แม่หงุดหงิดใส่ลูก

หมอแนะวิธีแก้ แม่หงุดหงิดใส่ลูก เหตุเพราะโควิดพาชีวิตแม่เครียด!

Alternative Textaccount_circle
event
แม่หงุดหงิดใส่ลูก
แม่หงุดหงิดใส่ลูก

แม่หงุดหงิดใส่ลูก – ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของบ้านเมืองในยุคโควิด เชื่อว่าหลายครอบครัวต่างได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน โดยเฉพาะบ้านที่มีลูกเล็กๆ เด็กวัยเรียนที่ต้องปรับแผนการเรียนให้เข้ากับสถานการณ์ของโรคระบาดด้วยการเรียนออนไลน์จากที่บ้านกันมากขึ้น ซึ่งเมื่อลูกต้องเรียนออนไลน์ ต้องคลุกคลีอยู่กับบ้านกับคุณแม่ที่ต้องรับผิดชอบทำงานบ้าน ไหนจะงานส่วนตัว หรือส่วนรวมต่างๆ อีกมากมาย

แล้วยังต้องเจียดเวลามาช่วยดูแลความเรียบร้อยให้ลูกๆ ให้เรียนออนไลน์ได้อย่างราบรื่น เชื่อว่าคุณแม่หลายคนต้องรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติ ด้วยภาระที่มากขึ้น และแน่นอนเมื่อเรารู้สึกเหนื่อย ก็อาจหงุดหงิดอารมณ์เสียได้เป็นธรรมดา และบางครั้งก็พาลหงุดหงิดใส่ลูก แล้วมารู้สึกผิดทีหลัง แต่ลูกก็เสียความรู้สึกไปแล้ว ทีนี้คุณแม่จะทำยังไงให้สถานการณ์มันดีขึ้น วันนี้มีคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญมาฝากกันค่ะ

หมอแนะวิธีแก้ แม่หงุดหงิดใส่ลูก เหตุเพราะโควิดพาชีวิตแม่เครียด!

มีข้อมูลดีๆ จากเพจ เข็นเด็กขึ้นภูเขา โดย พญ. เบญจพร ตันตสูติ  จิตแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ด้านจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ที่ได้โพสต์เรื่องราวของคุณแม่คุณลูกคู่หนึ่ง ที่จูงมือกันมาปรึกษาคุณหมอ ด้วยสถานการณ์ในบ้านที่ค่อนข้างตึงเครียดจากการที่คุณแม่มีความเครียดสะสมจากการต้องสอนการบ้านลูก และมักเผลอหงุดหงิดตะคอกใส่ลูกอยู่บ่อยๆ จนรู้สึกว่า เริ่มจะเป็นปัญหาของครอบครัว โดยเนื้อหาในโพสต์มีดังนี้ค่ะ

แม่ลูกจูงมือกันมาปรึกษาคุณหมอ

แม่พาลูกสาวอายุ 6 ขวบ ‘ส้มโอ’ มาด้วยเรื่องที่ส้มโอกับแม่ทะเลาะกันบ่อย จนเป็นความเครียดซึ่งแม่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดี

ส้มโอเป็นเด็กน่ารักช่างพูด แต่ไม่ถนัดอ่านเขียน และไม่ค่อยมีสมาธินัก
จากการพูดคุย คุณแม่เป็นคนที่ใจร้อนและขี้หงุดหงิดมาก มักจะโกรธลูกบ่อยๆ เวลาลูกทำผิด โดยเฉพาะเวลาสอนการบ้าน แล้วลูกทำช้า ทำผิด ยิ่งช่วงหลังที่มีการระบาดของโควิด ลูกต้องเรียนออนไลน์ แม่เป็นคนดูแลหลัก ครูก็สั่งงานให้ค่อนข้างมาก
ที่ผ่านมาจึงพยายามและตั้งใจที่จะไม่โกรธ แต่ปรากฎว่าทำให้ระเบิดอารมณ์กับลูกมากขึ้น
กลายเป็นความเครียดกันทั้งลูกและแม่ พอแม่โกรธ ตะโกนใส่ลูก ลูกก็หงุดหงิด ยิ่งต่อต้าน โวยวายกลับ บางทีรุนแรง แม่มีลงไม้ลงมือกับลูก และจบลงด้วยการร้องไห้กันทั้งแม่และลูก
ส้มโอตอบคำถามที่หมอถามเธอว่า
“หนูอยากจะให้หมอช่วยอะไรหนูบ้างเกี่ยวกับคุณแม่ “
“หนูอยากให้แม่มีความสุขมากขึ้น และดุหนูน้อยลงนิดนึง”
จากคำตอบของส้มโอข้างต้น เด็กเองก็เข้าใจว่าช่วงหลังแม่ดูไม่ค่อยมีความสุขและดุมากขึ้น
แม่หงุดหงิดใส่ลูก
แม่หงุดหงิดใส่ลูก
คุณแม่ถามหมอว่า “ทำยังไง ให้ไม่ต้องโกรธหรือโมโหลูก”
จริงๆแล้วหมออยากบอกพ่อแม่ทุกคนว่า ความโกรธเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต เป็นอารมณ์แบบหนึ่ง ไม่ต้องไปห้ามหรือปฏิเสธ ไม่งั้นมันก็จะเหมือนลูกโป่งที่ถูกอัดลมไว้มากๆเข้า ไม่ลมอัดไปมากเกินไป มันก็แตกออกมา เปรียบกับการระเบิดอารมณ์ในเวลาที่เราไม่ไหวแล้ว
แค่เข้าใจและยอมรับ รู้เท่าทันอารมณ์โกรธ และจัดการอย่างเหมาะสม
1) ถ้าโกรธอย่าเพิ่งพูดหรือทำอะไรตอนนั้น เพราะมันอาจจะเป็นไปอย่างไม่มีสติ เมื่อเวลาผ่านไประดับอารมณ์โกรธลดลง พ่อแม่จะจัดการอะไรได้ดีขึ้น
2) เวลาที่มีอารมณ์โกรธจะจัดการอย่างไร  วิธีหนึ่งที่หมอมักจะแนะนำกับคนไข้ก็คือ การฝึกการหายใจเพื่อนผ่อนคลายอารมณ์ เริ่มจะการหายใจเข้าให้ลึก หลังจากนั้นค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาทางปากจนสุด ทำซ้ำสัก 4-5 ครั้ง อารมณ์จะค่อยๆคลายและเบาบางลงไป
3) ถ้าพ่อแม่ทำได้ ลูกก็จะเรียนรู้วิธีการจัดการกับความโกรธไปด้วย เพราะซึมซับตัวอย่างจากพ่อแม่ (ซึ่งเราจะเห็นบ่อยๆว่า ลูกที่ขี้หงุดหงิด ชอบตะโกนและโวยวาย บางทีก็เกิดจากการมองเห็นตัวอย่างจากเห็นพ่อแม่ทำในเวลาที่โกรธเหมือนกัน)
4) แต่ถ้าบางครั้งพ่อแม่ยังจัดการอารมณ์โกรธของตัวเองไม่ได้ก็ไม่ต้องรู้สึกผิด หรือเสียใจ เพราะเราก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ทำไม่ได้บ้างไม่ได้บ้างเป็นเรื่องปกติ ก็ค่อยๆปรับไปนะคะ
5) ที่สำคัญที่สุดอย่าลืมดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจพื้นฐานของพ่อแม่ก่อน  ให้ดีด้วย พักผ่อนให้เพียงพอ บางครั้งถ้าอารมณ์พื้นฐานไม่ดี ก็จะโกรธและหงุดหงิดง่าย และจัดการกับอารมณ์ยากขึ้น หาตัวช่วยบ้างถ้าต้องการความช่วยเหลือ

 

แม่หงุดหงิดใส่ลูก
แม่หงุดหงิดใส่ลูก
หมอพูดคุยกับคุณแม่ส้มโอให้เข้าใจของความเครียดที่เกิด เริ่มจากการทำความเข้าใจพื้นฐานและธรรมชาติของลูกว่าเป็นอย่างไร (ไม่ค่อยถนัดอ่านเขียน ทำงานช้า ไม่ค่อยมีสมาธิ) บวกกับสถานการณ์โควิดระบาด ที่คงทำให้อะไรเคร่งเครียดขึ้น จัดการความคาดหวังที่มีกับลูก และค่อยๆ ปรับไป มีวิธีจัดการอารมณ์ตัวเองที่เหมาะสม
ก่อนที่จะโกรธจนทะเลาะกัน อย่าลืมว่าทั้งแม่และลูกก็ต้องการกำลังใจกันทั้งคู่
เป็นกำลังใจให้พ่อแม่ทุกคนนะคะ
หมายเหตุ: เรื่องของส้มโอเป็นเรื่องที่คุณหมอดัดแปลงมาจากกรณีที่เกิดขึ้นจริง เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับบุคคลที่สาม
สำหรับการที่คุณพ่อคุณแม่ รู้วิธีจัดการกับอารมณ์โกรธต่างๆ ก่อนที่จะระเบิดไปลงที่ลูก เท่ากับเป็นการรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเองและเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกได้ ในเรื่องของการรู้จักควบคุมอารมณ์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อลูก เพราะลูกของคุณจะซึมซับพฤติกรรมในการจัดการอารมณ์ของคุณพ่อคุณแม่ได้โดยปริยาย
นอกจากนี้ หากคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังให้ลูกได้ฝึกฝนทักษะในการรู้จักอารมณ์ตัวเองและผู้อื่น สามารถแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมตั้งแต่ลูกยังเล็ก จะช่วยเสริมสร้างทักษะความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)  ให้กับลูกได้อีกด้วยค่ะ และเมื่อลูกเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาจะรู้จัก รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองและของผู้อื่นได้ดี ทำให้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ที่ยากลำบาก ได้แน่นอนค่ะ
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : เพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา

 

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up