Page 128 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

จัดฟันเด็ก

จัดฟันเด็ก พาลูกไป จัดฟัน อายุเท่าไหร่ ดีที่สุด?

ลูกน้อยฟันเก ฟันแท้งอกใหม่ ไม่สบกัน จะทำยังไง สามารถพาไป ดัดฟัน จัดฟันเด็ก ได้เลยหรือไม่ และแท้จริงแล้ว เด็กจัดฟัน อายุเท่าไหร่ ดีที่สุด มาฟังคำตอบจากคุณหมอกันค่ะ

จัดฟันเด็ก ควรพาลูกไป จัดฟัน อายุเท่าไหร่ ดีที่สุด?

สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ เผยการจัดฟันเด็ก ช่วยทำให้ฟันอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แก้ไขปัญหาการเรียงตัวของฟัน การสบฟันที่ผิดปกติ ทำให้มีโครงสร้างใบหน้าที่ดี แนะอายุที่เหมาะสมคือช่วงวัยรุ่น 10-14 ปี เพราะร่างกายกำลังเจริญเติบโต และเป็นช่วงที่ฟันน้ำนมหลุดหมดแล้ว และฟันแท้ก็ขึ้นมาครบแล้ว

แต่สำหรับลูกน้อยในวัยที่ฟันน้ำนมกำลังร่วงและฟันแท้แย่งกันงอกมาใหม่ ซึ่งก็อาจทำให้ฟันแท้นั้นก็เรียงกันไม่สวย ฟันไม่สบกัน เกิดปัญหาเรื่องการบดเคี้ยวอาหาร จะสามารถดัดฟันได้หรือไม่ … เช่นเดียวกับน้องมะลิ ลูกสาวคนสวยของ แม่โบว์ แวนด้า และ พ่อปอ ทฤษฎี ที่ตอนนี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และล่าสุดแม่โบว์ได้เผยภาพน้องมะลิ ที่เริ่ม จัดฟันเด็ก เพราะฟันซ้อนกันหนักมาก ลงในอินสตาแกรม @vanda29 และแคปชั่นว่า “ได้ดัดฟันสมใจและลิ”

จัดฟันเด็ก

จึงทำให้มีชาวเน็ตเข้ามาตั้งคำถามหลายคน เช่น ขอโทษนะคะ น้องมะลิจัดฟันได้แล้วเหรอคะ, ฟันเเท้หรือฟันน้ำนมคะ, อายุแค่นี้ดัดฟันได้แล้วเหรอคะ และอีกมากมายที่เข้ามาถาม รวมทั้งหลายคนก็เข้ามาขอคำปรึกษา ซึ่งแม่โบว์เองก็ได้เข้ามาคลายความสงสัย สำหรับเคสการจัดฟันของน้องมะลิว่า…

“เป็นการแก้ไขการเรียงตัวของฟันน้องค่ะ ซึ่งรายละเอียดเยอะมาก และคุณหมอก็หาวิธีในเด็กวัยนี้ในการที่จะแก้ปัญหาเรื่องการเรียงตัวของฟัน และพื้นที่ของฟันแท้ที่จะขึ้น

แนะนำคุณแม่ที่อยากให้น้องแก้ปัญหาเรื่องฟันปรึกษาคุณหมอนะคะ เคสของมะลิ ฟันน้ำนมน้องหลุดเร็ว และการเรียงตัวของฟันน้องมีปัญหา เลยต้องพาน้องปรึกษาคุณหมอที่โรงพยาบาลค่ะ”

จัดฟันเด็ก

อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องการพาลูกไปดัดฟัน จัดฟันเด็ก ทางสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า.. การจัดฟันสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กถึงผู้ใหญ่ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงอายุประมาณ 10-14 ปี เนื่องจากร่างกายกำลังเจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างใบหน้ามากที่สุด ฟันสามารถเคลื่อนที่ได้ง่ายเป็นประโยชน์ต่อการจัดฟัน แต่หากอายุมากแล้วหรือประมาณ 30 ปีขึ้นไป อาจต้องใช้ระยะเวลาในการจัดฟันที่นานกว่า

หรือเด็กที่อายุน้อยกว่านี้ ก็สามารถทำได้ หากฟันแท้ที่ขึ้นบางส่วนในช่องปากมีความผิดปกติของการสบฟัน หรือตำแหน่งขากรรไกรที่ผิดปกติ ซึ่งเครื่องมือจัดฟันที่ใส่ในวัยเด็กมักเป็นแบบถอดได้ และคุณหมอจะออกแบบเครื่องมือสำหรับการแก้ไขความผิดปกติของแต่ละคนไป ทั้งนี้ความผิดปกติของการสบฟันบางอย่าง ถ้าได้แก้ไขตั้งแต่เล็ก ก็จะช่วยแก้ไขได้ง่ายๆ เลี่ยงการรักษาที่ยุ่งยากซับซ้อนในอนาคต

จัดฟันเด็ก

ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งสำคัญคือเรื่องจัดฟันเด็ก คือการพาลูกพบทันตแพทย์ เพื่อตรวจฟันตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่ที่ฟันน้ำนมเริ่มงอกเต็มปาก นอกจากเพื่อตรวจดูว่ามีฟันผุหรือไม่ จะได้รีบรักษา รวมทั้งให้วิธีการป้องกันฟันผุแล้ว ยังเพื่อตรวจพบความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันแต่เนิ่นๆ และจะได้วางแผนเวลา และวิธีการรักษาที่เหมาะสม

รวมไปถึงสร้างความคุ้นเคยกับการทำฟัน หากจำเป็นต้องใส่เครื่องมือจัดฟันเมื่อใด ลูกก็จะพร้อมรับการรักษาได้เลย นอกจากนี้ความร่วมมือ และการใส่ใจในการดูแลฟันตัวเองของเด็กๆ ในระหว่างจัดฟัน ก็เป็นเรื่องที่นำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจว่าจะเริ่มรักษาโดยการจัดฟันให้เด็กได้หรือยังอีกด้วย

สุดท้ายนี้การจัดฟัน ไม่ว่าในเด็กหรือผู้ใหญ่ สิ่งสำคัญคือการมีวินัยในการทำความสะอาดช่องปากและการมาพบทันตแพทย์ตามเวลานัดอย่างสม่ำเสมอนะคะ


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.amarintv.comสมาคมทันตกรรมเด็กแห่งประเทศไทยwww.rama.mahidol.ac.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

8 ข้อผิดพลาดของพ่อแม่ สาเหตุลูกฟันผุ ก่อนวัยอันควร

ผลวิจัยชี้!ใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟันลดเสี่ยง เหงือกอักเสบ

แปรงฟันลูกแล้วเลือดออก เป็นเพราะแม่แปรงแรงไป จริงหรือ?

    ตั้งชื่อลูก ฟรุ้งฟริ้งลูกโดนล้อ

    คิดให้ดีก่อน ตั้งชื่อลูก เมื่อลูกโดนล้อเพราะชื่อฟรุ้งฟริ้ง!!

    ชื่อนั้นสำคัญไฉน นอกจากชื่อที่เป็นมงคลตามตำราแล้ว พ่อแม่จ๋าฉุกคิดสักนิดหากจะ ตั้งชื่อลูก ฟรุ้งฟริ้งตามกระแส  รู้ไหมอาจเป็นต้นเหตุให้ลูกถูกบุลลี่ตลอดชีวิตได้

    คิดให้ดีก่อน ตั้งชื่อลูก เมื่อลูกโดนล้อเพราะชื่อฟรุ้งฟริ้ง!!

    เมื่อวันที่ 29 เมษายน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า แม้โลกจะประสบวิกฤตหนักจากเหตุแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกรวมกันแล้วมากกว่า 2 แสนราย และมีผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า 3 ล้านคนก็ตาม แต่พ่อแม่หลายคนยังกลับพากันตั้งชื่อลูกให้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ “โควิด-19” ระบาด โดยไม่หวั่นกลัวว่าจะเป็นการสร้างตราบาปให้ลูกไปตลอดกาล แต่กลับมองว่าการตั้งชื่อลูกว่าโควิดจะเป็นสิ่งคอยเตือนใจให้นึกถึงวันที่พวกเขาต้องฟันฝ่าความทุกข์ยากเจ็บปวดจากเหตุการณ์แพร่ระบาดของโรคครั้งเลวร้ายนี้

    คอลลีน ทาเบซา หญิงชาวฟิลิปปินส์ ให้กำเนิดลูกสาวที่โรงพยาบาลในเมืองบาโคลอด ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 13 เมษายน ซึ่งเธอและ จอห์น ทูปาส สามีร่วมกันตั้งชื่อให้ลูกว่า “โควิด มาเรีย” โดยฝ่ายสามีกล่าวว่า เหตุการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้สร้างความเดือดร้อนครั้งยิ่งใหญ่ไปทั่วโลก “ผมต้องการตั้งชื่อลูกเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเราว่าโรคโควิดไม่เพียงทำให้เราเผชิญความทุกข์ยากเท่านั้น แต่แม้สถานการณ์เช่นนี้ ความสุขยังเกิดขึ้นกับเรา”

    นายทูปาสกล่าวอีกว่า แม้การตั้งชื่อลูกว่าโควิดของเขาจะถูกโลกโซเชียลกระหน่ำวิพากษ์วิจารณ์ แต่เขาก็จะไม่เปลี่ยนใจ และว่า ลูกสาวอาจจะเผชิญกับการถูกบูลลี่ได้ แต่เขาจะสอนให้ลูกสาวเป็นคนดี

    ข้อมูลอ้างอิงจาก  www.matichon.co.th

    คุณคิดเห็นอย่างไรกับข่าวนี้...เราเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนไม่เว้นแม้แต่พ่อแม่ในข่าวดังกล่าว ก็ต้องการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกอย่างแน่นอน แต่จะแย่แค่ไหนหากความหวังดีของคุณพ่อคุณแม่ในการตั้งชื่อลูกไปทำให้เป็นต้นเหตุสร้างความลำบากให้แก่ลูกเมื่อเขาโตขึ้นในอนาคต ทำให้รู้สึกเหมือนมีปม แถมยังอาจเป็นต้นเหตุที่จะทำให้ลูกถูกเพื่อนล้อ เพื่อนแกล้ง (bully) ในตอนโตอีกด้วย

    ตั้งชื่อลูก ฟรุ้งฟริ้งระวังมีปัญหาตอนลูกโต
    ตั้งชื่อลูก ฟรุ้งฟริ้งระวังมีปัญหาตอนลูกโต

    การตั้งชื่อลูกจากเหตุผลความชอบของพ่อแม่ โดยลืมคำนึงถึงผลในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อจากตัวละครที่พ่อแม่ชื่นชอบ ถ้าเป็นละครไทยก็ยังพอรอดตัวไป แต่ถ้าเป็นหนัง หรือละครต่างประเทศ อาจทำให้ลูกถูกเข้าใจผิดว่าเป็นลูกครึ่ง เรียกได้ว่า พาให้เด็กถูกวิจารณ์ตั้งแต่แรกพบกันเลยทีเดียว หรือบางทีค่านิยมบางเรื่องก็ทำให้พ่อแม่พลาดพลั้งนำความรู้สึกผิดหวังของตนเองไปอยู่ในชื่อของลูก อย่างเช่นตัวอย่างในละครดังเมื่อสมัยหนึ่ง “ขอหมอนใบนั้นที่เธอฝันยามหนุน” ที่พ่อโทษลูกคนกลางว่านำความโชคร้ายมาให้จนตั้งชื่อลูกว่า “ล่องจุ๊น” ที่แปลว่าหายไป หมดไป แม้ว่าสุดท้ายละครจะเฉลยไว้ว่า พ่อก็ยังคงมีความรัก ความห่วงใยในลูกคนนี้เช่นกัน แต่แค่ชื่อก็ทำให้เกิดรอยแผลในใจลูกมาจนโต เด็กขาดความรับรู้คุณค่าในตนเอง (Self Esteem) ทำให้ขาดความมั่นใจ ขาดการพัฒนาทักษะความฉลาดด้านอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต จนเกิดเป็นปัญหาต่าง ๆ มากมาย

    เรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่เล็กสำหรับชีวิตลูก

    แม้ว่ายังมีใครอีกหลาย ๆ คนที่อาจมองว่าเรื่องการตั้งชื่อลูกนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย หากลูกไม่พอใจก็สามารถเปลี่ยนชื่อเองได้ตอนโต แต่หากได้ลองไปอ่านความคิดเห็นที่มีผู้คนมาแสดงความเห็นในหัวข้อเรื่องการตั้งชื่อแล้ว คุณอาจจะประหลาดใจกับประสบการณ์ของหลาย ๆ คนที่ต้องพบกับความยากลำบากในชีวิต เพียงแค่ชื่อเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ในประเทศญี่ปุ่นที่ถึงขั้นต้องทำการร้องขอต่อศาล เพื่อขออนุญาตในการเปลี่ยนชื่อ มีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง บุลลี่จากชื่อฟรุ้งฟริ้งที่พ่อแม่ตั้งให้ เด็กเหล่านั้นต้องเก็บความอัดอั้นตันใจไว้จนโต และต้องหาเหตุจำเป็นในการร้องขอต่อศาลเพื่อขอเปลี่ยนชื่อตัวเอง จึงนับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประเทศนี้อย่างมากเมื่อเทียบกับประเทศไทยที่ยังโชคดี ที่พ่อแม่นิยมตั้งชื่อแปลก ๆ ไม่เหมือนใครเป็นชื่อเล่นให้ลูก ทำให้อยากเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็สามารถเปลี่ยนได้เร็ว ไม่ยุ่งยากกว่ามาก

    หรือแม้แต่ในประเทศทางยุโรปที่ก็มีกระทู้ตั้งคำถาม “Your child will be bullied if you name them….? มีผู้มาตอบมากมาย เล่าถึงประสบการณ์ของทั้งตนเอง และคนรู้จักที่ต้องประสบกับการถูกล้อ ถูกกลั่นแกล้งจากชื่อของตัวเอง โดยให้เหตุผลว่า แม้การกลั่นแกล้งกันในหมู่เด็กจะสามารถทำได้ตลอดเวลาแม้ไม่มีมูลเหตุอันใดชัดแจ้งก็ตาม แต่การที่เรามีชื่อที่สะดุดตา หรือเด่นจนเกินไปนั้นก็เป็นสาเหตุหลักให้เด็กที่ชอบแกล้งเหล่านั้น หันมาสนใจในตัวคุณ และเป็นต้นเหตุให้เกิดการบุลลี่ในเรื่องอื่น ๆ ตามมา

    ถึงแม้ว่า ชื่อ ของคนเรานั้น จะไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เด็กถูกบุลลี่จากเพื่อน ๆ แต่การหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้ลูกต้องตกอยู่ในภาวะอันน่าเศร้าใจจากการถูกเพื่อนกลั่นแกล้งก็เป็นสิ่งที่ดีอีกข้อหนึ่งที่จะช่วยลูกให้ห่างไกลจากเรื่องดังกล่าวได้ แม้ว่ามันจะไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาที่ตรงจุดก็ตาม ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรระมัดระวังในการตั้งชื่อลูกน้อยกันเสียหน่อย ควรมีหลักการในการตั้งชื่อมากกว่าเพียงแค่เหตุผลความชอบของตัวเอง วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK จึงขอสรุปแนวทางในการเลือกชื่อลูก เพื่อให้ชื่อนั้นถูกใจทั้งพ่อแม่ และไม่ลำบากลูกในอนาคตกันดีกว่า

    bully เพราะชื่อที่พ่อแม่ต้้งให้
    bully เพราะชื่อที่พ่อแม่ต้้งให้

    ตั้งชื่อลูกอย่างไร ไม่ให้ถูกบุลลี่!!

    • อย่าไปยึดติดกับความแปลก ไม่เหมือนใคร

    ชื่อลูกต้องเด่นไม่ซ้ำใคร การที่จะเป็นจุดเด่นไม่เหมือนใครนั้น คงต้องแลกมากับความแปลก ไม่ว่าจะเป็นความแปลกของคำ หรือความแปลกจากการสะกดที่แตกต่างออกไป เช่น รรรรรรร (อ่านว่า ระ-รัน-รอน) เป็นต้น การเป็นจุดเด่นไม่เหมือนใครนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องอย่าลืมว่าเป็นเหมือนการฉายสปอร์ตไลท์ลงมาที่ลูก โดยที่เขายังไม่พร้อมที่จะขึ้นเวที ดังนั้นการที่เขาเป็นจุดเด่นจากชื่อนั้น ทำให้ลูกต้องถูกสังเกต ถูกมอง แม้ว่าเขาอาจจะไม่ต้องการ และไม่พร้อมก็เป็นได้ นอกจากนี้การตั้งชื่อที่เขียนยาก ๆ นั้น ในวัยเด็กก็จะก่อให้เกิดปัญหาในการจดจำชื่อ และเขียน เพื่อนคงเขียนชื่อตัวเองได้ไปเป็นเดือนแล้ว ในขณะที่ลูกยังไม่สามารถทำได้ ก็ยิ่งเป็นการบั่นทอนความมั่นใจของลูกไปเสียอีกด้วย

    • อย่าตั้งชื่อลูกตามเทรนด์

    คำบางคำอาจดูดีในยุคนี้ แต่ในอนาคตเราไม่รู้ว่าความหมาย ความรู้สึกจะยังคงเหมือนเดิมหรือไม่ และที่สำคัญคงจะมีเด็กที่ชื่อซ้ำแบบเดียวกันลูกอีกจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเทรนด์ดังกำลังมา ทุกคนก็คงชื่นชอบไม่ต่างกัน

    • อย่าตั้งชื่อลูกที่อ่านออกเสียงยากเกินไป

    คำบางคำในภาษาอื่น ที่นิยมนำมาตั้งเป็นชื่อเด็กนั้น พ่อแม่ควรระมัดระวังในเรื่องการออกเสียงด้วย เนื่องจากว่าหากการออกเสียงยากเกินไป หรือเฉพาะเจาะจงเกินไป คนอื่นที่ไม่เข้าใจอาจเรียกเสียงผิด ทำให้ความหมายผิดเพี้ยน หรือเรียกยากเกิน จนตั้งชื่อขึ้นมาใหม่เสียเอง ซึ่งก็คงไม่ใช่คำที่ดีสำหรับลูกเราเป็นแน่

    ตั้งชื่อลูก สะกดยาก ลูกหมดความมั่นใจในการเรียน
    ตั้งชื่อลูก สะกดยาก ลูกหมดความมั่นใจในการเรียน
    • อย่าตั้งชื่อที่สะกดยาก หรือยาวเกินไป

    ในวัยเด็ก สิ่งแรกที่ลูกต้องเรียนรู้เมื่อเข้าโรงเรียนนั่นคือ การเขียนสะกดชื่อของตัวเองให้ได้พร้อมกันในห้องเรียน หากชื่อของลูกยาว หรือมีตัวสะกด พยัญชนะที่ยากเกินไป จะทำให้เป็นการสร้างความยากลำบากในการเรียนรู้ของลูก โดยเฉพาะในครั้งแรก หากเขาสามารถทำได้ดีก็จะเป็นกำลังใจให้แก่ลูกมีความเชื่อมั่นในตนเอง ทำให้เกิดทัศนคติทางบวกกับการเรียน แต่หากเขาทำไม่ได้ก็จะได้ผลลัพธ์ในทางกลับกัน

    • ชื่อที่น่ารักฟรุ้งฟริ้งที่เหมาะกับวัยเด็ก อาจไม่น่ารักเมื่อลูกโต

    ในตอนที่ลูกยังเป็นทารก วัยเตาะแตะ ทำอะไรก็ดูน่ารักไปเสียหมด การที่จะมีชื่อคิคุ น่ารัก ฟรุ้งฟริ้งก็คงดูไม่ขัดหูขัดตาเสียเท่าไหร่ แต่พ่อแม่ต้องคิดตระหนักถึงอนาคต ในระยะยาวลูกต้องเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาจะยังรู้สึกดีกับชื่อฟรุ้งฟริ้งเหล่านั้นเมื่อโตขึ้นอีกหรือไม่

    • ระมัดระวังชื่อบางชื่อก็แสดงถึงความเป็นชายเป็นหญิงได้ในตัวชื่อนั้นเอง

    พ่อแม่อาจต้องระวังในการเลือกตั้งชื่อลูกสักนิด เช่น วิริยะ-วิริยา ,จิ๋ม-จู๋ เป็นต้น หากชื่อนั้นไม่ได้ตรงกับเพศสภาพของลูก อาจทำให้เขามีปัญหาต่อไปในอนาคตได้ หรืออาจะเป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดความรู้สึกของลูกไปเลยก็เป็นได้

    อย่างไรก็ตาม ยังมีคนโต้แย้งในประเด็นดังกล่าวว่า ต้นเหตุปัญหาของการบุลลี่นั้น อยู่ที่การปลูกฝังเด็กให้รู้จักเคารพผู้อื่นเสียมากกว่า การไปโฟกัสที่การหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสังเกต เช่น การตั้งชื่อ ซึ่งก็นับว่าเป็นประเด็นที่กล่าวได้ถูกต้องในอีกแง่มุมหนึ่งเช่นกัน สังคมควรเริ่มปลูกฝังกันเสียแต่ตอนนี้ เพื่อสังคมที่น่าอยู่ในอนาคตต่อ ๆ ไป การตั้งชื่อลูก แบบหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการบุลลี่ในเด็กนั้น เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น หากผู้คนในสังคมมีความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล รู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เช่นนี้แล้ว ปัญหาการบุลลี่ก็คงจะได้รับการแก้ไข ไม่ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งต้องก้มหน้าแบกรับภาระบนความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวของคนเพียงไม่กีคนได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันทำให้สังคมน่าอยู่

    คำชื่นชม สร้างการเห็นคุณค่าในตนเองแก่ลูก ช่วยแก้ปัญหาการถูกบุลลี่ได้
    คำชื่นชม สร้างการเห็นคุณค่าในตนเองแก่ลูก ช่วยแก้ปัญหาการถูกบุลลี่ได้

    จะช่วยลูกจากการถูก Bully ได้อย่างไร ?

    แนวทางปกป้องเด็กไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการ Bully และการรับมือกับการ Bully ที่เกิดขึ้น มีดังนี้

    • พูดคุยกับลูกอย่างตรงไปตรงมา อาจให้สมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ ร่วมพูดคุยและแชร์ประสบการณ์การถูก Bully ด้วยกัน หากเด็กกล้าพูดออกมา ให้กล่าวชื่นชมในความกล้าหาญและให้การสนับสนุนเพื่อฟื้นฟูจิตใจเด็ก รวมทั้งอาจปรึกษากับทางโรงเรียนถึงนโยบายการจัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง
    • พยายามให้ลูกรู้สึกดีกับตัวเอง ความมั่นใจและการเห็นคุณค่าในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เด็กมีความกล้าและสามารถเผชิญหน้ากับการถูก Bully ได้ โดยอาจเริ่มจากการส่งเสริมให้ลูกรู้จักดูแลตัวเอง รักษาความสะอาดของร่างกาย ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
    • อย่าปล่อยให้ลูกเสี่ยงตกเป็นเหยื่อของการถูกกลั่นแกล้ง หากลูกถูกเพื่อนรีดไถเงินหรือถูกบังคับเอาสิ่งของส่วนตัวไปโดยไม่เต็มใจ พ่อแม่ก็ไม่ควรให้ลูกพกเงิน เกม หนังสือการ์ตูน หรือสิ่งของที่มีค่าใด ๆ ไปโรงเรียน
    • สอนให้ลูกอยู่เป็นกลุ่มกับเพื่อน เพราะการไปไหนมาไหนตามลำพังจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้ตกเป็นเป้าของการถูก Bully รวมทั้งบอกให้ลูกคอยอยู่เป็นเพื่อนหากเพื่อนถูกกลั่นแกล้งเช่นกัน และต้องบอกให้ผู้ใหญ่รับรู้เสมอเมื่อถูกกลั่นแกล้งหรือเห็นการกลั่นแกล้งในโรงเรียน
    • สอนให้รู้จักรับมืออย่างกล้าหาญและใจเย็น ฝึกให้ลูกไม่แสดงความหวาดกลัวหรือจำยอมต่อการถูกกลั่นแกล้ง รวมทั้งไม่แสดงอารมณ์ไปตามที่ถูกยั่วยุ เพราะจะยิ่งทำให้ผู้ที่ Bully ได้ใจ ส่งผลให้การกลั่นแกล้งดำเนินต่อไปและอาจรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยควรสอนให้ลูกกล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนไม่ใช่เหยื่อ เพิกเฉยและไม่ต้องสนใจสิ่งที่ผู้กลั่นแกล้งกระทำหรือพูด แล้วบอกให้อีกฝ่ายหยุดการกระทำด้วยท่าทีที่เรียบเฉย ก่อนจะเดินห่างออกมาจากสถานการณ์ดังกล่าว แต่ห้ามใช้กำลังหรืออารมณ์ตอบโต้ เพราะนอกจากจะเป็นอันตรายแล้ว ยิ่งทำให้เรื่องบานปลายได้
    • พูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กที่เป็นผู้ Bully เพื่อให้ผู้ใหญ่รับทราบปัญหาและหาแนวทางจัดการกับเรื่องดังกล่าวอีกแรง โดยอาจนัดพูดคุยที่โรงเรียนพร้อมกับครูประจำชั้น เพื่อหาวิธีรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กันหลาย ๆ ฝ่าย
    ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com /wajapan.th

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

    เมื่อลูกถูก bully ลองใช้เทคนิคสุดเฟี้ยวฉบับแม่ญี่ปุ่นกัน!!

    เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

    แนะเทคนิคเลี้ยงลูกให้ฉลาดรอบด้าน ด้วย Power BQ พ่อแม่สร้างได้ ตั้งแต่ลูก 6 เดือน

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      แม่ให้นม

      วิจัยชี้! แม่ให้นม ยิ่งเครียดน้ำหนักยิ่งเพิ่ม แนะ 6 เคล็ดลับดับเครียด

      เมื่อมีคนปลอบใจคุณแม่ให้นม เรื่องน้ำหนักตัวที่พุ่งปรี๊ดหลังคลอดลูก ว่า  “ไม่ต้องกังวลนะเธอ เดี๋ยวพอให้นมลูกแล้วน้ำหนักก็ลดลงเอง เชื่อฉันสิ” แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่พบ คือ หลังจากคุณแม่ให้นมลูกมาสักพักใหญ่ๆ  ก็ยังไม่มีทีท่าว่าน้ำหนักจะลดลง ซ้ำยังจะเพิ่มขึ้นอีก  มันเกิดอะไรขึ้นนะ?   มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า??   วันนี้เรามาติดตามกันค่ะ   ว่าสาเหตุที่ทำให้คุณแม่น้ำหนักไม่ลดลง คืออะไรบ้างแม้เราจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อย่างที่ใครๆ บอกแล้วก็ตาม

      โดยปกติ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ถือ เป็นเทคนิควิธีธรรมชาติที่สามารถช่วยลดไขมันในร่างกายได้ เพราะการสร้างน้ำนมจะดึงเอาไขมันในร่างกายไปใช้ จากการวิจัยพบว่าการให้นมลูกสามารถช่วยเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ถึง 500-800 กิโลแคลอรีต่อวัน หากให้นมลูกอย่างต่อเนื่อง 4-6 เดือน ก็จะ ช่วยลดขนาดส่วนเกินของสะโพก หน้าท้อง ต้นแขน ได้

      แต่ความจริงการลดน้ำหนักหลังคลอดด้วยการให้นมลูกอาจได้ผลกับแค่บางคน  เราอาจเห็นเพื่อนๆ ที่ท้องมาพร้อมๆ กัน น้ำหนักค่อยๆ ลดลงหลังคลอดในช่วงให้นมลูก แต่ก็มีอีกหลายคนที่น้ำหนักไม่ลดลงง่ายๆ หรือ ในขณะที่ผู้หญิงหลายคนดูไม่อ้วนหลังคลอด แต่จริงๆ แล้ว อาจเป็นเพราะเขาไม่สามารถกินอาหารได้เพียงพอที่จะทำให้น้ำหนักขึ้น หรือโดยเฉพาะเมื่อพวกเขาต้องให้นมลูกแฝด!

      วิจัยชี้! แม่ให้นม ยิ่งเครียดน้ำหนักยิ่งเพิ่ม

      จริงๆ แล้วยังมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณาในเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่เชื่อมโยงกับการลดน้ำหนัก เพราะดูเหมือนจะ พูดง่าย แต่ทำยาก ใช่ว่า แค่ “กินให้น้อยๆ  แล้วก็ออกกำลังกายบ่อยๆ สิ ” ซึ่งปัจจัยที่ทำให้คุณแม่ที่ให้นมลูกอยู่ อาจน้ำหนักไม่ลดลง หรือลดได้ยาก มีดังนี้ค่ะ

       1. คุณแม่เกิดความเครียดสะสม จากการคุมอาหาร

      เมื่อคุณแม่ต้องการที่จะลดน้ำหนัก หลายคนอาจเลือกวิธีจำกัดปริมาณแคลอรี่ของอาหารในแต่ละมื้อ และหากคุณกำลังลดปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่กินมากเกินไป เพื่อพยายามลดน้ำหนักในช่วงให้นมลูก จำไว้เลยค่ะว่าวิธีนี้ อาจทำให้คุณแม่มีแนวโน้มที่จะควบคุมน้ำหนักได้ยาก และน้ำหนักอาจจะยิ่งเพิ่มขึ้นอีกด้วย

      มีผลการวิจัย ในสหรัฐอเมริกา ที่แสดงให้เห็นว่าการจำกัดปริมาณแคลอรี่ของอาหารที่รับประทาน สามารถเพิ่มระดับคอร์ติซอลในร่างกาย ซึ่งส่งผลให้คุณแม่รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที และเมื่อระดับคอร์ติซอล และความเครียดของคุณแม่สูงขึ้น สิ่งที่ตามมา คือ โคเลสเตอรอลสูงขึ้นจากความเครียดสะสม หิวบ่อยขึ้น หรือ กินมากขึ้น เป็นต้น และนี่ยิ่งทำให้มีแนวโน้ม ที่น้ำหนักของคุณแม่ะจะเพิ่มขึ้นค่ะ

      ดังนั้นการกินอาหารที่มีสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย การไม่กิน หรือ กินน้อย อาจทำให้คุณลดน้ำหนักได้ยากขึ้น! อาจฟังดูแปลก แต่จริงค่ะ  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงควรกินเมื่อคุณหิว เมื่อร่างกายของคุณพูดว่า “ขอฉันกินหน่อยเถอะได้โปรด!” หากคุณเพิกเฉยต่อความหิวของตัวเองเพราะคิดว่ามันจะช่วยลดน้ำหนักได้ คุณแม่กำลังคิดผิดค่ะ เพราะฉะนั้นการกินอาหารในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสม จะช่วยให้เราไม่เครียดจนเกินไปได้ค่ะ

      แม่ให้นม
      แม่ให้นม

      2. ฮอร์โมนแห่งความเป็นแม่

      ร่างกายของคุณแม่หลังคลอด จะมีการผลิตฮอร์โมน ที่ชื่อว่า โปรแลคติน ( Prolactin)  ซึ่งเป็นฮอร์โมน ที่ทำหน้าที่กระตุ้นการผลิตน้ำนมของคุณแม่ และยังช่วยเพิ่มความอยากอาหาร รวมทั้งช่วยชะลอการเผาผลาญไขมันอีกด้วย ซึ่งหมายความว่า เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ ไม่ได้สั่งร่างกายของคุณเวลาคุณแม่กินอาหารแค่ว่า  “กินให้หมดสิ!” แต่มันยังบอกด้วยว่า “เก็บไขมันไว้ด้วยสิ! ”เป็นยังไงคะ เข้าท่ามั้ยละ ฮอร์โมนตัวนี้ ?

      และเพื่อที่จะหล่อเลี้ยงมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ของเรา คุณแม่ต้องมีพลังงานสำรองเพียงพอที่จะใช้ผลิตน้ำนมและรักษาสุขภาพของตัวเองเอาไว้ ดังนั้นร่างกายของเราฉลาดนะคะ ที่สามารถบอกให้คุณ กินและบอกตัวเองให้เก็บไขมันไว้เสริม ในกรณีที่คุณได้รับแคลอรี่ไม่เพียงพอ   จงจำไว้ว่า ร่างกายของคุณแม่กำลังทำในสิ่งที่ควรจะทำ เพื่อช่วยให้คุณและมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ของคุณมีชีวิตอยู่ค่ะ สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ คือกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เพื่อผลิตน้ำนมให้เพียงพอต่อความต้องการของเจ้าตัวเล็ก เพราะหลังจากที่ทารกหย่านมแล้ว คุณแม่ก็ยังสามารถลดน้ำหนักได้ ไม่สายเกินไปหรอกค่ะ แค่อาจจะต้องมีวินัยกับตัวเองให้มากขึ้น  จำไว้ว่าอย่ากดดันตัวเองมากไป เพียงเพื่อต้องการให้น้ำหนักลด

      เผยสูตร ดื่มน้ำลดความอ้วนได้ผลเริ่ด แถมสุขภาพดี!

      เมนู อาหารลดน้ำหนัก แม่หลังคลอดผอมไว..ได้คุณค่า

      แม่ท้อง แพ้อาหารทะเล ส่งผลต่อลูกยังไงมาหาคำตอบกัน

      และจากที่ ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ยิ่งคุณแม่เครียด ก็จะยิ่งทำให้ ควบคุมน้ำหนักได้ยากขึ้น เพราะฉะนั้นเราต้องไม่เครียดค่ะ แต่จะทำยังไงไม่ให้เครียด มาดูวิธีกันค่ะ

      6 เคล็ดลับ ดับเครียด แม่ให้นม

      1. ทำกิจกรรมที่ช่วยคลายเครียด

      หาเวลาออกกำลังกาย ให้ได้อย่างน้อย 30 นาที 3-5 วัน ต่อ สัปดาห์  โทรเม้าท์มอยกับเพื่อนสนิท ออกไปเดินเล่น ดูคอนเสิร์ต ดูหนัง อยู่บ้านฟังเพลงโปรด ปลูกต้นไม้ เป็นต้น ซึ่งการทำกิจกรรมอะไรก็ตามที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อลดความเครียดของคุณแม่เท่านั้น แต่เพราะอย่างที่เราพูดไป ว่าการลดน้ำหนักหลังคลอดจะทำได้ง่ายกว่า ถ้าเราไม่เครียดค่ะ

      2. โฟกัสเรื่องดีๆ ในชีวิตเรื่องอื่นบ้าง

      เบนความสนใจไปที่เรื่องอื่นๆ บ้างจะช่วยได้มากค่ะ ในชีวิตคนเรายังมีเรื่องดีๆ รออยู่อีกเยอะ สูดหายใจลึกๆ ลองคิดดูดีๆ นะคะ เช่น การออกกำลังกายหลังคลอด ที่ให้ประโยชน์ มากกว่าแค่การลดน้ำหนัก เพราะช่วยเรื่อง บรรเทาอาหารปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเข่า หรือช่วยให้คุณแม่อาจกลับมามีความสุขกับเซ็กส์ได้อีกครั้ง เพราะมีพลังงานมากขึ้น รู้สึกแข็งแรงขึ้น เห็นมั้ยคะ ว่าการมุ่งความสนใจไปที่เรื่องอื่น ๆ บ้าง จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น ว่าร่างกายของเรามันน่าทึ่งแค่ไหน เซลลูไลท์อาจไม่ดูแย่อีกต่อไปก็ได้ค่ะ

      3. จำไว้ว่ามันก็แค่ชั่วคราว

      เมื่อถึงเวลาที่คุณตัดสินใจให้ลูกหย่านม  ก็จะกลายเป็นเวลาทองของคุณ ที่จะกลับมาลดน้ำหนักได้อย่างเต็มที่และลดได้ง่ายกว่าด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นช่วงที่ให้นมลูกอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องเครียดเลยค่ะ ให้คิดไว้ว่าเรากำลังทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการเป็น “แม่ของลูก” อยู่  แต่เมื่อลูกหย่านมแล้ว ให้คุณแม่ตั้งเป้าไว้เลยค่ะ ว่าจะลดน้ำหนักให้ได้ภายในกี่เดือนกี่ปี จำไว้ว่าคุณสามารถลดน้ำหนักได้ภายในหนึ่งหรือสองปีหลังจากลูกหย่านม คุณจะรู้สึกเหมือนเกิดใหม่อีกครั้ง! เมื่อได้เห็นหุ่นสวยๆ ของตัวเองเวลาที่ยืนส่องกระจกค่ะ

      4. อยู่ท่ามกลางคนที่พร้อมจะเข้าใจ และให้กำลังใจ

      ความรู้สึกโดดเดี่ยว ในการต้องต่อสู้กับเรื่องยากๆ คนเดียว ไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ค่ะ คุณแม่ลองหาเพื่อนสนิท หรือ สมาชิกในครอบครัวที่พร้อมจะเข้าใจ สามารถร่วมปรับทุกข์ เป็นที่ปรึกษาให้เราได้ เช็คให้แน่ใจว่า ผู้คนที่อยู่รอบตัวคอยให้กำลังใจที่ดีกับเรา มากกว่าที่จะคอยติติง หรือวิจารณ์ทางลบ เวลาที่ได้ระบายถึงสิ่งที่เราทำอยู่กับคนที่เข้าใจเราจริงๆว่ามันยากแค่ไหนจะยิ่งช่วยให้เราสามารถเดินหน้าต่อไปสู่เป้าหมายข้างหน้าได้ค่ะ

      5. ปรึกษาคุณหมอ

      สำหรับคุณแม่บางคน อาจเป็นโรคไทรอยด์อักเสบหลังคลอด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียดจากน้ำหนักเพิ่มขึ้น เนื่องจากต่อมไทรอยด์ของคนที่ป่วยด้วยโรคนี้เกิดการทำงานที่ผิดพลาด โดยไม่สามารถควบคุมระบบของร่างกายได้อย่างเหมาะสม รวมถึงระบบการเผาผลาญด้วย ดังนั้นหากคุณสงสัยว่าคุณกำลังจะป่วยด้วยโรคนี้อยู่ ให้ไปพบคุณหมอเพื่อตรวจเช็คและขอคำปรึกษาได้ค่ะ

      แม่ให้นม

      6. เตือนตัวเองว่าร่างกายของคุณสุดยอดแค่ไหน

      คุณแม่อาจจะลืมไปว่าร่างกายของคุณ มันน่าทึ่งแค่ไหน?   ไม่นานมานี้ คุณแม่เพิ่งให้กำเนิดมนุษย์ตัวเล็กๆ และตอนนี้คุณก็กำลังให้อาหารมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ด้วยน้ำนมที่ร่างกายของคุณผลิตเอง คุณแม่เป็นซูเปอร์ฮีโร่ตัวจริงค่ะ! และไม่สมควรที่จะรู้สึกกดดัน ที่จะต้องทำตามความคิดหรือคำพูดต่างๆ  ว่าร่างกายหรือหุ่นของคุณควรจะต้องเป็นอย่างไรหลังคลอด

      มันอาจเป็นเรื่องยากที่จะ“ จัดการ” กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น แต่ ลองถามตัวเองดูค่ะ  ว่าความกดดันนี้มาจากไหน?   เราต้องการลดน้ำหนักจริงหรือ?  หรือเราหลงคิดเพียงแค่ว่าควรลดน้ำหนักเพราะใครๆ เขาก็น้ำหนักลดกัน    การเรียนรู้ที่จะรักร่างกายหลังคลอด การลดน้ำหนัก และอีกมากมายไม่ใช่ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน   ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามค่ะ

      เมื่อคุณแม่ลดน้ำหนักได้ตามที่ต้องการ หลังการหย่านม และลูกก็โตขึ้นทุกวันๆ คุณแม่อาจจะปลูกฝังลูกได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงวิธีการดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตัวเอง  อย่างที่คุณแม่ทำมาก่อน เพื่อให้ลูกเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มี ความ ฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ(HQ)มีสุขภาพแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี และที่สำคัญ คือ มีความสุขและทำกิจกรรมต่างๆ ที่ชอบได้อย่างเต็มที่ เพราะไม่ป่วยบ่อยค่ะ

      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : jennadalton.com

      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

      หมอตอบชัด!!แม่ให้นมกินน้ำอัดลม ชา กาแฟ คาเฟอีนส่งถึงลูกไหม

      วิธีรับมือสำหรับแม่ให้นม เมื่อลูกกลายเป็น เด็กแพ้อาหาร

      แม่ให้นมกินทุเรียน แล้วน้ำนมเหม็น ลูกเมินนมแม่! จริงมั้ย?

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        โฟร์โมสต์ปันนมปันน้ำใจ ปีที่ 2

        โฟร์โมสต์ปันนมปันน้ำใจ ปีที่ 2 ร่วมต้านภัย COVID-19

        โฟร์โมสต์ เดินหน้าภารกิจ ปันนมปันน้ำใจ ปีที่ 2” ร่วมต้านภัย COVID-19 มอบผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มมูลค่ากว่า 3 แสนบาท ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และบุคคลากรทางการแพทย์

        10 กุมภาพันธ์ 2564 , กรุงเทพฯ –  บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ เดินหน้าปฏิบัติภารกิจ “ โฟร์โมสต์ปันนมปันน้ำใจ ร่วมต้านภัย COVID-19 ปีที่ 2” ร่วมใจมอบผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีโฟร์โมสต์โอเมก้ามูลค่ากว่า 3 แสนบาท ให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และบุคคลากรทางการแพทย์จากสาธารณสุข จ.สมุทรสาคร  จ.สมุทรปราการ จ.ชลบุรี และจ.ฉะเชิงเทรา โดยภายในงานได้รับเกียรติจาก นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้แทนรับมอบผลิตภัณฑ์นมจาก นางสาวอุทัยวรรณ ลออคุณ ผู้จัดการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์โฟร์โมสต์ และผู้ทรงคุณวุฒิคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้ บุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ดูแลคัดกรองผู้ป่วย ที่ได้เสียสละทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมถึงประชาชนในเขตพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดครั้งนี้ โฟร์โมสต์ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจต้านภัยโควิด-19 ด้วยการมอบโภชนาการที่ดีจากน้ำนมโค เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานให้คนไทยแข็งแรง และผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน

         

          อุบัติเหตุในเด็ก

          อุทาหรณ์ อุบัติเหตุในเด็กเล็ก พร้อม 6 วิธี ลดเสี่ยงเกิดเหตุ

          อุบัติเหตุในเด็กเล็ก – สำหรับบ้านที่มีเด็กเล็กๆ การให้ความเอาใจใส่ คอยดูแลระวังภัยอย่างใกล้ชิด ถือเป็น เรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะเหตุไม่คาดฝัน สามารถเกิดขึ้นกับเด็กวัยนี้ได้ทุกเมื่อ ดังเช่นอุทาหรณ์เศร้า ปล่อยเด็กใกล้สระน้ำ พี่วัยรุ่นไปทำธุระ ให้เด็ก 2 ขวบ นั่งรอ กลับมาอีกทีเด็กเสียชีวิตลอยคว่ำหน้าอยู่ในบ่อแล้ว

          อุทาหรณ์ อุบัติเหตุในเด็กเล็ก พร้อม 6 วิธี ลดเสี่ยงเกิดเหตุ

          ในที่เกิดเหตุพบ เด็กจมน้ำ เสียชีวิต เป็นเด็กชาย อายุ 2 ขวบ เสียชีวิตในลักษณะลอยคว่ำหน้า ลอยหางจากฝั่งประมาณ 1 เมตร ใกล้ๆ ศพพบปืนของเล่นลอยอยู่ ทราบว่าคุณแม่น้องไปทำงานที่ชลบุรี และใด้ฝากน้องใว้กับยาย จากการสอบถามยายน้อง ได้ความว่า ยาย ต้องไปทำธุระ จึงใด้ฝากน้อง ใว้กับหลานสาววัย 19 ปี หลังจากน้องตื่น หลานสาวต้องไปทำธุระใกล้ๆ เลยบอกให้น้องรอแปปหนึ่ง  แต่พอหลานสาวกลับมาก็ไม่พบน้อง เลยเดินตามหา จนมาพบว่าน้องเสียชีวิต ลอยในสระน้ำดังกล่าวแล้ว จากการสันนิฐานคาดว่า น้องคงเดินมาริมบ่อน้ำแล้วเห็นปืนของเล่น เลยลงไปเอา จึงทำให้พลัดตกน้ำเสียชีวิต

          อุบัติเหตุในเด็กเล็ก
          อุบัติเหตุในเด็กเล็ก (ภาพจาก social.tvpoolonline.com)

          ปัญหาอุบัติเหตุ ที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็ก

          อุบัติเหตุในเด็กเล็ก ถือเป็นปัญหาสำคัญ ที่ทำให้เด็กเสียชีวิต เป็นจำนวนมาก  หรือ อาจทำให้ เกิดความพิการ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการ และทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สามารถป้องกันได้ค่ะ โดยผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็ก ตลอดจน ครู โรงเรียน และชุมชน ควรจัดสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กให้ปลอดภัย ทั้งในบ้าน นอกบ้าน และการเดินทาง เฝ้าดูแล ปกป้องคุ้มครองเด็กอย่างใกล้ชิด และควรตระหนักถึงการป้องกัน การบาดเจ็บในเด็กเสมอ  รวมทั้งสอนเด็ก ให้เรียนรู้จุดอันตราย และปฏิบัติตัวอย่างปลอดภัย

          อุบัติเหตุ  6 ประเภท ที่มักเกิดกับเด็กเล็ก พร้อมวิธีป้องกัน

          1. อุบัติเหตุ จากการสัมผัสสารพิษ

          สารเคมีต่าง ๆ ภายในบ้าน ที่อาจเป็นอันตรายต่อเด็ก ได้แก่ ชน้ำยาทำความสะอาด ยารักษาโรค ยากำจัดแมลงหรือวัชพืช ของเล่นที่มีสีสันสะดุดตา หรือเป็นพลาสติกอ่อนนิ่ม ซึ่งอาจปนเปื้อนสารอันตรายจากการผลิตอาจเป็นพิษต่อเด็กได้ เมื่อเด็กสัมผัสสารเคมีสารพิษต่างๆ มักส่งผลเฉียบพลัน หรือเกิดการสะสมในร่างกาย ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานผิดปกติได้

          แนวทางป้องกัน

          เด็กอายุน้อยกว่า1 ปี 

          • ในการเลือกซื้อของใช้เด็ก ควรเลือกดู ที่มีเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม จะปลอดภัยกว่า
          • ควรลดการใช้สารเคมีในบ้าน ในกรณีมีเด็กอาศัยอยู่ด้วย และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบธรรมชาติ แบบออร์แกนิคแทน

          เด็กอายุ1-4 ปี

          • ควรเก็บสารต่าง ๆ ในบ้านให้พ้นมือเด็ก และหลีกเลี่ยงการเก็บสารพิษไว้ในบ้าน
          • ไม่นำสารพิษใส่ภาชนะบรรจุอาหารหรือเครื่องดื่ม และไม่วางอยู่ในที่เดียวกับอาหารและเครื่องดื่ม
          • เลือกซื้อของเล่นเด็ก ที่มีเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม

          2. อุบัติเหตุ จากสัตว์กัด ข่วน ต่อย 

          มีผู้ถูกสัตว์กัดกว่า 1 ล้านคนต่อปี ร้อยละ 97 ถูกสุนัขกัด เป็นกลุ่มเด็กมากที่สุด ทำให้เกิดบาดแผลรุนแรง พิการ หรือเสียชีวิต รวมทั้งมีโอกาสติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้ นอกจากนี้สัตว์เลี้ยงอย่างแมว และแมลงมีพิษต่างๆ เช่น แมลงก้นกระดก ตะขาบ ผึ้ง ตัวต่อ ก็สามารถทำให้เด็กเล็กได้รับบาดเจ็บได้ เช่นกัน

          แนวทางป้องกัน

          เด็กอายุน้อยกว่า1 ปี

          • ควรระมัดระวังการเลี้ยงสุนัขในครอบครัวที่มีเด็กเล็ก
          • ฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าให้กับสัตว์เลี้ยง
          • ไม่ควรให้เด็กอยู่กับสุนัขตามลำพัง
          • ในกรณีอันตรายจากแมลงมีพิษ พ่อแม่ คนเลี้ยงควรสอดส่อง ดูแลความสะอาดของบ้าน ไม่ให้เป็นที่อาศัยของสัตว์มีพิษต่างๆ ได้ เพราะเด็กเล็กยังป้องกันตัวเองไม่ได้

          เด็กอายุ1-4 ปี

          • ไม่ควรให้เด็กอยู่ใกล้สุนัขที่กำลังนอนหลับ กินอาหาร หรือสุนัขแม่ลูกอ่อน พ่อแม่ควรอยู่ใกล้ชิดเด็กตลอดเวลา ถ้ามีความเสี่ยงว่าลูกจะเข้าใกล้ สัตว์ต่างๆ  ไม่ว่า สุนัข หรือแมว
          • ดูแล และระมัดระวังไม่ให้เด็ก แหย่ ตีสัตว์ ดึงหู ดึงหาง หรือทำให้สัตว์โกรธ หรือตกใจ เพราะ สุนัข หรือ แมว อาจทำร้ายเด็กได้ ด้วยสัญชาติญาณ
          • สอนเด็กว่า ถ้าเจอแมลง หรือสัตว์หน้าตาแปลกๆ อย่าไปหยิบจับ เพราะอาจเกิดอันตรายที่ร้ายแรงได้

          อุบัติเหตุ รถชน จากความประมาทของผู้ปกครอง

          อุทาหรณ์ ลูกถูกไฟช็อต จากสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ

          อันตรายจากรถหัดเดิน ลูกถูกสิบล้อทับเพราะรถหัดเดินไหลลงถนน

          3. อุบัติเหตุ จากการ พลัดตก หกล้ม

          ตามสถิติ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็ก จากการการหกล้ม การลื่น สะดุด และเสียหลัก คิดเป็น ร้อยละ 31.7%  ตกจากระดับหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง ร้อยละ 10.0% ตกจากต้นไม้ ร้อยละ 6.2% และ เครื่องเล่นในสนามเด็กเล่น ร้อยละ 5.7% สถานที่เกิดเหตุสำคัญ ได้แก่ บ้าน โรงเรียน สนามเด็กเล่น และสนามกีฬา เด็กวัยคลานขึ้นไป โดยเฉพาะเด็กวัย 1-3 ปี เป็นช่วงที่เกิดอุบัติเหตุได้ค่อนข้างบ่อย เพราะเป็นวัยที่กำลังซน ชอบปีนป่าย อยากรู้อยากเห็น

          อุบัติเหตุในเด็ก
          อุบัติเหตุในเด็ก

          แนวทางป้องกัน

          เด็กอายุน้อยกว่า1 ปี

          • ห้ามทิ้งเด็กไว้ตามลำพัง ตาม โต๊ะ เตียง โซฟา เก้าอี้ หากไม่สามารถอุ้มไว้ได้เองโดยเด็ดขาด
          • ลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุโดยวางเด็กไว้ในเปลนอนที่มีขอบกั้นมิดชิด
          • ที่บ้านควรมีประตูกั้นที่บันได ที่เปิดเข้าหาตัวได้ทิศทางเดียว และควรใส่กลอนไว้เสมอ

          เด็กอายุ1-4 ปี

          • ราวบันไดและระเบียง ต้องมีช่องห่างไม่เกิน 9 เซนติเมตร หน้าต่างอยู่สูงอย่างน้อย 1 เมตร
          • เครื่องเรือน เช่น โต๊ะ ตู้ ต้องวางบนพื้นราบ มั่นคง ไม่มีมุมคม หรือใส่อุปกรณ์กันกระแทกที่มุมขอบทุกมุม
          • หมั่นตรวจสอบประตูรั้วบ้านที่เป็นประตูเลื่อน ซึ่งอาจหลุดจากรางและล้มทับเด็กได้
          • ไม่ให้เด็กเล่นของเล่นมีล้อ เช่น สเกตบอร์ด รองเท้าสเกต เป็นต้น

          4. อุบัติเหตุ จากการสัมผัสเปลวไฟ และความร้อน

          การสัมผัสความร้อน เป็นอีกหนึ่ง อุบัติเหตุในเด็ก ที่พบบ่อย เช่น เด็กสัมผัสของเหลวหรือวัสดุที่ร้อน ไฟ การระเบิดของประทัด ดอกไม้ไฟ หรือพลุ ซึ่งความร้อน จะทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้บาดเจ็บรุนแรง ก่อให้เกิดความพิการ หรือเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ การสัมผัสปลั๊กไฟ หรือสายชาร์จแบตที่ไม่ได้มาตรฐาน ก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องคอยระวังเช่นเดียวกัน

          แนวทางป้องกัน

          เด็กอายุน้อยกว่า1 ปี

          • เก็บสายไฟ อย่าให้อยู่ต่ำในระดับที่เด็กสามารถดึงกระชากได้
          • อย่าอุ้มเด็กขณะที่ถือของร้อน

          เด็กอายุ1-4 ปี

          • ควรมีประตูกั้นห้องครัว ไม่ให้เด็กเข้าไปได้
          • อย่าวางเตาหุงต้ม หม้อแกง หรือหม้อน้ำร้อนบนพื้น เพราะเด็กวัยนี้มักชอบหยิบจับสิ่งของต่างๆ
          • หม้อที่มีด้ามจับต้องหันด้ามจับเข้าด้านใน
          • เก็บตะเกียง เทียน ไม้ขีดไฟ เตารีด สายไฟ ให้พ้นมือเด็ก

          5. อุบัติเหตุ จากการจราจร

          อุบัติเหตุทางจราจร ที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็ก ส่วนใหญ่เกิดจากการชนขณะโดยสารรถยนต์ทุกประเภท ทำให้กระแทกโครงสร้างภายในรถยนต์ หรือกระเด็นออกนอกรถ แต่นอกจากนี้ ยังพบเด็กเสียชีวิตจากการถูกลืมในรถรับส่งนักเรียนอีกด้วย

          แนวทางป้องกัน

          เด็กอายุน้อยกว่า1 ปี

          • ไม่ควรให้เด็กโดยสารรถจักรยาน และจักรยานยนต์ ควรใช้ที่นั่งนิรภัยที่เบาะหลัง โดยหันหน้าไปทางด้านหลังรถ
          • สำหรับรถกระบะตอนเดียว ให้ติดตั้งด้านหน้าข้างคนขับ และต้องไม่มีถุงลมนิรภัย (หรือสามารถปิดการทำงานได้)
          • อย่าทิ้งเด็กไว้ในรถคนเดียว

          เด็กอายุ1-4 ปี

          • ไม่ให้เด็กถีบสามล้อ จักรยาน วิ่งเล่นบนถนน หรือทางเท้า
          • หลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กโดยสารรถจักรยานยนต์
          • ควรใช้ที่นั่งนิรภัยที่เบาะหลัง โดยหันหน้าไปทางด้านหลังรถ
          • สำรวจหลังรถก่อนถอยรถออกจากที่จอดทุกครั้ง ว่าไม่มีเด็กเล็กอยู่ด้านหลังรถ

           

          อุบัติเหตุในเด็ก

          6. อุบัติเหตุ จากการจมน้ำ

          การจมน้ำเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งสูง กว่าการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อและโรคไม่ติดเชื้อ และสูงกว่าอุบัติเหตุจากการจราจรถึง 2 เท่า 

          แนวทางป้องกัน

          เด็กอายุน้อยกว่า1 ปี

          • ต้องกำจัดแหล่งน้ำที่ไม่จำเป็นในบ้านและรอบบ้าน เช่น การเทถังน้ำ คว่ำถัง ปิดฝาถัง
          • กั้นรั้ว กั้นประตูไม่ให้เด็กอยู่ใกล้แหล่งน้ำได้ เช่น การปิดประตูห้องน้ำ ปิดประตูหน้าบ้านหลังบ้านมิให้เด็กเข้าใกล้แหล่งน้ำได้ ทำรั้วกั้นรอบแหล่งนัำ
          • ผู้ดูแลเด็กต้องตระหนัก ไม่เผอเรอ ปล่อยเด็กไว้ใกล้แหล่งน้ำตามลำพัง แม้เพียงชั่วขณะ

          เด็กอายุ1-4 ปี

          • ผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็กทุกคนควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่ควรเผอเรอแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว โดยเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ต้องอยู่ในระยะที่มองเห็น คว้าถึงและเข้าถึง
          • ไม่ปล่อยทิ้งให้เด็กเล่นน้ำเองตามลำพังแม้ในกะละมัง ถังน้ำ โอ่ง
          • มีการจัดการสิ่งแวดล้อม เช่น เทน้ำทิ้งภายหลังใช้งาน หาฝาปิด รวมถึงการจัดพื้นที่เล่นปลอดภัยให้เด็ก
          • สอนให้เด็กเล็กรู้จักแหล่งน้ำเสี่ยงภัยในบ้าน เช่น กะละมัง ถังน้ำ และวิธีการหลีกเลี่ยง โดยเน้น “อย่าใกล้ อย่าเก็บ อย่าก้ม” คือ สอนให้เด็กอย่าเข้าไปใกล้แหล่งน้ำ อย่าเก็บสิ่งของหรือของเล่นที่อยู่ในน้ำ และอย่าก้มไปดูน้ำในแหล่งน้ำ

          แน่นอนว่า ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ ปฏิบัติตามแนวทางในการป้องกันอุบัติเหตุต่างๆ โอกาสเสี่ยงที่ลูกจะได้รับบาดเจ็บ หรือเกิดการสูญเสียย่อมน้อยลงแน่นอนค่ะ สำหรับลูกในวัยที่เริ่มรู้เรื่อง ซึ่งเราสามารถพูดคุย แนะนำ และสอนเขาได้ถึง การระมัดระวังภัย ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้กับตัวลูกเอง ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ลูก มี ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ (HQ) เพราะยุคนี้การส่งเสริมลูก แค่เรื่อง IQ หรือ EQ คงไม่เพียงพอ ทั้งนี้เพื่อให้ลูกเป็นเด็กที่มีความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ คุณพ่อคุณแม่สามารถ ส่งเสริม และปลูกฝังให้ลูกได้ตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : ddc.moph.go.th,thaihealth.or.th,social.tvpoolonline.com

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          3ข้อเตือนใจแม่! อุบัติเหตุบนถนน ที่มักเกิดขึ้นกับลูก

          4 อุบัติเหตุไม่คาดฝันในบ้าน พ่อแม่ห้ามประมาท

          อุบัติเหตุบนรถไฟฟ้า ที่พ่อแม่ควรระวัง

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            ท้องในวัยเรียน

            ท้องไม่พร้อม ท้องในวัยเรียน ต้องทำยังไง ตัดสินใจแบบไหนดี?

            ท้องในวัยเรียน ท้องไม่พร้อม ควรทำอย่างไร ติดตามอ่าน แนวทางเพื่อการตัดสินใจ และสิ่งที่ควรทำขั้นต่อไปเมื่อรู้ตัวว่าท้อง เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเศร้า เช่นเดียวกับเด็กสาววัยเพียง 17 ปี ในจังหวัดชุมพร ที่เรายกตัวอย่างมาในวันนี้ค่ะ

            ท้องไม่พร้อม ท้องในวัยเรียน ต้องทำยังไง ตัดสินใจแบบไหนดี?

            พนักงานสอบสวน สภ.เมืองชุมพร ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ว่าได้รับผู้ป่วยรายหนึ่ง ที่มีอาการตกเลือดอย่างรุนแรง ภายในช่องคลอดมีรกเด็กติดอยู่ ซึ่งผู้ป่วยรายดังกล่าวได้ให้การรับสารภาพว่า ได้ใช้ยาเหน็บเพื่อทำแท้ง จนเด็กได้หลุดออกมาเสียชีวิต และได้นำศพเด็กยัดใส่ไว้ในกล่องพลาสติกภายในห้องนอน

            ท้องในวัยเรียน
            ท้องในวัยเรียน

            ภายในห้องที่เกิดเหตุ บนที่นอนเต็มไปด้วยเลือด ด้านพ่อของเด็กสาว วัย 17  เพิ่งรู้เรื่องจริงจากแพทย์ว่าลูกสาวตั้งท้อง และได้ใช้ยาเหน็บทำแท้งด้วยตัวเอง จนทารกไหลออกมาเสียชีวิต  ยอมรับว่า ตนไม่รู้เลยว่าลูกสาวท้องและท้องกับใคร เพราะไม่มีอาการผิดปกติที่ชวนสังเกต ลูกสาวก็ยังใช้ชีวิตเป็นปกติดี ไปเรียนปกติแทบทุกวัน

            เมื่อรู้ว่า ท้องในวัยเรียน ควรทำอย่างไร

            คนที่ไม่พร้อม เมื่อรู้ว่าตัวเองท้อง เป็นธรรมดาที่ต้องตกใจ หรือทำอะไรไม่ถูก แต่สิ่งแรกที่ควรทำ คือ การฝากครรภ์ค่ะ เพราะ สุขภาพและความปลอดภัยของแม่และลูก ถือ เป็นสิ่งสำคัญที่สุดแล้วค่ะ ณ จุดนี้ ซึ่งคุณหมอจะมีการตรวจสุขภาพ อายุครรภ์ โรคทางพันธุกรรม ของเราโดยละเอียด

            ควรฝากครรภ์เมื่อไหร่?

            ข้อแนะนำในการฝากครรภ์ โดยทั่วไป คือ ระหว่าง 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือนแรก เพื่อเป็นการเฝ้าระวังความผิดปกติ ที่มีผลต่อแม่และเด็กในครรภ์ หากตรวจพบจะได้รีบแก้ไข เช่น ภาวะรกเกาะต่ำ ท้องนอกมดลูก ทั้งนี้ วัยรุ่นที่ท้องก่อนวัยอันควรบางรายอาจตัดสินใจแก้ปัญหาด้วยวิธี การทำแท้ง ซึ่ง นอกจากอาจมีความผิดทางอาญาฐานทำให้แท้งลูกแล้ว การซื้อยาทำแท้งมารับประทานเองหรือทำแท้งตามคลินิกเถื่อนอาจเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงร้ายแรง เช่น มดลูกทะลุ ตกเลือด ติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

            ท้องในวัยเรียน

             

            รพ. รัฐ รับบริการฝังยาคุมกำเนิด ฟรี! ลดปัญหาแม่วัยใสมีลูกก่อนวัยอันควร

            เปิดประสบการณ์การทำแท้งมามากกว่า 1,200 คนของอดีตคุณหมอ

            หญิงมีครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ทำแท้งได้ ไม่ผิดกฎหมาย

            การตัดสินใจเมื่อ ท้องในวัยเรียน

            เมื่อรู้ตัวว่าท้อง เราต้องตัดสินใจแล้วค่ะ ว่าเราจะเอายังไงต่อไปกับชีวิต  เราเลี้ยงลูกเอง หรือ ตัดสินใจเริ่มต้นสร้างครอบครัวกับแฟนเรา หรือ ดูแล้วเราไม่มีความพร้อมอะไรเลย ซึ่งทางเลือกแรก หากเราตัดสินใจที่จะเลี้ยงลูกเอง สิ่งที่ควรทำ คือ แจ้งให้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จากนั้นผู้ใหญ่จะตกลงกันยังไง จะให้มีการหมั้นหมายไว้ก่อน หรือไม่ ก็แล้วแต่ จากนั้นสิ่งที่เราต้องโฟกัสต่อไป คือ การวางแผนในการเรียนต่อค่ะ ลองดูว่าช่วงที่เราคลอดและหลังคลอดนั้น ตรงกับช่วงไหน ปิดเทอม หรือว่า ซัมเมอร์ มั้ย  จำไว้ว่า ทุกปัญหาต้องมีทางออกเสมอ การตั้งครรภ์ หรือ ท้องในวัยเรียน ไม่เท่ากับหมดอนาคต เพราะยังไงก็ตาม เรายังกลับไปเรียนและใช้ชีวิตตามปกติได้ ตามพระราชบัญญัติการป้องกันและการแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งหัวใจหลักของ พ.ร.บ.นี้ คือวัยรุ่นมีสิทธิในการตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยอาจขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะจัดการกับเรื่องการเรียนอย่างไรต่อไปได้ค่ะ

            แต่ในกรณี ที่เราไม่พร้อมที่จะปรึกษาคนใกล้ชิด ญาติผู้ใหญ่ หรือไม่รู้จะปรึกษาใครแล้วจริงๆ เราสามารถโทรไปสายด่วนท้องไม่พร้อม 1163 หรือ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี 02 929 2222 เพื่อขอรับคำปรึกษาก่อนได้คะ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะให้คำแนะนำเบื้องต้น ว่าเราต้องทำอย่างไรต่อไป ซึ่งเจ้าหน้าที่จะเก็บข้อมูลของเราเป็นความลับแน่นอนค่ะ

            ข้อควรรู้ ก่อนคิดทำแท้ง 

            โดยปกติ การยุติการตั้งครรภ์ก็เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ค่ะ หากอยู่ภายใต้ข้อบัญญัติทางกฎหมาย  แต่หากไม่เข้าเกณฑ์ การทำแท้งในประเทศไทยยังถือว่าเป็นความผิดทางอาญาอยู่ ซึ่งข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับการยุติการตั้งครรภ์ทางการแพทย์ตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา กำหนดว่าแพทย์สามารถทำแท้งให้สตรีมีครรภ์ได้โดยไม่ผิดกฎหมายในกรณี ต่อไปนี้

            1. จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากหากหญิงตั้งครรภ์ต่อไปจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อสุขภาพทางกายหรือจิตใจของหญิงนั้น
            2. จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากมีความเสี่ยงอย่างมากหรือมีเหตุผลทางการแพทย์อันควรเชื่อได้ว่าหากทารกคลอดออกมาจะมีความผิดปกติถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง
            3. หญิงยืนยันต่อผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมว่าตนมีครรภ์เนื่องจากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ
            4. หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกินสิบสองสัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์
            5. หญิงซึ่งมีอายุครรภ์เกินสิบสองสัปดาห์ แต่ไม่เกินยี่สิบสัปดาห์ ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์ภายหลังการตรวจและรับคำปรึกษาทางเลือกจากผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและผู้ประกอบวิชาชีพอื่นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของแพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น

            ไม่อยากทำแท้ง แต่ก็ไม่พร้อมเลี้ยงลูก

            หากไม่สามารถมอบการเลี้ยงดูที่เหมาะสมแก่เด็กที่เกิดมาได้  และไม่ต้องการแก้ปัญหาด้วยการ ทำแท้ง  ปัจจุบัน เราสามารถหาครอบครัวอุปถัมภ์ให้เด็กได้ด้วยตัวเอง หรืออาจพึ่งพาหน่วยงานอย่างศูนย์บุตรบุญธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสหทัยมูลนิธิ ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อช่วยประกาศ ตามหาครอบครัวที่พร้อมและอยากมีลูก แต่ไม่สามารถมีได้ เพื่อให้ลูกน้อยได้ไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่พร้อมดูแล และมอบสิทธิขั้นพื้นฐานให้แก่เด็กได้

            คิดให้รอบคอบ ว่าเรา “ไม่พร้อมจริงเหรอ” ที่จะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง

            เมื่อเรา ท้องในวัยเรียน แน่นอนว่าหลายคนอาจคิดมากจนเครียด จิตตก หาทางออกไม่ได้ เหมือนโลกดูจะมืดมนไปหมด และโทษตัวเองว่า เรามาท้องอะไรตอนที่ไม่พร้อมเอาซะเลย จนพาลคิดไปไกลว่า คงต้องเลี้ยงลูกเองไม่ได้แน่ๆ หรือคิดสั้นๆ เพียงแค่ว่า การมีลูก การเลี้ยงลูกจะเป็นการตัดอนาคตของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วในทางปฏิบัติ การมีลูกและการเลี้ยงลูกให้ดีสักคน สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงไม่ได้มีมากมายร้อยแปดพันเก้าให้เอามาคิดจนปวดหัวหรอกค่ะ เพราะมีแค่ 4 ประการ เท่านั้นค่ะ ที่เราต้องโฟกัสในการเลี้ยงลูกหนึ่งคน นั่นคือ

            สิทธิพื้นฐานของเด็ก 4 ประการ 

            1. สิทธิการมีชีวิตอยู่รอด  คือ สิทธิของเด็กที่คลอดออก มาแล้วจะต้องมีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัย
            2. สิทธิในการพัฒนา  คือ การได้รับโอกาสในการพัฒนา อย่างเต็มตามศักยภาพ
            3. สิทธิในการได้รับการคุ้มครอง  คือ การได้รับการ คุ้มครองจากการเลือกปฏิบัติการล่วงละเมิดการถูกกลั่นแกล้งการถูกทอดทิ้ง การกระทำทารุณ หรือการใช้แรงงานเด็ก
            4. สิทธิในการมีส่วนร่วม  คือ การให้เด็กได้รับบทบาทที่ สำคัญในชุมชน เด็กมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมในสังคม มีอิสระใน การแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตของตนเอง และได้รับ โอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเมื่อเติบโตขึ้น

            ทำอย่างไร ไม่ให้ ท้องในวัยเรียน เกิดซ้ำ

            หากพูดแบบตรงไปตรงมา การป้องกันการ ท้องในวัยเรียน ที่ดีที่สุด คือ การหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องความรักในวัยเรียน มักมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง จากข้อมูลตั้งแต่ปี 2555 ถึง 2559 พบว่า อายุของผู้ที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกมีอายุระหว่าง 15-16 ปี (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงในมนุษย์, 2560) ดังนั้น การคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งปัจจุบันมีวิธีการคุมกำเนิดให้เลือกใช้หลายวิธี ดังนี้ ค่ะ

            • การใช้ถุงยางอนามัย
            • การรับประทานยาคุมกำเนิด หรือ ยาคุมฉุกเฉิน
            • การฉีดยาคุม
            • การฝังยาคุม
            • การใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด หรือห่วงอนามัย

            นอกจากนี้ ภาครัฐได้เปิดโอกาสให้วัยรุ่นอายุ 10-20 ปี สามารถเข้ารับบริการฝังยาคุมกำเนิด ชนิดกึ่งถาวร ที่โรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศได้ฟรี อย่างไรก็ตาม วิธีคุมกำเนิดดังกล่าวมาทั้งหมดไม่อาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ช่วยลดความเสี่ยงได้มาก และควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ค่ะ

            สุดท้ายนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สถาบันครอบครัว เป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุด ในการสร้างเกราะป้องกันชั้นดีให้กับเด็กๆ และสำหรับคุณแม่คุณพ่อที่มีลูกวัยเรียนรู้ สามารถสอนและปลูกฝังลูกในเรื่องของเพศศึกษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่ออนาคตลูกจะได้เป็นเด็กที่ มีความฉลาดในการคิดดีและมีคุณค่า (TQ) และห่างไกลจากสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นได้ค่ะ

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.today.line.me,www.thematter.co,www.hfocus.org,www.apps.hpc.go.th,www.thaihealth.or.th

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            แม้ “ท้องก่อนวัย” แต่แม่ก็รักลูกหมดใจ! เรื่องจริงของแม่วัยใส..ที่หมอสูติอยากแบ่งปัน

            ทำแท้ง อันตรายไหม? สธ.เปิดสายด่วนรับปรึกษาทำแท้งถูกกฎหมาย

            ท้องไม่พร้อม ไม่สนุก!! รู้ยังวัยรุ่น ฝังยาคุม ฟรี

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              ภาวะมีบุตรยาก

              สธ. หนุนคู่รักตรวจ-รักษา ภาวะมีบุตรยาก จากแพทย์ ฟรี!!

              กระทรวงสาธารณสุขชวนคนไทยปั๊มลูกเพื่อชาติ! จัดมีตติ้งคนโสด หนุนคู่รักขอคำปรึกษา ตรวจสุขภาพ ตรวจคัดกรอง และรักษา ภาวะมีบุตรยาก จากแพทย์เฉพาะทาง ฟรี!!

              สธ. หนุนคู่รักตรวจ-รักษา ภาวะมีบุตรยาก จากแพทย์ ฟรี!!

              สำหรับคนโสด คู่รักที่อยากมีเบบี๋ คู่รักที่วางแผนจะมีลูก ทีมแม่ ABK มีข่าวดีมาฝาก! โดยในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย ได้กล่าวว่า

              ปี 2563 จำนวนการเกิดของเด็กไทย ลดต่ำกว่า 600,000 คน เป็นครั้งแรก และมีแนวโน้มจะลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมค่านิยมอยู่เป็นโสด ทั้งการโสดแบบตั้งใจ และไม่ตั้งใจ แต่งงานช้า ความกังวลเรื่องคนช่วยเลี้ยงดูบุตร ความกังวลในความมั่นคงของความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ทำให้ชะลอการมีบุตร มีบุตรน้อยลง หรือไม่ต้องการมีบุตรเลย และส่วนหนึ่งประสบกับปัญหาภาวะมีบุตรยาก

              นอกจากปัญหาจำนวนการเกิดแล้ว ประเทศไทยยังประสบปัญหาคุณภาพการเกิดและการเจริญเติบโต ปัญหามารดาตายสูงกว่าค่าเป้าหมาย มีเด็กพิการแต่กำเนิด ปีละประมาณ 30,000 คน มีอัตราการเกิดซิฟิลิสแต่กำเนิดเพิ่มสูงขึ้น เด็กแรกเกิดน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ การคลอดก่อนกำหนด ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการการเจริญเติบโต สติปัญญา และการเรียนรู้ของเด็ก

              จากสถานการณ์ดังกล่าว คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบต่อนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2559 เพื่อให้เกิดการบูรณาการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิประโยชน์และมาตรการที่มีอยู่เดิม และการพัฒนาสิทธิประโยชน์ใหม่ที่จำเป็น ซึ่งที่ผ่านมา สธ. ยังคงขับเคลื่อนการดำเนินงานสร้างเด็กเกิดมีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ วิวาห์สร้างชาติ

              และในปี 2564 สธ. ได้จัดกิจกรรม Life Balance smart Family ชีวิตสมดุล ครอบครัวคุณภาพ ซึ่งนับเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง ในภาวะที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการใช้ชีวิตวิถีใหม่ นอกจากนี้ ยังได้เตรียมของขวัญพิเศษ 2 กิจกรรมให้กับประชาชน ทั้งคนโสดและคนมีคู่ ดังนี้

              1. การจัดกิจกรรมโสดมีตติ้ง เพื่อเปิดโอกาสให้คนโสดที่รอเนื้อคู่ได้พบปะพูดคุย เปิดใจและได้เรียนรู้ในการสร้างมิตรภาพต่อกัน
              2. การให้คู่รักที่ต้องการมีบุตร ได้ลุ้นรับคูปองตรวจสุขภาพก่อนมีบุตร การตรวจคัดกรอง ภาวะมีบุตรยาก การเข้ารับการรักษา ภาวะมีบุตรยาก จากโรงพยาบาลที่ให้การสนับสนุนโครงการ รวมถึงการมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างใกล้ชิด มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท โดยประชาชนที่สนใจสามารถเข้าไปสมัครลงทะเบียน ร่วมกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ www.wiwahproject.com ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. –31 มี.ค. 2564
              มีบุตรยาก
              มีบุตรยาก

              นอกจากนี้ นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนได้รับสิทธิประโยชน์ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ไปจนถึงหลังคลอด ทั้งในส่วนที่เป็นด้านสาธารณสุขและการจัดสวัสดิการสังคม เช่น การตรวจคัดกรองสุขภาพตามกลุ่มวัย การฝากครรภ์ การคลอด การเยี่ยมหลังคลอด การส่งเสริมพัฒนาการการส่งเสริมโภชนาการ การพัฒนาด้านสติปัญญา การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ และการดูแลสุขภาพช่องปาก ขณะที่ การให้สิทธิการลาคลอด การให้เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร การลดหย่อนภาษีจากค่าฝากครรภ์หรือค่าคลอดบุตร การลดหย่อนภาษีสำหรับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย การให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด – 6 ปี การจัดตั้งมุมนมแม่ในสถานประกอบการ การพัฒนาสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และสวัสดิการเรียนฟรี 15 ปี เป็นต้น

              จึงต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนผลักดันสิทธิประโยชน์ด้านการตรวจการติดเชื้อซิฟิลิสก่อนมีบุตร และการตรวจคัดกรองซิฟิลิสคู่ของหญิงตั้งครรภ์ การช่วยเหลือ ภาวะมีบุตรยาก บริการตรวจสุขภาพช่องปากทุกกลุ่มวัย การตรวจคัดกรองรอยโรคเสี่ยงมะเร็ง และมะเร็งช่องปาก ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และกำลังจะผลักดันมาตรการส่งเสริมการจัดตั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย อายุต่ำกว่า 3 ปี ที่ได้มาตรฐาน เพื่อลดความกังวลใจเรื่องการเลี้ยงดูบุตรระหว่างการทำงาน ทำให้พ่อแม่สามารถเลี้ยงดูบุตรได้ด้วยตนเองมากขึ้น

              ลงทะเบียนลุ้นรับคูปองตรวจสุขภาพก่อนมีบุตร และลุ้นเข้ารวมโสดมีตติ้ง ทำอย่างไร?

              กิจกรรม “โสดมีตติ้ง”

              คุณสมบัติผู้สมัคร – คนโสดแบบไม่ได้ตั้งใจ, คนโสดที่ยังรอเจอเนื้อคู่, คนโสดที่พร้อมเปิดใจเรียนรู้

              ระยะเวลาการรับสมัคร – 10 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2564

              ประกาศผล – 14 เมษายน 2564 จำนวน 100 รางวัล (หญิง 50 รางวัล ชาย 50 รางวัล)

              จัดกิจกรรม – เดือนพฤษภาคม 2564 (รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบภายหลัง แต่รับรองว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้คนโสดอบอุ่นในหัวใจ)

              สถานที่ – กรุงเทพมหานคร หรือ จังหวัดใกล้เคียง

              ค่าใช้จ่าย – ฟรี!!

              กิจกรรม “For Baby”

              ให้คู่รักที่อยากมีลูก ได้ลุ้นรับแพคเกจตรวจสุขภาพก่อนมีบุตร ตรวจคัดกรอง ภาวะมีบุตรยาก ตรวจรักษาภาวะมีบุตรยากเบื้องต้น และรับคำปรึกษาจากแพทย์เฉพาะทางจากโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ

              คุณสมบัติผู้สมัคร

              1. คู่รักที่วางแผนจะมีบุตร ต้องการตรวจสุขภาพเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนมีบุตร
              2. คู่รักที่ใช้ชีวิคู่เกินกว่า 1 ปี ไม่ได้คุมกำเนิด และยังไม่เคยมีบุตรมาก่อน

              ระยะเวลาการรับสมัคร – 10 กุมภาพันธ์ 2564 – 31 มีนาคม 2564

              ประกาศผล – 14 เมษายน 2564

              เริ่มใช้คูปอง – ตามวันเวลา ที่ระบุไว้ท้ายคูปอง

              ค่าใช้จ่าย – ฟรี!!

              วิธีสมัคร

              1. สมัครเป็นสมาชิกที่เว็บไซต์ www.wiwahproject.com
              2. กรอกข้อมูลเพื่อลงทะเบียน
              3. ไปที่ข่าวสารและกิจกรรมพิเศษ “โสดมีตติ้ง” หรือ “For Baby” และกรอกข้อมูลให้ครบถ้วน
              มีลูกยาก
              มีลูกยาก

              นับเป็นข่าวดีสำหรับคนโสด และคู่รักที่มีบุตรยากทุกคนเลยนะคะ หากคนโสดและคู่รักคู่ไหนที่มีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์ อย่าลืมไปลงทะเบียนกันนะคะ หมดเขตการลงทะเบียน 31 มีนาคม 2564 นี้แล้ว

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              มีบุตรยาก ชี้เป้า 15 ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ช่วยสานฝันโอกาสให้ได้เป็นพ่อแม่สมปรารถนา

              ทำไงให้ท้อง? 12 ทางลัด ที่คนอยากมีลูกไม่ควรพลาด

              ฤกษ์คลอด 2564 เช็กเลยแม่! รวมฤกษ์มงคล ฤกษ์คลอดบุตร ฤกษ์ผ่าคลอด คลอดวันไหนถึงจะดี?

              เปิดตัว”มอลลี กิบสัน” เด็กผู้จุดประกายความหวังผู้ มีลูกยาก

               

              ขอบคุณข้อมูลจาก : Matichon Online, สำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                คนท้องลื่นล้ม

                ไขข้อข้องใจ คนท้องลื่นล้ม หกล้ม ลูกจะเป็นอะไรไหม แท้งได้หรือเปล่า?

                คนท้องลื่นล้ม – เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ ทุกอิริยาบถและการเคลื่อนไหว อาจทำให้คุณแม่รู้สึกกังวลใจได้มากกว่าปกติ โดยเฉพาะ การพลาดลื่นล้มในขณะตั้งครรภ์ คงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับตัวเอง  แต่ถ้าหากเกิดขึ้นแล้ว เราควรต้องทำอย่างไร ลูกในท้องจะได้รับอันตรายมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอาจมีคุณแม่ตั้งครรภ์หลายคนที่อาจสงสัยในเรื่องนี้อยู่ วันนี้เรามาไขข้อข้องใจกันค่ะ ว่าจะมีสาเหตุและปัจจัยอะไรบ้าง ที่ทำให้ลูกน้อยในครรภ์ได้รับอันตรายรุนแรง จากการที่คนท้องลื่นล้มค่ะ

                สำหรับคนปกติทั่วไปที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ การพลาดล้มลงบนพื้นอาจไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ด้วยกล้ามเนื้อ หรืออวัยะต่างๆ ที่ใช้ในการทรงตัว ยืน เดิน ยังทำงานได้เป็นปกติ แต่ สำหรับคนท้องแล้ว จะค่อนข้างมีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มได้ง่ายกว่าคนทั่วไปค่ะ  มีการศึกษา เกี่ยวกับประสบการณ์การลื่นล้มของผู้หญิงในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่ง ผลจากการศึกษาสรุปว่า ประมาณ 27% ของผู้หญิงเคยลื่นล้มอย่างน้อยหนึ่งครั้งในระหว่างตั้งครรภ์ และประมาณ 10% ที่เคยลื่นล้มมากกว่าหนึ่งครั้งในระหว่างตั้งครรภ์

                สาเหตุที่ทำให้คนท้องลื่นล้มได้ง่าย

                เมื่อตั้งครรภ์ สภาพร่างกายของคนท้องย่อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ท้องที่ใหญ่ขึ้น อวัยวะต่างๆ ต้องทำงานหนักขึ้น และอื่นๆ อีกมากมาย ส่งผลให้ คนท้องลื่นล้มได้ง่ายกว่าคนปกติ ซึ่งส่วนใหญ่ ปัจจัยที่ทำให้คนท้องพลาดลื่นล้มได้ง่าย มีดังนี้

                1. จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายที่เปลี่ยนไป   หนึ่งในสาเหตุสำคัญของการล้มเมื่อตั้งครรภ์ นี่อาจเป็นผลมาจากความไม่สมดุลอย่างกะทันหันที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อของคนท้อง เนื่องจากน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไตรมาสที่สองและสาม

                 

                คนท้องลื่นล้ม
                คนท้องลื่นล้ม

                2.การอักเสบบวมของร่างกาย   หนึ่งในผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญในการหกล้มในช่วงไตรมาสที่สองและสาม เกิดจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่ทำให้เกิดอาการบวมทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่เท้า ซึ่งอาจนำไปสู่ความเจ็บปวดและการเสียสมดุลซึ่งนำไปสู่การพลาดล้มได้ง่ายๆ

                3. น้ำหนักตัวไม่สมดุล
                เมื่อตั้งครรภ์ ร่างกายของคนท้องจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่จะมีศูนย์กลางอยู่ที่ช่วงหน้าท้อง ซึ่งจะสร้างความไม่สมดุลในท่าทางของร่างกาย และการกระจายน้ำหนักตัว ความไม่สมดุลของน้ำหนักตัวทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนต้องรับบทหนักมากกว่าส่วนอื่น ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้า จนอาจเกิดการลื่นล้มได้ค่ะ

                4. ความดันโลหิตต่ำ และน้ำตาลต่ำ
                ภาวะที่พบบ่อยเมื่อตั้งครรภ์ ได้แก่ความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด และความดันโลหิต เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ และฮอร์โมนที่ไม่สมดุล ซึ่งอาจทำให้คนท้องมีอาการวิงเวียนศีรษะและพลาดลื่นหกล้มอย่างรุนแรงได้ค่ะ

                ไขข้อข้องใจ คนท้องลื่นล้ม หกล้ม ลูกจะเป็นอะไรไหม? แท้งได้หรือเปล่า?

                คุณแม่เคยเห็นภาพ คนท้องลื่นหกล้มในละคร แล้วลงเอยด้วยอาการสาหัส หรือต้องสูญเสียลูกในครรภ์ มั้ยคะ? คิดว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้แค่ในละครรึเปล่า? ถ้าในชีวิตจริงหลังจากลื่นล้ม คนท้องจะมีความเสี่ยงในการแท้งบุตรได้หรือไม่ คำตอบง่ายๆ ก็คือมีโอกาสแท้งได้ค่ะ เพราะการบาดเจ็บต่างๆ ย่อมนำไปสู่การสูญเสียทารกในครรภ์ได้ แต่ความเสี่ยงที่แท้จริงในการแท้งลูกจากอุบัติเหตุลื่นล้มส่วนใหญ่ต้องดูถึงปัจจัยอื่นประกอบด้วย  ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายของผู้หญิงถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ทนต่อการกระแทก และรอยฟกช้ำได้ในระดับหนึ่งเมื่อต้องอุ้มท้อง ตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม มีสถานการณ์หรือเงื่อนไขบางประการที่อาจเพิ่มโอกาสในการแท้งบุตรจากการลื่นล้มที่ต่างกันออกไปได้ ดังนี้

                ปัจจัยที่ส่งผลต่ออันตรายที่รุนแรง เมื่อคนท้องลื่นล้ม

                1. อายุของคุณแม่ 

                อายุ  เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญ ต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อายุ เกิน 35 ปี เพราะเป็นช่วงวัยที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ได้ง่าย ดังนั้นหากคุณมีอายุตามเกณฑ์ข้างต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที่ ไม่ว่า คุณจะคิดว่า ไม่ได้ล้มแรงไม่น่ามีปัญหาอะไร

                2. ลักษณะของพื้นที่ล้มลง

                เนื่องจาก การล้มลงบนพื้นที่มีพิ้นผิวหน้านุ่ม อาจไม่อันตรายเท่าพื้นผิวที่แข็ง

                3. ท่าทางในการล้ม  

                แน่นอนว่าท่าล้มที่อันตรายที่สุด คือ การที่คุณแม่ล้มแล้วส่วนหน้าท้องกระแทกพื้น หรืออาจเรียกว่าล้มโดยเอาท้องลง เนื่องจากท่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้โดยตรงหากล้มอย่างรุนแรง ดังนั้น คำแนะนำ คือ เมื่อรู้ตัวว่าจะหน้ามืด วิงเวียนวูบ และล้มแน่ๆ แล้ว ให้พยายามเอามือทั้งสองข้างลงพื้นก่อนเพื่อช่วยรับแรงกระแทกแทนส่วนท้อง

                4. อายุครรภ์

                อายุครรภ์ ของคนท้อง สามารถ บ่งชี้ถึงระดับความรุนแรง ที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนท้องได้ ดังนี้

                • ลื่นล้มในช่วงไตรมาสแรก

                โดยทั่วไปการลื่นล้มในช่วงไตรมาสแรก โอกาสการแท้งบุตรนั้นเกิดขึ้นได้น้อย เนื่องจากในช่วงไตรมาสแรก มดลูกของคนท้องจะมีผนังที่หนา และได้รับการปกป้องโดยกระดูกในอุ้งเชิงกราน นั่นเองค่ะ

                • ลื่นล้มในช่วงไตรมาสที่สอง

                การลื่นล้มในไตรมาสที่สองจะเสี่ยงเกิดอันตรายที่รุนแรงกว่าในไตรมาสแรก เนื่องจากมดลูกไม่ได้ซุกอยู่ในอุ้งเชิงกรานแล้ว ภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับการลื่นล้มในไตรมาสที่สอง อาจเป็นอันตรายต่อทั้งทารกในครรภ์และมารดาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณล้มเอาส่วนหน้าท้องลงกระแทกพื้นข

                • ลื่นล้มในช่วงไตรมาสที่สาม

                เมื่อการตั้งครรภ์ดำเนินมาถึงช่วงนี้ มดลูกจะยืดและขยายขนาดใหญ่ขึ้นมาก ทารกในครรภ์ได้รับการพัฒนาเกือบเต็มที่ และกลับหัวแล้ว โดยที่ศีรษะจะอยู่ใกล้กับช่องคลอดมากขึ้น การบาดเจ็บที่รุนแรงในไตรมาสที่สาม จึงมีแนวโน้มสูงที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อความปกติของรกหรือมดลูกได้ (เยื่อบุรกแยกออกจากมดลูก)  เมื่อท้องของคุณแม่โตขึ้น จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายจะโน้มไปข้างหน้า ทำให้ทรงตัวได้ยากขึ้น นอกจากนี้ฮอร์โมนที่เกิดจากการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะฮอร์โมน ที่ชื่อว่า  รีแล็กซิน ยังสามารถทำให้รู้สึกไม่มั่นคงที่เท้าได้  ด้วยหน้าที่ของฮอร์โมน รีแล็กซิน คือ ช่วยคลายเส้นเอ็นในกระดูกเชิงกราน ส่งผลให้ปากมดลูกนิ่มและขยายกว้างขึ้นเพื่อเตรียมคลอด แต่ในทางกลับกันอาจส่งผลให้ข้อต่อข้อต่อหรือเส้นเอ็นที่เท้าคลายตัวมากกว่าปกติ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนท้องล้มได้ง่ายนั่นเองค่ะ

                คนท้องลื่นล้ม

                ภาวะแทรกซ้อน ที่เกิดขึ้นได้จากการลื่นล้ม ระหว่างตั้งครรภ์

                • กระดูกคุณแม่หัก
                • ทารกในครรภ์ได้รับบาดเจ็บบริเวณกะโหลก
                • เกิดภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด
                • การตกเลือดของทารกในครรภ์ (เซลล์เม็ดเลือดของทารกไหลเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตของแม่)

                รวมสัญญาณอันตราย ที่ควรระวัง หลังลื่นล้ม

                เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ล้มโดยใช้ส่วนของหน้าท้องลงกระแทกพื้นโดยตรง  การล้มทับหน้าท้องระหว่างตั้งครรภ์ เช่นนี้ จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นอันตรายต่อทารกได้มากที่สุด แต่การล้มศีรษะฟาดหรือแม้กระทั่งการล้มเอาก้นลงพื้นขณะตั้งก็ครรภ์อาจส่งผลกระทบต่อทารกได้ เช่นกัน หากการกระแทกนั้นรุนแรงพอ ซึ่งถ้าคุณมีอาการต่อไปนี้ หลังการลื่นล้ม ให้รีบโทรปรึกษาแพทย์เจ้าของครรภ์ หรือเดินทางไปโรงพยาบาลทันที ได้แก่ 

                1 .ไม่รู้สึกว่าลูกดิ้นในท้องเหมือนเคย

                2. มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ร่วมกับ เป็นตะคริวที่แผ่นหลัง

                3. มีอาการวิงเวียนศรีษะคล้ายจะเป็นลม

                4. มีมูกเลือด หรือมีเลือดออกจากช่องคลอด

                5. มดลูกหดตัวหรือบีบรัดตัว

                6. กดบริเวณหน้าท้องแล้วเกิดอาการเจ็บ

                7. มีอาการน้ำเดิน ถุงน้ำคร่ำแตก

                ควรทำอย่างไร ถ้าลื่นล้ม ในระหว่างตั้งครรภ์

                หากคุณกำลังตั้งครรภ์ และประสบอุบัติเหตุลื่นล้ม ให้ติดต่อแพทย์เจ้าของครรภ์ เพื่อการประเมินอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าคุณจะไม่คิดว่าการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่อย่างไรก็ดี ควรคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ดีกว่าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่อายุครรภ์มากแล้ว

                สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ หลังจากล้มแล้วปล่อยเวลาให้ล่วงเลยนานเกินไป หากการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ลดลง ไม่ว่าในกรณีใด การประเมินความปลอดภัยของทารกในครรภ์ จะต้องทำโดยการอัลตราซาวนด์ ติดตามทารกในครรภ์ (EFM) หรือเทคนิคการวินิจฉัย อื่นๆ  เป็นเรื่องจริงอยู่ ที่อุบัติเหตุลื่นล้มในระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำให้เกิดความวิตกกังวลได้ไม่น้อย  แต่อย่างไรก็ตาม สถิติหญิงตั้งครรภ์ที่แท้งลูกจากการลื่นหกล้มนั้นก็พบได้ไม่บ่อย แต่ทางที่ดี ควรปรึกษาแพทย์เจ้าของครรภ์ของทันที หากคุณแม่ลื่นล้ม ถึงแม้ว่าจะเป็นการล้มที่ไม่แรงมากก็ตามค่ะ

                แม่ท้องควรป้องกันตัวเองอย่างไร ไม่ให้ลื่นล้ม

                ในการลื่นล้มแต่ละครั้ง หากคุณแม่ไม่ได้รับอันตรายก็ถือว่าโชคดีไปค่ะ แต่ทางที่ดีเราไม่ควรประมาท หากรู้ตัวว่าเรามีความเสี่ยงที่จะเกิดการลื่นล้มได้ง่าย ข้อควรปฎิบัติ มีดังนี้ค่ะ

                • เมื่อเห็นว่าพื้นที่เดินอยู่ค่อนข้างลื่น ควรเพิ่มความระมัดระวังในการเดิน
                • สวมรองเท้าที่มีคุณสมบัติกันลื่น และหลี่กเลี่ยงรองเท้าที่อาจทำให้ลื่นง่าย
                • เมื่ออาบน้ำในห้องน้ำ อาจใช้เสื่อกันลื่นปูบริเวณที่อาบน้ำ
                • หลีกเลี่ยงการสวมรองเท้าส้นสูง
                • หากต้องเดินขึ้นลงบันได ควรจับราวบันได้ช่วยพยุงตัวไว้เสมอ
                • พยายามหลีกเลี่ยงการเดินในที่มีน้ำขัง หรือพื้นผิวที่ลื่นเปียก
                • พยายามอย่าปล่อยให้ตัวเองหิว จนเกิดอาการวิงเวียนศีษะ หรือใจสั่น

                สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ การใส่ใจในการมีสุขภาพที่ดี ตลอดจนการระมัดระวังอุบัติเหตุต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งของตัวคุณแม่เอง และลูกน้อยในครรภ์ เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ ในฐานะของแม่ เราสามารถให้ลูกน้อยในครรภ์เจริญเติบโต และมีพัฒนาการในครรภ์ที่ดีได้ หลายวิธี ทั้งการเลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ การพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่หักโหมทำงานหนัก และรู้จักออกกำลังกายเบาๆ ตามสมควร เพราะ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ (HQ) เริ่มที่แม่ดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่ตั้งครรภ์ค่ะ

                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.beingtheparent.com

                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                คนท้องกินคอลลาเจนได้ไหม อันตรายต่อลูกในท้องหรือเปล่า?

                ผู้เชี่ยวชาญชี้! การให้ วัคซีนโควิด คนท้อง ยังปลอดภัย หลังไม่พบเคสรุนแรงหลังฉีด

                ท้องแก่ใกล้คลอด ห้ามทำ 10 พฤติกรรมผิด ๆ นี้

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  มะเร็งต่อมหมวกไต ในเด็ก

                  ลูกขอบตาช้ำ ขึ้นจ้ำง่ายระวัง!! มะเร็งต่อมหมวกไต ในเด็ก

                  เมื่อแม่สงสัยทำไมขอบตาลูกช้ำทั้งที่ไม่เคยกระแทก หาหมอตาแต่กลับพบความจริงอันเจ็บปวด ลูกเป็น มะเร็งต่อมหมวกไต จึงขอแชร์เป็นวิทยาทานให้แม่ ๆ หมั่นสังเกตลูกเล็ก

                  ลูกขอบตาช้ำ ขึ้นจ้ำง่ายระวัง!! มะเร็งต่อมหมวกไต ในเด็ก

                  (เรื่องเล่าจากเคสจริง)

                  ต่อมหมวกไตเป็นอวัยวะขนาดเล็ก 4-6 gm ประมาณ 4x3x1 เซนติเมตร สีเหลืองทอง ต่อมหมวกไตอยู่บริเวณเหนือไตทั้ง 2 ข้าง ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ตอบสนองต่อความเครียดของร่างกาย ได้แก่ อัลโดสเตอโรน , คอร์ติซอลและอะดรีนาลีน แต่ละต่อมมีเนื้อชั้นในเรียกว่าส่วนเมดุลล่า (Medulla) และส่วนนอกเรียกว่าคอร์เท็กซ์ (Cortex)
                        สารที่หลั่งออกมาจากส่วนเมดุลล่าคือเอพิเนฟรีน (Epinephrine หรือ Adrenaline) ซึ่ง มีอิทธิพลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และกล้ามเนื้อเล็กๆที่ผนังเส้นโลหิต ทำให้แรงดันของโลหิตสูงพอที่จะให้โลหิตไหลเวียนไปได้ตามความต้องการของ ร่างกาย นอกจากนี้ยังกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติฝ่ายซิมพาเธติค และช่วยทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้น เป็นการให้ผลที่ตรงกันข้ามกับอินซูลิน (Insulin)

                  ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมหมวกไตส่วนนอก (Adrenal Cortex)มีสารประกอบรวมอยู่ประมาณ 30 ชนิดเรียกว่า สเตอรอยด์ (Steroid) ซึ่งแตกต่างกับเอพิเนฟรีน สารประกอบชนิดหนึ่งคือแอลดอสเตอโรน ช่วยควบคุมแคลเซี่ยม โปแตสเซี่ยม และการกระจายตัวของน้ำในร่างกายคอร์ติโซน (Cortisone) และไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) ช่วย ควบคุมการเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และควบคุมปฏิกิริยาที่เกิดจากการอักเสบ และภูมิคุ้มกันโรค ส่วนอีกชนิดหนึ่งคือ แอนดรอสเตอโรน (Androsterone) นั้น เหมือนกับเทสทอสเตอโรน (Testosterone) คือเป็นฮอร์โมนที่จะทำให้มีลักษณะของเพศชาย แต่จะพบทั้งในเพศหญิงและชาย


                       ดังนั้นเมื่อเกิดเนื้องอกของต่อมหมวกไตมักจะทำให้เกิดอาการแสดงตามฮอร์โมนที่ เนื้องอกนั้นผลิตขึ้นมา เช่น เมื่อคนไข้มีเนื้องอกของต่อมหมวกไตที่ผลิตฮอร์โมนอะดรีนาลีน จะทำให้คนไข้มีอาการความดันโลหิตสูง , ปวดศีรษะ , เหงื่อออก , ใจสั่น เป็นต้น

                  ข้อมูลอ้างอิงจาก bangkokhatyai.com
                  มะเร็งต่อมหมวกไต ในเด็ก
                  มะเร็งต่อมหมวกไต ในเด็ก

                  มะเร็งต่อมหมวกไต พบบ่อยในเด็กอายน้อยกว่า 15 ปี!!!

                  โรคมะเร็งต่อมหมวกไตเป็นโรคมะเร็งก้อนเนื้อในเด็กที่พบได้บ่อย โดยมีอุบัติการณ์ประมาณ 5.8% ของโรคมะเร็งทั้งหมดที่พบในเด็ก (ข้อมูลจากการศึกษาของชมรมโรคมะเร็งเด็กแห่งประเทศไทย ระหว่างปีพศ.2546-2548 พบผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า15 ปีที่เป็นโรคมะเร็งทั่วประเทศไทย  2,792 ราย มีผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมหมวกไต 163 ราย)พบได้บ่อยในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี  อาการและอาการแสดงที่พบบ่อยคือ ก้อนในท้อง และต่อมน้ำเหลืองโต ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะเป็นโรคในระยะที่ 4  คือมีการกระจายของมะเร็งไปที่ตับ กระดูกและไขกระดูกทำให้มีอาการตับโต ปวดกระดูก มีไข้  ซีด  จุดเลือดออกตามตัวหรือเลือดออกผิดปกติที่อวัยวะต่างๆ เนื่องจากไขกระดูกไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดได้ตามปกติเพราะถูกแทนที่ด้วยเซลล์มะเร็ง บางรายอาจมีอาการแขนขาอ่อนแรงจากก้อนมะเร็งกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง หรือมีอาการเบื่ออาหาร  น้ำหนักลดร่วมด้วย

                  การวินิจฉัยและจำแนกระยะของโรค อาศัยการตรวจเลือด ตรวจไขกระดูก ตรวจระดับของสารที่สร้างจากเนื้องอกในเลือดหรือปัสสาวะ ถ่ายภาพทางรังสี เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณช่องท้องเพื่อดูตำแหน่ง ลักษณะและขอบเขตของก้อน โดยจะพบก้อนที่ต่อมหมวกไตซึ่งอยู่ด้านบนของไต ถ่ายภาพสแกนกระดูก การตัดชิ้นเนื้อจากก้อนมาตรวจทางพยาธิวิทยาจะช่วยให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอน

                  การรักษาโรคมะเร็งต่อมหมวกไตในเด็กต้องอาศัยการร่วมมือกันของบุคคลากรทางการแพทย์หลายฝ่ายการรักษาหลักคือการให้ยาเคมีบำบัดและการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออก การฉายรังสีรักษาจะทำเฉพาะในรายที่มีก้อนมะเร็งเหลืออยู่หลังการผ่าตัด  นอกจากนี้ยังมีการรักษาตามอาการของผู้ป่วยขณะนั้น เช่น การให้เลือดและส่วนประกอบของเลือด การดูแลเรื่องของอาหารให้ถูกสุขลักษณะครบ 5 หมู่ และควรให้ความสำคัญด้านจิตใจของผู้ป่วยด้วยเพราะสภาพจิตใจจะส่งผลต่อการรักษาได้มาก พยากรณ์โรคขึ้นอยู่กับอายุของผู้ป่วย  ระยะของโรค ผลการตรวจทางพยาธิวิทยา และการตอบสนองต่อการรักษา ผู้ป่วยที่ตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะต้นจะได้ผลการรักษาที่ดีกว่าผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของโรคไปอวัยวะอื่นแล้ว การร่วมมือกันดูแลผู้ป่วยของผู้ปกครองและแพทย์มีส่วนช่วยอย่างมากที่จะทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จได้ดีและเกิดผลข้างเคียงกับผู้ป่วยน้อยที่สุด

                  ข้อมูลอ้างอิงจาก ผศ.พญ. กลีบสไบ  สรรพกิจ สาขาวิชาโลหิตวิทยาและอองโคโลยี ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
                  แม่สังเกตลูกขอบตาช้ำผิดปกติ รีบพบแพทย์
                  แม่สังเกตลูกขอบตาช้ำผิดปกติ รีบพบแพทย์

                  หมั่นสังเกตลูกน้อย พบเร็วโอกาสรักษาหายสูง!!

                  นพ.สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กล่าวว่า การวินิจฉัยโรคมะเร็งในเด็กมีขั้นตอนและวิธีการเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจวิเคราะห์เม็ดเลือด สำหรับวิธีที่ได้ผลดีและแน่นอนที่สุด คือ การเจาะ ดูด หรือการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจสอบทางเซลล์วิทยาหรือพยาธิวิทยา สำหรับอาการของโรคมะเร็งในเด็กโดยปกติมักจะไม่มีอาการเฉพาะ หรือสามารถระบุอาการต่างๆ ได้ชัดเจนเหมือนผู้ใหญ่ ต้องอาศัยความเอาใจใส่ และการสังเกต ซึ่งอาการที่พบได้บ่อย คือ คลำพบก้อนเนื้อผิดปกติในร่างกายมีอาการไข้สูงโดยจะเป็นๆ หายๆ มีจุด จ้ำ เป็นห้อเลือดง่าย มีจุดเลือดตามลำตัว แขน หรือขา อาการจะคล้ายคนเป็นไข้เลือดออก และอ่อนเพลียง่าย

                  ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรหมั่นสังเกตลูกน้อย แม้ว่าเด็กจะไม่สามารถบอกอาการตัวเองได้ แต่ถ้าเราพ่อแม่คอยสังเกตความผิดปกติของลูก ทั้งร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม ว่าลูกมีสิ่งใดที่ผิดปกติไปบ้าง ก็อย่ามัวรีรอ ก่อนอื่นต้องตั้งข้อสังเกต และหาคำตอบเบื้องต้น หมั่นเช็กอาการซ้ำ ว่าอาการผิดปกติดังกล่าวไม่ได้ทุเลาลง โดยเฉพาะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ควรรอช้ารีบพาลูกไปพบแพทย์ เพื่อความมั่นใจ สบายใจจะเป็นการดีที่สุด อย่างในกรณีของคุณแม่ท่านนี้ ที่ได้กรุณาเล่าประสบการณ์ส่วนตัวของตนเอง และลูกน้อยมาให้พวกเราฟังเพื่อเป็นวิทยาทานว่า

                  สวัสดีค่ะ แม่จะมาเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับลูกชายนะคะแม่ๆ ตั้งแต่เกิดมาน้องเป็นเด็กปกติสมบูรณ์ทุกอย่างเลย แต่อยู่ๆตาน้องก็ช้ำขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ แม่เลยพาไปหาหมอ รพ.ที่น้องเกิดแต่ได้ความเห็นมาว่า น้องคงไปโดนอะไรกระแทกมา(แม่เป็นคนเลี้ยงน้องเองตลอดเวลาค่ะ)แต่แม่จำได้ว่าไม่เคยเอาน้องไปกระแทกอะไร แม่ก็เลยกังวลใจเพราะยังไม่ได้คำตอบที่ถูกใจมากนัก เลยรอดูอาการ1อาทิตย์ และพาน้องไปหาหมอที่ใหม่ ก็พาน้องไปตรวจตามขั้นตอนไปหาหมอตาหยอดดูว่ามีเลือดออกไหมอะไรไหมก็ไม่มีค่ะ หมอตาเลยส่งต่อไปให้หมอเด็กดูซึ่งท่านเป็นอาจารย์หมอ ท่านก็ถามคุณแม่เหมือนที่หมอก่อนหน้านั้นถาม คือน้องไม่มีอาการใดๆร่วมเลยมีแค่ตาช้ำจริงๆค่ะ คุณหมอเลยให้ถอดเสื้อน้องดูแล้วคลำท้องน้อง เหมือนเจอก้อนในท้องเลยส่งไปอัลตร้าซาวด์ สรุปเจอก้อนจริงๆค่ะ แม่ใจตกไปที่ตาตุ่มเลย หมอให้แอดมิดรอดูผลเลือดและรอส่งตัวไปรพ.รัฐประจำจังหวัด เพือ่ไปตรวจให้แน่ชัดว่าก้อนที่เจอคือก้อนอะไร แม่ภาวนาว่าขออย่าเป็นอย่างที่คิดเลย สรุปสุดท้ายหมอได้เจาะเอาไขกระดูก เอาเลือด และเก็บฉี่24ชม.เพื่อไปตรวจหาผลว่าไปในทิศทางเดียวกันไหม ผลทั้ง3อย่างออกมาว่าเป็นในทิศทางเดียวกัน คือน้องเป็นมะเร็งค่ะ เป็นระยะที่4แล้ว แม่ได้ยินคำนั้นคือร้องไห้ออกมาแบบไม่อายหมอเลยค่ะ คือน้องไม่มีอาการแสดงอะไรเลยจริงๆมาอีกทีคือตาช้ำก็เป็นระยะที่4เลย แต่ตอนนี้น้องได้ให้คีโมไป2รอบแล้ว แม่ทำใจได้มากขึ้น คุณหมอบอกน้องมีโอกาสหายแต่ก็ขึ้นกับการตอบสนองต่อยาของน้องด้วย แต่ที่ผ่านมาน้องตอบสนองต่อยาดีค่ะ ทำให้แม่มีกำลังใจสู้ต่อมากๆ เลยอยากเขียนมาไว้เป็นวิทยาทานให้กับทุกคนเลยนะ เดี๋ยววันที่9จะถึงนี้น้องไปให้คีโมรอบที่3ต่องับ เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ

                  ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก Kamolthip Thodboon:FB กลุ่มคนมีลูก
                  เรื่องเล่าจากเคสจริง เมื่อลูกน้อยเป็น มะเร็งต่อมหมวกไต
                  เรื่องเล่าจากเคสจริง เมื่อลูกน้อยเป็น มะเร็งต่อมหมวกไต

                  ซึ่งแม่ ๆ ในกลุ่มต่างส่งกำลังใจให้แก่คุณแม่กันอย่างล้นหลาม แต่มาถึงตอนนี้หลาย ๆ ท่านคงเกิดคำถามในใจกันแล้วใช่ไหมว่า มะเร็งต่อมหมวกไต ในเด็กนั้น สาเหตุมาจากไหน ต้องสังเกตลูกน้อยอย่างไร วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK จึงขอนำความรู้จาก อ. นพ.ศิวดล วงค์ศักดิ์ ภาควิชาออร์โธปิดิกส์  จากรายการคุยข่าวเม้าท์กับหมอ ลูกป่วยมะเร็งต่อมหมวกไต อะไรคือที่มาของโรค มาฝากกัน

                   

                  ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก RAMA Channal

                  อาการแบบนี้ไม่ปกติ ต้องระวัง!!

                  แม้ว่ามะเร็งต่อมหมวกไตในเด็ก จะเป็นโรคที่มีอาการของโรคที่สังเกตได้ยาก ในระยะเริ่มต้น ทำให้โดยส่วนมากแล้ว ผู้ป่วยจะพบว่าเป็นมะเร็งต่อมหมวกไตก็เข้าสู่ระยะที่ 4 ระยะลุกลามแล้วก็ตาม แต่การที่พ่อแม่คอยหมั่นสังเกตอาการของลูกน้อยไม่ประมาท ก็จะทำให้ยิ่งพบเร็วเท่าไหรก็จะยิ่งดีต่อการรักษามากเท่านั้น ดังนั้นจากคำของคุณหมอจึงพอจะสรุปอาการโดยรวมที่ทำให้เราต้องหันมาใส่ใจ ตั้งข้อสงสัย ดังนี้

                  • คลำตามร่างกายลูกว่าพบก้อนเนื้อ โดยเฉพาะในช่องท้องหรือไม่ ในข้อนี้คุณหมออธิบายว่าอาจจะคลำลำบากเสียหน่อย เนื่องจากต่อมหมวกไตจะอยู่ในตำแหน่งที่ลึกลงไป การจะคลำพบก้อนในช่องท้อง ส่วนใหญ่จะเจอตอนที่ก้อนเนื้อค่อนข้างโตเสียแล้ว
                  • เบื่ออาหาร ทานอาหารได้ลดลง
                  • น้ำหนักลด
                  • มีไข้
                  • ซีด เลือดออกง่าย มีจุดเลือด หรือจ้ำเขียวตามร่างกาย จะพบได้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปสู่กระดูก ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง การทำงานของไขกระดูกบกพร่อง ทำให้การสร้างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ก่อให้เกิดภาวะดังกล่าว เช่น ในกรณีของคุณแม่ที่เล่ามาประสบการณ์จะพบว่าลูกมีขอบตาช้ำเขียวเหมือนโดยกระแทกมา เป็นต้น
                  • ตับโต จะพบได้ในกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายไปสู่ตับ
                  • แขน ขา อ่อนแรง จากก้อนมะเร็งกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง

                  โรคมะเร็งทุกชนิด หากเราตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จะทำให้ผลการรักษาออกมาดีกว่า ง่ายกว่ามาก ดังนั้นการหมั่นดูแลสังเกตลูกน้อยจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นในการดูแลลูก นอกจากนั้นการร่วมมือกันดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก จากทั้งแพทย์ และตัวพ่อแม่เอง จะยิ่งทำให้การรักษาประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้น อาการข้างเคียงก็จะบรรเทาเบาบางลง จากกำลังใจของตัวเด็กเองที่ได้จากคนรอบข้างที่เขารัก วันนี้ทางทีมแม่ ABK ก็ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจ ส่งไปให้คุณแม่ที่กำลังเผชิญปัญหาทุกท่านให้สามารถผ่านพ้นโรคร้ายนี้ไปได้อย่างปลอดภัย และราบรื่นกันทุก ๆ  ท่าน ขอผลบุญในการเปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว เพื่อเป็นวิทยาทานของคุณแม่น้องจากต้นเรื่อง ให้น้องหายวันหายคืนด้วยเทอญ

                  ข้อมูลอ้างอิงจาก mgronline.com

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  เด็กไทยป่วยมะเร็งเพิ่ม 80 คนต่อเดือน! มะเร็งในเด็ก รู้เร็ว รักษาไว หายขาดได้

                  โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก มะเร็งที่พบบ่อยในเด็ก สัญญาณอันตรายโรคร้าย

                  โควิดอาการ หลังหายแล้วยังน่าห่วงทั้งระบบหายใจ-ผมร่วง!

                  ดูอย่างไร ขี้แมลงวัน ของลูกจะกลายเป็นมะเร็งไฝ!!

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    5 ไอเท็มต้องมี เตรียมของใช้คุณแม่ ใกล้คลอดปี 2021

                    สมาชิกตัวน้อยใกล้คลอดอีกไม่นาน ถึงเวลาที่ต้อง เตรียมของใช้คุณแม่ และเตรียมของไปคลอดไว้แต่เนิ่นๆ  เมื่อถึงวันคลอดจะได้มีใช้ทันที ไม่ฉุกละหุก แถมยังเป็นวิธีการแผนใช้เงินอย่างเหมาะสม เพราะของบางอย่างทยอยซื้อได้ ไม่ต้องจ่ายทีละมากๆ

                    คุณแม่สามารถเช็กลิสต์ของใช้เด็กแรกเกิด คลิ๊กตรงนี้เเลยค่ะ  นอกจากนี้ยังมี 5 ของใช้ดีๆ  หลายคนนึกไม่ถึง แต่กลับเป็นตัวช่วยชั้นดีที่คุณแม่กำลังเตรียมคลอด และใกล้คลอดควรเตรียมไว้ จะมีอะไรบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

                    พลาดไม่ได้ 5 ไอเท็มเริ่ดๆ เตรียมของใช้คุณแม่ ใกล้คลอดต้องมี

                    เตรียมของใช้คุณแม่

                    ครีมทาท้องลาย  Bunne & Mamalade

                    มาดูตัวแรกเลยค่ะ ครีมทาท้องที่คุณแม่ใช้ทาตั้งแต่เริ่มท้อง เพื่อป้องกันอาการท้องลาย ท้องแตกลายงาที่แม่ท้องคนไหนก็ไม่อยากให้เป็น ถ้าเกิดท้องลายแล้วแก้ยากมากๆค่ะ เพราะมักเป็นรอยลึกในชั้นผิว แต่พอช่วงเดือนท้ายๆใกล้คลอด ท้องโตขึ้น ขยับตัวยาก คุณแม่หลายคนจึงถอดใจและคิดว่าทาครีมมาตั้งหลายเดือนแล้วคงไม่เป็นไร

                    ความจริงแล้ว ครีมทาท้องยังใช้ต้องใช้ต่อเนื่อง เพราะในช่วง 2-3 สัปดาห์สุดท้ายก่อนคลอด ลูกในท้องจะโตขึ้นมาทำให้หน้าท้องคุณแม่ขยายอีกเยอะ ซึ่งเป็นต้นเหตุของท้องลายใกล้คลอดได้ ฉะนั้นถึงจะ เตรียมของใช้คุณแม่ ไปคลอดที่โรงพยาบาลแล้ว ก็ต้องไม่ลืมพกครีมทาท้องไปด้วยนะคะ

                    เตรียมของใช้คุณแม่

                    Bunne & Mamalade ANTI-STRETCH MARK BELLY BUTTER เป็นครีมทาท้องแบบกระปุก เนื้อข้นหนึบ ที่อาจไม่ได้เห็นตามโฆษณาในทีวี แต่บอกเลยว่าคุณแม่รีวิวในโซเชียลกันแน่นมากๆ ความพิเศษอยู่ที่คุณสมบัติของเนื้อครีมสีขาวบริสุทธิ์ที่คิดค้นมาเพื่อดูแลผิวของแม่ท้องโดยเฉพาะ  นอกจากจะเติมและกักเก็บความชุ่มชื้นผิวหน้าท้องได้ดีจากออยล์ธรรมชาติถึง 3 ชนิด แล้วยังมีส่วนผสมอ่อนโยนปลอดภัยกับลูกน้อย ปราศจากสารเคมีอันตราย อย่างพาราเบน แอลกอฮอล์ ซิลิโคน สี และกลิ่นต่างๆ

                    ครีมทาท้อง Bunne & Mamalade จึงไม่มีกลิ่นหอม จะได้กลิ่นครีมแท้ๆ เนื้อครีมถึงจะดูมีน้ำหนัก และค่อนข้างเหนียว แต่ก็ทาง่าย ซึมซาบเร็ว ทาครั้งเดียวอยู่ได้หลายชั่วโมงไม่ต้องทาบ่อย เหมาะกับแม่ท้องใกล้คลอดมากๆ พลาดได้ยังไง

                    แอบกระซิบหน่อยว่า ครีมแบรนด์นี้ คุณภาพดีจริง การันตีด้วยรางวัล AMARIN BABY & KIDS AWARDS 2020 สาขาEDITOR’S CHOICE   BEST PREGNANCY STRETCH MARK CREAM

                    สนใจผลิตภัณฑ์ คลิ๊กตรงนี้ได้เลยค่ะ  www.bunnemamalade.com

                     

                    เตรียมของใช้คุณแม่

                    Mommylicious Juice เครื่องดื่มเพิ่มน้ำนม บำรุงคุณแม่

                    เตรียมน้ำนมคุณภาพให้พร้อมสำหรับลูกน้อย เป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่คุณแม่มือใหม่ควรดูแลได้ตั้งแต่ก่อนคลอด ทั้งความรู้เกี่ยวกับการให้นม การเตรียมเต้านม และการกินอาหารเพิ่มน้ำนมต่างๆเพื่อให้ร่างกายสามารถผลิตน้ำนมได้เต็มที่ ให้นมลูกได้ทันทีหลังคลอด

                    ถ้าการกินอาหารเพิ่มนมมีหลายขั้นตอน ใข้เวลานานและอาจไม่เหมาะกับคุณแม่ยุคใหม่ เครื่องดื่มบำรุงน้ำนมเป็นอีกตัวเลือกที่ฮอตสุดๆ  เพราะดื่มได้ทุกที่ทุกเวลา แถมยังได้สรรพคุณจากสมุนไพรเพิ่มน้ำนมไม่น้อยไปกว่ากินผักผลไม้สดเลยค่ะ

                    เตรียมของใช้คุณแม่

                    อย่างน้ำหัวปลี Mommylicious Juice สูตร ซุปเปอร์หัวปลีพลัส (Super Huaplee Plus) ที่ใช้ตำราดูแลแม่หลังคลอดสูตรโบราณมาพัฒนาให้กลายเป็นเครื่องดื่มที่รวม 3 พลังสมุนไพรบำรุงน้ำนมจาก น้ำหัวปลี มะเขือเปราะ และใบกระเพราไว้ในขวดเดียว ดื่มง่าย ไม่มีรสเฝื่อนจากหัวปลี ช่วยให้กินได้ต่อเนื่อง บำรุงร่างกายแม่ให้แข็งแรงและเพิ่มการผลิตน้ำนมไปพร้อมกันได้เลยค่ะ

                    ถ้าคุณแม่เบื่อน้ำหัวปลีแบบเดิมๆ เครื่องดื่มของ Mommylicious Juice มีรสชาติอื่นๆให้ลองอีก 6 สูตรไม่ซ้ำ ชอบดื่มรสชาติไหน หรือจะดื่มเพื่อบำรุงแบบไหนเป็นพิเศษก็เลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ ทุกสูตรปลอดภัย ไม่ใส่สารกันบูด หรือสารปรุงแต่งใดๆจึงเหมาะเป็นผู้ช่วยที่คุณแม่วางใจได้ พกติดกระเป๋าเตรียมคลอดไว้ดื่มที่โรงพยาบาลด้วยสะดวกดีนะคะ การันตีด้วยรางวัล รางวัล AMARIN BABY & KIDS AWARDS 2020 สาขา Editor’s Choice Best Breastfeeding Supplement

                    อยากรู้จักมัมมี้ลิเชียสจูซมากกว่านี้ ง่ายๆ คลิ๊กตรงนี้เลยค่า  www.mommyliciousjuice.com

                     

                    เครื่องปั๊มนม Attitude Mom

                    พอกำลังจะเป็นคุณแม่ อุปกรณ์ที่ต้องมีติดตัวไม่แพ้โทรศัพท์มือถือเลยก็คือ เครื่องปั๊มนม เมื่อเริ่ม เตรียมของใช้คุณแม่ ควรหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องปั๊มนม เลือกเครื่องที่เหมาะกับตัวเอง นอกจากกำลังเครื่องดี มีฟังก์ชั่นให้เลือกตามความต้องการ เช่น ระบบนวดกระตุ้นก่อนปั๊ม (ทำจี๊ด) หรือความแรง-เบาในการดูดแล้ว เครื่องปั๊มใหม่สำหรับคุณแม่ยุคใหม่ต้องใช้สะดวก พกพาไปได้ทุกที่ เพื่อให้เก็บน้ำนมให้ลูกน้อยได้ตลอดวัน

                    อย่าง Attitude Mom รุ่น Mirror Light เครื่องปั๊มนมไซส์มินิ ที่คุณภาพไม่เล็กเลยค่ะ ตัวเครื่องดีไซน์ให้มีน้ำหนักเบาเพียง240.5 กรัม สีขาว หน้าจอดิจอตอลในลุคมินิมอล พกพาสะดวกมาก มาพร้อมฟังก์ชั่นตอบโจทย์แม่ให้นมแบบครบครันเลยค่ะ ทั้งหัวปั๊มที่เลือกใช้งานได้ทั้งแบบคู่-เดี่ยว โหมดนวดกระตุ้น ระบายน้ำนมให้เกลี้ยงเต้า เพิ่มการไหลน้ำนมให้มากขึ้น และช่วยลดอาการคัดตึงเต้า

                    ส่วนที่คุณแม่น่าจะปลื้มสุดเลย คือชาร์ตไฟได้ สามารถปั๊มต่อเนื่องได้มากถึง 7 ครั้ง (รอบละ 30 นาที) ปั๊มนมที่ไหนก็สะดวก ไม่ต้องหาปลั๊กไฟให้วุ่นวาย ไปเที่ยวห้าง หรือวันทำงานก็ปั๊มนมได้สะดวก ซื้อเตรียมไว้แต่เนิ่น จะได้เตรียมนมสต๊อกให้ลูกได้ทันที เครื่องปั๊มนมรุ่นนี้จึงได้รับการคัดเลือกให้ได้รับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020 สาขา BEST BREAST PUMP  สาขา Editor’s Choice คุณแม่สนใจสินค้า สั่งซื้อหรือศึกษาข้อมูลได้ที่  https://www.facebook.com/attitudemom/

                    เตรียมของใช้คุณแม่

                    ถุงเก็บน้ำนม Nanny

                    อีกหนึ่งของใช้เล็กน้อยแต่สำคัญมากสำหรับการทำนมสต๊อก คุณแม่ควรเตรียมไว้ติดบ้านไว้พร้อมใช้งาน หลังจากให้ลูกเข้าเต้าแล้วให้ปั๊มนมต่อจนเกลี้ยงเต้า เพื่อให้ร่างกายเริ่มกระบวนการสร้างน้ำนมใหม่ตามธรรมชาติ ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมให้เยอะขึ้นได้ ส่วนน้ำนมที่ปั๊มไว้นำไปแช่แข็งเป็นนมสต๊อกไว้ให้ลูกกินตอนคุณแม่กลับไปทำงาน หรือออกนอกบ้านได้สะดวก

                    การเก็บน้ำนมให้คงคุณภาพ สะอาด ปลอดภัยที่สุดเพื่อให้ลูกกินจำเป็นต้องใช้ ถุงเก็บน้ำนมคุณภาพดีด้วย ถุงเก็บน้ำนม Nanny  แบรนด์นี้ขอแนะนำเลยค่ะ เพราะนอกจากจะมีขนาดให้เลือกมากน้อยตามปกตินมที่จะเก็บแล้ว ยังเป็นถุงเก็บน้ำนมที่ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยระบบแกมม่าเพื่อยับยั้งจุลินทรีย์โดยไม่ทิ้งสารตกค้าง และทุกกระบวนการไม่ผ่านมือคนเลย ช่วยให้คุณแม่มั่นใจได้ว่า น้ำนมที่เก็บไว้จะสะอาด ปลอดภัยแน่นอน

                    เตรียมของใช้คุณแม่

                    ถุงเก็บน้ำนม NANNY ทุกใบ ออกแบบอย่างเข้าใจ ทั้งซิปล็อก 2 ชั้นให้ปิดสนิทไม่รั่วซึม ตัวถุงทำจากวัสดุคุณภาพดี มีก้นให้ตั้งได้ ไม่ล้ม สะดวกทั้งตอนเทน้ำนมใส่ขวดและจัดเก็บในช่องแช่แข็ง คุณแม่ซื้อไซส์ 5 ออนซ์ไว้ใช้ช่วงหลังคลอดก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนมาใช้ไซส์ 8 ออนซ์เมื่อน้ำนมเพิ่มขึ้นได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อเก็บไว้เยอะๆค่ะ

                    ด้วยคุณภาพและความใส่ใจขนาดนี้ ถุงเก็บน้ำนม NANNY จึงได้รับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020 สาขาEditor’s Choice Best Breast Milk Storage Bags ในปีนี้ค่ะ

                    สนใจผลิตภัณฑ์ดูเพิ่มเติมที่ www.picnicmall.net.

                    เซรั่มบำรุงผิว Trylagina

                    ของใช้ลูกพร้อมแล้ว อุปกรณ์ต่างๆก็พร้อมแล้ว คุณแม่ต้องไม่ลืมดูแลตัวเองให้ยังสวยไม่สร่างด้วยนะคะ แม้ตอนตั้งท้องฮอร์โมนจะเปลี่ยนขนาดไหน ตอนคลอดจะเหนื่อยสุดๆ หลังคลอดต้องอดนอนอีกเป็นเดือน แต่ถ้าคุณแม่มีตัวช่วยดูแลผิวหน้าดีๆ ก็ไม่ต้องห่วงหน้าโทรมเลยค่ะ

                    เซรั่มบำรุงผิวของ Trylagina ตอบโจทย์การบำรุงผิวของคุณแม่ทุกช่วงวัย ด้วยเนื้อเซรั่มเบาบาง ซึมซาบดี แต่เข้มเข้นด้วยคอลลาเจนจากใต้ท้องทะเลลึกที่เข้มข้นกว่าสูตรเดิม 10 เท่า เมื่อทาเซรั่มลงบนผิว เซรั่มจะทำหน้าที่สร้างฟิล์มขึ้นบนผิวหนัง และยึดเซลล์ผิวให้ความรู้สึกผิวกระชับขึ้น ดูดจับน้ำและความชุ่มชื้นให้คงอยู่ที่ผิว ผิวจึงดูเรียบเนียน ชุ่มชื้น และยืดหยุ่น

                    เนื้อเซรั่มมีความนุ่มซึมซาบลงลึกสู่ผิวด้วยนวัตกรรมใหม่ ที่มีลักษณะเป็นแคปซูลที่จะนำพาเปปไทด์เข้าสู่ผิวอย่างซึมลึก ผสานด้วยไบโอเทคโนโลยีล่าสุด สารสกัดจากแพลงตอนน้ำลึกประเทศฝรั่งเศส ทำให้เซรั่มสามารถเข้าไปลดเลือนริ้วรอยร่องลึก ขจัดผิวหมองคล้ำ ผิวเรียบเนียนสวยเด้งเหมือนเข้าคลินิคเสริมความงามได้ที่บ้านตัวเอง

                    บำรุงผิวครบในกระปุกเดียวแบบนี้  Trylagina จึงได้รับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020 สาขา Editor’s Choice BEST FACIAL SKINCARE FOR MOM ปีนี้ไปเลยค่ะ คุณแม่สนใจผลิตภัณฑ์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/TrylaginaBrand/

                    ได้เห็นโฉมหน้าของใช้ต้องมีสำหรับคุณแม่มือใหม่กันแล้ว บอกเลยว่าใช้ดีเหมาะเป็นตัวช่วยให้คุณแม่พร้อมดูแลลูกน้อย และตัวเองได้อย่างมีความสุขเลยค่ะ

                     

                     บทความน่าสนใจอื่นๆ

                    ประกาศรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020

                     

                    จัดกระเป๋าเตรียมคลอด และเตรียมของใช้เด็กแรกเกิด

                    212 ชื่อเล่นลูกสาว สุดปัง สุดเก๋ ปี 2021 น่ารัก ทันสมัย ไม่มีเอ๊าท์

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      กินคอลลาเจน

                      คนท้องกินคอลลาเจนได้ไหม อันตรายต่อลูกในท้องหรือเปล่า?

                      คนท้องกินคอลลาเจนได้ไหม – ในช่วงของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของคุณแม่ ต้องการสารอาหารเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เนื่องจากในช่วงตั้งครรภ์ ร่างกายคนท้องจำเป็นต้องใช้พลังงานสูง ในการเสริมสร้างความแข็งแรงของลูกน้อยในครรภ์  จึงส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลง และผลข้างเคียงต่อระบบต่างๆ ของร่างกายแม่ท้องได้ ด้วยเหตุนี้แม่ท้องจึงควรได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ซึ่งคงมีคุณแม่หลายคนที่อาจจะสงสัย ว่า หากเราท้องอยู่แล้วเกิดผิวพรรณไม่สดใสเปล่งปลั่งจะสามารถกินคอลลาเจนเสริมได้ไหม หรือสาวๆ ที่กินคอลลาเจนอยู่ พอท้องแล้วยังกินได้ไหม จะมีผลกับลูกในท้องหรือเปล่า

                      คอลลาเจน คืออะไร?

                      คอลลาเจน คือเส้นใยโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลัก ของผิวหนัง ขน และเส้นผม มีหน้าที่ช่วยให้ผิวหนังของคนเรา คงความเต่งตึง ยืดหยุ่น เรียบเนียน กระชับ ทั้งยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระดูก กระดูกอ่อน  จึงมีการนำ คอลลาเจน ไปใช้ทางการแพทย์ ในการรักษคนไข้ โรคข้อเข่าเสื่อม และคนที่มีภาวะกระดูกบาง หรือกระดูกเปราะง่าย เป็นต้น

                      โดยทั่วไป คอลลาเจน เป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ และสามารถได้รับ จากอาหารหลายประเภท

                      อาหารที่ อุดมไปด้วย คอลลาเจน จากธรรมชาติ

                      1. น้ำซุปต้มกระดูก

                      เมนู น้ำซุปต้มกระดูก ทั้งหลาย เป็นเมนูที่ขึ้นชื่อว่า อุดมไปด้วย คอลลาเจน ทำโดยการเคี่ยวกระดูกสัตว์ในน้ำเดือด ด้วยเวลาที่เหมาะสม ซึ่งกระบวนการนี้ เชื่อว่าสามารถดึงคอลลาเจน ธรรมชาติจากกระดูกอ่อน และเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ออกมาได้  และนอกจากคอลลาเจนแล้ว ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกมากมายที่ได้จากน้ำซุปต้มกระดูก ทั้ง แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส กลูโคซามีน คอนดรอยติน กรดอะมิโน และสารอาหารอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งยังเป็นเมนูที่ทำง่ายๆ ทำได้เองที่บ้าน เพียงปรุงรสด้วยเครื่องเทศ นิดๆ หน่อยก็สามรถเพิ่มรสชาติดีได้ไม่ยาก

                      2. เนื้อไก่

                      มีเหตุผลว่าทำไมอาหารเสริมคอลลาเจนจำนวนมากจึง ได้มาจากไก่ เพราะเนื้อไก่อุดมไปด้วยคอลลาเจน  (หากใครเคยหั่นไก่ทั้งตัว จะสังเกตเห็นว่าไก่มีเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งเป็นแหล่งคอลลาเจนชั้นดี จำนวนมาก)

                      3. ปลาและหอย

                      เช่นเดียวกับสัตว์อื่น ๆ ปลาและหอย มีกระดูกและเอ็น ที่ทำจากคอลลาเจน คอลลาเจนจากทะเลเป็นหนึ่งในคอลลาเจนที่ดูดซึมได้ง่ายที่สุด  แต่ทราบหรือไม่ว่า เนื้อปลา คือ ส่วนที่มีคอลลาเจนน้อยที่สุด แต่ ส่วนที่มีคอลลาเจนสูงที่สุดของปลา กลับเป็นส่วนที่คนส่วนใหญ่ไม่นิยมรับประทาน ได้แก่ หัวปลา เกล็ด และ ลูกตาปลา โดยปลาที่ขึ้นชื่อว่าอุดมไปด้วยคอลลาเจนสูงได้แก่ ปลาทูน่า และ ปลาแซลมอน

                      4.ไข่ขาว

                      แม้ว่าไข่จะไม่มีเส้นใยโปรตีนเหมือนผลิตภัณฑ์จากสัตว์อื่น ๆ แต่ไข่ขาวก็มีเกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง (proline ) ที่จำเป็นสำหรับการผลิตคอลลาเจน

                      5. ผลไม้ตระกูลส้ม 

                      วิตามินซีมีบทบาทสำคัญในการสร้าง โปร-คอลลาเจน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการสร้าง คอลลาเจน ของร่างกาย ดังนั้นการได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอจึงมีความสำคัญ อย่างที่เราทราบกันดีว่า ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม เกรปฟรุต มะนาว เต็มไปด้วยสารอาหารนี้

                      6. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ 

                      แหล่งที่ดีเยี่ยม ของคอลลาเจน  คือ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และหากเทียบกันแล้ว ผลไม้ในตระกูลนี้ อย่าง สตรอเบอร์รี่ ยังให้วิตามินซีมากกว่าส้มอีกด้วยในปริมาณที่เท่ากัน ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ ก็มีปริมาณคอลลาเจนสูง เช่นกัน นอกจากนี้ ผลไม้สกุลเบอร์รี่ทั้งหลาย ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงซึ่งช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายอีกด้วย

                      7. ผักใบเขียว

                      อาทิ คะน้า บรอกโคลี และผักโขม สามารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจนได้อย่างน่าประทับใจ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันความเสียหายของคอลลาเจน เนื่องจากอนุมูลอิสระ เช่น หมอกควันฝุ่นควันบุหรี่ และการตากแดดมากเกินไป

                      8. ถั่วฝักยาว และ ถั่วงอก

                      ถั่วฝักยาวเป็นแหล่งของ กรดไฮยาลูโรนิกตามธรรมชาติ ซึ่งรู้จักกันดีว่าช่วยให้ผิวชุ่มชื้นเรียบเนียนและอวบอิ่ม และจะเร่งการผลิตคอลลาเจนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ถั่วงอก ก็ช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของร่างกายได้ดีเช่นเดียวกัน

                      9. อะโวคาโดและน้ำมันอะโวคาโด

                      คุณไม่มีทางผิดพลาดได้ด้วยการเพิ่มอะโวคาโดลงในอาหารของคุณและเติมน้ำมันอะโวคาโดลงในสลัด เพราะ ทั้งสอง อุดมไปด้วย  วิตามินอี โพแทสเซียม และเลซิติน ซึ่ง มีส่วนช่วย ทำให้ผิวแข็งแรงและเพิ่มการผลิตเซลล์ใหม่ๆ

                      10. เมล็ดฟักทอง

                      เมล็ดฟักทองเต็มไปด้วยสังกะสีซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน การวิจัยได้พิสูจน์แล้วว่าการเสริมสังกะสีอาจช่วยลดอัตราการย่อยสลายคอลลาเจนตามธรรมชาติซึ่งชี้ให้เห็นว่าอาหารที่อุดมด้วยสังกะสีก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

                      11. สับปะรด

                      การกินผลสับปะรด และการดื่มน้ำสับปะรด ช่วยให้ร่างกายสังเคราะห์คอลลาเจนได้ ช่วยให้ผิวกระชับ เปล่งปลั่ง ในขณะที่วิตามินซี และเอนไซม์โบรมีเลน ในสัปปะรด มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อ ได้เป็นอย่างดี

                      คนท้องกับคอลลาเจน

                      ผู้ที่มีปัจจัยบางอย่างทำให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพหรือถูกทำลายได้ง่าย เช่น ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้ที่มีความเครียด หญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น อาจได้รับคอลลาเจนที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ คุณแม่ตั้งครรภ์จึงจำเป็นต้องได้รับเส้นใยโปรตีนจากคอลลาเจนในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

                      ผลกระทบจากการขาดคอลลาเจน

                      1. ทำให้เกิดริ้วรอยบนผิวหนัง
                      2. ผิวหนังเหี่ยวย่น หย่อนคล้อย
                      3. กระดูกอ่อนเสื่อมสภาพ
                      4. โรคข้อเสื่อม

                      โดย คอลลาเจน มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ได้  หากแต่ว่า เมื่อเราพูดถึงการ กินคอลลาเจน เพื่อการเสริมและเพื่อป้องกันอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ระหว่างตั้งครรภ์ แล้ว คงมีคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หลายคน เกิดความสงสัยว่า ในแต่ละวัน ร่างกายของเราได้รับ คอลลาเจน จากอาหารมากเพียงพอหรือเปล่า แล้วถ้าไม่พอละ? คนท้องกินคอลลาเจนได้ไหม ลูกในท้องจะได้รับอันตรายหรือเปล่านะ?

                      ไขข้อข้องใจ คนท้องกินคอลลาเจนได้ไหม อันตรายหรือเปล่า?

                      ปัจจุบัน ยังไม่มีผลการวิจัย ที่ยืนยันว่า การกินคอลลาเจน เสริมอาหาร ระหว่างตั้งครรภ์ ส่งผลกระทบร้ายแรงใดๆ ต่อทารกในครรภ์ แต่มี ผลการวิจัย ชิ้นหนึ่ง ที่ทำการศึกษา โดยการให้ผลิตภัณฑ์ คอลลาเจนเสริมอาหารแบรนด์หนึ่ง แก่คุณแม่หลังคลอด ซึ่งผลการศึกษาที่ได้ คือ แผลจากการคลอด ของผู้ที่ได้รับ คอลลาเจน เสริมอาหารดังกล่าว หายเป็นปกติได้เร็วกว่าผู้ที่ไม่ได้รับการเสริมคอลลาเจน

                      ในกรณีของคุณแม่ที่กำลังอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ การได้รับ คอลลาเจน จากธรรมชาติ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดูปลอดภัย และสบายใจกว่า ทั้งนี้ แต่หากต้องการเสริมคอลลาเจน จริงๆ ควรเป็น คอลลาเจนเสริม ที่ผ่านการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้วเท่านั้น เนื่องจาก คอลลาเจน เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ผ่านการสังเคราะห์ ซึ่งในกระบวนการสังเคราะห์ อาจมีการปนเปื้อนสารอันตรายต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้  นอกจากนี้ ให้พิจารณาว่า คอลลาเจนเสริม มีความจำเป็นกับคุณแม่มากน้อยแค่ไหน และเพื่อความสบายใจ ควรปรึกษาคุณหมอที่ฝากครรภ์ หรือ ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนตัดสินใจ กินคอลลาเจน เสริม น่าจะดีที่สุดค่ะ

                      อย่างที่พูดไปตอนต้น ว่าทางเลือกที่ปลอดภัย และสบายใจ  คือ การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วย คอลลาเจน จากธรรมชาติ ซึ่งนอกจากให้คุณค่าทางโภชนาการแล้วยังรสชาติอร่อยอีกด้วย

                      กินคอลลาเจน

                       

                      สุดท้ายนี้ สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์สมัยใหม่ ที่ใส่ใจสุขภาพ รู้จักเลือกสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีสุขภาพดี แบบคุณแม่ที่อ่านบทความถึงตรงนี้  เมื่อลูกน้อยของคุณแม่ลืมตาดูโลก จนถึงช่วงวัยที่เริ่มเรียนรู้ หากคุณแม่ ช่วยปลูกฝัง เรื่องของการใส่ใจดูแลสุขภาพอย่างที่คุณแม่สนใจ พร้อมแบบอย่างในการเลือกสิ่งที่มีประโยชน์กับสุขภาพตัวเองให้ลูก ลูกจะกลายเป็นเด็กที่มี ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ได้แบบคุณแม่แน่นอนค่ะ

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.omicsonline.org,www.rama.mahidol.ac.th,www.healthline.com,www.naturelcollagen.com

                      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                      อาหารที่มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กและทารก

                      คนท้องกินข้าวแบบไหนดี 6 ข้าวเพื่อสุขภาพ บำรุงครรภ์แม่ ดูแลลูกแข็งแรงตั้งแต่ในท้อง

                      11 Superfood อาหารบํารุงคนท้อง ให้ลูกพัฒนาการดีตั้งแต่ในครรภ์

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        ลูกตั้งคำถาม

                        ลูกตั้งคำถาม อย่าจบแค่ที่คำตอบ โดย พ่อเอก

                        การใส่ใจทุกคำถามของลูกมีความสำคัญมากๆต่อความสนุกสนานในการเรียนรู้ การที่ ลูกตั้งคำถาม มันแสดงว่าลูกอยากเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เรานอกจากจะช่วยหาคำตอบ (หรือถ้าจะให้ดี ตั้งคำถามดีๆ เพื่อให้เขาหาคำตอบเอง อย่างที่ผมเล่าให้ฟังไปตอนที่แล้ว เรื่อง เทคนิคดี สอนให้ลูกคิดเอง หาวิธีแก้ปัญหาเองได้) และที่สำคัญกว่านั้น เราต้องฉีดสารกระตุ้นไปรอบๆ เรื่องที่ลูกถามนั้น แล้วมันจะงอกคำถามใหม่ๆ เกิดความอยากเรียนรู้ใหม่ๆไปเรื่อยๆ

                        เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ครอบครัวเราจัดทริปขับรถเที่ยวประมาณ 1 สัปดาห์ เส้นทาง กรุงเทพฯ-อุตรดิตถ์-น่าน-กำแพงเพชร-กรุงเทพฯ โชคดีที่ทริปเราเกิดขึ้นและจบก่อนที่โควิดรอบนี้จะมา เราจึงเที่ยวได้สนุกโดยไร้กังวล

                        ลูกตั้งคำถาม อย่าจบแค่ที่คำตอบ

                        คุยกับลูกให้สนุก ต่อยอดความคิดไม่รู้จบ

                        เริ่มต้นจากเพลง สู่โลกของหนังฟิล์ม

                        ในระหว่างเส้นทางเราเปิดฟังเพลงไป คุยกันไป แล้วปูนปั้นก็ขอให้ search หาเพลง Cinema Paradiso เพราะในวงออเคสต้าของโรงเรียนเพิ่งเล่นไปและปูนปั้นชอบมาก ซึ่งปูนปั้นก็อยู่ในการแสดงวันนั้น เแต่ไม่ได้เล่นเพลงนี้ ฟังไปได้สักพัก เราก็เล่าให้เขาฟังว่า ภาพยนตร์ชื่อเดียวกับเพลงนี้เป็นภาพยนตร์ที่ดีมากๆ และก็เล่าเรื่องย่อๆ ให้ฟัง จากเพลงมันก็ไปภาพยนตร์ แล้วก็ไปสู่โลกการฉายหนังฟิล์มที่ใช้เป็นม้วน ต้องมีการต่อฟิล์ม ตรงนี้ก็เป็นโลกอีกใบเพราะเด็กสมัยนี้ดูจากไฟล์ที่เป็นดิจิตอล ลูกตั้งคำถาม สารพัดพรั่งพรูออกมา และยาวไปถึงประสบการณ์ดูหนังของป๊าตอนเด็กที่หนังจะมีฟิล์มขาด ต้องรอต่อเพื่อดูต่อ ไปถึงโรงหนังชั้น 2 หนังควบ โรงหนังที่ฉายวนนั่งดูได้ทั้งวัน ไปจนถึงอุบัติเหตุในโรงภาพยนตร์ที่เกิดจากไฟใหม้ฟิล์ม เหมือนจะจบ แต่ไม่จบ อ้าวฟิล์มติดไฟง่ายหรอครับป๊า

                        จากประวัตินักร้อง สู่ประวัติศาสตร์น่ารู้

                        และเมื่อเพลง Cinema Paradiso ก็ยังคงเล่นวนไปมาอีกหลายรอบ แล้วคำถามก็เกิดขึ้นว่า เป็นเพลงของใคร ตรงนี้เราต้องหาคำตอบ ผลคือ เจอชื่อ ของ Ennio Morricone ขึ้นมา ก็เลยได้เรียนรู้ประวัติของเขาว่าเพิ่งจากโลกไปไม่นาน พร้อมทิ้งอัจฉริยะภาพในการประพันธ์เพลงดังๆมากมายที่เราเคยฟัง แต่อาจจะไม่เคยรู้ มาถึงตรงนี้ลูกขอฟังอัลบั้มของ Ennio Morricone และก็ไปสะดุดเพลงต่อมา Here’s to You แล้วก็เริ่มช่วยกันฟังเนื้อ ต่อมาด้วยคำถามว่าแล้วเนื้อหามันเกี่ยวกับอะไร จนมาทราบว่า มันเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อ Sacco & Vanzetti ซึ่งสร้างมาจากเรื่องราวจริงในประวัติศาสตร์ในคดีของ Nicola and Bart ที่เราต้องหามาเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นซึ่งนั่นก็สร้างคำถามการเรียนรู้อีกมากมายระหว่างเส้นทาง

                        จากมิวสิควิดีโอ สู่การเลือกตั้งของอเมริกา

                        เมื่อกลับมาบ้าน เรื่องราวไม่จบแค่นั้น 2-3 วันต่อมาเป็นวันหยุดลูกขอให้เปิดคลิปมิวสิควิดีโอของเพลง Here’s to You เพราะอยากเห็นเรื่องราวของ Nicola and Bart จากนั้นคำถามก็ลุกลามไปสู่เรื่อง การอพยพย้ายถิ่นไปเสี่ยงโชคเพื่อแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าอเมริกาในสมัยก่อน, เรื่องราวการเหยียดผิว, ศาลยุติธรรมในระบบของไทยและของสหรัฐฯ ไปเรื่อยจนถึง การเลือกตั้งของอเมริกา ที่ผมจะต้องเล่าเรื่องการเมืองเพื่อตอบคำถามลูกที่มาเรื่อยๆ เรื่องความแตกต่างของ 2 ขั้ว ระหว่าง พรรคเดโมแครต และ รีพับลิกัน, โดนัลด์ ทรัมป์ มาจากพรรคไหน, โจ ไบเดนมาจากพรรคไหน, ระบบการเลือกตั้งของไทยและอเมริกาต่างกันอย่างไร, ทำไมชนะ Popular Vote แต่อาจจะแพ้ Electoral Vote ผ่าน Electoral College และแพ้เลือกตั้งได้ ไปจนถึงเหตุการณ์ในช่วงที่มีผู้ประท้วงบุกทำเนียบขาวว่าเพราะอะไร

                        เหมือนไม่ได้มาเล่าเรื่องราวการเลี้ยงลูก แต่นั่นคือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ถ้าเด็กสนุก เรื่องราวที่ผมเล่ามันไม่น่าสนุกสำหรับเด็ก (ถ้าผู้ใหญ่คิดไปเอง) แต่ถ้าเราสนุกสนานไปกับการเรียนรู้ด้วยกัน คุณจะได้เห็นเด็กสนุกกับเรื่องราวหลายๆ เรื่องที่ผู้ใหญ่ยังร้องยี้

                        ที่สำคัญ ลูกตั้งคำถาม อย่าจบแค่ที่คำตอบ และต้องเตือนตัวเองว่า เราต้องสนุกและไม่เหนื่อยที่จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ กับลูก เชื่อสิครับว่าผลตอบแทนคุ้มค่า


                        ความฉลาดสามารถสร้างได้ ด้วยอาหารและการเลี้ยงดูที่เหมาะสมของคุณพ่อคุณแม่ การที่คุณพ่อคุณแม่คุยกับลูกเยอะๆ ช่วยกระตุ้นให้ลูกรู้จักคิด รู้จักตั้งคำถาม ได้พูดคุย ได้คุยเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ ล้วนมีผลต่อพัฒนาการด้านสติปัญญา หรือ IQ (Intelligence Quotient) ของเด็ก ซึ่งความ”ฉลาดสมองดี” เป็นหนึ่งใน Power BQ 10 ความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ต้องมี ในการเลี้ยงลูกให้ฉลาดทันโลก สามารถอยู่รอดบนโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาใบนี้ได้อย่างแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ

                        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                        ชวนลูกทำอาหาร “สร้างความมั่นใจ” ติดตัวไปจนโต โดย พ่อเอก

                        6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว โดย พ่อเอก

                        5 เทคนิค อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เริ่มตอนไหน? อ่านยังไง? โดย พ่อเอก

                        แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก โดย พ่อเอก

                        แชร์ประสบการณ์ ฝึกวินัยการกินให้ลูก กินข้าวตรงเวลา โดยพ่อเอก


                        >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                        หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                        ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
                        ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          หน้ากากอนามัยกันโควิด

                          CDC ชี้! หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ดีกว่าวัคซีน

                          ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโควิด-19 ภาพผู้คนสวม หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ทั่วบ้านทั่วเมือง กลายเป็นภาพชินตาไปแล้ว และไม่นานมานี้ วัคซีนป้องกันโควิด-19 ก็ได้ถูกยกให้เป็นความหวังสำคัญของชาวโลก ที่เชื่อกันว่าจะช่วย ยับยั้ง ป้องกัน และหยุดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ในเร็ววัน แต่ล่าสุด มีเรื่องที่ทำให้ทั้งโลกต้องตื่นตัวอีกครั้ง เมื่อมี แพทย์-นักวิทยาศาสตร์ ในสหรัฐอเมริกาเผยว่า หน้ากากอนามัยสามารถป้องกันโควิด-19 ได้ดีกว่าวัคซีนจากทุกบริษัทที่มีการทดลองและผลิตออกมาฉีดให้ประชาชนบางส่วนแล้วระหว่างการใช้ในสถานการณ์เร่งด่วน (EUA)

                          แพทย์มะกันชี้! หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ดีกว่าวัคซีน

                          หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด : หลังจากไวรัสโควิด-19 ระบาด ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างเร่งผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสกันอย่างขะมักเขม้น ซึ่งขณะนี้ สามารถแจกจ่ายวัคซีน และฉีดให้กับประชาชนในช่วงสถานการณ์เร่งด่วน(EUA) แล้ว แต่ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ก็ยังไม่สามารถ เข้าถึงประชากรส่วนใหญ่ของโลกได้ เนื่องจากข้อจำกัดในการผลิต ตลอดจนความสามารถในการฉีดวัคซีนของแต่ละประเทศ

                          ช่วงที่ผ่านมา มาตรการการรณรงค์ให้ผู้คนสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยสร้างความอุ่นใจได้ระดับหนึ่ง ว่าจะสามารถป้องกันไวรัสโควิด-19ได้ดี แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่มีรายงานที่เป็นทางการ ว่าประสิทธิภาพของ หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ได้ดีอย่างไร ขนาดไหน
                          หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด
                          หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด
                          จนล่าสุด ศูนย์ควบคุมและป้องกันการติดเชื้อ ของสหรัฐอเมริกา หรือ CDC โดยผู้อำนวยการศูนย์  Dr. Rochelle P. Walensky ได้กล่าวอ้างอิงถึงผลการวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งได้ทำการศึกษาวิจัย ประสิทธิภาพของหน้ากากอนามัย ในการป้องกันการแพร่ระบาดและการติดเชื้อไวรัสโควิด-19  ซึ่งผลการวิจัย ระบุว่าหน้ากากอนามัย (Surgical mask) นั้นมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 ได้สูงถึง 96.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับ วัคซีน ของ Pfizer ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการป้องกันเชื้อไวรัส โควิด-19 ได้ที่ 95 เปอร์เซนต์ แต่มีข้อแม้ว่า การสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันไวรัสให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ต้องสวมใส่ให้ถูกวิธีด้วย

                          วิธีตรวจสอบว่า สวมหน้ากากได้ถูกต้องหรือไม่

                          • ให้ดูจากกระจก ถ้าหายใจเข้าออกแล้ว หน้ากากมีการขยับแสดงว่าใส่ได้แน่นดีถูกต้องแล้ว
                          • ถ้าหายใจแล้ว หน้ากากไม่ขยับเลย แสดงว่าใส่ไม่ถูกต้อง มีลมเข้าออกทางด้านข้างหรือทางด้านล่างได้ ต้องสวมให้ถูกวิธีต่อไป
                          โดยผู้อำนวยการศูนย์ CDC กล่าวว่า การสวมหน้ากากอนามัยที่กระชับมากขึ้น หรือการสวมหน้ากากผ้าทับบนหน้ากากอนามัย สามารถเพิ่มความคุ้มครองให้กับผู้สวมใส่ และคนอื่น ๆ ได้มากกว่าที่คิด เพราะจะทำให้การแพร่กระจายของไวรัส สามารถลดลงได้ถึง 96.5 เปอร์เซ็นต์ แต่มีข้อแม้ว่า ทั้งผู้ติดเชื้อและผู้ที่ไม่ติดเชื้อ ต้องสวมหน้ากากอนามัยด้วยกันทั้งคู่ ในกรณีสวมเพียงคนใดคนหนึ่ง ประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสก็จะลดลง และในกรณีถ้าสวมใส่ไม่ถูกวิธี มีอากาศเข้าทางด้านข้างได้ ประสิทธิภาพจะลดไปเหลือเพียง 56 เปอร์เซนต์

                          หน้ากากอนามัยกันโควิด

                          นอกจากนี้ CDC ยังไม่แนะนำให้ใช้ เฟซชิลด์ (Face Shield) อย่างเดียว โดยไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย  เพราะการสวม เฟซชิลด์ เพียงอย่างเดียว อากาศจะสามารถเข้าได้ทั้งทางด้านข้างและทางด้านล่าง เมื่อเกิดกรณีเจอคนจาม ในระยะใกล้ เฟซชิลด์ จึงไม่มีความปลอดภัยเพียงพอในการป้องกันไวรัสโควิด-19 เนื่องจากละอองน้ำลาย สามารถ ฟุ้งผ่านเฟซชิลด์เข้ามายังจมูกของเราได้ไม่ยาก

                          สรุป ข้อควรรู้เกี่ยวกับหน้ากากอนามัย

                          •  หน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าที่มีคุณภาพ มีประโยชน์ในการป้องกันโรค ทั้งการติดเชื้อจากผู้อื่น และการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
                          • การใส่หน้ากากอนามัย ให้ถูกต้อง โดยเฉพาะการป้องกันไม่ให้มีอากาศเข้าจากทางด้านข้าง มีความสำคัญต่อประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัส
                          • การใส่หน้ากากอนามัย ในประชากรจำนวนมาก จะช่วยลดการแพร่เชื้อไวรัสได้อย่างมีนัยสำคัญ
                          • การลดการแพร่เชื้ออย่างมีนัยสำคัญ จะทำให้ไวรัสกลายพันธุ์เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.nytimes.com,www.interestingengineering.com,www.womenshealthmag.com,ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย

                          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                          เตือนใส่ หน้ากากอนามัยเด็ก -เบบี๋อันตรายมากกว่าป้องกัน

                          ญี่ปุ่นเผย! หน้ากากอนามัยแบบผ้า ให้ลูกใช้สีไหนดีที่สุด

                          5 เทคนิคสอนลูกใส่ หน้ากากอนามัย ป้องกันโรค ป้องกันฝุ่น ให้ได้ผล

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            พัฒนาการล่าช้า

                            คุณพ่อแชร์ ลูกพัฒนาการล่าช้า เพราะโดนเลี้ยงหน้าจอทีวี

                            ปัญหา ลูกพัฒนาการล่าช้า คงเป็นเรื่องที่ไม่มีพ่อแม่คนไหน อยากให้เกิดกับลูกรัก ที่เปรียบเสมือนหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัว แต่หากเกิดขึ้นแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจและยอมรับ และปรับตัวให้ได้ เพื่อร่วมกันหาทางออก และข้อตกลงร่วมกันกับคนในครอบครัวถึงแนวทางปฎิบัติที่เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมแบบเดียวกัน ในการช่วยพัฒนา พัฒนาการของลูก ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                            คุณพ่อแชร์ ลูกพัฒนาการล่าช้า เพราะโดนเลี้ยงหน้าจอทีวี

                            เมื่อ ลูกพัฒนาการล่าช้า เขาจะขาดความสามารถในการทำหน้าที่ในเรื่องวุฒิภาวะ ของทั้งอวัยวะ และระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงความสามารถระดับตัวบุคคล โดยเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า จะไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ที่มีความซับซ้อน หรือที่ค่อนข้างยากได้ด้วยตัวเองตามวัยที่ควรจะเป็น ซึ่งพ่อแม่ควรหมั่นสังเกตลูก ว่ามี พัฒนาการล่าช้า กว่าเพื่อนๆ วัยเดียวกันหรือไม่ เพื่อจะได้รีบทำการรักษาได้ทัน เพราะหากปล่อยไว้นาน จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในอนาคตของเด็กได้ค่ะ

                            มาเข้าเรื่องที่เราจะนำมาถ่ายทอดวันนี้กันค่ะ  เป็นประเด็นเกี่ยวกับคุณพ่อที่มี ลูกพัฒนาการล่าช้า ซึ่งได้รับความยินยอมจากคุณพ่อของ น้องเวลา อายุ 3 ขวบ 4 เดือน  ให้สามารถนำเรื่องมาเผยแพร่ได้ โดยคุณพ่อบอกกับทีมงานว่า ต้องการให้เป็นวิทยาทาน และเพื่อเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ให้กับคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่น ที่อาจกำลังเผชิญปัญหาเดียวกัน หรือ คุณพ่อคุณแม่ที่คิดว่าลูกอาจจะประสบปัญหานี้อยู่ จะได้ทราบลักษณะอาการของเด็กที่มีพัฒนาการช้าได้ เรามาร่วมติดตามอ่านเรื่องราวนี้ไปพร้อมกันเลยค่ะ

                            โดยคุณพ่อเจ้าของเรื่อง ได้โพสต์ประสบการณ์ส่วนตัว ลงในกลุ่มเฟซบุ๊ค “ห้องนั่งเล่นพ่อแม่” เนื้อหา ดังนี้

                            เริ่มจัดการลูกยังไง หลังจากรู้ว่า ลูกพัฒนาการช้า?

                            ” ปัญหาพัฒนาการช้าของเด็ก จริงๆ ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นเรื่องที่พ่อแม่คงไม่อยากให้มีใครเกิดกับลูกตัวเองหรอก จริงไหมครับ
                            แต่ว่าพอมันเกิดขึ้นแล้วเราจะแก้ไขยังไงได้บ้าง ผมขอเขียนในส่วนที่น้องเป็นนะครับ เพราะพัฒนาการช้าของเด็กมีหลายสาเหตุมาก
                            และแต่ละคนก็อาการต่างกัน ส่วนของน้องคือ น้องพูดช้า ไม่พูด พูดและร้องแต่เมโลดี้เพลงการ์ตูนจากการที่โดนเลี้ยงอยู่หน้าจอทีวีนั่นเอง
                            หลังจากที่รู้ว่าน้องเป็นพัฒนาการช้า สิ่งแรกที่อยากแนะนำให้คนเป็นพ่อแม่ทำก่อนคือ …ตั้งสติและยอมรับความจริง รวมถึงอธิบายให้ปู่ย่าตายายได้เข้าใจด้วย 
                            ไม่งั้นเราจะมีคำพูดว่า เดี๋ยวก็พูด เด็กผู้ชายพูดช้าเองบางคนหนักขนาดให้เอากบ เอาเขียด ตบปากตามความเชื่อคนโบราณก็มี
                            บ้านนี้มีปัญหาเรื่อง คุณตาน้อง ตอนแรกไม่ยอมรับว่าหลานผิดปรกติ
                            และ ไม่ค่อยพอใจที่เอาหลานไปหาหมอ จนเกิดเหตุการณ์อาละวาดใส่แม่เค้าที่ไปเสียงดังใส่หลาน จนต้องเชิญแยกบ้านกลับไปต่างจังหวัดก่อน
                            เพราะไม่งั้นเราจะฝึกพัฒนาการลูกไม่ได้เลย เนื่องจากคนแก่ไม่โอเค 555+
                            ลูกพัฒนาการช้า
                            ลูกพัฒนาการช้า

                            เริ่มด้วยการปรับพฤติกรรมลูกก่อน

                            เริ่มกระบวนการฝึกหลังจากพาไปหาหมอ คือ ปรับพฤติกรรมก่อน เพราะน้องโดนเลี้ยงมาแบบตามใจมาก ไม่ให้ช่วยเหลือตัวเอง กินข้าวเองไม่ได้
                            เพราะตายายป้อนให้ตลอด กินข้าวไม่เป็นที่ ต้องตามป้อน และไม่ทำอะไรเองเลย
                            ขั้นแรก ปรับพฤติกรรม ให้นั่งกินข้าวเป็นที่ ให้กินข้าวเอง ให้ช่วยเหลือตัวเองง่ายๆ เช่น ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำเอง รื้อของเล่น ก็ให้เก็บเอง เป็นต้น
                            โดยช่วงแรก ให้งดดูสื่อเด็ดขาดประมาณ 3 เดือน แล้วค่อยๆ ใส่คำศัพท์ให้เค้า โดยเล่นการ์ดบ้าง เล่นของเล่นบ้าง เพราะตอนแรกน้องนี่เหมือนคนหูหนวก
                            ฟังไม่เข้าใจ ทำตามคำสั่งไม่ได้ ไม่เข้าใจสิ่งที่พ่อแม่พูดจนเริ่มเข้าใจทำตามคำสั่งได้ ช่วยเหลือตัวเองได้คล่อง ทำสิ่งที่มอบหมายให้ทำได้ดี
                            เช่น เก็บของเข้าชั้น กินข้าวเองได้ ตอนหลังเริ่มให้ดูการ์ตูนบ้าง แต่สร้างเงื่อนไขและจำกัดเวลาดู เช่น ก่อนจะดูต้องเล่นกิจกรรมฝึกคำศัพท์ก่อน
                            หรือ ให้มาเล่นกระตุ้นพัฒนาการกันก่อน ซึ่งการปรับตัวไม่ใช่แค่น้อง แต่พ่อกับแม่ก็ต้องวางแผนในการทำหน้าที่ด้วยเช่นกัน ซึ่งบ้านนี้อยู่กัน 3 คน พ่อ แม่ ลูก
                            แบ่งหน้าที่กัน คือ พ่อทำงานหาเงินเป็นหลัก ทั้งธุรกิจส่วนตัว และ ไปทำงานเป็นพาทเนอร์ให้บริษัทอีก 2-3 บริษัท ซึ่งเวลาว่างจะไม่ค่อยมี
                            เพราะทำงานตั้งแต่ ตี 5 ยัน 4-5 ทุ่มทุกวัน มีหน้าที่หาเงินซัพพอต และไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับน้องเท่าไหร่ จะว่างช่วงก่อนนอนที่เล่นกับน้องบ้าง
                            หน้าที่หลักในการดูแลน้องจึงอยู่กับแม่ แม่เป็นคนฝึกทุกอย่างทั้งทำกิจกรรม เป็นเพื่อนเล่น ดูแลอาหารการกิน แม่อยากได้อะไรมีหน้าที่บอกพ่ออย่างเดียว 😂😂

                            ลูกพัฒนาการช้า

                            พ่อแม่ต้องทำงานร่วมกัน เป็นทีมเวิร์ค

                            เข้าสู่กระบวนการ รักษามาประมาณ 6 เดือน น้องก็ดีขึ้นตามลำดับ มีวินัย ช่วยเหลือตัวเองได้ เริ่มสื่อสารกับพ่อแม่ ก็ถือว่าน่าชื่นใจ
                            สิ่งสำคัญที่ผมบอกกับแม่น้องคือ การรักษาลูกต้องใช้เวลา เพราะกว่าลูกจะเป็นแบบนี้ก็ใช้เวลา เพราะฉะนั้นการรักษาต้องใช้เวลาแน่นอน และต้องไม่เครียดกับมัน
                            ซึ่งตอนแรกบอกตรงๆ ก็เครียดนะ ทั้งพ่อและแม่ แต่พอเครียดก็ไม่ได้ช่วยให้น้องดีขึ้น เลยตั้งสติใหม่ค่อยๆ เป็นไปตามธรรมชาติ
                            และข้อสำคัญการฝึกพัฒนาการของลูก พ่อกับแม่ ต้องเล่นกันเป็นทีมเวิร์ค คนนึงฝึก คนนึงต้องซัพพอร์ต ลูกถึงจะค่อยๆ ดีขึ้นและพ่อแม่จะไม่เครียดด้วย
                            ส่วน พ่อแม่ ก็ไม่ต้องไปคาดหวังว่าลูกจะต้องหายไวๆ และ มุ่งมั่นกับลูกจนลืมตัวเองไปนะ ชีวิตเราก็ต้องการความสุขเช่นเดียวกัน ถ้าเราเครียด ยิ่งจะส่งผลกับลูก
                            ทั้งโดยตรงและทางอ้อม 

                            สรุปพัฒนาการของน้อง หลังจากเริ่มการกระตุ้นพัฒนาการ

                            1. ฟังคำสั่งได้รู้เรื่อง
                            2. ช่วยเหลือตัวเองได้ดี
                            3. เลิกเแพมเพิสได้ เข้าห้องน้ำได้
                            4. พูดเป็นคำบางคำได้ พยายามที่ออกเสียงเป็นคำ
                            ตอนนี้เลยเริ่มมองหาโรงเรียนที่เน้นกิจกรรมให้น้องได้ไปจอยลองเรียนดูก็ไม่รู้จะเป็นยังไง 😅กระตุ้นพัฒนาการลูกต้องใจเย็นๆ ครับ ถึงแม้บางทีอยากจะว๊ากลูกวันละหลายหนก็ตาม 555+ สู้ๆ ครับ มนุษย์พ่อ มนุษย์แม่ “
                            จากเรื่องราวของคุณพ่อ ต้องบอกเลยว่า คุณพ่อมีแนวคิดในการจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองที่อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนเป็นพ่อแม่ได้ค่อนข้างดี ทั้งยังมีความอดทนและใจเย็นต่อการปรับพฤติกรรมของลูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้พัฒนาการของลูกดีขึ้นได้เป็นลำดับ ทางทีมงานต้องขอชื่นชมคุณพ่อมา ณ โอกาสนี้ และขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณพ่อเป็นเด็กที่ร่าเริง แจ่มใส มีความสุข และ เก่งสมวัย ในเร็ววันค่ะ
                            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : Sumeth Phudarat,กรุ๊ปห้องนั่งเล่นพ่อแม่

                            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                            ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย พัฒนาการลูกจะเป็นอย่างไร อันตรายไหม

                            4 ข้อควรคำนึง เล่นกับลูก ให้สนุก-ปลอดภัย ช่วยลูกมีพัฒนาการที่ดีได้

                            ไทรอยด์เป็นพิษ ลูกเป็นแต่เล็ก ส่งผลต่อพัฒนาการล่าช้า

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              อุบัติเหตุบนถนน

                              3ข้อเตือนใจแม่! อุบัติเหตุบนถนน ที่มักเกิดขึ้นกับลูก

                              ขึ้นชื่อว่า อุบัติเหตุบนถนน แน่นอน ว่าคงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง และคนในครอบครัว แต่หากว่าเราประมาทเลินเล่อ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นได้เสมอ อย่างเหตุการณ์สลด ล่าสุด ที่มีคุณแม่ อุ้มลูกน้อย ขี่มอเตอร์ไซค์ มือเดียว เกิดเสียหลักควบคุมรถไม่อยู่ พุ่งชนต้นไม้ เป็นเหตุให้คุณแม่ท่านนี้เสียชีวิต ส่วนลูกได้รับบาดเจ็บสาหัส  จากเหตุการณ์นี้ น่าจะเป็นข้อเตือนใจให้พ่อแม่ ได้ตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของลูก ซึ่งการดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของลูกอย่างใกล้ชิด และการให้ลูกได้ใช้อุปกรณ์นิรภัยทุกครั้งที่เดินทางจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยลดการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุได้สูงมากเลยละค่ะ

                              3ข้อเตือนใจแม่! อุบัติเหตุบนถนน ที่มักเกิดขึ้นกับลูก

                              เรียกว่าเป็น อุทาหรณ์ เตือนใจ อีกหนึ่งเหตุการณ์ อุบัติเหตุบนถนน จากกรณีคุณแม่ วัย 27 ปี และลูกวัย 1 ขวบ ประสบอุบัติเหตุ ขี่รถจักรยานยนต์ชนต้นไม้มีผู้เสียชีวิต จากพยานที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ผู้ที่เสียชีวิตชอบนำลูกนั่งด้านหน้าเวลาขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นประจำ โดยผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่าผู้เสียชีวิตใช้มือซ้ายประคองตัวเด็ก ไปพร้อมกับขี่จักรยานยนต์ แต่คาดว่าคงเกิดการเสียหลัก และไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ ก่อนที่จะพลาดท่าวิ่งไปชนกับต้นไม้อย่างจัง จนตัวเองเสียชีวิต ส่วนลูกชายถูกรถจักรยานยนต์ทับสลบหมดสติ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน

                              อุบัติเหตุบนถนน
                              อุบัติเหตุบนถนน (ภาพประกอบบทความ)

                              นี่ไม่ใช่อุทาหรณ์ครั้งแรกที่เกิดขึ้น และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย แต่เราสามารถป้องกันเหตุร้าย ไม่ให้เกิดขึ้นได้ หากเราใส่ใจที่จะระวังตัวสักหน่อย โดยเฉพาะคนที่มีลูกเล็กๆ ไปจนถึงวัยซุกซน  หนึ่งในสิ่งสำคัญ ที่เราต้องมอบให้กับลูก  คือ ความปลอดภัยในชีวิตของลูก เพราะลูกยังไม่รู้จักวิธีป้องกันตัวเอง จากอันตรายต่างๆ เพราะฉะนั้นเราควรพึงระลึกไว้เสมอ ว่าความปลอดภัยของลูกขึ้นอยู่กับความไม่ประมาทของเราค่ะ

                              รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผอ.ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า ในแต่ละปี อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ รถยนต์ และการถูกรถชน นั้น ทำให้เด็กเล็กเสียชีวิต สูงเป็นอันดับสอง เป็นรองเพียงการจมน้ำ เท่านั้น โดยในแต่ละปี มีเด็กเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เฉลี่ย ปีละ 2,600 คน และอีกกว่า 72,000 คน ที่ต้องได้รับบาดเจ็บและกลายเป็นผู้พิการ

                              อุบัติเหตุ จากการใช้รถใช้ถนน ที่แม่ต้องระวัง! 

                              1. กรณีโดยสารรถจักรยานยนต์

                              ความจริงแล้ว เราไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยสารรถจักรยานยนต์ เพราะเด็กมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะได้รับบาดเจ็บรุนแรง และมีผลกระทบต่อร่างกายตลอดทั้งชีวิต แต่หากมีความจำเป็นจริงๆ ควรใช้เป้ หรือถุงจิงโจ้ ที่สามารถรองรับน้ำหนักเด็กได้อย่างปลอดภัย พร้อมใช้มือประคองลำตัวเด็ก (กรณีคนซ้อนท้าย) แต่ต้องระวังไม่ให้ชายผ้าเกี่ยวเข้าไปซี่ล้อรถ ซึ่งผู้โดยสารที่เป็นเด็กอายุ 3-5 ปี  เมื่อต้องโดยสารรถจักรยานยนต์ ควรอยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่ ควรให้เด็กสวมหมวกนิรภัยที่มีขนาดพอดีกับศีรษะ และคาดสายรัดคางให้กระชับเสมอ นอกจากนี้ กรณีเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์เพียงสองคนกับเด็ก ควรให้เด็กนั่งอยู่หน้าผู้ใหญ่ ที่ด้านหน้าของผู้ขับขี่เท่านั้น

                              มีการเปิดเผยสถิติ พบว่าเด็กไทยประมาณ 1 ล้าน 3 แสนคน ที่เดินทางด้วยรถจักรยานยนต์ แต่มีเพียงร้อยละ 7 เท่านั้นที่สวมหมวกนิรภัยขณะโดยสารรถจักรยานยนต์   ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กได้รับอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต และบาดเจ็บ

                              ทั้งนี้ งานวิจัยโดยศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ระบุว่า การสวมหมวกกันน็อกช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตเนื่องจากการบาดเจ็บที่ศีรษะในผู้ขับขี่ได้ 43 % และผู้ซ้อนท้าย 58%

                              แม่ต้องระวัง

                              2. กรณีโดยสารรถยนต์ 

                              ทุกครั้งที่ต้องพาลูกเดินทางโดยรถยนต์ คุณพ่อคุณแม่ ควรจัดหาที่นั่งนิรภัยที่มีขนาดเหมาะสมกับวัย รูปร่าง และส่วนสูงของลูก โดยยึดติดไว้บริเวณเบาะด้านหลังรถ และคาดสายรัดที่นั่งนิรภัยให้กระชับตัวลูก หากไม่มีที่นั่งนิรภัย ควรให้ลูกนั่งบริเวณเบาะหลังรถค่อนไปด้านใดด้านหนึ่ง ที่สำคัญ ไม่ควรให้ลูกนั่งด้านหน้าข้างคนขับ เพียงลำพังโดยไม่มีอุปกรณ์นิรภัย และ ห้ามให้ลูกนั่งตักขณะขับรถ ตลอดจนไม่ควรให้ลูกคาดเข็มขัดนิรภัยเส้นเดียวกับผู้ใหญ่ เพราะหากประสบอุบัติเหตุเด็กจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง

                               

                              แม่ต้องระวัง

                              3. กรณีพาลูกเดินข้ามถนน

                              บ่อยครั้งที่มักเกิดอุบัติเหตุกับเด็กขณะข้ามถนน หรือเดินบริเวณริมถนน ทำให้เด็กถูกรถชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ ดังนั้น เราสามารถพาลูกเดินข้ามถนน และเดินบริเวณริมถนนอย่างปลอดภัย ดังนี้

                              • จูงมือเด็กให้แน่น  โดยให้เด็ก เดินบนทางเท้าชิดขอบหรือด้านในถนน ในลักษณะเดินเรียงเดี่ยวสวนทางกับรถที่วิ่งมา 
                              • ไม่ให้เด็กประกอบกิจกรรมอื่นขณะอยู่บริเวณริมถนน  อาทิ วิ่งเล่น หยอกล้อกัน เล่นเกม เพราะเสี่ยงต่อการถูกรถชนได้
                              • พาเด็กข้ามถนนในบริเวณที่ปลอดภัย อาทิ ทางม้าลาย สะพานลอย อุโมงค์ทางลอด บริเวณที่มีสัญญาณไฟจราจรสำหรับคนข้าม หรือมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวก
                              • พาเด็กข้ามถนนบนฟุตบาท  พร้อมมองให้รอบด้าน เมื่อรถจอดสนิทหรืออยู่ในระยะไกลจึงค่อยพาเด็กข้ามถนน โดยให้เด็กอยู่คนละฝั่งกับรถที่วิ่งมา แต่ต้องระวังรถที่ขับแซงขึ้นมา อาจทำให้เด็กถูกรถชนได้
                              • ไม่ให้เด็กข้ามถนนตามลำพัง เพราะเด็กไม่สามารถกะระยะห่างที่ปลอดภัย ระหว่างตัวเองกับรถที่วิ่งมา
                              • ไม่พาเด็กวิ่งตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด เพราะหากเด็กเสียหลักหรือสะดุดล้ม อาจทำให้ถูกรถชนได้
                              • ไม่พาเด็กข้ามถนนบริเวณที่มีสิ่งบดบัง อาทิ ท้ายรถประจำทาง ปากซอยที่มีรถจอดขวาง เพราะผู้ขับขี่อาจมองไม่เห็น ทำให้ถูกรถชนได้
                              • กรณีพาเด็กเดินหรือข้ามถนนในช่วงเวลากลางคืน หรือบริเวณเส้นทางที่มีทัศนวิสัยไม่ดี ควรให้เด็กสวมใส่เสื้อผ้าสีสว่าง พร้อมเปิดไฟฉายส่องทาง  จะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้จากระยะไกล และเพิ่มความปลอดภัยในการเดินข้ามถนนและเดินบริเวณริมถนนของเด็กได้

                              เรื่องการระวังอุบัติเหตุต่างๆ ที่กล่าวมาทั้ง 3 กรณี ข้างต้น สำหรับ เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไป พ่อแม่อย่างเราสามารถสอนทักษะความปลอดภัยให้เขา เพื่อปลูกฝังให้ลูกรู้จักทักษะการระมัดระวังอุบัติเหตุ ด้วยตัวเอง เช่น ต้องไม่วิ่งเล่นบนถนนที่มีรถวิ่งไปมา ต้องข้ามถนนตรงทางที่กำหนดไว้ เวลานั่งรถจักรยานยนต์รับจ้าง ต้องใส่หมวกนิรภัย หรือ นั่งรถยนต์ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ต้องสอนให้เด็กเข้าใจเหตุผลและสามารถปฏิบัติได้ หากเราไม่สอนหรือทำตัวอย่างไม่ดี ลูกก็จะไม่ปฏิบัติตามค่ะ ทั้งนี้หากเราปลูกฝังและเป็นตัวอย่างที่ดี ลูกจะเป็นเด็กที่มีความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ทั้งความฉลาดในการคิดเป็น (TQ) และ ความฉลาดดูแลรักษาสุขภาพ (HQ) สามารถป้องกันตัวเองให้ห่างไกลโรค ภัย ได้ค่ะ

                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.news.ch7.com,wwwthailand.savethechildren.net,www.thaihealth.or.th

                              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              4 อุบัติเหตุไม่คาดฝันในบ้าน พ่อแม่ห้ามประมาท

                              อุบัติเหตุบนรถไฟฟ้า ที่พ่อแม่ควรระวัง

                              เจ้าหนูวัย 8 ขวบ ควรระวังอุบัติเหตุจากอะไรบ้าง

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                8 ข้อผิดพลาดของพ่อแม่ สาเหตุลูกฟันผุ ก่อนวัยอันควร

                                สาเหตุลูกฟันผุ มีอยู่หลายข้อด้วยกัน คุณพ่อคุณแม่หลายคน อาจคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ ลูกอาจฟันผุได้บ้าง  แต่จริงๆ  ด้วยวัยเพียงเท่านี้ ลูกควรมีสุขภาพโดยรวมที่ดี ได้เล่นอย่างมีความสุข ไม่ต้องมาทุกข์ทรมานกับ อาการต่างๆ ที่เกิดจากฟันผุ ทั้งปวดฟัน เหงือกบวม ฟันล้ม ติดเชื้อจากฟันผุ ซึ่งทั้งหมดเกิดจากการที่ปล่อยให้ลูกฟันผุเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษา ซึ่งปัญหานี้สามารถป้องกันก่อนเกิดได้ ถ้าพ่อแม่หันมาทำความเข้าใจถึงสาเหตุ ตลอดจนให้ความสำคัญกับกิจวัตรประจำวันที่บ้านของลูกที่อาจส่งผลให้ลูกฟันผุได้ค่ะ

                                8 ข้อผิดพลาดของพ่อแม่ สาเหตุลูกฟันผุ ก่อนวัยอันควร

                                สาเหตุที่ทำให้ลูกฟันผุนั้นไม่ได้มาจากแค่การรักษาความสะอาดทางช่องปากไม่ทั่วถึงเสมอไป  แต่ยังมาจากสาเหตุเหล่านี้ อีกด้วยนะคะ ลองเช็คดูว่าเราทำแบบนี้ อยู่หรือเปล่า?

                                1. ให้ลูกกินวิตามินเหนียว บ่อยเกินไป 

                                การให้ลูก ทานวิตามินเหนียวรสอร่อย หลากสีสัน บ่อยๆ ไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะมัน คือปัจจัยสำคัญที่ ทำให้ลูกฝันผุได้ ในวิตามินเหนียวแต่ละเม็ด มี น้ำตาลมากถึง  2-3 กรัม ซึ่งส่งผลให้ฟันผุได้ถ้าทานเป็นประจำและไม่ได้รับการดูแลความสะอาดช่องปากที่ดีพอ 

                                ทำให้ลูกฟันผุ

                                2. ไม่จำกัด ความถี่ ในการทานขนมกรุบกรอบ 

                                คุณพ่อคุณแม่หลายคน อาจคิดว่า ขนมกรุบกรอบ เช่น แคร๊กเกอร์ เพรทเซล ไมใช่ สาเหตุลูกฟันผุ แต่ขนมพวกนี้ล้วนเป็นคาร์โบไฮเดรต ที่สามารถย่อยสลายเป็นน้ำตาลได้ ซึ่งสามารถส่งผลเสียโดยตรงต่อปัญหาสุขภาพฟัน  เพราะฉะนั้น ควร จำกัด ความถี่ ในการให้ทานขนมเหล่านี้ ของลูกค่ะ

                                 3.ให้ลูก ดื่มน้ำผลไม้  หรือ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลจนเคยชิน

                                การปล่อยให้ลูกดื่มน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มกีฬา ตลอดเวลา  ส่งผลเสียได้มากกว่าที่เราคิด ส่วนใหญ่น้ำพวกนี้ใน 1 ขวด จะปริมาณน้ำตาลมากกว่า 30 กรัมขึ้นไป  ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอต่อการ ทำให้ลูกฟันผุได้ ทางที่ดี ควรจำกัด การดื่มน้ำผลไม้ของลูก ให้เหลือเพียง 4 ออนซ์ ต่อวัน หรือน้อยกว่า และควรให้ลูกดื่มได้ ในช่วงเวลาอาหารเท่านั้น ที่สำคัญ ไม่ควรเติมน้ำตาลเพิ่มลงในจานอาหารของลูกด้วยค่ะ

                                4. ปล่อยให้ลูกหลับคาขวดนม 

                                นมแม่ และนมผสม ต่างๆ นั้นมีน้ำตาลแลคโตส เป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นน้ำตาลธรรมชาติ  หากสะสมอยู่ในช่องปากหรือตามซอกฟันเป็นระยะเวลานานอาจทำให้ฟันผุรุนแรงได้ ทางที่ดีควรให้ลูกเลิกขวดเมื่อลูกอายุ ประมาณ  1 ขวบ (12-18 เดือน) นอกจากนี้ ควรปลูกฝัง และสอนให้ลูกดูดขวดที่ใส่น้ำเปล่าเท่านั้น เนื่องจากเด็กวัยนี้อาจยังต้องการการดูดขวดเพื่อความสบายใจหรือผ่อนคลายก่อนจะนอนหลับ

                                5. ใช้ยาสีฟันในปริมาณมากเกินไป 

                                การใส่ยาสีฟันให้ลูกเยอะเกินไป ส่งผลเสียได้มากกว่าที่เราคิด ทางที่ดี ควรจำกัด ปริมาณยาสีฟันเด็กที่ใช้กับลูก สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ให้ใส่ยาสีฟันปริมาณเท่าข้าวเม็ดเล็ก ๆ  และ ประมาณเมล็ดถั่วขนาดเล็ก สำหรับเด็ก 4 ขวบขึ้นไป ซึ่งแปรงสีฟันบางชนิด มีตัวบ่งชี้สีน้ำเงินบนขนแปรง เพื่อให้รู้ปริมาณยาสีฟัน ที่เหมาะสมสำหรับเด็ก

                                สาเหตุลูกฟันผุ
                                สาเหตุลูกฟันผุ

                                6. ปล่อยให้ลูก แปรงฟันด้วยตัวเอง 

                                พ่อแม่หลายคนคิดว่าลูกอายุ 2-3 ขวบ จะสามารถแปรงฟันด้วยตัวเองได้ แต่ด้วยวัยของเขา ลูกยังไม่เข้าใจและอาจทำได้ไม่ดีพอค่ะ ถ้าลูกยังต้องการที่จะแปรงฟันเอง เราอาจบอกเด็ก ๆ ว่า “ ลูกสามารถแปรงฟันเอง ถ้าผูกเชือกรองเท้าเองได้”  ทั้งนี้ ก็เพราะเมื่อ เด็กมีความชำนาญในการผูกเชือกรองเท้าของตัวเอง นั่นก็หมายถึงพวกเขามีความชำนาญ และสามารถในการแปรงฟันได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน  ทั้งนี้ เนื่องจากเคลือบฟันของฟันน้ำนมในเด็ก นั้นมีความหนาเพียงครึ่งหนึ่งของฟันเท่านั้น เมื่อเด็กเริ่มกินอาหารได้ เศษอาหารจะติดตามซอกฟัน หากไม่ได้รับการแปรงฟันอย่างถูกวิธี จะทำให้สิ่งสกปรกเหล่านั้นสะสมไปเรื่อย ๆ แบคทีเรียจะเติบโต กลายเป็นกรด ไปกัดชั้นเคลือบฟันจนหมดไป เมื่อเคลือบฟันหมด แบคทีเรียก็จะกัดชั้นฟันของเด็ก ๆ จนทำให้เด็กฟันผุได้ง่ายๆ เลยละค่ะ

                                7. ละเลยการใช้ไหมขัดฟันให้ลูก 

                                คุณพ่อคุณแม่อาจไม่แน่ใจว่าจะใช่ไหมขัดฟันกับลูกได้หรือไม่ จริงๆ แล้ว เราสามารถใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดตามซอกฟันให้ลูก เมื่อลูกเริ่มมีฟันสองซี่ ที่สบกันได้ หรือ ใช้ไหมขัดฟันเมื่อแปรงสีฟันไม่สามารถทำความสะอาดระหว่างร่องฟันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟันกรามด้านหลังเริ่มสบกัน  ไหมขัดฟันจะช่วยทำความสะอาดบริเวณซอกฟันที่ขนแปรงสีฟันเข้าไม่ถึง นอกจากนี้การใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ อย่างถูกต้อง จะช่วยลดการเกิดฟันผุที่ซอกฟันได้ค่ะ ควรใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพราะคราบขี้ฟันจะพอกพูนเกาะฟันภายใน 24 ชั่วโมง โดยทั่วไปเด็กจะสามารถใช้ไหมขัดฟันได้เองอย่างมีประสิทธิภาพ เมื่ออายุประมาณ 11 ปี แต่ถ้าหากต้องใช้ไหมขัดฟันในอายุที่น้อยกว่า 11 ปี ผู้ปกครองควรดูแลและแนะนำให้ใช้อย่างถูกต้อง 

                                แปรงฟันแห้ง ช่วยป้องกัน ลูกฟันผุได้จริง (มีคลิป)

                                หมอฟันอึ้ง! เด็ก 3 ขวบ ฟันผุแทบหมดปาก มาดูกันว่าเป็นเพราะอะไร..

                                ลูกแทบไม่กินลูกอม ทำไมถึงยังฟันผุ?

                                สาเหตุลูกฟันผุ

                                8. ละเลยการพาลูกไปพบหมอฟัน 

                                พ่อแม่หลายคนอาจคิดว่า รอจนลูกถึงอายุ 3 ขวบ ถึงจะเริ่มพาลูกไปพบทันตแพทย์  ความจริงแล้ว ควรพาลูก ไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก เมื่อลูก อายุครบ  1 ขวบ ค่ะ เพราะจะช่วยลดโอกาสที่ทำให้ลูกฟันผุ ในวัยเด็กได้ การพาลูกไปพบทันตแพทย์ตั้งแต่อายุยังน้อย จะทำให้พวกเขา เคยชิน ว่าการพบหมอฟัน นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว นอกจากนั้นยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีสำหรับการการรักษาต่อไปในอนาคต  มีผลการวิจัย พบว่า หากเด็กได้รับการตรวจป้องกันด้านทัตกรรม 4 ครั้ง เมื่ออายุ 3 ขวบ จะช่วยลดโอกาสเกิดเกิดโรคฟันผุในเด็กปฐมวัยได้อย่างมาก 

                                เมื่อคุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติตาม 8 ข้อข้างต้น มั่นใจได้เลยค่ะ ว่าปัญหาลูกฟันผุ ก่อนวัยอันควรจะไม่เกิดขึ้น  ทั้งนี้ การปลูกฝังให้ลูกได้รู้ถึง การดูแลเอาใจใส่เรื่องสุขภาพช่องปากตั้งแต่ยังเล็ก ถือ เป็นการส่งเสริมให้ลูกรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดี เพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรง และเป็นการเสริมสร้าง ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ(HQ) ด้วย Power BQ  ให้กับลูกอีกด้วย เพื่อที่ลูกจะได้เติบโตขึ้นไปเป็นเด็กที่มีสุขภาพดี ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และยิ้มฟันขาวได้อย่างมั่นใจค่ะ

                                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.wishtv.com

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                ระวัง! ลูกฟันผุ แน่! หากพ่อแม่ปล่อยให้ดูดนมขวดกลางดึก

                                เคล็ด(ไม่)ลับ..ลูกน้อยฟันแข็งแรง ไม่มีฟันผุ ตั้งแต่ฟันซี่แรก

                                ผลวิจัยชี้!ใช้ไหมขัดฟันก่อนแปรงฟันลดเสี่ยง เหงือกอักเสบ

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  โควิดอาการ หลังหายยังน่าห่วง

                                  โควิดอาการ หลังหายแล้วยังน่าห่วงทั้งระบบหายใจ-ผมร่วง!

                                  ญี่ปุ่นเตือนผู้ติดเชื้อโควิด-19หลังหายแล้ว อาจมีผลต่อสุขภาพระยะยาว ผู้ที่เคยติดเชื้อ โควิดอาการ มีทั้งหายใจลำบาก รับกลิ่นบกพร่อง จนถึงผมร่วงได้แม้หายแล้ว

                                  โควิดอาการ หลังหายแล้วยังน่าห่วง..ทั้งระบบหายใจ-ผมร่วง!

                                  โลกในปัจจุบันมีเรื่องให้ต้องระมัดระวังกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภัยรายวันจากผู้ไม่ประสงค์ดี ปัญหาสุขภาพทั้งโรคยอดฮิตที่มีอยู่เดิม ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคหวัด หรือไข้เลือดออก เป็นต้น และที่สำคัญที่สุดในยุคที่หันไปทางไหนก็ต่างหวาดระแวงกลัวติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) นั้น จึงเป็นเรื่องที่จะไม่กล่าวถึงมิได้เลย การป้องกันระมัดระวังทั้งตนเอง และครอบครัวอันเป็นที่รักของแม่ ๆ อย่างเราที่ว่ายากลำบากแล้ว รู้หรือไม่?…ว่าหลังจากหายจากโควิดอาการ ยังคงมีหลงเหลือเป็นที่น่ากังวลไม่น้อยเลยทีเดียว โดยแพทย์ญี่ปุ่นได้ออกมาระบุว่าจากการเก็บผลสำรวจผู้หายจากอาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ไม่ว่าผู้ติดเชื้อนั้นจะป่วยเป็นโควิดอาการหนัก หรือไม่ก็ตาม หลังจากการติดเชื้อยังคงส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยในระยะยาวต่อไปอีกด้วย จึงทำให้น่าเป็นห่วงสำหรับคนที่มีอายุน้อย เช่น วัยหนุ่มสาว ที่ยังต้องต้องการความสมบูรณ์ของร่างกายเพื่อใช้ชีวิตต่อไป

                                  ผู้ป่วยโควิดอาการ หลังหายยังน่าห่วง
                                  ผู้ป่วยโควิดอาการ หลังหายยังน่าห่วง
                                  แพทย์ญี่ปุ่นเตือนผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด อาจได้รับผลกระทบทางร่างกายเป็นเวลานาน โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว มีทั้งอาการหายใจลำบาก ไม่สบาย การรับกลิ่นบกพร่อง ไปจนถึง “ผมร่วง

                                  สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงาน โดยอ้างความเห็นจากแพทย์ว่า ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุน้อย อาจได้รับผลกระทบทางร่างกายจากการติดเชื้อเป็นเวลานาน แม้จะได้รับการรักษาจนผลตรวจเป็นลบแล้วก็ตาม

                                  รายงานข่าวระบุว่า ผลที่ตามมาซึ่งพบในผู้เคยติดเชื้อโควิด-19 เช่น อาการไม่สบายและหายใจลำบาก ขณะที่ในรายที่รุนแรง ผู้ป่วยอาจกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงแม้จะได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการของโควิด-19 ที่ไม่รุนแรงก็ตาม

                                  ทั้งนี้จนถึงปัจจุบัน ในญี่ปุ่นยังมีสถาบันทางการแพทย์ไม่มากที่รักษาผู้ป่วยจากผลที่ตามมาดังกล่าว

                                  แพทย์รายหนึ่ง ระบุว่า ผู้มีอาการดังกล่าวส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 40 ปีหรือเด็กกว่านั้น และทางรัฐบาลจำเป็นต้องจริงจังกับเรื่องนี้และหามาตรการรับมือ

                                  เมื่อปีที่แล้ว ศูนย์สุขภาพและการแพทย์ระดับโลกแห่งชาติของญี่ปุ่นได้ทำการสำรวจทางโทรศัพท์สอบถามผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่รักษาหายและออกจากโรงพยาบาล และมีผู้ตอบการสำรวจ 63 ราย

                                  ผลสำรวจพบว่าในบางราย ผู้ป่วยยังคงมีอาการหายใจลำบาก ไม่สบาย และการรับกลิ่นบกพร่องเป็นเวลา 4 เดือนนับจากเริ่มมีอาการของโควิด-19

                                  นอกจากนี้ ยังมีผู้ป่วยที่มีอาการผมร่วงเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากโควิด-19 แสดงอาการ

                                  ฮิราฮิตะ คลินิก ซึ่งทำการตรวจผู้ป่วยประเภทดังกล่าวประมาณ 700 คนทั่วประเทศ ระบุว่า มีผู้ป่วย 95% บอกว่ารู้สึกไม่สบาย ขณะที่ 80% ระบุว่ามีอาการซึมเศร้าและความสามารถด้านการคิดลดลง โดยผู้ป่วยดังกล่าวประมาณ 30% นั้นอยู่ในช่วงอายุประมาณ 40 ปี และเกือบ 50% อยู่ในช่วงอายุประมาณ 30 ปี และมีจำนวนผู้ป่วยที่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 1.4 เท่า

                                  โคอิจิ ฮิราฮิตะ ผู้อำนวยการคลินิกคาดว่า สาเหตุอาจเป็นเพราะอาการภูมิคุ้มกันทำงานบกพร่องและตอบสนองต่อระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยด้วยการโจมตีอวัยวะที่แข็งแรงดี

                                  เขายังเตือนด้วยว่า ผู้ที่หายจากโควิด-19 ยังควรงดออกกำลังกายไปสักระยะ เนื่องจากแค่ออกไปเดินเล่นก็อาจทำให้อาการแย่ลงแล้ว

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก www.posttoday.com

                                  จากผลสำรวจดังกล่าวทำให้เห็นได้ว่า แม้ผู้ที่หายจากโรคโควิด-19 แล้ว ก็ยังคงต้องดูแลสุขภาพร่างกายต่อเนื่องไปอีกสักระยะ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู โดยคุณหมอยังไม่แนะนำให้ออกกำลังกายในช่วงพักฟื้น เพราะอาจจะทำให้อาการแย่ลงได้ แม้ในกลุ่มที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้สูงอายุ เชื้อไวรัสโคโรนาก็ยังคงทำลายระบบกลไกต่าง ๆ ของร่างกายให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพแย่ลง ไม่ว่าจะเป็นระบบการหายใจ เหนื่อยง่าย การรับกลิ่นบกพร่อง ปัญหาทางด้านจิตใจ และอาจรวมไปถึงภาวะผมร่วงอีกด้วย แต่ในรายงานก็ยังไม่ได้ระบุแน่นอนว่าผู้ป่วยทุกรายที่ได้รับเชื้อไวรัสโคโรนาจะมีอาการดังกล่าวทุกคน ยังคงต้องทำการสำรวจ วิจัยต่อไปอีก เพื่อความชัดเจนที่มากยิ่งขึ้น

                                  ผลสำรวจผู้ติดเชื้อ โควิดอาการ หลังหายแล้ว
                                  ผลสำรวจผู้ติดเชื้อ โควิดอาการ หลังหายแล้ว

                                  ผลสำรวจของประเทศจีนก็ให้ผลไม่ต่างกัน!!

                                  ประเทศจีน ประเทศที่ทราบกันดีว่า ได้เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) เป็นชาติแรก ๆ ของโลก และมีการระบาดใหญ่ที่สุด มีประชากรติดเชื้อมาก และผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวก็มากด้วยเช่นกันนั้น ได้ทำการสำรวจจากการติดเชื้อครั้งที่ผ่านมา ซึ่งใช้กลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ที่สุดประมาณ 1,733 คน โดยมีรายงานผลออกมาว่า ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลจนหายแล้ว มีปัญหาสุขภาพในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นอาการอ่อนเพลีย นอนหลับยาก หายใจได้ไม่สะดวก พบระดับแอนติบอดี้ลดลง ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายขาดภูมิคุ้มกันโรคในอนาคต ผมร่วง และปัญหาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ โดยหลาย ๆ อาการก็มีความใกล้เคียงกับผลการสำรวจจากประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน

                                  กลุ่มสื่อต่างชาติ รายงาน (11 ม.ค.) จีนพบร้อยละ 76 ของผู้ป่วยโควิด-19 ที่ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลจนหายแล้วมีปัญหาสุขภาพระยะยาว

                                  รายงานระบุว่า แม้ผู้ป่วยเหล่านั้นจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว 6 เดือนก็ยังมีอาการไม่ปกติของร่างกาย โดยร้อยละ 63 มีอาการอ่อนเพลีย ร้อยละ 26 นอนหลับได้ยาก และร้อยละ 33 มีสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาในตับ ซึ่งจะนำมาสู่โรคต่าง ๆ รวมถึงการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
                                  ผู้ป่วยหลายร้อยคนมีร่องรอยคล้ายกระจกฝ้าในเนื้อเยื่อปอด ทำให้หายใจได้สั้นกว่าปกติ ขณะที่ผู้ป่วยบางส่วนไม่สามารถหายใจได้ลึกขนาดที่ไม่สามารถทำการทดสอบการทำงานของปอดได้เลย
                                  ร้อยละ 25 ของผู้ป่วยยังคงมีภาวะเครียด ซึ่งนักวิจัยยังไม่สามารถระบุว่าเกิดจากความเสียหายของเซลล์ประสาทหรือจากประสบการณ์อันเลวร้ายที่เคยประสบมา
                                  นอกจากนี้ ระดับแอนติบอดี้ในร่างกายของผู้ป่วยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้ร่างกายไม่สามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ได้ในอนาคต
                                  ก่อนหน้านี้ หลายประเทศได้ศึกษาผลกระทบระยะยาวจากโรคโควิด-19 ซึ่งพบอาการที่หลากหลายตั้งแต่ผมร่วงไปจนถึงโรคหัวใจ อย่างไรก็ดี การศึกษาของจีนในครั้งนี้เป็นการศึกษากลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ที่สุดรวมทั้งสิ้นกว่า 1,733 คน
                                  ราวร้อยละ 15 ของกลุ่มผู้ป่วยปฏิเสธที่จะเข้าโครงการศึกษาผลกระทบระยะยาว ขณะที่อีกร้อยละ 15 เสียชีวิตหรือเจ็บป่วยเกินกว่าจะเข้าโครงการจากโรคหัวใจ โรคปอดหรือโรคไต
                                  อย่างไรก็ดี นาย Giuseppe Remuzzi ศาสตราจารย์ด้านวักกวิทยา (ไต) ของสถาบัน Istituto Mario Negri ในอิตาลีเห็นว่า ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านผลการวิจัยดังกล่าว เนื่องจากเป็นการศึกษาด้วยการคัดกรองอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้ป่วย ซึ่งอาจทำให้ผลการวิจัยคลาดเคลื่อนได้

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก mgronline.com

                                  เนื่องจากโรคโควิดนี้เป็นโรคใหม่ ผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวก็เป็นสิ่งใหม่ที่การแพทย์ทั่วโลกเพิ่งได้เจอ จึงยังมีความรู้ที่จำกัดอยู่มาก จึงไม่อาจสรุปเป็นความชัดเจนได้ ดังนั้นในปัจจุบันหากมีอาการใดที่เป็นผลกระทบภายหลังจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ก็จะได้รับการดูแลรักษาตามลักษณะของแต่ละอาการไป ขณะนี้หลายประเทศทั่วโลก ก็เริ่มมีแนวคิดที่จะจัดตั้งคลินิกหรือแผนกที่ดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีผลกระทบต่อสุขภาพหลังจากติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้คาดว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบในปัจจุบันน่าจะมีมาก ดังนั้น การไม่ติดเชื้อย่อมจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

                                  แต่อย่าพึ่งกังวลใจกันมากจนเกินไป วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK ได้นำความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเอง และคนใกล้ชิดหลังจากหายจากโควิด-19 แล้วว่าควรต้องปฎิบัติตัวกันอย่างไร เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูให้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติอีกครั้ง จาก อ.ดร.พญ.สุวพร อนุกูลเรืองกิตติ์ แพทย์สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จากรายการ ติดจอ ฬ.จุฬา

                                  ผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวหลังติดเชื้อโคโรนา โควิด-19
                                  ผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาวหลังติดเชื้อโคโรนา โควิด-19

                                  โควิด-19 ไม่ใช่โรคเรื้อรัง หายแล้วไม่ติดต่อสู่ผู้อื่น

                                  ตามปกติแล้วเมื่อผู้ป่วยหายจากโรคโควิด-19 แล้วทีมแพทย์จะทำการกักตัวไว้ที่โรงพยาบาลต่ออีก 14 วัน และให้ดูอาการ กักตัวเองที่บ้านต่ออีก 1 เดือน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวล หรือรังเกียจผู้ป่วยที่หายแล้ว จะได้ให้เขากลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติเช่นเดิม

                                  ผู้ป่วยโควิด-19 มีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้หรือไม่?

                                  หากผู้ป่วยไม่มีอาการโควิด-19 หลัง 14 วันเป็นต้นไป โอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำอีกครั้งถือว่าน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ทำให้มีภูมิต่อการติดเชื้อโควิด-19 แล้ว อย่างไรก็ตาม ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขจะยังแนะนำให้ผู้ป่วยพักฟื้นที่บ้านจนครบ 1 เดือน ให้พักผ่อน ดูแลตัวเองอยู่ที่บ้าน โดยที่ยังใช้มาตรการ และแนวทางเดิม

                                  วิธีการดูแลตัวเองหลังติดเชื้อ โควิดอาการ ไม่มีแล้ว
                                  วิธีการดูแลตัวเองหลังติดเชื้อ โควิดอาการ ไม่มีแล้ว

                                  วิธีดูแลตัวเองของผู้ป่วย เพื่ออยู่ร่วมกับครอบครัว และคนในชุมชน

                                  1. รักษาระยะห่างจากคนในบ้าน 1-2 เมตร รวมถึงตอนรับประทานอาหาร
                                  2. แยกห้องนอน
                                  3. ไม่ใช้อุปกรณ์ในการรับประทานอาหาร และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆ ร่วมกัน
                                  4. แยกซักเสื้อผ้า ด้วยผงซักฟอกปกติ
                                  5. ทำความสะอาดบริเวณที่ใช้ร่วมกันบ่อย ๆ
                                  6. ผู้ป่วยควรพยายามไม่นำตัวเองไปเสี่ยงรับเชื้อไวรัสใหม่ ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ เข้าสู่ร่างกายอีก
                                  7. แยกทิ้งขยะที่มีน้ำมูก หรือน้ำลายอยู่ เช่น หน้ากากอนามัยที่ใช้แล้ว โดยใส่ถุงแยกสองชั้น
                                  8. ผู้ป่วยที่เพิ่งหาย ควรใส่หน้ากากอนามัย รวมถึงคนในครอบครัวที่จำเป็นต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยด้วย
                                  9. ลดการสัมผัสบริเวณที่แตะบ่อยๆ รวมถึงการใช้มือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก
                                  10. ล้างมือบ่อย ๆ

                                  อย่างไรก็ตามแต่ทางเราขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้กับพ่อแม่ และทุก ๆ คนที่กำลังเผชิญกับการคุกคามของเชื้อไวรัสโคโรนา(โควิด-19) ให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี หากเรามีกำลังใจที่ดีในการต่อสู้กับเชื้อโรคร้าย ก็จะช่วยให้ร่างกายของเรากลับมาฟื้นฟูเข้าสู่ภาวะปกติได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก bangkokbiznews.com/sanook.com

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  หมอเด็กแนะ!!พ่อแม่ต้อง กักตัว 14 วัน จะบอกลูกยังไงดี?

                                  ผงะ!!ไอศกรีม ปนเปื้อน โควิด19 จากโรงงานผลิตที่จีน

                                  ผู้เชี่ยวชาญชี้! การให้ วัคซีนโควิด คนท้อง ยังปลอดภัย หลังไม่พบเคสรุนแรงหลังฉีด

                                  เทคนิครับมือ ลูกโดนบูลลี่ เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ต้องรู้ให้ทัน!

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    เลี้ยงลูกแบบสวีเดน

                                    เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

                                    เทคนิคการ เลี้ยงลูกแบบสวีเดน เป็นที่กล่าวถึงอยู่พอสมควร ด้วยสไตล์การสอนลูก และการปลูกฝังลูก ที่น่าสนใจ ตลอดจน รูปแบบขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม สังคม และกฎหมาย ของประเทศสวีเดน ที่ค่อนข้างเอื้อต่อการสร้างเด็กและครอบครัว ให้มีคุณภาพ วันนี้เรามาติดตามอ่านกันค่ะ ว่าคุณพ่อคุณแม่ชาวไวกิ้ง เขามีสไตล์การเลี้ยงลูกอย่างไร

                                    เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

                                    ก่อนจะพูดถึง เทคนิคการ เลี้ยงลูกแบบสวีเดน เรามาดูจุดเด่นบางประการ ในความเป็น ประเทศต้นแบบในการใช้ชีวิต สำหรับผู้ที่มีครอบครัว กันก่อนเลยค่ะ ประเทศสวีเดน ขึ้นชื่อว่ามีกฎหมายที่ให้สิทธิในการลาคลอดที่ดีที่สุดในโลกก็ว่าได้ กล่าวคือ ทั้ง พ่อและแม่ สามารถลางานเพื่อเลี้ยงดูลูกได้นานถึง 480 วัน หรือ 16 เดือน แบ่งเป็น 6 เดือนแรกหลังคลอด โดยพ่อหรือแม่สามารถเลือกใช้สิทธิลางานได้ฝ่ายละ 3 เดือน (หากไม่ใช้ก็เสียสิทธิไป) จากนั้นอีก 10 เดือนที่เหลือ พ่อหรือแม่สามารถแบ่งกันใช้สิทธิได้ตามความพึงพอใจได้เลยค่ะ

                                    ซึ่งการแบ่งวันลาเลี้ยงลูกให้พ่อและแม่เท่าๆ กัน นับว่ามีผลดีหลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดเลย คือ นอกจากเป็นการลดภาระการเลี้ยงดู และลดความเครียดของแม่แล้ว เมื่อพ่อมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการเลี้ยงลูกมากขึ้น แม่ก็สามารถออกจากบ้านไปหางานทำ สร้างรายได้ และมีความสุขเพิ่มขึ้น  นอกจากนี้ ยังถือเป็นการมอบโอกาสทองในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อกับลูก โดยเฉพาะประสบการณ์ในช่วงเวลาสำคัญกับลูก ซึ่งในประเทศอื่น ดูเหมือนจะเป็นแม่ ที่ได้ใกล้ชิดลูกอยู่ฝ่ายเดียวช่วงหลังคลอด

                                    และนอกจากเรื่อง สิทธิในการลาคลอดแล้ว มนุษย์เงินเดือนที่มีลูกอายุ 1 – 12 ปี ยังมีสิทธิลางานได้ถึง 120 วัน ต่อปี ในกรณีที่ต้องอยู่บ้านดูแลลูกที่ป่วย โดยยังคงได้รับเงินเดือนตามปกติอีกด้วยค่ะ

                                    เลี้ยงลูกแบบสวีเดน
                                    เลี้ยงลูกแบบสวีเดน

                                    ทีนี้เรามาเข้าเรื่อง เทคนิคการเลี้ยงลูกของพ่อแม่ชาวไวกิ้งกันเลยดีกว่าค่ะ  สไตล์การเลี้ยงลูกของคนสวีเดนนั้นค่อนข้างน่าสนใจ และมีบางอย่างที่พ่อแม่ชาวไทยอย่างเราๆ น่าจะนำไปปรับใช้ได้ แต่ก็มีบางอย่างที่น่าจะแปลกใจสำหรับเราๆ ค่ะ

                                    1.ให้ลูกน้อยนอนหลับในรถเข็นนอกบ้าน

                                    ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เราจะเห็นภาพพ่อแม่ชาวไวกิ้ง ปล่อยให้ลูกวัยละอ่อน นอนกลางวันในรถเข็นนอกบ้าน ถึงแม้จะเป็นในช่วงฤดูหนาว ที่อากาศค่อนข้างหนาวเย็น (ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส)  เพราะพ่อแม่ชาวไวกิ้ง เชื่อว่า เด็กเล็กจะสามารถหลับได้นานและหลับลึกขึ้น ในสภาพอากาศหนาวเย็น ทั้งนี้มีงานวิจัยที่ยืนยันได้ ว่าเด็กที่สุขภาพไม่แข็งแรงจะมีสุขภาพดีขึ้น หากได้รับอากาศนอกบ้านที่เย็นสดชื่นอย่างเหมาะสม

                                    2.ให้ลูกวัยเตาะแตะ เล่นซนนอกบ้านทุกวัน 

                                    พ่อแม่ชาวไวกิ้งมองว่าอากาศบริสุทธิ์ และการให้ลูกได้วิ่งเล่นนอกบ้าน มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็ก สิ่งที่เสริมสร้างประสบการณ์ การเรียนรู้วัยเด็กของสังคมชาวไวกิ้ง คือ การที่พ่อแม่มักปล่อยให้เด็กๆ ได้ออกไปเล่นซนนอกบ้านจนตัวมอมแมม พวกเขามองว่าแม้เสื้อผ้ารองเท้าจะเลอะโคลน ลูกมีรอยแผลถลอกตามตัว แต่ก็คุ้มค่า ถ้าลูกๆ ได้สนุกกับการผจญภัย เปิดโลกจินตนาการ ด้วยการสำรวจสิ่งต่างๆ ที่ไม่ได้อยู่แค่ในบ้าน ทั้งนี้มีงานศึกษาวิจัยล่าสุด จากกลุ่มตัวอย่าง(ชาวอเมริกัน) ระบุว่า จุลินทรีย์ที่อยู่ในดิน จะช่วยให้ร่างกายของเด็กสร้างภูมิุคุ้มกัน ส่วนเด็กที่เป็นภูมิแพ้จะสามารถหายจากอาการภูมิแพ้ หรือหอบหืดได้เร็วขึ้น

                                    3.ไม่ลงโทษลูกด้วยการใช้ความรุนแรง

                                    ในบ้านเราการที่พ่อแม่อาจใช้วิธีลงโทษลูกด้วยการตีบ้างเพื่อสร้างวินัยให้กับลูก อาจไม่ใช่เรื่องแปลกนัก แต่ที่สวีเดนเมื่อลูกทำผิดพ่อแม่นิยมสอนลูกด้วย การพูดคุยและให้เหตุผลกับลูกมากกว่า นอกจากนี้สวีเดนยังเป็นประเทศแรกของโลกที่มีการบัญญัติกฎหมายห้ามลงโทษเด็กด้วยการตี (ตั้งแต่พ.ศ.2522)

                                    4.วันศุกร์ คือ วันพิเศษของครอบครัว

                                    ชาวสวีเดน จะให้ความสำคัญกับวันศุกร์เป็นพิเศษ เพราะถือเป็นช่วงเวลาแห่งการได้ผ่อนคลายกับครอบครัวมากที่สุด ทุกวันศุกร์ ครอบครัวชาวสวีเดนส่วนใหญ่ มักเลือกที่จะสังสรรค์กับครอบครัว ที่พ่อแม่ลูกได้อยู่กันพร้อมหน้า ช่วงเวลาพิเศษของพวกเขา คือการได้นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม จุดเทียน กินขนม และดูหนังฟังเพลงด้วยกัน เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คนในครอบครัวจะได้มีเวลาพูดคุยกันมากขึ้นด้วย

                                    เลี้ยงลูกแบบสวีเดน

                                    5.ส่งลูกเข้าเดย์แคร์ เมื่อพ่อแม่ต้องกลับไปทำงาน

                                    เมื่อลูกอายุประมาณหนึ่งขวบ พ่อแม่ชาวสวีเดนส่วนใหญ่จะนิยมส่งลูกเข้า Daycare หรือ สถานดูแลเด็ก ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดมีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน
                                    โดยมีอาหารให้เด็กทาน วันละ 2 มื้อ มีพี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์คอยดูแลลูกเป็นอย่างดี ทางเลือกนี้นอกจากเป็นการปลูกฝังให้ลูกได้รู้จักการใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่นตั้งแต่ยังเล็กแล้ว พ่อแม่ยังสามารถกลับไปทำงาน หาเงินได้อย่างไร้ความกังวล โดยไม่จำเป็นต้องเสียเงินจำนวนมากในการจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลลูกอีกด้วย

                                    6.เลี้ยงลูกแบบให้พึ่งตัวเองก่อน เมื่อเจอปัญหา

                                    พ่อแม่ชาวสวีเดนให้ความสำคัญกับ การให้อิสระทางความคิดแก่ลูก และค่อนข้างส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เพราะเชื่อว่าเด็กจะเติบโตมาเป็นเด็กที่มีจินตนาการที่ดี นอกจากนี้ นิสัยของพ่อแม่สวีเดนมักไม่ยัดเยียด สอนสิ่งต่าง ๆ ให้ลูกเร็ว หรือ มากจนเกินไป แต่พวกเขาเลือกปล่อยให้ลูกได้เล่น ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง และมักจะปลูกฝังลูกตั้งแต่ยังเล็กในเรื่องการพึ่งพาตัวเองก่อนเสมอเมื่อเจอปัญหา

                                    7.ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมทางเพศ

                                    ทั้งใน ระดับครอบครัว และสังคม ชาวสวีเดน ค่อนข้างให้ความสำคัญ กับความเท่าเทียมทางเพศสูงมาก จนบางครั้งก็น่าแปลกใจไม่น้อย เช่น ห้องน้ำบางแห่งในสวีเดน ไม่มีการแยกห้องหญิงชาย  หรือ แม้กระทั่งในโรงเรียนหลายแห่ง ก็ไม่มีการ เรียกคำนำหน้าชื่อ เด็กหญิง เด็กชาย แต่จะมีการใช้ สรรพนามแทนทั้งเด็กหญิงและเด็กชาย ด้วยคำว่า “Hen”แม้ในระดับครอบครัว หน้าที่แม่ ก็ไม่ได้มีกฏตายตัวว่า ต้องทำอาหารเย็น อาบน้ำให้ลูก เล่านิทาน หรือกล่อมลูกนอนเสมอไป เพราะทุกหน้าที่ ทั้งพ่อและแม่ชาวสวีเดนมักทำแทนกันได้ นอกจากนี้ ยังเป็นที่รู้กันดี ว่าสังคมสวีเดน ไม่นิยมนำเรื่อง เพศสภาพ มาเป็นตัวกำหนด หรือจำกัดขอบเขตในการประกอบอาชีพ หรือการทำสิ่งต่างๆ  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ พ่อแม่ชาวสวีเดนมักจะไม่ห้าม ถ้าลูกสาวชอบเตะฟุตบอล หรือ ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา เรียกได้ว่า ข้อดีของการไม่นิยมการแบ่งแยกเพศ คือ เด็กๆ ชาวสวีเดน สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้อย่างเต็มที่เลยละค่ะ

                                    เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับเทคนิคการเลี้ยงลูกแบบสวีเดนที่เรานำมฝากกันวันนี้  สำหรับสิ่งที่เห็นได้ในการเลี้ยงลูกของคนสวีเดน คือ การไม่นิยมลงโทษลูกด้วยการตี แต่ใช้การสอนด้วยเหตุและผลแทน ตลอดจนการปลูกฝังให้ลูกพึ่งตัวเองเมื่อเจอปัญหา หรือแม้แต่การ ให้อิสระทางความคิด และปล่อยให้ลูกได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ซึ่ง โดยรวมแล้วหากเรานำมาปรับใช้ ลูกก็จะสามารถเป็นเด็กที่มีความฉลาดด้วย (Power BQ) หลายด้านเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นด้านการ ฉลาดคิด (TQ) ฉลาดเข้าสังคม (SQ) ฉลาดเผชิญอุปสรรค (AQ) ทำให้ลูกพร้อมเติบโตและปรับตัวใช้ชีวิตในสังคมนอกบ้านได้อย่างสบายๆ เลยค่ะ

                                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : cupofjo.com,matadornetwork.com,www.purewow.com

                                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                    7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

                                    วิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ดุ ไม่ตี ปูพื้นฐานชีวิตลูกให้ดีใน 3 ปีแรก

                                    เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่