ชื่อจีนผู้หญิง

50 ชื่อจีนผู้หญิง ตั้งให้ลูกสาวตึ่งหนั่งเกี้ยใช้แล้วเฮงเฮงเฮง!

Alternative Textaccount_circle
event
ชื่อจีนผู้หญิง
ชื่อจีนผู้หญิง

ชื่อจีนผู้หญิง ความหมายดี ๆ เพราะ ๆ สำหรับสาวน้อยตึ่งหนั่งเกี้ย ทั้งหมวยน้อย หมวยใหญ่ เพื่อความเป็นมงคลชีวิตของลูก แถมน่ารักดูเป็นหมวยอินเตอร์ มาลองเลือกกัน

50 ชื่อจีนผู้หญิง ตั้งให้ลูกสาวตึ่งหนั่งเกี้ยใช้แล้วเฮงเฮงเฮง!!

คุณพ่อคุณแม่ที่อยากจะตั้งชื่อลูกเป็นภาษาจีน เพื่อต้องการแสดงถึงความภูมิใจในความเป็นคนเชื้อสายจีน ต้องการให้ความสำคัญในการแสดงถึงวัฒนธรรมของจีนที่มีมาช้านาน และที่สำคัญเพื่อให้ลูกหลานไม่ลืมถึงความเป็นจีนที่นับว่าเป็นชนชาติที่เป็นเสมือนเมืองพี่เมืองน้องของไทยเรากับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนานนั้น วันนี้ ทีมแม่ ABK ได้ขอเป็นตัวแทนรวบรวมชื่อภาษาจีน ที่ทั้งดี และไพเราะ เป็นมงคลมาฝากันให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองเลือก แม้ว่าจะเป็นภาษาจีน แต่ก็เป็นคำที่คนไทยคุ้นหูกันอยู่ไม่น้อยทีเดียว 

โดยส่วนใหญ่เวลาที่เราทราบว่าจะได้ลูกสาว เรามักจะนึกถึงความสวยงาม น่ารัก อ่อนโยน อ่อนหวาน ที่เป็นเหมือนคุณสมบัติของผู้หญิงทุกคน ในภาษาจีนก็มีคำที่มีความหมายเหล่านี้ ทั้งความหมายตรง และความหมายแฝงมากมาย หากชื่อที่จะติดตัวลูกไปมีความหมายที่ดี เหมาะสมกับตัวเอง ใครฟังก็รื่นหู สดชื่น นั่นย่อมทำให้ชีวิตของเขาจะได้ประสบพบเจอแต่สิ่งดี ๆ เฮง ๆ เข้ามาอย่างแน่นอน

ชื่อจีนผู้หญิง สำหรับตึ่งหนั่งเกี้ย
ชื่อจีนผู้หญิง สำหรับตึ่งหนั่งเกี้ย

ลี่ 丽 แปลว่า ความสวยงาม น่ารัก 

ความสวยงามเป็นของคู่กันกับผู้หญิงทุกคน อย่างที่รู้ ๆ กันดี ชนชาติจีนมีศาสตร์แห่งความงามที่เลื่องลือไปยังหลายดินแดนตั้งแต่ยุคโบราณมาจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนคิ้วที่มีเอกลักษณ์ การเดินแบบย่างก้าวด้วยการรัดเท้าให้เล็ก เป็นต้น แน่นอนว่าพวกเค้าย่อมให้ความสำคัญกับความงามของอิสตรีอย่างยิ่งยวด วิถีชีวิตของผู้คนในยุคโบราณเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้หญิงทุ่มเทให้กับการบำรุงรักษาความงามจากหัวจรดเท้า

ค่านิยมความงามเหล่านี้ยังสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน  แม้บางสิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง   ทั้งอารยธรรมที่ทรงอิทธิพลแผ่ขยายไปยังดินแดนต่างๆ   ทั้งความเชื่อ ศาสนา แนวคิดทางการเมือง  ศิลปะ ไปจนถึงค่านิยมความงามของผู้หญิง  ทุกวันนี้ บางประเทศก็ยังยึดมั่นใน beauty standard ที่เหมือนกับชนชาติจีนโบราณไม่มีผิด

ตัวอย่างชื่อสาวงามในประวัติศาสตร์จีน

ไซซี               มัจฉาจมวารี
หวังเจาจวิน   
ปักษีตกนภา
เตียวเสี้ยน
จันทร์หลบโฉมสุดา
หยางกุ้ยเฟย  
มวลผกาละอายนาง

ผศ.ถาวร สิกขโกศล   ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนวิทยาชื่อดังผู้แต่งบทกลอน

ชื่อจีนผู้หญิงที่ขึ้นต้นว่า “ลี่”

คำที่ขึ้นต้นว่าลี่ ที่มีความหมายดี ๆ อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว เมื่อนำมาเป็นคำขึ้นต้นชื่อจึงทำให้ได้คำไพเราะ เหมาะกับการตั้งชื่อให้ลูกสาว แถมยังมีความหมายดี ๆ หลากหลายคำ ที่เป็นสิริมงคลแก่ลูก ลองดูตัวอย่างชื่อที่ขึ้นต้นว่า “ลี่” จากตารางข้างล่างได้เลย

ชื่อจีนผู้หญิง ที่ขึ้นต้นด้วย "ลี่"
ชื่อจีนผู้หญิง ที่ขึ้นต้นด้วย “ลี่”

นอกจากคำว่า “ลี่” ที่ฟังดูไพเราะเมื่อเป็นคำไทยแล้ว คำจีนที่ฟังคุ้นหูคนไทยไม่น้อยเลยทีเดียวเห็นจะเป็น “เหลียง” ซึ่งก็เป็นคำที่มีความหมายดีไม่แตกต่างกัน

Liáng  –  เหลียง หมายถึง

  • 良 =  ดี คนดี
  • 俍 =  ดีงาม
  • 涼 =  เย็นสบาย
  • 粱 =  ข้าวพันธุ์ดี

    ดอกไม้สวยงาม ความหมายชื่อภาษาจีนที่นิยมตั้ง
    ดอกไม้สวยงาม ความหมายชื่อภาษาจีนที่นิยมตั้ง

ตัวอย่างชื่อชาวจีนแซ่ “เหลียง”

梁芊朦    Liáng qiān méng   เหลียงเชียนเหมิง

梁希颜    Liángxīyán   เหลียงซีเหยียน

梁欣源    Liángxīnyuán   เหลียงซินเหยียน

梁林花    Liánglínhuā   เหลียงหลินฮวา

梁思佳    Liángsījiā   เหลียงซือเจีย

梁源朔    Liángyuánshuò   เหลียงเหยียนซั่ว

梁瑞涵    Liángruìhán   เหลียงรุ่ยหาน

梁纡萱    Liáng yū xuān   เหลียง ยวีซวน

梁莹莹    Liángyíngyíng   เหลียงอิ๋งอิ๋ง

梁真妍    Liáng zhēn yán   เหลียงเจินเหยียน

 

เจียว 姣 แปลว่า อ่อนช้อย สวยงาม น่ารัก งามเพริศพริ้ง

ความงามในแบบจีนนั้น เป็นเช่นไรคงต้องย้อนไปดูประวัติศาสตร์จีน ถึงหญิงงามที่ถูกกล่าวขวัญ เลื่องลือกันหลายนางที่ล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ ความงามที่โดดเด่นในแบบของจีน แต่แม้จะมีรูปร่างหน้าตาสะสวยเพียงไร แต่สิ่งที่สำคัญและได้รับการยกย่องเสียยิ่งกว่าความงามภายนอกก็คือหญิงสาวผู้ทรงไว้ซึ่งความสามารถในแบบผู้หญิง และกิริยาที่ดูอ่อนช้อยงดงาม ที่เป็นมากกว่าความงามทั่ว ๆ ไป เช่น ดีดพิณ เขียนพู่กัน งานเย็บปัก เป็นต้น

ชื่อจีนผู้หญิงที่ขึ้นต้นว่า “เจียว”

ชื่อจีนผู้หญิง ที่ขึ้นต้นว่า “เจียว”

ฟาง  แปลว่า หอม กลิ่นหอม / เฟย , 飞 แปลว่า บิน  菲 แปลว่า กลิ่นหอมของต้นหญ้า

ความหอม เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติของสาวงาม สมัยก่อนมีคำกล่าวถึง “สาวชาววัง” ว่าไม่ว่าสาว ๆ เหล่านั้นไปที่ใดมักจะทิ้งกลิ่นหอมติดไว้ที่นั้นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอมจากเสื้อผ้า เนื้อตัว เส้นผม สาวชาวจีนก็ให้ความสำคัญกับความหอมไม่แพ้กัน โดยมีประวัติความเป็นมาเรื่องการทำ “เครื่องหอม” จากการใช้ดอกไม้ และหญ้าหอมในกวีของ ชวีหยวน กวีผู้ยิ่งใหญ่ในยุคชุนชิวจ้านกว้อ แต่ที่ล้ำสุดๆ ก็คือสมัยเว่ยจิ้น และราชวงศ์เหนือใต้ แม้แต่บรรดาขุนนางก็พรมเสื้อผ้าด้วยน้ำหอม สมัยราชวงศ์ถังเครื่องหอมชนิดต่างๆ ก็ก้าวหน้าถึงขีดสุด มีเครื่องหอมหลากหลายรูปแบบ ภาชนะบรรจุเครื่องหอมก็ประดิดประดอย

จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้นจึงนับได้ว่า ความหอมเป็นคุณสมบัติความงาม คุณค่าของความเป็นหญิงอีกข้อหนึ่งที่สาว ๆ ต่างใฝ่หา จึงมิใช่เรื่องแปลกที่ชื่อของชาวจีนจะมีความหมายถึง กลิ่นหอม อยู่มากมายหลายคำ

ชื่อจีนผู้หญิงที่ขึ้นต้นว่า “ฟาง หรือ เฟย”

ชื่อภาษาจีนสำหรับลูกสาวที่ขึ้นต้นด้วย "ฟาง-เฟย"
ชื่อภาษาจีนสำหรับลูกสาวที่ขึ้นต้นด้วย “ฟาง-เฟย”

หยาง 阳 / 陽 แปลว่า  พระอาทิตย์  /洋 แปลว่า อุดมสมบูรณ์ /玚 / 瑒 แปลว่า เครื่องหยกชนิดหนึ่ง

หยาง ที่เป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ลัทธิเต๋า ที่ประกอบไปด้วย หยิน และหยาง อันหมายถึง อำนาจที่มีบทบาทต่อกันของจักรวาลนักปราชญ์ชาวจีนเชื่อว่า หยิน-หยาง เป็นตัวแทนของพลังแห่งจักรวาล ๒ ด้าน เครื่องหมายหยิน และหยางนี้พัฒนามาจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติของจักรวาล

  • สีดำคือ หยิน หมายถึง ดวงจันทร์ เป็นตัวแทนของการเต็มใจ รับหรือยอมเป็นฝ่ายถูกระทำ เป็นพลังแห่งสตรีเพศ ความเยือกเย็น การหยุดนิ่ง การเคลื่อนลงต่ำ การเก็บรักษา การยับยั้ง
  • สีขาวคือ หยาง หมายถึง ดวงอาทิตย์ อันเป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งบุรุษเพศ การเคลื่อนไหว ความกระตือรือร้น การเคลื่อนขึ้นไปด้านบน การเจริญเติบโต เจริญรุ่งเรือง ความร้อนแรง

ดังนั้น สัญลักษณ์หยิน-หยาง จึงแทนความสมดุลของพลังในจักรวาล หยาง นั้นเปรียบได้กับ ผู้ชาย ส่วนหยินนั้นเป็น หญิง หยางไม่อาจเติบโตขึ้นได้หากปราศจากหยิน และหยินเองก็ไม่อาจให้กำเนิดชีวิตใหม่ได้หากปราศจากหยาง

แม้ว่าหยางจะเป็นตัวแทนของชาย แต่ใช่ว่าจะมีชื่อที่ขึ้นต้นด้วย “หยาง” เป็นของผู้ชายเสมอไป คำว่า “หยาง” ที่แฝงอยู่ในชื่อขึ้นต้นของผู้หญิงนั้น มักมีความหมายไปในเชิง เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ ลงตัวกันได้กับความงาม

ชื่อจีนผู้หญิงที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “หยาง”

ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า "หยาง" ชื่อจีนผู้หญิง
ชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “หยาง” ชื่อจีนผู้หญิง

ชื่อ เป็นคำที่ใช้เรียกบุคคล จึงทำให้ผู้คนให้ความสำคัญในการตั้งชื่อ แม้ว่าเราเป็นคนไทย แต่การมีชื่อหลายภาษาก็มิใช่สิ่งที่เสียหายใด ๆ ในโลกแห่งยุคที่ผู้คนเข้าหากันได้ง่ายดายทั่วทุกมุมโลก คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องการตั้งชื่อของลูกน้อยให้มีมากกว่าภาษาประจำเมืองเกิด จึงมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างไร ทางทีมแม่หวังว่าตัวอย่างชื่อจีนผู้หญิงที่เราได้หยิบยกมาในวันนี้จะมีส่วนช่วยเหลือให้ท่านได้พบตัวเลือกที่ต้องการ และเหมาะสมกับลูกสาวที่น่ารัก รวมถึงบุคคลที่ต้องการมีชื่อเป็นภาษาจีนให้ได้พบกับชื่อที่เหมาะสม

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.jeen4u.com/www.silpa-mag.com/www.finearts.go.th/mahavirawongmuseum/www.canva.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ชื่อเล่นยอดฮิต และเก๋ๆ แบบครบถ้วน ทั้งไทยและอังกฤษ กว่า 500 ชื่อ

ตั้งชื่อเล่นลูก 100 ชื่อเล่นไทยๆ ลูกชาย ลูกสาว เพราะดี มีความหมาย

100 ชื่อเท่ๆ เก๋ๆ ไม่ซ้ำไม่เชย อ่านได้ทั้งภาษาอังกฤษและไทย

800 ชื่อเล่นลูก ทันสมัย ไม่หลุดเทรนด์ ทั้งลูกสาว-ลูกชาย

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด

อุทาหรณ์! ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด เพราะชอบปิดไฟเล่นโทรศัพท์!

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด
ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด

ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด – แม้ว่าเทคโนโลยีดิจิตอลจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ยังมีโทษเสมือนดาบสองคมได้อย่างน่าวิตกหากเราใช้อย่างผิดวิธีและขาดความระมัดระวัง แต่ถ้าเรารู้เท่าทันและปฏิบัติตัวในการใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมก็ย่อมปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ได้

ทุกวันนี้ เมื่อพูดถึงเด็กเล็กๆ กับโทรศัพท์มือถือ พ่อแม่หลายคนคงรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันได้ยากพอสมควร เพราะในแต่ละวันคงเป็นเรื่องยากไม่มากก็น้อยที่พ่อแม่จะไม่หยิบจับโทรศัพท์ให้ลูกเห็น หรือ ไม่เปิดดูคลิปต่างๆ ในมือถือให้ลูกเห็นหรือดู อย่างไรก็ตามแพทย์หลายท่านต่างลงความเห็นว่าไม่ควรให้เด็กได้เล่นมือถือจนกว่าจะอายุ 2 ขวบ และหากให้เล่นควรอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด ควรจำกัดเวลาให้เป็นกฏระเบียบที่ชัดเจน เนื่องจากการปล่อยเด็กไว้กับโทรศัพท์มือถือนานๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อทั้งพัฒนาการและสุขภาพของเด็ก เพราะอาจทำให้เด็กมีปัญหาด้านพัฒนาการที่ล่าช้า หรือมีปัญหาด้านสายตาได้

อุทาหรณ์! ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด เพราะชอบปิดไฟเล่นโทรศัพท์!

อย่างกรณีที่เราจะพูดถึงในวันนี้ เป็นเรื่องราวของคุณแม่รายหนึ่งที่ได้แชร์เรื่องราวให้เป็นอุทาหรณ์กับคุณแม่ท่านอื่นในกรุ๊ป  โดยคุณแม่ได้แชร์เรื่องที่ลูกชายวัย 4 ขวบ มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา คุณแม่ได้พาน้องไปคลินิคหมอตาเฉพาะทางเนื่องจากมีอาการตาขาวแดง คุณหมอแจ้งว่าอาจจะมีแมลงเข้าตาน้อง แต่แม่ก็ส่องไฟฉายดูทุกวัน ไม่มีอะไร โดยคุณแม่เล่าในโพสต์ว่า

” แม่ๆ คนไหนมีประสบการณ์น้องตาแดง แล้วร้องไห้น้ำตาเป็นเลือดมั้ยคะ เริ่มแรกเลยน้องตาขาวแดง แม่ก็ไปร้านยาซื้อยาแก้อักเสบให้น้องกินและหยอดตา 3 วันไม่หายแม่ก็พาน้องไปคลินิคหมอตาเฉพาะทาง หมอบอกแมลงอาจจะเข้าตาน้อง ได้ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้อักเสบ ยาหยอดตา ยาทาเปลือกตา และหมอบอกประมาณ 2 อาทิตย์ถึงจะหาย ผ่านมาจะอาทิตย์แล้วค่ะ ตาขาวไม่แดงแล้ว แต่เปลือกตาข้างในน้องยังแดงอยู่ วันนี้น้องเล่นแล้วมือพี่เผอิญไปจิ้มตาน้อง น้องร้องไห้น้ำตาไหลเป็นอย่างในภาพเลยค่ะ”
ต่อมาคุณแม่ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมงานแม่ ABK ว่า คุณหมอสันนิษฐานว่าสาเหตุอาจเกิดจากการที่น้องชอบเล่นโทรศัพท์ตอนปิดไฟทุกคืน ตาถูกใช้งานหนักในสภาพที่แสงสว่างไม่หมาะสม  ทำให้อาการผิดปกติต่างๆ ของดวงตาได้ เช่น  ตาอักเสบ ตาแห้ง ตาแดง ตาติดเชื้อ เป็นต้น ซึ่งร้องไห้แล้วอาจมีเลือดปนออกมาพร้อมกับน้ำตาได้ ยิ่งถ้าหากดวงตาถูกกระทบกระเทือนเช่น ขยี้แรงๆ หรือมีอะไรจิ้มเข้าที่ตาก็จะยิ่งทำให้มีเลือดออกที่ตาได้ง่ายขึ้น
ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด
ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด
จากกรณีนี้ นับว่าเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้ต้องกลับมาที่เรื่องการระมัดระวังป้องกันให้เด็กๆ ใช้สื่ออย่างเหมาะสม หากเราไม่สามารถควบคุมให้ลูกปฏิบัติตามก็อาจเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นได้ ทีนี้เรามาดูสาเหตุของการร้องไห้น้ำตาเป็นเลือดในเด็กกันค่ะ ว่าคืออะไร โอกาสเกิดได้มากน้อยแค่ไหน แล้วเราจะสามารถระวังไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร

อาการร้องไห้เป็นเลือด (Haemolacria)

ทางการแพทย์ อาการร้องไห้เป็นเลือด หรือ Haemolacria ถือว่าเป็นอาการที่พบได้ไม่บ่อย สามารถเกิดขึ้นได้กับดวงตาทั้ง 2 ข้างพร้อม ๆ กัน หรือเพียงด้านใดด้านหนึ่ง ตาข้างซ้ายหรือข้างขวามีโอกาสเกิดอาการนี้ได้เท่ากันขึ้นอยู่กับสาเหตุ เป็นอาการที่พบได้ในทุกเพศและทุกวัย ซึ่งสาเหตุทั่วไปของอาการนี้ ได้แก่

การบาดเจ็บที่เยื่อบุตา : เยื่อบุตาเป็นเยื่อเนื้อเยื่อใสที่อยู่ด้านบนของตาขาว ซึ่งเป็นส่วนสีขาวของตา ภายในเยื่อบุลูกตาเป็นโครงข่ายของหลอดเลือด บางครั้งการติดเชื้อ การอักเสบ หรือการฉีกขาดอาจทำให้เยื่อบุตามีเลือดออกเนื่องจากหลอดเลือดมีความอุดมสมบูรณ์มาก เลือดเพียงแค่ไหลออกมาและผสมกับน้ำตาทำให้ดูเหมือนกับว่าคนๆ นั้นกำลังสร้างน้ำตาด้วยเลือด

ความผิดปกติของระบบโลหิต : ความผิดปกติของเลือด รวมทั้งผู้ป่วยฮีโมฟีเลีย หรือ โรคเลือดออกง่ายหยุดยากทางพันธุกรรม อาจทำให้เลือดออกมากเกินไปเนื่องจากปัญหาการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่เป็นโรคฮีโมฟีเลียอาจมีอาการฟกช้ำหรือมีเลือดออกได้ง่าย หรือมีน้ำตาปนกับเลือด การใช้ยาแอสไพรินหรือเฮปารินอาจเป็นตัวการ สำหรับผู้ป่วยที่มีรอยฟกช้ำหรือมีเลือดออกบ่อยควรได้รับการประเมินโดยแพทย์อายุรกรรม

โรคเนื้องอกเส้นเลือด : หรือโรค ไพโอเจนนิค กรานูโลมา เป็นเนื้องอกที่เป็นพิษเป็นภัย อาจเติบโตบนเยื่อบุลูกตาหรือในถุงน้ำตา ถุงน้ำตาเป็นจุดเชื่อมต่อทั่วไปที่รูระบายน้ำน้ำตาทั้งสองรวมกันเพื่อระบายน้ำตา สามารถเกิดขึ้นได้จากการบาดเจ็บ แมลงกัดต่อย หรือการอักเสบเฉียบพลัน ทำให้มีเลือดออกในตาได้

เลือดกำเดาไหล:  ระบบน้ำตาที่ผลิตและระบายน้ำตาของมนุษย์เชื่อมต่อกับโพรงจมูก เมื่อเรากะพริบตา เปลือกตาของเราจะดันแนวทแยงเล็กน้อยไปทางมุมของดวงตา ซึ่งเป็นตำแหน่งของรอยต่อที่เรียกว่า puncta เป็นรูเล็กๆ ที่น้ำตาจะไหลลงสู่ถุงน้ำตา จากนั้นจึงไหลลงสู่บ่อน้ำตาและเข้าไปในจมูก ซึ่งนี่คือสาเหตุว่าทำไมเราถึงแน่นจมูกเวลาร้องไห้ หากมีเลือดกำเดาไหล มีแรงดันในจมูก หรือบีบจมูก ในขณะที่มีเลือดกำเดาไหล สามารถเลือดไหลย้อนกลับกลับขึ้นไปทางโพรงจมูกได้ และทำให้เลือดไหลย้อนกลับเข้าไปในน้ำตา ทำให้ดูเหมือนว่าน้ำตามีเลือดปน

 

ลูกร้องไห้น้ำตาเป็นเลือด

ผลเสียเมื่อเด็กจ้องดูหน้าจอมากเกินไป

ทุกวันนี้เด็กๆ ใช้เวลามากขึ้นกับการจ้องและจิ้มหน้าจอมือถือ อาจรวมถึง คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต ทีวี สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งเวลาอยู่หน้าจอทั้งหมดนั้นส่งผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีของเด็ก ซึ่งรวมถึงสุภาพของดวงตาด้วย

​มีผลการวิจัยที่น่าตกใจ พบว่าในยุคดิจิตัล เด็กๆ เริ่มรู้จักอุปกรณ์สื่อดิจิทัล เช่น แท็บเล็ตหรือสมาร์ทโฟนของพ่อแม่เมื่ออายุน้อยกว่า 6 เดือน จากการศึกษาของวัยรุ่นพบว่า เด็กๆ ใช้เวลาเกือบ 7 ชั่วโมงต่อวันกับสื่อที่มีการฉายภาพยนตร์ ดูทีวี เล่นวิดีโอเกม และใช้โซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขากำลังสนุก เด็ก ๆ อาจเล่นและดูจนตาลาย ซึ่งการจ้องหน้าจอเป็นเวลานานโดยไม่หยุดพักอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ได้ เช่น :

ตาเมื่อยล้า : กล้ามเนื้อรอบดวงตาก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เหนื่อยล้าจากการใช้อย่างต่อเนื่อง การจดจ่ออยู่กับหน้าจอเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาในการจดจ่อและปวดหัวอยู่ตรงกลางขมับและดวงตา เด็กอาจใช้อุปกรณ์หน้าจอที่มีแสงน้อยเกินในอุดมคติ ทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าจากการหรี่ตา

มองเห็นไม่ชัด : การเพ่งมองในระยะเดิมเป็นเวลานานอาจทำให้ระบบโฟกัสของดวงตา กระตุก หรือ “ล็อค” ชั่วคราว  ทำให้การมองเห็นของเด็กพร่ามัวเมื่อละสายตาจากหน้าจอ การศึกษาบางชิ้นยังแนะนำว่าการใช้คอมพิวเตอร์และกิจกรรมในร่มระยะใกล้อื่นๆ อาจกระตุ้นให้เด็กสายตาสั้นเพิ่มขึ้น  ซึ่งการมีเวลาได้ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านมากขึ้นจะช่วยให้เด็กๆ มีการมองเห็นที่ดีขึ้น

ตาแห้ง : จากการศึกษาพบว่าเรากะพริบตาน้อยลงอย่างมากเมื่อเพ่งความสนใจไปที่หน้าจอดิจิตอล ซึ่งอาจทำให้ตาแห้งและระคายเคืองได้ การใช้คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป และแล็ปท็อปอาจเป็นเรื่องยากสำหรับสายตาของเด็ก ๆ เป็นพิเศษ เนื่องจากโดยปกติแล้วจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าในการมองเห็นหนังสือ เป็นต้น เป็นผลให้เปลือกตาบนมีแนวโน้มที่จะเปิดกว้างขึ้น เร่งการระเหยของน้ำตาของดวงตาและเป็นเหตุให้ตาแห้ง

วิธีช่วยลูก พักสายตาจากหน้าจอ

การจ้องอยู่กับหน้าจอของเด็กๆ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงการระบาดของ COVID-19  ทั้งจากการต้องเรียนออนไลน์ หรือการพักเล่นโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ตามผู้ปกครองควรพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างโลกดิจิทัลและโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับเด็กๆ วิธีต่อไป

เคลียร์อุปกรณ์ดิจิตอลออกจากห้องนอน : แนะนำให้เด็กไม่นอนกับอุปกรณ์ดิจิตอลในห้องนอน ทั้งทีวี คอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟน หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าจอเป็นเวลา 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน การใช้อุปกรณ์ก่อนนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นวิดีโอเกมหรือรายการที่มีความรุนแรง อาจรบกวนการนอนหลับได้ การศึกษายังชี้ว่าแสงสีฟ้าที่ปล่อยออกมาจากหน้าจออาจทำให้นอนหลับยาก

สนันสนุนให้ลูกออกกำลังกาย : ถ้าเด็กๆ ละจากหน้าจอไปได้ จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาสายต าและการมองเห็นจากการใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป เด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปควรออกกำลังกายอย่างน้อย 60 นาทีในแต่ละวัน การเล่นที่กระฉับกระเฉงถือเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับเด็กเล็ก การเล่นนอกบ้านอาจเป็น “การออกกำลังกาย” ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการมองเห็นของเด็ก โดยทำให้พวกเขามีโอกาสได้โฟกัสในระยะทางที่ต่างกัน และรับแสงแดดธรรมชาติ

กำหนดเวลาพักสายตา :  การพักสายตาจากหน้าจอเป็นเรื่องสำคัญต่อสุขภาพดวงตา โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เด็กๆ ต่างต้องเรียนออนไลน์อยู่กับหน้าจอทั้งวัน บางครั้งพ่อแม่อาจไม่ทันสังเกตเห็นอาการเมื่อยล้าของดวงตาของเด็กๆ  ทางที่ดีควรให้ลูกได้ละสายตาจากหน้าจอทุกๆ 20 นาที เพื่อโฟกัสไปที่วัตถุที่อยู่ห่างออกไปอย่างน้อย 20 ฟุต เป็นเวลาอย่างน้อย 20 วินาที เพื่อให้ดวงตาได้ผ่อนคลาย นอกจากนี้ เด็กควรเดินออกจากหน้าจออย่างน้อย 10 นาที ในทุกชั่วโมง

เตือนลูกให้กระพริบตา : งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน The New England Journal of Medicine กล่าวว่าการจ้องคอมพิวเตอร์สามารถลดอัตราการกะพริบตาลงครึ่งหนึ่งและทำให้ตาแห้ง พ่อแม่ควรกระตุ้นให้บุตรหลานพยายามกะพริบตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหยุดพักจากหน้าจอ กุมารแพทย์หรือจักษุแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาหยอดตาที่ให้ความชุ่มชื้นหรือเครื่องทำความชื้นในห้องหากลูกของคุณยังคงมีอาการตาแห้ง

การวางตำแหน่งหน้าจอ :  ตรวจสอบให้แน่ใจว่าหน้าจออยู่ต่ำกว่าระดับสายตาของเด็กเล็กน้อย การที่จออยู่สูงกว่าระดับสายตาขึ้นไปจะทำให้ตาแห้งเร็วขึ้นนอกจากนี้ การปรับขนาดตัวอักษรโดยเฉพาะบนหน้าจอขนาดเล็ก ให้ใหญ่เป็นสองเท่าของที่เด็กอ่านได้อย่างสบายอาจช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตาได้

คุมแสงสว่างให้เพียงพอ :  เพื่อลดแสงสะท้อนและความล้าของดวงตาควรดูความเหมาะสมของระดับแสงสว่างในห้องให้เพียงพอ แสงที่ดีไม่ควรสว่างมากไปหรือน้อยไป แสงไฟที่อยู่เหนือศีรษะไม่ควรส่องลงบนหน้าจอโดยตรงเพราะจะทำให้ตาทำงานหนักขึ้น นอกจากนี้ควรลดความสว่างของหน้าจอให้อยู่ในระดับที่ดูสบายตายิ่งขึ้น ในกรณีถ้าเด็กต้องใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ แว่นตาแบบพิเศษที่มีเลนส์เคลือบป้องกันแสงสะท้อนจะช่วยถนอมสายตาให้เด็กได้ นอกจากนี้ แผ่นกรองแสงหน้าจอก็เป็นตัวเลือกที่ดีในการปกป้องดวงตาจากรังสีและแสงสะท้อนจากหน้าจอได้ เช่นกัน

สุขภาพดวงตาของเด็กๆ เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะดวงตา คือ อวัยวะสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เมื่อเราให้เหตุผลกับลูกๆ ในจำกัดการใช้หน้าจอ หรือสอนแนวทางปฏิบัติต่างๆ ให้ลูกปลอดภัยจากการใช้สายตา และใช้งานหน้าจอได้อย่างเหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ จะช่วยเสริมสร้างให้เด็กๆ เกิดทักษะความฉลาดที่รอบด้าน ด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี  (HQ) ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่งในยุคนี้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : Natkamol Hanchampa , eyewiki.aao.org , verywellhealth.com , healthychildren.org

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

10 ปัญหา โรคตาเด็ก ที่พบได้บ่อย พร้อมวิธีรักษา

ทารกชอบขยี้ตา ลูกชอบถูหน้าตัวเอง เป็นเพราะอะไร?

โรคตาแดง อาการเป็นอย่างไร?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เงินเยียวยาโควิด

เช็กสิทธิรับ เงินเยียวยาโควิด ม.33 ม.39-40 ต้องทำยังไง ได้เงินวันไหน?

Alternative Textaccount_circle
event
เงินเยียวยาโควิด
เงินเยียวยาโควิด

เงินเยียวยาโควิด – อัพเดท มาตรการเยียวยาของรัฐบาล สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่สีแดงเข้ม หรือพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี นครปฐ  ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา และ ล่าสุดประกาศเพิ่มอีก 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งหมด 13 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากการล็อคดาวน์สถานการณ์โควิด-19  จาก 9 กลุ่มอาชีพ ได้แก่

  • ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร
  • การขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
  • การขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์
  • กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน
  • กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ
  • ข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร
  • การก่อสร้าง
  • กิจกรรมการบริการด้านอื่นๆ
  • ศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ

เช็กสิทธิรับ เงินเยียวยาโควิด ม.33 ม.39-40 ต้องทำยังไง ได้เงินวันไหน?

โดย รัฐบาลกำหนดวันรับเงินเยียวยา 2,500 – 5,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ซึ่งแบ่งเป็นรายละเอียดในการรับเงินดังนี้

  • กลุ่มลูกจ้าง ม.33 ได้รับเงินเยียวยา 2,500 บาท และลูกจ้างที่ตกงาน จ่ายชดเชยให้ 50 % ของค่าจ้างสูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท เริ่มโอนเงิน 6 ส.ค. นี้ แต่สำหรับลูกจ้างใน 3 จังหวัดที่รัฐประกาศเพิ่ม ได้แก่ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และพระนครศรีอยุธยา จะได้รับโอนเงินหลังจากวันที่ 6 ส.ค. เป็นต้นไป
  • กลุ่มนายจ้าง ม.33 ได้รับเงินเยียวยา 3,000 บาท/ลูกจ้าง 1 คน สูงสุดไม่เกิน 200 คน เริ่มโอนเงิน 6 ส.ค. นี้
  • กลุ่ม ม.39 และ 40 ที่เป็นกลุ่มฟรีแลนซ์และอาชีพอิสระ ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท  ต้องลงทะเบียนภายในเดือน ก.ค.นี้ เมื่อมีการลงทะเบียนครบแล้วคาดว่าจะเริ่มโอนเงินได้หลังจากวันที่ 6 ส.ค. เป็นต้นไป

* สำหรับลูกจ้าง และนายจ้าง ม.33 ที่ไม่ได้อยู่ใน 9 กลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบที่รัฐบาลประกาศ จะไม่เข้าเกณฑ์ในการได้รับเงินเยียวยา

เงินเยียวยาโควิด
เงินเยียวยาโควิด

รายละเอียด ลูกจ้าง แรงงาน ม.33 (ว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัย จากการปิดกิจการชั่วคราว)

สำหรับลูกจ้าง แรงงาน ที่อยู่ในระบบประกันสังคม มาตรา 33  ที่ว่างงานด้วยเหตุสุดวิสัยจากการปิดกิจการชั่วคราวจะได้รับเงินอัตโนมัติผ่านพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับบัตรประชาชน จะได้รับเงินชดเชยการว่างงานกรณีว่างงานจากเหตุสุดวิสัย 50 % ของรายได้ แต่ไม่เกิน 7,500 บาท แต่ในกรณีที่นายจ้างยินดีจ่ายค่าจ้างเต็มจำนวนจะรับเงินเยียวยาก้อนนี้ไม่ได้ แต่นายจ้างหรือเจ้าของกิจการต้องไปลงทะเบียนผ่านระบบ E- service ของกระทรวงแรงงาน แจ้งลงทะเบียนว่าต้องหยุดกิจการ โดยลูกจ้างต้องกรอกแบบฟอร์ม ชื่อ ข้อมูลส่วนตัวและบัญชีธนาคาร รวบรวมผ่านนายจ้างให้นายจ้างนำไปยื่นแก่สำนักงานประกันสังคมผ่าน e- service

รายละเอียด ลูกจ้าง ม.33 (ที่ไม่โดนหยุดกิจการ แต่อยู่ใน 9 กลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบ)

สำหรับลูกจ้างสัญชาตไทยทุกคน ที่อยู่ในระบบประกันสังคม มาตรา 33  ใน 9 กลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับเงินเยียวยา คนละ 2,500 บาท (1เดือน) สำหรับ 10 จังหวัดแรก (กทม. ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา ) จะได้รับเงินอัตโนมัติผ่านพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับบัตรประชาชน ตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 64 เป็นต้นไป สำหรับอีก 3 จังหวัด (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา) ที่ครม.เพิ่งอนุมัติ จะได้รับเยียวยา 2,500 บาท ในวันที่ 15 ส.ค. 64 โดยประมาณ ผ่านพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับบัตรประชาชน

เงินเยียวยาโควิด

รายละเอียด นายจ้าง ม.33 (ใน 9 กลุ่มอาชีพที่ได้รับผลกระทบ)

สำหรับนายจ้าง ในระบบประกันสังคม มาตรา 33 ใน 9 กลุ่มกิจการ ในพื้นที่ล็อกดาวน์ จะได้รับเงินเยียวยา 3,000 บาท ต่อลูกจ้าง 1 คน แต่ไม่เกิน 200 คน
สำหรับนายจ้างมาตรา 33 ใน 10 จังหวัดแรก (กทม. ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา )  ได้เยียวยาเข้าบัญชี วันที่ 6 ส.ค. 64  แต่สำหรับนายจ้างมาตรา 33 ใน 3 จังหวัด  (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา พระนครศรีอยุธยา) ที่ครม.เพิ่งอนุมัติ จะได้รับเงินเยียวยาเข้าบัญชี วันที่ 15 ส.ค. 64 โดยประมาณ

มาตรา 33 ทั้งลูกจ้าง นายจ้าง ตรวจสอบสิทธิออนไลน์ คลิก >> https://www.sso.go.th/eform_news/

รายละเอียด อาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ ม. 39-40 

กลุ่มผู้ประกันตนมาตรา 39 มาตรา 40 กลุ่มอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ ที่อยู่ในกลุ่ม 9 กิจการอาชีพ และยังประกอบอาชีพ ในพื้นที่ 13 จังหวัด จะได้รับเงินเยียวยา คนละ 5,000 บาท (1เดือน) โดยมีเงื่อนไขต่อไปนี้

  • มาตรา 39  หรือ ผู้ที่เคยเป็นพนักงานเอกชนแล้วลาออก โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 12 เดือน ลาออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน  นับตั้งแต่วันที่ลาออกจากงาน หากว่างงานเกิน 6 เดือน หรือไม่มีการยื่นเรื่องขอปลี่ยนมาตรา จาก ม.33 เป็น ม.39 ภายใน 6 เดือนหลังจากลาออก จะไม่สามารถเข้าสู่ระบบได้ โดยผู้ที่อยู่ในมาตรา 39 แล้ว จะได้รับเงินโอนอัตโนมัติผ่านพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับบัตรประชาชนหลังวันที่ 6 ส.ค. เป็นต้นไป
  • มาตรา 40 หรือ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ  สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเข้าระบบประกันสังคม มาตรา 40 สามารถลงทะเบียนเป็นผู้ประกันได้ที่ https://www.sso.go.th/section40_regist/  ภายในเดือน ก.ค. 64 เท่านั้น และจะได้รับเงินอัตโนมัติผ่านพร้อมเพย์ที่ผูกไว้กับบัตรประชาชน หลังวันที่ 6 ส.ค. เป็นต้นไป

* สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนสมัครมาตรา 40 ที่ถือบัตรทอง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บัตรคนจน หรือสวัสดิการแห่งรัฐต่าง ๆ เมื่อสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 แล้วจะไม่มีผลกระทบกับสิทธิเดิมต่างๆ  โดยสามารถใช้สิทธิการรักษาพยาบาลร่วมกับบัตรทอง และสวัสดิการแห่งรัฐต่างๆ ที่เคยได้รับได้เหมือนเดิม แต่สิทธิประโยชน์ที่ได้เพิ่ม คือ มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย หรือสิทธิประโยชน์กรณีเสียชีวิต ได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท จากสำนักงานประกันสังคม เป็นต้น 

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : mgronline.com , bangkokbiznews.com , prachachat.net , today.line.me

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

รวมคำถามพบบ่อย คนท้องกับโควิด โดยคุณหมอโอฬาริก

แนวทางปฏิบัติตัวช่วงโควิด สำหรับ คนท้อง แม่หลังคลอด ทารกแรกเกิด

วิธีเช็กความ เสี่ยงติดโควิด-19 อาการแบบไหนต้องรีบไปตรวจหาเชื้อ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ เด็กไทย

ปรับเกณฑ์ น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ เด็กไทยใหม่

Alternative Textaccount_circle
event
น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ เด็กไทย
น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ เด็กไทย

กรมอนามัยปรับเกณฑ์ น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ เด็กไทยใหม่ตามค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นของเด็กจากเมื่อปี 2538 แบบนี้ลูกยังมีค่าตามเกณฑ์หรือไม่เช็กเลย

ปรับเกณฑ์ น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ เด็กไทยใหม่!!

อาหาร เป็นสิ่งสำคัญในการเจริญเติบโตของลูกน้อย หากลูกได้รับโภชนาการที่ดี ก็ย่อมนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีด้วยเช่นกัน แต่การที่จะทราบว่าลูกได้รับโภชนการที่ดีเพียงพอแล้วหรือยังนั้น จำเป็นต้องใช้การประเมินภาวะโภชนาการด้วยการวัดสัดส่วนของร่างกายของลูก น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ ในแต่ละช่วงวัย ซึ่งการประเมินนี้อาศัยหลักการที่ว่าขนาดและส่วนประกอบของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงตามภาวะโภชนาการของเด็กนั่นเอง และเรายังสามารถแปลผลข้อมูลนั้นมาเปรียบเทียบกับการเจริญเติบโตของเด็กที่มีการเจริญเติบโตเต็มศักยภาพเป็นเกณฑ์อ้างอิงได้อีกด้วย

น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ เด็กไทย
น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ เด็กไทย

สธ.ปรับเกณฑ์เติบโตเด็กไทยครั้งแรกในรอบ 26 ปี

เนื่องจากภาวะปัจจุบันที่ประเทศไทยได้รับการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม จึงส่งผลทำให้เกณฑ์อ้างอิงน้ำหนัก ส่วนสูงเพื่อประเมินภาวการณ์เจริญเติบโตของเด็กไทย ที่เริ่มดำเนินโครงการในปี 2538 (เผยแพร่เอกสาร พ.ศ.2543) มีข้อมูลที่ไม่ตรงกับสภาวะในปัจจุบัน กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จึงได้ปรับเกณฑ์เติบโตเด็กครั้งแรกในรอบ 26 ปี เพราะที่ใช้อยู่วิเคราะห์ปัญหาต่ำกว่าความจริง การปรับเกณฑ์ประเมินใหม่ให้เหมาะสม จากสถิติพบว่าเด็กไทยอ้วนเพิ่มเกินร้อยละ 10 เตี้ยเกินร้อยละ 5 เสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง กรมอนามัยผนึกเครือข่ายขับเคลื่อนให้เด็กโตเต็มศักยภาพ โดยตั้งเป้าให้ปีพ.ศ. 2569 เด็กอายุ 19 ปี ผู้ชายควรสูง 175 ซม. ผู้หญิงควรสูง 162 ซม.

ข้อดีของการปรับเกณฑ์ประเมินการเจริญเติบโตของเด็กไทย

คณะกรรมการพัฒนาเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็กแรกเกิดถึง 18 ปี และสำนักโภชนาการ กรมอนามัย ได้พัฒนาเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็กอายุ 6-19 ปีชุดใหม่ ที่สามารถสะท้อนภาวะโภชนาการสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งภาคีเครือข่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็กอายุ 6-19 ปีชุดใหม่ เพื่อเป็นเกณฑ์อ้างอิงที่ใช้ในการส่งเสริมการเจริญเติบโตของเด็ก การประเมินภาวะการเจริญเติบโตโดยการชั่ง น้ำหนัก วัดส่วนสูง เมื่อเทียบกับกราฟการเจริญเติบโต จะทำให้ทราบว่าเด็กคนหนึ่งมีภาวะโภชนาการเป็นอย่างไร อ้วน ผอม หรือเตี้ย เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

เพื่อร่วมกันลดปัญหาเด็กอ้วนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกินร้อยละ 10 ซึ่งสูงกว่าค่าเป้าหมาย และเด็กเตี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกินร้อยละ 5 สูงกว่าค่าเป้าหมาย โดยเด็กอ้วนมีโอกาสที่จะเป็นผู้ใหญ่อ้วน เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในอนาคตได้ รวมทั้งเด็กที่มีภาวะเตี้ย อาจเนื่องจากมีการขาดอาหารเรื้อรังหรือมีการเจ็บป่วยบ่อย ส่งผลต่อการเรียนรู้ได้ไม่เต็มศักยภาพ และเด็กซีด หมายถึง ร่างกายขาดธาตุเหล็ก ส่งผลให้กระดูกไม่แข็งแรง เปราะง่าย อาจตัวเตี้ยกว่าเด็กวัยเดียวกัน และสมองทำงานได้ช้าลง ส่งผลให้เรียนรู้ช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน

น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ บอกความผิดปกติของลูกได้ก่อนสาย
น้ำหนัก ส่วนสูง มาตรฐาน ตามอายุ บอกความผิดปกติของลูกได้ก่อนสาย

เกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็ก

ดัชนีชี้วัดที่ใช้ในการประเมินการเจริญเติบโตนั้น นิยมใช้นํ้าหนักและส่วนสูงในการประเมินภาวะการเจริญเติบโต ซึ่งมี 3 ดัชนีด้วยกัน ดังนี้

  1. น้ำหนักตามเกณฑ์อายุ (weight for age)น้ำหนักเป็นผลรวมของกล้ามเนื้อ ไขมัน น้ำ และกระดูก น้ำหนักตามเกณฑ์อายุเป็นดัชนีบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ของการเจริญเติบโตของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตามอายุของเด็ก เป็นดัชนีที่นิยมใช้แพร่หลาย ในการประเมินภาวะการขาดโปรตีน และพลังงาน
  2. ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ (height for age)เป็นดัชนีบ่งชี้ภาวะการเจริญเติบโตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อยาวนานในอดีต ถ้าเด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอเป็นเวลานาน หรือมีการเจ็บป่วยบ่อย ๆ มีผลให้อัตราการเจริญเติบโตของโครงสร้างของกระดูกเป็นไปอย่างเชื่องช้า หรือชะงักงัน ทำให้เป็นเด็กตัวเตี้ย กว่าเด็กที่เป็นเกณฑ์อ้างอิงซึ่งมีอายุเดียวกัน ดังนั้นส่วนสูงตามเกณฑ์อายุจึงเป็นดัชนีบ่งชี้ภาวะการขาดโปรตีน และพลังงานแบบเรื้อรังมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้มีความบกพร่องของการเจริญเติบโตด้านโครงสร้างส่วนสูงทีละเล็กทีละน้อย สะสมจนตกเกณฑ์ได้
  3. น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง (weight for height)น้ำหนักจะมีการเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่าส่วนสูง ถ้าเด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอจะมีน้ำหนักลดลง เกิดภาวะผอม ดังนั้นน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงจึงเป็นดัชนีบ่งชี้ที่ไวในการสะท้อนภาวะโภชนาการในปัจจุบัน แม้ไม่ทราบอายุที่แท้จริง และอิทธิพลจากเชื้อชาติมีผลกระทบน้อย และเป็นดัชนีบ่งชี้ภาวะโภชนาการเกิน (อ้วน) ที่ใช้กันอยู่ในสากล

เกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตสำหรับเด็กอายุ 0-5 ปี

เนื่องจากองค์การอนามัยโลกได้จัดทำมาตรฐานอ้างอิงของน้ำหนักและส่วนสูงเด็กของเด็ก 0-5 ปี (Child Growth Standard Apr 2006) ซึ่งเป็นมาตรฐานอ้างอิงแบบอิงเกณฑ์ ไม่ได้อิงกลุ่มเพื่อเป็น Gold standard ให้ประเทศต่างๆทั่วโลกนำไปใช้เปรียบเทียบกับ Gold Standard ดังกล่าว ฉะนั้นเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็กใหม่ จึงทำในช่วงอายุ 6-19 ปี ส่วนที่อายุ 0-5 ปี ให้ไปใช้เกณฑ์ของ Child Growth standards ของ WHO แทน

เกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตสำหรับเด็กอายุ 6-19 ปี ฉบับปรับปรุง

กรมอนามัยโดย สำนักโภชนาการ ได้ร่วมมือกับศูนย์อนามัย สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมือง และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จำนวน 16 จังหวัดที่เป็นตัวแทนของประเทศ ทำการเก็บข้อมูลน้ำหนัก ส่วนสูงและรอบเอว ของเด็กอายุ 4 ปี 6 เดือนถึง 19 ปี จำนวน 46,587 คน ระหว่าง พ.ศ.2558-2562 จากสถานศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ถึงระดับอุดมศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน จัดทำเป็นเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็กอายุ 6-19 ปีชุดใหม่ และส่งมอบข้อมูลชุดดังกล่าวให้กับภาคีเครือข่ายที่ดูแลสุขภาพของเด็กไทย

เด็กอดอยาก ทำให้ดัชนีต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
เด็กอดอยาก ทำให้ดัชนีต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน

วิธีการอ่านกราฟ น้ำหนัก ส่วนสูง มาตราฐาน ตามอายุ

กราฟอ้างอิงนั้น เป็นการนำน้ำหนักเทียบกับมาตรฐานที่ส่วนสูงเดียวกัน ใช้ดูลักษณะการเจริญเติบโตว่าเด็กมีน้ำหนักเหมาะสมกับส่วนสูงหรือไม่ เพื่อบอกระดับภาวะการเจริญเติบโตของเด็ก ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 6 ระดับ ดังนี้

  1. อ้วน (อยู่เหนือเส้น +3D) หมายถึง มีภาวะอ้วนชัดเจน (อ้วนระดับ 2 ) มีน้ำหนักมากกว่าเด็กที่มีส่วนสูงเท่ากันอย่างมาก เด็กมีดอกาสที่จะเกิดโรคแทรกซ้อน และหากไม่ได้รับการคุมน้ำหนักเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะมีลักษณะอ้วนมากยิ่งขึ้น
  2. เริ่มอ้วน (อยู่เหนือเส้น +2D ถึง +3D) หมายถึง น้ำหนักมากก่อนเกิดภาวะอ้วนชัดเจน (อ้วนระดับ 1 ) มีน้ำหนักมากกว่าเด็กที่มีส่วนสูงเท่ากัน เด็กมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อน และเป็นผู้ใหญ่อ้วนในอนาคตหากไม่ควบคุม
  3. ท้วม (อยู่เหนือเส้น +1.5SD ถึง+2SD) หมายถึง น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงต่อการมีภาวะเริ่มอวบ เป็นการเตือนให้ระวัง หากไม่ดูแลน้ำหนักจะเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับเริ่มอ้วน
  4. สมส่วน (อยู่ในระหว่าง -1.5SD ถึง +1.5SD) หมายถึง น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมกับส่วนสูง ต้องเสริมให้เด็กมีการเจริญเติบโตอยู่ในระดับนี้ แต่อาจพบการแปลผลผิดในกรณีที่เด็กเตี้ย ซึ่งมักพบว่าเด็กมีรูปร่างสมส่วนเช่นกัน ในกรณีเช่นนี้ถือว่าเด็กมีภาวะขาดอาหาร(เตี้ย) แม้ว่าเด็กจะมีรูปร่างสมส่วนก็ตาม
  5. ค่อนข้างผอม (อยู่ต่ำกว่าเส้น -1.5SD ถึง -2 SD) หมายถึง น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงต่อภาวะผอม เป็นการเตือนให้ระวังหากไม่ดูแลน้ำหนักให้เพิ่มขึ้น จะตกอยู่ในระดับผอม
  6. ผอม (อยู่ต่ำกว่าเส้น -2SD) หมายถึง น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ขาดอาหารฉับพลัน มีน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐานที่มีส่วนสูงเท่ากัน แสดงว่าได้รับอาหารไม่เพียงพอ

กราฟแสดงน้ำหนักอ้างอิงตามเกณฑ์อายุ ของเด็กหญิงอายุ 6-19 ปี

กราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ เด็กหญิง
กราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ เด็กหญิง

กราฟแสดงน้ำหนักอ้างอิงตามเกณฑ์อายุของเด็กชาย 6-19 ปี

กราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ เด็กชาย
กราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ เด็กชาย

กราฟแสดงส่วนสูงอ้างอิงตามเกณฑ์อายุของเต็กหญิง 6-19 ปี

กราฟแสดงส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ เด็กหญิง
กราฟแสดงส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ เด็กหญิง

กราฟแสดงส่วนสูงอ้างอิงตามเกณฑ์อายุของเด็กชาย 6-19 ปี

กราฟแสดงส่วนสูงตามเกณฑ์อายุเด็กชาย
กราฟแสดงส่วนสูงตามเกณฑ์อายุเด็กชาย

กราฟแสดงน้ำหนักอ้างอิงตามเกณฑ์ส่วนสูง ของเด็กหญิง 6-19 ปี

กราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงเด็กหญิง
กราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงเด็กหญิง

กราฟแสดงน้ำหนักอ้างอิงตามเกณฑ์ส่วนสูงของเด็กชาย 6-19 ปี

กราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงเด็กชาย
กราฟแสดงน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงเด็กชาย

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดคู่มือการใช้เกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโตของเด็กอายุ 6-19 ปี ของกรมอนามัยได้ ที่นี!!คลิก

ข้อมูลอ้างอิงจาก กรมอนามัย / สสส.

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ฮาวทู 5 วิธีเพิ่มความสูง อยากให้ลูกสูง ต้องทำแบบนี้ทุกวัน

รู้ทันภาวะ “เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย” ก่อนลูกหยุดสูง

โรคเตี้ยในเด็ก โรคใกล้ตัวที่พ่อแม่ควรทำความรู้จัก

15 ชนิด อาหารที่ทารกควรหลีกเลี่ยง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

คนท้องกับโควิด

รวมคำถามพบบ่อย คนท้องกับโควิด โดยคุณหมอโอฬาริก

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้องกับโควิด
คนท้องกับโควิด

การระบาดของโควิด 19 เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนทั้งโลก ทั้งทางสุขภาพ เศรษฐกิจ การศึกษา การใช้ชีวิตประจำวัน ข้อมูล ณ วันที่ 15 ก.ค. 2564  มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้วเกือบ 190 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 4 ล้านคน ประเทศไทย ติดเชื้อประมาณ 37,000 คน เสียชีวิตกว่า 3,000 คน ในจำนวนนั้นมีคนท้อง 700 คนที่ติดเชื้อ และมีที่เสียชีวิตแล้ว 13 คน คำถามมากมายถูกต้้งขึ้นมาเกี่ยวกับ คนท้องกับโควิด คนท้องจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร คนท้องต้องได้รับวัคซีนไหม ถ้าติดโควิดขึ้นมาจะมีผลต่อลูกอย่างไรบ้าง และอื่นๆ อีกมากมาย

รวมคำถามพบบ่อย คนท้องกับโควิด ที่แม่อยากรู้

นพ.โอฬาริก มุสิกวงศ์ สูตินรีแพทย์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร, กรรมการแพทยสภา เจ้าของเพจ เค้าเรียกผมว่า หมอเมนส์ ชวนคุณแม่มาลองจับเข่าและเปิดใจคุยกัน คลายสงสัยเรื่อง คนท้องกับโควิด

ว่าที่คุณแม่ : คุณหมอคะ คนท้องถ้าติดโควิดจะเป็นอะไรไหมคะ

คุณหมอ : ปกติแล้วคนท้องไม่ได้ติดโควิดง่ายกว่าคนทั่วไป แต่ถ้าติดโควิดขึ้นมาจะมีอาการที่รุนแรงกว่า เช่น มีอัตราการนอนโรงพยาบาลที่สูงกว่า อัตราการนอน ICU ที่สูงกว่า อัตราการใช้เครื่องช่วยหายใจที่สูงกว่า รวมถึงในเด็กมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดและทารกเกิดมาน้ำหนักน้อยได้มากกว่าปกติ

ว่าที่คุณแม่ : แล้วอย่างไรจะทำให้ไม่ติดคะคุณหมอ

คุณหมอ :  หลักการที่หนึ่ง คือ ต้องป้องกันไม่ให้เราติดโรค “กินร้อน ช้อนฉัน หมั่นล้างมือ ลดถือเงิน เมินสองเมตร เช็ดให้เกลี้ยง เลี่ยงชุมชน และอดทนใส่หน้ากาก” การทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยลดโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้ามาสู่ตัวเรารวมไปถึงต้องป้องกันให้ผู้ที่อยู่ใกล้ตัวเราป้องกันการติดเชื้อด้วยเนื่องจากเขาอาจจะเป็นพาหะนำเชื้อโควิดมาติดตัวเรา หลักการที่สอง คือต้องหาเกราะป้องกันการติดเชื้อได้แก่ การรับวัคซีน

หมอขออนุญาตนำเนื้อหาจากราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยมาเล่าให้ฟัง

  • สตรีตั้งครรภ์สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ ยกเว้นกรณีที่มีข้อห้าม เช่น มีอาการแพ้รุนแรงจากการฉีดครั้งแรก
  • ระยะเวลาที่ควรฉีดวัคซีนคือหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์
  • สตรีที่ให้นมบุตรสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้
  • วัคซีนโควิดที่มีใช้ในประเทศไทยในปัจจุบันมี 2 ชนิด คือ Sinovac และ AztraZeneca จากข้อมูลเบื้องต้นสามารถใช้ได้ทั้ง 2 ชนิดแต่มีข้อสังเกตว่าวัคซีน Sinova มีอัตราการเกิดไข้หลังจากฉีดน้อยกว่า AstraZeneca วัคซีนทั้ง 2 ชนิดมีความปลอดภัยในการฉีดให้คนทั่วไปและมีประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกันในอนาคตอาจจะมีวัคซีนชนิดอื่นๆ ให้เลือกเพิ่มขึ้น
  • ควรหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนป้องกันโรค covid-19 พร้อมกับวัคซีนชนิดอื่นๆ ยกเว้นมีความจำเป็นการฉีดวัคซีนชนิดอื่นๆ ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังจากฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19

บทความแนะนำ ภรรยา เป้ วงมายด์ รีวิว ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง 6 เดือน ท้องแฝด!

ว่าที่คุณแม่ : แล้วถ้าติดโควิดแล้วต้องทำอย่างไรคะ คุณหมอ

คุณหมอ :  ถ้าติดแล้วคงต้องให้คุณหมอช่วยดูแล ในกรณีที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการปัจจุบันสามารถกักตัวอยู่ที่บ้านหรือที่เรียกว่า Home isolation ได้แต่ถ้ามีอาการมากขึ้นจำเป็นจะต้องรักษาในโรงพยาบาล สิ่งที่หมออยากจะเพิ่มคือ เรื่องการตรวจตัวเองด้วยชุดตรวจที่เรียกว่า Rapid Antigen test เพราะหมอเชื่อว่า “ถ้าเรารู้ไวจะไหวตัวทัน” เช่น สามารถจัดการกับชีวิตตัวได้เร็ว หาโรงพยาบาลได้ทันตั้งแต่ยังไม่มีอาการ เข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที

บทความแนะนำ แนวทางปฏิบัติตัวช่วงโควิด สำหรับ คนท้อง แม่หลังคลอด ทารกแรกเกิด

ว่าที่คุณแม่ : ช่วงนี้หนูยังต้องไปโรงพยาบาลเพื่อหาคุณหมอทำการฝากครรภ์หนูจำเป็นต้องไปเหมือนเดิมไหมคะ

คุณหมอ ในปัจจุบันเราแนะนำใช้การแพทย์ทางไกลหรือที่เรียกว่าเทเลเมดิซีนมาใช้ในการดูแลรักษาให้คุณแม่มาหาหมอเท่าที่จำเป็น สิ่งใดที่สามารถตรวจหรือให้การรักษาทางไกลได้ก็ทำได้เลย เช่น การฟังเสียงหัวใจลูกก็อาจใช้เครื่องมือที่สามารถทำเองได้ การวัดขนาดหน้าท้องก็อาจจะสอนคุณแม่ทำวัดเอง ยาก็สามารถส่งไปที่บ้านได้ การวัดความดันหรือตรวจปัสสาวะก็สามารถทำเองได้ที่บ้านเช่นกัน ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงที่คุณแม่จะต้องออกจากบ้านมาเจอเชื้อโควิด แต่ทั้งนี้ถ้าคุณแม่เป็นครรภ์ความเสี่ยงสูงก็จำเป็นที่จะต้องมาโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจรักษาอย่างละเอียด

ว่าที่คุณแม่ : ในช่วงโควิดระบาดนี้ถ้าต้องไปโรงพยาบาลต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษไหมคะ

คุณหมอ : ช่วงนี้คุณแม่ต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ต้องเช็คว่าโรงพยาบาลที่เราจะไปคลอดเขายังเปิดอยู่หรือเปล่าเพราะช่วงนี้มีหลายโรงพยาบาลที่ต้องปิดห้องคลอดจากการติดเชื้อโควิด ดังนั้นจำเป็นต้องหาโรงพยาบาลสำรองสำหรับเตรียมคลอด คุณแม่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจว่าจะมีคนมาเยี่ยมน้อยลงหรือไม่มีเลย เนื่องจากมาตรการรักษาระยะห่าง คุณพ่ออาจจะต้องเตรียมเครื่องใช้อาหารการกินเป็นพิเศษเพราะอาจจะหาซื้อได้ยากเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์

เรียกได้ว่า ในช่วงโควิดระบาดคุณแม่ท้องต้อง เตรียมตัว และระวังตัว ให้กับตัวเองและคนรอบข้างเป็นพิเศษเพื่อป้องกันทั้งตัวเองและลูกในท้องจากโควิด 19

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 


Heatlh Quotient ฉลาดดูแลสุขภาพ หนึ่งใน Power BQ 10 ความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี เริ่มต้นได้ตั้งแต่ในท้องแม่ โดยคุณแม่ตั้งครรภ์ เตรียมพร้อมหาข้อมูลต่างๆ ในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อส่งต่อสุขภาพที่ดีสู่ลูกน้อยในครรภ์ เป็นต้นทุนชีวิตที่ดีตั้งแต่แรกเกิดให้กับลูกน้อย


ติดตามเรื่องน่ารู้สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และสุขภาพสตรี กับคุณหมอโอฬาริก

ได้ที่เพจ เค้าเรียกผมว่า หมอเมนส์

เพจ หมอโอฬาริก

 

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

รู้ก่อนฉีด! ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด -19 เช็คเลย!

ไขข้อข้องใจ ใช้ ยาคุมชนิดฮอร์โมนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่?

ลูกพูดมาก

ทำไมลูกพูดไม่หยุด ลูกพูดมาก เป็นเพราะอะไร ควรกังวลไหม

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกพูดมาก
ลูกพูดมาก

ลูกพูดมาก – การเลี้ยงเด็กอายุ 3 ขวบหรือ 4 ขวบ โดยเฉพาะเด็กที่พูดเก่ง อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะในแต่ละวันเด็กๆ วัยนี้มักจะพูดได้ไม่รู้จักเหนื่อย  พร้อมที่จะถามคำถามมากมาย เพื่อให้พ่อแม่หาคำตอบ เมื่อลืมตาตื่นนอนในตอนเช้า ก็จะเริ่มปล่อยคำพูดต่างๆ นานๆ ออกมาจากปากพวกเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เช่นเล่านู่นเล่านี่ ถามคำถามคนรอบข้างได้ไม่รู้จบ

โดยปกติแล้ว การถามคำถาม “อะไร” “ทำไม” ตลอดทั้งวัน ถือเป็น พฤติกรรมปกติสำหรับเด็กอายุ 3 ถึง 4 ขวบ ค่ะ เด็กหลายคนอาจพูดมากหากพวกเขารู้สึกตื่นเต้นกับบางสิ่ง จนปล่อยทุกความคิดในหัวออกมาเป็นคำพูดที่ไม่สิ้นสุด

นอกจากนี้ การพูดคุยกับพ่อแม่ หรือพูดกับตัวเองเป็นวิธีหนึ่งที่เด็กๆ ใช้เรียนรู้ ประมวลผล และซึมซับข้อมูล เพื่อกระตุ้นพัฒนาการปกติตามวัยของเด็ก เมื่อโตขึ้น เด็กๆ จะค่อยๆ ปรับความเหมาะสมในการพูดได้ด้วยตัวเอง

 

ลูกพูดมาก
ลูกพูดมาก

พัฒนาการด้านการสื่อสารของเด็ก

แรกเกิดถึง 5 เดือน เปล่งเสียงความยินดีและไม่พอใจต่างกันออกไป (หัวเราะ หัวเราะคิกคัก ร้องไห้ หรือเอะอะ) ส่งเสียงดังเวลาคุยกับ

6-11 เดือน เข้าใจคำว่า “ไม่”  พยายามสื่อสารด้วยการกระทำหรือท่าทาง พยายามทำซ้ำเสียงเลียนแบบพ่อแม่ และมักเริ่มพูดคำแรกที่มีความหมายได้

1  ถึง 2 ขวบ  ตอบคำถามง่ายๆ ได้ โดยไม่ใช้คำพูด พูด 2 ถึง 3 คำเพื่อเรียกชื่อบุคคลหรือวัตถุแต่การออกเสียงอาจไม่ชัดเจน  พยายามเลียนแบบคำง่าย ๆ และ สามารถทำเสียงเลียนสัตว์ต่างๆ ได้ เช่น อู๊ดๆ เจี๊ยกๆ  เด็กจะเริ่มพูดมากกว่าพยางค์เดียว เช่น “เอานมเยอะ” และ เริ่มใช้สรรพนาม เช่น “ของฉัน”

2 ถึง 3 ปี  เด็กจะเริ่มรู้แนวคิดเชิงพื้นที่บางอย่าง เช่น “ข้างใน ข้างนอก” หรือ “เปิด ปิด” และรู้จักการใช้สรรพนาม เช่น “คุณพ่อ” “คุณแม่” รู้คำที่ใช้พรรณนาถึงสิ่งต่าง เช่น “ใหญ่” หรือ “กลม” และสามารถตอบคำถามง่าย ๆ ได้ เริ่มรู้จักการปฏิเสธด้วยคำว่า ” ไม่” เพราะเริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง

3 ถึง 4 ปี  เด็กวัยนี้ จะสามารถพูดจัดกลุ่มสิ่งของต่างๆ ได้ เช่น อาหาร หรือ เสื้อผ้า ระบุสี  เริ่มใช้สรรพนามได้มากขึ้น  สามารถอธิบายการใช้สิ่งของ เช่น “ส้อม” หรือ “หวี” และจะเริ่มสนุกกับการใช้ภาษา ชอบเล่าเรื่องราวจากจินตนาการ มักเริ่มพูดมาก และชอบถามคำถาม อะไร ทำไม เป็นวัยที่ต้องการคำตอบในสิ่งที่สนใจเป็นพิเศษ

4 ถึง 5 ปี  วัยนี้เด็กจะเข้าใจแนวคิดเชิงพื้นที่ เช่น “ข้างหลัง” หรือ ” ข้าง ๆ” เข้าใจคำถามที่ซับซ้อน พูดเป็นประโยคได้ แต่การพูดออกเสียงคำยาวๆ หรือซับซ้อน อาจจะยังทำได้ไม่ดีนัก นอกจากนี้จะเริ่มพูดอวดความสามารถของตัวเอง เช่น กินข้าวเก่ง หรือ ฉีดยาเจ็บแต่ไม่ร้องไห้ด้วย เป็นต้น

5 ปี +  เข้าใจลำดับเวลา เช่น เกิดอะไรขึ้นก่อน สอง หรือสาม มีส่วนร่วมในการสนทนามากขึ้น รู้จักการฟัง รอโอกาสและจังหว่ะในการพูด พูดเป็นประโยคได้อย่างสมบูรณ์ เริ่มใช้ประโยคที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น และสามารถอธิบายเกี่ยววัตถุต่างๆ ได้ดี ตลอดจนใช้จินตนาการสร้างเรื่องราวเพื่อบอกเล่าได้ดี

ทำไมลูกพูดไม่หยุด ลูกพูดมาก เป็นเพราะอะไร ควรกังวลไหม

นอกจากที่การพูดมากจะเป็นพัฒนาการตามปกติของเด็กโดยเฉพาะช่วง 3- 4 ขวบแล้ว ยังมีอีกหลายเหตุผล ที่ทำให้เด็กวยนี้พูดมาก เช่น พวกเขาอาจแค่กำลังหลงใหลในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และต้องการบรรยายทุกรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น นอกจากนี้ เด็กๆ อาจพูดไม่หยุด ถ้าพวกเขารู้สึกเครียดเพราะยังไม่รู้วิธีในการสงบสติอารมณ์ เด็กขี้อายอาจกังวลในสถานการณ์ทางสังคมแต่แทนที่จะนิ่งเงียบ พวกเขาอาจจะพูดมากขึ้น เด็กบางคนมีปัญหากับทักษะการเข้าสังคมโดยทั่วไปพวกเขามีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการรับรู้สัญญาณทางสังคม เช่น ภาษากายและการแสดงออกทางสีหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงอาจไม่สังเกตว่าคนอื่นมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำพูดของพวกเขา

ตัวอย่างปัญหาที่เกิดจากการพูดมากของเด็ก

  • พูดในเวลาหรือสถานที่ที่ไม่เหมาะสม
  • พูดขัดจังหวะคุณครูที่โรงเรียน
  • คนอื่นพูดยังไม่จบแต่พูดแทรกขึ้นมา
  • ทำให้คนอื่นไม่พอใจหรือรู้สึกรำคาญ

ลูกพูดมาก

สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ เมื่อลูกพูดมาก

สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องระวังคือ อย่าหงุดหงิดหรือโมโหใส่ลูก เพราะลูกกำลังอยู่ในช่วงที่สนุกกับการพูดการใช้ภาษา ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการตามปกติ  แต่หากในกรณีที่เห็นว่า ถึงวัยที่ลูกสมควรจัดการกับการพฤติกรรมพูดของตัวเองได้แล้ว แต่ยังมีปัญหาด้านการสนทนา พ่อแม่ควรอธิบายให้เด็ก ๆ ได้รับทราบปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมนั้น

การส่งเสริมให้บุตรหลานของเราเห็นว่าสิ่งต่างๆ ส่งผลกระทบบุคคลอื่นอย่างไรจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการพูดของเด็กไปในทางที่ดีขึ้นได้ เมื่ออายุประมาณได้ประมาณห้าหรือหกขวบ ให้ลองถามพวกเขา เช่น “ลูกสังเกตเห็นอะไรเกี่ยวกับน้องชายของลูกมั้ย น้องต้องการพูดกับลูกด้วยหรือเปล่า? ” กระตุ้นให้พวกเขาพิจารณาว่า “คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร เมื่อเราพูดตลอดเวลา และดูเหมือนไม่สนใจฟังใคร”

นอกจากนี้ควรยกย่องเด็ก ๆ ในลักษณะที่ช่วยสร้างความนับถือตนเอง ชี้ให้เห็นเมื่อพวกเขาสามารถควบคุมการพูดของตัวเองได้ ยิ่งคุณแสดงคำชมได้เฉพาะเจาะจงมากเท่าไร เด็กๆ ก็จะยิ่งมีแรงบันดาลใจในการปรับปรุงพฤติกรรมให้ดียิ่งขึ้น

ลูกมีเพื่อนทิพย์! เพื่อนในจินตนาการ ชอบพูดคนเดียวปกติไหม?

เทคนิค การพูดกับลูก วัยทารก แม่ต้องพูดยังไง เน้นอะไรดี?

นี่แหละโลกที่ลูกรู้ การเรียนรู้ของลูก วัยทารกถึงก่อนวัยเรียน

ลูกพูดมากเกินไป อาจเป็นสมาธิสั้นได้หรือเปล่า ? 

แม้การพูดมากในเด็กวัย 3 – 4 ขวบจะเป็นพัฒนาการปกติของเด็ก แต่การพูดมากเกินไป บวกกับการแสดงท่าทีบางอย่างของเด็ก  อาจเป็นอาการที่บ่งบอกว่าเด็กอาจเป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) เด็กกลุ่มนี้มักปัญหาในการยับยั้งชั่งใจ และควบคุมการตอบสนองของตัวเอง ซึ่งรวมถึงการพูด พวกเขาอาจพูดโพล่งออกมาในสิ่งแรกที่นึกถึง (ไม่ว่าจะเหมาะสมหรือไม่ก็ตาม) โดยไม่ได้คิดว่าจะส่งผลกระทบตามมาอย่างไร

เด็ก (และผู้ใหญ่) ที่มีสมาธิสั้นอาจมีการผูกขาดการสนทนาและพูดคุยมากเกินไป  การพูดมากเกินไปอาจเป็นเรื่องยากสำหรับเด็ก ผู้ปกครอง และครู โดยทั่วไป เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น  มักชอบ ฮัมเสียงต่างๆ เคลื่อนไหวไปมาไม่หยุด กระสับกระส่าย หุ่นหันพลันแล่น

โดยปกติแล้ว เมื่ออายุได้ 5 ขวบ เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มเรียนรู้ และเข้าใจว่าการสนทนามีองค์ประกอบของการให้และรับ และพวกเขาควรรอจังหวะที่พวกเขาจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ อย่างไรก็ตามหากย่างเข้า อายุ 7 -8 ขวบ แต่เด็กยังไม่เข้าใจในเรื่องการให้และรับในการสนทนา และยังมีลักษณะของการพูดมากที่ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น อาจเป็นไปได้ว่ามีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งหากเกิดกรณีเช่นนี้ พ่อแม่ควรหาโอกาสปรึกษาพูดคุยกับแพทย์ถึงความผิดปกติของลูกที่อาจเกิดขึ้น

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : understood.org , stanfordchildrens.org , verywellmind.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

5 ความเข้าใจผิดเมื่อ ลูกไม่พูด..พูดช้า และ 6 วิธีฝึกลูกพูด

วิธีพูดกับลูกด้วย ภาษาเด็กเล็ก ช่วยลูกพูดไว สื่อสารได้เร็ว!

ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพูดช้า ผิดปกติ?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

พัฒนาบุคลิกภาพลูก

10 เคล็ดลับ พัฒนาบุคลิกภาพลูก เพื่อชีวิตที่มีความสุขและสำเร็จ

Alternative Textaccount_circle
event
พัฒนาบุคลิกภาพลูก
พัฒนาบุคลิกภาพลูก

พัฒนาบุคลิกภาพลูก – เด็กทุกคนมีบุคลิกเฉพาะตัวเมื่อเกิดมา แต่สภาพแวดล้อมที่เด็กได้รับการเลี้ยงดูก็มีบทบาทสำคัญในการกำหนดบุคลิกภาพของเด็กเช่นกัน ดังนั้นในช่วงวัยของเด็ก พ่อแม่ และผู้ดูแล ต่างก็มีความรับผิดชอบสำคัญในการส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการของเด็กให้เหมาะสม เพื่อช่วยพัฒนาลักษณะของบุคลิกภาพที่ดีให้กับเด็ก

การพัฒนาบุคลิกภาพในเด็ก

บุคลิกภาพของเด็กมีหลายลักษณะ อาทิ ความมั่นใจ ความกล้าหาญ และความภาคภูมิใจในตนเองต่อวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อตัวเองและผู้อื่น ในช่วงอายุสามถึงหกขวบ เป็นช่วงที่บุคลิกภาพของเด็กจะมีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการปลูกฝังค่านิยม และแนวปฏิบัติบางอย่างที่จะช่วยให้พวกเขาเป็นคนที่มีความคิดเชิงบวกส่งผลต่อการมีบุคลิกภาพที่ดี เมื่อเด็กเรียนรู้ และจำลองพฤติกรรมและการสั่งสอนของพ่อแม่แล้ว พ่อแม่จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของลูก

วิธีพัฒนาบุคลิกภาพเด็ก

ผู้ปกครองหลายคนคิดว่าการสั่งสอนลูกเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำด้วยการพูดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก แต่ความจริงแล้ว เด็ก ๆ ไม่ได้พัฒนาค่านิยมในการหล่อหลอมบุคลิกภาพได้จากเพียงคำพูดหรือห้ามปรามของพ่อแม่ แต่เกิดจากพฤติกรรมที่แสดงออกของพ่อแม่ผู้ปกครอง ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูอย่างมั่นใจ คือการให้ความสำคัญต่อการกระทำต่างๆ  ที่มีส่วนต่อการพัฒนาบุคลิกภาพเชิงบวกของเด็ก ต่อไปนี้คือ 10 สิ่งที่คุณสามารถทำกับลูกตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อเตรียมพวกเขาให้กลายเป็นเด็กที่มีบุคลิกภาพที่ดี มีความคิดเชิงบวก ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ

พัฒนาบุคลิกภาพลูก
พัฒนาบุคลิกภาพลูก

10 เคล็ดลับ พัฒนาบุคลิกภาพลูก เพื่อชีวิตที่มีความสุขและสำเร็จ

1. หลีกเลี่ยงการตัดสินลูก

คำพูด คือสิ่งที่สร้างโลกได้ ในฐานะผู้ปกครอง การที่พ่อแม่ตัดสินหรือตีตราลูกสำหรับพฤติกรรมบางอย่าง อาจทำให้เด็กๆ เชื่อว่าตัวเองเขาเป็นคนแบบนั้นจริงๆ การตีตราเด็กเป็นเสมือนการปิดกั้นตัวเลือกในการแก้ไขปัญหาของตนเองด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่ความนับถือตนเองต่ำ  จำไว้ว่าให้ระมัดระวังคำพูดของคุณโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่พยายามแก้ไขข้อผิดพลาดของลูก

2. เป็นผู้ฟังที่ดี

เด็กเรียกร้องความสนใจตลอดเวลา เมื่อเด็กโตขึ้นพวกเขาจะมีความเป็นอิสระมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กก่อนวัยเรียนและเด็กวัยหัดเดินมีแนวโน้มที่จะแสดงออกมากขึ้นด้วยการพูดและสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทักษะทางภาษาของพวกเขากำลังพัฒนา ในฐานะผู้ปกครองสิ่งที่เหมาะสมสำหรับการช่วยพัฒนาลูกได้ คือ การที่พ่อแม่ตั้งใจฟังเรื่องราวของพวกเขาอย่างอดทน เพื่อช่วยให้พวกเขารู้สึกมั่นใจและมั่นคง สิ่งนี้ยังช่วยกำหนดความสามารถในการลำดับความสำคัญ การอดทนรอตั้งใจฟังเพื่อให้พวกเขามีบุคลิกภาพในการเป็นผู้ฟังที่ดีในอนาคต และช่วยพัฒนาความมั่นใจในการสื่อสารของพวกเขา

3. เข้าใจในสิ่งที่ลูกขาดหายไป

พ่อแม่หลายคนคาดหวังว่าลูกของเราจะต้องเก่งในทุกสิ่งที่ทำ และเมื่อเด็กไม่ตรงกับความคาดหวัง ก็อาจแสดงความผิดหวังต่อเด็กในหลาย ๆ ด้าน เช่น อาจเผลอกล่าวหาเด็กๆ ว่าไม่มีความสามารถเพียงพอ หรือแสดงท่าทีไม่พอใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะยิ่งส่งผลกระทบด้านลบต่อการนับถือตัวในเองของลูก ความจริงคือ เด็กแต่ละคนมีความสามารถเฉพาะตัวที่แต่กต่างกันไป ในฐานะผู้ปกครองควรสนับสนุนลูกและชี้แนะพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างใจเย็นและเข้าใจ เพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของเด็ก โดยไม่ลดความมั่นใจในตนเองของเด็กลง

4. ละเว้นจากการเปรียบเทียบ

การเปรียบเทียบลูกของคุณไม่ว่ากับใครก็แล้วแต่ สามารถสร้างความเสียหายอย่างมากต่อบุคลิกภาพของเด็กได้ การเปรียบเทียบเด็กกับใครบางคนอย่างต่อเนื่องจะทำให้เด็กเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าเขาดีไม่พอ เด็กจะสับสนเกี่ยวกับตัวตนของตัวเอง และเริ่มเลียนแบบผู้อื่น ดังนั้นการเคารพในความเป็นตัวของตัวเองของเด็กถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการสร้างความมั่นใจให้กับลูกของคุณ และจะสามารถนำสิ่งที่ดีที่สุดในตัวพวกเขาออกมาได้อย่างไม่ต้องสงสัย

วิธี ฝึกลูกให้เห็นคุณค่าในตัวเอง เมื่อลูกมั่นใจจะทำอะไรก็สำเร็จ

10 นิสัยที่ควรสอนลูก ปูทางให้เป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

อย่าหาทำ! 10 ข้อผิดพลาดในการ สั่งสอนลูก ที่พบได้บ่อย!

5. เป็นแบบอย่างในพฤติกรรมที่เหมาะสม

เด็กเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาเห็นมากกว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยิน ดังนั้น การนำสิ่งที่คุณสนับสนุนและสั่งสอนลูกไปปฏิบัติจริงให้ลูกได้เห็น จะช่วยสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมให้กับพวกเขา เริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น การแสดงความเคารพและขอบคุณผู้ใหญ่ด้วยการไหว้ เด็กๆ จะทำตามสิ่งที่คุณทำ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่คุณสั่งสอนลูกไป

พัฒนาบุคลิกภาพลูก

6. ให้เวลาลูกได้เล่นอย่างอิสระ

การได้เล่นอย่างอิสระของเด็กถูกจำกัดอย่างมากในยุคนี้ เนื่องจากเหตุผลหลายประการ แต่ความจริงคือ ไม่มีอะไรที่จะสอนค่านิยม เช่น การแบ่งปัน การดูแล จิตวิญญาณของทีม และความยืดหยุ่น ได้ดีไปกว่าการได้เล่นอย่างอิสระ การได้เล่นกีฬาเป็นทีมร่วมกับเด็กคนอื่นๆ  การได้เล่นอย่างอิสระล้วนเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก

น่าเสียดายที่พ่อ​แม่​หลาย​คนมัก​​จำกัดเสรีภาพในการให้ลูก​ได้​วิ่งเล่นอย่างอิสระ​ บางคนอาจถึง​กับ​ห้าม​ไม่​ให้​ลูก​เล่นกีฬาเพราะต้องการให้ลูกสนใจและมุ่งเน้นที่การเรียนอย่างเดียว ดังนั้นเพื่อพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจที่ดีโดยรวมของลูก พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วมกับลูกอย่างแข็งขันในการเล่น นอกจากนี้ยังเป็นการดีสำหรับเด็ก ที่จะได้ผ่อนคลายจากความเครียดจากการเรียนในแต่ละวันซึ่งจะช่วยปรับสมดุลชีวิตให้เด็กๆ ยังคงสดใสร่างเริงสมวัย

7. จำกัดเวลาหน้าจอ

ลูกติดมือถือ ติดเกม เป็นปัญหายุคใหม่ที่ผู้ปกครองหลายคนต้องเผชิญ ผลการศึกษาพบว่าการใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไปส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางปัญญาและสังคมของเด็ก การเล่นเกมบนอุปกรณ์พกพานำไปสู่การเสพติด และทำให้มีเวลาน้อยลงสำหรับการโต้ตอบทางสังคม ใช้เวลากับลูกของคุณมากขึ้นในการเล่นที่ไม่ต้องพึ่งหน้าจอ และเดินทางท่องเที่ยว เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากอุปกรณ์ต่างๆ และมอบประสบการณ์ชีวิตจริงของสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเขา

8. ทำกฏกติกาให้เคลียร์

การให้ความกระจ่างแก่เด็กเกี่ยวกับความรับผิดชอบของพวกเขา เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการสร้างความเข้าใจและยอมรับในเหตุผลหรือกฎเกณฑ์ของพ่อแม่ บางครั้งพ่อแม่ล้มเหลวในการสื่อสารสิ่งที่พวกเขาคาดหวังจากเด็ก และอาจจบลงด้วยการกล่าวหาว่าพวกเขาประพฤติตัวไม่เหมาะสม ถ้ากฎระเบียบของพ่อแม่ตรงไปตรงมาและชัดเจน เด็กจะเรียนรู้ที่จะปรับพฤติกรรมของเขาให้สอดคล้องกับความคาดหวัง อาจต้องใช้เวลาสำหรับเด็กในการปรับตัวเองให้เข้ากับกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่การยึดมั่นในกฏกติกาอย่างต่อเนื่องคือสิ่งที่ควรทำให้เป็นนิสัยในที่สุด

9. ส่งเสริมให้ลูกได้ทำด้วยตัวเอง

พ่อแม่ที่มีลูกวัยเตาะแตะ มักจะช่วยเหลือลูก ในการทำสิ่งต่างๆ แม้แต่สิ่งที่เด็กสามารถทำเองได้ ที่พวกเขาหยุดส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกลักษณะหรือความเป็นอิสระใดๆ แม้ว่าการดูแลและเลี้ยงดูเป็นสิ่งสำคัญ แต่การสอนเด็กให้ค่อยๆ จัดการความรับผิดชอบง่ายๆ ของพวกเขาอย่างช้าๆ สำหรับสิ่งต่างๆ เช่น จัดกระเป๋านักเรียน แปรงฟัน หรือทำการบ้าน คุณสามารถส่งเสริมให้บุตรหลานของคุณมีอิสระและควบคุมดูแลเพียงเล็กน้อย สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ฝึกเด็กๆ ให้มีทักษะชีวิตที่จำเป็นเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับปรุงความรู้สึกรับผิดชอบของพวกเขาด้วย

10. เลี้ยงลูกอย่างสุภาพอ่อนโยน

การตำหนิหรือลงโทษลูกทางร่างกาย หรือตะโกนใส่ลูก เมื่อลูกทำบางอย่างผิดพลาดจะทำให้สิ่งต่างๆ แย่ลงสำหรับคุณและเด็ก การอธิบายผลที่ตามมาของการกระทำผิดอย่างอดทน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการนำความเปลี่ยนแปลงที่ต้องการมาสู่จิตใจของเด็กๆ เมื่อคุณตะคอกใส่ลูก เขาจำเป็นต้องกลัวและไม่เข้าใจผลที่ตามมาจากการกระทำของเขา การอธิบายหรือแม้กระทั่งบางครั้งปล่อยให้เขาประสบผลจากการกระทำของเขาจะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลได้ดีขึ้น

บุคลิกภาพของลูกจะเป็นอย่างไร สำคัญที่สุด คือ สภาพแวดล้อมในการเลี้ยงดู ในช่วงอายุ 3 – 6 ขวบ  การที่เด็กได้เห็นเป็นแบบอย่าง การได้มีโอกาสเรียนรู้และทำความเข้าใจในพฤติกรรมที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมจากพ่อแม่ จะช่วยปลูกฝังให้เด็กๆ ได้ซึบซับวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องในการแสดงออก เมื่อพ่อแม่เข้าใจในธรรมชาติของลูก และวิธีการต่างๆ ที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาบุคลิกภาพให้ลูก ก็จะช่วยส่งเสริมและเสริมสร้างพัฒนาการตลอดจนทักษะชีวิตที่ดีให้กับลูกได้ โดยเฉพาะทักษะ ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่ส่งผลต่ออนาคตที่ดีและความสำเร็จในชีวิตลูกค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parenting.firstcry.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

10 นิสัยที่ควรสอนลูก ปูทางให้เป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

เจาะลึก 12 สไตล์การเลี้ยงลูก ส่งผลต่อเด็กต่างกันอย่างไร

ลูก เครียดเพราะเรียนออนไลน์ พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

น้ำยาซักผ้า

รวม 5 พลังสุดปัง ของ “ น้ำยาซักผ้า + ปรับผ้านุ่ม ” สูตรเข้มข้น ยับยั้งแบคทีเรีย ของดีที่ทุกบ้านควรมี!

event
น้ำยาซักผ้า
น้ำยาซักผ้า

ด้วยสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเชื้อโรคซึ่งมีอยู่รอบตัวเรามากมาย หากคุณพ่อคุณแม่ต้องออกนอกบ้านไปทำงาน หรือพาลูกไปเดินเล่นหน้าบ้าน ก็อาจทำให้พบเจอกับสิ่งสกปรกต่างๆ ที่ติดมากับเสื้อผ้าได้ รวมถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ตอนนี้ อาจทำให้คุณแม่ยิ่งหนักอกหนักใจและต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะเสื้อผ้าก็ถือเป็นแหล่งที่สะสมเชื้อโรคและเชื้อไวรัสได้ ดังนั้นการทำความสะอาดผ้าจึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ

น้ำยาซักผ้า

ซักผ้าลูกอย่างไร ให้ไกลเชื้อโรค

โดยทั่วไปแล้ว เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บ้านโดยไม่ออกไปข้างนอกไม่จำเป็นต้องซักทันที แต่ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสแบบนี้ คุณแม่ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังกลับเข้ามาบ้านทุกครั้ง ซึ่งทางที่ดีที่สุดคือ ควรมีตะกร้าผ้าเพื่อแยกผ้าสกปรกออก และซักให้สะอาดในทันทีที่ทำได้ เพราะเชื้อโรคสามารถอยู่ได้บนเนื้อผ้าเป็นชั่วโมง ซึ่งวิธีการที่คุณแม่ควรซักผ้าให้กับลูกน้อยและคนในบ้านได้อย่างสะอาด ปราศจากเชื้อโรค คือ

1. การแช่ผ้าในน้ำอุ่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการฆ่าเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรีย และสิ่งสกปรกต่างๆ ที่สำคัญอย่าลืมแยกผ้าสีและผ้าขาวก่อนแช่ผ้าทุกครั้ง

2. ควรแช่ผ้าให้ชุ่ม น้ำยาซักผ้า ประมาณ 20 นาที จากนั้นคอยขยี้ผ้าทุก 3-4 นาที

3. เมื่อแน่ใจว่าขยี้ความสกปรกจากผ้าดีแล้วให้เทน้ำออก จากนั้นขยี้ผ้าในน้ำเย็นปกติ น้ำซักผ้าจะใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเทน้ำออก และบิดผ้าให้หมาดก่อนนำไปตากแดด

ทั้งนี้หากอยู่ในช่วงหน้าฝนด้วยแล้วก็อาจมีปัญหากลิ่นเหม็นอับของเสื้อผ้า ที่ทำให้น่ารำคาญใจ รวมไปถึงอาจเป็นสัญญาณว่าเสื้อผ้ามีสิ่งสกปรกจากแบคทีเรีย เชื้อรา ติดอยู่บนผ้า เป็นสาเหตุทำให้ผิวลูกที่บอบบาง เกิดระคายเคือง ผื่นแพ้ขึ้นได้ … หากคุณแม่ไม่อยากเพิ่มความยุ่งยากในการซักผ้าของลูกน้อย ควรเลือก น้ำยาซักผ้า ที่สามารถช่วยขจัดคราบสิ่งสกปรก ลดกลิ่นอับชื้น และถ้าเป็นสูตรยับยั้งแบคทีเรียโดยเฉพาะก็จะยิ่งดี

ด้วยเหตุนี้เอง ทีมแม่ ABK ผู้รู้ใจแม่ เข้าใจลูก ขอแนะนำตัวช่วยดีๆ มาทำให้งานซักเสื้อผ้าของลูกน้อยและทุกคนในบ้านให้สะอาด ปราศจากเชื้อโรค แบบง่ายในพริบตา นั่นคือ D-nee น้ำยาซักผ้า และ น้ำยาปรับผ้านุ่ม สูตรเข้มข้น มาพร้อม 5 พลังสุดปังที่คุณแม่ไม่ควรพลาด

น้ำยาซักผ้า

สำหรับ น้ำยาซักผ้าเด็ก ดีนี่ แอนตี้แบคทีเรีย ผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้น มาพร้อม 5 พลังเพื่อคุณแม่ คือ

  1. มีประสิทธิภาพการขจัดคราบที่ดีกว่า ด้วย “DUO ACTIVE ENZYME” ที่ช่วยให้คราบสกปรกออกง่าย และให้ผ้าสะอาด หมดจด ลึกถึงเส้นใยผ้า
  2. ขจัดคราบติดแน่นได้ถึง 9 คราบ ทั้งคราบดินโคลน เหงื่อไคล อาหาร ช็อคโกแลต น้ำหวาน คราบสีน้ำ คราบอาเจียนของลูก คราบเลือด และคราบอุจจาระ
  3. เป็นสูตร Anti Bacteria สามารถยับยั้งแบคทีเรียได้ถึง 99.9% มั่นใจได้ว่า น้ำยาซักผ้า สูตรเข้มข้นของดีนี่ สามารถซักทำความเสื้อผ้าของลูกสะอาด ปลอดภัย จากเชื้อแบคทีเรียได้ตลอดทั้งวัน
  4. น้ำยาซักผ้า ดีนี่ แอนตี้แบคทีเรีย สูตรเข้มข้น นี้ เป็นแบบ ECO FRIENDLY คือใช้สารทำความสะอาดที่สกัดจากธรรมชาติ (PALM OIL BASE) สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ
  5. ประหยัดกว่า เพราะเป็นสูตรเข้มข้น ใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าสูตรปกติ แต่ได้ประสิทธิภาพการขจัดคราบ และทำความสะอาด ที่มากขึ้น

น้ำยาซักผ้า

ทั้งนี้ในส่วนของ น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก ก็มี ดีนี่ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มสูตรเข้มข้น แอนตี้แบคทีเรีย ที่มาพร้อม 5 พลังสุดปังเช่นกัน ดังนี้

  1. มี “Anti-Bacterial” ช่วยยับยั้งการเกิดเชื้อแบคทีเรีย
  2. “Cucumber”อ่อนโยนพิเศษต่อผิวบอบบางหรือแพ้ง่าย ด้วยสารสกัดจาก คิวคัมเบอร์ และผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ระคายเคืองผิวจากสถาบันมาตรฐานสากล
  3. สูตรเข้มข้น นุ่ม กลิ่นหอมนาน 30 วัน ไม่มีกลิ่นอับชื้น ด้วย Fresh Booster Technology
  4. “More confidence” ช่วยให้ผ้ามีกลิ่นหอมสดชื่น กลิ่นหอมแบบน่ารัก ไม่ฉุน เสริมความมั่นใจตลอดวัน
  5. ที่สำคัญยังช่วยประหยัดเงินอีกด้วย เพราะเป็นสูตรเข้มข้น ใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าสูตรปกติ แต่ได้กลิ่นหอมที่ยาวนาน

ทั้งนี้ด้วย 5 พลังสุดปังของ ดีนี่ น้ำยาซักผ้า และ น้ำยาปรับผ้านุ่ม สูตรเข้มข้น แอนตี้แบคทีเรีย จะดีและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความสะอาดยิ่งขึ้นเป็น 2 เท่า หากคุณแม่ใช้ร่วมกัน ซึ่งเป็นสูตรที่สามารถใช้ได้ทั้งครอบครัว ตั้งแต่ลูกอายุ 3 ขวบขึ้นไป

น้ำยาซักผ้า

สำหรับคุณแม่ที่สนใจอยากลองใช้สินค้า หรือกำลังหาโปรดีๆ โดนใจ อย่างโปร ซื้อ 1 แถม 1 น้ำยาซักผ้าเด็ก D-nee แอนตี้แบคทีเรีย สูตรเข้มข้น ราคาเพียง 92 บาท ส่วนน้ำยาปรับผ้านุ่ม D-nee แอนตี้แบคทีเรีย สูตรเข้มข้น ราคา 75 บาท สามารถหาซื้อได้ที่ Lotus, Big C, Tops, Makro, CJ Express กันเลยค่ะ

ผ่าคลอด

เคล็ดลับของแม่ผ่าคลอด !! เติมทุนสมอง เสริมภูมิต้านทานลูก

Alternative Textaccount_circle
event
ผ่าคลอด
ผ่าคลอด

การอุ้มท้องที่มีเจ้าตัวเล็กเดินทางไปพร้อมกับคุณแม่ตลอด 9 เดือน ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ในชีวิตที่มีความสุข และน่าตื่นเต้นมาก ๆ ค่ะ ระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่จะต้องเจอกับอาการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับทั้งอารมณ์ และร่างกายมากมาย รวมถึงการคลอดที่ต้องคิดแล้วว่าจะคลอดวิธีธรรมชาติ หรือ ผ่าตัดคลอด

ปกติแล้วการคลอดทางช่องคลอดเป็นกระบวนการที่เป็นไปตามธรรมชาติ ลูกน้อยก็จะได้รับ “จุลินทรีย์สุขภาพ” ผ่านช่องคลอดของคุณแม่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งมีประโยชน์ต่อ “ระบบภูมิต้านทาน” ของลูก อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่ภูมิต้านเท่านั้น สมองของเด็กผ่าคลอด ก็สำคัญเช่นเดียวกัน

จากการศึกษาพบว่า 1 ใน 7 ของเด็กที่มีความเสี่ยงสูงด้านพัฒนาการช้า อาจมีความสัมพันธ์กับการผ่าคลอด และจากการศึกษาที่สหรัฐอเมริกา พบว่าเด็กผ่าคลอดมีการสร้างไมอีลินในสมองน้อยกว่าเด็กที่คลอดธรรมชาติอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่อายุ 3 เดือน จนถึง 3 ปี

 

หากคุณแม่ต้องผ่าตัดคลอด ทำอย่างไรถึงเติมทุนสมอง และเสริมภูมิต้านทานให้ลูก?

คุณแม่ไม่ต้องกังวลใจมากไปค่ะ เพราะการให้ลูก กินนมแม่ สามารถสร้างทุนสมอง และเสริมสร้างเกราะคุ้มกันในช่วงแรกของชีวิตให้เด็กผ่าคลอดได้เช่นเดียวกับเด็กคลอดธรรมชาติ

ผ่าคลอด

นมแม่ ทุนสมองและเกราะคุ้มกันที่สำคัญในช่วงแรกของชีวิตลูกน้อย

องค์การอนามัยโลกย้ำเตือนเสมอว่า ในเด็กแรกเกิดควรได้ทานน้ำนมแม่อย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป และยังสามารถทานต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 2 ปีหรือมากกว่า เพราะน้ำนมแม่มีสารอาหารมากมายกว่า 200 ชนิด เหมาะสมกับการเจริญเติบโต มีพัฒนาการที่ดีสมวัย และหนึ่งในสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการทางสมอง นั่นก็คือ ไขมันที่ชื่อ “สฟิงโกไมอีลิน” ที่ช่วยในการสร้างปลอกไมอีลิน โดยไมอีลินจะช่วยให้สมองสามารถส่งสัญญาณได้อย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ให้คิดเร็ว เรียนรู้ไว

นอกจากนี้ นมแม่ยังมี “จุลินทรีย์สุขภาพ” หลากหลายชนิด เช่นบิฟิโดแบคทีเรียม แล็กทิส (Bifidobacterium lactis หรือ B. lactis) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ระบบทางเดินอาหารให้ขับถ่ายได้ดี ลดอาการท้องเสีย และยังลดโอกาสการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยจุลินทรีย์ชนิดนี้ยังพบมากในลำไส้ของเด็กที่คลอดอย่างธรรมชาติอีกด้วย

ต่อไปนี้ไม่ว่าจะท้องแรก หรือท้องสอง คุณแม่ผ่าคลอด ต้องไม่พลาดที่จะดูแลสมองและสุขภาพของลูกตั้งแต่แรกคลอด ด้วยการให้ “น้ำนมแม่” ที่มีสารอาหารมากมายอย่างเช่น “สฟิงโกไมอีลิน”, จุลินทรีย์สุขภาพ B. Lactis เป็นต้นกันนะคะ ให้ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนทั้งพัฒนาการทางสมองและภูมิคุ้มกันที่ดี เพื่อลูกน้อยมีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสมวัย และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงค่ะ

ไม่ว่าจะคลอดลูกด้วยธรรมชาติ หรือผ่าคลอด “น้ำนมแม่สำคัญและดีที่สุด”

คุณแม่สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารอาหารสำคัญ สฟิงโกไมอีลิน และ จุลินทรีย์สุขภาพ B. lactis อ่านเพิ่มเติม คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับแม่ผ่าคลอดได้ที่ https://bit.ly/3iNZJ2T

 

 

 

References

  1. Bentley J, et al. Pediatrics. 2016; 138:1-9.
  2. Deoni S.C. et al. AJNR Am J Neuroradiol. 2019 Jan;40(1): 169–177.
  3. Chevalier et al. PLos ONE 2015.
  4. Deoni S, et al. Neuroimage. 2018 Sep;178: 649-659.
  5. 5. Jungersen M, et al. Microorganisms. 2014 Mar 28; 2(2)92-110.
บอร์ดเกม patchwork

Patchwork บอร์ดเกมยอดนิยม เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นเพลิน โดยพ่อเอก

Alternative Textaccount_circle
event
บอร์ดเกม patchwork
บอร์ดเกม patchwork

บอร์ดเกมที่จะมาชวนเล่นคราวนี้ เป็นเกมยอดนิยมอีกเกมหนึ่ง เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นเพลิน ชื่อเกมว่า Patchwork หรือจะเรียกว่า เกมต่อผ้า หรือ เกมเย็บผ้า ในภาษาไทย ก็ได้

Patchwork คืออะไร?

เกมนี้มีที่มาจากการที่ในอดีตจะมีการเอาเศษผ้าเหลือใช้ มาทำประโยชน์ต่อ โดยเย็บเป็นผ้าผืนใหม่ไว้ใช้งาน เกม patchwork ก็คือ เกมที่ผู้เล่นต้องสะสมชิ้นผ้า หรือเศษผ้า (กระดาษที่มีลวดลายผ้า) แล้วมาต่อเป็นผืนผ้าลวดลายงดงาม บนกระดานขนาด 9×9 ตาราง (ที่เปรียบเป็นผ้าผืนใหญ่ ของผู้เล่นแต่ละคน ที่เราจะเอาชิ้นผ้ามาต่อวาง) เกมนี้เล่นกันสองคน ใช้เวลาเล่นประมาณ 15 – 30 นาที แม้เกมจะแนะนำว่าสำหรับ 8 ขวบขึ้นไป แต่กฏกติกาไม่ได้ยากขนาดนั้น เด็ก 5-6 ขวบก็สามารถเริ่มเล่นกับคุณพ่อคุณแม่ได้ครับ

อุปกรณ์ประกอบในเกม Patchwork

  • Main Time Board: เป็นกระดานที่ใช้เล่นเกม (ใช้เดิน time token) จะมีสองด้าน ให้เลือกเล่น โดยใช้กติกาเหมือนกันทั้ง 2 ด้านแต่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศในการเล่น
  • Quilt Board: แผ่นกระดานที่เราใช้เย็บต่อผ้า ของผู้เล่นแต่ละคน จะเป็นตารางโล่งๆขนาด 9×9 (คล้ายกระดานหมากฮอร์สที่มีขนาด 8×8) ใช้ สำหรับให้ผู้เล่นแต่ละคนวางต่อแผ่นชิ้นผ้าที่เก็บมาได้ จากการซื้อด้วยกระดุม
  • Patch: แผ่นชิ้นผ้ารูปทรงและลวดลายแตกต่างกัน จำนวน 33 ชิ้น (บางชิ้นจะมีกระดุม ก็จะทำให้เราได้สะสมกระดุมเพื่อใช้ในการซื้อผ้าชิ้นต่อไป)
  • Neutral token: เป็น token ที่ใช้วางตำแหน่ง เพื่อจะบอกว่า เลือกซื้อผ้าชิ้นใดได้บ้าง (3 ชิ้นข้างหน้า Neutral token ตามเข็มนาฬิกา)
  • Time Token: หมากใช้เดินมี 2 ชิ้น สีเขียว กับสีเหลือง สำหรับผู้เล่นแต่ละคน
  • Special Patch: แผ่นชิ้นผ้าขนาด 1×1 จำนวน 5 ชิ้น
  • Special Tile: แผ่นกระดุมคะแนนพิเศษสำหรับผู้เล่นที่ต่อผ้าขนาด 7×7 ช่องได้
  • Button Tiles: แผ่นกระดุม (กระดาษแข็งกลมรูปกระดุม) ขนาดต่างๆ (กระดุม 1 เม็ด / 32 ชิ้น, กระดุม 5 เม็ด / 12 ชิ้น, กระดุม 10 เม็ด / 5 ชิ้น และ กระดุม 20 เม็ด / 1 ชิ้น)

กติกาการเล่น Patchwork

กติกาการเล่นง่ายๆของ patchwork คือ ผู้เล่นจะใช้กระดุม ในการซื้อชิ้นเศษผ้า เพื่อนำมาเย็บต่อกันทีละชิ้น เศษผ้าบางชิ้นที่ผู้เล่นซื้อมา จะมีกระดุมติดมาด้วย เมื่อถึงตาที่เราจะได้เดิน time token เราจะมีโอกาสเลือก 2 วิธี A) เดินแล้วเก็บกระดุม หรือ B) ซื้อ patch แผ่นเศษผ้า แล้วไปเติมเย็บบน Quilt Board ของเรา เกมจะจบลงเมื่อมีผู้ที่เดินเบี้ย time token ไปถึงจุดสุดท้าย (ไม่ใช่เส้นชัยนะครับ แต่เป็นจุดสิ้นสุดเกม) แล้วเราก็จะมานับคะแนนผู้เล่นทั้ง 2 ฝ่ายว่าใครได้แต้มมากกว่ากัน โดยนับว่าใครครอบครองกระดุมอยู่จำนวนเท่าไหร่ แล้วหักออกด้วยจำนวนช่องว่างที่เหลืออยู่บนกระดานที่เราใช้เย็บต่อผ้า ใครเหลือแต้มมากกว่าเป็นผู้ชนะ

วิธี set up game patchwork
วิธี set up game patchwork

การ Set Up Game

  • ผู้เล่นเลือก Quilt Board ของตัวเองและหยิบกระดุมไปคนละ 5 เม็ด
  • วาง Main Time Board ที่ใช้เล่นเกม (เดิน time token) ไว้ตรงกลาง และนำชิ้นเศษผ้าขนาด 1*1 วางบนกระดานตามตำแหน่งที่ระบุ
  • วางชิ้นเศษผ้าทั้ง 33 ชิ้น เป็นวงกลมรอบกระดานแบบสุ่ม
  • นำ Neutral token ไปวางที่ ชิ้นเศษผ้าเล็กสุดขนาด 2*1 (ผู้เล่นจะสามารถเลือกซื้อผ้า 3 ชิ้นข้างหน้า Neutral token วนตามเข็มนาฬิกา)
  • วางกระดุมที่เหลือ และแผ่นโบนัส 7*7 ไว้ข้างๆ
  • นำ Time Token ของผู้เล่นทั้ง 2 สีเขียวและเหลือง วางที่ช่องแรกของกระดานที่ใช้เล่นเกม

วิธีเล่นเกม Patchwork

ใครเริ่มก่อนก็ได้ตกลงกัน ปกติเราก็ให้ลูกเริ่มก่อน (แต่ในระหว่างที่เล่นหาก time token ไปตกช่องเดียวกัน คนที่ time token  อยู่ด้านบนจะเดินก่อน)  เกมนี้ไม่ใช่เกมที่ผลัดกันเดิน แต่คนที่ time token อยู่ด้านหลังจะได้เล่น ดังนั้นอาจจะเล่นได้มากกว่า 1 ครั้งจนกว่า time token จะไปอยู่ด้านหน้า จึงสลับให้ผู้เล่นอีกคนเล่น เมื่อถึงตาเราแล้วทำไมถึงอาจจะเล่นได้มากกว่า 1 ตา เพราะว่า ผู้เล่นที่อยู่หลังสามารถเลือกได้ว่า A) เลือกเดินแซงผู้เล่นอีกคนแล้วเก็บกระดุม เลือกแบบนี้จะเล่นได้ตาเดียว หรือ B) ซื้อ patch แผ่นเศษผ้า ถ้ามีกระดุมพอซื้อ แล้วไปเติมเย็บบน Quilt Board ซึ่งบนแผ่นเศษผ้า จะมีระบุจำนวนช่องให้เดินและอาจจะมีกระดุม หากจำนวนช่องที่บนผ้าระบุมา เดินแล้วยังคงตามด้านหลังคู่แข่งอยู่ (ยังไม่แซง) ก็สามารถเล่นต่อได้อีกโดยสามารถเลือก A) หรือ B) ก็ได้ อีกครั้ง

วิธีเล่นเกม patchwork
ปูนปั้นกำลังตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อชิ้นเศษผ้า.. หรือเลือกเดินเพื่อเก็บกระดุมดีน้อ

ถ้าเลือก B) คือซื้อและต่อเศษผ้า จะมี 5 ขั้นตอน

  1. เลือกชิ้นเศษผ้า 1 ใน 3 ชิ้นที่อยู่ถัดจาก Neutral Token วนตามเข็มนาฬิกา
  2. ย้ายที่ Neutral Token มาแทนชิ้นเศษผ้าที่ถูกซื้อ
  3. จ่ายกระดุมตามจำนวนที่ระบุบนเศษผ้า
  4. วางชิ้นเศษผ้าลงบน Quilt Board ของตัวเอง วางอย่างไรก็ได้ แต่ไม่เลยกระดาน ไม่ทับชิ้นอื่น และพยายามให้ได้พื้นที่มากสุด และง่ายต่อการวางชิ้นต่อไป เมื่อวางแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนที่ได้อีก
  5. เดิน time token ของตัวเองตามจำนวนช่องที่ระบุไว้บนชื้นเศษผ้า (สัญลักษณ์รูปนาฬิกา ตัวเลขสีดำ) ถ้าไปหยุดในช่องที่ time token ของผู้เล่นอีกคนอยู่ ให้วางซ้อนด้านบน และยังถือเป็นตาเล่นของตัวเองต่อ
ซื้อเศษผ้า
หากตัดสินใจซื้อเศษผ้า จะเลือกซื้อได้ 1 ใน 3 ชิ้นที่อยู่หน้า token ตามเข็มนาฬิกา กระดุมที่ต้องจ่ายคือ 7 เม็ด ตามที่แสดงบนเศษผ้าที่เลือก

ในการเดิน ทั้งแบบ A) และ B)  ถ้าเดินผ่านชิ้นเศษผ้า 1*1 จะได้รับชิ้นเศษผ้านั้นไปเย็บเพิ่มบน Quilt Board เราด้วย ถ้าเดินผ่านสัญลักษณ์กระดุม จะได้รับกระดุมเท่ากับจำนวนกระดุมทั้งหมดบนชิ้นเศษผ้าบน Quilt Board ตัวเอง

เอาชิ้นผ้าที่ซื้อมาต่อบนกระดานของตัวเอง
เอาชิ้นผ้าที่ซื้อมาต่อบนกระดานของตัวเอง ให้มีช่องว่างน้อยที่สุด

ผู้เล่นที่ต่อเศษผ้าจนมีขนาด 7*7 ช่องได้ก่อน จะได้รับแผ่นโบนัส 7*7 ไป ซึ่งมีค่าเท่ากับกระดุม 7 เม็ด

เมื่อผู้เล่นเดินจนถึงตาสุดท้ายถือว่าจบเกม และมานับคะแนนหาผู้ชนะโดย

  1. นับกระดุมที่มีทั้งหมด
  2. นับช่องว่างบน Quilt Board ของตัวเอง แล้วคูณสอง เช่น เหลือช่องว่าง 5 ช่อง เท่ากับ คะแนนลบ 10 คะแนน
  3. หักลบแต้มกระดุม กับแต้มช่องว่างที่เหลือ เช่น มีกระดุมในครอบครองทั้งหมด (จาก) 30 อัน หักลบคะแนนลบจากช่องว่าง (จาก2.)  20 แต้ม เหลือ 10 แต้ม
  4. คนที่มีคะแนนมากกว่าเป็นผู้ชนะ ถ้าคะแนนเสมอกัน คนที่เดินถึงจุดสุดท้ายก่อนเป็นผู้ชนะ

ประโยชน์จากการเล่น Patchwork

สิ่งที่ได้จากเกมนอกจากความสนุก สร้างความสัมพันธ์กับลูก เพราะพ่อแม่คือเพื่อนที่ดีที่สุดแล้ว การเลือกการเล่นเมื่อถึงตาของตัวเอง ระหว่างจะเดินเก็บกระดุม หรือ เก็บชิ้นเศษผ้าก็ต้องใช้การวางแผนการตัดสินใจเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด และการจะเอาชิ้นเศษผ้าไปวางบน Quilt Board ก็ต้องมองไปข้างหน้าวางแผนว่าควรวางอย่างไร เพื่อให้โอกาสที่ชิ้นต่อไปมาต่อง่ายขึ้น หรือ สามารถชนะชิ้น 7 x 7 ได้ ขอรับประกันว่าบอร์ดเกมทุกเกมมีประโยชน์แฝงอยู่ โดยไม่ต้องไปพยายามมองหาเลย

ชวนลูกเล่นบอร์ดเกมนอกจากได้ความสนุกสนาน ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวแล้ว ยังช่วยให้เกิด Power BQ หลายด้านทั้งความฉลาดจากการเล่น Play Quotient (PQ)  ความฉลาดทางสติปัญญา Intelligenct Quotient (IQ) และ Thinking Quotient (TQ) ฉลาดคิดเป็น ผ่านการคิดวางแผนเพื่อให้การเดินของตัวเองได้เปรียบ และการบล็อคเส้นทางเดินฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังช่วยสร้างจินตนาการให้ลูกมี Creativity Quotient (CQ) ด้วยการตั้งคำถามจากเกม รวมถึงต่อยอดชวนลูกไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดอีกด้วย


>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

ติดตามเพจหมุนรอบลูก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

รีวิว Quoridor และ Pylos เกมส์ไม้ เสริมพัฒนาการ โดยพ่อเอก

ชวนเล่น! Splendor จุดประกายลูก สนุกกับบอร์ดเกม โดย พ่อเอก

 

Monopoly เกมเศรษฐี บอร์ดเกมยอดฮิต ฝึกลูกวางแผนการเงิน โดยพ่อเอก

 

คนท้องห้ามกินอะไร

เคลียร์ชัด!! 10 คำตอบกับคำถาม คนท้องห้ามกินอะไร ?

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้องห้ามกินอะไร
คนท้องห้ามกินอะไร

คำถามคาใจว่าที่คุณแม่ทั้งหลาย คนท้องห้ามกินอะไร มันช่างกวนใจนัก ช่วงเวลาท้องลูกก็ช่างอยากนู้นอยากนี่ไปเสียหมด แต่เอ๊ะ! จะกินได้ตามใจจริงหรือวันนี้มีคำตอบ

เคลียร์ชัด!! 10 คำตอบกับคำถาม คนท้องห้ามกินอะไร ?

แม่ท้องกับโภชนาการเป็นของที่ต้องระวัง เพราะนอกจากคุณแม่จะต้องคอยระมัดระวังในการกินอาหารให้ครบหมู่ เสริมแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับลูกในครรภ์แล้ว ยังมีอาหารบางประเภทที่คุณแม่ควรงดในช่วงเวลาตั้งครรภ์อีกด้วย เพราะอาจมีสารบางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยได้เช่นกัน ทำให้ว่าที่คุณแม่ทั้งหลายจึงเกิดคำถามต่าง ๆ นานาขึ้นมาในใจ ระหว่างที่จะหยิบจับสิ่งใดเข้าปากกันใช่ไหมว่า คนท้องห้ามกินอะไร บ้างนะ

คนท้องห้ามกินอะไร คำถามที่คุณแม่ถามก่อนเลือกกินเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกน้อย
คนท้องห้ามกินอะไร คำถามที่คุณแม่ถามก่อนเลือกกินเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกน้อย

วันนี้ทีมแม่ ABK เข้าใจดีต่อสภาวะที่คุณแม่ที่กำลังท้องต้องเผชิญ จึงขอรวบรวมนำ 15 คำถามยอดฮิตที่คนท้องมักจะสงสัยว่า อาหารที่กำลังอยากรับประทานนั้น สามารถรับประทานได้ไหม จะส่งผลต่อลูกในท้องหรือไม่ ให้ได้คลายกังวล และจะได้สรรหาของอร่อยถูกใจมารับประทานได้อย่างสบายใจกันละทีนี้

15 คำถามคาใจ คนท้องห้ามกินอะไร?

1. คนท้องกิน “ปลา” อะไรดี?

ไม่ใช่ปลาทุกชนิดที่สามารถทานได้อย่างปลอดภัย เพราะสิ่งที่ต้องระวัง คือ อาหารทะเลทุกอย่างมีโอกาสปนเปื้อนสารโลหะหนัก ซึ่งปนเปื้อนมาจากโรงงานใกล้แหล่งน้ำ การปนเปื้อนจะถูกสะสมจากปลาเล็กไปสู่ปลาที่มีขนาดใหญ่ที่กินปลาขนาดเล็กเข้าไป ดังนั้น ปลาที่มีขนาดใหญ่จะมีโอกาสปนเปื้อนสารโลหะหนักได้มาก เช่น ปลาที่มักมีสารปรอทสูง ตัวอย่างเช่น ปลานาก (Swordfish) ปลาแมกเคอเรล (King mackerel) เนื่องจากอาหารที่มีปรอทสูงเป็นปัจจัยหลักต่อพัฒนาการด้านระบบประสาทของลูกน้อยในครรภ์

ปลาน้ำจืด คนท้องกินได้ไหม?

ปลาน้ำจืดสามารถรับประทานได้ ที่แนะนำ คือ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาสวาย โดยเฉพาะถ้าเป็นปลาเลี้ยงจะพบว่ามีกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่สูง (ได้กรดไขมันโอเมก้า-3 ผ่านทางอาหารที่ใช้เลี้ยงปลา) สามารถรับประทานแทนปลาทะเลได้

ปลาดิบ อาหารญี่ปุ่น รับประทานได้หรือไม่?

รับประทานได้ แต่ควรเลือกปลาบางชนิด เช่น แซลมอน ปัจจุบันมีการเลี้ยงปลาแซลมอนเป็นฟาร์ม ซึ่งด้วยวิธีการเลี้ยงโอกาสติดเชื้อพยาธิที่ตัวปลาจะน้อยมาก ๆ ซึ่งก็เพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น แต่ปลามากุโร่ไม่อยากให้รับประทานเยอะ และต้องมั่นใจว่าปลาที่นำมาทำอาหารผ่านการแช่แข็งมาแล้ว เพราะการแช่แข็งจะทำให้พยาธิที่อยู่ในตัวปลาตาย ถ้าคุณแม่บางคนอยากทำซูซิ/ซาเซมิทานเองที่บ้าน แนะนำว่าให้แช่แข็งเนื้อปลาอย่างน้อย 4 วัน กรณีที่คุณแม่รับประทานปลาดิบแล้วมีอาการผิดปกติ เช่น คลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย แนะนำว่าให้งดทานปลาดิบตลอดการตั้งครรภ์จะดีกว่า (เช่นเดียวกับกรณีของส้มตำอาหารยอดฮิต)คนท้องห้ามกินอะไร เมนูปลาดิบควรระวัง

เมนูปลาดิบ กับคำถาม คนท้องห้ามกินอะไร
เมนูปลาดิบ กับคำถาม คนท้องห้ามกินอะไร

2.ไข่ดิบ คนท้องรับประทานได้ไหม? 

จากข้อมูลของกองโภชนาการ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าไข่ไก่ 1 ฟองมีโปรตีนประมาณ 6.25 กรัม หรือประมาณ 10-15% ที่ร่างกายต้องการต่อวัน มีคอเลสเตอรอลประมาณ 213 กรัม มีไขมันอิ่มตัวประมาณ 1.5 กรัม มีไขมันไม่อิ่มตัวมากกว่าคือ 1.91 กรัม ซึ่งร่างกายจะนำไขมันไม่อิ่มตัวไปใช้ได้ง่าย แถมคอเลสเตอรอลที่ได้รับจากไข่ยังเพิ่มปริมาณคอเลสเตอรอลตัวดีที่ช่วยลดปัญหาหลอดเลือดอุดตัน การรับประทานไข่ในช่วงท้องนั้น จะมีส่วนช่วยเติมเต็มความต้องการของร่างกายได้เป็นอย่างดี เพราะในแต่ละวันนั้น ร่างกายของคุณแม่ท้องต้องการแคลอรี่วันละ 200 – 300 แคลอรี่ ซึ่งไข่ 1 ฟองจะมีประมาณ 70 แคลอรี่ จึงควรรับประทานอาหารอื่นควบคู่ไปด้วย

แต่ไข่ดิบมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซัลโนเนลล่า ผู้ได้รับเชื้อไปในปริมาณมากจะมีอาการเป็นไข้ ปวดบิด คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ในรายที่รุนแรง อาจติดเชื้อเข้าไปในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมอง อาจถึงเสียชีวิตได้ ไข่ดิบยังรวมไปถึงซอสต่าง ๆ ที่มีไข่ดิบเป็นส่วนประกอบด้วย เช่น มายองเนส ซีซาร์สลัด เป็นต้นิ

3.ชีส คนท้องห้ามกินใช่ไหม?

ไม่ใช่ชีสทั้งหมดที่ห้ามรับประทาน ชีสบางประเภทเท่านั้นที่คนท้องห้ามกิน ได้แก่ ชอฟต์ชีสที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น คาเม็มเบ็ธ (Camembert) กอร์กอนโซล่า (Gorgonzola) และบลูชีส (Blue cheese) เพราะมีสารลิสเทอเรีย ส่งผลให้เกิดภาวะแท้งได้

4.น้ำหวาน กับคนท้อง กินยังไงไม่ให้เสี่ยง?

ถ้ารู้สึกอยากดื่มน้ำอัดลมให้ชื่นใจ ดับกระหาย ขอให้คุณแม่เปลี่ยนมาเป็นดื่มน้ำผลไม้สดที่ไม่ใส่น้ำตาลเพิ่ม หากต้องการเพิ่มความสดชื่น ให้นำน้ำผลไม้สดนำมาใส่น้ำแข็ง เวลาดื่มจะช่วยให้คุณแม่เย็นชื่นใจ และดับกระหายได้เหมือนกัน เหตุที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำอัดลม เพราะน้ำอัดลม 1 กระป๋อง มีน้ำตาลถึง 7 – 10 ช้อนชานั่นเอง สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินแต่พอดี เพราะหากเกินความพอดี จะนำไปสู่โรคเบาหวานแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ได้ โดยสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กำหนดให้บริโภคน้ำตาล ไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน อีกทั้งองค์การอนามัยโลกยังออกคำแนะนำเกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาล โดยย้ำว่าให้บริโภคต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณพลังงานทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละวัน

อาหารสำเร็จรูป อาหารที่คนท้องไม่ควรรับประทาน
อาหารสำเร็จรูป อาหารที่คนท้องไม่ควรรับประทาน

5.อาหารสำเร็จรูป คนท้องควรเลี่ยงเพราะอะไร?

อาหารสำเร็จรูป มักทำขึ้นมาให้เก็บไว้ได้นาน จึงมักมีสารเคมีเจือปนเพื่อเพิ่มระยะเวลาในการจัดเก็บ โดยมักอุดมไปด้วยลิสเทอเรีย ต่อให้แม้ปรุงสุกแล้วสารเหล่านี้ก็ยังคงหลงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นอันตรายต่อแม่และลูกน้อยในครรภ์ ทางที่ดีจึงควรหลีกเลี่ยง

6.ติดกาแฟมาก ตอนท้องจะแอบกินได้ไหม?

คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นชนิดหนึ่งที่ไม่เพียงพบได้ในกาแฟเท่านั้น แต่ยังอยู่ในเครื่องดื่มและอาหารชนิดอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ชา น้ำอัดลม โซดา เครื่องดื่มชูกำลัง ช็อกโกแลต หรือแม้กระทั่งในยาบรรเทาอาการปวดศีรษะบางชนิดในร้านขายยา โดยสารชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจไม่เป็นผลดีต่อหญิงตั้งครรภ์นัก โดยผลกระทบของการได้รับคาเฟอีนมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่ ลูกในท้องถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวส่งผลต่อการนอน อาจทำให้ลูกพิการแต่กำเนิด น้ำหนักแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์ เสี่ยงต่อการแท้ง เป็นต้น

7.ผักผลไม้ที่ยังไม่ได้ล้าง คนท้องห้ามกิน จริงหรือ?

ผักผลไม้ที่ไม่ได้ล้างทำความสะอาดมักมีส่วนผสมของ Toxoplasma เชื้อโรคที่อาศัยอยู่ในดิน สามารถทำให้รก และลูกติดเชื้อได้

8.แอลกอฮอล์ ของต้องห้ามของคนท้อง ใช่ไหม?

แอลกอฮอล์ทำให้เกิดการทำลายของเซลล์ประสาท ส่งผลให้ลูกในท้องมีการเจริญเติบโตบกพร่อง น้ำหนักแรกเกิดน้อยและมีอัตราการเพิ่มน้ำหนักหลังเกิดน้อย ศีรษะเล็ก เกิดความผิดปกติของโครงสร้างสมอง เช่น ไม่มีสมองใหญ่ (anencephaly) สมองใหญ่มีร่องผิดปกติ (schizencephaly) เยื่อหุ้มสมองและเนื้อสมองเลื่อน (lumbarmeningomyelocele) ส่วนด้านพัฒนาการของสติปัญญาก็มีความบกพร่อง มีปัญหาด้านความจำ การเคลื่อนไหวผิดปกติ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางจิตเวช เช่น ภาวะวิตกกังวล (anxiety disorder) มีภาวะซึมเศร้า (depression) พฤติกรรมอันธพาล (conduct disorder) และมีปัญหาพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น อาการซุกซนไม่อยู่นิ่ง และสมาธิสั้น ทราบอย่างนี้แล้วยังจะกล้ากินเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์กันอีกไหม?

ผักผลไม้ แม่ท้องควรรับประทาน แต่ต้องล้างให้สะอาด
ผักผลไม้ แม่ท้องควรรับประทาน แต่ต้องล้างให้สะอาด

9.ซีเรียล คนท้องต้องระวังในการกิน?

ซีเรียลเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ใยอาหาร แล้วเหตุใดจึงคนท้องจึงต้องระวังในการรับประทานซีเรียลกันล่ะ สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือปริมาณน้ำตาลในซีเรียลบางยี่ห้อ และสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ใส่เข้ามาที่อาจเป็นอันตรายได้ เช่น ขัณฑสกร

10. คนท้องกินชะอมได้ไหม?

คุณแม่ท้องมักได้คำแนะนำให้รับประทานผักเยอะ ๆ แต่รู้หรือไม่ว่า ผักบางชนิดก็ควรเลี่ยง ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เช่น ชะอม ตำลึง ยอดมะระ ยอดฟักแม้ว กระถิน ขี้เหล็ก เป็นต้น เนื่องจากว่าผักจำพวกนี้จะมีสาร Purine อยู่ปริมาณมาก ส่งผลให้เป็นโรคเกาต์ได้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อโบราณที่กล่าวถึง ชะอมไว้ว่า ห้ามกินผักชะอม และไม่ได้ห้ามแค่ตัวคุณแม่ตั้งครรภ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกคนในบ้านอีกด้วย ลองนั่งนึกหาสาเหตุดูก็อาจเป็นไปได้ว่า  ชะอม เป็นผักที่มีกลิ่นแรง อาจจะเป็นต้นเหตุให้แม่เกิดอาการแพ้ท้องหนัก จึงได้ห้ามทั้งคนท้องและคนในบ้านที่มีคนท้องอยู่รับประทานชะอม อีกเหตุผลหนึ่งชะอมซึ่งเป็นผักปลูกตามริมบ้าน อาจปนเปื้อนเชื้อที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วง อย่างเชื้อ   ซัลโมเนลลา (Salmonella)ซึ่งหากไม่ล้างทำความสะอาด และปรุงให้สุก จะทำให้เกิดโรคท้องเสีย มีไข้ ถ่ายเป็นน้ำสีเขียว หรือเป็นมูกเลือดได้เช่นกัน

คนท้องห้ามกินอะไร เลือกรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพของแม่และลูก
คนท้องห้ามกินอะไร เลือกรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพของแม่และลูก

หวังว่าคำถามที่หยิบยกมาคราวนี้ จะช่วยคลายความกังวลแก่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ทั้งหลายลงได้บ้าง เพราะเราทราบดีว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่คุณแม่ให้ความห่วงใย คือ ลูกน้อยที่กำลังเจริญเติบโตภายในท้องของคุณแม่นั่นเอง อย่างไรก็ตามอย่าพึ่งเครียด เข้มงวดมากเกินไปนัก เพราะความเครียด ความกังวลก็ส่งผลต่อลูกน้อยได้เช่นเดียวกัน แถมยังทำให้มื้ออาหารของคุณแม่ขาดรสชาติไปเสียอีกต่างหาก

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.phyathai.com/www.pobpad.com/www.si.mahidol.ac.th/today.line.me

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

แนวทางปฏิบัติตัวช่วงโควิด สำหรับ คนท้อง แม่หลังคลอด ทารกแรกเกิด

กินน้ำมะพร้าวตอนท้อง แล้วจะแท้ง!! จริงหรือ?

ประจําเดือนเลื่อน กี่วันถึงจะท้อง? ตรวจครรภ์ได้ตอนไหน?

คนท้องปวดท้องน้อย อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีดูแลคนท้องช่วงโควิด

แนวทางปฏิบัติตัวช่วงโควิด สำหรับ คนท้อง แม่หลังคลอด ทารกแรกเกิด

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีดูแลคนท้องช่วงโควิด
วิธีดูแลคนท้องช่วงโควิด

แนวทางปฏิบัติตัวช่วงโควิด – ลำพังไม่มีปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บรอบตัวที่น่ากังวลใจ หญิงตั้งครรภ์ก็ย่อมใช้ชีวิตลำบากยากเย็นกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ยิ่งเป็นยุคที่มีการระบาดของโรคไปทั่วโลกยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งสภาพร่างกาย และจิตใจของคนท้อง ย่อมย่ำแย่และเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เพราะทุกวันที่เหลือบมองดูตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ และผู้เสียชีวิต นับวันจะยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลงในเร็ววัน ไหนจะเรื่องการต้องฉีดวัคซีนป้องกันที่ก็ไม่แน่ใจว่าจะส่งผลกระทบอะไรกับลูกน้อยในครรภ์หรือไม่  และเป็นที่รู้กันว่าความเครียดระหว่างตั้งครรภ์สามารถส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ เราจึงต้องช่วย บรรเทาความเครียดเหล่านี้ในสตรีมีครรภ์และหลังคลอด ดังนั้นวันนี้เราจึงมีแนวทางปฏิบัติตัวสำหรับคนท้องในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 โดยกรมอนามัย มาฝากกันค่ะ

แนวทางปฏิบัตตัวช่วงโควิด สำหรับ คนท้อง แม่หลังคลอด ทารกแรกเกิด

ก่อนหน้านี้กรมอนามัยเปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า สำหรับ คนท้องที่ติดเชื้อโควิดจะเสี่ยงเกิดอาการรุนแรงได้มากกว่าคนทั่วไป  ดังนั้นแนวทางปฏิบัติตัวสำหรับคนท้องให้ห่างไกลและปลอดภัยจากโรค จึงเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับแนวทางในการปฏิบัตตัวสำหรับ หญิงตั้งครรภ์ แม่หลังคลอด และการดูแลทารกแรกเกิดในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด- 19 มีดังนี้

หญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด กลุ่มปกติ

กลุ่มปกติ ในที่นี้ หมายถึง กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ติดเชื้อ ให้ใช้หลักการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้ออย่างเคร่งครัด โดย

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดผู้ที่มีอาการไอ เป็นไข้ หรือสถานที่ที่มีผู้คนแออัดหรือรวมกลุ่มกันจำนวนมาก
  • รักษาระยะห่างทางสังคม ในการอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นๆ รักษาระยะห่างกันอย่างน้อย 1-2 เมตร
  • หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัส บริเวณดวงตา ปาก และจมูก
  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ หรือปรุงอาหารให้สุกร้อนทั่วถึง
  • แยกภาชนะรับประทานอาหาร และงดใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
  • ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่และน้ำสะอาด นานอย่างน้อย 20 วินาที ทุกครั้งที่มีการไอจาม สัมผัสสิ่งแปลกปลอม ก่อน รับประทานอาหาร หรือออกจากห้องน้ำ หากไม่มีสบู่ ให้ใช้ 70% alcohol gel
  • ในขณะไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย ถ้ามีอาการไอ จาม ให้ใช้ต้นแขนด้านบนปิดปากทุกครั้ง
  • แม่ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ หรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากมีอาการป่วย เล็กน้อย ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ถ้ามีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจเหนื่อย ควรรีบไปพบแพทย์
  •  หญิงตั้งครรภ์สามารถฝากครรภ์ได้ตามนัด 

หญิงตั้งครรภ์ หญิงหลังคลอด ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง

กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีประวัติสัมผัสหรือใกล้ชิดผู้ป่วย COVID-19

  • แยกตนเองออกจากครอบครัว และสังเกตอาการจนครบ 14 วัน งดการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น
  • งดการออกไปในที่ชุมชนสาธารณะ โดยไม่จําเป็น และงดการพูดคุย หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่นในระยะใกล้กว่า 2 เมตร
  • กรณีครบกำหนดนัดฝากครรภ์ สตรีตั้งครรภ์ที่ไม่มีอาการ หรืออาการน้อย ควรเลื่อนนัดเพื่อมาฝากครรภ์ ตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงหรือตรวจคัดกรองเบาหวานไปจนกว่าจะพ้นช่วงก าหนดเวลากักตัว (isolation) โดยให้อย่แต่ภายในที่พักอาศัย เป็ นเวลาอย่างน้อย 14 วัน หรือจนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อ
  • กรณีเจ็บครรภ์คลอดต้องไปโรงพยาบาลทันที และแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบว่าตนเองตนเองอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง 14 วัน

การดูแลทารกแรกเกิด ในกรณีแม่เป็นผู้ที่สงสัยติดเชื้อหรือติดเชื้อ COVID-19

  • ยังไม่มีหลักฐานการติดต่อผ่านทางรกหรือผ่านทางน้ำนม
  • ทารกที่เกิดจากแม่ที่ติดเชื้อ COVID-19 จัดเป็นผู้มีความเสี่ยง จะต้องมีการแยกตัวออกจากทารกอื่น และต้อง สังเกตอาการ เป็นเวลา 14 วัน
  • บุคลากรทางแพทย์ควรอธิบายถึงความเสี่ยง ความจำเป็นและประโยชน์ของการแยกแม่-ลูก และการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ให้แม่เข้าใจและเป็นผู้ตัดสินใจเอง
  • แนวทางการปฏิบัติในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เมื่อคำนึงถึงประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการในการแพร่เชื้อไวรัส
    ผ่านทางน้ำนม ดังนั้น ทารกจึงสามารถกินนมแม่ได้ โดยปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด

ข้อปฏิบัติในกรณีให้ทารกกินนมจากเต้า

  • อาบน้ำหรือเช็ดทำความสะอาดบริเวณเต้านมและหัวนมด้วยน้ำและสบู่
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและ สบู่นานอย่างน้อย 20 วินาที หรือแอลกอฮอล์เข้มข้น 70%ขึ้นไป
  • สวมหน้ากากอนามัย ตลอดเวลาทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการให้นมลูก
  • งดการสัมผัสบริเวณใบหน้าของตนเองและทารก เช่น การหอมแก้มทารก

ข้อปฏิบัติในการบีบน้ำนม และการป้อนนม

  • อาบน้ำหรือเช็ดทำความสะอาดบริเวณเต้านมและหัวนมด้วยน้ำและสบู่
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและ สบู่ นานอย่างน้อย 20 วินาที หรือแอลกอฮอล์เข้มข้น 70%ขึ้นไป
  • สวมหน้ากากอนามัย ตลอดการทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเตรียมนม การบีบน้ำนม และการให้นม
  • งดการสัมผัสบริเวณใบหน้าของตนเองและทารก เช่น การหอมแก้มทารก
  • หาผู้ช่วยเหลือหรือญาติที่มีสุขภาพแข็งแรงที่ทราบวิธีการป้อนนมที่ถูกต้องและต้องปฏิบัติตามวิธีการป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด โดยวิธีการนำน้ำนมแม่มาป้อนด้วยการใช้ช้อน หรือถ้วยเล็ก
  • ล้างทำความสะอาดอุปกรณ์เช่น ที่ปั้มนม ขวดนม ด้วยน้ำยาล้างอุปกรณ์และทำการนึ่งเพื่อฆ่าเชื้อ
    หลังเสร็จสิ้นกิจกรรม

กรณีแม่เป็นผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อ หรือแม่ที่ติดเชื้อ COVID-19 แต่อาการไม่มาก สามารถกอดลูกและให้นมจากเต้าได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแม่และครอบครัว ต้องปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด

กรณีแม่ที่ติดเชื้อ COVID-19 มีอาการรุนแรง หากยังสามารถบีบน้ำนมได้ ให้ใช้วิธีบีบน้ำนมและให้ ผู้ช่วยเป็นผู้ป้อนนมแก่ลูก หากไม่สามารถบีบน้ำนมเองได้อาจพิจารณาใช้นมผงแทน

กรมอนามัยเผย คนท้องติดเชื้อโควิด เสี่ยงป่วยหนัก แนะฉีดวัคซีนป้องกัน! หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร? กระทบลูกในท้องหรือไม่?

งานวิจัยเผย! แม่ท้องติดโควิด เสี่ยงเสียชีวิตสูง!

ข้อแนะนำการปฏิบัติสำหรับแม่ ในกรณีแม่เป็นผู้ที่สงสัยว่าจะติดเชื้อ หรือแม่ที่ติดเชื้อ COVID-19 แล้ว

  • อยู่ในที่พักอาศัยอย่างน้อย 14 วัน
  • ไม่รับประทานอาหารและใช้ภาชนะร่วมกับผู้อื่น
  • ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว หมอน ผ้าห่ม แก้วน ้า
  • ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ นาน 20 วินาทีหรือแอลกอฮอล์ร้อยละ 70 ลูบจนมือแห้ง
  • เมื่อต้องอยู่กับผู้อื่นต้องสวมหน้ากากอนามัยและอยู่ห่างจากคนอื่น ประมาณ 1-2 เมตรหรือหนึ่งช่วงแขน
  • หลีกเลี่ยงการพูดคุย ใกล้ชิดกับคนอื่น โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง
  • การทิ้งหน้ากากอนามัยให้ทิ้งใส่ถุงพลาสติก ปิ ดถุงให้สนิท ก่อนทิ้งลงถังขยะที่ปิดมิดชิด จากนั้นทำความสะอาดมือด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์ร้อยละ 70 ทันที
  • เมื่อไอจามให้ใช้ทิชชูปิ ดปาก ปิ ดจมูกถึงคางทุกครั้ง ทิ้งทิชชูใส่ถุงพลาสติก ปิ ดถุงให้สนิทก่อนทิ้งลงถัง ขยะที่ปิ ดมิดชิด จากนั้นท าความสะอาดมือด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์ร้อยละ 70 ทันทีหากไม่มีทิช ชูใช้ต้นแขนด้านใน
  • ทำความสะอาดบริเวณที่พัก ด้วยน้ำยาฟอกขาวร้อยละ 5 (น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำสะอาด 99 ส่วน) หรือเช็ดพื้นผิวสัมผัสด้วยแอลกอฮอล์ร้อยละ70
  • ทำความสะอาดเสื้อผ้าผ้าปูเตียงผ้าขนหนูหรืออื่น ๆ ด้วยผงซักฟอกและน้ำธรรมดา หรือซักผ้าด้วยน้ำ ร้อน อุณหภูมิ70-90องศาเซลเซียส

ไม่มีใครบอกได้ว่าโควิดจะอยู่กับเราไปอีกนานเท่าไหร่ ดังการดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองตลอดจนดูแลลูกน้อยด้วยแนวทางปฏิบัติป้องกันโรคที่เหมาะสมในช่วงนี้อย่างน้อยก็ช่วยลดโอกาสในการได้รับเชื้อ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อตัวเองและลูกน้อยในครรภ์ หรือทารกแรกเกิดของเรา

ในอนาคตเมื่อลูกเติบโตขึ้น การให้ความรู้แก่พวกเขาเกี่ยวกับข้อปฏิบัติและวิธีการใช้ชีวิตในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคที่เกิดขึ้น จะช่วยให้พวกเขาเกิดการตระหนักรู้ที่ดีเกี่ยวกับการรักษาสุขอนามัยส่วนตัว เพื่อการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และเชื้อโรคต่าง ๆ  เช่น การสวมใส่หน้ากากอนามัย การรักษาความสะอาดของร่างกาย การเว้นระยะห่างทางสังคม และอื่นๆ  สิ่งเหล่านี้ย่อมช่วยให้เด็กๆ เกิดความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) และทำให้เด็กๆ ห่างไกลโรค ไม่เจ็บป่วยง่ายค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : covid19.anamai.moph.go.th , ops.go.th

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ภรรยาสาว เป้ วงมายด์ รีวิว ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง 6 เดือน ท้องแฝด!

ฉีดในคนแล้ว! ChulaCov19 วัคซีนโควิด ชนิด mRNA ฝีมือคนไทย!

รู้ก่อนฉีด! ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด -19 เช็คเลย!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ส่อง!!โรงเรียน3ภาษา ข้อดีข้อเสียแบบไหนเหมาะกับลูกรัก

Alternative Textaccount_circle
event

โรงเรียน3ภาษา โรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนเพื่อลูกรักแบบไหนเหมาะกว่ากัน เราขอเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจพาไปส่องดูข้อดีข้อเสีย และตัวอย่างโรงเรียนที่มีในไทยกัน

ส่อง!!โรงเรียน3ภาษา ข้อดีข้อเสียแบบไหนเหมาะกับลูกรัก

อีกหนึ่งเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญของพ่อแม่ในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกรักนั้น คงหนีไม่พ้นการศึกษาของลูก ไม่ว่าบ้านไหน ครอบครัวใดก็อยากเลือกโรงเรียนที่สามารถดูแล และสั่งสอนให้กับลูกของตัวเองให้มีความรู้ มีวิชา และดึงความสามารถของลูกให้ได้เท่าทันคนอื่น ๆ ทำให้ในปัจจุบันมีโรงเรียนให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกมากมาย หลายแบบกว่าเดิมมากนัก ไม่ว่าจะเป็น โรงเรียนตามหลักสูตรทั่วไป โรงเรียนสองภาษา โรงเรียน3ภาษา หรือโรงเรียนนานาชาติ เป็นต้น

ภาษาเป็นสิ่งสำคัญในยุคปัจจุบัน ยุคที่โลกสามารถบีบแคบให้เข้ามาใกล้กันได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ทักษะทางด้านภาษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นไปเสียแล้วในโลกยุค World Wide นี้ เพราะเป็นตัวเชื่อมในการติดต่อสื่อสารระหว่างกันนั่นเอง ทำให้ตัวเลือกเรื่องโรงเรียนของลูกนั้น จึงมักใช้ความรู้ด้านภาษามาร่วมในการตัดสินใจค่อนข้างมาก

โรงเรียน คือ สิ่งสำคัญสำหรับการเรียนรู้ของลูก
โรงเรียน คือ สิ่งสำคัญสำหรับการเรียนรู้ของลูก

การเรียนรู้ภาษาที่สอง หรือที่สามนั้น นอกจากประโยชน์ในการใช้สื่อสารกับชาวต่างประเทศได้แล้ว ยังพบว่าให้ผลทางด้านจิตวิทยาที่สูงมากด้วยเช่นกัน การศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ยืนยันว่าการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเป็นภาษาที่ 2 และ 3 เพิ่มเติมนั้นจะเพิ่มทักษะในการคิด เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และความลื่นไหลของจิตใจของเด็กเล็กได้ เด็กที่ได้เรียนรู้ภาษาต่างประเทศจะทำคะแนนได้สูงกว่าเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้ศึกษาภาษาต่างประเทศในแง่การทดสอบวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบุว่าการเรียนรู้ภาษาเพิ่มเติมนั้นจะช่วยเสริมกระบวนการเรียนรู้ หาใช่เพียงเป็นเรื่องด้านการได้ภาษาเพิ่มมาเท่านั้น

ทำไมเราควรให้เด็กเรียนรู้ภาษาอื่นตั้งแต่ยังเล็ก

คำตอบก็คือ ยิ่งอายุยังน้อยเด็กจะยิ่งสามารถเลียนเสียงใหม่ ๆ และการออกเสียงได้ดีกว่า สมองยังคงสามารถเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ได้ เด็กจะมีเวลาในการเรียนผ่านกิจกรรมการละเล่น บทเรียนทางภาษาสำหรับเด็กอาจจะอยู่ในรูปที่ไม่เป็นทางการ ทำให้การเรียนรู้ได้ประสิทธิภาพมากกว่าการนั่งเรียนแบบท่องจำ และที่สำคัญคือ เด็กจะกล้าลองผิดลองถูก กล้าพูดหรือทำมากกว่าผู้ใหญ่เพราะไม่ต้องกลัวว่าจะขายหน้า ทำให้การเรียนรู้เรื่องภาษาจึงไปได้ด้วยดีมากกว่าฝึกเมื่อโตแล้ว

โรงเรียน3ภาษา

เมื่อเห็นข้อดีของการฝึกภาษาให้แก่ลูกตั้งแต่ยังเล็กแล้ว เรามาดูตัวเลือกของโรงเรียนของลูกกันดีกว่า หากกล่าวถึงโรงเรียนที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ก็คงขอตัดตัวเลือกที่จะนำมาเปรียบเทียบลงเหลือ โรงเรียน3ภาษาและโรงเรียนนานาชาติ พ่อแม่อาจจะสับสน และเหมารวมว่าโรงเรียนทั้งสองประเภทนี้ใช้ระบบการเรียนการสอนแบบคล้ายคลึงกัน เเต่ความจริงแล้วทั้งสองหลักสูตรนี้มีความแตกต่างกันอยู่มาก

โรงเรียนนานาชาติ หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า “โรงเรียนอินเตอร์” เป็นผู้ให้บริการด้านการศึกษาที่อ้างอิงหลักสูตรและการสอนมาจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะนิยมจัดรูปแบบการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้น กิจกรรมและสื่อการสอน จึงมักจะอิงวันหยุดและวันสำคัญทางศาสนา (คริสต์) มาจากประเทศสหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร เป็นหลัก

วางแผนเลือกโรงเรียนให้ลูก โรงเรียน3ภาษา ข้อดี-ข้อเสีย
วางแผนเลือกโรงเรียนให้ลูก โรงเรียน3ภาษา ข้อดี-ข้อเสีย

โรงเรียนสามภาษา อาจใช้หลักสูตรที่พัฒนามาจากสถาบันการศึกษาภายในหรือต่างประเทศ หรือคิดค้นขึ้นมาเฉพาะกิจ โดยมีรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นสร้างทักษะการใช้ภาษาตั้งแต่สามภาษา ซึ่งกำหนดให้เรียนตลอดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น และภาษากลุ่มประเทศเพื่อนบ้านหรือภาษาอื่นๆ ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะจัดทำรายวิชาและจัดการเรียนรู้ตามความเหมาะสมขึ้นไป อาทิ อังกฤษ-ไทย-จีน ดังนั้น กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ของโรงเรียนจึงนำความสำคัญของประเพณีและวัฒนธรรมของทั้งสามชาติมาพิจารณาประกอบด้วย

• ข้อดีของโรงเรียนสามภาษา
เรียนเป็นหลักสูตรของกระทรวงศึกษาไทย ข้อดีก็คือการเรียนหลักสูตรของกระทรวงศึกษาไทยที่เน้นความรู้ ทฤษฎีเเน่นๆ อาจจะทำให้มีโอกาสสอบติดมหาลัยรัฐบาลในไทยได้มากกว่าคนที่เรียนโรงเรียนนานาชาติมาแล้วอาจจะไม่แม่นทฤษฎีมากนัก

• ข้อดีของโรงเรียนนานาชาติ
จะเหมาะที่สุดถ้าพ่อแม่วางแผนให้ลูกไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เพราะการเรียนโรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่จะเรียนเป็นหลักสูตรต่างประเทศอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ สหรัฐอเมริกา หรือสิงคโปร์ ทำให้การศึกษาต่อในต่างประเทศทำได้ง่าย และสะดวกกว่าคนที่เรียนโรงเรียนสามภาษา

โรงเรียนสามภาษา (อังกฤษ-ไทย-จีน)

ปัจจุบันภาษาจีนเข้ามามีบทบาทในการสื่อสารระหว่างกันมากยิ่งขึ้น เนื่องด้วยมาจากประชากรจีนมีถึงกว่า 20% ของประชากรทั่วโลก แถมบรรดาธุรกิจ บริษัทต่าง ๆ ก็มีสัญชาติจีนเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียวในปัจจุบัน ดังนั้นการที่จะเตรียมตัวให้ลูกของคุณพ่อคุณแม่ได้มีทักษะทางด้านภาษาที่สามเป็นภาษาจีนก็คงไม่ผิดแปลกอะไร วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK จึงขอรวบรวมโรงเรียนสามภาษา อังกฤษ-ไทย-จีน ในประเทศไทยมาให้ลองพิจารณาดูกันว่าหลักสูตรการเรียนการสอน บรรยากาศ และความเหมาะสมจะเข้ากันกับไลฟ์สไตล์ของเราหรือไม่

โรงเรียน3ภาษา เรียนรู้ผ่านโครงงาน และกิจกรรม
โรงเรียน3ภาษา เรียนรู้ผ่านโครงงาน และกิจกรรม
  • โรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน CIS (Concordian Intenational School) เป็น 1 ใน 3 โรงเรียนนานาชาติในกรุงเทพ ที่สอนด้วยหลักสูตร Full IB School ตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาล ประถม และต่อเนี่องไปจนถึง มัธยมปลาย และ IB Diploma (EY, PYP, MYP, DP) โดยได้รับการรับรองจาก IBO World School ห้องเรียนเป็นแบบกลุ่มเล็ก มีจำนวนนักเรียนไม่เกิน 20 คนต่อห้อง เน้นการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม โครงงานต่าง ๆ ไม่มีการสอบวัดผลในเด็กเล็กจนถึง Grade 5 สามารถดูภาพบรรยากาศเพิ่มเติม และรายละเอียดค่าใช้จ่ายได้ที่

เว็บไซต์ www.concordian.ac.th

ที่ตั้ง 918 Moo 8, Bangna-Trad Highway km. 7,Bangkok, Samut Prakarn 10540 Thailand

  • โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ (SISB) เป็นโรงเรียนสามภาษาที่ใช้ระบบการเรียนการสอนของสิงคโปร์ ที่มีจุดเด่นในเรื่องวิชาการที่แน่น โดยให้เด็กเริ่มหัดเขียนตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลเลยทีเดียว แต่จะมีวิธีการสอนที่ไม่กดดันเด็กจนเกินไป หากครอบครัวไหนสนใจในการเรียนการสอนที่เน้นด้านวิชาการต้องไม่พลาด โดยสามารถดูภาพบรรยากาศเพิ่มเติม และรายละเอียดค่าใช้จ่ายได้ที่

เว็บไซต์ pracha-uthit.sisb.ac.th

ที่ตั้ง 498/11 Soi Ramkhamhaeng 39 (Tepleela 1), Wangthonglang, Wangthonglang, Bangkok 10310 Thailand

  • โรงเรียนนานาชาติแองโกลสิงคโปร์ (ASIS) Anglo Singapore International School  เป็นโรงเรียนนานาชาติระบบสิงคโปร์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2003 ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 3 Campus ได้แก่ ที่ สุขุมวิท 64, สุขุมวิท 31 และ ที่ โคราช โดยที่ Campus สุขุมวิท 64 จะเป็น Campus เดียวที่มี การเรียนการสอน ตั้งแต่ระดับชั้น อนุบาล ไปจนถึง มัธยมปลาย ส่วน Campus สุขุมวิท 31 และ โคราช จะสอนเฉพาะ ระดับชั้น อนุบาลและ ประถมศึกษา โดยการเรียนการสอนใช้ระบบแบบสิงคโปร์เหมือนกัน คือเด่นด้านวิชาการที่เข้มข้น หากพ่อแม่สนใจสามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

เว็บไซต์ anglosingapore.ac.th

ที่ตั้ง  Sukhumvit 31Klongtan Nue, Wattana Bangkok 10110, Thailand

โรงเรียน3ภาษา โรงเรียนไทย อังกฤษ จีน
โรงเรียน3ภาษา โรงเรียนไทย อังกฤษ จีน
  • โรงเรียนนานาชาติไทย-จีน (TCIS) Thai-Chinese International School เป็นโรงเรียนที่เปิดมาได้ 25 ปี โดยมีระบบการเรียนการสอนด้วยหลักสูตรอเมริกัน โดยได้รับการรับรองมาตรฐานสากลจาก Western Association of Schools and Colleges หรือ WASC ซึ่งเป็นสถาบันรับรองมาตรฐานการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา และส่วนการสอนภาษาจีนนั้นจะใช้ภาษาจีนตัวเต็มที่เป็นที่นิยมใช้กันในไต้หวัน และฮ่องกง เป็นโรงเรียนขนาดไม่ใหญ่ สามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง และระบบการเรียนการสอนที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล

เว็บไซต์ www.tcis.ac.th

ที่ตั้ง 101/177 Moo 7 Soi Mooban Bangpleenives, Prasertsin Rd. Bangplee Yai, Samutprakarn Thailand 10540

การเลือกโรงเรียนให้ลูก เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญ อยากเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูก แต่อย่างไรก็ตามได้โปรดอย่าลืมว่า โรงเรียนของลูก นับได้ว่าเป็นเสมือนบ้านหลังที่สองของเขา ดังนั้นไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะวางแผนเลือกโรงเรียนกันอย่างไรนั้น ควรจะมอบส่วนหนึ่งในการตัดสินใจให้แก่ลูกด้วยเช่นกัน เช่น พาเขาไปดูโรงเรียน เห็นสภาพบรรยากาศการเรียนการสอน แล้วสังเกตดูว่าลูกชอบด้วยหรือไม่ เพราะการเรียนรู้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ผู้เรียนก็มีส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน

 ข้อมูลอ้างอิงจาก www.longtunmom.com/www.bucknellprimaryschool.org /readfirstenglish.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

9 โรงเรียนหลักสูตรภาษาจีน มุ่งสอนลูกเก่ง 3 ภาษา ตั้งแต่อนุบาล

13 ทักษะที่ลูกควรมีก่อนเข้า โรงเรียนอนุบาล

รู้จัก 4 โรงเรียน “ระบบการศึกษาฟินแลนด์” ในประเทศไทย

เช็กให้ดี กับปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ โฮมสคูล !!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เครียดเพราะเรียนออนไลน์

ลูก เครียดเพราะเรียนออนไลน์ พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
เครียดเพราะเรียนออนไลน์
เครียดเพราะเรียนออนไลน์

เครียดเพราะเรียนออนไลน์ –  การระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส กลายเป็นบรรทัดฐานในการต้องปรับตัวต่อการเรียนการสอนในรูปแบบใหม่ ส่งผลกระทบตั้งแต่ตัวเด็กไปจนถึงพ่อแม่ ครู อาจารย์ เนื่องจากโรงเรียนทั่วประเทศจำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้การเรียนการสอนแบบทางไกล มีการขอให้เด็กๆ ปฏิบัติตามหลักสูตรการเรียนผ่านรูปแบบออนไลน์ที่บ้าน ซึ่งการเปลี่ยนผ่านจากการเรียนในห้องเรียนเป็นการเรียนรู้ออนไลน์อาจทำให้เด็กเกิดความเครียดได้ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบการเรียนปกติซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคย เด็กต้องปรับตัวกับวิธีการเรียนรู้แบบใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองและครูที่จะต้องรับทราบถึงความวิตกกังวลต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็ก

มีงานวิจัยที่มีการสำรวจนักเรียนในมณฑลหูเป่ยที่อยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ต้นปี 2563  จากการเก็บข้อมูลนักเรียนเกรด 2 ถึง 6 (ป.2-ป.6) จำนวน 2,330 คน ระหว่าง 28 กุมภาพันธ์-5 มีนาคม2563 พบว่านักเรียน 40% มีความเครียดและวิตกกังวล ซึ่งสอดคล้องกับในประเทศไทยที่ล่าสุด พบข้อมูลนักเรียน และนักศึกษาจำนวนมากเครียดจากการเรียนออนไลน์ เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวได้ ทำให้เกิดความทุกข์ และในรายที่อาการหนักสามารถนำไปสู่โศกนาฏกรรม

ผลกระทบของการเรียนออนไลน์ต่อสุขภาพจิต

แม้ว่าความปลอดภัยของนักเรียน และครูจะมีความสำคัญสูงสุด แต่การเรียนออนไลน์อาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของเด็กได้  สำหรับนักเรียนหลายคน ชั้นเรียนเสมือนจริงอาจทำให้ปัญหาสุขภาพจิตที่มีอยู่แย่ลงได้ สำหรับคนอื่นๆ ผลกระทบของการระบาดใหญ่และการเรียนรู้ออนไลน์สามารถกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ด้านสุขภาพจิตและอารมณ์ ซึ่งต่อไปนี้นี้คือผลกระทบของการที่ต้องเรียนออนไลน์

การแยกตัวออกจากสังคม

นอกจากโรงเรียนจะเป็นสถานศึกษายังเป็นเหมือนศูนย์กลางของชีวิตทางสังคมของเด็กๆ โรงเรียนเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ติดต่อกับเพื่อนๆ เปิดโอกาสสำหรับพวกเขาในการเข้าสังคม และการแสดงออก อย่างไรก็ตาม เมื่อโรงเรียนมีการเปลี่ยนการเรียนการสอนไปใช้รูปแบบเสมือนจริง เด็กๆ อาจรู้สึกเหงา ไม่มีแรงจูงใจ หรือท้อแท้จากการที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นประจำเหมือนเช่นเคย

มีการศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการแยกตัวทางสังคมอาจทำให้อัตราผลลัพธ์ด้านลบต่อสุขภาพจิตและร่างกายของบุคคลสูงขึ้น การศึกษาอื่นๆ พบว่าการมีปฏิสัมพันธ์แบบเห็นหน้ากันสามารถช่วยลดภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวลได้ การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อยลงอาจเพิ่มความรู้สึกวิตกกังวลและความรู้สึกกดดันทางสังคม ตัวอย่างเช่น เด็กอาจกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในมิตรภาพอันเป็นผลมาจากการแยกตัวเป็นเวลานาน

เครียดเพราะเรียนออนไลน์
เครียดเพราะเรียนออนไลน์

ความเครียดและความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้น

นอกเหนือจากการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแล้ว ลักษณะของการเรียนออนไลน์สามารถส่งผลกระทบต่อเด็กได้หลายวิธี :

  • รู้สึกวิตกกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับการติดตามการทำงานที่โรงเรียนอยู่เสมอ
  • ประสบปัญหาในการจดจ่อหรือจดจ่อขณะอยู่ที่บ้าน
  • การแสดงวิดีโอต่อหน้าผู้อื่นอาจนำไปสู่ความวิตกกังวลได้
  • อาจพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาเพิ่มเติมที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จ

ความเหนื่อยล้าในการเรียนรู้เสมือนจริง

การใช้เวลาออนไลน์เป็นเวลานานอาจทำให้ทั้งนักเรียนและครูเหนื่อยล้าได้มากกว่าการเรียนปกติ เหตุผลส่วนหนึ่งคือการที่ในแต่ละวันต้องคอยจดจ่อกับการโต้ตอบทางวิดีโอและต้องใช้สมาธิค่อนข้างมาก ซึ่งสมองทำงานยากขึ้นในการประมวลผลข้อมูลในแบบที่ไม่คุ้นเคย การใช้น้ำเสียง ระดับเสียง การแสดงออกทางสีหน้า และการสบตา ตลอดจนภาษากาย ถูกเปลี่ยนไปจากการเรียนปกติในห้องเรียน

ลูก เครียดเพราะเรียนออนไลน์ พ่อแม่ควรรับมืออย่างไร?

แรงกดดันที่เกิดขึ้นกับเด็กอาจทำให้ความวิตกกังวลและความเครียดที่มีตามปกติรุนแรงขึ้นได้ ความเครียดของเด็กที่ผู้ปกครองอาจเริ่มสังเกตเห็นในการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของลูก เช่น อาจมีการการโต้เถียง การปฏิเสธ การต่อต้าน การท้าทายที่บ่อยมากขึ้น เด็กบางคนอาจจะดูไม่มีชีวิตชีวาจากที่เคยร่าเริงกลายเป็นเงียบขรึม การสนับสนุนและคำแนะนำจากผู้ปกครองมีความสำคัญมากซึ่ง คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองในการช่วยให้เด็กรับมือกับความเครียดมีดังนี้

1. พยายามเข้าใจความรู้สึกลูก

ผู้ปกครองควรมีความอ่อนโยน และพยายามเข้าใจเด็ก ในการที่ต้องปรับตัวเข้ากับตารางการเรียนรู้ใหม่ ซึ่งบางครั้งอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ กับการต้องใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับหน้าจอนานๆ  เพราะบางครั้งเด็กๆ ก็ต้องการการพักผ่อน พ่อแม่และครอบครัวรู้ดีที่สุดว่าลูกต้องการอะไร ดังนั้นควรเปิดใจรับฟังพวกเขาอย่างจริงจัง

2. ให้เวลาลูกได้หยุดพักบ้าง

กิจวัตรและตารางเวลามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเด็กๆ ไม่เพียงแต่ขณะอยู่ที่โรงเรียน แต่ที่บ้านก็เช่นเดียวกัน เด็ก ๆ จะทำงาน หรือใช้สมาธิกับสิ่งใดได้ดีที่สุดหากพวกเขารักษากิจวัตรประจำวันเหมือนตอนที่อยู่ในโรงเรียน ในช่วงเวลาอาหารกลางวันควรกระตุ้นให้พวกเขาลุกขึ้นและเดินเล่นเคลื่อนไหวตัวเองไปรอบ ๆ บ้านเพื่อไม่ให้อยู่ประจำที่ตลอดทั้งวันจนเกิดความรู้สึกเครียดหรือเบื่อหน่าย

เครียดเพราะเรียนออนไลน์

3. เปิดบทสนทนาเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ 

กระตุ้นให้ลูกแสดงออกถึงความรู้สึกกับคุณอย่างอดทนและเข้าใจ เด็กแต่ละคนอาจมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดต่างกัน กระตุ้นให้พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับปัญหา และพยายามอย่ามองข้ามความกังวลต่างๆ ของลูก อย่าลืมให้คำแนะนำ และแสดงออกถึงความเข้าใจอย่างแท้จริงด้วยการช่วยหาทางออกกับปัญหาที่เกิดขึ้น

4. อย่าพยายามสร้างโรงเรียนขึ้นมาใหม่

ผู้ปกครองควรตั้งเป้าหมายในการเรียนและทำการบ้านของลูกทุกๆ สองถึงสี่ชั่วโมงในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับอายุของลูก อย่าพยายามสร้างโรงเรียนขึ้นมาใหม่ด้วยเนื้อหาหลักสูตรหกถึงเจ็ดชั่วโมง ให้เน้นไปที่การมีส่วนร่วมกับลูกๆ ของคุณที่สั้นลง และมีคุณภาพสูงขึ้น และหาเวลาทำกิจกรรมสนุก ๆ ร่วมกัน

5. อนุญาตให้ลูกโต้ตอบกับเพื่อน ๆ ผ่านวิดีโอแชท

เด็กๆ อาจคุ้นเคยกับการได้ติดต่อพบปะกับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน ดังนั้นพวกเขาจะรู้สึกถึงผลกระทบของการอยู่ห่างจากเพื่อนๆ อย่างแน่นอน พ่อแม่ควรอนุญาตให้ลูกๆ มีเวลาได้โต้ตอบพูดคุยกับเพื่อนๆ ทางออนไลน์ นอกเหนือจากโซเชียลมีเดียหรือการส่งข้อความ วิดีโอแชทมักจะเป็นสิ่งที่เหมาะที่สุดในการเห็นหน้ากัน และเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเข้าสังคมโดยไม่เสี่ยงอันตรายต่อตัวคุณเองและผู้อื่น

6. สร้างบรรยากาศที่ดีในครอบครัว

แม้ว่าการสร้างบรรยากาศที่ดีในสถานการณ์ทุกวันนี้อาจเป็นเรื่องท้าทาย  แต่สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือการรักษาทัศนคติที่ดีและส่งเสริมการสนทนาที่ดีต่อสุขภาพภายในครอบครัว จำไว้ว่าเด็กๆ ยังต้องการความช่วยเหลือและคำแนะนำจากพ่อแม่ รวมทั้งการให้กำลังใจและความหวัง การปลูกฝังทัศนคติเชิงบวกในบ้านของคุณสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในสุขภาพจิตของทุกคนในครอบครัว

7. ส่งเสริมนิสัยที่ดีต่อสุขภาพ

การเรียนออนไลน์อาจส่งผลกระทบกิจวัตรประจำวันขอเด็กๆ  ดังนั้นการส่งเสริมนิสัยที่ดีต่อสุขภาพจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย การนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการออกกำลังกายเป็นประจำ สามารถช่วยเพิ่มอารมณ์ที่ดีของเด็กและส่งผลดีต่อสุขภาพจิตโดยรวมของพวกเขา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกของคุณนอนตามตารางเวลาปกติและมีเวลาตื่นนอนเป็นกิจวัตร ส่งเสริมให้ลูกของคุณนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และมีเวลาได้ออกกำลังกาย สำหรับการออกกำลังกาย มีตัวเลือกมากมายทั้งในร่มและกลางแจ้งเพื่อให้ลูกๆ ของคุณรู้สึกกระฉับกระเฉง การเดิน และขี่จักรยาน เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการคงความกระฉับกระเฉงในขณะที่ต้องรักษาระยะห่างทางสังคมที่เหมาะสมจากผู้อื่น

การรับฟังลูก ช่วยแนะนำ แก้ปัญหา เมื่อลูกเกิดความเครียดจากการเรียนออนไลน์จะช่วยให้ลูกสามารถปรับตัวได้กับวิถีชีวิตที่ไม่คุ้นเคย ที่สำคัญคือป้องกันไม่ให้ลูกเกิดความเครียดจนเกินไปซึ่งย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว และนอกจากจะช่วยป้องกันปัญหาด้านสุขภาพกายและใจของลูกแล้วยังเป็นการปลูกฝังให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะปรับตัวในการใช้ชีวิตในสถาการณ์ที่ไม่ปกติควบคู่กับการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ห่างไกลโรค ช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ เกิดทักษะความฉลาดที่รอบด้าน ด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ อีกด้วยค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : highfocuscenters.pyramidhealthcarepa.com , indianexpress.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สอนหนังสือลูก 1 วัน ทำอะไรดี? ถ้าไม่เรียนออนไลน์ โดยพ่อเอก

เรียนออนไลน์ เตรียมตัวอย่างไรได้ผลดี ลูกแฮปปี้ ไม่เครียดเกินไป

4 ผลกระทบของการให้เด็ก เรียนออนไลน์ (ใช้สื่อ online)

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

LingoAce

ทำไมต้องให้ลูกเรียนภาษาที่ 3 เป็นภาษาจีน ?

Alternative Textaccount_circle
event
LingoAce
LingoAce

อยากให้ลูกพูดได้มากกว่าหนึ่งหรือสองภาษา ถ้าถามทีมแม่ABK ว่าจะเลือกให้เด็ก ๆ วัย 6-15 ปี เรียนภาษาอะไรดี ตอบเลยว่าให้ “เรียนภาษาจีน” ค่ะ เดี๋ยวนี้หาที่เรียนภาษาจีนได้ง่ายมาก อยู่ที่บ้านก็เรียนได้ คุณพ่อคุณแม่ที่ยังคิดไม่ออกว่าจะให้ลูกเรียนจีนที่ไหนดี วันนี้ทีมแม่ABK มีมาแนะนำให้ค่ะ

ภาษาจีน

ภาษาที่ 3 ทำไมต้องเป็น ภาษาจีน ?

สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทั้งเรื่องเทคโนโลยี การศึกษา และเศรษฐกิจ เป็นต้น เชื่อว่าแค่ให้เด็ก ๆ พูดได้จากภาษาหลัก และภาษาที่สอง(อังกฤษ) คงไม่น่าจะพออีกต่อไป ทีมแม่ABK สรุปมาให้ว่าทำไมเราจึงควรส่งเสริมให้ลูกได้ศึกษาเรียน “ภาษาจีน” เป็นภาษาที่ 3 กันค่ะ

  1. ประเทศจีนคือหนึ่งในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จะเห็นได้ว่าสินค้าจากประเทศจีน เช่น เสื้อผ้า ข้าว ผลไม้ ของกิน ของใช้ ฯลฯ ในชีวิตประจำวันส่งออกกระจายไปทั่วทุกมุมโลก จึงไม่แปลกที่ภาษาจีนจะเป็นภาษาสำคัญที่คนทั่วโลกใช้ติดต่อทำธุรกิจกันค่ะ
  2. คนจีนชอบท่องเที่ยว จะเห็นว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย มาจากการทำธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มีอิทธิพลมาก ๆ และมีกำลังในการใช้จ่าย ไม่แพ้ชาติใดในโลก ก็คือนักท่องเที่ยวจากจีน การสร้างความประทับใจอย่างง่าย ก็คือการต้อนรับด้วยบริการที่ดี มีรอยยิ้มสยาม และสื่อสารด้วยภาษาจีนค่ะ
  3. ทำงานได้หลายสายงานมากขึ้น การรู้ภาษาจีนเพิ่มโอกาสทางการทำงานได้มากขึ้น จะเห็นว่าเดี๋ยวนี้ในหลาย ๆ ประเทศ หรือแม้แต่ในไทย จะมีบริษัทที่ต้องการคนทำงานที่มีคุณสมบัติเข้าใจ และพูดสื่อสารจีนได้ เห็นด้วยไหมคะว่า ภาษา คือ ใบเบิกทางหน้าที่การทำงานให้กับลูก หลานของเราในอนาคตได้
  4. ภาษาจีนเรียนง่าย เมื่อก่อนอยากให้ลูกได้ภาษาจีน ก็ต้องหาโรงเรียนที่มีสอนเสริมภาษาจีน ซึ่งก็ไม่ได้มีให้เลือกได้มากนัก แต่ทุกวันนี้สื่อการเรียนการสอนภาษาจีนมีให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย มีให้เรียนได้หลายช่องทาง เช่น อินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ และแอปพิเคชั่น คืออยู่บ้านก็เรียนได้ ที่สำคัญถ้าเรียนกันอย่างจริงจัง ก็สามารถพูดได้ ฟังเข้าใจ เขียนได้คล่อง ภายในเวลาไม่นาน

เห็นแบบนี้แล้วยิ่งน่าให้เด็ก ๆ ได้เรียนภาษาที่ 3 เป็นภาษาจีนกันใช่ไหมคะ ทีมแม่ABK ก็จะให้ลูก ๆ ที่บ้านเรียนด้วยเหมือนกันสำหรับช่วงวัยที่เหมาะจะส่งเสริมให้เรียนภาษาจีน ก็จะเป็นช่วงวัยประมาณ 6-15 ปี  เพราะเป็นวัยที่เด็กมีพัฒนาการทางภาษาที่ดีเยี่ยม จดจำและซึมซับภาษาได้ดี ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งได้เปรียบ ภาษาจีน ไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากถ้าตั้งใจ และได้เรียนกันอย่างจริงจัง ฉะนั้นเด็กวัยตั้งแต่ 6 ปี ถึง 15 ปี ถือว่ามีความพร้อมมาก ๆ ที่จะเรียนค่ะ เด็ก ๆ จะมีความเข้าใจในการพูด การสื่อสาร เข้าใจความหมายในเรื่องต่าง ๆ และที่สำคัญเป็นวัยที่มีพัฒนาการทางภาษาที่ดีที่สุด ทำให้เรียนรู้ได้เร็ว

ภาษาจีนออนไลน์

ให้ลูกเรียนภาษาจีนที่ไหนดี ?

เดี๋ยวนี้การเรียนภาษาจีนสำหรับเด็กง่ายมาก ๆ ค่ะ คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาสถาบันสอนภาษาจีนให้กับลูก ๆ แบบสามารถเรียนอยู่กับบ้าน ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ทีมแม่ABK แนะนำที่นี่เลยค่ะ “LingoAce” สถาบันสอนภาษาจีนออนไลน์สำหรับเด็กอายุ 6-15 ปี

สถาบันสอนภาษาจีนออนไลน์สำหรับเด็ก LingoAce จากประเทศสิงค์โปร์ คือสถาบันสอนภาษาจีนสำหรับเด็กอายุ 6-15 ปี ที่ใช้ระบบ Interactive ที่เด็ก ๆ สามารถโต้ตอบกับเหล่าซือผู้สอนเจ้าของภาษาได้แบบเรียลไทม์ และมี Gamification สื่อการเรียนการสอนที่จะทำให้เด็ก ๆ สนุก ไม่เบื่อขณะเรียน ปัจจุบันสถาบันสอนภาษาจีนออนไลน์ LingoAce มีผู้เรียนมากกว่า 100,000 คน คลาสที่เปิดสอนกว่า 250,000 ต่อวันและมีชั่วโมงเรียนมากกว่า 7,000 ชั่วโมงทั่วโลก

 

7 ความน่าเชื่อถือ และความมีคุณภาพในระบบการสอน ของสถาบันสอนภาษาจีน สำหรับเด็ก LingoAce

  • มีผู้สอน (เหล่าซือ) สอนแบบเรียลไทม์ ไม่ใช่ VDO (อัดเทปการเรียนการสอน)
  • เหล่าซือทุกคนมีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป
  • เหล่าซือเจ้าของภาษา จะต้องผ่านการคัดเลือก และผ่านมาตรฐานของ LingoAce เท่านั้นถึงจะถูกคัดเลือกให้มาสอนเด็ก ๆ
  • เหล่าซือทุกคนมีประสบการณ์ในการสอนมากกว่า 3 ปี
  • เหล่าซือทุกคนมีประกาศนียบัตรแมนดารินระดับมัธยมศึกษาหรือสูงกว่า พร้อมใบรับรองการสอนอย่างเป็นทางการ
  • เหล่าซือทุกคนผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มงวดซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตร MOE ล่าสุดของสิงคโปร์
  • เหล่าซือทุกคนต้องมีความยืดหยุ่น เข้าใจธรรมชาติเด็ก และเข้าใจในเรื่องเชื้อชาติ วัฒนธรรม

 

หลักสูตรการเรียนภาษาจีนออนไลน์สำหรับเด็ก ที่ LingoAce จะแบ่งออกเป็น 2 หลักสูตร ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการจีน และสิงค์โปร์

1. หลักสูตรสิงคโปร์ (Singapore Program)

LingoAce

Singapore Program

พัฒนามาจากหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ เป้าหมายของการเรียนคือเพื่อให้มีความสามารถในการสอบจบระดับประถมศึกษาของสิงคโปร์ (PSLE) ซึ่งเน้นพัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียน โดยจำลองสิ่งต่าง ๆ  และมีการโต้ตอบกับเหล่าซือตลอดคาบเรียน หลักสูตรนี้แบ่งออกเป็น 6 ระดับ ได้แก่

ระดับที่ 1 และ 2 – เน้นการออกเสียงขั้นพื้นฐานและทักษะการพูด

ระดับที่ 3 และ 4 – ฝึกทักษะการอ่านและเขียน การสนทนาโต้ตอบ

ระดับที่ 5 และ 6 – การสนทนาด้วยปากเปล่า การอ่านบทความยาวและการเขียน

 

2. หลักสูตรสากล (International Program)

เรียนภาษาจีนออนไลน์

International Program

เกิดจากความร่วมมือของการสอบวัดระดับความรู้ ภาษาจีน สำหรับเยาวชน (YCT) เพื่อพัฒนาทักษะฟัง พูด อ่านและเขียนให้เด็ก ๆ สามารถสื่อสาร ภาษาจีน ในชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ โดยแบ่งคลาสเรียนออกเป็น 4 ระดับ

เลเวล 1 – ทำความเข้าใจวลี ประโยคที่ใช้ประจำวันได้

เลเวล 2 – ฝึกให้สามารถพูดคุยสื่อสารขั้นต้นได้

เลเวล 3 – สื่อสารหัวข้อในชีวิตประจำวันที่คุ้นเคยกับอิริยาบถทั่วไป

เลเวล 4 – สื่อสารภาษาจีนเพื่อการศึกษา ในขั้นต้นและระดับผู้เชี่ยวชาญ

คุณพ่อคุณแม่ที่จะให้ลูกเริ่มเรียนภาษาจีนตอนอายุ 6 ขวบ อาจจะกังวลว่าลูกไม่มีพื้นฐาน จะเรียนเข้าใจหรือเปล่า ตรงนี้สบายใจได้ค่ะ เพราะที่ LingoAce จะมีครูผู้ช่วยสอนชาวไทย ที่จบ HSK Level 5 ประกบพร้อมกับเหล่าซือเจ้าของภาษาไปตลอดหลักสูตรค่ะ   

ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครของ LingoAce สถาบันสอนภาษาจีนออนไลน์สำหรับเด็ก ที่ทีมแม่ABK คิดว่าดีมาก ๆ เพราะเป็นการใส่ใจให้ความสำคัญกับพัฒนาการเด็กแบบรายบุคคล คือจะมีการดูแลเด็ก ๆ แบบ Personalise 4 ต่อ 1 ก็เพื่อให้เด็ก ๆ แต่ละคนมีประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม และเหมาะสมตรงตามวัตถุประสงค์มากที่สุดนั่นเองค่ะ

 

LingoAce Connect แอปสำหรับการติดตามการเรียนของลูก

การเรียนจีนออนไลน์กับทาง LingoAce ยังมีความพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ LingoAce Connect ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถติดตามการเรียนของลูกได้อย่างใกล้ชิด มีทั้ง Report และ Record ที่เราสามารถเข้าไปดูลูกเรียนได้ สะดวกสบายด้วยฟีเจอร์ที่สามารถบุ๊คคลาสเรียน จัดตารางให้ลูกเรียนได้ตามต้องการ ยืดหยุ่น เหมาะกับพ่อแม่ยุคใหม่มาก ๆ ค่ะ แถมสะสมพอยท์เพื่อรับสิทธิประโยชน์ได้มากมาย เช่น คลาสฟรี

สำหรับคุณพ่อคุณแม่แฟนเพจ Amarin Baby & Kids ทาง LingoAce ขอมอบโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษ !! ให้ด้วยการแถมคลาสทดลองเรียนฟรี สามารถลงทะเบียนเพื่อขอทดลองเรียนได้เลยที่ https://bit.ly/2SNdTHg

 

 

 

กระโถนเด็ก

รวม 13 กระโถนเด็ก กระโถน สำหรับฝึกขับถ่าย ยี่ห้อไหนดี ?

Alternative Textaccount_circle
event
กระโถนเด็ก
กระโถนเด็ก

กระโถนเด็ก ที่หลาย ๆ บ้านถามทีมแม่ABK เข้ามาว่ามีแนะนำบ้างไหม อยากจะซื้อเตรียมไว้ให้ลูกใช้กัน เมื่อคุณพ่อคุณแม่ขอมา วันนี้ก็เลยจัดการรวบรวมมาให้ 13 ยี่ห้อ ที่มีทั้งแบบนั่งค่อม และแบบนั่งชักโครก ทรงกระโถนนั่งถ่าย น่ารัก น่าใช้ทุกแบรนด์เลยค่ะ

กระโถนฝึกขับถ่าย คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็ก หาซื้อเตรียมไว้เลยค่ะ เพราะลูก ๆ ที่เข้าสู่วัยของการเลิกผ้าอ้อมสำเร็จรูป เราจำเป็นต้องฝึกเด็ก ๆ ในเรื่องการขับถ่ายนอกผ้าอ้อม แต่จะให้ลูกไปนั่งชักโครกแบบผู้ใหญ่ ก็ดูจะไม่เหมาะกับสรีระของลูก ดังนั้นการปูพื้นฐานเรื่องการขับถ่ายให้ถูกสุขนิสัย ควรเริ่มจากการให้ลูกลองนั่งถ่ายกับกระโถนสำหรับเด็ก

ควรฝึกให้ลูกนั่งกระโถนสำหรับเด็ก ตอนอายุ เท่าไหร่ ?

ช่วงวัยที่เหมาะสมในการฝึกให้ลูกนั่งกระโถน จะอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 1 – 2 ขวบ ถือว่าลูกมีความพร้อมที่จะปรับตัวกับเรื่องใหม่ ๆ ที่ต้องเรียนรู้ในทุกวัน  แต่ถ้าเด็ก ๆ บ้านไหนที่มีความพร้อมก่อนวัย 1 ขวบ แล้วคุณพ่อคุณแม่จะลองฝึกให้ลูกนั่งกระโถนขับถ่าย ก็ได้เลยค่ะ ดูที่ความพร้อมของลูกเป็นสำคัญนะคะ  เพราะปัจจุบันนี้กระโถนสำหรับเด็ก เขามีการออกแบบให้เหมาะกับสรีระของเด็ก ๆ มากขึ้น คือเริ่มใช้ได้ตั้งแต่อายุ 8 เดือนขึ้นไปค่ะ

การเตรียมความพร้อม ฝึกลูกนั่งกระโถน

1. ให้ลูกได้เข้าห้องน้ำพร้อมกับพ่อแม่ ให้ลูกได้เห็นอุจจาระปัสสาวะในโถส้วม อาจถามลูกว่าอยากลองกดชักโครกดูหรือไม่ บางทีลูกอยากทำเพราะอยากเลียนแบบผู้ใหญ่ แต่ถ้าลูกไม่อยาก อย่าบังคับเขานะคะ

2. วางกระโถนไว้ในห้องนั่งเล่น ให้ลูกได้นั่งเล่นทำความคุ้นเคย โดยไม่จำเป็นต้องถอดกางเกงหากลูกไม่อยากถอด และอย่าบังคับหากลูกไม่อยากนั่ง

3. ถ้าเห็นลูกทำท่าเบ่งให้พูดว่า แม่คิดว่าลูกกำลังเบ่งอึใช่ไหม อยากลองไปนั่งกระโถนหรือเข้าห้องน้ำไหม

4. เวลาที่ลูกถ่ายใส่ผ้าอ้อม ให้บอกลูกว่า “อึต้องเอาไปทิ้งที่ห้องน้ำจะได้ไม่เหม็น เราไปทิ้งด้วยกัน” นำอึไปเขี่ยลงโถส้วม แล้วให้ลูกช่วยกดชักโครก

5. ให้ลูกซ้อมเล่นพาตุ๊กตาไปเข้าห้องน้ำหรือนั่งกระโถน

6. ไม่ควรฝึกในเวลาที่ลูกกำลังปรับตัวกับเรื่องอื่น เช่น การมีน้องใหม่ ย้ายบ้าน เข้าโรงเรียน เป็นต้น

หลักการเลือกซื้อกระโถนสำหรับเด็ก

1. สีสันและลวดลาย น่ารัก สวยน่าใช้

2. การรองรับน้ำหนักที่มีความแข็งแรง ทนทาน

3. สามารถเคลื่อนย้ายสะดวก ง่ายต่อการหยิบใช้

4. นั่งสบายขณะใช้งาน

5. สะดวกต่อการล้างทำความสะอาด

ทีมแม่ABK มีเทคนิคที่ใช้ส่วนตัวตอนซื้อกระโถนให้เด็ก ๆ ที่บ้าน เราใช้วิธีพาเขาไปเลือกซื้อด้วยพร้อมกัน ให้เขาดูรูปทรง ลวดลาย สี ขอบอกว่าช่วยเพิ่มความตื่นเต้นในการอยากนั่งกระโถนให้กับเด็ก ๆ ได้ค่ะ  แต่ตอนนี้สะดวกมากยิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเดินทางออกไปซื้อนอกบ้าน เพราะสามารถสั่งซื้อกระโถนฝึกขับถ่ายได้จากร้านค้าออนไลน์ต่าง ๆ มีให้เลือกเยอะมาก ๆ ทีมแม่ABK รวบรวมมาให้แล้วค่ะ อย่าลืมให้ตัวเล็กมานั่งดู เลือกไปพร้อมกันนะคะ

 

13 ยี่ห้อ กระโถนสำหรับฝึกลูกขับถ่าย แบบไหนดี ?

1. กระโถนเด็ก NANNY รุ่น Life Style MicroBan

กระโถนเด็ก NANNY

อายุ : เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป

รายละเอียด : กระโถนจากแบรนด์ NANNY ช่วยยับยั้งแบคทีเรียได้ 99.9% และ ปลอดภัยจากสาร BPA FREE  มีพนักพิง 7 ซม. และด้านหน้ายกสูงขึ้นมาเพื่อป้องกันปัสสาวะกระเด็นเลอะเทอะ

ราคา : 99 บาท

สั่งซื้อ : amvata.com

 

2. กระโถนเด็ก PAPA BABY รุ่น USE-2890

กระโถน PAPA BABY

อายุ : เด็กอายุ 8 เดือน ถึง 1 ปี

รายละเอียด :ระโถนจากแบรนด์ PAPA BABY ผลิตจากพลาสติกแข็งแรง สีสวยสดใส รับน้ำหนักได้มากถึง 30 กิโลกรัม ไม่มีสารตกค้างต่อผิวบอบบางกระโถนรูปหัวหมี และฝารอง 5 in 1 และสามารถใช้งานได้หลากหลายปรับได้ตามช่วงวัย

ราคา : 459 บาท

สั่งซื้อ : amvata.com

 

3. กระโถนเด็ก PICCOLO

อายุ : เด็กเล็ก

รายละเอียด : กระโถนจากแบรนด์ PICCOLO กระโถนรูปหมี ผลิตจากพลาสติก กระโถนพร้อมฝาปิด แข็งแรง ทนทาน สามารถถอดล้าง ทำความสะอาดง่าย มีหูจับตรงบริเวณด้านข้าง เคลื่อนย้ายสะดวก

ราคา : 680 บาท

สั่งซื้อ : www.central.co.th

 

4. กระโถนเด็ก ROTHO รุ่น Style ลายการ์ตูน Oops

กระโถนเด็ก ROTHO รุ่น Style ลายการ์ตูน Oops

อายุ : เด็กอายุ 8 เดือนขึ้นไป

รายละเอียด : กระโถนจากแบรนด์ ROTHO ดีไซน์ทันสมัย ออกแบบให้เข้ากับสรีระเด็ก ผลิตจากวัสดุเกรด A ผลิตจาก POLYPROPYLENE (PP) ทนความร้อน น้ำหนักเบา สะดวกต่อการเคลื่อนย้าย และมีแถบป้องกันการกระเด็น 2 ฝั่ง BPA FREE ปลอดภัยสูงสุด

ราคา : 1,145 บาท

สั่งซื้อ : www.central.co.th

 

5. กระโถนเด็ก WALEE

กระโถน WALEE

อายุ : เด็กอายุ 0-6 ปี

รายละเอียด : กระโถนจากแบรนด์ WALEE ผลิตจากวัสดุพลาสติก PP มีความแข็งแรง ทนทานต่อการใช้งาน ออกแบบให้มีมือจับสะดวก สบาย ถาดรอง สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ง่าย

ราคา : 489 บาท

สั่งซื้อ : jessiemombaby.com

 

6. กระโถนสำหรับเด็ก รูปเป็ด

กระโถนสำหรับเด็ก รูปเป็ด

อายุ : เด็กอายุ 1-5 ปี (หรือเริ่มนั่งได้)

รายละเอียด : กระโถนเด็ก รูปเป็ด สามารถรับน้ำหนักได้ 20 กก. กระโถนรูปทรงกระทัดรัด เคลื่อนย้ายสะดวก มีฝาปิดลายเป็ด ถาดรองปฏิกูลทำความสะอาดง่าย และมีที่จับขณะขับถ่าย

ราคา : 569 บาท

สั่งซื้อ : amvata.com

 

7. กระโถนสำหรับเด็ก ลายวัว

กระโถนเด็ก ลายวัว

อายุ : เด็กอายุ1-5ขวบ(หรือเริ่มนั่งได้)

รายละเอียด : กระโถนสำหรับเด็ก ลายวัว สามารถรับน้ำหนักได้ 20 กิโลกรัม กระโถนรูปทรงกระทัดรัด เคลื่อนย้ายสะดวกกระโถนมีฝาปิดลายพี่วัวน่ารัก มีถาดรองปฏิกูลทำความสะอาดง่าย และที่จับสำหรับจับขณะขับถ่าย เบาะรองนั่งที่นิ่มสบายตัว

ราคา : 289 บาท

สั่งซื้อ : amvata.com 

 

8. กระโถนเด็ก Fin Babiesplus รุ่น PR-8905

กระโถน Fin Babiesplus

อายุ : เด็กอายุ 6 เดือน – 3 ขวบ

รายละอียด : กระโถนจากแบรนด์ Fin Babiesplus  ขนาดใหญ่นั่งสบาย สีสันสดใส กระโถนสามารถถอดแยกส่วนได้ ง่ายในการจัดเก็บหลังการใช้งาน มีถ้วยรองข้างล่างสามารถถอดเพื่อเททิ้งได้ เพื่อง่ายต่อการทำความสะอาด มีฝาปิดกระโถน พร้อมด้ามจับ

ราคา : 499 บาท

สั่งซื้อ : www.babiesplusshop.com

 

9. กระโถนเด็ก MOYA AE-153

กระโถนเด็ก MOYA AE-153

อายุ : เด็กอายุ 8 เดือนขึ้นไป

รายละเอียด : กระโถนแบรนด์ MOYA ผลิตจากพลาสติกที่มีคุณภาพ สินค้ามีความแข็งแรง ทนทาน ตัวกระโถนมีน้ำหนักเบา พกพาสะดวก ทำให้ง่ายต่อการนำไปใช้ในสถานที่ต่าง ๆ การทำความสะอาดใช้ฟองน้ำกับสบู่ชนิดเหลวทำความสะอาดให้ทั่ว เเล้วล้างด้วยน้ำสะอาด

ราคา : 579 บาท

สั่งซื้อ : www.homepro.co.th

 

10. กระโถนเด็ก MORESTECH

10.กระโถน MORESTECH

อายุ : เด็กอายุ 1-3 ปี

รายละเอียด : กระโถนแบรนด์ MORESTECH ผลิตจากพลาสติกที่ไม่มีเหลี่ยมคม สีสันสดใส รูปทรงเลียนแบบชักโครกผู้ใหญ่ ฝาครอบสามารถถอดไปวาง เป็นที่รองชักโครกได้ ถอดล้าง ทำสะอาดได้ง่าย

ราคา : 329 บาท

สั่งซื้อ : www.lazada.co.th

 

11. กระโถนเด็ก BEABA

กระโถนเด็ก BEABA

อายุ : เด็กอายุ 1-3 ขวบ

รายละเอียด : กระโถนแบรนด์ BEABA ผลิตจากพลาสติก PP ปลอดสารพิษ ปลอดสาร BPA นั่งสบาย รูปทรงโค้งรับกับสรีระเด็กทั้งชายและหญิง ไม่ทำให้เกิดรอยกดทับ มีแถบกันลื่นด้านล่าง ป้องกันโถเลื่อนขณะเด็กนั่ง กระโถนแยกเป็น 2 ชิ้นสามารถยกไปเททิ้งและทำความสะอาดง่าย

ราคา : 790 บาท

สั่งซื้อ : shopee.co.th

 

12. กระโถนเด็ก RICHELL

กระโถนเด็ก RICHELL

อายุ : เด็กอายุ 4 เดือนขึ้นไป

รายละเอียด : กระโถนแบรนด์ RICHELL ใช้งานได้ 3 สเต็ป และปรับได้ 3 ระดับ Step 1 : เริ่มจับอุ้มนั่งบนกระโถน (4-10 เดือน)Step 2 : เริ่มให้นั่งเองบนกระโถน (10-18 เดือน)Step 3 : 18+ เดือนใช้ฝาวางใว้ที่โถให้นั่งจับเอง

ราคา : 1,400 บาท

สั่งซื้อ : www.robinson.co.th

 

13. กระโถนเด็ก B.DUCK รุ่น BDA21

กระโถนเด็ก B.DUCK รุ่น BDA21

อายุ : เด็กอายุ 5 เดือนขึ้นไป

รายละเอียด : กระโถนแบรนด์ B.DUCK มีความแข็งแรง ทนทาน ผลิตจากพลาสติกเกรดอย่างดี ไม่บาดผิวเด็ก มีพนักพิงด้านหลัง และมีที่จับที่พักแขนเพื่อความปลอดภัย มาพร้อมฝาปิด สามารถถอดออกทำความสะอาดได้ หรือจะถอดถาดรองออกเพื่อนำมาใช้เป็นเก้าอี้ก็ได้

ราคา : 250 บาท

สั่งซื้อ : shopee.co.th

 

อ่านบทความน่าสนใจเรื่องอื่น ๆ คลิก

รวม 10 คอกกั้น “เด็ก” ยี่ห้อไหนดี

19 อันดับ ถุงเก็บนมแม่ ถุงเก็บน้ำนม ยี่ห้อไหนดี

สไตล์การเลี้ยงลูก

เจาะลึก 12 สไตล์การเลี้ยงลูก ส่งผลต่อเด็กต่างกันอย่างไร

Alternative Textaccount_circle
event
สไตล์การเลี้ยงลูก
สไตล์การเลี้ยงลูก

สไตล์การเลี้ยงลูก –  วิธีการ หรือสไตล์ในการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ คือ แนวทางปฏิบัติที่ใช้ในการเลี้ยงดูลูก เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารูปแบบในการเลี้ยงดูเด็ก มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากต่อการส่งเสริมในเรื่องการเจริญเติบโตที่เหมาะสมตามวัย ตลอดจนพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็ก  สิ่งที่พ่อแม่แสดงออกในการอบรมสั่งสอนลูก อาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละครอบครัว บางบ้านเลี้ยงลูกค่อนข้างเข้มงวด หรือ บางบ้านให้อิสระกับลูก บางบ้านไม่ตามใจ หรือบางบ้านอาจตามใจลูกมากเกินไป หรืออ่อนไหวต่อความต้องการทางอารมณ์และพัฒนาการของลูก สไตล์การเลี้ยงลูกโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 12 สไตล์ แต่ละสไตล์ส่งผลต่อเด็กอย่างไร มาติดตามกันได้เลยค่ะ

เจาะลึก 12 สไตล์การเลี้ยงลูก ส่งผลต่อเด็กต่างกันอย่างไร?

1. การเลี้ยงลูกด้วยวินัยเชิงบวก (Positive Parenting)

การเลี้ยงลูกด้วยวินัยเชิงบวก เป็นแนวคิดการเลี้ยงลูกแบบตะวันตกสมัยใหม่  เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นราวปี 2541 โดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกัน มาร์ติน เซลิกแมน เป็นแนวคิดในการเลี้ยงดูที่เกี่ยวกับการพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและลึกซึ้งระหว่างพ่อแม่ลูก พื้นฐานของการเลี้ยงลูกเชิงบวก คือการสื่อสารที่เหมาะสม และการเคารพซึ่งกันและกัน พ่อแม่ไม่เพียงแต่สอนลูกว่า ‘อะไรควรทำไม่ควรทำ’ แต่สอนว่า  ‘ทำไมควรทำไม่ควรทำ’ ด้วย  กฎข้อแรกของการเลี้ยงลูกเชิงบวกคือการเป็นพ่อแม่ที่เปี่ยมด้วยความรัก มากกว่าที่จะมุ่งให้ลูกเชื่อฟังคำสั่งสอนโดยการสร้างความกลัวให้ลูกด้วยการลงโทษเพื่อหวังผลในการพัฒนาด้านวินัย โดยผู้ปกครองมักเป็นผู้ฟังที่กระตือรือร้น และสามารถเข้าใจในกระบวนการคิดของลูกได้ดี

2. การเลี้ยงลูกแบบผูกพันธ์ด้วยสายใยทางใจ  (Attachment Parenting) 

แนวคิดนี้พัฒนาโดยศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์ ดร.เซียร์ เป็นลักษณะของการเลี้ยงดูลูกแบบเชิงบวก การเลี้ยงดูแบบนี้ช่วยเสริมสร้างความผูกพันทางอารมณ์ จิตใจ และอารมณ์ของพ่อแม่และลูก (ทารก) ่พอแม่สไตล์นี้จะค่อนข้างเอาใจใส่ในคุณภาพชีวิตของลูก มุ่งตอบสนองและให้ความสำคัญต่ออารมณ์และความต้องการของลูก ให้ความรู้สึกอบอุ่นมั่นคงปลอดภัยทั้งทางกายและทางใจแก่ลูก มุ่งฝึกฝนลักษณะนิสัยที่ดีให้กับลูกด้วยการสร้างวินัยและการทำโทษเชิงบวก ว่ากันว่าเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบนี้จะมีความมั่นใจในตัวเอง มั่นคงทางอารมณ์ และมีความรู้สึกผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกเป็นพิเศษ

 

สไตล์การเลี้ยงลูก
สไตล์การเลี้ยงลูก

 

3. การเลี้ยงลูกแบบไม่มีเงื่อนไข (Unconditional Parenting) 

การเลี้ยงดูแบบไม่มีเงื่อนไข คือ แนวทางที่พ่อแม่แสดงความรักต่อลูกอย่างไม่มีข้อแม้ สนับสนุนและยอมรับเด็กโดยไม่คำนึงถึงพฤติกรรมและการกระทำของเด็ก มุ่งปฏิบัติต่อเด็กด้วยความนับถืออย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าพวกเขาจะประพฤติตนอย่างไร พูดอะไร หรือทำอะไร  เพื่อให้เด็กได้รับการสนับสนุนให้ค้นหาตัวเอง แทนที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็นที่รักชื่นชมและยอมรับ ด้วยวิธีนี้เด็กๆ จะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า เด็กจะมีแนวโน้มที่จะแสดง ‘พฤติกรรมที่ดี’ เพราะได้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมที่ดีนำไปสู่การเอาใจใส่ของผู้ปกครอง

20 วิธี ทำให้ลูกรู้สึกมีค่า สัมผัสได้ถึงความรักจากพ่อแม่

เคล็ด(ไม่)ลับ เลี้ยงลูกด้วยสติ ช่วยยุติได้ทุกปัญหา!

9 ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก ที่อาจทำลายอนาคตของลูกได้

4. การเลี้ยงลูกแบบให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณ (Spiritual Parenting)

เป็นสไตล์การเลี้ยงดูที่เคารพในความเป็นตัวของตัวเองของเด็กแต่ละคน และสร้างพื้นที่ให้เด็กได้พัฒนาความเชื่อของตนเอง โดยพิจารณาจากบุคลิกเฉพาะตัวและศักยภาพของเด็ก ซึ่งอาจแยกย่อยเป็นข้อต่างๆ ได้ดังนี้

  • เชื่อใจลูกเสมอ
  • สอนลูกว่าชีวิตมีเป้าหมาย
  • ฟังลูกเสมอก่อนดำเนินการใดๆ
  • ใช้คำพูดกับลูกอย่างชาญฉลาด
  • ส่งเสริมความฝันของลูก
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่น
  • เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก
  • ไม่กดดันลูก
  • ให้ทุกวันเป็นการเริ่มต้นใหม่

5. การเลี้ยงลูกแบบให้อิสระและพร้อมปกป้อง (Nurturant Parenting)

แนวทางนี้ส่วนใหญ่เป็นสไตล์การเลี้ยงลูกของพ่อแม่ตะวันตกสมัยใหม่ การเลี้ยงลูกแบบนี้ไม่เพียงแต่เปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นหาความสนใจของตัวเอง แต่ยังช่วยให้เด็กๆ พึงพอใจภาคภูมิใจกับความสำเร็จของตนเองด้วย พ่อแม่จะให้การส่งเสริมในเรื่องของคุณภาพ มากกว่าปริมาณ และให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งภายในครอบครัว มุ่งที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูก และให้เคารพต่อความฉลาดทางธรรมชาติของเด็กตามสมควร พ่อแม่สไตล์นี้มองว่าเด็กควรได้รับอนุญาตให้สำรวจสภาพแวดล้อมด้วยตัวเองผู้ปกครองมีหน้าที่ปกป้องบุตรหลานจากจากอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และพร้อมให้คำแนะนำแก่ลูกเมื่อลูกต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ

6. การเลี้ยงลูกแบบให้อิสระอย่างมีขอบเขต (Authoritative Parenting)

การเลี้ยงดูแบบที่​พ่อแม่สนับสนุนให้ลูกมีพัฒนาการตามวุฒิภาวะของเด็ก อนุญาตให้เด็กมีอิสระตามควรแก่วุฒิภาวะ แต่ในขณะเดียวกันก็จะกำหนดขอบเขตพฤติกรรมของเด็ก และกำหนดให้เด็กเชื่อฟังvและปฏิบัติตามแนวทางที่พ่อแม่กำหนดด้วยเหตุและผล  ด้วยรูปแบบการเลี้ยงแบบนี้ ผู้ปกครองต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับความคาดหวังของตัวเอง เพื่อให้เด็กๆ รู้ว่าอะไรคือเป้าหมายของชีวิต ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการคิดอย่างอิสระสำหรับเด็กยังเป็นการสร้างขอบเขตที่เหมาะสมให้เด็กรู้สึกปลอดภัย แต่ไม่ปกป้องลูกมากเกินไป จนไม่สามารถรับมือกับความเสี่ยงที่จะผิดพลาดในชีวิตได้ ซึ่งจะทำให้เด็ก ๆ มีความมั่นใจในตัวเอง มีทักษะในการเข้าสังคมที่ดี ซึ่งพัฒนาไปสู่การใช้ชีวิตที่ดีเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

7. การเลี้ยงลูกแบบเผด็จการ (Authoritarian Parenting)

การเลี้ยงดูแบบเผด็จการ พ่อแม่สไตล์นี้มักเรียกร้องและควบคุมในทุกด้านของชีวิตลูก พ่อแม่แบ่งปันความรู้สึกอบอุ่นทางจิตใจน้อย และจู้จี้จุกจิกมากกว่าแสดงความรักต่อลูก ในการเลี้ยงลูกแบบเผด็จการ พ่อแม่ไม่ไว้วางใจให้ลูกเลือกทางเลือกที่ดี พวกเขาอาจลงโทษลูกด้วยพฤติกรรมที่ไม่ดี ซึ่งรวมถึงการลงโทษทางร่างกายด้วย เด็กถูกพ่อแม่ผูกมัดให้ปฏิบัติตาม ‘กฎ’ ที่พ่อแม่ตั้งไว้ การเลี้ยงลูกแบบนี้จะส่งผลให้เด็กมีพฤติกรรมก้าวร้าว แสดงท่าทีหวาดกลัวหรือเขินอายกับคนอื่นมากเกินไป ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมักมีความนับถือตนเองต่ำกว่าเด็กทั่วไป เด็กอาจมีความสามารถน้อยกว่าเด็กวัยเดียวกัน และพบว่าเป็นการยากที่จะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้คน ไม่เพียงแต่จะทำให้เด็กๆ ก้าวร้าว ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว ยังหล่อหลอมให้เด็กใช้ความเกรี้ยวกราด ความโกรธในการต่อสู้จัดการกับผู้อื่นด้วย

8. การเลี้ยงลูกแบบตามใจ (Permissive Parenting)

การเลี้ยงดูที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค่อนข้างสูง พ่อแม่มักให้ความรักและห่วงใยที่ดี แต่ลักษณะดูเหมือนเป็นเพื่อนมากกว่าผู้ปกครอง  เน้นเสรีภาพของลูกมากกว่าความรับผิดชอบ ความคิดเห็นและความรู้สึกของของเด็กมีความสำคัญต่อผู้ปกครอง พ่อแม่สไตล์นี้ มักจะตรงข้ามกับ “พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์” ซึ่งแทนที่จะควบคุมลูกย่างก้าว แต่พ่อแม่มักยอมจำนนกับความต้องการของลูกจนถึงขั้นหละหลวม และแทบจะไม่สร้างหรือบังคับใช้กฎเกณฑ์ทางวินัยใดๆ เลย และมักคิดแค่เพียงว่าว่า “เด็กก็คือเด็ก” แม้ว่าพ่อแม่สไตล์นี้จะมอบความรักที่อบอุ่นให้กับลูก แต่อาจจะบกพร่องในการควบคุมหรือสั่งสอนลูกๆ ผลกระทบของการเลี้ยงดูลักษณะนี้ คือ เด็กมีแนวโน้มที่จะขาดวินัยในตนเองและมีทักษะทางสังคมที่ไม่ดี

 

สไตล์การเลี้ยงลูก

 

9. การเลี้ยงลูกแบบปล่อยปละละเลย (Neglectful Parenting)

การเลี้ยงลูกแบบปล่อยปละละเลย ถือเป็นการไม่เรียกร้องหรือตอบสนองต่อลูกเท่าที่ควร ลักษณะการเลี้ยงดูเช่นนี้ พ่อแม่จะค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากอารมณ์ความรู้สึกของลูก ไม่ค่อยแสดงความรักและความเสน่หาต่อลูก มักจะเฉยเมย เมินเฉย หรือแม้แต่ละเลยโดยสิ้นเชิงต่อความรู้สึกและความต้องการของลูก ซึ่งมักส่งผลกระทบด้านลบต่อเด็กในระยะยาว เด็กๆ จะกลัวการพึ่งพาผู้อื่นเนื่องจากขาดการสนับสนุนจากครอบครัว และร้ายแรงที่สุดเด็กอาจมีแนวโน้มที่จะทำความผิดทางอาญา และเสี่ยงต่อการใช้สารเสพติดได้

10. การเลี้ยงลูกแบบบงการไปซะทุกอย่าง (Helicopter Parenting)

หรือ พ่อแม่เฮลิคอปเตอร์  คือ การเลี้ยงลูกที่พ่อแม่ให้ความสำคัญกับลูกมากเกินไป พ่อแม่มักชอบยื่นมือช่วยลูกในการทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กๆ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยพื้นฐานแล้วพ่อแม่สไตล์นี้มักพยายามควบคุมชีวิต และปกป้องลูกมากเกินไป และคิดว่าลูกต้องสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน เชื่อกันว่าการเลี้ยงลูกแบบบงการ จะทำให้เด็กขาดความมั่นใจในตัวเอง ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือตัดสินใจเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ เนื่องจากขาดทักษะทางสังคม และประสบการณ์ในการแก้ปัญหา

11. การเลี้ยงลูกแบบหลงตัวเอง (Narcissistic parents)

ลักษณะทั่วไปของ narcissistic parents คือการขาดการเอาใจลูกมาใส่ใจของตัวเอง บังคับให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการโดยแสดงท่าทีเป็นเจ้าของชีวิตลูก  รูปแบบการเลี้ยงดูนี้ค่อนข้างคล้ายกับการเลี้ยงลูกดูแบบบงการ (Helicopter Parenting) แปลกแต่จริงที่พ่อแม่สไตล์นี้ มักจะรู้สึกขาดความมั่นใจในตัวเองเวลาที่เห็นลูกได้ดีหรือเก่งกว่าตัวเอง และคิดว่าลูกต้องสนองความต้องการของพ่อแม่และเกิดมามีหน้าที่เลี้ยงดูพ่อแม่ในอนาคต ซึ่งพฤติกรรมของผู้ปกครองดังกล่าวอาจส่งผลเสียไปตลอดชีวิตของเด็ก ด้วยเหตุนี้เด็กจึงเติบโตขึ้นมาค่อนข้างดื้อรั้น ปฏิเสธสังคม ทำตัวขวานผ่าซาก และขาดการติดต่อจากโลก นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กไม่เคยพัฒนาความคิดเห็นของตัวเองในวัยเด็ก ซึ่งส่งผลเสียต่อวัยผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน

 

สไตล์การเลี้ยงลูก

 

12. การเลี้ยงลูกแบบเป็นพิษ (Toxic Parenting)

การเลี้ยงลูกแบบเป็นพิษ เป็นรูปแบบการเลี้ยงลูกแบบหนึ่งที่พ่อแม่มักทำร้ายลูกทางวาจา หรือทางร่างกาย  เพิกเฉยต่อความต้องการทางอารมณ์ของลูก ประพฤติตัวอย่างสม่ำเสมอในลักษณะที่ก่อให้เกิดความรู้สึกผิด ความกลัว หรือภาระผูกพันในลูกของตน หรืออาจ ตะคอก ตะโกนใส่ลูก หรือทำสิ่งต่าง ๆ ที่มักสร้างความเสียหายต่อความรู้สึกและอารมณ์ของลูก ๆ แม้โดยตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจ แต่แรงกระตุ้นของพ่อแม่สไตล์นี้คือจุดมุ่งหมายในการทำให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม พ่อแม่มักกังวลกับความต้องการของตนเองมากกว่าว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไปว่าจะเป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบต่อลูกหรือไม่อย่างไร อาจไม่มีการขอโทษหรือแม้แต่ยอมรับว่าสิ่งที่ทำไปนั้นผิด ซึ่งส่งผลต่อชีวิตโดยรวมของเด็ก เด็กอาจเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความนับถือตนเองต่ำ มองโลกในแง่ร้าย ไม่ค่อยไว้วางใจผู้อื่น และขาดทักษะด้านสังคม

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : bedtimeshortstories.com , capitalchoicecounselling.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

วิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ดุ ไม่ตี ปูพื้นฐานชีวิตลูกให้ดีใน 3 ปีแรก

เคล็ด(ไม่)ลับ เลี้ยงลูกด้วยสติ ช่วยยุติได้ทุกปัญหา!

20 วิธี เลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง สำคัญที่พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วม!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สอนลูกนั่งกระโถน

อยาก สอนลูกนั่งกระโถน นั่งโถส้วมให้สำเร็จ พ่อแม่ต้องไม่ทำเรื่องเหล่านี้!

Alternative Textaccount_circle
event
สอนลูกนั่งกระโถน
สอนลูกนั่งกระโถน

สอนลูกนั่งกระโถน – การฝึกลูกขับถ่ายอาจเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายสำหรับทั้งเด็กและผู้ปกครอง ความสำเร็จมักไม่ได้มาโดยบังเอิญ อาจมีน้ำตาหรือความล้มเหลวเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา เพราะการเรียนรู้การใช้ห้องน้ำไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กๆ ไม่ว่าประสบการณ์การฝึกให้ลูกนั่งกระโถนของคุณจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคือต้องแน่ใจว่าลูกของคุณได้รับการสนับสนุนที่ดีและเหมาะสมที่จะทำให้เกิดทัศนคติเชิงบวกในขณะที่พวกใช้ความพยายามเรียนรู้ฝึกฝนทักษะใหม่สำหรับชีวิต มีข้อควรรู้บางประการที่พ่อแม่ไม่ควรทำหากต้องการฝึกให้ลูกนั่งกระโถนได้สำเร็จตามที่ตั้งใจ

อยาก สอนลูกนั่งกระโถน นั่งโถส้วมให้สำเร็จ พ่อแม่ต้องไม่ทำเรื่องเหล่านี้!

1. ลูกไม่พร้อม อย่าบังคับ

พ่อแม่ควรแน่ใจว่าลูกพร้อมที่จะเริ่มฝึกใช้กระโถน ซึ่งสัญญาณทั่วไปในความพร้อม ได้แก่ ลูกสามารถสื่อสารความต้องการของตนเองได้ แสดงความสนใจในการเข้าห้องน้ำอย่างอิสระ และสามารถจัดการกับความต้องการทางกายภาพต่างๆ  เช่น การแต่งตัว และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ง่าย ๆ  หากสงสัยว่าลูกอาจไม่พร้อม แนะนำให้เผื่อเวลาไว้สองสามสัปดาห์หรือหลายเดือนก่อนที่จะลองฝึกลูกนั่งกระโถนอีกครั้ง

หากลูกของคุณปฏิเสธที่จะฝึก การบังคับให้พวกเขาไปนั่งบนกระโถนอาจสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีนัก ในที่สุดจะนำไปสู่การต่อต้าน อาจทำให้ลูกเกิดความรู้สึกด้านลบกับการใช้ห้องน้ำ ซึ่งจะยิ่งเป็นเรื่องยากต่อการเริ่มฝึกครั้งต่อไป ผลเสียคือ อาจทำให้ลูกของคุณกลั้นปัสสาวะหรือปัสสาวะไม่ออกและอาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้น พ่อแม่ต้องให้โอกาส และพยายามเข้าใจช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ของลูกให้มากที่สุดเหมือนกับเหตุการณ์สำคัญอื่นๆ เช่น การนั่ง เดิน และพูด ต้องให้เกียรติ ให้เวลา ไม่เร่งเร้า เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน เด็กบางคนอาจต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมากเพื่อฝึกฝนทักษะเหล่านี้

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องละทิ้งการฝึกหรือปล่อยให้ลูกของคุณสลับระหว่างการใส่ผ้าอ้อมและการฝึกเมื่อใดก็ได้ แต่นั่นหมายถึงว่าคุณต้องแน่ใจว่าพวกเขาพร้อมที่จะก้าวไปสู่ขั้นที่เป็นอิสระ หากดูเหมือนลูกของคุณจะอยากเลิกผ้าอ้อม ก็ถือว่าได้เวลาที่เหมาะสมแล้ว

สอนลูกนั่งกระโถน
สอนลูกนั่งกระโถน

2. ฝึกลูกในช่วงที่ครอบครัวอยู่ในความเครียด

ความเครียดต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับครอบครัว อาจทำให้ลูกของคุณรู้สึกไม่พร้อมที่จะฝึกฝนสิ่งใหม่ๆ คล้ายกับความท้าทายในการต้องจัดการกับเรื่องหนักๆ ในชีวิตไปพร้อมกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก หากมีวาระสำคัญที่ไม่ดีนักเกิดขึ้นกับครอบครัว ควรรอจนกว่าเรื่องต่างๆ จะกลับมาเป็นปกติ แล้วค่อยหาเวลาเหมาะ ๆ ฝึกลูก สิ่งนี้สร้างความปลอดภัยให้กับลูกของคุณและช่วยให้พวกเขาเข้าห้องน้ำได้ง่าย ควบคู่ไปกับกิจวัตรปกติอื่นๆ และที่สำคัญคุณจะมีสมาธิเและพลังงานเชิงบวกมากเพียงพอที่จะช่วยเหลือลูกให้สามารถฝึกใช้กระโถนได้สำเร็จ

3. กำหนดเส้นตาย

จำไว้ว่า เด็กเล็ก ยังไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่ได้ดี หากมีเรื่องของระยะเวลามากำหนด ด้วยวัยของพวกเขาที่ยังไม่มีแนวคิดเรื่องเวลาแบบเดียวกับผู้ใหญ่ และความพร้อมของเด็กแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป เด็กบางคนอาจนั่งกระโถนได้ก่อนอายุ 18 เดือน แต่อีกหลายคนอาจใช้เวลาหลายปีกว่าที่พวกเขาจะพร้อม บางคนยังไม่สามารถนั่งกระโถนได้จนก่อนเข้าอนุบาล ในขณะที่เด็กบางคนฝึกนั่งส้วมหรือกระโถนได้อย่างรวดเร็ว เคล็ดลับต่างๆ ที่มีให้อ่านเกี่ยวกับวิธีฝึกให้ลูกนั่งกระโถนให้ได้ผลสำเร็จ ในสามวัน  เจ็ดวัน หรือแม้แต่หนึ่งวันอาจไม่ได้คำนึงถึงบุคลิกลักษณะเฉพาะของเด็ก เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีอารมณ์ความรู้สึก และ พัฒนาการที่แตกต่างกัน

4. ปล่อยให้ความผิดพลาดมาฉุดรั้ง

รากฐานที่สำคัญประการหนึ่งในการฝึกลูกนั่งกระโถนให้สำเร็จ และเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ คือการ  “ยอมรับในความผิดพลาด” ส่งเสริมให้ลูกของคุณไปเข้าห้องน้ำ ความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น ยังทำได้ไม่ดี เลอะเทอะ หรือยังไม่สามารถขับถ่ายบนกระโถนได้ มักเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องปกติสำหรับการเปิดรับสิ่งใหม่ๆของชีวิต ดังนั้นไม่มีอะไรที่คุณต้องรู้สึกแย่ เมื่อมันเกิดขึ้นเราสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการที่จะพาไปสู่ความสำเร็จได้ ความผิดพลาดที่พ่อแม่เฝ้าเน้นย้ำมากเกินไป อาจเพิ่มความรู้สึกประหม่าและละอายใจให้กับลูกซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการฝึก ดังนั้น เมื่อมันเกิดขึ้นให้รักษาท่าทีและน้ำเสียงวาจาที่ดี ให้ลูกรู้สึกว่าคุณพร้อมที่จะรอแลใะห้โอกาสต่อไปที่ลูกจะสามารถใช้กระโถนให้สำเร็จในวันข้างหน้า

5. ให้ลูกสวมเสื้อผ้าที่ไม่เอื้ออำนวย

เมื่อเริ่มฝึกคุณจะรู้ว่า แขนและมือเล็กๆ ยากเพียงใดในการจัดการเมื่อต้องรีบ ถอดชุด ปลดกระดุม รูดซิปกางเกง เมื่อความอยากฉี่หรืออุจจาระกำลังคืบคลานเข้ามา ดังนั้นควรทำให้เป็นเรื่องง่ายที่สุดสำหรับบุตรหลานของคุณ ใช้ทักษะการเคลื่อนไหวของลูกของคุณเป็นตัววัดในการเลือกเสื้อผ้าระหว่างการฝึก เช่น กางเกงเอวยางยืดแบบเรียบง่าย กางเกงขาสั้น หรือกระโปรง เป็นต้น

นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงชุดหลวม ๆ เว้นแต่ลูกของคุณจะเชี่ยวชาญในการถอดและใส่กลับเข้าไปใหม่ เช่นเดียวกับสายเอี๊ยม เข็มขัด กางเกงรัดรูป เสื้อเชิ้ตแบบชิ้นเดียวที่ติดที่เป้า และทุกอย่างที่มีซิป กระดุม หรือสายรัดอื่นๆ ที่อาจเป็นเรื่องยากสำหรับบุตรหลานของคุณในการจัดการอย่างรวดเร็วและเป็นอิสระ เวลาอยู่ที่บ้านลองปล่อยให้ลูกของคุณวิ่งเล่นโดยใส่แค่กางเกงใน หรือเปลือยได้เลยหากคุณรู้สึกสะดวกสบายเพราะท้ายที่สุดแล้วมันจะเป็นชุดฝึกนั่งกระโถนที่ดีที่สุด

 

สอนลูกนั่งกระโถน

6. ยอมแพ้ต่อแรงกดดันจากภายนอก

เป็นธรรมดาที่อาจมีแรงกดดันจากภายนอก (ในแง่ของวิธีการและเวลาในการฝึกนั่งกระโถนและผลลัพธ์) เช่น จากปู่ย่าตายาย ผู้ปกครองคนอื่นๆ ในกลุ่มพ่อแม่ต่างๆ ซึ่งทางที่ดี ให้คุณคิดไว้เสมอว่าในขณะที่คนอื่นอาจเต็มไปด้วยภูมิปัญญาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก คำแนะนำบางอย่างอาจไม่ตรงใจคุณหรือไม่ได้ผลดีที่สุดสำหรับคุณและลูกของคุณ ใช้สัญชาตญาณของคุณเองและพึ่งพาความรู้ที่คุณมีเกี่ยวกับความพร้อมของบุตรหลานและแนวทางที่ทำให้คุณ (และลูกของคุณ) สบายใจที่สุด เพราะคุณเป็นคนที่รู้จักลูกและตัวเองดีที่สุด จำไว้ว่าทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่เด็กส่วนใหญ่เรียนรู้ เด็กแต่ละคนอาจเรียนรู้ในเวลาที่ต่างกันตามจังหวะของตนเอง อย่ามัวแต่กังวลว่าใครจะฝึกกระโถนก่อน ฝึกเร็วกว่า ทำได้ก่อน เพราะท้ายที่สุด มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ และอาจทำให้คุณรู้สึกเครียดเปล่าๆ และพาลล้มเลิกความตั้งใจที่ดี

7. มองข้ามความรู้สึกของลูก

เด็ก ๆ สามารถพัฒนาความกลัวได้ในระหว่างการฝึกฝน ซึ่งอาจเป็นความกลัวที่มากพอๆ กับความกลัวที่ผู้ใหญ่มี เด็กอาจกลัวสิ่งที่คุณไม่รู้สึกว่าน่ากลัว สิ่งสำคัญคือการให้เกียรติและดูแลความรู้สึกของลูก

ในกรณีที่ฝึกนั่งบนโถส้วม เด็กอาจไม่เข้าใจกลไกของโถส้วมและเสียงที่ดังกึกก้องในพื้นที่เล็กๆ หากเด็กประสบอุบัติเหตุลื่นล้มจากที่นั่งชักโครก และโดนน้ำจากก้นโถส้วมเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้เด็กๆ ละไปจากตรงนั้นหรือแม้แต่ต้องพักการฝึก เด็กบางคนมีปัญหากับการดูอุจจาระของพวกเขาหายไปกับโถส้วมราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาเหมือนแขนหรือขา

ทางที่ดีพ่อแม่ควรจัดการกับความกลัวต่างๆ ของลูกอย่างสุภาพอ่อนโยน พูดคุยถึงความกลัวโดยไม่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต หรือทำให้ลูกของคุณรู้สึกว่าความรู้สึกของพวกเขาไม่สำคัญ เด็กบางคนอาจต้องการความช่วยเหลือในการแสดงความกังวลและจัดการกับความรู้สึก ดังนั้นควรใช้คำพูดที่เหมาะสมและไม่ใช้อารมณ์

พยายามฝึกฝนและทำงานร่วมกับลูกของคุณ มองมันเป็นโอกาสการเรียนรู้อีกหนึ่งโอกาสและอีกหนึ่งก้าวของการเติบโตและความเป็นอิสระในชีวิตของลูกปฏิบัติต่อลูกน้อยของคุณด้วยความอดทน และให้กำลังใจ และอย่าลืมที่จะสนุกสนานไปพร้อมกับลูกๆ เพราะท้ายที่สุดแล้วการฝึกฝนเรื่องการขับถ่ายให้ลูกสามารถนั่งกระโถนได้สำเร็จ จะช่วยเสริมสร้างทักษะความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ได้อีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ฝึกลูกนั่งกระโถน ก่อนวัย 1 ขวบ ด้วย 6 เทคนิคง่ายๆ

ลูกฉี่ราดบ่อย เพราะฝึกนั่งกระโถนเร็วไปไหม

วิธีเลิกผ้าอ้อม ฝึกลูกใน 5 ขั้นตอน ได้ผลจริง! โดย พ่อเอก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

keyboard_arrow_up