Page 125 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

heat stroke

Heat Stroke อันตรายกับเด็กและคนท้องอย่างไร?

อากาศร้อน ๆ ไม่ใช่ไม่อันตราย ใครที่ร่างกายปรับตัวไม่ทัน อาจทำให้เกิดโรคลมแดด หรือ Heat Stroke โรคที่อันตรายถึงชีวิตหากเกิดกับเด็กเล็กและคนท้อง!!

Heat Stroke อันตรายกับเด็กและคนท้องอย่างไร?

โรคลมแดด (heat stroke) เป็นความเจ็บป่วยที่เกิดจากความร้อนที่มีความรุนแรงมากที่สุด หลายประเทศทั่วโลกจึงให้ความสำคัญ โดยมีรายงานว่าทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 10-50 และผู้รอดชีวิตอาจมีความพิการทางระบบประสาทอย่างถาวรร้อยละ 7-20 โรคลมร้อนเป็นภาวะที่อุณหภูมิแกนของร่างกายสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส (104 องศาฟาเรนไฮต์) ร่วมกับความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้มีอาการสับสน เพ้อ ชักเกร็ง ซึม หรือหมดสติ และอาจส่งผลต่อการทำงานของร่างกายทุกระบบได้ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต จัดเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ ต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องและรักษาทันที เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตรอดและสามารถฟื้นคืนสู่สภาพร่างกายที่ปกติได้

Heatstroke อันตรายต่อเด็กและคนท้องอย่างไร?

สำหรับแม่ท้อง ร่างกายจะเผาผลาญอาหารได้ดีกว่าคนทั่วไปถึง 20% จึงมักทำให้มีเหงื่อออกมาก เมื่อเจออากาศร้อนจัดอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ ความดันต่ำ ฯลฯ หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาการจะหนักขึ้น จนกลายเป็นเพ้อ ชัก ไตล้มเหลว หัวใจเต้นผิดจังหวะ ช็อค และเกิดลิ่มเลือดอุดตันจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

สำหรับเด็กเล็ก เนื่องจากยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ และไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดกับตัวเองได้ เด็กเล็กจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่ในร่างกายจากความร้อนได้ง่าย ทำให้การปรับตัวของร่างกายต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่ หากอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นมากกว่า 40 องศาเซลเซียส จะมีผลกับการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท อวัยวะต่างๆ ทำงานล้มเหลว จนทำให้เสียชีวิตได้

จริง ๆ แล้วทุกคนสามารถเป็นโรคลมแดดได้ หากทำงาน หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งตอนที่มีแสงแดดจัดเป็นเวลานาน แต่กับบุคคล 3 กลุ่มนี้อาจต้องให้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ นั่นคือ ในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และคุณแม่ตั้งครรภ์   เพราะด้วยร่างกายแล้วไม่สามารถทนกับความร้อนได้มากและนาน ทำให้ง่ายต่อการเกิดภาวะลมแดด

โรคลมแดด
โรคลมแดด

แม่ท้องต้องสังเกต!! โรคลมแดดมีอาการอย่างไร? และสัญญาณอันตรายที่ต้องระวัง!!

ในเบื้องต้น เด็กและแม่ท้องจะมีอาการคล้าย ๆ กับคนที่เจออากาศร้อนทั่วไป คือมีเหงื่อออกมาก แต่โรคลมแดดนั้นจะมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้

  1. รู้สึกผิวหนังร้อนและแห้ง หน้าแดง
  2. มีอาการกระหายน้ำมาก
  3. ชีพจรเต้นเร็ว หายใจลึก
  4. อุณหภูมิของร่างกายจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอาจถึง 108 ํ F
  5. เมื่อยล้า อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน วิตกกังวล สับสน ปวดศีรษะ ความดันต่ำ หน้ามืด ไวต่อสิ่งเร้าง่าย

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและทันท่วงที อาจทำให้มีผลต่อระบบไหลเวียน การทำงานของระบบประสาทส่วนกลางผิดปกติ ซึ่งจะเข้าสู่สัญญาณอันตราย ดังนี้

  1. มีไข้สูง (อุณหภูมิแกนสูงกว่า 40.5oC)
  2. เกิดภาวะขาดเหงื่อ (ไม่มีเหงื่อออก)
  3. การทำงานของระบบประสาทส่วนกลางผิดปกติ เช่น เป็นลม, กระวนกระวาย, พฤติกรรมผิดปกติ, ก้าวร้าว, ประสาทหลอน
  4. ชีพจรเบาและไม่สมํ่าเสมอ หายใจตื้น กล้ามเนื้อเกร็งตัว ชัก รูม่านตาขยาย การเคลื่อนไหวและสติสัมปชัญญะควบคุมไม่ได้
  5. หมดสติ ถ้าผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีเทาคล้ายสีขี้เถ้าแสดงว่าใกล้ถึงภาวะหัวใจหยุดทํางาน

วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อพบผู้มีอาการ Heat Stroke

เบื้องต้น หากมีอาการไม่มาก ให้ผู้มีอาการนั่งพักผ่อนในที่ ๆ อากาศถ่ายเท ที่ร่ม และดื่มน้ำมาก ๆ แต่ในรายที่เข้าสู่ภาวะขาดเหงื่อแล้ว ให้ปฐมพยาบาล ดังนี้

  1. นำผู้มีอาการเข้าร่ม นอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง ถอดเสื้อผ้าชั้นนอกออก
  2. เทน้ำเย็นราดลงบนตัวเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำลงโดยเร็วที่สุด
  3. ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบตามซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ
  4. ไม่ควรใช้ผ้าเปียกคลุมตัวเพราะจะขัดขวางการระเหยของน้ำออกจากร่างกาย
  5. รีบนำส่งโรงพยาบาล
Heatstroke
Heatstroke

เด็กและแม่ท้องต้องป้องกัน!! อย่าให้ Heat Stroke มาทำลายชีวิต!!

อย่างไรก็ตาม เราไม่อาจหลีกเลี่ยงอากาศสุดร้อนในเมืองไทยได้ ทั้งแม่ ๆ และแม่ท้องจึงต้องป้องกัน ไม่ให้เกิดโรคลมแดดได้ ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ ๆ มีแดดจัด ๆ หรือที่ ๆ มีอาการร้อนจัด ๆ หากเลี่ยงไม่ได้ ก็ไม่ควรอยู่ในที่ ๆ นั้นนานจนเกินไป และพยายามอยู่ในที่ ๆ มีอากาศถ่ายเทเสมอ
  2. ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว ก่อนออกจากบ้านในวันที่มีอากาศร้อนจัด และหากต้องอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนหรือออกกำลังกลางสภาพอากาศร้อน ควรดื่มน้ำให้ได้ชั่วโมงละ 1 ลิตร แม้จะไม่รู้สึกกระหายน้ำก็ตาม แนะนำให้จิบน้ำบ่อย ๆ และแม้ว่าจะทำงานในที่ร่มก็ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
  3. สวมใส่เสื้อผ้าที่มีสีอ่อน ไม่หนา น้ำหนักเบา และสามารถระบายความร้อนได้ดี
  4. หลีกเลี่ยงการกินยาแก้แพ้ แก้น้ำมูก โดยเฉพาะก่อนการออกกำลังกายหรือการอยู่ท่ามกลางอากาศร้อนเป็นเวลานาน
  5. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และยาเสพติดทุกชนิด เพราะยิ่งอากาศร้อนมาก การดูดซึมแอลกอฮอล์จะสูง ทำให้เข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว
  6. ในเด็กเล็กและคนชราควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ต้องจัดให้อยู่ในห้องที่อากาศระบายได้ดี และอย่าปล่อยให้เด็กหรือคนชราอยู่ในรถที่ปิดสนิทตามลำพัง
  7. หากแม่ท้องต้องการเดินทางไกล ในที่ ๆ มีอากาศร้อน ควรมีผู้ดูแลร่วมเดินทางด้วยเพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดและป้องกันอุบัติเหตุหากมีอาการหน้ามืด วิงเวียนหรือเป็นลมเมื่อเจออากาศที่ร้อนจัดภายนอก

เพราะประเทศไทย แทบทั้งปีก็มักจะมีอากาศร้อน ยิ่งในช่วงหน้าร้อนที่อากาศร้อนจัด ๆ สำหรับเด็กเล็กและแม่ท้อง ซึ่งอยู่ในกลุ่มที่มักจะเจ็บป่วยได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น และหากเจ็บป่วยขึ้นมาก็มักจะมีอาการรุนแรงกว่ากลุ่มอื่น ดังนั้น แม่ ๆ และแม่ท้องจึงต้องรู้เท่าทันโรคต่าง ๆ ที่มักจะเกิดในหน้าร้อน เพื่อรับมือและป้องกันต่อไปค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

ระวัง! ของเล่นอาบน้ำ เป็ดเหลือง ทำลูกติดเชื้อ เสี่ยงตาบอด

3 โรคหน้าร้อน คนท้อง ต้องระวัง!

อาการเบื่ออาหารช่วงหน้าร้อน เพราะสาเหตุใด?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณะสุข, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี, สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม, สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    โรคในฤดูร้อน

    7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

    ช่วงหน้าร้อน นอกจากอากาศที่ร้อนสุด ๆ แล้ว ฤดูร้อนยังนำเอาภัย และ โรคในฤดูร้อน มาทำให้เด็ก ๆ เจ็บป่วยและเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ มาดูกันว่ามีโรคและภัยไหนบ้างที่พ่อแม่ต้องระวัง

    7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

    ในช่วงอากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ เหมาะแก่การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเชื้อโรคหลายชนิด โดยเฉพาะโรคที่ปนเปื้อนในน้ำและอาหาร โรคติดต่อจากสัตว์สู่คน และในหลาย ๆ โรคหน้าร้อน ก็มีโรคที่อาจจะอันตรายถึงชีวิตได้ถ้าไม่ระวัง ทีมแม่ ABK จึงขอรวบรวม 7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ระวังกันค่ะ

    7 โรคร้ายที่มากับหน้าร้อน

    1. โรคอาหารเป็นพิษ

    โรคหน้าร้อน
    โรคหน้าร้อน

    “จากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค สถานการณ์โรคอาหารเป็นพิษในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีรายงานการพบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษรวม 347 ราย และ คาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสพบผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยมีอุณหภูมิสูงขึ้น อาจทำให้อาหารบูดหรือเน่าเสียได้ง่าย ประกอบกับพฤติกรรมการทำอาหารที่อาจสุกไม่ทั่วถึงและไม่สะอาดเพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่ทิ้งไว้นอกตู้เย็นเป็นเวลานาน หรือทิ้งค้างไว้หลังปรุงเสร็จเป็นเวลานานโดยไม่ได้อุ่นร้อนหลังจาก 2 ชั่วโมง กรมควบคุมโรค ขอแนะนำให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” โดยรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ อาหารที่เก็บไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง ต้องนำมาอุ่นก่อนรับประทานทุกครั้ง เลือกบริโภคอาหาร น้ำดื่ม และน้ำแข็งที่สะอาด ไม่รับประทานอาหารที่ปรุงจากสัตว์หรือพืชที่มีพิษ เลือกซื้อวัตถุดิบที่สด สะอาดและมีคุณภาพ ควรใช้ช้อนกลางส่วนตัวเมื่อรับประทานร่วมกัน และก่อนหยิบจับอาหารควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง”

    จากประกาศจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข ณ วันที่ 7 มีนาคม 2564 แสดงให้เห็นว่าโรคนี้เป็นโรคที่เกิดในช่วงหน้าร้อนแทบทุกปี เพราะอากาศร้อนทำให้อาหารเน่าเสียได้ง่าย โดยอาการของผู้ป่วยโรคอาหารเป็นพิษ จะมีอาการดังนี้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเหลวหรือเป็นน้ำ ปวดศีรษะ คอแห้งกระหายน้ำ อาจมีไข้ร่วมด้วย ในรายที่มีอาการถ่ายอุจจาระมาก ผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกหมดสติได้ สำหรับการดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น คุณพ่อคุณแม่ควรให้จิบสารละลายเกลือแร่ โอ อาร์ เอส บ่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็ว

    2. โรคบิด

    โรคบิด
    โรคบิดในเด็ก

    โรคบิด เป็นอาการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินอาหารของลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็ก ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียหรือโปรโตซัวที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ถ่ายเหลว ร่วมกับการ มีไข้สูง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ มีอาการเหมือนถ่ายไม่สุด ในเด็กอาจพบอาการชักร่วมด้วย โรคบิดสามารถติดต่อกันได้ผ่านเชื้อโรคที่อยู่ในอุจจาระของผู้ป่วย โดยเมื่อเชื้อปนเปื้อนไปสู่แหล่งน้ำ ลงไปในอาหาร หรือตกค้างอยู่ที่มือของผู้ป่วย อาจทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ ไม่เพียงเท่านั้นแมลงวันยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้อีกด้วย ขณะที่ผู้ป่วยที่มีเชื้อของโรคบิดสามารถเป็นพาหะและแพร่เชื้อได้ตลอดเวลาที่มีอาการ เพราะจะมีเชื้อออกมากับอุจจาระทุกครั้งที่ถ่าย และเชื้อจะค่อยๆ หมดไปหลังจาก 2-3 สัปดาห์

    โรคบิด เป็นอีก 1 โรคในฤดูร้อน ที่พบได้บ่อย เพราะสามารถติดต่อกันได้จากการดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่มีเชื้อเข้าไป และยังเป็นอีก 1 โรคที่ทำให้เด็กทรมานจากการปวดบิดท้อง วิธีป้องกันโรคบิดอย่างง่าย ๆ คือ ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร ดื่มน้ำสะอาด และทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกทุกครั้ง

    3.  โรคพิษสุนัขบ้า

    โรคพิษสุนัขบ้า
    โรคพิษสุนัขบ้า

    โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดเชื้อทางระบบประสาทที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งก่อให้เกิดอาการผิดปกติทางระบบประสาทส่วนกลางที่ควบคุมการทำงานของร่างกายทั้งหมด เช่น สมอง ไขสันหลัง การเคลื่อนไหว และอวัยวะสัมผัสทั้ง 5 เป็นต้น คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าโรคนี้เกิดจากการโดนสุนัขกัดเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว พาหะนำโรค คือ สัตว์เลือดอุ่นเลี้ยงลูกด้วยนมที่ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า เช่น สุนัข แมว โค กระบือ สุกร หนู ลิง ชะนี กระต่าย ค้างคาว ฯลฯ

    การติดเชื้อ สามารถติดเชื้อได้จากการสัมผัสโรคโดยรับเชื้อไวรัสจากน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรคทางบาดแผลจากการถูกกัด ข่วน หรือเลีย และทางเยื่อเมือกในตาและปากเมื่อถูกสัตว์ที่เป็นโรคเลีย ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคนี้ หากผู้ป่วยมีอาการของโรคแล้ว จะเสียชีวิตเกือบ 100% อย่างไรก็ตาม หากได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการรักษาอย่างทันท่วงทีและถูกวิธีหลังการสัมผัสโรค จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้อย่างมาก

    4. โรคท้องร่วง โรคอุจจาระร่วง

    โรคในฤดูร้อน ส่วนมากมักจะเกิดจากอาหาร โรคท้องร่วง อุจจาระร่วงก็เช่นกัน โรคอุจจาระร่วง คือ โรคที่ทำให้เกิดการถ่ายอุจจาระที่มีลักษณะเหลวหรือเป็นน้ำเกินกว่า 3 ครั้ง/วัน หรือมีการถ่ายอุจจาระที่มีเลือดปนอย่างน้อย 1 ครั้ง/วัน และหากมีการถ่ายอุจจาระ ในลักษณะดังกล่าวนานเกิน 2 สัปดาห์ ถือว่าเป็นโรคอุจจาระร่วงแบบเรื้อรัง

    สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว ปรสิตและหนอนพยาธิในลำไส้ จากการรับประทานอาหาร และน้ำไม่สะอาด การไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนการเตรียมหรือปรุงอาหาร และภาชนะสกปรก มีเชื้อโรคปะปน อันตรายจากโรคอุจจาระร่วงทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ไปพร้อมกับการถ่ายอุจจาระจำนวนมาก จนอาจทำให้ช็อก หมดสติ และถึงแก่ความตายได้ โดยเฉพาะในเด็ก

    บทความที่เกี่ยวข้อง วัคซีนโรต้า จำเป็นไหม?รวมข้อมูลควรรู้ให้แม่ก่อนตัดสินใจ

    5. ไข้หวัดแดด

    โรคในฤดูร้อน
    โรคในฤดูร้อน

    ไข้หวัดแดด (Summer Flu) เป็นโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่ ประกอบกับต้องเผชิญอากาศที่ร้อนจัด หรือ อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ร่างกายปรับตัว กับสภาพอากาศไม่ทัน ทำให้ร่างกายเกิดการสะสมความร้อนไว้ภายใน และด้วยสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยที่เป็นเมืองร้อนชื้น เชื้อโรคจึงมีชีวิตอยู่ได้นานยิ่งขึ้น ไข้หวัดแดดนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่มักพบบ่อยในผู้ที่ทำงานหรือทำกิจกรรมกลางแดด เช่น เกษตรกร นักกีฬา, เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง, คนอ้วน, ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ, ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งผู้ที่ต้องเข้าออกบ่อย ๆ ระหว่างสถานที่ที่มีเครื่องปรับอากาศและสภาพอากาศภายนอกที่ร้อนจัด

    อาการของไข้หวัดแดด มีดังนี้ มีไข้ต่ำๆ (ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียล) วิงเวียน ปวดศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัวอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปากแห้ง คอแห้ง แสบคอ ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียนนอนไม่ค่อยหลับ

    หลายครั้งผู้ที่เป็นหวัดมักเกิดความสับสนระหว่าง หวัดแดด กับ ไข้หวัด เพราะอาการค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่ในความจริงแล้ว ไข้หวัดจะมีอาการคัดจมูก มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ ร่วมด้วย ส่วนหวัดแดดจะไม่ค่อยมีน้ำมูก หรือมีน้ำมูกใสๆเพียงเล็ก น้อย และไม่มีอาการเจ็บคอ แต่จะรู้สึก ขมปาก คอแห้ง และแสบคอแทน

    โรคหวัดแดด แม้ไม่แสดงอาการที่รุนแรงแต่ความร้อนที่สะสมอยู่ภายในร่างกายย่อมส่งผลกระทบต่ออวัยวะภายใน ดังนั้นเด็กที่เป็นไข้หวัดแดด จึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นเช็ดตัวเพื่อระบายความร้อนภายใน ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ รับประทานอาหารที่สะอาดและปรุงสุกใหม่ หรืออาจทานยาลดไข้ ร่วมด้วย โดยอาการเหล่านี้มักจะหายเป็นปกติใน 2 สัปดาห์

    6. โรคไข้เลือดออก

    โรคไข้เลือดออก
    โรคไข้เลือดออก

    แม้จะอยู่ในช่วงหน้าร้อน แต่เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว อาจทำให้ในบางพื้นที่เกิดฝนตกได้ ทำให้มีน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย สาเหตุของโรคไข้เลือดออกได้ เพราะในช่วงหน้าร้อน มีผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้น หากลูก ๆ มีอาการสงสัยว่าเป็นไข้เลือดออก เช่น ไข้สูงมากโดยฉับพลัน ปวดเมื่อย หน้าแดง อาจมีผื่นขึ้นใต้ผิวหนังตามแขนขา ข้อพับ และถ้ามีไข้สูง 2-3 วันไม่หายหรือไม่ดีขึ้น ต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

    ทั้งนี้ แนะนำให้ปฏิบัติตามหลักในการป้องกันโรคไข้เลือดออกที่ใช้กันในฤดูฝน ซึ่งก็คือ “3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค” คือ

    1. เก็บบ้าน ให้สะอาด โปร่ง โล่ง ไม่ให้มีมุมอับทึบ เป็นที่เกาะพักของยุง
    2. เก็บขยะ เศษภาชนะรอบบ้าน โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละครั้ง ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
    3. และ เก็บน้ำ สำรวจภาชนะใส่น้ำ ต้องปิดฝาให้มิดชิดหรือปล่อยปลากินลูกน้ำ ป้องกันยุงลายไปวางไข่

    การทำตามหลักในการป้องกันโรคนี้ สามารถป้องกันได้ถึง 3 โรคด้วย คือ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย

    7. ผดร้อน โรคผิวหนังในหน้าร้อน

    ผดร้อน
    ผดร้อน

    ยิ่งอากาศร้อน ก็มักจะมีเหงื่อเยอะ ทำให้เกิดการอับชื้น เกิดผด ผื่น และ การการระคายเคืองที่ผิวหนังได้ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่มีผิวที่บอบบาง ดังนั้น ในฤดูร้อนนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าระวัง โรคทางผิวหนัง ดังนี้

      • ผด ผดร้อน เนื่องจากอากาศร้อนจะทำให้เหงื่อออกมาก เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบของรูขุมขน เกิดผดเม็ดเล็ก ๆ แดง ๆ หรือเป็นเม็ดใส ๆ พบมากในเด็กเล็กโดยที่ผดมักขึ้นรอบ ๆ คอ หน้าผาก ส่วนผู้ใหญ่มักเป็นที่คอ เนื่องจากใส่เสื้อคอปิด ใส่สร้อย จะทำให้อับเหงื่อจนเกิดอาการคัน
      • กลาก และผดผื่นที่เกิดจากการอับชื้น มักพบในบริเวณที่มีความอับชื้น เช่น รักแร้ ใต้ราวนม ขาหนีบ มีอาการคัน หากมีเชื้อราเข้ามาร่วมด้วย ผื่นจะขยายเป็นวง มีขอบเขตชัดเจน มีขุย และมีอาการคันมาก
      • โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษในหน้าร้อน เพราะถ้าเหงื่อออกมากจะมีผื่นคันบริเวณคอ ข้อพับ แขน ขา ควรหลีกเลี่ยงอากาศที่ร้อน อับหรือมีฝุ่นละอองมาก เนื่องจากจะทำให้คันมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องประดับที่ทำจากสารนิกเกิลเพราะจะทำให้ผิวหนังอักเสบเกิดผื่นแพ้ได้

    3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

    1. Heat Stroke โรคลมแดด ภาวะฉุกเฉินจากความร้อน

    Heatstroke เป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์อย่างแท้จริง ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถลดอุณหภูมิกายลงได้ และเป็นผลให้เกิดมีภยันตรายต่อระบบอวัยวะน้อยใหญ่ได้อย่างกว้างขวาง ผู้ที่เป็นโรคลมแดด จะมีอาการดังนี้ ผิวหนังร้อน ตัวสั่น กล้ามเนื้อเป็นตะคริว ปวดศีรษะ พูดช้าสับสน เห็นภาพหลอน หายใจเร็วตื้น เหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว มีไข้สูง หมดสติ ช็อก และหากได้รับการรักษาไม่ทันอาจเสียชีวิตได้

    จริงๆ ทุกคนสามารถเป็นโรคลมแดดได้ หากทำงาน หรือทำกิจกรรมกลางแจ้งตอนที่มีแสงแดดจัดเป็นเวลานาน แต่กับบุคคล 3 กลุ่มนี้อาจต้องให้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ นั่นคือ ในผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และคุณแม่ตั้งครรภ์   เพราะด้วยร่างกายแล้วไม่สามารถทนกับความร้อนได้มากและนาน ทำให้ง่ายต่อการเกิดภาวะลมแดด  วิธีป้องกัน คือ ดื่มน้ำบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แดดจัด ๆ ใส่เสื้อผ้าที่โปร่งสบาย

    2. ผลกระทบต่อสุขภาพจากปัญหาหมอกควัน และฝุ่น

    โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับฝุ่น หมอก และควัน ทำให้มีความเสี่ยงเจ็บป่วยจาก 4 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคตาอักเสบ และโรคผิวหนังอักเสบ คุณพ่อคุณแม่จึงควรมีวิธีการป้องกัน เช่น ปิดประตูหน้าต่างบ้านให้มิดชิด หมั่นทำความสะอาดบ้าน สวมหน้ากากป้องกัน ไม่เผาขยะ ไม่เผาป่า ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และสังเกตหากมีอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจมีเสียงวี๊ด แน่นหน้าอก ใจสั่น คลื่นไส้ เมื่อยล้าผิดปกติ วิงเวียนศีรษะ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

    3. การบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการจมน้ำ

    โรคในฤดูร้อน
    โรคในฤดูร้อน

    การจมน้ำยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของเด็กไทยอายุต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งสูงมากกว่าสาเหตุอื่นๆ ทั้งโรคติดเชื้อและโรคไม่ติดเชื้อ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2554-2563) เราสูญเสียเด็กไทยจากการจมน้ำไปแล้ว 7,794 คน เฉลี่ยปีละเกือบ 800 คนหรือวันละ 2 คน โดยเป็นกลุ่มเด็กอายุ 5-9 ปีมากที่สุด (ร้อยละ 39.7) รองลงมาคือกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี (ร้อยละ 35.4) และกลุ่มเด็กอายุ 10-14 ปี (ร้อยละ 24.9) โดยช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม เป็นช่วงที่เกิดเหตุจมน้ำสูงสุด ในปี 2563 ที่ผ่านมามีเด็กจมน้ำเท่ากับ 135 คน หรือประมาณร้อยละ 33.7 ของการจมน้ำเสียชีวิตตลอดทั้งปี ทีมแม่ ABK ขอนำคำแนะนำจากกรมควบคุมโรค ให้คุณพ่อคุณแม่ได้เฝ้าระวังอันตรายจากเด็กจมน้ำ ดังนี้

      • สอนให้ลูกรู้จักแหล่งน้ำเสี่ยง และอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น และกฎความปลอดภัยทางน้ำ
      • คุณพ่อคุณแม่ต้องดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้เด็กไปเล่นน้ำตามลำพัง

    ทั้ง โรคในฤดูร้อน และภัยที่เกิดจากอากาศร้อน ล้วนเป็นอันตรายและสร้างความทรมานให้กับเด็กเล็กทั้งสิ้น ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรเฝ้าระวังและป้องกันทั้ง โรคในฤดูร้อน และภัยที่เกิดจากอากาศร้อน ในหน้าร้อนนี้ไม่ให้เกิดขึ้นกับลูก ๆ นะคะ

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    20 อาหารอันตรายช่วงหน้าร้อน แม่ลูกต้องระวัง

    อาการเบื่ออาหารช่วงหน้าร้อน เพราะสาเหตุใด?

    14 เมนูคลายร้อนทําง่าย สูตรอร่อยจากผลไม้ ลูกกินได้แถมมีประโยชน์ (เริ่มตั้งแต่ 8 m+)

    รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

     

    ขอบคุณข้อมูลจาก : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      ของเล่นอาบน้ำ

      ระวัง! ของเล่นอาบน้ำ เป็ดเหลือง ทำลูกติดเชื้อ เสี่ยงตาบอด

      ของเล่นอาบน้ำ – เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายบ้าน คงต้องมีของเล่นอาบน้ำเล็กๆ น้อยที่ซื้อให้ลูกเล่น หรือเอาไว้หลอกล่อเจ้าตัวเล็กให้อยู่นิ่งๆ ระหว่างอาบน้ำ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณแม่รายหนึ่ง อาจเป็นอุทาหรณ์ให้คุณแม่ทุกคนต้องหันมาระวังภัยจากเชื้อโรคที่อยู่กับของเล่นอาบน้ำไว้ให้ดี เพราะวันดีคืนร้าย เจ้าตัวน้อยของเราอาจได้รับอันตรายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้โดยที่เราอาจคิดไม่ถึง

      ระวัง! ของเล่นอาบน้ำ เป็ดเหลือง ทำลูกติดเชื้อ เสี่ยงตาบอด

      สืบเนื่องจาก สำนักงานข่าว The Sun  รายงานว่ามีคุณแม่รายหนึ่ง ต้องรีบพาลูกชายไปส่งโรงพยาบาล เนื่องจากตาขาวของลูกมีสีแดงมาก จนเกือบมองไม่เห็นตาดำ โดยเธอได้โพสต์คลิปวิดีโอลงใน TikTok  ว่าสาเหตุที่ลูกชายมีอาการอาการตาแดง เนื่องมาจากติดเชื้อจากของเล่น อย่างเป็ดยางตัวน้อยสีเหลืองน่ารักที่คุณแม่หลายคนนิยมซื้อให้ลูกเล่นตอนอาบน้ำ

      ของเล่นอาบน้ำ
      ของเล่นอาบน้ำ (Credit TikTok/@tinyheartseducation)

      โดยคุณแม่รายนี้ เกิดสงสัยว่าสาเหตุที่ลูกตาแดง อาจเป็นเพราะของเล่นที่ลูกเคยเล่นระหว่างอาบน้ำ จึงได้ทำการผ่าเพื่อดูภายใน  ปรากฎว่าภายในตัวของเป็ดยางแบบที่มีรู แบบพ่นน้ำได้ กลับเต็มไปด้วยเชื้อราสีดำดูสกปรกมาก ซึ่งคุณแม่รายนี้เปิดเผยว่าลูกชายของเธอ เกือบสูญเสียการมองเห็น จากเซลล์เนื้อเยื่อ (Cellulitis) ที่ตาอักเสบขั้นรุนแรงจากการติดเชื้อรา จนลามลงมาที่ใบหน้าและดวงตาทั้งสองข้าง

      ของเล่นอาบน้ำ
      (Credit TikTok/@tinyheartseducation)

      ดร. ซาราห์ จาร์วิส  อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ในประเทศอังกฤษ กล่าวว่า” ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าของเล่นอาบน้ำที่ไม่เคยทำความสะอาด จะสามารถกักเก็บเชื้อโรคจากเชื้อราไวรัสและแบคทีเรียได้” เธอกล่าวว่า ในแต่ละปีมีเด็กที่ติดเชื้อจากของเล่นพวกนี้จำนวนมาก  ทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรทำความสะอาดของเล่นอย่างถูกต้องทุกครั้งหลังการใช้งาน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าของเล่นจะแห้งสนิท เพื่อลดโอกาสในการเติบโตของเชื้อ แบคทีเรีย”

      นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญในสหราชอาณาจักรบางราย ยังบอกอีกว่า หากที่บ้านมีของเล่นพวกนี้อยู่ ควรตัดสินใจโละทิ้งและหาของเล่นใหม่ให้ลูก อาจเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนคิดไม่ถึง ว่าของเล่นในห้องน้ำของลูก ๆ จะสามารถกักเก็บจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายได้หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ  ทั้งนี้เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ภายในของเล่นหลังอาบน้ำ และจุลินทรีย์ที่ปนเปื้อน เช่น เชื้อรา จะพัฒนาและเติบโตอยู่ภายในได้เป็นอย่างดี เมื่อสัมผัสกับเด็กอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่ ตา หู หรือ บาดแผล จนส่งผลเสียที่ร้ายแรงได้ อย่างกรณีตัวอย่างที่เกือบทำให้เด็กชายเกือบสูญเสียการมองเห็น

      วิธีล้างขวดนม ที่ถูกต้อง พร้อมวิธีฆ่าเชื้อโรค เพื่อสุขอนามัยของลูกรัก

      16 วิธีล้างผักผลไม้ ให้ปลอดสารก่อนให้ลูกทาน

      วิธีทำความสะอาดของเล่น ให้สะอาด ปลอดภัย ห่างไกลโรค

      มาถึงตรงนี้ คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจคิดว่าการทำสะอาดของเล่นอาบน้ำของลูกด้วยสบู่อย่างเดียวน่าจะเพียงพอ แต่จริงๆ แล้วการใช้เพียงสบู่ไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคต่างๆ ให้ตายได้ ทางที่ดีควรนำของเล่นทั้งหมดออกจากพื้นที่อาบน้ำสัปดาห์ละครั้ง และทำความสะอาดให้ถูกวิธี ซึ่งการทำความสะอาดของเล่นอาบน้ำ สามารถทำได้ 3 วิธี  ดังต่อไปนี้

      วิธีทำความสะอาดของเล่นในห้องน้ำ 

      • น้ำส้มสายชู

      ทางเลือกแรก คือ ใช้น้ำส้มสายชูซึ่งเป็นสารทำความสะอาดจากธรรมชาติที่สามารถละลายคราบสบู่และกำจัดคราบต่างๆ ได้ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำความสะอาดของเล่นในห้องน้ำ วิธีทำคือ เติมน้ำส้มสายชูและน้ำอุ่นในปริมาณเท่า ๆ กันลงในถังน้ำ  จุ่มของเล่นลงไปแล้วแช่ของเล่นทิ้งไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมง (ในกรณีเป็นยางพ้นน้ำ ให้บีบปล่อยให้น้ำเข้าไปด้านในของเล่นด้วย) จากนั้นล้างของเล่นแต่ละชิ้นด้วยน้ำประปา และนำไปตากแดดให้แห้ง

      ของเล่นอาบน้ำ

      • น้ำร้อน

      การฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อนสูง คือวิธีที่ง่ายที่สุด  วิธีคือใช้หม้อใบใหญ่ ใส่น้ำเดือดพอประมาณ นำของเล่นใส่ถุงตาข่ายแล้วจุ่มลงไปในน้ำประมาณ 5 นาที จากนั้นนำขึ้นมา แล้วเช็ดด้วยฟองน้ำหรือผ้าสะอาด โดยสามารถใช้น้ำยาล้างจานทำความสะอาดได้ จากนั้นนำไปตากให้แห้ง

      ลูกติดเชื้อโรคครูป หลังไปโรงพยาบาล แค่แป๊บเดียวก็ติดโรคได้

      วิธีทำความสะอาดสะดือ และก้นของลูกน้อย ให้ปลอดภัยไม่เสี่ยงติดเชื้อ

      อุทาหรณ์! ลูกติด เชื้อซาโมเนลลา ไข้ขึ้น ถ่ายทั้งคืน เพราะคนอื่นจับอุ้มหอมลูก

      • สารฟอกขาว

      วิธีนี้คือการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคที่ล้ำลึกยิ่งขึ้น เคล็ดลับ คือ ผสมสารฟอกขาว ให้เจือจางกับน้ำ ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำหนึ่งแกลลอน ใส่ผสมลงในถังน้ำ แล้วนำของเล่นมาแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที  จากนั้นนำขึ้นมาล้างให้สะอาดด้วยน้ำประป าและปล่อยให้แห้งสนิท สำหรับวิธีนี้ควรเช็คให้แน่ใจหลังของเล่นแห้ง ว่าไม่มีสารฟอกขาวตกค้างที่จะเป็นอันตรายติดอยู่กับของเล่นที่ลูกของคุณต้องสัมผัสระหว่างอาบน้ำ

      เมื่อคุณแม่รู้ถึงภัยของเชื้อโรคที่แฝงอยู่กับของเล่นแล้ว คุณแม่สามารถบอกเล่าถึงสาเหตุที่เชื้อโรคอาจส่งให้เกิดผลเสียต่างๆ ต่อสุขภาพของเราให้ลูกฟังได้ การปลูกฝังให้ลูกรู้จักการดูแลสุขภาพ เพื่อหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่เป็นภัยต้อสุขภาพตั้งแต่ลูกยังเล็กจะช่วยเสริมสร้างให้ลูก มีความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ(HQ) สามารถดูแลสุขภาพของตัวเองเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยบ่อยค่ะ

      ขอบคุณขอมูลอ้างอิงจาก : thesun.co.uk,mollymaid.com

      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

      ทำความสะอาดของเล่น ลูกน้อยปลอดภัยจากเชื้อโรค

      8 วิธีป้องกันลูก! ไม่ให้ได้รับอันตรายจากของเล่นเด็ก

      วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน ทำความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรค

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        สานสัมพันธ์ในครอบครัว

        กินข้าวด้วยกัน สานสัมพันธ์ในครอบครัว เสริมทักษะชีวิตลูก

        สานสัมพันธ์ในครอบครัว – การทานอาหารร่วมกันในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นมื้อเย็นในทุกๆ วัน มื้อเที่ยงวันอาทิตย์ หรือโอกาสพิเศษต่างๆ ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้น ลูกๆ จะได้เรียนรู้วัฒนธรรมการเกี่ยวกับการกิน ซึมซับประเพณีปฏิบัติของครอบครัวจากสิ่งที่พ่อแม่ทำและสอนพวกเขาบนโต๊ะอาหาร ที่สำคัญยังเป็นการเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะด่านต่างๆ ของลูกได้อีกด้วย วันนี้เรามาดูประโยชน์ที่มากมายของการที่ พ่อแม่และลูกๆ ได้ร่วมโต๊ะอาหารกันค่ะ

        เมื่อครอบครัวได้มารวมกันบนโต๊ะอาหาร หรือก่อนมื้ออาหาร  คือ โอกาสที่เด็กๆ สามารถเรียนรู้ ทักษะชีวิตต่างๆ  เช่น การใช้ช้อนส้อม และตะเกียบ การจัดเตรียมอาหาร นอกจากนี้ทุกคนในครอบครัวยังได้ผลัดกัน พูด ฟัง และแบ่งปันเรื่องราว ตลอดจนสารทุกข์สุขดิบร่วมกันเกิดเป็นความอบอุ่นภายในครอบครัว และเป็นช่วงเวลาที่พ่อแม่จะได้ทำหน้าที่ โค้ช ช่วยสอนทักษะทางสังคมและทักษะในการสื่อสารให้ลูก  เช่น การเป็นผู้ฟังที่ดี การพูดคุย และโต้เถียงในประเด็นต่างๆ

        กินข้าวด้วยกัน สานสัมพันธ์ในครอบครัว เสริมทักษะชีวิตลูก

        งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมอนทรีออล (Université de Montréal) ประเทศแคนาดา ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Journal of Developmental & Behavioral Pediatrics เปิดเผยว่า การรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัว จะช่วยเสริมสร้างทักษะสังคมและการใช้ชีวิตให้กับเด็ก นอกจากนี้ จากการศึกษา ยังพบด้วยว่า เด็กที่ได้นั่งกินอาหารร่วมกับครอบครัวเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่ 6 จนถึง 10 ปี มีแนวโน้มที่จะมีทักษะทางสังคมสูงกว่าและมีสุขภาพจิตที่ดีกว่าเด็กที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์บนโต๊ะอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว ซึ่งเป็นสาเหตุที่เมื่ออายุ 10 ปี เด็กอาจมีพฤติกรรมก้าวร้าวกว่า เกเร และไม่ค่อยเชื่อฟัง ดังนั้นวันนี้เรามาติดตามเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยให้มื้ออาหารของครอบครัวเป็นพื้นที่แสนสุข และดีต่อทั้งครอบครัวและตัวเด็กๆ กันค่ะ

        6 เคล็ด(ไม่ลับ) ช่วยสานสัมพันธ์ในครอบครับบนโต๊ะอาหาร

        1. กำหนดเวลารับประทานอาหารร่วมกัน

        คุณพ่อคุณแม่สามารถกำหนดเวลาอาหารในแต่ละมื้อให้ชัดเจน ให้เป็นเวลาเดียวกันในแต่ละวัน ให้เด็กได้รู้ว่า ช่วงเวลาเหล่านี้ คือช่วงเวลาของครอบครัว ที่ต้องให้ความสำคัญ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารโดยไม่มีใครยุ่งกับสมาร์ทโฟนหรือโทรทัศน์ จะทำให้ช่วงเวลานี้พิเศษยิ่งขึ้นไปได้อีกค่ะ

        สานสัมพันธ์ในครอบครัว
        สานสัมพันธ์ในครอบครัว

        2. ทานร่วมกันอย่างไม่เร่งรีบ

        เผื่อเวลาทานอาหารร่วมกันให้ได้ อย่างน้อย ประมาณ  20-30 นาที  เพื่อให้ลูก ๆ ได้มีเวลากินอาหารที่เพียงพอโดยไม่ต้องรีบร้อน ให้ลูกได้ลิ้มลองอาหารใหม่ ๆ และ พัฒนานิสัยการกินที่ดี นอกจากนี้ ยังช่วยให้คุณมีเวลาในการสนทนา และสนุกสนานไปกับครอบครัว แต่หากลูกยังเป็นเด็กวัยเตาะแตะหัดเดินที่อาจจะนั่งอยู่นิ่ง ๆ ได้ยาก  ควรให้เจ้าตัวเล็กได้ได้ขยับตัวหรือแว้บไปเล่นได้บ้างเป็นระยะๆ แต่ทางที่ดีควรให้ลูกกินเมื่อลูกนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเท่านั้น เพื่อเป็นการปลูกฝังระเบียบวินัยในการใช้ชีวิตไปในตัวค่ะ

        3. ให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม

        คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ เด็กๆ ช่วยเตรียมอาหารสำหรับครอบครัวได้ เช่น ช่วยล้างผัก ผลไม้ และจัดใส่จาน นอกจากนี้ยังให้ลูกช่วยจัดโต๊ะ และตกแต่งดอกไม้ใส่แจกันเพื่อเพิ่มบรรยากาศในมื้อาหาร ถ้าลูกอยู่ในวัยกำลังโตหรือเป็ยวัยรุ่น ควรปล่อยให้พวกเขาสนุกไปกับการได้ค้นหาสูตรอาหารใหม่ ๆ และได้ทำอาหารเล็กๆ น้อยบ้าง เช่น สัปดาห์ละครั้งหรือสองสัปดาห์ สิ่งนี้จะช่วยฝึกความรับผิดชอบในการเตรียมอาหาร และเปิดโอกาสให้บุตรหลานของคุณได้เรียนรู้ทักษะที่ต้องใช้ในการทำอาหารได้

        4. ใช้มื้ออาหารของครอบครัวเป็นโอกาสในการพูดคุย

        ทำให้ช่วงเวลานี้เป็นการพูดคุยสารพัดเรื่องราวในชีวิตประจำวันที่สนุกผ่อนคลาย  เป็นโอกาสดีที่คุณพ่อคุณแม่และลูก จะได้รับรู้สิ่งที่ทุกคนกำลังทำอยู่  ลูกๆ ได้ฝึกการเข้าสังคม  ชวนคุยเรื่องเพื่อนๆ ของลูก เรื่องที่โรงเรียน สลับกันเล่าเรื่อง ลูกก็จะรู้สึกดีกับการรับประทานอาหารร่วมกันกับครอบครัวได้ เช่น ลองถามลูก ถึง “สิ่งดีๆที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนวันนี้” เพื่อให้ลูกได้ฝึกการคิดเชื่อมโยงเหตุการณ์ และฝึกการบรรยาย หรือให้ทุกๆ คนผลัดกันเล่าถึงสิ่งที่ดีและไม่ดีในแต่ละวันของตัวเอง ทั้งนี้ หากลูกไม่ต้องการที่จะพูดคุยจริงๆ ก็ควรยอมรับในการตัดสินใจของลูก บางทีแค่ลูกได้อยู่ร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัว และรับฟังคนอื่นพูดคุยกันก็เพียงพอต่อการสานสัมพันธุ์อันดีในครอบครัวแล้ว

        5. ให้รางวัลกับพฤติกรรมที่ดี

        เมื่อลูก ๆ ของคุณมีพฤติกรรมในการทานอาหารที่ดี เช่น สามารถทานได้เอง ทานผัก ทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามให้รางวัลพวกเขาด้วยคำชมที่เป็นคำบรรยาย  อธิบายให้ลูกฟังว่าพวกเขาทำอะไรได้ดี จึงสมควรได้รับคำชม แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้อาหารเพื่อลงโทษหรือโน้มน้าวใจในทางที่ผิด เช่น ไม่ควรพูดว่า “ถ้าลูกกินบรอกโคลีให้หมดก็จะสามารถทานไอศกรีมและช็อกโกแลตได้” เพราะอาจทำให้ลูกของคุณเพ่งความสนใจไปที่ขนม มากกว่าอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และอาจรีบกินให้เสร็จๆ เพื่อที่จะได้กินขนม

        สานสัมพันธ์ในครอบครัว

        6. เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ให้กับเวลาอาหาร

        เมื่อคุณมีเวลาและโอกาส การเพิ่มเติมจินตนาการและ ไอเดียดีๆ ในการทานอาหาร ทจะช่วยส่งเสริมให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุขกับช่วงเวลานี้ได้  เช่นในวันหยุดสุดสัปดาห์คุณอาจ :

        • ทำแพนเค้กเป็นอาหารเช้า
        • ปิกนิกที่สวนสาธารณะในสนามหลังบ้าน หรือปูเสื่อทานอาหารร่วมกันแบบง่ายๆ บนพื้นห้องนั่งเล่น
        • เชิญแขกพิเศษมารับประทานอาหารค่ำ เช่นเพื่อนบ้านและลูกๆ ของพวกเขา ซึ่งเด็กๆ จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่
        • กำหนดธีมในการทานอาหาร เช่น ทำอาหาร หรือสั่งอาหารที่เป็นของประเทศต่างๆ ที่ลูกกำลังให้ความสนใจ หรือกำลังเรียนอยู่ในชั้นเรียน เช่นอาหารอินเดีย อาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี เป็นต้น

        จะเห็นได้ว่าการปลูกฝังให้ลูกๆ ให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัวจะช่วยให้ เด็ก ๆ ได้ฝึกทักษะในหลาย ๆ ได้ ทั้งการเข้าสังคม การสื่อสารพูดคุย การคิดวิเคราะห์ต่อสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง เหล่านี้ช่วยเสริมความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ให้กับลูกได้ ไม่ว่าจะเป็น ความฉลาดในการคิดเป็น (TQ), ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ),ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQเป็นต้น รู้แบบนี้แล้ว เย็นนี้ทำอะไรทานกับลูกๆ ดีค่ะ คิดกันไว้หรือยัง?

        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : raisingchildren.net.au,sciencedaily.com

          เปิดโพยแม่ต้องรู้! 3 สารอันตรายแบบนี้ต้องเป็น “ Zero %” ในสบู่เหลวเด็ก

          สบู่เหลวเด็ก มีให้เลือกเยอะมาก ดูเผินๆเหมือนกันไปหมด จะซื้อสบู่เหลวให้ลูกทีไรไม่รู้จะเลือกอย่างไรดี  เพราะผิวเด็กไม่เหมือนผู้ใหญ่ ฉะนั้นคุณแม่ต้องมั่นใจว่าสบู่ที่ใช้ปลอดภัยและอ่อนโยนจริง

          อย่างที่ทราบกันดีว่า สบู่เหลวเด็ก เป็นผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นมาเพื่อดูแลผิวของลูกน้อย โดยเฉพาะผิวลูกน้อยแรกเกิดที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ถึงภายนอกจะดูนุ่มนิ่มน่ากอดแค่ไหนแต่กลับระคายเคืองและแพ้ง่ายกว่าที่คิด แม้บนฉลากสินค้าจะระบุว่าเป็นสบู่เหลวสำหรับเด็ก แต่ก็ไม่ควรแน่ใจว่าจะปลอดภัยเสมอไป เพราะอาจมีสารอันตรายแฝงอยู่

          สบู่เหลวเด็ก

          ด้วยคุณสมบัติหลักของสบู่เหลวที่ต้องสามารถชำระล้างสิ่งสกปรก คราบไคลบนผิวหนังและศีรษะ จึงทำให้สูญเสียไขมันเคลือบชั้นผิวตามธรรมชาติบางส่วนออกไป บวกกับผู้ผลิตอาจใส่ส่วนผสมบางตัวที่เป็นอันตราย เป็นต้นเหตุของอาการระคายเคืองผิวและความผิดปกติของร่างกายอย่างคาดไม่ถึงที่ไม่ควรมีอยู่ในสบู่เหลวเด็กซึ่งคุณแม่ต้องระวังให้ดี

           เลี่ยงได้ต้องเลี่ยง 3 สารอันตรายไม่ควรมีใน สบู่เหลวเด็ก

          1. พาราเบน (Paraben)

          น่าจะเป็นชื่อที่คุณแม่ได้ยินอยู่บ่อยๆ เพราะสารชนิดนี้มีความอันตรายสูงและห้ามใช้เด็ดขาดในผลิตภัณฑ์เด็ก พาราเบนเป็นสารกันเสียราคาถูกที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล และเครื่องสำอาง สามารถยับยั้งการเกิดแบคทีเรียและเชื้อราต่างๆ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้นคุณสมบัติเดียวกับสารกันบูดที่ใส่ในอาหาร แต่คุณสมบัติสุดพิเศษขนาดนี้ย่อมแฝงด้วยภัยอันร้ายกาจ

          มีงานวิจัยระบุว่าเมื่อร่างกายสะสมพาราเบนในปริมาณมากจะมีผลต่อฮอร์โมนเพศหญิงและชายในระยะยาว เมื่อลูกน้อยโตเป็นผู้ใหญ่อาจต้องเผชิญกับภาวะมีบุตรยาก แท้งหรือคลอดก่อนกำหนด ปัจจุบันประเทศไทยยังอนุญาตให้ใช้พาราเบนเป็นส่วนผสมประกอบในผลิตภัณฑ์ได้ ฉะนั้นคุณแม่ต้องเช็กให้ชัวร์ก่อนค่ะว่า สบู่เหลวเด็กที่เลือกใช้ต้องไม่มีพาราเบน

          2. เอสแอลเอส (Sodium Lauryl Sulfate : SLS)

          สารทำความสะอาดที่นิยมใช้ในสบู่เหลว และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั้งหลาย ทำหน้าที่ลดแรงตึงผิวของน้ำช่วยให้สิ่งสกปรก และคราบไขมันต่างๆหลุดออกจากผิวได้ง่ายขึ้น แถมยังเป็นตัวสร้างฟองสีขาวนุ่ม ที่ให้ความรู้สึกถึงความสะอาด หลายคนคิดว่ายิ่งสบู่มีฟองมาก ยิ่งสะอาดมาก แต่ความจริงแล้วกลับมีอันตรายซ่อนอยู่ไม่น้อย เพราะสารตัวนี้มักทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังและดวงตาหากล้างไม่สะอาด หรือสัมผัสกับผิวบอบบางของทารกและเด็กเล็ก คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงให้ไกลเลยค่ะ

          3. เอ็มไอที (Methylisothiazolinone : MIT)

          สารกันเสียอีกชนิดที่นิยมใช้กันมากในสบู่เหลว มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ยีสต์ และแบคทีเรียต่างๆ ทำให้ผลิตภัณฑ์คงสภาพได้นาน ไม่เสียง่าย คุณแม่รู้ไหมว่าสารชนิดนี้ยังใช้ในผลิตภัณฑ์สีทาบ้านด้วย

          แม้จะไม่มีกฎหมายห้ามหรือผู้ผลิตอาจใช้สารเอ็มไอทีในสบู่เหลวสำหรับเด็กในปริมาณเพียงน้อยนิด แต่กลับพบว่ามีจำนวนผู้ได้รับผลข้างเคียงจากสารเคมีดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วนใหญ่มักมีอาการผิดปกติทางผิวหนัง เช่น ผิวหนังอักเสบ พุพองหรือเป็นผื่นแดง

          ไม่น่าเชื่อใช่ไหมคะว่า สารทั้ง 3 ชนิดนี้จะมีอยู่ในสบู่เหลวสำหรับเด็กหากคุณแม่นำไปใช้สระหรืออาบน้ำให้ลูกน้อยอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองขึ้นกับผิวหนังหรือหนังศีรษะของลูกน้อยได้ ดังนั้นคุณแม่ควรมองหาสบู่เหลวที่ปราศจากสารเหล่านี้จึงจะปลอดภัยที่สุด

          สบู่เหลวเด็ก

          เพิ่มความมั่นใจว่าปลอดภัยด้วย สบู่เหลวเด็ก สูตร Zero%

          ถ้าอยากเลือก สบู่เหลวเด็ก คุณภาพดี มั่นใจได้ว่าปลอดจาก 3 สารอันตรายทั้ง พาราเบน SLS และ MIT คุณแม่คงต้องอ่านฉลากผลิตภัณฑ์ให้ละเอียดว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง ใช้สารเคมีอันตรายหรือไม่ แต่จะให้อ่านทุกขวด ส่องทุกยี่ห้อคงไม่ไหว

          ขอแนะนำตัวเลือกที่ง่ายกว่านั้นมาก ด้วยการเลือกใช้สบู่เหลวสูตรอ่อนโยน อย่างสบู่เหลวเด็ก Pureen  Head to Toe Wash สูตร Zero% ออกแบบพิเศษมาเพื่อดูแลผิวบอบบาง ปราศจากสารอันตรายและสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองทั้ง 3 ชนิด คุณแม่สังเกตเห็นเครื่องหมาย Zero % ง่าย ๆ บนฉลาก พร้อมข้อความระบุว่า Mild & Gentle for baby” ให้รู้ทันทีว่าสามารถใช้ได้กับลูกน้อยแรกเกิด ไม่ต้องเสียเวลาอ่านส่วนผสมตัวจิ๋วให้วุ่นวาย

          สบู่เหลวเด็กเพียวรีน ยังอ่อนโยนพิเศษ ใช้อาบน้ำและสระผมได้ขวดเดียว ไม่ต้องซื้อแยกสบู่เหลว กับแชมพู ช่วยคุณแม่ประหยัดเงินในกระเป๋าได้ไม่น้อย  เนื้อสบู่เป็นเจลใสสีเหลืองอ่อนๆ ผสมกับน้ำนิดหน่อยก็พร้อมทำความสะอาดลูกน้อยได้ทั่วตัว ไม่มีฟองมากจึงล้างออกง่าย ไม่ต้องกลัวมีสารตกค้าง แถมยังเป็นสูตร Tear free ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ลูกแสบตาเหมาะกับคุณแม่หลังคลอดที่เพิ่งหัดอาบน้ำให้ลูก ทำได้เสร็จไว ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ

          นอกจากช่วยทำความสะอาดผิวแล้ว Pureen  Head to Toe Wash สูตรนี้ยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น ป้องกันผิวแห้งหลังอาบน้ำ มีวิตามินอี และโปรวิตามินบี 5 ทำให้ผิวของลูกน้อยเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ ช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกสดชื่น หอม สบายตัวตลอดวัน

          พร้อมกับเครื่องหมาย Dermatologically Tested แสดงว่าผ่านการทดสอบทางการแพทย์ผิวหนังว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง และการันตีคุณภาพด้วย รางวัล Editor’s Choice Best Baby Wash จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2020” ที่มอบให้กับสบู่เหลวเด็กคุณภาพดีจริง ใช้ได้จริงจากเว็บไซต์ amarinbabyandkids.com

          เพราะผิวบอบบางของลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ต้องดูแล การใช้เลือก สบู่เหลวสำหรับเด็ก ที่มั่นใจได้ว่าอ่อนโยน และปลอดภัยจริงช่วยดูแลให้ลูกน้อยมีสุขภาพผิวดี ห่างไกลจากอาการระคายเคืองต่างๆ ส่งผลต่อพัฒนาการให้พร้อมเติบโตอย่างสมวัย

          หาซื้อสบู่เหลวเด็กเพียวรีนได้ที่ห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป หริือติดตามโปรโมชั่นดีๆของผลิตภัณฑ์แบรนด์เพียวรีนได้ที่ www.facebook.com/pureenthai

           

           

           

            ช่วยลูกค้นพบตัวเอง

            เทคนิค ช่วยลูกค้นพบตัวเอง รู้จักตัวเองไว โตไปชีวิตรุ่ง

            ช่วยลูกค้นพบตัวเอง – คำถามที่ผู้ใหญ่มักจะถามเด็ก ๆ คือ “คุณอยากจะเป็นอะไรเมื่อโตขึ้น” ซึ่งคำตอบของเด็กแต่ละวัย อาจแตกต่างกันออกไปได้ ตั้งแต่อยากเป็น โดเรม่อน ยูนิคอร์น หรือ เบนเทน ไปจนถึง นักบินอวกาศ หมอ ครู หรือ ทนายความ เป็นต้น ในวัยเด็กเราต่างใฝ่ฝันที่จะเติบโตไปได้ทำหรือได้เป็นในสิ่งที่เราชอบและถนัด แต่ไม่ใช่เราทุกคนที่โชคดีพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ในฐานะผู้ปกครองเราจะแนะนำบุตรหลานของเราให้มีอาชีพที่เหมาะสมกับพวกเขาได้อย่างไร? วันนี้เรามีเทคนิคในการช่วยลูกค้นหาตัวเอง เพื่อโอกาสในการได้ประกอบอาชีพที่ใฝ่ฝันมาฝากค่ะ

            ยิ่งรู้จักตัวเองเร็ว ยิ่งได้เปรียบ!

            การรู้จักและเข้าใจตัวเอง ทำให้คนเรามีความสุขเพิ่มขึ้น เพราะสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ว่าตัวเองเป็นใคร ต้องการอะไร เกิดมาเพื่ออะไร ซึ่งทำให้คนเหล่านี้ มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ และต่อไปนี้คือประโยชน์จากการค้นพบตัวเองได้เร็วค่ะ

            ข้อดีและประโยชน์ ของการ “รู้จักตัวเอง” 

            1. มีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตที่ชัดเจน

            เมื่อรู้ว่าตัวเองชอบอะไร มีความถนัดในด้านใด จะตอบโจทย์ชีวิตในข้อที่สำคัญต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น ควรเรียนอะไร ควรประกอบอาชีพอะไร ช่วยให้มีทิศทางที่ชัดเจนในการดำเนินชีวิต ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น มีความมั่นใจ ภาคภูมิใจและมั่นคงในอารมณ์และการใช้ชีวิต

            2. พัฒนาทักษะต่างๆ ด้วยวิธีเฉพาะตัวได้

            เช่น ลูกเราชอบอ่านหนังสือ ก็จะสามารถเลือกใช้วิธีอ่านในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว แต่ถ้าลูกเป็นคนชอบฟังมากกว่า ก็สามารถออกไปพบเจอคนเก่งๆ รับฟังคำแนะนำที่ดีจากผู้อื่น และนำมาปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองได้อย่างเต็มที่ ด้วยความภาคภูมิใจ

             

            ช่วยลูกค้นพบตัวเอง
            ช่วยลูกค้นพบตัวเอง

            3. จุดอ่อนที่มีจะไม่เป็นอุปสรรค

            เมื่อลูกพบความถนัดของตัวเอง ทำให้มองเห็นและเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง ในรายละเอียดต่างๆ ของชีวิต เมื่อมีปัญหาจึงสามารถแก้ไขได้อย่างตรงจุด และสามารถพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เช่น ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนขี้โมโห ใจร้อย เมื่อมีคนหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ต้องหงุดหงิด จะสามารถเอาตัวเองออกมา เพื่อสงบสติอารมณ์ได้ เมื่อสามารถทำได้ดังนี้ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ และมีความสุขได้ไม่ยาก

            4. มีทักษะการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ 

            สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ และเข้าใจต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างถ่องแท้ นำมาซึ่งการแก้ไขที่เหมาะสมกับตัวเอง จนปัญหาสามารถลุล่วงไปได้ด้วยดี ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากการกล้าคิด และกล้าตัดสินใจ

            5. เข้าใจผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น

            การเชื่อมโยงความรู้สึกของตัวเองให้เข้ากับคนอื่นรอบตัว จะเป็นทักษะที่เกิดขึ้นกับคนที่รู้จักตัวเองดี ซึ่งการเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งกับคนรอบข้างได้ นอกจากนี้ ผู้คนจะให้ความไว้วางใจ และอยากคบค้าสมาคมด้วย

            6. ค้นพบความสุขที่แท้จริงในสิ่งที่เลือกทำ

            เมื่อค้นพบและรู้จักตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะสมหวังถูกใจไปหมด เพราะการได้ทำในสิ่งที่รักมักทำให้มีความสุข เกิดเป็นความพอใจในอาชีพของตัวเอง มีพลังที่จะทำงานอย่างเต็มที่ นำมาซึ่งก้าวหน้า และมีความสุขอย่างแท้จริง

            9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

            5 เทคนิค สอนลูกให้เรียนรู้ จากความล้มเหลว เพื่อลุกขึ้นสู้!

            6 อันตรายนอกบ้าน ที่ควรสอนลูกให้ระวัง!

            เทคนิค ช่วยลูกค้นพบตัวเอง รู้จักตัวเองไว โตไปชีวิตรุ่ง

            เมื่อพูดถึงลูกๆ ของเราเอง เรามักจะแสวงหาความสามารถตามธรรมชาติ หรือพรสวรรค์ของพวกเขา และสนับสนุนให้พวกเขายอมรับ และรักษาทักษะเหล่านั้นไว้ ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการหรือไม่ก็ตาม สิ่งนี้อาจส่งผลให้ลูกท้อใจก่อนที่พวกเขาจะได้พบกับความหลงใหล และตัวตนที่แท้จริงของลูกได้

            หากคุณกำลังพยายามเรียนรู้วิธีค้นพบพรสวรรค์ของลูก ให้โฟกัสไปที่การอนุญาตให้เด็กค้นพบความสนใจ และค้นหากิจกรรมที่ทำให้พวกเขาตื่นเต้นด้วยตัวเอง เมื่อพวกเขาค้นพบ เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ถึงความมุ่งมั่น และความเพียรพยายามที่จะเป็นในสิ่งที่พวกเขาต้องการจะเป็น ซึ่งวิธีช่วยให้ลูกค้นพบตัวเองได้เร็ว มีดังนี้

            1.สังเกตและพูดคุยกับลูกตั้งแต่ยังเล็ก

            ถามเด็ก ๆ เกี่ยวกับความสนใจของพวกเขา สังเกตว่าหลังเลิกเรียนมีกิจกรรมใดหรือที่พวกเขาดูเหมือนจะชื่นชอบและทำโดยไม่ต้องฝืน โดยปกติแล้วเด็ก ๆ จะชอบทำกิจกรรมบางอย่างเมื่อพบว่าพวกเขามีความชำนาญในกิจกรรมนั้นโดยธรรมชาติ หรือเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ ให้สอบถามลูกเกี่ยวกับการเลือกทำกิจกรรมหรือสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาชอบ กระตุ้นให้พวกเขาลองทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อวัดสิ่งที่จุดประกายความสนใจ

            นอกจากนี้ สำหรับเด็กโต คุณสามารถให้ลูกทำแบบทดสอบความถนัด (aptitude test) เพื่อให้ค้นพบจุดแข็งของตัวเอง แม้ผลที่ได้อาจยังไม่สามารถชี้ชัดถึงอาชีพในอนาคตได้ แต่อย่างน้อย จะช่วยให้เราพบจุดแข็งของพวกเขา และนำไปสู่การเริ่มต้นที่ดี หากจุดแข็งของลูกดูไม่สอดคล้องกับอาชีพที่น่าสนใจต่างๆ ที่คุณคิดไว้ ก็ไม่เป็นไร ลองพูดคุยกับลูกเกี่ยวกับจุดแข็งด้านอื่นๆ ของลูก กับอาชีพที่ชอบในอนาคตได้

            2.ให้ลูกได้เปิดรับแนวทางอาชีพที่หลากหลาย

            การสนทนาเรื่องอาชีพ อาจเริ่มขึ้นเมื่อถึงวัยหนึ่ง ที่เด็กๆ เกิดความสงสัยใคร่รู้ ว่าแม่กับพ่อของพวกเขาทำงานอะไร เมื่อลูกโตขึ้นเราควรอธิบายให้ชัดเจนในสิ่งที่เราทำ มากกว่าเพียงแค่บอกว่า “พ่อแม่ไปทำงาน” เด็กเล็กๆ มักจะรักและเคารพพ่อแม่ สมมุติว่าทั้งพ่อและแม่ประกอบอาชีพทนายความ โอกาสที่ลูกจะถูกเลี้ยงดูมาท่ามกลางการสนทนาเกี่ยวกับกฎหมายก็เป็นไปได้สูง  ทางที่ดี เรื่องที่ทำงานก็ให้เอาไว้ที่ทำงาน ไม่ควรเอากลับมาใส่หัวลูก  นอกจากนี้ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้พูดคุยเกี่ยวกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว หรือสังคมของคุณ ที่แต่ละคนประกอบอาชีพที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะช่วยงให้ลูกได้เห็น และสัมผัสกับตัวเลือกของสาขาอาชีพที่หลากหลายในปัจจุบัน

            ช่วยลูกค้นพบตัวเอง

            3.ระวังเรื่องอคติส่วนตัว

            ในขณะที่พูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับทางเลือกในอาชีพให้ระวังเรื่องอคติส่วนตัวของคุณ จำไว้ว่าโลกเปลี่ยนไปมากจากอดีต และยังคงไม่หยุดนิ่ง ทุกวันนี้มีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบันที่คุณอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่เหมือนในอดีตเช่น 20 ปีที่แล้ว ซึ่งอาชีพมีอยู่ไม่กี่สาขาเท่านั้น  ดังนั้นให้เปิดใจให้กว้าง หากบุตรหลานของคุณแสดงความสนใจในอาชีพต่างๆ ที่เราอาจไม่คุ้นหูคุณ เช่น เกมเมอร์ หรือ ยูทูปเบอร์  เป็นต้น อย่าแสดงทัศนคติที่ไม่ดี หรือขัดขวางในสิ่งที่ลูกชอบโดยทันที หรือต่อต้านความต้องการและกีดกันอาชีพที่ลูกให้ความสนใจ ด้วยเหตุผลเพียงเพราะคุณไม่เข้าใจและยอมรับกับอาชีพนั้นๆ ได้ ควรคุยกับลูกให้เข้าใจในอาชีพใหม่ๆ ที่คุณเพิ่งรู้จักให้มากขึ้น

            4.ถามคำถามที่ถูกต้อง

            เมื่อพูดคุยเกี่ยวกับทางเลือกในการประกอบอาชีพกับบุตรหลานของคุณให้ถามคำถามโดยละเอียดเกี่ยวกับสาเหตุที่พวกเขาต้องการประกอบอาชีพเฉพาะ เด็กที่อยากเป็นนักบินอวกาศอาจชอบความคิดที่จะขึ้นไปในอวกาศในขณะที่เด็กอีกคนที่มีความทะเยอทะยานคล้ายกัน แต่อาจต้องการสร้างจรวดของตัวเองเพื่อขึ้นสู่อวกาศ เด็กแต่ละคนมองบทบาทของนักบินอวกาศแตกต่างกัน โดยหลักการในการถามคำถามที่ถูกต้อง คือให้ทำความเข้าใจการเลือกอาชีพที่เหมาะกับลูกของเรา ลูกๆ อาจประหลาดใจที่ได้รู้ว่าแง่มุมเดียวกันสามารถพบได้ในสาขาอาชีพต่างๆ ที่หลากหลายได้

            5.ให้ลูกได้ทดลองทำ

            เปิดโอกาสให้บุตรหลานของคุณได้รับความเข้าใจที่ดีขึ้นว่าอาชีพที่เขาเลือกนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร เช่น สนับสนุนให้ลูกวัยรุ่น ฝึกงานที่ร้านอาหาร เมื่อลูกเคยบอกไว้ว่า อยากเป็นพ่อครัวเชฟมือหนึ่งในร้านอาหาร สิ่งนี้จะทำให้ลูกได้ประสบการณ์และสัมผัสบรรยากาศของอาชีพในฝันของเขา เพื่อเป็นการตอกย้ำความถนัดหรือความชอบของลูกเมื่อได้ทดลองจริง ว่าสิ่งนี้ใช่สิ่งที่เค้าคิดว่าเป็นตัวของเขาเองที่สุดจริงหรือไม่

            6.เป็นที่ปรึกษาให้ลูก

            หากลูกมีความสนใจจดจ่อในเส้นทางอาชีพ การมีแบบอย่างที่ดี และการให้กำลังใจ จะช่วยชี้นำทางสู่อาชีพในอนาคตของลูกได้ การได้ฝึกฝนและเพิ่มพูนทักษะที่จำเป็นสำหรับอาชีพนั้นๆ  คือหัวใจสำคัญ หน้าที่ของพ่อแม่คือแนะนำเทคนิคต่างๆ ให้พวกเขา และปล่อยให้พวกเขาผลิตและสร้างสรรค์ผลงานในเวลาว่าง สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะและตระหนักว่าพวกเขาสนุกกับมันจริงหรือไม่

            นอกจากการสอนทักษะชีวิตที่เกี่ยวข้องกับอาชีพต่างๆ การบริหารเวลา ทักษะการสนทนา และทักษะในการนำเสนอ ก็มีความสำคัญเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ศิลปิน ช่างภาพ หรือนายธนาคาร ความสำเร็จในอาชีพที่เลือกนั้นส่วนใหญ่ต้องผสมผสานระหว่างการทำงานหนัก ทัศนคติที่ดีต่องาน ควบคู่ไปกับความสามารถตามธรรมชาติหรือพรสวรรค์ที่มีอยู่บางส่วน

            เด็กบางคนรู้โดยสัญชาตญาณ ว่าพวกเขาต้องการจะทำอะไรและสามารถทำตามความฝันนั้นได้  บทบาทของเราในฐานะพ่อแม่คือการสนับสนุนและชี้แนะลูกให้ผ่านกระบวนการนี้ไปได้อย่างราบรื่น ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นทางเลือกของพวกเขา เพราะสุดท้ายลูกก็จะเป็นผู้กำหนดเส้นทางในอนาคตด้วยตัวเอง

            การที่พ่อแม่คอยเป็นผู้ชี้แนะเส้นทางที่เหมาะสมให้ลูก คอยให้กำลังใจสนับสนุนในสิ่งที่ลูกเลือกที่จะทำและต้องการที่จะเป็นตั้งแต่ยังเล็ก จะช่วยเสริมสร้างให้ลูกมีความฉลาดในการคิดเป็น (TQ)  คิดในแง่ที่ก่อให้เกิดคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และงานต่าง ๆ สามารถคิดไตร่ตรองสิ่งถูกผิด และคิดเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ได้อย่างเหมาะสมค่ะ

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : indianexpress.com

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            ความสามารถพิเศษ กับอาชีพในอนาคตของลูกน้อย

            ไม่อยากให้ลูกเป็นคน หมด passion ง่ายพ่อแม่ต้องทำสิ่งนี้

            วางแผนการศึกษาให้ลูก ลงทุนด้านการเรียนรู้ เน้นวัยไหนดีที่สุด

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              เด็กเป็นมะเร็ง

              ชัวร์หรือมั่ว? ลูกเป็นมะเร็ง เด็กเป็นมะเร็ง เพราะพ่อแม่ให้กินแบบนี้

              เด็กเป็นมะเร็ง – ขึ้นชื่อว่าอาหารการกิน ย่อมมีทั้งประโยชน์และโทษหากเราทานในปริมาณที่ไม่เหมาะสม มีอาหารหลายชนิดที่เป็นโทษต่อร่างกายแต่หลายคนก็ยังนิยมทานอยู่เป็นประจำ อาหารสำหรับเด็กๆ ก็เช่นกัน คุณพ่อแม่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ควรปล่อยให้ลูกเสี่ยงป่วยการเกิดโรคภัยต่างๆ ที่เกิดจากพฤติกรรมการกิน  แต่การทานแบบไหน ยังไงล่ะ ที่เสี่ยงจะทำให้เด็กๆ เป็นโรคได้ และมีกรณีล่าสุดที่ เด็กน้อยในประเทศจีนป่วยด้วยโรคมะเร็ง! เด็กเป็นได้อย่างไร เป็นเพราะอาหารการกินหรือเปล่า?

              ชัวร์หรือมั่ว? ลูกเป็นมะเร็ง เด็กเป็นมะเร็ง เพราะพ่อแม่ให้กินแบบนี้

              สืบเนื่องจากมีการแชร์ในโลกโซเชียลในวงกว้าง ถึง ประเด็น อาหาร 9 ชนิด ที่เด็กไม่ควรกิน เพราะอาจทำให้ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้ ต้นเรื่อง เกิดจาก เด็กวัย 5 ขวบในประเทศจีน ที่ถูกตรวจพบว่าป่วยเป็นมะเร็ง แต่จากประวัติของครอบครัวไม่เคยพบว่ามีญาติหรือพ่อแม่พี่น้องที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งมาก่อน จึงเกิดคำถามมากมายว่าเด็กหญิงรายนี้ป่วยเป็นมะเร็งได้อย่างไร แพทย์จึงลงความเห็นว่า ที่เด็กป่วยเป็นมะเร็ง อาจจะสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร และนี่คือ อาหาร 9 ชนิด ที่แพทย์ในประเทศจีนออกมาเตือนว่าเด็กไม่ควรทาน

              เด็กเป็นมะเร็ง
              เด็กเป็นมะเร็ง
              • บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 
              • แฮม ไส้กรอก
              • คุกกี้
              • ไอศกรีม
              • มันฝรั่งทอดแผ่น
              • ผลไม้อบแห้ง
              • หมากฝรั่ง
              • ขนมเยลลี่และวุ้นสำเร็จรูป
              • ชานม 

              จากกรณีดังกล่าวได้มีการสอบถามข้อเท็จจริง ของโอกาสเกิดโรคมะเร็งในเด็กจากอาหาร จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และนักโภชนาการของไทย ซึ่งในประเทศไทย พบว่า ในเด็กจำนวน 1 ล้านคน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง ประมาณ 40 คนต่อปี โดยมะเร็งในเด็กที่พบไดบ่อยที่สุด ได้แก่ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่น่าสนใจคือ มะเร็งในเด็กส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจาก อาหาร แต่เกิดจาก สารพิษ หรือพันธุกรรม และจากการตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการ สามารถจัดกลุ่มอาหาร ทั้ง 9 ชนิด ข้างต้น ออกเป็น  2 กลุ่ม ได้แก่

              เด็กเป็นมะเร็ง

              1. กลุ่มอาหารทั่วไป ได้แก่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไอศครีม มันฝรั่งแผ่นทอด คุกกี้ หมากฝรั่ง ผลไม้อบแห้ง ขนมเยลลี่และวุ้นสำเร็จรูป และ ชานม ความจริงแล้ว ไม่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง สามารถรับประทานได้ปกติ หากผ่านการผลิตที่ได้มาตรฐาน ถูกสุขลักษณะ อย่างไรก็ดีควรจำกัดปริมาณการรับประทาน เนื่องจากอาหารกลุ่มนี้ มีส่วนผสมของไขมัน น้ำตาล หรือโซเดียม ในปริมาณสูง ซึ่งอาจทำให้เด็ก มีความเสี่ยง เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ได้

              2. กลุ่มอาหารที่อาจทำให้เกิดมะเร็งในมนุษย์  หากรับประทานต่อเนื่อง ซ้ำๆ ปริมาณมาก เป็นเวลานาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ที่ผ่านการคลุกเกลือ หมัก บ่ม รมควัน เช่น แฮม ไส้กรอก ซึ่งในกระบวนการผลิต อาจมีการเติมสารเคมีบางชนิด เช่น สารกลุ่ม Nitrosamine เมื่อทำปฏิกริยากับโปรตีนในเนื้อสัตว์ อาจทำให้เกิดสารในกลุ่ม N-nitroso compounds (NOCs) และ polycyclic aromatic hydrocarbons (PAHs) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้

              นอกจากนี้การปรุงอาหารโดยใช้ความร้อนสูงเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ เช่น PAHs และ heterocyclic amines (HCAs) จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และสารอะคริลาไมด์ จากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง ขนมปัง มันฝรั่ง อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อห้ามในการบริโภคอาหารเหล่านี้ เพียงแต่ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงมีวิธีการปรุงอาหารอย่างปลอดภัย และถูกต้อง ทางที่ดี ควรรับประทานอาหารที่หลากหลายเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน

              เด็กเป็นมะเร็ง

              ทางที่ดี ควรเลือกบริโภคอาหารที่ถูกสุขลักษณะหรือได้รับการรับรองมาตรฐานเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย นอกจากนี้วิธีการปรุงอาหารก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็ง ควรปรุงอาหารด้วยวิธี ต้ม นึ่ง แทนการอบ หรือทอด ที่ต้องใช้อุณหภูมิหรือความร้อนสูง

              บทสรุป : เนื้อสัตว์แปรรูป และ สารอะคริลาไมด์ ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นในอาหารจำพวกแป้งที่ผ่านกระบวนการให้ความร้อนสูง มีความเป็นไปได้มากที่สุดต่อการเกิดโรคมะเร็งในมนุษย์อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลทางวิชาการที่ชี้ชัด หรือเชื่อมโยงได้ ว่าการรับประทาน อาหาร ต่างๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มันฝรั่งแผ่นทอด ไอศครีม คุกกี้  ผลไม้อบแห้ง หมากฝรั่ง ขนมเยลลี่และวุ้นสำเร็จรูป ชานม จะทำให้เกิดมะเร็งได้

              สำหรับการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ทานให้ครบ 5 หมู่ เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อเสริมสร้างให้ลูกเติบโตขึ้นไปพร้อม ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) สามารถเลือกรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์และคุณค่าต่อร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บป่วยง่าย และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขค่ะ

              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : antifakenewscenter.com,youtube.com

              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

              แม่แชร์อุทาหรณ์! อันตรายจากควันบุหรี่ และกลิ่นที่ติดเสื้อ ทำลูก 2 ขวบเข้า ICU

              5 ผลเสียหากให้ลูกต่ำกว่า 2 ขวบกินอาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน !!

              โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก มะเร็งที่พบบ่อยในเด็ก สัญญาณอันตรายโรคร้าย

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล-ประถม 2021

                อัพเดทล่าสุด! ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล-ประถม 2021 ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล

                ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล-ประถม 2021 ราคาเท่าไรบ้างเป็นอีกหนึ่งคำถามยอดฮิต ที่คุณพ่อคุณแม่กำลังเตรียมหาโรงเรียนให้ลูกอยากรู้  Amarin Baby & Kids จัดมาให้แล้ว ค่าเทอมรร.อนุบาล และประถมชื่อดังในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อัพเดทก่อนใคร ที่นี่เลย

                เช็กเลย ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล-ประถม 2021 ชื่อดังทั้งในกรุงเทพและปริมณฑล

                พ่อแม่หลายบ้านเป็นกังวลกับ การเลือกโรงเรียนแรก หรือเข้าเรียนป.1 ให้ลูกน้อย นอกจากหลักสูตรการสอน ความปลอดภัยและสถานที่แล้ว ค่าเทอมโรงเรียนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินใจเลือกว่าจะให้ลูกเรียนที่ไหนดี เพราะเกี่ยวข้องกับการวางแผนการเงินและการเรียนของลูกในระยะยาว

                ช่วงนี้เข้าสู่เทศกาลพาลูกไปสมัครเรียนกันแล้ว มาเช็กก่อนว่าโรงเรียนอนุบาล-ประถมชื่อดัง ที่เล็งเอาไว้มีค่าเทอมเท่าไร เพิ่มขึ้นจากเดิมหรือไม่ และมีเงื่อนไขอะไรที่ต้องรู้บ้าง  ตามมาดูกันเลยค่ะ

                คัดมาแล้ว ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล-ประถม 2021 โดยเฉพาะ                               

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลเปล่งประสิทธิ์

                ค่าเทอม  44,000 บาท

                ค่าแรกเข้า  20,000 บาท

                ค่าปรับพื้นฐาน  12,000 บาท

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: 02-267-4264  www.ppskgschool.ac.th

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลบ้านวาดฝัน

                ค่าเทอม  44000 บาท (เทอมต้น)    38000  บาท(เทอมปลาย)

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: 0-2942-2618  www.facebook.com/baanwadfunkindergarten

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลบ้านบาตร

                ค่าเทอม                             50,000 บาทต่อปี

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:  02-223-1418  www.banbatr.ac.th

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลสุดารักษ์

                ค่าเทอมภาคปกติ                30,000  บาท

                ค่าเทอมภาค IEP                36,000  บาท

                ค่าเรียนปรับพื้นฐาน             3,500     บาท

                ค่าแรกเข้า                            6,000    บาท

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: 0-2561-1492  sudaruk.ac.th

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลโรจน์จิราภา

                ค่าเทอม                  47,000 บาท (จ่ายราคาเดียว อ.1-อ.3)

                ค่าแรกเข้า              8,900  บาท

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: 0-2878-8071  www.facebook.com/rojjirapa48

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลมณีรัตน์

                ค่าเทอม                  45,0000 บาท

                ค่าแรกเข้า                9,500  บาท

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: 0-2678-4612  www.maneerut.com

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลแสงโสม

                ค่าเทอมภาคปกติ                  43,9000   บาท

                ค่าเทอม IEP                           69,000    บาท

                ค่าแรกเข้า                              5,000    บาท

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: 0-2954-4722  www.sangsomschool.com

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลยุวมิตร

                ค่าเทอม                       12,000 บาทต่อปี

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:  02-421-4331  www.yuwamit.com

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลชนานันท์

                ค่าเทอม                   55,000  บาท

                ค่าแรกเข้า                10,000 บาท

                ค่าเรียนปรับพื้นฐาน  12,000  บาท

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:  0-2561-0837  www.facebook.com/Jananan87

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลโชคชัย (ลาดพร้าว)

                ค่าเทอม                  70200    บาท (แบ่งจ่าย 3 ครั้ง)

                ค่าแรกเข้า              7,200      บาท

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: 0-2907-8363   chokchai.ac.th

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลโรงเรียนวนิษา สุขุมวิท

                ค่าเทอม                      280,000 บาทต่อปี

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม: 02-262-0181  www.vanessa.ac.th

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลสร้างสรรค์

                ค่าเทอม                      30,000 บาทต่อเทอม

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:  02-448-3612    www.facebook.com/sangsankindergarten

                 

                ค่าเทอม โรงเรียนอนุบาลวัฒนาสาธิต

                ค่าเทอม             49,990 บาทต่อปี

                สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:  02-746-4991 www.wattanasatitschool.com

                อ่านต่อ ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล-ประถม 2021 โรงเรียนดัง โรงเรียนทางเลือก หน้า 2

                  วัคซีนโรต้า จำเป็นไหม

                  วัคซีนโรต้า จำเป็นไหม?รวมข้อมูลควรรู้ให้แม่ก่อนตัดสินใจ

                  ตอบทุกข้อสงสัยกับ วัคซีนโรต้า เพื่อลูกน้อย จำเป็นไหม ใครควรฉีด ผลข้างเคียงเป็นอย่างไร รวบรวมไว้พร้อมเป็นข้อมูลเพื่อการตัดสินใจว่าจะรับดีหรือไม่กันนะ

                  วัคซีนโรต้า จำเป็นไหม?  รวมข้อมูลควรรู้ให้แม่..ก่อนตัดสินใจ!!

                  เรื่องของลูกไม่ว่าเรื่องไหนก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพ่อแม่ทุกคน โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพด้วยแล้ว ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากเห็นลูกต้องทนทรมานกับอาการเจ็บป่วยแม้แต่นิดเดียว การให้วัคซีนจึงเป็นทางเลือกที่มักจะเลือกใช้เป็นตัวช่วยให้ลูกน้อยห่างไกลจากอาการเจ็บป่วย แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า วัคซีนทุกชนิดไม่สามารถให้ผลได้ 100% แถมมีผลข้างเคียงมากบ้างน้อยมากตามมาอีกต่างหาก ดังนั้นการจะตัดสินใจให้ลูกน้อยได้รับวัคซีนตัวใดบ้าง หากพ่อแม่ได้ลองหาข้อมูลเพื่อช่วยประกอบการตัดสินใจก็คงจะดีกว่า เพราะเราจะได้เลือกจากข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ของลุกได้มากที่สุด ซึ่งในปัจจุบันข้อมูลต่าง ๆ ก็มีให้เราได้เลือกรับมากมาย และไม่ยากเย็นเท่าใดนัก

                  วัคซีนโรต้า ป้องกันโรคอุจจาระร่วงในเด็ก
                  วัคซีนโรต้า ป้องกันโรคอุจจาระร่วงในเด็ก

                  ไวรัสโรต้า คืออะไร ?

                  หลาย ๆ คนหากพูดถึงไวรัสโรต้า อาจจะทำหน้างง แต่หากเราพูดถึงอุจจาระร่วงแล้วนั้นคงร้อง “อ้อ” กันถ้วนหน้า แต่มาทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า คำสองคำนี้เกียวข้องกันอย่างไร ทำไมถึงต้องเรียกแยกออกมา

                  โรคอุจจาระร่วงเป็นโรคติดต่อที่มีอาหารและน้ำเป็นสื่อ สามารถพบได้ในทุกฤดูกาลและทุกภาคของประเทศ โดยเชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายโดยตรงผ่านการรับประทานอาหาร และดื่มน้ำหรือน้ำแข็งที่ปนเปื้อน ซึ่งหลักๆแล้วมักมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อโรต้าไวรัส (Rotavirus) และ โนโรไวรัส (Norovirus) เชื้อดังกล่าวจะพบได้ในช่วงอากาศเย็น และที่สำคัญผู้ป่วยที่เคยเป็นแล้วสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ และจะแพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อน โดยหลังจากที่ได้รับเชื้อ ส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ อาเจียน ท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำอย่างรุนแรง ทำให้เสียน้ำและเกลือแร่ บางรายรักษาไม่ทันอาจช็อกและเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ส่วนการรักษาคือการให้ยาตามอาการ เช่น ให้ยาแก้อาเจียน ให้ดื่มน้ำเกลือแร่ทดแทนการสูญเสียน้ำจากการถ่ายอุจจาระและอาเจียน หลีกเลี่ยงการให้ยาฆ่าเชื้อ เด็กเล็กไม่ต้องหยุดนมแม่ ถ้าหากอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง ถ่ายเป็นมูกเลือด อาเจียน ซึมและเพลียมาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

                  ข้อมูลอ้างอิงจาก กรมควบคุมโรค

                  จะเห็นได้ว่า ไวรัสโรต้า นั้นเป็นสาเหตุหนึ่งจากหลายสาเหตุในการก่อให้เกิดโรคอุจจาระร่วง และโรคท้องร่วงรุนแรง โรต้าเป็นเชื้อไวรัสที่มักพบในเด็กเล็ก ทำให้เกิดอาการท้องร่วง ซึ่งไวรัสโรต้า เป็นสาเหตุเกือบครึ่งหนึ่งของการที่เด็กเล็กเกิดอาการอุจจาระร่วงรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาล ไวรัสนี้มีหลายสายพันธุ์ ดังนั้นจึงสามารถเป็นซ้ำได้อีก แต่การติดเชื้อครั้งหลัง ๆ อาการจะไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก ไวรัสนี้ระบาดได้ตลอดทั้งปี และพบมากขึ้นในช่วงอากาศเย็น ฤดูหนาว

                  ไวรัสโรต้าในเด็ก

                  ที่นี้เรามาทำความเข้าใจกับเชื้อไวรัสโรต้าที่มักจะพบในเด็กเล็กกันว่า เจ้าเชื้อโรคร้ายนี้เมื่อเข้ามาในร่างกายของลูกรักแล้วจะทำอะไรกับลูกบ้าง

                  โรต้า ไวรัส มักพบได้ในเด็กเล็ก ซึ่งเมื่อเด็กรับเชื้อไวรัสชนิดนี้เข้าไป จะทำให้เกิดโรคท้องเสียโรต้า โดยเมื่อเด็กได้รับเชื้อไวรัสชนิดนี้เข้าไปในทางเดินอาหาร เชื้อจะทำให้เยื่อบุลำไส้เล็กบาดเจ็บ ทำให้เซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กสร้างน้ำย่อยได้น้อยลง ทำให้การย่อยนม และอาหารลดลง การดูดซึมน้ำลดลง ขณะเดียวกันลำไส้เล็กมีการหลั่งเกินร่วมด้วย ทำให้เกิดท้องเสีย เมื่อเซลล์เยื่อบุลำไส้สร้างเสริมขึ้นมาซ่อมแซมซึ่งมักจะเกิดขึ้นใน 3-5 วัน อาการท้องเสียก็จะหายไป

                  ข้อมูลอ้างอิงจาก med.mahidol.ac.th
                  ติดเชื้อไวรัสโรต้า อุจจาระมักมีกลิ่นเปรี้ยว
                  ติดเชื้อไวรัสโรต้า อุจจาระมักมีกลิ่นเปรี้ยว

                  เชื้อไวรัสโรต้าเป็นสาเหตุสำคัญของโรคอุจจาระร่วงที่รุนแรงในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี  เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำลายการทำงานของลำไส้เล็ก ทำให้เกิดปัญหากับการสร้างน้ำย่อยในการย่อยอาหารที่รับประทานเข้าไป รวมถึงปัญหาการดูดซึมน้ำในร่างกายอีกด้วย เมื่อเชื้อโรคเข้ามารบกวนการทำงายของระบบย่อยอาหาร จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการดังต่อไปนี้

                  • มีไข้
                  • อาเจียน มักเกิดขึ้นในช่วงวันแรก ๆ ของการติดเชื้อ
                  • ท้องเสีย ถ่ายเหลวปนน้ำ ส่วนใหญ่อุจจาระมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว อาการเป็นได้นาน 3-7 วัน
                  • เกิดภาวะขาดน้ำ หากปล่อยไว้นานเกินไม่ได้รับการรักษาอาจช็อกถึงตายได้ ภาวะขาดน้ำเกิดขึ้นได้จากการอาเจียน และถ่ายท้อง เพราะท้องเสียรุนแรง ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินจนเกิดภาวะขาดน้ำ ซึ่งสังเกตว่าลูกมีภาวะนี้ได้จาก ปากแห้ง ร้องไห้ไม่มีน้ำตา กระหายน้ำมาก ตาโหล กระหม่อมบุ๋ม เด็กจะซึม และปัสสาวะน้อย
                  ไวรัสโรต้าติดต่อกันได้อย่างไร
                  การติดต่อเกิดจากได้รับเชื้อไวรัสโรต้าเข้าสู่ปากโดยตรง โดยเชื้ออาจปนเปื้อนมากับมือ สิ่งของ เครื่องใช้หรือของเล่นต่าง ๆ รวมทั้งอาหารและน้ำ ผู้ป่วยที่เป็นโรคอุจจาระร่วงจากไวรัสโรต้าจะสามารถแพร่เชื้อออกมากับอุจจาระได้ตั้งแต่ 2 วันก่อนเริ่มมีอาการ จนกระทั่งหายอุจจาระร่วงไปแล้ว 10 วัน บางรายอาจแพร่เชื้อได้เป็นเดือน โรคนี้ติดต่อกันได้ง่ายมาก ไวรัสจำนวนเพียง 10 ตัวก็สามารถก่อให้เกิดโรคได้ ในขณะที่อุจจาระผู้ป่วย 1 กรัม มีไวรัสโรต้าหลายล้านตัว อีกทั้งไวรัสนี้สามารถมีชีวิตอยู่บนมือ และสิ่งแวดล้อมได้นาน จึงก่อให้เกิดการแพร่กระจายและระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่การป้องกัน ดูแลรักษาความสะอาดยังไม่ดีพอ

                  วัคซีนโรต้า 

                  ในปัจจุบันไม่มียารักษาจำเพาะสำหรับไวรัสโรต้า การรักษาจึงเป็นแบบประคับประคองตามอาการ ซึ่งเมื่อลูกน้อยเกิดป่วยด้วยเชื้อไวรัสนี้ขึ้นมา จึงทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่รู้สึกทุกข์ใจกว่ามาก ต้องทนเห็นลูกทรมานจากอาการดังกล่าวข้างต้น ทำให้หลาย ๆ คนหันไปสนใจการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโรต้าก่อนเกิดโรค ด้วยการฉีดวัคซีนโรต้า แต่เนื่องจากในปัจจุบันวัคซีนโรต้านี้พึ่งเข้ามาอยู่ในแผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของกระทรวงสาธารณสุข ในปี 2563 ทำให้พ่อแม่หลายคนยังมีความกังวลใจถึงความปลอดภัยของวัคซีน และผลข้างเคียงจากตัววัคซีนเอง ทำให้ยังคงลังเลในการพาลูกไปรับวัคซีนดังกล่าว
                  ทีมแม่ ABK จึงขอเป็นสื่อกลางในการหาข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโรต้า มานำเสนอเพื่อเป็นทางเลือกในการตัดสินใจ และความมั่นใจของพ่อแม่ในการให้ลูกรับวัคซีนนี้กัน
                  วัคซีนโรต้า ป้องกันอาการท้องร่วงรุนแรงได้
                  วัคซีนโรต้า ป้องกันอาการท้องร่วงรุนแรงได้
                  ข้อมูลวัคซีนโรต้า
                  วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโรต้าผลิตจากเชื้อไวรัสโรต้าที่ทำให้อ่อนฤทธิ์จนก่อโรคไม่ได้  เป็นวัคซีนชนิดรับประทาน (แบบหยอด) ปัจจุบันมี 2 บริษัทผู้ผลิต คือ
                  • RotarixTM หยอด 2 ครั้ง เมื่ออายุ 2 และ 4 เดือน
                  • RotateqTM หยอด 3 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน

                  ทั้งนี้วัคซีนโดสแรกควรได้รับก่อนอายุ 15 สัปดาห์ และวัคซีนโดสสุดท้ายควรได้รับก่อนอายุ 8 เดือน

                  วัคซีนทั้งสองชนิดมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงไม่แตกต่างกัน โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโรต้าที่รุนแรงได้ดีใกล้เคียงกันประมาณร้อยละ 85-98 วัคซีนมีความปลอดภัยสูง พบผลข้างเคียงได้น้อย เช่น ถ่ายอุจจาระเหลว อาเจียน ซึ่งอาการจะไม่รุนแรง แม้ว่าจะมีรายงานการเกิดลำไส้กลืนกันหลังจากหยอดวัคซีน แต่พบได้ในอัตราที่น้อยมากประมาณ 1-5 คนใน 100,000 ราย

                  ประสิทธิภาพของวัคซีนดีแค่ไหน ?

                  เด็กที่ได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าครบแล้ว อาจยังเกิดโรคอุจจาระร่วงจากการติดเชื้อไวรัสโรต้าได้ แต่อาการมักไม่ค่อยรุนแรง วัคซีนลดอาการท้องเสียอย่างรุนแรงจากเชื้อโรต้าไวรัสได้ 80-90% ลดการรับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาลเนื่องจากท้องเสียได้ประมาณ 80-95% โดยรวมป้องกันท้องเสียจากเชื้อโรต้าได้ถึง 70%

                  อาการข้างเคียง มีอะไรบ้าง ? ควรกังวลไหม ?

                  การรับข้อมูลในเรื่องเกี่ยวกับอาการของโรค หรือข้อมูลทางการแพทย์ต่าง ๆ นั้น คุณพ่อคุณแม่ควรดูถึงแหล่งอ้างอิงที่มาของข้อมูลดังกล่าวด้วยว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน เพราะในบางครั้งอาการวิตกจนเกินไปก็อาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดได้เช่นกัน เมื่อพูดถึงอาการข้างเคียงของการรับวัคซีนโรต้า ที่เป็นที่กังวลของพ่อแม่อยู่ในขณะนี้นั้น เรามีคำตอบมาให้พิจารณา ดังนี้

                  อาการข้างเคียงที่พบได้หลังจากได้รับวัคซีน ได้แก่ เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องเสีย งอแง ไข้ ส่วนอาการข้างเคียงอื่น ๆ ที่อาจพบได้บ้าง ได้แก่ ท้องอืด ปวดท้อง ผิวหนังอักเสบ อย่างไรก็ดี เด็กส่วนใหญ่มักไม่เกิดอาการข้างเคียงหลังจากได้รับวัคซีน

                  ข้อห้ามของการให้วัคซีนโรต้า มีอะไรบ้าง

                  1. ห้ามให้วัคซีนในเด็กที่มีอายุเกินกว่าที่กำหนด
                  2. ห้ามให้วัคซีนในเด็กที่มีอาการแพ้ยาหลังได้รับวัคซีนโรต้าในครั้งก่อน หรือแพ้ส่วนประกอบตัวใดตัวหนึ่งของวัคซีน
                  3. ห้ามให้วัคซีนในเด็กที่เคยมีประวัติเป็นโรคลำไส้กลืนกัน (Intussusception) หรือเป็นโรคระบบทางเดินอาหารผิดปกติตั้งแต่กำเนิดที่ยังไม่ได้รับการรักษา เช่น Meckel diverticulum ซึ่งมีแนวโน้มที่อาจก่อให้เกิดโรคลำไส้กลืนกัน
                  4. ห้ามให้วัคซีนในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องชนิด Severe combined immunodeficiency (SCID) syndrome

                  ข้อควรระวังของการให้วัคซีนโรต้า มีอะไรบ้าง

                  1. หากเด็กมีไข้สูงรุนแรงเฉียบพลัน หรือมีอาการท้องเสียหรืออาเจียน ควรเลื่อนการให้วัคซีนออกไป

                  2. ในกรณีทารกที่เป็นโรคระบบทางเดินอาหาร ควรให้วัคซีนโรต้าด้วยความระมัดระวัง โดยอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์

                  3. ไม่แนะนำให้ใช้วัคซีนนี้ในเด็กโต ผู้ใหญ่ หญิงตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร

                  ข้อมูลอ้างอิงจาก www.bumrungrad.com
                  ฉีดวัคซีน ดีไหม พ่อแม่ย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกน้อย
                  ฉีดวัคซีน ดีไหม พ่อแม่ย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกน้อย

                  เมื่อคำนึงถึงประโยชน์จากวัคซีนในการป้องกันโรคแล้ว ถือว่าสูงกว่าเมื่อเทียบกับผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก องค์การอนามัยโลกจึงแนะนำว่า เด็กเล็กทุกคนควรได้รับการหยอดวัคซีนนื้ตั้งแต่อายุ 2 เดือน โดยให้พร้อมกับวัคซีนอื่น ๆ ตามวัย

                  ข้อมูลอ้างอิงจาก สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  ลูกติดเชื้อไวรัส ผื่นเต็มตัว แม่เตือน! ระวังคนมาเล่นกับลูก

                  นุสบา ท้องร่วงหนัก เชื้อไวรัสโรต้า ระบาด ยังไม่มียารักษา

                  5 อันดับโรคยอดฮิตของเด็กไทย

                  ลูกท้องเสียเพราะ ยืดตัว จริงหรือ?

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร

                    ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพูดช้า ผิดปกติ?

                    ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร ? นี่คือสัญญาณเตือน!! แม้ลูกจะร้องเพลงตามยูทูปได้เก่ง” แต่ก็ “ไม่ได้” แปลว่า ลูกจะพูดคุยสื่อสารได้? พ่อแม่รีบปรึกษาหมอพัฒนาการด่วน!!

                    ไม่ใช่เรื่องดี? ลูกร้องเพลงตามยูทูปได้!!
                    “ไม่ได้” แปลว่า “สื่อสาร” ได้!!

                    โดยปกติค่าเฉลี่ยของเด็กอายุประมาณ 1 ขวบ ก็จะพูดเป็นคำที่มีความหมาย และหากเด็กได้รับการกระตุ้นให้พูดหรือเปิดโอกาสการเรียนรู้ภาษาจากพ่อแม่ ในที่สุดคำศัพท์ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณ 2 ขวบ ก็จะเริ่มพูดคำที่มีความหมาย 2 คำ ติดกัน เป็นวลีสั้นๆ ไปไหน ไม่เอา แล้วก็จะเริ่มขึ้นเป็นประโยคยาว ๆ ได้ประมาณ 3-4 ขวบ

                    ทั้งนี้หากพ่อแม่สังเกตเห็นพัฒนาการของลูก เมื่ออายุ 2 ขวบแล้ว ยังพูดคำที่มีความหมายไม่ได้เลย หรือ พูดได้แค่คำศัพท์คำเดียว หรือสื่อสารกับคนอื่น ๆ ไม่ได้ ก็ถือว่า ผิดปกติแน่นอน! และหากสาเหตุไม่ได้มาจาก ความผิดปกติของร่างกาย จากโรคทางพันธุกรรม จากภาวะออทิสติก หรือพัฒนาทางภาษาผิดปกติ ก็อาจมาจากการขาดการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม

                    ฝึกลูกพูด

                    ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร

                    ซึ่งในปัจจุบัยพบว่า การขาดการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสม เป็นสาเหตุหลักที่พบได้เยอะที่สุดในตอนนี้ เพราะเทคโนโลยีที่เด็กเข้าถึงได้ง่าย พ่อแม่ปล่อยให้จอเลี้ยงลูก เพลง นิทาน การ์ตูน ในยูทูป ซึ่งถือเป็นสื่อทางเดียว หากลูกจ้องแต่หน้าจอ อยู่กับมือถือ แท็บเล็ต ดูยูทูปนานๆ ดูภาพและเสียงที่เคลื่อนไหวไปมา ไม่ได้ถูกกระตุ้นการพูด ไม่ได้ฝึกการถามตอบ อาจส่งผลให้ ลูกพูดช้า พูดไม่เป็นภาษาคน พูดแต่ภาษาการ์ตูนได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่า ออกเสียงเป็น แต่ไม่สามารถสื่อสารได้ นั่นเอง

                    อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องข้อสงสัย ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร นี้ คุณหมอตุ๊กตา ทพญ.ปวีณา คุณนาเมือง ทันตแพทย์เฉพาะทางสำหรับเด็ก เจ้าของเพจ ฟันน้ำนม ได้ให้คำอธิบายถึง สาเหตุที่เด็กพูดช้า ไว้ว่า…

                    ช่วงนี้หมอเจอเด็กวัย 2 ขวบครึ่งที่ยังไม่พูดเยอะมาก ตอนตรวจฟันจะงอแง ร้องไห้ พูดเป็นคำเดิมซ้ำ ๆ หรือบางคนไม่พูดเลย ร้องไห้อย่างเดียว (โดยทั่วไปเด็กวัยนี้ถ้าร้องไห้งอแงก็มักจะพูดออกมาด้วย เช่น “ไม่เอา ไม่ทำ” “ไม่หาหมอ หนูจะเล่น” ฯลฯ)

                    วันก่อนเจอเด็กที่คาดว่าพูดช้า (2.8 ขวบ) หมอสังเกตว่าเด็กร้องไห้งอแงอย่างเดียว โดยไม่พูดเลย

                    ถามคุณพ่อ “น้องพูดเป็นคำ เป็นประโยคหรือยังคะ”

                    คุณพ่อรีบตอบทันที “พูดแล้วครับ พูดได้แล้ว”

                    ถามเพิ่มเติม “พูดบอกความรู้สึกได้ไหมคะ เช่น .. หิวข้าว, ไปเที่ยว”

                    คุณพ่อเริ่มชะงัก “ยังไม่ได้ครับ ไม่ได้พูดยาวแบบนั้น”

                    หมอซักต่อ “แล้วพูดว่า .. หิว .. สั้น ๆ แบบนี้ได้ไหมคะ”

                    คุณพ่อปฏิเสธ “เอ่อ หิวก็ไม่พูดครับ พูดว่า ป๊า เฉย ๆ” และอธิบายเพิ่มเติม “แต่เค้าร้องเพลงได้นะครับ ร้องเพลงตาม youtube ได้ ร้องจบเพลงเลยครับ”

                    เมื่อซักประวัติละเอียด เด็กทุกคนจะมีกิจวัตรคือ ดูคลิป ดูการ์ตูน ดู youtube

                    เด็กจะพูดหรือร้องเพลงตามคลิปได้เป็นนกแก้วนกขุนทองโดยไม่รู้ความหมาย

                    แต่พูดเพื่อสนทนาไม่ได้ บอกความรู้สึกหรือความต้องการของตัวเองไม่ได้

                    ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร

                    ………………..

                    หมอพบผู้ปกครองหลายท่านที่มีลูกวัย 2 ขวบครึ่งขึ้นไป มีท่าทีปฏิเสธหรือไม่กังวลเรื่องลูกพูดช้า เพราะเห็นว่าลูกหลานร้องเพลง ท่อง ก.ไก่ ข.ไข่ ท่อง A B C หรือพูดตามคลิปได้ #ซึ่งนั่นไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าเค้าสามารถสื่อสารได้นะคะ

                    จากหนังสือตำราพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก ของชมรมพัฒนาการเด็กแห่งประเทศไทย (ขอบคุณข้อมูลจากคุณหมอรวงข้าว @Junji’s Story by หมอรวงข้าว ด้วยนะคะ )

                    พฤติกรรมพัฒนาการที่บ่งชี้ว่าเด็กอาจมีพัฒนาการทางภาษาล่าช้า ที่ควรได้รับการตรวจประเมินสาเหตุ

                    เด็กอายุ 2 ขวบ :

                    ความเข้าใจภาษาล่าช้าคือ ไม่ชี้รูปหรืออวัยวะตามคำบอก

                    การใช้ภาษาล่าช้าคือ พูดคำพยางค์เดียวได้น้อยกว่า 50 คำ (ตามพัฒนาการการพูดปกติ เด็ก 2 ขวบควรพูดคำเดี่ยวได้ประมาณ 200 คำ), ไม่พูดวลีที่ประกอบด้วยคำที่มีความหมาย 2 คำขึ้นไป เช่น กินนม ไปเที่ยว

                    เด็กอายุ 2 ขวบครึ่ง :

                    ความเข้าใจภาษาล่าช้าคือ ไม่โต้ตอบด้วยคำพูดแต่ใช้ท่าทางแทนเช่น พยักหน้าหรือส่ายหน้า

                    การใช้ภาษาล่าช้าคือ ทำเสียงไม่เป็นภาษา ไม่พูดเป็นวลียาว 3 คำ

                    แต่อย่างไรก็ตาม การรอถึงวัย 2 ขวบแล้วค่อยประเมิน อาจล่าช้าไป หากต้องการประเมินให้ได้รวดเร็วทันท่วงที ควรเริ่มสังเกตตั้งแต่อายุน้อยกว่านี้คือ

                    – เด็กไม่สามารถพูดเป็นคำที่มีความหมายได้เลยเมื่ออายุ 15 เดือน (1 ขวบ 3 เดือน)

                    – เด็กไม่สามารถพูดคำที่มีความหมาย (ไม่นับการเรียกชื่อคนหรือชื่อสัตว์เลี้ยงที่คุ้นเคย) ได้อย่างน้อย 3 คำเมื่ออายุ 18 เดือน (ขวบครึ่ง)

                    ………………..

                    เพราะฉะนั้นหากสังเกตว่าลูกหลานมีพฤติกรรมเข้าข่ายข้อมูลเบื้องต้น หมอแนะนำให้พาลูกไปพบแพทย์พัฒนาการเพื่อปรึกษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะดีที่สุดค่ะ

                    ขอบคุณข้อมูลจาก เพจ ฟันน้ำนม หมอตุ๊กตา ทพญ.ปวีณา คุณนาเมือง ทันตแพทย์เฉพาะทางสำหรับเด็ก

                    ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร

                    ทั้งนี้ในส่วนของ ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร สาเหตุที่ทำให้เด็กมีความผิดปกติของพัฒนาการด้านภาษาและการพูดสามารถตรวจดูตั้งแต่ในครรภ์ได้ หากเกิดจากความผิดปกติจากโรคทางพันธุกรรม ซึ่งจะเป็นการตรวจโครโมโซม แต่ถ้าหากเป็นสาเหตุอื่น อาจต้องรอจนกว่าเด็กจะเกิดมาและแสดงถึงความผิดปกติให้เห็นตามช่วงวัย

                    อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงดูลูกเป็นส่วนสำคัญเช่นกันที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก เช่น การเลี้ยงลูกด้วยเทคโนโลยี ยกตัวอย่าง การให้เด็กเรียนรู้การสื่อสารจากโทรทัศน์ แท็บเล็ต ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เกิดความผิดปกติของพัฒนาการด้านภาษาและการพูดของเด็กโดยตรง แต่ส่งผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับพัฒนาการด้านต่างๆ

                    โดยทั่วไปเด็กวัย 0-7 ปี การเล่นและการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมีความสำคัญมาก ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเรียนรู้การสื่อสาร การตอบสนอง ทั้งยังส่งผลต่อพัฒนาการด้านอารมณ์ความรู้สึกได้เป็นอย่างดี หากเด็กขาดการเล่นจะส่งผลต่อพัฒนาการในทุกด้าน

                    ดังนั้นแนวทางการรักษาจึงมุ่งเน้นให้เด็กรู้จักเล่นและมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเป็นหลัก เพื่อฝึกฝนทักษะด้านต่าง ๆ รวมถึงการพูดและการสื่อสาร จากนั้นแพทย์จะทำการประเมินระดับของพัฒนาการเด็ก เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ต่อไปตามลำดับ ในการรักษานอกจากแพทย์แล้วผู้ปกครองยังมีความสำคัญมาก ขณะที่เด็กอยู่บ้านพ่อแม่จึงจำเป็นต้องให้ความร่วมมือในการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กร่วมด้วย

                    สำหรับเรื่อง พัฒนาการด้านภาษา ลูกพูดช้าเกิดจากอะไรถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ IQ: Intelligence Quotient หมายถึง ความฉลาดทางสติปัญญา หนึ่งใน ความฉลาด 10 ด้าน (Power BQ) ที่เด็กยุคใหม่ควรมี ซึ่งเด็กฉลาดจะได้เปรียบ ในเรื่องความคิด ความจำ การใช้เหตุผล การคำนวณ และการเชื่อมโยง ความฉลาดเป็นศักยภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิด หากพ่อแม่ฉลาดก็จะส่งผลให้ลูกฉลาดด้วย
                    แต่อย่างไรก็ตาม ความฉลาดสามารถสร้างได้ ด้วยอาหารและการเลี้ยงดูที่เหมาะสมของคุณพ่อคุณแม่ นอกจากนี้ เด็กฉลาดไม่ใช่แค่เก่งวิชาการเท่านั้น ยังมีความฉลาดด้านอื่นๆ เช่น ดนตรี กีฬา การเข้าใจตนเอง ก็นับรวมเป็นความฉลาดทางสติปัญญาหรือ IQ เช่นเดียวกัน คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตลูกว่าชอบอะไร ถนัดด้านไหน แล้วส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญาของลูกไปในทางนั้น ลูกก็จะสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้

                    ข้อมูลอ้างอิงจาก : www.si.mahidol.ac.thwww.rama.mahidol.ac.th

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

                    วิจัยชี้! แค่มองตาลูกก็กระตุ้น ทักษะด้านภาษา ได้แล้ว!

                    คุณพ่อแชร์ ลูกพัฒนาการล่าช้า เพราะโดนเลี้ยงหน้าจอทีวี

                    แม่เตือน ลูกไม่สบตา เรียกไม่หัน อาการออทิสติกเทียม เหตุเพราะมือถือ!

                    รวมรายชื่อ หมอพัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลชื่อดัง ที่แม่ควรเซฟเก็บไว้

                      มะเร็งมดลูก

                      มะเร็งมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก รู้ทัน รักษาเร็ว โอกาสหายขาดสูง!

                      มะเร็งมดลูก – ในประเทศไทย พบผู้ป่วยโรค มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก หรือ ที่มักเรียกกันว่า มะเร็งมดลูก สูงเป็นอันดับ 3 ของมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิง โดยพบผู้ป่วยได้ประมาณ 3.9 คน ต่อ 100,000 คนต่อปี แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา และในทวีปยุโรปบางประเทศพบมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นอันดับ 1 ของมะเร็งอวัยวะสืบพันธ์ในเพศหญิง หลายคนมักจำสับสนระหว่างมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกกับมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นคนละชนิดกัน วันนี้เรามาทำความรู้จักโรคนี้ให้ดีขึ้นกันค่ะ

                      มะเร็งมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก รู้ทัน รักษาเร็ว โอกาสหายขาดสูง!

                      มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                      มะเร็งเยื่อบุโพรงมด เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งที่เริ่มต้นในโพรงมดลูก มดลูกเป็นอวัยวะในอุ้งเชิงกรานลักษณะกลวงรูปทรงคล้ายผลลูกแพร์ ซึ่งพัฒนาการของทารกในครรภ์เกิดขึ้นภายในอวัยวะนี้ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเริ่มต้นในชั้นของเซลล์ที่สร้างเยื่อบุโพรงมดลูกของมดลูก  นอกจากนี้ มะเร็งชนิดอื่น ๆ สามารถก่อตัวในมดลูกได้รวมถึงมะเร็งในมดลูก แต่พบได้น้อยกว่ามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมาก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมักตรวจพบในระยะเริ่มแรกได้ เนื่องจากผู้ป่วย มักมีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ ที่สำคัญ หากตรวจพบมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ การผ่าตัดเอามดลูกออกมักจะรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกให้หายขาดได้ค่ะ 

                      สัญญาณเตือนของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                      • มีเลือดออกจากช่องคลอด แม้ไม่ได้อยู่ในช่วงวันนั้นของเดือน
                      • มีประจำเดือนมากกว่าปกติ
                      • ปวดท้องน้อย และรู้สึกเจ็บเมื่อมีเพศสัมพันธ์ (พบได้ไม่บ่อย)
                      • คลื่นไส้ รู้สึกเหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร
                      • ปวดหลัง ขา หรืออุ้งเชิงกราน
                      มะเร็งมดลูก
                      มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                      สาเหตุของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                      ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก แต่สันนิสฐานได้ ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นภายในอวัยวะที่ไปเปลี่ยนแปลง DNA ของเซลล์ในเยื่อบุโพรงมดลูก – เยื่อบุมดลูก การกลายพันธุ์จะเปลี่ยนเซลล์ปกติที่มีสุขภาพดีให้กลายเป็นเซลล์ที่ผิดปกติ  เซลล์ที่ผิดปกติจะเติบโตและเพิ่มจำนวนขึ้นโดยไม่สามารถควบคุมได้ และจะไม่ตายในเวลาที่กำหนด เซลล์ที่ผิดปกติสะสมจะก่อตัวเป็นก้อน (เนื้องอก) เซลล์มะเร็งบุกรุกเนื้อเยื่อใกล้เคียง และสามารถแยกออกจากเนื้องอกเพื่อแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายได้

                      การวินิจฉัยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกที่แน่นอนจะได้จากการนำเยื่อบุโพรงมดลูกไปตรวจทางพยาธิวิทยา (ส่องกล้องย้อมสีเซลล์) ซึ่งมักต้องขูดมดลูกเพื่อให้ได้เนื้อเยื่อไปตรวจ ส่วนในผู้ทีเคยมีบุตรแล้ว การขูดมดลูกทำได้โดยการฉีดยาชา ส่วนผู้ที่ยังโสด หรือไม่เคยมีบุตรแพทย์มักวางยาสลบให้ไม่เจ็บ และสามารถกลับบ้านได้หลังขูดมดลูก แต่หากแพทย์พิจารณาว่าลักษณะอาการไม่ใกล้เคียงกับโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ก็อาจไม่ต้องทำการขูดมดลูก

                      ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก ต้องยุติตั้งครรภ์ ซ้ำยังเสี่ยงมะเร็ง

                      เช็ก 10 สัญญาณมะเร็งปากมดลูก ภัยเงียบใกล้ตัวแม่

                      วัคซีนมะเร็งปากมดลูก ฉีดแล้วไม่ตาย ถ้าทำตามที่หมอแนะ

                      ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                      • การเปลี่ยนแปลงความสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย รังไข่สร้างฮอร์โมนเพศหญิง 2 ชนิด ได้แก่ เอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ความผันผวนในความสมดุลของฮอร์โมนเหล่านี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเยื่อบุโพรงมดลูก โรคหรือภาวะที่เพิ่มปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่ไม่ใช่ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ในร่างกายของคุณสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ ตัวอย่างเช่นรูปแบบการตกไข่ที่ผิดปกติซึ่งอาจเกิดขึ้นในกลุ่มอาการของรังไข่หลายใบโรคอ้วนและโรคเบาหวาน การทานฮอร์โมนหลังวัยหมดประจำเดือนที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่ไม่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เนื้องอกรังไข่ชนิดหายากที่หลั่งฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
                      • มีประจำเดือนนานหลายปี การเริ่มมีประจำเดือนตั้งแต่อายุยังน้อย – ก่อนอายุ 12 ปีหรือการเริ่มหมดประจำเดือนในภายหลังจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ยิ่งคุณมีประจำเดือนมากเท่าไหร่เยื่อบุโพรงมดลูกของคุณก็จะต้องมีฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้นเท่านั้น
                      • ไม่เคยตั้งครรภ์ หากคุณไม่เคยตั้งครรภ์คุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมากกว่าคนที่ตั้งครรภ์อย่างน้อยหนึ่งเท่า
                      • อายุมากขึ้น เมื่อคุณอายุมากขึ้นความเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกจะเพิ่มขึ้น มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกมักเกิดขึ้นหลังวัยหมดประจำเดือน
                      • โรคอ้วน การเป็นโรคอ้วนจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากไขมันส่วนเกินในร่างกายทำให้สมดุลของฮอร์โมนในร่างกายของคุณเปลี่ยนไป
                      • ฮอร์โมนบำบัดสำหรับมะเร็งเต้านม การใช้ยาทาม็อกซิเฟนสำหรับมะเร็งเต้านมสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้ หากคุณกำลังทาน tamoxifen ให้ปรึกษาความเสี่ยงนี้กับแพทย์ของคุณ โดยส่วนใหญ่ประโยชน์ของ tamoxifen มีมากกว่าความเสี่ยงเล็กน้อยของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
                      • มะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือ โรคลินช์ซินโดรม (HNPCC) เป็นกลุ่มอาการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้และมะเร็งอื่น ๆ ซึ่งรวมทั้งมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เกิดจากการกลายพันธุ์ของยีนที่ส่งผ่านจากพ่อแม่ไปสู่ลูก หากสมาชิกในครอบครัวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลินช์ซินโดรมควรปรึกษาความเสี่ยงของโรคทางพันธุกรรมกับแพทย์ของคุณ หากคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลินช์ซินโดรมให้ถามแพทย์ของคุณว่าคุณควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งแบบใด
                      Endometrial cancer
                      credit : upstate.edu

                      การรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                      •  การผ่าตัด โดยการตัดเอามดลูก ปากมดลูก ปีกมดลูก (รังไข่และท่อนำไข่) ออกร่วมกับการล้างน้ำในช่องท้องและสุ่มตัดต่อมน้ำเหลืองไปตรวจ ซึ่งการผ่าตัดจะช่วยทำให้ทราบว่าผู้ป่วยอยู่ในระยะใดของโรค หากพบว่าเป็นระยะแรก กล่าวคือ มีมะเร็งอยู่เฉพาะที่เยื่อบุโพรงมดลูก ยังมีการลุกลามเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูกไม่มาก ไม่มีการกระจายของโรคไปอวัยวะอื่น การผ่าตัดที่กล่าวมาก็เพียงพอในการรักษา 
                      • การฉายรังสี ในกรณีที่พบว่าเริ่มมีการลุกลามของมะเร็งลึกขึ้น หรือกระจายไปในอวัยวะข้างเคียง หลังผ่าตัดจำเป็นต้องได้รับรังสีรักษา (ฉายแสง) หรือเคมีบำบัดร่วมด้วย

                      แนวทางการป้องกันโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                      เพื่อลดความเสี่ยงของมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกคุณอาจต้องปฏิบัติดังนี้

                      • พูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงของการรักษา หลังวัยหมดประจำเดือน หากคุณกำลังพิจารณาการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนเพื่อช่วยควบคุมอาการวัยหมดประจำเดือนให้ปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ เว้นแต่คุณจะได้รับการผ่าตัดมดลูก การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียวหลังวัยหมดประจำเดือนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก การใช้เอสโตรเจนและโปรเจสตินร่วมกันสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้ การรักษาด้วยฮอร์โมนมีความเสี่ยงอื่น ๆ ดังนั้นควรคำนึงถึงประโยชน์และความเสี่ยงกับแพทย์ของคุณ
                      • ทานยาคุมกำเนิด การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดอย่างน้อย 1 ปี อาจลดความเสี่ยงมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ได้อีกหลายปีหลังจากที่คุณหยุดรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด อย่างไรก็ตามยาคุมกำเนิดมีผลข้างเคียงดังนั้นควรปรึกษาถึงประโยชน์และความเสี่ยงกับแพทย์ของคุณ
                      • รักษาน้ำหนักที่เหมาะสม ความอ้วนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกดังนั้นควรพยายามรักษาน้ำหนักให้แข็งแรง หากคุณต้องการลดน้ำหนักให้เพิ่มการออกกำลังกายและลดจำนวนแคลอรี่ที่คุณกินในแต่ละวัน

                      ข้อควรรู้การตรวจภายในประจำปี ร่วมกับตรวจกรองเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูก นับว่าส่งผลดีต่อการสืบค้นหาเซลล์ผิดปกติที่ปากมดลูก เพื่อที่จะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงที ก่อนที่เซลล์นั้นจะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : med.mahidol.ac.th,mayoclinic.org

                      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                      ผู้หญิงมีหนวดเสี่ยงถุงน้ำรังไข่หลายใบ เพิ่มโอกาสมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

                      สัญญาณมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นเพราะอะไร พร้อมวิธีตรวจด้วยตัวเอง

                      ตรวจคัดกรองมะเร็ง ในผู้หญิงควรตรวจเมื่อไหร่?

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        วิธีติดตั้งคาร์ซีท

                        ง๊าย..ง่าย 2 วิธีติดตั้งคาร์ซีท ให้ถูกต้องปลอดภัยกับลูก ตั้งแต่แรกเกิด – 7 ขวบ

                        เตือนพ่อแม่มือใหม่ ควรศึกษา วิธีติดตั้งคาร์ซีท ที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย แม้จะติดตั้งแล้ว หากติดผิดทาง หรือให้ลูกนั่งผิดท่า ก็อาจเกิดอันตรายได้

                        วิธีติดตั้งคาร์ซีท ให้ลูกน้อยนั่งยังไง ให้ถูกต้องปลอดภัย

                        คาร์ซีท เป็นที่นั่งประกอบเข็มขัดนิรภัยสำหรับเด็กโดยเฉพาะ!! เนื่องจากที่นั่งและเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับตัวรถทั่วไปนั้นมีรูปแบบที่ไม่เหมาะสมกับรูปร่างและสรีระของเด็กๆ จึงอาจเกิดอันตรายในการใช้งาน และไม่สามารถป้องกันหรือลดโอกาสและความรุนแรงจากการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ให้กับเด็กได้

                        ซึ่งที่นั่งนิรภัยในรถยนต์สำหรับเด็ก หรือ “คาร์ซีท” (Car Seat) จะมีการออกแบบให้เหมาะสมกับรูปร่างและสรีระของเด็กในแต่ละช่วงวัย เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ติดตั้งเพิ่มเติมที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ควรให้ความสำคัญ  โดยคาร์ซีทแต่ละแบบมีรายละเอียดวิธีการใช้งานแตกต่างกัน การศึกษาคู่มือการติดตั้งและใช้งานจากผู้ผลิตจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหากติดตั้งผิดตำแหน่งก็อาจทำให้เกิดอันตรายกับลูกน้อยได้

                        เช่นเดียวกับกรณีของคุณแม่ใบเตย อาร์สยาม และ ดีเจแมน พัฒนพล ที่มีลูกสาวสุดน่ารัก น้องเวทย์มน วัย 6 เดือนเศษ ที่มีความน่ารักน่าเอ็นดู

                        แต่ล่าสุดคุณแม่ใบเตยได้มีการลงคลิปขณะเดินทางบนรถยนต์ พาน้องเวทย์มนนั่งคาร์ซีตไปด้วย เป็นจังหวะที่เจ้าตัวเล็กหลับปุ๋ยจนคอพับ

                        ซึ่งก็มีชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์ด้วยความเอ็นดูจำนวนมาก แต่ก็ไม่วายถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการนั่งคาร์ซีตของน้อง

                        เพราะมีหลายคนติงว่านั่งแบบไม่ถูกต้อง เป็นอันตรายต่อน้องอย่างมาก … ทั้งนี้ ชาวเน็ตต่างคอมเมนต์ด้วยความเป็นห่วง และมองว่าติดตั้งคาร์ซีทผิดด้าน เนื่องจากเด็กวัยต่ำกว่า 2 ขวบ

                        ควรติดตั้งโดยหันหน้าเด็กเข้าหาเบาะ เพราะวัยนี้น้ำในศีรษะยังมาก หากมีอุบัติเหตุหรือเบรกแรง ๆ อาจอันตรายถึงขั้นคอหักได้เนื่องจากกระดูกคอเด็กเล็กยังไม่เเข็งแรง

                        รวมถึงระบุว่าการนั่งคาร์ซีตแบบนี้ ไม่ต่างกับเด็กที่ไม่ได้นั่งคาร์ซีท ไม่มีความปลอดภัย หากรถถูกชน น้องอาจกระเด็นออกนอกหน้าต่างได้เลย อีกทั้งควรปรับสายเข็มขัดให้แน่น ๆ ไม่ควรหลวมแบบในคลิป

                        รวมถึงในคลิปจะเห็นว่ารถสะเทือนอยู่หลายครั้ง คอน้องก็พับไปข้างหนึ่ง ทำให้ได้รับความสะเทือนไปด้วย

                        วิธีติดตั้งคาร์ซีท

                        วิธีติดตั้งคาร์ซีท

                        วิธีติดตั้งคาร์ซีท

                        วิธีการติดตั้งคาร์ซีท ที่ถูกต้องและปลอดภัยต่อลูกน้อย

                        สำหรับ วิธีติดตั้งคาร์ซีท ที่ถูกต้อง ในเด็กทารกอายุต่ำกว่า 2 ขวบ ควรติดตั้งคาร์ซีทโดยหันไปทางด้านหลังรถยนต์ ส่วนตำแหน่ง วิธีติดตั้งคาร์ซีท ที่แนะนำคือตำแหน่งที่นั่งด้านหลังคนขับ หรือที่นั่งด้านหลังเยื้องกับคนขับในกรณีไม่มีผู้ดูแล ให้ลูกหันหน้าไปด้านหลังรถ เพราะหากเกิดการเบรกรุนแรง จะช่วยปกป้องคอ ศีรษะและกระดูกสันหลังของลูก ทั้งนี้หากติดตั้งคารืซีท ไว้ด้านหน้าข้างคนขับ จะทำให้เกิดอันตรายจากการชนและระบบถุงลมนิรภัยได้ สำหรับคุณหนูวัยซน 2 ขวบขึ้นไปแล้ว สามารถติดตั้งแบบหันหน้าออกมาทางด้านหน้ารถได้

                        ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรสอบถามพนักงาน วิธีติดตั้งคาร์ซีท ที่ถูกต้อง พร้อมศึกษาคู่มือการติดตั้งและการใช้คาร์ซีทอย่างละเอียด ว่ามีจุดยึดที่ตัวคาร์ซีทกับเข็มขัดนิรภัยอย่างไร

                        สุดท้ายเมื่อต้องให้ลูกนั่งคาร์ซีทในรถ ควรรัดเข็มขัดให้แน่น   ไม่ให้สายคาดหลวมและจัดท่าทางให้ลูกน้อยนั่งได้มั่นคงปลอดภัย เพียงเท่านี้ก็มั่นใจว่าลูกน้อยจะมีความสุขและปลอดภัยได้ตลอดการเดินทาง

                        “สอนวิธีติดตั้งคาร์ซีท 4 ขั้นตอนง๊ายง่าย (แรกเกิด-7 ขวบ)” | Super Nanny

                        รูปแบบของคาร์ซีทที่ใช้ ควรพิจารณาจากอะไร?

                        คาร์ซีทมีหลายรูปแบบให้เลือกใช้โดยต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับช่วงวัย ส่วนสูงและน้ำหนักตัวของเด็กเป็นสำคัญ โดยทั่วไปช่วงเด็กแรกเกิดถึงน้ำหนักไม่เกิน 9 กก. ให้ใช้คาร์ซีทที่หันหน้าเข้าหาพนักพิงเบาะหลัง และเปลี่ยนไปใช้แบบหันหน้าไปทางหน้ารถได้ตั้งแต่อายุประมาณ 3-12 ปี น้ำหนักตัว 9-36 กก.

                        นั่งคาร์ซีทถึงกี่ขวบ

                        เด็กควรนั่งคาร์ซีท ตั้งแต่แรกเกิด ออกจากโรงพยาบาล จนถึงอายุ 7 ปี ซึ่งขึ้นกับแต่ละรุ่นว่ารับน้ำหนักได้ถึงเท่าไหร่ หลังจากนั้นเปลี่ยนมาเป็นที่นั่งเสริม หรือ booster seat ที่ช่วยยกระดับตัวเด็กให้สูงขึ้นเพื่อจะได้สามารถคาดเข็มขัดนิรภัยของตัวรถได้พอดี และที่สำคัญต้องนั่งเบาะหลังเสมอ จนกว่าความสูงเด็กเกิน 140 ซม.ขึ้นไป หรือถ้าเอาปลอดภัย คือ อายุมากกว่า 12 ปี ถึงจะสามารถนั่งเบาะหน้าข้างคนขับได้

                        อย่างไรก็ตาม คาร์ซีท นอกจากจะช่วยลดโอกาสและความรุนแรงของอาการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ยังช่วยให้ลูกนั่งอยู่กับที่นั่งตลอดการเดินทางป้องกันลูกไปรบกวนการขับขี่ เปิดประตูหรือหน้าต่างขณะที่รถยนต์เคลื่อนที่ได้ แต่ก็ควรมีพ่อแม่หรือผู้ใหญ่นั่งดูแลอยู่ใกล้ๆ รวมถึงใช้ระบบป้องกันการเปิดหน้าต่างและประตูที่ติดมากับรถยนต์เพื่อป้องกันอีกทางหนึ่งด้วย ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุด้วยการใช้รถใช้ถนนด้วยความไม่ประมาทและมีสติระลึกถึงความปลอดภัยของลูกน้อยและเพื่อนร่วมทางเป็นลำดับแรกทุกครั้ง


                        ขอบคุณข้อมูลจาก : mgronline.com

                        ภาพจาก IG baby_vatemon

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        อ่านต่อบทความอื่นๆ น่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่างได้เลย

                        เช็คลิสต์ 60 ของใช้เด็กแรกเกิด อย่างไหนควรซื้อเลย อย่างไหนไม่ต้องรีบ!

                        4 เคล็ดลับพาเบบี๋นั่งรถอย่างมั่นใจ

                        เลือกซื้อ ติดตั้งคาร์ซีท อย่างไรให้เหมาะกับวัย ปลอดภัยกับลูกน้อย?

                        ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท หรือไม่ ทำไมไม่ควรอุ้มเด็กนั่งในรถระหว่างเดินทาง

                          ชื่อเล่นลูกชาย

                          300+ ชื่อเล่นลูกชาย อัพเดตล่าสุด 2021!! ไม่ซ้ำ ไม่เชย เท่ล้ำไม่เหมือนใคร

                          รวม ชื่อเล่นลูกชาย กว่า 300+ ชื่อ มีแต่ชื่อใหม่ๆ สุดเท่ ไม่ซ้ำ ไม่เชย อัพเดตล่าสุด หากคุณกำลังมองหาไอเดีย ตั้งชื่อเล่นลูกชาย ชื่อลูกชายเท่ๆ คลิกเลย!!

                          อัพเดตล่าสุด!! 300 ชื่อเล่นลูกชาย ไม่ซ้ำ ไม่เชย เท่ล้ำไม่เหมือนใคร

                          สำหรับคุณแม่กำลังตั้งครรภ์บ้านไหนที่รู้แล้วว่าลูกในท้อง คือ “ลูกชาย” และกำลังมองหาไอเดียตั้งชื่อลูกชาย ชื่อเล่นลูกชาย เท่ๆ เก๋ๆ แบบทันยุคทันสมัยตอนนี้ ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม ชื่อเล่นลูกชายเท่ๆ ไม่ซ้ำ ไม่เชย เท่ล้ำไม่เหมือนใคร ประจำปี 2564 มาฝาก ซึ่งเป็นชื่อที่คุณพ่อคุณแม่ได้แชร์ไว้ในเพจ Amarin Baby & Kids

                          บอกได้เลยว่าแต่ละชื่อ มีทั้งแบบชื่อสไตล์ไทยๆ อินเตอร์ จี เกาหลี บางชื่อก็ฟังดูหล่อเท่ สุดปัง เหมาะกับใช้ตั้งให้ลูกในยุคสมัยนี้มากๆ หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่ได้ตั้งชื่อลูกชาย และกำลังมองหาไอเดียตั้งชื่อลูก ตามมาดู 300+ ชื่อเล่นลูกชาย ที่ทีมแม่ ABK เอามาฝาก ชอบชื่อไหนก็เลือกเอาไปตั้งชื่อให้ลูกชายกันได้เลยค่า

                          ชื่อเล่นลูกชาย

                          กงสุลกตังค์กล้าหาญกองทัพ
                          กองหนุนกังฟูกัซเบลกันดั้ม
                          กันเนอร์กาตาร์กาโตว์กาโตะ
                          การัณย์กุนซือกูเกิ้ลเก็นกิ
                          เก็นจิเก้าแต้มเก้าทัพแกรมม่า
                          แกนวายโกเบโกฮังก้อนดิน
                          ก้านธูป

                          ชื่อลูกชาย ข

                          ขงจื้อขงเบ้งขันเงินขั้นเทพ
                          ข้ามฟ้าข้ามสมุทรขุนเขาขุนแผน
                          ขุนรามเขตแดนเข็มทิศเขียนรัก

                          ชื่อเล่นลูกชาย ค

                          คลาสสิกคอนโดคอนเทนต์คอนเน่
                          คอนเนอร์คอมโบคอมแพกต์คอลัมน์
                          คัตโตะคันเร่งคัมภีร์คาร์เตอร์
                          คาร์ฟูคิมม่อนคิวบิกเคนโด้
                          เคนตะเควินเคอร์เซอร์เคอร์ฟิว
                          แคนนอนแคปซูลโควต้าคีตะ
                          คิวเทคิวเท็นเคนโซ่

                          ชื่อเล่นลูกชาย จ

                          จอมทัพจอมยุทธ์จาติมจาวา
                          จิ๋นซีจีฮุนจุนอูจูเนียร์
                          เจคอปเจชินเจไดเจเปก
                          เจฟฟี่เจโม่เจย์โรมเจเล่
                          เจเลอร์เจอาร์เจ้าเพลิงเจ้าเมือง
                          โจโฉ

                          ชื่อลูกชาย ช

                          ช่อครามโชแปงชัตเตอร์ชาม่อน
                          ชาร์จชินโตชิโน่ชิม่อน
                          ชิริวชิลีชีโต๊สชูก้า
                          ชูตเตอร์เชลซีแชร์นโชกุน

                          ชื่อเล่นลูกชาย ซ

                          ซอฟต์แวร์ซันเปซัมเมอร์ซัลฟา
                          ซานฟรานซิกเซ้นส์ซิลเว่อร์ซีซั่น
                          ซีนายซีม่อนซีลล์ซีแกรม
                          เซปเป้เซฟเซย์จิเซอร์เวย์
                          เซิฟเวอร์โซนาร์โซนิคไซเบอร์
                          ไซม่อนเซนเซย์

                          ชื่อเล่นลูกชาย

                          ชื่อเล่นลูกชาย ด

                          ดราฟท์ดันเต้ดินแดนดินปืน
                          ดินสอดีเซลดีเดย์ดีเทล
                          ดีพร้อมดีแลนเดบิ๊วท์เดโม่
                          เดลต้าเดิมพันโดเมนไดโน่
                          เด็ดเดี่ยว

                          ชื่อลูกชาย ต

                          ต้นซุงต้นปัณณ์ต้นโมกข์ต้นหน
                          ตัวเต็งเตตัสใต้หล้าไต้ฝุ่น
                          ตั้งเต

                          ชื่อลูกชาย ท

                          ท่องภพทองเอกทัพบกทำดี
                          ทิกเกอร์ทิวเขาทีมเวิร์กทูเดย์
                          เทย์แลนด์เทเล่ไทปันไทฟง
                          เท็นคิวแทรกเตอร์ทีเจทาวเวอร์

                          ชื่อลูกชาย ธ

                          ธรรมดีธันเดอร์ธัมโมเธียเตอร์

                          ชื่อเล่นลูกชาย น

                          นอร์ทนอร์เวย์นักรบนัทสึ
                          นับหนึ่งนาโต้นาบุญนาซ่า
                          น้ำไนล์นิชินนิทานนิวตรอน
                          นิวตั้นนีโอเนคตาร์เนเจอร์
                          เนย์มาร์โนวาโนอาห์โนแอล

                          ชื่อลูกชาย บ

                          บอมเบย์บั้บเบิ้ลบายพาสบาร์เบียร์
                          บาร์เลย์บิ๊กไบค์บิวกิ้นบีตส์
                          บีเติร์ดบีเวอร์เบรฟเบราว์เซอร์
                          เบอร์ดี้ใบโพธิ์ไบเบิลไบโอ

                          ชื่อลูกชาย ป

                          ปอร์เช่ปอร์โต้ปันโนปันผล
                          ปาเก้ปิกก้าปุณโณปูติน
                          เป็นคุณเปเปอร์เปอร์เซ็นต์เปอร์โย
                          เปี่ยมบุญโปเต้โปรเกรสโปรแกรม
                          โปรเจคโปรตรอนปาแปง

                          ชื่อเล่นลูกชาย

                          ชื่อลูกชาย ผ

                          ผไทผ่านฟ้าผู้กองผู้หมวด
                          แผ่นดินแผ่นเสียงผืนน้ำผืนป่า

                          ชื่อเล่นลูกชาย พ

                          พบพระพบรักพรอนโต้พร้อมพบ
                          พระคุณพระนายพระพายพริกแกง
                          พรีเซนต์พรีเมียร์พรีอุสพลเอก
                          พองโตพอยเตอร์พันไมล์พันวา
                          พีชญ์พุทโธพูม่าเพลงขลุ่ย
                          เพลิงเพิร์ธแพลงก์ตอน

                          ชื่อเล่นลูกชาย ฟ

                          ฟร้องซ์ฟรอยด์ฟรีดอมฟอร์จูน
                          ฟ้าครามฟ้าลั่นฟิจิฟิวเจอร์
                          ฟีโน่ฟีฟ่าฟีเวอร์เฟลิกซ์
                          ฟีนิกส์เฟเวอร์

                          ชื่อลูกชาย ภ

                          ภควาภักษ์ภันเตภาคิน
                          ภีมภีมะภูเขา

                          ชื่อเล่นลูกชาย ม

                          มหาสมุทรมอนเตอร์มันเดย์มาโคร
                          มาเวลมิกก้ามิดไนท์มิลาน
                          มีคุณมีเอลเมเจอร์เมืองเหนือ
                          แม็กนัมแมชชีนโมเด็มโมนิค
                          ไม้คิวไม้โทไม้หมอนไม้เอก

                          ชื่อลูกชาย ย

                          ยูกิยูตะยูฟ่ายูโร

                          ชื่อลูกชาย ร

                          รถดริฟต์รถดั๊มพ์รถโฟล์คร็อคเกอร์
                          ริคเตอร์ริวคินรีวอร์ดเรียวมะ

                          ชื่อลูกชาย ล

                          ลายไทยลูเทอร์แล๊คต้าโลตัส
                          ลาเต้แล็คโต๊ส

                          ชื่อลูกชาย ว

                          วิคชั่นวิคเตอร์วินโดว์วีซ่า
                          เวกเตอร์เวเฟอร์เวอร์นอนเวิลด์คลาส

                          ชื่อลูกชาย ส

                          สตรองสตราฟสตาร์ทสโตน
                          สามภพสิบทิศสิบหมื่นสีฝุ่น

                          ชื่อเล่นลูกชาย อ

                          ออนไลน์ออลไทม์ออสก้าออบีช
                          อัลตร้าอาร์กอนอาเซียนอาฟก้า
                          อาเรย์อินดี้อิมพอร์ตเอเคอร์
                          แองเกิ้ลแอร์พอตโอเชี่ยนโอเปค
                          โอเว่นโอห์มไอเฟลไอโฟน

                          ชื่อลูกชาย ฮ

                          ฮาจิฮาเล่ย์ไฮเวย์ฮ่องเต้

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                          ท่าไหนได้ลูกชาย กับสูตรทำลูกชาย ซึ่งว่าที่คุณพ่อคุณแม่ต้องลอง!!

                          ทำนายฝันแม่ ๆ ฝันแบบนี้ได้ลูกชายหรือลูกสาว?

                          แนวสอนดี! ดู๋ สัญญา ให้ลูกชายฝึกงานช่วงปิดเทอม เรียนรู้ความลำบากกว่าจะหาเงินได้

                          ผิดไหม? ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ลูกสาวเล่นรถ พ่อแม่ควรทำไงดี!

                            วิจัยเผย! เลี้ยงลูกกับสุนัขด้วยกัน ได้ประโยชน์กว่าที่คิด

                            เลี้ยงลูกกับสุนัขด้วยกัน – คุณอาจเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “สุนัขเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์” แต่สำหรับประเด็นที่จะพูดถึงในวันนี้ เราอาจพูดได้ว่า “สุนัขเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเด็ก” ด้วยค่ะ  สำหรับบ้านที่มีลูกๆ วัยเตาะแตะ อาจเคยมีคำถามว่า เราจะเลี้ยงสุนัขร่วมให้อยู่ร่วมกับเด็กได้ไหม? เลี้ยงสุนัขในบ้านที่มีเด็กจะทำให้เด็กป่วยหรือเปล่า? อาจจะด้วยความที่บ้านเราเป็นเมืองร้อน การรักษาความสะอาดเนื้อตัวของสุนัขอาจทำได้ยากกว่าในต่างประเทศที่การเลี้ยงลูกๆ ไปพร้อมกับมีสุนัขรายล้อมดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดามากๆ วันนี้เรามาลองดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้กันก่อนค่ะ ว่าทำไมในต่างประเทศถึงได้นิยมเลี้ยงลูกเล็กๆ ไปพร้อมกับการที่มีสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขอยู่ในบ้าน พวกเขาไม่กลัวลูกๆ จะป่วยหรือได้รับอันตรายจากเจ้าตูบกันบ้างเหรอ?

                            วิจัยเผย! เลี้ยงลูกกับสุนัขด้วยกัน ได้ประโยชน์กว่าที่คิด

                            ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกกับน้องหมาให้อยู่ด้วยกัน

                            1. ทารกที่อยู่ร่วมกับสุนัขเจ็บป่วยน้อยลง

                            ผลการศึกษาล่าสุดโดย Kuopio University Hospital ในฟินแลนด์ พบว่า ทารกที่อาศัยอยู่กับสุนัขในช่วงขวบปีแรกของชีวิต มีโอกาสเจ็บป่วยทางระบบทางเดินหายใจน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้เป็นเจ้าของสุนัข ผลการวิจัยพบว่าสุนัขทำให้เด็กๆ สัมผัสกับเชื้อโรคในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของทารกเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยเมื่อเด็กๆ โตขึ้น

                            2. สุนัขช่วยให้ผู้อ่านรุ่นเยาว์มีความมั่นใจ

                            เด็กที่เพิ่งหัดอ่านมักจะรู้สึกประหม่าเกี่ยวกับการอ่านออกเสียงกับคนอื่น ๆ การมีสุนัขอยู่รอบๆ ทำให้พวกเขาไม่มีปัญหาวิตกกังวลใดๆ เพราะพวกเขากำลัง “อ่านหนังสือให้สุนัขฟัง” เนื่องจากสุนัขจะมีความสุขเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ๆ เด็ก ทั้งยังไม่มีคำติ หรือการวิจารณ์ใดๆ  เด็กๆ จึงมั่นใจที่จะออกเสียงอ่านให้เจ้าตูบฟัง ซึ่งความรู้สึกมั่นใจที่เกิดขึ้น จะสร้างความมหัศจรรย์ต่อความสามารถในการอ่านของเด็กๆ ได้

                            เลี้ยงลูกกับสุนัขด้วยกัน
                            เลี้ยงลูกกับสุนัขด้วยกัน

                            3. สุนัขคือกำลังใจในการหัดพูดของเด็ก

                            สุนัขมอบโอกาสเด็ก ๆ ได้ฝึกพูด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกชื่อสุนัข หรือขอให้สุนัขทำตามคำสั่งง่ายๆ เช่น นั่งลง ด้วยความที่เด็ก ๆ มักจะกระตือรือร้นที่จะพูดคุยกับเพื่อนใหม่ สุนัขยังสามารถช่วยเด็กที่มีปัญหาในการพูดได้โดยทำให้พวกเขาผ่อนคลายและเพลิดเพลิน

                            4. เด็กที่ใกล้ชิดสุนัขเป็นโรคภูมิแพ้และหอบหืดน้อยกว่า

                            นักวิทยาศาสตร์พบว่าเด็กที่โตมาพร้อมสุนัขมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้และโรคหอบหืดได้น้อยกว่าเด็กที่โตมาโดยไม่มีสุนัขถึง 50% ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พบข้อเท็จจริงว่าเด็กที่เติบโตมาพร้อมกับสุนัขจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกว่ามาก เนื่องจากร่างกายของเด็กมีโอกาสสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคภูมิแพ้ได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้มีสัตว์เลี้ยงอยู่ภายในบ้าน

                            5. เด็กที่เลี้ยงสุนัขได้ออกกำลังกายมากขึ้น

                            ในยุคดิจิทัล  ที่เด็กๆ บางคนอาจไม่ค่อยชอบออกจากบ้านไปวิ่งเล่น เอาแต่เฝ้ารอดูหน้าจอ หรือเล่นเกมส์มือถือ  แต่การเลี้ยงสุนัขเป็นวิธีที่ดีในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ สุนัขส่วนใหญ่เป็นเพื่อนที่ดีในการทำกิจกรรมสนุกๆร่วมกับเด็กๆ โดยเด็กๆ สามารถพาสุนัขเดินเล่นรอบบ้าน หรือสนุกกับการเล่นลูกบอลและเชือกในสวนหลังบ้าน สิ่งเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ มีสุขภาพที่ดีและคุ้นเคยกับวิถีชีวิตที่กระตือรือร้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินเล่นรอบบ้านในทุกๆ วัน หรือพาสุนัขออกไปเที่ยวเล่นที่สวนสาธารณะ การมีเพื่อนเล่นเป็นสุนัขจึงเป็นเหตุผลที่ดีที่ทั้งครอบครัวจะได้ออกจากบ้าน และอยู่ห่างจากหน้าจอได้

                            6. สุนัขเป็นสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเด็กออทิสติก

                            จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยมอนทรีออลพบว่าระดับฮอร์โมนความเครียดของเด็กที่เป็นออทิสติกจะลดลงอย่างมากเมื่ออยู่กับสุนัขที่ได้รับการฝึกฝน นักวิทยาศาสตร์หลายคนทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และในขณะที่ยังมีอะไรให้ค้นหาอีกมาก แต่ก็ไม่มีใครสามารถโต้แย้งเกี่ยวกับความจริงที่ว่า “การบำบัดด้วยสัตว์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นเจ้าของสุนัขสามารถช่วยเด็ก ๆ เหล่านี้ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

                            7. ช่วยส่งเสริมความสามัคคีของพี่น้อง

                            การมีสุนัขอยู่รอบ ๆ บ้านก็เหมือนกับการมีลูกอีกคน วิธีนี้ช่วยให้บ้านที่มีลูกเล็กๆ สองสามคนใกล้ชิดกันมากขึ้น ด้วยการดูแลสัตว์เลี้ยงร่วมกัน ช่วยลดปัญหาต่างๆ  เช่น พี่น้องชิงดีชิงเด่น หรืออิจฉากัน  เพราะสุนัขจะทำให้พี่น้องได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น นี่จึงเป็นโอกาสทองให้ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมในเรื่องความสามัคคีระหว่างพี่น้องได้ เช่น ให้ลูกๆ ช่วยกันพาสุนัขเดินเล่น หรือให้อาหารสุนัข จนเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน และเมื่อถึงเวลาเล่นสนุก การมีสุนัขวิ่งไปมาในสวนจะทำให้พวกเขาใกล้ชิดสนิทสนมรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้นได้

                            8. เด็กที่อยู่ร่วมกับสุนัขมีโอกาสเป็นโรคสะเก็ดเงินได้น้อย

                            จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยซินซินนาติ (วิทยาลัยแพทยศาสตร์) ของสหรัฐอเมริกา พบว่าเด็กที่อาศัยอยู่กับสุนัขตั้งแต่ยังเล็กและมีอาการแพ้ต่างๆ จากสุนัข มีโอกาสเป็นโรคสะเก็ดเงินน้อยกว่าเด็กทั่วไปถึง 4 เท่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ คืออาการแพ้เล็กน้อยดังกล่าวจะไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก แต่การรับมือกับมันจะทำให้ภูมิคุ้มกันของเด็กๆ ทนทานต่อการเกิดโรคสะเก็ดเงินได้เป็อย่างดี

                            9. สุนัขช่วยให้เด็กเรียนรู้ทักษะทางสังคม

                            การเติบโตมาพร้อมกับสุนัขช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้ทักษะทางสังคม รวมทั้งการควบคุมแรงกระตุ้น และเพิ่มความนับถือในตนเอง นอกจากนี้ยังทำให้พวกเขาเป็นมิตรกับผู้คนมากขึ้น เมื่อพวกเขาเดินเล่นไปรอบ ๆ บ้านกับสุนัข มีโอกาสที่เพื่อบ้าน หรือคนทั่วไปจะเข้ามาเล่นกับเด็กๆ และสุนัข  การแบ่งปันสุนัขให้เพื่อนบ้านได้เล่นและแวะทักทายสักครู่ จะช่วยสอนเรื่องความมีน้ำใจและความอดทนรอให้กับเด็กได้

                            10. เด็ก ๆ ได้เติบโตมาพร้อมกับเพื่อนรัก

                            สุนัขมักจะมีความสุขที่ได้พบคุณเมื่อคุณกลับถึงบ้านพวกมันจะรักคุณเสมอและความรักของพวกมันไม่มีเงื่อนไข เป็นเพื่อนสนิทในอุดมคติ และเป็นเพื่อนเล่นที่เต็มใจเสมอ ซึ่งหมายความว่าไม่มีเพื่อนที่ดีสำหรับเด็กไปกว่าสุนัข นอกจากนี้การมีสุนัขจะช่วยปลูกฝังเรื่องความรักสัตว์ให้เด็ก ทั้งยังทำให้เด็กมีจิตใจที่อ่อนโยนขึ้นค่ะ

                            11. เด็กที่ดูแลสัตว์เลี้ยงจะได้เรียนรู้เรื่องความรับผิดชอบ

                            การดูแลสุนัขเป็นวิธีที่ดีในการสอนเด็ก ๆ ถึงความสำคัญของความรับผิดชอบ สิ่งสำคัญคืออย่าปล่อยให้เด็กลืมว่าเขาต้องรับผิดชอบในบางสิ่งที่สุนัขของเขาทำ เช่นเดียวกับการดูแลความต้องการของสุนัข เพราะอย่างไรก็ตาม สุนัขก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่ไม่สามารถหาอาหาร หรืออาบน้ำเองได้ หากบุตรหลานของคุณแสดงการต่อต้านหรือเกียจคร้านในการทำสิ่งต่างๆ ให้น้องหมาของเขา ให้เตือนพวกเขาว่าการเป็นผู้คอยดูแลสุนัข ถือเป็นงานที่มีเกียรติ ซึ่งต้องใช้ความอดทน และหากพวกเขาละเลยสิ่งนี้ ก็ไม่คู่ควรกับเพื่อนที่แสนดีอย่างสุนัข

                            เลี้ยงลูกกับสุนัขด้วยกัน

                            12. สุนัขทำให้เด็กๆ มีความสุข
                            บางทีประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของการเลี้ยงสุนัขไว้กับลูกวัยเด็ก คือ การทำให้เด็ก ๆ มีความสุข! การมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ ได้รับการพิสูจน์ ยืนยันแล้ว ว่าสามารถเพิ่มระดับของเซโรโทนิน และโดปามีนซึ่งเป็นส่วนประกอบทางเคมีของความรู้สึกเชิงบวก นอกเหนือจากวิทยาศาสตร์แล้ว การเล่นและโต้ตอบทักทายกับสุนัขแบบง่ายๆ จะทำให้วันของเด็ก ๆ สดใสขึ้น การเติบโตมาพร้อมกับสุนัขสามารถทำให้เด็ก ๆ มีชีวิตชีวาได้หลายวิธี การเลี้ยงสุนัขในครอบครัวของคุณอาจเป็นเสมือนของขวัญที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งที่เราสามารถมอบให้กับลูก ๆ ของเราได้เช่นกันค่ะ

                            อย่างไรก็ตาม ด้วยสไตล์ไทยๆ อย่างบ้านเรา หากมีสุนัขอยู่ในบ้านที่มีเด็กๆ  คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่อาจคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยของลูกน้อยก่อนเป็นอันดับแรก เพราะยังไงก็แล้วแต่ สุนัขก็เป็นสัตว์ที่มีสัญชาตญาณดุร้าย หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าวที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกได้โดยที่เราไม่คาดคิด ตามคำกล่าวที่เราอาจคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ว่า “อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน”

                            ด้วยเหตุนี้ทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังความปลอดภัยของเด็กๆ ก่อน ดังนั้น สำหรับบ้านไหนที่สนใจจะลองเลี้ยงสุนัขไว้ในบ้านให้ใกล้ชิดกับเด็กๆ  เพื่อให้เด็กๆ ได้รับประโยชน์จากขอเท็จจริงที่อ้างถึงในงานวิจัยของต่างประเทศ หรือ ในกรณีที่เราเลี้ยงสุนัขในบ้านอยู่แล้วแต่เพิ่งมีเจ้าตัวเล็กมาเพิ่มเป็นสมาชิกใหม่ ลองติดตามเคล็ดลับดีๆ ที่จะช่วยให้ลูกๆ กับสุนัขอยู่ร่วมกันได้อย่างปลอดภัยก่อนดีกว่าค่ะ

                            7 เคล็ดลับให้เด็กๆ อยู่กับสุนัขได้อย่างปลอดภัย

                            1. เมื่อสุนัขอยู่บนพื้นอย่าอุ้มทารกวางไว้โดยละสายตา

                            สำหรับบ้านที่มีลูกวัยแบเบาะและเลี้ยงสุนัขไว้นอกบ้าน อาจไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ลูกน้อยของคุณจะได้ฝึกคลานไปมาบนพื้นได้อย่างสะดวก แต่ในกรณีที่เลี้ยงสุนัขไว้ในบ้าน การให้ทารกฝึกคลานบนพื้นก็อาจเป็นอันตรายต่อลูกได้หากสุนัขของคุณมีนิสัยดุร้ายเป็นทุนเดิม คุณอาจไม่มีทางรู้หรือทันระวัง หากเมื่อใดที่สุนัขหรือลูกน้อยจะตกใจกลัวกันและกัน จนนำไปสู่ปฏิกิริยาในลักษณะที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่างๆ ต่อตัวลูกได้

                            2. อย่าปล่อยสุนัขและลูก ๆ ของคุณไว้ด้วยกันโดยไม่มีใครดูแล

                            นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี หากคุณยุ่งอยู่กับสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ และละสายตาจากสิ่งที่ลูก ๆ และสัตว์เลี้ยงของเรากำลังทำ การกอดง่ายๆ จากเด็ก อาจถือเป็นการแสดงความก้าวร้าวต่อสุนัขได้ ทางที่ดีควรให้บุตรหลานของคุณอยู่ในระยะเอื้อมถึงแม้ว่าจะไม่มีสุนัขอยู่ใกล้ ๆ ก็ตาม

                            3. อย่าปล่อยให้ลูกน้อยคลานเข้าไปในห้องอื่นที่คุณมองไม่เห็น

                            หากลูกน้อยของคุณเริ่มคลานคุณต้องปฏิบัติตาม อย่าปล่อยให้ลูกหรือลูกน้อยของคุณเดินไปมาในห้องที่คุณมองไม่เห็น ใช้ประตูนิรภัยสำหรับเด็กและล็อคเพื่อให้เด็กเล็กอยู่ห่างจากสัตว์เลี้ยงของคุณหรืออันตรายและอันตรายอื่น ๆ

                            4.อย่าปล่อยให้ลูกของคุณเข้าใกล้สุนัขของคุณในขณะที่สุนัขกำลังหลับ

                            สุนัขสามารถสะดุ้งตื่นพร้อมกับหงุดหงิดได้เช่นเดียวกับมนุษย์ ควรให้สุนัขของคุณมีที่ที่ปลอดภัยและสะดวกสบายในการนอนหลับโดยที่เด็ก ๆ จะได้ไม่รบกวนพวกมันอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์จนนำมาสู่อันตรายที่ไม่คาดคิด

                            5. อย่าให้ลูกตี โยนของหรือตะโกนใส่สุนัข

                            เด็กๆ ควรได้รับการสอนว่าต้องปฏิบัติต่อสัตว์ด้วยความเมตตาและความเคารพ  การมีท่าทีก้าวร้าวต่อสุนัข อาจทำให้สุนัขแสดงสัญชาตญาณดุร้ายใส่ลูกคุณได้

                            6.อย่าปล่อยให้ลูกกอดสุนัขสุ่มสี่สุ่มห้า

                            บางทีการกอดสุนัขอาจเป็นเรื่องปกติที่พวกเราทำกันได้ เพราะเราสามารถรับรู้ถึงอารมณ์ของสุนัขได้ดีกว่าลูกๆ ที่อาจยังไม่รู้ประสีประสา สำหรับเด็กๆ การกอดสุนัขอาจทำให้สุนัขอารมณ์เสียได้เพราะพวกเขาอาจยังไม่รู้เท่าทันท่าทีและอารมณ์ของสุนัข ว่าเวลาไหนที่จะสามารถเล่นกับพวกมันได้หรือเล่นไม่ได้  ควรสอนลูก ๆ ว่าพวกเขาต้องขออนุญาตที่จะสัมผัส หรือดูอารมณ์ของสุนัขและพูดคุยกับสุนัขก่อนเสมอที่จะไปใกล้ชิดคลุกคลี

                            7. สอนลูก ๆ ของคุณว่าอย่าหยิบอะไรออกจากปากสุนัข

                            ไม่ว่าจะเป็นขนมหรือของเล่น เด็ก ๆ ควรเรียนรู้ว่าพวกเขาไม่ควรพยายามแย่งมันมาจากสุนัข หากสุนัขแย่งของเล่นไป สอนลูกๆ ว่าให้หาผู้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดจัดการเรื่องนี้ให้จะดีที่สุด เพราะโดยสัญชาตญาณสุนัขอาจตอบโต้ด้วยท่าทีดุร้ายได้หากโดนแย่งของ

                            จะเห็นได้ว่าการมีสัตว์เลี้ยงอยู่ร่วมกับลูกๆ สามารถปลูกฝังทักษะด้านความฉลาดในการใช้ชีวิตที่ดีให้ลูกได้ อาทิ ความรับผิดชอบและความมีเมตตาต่อสัตว์เลี้ยง การได้เข้าสังคมจากการพาสุนัขเดินเล่นนอกบ้าน ความสามัคคีของพี่น้องที่ต้องช่วยกันดูแลสุนัข หรือการได้ออกกำลังกายเป็นประจำพร้อมหน้ากับคุณพ่อคุณแม่พี่ๆ น้องๆ และสัตว์เลี้ยง เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าที่กล่าวมาทั้งหมด สามารถส่งเสริมทักษะความฉลาดที่รอบด้านให้แก่ลูกๆ ได้หลายแบบเลยค่ะ ทั้ง ความฉลาดทางคุณธรรม (MQ) , ความฉลาดในการเข้าสังคม (SQ) , และ ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) เป็นต้น

                             

                            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : ba-bamail.com,purina.co.uk

                            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                            ระวัง! เชื้อพิษสุนัขบ้า ติดมากับลูกหมาที่เพิ่งซื้อ

                            แม่ใจสลาย เมื่อลูกน้อยถูกสุนัขที่มีเจ้าของกัด

                            ุเตือน! อย่าปล่อยสุนัขพันธุ์พิตบูลไว้กับเด็กเพียงลำพัง

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              บอร์ดเกม monopoly

                              Monopoly เกมเศรษฐี บอร์ดเกมยอดฮิต ฝึกลูกวางแผนการเงิน โดยพ่อเอก

                              เด็กเรียนรู้ได้ดีผ่านการเล่น เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ได้ยินเสมอ แต่เล่นอะไรดีที่จะทำให้ลูกได้เรียนรู้ บอร์ดเกม เป็นหนึ่งทางเลือกที่ดี สามารถเลือกซื้อหาอุปกรณ์การเล่นได้ง่าย เพราะเป็นที่นิยมแพร่หลาย บอร์ดเกมแรกที่จะมาชวนเล่นก็คือ Monopoly

                              โดยสามารถ search หาร้านได้จากบน internet หรือใช้ application แผนที่ที่ใช้เวลาเดินทางแล้วหาคำว่า ‘board game’ ก็จะมีตำแหน่งร้านในบริเวณนั้นขึ้นมา หรือ จะสั่งซื้อทาง internet ก็มีให้เลือกง่ายๆ หลายเกรดคุณภาพซึ่งถ้าสั่งที่เป็นของลิขสิทธิ์ก็จะราคาสูงแต่คุณภาพดีน่าใช้และสามารถใช้งานได้นาน แต่ถ้าอยากประหยัดงบ ก็จะมีสินค้าที่ผลิตจากจีนที่ราคาต่ำกว่ามาก ครอบครัวเราเลือกใช้ลิขสิทธิ์ทั้งหมดในการเล่น แม้ว่าจะราคาสูงหน่อย แต่ได้ประโยชน์หลายอย่างทั้งรูปแบบสีสันที่ดึงดูดให้น่าเล่น รวมไปถึงภาษาก็จะเป็นภาษาอังกฤษซึ่งก็จะเป็นประโยชน์แอบแฝงของการเล่นบอร์ดเกมกับลูกไปในตัว เพราะกฏกติกาก็จะเป็นภาษาอังกฤษไปด้วย ยังไม่ทันได้เริ่มเล่นก็เห็นการเรียนรู้ที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว

                              แนะนำ Monopoly เกมเศรษฐี บอร์ดเกมสำหรับเด็ก สนุกทั้งครอบครัว

                              บอร์ดเกม monopoly
                              บอร์ดเกม monopoly

                              บอร์ดเกม Monopoly เกมเศรษฐี คืออะไร

                              Monopoly ก็คือเกมเศรษฐีที่เราเล่นกันตั้งแต่เด็กนั่นแหละ เดี๋ยวนี้มีแตกออกไปหลายรูปแบบมีการเอาตัว การ์ตูน และ ซูเปอร์ฮีโร่ต่างๆมาดึงดูด นอกจากนั้นมีการใช้อุปกรณ์อีเล็คทรอนิคมาเพิ่มความน่าสนใจให้เด็กๆ ได้สนุกกันเพิ่มเติม Monopoly มีต้นกำเนิดมาจากเกมชื่อ The Landlord Game เป็นเกมจำลองการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ คิดค้นโดยชาวอเมริกัน ชื่อว่าคุณ Ellizabeth Magie Phillips ซึ่งได้จดสิทธิบัตรไว้ และได้ขายให้บริษัท Parker Brother และพัฒนาจนเป็น Monopoly ในปัจจุบัน

                              เกมเศรษฐี Monopoly เหมาะสำหรับอายุเท่าไหร่

                              บนกล่อง Monopoly จะแนะนำว่าเกมนี้เหมาะกับผู้เล่นอายุ 8 ปีขึ้นไป แต่จริงๆ เด็ก 4-5 ขวบ ที่พอจะเรียนรู้และเข้าใจกฏกติกาในการเล่นก็เล่นได้ แต่อาจจะต้องให้ผู้ใหญ่ช่วยในการบวกลบเลข และแนะนำขั้นตอนการเล่น อย่างปั้นแป้งก็สามรถเล่นกับปูนปั้นกัน 2 คนได้เวลาผมหรือภรรยาไม่ว่าง บางครั้งอาจจะมีทะเลาะกัน เสียน้ำตาบ้างแต่ก็เล่นกันจนจบ ฮ่าฮ่าฮ่า  Monopoly สามารถเล่นได้ทีละ 2-4 คน

                              แนะนำบอร์ดเกม monopoly เกมเศรษฐี
                              monopoly เกมเศรษฐี บอร์ดเกมยอดฮิตสำหรับเด็กและครอบครัว

                              เกมเศรษฐี Monopoly เล่นยังไง

                              ก่อนเริ่มเกมส์ผู้เล่นจะได้รับเงินจำนวนหนึ่งเป็นทุน การเล่นก็ใช้การผลัดกันทอยลูกเต๋าและนับแต้มที่ได้ แล้วเดินไปตามเส้นทางโดยนับช่องตามจำนวนแต้มลูกเต๋าที่ทอยได้ ในแต่ละช่องก็จะเป็นชื่อเมือง (หรือชื่อถนน) แล้วผู้เล่นก็จะมีโอกาสที่จะซื้อโฉนดที่ดิน ซึ่งถ้าเราเป็นเจ้าของโฉนดหากผู้เล่นอื่นเดินมาตกบนที่ดินนั้นก็จะเสียค่าใช้จ่ายให้เรา และในรอบต่อไปหากเราเดินมาตกบนที่ดินของเราเราก็สามารถที่จะเลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมคือสร้างบ้าน (และโรงแรม หากมีบ้านครบจำนวนแล้ว) ซึ่งจะทำให้ผู้อื่นหากเดินมาตกลงบนพื้นที่ที่มีบ้านหรือโรงแรมอยู่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เรามากขึ้นหรือก็คือแหล่งรายได้ของเรานั่นเอง

                              จะเห็นว่า บอร์ดเกม Monopoly เป็นบอร์ดเกมที่แฝงกลยุทธ์ทางธุรกิจไว้ เพราะจะเป็นการวางแผนในการบริหารเงิน ในการเลือกซื้อขายที่ดิน ในการเลือกที่จะลงทุนสร้างบ้าน รวมถึงการต้องวางแผนการจัดการเงินเพื่อรับมือกรณีที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝัน นอกจากนั้นในแต่ละแบบอาจจะมีการลงทุนอื่นๆ เป็น option แตกต่างออกไป เช่นโรงงานไฟฟ้า สถานีรถไฟและอื่นๆ และในเกมยังจะมีช่องที่เป็นเหมือนการจำลองเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น โดยไม่คาดคิด ไม่ได้วางแผนมาก่อน โดยถ้าเดินไปตกในช่องโอกาส (Chance) กับ เปิดหีบ (Community Chest) ก็จะเปิดการ์ดที่จะมีเหตุการณ์ที่อาจจะทำให้ได้เงินหรือเสียเงิน หรือมีโอกาสที่จะทำอะไรเพิ่มเติมหรือสูญเสียตามที่ในการ์ดที่เราเปิดขึ้นมาระบุไว้ และยังมีช่องที่จะทำให้เสียโอกาสในการเดินอย่าง parking หรือ เข้าคุกอีกด้วย สุดท้ายเกมจะตัดสินกันที่ ใครมีเงินมากสุดชนะ หรือในระหว่างเกมอาจจะมีคนล้มละลายไปก่อนเพราะใช้เงินจนหมด ไม่พอเสียค่าปรับแม้จะขายทรัพย์สินตัวเองออกมาจนหมดแล้วก็ตาม

                              monopoly บอร์ดเกมสำหรับครอบครัว
                              monopoly บอร์ดเกมสำหรับครอบครัว

                              4 ข้อดีที่ลูกได้จากการเล่น บอร์ดเกม Monopoly

                              1. เด็กไม่ชอบทำการบ้านเลข แต่ให้มาบวกลบเลขบนเกมเด็กจะไม่บ่น ซึ่งตัวเลขที่ใช้บนนี้มีถึงหลักล้าน แต่ตอนปูนปั้นอยู่ อนุบาล 3 ก็สามารถบวกได้แล้ว ไม่ต้องเป็นเด็กติว หรือ เด็กเก่งก็บวกได้ เพราะมันไม่ใช่การบ้าน แต่มันคือ เกม (tip – ผมจะให้ลูกมีสมุดไว้บวกลบเลขอยู่ข้างตัว เขาจะต้องเป็นคนคำนวณเอง ผมจะไม่ทำให้ ช้าหน่อย ก็รอได้ แม้ใน Monopoly รุ่นใหม่ๆบางรุ่นจะมีอุปกรณ์ electronic แค่เอาการ์ดไปแตะมันจะคำนวณเลขให้ แต่ผมก็จะให้ลูกคำนวณตามไปด้วยว่าเลขตรงมั้ย)
                              2. วางแผน คิดเป็นระบบ ซึ่งเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดขึ้น เมื่อเล่นหลายๆ ครั้งจะเห็นลูกรู้จักคิด ไม่ซื้อดะ เพราะจะเผื่อเงินเวลาโดนปรับ แต่ถ้าเขามีเงินเยอะก็จะเห็นการกระหน่ำลงทุน เห็นการเลือกที่จะซื้อที่ดินเป็น set ในพื้นที่ที่ราคาสูง เป็นต้น
                              3. เรียนรู้ในสิ่งที่นอกเหนือจากในห้องเรียน อย่าง ภาษี ค่าเช่า ค่าปรับ และอื่นๆ ซึ่งตรงนี้คุณพ่อคุณแม่ถ้าได้อ่านที่ผมเคยเขียนไว้ว่า ลูกมีคำถามอย่าจบแค่ที่คำตอบ จะรู้ว่าการที่ลูกมีคำถามข้อหนึ่งมันเรียนรู้ต่อยอดไปได้อีกเยอะ
                              4. การใช้ภาษา อย่างที่พูดไว้ข้างต้นในกรณีที่เป็น Monopoly ภาษาอังกฤษ แต่แม้จะเป็นภาษาไทยก็จะได้อ่านการ์ด อ่านคำต่างๆที่แตกต่างไปจากที่เรียน

                              เป็นเกมที่สนุกและปูนปั้นกับปั้นแป้งชอบมาก แต่เด็กแต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกันดังนั้นเราอาจจะต้องดูลักษณะนิสัยของลูก และเลือกเกมเริ่มแรกให้เหมาะกับเขาเสียก่อน อย่ายากจนเขาท้อและไม่สนุกพาลไม่อยากเล่น และอย่าง่ายจนไม่ท้าทายและไม่ดึงดูดความสนใจ วิธีหนึ่งที่ดีในการเลือกเกมให้ลูกโดยไม่เสียเงินฟรี คือ ไปใช้บริการร้านบอร์ดเกมคาเฟ่ต่างๆ แม้จะเสียเวลาค่าเล่นเป็นรายชั่วโมงแต่สามารถลองเล่นได้หลายเกมเท่าที่ต้องการ เมื่อเจอเกมที่ลูกชอบจะได้เลือกซื้อถูกต้อง การหาร้านบอร์ดเกมก็หาร้านที่มีให้เลือกเยอะๆ ไปถึงไม่ต้องเกรงใจพนักงาน บอกไปเลยว่าลูกยังไม่เคยเล่น ตอนนี้มาหาบอร์ดเกมที่ถูกจริตกับลูกให้ลองเล่นช่วยแนะนำให้หน่อย เดี๋ยวพนักงานจะแนะนำพร้อมบอกลักษณะเกมให้เอง

                              ขอให้ได้เกมที่ถูกใจและสนุกสนานกับการเรียนรู้กับลูก และงวดหน้ามาเจอกับเกมต่อๆไปครับ


                              ชวนลูกเล่นบอร์ดเกมนอกจากได้ความสนุกสนาน ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวแล้ว ยังช่วยพัฒนา Intelligenct Quotient (IQ) จากการฝึกบวกลบเลขในเกม รวมไปถึง ความฉลาดคิดเป็น Thinking Quotient (TQ) ผ่านการคิดวางแผนบริหารเงิน จัดการเผื่อเงินให้มีพอสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ลูกจะได้เรียนรู้ว่า ถึงจะมีเงิน แต่ก็ไม่ควรซื้อทุกอย่างที่อยากได้ เพราะอาจทำให้ล้มละลายในที่สุด


                              >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                              หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                              ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
                              ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก
                                โรคกล้ามเนื้อ่อนแรงsma

                                โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA โรคทางพันธุกรรมที่ไม่ควรมองข้าม

                                โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA เป็นโรคหายากที่เกิดจากความผิดปกติของกรรมพันธุ์ในยีนด้อย ความผิดปกติทางพันธุกรรมดังกล่าวส่งผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้เซลล์ประสาทสั่งการสูญเสียการส่งสัญญาณจากไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง เป็นโรคที่หายากสามารถเกิดได้ในเด็กและเด็กแรกเกิด และมีโอกาสพบได้บ่อยเป็นอันดับสองรองจากโรคธาลัสซีเมีย ทางทีมแม่ ABK จึงมีข้อมูลดี ๆ ที่เกี่ยวกับ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA จากคุณหมอผู้เชี่ยวชาญมาฝากคุณแม่ค่ะ

                                โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA

                                กระทรวงสาธารณสุขให้คำจำกัดความของ “โรคหายาก” ว่าเป็นโรคที่มีจำนวน ผู้ป่วยภายในประเทศไทยน้อยกว่า 10,000 ราย จึงมักถูกละเลยเนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักหรือไม่มีผลกระทบต่อคนส่วนมาก แต่แท้จริงแล้ว มีการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยโรคหายากที่มีอยู่รวมกันกว่า 7,000 โรค อาจมีสูงถึง 300 ล้านคนทั่วโลก ดังนั้น การสร้างความตระหนักและผลักดันการรักษาที่มีประสิทธิภาพให้กับผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากโรคหายากจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ได้รับการฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจอย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันยังช่วยลดผลกระทบต่อเศรษฐสถานะของผู้ป่วย ครอบครัวและสังคม อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคหายากยังคงเป็นสิ่งที่สังคมอาจมองข้าม เนื่องจากขาดแคลนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและต้องอาศัยเทคโนโลยี งบประมาณในการวิจัยและพัฒนา อีกทั้งความเชี่ยวชาญขั้นสูงด้านการคัดกรอง วินิจฉัย และรักษา

                                ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสวันโรคหายากสากล ซึ่งตรงกับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ของทุกปี โรช ไทยแลนด์ ได้ร่วมมือกับมูลนิธิโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแห่งประเทศไทย F)E)N)D) เพื่อสร้างองค์ความรู้และรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักให้กับผลกระทบของโรคหายาก โดยเฉพาะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งเป็นโรคหายากที่พบในทารกแรกเกิดและเด็ก

                                โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Spinal Muscular Atrophy: SMA) เป็นโรคหายากที่เกิดจากความผิดปกติของกรรมพันธุ์ในยีนด้อย หากบิดาหรือมารดาเป็นพาหะทั้งคู่ ย่อมมีโอกาสสูงถึง 1 ใน 4 ที่บุตรจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ ความผิดปกติทางพันธุกรรมดังกล่าวส่งผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้เซลล์ประสาทสั่งการสูญเสียการส่งสัญญาณจากไขสันหลังไปยังกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่อง อุบัติการณ์โดยประมาณของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA พบได้ในเด็กแรกเกิดทั่วโลกจำนวน 1 คน

                                ในประชากร 10,000 คนในแต่ละปี และอัตราของคนที่เป็นพาหะอยู่ที่ 1:40–1:60 คน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงมีโอกาสพบได้บ่อยเป็นอันดับสองรองจากโรคธาลัสซีเมีย อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในทารกและเด็กเล็ก หากไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

                                โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA

                                รศ.พญ.อรณี แสนมณีชัย กรรมการมูลนิธิโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจารย์ประจำสาขาระบบประสาทวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า “ในปัจจุบันยังไม่มีการลงทะเบียนผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA ในประเทศไทย ดังนั้น เราจึงไม่สามารถชี้แจงจำนวนผู้ป่วยที่แน่ชัดได้ อย่างไรก็ตาม ได้มีการค้นพบว่าอัตราพาหะของโรคในประเทศไทยอยู่ที่ 1:50 หากคำนวณจากประชากรในประเทศ จะพบว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA อยู่ประมาณ 10,000-20,000 ราย โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA มีอาการแสดงได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเด็ก ผู้ป่วยจะมีอาการแขน ขาอ่อนแรง บางคนอาจมีอาการหายใจลำบาก การดำรงชีวิตของผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและอายุที่เริ่มแสดงอาการ

                                ซึ่งก่อให้เกิดความยากลำบากในการเคลื่อนไหว ส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติปัจจุบันอาศัยการรักษาแบบประคับประคอง ด้วยการรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู เช่น การทำกายภาพบำบัด ส่วนการรักษาเฉพาะโรคนั้น คือ การรักษาด้วยยีนบำบัดซึ่งจำเป็นต้องใช้ทีมแพทย์และทีมบำบัดที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ดังนั้น การร่วมมือกันระหว่างหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รัฐบาล และองค์กรเอกชน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและขยายตัวเลือกในการรักษาผู้ป่วย”

                                ปัจจุบัน มีการคิดค้นนวัตกรรมการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในผู้ใหญ่และเด็กอายุ 2 เดือนขึ้นไป ซึ่งได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์แล้วว่าสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ประสาทสั่งการได้อย่างมีนัยสำคัญ จากการทดลองทางคลินิกกว่าสองครั้งในกลุ่มประชากรตัวอย่างที่มีอายุและระดับความรุนแรงของโรคต่างกัน

                                “นวัตกรรมยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ถือเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญทางการแพทย์ โดยเฉพาะในแวดวงของโรคหายากอย่างโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA โดยยาตัวนี้สามารถช่วยเพิ่มโอกาสการอยู่รอดของทารกได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจถาวร ทำให้ผู้ป่วยสามารถนั่งได้โดยไม่ต้องประคองและทำกิจวัตรประจำวันที่ไม่เคยทำได้ เช่น การแปรงฟันและการหวีผมด้วยตนเอง ซึ่งถือเป็นพัฒนาการครั้งใหญ่ของการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA”

                                โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA

                                ด้าน พญ. ศันสนี เลิศฤทธิ์เรืองสิน หัวหน้าฝ่ายการแพทย์ บริษัท โรช ไทยแลนด์ จำกัด กล่าว “เรามีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนานวัตกรรมการรักษาและวินิจฉัย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยโรคหายาก ด้วยวัตถุประสงค์หลักที่จะคิดค้นการรักษาเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้กับผู้ป่วยโรคหายากที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต หรือไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ และช่วยให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขและใกล้เคียงกับเด็กปกติให้มากที่สุด”

                                การจัดกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอในกลุ่มผู้ป่วยและสมาชิกในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ เพราะบางครั้งผู้ป่วยประสบปัญหาเรื่องการปรับตัวและการเข้าสังคม ดังนั้น การรวมกลุ่มกันของผู้ป่วยและผู้ดูแลเพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทั้งยังแบ่งปันความรู้

                                และการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีจึงมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมาก มูลนิธิโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแห่งประเทศไทย F)E)N)D) ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2558 นับได้ว่าเป็นมูลนิธิแห่งความหวังและกำลังใจเพื่อเด็กไทยที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีจุดประสงค์หลักในการมอบโอกาสให้เด็กโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้รับความช่วยเหลือจากทีมแพทย์ที่เชี่ยวชาญ พร้อมได้รับการดูแลสภาพร่างกายและฟื้นฟูสภาพจิตใจอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการจัดหาอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็น รวมถึงการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการศึกษาและกิจกรรมทางสังคม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต เสริมสร้างกำลังใจ และเพิ่มศักยภาพในการใช้ชีวิตให้กับผู้ป่วย

                                โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA

                                 ด.ช. ณัฐธีร์ เอี่ยมฤทธิไกร หรือน้องพีค อายุ 8 ปี พร้อมคุณแม่ น.ส. รัชดา ศรีพัฒนาวงศ์ ได้กล่าวในฐานะผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA และผู้ดูแลว่า “น้องพีคได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA เมื่ออายุได้ 9 เดือน โรคนี้ส่งผลต่อการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมากเนื่องจากน้องไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มาก จึงทำให้คุณแม่ต้องคอยอยู่เคียงข้างเพื่อดูแลน้องตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่อยู่ที่โรงเรียน

                                ดังนั้น ความหวังสูงสุดของคุณแม่คงหนีไม่พ้นการที่จะให้อาการของน้องดีขึ้นและสามารถช่วยตัวเองได้มากขึ้น อยากให้ลูกใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนปกติให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” คุณแม่รัชดา กล่าว ส่วนน้องพีคได้เล่าถึงความฝันสูงสุดและให้กำลังใจเพื่อนผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงว่า “ความใฝ่ฝันสูงสุดของผมคือการมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เพื่อที่ผมจะสามารถเดินได้เหมือนเด็กคนอื่น แม้จะเป็นแค่เพียงวันเดียวก็ตาม ผมอยากจะส่งกำลังใจกับเด็กคนอื่น ๆ ที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ให้สู้ต่อไป อย่าท้อเพราะเราจะผ่านมันไปด้วยกัน”

                                โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA และโรคหายากอื่น ๆ เป็นโรคที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งยังต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องต่อการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย และการได้รับกำลังใจจากผู้คนรอบข้าง เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่สมบูรณ์และเป็นปกติสุขมากที่สุดทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ คุณแม่สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ที่เฟซบุ๊กมูลนิธิโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแห่งประเทศไทย fendfoundation หรือเว็บไซต์ www.roche.com

                                ขอขอบคุณข้อมูลจาก : มูลนิธิโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงแห่งประเทศไทย

                                บทความที่น่าสนใจ

                                รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

                                ระวัง! โรค RSV รักษาไม่ถูกวิธี อาจติดเชื้อซ้ำซ้อน

                                เพจหมอชื่อดังเผย! 10 ข้อเท็จจริง ของ ไวรัส RSV โรคระบาดหนักในเด็กเล็ก

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  นิทรรศการ

                                  ฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ จัดแสดงนิทรรศการศิลปะเฉลิมฉลอง วันสตรีสากล

                                  “วันสตรีสากล” เกิดขึ้นจากกรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้า รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาได้พากันลุกฮือประท้วงให้นายจ้างเพิ่มค่าจ้าง และเรียกร้องสิทธิของพวกเธอแต่สุดท้ายกลับมีผู้หญิงถึง 119 คนต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ด้วยเหตุมีคนรอบว่างเพลิงเผาโรงงาน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1857  ในปี ค.ศ.1907 (พ.ศ. 2450) กรรมกรหญิงในโรงงานทอผ้าที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาต่อต้านเนื่องจากกรรมกรหญิงเหล่านี้ต้องทำงานหนักถึงวันละ 16-17 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ไม่มีประกันการใช้แรงงานใด ๆ  และหากตั้งครรภ์ก็ถูกไล่ออก คลารา เซทคิน นักการเมืองสตรีสังคมนิยมชาวเยอรมัน ตัดสินใจปลุกระดมเหล่ากรรมกรสตรีด้วยการนัดหยุดงานในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ.1907 พร้อมกับเรียกร้องให้นายจ้างลดเวลาการทำงานลงเหลือวันละ 8 ชั่วโมง แต่การเรียกร้องครั้งนี้ ก็ไม่ประสบผลสำเร็จแต่ก็ทำให้สตรีทั่วโลกสนับสนุนการกระทำของคลารา เซทคิน

                                  ในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1908 (พ.ศ. 2451) ได้มีแรงงานหญิงกว่า 15,000 คน ร่วมเดินขบวนทั่วเมืองนิวยอร์ก เรียกร้องให้ยุติการใช้แรงงานเด็ก จนกระทั่งในวันที่ 8 มีนาคม ค.ศ. 1910 (พ.ศ. 2453) ความพยายามของกรรมกรสตรีกลุ่มนี้ก็ประสบผลสำเร็จ เมื่อมีตัวแทนสตรีจาก 17 ประเทศ เข้าร่วมประชุมสมัชชาสตรีสังคมนิยมครั้งที่ 2 ณ เมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยในที่ประชุมได้ประกาศรับรองข้อเรียกร้องของบรรดากรรมกรสตรี ในระบบสาม 8 คือ ยอมให้ลดเวลาทำงานเหลือวันละ 8 ชั่วโมง ให้เวลาศึกษาหาความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองอีก 8 ชั่วโมง และอีก 8 ชั่วโมงเป็นเวลาพักผ่อน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับค่าแรงของแรงงานหญิงให้เท่าเทียมกับแรงงานชาย และยังมีการคุ้มครองสวัสดิการสตรีและแรงงานเด็กอีกด้วย  ทั้งนี้ยังได้รับรองข้อเสนอของคลารา เซทคิน ด้วยการกำหนดให้วันที่ 8 มีนาคม ของทุกปีเป็น วันสตรีสากล

                                  วันสตรีสากล

                                  โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ ร่วมเฉลิมฉลองวันสตรีสากล จัดแสดงนิทรรศการผลงานภาพวาดพอร์เทรทของศิลปินร่วมสมัยและนักออกแบบชื่อดังชาวอิตาเลียน ซาวาริโอ ลุคชี ตลอดเดือนมีนาคม ซาวาริโอ ลุคชีเข้ามาพำนักในประเทศไทยพร้อมความมุ่งมั่น และแรงผลักดันที่ต้องการจะเผยแพร่ผลงานศิลปะที่โดดเด่นของเขา โดยใช้ภาพวาดของหญิงสาวที่ถ่ายทอดอารมณ์อันมีเสน่ห์ด้วยเทคนิคที่ละเอียดอ่อนและทรงคุณค่า

                                  “แรงบันดาลใจในแต่ละผลงานของผม มักเริ่มต้นด้วยผู้หญิง ผลงานศิลปะของผมเต็มไปด้วยด้วยความอ่อนโยนแต่ทว่าแข็งกร้าวอยู่ในที และที่สำคัญคือความซับซ้อนของอิสตรี” ลุคชีกล่าว “ผมภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับโรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความหลากหลาย และความแข็งแกร่งของสตรีเพศ

                                  เรเชล เดวิดสัน ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ และดับเบิลทรี บาย ฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ได้ร่วมงานกับลุคชี ในการเฉลิมฉลอง วันสตรีสากล 8 มีนาคม และเดือนนี้ยังเป็นเดือนแห่งประวัติศาสตร์สตรีอีกด้วย นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ร่วมกันระลึกถึงผู้หญิงที่ได้สร้างคุณูปการในช่วงเวลาที่ผ่านมา”

                                  “นิทรรศการที่จัดขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่แขกผู้เข้าพักหรือผู้ใช้บริการโรงแรมจะได้ร่วมสัมผัสบรรยากาศพิเศษนี้ ด้วยภาพศิลปะร่วมสมัยของลุคชีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากยุคเรอเนซองส์ นำมาจัดแสดงที่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ” เรเชล เดวิดสัน กล่าวโดยนิทรรศการจะเปิดให้ชมตลอดเดือนมีนาคม โดยไม่มีค่าใช้จ่าย บริเวณห้องอาหารมอนโด ที่ซึ่งเป็นจุดนัดพบในบรรยากาศสบายๆ และร่วมจิบน้ำชายามบ่ายไปกับเราได้ทีนี่ในทุก ๆวัน

                                  ชุดน้ำชายามบ่าย หรือ Fashionable High Tea เปิดให้บริการในช่วงเวลา 11.30 ถึง 16.30 และมีค่าใช้จ่ายดังนี้

                                  • เซ็ตสำหรับสองท่าน ราคา 765 บาทสุทธิ รวมสปาร์คกลิงไวน์ 2 แก้ว
                                  • เซ็ตสำหรับสองท่าน ราคา 680 บาทสุทธิ รวมสปาร์คกลิงไวน์ 2 แก้ว เมื่อทำการจองและชำระล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วันทำการ
                                  • เซ็ตสำหรับหนึ่งท่าน ราคา 450 บาทสุทธิ รวมสปาร์คกลิงไวน์ 1 แก้ว
                                  • เซ็ตสำหรับสองท่าน ราคา 405 บาทสุทธิ รวมสปาร์คกลิงไวน์ 1 แก้ว เมื่อทำการจองและชำระล่วงหน้าอย่างน้อย 2 วันทำการ

                                  นอกจากนั้น ยังมีเมนูอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมให้บริการที่ห้องอาหารมอนโดตลอดทั้งวัน ห้องอาหารมอนโดตั้งอยู่ที่ชั้นล็อบบี้ โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ ซอยสุขุมวิท 24 (สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์)

                                  หากคุณพ่อ คุณแม่ท่านไหนอยากพาลูก ๆ เข้าร่วมชมนิทรรศการผลงานภาพวาดพอร์เทรทของศิลปินร่วมสมัยและนักออกแบบชื่อดังชาวอิตาเลียน ซาวาริโอ ลุคชี ตลอดเดือนมีนาคม สามารถเข้ารับชมได้ที่โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ

                                  สามารถติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ทาง 02 620 6666 หรืออีเมล์ [email protected], Line ID @hiltonskbkk

                                  ขอขอบคุณข้อมูลจาก : โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ,เว็บไซต์วิกิพีเดีย

                                  บทความที่น่าสนใจ

                                  5 ไอเท็มต้องมี เตรียมของใช้คุณแม่ ใกล้คลอดปี 2021

                                  หยุด! ปัญหา “โรคอ้วน” ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ด้วย “เวชศาสตร์ชะลอวัย”

                                  สธ. หนุนคู่รักตรวจ-รักษา ภาวะมีบุตรยาก จากแพทย์ ฟรี!!

                                   

                                   

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    การ ฝึกสมาธิ เด็กวัยอนุบาล

                                    ฝึกสมาธิ ให้ลูกได้ตั้งแต่วัยอนุบาลง๊าย..ง่ายแค่ 4 ขั้นตอน!

                                    ลูกวัยอนุบาลก็มีสมาธิได้เหมือนกันนะ สมาธิที่เป็นจุดเริ่มแห่งการเรียนรู้ ร่วม ฝึกสมาธิ ลูกเสียแต่วัยนี้สร้างพื้นฐานทักษะที่ดีในอนาคตด้วยวิธีง๊าย..ง่ายกันเถอะ

                                    ฝึกสมาธิ ให้ลูกได้ตั้งแต่วัยอนุบาลง๊าย..ง่ายแค่ 4 ขั้นตอน!!

                                    ลูกเล็กกำลังซน อยู่ไม่นิ่ง หรือเป็นสมาธิสั้นกันแน่ คำถามที่พ่อแม่สมัยนี้กำลังกังวลใจ กับสภาพแวดล้อมในปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสื่อเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดปัญหากับลูกน้อย อย่างที่รู้ ๆ กันดีว่า การให้ลูกนั่งดูจอทีวี หรือสมาร์ทโฟนตั้งแต่ก่อน 2 ขวบ เพิ่มโอกาสเสี่ยงที่ลูกจะเป็นโรคสมาธิสั้นเทียม และปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย

                                    เวลาทองสำหรับการพัฒนาสมองคือ 3 ปีแรก ช่วงเวลานี้เด็กๆต้องการเวลาปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่แบบตาสบตา ไม่ใช่ดูแต่จอภาพ
                                    วิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งสหรัฐแนะนำว่า การดูทีวีในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี มีแนวโน้มส่งผลเสีย ไม่มีผลดีต่อสมองและสุขภาพของเด็ก
                                    สมาคมกุมารแพทย์แห่งแคนาดาแนะว่าว่า ไม่ควรให้มีทีวี คอมพิวเตอร์ วิดิโอเกมส์ในห้องนอนของเด็ก

                                    สมาคมกุมารแพทย์และจิตแพทย์เด็กแนะนำว่า เด็กแรกเกิดถึง 18 เดือน ไม่ควรดูทีวี วัย 18 เดือนถึง 4 ขวบไม่ควรดูเกินวันละครึ่งชม. เด็กวัย 4 ขวบขึ้นไปไม่ควรดูทีวีนานเกินวันละ 1 ชม. เพราะจะทำให้มีปัญหาต่อไปนี้

                                    เด็กติดจอ เสี่ยงเป็นสมาธิสั้นเทียม
                                    เด็กติดจอ เสี่ยงเป็นสมาธิสั้นเทียม
                                    • ขาดทักษะทางด้านอื่นๆ หรือพัฒนาการช้า เนื่องจากไม่มีเวลาเหลือพอที่จะทำกิจกรรมอื่นซึ่งมีประโยชน์มากกว่า เช่น การเล่นสมมติ การวาดรูประบายสี
                                    • การสื่อสารพูดคุยกับผู้อื่น ทำให้พูดช้า ความสามารถด้านการอ่านหนังสือไม่ดี ทำให้ผลการเรียนไม่ดี
                                    • เด็กจะขาดทักษะในการหาทางออก ในเวลาที่เกิดความเบื่อหน่าย ไม่สบายใจ หงุดหงิด แทนที่จะใช้เวลาว่างไปกับการทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ ทำให้ขาดความคิดริเริ่มและสร้างสรร หรือเมื่อมีปัญหาคับข้องใจ ก็จะใช้วิธีดูทีวีเพื่อฆ่าเวลาหรือลืมปัญหาที่เกิดขึ้นแม้เป็นการชั่วคราวก็ยังดี
                                    • การไม่ได้ออกไปวิ่งเล่น ขี่จักรยาน ทำให้ขาดทักษะด้านการเคลื่อนไหว ไม่ได้ออกกำลังกาย ทำให้เป็นคนงุ่มง่าม อ่อนแอติดโรคง่าย เป็นโรคอ้วนเนื่องจากการนั่งอยู่หน้าจอทีวีมีการใช้พลังงานน้อยมาก ประกอบกับอาจทานขนมขบเคี้ยวขณะดูทีวี
                                    • มีปัญหาพฤติกรรมผิดปกติ คล้ายเด็กไฮเปอร์สมาธิสั้น คล้ายเด็กออทิสติก หมอเคยพบเด็กอายุ 3 ขวบมาด้วยเรื่องไม่พูด ไม่สบตา ชอบเล่นคนเดียว คุณแม่ไม่แน่ใจว่าลูกเป็นออทิสติกหรือไม่ แต่พอพบจิตแพทย์เด็ก คุณหมอยังไม่ฟันธงว่าเป็นอะไร แต่บอกให้ที่บ้านปิดทีวี เพราะเด็กดูทีวีตั้งแต่ตื่นจนเข้านอนเลย ผู้ใหญ่ก็ต้องยอมอดดูไปด้วย(ผลพลอยได้คือผู้ใหญ่ก็รู้สึกได้รับการปลดปล่อยพันธนาการจากทีวีด้วย ทำให้มีเวลาทำอย่างอื่นเพิ่มขึ้น เช่นไปเดินเล่น หรือปิ๊กนิคกัน) ผลคือลูกสบตาและพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้นภายใน 2 วัน

                                    สมาธิ กับเด็ก

                                    เมื่อลูกเข้าสู่วัยอนุบาล คือ เด็กที่มีอายุระหว่าง 2-5 ขวบ ระยะนี้เป็นระยะที่ลูกมีการเปลี่ยนแปลง ของบุคลิกภาพมากที่สุด เช่น ต้องการเป็นตัวของตัวเอง ค่อนข้างดื้อ ซุกซนมาก และเป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของความฝัน และความจริง ในบางครั้งความคิด และการกระทำของเด็กจะไม่ตรงกับความเป็นจริง เด็กวัยนี้มักเป็นคนเจ้าอารมณ์ หงุดหงิดและโกรธง่าย ดื้อรั้นเป็นวัยที่เรียกว่าชอบปฏิเสธ และอาการดังกล่าวจะค่อย ๆ หายไปเองเมื่อเด็กเข้าโรงเรียนมีเพื่อนเล่น แต่อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กจะมั่นคงเพียงใดขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูเป็นสำคัญ

                                    ดังนั้นการที่พ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ส่วนมากมักจะตามใจเด็กในวัยนี้ไปเสียทุกเรื่อง ด้วยความคิดที่ว่าเขายังเป็นเด็กนั้น อาจไม่ส่งผลดีต่อพัฒนาการของลูก การรู้จักสอนให้เขาควบคุมอารมณ์ของตัวเอง แม้ว่าอาจจะทำได้ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่นัก แต่การฝึกฝนให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตนเอง รู้จักการสงบสติ สงบจิตใจ โดยเริ่มฝึกฝนเสียตั้งแต่วัยนี้ จะทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีในหลาย ๆ ด้าน

                                    เด็กอนุบาลก็เริ่ม ฝึกสมาธิ ได้
                                    เด็กอนุบาลก็เริ่ม ฝึกสมาธิ ได้

                                    ประโยชน์ของการมีสมาธิที่ดี

                                    • ช่วยให้มีทัศนคติใหม่ ๆ ที่ดีขึ้น เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด
                                    • เพิ่มความสามารถในการรับมือกับความเครียด
                                    • ช่วยให้เกิดการรู้จักตนเอง เมื่อมีสมาธิจดจ่อกับกิจกรรมเพียงพอ จนสามารถเรียนรู้กิจกรรมนั้น ๆ จนกระจ่างแจ้งแล้วว่าเขาชอบ หรือไม่ชอบมัน แต่ถ้าเขาเป็นคนไม่มีสมาธิก็จะทำกิจกรรมนั้น ๆ ได้เพียงผิวเผินจึงทำให้ไม่สามารถตอบได้ว่าชอบหรือไม่
                                    • ช่วยฝึกให้ลูกมุ่งความสนใจให้อยู่กับปัจจุบัน ไม่วอกแวก
                                    • ลดอารมณ์หรือความคิดในแง่ลบ เมื่อจิตใจสงบ
                                    • ช่วยเพิ่มจินตนาการและความคิดที่สร้างสรรค์ เมื่อเขาพร้อมเรียนรู้ด้วยใจที่สงบพร้อมเรียน ทักษะที่ดีรอบด้านก็จะได้รับเต็มประสิทธิภาพ
                                    • เพิ่มความอดทนอดกลั้น จากการรอคอยในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราเคยฝึกให้ เพราะลูกได้เรียนรู้แล้วว่าการรอคอยนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่คุ้มค่า
                                    • เพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และการทำงาน

                                    อย่างไรก็ตาม คำว่า “สมาธิ” กับเด็กวัยอนุบาลนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจในขีดจำกัดทางร่างกาย และความคิดของลูกในวัยนี้ด้วยว่า เขายังไม่สามารถปฎิบัติ และเรียนรู้ ทำตามได้อย่างผู้ใหญ่ หรือเด็กโต จึงควรทำความเข้าใจในพัฒนาการของลูกเสียก่อนว่า เด็กในวัยอนุบาลนี้สามารถมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้นานแค่ไหน

                                    เด็กวัยอนุบาลมีสมาธิจดจ่อได้แค่ไหน ?

                                    เด็กวัย 3 ปี : สมาธิที่ต้องการผู้ช่วย

                                    เด็กวัยนี้จะเปิดหนังสือดูรูปหรือนิทานภาพอย่างต่อเนื่องได้นานประมาณ 3-5 นาที โดยต้องมีผู้ใหญ่ชี้ชวน นั่งฟังคนอื่นพูด แล้วโต้ตอบด้วยวาจาหรือการกระทำ มีสติจดจ่อในการเล่น หรือทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องได้นานประมาณ 5-10 นาที

                                    เด็กวัย 4 ปี : เริ่มมีสมาธิในสิ่งที่ตัวเองชอบแต่ต้องใช้เวลาไม่นานเกินไป

                                    เปิดหนังสือดูภาพด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องได้นานประมาณ 5-10 นาที มีสมาธิจดจ่อในการเล่น หรือทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่องได้นานประมาณ 10-15 นาที หรือจนเสร็จ

                                    เด็กวัย 5 ปี : มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น ตั้งใจทำจนเสร็จได้

                                    เด็กจะชอบเปิดหนังสือดูภาพด้วยตนเอง และสามารถทำได้อย่างต่อเนื่องได้นานประมาณ 10-15 นาที หรือจนจบ และมีสมาธิจดจ่อในการเล่นหรือทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งอย่างต่อเนื่องได้นานประมาณ 15-20 นาทีหรือจนเสร็จ

                                    ฝึกสมาธิ เด็กวัยอนุบาลด้วยศิลปะ
                                    ฝึกสมาธิ เด็กวัยอนุบาลด้วยศิลปะ

                                    4 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการฝึกสมาธิในลูกวัยอนุบาล

                                    1. จัดบ้านส่งเสริมการเรียนรู้

                                    หลาย ๆ ครั้งที่เราต้องการให้ลูกได้ทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการดูทีวี หรือสมาร์ทโฟน เพื่อเป็นการฝึกให้ลูกมีสมาธิจดจ่อต่อสิ่งอื่น ๆ บ้าง แต่สถานที่กลับไม่มีมุมที่เอื้ออำนวยต่อการเล่น หรือทำกิจกรรมนั้น ๆ เลย ซึ่งในวัยอนุบาลนี้เป็นวัยที่มีการเล่นเป็นกิจกรรมหลักอยู่แล้ว ดังนั้นการหามุมแห่งการเรียนรู้ ฝึกสมาธิให้กับลูก ก็เป็นขั้นตอนอันดับต้น ๆ ที่พ่อแม่ควรทำเตรียมพร้อมไว้ให้เขา โดยมุมเรียนรู้ดังกล่าว ควรเป็นสถานที่โปร่งสบาย บรรยากาศปลอดโปร่ง และที่สำคัญควรห่างจากสิ่งรบกวน สิ่งเร้าอื่น ๆ เพราะเด็กในวัยนี้เป็นวัยที่ถูกกระตุ้นด้วยสิ่งรบกวนได้ง่าย มีเสียง หรือสิ่งรบกวนอื่นใด ก็มักจะหันไปให้ความสนใจ และลืมสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ได้ง่าย ๆ เลยเชียว

                                    2. โรงเรียนมีตารางเรียน บ้านก็มีตารางกิจกรรมที่บ้านนะ…เออ!!

                                    เวลาที่ลูกไปโรงเรียนอนุบาล คุณครูจะมีตารางเรียน ให้ลูกได้เรียนรู้กิจกรรมต่าง ๆ ตามกำหนดเวลา คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถนำตารางเวลาเหล่านี้มาปรับใช้ที่บ้านได้เช่นกัน เพราะหลาย ๆ บ้านเรามักจะพบว่าเวลาที่ลูกอยู่บ้านมักเอาแต่ใจมากกว่าเวลาอยู่ที่โรงเรียน นั่นเป็นเพราะเราไม่ได้จัดตารางเวลาในการทำกิจกรรมให้แก่ลูกเวลาอยู่บ้าน โดยเฉพาะบางบ้านที่ลูกเริ่มติดจอไปบ้างแล้ว ตารางเวลานี้จะช่วยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับลูกได้เป็นอย่างดีเวลาเราต้องการให้เขาห่างจอบ้าง

                                    การกำหนดเวลาทำตารางกิจกรรม จะช่วยให้ลูกรู้ว่าตัวเองมีเวลาในการทำอะไรนานเท่าไร เขาก็จะมีสมาธิในการจดจ่อทำกิจกรรมนั้น ๆ ให้เสร็จทันตามเวลาที่กำหนดไว้ แถมยังช่วยฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบ รู้จักบริหารเวลา ได้อีกด้วย สิ่งสำคัญในการทำตารางกิจกรรมนั้น คือ พ่อแม่ต้องรู้จักยืดหยุ่น ปรับเวลาได้บ้างตามสถานการณ์ ตามความเหมาะสม ไม่มีการลงโทษ เพียงแค่ชี้ให้ลูกเห็นว่าไม่สามารถทำตามตารางได้เท่านั้นก็พอ เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกเครียด และสนุกที่จะทำกิจกรรมไปพร้อม ๆ กัน

                                    3. ใช้ตัวช่วยในการฝึกสมาธิลูก 

                                    ด้วยพัฒนาการหลาย ๆ ด้านของเด็กในวัยอนุบาลนี้ การใช้กิจกรรม สิ่งของ ของเล่น มาเป็นตัวช่วยในการให้ลูกหันมาสนใจ และมีสมาธิจดจ่อนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็น เราสามารถเลือกกิจกรรม หรือเกมต่าง ๆ มาชักชวนให้ลูกเลือกเล่นได้หลากหลาย ไม่จำเป็นจะต้องเป็นกิจกรรมที่ลูกชอบเท่านั้น หรือเกม ของเล่นที่มีราคาแพง เพราะความจริงแล้วเด็กในวัยนี้ตื่นเต้น และชอบที่จะเรียนรู้ไปเสียทุกสิ่ง แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นผู้ที่เปิดโอกาสให้เขาได้มีโอกาสสัมผัส และทำกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้น

                                    ตัวอย่างกิจกรรมที่ช่วยฝึกสมาธิให้กับเด็กวัยอนุบาล

                                    • อ่านหนังสือด้วยกัน หนังสือเป็นตัวช่วยชั้นดี และเป็นเพื่อนในจินตนาการที่ดีของเด็กเสมอมา การเรียกลูกมานั่งล้อมวงอ่านหนังสือให้เขาฟังนั้นจึงเป็นการฝึกสมาธิให้กับลูกได้เป็นอย่างดี ซ้ำยังช่วยปลูกฝังพฤติกรรมรักการอ่านให้กับเขาในอนาคตได้อีกด้วย ดังนั้น ลองใช้เวลาสัก 15-20 นาทีก่อนไปโรงเรียน หรือก่อนนอนชวนลูกอ่านหนังสือ แล้วลองติดตามผลดูสิว่า ลูกนั้นมีสมาธิมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญจริงไหม
                                    • เล่นทราย วิธีการง่าย ๆ โดยการพาลูกไปเล่นที่สวนสาธารณะ หรือสร้างกระบะทรายขึ้นเองสำหรับเขาไว้ที่บ้านก็ได้ โดยการเล่นทรายให้ทั้งสมาธิ และบ่อเกิดความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็น วาดรูปจากกองทราย ก่อปราสาททราย หรือจะเอาทรายมาผสมสีแล้วบรรจุลงในขวดให้เป็นทรายหลายสีหลายชั้นก็ได้
                                    • ศิลปะ ศิลเปรอะ การวาดภาพ โดยใช้สีไม้ สีน้ำ สีเทียน หรือการปั้นด้วยดินเหนียว แป้งโดว์ ดินน้ำมัน รวมถึงการพับกระดาษเป็นรูปต่าง ๆ ก็สามารถช่วยฝึกสมาธิให้ลูกได้ง่าย ๆ แถมศิลปะยังดีต่อพัฒนาการของเด็กในอีกหลากหลายด้านอีกด้วย นอกเหนือจากการฝึกสมาธิ

                                      เล่นทราย กิจกรรม ฝึกสมาธิ ที่เด็กวัยอนุบาลชื่นชอบ
                                      เล่นทราย กิจกรรม ฝึกสมาธิ ที่เด็กวัยอนุบาลชื่นชอบ

                                    4. ดนตรีปรับอารมณ์

                                    ลองเปิดเพลงบรรเลง หรือเพลงเบา ๆ เพราะ ๆ ระหว่างที่ลูกกำลังทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็จะช่วยให้ลูกรู้สึกสงบ ใจเย็น และลดอารมณ์หงุดหงิดเวลาเข้าทำอะไรไม่ได้ดั่งใจมากขึ้น  เมื่อจิตใจสงบ คลื่นอัลฟา (Alpha Wave) ในสมองก็จะทำงานได้ดี เกิดเป็นภาวะที่มีสมาธิ เหมาะสมต่อการเรียนรู้ สร้างสรรค์ผลงาน และมีใจจดใจจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ดีทีเดียว

                                    ไม่ยากเลยใช่ไหมกับขั้นตอนการสร้างบรรยากาศให้ลูกได้เริ่มฝึกสมาธิกันเสียตั้งแต่วัยเด็ก วัยที่พวกผู้ใหญ่มักเข้าใจกันไปเองว่า เป็นวัยที่เอาแต่ใจตัวเอง ไม่สามารถสอนในเรื่องยาก ๆ ได้ แต่หากคุณพ่อคุณแม่ลองนำขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้ไปปรับใช้ ช่วยฝึกลูกวัยอนุบาลให้เขามีสมาธิดีเสียแต่เนิ่น ๆ ก็จะทำให้เขามีความพร้อมในการเรียนรู้ในเรื่องอื่น ๆ ต่อไปได้ดีกว่าอย่างแน่นอน

                                     

                                    ข้อมูลอ้างอิงจาก www.thaihealth.or.th/happyschoolbreak.com

                                    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                    ลูกเก่งรอบด้าน แค่เพียงแม่ชวนลูก “นั่งสมาธิ”

                                    ไม่อยากให้ลูกเป็น “โรคสมาธิสั้น ADHD” หยุดหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้

                                    ชวนมาเก็บ MQ ให้ลูกใน สนามเด็กเล่น กันเถอะ!!

                                    เลี้ยงลูกอย่างไร? ให้ลูกมี พัฒนาการด้านอารมณ์ ที่ดี

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่