Page 126 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกนอนไม่พอ

สัญญาณเตือน! ลูกนอนไม่พอ พ่อแม่ต้องรู้ ก่อนสายเกินแก้

ลูกนอนไม่พอ – การนอนหลับที่ดีมีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวัยทารก เด็กเล็ก ตลอดจนวัยรุ่น เพราะการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ สามารถส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและการเติบโตที่มีคุณภาพของเด็กได้ นอกจากนี้การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอของเด็ก ยังเชื่อมโยงกับปัญหาด้านพฤติกรรม โรคอ้วน  และปัญหาร้ายแรงอื่น ๆ ตามมาได้ ในฐานะพ่อแม่เราควรแน่ใจ ว่าลูกๆ ได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอในแต่ละวัน แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกนอนเพียงพอหรือไม่ ถ้าลูกนอนหลับไม่เพียงพอ จะมีวิธีสังเกตอย่างไร เรามาติดตามกันค่ะ

สัญญาณเตือน! ลูกนอนไม่พอ พ่อแม่ต้องรู้ ก่อนสายเกินแก้

การสังเกตว่าลูกนอนหลับเพียงพอหรือไม่ สิ่งที่อาจสังเกตได้ง่ายที่สุด คือ  ลูกมีอาการ หาวอย่างต่อเนื่อง หรือ ตาตก  ซึ่งทั้งสองอาการอาจสังเกตได้ง่ายในเด็กเล็ก แต่อาการต่างๆ จะซับซ้อนขึ้นและหลากหลาย เมื่อลูกของคุณโตขึ้น

ลูกนอนไม่พอ
ลูกนอนไม่พอ

โดยสัญญาณเตือนว่าลูกในแต่ละวัยของคุณอาจเข้าข่ายนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ มีดังนี้

เด็กเล็ก (ทารก / เด็กวัยเตาะแตะ)

  • โวยวาย หงุดหงิด ร้องไห้ไม่มีเหตุผล
  • ต้องการพื้นที่ส่วนตัว อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว
  • กระสับกระส่าย
  • มีปัญหาในการแบ่งปันกับพี่น้อง
  • เงียบขรึม
  • ต้องการนอนเล่น หรืองีบหลับระหว่างวัน
  • เผลอหลับระหว่างเล่นของเล่น คล้ายคนหลับใน
  • มีปัญหาในรอบเวลาของการนอน
  • มีอาการกรนเสียงครืดคราด

เด็กวัยประถม

  • สมาธิสั้น หลงๆ ลืมๆ
  • หลับในเวลาที่ไม่เหมาะสม
  • สะดุ้งตื่นในตอนเช้าเป็นประจำ
  • ขาดความสนใจ ความตื่นตัว แรงจูงใจ
  • ง่วงที่โรงเรียนหรือที่บ้านระหว่างทำการบ้าน
  • ต่อต้านเนื้อหาในการเรียน
  • เผลอหลับระหว่างเล่นของเล่น คล้ายคนหลับใน
  • เดินละเมอเป็นครั้งแรก
  • ต้องการงีบหลับเป็นประจำ
  • แสดงอาการกรนเสียงดัง หายใจไม่สะดวก หรือกระสับกระส่ายในตอนกลางคืน
  • มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการถูกแยกออกจากพ่อหรือแม่ทั้งกลางวันและกลางคืน

ลูกนอนไม่พอ

เด็กวัยรุ่น

  • มีปัญหาในการตื่นนอนตอนเช้า
  • ไปโรงเรียนสาย จนเป็นปัญหาเรื้อรัง
  • อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย
  • มีปัญหาในการจดจ่อ
  • รู้สึกไม่มีแรงกระตุ้น
  • หงุดหงิดเป็นประจำในช่วงบ่าย
  • ง่วงระหว่างวัน
  • สมองไม่เปิดรับวิชาการ
  • ตื่นสายมากในวันหยุดสุดสัปดาห์
  • สมาธิสั้น หรือ ก้าวร้าว
  • ทำท่าทางประหม่า
  • หมดอาลัยตายอยาก เซื่องซึม

ไอเดียสุดเจ๋ง ถุงมือแทนมือแม่แก้ ลูกติดมือ นอนหลับยาก

นิทานก่อนนอน เล่าให้ลูกฟังทุกคืน ปูพื้นฐานภาษา ฉลาดทั้งไอคิว อีคิว

ลูกนอนกรน หายใจเสียงดัง เสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

เวลานอนหลับที่เหมาะสมของเด็กแต่ละช่วงวัย

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง คุณพ่อคุณแม่ควรเช็คว่าลูกสามารถนอนหลับพักผ่อนในระยะเวลาที่เพียงพอกับที่สมองต้องการ ตามที่  สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (American Academy of Pediatrics) ระบุไว้หรือไม่ ดังนี้

  •  4 -12 เดือน 12 ถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน (รวมนอนกลางวัน)
  •  1 – 2 ขวบ 11 ถึง 14 ชั่วโมงต่อวัน (รวมนอนกลางวัน)
  •  3 – 5 ขวบ 10 ถึง 13 ชั่วโมงต่อวัน (รวมนอนกลางวัน)
  •  6 – 12 ปี 9 ถึง 12 ชั่วโมงต่อวัน
  •  13 – 18 ปี 8 ถึง 10 ชั่วโมงต่อวัน

วิธีช่วยให้ลูกนอนหลับได้เพียงพอ

หากคุณคิดว่าลูกของคุณนอนหลับไม่เพียงพอ อันดับแรก ในเด็กวัยที่สามารถสื่อสารได้พอเข้าใจ  คือ ให้ลองถามถึงคุณภาพในการนอนหลับของลูก เช่น ถามว่านอนอิ่มมั้ยลูก ง่วงมั้ย สะดุ้งตื่นกลางดึกบ้างมั้ย เป็นต้น แต่สำหรับเด็กเล็กอาจตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำได้คือ คอยสังเกตอาการบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หรืออาจตั้งกล้องวงจรปิดในห้องที่ลูกนอน ซึ่งอาจช่วยให้คุณทราบว่าลูกมีปัญหาในการนอนหลับหรือไม่

หากลูกของคุณมีปัญหาในการนอนหลับให้ลองทำตามคำแนะนำต่อไปนี้เพื่อช่วยให้พวกเขาพักผ่อนได้ดีขึ้น:

  • เลื่อนเวลาเข้านอน  กำหนดเวลาเข้านอนของบุตรหลานให้เร็วขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้นอนหลับเพียงพอ
  • ทำให้เป็นกิจวัตร ทำตามกิจวัตร ก่อนนอน เช่น อาบน้ำแปรงฟัน แล้วอ่านหนังสือ อ่านนิทาน ในช่วงเวลาสั้น ๆ (คนเดียวหรือกับพ่อแม่ขึ้นอยู่กับอายุของเด็ก)  กิจวัตรประจำวัน เหล่านี้สามารถช่วยให้ร่างกายของเด็กรู้สึกเตรียมพร้อมสำหรับการนอนหลับ
  • หลีกเลี่ยงหน้าจอก่อนนอน แสงจากหน้าจออิเล็กทรอนิกส์ภายในสองสามชั่วโมงก่อนนอน สามารถรบกวนจังหวะการทำงานของสมองและอาจทำให้นอนหลับยาก โดยสมองจะโดนหลอกให้คิดว่ามันควรตื่นอยู่
  • สร้างสภาพแวดล้อมการนอนหลับที่ดี สภาพแวดล้อมการนอนที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ลูกของคุณหลับและหลับสนิทได้ ห้องนอนของลูกคุณควรมืดเพียงพอ โดยอาจมีไฟสลัวๆ เพียงดวงเดียวหากจำเป็น และอุณหภูมิในห้องควรพอเหมาะ ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป
  • ความเงียบสงบสำคัญ  แต่หากต้องเปิดพัดลม อาจมีเสียงรบกวนเบาๆ จากพัดลมได้บ้าง ก็ไม่เป็นไร
  • ไม่มีหน้าจอในห้องนอน ในห้องนอน ควรจะเป็นห้อง สำหรับใช้นอนหลับพักกผ่อน ไม่ควรมี โทรทัศน์ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ต อยู่รอบตัว
  • หลีกเลี่ยงการให้ลูกทานมื้อดึก ทั้งอาหาร ขนม หรือเครื่องดื่มก่อนนอน ควรงดทั้งหมด เพราะอาจรบกวนความสามารถในการนอนหลับของบุตรหลาน นอกจากนี้  ควรหลีกเลี่ยงอาหารหวานสองสามชั่วโมงก่อนนอน เพื่อช่วยให้ลูกพักผ่อนได้ง่ายขึ้น

การนอนหลับที่เพียงพอ คือสิ่งจำเป็นเสมอ สำหรับสุขภาพร่างกายของมนุษย์ทุกคน หากคุณพ่อคุณแม่สอนให้ลูกเข้าใจว่าการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ คอยชี้แนะถึงปัญหาว่าถ้าเรานอนหลับไม่เพียงพอจะส่งผลเสียอย่างไรกับสมองและร่างกาย และหากเราทำเป็นกิจวัตรได้ แน่นอนค่ะว่าลูกจะซึบซึมและมีแนวโน้มที่จะเป็น เด็กที่มี ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ได้อย่างแน่นอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : sleep.org,childrens.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

อันตรายไหม?ลูก นอนหลับ แล้วทำไมตาปิดไม่สนิทกรอกไปมา

ผลวิทยาศาสตร์ยืนยัน ลูกนอนหลับ มากน้อยมีผลกับสมอง

4 เคล็ดลับ ช่วยลูกน้อยนอนหลับสนิทตลอดคืน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก

    4 อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก เสริมพัฒนาการ ลูกน้อยอาบน้ำสนุก ไม่งอแง

    ตัวเล็ก…มามะ มาอาบน้ำป๋อมแป๋มกัน บ้านไหนเวลาแม่บอกอาบน้ำแล้วลูกยิ้มแป้นรอบ้างคะ ลูกๆ ของทีมแม่ABK เป็นเด็กชอบอาบน้ำกันมาก พอบอกไปอาบน้ำกัน ลูกถอดเสื้อรอเลย เคล็ดลับก็คือต้องสร้างความสุข สนุกในช่วงเวลาอาบน้ำให้ลูกค่ะ

     

    อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก ของเล่นเสริมพัฒนาการ ลูกน้อยอาบน้ำสนุก แม่ต้องมี

    รู้ไหมคะว่าลูกจะไม่ค่อยร้องไห้งอแงเวลาอาบน้ำ ถ้ามีอุปกรณ์อาบน้ำที่เป็นของเล่นสนุกๆ ให้เขา ตัวอย่าง อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก เสริมพัฒนาการที่ทีมแม่ABK มีอยู่นี้ คุณพ่อคุณแม่หาซื้อได้ตามแผนกสินค้าเด็กนะคะ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีออกมาให้เลือกใช้กันหลากหลายรูปแบบ สีสันสวย รูปทรงน่ารัก ลูกชอบค่ะ

    อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก

    1. เป็ดลอยน้ำ

    จะลูกหนึ่ง ลูกสองของเล่นลอยน้ำชิ้นนี้ต้องมีเกือบทุกบ้าน นั่นก็คือ เป็ดลอยน้ำสีเหลือง ด้วยสีสันสดใสของตัวเป็ด จะช่วยเรียกความสนใจของลูกน้อยได้ดีมากๆ รับรองว่าอุปกรณ์อาบน้ำของเล่นชิ้นนี้ จะทำให้เด็กๆ อาบน้ำกันสนุกมากขึ้น

    ทิปส์ : ตุ๊กตาเป็ดลอยน้ำ ควรเลือกซื้อตามแผนกอุปกรณ์อาบน้ำเด็ก เพราะมั่นใจได้ว่าทำจากวัสดุและสีที่ปลอดภัย คุณแม่อาจเลือกทั้งขนาดตัวเล็ก ตัวใหญ่ เวลาที่ลูกจับๆ บีบๆ จะช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อมือ(มัดเล็ก)ให้แข็งแรงขึ้น หรือเลือกแบบที่บีบแล้วมีเสียงออกมา ก็จะช่วยกระตุ้นเรื่องประสาทสัมผัสการได้ยินให้ลูกด้วยค่ะ

    อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก

    2. หนังสือลอยน้ำ

    ไม่ใช่แค่ลูกนะที่ชอบ แต่แม่ก็เลิฟมากบอกเลย เพราะหนังสือลอยน้ำ คืออุปกรณ์ของเล่นเด็ก ที่นอกจากจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา การฟัง การเรียนรู้ ได้ดีมากๆ ให้กับลูกแล้ว ยังทำให้ช่วงเวลาอาบน้ำของลูกกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ไม่ว่าแม่จะสระผม หรือถูสบู่ให้เจ้าตัวเล็กไม่มีขัดขืนเลยค่ะ

    ทิปส์ : หนังสือลอยน้ำ ควรเลือกที่พิมพ์ด้วยสีที่ปลอดภัยกับสุขภาพ แนะนำให้เลือกเรื่องที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการการเรียนรู้ของลูก เช่น สอนเรื่องการอาบน้ำ , การนับตัวเลข เป็นต้น

    อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก

    3. ที่เป่าฟองสบู่

    บ้านไหนที่ลูกชอบร้องงอแงตอนอาบน้ำ ไม่ชอบสระผม ไม่ชอบลงกระละมัง หรืออ่างอาบน้ำ แนะนำให้หาที่เป่าฟองสบู่มาให้ลูกเล่นค่ะ รับรองว่าเพลิดเพลินและสนุกกับการอาบน้ำมากขึ้นค่ะ

    ทิปส์ : ควรเลือกใช้สบู่เหลวอาบน้ำและสระผมที่มีส่วนผสมออร์แกนิคจากธรรมชาติ เพื่อความอ่อนโยนต่อผิว ดวงตา ที่สำคัญลูกเล่นฟองสบู่ได้อย่างปลอดภัย

    อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก

    4. โฟมตัวอักษรและตัวเลข

    ของเล่นชิ้นนี้ถือว่าเป็นผู้ช่วยคุณแม่ตอนอาบน้ำลูกได้เยี่ยมมากๆ เพราะลูกจะเพลิดเพลิน สนุกจนไม่อยากขึ้นจากอ่างอาบน้ำ โฟมตัวอักษรและตัวเลข (Foam bath alphabet) สามารถลอยน้ำได้ เวลาเปียกก็สามารถนำมาติดบนฝาฝนังห้องน้ำได้ด้วยค่ะ

    ทิปส์ : เลือกโฟมตัวอักษร , ตัวเลข , รูปสัตว์ หรือผลไม้ ให้ลูกเล่นระหว่างอาบน้ำ แนะนำให้คุณแม่ชวนลูกออกเสียงพูดตามตัวอักษรโฟมไปด้วย เป็นการช่วยกระตุ้นพัฒนาการการเรียนรู้ให้ลูก ได้ในเรื่องการอ่าน การออกเสียง เข้าใจคำศัพท์ การนับเลข เป็นต้น

    อาบน้ำลูกนอกจากจะมีอุปกรณ์อาบน้ำเด็กที่ช่วยเสริมพัฒนาการแล้ว สำคัญสุดก็คือการเลือกใช้สบู่เหลวอาบน้ำเด็ก ทีมแม่ABK ฝากไว้เลยว่า เลือกสบู่เหลวอาบน้ำให้ลูกต้องเน้นที่อ่อนโยน ปลอดภัย ไม่ระคายเคืองผิวลูกน้อย

    กระซิบบอกไปแล้วว่าสบู่เหลวอาบน้ำและสระผมสำหรับลูกน้อย ควรเลือกที่มีส่วนผสมออร์แกนิคจากธรรมชาติ  อย่างที่แม่บ้านนี้เลือกให้ลูกใช้ ก็ต้องนี่ค่ะ “ดีเอ็มพี อัลตร้า เซนซิทิฟ แอนด์ ดราย สกิน ออร์แกนิค พีเอช 5.5 แฮร์ แอนด์ บอดี้ เบบี้ บาธ” บอกเลยว่าใช้มาตั้งแต่ลูกแรกเกิด เพราะอ่อนโยนต่อผิวบอบบางของลูกน้อยตอนแรกเกิด คือดี ดีมาก แม่ชอบ ลูกก็ชอบ อาบน้ำสนุกสนาน มีความสุขมาก สบู่เหลวอาบน้ำเด็ก dmp (ดีเอ็มพี) ขวดนี้สามารถใช้ได้ทั้งอาบน้ำและสระผม ขวดเดียวคุ้มค่ามาก เป็นขวดปั๊มแม่ใช้ง่ายสะดวกจริงๆ ค่ะ

    ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะแพ้ เพราะเป็นสูตรออร์แกนิค คาโมมายล์  มีการทดสอบว่าปลอดภัยกับลูกน้อยอยู่ 2 เรื่องคือ

    1. ผ่านการทดสอบทางการแพทย์และการระคายเคืองต่อผิว (Hypo allergenic tested)

    2. ผ่านการทดสอบไม่ระคายเคืองดวงตา (Eye-irritation tested)

    อาบน้ำลูกด้วยสบู่เหลว dmp แม่ไม่ต้องห่วงว่าผิวลูกจะแห้งตึงหลังอาบน้ำเสร็จ เพราะเป็นสูตร pH-Balance 5.5 ช่วยในเรื่องการรักษาสมดุลและปกป้องน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติ แถมยังมีมอยเจอร์ไรเซอร์สกัดจากข้าวโพด ให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น เส้นผมนุ่มสลวย

    และที่แม่วางใจได้มากๆ ว่าปลอดภัย ดีกับสุขภาพผิวลูก สบายใจที่ใช้อาบน้ำลูก ก็เพราะเป็นสบู่เหลวเด็ก ที่ปราศจาก 7 สารระคายเคืองผิว (Paraben , Formaldehyde , SLS , DEA , Alcohol , Phthalate และ Triclosan) และหลังอาบน้ำเสร็จ ลูกน้อยก็ตัวหอม ผมหอมละมุนอ่อนๆ น่ากอดทั้งวัน

    สบู่เหลวอาบน้ำสระผมลูก คุณภาพดีแบบนี้ อยากให้ได้ใช้กัน แม่ชี้เป้าให้ไปซื้อใช้กันได้ที่ บิ๊กซี โลตัส และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป  อย่างที่แม่ใช้อยู่ตอนนี้จะเป็นขวดขนาด 480 มล. ราคาเบาๆ สบายกระเป๋าแค่ 139 บาทเองค่ะ

    นี่แหละเคล็ดลับง่ายๆ ของแม่ในการสร้างบรรยากาศระหว่างลูกอาบน้ำให้ลูกมีความสุข สนุกสนานในทุกวัน ใช้แค่อุปกรณ์อาบน้ำของเล่นเด็กเสริมพัฒนาการ แล้วก็มีสบู่เหลวอาบน้ำเด็ก dmp สูตรออร์แกนิค คาโมมายล์ (ขวดน่ารักสีชมพู) รับรองลูกไม่มีงอแงเมื่อถึงเวลาอาบน้ำค่ะ

    อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก

      โรคอ้วน

      หยุด! ปัญหา “โรคอ้วน” ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ด้วย “เวชศาสตร์ชะลอวัย”

      โรคอ้วน เป็นโรคที่มีผลต่อสุขภาพร่างกายของคุณแม่หลาย ๆ ท่าน โดยเฉพาะคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ น้ำหนักของคุณแม่ก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ การรับประทานขณะตั้งครรภ์มีผลทำให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ หลายคนกลายเป็น โรคอ้วน หลังจากคลอดบุตรส่งผลต่อสุขภาพตามมา ทางทีมแม่ ABK จึงมีคำแนะนำดี ๆ จาก พญ.ธิศรา วีรสมัย หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย  Smart Life Antiaging Center โรงพยาบาลพญาไท 1 มาฝากคุณแม่ในการรับมือกับโรคอ้วน

      เนื่องในโอกาสวันอ้วนโลก ( World Obesity Day ) ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย Smart Life Antiaging Center โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้จัดกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการแก่พนักงาน เพื่อให้ตระหนักถึงผลของโรคอ้วนต่อสุขภาพ วิธีการควบคุมน้ำหนัก ทั้งในแง่ของอาหาร การออกกำลังกาย และการเลือกใช้ยาที่ถูกต้องตามข้อบ่งชี้และมาตรฐานทางการแพทย์ เพื่อจะนำความรู้ไปใช้ในการดูแลคนไข้ต่อไป นอกจากนี้

      ภายในงานยังมี Workshop การสอนทำอาหารควบคุมน้ำหนักโดยนักกำหนดอาหารประจำศูนย์ และยังมี Nurse Ambassador พยาบาลผู้ที่ได้รับการรักษาลดน้ำหนักจากศูนย์ชะลอวัยอย่างได้ผล มาแบ่งปันประสบการณ์ และสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนใส่ใจในการควบคุมน้ำหนักเพื่อสุขภาพอีกด้วย

      พญ.ธิศรา

      พญ.ธิศรา วีรสมัย หัวหน้าศูนย์สุขภาพสตรี และหัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย ได้กล่าวว่า

      “ การจัดงานในวันนี้ มีที่มาจากการที่ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย Smart Life Anti-aging Center ของโรงพยาบาลพญาไท 1 เราประสบความสำเร็จในการดูแลรักษาคนไข้และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่มีปัญหาโรคอ้วนในคลินิกโรคอ้วน หรือ Obesity Clinic ซึ่งปัจจุบันอ้วนจัดเป็นโรคเรื้อรัง ชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคอ้วนลงพุงจัดเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังไม่ติดต่อ หรือ NCD ซึ่งเป็นโรคที่ส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และหากการดำเนินโรคต่อเนื่องไม่ได้รับการรักษา จะนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง หรือเพิ่มอัตราการเสียชีวิตได้

      อ้วน

      การจัดงานในโอกาสช่วงของวันอ้วนโลก ( World Obesity Day ) ในปีนี้ เรามีแนวคิดเพิ่มเติมขึ้นอีกว่า คนไข้โรคอ้วนไม่ได้มีเฉพาะในคลินิกโรคอ้วน แต่มีในทุก ๆ คลินิก และในทุก ๆ ward ผู้ป่วยเพียงแต่หลายคนอาจยังไม่ตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลรักษา การอบรมบุคคลากรในโรง พยาบาลทุกแผนกในวันนี้ จึงมีความสำคัญ เพราะทุกคนจะสามารถให้ความรู้ และแนะนำคนไข้ที่แต่ละคนได้ร่วมดูแล ให้ตระหนักถึงการรักษาโรคอ้วน ก่อนที่จะเกิดโรคต่าง ๆ ตามมา

      นอกจากนี้ ยังมีบุคลากรหลายคนที่เราได้ให้การรักษาลดน้ำหนักได้ผล และส่งผลดีตามมามากมายต่อสุขภาพทั้งสุขภาพกาย และใจ เขาก็สามารถจะส่งต่อประสบการณ์ และเป็นแรงบันดาลใจทั้งต่อ เพื่อนร่วมงาน และคนไข้ที่ดูแลให้หันมาใส่ใจรักษา ปรึกษาแพทย์ ดูแลแบบองค์รวมเพื่อการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง และป้องกันการเกิดโรคต่อไป

      โรคออ้วน

      ในฐานะที่เป็นสูติแพทย์  ต้องบอกว่า ความอ้วนยังเป็นปัญหาใหญ่ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ซึ่งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในขณะตั้งครรภ์ ได้ 14-20 กิโลกรัม ขึ้นกับน้ำหนักก่อนตั้งครรภ์ และการรับประทานขณะตั้งครรภ์  มีคุณแม่ท้องหลายคนที่กลายเป็นโรคอ้วนหลังจากคลอดบุตรส่งผลต่อสุขภาพตามมา การดูแลโภชนาการที่ถูกต้องขณะตั้งครรภ์ ร่วมกับการตรวจอัลตราซาวด์ดูการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์ จะช่วยให้รู้ถึงน้ำหนักที่ควรขึ้นอย่างเหมาะสม และการดูแลหลังคลอด ทั้งโภชนาการ การออกกำลังกาย และรักษาด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงตามปัญหาสุขภาพโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้คุณแม่ลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย คืนความมั่นใจให้กลับมาเป็นคุณแม่ที่สวยสมวัย และมีความสุขกับการ เลี้ยงลูกด้วย

      โรคอ้วน

      ด้าน พว.เบญจวรรณ สุขเรือน ผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลพญาไท 1 กล่าว ว่า “ เนื่องในวันอ้วนโลก 4 มีนาคมนี้ ในฐานะที่เป็นพยาบาล บุคคลากรทางการแพทย์ ไม่อยากให้เกิดการดูแลที่ไม่ถูกต้องในการลดน้ำหนัก หรือทานอาหารไม่ถูกสัดส่วน จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันรณรงค์ในการควบคุมน้ำหนักอย่างถูกต้อง ซึ่งท่านสามารถมารับการรักษาได้ที่ศูนย์ เวชศาสตร์ชะลอ วัยของเราในส่วนของ Obesity Clinic เพราะเราอยากเห็นทุกคนมีสุขภาพดี และไม่ เป็นโรคอ้วนค่ะ”

      และ คุณสิตาภรณ์ วาณิชเสนี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดต่างประเทศกลุ่มโรงพยาบาล พญาไท-เปาโล ได้กล่าวว่า “ อย่างที่เราทราบกันว่า วันที่ 4 มีนาคมของทุกปี เป็นวันอ้วนโลก อยากบอกกับทุกคนที่กำลัง มีปัญหา โรคอ้วนว่าไม่ต้องกังวลไปค่ะ เรามีทีมบุคคลากร แพทย์-พยาบาลเฉพาะทาง เภสัชกร และนักกำหนดอาหาร ซึ่งจะคอยดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีอาหารชะลอวัยและควบคุมน้ำหนักของทางศูนย์ ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนมั่นใจ เรามาร่วมกันดูแลให้ ตั้งแต่วันที่ 5 มีนาคมเป็นต้นไปไม่มีใคร เป็นโรค อ้วนกันนะคะ”

      บทสัมภาษณ์ คำแนะนำ และการดูแลตนเองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหยุดวิกฤต “โรคอ้วน” จาก พญ.ธิศรา วีรสมัย หัวหน้าศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัย  Smart Life Antiaging Center โรงพยาบาลพญาไท 1

      โรคอ้วนสามารถรักษาได้หากคุณแม่รับประทานอาการที่ถูกสัดส่วน ถูกต้องตามโภชนาการ หมั่นการออกกำลังกาย และรักษาด้วยวิธีเฉพาะเจาะจงตามปัญหาสุขภาพโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ

      บทความที่น่าสนใจ

      11 Superfood อาหารบํารุงคนท้อง ให้ลูกพัฒนาการดีตั้งแต่ในครรภ์

      ผักสวนครัว ผักเรียกน้ำนม ปลูกง่ายเมนูกระตุ้นน้ำนมสุดเจ๋ง!

      คนท้องกินคอลลาเจนได้ไหม อันตรายต่อลูกในท้องหรือเปล่า?

       

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        สอนให้ลูกมีน้ำใจ

        5 เทคนิค สอนให้ลูกมีน้ำใจ เติบโตไป เป็นที่รักในสังคม

        สอนให้ลูกมีน้ำใจ – สังคมที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีน้ำใจ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมิตรไมตรีต่อกัน น่าจะเป็นสังคมในอุดมคติ ที่ใครๆ ก็อยากเห็น การที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีนิสัยชอบช่วยเหลือ  มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งที่ต้องได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก วันนี้เรามาติดตามเทคนิคในการสอนลูกแต่ละช่วงวัยให้ซึมซับนิสัยมีน้ำใจกันค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ผู้ใหญ่อย่างเราที่จะคอยเฝ้าอบรมสั่งสอนให้ลูกเติบโตขึ้นไปเป็นคนที่มีจิตใจดีงามและเป็นที่รักของสังคมได้

        คงจะไม่เกินเลยนัก หากจะกล่าวว่า ถ้าเราให้อะไรใครด้วยใจจริง เราก็จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมาด้วยความจริงใจ การช่วยเหลือผู้อื่นก็สามารถช่วยเราได้เช่นกัน ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เราคงเคยได้ยินผู้ใหญ่คอยพร่ำสอนว่า “การให้ดีกว่าการรับ” แม้ว่าตอนนั้นเราอาจรู้สึกว่ามันเป็นถ้อยคำที่อาจฟังไม่ขึ้น แต่เบื้องหลังคำพูดนี้ มีความจริงมากมายซ้อนอยู่ในนั้นค่ะ

        มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่ศึกษาว่าการมีน้ำใจ จะส่งผลต่อชีวิตของคนเราอย่างไร ผลการศึกษาพบว่า คนที่มีน้ำใจในระดับสูง จะได้รับผลประโยชน์ต่างๆ ในชีวิตมากมายหลายประการ และต่อไปนี้ คือข้อดีของการเป็นคนมีน้ำใจที่ชัดเจนที่สุดจากผลการวิจัยค่ะ

        ประโยชน์ 8 ประการของการมีน้ำใจ

        1. พึงพอใจกับชีวิตมากขึ้น
        โดยปกติแล้วมนุษย์ทุกคนต่างต้องการมีความสุขในชีวิต ความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ ก็เป็นเหมือนส่วนสำคัญของความสุขในชีวิตที่ว่านั้น โดย  74% ของผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มแรก (มีน้ำใจระดับสูง) ผลการศึกษาพบว่าพวกเขาพึงพอใจกับชีวิตของตนเอง เทียบกับผู้ตอบแบบสอบถามอีกกลุ่มหนึ่ง (มีน้ำใจระดับต่ำ) มีความพึงพอใจในชีวิตตนเอง 60% ดังนั้นจะเห็นได้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มแรกมีแนวโน้มที่จะพึงพอใจกับชีวิตของตัวเองมากกว่า

        2. มีเพื่อนฝูงที่พร้อมช่วยเหลือกัน
        ดูเหมือนว่าความมีน้ำใจสามารถช่วยเรื่องการมีเพื่อนฝูงที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอ มีรายงานว่าคนเหล่านี้ (มีน้ำใจในระดับสูง) จะมีเพื่อนมาก และเป็นเพื่อนที่เต็มใจที่จะช่วยเหลือพวกเขาเสมอ โดยผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่มที่มีน้ำใจจะมีเพื่อนสนิทเฉลี่ย 3.2 คน ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งมีเพื่อนสนิทเฉลี่ย 2.6 คน

        3. มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคนรู้จัก
        การมีสังคมที่ใหญ่ขึ้น ไม่ใช่ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของการที่เราเป็นคนมีน้ำใจ แต่คนเหล่านี้ มักจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้อื่น เนื่องจาก 66% ของพวกเขารู้สึกใกล้ชิดสนิทใจกับคนที่พวกเขารู้จักซึ่งเป็นเรื่องที่ดีต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสงบสุข

        4. มีความสุขกับอาชีพการงาน
        จากการตอบแบบสอบถามพบว่า ผู้ที่มีน้ำใจสูง พึงพอใจกับงานของตนสูงถึง 70% ส่วนผู้ที่มีน้ำใจในระดับต่ำ มีเพียง 49% เท่านั้นที่มีความพึงพอใจกับการงานของตัวเอง

        สอนลูกให้มีน้ำใจ
        (เครดิต: Slate)

        5. มองโลกในแง่บวก
        มุมมองต่อชีวิตของตนเอง สามารถสร้างความแตกต่างและส่งผลกระทบต่อระดับของความสุขในชีวิตคเราได้ หากคุณเชื่อว่าสิ่งต่างๆ ที่คุณทำอยู่มีความสำคัญคุณอาจจะมีความสุขกับชีวิตของคุณมากขึ้น กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามที่มีน้ำใจในระดับสูงเชื่อว่าชีวิตของพวกเขามีคุณค่าต่อผู้อื่นสูงถึง  81%   ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขามีค่าต่อผู้อื่นอื่นเพียง 77%

        6. สุขภาพกายและใจดี
        เนื่องจากคนที่มีน้ำใจต่อผู้อื่น มักมีความสุขและคิดบวก ส่งผลให้พวกเขามีสุขภาพจิตที่ดี คนที่มีน้ำใจมีโอกาสน้อยที่จะรู้สึกถึงอารมณ์เชิงลบต่างๆ รวมถึงความสิ้นหวังความหดหู่และความวิตกกังวล นอกจากนี้ผู้ที่ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในกลุ่มที่มีน้ำใจในระดับสูง พบว่าพวกเขานิยมรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเป็นประจำอีกด้วย

        7. พึงพอใจในสิ่งที่มี
        เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์อย่างเราๆ อาจเกิดความรู้สึกอยากได้อยากมี ข้าวของเครื่องใช้ราคาแพงต่างๆ เช่น รถ หรือบ้านที่หรูหรา แต่สำคัญที่เราจะต้องมีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่ด้วย จากลการศึกษาพบว่า หากคุณเป็นคนประเภทใจกว้างและมีน้ำใจดีงามเป็นทุนเดิม ความรู้สึกที่จะอยากได้อยากเป็นอยากมี จะน้อยกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

        8. นับถือตัวเอง
        ความรู้สึกที่มีต่อตัวเอง สามารถส่งผลกระทบต่อทุกส่วนในชีวิตของคนเราให้ดีขึ้นหรือแย่ลง มีหลักฐานว่า วิถีชีวิตที่มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จะส่งผลดีต่อความภาคภูมิใจในตนเอง เมื่อถามผู้ตอบแบบสอบถามว่าพวกเขาภูมิใจในตัวตนหรือไม่ มีถึง 74% ของกลุ่มที่มีน้ำใจสูงตอบว่าใช่ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมีเพียง 51% ที่ตอบว่ารู้สึกภูมิใจในตัวเอง นอกจากนี้คนที่มีน้ำใจในระดับสูงมักตอบว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างตั้งมั่นในศีลธรรมอันดีงามด้วย

        เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับผลการศึกษาของต่างประเทศที่ทำให้เห็นประโยชน์ของการเป็นคนมีน้ำใจว่าส่งผลดีต่อชีวิตของคนเราในด้านต่างๆ อย่างไร ทีนี้ ถ้าเราอยากปลูกฝังให้ลูกๆ ของเราเป็นคนมีน้ำใจ เพื่อให้พวกเขาเติบโตไปมีความสุขในสังคมที่เขาอยู่ พ่อแม่อย่างเราจะทำอะไรได้บ้าง เรามาติดตามเทคนิคดีๆ ต่อไปนี้กันเลยค่ะ

        5 เทคนิค สอนให้ลูกมีน้ำใจ เติบโตไป เป็นที่รักในสังคม

        ในแต่ละช่วงอายุของเด็ก จะมีวิธีการในการสอนและปลูกฝัง เรื่องความมีน้ำใจ ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ก็เพื่อความเหมาะสมกับพัฒนาการในแต่ละช่วงวัย คุณพ่อคุณแม่ลองนำมาปรับใช้ดูได้ ดังนี้ค่ะ

         # อายุ 3 ถึง 5 ปี 

        เด็กก่อนวัยเรียน จะเป็นเสมือนฟองน้ำก้อนน้อยๆ ช่างจะสังเกต จดจำ ซึมซับสิ่งต่างๆ ได้เร็ว และพร้อมที่จะเลียนแบบ  ที่สำคัญเป็นวัยที่พร้อมที่จะเข้าใจแนวคิดของการแบ่งปันและเรียนรู้วิธีทำสิ่งต่างๆ เพื่อตัวเองและผู้อื่นได้แล้ว ลองมองหาวิธีที่จะช่วยให้ลูก ๆ ของคุณฝึกเป็นผู้ให้ที่มีความสุขด้วยตัวเองได้ เช่น

        • ทำให้ลูกเห็น :  โดยการมีน้ำใจและเอื้อเฟื้อต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือให้ลูกเห็นเป็นแบบอย่าง เช่น เก็บขนมไว้ในรถหรือกระเป๋าของคุณเพื่อแจกให้แก่คนยากไร้ที่พบเจอหรือนำสิ่งของไปเยี่ยมไข้เพื่อนบ้านที่กำลังป่วย เป็นต้น
        • พูดถึงผลที่ได้จากความมีน้ำใจ :  ชี้ให้ลูกเห็น เมื่อเห็นผู้อื่นที่มีน้ำใจต่อกัน  เช่น “ ดูนั่นสิลูก พี่เค้าแบ่งขนมให้เพื่อนๆ ทานด้วย เพื่อนๆ ดีใจกันใหญ่เลย ใช่มั้ย”
        • สอนเรื่องการให้ : เมื่อมีของขวัญที่จะมอบให้ใครในโอกาสพิเศษ ลองให้ลูกของคุณมีส่วนในการช่วยเลือกซื้อของ ห่อของขวัญ และมอบให้
        • ฝึกการต้อนรับเพื่อนบ้าน : โดยการต้อนรับเด็กคนอื่น ๆ เช่น ลูกของเพื่อนบ้านวัยเดียวกับลูก มาเล่นในบ้านของคุณ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ฝึกแบ่งปันพื้นที่ และของเล่นกับผู้อื่น
        • สอนให้กระชับ แต่ค่อยเป็นค่อยไป : เด็กวัยนี้ความสามารถด้านเหตุและผลอาจยังไม่เด่นชัด บางครั้งการยัดเยียด ในเรื่องการมีน้ำใจให้ลูกมากเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องดี  ทางที่ดี พ่อแม่ต้องช่วยให้เด็ก ๆ ได้รู้ว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร  เช่น “แม่เห็นหนูแบ่งของเล่นชิ้นโปรดกับเพื่อนหนูด้วย แม่ดีใจจัง” นอกจากนี้ยังใช้กับพฤติกรรมเชิงลบได้   เช่น “แม่เห็นหนูทะเลาะกับเพื่อน แย่งของเล่นเพื่อน แม่ไม่มีความสุขเลยลูก” เป็นต้น

        # อายุ 5 ถึง 11 ปี

        พัฒนาการเด็กวัยเรียน จำเป็นต้องพัฒนาทักษะชีวิตและให้ลูกได้เรียนรู้ความสามารถในงาน และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ช่วยเด็ก ๆ เรียนรู้วิธีการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวหรือสังคม  เช่น

        • สนับสนุนให้ลูกรู้ค่าของน้ำใจ : ด้วยการให้เงินลูกๆ เพียงเล็กๆ น้อยๆ  ตอบแทนจากการที่พวกเขามีน้ำใจ ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านตามที่ได้รับมอบหมาย  และให้พวกเขาเก็บเงินนั้นไว้ในกระปุกออมสิน พร้อมสอนเรื่องการใช้จ่ายอย่างประหยัดและมีประโยชน์
        • บริจาคสิ่งของแก่ผู้ยากไร้ : อาจบริจาคข้าวของที่ไม่ใช้แล้วของลูกๆ ให้องค์กรการกุศลต่างๆ  วิธีนี้ลูกๆ จะได้รู้จักกับคำว่า “ให้” นอกจากการที่เคยได้ “รับ” ฝ่ายเดียว
        • ให้เห็นคุณค่าของสิ่งของ :  ให้ลูก ๆ คัดของเล่นที่ไม่ต้องการแล้วเก็บไว้ จากนั้น ให้เรานำมาขายออนไลน์ก็ได้ค่ะ  รายได้ทั้งหมด หรือบางส่วน มอบให้กับองค์กรการกุศล หรือให้ลูกๆ ซื้อของเล่นชิ้นใหม่นำไปมอบให้องค์กรการกุศลเพื่อเป็นประโยชน์กับน้องๆ ผู้ยากไร้ต่อไป
        • อุปการะเด็กที่ขาดแคลน :  เราอาจพิจารณาอุปการะเด็กที่ยากไร้ โดยการส่งเงินหรือสิ่งของให้คนเหล่านี้  โดยให้บุตรหลานของคุณได้รับรู้ถึงความจำเป็นของเด็กๆ เหล่านี้ที่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ
        • สอนให้เป็นผู้ริเริ่ม :  ให้ลูกได้ลองทำกิจกรรมอาสาสมัคร ที่เหมาะสมกับวัยของลูก หรือที่สามารถทำร่วมกันเป็นครอบครัวได้ เช่น เก็บขยะตามชายหาด เป็นต้น

        สอนให้ลูกมีน้ำใจ

        # อายุ 12 ถึง 19 ปี

        ในระยะนี้วัยรุ่นกำลังพัฒนาความรู้เป็นตัวของตัวเอง และมักมองไปที่พ่อ แม่ เพื่อน หรือ ครู เพื่อให้ช่วยตอบคำถามว่า“ ฉันคือใคร” การส่งเสริมความคิดริเริ่มในการดูแลผู้อื่นสามารถช่วยให้วัยรุ่นพัฒนาความเอื้ออาทรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ของพวกเขา

        • สร้างแบบจำลองการเงิน : ให้ลูกรู้ว่าคุณให้ความสำคัญกับการเก็บเงินไว้บางส่วนเพื่อแบ่งไปบริจาคเพื่อการกุศล
        • สอนให้รู้ค่าของเงิน : กระตุ้นเตือนให้ลูก ประหยัดในการใช้จ่าย  และมีระเบียบวินัยในการจัดการเรื่องเงินทองด้วยตัวเอง ให้ลูกรู้ว่ายังมีคนที่ลำบากอีกมากมาย ที่แม้เศษเงินเพียงเล็กน้อยที่ลูกอาจไม่เห็นค่า สามารถต่อชีวิตให้คนเหล่านี้ได้
        • สนับสนุนองค์กรการกุศล : ให้อธิบายเรื่องนี้กับลูก และส่งเสริมให้พวกเขามีส่วนร่วมด้วย
        • มีน้ำใจร่วมกัน : พาลูกวัยรุ่นของคุณและเพื่อนๆของลูก ไปบริจาคสิ่งของให้แก่ผู้ยากไร้ ให้ลูกๆ ได้เห็นถึงความมีน้ำใจของคุณ
        • สอนให้เป็นผู้ริเริ่ม : สอบถามลูกๆ ว่ามีเคสไหนที่ลูกอยากยื่นมือช่วยเหลือหรือไม่ สนับสนุนพวกเขาให้ทำบางสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น เป็นอาสาสมัคร หรือระดมทุนช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน

        สำหรับการสอนให้ลูกซึมซับในเรื่องความมีน้ำใจ รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต่อผู้อื่นที่ยากลำบาก จะช่วยส่งเสริมให้ลูกมีทักษะด้าน ความฉลาดทางจริยธรรมหรือศีลธรรม(MQ)กล่าวคือ ลูกรู้จักการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความคิดดี และทำดี ทั้งนี้ สำหรับการมี MQ ที่ดีในเด็กอาจไม่ได้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ หากแต่เด็กๆ จำเป็นต้องได้รับการปลูกฝังอยากต่อเนื่องจากคุณพ่อคุณแม่หรือแม้แต่ครูอาจารย์ที่โรงเรียนด้วยค่ะ

        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : worldvision.org , fool.com

        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

        เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

        9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

        7 เคล็ด(ไม่)ลับ สอนลูกให้ซื่อสัตย์ ตรงมาตรงไป โตไปไม่โกง

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          จักรยานขาไถ

          ทำไมต้อง จักรยานขาไถ 10 เรื่องที่ควรรู้ ก่อนซื้อให้ลูกเล่น

          จักรยานขาไถ – เชื่อว่ายุคนี้คุณพ่อคุณแม่หลายคนน่าจะรู้จัก จักรยานขาไถ หรือ จักรยานทรงตัว (Balance Bike) กันเป็นอย่างดี จักรยานขนาดเล็กที่ไม่มีบันไดปั่นนี้ว่ากันว่าเป็นไอเท็มที่น่าสนใจสำหรับเด็กๆ เพราะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี ที่จะช่วยฝึกทักษะทางกายภาพต่างๆ ให้เด็กเล็กๆ วัยหัดเดินหัดวิ่ง เช่น ฝึกการทรงตัว และการประสานงานของร่างกายก่อนที่จะพัฒนาไปใช้จักรยานธรรมดา แต่ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจซื้อเจ้าจักรยานขาไถมาให้ลูกเล่น เรามาดูไปทีละข้อกันก่อนดีกว่าค่ะ ว่าประโยชน์ของจักรยานชนิดนี้มีอะไรบ้าง และการเลือกซื้อจักยานขาไถที่เหมาะสมกับลูกต้องคำนึงปัจจัยอะไรบ้าง

          ทำไมต้อง จักรยานขาไถ 10 เรื่องที่ควรรู้ ก่อนซื้อให้ลูกเล่น

          ต่อไปนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมจักรยานชนิดนี้ ถึงได้มีประโยชน์กับเด็กๆ

          1. ใช้งานง่าย
          ทักษะที่มนุษย์ต้องใช้ในการขี่จักรยานมีสองส่วน ได้แก่ การทรงตัว และการถีบจักรยาน  แต่สำหรับจักรยานขาไถ จะไม่มีบันไดสำหรับปั่น ดังนั้นเด็ก ๆ จึงต้องจดจ่ออยู่กับสิ่งเดียวเท่านั้นนั่นคือการทรงตัว และสิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดกระบวนการในการเรียนรู้ได้ ซึ่งส่งผลดีต่อเด็กๆ จักรยานทรงตัวยังช่วยให้เด็ก ๆ ใช้เท้าในการหยุดบังคับเลี้ยวและหมุนไปมาทำให้พวกเขาควบคุมได้มากขึ้นรวมถึงความมั่นใจในการขี่ต่อไป

          2. พัฒนาทักษะทางกายภาพของลูกได้ดี

          การเรียนรู้ที่จะยืนทรงตัวและบังคับทิศทางในเวลาเดียวกัน เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับเด็กวัยหัดเดิน! เมื่อใช้จักรยานทรงตัวพวกเขาจะได้เรียนรู้ไปทีละสเตป ขั้นแรกพวกเขาเรียนรู้ที่จะนั่งบนเบาะจักรยานและมองหาความสมดุลโดยวางเท้าไว้บนพื้นด้วย ในขณะที่พวกเขาก้าวเท้าไปข้างหน้า พวกเขาจะรู้ได้ว่าแขนของพวกเขาควรบังคับทิศทางของจักรยานอย่างไร ตลอดจนการเคลื่อนไหวเท้าเพื่อปรับสมดุลร่างกายให้รถวิ่งไปข้างหน้า จะช่วยเพิ่มทักษะการใช้งานกล้ามเนื้อและการประสานงานระหว่างอวัยวะต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การสร้างความแข็งแรงของขายังสามารถช่วยพัฒนาทักษะในเรื่องอื่น ๆ ได้ เช่น การปีนบันได และเดินถอยหลัง เป็นต้น

          จักรยานขาไถ
          จักรยานขาไถ

          3. มีความปลอดภัยกว่าจักรยานทั่วไป
          เบาะของจักรยานทรงตัวอยู่ในตำแหน่งใกล้พื้นมากกว่าจักรยานทั่วไป ดังนั้นหากลูกของคุณพลาดล้ม โอกาสเจ็บตัวจะน้อยกว่าจักรยานทั่วไป นอกจากนี้ความเร็วของจักรยานทรงตัวยังไปเท่าที่ลูกของคุณจะออกแรงขาเพื่อไถรถไปและหยุดได้ทันทีเมื่อพวกเค้ายืน ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่ต้องกังวลกับการชนด้วยความเร็วสูง  ที่สำคัญจักรยานทรงตัวส่วนใหญ่ที่ได้มาตรฐานได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เด็ก ๆ รู้สึกปลอดภัยขณะขี่จักรยานด้วย

          4. ทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสนุก
          การเล่นจักรยานขาไถ เด็กๆ จะไม่ได้เพียงแค่ความสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เด็กๆ ได้เคลื่อนไหว ออกกำลังกายไปในตัว โดยทั่วไปเด็กที่อายุน้อยกว่าสองขวบมักจะชอบการปั่นจักรยานทรงตัว ยิ่งคุณกระตุ้นให้ลูกเริ่มออกกำลังกายเร็วเท่าไหร่พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนานิสัยที่ดีต่อสุขภาพไปตลอดชีวิตได้

          5. สะดวกสำหรับผู้ปกครอง
          การออกแบบที่กะทัดรัดของจักรยานชนิดนี้ ทำให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย ด้วยมีขนาดที่เล็กพอที่จะวางบริเวณเบาะหลังของรถยนต์ และเบาพอที่จะพกพากลับบ้านได้หากบุตรหลานของคุณเบื่อที่จะขี่

          6.การสอนเรื่องการทรงตัวให้ลูกง่ายขึ้นมาก
          จักรยานทรงตัวช่วยลดความยุ่งยากในการสอนลูกขี่จักรยานธรรมดา เพราะเมื่อลูกของคุณเรียนรู้วิธีการทรงตัวได้แล้ว ในไม่ช้าพวกเขาก็จะสามารถขยับข้ามรุ่นไปขี่จักรยานทั่วไปได้ โดยที่ไม่ต้องใช้ล้อเสริมสำหรับฝึกอีกต่อไป และเมื่อเกิดความชำนาญในการทรงตัวแล้วพวกเขาก็พร้อมที่จะออกไปขี่จักรยานเล่นกับเด็กๆรุ่นพี่ที่ตัวโตกว่า โดยไม่ห่วงเรื่องการเจ็บตัวอีกต่อไป

          ต่อไปนี้คือ เทคนิคในการเลือกซื้อจักรยานขาไถสักคันให้ลูก คุณพ่อคุณแม่ควรรู้เกี่ยวปัจจัยในการเลือกซื้อต่างๆ เหล่านี้

          10 ข้อที่ควรรู้ก่อนซื้อ จักรยานขาไถ

          1. ความสูงของที่นั่ง และการปรับระดับได้

          ช่วงความสูงของเบาะสำหรับจักรยานทรงตัวอาจแตกต่างกันไปมาก และเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาก่อนซื้อจักรยานทรงตัว เมื่อเลือกจักรยานทรงตัวสำหรับนักขี่ตัวน้อยของคุณ คุณควรเลือกขนาดที่ถูกต้องเสมอ การเลือกขนาดที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้บุตรหลานของคุณหงุดหงิดและยังเป็นการขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้การขี่จักรยานอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังอาจเป็นอันตรายได้ เมื่อเป็นจักรยานคันแรกของลูกขอแนะนำว่าให้คุณซื้อจักรยานที่เหมาะกับพวกเขาในตอนนี้ ไม่ควรซื้อด้วยความคิดว่าเผื่อโต

          การขี่จักรยานทรงตัวให้พอดี ต้องใช้การวัดเพียงครั้งเดียวนั่นคือการวัดความยาวขาของลูก ความสูงของเบาะนั่งที่เหมาะสมควรให้เด็กนั่งบนอานที่นั่งโดยให้เท้าราบกับพื้นโดยงอเข่าได้เล็กน้อย จุดเริ่มต้นที่ดีคือน้อยกว่าความยาวของขาลูก 1 นิ้ว สำหรับการขี่ทางไกลบนพื้นผิวเรียบคุณสามารถปรับเบาะขึ้นเล็กน้อยได้ และการขี่ออฟโรดอาจปรับอานต่ำลงให้หัวเข่างอได้มากขึ้นเล็กน้อย

          อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาคือความสามารถในการปรับความสูงของเบาะที่นั่งได้อย่างรวดเร็ว หรือปรับความสูงของเบาะนั่งโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือ ซึ่งจะสะดวกและประหยัดเวลากว่ามาก

          โปรดทราบ : จักรยานทรงตัวบางรุ่นอาจมาพร้อมส่วนเสริม สำหรับการลดหรือขยายความสูงของเบาะนั่งให้เกินรุ่นมาตรฐานได้

          2. น้ำหนักของจักรยาน

          เมื่อพิจารณาน้ำหนักโดยรวมของจักรยานมีกฎง่ายๆ แต่ใช้ได้จริง คือ จักรยานทรงตัวควรมีน้ำหนักไม่เกิน 30% ของน้ำหนักตัวเด็ก เมื่ออายุ 2 ขวบโดยปกติเด็กผู้ชายจะมีน้ำหนักระหว่าง 11 ถึง 15 กิโลกรัม ในขณะที่เด็กผู้หญิงมีน้ำหนัก 10 ถึง 14 กิโลกรัม  สมมุติเด็กน้ำหนัก 11 กิโลกรัม และเราคำนวณตามกฎ 30% จักรยานทรงตัวควรมีน้ำหนักไม่เกิน 3.3  กิโล  (11  x 0.3 = 3.3 กิโลกรัม)  เพราะฉะนั้น จักรยานที่มีน้ำหนัก 4.5 กิโลกรัม อาจเป็นอันตรายสำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 11 กิโลกรัม มากกว่าเด็กที่มีน้ำหนัก 15 กิโลกรัม

          นอกจากนี้ยังมีข้อคำนึง สำหรับผู้ปกครองที่เลือกจักรยานที่เบากว่า อาจเป็นปัจจัยที่สะดวกสบายในการพกพา จักรยานน้ำหนักเบาจะช่วยให้ผู้ปกครองทุกคนหยิบจับและพกพาได้ง่ายขึ้น มีหลายครั้งที่ตัวเองต้องอุ้มลูกชายหรือลูกสาวด้วยแขนข้างเดียว และอีกข้างก็ต้องหิ้วจักรยาน การมีจักรยานน้ำหนักเบาจะทำให้สามารถจัดการเรื่องนี้ได้สบายๆ

          3. วัสดุที่ใช้ทำโครงหรือตัวถังจักรยาน

          เฟรมจักรยานทรงตัวได้รับการออกแบบจากวัสดุที่โดดเด่นหลายประเภท ได้แก่ โลหะและโลหะผสมไม้และวัสดุคอมโพสิต

          • จักรยานเฟรมเหล็ก
            จักรยานโลหะที่สร้างจากเหล็กสามารถเพิ่มน้ำหนักโดยรวมของจักรยานได้ แต่ยังสามารถรองรับเด็กที่หนักและโตได้อีกด้วย จักรยานเหล็กมีความแข็งกว่า (ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย) และยังมีอัตราความน่าเชื่อถือที่ดีเยี่ยม แต่เฟรมจักรยานเหล็กอาจเกิดสนิมได้ง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีเศษสีและในสภาพอากาศที่ชื้น
          • จักรยานเฟรมอลูมิเนียม
            จักรยานอลูมิเนียม / อัลลอยด์ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้ปกครองที่มองหาจักรยานน้ำหนักเบาที่สุด จักรยานอลูมิเนียมเหมาะเป็นพิเศษสำหรับเด็กเล็กหรือเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ขีดจำกัดความสามารถของน้ำหนักจักรยานสูงสุดประมาณ 27 – 34 กิโลกรัม
          • จักรยานเฟรมไม้
            จักรยานไม้แม้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า แต่มีข้อจำกัดมากกว่าจักรยานเฟรมอื่นๆ จักรยานไม้เหมาะสำหรับพื้นผิวเรียบ / แข็ง นอกจากนี้มีรายงานว่าเฟรมไม้อาจแตกหักได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่อันตรายร้ายแรงต่อผู้ขับขี่อายุน้อย
          • จักรยานเฟรมคอมโพสิต
            จักรยานเฟรมคอมโพสิตอาจค่อนข้างใหม่สำหรับตลาดจักรยานทรงตัว จักรยานเฟรมนี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากเฟรมที่ไม่สามารถทำลายได้และมีน้ำหนักเบา เฟรมชนิดนี้ง่ายต่อการล้างและเช็ดทำความสะอาดเมื่อสกปรกมีแนวโน้มที่จะทนต่อสภาพอากาศและรับน้ำหนักผู้ขับขี่ได้มากกว่า เฟรมคอมโพสิตได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความแข็งแกร่งและเชื่อถือได้ แต่มีรายงานว่ามีการสังเกตเห็นการโค้งงอจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งของจักรยานเฟรมคอมโพสิตเมื่อมีการเร่งความเร็วรถ

          จักรยานขาไถ

          4. ยางจักรยาน

          ยางสำหรับจักรยานทรงตัวมีหลายประเภทซึ่ง ต่างกันที่วัสดุ ตลอดจนรูปแบบดอกยางที่หลากหลาย เมื่อเลือกจักรยานทรงตัวคุณควรพิจารณาเงื่อนไข และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ยางโฟมหรือยางลมเกือบทุกชนิดจะใช้งานได้บนทางเท้า แต่ยางที่มีดอกยางที่ลึกและหนากว่าจะช่วยเพิ่มการยึดเกาะบนสิ่งสกปรกและพื้นผิวธรรมชาติอื่น ๆ

          • โฟมยาง EVA 
            วัสดุ EVA Foam มีข้อได้เปรียบที่มีน้ำหนักเบากว่ายางชนิดอื่น ๆ มาก และไม่ต้องบำรุงรักษาที่จุกจิก ยางเหล่านี้ใช้ได้ดีเป็นพิเศษสำหรับเด็กเล็ก (อายุ 3 ปีขึ้นไป) ที่ต้องการจักรยานที่มีน้ำหนักเบา สามารถขี่ได้บนภูมิประเทศและพื้นผิวทั่วไปทั้งในร่มและกลางแจ้ง แต่ยางโฟม EVA อาจรองรับแรงกระแทกได้ไม่ดีเท่ายางลม นอกจากนี้การยึดเกาะยังมีจำกัด
          • ยางชนิดใช้ลม
            หรือ ยางลม (Pnuematic) เป็นยางมาตรฐานสำหรับจักรยานทรงตัวส่วนใหญ่  รูปแบบดอกยางแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ยางลมมีแนวโน้มที่จะแบนได้ จึงต้องมีการบำรุงรักษาความดันอากาศภายในยางที่เหมาะสม
          • ยางพารา
            ยางแบบที่ทำจากยางพาราให้แรงยึดเกาะมาก ยางเหล่านี้เหมาะที่สุดสำหรับการใช้งานในร่มและพื้นผิวเรียบแข็ง เหมาะสำหรับโรงยิมในร่มสถานรับเลี้ยงเด็กโรงเรียนหรือผู้ปกครองที่ไม่อยากกังวลในเรื่องการดูแลรักษาสภาพยาง
          • ยางพลาสติกแข็ง
            ยางฮาร์ดพลาสติกเป็นยางที่มีคุณภาพต่ำที่สุดในกลุ่ม และมีน้ำหนักเบา โดยทั่วไปมักใช้กับของเล่นและเหมาะสำหรับในร่มเท่านั้น  ราคาถูกและมีแนวโน้มที่จะแตกร้าวง่ายและกันแรงกระแทกจากการขับขี่ได้ไม่ดีนัก
          • ยางบิ๊กแอปเปิ้ล
            ยาง Big Apple  หรือที่เรียกว่า ยาง Fat Boy  เป็นยางที่หน้ายางกว้างกว่ายางชนิดอื่นมาก ใช้ระบบเบาะลมภายในยางเป็นเหมือนระบบกันสะเทือนในตัว โดยไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีกันสะเทือนต่างๆ  เบาะลมขนาดใหญ่มีผลในการลดแรงสั่นสะเทือนตามธรรมชาติ ส่งผลให้การขับขี่นุ่มนวลและสะดวกสบายมากขึ้นในเกือบทุกพื้นผิว

          5. การบอกต่อ

          ใช้ประโยชน์จาก “ปากต่อปาก” หรือ อ่านรีวิวจากผู้ซื้อรายอื่นประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจซื้อ แต่อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้สอบถามกับผู้ปกครองที่ซื้อจักรยานทรงตัวให้ลูกเขาแล้วเนื่องจากเราอาจได้ความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมา และน่าเชื่อถือได้มากกว่าค่ะ

          6. ระบบเบรค

          โดยปกติ เด็กๆ มือใหม่หัดขี่ส่วนใหญ่ จะใช้เท้ายันพื้นเพื่อควบคุมความเร็วและหยุดรถ  แต่จักรยานรุ่นที่มีเบรคมือเพิ่มเข้ามาให้  เนื่องจากมีการคำนึงถึงความปลอดภัยที่ดีขึ้น  แม้ท้ายที่สุดแล้วในสถานการณ์ที่ขับขัน สัญชาตญาณตามธรรมชาติของเด็ก คือ การวางเท้าลงยืนกับพื้นเพื่อหยุดรถ แม้แต่เด็กที่สามารถใช้เบรกมือได้แล้วก็อาจเลือกที่จะใช้วิธีเดียวกัน แต่หากเด็กๆต้องหยุดรถอย่างรวดเร็วในกรณีที่ทักษะในการขับขี่สูงขึ้น เบรกมือ จะช่วยมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการพัฒนาทักษะและความสนุกสนานในการขี่ในอีกระดับให้แก่เด็กๆ ได้เป็นอย่างดี

          7. ตัวจำกัดการเลี้ยว

          ตัวจำกัดการเลี้ยวจะป้องกันไม่ให้ล้อหน้าหมุนได้ 360 องศา จักรยานที่มีระบบนี้จะมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงกว่ากว่า ช่วยป้องกัน การบาดเจ็บ และป้องกันไม่ให้รถรุ่นที่มีเบรกมือสายเบรกบิดได้

          8. แฮนด์กริป

          มือจับควรมีความสะดวกสบายและป้องกันมือเล็ก ๆ คุณต้องการมือจับที่มียางป้องกันและปลายเบาะ สิ่งที่ดูดซับแรงกระแทกและป้องกันมือจากการถูกบีบโดยไม่ได้ตั้งใจระหว่างการกระแทกหรือการล้ม เด็กเล็กจะได้รับประโยชน์จากด้ามจับที่มีรัศมีเล็กกว่า รถจักรานขาไถส่วนใหญ่มีมือจับขนาด 12.7 มม. ซึ่งเล็กกว่าด้ามจับมาตรฐาน 43% (22.2 มม.) เพื่อให้ใช้งานได้สะดวกสบายและควบคุมได้ดีขึ้นด้วยมือเล็ก ๆ

          9. ที่พักเท้า

          จักรยานที่มีที่พักเท้าโดยทั่วไปจะเหมาะสำหรับเด็กที่มีความชำนาญในการทรงตัว และต้องการยกระดับทักษะการขี่จักรยานของพวกเขาไปอีกขั้น เด็กส่วนใหญ่จะไม่ใช้ที่พักเท้า เว้นแต่จะเป็นช่วงลงเนินหรือต้องใช้เทคนิคขั้นสูงบนจักรยาน

          10. การรับประกัน

          ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายที่เชื่อถือได้ จะมีการรับประกันสินค้ามาให้ด้วยเสมอ แต่การรับประกันส่วนใหญ่จะครอบคลุมแค่ตัวเฟรมรถ ไม่ครอบคลุมถึงการสึกหรอหรือเสียหายจากการใช้งาน สิ่งที่ต้องรู้คือผู้ผลิตบางรายอาจให้ลงทะเบียนรับสิทธิ์ในการรับประกันภายในกรอบเวลาที่กำหนดหากเกิดปัญหาขึ้นกับตัวรถ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่อาจต้องศึกษาเรื่องการรับประกันสินค้าจากผู้ขายให้ดีด้วยค่ะ

          สำหรับการฝึกให้ลูกๆ ได้ เล่นจักรยานทรงตัวตั้งแต่ยังเล็ก นอกจากจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการต่างๆ ให้ลูกได้ แล้วยังเป็นการปลูกฝังลูกให้มี ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น (PQ)ได้อีกด้วยค่ะ  เพราะ “การเล่น” ถือเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของเด็ก เป็นการปูพื้นฐานที่ครอบคลุมทั้งด้าน สติปัญญา ร่างกาย อารมณ์ และสังคม ตลอดจนการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันต่างๆ ช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และฝึกสมาธิให้กับเด็กๆได้อีกด้วยค่ะ

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : medibank.com.au,jumpstartbikes.com

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          ลูกน้อยพร้อมขี่จักรยานหรือยัง?

          พกจักรยานพับ เปิดโลกกว้างมุมใหม่ให้กับเด็กๆ

          8 เคล็ดลับ เสริมสร้างกระดูก ให้ลูกแข็งแรง!

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            บริหารเวลาส่วนตัว

            เทคนิค บริหารเวลาส่วนตัว เวลาแม่น้อยต้องใช้สอยให้คุ้ม!

            บริหารเวลาส่วนตัว – ทุกวันนี้ เวลาส่วนตัวสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนทั้งหลายอาจเป็นสิ่งที่หาได้ยาก (มาก) จริงมั้ยคะทุกคน แต่โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคุณแม่ หรือแม้แต่คนทั่วไป ที่ต้องตรากตรำทำงานหนักไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเอง ทุกคนควรมี เวลาสั้นๆ ในการทำงานอดิเรกที่มีคุณค่า และมีความหมายต่อตัวเองบ้าง หรืออย่างน้อยก็เพื่อเป็นการพักสมองที่ต้องเผชิญกับความตึงเครียดเป็นประจำ สำหรับคุณแม่ลูกอ่อน คุณอาจต้องฉวยโอกาสเท่าที่มีเพื่อตัวเองสักครั้งหากทางสว่าง!  และต่อไปนี้เป็นแนวคิดในการดูแลตัวเองสำหรับคุณแม่ทุกคนค่ะ ไม่ว่าคุณจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม จะมีเวลาส่วนตัวได้เพียง 1 นาที  หรือ 1 ชั่วโมง แต่จำไว้ว่าทุกวินาทีของคุณมีค่าเสมอ เพราะมันคือเวลาส่วนตัวสำหรับแม่ที่ได้ชื่อว่า เวลาเป็นของหายากที่สุด!

            เทคนิค บริหารเวลาส่วนตัว เวลาแม่น้อยต้องใช้สอยให้คุ้ม!

            ลองทำสิ่งเหล่านี้ดูสักข้อ ในช่วงเวลาอันมีค่า! เพราะทุกข้อล้วนมีประโยชน์กับคุณจริงๆ ค่ะ

            หากคุณมีเวลา 1 นาที

            • จุดเทียน แสงเทียนทำให้ทุกอย่างรู้สึกผ่อนคลายขึ้น คุณสามารถติดเทียนใกล้อ่างล้างจาน หรือบนเคาน์เตอร์ห้องน้ำ ด้วยวิธีนี้เมื่อคุณทำอาหาร ทำกับข้าว อาบน้ำ หรือแอบไปฉี่คุณก็จะสามารถมีช่วงเวลาสั้น ๆ ตามแบบวิถีแห่ง Zen ได้ง่ายๆ
            • ฝึกการหายใจลดความเครียด  หรือ Box Breathing ซึ่งเป็นเทคนิคง่ายๆ ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยให้ผู้คนคลายความเครียดได้  วิธีทำ คือ ให้คุณหายใจออก 4 วินาที กลั้นหายใจ 4 วินาที ตามด้วยหายใจเข้า 4 วินาที แล้วกลั้นหายใจ 4 วินาที วิธีการหายใจแบบนี้จะช่วยลดความดันโลหิต และช่วยให้คุณรู้สึกสงบ ผ่อนคลายได่ค่ะ
            • หัวเราะ ทำทุกอย่างที่ทำให้คุณหัวเราะได้ เช่น ดูคลิปตลกที่มักจะโดนเส้นของคุณ รู้หรือไม่ว่าการหัวเราะ สามารถบรรเทาความเครียดและยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณได้
            • ทานวิตามิน  การทานวิตามินรวมทุกวันจะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็น และช่วยให้คุณรู้สึกเหมือนได้ดูแลตัวเองจริงๆ หากสถานการณ์รอบตัวคุณกำลังส่งผลให้เกิดความวิตกกังวล และความเครียดสะสม ให้คุณพิจารณาการทานอาหารเสริม เช่น แมกนีเซียมเสริมอาหาร ซึ่งสามารถช่วยคลายความวิตกกังวลได้
            • กอดใครสักคน  จะเป็นสามีของคุณหรือลูกของคุณก็ได้ กอดพวกเค้าไว้ให้แน่นๆ สักครู่  กอดแค่ให้คุณพอรู้สึกดี มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เปิดเผยผลการศึกษาว่า การกอด ทำให้ระดับฮอร์โมนออกซิโตซินซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความรักความผูกพันสูงขึ้น และยังช่วยลดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลงได้อีกด้วย
            • ดื่มน้ำสักแก้ว  น้ำ มีประโยชน์ต่อทั้งร่างกายและจิตใจ การดื่มน้ำยังช่วยให้คุณไม่รู้สึกว่ามีคาเฟอีนในร่างกายมากเกินไป(สำหรับคนที่ติดกาแฟ) ให้คุณได้หยุดพักชั่วคราวให้มีสติรู้ว่าคุณต้องเติมอะไรที่มีประโยชน์เข้าไปในร่างกายของคุณบ้าง
            บริหารเวลาส่วนตัว
            บริหารเวลาส่วนตัว

            หากคุณมีเวลา 5 นาที

            • ส่งข้อความถึงคนที่คุณรัก คนรัก เพื่อนสนิท หรือสมาชิกในครอบครัว คนเหล่านี้ทำให้วันของคุณสดใสได้อยู่เสมอ ส่งภาพหรือคำพูดที่สร้างแรงบันดาลใจ หรืออะไรสนุก ๆ ที่จะทำให้พวกเขายิ้มไปกับคุณได้และมีความสุขจากสิ่งที่คุณส่งไป
            • อาบน้ำอย่างมีคุณภาพ เมื่อคุณมีเวลาอาบน้ำ 5 นาที ให้ใช้ นาทีพิเศษนี้ พื่อขัดผิวกาย ปรับสภาพเส้นผมอย่างล้ำลึก หรือให้ความชุ่มชื้นกับเส้นผม เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้สึกกระปรี้กระเปร่าได้ดีมาก!
            • ปั่นสมูทตี้ เติมพลังและบำรุงร่างกายด้วยการผสมผลไม้ ผักใบเขียวและผงโปรตีปั่นแล้วดื่ม เพื่อที่คุณจะได้ไม่หิวโหย และหิวเกินไปเมื่อถึงเวลาอาหาร คุณสามารถจิบได้ตลอดทั้งวันหรือแบ่งปันกับลูก ๆ ของคุณก็ย่อมได้
            • ฟังเพลงโปรด  หยุดพักจากเพลง Baby Shark , Wheels on the Bus บ้างก็ได้ค่ะ เพื่อที่จะได้ฟังเพลงโปรดที่คุณอยากฟังจริงๆ ใส่หูฟังของคุณไปในขณะที่คุณกำลังทำความสะอาดของเล่น หรือทำอาหารกลางวัน แล้วคุณจะรู้สึกสดชื่นและมีพลังมากขึ้นได้
            • นั่งตากแดด แสงแดดเป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ตามธรรมชาติ หากคุณสามารถแว้บจากลูกได้ 5 นาที ในช่วงเช้าที่แดดยังไม่แรงนัก ลองนั่งข้างนอกบ้านเพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ ดูค่ะ
            • ทำความสะอาดบางสิ่ง บางทีเคาน์เตอร์ทำครัวที่สกปรกอาจทำให้คุณวิตกกังวล หรือใยแมงมุมบนระเบียงบ้านอาจทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดในทุกครั้งที่คุณเห็นมัน ลองหยิบฟองน้ำไม้กวาด หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้คุณสามารถจัดการกับสิ่งสกปรกเหล่านี้ แล้วคุณจะรู้สึกดีขึ้นค่ะ

            หากคุณมีเวลา 10 นาที

            • เล่นเกมส์ ไม่ว่าคุณจะเล่น Candy Crush บนโทรศัพท์ของคุณ หรือดำดิ่งสู่โลกแห่ง Animal Crossing การเล่นเกมเป็นวิธีที่ดี ที่จะช่วยให้สมองของคุณได้พัก เสมือนเป็นเวลาพักผ่อนที่มีค่า จะลองเล่นแข่งกับเพื่อนๆ ของคุณดูก็ได้ ยิ่งสนุกใหญ่เลยละค่ะ
            • เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ การขยับร่างกาย ให้เหนื่อยได้ที่ จะสร้างความมหัศจรรย์ให้กับสภาพจิตใจของคุณ การออกกำลังกายสามารถเพิ่มฮอร์โมนเอ็นโดรฟินซึ่งช่วยให้คุณรู้สึกดีหรือสบายตัวได้
            • ใส่หน้ากาก ไม่ไม่ใช่หน้ากากอนามัยนะคะ แต่หมายถึงการมาส์กหน้าค่ะ ให้ทรีทเมนต์สปาผิวหน้าด้วยการใส่มาส์กที่คุณไม่จำเป็นต้องล้างออกทันที คุณจะทำมาส์กหน้าได้แม้ในขณะที่ต้องป้อนอาหารกลางวันให้ลูก ๆ หรือ ล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ก็ได้
            • นั่งสมาธิ การผ่อนคลายอารมณ์ด้วยการหายใจและการทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ด้วยการทำสมาธิ สามารถช่วยให้คุณรีเซ็ตสมองได้ในวันที่คุณรู้สึกเครียดและเหนื่อยล้า
            • เดินเท้าเปล่า การรู้สึกว่าเท้าของคุณอยู่บนพื้น รู้สึกถึงผิวสัมผัสของพื้น หรือการเดินเล่นบนพื้นหญ้า ถือเป็นการบำบัดความเครียดได้อีกวิธีหนึ่ง หากไม่มีเวลาพอที่จะออกไปนอกบ้าน ให้ทำบนพื้นห้องครัวหรือพรมห้องนอนก็ได้ เพียงสัมผัสเท้าของคุณบนพื้น และกำหนดลมหายใจให้รู้ตัว และมีสติ สมาธิอยู่ที่ฝ่าเท้าในทุกย่างก้าวที่เดิน
            • เขียนบันทึกประจำวัน การเขียนความคิดของคุณลงบนกระดาษโน้ต จะช่วยฟื้นฟูสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ของคุณ ลองเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณ สิ่งที่คุณกำลังกังวลอยู่ในตอนนี้และความหวังของคุณในอนาคต หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในใจของคุณ

            บริหารเวลาส่วนตัว

            หากคุณมีเวลา 30 นาที

            • ทำเล็บ ก่อนอื่นให้แช่เท้าในน้ำอุ่นให้ชุ่มชื้น และดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาแห่งความสวยงามเพียงเล็กน้อยๆ แล้วคุณจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า แม้ว่าคุณจะแค่ตัดหรือตะไบเล็บก็ตาม
            • ทำอาหารให้ตัวเอง หากทำได้ ให้คุณลงมือทำอาหาร ในเมนูที่คุณรู้สึกอยากกินจริงๆ (หากไม่ทันก็เลือกซื้อของที่คุณอยากทานจากร้านอาหารที่คุณชื่นชอบได้) การกินอาหารถูกปากจะช่วยให้คุณมีจิตใจและร่างกายที่พร้อมรับมือกับทุกปัญหาที่ต้องเจอ
            • จัดห้อง บางคนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และหายเครียดได้ ด้วยการเคลียร์ห้องให้ว่างๆ เพราะการต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รกรุงรัง อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดมากขึ้นได้ ลองหยิบกล่องเปล่าและหยิบทุกอย่างที่ต้องการจะโละทิ้ง และวางสิ่งเหล่านั้นลงกล่องไปเลย!
            • ดูสิ่งที่ผ่อนคลาย ซีรีส์เรื่องโปรด สารคดีที่คุณรอคอย หรือซิทคอมเรื่องโปรด ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามให้เลือกสิ่งที่จะทำให้อารมณ์ผ่อนคลายได้
            • อ่านหนังสือให้สนุก แทนที่จะเลื่อนดูฟีดโซเชียลมีเดีย หรืออ่านข่าวเมื่อคุณมีช่วงเวลาหยุดทำงาน ให้ทำสิ่งที่ดีกว่า สำหรับสมอง (และจิตวิญญาณ) ของคุณด้วยการอ่านหนังสือดีๆสักเล่ม
            • งีบหลับ คุณอาจได้รับคำแนะนำให้นอนในขณะที่ทารกหลับ แม้รู้ดีว่า พูดง่ายแต่ทำยาก  อย่างไรก็ตามการได้งีบหลับในระยะสั้นๆ จะช่วยรีเซ็ตวันของคุณและให้คุณได้พักผ่อนทั้งจิตใจ และร่างกาย แม้ว่าคุณจะได้หลับ เพียง 20-30 นาที แต่อย่างน้อยคุณก็จะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจได้บ้างเชื่อสิ

            หากคุณมีเวลา 1 ชั่วโมง

            • ฟังพอดคาสต์ ที่สร้างแรงบันดาลใจ แม้ว่าชั่วโมง “อิสระ” ของคุณอาจต้องใช้ไปกับการทำความสะอาดบ้าน หรือเข็นรถเข็นเด็ก คุณก็สามารถทำงานหลายอย่าง ไปพร้อมการฟังเรื่องราวดีๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณไปด้วยได้
            • ปรนเปรอตัวเอง  เทไวน์หนึ่งแก้วถ้าคุณเลือกได้ อาบน้ำอย่างหรูหรา (บาธบอมบ์เกลืออาบน้ำบับเบิ้ลบับเบิ้ล) และให้สิทธิ์ตัวเองในการแช่ตัวทั้งหมดอย่างแท้จริง
            • เข้าคลาสโยคะออนไลน์ โยคะเป็นวิธีคลายเครียดที่ดีมาก หากทำอย่างต่อเนื่อง เปิดดูแล้วลองทำตาม เริ่มจากง่ายๆ ก่อนได้เลย
            • ใช้เวลากับเพื่อน  แว้บไปเจอเพื่อนซี้ ระบายอารมณ์และความรู้สึกให้เพื่อนฟัง แล้วคุณจะสบายใจขึ้น หากคุณไม่สามารถนัดเจอเพื่อนได้ ให้ลองใช้เวลาเขียนจดหมายถึงเพื่อนสนิทของคุณและบอกพวกเขาว่าพวกเขามีความหมายกับคุณมากแค่ไหน
            • เปิดเตาทำขนม  ไม่ว่าคุณจะใส่อะไรเข้าเตาอบ จะเป็น บราวนี่ ขนมปังกรอบ เค้กกล้วยหอม การทำอะไรบางอย่างในเตาอบ จะทำให้วันของคุณสดใสขึ้นได้ เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในบ้านของคุณที่จะได้ทานขนมอรอ่ยๆ ฝีมือคุณ
            • ไปเดินเล่นเปิดหูเปิดตา  บางทีคุณอาจจะไปเดินป่า บางทีคุณอาจจะเดินไปที่ร้านกาแฟแถวบ้าน และดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนโดยที่คุณไม่ต้องทำเอง การออกจากบ้านและเปิดหูเปิดตากับทิวทัศน์ใหม่ ๆ จะช่วยเพิ่มพลังใจ เหมือนเป็นเป็นการชาร์จพลังงานให้กับคุณได้ค่ะ

             

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            ใช้เวลาว่าง (ของลูก)ให้เป็นประโยชน์

            วิจัยตอบชัด ทำไม ลูกชอบนั่งตัก เวลาแม่ทำงาน

            พ่อต้องรู้! 7 สิ่ง ที่ ภรรยาตั้งครรภ์ ต้องการจากคุณ

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              สอนลูกให้ชอบอ่าน

              9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

              สอนลูกให้ชอบอ่าน – การอ่าน เป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กเกิดกระบวนการการเรียนรู้ และนำไปสู่การพัฒนาทักษะที่สำคัญด้านต่างๆ  เช่น การฟัง การพูด การเขียน การวิเคราะห์ และสังเคราะห์  ถือเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อสมองของผู้อ่าน ที่สำคัญหากคุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือกับลูกๆ ก็จะช่วยเสริมสร้างความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกได้อีกด้วย แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดในประโยชน์ของการอ่านหนังสือ คือ การพัฒนาทักษะทางภาษาของเด็กๆ และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้เรียนรู้วิธีการอ่าน

              นอกจากนี้ มีงานวิจัยล่าสุดที่กล่าวว่า นอกเหนือจากการเพิ่มศักยภาพในการเรียนรู้ของเด็กๆ แล้ว การอ่านยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพและสมองของเด็กๆ อีกด้วย ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่อยากปลูกฝังให้ลูกมีนิสัยรักการอ่าน คุณพ่อคุณแม่จะทำอะไรได้บ้าง วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยให้เจ้าตัวน้อยของคุณรักการอ่านมาฝากค่ะ แต่ก่อนอื่นเราลองมาดูประโยชน์ของการอ่านหนังสือกันก่อนค่ะ

              สอนลูกให้ชอบอ่าน

              ประโยชน์ของการอ่านหนังสือ

              • กระตุ้นพลังแห่งจิตใจ
                มีงานวิจัยหลายชิ้น ที่แสดงให้เห็นว่าการได้รับการกระตุ้นทางจิตใจ สามารถลดความเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อมได้  ขึ้นอยู่กับว่า “เราเลือกที่จะใช้มันหรือสูญเสียมันไป” เป็นธรรมดาที่พฤติกรรมที่ไม่ค่อยได้ใช้ วิถีประสาทเหล่านั้นก็จะลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งความสามารถของสมองส่วนนั้นอาจสูญหายไปโดยสิ้นเชิง ทุกวันนี้เราอาจกำลังทำให้ความเฉียบคมของสมองลดลงโดยไม่รู้ตัวได้ จากการที่ไม่ทำกิจกรรมที่ท้าทายสมอง เพราะฉะนั้น หากต้องการท้าทายสมองเพื่อเป็นการกระตุ้นสมอง ให้ลองหากิจกรรมต่าง ๆต่อไปนี้ทำ  เช่น อ่านหนังสือ ต่อจิ๊กซอว์ และหมากรุก เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้สมองได้ออกกำลังกายและกระตุ้นให้สมองตื่นตัวพร้อมใช้งานอยู่เสมอ
              • ลดความเครียด
                คุณเคยสังเกตไหมคะ ว่าความเครียดหายไปได้อย่างไรเมื่อเราได้หลุดเข้าไปในโลกของหนังสือดีๆ สักเล่มที่เราเปิดอ่าน หากคุณกำลังมองหาวิธีคลายเครียด ให้หยิบหนังสือดีๆ สักเล่ม และปล่อยให้จิตใจของคุณลืมปัญหาต่างๆ ไปชั่วขณะ การอ่านหนังสือช่วยลดความเครียดได้ค่ะ จากการศึกษาในปี 2552 พบว่าการอ่านหนังสือสามารถลดระดับความเครียดลงได้มากถึง 68 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากกว่าการฟังเพลง ดื่มชา เล่นวิดีโอเกม หรือไปเดินเล่น นักวิจัยเผยว่าการอ่านหนังสือเพียงหกนาที จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจลดลง และความตึงเครียดของกล้ามเนื้อลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
              • ทักษะการเข้าสังคมที่เพิ่มขึ้น
                สำหรับบางคนการอ่านหนังสือเป็นวิธีหลีกหนีจากโลกแห่งความจริงและผู้คนมากมายที่วุ่นวาย แต่มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่าการอ่าน สามารถพัฒนาทักษะทางสังคมเพื่อช่วยให้คุณจัดการกับผู้คนเหล่านั้นได้ การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่าคนที่อ่านนิยายเป็นประจำ จะสามารถสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ทฤษฎีของจิตใจ” ขึ้นมาได้ ทฤษฎีของจิตใจ คือ ความสามารถในการเข้าใจสภาพจิตใจ ความเชื่อ ความปรารถนา และความคิด ที่แตกต่างกันของผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับความสัมพันธ์ทางสังคมที่ค่อนข้างซับซ้อน
              •  พัฒนาคลังคำศัพท์ในสมอง
                ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีคำศัพท์ในสมองมากขึ้นเท่านั้น ผลการวิจัยมีความชัดเจนมากในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างทักษะการอ่านคำ และคำศัพท์ วิทยาศาสตร์ยืนยันความสำคัญของการอ่านต่อกระบวนการเรียนรู้คำศัพท์ในเด็กและวัยรุ่น และผู้ใหญ่ ว่า คนที่รู้คำศัพท์มากมีแนวโน้มที่จะมีรายได้ที่ดีกว่าเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน
              • พัฒนาความสามารถในการจดจำ
                เมื่อเราเริ่มอ่าน สมองจะทำมากกว่าการถอดรหัสคำบนหน้ากระดาษ การอ่านมีการใช้งานระบบประสาทมากกว่าการประมวลผล ภาพหรือเสียงพูดในขณะที่คุณอ่าน สมองส่วนที่แตกต่างกัน เช่น ด้านการมองเห็น ด่านภาษา และการเรียนรู้แบบเชื่อมโยง ซึ้งทั้งสามด้าน จะทำงานร่วมกัน จากการศึกษาหนึ่งพบว่า การอ่านสามารถช่วยรักษาทักษะความจำ และการคิด โดยเฉพาะเมื่อคุณอายุมากขึ้น การอ่านหนังสือทุกวันจะช่วยชะลอความถดถอยของความรู้ ความเข้าใจ ในช่วงบั้นปลายของชีวิตได้                                                                          นอกจากนี้ในงานวิจัยอื่น ๆ พบว่า การอ่าน จะช่วยชะลออัตราการเสื่อมถอยของหน่วยความจำ และการลดลงของความสามารถทางจิตที่สำคัญในด้านอื่น ๆ สิ่งนี้อาจหมายความโดยอ้อมได้ว่า การอ่านช่วยให้ผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้นได้ การอ่านจะช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองโดยรวม และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบความจำ
              • ปรับปรุงการเชื่อมต่อและการทำงานของสมอง
                การศึกษาชิ้นหนึ่งระบุว่าการมีส่วนร่วมในนวนิยายจะช่วยเพิ่มการเชื่อมต่อในสภาวะพักผ่อนของสมอง และการทำงานระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่านนิยายจะช่วยเพิ่มความสามารถของผู้อ่านในการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และช่วยพัฒนาจินตนาการ ความเชื่อมโยงของสมอง แม้แต่ตอนที่เราเลิกอ่านไปแล้ว
              • การนอนหลับที่ดีขึ้น
                การสร้างกิจวัตรประจำวัน เช่น การอ่านหนังสือก่อนนอน เป็นการส่งสัญญาณให้ร่างกายของคุณทราบว่าถึงเวลาพักผ่อนและใกล้เข้านอนแล้ว ซึ่งร่างกายของคุณก็จะรู้สึกผ่อนคลายและพร้อมที่จะเข้านอน หลังจากอ่านหนังสือจบ  แต่ต้องแน่ใจนะคะ ว่าเราได้อ่านหนังสือจริงๆ  นอกจากนี้ควรจำกัดเวลาอยู่หน้าจอในช่วงก่อนนอนเช่น e-reader และแท็ปเล็ต เพราะอุปกรณ์เหล่านี้จะส่งผลให้คุณหลับได้ยากขึ้น

              เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับประโยชน์ของการอ่านหนังสือ เรียกได้ว่ามีมากมายหลายข้อเลยทีเดียว ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเทคนิควิธีที่ช่วยให้ลูกๆ ของเรา มีนิสัยรักการอ่าน ชอบอ่านหนังสือ คุณพ่อคุณแม่ควรสอนหรือแนะนำลูกๆ ได้อย่างไร เพื่อให้ลูกๆ ได้รับประโยชน์จากการอ่าหนังสือได้อย่างเต็มที่

              9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

              1. เริ่มได้ตั้งแต่แรกเกิด

              เชื่อว่ามีคุณแม่ท้องหลายคน นอนอ่าหนังสือให้ทารกในครรภ์ฟัง แม้ลูกอาจไม่เข้าใจ แต่ความจริงประโยชน์ที่ได้จากการอ่านให้ลูกฟังตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง คือ ช่วยให้ลูกคุ้นเคยกับเสียงแม่ได้คะ ประมาณ 18 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์จะเริ่มได้ยิน และเมื่อทารกคลอดออกมาเขาจะคุ้นเคยกับเสียงของสภาพแวดล้อมที่เคยได้ยินมาก่อน  เมื่อแรกเกิดจึงเป็นช่วงเวลาที่คุณสามารถเริ่มการอ่านให้ลูกฟัง นอนลงใกล้ ๆ กับลูก พลิกหนังสือภาพ และค่อยๆ อ่านออกเสียงให้ลูกได้ยิน วิธีนี้ยังช่วยสร้างความผูกพันกับลูกและทำให้ทารกมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับหนังสือได้เมื่อเริ่มโตขึ้นค่ะ

              2. ปล่อยให้ลูกคลุกคลีกับหนังสือ

              แม้จะเป็นหนังสือเล่มเดียวกัน แต่เด็กอาจได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกันได้จากในแต่ละหน้าแต่ละตอนของหนังสือเล่มนั้นๆ ช่วงแรกเริ่มลูกอาจทำได้แค่พลิกหน้ากระดาษที่มีสีสันสะดุดตาไปมา หลังจากนั้นเขาจะสามารถเข้าใจภาพต่างๆ ได้ เช่น เข้าใจว่าภาพของนกในหนังสือ คือสัตว์ในชีวิตจริงที่เขาเคยได้เห็น จากนั้นเด็กจะสามารถสร้างเรื่องราวด้วยภาพ ทำความเข้าใจคำและเชื่อมโยงกับภาพ และต่อมาจะสามารถอ่านข้อความได้อย่างอิสระในขั้นต่อไป ที่สำคัญควรปล่อยให้เด็กเปิดหนังสือได้เองอย่างอิสระ อย่ายัดเยียดสิ่งที่คุณต้องการให้ลูกอ่านมากเกินไปในช่วงแรกเริ่ม

              สอนลูกให้ชอบอ่าน
              สอนลูกให้ชอบอ่าน

              3. ค่อยเป็นค่อยไปอย่าเร่งเร้า

              คุณอาจภูมิใจหากสมมุติว่าลูกอายุหกขวบ กำลังอ่านแฮร์รี่พอตเตอร์  แม้ว่าจะเป็นเรื่องดีหากบุตรหลานของคุณอ่านหนังสือที่ซับซ้อนได้ แต่จำไว้ว่าอย่ารีบร้อนให้บุตรหลานของคุณโฟกัสกับการอ่านได้นาน หรืออ่านหนังสือที่เนื้อหาซับซ้อนเกินวัย เพียงเพราะคุณต้องการให้เป็น อย่าเพิกเฉย ต่อหนังสือที่มีข้อความเพียง 10 บรรทัด หรือ บอกบุตรหลานของคุณว่า “ลูกโตเกินไปแล้ว” สำหรับหนังสือภาพหรือการ์ตูน เพราะหากพวกเขาแสดงความสนใจในหนังสือเหล่านั้น ลูกก็ควรได้ตัดสินใจเมื่อเขาพร้อมที่จะก้าวไปสู่การอ่านในระดับที่สูงขึ้น  ระดับการอ่านเปรียบเสมือนอาคารที่มีลิฟต์ความเร็วสูง คุณสามารถขึ้นลงได้ตลอดเวลา และไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องติดอยู่ในที่เดียวเมื่อไปถึงจุดสูงสุดแล้ว คุณสามารถแนะนำหนังสือประเภทต่างๆให้ลูกได้ตลอดเวลา เพียงแต่อย่าเร่งเร้าจนเกินไป

              เอ๋ มณีรัตน์ เผยเคล็ดลับหัดอ่านหนังสือวันละ 15 นาที

              10 ทักษะ ที่ลูกต้องมี! ก่อนพ่อแม่ ฝึกลูกเขียนหนังสือ

              ลูก 5 ขวบ อ่านหนังสือไม่ได้ ทำไงดี? มาช่วยลูกให้ “อ่านออก” กัน

              4. อย่าตีกรอบการอ่านของลูก

              พ่อแม่หลายคนเชื่อมั่นในคำว่า อ่านเพื่อ “ให้ความรู้” เท่านั้นเมื่อลูกเข้าสู่วัยเรียน และคุณอาจเลือกซื้อเฉพาะหนังสือที่ตัวเองคิดว่ามีประโยชน์ให้ลูกอ่าน ซึ่งส่วนใหญ่เนื้อหาจะเน้นหนักไปทางวิชาการ อาทิ คณิตศาสตร์ หรือ ภูมิศาสตร์โลก และไม่ยอมเสียเงินให้กับ นิยายหรือการ์ตูนต่างๆ ที่เคยซื้อให้ลูกอ่านตอนเล็กๆ บอกไว้ตรงนี้เลยค่ะว่า นี่เป็นวิธีที่น่ากลัวที่สุด ในการฆ่าความรักในการอ่านของลูกได้  การอ่านนิยายที่คุณอาจคิดว่า “ไร้ประโยชน์” นั้น สามารถช่วยพัฒนาจินตนาการ และความสามารถของเด็กในการถ่ายทอดประสบการณ์ชีวิตของตนเองได้  จำไว้ว่าอนุญาตให้พวกเขาอ่านเพื่อความสุขบ้าง การมีช่วงเวลาที่เพลิดเพลิน ผ่อนคลายกับหนังสือไม่ใช่เรื่องผิด

              5. ซื้อหนังสือที่ลูกต้องการ

              อาหาร รองเท้า เสื้อผ้า อาจเป็นเงินหลายพัน แต่เราจ่ายได้โดยไม่คิดมาก แต่บางทีเรากลับคิดแล้วคิดอีกก่อนจะควักกระเป๋าสตางค์จ่ายเงินค่าหนังสือเล่มที่ลูกอยากได้ เพียงเพราะไม่แน่ใจว่า เล่มนี้จะ “คุ้ม” หรือไม่  อย่างไรก็ดี ขอแนะนำให้ดูว่าหนังสือเล่มที่ลูกยื่นมาให้ มีความยาวเพียงพอ มีเนื้อหาเพียงพอที่จะเกิดประโยชน์กับลูกได้หรือไม่ ถ้าดูแล้วใช้ได้มีสาระที่คิดว่าเป็นประโยชน์ หยิบไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์เลยค่ะ วิธีนี้เป็นการสนับสนุนให้ลูกรักการอ่านที่ดี ลูกจะรู้สึกได้ว่า พ่อแม่พร้อมจะสนับสนุนในทุกการเรียนรู้ของเค้า

              6. อย่ายึดถือ “เรื่องอายุที่เหมาะสม” มากเกินไป

              บางสำนักพิมพ์อาจกำหนดอายุของผู้อ่านที่เหมาะสมไว้บนปกหนังสือ แต่สิ่งนี้เป็นเพียงแนวทางไม่ใช่กฎเกณฑ์ตายตัวที่ต้องทำตามเสมอไป หากลูกของคุณสนใจหนังสือเหล่านี้ และคุณไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะอ่านได้หรือไม่ ให้ลองพลิกอ่านคร่าวๆ หรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมทางออนไลน์ว่าเนื้อหาของหนังสือเป็นอย่างไร  และอาจบอกลูกๆ ว่าสามารถถามพ่อแม่ได้หากมีคำถามเกี่ยวกับบางสิ่งในหนังสือที่ลูกไม่เข้าใจ อย่ากำหนดเอาเองว่าความสนใจของเด็ก ควรจะต้องเป็นแบบนั้นหรือแบบนี้เท่านั้น

              สอนลูกให้ชอบอ่าน

              7. อนุญาตให้ลูกแบ่งปันหนังสือกับเพื่อนๆ

              การอนุญาตให้ลูกแบ่งปันหนังสือกับเพื่อน ๆ และกระตุ้นให้พวกเขาพูดคุย แบ่งปันประสบการณ์ที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนั้นๆ เป็นวิธีที่ดี ที่จะช่วยปลูกฝังให้ลูกรักการอ่าน เป็นการสร้างความทรงจำดีๆ ของลูก ที่มีร่วมกับคนอื่นๆ ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน

              8. อ่านหนังสือให้ลูกเห็นบ้าง

              สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้คือ เด็ก ๆ จะเรียนรู้ได้จากการสังเกตมากกว่าการสอนการหรือพูดเฉยๆ หากคุณบอกให้บุตรหลานอ่านหนังสืออยู่ตลอดเวลา แต่ในทางกลับกันลูกไม่เคยเห็นคุณอ่านหนังสือเลย ลูกก็ไม่น่าจะได้รับแรงบันดาลใจที่ดีจากต้นแบบของเขา ทางที่ดีควรให้ลูกได้เห็นคุณซื้อและอ่านหนังสือเพื่อความสุขของคุณเองบ้าง พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอ่านกับบุตรหลานของคุณหากลูกต้องการที่จะฟัง

              9. จำกัดเวลาหน้าจอของลูก

              พ่อแม่หลายคน อาจยอมจำนนต่อการปล่อยให้ลูกใช้  สมาร์ทโฟน หรือแท็ปเล็ต  เพื่อแลกกับความ “เงียบสงบ” ของลูก  แต่ตามหลักแล้วพ่อแม่ควรควบคุมเวลาอยู่หน้าจอของลูกด้วยการฝึกให้ลูกนั่งอ่านหนังสืออย่างสงบดูบ้าง แม้ว่าหนังสืออาจเงียบและไม่เร้าใจหรือโต้ตอบได้ทันทีเหมือนหน้าจอที่มีภาพเคลื่อนไหวและเอฟเฟกต์เสียงต่างๆ แต่การติดหน้าจอสามารถครอบงำจิตวิญญาณของลูกได้เร็วมากหากคุณไม่ระวัง เมื่อความสนใจในหนังสือลดลงเพราะติดจอ อาจเป็นเรื่องยากที่ลูกของคุณจะนั่งอ่านหนังสือด้วยความใส่ใจได้เหมือนเคย หากคุณเลี่ยงไม่ได้ที่จะยื่นหน้าจอให้กับลูก โปรดตระหนักถึงปัญหานี้ไว้ ทางที่ดีควรกำหนด และจำกัดเวลาการอยู่หน้าจอของลูกให้ชัดเจนค่ะ

              นอกจากนี้การปลูกฝังให้ลูกรักการอ่านตั้งแต่ยังเล็ก ยังเป็นการเสริมสร้างความฉลาดรอบด้านให้กับลูก ด้วย Power BQ ได้ในหลายเรื่องเลยค่ะ ทั้ง ความฉลาดในการคิดเป็น(TQ) , ความฉลาดทางสติปัญญา(IQ) , ความฉลาดในการคิดสร้างสรรรค์(CQ)เป็นต้น และเมื่อลูกมีนิสัยรักการอ่าน ประโยชน์ที่ได้ตามมา ที่เราจะเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม คือ ทักษะที่ลูกต่อยอดได้จากนิสัยรักการอ่าน ได้แก่  การฟัง การพูด การเขียน การวิเคราะห์ และสังเคราะห์ ทักษะเหล่านี้ ยิ่งลูกมีติดตัวได้เร็วเท่าไหร่จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวลูกในวันที่เขาเติบโตต่อไปในอนาคตค่ะ

              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : thenewsminute.com,parent.com,thebestbrainpossible.com

              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

              วิจัยเผย พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง ส่งผลดีต่อลูกมากกว่าแม่อ่าน

              วิธีสร้างลูกน้อยรักการอ่าน 8 step

              การอ่านหนังสือให้ลูกฟังสำคัญไฉน ??

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน

                5 ผลเสียหากให้ลูกต่ำกว่า 2 ขวบกินอาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน !!

                สหรัฐฯ ออกมาแนะนำ เตือนพ่อแม่ควรงด อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน รวมไปถึงอาหารที่ใส่น้ำตาลเพิ่มเติม จนกว่าจะอายุถึง 2 ขวบไปแล้ว

                สหรัฐเตือน!! พ่อแม่ไม่ควรให้เด็กต่ำกว่า 2 ขวบ
                ⊗ กินเค้ก ขนมหวาน ลูกอม

                 “ขนม” หรือ “ของหวาน” ถือเป็นของคู่กัน สำหรับเด็กๆ เพราะมันทำให้พวกเขามีความสุขทุกครั้งเมื่อได้กิน แต่ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ควรควบคุมปริมาณในการกินขนมของลูกๆ ด้วยนะคะ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลเสียต่อเด็กในอนาคตได้

                ทางกระทรวงเกษตร (USDA)ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชน (HHS) ของสหรัฐอเมริกา ได้จัดทำคำแนะนำด้านอาหารและโภชนาการในกรอบเวลา 5 ปี เพื่อเป็นมาตรการฐานสำหรับมื้ออาหารกลางวันในสถานศึกษาและโครงการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาหารและสุขภาพของประชาชนในสหรัฐอเมริกา

                ภายใต้คำแนะนำ … ล่าสุดได้ออกมาเปิดเผย คำแนะนำเรื่องอาหารสำหรับเด็กทารกและเด็กเล็ก เป็นครั้งแรก โดยแนะให้เด็กๆ ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียวต่อเนื่องจนถึงอย่างน้อย 6 เดือน และไม่แนะนำให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบบริโภคอาหารที่มีใส่น้ำตาลเพิ่มเติม อย่างเช่น ขนมหวาน ลูกกวาด หรือเค้ก ซึ่งถือเป็น อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน

                บาร์บารา ชนีแมน นักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส กล่าวว่า ยังไม่สายที่จะเริ่มต้นใหม่เรื่องโภชนาการของเด็กเล็ก และพ่อแม่ผู้ปกครองต้องมั่นใจว่าอาหารทุกคำต้องมีคุณประโยชน์สำหรับเด็กกลุ่มนี้

                อย่างไรก็ตาม คำแนะนำด้านอาหารฉบับล่าสุดของสหรัฐฯ ยังให้คำแนะนำด้านอาหารอื่นๆ เช่น สำหรับเด็กที่โตกว่า 2 ขวบขึ้นไป จำเป็นที่พ่อแม่ต้องจำกัดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลให้ไม่เกิน 10% ของปริมาณแคลอรีที่บริโภคต่อวัน

                อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน
                เยลลี่ ลูกอม ขนม ลูกกวาด อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน

                ขณะที่แนะนำให้คุณพ่อหรือคุณผู้ชายวัยผู้ใหญ่เอง ควรจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ให้เกินกว่า 2 ดริ๊งค์ต่อวัน ซึ่งมากกว่าปริมาณจำกัดของผู้หญิงถึงเท่าตัว จากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการพิจารณาว่าจะจำกัดปริมาณการดื่มลงเหลือเพียงไม่เกิน 1 ดริ๊งค์ต่อวัน โดย 1 ดริ๊งค์หมายถึงแอลกอฮอล์ 14 กรัมหรือ 14 มิลลิลิตร

                ผลเสียหากลูกต่ำกว่า 2 ขวบ กิน “เค้ก ขนม ลูกอม” อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน

                สำหรับเรื่อง อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน ป้าหมอสุธีรา ได้ให้คำแนะนำว่า คุ้กกี้ เค้ก โดนัท เพรทเซล แครกเกอร์รสหวาน ขนมถุงๆ กรอบๆ มันฝรั่งทอด ช็อคโกแลต ลูกอม ซูกัส ทำให้เด็กอิ่ม แต่ให้ประโยชน์น้อย เพราะไม่มีสารอาหารที่สำคัญ แต่อุดมไปด้วยแป้ง ไขมัน เกลือ และน้ำตาล (1)ทำให้เด็กไม่อยากกินอาหารที่มีประโยชน์ กินข้าวยาก และยังทำให้เด็กอ้วน และฟันผุ

                นอกจากนี้ บางงานวิจัยยังพบว่า เป็นสาเหตุของพฤติกรรมอยู่ไม่สุข ซนมากผิดปกติ หรือ ที่เรียกว่า (2)โรคไฮเปอร์ สมาธิสั้นของเด็กบางคน จึงไม่ควรให้เด็กกินของหวานเหล่านี้เป็นประจำทุกวัน ยกเว้นนานๆครั้ง หรือ บางโอกาส เช่น งานวันเกิด งานปีใหม่ งานปาร์ตี้

                อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน

                รวมไปถึง นมเปรี้ยว นมรสช็อคโกแลต นมรสหวาน ก็ไม่ควรให้เด็กกิน เพราะมีน้ำตาลเป็นส่วนผสมอยู่เป็นจำนวนมากพอๆ กับน้ำอัดลม น้ำหวาน ถึงแม้ว่านมเหล่านี้จะทำมานมวัวซึ่งมีแคลเซียมสูง และ มีสารอาหารอื่นที่นักโภชนาการแนะนำก็ตาม แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรฝึกให้ลูกกินนมรสหวานเหล่านี้ ควรฝึกให้ลูกกินแต่นมรสจืด จะปลอดภัยกับสุขภาพในระยะยาวมากกว่า

                เพราะน้ำตาลทราย และ คอร์นไซรัส ไม่ดีกับสุขภาพ เป็นสาเหตุของ (3)โรคอ้วน, โรคเบาหวาน, ไขมันสะสมในตับ และ เส้นเลือดแข็งตีบอุดตัน เมื่อลูกกินบ่อยๆ จะ(4)เสพติดรสชาติ และ หงุดหงิดเวลาที่ไม่ได้กิน ดังนั้นถ้ากินมาตลอด ช่วงแรกที่งด อาจมีอาการหงุดหงิด กระวนกระวายมากกว่าปกติ แต่ก็จะดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์

                ทั้งนี้ อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน พวก ช็อคโกแลต โกโก้ ชา กาแฟ น้ำอัดลม หรือ บางครั้งป้าหมอก็เห็นผู้ใหญ่บางคนเอากระทิงแดง ให้ลูกกินด้วย นอกจากมีน้ำตาลแล้ว ยังมีคาเฟอีนซึ่ง (5)เป็นอันตรายต่อสมองและหัวใจของเด็ก จึงไม่ควรให้ลูกกินค่ะ

                อย่างไรก็ตามพฤติกรรมการกินที่ดีปลูกฝังได้ตั้งแต่เล็กๆ โดยไม่ปรุงรสอาหารเด็กเลยอย่างน้อย 2 ปีแรก เพียงเติมเกลือไอโอดีนเล็กน้อย เพื่อให้ได้รับสารไอโอดีนที่จำเป็น ไม่ให้ลูกกินขนมทุกชนิดก่อน 2 ขวบ ถ้าผู้ใหญ่กิน ก็ควรหลบๆ หรือ บอกลูกว่า ตอนนี้หนูยังเด็กอยู่ กินไม่ได้ บางคนอาจคิดว่า พูดง่ายแต่ทำยาก ป้าหมอก็ขอเล่าเคสจริงให้ฟัง คือ เด็ก 5 ขวบมารับวัคซีน ป้าหมอเอาวิตะมินซีให้ เด็กไม่รับ คุณแม่บอกว่า ที่ป้าหมอเคยสอนว่า ไม่ให้ลูกกินขนมทุกชนิดก่อน 2 ขวบ ที่บ้านก็ทำตามคำแนะนำมาตลอด และปลูกฝังให้ลูกเรียนรู้ว่า เพราะอะไรจึงไม่ให้กินอาหารเหล่านี้

                √ ผลที่ได้รับ คือ ลูกชอบกินแต่อาหารที่มีประโยชน์ กินข้าว ผัก ผลไม้เก่งทุกอย่าง และ บอกว่าอาหารเหล่านี้อร่อยดีอยู่แล้ว ถึงแม้ไปโรงเรียน เจออาหารเหล่านี้ ก็ไม่สนใจกิน เลือกกินอาหารที่เป็นอาหารธรรมชาติ ไม่ชอบกินอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก 

                อย่างไรก็ดี นิสัยชอบกินของหวานพวกนี้ ถึงแม้ว่ากำลังเป็นอยู่ ก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ หากพ่อแม่พูดคุยกับลูกโดยบอกถึงผลเสียที่มีต่อสุขภาพ ว่ามีอะไรบ้าง และ ทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง โดยไม่ซื้อของเหล่านี้ติดบ้านไว้ ให้เปลี่ยนนิสัยการกิน มากินอาหารที่มีประโยชน์ทดแทน เช่น ผลไม้สด ผลไม้อบแห้งที่ไม่เติมน้ำตาล ถั่วชนิดต่างๆ ธัญพืช เมล็ดพืช (ระวังอาหารที่สำลักลงหลอดลมได้ในเด็กเล็ก)

                สำหรับเรื่อง ผลเสียของการให้ลูกอายุต่ำกว่า 2 ขวบ กิน อาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน  ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ : Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ

                ขอบคุณข้อมูลจาก : www.voathai.comwww.breastfeedingthai.com/dr-sutheera

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี? หมอแนะ 10 วิธีรับมือเมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว

                คัมภีร์ “ตารางอาหารตามวัย” สำหรับลูกน้อยในวัยขวบปีแรก

                ให้ “ทารกกินน้ำผึ้ง” ความเชื่อผิด ๆ ที่อันตรายถึงตาย!!

                น้ำผลไม้ (น้ำส้มคั้น) อย่าให้ลูกอายุน้อยกว่า 1 ขวบกิน!!

                  มีบุตรยาก

                  ล้วงลึกชีวิต!! “ครูก้อย” ภรรยาคนเก่งของ “เจมส์ เรืองศักดิ์” จากอาชีพครูสายวิทย์ฯ สู่ที่ปรึกษาผู้มีบุตรยาก”

                  มีบุตรยาก แต่ก็มีได้!! ล้วงลึกชีวิต!! “ครูก้อย” ภรรยาคนเก่งของ “เจมส์ เรืองศักดิ์”  จากอาชีพครูสายวิทย์ฯ สู่ที่ปรึกษาผู้ มีบุตรยาก

                   “ครูก้อย” จากอาชีพครูสายวิทย์ฯ สู่ที่ปรึกษาผู้มีบุตรยาก”

                  ถ้าพูดถึงเรื่องความสวย ความเก่งในการทำหน้าที่เป็นภรรยาที่ดี ใช้ชีวิตคู่กับคนในวงการบันเทิงหนึ่งในนั้นต้องยกให้กับ “ครูก้อย นัชชา ลอยชูศักดิ์” ภรรยาสุดเลิฟของนักร้อง นักแสดงหนุ่มชื่อดัง “เจมส์ เรืองศักดิ์ ลอยชูศักดิ์” คนนี้ โดย “ครูก้อย” ได้ใช้ชีวิตคู่สามีภรรยากับ “เจมส์” มา 5 ปีเต็ม  และทำหน้าที่เป็นคุณแม่ที่ดีให้กับลูกสาวอย่าง “น้องเมดา”  ได้เป็นอย่างดี เรียกว่าเป็นคุณแม่ลูก 1 ที่เพอร์เฟคอีก 1 คน แต่ก่อนที่ “ครูก้อย” จะมาอยู่จุดนี้เคยทำอะไรมาก่อนนั้น ไปล้วงลึกชีวิต “ครูก้อย” กันเลย

                  “ครูก้อย” มีดีกรีเป็นถึงคุณครูฟิสิกส์ของโรงเรียนกัลยาณีศรีธรรมราช โรงเรียนประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช ถึง 8 ปี ส่วนประวัติการศึกษาของ “ครูก้อย” นั้น ครูก้อยเป็นนักเรียนทุนของ สสวท. โครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาฟิสิกส์ สาขา ชีวฟิสิกส์(Bio-Physics) จากนั้นก็ศึกษาต่อในระดับปีที่ 5 คณะศึกษาศาสตร์ ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครูที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตรอีก 1 ปี และฝึกสอนที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒปทุมวัน และยังเรียนจบปริญญาโท คณะวิทยาศาสตร์ ในสาขาวิชาชีวฟิสิกส์เหมือนเดิมอีกด้วย โดยตลอดระยะเวลาที่ “ครูก้อย” เรียนในระดับมหาวิทยาลัย ได้รับทุนถึง 8 ปี มีโอกาสทำงานวิจัย และเดินทางไปศึกษางานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ  “ครูก้อย” ถือว่าเป็นเด็กเรียนดี ผลการเรียนโดดเด่น ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 มาโดยตลอด และเด่นในด้านวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน ส่วนตอนมัธยมปลายเรียนแผน วิทย์ – คณิต จบ ม.6 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.85

                  มีบุตรยาก

                  “ครูก้อย” เลือกที่จะเป็นครู เพราะมีคุณพ่อคุณแม่เป็นแรงบันดาลใจ ท่านทั้ง 2 เป็นคุณครูทั้งคู่ และอยากสอนนักเรียนให้เข้าใจวิทยาศาสตร์ และฟิสิกส์แบบง่ายๆ เพราะเด็กหลายคนที่มองว่าฟิสิกส์ยาก เลยสอบทุน สควค. (โครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์)

                  และ สอบชิงทุน สควค. ได้เป็นลำดับ top 10 ของประเทศ ได้เป็นนักเรียนทุนโดยไม่ผ่านการเอนทรานซ์ เรียกได้ว่า  “ครูก้อย” มีใจรักในการเป็นนักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์ ตั้งแต่เล็กจนโต

                  นอกจากนี้ “ครูก้อย” ยังเป็นแฟนคลับตัวจริง ที่คอยติดตามผลงานของ “เจมส์” มากว่า 17 ปี มีรูปโปสเตอร์ขนาดใหญ่ติดที่ผนังในห้องนอน แต่ไม่เคยมีโอกาสไปดูคอนเสิร์ต หรือเจอตัวจริงเลย ด้วยความที่ต้องใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการเรียน เพราะนักเรียนทุนมีการบังคับเกรด และในที่สุดก็เกิดพรหมลิขิตที่ทำให้  “ครูก้อย” ได้พบกับ “เจมส์” โดยบังเอิญ ที่ล็อบบี้โรงแรมทวินโลตัส ในตัวจังหวัดนครศรีธรรมราช

                  มีบุตรยาก
                  (รูปแรกที่ถ่ายด้วยกัน)

                  ซึ่งครูก้อยจะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนสชั้น 3  ของโรงแรมเป็นประจำหลังเลิกงาน  และ บังเอิญวันนั้น เจมส์ ได้เดินทางมาทำงาน และเข้าพักที่นั่นพอดี โดย ครูก้อย ได้เข้าไปขอถ่ายรูปคู่กับศิลปินในดวงใจ และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทั้งคู่ได้พบรักกันเรียกว่าจีบกันข้ามจังหวัด จนสุดท้ายได้มาคบหาดูใจและตัดสินใจแต่งงานมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันที่กรุงเทพ

                   

                  แม้ตอนนี้ “ครูก้อย” จะตัดสินใจลาออกจากการเป็นครูฟิสิกส์ อาชีพที่ตัวเองรัก เพราะต้องออกมาทำหน้าที่เป็นภรรยาและคุณแม่ที่ดีให้กับครอบครัว “ลอยชูศักดิ์” ที่กรุงเทพ แต่ “ครูก้อย” ก็ไม่ทิ้งประสบการณ์ความรู้ และการถ่ายทอดความรู้จากการเป็นครูวิทยาศาสตร์

                   

                  ซึ่งตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ครูก้อยทุ่มเททั้งชีวิตอยู่กับการสืบค้นความรู้เกี่ยวกับการมีลูก   “ครูก้อย” ได้ต่อยอดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการรวบรวมหาข้อมูลวิเคราะห์ถึงปัญหาการมีบุตรยากของคนที่อยากจะเป็นคุณแม่ โดย “ครูก้อย” ได้นำเรื่องราวในชีวิตจริงของตัวเอง ถ่ายทอดพร้อมองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เปิดเผยเส้นทางมีลูกยากจากชีวิตจริงเป็นกรณีศึกษา เพื่อเป็นวิทยาทานแก่แม่ๆท่านอื่น ๆ อย่างหมดเปลือก

                   

                  เริ่มต้นเมื่อตอนอายุ 34 ปี ที่เริ่มปล่อยมีลูกแบบธรรมชาติ และได้แท้งไปในท้องแรกด้วยอายุครรภ์

                  เกือบ 3 เดือนตอนนั้น “ครูก้อย” รู้สึกเสียใจมาก หลังจากผิดหวังครั้งนั้นจึงหันมาปรึกษาแพทย์เพื่อเตรียมตัวมีลูก เริ่มด้วยการกินยากระตุ้นไข่แล้วบังคับให้ไข่ตก ทำ IUI ฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูกก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเข้าสู่กระบวนการทำ ICSI และคัดโครโมโซม  แต่กว่าจะถึงวันนี้ได้ มันไม่ได้ง่ายเลย “ครูก้อย” ผ่านภาวะ OHSS ในการกระตุ้นไข่รอบแรก จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ต้องระงับการให้ยาฉีดกระตุ้น เนื่องจากเกิดภาวะรังไข่ถูกกระตุ้นมากเกินไป จนมีไข่เติบโตมากเกิน 20 ใบ ทำให้ท้องอืดตาพร่าเวียนหัว หายใจไม่ออก มีน้ำอยู่ในช่องท้อง แพทย์จึงลดโดสยาและระงับการฉีดยากระตุ้นไข่ในรอบนั้น ทำให้ไข่ของ “ครูก้อย” 20 ใบ เสียหายหมด กลายเป็นไข่ที่ไม่มีนิวเคลียส (ภาวะ Empty Follcle Syndrome)

                  มีบุตรยาก

                  ซึ่งพบได้ในผู้หญิงเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่เข้ารับการทำเด็กหลอดแก้ว “ครูก้อย” เหลือไข่เพียงแค่ 3 ใบเท่านั้นที่มีนิวเคลียส แต่เมื่อปฏิสนธิ ก็ได้เป็นตัวอ่อนที่ไม่สมบูรณ์ 2 ตัว ใส่ตัวอ่อนรอบแรกไปก็ไม่ติด  แต่ “ครูก้อย” ก็ไม่ท้อแท้ พักร่างกาย 6 เดือน ด้วยความที่ “ครูก้อย” เองเป็นคุณแม่สายวิทย์ฯ คือ เรียนสายวิทยาศาสตร์มา แม้จะเป็นครูสอนฟิสิกส์แต่ครูก้อยจบสาขา Bio-Physics จึงมีความรู้ด้านชีววิทยาด้วย พอรู้ว่าตัวเองมีปัญหา PCOS ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ จึงนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ที่มี และศึกษางานวิจัยผู้มีบุตรยากจากทั่วโลกเพิ่มเติมควบคู่กับปรึกษาแพทย์ เพื่อเตรียมความพร้อมด้านร่างกาย บำรุงอาหารการกิน บำรุงไข่ เตรียมผนังมดลูก ทานอาหารที่ปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย ด้วยสมุนไพรและอาหารเสริมที่มีสารอาหารโปรตีนสูง และวิตามินสำคัญสำหรับเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้ได้ไข่ที่สวยและสมบูรณ์ที่สุด ก่อนเข้าสู่กระบวนการ ICSI รอบ 2  รอบนี้เตรียมตัวดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ทุกอย่างดีงามตามเกณฑ์ ได้เป็นคุณแม่ มี “น้องเมดา” มาเติมเต็มในชีวิตสมใจ

                   

                  แต่เมื่อตั้งครรภ์ไปแล้ว 4 เดือนก็ต้องเข้าห้องผ่าตัดเพื่อเย็บปากมดลูก เนื่องจากตัว “ครูก้อย” นั้นมีภาวะคอมดลูกสั้นกว่าปกตินิดหน่อย คอมดลูกต้องไม่สั้นกว่า 3 ซม. ของ “ครูก้อย” 2.82 ซม. คุณหมอเกรงจะคลอดก่อนกำหนด จึงเย็บปากมดลูกป้องกันเอาไว้ และได้ผ่าคลอดน้องเมดาอย่างปลอดภัย เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2562 ด้วยน้ำหนักแรกคลอด 3601 กรัม ถือว่าเป็นเด็กที่สมบูรณ์มาก เพราะคุณแม่บำรุงดูแลมาอย่างดี

                  มีบุตรยาก

                  “ครูก้อย” ยังได้สร้างเพจ https://www.facebook.com/BabyAndMom.co.th/ ขึ้นมาเพราะตัวเองเป็นคนที่มีลูกยากและพยายามศึกษาหาหนทางทุกอย่างที่จะมีลูก เริ่มตั้งแต่วิธีกระบวนการทางธรรมชาติจนกระทั่งอาศัยวิธีเทคนิคทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ ผ่านมาแล้วทุกขั้นตอนตั้งแต่

                  1. กินยากระตุ้นไข่แล้วบังคับให้ไข่ตก
                  2. IUI ฉีดเชื้อเข้าสู่โพรงมดลูก
                  3. เด็กหลอดแก้ว
                  4. ทำเด็กหลอดแก้ว ( ICSI + คัดโครโมโซม)

                  และ “ครูก้อย” เองก็ได้แชร์ข้อมูลที่เกี่ยวกับดูแลตัวเอง การเตรียมความพร้อมของผู้มีบุตรยาก ก่อนเข้าสู่กระบวนการทางการแพทยตั้งแต่ก่อนท้อง“น้องเมดา”ไว้ในเพจ https://www.facebook.com/BabyAndMom.co.th/  ซึ่งทำมาเกือบ 4 ปี แล้ว

                  ปัจจุบันมีบรรดาแม่ๆที่มีปัญหาเรื่องมีบุตรยากมาติดตามครูก้อยมากกว่า1.7 แสนคน และ แอดไลน์เข้ามาปรึกษาครูก้อยทาง ไลน์แอด :@babyandmom.co.th เยอะมาก จนครูก้อยกลายเป็นที่ปรึกษาสำหรับผู้มีบุตรยากไปแล้ว และมีหลายครอบครัวที่ประสบปัญหาการมีลูกยาก และหันมาเตรียมตัว บำรุงไข่ บำรุงมดลูก ปรับสมดุลฮอร์โมน ก่อนเข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์ โดย “ทานตามคัมภีร์ครูก้อย” ประสบความสำเร็จมีลูกน้อยสมใจตามที่ตั้งใจไว้ ซึ่งในแต่ละวัน มีแม่ๆอินบ็อกซ์ มาบอกว่า..ท้องแล้วเยอะมากเพราะทำตามสูตรและเทคนิคที่ครูก้อยแนะนำ

                  ครูก้อยดีใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ช่วยแม่ๆ ที่มีบุตรยากได้สมหวัง เพราะครูก้อยรู้ดีว่า… ไม่มีใครเข้าใจผู้มีบุตรยาก หากไม่ได้ยืนอยู่ในฐานะผู้มีบุตรยากเหมือนกัน แม้จะเป็น 1 % , 5% หรือ 10% แต่สำหรับคนมีบุตรยาก ทุกๆ เปอร์เซ็นต์มีความหมาย” หากใครที่มีปัญหาเรื่องการมีบุตรยาก“ครูก้อย”บอกว่าสามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลได้ใน เว็บไซต์  https://www.babyandmom.co.th และกดติดตามข้อมูลอัปเดทและเคล็ดลับดีๆสำหรับผู้มีบุตรยากได้ที่เพจ https://www.facebook.com/BabyAndMom.co.th/ หรือแอดไลน์เข้ามาปรึกษาครูก้อยทาง ไลน์แอด :@babyandmom.co.th   รับรองว่าไม่ผิดหวัง มีข้อมูลแน่นมาก และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทใหม่ในชีวิตปัจจุบันของ “ครูก้อย” ภรรยาคนเก่งของ “เจมส์ เรืองศักดิ์” ที่ทำให้เธอภูมิใจในฐานะ “ที่ปรึกษาของผู้มีบุตรยาก” นั่นเองค่ะ

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    สอนลูกให้เรียนรู้

                    5 เทคนิค สอนลูกให้เรียนรู้ จากความล้มเหลว เพื่อลุกขึ้นสู้!

                    สอนลูกให้เรียนรู้ หลายครั้ง ที่เราอาจมองหรือคิดไปว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต คนที่ ร่ำรวย มีกินมีใช้ เป็นคนที่โชคดี นั่นเพราะเรามองที่ผลลัพธ์สุดท้าย แต่ไม่มีโอกาสได้เห็นสิ่งที่คนที่เรามองว่าโชคดีเหล่านี้ล้มเหลวในชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่ากว่าจะได้มาซึ่งความสำเร็จ

                    โดยทั่วไปความล้มเหลว อาจเกิดจากการขาดความสามารถของบุคคลที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายหรือขาดความมั่นใจในตัวเอง รวมทั้งความพยายามในระดับสูง เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย การต้องพบกับความล้มเหลวหลายๆ ครั้ง อาจทำลายความเชื่อมั่นในตัวเอง ทำให้เกิดความรู้สึกในเชิงลบต่างๆ นาๆ   ยิ่งไปกว่านั้นเรามักจะพัฒนาอารมณ์เชิงลบทั้งหลายให้มากจึ้น ทั้งความผิดหวั งและความคับข้องใจที่สะสมมากขึ้น จนนำไปสู่ความยากลำบากในการที่จะลุกขึ้นสู้ทำสิ่งใดใหม่อีกครั้ง

                    สอนลูกให้เรียนรู้
                    สอนลูกให้เรียนรู้

                    แต่สำหรับเด็กในวัยเรียนรู้ หากพ่อแม่ปลูกฝังให้พวกเขาได้รู้จักกับ “การเรียนรู้จากความผิดพลาด” การที่จะลุกขึ้นสู้ใหม่ได้เมื่อเจอเรื่องล้มเหลวในชีวิตจะไม่ใช่เรื่องยากจนเกินความพยายาม เขาจะกลายเป็นคนที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆ ในชีวิตอย่างง่ายดาย ถ้าไม่ได้สู้จนถึงที่สุดก่อน วันนี้เรามีเทคนิคดีๆ ในการปลูกฝังในเรื่องนี้ให้กับลูกๆ มาฝากค่ะ

                    ก่อนอื่นอยากขอ เอ่ยถึง บุคคลที่มีชื่อเสียงในอดีต ที่กลายเป็นบุคคลสำคัญระดับตำนาน ซึ่งได้แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวอย่างเปิดเผย เกี่ยวกับบทเรียนจากความล้มเหลว และความยากลำบากได้สอนอะไรแก่เขาบ้าง แน่นอนว่าเขาเคยถูกปฏิเสธ และล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่ล้มเหลวเขาเลือกที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง โดยเปลี่ยนความมุ่งมั่นของตนเองให้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ  โดยมุ่งเน้นไปที่เป้าหมาย บุคคลเหล่านี้ มีความคิดเชิงบวกที่มุ่งเป้าไปที่การเติบโต

                    วอลต์ดิสนีย์ เคยกล่าวไว้ว่า“ เราไม่มองย้อนกลับไปในความล้มเหลวนานนัก แต่เราก้าวไปข้างหน้า เปิดประตูใหม่ และทำสิ่งใหม่ ๆ เพราะเราอยากรู้อยากเห็น และความอยากรู้อยากเห็นทำให้เราไปสู่เส้นทางใหม่ ๆ ”

                    9 คำคมให้กำลังใจ จาก การ์ตูนเจ้าหญิงดิสนีย์ ยอดนิยม

                    เทคนิคสร้างSelf-efficacyช่วยลูก แก้ปัญหา ได้ด้วยตัวเอง

                    23 คำพูดให้กำลังใจ ที่เพิ่มศักยภาพลูก..สู่ความสำเร็จ

                    ดังนั้นเราในฐานะผู้ใหญ่และผู้ดูแลเด็ก จะสอนลูก ๆ ของเราได้อย่างไร ว่าเราอาจต้องล้มเหลวหรือเผชิญกับสถานการณ์ที่ท้าทายต่างๆ  มากมาย ก่อนที่จะบรรลุความสำเร็จตามที่ต้องการในท้ายที่สุด

                    5 เทคนิค สอนลูกให้เรียนรู้ จากความล้มเหลว เพื่อลุกขึ้นสู้!

                    1.สอนลูกของคุณให้รับมือกับความล้มเหลวเล็ก ๆ น้อย ๆ

                    คุณควรแนะวิธีปรับตัวปรับใจอยู่กับความล้มเหลวให้กับลูก แม้จะเป็นในเรื่องเล็กๆ เช่น วันนี้ลูกตั้งใจจะต่อบล็อคไม้ให้ได้สูงๆ แบบไม่ล้มเลย แต่ต่อไปไม่กี่ชั้นก็ลมพังลงมา ในฐานะพ่อแม่ เราต้องสอนลูกให้รู้จักกับความ อดทน และพยายาม ที่จะทำสิ่งนั้นใหม่โดยไม่ย่อท้อ “ล้มก็ไม่เป็นไรลูก ใจเย็นๆ ค่อยๆ ต่อมันใหม่นะ”  วิธีนี้จะช่วยสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจ และช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนความล้มเหลวสู่ความสำเร็จได้เสมอเมื่อต้องเจอเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิตที่ท้าทายต่อไปเมื่อพวกเขาโตขึ้น

                    2. ไม่ปกป้องลูกจากการกระทำที่ไม่ถูกต้อง

                    ตัวอย่างเช่น หากมันเป็นคืนวันอาทิตย์ แต่ลูกของคุณบอกว่า ลืมทำการบ้าน มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถทำได้ทันเพราะดึกแล้ว  สิ่งที่คุณควรทำ คือ คุณต้องไม่ช่วยลูกทำการบ้าน และอย่ายืนหยัดที่จะปกป้องลูก แต่จงบอกให้ลูกจัดการกับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง การปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้จัดการปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ที่จะตามมา คือ พวกเขาจะสามารถควบคุมการตัดสินใจ และการกระทำของพวกเขาได้อย่างเหมาะสมในอนาคต

                    หมอแนะ! ลูกทำผิดในที่สาธารณะ ควร ทำโทษลูก ทันทีหรือทีหลังได้?

                    ลูกเอาแต่ใจ?! โดดให้รถชนเพราะแม่ไม่ทำตามที่ขอ!

                    พ่อแม่ระวัง! เผลอสอน ลูกขี้เกียจ ทำลายอนาคตลูกได้!

                    3. ช่วยลูกให้เห็นความล้มเหลวเป็นโอกาสที่ดีในการเติบโตและเรียนรู้

                    พูดคุยกับลูกถึงความผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้น และช่วยให้พวกเขาค้นพบวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างออกไป เพื่อมุ่งเป้าสู่ความสำเร็จในความพยายามครั้งใหม่ วิธีนี้จะช่วยให้พวกเขาพัฒนาระบบความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สามารถคิดได้อย่างมีเหตุมีผล

                    สอนลูกให้เรียนรู้

                    4. ให้สติและคอยเตือนใจ เมื่อลูกรู้สึกไม่ดีต่อความล้มเหลว

                    บอกพวกเขาว่าเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกถึงอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่างๆ  ที่มาพร้อมกับความล้มเหลว และสิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำหากต้องการที่จะประสบความสำเร็จ คือ ย้อนกลับไปเผชิญกับความท้าทายนั้นซะ วิธีนี้ จะช่วยให้ลูกไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากก่อนที่จะไปสู่ความสำเร็จได้

                    * ในฐานะพ่อแม่สิ่งสำคัญ คือต้องชื่นชมความพยายามของลูกๆ ในการทำงานบางอย่างให้สำเร็จ สิ่งนี้จะนำไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถและเพิ่มความมั่นใจในทางที่ถูกต้องของเด็กได้ ตัวอย่าง เช่น บอกลูกของคุณ ว่า “พ่อแม่รับรู้ และภูมิใจ และขอชื่นชมในความพยายามที่ลูกทุ่มเทที่จะทำให้ดีที่สุดนะ”

                    ” สิ่งสำคัญ คือ ต้องหลีกเลี่ยงความจำเป็นที่จะต้องกล่าวชมเชยแบบเกินจริง เมื่อเด็กไม่ได้ทำอะไรเลย สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความมั่นใจมากเกินไปโดยไม่จำเป็นได้ “

                    ดังนั้นในฐานะพ่อแม่ เราต้องมั่นใจว่าลูก ๆ ของเราเข้าใจว่าความล้มเหลวเป็นเพียง “ความพยายามครั้งแรกในการเรียนรู้” และหาทางแก้ปัญหาต่างๆ ที่ผิดพลาด เพื่อลุกขึ้นอีกครั้ง เราต้องแบ่งปันเรื่องราวของเรากับพวกเขา และบอกพวกเขาว่าเป็นเรื่องปกติที่จะล้มเหลวและพบกับช่วงเวลาที่น่าผิดหวัง แต่พ่อแม่พยายามอย่างหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาชื่นชมยินดีในความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ เชื่อมั่นในตัวเองและสร้างความมั่นใจในตนเองโดยรวมได้ค่ะ และที่สำคัญจะทำให้พวกเขากลายเป็นเด็กที่มี ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ) ในอนาคตได้อย่างไม่ต้องสงสัยค่ะ

                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : indianexpress.com

                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                    เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

                    สอนลูกให้กล้า ไม่กลัวความล้มเหลว ปูหนทางสู่ความสำเร็จในชีวิต

                    สอนลูกให้คิดเป็น ฝึกฝนการเจออุปสรรค เพื่อเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      ลูกติดโซเชียล

                      5 วิธีแก้ ลูกติดโซเชียล เหลียวแต่หน้าจอทั้งวันทั้งคืน!

                      ลูกติดโซเชียล – บ้านที่มีลูกๆ เป็นวัยรุ่นตอนต้น อายุราว 12-15 ปี แน่นอนว่าเด็กๆ เหล่านี้ เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและดิจิทัล ที่มีสมาร์ทโฟน เป็นเสมือนอวัยวะที่ 33 เและเป็นประตูสู่โลกโซเชียลที่แทบจะขาดไม่ได้ จนบางครั้งดูเหมือนว่าเด็กติดกับดักกับชีวิตในโลกเสมือนจริง ที่มีแต่ด้านดีๆ จนบางคนไม่อาจยอมรับกับสภาพชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณพ่อคุณแม่ ต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กๆ เพื่อไม่ให้พวกเขาใช้ชีวิตติดโซเชียลมากเกินไป  วันนี้เราจึงขอนำเทคนิคดีๆ มาฝากสำหรับบ้านที่มีลูกวัยทีนติดโซเชียลมาฝากค่ะ

                      5 วิธีแก้ ลูกติดโซเชียล เหลียวแต่หน้าจอทั้งวันทั้งคืน!

                      การเติบโตมาในยุคที่แวดล้อมไปด้วยเทคโนโลยี มีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเด็กและวัยรุ่น ในด้านบวกเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียมักเป็นเครื่องมือในการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม และยังสามารถให้ความรู้กับเด็กๆ ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเป็นวัยที่มีส่วนร่วมมากขึ้นต่อการแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ  อย่างไรก็ตามโซเชียลมีเดียยังเป็นสิ่งเสพติดได้ และอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำให้บุตรหลานของคุณอยู่ห่างจากมัน การเสพติดโซเชียลมากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อทั้งพัฒนาการและสุขภาพของเด็ก ในฐานะพ่อแม่ หากคุณรู้สึกว่าลูกของคุณ คือ หนึ่งใน เด็กที่กำลังติดโซเชียลมีเดีย ต่อไปนี้ คือ แนวทางในการแก้ปัญหาค่ะ

                      1. สอนให้ลูกโฟกัสกับหน้าที่หลักของตัวเอง

                      ผลกระทบเชิงลบอย่างหนึ่งของโซเชียลมีเดีย คือ มักจะรบกวนสมาธิของเด็กๆ ที่ควรมีต่อหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบหลัก นี่เป็นเพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการเห็นข้อมูลใหม่ ๆ ที่พบจากหน้าจอบนโซเชียลมีเดียทุกวินาทีของวัน เลื่อนและเลื่อนเป็นเวลาหลายชั่วโมง เมื่อเด็ก ๆ ไม่ต้องการพลาดเรื่องใหม่ๆ ดังนั้นพวกเขาจะโฟกัสมกับงานในชีวิตจริงได้ยากขึ้น  การใช้ชีวิตในโรงเรียน และสังคมการมีสมาธิต่อสิ่งที่สำคัญนั้นจำเป็นที่สุด หากใจลอยไปเรื่องอื่นๆ ก็ยากต่อการจะทำงานหลักให้สำเร็จได้ ดังนั้น วิธีที่อาจฝึกพวกเขาได้คือ การมอบหมายงานที่บ้านให้ทำ และอาจบอกว่าควรทำสิ่งที่ต้องรับผิดชอบให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะเล่นโซเชียลได้ พ่อแม่ต้องมีศิลปะในการพูด วิธีนี้คือหนึ่งในรูปแบบของการฝึกวินัยเชิงบวก

                      สร้าง Mind map ช่วยฝึกให้ลูกส่งงานครบมีความรับผิดชอบ

                      5 เทคนิค ตามใจลูก [สร้างวินัยเชิงบวก] ฝึกลูกคิดเป็น มีความรับผิดชอบ

                      เกมฝึกทักษะ การแก้ปัญหา ฝึกลูกก่อนเผชิญของจริง

                      2. พยายามส่งเสริมให้ลูกเล่นกีฬา

                      วิธีที่ดีวิธีหนึ่งในการหยุดลูกๆ ไม่ให้ติดโซเชียลมีเดียมากเกินไป คือการสนับสนุนให้ทำกิจกรรมอื่น ๆ เช่น การเล่นกีฬา หากบุตรหลานของคุณเข้าสังคมในชีวิตจริงพวกเขาจะรู้สึกไม่จำเป็นต้องได้รับการจับจ้องจากเพื่อนในโลกออนไลน์ เนื่องจากพวกเขาจะมีความผูกพันใกล้ชิดกับผู้คนในชีวิตจริง

                      การเล่นกีฬาที่พวกเขามุ่งมั่นและต้องการที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการสร้างแรงจูงใจของพวกเขา เนื่องจากการมีเป้าหมายที่คุณพยายามทำอย่างต่อเนื่องนั้นดีต่อสุขภาพมาก ประการแรกคุณควรถามพวกเขาว่าพวกเขาชอบเล่นกีฬาอะไร แต่คุณควรคิดนอกกรอบด้วย ให้พวกเขาลองเล่นกีฬาหลายประเภททั้งแบบเดี่ยวและแบบทีมเพื่อให้พวกเขาได้ค้นพบว่าพวกเขาชอบเล่นกีฬาชนิดไหนมากที่สุด

                      ลูกติดโซเชียล
                      ลูกติดโซเชียล

                      3.จำกัดการใช้โทรศัพท์ของพวกเขา

                      วิธีนี้ คืออีกวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพในการดูแลให้บุตรหลานของคุณไม่ติดโซเชียลมีเดียมากเกินไป อย่างไรก็ตามคุณต้องฉลาดในการทำสิ่งนี้ การกำหนดข้อ จำกัด ที่เข้มงวดมาก ๆ ให้กับบุตรหลานของคุณ มักนำไปสู่ความโกรธแค้น และพวกเขาอาจดื้อต่อต้าน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องหาสมดุลที่ดี หากบุตรหลานของคุณมีเทคโนโลยีล่าสุดอยู่เสมอสิ่งนี้จะกระตุ้นให้พวกเขาใช้โซเชียลมีเดียบ่อยขึ้น ดังนั้นอย่ารู้สึกกดดันหากลูกร้องขอให้ซื้อโทรศัพท์ใหม่ให้พวกเขาอยู่ตลอดเวลา

                      4. มีส่วนร่วมกับลูกในกิจกรรมต่างๆ เป็นประจำทุกวัน

                      หากคุณกำลัง จำกัด การใช้งานโซเชียลมีเดียของบุตรหลาน วิธีนี้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีมาก คุณต้องทำกิจกรรมสนุกๆ ต่างๆ กับลูก แทนช่วงเวลาที่พวกเขาอาจเอาไปใช้กับโลกของโซเชียลมี หากคุณไม่ได้มีส่วนร่วมกับบุตรหลานของคุณ พวกเขาจะหันไปใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อการสนทนาและความบันเทิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณจะต้องช่วยให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนและการมีส่วนร่วมอย่างเพียงพอในชีวิตจริง โดยให้พวกเขารู้สึกว่าไม่ต้องมีต้องจ้ิมจอท่องโซเชียลมีเดียแต่ก็มีความสุขได้ ซึ่งอาจรวมถึงการพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับปัญหาทางสังคม และที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนถามไถ่ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของพวกเขา

                      5. ซื้อบอร์ดเกมติดบ้านเอาไว้

                      การซื้อบอร์ดเกมมาติดบ้านไว้ เป็นรูปแบบความบันเทิงที่ยอดเยี่ยม เพื่อให้คุณกับลูกๆได้ใช้เวลาที่มีคุณค่าร่วมกัน และยิ่งคุณดึงความสนใจของลูกด้วยความบันเทิงรูปแบบอื่นๆ ได้มากเท่าไหร่ ลูกๆ ของคุณก็จะสนใจโทรศัพท์น้อยลงเท่านั้น แต่เมื่อพวกเขาไม่มีอะไรทำอาจรู้สึกเบื่อหน่าย และอาจเปิดจอท่องโซเชียลได้ทั้งวัน  ดังนั้นหากคุณต่อสู้กับความเบื่อหน่ายของลูกได้สำเร็จ โอกาสที่ลูก ๆ ของคุณจะติดโซเชียลมีเดียก็จะลดลง  สำหรับบอร์ดเกมมีให้เลือกเล่นเยอะแยะมากมายค่ะ อาทิ Scrabble  Monopoly รวมถึงเกมแนวเสี่ยงโชคสนุกๆ เช่น Frustration เป็นต้น

                      ลูกติดโซเชียล
                      เล่นบอร์ดเกมกับลูกๆ สิคะ

                      โซเชียลมีเดีย ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด แต่ถ้าคุณปล่อยให้ลูกใช้มันมากเกินไป อาจนำไปสู่การพัฒนานิสัยที่ไม่ดีต่อทั้งสุขภาพกายและจิตใจได้ เมื่อเด็กเข้าถึงโซเชียลมีเดีย พวกเขาจะถูกครอบงำอย่างง่ายดายและอาจเป็นเรื่องยากที่เราจะล่วงรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่เมื่อพวกเขามีโทรศัพท์ในมือ การสร้างการมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้นกับลูกๆ การหาเทคนิคเบี่ยงเบนความสนใจจากโลกออนไลน์ ทั้ง 5 วิธีที่เราแนะนำ จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กๆ ในระยะยาวได้ค่ะ

                      นอกจากนี้การสอนและปลูกฝังเรื่องความเหมาะสม ความสมดุลของชีวิต ไม่ให้ติดกับดักโลกเสมือนจริงอย่างโซเชียลมีเดียมากเกินไป จะช่วยให้ลูกเป็นเด็กที่มี ความฉลาดด้านการคิดเป็น(TQ) ว่าอะไรที่เป็นปัญหาต่อตัวเองและผู้อื่น และควรแก้ปัญหาอย่างไร วิธีหนึ่งในการเบี่ยงเบนความสนใจจากโลกโซเชียลอย่างการส่งเสริมให้ลูกเล่นกีฬาก็มีส่วนช่วยให้เด็กๆ เกิดจินตนาการที่ดีได้ มีผลศึกษาจากต่างประเทศระบุว่า การออกกำลังกายนอกจากจะทำให้มีสุขภาพดีและสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีขึ้นกว่าปกติด้วยค่ะ

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parentology.com

                      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                      แนะวิธี แก้ปัญหาลูกติดมือถือ ด้วยแอพพลิเคชัน NetCare พ่อแม่ทำได้แค่ปลายนิ้ว

                      ชวนลูกทำ กิจกรรมนอกบ้าน เสริมทักษะการแก้ปัญหา!!

                      8 บอร์ดเกมเด็ก ต้องมีติดบ้าน ช่วยเพิ่มทักษะรอบด้านให้ลูก

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        เสริมสร้างกระดูก

                        8 เคล็ดลับ เสริมสร้างกระดูก ให้ลูกแข็งแรง!

                        เสริมสร้างกระดูก – กระดูกเป็นส่วนสำคัญของร่างกายมนุษย์  พ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับพัฒนาการของกระดูกลูกๆ ตลอดช่วงเวลาที่ร่างกายพวกเขายังต้องเจริญเติบโต กระดูกในร่างกายของเราทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ทั้งปกป้องอวัยวะภายใน สร้างรูปร่างและขนาดให้กับร่างกาย ตลอดจนประสานงานกับกล้ามเนื้อเพื่อเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย ดังนั้นสุขภาพที่ดีของกระดูกจึงไม่ใช่สิ่งที่จะมองข้ามหรือละเลยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุขภาพกระดูกของเด็กๆ

                        8 เคล็ดลับ เสริมสร้างกระดูก ให้ลูกแข็งแรง!

                        ในฐานะพ่อแม่เราควรดูแลให้ลูกกระดูกที่แข็งแรง เนื่องจากการมีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรงตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยป้องกันปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น เช่น โรคกระดูกพรุน เป็นต้น  วันนี้เรามาติดตามสิ่งที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกลูกให้แข็งแรงกันเลยค่ะ

                        เสริมสร้างกระดูก
                        เสริมสร้างกระดูก

                        1.แคลเซียมเพียงพอในอาหาร

                        เมื่อพูดถึงการรักษาเสถียรภาพและความแข็งแรงของกระดูก สิ่งแรกที่ควรให้ความสำคัญ คือ แคลเซียม แคลเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็ก มักพบในนม และผลิตภัณฑ์จากนมเช่น ชีส และโยเกิร์ต นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เต้าหู้ และอัลมอนด์ แคลเซียมมีบทบาทสำคัญในการดูแลกระดูกให้แข็งแรง แต่เด็ก ๆ จะต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย คุณพ่อคุณแม่อาจปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเลือกรับประทานอาหารเสริม หากคิดว่าอาหารปกติที่ลูกทานในแต่ละมือให้แคลเซียมไม่เพียงพอแก่ลูกๆ ของคุณ

                        2. ส่งเสริมให้ลูกเล่นกีฬา

                        การเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตรในโรงเรียน เช่น กิจกรรมกีฬา คุณอาจต้องการส่งเสริมให้บุตรหลานของคุณมีส่วนร่วมในกิจกรรมกีฬามากขึ้น เนื่องจากการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในกีฬาบางประเภทสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกได้ เช่น ฟุตบอล แบดมินตัน เทนนิส ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่สามารถกำหนดตารางการเล่นให้ลูกๆ และเด็ก ๆ ที่สำคัญพ่อแม่ต้องให้พวกเขารับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ

                        เสริมสร้างกระดูก
                        เสริมสร้างกระดูก

                        ทำความรู้จัก Surfskate กีฬาสุดฮิต เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นดี

                        เมื่อนักกีฬาตัวน้อยกลับสู่โรงเรียนอีกครั้ง 5 ข้อปฏิบัติสำหรับผู้ปกครองเพื่อให้เด็กๆสนุกกับเล่นกีฬาโปรดอย่างถูกหลักอนามัย

                        ลูกไม่ยอมเรียนดนตรี-กีฬา-ศิลปะ ทั้งที่เคยชอบเรียน เพราะอะไร?

                        3. วิตามินดีในปริมาณที่ดีต่อสุขภาพ

                        วิตามินดี สามารถพบได้ในอาหารต่างๆ  เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาเทราท์ เห็ด ไข่แดง และอาหารที่มีไขมันอื่น ๆ อย่างไรก็ตามแหล่งวิตามินดีที่หาได้ง่ายที่สุดคือแสงจากดวงอาทิตย์ นี่คือเหตุผลที่แพทย์มักแนะนำให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานออกไปข้างนอกท่ามกลางแสงแดดในช่วงเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แสงแดดมีความเหมาะสมพอดีกับผิวหนัง วิตามินดีถือเป็นหนึ่งในสารอาหารที่สำคัญที่สุด สำหรับการปรับปรุงพัฒนาสุขภาพกระดูก เนื่องจากช่วยดูดซึมแคลเซียมในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นวิตามินดีและแคลเซียมสามารถทำงานร่วมกันเพื่อช่วยในการพัฒนาความแข็งแรงของกระดูกในเด็กได้

                        4. วิตามินเคในปริมาณที่ดีต่อสุขภาพ

                        วิตามินเค เป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของกระดูก พ่อแม่ควรให้ลูกๆ กินผักใบเขียวเช่น บรอกโคลี กะหล่ำปลี หัวผักกาด ผักโขม ฯลฯ การให้อาหารผักสีเขียวสำหรับเด็กเป็นสิ่งสำคัญแม้ว่าพวกเขาจะทำหน้าบึ้งหรือทำหน้าบูดหลังจากเห็นก็ตาม เพราะวิตามินเคเป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่จำเป็น

                        วิตามินเค และวิตามินดีและแคลเซียม สามารถช่วยป้องกันกระดูกเปราะในเด็กได้ หากพวกเขาได้รับอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารเหล่านี้ตั้งแต่อายุน้อย เด็ก ๆ มักมีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการเคล็ดขัดยอกและกระดูกหักเนื่องจากพวกเขาอาจยังไม่โตพอที่จะรู้ได้ว่ากิจกรรมหรือกีฬาชนิดใด ที่จะทำให้เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บที่กระดูกได้ โดยสารอาหารเหล่านี้สามารถเป็นเกราะป้องกันในรูปแบบของกระดูกที่แข็งแรงให้กับพวกเขาได้

                        หมอชี้!!ลูกขาด วิตามินซี อันตรายกว่าที่คิด เสี่ยงเดินไม่ได้

                        อาหารที่มีวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กและทารก

                        โรคขาดวิตามินเอ เสี่ยงทำลูกตาบอดไม่รู้ตัว

                        5. อาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียม

                        แมกนีเซียมเป็นอีกหนึ่งสารอาหารที่สำคัญสำหรับการพัฒนากระดูกที่เหมาะสมของเด็กๆ  แมกนีเซียมสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิด เช่น ข้าวโอ๊ตถั่วลิสง และอัลมอนด์ ผักโขม อะโวคาโด และมันฝรั่ง เป็นต้น

                        แมกนีเซียมอาจไม่เป็นที่รู้โดยวงกว้าง เหมือนแคลเซียมหรือวิตามินดีในคุณสมบัติช่วยสร้างสุขภาพกระดูกให้แข็งแรง  แต่แมกนีเซียมก็มีประโยชน์มาก เคล็ดลับที่ดีคือการเตรียมขนมปังสำหรับมื้อเช้าด้วยเนยถั่ว หรือเนยอัลมอนด์ เพราะอาจเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ สามารถรับประทานได้อย่างมีความสุข

                        6. การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ

                        การออกกำลังกาย ลักษณะนี้ คือ การออกกำลังกายที่เน้นการเสริมความแข็งแรงของหัวใจและปอด  มีกิจกรรมหลายชนิด ที่สนับสนุนการออกกำลังประเภทนี้ ที่เด็ก ๆ สามารถเพลิดเพลินได้ เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ชกมวย เป็นต้น สำหรับการพัฒนากระดูกให้แข็งแรงการออกกำลังกายเช่น กิจกรรมเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ตลอดจนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแบกน้ำหนักจากการยกน้ำหนักตั้งแต่อายุน้อย ๆ สามารถช่วยให้เด็ก ๆ มีความหนาแน่นของกระดูกมากขึ้นได้

                        7. การเข้าร่วมกิจกรรมนอกหลักสูตร

                        กิจกรรมที่มุ่งเน้นเสริมความแข็งแรงของหัวใจและปอดอาจไม่เหมาะสมกับเด็กทุกคน ในกรณีเช่นนี้ คุณสามารถให้ลูกๆ เข้าร่วมคลาสเต้นต่างๆ ได้ การเต้นเป็นรูปแบบหนึ่งของศิลปะมีการออกท่าทางที่หลากหลายและกระตุ้นให้กระดูกแข็งแรงได้จากการเคลื่อนไหวร่างกายในท่าทางต่างๆ นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ที่สนุกสนานสำหรับเด็ก ๆ ได้อีกด้วย

                        8. การเล่นเกม และการละเล่นใหม่ๆ

                        การสร้างความสนุกสนานให้กับเด็ก ๆ คือ การออกแบบเกมใหม่ ๆ ที่ให้เด็กๆ ได้สนุกไปพร้อมกับการออกกำลังกายที่ต้องใช้การกระโดด การออกกำลังกายเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ที่สามารถนำการสึกหรอที่จำเป็นในเนื้อเยื่อกระดูกมาช่วยในการเจริญเติบโตและซ่อมแซมได้เร็วขึ้น เกมเหล่านี้เหมาะสำหรับเด็กเล็กมากกว่า

                        ลูก ๆ ของเรามีแนวโน้มที่จะกระดูกหักและบาดเจ็บน้อยลง หากกระดูกใต้ผิวหนังได้รับการพัฒนาอย่างดี หากเราสามารถปลูกฝังให้เด็กๆ ใส่ใจสุขภาพร่างกาย กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเหล่านี้ได้ก็จะช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้ในเวลาไม่นาน ในขณะที่ทำเช่นนี้เราอาจต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูก ๆ ของเราไม่หลงระเริงกับพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพเพราะอาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการของกระดูกได้ ทั้งนี้การเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกให้ลูก หากเราเริ่มตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ จะเป็นเรื่องที่ดีมาก ถ้าลูกได้ซึบซับเรื่องความใส่ใจในสุขภาพของตัวเองลูกก็จะเติบโตขึ้นไปเป็นเด็กที่มีความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ในวันข้างหน้าได้ไม่ยากเลยค่ะ

                        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : moms.com

                        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                        Magic hold อุ้มท่านี้ลูกชอบ..ไม่ต้องห่วง กระดูกสันหลังคด

                        อาหารบำรุงกระดูก แม่ท้องและแม่ให้นม ควรกินอะไรดี?

                        รู้จัก โรคกระดูกอ่อน ในเด็กพร้อมสาเหตุและวิธีป้องกัน

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          พ่อแม่ควรทำสิ่งนี้ก่อนลูก หมด passion

                          ไม่อยากให้ลูกเป็นคน หมด passion ง่ายพ่อแม่ต้องทำสิ่งนี้

                          หาก หมด passion ในชีวิตง่าย ๆ ทำอะไรก็ไม่สุดไปสักทาง คงไม่ดีแน่กับลูก ที่โตมาในยุคที่อะไรก็รวดเร็ว มาไวไปไว ชวนดูวิธีที่ทำให้ลูกไม่ย่อท้อ สู้แม้อุปสรรคขวาง

                          ไม่อยากให้ลูกเป็นคน หมด passion ง่าย ๆ พ่อแม่ต้องทำสิ่งนี้!!

                          ในโลกแห่งการทำงาน คุณพ่อคุณแม่คงเคยได้ยินคำว่า “หมด passion” กันมาหลายครั้ง แต่รู้ไหมว่าเด็กก็หมด passion กันได้เหมือนกันนะ

                          บ่อยครั้งที่พ่อแม่มักจะเจอปัญหา ชวนลูกออกไปหากิจกรรมอื่น ๆ ทำกันนอกจากการที่วัน ๆ เอาแต่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน แล้วพบว่าลูกไม่เคยตอบรับ หรือให้ความสนใจที่จะออกไปหากิจกรรมอื่น ๆ ทำกันเลยใช่ไหมล่ะ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น…

                          Passion หมายถึงอะไร ?

                          Passion (แพชชั่น) เป็นคำภาษาอังกฤษที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า Pati ซึ่งมีความหมายว่า To Suffer , Pain แปลความหมายได้หลายอย่างขึ้นอยู่กับบริบทที่จะนำไปใช้ แต่หลักๆ ก็คือ ความเจ็บปวด ความทุกข์ ดังนั้นจึงแปลเป็นไทยได้ว่า ความกระตือรือร้นจากความเจ็บปวดหรือความเกลียด กลายเป็นแรงผลักดันจากภายใน ให้เราทำบางสิ่งบางอย่าง หรือในความหมายว่า ความหลงไหล Passion ก็คือ แรงผลักดันจากภายในให้เราทำบางอย่าง เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการหรือปราถนาเกิดขึ้น

                          ถ้าใช้ในเรื่องเกี่ยวกับการทำงาน การมุ่งสู่ความสำเร็จ Passion  ก็จะหมายถึง ความกระตือรือร้น การมีแรงผลักดันที่จะทำสิ่งที่ตั้งใจนั้นให้สำเร็จ

                          ข้อมูลอ้างอิงจาก www.si-englishbkk.com

                           

                          เมื่อลูก หมด passion
                          เมื่อลูก หมด passion

                          เมื่อลูกหมด Passion จะเป็นอย่างไร

                          1. คิดอะไรใหม่ ๆ ไม่ออก ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากสมองรู้สึกไม่สบายผ่อนคลาย ไม่มีความรู้สึกสนุก สมองรู้สึกถูกบีบบังคับ ไร้ทางออก มองเห็นอะไรก็เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จ ไม่เห็นโอกาส ไม่สามารถคิดอะไรใหม่ ๆ ที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ได้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงสำหรับเด็ก เพราะวัยเด็กเป็นวัยที่ต้องได้รับการฝึกฝนความคิดสร้างสรรค์ เป็นวัยที่มีจินตนาการ เมื่อเขากลัว ย่อท้อต่ออุปสรรคที่เข้ามาระหว่างทางทำให้ลูกไม่กล้าลองทำสิ่งแปลก ๆ แตกต่างที่อาจจะมีความสำเร็จรอเขาอยู่อีกไม่ไกล แต่เพราะเขาล้มเลิกไปเสียก่อน
                          2. ทำงานแค่ให้เสร็จแต่ไม่สำเร็จ คนหมด Passion จะทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เพียงงานจบ ปราศจากความใส่ใจ ปราศจากความพยายามความคิดที่อยากจะให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเลิศ เป็นที่หนึ่ง หรือมักจะทำตาม ๆ กันมา (ลอกเพื่อน) ไม่มีความคิดที่จะสร้างสรรค์ผลงานของตนเอง
                          3. เครียด เหน็ดเหนื่อย หมดพลัง คนหมด Passion จะรู้สึกหมดสนุก เบื่อหน่ายกับสิ่งที่ทำอยู่ ส่งผลทางร่างกายที่เกิดความรู้สึกไม่ผ่อนคลาย เครียด สร้างพลังและทัศนคติลบ รู้สึกว่างานที่รับผิดชอบอยู่นี้เยอะเกินไป ไม่สามารถรับมือกับการบ้าน หรือภาระงานที่เพิ่มขึ้นหลังจากนี้ได้อีกแล้ว จึงทำให้ไม่คิดที่จะทำกิจกรรมอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมา เพราะคิดว่าแค่หน้าที่ เช่น การเรียน ก็หนักหนาสำหรับเขาเสียแล้ว

                          ช่วยลูกค้นหา passion!!

                          แรงจูงใจ(Motives) คือ แรงผลักดันที่เกิดจากความต้องการมากระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรม เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางหรือเป้าหมาย
                          แรงจูงใจ มีลักษณะสำคัญ ดังต่อไปนี้

                          1. เป็นพลังงานที่กระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรม
                          2. เป็นตัวกำหนดทิศทางและเป้าหมายของพฤติกรรม
                          3. เป็นตัวกำหนดระดับของความพยายามในการแสดงพฤติกรรม

                          ดังนั้นแรงจูงใจจึงเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิด passion ของลูกได้ ซึ่งแรงจูงใจของมนุษย์นั้นมีด้วยกันหลายรูปแบบ และก่อให้เกิดพฤติกรรมแตกต่างกันไป ดังนี้

                          แรงจูงใจช่วยผลักดันไม่ให้ลูก หมด passion
                          แรงจูงใจช่วยผลักดันไม่ให้ลูก หมด passion
                          • เป้าหมายอยู่ที่ผลงาน : แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motive) หมายถึง แรงจูงใจที่เป็นแรงขับให้คนเราพยายามที่จะทำกิจกรรมให้ประสบผลสำเร็จตามมาตรฐานความเป็นเลิศ (Standard of Excellence) ที่ตนตั้งไว้ บุคคลที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะไม่ทำงานเพราะหวังรางวัลแต่ทำเพื่อจะประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ก่อให้เกิดบุคลิกภาพ และพฤติกรรมต่าง ๆ ดังนี้ เป็นผู้ที่ตั้งระดับความคาดหวังไว้สูง มีความรับผิดชอบ ทะเยอทะยาน อดทน รู้จักวางแผน เป็นต้น
                          • เน้นการเป็นที่ยอมรับ : แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliative Motive) ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ มักจะเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารี เป็นที่รักของเพื่อน มีลักษณะเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเมื่อศึกษาจากสภาพครอบครัวแล้วผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์มักจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น บรรยากาศในบ้านปราศจาก การแข่งขัน พ่อแม่ไม่มีลักษณะข่มขู่ พี่น้องมีความรักสามัคคีกันดี เมื่อทำสิ่งใด เป้าหมายก็เพื่อได้รับการยอมรับจากกลุ่ม
                          • ชอบเป็นผู้นำ : แรงจูงใจใฝ่อำนาจ (Power Motive) สำหรับผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจนั้น พบว่า ผู้ที่มีแรงจูงใจแบบนี้ส่วนมากมักจะพัฒนามาจากความรู้สึกว่า ตนเอง “ขาด” ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการ อาจจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ทำให้เกิดมีความรู้สึกเป็น “ปมด้อย” เมื่อมีปมด้วยจึงพยายามสร้าง “ปมเด่น” ขึ้นมาเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ตนเองขาด ทำให้มีบุคลิกชอบเป็นผู้นำ แสวงหาชื่อเสียง
                          •  ความคิดตนเป็นใหญ่ : แรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว (Aggression Motive) ผู้ที่มีลักษณะแรงจูงใจแบบนี้มักเป็นผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมากเกินไป บางครั้งพ่อแม่อาจจะใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นเด็กจึงหาทางระบายออกกับผู้อื่น หรืออาจจะเนื่องมาจากการเลียนแบบ บุคคลหรือจากสื่อต่าง ๆ ทำให้เป็นคนที่ถือความคิดเห็นหรือความสำคัญของตนเป็นใหญ่ ไม่รับฟังคนอื่น
                          • เป็นผู้ตาม ไม่มั่นใจตนเอง : แรงจูงใจใฝ่พึ่งพา (Dependency Motive) สาเหตุของการมีแรงจูงใจแบบนี้ก็เพราะการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ทะนุถนอมมากเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง ทำให้เกิดบุคลิกภาพชอบพึ่งพาคนอื่น ไม่มั่นใจ ลังเล
                          จะเห็นได้ว่ารูปแบบของแรงจูงใจ ที่ก่อให้เกิดแรงผลักดันในการทำพฤติกรรมต่าง ๆ นั้นมีทั้งในพฤติกรรมทางบวก และลบ จึงเป็นหน้าที่ของเราพ่อแม่ที่จะช่วยลูกค้นหาวิธีการที่จะทำให้เขาเกิดแรงผลักดันไปในทางที่ดี ไม่ทำให้เกิดอาการหมดไฟ (หมด passion) ไปเสียก่อนจะประสบผลสำเร็จ หรือก่อให้เกิดแรงจูงใจในด้านพฤติกรรมทางลบ

                          ทำอย่างไรให้ลูกไม่หมด passion ง่าย ๆ

                          ช่วยลูกค้นหาตัวตน

                          การที่ลูกจะค้นพบตัวตน ค้นพบสิ่งที่เข้าชื่นชอบ ทำแล้วรู้สึกตื่นเต้น สนุกจนจบได้นั้น ลูกคงต้องได้ลองทำกิจกรรมที่หลากหลาย ได้พบเจอสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้มาก ๆ แล้วการค้นพบความชอบของตัวเองจะง่ายขึ้น เมื่อเขารู้จักสิ่งที่ตัวเองชอบแล้ว การที่ลูกจะมีแรงผลักดันในการทำกิจกรรมใด ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก พ่อแม่จึงควรพาลูกออกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่สำคัญต้องเปิดโอกาสให้ลูกเลือกทำกิจกรรมด้วยตัวเอง และคอยสังเกตว่า ลูกตื่นเต้น มุ่งมั่น และมีความสุขกับกิจกรรมอะไรบ้าง เพื่อเก็บเป็นลิสต์กิจกรรมที่ลูกชื่นชอบ และหาโอกาสส่งเสริมต่อไป

                           

                          ช่วยลูกค้นหาตัวตน ก่อนเขา หมด passion ในชีวิต
                          ช่วยลูกค้นหาตัวตน ก่อนเขา หมด passion ในชีวิต
                          ไม่กดดันลูก
                          หากเขายังไม่สามารถพบเจอสิ่งที่ชอบ หรือหากลูกพบกิจกรรมที่ทำให้เขารู้สึกมี passion บ้างแล้ว พ่อแม่ก็ไม่ควรบังคับ หรือกดดันมากเกินไปจนทำให้กลายเป็นว่าลูกกลัว และเบื่อหน่ายกับสิ่งนั้นไปเสีย การกดดันลูกมีหลายวิธีทั้งแบบรู้ตัว และไม่รู้ตัว เช่น การแข่งขัน ประกวดต่าง ๆ เมื่อเราพาลูกเข้าสู่สนามแข่งขันแล้วย่อมมีผลแพ้ชนะ นับว่าเป็นการกดดันสำหรับลูกแม้ว่าเขาอาจจะทำได้ดี แต่นั่นเท่ากับเป็นบรรทัดฐานให้ลูก ทำให้เขาทำสิ่งนั้น ๆ ไม่ใช่เพราะแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์อีกต่อไป เพราะเป็นการทำเพราะหวังรางวัล ไม่ใช่เป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ เมื่อไม่มีรางวัลลูกก็ไม่อยากทำอีกต่อไป ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อพฤติกรรมระยะยาว ควรปล่อยให้ลูกสนุก และรู้สึกผ่อนคลายกับการทำสิ่งที่ชอบ
                          เปิดใจในสิ่งที่ลูกเลือก
                          ในบางกิจกรรม โดยเฉพาะในยุคใหม่ที่โลกเปิดกว้างแบบในปัจจุบัน อาจมีบางกิจกรรมที่พ่อแม่อย่างเราเห็นว่าไร้สาระ แต่เป็นสิ่งที่ลูกชอบ หรือสนใจ ลองเปิดใจให้กับกิจกรรมที่ลูกเลือกทำแล้วมีความสุข บางทีเราอาจจะสามารถเรียนรู้อะไรดี ๆ ใหม่  ๆ ไปพร้อมกับลูก และสามารถชี้แนะ ส่งเสริมลูกให้พัฒนาได้ตรงจุดมากกว่าให้เขาเรียนรู้เองเพียงลำพัง เป็นเหมือนโค้ชคอยอยู่ให้คำแนะนำ และกำลังใจลูกเสมอ
                          คำชมเมื่อถึงเป้า และคำแนะนำเมื่อผิดพลาด
                          แม้การมี passion จะเป็นการทำเพราะเป้าหมาย ไม่ใช่รางวัลก็ตาม แต่คำชื่นชอบจากพ่อแม่ก็ยังเป็นสิ่งที่เพิ่มแรงผลักดันให้แก่ลูกได้ดีอยู่เสมอ รางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของเสมอไป เพียงคำพูดให้กำลังใจไม่กี่คำก็มีส่วนสร้างความฮึกเหิมให้ลูกมีพลังในการทำตามเป้าหมายให้สำเร็จแล้ว และในทางกลับกัน การตำหนิเป็นสิ่งที่เราต้องหลีกเลี่ยง ในโลกแห่งความเป็นจริงความสำเร็จไม่ได้มาง่าย ๆ ดังนั้นเมื่อเกิดการผิดพลาด พ่อแม่จึงควรให้กำลังใจ และชี้แนะแนวทาง ให้คำแนะนำ เพื่อครั้งหน้าเขาจะได้ไปสู่เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น
                          เผชิญความผิดหวัง เลือกเองว่าจะสู้หรือไปต่อ

                          ความผิดหวังไม่ได้มีแต่ข้อเสียเสมอไป ในบางกิจกรรมแม้ว่าลูกจะชื่นชอบ แต่ก็ต้องใช้ความพยายามมากกว่าจะไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ ระหว่างทางอาจจะต้องเจอะเจอกับความผิดหวัง หรือเผชิญกับความรู้สึกว่าจะไปต่อดีไหม เช่น ชอบเล่นดนตรี แต่ฝึกเท่าไหร่ก็ไม่เก่งเท่าเพื่อนสักที พ่อแม่ควรให้รู้ได้รับรู้ความจริง และให้เขาเผชิญกับความผิดหวัง โดยคุณแม่ฝึกให้เขายอมรับ และให้เขาเป็นคนตัดสินใจว่าจะเลือกทางใด จะไปต่อ หรือพอแค่นี้ แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยชี้แนะแนวทางได้ เช่น หากยังชอบเล่นดนตรี เขาสามารถฝึกให้หนักขึ้น เพราะคนเราถนัดไม่เหมือนกัน จึงไม่จำเป็นที่เพื่อนฝึกเท่าลูก แล้วจะต้องเก่งเท่ากัน หรือ ลูกอาจจะเล่นดนตรีเพื่อความผ่อนคลาย ความชอบดังนั้นก็ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร เป็นต้น

                           

                          ค้นพบตัวเองเจอแต่เด็ก ก็ประสบความสำเร็จเร็ว
                          ค้นพบตัวเองเจอแต่เด็ก ก็ประสบความสำเร็จเร็ว
                          ไม่ได้ทุกคนที่หา Passion เจอ บางคนโชคดีหาเจอตั้งแต่เด็ก บางคนทำงานจนใกล้เกษียณแล้วยังไม่รู้ว่า Passion ของตนเองคืออะไร คนที่ทำสิ่งใด ๆ ด้วย Passion จะทำงานอย่างเพลิดเพลิน รักและสนุกกับสิ่งที่ทำ มีพลังอันล้นเหลือ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ยิ่งกว่านั้นยังได้เติบโต พัฒนาทักษะและความรู้ไปกับงานที่ทำอย่างสนุกสนานอีกด้วย ดังนั้นเรามาช่วยลูกค้นหาแรงจูงใจที่ดี เพื่อไม่ให้เขาหมด passion กับอะไรง่าย ๆ กันเถอะ
                          ข้อมูลอ้างอิงจาก จิตวิทยาการศึกษา/www.bangkokbiznews.com
                            ลูกร้องไห้งอแง

                            ลูกร้องไห้งอแง ทารกร้องแบบไหนเรียกว่าผิดปกติ?

                            เมื่อ ลูกร้องไห้งอแง พ่อแม่มักจะทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าลูกร้องเพราะอะไร การร้องไห้ของเด็กทารกเป็นเรื่องปกติ เพราะยังสื่อสารให้พ่อแม่รู้ไม่ได้ แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าที่ลูกร้องไห้อยู่นั้น ปกติหรือผิดปกติ?

                            ลูกร้องไห้งอแง ทารกร้องแบบไหนเรียกว่าผิดปกติ?

                            สำหรับทารกแรกเกิด การร้องไห้ เป็นการสื่อสารอย่างหนึ่งเพื่อจะบอกให้คุณพ่อคุณแม่รู้ว่าลูกต้องการอะไร เป็นเพราะลูกยังพูดไม่ได้ พ่อแม่จึงต้องสังเกตกันเอาเองว่าที่ลูกร้องไห้ในครั้งนั้น ๆ เป็นเพราะอะไร อาจเป็นเพราะไม่สบายตัว หิวนม หรืออะไรก็ได้ ซึ่งการคาดเดานี้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เป็นกังวลได้เหมือนกัน เพราะคุณพ่อคุณแม่จะยังไม่สามารถเดาได้ว่าที่ลูกร้องไห้นั้น คือการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือทั่วไป หรือเป็นการส่งสัญญาณผิดปกติกันแน่ มาดูกันว่าการร้องไห้ที่ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เป็นอย่างไรกันค่ะ

                            ลูกร้องไห้งอแง แบบนี้เรียกว่า “ปกติ”

                            สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการร้องไห้ การร้องไห้ของทารก คือ การส่งสัญญาณที่สมบูรณ์แบบ นักวิทยาศาสตร์ยอมรับกันมานานแล้วว่า เสียงร้องไห้ของทารก มีลักษณะ 3 อย่างของการส่งสัญญาณที่สมบูรณ์แบบ ดังนี้

                            1. สัญญาณนี้เกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ – ทารกแรกเกิดร้องไห้ได้โดยอัตโนมัติ เขารับรู้ถึงความต้องการ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการสูดอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการไล่อากาศออกผ่านเส้นเสียง เมื่อเส้นเสียงถูกอากาศสั่นจะเกิดเสียงร้องที่เราเรียกกันว่า เสียงร้องไห้ ในเดือนแรก ๆ ทารกไม่ได้คิดว่า “การร้องไห้แบบไหนจะทำให้เราได้กินนม?” ทารกแค่ร้องไห้ไปตามกลไกอัตโนมัติ นอกจากนี้การร้องไห้ยังทำได้ง่าย เมื่อมีอากาศอยู่เต็มปอด ทารกสามารถร้องไห้ได้โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลย
                            2. การร้องไห้แบบปกติเป็นการรบกวนที่พอเหมาะ – เสียงร้องไห้จะกวนหูมากพอที่จะทำให้ผู้ดูแลหันมาสนใจทารกและพยายามปลอบให้เขาหยุดร้องไห้ แต่ก็ไม่รบกวนมากเกินไปจนทำให้ผู้ฟังรู้สึกรำคาญจนไม่อยากจะทนฟัง
                            3. การร้องไห้สามารถปรับเปลี่ยนไปได้ในขณะที่ผู้ร้องและผู้ฟังเรียนรู้วิธีส่งสัญญาณให้ถูกต้องแม่นยำขึ้น – สัญญาณจากทารกแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสียงร้องไห้ของทารก คือ ภาษาของเขา และทารกแต่ละคนร้องไห้แตกต่างกันไป นักวิจัยด้านเสียงเรียกเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ว่า “ลายเสียงร้องไห้” ซึ่งจะแตกต่างกันไปเช่นเดียวกับลายนิ้วมือของทารก

                            จะเห็นได้ว่าการร้องไห้แบบปกติ เป็นการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือทั่วไป การร้องไห้ในลักษณะนี้ ทารกจะไม่งอแงจนเกินไป เมื่อได้รับการตอบสนองสิ่งที่ตนต้องการแล้วก็จะหยุดร้อง และกลับมาอารมณ์ดีได้เหมือนเดิม ซึ่งสาเหตุที่ ลูกร้องไห้งอแง โดยปกตินั้น เกิดจากไม่กี่สาเหตุ ดังต่อไปนี้

                            6 สาเหตุที่ทารกร้องไห้

                            ทารกร้องไห้
                            ทารกร้องไห้
                            1. หิวนม

                            ทารกร้องบ่อยที่สุดด้วยเรื่องนี้ โดยเฉพาะทารกแรกคลอด เพราะทารกมีกระเพาะอาหารขนาดเล็ก ทำให้ทานได้น้อย และอิ่มไว แต่ก็จะหิวไวเช่นกัน โดยปกติแล้วทารกแรกคลอดจะต้องทานนมทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่ออิ่มแล้วก็จะผล็อยหลับไป และเมื่อหิว ก็จะร้องอีก ดังนั้น สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เมื่อทารกร้องไห้ ให้ดูเวลาว่าเลยเวลาที่ลูกควรจะได้ทานนมหรือยัง ถ้าเลยแล้ว ให้เดาว่า ลูกร้องไห้งอแง เพราะหิวนมได้เลย (อ่านต่อ แม่ต้องรู้! 9 สัญญาณ บ่งบอกเมื่อ ลูกหิวนม)

                            2. เพลียและเหนื่อย

                            เด็กแรกเกิด – 8 เดือนต้องการการนอนถึงวันละ 14-18 ชั่วโมง เรียกได้ว่านอนเกือบแทบทั้งวัน ที่ทารกต้องนอนมากขนาดนี้ เป็นเพราะพัฒนาการส่วนหนึ่งของร่างกายและสมอง ดังนั้น ที่ทารกร้องไห้ อาจเป็นแค่ต้องการนอนเท่านั้น ให้คุณพ่อคุณแม่ลองสังเกตว่าหากลูกเริ่มหาวบ่อย ๆ ตอบสนองคุณพ่อคุณแม่ได้ช้าลง เริ่มไม่สนใจสิ่งรอบตัว ตาปรือ ให้เดาได้เลยว่าถึงเวลานอนของเจ้าตัวน้อยแล้ว

                            บทความที่เกี่ยวข้อง : ตารางการนอนของทารก นอน/ตื่นกี่ครั้ง นอนนานแค่ไหน?

                            3. ไม่สบายตัว

                            การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม อากาศอาจร้อนหรือหนาวเกินไป ความเปียกชื้นของผ้าอ้อม ทำให้ทารกเกิดความไม่สบายตัวได้ จึงพยายามร้องเพื่อบอกให้คุณแม่ช่วยพาออกไปจากสถานการณ์เหล่านี้ คุณแม่อาจลองเช็คอุณหภูมิห้องว่าเปิดแอร์เย็นเกินไปหรืออากาศร้อนอบอ้าว ไม่ถ่ายเทหรือไม่ รวมไปถึงเสื้อผ้าที่เด็กใส่ทำให้เด็กอึดอัดหรือไม่

                            4. อุ้มหนูหน่อย

                            อย่ากลัวว่าลูกจะติดมือ คำว่าลูกติดมือ ไม่มีอยู่จริง ยิ่งคุณพ่อคุณแม่อุ้มลูกบ่อย ๆ ลูกจะยิ่งเลี้ยงง่ายและอารมณ์ดี การที่คุณพ่อคุณแม่อุ้มลูกไว้ เป็นสัญญาณที่ส่งไปให้ลูกว่าพ่อแม่อยู่กับลูกนะ ลูกอุ่นใจและวางใจได้เลย ลูกไม่จำเป็นต้องกลับอะไรเพราะมีพ่อแม่อยู่ที่นี่แล้ว

                            5. รู้สึกกลัว

                            เด็กทารกอาจร้องไห้จากความกลัวหรือสิ่งที่ไม่คุ้นเคย เช่น คนแปลกหน้าที่อุ้มทำให้เด็กสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างจากพ่อหรือแม่ที่เคยอุ้มพวกเขา ทำให้ทารกอยู่ในความรู้สึกกลัว จึงร้องไห้ออกมา หรือ การที่ทารกอยู่ในที่ดังเกินไป ที่ ๆ อึดอัดคับแคบ หรือถูกรุมล้อม ก็อาจทำให้ลูกร้องงอแงได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรพาลูกออกจากสถานการณ์นั้น ๆ ก็จะช่วยให้ลูกรู้สึกดีขึ้นมาได้

                            6. เจ็บป่วย

                            เด็กทารกอาจร้องไห้เพราะเกิดอาการเจ็บ มีบาดแผล หรือมีอาการป่วย เช่น ท้องอืด เป็นไข้ ตัวร้อน เหมือนกับเด็กโตหรือผู้ใหญได้เช่นกัน ทำให้ร่างกายไม่เป็นปกติ จึงแผดเสียงร้องไห้ไม่ยอมหยุด คุณแม่อาจลองตรวจดูตามร่างกายว่าเกิดแผล สิ่งผิดปกติ หรือมีอาการป่วยจนต้องไปหาหมอหรือไม่ เพราะร่างกายเด็กทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่ การรู้ว่าลูกเริ่มมีอาการป่วยหรือผิดปกติจะช่วยให้หายเร็วขึ้น ในบางครั้งการร้องไห้ของเด็กอาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางการแพทย์ เด็กอาจร้องไห้เพื่อสื่อสารกับผู้ดูแลว่าเกิดความไม่สบายตัว พ่อแม่สามารถปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลที่ดูแลเด็กเมื่อเกิดความกังวลขึ้น แต่ไม่ควรซื้อยามาป้อนให้เด็กรับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจทำให้เด็กป่วยมากขึ้น ง่วงนอนตลอดทั้งวัน หรือรบกวนการกินนมของเด็ก

                            เพราะการร้องไห้ เป็นพัฒนาการอีกอย่างหนึ่งของทารก การร้องไห้ที่มีสาเหตุมาจาก 6 สาเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่พ่อแม่ต้องเจอและรู้จักรับมือ แต่มีอีก 1 กรณี ที่การร้องไห้ของทารกในกรณีนึ้ คือผิดปกติ การร้องไห้แบบนี้จะต้องได้รับการรักษาที่เฉพาะเจาะจง คือการร้องไห้แบบไม่มีสาเหตุ ร้องไห้ไม่ยอมหยุด หรือเรียกว่าอาการโคลิค (Colic) นั่นเอง

                            อาการโคลิค (Colic) คือ เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นได้กับเด็กแรกเกิดอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์ไปจนถึง 3 เดือน เด็กจะร้องไห้มากและร้องนานกว่า 3 ชั่วโมงภายในวันเดียวโดยไม่มีสาเหตุ หรือบางครั้งเด็กอาจร้องไห้ในลักษณะนี้ติดต่อกันหลายวันเป็นสัปดาห์ แต่จู่ ๆ ก็มักหยุดร้องทันทีทันใด ส่วนสาเหตุที่ทำให้เด็กมีอาการโคลิคนั้น บ้างเชื่อว่าเด็กรู้สึกไม่สบายตัวจากการทำงานของระบบย่อยอาหาร แต่จริง ๆ แล้วก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง และวิธีการดูแลเด็กที่มีอาการโคลิคก็ยังแตกต่างกันออกไป แต่ควรรีบไปปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อเกิดสถานการณ์ดังนี้

                            ร้องไห้แบบนี้เรียก “ผิดปกติ”

                            • เด็กร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานานไม่ยอมหยุด
                            • เด็กไม่ยอมดื่มนมตามปกติ หรือดื่มได้น้อยลงเกินครึ่งหนึ่งของปกติ
                            • ไม่ตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
                            • เด็กร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน มีไข้ อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูก ผิวคล้ำหรือซีด
                            • คุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถปลอบให้เด็กสงบลงได้จนเริ่มมีความรู้สึกในแง่ลบต่อลูก
                            • ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวแย่ลงจากการที่ ลูกร้องไห้งอแง

                            รับมือเด็กร้องไห้อย่างไร?

                            การตอบสนองสิ่งที่ลูกต้องการจะทำให้ลูกหยุดร้องไห้ได้ดีที่สุด แต่ในการร้องไห้บางครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจจะยังหาสาเหตุไม่เจอ หรือลูกยังปรับอารมณ์ได้ไม่ทัน ทำให้ยังร้องไห้ต่อเนื่อง ดังนั้น เรามีเคล็ดลับที่จะทำให้ลูกหยุดร้องไห้ มาฝากค่ะ

                            1. อุ้มกล่อมพร้อมโยกเบา ๆ (อ่านต่อ ท่าซุปเปอร์แมน ท่าเซิ้งกระติ๊บ ทำให้ลูกหยุดร้องไห้)
                            2. ใช้เสียงเพลงแบบไวท์ นอยซ์ การลองเลียนแบบเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับเด็กหรือเลือกใช้โทนเสียงที่เรียกว่า ไวท์ นอยซ์ (White Noise) ซึ่งเป็นเสียงที่ราบเรียบ มีความถี่สม่ำเสมอ (คล้ายกับเสียงของไดร์เป่าผม เครื่องซักผ้า พัดลม เสียงฝน) เนื่องจากขณะที่เด็กอยู่ในท้องจะคุ้นเคยกับเสียงในลักษณะนี้ คล้าย ๆ กับเสียงเต้นของหัวใจแม่มานานตลอดช่วงเวลาอยู่ในครรภ์ การพยายามเลียนแบบให้เด็กรู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศเดิมอาจช่วยให้เด็กเคลิ้มหลับหรือเงียบลงได้ (อ่านต่อ White Noise เสียงมหัศจรรย์ ช่วยปลอบประโลมใจลูก)
                            3. เปลี่ยนท่าทางขณะให้นม ทารกบางคนอาจร้องไห้ขณะดูดนมหรือหลังอิ่ม เนื่องจากการอุ้มในลักษณะที่ทำให้เด็กไม่สบายตัว อาจลองปรับท่าทางการอุ้มเด็กให้ผ่อนคลายและไม่เกร็ง ก็จะทำให้ลูกหยุดร้องไห้ได้ (อ่านต่อ อุ้มลูกดูดนม ด้วย 6 เคล็ดลับ ท่าอุ้มกระตุ้นน้ำนม)
                            4. ดึงดูดความสนใจเด็ก การพาเด็กออกไปเดินเล่น เปลี่ยนบรรยากาศ หรือทำกิจกรรมอะไรใหม่ ๆ หลังจากการร้องไห้ เช่น ออกไปเดินนอกบ้าน เต้นหรือร้องเพลงให้เด็กฟัง เพื่อดึงดูดความสนใจจากการร้องไห้ ก็อาจช่วยเปลี่ยนอารมณ์เด็กให้ดีขึ้นได้
                            5. ร้องเพลง คุณแม่อาจฮัมเพลงเบา ๆ ในจังหวะที่เคยร้องให้ลูกฟัง คลอไประหว่างการปลอบให้เด็กหยุดร้อง ทารกมักคุ้นเคยและชอบที่จะได้ยินเสียงของแม่ นอกจากนี้ทารกก็มักจะชอบเสียงเพลงเหมือนกัน คุณแม่หรือคุณพ่ออาจลองเปิดเพลงหลากหลายแนว เพื่อหาสไตล์เพลงที่ทำให้เด็กรู้สึกสงบลงเมื่อได้ฟังก็อาจเป็นอีกตัวช่วยที่ดีในการกล่อมเด็กร้องไห้ให้เงียบลงได้
                            รับมือ ทารกร้องไห้
                            รับมือ ทารกร้องไห้

                            สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้ไว้เกี่ยวกับการร้องไห้ของลูก คือ การที่ ลูกร้องไห้งอแง ไม่ใช่ความผิดของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่ละเลยต่อการร้องไห้ของลูก และพยายามทำให้เขารู้สึกปลอดภัยในโลกใหม่ของเขา คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรจะคิดว่ามันเป็นความผิดของพวกคุณที่ลูกร้องไห้บ่อย ๆ และไม่ควรคิดว่าการจะทำให้ลูกหยุดร้องไห้ขึ้นอยู่กับคุณ

                            มันเป็นสัจธรรมในชีวิตของพ่อแม่มือใหม่ว่า ถึงแม้ทารกจะร้องไห้เพื่อแสดงความต้องการ แต่วิธีการที่เขาร้องไห้เป็นผลมาจากลักษณะอารมณ์ของเขา อย่าเอาการร้องไห้ของทารกมาเป็นอารมณ์ หน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่คือสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อทำให้เขาจำเป็นต้องร้องไห้น้อยลง ให้ความห่วงใยและอ้อมแขนอันอบอุ่นเพื่อที่ลูกจะได้ไม่ต้องร้องไห้อยู่คนเดียว และหาสาเหตุให้ได้ว่าทำไมลูกจึงร้องไห้ และคุณจะช่วยเขาได้อย่างไร เรื่องอื่น ๆ ที่เหลือเป็นเรื่องของลูก

                            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            Magic hold อุ้มท่านี้ลูกชอบ..ไม่ต้องห่วง กระดูกสันหลังคด

                            รวมคลิป เพลงแก้โคลิค คลื่นเสียงปราบอาการโคลิก ช่วยลูกหลับสบายทั้งคืน

                            อาการผิดปกติของทารก ที่ต้องพบแพทย์

                            20 อาการปกติของ ทารกแรกเกิด ที่พ่อแม่ควรรู้มีอะไรบ้าง?

                             

                            ขอบคุณข้อมูลจาก : www.breastfeedingthai.com, www.pobpad.com

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              “Lost-World”

                              เปิดแล้ว ! ฮาร์เบอร์แลนด์ เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Lost World”

                              วันหยุดนี้ คุณแม่มีสถานที่ในใจที่จะพาลูก ๆ ไปแล้วหรือยัง ทีมแม่ ABK ขอแนะนำสถานที่ให้คุณแม่ได้พาลูก ๆ ไปใช้เวลาว่างร่วมกัน รับรองว่าต้องถูกใจลูก ๆ ของคุณแม่อย่างแน่นอน นั่นก็คือ ฮาร์เบอร์แลนด์ เดอะมอลล์งามวงศ์วาน สนามเด็กเล่นในร่มสุดอลังการ ที่เขาเพิ่งเปิดสาขาแรกในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป ภายใต้คอนเซ็ปต์  Lost World แห่งเดียวในประเทศไทย จะมีโซนไฮไลท์ ที่ไม่ควรพลาดอะไรบ้างเราไปดูกันเลย

                              สนามเด็กเล่น

                              คุณศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (MS. SUPALUCK UMPUJH : CHAIRWOMAN, THE MALL GROUP CO., LTD.) กล่าวว่า “เมื่อปลายปี 2563ที่ผ่านมา เดอะมอลล์ กรุ๊ป เฉลิมฉลองเปิดโฉมใหม่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน รีเทลโมเดลใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ A HAPPY PLACE TO LIVE LIFE : ชีวิตที่มีความสุขทุกครอบครัว” เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าทุกเจนเนอเรชั่น และยกระดับการช้อปปิ้งขึ้นไปอีกก้าว ด้วยการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง CUSTOMER CENTRIC”

                              โดยทุกองค์ประกอบถูกปรับเปลี่ยนใหม่ให้เป็นไปตามความคาดหวังของลูกค้าที่มีมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อตอบทุกโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง สะดวกสบายครบทุกโหมดไลฟ์สไตล์ทั้ง ช้อป กิน เล่น เที่ยว ให้ได้ทำกิจกรรมร่วมกันในห้างสรรพสินค้าได้อย่างคุ้มค่า ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงกลุ่มคนสูงอายุ ให้ความรู้สึกเสมือนเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน เป็นบ้านหลังที่ 2 ของทุกเจนเนอเรชั่น

                              ล่าสุด เดอะมอลล์ กรุ๊ป เสริมทัพความยิ่งใหญ่ จับมือพันธมิตร ฮาร์เบอร์แลนด์ กรุ๊ป เปิดตัวแม็กเน็ตใหม่ ฮาร์เบอร์แลนด์ สนามเด็กเล่นในร่มแห่งใหม่สุดอลังการ ประเดิมสาขาแรกในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ Lost World แห่งเดียวในประเทศไทย เพื่อผลักดันให้เป็นหนึ่งในเดสติเนชั่นไฮไลท์ของคนย่านงามวงศ์วาน  ให้ได้สัมผัสสุดยอดประสบการณ์ความสนุกเหนือระดับ พร้อมทั้งตอกย้ำความเป็นศูนย์รวม “เอ็ดดูเทนเม้นท์” แบบครบวงจร”

                              สนามเด็กเล่น

                              คุณปราการ นกหงส์ กรรมการผู้จัดการ ฮาร์เบอร์แลนด์ กรุ๊ป กล่าวว่า “ฮาร์เบอร์แลนด์ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน ตั้งอยู่บนชั้น 6 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน เนรมิตพื้นที่กว่า 2,500 ตารางเมตร ให้กลายเป็นสนามเด็กเล่นในร่ม ภายใต้คอนเซ็ปต์ Lost World แห่งเดียวในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มครอบครัวในพื้นที่นนทบุรี และ กรุงเทพมหานคร โดยด้านในจะแบ่งเป็นโซนเครื่องเล่นและโซนร้านอาหาร โดยเด็ก ๆ จะได้สัมผัสความสนุกกับเครื่องเล่นเสริมสร้างพัฒนาการที่หลากหลาย โดยแบ่งเป็น 4 โซนไฮไลท์ และเป็นสาขาแรกที่มีห้องเรียน Online เด็ก ๆ ที่มาเล่นสามารถเรียน Online ได้ หรือหากผู้ปกครองต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถใช้ห้องนี้นั่งคุยงานได้เช่นกัน

                              4 โซนไฮไลท์ ที่ไม่ควรพลาดภายใน ฮาร์เบอร์แลนด์ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน                               

                              Zone : Junior Area

                              Zone : Junior Area

                              เป็นโซนเครื่องเล่น Main Play structure ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ที่มีความสูงตั้งแต่ 121 ซม. ขึ้นไป รวมถึงผู้ปกครองที่อายุตั้งแต่ 18 ปี ขึ้นไป และผู้สูงอายุอายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไป พบกับสไลเดอร์ขนาดใหญ่กว่า 15 รูปแบบ Ball Carousel, Valo Jump, Ball Attack, Cardio Trampoline, Trail Blazer, Sport  Arena, Racing Zone และเครื่องเล่นต่าง ๆ อีกมากมาย ครอบคลุมทุกช่วงวัย ซึ่งทั้งหมดนี้มาในธีม Lost World สีสันสดใสสวยงาม

                              Zone : Kids Island

                              Zone : Kids Island

                              เป็นโซนเครื่องเล่น Play structure ที่แยกพื้นที่ออกจาก Main Play structure เครื่องเล่นในโซนนี้ถูกออกแบบโดยลดระดับความสูงและลดขนาดให้เล็กลงเพื่อให้เหมาะสำหรับเด็ก ๆ ที่มีความสูงตั้งแต่ 101 ซม. ขึ้นไป – ความสูงไม่เกิน 140 ซม. ภายในโซน Kids Island พบกับสไลเดอร์ดีไซน์น่ารักสดใสหลากหลายรูปแบบ และเครื่องเล่นต่าง ๆ อีกมากมาย ให้เด็ก ๆ ได้เล่นสนุก

                              Zone :  Little Ville

                              Zone : Little Ville

                              พื้นที่สำหรับ Baby, Toddler and Small Kid ตั้งแต่เด็กเล็ก ความสูงน้อยกว่า 80 ซม. – ความสูงไม่เกิน 120 ซม. เสริมสร้างทักษะพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสผ่านการเล่น ทั้งการสัมผัส การมองเห็น การฟัง การทรงตัว ด้วยเครื่องเล่นย่อขนาดและสัดส่วนที่สนุกสนาน เช่น มินิสไลเดอร์, บ้านบอลแสนสนุก, เครื่องปีนป่ายฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดต่าง ๆ เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย บนโซนพิเศษที่บุพื้นนุ่มให้คุณพ่อคุณแม่ได้มั่นใจในความปลอดภัยกับการส่งเสริมศักยภาพการเรียนรู้และการผจญภัยของเด็ก ๆ

                              Zone :  Toys Room

                              Zone :  Toys Room

                              พื้นที่สำหรับ Baby, Toddler and Small Kid ตั้งแต่เด็กเล็ก ความสูงน้อยกว่า 80 ซม. – ความสูงไม่เกิน 120 ซม. ของเล่นในโซนนี้ ช่วยกระตุ้นการเพิ่มศักยภาพประสาทสัมผัสต่าง ๆ ในการพัฒนาเรื่องของทักษะการเรียนรู้ การจดจำ ความเข้าใจ ความสร้างสรรค์ต่างของเด็ก ๆ ผ่านการเล่นทั้งอาชีพบทบาทสมมติ, โน้ตดนตรีหรรษา,ของเล่นไม้ที่ผลิตจากวัสดุและสีที่ไม่เป็นอันตรายสำหรับเด็ก (Non-Toxic) และของเล่นต่าง ๆ อีกมากมาย

                              สนามเด็กเล่น

                              ฮาร์เบอร์แลนด์ให้ความสำคัญเรื่องความสะอาด คุณภาพ มาตรฐานความปลอดภัย โดยใช้ผู้ผลิตเครื่องเล่นชั้นนำของโลกจากยุโรป พร้อมทีมติดตั้งเครื่องเล่นมืออาชีพ จากบริษัทชั้นนำของโลก โดยจะมีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องเล่นทุกชิ้นอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าทุกตารางนิ้วในฮาร์เบอร์แลนด์ได้มาตรฐาน ทั้งเรื่องความสะอาด และความปลอดภัย ก่อนการเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ

                              ที่ผ่านมา ฮาร์เบอร์แลนด์ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของกลุ่มครอบครัวในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ฮาร์เบอร์แลนด์ สาขาเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน จึงเปิดขึ้นเป็นแห่งที่ 8 ในเขต นนทบุรี-กรุงเทพมหานคร และถือเป็นแห่งที่ 13 ของฮาร์เบอร์แลนด์ทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัวที่มีอยู่จำนวนมาก และเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและขยายฐานลูกค้า ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น

                              ฮาร์เบอร์แลนด์

                              ฮาร์เบอร์แลนด์ มีโปรโมชั่นฉลองเปิดสาขาใหม่ ฮาร์เบอร์แลนด์ เดอะมอลล์งามวงศ์วาน พิเศษสำหรับสมาชิกลูกค้า M Card รับส่วนลดค่าเข้า 10% ต่อใบเสร็จ หรือ ลดสูงสุด 150 บาท เมื่อแลกคะแนนสะสม M Point 800 คะแนน (รับส่วนลด 150 บาทสำหรับบัตรเด็ก หรือรับส่วนลด 120 บาทสำหรับบัตรผู้ใหญ่) ตั้งแต่วันที่ 23 ก.พ. 64 – 31 พ.ค. 64 *จำกัดสิทธิ์/ท่าน/วัน ตรวจสอบเงื่อนไขเพิ่มเติม ณ จุดขาย หรือที่ M Card Application

                              และยังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้ารายเดือน และรายปี พบโปรโมชั่น GO Member เมื่อซื้อบัตรสมาชิก 1 ปี ราคาพิเศษเพียง 11,900 บ. รับฟรีเพิ่มทันที Voucher Free Pass จำนวน 5 ใบ และ Voucher ห้องพักบัลโคนี คอร์ทยาร์ด ศรีราชา 1 ใบ (Superior 1 Bedroom) และสำหรับบัตรสมาชิก 3 เดือน ราคาพิเศษเพียง 5,900 บ. รับฟรีเพิ่มทันที Voucher Free Pass จำนวน 2 ใบ

                              โดยคุณแม่สามารถซื้อบัตรสมาชิกได้ที่หน้าเคาน์เตอร์ ที่ ฮาร์เบอร์แลนด์ ชั้น 6 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน หรือถ้าคุณแม่ไม่สะดวกไปที่หน้าเคาน์เตอร์ ก็สามารถซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ https://bit.ly/3aOfUI5 คุณแม่สามารถโทรสอบรายละเอียดถามเพิ่มเติมได้ที่ : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด โทร. 02-310-2353

                              เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับฮาร์เบอร์แลนด์ เดอะมอลล์งามวงศ์วาน สนามเด็กเล่นในร่ม ที่จัดมาเอาใจเด็ก ๆ กันโดยเฉพาะ หากคุณแม่สนใจที่จะพาลูก ๆ ไปทำกิจกรรม คุณแม่สามารถโทรไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมต่าง ๆ ก่อนที่จะออกเดินทาง แล้วเตรียมตัวพาลูก ๆ ไปสนุกกันได้เลย

                              ขอบคุณข้อมูลจาก : ฮาร์เบอร์แลนด์

                              บทความที่น่าสนใจ

                              เตรียมพร้อมก่อนหอบลูกสนุกนอกบ้าน ท่องเที่ยวไปในโลกกว้างกับลูกโดยไม่ป่วนใคร

                              สถานที่ท่องเที่ยวสำหรับเด็ก ช่วงหน้าฝนในกรุงเทพฯ

                              เอาใจคนมีลูก 5 โรงแรมที่มี kids club ใน 5 จังหวัดท่องเที่ยว

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                5 ประโยชน์ ของการวาดรูประบายสี ที่สะท้อนพัฒนาการลูก

                                วาดรูประบายสี เกี่ยวข้องอย่างไรกับพัฒนาการของลูก รู้หรือไม่ประโยชน์สุดว้าวของศิลปะนอกจากช่วยผ่อนคลาย ยังทำให้เห็นพัฒนาการทางร่างกายและสมองเด็กได้เป็นอย่างดี

                                5 ประโยชน์ของการ วาดรูประบายสี ที่สะท้อนพัฒนาการลูก!!

                                เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมจิตแพทย์มักใช้การวาดรูปในการบำบัด สืบหา ค้นพบเรื่องราวในจิตใจเด็ก!!

                                ศิลปะ ที่มีความหมายกว้าง ๆ แม้แต่การขีดเขียน วาดรูป ระบายสี ง่าย ๆ ไม่ได้สวยงามแบบจิตรกร แต่กลับมีประโยชน์แฝงอยู่มากมายให้เราได้เลือกใช้ โดยวันนี้เราจะขอกล่าวถึงประโยชน์ของศิลปะในแง่การสะท้อนให้พ่อแม่ได้เห็นถึงพัฒนาการของลูกทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และสมองว่าเขาได้พัฒนาไปแค่ไหนแล้ว ควรจะส่งเสริมเพิ่มเติมทักษะด้านใดแก่ลูก โดยใช้เพียงการสังเกตจากการวาดรูประบายสีเล่น ๆ ของลูกเท่านั้น

                                ขั้นแรก : Scribbling Stage ศิลปิน Abstract ตัวน้อย (เด็กอายุ 18 เดือนถึง 3 ปี)

                                ผลงานศิลปะของเด็กในวัยนี้ พ่อแม่จะได้เห็นภาพวาดสะเปสะปะในสายตาผู้ใหญ่ แต่ลูกของคุณจะสามารถเข้าใจเพียงคนเดียวว่าเขาวาดรูปอะไร คืออะไร ด้านไหนหัว ด้านไหนตัว ลูกจะเริ่มจับอุปกรณ์ขีด ๆ เขียน ๆ ตามใจได้บ้างแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้น สนใจ ไม่ใช่ผลงานศิลปะที่สวยงาม แต่เป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้เจ้าตัวน้อยรู้สึกทึ่ง เด็กรู้สึกดีที่ได้เห็นลายเส้นต่าง ๆ ที่เกิดจากการการจับดินสอขีดเขียนของเขา จึงมักจะเห็นบ่อยครั้งที่เด็กบางคนชอบนำดินสอสีเข้าปาก เพื่อสำรวจ ดังนั้นอุปกรณ์ศิลปะสำหรับเด็กวัยนี้จึงควรเน้นที่ความปลอดภัย เช่น สีปลอดสาร หรือมีส่วนผสมจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ จะดีกว่า หรืออาจจะให้ลูกใช้มือจุ่มสี (ที่ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) แทนพู่กัน หรือดินสอในการวาดไปเลยก็ได้ ไม่ควรดุด่าว่ากล่าวเวลาลูกทำพฤติกรรมดังกล่าว คอยแนะนำและช่วยให้เขาเรียนรู้วิธีใช้ที่ถูกต้อง จนลูกคุ้นชินจึงค่อยเพิ่มอุปกรณ์อื่น ๆ ต่อไป

                                วาดรูประบายสี ในเด็กขั้นต้นมักเป็นเส้นขยุกขยิก
                                วาดรูประบายสี ในเด็กขั้นต้นมักเป็นเส้นขยุกขยิก

                                ศิลปะสะท้อนพัฒนาการ

                                การวาดภาพระบายสีในช่วยวัยขั้นต้นนี้จะช่วยเด็ก ๆ ในเรื่อง ดังต่อไปนี้

                                พัฒนาการทางกายภาพ

                                • ประสานมือ และตา ในขณะที่เขากำลังวาดรูปหรือระบายสี เด็กๆจะต้องใช้ ตา นิ้วมือ มือ รวมทั้งใบหน้าที่แสดงออกของอารมณ์ และใช้สมองในการคิดวิเคราะห์ วางแผน แก้ไข เพิ่มเติมสิ่งที่ขาดหรืออยากได้ ตลอดถึงการทบทวนสิ่งต่างๆที่ตนจำได้ที่สะสมไว้ในหน่วยความจำ และการใช้จินตนาการที่เหมือนจริงไปจนถึงเกินจริงด้วย ทำให้เด็กๆได้พัฒนาศักยภาพของสมองอย่างเต็มที่เสริมสร้างให้สมองมีการเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี
                                • การพัฒนากล้ามเนื้อของการควบคุม ลูกได้ฝึกการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างเต็มที่จากการฝึกจับดินสอ แต่ดินสอสำหรับวัยนี้อาจจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย เพราะกล้ามเนื้อควบคุมของลูกยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ซึ่งการฝึกควบคุมกล้ามเนื้อมีความสัมพันธ์ และสำคัญมากกับสมอง
                                • การฝึกมือ นอกจากการวาดรูปจะช่วยลูกในเรื่องการบังคับกล้ามเนื้อมือแล้ว ยังช่วยให้เขาฝึกการทำงานของมือตนเอง การลงน้ำหนักลงบนดินสอในการวาดภาพ ว่าจะลงน้ำหนักมือให้หนัก หรือเบา ก็จะได้ผลลัพธ์ของเส้นที่วาดเข้ม อ่อนแตกต่างกันไป ทำให้ลูกได้เรียนรู้อีกทาง

                                การพัฒนาการทางภาษา

                                • ให้ลูกได้อธิบายถึงผลงานของเขา โดยพยายามใช้คำถามปลายเปิด เพื่อกระตุ้นให้ลูกได้พูดอธิบายบอกเหตุผลของภาพวาดของเขาเอง เช่น รูปนี้เป็นรูปอะไร ส่วนนี้ลูกจะลงสีเป็นสีอะไรดีจ๊ะ เพราะอะไรถึงใช้สีนี้ เป็นต้น ก็จะเป็นการช่วยให้ลูกสามารถหาคำมาอธิบายในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาสื่อสารเป็นคำพูดให้คนอื่นรับรู้ได้ เป็นการฝึกทักษะการใช้ภาษา การสื่อสารได้เป็นอย่างดี
                                • การสนทนาระหว่างทำกิจกรรม เมื่อเป็นกิจกรรมที่เขาชอบ อย่างการวาดรูประบายสี ทำให้เขารู้สึกมั่นใจ และกล้าที่จะพูดอธิบายในสิ่งที่ตนเองสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ทำให้พ่อแม่ได้ใช้เวลาร่วมทำกิจกรรมกับลูก ได้เรียนรู้วิธีคิดของเขาผ่านกิจกรรมผ่อนคลายนี้อีกด้ว

                                พัฒนาการทางด้านจิตใจ

                                • ช่วยให้รู้สึกสนุก เด็กในวัยนี้เป็นวัยแห่งการเรียนรู้ ดังนั้นในการวาดภาพของเขานอกจากจะช่วยในพัฒนาการด้านต่าง ๆ แล้วยังให้ความรู้สึกสนุก ความรู้สึกดีในการได้ลอง ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ ท้าทายตนเอง เพราะในวัยนี้ยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ จึงยังคงวนเวียน เกี่ยวเนื่องกับความรู้สึกของตนเองเป็นหลักเท่านั้น

                                ***นอกจากนี้การวาดรูประบายสีของเด็กในวัยนี้จะช่วยสะท้อนให้พ่อแม่ได้ทราบถึง “เด็กถนัดมือซ้ายหรือขวา”

                                การ วาดรูประบายสี ช่วยฝึกลูกจับดินสอ
                                การ วาดรูประบายสี ช่วยฝึกลูกจับดินสอ

                                ขั้นที่สอง : Pre-Schematic Stage ขั้นก่อนแบบแผน (เด็กอายุประมาณ2-4 ขวบ)

                                • ภาพวาดมีความซับซ้อนมากขึ้นแม้ว่าโดยส่วนใหญ่จะยังไม่สมบูรณ์นัก เด็กวัยนี้จะพยายามควบคุมเส้นให้มากขึ้น แต่เขายังทำได้ไม่ดีนัก เพราะกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ บวกกับการพยายามถ่ายทอดภาพในหัวออกมาเป็นภาพบนกระดาษยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาอยู่
                                • เด็ก ๆ มักจะใช้สีที่ชื่นชอบแทนที่จะใช้สีที่ถูกต้อง
                                • การขีดเขียนของเด็กวัยนี้จะเป็นการวาดลายเส้นตามแบบตัวอักษรที่เขาเห็น ไม่ได้เป็นการเขียนตัวอักษรอย่างที่ผู้ใหญ่เข้าใจ เขาเลียนแบบเส้นโค้ง เส้นตรง เส้นทแยงตามแบบ และจำความหมายของคำนั้น ไม่ได้เข้าใจคำศัพท์อย่างที่พ่อแม่คิด ลูกเห็นตัวอักษรเหล่านั้นเป็นเพียงภาพวาดภาพหนึ่งเท่านั้น จึงยังไม่ควรเคี่ยวเข็นให้ลูกเขียนหนังสือในช่วงนี้
                                • ความสมจริง สมเหตุสมผลของภาพวาดยังไม่สมบูรณ์ในวัยนี้ การวาดรูปเป็นเพียงการเลียนแบบลายเส้นที่ลูกเห็น จึงอาจทำให้เราจะเห็นภาพวาดคนยืนลอยบนอากาศในภาพวาดของลูก หรือรูปคนเป็นเพียงรูปคนแบบก้างปลา หรือแบบภาพวาด X-Ray คือเห็นหัวใจคนจากภายนอกได้เลย เป็นต้น
                                • เด็กยังไม่สามารถวางแผนก่อนวาดภาพได้ บ่อยครั้งภาพจึงตกขอบกระดาษ เพราะลูกยังคงวาดไปก่อนที่จะคิดว่าเขาจะวาดอะไร บ่อยครั้งจึงจะพบว่าเวลาถามว่าเขาวาดรูปอะไร ลูกจะคิดสักพักก่อนตอบ
                                • หากเขามีพัฒนาการที่ดีเยี่ยม ลูกจะสามารถวาดรูปสัญลักษณ์สื่อความหมายง่าย ๆ ได้ เช่น หัวใจแทนความรัก คนยิ้มแทนความสุข

                                ศิลปะสะท้อนพัฒนาการ

                                โดยรวม ๆ แล้วในวัยนี้ การ วาดรูประบายสี ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกในหลาย ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน

                                พัฒนาการทางกาย : เด็กยังคงพัฒนาการประสานมือ และตาเพิ่มขึ้น พัฒนาการของกล้ามเนื้อดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากขั้นตอนแรก แต่จะควบคุมได้ดีกว่าเดิม สามารถจับดินสอได้อย่างถูกวิธี แทนการจับแบบกำมือ

                                พัฒนาการทางจิตใจ และสมอง : เพิ่มความมั่นใจในตนเองจากการรู้ถึงความสามารถในการขีดเขียน วาดภาพของตนเอง ได้ฝึกการวางแผน จากการวางองค์ประกอบของภาพแม้ว่าจะยังทำได้ไม่ดีนักในช่วงวัยนี้

                                วาดรูประบายสี ช่วยฝึกการวางแผน
                                วาดรูประบายสี ช่วยฝึกการวางแผน

                                ขั้นที่ 3 : Schematic Stage วาดภาพสื่อความหมาย (เด็กอายุประมาณ 5 – 8 ขวบ)

                                ในขั้นนี้ ลูกเริ่มมีความคิดว่า การวาดภาพไม่ใช่เพื่อความสนุกเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เขาเริ่มอยากสื่อสารจินตนาการของตนเองผ่านภาพที่วาดออกมามากกว่าการวาดเพื่อความสนุกแบบเด็ก ๆ

                                • ภาพวาดของผู้คนเป็นสัดส่วนและมีรายละเอียดมากขึ้น
                                • สีมีความสมจริงและเป็นแบบแผนมากขึ้น (หญ้าเป็นสีเขียวท้องฟ้าเป็นสีฟ้า)
                                • ภาพที่วาดจะมีมิติมากขึ้น มีเส้นขอบฟ้า และเส้นแบ่งที่ชัดเจน
                                • เด็กวัยนี้มีโครงร่างเกี่ยวกับวิธีการวาดภาพ ตัวอย่างเช่นบ้านจะถูกวาดในลักษณะเดียวกันในหลายภาพวาด
                                • เด็กมักจะสร้างเรื่องราวให้สอดคล้องกับภาพวาดของพวกเขา นั่นคือ ความสามารถในการสื่อความหมาย การตีความหมายของภาพ
                                • เด็กวัยนี้เริ่มแยกแยะระหว่าง “ความจริง” กับ “จินตนการ” ได้

                                ศิลปะสะท้อนพัฒนาการ

                                ในขั้นตอนนี้เด็ก ๆ จะได้รับการพัฒนาทักษะที่สำคัญสำหรับพัฒนาการที่สมวัยในเรื่องดังต่อไปนี้

                                พัฒนาการทางกายภาพ : จะเริ่มลดบทบาทลง เพราะร่างกายของลูกได้พัฒนามาค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว แต่จะเป็นการพัฒนาในด้านทักษะความชำนาญของการใช้มือ สายตา ในดีมากยิ่งขึ้นไปอีก

                                พัฒนาการทางด้านสติปัญญา และเหตุผล : การได้วางแผนโครงร่างของการวาดภาพ เป็นการให้ลูกได้ลองผิดลองถูกในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นการฝึกการแก้ปัญหา จัดระเบียบ ให้แก่ลูกได้เป็นอย่างดี ฝึกการตีความ จากการวาดภาพในหัว จินตการในหัวของลูก แล้วตีความออกมาเป็นรูปธรรม บนภาพวาดที่จะสื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจ ก็เป็นการฝึกทักษะด้านนี้ในเบื้องต้นได้อีกด้วย

                                ขั้นที่สี่ : Preteen Stage “ฉันวาดภาพไม่เป็น” (เด็กอายุ 9 – 11 ปี)

                                เด็กเน้นวาดภาพเสมือนจริงมากขึ้น ลูกใส่ใจในความสมส่วน และการจัดองค์ประกอบของภาพมากขึ้น ดังนั้นเด็กวัยนี้จะหงุดหงิดมาก ถ้าหากเขาไม่สามารถวาดภาพเหมือนจริง หรือ ดังที่ตนเองหวังได้ เด็กวัยนี้ให้ความสำคัญกับการวาดภาพที่ออกมาแล้วเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง การวาดภาพจึงไม่ใช่แค่ความสนุกสนาน หรือ เพื่อตัวเขาเอง แต่เพื่อสร้างการยอมรับ และการทำให้เขารู้สึกเห็นถึงคุณค่าในตนเอง จึงเป็นขั้นที่เด็กหลายคนเริ่มยอมแพ้กับการวาดภาพ เมื่อพบว่าตนเองไม่สามารถวาดภาพได้สวยตามที่ตั้งใจ และมักจะเกิดคำพูดที่ว่า “หนูวาดภาพไม่เป็น” และเลิกสนใจในการวาดภาพไปในที่สุด
                                • ภาพวาดมีรายละเอียดมากขึ้น
                                • มีความชัดเจนในมุมมองเชิงพื้นที่มากขึ้น
                                • เด็กในระยะนี้อาจหงุดหงิดมากหากไม่สามารถสร้างภาพเหมือนจริงได้
                                • นี่เป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ อาจแสดงออกว่า “ฉันวาดไม่เป็น”

                                  เมื่อลูกโตขึ้น จะหงุดหงิดเวลาวาดได้ไม่สวยดั่งใจจนล้มเลิกการวาดรูปไป พ่อแม่ควรให้กำลังใจ
                                  เมื่อลูกโตขึ้น จะหงุดหงิดเวลาวาดได้ไม่สวยดั่งใจจนล้มเลิกการวาดรูปไป พ่อแม่ควรให้กำลังใจ

                                ศิลปะสะท้อนพัฒนาการ

                                สำหรับเด็กในวัยนี้ นอกจากการที่พ่อแม่จะคอยสังเกตพัฒนาการของลูกผ่านภาพวาดแบบที่เคยทำให้ขั้นตอนก่อนหน้าแล้ว ยังเป็นขั้นตอนที่จะคอยประคับประคองความมั่นใจ ความรู้สึกปลอดภัย ภูมิใจในตัวเองของลูกมากกว่าขั้นตอนอื่น ๆ เพราะจุดประสงค์ของการวาดภาพนั้น ยังคงเป็นการให้ความรู้สึกผ่อนคลายกับผู้วาดเป็นหลัก ดังนั้นการเปรียบเทียบ หรือการแข่งขันว่า “ภาพไหนสวยที่สุด” อาจจะทำให้เด็กบางคนรู้สึกว่า “ตัวตนของเขากำลังถูกตัดสิน” เป็นการลดทอนความมั่นใจ และความสบายใจของลูก ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อพัฒนาการตามวัยของลูกเลย

                                สรุป 5 ประโยชน์ของการวาดรูประบายสีที่ดีต่อลูกน้อย

                                1. ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อให้แข็งแรง และฝึกประสานการทำงานระหว่างสายตา และมือ
                                2. ช่วยผ่อนคลาย ปรับพฤติกรรม และอารมณ์ของลูก ให้ได้ระบายออกทางภาพวาด
                                3. รู้จักวางแผน รับผิดชอบ
                                4. เพิ่มความมั่นใจในตนเอง ได้เห็นคุณค่าในตนเองมากขึ้น
                                5. ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ และเป็นกิจกรรมเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก

                                เพราะการวาดรูปไม่ได้เพียงแต่นำมาซึ่ง ภาพวาดอันสวยงาม หรือการผ่อนคลายอารมณ์ให้แก่ลูกเท่านั้น แต่มันยังสามารถเป็นภาพสะท้อนให้พ่อแม่ได้เห็นถึงพัฒนาการข้างในของลูก เช่น พัฒนาการด้านความคิด สติปัญญาว่า เขาสามารถพัฒนาตัวเองให้เป็นไปตามวัยที่ควรจะเป็นหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวให้แน่นแฟ้นเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วยหากพ่อแม่ลูกสามารถทำร่วมกัน ซึ่งนั่นนับว่าเป็นอีกหนึ่งทักษะความฉลาดที่เด็กยุคใหม่ควรมี คือ ฉลาดเล่น (Play Quotient:PQ) ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น เกิดจากความเชื่อที่ว่าการเล่นพัฒนาความสามารถของเด็กได้หลายด้าน ทั้งพัฒนาการด้านร่างกาย ความเฉลียวฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์และสังคม และยิ่งดีหากพ่อแม่ร่วมอยู่ในกิจกรรมนั้น ๆ ด้วย ดังนั้น มาชวนลูกเล่นวาดรูประบายสีกันเถอะ

                                ข้อมูลอ้างอิงจาก www.earlychildhoodcentral.org/FB:ตามใจนักจิตวิทยา

                                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                เผยผล ทดสอบ IQ เด็กยุคใหม่ต่ำกว่าพ่อแม่!!

                                8 วิธี “กระตุ้นสมอง” ทารกแรกเกิด ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

                                พัฒนาการทารก แรกเกิด – 1 ขวบ พร้อมเทคนิคส่งเสริมพัฒนาการ

                                พัฒนาการทางสมองของทารก อันน่าทึ่ง ลูกน้อย “คิดอะไร” บ้างนะ?

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  โรคใคร่เด็กกับการ ล่วงละเมิดทางเพศ

                                  โรคใคร่เด็ก≠รักเด็กลูกถูก ล่วงละเมิดทางเพศ ได้ถ้าไม่ระวัง

                                  การ ล่วงละเมิดทางเพศ เป็นฝันร้ายที่พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกเจอ แต่แค่ระวังคนแปลกหน้ายังไม่พอ มารู้จักโรคใคร่เด็ก อาการทางจิตที่แยกยากระหว่างคนรักเด็ก กับคนร้าย

                                  โรคใคร่เด็ก≠(ไม่ใช่)รักเด็ก ลูกอาจถูก ล่วงละเมิดทางเพศ ได้ถ้าไม่ระวัง!!

                                  โรคใคร่เด็ก (Pedophilia) หากแปลตามตัวคือ รักเด็ก มีรากศัพท์มาจาก Pedos หรือ Pidos ในภาษากรีกที่แปลว่า “เด็ก” ส่วน Philia แปลว่า “ชอบหรือรัก” เมื่อรวมกันแล้ว จึงแปลว่าชอบหรือรักเด็ก ซึ่งรักในที่นี้ไม่ใช่ความรักแบบเมตตาอาทร หรือปรารถนาดี แต่เป็นความหมายในทางลบที่บ่งบอกถึงภาวะความผิดปกติทางจิตของตัวบุคคลที่เป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศในเด็ก จึงเป็นโรคทางจิตเวชที่ผู้ป่วยซึ่งเป็นผู้ใหญ่มักเกิดความรู้สึกเร้าอารมณ์ทางเพศเมื่อได้เห็นหรือสัมผัสใกล้ชิดกับเด็กที่ยังมีอายุไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์ โดยทั่วไปหมายถึงเด็กที่อายุไม่เกิน 13 ปี แต่กลับไม่มีความต้องการทางเพศหรือเกิดความรู้สึกหลงใหล และมีความสุขเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับผู้ใหญ่หรือคนในวัยใกล้เคียงกัน

                                  โรคใคร่เด็ก รสนิยมทางเพศที่เสี่ยงต่อการ ล่วงละเมิดทางเพศ เด็ก
                                  โรคใคร่เด็ก รสนิยมทางเพศที่เสี่ยงต่อการ ล่วงละเมิดทางเพศ เด็ก

                                   

                                  “ใคร่เด็ก” กับ “รักเด็ก” ไม่เหมือนกัน

                                  อาการของโรคใคร่เด็ก เป็นความผิดปกติทางจิต ดังนั้นพฤติกรรมที่แสดงออกจึงไม่ใช่การแสดงความรักแบบเมตตาอาทร แต่คือความรู้สึกปรารถนาจะมีสัมพันธ์ทางเพศกับเด็กที่มีอายุน้อยกว่าตนเองมาก และจะต้องเป็นเด็กที่อยู่ในวัยยังไม่บรรลุนิติภาวะ เฉลี่ยแล้วคือประมาณ 12-13 ปี นั่นคือเด็กที่ยังไม่เข้าสู่วัยรุ่น หรือวัยรุ่นแรกเริ่ม แต่ก็มีอยู่เหมือนกันที่เหยื่อเป็นเด็กที่ยังอายุน้อยมาก ๆ ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ อย่างเด็กประถม เด็กอนุบาล และเด็กทารก ทั้งนี้ทั้งนั้นความปรารถนาทางเพศของผู้ป่วยจะค่อนข้างเฉย ๆ กับคนวัยใกล้เคียงกัน หรือคนที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว

                                  ลักษณะอาการเหล่านี้ที่พ่อแม่ควรระวัง!!

                                  • โรคใคร่เด็ก ส่วนใหญ่พบในผู้ชายที่อยู่ในวัยตั้งแต่ประมาณ 35-40 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่แต่งงานแล้วหรือมีบุตรแล้วด้วย (บางคนจึงใช้บุตรของตัวเองเป็นเหยื่อ) สามารถพบผู้ป่วยเป็นเพศหญิงด้วยเหมือนกันแต่น้อยกว่า โดยเราอาจจะเคยเห็นข่าวที่มีผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงข่มขืนกระทำชำเราเด็กชาย อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยโรคใคร่เด็กที่เป็นเพศชายก็ไม่ได้ล่วงละเมิดแค่เด็กผู้หญิงเพียงอย่างเดียว เพราะพวกเขาสามารถล่วงละเมิดเด็กผู้ชายได้ด้วยเหมือนกัน
                                  • ร้อยละ 50-80 % เกิดจากครอบครัวหรือคนใกล้ชิด บ่อยครั้งผู้ก่อเหตุเป็นบุคคลใกล้ตัวเด็กเอง เพราะเมื่อเด็กเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ อยู่ใกล้ชิดกัน ก็ยิ่งทำให้ผู้ก่อเหตุปรารถนาจะระบายความใคร่กับเด็ก ที่สำคัญผู้ป่วยโรคนี้จะค่อนข้างสังเกตอาการจากภายนอกได้ยาก เนื่องจากมักจะไม่แสดงพฤติกรรมที่ชัดเจน ภายนอกพวกเขาจะดูเหมือนคนปกติทั่วไป
                                  • ตีสนิทเด็ก เพื่อหวังผลทางเพศ โดยเริ่มจากความเอ็นดู แต่หลังจากนั้นจะเริ่มพยายามเข้าใกล้เด็กให้มากขึ้น ด้วยวิธีการตีสนิท หลอกล่อ ให้รางวัล ให้ขนม หรือให้เงิน เพื่อให้เด็กเชื่อใจ จนในที่สุดก็สนองความต้องการทางเพศของตัวเองได้ โดยทั่วไปเด็กมักจะถูกลวนลาม กอดจูบลูบไล้ ถูกบังคับหรือจับเปลือยกาย ไปจนถึงการร่วมเพศ
                                  • มีบุคลิกภาพแบบอันธพาล (Sociopath) ก้าวร้าว  โรคใคร่เด็กอาจแบ่งเป็นสองประเภท คือ รายที่มีอาการไม่มากมักสัมพันธ์กับการควบคุมอารมณ์และการยับยั้งชั่งใจที่ทำได้ดี สามารถใช้ชีวิตและมีความสัมพันธ์ทางเพศได้ตามปกติ แต่มักมีจินตนาการที่นึกถึงความสัมพันธ์กับเด็กแล้วทำให้เกิดความตื่นเต้นและพึงพอใจ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้เรามักพบว่ามีบุคลิกภาพแบบชอบเก็บตัว ไม่มั่นใจ ไม่กล้าแสดงออก ตื่นเต้นง่าย ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มที่มีอาการรุนแรงจะไม่สนใจ และไม่สามารถมีความสุขทางเพศกับคนในช่วงวัยเดียวกันได้เลย โดยเฉพาะในรายที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้ก็มีความเสี่ยงที่จะกระทำการล่วงละเมิดทางเพศในเด็กได้มากขึ้น หลังจากที่สามารถสนองความใคร่ของตนเองได้แล้ว ผู้ป่วยบางรายไม่หยุดเพียงเท่านั้น แต่อาจทำร้ายเหยื่อจนบาดเจ็บ ถูกข่มขู่ให้เก็บเป็นความลับ บางรายต้องทนเป็นเหยื่ออยู่นานตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น ซึ่งกว่าจะมีคนรู้เรื่องก็คือตั้งครรภ์ เพราะเด็กเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และเหยื่อบางรายก็ถูกฆ่า

                                    ผู้ป่วยโรคใคร่เด็ก มักมีประวัติเคยถูก ล่วงละมิดทางเพศ ในวัยเด็ก
                                    ผู้ป่วยโรคใคร่เด็ก มักมีประวัติเคยถูก ล่วงละมิดทางเพศ ในวัยเด็ก
                                  • บุคคลที่ป่วยเป็นโรคใคร่เด็กนี้ ส่วนใหญ่เก็บกดจากการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมในวัยเด็ก จนเป็นความบกพร่องทางบุคลิกภาพ วัยเด็กเขาอาจเผชิญกับความรุนแรงตั้งแต่เยาว์วัย เช่น ถูกข่มขืนกระทำชำเรา ถูกข่มเหงรังแก ยังรวมถึงการที่ถูกบังคับขู่เข็ญให้อยู่ในกรอบจนกดดัน ทำให้เติบโตขึ้นมามีบุคลิกภาพที่ผิดปกติจากเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาแล้ว ด้วยสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกต้องการที่จะชดเชยบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายไปในวัยเด็ก หรือความรู้สึกทุกข์ทรมานต่าง ๆ ที่เคยได้รับ พอเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เติบโตพอที่จะไม่อยู่ในฐานะของผู้ที่ด้อยกว่า หรือเหยื่ออีกต่อไปแล้ว จึงกลายเป็นผู้กระทำเสียเอง

                                  ติดอาวุธให้ลูกด้วย 8 วิธีสอนให้ลูกทันภัยร้าย

                                  1. ให้เวลากับลูกให้มากขึ้น

                                  วิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน เป็นสาเหตุให้คนในครอบครัวมีเวลาให้แก่กันและกันน้อยลง แม้ว่าจะอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน แต่ความใกล้ชิดกลับถูกแยกออกจากกันด้วยกิจกรรมที่ต่างคนต่างทำ เช่น การใช้เวลาอยู่กับสมาร์ทโฟนมากกว่าการได้นั่งพูดคุยกันระหว่างพ่อแม่ลูก เป็นต้น ดังนั้นพ่อแม่ควรมีความใกล้ชิด หาเวลาใส่ใจ รับรู้ในกิจกรรมต่าง ๆ ของลูก รู้ว่าเขาติดต่อกับใครบ้าง ความสัมพันธ์เป็นแบบใด เพื่อเป็นการลดโอกาสที่คนคิดร้ายจะเข้ามาล่อลวงลูกได้

                                  2. สอนลูกว่าการแสดงความรักไม่ได้มีแค่การกอด

                                  สถานการณ์ปัจจุบันนอกจากเรื่องโรคติดต่อที่กำลังระบาด ทำให้การสัมผัสระหว่างกันเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังแล้ว ยังดีต่อการสอนลูกในเรื่องการระวังตัวจากภัยถูกล่วงละเมิดทางเพศได้อีกด้วย แม้ว่าการแสดงความรักระหว่างกันมักใช้การกอดเพื่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่น รู้สึกดี แต่ควรสอนให้ลูกเข้าใจว่านอกจากการกอด ก็ยังคงมีการแสดงความรักในรูปแบบอื่นด้วย เช่น การพูดแสดงความห่วงใย การถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เป็นต้น ดังนั้นหากมีคนมาขอกอด หรือเข้าใกล้ตัว ลูกสามารถปฎิเสธได้ และไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เราควรสอนให้ลูกรู้จักที่จะระมัดระวัง และปฏิเสธถึงแม้จะเป็นคนรู้จักก็ตามที

                                  3. การล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา

                                  พ่อแม่ไม่ควรไว้ใจ หรือวางใจในบางสถานที่ ที่เราคิดว่าปลอดภัย เพราะสถิติเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกับสถานที่ที่เด็กไปเป็นประจำ คนคุ้นเคยที่ไว้ใจ และไม่ได้เกิดเพียงแค่ช่วงเวลากลางคืน เช่น โรงเรียน บ้านเพื่อน หรือสถานที่ที่คนพลุกพล่าน

                                  ติดอาวุธให้ลูก สอนให้เขารู้จักระวังตัว
                                  ติดอาวุธให้ลูก สอนให้เขารู้จักระวังตัว

                                  4. สอนลูกให้รู้จักเรื่องเพศบ้างตามวัยของเขา

                                  เด็กสมัยก่อนมักถูกห้ามพูดคุยถึงเรื่องเพศ หรือแม้แต่การตั้งชื่ออวัยวะเพศเป็นคำที่น่ารัก ๆ เพื่อเลี่ยงการพูดถึง แต่ในความเป็นจริงแล้วคุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้เขารู้จักเพศศึกษาในขอบเขตความรู้เรื่องเพศตามวัยของลูกบ้าง เพื่อมิให้ลูกถูกคนที่มีเจตนาไม่ดีหลอกไปล่วงละเมิดได้ ให้ลูกได้รู้จักและสำรวจร่างกายของตัวเอง โดยไม่รู้สึกผิด หรือคิดว่าอวัยวะเพศเป็นสิ่งต้องห้าม เช่น ในบางบ้านที่หลอกลูกว่าอวัยวะเพศมีสัตว์ร้าย ห้ามใครมาแตะต้อง โดยลืมไปว่าคำขู่นั้นก็ทำให้เด็กกลัวด้วยเช่นกัน และมักเป็นคำขู่ที่ผู้ไม่หวังดีจะใช้เพื่อขู่ไม่ให้เด็กบอกใคร เช่น ถ้าหนูบอกแม่ แม่จะต้องโกรธหนูแน่ เป็นต้น จึงควรสอนลูกตามความเป็นจริง สอนว่าอะไรคืออะไร สิ่งไหนควรหวงแหน และไม่ให้ใครมาก้าวก่ายได้

                                  5. สอนลูกว่าเขามีสิทธิ์ในร่างกายของตัวเอง 

                                  หากมีใครมาล่วงเกิน หรือล่วงล้ำเข้าในส่วนที่ไม่ควร เขาสามารถปฎิเสธได้ สอนให้ลูกรู้จักพูดว่า “ไม่” เพื่อไม่ให้ใครมาสัมผัส ไม่ว่าจะเวลาใด กับใคร จะรู้จักหรือไม่ก็ตาม เพราะลูกมีสิทธิในร่างกายของตนเองเต็มที่

                                  6. ไม่กล่าวโทษเหยื่อ เวลาเจอข่าวถูกทำร้าย ล่วงละเมิดทางเพศ

                                  ในบางครั้งเราจะเจอะเจอว่าเมื่อมีข่าวคนถูกล่วงละเมิดทางเพศ จะมีผู้คนออกมากล่าวโทษว่าเป็นเพราะเหยื่อแต่งกายไม่สุภาพ เลยทำให้ตกเป็นเหยื่อได้ หรือการตั้งข้อสงสัยว่าสาเหตุมาจากเหยื่อเอง  การที่ลูกได้ยินอาจทำให้เวลาลูกเจอปัญหามา จะไม่กล้าเล่าเรื่องราวให้เราฟัง

                                  7. ระมัดระวังในคำพูดถามไถ่

                                  หากโชคร้ายเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับลูกขึ้นมา พ่อแม่ควรระมัดระวังในการถามไถ่ หรือให้ลูกได้รับการถูกสอบสวนอย่างหนัก และไม่ควรที่จะได้รับการบอกเล่าเรื่องนี้อย่างโจ้งแจ้งด้วย เพราะจะทำให้เขารู้สึกมีมลทิน และรู้สึกมีความผิด ไม่รักตัวเองต่อไปในอนาคตได้นั่นเอง

                                  8. สอนให้ลูกรู้จักฟังสัญชาตญาณของตนเอง 

                                  นั่นคือ การสอนให้เขาเคารพในความรู้สึกของตนเอง ไม่ควรแต่คิดจะเกรงใจผู้ใหญ่ สอนวิธีที่ถูกต้องเวลาที่เขาจะหลีกเลี่ยงในสิ่งที่เขารู้สึกไม่ดี ไม่อยากทำจากผู้ใหญ่ เพราะนั่นคือ สัญชาตญาณของมนุษย์ที่รับรู้ได้ถึงความไม่ปลอดภัยนั่นเอง

                                  ภัยร้ายมีอยู่รอบตัวหากเราประมาท ดังนั้นการรู้จักสอนลูกให้ระมัดระวังในร่างกายของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญสิ่งแรกที่เราต้องปลูกฝังให้ลูกรู้จักรับผิดชอบในตัวเอง สร้างความฉลาดในการเผชิญปัญหาให้แก่ลูก (AQ) ก็จะเป็นการช่วยป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นกับเขาได้อีกทาง นอกจากการเฝ้าดูแลของพ่อแม่เพียงทางเดียว นอกจากการสอนให้เขารู้จักป้องกันตัวเองแล้ว หากโชคร้ายเกิดเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น แต่เราสามารถรับรู้เรื่องราวได้เสียแต่เนิ่น ๆ ก็จะเป็นการช่วยระงับเหตุร้ายร้ายที่อาจเกิดตามมาต่อจากการถูกล่วงละเมิดได้ หรือการเข้าช่วยเหลือลูกได้ทันท่วงทีก่อนที ก็คงจะดีกว่าให้เขาเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง วันนี้ทางทีมแม่ ABK ได้นำสัญญาณในการบ่งบอกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับลูกมาให้พ่อแม่ได้คอยสอดส่องดูแลลูกกัน ดังนี้

                                  สัญญาณบ่งบอกว่าเด็กมีปัญหาถูก ล่วงละมิดทางเพศ
                                  สัญญาณบ่งบอกว่าเด็กมีปัญหาถูก ล่วงละมิดทางเพศ

                                  สัญญาณบอกเหตุเมื่อลูกถูกล่วงละเมิดทางเพศ

                                  1. มีรอยฟกช้ำตามร่างกาย
                                  2. หวาดกลัว ตกใจง่าย วิตกกังวล
                                  3. นอนไม่หลับ ฝันร้าย
                                  4. เก็บตัว ไม่กล้าสู้หน้าคนอื่น
                                  5. ก้าวร้าว
                                  6. ไม่อยากกลับบ้าน ไม่ยอมไปโรงเรียน
                                  7. หมกหมุ่นเรื่องเพศมากเกินไป
                                  8. ซึมเศร้า
                                  9. ทำร้ายตัวเอง
                                  10. น้ำหนักตัวลดลง ไม่อยากกินอาหาร

                                  โรคใคร่เด็ก แม้จะเป็นรสนิยมทางเพศที่เป็นปัญหาต่อสังคมก็ตามที แต่ก็นับว่าเป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง ที่สามารถรักษาหายได้ ดังนั้นการพบเห็นผู้ที่เข้าข่ายว่าจะเป็นโรคดังกล่าว เราไม่ควรไปรังเกียจ หรือกล่าวโทษเขาจนเกินความจริง กับผู้ป่วยที่ยังไม่ได้ก่อเหตุอาชญากรรมใด ๆ แต่หากเราเข้าใจและไม่ประนามผู้ป่วยเหล่านี้ก็จะทำให้เขากล้าที่จะออกมา และรักษาตัว ปรับพฤติกรรมให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคม ก็จะเป็นการช่วยทำให้ลดโอกาสที่เด็กจะถูกล่วงละเมิดลงไปได้เสียอีกด้วย เมื่อคนที่เป็นโรคใคร่เด็กยอมรับในตัวเองและยอมออกมารักษาตัวกันมากขึ้น บางทีปัญหาโรคใคร่เด็กในสังคมเราอาจจะเบาบางลงก็เป็นได้ และทำให้สังคมของเราปลอดภัย และน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก today.line.me / sanook.com/mgronline.com

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  โรคจิต แอบถ่ายในห้าง โดนเด็ก 10 ขวบสั่งสอนแบบนี้

                                  นี่คือ…สาเหตุ “ลูกถูกล่วงละเมิดเพศ” ที่พ่อแม่คาดไม่ถึง!

                                  สอนลูกให้รู้จัก “พื้นที่ส่วนตัว” ป้องกันถูกละเมิดทางเพศ

                                  6 วิธีคุยกับลูก ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน (เริ่ม 6 ขวบ+)

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    Surfskate

                                    ทำความรู้จัก Surfskate กีฬาสุดฮิต เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นดี

                                    กีฬาฮิตสุด ๆ ในชั่วโมงนี้ต้องเล่น Surfskate กีฬาที่เหล่าคนดังหันมาเล่นกันมากมาย รู้ไหมคะว่า Surfskate มีประโยชน์ต่อสุขภาพกว่าแค่เล่นแล้วแนว เล่นแล้วเท่ห์ แถมยังเป็นกีฬาที่เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่ก็เล่นดี

                                    ทำความรู้จัก Surfskate กีฬาสุดฮิต เด็กเล่นได้ ผู้ใหญ่เล่นดี

                                    Surfskate กีฬาที่ฮิตที่สุดในไทยในตอนนี้ เหล่าดาราและคนดังมากมายก็หันมาเล่น ไม่ว่าจะเป็นดาราเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็ถือบอร์ดเซิร์ฟสเก็ตมาโชว์ให้เรา ๆ ได้ดูกัน ล่าสุดน้องเรซซิ่งและแม่แพทณปภา ก็ได้เข้าวงการเซิร์ฟสเก็ตด้วยคน เห็นแล้วอยากจะไปซื้อเซิร์ฟสเก็ตมาเล่นตามกันเลยทีเดียว แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ Surf Skate กันก่อนดีกว่าค่ะ ว่าคืออะไร ควรเล่นอย่างไร เค้าเล่นกันที่ไหนบ้าง เรามัดรวมทุกคำถามมาให้อ่านแล้วค่ะ

                                     

                                    น้องเรซซิ่ง
                                    น้องเรซซิ่ง

                                     

                                    Surfskate คืออะไร?

                                    เซิร์ฟสเกต เป็นกีฬาบนบอร์ดชนิดหนึ่ง เกิดจากการผสมผสานของสเกตบอร์ดแบบดั้งเดิมและกีฬาเซิร์ฟ โดยพัฒนาและปรับปรุงอุปกรณ์ให้ผู้เล่นสามารถต่อยอดทักษะการเล่นเซิร์ฟ และให้ความรู้สึกคล้ายการเล่นเซิร์ฟมากที่สุด ต้นกำเนิดของเซิร์ฟสเกตเริ่มต้นที่ความรู้สึกขัดแย้งของ Neil Stratton และ Greg Falk สองผู้ก่อตั้ง Carver Skateboards พวกเขารู้สึกว่าสเกตบอร์ดแบบดั้งเดิมที่เล่นกันอยู่นั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเซิร์ฟแม้แต่นิดเดียว ทั้ง ๆ ที่ทุกแบรนด์ต่างโฆษณาว่าการเล่นสเกตบอร์ดก็เหมือนการเซิร์ฟบนบก ให้ความรู้สึกเหมือนการเล่นเซิร์ฟในน้ำ และด้วยความคับข้องใจนี่แหละ ทั้งคู่กับช่วยกันคิดและพัฒนาสเกตบอร์ดแบบดั้งเดิมให้สามารถเลี้ยวได้ สแนปได้ และนำเทคนิคการเล่นเซิร์ฟมาใช้บนบกได้จริง ๆ ซึ่งผลคือเซิร์ฟสเกตที่เราฮิตในปัจจุบัน

                                    Surf Skate ต่างจาก Skate Board ยังไง?

                                    1. การเล่น Surf Skate จะใช้การบิดตัวและแรงเหวี่ยงของสะโพกในการขับเคลื่อน จึงไม่ต้องใช้แรงไถมากเท่ากับ Skate Board
                                    2. แผ่น Surf Skate ไม่แข็งเท่ากับ Skate Board และล้อหน้าของ Surf Skate สามารถหมุนซ้าย-ขวา หรือ 360 องศา เลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์จะออกแบบ
                                    3. วิธีการเลี้ยวหรือการเทิร์นกลับ จะเป็นไปตามทางที่เท้าเราถ่ายเทน้ำหนักตัวลงไป เช่น ต้องการเลี้ยวซ้าย เราก็แค่ถ่ายน้ำหนักกดบอร์ดไปทางซ้าย บอร์ดก็จะเลี้ยวเทิร์นไปทางซ้าย นั่นเองครับ

                                     

                                    Surf Skate คืออะไร
                                    Surf Skate คืออะไร

                                    วิธีเล่น Surf Skate

                                    1. สวมอุปกรณ์นิรภัยให้ครบ ทั้งหมวกกันน็อก สนับเข่า สนับศอก ถุงมือ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น
                                    2. ลองขยับเท้าขึ้นยืนบนเซิร์ฟ สเกต ถ่วงน้ำหนักตัวโดยวางขาและเท้าหน้าให้อยู่ตรงกลางทรัก หรือส่วนหน้าของบอร์ด ส่วนขาหลังให้วางที่ท้ายบอร์ด
                                    3. ลองถ่วงสมดุลน้ำหนักให้อยู่ในจุดที่ทรงตัวได้
                                    4. หากต้องการให้บอร์ดขยับไปข้างหน้า เริ่มแรกให้ใช้เท้าหลังไถพื้นเพื่อให้บอร์ดเคลื่อนที่ไปก่อน จากนั้นค่อยดึงเท้าขึ้นมาวางท้ายบอร์ด ถ่วงสมดุลให้ทรงตัวได้ และพยายามฝึกทรงตัวในท่านี้ไปเรื่อย ๆ จนชิน
                                    5. เมื่อสามารถทรงตัวบน เซิร์ฟ สเกต ได้แล้ว ให้ลองบิดตัว และแกว่งแขนไปมา โดยใช้สะโพกเป็นตัวออกแรงกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหว

                                    เซิร์ฟสเก็ต เล่นแล้วดีต่อสุขภาพอย่างไร?

                                    1. เป็นการออกกำลังแบบคาร์ดิโอผสมเวตเทรนนิ่ง อย่าเพิ่งคิดว่าการเล่น เซิร์ฟ สเกต เป็นกีฬาที่ไม่ต้องออกแรงมาก Surf Skate ถือเป็นการออกกำลังกายแบบ Cardio ผสม Weight Training สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย รู้ไหมคะว่า การเล่น Surf Skate เป็นเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง สามารถเบิร์นได้เกือบ 600 แคลฯ เลยทีเดียว
                                    2. ช่วยในการทรงตัว เพราะเป็นกีฬาที่อาศัยการทรงตัวเพื่อช่วยในการเคลื่อนไหว สำหรับคนที่วิ่งแล้วเจ็บหรือปวดเข่าก็สามารถเล่น Surf Skate ได้เช่นกัน เพราะการเล่น Surf Skate ก็เหมือนเรายืนสควอชซ้ำ ๆ กัน ทำให้หน้าขาและก้นแข็งแรงขึ้น ช่วยลดอาการบาดเจ็บของเข่าได้
                                    3. ช่วยฝึกทักษะการประสานงานของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ การบังคับให้ Surf Skate เคลื่อนไหว ก็ต้องออกแรงกล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วนพร้อมกัน ได้แก่ กล้ามเนื้อสะโพก กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อหน้าอก ไหล่ รวมไปถึงแขนเลยทีเดียว
                                    4. ช่วยเสริมบุคลิกภาพและความมั่นใจ ด้วยลักษณะการทรงตัวและเคลื่อนไหวอย่างพลิ้ว ๆ ของเซิร์ฟ สเกต ทำให้เราต้องปรับท่าทางของร่างกายไปโดยอัตโนมัติ บุคลิกก็จะดีขึ้น และการที่เราเล่นเซิร์ฟ สเกต ได้ ก็ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ด้วย
                                    5. คลายเครียด ขึ้นชื่อว่าเล่นกีฬา ได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ ยังไงก็สามารถทำให้เราเกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้แล้ว

                                     

                                    Surf Skate ซื้อที่ไหน
                                    Surf Skate ซื้อที่ไหน

                                    เล่น Surfskate ที่ไหนได้บ้าง?

                                    รวมสถานที่เล่นเซิร์ฟสเก็ตสุดฮิตในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามไปเล่นกันได้ที่นี่เลย!

                                    • ลานสเก็ตบอร์ด สวนรถไฟ (สวนวชิรเบญจทัศ)

                                    ที่นี่เล่นได้ทั้งเซิร์ฟสเก็ต ลองบอร์ดและสเก็ตบอร์ด เหมาะกับผู้เล่นมือใหม่ เพราะมีทั้งรุ่นพี่คอยสอนพร้อมบอกเทคนิคให้อย่างไม่กั๊ก ทั้งยังมีพื้นที่กว้างขวาง เล่นสเก็ตได้อย่างปลอดภัย มาคนเดียวก็ไม่ต้องกลัวเหงา แถมได้เพื่อนใหม่อีกด้วยนะ

                                    วัน-เวลาทำการ : เปิดได้ให้เล่นตั้งแต่เวลา 06.00 น.-20.30 น.

                                    ค่าบริการ : เล่นฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือใครไม่มีบอร์ดของตัวเอง เพียงแค่สมัครสมาชิกศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ เด็ก 10 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท ก็ยืมเล่นได้แบบฟรี ๆ ทั้งปีอีกด้วย

                                    เส้นทางการไป : https://goo.gl/maps/6DYL1uvipfbVdP4V6

                                    • Thammasat X-treme Plaza

                                    สนามกีฬาเอ็กซ์สตรีมสุดท้าทาย ที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นลานกลางแจ้งแบบคอนกรีตที่เหมาะสำหรับกีฬาผาดโผนหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสเก็ตบอร์ด, โรลเลอร์เบลด, สกูตเตอร์ รวมไปถึงจักรยาน BMX ก็มาล้มลุกคลุกคลานกันได้สบายเลย แถมยังมีบริการห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อใกล้เคียงในบริเวณนั้นเพียบ

                                    วัน-เวลาทำการ : 7.00-18.00 น (ตามมาตรการของรัฐ)

                                    ค่าบริการ : ฟรี

                                    เส้นทางการไป : https://goo.gl/maps/bhsMfvXHEo

                                    • Huamark Skate Park

                                    ใครหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับย่านนี้ แต่ก็อาจจะยังไม่รู้ว่ามีพื้นที่สุดท้าทายอย่าง Skate Park Huamark อยู่ ที่ไม่เพียงแต่เป็นสนามให้เล่นเพื่อความสนุกสนานหรือฝึกซ้อมเล่นแบบจริงจัง แต่ยังเป็นสนามที่ใช้แข่งขันกีฬาเอ็กซ์ตรีมมาหลายประเภท ทั้งอยู่ถูกจัดแมตช์สำคัญระดับนานาชาติอีกด้วย ทำให้แต่ละวัน สนามแห่งนี้เต็มไปด้วยคนรักความผาดโผน ที่โชว์ท่วงทาลีลากันอย่างจัดเต็มไปเลย

                                    วัน-เวลา ทำการ : 09.00 – 21.00น (ตามมาตรการของรัฐ)

                                    ค่าบริการ : ฟรี

                                    เส้นทางการไป : https://goo.gl/maps/yJ2LkDYbcQs

                                    นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายพื้นที่ที่เปิดให้เล่น Surfskate กันได้ อาทิเช่น

                                    • สวนลุมพินี
                                    • สนามหลวง
                                    • ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัล ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต, ศาลายา, นครราชสีมา, ระยอง, ลำปาง, เชียงราย, เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่, หาดใหญ่ และเซ็นทรัล วิลเลจ
                                    • Sky park BKK ดาดฟ้าชั้น 10 ฟอร์จูนทาวน์
                                    • สวนวัชราภิรมย์ เลียบด่วน รามอินทรา
                                    • ลานสเกตบอร์ด KM5 รามอินทรา

                                    กีฬาทุกประเภท นอกจากจะดีต่อสุขภาพลูกแล้ว การที่คุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมให้ลูกได้ทำในสิ่งที่ชอบ เล่นกีฬาที่ชอบ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้ตัวตนของตนเอง และยังสามารถเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ครอบครัวได้ทำและได้ใช้เวลาคุณภาพร่วมกันได้อีกด้วย Surfskate เป็นกีฬาที่เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หากคุณพ่อคุณแม่ร่วมเล่นไปกับลูกด้วยกัน ก็คงจะดีไม่น้อย

                                    ขอบคุณข้อมูลจาก : health.kapook.com, thestandard.co, mangozero.com

                                    ขอบคุณรูปจาก : Instagram @pat_napapa