Page 120 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ดูแลท้องแรก

เคล็ด (ไม่) ลับ ดูแลท้องแรก ด้วยสารอาหารครบ 32 ชนิด ให้แม่ยุคใหม่พร้อมเอ็นจอยไลฟ์ได้ทุกวัน

ใครว่าเป็น”แม่”แล้วผู้หญิงอย่างเราจะเป็นตัวเองไม่ได้ คุณแม่ท้องยุคใหม่สามารถเอ็นจอยกับทุกไลฟ์สไตล์ที่เคยทำ
พร้อมกับดูแลท้องแรกอย่างมีคุณภาพเพื่อให้ลูกน้อยสมบูรณ์แข็งแรงตลอดอายุครรภ์ได้ด้วยกิจกรรมและโภชนาการที่เหมาะสม

เมื่อมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยอยู่ในท้อง คุณแม่มือใหม่พบเจอกับการเปลี่ยนแปลงมากมายตลอดอายุครรภ์ 9 เดือน ทั้งหน้าท้องขยายตัว                ระดับฮอร์โมนปรับเปลี่ยน หัวใจเต้นเร็วขึ้น 10-20 ครั้งต่อนาที เหนื่อยง่ายกว่าปกติ จึงเคลื่อนไหวร่างกายลำบาก จนเกิดความกังวลว่าจะทำกิจกรรมที่ชอบได้อย่างออกกำลังกาย ทำงาน เดินทางท่องเที่ยวได้ไม่คล่องตัวเหมือนเดิม หรือต้องหยุดไปเพราะกลัวกระทบกับสุขภาพของลูกน้อย

ความจริงแล้วคุณแม่ยังสามารถทำทุกกิจกรรมได้เป็นปกตินะคะ เพราะนอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้สภาพจิตใจและอารมณ์ของคุณแม่ดีขึ้น ไม่เครียด ไม่หงุดหงิดหรือซึมเศร้า เมื่อคุณแม่มีความสุขย่อมส่งต่อความรักและความสุขไปถึงลูกน้อย ทำให้มีพัฒนาการครรภ์ดีตามไปด้วย  มาเป็นคุณแม่ยุคใหม่สายสตรองที่มีความสุขกับชีวิตในทุกวันไปพร้อมกันค่ะ

ดูแลท้องแรก

1. คุณแม่ท้องสายกิน

แม่ท้องหิวบ่อย กินมากกว่า 3 มื้อต่อวัน เป็นเรื่องปกติมากค่ะ เพราะร่างกายต้องการพลังงานสำหรับคน 2 คน(คุณแม่และทารกในครรภ์) เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ดังนั้นเมื่อคุณแม่จะกินอาหาร ก็ต้องเลือกกินในสิ่งที่เหมาะสม มีประโยชน์ ต้องได้คุณค่าทางโภชนาการหลากหลายครบถ้วน 5 หมู่ และกินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป หรือน้อยจนเกินไป เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ

ข้อควรระวัง : เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเบาหวานแทรกซ้อน และน้ำหนักเกินเกณฑ์ระหว่างตั้งครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต อาหารที่มีน้ำตาลสูง แนะนำให้คุณแม่ท้องเลือกกินอาหารมีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ เน้นอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อปลา นม ไข่ ถั่ว และกินวิตามินจากพืชผักและผลไม้ที่ย่อยง่ายมีกากใย (Fibre)สูง หรือ สารอาหาร DR10 เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ไม่มีอาการท้องผูกค่ะ

ดูแลท้องแรก

2. คุณแม่สายฟิต

คนท้องไม่ใช่คนป่วย ฉะนั้นที่สงสัยกันว่าท้องแล้วจะออกกำลังกายได้อยู่หรือเปล่า จริงๆ แม่ท้องสามารถออกกำลังกายได้ตามปกติเลยค่ะ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยลดอาการปวดหลัง เกิดตะคริวที่ขา ช่วยให้เลือดในร่างกายสูบฉีดไหลเวียนดี ป้องกันน้ำหนักขึ้นเกินระหว่างตั้งครรภ์ และทำให้อารมณ์ดี ผ่อนคลายลดความเครียด ความกังวลต่างๆ ได้ด้วยค่ะ กายบริหารที่เหมาะกับคนท้อง เช่น ว่ายน้ำ แอโรบิคในน้ำ โยคะ หรือเดินช้าๆ วันละ 20-30 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พอเหมาะ ไม่เป็นอันตรายกับลูกน้อยในครรภ์ แถมการยืดเส้นยืดสายยังช่วยให้คลอดลูกง่ายด้วยนะคะ

ข้อควรระวัง : ในช่วง 3 เดือนแรก ไม่แนะนำให้ออกกำลังกาย เพราะเป็นช่วงตั้งครรภ์อ่อนๆ อาจเสี่ยงต่อการแท้งได้ค่ะ หรือถ้าหากคุณแม่อยากออกกำลังกายเบาๆ แนะนำให้คุณแม่ปรึกษากับคุณหมอที่ดูแลครรภ์ก่อนทุกครั้งว่าควรออกกำลังกายแบบไหนได้ เนื่องจากคนท้องแต่ละคนอาจมีข้อกำจัดในการออกกำลังกาย ฉะนั้นคุณหมอจะแนะนำกายบริหารที่เหมาะกับคุณแม่ให้ค่ะ

ดูแลท้องแรก

3. คุณแม่สายเที่ยว

จะเที่ยวได้ไหม เที่ยวได้ไหมเอ่ย ?? ได้ซิค่ะ ทำไมจะเที่ยวไม่ได้ คุณแม่ที่ก่อนหน้านี้เป็นสายท่องเที่ยว ร้อยเอ็ด เจ็ดย่านน้ำ พอท้องแล้วไม่จำเป็นต้องหยุดเที่ยวกันนะคะ การพาตัวเองออกไปท่องเที่ยวแบบ #Babymoon ที่คุณแม่และคุณพ่อสามารถพาลูกน้อยในท้องไปเที่ยวด้วยกัน ก็ช่วยเพิ่มความสุข ได้ความสนุกไปอีกรูปแบบค่ะ ที่สำคัญเมื่อกายและใจได้ผ่อนคลายเต็มที่ ฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน สารแห่งความสุข (Endorphin) ก็หลั่งออกมา ทำให้ไม่เครียด ลูกน้อยในครรภ์รับรู้ได้ เป็นการกระตุ้นพัฒนาการทุกด้านให้สมบูรณ์ขึ้นด้วยค่ะ

ข้อควรระวัง : คุณแม่ไม่ควรเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องเดินทางนานเกิน 10 ชั่วโมง และควรเลือกการเดินทางที่ง่าย สะดวก รถยนต์ส่วนตัว เพื่อที่คุณแม่จะได้ไม่ต้องนั่งนานๆ บนรถ และสามารถแวะพักตามที่ต่างๆ ได้ ช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่อาจต้องเข้าห้องน้ำบ่อย ระหว่างเดินทางจึงควรมีจุดแวะพักให้เข้าห้องน้ำและเดินยืดเส้นยืดสายด้วยนะคะ นอกจากนี้ ระหว่างเดินทาง ต้องเลือกเส้นทางที่ถนนเรียบ ไม่กระแทกอันตราย อย่าลืมคาดเข็มขัดนิรภัย และไม่ควรขับรถเร็วเกินไปด้วยค่ะ

 

และเพื่อให้คุณแม่สามารถเอ็นจอยกับไลฟ์สไตล์ในแบบตัวเอง และเติมพลังให้แม่พร้อมเติมรักให้ลูกน้อยในครรภ์ได้เต็มร้อย คุณแม่สามารถเสริมโภชนาการให้พร้อมตั้งแต่วันแรกของการเป็นแม่ไปจนตลอดการอายุครรภ์ ด้วยการดื่มนมผลิตภัณฑ์นมแอนมัม (Anmum) ที่มีสารอาหารสำคัญ 32 ชนิดเพื่อคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะ ทั้ง GA และ DHAสารอาหารหลักที่มีส่วนช่วยพัฒนาการด้านสมองและความจำของลูกน้อย DR10 หรือโพรไบโอติก จุลินทรีย์มีชีวิตชึ่งช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของคุณแม่ให้แข็งแรง รวมถึงมีโฟเลต แคลเซียม ธาตุเหล็ก ไฟเบอร์ วิตามินเอ ซี ดี บี6 บี12 และสารอาหารจำเป็นอีกหลายชนิด สามารถดื่มได้ตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงให้นมบุตรเลยนะคะ เพื่อให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในแต่ละวัน

ผลิตภัณฑ์นมแอนมัม  มีหลายรูปแบบหลากรสชาติให้เลือกดื่มมากๆ สามารถปรับให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคุณแม่แต่ละคนได้เลยอย่าง แถมยังดื่มง่ายและอร่อยอีกด้วย แอนมัมมีทั้งนมผงพร่องมันเนยรสจืดและรสช็อกโกแลตสำหรับชงดื่มอุ่นๆสบายท้องหรือจะชงแบบเย็นก็อร่อยสดชื่น แค่วันละ 2 แก้วก็ได้ครบทั้งโฟเลตและแคลเซียม 100% นมพร่องมันเนยยูเอชที อร่อย ดื่มง่าย มีทั้งรสจืด มอล์ตและรสน้ำผึ้งพกพาสะดวก ครบคุณค่าโภชนาการในกล่องเดียวเหมาะกับวันทำงานหรือวันที่ออกไปชิลล์นอกบ้านหรือโยเกิร์ตพร้อมดื่ม ไขมัน 0% สำหรับคุณแม่ท้องไตรมาสแรกที่ยังมีอาการแพ้ท้อง รสชาติจากผลไม้รวมและรสส้ม จะช่วยดื่มง่ายขึ้นด้วยค่ะ อร่อย สดชื่น หมดกังวลเรื่องไขมัน

อยากรู้ว่านมแอนมัม ดีอย่างไร อร่อยแค่ไหนสามารถคลิกเพื่อรับขนาดทดลองฟรีๆ ได้ที่นี่เลยค่ะ https://www.anmum.com/th/th/contactus/sample-request

ดูแลท้องแรก

 

 

ภาวะขาดน้ำในเด็ก

เช็คสัญญาณเตือนลูกขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำในเด็ก เป็นแบบไหน?

ภาวะขาดน้ำในเด็ก – เด็กและผู้ใหญ่ทุกคนสูญเสียน้ำในร่างกายได้ตลอดทั้งวัน น้ำสามารถระเหยจากผิวหนังและจากร่างกายเมื่อ เราหายใจ ร้องไห้ เหงื่อออก และขับถ่าย  โดยปกติแล้วเด็กวัยเตาะแตะ จะได้รับน้ำเพียงพอจากการกินและดื่มเพื่อทดแทนของเหลวที่สูญเสียไป ยิ่งบ้านเราเป็นเมืองร้อนน้ำยิ่งมีความสำคัญเพราะร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย และในบางกรณีเด็กอาจสูญเสียน้ำได้มากกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากความเจ็บป่วยบางอย่างของร่างกาย เช่น มีไข้ ท้องอืด การออกไปข้างนอกในสภาพอากาศร้อน หรือการออกกำลังกายมากเกินไป

ความต้องการน้ำของเด็กยังแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านต่างๆ เช่น อายุ เพศ สภาพอากาศ และความหนักเบาของกิจกรรมที่ทำ  ซึ่งอาจทำให้สูญเสียของเหลวมากเกินไป และสามารถนำไปสู่ภาวะขาดน้ำได้  เมื่อเด็กเกิดภาวะขาดน้ำ ร่างกายจะไม่มีของเหลวและน้ำเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ความเสียหายของสมองหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ วันนี้เรามาเรียนรู้สัญญาณเตือนของการขาดน้ำในเด็กตลอดจนเคล็ดลับในการป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำในเด็กกันค่ะ

เช็คสิ! ลูกของคุณเสี่ยงต่อการขาดน้ำหรือไม่?

การขาดน้ำเกิดขึ้นเมื่อของเหลวออกจากร่างกายมากกว่าที่จะเข้าสู่ร่างกาย เด็กมักขาดน้ำได้ง่ายกว่าวัยรุ่นและผู้ใหญ่ เนื่องจากขนาดร่างกายที่เล็กกว่า และมีปริมาณน้ำสำรองน้อยกว่า นอกจากนี้เด็กวัยเตาะแตะบางคนขาดน้ำเพราะดื่มน้ำไม่เพียงพอ ปัจจัยบางอย่างอาจทำให้เด็กมีความเสี่ยงสูงต่อการขาดน้ำ

ได้แก่ :

  • มีไข้สูง
  • อาเจียน
  • ท้องร่วง
  • เหงื่อออกมากเกินไป
  • ปริมาณของเหลวที่ไม่ดีระหว่างการเจ็บป่วย
  • ความเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน หรือความผิดปกติของลำไส้
  • การสัมผัสกับอากาศร้อนและชื้น
  • อาการท้องร่วงอาจเกิดจากการติดเชื้อ (ไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต) การแพ้อาหาร หรืออาการทางการแพทย์ เช่น โรคลำไส้อักเสบ หรือปฏิกิริยาจากยาบางชนิด

หากลูกของคุณอาเจียน อุจจาระเป็นน้ำ หรือไม่สามารถดื่มน้ำ หรือไม่อยากดื่มน้ำ เนื่องจากความเจ็บป่วย ให้ตรวจดูสัญญาณของการขาดน้ำ และเตรียมพร้อมที่จะช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

ภาวะขาดน้ำในเด็ก
ภาวะขาดน้ำในเด็ก

เช็คสัญญาณเตือนลูกขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำในเด็ก เป็นแบบไหน?

สัญญาณเตือนภาวะขาดน้ำในเด็กเล็ก

ภาวะขาดน้ำอาจค่อยๆ เกิดขึ้น หรืออาจเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหัน เด็กวัยเตาะแตะที่มีอาการเจ็บป่วยโดยเฉพาะไข้หวัดลงกระเพาะ ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อหาสัญญาณของการขาดน้ำ ทางที่ดี อย่าปล่อยให้ลูกกระหายน้ำมากเกินไป หากพวกเขากระหายน้ำมาก อาจเข้าสู่ภาวะขาดน้ำแล้ว ดังนั้นควรระวังสัญญาณเตือนเหล่านี้ไว้:

  • ริมฝีปากแห้งแตก
  • ปัสสาวะสีเข้มผิดปกติ
  • ปัสสาวะน้อยหรือไม่มีเลยเป็นเวลาแปดชั่วโมง
  • ผิวเย็น หรือแห้ง
  • ง่วงนอน
  • ระดับพลังงานต่ำ
  • ไม่มีน้ำตาเมื่อร้องไห้
  • กระวนกระวาย
  • หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว
  • ในกรณีที่ร้ายแรงเด็กอาจเพ้อหรือหมดสติได้

ภาวะขาดน้ำในเด็ก

การรักษาภาวะขาดน้ำในเด็กเล็ก

วิธีเดียวที่จะรักษาภาวะขาดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือการเติมของเหลวทดแทนที่สูญเสียไป การขาดน้ำเพียงเล็กน้อยสามารถจัดการได้ที่บ้าน หากลูกน้อยของคุณมีอาการท้องร่วงอาเจียนมีไข้หรือมีอาการขาดน้ำให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

  • ให้สารละลายทางช่องปาก (ORS) ให้ลูกได้รับสารละลายทางช่องปาก เช่น พีเดียไลท์ (Pedialyte) สารละลายเหล่านี้ประกอบด้วยน้ำและเกลือแร่ในสัดส่วนที่เหมาะสมและย่อยง่าย โดยปกติน้ำเปล่าจะไม่เพียงพอหากคุณไม่มีวิธีการให้น้ำทางช่องปากเนื่องจากน้ำเปล่ามีอิเล็กโทรไลต์ต่ำ คุณสามารถลองใช้นมหรือน้ำผลไม้เจือจางกับสารละลายนี้ได้ อย่างไรก็ดี ควรให้ Pedialyte แก่เด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
  • ค่อยๆให้ทีละน้อย จนกว่าจะสังเกตว่าปัสสาวะลูกดูใสขึ้น หากลูกของคุณอาเจียน ควรให้ทีละน้อยจนกว่าจะสามารถระงับอาการได้ แม้เด็กอาจจะรับน้ำได้ครั้งละหนึ่งช้อนโต๊ะ แต่ก็ดีกว่าไม่ให้ร่างกายได้รับของเหลวทดแทนเลย ทางที่ดี ให้ค่อยๆ เพิ่มความถี่และปริมาณ การให้เร็วเกินไปมากเกินไปมักจะทำให้อาเจียนได้
  • หากคุณยังให้นมบุตร สามารถให้ต่อไป นอกจากนี้คุณยังสามารถ ผสม พีเดียไลท์ (Pedialyte) ให้ลูกในขวดนมได้อีกด้วย

การป้องกันการขาดน้ำในเด็กเล็ก

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองที่จะต้องเรียนรู้สัญญาณเตือนของการขาดน้ำ เพราะหากปล่อยลูกให้กระหายน้ำมากเกินไปก็อาจสายเกินแก้ได้ทัน ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนในการป้องกันภาวะขาดน้ำในเด็กเล็ก

  • หากลูกของคุณป่วย ให้ระมัดระวังเกี่ยวกับปริมาณของเหลวของพวกเขา เริ่มให้น้ำทดแทน และเฝ้าสังเกตดูอาการ
  • เด็กที่ไม่กินหรือดื่มเนื่องจากอาการเจ็บคออ าจต้องบรรเทาความเจ็บปวดด้วยยาแก้ปวดลดไข้สำหรับเด็ก
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกของคุณฉีดวัคซีนครบถ้วน รวมถึงวัคซีนโรตาไวรัส โรตาไวรัสเป็นสาเหตุหนึ่งในสามของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องร่วงในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี พูดคุยกับแพทย์ของคุณหากคุณมีข้อกังวลหรือคำถามเกี่ยวกับวัคซีนโรตาไวรัส
  • สอนลูกๆ ของคุณ ถึงวิธีล้างมือก่อนรับประทานอาหารและการดื่มน้ำ และหลังใช้ห้องน้ำด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อต่างๆ
  • กระตุ้นให้เด็กดื่มน้ำมาก ๆ ก่อน ระหว่าง และหลัง การออกกำลังกาย

ควรพาลูกไปพบแพทย์เมื่อใด

พาลูกของคุณไปพบแพทย์ ถ้าหาก :

  • ลูกดูอาการไม่ดีขึ้นหรือขาดน้ำมากขึ้น
  • มีเลือดปนในอุจจาระ หรืออาเจียน
  • ลูกของคุณปฏิเสธที่จะดื่มหรือ ไม่ได้รับสารละลายในช่องปาก
  • การอาเจียนหรือท้องร่วงของเด็กวัยเตาะแตะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและรุนแรงและไม่สามารถดื่มของเหลวได้เพียงพอเพื่อให้ทันกับปริมาณที่สูญเสียไ
  • อาการท้องร่วงเป็นเวลานานกว่าสองสามวัน
  • แพทย์สามารถตรวจหาภาวะขาดน้ำและเติมของเหลวและเกลือแร่ให้บุตรหลานของคุณได้อย่างรวดเร็วทางหลอดเลือดดำหากจำเป็น

ทั้งนี้การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะส่งผลดีระบบต่างๆ ของร่างกาย น้ำที่ดื่มเข้าไปจะทดแทนส่วนที่สูญเสียไปในแต่ละวัน หากสามารถปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร ก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีได้ นอกจากนี้การปลูกฝังให้ลูกหันมาใส่ใจเรื่องการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพที่ดี ก็จะช่วยให้ลูกๆ ปลอดภัยจากภาวะอันตรายที่เกิดจากการขาดน้ำได้ แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือหาเด็กๆ ได้รับการ ส่งเสริมและปลูกฝังจากคุณพ่อคุณแม่ให้รู้จักดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันก็จะเป็นกาเสริมสรา้งทักษะ ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)ได้อีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.healthline.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

อาการที่ต้องพาลูกไปหาหมอ วิธีสังเกตว่าลูกป่วย ต้องรีบไปโรงพยาบาล

7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

10 รายชื่อหมอเด็ก ที่เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์และเฉพาะทางโรคเด็ก ที่แม่บอกต่อ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ปั๊มหัวใจ

โชคดีพ่อทำเป็น! ปั๊มหัวใจ ลูกชาย 3 ขวบจมน้ำ รอดหวุดหวิด!

ปั๊มหัวใจ-  เรื่องราวความโชคดีครั้งนี้ สืบเนื่องจาก แดน เมเยอร์ส ชาวเมือง St. Simon’s Island รัฐจอร์เจีย ในสหรัฐอเมริกา ได้ดึงลูกชายวัย 3 ขวบที่หมดสติจากการจมน้ำขึ้นมาจากสระน้ำ จากนั้นได้ทำ CPR ด้วยการปั๊มหัวใจ และผายปอดให้ลูกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนความช่วยเหลือมาถึง

โชคดีพ่อทำเป็น! ปั๊มหัวใจ ลูกชาย 3 ขวบจมน้ำ รอดหวุดหวิด!

ในวันเกิดเหตุพวกผู้ใหญ่ กำลังช่วยกันเตรียมอาหารสำหรับงานปาร์ตี้ มีเด็กๆ เล่นกันอยู่รอบๆ บ้าน ทันใดนั้น คาเดนลูกชายวัย 3 ขวบของเมเยอร์ส กระโดดลงสระว่ายน้ำโดยไม่มีห่วงยางและได้จมน้ำในที่สุด เมื่อเมเยอร์สเห็นว่าลูกชายจมลงไปในสระน้ำ จึงรีบวิ่งไปดึงลูกชายของเขาขึ้นมาทันที เขาสังเกตเห็นว่าลูกชายของเขาไม่ตอบสนอง จึงรีบโทรไปที่หมายเลข 911 ทันที เมื่อเจ้าหน้าที่ 911 สั่งให้ เมเยอร์สเล่าว่า เขา เริ่มกดหน้าอกและช่วยชีวิตลูกต่อโดยไม่หยุดพัก เพื่อรอจนหน่วยบริการการแพทย์จะมาถึง ทันใดนั้นคาเดนเริ่มหายใจแต่ยังคงไม่ตอบสนอง พอดีกับหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเดินทางมาถึง คาเดนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อทำการรักษา และสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในเวลาต่อมา

ปั๊มหัวใจ
เมเยอร์สและลูกชายของเขา (Credit ภาพ : redcross.org)

แดน เมเยอร์ส  กล่าวว่า  “ผมเคยได้รับการฝึกอบรม การทำ CPR จากสภากาชาดมาตั้งแต่มัธยมปลาย”  “ สิ่งเดียวที่ผมคิดตอนเกิดเหตุ คือ ทำยังไงก็ได้ ให้ลูกชายกลับมาหายใจอีกครั้ง ต่อให้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนก็ตาม ผมก็จะไม่หยุดทำ CPR จนกว่าลูกจะกลับมาหายใจได้”

จากเหตุการณ์นี้ทำให้ตระหนักได้ว่า เหตุฉุกเฉิน สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา แม้กระทั่งในบ้านของตัวเองที่ดูเหมือนว่าปลอยภัย การฝึกอบรมการทำ CPR จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้มีความรู้และทักษะที่อาจช่วยชีวิตคนที่อยู่ใกล้ยามเกิดเหตุได้ เมื่อผู้ประสบเหตุไม่หายใจแต่ยังมีชีพจร คุณจะต้องทำการช่วยหายใจ หากไม่มีการหายใจและไม่มีชีพจรคุณควรทำ CPR อย่างเต็มที่ จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง

อย่างไรก็ดี ต่อไปนี้คือเทคนิคการช่วยชีวิตเด็กที่หมดสติหรือหยุดหายใจจากอุบัติเหตุ ที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนควรรู้ไว้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิดกับลูกๆ

เทคนิคการปฐมพยาบาลทารกและเด็กเล็กที่หมดสติ

สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี

ตรวจสอบการตอบสนอง: แตะทารกเบา ๆ และตะโกนเพื่อดูว่าเด็กส่งเสียงตอบรับหรือเคลื่อนไหวหรือไม่ ในกรณีที่เด็กไม่มีการตอบสนองให้โทรเรียกรถฉุกเฉินทันที ระหว่างนั้นให้ทำ CPR เป็นเวลาอย่างน้อยสองนาที

ตรวจสอบการหายใจ: อุ้มวางเด็กทารกให้นอนหงาย (หากมีโอกาสที่เด็กจะได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังควรมีคนช่วยเคลื่อนย้ายทารกเพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะหรือคอบิด) ขณะที่ทารกนอนหงาย ให้ยกคางขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง ในขณะที่ใช้มืออีกข้างกดลงบนหน้าผากเพื่อตรวจดูการหายใจ โดยวางหูไว้ใกล้กับปากและจมูกของทารก ให้ฟังและรู้สึกถึงลมหายใจที่แก้มของคุณ พร้อมกับเช็คหน้าอกของทารกว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่

ทำการช่วยหายใจ: หากคุณไม่ได้ยินหรือรู้สึกว่าทารกหายใจ คุณจะต้องทำการช่วยชีวิตแบบเม้าท์ทูเม้าท์ โดยให้ปิดปากและจมูกของทารกเบาๆ ด้วยปากของคุณ (หรือปิดแค่จมูกของทารกแล้วปิดปากไว้) ยกคางของทารกขึ้นและเอียงศีรษะไปด้านหลัง หายใจเข้าสั้นๆ 2 ครั้ง (แต่ละครั้งควรใช้เวลาประมาณหนึ่งวินาทีและควรทำให้หน้าอกของทารกสูงขึ้น) พึงระลึกไว้เสมอว่าลูกน้อยของคุณไม่ต้องการอากาศมาก ไม่ควรเป่าลมให้แรงจนเกินไป

ปั๊มหัวใจ

การทำ CPR : หลังจากที่คุณได้ทำการช่วยหายใจสองครั้งแล้ว ให้ตรวจดูการตอบสนองต่าง ๆ เช่น ดูว่าเด็กหายใจหรือไม่ หากเด็กยังไม่ตอบสนองให้เริ่มกดหน้าอก โดยให้วางนิ้วสองนิ้วบนกระดูกหน้าอกของทารกใต้ราวนม อย่ากดที่ปลายสุดของกระดูกหน้าอก ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งวางไว้บนหน้าผากของทารกโดยให้ศีรษะเอียงไปด้านหลังเล็กน้อย (เพื่อให้ทางเดินหายใจยังเปิดอยู่) ให้กดหน้าอก 30 ครั้งด้วยสองนิ้ว แต่ละครั้งปล่อยให้หน้าอกของทารกสูงขึ้นจนสุด การบีบอัดของคุณควรเร็วและหนักโดยไม่มีการหยุด นับการกดอย่างรวดเร็ว

หลังจากเสร็จสิ้นการกด 30 ครั้งให้ช่วยเด็กหายใจอีกสองครั้ง และดูหน้าอกของเด็ก – ซึ่งควรจะสูงขึ้นเมื่อคุณเป่าลมเข้าปากของเด็ก

หลังจากนั้นให้ทำ CPR ต่อด้วยการกดหน้าอก 30 ครั้ง ตามด้วยการช่วยหายใจ 2 ครั้งทำซ้ำรูปแบบนี้เป็นเวลาประมาณสองนาที

หลังจากทำ CPR ไปแล้ว 2 นาทีหากเด็กยังไม่มีเสียงลมหายใจปกติ ไม่ไอ และไม่เคลื่อนไหว ให้หยุดก่อนแล้วโทรเรียกรถพยาบาล จากนั้นทำ CPR ซ้ำ (30 ครั้งตามด้วยการหายใจ 2 ครั้ง) จนกว่าทารกจะฟื้น หรือจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง หากลูกน้อยของคุณฟื้นตัวให้วางทารกในท่าพักฟื้น คว่ำหน้าลงเหนือแขนโดยให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าลำตัวเล็กน้อย ประคองศีรษะและคอของทารกด้วยมือของคุณโดยให้มองเห็นปากและจมูกของทารกชัดเจนในขณะที่รอให้ความช่วยเหลือมาถึง

ปั๊มหัวใจ

สำหรับ เด็ก 1 ถึง 8 ขวบ

ตรวจสอบการตอบสนอง: เขย่าหรือแตะตัวเด็กเบา ๆ และตะโกนเพื่อดูว่าเด็กมีการเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงหรือไม่ หากเด็กไม่ตอบสนองให้หาคนช่วยโทรเรียกรถพยาบาล และแจ้งว่าขอเครื่องกระตุ้นหัวใจภายนอกอัตโนมัติ(AED)หากมี ระหว่างนั้นให้ทำ CPR เป็นเวลาอย่างน้อยสองนาที

ตรวจสอบการหายใจ: วางเด็กในท่านอนหงายอย่างระมัดระวัง หากมีโอกาสที่เด็กอาจได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังให้ขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในการเคลื่อนย้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการบิดศีรษะและคอ เมื่อเด็กนอนลง ให้เปิดทางเดินหายใจโดยยกคางขึ้นด้วยมือข้างหนึ่งและใช้มืออีกข้างหนึ่งดันหน้าผากลงพร้อมกัน มองและฟังว่าเด็กหายใจได้หรือไม่ โดยวางหูไว้ใกล้ปากและจมูกของเด็กเพื่อให้รู้สึกถึงลมหายใจ – พร้อมกับเฝ้าดูหน้าอกของเด็กว่ามีการเคลื่อนไหวใด ๆ หรือไม่

ทำการช่วยหายใจ: หากเด็กไม่หายใจ ให้ปิดปากให้แน่นด้วยปากของคุณ และบีบจมูกให้ปิด ยกคางของเด็กขึ้นและเอียงไปข้างหลัง หายใจเข้าออกสองครั้ง (การหายใจแต่ละครั้งควรกินเวลาประมาณหนึ่งวินาทีและควรทำให้หน้าอกของเด็กสูงขึ้น)

ทำ CPR: วางอุ้งมือข้างหนึ่งไว้ที่กระดูกหน้าอกของเด็กใต้ราวนม ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุ้งมือของคุณของคุณไม่ได้อยู่ที่ส่วนปลายสุดของกระดูกหน้าอก วางมืออีกข้างไว้ที่หน้าผากของเด็กและให้ศีรษะของเด็กเอียงไปข้างหลัง กดหน้าอกของเด็กลง ประมาณหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งของความลึกของหน้าอกและกด 30 ครั้ง อย่าลืมปล่อยให้หน้าอกสูงขึ้นทุกครั้ง การออกแรงกดของคุณควรรวดเร็ว และหนักหน่วง โดยไม่มีการหยุดชั่วคราว นับการบีบอัดอย่างรวดเร็ว

หลังจากเสร็จสิ้นการกด 30 ครั้ง ให้หายใจช่วยเด็กอีก 2 ครั้ง และตรวจดูให้แน่ใจว่าหน้าอกสูงขึ้น ทำ CPR ต่อไป (กด 30 ครั้งตามด้วยการช่วยหายใจสองครั้ง) ประมาณสองนาที หลังจากผ่านไปประมาณสองนาทีหากเด็กยังหายใจไม่ปกติ ไม่ไอ และยังไม่เคลื่อนไหวให้ปล่อย และ รีบโทรเรียกรถฉุกเฉิน ทำ CPR ต่อไป (กด 30 ครั้งตามด้วยการช่วยหายใจสองครั้ง) จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง หรือลูกของคุณฟื้นตัว

หากเด็กเริ่มหายใจอีกครั้ง ให้ช่วยให้เด็กอยู่ในท่าพักฟื้น โดยให้คุกเข่าข้างๆ ตัวเด็กแล้ววางแขนของเด็กให้อยู่ใกล้คุณมากที่สุดและตรงออกจากลำตัว จับแขนอีกข้างของเด็กและช่วยจับมือของเธอกับแก้มอีกข้างของเด็ก (โดยให้มือด้านหลังสัมผัสแก้มของเด็ก ให้ฝ่ามือหันเข้าหาคุณ) จับและงอเข่าของเด็ก ปกป้องศีรษะของเด็กด้วยมืออีกข้างหนึ่ง (ที่ด้านบนของมือของเด็กและข้างแก้มของเด็ก) ค่อยๆ หมุนเด็กเข้าหาตัวคุณโดยดึงเข่าที่อยู่ไกล ออกไปที่พื้น จากนั้นเอียงศีรษะของเด็กขึ้นเล็กน้อยเพื่อเปิดทางเดินหายใจและตรวจสอบให้แน่ใจว่ามือของเด็กยังคงซุกอยู่ใต้แก้มของเขา เพื่อไม่ให้ศีรษะอยู่เหนือพื้น ควรอยู่ใกล้ ๆ กับเด็กและตรวจดูการหายใจต่อไปจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง

ปั๊มหัวใจ
ปั๊มหัวใจ

เด็กอายุ 9 ปีขึ้นไป

หมายเหตุ: การช่วยหายใจและการทำ CPR สำหรับเด็กวัยนี้จะเหมือนกับผู้ใหญ่

ตรวจสอบการตอบสนอง: เขย่าหรือแตะลูกของคุณเบา ๆ และตะโกนเพื่อดูว่ามีการเคลื่อนไหวหรือส่งเสียงหรือไม่ หากเด็กไม่ตอบสนองให้คนรีบไปโทร เรียกรถฉุกเฉิน และขอเครื่องกระตุ้นหัวใจภายนอกอัตโนมัติ (AED) หากมี

วางเด็กลงอย่างระมัดระวัง หากมีโอกาสที่เด็กอาจได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังให้ขอความช่วยเหลือจากคนสองคนในการเคลื่อนย้ายเพื่อหลีกเลี่ยงการบิดที่ศีรษะและคอ เมื่อเด็กนอนราบให้เปิดทางเดินหายใจโดยใช้สองนิ้วยกคางขึ้นและในขณะเดียวกันก็ใช้มืออีกข้างดันหน้าผากลง

ตรวจสอบการหายใจ: ดูฟังและรู้สึกถึงการหายใจได้โดย วางหูไว้ใกล้ปากและจมูกของเด็กเพื่อให้รู้สึกและฟังลมหายใจ – พร้อมกันเฝ้าดูหน้าอกของเด็กว่ามีการเคลื่อนไหวหรือไม่

ทำการช่วยหายใจ: หากเด็กไม่หายใจ หรือมีปัญหาในการหายใจ ให้ปิดปากของเด็กให้แน่นด้วยปากของคุณและบีบจมูกให้ปิด ยกคางของเด็กและศีรษะเอียงไปข้างหลัง หายใจเข้าออกสองครั้ง (การหายใจแต่ละครั้งควรกินเวลาประมาณหนึ่งวินาทีและควรทำให้หน้าอกของเด็กสูงขึ้น)

ทำ CPR: วางอุ้งมือข้างหนึ่งไว้ที่กระดูกหน้าอกของเด็กใต้ราวนม วางอุ้งมืออีกข้างไว้ด้านบนสำหรับส่วนแรกแล้วประสานมือเข้าหากัน จัดตำแหน่งร่างกายของคุณให้สูงขึ้นและเหนือกว่ามือของคุณในขณะที่คุณคุกเข่าข้างๆตัวเด็ก กดหน้าอก 30 ครั้ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการกดของคุณเร็วและแรงมาก คุณควรกดหน้าอกลงไปประมาณสองนิ้ว และหลังจากการบีบแต่ละครั้งปล่อยให้หน้าอกของเด็กสูงขึ้นจนสุด นับการบีบอัดอย่างรวดเร็ว

หลังจากเสร็จสิ้นการกด 30 ครั้งให้หายใจช่วยเด็กอีก 2 ครั้ง และตรวจดูให้แน่ใจว่าหน้าอกสูงขึ้น

ทำ CPR ต่อไป (กด 30 ครั้งตามด้วยการช่วยหายใจ 2 ครั้ง) จนกว่าเด็กจะฟื้นหรือจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง หากมีเครื่อง AED ให้ใช้โดยเร็วที่สุด

หากเด็กเริ่มหายใจอีกครั้ง ต้องช่วยจับให้อยู่ในท่าพักฟื้น โดยการคุกเข่าข้างๆ ตัวเด็กแล้ววางแขนของเด็กที่อยู่ใกล้คุณมากที่สุดตรงออกจากลำตัว จับแขนอีกข้างของเด็กแล้วเอามือแนบแก้ม (โดยให้หลังมือแตะแก้ม ฝ่ามือหันเข้าหาคุณ) จับและงอเข่าด้านที่ไกลของเด็ก พร้อมกับปกป้องศีรษะของเด็กด้วยมืออีกข้างหนึ่ง (ที่ด้านบนของมือเด็ก และข้างแก้มของเด็ก) ค่อยๆ หมุนเด็กเข้าหาตัวคุณโดยดึงเข่าที่อยู่ไกลออกไปที่พื้น จากนั้นเอียงศีรษะของเด็กขึ้นเล็กน้อยเพื่อเปิดทางเดินหายใจและตรวจสอบให้แน่ใจว่ามือของเด็กยังคงซุกอยู่ใต้แก้มของขาเพื่อไม่ให้ศีรษะอยู่เหนือพื้น อยู่ใกล้ ๆ กับเด็กและตรวจดูการหายใจต่อไปจนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง

การศึกษาวิธีการช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉิน นับว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาไว้ ตลอดจนการปลูกฝังให้ลูกๆ ได้รู้ถึงอุบัติภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้จากความประมาท สอนให้ลูกรู้จักระมัดระวังตัวเอง และส่งเสริมให้ลูกๆ ให้ความสำคัญและใส่ใจในความปลอดภัยของตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมลูกเกิดทักษะด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) สิ่งสำคัญที่ต้องสอนลูก คือ ไม่ว่าลูกจะเล่นหรือทำกิจกรรมใด ๆ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ปฏิบัติตามกฎอย่างเค่งครัด เช่น การลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ หรือการไปเล่นในที่สาธารณะต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : redcross.org,parents.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แนะ ขั้นตอนการทำ CPR พ่อแม่ทำได้ ช่วยชีวิตลูกทัน!

วิธีการทำ CPR 3 ขั้นตอนง่ายๆ ช่วยชีวิตได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

เทคนิคสอนเด็กว่ายน้ำเอาตัวรอด ป้องกันเด็กจมน้ำ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ทารกตัวเหลือง

ทารกตัวเหลือง กินน้ำจะหายไหม พ่อแม่ควรทำอย่างไร?

ทารกตัวเหลือง – หลังจากที่คุณแม่อุ้มท้องมาอย่างยาวนาน เมื่อถึงวันที่ลูกน้อยคลอดออกมาลืมตาดูโลก ในเด็กทารกบางคนแพทย์อาจพบความผิดปกติที่เรียกว่า ภาวะตัวเหลือง ซึ่งหากเกิดภาวะนี้ขึ้น ทารกอาจจะยังไม่สามารถกลับบ้านได้ทันทีหรืออาจต้องมีการเฝ้าระวังหลังคลอดอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามภาวะตัวเหลืองสามารถเกิดขึ้นได้นอกจากนี้ยังมีความเชื่อผิดๆ เกี่ยกับวิธีดูและรักษาเมื่อทารกตัวเหลืองให้เห็นอยู่

ภาวะตัวเหลืองในทารกคืออะไร?

ทารกที่มีภาวะตัวเหลือง ผิวหนังและดวงตา จะมีสีเหลืองอย่างเห็นได้ชัด เกิดขึ้นได้เมื่อทารกมีบิลิรูบินในเลือดมากเกินไป บิลิรูบิน (bill-uh-ROO-bin) เป็นสารสีเหลืองที่เกิดจากการสลายของเม็ดเลือดแดงที่เกิดขึ้นตามปกติ โดยปกติตับจะกำจัดบิลิรูบินออกจากเลือดและส่งผ่านไปยังลำไส้เพื่อให้ออกจากร่างกายได้ แต่ตับของทารกแรกเกิดยังไม่สามารถกำจัดบิลิรูบินได้ดี และบิลิรูบินสร้างขึ้นเร็วเกินกว่าที่ตับของทารกจะสลายและส่งผ่านออกจากร่างกายได้ ภาวะตัวเหลืองส่วนใหญ่จะหายไปเอง หรือหากอาการหนักต้องได้รับการรักษาเพื่อลดระดับบิลิรูบินในเลือด

ทารกตัวเหลือง
ทารกตัวเหลือง

รู้ได้อย่างไรว่าทารกมีภาวะตัวเหลือง

แพทย์มักจะวินิจฉัย ภาวะตัวเหลืองในทารกโดยพิจารณาจากลักษณะของทารก อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องวัดระดับบิลิรูบินในเลือดของทารก เนื่องจากจะเป็นตัวกำหนดแนวทางในการรักษา ซึ่งการทดสอบเพื่อตรวจหาภาวะตัวเหลืองและวัดบิลิรูบิน มีดังนี้ :

  • การตรวจร่างกาย
  • การทดสอบในห้องปฏิบัติการ เก็บตัวอย่างเลือดของทารก
  • การทดสอบผิวหนัง ด้วยอุปกรณ์ที่เรียกว่าบิลิรูบินอมิเตอร์ผ่านผิวหนัง ซึ่งจะวัดการสะท้อนของแสงพิเศษที่ส่องผ่านผิวหนัง
  • แพทย์อาจสั่งให้ตรวจเลือดหรือตรวจปัสสาวะเพิ่มเติม หากมีหลักฐานว่าอาการตัวเหลืองของทารกเกิดจากความผิดปกติอื่น

สาเหตุของภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด

ทารกแรกเกิดที่มีสุขภาพแข็งแรงส่วนใหญ่อาจมีอาการตัวเหลืองทางสรีรวิทยาได้ปกติ เนื่องจากทารกแรกเกิดมีเซลล์เม็ดเลือดมากกว่าผู้ใหญ่ เซลล์เม็ดเลือดเหล่านี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่ได้นาน ดังนั้นจึงมีการสร้างบิลิรูบินมากขึ้น เมื่อเซลล์เม็ดเลือดแตกตัวอาการตัวเหลืองจะปรากฏ หลังจากทารกคลอดได้ 2-4 วันและจะค่อยๆ หายไปเองได้เมื่อทารกอายุได้ 2 สัปดาห์

ทารกมีแนวโน้มที่จะเกิดภาวะตัวเหลืองได้จากกรณีต่อไปนี้ :

  • คลอดก่อนกำหนด

ทารกที่คลอดก่อนกำหนด ร่างกายอาจกำจัดบิลิรูบินน้อย เนื่องจากการทำงานของตับในทารกคลอดก่อนกำหนดยังไม่สมบูรณ์  ทำให้ทารกมีอาการตัวเหลืองได้มากกว่าทารกที่คลอดตามเกณฑ์  ซึ่งอาการตัวเหลืองพบได้มากโดยเฉพาะในคนเอเชีย

  • ได้รับนมแม่ไม่เพียงพอ (Inadequate breastfeeding jaundice)

มักเกิดขึ้นในช่วงสองสามวันแรกของชีวิต เนื่องจากทารกอาจยังไม่ได้รับนมแม่ หรือแม่มีปัญหาในการให้นม ทำให้ทารกขับขี้เทาและสารสีเหลืองออกทางอุจจาระได้ช้า ทางที่ดีควรให้นมบ่อยขึ้น หากคุณแม่มีปัญหาเรื่องการให้นมสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ ซึ่งโดยปกติแล้วควรให้ทารกได้กินนมแม่อย่างน้อย 8 มื้อต่อวัน

  • ตัวเหลืองจากนมแม่ (Breastmilk jaundice)

อาการตัวเหลืองจากน้ำนมแม่ มักเกิดขึ้นหลังจากสัปดาห์แรกของชีวิต พบได้หลังลูกอายุ 5 วัน สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีบางสมมุติฐานที่เชื่อว่ามีสารบางชนิดในนมแม่อาจรบกวนกระบวนการขับสารสีเหลือง เช่นโดยการยับยั้งเอนซัยม์ที่ช่วยในกระบวนการนี้ โดยทั่วไปภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายในทารกครบกำหนด สามารถให้ลูกกินนมแม่ต่อไปได้ ระดับสารตัวเหลืองจะขึ้นสูงสุดในระหว่าง 10– 21 วัน แล้วค่อยๆ ลดลงจนหายไปเองในช่วง 3–12 สัปดาห์ แต่บางรายอาการเหลืองอาจยังมีเล็กน้อยจนถึงเดือนที่ 3

  • กรุ๊ปเลือดต่างกับมารดา

หากแม่และลูกมีกรุ๊ปเลือดต่างกัน ร่างกายของแม่จะสร้างแอนติบอดีที่ทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดแดงของทารก สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อ:
– กรุ๊ปเลือดของแม่คือ O และกรุ๊ปเลือดของทารกคือ A หรือ B (ความไม่ลงรอยกันของ ABO) หรือ
– ปัจจัยเรื่อง Rh  (โปรตีนที่พบในเซลล์เม็ดเลือดแดง) ของมารดา เป็นลบและทารกมีค่า Rh เป็นบวก

  • ปัญหาทางพันธุกรรม

ที่ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเปราะบางมากขึ้น เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกตัวได้ง่ายขึ้น จากการเกิภาวะ  spherocytosis ทำให้เกิดความผิดปรกติที่ผนังของเม็ดเลือดแดงรวมถึง การขาดเอนไซม์ G6PD ที่ช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดงทำงานได้เป็นปกติ จึงอาจส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดแดงสลายตัวจนเกิดภาวะโลหิตจางได้

  • ทารกเกิดมาพร้อมจำนวนเม็ดเลือดแดงสูงผิดปกติ

(polycythemia) หรือรอยช้ำขนาดใหญ่ที่ศีรษะ (cephalohematoma)

ทารกตัวเหลือง
ทารกตัวเหลือง

การรักษาภาวะตัวเหลืองในทารก

อาการตัวเหลืองในทารกที่ไม่รุนแรงมักจะหายไปเองภายในสองหรือสามสัปดาห์ สำหรับในระดับปานกลางหรือรุนแรงลูกน้อยของคุณอาจต้องอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กแรกเกิดนานขึ้นหรือถูกส่งไปโรงพยาบาล

การรักษาเพื่อลดระดับบิลิรูบินในเลือดของทารกอาจรวมถึง:

  • โภชนาการที่เพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันทารกน้ำหนักลด แพทย์อาจแนะนำให้กินนมบ่อยขึ้นหรือให้อาหารเสริมเพื่อให้แน่ใจว่าลูกน้อยของคุณได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
  • การบำบัดด้วยแสง (การส่องไฟ) ลูกน้อยของคุณอาจถูกวางไว้ใต้โคมไฟพิเศษที่เปล่งแสงในสเปกตรัมสีเขียวอมฟ้า แสงจะเปลี่ยนรูปร่างและโครงสร้างของโมเลกุลบิลิรูบินในลักษณะที่สามารถขับออกได้ทั้งในปัสสาวะและอุจจาระ ในระหว่างการรักษาลูกน้อยของคุณจะสวมเฉพาะผ้าอ้อมและแผ่นปิดตาเท่านั้น การบำบัดด้วยแสงอาจเสริมด้วยการใช้เบาะ หรือที่นอนที่เปล่งแสง
  • ให้อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำ (IVIg) โรคดีซ่านอาจเกี่ยวข้องกับความแตกต่างของกรุ๊ปเลือดระหว่างแม่และทารก ภาวะนี้ส่งผลให้ทารกมีแอนติบอดีจากแม่ซึ่งมีส่วนในการสลายเม็ดเลือดแดงของทารกอย่างรวดเร็ว การให้อิมมูโนโกลบูลินทางหลอดเลือดดำซึ่งเป็นโปรตีนในเลือดที่สามารถลดระดับของแอนติบอดี – อาจลดอาการตัวเหลืองและลดความจำเป็นในการถ่ายแลกเปลี่ยนแม้ว่าผลลัพธ์จะยังไม่สามารถสรุปได้
  • ถ่ายเลือด น้อยครั้งเมื่ออาการตัวเหลืองรุนแรงไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ ทารกอาจต้องได้รับการถ่ายเลือด สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการถอนเลือดจำนวนเล็กน้อยซ้ำ ๆ และแทนที่ด้วยเลือดของผู้บริจาคซึ่งจะทำให้บิลิรูบินและแอนติบอดีของมารดาเจือจางลงซึ่งเป็นขั้นตอนที่ดำเนินการในหออภิบาลทารกแรกเกิด

การดูแลรักษาอาการที่บ้าน

เมื่ออาการตัวเหลืองในทารกไม่รุนแรงแพทย์อาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนโภชนาการของลูกที่สามารถลดระดับบิลิรูบินได้ พูดคุยกับแพทย์หากคุณมีคำถามหรือข้อกังวลเกี่ยวกับความถี่ในการให้นมของทารก หรือหากคุณมีปัญหาในการให้นม เมื่อพาลูกกลับไปพักฟื้นที่บ้าน ขั้นตอนต่อไปนี้อาจช่วยลดอาการตัวเหลืองได้ :

  • ให้นมบ่อยขึ้น การให้นมบ่อยขึ้นจะช่วยให้ลูกได้รับน้ำนมมากขึ้นและทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของลำไส้มากขึ้นทำให้ปริมาณบิลิรูบินที่กำจัดออกไปในอุจจาระของทารกเพิ่มขึ้น ทารกที่กินนมแม่ควรให้นมได้ 8 ถึง 12 ครั้ง ต่อวันในช่วงหลายวันแรกของชีวิต และทารกที่กินนมผสมควรได้รับนม 1 ถึง 2 ออนซ์ (ประมาณ 30 ถึง 60 มิลลิลิตร) ทุกๆ สอง ถึงสามชั่วโมงในสัปดาห์แรก
  • การให้อาหารเสริม หากลูกน้อยของคุณมีปัญหาในการดูดนมกำลังลดน้ำหนักหรือขาดน้ำแพทย์ของคุณอาจแนะนำให้กินนมผงหรือน้ำนมแม่เพื่อเสริมการให้นม ในบางกรณีแพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ใช้สูตรเพียงอย่างเดียวเป็นเวลาสองสามวันแล้วจึงให้นมต่อ ถามแพทย์ว่าตัวเลือกการให้นมใดที่เหมาะกับลูกน้อย

ทารกตัวเหลือง

ทารกตัวเหลือง กินน้ำจะหายไหม ตากแดดช่วยได้หรือเปล่า?

มีความเชื่อที่คลาดเคลื่อนหรืออาจยังคลุมเครือ ที่พ่อแม่มือใหม่ มักเข้าใจผิด เกี่ยวกับการดูแลรักษาอาการตัวเหลืองในทารก

  • ทารกตัวเหลือง ป้อนน้ำจะหายไหม?

เด็กทารกเป็นวัยที่ยังไม่ควรได้รับน้ำ เนื่องจากในนมมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากพออยู่แล้ว ปริมาณน้ำส่วนเกินอาจทำให้เกิดโลหิตจางเป็นอันตรายกับทารกได้ ทารกต่ำกว่าหกเดือนจึงไม่ควรทานน้ำเพิ่มค่ะ  บางคนเชื่อว่าที่ทารกตัวเหลืองเพราะขาดน้ำ กินน้ำน้อย ถ้าได้กินน้ำอาการเหลืองก็จะหายไป แต่จริงๆ แล้ว การให้เด็กที่มีภาวะตัวเหลืองกินน้ำ ไม่ได้ช่วยรักษาอาการเหลืองให้หายไป ในทางกลับกันอาจเป็นอันตราย คือ เด็กอาจเสียชีวิตได้

  • ทารกตัวเหลือง ตากแดดช่วยได้ไหม? 

ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่ยืนยันว่าการอุ้มทารกตากแดด จะช่วยให้ภาวะตัวเหลืองหายได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ หากคุณได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้อุ้มทารกไปรับแดด ควรเป็นแดดในช่วงเช้าที่ความเข้มของแสงไม่มากนัก เนื่องจาก ถ้าทารกโดดแดดแรงเกินไปอาจส่งผลเสียได้ เช่น อุณภูมิร่างกายสูงเกินไป หรืออาจเกิดการบาดเจ็บจากการไหม้แดดได้เนื่องจากผิวหนังของทารกยังบอบบาง จำไว้ว่าการช่วยให้อาการตัวเหลืองหายเป็นปกติได้เร็ว และดีที่สุดยังเป็นการให้ทารกได้รับนมแม่ให้ได้มากที่สุดค่ะ

การทำความเข้าใจโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทราบถึงแนวทางในการจัดการรับมือกับปัญหาทางสุขภาพที่เกิดขึ้นกับลูกๆทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณสมารถให้ลงมือปฏิบัติในการให้ความดูแลลูกได้อย่างเหมาะสมกับโรคที่เกิดขึ้น ในช่วงชีวิตของเด็กคนหนึ่งอาการเจ็บป่วยอาจมาเยือนได้หลากหลายรูปแบบ หากคุณพ่อคุณมีความรู้รอบตัวในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่ดี และหมั่นให้ความสนใจและใส่ใจต่อการปฏิบัติตัวอันจะนำมาซึ่งสุขภาพดีของคนในครอบครัวอยู่เสมอก็จะทำให้คนที่คุณรักห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บได้

นอกจากนี้หากคเราได้ปลูกฝังลูกๆ ถึงแนวทางปฏิบัติตนให้ห่างไกลโรค และการมีสุขภาพที่ดีได้ก็จะยิ่งส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะด้านความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)  ติดตัวไปยามเมื่อลูกโตขึ้นได้อย่างแน่อนอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : mayoclinic.org,kidshealth.org

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

หมอแจง! ทำไมลูกตัวเหลือง? อันตรายจากตัวเหลืองในทารก

โรค G6PD คือ อะไร อันตรายกับลูกแค่ไหน พ่อแม่ควรรู้!

8 โรคติดต่อทางพันธุกรรม ที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่ ควรตรวจให้รู้ก่อนตั้งครรภ์

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อาหารเสริมเพิ่มพลังสมอง

อาหารเสริมเพิ่มพลังสมองของลูกน้อย

รู้ไหมคะว่าโภชนาการที่ดี ไม่ใช่แค่ช่วยให้ลูกเติบโตสมวัยเท่านั้น แต่ยังช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรง สมองเรียนรู้ได้ดีในทุกวันด้วยนะคะ บ้านไหนที่ลูกๆ กำลังอยู่ในวัย 1 ขวบขึ้นไป ทีมแม่ABK มีสารอาหารสำคัญที่จะช่วยเพิ่มพลังสมองให้กับลูกน้อยวัยนี้มาฝากกันค่ะสนับสนุนโดย เนสท์เล่ซีรีแล็ค จูเนียร์

ธาตุเหล็ก ดีเอชเอ วิตามินบี 12 มีประโยชน์และร่างกายขาดไม่ได้ !!

ธาตุเหล็ก (Iron)

ลูกน้อยควรได้รับธาตุเหล็กตั้งต้นมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในครรภ์คุณแม่ และหลังคลอดมาจนถึงขวบปีแรกของชีวิต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดธาตุเหล็ก การได้รับธาตุเหล็กจากอาหารน้อยเป็นปัญหาที่พบบ่อยในทุกวัย รวมทั้งในเด็กอายุ 1-2 ปี ถ้าร่างกายขาดธาตุเหล็กจะเกิดอะไรขึ้น? ก็จะส่งผลเสียต่อพัฒนาการสมองในระยะยาวของลูกน้อยได้ค่ะ สำหรับเด็กในช่วงวัยนี้จะเริ่มรับประทานอาหารได้มากและหลากหลายขึ้น แนะนำให้คุณแม่ทำเมนูอาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็กให้ลูกๆ ได้รับประทานกันอย่างสม่ำเสมอนะคะ สำหรับพืช ผักและเนื้อสัตว์ที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อแดง เครื่องในสัตว์ ตับหมู หอย พืชตระกูลถั่ว เมล็ดฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง  พริกหวาน  ถั่วฝักยาว เห็ดฟาง ใบกะเพรา บล็อคโคลี ไข่แดง เป็นต้น

อาหารเสริมเด็กเพิ่มพลังสมอง

ประโยชน์ของธาตุเหล็ก : ธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่เป็นตัวนำออกซิเจน รวมถึงสารอาหารต่างๆ ไปหล่อเลี้ยงสมอง และเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย

  • ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย
  • ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการสมองให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพ
  • ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลียของร่างกาย
  • ช่วยเสริมภูมิต้านทานโรค ทำให้ร่างกายแข็งแรง
  • ช่วยป้องกันและรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก

ดีเอชเอ (Docosahexaenoic acid)

ดีเอชเอ (DHA) เป็นอีกหนึ่งสารอาหารสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการของสมองโดยมีผลต่อการเรียนรู้ จากข้อมูลการศึกษาวิจัยในเด็ก แสดงให้เห็นคุณประโยชน์ของ DHA ในการเสริมสร้างความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้และความจำ โดยช่วยให้มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น นอกจากนมแม่ที่อุดมด้วย DHA ซึ่งคุณแม่ควรให้นมแม่ให้นานที่สุดร่วมกับการส่งเสริมให้ลูกน้อยได้รับประทานอาหารที่มีดีเอชเออย่างต่อเนื่อง ซึ่งแหล่งอาหารที่อุดมด้วยดีเอชเอ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน ปลาทู ปลาช่อน ปลาสำลี ปลาตะเพียน วอลนัท ถั่วเหลือง เป็นต้น

อาหารเสริมเพิ่มพลังสมอง

ประโยชน์ของดีเอชเอ (DHA) : ดีเอชเอ คือ กรดไขมันจำเป็นในตระกูลโอเมก้า 3 เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมองและจอประสาทตา

  • ช่วยพัฒนาระบบประสาท ทำหน้าที่ส่งสัญาณระหว่างเส้นประสาท ซึ่งมีผลต่อการทำงานหรือการสั่งงานของสมองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยกระตุ้นการทำงานของโปรตีนโรดอพซิน (Rhodopsin) ซึ่งเป็นเซลล์ในจอประสาทตาที่ทำหน้าที่รับแสง และลดความเสี่ยงการเกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น และสายตา

วิตามินบี 12 (Cobalamin)

อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร มีอาการซีดจากภาวะโลหิตจาง ตัวเหลือง มีการรับรู้ช้า หลงลืมง่าย ฯลฯ สัญญานเหล่าอาจกำลังบอกว่าร่างกายของลูกน้อยขาดวิตามินบี 12 !! โคบาลามิน (Cobalamin) วิตามินบี 12 เป็นวิตามินชนิดหนึ่งที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งร่างกายของคนเราไม่สามารถสร้างวิตามินบี 12 ขึ้นได้เอง จะต้องได้รับจากอาหารค่ะ วิตามินชนิดนี้ส่วนใหญ่จะพบในอาหารจำพวก เนื้อ ปลา ไข่ นม ตับ เป็นต้น

อาหารเสริมเด็กเพิ่มพลังสมอง

ประโยชน์ของวิตามินบี 12 : มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยให้การทำงานของระบบประสาทให้เป็นไปอย่างปกติ

  • ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และการทรงตัว
  • ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ป้องกันโรคโลหิตจาง
  • ช่วยบำรุงประสาท ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
  • ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโต และเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย
  • ช่วยทำให้เจริญอาหาร ช่วยเพิ่มความอยากอาหาร ทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น

อาหารเพิ่มพลังสมอง

เห็นประโยชน์ดีๆ จากสารอาหารอย่าง ธาตุเหล็ก ดีเอชเอ วิตามินบี 12 ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยกันแล้วใช่ไหมคะ ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดสารอาหารทั้ง 3 ชนิดนี้ คุณแม่ต้องดูแลเรื่องโภชนาการ อาหารการกินของลูกน้อยทั้ง 3 มื้อ ให้ได้สารอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ เพื่อที่ร่างกายจะได้รับธาตุเหล็ก ดีเอชเอ และวิตามินบี 12 อย่างเพียงพอในทุกวัน หรือถ้าคุณแม่ไม่มีเวลา คุณแม่อาจจะมองหาวิธีง่ายๆ ด้วยการเลือกมองหาอาหารเสริมในท้องตลาดที่มีสารอาหารทั้งธาตุเหล็ก (ถ้ามากกว่า 50% ของความต้องการในเด็ก ยิ่งดีค่ะ) ดีเอชเอ และวิตามินบี 12 ครบเสร็จใน 1 ชาม แนะนำควรเริ่มให้อาหารเสริมเด็กตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป ควบคู่กับการให้นมแม่ เพื่อลูกน้อยจะได้มีพลังสมองในการเรียนรู้ และมีร่างกายแข็งแร็ง สุขภาพดีด้วยค่ะ
สนับสนุนโดย เนสท์เล่ซีรีแล็ค จูเนียร์

คนท้องห้ามกิน

อาหาร เครื่องดื่ม ที่ คนท้องห้ามกิน กินแล้วอันตรายต่อลูก!

คนท้องห้ามกิน – สิ่งแรกที่ว่าที่คุณแม่หลายคนต้องทำความเข้าใจเมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ คงหนีไม่พ้นเรื่องของอาหารการกิน  การเตรียม ตัวเป็นว่าที่คุณแม่อาจต้องใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินมากเป็นพิเศษ สิ่งสำคัญ คือ ควรเข้าใจและระมัดระวังการกินและดื่มเพื่อความปลอดภัยสำหรับตัวคุณเองและลูกน้อยในครรภ์ อาหารบางชนิดควรบริโภคแต่น้อย ในขณะที่อาหารบางชนิดก็ควรหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง อาหารและเครื่องดื่ม 11 ชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงหรือลดให้น้อยที่สุดขณะตั้งครรภ์ มีอะไรบ้าง วันนี้เรามาดูกันค่ะ

อาหาร เครื่องดื่ม ที่ คนท้องห้ามกิน กินแล้วอันตรายต่อลูก!

ช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ ระดับภูมิคุ้มกันของคุณแม่อาจทำงานได้ไม่ดีนัก  หากไม่ระวังอาจเกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย การเลือกโภชนาการที่ดีมีประโยชน์ ทำให้ร่างกายของคนท้องรวมทั้งทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน การเลือกทานอาหารที่สุ่มเสี่ยงอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายของแม่และพัฒนาการของลูกได้มากกว่าที่เราคิด วันนี้เรามีข้อมูลโภชนาการ 11 อาหารและเครื่องดื่ม ที่แม่ท้องไม่ควรกินมาฝากว่าที่คุณแม่ทุกคนค่ะ

อาหารที่คนท้องไม่ควรบริโภค ได้แก่

1. ปลาที่มีสารปรอทสูง

สารปรอทเป็นธาตุที่มีพิษสูง พบมากที่สุดในน้ำเสีย ปรอทในปริมาณที่สูงอาจเป็นพิษต่อระบบประสาทระบบภูมิคุ้มกันและไตของมนุษย์ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดปัญหาพัฒนาการที่รุนแรงในเด็กโดยมีผลเสียแม้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย สารปรอทพบได้ในทะเลที่มีมลพิษ ปลาทะเลขนาดใหญ่จึงสามารถสะสมปรอทได้ในปริมาณสูง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงปลาที่มีสารปรอทสูงในขณะตั้งครรภ์และให้นมบุตร

ปลาที่มีสารปรอทสูงที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ :

  • ฉลาม
  • ปลาอินทรี
  • ปลาฉนาก (ปลาดาบ)
  • ปลากระโทง
  • ปลาทูน่า (โดยเฉพาะปลาทูน่าตาพอง)
คนท้องห้ามกิน
คนท้องห้ามกิน

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่ามีเพียงปลาบางชนิดเท่านั้นที่อาจมีสารปรอทตกค้างในปริมาณสูง การบริโภคปลาที่มีสารปรอทต่ำในระหว่างตั้งครรภ์นั้นดีต่อสุขภาพมาก และปลาเหล่านี้สามารถรับประทานได้ถึง สามครั้งต่อสัปดาห์

ปลาที่มีสารปรอทต่ำ ได้แก่:

  • ปลาแองโชวี่
  • ปลาคอด
  • ปลากระพง
  • ปลาแซลมอน
  • ปลานิล
  • ปลาเทราท์ (น้ำจืด)

ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอนและปลากะตักเป็นตัวเลือกที่ดีเป็นพิเศษเนื่องจากมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูงซึ่งมีความสำคัญต่อลูกน้อยของคุณ

2. ปลาดิบหรือหอยดิบ

ข้อนี้ใครชอบทานซูชิ อาจต้องห้ามใจกันไว้ก่อน  ปลาดิบหรือหอยที่ไม่ผ่านการทำให้สุก สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อหลายชนิด ทั้งการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต เช่น โนโรไวรัส วิบริโอ ซัลโมเนลลา และลิสเตอเรีย เป็นต้น

การติดเชื้อเหล่านี้อาจส่งผลต่อร่างกาย อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ และมีอาการอ่อนเพลีย  การติดเชื้อ อาจส่งผลที่ร้ายแรงและอาจทำให้ทารกในครรภ์พิการหรือถึงแก่ชีวิตได้

สตรีมีครรภ์สามารถติดเชื้อลิสเทอเรียได้ง่ายกว่าคนทั่วไป  ตามที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ระบุว่าหญิงตั้งครรภ์มีโอกาสติดเชื้อลิสเทอเรีย ได้มากกว่าประชากรทั่วไปถึง 10 เท่า แบคทีเรียนี้สามารถพบได้ในดินและที่ปนเปื้อนในน้ำหรือพืช ปลาดิบ โดยสามารถติดเชื้อได้ในระหว่างการแปรรูปรวมถึงการอบแห้ง

ลิสเทอเรีย เป็นเชื้อแบคทีเรียที่สามารถติดยังทารกในครรภ์ผ่านทางรกแม้ว่าคุณแม่จะไม่แสดงอาการเจ็บป่วยก็ตาม สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนด การแท้งการคลอดบุตรและปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงอื่น ๆ ได้

คนท้องห้ามกิน

ขอแนะนำอย่างยิ่งให้หลีกเลี่ยงปลาดิบและหอยรวมถึงซูชิหลายรายการ แต่ไม่ต้องกังวลไป คุณจะกลับมาเพลิดเพลินไปกับอาหารเหล่านี้มากขึ้นหลังจากที่ทารกคลอดออกมาแล้ว

3. เนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกๆดิบๆ และแปรรูป

เช่นเดียวกันกับปลาดิบ เนื้อสัตว์ที่ไม่สุกหรือแปรรูปสามารถส่งผลเสียต่อคนท้องและทารกในครรภ์ได้เช่นกัน  การกินเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกหรือสุกๆ ดิบๆ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากแบคทีเรียหรือปรสิตหลายชนิดรวมถึง ท็อกโซพลาสมา อีโคไล ซัลโมเนลลา และ ลิสเตอเรีย  ซึ่งแบคทีเรียอาจคุกคามสุขภาพของลูกน้อยในครรภ์และอาจนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนด หรือความเจ็บป่วยทางระบบประสาทขั้นรุนแรง รวมถึงความพิการทางสติปัญญา ตาบอดและโรคลมบ้าหมู แม้ว่าแบคทีเรียส่วนใหญ่จะพบอยู่บนพื้นผิวของเนื้อสัตว์ทั้งหมด แต่แบคทีเรียอื่น ๆ อาจเกาะอยู่ภายในเส้นใยกล้ามเนื้อของสัตว์ได้  นอกจากนี้เนื้อสัตว์แปรรูปอาจติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิดในระหว่างการแปรรูปหรือการเก็บรักษา

คนท้องห้ามกิน

4. ไข่ดิบ

ไข่ดิบสามารถปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียซัลโมเนลลา อาการของการติดเชื้อซัลโมเนลลา ได้แก่ ไข้คลื่นไส้อาเจียนปวดท้องและท้องร่วง

อย่างไรก็ตามในบางกรณี การติดเชื้ออาจทำให้เกิดตะคริวในมดลูกซึ่งนำไปสู่การคลอดก่อนกำหนดได้

อาหารที่มักมีไข่ดิบ ได้แก่ :

  • ไข่คน
  • ไข่ลวก
  • มายองเนสโฮมเมด
  • น้ำสลัดโฮมเมด
  • ไอศกรีมโฮมเมด
  • ไอซิ่งเค้กโฮมเมด

คนท้องห้ามกิน

ผลิตภัณฑ์ทางการค้าส่วนใหญ่ที่มีไข่ดิบ ทำด้วยไข่พาสเจอร์ไรส์ และปลอดภัยต่อการบริโภค อย่างไรก็ตามคุณควรอ่านฉลากให้แน่ใจเสมอ เพื่อความปลอดภัยอย่าลืมปรุงไข่ให้สุกเสมอหรือทางที่ดีควรบริโภคไข่พาสเจอร์ไรส์ ก็น่าอุ่นใจยิ่งขึ้นค่ะ

5. เครื่องในสัตว์

แม้เครื่องใน จะเป็นแหล่งของสารอาหารที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึง ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 วิตามินเอ สังกะสี ซีลีเนียม และทองแดง ที่ดีต่อคุณแม่และลูกน้อย อย่างไรก็ตามคนท้องไม่ควรรับประทานวิตามินเอจากสัตว์มากเกินไป (วิตามินเอแบบสำเร็จรูป) ในระหว่างตั้งครรภ์ การบริโภควิตามินเอมากเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ อาจนำไปสู่ความผิดปกติแต่กำเนิด และการแท้งบุตร คุณควร จำกัด การบริโภคเครื่องใน เช่นตับ ให้เหลือเพียงไม่กี่ออนซ์ต่อสัปดาห์

6. คาเฟอีน

คุณอาจเป็นหนึ่งในหลายล้านคน ที่ชื่นชอบ กาแฟชา น้ำอัดลม หรือโกโก้   โดยทั่วไปหญิงตั้งครรภ์ ควรจำกัดปริมาณคาเฟอีนให้น้อยกว่า 200 มิลลิกรัม (มก.) ต่อวัน คาเฟอีนถูกดูดซึมได้เร็วและผ่านเข้าสู่รกได้ง่าย เนื่องจากทารกและรกไม่มีเอนไซม์หลักที่จำเป็นในการเผาผลาญคาเฟอีน การบริโภคคาเฟอีนปริมาณสูงในระหว่างตั้งครรภ์สามารถขัดขวางการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และเพิ่มความเสี่ยงของน้ำหนักแรกคลอดที่ต่ำ (น้อยกว่า 5 ปอนด์, 8 ออนซ์ (หรือ 2.5 กก.)  นอกจากนี้ คาเฟอีนยังมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเสียชีวิตของทารก และความเสี่ยงที่สูงขึ้นของโรคเรื้อรังในวัยผู้ใหญ่ ดังนั้นคุณควรแน่ใจว่าลูกน้อยและตัวคุณไม่ได้รับคาเฟอีนในปริมาณที่มากเกินไป

7. ถั่วงอกดิบ

ถั่วงอกดิบ รวมทั้ง บร็อคโคลี่ กระหล่ำดอก หัวไช้เท้า หัวหอม ผักเหล่านี้ อาจปนเปื้อน เชื้อ ซัลโมเนลลา เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ชื้นที่เมล็ดพืชต้องการในการเริ่มแตกหน่อนั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับแบคทีเรียชนิดนี้ และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะชะล้างออก ด้วยเหตุนี้คุณควรหลีกเลี่ยงการบริโภคถั่วงอกดิบโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามถั่วงอกสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัยหลังจากปรุงสุกแล้ว

8. ผักผลไม้ที่ไม่ได้ล้าง

ผักและผลไม้ที่ไม่ได้ล้างอาจปนเปื้อนด้วยแบคทีเรียและปรสิตหลายชนิด ซึ่งรวมถึง ท็อกโซพลาสมา อีโคไล ซัลโมเนลลา และ ลิสเตอเรีย จากดิน นอกจากนี้การปนเปื้อนอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในระหว่างการผลิต ทั้งการเก็บเกี่ยว การแปรรูป การเก็บรักษา การขนส่ง หรือการขายปลีก

คนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคท็อกโซพลาสโมซิส จะไม่มีอาการ ในขณะที่การติดเชื้ออื่น ๆ อาจรู้สึกว่าเป็นไข้หวัดเป็นเวลาหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น ทารกส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อแบคทีเรีย ท็อกโซพลาสมา ในขณะที่ยังอยู่ในครรภ์จะไม่มีอาการใด ๆ ตั้งแต่แรกเกิด อย่างไรก็ตามอาการต่างๆ เช่นตาบอด หรือความบกพร่องทางสติปัญญาอาจพัฒนาขึ้นที่มาได้ภายหลังการคลอด

ยิ่งไปกว่านั้นทารกแรกเกิดที่ติดเชื้อเพียงเล็กน้อยอาจได้รับความเสียหายต่อดวงตา หรือสมองอย่างรุนแรงตั้งแต่แรกเกิด ดังนั้นในขณะที่คุณตั้งครรภ์สิ่งสำคัญอย่างยิ่งก่อนการรับประทานผลไม้ คือ ต้องลดความเสี่ยงของการติดเชื้อโดยการล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือก หรือปรุงผัก และผลไม้

9. นม เนยแข็ง และน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์

นมดิบ ชีส ที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์  อาจมีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายหลายชนิด เช่น ลิสเตอเรีย ซัลโมเนลลา อีโคไล และแคมปิโลแบคเตอร์  เช่นเดียวกับน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะมีการปนเปื้อนของแบคทีเรียเช่นกัน การติดเชื้อเหล่านี้อาจส่งผลร้ายแรงถึงชีวิตได้  แบคทีเรียอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเกิดจากการปนเปื้อนระหว่างการเก็บรักษา การพาสเจอร์ไรส์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายโดยไม่ทำให้คุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์เปลี่ยนแปลงไป เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อให้ควรบริโภคนม ชีส น้ำผลไม้ ที่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์แล้วเท่านั้นค่ะ

10. แอลกอฮอล์

หญิงตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร และการคลอดก่อนกำหนด แม้ปริมาณแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางสมองของลูกน้อยได้ การดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดความผิดปกติของใบหน้าของทารก ความบกพร่องของหัวใจ และความบกพร่องทางสติปัญญาของเด็กได้

11. อาหารจั๊งฟู้ด อาหารแปรรูป

โภชนาการที่ดีที่สุดเมื่อคุณตั้งครรภ์คือการได้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วน เพื่อช่วยให้ทั้งคุณและลูกน้อยที่กำลังเติบโตมีสุขภาพและพัฒนาการที่ดี คุณจะต้องได้รับสารอาหารที่จำเป็นในปริมาณที่เพิ่มขึ้นจากปกติ รวมถึง โปรตีนโ ฟเลต โคลีน และธาตุเหล็ก

คุณอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ท้องแล้วต้อง “กินเผื่อสองคน” จริงๆ แล้ว คุณสามารถทานอาหารได้ตามปกติในช่วงไตรมาสแรก จากนั้นสามารถเพิ่มปริมาณขึ้นได้คิดเป็นประมาณ 350 แคลอรี่ต่อวันในไตรมาสที่สอง และประมาณ 450 แคลอรี่ต่อวัน ในช่วงไตรมาสที่สาม

ควรงดอาหารขยะ อาหารแปรรูปต่างๆ เนื่องจากมีสารอาหารต่ำ และมีแคลอรี่ น้ำตาล และไขมันในปริมาณสูง แม้ว่าการเพิ่มน้ำหนักจะเป็นสิ่งที่จำเป็นในระหว่างตั้งครรภ์ แต่การเพิ่มน้ำหนักส่วนเกินนั้นเชื่อมโยงกับภาวะแทรกซ้อน และโรคต่างๆ รวมถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เช่นเดียวกับภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์หรือการคลอด ทางที่ดี ควรทานอาหารและของว่างที่เน้นโปรตีน ผัก และผลไม้ ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และคาร์โบไฮเดรตที่มีเส้นใย เช่น เมล็ดธัญพืช ถั่วแ ละผักที่มีแป้ง จะดีต่อสุขภาพของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์มากกว่าค่ะ

การใส่ใจเรื่องโภชนาการระหว่างตั้งครรภ์ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับว่าที่คุณแม่ทุกคน ทั้งนี้ก็เพื่อการตั้งครรภ์ที่มีคุณภาพ คุณแม่มีสุขภาพดี  รวมถึงการเจริญเติบโต และพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในครรภ์ ในอนาคตเมื่อลูกของคุณเติบโตขึ้น การปลูกฝังลูกในเรื่องการใส่ใจด้านโภชนาการ อาหารการกิน และการใส่ใจต่อการมีสุขภาพที่ดี ควรเป็นสิ่งที่คุณพ่อคุรแม่ควรทำอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างทักษะด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ให้กับลูกได้ คุณพ่อคุณแม่สามารถแนะนำลูกได้ว่า ควรกินอะไรจึงจะเหมาะกับสุขภาพ และขนมแบบไหนที่กินแล้วไม่มีประโยชน์ อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงคุณค่าทางโภชนาการที่จะได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เพื่อให้ลูกสามารถเลือกซื้ออาหารได้อย่างชาญฉลาดค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

คนท้องกินยาพาราได้ไหม คนท้องกินยาอะไรได้บ้าง ยาที่คนท้องห้ามกิน มีอะไรบ้างเช็กเลย!

17 อาหารที่คนท้องห้ามกิน ห้ามกินจริงหรือ?

คนท้องห้ามกินอะไร 9 อาหาร ที่แม่ท้องควรห้ามใจ เลี่ยงได้เลี่ยงก่อนนะแม่!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา

Update! แพคเกจปี 2565 อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา เท่าไหร่?

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา เท่าไหร่? เห็นชัดแค่ไหน!! ตามมาเช็กแพคเกจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ประจำปี 2565  เรารวบรวมมาเพื่อคุณ มาแอบดูหน้าลูกน้อยก่อนคลอดกัน

Update! แพคเกจปี 2565 อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา เท่าไหร่?

คุณแม่ท้องคงกำลังตั้งหน้าตั้งตารอดูหน้าลูกน้อยแทบอดใจไม่ไหว คุณแม่คงอยากจะเจอหน้าเจ้าตัวน้อยเร็ว ๆ อยากรู้ว่าเจ้าตัวน้อยของเราเนี่ย จะหน้าตาเป็นอย่างไร จะแข็งแรงหรือเปล่า มีพัฒนาการในครรภ์เหมาะสมหรือเปล่า และเมื่อถึงกำหนดจะไปอัลตร้าซาวด์ที่โรงพยาบาลไหนดี ทางเราจึงได้รวมแพ็กเกจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ปี 2565 มาให้คุณแม่แล้วค่ะ จะมีโรงพยาบาลอะไรบ้างไปเช็กดูเลยค่ะ

อัลตราซาวด์ 4 มิติ คือ

หลักการทำงานของเครื่องอัลตราซาวด์ 4 มิติ ก็คือ เครื่องจะทำการส่งคลื่นเสียงอัลตราซาวด์ออกไปจากหัวตรวจ ผ่านผิวหนังลงไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในร่างกายของคุณแม่ แล้วสะท้อนกลับออกมา หัวตรวจจะทำหน้าที่รับสัญญาณคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับมา โดยที่คอมพิวเตอร์ที่อยู่ในเครื่องอัลตราซาวด์จะทำการประมวลสัญญาณที่สะท้อนกลับมาและสร้างเป็นภาพขึ้นมาได้ และแสดงภาพออกมาเป็นภาพ 3 มิติ ซึ่งมีความลึกของภาพ ทำให้คุณแม่สามารถมองเห็นภาพของลูกน้อยดูเหมือนจริงมากยิ่งขึ้นและยิ่งไปกว่านั้นเครื่องตรวจอัลตราซาวด์ 4 มิติ ยังสามารถเก็บภาพ 3 มิติแต่ละภาพไว้ แล้วนำมาแสดงผลเรียงต่อกันกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนจริง เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จึงเรียกภาพที่เห็นนี้ว่า Real time ด้วยเทคโนโลยี อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ นี้จึงช่วย ให้คุณแม่สามารถศึกษาพฤติกรรมต่าง ๆ ของลูกตัวน้อยในท้องได้อย่างชัดเจน

อัลตราซาวด์ 4 มิติ เพื่ออะไร?

แม้ว่าการตรวจอัลตราซาวด์ 4 มิติ จะเป็นการมองเห็นภาพของลูกน้อยได้อย่างเสมือนจริงแล้ว ซึ่งจะสร้างความยินดีของคุณพ่อ คุณแม่ ที่ได้เห็นลูกของตัวเองแล้ว ทางการแพทย์เองก็มีส่วนสำคัญที่จะเป็นการตรวจหาว่าเด็กมีการเจริญเติบโต และมีพัฒนาการในท้องเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งรวมไปถึงการตรวจหาความผิดปกติของโครงสร้างทางร่างกายของเด็กในท้อง โดยเฉพาะโครงสร้างหลัก เช่น กะโหลกศีรษะ เนื้อสมอง โครงกระดูก แขนขา ทรวงอก เนื้อปอด หัวใจ และผนังหน้าท้อง อวัยวะหลักภายในช่องท้อง เช่น ตับ ไต ความผิดปกติของลำไส้บางชนิด กระเพาะปัสสาวะ และอวัยวะส่วนอื่น เช่น ภาวะปากแหว่งเพดานโหว่ จำนวนนิ้วมือนิ้วเท้าของเด็กครบหรือไม่

การตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ดีอย่างไร?

สิ่งสำคัญที่ได้จากการตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ คือ ทำให้คุณแม่ได้ข้อมูลและรายละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของความผิดปกติที่พื้นผิวเช่น ปากแหว่ง หรือเนื้องอกที่ผิวบางชนิด และใช้ระยะเวลาในการตรวจสั้นลง เนื่องจากสามารถมองเห็นร่างกายของลูกและอวัยวะต่าง ๆ ได้จากภาพที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ รวมทั้งสามารถมองเห็นพฤติกรรมต่าง ๆ ของลูกในท้องได้อย่างชัดเจน ซึ่งการตรวจด้วย อัลตร้าซาวด์แบบ 2 มิติ คุณแม่อาจมองเห็นได้ยาก หรือบางครั้งคุณแม่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น สามารถมองเห็นลูกกำลังหาว ดูดนิ้ว ยิ้ม กระพริบตา หรือขยับนิ้วมือ ที่สำคัญยังสร้างความผูกพันในครอบครัวระหว่าง พ่อ แม่ ลูก เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่เจ้าตัวน้อยยังอยู่ในท้องของคุณแม่

การตวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ หมอสามารถทำการประเมินว่าเด็กมีการเจริญเติบโต และมีพัฒนาการในท้องเหมาะสม เช่น

– ตำแหน่งของเด็ก สายสะดือ และปริมาณน้ำคร่ำที่อยู่รอบตัวเด็ก

– โครงสร้างกะโหลกศีรษะและสมองของเด็ก

– แขน ขา มือ เท้า และนิ้ว

– หัวใจ และการไหลเวียนเลือดของเด็ก

– กระดูกสันหลัง กระเพาะอาหาร กระเพาะปัสสาวะ และไต

– ใบหน้า และอวัยวะต่าง ๆ บนใบหน้าของเด็ก

– อัตราการเจริญเติบโตของเด็ก ขนาดรอบศีรษะ ความยาวและน้ำหนัก

*และสิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่อยากรู้แบบใจจดใจจ่อคือ เพศของลูกน้อย

อย่างไรก็ตามความผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจะไม่สามารถใช้อัลตราซาวด์ดูได้ ณ ขณะนั้นอาจจะต้องรอจนลูกตัวโตพอสมควรหรือคลอดมาแล้วจึงจะตรวจพบก็ได้

ข้อดี : อีกด้านของตรวจอัลตราซาวด์ 4 มิติ คือสามารถบันทึกภาพการตรวจอัลตราซาวด์ 4 มิติ (เปิดได้จากเครื่องเล่น DVD และคอมพิวเตอร์)

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา

อายุครรภ์ที่เหมาะสมในการตรวจอัลตราซาวด์ 4 มิติ

ทุกช่วงของอายุครรภ์สามารถทำการตรวจด้วยอัตร้าซาวด์ 4 มิติได้ แต่ภาพที่ได้ในแต่ละช่วงอายุครรภ์จะแตกต่างกันในช่วงอายุครรภ์น้อย ๆ จะช่วยให้สามารถมองเห็นภาพของทารกทั่วร่างกาย ในขณะที่การตรวจในช่วงที่อายุครรภ์มากจะช่วยให้มองเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ของร่างกายของลูกได้มากขึ้น เนื่องจากมีการพัฒนาอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายไปมาก หากอายุครรภ์มากกว่า 35 สัปดาห์ อาจะเห็นใบหน้าไม่ชัดเจนเนื่องจากลูกกลับศีรษะลงและเริ่มเข้าสู่ช่องเชิงกรานแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะอยู่ในช่วงอายุครรภ์น้อยกว่า 32 สัปดาห์ แต่ถ้าลูกในท้องอยู่ในท่าหันหลังให้ตลอดระยะเวลาการตรวจก็อาจไม่สามารถมองเห็นใบหน้าชัดเจนได้เช่นกัน จึงขอแนะนำให้เข้ามาตรวจตั้งแต่อายุครรภ์น้อย ๆไม่เกิน 26 สัปดาห์ จะดีที่สุด

การตรวจอัลตราซาวด์ระหว่างตั้งครรภ์ปลอดภัยหรือไม่

การตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อคุณแม่และลูกน้อย แม้ว่าจะมีการตรวจซ้ำหลายครั้งก็ตาม แต่กลับเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยความผิดปกติของลูกน้อย และช่วยให้คุณหมอสามารถทำการตัดสินใจในการให้การรักษาได้ดีขึ้น ดังนั้นการตรวจอัลตร้าซาวด์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องทุกคนค่ะ

 

รวมแพ็กเกจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ

 

 รพ.วิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล
รพ.วิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล

1. โรงพยาบาลวิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล อ้อมน้อย

ข้อดีการตรวจอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ

  • สามารถมองเห็นพฤติกรรมของลูกในครรภ์ เช่น ลูกกำลังหาว ดูดนิ้ว หรือขยับนิ้ว
  • ได้เห็นอวัยวะภายในครรภ์ได้ชัดเจน เช่น ใบหน้า แขน ขา กระดูกสันหลัง
  • ดูความสมบูรณ์ การเติบโต และพัฒนาการของลูกในครรภ์จากภาพในคอมพิวเตอร์
  • สร้างความผูกพันพ่อแม่ลูก ตั้งแต่ทารกอยู่ในครรภ์ และรอจนลูกลมตาดูโลก
  • ใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์รุ่นใหม่ ปีปัจจุบัน ภาพคมชัดกว่า

ระยะเวลา วันนี้ – 31 ธันวาคม 2565

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา : 4,500 บาท

สอบถามรายละเอียดได้ที่ https://vichaivej-omnoi.com คลินิกสูตินรีเวช โทร 02-441-7899 กด 3235 ,3236

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

2. โรงพยาบาลสินแพทย์ ศรีนครินทร์

แพคเกจฝากครรภ์ (ตรวจครรภ์ 9 ครั้ง)

รายการตรวจโปรแกรม A

1.ตรวจสุขภาพโดยสูตินรีแพทย์ (PE by Obstetrician)

2.อัลตร้าซาวด์โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Ultrasound by MFM)

3.อัลตร้าซาวด์ 2 มิติ (Ultrasound 2D)

4.อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ (Ultrasound 4D)

5.ตรวจความสมบูรณ์ของเลือด (CBC)

6.ตรวจหาหมู่เลือด (Blood group ABO)

7.ตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อซิฟิลิส (VDRL)

8.ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิด บี(HBsAg)

9.ตรวจปัสสาวะ (UA)

10.การตรวจหาภูมิคุ้มกันเชื้อ HIV (Anti HIV)

11.ตรวจคัดกรองธาลัสซีเมีย (Hb Typing)

12.ตรวจคัดกรองโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (50 g. GCT)

13.ตรวจโปรตีนและน้ำตาลในปัสสาวะ (Strip urine albumin & sugar)

14.วัคซีนบาดทะยัก (Td vaccine)

15.วัคซีนคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (DTP vaccine)

16.ยาบำรุงครรภ์ (Medicine)

17.ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ (Infuenza Vaccine)

หมายเหตุ : ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว ราคาดังกล่าวสำหรับผู้ที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงพยาบาลกำหนด

ราคาทั้งตรวจแพคเกจ : 23,000   บาท

ระยะเวลาตั้งแต่ วันนี้ – 31 ธ.ค.65

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : www.synphaet.co.th/srinakarin

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา

3. โรงพยาบาลไทยนครินทร์

 

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา : 4,750 บาท

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : www.thainakarin.co.th

เบอร์โทร : 02 361 2727 หรือ 02 361 2828

ไลน์ : @Thainakarin

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา

4. โรงพยาบาลบางโพ

เงื่อนไขการเข้ารับบริการ
  • ผู้เข้ารับบริการสามารถใช้แพ็กเกจได้หลังจากตรวจวินิจฉัยเรียบร้อยแล้ว
  • แพ็กเกจดังกล่าวไม่สามารถใช้ร่วมกับสิทธิ์และส่วนลดอื่นๆ ได้
  • ผู้เข้ารับบริการชำระค่าใช้จ่าย ณ โรงพยาบาล ในวันที่เข้ารับบริการ
  • โรงพยาบาลขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา เริ่มต้นที่ 3,500 บาท

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : bangpo-hospital.com/ultrasound-4d

เบอร์โทร : 02 587 0144 ต่อ 2411

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา

5. โรงพยาบาลเจ้าพระยา

ระยะเวลา : มิถุนายน 2565

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา เริ่มต้นที่ 31,700 บาท

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : www.chaophya.com

เบอร์โทร : 024341111, 028847000

 

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

แพ็กเกจ รพ.ธนบุรี2
แพ็กเกจ รพ.ธนบุรี2

6. โรงพยาบาลธนบุรี 2

เงื่อนไข

  • อายุครรภ์ที่เหมาะสมในการทำอัลตราซาวด์ 4D (24-28 สัปดาห์)
  • ราคาอัลตราซาวด์รวมค่าแพทย์ และค่าบริการโรงพยาบาลแล้ว
  • พร้อมรับ CD และภาพถ่าย จากการทำอัลตราซาวด์ 4D
  • เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงพยาบาลกำหนด

ระยะเวลา : วันนี้ – 30 ธันวาคม 2565

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติราคา : 3,900 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.thonburi2hospital.com

คลินิกสูติ-นรีเวช โทร. 02 487 2100 ต่อ 5247, 5248

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

แพ็กเกจ รพ.นนทเวช
แพ็กเกจ รพ.นนทเวช

7. โรงพยาบาลนนทเวช

  • การตรวจในช่วงอายุครรภ์น้อย ๆ จะช่วยให้สามารถเห็นภาพของทารกทั่วร่างกาย แต่หากตรวจในอายุครรภ์มากจะช่วยให้มองเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ของร่างกายของทารกได้มากขึ้น
  • ช่วงอายุครรภ์ที่จะให้ภาพที่ดีที่สุดจะอยู่ในช่วงอายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์
  • ตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์มารดา และทารกในครรภ์
  • พร้อมรับรูปอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ และแผ่นซีดี

ระยะเวลา : วันนี้ – 31 ธันวาคม 2565

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติราคา : 3,500 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.nonthavej.co.th

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์สุขภาพสตรี ชั้น 4 โทร.02-596-7901 หรือ 02-596-7888

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

รพ.ขอนแก่นราม
รพ.ขอนแก่นราม

8. โรงพยาบาลขอนแก่น ราม

ระยะเวลา : วันนี้ – 31 ธันวาคม 2565

อัลตร้าซาวด์ 4 มิติราคา : 3,150 บาท

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.khonkaenram.com

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ แผนกสูตินรีเวช โทร 043-002-002 ต่อ 1932,1933

 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับแพ็กเกจ อัลตราซาวด์ 4 มิติ ราคา แต่ละโรงพยาบาลที่ทางเรานำมากฝากคุณแม่ หากคุณแม่สนใจแพคเกจของโรงพยาบาลใด คุณแม่สามารถเข้าไปสอบถามรายละเอียด และข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยค่ะ

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :โรงพยาบาลพญาไท  www.phyathai-sriracha.com

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

คุมอาหารมากไป! คนท้องน้ำตาลต่ำ ระหว่างตั้งครรภ์ อันตรายไหม?

ลูกในท้องหลับตอนไหน กลางวัน/กลางคืนทำอะไร

จะเป็นอย่างไร! เมื่อลูกน้อยในครรภ์ได้กลิ่นควันบุหรี่

ทำนายเพศลูก ตำราจีน แม่นหรือไม่? แม่ท้องต้องลอง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

คนท้องนอนกรน

ระวัง! คนท้องนอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ ทารกเสี่ยงขาดออกซิเจน!

คนท้องนอนกรน – หากคุณเป็นเหมือนคุณแม่ส่วนใหญ่ คุณอาจพบว่าการนอนหลับในระหว่างการตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ยากเย็น มากกว่าสามในสี่ของสตรีมีครรภ์ กล่าวว่าพวกเธอมีอาการนอนไม่หลับมากขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์  นอกจากนี้ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับเป็นอีกหนึ่งภาวะที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้การหายใจของคนท้องสะดุดหรือหยุดลง ซ้ำ ๆ ในระหว่างการนอนหลับ เนื่องจากภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับที่ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนจึงอาจเป็นอันตรายต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้

ระวัง! คนท้องนอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ ทารกเสี่ยงขาดออกซิเจน!

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับคืออะไร?

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นภาวะเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจระหว่างการนอนหลับ เกิดการปิดกั้นการไหลเวียนของอากาศชั่วคราว และทำให้หายใจไม่ออก หรือหายใจได้เพียงตื้น ๆ การหยุดหายใจชั่วคราวที่เรียกว่า “ภาวะหยุดหายใจ” เกิดขึ้นได้ตั้งแต่ไม่กี่วินาที ไปจนถึงหนึ่งนาทีขึ้นไป ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับไม่รุนแรงมักมีการหยุดหายใจ 5 ถึง 14 ครั้งต่อชั่วโมง ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจในระดับปานกลาง 15 ถึง 29 ครั้งต่อชั่วโมง และผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับอย่างรุนแรงสามารถหยุดหายใจได้ถึง 30 ครั้ง ต่อชั่วโมง

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับมักมาพร้อมกับการกรนอย่างหนัก เสียงกรนจะดังขึ้นก่อนที่จะเงียบสนิทในขณะที่การไหลเวียนของอากาศหยุดลง หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีร่างกายจะตอบสนองต่อการขาดอากาศชั่วคราวด้วยเสียงกรนดัง หรืออ้าปากค้างและการกรนจะกลับมาอีกครั้ง โดยปกติแล้วผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ หากตื่นขึ้นมาจะไม่สามารถจำได้ หรือไม่รู้ตัวว่าตัวเองกรนดังแค่ไหนหรือหยุดหายใจนานแค่ไหน

ลักษณะอาการของผู้ที่หยุดหายใจขณะหลับระหว่างตั้งครรภ์

ผู้หญิงที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับระหว่างการตั้งครรภ์จะมีอาการเหล่านี้ ได้แก่ :

  • นอนกรน
  • การหายใจหยุดชั่วคราวหรือหายใจถี่ขณะนอนหลับ
  • ตื่นขึ้นด้วยการสำลัก หายใจไม่ออก
  • ง่วงนอนตอนกลางวันอย่างมาก
  • ปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน (nocturia)

หากคุณมีอาการตามข้างต้น ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ ทั้งนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องขอการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากตั้งครรภ์เดือนที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงที่อาการอาจแย่ลงได้หากไม่ได้รับการรักษา

คนท้องนอนกรน
คนท้องนอนกรน

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ?

หากคุณมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ หรือเป็นโรคอ้วน คุณจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้สูงกว่าปกติ เนื่องจากน้ำหนักที่มากขึ้น จะทำให้ทางเดินหายใจถูกกดทับที่บริเวณคอ และหากคุณมีน้ำหนักตัวมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์ (มากกว่า 35 ปอนด์) คุณจะมีความเสี่ยงสูงยิ่งขึ้นอีก การศึกษาในหญิงตั้งครรภ์มากกว่า 3,000 คนในปี 2560 พบว่าร้อยละ 8.3 มีอาการหยุดหายใจขณะหลับในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสที่สอง และคุณแม่ที่เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะมีภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้

แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วหญิงตั้งครรภ์ทุกคนมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเนื่องจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้เยื่อเมือกในจมูกของคุณบวมซึ่งนำไปสู่อาการคัดจมูก ความพยายามในการหายใจมากขึ้นอาจทำให้เยื่อบุทางเดินหายใจของคุณดีและทำให้การไหลเวียนของอากาศลดลง สาเหตุอื่น ๆ ทางเดินหายใจของคุณอาจยุบลงหรืออุดตันระหว่างการนอนหลับ ได้แก่ ความแออัดที่เกิดจากการแพ้หรือความเจ็บป่วยพร้อมกับลักษณะทางกายภาพบางอย่าง (คางที่ถอยลง โรคเนื้องอกในจมูกที่โตขึ้น ลิ้นขนาดใหญ่กะบังเบี่ยงเบน หรือเส้นรอบวงคอที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยมากกว่า 16 นิ้ว)

ความเสี่ยงของภาวะหยุดหายใจขณะหลับระหว่างตั้งครรภ์มีอะไรบ้าง?

เมื่อเวลาผ่านไปภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับจะลดระดับออกซิเจนในเลือดของคุณ (ยิ่งคุณหายใจน้อยลงในแต่ละคืนร่างกายของคุณก็จะได้รับออกซิเจนน้อยลง) ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคเบาหวาน ภาวะซึมเศร้าและหัวใจล้มเหลว  หญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์และภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

การศึกษาหนึ่งยังพบว่าคุณแม่ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะมีครรภ์มีแนวโน้มที่จะต้องได้รับการผ่าตัดคลอดมากกว่าสามเท่า ในขณะที่ทารกแรกเกิดมีแนวโน้มที่จะต้องได้รับการรักษาในหออภิบาลทารกแรกเกิด ซึ่งมักจะมีปัญหาในการหายใจ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการวินิจฉัยโรคเพื่อดำเนินการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับในหญิงตั้งครรภ์จึงสำคัญมาก

จะทำอย่างไรหากสงสัยว่าคุณหยุดหายใจขณะหลับระหว่างตั้งครรภ์?

เนื่องจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ผู้ที่มีอาการมักไม่รู้ตัวและไม่ตื่นรู้ในขณะที่เกิดอาการ  คู่รักของคุณอาจสังเกตเห็นการกรนเสียงดัง และการหายใจไม่ออกอย่างกะทันหัน ถึงกระนั้นการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ และปริมาณออกซิเจนที่ลดลง จะต้องใช้เวลานานอย่างเห็นได้ชัด

หากคุณมักจะเผลอหลับขณะอ่านหนังสือดู ทีวี ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือรถติด หรือถ้าคุณเป็นคนขี้หงุดหงิด ใจร้อนและขี้ลืมเป็นพิเศษ ก็ถึงเวลาที่ต้องพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความเหนื่อยล้าของคุณ คนที่มีภาวะหยุดหายใจมักตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากคุณพบว่าตัวเองต้องพึ่งยาแก้ปวดหัว ในทุกๆ เช้า คุณอาจสงสัยไว้ก่อนว่าตัวเองอาจตกอยู่ในภาวะเสี่ยง

การรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับระหว่างตั้งครรภ์

การรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ที่มีอาการเล็กน้อย มักเริ่มด้วยการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต แพทย์อาจแนะนำให้เลี่ยงการนอนหงาย ซึ่งการนอนหงายเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอีกต่อไปหากคุณกำลังตั้งครรภ์ ถ้าคุณไม่สามารถทำได้ ให้ลองแปะลูกเทนนิสที่ด้านหลังของชุดนอนของคุณเพื่อที่ว่าเมื่อคุณล้มตัวลงลูกบอลจะเตือนให้คุณตะแคงข้าง หากคุณมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนให้ปรึกษาผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณ เพื่อค้นหาแผนการจัดการน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพที่เหมาะกับคุณ เนื่องจากการมีน้ำหนักที่เหมาะสมเป็นการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับที่ได้ผลที่สุด

คนท้องนอนกรน

คุณยังสามารถใช้แถบกาวช่วยหายใจ (์Nasal Strips) ซึ่งจะช่วยเปิดรูจมูกของคุณเพื่อการหายใจในขณะหลับที่ดีขึ้น นอกจากนี้สามารถใช้สเปรย์น้ำเกลือ หรือยาลดน้ำมูกที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ (ปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัยสำหรับการใช้ในระหว่างตั้งครรภ์) ในการบรรเทาอาการได้

หากภาวะหยุดหายใจขณะหลับยังคงอยู่ หรือรุนแรงคุณอาจจำเป็นต้องใช้เครื่อง CPAP (เครื่องอัดอากาศขณะหายใจเข้า) โดยเลือกใช้หน้ากากที่พอดีกับจมูกของคุณ และเชื่อมต่อกับปั๊มขนาดเล็กที่ให้อากาศถ่ายเทอย่างนุ่มนวล เพื่อให้ทางเดินหายใจเปิด คนส่วนใหญ่ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ จะพบว่าเครื่อง CPAP ช่วยบรรเทาได้แทบจะทันที แต่อุปกรณ์อาจจะดูเทอะทะไปสักหน่อย

หากคุณรู้สึกว่าคุณมีสัญญาณหรืออาการที่บ่งบอกถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับระหว่างตั้งครรภ์ คุณควรติดต่อแพทย์เพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดเตรียมการทดสอบและการรักษาที่จำเป็นเพื่อช่วยให้คุณได้พักผ่อนอย่ามีคุณภาพและหายใจได้ง่ายขึ้น

มาถึงตรงนี้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ก็อย่าเพิ่งวิตกจนเกินไปนะคะ เพราะถือว่ายังโชคดี ที่ความเสี่ยงโดยรวมของการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับในระหว่างตั้งครรภ์นั้นค่อนข้างต่ำ เนื่องจากปัจจัยสองประการต่อไปนี้

  • ประการแรก ระดับของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงในระหว่างตั้งครรภ์สามารถป้องกันภาวะหยุดหายใจขณะหลับได้ เนื่องจากฮอร์โมนจะกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อที่ทำให้ทางเดินหายใจขยายตัว นอกจากนี้โปรเจสเตอโรนยังช่วยเพิ่มการตอบสนองของสมองต่อระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการลำเลียงออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อของร่างกายและยังช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และการขยายตัวของหลอดเลือดส่วนปลายอีกด้วย
  • ประการที่สองเนื่องจากความรู้สึกไม่สบายทางร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสสุดท้าย เวลาที่ใช้ในการนอนหงายของแม่ตั้งครรภ์จะน้อยลง ซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

การใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเอง คือ สิ่งสำคัญเสมอ สำหรับมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะหากคุณกำลังตั้งครรภ์ ความใส่ใจเรื่องสุขภาพต้องยิ่งมากขึ้นเป็นทวีคูณเพราะมีอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ ที่รอคอยลืมตาดูโลก ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือ สุขภาพของแม่ตั้งครรภ์สามารถส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ ทั้งนี้หากคุณแม่รู้จักดูแลตัวเอง รู้ว่าอะไรดีและไม่ดีต่อสุขภาพ เมื่อถึงวันที่ลูกน้อยถือกำเนิดและผ่านช่วงการเป็น ทารก และ เด็กวัยเตาแตะตามลำดับ หากคุณพ่อคุณแม่สามารถปลูกฝังเรื่องความสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดีให้กับลูก ย่อมส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะ ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)อาการเจ็บป่วยต่างๆ ก็จะไม่เกิดขึ้นบ่อย เนื่องจากลูกมีเกราะป้องกันที่ดีเป็นทุนเดิมค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : whattoexpect.com,verywellhealth.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

คนท้องไม่สบาย กับ 11 โรคที่ต้องระวังระหว่างตั้งครรภ์

ไขข้อข้องใจ คนท้องลื่นล้ม หกล้ม ลูกจะเป็นอะไรไหม แท้งได้หรือเปล่า?

คนท้องกินคอลลาเจนได้ไหม อันตรายต่อลูกในท้องหรือเปล่า?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สร้างวินัยให้ลูก

เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

สร้างวินัยให้ลูก- แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนต้องรักและเป็นห่วงความรู้สึกของลูกๆ เป็นธรรมดาที่ความสุขสงบ สบายใจ คือ เป้าหมายในชีวิตสำหรับทุกๆคน ในฐานะพ่อแม่คุณอาจเคยหลีกเลี่ยงการรับมือหรือจัดการกับพฤติกรรมแย่ๆ ของบุตรหลาน เพียงเพราะไม่ต้องการทำลายความนับถือตนเองของลูกหรือทำให้ลูกรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง แต่จงจำไว้ว่า เด็ก ๆ จำเป็นต้องได้เรียนรู้ในความผิดพลาดของตัวเองตั้งแต่พวกเขายังเล็ก ยังมีวิธีอีกมากมายที่คุณพ่อคุณแม่สามารถลงโทษ ว่ากล่าวตักเตือนลูกๆ ได้ โดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กไม่ดีค่ะ

งานที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการเป็นพ่อแม่คน คือการสอนลูก ๆ ของเราว่าควรมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคนรอบข้าง พวกเขาต้องเข้าใจว่าการกระทำของตนส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร และพฤติกรรมใดที่ผู้อื่นจะยอมและไม่ยอมรับ การรู้สึกผิดหากทำอะไรผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาด้านคุณธรรม ซึ่งช่วยให้พวกเขาพัฒนาจิตสำนึกภายใน ที่คอยส่งเสียงเตือนพวกเขาว่า“ โอ๊ะ!ฉันทำผิดแล้วนะ” ดังนั้นพวกเขาจึงต้องแก้ไขความผิดนี้

เหตุใดเมื่อลูกโดนพ่อแม่ดุ หรือพูดถึงสิ่งที่ลูกทำผิด ลูกจะเสียใจมาก?

เป็นเพราะเด็กบางคนไวต่อคำวิจารณ์หรือคำต่อว่าจากพ่อแม่เป็นพิเศษ หรือ มีแนวโน้มที่จะนับถือตนเองต่ำกว่าปกติ แม้ว่าโดยทั่วไป การว่ากล่าวในพฤติกรรมที่ไม่ดีของเด็ก คือ เรื่องปกติที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ทำกัน  แต่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ยังแยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่ว่านั้นกคือการว่า หรือตำหนิด้วยเรื่องของพฤติกรรมไม่ดีเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นคนที่แย่ไปซะทุกเรื่อง  เด็ก ๆ เป็นนักคิดที่จิตใจบริสุทธิ์ เมื่อพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่โดนตอกย้ำว่าตัวเองไม่ดี พวกเขาจะรู้สึกแย่กับตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง

สร้างวินัยให้ลูก
สร้างวินัยให้ลูก

สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกมีความนับถือตัวเองต่ำ

ถ้าลูกของคุณกำลังคิดว่า ตัวเองไม่ดีพอ ไม่ว่าจะในการทำอะไรก็ตามแต่ นั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกกำลังมีความนับถือตัวเองต่ำ ในฐานะพ่อแม่การนั่งฟังลูกพูดถึงพฤติกรรมไม่ดีเกี่ยวกับตัวเองคงเป็นสิ่งที่ไม่น่าฟังเท่าใดนัก มันทำให้เราอยากจะเข้าไปกอดลูกไว้ในทันทีและแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพวกเขาสำคัญและมีความหมายแค่ไหน

สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกเป็นเด็กที่มีความนับถือตัวเองต่ำ

  • จริงจังกับทุกเรื่อง
  • รู้สึกไม่ดีพอ รู้สึกทำได้ไม่ดีเท่าคนอื่น
  • ไม่ชอบเรื่องที่ท้าทาย ไม่ชอบลองทำอะไรใหม่ๆ
  • พูดถึงแต่เรื่องที่ตัวเองทำได้ไม่ดี มากกว่าพูดถึงเรื่องที่ตัวเองทำได้ดี
  • ขาด ความมั่นใจ
  • ชอบคิดไปก่อนว่าคงทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ได้แน่ๆ
  • ปลีกตัวออกจากสังคม

การปล่อยให้เด็กกลายเป็นคนที่นับถือตนเองต่ำเด็กจะมีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็นโรควิตกกังวลหรือโรคกลัวต่างๆ  ส่งผลให้เป็นคนที่กลัวการต้องลองทำอะไรใหม่ ๆ เพราะคิดว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี หรือจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ทางสังคมต่างๆ เพราะคิดว่าพวกเขาจะเข้ากับกับเด็กคนอื่น ๆ ไม่ได้ หรือกลัวว่าจะมีความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกับเด็กคนอื่นๆ

เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

1.รักษาความคาดหวังของคุณให้เหมาะสม

ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กเป็นสิ่งสำคัญในการเลี้ยงดูเด็กให้เป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองได้ หากคุณมีความคาดหวังในตัวลูกสูงเกินไปคุณจะรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก และลูกก็ไม่ต่างจากคุณถ้าเขาไม่สามารถทำตามความคาดหวังเหล่านั้นได้

แต่ในทางกลับกันด้วยความคาดหวังที่ต่ำเกินไปก็อาจสร้างความเสียหายได้เช่นกัน หากคุณคาดหวังจากลูกน้อยเกินไปคุณอาจส่งผลต่อพัฒนาการของลูกได้

ควรตั้งเป้าหมายทางสังคม ร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญาที่ต้องการให้ลูกทำได้สำเร็จ แต่สิ่งสำคัญคือ การตระหนักถึงความต้องการความเป็นอิสระของลูกในแต่ละช่วงพัฒนาการ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ใช้กลยุทธ์ในการสร้างวินัยที่เหมาะสมกับวัยของลูก มั่นใจได้เลยว่าผลที่ตามมาต้องเป็นที่น่าพอใจค่ะ

สร้างวินัยให้ลูก

2.หลีกเลี่ยงการประทับตราลูก

เช่น พูดให้ลูกได้ยินเสมอว่า “หนูเป็นนักดนตรีตัวน้อยของแม่”  หรือ “คุณหมอน้อยของพ่อ ” การประทับตรา สามารถส่งผลเสียได้มากกว่าผลดี เด็ก ๆ รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พ่อแม่คาดหวังหรือประทับตราลูกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ลูกอาจรู้สึกว่าต้องดำเนินชีวิตตามมาตรฐานหรือเส้นทางที่พ่อแม่อยากให้เป็น ซึ่งเหมือนเป็นการจำกัดอิสรภาพของลูก และอาจทำให้ลูกรู้สึกไม่ดีต่อตัวเองได้หากในท้ายที่สุดเขาไม่สามารถทำหรือเป็นได้อย่างที่พ่อแม่พูด

3. แยกแยะพฤติกรรม

การพูดว่า “ลูกนี่เป็นเด็กไม่ดีเลย!”  กับ “ลูกนี่ซนจริงๆ ทำไมเป็นแบบนี้นะ!” ทั้งสองประโยคนี้เหมือนสร้างการรับรู้ให้เด็ก ๆ  คิดว่าตัวเองเป็นเด็กไม่ดีจริงๆ หากวันใดวันหนึ่งพวกเขาเริ่มมองว่าตัวเองไม่ดีอย่างที่พ่อแม่พูดให้ได้ยินบ่อยๆ พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะประพฤติตัวไม่ดีอยู่บ่อยๆได้ ดังนั้นควรแยกแยะพฤติกรรมออกจากลูก เช่น แทนที่จะพูดว่า “ทำไม่ทำแบบนี้นะ เป็นเด็กไม่ดีเลย”  ลองพูดว่า “ที่ทำนั่นมันไม่ดีนะ ลูกรู้ใช่มั้ย” ด้วยวิธีการพูดลักษณะนี้จะเป็นเหมือนการเตือนลูกของคุณ ว่าเขายังคงเป็นเด็กดีที่อาจจะเลือกทำในสิ่งที่ผิดได้ หรือ คุณอาจลองใช้ กลยุทธ์ 3 ขั้นตอน ที่เรียกว่า “การว่ากล่าวอย่างนุ่มนวล” ซึ่งในความเป็นจริงกลยุทธ์นี้สามารถใช้ได้กับคนรอบข้างและเพื่อนร่วมงานด้วยเช่นกัน

  • ขั้นตอนที่หนึ่ง: เสนอข้ออ้างสำหรับพฤติกรรมของลูก เริ่มต้นด้วยการพูดว่า“ แม่รู้ว่าลูกไม่ได้ตั้งใจ” หรือ“ ลูกคงเผลอไป” หรือ“ แม่เข้าใจว่าลูกพยายามทำให้ดี” สิ่งนี้จะบอกเขาว่าคุณรู้ว่าเขาเป็นเด็กดี และมีความตั้งใจดี แม้ว่าเขาจะทำอะไรผิดพลาดไปบ้างก็ตาม
  • ขั้นตอนที่สอง: บอกให้รู้ว่า ลูกทำอะไรผิด และสิ่งที่ทำส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร โดยพูดว่า “ถ้าลูกตีน้อง น้องจะเจ็บมาก” อาจกระตุ้นด้วยว่า  “ลูกไม่กลัวว่าน้องจะเจ็บบ้างเหรอ” กุญแจสำคัญของขั้นตอนนี้ คือการไม่ต่อว่าลูกด้วยคำพูดแรงๆ ตรงๆ เช่น ตีน้องทำไม? ทำไมนิสัยไม่ดีเลย! แต่ควรทำแค่โน้มน้าวให้ลูกเข้าใจถึงในความผิดของเขาก็เพียงพอแล้ว
  • ขั้นตอนที่สาม: อย่าปล่อยให้ลูกจมกับอดีต เด็ก ๆ ไม่สามารถกลับไปแก้ไขความผิดที่ได้ทำไปแล้ว และเราไม่ต้องการปล่อยให้พวกเขาจมปลักกับความรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ถามคำถามลูกเพื่อช่วยให้เขาวางแผนในการทำสิ่งต่างๆให้ถูกต้องในครั้งต่อไปได้ เช่น “ลูกจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยให้น้องรู้สึกดีขึ้น” คุณสามารถแนะนำวิธีการแก้ไขที่เป็นไปได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งอาจเป็นการให้ขอโทษ ปลอบโยน หรือเป็นการให้ลูกทำประโยชน์ เช่น ทำทำงานบ้านต่างๆ คัดแยกขยะรีไซเคิล กวาดบ้าน ล้างจาน เป็นต้น และเมื่อลูกทำสิ่งที่ดีหรือเป็นประโยชน์เพื่อเป็นการแก้ไขหรือขอโทษ ให้แสดงความขอบคุณลูกๆ อย่างจริงใจ

สร้างวินัยให้ลูก

4. ชื่นชมลูกอย่างมีศิลปะ

บางครั้งพ่อแม่เพียงชมลูกตามความรู้สึก แต่ในบางกรณี หากคุณพูดประโยคลักษณะนี้ เช่น “ ลูกเก่งมาก แข่งจักรยานชนะตลอดเลย” หรือ  “เขียนเก่งมากลูก สะกดไม่ผิดสักตัวเลย” ด้วย 2 ประโยคนี้จะทำให้ลูกรู้สึกว่าพวกเขาต้องเก่งให้สมกับคำพูดของคุณจนอาจเกิดเป็นความกดดันตัวเองในอนาคต และหากพลดขึ้นมาจะผิดหวังได้มากกว่าปกติ ทางที่ดีควรใช้ลักษณะการชมเชยถึงความพยายามของลูกจะดีกว่า

โดยคุณอาจพูดว่า“ แม่เห็นนะว่าลูกไม่ยอมแพ้เลย สุดท้ายก็ทำสำเร็จจนได้” หรือ“ พ่อชอบที่ลูกตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อให้เขียนหนังสือได้ดีนะ”   หรืออีกวิธีหนึ่งที่คุณสามารถช่วยให้ลูกรู้สึกมีพลังในการนับถือตัวเองมากขึ้น คือการทำตัวเป็น “ผู้เล่าชีวประวัติ”

กล่าวคือ ให้หมั่นเล่าเรื่องราวให้ลูกฟังเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ลูกต้องต่อสู้ ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ เช่น อาจเล่าเรื่องในอดีตว่า “แม่จำได้ว่าตอนที่ลูกหัดขี่จักรยานครั้งแรกลูกล้มแล้วล้มบ่อยมาก แต่สุดท้ายลูกก็ขี่จักรยานเก่งจนได้นะ” มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่เป็นรูปธรรม ให้ลูกรู้ว่าแม้ก่อนหน้านี้ลูกเคยทำสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ลูกทำได้อย่างดีแล้ว

5. สร้างวินัย โดยการให้เรียนรู้  ไม่ใช่ลงโทษ

การพยายามทำให้เด็กรู้สึกแย่ไม่น่าจะกระตุ้นให้เขาทำสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้น แต่การให้ผลลัพธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลจะสามารถช่วยให้ลูกเรียนรู้ทักษะที่จะป้องกันไม่ให้เขาทำผิดซ้ำอีก สอนและพูดกับลูกให้ชัดเจน เช่น “ผิดวันนี้ไม่เป็นไรนะลูกคราวหน้ายังมีโอกาสแก้ตัวนะ” การส่งเสริมและรักษาความภาคภูมิใจในตนเองจะทำให้ลูกมีความมั่นใจว่าเขาจะพยายามให้มากขึ้น และจะทำได้ดีขึ้นในครั้งต่อไปได้ค่ะ

การสอนและปลูกฝังเรื่องระเบียบวินัย แนะนำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมให้กับลูก ตลอดจนใช้เทคนิควิธีส่งเสริมให้ลูกมองเห็นคุณค่าในตัวเอง มีความนับถือตัวเองอย่างเหมาะสม ถือเป็นการเสริมสร้างทักษะความฉลาดอย่างรอบด้านด้วย Power BQ หลายด้านด้วยกัน อาทิ ความฉลาดทางคุณธรรม MQ, ความฉลาดทางอารมณ์ EQ , ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา AQ ,ความฉลาดในการคิดบวก OQ  ซึ่งทักษะแต่ละด้านนับว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่เด็กในยุคศตวรรษที่ 21 ควรมีติดตัว เพราะทักษะสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้เด็กๆ สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ไม่ยากค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parents.com,activekids.com,verywellfamily.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

5 เทคนิค สอนให้ลูกมีน้ำใจ เติบโตไป เป็นที่รักในสังคม

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกขี้หงุดหงิด

7 เคล็ดลับ! สยบ ลูกขี้หงุดหงิด แบบไม่พึ่งหน้าจอ ลูกก็สงบได้!

ลูกขี้หงุดหงิด-  คุณพ่อคุณแม่หลายคน อาจต้องเคยเปิดเพลงเบบี้ชาร์ค การ์ตูนโดราเอม่อน หรืออื่นๆ อีกมากมายจากสมาร์ทโฟนของคุณเพื่อใช้บรรเทา หรือหยุดอารมณ์ฉุนเฉียว อยู่ไม่นิ่ง งอแง ส่งเสียงโวยวาย อยู่ไม่สุขของลูกๆ กันบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งบางครั้งพ่อแม่รู้ทั้งรู้ว่าการให้ลูกวัยเตาะแตะอยู่กับหน้าจอไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่ วันนี้เรามีวิธีที่ว่ากันว่าใช้สยบลูกวัยทองที่ได้ผลดีกว่าการใช้หน้าจอซึ่งอาจส่งผลเสียต่อเด็กได้มากกว่าที่เราคิดมาฝากค่ะ

7 วิธีสยบ ลูกขี้หงุดหงิด แบบไม่พึ่งหน้าจอ ลูกก็สงบได้!

ทำความเข้าใจเด็กวัยซน

ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจ พฤติกรรมของเด็กวัย 3-6 ขวบ กันก่อนค่ะ ด้วยวัยนี้เป็นธรรมดาที่ลูกมักจะอยู่ไม่สุข และมีพฤติกรรมต่างๆ ที่อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่เหนื่อยหน่ายปวดหัว เด็กวัยนี้ค่อนข้างมีความเป็นตัวของตัวเอง เริ่มมีกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น ชอบสำรวจสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว มีช่วงความสนใจสั้น วอกแวกง่าย  หรืออาจอารมณ์เสียจากการไม่ได้อย่างใจได้บ่อย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หรือคนเลี้ยงอาจต้องเหนื่อยและใช้ความอดทนในการดูแลกันพอสมควรค่ะ

ซึ่งวิธีการทำให้เด็กๆ วัยนี้ ใจเย็นลงจากอารมร์ฉุนเฉียว หรือทำให้ลูกสงบลงที่จะพูดถึงต่อไปนี้ เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจยังไม่เคยลองใช้  มีผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแขนงต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำเทคนิค ที่จะช่วยจัดการกับปัญหาลูกอารมณ์เสีย งอแง โกงพ่อโกงแม่ แล้วพ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำยังไง จนต้องยื่นหน้าจอหรือสมาร์ทโฟนให้ลูกดูเพื่อจะให้ลูกสงบลงได้อยู่ร่ำไป มาดูกันค่ะว่าจะมีวิธีไหนบ้าง?

1. นักพฤติกรรมศาสตร์ กล่าวว่า : พ่อแม่ต้องเป็นกระจกเงา

เมื่อลูกของคุณแสดงความรู้สึกไม่พอใจ หรือโมโหสิ่งใดก็ตาม ให้คุณพูดแสดงความเห็นในเชิงเห็นด้วย กลับไปที่ลูก โรบิน เกิร์วิช ศาสตราจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์จาก Duke University School of Medicine กล่าวว่า “สมมุติลูกตะโกนขึ้นมาว่า “ครูสอนคณิตศาสตร์ให้การบ้านเยอะมาก!” แทนที่เราจะพูดเพียง “อื่ม..เหรอ” หรือ“ จริงเหรอลูก” ควรตอบกลับว่า “คืนนี้การบ้านคณิตศาสตร์เยอะจริงๆ สินะ!” ตามด้วยคำพูดที่ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูก เช่น “แม่เห็นหนูแก้โจทย์คณิตศาสตร์ได้คล่องปรื๋อตลอด แม่เอาใจช่วยนะ” วิธีนี้คือการ บอกลูกให้รู้ว่าคุณชอบวิธีที่ลูกพยายามแก้ไขเมื่อเจอปัญหาต่างๆ  และเป็นการบอกว่าแม่จะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือหากลูกต้องการ ” กลยุทธ์นี้แสดงให้เห็นว่าคุณรับรู้ถึงความไม่พอใจของลูก ซึ่งสามารถทำให้ลูกสงบลงได้

ลูกขี้หงุดหงิด
ลูกขี้หงุดหงิด

2. คุณแม่บล็อกเกอร์แม่และเด็ก กล่าวว่า : ต้องลองเปลี่ยนโหมดสมอง!

เมื่อลูกของคุณร้องไห้อย่างหนักจนคุณไม่คิดว่าลูกจะสนใจฟังที่ที่คุณพูด  ให้ดึงดูดความสนใจของลูกด้วยการทำสิ่งที่ลูกไม่คาดคิด Amanda Rueter  อดีตที่ปรึกษาด้านสุขภาพจิต และบล็อกเกอร์แม่และเด็ก กล่าวว่า  ให้พยายามลองขอให้ลูกพูดชื่อสิ่งของ 5 อย่าง ที่มีสีแดง หรือสามสิ่ง ที่ลูกมองเห็นได้ในขณะนั้น  วิธีนี้จะช่วยให้ลูกเปลี่ยนจากการใช้สมองส่วนอารมณ์มาเป็นส่วนตรรกะและลูกจะสงบลงได้ ” วิธีนี้อาจดูเหมือนยากสักหน่อย แต่ถ้าลองทำแล้วได้ผลก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจค่ะ

3. ครูสอนโยคะกล่าวว่า: พ่อแม่ต้องส่งความรู้สึกเชิงบวก

เมื่อคุณสังเกตเห็นว่าริมฝีปากของลูกเริ่มสั่น การร้องเพลงโปรดของลูกขึ้นมาทันที แล้วชวนลูกให้ร้องด้วยกันอาจช่วยขจัดน้ำตาลูกได้ ชักตา เคอร์ คัลซา ผู้ก่อตั้ง Radiant Child Yoga กล่าวว่า ให้ลองทำสิ่งนี้ในขณะที่คุณสบตาและโยกลูกไปมาเมื่อคุณชวนให้ลูกร้องเพลง วิธีนี้มีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่าทุกเสียงที่เราทำมีการสั่นสะเทือนที่ส่งผลกระทบไปยังบางส่วนของร่างกาย ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกสงบลงได้

4. นักบำบัดกล่าวว่า: ลองสอนลูกให้รู้จักปลอบตัวเอง

กอดจากแม่และพ่อเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก แต่ถ้าลูกของคุณรู้สึกเศร้า หรือวิตกกังวลเมื่อคุณไม่ได้อยู่ด้วย คุณสามารถสอนให้ลูกปลอบตัวเองได้ ด้วยการกอดแบบ “ผีเสื้อ”  ซึ่งวิธีนี้อาจเหมาะสำหรับลูกที่อายุมากกว่า 3 ขวบขึ้นไป

ซอนย่า โครมอฟ นักบำบัดผู้เชี่ยวชาญด้านความวิตกกังวล และการบาดเจ็บจาก Wild Tree Wellness ในเซนต์พอล สหรัฐอเมริกา บอกว่า วิธีการฝึกปลอบตัวเอง คือ ให้ลูกทำเหมือนการเป่าเทียนหลาย ๆ ครั้งจากนั้นให้ลูกกอดอก (ลักษณะเหมือนการกอดตัวเอง) โดยให้ปลายนิ้วของลูกวางอยู่ใต้กระดูกไหปลาร้าแล้วชี้ขึ้นไปที่คอ ช่วยประสานนิ้วหัวแม่มือเพื่อสร้างร่างของผีเสื้อ จากนั้นให้ลูกหลับตาและทำท่าเหมือนกระพือปีกช้าๆ สลับขวาไปซ้ายหกถึงแปดครั้งพร้อมกับหายใจเข้าช้าๆ ลูกสามารถทำซ้ำได้จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น “การกระตุ้นทางซ้าย – ขวา อย่างช้าๆ จะช่วยเสริมสร้างเครือข่ายในสมองที่จะช่วยลดความทุกข์ทางอารมณ์ลงได้”

5. ครูสอนโยคะยังกล่าวอีกว่า: ลองฝึกให้ลูกให้หายใจด้วยท้อง

เมื่อคุณเห็นว่าลูกของคุณหงุดหงิด อาจบอกให้ลูกหายใจเข้าลึก ๆ  โดยการ “หายใจด้วยท้อง” กล่าวคือ สอนหลักการหายใจแบบการทำสมาธิ  หากคุณมีลูกวัยเตาะแตะ ให้ลูกชูนิ้วขึ้น 1 นิ้ว และขอให้ลูกจินตนาการว่ากำลังหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อเป่าฟองสบู่ สำหรับเด็กโตขึ้นมาหน่อยและพอจะสื่อสารได้รู้เรื่อง คุณอาจบอกให้ลูกคิดว่าท้องของตัวเองคือลูกโป่ง และลูกต้องหายใจทางจมูกเพื่อเติมอากาศเข้าไป สังเกตว่าลูกทำถูกต้องหรือไม่ให้ดูจากหน้าท้องของลูก ถ้าทำถูกท้องต้องขยายขึ้น หากวิธีนี้ไม่ได้ผล ลองให้ลูกยกแขนขึ้นเป็นวงกลมขนาดใหญ่เหนือศีรษะ ราวกับเป็นลูกโป่งและเธอต้องหายใจเข้าจนกว่ามันจะ “เต็ม” จากนั้นเธอสามารถ ปล่อยลม ได้โดยการปรบมือเพื่อให้อากาศออก

ลูกขี้หงุดหงิด

การหายใจเข้าลึก ๆ จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทพาราซิมพาเทติก ซึ่งจะทำให้เกิดความสงบ “เมื่อลูกของคุณหายใจออกเธอจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และ.ในด้านของอารมณ์ ก็สามารถปล่อยสิ่งที่ทำให้ลูกเสียใจได้ เช่นกัน” Khalsa กล่าว

6. นักฝังเข็มกล่าวว่า: ลองกดจุดสงบของลูกน้อยของคุณ

การปลอบประโลมลูกด้วยเทคนิคการกดจุดสงบของลูกมีการใช้จริงในแผนกผู้ป่วยหนักทารกแรกเกิด และแผนกฉุกเฉิน Alyssa Johnson ซึ่งรับการรักษาผู้ป่วยที่โรงพยาบาลเด็กในซอลต์เลกซิตี สหรัฐอเมริกาแนะนำ โดยวิธีการ คือให้ใช้นิ้วกดตามแนวโค้งรอบบริเวณด้านบนของใบหูของลูกจนกว่าคุณจะรู้สึกเมื่อยเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆถูจุดนั้น  เป็นวงกลมเล็ก ๆ เป็นเวลาห้าถึงสิบวินาที จากนั้นย้ายไปที่รอยพับด้านในของข้อศอก และเลื่อนนิ้วของคุณไปที่ขอบที่ใกล้กับร่างกายของเลูกมากที่สุด ค่อยๆ ถูจุดกดนั้นเป็นเวลา 10-15 วินาที ทำสลับกันระหว่างหูและข้อศอกทั้งสองข้างจนกว่าเขาจะนั่งลง จอห์นสันตั้งข้อสังเกตว่าการทำแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายของเด็กหลั่งสารเอนดอร์ฟินที่ให้เกิดความรู้สึกดีได้

ลูกขี้หงุดหงิด

7. นักจิตวิทยากล่าวว่า: ลองใช้น้ำให้เป็นประโยชน์

เชื่อหรือไม่ว่าการสาดน้ำเบา ๆ อาจช่วยให้ลูกของคุณเย็นสบายได้และใจเย็นลงได้  ดร.อิลานา ลูฟท์ นักจิตวิทยาคลินิกของโรงพยาบาลเด็กเซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริก่ แนะนำให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเปียกหรือจุ่มนิ้วลงในน้ำเย็นแล้วสัมผัสใบหน้าของลูกเบา ๆ การทำให้อุณหภูมิร่างกายเย็นลงเล็กน้อย สามารถทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลงและช่วยให้การหายใจสงบลงได้อย่าเหลือเชื่อ

การสอนหรือหาหนทางและวิธีการต่างๆ เพื่อฝึกให้ลูกได้รู้จักการจัดการกับอารมณ์ด้านลบของตัวเองตั้งแต่ลูกยังอายุน้อยๆ จะช่วยเสริมทักษะความฉลาดให้กับลูกด้วย Power BQ ได้หลายด้านด้วยกัน ทั้งในเรื่อง ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ), ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ, ความฉลาดในการคิดเป็น TQ ซึ่งทักษะความฉลาดทั้งสามด้าน ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากที่คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่วันข้างหน้าลูกจะสามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขในชีวิตอยู่ ดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างสงบสุข ด้วยความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น วางตัวได้อย่างเหมาะสม รู้จักดูแลสุขภาพกายและใจตัวเอง ตลอดจนเป็นคนที่คิดบวกอยู่เสมอค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parents.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

หยุด! 4 พฤติกรรมไม่ดีของลูก ก่อนเสียนิสัย

ลูกขี้ร้อน นอนเปิดพัดลม เสี่ยงปอดบวม หรือไม่?

พร้อมไหม ให้ลูกนอนคนเดียว ฝึกลูกให้นอนเองได้ ตอนไหนดี

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

บอร์ดเกม Jurassic Snack

รีวิว Jurassic Snack บอร์ดเกมง่ายๆ สอนลูกรู้จักวางแผน โดยพ่อเอก

บอร์ดเกมที่ 2 ที่จะมาชวนกันเล่นในครั้งนี้ รับรองว่ารูปลักษณ์ดึงดูดใจเด็กๆแน่นอน เพราะ บอร์ดเกม Jurassic Snack หรือ ไดโนเสาร์จอมเขมือบในเวอร์ชั่นไทย เป็นเรื่องราวของไดโนเสาร์คอยาวที่ไล่หม่ำๆๆ ทุกอย่างที่ขวางหน้า ผู้เล่นจะมีตัวเดินเป็นไดโนเสาร์คอยาวที่เดินบนแผ่นกระดานผืนป่าอันกว้างใหญ่ไล่กินโทเคนใบไม้จนพุงกาง ปูนปั้นกับปั้นแป้งได้รู้จักเกมนี้เพราะตอนไปเรียนว่ายน้ำครั้งหนึ่งมีเพื่อนที่ไปเรียนด้วยกันเอามาชวนเล่น พอเล่นแล้ว เราก็ได้ร้อง เย้ๆๆๆ หาบอร์ดเกมที่ไม่ยากเกินไปและสนุกสนานสำหรับปั้นแป้งได้แล้ว

รีวิวบอร์ดเกม Jurassic Snack

Jurassic Snack เกมนี้เล่นได้ทีละ 2 คน แต่กองเชียร์กี่คนก็ได้ ใน boardgamegeek.com ไห้ rating เฉลี่ยไว้ที่ 6.8 อาจจะไม่สูงนักเพราะเป็นเกมเด็กๆหน่อย แม้จะบอกว่าเหมาะกับเด็กอายุ 7+ แต่คะแนน complexity อยู่ที่ 1.2/5.0 เท่านั้น ดังนั้นข้อดีก็คือ ผมว่าเหมาะกับเด็กที่เพิ่งหัดเล่มเกมใหม่ๆ เพราะกฏกติกาไม่ยาก อุปกรณ์การเล่นดึงดูดและน่าสนใจ โดยเด็ก 4-5 ขวบ ก็เข้าใจได้เล่นได้ แต่อาจจะต้องช่วยบอกว่าแต่โทเคนที่เปิดขึ้นมามีความหมายอะไร แต่พอเล่นเพียงไม่กี่ครั้งเด็กๆเห็นรูปก็จำได้แล้วว่าความหมายของโทเคนนั้นๆคืออะไร

เปิดกล่องออกมาจะพบอุปกรณ์ของเกมนี้ประกอบไปด้วย

  • กระดานทุ่งหญ้าสีเขียวๆ 4 แผ่น

ปกติก็มาวางต่อกันเป็น 4 เหลี่ยมจตุรัส พอเล่นไปหลายๆครั้งก็มีพลิกแพลง ปูนปั้นบอกว่า ป๊าครับ ไม่จำเป็นต้องวางเป็น 4 เหลี่ยมจตุรัสวางต่อกันอย่างไรก็ได้ ก็เอาสิสนุกดี

  • ไดโนเสาร์คอยาว 10 ตัว เป็นสีเหลืองและสีน้ำเงินอย่างละ 5 ตัว

สำหรับแต่ละฝ่ายเป็นไดโนเสาร์ที่มีความสุขกับการกินใบไม้

  • ไดโนเสาร์ทีเร็กซ์ 2 ตัว

เป็นไดโนเสาร์จอมโหดที่จะมากินไดโนเสาร์คอยาวของคู่ต่อสู้เรา

  • โทเคนใบไม้ 28 อัน

ผู้เล่นจะไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ใต้โทเคนแต่ละชิ้น จนกว่าเราจะเลือกเดินไปหม่ำโทเคนนั้นๆ แล้วเปิดขึ้นมาดู แต่ละโทเคนจะมีความหมายแตกต่างกันและมีคะแนนต่างกันด้วย

วิธีเล่น บอร์ดเกม Jurassic Snack

เริ่มเล่นโดยการจัดกระดานทุ่งหญ้า แล้วก็วางไดโนเสาร์คอยาวลงบนจุดที่มีไข่สีตัวเอง (และจะเหลือไดโนเสาร์อยู่ ก็เก็บเป็น spare เพราะจะมีโทเคนที่เปิดมาให้เราเพิ่มตัวไดโนเสาร์ลงไปได้) การเริ่มเกมก็ง่ายๆผลัดกันเดิน โดยเลือกเดินไปกินโทเคนใบไม้ หรือเดินหนีทีเร็กซ์ ถ้าไปกินโทเคนใบไม้แล้วก็เปิดดูว่าใต้โทเคนให้ทำอะไร ซึ่งจะมีตั้งแต่ได้แต้มธรรมดา, ได้เอาเจ้าทีเร็กซ์ไปหม่ำฝ่ายตรงข้าม, ได้เพิ่มไดโนเสาร์คอยาวของเรามาบนกระดาน หรือได้พาไดโนเสาร์คอยาวเราย้ายที่ เป็นต้น  ซึ่งการวางไดโนเสาร์และการเดินจะมีวิธีเลือกเดินในแนวตั้งและแนวนอนเท่านั้น ไม่สามารถเดินในแนวทะแยงได้ และเดินสุดไปให้สุดทางจน ดังนั้นการวางเดินไดโนเสาร์คอยาวหรือทีเร็กซ์ของเราก็จะเป็นการวางแผนเพื่อบล็อคเส้นทางการเดินฝ่ายตรงข้ามได้

เกมจะจบก็ต่อเมื่อ

  • ไดโนเสาร์คอยาวกินโทเคนใบไม้ได้หมด ก็นับคะแนนใบไม้ ใครคะแนนมากกว่าเป็นผู้ชนะ
  • ไดโนเสาร์คอยาวของฝ่ายใดฝ่ายนึงถูกเจ้าทีเร็กซ์หมดก่อน ฝ่ายที่ยังเหลืออยู่เป็นฝ่ายชนะ
  • เหลือโทเคนใบไม้อยู่ แต่ไม่มีตัวไหนสามารถเดินไปกินได้แล้ว เพราะกติการการเดินต้องเดินสุดทางมันก็มีโอกาสที่เมื่อเหลือโทเคนใบไม้แค่ 1-2 ใบ แล้วจะไม่สามารถเดินไปกินได้ ก็จบเกม และนับคะแนนฝ่ายไหนคะแนนมากกว่าเป็นฝ่ายชนะ

เด็กได้อะไรจาก บอร์ดเกม Jurassic Snack

  • การวางแผน เพื่อให้การเดินของตัวเองได้เปรียบ และการบล็อคเส้นทางเดินฝ่ายตรงข้าม
  • เรียนรู้กฏกติกา เรียนรู้การแพ้ชนะ
  • เป็นเกมที่เหมาะกับการเริ่มต้นเล่นบอร์ดเกม สำหรับเด็กเล็กและคนหัดใหม่
  • สร้างจินตนาการ และอย่าให้หยุดแค่ตรงนั้น
    1. ตั้งคำถามจากเกม เช่น ไดโนเสาร์พันธุ์อะไร, เกิดยุคไหน, Jurassic คืออะไร เป็นต้น เพื่อเสริมให้เกิดความอยากรู้ และเมื่อลูกมีคำถามอย่าจบแค่ที่คำตอบ ต่อยอดไปเรื่อยๆ
    2. จากนั้นก็ชวนไปทำอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกันต่อ เช่น วางสมุดบันทึกไว้ใกล้ๆทุกครั้งที่เล่นเกมเผื่อเขาจะจดบันทึกอะไร, วาดรูปไดโนเสาร์, อ่านหนังสือไดโนเสาร์, ปั้นดินน้ำมัน และอื่นๆ

 

ขอให้สนุกสนานและเรียนรู้ไปพร้อมกับลูกๆ ครับ เมื่อลูกมีคำถามอย่าจบแค่ที่คำตอบและเมื่อเล่นเกมก็อย่าจบแค่ความสนุก


ชวนลูกเล่นบอร์ดเกมนอกจากได้ความสนุกสนาน ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวแล้ว ยังช่วยให้เกิด Power BQ หลายด้านทั้งความฉลาดจากการเล่น Play Quotient (PQ)  ความฉลาดทางสติปัญญา Intelligenct Quotient (IQ) และ Thinking Quotient (TQ) ฉลาดคิดเป็น ผ่านการคิดวางแผนเพื่อให้การเดินของตัวเองได้เปรียบ และการบล็อคเส้นทางเดินฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังช่วยสร้างจินตนาการให้ลูกมี Creativity Quotient (CQ) ด้วยการตั้งคำถามจากเกม รวมถึงต่อยอดชวนลูกไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดอีกด้วย


>>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แนะนำ 4 “บอร์ดเกม” ฝึกลูกสมองไว ไหวพริบดี โดย พ่อเอก

เทคนิคดี สอนให้ลูกคิดเอง หาวิธีแก้ปัญหาเองได้ โดยพ่อเอก

 

เนื้องอกรังไข่

สังเกตให้ดี เนื้องอกรังไข่ อาการเป็นยังไง? ผู้หญิงทุกวัยเสี่ยงเป็นได้!

หมอออกมาโพสต์เตือน! แม่ๆ สังเกตตัวเองและลูกสาวให้ดี หากมีน้ำหนักขึ้น แถมมีอาการปวดท้องหน่วง “อย่าคิดว่าอ้วน” รีบไปโรงพยาบาลตรวจเช็ก อาจเสี่ยงเป็น เนื้องอกรังไข่

หมอเตือน! ลูกน้ำหนักขึ้น “อย่าคิดว่าอ้วน”
หลังพบ เนื้องอกรังไข่ ในด.ญ. อายุ 12 ปี

โดยปกติแล้ว เนื้องอกรังไข่ จะไม่มีอาการ เป็นได้ทั้งก้อนเล็ก ก้อนใหญ่ และไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่ชัดเจน ซึ่งเกิดได้ทั้งในผู้หญิงที่แต่งงานแล้วและยังไม่แต่งงาน รวมไปถึงสามารถเกิดได้กับผู้หญิงทุกคนทุกวัย โดยเฉพาะหญิงวัยเจริญพันธุ์ เช่นเดียวกับเด็กหญิงวัย 12 ขวบ คนนี้ที่น้ำหนักขึ้น และแม่คิดว่าลูกอ้วน แต่สุดท้ายตรวจพบเนื้องอกรังไข่ ขนาดใหญ่ถึง 60 ซม.

โดยเรื่องเรื่องนี้ นพ.ณัฏฐ์ เกียรติอภิวสุ สูตินรีแพทย์ รพ.เจ้าพระยายมราช จ.สุพรรณบุรี ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Nath Kaitaphiwasu ระบุว่า…

“Staff Day 597 : บางทีคุณอาจจะไม่ใช่คนอ้วนก็ได้นะ” ในวันที่ยุค Healthy Boom แบบนี้ Fitness Trainner อาหารเสริม กับการออกกำลังกายก็มาพร้อมๆ กัน กับการลดน้ำหนัก  แต่อย่างที่ผมบอก อย่าคิดว่าการที่เราอ้วน เป็นเพราะน้ำหนักขึ้นอย่างเดียวนะครับ หลังจากกลับจาก Vacation trip ยาวๆ ผมกลับมาพร้อมสู้ กับงานหนักๆ ที่รออยู่เบื้องหน้าแล้วครับ แล้ววันนี้ก็ได้พบงานหนัก ที่หนักจริงๆ เข้าแล้ว

น้องอายุ 12 ขวบ ถูกส่งตัวมาจาก โรงพยาบาลชุมชน ว่ามีอาการปวดท้องรุนแรง เฉียบพลัน หาสาเหตุไม่ได้ น้องแพทย์ที่โรงพยาบาลชุมชน โทรมาปรึกษาเคส แล้วขอส่งตัวน้องมาหาผม ให้ผมช่วยประเมินให้ทีเพราะอาการดูไม่สู้ดีนัก เด็กหญิงตัวน้อยๆ ถูกส่งตัวถึงผมทันเวลา เด็กน้อยที่เป็นสุดที่รักที่สุดของบ้าน

วันนี้ผมต้องแบกความหวังและความรู้สึกของคุณพ่อและคุณแม่ไว้อย่างเต็มที่ ผมส่งตัวน้องเข้าไปอุโมงค์ (CT Scan ) พบ เนื้องอกรังไข่ Ovarian Tumor ราว 60 เซนติเมตร มาถึงตรงนี้ หลายคนคงกำลังคิดอยู่ใช่มั้ยว่าเป็นไปได้หรอ คุณแม่จับมือผม พร้อมแววตาที่เปี่ยมไปด้วยการฝากความหวังว่าหมอจะสามารถช่วยได้ คุณแม่บอกผม ลูกบ่นมาหลายเดือนแล้วว่าปวดหน่วงท้อง  และรู้สึกว่าน้ำหนักขึ้น แต่คุณแม่ก็ไม่ทันเอ๊ะใจคิดว่าอ้วนแค่นั้น หนึ่งชั่วโมงต่อมา ผมเข้าทำการผ่าตัด ก้อนเนื้องอกรังไข่ออกมา โดยไม่แตก น้องสูญเสียเลือดจากการผ่าตัดแค่ 20 มิลลิตร ปริมาณน้ำในก้อน 18,000 มิลลิลิตร ก้อนบิดเกลียว 1 รอบ

ทุกคนสามารถช่วยเด็กสาวตัวน้อยๆ ไว้ได้ พร้อมกับ เนื้องอกรังไข่ที่เป็นต้นเหตุเรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ เรื่องราวดีๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่ได้ทีมของโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชสุพรรณบุรีที่ช่วยกัน เรื่องราวทั้งหมดได้ขออนุญาติน้อง และคุณแม่แล้ว เพื่อบอกและส่งต่อเรื่องราวผ่านใครอีกหลายคนในโลกนี้ ที่กลัวการไปหาหมอ การตรวจร่างกาย หรือการตรวจภายในประจำปี เพราะคุณ อาจจะไม่ใช่แค่คนอ้วน ก็เป็นได้

 

เนื้องอกรังไข่

เนื้องอกรังไข่ เกิดจากอะไร

เนื้องอกรังไข่อาจจะดูเหมือนเป็นโรคธรรมดาแต่สำหรับผู้หญิงแล้วไม่ควรมองข้ามโรคนี้ เนื่องจากปัจจุบันพบผู้ป่วยด้วยโรคเนื้องอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับเนื้องอกในรังไข่ แบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ

1.ชนิดที่เป็นถุงน้ำ หรือซีสต์ (Cyst) เป็นเนื้องอกที่มีลักษณะเป็นถุง ภายในมีของเหลว น้ำ เนื้อเยื่อต่างๆ

2.เนื้องอกธรรมดา หรือ Benign เป็นก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นในรังไข่ แต่ไม่ใช่เนื้อร้ายหรือมะเร็ง

3.เนื้องอกที่เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง เรียกว่า Malignant เนื้องอกชนิดนี้ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นมะเร็งรังไข่ มีความเสี่ยงที่จะทำให้อาการรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นเสียชีวิตได้หากเป็นในระยะที่ลุกลามแล้ว

เนื้องอกรังไข่

อาการของเนื้องอกรังไข่ชนิดไม่ร้ายแรง

สำหรับข้อสังเกตของ เนื้องอกรังไข่ อาการ ที่ไม่ร้ายแรง จะมีสัญญาณ คือ มีความผิดปกติของประจำเดือน ปัสสาวะบ่อยขึ้น เนื่องจากเนื้องอกอาจไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ มีลักษณะ ท้องโตขึ้น เหมือนอ้วน

รวมไปถึงอาจ ท้องอืด เบื่ออาหาร หรือท้องผูก เนื่องจากเนื้องอกอาจไปกดเบียดลำไส้ และปวดท้องเฉียบพลัน ซึ่งอาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อน เมื่อเนื้องอกมีขนาดใหญ่ขึ้นเกิดการแกว่งตัวบิดขั้ว แตกออก เกิดการตกเลือด ติดเชื้อ

แนวทางการรักษา เนื้องอกรังไข่

  • กรณีที่หมอตรวจวินิจฉัยแล้ว พบว่าเป็นเนื้องอกรังไข่ชนิดไม่ร้ายแรงจะรักษาด้วยยาและเฝ้าติดตามอาการว่าเนื้องอกยุบลงหรือโตขึ้น อาจจะนัดอัลตราซาวด์เป็นระยะ
  • แต่หากวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งรังไข่ แพทย์จะผ่าตัดเนื้อร้ายออกให้มากที่สุดและรักษาร่วมกับยาเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา
  • กรณีผ่าตัดสำหรับเนื้องอกรังไข่ชนิดธรรมดา โดยพิจารณาข้อบ่งชี้ คือ หากรักษาด้วยยาและติดตามการรักษาเป็นระยะแล้วก้อนไม่ยุบ โตขึ้นหรือมีภาวะแทรกซ้อนปวดเฉียบพลันจากการบิดขั้วของเนื้องอก มีการแตกของเนื้องอก มีเลือดออก แพทย์จะแนะนำให้ทำการผ่าตัด

อย่างไรก็ตามทางที่ดีแล้ว เมื่อพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น เช่น เรื่องของประจำเดือน การตกขาว อาการปวดท้องรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยๆ อย่าปล่อยทิ้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวคุณแม่เองหรือลูกสาว ควรรีบไปหาหมอตรวจและรักษาอย่างทันท่วงที เพราะเนื้องอกธรรมดาที่ไม่ใช่มะเร็งสามารถรักษาให้หายขาดได้ เช่นเดียวกับมะเร็งที่พบในระยะเริ่มแรกก็สามารถรักษาให้หายขาดได้เช่นเดียวกัน

เนื้องอกรังไข่

สำหรับเรื่อง เนื้องอกรังไข่ ที่เกิดขึ้นกับเด็กหญิงวัย 12 ปีนี้ ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ : Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ

 


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : www.facebook.com/nath.kaitaphiwasu.3www.phyathai.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

ผู้หญิงมีหนวดเสี่ยงถุงน้ำรังไข่หลายใบ เพิ่มโอกาสมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ มดลูกข้างซ้าย อันตรายหรือเปล่า

แจก!!พิกัด ตรวจภายใน ไม่เจ็บ..ไม่แพง ตรวจได้ทุกวัย

เลือดออกทางช่องคลอด ไม่ใช่เลือดประจำเดือน สัญญาณอันตรายที่ต้องไปหาหมอ!

 

KODOMO

แนะของดี..การันตีด้วยรางวัล! สุดยอดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวและผมของลูกน้อย แม่มือใหม่ห้ามพลาด

การอาบน้ำให้ลูกน้อย ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ค่อนข้างหนักใจ บ้างก็กลัวทำลูกหล่น กลัวลูกลื่นหลุดมือ กลัวน้ำเข้าหู ตา จมูกลูก รวมไปถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวและผมของลูกน้อย เพราะแม้ว่าลูกน้อยอาจไม่ได้ออกไปเผชิญกับมลภาวะและสิ่งสกปรกนอกบ้าน แต่บางครั้งตามร่างกายของลูกอาจจะมีคราบไขมัน เหงื่อไคลเล็กๆ น้อยๆ รวมไปถึงคราบสิ่งสกปรกของปัสสาวะ-อุจจาระ

หากปล่อยให้ลูกน้อยเผชิญกับสิ่งสกปรกเหล่านี้นานๆ ก็อาจทำให้ผิวอันบอบบาง เกิดอาการแพ้ง่าย ระคายเคืองหนักกว่าเดิม หรือบางครั้งก็อาจมีความแห้งกร้านร่วมอยู่ด้วยก็เป็นได้ แต่จะให้ใช้น้ำเปล่าหรือน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาดอย่างเดียวก็อาจจะไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่มือใหม่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ในการเลือกใช้แชมพูสบู่เหลวสำหรับอาบน้ำสระผมให้ลูกน้อย ซึ่งควรเป็นสูตรอ่อนโยน ใช้แล้วปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองผิว

KODOMO

วิธีเลือกแชมพูสบู่เหลวเพื่อลูกน้อย
อาบน้ำ-สระ สะอาดปลอดภัยไร้สารระคายเคือง

การเลือกแชมพูสบู่เหลวสำหรับเด็กทารกไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ง่ายซะทีเดียวสำหรับพ่อแม่มือใหม่ป้ายแดงที่ยังไม่มีความรู้ เพราะสภาพผิวของเด็กนั้นบอบบางมาก ๆ ต่างจากผิวของผู้ใหญ่อย่างสิ้นเชิง จึงจำเป็นที่ต้องพิถีพิถันในการคัดสรร ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวและผมของลูกน้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนผสม สารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ และกลิ่นของผลิตภัณฑ์ โดยมีหลักการเลือกแชมพูสบู่เหลวสำหรับทารก ที่พ่อแม่ควรรู้ ดังนี้

  1. ปราศจากสารเติมแต่ง ควรหลีกเลี่ยงแชมพูสบู่เหลวที่มีส่วนผสมของสารเคมีรุนแรงอย่าง สบู่ พาราเบน ซิลิโคน สี และแอลกอฮอล์ ซึ่งสารเหล่านี้สามารถทำให้ระคายเคืองหรือเป็นอันตรายต่อผิวของทารกได้
  2. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์สามารถทำให้ผิวของลูกน้อยระคายเคือง หรืออาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย
  3. อ่อนโยนต่อดวงตา ควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวและผม ที่ระบุด้วยว่าอ่อนโยนต่อดวงตาของลูกน้อยและต้องไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองตา
  4. ไม่ทำให้ผิวแห้ง เนื่องจากผิวของลูกน้อยจะปล่อยความชื้นได้ง่ายกว่าผิวของผู้ใหญ่ และปัญหาผิวที่เกิดขึ้นของทารกหลายคนนั้นมักจะเกิดจากการแห้งมากเกินไป คุณแม่จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนที่จะไม่ทำให้ผิวของทารกแห้ง

KODOMO

เพิ่มความมั่นใจ เลือกแชมพูสบู่เหลว ที่ดีปลอดภัย การันตีด้วยรางวัล!

เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ พร้อมเพิ่มความมั่นใจในการเลือกซื้อแชมพูสบู่เหลวสำหรับลูกน้อยที่มีคุณภาพดี ปลอดภัยไร้สารระคายเคือง แถมการันตีด้วยรางวัล KODOMO ถือเป็นแบรนด์ของใช้เด็กที่ได้รับความนิยมจากคุณพ่อคุณแม่มาหลายยุคหลายสมัย ด้วยคุณภาพที่ดีเยี่ยม โดยเฉพาะ KODOMO Head to Toe Wash แชมพูสบู่เหลวสามารถใช้ทำความสะอาดได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า อ่อนโยนไม่ทำร้ายผิวของลูกน้อย ซึ่งมีด้วยกัน 3 สูตร คือ

KODOMO

โคโดโม Head to Toe Wash สูตร Mild Original
นุ่ม…ชุ่มชื่นทั้งผิวและผมด้วยสารสกัดจากอีฟนิ่งพริมโรส”

อ่อนโยนด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ Evening Primrose Oil ดูแลผิวและผมของทารกให้นุ่มลื่นชุ่มชื่น เพิ่มความยืดหยุ่นให้น่าสัมผัสกว่าเดิม พร้อม Wheat Germ Extract หรือสารสกัดจากจมูกข้าวสาลี ให้คุณค่าบำรุงและปกป้องการสูญเสียน้ำจากผิวและผม

 

KODOMO

โคโดโม Head to Toe Wash สูตร Pink Hanabaki
นุ่มชุ่มชื่นทั้งผิวและผม ด้วยน้ำมันดอกซึบากิและอโลเวร่า

เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวและผมให้ลูกน้อยได้ในคราวเดียว ด้วยน้ำมันดอกซึบากิ และสารสกัดว่านหางจระเข้ ที่ช่วยลดการระคายเคืองผิว

 

KODOMO

โคโดโม Head to Toe Wash สูตร Oganiku
อ่อนโยนด้วยคุณค่าออร์แกนิคจากธรรมชาติ

ด้วยสารสกัด Organic Olive Oil คุณค่าออร์แกนิคจากธรรมชาติ อุดมด้วยวิตามินบี และวิตามินอี ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวและผมของลูกน้อย

 

สำหรับผลิตภัณฑ์แชมพูสบู่เหลว โคโดโม ทั้ง 3  สูตรนี้ สามารถใช้ได้กับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด เพราะปราศจากสารเติมแต่ง 5 ชนิด สบู่, พาราเบน, ซิลิโคน, สี และแอลกอฮอล์ ทำให้มั่นใจได้ว่าปลอดภัย ไม่มีสารเคมีตกค้าง อีกทั้งยังเป็นสูตร No Tears ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อดวงตา รับรองว่าไม่ทำให้ลูกน้อยระคายเคืองตาขณะอาบหรือสระผมแน่นอน และยังมีสารสกัดจากธรรมชาติ Hypoallergenic ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้และการระคายเคืองต่อผิวลูกน้อย จึงให้ความชุ่มชื้นกับผิวและผมของลูกน้อยได้เต็มที่

ที่สำคัญยังได้รับรางวัลการันตีจาก Amarin Baby & Kids Awards 2020 ในหมวด ผลิตภัณฑ์อาบน้ำแต่งตัว สาขา สบู่สำหรับอาบน้ำและสระผม EDITOR’S CHOICE : BEST HEAD TO TOE WASH ให้พ่อแม่มือใหม่มั่นใจได้เลยว่าโคโดโม Head to Toe Wash มีคุณภาพดี ใช้ทำความสะอาดทั้งผิวและผมของลูกน้อยได้อย่างสะอาดปลอดภัยไร้สารระคายเคืองแน่นอน เพราะผิวบอบบางของลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญที่คุณแม่ต้องดูแล การใช้เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวและผม สำหรับเด็ก ที่มั่นใจได้ว่าอ่อนโยน และปลอดภัยจริงช่วยดูแลให้ลูกน้อยมีสุขภาพผิวดี ห่างไกลจากอาการระคายเคืองต่างๆ ส่งผลต่อพัฒนาการให้พร้อมเติบโตอย่างสมวัย

หาซื้อแชมพูสบู่เหลวโคโดโม Head to Toe Wash  ทั้งได้ที่ห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำทั่วไป หรือติดตามโปรโมชั่นดีๆ ของผลิตภัณฑ์ โคโดโม ได้ที่ https://www.facebook.com/KodomoClub/

KODOMO

เล่นบทบาทสมมุติ

8 ไอเดีย เล่นบทบาทสมมุติ ผุดจินตนาการ สานฝันอนาคต

เล่นบทบาทสมมุติ – คุณพ่อคุณแม่อาจเคยได้เห็น เวลาที่ลูกๆ เล่นเป็นโจรสลัดหรือสายลับ หรือสร้างตัวละครของตนเองโดยใช้ตุ๊กตา หรือหุ่นเลโก้ ทราบหรือไม่คะ ว่าการเล่นแบบนี้ ถือเป็นการเปิดโลกแห่งจินตนาการของเด็กได้อย่างล้ำลึก ซึ่งส่งผลดีต่อพัฒนาการและสมองของเด็ก ๆ ต่อไปนี้เป็นวิธีที่สำคัญบางประการ ที่จะช่วยให้การเล่นตามจินตนาการ หรือการเล่นบทบาทสมมุติ เกิดประโยชน์เต็มที่สำหรับเด็ก ๆ

แต่ก่อนอื่นเรามาพูดถึงประโยชน์ที่เด็กๆ ได้รับจากการได้เล่นบทบาทสมมุติกันค่ะ

ประโยชน์ของการเล่นบทบาทสมมุติ

  • กระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์  พลังแห่งจินตนาการของเด็ก ๆ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ เวลา พื้นที่ และกำลังใจจากพ่อแม่ พวกเขาสามารถเป็นอะไรก็ได้ และไปได้ทุกที่ตามจินตนาการที่พวกเขาประกอบเป็นเรื่องราว มีการผจญภัยและมีการสร้างโลกของพวกเขาขึ้นมาเอง รวมถึงบทสนทนาและลำดับการเล่นอย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบที่บริสุทธิ์ที่สุด
  • ช่วยให้เด็ก ๆ สะท้อนสิ่งที่พวกเขาประสบในโลกรอบตัวและสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมใหม่ผ่านการเล่น เด็ก ๆ เข้าใจโลกและเลียนแบบปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่พวกเขาเห็นรอบตัวผ่านการเล่นบทบาทสมมุติกับเพื่อนพี่น้องพ่อแม่และแม้แต่ตุ๊กตา เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมสำหรับเด็ก ๆ ในการฝึกฝนทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • ช่วยส่งเสริมความร่วมมือและการแก้ไขความขัดแย้ง หากลูกของคุณและเพื่อนๆ ของพวกเขา ต้องการเป็นเจ้าหญิงคนเดียวกันเมื่อพวกเขาเล่นพวกเขาอาจตัดสินใจที่จะผลัดกันเป็นเจ้าหญิง หรือลูกของคุณอาจเรียนรู้ที่จะเล่นเกมที่พี่ชายของพวกเขาต้องการเล่นเพื่อแลกกับคำสัญญาว่าพวกเขาจะเล่นเกมของพวกเขาในครั้งต่อไป
เล่นบทบาทสมมุติ
เล่นบทบาทสมมุติ

เคล็ดลับบางประการเกี่ยวกับการเล่นบทบาทสมมุติ

  • ปล่อยให้เด็กเล่นคนเดียวกับเพื่อนหรือกับคุณ เมื่อเด็ก ๆ เล่นคนเดียวพวกเขาสามารถสร้างเกมของตัวเองและปล่อยให้จินตนาการเป็นตัวกำนหนด เมื่อพวกเขาเล่นกับคุณหรือกับเพื่อนๆ พวกเขาจะได้พัฒนาทักษะทางสังคมและอารมณ์ในขณะที่พวกเขาใช้จินตนาการ ซึ่งทั้งสองทักษะเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิตต่อไปในอนาคตของพวกเขา
  • ให้พวกเขาเป็นผู้นำ เมื่อคุณเล่นกับลูก ๆ พยายามอย่าให้คำแนะนำในการเล่นกับพวกเขา หากพวกเขาขอความช่วยเหลือความคิดเห็น ค่อยแนะนำได้ ตามสมควร แต่ทางที่ดีควรให้ลูกเป็นผู้นำในการเล่นเพื่อกระตุ้นทักษะการคิดและจินตนาการให้ลูก
  • แนะนำลูกเมื่อไม่ทำตามคำแนะนำ หาของเล่นแบบใหม่ ๆ ที่มีความสร้างสรรค์ให้ลูกเล่น แน่นอนว่าการสร้างรถบรรทุกหรือตึกสูง ที่มีคู่มือการเล่นเป็นเรื่องสนุก แต่ถ้าเทียบกับการเล่นที่เด็ก ๆ ได้ตัดสินใจที่จะผสมผสานชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อออกแบบและสถานการณ์ของตัวเองด้วย จะเป็นสิ่งที่ส่งผลดีต่อพัฒนาการของลูกมากกว่า ให้ลูกของคุณรู้ว่าคุณส่งเสริมและสนับสนุนให้พวกเขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์

8 ไอเดีย เล่นบทบาทสมมุติ ผุดจินตนาการ สานฝันอนาคต

1. แค่มีกล่องกระดาษแข็ง จะเล่นอะไรก็ย่อมได้

ผู้ปกครองรู้ดีว่าเด็ก ๆ ไม่ต้องการของเล่นราคาแพงเพื่อความสนุกสนานและหนึ่งในของเล่นสุดโปรดที่เด็ก ๆ ชื่นชอบและใช้บ่อยที่สุดก็ คือ กล่องกระดาษแข็ง หรือกล่องพัสดุธรรมดาๆ นี่แหละค่ะ ด้วยสิ่งนี้พวกเขาสามารถสร้างอะไรก็ได้ตามจินตนาการของพวกเขา ตั้งแต่เรือ จรวดไ ปจนถึงรถยนต์ หรือแม้แต่เรือโจรสลัดที่แล่นในมหาสมุทร และแสร้งทำเป็นว่ามีการผจญภัยและความตื่นเต้นมากมายในกล่องของพวกเขา

2. หนังสนุก ๆ ที่กำกับและเขียนบทโดยลูกของคุณ

นี่เป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยมมากที่จะทำให้บุตรหลานของคุณเพลิดเพลินไปกับชั่วโมงแห่งจินตนาการ ลองใช้โทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อถ่ายภาพหรือวิดีโอฉากแอ็คชั่น แอปพลิเคชันบางตัว อนุญาตให้คุณรวมรูปภาพต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อสร้างเป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่น หรือสต็อปโมชัน และลูกของคุณสามารถทำให้ดูเหมือนว่าไอรอนแมนหรือเจ้าหญิงดิสนีย์กำลังเดินข้ามห้องหรือต่อสู้กับผู้ร้าย หรือมีเด็กผู้หญิงกำลังขับรถของเล่น หรืออย่างอื่นที่ลูกคุณคิดจินตนาการได้

กิจกรรมนี้ไม่เพียง แต่กระตุ้นให้เด็ก ๆ ใส่ใจในรายละเอียดและอดทน แต่ยังช่วยให้จินตนาการของพวกเขามีชีวิตขึ้นมาอีกด้วย นอกจากนี้เด็ก ๆ จะชอบสร้างภาพยนตร์เล็ก ๆ น้อย ๆ โดยใช้ของเล่นของพวกเขาและจะชอบอวดผลงานของพวกเขาในการ “ฉายภาพยนตร์” ในช่วงเวลาของการนั่งดูหนังพร้อมกันของครอบครัว

3. เล่นแต่งตัวดูสิ!

ใครจะรู้ว่าอะไรง่ายๆอย่างการแต่งตัวและการมีปาร์ตี้น้ำชาที่แสร้งทำเป็น สามารถให้ประโยชน์มากมายกับเด็ก ๆ เมื่อคุณมอบกล่องเครื่องประดับง่ายๆให้บุตรหลานของคุณเช่นหมวกมงกุฏพลาสติก และชุดฮาโลวีนเก่า ๆ พวกเขาจะกลายเป็นใครก็ได้ที่พวกเขานึกถึงตั้งแต่เจ้าหญิงที่จัดงานเลี้ยงน้ำชาไปจนถึงโจรสลัดที่ดีที่ให้ความร่ำรวยแทนการรับไป พวกเขาสามารถใช้จินตนาการเพื่อสร้างเรื่องราวว่าพวกเขาเป็นใครและพวกเขากำลังผจญภัยอะไรอยู่และสร้างตัวละครอื่น ๆ สำหรับสถานการณ์ที่แกล้งทำเป็น

และเมื่อผู้ปกครองเข้าร่วมสนุกก็มีข่าวดีมากขึ้น: การวิจัยพบว่าเด็กที่พ่อแม่เล่นกับพวกเขามีแนวโน้มที่จะมีความสุขและมีโอกาสน้อยที่จะรู้สึกวิตกกังวลหรือซึมเศร้า

เล่นบทบาทสมมุติ

4. ป้อมปราการหรรษา

เด็ก ๆ ทุกคนจำเป็นต้องสร้างป้อมซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นกิจกรรมที่คนทั่วไปชื่นชอบซึ่งเด็ก ๆ ทุกคนมักจะชอบทำนั่นคือผ้าห่มหรือผ้าปูที่นอนและเก้าอี้บางตัว แค่นั้นแหละ. ด้วยเหตุนี้เด็ก ๆ จึงสามารถแสร้งทำเป็นว่าพวกเขากำลังปกป้องปราสาทจากผู้รุกรานซ่อนตัวจากสายลับของศัตรูหรือตั้งแคมป์ในถิ่นทุรกันดาร

และเนื่องจากเด็ก ๆ มักจะอยากอยู่ในป้อมของพวกเขาเกือบทั้งวันคุณอาจต้องให้ของว่างหรือแซนวิชแก่พวกเขาในขณะที่พวกเขาหมกมุ่นอยู่ในความปลอดภัยของป้อมปราการแห่งความสนุก

5.เข้าครัวกันดีกว่า!

อีกสิ่งหนึ่งที่เด็ก ๆ ชอบทำคือการทำอาหารจานพิเศษในห้องครัวเล่น เด็ก ๆ ในวัยเรียนชอบเล่นร้านอาหารโดยรับบทเป็นบริกรรับออร์เดอร์ทำอาหารอร่อย ๆ ในครัวจากนั้นให้บริการลูกค้า และส่วนที่ดีที่สุดของการเล่นในครัวกับเด็กโตก็คือพวกเขามักจะช่วยทำอาหารและทำขนมจริงๆได้โดยทำงานต่างๆเช่นช่วยวัดและผสมส่วนผสมเพื่ออบอะไรบางอย่างหรือฉีกใบผักกาดหอมหรือล้างมะเขือเทศเชอร์รี่เพื่อทำสลัด

6. คุณหมอและพ่อครัวมือหนึ่ง!

แม้เด็ก ๆ อาจกลัวการไปหาคุณหมอฉีดวัคซีน แต่พวกเขาก็ชอบที่จะเล่นบทบาทคุณหมอ ตรวจสุขภาพตุ๊กตาทุกตัวในบ้าน อาจให้ ลูกๆ รวมตุ๊กตาสัตว์ให้เป็นลูกค้าในร้านอาหาร เมื่อลูกสวมบาทบาทเป็นพ่อครัวมือหนึ่งและเจ้าของร้านอาหาร

การเล่นกับตุ๊กตาต่างๆ มักสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่เด็ก ๆ หยิบยกขึ้นมาเพื่อการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้คนรอบข้างและสิ่งที่พวกเขาสังเกตเห็นในความสัมพันธ์ของผู้คนที่พวกเขารู้จัก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือหากคุณส่งเสริมความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจในบุตรหลานของคุณ คุณอาจเห็นว่าพวกเขาเป็นคุณหมอที่เอาใจใส่คนไข้หรือเป็นพ่อครัวที่ต้องการเอาใจคนที่พวกเขาให้อาหารด้วย อาหารที่ดีอร่อยและต่อสุขภาพ

ของเล่นทั่วไปเช่นเล่นสเตโธสโคปหรือไฟฉายขนาดเล็กและไม้ไอติมสามารถช่วยให้เด็ก ๆ ตรวจร่างกายของเล่นยัดไส้ได้ เล่นอาหารหม้อและกระทะของเล่นหรือห้องครัวของเล่นสามารถกระตุ้นให้เด็ก ๆ ทำอาหารแกล้งทำเป็นมื้อใหญ่ได้ หรือบุตรหลานของคุณอาจเลือกที่จะวางของเล่นยัดไส้ไว้ที่เตียงและอ่านนิทานก่อนนอน ไม่ว่าพวกเขาจะแสร้งทำอะไรมันก็น่าจะสะท้อนถึงชีวิตและประสบการณ์ของพวกเขาเอง

เล่นบทบาทสมมุติ

7. มหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษยชาติในบ้านคุณ

ออกกำลังกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการเล่นเชิงจินตนาการด้วยการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในร่ม คุณสามารถเข้าแถวรถของเล่นเพื่อสร้างเลนสำหรับแข่งรถหรือจัดการแข่งขัน / กิจกรรมอื่น ๆ เช่นกำหนดเวลาที่ “นักกีฬา” แต่ละคนสามารถสวมหมวกและเครื่องแต่งกายทั้งหมดในกล่องเสื้อผ้าสำหรับแต่งตัวหรือเดินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในขณะที่ถือ ช้อนที่วางไข่ต้ม

8. มาเล่นหุ่นนิ้วกันเถอะ!

ให้บุตรหลานของคุณสร้างเรื่องราวและบทและตัวละครและใช้หุ่นนิ้วเพื่อเล่น พวกเขาสามารถทำร่วมกับเพื่อนหรือพี่น้องหรือคุณเพื่อสร้างทิวทัศน์ของพวกเขาเองเพื่อทำให้เรื่องราวมีชีวิตขึ้นมาและแสดงให้ผู้ชมเมื่อพวกเขาทำ พวกเขายังสามารถเลือกเพลงหรือดีกว่านั้นก็แต่งเพลงเองไปเลย!

การเล่นบทบาทสมมุติ นอกจากจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้กับลูกแล้ว ยังเป็นการเสริมทักษะความฉลาดที่สำคัญสำหรับเด็กยุคใหม่ในด้านต่างๆได้อีกมากมาย ทั้ง ความฉลาดที่เกิดจากการเล่น(PQ), ความฉลาดในการริเริ่มสร้างสรรค์(CQ), ความฉลาดในการเข้าสังคม(SQ) , ความฉลาดทางคุณธรรม(MQ)นอกจากนี้การเล่นบทบาทสมมุติ ยังช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นถึงความถนัดในทักษะเฉพาะทาง ที่เป็นเหมือนพรสวรรค์ของลูกได้ด้วยเช่นกันค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เล่นอะไรให้ลูกฉลาด หมอแนะ! วิธีเล่นกับลูกตั้งแต่แรกเกิด – 5 ปี

10 ประโยชน์จาก ของเล่นทำอาหาร และการเล่นบทบาทสมมุติ

4 ข้อควรคำนึง เล่นกับลูก ให้สนุก-ปลอดภัย ช่วยลูกมีพัฒนาการที่ดีได้

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ทำความเข้าใจภาวะ โรคจิตหลังคลอด เรื่องที่แม่หลังคลอดควรรู้!

โรคจิตหลังคลอด – การให้กำเนิดมนุษย์ตัวน้อยเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของคนเป็นพ่อแม่ แต่บางครั้งช่วงเวลาหลังจากที่คุณแม่ให้กำเนิดลูกน้อยอาจมีความผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นต่อสุขภาพจิตของคุณแม่ได้อย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะแม่มือใหม่ทั้งหลายอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอด แต่ โรคที่เราจะพูดถึงวันนี้ส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่าภาวะซึมเศร้าหลังคลอด นั่นคือ “โรคจิตหลังคลอด” แม้ว่าโรคนี้อาจพบได้ไม่บ่อยเมื่อเทียบกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอด แต่ก็เป็นความผิดปกติของอารมณ์หลังคลอดที่คุณแม่ใหม่และทุกคนในครอบครัวควรตระหนักถึงค่ะ

โรคจิตหลังคลอดไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย แต่เมื่อเป็นแล้ว อาการจะค่อนข้างรุนแรง และต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ในทันที โชคดีที่โรคจิตหลังคลอดสามารถรักษาได้ และคุณแม่ส่วนใหญ่ที่อยู่ในความดูแลของแพทย์จะมีสุขภาพที่ดีและสามารถทำหน้าที่แม่ได้ตามปกติ

ทำความเข้าใจภาวะ โรคจิตหลังคลอด เรื่องที่แม่หลังคลอดควรรู้!

โรคจิตหลังคลอด (Postpartum psychosis) คืออะไร?

โรคจิตหลังคลอด เป็นความผิดปกติของอารมณ์หลังคลอดที่รุนแรง อาการมักเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันหลังคลอด และคล้ายกับอาการของโรคไบโพลาร์และโรคจิตเภท ผู้ป่วยทอาจมีอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงแว่ว เห็นภาพหลอน รู้สึกสับสน และมีความคิดที่รบกวนจิตใจ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อตัวเองและลูกน้อยได้

โรคจิตหลังคลอดเกิดขึ้นได้บ่อยไหม?

ต่างจากความผิดปกติของอารมณ์หลังคลอดอื่น ๆ เนื่องจากโรคจิตหลังคลอดพบได้ไม่บ่อย กล่าวคือ ขณะที่ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดส่งผลกระทบต่อคุณแม่มือใหม่มากถึง 1 ใน 8 คน แต่โรคจิตหลังคลอดจะส่งผลกระทบต่อคุณแม่หลังคลอดได้ประมาณ 1 ถึง 2 คน จากทุกๆ 1,000 คน คุณแม่บางคนมีอาการภายใน 48-72 ชั่วโมงหลังคลอด และส่วนใหญ่จะพบอาการภายในสองสัปดาห์แรกหลังการคลอดบุตร

โรคจิตหลังคลอด กับความผิดปกติของอารมณ์หลังคลอดอื่น ๆ

จริงๆ แล้วเป็นเรื่องปกติ ที่คุณแม่จะมีความรู้สึกทางอารมณ์ที่แปรปรวนหลังจากการมีลูก หลายคนอาจสงสัยว่าประสบการณ์หลังคลอดที่ปกติเป็นอย่างไร ตัวเองมีความเสียงต่ออาการที่ผิดปกติไหม และจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างความผิดปกติของอารมณ์หลังคลอดที่รุนแรงกว่า เช่น ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดและโรคจิตหลังคลอดอย่างไร เพราะแม้แต่อารมณ์ที่รุนแรงบางอย่างก็อาจเป็นเรื่องปกติได้ ตราบใดที่คุณแม่สามารถจัดการได้ และไม่รบกวนความสามารถในการดูแลลูกน้อย และตัวคุณเอง แต่บางครั้งสุขภาพจิตของคุณอาจทุกข์ทรมานอย่างมากในช่วงหลังคลอด จากภาวะต่างๆ ต่อไปนี้

  • ภาวะเบบี้บลูส์                                                                                                                                                                                                                   “ เบบี้บลูส์” เป็นสิ่งที่คุณแม่เกือบทุกคนต้องเคยประสบมาบ้าง จากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน การอดนอนและความเครียดที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนบทบาทใหม่ของแม่ “เบบี้บลูส์” มีลักษณะของความรู้สึกอารมณ์ที่เพิ่มสูงขึ้น รู้สึก “ร้องไห้” วิตกกังวล และโดยทั่วไปมักจะหงุดหงิด คุณแม่มือใหม่ 50-85% สัมผัสประสบการณ์ “เบบี้บลูส์” ตราบใดที่ผ่านพ้น 2 สัปดาห์แรกของการคลอดและไม่รบกวนความสามารถในการทำงานของคุณในแต่ละวัน ภาวะนี้ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
  • ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
    ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด แตกต่างจาก “เบบี้บลูส์” เนื่องจากสามารถเกิดขึ้นได้ใน 2 สัปดาห์ หลังจากคลอดบุตร โดยผู้ป่วยจะมีลักษณะของอารมณ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นกว่าปกติ อาจทำงาน ดูแลตัวเอง หรือลูกน้อยได้ยาก ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเป็นเรื่องปกติที่พบได้มากถึง 1 ใน 8 คน อาการหลัก ได้แก่ ซึมเศร้า วิตกกังวล นอนไม่หลับ มีความรู้สึกผิด รู้สึกมึนงง และรู้สึกราวกับว่าคุณเป็นแม่ที่ไม่ดี หรือไม่สามารถดูแลลูกน้อยของคุณได้
โรคจิตหลังคลอด
ภาวะโรคจิตหลังคลอด

 ความแตกต่างระหว่างภาวะซึมเศร้าหลังคลอดและโรคจิตหลังคลอด

ทั้งภาวะซึมเศร้าหลังคลอดและโรคจิตหลังคลอด ถือเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่ร้ายแรง ผู้ป่วยที่มีภาวะซึมเศร้าหลังคลอดอาจมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายและความคิดที่จะทำร้ายลูกน้อย คุณแม่ที่กำลังประสบปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างฉุกเฉิน

อย่างไรก็ตามภาวะซึมเศร้าหลังคลอดอาจแตกต่างจากโรคจิตหลังคลอด เพราะบางครั้งอาจไม่ถือเป็นภาวะฉุกเฉินเสมอไป ในขณะที่การรักษาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณแม่ที่มีอาการซึมเศร้าหลังคลอดแต่กรณีส่วนใหญ่สามารถจัดการได้ไม่ยากสำหรับผู้ป่วยนอก

แต่ในทางกลับกัน โรคจิตหลังคลอด ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการคลุ้มคลั่ง และหลงผิด ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตัวเองหรือลูกน้อยได้ คุณแม่ที่ป่วยเป็นโรคจิตหลังคลอดจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาตรวจรักษาอย่างจริงจังและต้องได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที

อาการของ โรคจิตหลังคลอด 

อาการของโรคจิตหลังคลอดมักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และอาจรบกวนทั้งตัวเอง และคนรอบข้าง โดยปกติแล้วอาการของโรคจิตหลังคลอดจะปรากฏภายในสองสัปดาห์แรกหลังคลอดบุตรและในบางรายอาจปรากฏได้ภายในสองสามวันแรกหลังการคลอด

สัญญาณเริ่มต้นของโรคจิตหลังคลอดอาจรวมถึงการรู้สึกกระสับกระส่าย และนอนไม่หลับ ซึ่งในไม่ช้าอาการที่คล้ายกับไบโพลาร์จะปรากฏขึ้น : ผู้ป่วยจะมีอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง เห็นภาพหลอน หลงผิด และมีพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือคาดไม่ถึง

แม่ที่เป็นโรคจิตในระยะหลังคลอดอาจมีความคิดฆ่าตัวตายได้อย่างฉับพลันหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โรคจิตหลังคลอด ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษา

สัญญาณเตือน และอาการของโรคจิตหลังคลอด

  • รู้สึกอิ่มเอมใจ หรือมีความสุขอย่างมาก
  • มีช่วงเวลาที่รู้สึกไม่อยากรับรู้อะไร รู้สึกซึมเศร้า ร้องไห้บ่อยครั้ง
  • ความรู้สึกวิตกกังวล
  • รู้สึกหงุดหงิดฉุนเฉียว
  • อารมณ์แกว่งไปมาอย่างรวดเร็ว จากอารมณ์หนึ่งไปสู่อีกอารมณ์หนึ่ง
  • กระวนกระวายใจได้ง่ายมาก
  • รู้สึกกระสับกระส่าย สับสน
  • ช่างพูด เป็นพิเศษ
  • มีช่วงเวลาที่ดูเหมือนเข้าสังคมมากกว่าปกติ ตามด้วยช่วงเวลาของการถอนตัวจากสังคมอย่างสิ้นเชิง
  • มีปัญหานอนไม่หลับเรื้อรัง
  • หวาดระแวง
  • สูญเสียความยับยั้งชั่งใจ
  • หลงผิด อาจเชื่อในสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลหรือไม่เป็นความจริง
  • เห็นภาพหลอน : อาจเห็นสิ่งต่างๆที่ไม่มีอยู่จริง รวมถึงเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน
  • ไม่สามารถดูแลตัวเองหรือลูกน้อยได้

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เอาการของโรคจิตในระยะหลังคลอดทรุดหนัก เนื่องจาก บ่อยครั้งที่ผู้ที่ประสบกับอาการเหล่านี้ไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขากำลังป่วยอยู่ ด้วยเหตุนี้ การดูแลคุณแม่ที่มีอาการเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ และควรรีบพาไปพบแพทย์

โรคจิตหลังคลอด

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคจิตหลังคลอด

หากคุณป่วยด้วยโรคจิตหลังคลอด อย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องโชคร้ายที่เกิดขึ้นกับคุณ และไม่ควรรู้สึกผิดกับตัวเอง ภาวะสุขภาพจิตหลายอย่างถูกปกปิดไว้ด้วยความกังวลไม่กล้าบอกให้ใครรู้ซึ่งอาจทำให้อาการหนักขึ้น โดยสาเหตุของการเกิดโรคจิตหลังคลอดมักมีมากกว่าหนึ่งอย่างในเวลาเดียวกัน

ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อย

  • เคยมีประวัติการป่วยโรคอารมณ์สองขั้ว หรือโรคจิตเภทอื่นๆ
  • มีญาติใกล้ชิดที่เคยป่วยด้วยโรคจิตหลังคลอดมาก่อน
  • มีการใช้ยาบางชนิดที่มีผลกระทบระหว่างตั้งครรภ์
  • มีภาวะแทรกซ้อนหรือปัญหารุนแรง ระหว่างการคลอดบุตร ส่งผลให้ทารกที่คลอดออกมาเสียชีวิต

ปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจมีผลต่อความเสี่ยงของคุณในการเป็นโรคจิตเภทอาจรวมถึงปัจจัยทางพันธุกรรมประวัติครอบครัว ความไม่สมดุลของฮอร์โมนและการอดนอน

การรักษาโรคจิตหลังคลอด

การได้รับการรักษาโรคจิตหลังคลอดอาจเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก หากอาการหนักคุณอาจต้องถูกนำตัวส่งห้องฉุกเฉินอย่างกระทันหันโดยไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก คุณอาจถูกแยกออกจากลูกน้อยของคุณ และต้องเข้ารับการทดสอบและการวินิจฉัยอาการ ที่อาจดูน่าวิตก ประสบการณ์ในการได้รับการรักษาโรคจิตหลังคลอดดอาจกระทบกระเทือนจิตใจและความรู้สึกของคุณ แต่สิ่งสำคัญ คือต้องเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่และผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่ดูแลคุณ ต้องการช่วยเหลือคุณ พวกเขาต้องการที่จะปฏิบัติต่อคุณและปกป้องคุณเพื่อให้คุณหายเป็นปกติ และกลับมาทำหน้าที่แม่ที่ดีของลูกน้อยได้เหมือนเดิมอย่างเร็วที่สุด

การได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิต หรือโรคจิตหลังคลอด อาจเป็นเรื่องที่ดูน่าวิตก แต่การรักษาโรคนี้ มักประสบความสำเร็จ หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นโรคจิตหลังคลอด ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการปรับความเสถียรของจิตใจเพื่อที่จะไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองหรือทารก การพักรักษาตัวในโรงพยาบาลอาจมีความยาวแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความรุนแรงของโรค บางครั้งคุณอาจได้รับอนุญาตให้อยู่ในห้องกับลูกน้อยของคุณ ในบางครั้งคุณอาจไม่ทำเช่นนั้น

  • การรักษาด้วยยา และการช็อตไฟฟ้า

ผู้ป่วยโรคจิตหลังคลอดต้องเข้าสู่แผนการรักษาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยา หรืออาจได้รับการพิจารณารับการรักษาด้วยวิธี ช็อตไฟฟ้า (Electroconvulsive therapy) หรือ ECT โดยใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความเข้มข้นต่ำผ่านสมองเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยเกิดอาการชัก ซึ่งจะส่งผลให้อาการทางจิตดีขึ้น

  • บำบัดอาการด้วยการพบนักจิตวิทยา

ไม่ว่าคุณจะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือไม่ก็ตาม คุณจะต้องได้รับการประเมินทางจิต จากนักจิตวิทยา

  • การรักษาระหว่างการให้นมบุตร

หากคุณเป็นแม่ที่ให้นมบุตร คุณอาจกังวลเกี่ยวกับการใช้ยา ยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคจิตเภท อาจไม่ส่งผลกระทบกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และยาบางชนิดก็อาจเป็นอันตราย อาจแจ้งความจำนงขอยาที่เป็นมิตรกับนมแม่ถ้าเป็นไปได้ คุณสามารถปรึกษาที่ปรึกษาด้านการให้นมบุตรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่ายาชนิดใดที่ปลอดภัย หรือ เป็นอันตรายต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

  • การติดตามอาการหลังจากออกจากโรงพยาบาล

หลังจากอาการของคุณคงที่และพร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาล จะมีรายการยาที่คุณต้องใช้ตลอดแผนการรักษาและดูแลติดตามผล จะมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลกับทีมจิตเวชเป็นประจำ ซึ่งสำหรับผู้ป่วยบางคนอาจต้องได้รับการดูแลด้านจิตเวชทุกวันเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือมากกว่านั้น

ข้อควรรู้เกี่ยวกับโรคจิตหลังคลอด

  • โรคจิตหลังคลอดมีแนวโน้มที่จะหายขาดได้ ด้วยการดูแลที่เหมาะสม คุณแม่ส่วนใหญ่จะสามารถหายจากอาการที่รุนแรงที่สุดของโรคภายใน 2-12 สัปดาห์หลังจากเริ่มการรักษา อย่างไรก็ตามอาจใช้เวลา 6-12 เดือนเต็มในการฟื้นตัวจากโรคจิตหลังคลอด
  • อย่างไรก็ตามอัตราการกลับไปเป็นซ้ำเกิดขึ้นได้ โดยมีคุณแม่มากถึง 31% ที่มีความเสี่ยงที่จะกลับไปเป็นโรคนี้ซ้ำ นี่คือเหตุผลที่การดำเนินการเชิงรุกระหว่างการตั้งครรภ์ในอนาคตจึงมีความสำคัญมาก
  • หากตรวจพบว่าป่วย คุณอาจมีแนวโน้มที่จะรู้สึกซึมเศร้าและวิตกกังวล ท้ายที่สุดสิ่งที่คุณประสบนั้นทำให้อารมณ์เสียและกระทบกระเทือนจิตใจ คุณอาจรู้สึกเสียใจและผิดหวังกับตัวเองเพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ  อย่าลืมให้เวลาตัวเองเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อย่าลืมว่ามันไม่ใช่ความผิดของคุณ
  • ในขณะที่คุณกำลังรับการรักษาในโรงพยาบาลหรือผู้เป็นผู้ป่วยใน คุณจะต้องได้รับความช่วยเหลือในการดูแลลูกน้อยของคุณ คุณอาจต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องในการดูแลทารกหลังจากออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าที่คุณจะสามารถกลับมาเลี้ยงลูกได้อย่างเต็มที่และดีเหมือนเดิม

ข้อแนะนำสำหรับคนใกล้ชิดผู้ป่วย หากคุณเป็นคู่สมรส เพื่อนสนิท หรือสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย ในตอนแรกหากคุณไม่แน่ใจว่าจะช่วยอะไรผู้ป่วยได้บ้าง ก่อนอื่นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำได้ คือการพาคนที่คุณรักไปรับการรักษาอย่างปลอดภัย  สิ่งสำคัญที่สุดคือจงเป็นผู้ฟังที่ดี และไม่ใช้วิจารณญาณ หรือมีอคติ ผู้ป่วยอาจเกิดความรู้สึก และอารมณ์ด้านลบต่างๆ มากมายจากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา หน้าที่ของคุณคือช่วยทำให้เขาเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา คอยให้กำลังใจ และสร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วยว่าพวกเขาแข็งแกร่งพอที่จะผ่านเรื่องเหล่านี้ไปได้ ซึ่งนี่เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราจะสามารถมอบให้ผู้ป่วยได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แม่ต้องรู้เท่าทัน!

ซึมเศร้าหลังคลอด Baby Blue อยากตาย ทำไงดี?

ทำไมแม่หลังคลอดขี้ลืม ความจำสั้น หรือคือสัญญาณของความจำเสื่อม

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ภาวะแท้งคุกคาม

เลือดออกตอนท้องอ่อนๆ สาเหตุ ภาวะแท้งคุกคาม แม่ท้องต้องสังเกตให้เป็น!

“ทอม อิศรา” เผยสาเหตุ!!! ภรรยาแท้งลูกคนแรก หลังมีอาการปวดท้อง ท้อง6สัปดาห์ มีเลือดออก สุดท้าย หมอแจ้ง มี ภาวะแท้งคุกคาม

ภาวะแท้งคุกคาม แม่ท้องต้องสังเกตให้เป็น

แท้งคุกคาม Threatened abortion คือ ภาวะใกล้แท้งหรือภาวะที่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการสิ้นสุดการตั้งครรภ์หรือนำไปสู่การแท้งบุตร ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งจากความผิดปกติจากธรรมชาติ และปัจจัยเสี่ยงจากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่อาจไม่ได้ตั้งใจและไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำนั้นกำลังเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแท้งคุมคามนี้ได้

ทั้งนี้ ภาวะแท้งคุกคาม มักจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่ท้องที่มีสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง หรือมีภาวะ อยู่ในสถานการร์เสี่ยง ต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะนี้ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

มิเช่นนั้นอาจเกิดเรื่องน่าเศร้า เช่นเดียวกับครอบครัวของ นักร้องหนุ่ม ทอม-อิศรา กิจนิตย์ชีว์ (ทอม room39) เมื่อภรรยาสาว ฟิล์ม วณัชยา ต้องแท้งลูกคนแรกแบบไม่ทันได้ตั้งตัว หลังรู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ได้เพียงแค่ 6 สัปดาห์ โดยคุณทอมเล่าว่า…เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งตอนแรกไปหาคุณหมอทุกอย่างยังปกติ ลูกอยู่ในเกณฑ์แข็งแรงดีมาก แต่พอกลับมาถึงบ้านภรรยาเกิดปวดท้องหนักจนต้องกลับไปโรงพยาบาลอีกครั้ง คุณหมอบอกว่ามีภาวะแท้งคุกคามจึงฉีดยากันแท้ง แต่สุดท้ายน้องก็จากไป

“เรื่องภรรยาแท้งลูกก็ใช่ครับ ทีแรกผมก็ไม่รู้นะว่าคนจะรู้กันเยอะขนาดนี้ ก็คิดอยู่ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี จะบอกหรือไม่บอกดี เพราะว่าจริงๆ แล้วก็เป็นเรื่องของความรู้สึกที่เราอาจจะยังเสียใจกันอยู่ ก็จะมีเฉพาะคนสนิทๆ จริงๆที่รู้ขนาดว่าบางคนสนิทมากเราก็ยังไม่ได้บอกเลย เพราะว่าบางทีเราไม่อยากให้ภรรยาเราต้องตอบคำถามเยอะว่าที่มาที่ไปเป็นอะไรยังไง เราก็เป็นห่วงเรื่องความรู้สึกเขา ความรู้สึกของเราก็แย่ไปด้วย เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานเลยเมื่อวานนี้ยังไปฟอลโล่อัพอยู่เลย ยังต้องไปคอยเจอคุณหมอ ก็ยังน่าจะต้องเช็กต่อไปเรื่อยๆ อีก 2-3 เดือน ตอนที่รู้ว่าสูญเสียคือตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6 สัปดาห์ ถือว่าค่อนข้างรู้ตัวเร็วนะ ตอนนั้นคุณหมอยังบอกว่าโอเคทุกอย่างดูเพอร์เฟ็ค แต่อยู่ดีๆกลับมาบ้านก็มีอาการปวดท้องเลยพาไปโรงพยาบาลอีก พอไปถึงคุณหมอก็ฉีดยากันแท้งให้ เขาเรียกว่ามีภาวะแท้งคุกคาม และพอได้กลับบ้านเช้าวันรุ่งขึ้นก็ปวดท้องอีก”
ภาวะแท้งคุกคาม
ขอบคุณภาพจาก : for_film.s
“ตอนที่รู้ว่าน้องจะไม่อยู่แล้ว ก็เสียใจครับ กับภรรยาจริงๆ แล้วผมว่าเราอยู่ด้วยกันมานาน จนเรามองตากันก็รู้แล้ว บางทีเราไม่อยากจะไปพูดว่าไม่เป็นไรนะ บางทีมันก็เป็นแต่เราจะไปพูดบอกเขาว่าไม่เป็นอะไรยังไง แผนต่อจากนี้คุณหมอก็นัดอีก คือตอนนี้ภรรยาเขามีโรคประจำตัวด้วย มันเลยเป็นอะไรที่ผมกังวลมาก ในภายภาคหน้ามันจะเป็นยังไงบ้างถ้าเกิดกำลังตั้งครรภ์อยู่ ฟิล์มเป็นโรค SLE แพ้ภูมิคุ้มกันตัวเอง ก็จะมีเรื่องของเลือด เป็นคนเลือดจาง ป่วยง่าย ภูมิต่ำ ทุกวันนี้ก็คือพยายามต้องบำรุงเลือด ถ้าเลือดไม่พอก็จะเป็นอันตรายทั้งต่อลูกและต่อแม่ด้วยครับ แต่ผมยังไม่ถอดใจเรื่องลูกครับ ถ้ามีก็อยากจะพยายามมีแบบธรรมชาติก่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องรอให้สุขภาพฟิล์มดีจริงๆ เพราะผมเองก็ยังเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างๆ ตัวเราเองอยู่ครับ ตอนนี้ก็ต้องรอสุขภาพภรรยาก่อนครับ ส่วนตัวผมแข็งแรงมากครับ หมอบอกว่าสุดยอด (หัวเราะ)”

ทำแท้งเถื่อน

สาเหตุของ ภาวะแท้งคุกคาม

สำหรับแม่ท้องที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 20 สัปดาห์ มีเลือดออกผ่านปากมดลูกที่ปิดอยู่ หรือในช่วง 1-3 เดือนแรก…ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยปกติแล้วภาวะนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า 80% ในช่วงอายุครรภ์ 1-12 สัปดาห์มากที่สุด และส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพราะคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ ทำให้อาจจะไม่ทันได้ระวังตัวหรือดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เช่น การสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่ทราบว่าตนเองกำลังตั้งท้อง หรือในบางรายอาจจะเกิดภาวะแท้งคุกคามเนื่องจากความผิดปกติของโครโมโซม ส่งผลให้ไม่สามารถพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนที่เป็นปกติ และเกิดการแท้งได้ในที่สุด

จุดสังเกตอาการแรกของภาวะแท้งคุกคาม

  • อาจมีเลือดออกทางช่องคลอดซึ่งปริมาณเลือดที่ออกนี้อาจมากหรือน้อยแตกต่างกัน ซึ่งหากเลือดไม่หยุดไหลก็เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างอันตราย จึงควรพบแพทย์โดยเร็วที่สุด
  • สังเกตสีของเลือด หากเป็นสีแดงสด อาจเกิดจากรกที่ลอกก่อนกำหนด ซึ่งทำให้เกิดภาวะแท้งคุกคามได้ แต่หากเป็นเลือดสีดำ อาจเป็นเลือดเก่าที่ค้างอยู่ ถ้าลักษณะเช่นนี้ก็ไม่ต้องกังวลมากนัก
  • มีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย ซึ่งอาการที่ว่านี้จะเริ่มปวดมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็เป็นสัญญาณว่ามดลูกอาจกำลังบีบตัวและทำให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนดได้

ซึ่งหากคุณแม่รู้สึกไม่แน่ใจกับความผิดปกติและเริ่มมีความเครียด แนะนำว่าให้รีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการตรวจสอบจะดีที่สุด อย่าปล่อยทิ้งไว้หรือคิดไปเองต่างๆ นานาๆ

การรักษาภาวะแท้งคุกคาม

ถ้าตรวจพบว่าตัวอ่อนยังมีชีวิตอยู่ แพทย์จะเฝ้าติดตามการตั้งครรภ์อย่างใกล้ชิด โดยให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวต่อผู้ตั้งครรภ์ ดังนี้

  • ให้นอนพักผ่อนให้มากที่สุด ห้ามเดินมากๆ
  • งดเว้นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการเกาะของทารก เช่น งดการมีเพศสัมพันธ์ การยกของหนัก หรือกิจกรรมใดๆก็ตามที่เป็นการเกร็งหน้าท้อง หรือเพื่อความดันในช่องท้อง
  • ติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด แนะนำให้ทำใจให้สบาย กินอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงทานโฟลิก

ส่วนการรักษา ภาวะแท้งคุกคาม โดยการรับประทานฮอร์โมน หรือ การฉีดยาฮอร์โมนที่มักเรียกกันว่า ยากันแท้ง เป็นฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่มีผลต่อการเกาะผนังมดลูกของทารกในครรภ์ มีประโยชน์ในรายที่การมีเลอืดออกเกิดจากภาวะขาดฮอร์โมนดังกล่าว แต่การพิสูจน์โดยการเจาะเลือดตรวจระดับฮอร์โมนดังกล่าว อาจต้องใช้เวลานานส่วนใหญ่จึงพิจารณาให้ใช้รายที่สงสัยว่าเกิดจากการขาดฮอร์โมนดังกล่าว แต่ต้องมั่นใจว่าเห็นสัญญาณการตั้งครรภ์ปกติในโพรงมดลูกและเห็นการเต้นของ หัวใจลูกแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจะเป็นการประคองครรภ์ที่ผิดปกติ ส่งผลให้เกิดการแท้งที่ยึดเยื้อออกไป ทำให้ตกเลือดเป็นระยะเวลานาน และอาจจะทำให้ติดเชื้อแทรกซ้อนได้


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.dailynews.co.thwww.paolohospital.comwww.phyathai.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

ตรวจ DNA ตอนท้อง เสี่ยงแท้งจริงหรือ?

ทำแท้ง อันตรายไหม? สธ.เปิดสายด่วนรับปรึกษาทำแท้งถูกกฎหมาย

หมอเตือน คนท้องห้ามนวด! เสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน-แท้ง-เสียชีวิต

คุณแม่ท้องโพสต์เตือน เกือบแท้งลูก เพราะกินมะม่วงหาวมะนาวโห่

ปฎิรูปการศึกษา ยกเลิกสอบจัดอันดับ

มองเพื่อนบ้าน ปฎิรูปการศึกษา เลิกจัดอันดับเด็กลดเครียด

ปฎิรูปการศึกษา ไทยถึงเวลาแล้วหรือยัง เมื่อประเทศเพื่อนบ้านต่างพากันยกเลิกระบบจัดลำดับในชั้นเรียน เพื่อให้เด็กพัฒนาทักษะชีวิตมากกว่าวัดใครเก่ง กันที่คะแนนสอบ

มองเพื่อนบ้าน ปฎิรูปการศึกษา เลิกจัดอันดับเด็กลดเครียด!

“ทำไมถึงไม่สอบได้ที่หนึ่ง ดูเพื่อนสิก็เรียนห้องเดียวกัน ทำไมเขาถึงทำได้…ต้องอ่านหนังสือเยอะ ๆ จะได้เก่งเท่าเขา”

ประโยคข้างต้น ที่แม้ว่าอาจจะใช้คำแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ยังคงความหมายการเปรียบเทียบ การผิดหวัง และการตีตราลูกด้วยคะแนนสอบที่ยังคงวนเวียนมาให้ได้ยินในทุกยุคทุกสมัย โดยเชื่อว่าพ่อแม่ที่ว่ากล่าวตำหนิลูกนั้น ในช่วงวัยเด็กของตัวเองก็คงได้ยิน ได้ฟังคำกล่าวทำนองนี้มาก่อนที่จะกลายมาเป็นฝ่ายพูดเสียเองด้วยเหมือนกัน

ในยุคสมัยใหม่ ที่จิตวิทยาด้านการศึกษาย่างกรายเข้ามาสู่จิตใจผู้ใหญ่หลาย ๆ ท่าน ที่คำนึงถึงจิตใจของเด็กมากกว่าการมุ่งหวังระดับความเก่ง ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยการอัดการเรียน การสอนเข้าไปให้แก่เด็ก ทำให้เริ่มเกิดแนวคิดการ ปฎิรูปการศึกษา ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของธรรมชาติของมนุษย์ เริ่มหันกลับมามองว่าธรรมชาติของเด็กประถมวัยนั้น หน้าที่หลักของการเรียนรู้ของเด็กนั้นอยู่ที่การเล่น การพัฒนากล้ามเนื้อ และระดับการเรียนรู้ของเขาคงไม่เหมาะสมกับการต้องมานั่งเรียนนิ่ง ๆ นาน ๆ เพราะสมาธิของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนามากพอเท่าผู้ใหญ่ หรือเด็กโต

จากแนวคิดดัวกล่าวทำให้ประเทศเพื่อนบ้านของเรานั้นเริ่มหันมาแก้ไข พัฒนาระบบการศึกษาของประเทศตนเองให้สอดคล้อง และเชื่อว่าจะทำให้คุณภาพการศึกษาของเขานั้นดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ โดยเน้นการพัฒนาการรอบด้านของเด็กมากกว่าที่จะโฟกัสไปที่การพัฒนาระดับ IQ ด้านสมองเพียงด้านเดียว ทำให้เราได้เห็นข่าวการปฎิรูปการศึกษาของทั้งประเทศสิงคโปร ประเทศที่เดิมที่มีนโยบายผลักดันเยาวชนในเรื่องการศึกษาเป็นอย่างมาก ภายใต้แนวคิดค่านิยม KAISU (ภาษาจีน แปลว่า กลัวจะแพ้เขา) ซึ่งค่านิยมดังกล่าวแม้จะช่วยให้ประเทศสิงคโปรสามารถผลักดันประเทศให้ก้าวกระโดดขึ้นมาได้อย่างดี แต่ผลที่ตามมาคือ การที่เยาวชนของสิงคโปรชอบชิงดีชิงเด่น และไม่สามารถทำงานเป็นทีมได้ดี จึงทำให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการแก้ไขข้อผิดพลาดนี้ด้วยการ ยกเลิกการสอบ โดยมุ่งเน้นหลักการที่ว่า ความสมดุลของความสุขในการเรียนรู้และการแข่งขันในการศึกษาต้องไปด้วยกัน

จีน สิงคโปร์ ปฎิรูปการศึกษา ยกเลิกการสอบจัดอันดับ
จีน สิงคโปร์ ปฎิรูปการศึกษา ยกเลิกการสอบจัดอันดับ

ล่าสุดนี้ กระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ ได้ประกาศทำการยกเลิกระบบ ‘จัดอันดับในชั้นเรียน’ และยกเลิกการ ‘สอบ’ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นประถมและมัธยม ตามนโยบาย การเรียนรู้เพื่อชีวิต’ (Learn For Life)

โดยหวังเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนจดจ่ออยู่กับกระบวนการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงระบบการสอนในโรงเรียน ให้เป็นการเรียนรู้อย่างแท้จริง ไม่ใช่การแข่งขันกันเรียนเหมือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ สิงคโปร์จะเริ่มเปลี่ยนระบบในปีการศึกษา 2019 ดังรายการต่อไปนี้

– ไม่มีการตัดเกรดบันทึกลงในสมุดพก และจะไม่มีการจัดอันดับภายในชั้นเรียน หลีกเลี่ยงปัญหาการถูกเปรียบเทียบ

– ยกเลิกการสอบทุกชนิดในระดับชั้นประถม 1 และ 2 ใช้ระบบควิซถามประเมินความรู้ความเข้าใจแทน

– ยกเลิกการสอบกลางภาคในระดับชั้นมัธยมปีที่ 1 และภายในปี 2020 – 2021 จะนำไปใช้กับชั้นประถม 3 ประถม 5 และมัธยม 3 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักเรียนในช่วงชั้นดังกล่าว มีเวลาว่าง เลือกเรียนเพิ่มเติมในวิชาที่ตนเองสนใจ

– ในแต่ละวิชาจะมีการสอบเพียงครั้งเดียวต่อเทอม ที่จะถูกนำไปคิดเป็นคะแนนรวมปลายภาคเรียน

– ทุนการศึกษาที่รัฐมอบให้ในระดับชั้นประถม 1 และ 2 เปลี่ยนกฎการตัดสินจากผลการเรียน มาเป็นทัศนคติทางด้านการเรียนรู้แทน

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.catdumb.com

ซึ่งนอกจากประเทศสิงคโปร์แล้ว ล่าสุดแม้แต่ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน ก็ได้ทำการปฏิรูปการศึกษาของเขาเช่นกัน นั่นแสดงให้เห็น และตอบข้อสงสัยของใครหลาย ๆ คนที่ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า ประเทศฟินแลนด์ที่นับว่าเป็นประเทศที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ดี แม้ว่าจะมีระบบการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นแกนกลาง ไม่อัดวิชาการมากเกินไปนั้น เป็นประเทศที่ทำเช่นนี้ได้เพราะเขามีประชากรน้อย แต่เมื่อพี่ใหญ่อย่างประเทศจีนก็เริ่มขยับและทำการปฎิรูปยกเซ็ต เพื่อเด็ก ๆ ของเขาได้เช่นกัน

การเรียนรู้ไม่ได้มีแค่วิชาการ
การเรียนรู้ไม่ได้มีแค่วิชาการ

จีน ปฏิรูปยกเซ็ต คุมความถี่การจัดสอบ-ปริมาณการบ้าน ห้าม ร.ร.จัดอันดับคะแนนสอบ

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม ไชน่า ซินหัว เปิดเผยว่า หน่วยงานรัฐของจีนเผยแพร่เอกสารฉบับล่าสุด ซึ่งสั่งห้ามมิให้โรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น เปิดเผยคะแนนสอบและการจัดอันดับคะแนนของนักเรียน

แนวปฏิบัติเพื่อการประเมินคุณภาพการศึกษาภาคบังคับของจีนฉบับนี้ ซึ่งเผยแพร่โดยกระทรวงศึกษาธิการกับหน่วยงานรัฐอีก 5 แห่ง มุ่งแก้ปัญหาการยึดติดกับคะแนนสอบ อัตราการสมัครเรียน วุฒิการศึกษา งานวิจัย และตำแหน่งในภาคการศึกษาจนเกินควร

เอกสารเรียกร้องให้โรงเรียนควบคุมความถี่ของการจัดการสอบอย่างเข้มงวด พร้อมปรับปริมาณการบ้านและเวลาที่นักเรียนใช้ในการทำการบ้าน เพื่อลดแรงกดดันทางการศึกษาที่มีต่อเด็ก

แนวปฏิบัติ ระบุให้ประเมินครูโดยอิงจากทั้งพัฒนาการรอบด้านของเด็กร่วมกับผลการศึกษาเชิงวิชาการ พร้อมแนะให้เลิกยึดติดกับคะแนนและอัตราการสมัครเรียนเพียงอย่างเดียว

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.matichon.co.th

ผลเสียของการจัดอันดับการสอบ

แม้ว่าการสอบ จะเป็นตัวชี้วัดที่ดี และง่ายในการวัดความเข้าใจ และการเรียนรู้ของเด็ก แต่ในปัจจุบันเริ่มมีผลการทดลอง และการวิจัย ข้อมูลทางด้านวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนแล้วว่า การอัดวิชาการให้แก่เด็กเล็ก ซึ่งเป็นวัยที่ยังไม่พร้อมต่อการเรียนรู้ในแบบนี้นั้น กลับกลายเป็นผลเสียต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กมากขึ้นไปอีก แถมยังส่งผลเสียในอีกหลาย ๆ ด้านอีกด้วย เช่น การเห็นคุณค่าในตนเองของเด็ก การพัฒนา 10 ทักษะความฉลาดรอบด้าน เป็นต้น

ผลเสียของการจัดอันดับการสอบ ปฎิรูปการศึกษา คือคำตอบ
ผลเสียของการจัดอันดับการสอบ ปฎิรูปการศึกษา คือคำตอบ

ครูหวาน’ ธิดา พิทักษ์สินสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย และกรรมการบริหารสมาคมอนุบาลศึกษาแห่งประเทศไทย บอกว่า ช่วงปฐมวัยเป็นช่วงวัยที่สมองพัฒนาสูงสุด โดยเฉพาะสมองส่วนหน้าหรือที่เรียกกันว่า Executive Function (EF) เปรียบเสมือน CEO ของสมอง

“ในช่วง 3-6 ปี สมองมีอัตราการพัฒนาสูงสุดกว่าทุกช่วงวัย ซึ่งเป็นฐานการพัฒนาไปจนตลอดชีวิต ทักษะสมอง EF คือตัวที่บ่มเพาะอุปนิสัยในตัวเด็ก และจะเป็นทักษะที่เด็กจะสะสมติดตัวไป”

“แล้วการสอบมันส่งผลยังไงต่อเด็ก ถ้าเป็นในเด็กโต สภาวะการสอบของเด็กโตจะมีความคงทนต่อความเครียดได้สูงกว่าเด็กเล็กซึ่งเป็นช่วงสำคัญที่สูญเสียไม่ได้ในเรื่องความรู้สึกมั่นคงทางอารมณ์ ความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง การเห็นคุณค่า เห็นความสามารถของตนเองที่จะพัฒนาต่อไป แล้วถ้ามันถูกกระทบถูกทำลายไป มันจะส่งผลต่อมนุษย์คนหนึ่งไปจนตลอดชีวิตได้”

นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์และนักเขียน ที่เหล่าพ่อๆ แม่ๆ และคนแวดวงการศึกษาเรียกกันว่า ‘หมอประเสริฐ’ บอกประเด็นนี้อย่างรวดเร็วว่า “ไม่ให้สอบ และพัฒนาทุกโรงเรียนในประเทศไทยให้มีคุณภาพเท่ากัน”

“เราติดกับวาทกรรมคลาสสิกมาครึ่งศตวรรษแล้ว ข้อแรกคือ ‘เราทำไม่ได้หรอก’ แต่จริงๆ คือเราไม่ยอมทำ หลายคนยินดีปล่อยให้ประเทศมีสภาพที่มีโรงเรียนคุณภาพสูงอยู่ 10 โรงเรียน แต่ปล่อยให้ที่เหลืออยู่ในสภาพพอดูได้ ส่วนที่บ้านนอกนั้นดูไม่ได้เลย ข้อสองคือ ‘เราไม่มีเงิน’ ซึ่งไม่จริง เรามีเงิน และมีมากพอที่จะให้เราทำงานด้านการศึกษาและสาธารณสุขให้ดีได้ แต่เรามีคำถามว่าเงินอยู่ไหนเสียมากกว่า

“เราจะไม่มีวันทำได้ถ้าปล่อยให้ส่วนกลางทำ ทุกอย่างยังผ่านผู้ว่าฯ และส่วนกลาง จะว่าไปการจัดการตนเองของท้องถิ่นยังเป็นระดับทารกอยู่เลย แต่ทารกพัฒนาได้ ท้องถิ่นก็พัฒนาได้ ทำได้แน่นอนเมื่อปล่อยอำนาจการจัดการและเงินให้ส่วนท้องถิ่นทำ”

หมอประเสริฐอธิบายถึงความหมายของโรงเรียนอนุบาลชั้นดีว่า ในศตวรรษที่ 21 คุณภาพไม่อยู่บนฐานของการอ่านออกเขียนได้อีกต่อไปแล้ว แต่อยู่บนฐานการเรียนรู้ประเด็นสุขภาพ เศรษฐศาสตร์ สิ่งแวดล้อม ความเป็นพลเมือง ทักษะชีวิต ไอที ตัวชี้วัดของโรงเรียนที่มีคุณภาพเปลี่ยนไปแล้ว

ส่วนหนึ่งของบทความ ธิติ มีแต้ม จาก www.the101.world
เด็กไทยเรียนหนักแค่ไหน
เด็กไทยเรียนหนักแค่ไหน

ประเทศไทยตื่นตัวกับการปฎิรูปการศึกษาแค่ไหน?

แม้ว่าในปัจจุบันความชัดเจน ฟันธงของระบบการศึกษาของไทยเรายังไม่เด่นชัดเท่ากับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ก็ใช่ว่าจะละเลยไปเลยเสียทีเดียว ดังจะเห็นได้จากการที่มี พรบ.การพัฒนาเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2562 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ถึงแม้ว่าอาจเป็นที่ผิดหวังของใครหลาย ๆ คนที่ต้องการเห็นความชัดเจนในเรื่องของการสอบมากกว่านี้ แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีของไทยที่ได้เริ่มมีการตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาของเด็กไทย โดยเฉพาะในเด็กวัยปฐมวัยที่เชื่อว่าเป็นวัยที่สำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ และเป็นรากฐานในการพัฒนาของเด็กไปตลอดชีวิต

ปฎิรูปการศึกษาเริ่มได้เลยจากที่บ้าน

แม้ว่าการปฎิรูปการศึกษานั้นเป็นเรื่องของระบบใหญ่ ต้องรอคอยการพัฒนาปรับปรุงจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อให้นโยบายดำเนินไปได้อย่างสอดคล้องกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราพ่อแม่สามารถเริ่มต้นปรับปรุงได้เลย นั่นคือ ทัศนคติของพ่อแม่ที่มีต่อการเรียนของลูก แม้ว่าภาพรวมใหญ่จะเป็นเช่นไร เรายังคงต้องเป็นส่วนสนับสนุนผลักดันให้มันเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม แต่ก็ยังคงต้องรอเวลาในการศึกษา หาข้อมูลเพื่อประกาศใช้ให้รอบคอบ รัดกุมเสียก่อน ซึ่งน่าจะใช้เวลาอยู่พอสมควร ดังนั้นพ่อแม่จึงควรเริ่มต้นจากที่บ้าน ที่ ๆ เราสามารถควบคุมดูแลได้ในทันที เพียงแค่พ่อแม่เข้าใจ และไม่กดดันลูกเพียงเท่านี้ก็เป็นการช่วยส่งเสริมการพัฒนาการเรียนรู้ของลูกได้เป็นอย่างดี จึงขอหยิบยกแง่คิดดี ๆ จากครูก้า กรองทอง บุญประคอง ครูและผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก และผู้ก่อตั้งโรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย) เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลลูก ๆ ของเรามาฝากกัน

ถ้าลูกเราไม่เรียน ก็กลัวว่าพัฒนาการจะไม่เท่าคนอื่น

พ่อแม่รุ่นนี้เติบโตมาจากอะไร มาจากการติวใช่ไหม เราเลยไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่เคยเชื่อว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของลูก เพราะว่าสมัยเรา ถ้าเราจะเก่งได้ พ่อแม่จะพาเราไปติว ดังนั้น เราจะเชื่อมั่นในครู ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

แต่แท้จริงแล้ว ลูกต้องการพ่อแม่ ต้องการสัมผัส วิชาที่ไม่มีใครสอนได้คือวิชาชีวิต ลูกต้องการดูว่าพ่อแม่ใช้ชีวิตอย่างไร ลูกต้องการดูว่าพ่อแม่มองโลกอย่างไร เมื่อมีสถานการณ์หนึ่งเข้ามา พ่อแม่โต้ตอบกับสถานการณ์นั้นอย่างไร ขับรถไปมีคนปาดหน้า พ่อแม่ทำอย่างไร นี่คือสิ่งที่ลูกเฝ้ามองเราอยู่ แต่เราไม่เคยเชื่อในตัวเอง เพราะเราถูกทำลายความเชื่อนั้นมาตั้งแต่สมัยเรายังเด็ก พ่อแม่ก็พาเราไปเรียนพิเศษ แล้วก็ไม่เชื่อว่าเราสามารถเรียนได้ด้วยตัวเอง

พ่อแม่คือตัวแบบที่ดีให้ลูกเรียนรู้ ไม่ต้องรอ การปฎิรูปการศึกษา จากรัฐเพียงอย่างเดียว
พ่อแม่คือตัวแบบที่ดีให้ลูกเรียนรู้ ไม่ต้องรอ การปฎิรูปการศึกษา จากรัฐเพียงอย่างเดียว

อย่างครูก้าสมัยนั้น โชคดีว่ามันยังไม่ได้มีการเรียนพิเศษอะไรขนาดนั้น มันเลยทำให้เรามีความเชื่อมือ เชื่อมั่น เชื่อว่าเรานั้นจะทำได้ทุกอย่าง แต่เด็กรุ่นหลังไม่มีโอกาสได้ค้นพบตัวเองในมุมนี้เลย เพราะเรารุกล้ำเข้าไปในอิสรภาพของเด็กมาก เราไม่เคยเชื่อ ว่าเด็กเขาจะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง แม่ต้องช่วย ครูต้องช่วย ฉะนั้น เมื่อตอบคำถามว่าฉันคือใคร เด็กก็จะตอบว่า ฉันคือคนที่ต้องมีคนช่วย

เช่น การเรียนว่ายน้ำ เด็กกับน้ำเป็นของคู่กัน ให้เล่นน้ำเรียกเท่าไรก็ไม่ขึ้น แต่ให้เรียนว่ายน้ำ เรียกเท่าไรก็ไม่ลง มันเป็นแบบนั้นเพราะอะไร เพราะคนสอนไม่เข้าใจธรรมชาติของเด็กหรือเปล่า ถามว่าเด็กอนุบาลจำเป็นต้องรู้ไหม ว่าท่าฟรีสไตล์มันว่ายอย่างไร สิ่งที่เขาต้องการคือเขาอยากเล่นน้ำกับพ่อแม่ เวลาไปทะเล เรียกแล้วขึ้นไหมล่ะ (หัวเราะ)

นอกจากความสุข เขากำลังเรียนรู้ด้วย เขาได้ทดลองตัวเองกับน้ำ เขาเคยเดินบนบกด้วยท่าแบบหนึ่ง พอเขาลงไปในน้ำ เขาพบว่ามันไม่เหมือนกัน งั้นเขาจะต้องทำท่าอย่างไร เขาลองดำน้ำได้ไหม เขาออกแบบท่าแปลกๆ ได้ไหม เขาไม่เอาท่าฟรีสไตล์ เพราะเขาไม่เห็นภาพว่ามันคืออะไร แต่เขารู้จักปลาดาว ปลาวาฬ เขาอยากเป็นปลานีโม่ เขาก็เลียนแบบปลาที่เขาอยากเป็น นั่นคือเขารู้จักตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เราทำให้เด็กไม่รู้จักตัวเอง เพราะเราไม่เชื่อว่าเขามีตัวเองอยู่

ข้อมูลอ้างอิงจาก ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ครูก้า กรองทอง บุญประคอง จาก aboutmom
การเรียนรู้นอกห้องเรียน ดีต่อเด็กปฐมวัย
การเรียนรู้นอกห้องเรียน ดีต่อเด็กปฐมวัย

การปฎิรูปการศึกษาเริ่มต้นได้ที่เรา พ่อแม่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนให้การเรียนรู้ของลูกให้เป็นไปอย่างสมดุล ความสุขและการเรียนควรพัฒนาควบคู่กันไป เพราะหากเด็กสามารถเข้าใจได้ว่าการเรียนเป็นเรื่องที่สนุก ไม่น่าเบื่อ การที่เขาจะบังคับตนเองให้สนใจเรียนจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ดังนั้น ผู้ใหญ่อย่างเราควรร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาวิธีการเรียนรู้ให้ดำเนินไปอย่างมีความสุข ไม่กดดันเพียงแค่ผลคะแนนสอบเพียงเท่านั้น จะดีกว่าไหม

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

5 วิธีเตรียมความพร้อมให้ลูกก้าวทันเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต

50 แนวทาง เป็นพ่อแม่ที่ดี วิธีเป็นสุดยอดพ่อแม่มีแค่นี้!

ลูกเล่นเท้าเปล่า ลูกไม่ยอมใส่รองเท้า พ่อแม่ควรห้ามหรือควรปล่อย?

วิธีส่งเสริม กิจกรรมทางกาย ช่วยลูกให้แข็งแรง สมองดี!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ผดร้อน

ผดร้อน และโรคผิวหนังในหน้าร้อน ที่ทารกต้องระวัง!!

อากาศร้อน ๆ ทำให้เหงื่อออกง่าย ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองเป็น ผดร้อน และโรคผิวหนังต่าง ๆ ได้ มาดูกันว่ามีกี่โรคผิวหนังบ้างที่ทารกต้องระวัง พร้อมวิธีป้องกัน!!

ผดร้อน และโรคผิวหนังในหน้าร้อน ที่ทารกต้องระวัง!!

ช่วงหน้าร้อน แดดที่จ้ามาก ๆ ทำให้เกิดผิวไหม้จากแสงแดด ผิวคล้ำ และอากาศที่ร้อนอบอ้าวยังเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดโรคผิวหนังชนิดต่าง ๆ ได้ เมื่ออากาศร้อนขึ้น อุณหภูมิในร่างกายที่เพิ่มขึ้นทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกมาเพื่อระบายความร้อน “เหงื่อ” จึงเป็นสาเหตุที่สำคัญที่จะทำให้เกิดโรคผิวหนังในช่วงหน้าร้อนได้ โดยทั่วไปแล้ว ผดร้อน และโรคผิวหนังบางโรค ไม่ได้เป็นอันตรายมาก แต่โรคเหล่านี้ สามารถสร้างความรำคาญใจ รวมถึงรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และสร้างความไม่มั่นใจให้กับผู้ที่เป็นโรคได้ และสำหรับ ผดร้อน และโรคผิวหนังบางโรคหากไม่หาสาเหตุและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้โรคเหล่านี้รุนแรงได้ ดังนั้น ทีมแม่ ABK ขอรวบรวมโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยในหน้าร้อน มาให้คุณแม่ได้ระวังและหาวิธีป้องกันกันค่ะ

4 โรคผิวหนังที่พบบ่อยในหน้าร้อน พร้อมวิธีป้องกัน

ผดร้อนในทารก และเด็กเล็ก

ผดร้อน เป็นตุ่มคันขนาดเล็ก เกิดจากต่อมเหงื่อที่อุดตันใต้ผิวหนัง โดยเฉพาะเมื่อเหงื่อออก หรืออยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและชื้น ซึ่งผดร้อนอาจปรากฏขึ้นได้ทั่วร่างกาย สำหรับเด็กเล็กมักเกิดผดร้อนบริเวณคอ หัวไหล่ และหน้าอก และบางครั้งอาจปรากฏอาการบริเวณรักแร้ ข้อพับแขน และขาหนีบได้ ผดร้อนอาจเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ แต่มักจะมีอาการดังนี้

  • ตุ่มน้ำใสขนาด 1-2 มิลลิเมตร ไม่แสดงอาการเจ็บหรือคัน แต่อาจแตกเป็นสะเก็ดได้ง่าย มักเกิดจากการอุดตันในผิวหนังชั้นที่ตื้นที่สุด ทำให้เหงื่อที่รั่วออกมาจากท่อเหงื่อสะสมอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณนั้นซึ่งถูกปกคลุมด้วยผิวหนังบาง ๆ โดยมักเกิดขึ้นหลังจากผู้ป่วยสัมผัสอากาศร้อนไม่กี่วัน และพบได้ทั่วตัวในทารก หรือบริเวณลำตัวในผู้ใหญ่
  • ผดแดง ซึ่งทำให้รู้สึกคัน เจ็บแสบ หรือระคายเคือง และมักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่มีการเสียดสี เช่น อก คอ หลัง และข้อพับ
  • ตุ่มสีเนื้อขนาด 1-3 มิลลิเมตร ลักษณะคล้ายผิวห่าน และไม่แสดงอาการอื่น ๆ เกิดจากการรั่วของต่อมเหงื่อชั้นหนังแท้ ซึ่งมักเกิดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังสัมผัสความร้อน
  • ตุ่มเป็นหนองจากการอักเสบติดเชื้อ

แม้ ผดร้อน เป็นภาวะทางผิวหนังที่ไม่อันตราย และอาจหายได้เองเมื่ออากาศเย็นลง แต่ควรไปพบแพทย์ หากปรากฏอาการดังต่อไปนี้

  • ผดไม่ยอมหาย ยังคันและเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องเกิน 2-3 วัน
  • ผดมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป เช่น ผดมีสีแดงสว่าง หรือเป็นริ้วลาย และผดเกิดขึ้นหลังจากใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาตัวใหม่ที่ไม่เคยใช้มาก่อน
  • เจ็บปวดเพิ่มขึ้น อาจเกิดร่วมกับอาการบวม แดง หรือ รู้สึกอุ่น ๆ บริเวณที่เป็นผด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม ซึ่งอาจเกิดขึ้นบริเวณรักแร้ คอ และขาหนีบ
  • ติดเชื้อ เมื่อผดร้อนที่เกิดขึ้นเริ่มมีหนองหรืออาการติดเชื้ออื่น ๆ
  • มีไข้ หรือมีสัญญาณของภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ

การป้องกันผดร้อน

  •  เลือกสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม ไม่สวมเสื้อผ้าที่รัดเกินไปจนทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และเลือกสวมเสื้อผ้าให้เหมาะตามฤดูกาล เช่น ใส่เสื้อผ้าที่นุ่ม เบา ทำจากผ้าฝ้าย ระบายอากาศได้ดีในฤดูร้อน และเลือกสวมเสื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายในฤดูหนาว แต่ไม่ควรสวมเสื้อผ้าหนาเกินไปจนทำให้รู้สึกร้อน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ ครีม หรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของปิโตรเลียมเจลลี่ หรือน้ำมันแร่ที่อาจทำให้รูขุมขนอุดตัน
  • ใช้สบู่ที่ไม่ทำให้ผิวแห้ง ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม หรือไม่มีการเจือสี
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและชื้น
  • ทำให้ผิวเย็นอยู่เสมอ เพื่อป้องกันเหงื่อออกมาก เช่น อาบน้ำเย็น อยู่ในที่ร่มหรือห้องปรับอากาศ และอาจแเพื่อลดอุณหภูมิผิวหนังร่วมด้วย แต่ไม่ควรประคบผิวหนังนานเกิน 20 นาที
  • เปิดเครื่องปรับอากาศหรือพัดลมเวลานอน เพื่อป้องกันความร้อนหรือความชื้นที่อาจเกิดขึ้นในขณะนอนหลับ สำหรับเด็กเล็ก ควรปรับความเย็นให้เหมาะสม ระวังไม่ให้เย็นจนเกินไป (อ่านต่อ
    เปิดพัดลมจ่อ ลูกเสี่ยงปอดอักเสบ)
  • คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตอยู่เสมอว่าผิวของเด็กร้อนหรือชื้นเกินไปหรือไม่ โดยเฉพาะบริเวณลำคอ หว่างขา และบริเวณอื่น ๆ ที่อาจกักเหงื่อไว้ หากพบผิวหนังบริเวณที่ร้อนชื้น ควรล้างบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำเย็น และพยายามให้ผิวหนังบริเวณนั้นแห้งอยู่เสมอ โดยห้ามใช้แป้งเด็ก เพราะแป้งอาจไปอุดตันรูขุมขนจนทำให้ผิวหนังเกิดความร้อน และห้ามใช้ผ้าอ้อมที่ทำจากพลาสติก เพราะอาจทำให้เด็กร้อนและระคายเคืองได้
โรคผิวหนัง
โรคผิวหนัง

โรคเชื้อราที่ผิวหนังในเด็กทารก

คุณพ่อคุณแม่บางคนอาจสังเกตเห็นว่าลูกน้อยเกิดผื่นแดง โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่ถูกห่อหุ้มด้วยผ้าอ้อม  สาเหตุหนึ่งที่อาจเป็นได้คือ “เชื้อรา” เชื้อราที่ผิวหนัง เชื้อราชนิดที่พบบ่อยที่สุดในเด็กทารกคือ แคนดิดอะซิส (Candidiasis) เชื้อราชนิดนี้ปกติแล้วจะอยู่ที่ผิวหนังของคนเราได้โดยไม่ก่อให้เกิดโรค เพราะมีแบคทีเรียชนิดดีคอยทำหน้าที่ดูแลควบคุมปริมาณของเชื้อราอยู่ อย่างไรก็ตาม ถ้าสิ่งแวดล้อมที่ดีของผิวหนังถูกเปลี่ยนไปเป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา เชื้อราจะเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วและก่อโรคได้ อย่างในเด็กทารก เมื่อมีอุจจาระและปัสสาวะปนเปื้อนออกมาสัมผัสกับผิวหนังเป็นเวลานาน ความชื้นที่ผิวหนังก็จะสูงขึ้น พอรวมกับสภาพความเป็นด่างของอุจจาระและปัสสาวะ ผิวหนังจึงเปื่อยยุ่ยและเกิดบาดแผลได้ง่าย และเสียสภาพการต้านทานเชื้อโรคในที่สุด (โดยปกติแล้วเชื้อราจะชอบความชื้นและสภาวะที่เป็นด่าง ส่วนเชื้อแบคทีเรียชนิดดีที่ผิวหนังจะชอบสภาวะที่เป็นกรดอ่อนๆ)

นอกจากนี้ อุจจาระและปัสสาวะเองยังเป็นอาหารให้เชื้อราเจริญเติบโตได้มากยิ่งขึ้น นอกจากเชื้อราจะอยู่ตามผิวหนังแล้ว ยังพบว่าเชื้อราอาจจะปนเปื้อนกับปัสสาวะและอุจจาระ กลายเป็นเชื้อก่อโรคที่ผิวหนังได้อีกด้วย

การป้องกันโรคเชื้อราที่ผิวหนัง

เมื่อเด็กเป็นโรคเชื้อราที่ผิวหนังแล้ว ควรได้รับการรักษาโดยแพทย์ แพทย์จะพิจารณาในการรักษาด้วยยาพร้อมกับแนะนำการดูแลรักษาผิวอย่างถูกวิธี สำหรับเด็กที่ยังเกิดโรคนี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคเชื้อราที่ผิวหนังได้ดังนี้

  • ควรเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อมสำเร็จรูปหรือผ้าอ้อมจากผ้าที่ใช้กันทั่วไป ไม่ปล่อยให้ผิวหนังสัมผัสอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเวลานาน
  • หากมีคราบอุจจาระหรือปัสสาวะเปื้อนบริเวณผิวหนัง ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดอย่างแรงหรือขัดออก เนื่องจากจะทำให้ผิวได้รับความระคายเคืองเป็นแผลถลอก ทำให้ติดเชื้อราได้ง่ายขึ้น แนะนำให้ใช้น้ำสะอาดอุณหภูมิห้องเปิดผ่านชำระคราบอุจจาระหรือปัสสาวะออกไป หรือใช้ผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำสะอาดหรือน้ำมันมะกอกเช็ดออกเบา ๆ
  • ไม่มีความจำเป็นต้องใช้สบู่ทำความสะอาดทุกครั้ง เนื่องจากสบู่มีฤทธิ์เป็นด่าง จะยิ่งทำให้ผิวหนังได้รับความระคายเคืองมากยิ่งขึ้น หากจำเป็นต้องใช้สบู่ให้ใช้สบู่เหลวสำหรับเด็กที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมและแอลกอฮอล์

ภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันของร่างกาย มีคุณสมบัติหลายประการที่ป้องกันเชื้อต่าง ๆ เข้ามาทำให้เกิดโรค เช่นน้ำมันจากต่อมไขมัน แบคทีเรียประจำถิ่นบนผิวหนัง (normal skin flora) ความเป็นกรดด่างของผิวหนังและผิวหนังชั้นหนังกำพร้าที่เป็นปกติ เป็นต้น แต่หากมีการเสียสมดุลของคุณสมบัติเหล่านี้หรือมีแผลเกิดขึ้น บริเวณผิวหนัง จะทำให้เชื้อโรคผ่านเข้าสู่ผิวหนังและก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังได้

โรคผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรียเป็นโรคที่พบได้บ่อยและเกิดขึ้นได้ในทุกเพศ ทุกวัย มีลักษณะอาการที่หลากหลาย เช่น โรครูขุมขนอักเสบ โรค 4S หรือ Staphylococcal Scalded Skin Syndrome ฝีที่ผิวหนังโดยเกิดขึ้นตามซอกพับ ขาหนีบ หรือก้น เป็นต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เสื้อผ้าที่รัดแน่น อากาศที่ถ่ายเทไม่สะดวก และเหงื่อที่เพิ่มขึ้น

การป้องกันภาวะติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง

  1. รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยการอาบน้ำฟอกสบู่ หากมีแผลเกิดขึ้นควรได้รับการล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและทำแผลให้ถูกวิธี
  2. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้เกิดบาดแผลบริเวณผิวหนัง เช่น การแกะเกา การเดินเท้าเปล่าโดยไม่สวมใส่รองเท้า
  3. รักษาโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่อาจเป็นช่องทางให้เกิดบาดแผลที่ผิวหนังทำให้เชื้อแบคทีเรียสามารถผ่านเข้าไปก่อโรคได้ เช่น โรคเชื้อราที่ผิวหนัง เป็นต้น
  4. รักษาสุขลักษณะทั่วไป ตัดเล็บสั้น เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคต่าง ๆ บริเวณเล็บ
โรคผิวหนังในเด็ก
โรคผิวหนังในเด็ก

โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis)

โรคนี้พบบ่อยในเด็ก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมอยู่เป็นพื้นฐาน ผู้ป่วยมักมีประวัติแพ้อากาศ ไอ จามบ่อยๆ หอบหืดหรือเยื่อบุตาอักเสบ โดยเฉพาะเวลาที่อากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลง นอกจากพันธุกรรมแล้วปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่สำคัญคือ สิ่งแวดล้อมเช่น อาหาร ไรฝุ่น สารก่อการระคาย หรือสารก่อภูมิแพ้ผิวหนังของผู้ป่วยจะไว (sensitive) ต่อสภาพแวดล้อมรอบตัวทั้งสภาพทางกายภาพ เช่น ภาวะอากาศร้อนเกินไป เย็นเกินไป แห้ง ชื้น สารเคมีที่ระคายผิวหนังและสิ่งมีชีวิตต่างๆ เช่น แมลง เชื้อโรค เป็นต้น

ผิวหนังโดยทั่วไปของเด็กที่เป็นโรคนี้จะค่อนข้างแห้ง โดยอาการจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มอายุของผู้ป่วย ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

  1. วัยทารก พบระหว่างอายุ 2 เดือนถึง 2 ปี ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 2 เดือนขึ้นไป โดยมักจะเริ่มพบผื่นแดงคัน มีตุ่มแดงและตุ่มน้ำเล็ก ๆ อยู่ในผื่นแดงนั้นที่แก้ม ถ้าตุ่มน้ำแตกออกจะมีน้ำเหลืองเยิ่มหรือตกสะเก็ด อาจพบร่องรอยจากการเกาหรือขัดถู โดยเฉพาะบริเวณที่ทารกคืบ ถูไถ สัมผัสกับพื้นหรือที่นอน ผื่นอาจลุกลามไปยังผิวหนังบริเวณอื่นๆของร่างกาย เช่น ลำตัว ข้อศอก เข่า ในรายที่เป็นมาก ๆ ผื่นจะเกิดทั่วร่างกายได้
  2. วัยเด็ก อายุระหว่าง 2-12 ปี ตำแหน่งรอยโรคที่พบบ่อย ได้แก่ บริเวณรอบคอ ข้อพับด้านในของแขนและขา เมื่อโรครุนแรงอาจลุกลามไปยังผิวหนังส่วนอื่น ๆ ได้ ผื่นมักประกอบด้วยตุ่มนูนแดงแห้ง ๆ มีขุยเล็กน้อย มักไม่พบตุ่มน้ำแตกแฉะเหมือนวัยทารก มีอาการคัน ผู้ป่วยมักเกาจนเกิดรอยถลอกหรืออาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในรอยโรคได้
  3. วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ มักพบผื่นบริเวณรอบคอ ข้อพับแขน ขา คล้ายที่พบในเด็กโต ในรายที่เป็นมาก ๆ ผื่นจะเกิดทั่วร่างกายได้เช่นกัน ผู้ป่วยโรคนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดผิวหนังอักเสบบริเวณมือได้ง่าย

หลักการดูแลและรักษา

เนื่องจากโรคนี้เกิดจากพันธุกรรม และสภาพแวดล้อมรอบตัวต่าง ๆ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ มีคำแนะนำในการดูแลรักษา ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบมากขึ้น เช่น หลีกเลี่ยงการใช้หรือสัมผัสกับสารระคายเคือง สบู่ควรใช้สบู่อ่อนๆ ไม่ควรใช้สบู่บ่อยเกินไป ผงซักฟอกเลือกชนิดที่ระคายเคืองน้อยควรซักล้างออกให้หมด เสื้อผ้าเลือกใช้เสื้อผ้านุ่มโปร่งสบาย เช่น ผ้าแพร ผ้าฝ้าย หลีกเลี่ยงผ้าขนสัตว์ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมาก ๆ ลดความเครียด ความวิตกกังวล เป็นต้น
  2. แนะนำไม่ให้ผู้ป่วยเกา เนื่องจากการเกาจะทำให้ผื่นผิวหนังที่อักเสบกำเริบเห่อมากขึ้น
  3. ป้องกันและรักษาผิวแห้งโดยการทามอยซ์เจอไรเซอร์ หรือโลชั่น ควรทาหลังอาบน้ำทันที ถ้าผิวหนังยังแห้งมากควรทาเพิ่ม สามารถทาได้วันละหลายครั้ง

หากคุณพ่อคุณแม่ได้ปฏิบัติตามหลักในการดูแลรักษาดังกล่าวแล้ว ผื่นยังไม่ดีขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อการรักษาขั้นถัดไป เพราะโรคนี้มักเป็นเรื้อรัง อาการของโรคมักเป็น ๆ หาย ๆ ผู้ป่วยโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังร้อยละ 60 จะปรากฏอาการก่อนอายุ 1 ปี ประมาณร้อยละ 85 จะปรากฏอาการก่อนอายุ 5 ปี อาการมักจะดีขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย อาการจะดีขึ้นเมื่ออายุ 10 ปี ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนังมีเพียงกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่อาจจะ ยังคงมีอาการจนกระทั่งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ควรวิตกกังวลจนเกินไป ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือปรึกษาแพทย์เมื่อมีปัญหา

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

อาหารเป็นพิษ โรคหน้าร้อน ที่ทุกครอบครัวต้องระวัง

หวัดแดด โรคหน้าร้อน ที่ต้องระวังในเด็กเล็ก

เมื่อลูกปวดท้องจาก “โรคบิด” ภัยร้ายหน้าร้อนที่ต้องระวัง!!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : ศ.นพ. เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย, พญ.กัญญลักษณ์ มั่นพรหม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, pobpad.com, hd.co.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่