๆ ไม่สามารถซึมซับบทเรียนได้ เมื่อถูกพ่อแม่ใส่อารมณ์กับพวกเขา  เด็กส่วนใหญ่มักเงียบและร้องให้ และไม่สนใจเหตุผลใดๆ หรือเด็กบางคนอาจตอบสนองอย่างรุนแรงต่อการโดนตะคอก

              สั่งสอนลูก

              7. ลงไม้ลงมือกับลูก

              การแสดงออกที่ไม่ค่อยน่ารัก ของเด็กๆ เกิดจากเหตุผลหลากหลายประการ  จำไว้ว่าลูกวัยเตาะแตะยังควบคุมตนเองได้ไม่ดีนัก พวกเขาชอบที่จะทดสอบพ่อแม่ว่าจะห้ามเขาหรือไม่ ถ้าทำสิ่งนั้น สิ่งนี้  เนื่องจากลูกต้องการความสนใจจากพ่อแม่เป็นธรรมดา การสอนด้วยเหตุและผลโดยการใช้วินัยเชิงบวก โดยไม่ลงโทษด้วยการตี จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

              8. เปรียบเทียบลูกกับพี่น้อง

              เมื่อใดก็ตามที่คุณเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น  เช่น “พี่ของหนูเก็บที่นอนเองได้ ทำไมลูกถึงทำแบบพี่ไม่ได้นะ” ด้วย วิธีการสอนแบบนี้ จะทำให้เด็กๆ โดยเฉพาะพี่น้องผู้หญิงไม่พอใจและไม่ลงรอยกันได้ง่ายมาก การสอนเรื่องวินัยต้องมุ่งเน้นไปที่วิธีที่ลูกทำ ไม่ใช่การต้องไปแข่งขันกับคนอื่น เมื่อคุณเลิกเปรียบเทียบระหว่างพี่น้อง คุณจะค่อยๆ เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ลูกจะค่อยๆ ประพฤติตัวดี และมีอารมณ์ฉุนเฉียวน้อยลง ทั้งยังเข้ากันได้ดียิ่งขึ้น

              8 วิธี สร้างวินัยเชิงบวก ง่ายๆ ป้องกันลูกดื้อ เริ่มได้ตั้งแต่ 1 ขวบ

              ลูกจะรู้สึกอย่างไร เมื่อพ่อแม่เปรียบเทียบกับลูกคนอื่น?

              ลูกชอบพูดโกหก เพราะพ่อแม่เข้มงวดกับลูกมากไป

              9. เข้มงวดกับลูกมากเกินไป

              บ่อยครั้งที่พ่อแม่อาจแสดงท่าที หรือออกกฎที่เข้มงวดเกินไป (“ ไม่มีทีวีเป็นเวลา 1 เดือน!”) เมื่อคุณไม่พอใจกับลูกของคุณ แต่เพื่อให้การมีวินัยมีประสิทธิผลนั้นจะต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไม่ใช่ให้เป็นไปตามความหงุดหงิดของคุณ ดร. Reischer กล่าวว่า วิธีนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษที่ไม่ยุติธรรมแต่ยังเป็นความท้าทายอย่างมากในการบังคับใช้อีกด้วย (คุณจะทิ้งเด็กที่น่ารักของคุณต้องหลับไปจริงๆหรือ?) เพื่อป้องกันตัวเองจากการกำหนดบทลงโทษที่ไร้เหตุผลให้ตั้งกฎของบ้านที่คุณจะสะกดผลลัพธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลไว้ล่วงหน้า ตัวอย่างเช่นแจ้งให้บุตรหลานของคุณทราบว่าหากเขาเลือกที่จะไม่ล้างเครื่องล้างจานเมื่อคุณขอให้เขาทำเขาจะต้องทำก่อนที่จะดูรายการโปรดของเขาในภายหลัง

              10. ปล่อยเลยตามเลย

              การบังคับใช้กฎกับลูกอย่างหละหลวม และไม่สม่ำเสมอ จะสอนให้ลูกของคุณ เกิดความเคยชินว่าสิ่งที่คุณห้าม หรือบังคับไม่ใช้เรื่องใหญ่ที่ต้องกลัว”  นอกจากนี้ยังสร้างความสับสนให้กับเด็ก ๆ ได้ หากคุณปล่อยให้ลูกเตะคุณเพื่อความสนุกสนาน ในขณะที่คุณกำลังเล่นลูกอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่จะทำเมื่อลูกโกรธ หลีกเลี่ยงการตกหลุมพรางนี้ โดยพิจารณาความคาดหวังของคุณใหม่เป็นประจำ

              การสอนลูกหรือการเสริมสร้างวินัยให้กับลูก พ่อแม่อาจต้องใช้ความอดทนจนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีได้ในที่สุด แต่สิ่งที่ได้จากการพร่ำสอนลูกอย่างสม่ำเสมอนั้นย่อมคุ้มค่าแน่นอนค่ะ การที่ลูกหลานของเราเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย มีวินัย ใฝ่ความดี และยังมีทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต จากการที่คุณพ่อคุณแม่คอยสั่งสอน จะทำให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power BQ ได้หลายทักษะ ซึ่งทักษะความฉลาดต่างๆ เหล่านี้จะติดตัวลูกไปในอนาคตที่เขาต้องเผชิญกับโลกแห่งความจริง ไม่ว่าจะเป็น ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ)  , ความฉลาดในการคิดบวก (OQ) และ  ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) 

              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parents.com

              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

              เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

              9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

              6 อันตรายนอกบ้าน ที่ควรสอนลูกให้ระวัง!

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                แคท คิดสตัน

                สุดว้าว! แคท คิดสตัน เอาใจคุณหนู ๆ ด้วยคอลเลคชั่นใหม่ Cath Kidston x Beatrix Peter Rabbit

                เอาใจคุณแม่สายช้อปที่กำลังมองหา กระเป๋าเป้ กระเป๋าสะพาย ขวดน้ำ กล่องใส่อาหาร หรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้คุณลูก แต่ตัวคุณแม่เองไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรให้ถูกใจคุณลูก ทางทีมแม่ ABK จึงมีเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับแบรนด์ แคท คิดสตัน ที่ได้เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มาเอาใจคุณหนู ๆ และครอบครัวโดยเฉพาะกับ Cath Kidston x Beatrix Peter Rabbit รับรองว่างานนี้คุณแม่ซื้อของได้ถูกใจคุณลูกอย่างแน่นอนค่ะ

                แคท คิดสตัน

                แคท คิดสตัน (Cath Kidston) แบรนด์ไลฟ์สไตล์สัญชาติอังกฤษ ที่โดดเด่นด้วยลายปริ้นท์เอกลักษณ์แนววินเทจ ร่วมกับ บีทริกซ์ พอตเตอร์ นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ ปลุกความน่ารักของตัวการ์ตูนคาแรคเตอร์ที่ครองใจเด็กทั่วโลกมากว่า 100 ปี อย่าง ปีเตอร์ แรบบิท (Peter Rabbit) เจ้ากระต่ายน้อยแสนซน กับครอบครัว จากวรรณกรรมเยาวชนประเทศอังกฤษ ที่โด่งดังไปทั่วโลก ให้มาโดดแล่นบนลายปริ้นท์อันเป็นเอกลักษณ์ของแคทคิดสตันเป็นครั้งแรก

                แคท คิดสตัน

                สำหรับคอลเลคชั่นนี้ ดีไซเนอร์ได้แรงบันดาลใจจากลายเส้นและภาพวาดคาแรคเตอร์ของนิทานต้นฉบับ นำมาออกแบบ โดยมีปีเตอร์ แรบบิท ครอบครัวและผองเพื่อนเป็นไฮไลท์ อยู่บนลายปริ้นท์โทนสีฟ้า ซึ่งเป็นสีเสื้อแจ็คเก็ตของปีเตอร์ แรบบิทที่ทุก ๆ คนจดจำได้ดี เพิ่มดีเทลดอกดิสซี่ (Ditsy) สไตล์แคท คิดสตัน ทำให้คอลเลคชั่นนี้ดูอบอุ่น ละมุนและสนุกสนาน น่ารักยิ่งขึ้น

                แคท คิดสตัน

                บอกเล่าเรื่องราวสนุก ๆ ในวัยเยาว์ของคุณกับลูก ๆ ผ่านลายปริ้นท์สุดน่ารัก หรือจะชวนกันไปผจญภัย เพลิดเพลินกับธรรมชาติแบบปีเตอร์ แรบบิท ด้วยกระเป๋าเป้, Kids Half Moon Hand Bag กระเป๋าสะพายสำหรับเด็กผู้หญิง, ขวดน้ำพับได้, กล่องใส่อาหาร ฯลฯ

                Cath Kidston

                คุณแม่และคุณลูกที่เป็นแฟน ๆ ของกระต่ายแสนซน ห้ามพลาดกับคอลเลคชั่นสุดพิเศษ Cath Kidston x Beatrix Peter Rabbit ที่มาพร้อมสินค้าหลากหลายให้เลือกอาทิ กระเป๋า, แอคเซสซอรี่, Home และสินค้าสำหรับเด็ก ในราคาเริ่มต้นที่ 390 บาท รับรองว่าจะทำให้ทุก ๆ คนหลงรักเจ้ากระต่ายน้อย Peter มากขึ้นแน่นอน

                คุณแม่สามารถหาซื้อได้แล้วตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.นี้ ที่ร้านแคท คิดสตันทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากคุณแม่ไม่สะดวกไปช้อปที่ร้านแคท คิดตัน คุณแม่ก็สามารถช้อปอยู่บ้านได้เหมือนกันเพียงแค่คุณแม่เข้าไปที่เว็บไซต์ www.cathkidston.co.th คุณแม่ก็สามารถช้อปอยู่บ้านแบบสบาย ๆ ได้แล้วค่ะ

                ขอขอบคุณข้อมูลจาก : cathkidston

                บทความที่น่าสนใจ

                ว้าวเลย! คอลเลคชั่น Love Bugs จากแคท คิดสตัน ได้ใจแม่ โดนใจลูก

                5 ไอเท็มต้องมี เตรียมของใช้คุณแม่ ใกล้คลอดปี 2021

                ครีมทาหน้าคุณแม่ยี่ห้อไหนดี ตอนท้องใช้ได้ หลังคลอดใช้ดี คุณแม่ทั่วประเทศเทใจให้ Smooth E Gold เป็นแบรนด์ในดวงใจ

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  ชื่อภาษาญี่ปุ่น

                  แม่บ้านญี่ปุ่นคัดมาให้!! 100 ชื่อภาษาญี่ปุ่น เพราะๆ ทั้งลูกชายลูกสาว

                  รวม ชื่อภาษาญี่ปุ่น 100 ชื่อสุดฮิต เพราะๆ แม่บ้านญี่ปุ่นคัดมาให้เอง!! บ้านไหนกำลังมองหาไอเดียตั้งชื่อลูกภาษาญี่ปุ่น พร้อมคำอ่านและความหมายดีดี ต้องห้ามพลาด

                  100 ชื่อภาษาญี่ปุ่น ชื่อญี่ปุ่นเท่ๆ ทั้งลูกชายลูกสาว

                  เทรนด์ในการตั้งชื่อลูกในแต่ละประเทศนั้นก็มีความเชื่อแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อลูกให้มีความหมายที่ดี หรือการสะกดตัวอักษรที่ไม่ซับซ้อน สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วจะมีหลักในการตั้งชื่อให้ลูก ชื่อภาษาญี่ปุ่น ใหญ่ๆอยู่ไม่กี่ข้อ เช่น เน้นการนับขีดของตัวอักษรคันจิ หรือการตั้งชื่อตามฤดูกาล หรือการตั้งชื่อตามความหมายที่ต้องการให้ลูกเป็น

                  ซึ่งหนึ่งในการตั้งชื่อสุดฮิตของชาวญี่ปุ่น คือการตั้งชื่อลูกเน้นตามการออกเสียง โดยคุณแม่อุ๋ย หรือคุณแม่โทมิ โมริตะ (Facebook : Morita Tomi) แม่บ้านญี่ปุ่น

                  ชื่อภาษาญี่ปุ่น

                  ได้แนะเทคนิคการตั้งชื่อลูกภาษาญี่ปุ่นนี้ว่า.. เป็นหลักการที่ชาวญี่ปุ่นมักใช้ตั้งให้ลูก บางบ้านก็จะเน้นในส่วนของคันจิด้วย หรือบางบ้านก็เน้นเฉพาะการออกเสียง และเลือกเขียนด้วยวิธีการใช้อักษรฮิรากานะหรือคาตาคานะ ทีมแม่ ABK จึงมี ชื่อญี่ปุ่น มานำเสนอ เป็น ชื่อภาษาญี่ปุ่น ของเด็กผู้ชาย 50 ชื่อ และ ชื่อภาษาญี่ปุ่น เด็กผู้หญิง 50 ชื่อ รวมเป็น 100 ชื่อด้วยกัน พร้อมคำเขียนตัวอักษรญี่ปุ่น คำอ่านภาษาไทย และ ความหมาย จะมีชื่ออะไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ

                  ชื่อญี่ปุ่นผู้ชาย ชื่อภาษาญี่ปุ่น ชื่อญี่ปุ่นเท่ๆ ชื่อเด็กผู้ชาย

                  ลำดับที่ตัวอักษร และ คำอ่าน (ความหมาย)
                  1はると(陽翔)ฮารุโตะ (ใต้ปีกแสงอาทิตย์)
                  2そうた(颯太)โซว์ตะ (เสียงแห่งสายลม)
                  3はるき(悠希)ฮารุคิ (ความหวังอันยาวไกล)
                  4みなと(湊)มินะโตะ (ท่าเรือ)
                  5りく(陸)ริคุ (แผ่นดิน)
                  6あおと(碧人)อะโอะโตะ (ผู้เป็นเจ้าของอัญมณี)
                  7ゆいと(結翔)ยุยโตะ (ช่อบูเก้ปีกนก)
                  8ゆうと(悠人)ยูว์โตะ (ผู้ที่น่าค้นหา)
                  9あおい(蒼)อะโอะอิ (สีฟ้าเข้ม)
                  10いつき(樹)อิสึกิ (ต้นไม้)
                  11ひなた(陽向)ฮินะตะ (มุ่งหน้าไปยังดวงอาทิตย์)
                  12そうま(颯真)โซว์มะ (สายลม)
                  13こうき(光希)โคว์คิ (แสงแห่งความหวัง)
                  14そうすけ(蒼介)โซว์สุเกะ (ผู้ที่ชอบช่วยเหลือ)
                  15はる(晴)ฮารุ (เจิดจ้า)
                  16かいと(海翔)ไคโตะ (ปีกแห่งท้องทะเล)
                  17そら(蒼空)โซะระ (ฟ้าสีคราม)
                  18あさひ(朝陽)อะซะฮิ (แสงอาทิตย์ยามเช้า)
                  19かなた(奏汰)คะนะตะ (การแสดงอันตื่นตา)
                  20はやと(颯人)ฮะยะโตะ (ผู้ที่มากับสายลม)
                  20ゆうせい(悠誠)ยูว์เซย์ (ความจริงใจตลอดกาล)
                  22れん(蓮)เร็น (ดอกบัว)
                  23あやと(絢斗)อะยะโตะ (ดาวเหนืออันสวยงาม)
                  24えいと(瑛斗)เอย์โตะ (คริสตัลแห่งดาวเหนือ)
                  25りくと(陸斗)ริคุโตะ (ดาวเหนือแห่งแผ่นดิน)
                  26ゆうま(悠真)ยูว์มะ (ผู้มีความลึกซึ้ง)
                  27ひろと(大翔)ฮิโระโตะ (ปีกอันกว้างใหญ่)
                  28りつき(律希)ริสึคิ (ความหวังแห่งความเที่ยงธรรม)
                  29はるま(悠真)ฮะรุมะ (ผู้มีความลึกซึ้ง)
                  30るい(琉生)รุย (ผู้ให้กำเนิดแห่งอัญมณี)
                  31かなと(奏翔)คะนะโตะ (สยายปีกกว้าง)
                  32りつ(律)ริสึ (คุณธรรม)
                  33さく(朔)สะคุ (การเริ่มต้น)
                  34あきと(暁斗)อะคิโตะ (แสงอัสดง)
                  35れお(怜央)เระโอะ (ผู้มีไหวพริบ)
                  36とうま(斗真)โทมะ (ดาวเหนือ)
                  37れい(怜)เรย์ (ผู้มีไหวพริบ)
                  37いぶき(一颯)อิบุคิ (สายลมแรก)
                  39けんと(健人)เคนโตะ (ผู้ที่แข็งแรง)
                  40いおり(伊織)อิโอะริ (ดาวเวก้า)
                  41あお(碧)อะโอะ (อัญมณีสีฟ้า)
                  42ゆうき(悠希)ยูว์คิ (ความหวังอันยาวไกล)
                  43りょうま(涼真)เรียวมะ (ความเย็นสดชื่น)
                  44かい(櫂)ไคย์ (เรือ)
                  45こうせい(航成)โคว์เซย์ (ล่องเรือด้วยความราบรื่นสำเร็จ)
                  46かいり(浬)ไคริ (ห้วงมหาสมุทร)
                  47こうた(航大)โคว์ตะ (เรือลำใหญ่)
                  48たいが(大雅)ไทยกะ (ผู้มีคุณสมบัติสูงส่ง)
                  49こう(煌)โคว์ (แสงสว่างไสว)
                  50りょう(遼)เรียว (ยาวไกล)

                  ชื่อภาษาญี่ปุ่น

                  ชื่อญี่ปุ่นผู้หญิง ชื่อภาษาญี่ปุ่น ชื่อญี่ปุ่นน่ารักๆ ชื่อเด็กผู้หญิง

                  ลำดับที่ตัวอักษร และ คำอ่าน (ความหมาย)
                  1めい(芽依)เมย์ (ต้นอ่อน)
                  2えま(咲茉)เอะมะ (ดอกมะลิบาน)
                  3ゆい(結衣)ยุย (เสื้อผ้าอาภรณ์)
                  4みお(澪)มิโอะ (สายน้ำ)
                  5あおい(葵)อะโออิ (ดอกฮอลลีฮ็อค)
                  6ひまり(陽葵)ฮิมะริ (ดอกฮอลลีฮ็อคยามเช้า)
                  7つむぎ(紬)สึมุกิ (ผ้าไหมจากเส้นใยธรรมชาติ)
                  8あかり(朱莉)อะคะริ (ดอกมะลิสีชาด)
                  9ほのか(穂香)โฮะโนะกะ (กลิ่นหอมของจมูกข้าวสาลี)
                  9いちか(一花)อิจิกะ (ดอกไม้แรก)
                  11こはる(心春)โคะฮารุ (ความรู้สึกถึงฤดูใบไม้ผลิ)
                  12さな(紗菜)ซะนะ (พืชบนผืนทราย)
                  13りお(莉緒)ริโอะ (มะลิ)
                  14はな(花)ฮะนะ (ดอกไม้)
                  15りこ(莉子)ริโกะ (เด็กหญิงดอกมะลิ)
                  16さら(紗良)ซะระ (ผ้าไหมชั้นดี)
                  17ひな(陽菜)ฮินะ (พืชผักกลางแสงแดด)
                  18さくら(咲良)ซะคุระ (ดอกไม้บาน)
                  19いろは(彩葉)อิโระฮะ (ใบไม้ที่มีสีสันสดใส)
                  20りん(凛)ริน (ความหนาวเย็น)
                  21ゆあ(結愛)ยูอะ (ทอรัก)
                  22ゆな(結菜)ยูนะ (ศูนย์รวมแห่งความแข็งแรง)
                  23ひなた(ひなた)ฮินะตะ (แสงอาทิตย์)
                  24ゆづき(結月)ยุซึกิ (กลุ่มดวงจันทร์)
                  25みゆ(美結)มิยุ (ศูนย์รวมความงาม)
                  26かんな(栞奈)คันนะ (ความน่ารักสดใส)
                  27ひかり(ひかり)ฮิคะริ (แสงสว่าง)
                  28えな(瑛菜)เอะนะ (ดอกไม้คริสตัล)
                  29ももか(百花)โมะโมะกะ (ดอกไม้หลายร้อยดอก)
                  30ことは(琴葉)โคะโตะฮะ (เสียงพิณ)
                  31かのん(花音)คะนน (เสียงแห่งดอกไม้)
                  32いと(絃)อิโตะ (เครื่องดนตรีประเภทสาย)
                  33ゆいな(結菜)ยุยนะ (ขุมพลังของแห่งฤดูใบไม้ผลิ)
                  34かほ(夏帆)คะโฮะ (มุ่งหน้าสู่คิมหันต์)
                  35みつき(美月)มิสึกิ (ความสวยงามของพระจันทร์)
                  36さき(咲希)ซะคิ (ความหวังอันเบ่งบาน)
                  37ひより(日和)ฮิโยะริ (ความอ่อนโยนแห่งแสงอาทิตย์)
                  38のあ(乃愛)โนะอะ (ความรัก)
                  39ふうか(風花)ฮูว์กะ (สายลมแห่งดอกไม้)
                  40ひなの(陽菜乃)ฮินะโนะ ( ดอกไม้ใต้แสงแดดอันอบอุ่น)
                  41しおり(栞)ชิโอะริ (เด็กว่านอนสอนง่าย)
                  42すみれ(菫)สุมิเระ (ต้นไวโอเล็ต)
                  43ゆいか(唯花)ยุยกะ (ดอกไม้ที่มีเพียงหนึ่งเดียว)
                  44うた(詩)อุตะ (บทกวี)
                  45ゆうな(優奈)ยูว์นะ (เยี่ยมยอดและน่ารัก)
                  46なな(奈々)นานะ (เด็กน่ารัก)
                  47ゆずは(柚葉)ยูซุฮะ (ใบต้นยูซุ)
                  48ななみ(七海)นะนะมิ (เจ็ดย่านมหาสมุทร)
                  49まな(愛菜)มะนะ (เด็กน่ารักและแข็งแรง)
                  50あんな(杏奈)อันนะ (เด็กน่ารัก)

                  เป็นอย่างไรกันบ้างคะ จาก ชื่อภาษาญี่ปุ่น สำหรับลูกชายและลูกสาว มีทั้ง ชื่อภาษาญี่ปุ่น เท่ๆ และน่ารักๆ รวม 100 ชื่อ มีชื่อไหนที่ชื่นชอบบ้างหรือไม่คะ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ชอบ ชื่อภาษาญี่ปุ่น ชื่อไหนก็สามารถนำไปใช้ตั้งให้กับลูกน้อยกันได้เลยนะคะ

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

                  วิธีเก็บเงิน ให้ล้นกระเป๋าสตางค์แบบฉบับคนญี่ปุ่น!!

                  แม่แชร์เทคนิคจากหมอญี่ปุ่น! 5 วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

                  เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด ฉบับญี่ปุ่น สุดง่าย เห็นผลใน 5 วัน

                  10 เมนูอาหารลูกน้อย วัย 6 – 10 เดือน สูตรอร่อยจากแม่ญี่ปุ่น!

                  แม่แชร์ 11 วิธีรับมือ “ลูกชอบร้องงอแง” เทคนิคดีจากหมอญี่ปุ่น!

                  รวมหลักเกณฑ์ ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร และวันเกิด จากคัมภีร์ทักษาฯ

                  1,000+ ชื่อมงคลตามวันเกิด โปรแกรมตั้งชื่อมงคล รวมชื่อดีเสริมชีวิต

                    ลูกอาละวาด

                    10 ข้อห้ามทำเมื่อ ลูกฉุนเฉียว ลูกกำลังโมโห อย่าทำแบบนี้!

                    ลูกฉุนเฉียว – ในฐานะพ่อแม่ การรับมือกับอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกอาจเป็นเรื่องยากเย็นในบางครั้ง และบางทีเราอาจเผลอแสดงออกกับลูกไปอย่างผิดพลาดได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกอย่างได้ผลแล้วยังกลับทำให้สถานการณ์ต่างๆ แย่ลงได้อีกด้วย พ่อแม่มีอิทธิพลมากที่สุดสำหรับลูก พวกเขาจะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ก่อนใคร ดังนั้นวิธีจัดการอารมณ์ฉุนเฉียวของเด็กวัยเตาะแตะของพ่อแม่ สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในชีวิตของลูก วันนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งที่ไม่ควรทำในขณะที่ลูกวัยเตาะแตะของคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวกันค่ะ

                    10 ข้อห้ามทำเมื่อ ลูกฉุนเฉียว ลูกกำลังโมโห อย่าทำแบบนี้!

                    1. อย่าให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่เห็นว่าเรื่องของเขาไร้สาระ

                    บางครั้งลูกของเราอาจมีอารมณ์ฉุนเฉียวกับเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันเล็กน้อย เช่น พลาดทำนมหก ไม่ได้ของเล่นใหม่ ไม่ได้รับอนุญาตให้กินดินน้ำมัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่ทำให้ความรู้สึกของพวกเขาเป็นโมฆะหรือถูกเพิกเฉย แม้ว่าเหตุผลที่ทำให้พวกเขาอารมณ์เสียอาจดูไร้สาระสำหรับเรา แต่ก็เป็นเรื่องจริงสำหรับเด็กในวัยนี้

                    ลองนึกภาพตามดูว่ามันจะทำให้คุณโกรธขนาดไหน ถ้าคุณไม่พอใจกับบางสิ่ง แล้วมีคนพูดว่า “ทำไมต้องอารมณ์เสียขนาดนี้ด้วย? ไม่เห็นเป็นอะไรเลย!” แน่นอนว่านี้คือสิ่งที่เด็กวัยหัดเดินของคุณรู้สึก แม้ว่าคุณอาจจะมองว่าเรื่องที่ทำให้ลูกอารมณ์เสียดูเป็นเรื่องเล็กมาก  แต่หารู้ไม่ว่าในใจของลูกไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ความหงุดหงิด ความเศร้า หรือความโกรธนั้นเป็นเรื่องที่ลูกรู้สึกจริงจัง ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวในเรื่องใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณต้องรับรู้และแสดงความเข้าอกเข้าใจ ไม่แสดงความเห็นทางลบต่อความรู้สึกของพวกเขา

                    2. อย่าฉุนเฉียวกลับเมื่อ ลูกฉุนเฉียว

                    อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่หลายคนทำพลาดอยู่บ่อยๆ  พ่อแม่หลายคน มักมีอารมณ์ฉุนเฉียวโดยคิดว่าอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกเมื่อลูกอาละวาด  แต่จงจำไว้ว่า การอาละวาดของเด็กเป็นเรื่องปกติของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในเด็กแทบจะทุกคน รับรองได้เลยว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่ไม่เคยเจอกับปัญหา ลูกอาละวาด งอแง เอาแต่ใจ การอาละวาดของเด็กไม่ใช่ปัญหาเรื่อง “พฤติกรรม” แต่เป็นเพียงวิธีการแสดงออกทางอารมณ์ของเด็กๆ เมื่อพวกเขาไม่มีทางแสดงออกอื่น ดังนั้นอย่าเป็นผู้ที่เลือกแสดงออกโดยการใช้อารมณ์ซะเอง

                    ลูกฉุนเฉียว
                    ลูกฉุนเฉียว

                    3. อย่าหัวเราะเยาะลูก

                    หากคุณรู้สึกเสียใจอย่างมากกับบางสิ่ง และมีคนหัวเราะเยาะคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร? แน่นอนว่ามันอาจทำให้คุณโกรธ!

                    แม้ว่าในบางครั้งอารมณ์ฉุนเฉียวอาจอยู่เหนือสิ่งที่ “น่าหัวเราะ” แต่ก็ควรพยายามควบคุมเสียงหัวเราะของคุณให้ดีที่สุด อย่าหัวเราะต่อหน้าลูก นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งในการทำให้การแสดงออกทางอารมณ์ของพวกเขาไม่ถูกต้อง ผิดเพี้ยน และจะทำให้ลูกของคุณรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาคุณได้เมื่อพวกเขาอารมณ์เสีย

                    4. ควบคุมอารมณ์ให้ได้

                    การควบคุมอารมณ์ หรือการแสดงออกที่เหมาะสมกับลูกในบางสถานการณ์อาจเป็นเรื่องยาก อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น อารมณ์ฉุนเฉียวของเด็กวัยเตาะแตะอาจทำให้พ่อแม่รู้สึกเครียดและแสดงออกอย่างผิดๆ หรือเผลอใช้อารมณ์ได้ แต่ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ คุณจะคาดหวังให้ลูกของคุณควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อย่างไร? เพราะคนที่ลูกยึดถือเป็นแบบอย่างก็ยังใช้อารมณ์ให้พวกเขาเห็นอยู่บ่อยๆ  เมื่อลูกวัยเตาะแตะของคุณมีอารมณ์ฉุนเฉียว สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ “ใจเย็น” ให้ได้มากที่สุด แม้ว่าคุณจะรู้สึกอยากระเบิดอารมณ์เพียงใดก็ตาม  เหราะถ้าหากลูกๆ ของคุณเห็นว่าคุณอารมณ์เสีย จะทำให้อารมณ์ของพวกเขาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หากพวกเขาเห็นคุณสงบสติอารมณ์กับเรื่องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ในท้ายที่สุดแล้วลูกก็จะเรียนรู้ที่จะเลียนแบบพฤติกรรมที่ดีนี้ของคุณเอง

                    5. อย่าเพิกเฉยต่อพฤติกรรมของลูก

                    เมื่อลูกของคุณเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวมันคือวิธีการแสดงออกทางอารมณ์เชิงลบที่หวังผลบางอย่าง และเมื่อเด็กรู้สึกเสียใจ เศร้า กลัว หรือโกรธจะเป็นช่วงที่พวกเขาต้องการพ่อแม่มากที่สุด อย่าปล่อยให้พวกเขารู้สึกว่าถูกทอดทิ้งเพราะจะทำให้พวกเขาตื่นตระหนก และรู้สึกห่างเหินกับคน ควรอยู่ใกล้ลูกให้มากพอที่ลูกจะมองเห็นคุณ และรู้ว่าคุณคอยอยู่ใกล้ๆ พวกเขา สิ่งนี้จะสร้างความมั่นใจให้กับเด็กๆ ได้ว่าคุณจะอยู่ที่นั่นเพื่อพวกเขาเสมอหากพวกเขาต้องการ ทั้งในสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคต

                    6. อย่าพยายามยัดเยียดเหตุผลกับลูก

                    เมื่อลูกของคุณอยู่ในสภาวะทางอารมณ์ที่ย่ำแย่มากๆ บวกกับวัยวุฒิของพวกเขาแล้วแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สามารถคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ การพยายามหาเหตุผลกับพวกเขาท่ามกลางอารมณ์ฉุนเฉียวนั้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างไร้จุดหมาย จำไว้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินคุณ และในบางสถานการณ์อาจทำให้อารมณ์รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก แต่หากลูกของคุณโตพอที่จะรับฟังเหตุผลได้ คุณอาจทำได้บ้าง แต่ควรรอจนกว่าอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกจะดีขึ้นหรือเริ่มสงบลงแล้วจะดีกว่า

                    เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

                    7 เคล็ดลับ! สยบ ลูกขี้หงุดหงิด แบบไม่พึ่งหน้าจอ ลูกก็สงบได้!

                    ลูกโกรธ ลูกโมโห เรื่องธรรมดา แต่ต้องสอนลูกแสดงออกให้เป็น

                    7. อย่ายอมแพ้

                    หลายครั้งอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นผลมาจากความต้องการส่วนตัว บางทีเด็กๆ อาจรู้สึกเศร้าเพราะเหนื่อย หรืออาจจะอารมณ์เสียเพราะหิว แต่บางครั้งเด็กวัยเตาะแตะอาจอารมณ์เสียเพราะไม่ได้รับการตอบสนองในสิ่งที่พวกเขา “ต้องการ” นี่คือเหตุผลที่เรามักจะเห็นภาพของเด็ก ๆ ที่แสดงออกด้วยท่าทีฉุนเฉียวได้บ่อยครั้งในห้างสรรพสินค้า เช่น เด็กๆ เห็นของเล่นใหม่ที่น่าสนใจ จนตาเป็นประกาย และร้องขอให้พ่อแม่ซื้อให้ เมื่อพ่อแม่บอกว่าไม่ – ทันใดนั้นลูกก็อารมณ์ฉุนเฉียวได้ทันที

                    ในสถานการณ์เช่นนี้ คุณยังสามารถรับรู้ความรู้สึกของลูกได้ (“ แม่เข้าใจว่าลูกกำลังอารมณ์เสีย”) โดยอย่ายอมแพ้  ขอแนะนำอย่างยิ่ง คือ อย่ายอมแพ้เด็ดขาด หากลูกของคุณแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวใส่สิ่งที่พวกเขาต้องการจนมากเกินควร หากคุณยอมแพ้อยู่บ่อยครั้ง ลูกของคุณจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมาก ว่าการแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวทำให้พวกเขาได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการและผลที่ตามมาคือลูกจะเพิ่มความโกรธเกรี้ยวที่หนักมากยิ่งขึ้น

                    ลูกฉุนเฉียว

                    8. อย่าติดสินบนลูก

                    การติดสินบนลูก จะให้ผลลัพธ์ที่แย่กว่าที่คิด เช่น หากคุณ บอกลูกว่า “ถ้าหยุดร้องแม่จะซื้อของเล่นใหม่ให้เลย”  วิธีนี้ เป็นเหมือนการสนับสนุนให้ลูกเลือกใช้พฤติกรรมการแสดงออกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวได้โดยที่พ่อแม่อาจคาดไม่ถึง ซึ่งจะทำให้พฤติกรรมที่ดีในอนาคตของลูกไม่สามารถเกิดขึ้นได้

                    9. อย่าลงโทษลูกของคุณ

                    จำไว้ว่าอารมณ์ฉุนเฉียวในเด็กวัยเตาะแตะเป็นผลมาจากการพยายามแสดงออก หรือ การควบคุมอารมณ์ของเด็กๆ ที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นการบังคับใช้การลงโทษ จะไม่มีผล หรือส่งผลที่ดีได้ หากลูกของคุณโตขึ้นและแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว การบังคับใช้บทลงโทษมีแต่จะส่งผลให้พฤติกรรมนั้นทวีความรุนแรงขึ้น หากการลงโทษมีความสมเหตุสมผล ให้รอจนกว่าเด็กจะสงบลงและสถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว จากนั้นจึงนั่งลงพูดคุยกับลูกถึงผลที่จะตามมา

                    10 วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด เมื่อลูกพูดช้าเพราะแม่รู้ใจเกินไป!!

                    ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพูดช้า ผิดปกติ?

                    ประสบการณ์จากคุณแม่ ลูกพูดช้า สาเหตุ เพราะดูทีวี มือถือ และแท็บเล็ต

                    10. อย่าเพิกเฉยต่อสัญญาณของปัญหาพื้นฐาน

                    อารมณ์ฉุนเฉียวเป็นเรื่องปกติของวัยเด็ก แต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ซ่อนอยู่ เช่น เด็กที่มีปัญหาเรื่อวพัฒนาการในการพูด การสื่อสาร  มักจะแสดงพฤติกรรมฉุนเฉียวอยู่บ่อยครั้ง มีการศึกษาที่พบว่าเด็กที่พูดช้ามีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมฉุนเฉียวมากกว่าเด็กทั่วไปที่มีพัฒนาการปกติถึงสองเท่า ยิ่งคุณสามารถรู้ถึงปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาการด้านการพูด และการสื่อสารของลูกได้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้นในการปฏิบัติต่อพวกเขาและลดพฤติกรรมอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกได้

                    หากคุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในการจัดการปัญหาเรื่อง ลูกฉุนเฉียว และหมั่นปลูกฝังและคอยเป็นแบบอย่างด้านพฤติกรรมที่ดีให้กับลูก เช่น การจัดการกับปัญหาต่างๆ ด้วยความสงบเยือกเย็น ไม่เลือกที่จะแสดงออกต่อปัญหาต่างๆ รอบตัวโดยการใช้อารมณ์ แน่นอนว่า เด็กๆ ในวัยที่มีพ่อแม่เป็นต้นแบบก็จะค่อยๆ ซึมซับพฤติกรรมที่ดีเหล่านั้นของคุณพ่อคุณแม่ได้แน่นอนค่ะ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะด้าน ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ให้ลูกๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : speechblubs.com

                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                    7 เคล็ดลับ! สยบ ลูกขี้หงุดหงิด แบบไม่พึ่งหน้าจอ ลูกก็สงบได้!

                    เทคนิคสยบ ลูกร้องไห้ ทารกร้องไห้ได้ทั้งวัน ปกติไหม?

                    6 วิธีคุยกับลูก ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน (เริ่ม 6 ขวบ+)

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      ล้างขวดนม

                      อุทาหรณ์..แม่เตือน ล้างขวดนม ผิดวิธี เสี่ยงทำลูกติดเชื้อในกระเพาะอาหารได้

                      นี่คือผลร้ายของการล้างขวดนมลูกไม่ถูกต้อง! แม่โพสต์เตือน “เพราะ ล้างขวดนม ผิดวิธี!!” ทำลูกวัย 21 วัน ป่วยหนักติดเชื้อในกระเพาะอาหาร

                      แม่เตือน! ล้างขวดนม ผิดวิธี
                      เสี่ยงทำลูกติดเชื้อในกระเพาะอาหารได้!

                      อีกหนึ่งเรื่องสำคัญในการเลี้ยงดูลูกน้อยให้เจริญเติบโตแข็งแรงสมวัย คือ การรักษาความสะอาด การดูแลทำความสะอาดของของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ลูกใช้อยู่ ถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องพิถีพิถันและทำให้ถูกหลักถูกขั้นตอน โดยเฉพาะของใช้ที่ลูกต้องนำเข้าปากทุกวัน อย่าง “ขวดนม” ถ้าคุณแม่ทำความสะอาดขวดนมไม่ถูกต้อง ก็อาจทำให้ลูกน้อยได้รับเชื้อโรคสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่รู้ตัว เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กทารกพัฒนาช้าและต้องได้รับการปกป้องจากแบคทีเรียและสารอันตรายอื่น ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย

                      หากขวดนมที่เป็นของใช้ใกล้ตัว ซึ่งมีความเสี่ยงของการสะสมเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสต่างๆ เมื่อลูกกินนมจากขวดนมที่มีการสะสมของเชื้อโรค สามารถทำให้เกิดการอาเจียนและท้องเสียได้ ดังนั้นคุณควรล้างทำความสะอาด ฆ่าเชื้อขวดนมอย่างถูกต้อง ถูกวิธีทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นอาจป่วยติดเชื้อในกระเพาะอาหาร เหมือนหนูน้อยคนนี้

                      โดยคุณแม่ผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ Are Raa Rom ได้ออกมาโพสต์อุทาหรณ์เตือนคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ถึงวิธีการ ล้างขวดนมที่ถูกต้อง เพราะหากล้างผิดวิธี ก็อาจทำให้ลูกน้อยป่วยติดเชื้อได้ โดยคุณแม่เล่าว่า..

                      ลูกชายวัย 21 วัน ติดเชื้อในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาการเบื้อต้นที่พบคือ น้องมีอาการตัวเหลืองๆ ซึมๆ ซีดไป แล้วอาเจียนบ่อย ท้องเสีย เลยไปหาหมอ หมอซักประวัติจนหมด เลยวินิจฉัยออกมาว่าเกิดจากการทำความสะอาดขวดนมผิดวิธีจริงๆเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ว่าทุกอย่างของลูกต้องสะอาด

                      ล้างขวดนม

                      ฝากเตือน!!! แม่ๆที่ยังทำความสะอาดขวดนมด้วยการ #ลวกน้ำร้อน #หรือตากแดด แล้วบอกทำมาแบบนี้ลูกชั้น แข็งแรงดีไม่เคยเป็นอะไร…มันไม่ถูกนะคะ!! เพราะเด็กติดเชื้อง่ายมากๆ
                      ย้อนไปตอนที่น้องเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นน้องเกิดได้ประมาณ 21 วัน ด้วยความที่เราเป็นคุณแม่มือใหม่ ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากมาย เราก็ล้างขวดนมแบบล้างน้ำยาล้างขวดนมเสร็จ ก็เอาขวดนมลวกน้ำร้อนเขย่าๆ แล้วเททิ้ง ผ่านไปซัก 2-3 อาทิตย์ เริ่มสังเกตอาการลูกตัวเหลืองๆ ขับถ่ายผิดปกติ อาเจียน เราก็พาไปโรงพยาบาลเลยค่ะ ปรากฎหมอบอกว่าลูกเราติดเชื้อค่ะ ต้องให้ยาฆ่าเชื้อ 7 วัน เจาะน้ำเกลือเป็น 20 กว่าครั้งได้ เพราะหาเส้นเลือดยากมากๆ แล้วสายน้ำเกลือก็หลุดบ่อยมากๆ สงสารลูกสุดใจ
                      ฝากถึงแม่ๆ ที่ยังทำความสะอาดขวดนมแบบผิดวิธีอยู่ ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นแบบเรา ควรเปลี่ยนวิธีการทำความสะอาดให้ถูกต้องกันนะคะ ด้วยรักและหวังดี วิธีทำความสะอาดขวดนมที่ถูกวิธีคือเวลาล้างขวดนมเสร็จต้องนึ่งหรือต้มที่อุณหภูมิน้ำเดือด 15 นาทีจ้า
                      ขอบคุณเรื่องราวและภาพจาก : Are Raa Rom

                      ล้างขวดนม

                      ซึ่งจากโพสต์นี้ก็มีคุณแม่ผู้มีความรู้มาแสดงความคิดเห็นเตือนพร้อมแนะนำพ่อแม่ท่านอื่นถึงวิธีการ ล้างขวดนม ที่ถูกต้องด้วยว่า..

                      จากโพสต์นี้นะคะ อย่างแรกเลยคือแม่ๆต้องอ่านภาษาไทยให้เข้าใจก่อนค่ะอันดับแรกเลย เจ้าของโพสนะคะเขาใช้วิธีล้างขวดนมแบบพอล้างเสร็จแล้วนำน้ำร้อนใส่ขวดแล้วเขย่าๆ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ผิดและไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้

                      **วิธีฆ่าเชื้อโรคที่ถูกต้องคือการนำขวดนมไปต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที ((ข้างกล่องนมลูกก็มีเขียนระบุไว้ลองไปสังเกตกันดูนะคะ)) ส่วนคนที่ถามว่าขวดนมเป็นพลาสติกเอาไปต้มจะไม่ละลายหรอ ไม่มีสารหรอ คำตอบคือ ถ้าซื้อขวดนมที่ได้มาตรฐานมี bpa free ยังไงก็ทนความร้อนได้ค่า ปัจจุบันมีการคิดค้นเครื่องนึ่งขวดนมก็สามารถใช้ได้เหมือนกันค่ะ เครื่องจะปรับระดับความร้อนเกิน 100 องศาเพื่อฆ่าเชื้อให้อยู่แล้ว ส่วนแม่ๆ บ้านไหนไม่มีเครื่องก็สามารถตั้งหม้อต้มขวดนมได้ตามปกติเลยค่ะ

                      ล้างขวดนม

                      วิธีการ ล้างขวดนม ฆ่าเชื้อขวดนม

                      อย่างไรก็ตามสำหรับวิธีการ ล้างขวดนม การฆ่าเชื้อขวดนมลูก พ่อแม่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าขวดนมและอุปกรณ์ล้างอย่างสะอาด ซึ่งมีวิธีการฆ่าเชื้อดังนี้

                      1. การต้มขวดนมเป็นวิธีการฆ่าเชื้อที่ใช้กันมากที่สุด และยังเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการฆ่าเชื้อขวดนม โดยมีขั้นตอนดังนี้
                        • ล้างขวดนม ฝาขวดนม และจุกนม ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือน้ำยาล้างขวดนมสำหรับเด็ก
                        • เมื่อล้างเสร็จให้ใส่อุปกรณ์ขวดนมทั้งหมดลงในหม้อ เติมน้ำให้ท่วมอุปกรณ์ทั้งหมด
                        • นำไปต้มในน้ำเดือด อย่างน้อย 10-15 นาที จากนั้นปิดแก๊สและปล่อยให้น้ำเย็นลงตามธรรมชาติ
                        • หากต้องการใช้ขวดนมทันที ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดสิ่งที่ผ่านการฆ่าเชื้อให้แห้งเพราะสารปนเปื้อนจะผ่านจากผ้าไปยังขวด เพียงเขย่าขวดเพื่อกำจัดน้ำหยดก็เพียงพอแล้วค่ะ
                        • ในการเก็บอุปกรณ์ขวดนม ให้ใส่อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อทั้งหมดในภาชนะที่สะอาดแห้ง
                      1. เครื่องนึ่งขวดนม สำหรับอุปกรณ์นึ่งขวดนมเป็นกระบวนการทำงานที่ใช้ความร้อนคล้ายกับการต้ม เพื่อฆ่าจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อไอน้ำสามารถเสียบใช้ไฟฟ้าซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
                        • ทำความสะอาดอุปกรณ์ขวดนมทั้งหมด ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือน้ำยาล้างขวดนมสำหรับเด็ก
                        • วางขวดนมลงล่างไว้ในเครื่องฆ่าเชื้อเพื่อให้ไอน้ำสัมผัสกับพื้นผิวด้านในได้สูงสุด
                        • สามารถทิ้งขวดนมหรืออุปกรณ์ต่างๆ ไว้ในเครื่องฆ่าเชื้อจนกว่าคุณจะต้องใช้งาน แต่ตรวจสอบคำแนะนำเกี่ยวกับเวลาการใช้งานด้วย
                        • การเปิดใช้งานเครื่องนึ่งขวดนม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิต

                      ล้างขวดนม

                      เคล็ดลับความปลอดภัยในการเลือกใช้ขวดนมและการฆ่าเชื้อ

                      • ควรซื้อขวดพลาสติกที่ปลอดสารพิษปราศจาก BPA และสารเคมีอื่นๆ
                      • หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุในบ้าน ดังนั้นควรวางอุปกรณ์สำหรับฆ่าเชื้อ เช่น หม้อต้มขวดนม เครื่องนึ่งขวดนม ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ฯลฯ ให้ห่างจากมือลูกน้อย
                      • จุกนมควรเลือกใช้ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ทนทานต่อความร้อนเพราะการต้มอาจทำให้จุกนมแตกได้ค่ะ
                      • หมั่นตรวจสอบสภาพของขวดนมและอุปกรณ์สม่ำเสมอค่ะ เช่น จุกนมการสึกหรออาจนำไปสู่การไหลของน้ำนมจำนวนมาก ทำให้ลูกน้อยสำลักน้ำนมได้ค่ะ ฯลฯ

                      ล้างขวดนม

                      Must read : รวมข้อมูลสำคัญ!!ที่คุณแม่ควรรู้ก่อนซื้อ ขวดนม

                      Must read : วิจัยใหม่จากต่างประเทศพบ!! ไมโครพลาสติก รั่วจากขวดนม เพราะต้มก่อนใช้

                       

                      อย่างไรก็ดีการ ล้างขวดนม หรือการฆ่าเชื้อขวดนมและอุปกรณ์เสริมสำหรับทารกจึงมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับลูกน้อย เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกคุณ ลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อไวรัสต่างๆได้ค่ะ

                      ทั้งนี้สำหรับเรื่อง การล้างขวดนมลูกน้อย  ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ : Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ

                      ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thaichildcare.com

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ ⇓

                      เช็คลิสต์ 60 ของใช้เด็กแรกเกิด อย่างไหนควรซื้อเลย อย่างไหนไม่ต้องรีบ!

                      7 น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี ล้างสะอาด ไม่ทิ้งคราบ ปลอดภัยกับลูกน้อย

                      วิธีล้างขวดนม ที่ถูกต้อง พร้อมวิธีฆ่าเชื้อโรค เพื่อสุขอนามัยของลูกรัก

                      ตู้ฆ่าเชื้อขวดนมยี่ห้อไหนดี ขวดนมสะอาดจริง หมดห่วงเรื่องสารตกค้าง คุณแม่ทั่วประเทศยกให้ Prince & Princess เป็นแบรนด์ในดวงใจ

                        ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี

                        เปิดจองสิทธิ์ประกันสังคมพื้นที่กทม ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ต้องทำอย่างไร

                        กลับมาทำงานหลังวันหยุดสงกรานต์ ไปเที่ยวหลายที่ เจอผู้คนเยอะ เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือสัมผัสเสี่ยงสูง ไม่ต้องรอลุ้นรพ.คิวเต็ม น้ำยาหมด ประกันสังคมจัดโครงการ ‘แรงงานเราสู้ด้วยกัน’ ให้ ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ผ่านเว็บไซต์ หวังลดแออัดเริ่มหกโมงเย็นวันนี้ (15 เม.ย.64) ใครมีสิทธิ์ตรวจ ต้องทำอย่างไรบ้าง รีวิวชัดๆตรงนี้เลย

                        จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกหนักที่สุดของไทยซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายวันแตะหลักพันคน และกระจายตัวในหลายกลุ่มอาชีพ หลายช่วงวัย รวมทั้งความเป็นห่วงว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ที่ผู้คนเดินทางไปหลายพื้นที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อจำนวนมาก

                        ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี

                        หนึ่งในมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุดคือการเร่งตรวจหาเชื้อจากกลุ่มเสี่ยง และผู้สัมผัสเสี่ยงสูงต่างๆอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน นักเรียนนักศึกษาที่เดินทางกลับจากภูมิลำเนา แต่โรงพยาบาลหลายแห่งไม่สามารถรองรับการตรวจเชื้อจำนวนมากต่อวันได้

                        สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรุงเทพฯได้จัดให้มีผู้มีสิทธิ์ประกันสังคมในพื้นที่กรุงเทพสามารถ ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย–ญี่ปุ่น) ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนนี้เป็นต้นไป โดยผู้มีสิทธิ์จะต้องจองคิวผ่านเว็บไซต์ และเข้าตรวจตามวันและเวลาที่แจ้งตอบกลับ เพื่อความสะดวกปลอดภัย.

                        ใครมีสิทธิ์ ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี พื้นที่กรุงเทพฯ

                        หลังวันหยุดเทศกาลสงกรานต์เกือบหนึ่งสัปดาห์ คนที่เดินทางกลับมาทำงานในกรุงเทพฯจากจังหวัดพื้นที่เสี่ยง หรือไปในสถานที่ซึ่งมีการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19ในช่วงเวลาดังกล่าว บวกกับการแพร่ระบาดในครั้งนี้เป็นเชื้อโควิดสายพันธุ์อังกฤษ ที่แพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น 1.7 เท่าขณะที่ไม่แสดงอาการ จึงมีโอกาสที่จะนำเชื้อไปแพร่ให้กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือเพื่อนร่วมงานโดยไม่รู้ตัว จึงควรป้องกันตัวและเข้ารับการตรวจเชื้อโดยเร็วที่สุด

                        ผู้มีสิทธิ์เข้ารับการตรวจโควิดฟรีในพื้นที่กทมต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

                        1. เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 (พนักงานเอกชนทั่วไป) มาตรา 39 (เคยเป็นพนักงานแต่ลาออก) และมาตรา 40 (อาชีพอิสระ/แรงงานนอกระบบ)

                        2. เป็นผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพฯ ตรวจสอบได้ที่นี่ 

                        3. เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงมีอาการอย่างน้อยหนึ่งอาการต่อไปนี้ คือ มีไข้ อุณหภูมิตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ไอ น้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส มีผื่นขึ้น ตาแดง หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก

                        4. เช็กไทม์ไลน์ 14 วันก่อนพบว่ามีอาการตามข้อ 3 มีความเสี่ยงดังนี้ สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันโควิดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ไปสถานที่ชุมชนที่มีรายงานผู้ป่วยโควิดในช่วง 1 เดือน เดินทางไป-กลับจากประเทศมีผู้ติดเชื้อ หรือทำงานในสถานกักกันโรค

                        5. แพทย์ผู้ตรวจรักษาสงสัยว่าเป็นโรคโควิด-19  หรือกรณีสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 หรือไปในสถานที่มีการระบาดมา ไม่มีอาการป่วย

                        ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี จองสิทธิ์ออนไลน์ต้องทำอย่างไร

                        สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับการตรวจโควิดฟรีในพื้นที่กทมฯ สามารถลงทะเบียนจองคิวออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ sso.icntracking.com ได้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนนี้เป็นต้นไป ตามขั้นตอนดังนี้

                         1.ตรวจสอบคุณสมบัติผู้มีสิทธ์ (เช็กพื้นที่สังกัดประกันสังคม ที่ีนี่)

                        2. เข้าเว็บไซต์ สำนักงานประกันสังคม แรงงานเราสู้ด้วยกัน หรือคลิก (ที่นี่)

                        ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี

                        3.กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด (ขอย้ำว่าต้องกรอกข้อมูลตามจริงทุกประการ)

                        4.ระบบจะแจ้งกำหนดวันและเวลาให้เข้ารับการตรวจ ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย–ญี่ปุ่น) หรือดูที่ตั้ง (ที่นี่)

                        ระบบจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ในวันที่ 15 เม.ย.นี้ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยรองรับการตรวจวันละ 3,000 คนต่อวัน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,500 คน ช่วงบ่าย 1,500 คน หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่

                        คนที่มาเข้ารับการตรวจ เจ้าหน้าที่ได้เซ็ตระบบให้สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ชั่วโมงละไม่ต่ำกว่า 300 คน ทราบผลการตรวจภายใน 24 – 48 ชั่วโมง โดยจะแจ้งผลการตรวจหาเชื้อโควิดไปทางSMS ดังนั้นหลังตรวจแล้ว ควรเดินทางกลับบ้านหรือสถานที่กักตัว เพื่อรอรับผล และควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสถานที่ชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ไปยังผู้อื่น

                        สำหรับคนที่ไม่สะดวกไปยังสถานที่และเวลาดังกล่าว ผู้ประกันตนสามารถไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม หรือสถานพยาบาลทุกแห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกันตนได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว โดยทางประกันสังคมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ผู้มีสิทธิ์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

                        ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี

                        ถ้าตรวจพบโควิดไปรักษาที่ไหนดี

                        กรณีทราบว่าตัวเองมีผลเป็นบวกหรือติดเชื้อโควิด ทางเจ้าหน้าที่จะส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเครือข่ายในสังกัดสำนักงานประกันสังคมต่อไป ผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิด -19 จะได้รับการรักษาฟรีในโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม ซึ่งมีอยู่จำนวน 81 แห่ง ที่มีความพร้อม มีเตียงรองรับกว่า 1,000 เตียง มี สถานที่กักกันในสถานพยาบาลที่รัฐกำหนด อีก 200 กว่าเตียง

                        หากคุณแม่มีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ call center สำนักงานประกันสังคม 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ

                        แหล่งข้อมูล: www.prachachat.net https://www.thairath.co.th/

                        อ่านบทความน่าสนใจอื่นๆ

                        วิธี เช็คสิทธิ์ประกันสังคม ง่ายๆ แต่ละมาตรา 33 39 40 ต่างกันอย่างไร?

                        วิธี เช็คยอดเงินประกันสังคม อย่างละเอียด เช็กง่ายแค่ปลายนิ้ว

                        รวมประกันโควิด 2021 เทียบเบี้ยประกันไวรัสโคโรน่า COVID-19

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ

                          หมอแนะเทคนิค เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ ฉลาดคิดสร้างสรรค์

                          ในยุคที่ AI  กำลังเข้ามาทดแทนกำลังคน จึงเป็นความท้าทายของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร ให้โตไปเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของโลกใบนี้ ซึ่งคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เหนือกว่า AI ก็คือ ความสามารถในการคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ Creativity Quotient หรือ CQ นั่นเอง คนที่ฉลาดคิดสร้างสรรค์นี่แหละที่จะเป็นผู้ควบคุมและพัฒนา AI ให้ทำงานตามความต้องการของเรา เพื่อเป็นแนวทางในการเลี้ยงลูกในยุคนี้ รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้ให้คำแนะนำ Do & Don’t ในการ เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ สร้างลูกยังไงให้มีความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่เด็ก ไว้ดังนี้

                          โดยคุณหมอพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า…

                          จาก “ความลับที่ไม่ลับ” ในการเพิ่มศักยภาพของเด็กๆ ผ่าน Power BQ ที่คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านรายละเอียดกันมาบ้างแล้ว วันนี้ผมจะมานำเสนอเรื่องของ Creativity Quotient หรือ CQ ซึ่งเป็นความสามารถในการคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ อันเป็นความฉลาดสำคัญด้านหนึ่งของ Power BQ ที่จะเพิ่มศักยภาพให้กับเด็กๆ ส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาต่อยอดความฉลาดรอบด้านของเขาได้เป็นอย่างดี 

                          CQ ความสามารถริเริ่ม สร้างสรรค์หนึ่งในพลัง Power BQ 

                          CQ หรือ ความสามารถในการคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ในวัยเด็กมีผลต่อเนื่องจนโตเลยนะครับ สิ่งสำคัญในยุคปัจจุบันที่ AI ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์ กำลังเข้ามาทดแทนการทำงานของผู้คนในหลากหลายด้าน CQ เองเป็นสิ่งที่มนุษย์มีเหนือกว่า AI อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า หากคุณพ่อคุณแม่สามารถสั่งสมให้ลูกมี CQ ที่ดีและพัฒนาต่อยอดไปตั้งแต่เด็ก จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาโลกของเรา รวมทั้งการพัฒนา AI ให้สามารถทำงานตามที่เราต้องการได้ในอนาคต

                          มีการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ CQ มากมายตั้งแต่ การหาวิธีประเมิน CQ ของผู้คนเพื่อเลือกคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เข้ามาทำงาน รวมถึงมีการติดตามคนที่มี CQ ในระดับต่างๆ ไประยะเวลาหนึ่งเพื่อดูว่า เขาสามารถปรับตัวใช้ชีวิตในสถานการณ์ที่มีความยากลำบาก และสามารถนำตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้มากน้อยตามระดับ CQ แตกต่างกันอย่างไร

                          จากผลการวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า การประเมิน CQ ที่จะให้ได้ผลดีอาจต้องการแบบทดสอบที่ยุ่งยากและซับซ้อน ซึ่งแม้ในปัจจุบันจะยังไม่สามารถบอกได้ว่าแบบทดสอบไหนจะเป็นแบบทดสอบที่ดีและเหมาะสมที่สุด แต่การใช้คำถามปลายเปิด รวมถึงสังเกตพฤติกรรมด้านการตัดสินใจ การแก้ปัญหา หรือจากการทำงานภายในระยะเวลาหนึ่ง ก็สามารถประเมินระดับ CQ ได้

                          คุณพ่อคุณแม่ลองนำไปใช้กับลูกๆ ดูก็ได้นะครับ คำถามปลายเปิดที่เหมาะสมสามารถใช้ได้ทั้งประเมิน CQ ของลูกว่ามีมากน้อยอย่างไร และยังเป็นคำถามที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนา CQ ไปได้ในเวลาเดียวกัน 

                          เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ ฉลาดคิดสร้างสรรค์

                          Do แบบนี้เสริม CQ สร้างลูกให้มีความคิดสร้างสรรค์

                          ผมยกตัวอย่างจากเรื่องใกล้ตัว เช่น ลองถามลูกว่า “ดินสอของลูกนอกจากจะมีไว้เขียนหนังสือแล้ว เราจะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้างครับ” ลองให้อิสระลูกในการคิดต่อยอดจากดินสอแท่งเดียวดูนะครับว่า เขาจะสร้างสรรค์ประโยชน์อะไรจากดินสอของเขาได้บ้าง ยิ่งได้อะไรที่แปลกใหม่ซึ่งไม่เคยมีใครคิดหรือทำมาก่อนก็จะเป็นความคิดสร้างสรรค์ของเขาเลยครับ

                          แต่สำหรับเด็กเล็กซึ่งประสบการณ์ชีวิตยังไม่มากนัก นั่นคือ ยังเห็นอะไรมาไม่มาก สิ่งที่เขาตอบคุณพ่อคุณแม่อาจเป็นสิ่งใหม่ที่เขาไม่เคยรับรู้รับทราบมาก่อน แต่ผู้ใหญ่อย่างเรากลับเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกิน เพราะ เรามีประสบการณ์เคยเห็น เคยดูมามากแล้ว ความแปลกใหม่ของเขาตรงนี้เป็นความภาคภูมิใจสำหรับลูกมากเลยนะครับ เขาอาจคิดขึ้นมาเองโดยไม่ทราบมาเลยว่า มีคนทำแบบนี้อยู่แล้ว นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ ของการพัฒนา CQ ของลูกเลยครับ

                          หรือคุณพ่อคุณแม่อาจใช้วิธีเล่านิทานให้ลูกฟังแล้วทิ้งคำถามไว้ให้ลูกคิดต่อตอนจบของนิทานที่คุณพ่อคุณแม่เล่า โดยให้มีความยากง่ายตามความสามารถของลูกนะครับ เช่น “แมวน้อยเดินท่องเที่ยวไปริมทะเล แล้วเจอกุญแจตกอยู่บนหาดทราย แมวน้องจะทำยังไงได้บ้าง………” คุณพ่อคุณแม่อาจจะได้เห็นความฉลาดทางความคิดสร้างสรรค์ของลูกหรือได้ความคิดใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตหรือต่อยอดไปสร้างสรรค์อีกมากมาย จากพลังของคำถามที่เริ่มถามเพียงคำถามเดียวนี่เองครับ ถ้าอยากให้เขาพัฒนา CQ ของเขาต่อไปก็สามารถถามคำถามให้ลูกได้คิดต่อนะครับ จะช่วยลูกเป็นคนมี CQ ที่ดีได้ไม่ยาก การฝึกถาม ฝึกคิดกันบ่อยๆ หากปฏิบัติจนเป็นนิสัยก็จะส่งเสริมให้เด็กๆเติบโตมาเป็นคนที่มี CQ ดีได้ และจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่แตกต่างจากเดิม ทำให้โลกของเรามีการพัฒนาในสู่สิ่งที่ดีขึ้นโดยเฉพาะการใช้ชีวิตของผู้คน

                          จากการศึกษาทางจิตวิทยาพบว่า CQ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาต่อยอดของทักษะ วิธีคิดและมุมมองหลายด้านด้วยกันเลยครับ เช่น ส่งเสริมระดับสติปัญญาหรือไอคิว IQ ก่อให้เกิดความสนุกสนานมีความสุขกับการใช้ชีวิต สร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ทำให้การเรียนรู้ไม่น่าเบื่อ สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น ส่งเสริมให้เป็นผู้เปิดใจยอมรับ เป็นความสามารถในการปรับตัวรับสิ่งใหม่ และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย

                          หากเราเหลียวหลังมองหน้ามองดูสิ่งรอบตัวที่อยู่ท่ามกลางการใช้ชีวิตของเรา คุณพ่อคุณแม่คงเห็นตัวอย่างของประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่รอบตัวเรามากมายเลยนะครับ เช่น เรากำลังจะมีรถที่ไม่ต้องมีคนขับให้เราได้นั่งกันแล้ว เรามีพาหนะที่เรียกว่า “เครื่องบิน” ที่สามารถบินพาเราไปไหนต่อไหนได้อย่างสะดวกสบาย และนับวันก็มีแต่จะรวดเร็วขึ้นสะดวกสบายมากขึ้น หรือแม้แต่ในภาวะโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ก็มีคนที่มี CQ ดีพยายามคิดสร้างสรรค์ทั้งวิธีป้องกันและรักษาการติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นประโยชน์กับมวลมนุษยชาติของเรา 

                          Don’t do แบบนี้ CQ หาย ทำลายความคิดสร้างสรรค์ลูก

                          • อย่านะคะ เดี๋ยวเลอะเทอะ”
                          • “หยุดนะครับ เดี๋ยวหกล้ม”
                          • “ไม่เล่นแบบนี้นะครับ เดี๋ยวมันจะพัง”

                          “อย่า” “หยุด”  “ไม่” แบบนี้ หยุดยั้งและระงับ CQ ของลูกได้ไม่น้อยเลยครับ แต่ก็ใช่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่สามารถหยุดยั้งพฤติกรรมไม่เหมาะสมของลูกได้เสียเลย ถ้าไม่ใช้ “อย่า” “หยุด” หรือ “ไม่” ลองมาเป็นแบบอย่างของ CQ ที่ดีให้กับลูก ด้วยการคิดถ้อยคำหรือประโยคที่ส่งเสริมการเรียนรู้และ CQ ให้กับลูกแบบนี้ดีไหมครับ

                          • “เราจะเล่นกันอย่างไรดีถึงจะไม่เลอะเทอะ”
                          • “ลูกว่า เราควรวิ่งไปทางไหนดีที่จะไม่สะดุดเชือกหกล้ม”
                          • “ถ้าเราแกะของเล่นออกมาแล้ว จะทำอย่างไรดีถึงจะใส่กลับเข้าไปเหมือนเดิม”

                          แค่นี้ก็พอจะหยุดลูกให้ได้ยับยั้งชั่งใจจากพฤติกรรมใน 3 ประโยคแรกที่ผมยกตัวอย่างมาได้ระดับหนึ่งแล้ว และที่สำคัญยังส่งเสริมให้ลูกได้พัฒนา CQ ไปในตัวได้ดีด้วยครับ

                          อ่านดูแล้วคุณพ่อคุณแม่คงพอมองเห็นประโยชน์ของ CQ และวิธี เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ อย่างง่ายๆ ให้กับลูกตั้งแต่เล็ก ผ่านการใช้ชีวิตและปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน อย่าลืมนะครับ เวลาคุณภาพที่มีให้กันในครอบครัวนี่เองครับ ที่จะช่วยพัฒนาลูก อย่างรอบด้านรวมทั้ง CQ ความสามารถริเริ่ม สร้างสรรค์หนึ่งในพลัง Power BQ ด้วยครับ

                          ขอบคุณบทความโดย : รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
                          รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

                            ละครหุ่นเงา ทอสี

                            ละครหุ่นเงา โรงเรียนทอสี ก้าวสุดท้ายของ “น้องอนุบาล” สู่การเป็น “พี่ประถม”

                            โรงเรียนทอสี โรงเรียนเล็กๆ ใจกลางเมืองกรุง ที่คุณพ่อคุณแม่รู้จักในฐานะโรงเรียนทางเลือกวิถีพุทธ ที่นำเอาหลักพุทธปัญญา มาเป็นแกนหลักในการจัดเรียนการสอน เน้นสอนให้เด็กเป็นคนเก่ง คนดี มีคุณธรรม และวิชาชีวิตติดตัว ทีมแม่ ABK ได้ยินชื่อเสียงมานาน และเพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง โรงเรียนแห่งนี้มีกิจกรรมประจำปีที่ทำต่อเนื่องยาวนานหลายปี นั่นคือ “ละครหุ่นเงา” ซึ่งเป็นการแสดงผลงานชิ้นสุดท้ายของเด็กๆ ชั้นอนุบาล 3 ก่อนจะก้าวไปเป็นพี่ประถม 1 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

                            ละครหุ่นเงา เป็นกิจกรรมที่เด็กอนุบาลทอสีทุกคนต่างตื่นเต้นรอคอยที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของละครหุ่นเงาในตำนานของโรงเรียน เราได้พูดคุยกับครูแหม่ม อาภาภัทร  ไชยประสิทธิ์ (รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาชีวิตนักเรียน) และครูต้น ทัศน์เนตรดาว โสรัต (หัวหน้าฝ่ายอนุบาล) สองหัวเรือใหญ่ในการจัดกิจกรรมนี้

                            ความเป็นมาเป็นไปของกิจกรรม ละครหุ่นเงา เป็นอย่างไร

                            ครูแหม่มเล่าว่า ละครหุ่นเงา ปีนี้เป็นปีที่ 15 แล้ว จากกิจกรรมที่คุณครูและเด็กๆ ร่วมกันทำเพื่อเซอร์ไพรส์คุณพ่อคุณแม่ก่อนจบปีการศึกษา กลายเป็นความร่วมมือกันของทั้งครู ผู้ปกครองและเด็กๆ  คุณพ่อคุณแม่เองต่างก็ตื่นเต้นไม่แพ้ลูกๆ แม้จะได้มีส่วนช่วยในการเตรียมงานบางส่วน แต่เด็กๆ ยังคงเก็บเป็นความลับไม่ให้ผู้ปกครองรู้ว่าปีนี้พวกเขาจะแสดงอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ดู รู้เพียงว่า หุ่นเงาปีนี้ชื่อตอนว่า “Love จิ๊บจิ๊บ from the วิบวับ

                            หุ่นเงาทอสี

                            เด็กได้เรียนรู้อะไรบ้างจากกิจกรรมนี้

                            ครูต้นอธิบายว่า เป็นกิจกรรมที่เกิดกระบวนการเรียนรู้มากมาย  ได้ทั้ง วิชาการและวิชาชีวิต   อย่างเช่น  เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ “กำเนิดเงา” ซึ่งเป็นการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์   องค์ประกอบที่ทำให้เกิดเงา ได้เรียนรู้เงาจากแสงที่มนุษย์สร้าง เงาที่เกิดจากแสงธรรมชาติ  ได้สังเกตเงารอบตัวมีอยู่ที่ไหนบ้าง สังเกตเงาต้นไม้ ตึกเรียน  เงาในน้ำ หรือเงาของตัวเด็ก ๆ เอง  สังเกตว่าเงามีสีอะไร ถ้าเราจะทำให้เงามีสีเราจะทำอย่างไร  นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เด็กๆ ได้เรียนรู้ “วิชาการ” จากการทำละคร

                            เบื้องหลัง ละครหุ่นเงา

                            เบื้องหน้าละครหุ่นเงา ที่สวยงาม

                            และอีกส่วนที่เราให้ความสำคัญอย่างมากก็คือ “วิชาชีวิต”

                            เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในทุกๆ ขั้นตอน ตั้งแต่การกำหนดตัวละครหลัก  ในปีนี้เป็นเรื่องราวของ “ไก่”  เนื่องจากเด็กๆ กำลังอินกับการทำโครงงานในช่วงต้นเทอมเรื่องไก่  รวมถึงการออกแบบเรื่องราวเองว่าอยากให้มีอะไรในละครบ้าง  โดยครูพาเด็กระดมความคิดเห็นร่วมกันว่าตลอดปีนี้เราเรียนรู้เรื่องอะไร  มีข่าว เหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือมีเพลงอะไรที่เด็กๆ ชื่นชอบเป็นพิเศษ  จากนั้นก็แบ่งกลุ่มแต่งเนื้อเรื่องร่วมกัน โดยนำสิ่งที่ระดมความคิดเห็นมาเป็นฐานและให้ทุกคนได้ใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ในกิจกรรม “นิทานวงกลม” สุดท้ายคุณครูก็ช่วยร้อยเรียงเรื่องราวของทุกกลุ่มมาเป็นบทละครของพวกเรา

                            เมื่อมีการคัดเลือกนักแสดง  เด็กๆ ได้เสนอตัวว่าอยากแสดงอะไร  โดยเข้าใจคุณสมบัติของแต่ละชุดการแสดงก่อนว่ามีอะไรบ้าง  อย่างเช่น หน้าที่ที่เป็นที่สนใจของเด็กๆ มากก็คือ “พิธีกร” ต้องพูดชัด  มีความมั่นใจ บุคลิกดี  เด็กที่สนใจได้ลองออกมาแสดงบทบาทเพื่อให้เพื่อนๆ ช่วยกันดู ช่วยกันโหวตว่าเหมาะไหม ถึงจะสนิทกันก็ไม่ได้เลือกเพราะรักเพื่อน ต้องนึกถึงความเหมาะสมด้วย เด็กได้เรียนรู้เรื่องความผิดหวัง ความสมหวัง เรียนรู้ว่า ไม่มีใครที่จะสมหวังทุกเรื่อง ผิดหวังบ้าง เสียใจได้ แต่ไม่จมอยู่กับอารมณ์เศร้าเสียใจ  เพราะมีทางใหม่ให้เด็กได้ลอง ให้เด็กยอมรับด้วยตัวเอง ถึงเราไม่ได้ตรงนี้ เรายังมีโอกาสแสดงบทบาทอื่นอยู่นะ เด็กบางคนกลับไปบอกที่บ้านว่า ได้เลือกสิ่งที่ตนไม่ถนัดไม่ชอบแต่ก็ลองดู เพราะอยากฝึกตน…สู้สิ่งยาก

                            พิธีกรเด็ก

                            การแสดงของน้องๆ ชั้นอ.3

                            ละครไวรัสโคโรน่า

                            ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง  คุณครูพยายามดึงเอาจุดเด่นของเด็กแต่ละคนออกมาให้เขารู้จักตนเอง ให้เขาภูมิใจ  เช่น บางคนไม่ค่อยพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น แต่ถนัดทางด้านวาดรูปก็ได้วาดตัวหุ่นมากหน่อย บางคนวาดรูปไม่ได้แต่พูดชัด เสียงไพเราะ เราให้พากย์เสียงที่ยากขึ้นที่ต้องใช้อารมณ์และคำควบกล้ำเยอะๆ บางคนไม่ถนัดวาด ออกเสียงไม่ชัดแต่จินตนาการกว้างไกลมากก็ขอให้มาช่วยครูต่อบทละครเพิ่มเติม เป็นต้น

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            หุ่นเงาเป็นกิจกรรมที่เด็กจะได้ฝึกในหลายๆ อย่าง ฝึกความพยายาม อดทนรอคอย สู้สิ่งยาก ฝึกการยับยั้งชั่งใจ ฝึกความซื่อสัตย์ เรามีสัญญาใจร่วมกันว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้คุณพ่อคุณแม่เซอร์ไพรส์ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ถาม เด็กๆ จะไม่โกหก แต่ให้ตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่น่ารักว่า “ไม่บอก ไม่บอก เป็นความลับ (เพราะอยากเซอร์ไพรส์คุณพ่อคุณแม่)”

                            เด็กมีความสามารถทำอะไรสร้างสรรค์ได้หลายอย่าง ออกแบบหุ่นถ่ายทอดออกมาจากจินตนาการของเขาเอง ออกแบบการ์ดเชิญ ออกแบบชื่อเรื่อง  ที่เราเห็นชื่อเรื่องบนเสื้อดำนี่มาจากฝีมือของเด็กๆ ทั้งหมดเลย เด็กทุกคนจะได้ออกแบบชื่อเรื่องตามจินตนาการของตัวเอง จากนั้นคุณครูก็คัดเอาตัวอักษร ภาพวาดแต่ละส่วนของเด็กๆ มาผสมรวมกัน  อักษรตัวนี้ของคนหนึ่ง ตัวนั้นของอีกคนหนึ่ง ไม่ได้เลือกของใครเพียงคนเดียว

                            ออกแบบการ์ดเชิญ

                            เมื่อเดินเข้าโรงละคร เราได้เห็นผลงานศิลปะจากจินตนาการของเด็ก ๆ เรื่องราวของเรื่องนี้ถูกเล่าเป็น “นิทานบนแผ่นเฟรม”  โดยเอาเรื่องราวแต่ละตอนในละครย่อยออกมา แล้วเด็กก็เลือกตอนที่สนใจวาดเป็นภาพวาดติดเรียงรายบนผนัง เป็นนิทรรศการให้ชมก่อนและหลังชมละคร ซึ่งเด็กๆ ไม่ใช่แค่ลงมือวาด แต่คุณครูเล่าว่า เด็กทุกคนต้องยกเฟรมของตัวเอง เดินขึ้นบันไดมาชั้น 5 เองด้วย

                            กางเกงผ้าขาวม้าที่เด็กๆ ใส่ ก็ลงมือตัดเย็บด้วยตัวเอง ใช้เข็ม ใช้กรรไกรเอง ตัดผ้า เนาผ้าเอง ผู้ปกครองช่วยในขั้นตอนสุดท้ายคือเย็บเอวให้ ซึ่งการตัดเย็บผ้าก็ได้เรียนรู้สิ่งที่นอกเหนือจากวิชาการก็คือ การระมัดระวังตนเองและผู้อื่นเมื่อใช้อุปกรณ์ การฝึกสติ สมาธิในการทำงาน แต่ถ้าสมาธิหลุดเย็บผิดหรือด้ายพันกัน  เด็กๆ ก็ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา

                            ครูแหม่มเล่าว่า งานนี้เป็นงานที่โตกว่าตัวของเด็ก เป็นงานที่ท้าทายความสามารถ ที่เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในทุกๆ ขั้นตอนของการทำงาน ฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบ ความตั้งใจ พยายาม ให้สมเป็นเด็กทอสี ฝึกตน อดทน สู้สิ่งยากกับงานชิ้นสุดท้ายที่ทำร่วมกันในวัยอนุบาลก่อนที่จะขึ้นชั้นประถม เป็นของขวัญให้กับทุกคน

                            นิทานบนแผ่นเฟรม

                            นิทานบนแผ่นเฟรม

                            มีวิธีการยังไงถึงทำให้เด็กๆ ให้ความร่วมมือดีขนาดนี้

                            ครูต้นอธิบายว่า  ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดภายในตัวเด็กเอง  โดยให้ดูซีดีหุ่นเงาของพี่ๆ (มีให้เลือกตั้งแต่ปี ๑ – ๑๔)  ตั้งคำถามจากสิ่งที่เด็กได้ดูและดึงความทรงจำที่เด็กๆ เคยดูเวทีจริงตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาล เขาเห็นรุ่นพี่ทำมาก่อนทุกปี เป็นแบบอย่างที่ทำให้เขาตั้งใจและอยากพัฒนาตน  เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือทำ เขาควรทำอย่างไรให้เป็นตัวอย่างของรุ่นน้องต่อไป และทำให้ผู้ชมมีความสุข  เพียงเท่านี้เด็ก ๆ ทุกคนก็แทบอดใจไม่ไหว อยากลงมือทำงานกันทันที  ส่วนพี่ที่ขึ้นไปชั้นประถมแล้วก็อยากมาช่วย คอยถามไถ่ครู อยากรู้ว่าปีนี้น้องจะแสดงอะไร เป็นภาพจำช่วงเวลาดีๆ ที่่เด็กจะจำได้ตลอดว่า ปีไหนเขาทำอะไร  ถึงแม้ว่าโปรดักชั่นจะใหญ่เกินตัวเด็ก แต่เค้ามีครูอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา

                            เบื้องหลังละครหุ่นเงา

                            สิ่งที่เด็กทอสีที่จบอ.3 จะได้ติดตัวไปเมื่อเป็นพี่ประถม

                            “เด็กที่จบอ.3 จะสามารถ พึ่งพาตนเองได้ เป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้ สามารถดูแลตนเอง  สามารถทำอะไรให้ผู้อื่นได้ รู้จักนึกถึงคนอื่น ไม่ใช่นึกถึงแต่ตัวเอง” ครูต้นกล่าว

                            ละครหุ่นเงาความยาว 1 ชั่วโมงที่ทีมแม่ ABK ได้ชมในวันนี้ บวกกับเบื้องหลังการทำงานที่คุณครูเล่าให้ฟัง ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมกับพัฒนาการอันน่าทึ่งของเด็กๆ ชั้นอ.3 ชื่นใจแทนคุณพ่อคุณแม่คุณครู ที่ได้เห็นศักยภาพของเด็กๆ ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้มากมายกว่าที่เราคิด เพียงผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะยากแค่ไหน เด็กก็จะพยายาม อดทน สู้สิ่งยาก และทำมันให้สำเร็จ

                            เด็กทอสีถูกฝึกให้แข็งแกร่ง พึ่งพาตนเองได้ เพราะเมื่อเขาดูแลตัวเองได้แล้ว เขาจะสามารถดูแลและเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้ นับเป็น “วิชาชีวิต” ที่จะติดตัวพวกเขาไปตลอด ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม

                            เด็กทอสี ฝึกตน อดทน สู้สิ่งยาก

                            ตัวละครหุ่นเงา

                            บทความที่น่าสนใจอืนๆ 

                            โรงเรียนทางเลือก เรียนรู้ตามทางของลูก โดย พ่อเอก

                            โรงเรียนทางเลือก เรียนรู้ตามทางของลูก #2 โดย พ่อเอก

                            โรงเรียนทางเลือก เลือกแบบไหนให้เหมาะกับเจ้าตัวน้อย

                              ดูแลลูกในท้อง

                              เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลลูกในท้อง วิธีบำรุงลูกในท้องให้แข็งแรง!

                              ดูแลลูกในท้อง – สุขภาพของคุณแม่ก่อนจะตั้งครรภ์ เป็นตัวกำหนดสุขภาพของทารกในอนาคต ซึ่งรวมถึงการปกป้องทารกจากโรคภูมิแพ้ โรคผิวหนัง กลาก โรคหอบหืด ภาวะซึมเศร้า ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเบาหวานโรคหัวใจและอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณต้องการมีลูกในเร็ว ๆ นี้ ต่อไปนี้ คือ วิธีที่จะช่วยให้แน่ใจมากขึ้นว่าลูกของคุณจะสมบูรณ์แข็งแรงได้ในอนาคต

                              เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลลูกในท้อง วิธีบำรุงลูกในท้องให้แข็งแรง!

                              ถ้าอยากให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง สิ่งที่คุณควรทำ เมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ และตลอดระยะเวลาของการอุ้มท้อง ได้แก่

                              1. พบแพทย์โดยเร็วที่สุด

                              ทันทีที่พบว่าคุณตั้งครรภ์ ควรรีบหาหมอเพื่อทำการฝากครรภ์ เพราะจะได้รู้ความผิดปกติอื่นๆ และทำการตรวจเลือดเพื่อหาภาวะเสี่ยงต่างๆ โรคต่างๆ ที่สามารถติดได้ทางเพศสัมพันธ์

                              การจัดการดูแลตั้งแต่เนิ่นๆหมายความว่าคุณจะได้รับคำแนะนำที่ดีสำหรับการตั้งครรภ์ที่มีสุขภาพดีตั้งแต่เริ่มต้น นอกจากนี้คุณยังมีเวลาอีกมากในการจัดระเบียบชีวิตของคุณสำหรับการสแกนอัลตราซาวนด์และการทดสอบต่างๆ

                              ดูแลลูกในท้อง
                              ดูแลลูกในท้อง

                              2. กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย

                              ควรใส่ใจรับประทานอาหารที่สารอาหารครบถ้วนและดีต่อสุขภาพเท่าที่จะทำได้ ซึ่งหมายความว่าในแต่ละมื้อควร มีอาหารต่อไปนี้ :

                              • ผักและผลไม้อย่างน้อยห้าส่วนต่อวัน
                              • อาหารจำพวกแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) เช่น ขนมปังพาสต้าและข้าว คาร์โบไฮเดรตจำเป็นต้องมีมากกว่าหนึ่งในสามของสิ่งที่คุณกิน แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ควรบริโภคข้าวกล้องจะดีกว่าข้าวขาวเพื่อให้คุณได้รับไฟเบอร์ในปริมาณที่มากกว่าซึ่งส่งผลดีต่อการขับถ่าย และป้องกันการเกิดท้องผูกได้
                              • บริโภคโปรตีนทุกวัน เช่น ปลา เนื้อไม่ติดมัน ไข่ ถั่ว เป็นต้น
                              • อาหารจำพวกนม เช่น นม ชีส และโยเกิร์ต
                              • ปลาสองส่วนต่อสัปดาห์ โดยอย่างน้อยหนึ่งในนั้นควรเป็นปลาที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3  เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน หรือปลาแมคเคอเรล

                              ปลาเต็มไปด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทของทารก หากคุณไม่ชอบปลาคุณสามารถรับกรดไขมันโอเมก้า 3 จากอาหารอื่น ๆ ได้ เช่น ถั่ว เมล็ดพืช ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และผักใบเขียว นอกจากนี้ควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ปริมาณน้ำในร่างกายจะเพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์เพื่อช่วยรักษาระดับความดันโลหิตให้แข็งแรง พยายามมีของเหลวประมาณแปดแก้วต่อวัน ซึ่งสามารถรวมถึง นมพร่องมันเนย หรือน้ำผลไม้สด ทุกวัน

                              3. ทานวิตามินเสริม

                              ควรทานกรดโฟลิกอย่างน้อย  3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ และเสริมวิตามินดีตลอดการตั้งครรภ์และหลังจากการคลอดแล้ว หากคุณต้องการมีลูกและกำลังวางแผนที่จะตั้งครรภ์ การทานกรดโฟลิก (วิตามินบี) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องสุขภาพของทารกจากความบกพร่องของท่อประสาท (neural tube) ไม่เพียงแค่นั้นโฟลิกยังช่วยป้องกันเรื่องการแท้งบุตร การคลอดก่อนกำหนด ความดันโลหิตสูง และภาวะครรภ์เป็นพิษและยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นออทิสติกในทารกอีกด้วย

                              นอกจากนี้การเสริมวิตามินดียังมีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงกระดูกของทารกและสุขภาพกระดูกของทารกในอนาคต สำหรับคนที่ไม่กินปลาคุณสามารถทานอาหารเสริมน้ำมันปลาได้ โดยเลือกอาหารเสริมที่มีน้ำมันโอเมก้า 3 มากกว่าน้ำมันตับปลา เนื่องจากน้ำมันตับปลาอาจมีวิตามินเอในรูปแบบเรตินอลซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ของคุณ

                              ดูแลลูกในท้อง
                              ดูแลลูกในท้อง

                              4. ระมัดระวังเรื่องสุขอนามัยของอาหาร

                              ล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเพิ่งเข้าห้องน้ำเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือจัดการสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์อื่น ๆ

                              ล้างภาชนะและมือของคุณให้สะอาดหลังจากจับเนื้อดิบ เก็บอาหารดิบแยกจากอาหารสำเร็จรูป สุขอนามัยของอาหารเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่คุณกำลังตั้งครรภ์

                              นอกจากนี้อาหารบางอย่างปลอดภัยกว่าที่จะไม่กินในช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากสามารถกักเก็บแบคทีเรียหรือปรสิตที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ เช่น การติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียลิสเทอเรีย แม้ว่าสตรีมีครรภ์จะได้รับผลกระทบจากโรคนี้น้อยมาก แต่ก็อาจส่งผลร้ายแรงได้ เพราะสามารถนำไปสู่การแท้งบุตร ทารกที่ป่วยหนักหลังคลอด

                              อาหารต่อไปนี้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อ ลิสเทอเรีย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยง:

                              • อาหารแปรรูป
                              • อาหารแช่แข็ง
                              • นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
                              • อาหารสำเร็จรูปที่ยังไม่สุก

                              แบคทีเรียซัลโมเนลลาอาจทำให้อาหารเป็นพิษได้ คุณสามารถรับเชื้อซัลโมเนลลาจากการรับประทานอาหารต่อไปนี้ :

                              • เนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ
                              • ปลาดิบ หอยดิบ
                              • ไข่ดิบ

                              อาหารที่ทำจากไข่ดิบ เช่น มายองเนสสามารถรับประทานได้หากคุณแน่ใจว่าไข่ที่เป็นส่วนผสใผ่านการพาสเจอร์ไรส์แล้ว Toxoplasmosis คือการติดเชื้อที่เกิดจากปรสิต หายาก แต่อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และนำไปสู่การตาบอดและปัญหาทางระบบประสาท คุณสามารถลดความเสี่ยงในการจับได้โดย:

                              • การปรุงเนื้อสัตว์และอาหารสำเร็จรูปให้ละเอียด และหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ผ่านการบ่มเย็น
                              • ล้างผักและผลไม้ให้ดีเพื่อขจัดดินหรือสิ่งสกปรก
                              • สวมถุงมือเมื่อจัดการขยะแมวและดินในสวน

                              5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

                              การออกกำลังกายเป็นประจำมีประโยชน์มากมายสำหรับคุณแม่และลูกน้อย หากทำอย่างเหมาะสมและถูกวิธี

                              ประโยชน์ของออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสำหรับหญิงตั้งครรภ์

                              • ช่วยให้คุณรับมือกับการเปลี่ยนแปลงท่าทาง และการเจ็บปวดที่ข้อต่างๆ ระหว่างตั้งครรภ์
                              • ช่วยให้คุณมีน้ำหนักในเกณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ
                              • ช่วยปกป้องคุณจากภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ เช่น ความดันโลหิตสูง
                              • เพิ่มโอกาสในการเจ็บครรภ์คลอด ช่วยให้มีแนวโน้มในการคลอดแบบธรรมชาติ
                              • ช่วยให้คุณกลับมามีรูปร่างที่ดีได้เร็วขึ้นหลังการคลอด

                              การออกกำลังกายที่ดี สำหรับการตั้งครรภ์ ได้แก่ :

                              • เดินเร็ว
                              • ว่ายน้ำ
                              • โยคะ
                              • พิลาทิส

                              แจ้งให้เทรนเนอร์ของคุณทราบเสมอว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ หรือควรเลือกชั้นเรียนที่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ หากคุณเล่นกีฬาคุณสามารถเล่นต่อไปได้ตราบเท่าที่คุณรู้สึกสบายใจ อย่างไรก็ตามหากกีฬาประเภทใดประเภทหนึ่งของคุณมีความเสี่ยงที่จะหกล้มหรือกระแทกหรือมีความเครียดมากเกินไปที่ข้อต่อควรหยุด พูดคุยกับพยาบาลผดุงครรภ์หรือแพทย์ของคุณหากคุณไม่แน่ใจ

                              6. ออกกำลังกายด้วยการบริหารอุ้งเชิงกราน

                              อุ้งเชิงกรานมีกล้ามเนื้อเหล่านี้รองรับ กระเพาะปัสสาวะ ช่องคลอด และทางเดินด้านหลัง เชิงกรานอาจอ่อนแอกว่าปกติหากอยู่ในช่วงการตั้งครรภ์ เนื่องจากบริเวณเชิงกรานจะมีแรงกดดันมากขึ้น ฮอร์โมนต่างๆ ในการตั้งครรภ์อาจทำให้อุ้งเชิงกรานหย่อนลงเล็กน้อย กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแอทำให้คุณเสี่ยงต่อการเกิดความเครียด  อาการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น คือ ปัสสาวะรั่วเมื่อจาม หัวเราะ หรือออกกำลังกาย การเสริมสร้างกล้ามเนื้อด้วยการบริหารอุ้งเชิงกรานเป็นประจำตลอดการตั้งครรภ์จะช่วยให้อาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ไม่มารบกวน

                              7. งดแอลกอฮอล์ทุกชนิด

                              แอลกอฮอล์ทุกชนิด ที่คุณดื่มเข้าไปทารกสามารถรับได้อย่างรวดเร็วผ่านทางกระแสเลือดและรก ไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าแอลกอฮอล์ในช่วงตั้งครรภ์ปลอดภัยแค่ไหน นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณลดแอลกอฮอล์ในขณะที่คุณคาดหวัง ขอแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์โดยสิ้นเชิง สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่สามในไตรมาสแรกการดื่มแอลกอฮอล์สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้ในขณะที่ในไตรมาสที่ 3 อาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารก การดื่มหนัก ๆ หรือเมามายระหว่างตั้งครรภ์เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อยของคุณ คุณแม่ที่ดื่มหนักเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะให้กำเนิดทารกที่มีความผิดปกติของคลื่นความถี่แอลกอฮอล์ในครรภ์ (FASD) ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาตั้งแต่ความยากลำบากในการเรียนรู้ไปจนถึงความบกพร่องในการคลอดที่ร้ายแรงกว่า

                              ดูแลลูกในท้อง

                              8. ลดปริมาณคาเฟอีน

                              คาเฟอีนมีอยู่ใน กาแฟ ชา โคล่า ช็อกโกแลต และเครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ  ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่าคาเฟอีนมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อการมีทารกน้ำหนักแรกเกิดน้อย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร แนวทางปัจจุบันระบุว่าคาเฟอีนปริมาณ 200 มก. ต่อวันจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกที่กำลังพัฒนาของคุณ นั่นเท่ากับกาแฟสำเร็จรูปสองแก้ว เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์คุณอาจต้องการตัดคาเฟอีนออกไป โดยเฉพาะในไตรมาสแรก ชาและกาแฟไม่มีคาเฟอีน ชาผลไม้ และน้ำผลไม้ล้วนเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย

                              9. หยุดสูบบุหรี่

                              การสูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงสำหรับคุณและลูกน้อยของคุณ การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อไปนี้ :

                              • คลอดก่อนกำหนด
                              • น้ำหนักทารกแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์
                              • เกิดปัญหาในการคลอดบุตร
                              • กลุ่มอาการ ทารกเสียชีวิตอย่างกะทันหัน (SIDS) หรือ “โรคไหลตายในทารก”

                              การสูบบุหรี่ยังทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ดังต่อไปนี้:

                              • การแท้งบุตร
                              • การตั้งครรภ์นอกมดลูก
                              • รกลอกตัวโดยที่รกหลุดออกจากผนังมดลูกก่อนที่ลูกน้อยของคุณจะเกิด

                              หากคุณสูบบุหรี่ควรหยุดเพื่อสุขภาพของคุณเองและของลูกน้อย ยิ่งคุณเลิกสูบบุหรี่เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี  แม้แต่การหยุดในช่วงสองสามสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ก็มีประโยชน์ต่อคุณทั้งคู่

                              10. พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ

                              ความเหนื่อยล้าที่คุณอาจพบเจอในช่วงสองสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของคุณในระดับสูง ต่ซึ่งอาจทำให้คุณตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนหรือไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสบายตัว พยายามทำตัวให้ชินกับการนอนตะแคง ในไตรมาสที่สามการนอนตะแคงช่วยลดความเสี่ยงของการคลอดบุตรเมื่อเทียบกับการนอนหงาย หากการนอนหลับของคุณถูกรบกวนในตอนกลางคืนให้พยายามงีบหลับบ้างในตอนกลางวันหรือเข้านอนแต่หัวค่ำ หากเป็นไปไม่ได้อย่างน้อยก็ให้ยกเท้าขึ้นและพยายามผ่อนคลายเป็นเวลา 30 นาที หากอาการปวดหลังรบกวนการนอนของคุณให้ลองนอนตะแคงโดยงอเข่า การใช้หมอนคนท้องหนุนหลังอาจช่วยผ่อนแรงที่หลังได้

                              นอกจากนี้การออกกำลังกายอาจช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ และสามารถช่วยแก้ปัญหาการนอนหลับได้เช่นกัน ตราบใดที่คุณไม่ออกกำลังกายช่วงใกล้เวลานอนมากเกินไป

                              หากต้องการผ่อนคลายก่อนเข้านอนให้ลองใช้เทคนิคการผ่อนคลายต่าง ๆ ได้ เช่น :

                              • ทำโยคะง่ายๆ
                              • ยืดเหยียดเบาๆ
                              • หายใจเข้าออกลึก ๆ

                              ทารกที่มีสุขภาพดีในระหว่างตั้งครรภ์ คืออะไร?

                              พ่อแม่ทุกคนต้องการมีลูกที่แข็งแรงและพยายามอย่างเต็มที่ แต่บางครั้งการขาดข้อมูลความรู้ที่ดี อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด ดังนั้นการทำความเข้าใจสัญญาณของทารกในครรภ์ที่แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต่อไปนี้คือสัญญาณของทารกที่แข็งแรงในช่วงแรกของการตั้งครรภ์:

                              1. การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์

                              ทารกเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน  เมื่อทารกในครรภ์อายุได้ 6 เดือนจะสามารถตอบสนองต่อเสียงผ่านการเคลื่อนไหว ประมาณเดือนที่ 7 ทารกในครรภ์จะตอบสนองต่อสิ่งเร้า เช่น แสงเสียง หรือความเจ็บปวด เมื่อถึงเดือนที่แปดทารกจะเริ่มเปลี่ยนท่าและเตะบ่อยขึ้น จากการศึกษาพบว่าภายในเดือนที่เก้าการเคลื่อนไหวจะน้อยลงเนื่องจากพื้นที่ในครรภ์น้อยลง ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าทารกในครรภ์ของคุณแข็งแรง

                              2. การเจริญเติบโตเป็นไปอย่างปกติ

                              มีหลายวิธีในการวัดการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ แพทย์ของคุณจะทำการอัลตร้าซาวด์เพื่อติดตามสุขภาพและพัฒนาการของทารก โดยทั่วไปทารกในครรภ์จะโตขึ้น 2 นิ้วทุกเดือน ดังนั้นภายในเดือนที่ 7 ลูกน้อยของคุณควรมีความยาว 14 นิ้ว ในไตรมาสที่สามทารกในครรภ์ที่แข็งแรงจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 700 กรัมทุกสัปดาห์ โดยทั่วไปภายในเดือนที่ 9 ทารกในครรภ์จะมีน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัมและยาว 18-20 นิ้ว ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของทารกในครรภ์ที่แข็งแรง

                              3. การเต้นของหัวใจ

                              หัวใจของทารกจะเริ่มเต้นเมื่อเข้าสู่ ประมาณช่วงสัปดาห์ที่ 5 ของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามการตรวจการเต้นของหัวใจ จะทำได้ง่ายกว่าในช่วงปลายของการตั้งครรภ์ไตรมาสแรกด้วยการตรวจติดตามทารกในครรภ์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อยืนยันสุขภาพหัวใจของลูกน้อย แพทย์ของคุณอาจทำการทดสอบแบบไม่เครียด การทดสอบนี้จะตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นหากมี อีกทางเลือกหนึ่งแพทย์บางคนอาจนับการเต้นของหัวใจด้วยการสัมผัสท้องของคุณ การเต้นของหัวใจที่ดีต่อสุขภาพของทารก ควรอยู่ระหว่าง 110 ถึง 160 ครั้งต่อนาที

                              4. ตำแหน่งของทารกในช่วงก่อนคลอด

                              ในช่วงเดือนที่เก้าของการตั้งครรภ์ การเคลื่อนไหวของทารกจะสิ้นสุดลงหรือน้อยมาก ทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงจะค่อยๆกลับหัวเอาตำแหน่งศีรษะลงและเริ่มเคลื่อนไปทางช่องคลอดเพื่อรอการคลอดแบบธรรมชาติที่ราบรื่น

                              5. น้ำหนักเพิ่มขึ้น หน้าท้องใหญ่ขึ้น

                              น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ที่แข็งแรง เมื่อทารกในครรภ์อายุได้ 12–15 สัปดาห์เมื่อตั้งครรภ์ คุณสามารถขอให้แพทย์ตรวจน้ำหนักของคุณเป็นประจำและแจ้งข้อมูลอัปเดตว่าการตั้งครรภ์ของคุณดำเนินไปตามปกติหรือไม่ หน้าท้องของคุณควรมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน

                              การดูแลเรื่องโภชนาการ สุขอนามัยที่ดีระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากจะช่วยให้คุณแม่มั่นใจว่าจะช่วยดูแลลูกในท้องให้สมบูรณ์แข็งแรงปลอดภัยในช่วงที่ลูกยังอยู่ในครรภ์แล้ว แต่เมื่อลูกของคุณเกิดมา จนเข้าสู่วัยที่สามารถเรียนรู้เข้าใจในเรื่องการให้ความสำคัญต่อสุขภาพ จากการที่คุณพ่อคุณแม่ อาจคอยปลูกฝัง สั่งสอนและทำให้เห็นเป็นตัวเอย่าง เด็กๆ จะ รู้จักการรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์กับสุขภาพ เข้าใจแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้ตัวเองมีร่างกายและสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงทำให้ห่างไกลโรคได้ กล่าวคือ การได้รับการปลูกฝังเรื่องการรักสุขภาพและการปฏิบัติตัวให้ห่างไกลโรคแล้ว เด็กจะมีทักษะด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ติดตัวไปจนพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ได้ไม่ยากเลยค่ะ

                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : babycentre.co.uk , mindbodygreen.com , parenting.firstcry.com

                              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              สุดยอด “อาหารช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อย”

                              5 ผลเสียหากให้ลูกต่ำกว่า 2 ขวบกินอาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน !!

                              สวนน้ำ ที่ไหนดี ? 7 สวนน้ำเครื่องเล่นเยอะ ไปแล้วอยากไปอีก!

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                ลูกกินแต่นม

                                แม่กลุ้มใจ! ลูกกินแต่นม ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ต้องแก้ยังไง?

                                ลูกกินแต่นม – หากลูกวัยวัยเตาะแตะที่บ้าน ไม่ยอมกินอะไรเลยนอกจากนม คุณอาจรู้สึกหงุดหงิดและปวดหัวไม่น้อย การกินนมที่มากเกินไปอาจทำให้พฤติกรรมการกินที่ดีของเด็กๆ แย่ลง หากปล่อยเอาไว้นาน อาจส่งผลทำให้ลูกเป็นเด็กที่กินยาก และเลือกกิน ดังนั้นวิธีที่จะช่วยให้ลูกสามารถกินอาหารต่างๆ มากขึ้นได้แบบทีละขั้นตอนต้องทำอย่างไร วันนี้มาติดตามไปพร้อมกันค่ะ

                                แม่กลุ้มใจ! ลูกกินแต่นม ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ต้องแก้ยังไง?

                                “ หนูจะกินนม!” เจ้าตัวน้อยของคุณกำลังตะโกนกรีดร้องขอนมเป็นครั้งที่ 4  จนพ่อแม่ต้องยอมพ่ายแพ้เพราะลูกวัยเตาะแตะของคุณไม่ยอมกินอะไรเลยนอกจากนมคุณและกังวลว่าพวกเขาจะไม่ได้กินอะไรเลย เรื่องนี้คือ ปัญหาใหญ่ของพ่อแม่ที่มีลูกชอบกินแต่นม เป็นความท้าทายขั้นสูงว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้ลูกกินอาหารอื่นๆ ได้มากขึ้น เพราะการดื่มนมที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียในระยะยาวกับตัวเด็กได้ ดังนั้นการช่วยให้ลูกได้ดื่มนมในปริมาณที่พอเหมาะจึงเป็นเรื่องสำคัญ การปรับพฤติกรรมการกินนี้ของลูกเป็นสิ่งที่สามารถทำได้หากพ่อแม่ลงมือปฏิบัติด้วยความอดทน ซึ่งผลสำเร็จสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนค่ะ

                                ทำไมลูกถึงไม่ยอมกินอาหาร

                                อย่างที่เรารู้กันว่านมเป็นอะไรที่ที่ดื่มง่าย ซึ่งเด็กๆ ก็รู้เช่นเดียวกับเรา เด็กวัยเตาะแตะบางคนตระหนักดีว่าการดื่มนั้นง่ายกว่าการกินหรือเคี้ยวอาหาร จึงนิยมดื่มนมแทนการกินอาหาร! ลูกของคุณค่อนข้างจะทำในสิ่งที่ง่ายกว่าในการตอบสนองต่อความหิวของพวกเขา นั่นคือการดื่มนมในเวลาที่รู้สึกหิว หากเราตอบสนองความต้องการนี้บ่อยๆ จนลูกเคยชิน ลูกอาจจะมีโอกาสสัมผัสอาหารอื่นๆ น้อยลงเรื่อย ๆ เริ่มจู้จี้จุกจิกมากขึ้น และปฏิเสธอาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็จะปฏิเสธอาหารทุกอย่างที่นอกเหนือจากนม

                                ยังมีเหตุผลมากมายที่ทำให้เด็กวัยเตาะแตะ กินยาก หรือเรื่องมากเรื่องกิน หนึ่งในนั้น คือโอกาสในการสัมผัสกับอาหารที่น้อยลงเรื่อย ๆ ถ้าเด็กไม่เคยเห็นอาหาร พวกเขาจะไม่กินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่ไม่อยากกินอาหาร ยิ่งไม่เห็นอาหารแข็งก็จะยิ่งกินน้อยลง ตัวอย่างเช่น หากบุตรหลานของคุณไม่เคยเห็นแครอทนึ่ง พวกเขาจะไม่สามารถกินมันได้ จากนั้นครั้งต่อไปที่พวกเขาเห็นแครอทนึ่งพวกเขาจะขอดื่มนมแทน เพราะพวกเขารู้ว่านมมีรสชาติอย่างไร พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่ต้องเคี้ยวมัน และพวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะได้อะไรจากแครอท พวกเขาอาจกลัวแครอทเหล่านั้นด้วยซ้ำ ยิ่งเด็กไม่เห็นอาหารที่พวกเขากลัวนานเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น จากนั้นพวกเขาจะขออาหารที่คุ้นเคยและชื่นชอบ

                                ลูกกินแต่นม
                                ลูกกินแต่นม

                                มาถึงตรงนี้เราจะมองว่าเป็นเรื่องปกติ ที่เด็กวัยเตาะแตะอาจปฏิเสธการกินอาหาร ซึ่งปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจทำให้เด็กไม่ยอมทานอาหหาร ได่แก่  :

                                1. ความยากลำบากในการเรียนรู้ที่จะกินอาหารบนโต๊ะอาหาร – มีเด็กวัยเตาะแตะจำนวนมาก ที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปรับประทานอาหารแข็งได้หลังพ้นช่วยทารก เด็กบางคนติดอยู่กับอาหารบดอาหารปั่นและยังคงดื่มด่ำกับนมผงสูตรต่างๆ ของพวกเขาต่อไป หากเด็กวัยเตาะแตะไม่เคยเรียนรู้วิธีกินอาหาร พวกเขาก็คงไม่อยากจะกินอะไรนอกจากสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยข่าวดีก็คือ ยังมีวิธีที่เราจะสอนเด็กวัยหัดเดินให้กินอาหารบนโต๊ะหรืออาหาร finger food ได้  แต่ทั้งนี้ต้องใช้เวลา และความอดทนพอสมควร

                                2. ความไวต่อพื้นผิวสัมผัสของอาหาร – เด็กวัยเตาะแตะบางคนมีความอ่อนไหวต่อพื้นผิวที่แตกต่างกัน จนสร้างข้อจำกัด ที่จะรับเฉพาะในสิ่งที่พวกเขาจะยอมรับได้ (เช่นอาหารกรุบกรอบเท่านั้น) หรือไม่รับอะไรเลย สัญญาณอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าบุตรหลานของคุณมีความรู้สึกไวต่อพื้นผิวคือพวกเขาไม่ชอบยุ่งหรือจะปิดปากเมื่อได้กลิ่น / เห็น / สัมผัส / ชิมอาหาร บ่อยครั้งที่พวกเขาไม่ชอบให้มือสกปรก

                                3. ลูกยังเคี้ยวได้ไม่ดี – สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราๆ การเคี้ยวอาหารคงไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นหรือต้องกังวล  แต่กับเด็กวัยเตาะแตะแล้ว บางคนไม่เคยเรียนรู้ที่จะเคี้ยวให้ดีหรือไม่สามารถเคลื่อนย้ายอาหารไปมาในปากได้ เมื่อเด็กวัยเตาะแตะกำลังดิ้นรนกับสิ่งนี้หรือทักษะการเคลื่อนไหวของช่องปาก พวกเขามักจะมีอาหารหลุดออกจากปาก ปิดปากหลังจากเคี้ยวหรือทำอาหารในปากล่วงหล่นออกมา ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดี

                                4. กินจุบกินจิบทั้งวัน – เนื่องจากพฤติกรรมการกินของเด็กวัยเตาะแตะที่เราพูดถึงข้างต้น การปล่อยให้ลูกวัยเตาะแตะกินอาหารตลอดทั้งวันทั้งขนม นม เนย อย่างอิสระเสรี ส่งผลเสียต่อการกินของเด็กได้มากกว่าที่เราคิด การกินอาหารอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันอาจทำให้เด็กๆ ไม่รู้สึกหิวข้าวเมื่อถึงเวลามื้ออาหารปกติของวัน และบางครั้งจะไม่มีความรู้สึกอยากที่จะเรียนรู้ที่จะกินอาหารใหม่ๆอีกด้วย แต่ทุกคนเชื่อหรือไม่ว่า การทำลายนิสัยการกินจุบกินจิบนี้นี้ ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการสอนลูกวัยเตาะแตะว่าควรกินอาหารอย่างไร

                                5. ความผิดปกติทางการแพทย์ – หากไม่มีสาเหตุข้างต้นที่อาจทำให้ลูกไม่ยอมกินอะไรนอกจากนม  อาจเป็นไปได้ว่ามีความผิดปกติทางการแพทย์บางอย่างเกิดขึ้นกับลูก ซึ่งที่พบได้ คือ มีอาการกรดไหลย้อนแบบเงียบ ๆ อาการแพ้ หรืออาจมีเหตุผลทางการแพทย์อื่น ๆ ในการปฏิเสธที่จะกินอาหาร

                                ทั้งนี้กรดไหลย้อนและอาการแพ้ต่างๆ อาจส่งผลต่อความอยากอาหารหรือทำให้รู้สึกเจ็บปวดในการกิน และยังมีความเป็นไปได้ทางการแพทย์อื่น ๆ อีกมากมายเช่นกัน คุณพ่อคุรแม่ควรตรวจสอบกับกุมารแพทย์หรือนัดหมายโดยตรงกับแพทย์ระบบทางเดินอาหารเด็กเพื่อขอคำปรึกษา หรือรักษาต่อไป

                                ลูกกินแต่นม

                                คำแนะนำพ่อแม่ ที่มีลูกกินแต่นม หรือไม่ยอมกินข้าว

                                ให้ลูกกินนมเป็นเวลา – ควรอนุญาตให้ลูกทานนมพร้อมมื้ออาหารเท่านั้น หรือให้ทานช่วงหลังจากมื้ออาหารไม่นาน

                                กำหนดเวลามื้ออาหารให้ห่างกัน 2-3 ชั่วโมง – หลีกเลี่ยงการให้ลูกทานขนมของว่าง หรืออาหารอื่น ๆ ในระหว่างวัน ซึ่งนั้นจะทำให้พวกเขารู้สึกหิวและอยากกินมากขึ้น นอกจากนี้การเลือกจุดที่จะให้ลูกนั่งรับประทานอาหารส่วนใหญ่ก็ส่งผลดีได้มากกว่าที่คิด กล่าวคือ ความสม่ำเสมอของการรับประทานอาหารในสถานที่เดียวกันบอ่ยๆ  จะช่วยให้เด็กๆ ปรับตัวเข้ากับกิจวัตรประจำวันได้  ควรนั่งเก้าอี้สูงหรือเบาะนั่งเสริมที่แข็งแรงปลอดภัย

                                ปล่อยให้ลูกยุ่ง – ใช่นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากแม้ว่าจะสร้างความรำคาญให้กับคุณแม่ที่เหนื่อยล้าเพราะเด็กวัยเตาะแตะต้องสำรวจ และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหากลูกวัยเตาะแตะของคุณดูเหมือนจะไม่อยากยุ่ง โปรดจำไว้ว่าเราพูดถึงการมีความอ่อนไหวต่อพื้นผิวอย่างไรสิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาไม่อ่อนไหว ยิ่งพวกเขาเล่นและสัมผัสพื้นผิวที่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น วิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำเช่นนี้ผ่านการเล่นที่ยุ่งเหยิงหรือช่องทางประสาทสัมผัส

                                กินข้าวพร้อมหน้ากัน – แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะปฏิเสธที่จะกิน แต่คุณพ่อคุณแม่ควรนั่งลงและกินอาหารพร้อมๆ กับที่ลูกนั่งอยู่ที่นั่น หากเพียงไม่กี่นาที เน้นที่มื้ออาหารเป็นประสบการณ์เชิงบวกแม้ว่าคุณจะคุยกับลูกวัยเตาะแตะเพียงไม่กี่นาทีในขณะที่พวกเขามีอาหารอยู่ในถาดก็ตาม

                                เปลี่ยนบางสิ่งเพื่อดึงดูดความสนใจ – เมื่อลูกวัยเตาะแตะของคุณไม่ยอมกินอาหารที่คุณวางไว้ตรงหน้า หนึ่งในเทคนิคที่ดีที่สุดในการดึงความสนใจของลูก คือ ในครั้งหน้า อาจหาภาชนะอื่นที่มีสีสันมากขึ้น เพื่อให้ลูกได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเปลี่ยนมุมมองเล็ก ๆ ของมื้ออาหาร เพื่อเปลี่ยนจุดสนใจจากการปฏิเสธ หรือร้องไห้ อย่างน้อยก็เพื่อสร้างโอกาสในการเปิดรับอาหารของลูกให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

                                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : yourkidstable.com , kidseatincolor.com

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                ลูกกินยาก กินแต่อาหารซ้ำซาก เสี่ยงโรค Neophobia

                                กินนมแม่..แต่..ลูกไม่ถ่าย..แม่ควรกินอะไร?

                                อาหารเด็กทารก ป้อนอย่างไรไม่ให้ลูกเสี่ยงแพ้อาหาร?

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  ดูแลทารกแรกเกิด ตัดเล็บ อาบน้ำ ฯลฯ ครบจบในที่เดียว!!

                                  การ ดูแลทารกแรกเกิด หลังคลอดนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทีมแม่ ABK ขอรวบรวมวิธี ตัดเล็บ อาบน้ำ สระผม ล้างจุ๊ดจู๋ เช็ดตัว เช็ดสะดือ ฯลฯ มาให้แม่มือใหม่ได้ศึกษากันค่ะ

                                  ดูแลทารกแรกเกิด ตัดเล็บ อาบน้ำ ฯลฯ ครบจบในที่เดียว!!

                                  เด็กทารกในช่วงแรกเกิดเป็นช่วงที่ร่างกายยังบอบบางและอ่อนแอมาก เพราะอวัยวะในส่วนต่าง ๆ ของทารกยังบอบบาง มีขนาดเล็กกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะอุ้ม จะให้นม โดยเฉพาะการทำความสะอาดลูกน้อย ซึ่งทารกแรกเกิดนั้น มักจะมีจุดที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษ เช่น สะดือ กระหม่อม เป็นต้น

                                  วิธีการดูแลทำความสะอาดลูกน้อยอย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไปนี้ จะช่วยลดความกังวลใจให้กับคุณแม่ก่อนลงมือปฏิบัติจริงได้ …มาดูกันค่ะว่า วิธีทำความสะอาดทารกแรกเกิดที่ถูกวิธีนั้นทำอย่างไรกันบ้าง

                                  วิธีการตัดเล็บลูกให้ปลอดภัย

                                  1. เตรียมอุปกรณ์ในการตัดเล็บลูกให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็น กรรไกรตัดเล็บทารก ตะไบเล็บเพื่อลดความคมของเล็บลูก สำลีและแอลกอฮอลล์เพื่อล้างกรรไกรตัดเล็บก่อนทำการตัดเล็บลูกทุกครั้ง สำลีหรือทิชชู่ไว้กดเลือดในกรณีที่ตัดโดนเนื้อลูก ครีมหรือโลชั่นสำหรับทาที่เล็บของลูกเพื่อให้เล็บอ่อนนุ่มและตัดได้ง่ายขึ้น นอกจากเตรียมอุปกรณ์ตัดเล็บลูกแล้ว คุณแม่อาจจะหาผู้ช่วยในการหลอกล่อหรือเบี่ยงเบนความสนใจของลูกไปด้วยก็ได้นะคะ
                                  2. ช่วงเวลาในการตัดเล็บที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเล็บลูกคือหลังจากอาบน้ำเสร็จ เพราะเล็บที่โดนน้ำจะอ่อนนุ่มขึ้น และลูกก็ยังอารมณ์ดี สบายตัว ยอมให้ตัดเล็บได้ง่ายขึ้น หรืออาจจะตัดเล็บลูกในช่วงที่ลูกหลับแล้วก็ได้ค่ะ
                                  3. จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม ควรตัดเล็บลูกในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อให้มองเห็นเล็บของลูกได้ชัดขึ้น
                                    เลือกใช้กรรไกรตัดเล็บสำหรับทารกโดยเฉพาะ ซึ่งมีการออกแบบขนาดและความคมที่เหมาะสมสำหรับเล็บของทารก
                                  4. จัดท่าทางในการตัดเล็บลูกให้สะดวกที่สุด จากนั้นใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งจับนิ้วที่จะตัดให้มั่นแต่อย่าเผลอกดแรงจนเกินไป ลูกอาจจะเจ็บและไม่ยอมให้ตัดได้
                                  5. ควรตัดเล็มเฉพาะส่วนที่ยาวพ้นปลายนิ้วออกมา โดยตัดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องตัดโค้งเข้าซอกเล็บ ก่อนตัดสามารถกะระยะในการตัดโดยการใช้กรรไกรตัดเล็บแตะที่เล็บด้านล่างก่อนจนแน่ใจว่าไม่ตัดลึกจนเกินไป ในส่วนของซอกเล็บที่ยังแหลมคมอยู่ ให้ใช้ตะไบเล็บ ค่อย ๆ ลบความคมออก โดยไม่จำเป็นต้องตะไบจนเล็บให้สั้นจนติดเนื้อ

                                  ชมคลิปวิธีการตัดเล็บลูกน้อยได้ที่นี่

                                  บทความที่เกี่ยวข้อง

                                  กรรไกรตัดเล็บเด็ก ใช้แบบไหนดี? เมื่อต้องตัดเล็บลูก

                                  อุทาหรณ์จากหมอ! ตัดเล็บทารก ตัดผิดลูกติดเชื้อในกระแสเลือด

                                  วิธีอาบน้ำทารกแรกเกิด ที่ถูกต้อง

                                  1. เตรียมน้ำทดสอบอุณหภูมิน้ำไม่ให้เย็นหรือร้อนเกินไป
                                  2. โดยเริ่มถอดเสื้อผ้าลูก นำตัวลงอ่างน้ำ โดยใช้มือจับที่รักแร้เด็ก ไหล่เด็กพาดบนแขนของแม่ จากนั้นลูบตัวลูกให้เปียกด้วยฟองน้ำหรือผ้าขนหนู
                                  3. ใช้ทั้งสองมือประคองลูกไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แล้วค่อย ๆ วางลูกลงในอ่างอาบน้ำโดยให้ขาลงก่อน จากนั้นใช้ฟองน้ำ ชุบน้ำบิดพอหมาด ๆ ทำความสะอาดให้ทั่วทั้งตัวและใบหน้า โดยเริ่มจากด้านหน้าและเช็ดจากบนลงล่างเสมอ
                                  4. กดสบู่แล้วลูบตัวลูกทีละส่วน ตั้งแต่แขน ซอกคอ ลำตัว ขา แล้วล้างฟองสบู่ออกให้หมดจากด้านหลัง เสร็จจากด้านหลังแล้วใช้มืออีกข้างค่อยๆ จับลูกให้อยู่ในท่าคว่ำลง ให้อกพาดที่แขนแม่ แล้วลูบสบู่ให้ทั่วหลัง ก้นและขา
                                  5. เมื่อถูสบู่ทั่วตัวลูกแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูหรือฟองน้ำ ล้างสบู่ออกด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด แล้วอุ้มลูกน้อย ขึ้นจากอ่าง เช็ดตัวลูก ซับน้ำให้แห้ง โดยเฉพาะตามซอกคอ ซอกรักแร้ ข้อพับและตามลำตัวส่วนทุกส่วน
                                  6. ในส่วนของการ สระ (เช็ด) ผม ใช้ผ้าขนหนู ชุบน้ำสบู่ (บิดหมาดเพื่อไม่ให้น้ำสบู่หยดเข้าตาลูก) ลูบผมเบาๆ จากด้านหน้าไปด้านหลัง สักสองครั้ง แล้วเช็ดออกด้วยผ้าชุบน้ำเปล่าบิดหมาดจนสะอาดหมดคราบสบู่

                                  ข้อควรระวัง

                                  1. อย่าให้ลูกน้อยอยู่ในอ่างอาบน้ำตามลำพังโดยเด็ดขาด
                                  2. ระวังไม่ให้ระดับน้ำอยู่สูงเกินไป (ไม่เกิน 10 ซมจากก้นอ่าง)
                                  3. ไม่ควรใส่น้ำร้อนเพิ่มเติมขณะลูกอยู่ในอ่าง

                                  ชมคลิปวิธีการอาบน้ำ สระผมลูกน้อยได้ที่นี่

                                  บทความที่เกี่ยวข้อง การ “อาบน้ำทารกแรกเกิด” ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน

                                  ดูแลทารกแรกเกิด กับการทำความสะอาดหลังขับถ่าย

                                  เด็กผู้หญิง

                                  1. ใช้กระดาษชำระเช็ดอุจจาระออกให้หมดจากด้านหน้าไปด้านหลัง แล้วจึงคลายผ้าอ้อมออกจากตัวลูก
                                  2. ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วเช็ดบริเวณหน้าท้อง ขาหนีบ ต้นขาแต่ละข้าง แล้วจึงเช็ดอวัยวะเพศโดยใช้สำลีก้อนใหม่เช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักย้อนมาเปื้อนด้านหน้า จากนั้นยกขาขึ้นแล้วใช้สำลีก้อนใหม่เช็ดบริเวณก้นและทวารหนักเป็นตำแหน่งสุดท้าย
                                  3. เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดสีบ่อย ๆ จากการเช็ดถู แนะนำให้ใช้น้ำสะอาดล้างโดยลูบจากด้านหน้าไปด้านหลังเช่นเดียวกับการเช็ด
                                  4. ซับขาหนีบให้แห้ง ปล่อยให้ระบายอากาศซักพักจนแห้งสนิท ล้างมือคุณแม่ให้สะอาด อาจทาครีมป้องกันความเปียกชื้นก่อนใส่ผ้าอ้อม ไม่ต้องโรยแป้งทับ
                                  การดูแลทารกแรกเกิด
                                  การดูแลทารกแรกเกิด

                                  เด็กผู้ชาย

                                  1. ใช้กระดาษชำระเช็ดอุจจาระออกให้หมดจากด้านหน้าไปด้านหลัง แล้วจึงคลายผ้าอ้อมออกจากตัวลูก
                                    • Trick : แนะนำให้ใช้ผ้าอ้อมปิดที่จุ๊ดจู๋ลูกน้อยไว้ก่อน เพราะระหว่างที่คลายผ้าอ้อม เด็กชายอาจจะมีปัสสาวะพุ่งออกมาได้
                                  2. ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วเช็ดหน้าท้อง ขาหนีบ ต้นขาในส่วนของอวัยวะเพศให้ทำความสะอาดรอบ ๆ ไม่ต้องเปิดหนังหุ้มปลาย เช็ดใต้อวัยวะรวมทั้งอัณฑะให้ทั่ว
                                  3. ยกขาทั้ง 2 ข้างเพื่อทำความสะอาดบริเวณก้น ขาหนีบ และรูทวารเป็นตำแหน่งสุดท้าย
                                  4. ล้างมือให้สะอาด ใช้กระดาษชำระหรือผ้าสะอาดซับให้แห้ง ปล่อยให้ระบายอากาศจนแห้งสนิท แล้วจึงใส่ผ้าอ้อม(อาจใช้ครีมป้องกันความเปียกชื้นทาก่อนใส่ผ้าอ้อม โดยไม่ต้องโรยแป้งทับในส่วนที่ทาครีม)

                                  บทความที่เกี่ยวข้อง ลูกอึเสร็จ ตอนไหน แม่จะรู้ได้ยังไง เมื่อไหร่จะถึงเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อม

                                  วิธีเช็ดจมูกทารก

                                  การ ดูแลทารกแรกเกิด จมูกก็เป็นส่วนสำคัญ เพื่อให้ลูกน้อยวัยทารกของคุณแม่หายใจสะดวกและไม่มีเศษน้ำมูกไปอุดตัน คุณแม่จึงควรเช็ดด้านในจมูกของลูกด้วยวิธีการดังนี้

                                  1. ค่อย ๆ ใช้ปลายคอตตอนบัดเช็ดด้านในส่วนปลายจมูกของลูกโดยถูเบา ๆ ด้านในจมูก เปลี่ยนคอตตอนบัดแล้วเช็ดรูจมูกให้ครบทั้งสองข้าง
                                  2. หากลูกน้อยมีเศษน้ำมูกแข็งให้คุณแม่ใช้น้ำเกลือหยดลงบนคอตตอนบัดเล็กน้อย แล้วเช็ดที่รูจมูกลูก น้ำเกลือจะช่วยให้น้ำมูกของลูกอ่อนนิ่มขึ้นทำให้เช็ดออกได้ง่าย
                                  3. หรืออีกวิธีคุณแม่อาจหยดน้ำเกลือลงในจมูก เพื่อให้น้ำมูกอ่อนนิ่มทำให้เศษน้ำมูกติดออกมาที่คอตตอนบัดได้ง่ายช่วยให้จมูกลูกสะอาดและหายใจสะดวกมากยิ่งขึ้นค่ะ

                                  ชมคลิปวิธีเช็ดจมูกให้ลูกเบบี๋ได้ที่นี่

                                  วิธีเช็ดสะดือทารกแรกเกิด

                                  1. ล้างมือผู้เช็ดให้สะอาด
                                  2. ใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงสายสะดือขึ้นเบา ๆ แล้วจึงใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% พอชุ่มเช็ดรอบ ๆ สะดือจากด้านในออกด้านนอก
                                  3. ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% อีกก้อนหนึ่งเช็ดจากโคนสะดือไปยังปลายสะดือ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเจ็บหรือปวดท้องนะคะ เพราะว่าบริเวณนี้ไม่มีเส้นประสาทมาเลี้ยง แต่ลูกอาจจะร้องไห้งอแงขณะเช็ดและดิ้นไปมาได้ เพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้รู้สึกเย็นผิวและสะดุ้งตกใจได้
                                  4. เมื่อเช็ดเสร็จแล้วปล่อยให้แห้งเอง ไม่ต้องใช้ผ้าแห้งซับหรือถู

                                  ข้อควรระวัง

                                  • ควรเช็ดสะดือทุกวันหลังอาบน้ำจนกว่าสะดือจะหลุด ถ้าสังเกตว่าผิวรอบ ๆ โคนสะดือบวมแดง มีน้ำเหลือง หนอง หรือเลือดซึมมีกลิ่นเหม็น ควรไปพบแพทย์ทันที
                                  • ห้ามใช้แป้งหรือยาผงโรยสะดือเด็กเด็ดขาด

                                  บทความที่เกี่ยวข้อง 6 ข้อ ห้ามทำกับสะดือทารกแรกเกิด

                                   

                                  ทำความสะอาดช่องปาก และฟันน้ำนมลูกน้อย

                                  1. เริ่มจากให้ลูกน้อยนอนเงยหน้าและเห็นช่องปากลูกชัดเจน นำผ้าอ้อมที่มีเนื้อบางนุ่มและสะอาดชุบน้ำต้มสุกอุ่น พันนิ้วชี้ของคุณแม่ไว้
                                  2. ค่อยๆ เช็ดคราบนมและคราบอาหารในช่องปากลูกน้อยอย่างช้าๆ และเบามือ เช็ดที่ฟันเหงือก ตามด้วยเพดานปาก กระพุ้งแก้ม และเช็ดที่ลิ้น
                                  3. หากลูกมีฟันขึ้นแล้ว อาจใช้ปลอกนิ้วหรือแปรงฟันเด็กเล็ก แปรงเหงือกและฟันให้ลูกได้ เพื่อช่วยนวดเหงือก และเริ่มให้ลูกคุ้นเคยกับการแปรงฟันค่ะ

                                  สำหรับแม่ท้องที่ลูกน้อยกำลังจะลืมตาดูโลกในไม่ช้า การศึกษาเกี่ยวกับการ ดูแลทารกแรกเกิด นั้นมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากคลอดออกมาแล้ว คุณแม่จะไม่ค่อยมีเวลามาศึกษาในเรื่องนี้ อีกทั้งการไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง จะทำให้คุณแม่มือใหม่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อลูกร้องไห้

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน ทำความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรค

                                  หมอสูติฯตอบ! คลอดลูก “แบบผ่ากับคลอดเอง” อะไรดีกว่ากัน?

                                  7 ภาพการ์ตูนที่ต้องดู! ก่อนมี “ลูกคนแรก” ทั้งซึ้งและน่ารัก

                                  กินไข่แล้ว แผลผ่าตัดคลอด หายช้า-เป็นรอยนูน..จริงหรือ?

                                   

                                  ขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    เสี่ยงติดโควิด-19

                                    วิธีเช็กความ เสี่ยงติดโควิด-19 อาการแบบไหนต้องรีบไปตรวจหาเชื้อ

                                    ยิ่งตรวจยิ่งเจอไม่หยุด  ผู้ติดเชื้อคลัสเตอร์ผับ-บาร์ สถานบันเทิงกลางกรุงแพร่ระบาดทั่วประเทศ เกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆในหลายวงการจนทำให้หลายโรงพยาบาลเริ่มเต็ม!! โควิดสายพันธุ์ใหม่ ติดง่ายแต่ไม่แสดงอาการ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใคร เสี่ยงติดโควิด-19 บ้าง วิธีสังเกตอาการเมื่อไหร่ควรไปตรวจเชื้อ

                                    ระบาดหนักมาก จะรู้ได้อย่างไรว่าบ้านนี้ เสี่ยงติดโควิด-19 หรือยัง

                                    จากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ (เมื่อวันที่ 9 เม.ย.64) 559 คน กระจายตัวในหลายจังหวัดทั่วประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะส่วนหนึ่งเป็นเชื้อโควิดสายพันธุ์สายอังกฤษ ที่แพร่ง่าย ติดไว ไม่แสดงอาการ ทำให้ผู้รับเชื้อยังใช้ชีวิตตามปกติ และขยายวงการระบาดกว้างขึ้นเรื่อยๆ และในหลายแวดวง ทั้งข้าราชการ ผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐและเอกชน ตำรวจ บุคลากรทางการแพทย์ ดารา-นักแสดง นักร้อง-นักดนตรี นางแบบ ลิเก นักข่าว ซึ่งส่วนใหญ่มีการพบปะกับผู้คนจำนวนมาก หลายที่ หลายโอกาส ทำให้ยากต่อการสืบสวนโรคและควบคุมการแพร่ระบาด ต่างจากคลัสเตอร์บางแคกับคลัสเตอร์ตลาดกลางกุ้งที่ผ่านมา

                                    เสี่ยงติดโควิด-19

                                    และเมื่อจำนวนผู้เข้ารับการตรวจเชื้อในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑณมากขึ้น จนมีภาพของโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งออกมาประกาศงดรับตรวจหาเชื้อ เพราะเตียงที่เตรียมไว้รองรับผู้ป่วยคิดเต็มแล้ว ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยว่าตัวเอง เสี่ยงติดโควิด-19 แค่ไหน ติดเชื้อหรือยัง ต้องรอนานแค่ไหนถึงควรไปตรวจ ทีมแม่ abk มีวิธีสังเกตตัวเองเบื้องต้น พร้อมแบบประเมินมาให้คุณแม่เตรียมพร้อมกันรับมือไปด้วยกันค่ะ

                                    เสี่ยงติดโควิด-19

                                     

                                    จะรู้ได้อย่างไรว่า เสี่ยงติดโควิด-19 แค่ไหน

                                    ความเสี่ยงติดโควิด-19 มากหรือน้อยต้องดูจากความใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

                                    1. กลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิด หมายถึงคนที่อยู่ใน timeline เดียวกับผู้ติดเชื้อ ได้แก่ เป็นครอบครัวเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน พูดคุยกันในระยะ 1 เมตร นานเกิน 5 นาที โดนผู้ป่วยไอหรือจามรด และอยู่ในห้องแอร์ หรือสถานที่ปิดใกล้ชิดกันในระยะ 1 เมตร นานเกิน 15 นาที จากนั้นต้องมาพิจารณาว่าตอนที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยได้ใส่เครื่องป้องกันเช่น หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าหรือ face shield หรือไม่

                                    ถ้าไม่ใส่หรือใส่ไม่ถูกต้อง ก็จะถือว่าเป็น “ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง”  จะต้องกักตัว 14  วันและเข้ารับการตรวจเชื้อทันที แต่ถ้าป้องกันตัวเองดีจะยังถือว่าเป็น “ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ” ไม่ต้องกักตัว แต่หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด สวมหน้ากาก และสังเกตอาการจนครบ 14 วัน หากมีอาการผิดปกติให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ

                                    MUST READ: 8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

                                    MUST READ :“พ่อแม่ไปพื้นที่เสี่ยงโควิด” กักตัว 14 วัน ที่บ้านอย่างไร? ให้ลูกปลอดภัย ปลอดเชื้อ!

                                     

                                    1. กลุ่มผู้ใกล้ชิดกับผู้สัมผัส เป็นคนอีกกลุ่มที่มีความ เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ลดหลั่นลงมา คือไม่ได้เป็นผู้สัมผัส พบเจอหรือพูดคุยกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เพียงแต่ใกล้ชิดกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำ ซึ่งไม่ใช่ผู้แพร่เชื้อโดยตรงจึงถือว่ามีความเสี่ยงต่ำมาก สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องกักตัว แต่ต้องป้องกันตัวเองตามมาตรการและหมั่นสังเกตตัวเองตลอด 14 วัน

                                    กรณีที่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือต่ำตรวจพบว่าติดเชื้อ คนในกลุ่มนี้จะต้องได้รับการตรวจซ้ำอีกครั้งว่ามีเชื้อโควิดในร่างกายด้วยหรือไม่ หากไม่พบเชื้อแต่ก็จะถูกจัดให้อยู่ใน “กลุ่มผู้สัมเสี่ยงสูงหรือต่ำทันที”

                                    3. กลุ่มคนทั่วไป ที่อยู่ในชุมชมเดียวกัน เช่น อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมเดียวกัน อยู่ในจังหวัดที่พบการระบาดน้อย เป็นผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงจากผู้ป่วยรายนี้ เพราะไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด แต่ยังต้องยกการ์ดสูง เพื่อป้องกันตัวเอง เพราะอาจมีผู้ติดเชื้อรายอื่นในชุมชน

                                    ดังนั้นหากคุณแม่สังเกตตัวเองแล้วว่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ 1  ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ แต่เพื่อความมั่นใจมากขึ้น คุณแม่สามารถทำแบบประเมินความเสี่ยง ผ่านระบบออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ นอกจากจะช่วยลดภาระให้กับเจ้าหน้าที่ ประหยัดทรัพยากรอย่างน้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆแล้ว ยังลดโอกาสเสี่ยงที่จะไปสัมผัสกับผู้ติดเชื้อระหว่างรอตรวจด้วย

                                    เช็กก่อน แบบประเมินความเสี่ยงติดโควิด-19 มากแค่ไหน

                                    สำหรับคุณแม่ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ  สามารถเข้าไปทำแบบประเมินความเสี่ยงด้วยตัวเองได้ที่ BKKCOVID-19 ซึ่งจะเป็นแบบสอบถามเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ใช้คัดกรองผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อ โดยมีรายละเอียดดังนี้

                                    • ซักประวัติความเสี่ยง 14 วันก่อนเริ่มป่วย เช่น ไปสถานที่เสี่ยง สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรือเข้าข่ายว่าติดเชื้อ

                                    • วัดอุณหภูมิหรือประวัติว่ามีไข้

                                    • ประเมินอาการระบบทางเดินหายใจ

                                    เมื่อคุณแม่ทำแบบประเมินแล้วเสร็จ ระบบจะประเมินและจัดกลุ่มว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงระดับใด พร้อมให้ความรู้ในการปฏิบัติตนตามระดับความเสี่ยงนั้น ๆ หากเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จะมีการจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปให้คำความรู้และประเมินอาการทุกวัน เป็นเวลา 14 วันเพื่อประเมินอาการต่อไป ดังนั้นคุณแม่ต้องกรอกข้อมูลตามจริงเท่านั้นเพื่อเป็นประโยชน์ให้มากที่สุด

                                    เสี่ยงติดโควิด-19

                                    พบว่าเสี่ยงติดโควิด มีสิทธิตรวจที่ไหนบ้าง

                                    หลังการประเมินตัวเองแล้วพบว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นผู้ติดเชื้อโควิด ทุกคนสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ฟรี!! ที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่ง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเตรียมไว้แล้ว สำหรับโรงพยาบาลเอกชนทุกแหล่งสามารถเข้ารับบริการได้ทั้งผู้มีสิทธิ์บัตรทอง บัตรประกันสังคม ข้าราชการ และสิทธิ์สุขภาพอื่นๆ ด้วย

                                    เสี่ยงติดโควิด-19

                                    ใครมีสิทธิ์ตรวจโควิดฟรีบ้าง

                                    1.มีประวัติเสี่ยงในช่วง 14 วัน ก่อนมีอาการ (หรือมีความเสี่ยงอย่างใดอย่างหนึ่ง) ได้แก่ เดินทางจากพื้นที่ระบาด ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนมาจากพื้นที่เสี่ยง หรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรือผู้สงสัย

                                    2.มีอาการโควิด-19 ได้แก่ มีไข้อุณหภูมิสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส มีอาการไอ น้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส  หายใจเหนื่อยหอบ

                                    3.เป็นผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่มีประวัติดังนี้ ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด  แต่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์

                                    ก่อนเข้ารับการตรวจหาเชื้อ ควรล้างมือให้สะอาด ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างจากบุคคลอื่น และควรเดินทางไปสถานที่ตรวจด้วยรถส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นในชุมชม

                                    โควิดรอบแรกเราทุกคนผ่านมาได้แล้ว สงกรานต์ปีนี้ถ้าทุกคนในครอบครัวคงต้องปกป้องกันและกันให้ปลอดภัย ยกการ์ดให้สูง งดการเดินทาง งดเข้าพื้นที่เสี่ยง เชื่อว่าจะผ่านมันไปได้เช่นกัน

                                    ขอบคุณข้อมูล www.bangkokbiznews.com / bkkcovid19.bangkok.go.th / w0ww.nhso.go.th

                                     

                                    บทความน่าสนใจอื่นๆ 

                                    สสส. แนะวิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

                                     

                                    8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

                                    โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ต้นตอโควิดระลอกใหม่ อันตรายแค่ไหน แม่ต้องรู้

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่