Page 120 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

การพูดกับลูก

เทคนิค การพูดกับลูก วัยทารก แม่ต้องพูดยังไง เน้นอะไรดี?

การพูดกับลูก – การพูดคุยกับทารกตัวน้อยสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสารของเด็กได้ ยิ่งคุณพูดคุยกับพวกเขามากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เนื่องจากพ่อแม่ที่พูดคุยกับลูกมากๆ มีการใช้เสียงและคำพูดที่แตกต่างกันมากๆ  เมื่อเด็ก ๆ ได้ยินคำศัพท์มากขึ้น และมีคำต่างๆ มากมายให้เขาได้ยิน จะช่วยเพิ่มความเข้าใจในภาษาของเด็ก นอกจากนี้ยังเพิ่มจำนวนและความหลากหลายของคำที่พวกเขาเข้าใจ และไม่ใช่แค่ทักษะทางภาษาที่ดีขึ้นเท่านั้น การพูดคุยกับลูกน้อยยังช่วยให้สมองของพวกเขาพัฒนาและสามารถช่วยให้เด็ก ๆ ทำผลงานที่โรงเรียนได้ดีเมื่อเข้าสู่วัยเรียนอีกด้วย

เทคนิค การพูดกับลูก วัยทารก แม่ต้องพูดยังไง เน้นอะไรดี?

การตอบสนองต่อการเปล่งเสียงคำพูดและท่าทางของลูก การตอบสนองต่อความพยายามในการสื่อสารของทารกตั้งแต่แรกเกิดแสดงให้เห็นว่าการสื่อสารมีความสำคัญเพียงใด และกระตุ้นให้พวกเขาสื่อสารได้มากขึ้น สังเกตสัญญาณของพวกเขาและพยายามตอบสนองความต้องการของพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ มองไปที่พวกเขาเมื่อพวกเขาเปล่งเสียงและพูดคุยกับพวกเขาเพื่อยืนยันความพยายามในการสื่อสารของพวกเขา

 

การพูดกับลูก
การพูดกับลูก

การพูดคุยแบบไหนที่ดีสำหรับทารก?

การสนทนาและกิจกรรมที่มีแนวคิด เป็นสิ่งที่ดีในการพัฒนาทักษะทางภาษาของบุตรหลานของคุณ ลูกน้อยของคุณชอบที่จะได้ยินคุณพูด ก่อนที่ลูกน้อยของคุณจะได้พูดคุยบอกพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำตลอดทั้งวัน พูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณถามคำถามแล้วหยุดชั่วคราวเพื่อให้พวกเขามีเวลารับมันและอาจจะยิ้มหรือตอบกลับ

ต่อไปนี้ คือเทคนิคดีๆ บางประการในการสื่อสารกับทารก

  • สร้างแบบจำลองความสนใจร่วมกัน และใช้ทักษะการสบตา

ทักษะเหล่านี้เป็นทักษะเบื้องต้นที่สำคัญมากที่เด็ก ๆ ต้องการสำหรับพัฒนาการด้านการพูดและภาษาต่างๆ การสบตาระหว่างการเล่นหรือกิจวัตรประจำวันเมื่อเล่นกับของเล่นที่ลูกน้อยของคุณเล่นด้วยหรือสิ่งของที่พวกเขาแสดงความสนใจจะช่วยพัฒนาการของพวกเขา นำของเล่นหรือหนังสือมาด้วยเมื่อเล่นสำรวจและจัดการกับวัตถุในรูปแบบต่างๆ ในขณะที่ทำสิ่งนี้ให้อธิบายสิ่งที่คุณกำลังทำสิ่งที่คุณเห็นและสิ่งที่วัตถุทำ ตัวอย่างเช่นเอาลูกบอลนุ่ม ๆ มาบีบม้วนเก็บไว้ใต้ผ้าห่มเพื่อให้ลูกของคุณมองหามัน เมื่อคุณพบแล้วไม่ว่าจะอยู่ด้วยกันหรือเป็นอิสระให้พูดคุยว่ามันอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้น

  • อ่านแบบโต้ตอบ

การอ่านหนังสือให้ลูกน้อยฟังทุกวันเป็นการฝึกพัฒนาการทางภาษาที่สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญพอ ๆ กันคือปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณและลูกน้อยของคุณในขณะที่คุณอ่านหนังสือ พิจารณาการตั้งชื่อวัตถุ อธิบายตัวละคร ฉาก กำหนดสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย ชี้ให้เห็นความเหมือน และความแตกต่าง ทำนาย ตัดสิน ถามคำถามปลายเปิด และเกี่ยวข้องกับชีวิตจริง การสนทนาลักษณะนี้จะช่วยให้ลูกของคุณเข้าใจโลกรอบตัวได้ดียิ่งขึ้น

  • สร้างโอกาสให้ลูกต้องใช้คำพูด

การขอให้ลูกน้อยของคุณตัดสินใจแทนการใช้คำถามใช่หรือไม่ใช่เป็นวิธีที่ดีในการกระตุ้นให้พวกเขาใช้คำศัพท์ “ คุณต้องการนมหรือน้ำ?” รอคำตอบและให้กำลังใจสำหรับคำตอบของพวกเขา “ ขอบคุณที่บอกแม่ว่าคุณต้องการอะไรฉันจะดื่มน้ำให้คุณ”

เมื่อคุณสังเกตเห็นลูกน้อยของคุณกำลังเผชิญกับความท้าทายให้เวลาพวกเขาสื่อสารวิธีแก้ไข ถ้าพวกเขาทำไม่ได้ก็โอเคให้จำลองสิ่งที่พวกเขาพูดได้เพื่อแก้ปัญหา “ อืม หมุดไม่พอดีกับวิธีนั้น ฉันสงสัยว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง”

  • สนับสนุนการเคลื่อนไหวของช่องปากและทักษะการทานอาหาร

สองปีแรกของชีวิตเป็นช่วงการเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับทักษะทางปาก ในช่วงเวลานี้ลูกน้อยของคุณจะพัฒนาทักษะการกินและดื่มที่จะต้องใช้ไปตลอดชีวิต ทักษะเดียวกันนี้ที่ได้รับจากการกินและดื่มใช้สำหรับการพูดด้วย คุณสามารถเริ่มสนับสนุนทักษะการใช้ปากของลูกน้อยได้โดยจัดหาของเล่นเสริมฟัน หรือช่องปาก ที่เหมาะสมกับวัย และปลอดภัย เลือกของเล่นที่ปลอดภัยขนาดพอเหมาะ ที่ลูกน้อยของคุณสามารถถือและใช้ปากสำรวจได้โดยไม่ทำให้ขากรรไกรอ้ากว้างเกินไป ซึ่งอาจเป็นอันตรายกับลูกได้

ตัวอย่างเพิ่มเติมของกิจกรรมที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยในการพัฒนาช่องปาก ได้แก่

  • เป่าฟองสบู่กับลูกของคุณ
  • เติมลมให้แก้ม
  • เป่าแตรหรือนกหวีด

วิธีพูดกับลูกด้วย ภาษาเด็กเล็ก ช่วยลูกพูดไว สื่อสารได้เร็ว!

9 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก บั่นทอนจิตใจลูกถึงโต!

คำพูดเชิงบวก ที่ควรใช้พูดกับลูก 64 คำ

เมื่อไหร่ที่ควรเริ่มพูดคุยกับลูกวัยทารก?

เป็นการดีที่จะเริ่มพูดคุยกับลูกน้อยให้เร็วที่สุด ในความเป็นจริงตั้งแต่แรกเกิดลูกน้อยของคุณดูดซับข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับคำพูดและการพูดคุยเพียงจากการฟังและดูคุณพูด

การสนทนากับลูกน้อยของคุณ คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนเสมอ แต่ถึงแม้ว่าลูกน้อยของคุณจะยังไม่มีคำพูด แต่ลูกก็จะฟังคุณและจะพยายามเข้าร่วมการสนทนา! ลูกอาจจะใช้การร้องไห้ สบตา และฟังเพื่อสื่อสาร หลังจากนั้นลูกจะหัวเราะ ยิ้มหัวเราะ ส่งเสียงมากขึ้น และขยับร่างกายเพื่อสื่อสารกับคุณ หากคุณให้ความสนใจกับบุตรหลานของคุณในขณะที่คุณกำลังพูดคุณจะสังเกตเห็นว่าลูกน้อยของคุณพยายามที่จะพูดและสื่อสารบางอย่างกับคุณหรือไม่

ข้อควรรู้ : การสื่อสารกลับไปกลับมากับบุตรหลานของคุณด้วยวิธีที่อบอุ่น และอ่อนโยน ร่วมสร้างและแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน สิ่งนี้จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับลูกของคุณและช่วยให้ลูกของคุณเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้มากขึ้นในเวลาเดียวกัน

การพูดคุยดีสำหรับทารกมากแค่ไหน?

การพูดคุยไม่ว่า จะเป็นแบบใด ๆ ก็ดีสำหรับลูกน้อยหรือเด็กวัยเตาะแตะ ดังนั้นพยายามพูดให้มากที่สุดในระหว่างวัน คุณไม่จำเป็นต้องมีช่วงเวลาพิเศษในการพูดคุย ทารกและเด็กวัยเตาะแตะก็ชอบเวลาเงียบ ๆ เช่นกันดังนั้นหากลูกของคุณไม่ตอบสนองคุณและเริ่มดูเหนื่อยกระสับกระส่ายหรือไม่พอใจ คุณอาจต้องการเลือกเวลาอื่นในวันที่จะพูดคุย นิสัยใจคอของบุตรหลานอาจส่งผลต่อความถี่ที่เขาต้องการสื่อสารกับคุณ

 

การพูดกับลูก
การพูดกับลูก

เคล็ดลับ เพิ่มเติมในการพูดคุยกับทารก รวมถึงเด็กเล็ก

คุณอาจรู้สึกแปลกๆ ในการสนทนากับทารกหรือเด็กวัยเตาะแตะที่ยังพูดโต้ตอบได้ไม่มาก แต่จงทำต่อไปค่ะ! การสนทนาและกิจกรรมที่มีแนวคิดบางประการด้านล่างเป็นสิ่งที่ดีในการพัฒนาทักษะทางภาษาของเด็ก ๆ ได้

ปรับตัวให้เข้ากับเด็กๆ  

  • ลดสิ่งรบกวน ปิดทีวี หรือคอมพิวเตอร์ หรือทำทุกอย่างที่ช่วยให้คุณ ‘อยู่’ เพื่อพูดคุยกับพวกเขา
  • หมั่นสังเกตว่าลูกสนใจอะไร ถามคำถามหรือแสดงความคิดเห็น จากนั้นให้เวลาลูกในการตอบสนองหรือสื่อสารกลับ
  • เมื่อถึงช่วงเวลาที่ลูกวัยเตาะแตะเรียนรู้ที่จะพูด ควรให้เวลาเขาหาคำพูดสำหรับแนวคิดของเขา และตั้งใจฟังเมื่อเขาพูด ตัวอย่างเช่น พยายามอย่าพูดแทรกแต่ควรให้เขาพูดจบประโยคก่อน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาพูดเสร็จก่อนที่คุณจะพูดขึ้นมา สิ่งนี้จะส่งข้อความว่าสิ่งที่ลูกพูดมีความสำคัญต่อคุณ
  • พูดนำให้ลูกพูดต่อ  ลูกของคุณช่วยพูดเติมคำที่หายไป ซึ่งเป็นการสอนให้เด็กๆ ได้ฝึกการ “ให้และรับ” ในการสนทนาอีกด้วย

พูดถึงสิ่งที่น่าสนใจ

  • พูดคุยกับลูกของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสนใจ เช่น วันนี้คุณปู่กำลังทำอะไรอยู่ เรื่องที่คุณอ่านด้วยกันหรือสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
  • พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ในแต่ละวัน เช่น “วันนี้แดดออก แต่จำได้ไหมว่าระหว่างทางกลับบ้านเมื่อวานเราเปียกแค่ไหน? ถุงเท้าของลูกเปียกโชกเลย!
  • ใช้การแสดงออกที่หลากหลาย เพื่อทำให้การสนทนาของคุณน่าสนใจ สิ่งที่คุณพูด ไม่สำคัญเท่ากับวิธีการที่คุณพูด
  • หากคุณใช้คำที่ซับซ้อนให้อธิบายเพิ่มเติม โดยใช้คำอธิบายที่เข้าใจง่าย ตัวอย่างเช่น “เราจะไปพบกุมารแพทย์ซึ่งเป็นแพทย์ที่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทารกและเด็ก”

อ่านเล่าเรื่องร้องเพลงและทำคำคล้องจอง

  • อ่านหนังสือและเล่านิทานให้ลูกน้อยฟังตั้งแต่แรกเกิดทุกวัน  หลังจากผ่านไปสองสามสัปดาห์ลูกน้อยของคุณจะรู้ว่านี่คือช่วงเวลาพิเศษสำหรับคุณและเขา
  • พูดคุยเกี่ยวกับภาพในหนังสือสงสัยดัง ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในนิทานชี้คำและตัวอักษรแล้วปล่อยให้ลูกของคุณแตะหนังสือค้างไว้แล้วพลิกหน้า คุณสามารถสร้างเรื่องราวของคุณเองให้เข้ากับภาพในหนังสือได้
  • ช่วยให้บุตรหลานของคุณเรียนรู้ว่าหนังสือและการอ่านเป็นเรื่องสนุก คุณสามารถทำได้โดยมีจุดอ่านหนังสือพิเศษทำให้การกอดเป็นส่วนหนึ่งของเวลาอ่านหนังสือและปล่อยให้ลูกของคุณเลือกหนังสือบางเล่มแม้ว่าคุณจะต้องอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม!
  • ร้องเพลงและคำคล้องจองในรถอาบน้ำก่อนนอนแม้ว่าจะไม่ได้ใช้กุญแจก็ตาม ลูกน้อยของคุณจะชอบจังหวะของคำพูดและจะได้รับการปลอบประโลมด้วยเสียงของคุณ คุณสามารถดูไอเดีย Baby Karaoke ของเราได้

การพูดกับลูก

ข้อควรรู้ : บุตรหลานของคุณจะเรียนรู้ที่จะพูดคุยโดยดูว่าคุณสื่อสารกับผู้อื่นอย่างไร หากคุณพูดในทางบวกลูกของคุณจะเรียนรู้ที่จะพูดในแง่บวกกับผู้อื่น ตัวอย่างเช่นเมื่อคุณพูดคุยกันในช่วงเวลารับประทานอาหารคุณสามารถถามคำถามภรรยาหรือสามีในเชิงบวกได้ เช่น “วันนี้มีอะไรดีๆ เกิดขึ้นบ้าง?” ทั้งนี้ การเริ่มกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาและการสื่อสารให้กับลูกตังแต่พวกเขายังเล็ก จะช่วยเสริมสร้างให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดทางสติปัญญา (IQ)  ซึ่งเ ป็นเหมือนการปูทางให้ลูกมีแนวโน้มในการมีอนาคตที่ดี ที่คุณพ่อคุณแม่ร่วมสร้างและกระตุ้นให้กับลูกค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : montikids.com , babybonus.msf.gov.sg

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

6 เทคนิคคุยกับลูก สอนลูกให้คิดเป็น แก้ปัญหาเองได้

เลี้ยงลูกเชิงบวก คุยกับลูกแบบนี้ ไม่ต้องตี ลูกก็เชื่อฟัง โดยพ่อเอก

60 ประโยคอังกฤษ-ไทยง่ายๆ คุยกับลูกได้ทุกวัน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    ริดสีดวงทวาร

    คนท้องต้องรู้ให้ทัน ริดสีดวงทวาร งานเข้าแน่ ถ้าแม่ไม่ระวัง!

    ริดสีดวงทวาร – เมื่อพูดถึงคำว่า “ริดสีดวงทวาร” คงไม่มีใครอยากฟังเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่ โรคริดสีดวงทวาร ก็เป็นความจริงในชีวิตของใครหลาย ๆ คนที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ริดสีดวงทวารเป็นเส้นเลือดที่อยู่ภายในหรือภายนอกทวารหนักที่มีขนาดใหญ่และบวมขึ้น ถ้าหากจะเปรียบเทียบก็คงมีลักษณะคล้ายกับเส้นเลือดขอดเมื่ออยู่นอกร่างกายของเรา โรคริดสีดวงทวารหนักมักเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 และ ในช่วงหลังการคลอดใหม่ๆ  ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณอาจเป็นริดสีดวงทวารในช่วงเวลาอื่นของชีวิตได้เช่นกันหากคุณปล่อยปละละเลยสุขลักษณะที่ดี แต่อย่างไรก็ตามคุณสามารถรักษาหรือป้องกันโรคริดสีดวงทวารเองได้ด้วยวิธีการเยียวยาที่บ้าน ตลอดจนการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้ห่างไกลโรค

    คนท้องต้องรู้ให้ทัน ริดสีดวงทวาร งานเข้าแน่ ถ้าแม่ไม่ระวัง!

    โรคริดสีดวงทวาร

    ริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดขนาดเล็กบริเวณเยื่อบุช่องทวารหนัก รวมถึงมีการหย่อนยานของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันของเยื่อบุช่องทวารหนัก ปัจจุบันเชื่อว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร เช่น การเบ่งอุจจาระนานๆ และภาวะท้องผูก เป็นต้น สำหรับการรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย อาหารรสจัด หรือการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจกระตุ้นอาการของริดสีดวงทวารให้มากขึ้นได้ ริดสีดวงทวารแบ่งตามตำแหน่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

    1. ริดสีดวงทวารชนิดภายนอก (External Hemorrhoids)

    2. ริดสีดวงทวารชนิดภายใน (Internal Hemorrhoids)

    ริดสีดวงทวารชนิดภายใน ยังแบ่งย่อยออกเป็น 4 ระยะ ตามความรุนแรงของโรค ได้แก่
    ระยะที่ 1    ริดสีดวงทวารที่มีเลือดออกแต่ไม่มีก้อนยื่น
    ระยะที่ 2    ริดสีดวงทวารที่ยื่นพ้นปากทวารหนักขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และสามารถหดกลับเข้าที่ได้เอง
    ระยะที่ 3    ริดสีดวงทวารที่ยื่นพ้นปากทวารหนักขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ และจะกลับเข้าที่ได้โดยต้องใช้นิ้วดันกลับ
    ระยะที่ 4    ริดสีดวงทวารที่ยื่นออกมาตลอดเวลาไม่สามารถดันกลับเข้าที่ได้ หรือมีภาวะการเกิดลิ่มเลือดเฉียบพลันหรือมีการยื่นของเยื่อบุช่องทวารหนักออกมาทั้งหมดริดสีดวงทวารภายในและภายนอกจะเกิดร่วมกันได้บ่อยครั้ง การดูแลรักษาพิจารณาจากชนิดและความรุนแรงของโรคทั้งนี้การรักษามุ่งเพื่อบรรเทาอาการ  และไม่จำเป็นต้องขจัดหัวริดสีดวงทวารที่มีอยู่ทั้งหมด

    อาการริดสีดวงทวาร ในระหว่างตั้งครรภ์

    • เลือดออก (คุณอาจสังเกตเห็นเลือดเมื่อคุณเช็ดอุจจาระ)
    • การเคลื่อนไหวของลำไส้ที่ผิดปกติทำให้รู้สึกเจ็บหรือปวดในท้อง
    • มีผิวหนังที่นูนขึ้นใกล้กับทวารหนักของคุณ
    • อาการคันที่ทวารหนัก
    • ทวารหนักอาจแสบร้อน
    • มีอาการบวมที่ทวารหนัก

    โดยทั่วไปคุณจะพบอาการต่างๆ เหล่านี้ร่วมกับโรคริดสีดวงทวารภายนอก คุณอาจไม่มีอาการคล้ายกับโรคริดสีดวงทวารภายใน หรือคุณอาจเกิดก้อนเนื้อที่ยื่นออกมานอกทวารจากริดสีดวงทวารภายนอก แต่ทั้งหมดนี้ เรียกว่า “โรคริดสีดวงทวาร” โดยทั่วไปริดสีดวงที่เกิดมักจะแข็ง อักเสบ และเจ็บปวดมากขึ้นหากไม่ได้รับการเยียวยารักษา เป็นไปได้ที่ริดสีดวงทวารภายในจะถูดดันออกมาภายนอก เมื่อมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ หากเกิดเหตุการณ์นี้คุณอาจมีเลือดออกที่ทวารหนักและอาจและรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก

    ริดสีดวงทวาร
    ริดสีดวงทวาร

    สาเหตุของโรคริดสีดวงทวารในระหว่างตั้งครรภ์คืออะไร?

    สาเหตุของริดสีดวงทวารในระหว่างตั้งครรภ์

    • ปริมาณเลือดที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ทำให้หลอดเลือดดำใหญ่ขึ้น
    • ความดันหลอดเลือดดำใกล้ทวารหนักจากทารกและมดลูกที่กำลังเติบโต
    • ฮอร์โมนแปรปรวน
    • ท้องผูก

    คุณอาจมีอาการท้องผูกในการตั้งครรภ์ได้ง่ายกว่าช่วงอื่น ๆ ของชีวิต การศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้พบว่าในหญิงตั้งครรภ์ 280 คนมีอาการท้องผูก 45.7 เปอร์เซ็นต์

    อาการท้องผูกนี้อาจเกิดจากการนั่งเป็นเวลานานการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือจากการทานธาตุเหล็กหรืออาหารเสริมอื่น ๆ

    ริดสีดวงทวารจะหายไปหลังตั้งครรภ์หรือไม่?

    ริดสีดวงทวารของคุณอาจหายไปอย่างสมบูรณ์หลังการตั้งครรภ์และการคลอดโดยไม่ได้รับการรักษาใด ๆ เนื่องจากระดับฮอร์โมนปริมาณเลือดและความดันในช่องท้องลดลงหลังคลอด

    โรคริดสีดวงทวารที่พบบ่อยที่สุดในระหว่างตั้งครรภ์คือในไตรมาสที่สามของคุณและในระหว่างและหลังคลอดทันที คุณอาจเกิดโรคริดสีดวงทวารจากการคลอดบุตรได้หากคุณพบว่ามีการรัดเข็มขัดเป็นเวลานาน

    การรักษาโรคริดสีดวงทวารในระหว่างตั้งครรภ์

    มีวิธีแก้ไขและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมากมายที่คุณสามารถลองเพื่อลดอาการริดสีดวงทวารได้

    เป็นความคิดที่ดีที่จะไม่เพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้เนื่องจากโรคริดสีดวงทวารที่ไม่ได้รับการรักษาอาจแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไปและอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นหรือในบางกรณีโรคโลหิตจางจากเลือดออก คุณอาจต้องติดต่อแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาโรคริดสีดวงทวาร เนื่องจากโรคริดสีดวงทวารไม่ใช่สาเหตุเดียวของการมีเลือดออกใกล้ทวารหนักคุณควรปรึกษาแพทย์หากคุณสังเกตเห็นว่ามีเลือดออกสดๆ ร้อนๆ ทันที หลังจากคุณถ่ายอุจจาระ

    อาหารแก้ท้องผูก สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

    เคล็ด (ไม่) ลับ ดูแลท้องแรก ด้วยสารอาหารครบ 32 ชนิด ให้แม่ยุคใหม่พร้อมเอ็นจอยไลฟ์ได้ทุกวัน

    22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

    การเยียวยา ริดสีดวงทวาร ด้วยตัวเองที่บ้าน

    มีหลายสิ่งที่คุณสามารถทำได้ที่บ้านเพื่อบรรเทาและป้องกันโรคริดสีดวงทวาร

    • ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดหรือแผ่นรองที่มีส่วนผสมของวิชฮาเซล
    • ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดเบาๆ ที่บริเวณริดสีดวง
    • แช่น้ำอุ่นครั้งละ 10 นาที วันละสองถึงสามครั้ง
    • ประคบน้ำแข็งในบริเวณที่เจ็บสองสามนาที วันละหลาย ๆ ครั้ง
    • เคลื่อนไหวไปมาบ่อยๆ และพยายามอย่านั่งนานเกินไปเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดที่ทวารหนักมากเกินไป
    • ดื่มน้ำมาก ๆ และทานอาหารที่มีเส้นใยสูงเพื่อช่วยให้อุจจาระนิ่ม
    • หลีกเลี่ยงการเบ่งอุจจาระหรือนั่งบนโถส้วมเป็นเวลานาน
    • ออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
    • นอนตะแคงแทนที่จะนั่ง เพื่อลดแรงกดที่ทวารหนัก

    ริดสีดวงทวาร

    การรักษาริดสีดวงทวารในขณะตั้งครรภ์

    คุณอาจต้องการพบแพทย์ก่อนที่จะรักษาโรคริดสีดวงทวารเองที่บ้าน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและเข้าใจตัวเลือกการรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณ ในระหว่างตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาทุกครั้ง รวมถึงยาที่คุณใช้กับผิวหนังด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาจะไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อทารกของคุณ

    แพทย์ของคุณอาจแนะนำยาระบายที่ปลอดภัยหรือยาเหน็บเพื่อบรรเทาอาการท้องผูกได้ วิชฮาเซลอาจเป็นยารักษาโรคริดสีดวงทวารแบบชีวจิตในระหว่างตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ตามคุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอก่อนการใช้ยาต่างๆ  เพราะยาบางชนิดอาจไม่ปลอดภัยสำหรับการตั้งครรภ์ด้วยมีส่วนผสมที่บรรเทาอาการปวดหรือต้านการอักเสบที่อาจเป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ได้

    การรักษาทางการแพทย์สำหรับโรคริดสีดวงทวาร ได้แก่ :

    • ยางรัด ligation ในระหว่างการรัดแถบยางขนาดเล็กจะถูกวางไว้รอบฐานของริดสีดวงทวาร หยุดการไหลของเลือดเข้าไปในริดสีดวงทวารและในที่สุดริดสีดวงทวารก็จะหลุดออกไปเอง โดยปกติจะใช้เวลา 10 ถึง 12 วัน เนื้อเยื่อแผลเป็นจะเกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนนี้ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ริดสีดวงทวารเกิดซ้ำในตำแหน่งเดิม
    • Sclerotherapy สารละลายเคมี จะถูกฉีดเข้าไปในริดสีดวงทวารโดยตรง ทำให้เนื้อส่วนที่โดนฉีด หดตัวและกลายเป็นเนื้อเยื่อแผลเป็น แต่เป็นไปได้ที่ริดสีดวงทวารจะกลับมาอีก หลังจากการรักษาด้วยวิธีนี้
    • การผ่าตัดริดสีดวงทวาร  ขั้นตอนการผ่าตัดเพื่อเอาริดสีดวงทวารออก มีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงหลายประการรวมถึงการดมยาสลบ ความเสี่ยงต่อความเสียหายของกล้ามเนื้อทวารหนัก ปวดมากขึ้นและเวลาพักฟื้นนานขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ใช้การรักษานี้เฉพาะกับโรคริดสีดวงทวารที่รุนแรง หรือเมื่อมีภาวะแทรกซ้อน
    • การเย็บแผล เนื้อเยื่อริดสีดวงทวารจะถูกวางกลับเข้าไปในทวารหนักและยึดเข้าที่โดยใช้ลวดเย็บกระดาษผ่าตัด

    แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ใช้ผ้าพันแผลดูดซับบริเวณที่เป็นริดสีดวงทวารด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดมากเกินไป

    ริดสีดวงทวาร

    จะป้องกันโรคริดสีดวงทวารระหว่างตั้งครรภ์ได้อย่างไร?

    คุณสามารถพยายามลดอาการริดสีดวงทวารหรือป้องกันไม่ให้เกิดได้หลายวิธี

    คำแนะนำในการลดปริมาณเลือดในระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่

    • รับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักและผลไม้
    • ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายเป็นปกติ
    • หลีกเลี่ยงการเบ่งถ่ายอย่างรุนแรง
    • ไม่ควรนั่งบนโถส้วมนานเกินไป
    • พยายามอย่ากลั้นอุจจาระ
    • เคลื่อนไหวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการออกกำลังกายและหลีกเลี่ยงการนั่งเป็นเวลานาน
    • พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับการเพิ่มอาหารเสริมที่ช่วยหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก

    โรคริดสีดวงทวารระหว่างตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติ แต่ควรรีบรักษาทันทีหากคุณพบว่ามีริดสีดวงทวาร เนื่องจากอาการเหล่านี้จะแย่ลงหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง นอกจากนี้มีวิธีการรักษาที่บ้านมากมายที่คุณสามารถลองทำเองได้ แต่อย่างไรก็ดีหากอาการริดสีดวงทวารค่อนข้างรุนแรง คุณควรที่จะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พูดคุยกับแพทย์ของคุณเกี่ยวกับการรักษาต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ของคุณ หลังจากการคลอด ริดสีดวงทวารอาจหายได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษาใดๆ

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com , bangkokhatyai.com

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เป็นริดสีดวงตอนท้อง ดูแลอย่างไร? คลอดธรรมชาติได้ไหม?

    ตรวจร่างกายหลังคลอด สำคัญมาก! ทั้งแม่และลูกอย่าลืมไปตามนัด

    อาหาร เครื่องดื่ม ที่ คนท้องห้ามกิน กินแล้วอันตรายต่อลูก!

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      การเรียนรู้ของลูก

      นี่แหละโลกที่ลูกรู้ การเรียนรู้ของลูก วัยทารกถึงก่อนวัยเรียน

      การเรียนรู้ของลูก – ทารกเกิดมาพร้อมที่จะเรียนรู้และสมองของพวกเขาพัฒนาขึ้นจากการใช้งาน ดังนั้นบุตรหลานของคุณจึงต้องการสภาพแวดล้อมที่น่าตื่นเต้นพร้อมวิธีการเล่นและเรียนรู้ที่แตกต่างกันมากมาย นอกจากนี้เขายังต้องการโอกาสมากมายในการฝึกฝนสิ่งที่กำลังเรียนรู้

      ทารกและเด็กเล็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขามีความสัมพันธ์ที่อบอุ่นมีส่วนร่วมและตอบสนองกับผู้ดูแลหลักของพวกเขา ดังนั้นคุณจึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้บุตรหลานของคุณเรียนรู้ตลอดช่วงปีแรก ๆ นี้ คุณเป็นครูคนแรกของลูกและลูกของคุณจะเรียนรู้จากคุณต่อไปเมื่อโตขึ้น

      นี่แหละโลกที่ลูกรู้ การเรียนรู้ของลูก วัยทารกถึงก่อนวัยเรียน

      การเรียนรู้ของลูก ทารกและเด็กเล็กเรียนรู้อย่างไร?

      ลูกเล็กของคุณเรียนรู้ผ่านการเล่นและการสำรวจในชีวิตประจำวันในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและน่าตื่นเต้น

      ความสัมพันธ์ของบุตรหลานของคุณกับคุณสมาชิกในครอบครัวและผู้ดูแลคนอื่น ๆ เช่นนักการศึกษาปฐมวัยเป็นรากฐานสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาการที่ดีของบุตรหลาน การใช้เวลาเล่นและโต้ตอบกับคุณและคนอื่น ๆ เป็นจำนวนมากช่วยให้ลูกของคุณเรียนรู้ทักษะที่เขาต้องการสำหรับชีวิตเช่นการสื่อสารการคิดการแก้ปัญหาการเคลื่อนไหวและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น

      10 เทคนิคส่งเสริม พัฒนาการภาษา ให้ลูกวัยเตาะแตะ

      ลูกร้องไห้งอแง ทารกร้องแบบไหนเรียกว่าผิดปกติ?

      5 ผลเสียหากให้ลูกต่ำกว่า 2 ขวบกินอาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน !!

      ลูกของคุณเรียนรู้ได้ดีที่สุดโดยการมีส่วนร่วมกับสภาพแวดล้อมของเธออย่างกระตือรือร้น ซึ่งรวมถึง:

      • สังเกตสิ่งต่างๆดูใบหน้าและตอบสนองต่อเสียง
      • ฟังเสียงทำเสียงและร้องเพลง
      • การสำรวจตัวอย่างเช่นใส่ของเข้าปากเขย่าของและหมุนของไปรอบ ๆ
      • ถามคำถาม – ตัวอย่างเช่น “แต่ทำไม”
      • ทดลองกับพื้นผิววัตถุและวัสดุเช่นน้ำทรายหรือสิ่งสกปรก
      • ทำสิ่งที่กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งหมดของเธอไม่ว่าจะเป็นสัมผัสรสกลิ่นการมองเห็นและการได้ยิน
      การเรียนรู้ของลูก
      การเรียนรู้ของลูก

      บุตรหลานของคุณเรียนรู้จากการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของเขาด้วย สิ่งนี้อาจทำได้ง่าย ๆ ดังนี้:

      • การเลือกหนังสือที่จะอ่าน
      • ชี้ไปที่รูปภาพในหนังสือ
      • การเลือกสิ่งของและของเล่นที่จะเล่นด้วย
      • เลือกผักสำหรับมื้อเย็น
      • ตวงแป้งสำหรับมัฟฟิน

      หากบุตรหลานของคุณมีโอกาสได้ลองทำกิจกรรมต่างๆมากมายสิ่งนี้จะทำให้เธอมีหลายวิธีในการเรียนรู้และมีโอกาสฝึกฝนสิ่งที่เธอกำลังเรียนรู้ ตัวอย่างเช่นสิ่งสำคัญคือบุตรหลานของคุณจะต้องมีกิจกรรมทั้งภายในและภายนอกเคลื่อนไหวร่างกายหรือเงียบ ๆ เล่นฟรีหรือมีโครงสร้างมากขึ้นเป็นต้น

      บุตรหลานของคุณต้องการการสนับสนุนจากคุณในการเรียนรู้ ตัวอย่างเช่นบางครั้งเขาอาจต้องการให้คุณแสดงสิ่งที่ต้องทำ แต่เขาไม่ต้องการให้คุณตอบคำถามเขาทั้งหมด การปล่อยให้ลูกทำผิดพลาดและค้นหาตัวเองว่าโลกทำงานอย่างไรเป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้ การสรรเสริญและให้กำลังใจเมื่อลูกของคุณพยายามอย่างหนักจะทำให้เขาสนใจและช่วยให้เขารู้สึกดี

      นิทานก่อนนอน เล่าให้ลูกฟังทุกคืน ปูพื้นฐานภาษา ฉลาดทั้งไอคิว อีคิว

      ป้องกันได้ ! ภาวะการเติบโตหยุดชะงักในเด็กวัยเตาะแตะ

      7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

      เด็กวัยนี้กำลังเรียนรู้อะไรบ้าง?

      คุณและครอบครัวมีบทบาทสำคัญในสิ่งที่บุตรหลานของคุณเรียนรู้ในช่วงปีแรก ๆ เหล่านี้

      1. ตนเองและความสัมพันธ์

      จากคุณและครอบครัวบุตรหลานของคุณเรียนรู้ว่าเธอเป็นคนที่รักและสำคัญ เธอเรียนรู้ความไว้วางใจเช่น “ฉันรู้ว่าคุณจะอยู่ที่นั่นถ้าฉันล้มลง” เธอเริ่มเรียนรู้ที่จะเข้าใจความต้องการความคิดความรู้สึกชอบและไม่ชอบของตัวเอง ในที่สุดความสัมพันธ์ในครอบครัวจะสอนเธอเกี่ยวกับการเข้ากับเด็กคนอื่น ๆ และผู้ใหญ่

      2.ภาษาและการสื่อสาร
      เมื่อคุณพูดและฟังกับบุตรหลานของคุณอ่านและร้องเพลงด้วยกันคุณกำลังช่วยให้เขาเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาการสื่อสารเป็นลายลักษณ์อักษรและทักษะการสนทนาเช่นการผลัดกันฟัง

      3.พื้นที่สถานที่และสภาพแวดล้อม
      เมื่ออยู่บ้านกับคุณลูกของคุณจะเรียนรู้เกี่ยวกับขนาดและรูปร่างของตัวเองเช่น “ฉันตัวใหญ่กว่าเก้าอี้ แต่ไม่ใหญ่เท่าโต๊ะของเรา” เธอยังเรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่ของเธอในชุมชนของเธอและอิทธิพลของเธอที่มีต่อโลกรอบตัวเธอ ตัวอย่างเช่น “บ้านของฉันอยู่ที่ถนนสายนี้สวนสาธารณะอยู่ริมถนนและเพื่อนของฉันอาศัยอยู่คนละถนน” หรือ “ต้นไม้โตขึ้นเพราะฉันช่วยรดน้ำต้นไม้”

      การเรียนรู้ของลูก
      การเรียนรู้ของลูก

      4.สุขภาพและสมรรถภาพทางกาย
      เมื่อพูดถึงการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการออกกำลังกายคุณคือแบบอย่างที่สำคัญสำหรับบุตรหลานของคุณ หากคุณเลือกที่จะมีแอปเปิ้ลแทนที่จะเป็นสแน็คบาร์สำหรับน้ำชายามเช้าลูกของคุณก็มีแนวโน้มที่จะทำเช่นเดียวกัน หากคุณไปเดินเล่นแทนที่จะดูทีวีลูกของคุณจะได้เรียนรู้ว่าการออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีและสนุกในการใช้เวลาร่วมกัน

      5.การคำนวณการรู้หนังสือการเขียนด้วยลายมือและดนตรี
      คุณช่วยให้ลูกของคุณสร้างทักษะการคิดเลขในช่วงต้นด้วยการนับในชีวิตประจำวันเช่น ‘มีหมีกี่ตัวอยู่บนเตียง’ หรือ ‘คุณสามารถใส่หมุดสีแดงทั้งหมดลงในตะกร้านี้ได้หรือไม่’ หรือคุณสามารถร้องเพลงกล่อมเด็กกับลูกของคุณที่มี การนับ

      และบุตรหลานของคุณจะพัฒนาความรู้เบื้องต้นผ่านการอ่านและการเล่านิทานร่วมกับคุณเล่นเกมเสียงและตัวอักษรง่ายๆเช่นการฟังคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียงเดียวกันและดูรูปภาพตัวอักษรและคำในสภาพแวดล้อมเช่นบนป้ายและในแคตตาล็อก .

      ทักษะการเขียนด้วยลายมือของบุตรหลานจะพัฒนาขึ้นเมื่อคุณกระตุ้นให้เขาวาดเขียนและเขียน ตัวอย่างเช่นหากคุณกำลังเขียนการ์ดหรือรายการซื้อของคุณสามารถให้กระดาษและดินสอแก่บุตรหลานของคุณเพื่อให้เขาเข้าร่วมได้ “การเขียน” ยังช่วยให้บุตรหลานของคุณเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและเสียงพูด

      การร้องเพลงกับลูกของคุณการเปิดเพลงให้เธอเต้นให้เธอเล่นเครื่องดนตรี (การทำเองก็ทำได้ดี) และการหาเสื้อผ้าสำหรับแต่งตัวให้เธอใช้ล้วนเป็นวิธีที่ดีในการทำให้เธอเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับดนตรี ละครและการเต้นรำ

      ผู้ใหญ่ทำอะไรได้บ้างเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กวัยนี้?

      ต่อไปนี้เป็นบางสิ่งที่คุณในฐานะผู้ปกครองสามารถทำได้เพื่อช่วยเด็กก่อนวัยเรียนของคุณในช่วงเวลานี้:

      • อ่านให้ลูกฟังต่อไป สร้างนิสัยรักหนังสือโดยการพาลูกไปห้องสมุด หรือร้านหนังสือ
      • หมั่นถามเด็ก ๆ ด้วยคำถามปลายเปิด
      • ให้ลูกช่วยทำงานบ้านแบบง่ายๆ
      • กระตุ้นให้ลูกของคุณเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ สิ่งนี้ช่วยให้เขาเรียนรู้คุณค่าของการแบ่งปันและมิตรภาพ
      • มีความชัดเจนและสม่ำเสมอเมื่อฝึกวินัยบุตรหลานของคุณ อธิบายและแสดงพฤติกรรมที่คุณคาดหวังจากเธอ เมื่อใดก็ตามที่คุณบอกเธอว่าไม่ให้ทำตามสิ่งที่เขาควรทำแทน
      • ช่วยลูกของคุณพัฒนาทักษะทางภาษาที่ดีโดยพูดกับเขาเป็นประโยคที่สมบูรณ์และใช้คำว่า “โตแล้ว” ช่วยให้เขาใช้คำและวลีที่ถูกต้อง
      • ช่วยลูกของคุณผ่านขั้นตอนต่างๆ ในการแก้ปัญหาเมื่อเธออารมณ์เสีย
      • ให้ทางเลือกง่ายๆแก่บุตรหลานของคุณในจำนวน จำกัด (เช่นตัดสินใจว่าจะใส่อะไร เล่นตอนไหน และจะกินขนมอะไรดี)

      นอกจากนี้ สิ่งที่คุณช่วยกระตุ้น หรือเปิดโอกาส ให้เด็กๆ เกิดการเรียนรู้ที่ดีต่อพัฒนาการ ในข้อต่างๆ ข้างต้น จะช่วยส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดด้านต่างๆ ด้วย Power BQ ได้ในหลายด้าน อาทิ ความฉลาดทางสติปัญญา IQ  , ความฉลาดทางคุณธรรม MQ , ความฉลาดทางอารมณ์ EQ  , ความฉลาดของการเข้าสังคม SQ เป็นต้น

      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : extension.missouri.edu , raisingchildren.net.au

      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

      เทคนิคสยบ ลูกร้องไห้ ทารกร้องไห้ได้ทั้งวัน ปกติไหม?

      นี่คือสายตาของเด็กทารกที่มองเห็นพ่อแม่ในแต่ละเดือน จนถึงอายุ 1 ขวบ

      ลูกวัยเตาะแตะเริ่มออกลาย เพราะกำลังท้าทายหรือแย่จริง?

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        ตั้งครรภ์นอกมดลูก

        ทำไมถึง ตั้งครรภ์นอกมดลูก ท้องนอกมดลูก รู้เร็ว แม่รอด!

        ตั้งครรภ์นอกมดลูก – ตั้งแต่การปฏิสนธิไปจนถึงการคลอด การตั้งครรภ์ต้องใช้ขั้นตอนหลายขั้นตอนในร่างกายของผู้หญิง หนึ่งในขั้นตอนเหล่านี้คือเมื่อไข่ที่ปฏิสนธิเดินทางไปที่มดลูกเพื่อยึดติดกับตัวมันเอง ในกรณีของการตั้งครรภ์นอกมดลูกไข่ที่ปฏิสนธิจะไม่สามารถยึดติดกับมดลูก แต่อาจติดกับท่อนำไข่ ช่องท้องหรือปากมดลูก โดยตัวอ่อนที่ฝังตัวอยู่นอกมดลูกจะไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นทารกได้ ต้องได้รับการรักษาด้วยการนำตัวอ่อนออกไป

        ทำไมถึง ตั้งครรภ์นอกมดลูก ท้องนอกมดลูก รู้เร็ว แม่รอด!

        แม้ว่าการทดสอบการตั้งครรภ์อาจเปิดเผยว่าผู้หญิงกำลังตั้งครรภ์ แต่ไข่ที่ปฏิสนธิจะไม่สามารถเติบโตได้อย่างเหมาะสมที่อื่น นอกจากมดลูก ตามที่ American Academy of Family Physicians (AAFP) การตั้งครรภ์นอกมดลูก เกิดขึ้นประมาณ 1 ในทุก ๆ 50 การตั้งครรภ์ (20 จาก 1,000)

        การตั้งครรภ์นอกมดลูกโดยไม่ได้รับการรักษาอาจเป็นเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ การรักษาอย่างทันท่วงทีช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์นอกมดลูกเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ที่ดีในอนาคต และลดภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพของแม่และเด็กในอนาคต

        สาเหตุของการตั้งครรภ์นอกมดลูกคืออะไร?

        สาเหตุของการตั้งครรภ์นอกมดลูกไม่ชัดเจนเสมอไป ในบางกรณีเงื่อนไขต่อไปนี้เชื่อมโยงกับการตั้งครรภ์นอกมดลูก:

        • การอักเสบและรอยแผลเป็นของท่อนำไข่จากเงื่อนไขทางการแพทย์ก่อนหน้าการติดเชื้อหรือการผ่าตัด
        • ปัจจัยของฮอร์โมน
        • ความผิดปกติทางพันธุกรรม
        • ข้อบกพร่องที่เกิด
        • มีความผิดปกติของรูปร่างและสภาพของท่อนำไข่และอวัยวะสืบพันธุ์
        ตั้งครรภ์นอกมดลูก
        ตั้งครรภ์นอกมดลูก

        ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก?

        ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกคนมีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูก ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มขึ้นด้วยสิ่งต่อไปนี้:

        • มารดาอายุ 35 ปี ขึ้นไป
        • ประวัติการผ่าตัดกระดูกเชิงกราน การผ่าตัดช่องท้องหรือการทำแท้งหลายครั้ง
        • ประวัติโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID)
        • ประวัติ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis)
        • การสูบบุหรี่
        • ประวัติการตั้งครรภ์นอกมดลูก
        • ประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STDs) เช่น หนองใน หรือหนองในเทียม
        • มีความผิดปกติของโครงสร้างในท่อนำไข่ซึ่งทำให้ไข่เดินทางได้ยาก

        หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงข้างต้นโปรดปรึกษาแพทย์ของคุณ คุณสามารถทำงานร่วมกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาวะเจริญพันธุ์เพื่อลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูกในอนาคต

        อาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูก

        อาการคลื่นไส้และเจ็บเต้านมเป็นอาการที่พบบ่อยในการตั้งครรภ์นอกมดลูกและมดลูก อาการต่อไปนี้พบได้บ่อยในการตั้งครรภ์นอกมดลูกและอาจบ่งบอกถึงเหตุฉุกเฉินทางการแพทย์:

        • ความเจ็บปวดที่รุนแรงในช่องท้องกระดูกเชิงกราน ไหล่ หรือคอ
        • อาการปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของช่องท้อง
        • มีเลือดออกทางช่องคลอด
        • รู้สึกเวียนศีรษะหรือคล้ายจะเป็นลม
        • ความดันทางทวารหนัก

        คุณควรติดต่อแพทย์หรือขอรับการรักษาทันทีหากคุณรู้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ และมีอาการตามข้างต้น

        ตั้งครรภ์นอกมดลูก
        ตั้งครรภ์นอกมดลูก

         

        การวินิจฉัยการตั้งครรภ์นอกมดลูก

        หากคุณสงสัยว่าคุณอาจตั้งครรภ์นอกมดลูกให้ไปพบแพทย์ทันที การตั้งครรภ์นอกมดลูกไม่สามารถวินิจฉัยได้จากการตรวจร่างกาย  อย่างไรก็ตามแพทย์ของคุณอาจยังคงดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อแยกแยะปัจจัยอื่น ๆ อีกขั้นตอนหนึ่งในการวินิจฉัย คือ อัลตราซาวนด์ เพื่อให้แพทย์ของคุณสามารถตรวจดูว่าถุงตั้งครรภ์อยู่ในมดลูกหรือไม่

        นอกจากนี้แพทย์ของคุณอาจใช้การตรวจเลือดเพื่อเช็คระดับเอชซีจีและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งทั้งสองเป็นฮอร์โมนที่มีอยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หากระดับฮอร์โมนเหล่านี้เริ่มลดลงหรือคงเดิมในช่วงสองสามวันและไม่มีถุงตั้งครรภ์ให้เห็นจากการทำอัลตราซาวนด์แสดงว่าการตั้งครรภ์นั้นมีโอกาสเกิดนอกมดลูก

        การรักษาการตั้งครรภ์นอกมดลูก

        ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วไม่สามารถพัฒนาได้ตามปกตินอกมดลูก เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่คุกคามชีวิต จำเป็นต้องเอาเนื้อเยื่อนอกมดลูกออก ขึ้นอยู่กับอาการของคุณและเมื่อพบการตั้งครรภ์นอกมดลูกอาจทำได้โดยใช้ยาการผ่าตัดผ่านกล้องหรือการผ่าตัดช่องท้อง

        • ยา
          การตั้งครรภ์นอกมดลูกระยะแรก มักได้รับการรักษาด้วยยาที่เรียกว่า methotrexate ซึ่งจะหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์และสลายเซลล์ที่มีอยู่ ยาจะได้รับโดยการฉีด การวินิจฉัยการตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นสิ่งสำคัญมากก่อนรับการรักษานี้  หลังจากฉีดยาแล้วแพทย์ของคุณจะสั่งการทดสอบ HCG อีกครั้งเพื่อตรวจสอบว่าการรักษาได้ผลดีเพียงใด เพื่อพิจารณาการให้การรักษาต่อไป
        • ขั้นตอนการส่องกล้องในช่องท้อง (Salpingostomy / Salpingectomy )
          เป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้องสองครั้งที่ใช้ในการรักษาการตั้งครรภ์นอกมดลูก ในขั้นตอนเหล่านี้จะมีแผลเล็ก ๆ ที่หน้าท้อง ใกล้กับบริเวณสะดือ จากนั้นแพทย์ของคุณจะใช้ท่อบาง ๆ ที่มีเลนส์กล้องและแสง (ส่องกล้อง) เพื่อดูบริเวณท่อนำไข่
        • การผ่าตัดฉุกเฉิน
          หากคุณมีอาการรุนแรง เช่น ปวดมากหรือมีเลือดออก อาจเกิดจากท่อนำไข่ได้รับความเสียหายได้ ในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้เลือดออกภายในจำนวนมาก จากนั้นแพทย์ของคุณจะทำการผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อให้การรักษาทันที  ซึ่งสามารถทำได้โดยการส่องกล้องหรือผ่าหน้าท้อง (laparotomy) ในบางกรณีสามารถรักษาท่อนำไข่ไว้ได้ อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วจะต้องเอาท่อที่แตกออก

        ตั้งครรภ์นอกมดลูก

         

        การป้องกัน

        การคาดเดาอาการ หรือ การป้องกันอาจไม่สามารถทำได้ในทุกกรณี แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการดูแลรักษาอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดี ให้คู่ของคุณสวมถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์และ จำกัด จำนวนคู่นอนของคุณ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะที่ทำให้เกิดการอักเสบในท่อนำไข่ เข้ารับการตรวจอย่างสม่ำเสมอกับแพทย์ของคุณรวมถึงการตรวจทางนรีเวชและการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ การทำตามขั้นตอนเพื่อปรับปรุงสุขภาพส่วนบุคคลของคุณ เช่น การเลิกสูบบุหรี่ ก็เป็นวิธีในการป้องกันที่ดี เช่นกัน

        แนวโน้มในระยะยาวจะเป็นอย่างไร?

        แนวโน้มระยะยาวหลังการตั้งครรภ์นอกมดลูกขึ้นอยู่กับว่ามีการเกิดความเสียหายทางกายภาพหรือไม่ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ตั้งครรภ์นอกมดลูกมักจะมีการตั้งครรภ์ที่แข็งแรงได้หากท่อนำไข่ทั้งสองยังคงสมบูรณ์ดีอยู่ หรือมีเพียงข้างเดียวก็สามารถปฏิสนธิไข่ได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามหากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการสืบพันธุ์มาก่อนอาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ในอนาคตและเพิ่มความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์นอกมดลูกในอนาคต

        การผ่าตัดอาจทำให้ท่อนำไข่เป็นแผลเป็นและอาจทำให้การตั้งครรภ์นอกมดลูกในอนาคตมีโอกาสเกิดมากขึ้น หากจำเป็นต้องถอดท่อนำไข่ออกหนึ่งหรือทั้งสองข้างให้ปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับการรักษาภาวะเจริญพันธุ์ที่เป็นไปได้ ตัวอย่าง คือ การปฏิสนธินอกร่างกายโดยการฝังไข่ที่ปฏิสนธิเข้าไปในโพรงมดลูก

        การตั้งครรภ์อีกครั้งหลังตั้งครรภ์นอกมดลูก?

        คุณควรพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในอนาคตหลังจากได้รับการรักษาการตั้งครรภ์นอกมดลูก แม้ว่าการตั้งครรภ์อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการรักษา แต่อย่างน้อยควรรอประมาณสามเดือน เพื่อให้ท่อนำไข่ของคุณมีเวลาในการฟื้นฟูและลดความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกครั้ง

        การสูญเสียการตั้งครรภ์ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วแค่ไหนก็ทำให้คนเป็นแม่เป็นพ่อรู้สึกแย่ได้ คุณสามารถถามแพทย์ของคุณว่ามีกลุ่มสนับสนุนในพื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมหลังจากการสูญเสียหรือไม่ ดูแลตัวเองหลังจากการสูญเสียนี้ด้วยการพักผ่อนให้มาก รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเมื่อเป็นไปได้ ควรให้เวลากับตัวเองมากๆ จำไว้ว่าผู้หญิงหลายคนมีครรภ์และทารกที่มีสุขภาพดีได้หากใส่ใจดูแลตัวเองอย่างจริงจัง เมื่อคุณพร้อมแล้วให้ปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับวิธีที่คุณสามารถมั่นใจได้ว่าการตั้งครรภ์ในอนาคตของคุณจะมีคุณภาพที่ดีได้

        ทั้งนี้หากในอนาคตที่คุณมีลูก การปลูกฝังให้เด็กๆ ได้เห็นและเข้าใจถึงความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีอย่างที่คุณให้ความสำคัญและทำเป็นตัวอย่าง จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันให้พวกเขาห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ คุณสามารถพูดคุยกับพวกเขาถึงประโยชน์ของการมีสุขภาพที่ดี  ซึ่งเริ่มได้ทันทีในวัยเตาะแตะ ส่งเสริมให้พวกเขาได้ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและพักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ก็จะเป็นการเสริมสร้างทักษะด้านความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQได้ค่ะ

        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com

        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

        ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ มดลูกข้างซ้าย อันตรายหรือเปล่า

        แม่แชร์ประสบการณ์! ท้องนอกมดลูก วิธีสังเกต รักษา อย่างละเอียด

        ท้องนอกมดลูก อันตรายไหม ?

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ลูกชอบเล่นจู๋

          ทำไม ลูกชอบเล่นจู๋ ลูกชายเล่นอวัยวะเพศตัวเอง ปกติมั้ย?

          ลูกชอบเล่นจู๋ –  ในฐานะคุณแม่มือใหม่ เป็นธรรมดาที่อาจเกิดความกังวลในครั้งแรกที่สังเกตเห็นว่าลูกชายวัยเตาะแตะได้ค้นพบตัวเอง และมีพฤติกรรมชอบสัมผัสกับอวัยวะเพศของตัวเอง เช่น ดึงอวัยวะเพศ คุณอาจสังเกตเห็นว่าอวัยวะเพศมีการแข็งตัว คุณแม่บางคนยังไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองต่อพฤติกรรมทางเพศบางอย่างอย่างไร เช่นเมื่อลูกวัยเตาะแตะจับอวัยวะเพศของพ่อแม่ คุณไม่จำเป็นต้องแสดงความตกใจมากเกินไป แต่จะตอบสนองต่อลูกน้อยของคุณอย่างไรให้เหมาะสม วันนี้เรามีแนวทางดี ๆ มาฝากค่ะ

          สำหรับเด็กผู้ชายวัยเตาะแตะส่วนใหญ่ อาจมีนิสัยชอบเล่นกับอวัยวะเพศของตัวเอง อย่างไรก็ตามหากพฤติกรรมเหล่านี้ไม่เป็นปัญหาทางการแพทย์ ก็ถือเป็นพฤติกรรมที่ปกติ และพ่อแม่ก็ไม่ควรกังวลมากจนเกินไป พูดคุยกับลูกอย่างอ่อนโยนและเป็นกลาง ไม่ควรดุลูก ว่าไปจับจู๋เล่นทำไม? เพราะอาจทำให้ลูกเกิดความรู้สึกไม่ดีติดตัวไปตอนโต พ่อแม่บางคนกังวลว่าการหมกมุ่นชอบเล่นกับอวัยวะเพศตัวเองว่าอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคออทิสติก ความจริงแล้วโปรดมั่นใจว่า ไม่มีการศึกษา หรือหลักฐานทางการแพทย์ใดที่ระบุว่าพฤติกรรมนี้เป็นเรื่องผิดปกติ

          เด็กผู้ชาย ฮอร์โมนผิดปกติ เพราะกินถั่วเหลือง จริงหรือไม่?

          ไอเดีย ตั้งชื่อลูกชายเกิดวันพุธ 200 ชื่อดี ความหมายมงคล

          ขนาดอวัยวะเพศชาย ดูได้จากขนาดของเท้าจริงหรือ?

           

          ทำไม ลูกชอบเล่นจู๋ ลูกชายเล่นอวัยวะเพศตัวเอง ผิดปกติมั้ย?

          ลูกชอบเล่นจู๋
          ลูกชอบเล่นจู๋

          ลูกชายค้นพบตนเองจากการสัมผัสอวัยวะเพศตัวเอง

          การสัมผัส เกา หรือ ดึง บริเวณอวัยวะเพศ เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของเด็กผู้ชายทุกคน โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย อายุ 2 ถึง 5 ปี พวกเขาอาจชอบจัดแจงอวัยวะเพศของตัวเองเพื่อความสบาย ทั้งเกาเพราะคัน หรือใช้โอกาสเรียนรู็ตัวเองมากขึ้นจากการเลิกผ้าอ้อม หากพวกเขาเรียนรู้ที่จะใช้ห้องน้ำ ในระหว่างการทำเช่นนี้ เด็กวัยเตาะแตะอาจตระหนักว่าการสัมผัสตัวเองในบริเวณนี้ให้ความรู้สึกเพลิดเพลิน เด็กวัยเตาะแตะอาจตระหนักถึงการแข็งตัวตามธรรมชาติของพวกเขามากขึ้น ในกรณีที่ชอบจับอวัยเพศชายของพ่อ เด็กวัยเตาะแตะอาจยังไม่เข้าใจว่าไม่เหมาะสมที่จะสัมผัสอวัยวะเพศของพ่อ หากคุณบอกว่าไม่เหมาะสม เด็กวัยนี้จะยังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นไม่สายเกินไปที่จะสอนลูกเรื่องความเหมาะสมในการจับอวัยวะเพศของพ่อ รอให้ลูกอายุ ห้าขวบขึ้นไปน่าจะเหมาะสมที่สุด

          อายุระหว่าง 1-3 ปีเด็กวัยหัดเดินของคุณอาจมีพฤติกรรมต่อไปนี้ได้ :

          • สัมผัสอวัยวะเพศของตัวเองบ่อยครั้ง
          • แสดงอวัยวะเพศให้คนอื่นเห็น
          • มองหรือสัมผัสอวัยวะเพศของเด็กหรือผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยอย่างสนุกสนานระหว่างเล่นน้ำเวลาอาบน้ำหรือในห้องน้ำ
          • สนุกกับการเปลือยเปล่า
          • แสดงความสนใจในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

          ลูกชอบเล่นจู๋

          สัญญาณบ่งบอกว่าอาจเกิดปัญหากับอวัยวะเพศของลูก

          หากเป็นพฤติกรรมที่คุณอาจไม่เคยเห็นมาก่อน และเห็นบ่อยขึ้น ให้ตรวจสอบปัญหาทางการแพทย์ของบุตรหลาน เช่น สภาพผิวหนัง การติดเชื้อรา หรือความเจ็บป่วยอื่น ๆ หากคุณสังเกตเห็นอาการภายนอกใด ๆ ดังต่อไปนี้ให้ติดต่อผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของบุตรหลานของคุณ:

          • มีเลือดออก
          • ผิวที่เป็นขุยในบริเวณนั้น
          • ลูกบ่นว่าปวด
          • ลูกมีปัญหาในการปัสสาวะ
          • มีรอยแดง
          • อวัยวะเพศเปลี่ยนสี
          • มีอาการบวม

          การป้องกันการเสียดสี และการระคายเคือง

          การเสียดสีที่อวัยวะเพศและการระคายเคืองเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยังต้องสวมผ้าอ้อมในสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว  4 กลยุทธ์เหล่านี้อาจช่วยลูกของคุณได้:

          • เลือกใช้ผ้าอ้อมที่เหมาะสม ผ้าอ้อมที่แน่นเกินไปจะทำให้ระคายเคือง แต่ผ้าอ้อมที่หลวมเกินไปอาจส่งผลเสียได้เช่นกัน แรงเสียดทานอย่างต่อเนื่องในเด็กวัยหัดเดินที่กระตือรือร้นก่อให้เกิดการเสียดสี
          • เปลี่ยนผ้าอ้อมให้บ่อยขึ้น เพื่อไม่ให้อวัยวะเพศติดกับผ้าอ้อม
          • ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันการเสียดสี  หากคุณสังเกตเห็นอวัยวะเพศของเขาติดกับผ้าอ้อมหรือถุงอัณฑะและอวัยวะเพศติดกัน ให้ใช้ตอนเปลี่ยนผ้าอ้อมแต่ละครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศร้อนชื้น

          ลูกชอบเล่นจู๋

          วิธีการตอบสนอง เมื่อลูกชายชอบเล่นอวัยวะเพศ

          หากลูกของคุณเล่นกับอวัยวะเพศตัวเองตลอดเวลา หรือคุณไม่ต้องการให้ลูกทำพฤติกรรมนี้ในที่สาธารณะ แม้ว่าคุณแม่และคุณพ่อบางคนจะโอเคกับพฤติกรรมนี้ก็ตาม  ดังนั้นวิธีการตอบสนองของคุณอาจขึ้นอยู่กับค่านิยมของคุณ แต่ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องใจเย็นๆ และพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของลูกจากพฤติกรรมนั้น โดยเปลี่ยนความสนใจไปที่สิ่งอื่นที่จะดึงดูดความสนใจของลูกได้แทน

          สมองเด็ก ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย ต่างกันอย่างไร?

          ภาวะฮอร์โมนเพศชายต่ำ เรื่องที่ผู้ชายต้องรู้ ก่อนคิดมีลูก !

          จริงหรือ? ความถี่ของการมี เซ็กส์บอกเพศลูก ได้

          คุณสามารถขอให้เขาทำอะไรบางอย่างด้วยมือของเขา เช่น :

          “ลูกสูงเท่าไหร่นะ?”
          “ไหนบอกแม่สิว่าโดราเอม่อนตัวใหญ่แค่ไหน”

          นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อช่วยให้เด็กวัยหัดเดินของคุณเรียนรู้เกี่ยวกับส่วนต่างๆของร่างกายทั้งในที่สาธารณะและส่วนตัวเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายต่างกันอย่างไรและวิธีการพูดถึงร่างกาย พูดคุยกับลูกวัยเตาะแตะของคุณและตอบคำถามของเขาอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา แต่ในระดับที่เขาเข้าใจได้ด้วย

          นอกจากนี้ควรใช้คำที่เหมาะสมกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น  อวัยวะเพศ หรือ อัณฑะ เป็นต้น สิ่งนี้ช่วยให้ลูกของคุณเรียนรู้เกี่ยวกับร่างกายของเขาเพื่อที่เขาจะได้ถามคุณเกี่ยวกับคำถามหรือข้อกังวลที่เขามี

          เมื่อลูกของคุณถึงวัยเลิกผ้าอ้อม หรือคุณสังเกตเห็นว่าเขาชอบจับอวัยวะเพศจนเหมือนเป็นกิจกรรมผ่อนคลายตัวเอง คุณอาจต้องเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูก เริ่มพูดถึงเวลาและสถานที่ที่เหมาะสมในการสัมผัสส่วนนั้นของร่างกาย แม้การเล่นอวัยวะเพศในเด็กเล็กจะเป็นเรื่องปกติ แต่อย่างไรก็ดี ต้องสอนลูกว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำส่วนตัว

          พ่อแม่สามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อช่วยสนับสนุนการสำรวจตนเองตามธรรมชาติ

          • เมื่อลูกสัมผัสอวัยวะเพศ ควรแนะนำให้ทำในที่ส่วนตัว
          • ช่วยให้เด็กเรียนรู้ว่าควร จำกัด การสัมผัสตัวเองไว้ที่บ้าน และอธิบายว่าไม่เหมาะสมในสถานที่สาธารณะ เช่น ร้านค้าสวนสาธารณะหรือร้านอาหาร
          • ให้ความรู้แก่เด็ก ๆ ว่าใครได้รับอนุญาตให้แตะต้องอวัยวะเพศของพวกเขาและใครไม่ได้รับอนุญาต
          • บอกเด็กว่าแม่และพ่อสามารถสัมผัสร่างกายได้ในช่วงเวลาอาบน้ำใช้ห้องน้ำหรือเวลาแต่งตัว
          • บอกเด็กว่าแพทย์และพยาบาลอาจสัมผัสร่างกายเพื่อให้การดูแล
          • บอกให้เด็ก ๆ รู้ว่าไม่มีใครมีสิทธิ์สัมผัสร่างกายของพวกเขาและหากมีใครพยายามพวกเขาควรมาบอกคุณทันที

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily,all4women.co.za

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          จุ๊ดจู๋ ลูกชาย พ่อแม่ต้องรู้และเข้าใจ เพื่อการดูแลที่ถูกต้อง

          เมื่อจุ๊กจู๋ของทารกชี้โด่เด่ ผิดปกติหรือไม่?

          จิ๋มเด็ก จู๋เด็ก ทำไมลูกถึงชอบจับเล่น?

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            โรคติดหรู

            ระวัง! พ่อแม่เลี้ยงผิดๆ ลูกอาจเป็น “โรคติดหรู” ไม่รู้ตัว!

            โรคติดหรู – บ้านที่มีเสื้อผ้าล้นตู้ หรือหีบของเล่นเต็มบ้านและส่วนมากเป็นของราคาแพง และในขณะที่คุณรู้สึกลูก ๆ มีสิ่งของต่างๆ มากเกินไป การเลือกโละและตัดใจทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เพราะลูกของคุณยังคงหวงของทุกอย่าง การให้เด็ก ๆ มีสิ่งของมากเกินไปไม่ดีต่อสุขภาพ เด็กที่ได้รับมากกว่าที่ต้องการ มีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่นิยมวัตถุนิยมได้มากกว่าที่คิด

            ระวัง! พ่อแม่เลี้ยงผิดๆ ลูกอาจเป็น โรคติดหรู ไม่รู้ตัว!

            มีการศึกษาวิจัยที่พบว่าเด็กที่ชอบวัตถุนิยมมักจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบวัตถุนิยม และนั่นอาจส่งผลร้ายแรงรวมถึงความไม่มีความสุขมากขึ้นในช่วงวัยผู้ใหญ่ พ่อแม่หลายคนให้ลูกเติบโตขึ้น โดยอาจไม่ได้สอนให้ลูกเข้าใจว่าสิ่งต่างๆ ที่ลูกได้มาล้วนมีค่าใช้จ่าย เพราะมุ่งเป้าไปที่ความสุขของลูก อย่างไรก็ตามการทำให้เด็กเข้าใจแนวคิดเหล่านี้ ค่อนข้างมีความซับซ้อนนั่นเป็นเพราะเด็กหลายคนได้รับการเลี้ยงดูโดยคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องตอบสนองพวกเขา เมื่อพูดถึงของเล่น เสื้อผ้า และสิ่งของทางกายภาพอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีโฆษณามากมายบนอินเทอร์เน็ต ทีวี และสื่ออื่น ๆ ซึ่งช่วยสร้างความคาดหวังนี้ ตั้งแต่วิดีโอเกม ไปจนถึงอุปกรณ์เทคโนโลยี ไปจนถึงเสื้อผ้าใหม่ ๆ ที่ทันสมัย การใช้จ่าย และการได้เป็นเจ้าของ ช่วยเพิ่มความนับถือตนเองและความพึงพอใจ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

            โรคติดหรู
            โรคติดหรู

            ในโลกยุคดิจิตัล อาจเป็นเรื่องท้าทายพอสมควรที่จะหาวิธีป้องกันไม่ให้ลูก ๆ กลายเป็นคนชอบวัตถุนิยม หรือปรารถนาอยากได้สิ่งของไปซะทุกอย่าง สังคมอาจหล่อหลอมเราด้วยความคิดที่ว่ามีมากกว่านั้นดีกว่า ลูก ๆ ของเราถูกกระตุ้นความอยากได้ จากช่องทางสื่อ ต่างๆ ด้วยความคิดที่ว่าพวกเขาจะเจ๋ง และมีค่ามากขึ้น เมื่อพวกเขามีของราคาแพงมากขึ้น

            สัญญาณบ่งบอกว่าลูกมีความวัตถุนิยม

            1. ลูกชอบบ่นว่าไม่มีอะไรทำ

            เคยสังเกตเห็นลูกของคุณบ่นแบบนี้มั้ย? หนูเบื่อ หนูไม่มีอะไรทำ หนูไม่มีของเล่นอะไรจะเล่นเลย ฯลฯ แต่ในความจริงในบ้านของคุณมีห้องเด็กเล่นที่เต็มไปด้วยของเล่นมากมายก่ายกอง

            2. ร้องไห้ฟูมฟายขอของเล่นและเสื้อผ้าใหม่

            ไม่ว่าจะอยู่ในร้านค้า หรือหลังจากที่ได้เห็นของเล่นใหม่ล่าสุดทางทีวี เด็ก ๆ มักแสดงอาการอยากได้ อยากมี พวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขารู้สึกว่าตัวเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับสิ่งใดก็ตามที่ร้องขอ และต้องได้เท่านั้น และพวกเขาไม่เคารพขอบเขตของคุณ เมื่อคุณพยายามกำหนด สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อแม่ เด็ก ๆ มักจะขอมากขึ้นเรื่อย ๆ และผู้ปกครองส่วนใหญ่ต้องการให้ลูกมีความสุข และหยุดร้อง แต่ถ้าเรายอมทุกครั้งที่ลูกร้องขอ ก็เหมือนเรากำลังทำให้ลูก ๆ ของเรามีปัญหาในระยะยาวได้

            โรคติดหรู

            สิ่งที่อาจสร้างเด็กมีนิสัยวัตถุนิยม

            ผลการศึกษาในปี 2015 ที่ตีพิมพ์ใน Journal of Consumer Research พบว่าเด็กที่กลายเป็นวัตถุนิยม นำความเชื่อหลักสองประการมาใช้:

            • การเป็นเจ้าของสิ่งที่มีคุณภาพสูงตลอดจนสินค้าวัสดุจำนวนหนึ่งคือคำจำกัดความของความสำเร็จ
            • การได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์บางอย่าง ทำให้ผู้คนดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

            แน่นอนว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่ได้ปลูกฝังความเชื่อเหล่านั้นให้กับเด็กอย่างตั้งใจ แต่เด็ก ๆ จะพัฒนาความเชื่อเหล่านั้นตามรูปแบบการเลี้ยงดู และระเบียบวินัยของพ่อแม่ เช่นเดียวกับบทบาทในบ้านของพวกเขา

            ผู้ปกครองมีส่วนทำให้ลูกมีนิสัยวัตถุนิยมได้อย่างไร

            การศึกษาพบว่าพ่อแม่ที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยความรักและเอาใจลูกมากเป็นพิเศษ มักมีส่วนทำให้เด็กเกิดทัศนคติแบบวัตถุนิยม แต่ทว่า ชเด็กที่เติบโตในบ้านที่พวกเขารู้สึกว่าถูกปฏิเสธก็ยังมีแนวโน้มที่จะชอบวัตถุนิยมได้ เช่นกัน ตัวอย่างเช่น เด็กที่รู้สึกว่าพ่อแม่ผิดหวังในตัวเขาอาจแสวงหาความสะดวกสบายในทรัพย์สินทางวัตถุของเขา หรือเด็กที่ไม่ได้ใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่มากนัก อาจรับมือกับความเหงาได้โดยใช้ของเล่นและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นักวิจัยพบว่าการเลี้ยงดูหลักสามประการมีส่วนทำให้เด็กมีความเชื่อแบบวัตถุนิยม

            • การให้รางวัลลูก : การจ่ายเงินให้ลูกของคุณเพื่อผลการเรียนที่ดีหรือให้สัญญาว่าจะซื้อสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ให้ หากลูฏทำได้ดีในการเล่นฟุตบอลอาจสอนลูกว่าสิ่งของที่เป็นวัตถุคือเป้าหมายสูงสุด
            • การให้ของขวัญ : การให้ของขวัญแก่ลูก ๆ ของคุณเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักของคุณอาจสอนพวกเขาว่าการได้รับความรักหมายถึงการได้รับของขวัญ
            • การเอาทรัพย์สินไปทิ้ง : การทำให้ลูกรู้สึกถูกแยกออกจากสิ่งของต่างๆ อาจสอนเด็ก ๆ ให้มีความต้องการสมบัติทางวัตถุมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

            เราจะเลี้ยงลูกให้ห่างไกลวัตถุนิยมได้อย่างไร?

            1.ช่วยให้ลูกสนุกได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ

            เล่นกับลูก ๆ ของคุณให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะทำได้โดยไม่ต้องใช้จ่ายเงินก้อนโต   “เต้นรำ ร้องเพลง เล่นกีตาร์ให้ลูกฟัง  วาดภาพร่วมกัน ให้สมาชิกในครอบครัวแต่ละคนได้รับผืนผ้าใบไปทำผลงานของตัวเองแล้วเอามาชื่นชมกัน หรือจะสนุกไปกับเกมไพ่ หรือช่วยกันต่อบล็อกไม้ให้เป็นตึกสูงก็ยังได้

            2. ปลูกฝังเรื่องการขอบคุณสิ่งดีๆ 

            ขอให้ลูก ๆ พูดถึงสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบคุณทุกวัน เช่นลองให้ลูกบอกถึง สามสิ่ง ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันที่พวกเขารู้สึกขอบคุณ การมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์เชิงบวกในชีวิตจะช่วยสร้างความสุขให้เป็นอาวุธสำคัญในการต่อสู้กับความโลภ ความอยากได้อยากมี

            3. ให้รางวัลเด็ก ๆ ด้วยสิทธิพิเศษแบบตัวต่อตัว

            เมื่อลูกของคุณมีพฤติกรรมที่ดีเป็นพิเศษ และเด็กๆ รู้สึกว่าพวกเขาควรได้รับสิ่งตอบแทนในการกระทำ แทนที่คุณจะให้รางวัลลูกด้วยของเล่นราคาแพงรุ่นใหม่ล่าสุด  ลองเปลี่ยนปฏิบัติต่อเธอด้วยประสบการณ์ร่วมกันที่พิเศษกว่าเวลาเล่นปกติพูดว่าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ หรือเดินป่า และปิกนิกในพื้นที่ที่คุณไม่เคยไป

            แทนที่จะแสดงความยินดีกับบุตรหลานของคุณด้วยสิ่งของต่างๆคุณให้รางวัลกับเธอด้วยการติดต่อกับมนุษย์และประสบการณ์ใหม่ ๆ Walfish กล่าว เธอจะรู้สึกดีมากที่ได้รับความสนใจจากคุณโดยไม่มีการแบ่งแยกและเธอจะเรียนรู้ที่จะให้คุณค่ากับการมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่คุณรักและความตื่นเต้นในการทำสิ่งที่แตกต่างออกไป

            4. ระมัดระวังสิ่งที่คุณพูด

            การแสดงความคิดเห็นด้วยการพูดแสดงออกถึงความอิจฉาเพื่อนของคุณ เช่น เพื่อนซื้อมือถือใหม่ หรือคอลเลคชั่นรองเท้าสวยๆ  อย่าคิดว่าสิ่งนี้จะไม่เป็นอันตรายต่อความรู้สึกของลูก เพราะคุณอาจส่งข้อความถึงลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่าคุณต้องการสิ่งของเหล่านั้นเช่นกัน ซึ่งลูกๆ อาจทำตามพฤติกรรมของคุณได้ในสักวัน

            5. สอนเด็ก ๆ ให้ใช้เงินเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

            การทำบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยปลดปล่อยเด็ก ๆ จากการใช้ชีวิตที่เน้นแค่ความสุขของตัวเอง โดยการเผื่อแผ่ความเมตตา เป็นสิ่งที่ควรทำ คุณอาจทำสิ่งนี้ได้ง่ายๆ เพียงแค่ไปเยี่ยมเพื่อนบ้านสูงอายุที่ไม่ได้ออกไปข้างนอก บ้านบ่อยๆ หรือพาลูกไปบริจาคสิ่งของให้เด็กๆ ที่ยากไร้ ลูกของคุณจะเริ่มใช้เวลามากขึ้นในการคิดถึงสิ่งที่คนอื่นต้องการ และวิธีที่เขาสามารถช่วยได้ และมีเวลาน้อยลงในการคิดถึงเรื่องของตัวเอง

            6. ปลูกฝังค่านิยมที่ดีงามของครอบครัว

            หากคุณต้องการให้ลูก ๆ ของคุณซึมซับแนวทางที่ดีงาม ให้หาเวลาที่คุณจะมีโอกาสได้อยู่พร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว และขอให้เด็กๆ  ลองพูดถึง ค่านิยมที่สำคัญที่สุด 5 ประการ ของครอบครัวคุณ จากนั้นแสดงให้พวกเขาเห็นว่าจะนำค่านิยมเหล่านั้น จะสามารภนำไปปฏิบัติในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างไร หากมีค่านิยมเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่รวมอยู่ใน 5 ข้อ ให้ลองพูดคุยกับลูกเกี่ยวกับวิธีแบ่งปันกับผู้อื่นที่มีโอกาสน้อยกว่า หากมีค่านิยมเรื่องการใช้จ่ายอย่างประหยัดอยู่ใน 5 ข้อนั้น  ให้เด็กๆ ลองแนะนำวิธีที่พวกเขาสามารถแสดงถึงสิ่งนั้นได้  และด้วยความชัดเจนเกี่ยวกับการให้ความสำคัญของจริยธรรมที่คุณพร่ำสอน และการที่ลูกได้นำไปปฏิบัติจริง จะสอนพวกเขาว่า สิ่งที่เขาอาจเคยมองว่าไม่เป็นสาระสำคัญสำหรับเขา จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับชีวิตและครอบครัวของคุณ

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : huffpost.com , verywellfamily

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            5 เทคนิค ตามใจลูก [สร้างวินัยเชิงบวก] ฝึกลูกคิดเป็น มีความรับผิดชอบ

            เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

            วิจัยเผย! เลี้ยงลูกกับสุนัขด้วยกัน ได้ประโยชน์กว่าที่คิด

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด

              ฟินแลนด์ปรับโฉม Baby Box รวม ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด กว่า 50 ชิ้น

              ฟินแลนด์ ปรับโฉมใหม่ Baby Box ผ่านการโหวตของคุณแม่ผู้ใช้จริง! ในกล่องรวบรวม ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด ทั้งหมด 50 ชิ้น จะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันเลย

              ฟินแลนด์ ปรับโฉม Baby Box รวมไอเท็มจำเป็น
              ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด กว่า 50 ชิ้น

              Baby Box หรือกล่อง ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด นี้มีจุดเริ่มต้นเมื่อกว่า 80 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นรัฐบาลฟินแลนด์มีนโยบายการช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่ลูกอ่อนในเรื่อง ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด และเสื้อผ้าเด็กอ่อน เริ่มต้นกันตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2481 โดยรัฐบาลฟินแลนด์เล็งเห็นว่า หลายครอบครัวมีรายได้ต่ำ อาจจะจัดหาข้าวของเด็กอ่อนได้ไม่ครบถ้วนเพียงพอ

              แต่ในเริ่มแรกยังไม่มีการแจกจ่ายกันอย่างกว้างขวางเหมือนทุกวันนี้ กระทั่งปี พ.ศ. 2492 รัฐบาลฟินแลนด์จึงได้ออกมาตรการสนับสนุนให้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ทุกคนเข้ารับการตรวจครรภ์ก่อนอายุครรภ์จะครบ 4 เดือน ใครที่เข้าตรวจครรภ์ในช่วงนี้ก็จะมีเอกสารให้กรอก เพื่อรับของขวัญต้อนรับสมาชิกใหม่นี้ เรียกได้ว่าเครื่องมือที่ช่วยนำคุณแม่ท้อง ให้ได้พบแพทย์และพยาบาล และได้รับการฝากครรภ์ครั้งแรกภายในไตรมาสแรกนั่นเอง >> อ่านเพิ่มเติม ฝากครรภ์ช้า ไม่กินยาบำรุง อันตราย! เสี่ยงลูกพิการ

              แต่หากคุณแม่คนใดไม่ต้องการกล่องของขวัญรับสมาชิกใหม่แล้วละก็ พวกเธอสามารถเลือกรับเป็นเงินช่วยเหลือค่าใช้จ่ายมูลค่า มูลค่า 170 ยูโร หรือประมาณ 7,300 บาทแทน แต่ถึงอย่างนั้นตัวเลือกนี้ไม่เป็นที่นิยมกันนัก เพราะมูลค่าข้าวของในกล่องของขวัญเด็กนั้นมีค่ามากกว่า 7,300 บาทเสียอีก

              จากนั้นอีกไม่กี่เดือนต่อมา หน่วยงานเคลา (Kela) ของทางรัฐบาลฟินแลนด์ ก็จะจัดส่งกล่องของขวัญกล่องใหญ่ไปให้คุณแม่เหล่านี้ จนกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของรัฐสวัสดิการแห่งประเทศฟินแลนด์ไปแล้ว ซึ่งภายในกล่องประกอบด้วย ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด ที่จำเป็นแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้าเด็ก ผ้าอ้อม ที่นอน ผ้าห่ม แปรงสีฟันเด็ก กรรไกรตัดเล็บ หมวกอาบน้ำ อัลบั้มใส่รูป ถุงนอน ชุดอาบน้ำ ฯลฯ ส่วนกล่องของขวัญเองก็สามารถนำมาเป็นเตียงนอนสำหรับเด็กแรกเกิดได้ด้วย เพราะมีขนาดใหญ่พอจะรองรับตัวเด็กได้พอดิบพอดี  (มีข้อมูลว่าในปี 2011 มีพ่อแม่ใช้ Kela Box เป็นที่นอนสำหรับเจ้าตัวน้อยสูงถึง 42% และเริ่มลดลงเป็น 37% ในปีค.ศ. 2017)

              และล่าสุดครบ 80 ปี รัฐบาลฟินแลนด์ ได้ปรับโฉม Baby Box ใหม่ ซึ่งในกล่องรวบรวมไอเท็มจำเป็นไว้ทั้งหมด 50 ชิ้น จะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันเลย

              ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด
              กล่องในปีนี้ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าครีมและมีชื่อว่า “Blueberry Milk” ซึ่งออกแบบโดยนักออกแบบ Ilona Partanen
              ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด
              Kela ปรับโฉม กล่องของใช้สำหรับทารกแรกเกิด บรรจุ 50 รายการในปี 2564 ทั้งนี้เสื้อผ้าเด็ก จะเป็นสีโทนกลาง ที่มีลวดลายธรรมชาติและสัตว์ป่า

               

              ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด
              เสื้อผ้าเด็ก จะเป็นสีโทนกลาง ที่มีลวดลายธรรมชาติและสัตว์ป่า

              ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด

              และในการปรับโฉมครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่พ่อแม่มือใหม่มีอิทธิพลต่อการออกแบบถุงนอนสำหรับทารกได้ ซึ่งหลังจากผ่านการโหวตมากกว่า 1,300 ครั้ง การออกแบบที่ชนะเลิศ คือ ถุงนอนสำหรับทารกลายแมวน้ำและนกพัฟฟิน และมีพื้นหลังเป็นภูเขาสีเทา

              ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด

              นอกจากนี้ยังมี ผ้ากันเปื้อนเด็กซิลิโคน ซึ่งเป็นของใช้ชิ้นใหม่ นอกเหนือจาก Baby Box ในปีที่ผ่านมา

               

              unboxing กล่องของใช้สำหรับทารกแรกเกิด ปี 2019

              unboxing Baby Box กล่องของใช้สำหรับทารกแรกเกิด ปี 2020

              Baby Box กล่อง ของใช้สำหรับทารกแรกเกิด โฉมใหม่ ในปี2021

              ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก Kelakanava

              อย่างไรก็ตามการมาของกล่องกระดาษนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เด็กต้องนอนแยกจากพ่อแม่ นอกจากนี้ การนำหนังสือภาพใส่ลงไปในกล่องด้วย จะก่อให้เกิดผลในทางบวกต่อเด็ก ที่จะช่วยกระตุ้นให้เด็กได้หยิบจับหนังสือ และหันมาอ่านในที่สุด

              ทั้งหมดนี้ล้วนแต่แสดงถึงความใส่ใจของรัฐบาลที่มีต่อประชาชนของเขา จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมเด็กชาวฟินแลนด์ถึงได้ฉลาดติดอันดับโลก

              ซึ่งหลังจาก Baby Box ประสบความสำเร็จในประเทศฟินแลนด์ อีกหลากหลายประเทศ ก็เริ่มหันมาสนใจ และปฏิบัติด้วยระบบเดียวกัน อย่างประเทศสกอตแลนด์ก็ได้เริ่มมอบกล่องสวัสดิการให้คุณแม่ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนปี 2017 โดยมีเงื่อนไขว่า คุณแม่จะต้องได้รับการตรวจสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์อยู่เป็นประจำ

              และแน่นอนว่าประเทศไทยถึงแม้จะไม่มีกล่องของขวัญ แต่ก็มีสวัสดิการสำหรับแม่และเด็ก เช่น โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ที่จะมีการให้เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึง 6 ปี เป็นจำนวนเงิน 600 บาทต่อปี (สามารถเช็กสิทธิ์ได้ที่ : https://csg.dcy.go.th/th/home)


              ขอบคุณข้อมูลจาก : yle.fi/uutiset/osasto/news

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

               

              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

              ของใช้ทารกแรกเกิด 11 อย่างที่ไม่จำเป็นต้องซื้อ

              ของใช้เด็กหมดอายุ เมื่อไหร่ จะรู้ได้อย่างไร?

              เช็คลิสต์ 60 ของใช้เด็กแรกเกิด อย่างไหนควรซื้อเลย อย่างไหนไม่ต้องรีบ!

              เช็กลิสต์ ของใช้เด็กแรกเกิด ที่คุณแม่ต้องเตรียม!

              ภาพหาดูยาก! 10 สิ่งประดิษฐ์ ของใช้ทารก สมัยโบราณ

                5 ไอเดียกับ งานศิลปะง่ายๆ ไว้เล่นกับลูกช่วงปิดเทอม!!

                ปิดเทอมมาแล้ว! ได้เวลาหากิจกรรมให้ลูกเพื่อหยุดความซนของเจ้าตัวน้อยกันแล้ว มาลองเล่นกับลูกด้วย งานศิลปะง่ายๆ ไอเดียเก๋ได้ทั้งฝึกทักษะ และใช้เวลาว่างร่วมกัน

                5 ไอเดียกับ งานศิลปะง่ายๆ ไว้เล่นกับลูกช่วงปิดเทอม!!

                งานศิลปะง่ายๆ เป็นตัวเลือกชั้นดีสำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนที่กำลังมองหากิจกรรมช่วงปิดเทอมเอาไว้ทำเล่นกับลูก ศิลปะขีด ๆ เขียน ๆ เป็นที่ชื่นชอบของเด็ก ๆ เสมอมา ยิ่งเลอะยิ่งสนุก ดังนั้นพ่อแม่ไม่ต้องกังวลกันไป แม้ว่าเราอาจจะไม่ถนัดงานศิลปะ แต่เชื่อเถอะว่าไอเดียที่วันนี้ ทีมแม่ ABK นำมาเสนอนั้น เป็นงานศิลปะง่ายๆ ที่ไม่ว่าคุณจะถนัดเรื่องการวาดภาพหรือไม่ ก็สามารถทำเล่นกับลูกได้อย่างสบาย แถมสนุกเสียด้วย

                งานศิลปะง่ายๆ ไว้เล่นกับลูกช่วงปิดเทอม
                งานศิลปะง่ายๆ ไว้เล่นกับลูกช่วงปิดเทอม
                • ใบไม้ร่าเริง

                งานศิลปะไม่จำเป็นต้องยาก เพียงแค่คุณแม่หาสิ่งของรอบ ๆ ตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น ใบไม้หน้าบ้าน ก็สามารถสร้างสรรค์ศิลปะแสนสวยกับลูกได้ง่าย ๆ

                อุปกรณ์

                1. ใบไม้
                2. กระดาษ
                3. พู่กัน
                4. สีโปสเตอร์

                ขั้นตอนการเล่น

                1. ให้ลูกออกไปเลือกเก็บใบไม้ตามใจชอบ ไม่กำหนดว่าจะเป็นแบบใด (แม้ว่าบางใบอาจจะนำมาใช้พิมพ์ภาพไม่สวยงาม คุณแม่ก็ต้องให้เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง อย่าพึ่งไปบอกก่อนเชียว)
                2. ผสมสีโปสเตอร์ ใช้พู่กันทาลงบนใบไม้ที่ลูกนำมา แล้วแปะทับลงบนกระดาษ กดให้ทั่วใบไม้ เพื่อให้ได้ภาพพิมพ์ที่สวยงาม
                3. สามารถพิมพ์ภาพได้ทั้งหน้าใบ และหลังใบไม้ แต่ด้านหลังใบจะให้ภาพที่ชัด และสวยกว่า
                4. ให้ลูกจินตนาการตามชอบว่าต้องการจัดวางให้ภาพพิมพ์ของเขาเป็นแบบใด หรืออาจจะวาดรูปต่อเติมจากภาพพิมพ์ใบไม้เป็นลวดลายก็ได้เช่นกัน

                  ศิลปะเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์
                  ศิลปะเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์
                • นิ้วแปลงร่าง

                ศิลปะกับจินตนาการเป็นของคู่กัน คุณพ่อคุณแม่ลองชวนลูกน้อยมาลงมือทำงานศิลปะชิ้นนี้ดู แล้วจะรู้ว่านิ้วมือของคนเรานั้นสามารถแปลงร่างได้ด้วยนะ

                อุปกรณ์

                1.  แท่นหมึก
                2. ดินสอ ปากกาดำ ดินสอสี เลือกใช้ตามที่ต้องการ
                3. กระดาษ A4
                4. ผ้าชุบน้ำไว้สำหรับเช็ดมือเวลาเปลี่ยนสีหมึก

                ขั้นตอนการเล่น

                คุณพ่อคุณแม่ และลูกช่วยกันกดปลายนิ้วมือลงบนแท่นหมึก จากนั้นนำปลายนิ้วที่เปื้อนหมึกกดลงบนกระดาษอีกทีหนึ่ง รอสีหมึกที่กระดาษแห้งจากนั้นก็สร้างสรรค์จินตนาการจากลายนิ้วมือที่ปั๋มได้เลยเต็มที่ อยากให้ลายนิ้วมือแปลงร่างเป็นสิ่งใดก็เริ่มได้เลย

                ตัวอย่างวิธีการพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นรูปรถยนต์ง่าย ๆ

                รถยนต์
                รถบรรทุก
                รถแทรกเตอร์
                รถจักรยาน

                ในการทำกิจกรรมคุณพ่อคุณแม่ควรหาเสื้อผ้าเก่าให้น้องใส่เพื่อป้องกันการเลอะจากสีหมึกซึ่งยากต่อการทำความสะอาด หรือจะใช้ถุงดำตัดทำเป็นเสื้อคลุมให้เด็กใส่ก็สะดวกดีเหมือนกัน สำหรับโต๊ะถ้ากลัวสีหมึกเปื้อน ก็ให้ใช้แผ่นยางปูโต๊ะหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ปูรองไว้ก่อน เวลาทำความสะอาดจะได้ง่าย

                ข้อมูลอ้างอิงจาก  www.youngciety.com
                • จิ๊กซอของหนู

                Jigsaw เป็นของเล่นพื้น ๆ ราคาไม่แพงแต่มากประโยชน์ ซึ่งเป็น งานศิลปะง่ายๆ ที่เราสามารถชวนลูกมาร่วมกันทำได้ การเล่นจิ๊กซอสามารถสร้างทั้งสมาธิ และเชาวน์ปัญญาให้ลูกได้เป็นอย่างดี  เวลาเด็กเล่นจิ๊กซอเขาต้องใช้ทักษะอะไรบ้าง มีทั้งการจำแนก การจัดกลุ่ม การสังเกตรูปร่าง ลักษณะ การสังเกตสี การคาดคะเน การเชื่อมโยง จินตนาการอย่างมีทิศทาง และความจำ ในเด็กเล็กเริ่มแบบน้อยชิ้นก่อน 9 – 15 ชิ้นก็ได้  มาชวนลูกร่วมกันทำจิ๊กซอกัน

                งานศิลปะง่ายๆ บนจิ๊กซอ
                งานศิลปะง่ายๆ บนจิ๊กซอ

                อุปกรณ์

                1. ไม้ไอศครีม
                2. กาว 2 หน้าแบบบาง
                3. รูปภาพสวย ๆ หรือกระดาษวาดรูป (ในกรณีที่อยากวาดเอง)
                4. คัตเตอร์ + แผ่นรองตัด
                5. ดินสอสีไม้

                ขั้นตอนการเล่น

                1. เตรียมรูปภาพสวย ๆ ที่ลูกชอบจากโปสเตอร์ พิมพ์รูปจาก internet หรือให้ลูกวาดรูปด้วยตนเองลงบนกระดาษวาดเขียนเตรียมไว้ 2 ชิ้น
                2. วัดขนาดเพื่อตัดแยกชิ้น โดยใช้ไม้ไอศครีมทาบทับลงบนรูป อย่าลืมดูระยะให้ไม้ที่อยู่บนสุด และล่างสุดมีชิ้นส่วนของภาพอยู่ด้วย เมื่อพอใจแล้วก็ใช้ดินสอขีดเป็นแนวไว้เลย
                3. ตัดรูปภาพออกมาติดแถบกาว 2 หน้าประมาณ 3 แถบ ในแนวตั้ง (เพราะเราต้องวางไม้ในแนวขวาง) ติดไม้ไอศครีมติดเรียงจนเต็มแผ่นรูป
                4. ใช้มีดคัตเตอร์กรีดผ่านร่องไม้ทุกชิ้นเท่านี้ก็เรียบร้อย ได้จิ๊กซอรูปภาพมาเล่นกับลูกแล้ว
                ข้อมูลอ้างอิงจาก karn.tv
                • Abstract Art 

                เชื่อไหม? ศิลปะไร้รูปลักษณ์ หรือ Abstract Art คือ งานศิลปะง่ายๆ ที่สามารถสร้างได้ด้วยหลอดกาแฟ ลูกแก้ว ได้เหมือนกันนะ

                อุปกรณ์

                1. กระดาษ 100 ปอนด์
                2. สีโปสเตอร์
                3. หลอดกาแฟ หรือลูกแก้ว

                ขั้นตอนการเล่น

                1. นำกระดาษวาดรูปวางไว้ในลังกระดาษ หรือถาดที่มีขอบยกสูงขึ้นมาเล็กน้อยกันเปื้อน
                2. นำสีโปสเตอร์ผสมน้ำเล็กน้อยหยดใส่ลงบนกระดาษ หรืออาจบีบเป็นเส้นยาวหลายสีเป็นลายสายรุ้งก็เก๋ไปอีกแบบ
                3. ให้ลูกใช้หลอดกาแฟเป่าสีไปตามชอบ หรือใช้ลูกแก้วกลิ้งไปมาลงบนกระดาษโดยใช้วิธียกปลายกระดาษแต่ละด้านไปมาให้ลูกแก้วกลิ้งโดนสีที่หยดไว้
                4.  หลอดเป่าสีเหมาะกับเด็กโตขึ้นมาสักหน่อย ระวังลูกดูดสีเข้าปาก ลูกแก้วสามารถใช้หลาย ๆ ลูกได้ ยิ่งเยอะยิ่งสนุกและได้ภาพที่สวยงาม
                5. เพียงเท่านี้เราก็จะได้ภาพ Abstract ที่ไร้รูปลักษณ์ตายตัว แต่ดูสวยมีเสน่ห์น่าค้นหากันแล้ว

                  ทำ งานศิลปะง่ายๆ ร่วมกับลูก กิจกรรมช่วงปิดเทอมยาว
                  ทำ งานศิลปะง่ายๆ ร่วมกับลูก กิจกรรมช่วงปิดเทอมยาว
                • ลูกกลิ้ง กลิ้งเพลิน

                ใช่ว่างานศิลปะจะมีอุปกรณ์เพียงแค่พู่กัน กับจานสีเท่านั้นนะ ลูกกลิ้งนวดแป้งในครัวของคุณแม่ก็สามารถมาใช้เป็นอุปกรณ์ศิลปะแสนสนุกได้เช่นกันนะ

                อุปกรณ์ 

                1. ถาดก้นแบนไว้ใส่สี
                2. ลูกกลิ้งนวดแป้ง
                3. บับเบิ้ล กันกระแทก
                4. สีโปสเตอร์
                5. กระดาษสีขาวแผ่นใหญ่
                6. โต๊ะความสูงระดับเด็ก
                7. เทปกาว

                  ลูกกลิ้ง กลิ้งเพลิน หนึ่งไอเดียสร้าง งานศิลปะง่ายๆ เล่นกับลูก
                  ลูกกลิ้ง กลิ้งเพลิน หนึ่งไอเดียสร้าง งานศิลปะง่ายๆ เล่นกับลูก

                ขั้นตอนการเล่น

                1. นำกระดาษมาติดลงบนโต๊ะให้ทั่วทั้งโต๊ะ โดยยึดด้วยเทปกาว
                2. เทสีลงบนถาดก้นแบน จะเทถาดละสี หรือหลายสีผสมกันก็ได้
                3. นำบับเบิ้ลกันกระแทกมาพันรอบลูกกลิ้ง
                4. ให้ลูกจุ่มลูกกลิ้งที่ได้พันบับเบิ้ลไว้แล้ว ลงไปในถาดที่เตรียมสีไว้
                5. กลิ้งลูกกลิ้งที่มีสีลงบนกระดาษบนโต๊ะที่เตรียมไว้ได้เลย
                6. ถ้าอยากให้สีสันสวยงาม สามารถใช้สีหลาย ๆ สีได้ตามชอบ
                ข้อมูลอ้างอิงจาก www.artbarblog.com

                ศิลปะและงานฝีมือมีประโยชน์มากมายสำหรับเด็ก ๆ ทั้งทางตรง และทางอ้อมเมื่อเด็ก ๆ ได้เริ่มลงมือทำเขาจะได้รับประโยชน์นั้น ๆ ที่สำคัญที่สุดคือ เด็กจะได้รับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ที่งานศิลปะมีให้เสมอ มาลองดูประโยชน์ที่ลูกจะได้รับจากการทำงานศิลปะง่ายๆ ช่วงปิดเทอมนี้กันว่าเขาจะได้พัฒนาส่วนใดบ้าง นอกเหนือจากการได้ใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว เพิ่มสัมพันธ์พ่อแม่ลูกแล้ว

                การพัฒนาสมอง

                การแก้ปัญหาและการคิดอย่างสร้างสรรค์ตั้งแต่วัยเยาว์ช่วยพัฒนาสมองของเด็ก

                ทักษะด้านกล้ามเนื้อร่างกาย

                การจับดินสอปากกา การตัดด้วยกรรไกร การวาดภาพระบายสี การติดปะ สิ่งเหล่านี้ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อให้แข็งแรง และช่วยพัฒนาการประสานระหว่างสายตา มือ และเท้าที่ดี

                ศิลปะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อในวัยเด็ก
                ศิลปะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อในวัยเด็ก

                การเรียนรู้เรื่องรูปร่าง

                รูปร่างเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาในทางเรขาคณิตของคณิตศาสตร์ การเรียนรู้ การจับคู่รูปร่างจากการวาดภาพ สามารถช่วยให้เด็กเล็ก และเด็กก่อนวัยเรียนได้เรียนรู้ผ่านการเล่น และพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาได้ตั้งแต่อายุยังน้อยซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการของพวกเขารวมทั้งช่วยให้พวกเขาได้เริ่มต้นก่อนวัยเรียนและอนุบาล

                การจับคู่สี

                การจับคู่สีการเรียงลำดับ และการเรียนรู้เกี่ยวกับสียังช่วยพัฒนาการประสานงาน การเชื่อมโยงความหมายในทางนามธรรมว่าสีนี้ให้ความรู้สึกเช่นใด เป็นต้น และช่วยฝึกสมาธิในเด็กเล็ก

                ความสามารถในการสื่อสาร

                การทำงานร่วมกัน สามารถทำตามคำแนะนำง่าย ๆ จะช่วยพัฒนาทักษะการสื่อสารรวมถึงทักษะการฟัง และการสื่อสารด้วยวาจา เมื่อเด็กอธิบายสิ่งที่พวกเขากำลังทำ และสิ่งที่พวกเขาทำได้

                เป็นอย่างไรบ้างกับไอเดียสุดเก๋ที่เรานำมาเสนอให้คุณพ่อคุณแม่มีตัวเลือกในการหากิจกรรมทำร่วมกันกับลูก ในช่วงเวลาปิดเทอม หรือวันว่างสบาย ๆ ของครอบครัว เพราะเราเชื่อว่าเด็กทุกคนสามารถพัฒนาทักษะของตนเองได้เสมอ ผ่านการเล่น คุณพ่อคุณแม่เพียงแค่สละเวลาเพียงนิดเพื่อลูกน้อยได้เพิ่มศักยภาพได้อย่างเต็มที่ สมบูรณ์ ฉลาดรอบด้าน

                ข้อมูลอ้างอิงจาก  www.artycraftykids.com

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                5 ประโยชน์ ของการวาดรูประบายสี ที่สะท้อนพัฒนาการลูก

                กินข้าวด้วยกัน สานสัมพันธ์ในครอบครัว เสริมทักษะชีวิตลูก

                คุณพ่อแชร์ ลูกพัฒนาการล่าช้า เพราะโดนเลี้ยงหน้าจอทีวี

                ชวนเล่น เกมพัฒนาสมอง ลูกน้อยให้อัจฉริยะด้วย”ตะเกียบ”

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  ระบบการศึกษาฟินแลนด์

                  รู้จัก 4 โรงเรียน “ระบบการศึกษาฟินแลนด์” ในประเทศไทย

                  ระบบการศึกษาฟินแลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นระบบการศึกษาที่ดีที่สุดในโลก นักเรียนสามารถทำคะแนนสอบ PISA ได้สูง (PISA ย่อมาจาก Programme for International Student Assessment เป็นการสอบเพื่อใช้วัดระดับการเรียนรู้ของนักเรียนอายุ 15 ปีทั่วโลก) ในขณะที่ยังคงรักษาคุณภาพชีวิตและความสุขในระดับสูง

                  ฟินแลนด์ยังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก นักเรียนฟินแลนด์มีความพึงพอใจในชีวิตสูง มีความสมดุลระหว่างชีวิตในโรงเรียนและเวลาว่าง ทำให้เด็กฟินแลนด์มีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตรต่างๆ ได้มากขึ้น และหลังจากที่เรียนจบเขาก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีสมดุลชีวิตการทำงานที่ดี

                  ทำไมประเทศฟินแลนด์ถึงได้รับการจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก ทีมแม่ ABK ได้หาข้อมูลและสรุปออกมาได้ดังนี้ค่ะ

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  9 องค์ประกอบที่นำไปสู่ความสำเร็จของ ระบบการศึกษาฟินแลนด์

                  1. เด็กฟินแลนด์ได้เรียนฟรีทุกคน

                  วัตถุประสงค์หลักของระบบการศึกษาของฟินแลนด์คือ จัดการศึกษาที่มีคุณภาพดีเพื่อทุกคน ซึ่งหมายความว่าประชาชนทุกคนจะได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างเท่าเทียมกัน

                  1. เรียนรู้ผ่านการเล่น

                  ในช่วงปีแรกๆ จะเน้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นก่อนที่เด็กๆ จะเข้าโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็กและเด็กก่อนวัยเรียนของฟินแลนด์เป็นไปตามหลักสูตรการศึกษาและการดูแลเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ECEC) ที่เชื่อมั่นอย่างมากในการให้เด็กเป็นเด็ก โดยเน้นที่การเล่น สุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของเด็ก กิจกรรมทั้งหมดได้รับการวางแผนโดยคำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดีแบบองค์รวมของเด็ก โดยสนับสนุนพัฒนาการโดยรวมและเส้นทางการเรียนรู้ ปล่อยให้เด็กๆ เป็นเด็ก ช่วยให้พวกเขาได้สำรวจความคิดสร้างสรรค์ตามธรรมชาติ

                  1. จัดการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล

                  ที่ฟินแลนด์ไม่มีการจัดอันดับตามคะแนนการสอบเนื่องจากไม่มีการสอบวัดระดับ การเรียนรู้เป็นแบบเฉพาะสำหรับนักเรียนแต่ละคนโดยเสริมสร้างจุดแข็งและสนับสนุนความท้าทายใหม่ๆ โดยนักเรียนแต่ละคนจะถูกติดตามผลผ่านผลการเรียนรู้ของหลักสูตรระดับชาติ 

                  1. ไม่มีการสอบวัดระดับแบบ Standardized Test

                  การเรียนรู้ของนักเรียนได้รับการประเมินด้วยวิธีการเชิงคุณภาพต่างๆ ที่มุ่งเน้นไปที่พัฒนาการโดยรวมของนักเรียนและการเรียนรู้ทักษะ Soft Skill ซึ่งเป็นทักษะส่วนบุคคลที่ทำให้การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ผลดีและประสบความสำเร็จ มากกว่าทักษะการท่องจำและคะแนนเชิงปริมาณ

                  โรงเรียนระบบฟินแลนด์
                  โรงเรียนระบบฟินแลนด์
                  1. การบ้านน้อยที่สุด จะได้มีเวลาเล่นและเรียนรู้นอกห้องเรียนเยอะๆ

                  เด็กฟินแลนด์เริ่มเข้าโรงเรียนเพื่อเรียนป.1 เมื่ออายุ 7 ขวบโดยในช่วงปีแรกของการเรียน การบ้านมีน้อยและเวลาเรียนสั้น ทำให้มีเวลาในการเล่นหลังเลิกเรียน ทำงานอดิเรก และพัฒนาทักษะด้านอื่น ๆ นอกห้องเรียนมากขึ้น สิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดความพึงพอใจในชีวิตของนักเรียน

                   

                  1. ใช้เทคโนโลยีที่สนับสนุนการเรียนรู้

                  มีการใช้เครื่องมือดิจิทัลที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ ส่วนสำคัญของหลักสูตรระดับชาติของฟินแลนด์คือการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมและการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ที่ไม่เหมือนใครผ่านการสอนและเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของคนฟินแลนด์ก็คือ พวกเขาใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติเพื่อช่วยเพิ่มประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนักเรียนเท่านั้น แต่จะไม่นำไปใช้ในชีวิตประจำวันที่มากเกินไป

                  1. การศึกษาสูงสุดไม่ใช่การเรียนจบมหาวิทยาลัย

                  ระบบการศึกษาส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่และอยู่ในช่วงใดของชีวิต คนฟินแลนด์สามารถศึกษาต่อผ่านระบบที่ยืดหยุ่นได้เสมอ

                  1. การศึกษาแบบครอบคลุม

                  การศึกษาพิเศษ สำหรับผู้ที่มีความต้องการพิเศษยังคงฝังแน่นอยู่ในระบบการศึกษาของฟินแลนด์ ซึ่งหมายความว่านักเรียนทุกคนจะได้รับการสนับสนุนไม่ว่าพวกเขาจะต้องการการสนับสนุนมากแค่ไหนก็ตาม

                  1. ครูมีอิสระเต็มที่ในการสอน

                  ครูชาวฟินแลนด์ได้รับการฝึกฝนอย่างดีจนถึงระดับปริญญาโทภาคบังคับ ครูมีอิสระในการวางแผนการสอนและการจัดหาทรัพยากรของตนเอง สิ่งที่ครูแต่ละคนต้องเรียน คือการเรียนรู้วิธีปรับแต่งการสอนให้เหมาะกับผู้เรียนประเภทต่างๆ

                  ขอบคุณข้อมูลจาก New Nordic Scholl, Finland

                  เห็นระบบการศึกษาสุดเจ๋งของฟินแลนด์แบบนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่า ที่เมืองไทยก็มีโรงเรียนระบบฟินแลนด์ด้วย วันนี้ทีมแม่  ABK พาไปรู้จักค่ะ

                  1. โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเรนโบว์เทร้าภูเก็ต (Rainbow Trout International Kindergarten Phuket)

                  โรงเรียนอนุบาลนานาชาติเรนโบว์เทร้าภูเก็ตเป็นโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกในภูเก็ตที่นำหลักสูตรฟินแลนด์มาใช้ในการศึกษาปฐมวัยและการดูแลเด็กตั้งแต่อายุ 2-6 ขวบ

                  • Rainbow Trout International Kindergarten Phuket ให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้สำหรับเด็กเล็กเป็นพิเศษ 
                  • เด็กๆ จะได้รับการดูแลภายใต้สภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิความคิดสร้างสรรค์ เพราะความคิดสร้างสรรค์เป็นเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในเกือบทุกสิ่ง และไม่จำกัดเฉพาะศิลปะ แต่จำเป็นในทุกด้าน เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ รวมถึงความฉลาดทางอารมณ์และสังคมด้วย
                  • เด็กๆ จะได้รับโอกาสในการตั้งคำถาม ค้นพบคำตอบ และเติบโตในแบบฉบับของตัวเอง
                  • หลักสูตรของฟินแลนด์เป็นการออกแบบหลักสูตรเฉพาะบุคคล จัดทำขึ้นตามความต้องการของเด็กแต่ละคน 
                  • มุ่งเน้นส่งเสริมการเติบโต พัฒนาการ และการเรียนรู้แบบองค์รวมของเด็ก และปฏิบัติต่อเด็กแต่ละคนในฐานะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน สังคม ประเทศ และโลก ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความสนใจที่แท้จริงโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสินด้วยความสามารถทางวิชาการ และจะเป็นประสบการณ์การเรียนรู้เชิงบวกที่จะติดตัวเด็กๆ ไปจนโต

                  สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจโรงเรียนอนุบาลนานาชาติเรนโบว์เทร้าภูเก็ต ทีมแม่ ABK สำรวจราคาในเบื้องต้นมาให้แล้ว (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง กรุณาสอบถามกับทางโรงเรียนโดยตรงอีกครั้งนะคะ)

                  ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาลนานาชาติเรนโบว์เทร้าภูเก็ต

                  • ค่าเทอม 214,000 บาท/ปี
                  • ค่าแรกเข้า 40,000 บาท
                  • ค่ามัดจำ 40,000 บาท
                  • ค่ายื่นใบสมัคร 2,000 บาท

                  อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.rainbowtroutcreativity.com/admissions 

                  ช่องทางการติดต่อ

                  Rainbow Trout International Kindergarten Phuket 

                  23/108 Phuket Boat lagoon, Garden Plaza Moo 2 Thepkasattri Rd. Kohkaew Muang Chang Wat Phuket 83000, Thailand

                  Tel: 076-238947 (Office)

                  Tel: 063-5694665 (Thai)

                  Tel: 065-3965314 (English)

                  Email: [email protected]

                  www.rainbowtroutcreativity.com

                  2.โรงเรียนต้นกล้า จ.เชียงใหม่ 

                  โรงเรียนต้นกล้า จ.เชียงใหม่ เปิดสอนตั้งแต่เตรียมอนุบาล-ป.6 รับนักเรียนตั้งแต่อายุ 2 ขวบขึ้นไป เป็นโรงเรียนทางเลือก ที่ดำเนินการตามแนวทางการจัดการศึกษาของประเทศฟินแลนด์

                  • เน้นการเรียนการสอนที่ยึดธรรมชาติของผู้เรียนเป็นแนวทางบ่มเพาะจินตนาการและความสุขเพื่อให้เกิดการเรียนรู้สู่การพัฒนาศักยภาพตัวเอง 
                  • จัดการเรียนรู้ผ่านการเล่น การลงมือปฏิบัติจริง การสนับสนุนนักเรียนรายบุคคล เพื่อเสริมสร้างจินตนาการบนรากฐานแห่งความสุข
                  • นำหลักสูตรและแนวทางจัดการเรียนการสอนจากฟินแลนด์มาใช้หลายแขนง อาทิ การเรียนรู้ผ่านการเล่น (Learn through play) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการเรียนรู้ในระดับอนุบาล การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ (Learn through experience) ถือเป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบองค์รวมที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ของเด็กๆ จากประสบการณ์รอบตัวพวกเขา (Phenomenon-Based Learning) 
                  • เน้นการรู้จักตัวเองและจุดแข็งด้านทักษะทางอารมณ์และสังคมของตัวเอง เพื่อให้เด็กๆ ได้ภาคภูมิใจในจุดเด่นของตัวเอง และสร้างการมองเห็นคุณค่าของตัวเอง (self-esteem) ที่ถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการเติบโตของเด็ก 
                  • เด็กสามารถใช้จินตนาการเป็นพื้นฐานความคิดที่ร้อยเรียงกันอย่างเป็นระบบ เพื่อการสร้างสรรค์กระบวนการเรียนรู้ และชิ้นงานต่างๆ ด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัยรักการเรียนรู้อย่างมีความสุข
                  ขอบคุณข้อมูลจาก https://siamrath.co.th/n/228891, โรงเรียนต้นกล้า

                  สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจโรงเรียนต้นกล้า ทีมแม่ ABK สำรวจราคาในเบื้องต้นมาให้แล้ว (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง กรุณาสอบถามกับทางโรงเรียนโดยตรงอีกครั้งนะคะ)

                  ค่าเทอมโรงเรียนต้นกล้า 

                  ค่าเทอม 30,000-50,000 บาทต่อเทอม ขึ้นอยู่กับช่วงชั้นที่แตกต่างกัน

                  ช่องทางการติดต่อ

                  โรงเรียนต้นกล้า เลขที่ 292 หมู่ 6 กม.ที่ 4 ถ.เชียงใหม่-แม่โจ้ ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 50210

                  โทร: 089-7007798 และ 0-5334-5912  

                  Email: [email protected]

                  https://tonkla.ac.th/ 

                  3. โรงเรียนอนุบาลนานาชาติฟินแลนด์ เฮย์ สคูล กรุงเทพฯ (HEI Schools Bangkok)

                  เปิดสอนในหลักสูตร Pre-Kindergarten และ Kindergarten รับนักเรียนตั้งแต่อายุ 1.5-6 ขวบ โดยจะเปิดปีแรกในเดือน กันยายนปี 2564

                  • HEI SCHOOLS ก่อตั้งขึ้นภายใต้ความร่วมมือของมหาวิทยาลัยระดับโลก The University of Helsinki จากประเทศฟินแลนด์ 
                  • เน้นการเรียนรู้แบบ Life-long learning ที่สอนให้เด็กรู้จักปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้เต็มศักยภาพของแต่ละคน สนับสนุนการเรียนที่เป็นการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เรียน มากกว่าการวัดผลด้วยเกรดเฉลี่ย
                  • ปรับการเรียนการสอนให้เข้ากับนักเรียนแต่ละคน ด้วยการเรียนรู้ผ่านการเล่น
                  • การเรียนการสอนแบบนานาชาติหลายภาษา ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาจีน และภาษาอื่นๆ
                  • สถานที่เรียนออกแบบสไตล์ Nordic Design ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้ดีที่สุด
                  • เราเชื่อว่ายิ่งเด็กเล็กเท่าไร คุณครูต้องยิ่งมีคุณภาพ คุณครูที่ HEI SCHOOLS ได้ผ่านการคัดเลือก อบรมและพัฒนาความสามารถอย่างต่อเนื่อง
                  • สื่อการเรียนการสอนที่ HEI SCHOOLS ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อสร้างเสริมจินตนการและความคิดสร้างสรรค์

                  สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจ HEI Schools Bangkok ทีมแม่ ABK สำรวจราคาในเบื้องต้นมาให้แล้ว (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง กรุณาสอบถามกับทางโรงเรียนโดยตรงอีกครั้งนะคะ)

                  ค่าเทอม HEI Schools Bangkok

                  • ค่าเทอมระดับ Pre-K1-2 315,000 บาท/ปี
                  • ค่าเทอมระดับ K 1 366,000 บาท/ปี
                  • ค่าแรกเข้า 50,000 บาท
                  • ค่ายื่นใบสมัคร 2,500 บาท
                  • ค่าอาหาร 33,000 บาท/ปี
                  ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.longtunmom.com/hei-schools-bangkok-expense/

                  ช่องทางการติดต่อ

                  HEI Schools Bangkok Sukhumvit 36 Klongton Nua Wattana Bangkok 10110

                  Tel: 082-002-5555

                  Email: [email protected]

                  Line: @heibangkok หรือ www.heibangkok.com

                  https://www.facebook.com/heibangkok/

                  4. Arkki Thailand

                  Arkki (อาร์คกิ) เป็นโรงเรียนหลักสูตรการศึกษาเชิงสร้างสรรค์ (Creative Education) หลักสูตรกระทรวงศึกษาฟินแลนด์ สำหรับเด็กและเยาวชนอายุ 4-19 ปี เพื่อเตรียมความพร้อมเด็กและเยาวชนฟินแลนด์สำหรับโลกอนาคต

                  Arkki มุ่งเน้นการสอนให้เด็กและเยาวชนได้พัฒนาทักษะสำหรับศตวรรษที่ 21 หรือ 6Cs ซึ่งประกอบไปด้วย 

                  • ทักษะการแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน (Complex problem solving)
                  • ทักษะการคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creativity)
                  • ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical thinking)
                  • ทักษะการทำงานเป็นทีม (Collaboration)
                  • ทักษะการสื่อสาร (Communication)
                  • และทักษะการคิดเชิงคอมพิวเตอร์ (Computational Thinking)

                  กิจกรรมในหลักสูตรของอาร์คกิ มุ่งเน้นพัฒนาทักษะการคิดชั้นสูงของมนุษย์ (Higher Order Thinking Skills, HOT skills) ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์สามารถ สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ (creating and innovating) ขึ้นได้ และเมื่อประกอบกับ Digital Skills มนุษย์จะสามารถเอาชนะปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ได้ในอนาคต

                  หลักสูตร Long-Term Programs ของ Arkki สำหรับเด็กอายุ 4-12 ปี แบ่งออกเป็น 2 ภาคการศึกษา/ปี และมีการเรียนการสอนภาคการศึกษาละ 20 ครั้ง ครั้งละ 1.5 ชั่วโมง เลือกเรียน 1 วัน/ สัปดาห์ วันจันทร์ – วันอาทิตย์

                  คลาสที่เปิดสอน ได้แก่

                  • Design Fundamentals (4 – 6 YO)
                  • ArkkiBotics (7- 9 YO)
                  • Product Design (7- 12 YO)

                  นอกจากนี้ยังมีหลักสูตร Arkki@Home ออนไลน์ ส่งตรงถึงบ้าน LIVE ผ่าน ZOOM 1 คลาส / สัปดาห์ ครั้งละ 1 ชม. และ 1.5 ชม. สำหรับน้องๆ ที่สนใจคลาส Design Fundamentals ก็สามารถเรียนออนไลน์ สนุกได้ที่บ้าน

                  ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.facebook.com/arkkithailand/

                  หากคุณพ่อคุณแม่สนใจเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับทักษะในอนาคต (Future Skills Education) กับ Arkki สามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ตามช่องทางด้านล่างนี้

                  ช่องทางการติดต่อ

                  Arkki Center ชั้น 2, Bambini Villa สุขุมวิท 26 

                  Tel: 092-414-1254

                  Email: [email protected]

                  LINE ID: @arkkithailand

                  www.arkki.co.th 

                  โลกที่ลูกต้องเผชิญในอนาคต อาจมีสิ่งใหม่ๆ มากมายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พ่อแม่จึงต้องเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ ซึ่งทักษะอย่างหนึ่งที่ ระบบการศึกษาฟินแลนด์ ให้ความสำคัญอย่างมากก็คือ Creativity หรือความคิดสร้างสรรค์นี่เอง ที่จะทำให้เราเอาชนะ AI ได้ เพราะคนที่จะอยู่รอดไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นคนที่ปรับตัวเก่งที่สุดต่างหาก


                  CQ หรือ Creativity Quotient ฉลาดคิดสร้างสรรค์ หนึ่งใน Power BQ เป็นความสามารถที่ถูกพัฒนาได้ ด้วยการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้ลูกได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ตัดสินถูกผิด ไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ด้วยความคิดและประสบการณ์เดิมๆ ของผู้ใหญ่ เด็กจำเป็นต้องได้รับการส่งเสริม CQ ในวันนี้ เพื่อที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีไม่มีวันหมดไอเดียไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไรก็ตาม

                  บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                  เด็กยุคใหม่ ทำไมต้องมี Power BQ ติดอาวุธให้ลูกฉลาดรอบด้าน

                  6 เคล็ดลับเสริมลูกให้ “ฉลาดคิดสร้างสรรค์” มี CQ ดี อนาคตดี

                  หมอแนะเทคนิค เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ ฉลาดคิดสร้างสรรค์

                    Absorba Organic

                    ที่สุดแห่งความอ่อนโยนเพื่อลูกน้อย กับ 3 ไอเทมเด็ดจาก Absorba Organic คุณแม่มือใหม่ห้ามพลาด!

                    ปูเสื่อรอเลยค่ะ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็ก เด็กน้อยมาวิ่งเล่น ทำให้หัวใจสี่ห้องพองโตกระชุ่มกระชวยอยู่ที่บ้าน…วันนี้ทีมแม่ABK ขนเอาธรรมชาติบริสุทธิ์จากไอเทมเด็ดตัวดังจากแบรนด์ Absorba ในกลุ่มของ Absorba Organic มาแนะนำจัดเต็มให้จุใจกันไปเลยกับ baby wash and shampoo , baby lotion และ Natural corn baby powder สำหรับใช้ดูแลปรนนิบัติผิวลูกน้อยให้มีสุขภาพผิวดี สัมผัสนุ่มน่ากอดทุกวันค่ะ

                    เพราะผิวลูกบอบบาง ไวต่อการแพ้ ระคายเคือง เราก็อยากที่จะดูแลลูกน้อยอย่างอ่อนโยนทุกวัน จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก โดยเฉพาะในเรื่องของผิวพรรณ รู้ไหมคะว่าคุณแม่ๆ สามารถสร้างเกราะป้องกันดูแลผิวลูกน้อยให้แข็งแรงสุขภาพดี พร้อมมีผิวที่สัมผัสนุ๊ม นุ่ม ขอบอกค่ะว่าไม่ใช่แค่คุณพ่อคุณแม่นะที่อยากกอด หอมลูก แต่ใครเห็นก็อยากอยู่ใกล้ ✨

                    Absorba Organic

                    ทีมแม่ABK ให้ลูกๆ ที่บ้าน อ่อ!! จริงๆ แม่ก็ใช้ด้วยแหละ คือลูกใช้ดี แม่ใช้ก็ยิ่งดี เลิฟมากกับ Absorba Organic เพราะผลิตภัณฑ์กรุ๊ปนี้มีความอ่อนโยน ละมุ๊น ละมุน อุดมไปด้วยเอสเซ้นส์ออร์แกนิค ถึง 5 ชนิด เขาไม่ได้มีใส่มาเล่นๆ นะจ๊ะ เพราะได้รับรองมาตรฐานระดับโลก ECOCERT และ USDA ว้าวมาก!! คือแต่ละเอสเซ้นส์ออร์แกนิค ที่มีอยู่ใน baby wash and shampoo , baby lotion และ baby powder เนี่ยของดีทั้งนั้น คุณภาพหลังการใช้แล้ว ให้ความผ่อนคลายกับผิวขั้นสุดจริงๆ อ่ะมาจ้ะแม่ มาดูกันซะหน่อยว่ามีอะไรบ้าง

                    ♣ Organic Argan oil ช่วยให้ผิวนุ่ม อย่างอ่อนโยน

                    ♣ Organic Jojoba oil น้ำมันธรรมชาติที่ใกล้กับน้ำมันผิวหนังช่วยคงความชุ่นชื้นให้ผิว

                    ♣ Organic Olive oil น้ำมันมะกอกช่วยฟื้นฟูบำรุงผิว

                    ♣ Organic Shea butter อุดมไปด้วย มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ เพิ่มความนุ่มนวลให้ผิว

                    ♣ Organic Chamomile Distilled Water ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย สบายผิว

                    ดีงามใช่ไหมล่ะกับเอสเซ้นส์ออร์แกนิค ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแอ๊บซอร์บา…ทีนี้แม่ๆ มาดูกันต่อว่าจะเริ่มปรนนิบัติผิวบอบบางของลูกน้อยยังไงให้อ่อนโยนขั้นสุด

                    Absorba Organic

                    Absorba Wash and Shampoo ทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน

                    แม่จ๋า สเต็ปแรกเราต้องอาบน้ำให้ลูกน้อยวันละ 2 ครั้ง แต่ในเด็กทารกช่วงเดือนแรกอาบแค่วันละครั้งพอค่ะ ผิวลูกน้อยที่มีความบอบบางเป็นพิเศษแบบนี้ ให้ทำความสะอาดผิวด้วยสบู่เหลวอาบและสระ  Absorba Wash and Shampoo ขวดปั๊มแม่ใช้งานสะดวกมาก อาบน้ำลูกได้สะอาดแล้วยังช่วยคงสมดุลของผิวตามธรรมชาติด้วยนะ ทำให้ผมและผิวลูกน้อยนุ่มน่าสัมผัส และที่แม่บ้านนี้ชอบอีกอย่างคือ เป็นสูตรฟองนุ่ม ล้างออกง่าย อ่อ! ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเกิดการแพ้ ระคายเคือง เพราะเป็นสูตรที่ปราศจากสารเคมีรุนแรง มั่นใจได้เขามีการทดสอบการระคายเคืองภายใต้การควบคุมของแพทย์จากสถาบันทดสอบทางผิวหนังค่ะ

                    Absorba Organic

                    Absorba Baby Lotion บำรุงผิวสัมผัสเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น

                    พาลูกน้อยอาบน้ำให้ผิวสะอาดแล้ว ก็มาต่อด้วยการบำรุงผิวด้วยเบบี้โลชั่น ที่มีน้ำมันสกัดจากธรรมชาตินานาชนิดอุดมไปด้วยมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เอสเซ้นส์ออร์แกนิค 5 ชนิด ที่มีอยู่ใน Absorba Baby Lotion ทาบำรุงผิวลูกน้อยทุกครั้งหลังอาบน้ำหรือจะทาบำรุงระหว่างวัน ก็จะช่วยปลอบประโลมผิวอย่างอ่อนโยน ทำให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น ไม่แห้งกร้าน ทำให้ลูกน้อยรู้สึกสดชื่น สบายผิวสุดๆ ตลอดวันค่ะ

                    Absorba Organic

                    Absorba Natural corn baby Powder เพิ่มความแห้งสบายผิว

                    อีกหนึ่งสเต็ปก็คือการทาแป้งที่ผิวลูกน้อย ข้อควรระมัดระวังคือไม่โรยแป้งลงในสะดือ , จุดซ่อนเร้น และไม่โรยจนฝุ่นแป้งฟุ้งเข้าจมูก ปาก ตาของลูกน้อย การทาแป้งที่ถูกวิธีให้เทแป้งลงบนฝามือของเราก่อน แล้วค่อยทาลูบลงบนผิวลูกนะจ๊ะ แป้งเด็กที่อ่อนโยนกับผิวลูก ก็ต้อง Absorba Natural corn baby Powder กระปุกนี้ เป็นแป้งเด็กที่ทำจาก “แป้งข้าวโพด” คุณสมบัติดี๊ ดี คือช่วยซึมซับความชื้น และควบคุมการระเหยของน้ำในชั้นผิว มีสารสกัดจากธรรมชาติเอสเซ้นส์ออร์แกนิค ปกป้องผิวลูกให้อ่อนนุ่ม ชุ่มชื้น ทำให้สบายผิว แต่ไม่แห้งกร้าน อ่อ!! แป้งเด็กแอ๊บซอร์บา ไม่ต้องห่วงว่าลูกจะแพ้ หรือระคายเคืองที่ผิว เพราะเขาไม่มีสารเคมีอย่างพาราเบน(Paraben) ผสมอยู่ในแป้งค่ะ

                    Absorba Organic

                    ทีมแม่ABK บอกเลยว่าผลิตภัณฑ์เด็ก Absorba Organic ทั้ง 3 ชิ้นนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องซื้อมาใช้ค่ะ แล้วจะรู้ว่าที่บอกว่าดี นั้นดียังไง ฝากไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ กับ baby wash and shampoo , baby lotion และ baby ที่สุดแห่งความอ่อนโยนและปลอดภัยต่อผิวลูกน้อย

                    ด้วยในช่วงสถานการณ์ (COVID-19) ระบาดแบบนี้ ทีมแม่ABK แนะนำคุณพ่อคุณแม่ให้สนุกกับการช้อปปิ้งของใช้ลูกน้อย ด้วยการ SHOP ONLINE ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ง่าย สะดวก ปลอดภัย และลดความเสี่ยงในการสัมผัส หรือหากแม่ๆ ต้องออกจากบ้าน ก็อย่าลืมสวมใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างในสังคม เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยและทุกคนในครอบครัวค่ะ

                    แล้วอย่าลืมไป SHOP ONLINE กับผลิตภัณฑ์เด็กแอ๊บซอร์บา สินค้าดีมีคุณภาพ ใช้ดีทั้งคุณแม่คุณลูกเลยค่ะ

                    FACEBOOK : https://www.facebook.com/AbsorbaclubThailand

                    IG : absorba.thailand

                     

                    ✅ ผลิตภัณฑ์แอ๊บซอร์บา เขาฝากความพิเศษสุดมาให้แม่ๆ แฟนเพจ Amarin Baby & Kids แค่ทำตามกติกาง่ายๆ ด้านล่างนี้ ก็ได้ทั้งผลิตภัณฑ์ไปใช้ฟรีๆ !! ที่บ้าน หรือถ้าอยากได้เป็นส่วนลดราคาสินค้าก็มีนะ   ว้าวมากแม่!!

                    สนุกที่ 1 : ร่วมสนุก กดไลก์& แชร์ เพจ absorba และแชร์ โพสต์กิจกรรมนี้ไปยังหน้า FB ของคุณ (ตั้งค่าเป็นสาธารณะ) แคปหน้าจอ มาโพสต์ใต้คอมเม้นท์ของบทความนี้ ก็ลุ้นรับทันที Baby care Gift Sets GENTLE & CARE (Baby powder, Baby Lotion, Baby wash) 3 รางวัล กดไลก์เพจได้ที่นี่ : https://www.facebook.com/AbsorbaclubThailand/

                    ♥ สนุกที่ 2 : พิเศษสุด!!แจกโค้ดส่วนลด 200 บาท เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์แอ๊บซอร์บา มูลค่า 1,399.- บาทขึ้นไป ผ่านช่องทาง SHOPEE กรอกโค้ดโปรโมชั่น  ABSOMARIN , คลิกสั่งซื้อ !!  https://shopee.co.th/absorba_thailand

                    สามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย -26 พ.ค 2564 !!

                    #แอ๊บซอร์บา #Absorba #AbsorbaTH #AbsorbaThailand #มากกว่าความอ่อนโยนคือความปลอดภัยของลูกน้อย #โลชั่น #absorbaGentleAndcare

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay คอกกั้นที่ช่วยเสริมพัฒนาการลูกน้อย

                      ช่วงนี้ทีมแม่ABK มาแนะนำคอกกั้นเด็กบ่อยหน่อยค่ะ เพราะเห็นแล้วก็อดใจไม่ได้จริงๆ อย่างล่าสุดที่ได้มาก็จะเป็น“คอกกั้นเด็ก Bebeplay”คอกกั้นที่มีลายสุดคิ้วท์มากๆ บอกเลยว่าคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยทารก เด็กเล็กๆ อยากได้คอกกั้นเด็กเสริมพัฒนาการ ถ้าเป็นคอกกั้นเด็ก Bebeplay รับรองถูกใจแน่ๆ ค่ะ

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay กับ 2 ความโดดเด่นไม่เหมือนใคร

                      ความน่ารักสะดุดตาของคอกกั้นเด็ก Bebeplay ที่ออกแบบให้เป็นลวดลายหมี แมว คุณพ่อคุณแม่ที่เคยใช้มาก่อน จะเรียกติดปากกันว่าคอกหมี คอกแมว แต่ความพิเศษไม่เหมือนใครจากคอกกั้น Bebeplay ที่คำนึงถึงการใช้งานสำหรับทุกครอบครัวที่มีลูกวัยทารก เด็กเล็ก จะเน้นอยู่ 2 เรื่องหลักๆ ทีมแม่ABK สรุปออกมาให้ดังนี้ค่ะ

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay

                      1. เรื่องความปลอดภัย ให้กับลูกน้อยได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย

                      เมื่อเวลาคุณแม่ต้องแบ่งเวลาไปทำงานบ้านหรืออื่นๆ ก็อุ่นใจได้ว่าลูกน้อยจะไม่เกิดอันตราย เพราะจริงๆ เด็กในช่วงวัยนี้จะเป็นช่วงที่หัดคลาน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรจะละสายตาไปจากลูก เนื่องจากอาจจะเกิดเหตุอันตรายที่ไม่คาดคิดขึ้นได้ ดังนั้นคอกBebeplay จึงเป็นตัวช่วยหนึ่งให้กับทุกครอบครัวที่มีลูกเล็กได้เป็นอย่างดี

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay

                      2. เรื่องเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ

                      **ยิ่งในเรื่องพัฒนาการด้านการฝึกเดิน คอกนี้ช่วยได้มากๆ (ประมาณ 6 เดือนกว่าๆ บางคนก็ฝึกยืนแล้ว)ซึ่งดีกว่าจะคอกประเภทนวมหรือเบาะ**พร้อมกับในคอกจะมีแผงของเล่นที่เสริมพัฒนาการทั้ง การมองเห็น การจับการสัมผัส เพื่อฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก

                       

                      คอกกั้นเด็กBebeplay

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay

                      ต้องบอกว่า Bebeplay เป็นคอกกั้นเด็กเสริมพัฒนาการให้กับลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ที่แท้ทูร ต่อมาเรามาดูจุดเด่นของคอกกั้นกันบ้างดีกว่า หลายๆ ครอบครัวอาจบอกว่า คอกกั้นเด็กก็เหมือนๆ กันหมดแหละ ไม่ค่ะ สำหรับคอกกั้นเด็ก Bebeplay มี 4 จุดเด่นที่แตกต่างค่ะ

                      1. คอกกั้น Bebeplay ออกแบบให้มีช่องขนาดต่างๆ ที่ปลอดภัยกับลูกน้อย ซึ่งขนาดของช่องจะช่วยให้ลูกน้อยยึดหรือจับ เพื่อฝึกเดินได้ดี (ช่วยและบายอากาศได้ดี)
                      2. คอกกั้น Bebeplay มีแผ่นคอกแข็งแรง และตัวคอกมีจุกสูญญากาศ ยึดติดพื้นผิวกระเบื้อง ปูน ไม้ ที่เป็นพื้นนผิว  เรียบได้เป็นอย่างดี
                      3. คอกกั้นเด็ก Bebeplay มีแผงของเล่นเสริมพัฒนาการ ที่ช่วยส่งเสริมให้ลูกน้อยได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่-เล็ก การมองเห็น พร้อม การสัมผัส ซึ่งเป็นสร้างพัฒนาการพื้นฐานที่ครบของเด็กวัย 0-1 ปี
                      4. คอกกั้น Bebeplay ประกอบง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก (คุณแม่ทำได้เองเลย) ปรับเปลี่ยนรูปทรงง่าย #BEBEPLAY คอกกั้นเด็กเสริมพัฒนาการของเด็กวัย 0-1 ปี #เบาะPUเกาหลี (หนา 4 ซม.) สัมผัสความนุ่มละมุนของผิวสัมผัสที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการระบายอากาศของหนัง PU เกรดพรีเมียม(หนานุ่ม ไข่ตกไม่แตก)  และช่วยให้ลูกน้อยฝึกคลานและฝึกเดินได้ดี(เมื่อถึงวัย) #นุ่ม แน่น เหมาะกับฝึกเดิน ฝึกคลาน

                      คุ้มค่าต่อการลงทุนซื้อคอกกั้นมาไว้ใช้ที่บ้านจริงๆ ค่ะ เพราะได้ทั้งพื้นที่ปลอดภัยให้ลูกน้อย และยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการที่ดีสมวัยให้กับลูกน้อยด้วยค่ะ

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay

                      และอีกเรื่องจะไม่พูดถึงไม่ได้เด็ดขาด นั่นก็คือมาตรฐานของผลิตภัณฑ์และการบริการ เพราะจะทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความมั่นใจในแบรนด์ Bebeplay คอกกั้นเด็กกันมากขึ้นค่ะ สำหรับคอกกั้นเด็กเสริมพัฒนาการ Bebeplay ได้ผ่านการรับรองมาตรฐาน EN 71-3 และ ASTM F963-17สินค้าผลิตจาก HDPE food Gradeพลาสติกไร้สารพิษ ปลอดภัยต่อเด็ก

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay

                      1. ASTM F963-17 มาตรฐานความปลอดภัยสำหรับผลิตภัณฑ์ของเล่นปรเะเทศอเมริกา
                      2. EN71-3 มาตรฐานการทดสอบสินค้าของเล่น เพื่อประเมินความปลอดภัยของของเล่นเด็กของสหภาพยุโรป

                      คอกกั้นเด็ก Bebeplay

                      และนี่ก็เป็นบริการหลังการขาย เรียกว่า “bebecare” ที่จะให้ความช่วยเหลือในเรื่อง…

                      1. เคลมง่าย ขั้นตอนการเคลมไม่ยุ่งยาก
                      2. ประกันนับ1เมื่อเริ่มใช้
                      3. ประกันนานขึ้น12+6เดือน
                      4. เคลมฟรี ส่งเปลี่ยนให้ถึงที่ไม่มีค่าใช้จ่าย #เคลมง่ายง่ายได้ที่บ้าน

                      คุณพ่อคุณแม่ที่สนใจคอกกั้นเสริมพัฒนาการสำหรับลูกน้อย อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติม หรือเพื่อชมสินค้า สามารถติดต่อไปได้ที่ช่องทางตามนี้ค่ะ :

                      Website : https://bit.ly/3tBjLAq

                      Facebook : https://www.facebook.com/bebeplayofficial

                      Tel : 0632169224

                      สุดยอดใช่ไหมล่ะคะ แล้วแบบนี้จะไม่มีไว้ใช้ที่บ้านก็คงไม่ได้แล้ว บ้านไหนที่กำลังเตรียมซื้อของใช้เด็กอ่อนไว้ต้อนรับสมาชิกใหม่ของบ้าน ทีมแม่ABK แนะนำ คอกกั้นเด็กเสริมพัฒนาการจากแบรนด์ Bebeplay ค่ะ

                        Eucerin Omega Balm

                        เริดเวอร์!! 5 มอยซ์เจอร์ไรเซอร์บํารุงผิวลูกน้อย กู้ผิวแห้ง สู่ผิวสุขภาพดี

                        ผิวเด็กทารกแรกเกิด ผิวเด็กเล็ก ทำไม๊ ทำไม ถึงมีผื่นแดง ผิวแห้ง สากๆ สงสัยกันไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับผิวลูกน้อย วันนี้ทีมแม่ABK จะมาบอกถึงปัญหาผิวที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ กับผิวเด็กค่ะ รวมถึงจะมารีวิวมอยซ์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวที่แม่บ้านนี้ใช้กับผิวลูกและผิวแม่ ขอบอกว่า 5 ตัวนี้เด็ด!! ช่วยกู้ผิวพังๆ ให้กลับมามีผิวสุขภาพดีทุกวันค่ะ

                        ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นประสบการณ์หนึ่งที่แม่บ้านนี้จำไม่ลืมเลยค่ะ ตอนที่ลูกได้ 3 เดือน สังเกตว่าลูกร้องไห้ งอแงเกือบจะตลอดวันเลย แล้วก็ชอบเอามือมาบัดๆ ที่หน้า พอเข้าไปดูใกล้ๆ โอ๊ะ โอ !! ผิวลูกมีผื่นแดงตรงแก้ม ใบหู ผิวช่วงแขน ขาก็มี พอเอามือลูบสัมผัสดู รู้สึกผิวแห้ง สากๆ ด้วย แม่ว่าไม่ได้การล่ะ สิ่งแรกที่ทำคือเข้า Google หาดูอาการที่เกิดกับผิวลูก ก็พอจะได้คำตอบว่า ลูกเราน่าจะมีอาการผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง วันรุ่งขึ้นแม่ก็พาไปหาคุณหมอเด็ก ที่ทราบจากคุณหมอคือ เจ้าผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเนี่ย เกิดได้จากหลายสาเหตุค่ะ ไม่ว่าจะมาจากพันธุกรรม หรือมีปัจจัยกระตุ้น เช่น อาหาร สภาพอากาศ สารเคมี ไรฝุ่น เหงื่อ น้ำหอม สบู่ แป้ง โลชั่น ครีมทาผิว เนื้อผ้าของชุดเสื้อผ้าที่สวมใส่ ก่อให้เกิดการระคายเคือง เป็นต้น สำหรับผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเกิดขึ้นได้กับเด็ก และผู้ใหญ่เลยค่ะ

                        Eucerin Omega Balm

                        ทีนี้สิ่งที่แม่อยากได้คือ การดูแลปกป้องและทำให้ผิวลูกแข็งแรงให้ผิว ไม่ใช่แค่ระยะสั้นๆ แต่อยากให้ผิวลูกแข็งแรงมีผิวสุขภาพดีไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ แม่จึงเฟ้นหาสารพัดผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวลูกน้อย ที่ช่วยในเรื่องบำรุงผิว ป้องกันผิวจากการแพ้ ระคายเคืองคันต่างๆ หรือผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น จนมาจบที่มอยซ์เจอร์ไรเซอร์จาก 5 ยี่ห้อนี้ค่ะ ขอบอกว่าเราก็ใช้กับลูกด้วยนะจ๊ะ ใช้ดีจริง อยากให้คุณแม่ๆ ได้ลองใช้กันค่ะ  นี่ก็คือ 5 ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเด็กที่เหมาะสำหรับผิวแห้ง แพ้ง่าย และปัญหาผิวที่เกิดผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง พูดเลยแม่เลิฟมาก ❤ ✨ ได้แก่ Eucerin Omega Balm , Physiogel Soothing Care A.I. Cream , Ezerra Cream , Cerave Facial Moisturising Lotion และ Cetaphil PRO AD Derma ค่ะ

                        Eucerin Omega Balm

                        Eucerin Omega Balm ยูเซอริน โอเมก้า บาล์ม

                        หมอเด็กแนะนำเป็นอันดับ 1 ตัวนี้เด็ดจริงแม่ยกให้เป็นเบอร์ 1 ที่หมดแล้วซื้อใช้ซ้ำบ่อยที่สุด Eucerin omega balm เป็นมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ที่ใช้ทาบำรุงผิวกาย อ่อนโยน ปลอดภัย ใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดเลยค่ะ เนื้อสัมผัสบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ทาแล้วซึมซาบลงสู่ผิวเร็วดีมากๆ สามารถทาให้ลูกได้ทุกวัน สำหรับยูเซอริน โอเมก้า บาล์มหลอดนี้นะคะเขามีจะ Licochalcone A สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยในเรื่องการลดผิวแดงระคายเคือง ซึ่งมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสเตียรอยด์ โดยที่ไม่ต้องใช้สเตียรอยด์เลย ที่สำคัญคือมีการผสานเข้ากับ Omega 3 & 6 fatty acids และ Ceramides ที่จะช่วยเติมไขมันที่จำเป็นอย่างครบถ้วนเพื่อคืนความชุ่มชื้น เพื่อฟื้นบำรุงชั้นปกป้องผิวให้มีสุภาพดีขึ้น และยังมี Shea Butter ที่ช่วยทำให้ชั้นปกป้องผิวดูแข็งแรงขึ้น และยังปราศจากสารที่ทำให้เกิดการแพ้อย่างน้ำหอม สารแต่งสี และพาราเบน มั่นใจได้เลยว่าไม่แพ้ ลูกบ้านไหนที่มีผิวธรรมดาทั่วไป ผิวแห้ง หรือที่มีปัญหาเรื่องผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง แนะนำเลยค่ะ

                        Eucerin Omega Balm

                        Physiogel Soohthing Care A.I. Cream ฟิซิโอเจล ซูธธิ่ง แคร์ เอ.ไอ. ครีม

                        มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ตัวนี้เหมาะสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย และผิวเด็กก็ใช้ได้ค่ะ เนื้อครีมเข้มข้น Physiogel Soohthing Care A.I. Cream เขาใช้นวัตกรรมที่ผสานไขมันที่เรียกว่า Physiogel BioMimic Technology โดยในเนื้อครีมจะมีส่วนผสมของไขมันซึ่งมีความคล้ายคลึงกับไขมันที่พบได้ในเซลล์ผิวของคนเรา ซึ่งสามารถทำหน้าที่เติมไขมันให้ผิวมีความชุ่มชื่น ป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น พร้อมปกป้องผิวจากมลภาวะต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง และมี Palmitamide MEA (PEA) ช่วยลดปัญหาผิวแห้งที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวแดงและคัน เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยให้ผิวได้รับการฟื้นบำรุงอย่างเต็มที่และค่อยๆ ปรับสภาพให้ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวนุ่มเรียบเนียน ดูมีสุขภาพผิวดีค่ะ

                        เริดเวอร์!! 5 มอยซ์เจอร์ไรเซอร์บํารุงผิวลูกน้อย กู้ผิวแห้ง สู่ผิวสุขภาพดี

                        Ezerra Cream อีเซอร์ร่า ครีม

                        ครีมทาผิวเด็กหมีม่วง เราเรียกกันอย่างนี้จริงๆ ค่ะ ส่วนใหญ่แม่ๆ จะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะใช้ทาผิวก้นลูกก่อนใส่ผ้าอ้อม Ezerra Cream เขาเป็นครีมสำหรับเด็กที่มีผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายค่ะ สารสำคัญในอีเซอร์ร่า ครีม ก็คือสเป็นเกรนแว็กซ์ (Spent Grain Wax) , เชียร์บัทเทอร์ (Shea Butter Extract) และ อาร์แกนออยล์ (Argania Sopinosa Kernel Oil)สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยบำรุงผิว นอกจากนี้ก็ยังจะมี แซคคาไรด์ ไอโซเมอเรท(Saccharide Isomerate) สารสกัดธรรมชาติ จากอนุพันธ์กลูโคสของพืช เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่มีโครงสร้างเช่นเดียวกับสารที่ให้ความชุ่มชื้นธรรมชาติในชั้นผิวของคนเราค่ะ มาดูกันที่เนื้อครีมของอีเซอร์ร่า จะมีลักษณะเนื้อสัมผัสที่เข้มข้น แต่พอทาลงบนผิวแล้วเกลี่ยง่าย และซึมซาบลงผิวได้เร็ว แต่จะให้ความรู้สึกเหนอะนิดๆ เหมือนมีอะไรมาเคลือบผิวค่ะ

                        Eucerin Omega Balm

                        Cerave Facial Moisturising Lotion เซราวี เฟเซียล มอยซ์เจอร์ไรซิ่ง โลชั่น

                        คุณแม่หรือเด็กเล็กๆ ที่ผิวหน้ามีปัญหาแห้ง แดง ไม่สบายผิว ต้องลอง Cerave Facial Moisturising Lotion กันค่ะ ตัวนี้อ่อนโยนกับผิวมากๆ เป็นสูตรไฮโปอัลเลอจีนิค ไม่ทำให้ผิวเกิดการแพ้ระคายเคือง คิดค้นขึ้นโดยความร่วมมือของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยเฉพาะค่ะ เป็นนวัตกรรมการส่งคืนเซราไมด์ให้ผิว ที่ประกอบด้วยเซราไมด์ที่จำเป็นต่อผิว 3 ชนิด สกัดจากพืชธรรมชาติ พร้อมผสานด้วยไฮยาลูรอนิกแอซิด เพื่อช่วยชดเชยความชุ่มชื้น เซราไมด์ที่ขาดหาย และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้มีความแข็งแรงขึ้น  เนื้อสัมผัสจะเป็นเนื้อโลชั่นที่บางเบามากๆ แล้วก็เกลี่ยได้ง่ายด้วย พอทาลงบนผิวแล้วซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว และไม่มีน้ำหอมด้วยค่ะ

                        Eucerin Omega Balm

                        Cetaphil PRO AD Derma Skin Restoring Body Moisturizerเซตาฟิล โปร เอดี เดอร์มา สกิน รีสโตริ่ง บอดี้ มอยส์เจอไรเซอร์

                        Cetaphil PRO AD Derma Skin Restoring Body Moisturizer เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายสำหรับผิวแห้ง คัน ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เขาผ่านการวิจัยมาแล้วว่าช่วยในเรื่องเก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างอ่อนโยน มีส่วนผสมของสารสกัดที่ได้จาก Filaggrin breakdown product (PCA and arginine), Ceramide-5, Sun Flower Oil และ Shea Butter ที่ช่วยทำให้ผิวมีความนุ่ม ชุ่มชื้น เนื้อครีมซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารกันเสียจึงเหมาะแม้ผิวเด็ก หรือคนที่มีอาการผิวแห้งคัน ก็ใช้ได้ดีค่ะ

                        Eucerin Omega Balm

                        ทารก เด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่ ที่มีปัญหาผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เหมือนที่ลูกแม่บ้านนี้เคยเป็นมาก่อน อยากให้ลอง Eucerin omega balm ที่มี Licochalcone A สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยในเรื่องลดปัญหาผิวแห้ง และการระคายเคืองที่มีสาเหตุจากผิวแห้ง เติมความชุ่มชื้นผิวด้วย Omega 3 & 6 fatty acids และ Ceramides ที่จะช่วยเติมไขมันที่จำเป็นเพื่อฟื้นบำรุงชั้นปกป้องผิวให้มีสุภาพดีขึ้น และ Shea Butter ที่ช่วยทำให้ชั้นปกป้องผิวแข็งแรงขึ้นค่ะ

                        ทีมแม่ABK แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวลูกน้อย และผิวคุณแม่ให้แล้ว ทั้ง 5 ยี่ห้อนี้ ควรมีไว้ใช้ที่บ้านค่ะ

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ส่อง 8 ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 กับมุมอ่อนโยน เมื่ออยู่กับลูก

                          ส่อง 8 ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 กับมุมอ่อนโยน เมื่ออยู่กับลูก ดาราชาย ที่ได้กลายเป็นคุณพ่อมือใหม่ คุณพ่อลูกอ่อนป้ายแดง จะมีใครบ้าง..ไปส่องกันเลยจ้า

                          รวม 8 ดาราพ่อลูกอ่อน แม่ดาราคลอดลูก 2564

                          สวัสดีปีวัว 2564 ปีนี้เป็นปีที่ดี เพราะแค่ ต้นปีก็มีเหล่าคนดังหลายคนที่ได้เป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ป้ายแดง รวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่ดาราที่ได้มีลูกน้อยคนที่ 2 คนที่ 3 กำเนิดในปีนี้

                          ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์ โควิด-19 จะระบาด แต่ไม่อาจขวางกั้นความรัก และความสุข ที่คุณพ่อคุณแม่ในวงการบันเทิงจะได้มีโอกาสต้อนรับทายาทกันหลายคนแน่นอน เรียกได้ว่าอบอุ่น และก็มี ดาราชาย ที่ได้กลายเป็นคุณพ่อมือใหม่ คุณพ่อลูกอ่อนป้ายแดงกันเพียบ ว่าแต่จะมี ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 เป็นใครบ้าง..ไปส่องกันเลยจ้า

                           

                          มาที่ ดาราพ่อลูกอ่อน คนแรกขอแสดงความยินดีตั้งแต่ต้นปี กับคุณพ่อสุดหล่อ ชาย ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ ที่คุณแม่วิกกี้ สุนิสา เจทท์ ได้คลอดลูกชายคนที่ 2 ให้เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2564 ตั้งชื่อว่า “น้องไทเลอร์” ตั้งชื่อจริงว่า ด.ช.ทวิรท หิรัณยัษฐิติ แข็งแรงทั้งแม่และลูก ซึ่งคุณพ่อชาย ก็คอยดูแลเฝ้าไม่ห่าง น้ำตาซึม ซึ้งใจวันรอลูกชาย

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ขอบคุณภาพจาก IG @chartayodom และ IG @sunisajett

                          ดาราพ่อลูกอ่อน ถัดมาเรียกได้ว่ากลายเป็นคุณพ่อลูก 3 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ คุณพ่อน้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ที่ล่าสุดได้ประกาศข่าวดี หลังภรรยาสุดคุณแม่มินตรา ชนิศา ได้คลอดลูกคนที่ 3 เป็นลูกสาวชื่อ “น้องอาโป” ด.ญ.เอวาริณณ์ เอกพันธ์กุล ซึ่งความหมายของชื่อลูกสาวคนที่ 3 นี้แปลว่า น้ำ เหมือนชื่อของคุณพ่อนั่นเอง

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ขอบคุณภาพจาก IG @namrapeepatekpankul

                          อีกหนึ่ง ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 ที่ตั้งตารอมานานก็ได้ชื่นใจกับเขาแล้ว สำหรับคุณพ่อป้ายแดง ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยาและ ภรรยา คุณนาน่า ธันยา ที่ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก “น้องเนล่า” หรือ ด.ญ.ธัญญณัฐ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแม้ว่าน้องจะมาก่อนกำหนดเล็กน้อย แต่สุขภาพทั้งคุณแม่คุณลูก แข็งแรงดีมาก จิ้มลิ้มที่สุด ด้านคุณพ่อก็เห่อไม่เบา ลงภาพลูกสาวเด็มไอจีไปหมด

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ขอบคุณภาพจาก IG @nut_devahastin

                          ถัดมาเรียกได้ว่าเป็นที่ฮือฮามาก เพราะหลังจากที่นางเอกสาวคนดัง คุณแม่ศรีริต้า เจนเซ่น ณรงค์เดช ให้กำเนิดลูกชาย “น้องกวินท์” หรือ ด.ช.อัศวิน เจนเซ่น ณรงค์เดช ที่ฉายแววหล่อมาแต่เด็ก และต้องบอกว่าพอคุณแม่คลอดปุ๊บก็ยังสวยปั๊บเช่นเดียวกัน มาพร้อมกับภาพครอบครัวและโมเมนต์ป้อนนมลูกบอกเลยว่าสุขใจที่สุด รวมไปถึงคุณพ่อป้ายแดงอย่าง “กรณ์ ณรงค์เดช” ก็โพสต์ภาพลูกน้อยตลอดเช่นเดียวกัน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ขอบคุณภาพจาก IG @kornnarongdej

                          ดาราพ่อลูกอ่อน คนต่อมา คุณพ่อสุดหล่อฟลุค เกริกพล มัสยวาณิช  ที่แฮปปี้สุดๆ กับลูกสาว “น้องนาตาชา” โดยภรรยาสุดสวย คุณแม่นาตาลี เจียรวนนท์ ได้คลอดเมื่อวันที่ 6 เม.ย.2564 บอกเลยว่าหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูมาก ทั้งนี้คุณพ่อและคุณแม่ก็ได้จัดงาน ต้อนรับวันเกิดของลูกสาว ที่ต้องบอกว่าความน่าเอ็นดูนั้น เกินร้อยเลยทีเดียว อีกทั้งถ่ายภาพครอบครัว รวมกับพี่ชาย “น้องอชิ” เป็นภาพอบอุ่นชนิดทีเรียกว่าไอจีอบอวลไปด้วยความละมุน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ขอบคุณภาพจาก IG @fluke777

                          ตามมาติดๆ กับ ดาราพ่อลูกอ่อน คุณกันต์ กันตถาวร สามีพิธีกรแห่งชาติ เมื่อภรรยาสาว คุณพลอย อัยดา กันตถาวร ได้ให้กำเนิดลูกชายในวันที่ 7 เม.ย.2564 คนนี้สมค่าการรอคอยเช่นกัน พ่อแม่ป้ายแดง ต้อนรับลูกชายอย่างน่ารัก ตัวสีชมพูมาเลยทีเดียว สำหรับ “น้องพร้อม” ซึ่งมีชื่อจริงว่า “ด.ช.กันต์ธีร์ กันตถาวร” ที่มาด้วยน้ำหนักตัว 3,160 กรัม ส่วนสูง 51.5 ซม. สมบูรณ์แข็งแรงดีทั้งแม่ทั้งลูก บอกเลยว่าโมเมนต์บ้านนี้ แฮปปี้มาก

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ขอบคุณภาพจาก IG @kankantathavorn

                          ดาราพ่อลูกอ่อน ถัดมา เรียกได้ว่ากลายเป็นคุณพ่อคุณแม่ลูกสองเต็มตัวแล้ว สำหรับคู่รักดัง คุณพ่อฟลุค จิระ ด่านบวรเกียรติ และ คุณแม่แอปเปิ้ล สีสะเหงียน สีหาราช เพราะล่าสุดวันที่ วันที่ 9 เม.ย.2564 คุณแม่แอปเปิ้ล ได้คลอดลูกสาวคนที่ 2 เมื่อเวลา 6.09 น. ที่ รพ.บีเอ็นเอช โดยตั้งชื่อว่า น้องจูน่า ด.ญ.ชนิตา ด่านบวรเกียรติ มีน้ำหนักแรกคลอด 3.350 กก. สูง 50 ซม.

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ขอบคุณภาพจาก IG @fluke_jira

                          ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 คนสุดท้าย ของต้นปี ก็คือ คุณพ่อเชน ธนา ซึ่งก็เป็นคุณพ่อลูก 2 แล้ว เมื่อภรรยาคนสวย คุณเจมส์ กณิการ์ ภูโชคอนันต์ ได้คลอดลูกสาว “น้องสเตลล่า” หรือ “ด.ญ. เฌอษิจันทร์ ภูโชคอนันต์” เมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 เม.ย.2564 ทายาทธุรกิจพันล้าน ที่ตลอดในปีวัว และในช่วงที่โควิด-19 ระบาด แต่ไม่อาจขวางความน่ารักของน้องสเตลล่าได้เลย

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ดาราพ่อลูกอ่อน

                          ขอบคุณภาพจาก IG @chaintana

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก

                          ส่อง “18 ดาราเลี้ยงลูก” อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ! วันๆ ทำอะไรกันบ้าง?

                          ส่อง ค่าเทอมลูกดารา เรียนที่ไหนกัน แม่ต้องจ่ายเท่าไหร่บ้าง?

                          รวมภาพหายาก 10 คุณแม่ดาราตอนวัยเด็ก ใครเป็นใคร? ต้องดู

                          ชื่อเล่นลูกดารา 100+ ไอเดียสำหรับตั้ง ชื่อเล่นลูก น่ารัก เก๋ๆ ไม่เหมือนใคร!

                            ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

                            เตือนภัยเงียบ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า ไข้สูงเฉียบพลันจนชักกลางดึก

                            ลูกวัยขวบเศษร้องกรี๊ดกลางดึก ตัวชักเกร็ง น้ำลายฟูมปาก ต้องแอดมิทรพ.กลางดึก แม่แชร์ประสบการณ์ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า ไม่มีอาการ กินได้นอนหลับดี อยู่ๆไข้สูงเฉียบพลันจนชัก เตือนแม่ลูกเล็กอย่าประมาท ลูกป่วยไม่มีอาการรุนแรง

                            หลายบ้านอาจกังวลกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ไม่ควรละเลยโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ เพราะยังมี “โรคหน้าร้อน” อีกหลายโรคมาทำให้ลูกน้อยเจ็บป่วยได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะหน้าร้อนที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อนจัด เดี๋ยวฝนตก เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลสุขภาพร่างกายของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สังเกตเห็นอาการผิดปกติและเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงกับภาวะชักจากไข้สูงเหมือนหนูน้อยคนนี้

                            คุณแม่ผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ จ๊ะจ๋า Darling ได้โพสต์แชร์ประสบการณ์เตือนในกลุ่มปิด “ห้องนั่งเล่นพ่อแม่” เมื่อลูกสาววัย 1 ขวบ 2 เดือน ไข้สูงจนชักกลางดึกเพราะ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า โดยไม่มีอาการผิดสังเกตใดๆ โดยคุณแม่เล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด จึงขอยกบางช่วงบางตอนมานำเสนอดังนี้ค่ะ

                            ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

                            แม่ขอแชร์ประสบการณ์ลูกไข้ขึ้นสูงแบบเฉียบพลันจนชัก เพราะเฮอร์แปงไจน่า ขอเกริ่นก่อนว่าแม่เป็นพวกชอบหาข้อมูลและเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับลูกเสมอ มียาครบทุกประเภท การปฐมพยาบาลต่างๆ แต่ก็ยังพลาดค่ะ

                            เมื่อวันที่2 เม.ย.ที่ผ่านมา ตลอดทั้งวัน ลูกสาววัย 1 ขวบ 2 เดือนก็เล่นปกติ อารมณ์ดี ทานข้าวได้เยอะเหมือนเดิม ตัวไม่ร้อน ไม่มีไข้ แม่พาเข้านอนตอนสามทุ่ม มีคุณพ่อนอนหลับข้างๆ ส่วนแม่ออกไปพับผ้า… จนกระทั่งห้าทุ่ม แม่ได้ยินเสียงน้องกรี๊ดดังมากเหมือนฝันร้าย คุณพ่อสะดุ้งตื่นและจับตัวน้องรู้สึกเหมือนน้องเกร็งตัวและกระตุก แม่เลยรีบวิ่งไปเปิดไฟทันที

                            ภาพที่เห็นทำให้แม่สติหลุดมาก น้องชักเกร็ง ตาเหลือกค้าง ปากเบี้ยว น้ำลายฟูมปาก ปากเริ่มม่วง มือเท้าซีด แม่รีบวิ่งไปอุ้มน้อง เรียกชื่อน้องดังๆ เขย่าตัวแบบคนขาดสติ แม่ไม่ได้คิดเลยว่าน้องตัวร้อนหรือมีไข้สูงจนชัก เพราะก่อนเข้านอนตัวเย็นมาก…

                            แม่รีบวิ่งอุ้มลูกขึ้นรถไปรพ.ภายใน 5 นาที พอถึงแผนกฉุกเฉิน วัดไข้ได้39.5 องศาเซลเซียส พยาบาลก็รีบเช็ดตัว…แม่ช่วยพยาบาลเช็ดตัวอยู่นาน 20 นาที แม่กอดน้องไว้ เรียกชื่อบ่อยๆ น้องเริ่มมองมาที่แม่ เรียกชื่อพ่อออกมา นาทีนั้นคือแม่ร้องไห้ออกมาเลยค่ะ รู้สึกโล่งใจที่สุด

                            ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

                            หมอให้แอดมิทดูอาการ เจาะเลือดไปตรวจและนอนให้น้ำเกลือ (ตอนนั้นได้แต่โทษตัวเองว่าทำไมเราดูแลลูกดีที่สุดแล้วแต่ก็ยังพลาด ปล่อยให้ลูกเป็นหนักขนาดนี้ได้ยังไง) เช้าอีกวันได้รับแจ้งผลเลือดว่าน้องติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด ทำให้มีไข้ คอแดง แต่ไม่ได้ทราบว่าเป็นแบคทีเรียอะไร จากนั้นพาน้องกลับมาดูแลต่อที่บ้าน คอยระวังไม่ให้มีไข้อีก

                            ผ่านไป 2 วัน น้องเริ่มมีน้ำลายยืดอาการเหมือนฟันจะขึ้น เวลาให้กินข้าว น้องจะชี้ไปที่ปากและร้องเหมือนเจ็บ แทบไม่กินข้าวเลย น้ำก็ไม่ค่อยกิน อมน้ำลายอยู่ในปาก แม่ก็มั่นใจว่าคงเป็นอาการเจ็บเพราะฟันจะขึ้นปกติ จนสังเกตว่าไม่เห็นฟันโผล่ออกมา แต่มีแผลเล็กๆใต้ลิ้น

                            จนวันที่3 น้องเริ่มถ่ายเหลวเหมือนท้องเสีย 6 ครั้ง ทั้งๆที่ไม่กินอะไรเลย แม่กลัวน้องจะช๊อคเพราะขาดน้ำจึงพาไปหาหมอที่คลินิกเด็ก คุณหมอแบดูมือและเท้าของน้อง เอาไฟฉายส่องที่คอ เป็นอย่างที่คุณหมอคิด น้องมีแผลขนาดใหญ่ในคอหอย กว้างประมาณ 1 ซม. คุณหมอบอกว่า ลูกติดโรคเฮอร์แปงไจน่า …

                            สิ่งที่แม่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ ต่อให้เราระวังมากแค่ไหน เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ แม่ไม่เคยอ่านวิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกชัก เพราะคิดว่าแม่คอยระวังไม่ให้ลูกเป็นไข้อยู่แล้ว ลูกไม่มีทางไข้ขึ้นสูงจนชักได้หรอก พอลูกชักแม่จึงไปไม่เป็น …

                            ฝากถึงพ่อแม่ทุกท่านด้วยนะคะ โรคนี้มันน่ากลัวจริงๆ เพราะไข้สามารถขึ้นสูงแบบเฉียบพลันได้โดยไม่มีสัญญาณเตือนเลย คอยสังเกตุอาการลูกน้อย ทำความสะอาดของเล่นบ่อยๆ ขอให้เด็กๆสุขภาพแข็งแรงทุกคนนะคะ

                            สังเกตยังไงว่าลูกอาจเสี่ยงเป็น โรคเฮอร์แปงไจน่า

                            โรคเฮอร์แปงไจน่า (Herpangina) เป็นโรคที่ติดเชื้อจากไวรัสชนิดเดียวกันกับโรคมือ เท้า ปาก จึงทำให้มีอาการใกล้เคียงกัน คือมีตุ่มใสหรือแผลเล็กๆตามมือ เท้า และในช่องปาก มีไข้เฉียบพลัน (อาจมีไข้สูงจนชักได้) เจ็บปาก กลืนอาหารลำบาก  อาเจียน ท้องเสียหลายครั้ง (ต้องระวัง ภาวะขาดน้ำ) ปอดบวมน้ำ หอบเหนื่อย ซึม ชักเกร็ง หากไม่ได้รับการรักษาทันทีเสี่ยงที่จะช็อกเสียชีวิต

                            แต่จุดสังเกตของโรคเฮอร์แปงไจน่าที่ต่างจากโรคมือ เท้าปาก คือจะพบแผลเล็กๆเฉพาะที่ปากเท่านั้น ซึ่งมักพบแผลสีขาวขอบแดงขนาด 2-4 มิลลิเมตรบริเวณเพดานอ่อน ต่อมทอนซิล ผนังคอด้านหลัง ภายใน 2 วันหลังการติดเชื้อ และส่วนใหญ่จะหายเองใน 7 วัน มักพบในกลุ่มเด็กเล็กก่อน 5 ขวบ ติดต่อผ่านการสัมผัสสิ่งที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือมีการไอจามใส่กัน

                            ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

                            ดูแลอย่างไรให้ปลอดภัยเมื่อ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

                            จริงๆแล้วโรคเฮอร์แปงไจน่าไม่มีอาการรุนแรงหายเองได้ภายใน 7 วัน อาจทำให้คุณแม่ไม่ทันสังเกตเห็นว่าลูกติดเชื้อแล้ว ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่ลูกจะมีไข้สูงเฉียบพลัน แบบไม่มีสัญญาณผิดปกติมาก่อน จนทำให้เกิดภาวะชักและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ (พบได้น้อย) เช่น ก้านสมองอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

                            ดังนั้นเมื่อพบว่าลูกติดเฮอร์แปงไจน่า คุณแม่ต้องหมั่นดูแลใกล้ชิดและระวังไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ ด้วยการ

                            • หากพบว่ามีไข้ให้ยาลดไข้ตามความเหมาะสมร่วมกับเช็ดตัว

                            • จิบน้ำบ่อยๆหากลูกเจ็บปาก สามารถจิบน้ำเย็นแทนได้

                            • ให้กินน้ำแข็ง หรือไอศกรีมเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด

                            • ปรุงอาหารอ่อน รสจืด ย่อยง่าย เช่นพวก ข้าวต้ม ซุป เพื่อให้กลืนง่าย

                            • หลีกเลี่ยงการให้กินน้ำผลไม้หรืออาหารมีรสเปรี้ยวจัดเพราะทำให้แสบแผลในปาก

                            ลูกชักจากไข้สูงเฉียบพลัน ต้องทำอย่างไร

                            ในกรณีที่ลูกไม่มีสัญญาณเตือนของโรคมาก่อนแต่มีไข้สูงเฉียบพลันจนเกิดภาวะช็อก เหมือนหนูน้อยวัยขวบเศษคนนี้ คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องรู้วิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง เมื่อพบว่าเด็กกำลังชักให้รีบทำตามตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

                            1.จับให้นอนตะแคง ไม่หนุนหมอน หันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อป้องกันการสำลัก

                            2.คลายเสื้อผ้าให้หลวม

                            3.ห้ามใช้ช้อนหรือวัตถุอื่นๆ หรือนิ้วมืองัดปาก และห้ามป้อนยาหรือน้ำทางปาก ในขณะที่เด็กไม่รู้สึกตัว

                            4.เช็ดตัวด้วยน้ำจากก๊อกประปา หรือน้ำอุ่น ไม่ควรเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นหรือแอลกอฮอล์

                            5.นำเด็กส่งโรงพยาบาล หรือพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของการชัก

                            อาการชักจากไข้สูงมักเกี่ยวกับข้องกับพันธุกรรม เช่น เด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีประวัติชักจากไข้จะมีโอกาสชักได้ง่าย โดยมีโอกาสเกิดชักซ้ำได้ราว 30 % วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่ปล่อยให้ลูกน้อยมีไข้สูง ควรเริ่มให้ยาลดไข้ตั้งแต่เริ่มมีไข้ และเช็ดตัวลดไข้ อาการชักจากไข้สูงไม่ได้ทำให้เกิดสมองพิการ ลูกน้อยมีระดับไอคิวและเรียนรู้ ทำกิจกรรมต่างๆได้เป็นปกติ

                            หากสังเกตดูจะพบว่า โรคติดต่อในเด็กส่วนใหญ่เกิดจากจับ สัมผัส หรือเอาเข้าปาก วิธีหนึ่งที่ปกป้องลูกให้ปลอดภัยจากเชื้อโรครอบตัวได้คือ การปลูกฝัง “ความฉลาดสุขภาพดี” หรือ HQ ให้กับลูกน้อยตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการดูแลสุขภาพของตัวเองไปตลอดชีวิต  เพราะทุกวันนี้ภาวะโรคภัยต่างๆรุนแรงขึ้น หากลูกรู้จักวิธีปฏิบัติ วิธีหลบเลี่ยงจากความเสี่ยงต่างๆ ก็จะช่วยให้รอดพ้นจากภัยนี้ได้ไม่ยาก

                            ขอบคุณข้อมูลจาก www.phyathai.com

                            บทความน่าสนใจอื่นๆ 

                            อุทาหรณ์..แม่เตือน ล้างขวดนม ผิดวิธี เสี่ยงทำลูกติดเชื้อในกระเพราะอาหารได้

                             

                            เช็คให้ชัวร์ ก่อน ให้ลูกกินยา การใช้ยาในเด็กต้องระวังให้ดี!

                             

                            ลูกไม่ป่วย เป็นRSV แน่ ถ้าพ่อแม่ดูแลได้แบบนี้!

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              กอดลูกหอมลูก

                              5 มหัศจรรย์แห่งการกอด กอดลูกหอมลูก บ่อยๆ ดีกว่าที่คิด!

                              กอดลูกหอมลูก – ลูกวัยสองสามขวบ เป็นอะไรที่น่ากอดน่าฟัดมากถึงมากที่สุด จริงมั้ยคะ? บางทีลูกสาวลูกชายตัวน้อยมักจะขอให้เรากอด และพวกเราก็ทำตามคำขออย่างเต็มใจทุกครั้งไป เพราะว่าการได้กอดได้หอมลูก ๆ ทำให้พ่อแม่มีความสุข และมีรอยยิ้มบนใบหน้าได้เสมอ สำหรับประโยชน์ของการกอดลูกนั้นมีความจริงที่ยอดเยี่ยมมากกว่าที่เราคาดคิด อธิบายได้ง่ายๆ เช่นเมื่อคุณกอดลูก ๆ ก่อนเข้านอน จะทำให้วันของคุณจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเรื่องนี้มีวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้!

                               5 มหัศจรรย์แห่งการกอด กอดลูกหอมลูก บ่อยๆ ดีกว่าที่คิด!

                              ทำไมการกอดลูกจึงสำคัญ?

                              เด็กที่ขาดการสัมผัสทางกาย จะประสบกับปัญหาเรื่องพัฒนาการที่ล่าช้า รวมถึงปัญหาต่างๆ อีกมากมายในอนาคตได้เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ในฐานะมนุษย์ เราย่อมต้องการความรักและการเอาใจใส่ เริ่มต้นจากวันแรกและดำเนินต่อไปตลอดชีวิตของเรา ผลกระทบที่สำคัญของเด็กที่ไม่ได้รับความรักนั้นคงอยู่ยาวนาน และอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างมาก เด็กจะประสบปัญหาพัฒนาการทางสติปัญญา และความบกพร่องในด้านอื่น ๆ เด็กบางคนอาจมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วย การกอดและการกระตุ้นจากการสัมผัสทางกายจะทำให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทภายในสมองของเรา

                              ในปี 2020 มีวิดีโอ Tik Tok ที่โด่งดังจนเป็นไวรัล ในวิดีโอคือคลิปผู้ปกครองเข้าหาลูกวัยหัดเดิน พวกเขาวางศีรษะลงบนตักของเด็กในขณะที่เด็กวัยหัดเดินกำลังดูทีวีอยู่ จากนั้นผู้ปกครองบันทึกปฏิกิริยาของเด็กๆ เอาไว้  โดยวิดีโอส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นว่าเด็กวัยหัดเดินมักจะกอดและจับหัวพ่อแม่ทันที เด็กบางคนจะจูบพ่อแม่หรือลูบหัว ด้วยปฏิกิริยาอันแสนหวานนี้เอง ที่ทำให้ดวงตาของพ่อแม่หลายคนมีน้ำตาซึม ในขณะที่ชาวเน็ตจำนวนมากต่างสร้างวิดีโอแนวนี้ เพื่อเข้าร่วมเทรนด์ใน Tik Tok กันอย่างล้นหลาม คลิปนี้สามารถเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเด็ก และการตอบสนองของเด็ก จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แวดวงวิทยาศาสตร์ต่างถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง

                              กอดลูกหอมลูก
                              กอดลูกหอมลูก

                              การกอดเป็นมากกว่าแค่สัมผัสแห่งความรัก แต่เป็นเหมือนสัญชาตญาณ และต่อไปนี้คือความจริง:

                              • ฮอร์โมนแห่งความสุขจะหลั่งออกมาระหว่างการกอด
                              • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
                              • ลดความเครียดและความวิตกกังวล
                              • ลดความดันโลหิตสูง
                              • ช่วยให้สมองทำงานได้ดี

                              กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การกอด มีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยสนับสนุนความก้าวหน้าของพัฒนาการ ทั้งยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้บุคคลรู้สึกเกิดความสมบูรณ์ทางจิตใจและรู้สึกถึงการได้รับการยอมรับ

                              กอดลูก ทารก ภาษารักง่ายๆ ช่วยเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์

                              เคล็ดลับพัฒนาสมอง ด้วยการกอด กิน เล่น อ่าน

                              เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

                               

                              กอดลูกหอมลูก

                              การกอด คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับเด็ก

                              การกอดจากพ่อและแม่อย่างทะนุถนอม เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กเล็ก พ่อแม่ไม่ควรพลาดโอกาสสำคัญนี้เมื่อลูกยังเป็นเด็ก เด็กที่ประสบกับความเครียด ความโกรธ หรือความวุ่นวายทางอารมณ์เป็นเวลานาน สภาพจิตใจของเด็กอาจเกิดความย่ำแย่ พวกเขาอาจเจ็บป่วยได้ง่าย มีความนับถือในตนเองลดลง และอาจมีภาวะซึมเศร้า ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและร่างกายของเด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

                              นอกจากนี้ การอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน การรู้สึกถึงความอบอุ่นของร่างกาย ถือเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่ไม่มีอะไรเหมือน!  คุณรู้หรือไม่? ว่าการกอดมีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ที่นอกเหนือไปจากความรู้สึกอบอุ่นกายและใจ  ทั้งนี้มีการศึกษาที่พบว่า ในความรู้สึกอบอุ่นทางกายและใจของเด็กจากการได้รับการกอดจากพ่อแม่ มีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจในเชิงบวกของเด็ก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางอารมณ์ การเรียนรู้ ความเข้าใจ และร่างกายของเด็กวัยเตาะแตะ โดยประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ 5 ประการ ของการกอดลูก มีดังต่อไปนี้

                              1. การกอดทำให้เด็กฉลาดขึ้น

                              เด็ก ๆ ต้องการการกระตุ้นประสาทสัมผัสในช่วงที่สมองของพวกเขากำลังพัฒนาและเจริญเติบโต การศึกษาเกี่ยวกับเด็กทารกในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งเด็กแต่ละคนแทบไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดี ผลการศึกษาพบว่าเด็กเหล่านี้มีความบกพร่องทางสติปัญญาขั้นรุนแรง แต่เมื่อพวกเขาได้รับการกอดพียง 20 นาทีต่อวัน เป็นเวลานาน 10 สัปดาห์ ติดต่อกัน พวกเขาได้คะแนนจากการประเมินพัฒนาการทางสมองที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!?

                              เนื่องจากทารกแรกเกิดเรียนรู้ที่จะท่องโลกผ่านการสัมผัสเป็นครั้งแรก การสัมผัสทางกายภาพ เช่น การกอดและการสัมผัสทางผิวหนังจึงมีความสำคัญต่อพัฒนาการ จากประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์เรา การสัมผัสเป็นสิ่งแรกในการพัฒนา ดังนั้นการสัมผัสอย่างทะนุถนอมจึงช่วยกระตุ้นสมองของเด็กเล็กที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามปกติต่อไปในอนาคต

                              เมื่อลูกน้อยของคุณเติบโตขึ้นพวกเขาจะยังคงได้รับประโยชน์จากการได้รับและให้ความรักทางกายด้วยการกอด การวิจัยพบว่าเด็กที่ได้รับการกอดมากขึ้นจะมีสมองที่พัฒนามากขึ้นตามไปด้วย!

                              2. ช่วยให้เด็ก ๆ มีสุขภาพที่ดี

                              เด็ก ๆ ต้องการสารอาหารมากกว่าเพื่อเจริญเติบโต แต่เมื่อเด็กขาดการสัมผัสทางกาย ร่างกายของพวกเขาจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการเติบโตที่คาดไว้ได้ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่สภาวะที่เรียกว่าล้มเหลวในการเจริญเติบโต แต่เมื่อมีการกอดอย่างทะนุถนอมเด็ก ๆ สามารถเปลี่ยนจากคนที่ไม่แข็งแรงไปสู่คนที่มีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว

                              วิทยาศาสตร์ ระบุว่า การกอดทำให้เกิดการปลดปล่อยออกซิโทซินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความไว้วางใจ ความปลอดภัยและความรัก เมื่อฮอร์โมนนี้ถูกปล่อยออกมามันยังกระตุ้น โกรท ฮอร์โมน ที่ช่วยให้เด็กเจริญเติบโตโดยเฉพาะทางร่างกาย ในขณะที่นักวิจัยยังคงศึกษาผลที่ซับซ้อนของ ออกซิโทซิน (oxytocin) ต่อร่างกาย แต่ดูเหมือนชัดเจนว่าการปล่อยฮอร์โมนนี้ในสมองของเราช่วยในการพัฒนาทางร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อย

                              3. การกอดสามารถหยุดอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกได้

                              การกอดไม่เพียงแต่จะดีต่อพัฒนาการทางสมอง และการเจริญเติบโตทางร่างกายของเด็กเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนพัฒนาการทางอารมณ์ได้ดีอีกด้วย ไม่มีสิ่งใดช่วยบรรเทาเสียงร้องของเด็กได้เร็วไปกว่าการกอดที่อบอุ่นจากผู้ใหญ่ที่รักพวกเขา

                              นอกจากนี้การกอดยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการยุติอารมณ์ฉุนเฉียว ผู้ใหญ่หลายคนกังวลว่าการกอดเด็กที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวจะตอกย้ำพฤติกรรมที่ไม่ดี แต่นี่เป็นเพียงความเชื่อที่เล่าต่อกันมา เมื่อเด็กวัยเตาะแตะมีอารมณ์ฉุนเฉียวพวกเขาจะปลดปล่อยอารมณ์เพื่อตอบสนองต่อบางสิ่งบางอย่างในสภาพแวดล้อมของพวกเขา พวกเขาไม่ดื้อรั้นหรือพยายามทำลายวันของคนอื่น

                              เด็กสูญเสียการควบคุมอารมณ์เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ได้ในบางครั้ง ความแตกต่างคือเด็กไม่ได้เรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ได้อย่างผู้ใหญ่  การกอดลูกของคุณในช่วงเวลาที่พวกเขาอารมณ์รุนแรงจะช่วยทำให้พวกเขาค่อยๆ สงบลง ให้สอนพวกเขาว่าคุณอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเหลือพวกเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบากและช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงความผิดพลาดทางอารมณ์

                              4. การกอดทำให้เด็ก ๆ มีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้น

                              ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์และความเครียด อะดรีนาลีนและคอร์ติซอล จะหลั่งเข้าสู่ร่างกายและสมอง เนื่องจากเด็กไม่ได้เรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ความเครียดจึงอาจส่งผลต่อร่างกายของเด็กถึงระดับที่เป็นพิษ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ฮอร์โมนความเครียดเหล่านี้อาจส่งผลต่อสุขภาพของเด็กทั้งทางจิตใจและร่างกาย

                              การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการได้รับฮอร์โมนความเครียดในระดับสูงอาจนำไปสู่ผลเสียในวัยผู้ใหญ่เช่นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยทางร่างกายเช่นเดียวกับภาวะซึมเศร้าและภาวะไม่พึงประสงค์

                              การกอดกระตุ้นการปลดปล่อยออกซิโทซินจะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดและบรรเทาความรู้สึกของเด็กและช่วยให้เด็กพัฒนาความยืดหยุ่นทางจิตใจได้

                              5. การกอดช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคุณกับลูก

                              นอกจากประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์สำหรับลูกแล้ว การกอดลูกยังสร้างความผูกพันของคุณกับลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การกอดช่วยเพิ่มความไว้วางใจลดความกลัวและเสริมสร้างความสัมพันธ์ การให้และรับความรักทางกายเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทั้งคุณและลูกของคุณ ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณอุ้มลูกคุณจะสร้างความผูกพันพิเศษและความผูกพันนี้จะต้องได้รับการรักษาไว้ตลอดวัยเด็ก เมื่อลูกของคุณเติบโตขึ้นความผูกพันของคุณจะพัฒนาขึ้น แต่ความต้องการที่จะรู้สึกถึงสัมผัสที่น่าทะนุถนอมของคุณจะไม่มีวันหมดไป

                              กอดลูกบ่อยๆ จะมีผลเสียอะไรไหม?

                              มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การแสดงความรักกับบุตรหลาน ด้วยการกอดหรือหอมบ่อยๆ  ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาใดๆ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งที่พ่อแม่ควรกังวลมากกว่า คือการไม่มีเวลาในการให้ความสนใจกับลูกอย่างที่พวกเขาต้องการ เช่น ช่วงเวลาที่พวกเขาต้องการความสนใจจากคุณ เวลาที่พวกเขาเจ็บปวดและรู้สึกเศร้า เพราะบางครั้งแค่การกอดจากพ่อแม่ก็สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและแตกต่างให้ลูกได้ ดังนั้นควรกังวลให้น้อยลงเกี่ยวกับการกอด และควรใช้เวลาให้มากขึ้นกับความรู้สึกที่ดีที่ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคุณกับลูก

                              เห็นได้ชัดว่าการกอด มีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยให้เด็กเกิดความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ และช่วยให้มีสุขภาพกายและใจที่ดีตามมา ถ้าคุณพ่อคุแม่กอดลูกบ่อยๆ จนเป็นกิจวัตรของครอบครัวในทุกๆ วัน และหมั่นรักษาความสัมพันธ์และสร้างความผูกพันกับลูก คอยบอกรักลูก คอยสนับสนุน และส่งเสริมลูกในสิ่งที่ช่วยพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ของลูกอย่างเหมาะสม พวกเขาจะซึมซับสิ่งแวดล้อมในการเลี้ยงดูที่ดีและทำให้เติบโตเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ  ซึ่งจะสามารถช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะด้าน ความฉลาดทางอารมณ์ EQ  รู้จักควบคุมอารมณ์ต่างๆ ได้เก่ง  ด้วยมีพื้นฐานแห่งความรักความอบอุ่นที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : speechblubs.com, exchangefamilycenter.org

                              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              กอดลูก ทารก ภาษารักง่ายๆ ช่วยเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์

                              3 ข้อดีของ การกอดลูก สิ่งอุ่นใจที่สุดที่พ่อแม่ควรมอบ!

                              อย่าสร้างช่องว่าง กว้างกว่าอ้อมกอด

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                ลูกสมองดี

                                วิจัยชี้! ลูกสมองดี ถ้าได้กินนมแม่ เพราะนมแม่แน่ที่สุด!

                                ลูกสมองดี – ปัจจุบันมีหลักฐานทางการแพทย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาการทางสมองของทารกได้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์ รัฐโรดไอแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ค้นพบว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวให้ผลลัพธ์ที่ดีในการกระตุ้นการเติบโตของสมองของทารก จากผลการศึกษาพบว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สามารถเพิ่มการเจริญเติบโตของสมองของทารกได้ 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์

                                วิจัยชี้! ลูกสมองดี ถ้าได้กินนมแม่ เพราะนมแม่แน่ที่สุด!

                                มีการถกเถียงกันมาอย่างนาน ว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยเพิ่มความฉลาดในวัยเด็กได้หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์พบว่านมแม่ช่วยเพิ่มระดับสารเคมีบางอย่างในสมองของทารก ที่เชื่อมโยงกับพัฒนาการทางระบบประสาท การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แสดงให้เห็นว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับทารกในหลายด้าน เช่น ช่วยป้องกันพวกเขาจากการติดเชื้อ และเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงของโรคอ้วน และมะเร็งเม็ดเลือดขาวในวัยเด็ก รวมถึงโรคหัวใจ และหลอดเลือดในวัยผู้ใหญ่

                                อย่างไรก็ตามการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะนำไปสู่ความฉลาดที่ดีขึ้นหรือไม่ เป็นคำถามที่ถกเถียงกันและการศึกษาพบผลลัพธ์ที่หลากหลาย ความยากอยู่ที่ ยังมี ปัจจัยอื่นๆ ที่นอกเหนือจากผลของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อีกมากมายที่อาจส่งผลต่อสติปัญญาของเด็กเช่นกัน

                                งานวิจัยของโรงพยาบาล Children’s National ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกาพบว่า นมแม่ช่วยเพิ่มปริมาณสารชีวเคมีที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง ซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้การรับรู้ที่ดีขึ้นในระยะเริ่มต้น นักวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับ ทารกที่คลอดก่อนกำหนด (micro-preemies) ที่เกิดเมื่อมารดาอายุครรภ์ระหว่าง 23 ถึง 32 สัปดาห์ ผู้ป่วยเด็กเหล่านี้เข้ารับการรักษาในหออภิบาลทารกแรกเกิดของโรงพยาบาลในสัปดาห์แรกของชีวิต

                                ลูกสมองดี
                                ลูกสมองดี

                                ด้วยการใช้เทคนิคการถ่ายภาพที่ซับซ้อนและไม่รบกวนทารกที่เรียกว่า “โปรตอนเรโซแนนซ์สเปกโทรสโกปี” นักวิจัยสามารถมองเข้าไปในสมองของทารกแรกเกิด และตรวจจับลายเซ็นทางเคมีของสารชีวโมเลกุลต่างๆ “ เราสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพสมองของทารกในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งได้” ดร. แคทเธอรีน ลิมเพโรปูลอส ผู้เขียนอาวุโส และผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการวิจัยสมองที่กำลังพัฒนาของ Children’s National กล่าว

                                นักวิจัยมุ่งเน้นไปที่สสารสีขาวในสมองส่วนหน้าและสมองน้อย หรือ ซีรีเบลลัม ซึ่งเป็นบริเวณสมองสองแห่งที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษในทารกที่คลอดก่อนกำหนด ปัญหาพัฒนาการเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านความรู้ความเข้าใจและพฤติกรรมในอนาคต พวกเขาพบว่ามีสารชีวเคมีที่สำคัญในระดับที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในทารกที่กินนมแม่ เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับนมผสม กล่าวคือ มีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นของอิโนซิทอล (โมเลกุลที่คล้ายกับกลูโคส) และครีเอทีน (โมเลกุลที่ช่วยในการรีไซเคิลพลังงานภายในเซลล์) เปอร์เซ็นต์ของวันที่ทารกได้รับนมแม่ยังเชื่อมโยงกับสารอาหารคล้ายวิตามินที่เรียกว่าโคลีนในระดับที่สูงขึ้น

                                “ สารชีวเคมีเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการพัฒนาของสมอง” ลิมเพโรปูลอส กล่าว “ ตัวอย่างเช่น ระดับโคลีนที่สูงขึ้นในสมองสัมพันธ์กับความจำและความรู้ความเข้าใจที่ดีขึ้น แม้เราไม่สามารถเชื่อมโยงโดยตรงได้ เนื่องจาก เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความจำและความรู้ความเข้าใจในทารกแรกเกิด  แต่สิ่งนี้เป็นเครื่องหมายเริ่มต้นสำหรับการปรับสติปัญญาของเด็กในอนาคตซึ่งจำเป็นต้องยืนยันด้วยการศึกษาและการติดตามผล

                                “ เรารู้สึกตื่นเต้นกับผลลัพธ์เหล่านี้เพราะมันช่วยให้เราเข้าใจว่าการคลอดก่อนกำหนดจะส่งผลเสียต่อสมองที่กำลังพัฒนาได้อย่างไร แต่การดูแลของเราสามารถช่วยปกป้องสมองของทารกที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้ได้อย่างไรด้วยเช่นกัน”

                                ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย พัฒนาการลูกจะเป็นอย่างไร อันตรายไหม

                                ลูบท้องให้ลูกฉลาด กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกในครรภ์ด้วย 5 วิธี

                                5 เคล็ดลับเด็ดสู่การ “ปั๊มนมเกลี้ยงเต้า” มีน้ำนมแม่ให้ลูกกินได้นาน

                                ลูกสมองดี

                                แล้วสารอาหารที่“ สร้างสมอง” ในนมแม่มีอะไรบ้างที่สำคัญ?

                                ·กรดไขมัน –  เซลล์ในสมองส่วนใหญ่สร้างมาจากกลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสายยาวที่เรียกว่า DHA (docosahexaenoic acid) และ AA (arachidonic acid) กรดไขมันเหล่านี้สนับสนุนการประมวลผลข้อมูลและการส่งผ่านข้อมูลที่เกิดขึ้นในสมอง

                                อย่างไรก็ตาม DHA และ AA ไม่พบในร่างกายมนุษย์และกรดไขมันที่จำเป็นในการสังเคราะห์ไม่ ได้แก่ กรดอัลฟาไลโนเลนิก (ALA) และกรดไลโนเลอิก (LA)

                                กรดไขมันเหล่านี้สามารถหาได้จากอาหารของบุคคลเท่านั้นและนมแม่มีกรดไขมันเหล่านี้อยู่ในระดับสูงสุด (มาจากแหล่งเดียว)

                                ·ฟอสโฟลิปิด – การส่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพระหว่างเซลล์ประสาทในสมองนั้นขึ้นอยู่กับการเชื่อมของเซลล์ประสาทกล่าวคือการเคลือบด้วยชั้นของไขมัน (ไมอีลิน) ซึ่งทำให้การส่งผ่านเร็วขึ้น คอเลสเตอรอลซึ่งพบในน้ำนมแม่ที่มีความเข้มข้นสูงก็จำเป็นสำหรับกระบวนการนี้เช่นกัน

                                ·ทอรีน – ทอรีนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองและดวงตา โดยเฉพาะทอรีนมีบทบาทในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทในสมองซึ่งมีความสำคัญต่อการสื่อสารของเส้นประสาท อย่างไรก็ตามร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนนี้ได้ดังนั้นการมีอยู่ในน้ำนมแม่จึงมีความสำคัญมาก

                                ·โคลีน – บทบาทของโคลีนในการพัฒนาและการทำงานของสมองนั้นมีมากมาย จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฟอสโฟลิปิดการส่งข้อมูลระหว่างเซลล์สมองและยังช่วยเพิ่มความจำ ในความเป็นจริงเมื่อเซลล์ขาดสารอาหารนี้พวกมันจะถูกตั้งโปรแกรมให้ตายในกระบวนการที่เรียกว่าอะพอพโทซิส

                                ·สังกะสี – สังกะสีสนับสนุนการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้สังกะสียังได้รับการยกย่องว่าเป็นสารอาหารที่ช่วยปกป้องเซลล์ในสมองและระบบประสาทส่วนกลางเนื่องจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ

                                นมแม่ยังมีสารต่อสู้กับโรคหลายชนิดรวมถึงแอนติบอดีซึ่งช่วยปกป้องร่างกายของบุตรหลานจากการติดเชื้อที่เป็นอันตราย นมแม่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องทารกจากอาการแพ้ ยิ่งลูกของคุณมีสุขภาพดีเท่าไหร่ก็จะสามารถพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดได้มากขึ้นเท่านั้น ผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองของทารกไม่เพียง แต่ประโยชน์ทางโภชนาการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างการให้นมบุตรด้วย

                                ขอบคุณข้อมูลอ้าอิงจาก : thestar.com.my, sciencefocus.com

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                แม่นมน้อย น้ำนมไม่พอ ทำยังไงให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ

                                คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

                                4 วิธีกระตุ้นนมแม่ อย่างได้ผลดี ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  เสียงหัวใจลูก

                                  เช็คให้รู้! เสียงหัวใจลูก ในครรภ์ บอกสุขภาพของลูกได้

                                  เสียงหัวใจลูก – แน่นอนคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนต่างหวังให้ลูกน้อยของเรา สมบูรณ์ แข็งแรง และมีพัฒนาการที่ดี การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งจะช่วยให้ทราบว่าลูกน้อยของคุณมีสุขภาพโดยทั่วไปว่าสมบูรณ์แข็งแรงดีหรือไม่ ด้วยการการวัดอัตราการเต้นของหัวใจและจังหวะการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์แพทย์อาจทำการตรวจสอบหัวใจของทารกในครรภ์ระหว่างตั้งครรภ์ และการคลอด

                                  การตรวจหัวใจทารกในครรภ์ คืออะไร?

                                  อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์โดยเฉลี่ย ควรอยู่ระหว่าง 110 ถึง 160 ครั้ง ต่อนาที อาจแตกต่างกันไป 5 ถึง 25 ครั้งต่อนาที อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อทารกของคุณตอบสนองต่อสภาวะในมดลูกของแม่ หากอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ผิดปกติอาจหมายความว่าลูกน้อยของคุณได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอหรือมีปัญหาอื่น ๆ

                                  การตรวจหัวใจทารกในครรภ์มี 2 วิธี ได้แก่  :

                                  1. การตรวจหัวใจทารกในครรภ์ภายนอก

                                  การตรวจด้วยอุปกรณ์เพื่อฟังและบันทึกการเต้นของหัวใจของทารกผ่านหน้าท้อง (หน้าท้อง) หรือ เครื่องอัลตราซาวนด์ดอปเลอร์ มักใช้ในระหว่างการตรวจก่อนคลอดเพื่อนับอัตราการเต้นของหัวใจของทารก นอกจากนี้ยังอาจใช้เพื่อตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ระหว่างคลอด ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพอาจตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกอย่างต่อเนื่องระหว่างที่คุณแม่เจ็บครรภ์และคลอด ในการทำเช่นนี้ หัววัดอัลตราซาวนด์ (ตัวแปลงสัญญาณ) จะถูกยึดเข้ากับหน้าท้องของคุณ และส่งเสียงหัวใจของลูกน้อยไปยังคอมพิวเตอร์ อัตราและรูปแบบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกจะแสดงบนหน้าจอและพิมพ์ลงบนกระดาษ

                                  เสียงหัวใจลูก
                                  เสียงหัวใจลูก

                                  2. การตรวจหัวใจทารกในครรภ์ภายใน

                                  วิธีนี้จะมีการใช้ แผ่นวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อิเล็กโทรด) วางบนหนังศีรษะของลูกน้อย ลวดไหลจากทารกผ่านปากมดลูกของคุณ เชื่อมต่อกับจอภาพ วิธีนี้ให้การอ่านที่ดีขึ้นเนื่องจากสิ่งต่างๆ เช่นการเคลื่อนไหวจะไม่ส่งผลกระทบ แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อถุงน้ำคร่ำที่ล้อมรอบทารกในระหว่างตั้งครรภ์ (ถุงน้ำคร่ำ) แตก และปากมดลูกเปิด  อาจใช้การตรวจสอบภายในเมื่อการตรวจสอบภายนอกไม่สามารถให้การอ่านค่าที่ดี หรืออาจมีการใช้วิธีนี้เพื่อเฝ้าดูลูกน้อยของคุณอย่างใกล้ชิดในระหว่างการคลอด

                                  ในระหว่างคลอดผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณจะเฝ้าดูการหดรัดตัวของมดลูก และอัตราการเต้นของหัวใจของทารก แพทย์จะสังเกตว่ามดลูกของคุณมีการหดรัดตัวบ่อยเพียงใด และแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน เนื่องจากมีการบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์และการหดตัวในเวลาเดียวกันจึงสามารถดูผลลัพธ์เหล่านี้ร่วมกัน และทำการเปรียบเทียบได้

                                  ตรวจภายใน เรื่องเขินอายที่คุณแม่ควรรู้!! พร้อมวิธีเตรียมรับมือ

                                  8 พัฒนาการลูกในครรภ์ ช่วยให้แม่รู้จักลูกมากขึ้น!

                                  เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลลูกในท้อง วิธีบำรุงลูกในท้องให้แข็งแรง!

                                  เหตุใดจึงต้องมีการตรวจการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์

                                  การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง หากแม่มีการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งหมายถึงการตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงสูงหากแม่เป็นโรคเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงสูง หากลูกน้อยของคุณไม่มีการพัฒนาหรือเจริญเติบโตเท่าที่ควร

                                  แพทย์อาจใช้การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์เพื่อตรวจสอบว่ายาป้องกันและยับยั้งการคลอดก่อนกำหนดมีผลต่อทารกของคุณอย่างไร ยาเหล่านี้ใช้เพื่อช่วยไม่ให้การคลอดเริ่มเร็วเกินไป

                                  การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์อาจใช้ในการทดสอบอื่น ๆ ได้แก่ :

                                  • การทดสอบแบบ Non Stress Test ซึ่งจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ขณะที่ทารกเคลื่อนไหว
                                  • การทดสอบ Stress Test จากการหดรัดตัว ซึ่งจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์พร้อมกับการหดตัวของมดลูก
                                  • ข้อมูลทางชีวฟิสิกส์ (BPP) การทดสอบนี้รวมถึงการทดสอบแบบ Non Stress Test กับ อัลตราซาวนด์

                                  สิ่งที่อาจส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ระหว่างคลอด:

                                  • มดลูกหดตัว
                                  • ยาแก้ปวดหรือยาระงับความรู้สึกที่ได้รับในระหว่างคลอด
                                  • การทดสอบระหว่างคลอด
                                  • การเร่งคลอดในระยะที่สองของการคลอด
                                  • แพทย์อาจมีเหตุผลอื่น ๆ ในการใช้การตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์

                                  เสียงหัวใจลูก

                                  ประโยชน์ของการใช้เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์

                                  • เครื่องตรวจวัดการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ช่วยให้แพทย์ของคุณสามารถได้ยินการเต้นของหัวใจของทารกและตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจและจังหวะเพื่อดูว่าทารกเติบโตและมีพัฒนาการอย่างไรในมดลูก
                                  • หากการตั้งครรภ์ของคุณมีความเสี่ยงสูง การตรวจสอบการเต้นของหัวใจของทารกเป็นวิธีที่แพทย์ของคุณสามารถติดตามสุขภาพโดยทั่วไปของทารกได้
                                  • สำหรับคุณการได้ยินเสียงหัวใจของลูกน้อยที่น่าทึ่งอาจเป็นวิธีที่ดีที่จะรู้สึกผูกพันกับลูกมากขึ้น

                                  การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ขณะคลอด บอกอะไรเกี่ยวกับลูกได้บ้าง?

                                  จุดประสงค์หลักของการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ คือเพื่อแจ้งเตือน หากลูกน้อยได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เพื่อให้ลูกน้อยคลอดออกมาอย่างราบรื่นที่สุด

                                  อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในระหว่างคลอดควรอยู่ระหว่าง 110 ถึง 160 ครั้งต่อนาที แต่อัตราการเต้นของหัวใจของทารกอาจมีความผันผวนสูงหรือต่ำกว่านี้ได้จากหลายสาเหตุ หัวใจทารกที่เต้นเร็วในช่วงสั้น ๆ เป็นเรื่องปกติ และบ่งชี้ว่าทารกยังได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ การชะลอตัวของอัตราการเต้นของหัวใจทารกในช่วงสั้น ๆ หรือหัวใจเต้นช้า อาจเป็นเรื่องปกติได้เช่นกัน เมื่อศีรษะของทารกถูกบีบอัดขณะอยู่ในช่องคลอด

                                  หากการเร่งหรือการชะลอตัวเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่เหมาะสม หรือหากใช้เวลานาน อาจหมายถึงความผิดปกติหลายอย่าง เช่น สายสะดือถูกบีบอัด และการไหลเวียนของเลือดไปยังทารกจะช้าลง บางครั้งการแทรกแซงง่าย ๆ เช่นการเปลี่ยนตำแหน่งการคลอดจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น หากผลการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์บ่งชี้ว่าทารกของคุณอาจตกอยู่ในอันตราย แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดคลอดทางช่องคลอด (โดยใช้คีมหรืออุปกรณ์ดูดสูญญากาศ) หรือ การผ่าตัดคลอด

                                  คุณกำลังทำร้ายหัวใจลูกรักอย่างรุนแรงอยู่หรือไม่?

                                  ความรู้คู่มือแม่ | 10 ปลาไทย โอเมก้า 3 สูง! บำรุงสมองสดใส หัวใจแข็งแรง

                                  หยุด! ปัญหา “โรคอ้วน” ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ด้วย “เวชศาสตร์ชะลอวัย”

                                   

                                  เสียงหัวใจลูก

                                   

                                  วิธีดูแลหัวใจของทารกในครรภ์ให้แข็งแรง

                                  มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงมากมายเมื่อลูกน้อยของคุณอยู่ในครรภ์ แม้ว่าบางสิ่งจะไม่สามารถควบคุมได้ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการของหัวใจของทารก เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม แต่ก็มีขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยให้แน่ใจว่าสัญลักษณ์ของทารกมีสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้:

                                  • การทานกรดโฟลิกก่อนและระหว่างตั้งครรภ์จะช่วยป้องกันโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในทารกได้
                                  • หากคุณสูบบุหรี่ให้เลิกทันที นักวิจัยคาดว่าการสูบบุหรี่ของมารดาในช่วงไตรมาสแรกอาจคิดเป็นร้อยละ 2 ของข้อบกพร่องของหัวใจทั้งหมด
                                  • หากคุณเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 หรือ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดใก้เหมาะสม เนื่องจากเบาหวานมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของความผิดปกติของหัวใจทารกในครรภ์
                                  • งดใช้ยา Accutane (สำหรับรักษาสิว) ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติของหัวใจของทารกในครรภ์
                                  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาคลายเครียด

                                  แม้ว่าคุณจะระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี และทำทุกอย่างที่แพทย์แนะนำแล้ว แต่ถ้าหากลูกน้อยของคุณอาจเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องของหัวใจที่มีมาแต่กำเนิด หากเกิดเหตุการณ์นี้ จงจำไว้ว่าไม่ใช่ความผิดของคุณ เพราะยังมีหลายปัจจัยซึ่งส่วนใหญ่อยู่เหนือการควบคุม  แต่ข่าวดีก็คือ หากตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ ลูกน้อยของคุณจะได้รับการรักษาและเพิ่มโอกาสที่เธอจะมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีได้ค่ะ

                                  การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายทั้งของแม่และลูกน้อยในครรภ์ย่อมทำให้ ทั้งคุณและลูกมีแนวโน้มที่จะปลอดภัยจากความผิดปกติหรืออาการแทรกซ้อนต่างๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้น หากมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นก็จะสามารถให้การดูและรักษาได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้การใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายทั้งของตัวคุณแม่เองและลูก ก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญตั้งแต่วันแรกที่ลูกลืมตาดูโลก และเมื่อลูกเข้าสู่ช่วงวัยที่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น การปลูกฝังเรื่องความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี ก็เป็นสิ่งที่คุณแม่ควรเน้นหนักเพื่อเสริมสร้างให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต อย่าง ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ซึ่งจะทำให้เด็กๆ ห่่างไกลจากอาการเจ็บป่วยได้ค่ะ

                                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : utswmed.org , verywellfamily.com

                                  บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                  แม่ลูก หัวใจเต้น พร้อมกันไหม จะเริ่มได้ยินเสียงหัวใจลูกเมื่อไหร่

                                  ใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจ แต่ไม่ได้ยินเสียงลูกในท้อง ต้องกังวลไหม?

                                  แม่รู้มั้ย? พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน น่าอัศจรรย์เพิ่มขึ้นอย่างไร

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ให้ลูกกินยา

                                    เช็คให้ชัวร์ ก่อน ให้ลูกกินยา การใช้ยาในเด็กต้องระวังให้ดี!

                                    ให้ลูกกินยา – หากลูกวัยทารกและเด็กเล็กของคุณมีอาการเจ็บป่วย อาจต้องมีการใช้ยาต่างๆ เพื่อให้อาการป่วยของเด็กๆ ดีขึ้น แต่ก่อนที่คุณจะไปที่ร้านขายยาคุณต้องแน่ใจว่าคุณจะสามารถให้ยาที่ปลอดภัยสำหรับลูกน้อยของคุณ และรู้ปริมาณที่เหมาะสมในการใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้คุณ ต่อไปนี้เป็นแนวทางและคำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยาสำหรับทารกและเด็กเล็ก

                                    เช็คให้ชัวร์ ก่อน ให้ลูกกินยา การใช้ยาในเด็ก ต้องระวังให้ดี!

                                    ในแต่ละปีเด็กหลายพันคน ต้องเข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ หลังจากพบการกินยาในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง โดยเกิดจากการที่พ่อแม่ขาดความเข้าใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการ ดังนั้นการเรียนรู้วิธีดูแลเด็กให้ปลอดภัยจากการใช้ยาจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่และผู้แลเด็กทุกคนควรรู้ไว้

                                    การให้ยาสำหรับทารกและเด็กเล็ก

                                    คำแนะนำในการให้ยา สำหรับทารกและเด็กเล็ก มีดังนี้:

                                    • ห้ามให้ยาใด ๆ กับทารกที่มีอายุต่ำกว่า 2 เดือน แม้แต่ยาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ ที่ไม่ได้รับการแนะนำหรือสั่งโดยแพทย์
                                    • ควรพิจารณาใช้ยาแก้ปวดและยาแก้ไข้เพียงสองประเภทสำหรับทารกและเด็กเล็ก ได้แก่ ยา acetaminophen (เช่น Tylenol) สำหรับทารก 2 เดือนขึ้นไป และ ibuprofen (เช่น baby Motrin หรือ Advil) สำหรับเด็กที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป
                                    • ใช้โดสยาสำหรับทารกหรือเด็กเล็กอย่างเคร่งครัด
                                    • พึงระวังด้านกายภาพ เพื่อป้องกันการสำลักยา อย่าบีบแก้มของลูกน้อยของคุณ จับจมูกของลูก หรือฝืนลูกมากเกินไป
                                    • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกของคุณพร้อมแล้ว หากลูกน้อยของคุณโตพอที่จะลุกขึ้นนั่งได้ให้ป้อนยาในท่านั่ง หากลูกน้อยของคุณยังไม่สามารถนั่งได้ให้เล็งหลอดหยดยาไปที่ด้านในแก้มของทารกในขณะที่ยกทารกขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้องกันการสำลักยา
                                    • ใช้เทคนิคเล็กน้อย  หากลูกน้อยของคุณต่อต้านการกินยาให้ลองเป่าที่ใบหน้าเบา ๆ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนช่วยการกลืนในเด็กเล็ก หรือให้จุกนมหลอกให้ลูกดูดทันทีหลังป้อนยาเนื่องจากการดูดจะช่วยให้ลูกกลืนยาได้ดี

                                    วิธีคำนวณปริมาณยาลดไข้เด็ก ที่ถูกต้อง

                                    แม่แชร์! ลูกสมองติดเชื้อ ตับ-ม้ามโต เพราะป้อนยาเกินขนาด

                                    ยาหมดอายุ ดูอย่างไร? หลังเปิดใช้ เก็บไว้ได้นานแค่ไหน?

                                    ให้ลูกกินยา
                                    ให้ลูกกินยา

                                    ยาที่ควรหลีกเลี่ยงการให้ทารกและเด็กเล็ก

                                    เมื่อพูดถึงความปลอดภัยในการใช้ยาสำหรับทารกและเด็กเล็กยาบางชนิดอาจเป็นอันตราย ได้แก่ :

                                    • ยาแก้ไอและแก้หวัด จากการศึกษาพบว่า ยาบรรเทาอาการไอและอาการหวัด อาจทำให้เด็กเล็กเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น อัตราการเต้นของหัวใจที่รวดเร็ว และการชัก นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ผลิตยาเหล่านี้เปลี่ยนฉลากโดยสมัครใจเพื่อระบุว่ายาเหล่านี้ไม่ควรใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี  แนะนำให้รอจนกว่าเด็กจะมีอายุอย่างน้อย 6 ปีเพื่อให้ลูกใช้ยาแก้หวัดที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเด็ก หรือเมื่อได้รับการอนุมัติจากแพทย์เท่านั้น
                                    • แอสไพริน (และยาทุกตัวที่มีซาลิไซเลต) ตัวยาที่มีส่วนผสมของซาลิไซเลตเชื่อมโยงกับการเกิดอาการของ Reye’s Syndrome ซึ่งเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่เป็นโรคที่ร้ายแรง มีผลต่อตับและสมอง National Reye’s Syndrome Foundation ไม่แนะนำให้เด็กทานยาที่มีซาลิไซเลตทุกรูปแบบ ดังนั้นโปรดอ่านรายการส่วนผสมบนฉลากยาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

                                    คำถามที่ควรถามเภสัชกร

                                    การได้รับยาสำหรับบุตรหลานของคุณต้องใช้มากกว่าการไปรับยาจากร้านขายยา: คุณต้องรู้ขนาดยาวิธีและเวลาที่ควรให้และผลข้างเคียงคืออะไร รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ กุมารแพทย์ของคุณควรให้ข้อมูลแก่คุณ แต่คุณควรพูดคุยกับเภสัชกรเพื่อความปลอดภัย หากคุณให้ลูกรับประทานยาแบบที่มีขายตามหน้าเคาเตอร์ร้านสะดวกซื้อ ( ยากลุ่ม OTC) โปรดดูฉลากที่ระบุอยู่ด้านหลังของบรรจุภัณฑ์ สำหรับยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์โปรดอ่านเอกสารกำกับยาที่ให้มาในกล่อง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ให้ถามเภสัชกรก่อนเสมอ นี่คือคำถามบางส่วน ที่ควรต้องได้รับคำตอบก่อนกลับบ้าน:

                                    • ต้องทานยาอย่างไร
                                    • ควรเก็บรักษายาอย่างไร
                                    • ต้องให้ยาก่อนหรือพร้อมอาหาร สามารถผสมกับอาหารหรือนมได้หรือไม่
                                    • มีทางเลือกอื่นที่สามารถใช้ปริมาณน้อยลงต่อวันหรือไม่ (ถ้าต้องทานสามครั้งต่อวัน)
                                    • หากลูกคายยา ควรให้ซ้ำอีกครั้งหรือไม่
                                    • หากลืมให้ยาลูก ควรเพิ่มเป็นสองเท่าในครั้งต่อไปหรือไม่
                                    • ควรโทรหาแพทย์เมื่อใดหากลูกอาการไม่ดีขึ้น
                                    • ควรให้ลูกกินยาครบตามใบสั่งแพทย์หรือไม่
                                    • มีผลข้างเคียงที่ควรระวังหรือไม่
                                    • หากลูกทานยาตัวอื่น ควรกังวลเกี่ยวกับปฏิกิริยาใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่
                                    • ยาจะส่งผลต่อภาวะสุขภาพของทารกในระยะยาวได้หรือไม่
                                    • จะฝึกให้ลูกวัยเตาะแตะกินยาเหลวยาน้ำได้อย่างไร

                                    เคล็ดลับความปลอดภัยทั่วไปในการให้ยาลูกของคุณ

                                    เมื่อต้องให้ยาลูก ควรปฏิบัติตามคำแนะต่อไปนี้:

                                    • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง คุณไม่ควรให้ยาแก่เด็ก ทั้งทารกหรือเด็กเล็ก โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากแพทย์สำหรับอาการเจ็บป่วยทุกอย่างที่เกิดขึ้น เว้นแต่แพทย์จะให้คำแนะนำแก่คุณ (เช่นเมื่อใดก็ตามที่ลูกของคุณ มีไข้สูง ควรให้ยาอะเซตามิโนเฟน หรือ ให้ใช้ยารักษาโรคหอบหืดทุกครั้งที่เริ่มหายใจไม่ออก)
                                    • ควรระวังการรักษาด้วยสมุนไพร ควรระวังเรื่องการใช้สมุนไพรให้เหมือนการใช้ยาแผนปัจจุบัน เพราะไม่มีใครสามารถบอกได้ ว่าสมุนไพรแต่ละชนิด ปลอดภัยสำหรับทารกและเด็กเล็กหรือไม่ เพราะมีสมุนไพรหลายชนิดที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างถูกกฎหมายโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งหมายความว่าอาจมีสารออกฤทธิ์มากกว่าที่โฆษณาำว้บนฉลาก หรืออาจมีสารปนเปื้อนอื่น ๆ ได้ ต้องจ่ายยาให้กับบุตรหลานโดยได้รับการอนุมัติจากแพทย์เท่านั้น
                                    • ใช้ยาสำหรับเด็กโดยเฉพาะเท่านั้น เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กที่สามารถรับประทานยาสำหรับผู้ใหญ่ในปริมาณที่น้อยกว่าได้ ร่างกายของเด็กมีการพัฒนาน้อยกว่าและยาสำหรับผู้ใหญ่ (ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะสำหรับร่างกายของผู้ใหญ่) ไม่เพียงแต่จะออกฤทธิ์แตกต่างกันมากในร่างกาย แต่ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้อีกด้วย
                                    • อ่านคำแนะนำอย่างละเอียด อ่านฉลากกำกับยาอย่างระมัดระวัง หลักการสำคัญในการวัดขนาดยา คือ ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านน้ำหนัก แม้ว่าที่กล่องบาจะแนะนำขนาดยาที่คิดปริมาณตามน้ำหนักของเด็ก และปริมาณที่แตกต่างกันตามอายุของลูก แต่ถ้าหากคำแนะนำนั้นขัดแย้งกับคำแนะนำของแพทย์หรือไม่ได้ระบุไว้สำหรับอายุของทารกหรือเด็กวัยเตาะแตะ ให้โทรติดต่อแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
                                    ให้ลูกกินยา
                                    ให้ลูกกินยา
                                    • ใช้ยาตามวัตถุประสงค์ เว้นแต่แพทย์ของคุณจะให้ใช้ยาเพื่อรักษาข้อบ่งชี้ ที่ระบุไว้บนฉลากเท่านั้น และอย่าให้ยาลูกนานเกินกว่าเวลาที่กำหนด
                                    • หลีกเลี่ยงการใช้ยาซ้ำซ้อน  ควรจดบันทึกทุกครั้งที่ให้ลูกกินยา อย่าให้ยาทารกหรือเด็กเล็กมากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละครั้งโดยไม่ได้ตรวจสอบกับแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
                                    • ตรวจสอบส่วนผสม ควรถึงรู้ส่วนผสมที่ใช้งานอยู่ในยาที่คุณกำลังจะให้ลูกกิน เพื่อหลีกเลี่ยงการให้ยากับลูกซึ่งมีสารออกฤทธิ์ชนิดเดียวกันในเวลาเดียวกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอาจทำให้เด็กได้รับยาเกินขนาด การอ่านรายชื่อส่วนผสมยังช่วยชี้แนะให้คุณทราบว่ายานั้นมีสารอะไรที่ลูกของคุณอาจแพ้ได้หรือไม่
                                    • หลีกเลี่ยงยาที่หมดอายุ ยาที่หมดอายุไม่เพียงแต่มีฤทธิ์ทางยาน้อย แต่ยังอาจได้รับการเปลี่ยนแปลงทางเคมีซึ่งอาจทำให้เป็นอันตรายได้ ดูวันหมดอายุก่อนที่คุณจะซื้อยาเพื่อให้แน่ใจว่ายาจะไม่หมดอายุในเร็วๆ นี้ ตรวจสอบวันหมดอายุอีกครั้งเป็นระยะ ๆ และควรเรียนรู้วิธีกำจัดยาที่หมดอายุอย่างปลอดภัย
                                    • อย่าให้ยาตามใบสั่งแพทย์  ให้กับลูกอีกคนหนึ่ง เช่น เอายาปฏิชีวนะที่เหลืออยู่ของพี่ชายให้คนน้องกิน เพียงเพราะเห็นว่าลูกคนโตกินยาแล้วหายดี  การรับประทานยาของผู้อื่นอาจเป็นอันตรายต่อลูกของคุณได้ ทางที่ดีควรให้ยาตามใบสั่งแพทย์ที่กุมารแพทย์กำหนดให้โดยเฉพาะสำหรับเด็กแต่ละคนเท่านั้น
                                    • เปิดไฟให้สว่างเพียงพอ หากคุณต้องให้ลูกกินยาในช่วงเช้าตรู่ ให้แน่ใจว่าคุณสามารถมองเห็นได้ชัดเจน (ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อคุณอดนอนตลอดทั้งคืน พร้อมกับเด็กวัยหัดเดินที่ป่วย) อ่านฉลากบรรจุภัณฑ์ในที่แสงเพียงพอ จะช่วยให้คุณไม่ผิดพลาดเรื่องปริมาณต่างๆ เช่น ช้อนชา ช้อนโต๊ะ เป็นต้น
                                    • ชั่งตวงยาด้วยความระมัดระวัง เมื่อคุณมั่นใจว่าได้กำหนดขนาดของยาที่ถูกต้องแล้ว ให้ป้อนยาในถ้วยที่มาพร้อมกับยาไซริงค์ป้อนยา หรือใช้ช้อนหยดยาโดยเฉพาะเท่านั้น เพราะหากชั่งตวงด้วยพาชนะที่ไม่ได้มาตรฐานลูกอาจได้ยาขาดหรือมากเกินไปได้
                                    ให้ลูกกินยา
                                    ให้ลูกกินยา
                                    • ผสมยากับอาหาร ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น และตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุตรหลานของคุณกินอาหารได้หมดจาน
                                    • ระวังการให้ยาซ้ำ หากลูกถ่มน้ำลาย หรืออาเจียนยาออกมา ไม่ควรให้ยาซ้ำครั้งที่สอง โดยไม่ตรวจสอบกับเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนเนื่องจากการให้ยาน้อยเกินไป มีความเสี่ยงน้อยกว่าการกินยาเกินขนาด ที่สำคัญมากคือ อย่าลืมตรวจสอบกับแพทย์กี่ยวกับยาปฏิชีวนะเนื่องจากการรับประทานยาให้ครบตามที่แนะนำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
                                    • กินยาปฏิชีวนะให้ครบคอร์ส ในบันทึกย่อนั้นหากกุมารแพทย์ของคุณสั่งยาปฏิชีวนะให้กับลูกของคุณ ให้แน่ใจว่าลูกกินยาได้ครบโดส แม้ว่าลูกจะดูดีขึ้นก็ตามก็ไม่ควรหยุึดยาเอง การหยุดยาปฏิชีวนะกลางคันสามารถทำให้แบคทีเรียที่ยังหลงเหลือมีโอกาสเติบโตกลับมาอีกได้ ผลลัพธ์สุดท้าย  คือเด็กป่วยซ้ำแล้วซ้ำเล่าและบางทีอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะอีก
                                    • จัดเก็บยาอย่างปลอดภัย เก็บยาสำหรับทารกและเด็กเล็ก (รวมถึงยาสำหรับผู้ใหญ่ในบ้าน) ให้พ้นมือเด็กและควรเก็บยาไว้ในที่แห้งและเย็น นั่นหมายความว่าคุณควรหลีกเลี่ยงการเก็บไว้ในตู้ห้องน้ำซึ่งความชื้นจากอ่างอาบน้ำและฝักบัวอาจทำลายคุณภาพของยาได้
                                    • อ่านฉลากยาซ้ำทุกครั้ง ด้วยวิธีนี้คุณจะมั่นใจได้ว่าการใช้ยาเวลาและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ นั้นถูกต้องแล้วหรือไม่
                                    • อัปเดตกับผู้ดูแลลูกคนอื่นๆ หากบุตรหลานของคุณอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กหรืออยู่กับผู้ดูแลคนอื่น ให้แน่ใจว่าพวกเขามีคำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการใช้ยา สถานดูแลเด็กที่ได้รับอนุญาตต้องใช้รูปแบบพิเศษในการดูแลยาตามใบสั่งแพทย์และยาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ (รวมถึงวิตามิน) ถามผู้ดูแลประจำวันของคุณเกี่ยวกับนโยบาย เพื่อให้คุณรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากบุตรของคุณต้องจ่ายใบสั่งยาให้เสร็จสิ้น เช่นการติดเชื้อในหูในขณะที่อยู่ในความดูแล
                                    • อย่าเรียกยาว่า “ขนม”  ใการทำเช่นนี้ อาจทำให้ทารกหรือเด็กวัยหัดเดินของคุณให้ความร่วมมือชั่วคราว ความสัมพันธ์แบบนั้นอาจนำไปสู่การใช้ยาเกินขนาดหากบุตรของคุณพบในภายหลังและจัดการเปิดยาได้และตัดสินใจลองใช้ “การรักษา” วิตามินและยามักจะดูเหมือนขนมสำหรับเด็ก
                                    • ถามคำถาม หากคุณไม่แน่ใจว่าควรให้ยาแก่ลูกน้อยหรือเด็กวัยเตาะแตะของคุณหรือไม่หรือหากบุตรของคุณมีอาการไม่พึงประสงค์ให้โทรติดต่อแพทย์ของคุณ

                                    เทคนิคการป้อนยาเด็กเล็ก

                                    พ่อแม่หลายคนจำเป็นต้องหาวิธีหลอกล่อให้ลูกกินยาให้ได้อย่างราบรื่น เว้นแต่คุณจะโชคดีพอที่จะมีลูกที่อ้าปากค้างอย่างมีความสุขเมื่อเห็นหลอดหยดยา การมีกลเม็ดเหล่านี้ในกระเป๋าหลังของคุณเพื่อ “ช่วยให้ยาลดลง” สามารถช่วยได้

                                    • ลองให้ยาแก่ลูกก่อนมื้ออาหาร เว้นแต่คุณจะได้รับคำสั่งให้กินยาเมื่อเด็กอิ่มท้อง หรือหลังรับประทานอาหารให้ลองรับประทานก่อนอาหารเช้ากลางวันหรือเย็น ลูกของคุณอาจมีแนวโน้มที่จะยอมรับได้มากขึ้นเมื่อเธอหิว
                                    • หลีกเลี่ยงการวางยาที่ส่วนรับรสของลิ้น ที่อยู่ด้านหน้าและกึ่งกลางของผิวลิ้น หโดยวางยาไว้ด้านหลังเหงือก ด้านหลังและด้านในแก้ม ซึ่งมันจะลงลำคอโดยเด็กไม่ได้รับรู้รสยามากนัก
                                    • เก็บยาไว้ในที่เย็น หากเภสัชกรของคุณบอกว่าการแช่เย็นยาไม่ส่งผลต่อคุณภาพของยา ให้ลองแช่ยาไว้ในตู้เย็นเพื่อให้ลูกทานยาได้ง่ายขึ้น หรือมห้ลูกทานไอติมก่อนเพื่อให้ลิ้นของทารกเย็นและชาเล็กน้อยเพื่อให้รสชาติยาเจือจางลงบ้าง
                                    • สอบถามเภสัชกรของคุณเกี่ยวกับยาสำหรับเด็กที่มีรสผลไม้ หรือรสที่เด็กๆ ชอบ ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย.  ซึ่งช่วยให้เด็กกินยาได้ง่ายขึ้น บางทีราคาอาจสูงเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า
                                    • การติดสินบน ทางเลือกสุดท้าย ลองเสนอของรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับลูก เพื่อแลกกับการกินยา

                                    ผลข้างเคียงของยาสำหรับทารกและเด็กที่ควรระวัง

                                    เด็กบางคนอาจได้รับผลข้างเคียงเมื่อทานยาบางชนิด อาการที่ควรระวังมีดังนี้

                                    • ท้องร่วง
                                    • การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ (เช่น งอแงหรือง่วงนอน)
                                    • เหงื่อออกมาก
                                    • มีผื่นขึ้น หรือ มีอาการบวมที่ไม่สามารถอธิบายได้
                                    • อัตราการเต้นของหัวใจสูง

                                    จริงอยู่ที่เราควรใช้ยาเท่าที่จำเป็นเมื่อลูกป่วย แต่หากวิธีการรักษาอื่น ๆ ที่บ้านไม่ได้ผล การให้ลูกทานยาก็เป็นทางเลือกที่จะช่วยเหลือลูกให้รู้สึกดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมปฏิบัติตามคำแนะของแพทย์ หรือเภสัชกรเมื่อต้องให้ยาลูกน้อยของคุณ นอกจากนี้หากอาการลูกไม่ดีขึ้นหลังการทานยา ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

                                    เรื่องการทานยาให้ถูกกับโรค หรือทานในปริมาณที่ถูกต้องไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะมองข้ามไปได้ หากลูกของคุณโตพอที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับอันตรายในการใช้ยา ควรสอนลูกว่ายาชินดไหนที่เป็นอันตรายบ้าง  นอกจากนี้การเก็บรักษายาอันตรายต่างๆ ให้พ้นจากมือเด็ก ก็เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะบ้านที่มีลูกวัยกำลังซน นอกจากนี้เมื่อถึงวัยที่ลูกสามารถทานยาได้ดี โดยไม่ต้องบังคับขู่เข็ญ การสอนให้ลูกทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรอธิบายให้ลูกได้รับรู้ว่า หากเรากินายาไม่หมดไม่ครบตามที่แพทย์สั่งจะเกิดผลเสียอย่างไรต่อสุขภาพและร่างกาย เมื่อคุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างการรับรู้ที่ดีเกี่ยวกับยาให้ลูกได้ จะเป็นการเสริมสร้างความฉลาดรอบด้านให้แก่ลูกในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในยุคนี้ได้แน่นอนค่ะ

                                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : whattoexpect.com

                                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                    4 อุทาหรณ์ !ป้อนยาลูกผิด พร้อมวิธีสังเกตอาการหลังป้อน

                                    เตือนพ่อแม่! ห้าม ป้อนยาลูก พร้อม 3 เครื่องดื่มนี้เด็ดขาด!

                                    8 เทคนิคป้อนยาลูก เมื่อลูกกินยายาก

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่