Page 127 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

เชื้อราแมว

เลี้ยงแมวระวัง! เด็กเล็กทารกติด เชื้อราแมว อันตรายใกล้ลูก

เชื้อราแมว- สำหรับบ้านที่เลี้ยงแมวไว้ แล้ววันหนึ่งที่บ้านเกิดมีสมาชิกใหม่เพิ่ม เป็นมนุษย์จิ๋วตัวน้อยไร้เดียงสา เราอาจต้องระวังดูแลเรื่องความสะอาด ทั้งเจ้าแมว และเจ้าตัวน้อยของเราให้ดีนะคะ เพราะเด็กทารก ภูมิคุ้มกันโรคยังอ่อนแอเกินที่จะป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่างๆ ในกรณีที่แมวที่บ้านคุณ อาจมีเชื้อราแฝงอยู่ตามผิวหนังและขน และถ้าเกิดเจ้าตัวน้อยของเราติดเชื้อราที่ว่านี้ขึ้นมา คงแย่เลยละค่ะ โรคนี้ แม้ดูเหมือนไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่เมื่อเป็นขึ้นมา จะยากต่อการรักษาให้หายในเวลาอันสั้น ดังนั้นเราจึงควรป้องกันไว้ดีกว่าแก้ วันนี้เรามาทำความรู้จัก เชื้อราแมว และวิธีป้องกันให้ลูกน้อยของเราปลอดภัยจากเจ้าเชื้อราร้ายนี้กันค่ะ

คนเลี้ยงแมวระวัง! เด็กเล็กทารกติด เชื้อราแมว อันตรายใกล้ลูก

เชื้อราแมว คืออะไร

คือ เชื้อที่ทำให้แมวเป็นโรคผิวหนัง จนเกิดเป็นลักษณะของกลาก ( Tinea Corporis หรือ Ringworm ) ที่ผิวหนังของแมว สาเหตุเกิดจากความชื้นสะสม โดยแมวขนยาวมีโอกาสติดเชื้อได้มากกว่าแมวขนสั้น  บริเวณของผิวหนังแมวที่ติดเชื้อรา จะสังเกตได้ว่าขนจะหลุดเป็นหย่อมๆ ผิวหนังแห้ง และแดง ลอกเป็นขุยๆ โดย เชื้อราในแมว ที่พบได้บ่อย มีอยู่ 2 ชนิด ไก้แก่

  • ไมโครสปอร์รุ่ม คานิส  (Microsporum canis)
  • ไตรโคฟีตันรูบรัม (Trichophyton Rubrum)
เชื้อราแมว
เชื้อราแมว

กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อ

  • ผู้ที่ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ
  • ทารก และ เด็กเล็ก
  • ผู้สูงอายุ
  • ผู้ที่คลุกคลีกับสัตว์เลี้ยง เช่น แมวและสุนัขเป็นประจำ
  • ผู้ที่ไม่ล้างมือหรืออาบน้ำให้สะอาด หลังจากคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยง

ลักษณะของการติดเชื้อ

สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

  • ติดเชื้อโดยตรง คือ การสัมผัสหรือได้รับสปอร์ของเชื้อราจากสัตว์เลี้ยงที่ติดโรค เช่น สุนัข แมว
  • ติดเชื้อทางอ้อม คือ การติดเชื้อจากการสัมผัสวัตถุ ข้าวของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค เช่น ที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว หวี ผ้าคลุมศีรษะ ผ้าพันคอ และ หมวก เป็นต้น

เชื้อรา ต้นเหตุปอดอักเสบที่ลูกน้อยต้องระวัง

รับมืออย่างไร? เมื่อลูกติด “กลาก เกลื้อน” มาจากโรงเรียน

6 โรคผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อที่พบบ่อยในเด็ก

อาการเมื่อติดเชื้อราแมว

เชื้อราจากแมว จะทำให้เกิดเป็นผื่นแดงบริเวณผิวหนัง หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า กลากแมว มักเกิดขึ้นบริเวณ ใบหน้า แขน ข้อมือ ขา ข้อเท้า คอและหลัง หรือส่วนใดก็ตามที่สัมผัสกับแมว หรือสัมผัสกับสปอร์ของเชื้อรา ตามจุดเสี่ยงต่างๆ ลักษณะผื่นมักพบกระจาย ผื่นจะมีสีชมพูจนแดงมีขุยสีขาว ขอบยก นูนหนา ชัดเจน  บางครั้งอาจพบลักษณะตุ่มหนองบริเวณขอบผื่น โดยผื่นแดงที่เกิดขึ้นจะทำให้เด็กรู้สึกคันมาก และหากเด็กใช้นิ้วเกาที่ผื่นแดง แล้วไปเกาที่ผิวหนังส่วนอื่นต่อ อาจส่งผลให้ผิวหนังส่วนอื่นๆ นั้น ติดเชื้อราจนเป็นผื่นแดงเพิ่มขึ้นที่จุดอื่นได้อีก หากไม่ได้รับการรักษากลากจะขยายเป็นวงใหญ่ขึ้น

เชื้อราแมว
ลักษณะ กลาก จากเชื้อราแมว

วิธีรักษากลากจากเชื้อราแมว ในทารกและเด็กเล็ก

ส่วนมาก กลากแมว ที่เกิดขึ้นในเด็ก สามารถรักษาได้โดยการทายาฆ่าเชื้อรา หากทาบริเวณที่เป็น กลาก อย่างต่อเนื่องราว 3 สัปดาห์ อาการจะดีขึ้นได้เอง แต่เมื่อรอยผื่นแดงจากกลากหายไป อาจทิ้งร่องรอยคล้ำจางๆ ที่ผิวของเด็กได้ อีก 2-3 เดือน และจะค่อยๆ จางหายไปเอง ในกรณีที่รอยไม่จางลง หรือจางช้า อาจเกิดจากการที่ผู้ป่วยมีการเกิดผื่นแดงจากเชื้อราซ้ำ เพราะภูมิต้านทานของเด็กไม่แข็งแรงเพียงพอ นอกจากนี้การรักษาความสะอาดและการดูแลรักษาแมวในบ้าน ให้หายขาดจากเชื้อรา ควรเป็นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันไป หากแมวที่เลี้ยงยังมีเชื้อราอยู่ เจ้าของ หรือผู้ที่คลุกคลีกับแมวอาจเป็นพาหะที่นำเชื้อรากลับมาติดเด็กอีกได้

อย่างไรก็ตาม แม้ยาทาฆ่าเชื้อราที่ผิวหนังจะมีจำหน่ายตามร้านขายยาต่างๆ ทั่วไป แต่ทางที่ดี ควรพาเด็กไปพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยโรคโดยละเอียดก่อน เพราะเราอาจเลือกยาทาที่ไม่เหมาะกับลักษณะของโรคได้ หรืออาจเกิดอาการข้างเคียงอื่นๆ ได้โดยไม่คาดคิด เพราะฉะนั้นการเลือกใช้ยาทาที่เหมาะสมกับอาการ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดีกว่าค่ะ

วิธีป้องกันเชื้อราแมว

  • ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และหลังจากสัมผัสแมว
  • พาแมวไปตรวจสุขภาพและให้วัคซีนตามโปรแกรมที่กำหนด
  • หากโดนแมวกัดและข่วน ต้องรีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและใส่ยา และรีบไปพบแพทย์
  • นำแมวไปวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าทุกปี
  • กำจัดพยาธิภายนอกของแมว เช่น เห็บ หมัด
  • ไม่ควรให้แมวมาเลียตามร่างกาย และภาชนะใส่อาหารของคน
  • ควรเลี้ยงแบ่งแยกเป็นสัดส่วนและไม่ปล่อยให้ออกไปคลุกคลีกับสัตว์นอกบ้าน
  • กำจัดสิ่งขับถ่ายของน้องแมว โดยการใส่ถุงมือและล้างมือทุกครั้ง รวมทั้งการทำความสะอาดถาดรองสิ่งขับถ่ายบ่อย ๆ
  • ดูแลเด็ก ๆ ไม่ให้เด็กเล่นทรายที่มีสิ่งขับถ่ายของแมว

เรื่องของสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพของเด็ก เป็นสิ่งสำคัญ คุณพ่อคุณแม่ ควรปลูกฝังนิสัยดูแลเอาใจใส่สุขภาพร่างกายของตัวเองให้กับลูกตั้งแต่เค้ายังเล็กๆ เพื่อที่ต่อไป ลูกเราจะเป็นเด็กที่มี ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ(HQ) สำหรับเด็กเล็ก อาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : thaihealth.or.th,emmasdiary.co.uk,sanook.com,rama.mahidol.ac.th

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

วิจัยเผย! ให้ลูกกินปลา-พาลูกเที่ยวฟาร์ม ป้องกันโรคภูมิแพ้ ได้

โรคเด็ก ที่พบบ่อย โรคในเด็ก ยอดฮิต พ่อแม่ต้องระวัง

ทำความสะอาดของเล่น ลูกน้อยปลอดภัยจากเชื้อโรค
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ

    ส่อง 10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ แบบชาวยิว

    เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ –  อยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ ควรเลี้ยงแบบไหน? เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคน อดคิดไม่ได้หรอกค่ะว่าถ้าเลือกได้ก็อยากจะสอนลูกให้เป็นคนเก่ง มีความอัจฉริยะในด้านต่างๆ แต่เทคนิคเคล็ดลับที่มีให้อ่านทุกวันนี้มีอยู่มากมาย ไม่รู้จะตามแนวทางไหนดี ซึ่งวันนี้เราจะพาไปส่องอีกหนึ่งแนวทางค่ะ กับเคล็ดลับการเลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะในแบบฉบับของชาวยิว พ่อแม่ชาวยิวเค้ามีเคล็ดลับเลี้ยงลูกยังไง มาติดตามกันเลยค่ะ

     

    จริงๆ แล้ว เชื้อชาติ “ยิว” เป็นเชื้อชาติ ที่ใหญ่มาก แต่อาจอาศัยกระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก แต่นี้ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะพูดถถึง เพราะความจริงที่เราเห็นทุกวันนี้ มีคนเชื้อสาย “ยิว” หลายต่อหลายคน ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องความเป็นอัจฉริยะ และเป็นต้นแบบของความสำเร็จในชีวิต ตัวอย่างคนดัง ที่มีเชื้อสายยิวในโลกนี้ เช่น อัลเบิร์ต ไอสไตน์  ซิคมัล ฟรอยด์ (นักจิตวิทยา)  สตีเวน สปีลเบิร์ก (ผู้กำกับภาพยนตร์) เซอร์เกย์ บริน (ผู้ก่อตั้งกูเกิล) และ มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งเฟสบุ๊ก) เป็นต้น

    ทีนี้คุณพ่อคุณแม่อาจเกิดความสงสัยใช่มั้ยคะ ว่าชาวยิวเค้ามีเคล็ดลับอะไร? ที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ และกลายเป็นคนมีชื่อเสียงระดับโลก มีผลงานที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางได้ขนาดนี้ ซึ่งคงปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะ ว่าเราคงต้องลงลึกไปถึงเรื่องของเทคนิคหรือเคล็ดลับในการเลี้ยงลูกแบบชาวยิวก่อนอันดับแรก ว่าพวกเขามีแนวทางการเลี้ยงลูกแบบไหน? แตกต่างจากตำราที่เราเคยเห็นผ่านๆ มาหรือเปล่า ว่าแล้ว เรามาเริ่มกันเลยค่ะ

    ส่อง 10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ แบบชาวยิว

    10 เคล็ดลับการเลี้ยงลูกแบบชาวยิว 

    1. ชื่นชมในการพึ่งพาตัวเอง

    พ่อแม่ชาวยิวเชื่อมั่นว่าเด็ก ๆ จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ หากเด็กๆ มีความเชื่อมั่นว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งสำคัญกว่ามากที่จะทำให้เด็กเข้าใจว่าพวกเขาสามารถทำอะไรก็ได้ด้วยตัวเอง พ่อแม่ชาวยิวจะสนับสนุนเรื่อง เป้าหมายมีไว้พุ่งชน หากจะไปให้ถึงเป้าหมาย ลูกต้องเป็นคนเริ่มคิด และลงมือทำด้วยตัวเอง ดังนั้นภาพของชาวยิวนั่งกินอาหารพร้อมหน้าครอบครัว ขณะที่เด็กชาวยิววัยเพียง 1 ขวบ จัดการกับอาหารที่อยู่ข้างหน้าด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องแปลกค่ะ พ่อแม่ชาวยิวเพียงคอยดูว่าลูกสามารถได้ได้เองมากน้อยแค่ไหน ถ้าพอทำได้พวกเค้าก็เลือกที่จะปล่อยให้ลูกทำด้วยตัวเองค่ะ

    เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ
    เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ

    2. ทุกเรื่องต้องยากก่อนง่ายเสมอ

    พ่อแม่ชาวยิวเชื่อว่า อิสระในการได้ลงมือทำ จะนำมาซึ่งประสบการณ์ ดังนั้น พ่อแม่ชาวยิวมักปล่อยให้ลูกๆ ได้ทดลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง แม้ว่าในครั้งแรกลูกอาจยังทำได้ไม่ดี หรือไม่สำเร็จ แต่ก็ถือว่าได้ฝึกลูกให้เรียนรู้ในความพยายาม พ่อแม่ชาวยิวจะไม่บอกว่าลูกของพวกเค้าว่า “เพราะลูกยังไม่โตพอที่จะทำได้” แต่พวกเค้าจะคอยให้กำลังใจและกระตุ้นให้ลูกได้พยายามทดลองทำอีกครั้ง ทำเรื่อยๆ จนสำเร็จ ซึ่งวิธีนี้เป็นการสร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้ที่มีคุณค่าให้กับเด็กได้โดยตรงเลยค่ะ

    3. ความไว้วางใจคือรางวัลที่ดีที่สุด

    พ่อแม่ชาวยิว เชื่อว่า ความเชื่อใจ ไว้ใจในตัวลูก คือรางวัลที่ดีที่สุดที่จะสร้างเด็กให้เติบโตอย่างมั่นคง เมื่อลูกพยายามทำในสิ่งที่ยากจนสำเร็จ การให้รางวัลลูกด้วยความไว้วางใจและมอบหมายให้ลูกได้ทำสิ่งนั้นอีกเรื่อยๆ ในครั้งต่อไป จะสร้างลูกให้เกิดทักษะความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และมีระเบียบแบบแผนในการจัดการกับงานที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดีค่ะ พ่อแม่ชาวยิวไม่นิยมการจ้องจับผิดลูก ไม่สะกัดกั้นความคิดและวิธีการของลูก เพราะพวกเค้าเชื่อว่าจะทำให้เด็กๆ หมดกำลังใจและแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ

    4. ยิ่งเลอะยิ่งเยอะประสบการณ์

    อีกหนึ่งเคล็ดลับ สร้างเด็กให้เป็นอัจฉริยะฉบับพ่อแม่ชาวยิว คือ พวกเขาจะไม่ห้ามเลย ถ้าลูกๆ เล่นเลอะเทอะ มอมแมม  พ่อแม่ชาวยิวมองว่าการเติบโต และพัฒนาการส่วนบุคคลของเด็กๆ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากเสื้อผ้าของลูกๆ สะอาดอยู่เสมอ หรือไม่เคยได้ออกไปคลุกดินคลุกฝุ่นเลย  เป็นเรื่องปกติของครอบครัวชาวยิว ที่เด็กๆ จะมอมแมมไปด้วยโคลน มือไม้ดำปี๋ หัวเข่าเต็มไปด้วยฝุ่นดิน เพราะพวกเขามองว่าการต้องมาคอยดูแลความสะอาดของลูกอยู่ตลอดนอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวลูกอีกด้วย

    เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ

    5. ยอมรับในความไม่เรียบร้อย

    ในกรณีที่ลูกๆ ไม่ค่อยเป็นระเบียบ ห้องนอนรก หรือ เล่น ของเล่น ไม่เก็บ สิ่งที่พูดมา ไม่ใช่ปัญหาสำหรับพ่อแม่ชาวยิว  การที่ลูกทำบ้านรก ห้องเลอะ ข้าวของกระจัดกระจาย เป็นการฝึกให้ลูกรู้และยอมรับกับสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่รอบตัวด้วยตัวเอง ประมาณว่า “ลูกอยู่เลอะๆ แบบนี้ได้พ่อแม่ก็โอเค ลูกเลือกเองนะ”  นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมแทนที่พ่อแม่ชาวยิวจะจู้จี้ลูก ๆ เรื่องที่นอนหมอนมุ้งที่ไม่เป็นระเบียบ แต่พวกเขาจะปล่อยให้ลูกๆ อาศัยอยู่ในห้องนอนที่ต้องจัดการความเป็นระเบียบเอง พ่อแม่เพียงแค่ชี้แนะทางเลือกว่าถ้าห้องสะอาดมันจะดีกว่ายังไง แล้ววันหนึ่งลูกจะเห็นได้เองว่าความเป็นระเบียบเรียบร้อย มันย่อมดีกว่า เมื่อเวลาผ่านไป

    6.ปล่อยให้ลูกเล่นเต็มที่

    พ่อแม่บางคนอาจใช้เวลาทั้งวันวิ่งไปมาและบอกเด็ก ๆ ว่า “อย่าปีนนั่นนะ!” “อย่าไปจับอันนี้นะ!” หรือ “ใจเย็นๆ สิลูก!” เพราะพ่อแม่ชาวยิว เชื่อว่า การปล่อยลูก ให้เล่นอย่าง บ้าพลัง เช่นนี้ คือกุญแจสำคัญ ที่จะทำให้เด็ก ๆ  โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตัวเอง และมีความแน่วแน่มุ่งมั่นที่จะทำสิ่งต่างๆ ที่ตั้งใจให้สำเร็จลุล่วงได้ดี

    7.ให้อิสระเต็มที่ แต่ก็มีกฎของบ้าน

    เด็กฉลาด มักได้รับอนุญาต ให้ทำในหลายๆ เรื่อง ที่เด็กทั่วไปอาจไม่ได้ทำ  แม้แต่การวาดภาพ ขีดเขียนสีต่างๆ ลงบนวอลล์เปเปอร์ที่บ้าน พ่อแม่ชาวยิวก็ไม่ห้าม พวกเขามองว่า มันคือการฝึกให้ลูกได้เกิดจินตนาการอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามสิ่งที่พ่อแม่ชาวยิวมองว่าเป็นเรื่องใหญ่กว่าการวาดภาพขีดเขียนไม่เลือกที่ คือ การไม่ให้ความเคารพ พ่อแม่ พี่น้อง ปู่ย่า ตายาย  หากเกิดกรณีหลังขึ้น พวกเขามักได้รับการลงโทษ เพราะพ่อแม่ชาวยิวเชื่อว่า การอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ต้องมีความเคารพต่อกัน เพราะการให้ความเคารพ ให้เกียรติกันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ครอบครัวอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

    เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ

    8. พ่อเป็นผู้นำและแม่ก็เช่นกัน

    การให้ความเคารพพ่อแม่ เป็นสิ่งที่เด็กๆ ชาวยิว ได้รับการปลูกฝังตั้งแต่อายุยังน้อย เด็กทุกคนในครอบครัวชาวยิวรู้ดีว่าพ่อแม่ของพวกเขา คือ “ต้นแบบ” พ่อแม่ชาวยิวมักปลูกฝังเรื่องการทำอะไรด้วยตัวเองเสมอ และที่สำคัญยังทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่าง  ดังนั้นเด็ก ๆ ชาวยิวจะไม่ค่อยพึ่งพาพ่อแม่ให้ทำหรือหาอะไรให้ แต่พวกเขาพยายามทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จด้วยตัวเอง ด้วยแนวทางนี้จะทำให้เด็กๆ เป็นผู้ใหญ่ทางความคิด และทำสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใครถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ค่ะ

    9. ให้ลูกรู้จักปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีด้วยตัวเองได้

    เมื่อลูกๆ ทำผิด แทนที่จะลงโทษเด็กด้วยการยึดของรักของหวงของเด็กๆ ไป พ่อแม่ชาวยิวจะปล่อยให้ลูกคิดได้เองว่า สิ่งที่ทำผิดไปมันสมควรหรือไม่มันจะก่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเองหรือเปล่า แล้ววันหนึ่ง พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะแก้ไขพฤติกรรมเพื่อประโยชน์ของตัวเองได้ เช่น แทนที่เด็กๆ จะกลัวการถูกลงโทษจากการที่เอาลิปสติกของแม่ไปถูกระจกจนกุดหมด เขาจะรู้ว่าแม่ต้องซื้อ ลิปสติกแท่งใหม่ แทนที่จะซื้อของเล่นหรือขนมให้พวกเขา พวกเขาก็จะอด ไม่ได้กินขนมอร่อยๆ หรือของเล่นสนุกๆ

    10.ใส่ใจในทุกความพยายามและตั้งใจของลูก

    นักจิตวิทยายุคใหม่ อาจแนะนำว่า พ่อแม่ไม่ควรชมลูกง่ายเกิน อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ชาวยิวไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาเชื่อว่าการกระทำใดๆ ของลูกก็ตาม ที่เกิดจากความพยายาม จะต้องได้รับรางวัลด้วยการชื่นชม แม้ว่าลูกเดินมาหา บอกว่า “นี่!! หนูวาดรูปพ่อแม่ลูกมาให้ดู”  แต่ความจริง คุณอาจดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าเป็นรูปอะไร  ซึ่งพ่อแม่บางคนอาจพูดว่า “นี่รูปอะไรเหรอลูกดูไม่ออกเลย” เพราะยึดตำราว่าจะชมลูกก็ต่อเมื่อลูกทำได้ดี  แต่พ่อแม่ชาวยิวจะหาทางชื่นชมลูกเสมอ ในความพยายามที่ดีของลูก ไม่ว่าผลลัพธ์ในการกระทำจะเป็นอย่างไรก็ตามค่ะ

    เป็นอย่างไรกันบ้างคะ คุณพ่อคุณแม่ชาวไทย ได้อ่านเคล็ดลับมาจนถึงตรงนี้ หากท่านไหนคิดว่าจะสามารถนำไปปรับใช้ได้บ้าง ก็ลองทำดูได้นะคะ เพราะจากแนวทางที่พ่อแม่ชาวยิวปลูกฝังลูกก็ดูมีน้ำหนักพอ ที่ดูแล้วน่าจะ มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ให้เราได้เห็นอยู่บ้าง และหากเราได้ลองนำมาปรับใช้ และปลูกฝังลูกๆ ของเราได้อย่างเหมาะสม เชื่อแน่ว่า จะช่วยสร้างให้ลูกเป็นเด็กที่มีความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ความฉลาดทางสติปัญญา(IQ), ความฉลาดทางอารมณ์(EQ),ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์(CQ),ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น(PQ) ถ้าลูกมี ความฉลาดรอบด้าน อย่างหลากหลายคำว่าอัจฉริยะสร้างได้ ก็ไม่ไกลเกินความจริงแต่อย่างใดค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : brightside.me

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

    7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

    วิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ดุ ไม่ตี ปูพื้นฐานชีวิตลูกให้ดีใน 3 ปีแรก

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      หน้ากากอนามัย

      หมอแนะ 5 เทคนิค เปิดเทอมลูกปลอดภัย ห่างไกล Covid

      ในช่วงที่ผ่านมาคุณพ่อ คุณแม่อาจจะวุ่นวายเพราะลูกต้องเรียนออนไลน์ที่บ้าน แต่พอลูกน้อยต้องกลับไปเรียนที่โรงเรียนตามปกติคุณพ่อคุณแม่อาจจะเปลี่ยนมาเป็นความกังวลแทน ถึงแม้จะผ่านการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัส Covid กันมาหนึ่งรอบแล้ว แต่ลูกของเราก็ยังเป็นเด็ก บางทีลูก ๆ ก็ยังไม่เข้าใจ 100% ว่าต้องดูแลตัวเองอย่างไรถึงจะปลอดภัยจาก Covid ทางทีมแม่ ABK จึงมีคำแนะนำจากกุมารแพทย์ด้านโรคติดเชื้อในเด็ก จากโรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน ที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้คุณพ่อ คุณแม่นำไปปรับใช้ ไม่ใช่แค่กับภาวะที่โควิดระบาดเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์ได้กับอีกหลายโรคที่เกิดในโรงเรียน เช่น มือ เท้า ปาก และไวรัส RSV อีกด้วย แผนกกุมารแพทย์ โรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน จะมีคำแนะนำที่น่าสนใจอะไรมาฝากคุณพ่อ คุณแม่บ้างเราไปดูกันค่ะ

      ล้างมือ

      1.การล้างมือคือคำตอบ

      โควิดติดต่อแบบไวรัสหวัดทั่วไป คือติดผ่านสารคัดหลั่ง เช่น  ไอจามแล้วมาเข้าเยื่อบุของเรา แต่อีกแบบที่พบมากคือมีการไอจามแล้วเอามือที่ป้องปากไปจับลูกบิด ซึ่งเด็กเขาก็จะระวังไม่เท่าผู้ใหญ่อยู่แล้ว อาจจะไปจับต่อแล้วเอามาขยี้ตา ดังนั้นการสอนการล้างมือที่ถูกต้องจะช่วยได้เยอะ ส่วนเรื่องการเว้นระยะห่างก็ช่วยได้มาก ให้เขาเล่นกันในระยะห่าง 1 ช่วงแขนก็พอ แต่ก็ต้องยอมรับกันว่าวัยนี้ระวังได้ยากจริง ๆ สุดท้ายสิ่งที่ช่วยได้ดีที่สุดก็คือการล้างมืออยู่ดี

      อาหาร

      2.ความเข้าใจและภูมิคุ้มกัน เริ่มได้ตั้งแต่ในบ้าน

      ลูกไปโรงเรียนทุกวันก็จริง แต่คนที่ใกล้ชิดกับเขามากที่สุดยังไงก็หนีไม่พ้นผู้ปกครอง บ้านจึงเป็นสถานที่ตั้งต้นของทุกอย่าง ทั้งความรู้เรื่องโรค (แบบเข้าใจง่าย) และภูมิคุ้มกันของร่างกายที่แข็งแรง

      การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีต้องมาจากอาหาร การพักผ่อนและการออกกำลังกาย แค่ดูแลลูกให้รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว วิตามินเสริมต่าง ๆ ทางการแพทย์ถือว่าไม่จำเป็น ปัญหาของเด็กวัย 1 ขวบขึ้นไปจริง ๆ แล้วเป็นการเลือกกิน ซึ่งทำให้ได้รับสารอาหารไม่ครบ 5 หมู่ มีทริคนิดนึงคือเราสามารถให้ลูกมีส่วนร่วมในการเตรียมอาหาร เช่น ช่วยล้างผัก พอทำอาหารเสร็จ ก็มีแนวโน้มที่เขาจะกินมากขึ้นเพราะเป็นฝีมือตัวเอง ส่วนนมอาจจะให้ลูกดื่มวันละ 2-3 กล่อง (250 ซีซี) ก็พอแล้ว การออกกำลังกายกับลูกๆ ในสถานที่เปิดนี่ยังแนะนำให้ทำอยู่ เพราะว่าดีกับสุขภาพเขาทั้งกายทั้งใจ

      ส่วนการปลูกฝังความเข้าใจเรื่องโรค คุณหมอแนะนำว่าไม่ต้องเน้นวิชาการมาก แต่เล่าง่ายๆ และเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกก็พอ  ความรู้เรื่องโควิดนี่แนะนำให้ใช้สื่อการสอนที่เป็นภาพเพราะเด็กเรียนรู้จากการเล่นอยู่แล้ว อาจจะเล่านิทานเพื่อให้เข้าใจง่าย ไม่ต้องเล่าว่าโควิดคืออะไร แต่ทำให้เขาเข้าใจใน Concept ว่าเชื้อโรคเนี่ยเป็นผู้ร้าย เราไปเจอเขาแล้วไม่ระวังเนี่ยเราจะป่วย จะเล่นกับเพื่อนไม่ได้ ดังนั้นการล้างมือเป็นพระเอกที่ช่วยเราได้ อย่าไปพยายามป้อนข้อมูลที่หนักให้เขามาก เขาจะไม่รับ

      นอกจากนั้นคือต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เพราะเด็กในวัยนี้เขาทำตามผู้ใหญ่อยู่แล้ว ต้องอาศัยการสอนแบบทำให้ดูด้วย เช่น การล้างมือ คุณพ่อคุณแม่ต้องทำตัวอย่างก่อน ทุกคนเข้าบ้านมาแล้ว ต้องล้างมือให้สะอาดอย่างน้อย 60 วินาทีนะ จะใช้วิธีร้องเพลงช้าง 2 รอบก็ได้เหมือนกัน ระวังจุดเล็ก ๆ 3 จุด ได้แก่ ง่ามนิ้ว เล็บมือ และข้อมือ นอกจากนี้เด็กสามารถใช้แอลกฮอล์ล้างมือได้บ่อย ๆ ไม่เป็นอันตรายหรือระคายเคืองต่อผิวหนัง

      หน้ากากอนามัยทางการแพทย์

      3.ติดอาวุธพร้อมใช้  แต่พกไปเท่าที่จำเป็น

      เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนคงเตรียมอุปกรณ์ป้องกันดีไซน์เจ๋ง ๆ แปลก ๆ ให้ลูกอยู่แล้ว แต่กุมารแพทย์ยืนยันว่า แค่หน้ากากกับเจลล์แอลกฮอล์ก็เอาอยู่ ไม่ต้องเยอะและยากมาก เพราะอะไรที่ยากเรายิ่งไม่อยากใช้จริงไหม  ในส่วนของหน้ากากแต่ละช่วงอายุจะไม่เหมือนกัน WHO แนะนำว่าถ้าอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ควรให้อยู่แต่บ้านและไม่ต้องใส่หน้ากาก เพราะถ้าใส่ไม่ถูกต้องจะเสี่ยงกว่าเดิม

      นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่พบว่าการใส่หน้ากากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบเพิ่มโอกาสในการขาดออกซิเจนเหมือนกัน ดังนั้นถ้าเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบใส่หน้ากากต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่อย่างใกล้ชิด แต่ถ้าอายุ 6-11 ปีต้องออกจากบ้านนี่ใส่ได้ วิธีที่ถูกต้องคือต้องล้างมือให้สะอาดก่อนแล้วค่อยใส่หน้ากาก ส่วนน้อง ๆ ที่อายุ 12 ปีขึ้นไปก็ใส่แบบผู้ใหญ่ได้เลย  คือต้องปิดปาก ปิดจมูก ใส่ให้ถูกด้านแค่นั้น

      คุยกับลูก

      4.นอกจากร่างกาย สุขภาพทางใจก็สำคัญ

      การพูดคุยกับลูกทุกวันช่วยสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและดีต่อพัฒนาการ ยิ่งช่วงที่มีโรคระบาดแบบนี้ การคุยกันบ่อย ๆ ก็ทำให้เราเข้าใจลูกได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งกุมารแพทย์เองได้ให้คำแนะนำในการคุยกับลูกแบบที่ลูกจะเปิดใจได้ง่ายขึ้นดังนั้น

      นอกจากสอนเรื่องโรคแล้วต้องชวนเขาคุยเป็นประจำ  ให้เขาตัดสินใจเรื่องเล็ก ๆ เกี่ยวกับตัวเขาเองได้ คือเราต้องเข้าใจเลยว่าเด็กเขามีความคิดเป็นของตัวเอง พ่อแม่ต้องใช้การสะท้อนความรู้สึก คือ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร ให้เปิดใจ รับฟังเขาก่อน อย่าเพิ่งตัดสินเขา ทำให้เขาไว้ใจเราตั้งแต่เล็ก ๆ เขาจะรู้สึกว่าเราเป็นที่พึ่งให้เขาได้ เขาก็จะกล้ามาเล่าอะไรให้เราฟังมากขึ้น

      สวมหน้ากาก

      5.ลูกจะปลอดภัยได้ พ่อแม่ต้องปลอดภัยก่อน

      ก่อนจะจบการสัมภาษณ์ครั้งนี้ กุมารแพทย์จากโรงพยาบาลวิมุตได้ชูประเด็นสำคัญที่บางครอบครัวอาจจะหลงลืมไปว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลตัวเองให้รัดกุมพอ ๆ กับที่ดูแลลูก เพราะถ้าเราป่วยลูกจะป่วยตามได้

      อยากจะฝากคุณพ่อคุณแม่ว่า เราต้องดูแลตัวเองดี ๆ ในกรณีที่ลูกอยู่บ้านแต่เราไปทำงาน อาจจะมีคนจามใส่หลังคุณพ่อบนลิฟต์ เชื้ออาจติดมากับเสื้อได้  แนะนำให้เข้าบ้านแล้วล้างมือ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะเข้าใกล้ลูกดีกว่า เพราะจริงแล้ว ๆ จากข้อมูลที่เรามีกลุ่มผู้ป่วยเด็กนี่อาการไม่รุนแรง ถ้าไม่ใช่วัยที่เล็กจริง ๆ แถมเขาไม่ค่อยแพร่เชื้อเท่าผู้ใหญ่ด้วย  คุณพ่อแม่นี่แหละที่ต้องดูแลตัวเองให้ดีเพื่อไม่ให้เอาโรคมาติดลูก

      หลังจากที่คุณพ่อ คุณแม่ได้รับฟังคำแนะนำจากกุมารแพทย์ โรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน เกี่ยวกับการป้องกันและการรับมือกับเชื้อโรคอย่างไรให้ปลอดภัยแล้ว คุณพ่อ คุณแม่สามารถนำวิธีต่าง ๆ ที่คุณหมอแนะนำมา ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง และลูกน้อยได้ เพื่อให้ลูกน้อยปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ ที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้

      ขอบคุณข้อมูลจาก : กุมารแพทย์ โรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน

      บทความที่น่าสนใจ

      แนะวิธี “พ่อแม่ไปพื้นที่เสี่ยงโควิด” กักตัว 14 วัน ที่บ้านอย่างไร? ให้ลูกปลอดภัย ปลอดเชื้อ!

      10 สิ่งของเสี่ยงติดโควิด พ่อแม่ควรระวังป้องกัน ฆ่าเชื้อโรค ก่อนถึงตัวลูก!

      CDC ชี้! หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ดีกว่าวัคซีน

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        ซัมซุง

        ใหม่! 4 นวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าสุดไฮเทคจาก ซัมซุง

        สถานการณ์ในช่วงนี้ที่มีทั้งมลพิษ และเชื้อโรคอยู่มากมายทำให้คุณพ่อ คุณแม่ต่างก็เป็นกังวล  เรื่องสุขภาพของลูกน้อยเป็นอย่างมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวในเรื่องสุขอนามัยของลูก ๆ และคนในครอบครัวมากขึ้น เทรนด์สุขภาพของปี 2021 นี้ จึงเป็นมากกว่าสูตรการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย แต่เป็นตัวช่วยในการดูแลสุขภาพคุณพ่อ คุณแม่และลูกน้อยของเราให้ปลอดภัยจากโรคร้ายและมลพิษ ทาง ซัมซุง จึงมีนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเทคสำหรับสุขภาพที่ดีภายในบ้าน เพื่อให้ลูกน้อยปลอดภัยจากมลพิษ และเชื้อโรค จะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรกันบ้างไปดูกันเลย

        เครื่องปรับอากาศ

        เครื่องปรับอากาศ

        มีงานวิจัยพบว่า มลพิษ และอากาศเสียภายในบ้าน มักส่งผลร้ายต่อสุขภาพมากกว่าอากาศภายนอก เนื่องจากสภาพแวดล้อมอากาศภายในบ้านขาดการไหลเวียน ทำให้ก่อให้เกิดอากาศเสียและส่งผลเสียต่อผู้ที่อาศัยภายในบ้านได้อีกด้วยค่ะ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการสะสมเชื้อโรคที่อยู่ในร่างกายอีกด้วยดังนั้นทางซัมซุงได้เล็งเห็นความสำคัญเรื่องสุขภาพของระบบทางเดินหายใจ(Respiratory Wellness)

        ซัมซุง จึงได้มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออากาศบริสุทธิ์ พร้อมดูแลทุก ๆ จุดภายในบ้าน ตั้งแต่พื้นจนถึงอากาศ ที่อาจมีฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่สะสมอยู่ เครื่องดูดฝุ่นไร้สายของซัมซุงมีระบบการกรอง HEPA 5 ชั้น ที่สามารถกรองฝุ่นระดับไมโครได้ถึง 99.999 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนเครื่องฟอกอากาศจากซัมซุง มากับนวัตกรรมฟอกอากาศ 3 ชั้น ที่สามารถกรองฝุ่นอนุภาคเล็กถึง PM0.3 รวมถึงยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้อีกด้วย นอกจากนี้เครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่อย่าง ซัมซุง WindFree™ Premium Plus มาพร้อมแผ่นกรอง Easy Filter ที่สามารถลดไวรัสและแบคทีเรียอันตรายบางชนิดได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ และแน่นอนว่าสามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้กว่า 99 เปอร์เซ็นต์อีกด้วยค่ะ

        เครื่องซักผ้า

        เครื่องซักผ้า

        ทราบหรือไม่ ว่าสาเหตุของการป่วยอาจจะมาจากเสื้อผ้าของคุณพ่อ คุณแม่ และลูก ๆ สวมใส่อยู่ก็ได้ เพราะเชื้อโรค และมลพิษมักจะเกาะติดตามเสื้อผ้าและทำให้ลูก ๆ ป่วยบ่อย ซึ่งทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ คือการป้องกันสาเหตุของอาการป่วย เช่น การสัมผัสเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายที่มีเชื้อโรค และมลพิษเกาะติดมาตามเสื้อผ้าที่เราสวมใส่

        ทางซัมซุงเขาก็มีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อดูแลความสะอาดของเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็น เครื่องซักผ้าฝาหน้า ที่มีเทคโนโลยี Drum Clean + ขจัดสิ่งสกปรกและแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่นเหม็นได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์ และระบบยังสามารถแจ้งเตือนทำความสะอาดถังซักเมื่อจำเป็น เพื่อทำให้มั่นใจว่าเสื้อผ้าของคุณจะสะอาดที่สุดอยู่เสมอ ยิ่งไปกว่านั้น ในปีที่ผ่านมา ซัมซุงยังได้เปิดตัว AirDresser (แอร์เดรสเซอร์) นวัตกรรมเครื่องทำความสะอาดเสื้อผ้าและฆ่าเชื้อ ที่สามารถกำจัดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และสารอันตรายอื่น ๆ ได้กว่า 99 เปอร์เซ็นต์ และยังกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ติดตามเสื้อผ้าได้หมดจด ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นเหงื่อ กลิ่นบุหรี่ หรือกลิ่นอาหาร

        ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการจัดเก็บอาหาร

        ตู้เย็น

        นอกจากการมีเสื้อผ้าที่สะอาดให้ลูก ๆ สวมใส่แล้ว คุณพ่อ คุณแม่มักจะตระหนักถึงสุขภาพการกินของลูก ๆ มากเลยใช่ไหมละคะ เพราะอยากให้ลูก ๆ มีสุขภาพที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วยเพียงเพราะการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งอาจจะทำให้ลูก ๆ ของคุณพ่อ คุณแม่ไม่สบายได้

        นอกจากเครื่องซักผ้าที่ดีและทันสมัยแล้ว ซัมซุงยังมีการพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการจัดเก็บอาหารที่ให้ความสดใหม่และน่ากิน จึงจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีที่สามารถคงความสดใหม่ และรักษาสารอาหารให้มากที่สุด นวัตกรรม Twin Cooling Plus ในตู้เย็นซัมซุง สามารถควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับการเก็บรักษาอาหาร ด้วยความชื้น 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าตู้เย็น TMF รุ่นเก่าถึง 40 เปอร์เซ็นต์ จึงเก็บรักษาวัตถุดิบให้สดใหม่ได้ยาวนานกว่า โดยไม่มีการแห้งเหี่ยว

        ไมโครเวฟ

        นอกจากตู้เย็นที่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับการเก็บรักษาอาหาร และยังสามารถคงความสดใหม่ และรักษาสารอาหารให้มากที่สุดแล้ว ซัมซุงยังมี ไมโครเวฟ ที่มีเซนเซอร์ตรวจวัดความชื้นอัจฉริยะ เอกสิทธิ์ของซัมซุง ทำหน้าที่วิเคราะห์ความชื้นของอากาศภายในห้องเพื่อคงสภาพที่เป็นธรรมชาติและรสชาติดั้งเดิมของอาหารไว้ให้ได้มากที่สุด

        เครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุง

        ในปี 2021 นี้ Home Wellness and Healthy Living คือเทรนด์การดูแลสุขภาพ ที่จะช่วยให้คุณพ่อ คุณแม่ และคนในครอบครัวของเราปลอดภัยจากมลภาวะและเชื้อโรค ทำให้ลูก ๆ มีร่างกายที่แข็งแรง พร้อมรับมือกับทุกสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เสริมภูมิคุ้มให้กับลูก ๆ ด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าจากซัมซุง ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมเพื่อความสะอาด สำหรับทุกช่วงเวลาการใช้ชีวิตภายในบ้าน

        หากคุณพ่อ คุณแม่ท่านใดที่สนใจ สามารถดูรายละเอียดเกี่ยวกับนวัตกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อสุขภาพจากซัมซุง ได้ที่ https://www.samsung.com/th/

         

        บทความที่น่าสนใจ

        ลดครึ่งราคาอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 กฟผ.แจกคูปองสูงสุด 1,000 บาท 

        ฝุ่นเยอะแบบนี้ เครื่องฟอกอากาศยี่ห้อไหนดี เปลี่ยนอากาศสะอาดให้ลูกปลอดภัย คุณแม่ทั่วประเทศยกให้ Samsung เป็นแบรนด์ในดวงใจ

        ตู้ฆ่าเชื้อขวดนมยี่ห้อไหนดี ขวดนมสะอาดจริง หมดห่วงเรื่องสารตกค้าง คุณแม่ทั่วประเทศยกให้ Prince & Princess เป็นแบรนด์ในดวงใจ

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ฟ้องหย่าสามี

          ภรรยาถูกกฎหมายต้องรู้ วิธี ฟ้องหย่าสามี และ เรียกค่าเสียหายจาก ชู้!

          เมื่อภรรยาที่จดทะเบียนสมรส ถูกตีท้ายครัว จะ ฟ้องหย่าสามี เรียกร้องค่าเสียหายจากทั้งเมียน้อย และสามี ได้หรือไม่ ทำยังไงถึงจะได้แบบคุ้มๆ มาดูคำแนะนำจากทนายกันค่ะ

          เปิดข้อกฎหมาย วิธี ฟ้องหย่าสามี และ เรียกค่าเสียหายจาก ชู้!

          เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งข่าวที่น่าสนใจ ในปลายเดือนก.พ. หรือเดือนแห่งความรัก ซึ่งความรักของผู้เป็นข่าวอาจไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอีกต่อไป เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งเดินถือทะเบียนสมรสไปในงานแต่งงาน เพื่อทวงคืนสิทธิ์ ถามหาความชอบธรรมจากสามีของเธอ โดยทั้งคู่นั้นอยู่กินกันมา 16 ปี และมีลูกสาวด้วยกัน 2 คน แต่สามีนั้นกำลังเข้าพิธีมงคลสมรสกับผู้หญิงคนใหม่

          ซึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้เองทำให้สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ว่ามีทะเบียนสมรสอยู่แล้ว แต่ไปแต่งงานใหม่ ทำได้รึเปล่า?? ทางเพจเฟซบุ๊ก “ทนายคู่ใจ” ของ นายรณรงค์ แก้วเพชร ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม จึงได้ออกมาให้คำแนะนำว่า…

          ในกรณีการจัดงานแต่งงานแบบนี้ ซึ่งไม่ได้มีการหย่าขาดจากภรรยาเก่าก่อน ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงอาจจะเลิกราต่อกัน แยกทางกันอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่ในทางกฎหมาย หากทะเบียนสมรสยังคากันอยู่ ก็ต้องถือว่าเป็นสามี-ภรรยากันอยู่ ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสใหม่ซ้ำซ้อนได้ หากจดทะเบียนสมรสใหม่ ก็จะตกเป็นโมฆะ ซึ่งถ้าจะเลิกกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ต้องไปจดทะเบียนหย่า หรือฟ้องหย่าตามขั้นตอนกฎหมายให้เรียบร้อยก่อน (ป.แพ่ง ม.1514)

          ฟ้องหย่าสามี

          โดยเพจกองปราบปราม ได้ออกมาโพสต์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กรณีเช่นนี้ สิทธิตามกฎหมายของสามี หรือภรรยาจะสามารถดำเนินการ ฟ้องหย่า ได้ คือ…

          1. สามารถ ฟ้องหย่าสามี หรือ ภรรยา” ได้ (ป.พ.พ. 1516(1))
          2. สามารถฟ้อง “ชาย หรือ หญิงอื่น” เพื่อเรียกค่าทดแทนได้ (ป.พ.พ. มาตรา 1523)
          3. สามารถ ฟ้องหย่าสามี หรือ ภรรยา” เพื่อเรียกค่าทดแทนได้ (ป.พ.พ. มาตรา 1523)
          4. สามารถ ฟ้องทั้ง สามี หรือ ภรรยา และ “ชายหรือหญิงอื่น” เพื่อเรียกค่าทดแทนพร้อมกันก็ได้ (ป.พ.พ. มาตรา 1523)
          5. ถ้าการหย่าทำให้ “สามี หรือภรรยา” ยากจนลง เพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สินหรือจากการงานตามที่เคยทำอยู่ระหว่างสมรส อีกฝ่ายหนึ่งนั้นจะขอให้ฝ่ายที่ต้องรับผิดจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้ได้ ค่าเลี้ยงชีพนี้ศาลอาจให้เพียงใดหรือไม่ให้ก็ได้ โดยคำนึงถึงความสามารถของผู้ให้และฐานะของผู้รับ (ป.พ.พ มาตรา 1526 และฎีกาที่ 8046/2556)

          ฟ้องหย่าสามี

          วิธีการดำเนินการฟ้องหย่าสามี

          ทั้งนี้ นายรณรงค์ แก้วเพชร เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “ทนายคู่ใจ” ได้ให้ทางออกของหนุ่มเจ้าบ่าว หากต้องการที่จะหย่า แต่เมียหลวงไม่ยอมจับมือกันไปจดทะเบียนหย่า ก็ต้องดำเนินการใช้สิทธิทางศาล คือ ฟ้องหย่า อย่างเดียว

          ในทางกฎหมายนั้น การที่จะใช้สิทธิทางศาลในการฟ้องหย่านั้นก็ต้องมีเหตุ เช่น ฝ่ายหญิงมีชู้, แยกกันอยู่เกิน 3 ปี, จงใจทิ้งร้างอีกฝ่ายไปเกิน 1 ปี, ประพฤติชั่วร้ายแรง, วิกลจริต, เป็นโรคร้ายแรง, ทำร้ายร่างกายอีกฝ่าย, หรือไม่อาจร่วมประเวณีกันได้ฯ (ม.1516) หากไม่เข้ากรณีตามนี้ก้ไม่มีเหตุที่จะฟ้องหย่าได้ ฟ้องไปศาลก็ไม่อาจจะสั่งให้ได้

          ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ การที่ภรรยาไม่ยอมจดทะเบียนหย่าให้นั้น อาจต้องเข้าใจฝ่ายหญิงด้วย เพราะมีลูกด้วยกัน บางครั้งมันก็ต้องคิดเยอะกว่าคำว่ารักหรือไม่รัก หรือบางคนก็ยอมกอดทะเบียนสมรสเอาไว้ เพื่อหวังในสินสมรส ก็มีเหมือนกัน

          แต่ทั้งนี้ ฝ่ายชายเจ้าบ่าวเป็นตำรวจด้วย หากฝ่ายเมียหลวงจะร้องเรียนวินัยก็สามารถทำได้ เพราะการที่ข้าราชการมีชู้ ถือเป็นการประพฤติชั่ว อันเป็นความผิดวินัยร้ายแรง ถึงขั้นไล่ออกจากราชการได้

          แต่การที่เมียหลวงบุกไปที่งานแต่งงาน แล้วมีการไลฟ์สด เรื่องนี้ถึงแม้สังคมจะเห็นใจเมียหลวงก็ตาม แต่ในทางกฎหมายก็ สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยหากมีคำว่า “เมียน้อย” หรือพูดพาดพิงถึงเมียน้อย ทางนั้นก็อาจจะดำเนินคดีได้เหมือนกัน ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 2 ปี ปรับสูงถึง 2 แสนบาท (ป.อาญา ม.328)

          ด้าน นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ระบุว่า…

          เมียหลวงสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากเมียน้อยได้ด้วย ยิ่งมีลูก มีเต้า มีภาระ บางเคสนี่ร้องกันหลักล้านเลยนะครับ หลังจากนั้นเมียหลวงยังสามารถ ฟ้องหย่า ได้อีกด้วย

          และ >> จุดพีคสุดคือ เมียหลวงสามารถบุกไปในงาน และประกาศได้เลยว่าเป็นเมียหลวง แต่ต้องไม่ทำร้ายร่างกาย และสามารถโพสต์ในโซเชียลได้ ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาท เพราะถือว่าเป็นการป้องกันส่วนได้เสียของตน

          อย่างไรก็ตามเรื่องในครอบครัวเมื่อสามีภรรยา จดทะเบียนสมรสอยู่กินด้วยกันก็ควรคุยให้ชัด ว่าจะเอาอย่างไร จะหย่ากัน สินรสรส หนี้ร่วม ค่าเลี้ยงดูลูก เอาให้ชัดเจน หากจะเลิกกัน คุยกันไม่ได้ก็ไปว่ากันในศาล ฟ้องหย่าสามี หรือ ภรรยา และให้ศาลตัดสินให้เรื่องจบไป

          แต่สุดท้ายนี้ก้เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรคิดว่าหากทุกอย่างต้องจบลงแบบนี้คนที่เจ้บที่สุดคือใคร? ใช่ “ลูก” ของคุณหรือไม่?


          ขอบคุณข้อมูลจาก : www.matichon.co.thกองปราบปราม

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

          ติ๊กบิ๊กบราเธอร์ ติดหนี้พนันออนไลน์ จากกรณีนี้เราจะสอนลูกยังไงให้โตไปไม่เล่นพนัน

          คุณรู้ไหม? สามีเปลี่ยนไปหลังมีลูก เพราะอะไร

          “คนเจ้าชู้” รู้ไว้! ไม่ช้าก็เร็วกฎแห่งกรรมมันจะตามทัน

          คืนเงินฉันมา…แล้วฉันจะยอมหย่าให้ “ภรรยา #ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ยอมให้คุณเอาเปรียบ”

            กินยาถ่ายพยาธิ

            มีพยาธิตอนท้อง ถ่ายพยาธิ ได้ไหม อันตรายหรือเปล่า?

            ถ่ายพยาธิ – โดยปกติแล้ว หากไม่มีความจำเป็น เราคงไม่ต้องกินยาถ่ายพยาธิ แต่สำหรับบางคน ในกรณีที่จำเป็นต้องถ่ายพยาธิ เนื่องจากมีอาการผิดปกติของร่างกาย แต่ขณะเดียวกันก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ จะแน่ใจได้อย่างไรว่า ยา ถ่ายพยาธิ จะไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ มีข้อห้าม หรือข้อควรระวัง สำหรับคนท้องหรือไม่ วันนี้เรามาไขข้อข้องใจกันค่ะ

            มีพยาธิตอนท้อง ถ่ายพยาธิ ได้ไหม อันตรายหรือเปล่า?

            พยาธิ คืออะไร

            คือ  ปรสิต ชนิดหนึ่ง ที่ดำรงชีพได้ด้วยการอาศัยอยู่ในร่างกายของคนหรือสัตว์ โดยเข้าสู่ร่างกายของคนได้ตั้งแต่ยังเป็นไข่ พบมากในระบบทางเดินอาหาร  เข้าสู่ร่างกายของคนได้ทางปากจากการที่เราดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่มีพยาธิปนอยู่  หรือแม้แต่พยาธิที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ ก็สามารถเข้าสู่ร่างกายคนได้ ผ่านทางการสูดลมหายใจ

            นอกจากนี้ การสัมผัส สิ่งปฏิกูลจากสัตว์ ตลอดจนจุดสัมผัสที่เสี่ยงที่อาจมีไข่พยาธิติดอยู่ เช่น ลูกบิดประตู ที่รองนั่งชักโครก ก็ทำให้พยาธิเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน เมื่อ พยาธิเข้าสู่ร่างกาย จะฟักตัวและเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว  โดยพยาธิเหล่านี้ จะแย่งสารอาหารที่เรารับประทานเข้าไป จนทำให้ผู้ที่ติดเชื้อพยาธิได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หากปล่อยไว้นานอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้

            ชนิดของพยาธิ ที่ทำให้เกิดโรคในคน

            1. นีมาโทดา (Nematodes) จะมีลำตัวไม่แบ่งเป็นปล้องๆ รูปร่างทรงกระบอก หัวท้ายเรียวแหลม เช่น พยาธิไส้เดือนกลม พยาธิเส้นด้าย พยาธิปากขอ พยาธิตัวจี๊ด ชนิดที่พบผู้ป่วยในประเทศไทยมากคือ พยาธิเส้นด้าย (เข็มหมุด) ซึ่งผู้ป่วยรับพยาธิได้ง่ายจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ จากเนื้อสัตว์ และหอยชนิดต่าง ๆ นอกจากนั้นยังอาจได้รับพยาธิจากการใช้มือที่ไม่สะอาดหรือไม่ได้ล้างมือให้สะอาดหยิบอาหารรับประทาน
            2. พยาธิตัวแบน หรือ พยาธิตัวตืด (Cestodes หรือ Tapeworm) จะมีลำตัวแบน แบ่งเป็นปล้องๆ เช่น พยาธิตืดหมู พยาธิตืดวัว เป็นต้นชนิดที่พบผู้ป่วยในประเทศไทยมากคือ พยาธิตืดหมูและพยาธิตืดวัว ซึ่งผู้ป่วยรับพยาธิได้ง่ายจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงสุกๆดิบๆ จากเนื้อหมูและเนื้อวัว
            3. พยาธิใบไม้ (Trematodes หรือ Fluke) จะมีลำตัวแบนไม่แบ่งเป็นปล้อง เช่น พยาธิใบไม้ในเลือด พยาธิใบไม้ในตับ ติดต่อได้ง่ายจากการบริโภคอาหารประเภทปลาและสัตว์น้ำจืด ในลักษณะดิบหรือปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ
            กินยาถ่ายพยาธิ
            กินยาถ่ายพยาธิ

            เตือนภัย! กินผักสด หมูดิบ ต้องระวัง พยาธิตืดหมู ไชยั้วเยี้ยเต็มร่างกาย

            พยาธิในผักสด ฝันร้ายของคุณแม่สายคลีน!!

            ลูกมีพยาธิ แน่! หากพ่อแม่ปล่อยปละละเลย

            อาการเมื่อติดเชื้อพยาธิ

            • มีอาการปวดท้อง หรือ ท้องเสีย
            • รู้สึกหิวบ่อย
            • มีอาการอ่อนเพลีย
            • อาจน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
            • อาจพบรอยแดงบนผิวหนัง เช่น ที่ขา และเท้า  มีลักษณะเป็นทางเหมือนพยาธิไช
            • รู้สึกคันบริเวณรอบๆ รูทวารหนัก
            • อาจมีพบพยาธิ ปนออกมากับอุจจาระได้

            หากสงสัยว่ามีอาการใกล้เคียงกับอาการข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อทำการรักษาต่อไป

            กินยาถ่ายพยาธิ
            กินยาถ่ายพยาธิ

            การใช้ยา ถ่ายพยาธิ ในหญิงตั้งครรภ์

            การใช้ยา ถ่ายพยาธิ อาจเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากทารกจะมีการเจริญเติบโตและสร้างอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยหลังจากการปฏิสนธิประมาณ 18 วัน หัวใจและระบบประสาทของทารกจะเริ่มเจริญเติบโต สร้างแขนขาและตาหลังการปฏิสนธิ 24 วัน และสร้างอวัยวะเพศหลังจากการปฏิสนธิ 37 วัน ซึ่งในระยะที่กล่าวมานี้ หากมียาหรือสารบางชนิดไปกระทบกระเทือนต่อการแบ่งเซลล์ ก็จะทำให้อวัยวะนั้น ๆ มีความผิดปกติหรือหยุดการเจริญเติบโตได้ ซึ่งจะผิดปกติมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับระยะของการตั้งครรภ์และปริมาณของยาหรือสารที่ได้รับ นอกจากนี้ยาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ ซึ่งมีความเสี่ยงอันตราย ต่อทั้งแม่และเด็กในครรภ์ได้

            สำหรับกรณีในหญิงตั้งครรภ์ ข้อแนะนำในการใช้ยา ถ่ายพยาธิ ควรเป็นดังนี้

            1. หากหญิงตั้งครรภ์ป่วยเป็นโรคพยาธิ ควรเข้ารับการรักษาและใช้ยาถ่ายพยาธิตามดุลพินิจของแพทย์ เพราะอาการของโรคพยาธิขั้นรุนแรงทำให้เกิดโรคโลหิตจางในมารดา และอาจรวมถึงทารกในครรภ์ น้ำหนักตัวของทารกแรกคลอดลดลง และเพิ่มอัตราการตายของทารกในครรภ์

            2. ยาที่ใช้ได้ในสตรีมีครรภ์

            • มีเบนดาโซล (Mebendazole)
            • อัลเบนดาโซล (Albendazole)
            • นิโคลซาไมด์ (Niclosamide)
            • ไอเวอร์เมคติน (Ivermectin)

            อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้องเป็นไปตามคำสั่งแพทย์หลังจากนั้น สามารถเข้ารับการตรวจอัลตราซาวด์ครรภ์ได้ เพื่อแพทย์ตรวจติดตามพัฒนาการของทารกในครรภ์

            3. ยาที่ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์

            • ไพเรนเทล (Pyrantel)
            • พราซิควอนเทล (Praziquantel) 
            • ไดเอทิล คาร์บามาซีน (Diethylcarbamazine)
            • พิเพอร์ราซีน (Piperazine) 

            เนื่องจากกลุ่มยาข้างต้น อาจทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ แพทย์จะพิจารณาใช้เมื่อจำเป็นและมารดามีอาการรุนแรงจริงๆ จากพยาธิเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ใช้ยา พราซิควอนเทล (Praziquantel) ใช้เพื่อรักษาโรคพยาธิใบไม้ในเลือด (Schistosomiasis) เป็นต้น

            การป้องกันการติดเชื้อ

            หญิงมีครรภ์ ควรลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจทำให้พยาธิเข้าสู่ร่างกาย ดังนี้

            • กินอาหารที่ปรุงสุก สดใหม่
            • ล้างผักให้สะอาดก่อนรับประทาน
            • ควรล้างมือให้สะอาด ก่อนรับประทานอาหาร
            • ดื่มน้ำที่สะอาด
            • เก็บรักษาอาหาร ไม่ให้สิ่งมีชีวิตเข้าไปวางไข่ได้
            • หากมีแหล่งน้ำขัง น้ำท่วม  ไม่ควรเดินลุยน้ำเท้าเปล่า ควรสวมรองเท้าบูทป้องกัน
            • ใส่เสื้อผ้ามิดชิด ป้องกันการโดนแมลงสัตว์กัดต่อย และ รักษาความสะอาดของเสื้อผ้า

            เมื่อคุณแม่รู้จักการดูแลป้องกันปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกาย แน่นอนว่าการตั้งครรภ์จะเป็นไปอย่างมีคุณภาพ เมื่อลูกน้อยคลอด และเติบโตขึ้นสู่วัยเรียนรู้ จากประสบการณ์ของคุณแม่ ในเรื่องการระวังและป้องกันการติดเชื้อจากพยาธิ คุณแม่สามารถแนะนำและปลูกฝังในเรื่องนี้ให้ลูกได้ เพื่อให้ลูกห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และปูพื้นฐานให้ลูกเรามีความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ(HQ) ได้ค่ะ

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.who.int,medthai.com,thaitravelclinic

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            10 ยาอันตรายต่อลูก! ไม่ช่วยรักษาแถมยังทำร้ายลูกน้อย

            คนท้องกินยาพาราได้ไหม คนท้องกินยาอะไรได้บ้าง ยาที่คนท้องห้ามกิน มีอะไรบ้างเช็กเลย!

            ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              ภรรยาตั้งครรภ์

              พ่อต้องรู้! 7 สิ่ง ที่ ภรรยาตั้งครรภ์ ต้องการจากคุณ

              ภรรยาตั้งครรภ์ – การตั้งครรภ์ ถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิง เมื่อตั้งครรภ์ผู้หญิงต้องเจอความกดดันมากมาย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ด้วยระดับฮอร์โมนในร่างกายที่แปรปรวน ทำให้อะไรหลายๆ อย่างอาจดูแย่กว่าปกติ ขี้หงุดหงิด ขี้น้อยใจ อารมณ์คุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวซึมเศร้า เดี๋ยวร้องไห้ ไหนจะความเจ็บป่วยทางร่างกายที่ต้องแบกรับอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ คนเป็นสามีควรเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น และพร้อมที่จะเคียงข้างภรรยา ตลอดระยะเวา 9 เดือน ที่ผู้หญิงของคุณต้องอุ้มท้องเจ้าตัวน้อย วันนี้เรามาดูสิ่งที่คนท้องต้องการจากสามีกันค่ะ คนท้องไม้ได้ต้องการอะไรมาก คุณพ่ออ่านด่วนเลย!

              พ่อต้องรู้! 7 สิ่ง ที่ ภรรยาตั้งครรภ์ ต้องการจากคุณ

              ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกับความเปลี่ยนแปลงโดยทั่วไปที่เกิดขึ้นได้กับคนท้อง โดยสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน ได้แก่

              1. อาการแพ้ท้อง  ด้วยอิทธิพลของฮอร์โมน HCG ทำให้คุณแม่มีอาการพะอืดพะอม หรือคลื่นไส้อาเจียน บางคนเป็นหนักในช่วง 3 เดือนแรก หรือบางคนอาจแพ้ตั้งแต่เดือนแรกจนก่อนคลอดเลยก็ได้

              2. เหนื่อยง่าย เมื่อยล้า  อาการนี้เกิดจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้น ทำให้คุณแม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าง่าย และต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นด้วย รวมไปถึง อาจปวดแขน ปวดขา และหลัง ซึ่งเกิดจากการอุ้มท้อง เนื่องจากกล้ามเนื้อต้องทำงานหนักมากกว่าที่เคย

              3. อารมณ์เปลี่ยนแปลง อาการนี้ถือเป็นอาการที่เห็นได้ชัดมาก คุณแม่ตั้งครรภ์บางคนอาจรู้สึกหงุดหงิดง่าย รู้สึกว่าอะไรก็ไม่ได้อย่างใจ บางรายอาจรู้สึกเหม็นหน้าคุณพ่อได้บ้าง ในกรณีที่เป็นหนัก พบว่าอาจเป็นโรคซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ได้ รู้สึกเศร้านาน เศร้าไม่หาย และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีสมาธิ ตลอดจนมีปัญหาเกี่ยวกับการจดจำหรือการตัดสินใจ รู้สึกสิ้นหวัง ไร้ค่า และรู้สึกผิด

              ภรรยาตั้งครรภ์

              ในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น สิ่งที่คุณสามารถทำให้ภรรยาได้ในช่วงนี้ คือ พยายามหาเวลาอยู่กับเธอให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ภรรยาของคุณต้องการ การดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ จากการต้องต่อสู้กับ เรื่องต่างๆ ในแต่ละวัน นี่คือเหตุผลที่คุณต้องก้าวไปข้างหน้าเพื่อผู้หญิงที่คุณรักและลูกน้อยที่เป็นสักขีพยานรักของคุณ

              ดังนั้น การที่คุณพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างภรรยาของคุณ และ ทำใน 7 วิธีต่อไปนี้ จะช่วยให้คุณภาพชีวิตและจิตใจของ ภรรยาดีขึ้นได้แน่นอนค่ะ

              7 สิ่ง ที่คนท้องต้องการจากสามี

              1. การสนับสนุนทางอารมณ์  

              การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่ระดับฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง  ส่งผลให้คนท้องเกิดอารมณ์แปรปรวนขึ้นๆ ลงๆ ได้อย่างที่กล่าวไปข้างต้น  ช่วงเวลาหนึ่งเธออาจจะหวาน แต่อีกไม่นานเธออาจจะโกรธไปฟืนเป็นไฟ  ซึ่งคุณควรเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของคนท้องในช่วงนี้ สิ่งที่คุณทำได้ คืออยู่กับเธอ รับฟังเธอเมื่อจำเป็น  การใช้เวลาคุยกับเธอแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เพียงพอแล้ว ที่จะผ่อนคลายอารมณ์ของเธอ และทำให้เธอมีความสุขตลอดทั้งวัน หากมีโอกาส ลองบอกเธอดูก็ได้ค่ะ  ว่า “ตอนนี้เธอคือสิ่งพิเศษสำหรับคุณ ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ใดๆ ในชีวิต”

              2. การสนับสนุนทางกายภาพ

              การตั้งครรภ์เป็นช่วงที่ร่างกายต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและความกดดันอย่างมาก การนวด สามารถช่วยผ่อนคลายความเครียดและบรรเทาความเจ็บปวดให้คนท้องได้ (นวดเบาๆ ตามหัวไหล่) นอกจากคุณควรดูแลโดยไม่ปล่อยให้เธอออกกำลังกายหนักเกินไปเพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกายคนท้องได้ แต่การไม่ออกกำลังกายเลยก็ไม่ใช่เรื่องดีต่อร่างกายเช่นกัน คุณอาจหาโอกาสว่าจะทำอย่างไรให้เธอรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเหนื่อยล้า นอกจากนี้คุณควรช่วยเธอทำงานบ้าน ต่างๆ เช่น ทำอาหาร ทำความสะอาด ฯลฯ

              ประจำเดือนไม่มา กินยาอะไรดี ควรดูแลตัวเองอย่างไร?

              อาการของคนท้อง ตั้งแต่สัปดาห์แรกจนคลอด มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

              11 Superfood อาหารบํารุงคนท้อง ให้ลูกพัฒนาการดีตั้งแต่ในครรภ์

              3. ใครสักคนที่คอยเป็นที่ปรึกษา

              การตั้งครรภ์ครั้ง โดยเฉพาะท้องแรก อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับเธอ คุณต้องรู้ว่าเธอรู้สึกว่าจำเป็นต้องมีใครสักคนอยู่ใกล้เธอ เพื่อแบ่งปันความกลัวและความกังวลของเธอเพื่อขอคำแนะนำและคำแนะนำเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวันของเธอ และในระหว่างการพบกับสูตินรีแพทย์ของเธอ ทั้งในด้านอารมณ์และร่างกายเธอต้องการใครสักคน เพื่อขอคำแนะนำในการตัดสินใจบางอย่างที่สำคัญ และแบ่งปันแผนการในอนาคตของเธอเธอ การมีลูกทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล ตั้งแต่วันแรกของการตั้งครรภ์ชีวิตของเธอหมกมุ่นอยู่กับลูก ในการก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งความเป็นแม่ เธอต้องการแค่ใครสักคนที่ไว้วางใจและอยู่เคียงข้างเธอเมื่อจำเป็น

              4. การตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ

              เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนท้อง สุขภาพของแม่และลูกน้อยเป็นโจทย์แรกของการตั้งครรภ์ที่ต้องได้รับการดูแล เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เธอต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากครอบครัวโดยเฉพาะจากสามี เธอต้องการความสนใจในทุก ๆ ด้าน ทุกความต้องการของเธอควรได้การเอาใจใส่ และเธอควรได้ทานอาหารที่ดีเพื่อสุขภาพ นอกจากนี้คุณควรพาภรรยาไปพบแพทย์อย่างน้อยเดือนละครั้ง

              ภรรยาตั้งครรภ์

              5. สุขภาพที่ดีของลูกน้อยในครรภ์

              สุขภาพของทารกขึ้นอยู่กับสุขภาพของแม่  ในขณะตั้งครรภ์เธอไม่ควรเผชิญกับปัญหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และคุณควรพร้อมที่จะดูแลเธอตลอดเวลา และให้แน่ใจว่าเธอได้รับการดูแลด้านสุขภาพที่ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ควรดูแลสิ่งที่จำเป็นของเธอและอยู่กับเธอเพื่อสร้างความมั่นใจและสบายใจว่าสามารถช่วยให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพ และพัฒนาการที่ดี

              6. อยู่กับเธอในทุกสถานการณ์ที่ยากลำบาก

              การมีมนุษย์ตัวน้อยอยู่ในท้องนาน 9 เดือนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ค่ะ  การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย และการต้องเผชิญอารมณ์ที่แปรปรวนเป็นงานที่ยากมาก อย่างน้อยที่สุดที่คุณจะทำได้ คือสนับสนุนเธอและอยู่กับเธอตลอดช่วงเวลาที่ยากลำบาก ทุกวันในช่วงหลายเดือนนี้อาจคล้ายกับคุณ แต่ร่างกายของคู่ของคุณกำลังเปลี่ยนแปลงไปในรูปแบบที่น่าอัศจรรย์เพื่อรองรับชีวิตที่กำลังเติบโต การอยู่เคียงข้างภรรยาที่น่ารักของคุณผู้ซึ่งมีความรู้สึกเป็นแม่ที่เร่าร้อนไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบ แต่เป็นประสบการณ์ของพ่อ

              7. ลูกของเรา ไม่ใช่ของเธอคนเดียว

              เหตุผลที่สำคัญที่สุด ที่คุณควรอยู่เคียงข้างเธอ ในช่วงที่ตั้งครรภ์เพราะ เด็กในท้องของเธอ เป็นลูกของเรา ไม่ใช่ของเธอคนเดียว  โดยธรรมชาติแล้วผู้หญิงมีความอดทนต่อความเจ็บปวดในการอุ้มท้อง และคลอดลูก แต่ใช้ว่าคุณจะปล่อยให้เธอเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพียงลำพัง และไม่ใช่เธอคนเดียวที่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในความเป็นพ่อแม่ ในฐานะสามี คุณควรเป็นส่วนหนึ่งของการตั้งครรภ์ที่เท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้น ทุกการกระทำของคุณ ควรแน่ใจว่า คุณได้ทำทุกอย่างเพื่อให้เธอสบายใจ และมีความสุขที่เพียงพอในฐานะพ่อของลูก

              เป็นยังไงบ้างค่ะคุณพ่อทั้งหลาย อ่านมาถึงตรงนี้ รีบเช็คเลยค่ะว่าเราทำหน้าที่สามีและพ่อของลูกขาดตกบกพร่องส่วนไหนไปหรือเปล่า? สู้ๆ นะคะคุณพ่อทุกคน

              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : momspresso

              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

              คนท้องกินคอลลาเจนได้ไหม อันตรายต่อลูกในท้องหรือเปล่า?

              ครรภ์เป็นพิษเกิดจากอะไร ประสบการณ์ครรภ์เป็นพิษ ต้องยุติการตั้งครรภ์

              อาหารเพิ่มน้ำหนักลูกในครรภ์ แพ้ท้องไตรมาสแรก กินอะไรดี?

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                ลูกคนแรก

                7 ภาพการ์ตูนที่ต้องดู! ก่อนมี “ลูกคนแรก” ทั้งซึ้งและน่ารัก

                ช่วงเวลาที่รู้ว่าจะได้มี ลูกคนแรก เป็นช่วงเวลาที่ทั้งน่ายินดีและสับสนในคราวเดียวกัน เพราะพ่อแม่ป้ายแดง มักจะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เตรียมอะไรบ้าง? มาดูภาพการ์ตูนที่ตีแผ่ชีวิตพ่อแม่ลูกอ่อนกันค่ะ

                7 ภาพการ์ตูนที่ต้องดู! ก่อนมี “ลูกคนแรก” ทั้งซึ้งและน่ารัก

                เมื่อชีวิตคู่ที่มีกันแค่ 2 คน ได้มีสิ่งมีชีวิตที่สุดแสนวิเศษตัวน้อย ๆ เข้ามา อะไรที่ยังไม่เคยทำ ก็จะได้เจอ คุณพ่อคุณแม่ป้ายแดงกำลังจะได้เจอกับชีวิตที่ท้าทายใหม่ ๆ ในช่วงตั้งครรภ์ ก็อาจจะตื่นเต้น เห่อ และรอคอยกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่เมื่อลูกคลอดปั๊บ คุณพ่อคุณแม่ลูกอ่อนก็จะได้เจอกับความสุขสุดขีด ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนผ้าอ้อม การอุ้มลูกทั้งคืน เสียงร้องที่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จนทำให้วันวานอันมีอิสระเสรีแสนหวานเป็นเพียงภาพเบลอ ๆ

                เพราะการมี ลูกคนแรก เป็นช่วงชีวิตที่เราจะได้เจอเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่อย่านิ่งนอนใจ หลงระเริงว่าเอาอยู่ เตรียมตัวให้พร้อมกันหน่อยนะคะ ลองมาอ่านประสบการณ์ดี ๆ ของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่กันหน่อยดีกว่า ในครั้งนี้ ทีมแม่ ABK ขอนำเสนอประสบการณ์จริงจากคู่รักที่สุดแสนจะน่ารักคู่หนึ่ง ที่ได้บอกเล่าประสบการณ์การมี ลูกคนแรก ผ่านการวาดการ์ตูนที่ทั้งน่ารัก ตลก ซาบซึ้ง และประทับใจในคราวเดียวกัน

                คู่รักนักวาดการ์ตูนคู่นี้ Yehuda Devir และ Maya Devir ได้เขียนการ์ตูนชื่อ “One of Those Days” โดยการ์ตูนทั้ง 3 เล่มนี้ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวและประสบการณ์ความรักของคนทั้งสอง จนได้เดินทางมาถึงการตั้งท้อง ลูกคนแรก และสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้มีโอกาสต้อนรับลูกสาวที่แสนน่ารัก “Ariel”

                7 ภาพการ์ตูนที่ต้องดู! ก่อนมี “ลูกคนแรก” ทั้งซึ้งและน่ารัก

                1.วินาทีสุดซึ้งเมื่อได้ให้นมลูกจากอกเป็นครั้งแรก

                ลูกคนแรก
                ลูกคนแรก

                หลังคลอด ไม่ใช่แม่ทุกคนจะมีน้ำนมให้ลูกทานได้ทันที แม่บางคนอาจไม่มีน้ำนม น้ำนมมาน้อย หรือลูกอาจจะงอแงไม่ยอมดูดนมจากเต้า ดังนั้นเรามาเตรียมตัวเพื่อเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่ลูกยังอยู่ในท้องกันดีกว่าค่ะ โดยวิธีปฏิบัติมีดังนี้

                1. คุณแม่ควรรับประทานอาหารครบทั้งห้าหมู่ให้เพียงพอเพื่อบำรุงร่างกายแม่และลูก ตลอดจนเตรียมสะสมอาหารไว้สร้างน้ำนม โดยอาหารที่เน้นคือ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นม ผัก ผลไม้ และข้าว ไม่จำเป็นต้องทานอาหารที่กระตุ้นน้ำนมเตรียมไว้ก่อน เพียงทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ก็เพียงพอแล้ว
                2. หญิงตั้งครรภ์รับประทานอาหารได้ทุกชนิด ยกเว้นยาดองเหล้า สุรา น้ำชา กาแฟ เครื่องดื่มที่ไม่มีประโยชน์ และห้ามสูบบุหรี่
                3. ใส่ยกทรงทั้งกลางวันและกลางคืนให้พอเหมาะกับขนาดของเต้านมที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อรักษาทรวดทรง
                4. อย่านวดเต้านม เพราะอาจไปกระตุ้นให้มดลูกบีบรัดตัวทำให้คลอดก่อนกำหนดได้
                5. การอาบน้ำตามปกตินั้น เพียงพอสำหรับการทำความสะอาดเต้านมและหัวนม ไม่ควรฟอกหัวนมด้วยสบู่ เพราะจะทำให้หัวนมแตก หรือเป็นแผลได้ง่าย

                ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

                บทความที่เกี่ยวข้อง ป้าหมอเผย วิธีเตรียมเต้า กระตุ้นน้ำนม ก่อนคลอด

                2. เหมือนออกไปรบ!! เมื่อคุณพ่อต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมลูก

                เปลี่ยนผ้าอ้อมลูก
                เปลี่ยนผ้าอ้อมลูก

                เปลี่ยนผ้าอ้อมเรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่เล็ก จะทำความสะอาดบริเวณใต้ผ้าอ้อมอย่างไรให้สะอาดไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค และต้องทำให้ไวในขณะที่ลูกกำลังดิ้น!! เรามีเคล็ดลับการเปลี่ยนผ้าอ้อมมาฝากค่ะ

                เปลี่ยนผ้าอ้อมลูกสาว

                • การทำความสะอาด ให้เช็ดจากแคมด้านหน้าลงไปที่ก้น และเปิดแคมด้านในทำความสะอาดด้วย
                • เด็กหญิงอาจมีไขหุ้มทารก ซึ่งเป็นส่วนที่ปกป้องผิวของเขาตอนอยู่ในท้องแม่ และออกมาทางช่องคลอดได้ อาจติดอยู่แถวๆ ปากช่องคลอด ไม่ต้องตกใจ แค่เช็ดออกเท่านั้น
                • ถ้าต้องล้างทำความสะอาดมากๆ ต้องล้างให้ดีจริงๆ และไม่ใช้สบู่ เพราะถ้าล้างไม่สะอาดและคราบสบู่ออกไม่หมดอาจทำให้ลูกติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่ายขึ้น

                เปลี่ยนผ้าอ้อมลูกชาย

                • ก่อนทำความสะอาด ให้วางผ้าอ้อมสะอาดหรือผ้าเช็ดปิดจุ๊จุ๊ไว้กั้นเจ้าจอมทะเล้นพ่นน้ำพุใส่ ข้อนี้ต้องรู้ทัน
                • ทุกครั้งที่ทำความสะอาด นอกเหนือจากบริเวณจุ๊จุ๊แล้ว อย่าลืมยกถุงอัณฑะและเช็ดให้ทั่วด้วย
                • ตอนใส่ผ้าอ้อมผืนใหม่ ช่วยจัดจุ๊จุ๊ของเขาให้นอนลง และให้อยู่ตรงกึ่งกลางผ้าอ้อม กันรั่วนั่นเอง (ถ้าเห็นจุ๊จุ๊ของลูกยืนตรงก็ไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นเรื่องปกติ ค่อยๆ จับให้นอนลงได้)

                บทความที่เกี่ยวข้อง : ลูกอึเสร็จ ตอนไหน แม่จะรู้ได้ยังไง เมื่อไหร่จะถึงเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อม

                3. ตายซะ!! เจ้ายุง!!

                ทารกถูกยุงกัด
                ทารกถูกยุงกัด

                ยุง สัตว์ตัวเล็ก แต่แฝงไปด้วยพิษสง พาหะนำโรคมากมายที่คร่าชีวิตมนุษย์มาแล้วมากมาย นอกจากจะทำให้ลูกคันแล้ว ตุ่มเล็ก ๆ บนตัวและหน้าลูก สร้างความเสียใจ รำคาญใจ ให้กับพ่อแม่เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะลูกที่ยังเล็ก ๆ อยู่ เจ้ายุงก็ดันเลือกที่จะกัดลูก ทำไมไม่มากัดแม่!! เรามีวิธีป้องกันยุงมาฝากค่ะ

                ป้องกันอย่างไรให้ลูกปลอดภัยต่อยุง

                1. อาวุธที่ควรมีทุกบ้านไม่แพง กันยุงได้ดี คือ มุ้ง ถึงแม้จะติดตาข่ายมุ้งลวดแต่ยุงก็สามารถเล็กลอดเข้ามาได้ กางมุ้งอีกรอบเพื่อความปลอดภัย
                2. เลือกใส่เสื้อผ้าสีอ่อนๆ เพราะผลการวิจัยพบว่า ยุงชอบสีเข้มๆ มากกว่าสีอ่อน ๆ
                3. โลชั่นทากันยุง ตะไคร้หอม ป้องกันยุงได้ในช่วงสั้นประมาณ 20-30 นาที (สำหรับทารกแรกเกิด ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ได้กับเด็กแรกเกิดเท่านั้น)
                4. น้ำมันยูคาลิปตัสป้องกันยุงได้ในช่วงประมาณ 2-5 ชั่วโมง
                5. ใช้ยาป้องกันยุงชนิดที่ทำจากสารสกัดธรรมชาติ ไม่ควรใช้ชนิดที่เป็นสารเคมี เพราะอาจเป็นอันตรายได้โดยเฉพาะเด็กๆ อย่าทายากันยุงบริเวณร่มผ้า ให้ทาบางๆ ที่แขนขา ฉีดหรือหยดลงบนเสื้อผ้า ผ้าปูเตียง ผ้าห่ม หรือผ้าอ้อมเด็ก
                6. หากจะฉีดยากันยุงชนิดที่เป็นสารเคมี ควรฉีดในช่วงกลางวันหรือฉีดทิ้งไว้สักพักก่อนจะเข้าไปอยู่ในบริเวณนั้น เพื่อความปลอดภัย
                7. หลีกเลี่ยงมุมอับ ที่มืด และระมัดระวังช่วงเวลาที่ยุงจะชุมมากที่สุด นั่นก็คือช่วงหัวค่ำและรุ่งสาง ยกเว้นยุงลายที่ออกหากินเวลากลางวัน
                8. กำจัดยุงและแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้าน เช่น แจกันดอกไม้ จานรองขาตู้ ท่อน้ำ หรือบริเวณที่มีน้ำขัง

                บทความที่เกี่ยวข้อง : 7 วิธีสังเกตตุ่มตามตัวเมื่อ ลูกโดนแมลงกัด

                4. ถ่ายรูปลูก..สุดเฟล..ทำไมไม่เป๊ะเหมือนที่คิดไว้น้า?

                ถ่ายรูปลูก
                ถ่ายรูปลูก

                อยากถ่ายรูปให้ออกมาน่ารัก น่าประทับใจ เหมือนคนอื่น แต่ทำไมรูปที่ได้ถึงเฟลอย่างนี้นะ? มาดู 4 เทคนิคถ่ายภาพทารก ให้ปลอดภัย ไม่เฟล มาฝากค่ะ

                1. งดใช้แฟลช เด็กทารกที่เพิ่งคลอดออกมาไม่นานนั้น ควรใช้แสงไฟธรรมชาติ และต้องหลีกเลี่ยงการใช้ดวงไฟไม่ให้ส่องกระทบดวงตาของเด็ก
                2. ถ่ายในห้องที่สว่าง ดวงตาของเด็กนั้นบอบบางมาก ให้หลีกเลี่ยงการใช้แฟลช แต่จะทำอย่างไรให้ได้ภาพสวย? จะถ่ายนอกสถานที่นั้นก็ยังไม่ควร เพราะว่าผิวของเด็กแรกเกิดก็ยังบอบบางเช่นกัน เพราะฉะนั้นควรเลือกถ่ายภาพทารก ในห้องที่แสงเหมาะสม ผ่านทางหน้าต่าง และเลือกใช้ช่วงเวลาที่แสงดีที่สุด
                3. จัดท่านอนที่ปลอดภัย เด็กทารกแรกเกิดส่วนใหญ่จะยังคงนอนหลับ และเวลาถ่ายรูปหากต้องการได้มุมสวยๆ ก็มักจะเน้นให้เห็นสรีระของเด็ก เป็นมุมเสยเพื่อให้เห็นใบหน้าที่ชัด โดยใช้วิธีสังเกตท่าทางการนอนและสีหน้าของเด็กจังหวะต่างๆ จะช่วยสื่ออารมณ์และมีเรื่องราวอยู่ในภาพมากขึ้น เช่น ขณะที่กำลังอมยิ้ม หาว หรือขยับตัว ภาพทารกที่สื่อความหมายมากที่สุด คือ ในอ้อมอกของแม่ การจับสีหน้าของเด็กทารกที่ให้ภาพออกมาได้สวยคือช่วงเวลาที่ทารกอารมณ์ดี หรือช่วงที่กำลังนอนหลับสบาย เช่น ช่วงที่เพิ่งทำความสะอาดตัวใหม่ ๆ ช่วงหลังให้นมแม่ เป็นต้น
                4. เตรียมสถานที่ที่ปลอดภัย การเตรียมสถานที่ในการถ่ายภาพเด็กทารกในกรณีที่ถ่ายเฉพาะตัวเด็ก ควรจะจัดให้ตัวเด็กอยู่ในระดับเดียวกับกล้อง ซึ่งอาจจะใช้ เก้าอี้นอนหรือเบาะนุ่มๆ ที่หนุนให้สูง โดยมีผ้ารองตัวเด็กให้เด็กรู้สึกนุ่มสบายและไม่ระคายผิว เพราะจะทำให้เด็กทารกตื่นหรืองอแงได้ การถ่ายเจาะโคลสอัพโดยถ่ายหน้า มือ หรือเท้า ของเด็กก็นับเป็นการถ่ายภาพเด็กทารกที่นิยมกันมากขึ้น โดยใช้เลนส์โคลสอัพ ในการถ่าย เน้นให้ฉากหลังเบลอ จะทำให้ภาพออกมาชัดและสวย

                บทความที่เกี่ยวข้อง : 10 ไอเดีย ถ่ายภาพลูก สุดจี๊ด พร้อมเทคนิคถ่ายภาพแบบมือโปร!

                5. ลูกเจ็บ..แม่เจ็บยิ่งกว่า

                วัคซีนทารก
                วัคซีนทารก

                ในวัยผู้ใหญ่ เราห่างหายจากการฉีดวัคซีนกันมานาน อีกทั้งการฉีดวัคซีนก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่สำหรับลูกตัวน้อยนี่สิ ที่ต้องฉีดวัคซีนแทบทุกเดือน บางเดือนต้องฉีดพร้อมกัน 2 เข็ม แถมฉีดแต่ละทีลูกก็ร้องไห้จ้าเพราะเจ็บ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องเตรียมใจกับสถานการณ์นี้นะคะ เข้าใจดีว่าสงสารลูก แต่อย่างไรคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องอดทนเพื่อให้ลูกแข็งแรงค่ะ

                บทความที่เกี่ยวข้อง : ตารางวัคซีน 2564 ปีนี้มีปรับรายละเอียด? ลูกต้องฉีดอะไร ตอนไหนบ้าง เช็กเลย!

                รวมแพ็กเกจวัคซีนเด็ก โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ปี 2564

                6. การนอนอย่างเต็มอิ่มคืออะไร? ทำไมจำไม่ได้แล้วนะ?

                ลูกตื่นทั้งคืน
                ลูกตื่นทั้งคืน

                สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะสูญเสียไปก็คือการนอนอย่างเต็มอิ่มค่ะ ตั้งแต่คลอด ลูกคนแรก จะไม่มีวันไหนที่คุณจะได้นอนเต็มอิ่มอีกเลย จนกว่าลูกจะโต ก่อนอื่นคุณแม่ต้องเข้าใจด้วยว่าระยะเวลา 9 เดือนที่เจ้าตัวเล็กนอนอยู่ในท้องที่เต็มไปด้วยน้ำคร่ำ เมื่อยามที่คุณแม่เดินไปมา ก็เปรียบเสมือนว่าได้ไกวเปลทำให้ทารกในท้องนอนหลับสบาย ส่วนตอนกลางคืนที่คุณแม่หลับสนิทลูกน้อยในท้องกลับตื่นจนถีบท้องคุณแม่สะดุ้งอยู่หลายครั้ง เพราะคุณแม่ไม่ได้เคลื่อนไหวตัวนั่นเอง จนกระทั่งคลอดออกมาทารกก็ยังคงเคยชินกับช่วงเวลาที่นอนและตื่นเหมือนตอนอยู่ในท้อง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทารกแรกเกิดนัั้นนอนกลางวัน มากกว่ากลางคืน แม้จะปลุกให้กินนมก็ไม่ค่อยอยากจะตื่นนั่นเองค่ะ

                ตามปกติแล้วเด็กทารกแรกเกิดต้องการเวลานอนหลับพักผ่อนมากกว่าเด็กโต แต่ห้วงเวลาการหลับและตื่นจะสั้น และมีหลายช่วงเวลาที่ตื่นเมื่อหิว ซึ่งทารกแรกเกิด จนถึงอายุ 2 เดือนต้องการเวลานอน 11-18 ชั่วโมงต่อวัน และระหว่าง 2 -10 เดือน ต้องการเวลานอน 11-15 ชั่วโมงต่อวัน โดยปกติทารกแรกเกิดจะนอนในเวลากลางวันนานมาก และใช้เวลานานในตอนกลางคืนกว่าจะหลับได้นั้นจะมีอาการ หลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดคืน เด็กทารกจะตื่นบ่อยในช่วง 3 เดือนแรก เพื่อขอกินนมแม่บ่อยๆ เป็นการกระตุ้นให้แม่สร้างน้ำนมแม่มากขึ้น ดังนั้นแม่จะเหนื่อยมากในช่วง 3 เดือนแรก การนอนแบบสับสนช่วงเวลาของเด็กทารกนี้ จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะช่วงแรกเกิดจนถึง 3 เดือนเท่านั้น (หรือบางคนอาจมากกว่านั้น) ถือเป็นช่วงที่สำคัญและลำบากสำหรับคนเป็นแม่มากที่สุด

                บทความที่เกี่ยวข้อง : ตารางการนอนของทารก นอน/ตื่นกี่ครั้ง นอนนานแค่ไหน?

                7. เมื่อลูกไม่ชอบอาบน้ำ!

                อาบน้ำทารก
                อาบน้ำทารก

                ทุกครั้งเวลาที่ตัวลูกแตะโดนน้ำ ลูกจะร้องไห้โวยวายไม่ยอมอาบ ส่วนพ่อแม่ก็กลัวจะทำลูกหล่น ยิ่งลูกดิ้น สถานการณ์ก็ยิ่งแย่ลง เป็นสถานการณ์ที่ต้องทำแทบจะทุกวัน และก็ต้องลุ้นตัวเกร็งกันแทบจะทุกวันเลยล่ะค่ะ มาดูเทคนิคการอาบน้ำเจ้าตัวน้อย อย่างถูกต้องและปลอดภัยกันค่ะ

                บทความที่เกี่ยวข้อง : ขั้นตอน วิธีอาบน้ำเด็กแรกเกิด ถูกต้อง ปลอดภัย (มีคลิป)

                ลูกคนแรก
                ลูกคนแรก

                เมื่อได้ผ่านวันเวลาที่แสนจะยุ่งเหยิง วุ่นวาย แต่มีความสุขมาได้แล้ว มนุษย์พ่อมนุษย์แม่มือใหม่จะรู้สึกภูมิใจและไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ ตัวเองจะเลี้ยงเจ้าตัวเล็กให้โตขนาดนี้ได้เลยค่ะ ช่วงเวลาเหล่านี้แหล่ะค่ะ เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่เรียกว่า “มีชีวิตที่คุ้มค่า”

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม ใช้สูตรคำนวณปริมาณกินนมช่วยสิ

                after birth 8 อาการลูกแรกเกิด แม่ (ไม่ต้อง) กังวล

                เตือนใส่ หน้ากากอนามัยเด็ก -เบบี๋อันตรายมากกว่าป้องกัน

                วิธีชงนม ไม่มีฟอง ช่วยป้องกันทารกท้องอืดได้

                 

                ขอบคุณข้อมูลจาก : mymodernmet.com, www.yehudadevir.com

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม

                  รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม ใช้สูตรคำนวณปริมาณกินนมช่วยสิ

                  สังเกตตรงไหน รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม ลูกอิ่มแน่ หรือแค่หลับกันนะ แม่จ๋ามาไขข้อข้องใจ ลองใช้สูตรคำนวณปริมาณการกินนมของเด็กแรกเกิด-1ปี กันดูดีไหม

                  รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม ?ใช้สูตรคำนวณปริมาณการกินนมช่วยสิ!!

                  ปัญหาสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่เริ่มความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ หรือแม้แต่การเลี้ยงลูกด้วยนมผงนั้น ปัญหาหนึ่ง คือ การไม่แน่ใจว่าลูกน้อยได้รับน้ำนมเพียงพอแล้วหรือยัง เนื่องจากคุณแม่ไม่สามารถรู้ได้ถึงปริมาณน้ำนมของเราที่ผลิตออกมา เวลาลูกน้อยดูดจากเต้า หรือความไม่แน่ใจว่าควรชงนมปริมาณเท่าไหร่กันแน่ ตามสัดส่วนข้างกล่องนมดูจะมากไปหรือเปล่า ยิ่งโดยเฉพาะบางบ้านที่ลูกเลี้ยงง่าย ชอบหลับเวลาให้นม หรือในทางกลับกันที่ลูกน้อยร้องไห้บ่อย ทำให้สงสัยว่าเป็นเพราะลูกยังกินไม่อิ่มหรือเปล่านะ ให้กินนมบ่อยเกินไปจะดีไหม จะเป็น Overfeeding หรือเปล่า

                  รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม
                  รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม

                  วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK ร่วมไขข้อข้องใจให้แก่คุณแม่ทั้งหลาย จะได้สบายใจในการเลี้ยงป้อนนมลูก ด้วยเช็กลิสต์ง่าย ๆ ไว้คอยสังเกตลูกว่าได้รับน้ำนมเพียงพอ ไม่น้อยไปหรือมากเกินไป เพราะคุณแม่ทุกคนก็คงอยากให้ลูกน้อยเติบโตสมวัยกันอย่างแน่นอน

                  บ้านนี้นอนเยอะ กินน้อย ???

                  อย่าพึ่งด่วนสรุปว่า การที่วัน ๆ ลูกน้อยของคุณแม่เอาแต่นอน ไม่ค่อยตื่นขึ้นมาทานนม หรือว่าดูดนมได้ไม่นานก็หลับต่ออีกแล้ว แบบนี้ลูกจะได้รับสารอาหารครบ ได้รับปริมาณน้ำนมตามเกณฑ์หรือไม่นั้น คุณแม่คงต้องสังเกตจากส่วนอื่นเป็นองค์ประกอบด้วย ดังนี้

                  เช็กดูว่า…ลูกได้นมแม่เพียงพอแล้วหรือยัง?

                  • น้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์ 30 กรัม/วัน
                  • ปัสสาวะชุ่มผ้าอ้อม สีเหลืองใส วันละ 6-8 ครั้ง
                  • อุจจาระสีเหลืองวันละ 2-3 ครั้ง เด็กที่กินนมแม่ อาจบ่อยได้ถึง 8-10 ครั้งต่อวันตามจำนวนมื้อนมที่กิน
                  • ดูอารมณ์ดี ไม่ร้องโยเย
                  • นอนหลับนาน 2-3 ชั่วโมง
                  • ได้ยินเสียงกลืนนมของลูกขณะให้นมลูก
                  • ดูดนมช้าลง นั่นเป็นอาการที่แสดงว่าลูกเริ่มอิ่ม

                  หากลูกน้อยมีอาการเหล่านี้ ก็เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า ลูกได้รับปริมาณน้ำนมเพียงพอต่อร่างกายแล้ว แม้ว่าในบางครั้งคุณแม่อาจจะเห็นว่าทำไมลูกถึงใช้เวลาทานนมน้อยกว่าเด็กคนอื่น นั่นเพราะเด็กแต่ละคนความต้องการนมไม่เท่ากัน ปริมาณการให้นมกับลูกน้อย ขึ้นอยู่กับ น้ำหนัก พฤติกรรมการเคลื่อนไหว การเผาผลาญและการดูดซึมของร่างกายก็มีส่วนกำหนดปริมาณน้ำนมโดยอัตโนมัติ

                  หลับสบาย อาการแสดงว่าลูกกินนมเพียงพอ
                  หลับสบาย อาการแสดงว่าลูกกินนมเพียงพอ

                  ทราบหรือไม่ว่าลูกสามารถดูดนมแม่ในแต่ละข้างหมดเต้าภายใน 5-7 นาทีเลยทีเดียว จากนั้นลูกจะเริ่มผ่อนจังหวะการดูดนมช้าลง ซึ่งน้ำนมที่ลูกดูดทั้ง 2 เต้านั้น รวม ๆ แล้วก็จะมีปริมาณที่พอเพียงสำหรับลูก จะสังเกตได้ว่าเมื่อลูกดูดนมทั้ง 2 ข้างจนหมด เขาจะแสดงท่าทีพอใจและอารมณ์ดีขึ้น ดูมีความสุขหลังจากกินนม หลังจากนั้นก็ดูดนมช้าลง นั่นแปลว่าเขาอิ่มแล้ว ดังนั้นคุณแม่จึงไม่ควรกังวลว่าลูกจะดูดนมแม่ได้น้อย หรือลูกจะไม่อิ่ม

                  บ้านนี้ร้องบ่อย ร้องแล้วป้อนนมเลยดีไหม??

                  เด็กทุกคนมีพฤติกรรม และอุปนิสัยแตกต่างกันไป พฤติกรรมการกินก็เช่นกัน เมื่อครั้งลูกยังเล็กไม่สามารถพูดจาสื่อสารกับคุณแม่ได้ มีเพียงแค่การร้องไห้แสดงออกถึงความไม่สบายตัว หรือต้องการสิ่งใด ๆ แบบนี้คุณแม่จึงอาจเข้าใจไปได้ว่าที่ลูกร้องไห้เพราะหิว จึงคอยป้อนนมทุกครั้งเวลาลูกร้องไห้ พอลูกกินนมเข้าไปปริมาณมากท้องของลูกก็โป่งตึง ท้องโต ไม่สุขสบาย อึดอัดท้อง ลูกอาจร้องไห้ไปด้วย ถ้าร้องไห้หนักอาจทำให้อาเจียนออกมา แหวะออกมา พฤติกรรมดังกล่าวเรียกว่า Over feeding

                  เช็กดูว่า…ลูกมีอาการ Over feeding หรือไม่?

                  • บิดตัว เอี้ยวตัว เหยียดแขนเหยียดขา ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด
                  • มีเสียงครืดคราดในคอ คล้ายมีเสมหะในคอ เสียงดังกล่าวเกิดจากนมที่ดื่มเข้าไปล้นขึ้นมาที่คอหอยแล้ว ทำให้ลูกมีท่าทางคล้ายจะอาเจียน แต่ไม่อาเจียนออกมา
                  • ท้องโป่งตึง  ตลอดเวลา ท้องไม่ยุบ
                  • ร้องกวน ร้องบ่อย ไม่สุขสบาย ลูกอาจจะเงียบช่วงแรกเวลากินนม แต่เมื่อดูดไปไม่นาน ก็กลับมาร้องไห้อีกครั้ง
                  • สำรอกนม ทางปาก และจมูก

                  3 วิธีดูแลลูกห่างไกล Over feeding

                  1. ให้ลูกกินจนอิ่ม ในปริมาณที่เหมาะสมตามน้ำหนักตัว โดยสามารถคำนวณได้จากสูตรปริมาณการกินนม หากลูกร้องขอเพิ่มอีก  ให้เบี่ยงเบนความสนใจลูก เล่นกับลูก อุ้มเดิน ดูดจุกหลอก
                  2. หากลูกร้องมาก ต้องพยายามปลอบให้ลูกหยุดร้อง เพราะหากลูกร้องไห้หนักขึ้น อากาศจะเข้าไปในกระเพาะอาหารทำให้ลูกท้องอืดมากขึ้น แน่นอึดอัดมากขึ้น ทรมานมากขึ้น
                  3. เด็กที่แหวะนมหรืออาเจียน แนะนำให้คุณแม่อุ้มสักระยะ 30 นาทีอย่าให้นอนราบในทันที เพราะการอาเจียนบ่อยทำให้กรดจากกระเพาะอาหารย้อนออกมาทำให้หลอดอาหารเป็นแผลได้
                  รู้ได้อย่างไรว่าลูกอิ่ม จึงป้อนทุกครั้งที่ร้องไห้
                  รู้ได้อย่างไรว่าลูกอิ่ม จึงป้อนทุกครั้งที่ร้องไห้

                  คุณแม่ที่ลูกมีพฤติกรรมร้องหิวตลอด ไม่ควรใจอ่อนเ พราะการที่ลูกเรามีนิสัยกินแบบ Over feeding นั้น ส่วนหนึ่งมาจากตัวเราเอง เนื่องจากแม่ทนเห็นลูกร้องไม่ได้ สงสาร จึงตอบสนองลูกด้วยการให้กิน ลูกก็จดจำโดยอัตโนมัติว่า เมื่อเขาร้องแล้วจะได้กินนมเสมอ โดยในบางครั้งลูกอาจไม่ได้หิว แต่เพียงแค่ติดเต้าต้องการได้ดูดหัวนม หรือจุกนมเท่านั้น เพราะมันทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย ลูกจึงเรียกร้องขอดูดตลอดเวลา ทำให้ลูกมีพฤติกรรมกินจุ โดยเฉพาะ เด็กที่กินนมผง กินมากกระเพาะขยายตัว กินน้อย ๆ ไม่เป็น สุดท้ายอาจนำไปสู่โรคอ้วนในอนาคตได้

                  สูตรคำนวณปริมาณการกินนมของเด็กทารกแรกเกิด – 1 ปี

                  คุณแม่ที่ปั๊มนม ทำสต๊อก หรือชงนมผงให้ลูกกินจากขวด และต้องการทราบปริมาณที่แน่ชัดว่าควรให้ลูกกินนมวันละเท่าไหร่ จะสามารถคำนวณหาปริมาณนมที่ลูกควรกินในแต่ละวันได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นปริมาณการกินนมขึ้นอยู่กับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของเด็กแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน อาจจะกินมากหรือน้อยแตกต่างกันได้บ้าง

                  สูตรการคำนวณปริมาณน้ำนมลูกที่ควรได้รับ ตั้งแต่แรกเกิด – 1 เดือน  

                  ปริมาณน้ำนมที่ควรได้รับในหนึ่งวัน = น้ำหนักลูก(กิโลกรัม )× 150 (ซีซี) ÷ 30

                  ข้อแนะนำ : ควรแบ่งมื้อนมออกเป็น 6-8 มื้อต่อวัน

                  ตัวอย่างการคำนวณ : เด็กแรกเกิดหนัก 3 กก. เมื่อครบเดือนควรหนัก 3.6 กก. แต่คำนวณง่ายๆ โดยปัดเป็น 4 กก. คูณ 150 เท่ากับ 600 หาร 30 คือ 20 ออนซ์ (+/- ได้ไม่เกิน 4 ออนซ์) และควรเเบ่งมื้อนมเป็น 6-8 มื้อ/วัน

                  สูตรการคำนวณปริมาณน้ำนมลูกที่ควรได้รับ ตั้งแต่อายุ 1- 6 เดือน  

                  ปริมาณน้ำนมที่ควรได้รับในหนึ่งวัน = น้ำหนักลูก(กิโลกรัม )× 120(ซีซี) ÷ 30

                  ข้อแนะนำ : ควรแบ่งมื้อนมออกเป็น 6-8 มื้อต่อวัน

                  ตัวอย่างการคำนวณ : เด็กอายุ 2 เดือน หนัก 5 กก. คูณ 120 ได้ 600 หาร 30 เท่ากับ 20 ออนซ์ (+/- ได้ไม่เกิน 4 ออนซ์) โดยแบ่งมื้อนมออกเป็น 6-8 มื้อ / วัน

                  สูตรการคำนวณปริมาณน้ำนมลูกที่ควรได้รับ ตั้งแต่อายุ 6- 12 เดือน 

                  ปริมาณน้ำนมที่ควรได้รับในหนึ่งวัน = น้ำหนักลูก(กิโลกรัม )× 110(ซีซี) ÷ 30

                  ข้อแนะนำ : เด็ก9-11เดือน ควรแบ่งมื้อนมเป็น 4-5 มื้อต่อวันและอาหารเสริม 2 มื้อ

                  เด็ก 12 เดือน ควรแบ่งมื้อนมเป็น 4-5 มื้อต่อวันและอาหารเสริม 3 มื้อ

                  ตัวอย่างการคำนวณ : เด็กอายุ 6 เดือน หนัก 6.5 กก. คูณ 110 เท่ากับ 715 หาร 30 ปัดเป็นเท่ากับ 24 ออนซ์

                  (** 30 ซีซี เท่ากับ 1 ออนซ์)

                  สูตรคำนวณปริมาณการกินนม ตอบคำถามแม่ รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม ได้ดี
                  สูตรคำนวณปริมาณการกินนม ตอบคำถามแม่ รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม ได้ดี

                  สูตรการคำนวณปริมาณน้ำนมที่ลูกควรได้รับแต่ละช่วงวัยนั้น ช่วยให้เราสามารถป้อนนมลูกได้ตามปริมาณที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน เพราะความต้องการของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน ซึ่งจะดีกว่าการที่ยึดตามปริมาณที่แนะนำข้างกล่องนมผง ที่เป็นการกล่าวโดยรวม ทำให้บางครั้งอาจจะมีปริมาณมากเกินความต้องการของเด็ก สำหรับแม่ฟลูไทม์ ที่มีเวลาอยู่กับลูกตลอดเวลาไม่ต้องกังวลใจในเรื่องปริมาณน้ำนมที่ลูกต้องการว่าไม่สามารถวัดตวงเป็นปริมาณที่แน่นอนได้ แล้วแบบนี้จะ รู้ได้อย่างไรว่าลูกกินอิ่ม ? ก็คงต้องขอยกคำกล่าวของคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ที่กรุณาให้ความรู้ไว้ในเพจว่า “ถ้าคุณแม่ท่านใดเป็นคุณแม่ฟลูไทม์ ลูกได้ดูดเต้าตลอด ไม่จำเป็นต้องปั๊มนมทำสต๊อก ก็มีน้ำนมให้ลูกกินได้ตลอดค่ะ” เพราะลูกสามารถกระตุ้นน้ำนมคุณแม่ได้ตลอดเวลา ไม่มีช่วงขาด ทำให้โดยมากปริมาณน้ำนมที่ร่างกายคุณแม่ผลิตมาก็จะเป็นสัดส่วนที่พอเหมาะกับลูกของเราอยู่แล้ว ตามแรงกระตุ้น แต่หากยังไม่สบายใจก็ลองเช็กลิสตามข้อด้านบนดู หรือดูจากตารางน้ำหนักตามเกณฑ์ของเด็กแต่ละช่วงวัยเพื่อความแน่ใจอีกทางก็ได้เช่นกัน

                  ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ทารกแรกเกิด

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  วิธีป้อนขวด ให้นมลูกอย่างถูกวิธี ป้องกันลูกสำลัก ลดความเสี่ยงลูกฟันผุ

                  เตือนแม่มือใหม่ “ป้อนนมลูกผิดวิธีผิดท่า” เสี่ยง! ลูกสำลักนม เสียชีวิต

                  ลูกกินเยอะ อย่าดีใจ ป้อนไม่ยั้ง เสี่ยงปอดติดเชื้อ กระเพาะพัง

                  เตือนป้อนน้ำส้ม น้ำผลไม้สําหรับทารก ก่อนอายุ 6 เดือน เสี่ยงลูกสำลักเสียชีวิตได้!

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    ประทัดระเบิด

                    อันตรายจาก ประทัดระเบิด สอนลูกให้ระวังไว้ วัยซนเสี่ยงเจ็บสูง!

                    ประทัดระเบิด– ประทัด พลุไฟ ดอกไม้ไฟ เหมือนจะเป็น สิ่งที่อยู่คู่กับเด็กไทยมายาวนานทุกยุคทุกสมัย เมื่อถึงช่วงเทศกาลสำคัญต่างๆ  เช่น ลอยกระทง  ออกพรรษา ประทัดก็เข้ามามีบทบาท และช่วยสร้างสีสันให้ช่วงเวลาแห่งความสุขเสมอ แต่หากบ้านไหนปล่อยให้เด็กๆ เล่นประทัด ตามลำพัง โดยไม่สอนเรื่องข้อควรระวัง ก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างกรณีไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ได้  สืบเนื่องจากมีเด็กนักเรียนชั้น ม.1 ในจังหวัดชัยภูมิ ได้รับบาดเจ็บ อาการสาหัส จากการเล่นประทัด โดยเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุวัตถุระเบิดใส่เด็กนักเรียน ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย

                    ประทัดระเบิด
                    ประทัดระเบิด (ภาพจาก Facebook)

                    ที่เกิดเหตุพบเด็กนักเรียนชาย ชั้นม.1  2 ราย มีแผลฉกรรจ์จากการเผาไหม้ อีกรายพบบาดเจ็บมีแผลฉกรรจ์ที่มือด้านขวา ร้องด้วยความเจ็บปวด จนท.จึงรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนนำส่ง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รักษาตัวต่อเป็นการด่วน

                    จากรายงานการบาดเจ็บของกระทรวงสาธารณสุข  พบว่า อัตราการบาดเจ็บ-พิการ จากการเล่นประทัดดอกไม้ไฟเพิ่มสูงขึ้น และพบว่า ร้อยละ 40 ของผู้บาดเจ็บทั้งหมดเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญของการได้รับบาดเจ็บจากการเล่นประทัด เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการของเด็ก ตลอดจนไม่มีการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ปกครองในขณะที่เด็กเล่นประทัด

                    อันตรายจาก ประทัดระเบิด สอนลูกให้ระวังไว้ วัยซนเสี่ยงเจ็บสูง!

                    ในช่วงเทศกาล ต่างๆ เช่น ลอยกระทง และออกพรรษา  ร้านค้ามักนำประทัด พลุ ดอกไม้ไฟ วางจำหน่ายกันอย่างคึกคัก ทำให้เด็กและเยาวชนสามารถหาซื้อได้ง่าย เด็กเป็นวัยที่รักสนุกแต่อาจยังขาดวุฒิภาวะในการระแวดระวังภัย ซึ่งอันตรายจากการเล่นประทัด มีหลายข้อด้วยกัน ดังนี้

                    1.อันตรายจากการเกิดไฟไหม้และการระเบิด

                    ที่ส่งผลเสียหาย ต่อชีวิต ทำให้เกิดการบาดเจ็บ และทรัพย์สินที่เสียหายไป ทำให้ผิวหนังไหม้ และอาจสูญเสียอวัยวะสำคัญ และที่ร้ายแรงคือถึงขั้นทำให้ตาบอด หรือนิ้วขาดได้ นอกจากนี้ การเก็บดอก ประทัด ดอกไม้ไฟ เป็นจํานวนมากไว้ในบ้าน อาจเป็นต้นเหตุที่ทําให้เกิดการเสียดสีกันหรือการล้มหรือหล่นของกองดอกไม้เพลิง จนเกิดปฏิกิริยากันเองและเกิดการลุกติดไฟและระเบิดขึ้นได้

                    สอนลูกอย่างไรให้รอดชีวิตจาก ไฟไหม้บ้าน !!

                    อุทาหรณ์ อุบัติเหตุในเด็กเล็ก พร้อม 6 วิธี ลดเสี่ยงเกิดเหตุ

                    อันตรายลูกโป่งอัดแก๊ส ภัยใกล้ตัวลูกน้อย

                    2.อันตรายจากการได้รับสารเคมีต่างๆ

                    สารเคมีในประทัด มีอยู่หลายชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย อาทิ สารโปแตสเซียมเปอร์คลอเรต จะทําให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจส่วนบน สารซัลเฟอร์หรือกํามะถัน จะทําให้เกิดอาการตาแดง ผิวหนัง อักเสบ หายใจขัด เกิดการระคายเคืองที่ระบบทางเดินหายใจ สารโปตัสเซียมไนเตรต ถ้าสัมผัสสารนี้จะทําให้ เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง และเยื่อบุผิวหนัง ถ้ากลืนกินเข้าไปจะทําให้คลื่นไส้ท้องเสีย และกล้ามเนื้ออ่อน แรงได้สําหรับ สารแบเรียมไนเตรต สารนี้จะมีพิษมากจะทําให้เกิดการระคายเคืองต่อหูตา จมูก และผิวหนัง สารนี้อาจทําลายตับ ม้าม และยังทําให้เกิดอัมพาตที่แขน ขา และบางรายอาจทําให้เสียชีวิตได้เป็นต้น

                    3.อันตรายจากเสียงของระเบิดจากพลุและดอกไม้เพลิง

                    ระดับความดังของเสียงประทัด ดอกไม้ไฟ แตกต่างกันออกไปในแต่ละชนิด โดยระดับเสียงจากประทัดบางชนิด สามารถดังได้สูงสุดถึง 130 เดซิเบล  ซึ่งเป็นระดับความดังที่เป็นอันตรายต่อประสาทหู  มีผลทำให้เกิดอาการหูตึงชั่วคราว หากได้ยินติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือหากเสียงดังมาก แม้ได้ยินเพียงครั้งเดียวอาจส่งผลให้เกิดอาการหูตึงถาวร รวมทั้งมีผลต่อผู้ป่วยโรคหัวใจและความดันโลหิตสูงอีกด้วย

                    4.อันตรายจากความร้อน

                    ดอกไม้เพลิงบางชนิดให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงมากคือ ประมาณ 1,200 – 1,800 ํF ซึ่งอาจทําให้ ผิวหนังไหม้หรือตาบอดได้เช่น ดอกไม้เพลิงที่เรียกว่า ไฟเย็น เมื่อจุดแล้วจะให้สีสันต่างๆ เป็นต้น

                    ประทัดระเบิด
                    ประทัดระเบิด

                    พฤติกรรมที่ทำให้เกิดอันตรายจาก ประทัดระเบิด

                    1. ดัดแปลง เช่น จุดในภาชนะ ขวดแก้ว โลหะ และท่อพลาสติก ถอดชนวนผูกรวมกัน บรรจะแล้วจุดชนวน

                    2.จุดในสถานที่เสี่ยงสูง เช่น แนวสายไฟ เสาไฟฟ้า อาคารบ้านเรือน กองวัสดุติดไฟง่าย สถานบริการน้ำมันเชื้อเพลิง

                    3. คึกคะนอง เช่น โยนใส่กลุ่มคน ผู้โดยสารบนรถ หรือ ผู้ที่กำลังขับขี่ยานพาหนะ

                    ข้อแนะนำ ในการเล่นประทัด ดอกไม้ไฟ 

                    1.ไม่เล่นผาดโผน ใกล้วัตถุไวไฟหรืออาคารบ้านเรือน

                    2.ผู้ปกครองไม่ควรให้เด็กนำประทัด ดอกไม้ไฟมาเล่นตามลำพัง

                    3.หากจำเป็นต้องใช้ในงานพิธี ควรอ่านคำแนะนำก่อน และควรจุดให้ห่างจากตัวประมาณ 1 ช่วงแขน

                    4.ไม่ควรจุดประทัด ดอกไม้ไฟ และพลุที่จุดแล้วแต่ไม่ติดซ้ำอีกรอบ  เพราะอาจเกิดอันตรายร้ายแรงในภายหลังได้

                    5.ไม่เก็บประทัด ดอกไม้ไฟ และพลุไว้ในกระเป๋าเสื้อ กางเกง หรือที่มีอากาศร้อน หรือที่มีแดดส่องถึง เพราะอาจเกิดการเสียดสี และทำให้ระเบิดได้

                    6. ควรเตรียมภาชนะบรรจุน้ำไว้ใกล้บริเวณที่เล่น ไว้ใช้กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน

                    7. ห้ามประกอบหรือดัดแปลงประทัด ดอกไม้ไฟ และพลุไว้เล่นเองเด็ดขาด

                    หากเกิดอุบัติเหตุ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อนิ้วหรืออวัยวะใดอวัยวะหนึ่งขาดจากแรงระเบิด ให้รีบห้ามเลือดบริเวณที่อวัยวะขาด โดยใช้ผ้าสะอาดปิดบาดแผล และพันบาดแผลให้แน่นเพื่อป้องกันเลือดออก ไม่ควรใช้เชือกหรือสายรัดเหนือแผลเพราะจะทำให้เส้นประสาท หรือหลอดเลือดเสียหายได้

                    ประทัดระเบิด
                    ประทัดระเบิด

                    สอนลูกเรื่องประทัด 

                    ควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ห้ามเด็กเล่น ประทัด พลุ ดอกไม้ไฟตามลำพัง ควรอ่านคำแนะนำและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ผู้ปกครองและครูต้องสอนให้เด็กรู้ว่า ประทัด พลุ ดอกไม้ไฟ ไม่ใช่ของเล่น แต่เป็นสิ่งที่อันตรายสำหรับเด็ก เช่น อาจทำให้ตาบอด นิ้วขาดกลายเป็นคนพิการ และสอนไม่ให้เด็กเก็บประทัด พลุ ดอกไม้ไฟที่จุดแล้วไม่ระเบิดมาเล่น เพราะอาจจะระเบิดโดยไม่คาดคิด ซึ่งผู้ปกครองควรดูแลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะช่วงเทศกาล ตลอดจนเด็กต้องได้รับการฝึกทักษะการหนีเมื่อเผชิญสถานการณ์อันตราย

                    การเล่นประทัดหากเล่นโดยขาดความรู้และความระมัดระวัง ก็อาจทำให้บาดเจ็บได้ค่ะ เมื่อคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังการเล่นประทัด ด้วย ข้อควรระวังต่างๆ ตลอดจนข้อแนะนำที่มีประโยชน์ให้ลูกฟัง คงไม่ยากแน่นอนค่ะ ที่ลูกๆ จะกลายเป็นคนที่มี ความฉลาดในการคิดดีและมีคุณค่า(TQ) ต่อไปในอนาคต ด้วยทักษะนี้จะช่วยให้ลูกรู้จักการไตร่ตรองสิ่งถูกผิด และคิดเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้อย่างเหมาะสมค่ะ

                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : khaosod.co.th,envocc.ddc.moph.go.th,thaihealth.or.th

                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                    6 อันตรายนอกบ้าน ที่ควรสอนลูกให้ระวัง!

                    วิธีรับมือลูกเล่นซนนอกบ้าน สอนลูกรู้จักบรรทัดฐานสังคม พ่อแม่ต้องเป็นต้นแบบ

                    4 ข้อควรคำนึง เล่นกับลูก ให้สนุก-ปลอดภัย ช่วยลูกมีพัฒนาการที่ดีได้

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      ลูกโดนทำร้าย

                      7 สัญญาณเตือน ลูกโดนทำร้าย ลูกเปลี่ยนไป พ่อแม่ต้องรู้!

                      ลูกโดนทำร้าย – ปัญหาเรื่องเด็กโดนทำร้าย ทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อต้องอยู่ที่โรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือที่อื่นๆ ยังเป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้บ่อยในสังคมไทย และยังคงมีประเด็นให้วิพากษ์วิจารณ์บนโลกโซเชียลอยู่เสมอ ล่าสุด มีผู้ใช้เฟซบุ๊ครายหนึ่ง ได้โพสต์เรื่องราวลงในเฟซบุ๊คกรุ๊ป จากกรณีพบบาดแผลที่บริเวณหลัง ใบหูและตามลำตัวของหลานชายชั้นเตรียมอนุบาล ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งได้แจ้งให้ทางโรงเรียนรับทราบเรื่องแล้ว และยังรอดำเนินการสอบสวนหาสาเหตุและข้อเท็จจริงอยู่

                      ลูกโดนทำร้าย
                      ลูกโดนทำร้าย (ขอบคุณภาพจาก NooZap Pawornruj)

                      การที่ เด็กโดนทำร้าย ในที่นี้ ขอเรียกว่า child abuse หรือการถูกล่วงละเมิดในเด็กค่ะ ก่อนอื่น เรามาดูลักษณะของการล่วงละเมิดที่เด็กๆ อาจพบเจอและประสบด้วยตัวเองได้  ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้

                      1. การล่วงละเมิดทางอารมณ์

                      การล่วงละเมิดทางอารมณ์  คือพฤติกรรมใดๆ ก็ตาม ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งบุคคลหนึ่งกระทำกับอีกบุคคลโดยไม่ใช่ทางกายภาพ เช่น การพูดข่มขู่ ถากถาง การใส่ร้าย การทำให้อับอาย  การไม่พูดด้วย เป็นต้น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดทอนความรู้สึกมีตัวตน ศักดิ์ศรี และคุณค่าในตนเองของบุคคลอื่น ซึ่งผลเสียจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศมักเป็นบาดแผลทางจิตใจที่ติดตัวไปในระยะยาวได้ ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือขั้นหนัก คือเกิดความคิดที่จะฆ่าตัวตาย หรือ อาจป่วยเป็นโรคเครียดหลังเกิดบาดแผลทางใจ (PTSD) ได้ เห็นมั้ยคะ ว่าการล่วงละเมิดทางอารมณ์ก็เป็นสิ่งที่น่ากลัวไม่น้อย หากเกิดขึ้นกับลูกหลานของเรา

                      2. การล่วงละเมิดทางกาย

                      การล่วงละเมิดทางกาย คือ การกระทำใด ๆ โดยเจตนาที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือ การบาดเจ็บต่อบุคคลอื่นโดยการสัมผัสทางร่างกาย ในกรณีส่วนใหญ่เด็ก ๆมักตกเป็นเหยื่อของการทำร้ายร่างกาย  การทำร้ายร่างกายหรือความรุนแรงทางร่างกายและอาจรวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศ การทำร้ายร่างกายอาจเกี่ยวข้องกับผู้ทำร้ายมากกว่าหนึ่งคนและเหยื่อมากกว่าหนึ่งคน

                      ลูกโดนทำร้าย

                      เมื่อลูกเราอยู่ในวัยเรียน เป็นธรรมดาที่ต้องมีการออกจากบ้านไปพบเจอสังคมใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนที่บ้าน อาจทำให้ต้องพบเจอผู้คนใหม่ ๆ ที่มาจากต่างครอบครัว ต่างการเลี้ยงดู ซึ่งเราไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า ลูกของเรากำลังตกอยู่ในอันตรายจากผู้คนเหล่านี้หรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ๆ หรือ ครู อาจารย์  เพราะฉะนั้น วันนี้เราเราจึงขอนำ วิธีสังเกต เมื่อเกิดความผิดปกติกับลูกของเรา หรือสงสัยว่าลูกกำลังโดนทำร้ายหรือล่วงละเมิดค่ะ

                      ลูกโดนรังแก บ่อยควรสอนให้สู้ไม่ถอย หรือหนีเอาตัวรอดเป็น

                      ลูกโดนแกล้ง พ่อแม่ช่วยได้ ป้องกันก่อนสายใช้กำลัง- ฆ่าตัวตาย

                      สอนลูกให้คิดเป็น ฝึกฝนการเจออุปสรรค เพื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

                      7 สัญญาณเตือน ลูกโดนทำร้าย ลูกเปลี่ยนไป พ่อแม่ต้องรู้!

                      สัญญาณเตือนว่าลูกอาจโดนทำร้าย

                      1. ลูกมีรอยฟกช้ำ ซึ่งไม่น่าเกิดจากการวิ่งเล่นทั่วไป ในจุดต่างๆ ของร่างกาย เช่น ใต้ร่มผ้า แผ่นหลัง หรือ หน้าอก เพราะคนทำ อาจตั้งใจให้เห็นบาดแผลได้ยาก พ่อแม่ที่มีลูกเล็กๆ ควรหมั่นดูความผิดปกติของลูกอย่างใกล้ชิด เช่น คอยสังเกตตามร่างกาย เวลาอาบน้ำหรือแต่งตัวให้ลูก

                      2. ลูกนอนละเมอฝันร้ายเป็นประจำ  แม้อาจไม่มีบาดแผลทางกายให้เราเห็น แต่บาดแผลทางใจเป็นสิ่งที่สังเกตได้ชัดเจน เนื่องจากจิตใต้สำนึก ไม่อาจปกปิดกันได้ในยามที่ลูกหลับ ดังนั้นหากเห็นว่าลูกฝันร้าย หรือละเมอ บ่อยกว่าปกติ เมื่อปลุกให้ตื่นแล้วร้องไห้ไม่หยุด ให้คิดไว้เลยค่ะ ว่า “มีบางอย่างผิดปกติแล้ว”

                      3. ลูกดูมีความวิตกกังวลและความเครียดในระดับที่ส่งผลต่อร่างกาย เช่น เมื่อต้องไปโรงเรียนแต่เช้า ลูกอาจมีอาการปวดท้อง ท้องเสียหรืออาเจียน หรืออาจแสดงออกด้วยการกรีดร้อง  ร้องไห้หนัก เกาะตัวพ่อแม่ อยากให้พ่อแม่อุ้ม และมีความรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้โรงเรียน

                      4. ลูกพูด ว่า“ไม่อยากไปโรงเรียน  เพราะ กลัวครูคนนั้น เพื่อนคนนี้ หรือ ไม่อยากเรียนวิชานี้ ไม่อยากเจอเพื่อนคนนี้เลย เป็นต้น และอาจมีมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงสถานที่ บุคคล หรือ สิ่งของบางอย่าง (ที่มีจุดร่วมคล้ายกัน) โดยพ่อแม่อาจสังเกตเห็นได้ชัดเจนหากคอยเฝ้ามองดูพฤติกรรมลูกอย่างใกล้ชิด

                      ลูกโดนทำร้าย
                      ลูกโดนทำร้าย

                      5. ลูกมีการแสดงออกบางอย่างที่ผิดปกติ  อาจแสดงออกให้พ่อแม่เห็น โดยการหมกมุ่นอยู่กับการทำอะไรบางอย่างกับร่างกายตัวเอง เช่น การจับ-เล่น ถูไถอวัยวะเพศบ่อยกว่าปกติ ซึ่งตรงนี้ให้สงสัยไว้เลย ว่าลูกอาจถูกล่วงละเมิดทางเพศมา นอกจากนี้หากลูกมีประสบการณ์โดนทำร้ายร่างกาย ลูกอาจวาดรูปเล่นในกระดาษซึ่งเหมือนเป็นภาพของการใช้ความรุนแรง เป็นต้น

                      6. ลูกมีพฤติกรรมถดถอย เช่น ปัสสาวะราด กัดเล็บอมนิ้ว  พูดติดอ่าง พูดเสียงอยู่ในลำคอ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างที่ควรจะเป็น

                      7. ลูกมีอาการเหม่อลอย  ไม่สดใส จากที่เคยร่างเริง แววตาเหม่อลอย เด็กบางคนอาจจะมีอารมณ์รุนแรง ก้าวร้าว โมโหง่าย

                      หากเกิด 7 สัญญาณเตือนกับลูก ที่เชื่อมโยงกับทั้ง 7 ข้อนี้ ให้สงสัยไว้เลยค่ะว่า ลูกของเรากำลังถูกทำร้าย และล่วงละเมิดอยู่” ซึ่งสิ่งที่ต้องรีบทำอันดับแรก คือการดูแลลูกอย่างใกล้ชิด พร้อมหาวิธีบำบัดจิตใจและร่างกายลูกต่อไป

                      แนวทางในการสอนลูก เพื่อป้องกันการถูกทำร้าย

                      1. สอนให้ลูกเห็นคุณค่าในตัวเอง

                      เพราะทุกคนล้วนมีคุณค่าในตัวเอง การถูกคนอื่นทำร้าย กลั่นแกล้ง ไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวเราเองลดลงไป คุณพ่อคุณแม่ลองสอนลูกให้รู้จักคุณค่าในตัวเอง และรักตัวเองให้เป็น เพราะสุดท้ายแล้วไม่ว่าใครจะทำให้เรารู้สึกด้อยค่ามากแค่ไหน ก็จะไม่สามารถทำอะไรเราได้ ถ้าเรานั้นรู้ตัวอยู่เสมอว่า “เรามีคุณค่ามากพอ”

                      2. ตั้งคำถามให้คิด เรื่องการรับมือ

                      ลองสร้างสถาณการณ์จำลองขึ้นมา ตั้งคำถามแก่ลูกว่า หากลูกโดนเพื่อนแกล้ง ลูกจะมีวิธีจัดการอย่างไร นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก แม้ลูกอาจจะยังไม่โดนใครทำร้าย แต่เราสามารถฝึกให้เค้าคิดแก้ไขปัญหาต่างๆ ผ่านการตั้งคำถามได้ เช่น หากลูกโดนเพื่อนแกล้ง หากลูกโดนครูทำร้ายร่างกาย จะทำอย่างไร เปิดใจรับฟังคำตอบของลูก พร้อมคอยแนะแนวทางที่ถูกต้อง และถ้าลูกต้องเผชิญหน้ากับปัญหานั้นจริงๆ ลูกจะมีวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม

                      3. เชื่อใจลูก การเชื่อใจลูก เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเชื่อใจลูก ไม่ด่วนตัดสินลูกก่อน จะช่วยให้ลูกรู้สึกอยากเปิดใจและกล้าระบายปัญหาต่างๆ ที่เขากำลังเผชิญให้เราฟัง  ผู้ใหญ่บางคนเลือกที่จะตัดสินเด็กจากสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ซึ่งจะทำให้เด็กไม่อยากเล่าความจริงให้ฟัง

                      4. สอนลูกให้รู้จักระมัดระวังตัว เด็กส่วนใหญ่ไม่อาจจะแก้ปัญหาการโดนรังแกได้ด้วยตัวเอง และมักจะต้องการความช่วยเหลืออยู่เสมอ ดังนั้นคุณจึงควรที่จะสอนลูกให้ได้รู้จักระวังตัวเอง เช่น หากลูกของคุณต้องไปไหนมาไหนคนเดียวในโรงเรียน ควรสอนให้ลูกลองชวนเพื่อนสักคนไปด้วยกัน เป็นต้น

                      5. ส่งเสริมให้เด็กมีความมั่นใจในตัวเอง มีการสำรวจพบว่า การสอนลูกให้รู้จักป้องกันตนเอง ด้วยความมั่นใจ เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้ลูกโดนรังแก การมีความมั่นใจในตัวเอง บวกกับการเรียนศิลปะป้องกันตัว สนใจในงานอดิเรก เล่นกีฬา ฯลฯ เหล่านี้เป็นการแก้ปัญหาที่ดีเยี่ยม ที่ทำให้ลูกของคุณสามารถจัดการกับปัญหาการโดนรังแกของตัวเองได้

                      ในกรณีการถูกรังแก หรือถูกล่วงละเมิดทางกายหรือทางใจ หากคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังและแนะแนวทางในการเผชิญกับปัญหาต่างๆ ที่ลูกอาจต้องเจอ จะช่วยให้ลูกผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาต่างๆ ในชีวิต ด้วยเกราะป้องกันด้าน ความฉลาดในการเผชิญปัญหา (AQ) ลูกจะสามารถแก้ไขปัญหา แก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง ทั้งยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความสำเร็จซึ่งทำให้ตัวเค้า เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง (Self-Esteem) เมื่อสามารถแก้ปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ได้ด้วยตัวของเขาเองค่ะ

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : pregnancybirthbaby.org.au, joinonelove.org, ตามใจนักจิตวิทยา,NooZap Pawornruj

                      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                      ลูกถูกทำร้าย ใจลูกสำคัญ พ่อแม่ควรทำเรื่องนี้..ก่อนสายเกินแก้!!

                      30 คำถามหลังเลิกเรียน ไขปริศนา ลูกถูกเพื่อนแกล้ง หรือไม่?

                      พ่อแม่ทำร้ายลูก เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        สอนลูกให้ซื่อสัตย์

                        7 เคล็ด(ไม่)ลับ สอนลูกให้ซื่อสัตย์ ตรงมาตรงไป โตไปไม่โกง

                        สอนลูกให้ซื่อสัตย์ – ความซื่อสัตย์สุจริต คือ พื้นฐานที่สำคัญที่สุด ของการเป็นพลเมืองดีในสังคม ที่คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ว่าจะเรื่องใดก็แล้วแต่ในชีวิตที่ลูกต้องพบเจอต่อไปในอนาคต เช่น ในโรงเรียน เราจะสอนอย่างไร ไม่ให้ลูกมีนิสัยชอบลอกการบ้านเพื่อน หรือไม่ลอกข้อสอบเพื่อน จะสอนลูกอย่างไรให้ไม่พูดโกหกกับเพื่อนหรือครู หรือสอนอย่างไรไม่ให้ลูกอยากได้ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง

                        เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงถึงความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่นทั้งสิ้น ซึ่งเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสังคมจะเป็นสังคมในอุดมคติได้ หากทุกคน ตรงไปตรงมา มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นที่ตั้ง เวลาเราเห็นข่าวในประเด็นเกี่ยวกับ พลเมืองดี คนมีความซื่อสัตย์ เช่น เจอเงินทองมูลค่ามากมาย แล้วประกาศตามหาเจ้าของเพื่อส่งคืนให้ โดยไม่เก็บเอาไว้เอง เราก็มักจะรู้สึกได้ว่ามันเป็นเรื่องดีๆ ที่น่าชื่นชม อย่างกรณีไม่นานมานี้ เด็กน้อย ชั้น ป.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี เก็บของมีค่าที่คนทำหล่นไว้ในบริเวณโรงเรียนได้  แล้วรีบแจ้งคุณครูเพื่อประกาศหาเจ้าของให้มารับคืน

                        สอนลูกให้ซื่อสัตย์
                        สอนลูกให้ซื่อสัตย์ (ขอบคุณภาพจาก siamrath)

                        สืบเนื่องจากที่โรงเรียน ธัมมสิริศึกษาสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อาจารย์ อารีย์ คำนึงกิจ ผู้จัดการโรงเรียนธัมมสิริศึกษาสัตหีบ พร้อมด้วย นาย ทวี สุกแก้ว ผู้อำนวยการฯ ร่วมมอบใบประกาศเกียรติคุณเชิดชูเกียรติ ให้กับ เด็กชาย ภาณุวิชญ์ สงโสด นักเรียนโรงเรียน ธัมมสิริศึกษาสัตหีบ ชั้นประถมศึกษาปีที่2  ที่ทำความดี

                        เก็บสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท พร้อมพระเหลี่ยมทอง มาส่งคืนให้กับทางโรงเรียน เพื่อตามส่งคืนให้กับเจ้าของ ซึ่งทางโรงเรียนได้ติดต่อเจ้าของมารับคืนเรียบร้อยแล้ว

                        นี่ละค่ะ เรื่องราวดี ๆ ที่น่าชื่นชม เวลาเห็นข่าวแบบนี้ ก็อดคิดไม่ได้ว่าคุณพ่อคุณแม่คงสอนน้องมาดีแน่ๆ

                        ลูกขโมยเงินแม่ แม่เลยพามามอบตัวกับตำรวจให้ช่วยสั่งสอน

                        ค่านิยมทางศีลธรรม 10 ประการ ที่พ่อแม่ควรสอนลูก

                        พ่อแม่ไม่ควรโกหกลูก อย่าหลอกเด็ก โตขึ้นลูกจะกลายเป็น เด็กเลี้ยงแกะ

                        จำไว้ว่าไม่ใช่เรื่องยาก ที่เราจะปลูกฝังเด็กคนนึงให้เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์สุจริตกับทั้งตัวเองและผู้อื่น แต่เราจำเป็นต้องปลูกฝังและพร่ำสอนอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ ค่ะ วันนี้เรามาดูเทคนิคดีๆ ในการสอนลูกให้เป็นเด็กที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรามา กันค่ะ

                        7 เคล็ด(ไม่)ลับ สอนลูกให้ซื่อสัตย์ ตรงมาตรงไป โตไปไม่โกง

                        1. โฟกัสเรื่องความซื่อสัตย์ให้ลูกสัมผัสได้

                        ในช่วงที่ลูกยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เราควรเริ่ม ปลูกฝังเรื่องความซื่อสัตย์  โดยการแสดงให้ลูกได้เห็นว่าความซื่อสัตย์ เป็นสิ่งที่คุณให้ความสำคัญมาก  พูดคุยกับลูกโดยเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมกับวัย เช่นในเรื่องการพูดความจริง ไม่โกหกกัน  ควรบอกให้ลูกรู้อย่างชัดเจน  ว่าการโกหก สามารถทำลายความไว้วางใจได้  หรือ อาจสอนในมิติกว้างๆ ในเรื่องของการทำความดี ตามหลักศีล5 แก่ลูก ซึ่งสามารถแยกออกมาเป็นข้อๆ สอนลูกให้เข้าใจได้ง่ายๆ  อาทิ

                        1. ละเว้นจากการทำร้ายคนอื่น เช่น ไม่แกล้งเพื่อน ไม่รังแกเพื่อนที่โรงเรียน หรือสัตว์เลี้ยงที่บ้าน

                        2. ไม่ขโมยของของคนอื่น เช่น เงินของคุณพ่อคุณแม่ (รวมทั้งของคนอื่น) ของเล่นหรือกล่องดินสอของเพื่อน

                        3. ไม่ให้ทำร้ายจิตใจคนอื่น เช่น ขวางปา ทำลายของเล่นของเพื่อน หรือสิ่งของต่างๆ ที่คนอื่นหวงแหน

                        4. ไม่พูดโกหกหรือพูดถึงผู้อื่นในแง่ที่ไม่ดี  เช่น ไม่พูดโกหก ไม่พูดใส่ร้ายเพื่อน หรือพูดว่าคนอื่นให้เสียหาย รวมทั้งสอนให้ลูกกล้าที่จะยอมรับผิด

                        5. สอนให้ลูกรู้จักเลือกคบเพื่อนที่เป็นคนดี  การสอนเรื่องการเลือกคบเพื่อนที่ดี จะช่วยให้ลูกเติบโตขึ้นพร้อมกลุ่มเพื่อน ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดีต่างๆ

                        โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกใช้วิธีและโอกาสที่เหมาะสมกับธรรมชาติและความพร้อมของลูกได้ค่ะ

                        2. เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก 

                        หากคิดจะสอนเรื่องความซื่อสัตย์ให้กับลูก ก่อนอื่นคุณต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ด้าน ความซื่อสัตย์สุจริตให้ลูกเห็นก่อน  แม้ในบางเรื่องอาจจะดูยากที่จะพูดตรงไปตรงมากับลูก เช่น คุณไม่อยากให้ลูกกินขนมเยอะ เพราะกลัวว่าลูกจะฟันผุ เลยบอกลูก ว่า “พ่อไม่มีเงินซื้อให้ลูกแล้ว” ซึ่งอาจดูเป็นการปฏิเสธลูกด้วยการโกหกแบบตัดบท แทนที่จะอธิบายถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมถึงไม่อยากให้ลูกกินลูกอม  จำไว้ว่า ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ควรหลีกเลี่ยงการพูดโกหกลูก แต่ควรอธิบายด้วยคำพูดที่เหมาะสมที่สุดกับวัยของลูก

                        สอนการบ้านลูก

                        3. อย่าถามคำถามเมื่อคุณรู้คำตอบ

                        วิธีที่ดีในการยับยั้งการโกหก คือ ไม่สร้างสถานการณ์ ด้วยคำพูดใดๆ ที่อาจกระตุ้นให้ลูกรู้สึกอยากโกหกคุณ เช่น  หากคุณรู้ว่าพวกเขาไม่ได้เล่นของเล่นในห้อง คุณก็ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องถามลูกด้วยความเคยชินของตัวเอง ว่า “วันนี้เล่นของเล่นแล้วเก็บเรียบร้อยหรือยังลูก”  ถึงแม้ลูกจะไม่ได้เล่นของเล่น แต่เขาอาจจะบอกว่า “เก็บเรียบร้อยแล้วค่ะ/ครับ” เพราะเด็กก่อนวัยเรียน มักไม่กล้าพูดความจริง เนื่องจากกลัวว่าพ่อแม่จะตำหนิติเตียน และมักจะแก้ปัญหาด้วยการโกหก  ทางทีดี ในกรณีนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรพูดให้ลูกรู้ว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ลูกไม่ได้หยิบของเล่นออกมาเล่น เช่น “วันนี้ลูกไม่ได้เล่นของเล่นสิเนี่ย ห้องสะอาดเรียบร้อยเชียว”   วิธีนี้จะทำให้ลูกเกิดความรู้สึกได้ ว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้คำโกหกแบบง่ายๆ ขอไปที กับคุณไม่ว่าในกรณีใด ซึ่งถ้าเขาไม่ได้ทำในสิ่งไหนก็ตามที่คุณถาม ลูกก็จะบอกความจริงอย่างตรงไปตรงมา ว่าเขาไม่ได้ทำนะ

                        4. สอนลูกด้วยนิทาน

                        เช่น เล่านิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ  หรือ นิทานที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ ที่สุดท้ายแล้วการเป็นคนไม่ดี ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่ได้มอบสิ่งดีๆ ให้  หมั่นเล่าให้ลูกฟังก่อนนอนจนเป็นกิจวัตร เพื่อให้ลูกเข้าใจและเห็นภาพมากขึ้น ว่าการโกหก ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ตรงไปตรงมา เป็นสิ่งที่ไม่ดี และยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีกด้วย

                        5. แสดงให้ลูกเห็น ว่าคุณชมชอบกับเรื่องความซื่อสัตย์

                        เด็กเล็ก ๆ ส่วนใหญ่ จะมีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่างๆ อย่างมาก เมื่อพ่อแม่ซึ่งเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดในชีวิต ชื่นชมเขา หรือแสดงท่าทีว่า ดีใจ และพอใจ ที่ลูกได้ทำในสิ่งต่างๆ ที่ดี และเมื่อคุณแสดงให้ลูกเห็นว่าการ พูดความจริง ต่อกัน ทำให้คุณมีความสุข ลูกของคุณจะมีแนวโน้มในการเปิดรับ และซึบซับ การปลูกฝังเรื่องความซื่อสัตย์ได้ดี เช่น ชมว่า ” แม่ดีใจจัง วันนี้ที่หนูสัญญาว่าจะไม่แกล้งน้อง หนูก็ทำได้จริงๆ ด้วย เก่งมากค่ะ”  เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ลูกรู้สึกดี ที่ได้รับความไว้วางใจและคำชื่นชมจากพ่อแม่ และจะทำให้ลูกระลึกไว้ในใจได้ว่า การเป็นคนซื่อสัตย์ ทำตามคำสัญญา  คือ สิ่งดีๆ ในชีวิตที่เขาควรเป็นและทำ

                        6. ไม่ใช้ความรุนแรง เมื่อรู้ว่าลูกทำความผิด

                        คุณไม่ควรลงโทษลงโดยการใช้ความรุนแรง ทั้งทางวาจา และร่างกาย เมื่อลูกทำความผิด แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะคุมอารมณ์เสียของตัวเอง เช่น หากเราจับได้ว่าลูกโกหกในเรื่องใดก็ตาม ควรสงบสติอารมณ์ และถามลูกพูดคุยด้วยเหตุผล  เนื่องจากธรรมชาติของเด็กจะไม่กล้าพูดความจริง เพราะกลัวพ่อแม่จะโกรธ  ใส่อารมณ์ หรือลงโทษด้วยการใช้ความรุนแรง หากคุณแสดงออกต่อการทำผิดของลูกด้วยการใช้ความรุนแรง บ่อย ๆ ลูกจะกลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าพูดความจริงกับพ่อแม่อีก สิ่งที่ควรทำ คือ สอนและบอกด้วยเหตุผลดีๆ ที่แสดงถึงความรักและใส่ใจ ลูกจะเกิดความอบอุ่นใจ และสัมผัสได้ถึงการให้อภัยของพ่อแม่ ที่พร้อมรับฟังและไม่ตีตรากล่าวหาลูก

                        สอนการบ้านลูก

                         

                        7. ชื่นชมยกย่อง เมื่อลูกกล้าที่จะยอมรับผิด 

                        การที่ลูกกล้าบอกความจริงกับเรา ในสิ่งที่ลูกทำผิดมา ตามธรรดาของเด็ก เขาจะต้องใช้ความกล้าอย่างมากในการเดินมาสารภาพกับพ่อแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกกลัวพ่อแม่ลงโทษ หากเกิดกรณีที่ลูกเดินมาหาคุณ พร้อมบอกความจริงบางถึงสิ่งที่เขาได้ทำผิดมา ให้เราตอบแทนลูกด้วยคำชม ด้วยท่าทีจริงจัง หนักแน่น ซึ่งปฏิกิริยาเช่นนี้ของพ่อแม่ จะช่วยให้เด็กรู้สึกดี กับความซื่อสัตย์ของพวกเขา และเมื่อเจอสถานการณ์ที่ลูกคิดว่าเขาจะโกหกพ่อแม่ได้ง่ายๆ เขาอาจเลือกที่จะไม่ทำได้ค่ะ

                        การปลูกฝังลูกในเรื่องของความซื่อสัตย์ตั้งแต่ลูกยังเล็ก ๆ จะช่วยให้ลูกบ่มเพาะความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในจิตใจ ทำให้เมื่อโตขึ้นเขาจะกลายเป็นคนที่มี ความฉลาดทางคุณธรรม(MQ) จากการที่คุณพ่อคุณแม่ช่วยให้ลูกได้ซึบซับความดีงาม การมีจริยธรรมและศีลธรรม เข้าไปในจิตใจ ซึ่งลูกจะเติบโตไปเป็นคนที่มีคุณธรรม สามารถควบคุมตนเองให้มีระเบียบวินัย ทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นนิสัยได้ค่ะ

                         

                        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : siamrath.co.th,haymarketca.com,greatschools.org

                        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                        เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

                        6 เทคนิคคุยกับลูก สอนลูกให้คิดเป็น แก้ปัญหาเองได้

                        สอนลูกให้รู้จักความแตกต่าง หนูไม่ต้องเหมือนใคร เป็นตัวเองก็ดีมากพอแล้ว

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          สอนการบ้านลูก

                          10 เทคนิค สอนการบ้านลูก ให้สำเร็จ แบบไม่เสียน้ำตา

                          สอนการบ้านลูก – สำหรับบ้านที่มีลูกวัยเรียน เป็นธรรมดาที่ลูกต้องมีการบ้านจากคุณครู มาให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยสอน บางครั้งลูกอาจไม่เข้าใจในบางสิ่งบางอย่างในบทเรียน ลูกอาจถามเยอะ จนบางทีคุณพ่อคุณแม่เกิดความรู้สึกว่า เอ๊ะ! อันนี้เคยบอก แล้วสอนแล้ว ทำไมลืมอีกแล้วล่ะ  ลูกไม่จำบ้างเลยเหรอ  ทำไมยังคิดไม่ได้ ทำไมยังอ่านไม่ออก  จนบางทีอาจหงุดหงิด เผลอใช้อารมณ์กับลูก จนลูกมีน้ำตา แล้วเราก็มานึกเสียใจทีหลัง ตั้งสติให้ดีค่ะคุณพ่อคุณแม่ ก่อนจะหัวร้อนใส่ลูกจนเรื่องบานปลาย อย่างที่เห็นข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ ที่คุณพ่อโมโหลูก เพราะทำการบ้านไม่ได้ โวยวายเสียงดัง หลังสอนการบ้านลูกสาวลูกชาย วัย 9 ขวบ และ 2 ขวบ แล้วลูกเขียนผิด โยนของเล่นใส่ลูก ทำให้ผู้เป็นแม่ต้องเข้ามากัน ท่ามกลางเสียงร้องไห้ดังลั่นของลูก

                          สอนการบ้านลูก
                          พ่อหัวร้อนสอนการบ้านลูก (ขอบคุณภาพจาก news.ch7.com)

                          ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจว่าการ สอนการบ้านลูก ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญของพ่อแม่ เพราะคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ หากเราจะปล่อยลูกให้ทำการบ้านเอง โดยไม่มีพ่อแม่ผู้ปกครองเอาใจใส่ดูแล ซึ่งอาจทำให้ลูกไม่เข้าใจบทเรียน เรียนไม่รู้เรื่อง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็มีคุณพ่อคุณแม่ ที่อาจสอนลูกทำการบ้านไม่เก่ง หรือ อาจจะยัดเยียดบทเรียนต่างๆ ให้ลูก จนลูกคร่ำเครียดเกินไป พลอยเกิดเป็นนิสัย ไม่ชอบทำการบ้านได้ หรือคุณพ่อคุณแม่บางคนอาจไม่เข้าใจวิธีจัดการเรียนการสอนภายในบ้านที่เหมาะสม  ที่สำคัญอาจขาดจิตวิทยาในการพูดคุยจูงใจ เพื่อให้การทำการบ้านของลูกเป็นไปอย่างราบรื่นค่ะ

                          ดังนั้น วันนี้เรามาดูเทคนิคสอนลูกทำการบ้าน ให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างมีคุณภาพ โดยที่ไม่ต้องมีใครหงุดหงิด หรือเสียน้ำตา กันดีกว่าค่ะ

                          10 เทคนิค สอนการบ้านลูก ให้สำเร็จ แบบไม่เสียน้ำตา

                          1. จัดสภาพแวดล้อม

                          หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำลายสมาธิ หรือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของลูก ควรจัดหาสถานที่สงบ ๆ เหมาะแก่การทำการบ้านให้ลูก สร้างโซนทำการบ้าน ที่อยู่ห่างจากสิ่งรบกวน หรือบริเวณที่อาจมีสิ่งรบกวน เช่น สัตว์เลี้ยง เสียงดัง ผู้คนที่เดินไปมา  ที่สำคัญไม่ควรให้ลูกทำการบ้านหน้าจอโทรทัศน์ หน้าคอมพิวเตอร์ หรือ ทำไปฟังเพลงไป

                          2. จัดหาเครื่องมือ

                          ในบริเวณที่ลูกทำการบ้าน ควรมีแสงไฟสว่างพอเพียง มีอุปกรณ์การเรียนที่จำเป็นสำหรับลูก  ดินสอ ปากกา และอื่นๆ  คอยสอบถามลูกเป็นประจำ ว่ามีอะไรที่ลูกต้องใช้ในการทำการบ้านแต่ละวิชา เพื่อไม่ให้การเรียนรู้ของลูกต้องสะดุด เมื่อต้องกลับมาทำงานที่คุณครูมอบหมายต่อที่บ้าน

                          สอนการบ้านลูก
                          สอนการบ้านลูก

                          3. จัดการเวลา

                          ควรจัดเวลาที่เหมาะสม ในการทำการบ้านให้ลูก และฝึกให้เป็นกิจวัตร เช่น ช่วงเวลาก่อน หรือ หลังอาหารเย็น  และ จัดเวลาในการอ่านหนังสือ เสริมความรู้ทบทวนบทเรียนเพิ่มเติมด้วย อย่าปล่อยเวลาให้ถึงช่วงดึก หรือ ก่อนนอน แล้วถึงให้ลูกทำการบ้าน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลูกจะไม่กระตือรือร้น และไม่มีสมาธิ รวมทั้งตัวเราด้วย

                          4. ใช้กฎใจลูกใจเรา อย่างเข้าใจ

                          หากลูกของคุณ รู้สึกหงุดหงิดกับการทำการบ้าน หรือเริ่มบ่นว่าการบ้านยาก แล้วเหมือนว่าจะไม่อยากทำต่อ ควรหลีกเลี่ยงการตำหนิลูกด้วยข้อความเชิงลบ  เช่น“ทำไมขี้เกียจแบบนี้ละลูก” หรือ“ แม่ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกจะใช้เวลานานขนาดนี้กับโจทย์ง่ายๆ!”  ข้อความที่ควรพูดกับลูก เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้  เช่น  “ลูกพูดถูก ข้อนี้เหมือนมันจะยากจริงๆนะ ลองทำดูก่อน ผิดไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวเรามาช่วยกันตรวจดู” เห็นมั้ยคะว่าดูผ่อนคลายกว่ากันเยอะเลย

                          5. อารมณ์เสียให้ หยุดก่อน

                          จำไว้ค่ะ ว่าการใช้อารมณ์กับลูก ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะมันมักจะจบด้วยน้ำตาของลูกๆ และความเสียใจของพ่อแม่ในภายหลัง และยังทำให้บรรยากาศภายในบ้านเสียอีกด้วยค่ะ อย่าลืมว่า คุณเป็นแบบอย่างของลูก ลูกเรียนรู้จากคุณเกี่ยวกับวิธีจัดการกับความหงุดหงิดและอารมณ์โกรธ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่รู้สึกหงุดหงิดจากการสอนการบ้านลูก ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม ให้ออกจากห้อง และให้เวลากับตัวเองสงบสติอารมณ์ หายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้ง หรือทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้ใจเย็นขึ้น แล้วค่อยกลับไปสอนการบ้านลูกต่อค่ะ

                          6. ทำการบ้านของคุณไปด้วย

                          แสดงทักษะต่างๆ ของคุณพ่อคุณแม่ให้ลูกเห็นบ้าง ระหว่างรอลูกทำการบ้าน เพื่อให้ลูกเรียนรู้และซึมซับในสิ่งที่คุณสามารถทำได้ดี และรู้สึกถึงการเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่ ที่ให้ลูกรู้สึกอยากทำตามแบบเมื่อเขาโตขึ้น หากลูกของคุณกำลังอ่านหนังสือ คุณก็สามารถอ่านหนังสือของคุณได้เช่นกัน หากลูกกำลังทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์คุณก็สามารถคิดคำนวณรายรับรายจ่ายในสมุดบัญชีได้

                          7. สอนไม่ใช่บอก

                          การทำการบ้านให้เสร็จ เป็นความรับผิดชอบของลูก ไม่ใช่ของพ่อแม่ ควรส่งเสริมความเป็นอิสระ และความคิดสร้างสรรค์ให้ลูกระหว่างทำการบ้าน อย่างไรก็ตามเมื่อลูกขอความช่วยเหลือเราค่อยให้คำชี้แนะ ที่นำไปสู่การคิดวิเคราะห์ อย่าเพิ่งให้คำตอบลูกในทันที  วิธีนี้คือการฝึกลูกให้คิดได้ คิดเป็น  นอกจากนี้ จำไว้ว่า การทำการบ้านให้ลูก ก็เป็นอีกความผิดพลาดของพ่อแม่ ที่จะทำให้เกิดผลเสียกับตัวลูกได้โดยตรงค่ะ เพราะลูกจะไม่ได้เรียนรู้ใดๆ เลยจากการบ้านในวันนั้น

                          8. ร่วมมือกับคุณครู

                          ยุคนี้คุณพ่อคุณแม่ และคุณครู ต้องทำงานกันเป็นทีมค่ะ โดยปกติคุณครูอาจจะขอให้คุณพ่อคุณแม่ มีบทบาทในการทำการบ้านกับลูกนอกเหนือไปจากการสนอ เช่น คุณพ่อคุณแม่ อาจแจ้งให้ครูทราบว่าลูก ถนัดในบทเรียนวิชาไหน หรือยังอ่อนในเรื่องอะไร  ระหว่างการสอนลูกทำการบ้านก็สามารถจดโน้ตไว้ เพื่อแจ้งให้ครูทราบรายละเอียดต่างๆ  เผื่อจะได้ขอความช่วยเหลือจากคุณครูเพิ่มเติมในเรื่องนั้นๆ ต่อไปได้ค่ะ

                          สอนการบ้านลูก
                          สอนการบ้านลูก

                          9. กำหนดเวลาพัก

                          เฝ้าดูลูกของคุณ เมื่อพบว่าลูกเริ่มขาดสมาธิ หรือดูอ่อนล้า ควรให้ลูกได้หยุดพักสักครู่  โดยกำหนดเวลาพัก ให้ลูกอย่างชัดเจน เช่น “พักก่อน 10 นาทีนะลูก เดี๋ยวค่อยมาลุยกันต่อ” ซึ่งเด็ก ส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการพักในช่วงสั้น ๆ เด็กบางคนชอบพักด้วยการ กระโดดโลดเต้น หรือ วิ่งไปมา หรือเด็กบางคน อาจชอบพักฟังเพลงโปรด เมื่อลูกหายเหนื่อยล้าแล้วค่อยเริ่มกันใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้ลูกไม่เหนื่อยล้า และรู้สึกเบื่อหน่ายค่ะ

                          10. ให้รางวัลกับความสำเร็จและความพยายาม

                          วิธีนี้จะช่วย สร้างแรงจูงใจ และกระตุ้นให้ลูกใส่ใจและอยากทำการบ้านได้ค่ะ  โดยให้คุณพ่อคุณแม่ นำสิ่งที่ลูกชอบมาเป็นตัวกระตุ้น เช่น “แม่รู้นะว่าลูกอยากขี่จักรยานเล่นหน้าบ้าน เดี๋ยวถ้าทำการบ้านเสร็จ ออกไปขี่จักรยานกันเลยนะ”  ถือเป็นการเสริมสร้างวินัยเชิงบวก ให้กับลูกอีกด้วยค่ะ

                          การสอนลูกทำการบ้าน ได้อย่างสำเร็จลุล่วง ถือว่าคุณพ่อคุณแม่ จำเป็นต้องใช้ทักษะด้าน EQ หรือรู้จักควบคุมอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเพื่อการแสดงออกกับลูกได้อย่างเหมาะสม ถ้าคุณพ่อคุณแม่ทำให้ลูกๆ เห็นเป็นตัวอย่างในเรื่องของการรู้เท่าทัน และจัดการกับอารมณ์ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ  แน่นอนว่าจะเป็นการปลูกฝังลูกให้เป็นเด็กที่มีความ ความฉลาดทางอารมณ์(EQ) ได้ไม่ยากค่ะ และลูกก็จะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทักษะในการรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองและเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น สามารถจัดการกับอารมณ์ด้านต่างๆ เพื่อการแสดงออกที่ดีและเหมาะสม และอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขค่ะ

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : everydayparenting.com,blog.mindresearch.org

                          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                          เมื่อคุณย่าสอนการบ้านให้หลาน

                          ทำการบ้านแทนลูก เตือน! ส่งผลกระทบต่อลูก

                          ต่างกันอย่างไรระหว่าง ลอกการบ้าน เพื่อนกับให้เพื่อนลอก

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            Love and Luck

                            ว้าวเลย! คอลเลคชั่น Love Bugs จากแคท คิดสตัน ได้ใจแม่ โดนใจลูก

                            คุณแม่บ้านไหนที่กำลังมองหาของตกแต่งบ้านน่ารัก ๆ ที่เหมาะกับช่วงสปริงซีซั่น แต่ยังนึกไม่ออกว่าจะซื้อของแบรนด์อะไรดี ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไปเพราะทางทีมแม่ ABK  มีเรื่องดี ๆ เกี่ยวกับแบรนด์ แคท คิดสตัน (Cath Kidston) ที่เขาได้เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด เอาใจคนชื่นชอบการตกแต่งบ้าน และสาย Home มาฝากคุณแม่ค่ะ

                            Love Bugs

                            แคท คิดสตัน (Cath Kidston) เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์สัญชาติอังกฤษ ที่โดดเด่นด้วยลายปริ้นท์เอกลักษณ์แนววินเทจ เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด เอาใจคนชื่นชอบการตกแต่งบ้าน และสาย Home ได้ตื่นเต้นกันอีกครั้ง กับคอลเลคชั่น Love Bugs (เลิฟ บัคส์) ที่นำความน่ารักของเหล่าบรรดาแมลงตัวน้อยอาทิ เต่าทอง และผึ้ง มาสร้างความสดใสโบยบินอยู่บนลายปริ้นท์สุดคิ้วท์ ต้อนรับสปริงซีซั่นนี้อย่างลงตัว โดยแรงบันดาลใจของการออกแบบคอลเลคชั่นนี้ ภายใต้แนวคิด Love and Luck ที่เต็มไปด้วยความสุข ความรักและความสนุกสนาน และสื่อถึงการมองเห็นความพิเศษเล็ก ๆ รอบตัวเรา

                            ลายปริ้นท์โดดเด่นของคอลเลคชั่นนี้ ที่แฟน แคท คิสตัน ต้องมีสะสมได้แก่ลายอะไรกันบ้างเราไปดูกันเลย 

                            Love Bug Mug
                                                                                                       

                            ลายปริ้นท์ Love Bugs น้องเต่าทองสยายปีกสีแดงโดดเด่น โบยบินอยู่ท่ามกลางหัวใจดวงน้อย พร้อมข้อความว่า Love Bugs ซึ่งเต่าทองเป็นแมลงนำโชค สื่อถึงความโชคดี เป็นตัวแทนของความสุข โดยคอลเลคชั่นนี้มีให้เลือกทั้ง แก้วมัค, ผ้ากันเปื้อน, เสื้อกันฝนสำหรับคุณหนู, เหยือกน้ำ ฯลฯ ในราคาเริ่มต้น 550 บาท

                            Kids Apron

                            ลายปริ้นท์ Busy Bee เหล่าบรรดาฝูงผึ้งน้อยที่ตื่นขึ้นจากฤดูหนาว และกลับมามีชีวิตชีวา พร้อมจะกระพือปีกอีกครั้งในช่วงพระอาทิตย์ส่องประกายรับสปริงซีซั่นนี้ ซึ่งผึ้งเป็นสัญลักษณ์ของความสดใส ความรักและความกระฉับกระเฉง ดังนั้น ดีไซเนอร์จึงเลือกใช้เลือกโทนสีเหลืองของเฉดแสงอาทิตย์, สีทองและสีฟ้าอ่อนมาเพิ่มความสดใสให้ลายปริ้นท์ Busy Bee โดดเด่นยิ่งขึ้น และเข้ากันได้ดีกับสินค้า Home อาทิ แก้วมัค, Travel Cup แก้วพกพาเก็บความร้อน-เย็น, กล่องใส่อาหาร, ขวดน้ำพับได้, เซ็ทแก้วน้ำ 2 ชั้น ออกแบบพิเศษเพื่อให้ทนต่ออุณหภูมิร้อน-เย็น และรอยขีดข่วนได้ดี  ฯลฯ

                            Busy Bee Collection

                            เพิ่มความสนุกให้ลูกของคุณแม่ ในทุกมื้ออาหารด้วย เซ็ทจาน ชาม สุดน่ารักเพิ่มบรรยากาศให้กับโต๊ะอาหาร ให้ลูกของคุณสนุกได้ในทุกวัน พร้อมโปรโมชั่นโดนใจ

                            Lunch Box Set

                            หากคุณแม่สนใจ คุณแม่สามารถเลือกซื้อสินค้า Home Collection ใหม่ล่าสุดจาก Cath Kidston ที่ต้องมีไว้ติดบ้าน เพิ่มความสดใสให้โต๊ะอาหาร และโต๊ะทำงานของคุณในทุก ๆ วัน พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ซื้อ 2 แถม 1 หรือ รับส่วนลดพิเศษตั้งแต่ 1020% เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 1,5002,500 บาท ที่ร้านแคทคิดสตันทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากคุณแม่ไม่สะดวกไปช้อปที่ร้านแคทคิดสตัน คุณแม่ก็สามารถช้อปด้วยตัวเองได้ช้อปสบาย ๆ ผ่านทางเว็บไซต์ที่ www.cathkidston.co.th

                            บทความที่น่าสนใจ

                            เคล็ดลับ ตกแต่งห้องเด็ก ให้ปลอดภัย และเสริมพัฒนาการลูกน้อย

                            3 เคล็ดลับง่ายๆ สร้าง “อากาศภายในบ้านสะอาด”

                            ชวนลูกเข้าครัว พัฒนาทักษะชีวิต ด้วย E-Cook Book “รวมมื้อสนุก เมนูประจำบ้าน”

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              วิธีเบ่งคลอด

                              “รูรั่วช่องคลอด” ภาวะเสี่ยงหลังคลอด แม่ต้องรู้ วิธีเบ่งคลอด ให้ปลอดภัย

                              เคสแปลกแม่หลังคลอด พบมีรูรั่วจากก้นทะลุช่องคลอด ปวดหนักกลั้นไม่ได้ ของเสียออกทั้งก้นและช่องคลอด ต้องรีบรักษา หมอเผยหนึ่งในสาเหตุมาจาก วิธีเบ่งคลอด ไม่ถูกต้อง

                              คุณหมอเจ้าของเพจ “เรื่องเล่าจากโรงหมอ” ได้โพสต์เรื่องราวการการรักษาความผิดปกติของคุณแม่หลังคลอดท่านหนึ่ง โดยมีรายละเอียดดังนี้

                              ภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด ป้องกันได้หากรู้ วิธีเบ่งคลอด ให้ปลอดภัย

                              Traumatic childbirth

                              สัปดาห์ก่อนนู้น…ไปราวด์เช้าที่ห้องคลอด มีคุณแม่ต่างชาติพึ่งคลอด นอนพักอยู่…

                              ถามน้องพยาบาล คนไข้พึ่งคลอด ลูกออกง่าย ทุกอย่างปกติ แผลฝีเย็บก็ไม่ได้ตัด

                              มีปัญหาเก่าเรื่องเดียวที่ไม่เกี่ยวกับเราค่ะหมอ

                              คนไข้มีรูรั่วจากก้นทะลุเข้าในช่องคลอด

                              กลั้นอุจจาระไม่ได้ เวลาปวดก็ไหลออกทั้งก้นและช่องคลอด แค่รู้สึกลำไส้เคลื่อนก็มีลมออกที่รูทางช่องคลอดแล้ว

                              เป็นมาตั้งแต่คลอดลูกท้องก่อน ไปโรงหมอที่บ้านก็บอกรักษาไม่ได้ ทนมาสี่ปีกว่า อายและ ทรมาน ต้องหลบๆซ่อนๆ แม้แต่สามีก็ยังไม่รู้

                              ขอตรวจภายใน และล้วงก้นกันเดี๋ยวนั้น ก้นคนไข้หูรูดไม่มีแรงเลย ไม่รัดนิ้วเวลาบอกให้ขมิบ สอดนิ้วลึกเข้าไปอีกนิด มีรูเชื่อมระหว่างลำไส้และช่องคลอด ใหญ่ขนาดนิ้วกลางทั้งนิ้วโผล่ขึ้นมาได้หลวมๆ

                              วิธีเบ่งคลอด

                              นี่คือผลจากการคลอดลูกท้องก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย เด็กอาจจะตัวโต อาจจะเบ่งแรง อาจจะช่วยดัน หรือมีการติดเชื้อหลังคลอด แล้วไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง อะไรสักอย่าง

                              กล้ามเนื้อหูรูดจึงขาดจากกัน บีบอุจจาระ กลั้นอุจจาระไม่ได้ แถมเกิดรูทะลุเบ้อเร่อ แม้ไม่ด่วนในสายตาคนอื่น แต่จินตนาการความทรมานของคนไข้แล้ว ควรต้องรีบแก้ ไหนๆก็มีวาสนาต่อกัน ขอลัดคิวผ่าเลยก่อนไปตรวจคนท้องละกัน

                              แนะนำคนไข้ถึงแนวทางการรักษา โรคที่เคยไปตรวจและคิดว่ารักษาไม่ได้ แต่เราจะมาลองดู  ผลอาจจะดีหรือไม่ดี หมอก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะทำให้ดีที่สุด

                              ย้ายคนไข้เข้าห้องคลอดอีกรอบ ผ่าตัดทางด้านล่าง ฉีดยาชา ตัดผิวหนังเนื้อเยื่อที่เชื่อมก้นกับช่องคลอดออกเลยละกัน เลาะรูเชื่อมออกแล้วค่อยๆเย็บซ่อมไล่ทีละชั้น ปิดรูสำเร็จ แล้วมาแก้หูรูดที่ขาดแบบเกือบ 100% ต่อ ควานหากล้ามเนื้อที่หดหายไปของทั้งสองข้าง จับมาเย็บทับกันให้ครบวงหูรูดอีกรอบ…

                              ไหนๆก็ทำแล้ว ทำหมันต่อเลย ย้ายไปผ่าด้านบนต่อ หนีบๆตัดๆ ไม่นานก็เรียบร้อย

                              วันนี้มาตรวจหลังผ่าตัดคนไข้สามารถขมิบก้นได้ กลั้นอุจจาระได้ ดีใจมาก…บอกว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่กลั้นตดกลั้นอึได้สำเร็จ  ตรวจไม่มีรอยรั่วแล้ว แผลหายดีสวยงาม ขมิบก้นหนีบนิ้วหมอโชว์อย่างแรง ^ ^

                              หวังว่าแผลจะไม่ติดเชื้อ และรูนั้นจะไม่กลับมาอีกนะครับ หมอเอาใจช่วยเต็มที่

                              หมายเหตุ

                              สำหรับคุณแม่ท่านอื่นๆ การคลอดไม่ได้น่ากลัว ถ้ามีการดูแลที่เหมาะสม ไม่ทำหัตถการโดยไม่จำเป็น อย่าเบ่งถ้าหมอยังไม่บอกให้เบ่ง ดูแลแผล ดูแลตัวเองดีๆ มีปัญหาต้องรีบบอกหมอ ยิ่งเร็วที่สุดยิ่งดี  รุนแรงแบบนี้บ้านเรานานน้าน นานๆเจอที ขอให้คลอดง่ายๆ ลูกแข็งแรงช่องทางคลอดปลอดภัยกันทุกคนนะครับ

                              วิธีเบ่งคลอด

                              รูรั่วช่องคลอด ภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดธรรมชาติ

                              อาการรูรั่วของช่องคลอดมักตรวจพบในกลุ่มคุณแม่คลอดธรรมชาติ โดยเฉพาะท้องแรก ที่ใช้เวลาเบ่งคลอดนาน หากเบ่งผิดจังหวะแต่ปากมดลูกยังเปิดไม่เต็มที่ หากยังเบ่งไปเรื่อยๆจะทำให้ปากมดลูกบวม คลอดยาก และอาจเป็นสาเหตุให้เกิดรูรั่วในช่องคลอดขึ้นได้

                              ขั้นตอนการคลอดธรรมชาติมีด้วยกัน 3 ระยะ ได้แก่ ช่วงที่หนึ่ง ปากมดลูกขยายออกและบางตัวลง คุณแม่จะมีการปวดใกล้คลอด รู้สึกได้ถึงมดลูกที่กำลังบีบมากขึ้นเรื่อยๆ ปากมดลูกจะขยายออกจากไล่ระดับจากช้าไปถึงเร็วขึ้น จนขยายได้ประมาณ 8- 10 เซนติเมตร คุณแม่จะรู้สึกอยากเบ่งคลอด ปวดหน่วง ปวดทรมาน แต่ช่วงนี้ยังไม่ควรรีบเบ่งทันที คุณหมอจะให้กลั้นไว้ก่อน

                              เมื่อเข้าสู่ช่วงที่สองคือ ระยะเบ่งคลอด คุณแม่แต่ละคนใช้เวลาแตกต่างกันตั้งแต่ 2-3  นาทีไปถึงจน 2-3 ชั่วโมง คุณหมอจะเริ่มให้ออกแรงเบ่งตามจังหวะการหดรัดตัวของมดลูก และจะให้ใช้ วิธีเบ่งคลอด แบบเบาๆเพื่อให้เวลาเนื้อเยื่อบริเวณช่องคลอดได้ยืดตัวและป้องกันการฉีกขาด หากคุณแม่เบ่งก่อนหมอบอก เบ่งไม่เป็นจังหวะ หรือเบ่งแรงเกินไป ก็มีโอกาสที่บริเวณช่องคลอดจะฉีกขาดจนเกิดเป็นรูร่วงบริเวณช่องคลอดซึ่งติดกับทวารหนัก อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนภายหลังได้

                              หลังจากนั้นจะเข้าสู่ระยะคลอดรก เมื่อลูกน้อยออกมาแล้วก็จะต้องเบ่งคลอดอีกครั้งเพื่อคลอดรกอย่างรวดเร็ว ระหว่างนี้หมอจะดูว่าช่องคลอดเกิดความเสียหาย หรือฉีกขาดหรือไม่เพื่อจะทำการเย็บซ่อมแซมให้เรียบร้อย

                              ฉะนั้นคุณแม่ควรรู้ วิธีเบ่งคลอด และการหายใจที่ถูกต้อง เพื่อช่วยให้มีแรงเบ่ง ไม่หมดแรงก่อนลูกคลอด คลอดง่าย ใช้เวลาไม่นาน ลดความเสี่ยงระหว่างคลอดได้เป็นอย่างดี

                              วิธีเบ่งคลอด

                               7 สเต็ป เบ่งคลอดลูกถูกวิธี ช่วยคลอดง่าย แม่ไม่เสี่ยง    

                              “เบ่งให้เป็น เบ่งให้ถูก เบ่งให้ดี” คือหัวใจของการ เบ่งคลอดลูก ที่แม่ท้องต้องรู้ เพราะการเบ่งคลอดต้องใช้แรงจากทั้งลมเบ่ง และแร่งเบ่งของแม่ไปพร้อมกัน คุณแม่จึงควรหาฝึกการหายใจระหว่างคลอด และรู้จังหวะการเบ่งไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วย 7 สเต็ปง่ายๆ ดังต่อไปนี้

                              1. หายใจเข้าให้เต็มปอด (หายใจลึกเท่าไหร่ เพิ่มลมเบ่งได้มากเท่านั้น)

                              2. รอจังหวะมดลูกบีบตัวจนแข็ง แล้วก้มหน้าให้คางชิดอก งอตัวไปข้างหน้า (อย่าโน้มตัวหรือแอ่นหลังเด็ดขาด)

                              3. มือสองข้างจับหลักเตียง ออกแรงดึงเข้าหาตัวแล้วเบ่งยาวต่อเนื่อง (อย่าเบ่งๆ หยุดๆ เพราะทำให้ศีรษะลูกโผล่ออกมายาก)

                              4. ปิดปากให้สนิทขณะเบ่งเพื่อให้มีแรงมากพอ (การอ้าปากร้องแล้วเบ่งไปพร้อมกันมีแต่ในละครเท่านั้น)

                              5. เบ่งให้สุดลมเบ่ง ถ้ามดลูกยังแข็งตัวอยู่ ถ้ายังมีแรงเหลือให้สูดหายใจจนเต็มปอดอีกครั้ง แล้วเบ่งต่อจากสเต็ปข้อ  2 – 4จนมดลูกหยุดแข็ง

                              6. มดลูกจะแข็งตัวอยู่ประมาณ 40 วินาที และคลายตัวให้หายใจเข้ายาวลึก ผ่อนคลายเต็มที่

                              7. รอจนมดลูกอีกตัวอีกครั้ง แล้วเริ่มเบ่งอีกรอบ

                              นอกจากการดูแลหลังคลอดระหว่างพักฟื้นที่โรงพยาบาลแล้ว เมื่อกลับถึงบ้านคุณแม่ควรหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง สังเกตน้ำคาวปลาผิดปกติ มีอาการเจ็บช่องคลอดหรือเลือดออกผิดปกติ การขับถ่ายเป็นปกติหรือไม่ หากพบสิ่งผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย ควรไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการตรวจทันที อย่าปล่อยไว้จนกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างเคสตัวอย่างนี้

                              แหล่งข้อมูล  เพจเรื่องเล่าจากโรงหมอ  www.pobpad.com

                              บทความน่าสนใจอื่นๆ 

                              7 อาหารเพิ่มพลังงาน ใกล้คลอด ให้มีแรงเบ่งคลอดลูก

                              เป็นริดสีดวงตอนท้อง ดูแลอย่างไร? คลอดธรรมชาติได้ไหม?

                              ลูกตัวใหญ่แต่อยากคลอดธรรมชาติ ได้หรือไม่

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                ความฉลาดทางอารมณ์

                                3 เทคนิค เพิ่ม EQ สร้าง ความฉลาดทางอารมณ์ ให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด

                                กุมารแพทย์แนะ!! 3 เทคนิคสุดเริ่ด “ฝึก EQ ส่งเสริม ความฉลาดทางอารมณ์ ให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด” ฝึกลูกจัดการอารมณ์ ควบคุมความคิดของตัวเองได้ ใช้ชีวิตได้อย่างดีและมีความสุขไปจนโต

                                “EQความฉลาดทางอารมณ์
                                เพิ่มพลังเรียนรู้ (Power BQ
                                ) ให้กับลูก

                                EQ คือ ความฉลาดทางอารมณ์ เด็กที่ฉลาดทางอารมณ์จะสามารถจัดการกับอารมณ์ ควบคุมความคิดของตนเองได้ สามารถรับรู้เข้าใจอารมณ์ของคนอื่น  และแสดงออกมาทางพฤติกรรม เช่น มีความเห็นอกเห็นใจ เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น มีความคิดที่จะทำสิ่งดีๆ มีความอ่อนโยนต่อผู้อื่น มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ไปที่ไหนก็มีแต่คนรักและเอ็นดู จึงทำให้เข้าสังคม และรักษาความสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดี สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสม เด็กที่มี EQ ดีจะเป็นเด็กที่มีความสุข อยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมและทำงานเป็นทีมได้ดี ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากในเด็กยุคใหม่ เนื่องจากสภาพสังคมที่เร่งรีบ ผู้คนต่างใจร้อน หงุดหงิดง่าย คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์จะสามารถควบคุมตัวเองและควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

                                ดังนั้นเพื่อ พัฒนา EQ ลูก เสริมสร้างอีคิว เพิ่มความฉลาดทางอารมณ์ ให้ลูกสามารถจัดการอารมณ์ ควบคุมความคิดของตัวเองได้ รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช มีคำแนะนำดีๆ มาฝาก ดังนี้!!

                                จาก Power BQ ที่มีองค์ประกอบหลากหลายด้านซึ่งจำเป็นต่อการเรียนรู้ ปรับตัว ตลอดจนการใช้ชีวิตของเด็กในอนาคต   อีคิว (EQ) หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ เป็นหนึ่งในความฉลาดที่ส่งเสริม power BQ ให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่สามารถพัฒนาให้ลูกมีอีคิวที่ดีได้ไม่ยากตั้งแต่แรกเกิดเลยครับ โดยให้ลูกเรียนรู้ผ่านการใช้ชีวิตประจำวัน การมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับคนอื่น การปรับตัวอย่างแยบยลให้เข้ากับสภาพแวดล้อม มาดูกันครับว่า เราจะส่งเสริมอีคิวที่ดีให้กับลูกในช่วงวัยต่างๆ ได้อย่างไร

                                ความฉลาดทางอารมณ์

                                วิธีเพิ่ม EQ เสริมสร้าง ความฉลาดทางอารมณ์ ให้ลูกแรกเกิดถึง 1 ปี

                                เมื่อแรกเกิด เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมพื้นอารมณ์ที่แตกต่างกันครับ บางคนก็เป็นเด็กเลี้ยงง่าย บางคนต้องการเวลาในการปรับตัว หรือบางคนอาจจะปรับตัวได้ยาก ซึ่งการเลี้ยงดูและปฏิสัมพันธ์ของผู้คนรอบข้างโดยเฉพาะพ่อแม่ รวมถึงสภาพแวดล้อม ล้วนเป็นสิ่งที่มีผลต่อการคงอยู่หรือเปลี่ยนไปของพื้นอารมณ์ที่มาแต่เกิดได้ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้เอง

                                หากคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกมีความฉลาดทางอารมณ์แบบใด หรืออยากให้ลูกบริหารจัดการอารมณ์ของตัวเองได้ดีมากน้อยเพียงไร สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำ คือ

                                • ฝึกตัวเองให้สามารถควบคุมและแสดงออกทางอารมณ์ออกมาให้ได้อย่างนั้นก่อน หากพ่อแม่เป็นคนที่มีอีคิวดี ลูกก็จะเรียนรู้และปรับตัวให้มีอีคิวดีได้ไม่ยาก เช่น เวลาที่ลูกเบบี๋ ร้องหิวนม ในช่วง 6 เดือนแรก เราต้องตอบสนองเขาอย่างทันท่วงที
                                • แต่พอหลัง 6 เดือนไปแล้ว หากลูกร้องเพราะหิวนม คุณพ่อคุณแม่สามารถฝึกให้ลูกรู้จักอดทนรอคอยสักเล็กน้อยได้ ด้วยการส่งเสียงบอกลูกด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรและท่าทีที่สงบ เช่น “ลูกรอคุณแม่แป๊บนึงนะคะ คุณแม่ทำความสะอาดหัวนมก่อนค่ะ” วิธีนี้ลูกจะเริ่มถูกฝึกให้รู้จักใจเย็น รอคอยได้ตั้งแต่เล็ก ไม่ใช่อยากได้อะไรก็ต้องได้ในทันที
                                • เมื่อลูกปฏิบัติได้เหมาะสม ก็ชื่นชมเขานะครับ วัยนี้เพียงคุณพ่อคุณแม่ ส่งเสียงไพเราะหรือยิ้มให้กำลังใจเขาก็ทำให้ลูกชื่นใจและรับรู้ได้แล้วครับ
                                • ถ้าลูกยังปฏิบัติได้ไม่ดีก็ต้องตอบสนองให้ลูกรับรู้ว่า พฤติกรรมนั้นไม่เหมาะสม เช่น หากลูกอาละวาดเวลาที่อยากเล่นมีดแต่ถูกคุณพ่อเก็บมีดออกไป ก็ตอบสนองด้วยการเก็บมีดออกแล้วเบี่ยงเบนความสนใจของเขา โดยหาตุ๊กตามาให้ลูกเล่นแทน เขาจะค่อยๆเรียนรู้ว่า อะไรเล่นได้ อะไรเล่นไม่ได้ พร้อมกับเรียนรู้การควบคุมความคับข้องใจเล็กๆน้อยๆไปพร้อมกันด้วยครับ หากปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอ อาการอาละวาดโวยวายเมื่อไม่ได้อะไรที่ไม่เหมาะสมตามความต้องการก็จะลดลงไปได้ครับ

                                นอกจากนี้ การดำเนินกิจวัตรประจำวัน ให้เป็นเวลาอย่างสม่ำเสมอทุกวัน  ก็จะช่วยให้ลูกสามารถทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ทำให้เขาปรับตัวและแสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมมากขึ้น การฝึกฝนในช่วงนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญ ให้สามารถต่อยอดพัฒนาการทางด้านความฉลาดทางอารมณ์ของเขาต่อไปในอนาคตครับ

                                ความฉลาดทางอารมณ์

                                วิธีเพิ่ม EQ เสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ สำหรับลูกวัย 1-3 ปี

                                ช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กจะได้เรียนรู้และพัฒนาต่อยอด ความฉลาดทางอารมณ์ จากช่วงวัยเบบี๋ กิจวัตรประจำวันที่สม่ำเสมอเป็นเวลา เช่น ตื่นนอน กินข้าว อาบน้ำ เล่น เข้านอน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เด็กทำนายและเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนกิจกรรมของเขาและกิจกรรมในครอบครัวได้ดีขึ้น

                                ลูกเริ่มเรียนรู้ที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เรียนรู้ที่จะเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกคนอื่นมากขึ้น เห็นอกเห็นใจคนอื่น อยากช่วยเหลือคนอื่น เช่น เวลาแม่ถูกมีดบาดมือเขาอาจร้องไห้ เพราะ สงสารแม่ และอาสาวิ่งไปหยิบยาใส่แผลกับพลาสเตอร์ปิดแผลมาให้แม่ ถ้าลูกมีพฤติกรรมแสดงออกทางด้านอารมณ์ที่เหมาะสม

                                คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้พฤติกรรมนั้นคงอยู่ด้วยการชื่นชมเขา ให้รางวัลเล็กๆน้อยๆ เช่น เล่านิทานโปรดให้ฟัง พากันไปเดินเล่น ถ้าลูกยังแสดงออกได้ไม่ดี ก็อย่าลืมเป็นแบบอย่างในการแสดงออกให้กับเขานะครับ ส่วนการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมหากไม่รบกวนกับคนอื่นมากนักหรือไม่ได้ทำร้ายคนอื่น ไม่ทำลายข้าวของ ไม่ทำให้ตัวเองได้รับอันตราย คุณพ่อคุณแม่ก็อาจเพิกเฉยต่อพฤติกรรมนั้น หรือเบี่ยงเบนความสนใจของลูกไปยังกิจกรรมอื่น เมื่อลูกสงบแล้วให้ค่อยๆสอน อธิบาย และบอกถึงการตอบสนองที่เหมาะสมให้เขาได้เรียนรู้นะครับ

                                ส่วนพฤติกรรมที่รุนแรง ทำร้ายคนอื่น ทำลายข้าวของ ทำให้ตัวเองได้รับอันตราย ถ้าบอกเขาแล้วเขาไม่สามารถหยุดได้ แสดงว่า เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ ให้คุณพ่อคุณแม่หยุดเขาทันที ด้วยการจับเขาหยุด นำของที่อาจแตกหักเสียหายหรือทำให้เขาได้รับอันตรายออกไป กอดเขาไว้จนเขาจะสงบ ระหว่างนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะ ลูกยังไม่พร้อมรับฟัง ให้รอจนเขาสงบแล้วค่อยพูดคุยกันครับ

                                 

                                วิธีเพิ่ม EQ เสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ สำหรับลูกวัย 3-5 ปี

                                วัยอนุบาลนี้เป็นวัยที่เขาสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ ได้ดีมาก เพราะ พัฒนาการหลายด้าน เช่น ด้านสติปัญญา ภาษา และสังคม สามารถส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ได้เป็นอย่างดี ประกอบกับช่วงนี้เขาเริ่มเข้าเรียนอนุบาล มีโอกาสมากขึ้นในการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ผ่านกิจกรรมและการใช้ชีวิตที่โรงเรียน

                                อย่าลืมนะครับว่า…แบบอย่างที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่และคนใกล้ชิดสำคัญมากเลยครับ การควบคุมอารมณ์ที่ดีและสม่ำเสมอของคุณพ่อคุณแม่จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง … หากลูกมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่เหมาะสม เช่น เวลาไม่พอใจเพื่อนก็สามารถควบคุมตัวเองไม่ทำร้ายเพื่อนได้ แต่สามารถสื่อสารบอกเล่าให้พ่อแม่ฟังถึงเรื่องราวและความรู้สึกง่ายๆที่เกิดขึ้นได้ แสดงว่า เขาเริ่มควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ได้ดีขึ้นแล้ว

                                คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้การเสริมแรง เช่น ชมเชย สะสมดาว เพื่อให้พฤติกรรมนี้คงอยู่ครับ ส่วนเมื่อลูกมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถใช้วิธีการรับมือเหมือนกับช่วงก่อนหน้านี้ได้ครับ การให้เหตุผลสำหรับเด็กวัยนี้ อาจมีเนื้อหาได้มากขึ้นตามความสามมารถในการรับรู้ของเขา

                                เป็นยังไงบ้างครับ ความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว EQ จะว่าไปแล้วก็ฝึกกันไม่ยากใช่ไหมครับ ที่สำคัญสามารถฝึกกันได้ตั้งแต่ยังเล็ก จากแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่และการตอบสนองที่เหมาะสมต่อการแสดงออกทางอารมณ์ เพียงเท่านี้ ลูกก็จะมีอีคิวหนึ่งใน power BQ ได้แล้วครับ

                                ขอบคุณบทความโดย : รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
                                รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก ⇓

                                ของเล่น เด็ก 6 ขวบ ที่ควรมีติดบ้าน ตัวช่วยเสริมพัฒนาการทั้ง IQ และ EQ

                                หมอแนะ! วิธีเล่นกับลูก วัยทารก สร้าง EQ ดี IQ เริ่ด พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!

                                10 ทักษะสร้างหลักคิดเพื่อพัฒนาอารมณ์ EQ ของลูกน้อย

                                พูดกันดีๆ สร้างลูก EQ ดี เพื่อชีวิตเป็นสุขและพบความสำเร็จในแบบตัวเอง

                                  วิธีจัดการลูกดื้อ

                                  หมอประเสริฐแนะ บันได 4 ขั้น วิธีจัดการลูกดื้อ อย่างเข้าใจและได้ผลจริง

                                  “ลูกดื้อ” ปัญหาที่ฃหลายบ้านต้องพบไม่มากก็น้อย ก่อนจะคิดหา วิธีจัดการลูกดื้อ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ให้คำแนะนำสะกิดใจคุณพ่อคุณแม่ไว้ว่า

                                  ก่อนตัดสินว่าสิ่งที่ลูกทำเรียกว่า “ดื้อ” หรือเปล่า คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็น และทบทวนก่อนว่า  สิ่งที่ลูกกำลังทำกระทบต่อเป้าหมายที่สำคัญหรือไม่ เช่น ดูแลตัวเองได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นการกินข้าว อาบน้ำ แปรงฟัน แต่งตัว ดูแลข้าวของส่วนตัว หากไม่มีอะไรละเมิดกิจกรรมเหล่านี้ “ไม่เรียกว่าดื้อ แค่ไม่ได้ดั่งใจพ่อแม่เท่านั้น” สุดท้ายเมื่อดูแล้วว่าลูกดื้อจริงๆ เถียงคอเป็นเอ็น เราก็ควรหามีวิธีจัดการต่อไป โดยคุณหมอมีวิธีจัดการลูกดื้้อ เชิงบวก ที่ไม่ทำร้ายใจลูก และได้ผลจริงมาฝากกัน ดังต่อไปนี้

                                  บันได 4 ขั้น วิธีจัดการลูกดื้อ ให้อยู่หมัด สไตล์หมอประเสริฐ

                                  ให้รางวัล

                                  เป็นวิธีที่ดีที่สุด ให้ในวันที่ลูกควรจะดื้อแต่กลับไม่ดื้อ ก็เอาพฤติกรรมที่ดีมาไล่พฤติกรรมที่เราไม่ต้องการออกไป ทุกครั้งเล่นได้ 5 นาทีก็ทุบหัวน้องแล้ว วันนี้ผ่านไป 10 นาที ยังไม่ทุบ นี่คือนาทีทองที่เราควรทิ้งทุกอย่าง เดินไปหาแล้วพูดว่า “แม่ชอบจัง พี่น้องไม่ตีกันเลย” แล้วดึงมากอด จูบ แล้วติดดาวผู้ช่วยนายอำเภอ ทุกครั้งที่ดื้อไม่ยอมอาบน้ำ วันนี้ฟลุคยอมอาบแบบง่ายๆ นี่ก็ป็นนาทีทองที่เราต้องกอด จูบ แล้วให้โบนัส

                                  จับทันทีก่อนเกิดเหตุการณ์

                                  เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้ว ให้พูดว่า “ไม่ให้ทำ” สั้น ชัด สงบนิ่ง และเอาจริง อย่าพูดยาว หลักการของข้อนี้คือ การจับคู่ “พฤติกรรมที่เราไม่อยากเห็นอีก” กับ “ความเงียบ” จึงจะเกิดการสูญสลายของพฤติกรรม ไม่ใช่จับคู่กับความหงุดหงิดไปจนถึงอาการโมโหของพ่อแม่  วิธีนี้จะทำได้เมื่อเราอยู่บ้านนานพอ

                                  การจับคู่พฤติกรรมไม่พึงประสงค์กับความหงุดหงิดหรือการตี มักทำให้เกิดการวางเงื่อนไขทางลบ กล่าวคือ “เห็นแม่หงุดหงิดหรือถูกตีก็ยังดีกว่าอยู่กับพี่เลี้ยง” แล้วเขาจะทำอีกเพราะดึงความสนใจจากพ่อแม่ได้ทุกครั้ง

                                  งอแงมากให้ไทม์เอ๊าต์

                                  เป็นการขอเวลานอกไม่ใช่การทำโทษ นี่เป็นวิธีจับคู่พฤติกรรมที่เราไม่อยากให้มีอีกกับความเงียบเช่นกัน แต่เปลี่ยนสถานที่ หรือเอาออกจากสถานที่เกิดเหตุ สิ่งสำคัญเวลา “ไทม์เอ๊าต์” คือมีพ่อแม่นั่งอยู่ด้วย ไม่ทิ้งให้อยู่คยเดียว หาสถานที่ปลอดภัย ผ่อนคลาย ส่วนพ่อแม่ต้องผ่อนคลายด้วย นั่งรอลูกสงบลง บอกเขาได้ว่าเงียบแล้วก็มาให้แม่กอดได้

                                  การไทม์เอ๊าต์ต้องเอาจริง นั่นแปลว่า หากเกิดเหตุในที่สาธารณะ พ่อแม่ที่เอาจริงควรเอาพาเขาออกจากสถานที่ทันที ไปที่ต้นไม้ รถ หรือกลับบ้าน ให้เขารู้ว่าพ่อแม่เอาจริง งอแงในที่สาธารณะถึงระดับรบกวนสาธารณะ ไม่อนุญาตให้ทำ

                                  ถ้างอแงหนักและสร้างความเสียหาย ต้องใช้วิธีจำกัดขอบเขต

                                  แปลตามตัวว่า “ขีดเส้นรอบตัวเขาไม่ให้แผลงฤทธิ์ได้อีก” วิธีนี้เป็นการตัดสิทธิ์บางประการ  เช่น  กักบริเวณ ห้ามใช้มือถือ 1 วัน หรือตัดชั่วโมง Wi-Fi  หักค่าขนม ลดงบประมาณซื้อการ์ตูน จะเห็นว่าการจำกัดขอบเขตเป็นเรื่องใหญ่ ทำยาก มักใช้กับเด็กโตที่พ่อแม่มีสายสัมพันธ์ที่ดีอยู่บ้าง แต่มักจะไม่ได้ผลในบ้านเรา เพราะกว่าจะมาถึงขั้นนี้ สายสัมพันธ์มักเสียหายมากแล้ว การจำกัดขอบเขตเริ่มล้ำเข้าสู่การทำโทษ

                                  การตีโดยที่สายสัมพันธ์ไม่ดีมักไม่ได้ผล การตีจะวางเงื่อนไขทางลบ กล่าวคือ การตีคือข้อพิสูจน์ว่าแม่มีอยู่จริง ก็จะทำความผิดซ้ำอีกเพื่อให้แม่โผล่มาตีอีก จะเห็นว่าเรื่องจะยากขึ้นทุกที การที่พ่อแม่กลับไปจัดการตนเองก่อนในตามวิธีข้างต้นง่ายและได้ผลกว่ามาก ดีที่สุดคือได้ทุกอย่าง

                                  คุณพ่อคุณแม่อยากรู้จักลูก เข้าใจลูก และรู้ วิธีจัดการลูกดื้อ แบบพ่อแม่ยุคใหม่ที่เลี้ยงลูกเชิงบวกให้มากขึ้น สามารถหาความรู้และคำแนะนำดีๆเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกจากคุณหมอประเสริฐได้จากเล่มนี้เลย

                                  วิธีจัดการลูกดื้อแบบเห็นผล!

                                  หนังสือ เลี้ยงลูกให้ได้ดี 1-200 ฉบับสมบูรณ์

                                  เขียนโดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ 

                                  วางจำหน่ายแล้วที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
                                  สั่งซื้อออนไลน์ คลิก

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่