Page 119 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี

เปิดจองสิทธิ์ประกันสังคมพื้นที่กทม ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ต้องทำอย่างไร

กลับมาทำงานหลังวันหยุดสงกรานต์ ไปเที่ยวหลายที่ เจอผู้คนเยอะ เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยง หรือสัมผัสเสี่ยงสูง ไม่ต้องรอลุ้นรพ.คิวเต็ม น้ำยาหมด ประกันสังคมจัดโครงการ ‘แรงงานเราสู้ด้วยกัน’ ให้ ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ผ่านเว็บไซต์ หวังลดแออัดเริ่มหกโมงเย็นวันนี้ (15 เม.ย.64) ใครมีสิทธิ์ตรวจ ต้องทำอย่างไรบ้าง รีวิวชัดๆตรงนี้เลย

จากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกหนักที่สุดของไทยซึ่งพบผู้ติดเชื้อรายวันแตะหลักพันคน และกระจายตัวในหลายกลุ่มอาชีพ หลายช่วงวัย รวมทั้งความเป็นห่วงว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ที่ผู้คนเดินทางไปหลายพื้นที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อจำนวนมาก

ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี

หนึ่งในมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดให้เร็วที่สุดคือการเร่งตรวจหาเชื้อจากกลุ่มเสี่ยง และผู้สัมผัสเสี่ยงสูงต่างๆอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงาน นักเรียนนักศึกษาที่เดินทางกลับจากภูมิลำเนา แต่โรงพยาบาลหลายแห่งไม่สามารถรองรับการตรวจเชื้อจำนวนมากต่อวันได้

สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรุงเทพฯได้จัดให้มีผู้มีสิทธิ์ประกันสังคมในพื้นที่กรุงเทพสามารถ ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย–ญี่ปุ่น) ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายนนี้เป็นต้นไป โดยผู้มีสิทธิ์จะต้องจองคิวผ่านเว็บไซต์ และเข้าตรวจตามวันและเวลาที่แจ้งตอบกลับ เพื่อความสะดวกปลอดภัย.

ใครมีสิทธิ์ ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี พื้นที่กรุงเทพฯ

หลังวันหยุดเทศกาลสงกรานต์เกือบหนึ่งสัปดาห์ คนที่เดินทางกลับมาทำงานในกรุงเทพฯจากจังหวัดพื้นที่เสี่ยง หรือไปในสถานที่ซึ่งมีการพบผู้ติดเชื้อโควิด-19ในช่วงเวลาดังกล่าว บวกกับการแพร่ระบาดในครั้งนี้เป็นเชื้อโควิดสายพันธุ์อังกฤษ ที่แพร่เชื้อได้ง่ายขึ้น 1.7 เท่าขณะที่ไม่แสดงอาการ จึงมีโอกาสที่จะนำเชื้อไปแพร่ให้กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือเพื่อนร่วมงานโดยไม่รู้ตัว จึงควรป้องกันตัวและเข้ารับการตรวจเชื้อโดยเร็วที่สุด

ผู้มีสิทธิ์เข้ารับการตรวจโควิดฟรีในพื้นที่กทมต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

  1. เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 (พนักงานเอกชนทั่วไป) มาตรา 39 (เคยเป็นพนักงานแต่ลาออก) และมาตรา 40 (อาชีพอิสระ/แรงงานนอกระบบ)

  2. เป็นผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพฯ ตรวจสอบได้ที่นี่ 

  3. เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงมีอาการอย่างน้อยหนึ่งอาการต่อไปนี้ คือ มีไข้ อุณหภูมิตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ไอ น้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส มีผื่นขึ้น ตาแดง หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย หรือหายใจลำบาก

  4. เช็กไทม์ไลน์ 14 วันก่อนพบว่ามีอาการตามข้อ 3 มีความเสี่ยงดังนี้ สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันโควิดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ไปสถานที่ชุมชนที่มีรายงานผู้ป่วยโควิดในช่วง 1 เดือน เดินทางไป-กลับจากประเทศมีผู้ติดเชื้อ หรือทำงานในสถานกักกันโรค

  5. แพทย์ผู้ตรวจรักษาสงสัยว่าเป็นโรคโควิด-19  หรือกรณีสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 หรือไปในสถานที่มีการระบาดมา ไม่มีอาการป่วย

ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี จองสิทธิ์ออนไลน์ต้องทำอย่างไร

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้ารับการตรวจโควิดฟรีในพื้นที่กทมฯ สามารถลงทะเบียนจองคิวออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ sso.icntracking.com ได้ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนนี้เป็นต้นไป ตามขั้นตอนดังนี้

 1.ตรวจสอบคุณสมบัติผู้มีสิทธ์ (เช็กพื้นที่สังกัดประกันสังคม ที่ีนี่)

2. เข้าเว็บไซต์ สำนักงานประกันสังคม แรงงานเราสู้ด้วยกัน หรือคลิก (ที่นี่)

ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี

3.กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด (ขอย้ำว่าต้องกรอกข้อมูลตามจริงทุกประการ)

4.ระบบจะแจ้งกำหนดวันและเวลาให้เข้ารับการตรวจ ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย–ญี่ปุ่น) หรือดูที่ตั้ง (ที่นี่)

ระบบจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ในวันที่ 15 เม.ย.นี้ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป โดยรองรับการตรวจวันละ 3,000 คนต่อวัน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,500 คน ช่วงบ่าย 1,500 คน หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่

คนที่มาเข้ารับการตรวจ เจ้าหน้าที่ได้เซ็ตระบบให้สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ได้ชั่วโมงละไม่ต่ำกว่า 300 คน ทราบผลการตรวจภายใน 24 – 48 ชั่วโมง โดยจะแจ้งผลการตรวจหาเชื้อโควิดไปทางSMS ดังนั้นหลังตรวจแล้ว ควรเดินทางกลับบ้านหรือสถานที่กักตัว เพื่อรอรับผล และควรหลีกเลี่ยงการเดินทางไปสถานที่ชุมชนเพื่อป้องกันการแพร่ไปยังผู้อื่น

สำหรับคนที่ไม่สะดวกไปยังสถานที่และเวลาดังกล่าว ผู้ประกันตนสามารถไปรับการตรวจที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม หรือสถานพยาบาลทุกแห่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกันตนได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว โดยทางประกันสังคมจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ผู้มีสิทธิ์ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น

ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี

ถ้าตรวจพบโควิดไปรักษาที่ไหนดี

กรณีทราบว่าตัวเองมีผลเป็นบวกหรือติดเชื้อโควิด ทางเจ้าหน้าที่จะส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเครือข่ายในสังกัดสำนักงานประกันสังคมต่อไป ผู้ประกันตนที่ติดเชื้อโควิด -19 จะได้รับการรักษาฟรีในโรงพยาบาลเครือข่ายประกันสังคม ซึ่งมีอยู่จำนวน 81 แห่ง ที่มีความพร้อม มีเตียงรองรับกว่า 1,000 เตียง มี สถานที่กักกันในสถานพยาบาลที่รัฐกำหนด อีก 200 กว่าเตียง

หากคุณแม่มีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ call center สำนักงานประกันสังคม 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เว้นวันหยุดราชการ

แหล่งข้อมูล: www.prachachat.net https://www.thairath.co.th/

อ่านบทความน่าสนใจอื่นๆ

วิธี เช็คสิทธิ์ประกันสังคม ง่ายๆ แต่ละมาตรา 33 39 40 ต่างกันอย่างไร?

วิธี เช็คยอดเงินประกันสังคม อย่างละเอียด เช็กง่ายแค่ปลายนิ้ว

รวมประกันโควิด 2021 เทียบเบี้ยประกันไวรัสโคโรน่า COVID-19

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ

หมอแนะเทคนิค เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ ฉลาดคิดสร้างสรรค์

ในยุคที่ AI  กำลังเข้ามาทดแทนกำลังคน จึงเป็นความท้าทายของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร ให้โตไปเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพของโลกใบนี้ ซึ่งคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้มนุษย์เหนือกว่า AI ก็คือ ความสามารถในการคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ Creativity Quotient หรือ CQ นั่นเอง คนที่ฉลาดคิดสร้างสรรค์นี่แหละที่จะเป็นผู้ควบคุมและพัฒนา AI ให้ทำงานตามความต้องการของเรา เพื่อเป็นแนวทางในการเลี้ยงลูกในยุคนี้ รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้ให้คำแนะนำ Do & Don’t ในการ เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ สร้างลูกยังไงให้มีความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่เด็ก ไว้ดังนี้

โดยคุณหมอพงษ์ศักดิ์ กล่าวว่า…

จาก “ความลับที่ไม่ลับ” ในการเพิ่มศักยภาพของเด็กๆ ผ่าน Power BQ ที่คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านรายละเอียดกันมาบ้างแล้ว วันนี้ผมจะมานำเสนอเรื่องของ Creativity Quotient หรือ CQ ซึ่งเป็นความสามารถในการคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ อันเป็นความฉลาดสำคัญด้านหนึ่งของ Power BQ ที่จะเพิ่มศักยภาพให้กับเด็กๆ ส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาต่อยอดความฉลาดรอบด้านของเขาได้เป็นอย่างดี 

CQ ความสามารถริเริ่ม สร้างสรรค์หนึ่งในพลัง Power BQ 

CQ หรือ ความสามารถในการคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ในวัยเด็กมีผลต่อเนื่องจนโตเลยนะครับ สิ่งสำคัญในยุคปัจจุบันที่ AI ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์หรือหุ่นยนต์ กำลังเข้ามาทดแทนการทำงานของผู้คนในหลากหลายด้าน CQ เองเป็นสิ่งที่มนุษย์มีเหนือกว่า AI อย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า หากคุณพ่อคุณแม่สามารถสั่งสมให้ลูกมี CQ ที่ดีและพัฒนาต่อยอดไปตั้งแต่เด็ก จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาโลกของเรา รวมทั้งการพัฒนา AI ให้สามารถทำงานตามที่เราต้องการได้ในอนาคต

มีการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ CQ มากมายตั้งแต่ การหาวิธีประเมิน CQ ของผู้คนเพื่อเลือกคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เข้ามาทำงาน รวมถึงมีการติดตามคนที่มี CQ ในระดับต่างๆ ไประยะเวลาหนึ่งเพื่อดูว่า เขาสามารถปรับตัวใช้ชีวิตในสถานการณ์ที่มีความยากลำบาก และสามารถนำตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้มากน้อยตามระดับ CQ แตกต่างกันอย่างไร

จากผลการวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า การประเมิน CQ ที่จะให้ได้ผลดีอาจต้องการแบบทดสอบที่ยุ่งยากและซับซ้อน ซึ่งแม้ในปัจจุบันจะยังไม่สามารถบอกได้ว่าแบบทดสอบไหนจะเป็นแบบทดสอบที่ดีและเหมาะสมที่สุด แต่การใช้คำถามปลายเปิด รวมถึงสังเกตพฤติกรรมด้านการตัดสินใจ การแก้ปัญหา หรือจากการทำงานภายในระยะเวลาหนึ่ง ก็สามารถประเมินระดับ CQ ได้

คุณพ่อคุณแม่ลองนำไปใช้กับลูกๆ ดูก็ได้นะครับ คำถามปลายเปิดที่เหมาะสมสามารถใช้ได้ทั้งประเมิน CQ ของลูกว่ามีมากน้อยอย่างไร และยังเป็นคำถามที่ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนา CQ ไปได้ในเวลาเดียวกัน 

เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ ฉลาดคิดสร้างสรรค์

Do แบบนี้เสริม CQ สร้างลูกให้มีความคิดสร้างสรรค์

ผมยกตัวอย่างจากเรื่องใกล้ตัว เช่น ลองถามลูกว่า “ดินสอของลูกนอกจากจะมีไว้เขียนหนังสือแล้ว เราจะเอามาใช้ทำอะไรได้บ้างครับ” ลองให้อิสระลูกในการคิดต่อยอดจากดินสอแท่งเดียวดูนะครับว่า เขาจะสร้างสรรค์ประโยชน์อะไรจากดินสอของเขาได้บ้าง ยิ่งได้อะไรที่แปลกใหม่ซึ่งไม่เคยมีใครคิดหรือทำมาก่อนก็จะเป็นความคิดสร้างสรรค์ของเขาเลยครับ

แต่สำหรับเด็กเล็กซึ่งประสบการณ์ชีวิตยังไม่มากนัก นั่นคือ ยังเห็นอะไรมาไม่มาก สิ่งที่เขาตอบคุณพ่อคุณแม่อาจเป็นสิ่งใหม่ที่เขาไม่เคยรับรู้รับทราบมาก่อน แต่ผู้ใหญ่อย่างเรากลับเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาเสียเหลือเกิน เพราะ เรามีประสบการณ์เคยเห็น เคยดูมามากแล้ว ความแปลกใหม่ของเขาตรงนี้เป็นความภาคภูมิใจสำหรับลูกมากเลยนะครับ เขาอาจคิดขึ้นมาเองโดยไม่ทราบมาเลยว่า มีคนทำแบบนี้อยู่แล้ว นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ น้อยๆ ของการพัฒนา CQ ของลูกเลยครับ

หรือคุณพ่อคุณแม่อาจใช้วิธีเล่านิทานให้ลูกฟังแล้วทิ้งคำถามไว้ให้ลูกคิดต่อตอนจบของนิทานที่คุณพ่อคุณแม่เล่า โดยให้มีความยากง่ายตามความสามารถของลูกนะครับ เช่น “แมวน้อยเดินท่องเที่ยวไปริมทะเล แล้วเจอกุญแจตกอยู่บนหาดทราย แมวน้องจะทำยังไงได้บ้าง………” คุณพ่อคุณแม่อาจจะได้เห็นความฉลาดทางความคิดสร้างสรรค์ของลูกหรือได้ความคิดใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตหรือต่อยอดไปสร้างสรรค์อีกมากมาย จากพลังของคำถามที่เริ่มถามเพียงคำถามเดียวนี่เองครับ ถ้าอยากให้เขาพัฒนา CQ ของเขาต่อไปก็สามารถถามคำถามให้ลูกได้คิดต่อนะครับ จะช่วยลูกเป็นคนมี CQ ที่ดีได้ไม่ยาก การฝึกถาม ฝึกคิดกันบ่อยๆ หากปฏิบัติจนเป็นนิสัยก็จะส่งเสริมให้เด็กๆเติบโตมาเป็นคนที่มี CQ ดีได้ และจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่แตกต่างจากเดิม ทำให้โลกของเรามีการพัฒนาในสู่สิ่งที่ดีขึ้นโดยเฉพาะการใช้ชีวิตของผู้คน

จากการศึกษาทางจิตวิทยาพบว่า CQ เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาต่อยอดของทักษะ วิธีคิดและมุมมองหลายด้านด้วยกันเลยครับ เช่น ส่งเสริมระดับสติปัญญาหรือไอคิว IQ ก่อให้เกิดความสนุกสนานมีความสุขกับการใช้ชีวิต สร้างแรงบันดาลใจ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ทำให้การเรียนรู้ไม่น่าเบื่อ สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น ส่งเสริมให้เป็นผู้เปิดใจยอมรับ เป็นความสามารถในการปรับตัวรับสิ่งใหม่ และยังมีอื่นๆ อีกมากมาย

หากเราเหลียวหลังมองหน้ามองดูสิ่งรอบตัวที่อยู่ท่ามกลางการใช้ชีวิตของเรา คุณพ่อคุณแม่คงเห็นตัวอย่างของประโยชน์จากความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่รอบตัวเรามากมายเลยนะครับ เช่น เรากำลังจะมีรถที่ไม่ต้องมีคนขับให้เราได้นั่งกันแล้ว เรามีพาหนะที่เรียกว่า “เครื่องบิน” ที่สามารถบินพาเราไปไหนต่อไหนได้อย่างสะดวกสบาย และนับวันก็มีแต่จะรวดเร็วขึ้นสะดวกสบายมากขึ้น หรือแม้แต่ในภาวะโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ก็มีคนที่มี CQ ดีพยายามคิดสร้างสรรค์ทั้งวิธีป้องกันและรักษาการติดเชื้อโควิด-19 ที่เป็นประโยชน์กับมวลมนุษยชาติของเรา 

Don’t do แบบนี้ CQ หาย ทำลายความคิดสร้างสรรค์ลูก

  • อย่านะคะ เดี๋ยวเลอะเทอะ”
  • “หยุดนะครับ เดี๋ยวหกล้ม”
  • “ไม่เล่นแบบนี้นะครับ เดี๋ยวมันจะพัง”

“อย่า” “หยุด”  “ไม่” แบบนี้ หยุดยั้งและระงับ CQ ของลูกได้ไม่น้อยเลยครับ แต่ก็ใช่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่สามารถหยุดยั้งพฤติกรรมไม่เหมาะสมของลูกได้เสียเลย ถ้าไม่ใช้ “อย่า” “หยุด” หรือ “ไม่” ลองมาเป็นแบบอย่างของ CQ ที่ดีให้กับลูก ด้วยการคิดถ้อยคำหรือประโยคที่ส่งเสริมการเรียนรู้และ CQ ให้กับลูกแบบนี้ดีไหมครับ

  • “เราจะเล่นกันอย่างไรดีถึงจะไม่เลอะเทอะ”
  • “ลูกว่า เราควรวิ่งไปทางไหนดีที่จะไม่สะดุดเชือกหกล้ม”
  • “ถ้าเราแกะของเล่นออกมาแล้ว จะทำอย่างไรดีถึงจะใส่กลับเข้าไปเหมือนเดิม”

แค่นี้ก็พอจะหยุดลูกให้ได้ยับยั้งชั่งใจจากพฤติกรรมใน 3 ประโยคแรกที่ผมยกตัวอย่างมาได้ระดับหนึ่งแล้ว และที่สำคัญยังส่งเสริมให้ลูกได้พัฒนา CQ ไปในตัวได้ดีด้วยครับ

อ่านดูแล้วคุณพ่อคุณแม่คงพอมองเห็นประโยชน์ของ CQ และวิธี เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ อย่างง่ายๆ ให้กับลูกตั้งแต่เล็ก ผ่านการใช้ชีวิตและปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน อย่าลืมนะครับ เวลาคุณภาพที่มีให้กันในครอบครัวนี่เองครับ ที่จะช่วยพัฒนาลูก อย่างรอบด้านรวมทั้ง CQ ความสามารถริเริ่ม สร้างสรรค์หนึ่งในพลัง Power BQ ด้วยครับ

ขอบคุณบทความโดย : รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

ละครหุ่นเงา ทอสี

ละครหุ่นเงา โรงเรียนทอสี ก้าวสุดท้ายของ “น้องอนุบาล” สู่การเป็น “พี่ประถม”

โรงเรียนทอสี โรงเรียนเล็กๆ ใจกลางเมืองกรุง ที่คุณพ่อคุณแม่รู้จักในฐานะโรงเรียนทางเลือกวิถีพุทธ ที่นำเอาหลักพุทธปัญญา มาเป็นแกนหลักในการจัดเรียนการสอน เน้นสอนให้เด็กเป็นคนเก่ง คนดี มีคุณธรรม และวิชาชีวิตติดตัว ทีมแม่ ABK ได้ยินชื่อเสียงมานาน และเพิ่งได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง โรงเรียนแห่งนี้มีกิจกรรมประจำปีที่ทำต่อเนื่องยาวนานหลายปี นั่นคือ “ละครหุ่นเงา” ซึ่งเป็นการแสดงผลงานชิ้นสุดท้ายของเด็กๆ ชั้นอนุบาล 3 ก่อนจะก้าวไปเป็นพี่ประถม 1 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ละครหุ่นเงา เป็นกิจกรรมที่เด็กอนุบาลทอสีทุกคนต่างตื่นเต้นรอคอยที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของละครหุ่นเงาในตำนานของโรงเรียน เราได้พูดคุยกับครูแหม่ม อาภาภัทร  ไชยประสิทธิ์ (รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาชีวิตนักเรียน) และครูต้น ทัศน์เนตรดาว โสรัต (หัวหน้าฝ่ายอนุบาล) สองหัวเรือใหญ่ในการจัดกิจกรรมนี้

ความเป็นมาเป็นไปของกิจกรรม ละครหุ่นเงา เป็นอย่างไร

ครูแหม่มเล่าว่า ละครหุ่นเงา ปีนี้เป็นปีที่ 15 แล้ว จากกิจกรรมที่คุณครูและเด็กๆ ร่วมกันทำเพื่อเซอร์ไพรส์คุณพ่อคุณแม่ก่อนจบปีการศึกษา กลายเป็นความร่วมมือกันของทั้งครู ผู้ปกครองและเด็กๆ  คุณพ่อคุณแม่เองต่างก็ตื่นเต้นไม่แพ้ลูกๆ แม้จะได้มีส่วนช่วยในการเตรียมงานบางส่วน แต่เด็กๆ ยังคงเก็บเป็นความลับไม่ให้ผู้ปกครองรู้ว่าปีนี้พวกเขาจะแสดงอะไรให้คุณพ่อคุณแม่ดู รู้เพียงว่า หุ่นเงาปีนี้ชื่อตอนว่า “Love จิ๊บจิ๊บ from the วิบวับ

หุ่นเงาทอสี

เด็กได้เรียนรู้อะไรบ้างจากกิจกรรมนี้

ครูต้นอธิบายว่า เป็นกิจกรรมที่เกิดกระบวนการเรียนรู้มากมาย  ได้ทั้ง วิชาการและวิชาชีวิต   อย่างเช่น  เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ “กำเนิดเงา” ซึ่งเป็นการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์   องค์ประกอบที่ทำให้เกิดเงา ได้เรียนรู้เงาจากแสงที่มนุษย์สร้าง เงาที่เกิดจากแสงธรรมชาติ  ได้สังเกตเงารอบตัวมีอยู่ที่ไหนบ้าง สังเกตเงาต้นไม้ ตึกเรียน  เงาในน้ำ หรือเงาของตัวเด็ก ๆ เอง  สังเกตว่าเงามีสีอะไร ถ้าเราจะทำให้เงามีสีเราจะทำอย่างไร  นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เด็กๆ ได้เรียนรู้ “วิชาการ” จากการทำละคร

เบื้องหลัง ละครหุ่นเงา

เบื้องหน้าละครหุ่นเงา ที่สวยงาม

และอีกส่วนที่เราให้ความสำคัญอย่างมากก็คือ “วิชาชีวิต”

เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในทุกๆ ขั้นตอน ตั้งแต่การกำหนดตัวละครหลัก  ในปีนี้เป็นเรื่องราวของ “ไก่”  เนื่องจากเด็กๆ กำลังอินกับการทำโครงงานในช่วงต้นเทอมเรื่องไก่  รวมถึงการออกแบบเรื่องราวเองว่าอยากให้มีอะไรในละครบ้าง  โดยครูพาเด็กระดมความคิดเห็นร่วมกันว่าตลอดปีนี้เราเรียนรู้เรื่องอะไร  มีข่าว เหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือมีเพลงอะไรที่เด็กๆ ชื่นชอบเป็นพิเศษ  จากนั้นก็แบ่งกลุ่มแต่งเนื้อเรื่องร่วมกัน โดยนำสิ่งที่ระดมความคิดเห็นมาเป็นฐานและให้ทุกคนได้ใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ในกิจกรรม “นิทานวงกลม” สุดท้ายคุณครูก็ช่วยร้อยเรียงเรื่องราวของทุกกลุ่มมาเป็นบทละครของพวกเรา

เมื่อมีการคัดเลือกนักแสดง  เด็กๆ ได้เสนอตัวว่าอยากแสดงอะไร  โดยเข้าใจคุณสมบัติของแต่ละชุดการแสดงก่อนว่ามีอะไรบ้าง  อย่างเช่น หน้าที่ที่เป็นที่สนใจของเด็กๆ มากก็คือ “พิธีกร” ต้องพูดชัด  มีความมั่นใจ บุคลิกดี  เด็กที่สนใจได้ลองออกมาแสดงบทบาทเพื่อให้เพื่อนๆ ช่วยกันดู ช่วยกันโหวตว่าเหมาะไหม ถึงจะสนิทกันก็ไม่ได้เลือกเพราะรักเพื่อน ต้องนึกถึงความเหมาะสมด้วย เด็กได้เรียนรู้เรื่องความผิดหวัง ความสมหวัง เรียนรู้ว่า ไม่มีใครที่จะสมหวังทุกเรื่อง ผิดหวังบ้าง เสียใจได้ แต่ไม่จมอยู่กับอารมณ์เศร้าเสียใจ  เพราะมีทางใหม่ให้เด็กได้ลอง ให้เด็กยอมรับด้วยตัวเอง ถึงเราไม่ได้ตรงนี้ เรายังมีโอกาสแสดงบทบาทอื่นอยู่นะ เด็กบางคนกลับไปบอกที่บ้านว่า ได้เลือกสิ่งที่ตนไม่ถนัดไม่ชอบแต่ก็ลองดู เพราะอยากฝึกตน…สู้สิ่งยาก

พิธีกรเด็ก

การแสดงของน้องๆ ชั้นอ.3

ละครไวรัสโคโรน่า

ทุกคนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง  คุณครูพยายามดึงเอาจุดเด่นของเด็กแต่ละคนออกมาให้เขารู้จักตนเอง ให้เขาภูมิใจ  เช่น บางคนไม่ค่อยพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น แต่ถนัดทางด้านวาดรูปก็ได้วาดตัวหุ่นมากหน่อย บางคนวาดรูปไม่ได้แต่พูดชัด เสียงไพเราะ เราให้พากย์เสียงที่ยากขึ้นที่ต้องใช้อารมณ์และคำควบกล้ำเยอะๆ บางคนไม่ถนัดวาด ออกเสียงไม่ชัดแต่จินตนาการกว้างไกลมากก็ขอให้มาช่วยครูต่อบทละครเพิ่มเติม เป็นต้น

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

หุ่นเงาเป็นกิจกรรมที่เด็กจะได้ฝึกในหลายๆ อย่าง ฝึกความพยายาม อดทนรอคอย สู้สิ่งยาก ฝึกการยับยั้งชั่งใจ ฝึกความซื่อสัตย์ เรามีสัญญาใจร่วมกันว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้คุณพ่อคุณแม่เซอร์ไพรส์ แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ถาม เด็กๆ จะไม่โกหก แต่ให้ตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่น่ารักว่า “ไม่บอก ไม่บอก เป็นความลับ (เพราะอยากเซอร์ไพรส์คุณพ่อคุณแม่)”

เด็กมีความสามารถทำอะไรสร้างสรรค์ได้หลายอย่าง ออกแบบหุ่นถ่ายทอดออกมาจากจินตนาการของเขาเอง ออกแบบการ์ดเชิญ ออกแบบชื่อเรื่อง  ที่เราเห็นชื่อเรื่องบนเสื้อดำนี่มาจากฝีมือของเด็กๆ ทั้งหมดเลย เด็กทุกคนจะได้ออกแบบชื่อเรื่องตามจินตนาการของตัวเอง จากนั้นคุณครูก็คัดเอาตัวอักษร ภาพวาดแต่ละส่วนของเด็กๆ มาผสมรวมกัน  อักษรตัวนี้ของคนหนึ่ง ตัวนั้นของอีกคนหนึ่ง ไม่ได้เลือกของใครเพียงคนเดียว

ออกแบบการ์ดเชิญ

เมื่อเดินเข้าโรงละคร เราได้เห็นผลงานศิลปะจากจินตนาการของเด็ก ๆ เรื่องราวของเรื่องนี้ถูกเล่าเป็น “นิทานบนแผ่นเฟรม”  โดยเอาเรื่องราวแต่ละตอนในละครย่อยออกมา แล้วเด็กก็เลือกตอนที่สนใจวาดเป็นภาพวาดติดเรียงรายบนผนัง เป็นนิทรรศการให้ชมก่อนและหลังชมละคร ซึ่งเด็กๆ ไม่ใช่แค่ลงมือวาด แต่คุณครูเล่าว่า เด็กทุกคนต้องยกเฟรมของตัวเอง เดินขึ้นบันไดมาชั้น 5 เองด้วย

กางเกงผ้าขาวม้าที่เด็กๆ ใส่ ก็ลงมือตัดเย็บด้วยตัวเอง ใช้เข็ม ใช้กรรไกรเอง ตัดผ้า เนาผ้าเอง ผู้ปกครองช่วยในขั้นตอนสุดท้ายคือเย็บเอวให้ ซึ่งการตัดเย็บผ้าก็ได้เรียนรู้สิ่งที่นอกเหนือจากวิชาการก็คือ การระมัดระวังตนเองและผู้อื่นเมื่อใช้อุปกรณ์ การฝึกสติ สมาธิในการทำงาน แต่ถ้าสมาธิหลุดเย็บผิดหรือด้ายพันกัน  เด็กๆ ก็ได้เรียนรู้การแก้ปัญหา

ครูแหม่มเล่าว่า งานนี้เป็นงานที่โตกว่าตัวของเด็ก เป็นงานที่ท้าทายความสามารถ ที่เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในทุกๆ ขั้นตอนของการทำงาน ฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบ ความตั้งใจ พยายาม ให้สมเป็นเด็กทอสี ฝึกตน อดทน สู้สิ่งยากกับงานชิ้นสุดท้ายที่ทำร่วมกันในวัยอนุบาลก่อนที่จะขึ้นชั้นประถม เป็นของขวัญให้กับทุกคน

นิทานบนแผ่นเฟรม

นิทานบนแผ่นเฟรม

มีวิธีการยังไงถึงทำให้เด็กๆ ให้ความร่วมมือดีขนาดนี้

ครูต้นอธิบายว่า  ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดภายในตัวเด็กเอง  โดยให้ดูซีดีหุ่นเงาของพี่ๆ (มีให้เลือกตั้งแต่ปี ๑ – ๑๔)  ตั้งคำถามจากสิ่งที่เด็กได้ดูและดึงความทรงจำที่เด็กๆ เคยดูเวทีจริงตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาล เขาเห็นรุ่นพี่ทำมาก่อนทุกปี เป็นแบบอย่างที่ทำให้เขาตั้งใจและอยากพัฒนาตน  เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือทำ เขาควรทำอย่างไรให้เป็นตัวอย่างของรุ่นน้องต่อไป และทำให้ผู้ชมมีความสุข  เพียงเท่านี้เด็ก ๆ ทุกคนก็แทบอดใจไม่ไหว อยากลงมือทำงานกันทันที  ส่วนพี่ที่ขึ้นไปชั้นประถมแล้วก็อยากมาช่วย คอยถามไถ่ครู อยากรู้ว่าปีนี้น้องจะแสดงอะไร เป็นภาพจำช่วงเวลาดีๆ ที่่เด็กจะจำได้ตลอดว่า ปีไหนเขาทำอะไร  ถึงแม้ว่าโปรดักชั่นจะใหญ่เกินตัวเด็ก แต่เค้ามีครูอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา

เบื้องหลังละครหุ่นเงา

สิ่งที่เด็กทอสีที่จบอ.3 จะได้ติดตัวไปเมื่อเป็นพี่ประถม

“เด็กที่จบอ.3 จะสามารถ พึ่งพาตนเองได้ เป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้ สามารถดูแลตนเอง  สามารถทำอะไรให้ผู้อื่นได้ รู้จักนึกถึงคนอื่น ไม่ใช่นึกถึงแต่ตัวเอง” ครูต้นกล่าว

ละครหุ่นเงาความยาว 1 ชั่วโมงที่ทีมแม่ ABK ได้ชมในวันนี้ บวกกับเบื้องหลังการทำงานที่คุณครูเล่าให้ฟัง ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมกับพัฒนาการอันน่าทึ่งของเด็กๆ ชั้นอ.3 ชื่นใจแทนคุณพ่อคุณแม่คุณครู ที่ได้เห็นศักยภาพของเด็กๆ ว่าพวกเขาสามารถทำอะไรได้มากมายกว่าที่เราคิด เพียงผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะยากแค่ไหน เด็กก็จะพยายาม อดทน สู้สิ่งยาก และทำมันให้สำเร็จ

เด็กทอสีถูกฝึกให้แข็งแกร่ง พึ่งพาตนเองได้ เพราะเมื่อเขาดูแลตัวเองได้แล้ว เขาจะสามารถดูแลและเป็นที่พึ่งให้กับคนอื่นได้ นับเป็น “วิชาชีวิต” ที่จะติดตัวพวกเขาไปตลอด ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม

เด็กทอสี ฝึกตน อดทน สู้สิ่งยาก

ตัวละครหุ่นเงา

บทความที่น่าสนใจอืนๆ 

โรงเรียนทางเลือก เรียนรู้ตามทางของลูก โดย พ่อเอก

โรงเรียนทางเลือก เรียนรู้ตามทางของลูก #2 โดย พ่อเอก

โรงเรียนทางเลือก เลือกแบบไหนให้เหมาะกับเจ้าตัวน้อย

ดูแลลูกในท้อง

เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลลูกในท้อง วิธีบำรุงลูกในท้องให้แข็งแรง!

ดูแลลูกในท้อง – สุขภาพของคุณแม่ก่อนจะตั้งครรภ์ เป็นตัวกำหนดสุขภาพของทารกในอนาคต ซึ่งรวมถึงการปกป้องทารกจากโรคภูมิแพ้ โรคผิวหนัง กลาก โรคหอบหืด ภาวะซึมเศร้า ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคเบาหวานโรคหัวใจและอื่น ๆ อีกมากมาย หากคุณต้องการมีลูกในเร็ว ๆ นี้ ต่อไปนี้ คือ วิธีที่จะช่วยให้แน่ใจมากขึ้นว่าลูกของคุณจะสมบูรณ์แข็งแรงได้ในอนาคต

เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลลูกในท้อง วิธีบำรุงลูกในท้องให้แข็งแรง!

ถ้าอยากให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง สิ่งที่คุณควรทำ เมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ และตลอดระยะเวลาของการอุ้มท้อง ได้แก่

1. พบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ทันทีที่พบว่าคุณตั้งครรภ์ ควรรีบหาหมอเพื่อทำการฝากครรภ์ เพราะจะได้รู้ความผิดปกติอื่นๆ และทำการตรวจเลือดเพื่อหาภาวะเสี่ยงต่างๆ โรคต่างๆ ที่สามารถติดได้ทางเพศสัมพันธ์

การจัดการดูแลตั้งแต่เนิ่นๆหมายความว่าคุณจะได้รับคำแนะนำที่ดีสำหรับการตั้งครรภ์ที่มีสุขภาพดีตั้งแต่เริ่มต้น นอกจากนี้คุณยังมีเวลาอีกมากในการจัดระเบียบชีวิตของคุณสำหรับการสแกนอัลตราซาวนด์และการทดสอบต่างๆ

ดูแลลูกในท้อง
ดูแลลูกในท้อง

2. กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย

ควรใส่ใจรับประทานอาหารที่สารอาหารครบถ้วนและดีต่อสุขภาพเท่าที่จะทำได้ ซึ่งหมายความว่าในแต่ละมื้อควร มีอาหารต่อไปนี้ :

  • ผักและผลไม้อย่างน้อยห้าส่วนต่อวัน
  • อาหารจำพวกแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) เช่น ขนมปังพาสต้าและข้าว คาร์โบไฮเดรตจำเป็นต้องมีมากกว่าหนึ่งในสามของสิ่งที่คุณกิน แนะนำว่าถ้าเป็นไปได้ควรบริโภคข้าวกล้องจะดีกว่าข้าวขาวเพื่อให้คุณได้รับไฟเบอร์ในปริมาณที่มากกว่าซึ่งส่งผลดีต่อการขับถ่าย และป้องกันการเกิดท้องผูกได้
  • บริโภคโปรตีนทุกวัน เช่น ปลา เนื้อไม่ติดมัน ไข่ ถั่ว เป็นต้น
  • อาหารจำพวกนม เช่น นม ชีส และโยเกิร์ต
  • ปลาสองส่วนต่อสัปดาห์ โดยอย่างน้อยหนึ่งในนั้นควรเป็นปลาที่อุดมไปด้วยโอเมก้า 3  เช่น ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน หรือปลาแมคเคอเรล

ปลาเต็มไปด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ และกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทของทารก หากคุณไม่ชอบปลาคุณสามารถรับกรดไขมันโอเมก้า 3 จากอาหารอื่น ๆ ได้ เช่น ถั่ว เมล็ดพืช ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง และผักใบเขียว นอกจากนี้ควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ปริมาณน้ำในร่างกายจะเพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์เพื่อช่วยรักษาระดับความดันโลหิตให้แข็งแรง พยายามมีของเหลวประมาณแปดแก้วต่อวัน ซึ่งสามารถรวมถึง นมพร่องมันเนย หรือน้ำผลไม้สด ทุกวัน

3. ทานวิตามินเสริม

ควรทานกรดโฟลิกอย่างน้อย  3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ และเสริมวิตามินดีตลอดการตั้งครรภ์และหลังจากการคลอดแล้ว หากคุณต้องการมีลูกและกำลังวางแผนที่จะตั้งครรภ์ การทานกรดโฟลิก (วิตามินบี) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องสุขภาพของทารกจากความบกพร่องของท่อประสาท (neural tube) ไม่เพียงแค่นั้นโฟลิกยังช่วยป้องกันเรื่องการแท้งบุตร การคลอดก่อนกำหนด ความดันโลหิตสูง และภาวะครรภ์เป็นพิษและยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นออทิสติกในทารกอีกด้วย

นอกจากนี้การเสริมวิตามินดียังมีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงกระดูกของทารกและสุขภาพกระดูกของทารกในอนาคต สำหรับคนที่ไม่กินปลาคุณสามารถทานอาหารเสริมน้ำมันปลาได้ โดยเลือกอาหารเสริมที่มีน้ำมันโอเมก้า 3 มากกว่าน้ำมันตับปลา เนื่องจากน้ำมันตับปลาอาจมีวิตามินเอในรูปแบบเรตินอลซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ของคุณ

ดูแลลูกในท้อง
ดูแลลูกในท้อง

4. ระมัดระวังเรื่องสุขอนามัยของอาหาร

ล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเพิ่งเข้าห้องน้ำเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือจัดการสัตว์เลี้ยงหรือสัตว์อื่น ๆ

ล้างภาชนะและมือของคุณให้สะอาดหลังจากจับเนื้อดิบ เก็บอาหารดิบแยกจากอาหารสำเร็จรูป สุขอนามัยของอาหารเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่คุณกำลังตั้งครรภ์

นอกจากนี้อาหารบางอย่างปลอดภัยกว่าที่จะไม่กินในช่วงตั้งครรภ์ เนื่องจากสามารถกักเก็บแบคทีเรียหรือปรสิตที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพของลูกน้อยได้ เช่น การติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียลิสเทอเรีย แม้ว่าสตรีมีครรภ์จะได้รับผลกระทบจากโรคนี้น้อยมาก แต่ก็อาจส่งผลร้ายแรงได้ เพราะสามารถนำไปสู่การแท้งบุตร ทารกที่ป่วยหนักหลังคลอด

อาหารต่อไปนี้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อ ลิสเทอเรีย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยง:

  • อาหารแปรรูป
  • อาหารแช่แข็ง
  • นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
  • อาหารสำเร็จรูปที่ยังไม่สุก

แบคทีเรียซัลโมเนลลาอาจทำให้อาหารเป็นพิษได้ คุณสามารถรับเชื้อซัลโมเนลลาจากการรับประทานอาหารต่อไปนี้ :

  • เนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ
  • ปลาดิบ หอยดิบ
  • ไข่ดิบ

อาหารที่ทำจากไข่ดิบ เช่น มายองเนสสามารถรับประทานได้หากคุณแน่ใจว่าไข่ที่เป็นส่วนผสใผ่านการพาสเจอร์ไรส์แล้ว Toxoplasmosis คือการติดเชื้อที่เกิดจากปรสิต หายาก แต่อาจส่งผลต่อทารกในครรภ์และนำไปสู่การตาบอดและปัญหาทางระบบประสาท คุณสามารถลดความเสี่ยงในการจับได้โดย:

  • การปรุงเนื้อสัตว์และอาหารสำเร็จรูปให้ละเอียด และหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ผ่านการบ่มเย็น
  • ล้างผักและผลไม้ให้ดีเพื่อขจัดดินหรือสิ่งสกปรก
  • สวมถุงมือเมื่อจัดการขยะแมวและดินในสวน

5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายเป็นประจำมีประโยชน์มากมายสำหรับคุณแม่และลูกน้อย หากทำอย่างเหมาะสมและถูกวิธี

ประโยชน์ของออกกำลังกายอย่างเหมาะสมสำหรับหญิงตั้งครรภ์

  • ช่วยให้คุณรับมือกับการเปลี่ยนแปลงท่าทาง และการเจ็บปวดที่ข้อต่างๆ ระหว่างตั้งครรภ์
  • ช่วยให้คุณมีน้ำหนักในเกณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ
  • ช่วยปกป้องคุณจากภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ เช่น ความดันโลหิตสูง
  • เพิ่มโอกาสในการเจ็บครรภ์คลอด ช่วยให้มีแนวโน้มในการคลอดแบบธรรมชาติ
  • ช่วยให้คุณกลับมามีรูปร่างที่ดีได้เร็วขึ้นหลังการคลอด

การออกกำลังกายที่ดี สำหรับการตั้งครรภ์ ได้แก่ :

  • เดินเร็ว
  • ว่ายน้ำ
  • โยคะ
  • พิลาทิส

แจ้งให้เทรนเนอร์ของคุณทราบเสมอว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ หรือควรเลือกชั้นเรียนที่เหมาะกับสตรีมีครรภ์ หากคุณเล่นกีฬาคุณสามารถเล่นต่อไปได้ตราบเท่าที่คุณรู้สึกสบายใจ อย่างไรก็ตามหากกีฬาประเภทใดประเภทหนึ่งของคุณมีความเสี่ยงที่จะหกล้มหรือกระแทกหรือมีความเครียดมากเกินไปที่ข้อต่อควรหยุด พูดคุยกับพยาบาลผดุงครรภ์หรือแพทย์ของคุณหากคุณไม่แน่ใจ

6. ออกกำลังกายด้วยการบริหารอุ้งเชิงกราน

อุ้งเชิงกรานมีกล้ามเนื้อเหล่านี้รองรับ กระเพาะปัสสาวะ ช่องคลอด และทางเดินด้านหลัง เชิงกรานอาจอ่อนแอกว่าปกติหากอยู่ในช่วงการตั้งครรภ์ เนื่องจากบริเวณเชิงกรานจะมีแรงกดดันมากขึ้น ฮอร์โมนต่างๆ ในการตั้งครรภ์อาจทำให้อุ้งเชิงกรานหย่อนลงเล็กน้อย กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแอทำให้คุณเสี่ยงต่อการเกิดความเครียด  อาการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น คือ ปัสสาวะรั่วเมื่อจาม หัวเราะ หรือออกกำลังกาย การเสริมสร้างกล้ามเนื้อด้วยการบริหารอุ้งเชิงกรานเป็นประจำตลอดการตั้งครรภ์จะช่วยให้อาการไม่พึงประสงค์ต่างๆ ไม่มารบกวน

7. งดแอลกอฮอล์ทุกชนิด

แอลกอฮอล์ทุกชนิด ที่คุณดื่มเข้าไปทารกสามารถรับได้อย่างรวดเร็วผ่านทางกระแสเลือดและรก ไม่มีทางรู้แน่ชัดว่าแอลกอฮอล์ในช่วงตั้งครรภ์ปลอดภัยแค่ไหน นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คุณลดแอลกอฮอล์ในขณะที่คุณคาดหวัง ขอแนะนำให้คุณหลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์โดยสิ้นเชิง สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่สามในไตรมาสแรกการดื่มแอลกอฮอล์สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้ในขณะที่ในไตรมาสที่ 3 อาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารก การดื่มหนัก ๆ หรือเมามายระหว่างตั้งครรภ์เป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อยของคุณ คุณแม่ที่ดื่มหนักเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะให้กำเนิดทารกที่มีความผิดปกติของคลื่นความถี่แอลกอฮอล์ในครรภ์ (FASD) ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาตั้งแต่ความยากลำบากในการเรียนรู้ไปจนถึงความบกพร่องในการคลอดที่ร้ายแรงกว่า

ดูแลลูกในท้อง

8. ลดปริมาณคาเฟอีน

คาเฟอีนมีอยู่ใน กาแฟ ชา โคล่า ช็อกโกแลต และเครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ  ผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำว่าคาเฟอีนมากเกินไปอาจเสี่ยงต่อการมีทารกน้ำหนักแรกเกิดน้อย และเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร แนวทางปัจจุบันระบุว่าคาเฟอีนปริมาณ 200 มก. ต่อวันจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกที่กำลังพัฒนาของคุณ นั่นเท่ากับกาแฟสำเร็จรูปสองแก้ว เช่นเดียวกับแอลกอฮอล์คุณอาจต้องการตัดคาเฟอีนออกไป โดยเฉพาะในไตรมาสแรก ชาและกาแฟไม่มีคาเฟอีน ชาผลไม้ และน้ำผลไม้ล้วนเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย

9. หยุดสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพที่รุนแรงสำหรับคุณและลูกน้อยของคุณ การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อไปนี้ :

  • คลอดก่อนกำหนด
  • น้ำหนักทารกแรกเกิดต่ำกว่าเกณฑ์
  • เกิดปัญหาในการคลอดบุตร
  • กลุ่มอาการ ทารกเสียชีวิตอย่างกะทันหัน (SIDS) หรือ “โรคไหลตายในทารก”

การสูบบุหรี่ยังทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ดังต่อไปนี้:

  • การแท้งบุตร
  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก
  • รกลอกตัวโดยที่รกหลุดออกจากผนังมดลูกก่อนที่ลูกน้อยของคุณจะเกิด

หากคุณสูบบุหรี่ควรหยุดเพื่อสุขภาพของคุณเองและของลูกน้อย ยิ่งคุณเลิกสูบบุหรี่เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี  แม้แต่การหยุดในช่วงสองสามสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์ก็มีประโยชน์ต่อคุณทั้งคู่

10. พยายามพักผ่อนให้เพียงพอ

ความเหนื่อยล้าที่คุณอาจพบเจอในช่วงสองสามเดือนแรกของการตั้งครรภ์ เกิดจากฮอร์โมนการตั้งครรภ์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของคุณในระดับสูง ต่ซึ่งอาจทำให้คุณตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนหรือไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสบายตัว พยายามทำตัวให้ชินกับการนอนตะแคง ในไตรมาสที่สามการนอนตะแคงช่วยลดความเสี่ยงของการคลอดบุตรเมื่อเทียบกับการนอนหงาย หากการนอนหลับของคุณถูกรบกวนในตอนกลางคืนให้พยายามงีบหลับบ้างในตอนกลางวันหรือเข้านอนแต่หัวค่ำ หากเป็นไปไม่ได้อย่างน้อยก็ให้ยกเท้าขึ้นและพยายามผ่อนคลายเป็นเวลา 30 นาที หากอาการปวดหลังรบกวนการนอนของคุณให้ลองนอนตะแคงโดยงอเข่า การใช้หมอนคนท้องหนุนหลังอาจช่วยผ่อนแรงที่หลังได้

นอกจากนี้การออกกำลังกายอาจช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ และสามารถช่วยแก้ปัญหาการนอนหลับได้เช่นกัน ตราบใดที่คุณไม่ออกกำลังกายช่วงใกล้เวลานอนมากเกินไป

หากต้องการผ่อนคลายก่อนเข้านอนให้ลองใช้เทคนิคการผ่อนคลายต่าง ๆ ได้ เช่น :

  • ทำโยคะง่ายๆ
  • ยืดเหยียดเบาๆ
  • หายใจเข้าออกลึก ๆ

ทารกที่มีสุขภาพดีในระหว่างตั้งครรภ์ คืออะไร?

พ่อแม่ทุกคนต้องการมีลูกที่แข็งแรงและพยายามอย่างเต็มที่ แต่บางครั้งการขาดข้อมูลความรู้ที่ดี อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด ดังนั้นการทำความเข้าใจสัญญาณของทารกในครรภ์ที่แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต่อไปนี้คือสัญญาณของทารกที่แข็งแรงในช่วงแรกของการตั้งครรภ์:

1. การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์

ทารกเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน  เมื่อทารกในครรภ์อายุได้ 6 เดือนจะสามารถตอบสนองต่อเสียงผ่านการเคลื่อนไหว ประมาณเดือนที่ 7 ทารกในครรภ์จะตอบสนองต่อสิ่งเร้า เช่น แสงเสียง หรือความเจ็บปวด เมื่อถึงเดือนที่แปดทารกจะเริ่มเปลี่ยนท่าและเตะบ่อยขึ้น จากการศึกษาพบว่าภายในเดือนที่เก้าการเคลื่อนไหวจะน้อยลงเนื่องจากพื้นที่ในครรภ์น้อยลง ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าทารกในครรภ์ของคุณแข็งแรง

2. การเจริญเติบโตเป็นไปอย่างปกติ

มีหลายวิธีในการวัดการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกในครรภ์ แพทย์ของคุณจะทำการอัลตร้าซาวด์เพื่อติดตามสุขภาพและพัฒนาการของทารก โดยทั่วไปทารกในครรภ์จะโตขึ้น 2 นิ้วทุกเดือน ดังนั้นภายในเดือนที่ 7 ลูกน้อยของคุณควรมีความยาว 14 นิ้ว ในไตรมาสที่สามทารกในครรภ์ที่แข็งแรงจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 700 กรัมทุกสัปดาห์ โดยทั่วไปภายในเดือนที่ 9 ทารกในครรภ์จะมีน้ำหนักประมาณ 3 กิโลกรัมและยาว 18-20 นิ้ว ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณของทารกในครรภ์ที่แข็งแรง

3. การเต้นของหัวใจ

หัวใจของทารกจะเริ่มเต้นเมื่อเข้าสู่ ประมาณช่วงสัปดาห์ที่ 5 ของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามการตรวจการเต้นของหัวใจ จะทำได้ง่ายกว่าในช่วงปลายของการตั้งครรภ์ไตรมาสแรกด้วยการตรวจติดตามทารกในครรภ์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อยืนยันสุขภาพหัวใจของลูกน้อย แพทย์ของคุณอาจทำการทดสอบแบบไม่เครียด การทดสอบนี้จะตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ และให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นหากมี อีกทางเลือกหนึ่งแพทย์บางคนอาจนับการเต้นของหัวใจด้วยการสัมผัสท้องของคุณ การเต้นของหัวใจที่ดีต่อสุขภาพของทารก ควรอยู่ระหว่าง 110 ถึง 160 ครั้งต่อนาที

4. ตำแหน่งของทารกในช่วงก่อนคลอด

ในช่วงเดือนที่เก้าของการตั้งครรภ์ การเคลื่อนไหวของทารกจะสิ้นสุดลงหรือน้อยมาก ทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงจะค่อยๆกลับหัวเอาตำแหน่งศีรษะลงและเริ่มเคลื่อนไปทางช่องคลอดเพื่อรอการคลอดแบบธรรมชาติที่ราบรื่น

5. น้ำหนักเพิ่มขึ้น หน้าท้องใหญ่ขึ้น

น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์เป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ที่แข็งแรง เมื่อทารกในครรภ์อายุได้ 12–15 สัปดาห์เมื่อตั้งครรภ์ คุณสามารถขอให้แพทย์ตรวจน้ำหนักของคุณเป็นประจำและแจ้งข้อมูลอัปเดตว่าการตั้งครรภ์ของคุณดำเนินไปตามปกติหรือไม่ หน้าท้องของคุณควรมีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปหลายเดือน

การดูแลเรื่องโภชนาการ สุขอนามัยที่ดีระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากจะช่วยให้คุณแม่มั่นใจว่าจะช่วยดูแลลูกในท้องให้สมบูรณ์แข็งแรงปลอดภัยในช่วงที่ลูกยังอยู่ในครรภ์แล้ว แต่เมื่อลูกของคุณเกิดมา จนเข้าสู่วัยที่สามารถเรียนรู้เข้าใจในเรื่องการให้ความสำคัญต่อสุขภาพ จากการที่คุณพ่อคุณแม่ อาจคอยปลูกฝัง สั่งสอนและทำให้เห็นเป็นตัวเอย่าง เด็กๆ จะ รู้จักการรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์กับสุขภาพ เข้าใจแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้ตัวเองมีร่างกายและสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงทำให้ห่างไกลโรคได้ กล่าวคือ การได้รับการปลูกฝังเรื่องการรักสุขภาพและการปฏิบัติตัวให้ห่างไกลโรคแล้ว เด็กจะมีทักษะด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ติดตัวไปจนพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ได้ไม่ยากเลยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : babycentre.co.uk , mindbodygreen.com , parenting.firstcry.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สุดยอด “อาหารช่วยเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อย”

5 ผลเสียหากให้ลูกต่ำกว่า 2 ขวบกินอาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน !!

สวนน้ำ ที่ไหนดี ? 7 สวนน้ำเครื่องเล่นเยอะ ไปแล้วอยากไปอีก!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกกินแต่นม

แม่กลุ้มใจ! ลูกกินแต่นม ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ต้องแก้ยังไง?

ลูกกินแต่นม – หากลูกวัยวัยเตาะแตะที่บ้าน ไม่ยอมกินอะไรเลยนอกจากนม คุณอาจรู้สึกหงุดหงิดและปวดหัวไม่น้อย การกินนมที่มากเกินไปอาจทำให้พฤติกรรมการกินที่ดีของเด็กๆ แย่ลง หากปล่อยเอาไว้นาน อาจส่งผลทำให้ลูกเป็นเด็กที่กินยาก และเลือกกิน ดังนั้นวิธีที่จะช่วยให้ลูกสามารถกินอาหารต่างๆ มากขึ้นได้แบบทีละขั้นตอนต้องทำอย่างไร วันนี้มาติดตามไปพร้อมกันค่ะ

แม่กลุ้มใจ! ลูกกินแต่นม ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ต้องแก้ยังไง?

“ หนูจะกินนม!” เจ้าตัวน้อยของคุณกำลังตะโกนกรีดร้องขอนมเป็นครั้งที่ 4  จนพ่อแม่ต้องยอมพ่ายแพ้เพราะลูกวัยเตาะแตะของคุณไม่ยอมกินอะไรเลยนอกจากนมคุณและกังวลว่าพวกเขาจะไม่ได้กินอะไรเลย เรื่องนี้คือ ปัญหาใหญ่ของพ่อแม่ที่มีลูกชอบกินแต่นม เป็นความท้าทายขั้นสูงว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้ลูกกินอาหารอื่นๆ ได้มากขึ้น เพราะการดื่มนมที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียในระยะยาวกับตัวเด็กได้ ดังนั้นการช่วยให้ลูกได้ดื่มนมในปริมาณที่พอเหมาะจึงเป็นเรื่องสำคัญ การปรับพฤติกรรมการกินนี้ของลูกเป็นสิ่งที่สามารถทำได้หากพ่อแม่ลงมือปฏิบัติด้วยความอดทน ซึ่งผลสำเร็จสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนค่ะ

ทำไมลูกถึงไม่ยอมกินอาหาร

อย่างที่เรารู้กันว่านมเป็นอะไรที่ที่ดื่มง่าย ซึ่งเด็กๆ ก็รู้เช่นเดียวกับเรา เด็กวัยเตาะแตะบางคนตระหนักดีว่าการดื่มนั้นง่ายกว่าการกินหรือเคี้ยวอาหาร จึงนิยมดื่มนมแทนการกินอาหาร! ลูกของคุณค่อนข้างจะทำในสิ่งที่ง่ายกว่าในการตอบสนองต่อความหิวของพวกเขา นั่นคือการดื่มนมในเวลาที่รู้สึกหิว หากเราตอบสนองความต้องการนี้บ่อยๆ จนลูกเคยชิน ลูกอาจจะมีโอกาสสัมผัสอาหารอื่นๆ น้อยลงเรื่อย ๆ เริ่มจู้จี้จุกจิกมากขึ้น และปฏิเสธอาหารมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็จะปฏิเสธอาหารทุกอย่างที่นอกเหนือจากนม

ยังมีเหตุผลมากมายที่ทำให้เด็กวัยเตาะแตะ กินยาก หรือเรื่องมากเรื่องกิน หนึ่งในนั้น คือโอกาสในการสัมผัสกับอาหารที่น้อยลงเรื่อย ๆ ถ้าเด็กไม่เคยเห็นอาหาร พวกเขาจะไม่กินอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กที่ไม่อยากกินอาหาร ยิ่งไม่เห็นอาหารแข็งก็จะยิ่งกินน้อยลง ตัวอย่างเช่น หากบุตรหลานของคุณไม่เคยเห็นแครอทนึ่ง พวกเขาจะไม่สามารถกินมันได้ จากนั้นครั้งต่อไปที่พวกเขาเห็นแครอทนึ่งพวกเขาจะขอดื่มนมแทน เพราะพวกเขารู้ว่านมมีรสชาติอย่างไร พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่ต้องเคี้ยวมัน และพวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะได้อะไรจากแครอท พวกเขาอาจกลัวแครอทเหล่านั้นด้วยซ้ำ ยิ่งเด็กไม่เห็นอาหารที่พวกเขากลัวนานเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่านั้น จากนั้นพวกเขาจะขออาหารที่คุ้นเคยและชื่นชอบ

ลูกกินแต่นม
ลูกกินแต่นม

มาถึงตรงนี้เราจะมองว่าเป็นเรื่องปกติ ที่เด็กวัยเตาะแตะอาจปฏิเสธการกินอาหาร ซึ่งปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจทำให้เด็กไม่ยอมทานอาหหาร ได่แก่  :

1. ความยากลำบากในการเรียนรู้ที่จะกินอาหารบนโต๊ะอาหาร – มีเด็กวัยเตาะแตะจำนวนมาก ที่ไม่สามารถเปลี่ยนไปรับประทานอาหารแข็งได้หลังพ้นช่วยทารก เด็กบางคนติดอยู่กับอาหารบดอาหารปั่นและยังคงดื่มด่ำกับนมผงสูตรต่างๆ ของพวกเขาต่อไป หากเด็กวัยเตาะแตะไม่เคยเรียนรู้วิธีกินอาหาร พวกเขาก็คงไม่อยากจะกินอะไรนอกจากสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยข่าวดีก็คือ ยังมีวิธีที่เราจะสอนเด็กวัยหัดเดินให้กินอาหารบนโต๊ะหรืออาหาร finger food ได้  แต่ทั้งนี้ต้องใช้เวลา และความอดทนพอสมควร

2. ความไวต่อพื้นผิวสัมผัสของอาหาร – เด็กวัยเตาะแตะบางคนมีความอ่อนไหวต่อพื้นผิวที่แตกต่างกัน จนสร้างข้อจำกัด ที่จะรับเฉพาะในสิ่งที่พวกเขาจะยอมรับได้ (เช่นอาหารกรุบกรอบเท่านั้น) หรือไม่รับอะไรเลย สัญญาณอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าบุตรหลานของคุณมีความรู้สึกไวต่อพื้นผิวคือพวกเขาไม่ชอบยุ่งหรือจะปิดปากเมื่อได้กลิ่น / เห็น / สัมผัส / ชิมอาหาร บ่อยครั้งที่พวกเขาไม่ชอบให้มือสกปรก

3. ลูกยังเคี้ยวได้ไม่ดี – สำหรับผู้ใหญ่อย่างเราๆ การเคี้ยวอาหารคงไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นหรือต้องกังวล  แต่กับเด็กวัยเตาะแตะแล้ว บางคนไม่เคยเรียนรู้ที่จะเคี้ยวให้ดีหรือไม่สามารถเคลื่อนย้ายอาหารไปมาในปากได้ เมื่อเด็กวัยเตาะแตะกำลังดิ้นรนกับสิ่งนี้หรือทักษะการเคลื่อนไหวของช่องปาก พวกเขามักจะมีอาหารหลุดออกจากปาก ปิดปากหลังจากเคี้ยวหรือทำอาหารในปากล่วงหล่นออกมา ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ไม่ดี

4. กินจุบกินจิบทั้งวัน – เนื่องจากพฤติกรรมการกินของเด็กวัยเตาะแตะที่เราพูดถึงข้างต้น การปล่อยให้ลูกวัยเตาะแตะกินอาหารตลอดทั้งวันทั้งขนม นม เนย อย่างอิสระเสรี ส่งผลเสียต่อการกินของเด็กได้มากกว่าที่เราคิด การกินอาหารอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันอาจทำให้เด็กๆ ไม่รู้สึกหิวข้าวเมื่อถึงเวลามื้ออาหารปกติของวัน และบางครั้งจะไม่มีความรู้สึกอยากที่จะเรียนรู้ที่จะกินอาหารใหม่ๆอีกด้วย แต่ทุกคนเชื่อหรือไม่ว่า การทำลายนิสัยการกินจุบกินจิบนี้นี้ ถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการสอนลูกวัยเตาะแตะว่าควรกินอาหารอย่างไร

5. ความผิดปกติทางการแพทย์ – หากไม่มีสาเหตุข้างต้นที่อาจทำให้ลูกไม่ยอมกินอะไรนอกจากนม  อาจเป็นไปได้ว่ามีความผิดปกติทางการแพทย์บางอย่างเกิดขึ้นกับลูก ซึ่งที่พบได้ คือ มีอาการกรดไหลย้อนแบบเงียบ ๆ อาการแพ้ หรืออาจมีเหตุผลทางการแพทย์อื่น ๆ ในการปฏิเสธที่จะกินอาหาร

ทั้งนี้กรดไหลย้อนและอาการแพ้ต่างๆ อาจส่งผลต่อความอยากอาหารหรือทำให้รู้สึกเจ็บปวดในการกิน และยังมีความเป็นไปได้ทางการแพทย์อื่น ๆ อีกมากมายเช่นกัน คุณพ่อคุรแม่ควรตรวจสอบกับกุมารแพทย์หรือนัดหมายโดยตรงกับแพทย์ระบบทางเดินอาหารเด็กเพื่อขอคำปรึกษา หรือรักษาต่อไป

ลูกกินแต่นม

คำแนะนำพ่อแม่ ที่มีลูกกินแต่นม หรือไม่ยอมกินข้าว

ให้ลูกกินนมเป็นเวลา – ควรอนุญาตให้ลูกทานนมพร้อมมื้ออาหารเท่านั้น หรือให้ทานช่วงหลังจากมื้ออาหารไม่นาน

กำหนดเวลามื้ออาหารให้ห่างกัน 2-3 ชั่วโมง – หลีกเลี่ยงการให้ลูกทานขนมของว่าง หรืออาหารอื่น ๆ ในระหว่างวัน ซึ่งนั้นจะทำให้พวกเขารู้สึกหิวและอยากกินมากขึ้น นอกจากนี้การเลือกจุดที่จะให้ลูกนั่งรับประทานอาหารส่วนใหญ่ก็ส่งผลดีได้มากกว่าที่คิด กล่าวคือ ความสม่ำเสมอของการรับประทานอาหารในสถานที่เดียวกันบอ่ยๆ  จะช่วยให้เด็กๆ ปรับตัวเข้ากับกิจวัตรประจำวันได้  ควรนั่งเก้าอี้สูงหรือเบาะนั่งเสริมที่แข็งแรงปลอดภัย

ปล่อยให้ลูกยุ่ง – ใช่นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากแม้ว่าจะสร้างความรำคาญให้กับคุณแม่ที่เหนื่อยล้าเพราะเด็กวัยเตาะแตะต้องสำรวจ และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือหากลูกวัยเตาะแตะของคุณดูเหมือนจะไม่อยากยุ่ง โปรดจำไว้ว่าเราพูดถึงการมีความอ่อนไหวต่อพื้นผิวอย่างไรสิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขาไม่อ่อนไหว ยิ่งพวกเขาเล่นและสัมผัสพื้นผิวที่แตกต่างกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น วิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำเช่นนี้ผ่านการเล่นที่ยุ่งเหยิงหรือช่องทางประสาทสัมผัส

กินข้าวพร้อมหน้ากัน – แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะปฏิเสธที่จะกิน แต่คุณพ่อคุณแม่ควรนั่งลงและกินอาหารพร้อมๆ กับที่ลูกนั่งอยู่ที่นั่น หากเพียงไม่กี่นาที เน้นที่มื้ออาหารเป็นประสบการณ์เชิงบวกแม้ว่าคุณจะคุยกับลูกวัยเตาะแตะเพียงไม่กี่นาทีในขณะที่พวกเขามีอาหารอยู่ในถาดก็ตาม

เปลี่ยนบางสิ่งเพื่อดึงดูดความสนใจ – เมื่อลูกวัยเตาะแตะของคุณไม่ยอมกินอาหารที่คุณวางไว้ตรงหน้า หนึ่งในเทคนิคที่ดีที่สุดในการดึงความสนใจของลูก คือ ในครั้งหน้า อาจหาภาชนะอื่นที่มีสีสันมากขึ้น เพื่อให้ลูกได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการเปลี่ยนมุมมองเล็ก ๆ ของมื้ออาหาร เพื่อเปลี่ยนจุดสนใจจากการปฏิเสธ หรือร้องไห้ อย่างน้อยก็เพื่อสร้างโอกาสในการเปิดรับอาหารของลูกให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : yourkidstable.com , kidseatincolor.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกกินยาก กินแต่อาหารซ้ำซาก เสี่ยงโรค Neophobia

กินนมแม่..แต่..ลูกไม่ถ่าย..แม่ควรกินอะไร?

อาหารเด็กทารก ป้อนอย่างไรไม่ให้ลูกเสี่ยงแพ้อาหาร?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ดูแลทารกแรกเกิด ตัดเล็บ อาบน้ำ ฯลฯ ครบจบในที่เดียว!!

การ ดูแลทารกแรกเกิด หลังคลอดนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ทีมแม่ ABK ขอรวบรวมวิธี ตัดเล็บ อาบน้ำ สระผม ล้างจุ๊ดจู๋ เช็ดตัว เช็ดสะดือ ฯลฯ มาให้แม่มือใหม่ได้ศึกษากันค่ะ

ดูแลทารกแรกเกิด ตัดเล็บ อาบน้ำ ฯลฯ ครบจบในที่เดียว!!

เด็กทารกในช่วงแรกเกิดเป็นช่วงที่ร่างกายยังบอบบางและอ่อนแอมาก เพราะอวัยวะในส่วนต่าง ๆ ของทารกยังบอบบาง มีขนาดเล็กกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่มือใหม่จะต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะอุ้ม จะให้นม โดยเฉพาะการทำความสะอาดลูกน้อย ซึ่งทารกแรกเกิดนั้น มักจะมีจุดที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษ เช่น สะดือ กระหม่อม เป็นต้น

วิธีการดูแลทำความสะอาดลูกน้อยอย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไปนี้ จะช่วยลดความกังวลใจให้กับคุณแม่ก่อนลงมือปฏิบัติจริงได้ …มาดูกันค่ะว่า วิธีทำความสะอาดทารกแรกเกิดที่ถูกวิธีนั้นทำอย่างไรกันบ้าง

วิธีการตัดเล็บลูกให้ปลอดภัย

  1. เตรียมอุปกรณ์ในการตัดเล็บลูกให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็น กรรไกรตัดเล็บทารก ตะไบเล็บเพื่อลดความคมของเล็บลูก สำลีและแอลกอฮอลล์เพื่อล้างกรรไกรตัดเล็บก่อนทำการตัดเล็บลูกทุกครั้ง สำลีหรือทิชชู่ไว้กดเลือดในกรณีที่ตัดโดนเนื้อลูก ครีมหรือโลชั่นสำหรับทาที่เล็บของลูกเพื่อให้เล็บอ่อนนุ่มและตัดได้ง่ายขึ้น นอกจากเตรียมอุปกรณ์ตัดเล็บลูกแล้ว คุณแม่อาจจะหาผู้ช่วยในการหลอกล่อหรือเบี่ยงเบนความสนใจของลูกไปด้วยก็ได้นะคะ
  2. ช่วงเวลาในการตัดเล็บที่เหมาะสมที่สุดในการตัดเล็บลูกคือหลังจากอาบน้ำเสร็จ เพราะเล็บที่โดนน้ำจะอ่อนนุ่มขึ้น และลูกก็ยังอารมณ์ดี สบายตัว ยอมให้ตัดเล็บได้ง่ายขึ้น หรืออาจจะตัดเล็บลูกในช่วงที่ลูกหลับแล้วก็ได้ค่ะ
  3. จัดเตรียมสถานที่ให้พร้อม ควรตัดเล็บลูกในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อให้มองเห็นเล็บของลูกได้ชัดขึ้น
    เลือกใช้กรรไกรตัดเล็บสำหรับทารกโดยเฉพาะ ซึ่งมีการออกแบบขนาดและความคมที่เหมาะสมสำหรับเล็บของทารก
  4. จัดท่าทางในการตัดเล็บลูกให้สะดวกที่สุด จากนั้นใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งจับนิ้วที่จะตัดให้มั่นแต่อย่าเผลอกดแรงจนเกินไป ลูกอาจจะเจ็บและไม่ยอมให้ตัดได้
  5. ควรตัดเล็มเฉพาะส่วนที่ยาวพ้นปลายนิ้วออกมา โดยตัดตรงๆ ไม่จำเป็นต้องตัดโค้งเข้าซอกเล็บ ก่อนตัดสามารถกะระยะในการตัดโดยการใช้กรรไกรตัดเล็บแตะที่เล็บด้านล่างก่อนจนแน่ใจว่าไม่ตัดลึกจนเกินไป ในส่วนของซอกเล็บที่ยังแหลมคมอยู่ ให้ใช้ตะไบเล็บ ค่อย ๆ ลบความคมออก โดยไม่จำเป็นต้องตะไบจนเล็บให้สั้นจนติดเนื้อ

ชมคลิปวิธีการตัดเล็บลูกน้อยได้ที่นี่

บทความที่เกี่ยวข้อง

กรรไกรตัดเล็บเด็ก ใช้แบบไหนดี? เมื่อต้องตัดเล็บลูก

อุทาหรณ์จากหมอ! ตัดเล็บทารก ตัดผิดลูกติดเชื้อในกระแสเลือด

วิธีอาบน้ำทารกแรกเกิด ที่ถูกต้อง

  1. เตรียมน้ำทดสอบอุณหภูมิน้ำไม่ให้เย็นหรือร้อนเกินไป
  2. โดยเริ่มถอดเสื้อผ้าลูก นำตัวลงอ่างน้ำ โดยใช้มือจับที่รักแร้เด็ก ไหล่เด็กพาดบนแขนของแม่ จากนั้นลูบตัวลูกให้เปียกด้วยฟองน้ำหรือผ้าขนหนู
  3. ใช้ทั้งสองมือประคองลูกไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แล้วค่อย ๆ วางลูกลงในอ่างอาบน้ำโดยให้ขาลงก่อน จากนั้นใช้ฟองน้ำ ชุบน้ำบิดพอหมาด ๆ ทำความสะอาดให้ทั่วทั้งตัวและใบหน้า โดยเริ่มจากด้านหน้าและเช็ดจากบนลงล่างเสมอ
  4. กดสบู่แล้วลูบตัวลูกทีละส่วน ตั้งแต่แขน ซอกคอ ลำตัว ขา แล้วล้างฟองสบู่ออกให้หมดจากด้านหลัง เสร็จจากด้านหลังแล้วใช้มืออีกข้างค่อยๆ จับลูกให้อยู่ในท่าคว่ำลง ให้อกพาดที่แขนแม่ แล้วลูบสบู่ให้ทั่วหลัง ก้นและขา
  5. เมื่อถูสบู่ทั่วตัวลูกแล้ว ให้ใช้ผ้าขนหนูหรือฟองน้ำ ล้างสบู่ออกด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด แล้วอุ้มลูกน้อย ขึ้นจากอ่าง เช็ดตัวลูก ซับน้ำให้แห้ง โดยเฉพาะตามซอกคอ ซอกรักแร้ ข้อพับและตามลำตัวส่วนทุกส่วน
  6. ในส่วนของการ สระ (เช็ด) ผม ใช้ผ้าขนหนู ชุบน้ำสบู่ (บิดหมาดเพื่อไม่ให้น้ำสบู่หยดเข้าตาลูก) ลูบผมเบาๆ จากด้านหน้าไปด้านหลัง สักสองครั้ง แล้วเช็ดออกด้วยผ้าชุบน้ำเปล่าบิดหมาดจนสะอาดหมดคราบสบู่

ข้อควรระวัง

  1. อย่าให้ลูกน้อยอยู่ในอ่างอาบน้ำตามลำพังโดยเด็ดขาด
  2. ระวังไม่ให้ระดับน้ำอยู่สูงเกินไป (ไม่เกิน 10 ซมจากก้นอ่าง)
  3. ไม่ควรใส่น้ำร้อนเพิ่มเติมขณะลูกอยู่ในอ่าง

ชมคลิปวิธีการอาบน้ำ สระผมลูกน้อยได้ที่นี่

บทความที่เกี่ยวข้อง การ “อาบน้ำทารกแรกเกิด” ไม่จำเป็นต้องทำทุกวัน

ดูแลทารกแรกเกิด กับการทำความสะอาดหลังขับถ่าย

เด็กผู้หญิง

  1. ใช้กระดาษชำระเช็ดอุจจาระออกให้หมดจากด้านหน้าไปด้านหลัง แล้วจึงคลายผ้าอ้อมออกจากตัวลูก
  2. ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วเช็ดบริเวณหน้าท้อง ขาหนีบ ต้นขาแต่ละข้าง แล้วจึงเช็ดอวัยวะเพศโดยใช้สำลีก้อนใหม่เช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคจากทวารหนักย้อนมาเปื้อนด้านหน้า จากนั้นยกขาขึ้นแล้วใช้สำลีก้อนใหม่เช็ดบริเวณก้นและทวารหนักเป็นตำแหน่งสุดท้าย
  3. เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดสีบ่อย ๆ จากการเช็ดถู แนะนำให้ใช้น้ำสะอาดล้างโดยลูบจากด้านหน้าไปด้านหลังเช่นเดียวกับการเช็ด
  4. ซับขาหนีบให้แห้ง ปล่อยให้ระบายอากาศซักพักจนแห้งสนิท ล้างมือคุณแม่ให้สะอาด อาจทาครีมป้องกันความเปียกชื้นก่อนใส่ผ้าอ้อม ไม่ต้องโรยแป้งทับ
การดูแลทารกแรกเกิด
การดูแลทารกแรกเกิด

เด็กผู้ชาย

  1. ใช้กระดาษชำระเช็ดอุจจาระออกให้หมดจากด้านหน้าไปด้านหลัง แล้วจึงคลายผ้าอ้อมออกจากตัวลูก
    • Trick : แนะนำให้ใช้ผ้าอ้อมปิดที่จุ๊ดจู๋ลูกน้อยไว้ก่อน เพราะระหว่างที่คลายผ้าอ้อม เด็กชายอาจจะมีปัสสาวะพุ่งออกมาได้
  2. ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วเช็ดหน้าท้อง ขาหนีบ ต้นขาในส่วนของอวัยวะเพศให้ทำความสะอาดรอบ ๆ ไม่ต้องเปิดหนังหุ้มปลาย เช็ดใต้อวัยวะรวมทั้งอัณฑะให้ทั่ว
  3. ยกขาทั้ง 2 ข้างเพื่อทำความสะอาดบริเวณก้น ขาหนีบ และรูทวารเป็นตำแหน่งสุดท้าย
  4. ล้างมือให้สะอาด ใช้กระดาษชำระหรือผ้าสะอาดซับให้แห้ง ปล่อยให้ระบายอากาศจนแห้งสนิท แล้วจึงใส่ผ้าอ้อม(อาจใช้ครีมป้องกันความเปียกชื้นทาก่อนใส่ผ้าอ้อม โดยไม่ต้องโรยแป้งทับในส่วนที่ทาครีม)

บทความที่เกี่ยวข้อง ลูกอึเสร็จ ตอนไหน แม่จะรู้ได้ยังไง เมื่อไหร่จะถึงเวลาเปลี่ยนผ้าอ้อม

วิธีเช็ดจมูกทารก

การ ดูแลทารกแรกเกิด จมูกก็เป็นส่วนสำคัญ เพื่อให้ลูกน้อยวัยทารกของคุณแม่หายใจสะดวกและไม่มีเศษน้ำมูกไปอุดตัน คุณแม่จึงควรเช็ดด้านในจมูกของลูกด้วยวิธีการดังนี้

  1. ค่อย ๆ ใช้ปลายคอตตอนบัดเช็ดด้านในส่วนปลายจมูกของลูกโดยถูเบา ๆ ด้านในจมูก เปลี่ยนคอตตอนบัดแล้วเช็ดรูจมูกให้ครบทั้งสองข้าง
  2. หากลูกน้อยมีเศษน้ำมูกแข็งให้คุณแม่ใช้น้ำเกลือหยดลงบนคอตตอนบัดเล็กน้อย แล้วเช็ดที่รูจมูกลูก น้ำเกลือจะช่วยให้น้ำมูกของลูกอ่อนนิ่มขึ้นทำให้เช็ดออกได้ง่าย
  3. หรืออีกวิธีคุณแม่อาจหยดน้ำเกลือลงในจมูก เพื่อให้น้ำมูกอ่อนนิ่มทำให้เศษน้ำมูกติดออกมาที่คอตตอนบัดได้ง่ายช่วยให้จมูกลูกสะอาดและหายใจสะดวกมากยิ่งขึ้นค่ะ

ชมคลิปวิธีเช็ดจมูกให้ลูกเบบี๋ได้ที่นี่

วิธีเช็ดสะดือทารกแรกเกิด

  1. ล้างมือผู้เช็ดให้สะอาด
  2. ใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงสายสะดือขึ้นเบา ๆ แล้วจึงใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% พอชุ่มเช็ดรอบ ๆ สะดือจากด้านในออกด้านนอก
  3. ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ 70% อีกก้อนหนึ่งเช็ดจากโคนสะดือไปยังปลายสะดือ คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะเจ็บหรือปวดท้องนะคะ เพราะว่าบริเวณนี้ไม่มีเส้นประสาทมาเลี้ยง แต่ลูกอาจจะร้องไห้งอแงขณะเช็ดและดิ้นไปมาได้ เพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้รู้สึกเย็นผิวและสะดุ้งตกใจได้
  4. เมื่อเช็ดเสร็จแล้วปล่อยให้แห้งเอง ไม่ต้องใช้ผ้าแห้งซับหรือถู

ข้อควรระวัง

  • ควรเช็ดสะดือทุกวันหลังอาบน้ำจนกว่าสะดือจะหลุด ถ้าสังเกตว่าผิวรอบ ๆ โคนสะดือบวมแดง มีน้ำเหลือง หนอง หรือเลือดซึมมีกลิ่นเหม็น ควรไปพบแพทย์ทันที
  • ห้ามใช้แป้งหรือยาผงโรยสะดือเด็กเด็ดขาด

บทความที่เกี่ยวข้อง 6 ข้อ ห้ามทำกับสะดือทารกแรกเกิด

 

ทำความสะอาดช่องปาก และฟันน้ำนมลูกน้อย

  1. เริ่มจากให้ลูกน้อยนอนเงยหน้าและเห็นช่องปากลูกชัดเจน นำผ้าอ้อมที่มีเนื้อบางนุ่มและสะอาดชุบน้ำต้มสุกอุ่น พันนิ้วชี้ของคุณแม่ไว้
  2. ค่อยๆ เช็ดคราบนมและคราบอาหารในช่องปากลูกน้อยอย่างช้าๆ และเบามือ เช็ดที่ฟันเหงือก ตามด้วยเพดานปาก กระพุ้งแก้ม และเช็ดที่ลิ้น
  3. หากลูกมีฟันขึ้นแล้ว อาจใช้ปลอกนิ้วหรือแปรงฟันเด็กเล็ก แปรงเหงือกและฟันให้ลูกได้ เพื่อช่วยนวดเหงือก และเริ่มให้ลูกคุ้นเคยกับการแปรงฟันค่ะ

สำหรับแม่ท้องที่ลูกน้อยกำลังจะลืมตาดูโลกในไม่ช้า การศึกษาเกี่ยวกับการ ดูแลทารกแรกเกิด นั้นมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากคลอดออกมาแล้ว คุณแม่จะไม่ค่อยมีเวลามาศึกษาในเรื่องนี้ อีกทั้งการไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรบ้าง จะทำให้คุณแม่มือใหม่ทำอะไรไม่ถูกเมื่อลูกร้องไห้

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน ทำความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรค

หมอสูติฯตอบ! คลอดลูก “แบบผ่ากับคลอดเอง” อะไรดีกว่ากัน?

7 ภาพการ์ตูนที่ต้องดู! ก่อนมี “ลูกคนแรก” ทั้งซึ้งและน่ารัก

กินไข่แล้ว แผลผ่าตัดคลอด หายช้า-เป็นรอยนูน..จริงหรือ?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เสี่ยงติดโควิด-19

วิธีเช็กความ เสี่ยงติดโควิด-19 อาการแบบไหนต้องรีบไปตรวจหาเชื้อ

ยิ่งตรวจยิ่งเจอไม่หยุด  ผู้ติดเชื้อคลัสเตอร์ผับ-บาร์ สถานบันเทิงกลางกรุงแพร่ระบาดทั่วประเทศ เกิดคลัสเตอร์ใหม่ๆในหลายวงการจนทำให้หลายโรงพยาบาลเริ่มเต็ม!! โควิดสายพันธุ์ใหม่ ติดง่ายแต่ไม่แสดงอาการ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใคร เสี่ยงติดโควิด-19 บ้าง วิธีสังเกตอาการเมื่อไหร่ควรไปตรวจเชื้อ

ระบาดหนักมาก จะรู้ได้อย่างไรว่าบ้านนี้ เสี่ยงติดโควิด-19 หรือยัง

จากจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ (เมื่อวันที่ 9 เม.ย.64) 559 คน กระจายตัวในหลายจังหวัดทั่วประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะส่วนหนึ่งเป็นเชื้อโควิดสายพันธุ์สายอังกฤษ ที่แพร่ง่าย ติดไว ไม่แสดงอาการ ทำให้ผู้รับเชื้อยังใช้ชีวิตตามปกติ และขยายวงการระบาดกว้างขึ้นเรื่อยๆ และในหลายแวดวง ทั้งข้าราชการ ผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐและเอกชน ตำรวจ บุคลากรทางการแพทย์ ดารา-นักแสดง นักร้อง-นักดนตรี นางแบบ ลิเก นักข่าว ซึ่งส่วนใหญ่มีการพบปะกับผู้คนจำนวนมาก หลายที่ หลายโอกาส ทำให้ยากต่อการสืบสวนโรคและควบคุมการแพร่ระบาด ต่างจากคลัสเตอร์บางแคกับคลัสเตอร์ตลาดกลางกุ้งที่ผ่านมา

เสี่ยงติดโควิด-19

และเมื่อจำนวนผู้เข้ารับการตรวจเชื้อในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑณมากขึ้น จนมีภาพของโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งออกมาประกาศงดรับตรวจหาเชื้อ เพราะเตียงที่เตรียมไว้รองรับผู้ป่วยคิดเต็มแล้ว ทำให้หลายคนเริ่มสงสัยว่าตัวเอง เสี่ยงติดโควิด-19 แค่ไหน ติดเชื้อหรือยัง ต้องรอนานแค่ไหนถึงควรไปตรวจ ทีมแม่ abk มีวิธีสังเกตตัวเองเบื้องต้น พร้อมแบบประเมินมาให้คุณแม่เตรียมพร้อมกันรับมือไปด้วยกันค่ะ

เสี่ยงติดโควิด-19

 

จะรู้ได้อย่างไรว่า เสี่ยงติดโควิด-19 แค่ไหน

ความเสี่ยงติดโควิด-19 มากหรือน้อยต้องดูจากความใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  1. กลุ่มผู้สัมผัสใกล้ชิด หมายถึงคนที่อยู่ใน timeline เดียวกับผู้ติดเชื้อ ได้แก่ เป็นครอบครัวเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกัน พูดคุยกันในระยะ 1 เมตร นานเกิน 5 นาที โดนผู้ป่วยไอหรือจามรด และอยู่ในห้องแอร์ หรือสถานที่ปิดใกล้ชิดกันในระยะ 1 เมตร นานเกิน 15 นาที จากนั้นต้องมาพิจารณาว่าตอนที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยได้ใส่เครื่องป้องกันเช่น หน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้าหรือ face shield หรือไม่

ถ้าไม่ใส่หรือใส่ไม่ถูกต้อง ก็จะถือว่าเป็น “ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง”  จะต้องกักตัว 14  วันและเข้ารับการตรวจเชื้อทันที แต่ถ้าป้องกันตัวเองดีจะยังถือว่าเป็น “ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ” ไม่ต้องกักตัว แต่หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด สวมหน้ากาก และสังเกตอาการจนครบ 14 วัน หากมีอาการผิดปกติให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาเชื้อ

MUST READ: 8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

MUST READ :“พ่อแม่ไปพื้นที่เสี่ยงโควิด” กักตัว 14 วัน ที่บ้านอย่างไร? ให้ลูกปลอดภัย ปลอดเชื้อ!

 

  1. กลุ่มผู้ใกล้ชิดกับผู้สัมผัส เป็นคนอีกกลุ่มที่มีความ เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ลดหลั่นลงมา คือไม่ได้เป็นผู้สัมผัส พบเจอหรือพูดคุยกับผู้ติดเชื้อโดยตรง เพียงแต่ใกล้ชิดกับผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำ ซึ่งไม่ใช่ผู้แพร่เชื้อโดยตรงจึงถือว่ามีความเสี่ยงต่ำมาก สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องกักตัว แต่ต้องป้องกันตัวเองตามมาตรการและหมั่นสังเกตตัวเองตลอด 14 วัน

กรณีที่ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือต่ำตรวจพบว่าติดเชื้อ คนในกลุ่มนี้จะต้องได้รับการตรวจซ้ำอีกครั้งว่ามีเชื้อโควิดในร่างกายด้วยหรือไม่ หากไม่พบเชื้อแต่ก็จะถูกจัดให้อยู่ใน “กลุ่มผู้สัมเสี่ยงสูงหรือต่ำทันที”

3. กลุ่มคนทั่วไป ที่อยู่ในชุมชมเดียวกัน เช่น อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมเดียวกัน อยู่ในจังหวัดที่พบการระบาดน้อย เป็นผู้ที่ไม่มีความเสี่ยงจากผู้ป่วยรายนี้ เพราะไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด แต่ยังต้องยกการ์ดสูง เพื่อป้องกันตัวเอง เพราะอาจมีผู้ติดเชื้อรายอื่นในชุมชน

ดังนั้นหากคุณแม่สังเกตตัวเองแล้วว่าไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ 1  ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือเสี่ยงต่ำก็ยังไม่มีความจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อ แต่เพื่อความมั่นใจมากขึ้น คุณแม่สามารถทำแบบประเมินความเสี่ยง ผ่านระบบออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายได้ นอกจากจะช่วยลดภาระให้กับเจ้าหน้าที่ ประหยัดทรัพยากรอย่างน้ำยา หรืออุปกรณ์ต่างๆแล้ว ยังลดโอกาสเสี่ยงที่จะไปสัมผัสกับผู้ติดเชื้อระหว่างรอตรวจด้วย

เช็กก่อน แบบประเมินความเสี่ยงติดโควิด-19 มากแค่ไหน

สำหรับคุณแม่ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ  สามารถเข้าไปทำแบบประเมินความเสี่ยงด้วยตัวเองได้ที่ BKKCOVID-19 ซึ่งจะเป็นแบบสอบถามเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ใช้คัดกรองผู้เข้ารับการตรวจหาเชื้อ โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ซักประวัติความเสี่ยง 14 วันก่อนเริ่มป่วย เช่น ไปสถานที่เสี่ยง สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรือเข้าข่ายว่าติดเชื้อ

  • วัดอุณหภูมิหรือประวัติว่ามีไข้

  • ประเมินอาการระบบทางเดินหายใจ

เมื่อคุณแม่ทำแบบประเมินแล้วเสร็จ ระบบจะประเมินและจัดกลุ่มว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงระดับใด พร้อมให้ความรู้ในการปฏิบัติตนตามระดับความเสี่ยงนั้น ๆ หากเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง จะมีการจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปให้คำความรู้และประเมินอาการทุกวัน เป็นเวลา 14 วันเพื่อประเมินอาการต่อไป ดังนั้นคุณแม่ต้องกรอกข้อมูลตามจริงเท่านั้นเพื่อเป็นประโยชน์ให้มากที่สุด

เสี่ยงติดโควิด-19

พบว่าเสี่ยงติดโควิด มีสิทธิตรวจที่ไหนบ้าง

หลังการประเมินตัวเองแล้วพบว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นผู้ติดเชื้อโควิด ทุกคนสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ฟรี!! ที่โรงพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่ง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณเตรียมไว้แล้ว สำหรับโรงพยาบาลเอกชนทุกแหล่งสามารถเข้ารับบริการได้ทั้งผู้มีสิทธิ์บัตรทอง บัตรประกันสังคม ข้าราชการ และสิทธิ์สุขภาพอื่นๆ ด้วย

เสี่ยงติดโควิด-19

ใครมีสิทธิ์ตรวจโควิดฟรีบ้าง

1.มีประวัติเสี่ยงในช่วง 14 วัน ก่อนมีอาการ (หรือมีความเสี่ยงอย่างใดอย่างหนึ่ง) ได้แก่ เดินทางจากพื้นที่ระบาด ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนมาจากพื้นที่เสี่ยง หรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อหรือผู้สงสัย

2.มีอาการโควิด-19 ได้แก่ มีไข้อุณหภูมิสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส มีอาการไอ น้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส  หายใจเหนื่อยหอบ

3.เป็นผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่มีประวัติดังนี้ ใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด  แต่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์

ก่อนเข้ารับการตรวจหาเชื้อ ควรล้างมือให้สะอาด ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างจากบุคคลอื่น และควรเดินทางไปสถานที่ตรวจด้วยรถส่วนตัว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นในชุมชม

โควิดรอบแรกเราทุกคนผ่านมาได้แล้ว สงกรานต์ปีนี้ถ้าทุกคนในครอบครัวคงต้องปกป้องกันและกันให้ปลอดภัย ยกการ์ดให้สูง งดการเดินทาง งดเข้าพื้นที่เสี่ยง เชื่อว่าจะผ่านมันไปได้เช่นกัน

ขอบคุณข้อมูล www.bangkokbiznews.com / bkkcovid19.bangkok.go.th / w0ww.nhso.go.th

 

บทความน่าสนใจอื่นๆ 

สสส. แนะวิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

 

8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ต้นตอโควิดระลอกใหม่ อันตรายแค่ไหน แม่ต้องรู้

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

 

แม่นมน้อย

แม่นมน้อย น้ำนมไม่พอ ทำยังไงให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ

แม่นมน้อย – การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับคุณแม่มือใหม่ หลายคนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับการผลิตน้ำนมให้เพียงพอเพื่อให้ทารกมีสุขภาพดีซึ่งแตกต่างจากการให้ลูกดูดขวดตรงที่สามารถบอกได้ว่าลูกได้รับนมมากแค่ไหน ดังนั้นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมบางคน อาจไม่แน่ใจว่าลูกได้รับนมมากน้อยเพียงใด นั่นอาจทำให้คุณแม่มือใหม่ มีคำถามต่างๆ เกิดขึ้น เช่น นมแม่เพียงพอหรือไม่? ทารกจะได้รับสารอาหารเพียงพอหรือเปล่า?  วันนี้เรามาหาทางออกกับปัญหานี้ไปพร้อมกันค่ะ

แม่นมน้อย น้ำนมไม่พอ ทำยังไงให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกระบวนการในการผลิตน้ำนมของคุณแม่มือใหม่กันก่อนค่ะ

ร่างกายแม่ผลิตนมอย่างไร?

ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ร่างกายของคุณจะเริ่มเตรียมพร้อมกับการต้องให้นมบุตร โดยจะมีการพัฒนาเนื้อเยื่อและต่อมที่จำเป็นในการผลิตน้ำนม และเพิ่มจำนวนท่อน้ำนมในเต้านมของคุณ ในตอนท้ายของไตรมาสที่สองร่างกายของคุณจะเริ่มพร้อมต่อการให้นมบุตรได้

เมื่อลูกน้อยของคุณคลอดออกมา ฮอร์โมนที่เรียกว่าโปรแลคตินจะกระตุ้นการผลิตน้ำนมและฮอร์โมนออกซิโทซินจะทำให้เซลล์กล้ามเนื้อเล็ก ๆ ในเต้านมหดตัวและขับน้ำนมออกมา ระดับโปรแลคตินของคุณจะเพิ่มขึ้นและมีการผลิตน้ำนมมากขึ้นตามวัฏจักรของอุปสงค์และอุปทานที่ต่อเนื่อง กล่าวคือ ยิ่งทารกดูดนมจากเต้าของคุณมากเท่าไหร่เต้านมจะตอบสนองโดยการผลิตน้ำนมให้มากขึ้น

สาเหตุที่ทำให้แม่มือใหม่น้ำนมน้อย

อาจยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนไม่ได้ว่าสาเหตุใดที่ทำให้คุณแม่บางคนผลิตน้ำนมได้น้อย  แต่สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่ :

  • มีการเสริมอาหารให้ลูก หากเพิ่มอาหารอื่นๆ ให้ลูก นอกเหนือจากนมแม่ ลูกอาจกินนมจากเต้าน้อยลง ซึ่งจะทำให้เต้านมของคุณผลิตน้ำนมน้อยลงนั่นเอง
  • ความถี่การให้นมลูก การยืดเวลาระหว่างมื้ออาหารออกไป (เช่นสี่ชั่วโมง) อาจจะง่ายกว่าสำหรับคุณแม่มือใหม่ แต่อาจหมายความว่าเต้านมของคุณจะไม่ได้รับการกระตุ้นที่จะผลิตน้ำนมในปริมาณที่เพียงพอ ตัวอย่างเช่น ลูกน้อยของคุณใช้เวลาในการนอนหลับนานเกินไป
  • ระยะเวลาในการให้นม หากคุณให้ลูกได้ดูดเต้า เช่น ข้างละ 5 นาทีในแต่ละเต้า ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยให้ลูกน้อยของคุณได้รับน้ำนมส่วนหลังที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่เต้านมของคุณจะไม่ได้รับการระบายน้ำนมออกอย่างเพียงพอ และหากไม่มีการขับน้ำนมออกอย่างเพียงพอก็จะไม่มีการกระตุ้นให้ผลิตน้ำนม
  • ทารกติดจุกหลอก สำหรับทารกบางคน เวลาที่ใช้ในการดูดจุกนมหลอกหมายถึงเวลาของการดูดนมจากเต้น้อยลง การดูดนมน้อยลงอาจหมายถึงการผลิตน้ำนมน้อยลงนั่นเองค่ะ
แม่นมน้อย
แม่นมน้อย

สัญญาณบ่งบอกว่าลูกน้อยของคุณได้รับนมเพียงพอ

แม้ว่าจะยากที่จะบอกว่าน้ำนมออกมาจากเต้ามากแค่ไหนเว้นแต่คุณจะปั๊ม แต่ก็มีสัญญาณหลายอย่างที่สามารถบ่งบอกว่าลูกน้อยของคุณได้รับนมเพียงพอ

  • ดูจากการอุจจาระ หากคุณเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กอย่างน้อยสามถึงสี่ชิ้นที่เต็มไปด้วยอุจจาระสีมัสตาร์ดขนาดใหญ่ทุกวันเมื่อเขาอายุ 5 ถึง 7 วันลูกน้อยของคุณจะได้รับนมเพียงพอ และเมื่อลูก อายุ 2 ถึง 3 เดือน คาดว่าอัตราดังกล่าวจะลดลงเหลือวันละ 1 ครั้ง หรือแม้แต่วันเว้นวันนั่นก็หมายความว่าเขาได้รับนมเพียงพอ
  • ดูจากปัสสาวะ  หากผ้าอ้อมเด็กเปียกทุกครั้งที่เปลี่ยน (อย่างน้อยหกครั้งต่อวันในช่วงเดือนแรก ๆ ) แสดงว่าคุณมีน้ำนมมากพอ
  • สีของปัสสาวะ  ถ้าฉี่ของทารกมีสีเหลืองอ่อนหรือไม่มีสี แสดงว่าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอ
  • ลูกน้อยของคุณกลืนน้ำลายระหว่างดูดเต้า นั่นเป็นสัญญาณว่าน้ำนมแม่กำลังจะลดลง แต่หากทารกไม่มีอาการดังกล่าว แต่น้ำหนักตัวยังคงเพิ่มขึ้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลเช่นกัน
  • อาการของทารกหลังการให้นม  หลังอาหารมื้อใหญ่ ผู้ใหญ่อย่างเรายังมีอาการง่วง เช่นเดียวกัน  หากลูกน้อยของคุณร้องไห้และงอแงมากหลังจากการให้นมบุตรอาจหมายความว่าเขายังคงหิวอยู่ อย่างไรก็ตามโปรดทราบว่าเขาอาจจะงอแงด้วยเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับความหิว เช่น ผ้าอ้อมเต็ม ปวดท้อง หรือจุกเสียดท้อง โดยทั่วไปหากลูกน้อยของคุณตื่นตัวและมีสุขภาพโดยรวมที่ดีคุณก็ไม่มีอะไรต้องกังวล
  • ลูกน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงปริมาณน้ำนมที่ดีไปกว่าทารกมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4 ถึง 7 ออนซ์ ต่อสัปดาห์ สิ่งนี้บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าลูกได้รับนมเพียงพอ (แม้ว่าเด็กทารกจำนวนมากจะลดน้ำหนักทันทีหลังคลอดและอาจอยู่ต่ำกว่าน้ำหนักแรกเกิดในช่วงเจ็ดถึง 10 วันแรก)

สัญญาณบ่งบอกว่าลูกน้อยอาจได้รับนมไม่เพียงพอ

ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดของปัญหานี้ คือ ทารกน้ำหนักไม่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ทารกส่วนใหญ่น้ำหนักค่อยๆ ลดลงหลังคลอด ทารกที่มีอายุครบกำหนด น้ำหนักไม่ควรลดลงเกิน 7 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักแรกเกิดในช่วงสองสามวันแรกหลังคลอด  อย่างไรก็ตามการลดน้ำหนักที่มากขึ้นเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องปกติได้เช่นกัน

เมื่ออายุได้ 10 วัน ทารกควรกลับมามีน้ำหนักใกล้เคียงน้ำหนักเมื่อตอนแรกเกิด และเริ่มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4 ถึง 7 ออนซ์ ต่อสัปดาห์ หากลูกน้อยของคุณน้ำหนักไม่เพิ่มหรือน้ำหนักลดลงนั่นแสดงว่าเขาได้รับนมไม่เพียงพอ

มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการลดน้ำหนักชั่วคราวในทารกแรกเกิดหลังคลอดอาจทำให้คุณแม่คิดว่าคุณแม่เองผลิตน้ำนมไม่เพียงพอ และอาจมีการเริ่มให้นมเสริมทันทีซึ่งสิ่งนี้อาจนำไปสู่ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับการผลิตน้ำนมของแม่ได้

แม่นมน้อย

แม่น้ำนมน้อยแก้ปัญหาอย่างไร?

พูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพ กุมารแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการให้นมบุตรโดยเร็วที่สุด หากคุณกังวลว่าคุณจะผลิตน้ำนมไม่เพียงพอ หรือหากน้ำหนักตัวของทารกเพิ่มขึ้นช้ากว่าที่คาดไว้ นอกจากนี้ ยังมีแนวทางที่คุณสามารถปฏิบัติตามทำได้เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมของคุณ

วิธีเพิ่มปริมาณน้ำนม

  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณให้นมทารกได้ถูกต้องตามคำแนะนำเกี่ยวกับท่าให้นม และเคล็ดลับในการเข้าเต้าที่ดี
  • ปล่อยให้ลูกดูดเต้าจนอิ่มทุกครั้ง (อย่าสนใจมองนาฬิกามากนัก)
  • เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตามความต้องการของลูก (ทุกสองถึงสามชั่วโมงในช่วงเดือนแรก) อย่ายึดติดกับตารางเวลาที่เข้มงวด
  • การไม่ให้ทารกนอนคว่ำเป็นหนึ่งในพื้นฐานด้านความปลอดภัยในการนอนหลับของทารก แต่สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ สิ่งที่ควรรู้คือ  การนอนคว่ำ หรือหากเต้านมถูกกดทับเป็นประจำในตอนกลางคืนอาจทำให้การผลิตน้ำนมช้าลงได้
  • หลีกเลี่ยงการเสริมด้วยสูตรอาหารเว้นแต่แพทย์ของคุณเห็นว่าจำเป็นสำหรับทารกในการเพิ่มน้ำหนักและควรจำกัดการใช้จุกนมหลอก
  • พิจารณาการปั๊มนมระหว่างการให้นมหากคุณสามารถทำได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการผลิตน้ำนมได้
  • ขยันปั๊มนมเก็บสต๊อกไว้ จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมของคุณได้ เช่น  ปั๊มออกวันละประมาณหนึ่งชั่วโมง (เช่นปั๊ม 20 นาทีแล้วพัก 10 จากนั้นปั๊ม 10 แล้วพัก 10 และอื่น ๆ ) วิธีนี้อาจใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่  คุณแม่ที่อ่อนเพลีย และขาดโภชนาการที่ดี อาจไม่สามารถผลิตน้ำนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอเสมอ

ปัญหาน้ำนมน้อยเป็นปัญหาที่พบบ่อยในบรรดาคุณแม่มือใหม่ที่ตตั้งใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ค่ะ ดังนั้นหากคุณแม่กำลังกังวลใจอยู่ อย่างน้อยคุณก็ไม่ได้โดเดี่ยว ยังมีคุณแม่อีกมากมายหลายล้านคนที่ประสบปัญหาเดียวกันและทุกข์ใจกับปัญหานี้ อย่างไรก็ตามการได้พูดคุยกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการให้นมบุตรเป็นสิ่งที่จะช่วยคลายความกังวลและหาทางออกให้คุณได้ค่ะ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นอกจากจะเป็นการสานใยรักระหว่างแม่กับลูกได้เป็นอย่างดีแล้ว การที่ทารกได้ทานนมแม่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพของเด็กอย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยคุณประโยชน์หลายประการในน้ำนมแม่ที่ส่งผลโดยตรงต่อทารก หลายคนตั้งใจจะให้ลูกได้กินนมแม่ให้นานที่สุดเพื่ออยากให้ลูกน้อยมีสุขภาพร่างกายและสติปัญญาที่สมบูรณ์แข็งแรง แต่อย่างน้อยถ้าหากคุณแม่สามารถให้ลูกดูดเต้าได้จนถึงอายุ 6 เดือน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วค่ะ ทั้งนี้ เมื่อลูกค่อยๆ โตขึ้นเข้าสู่วัยเตาะแตะ คุณแม่สามารถปลูกฝังถึงความสำคัญของการใส่ใจในสุขภาพเพื่อให้ลูกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมวัยได้หลายวิธี ทั้งการสนับสนุนเรื่องโภชนาการ การออกกำลังกาย การให้ลูกได้มีกิจกรรมต่างๆ เพื่อการพัฒนากระดูก กล้ามเนื้อ และสมอง เมื่อเด็กๆ ได้รับการปลูกฝังในเรื่องนี้ตั้งแต่ยังเล็ก ก็มีแนวโน้มที่จะมีทักษะความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเด็กยุคนี้ได้แน่นอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : whattoexpect.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

5 เคล็ดลับเด็ดสู่การ “ปั๊มนมเกลี้ยงเต้า” มีน้ำนมแม่ให้ลูกกินได้นาน

คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

3 สเต็ปพร้อม…ก่อนแม่กลับไปทำงาน หมดปัญหาไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เทคนิคสยบ ลูกร้องไห้ ทารกร้องไห้ได้ทั้งวัน ปกติไหม?

ลูกร้องไห้ – หลังจากที่คุณแม่ให้นมลูกแล้ว จัดการเปลี่ยนผ้าอ้อมก็แล้ว แต่ลูกของคุณยังคงร้องไห้แบบไม่มีทีท่าจะสงบลงง่ายๆ และดูเหมือนว่าคุณต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันหรือทั้งคืนในการจัดการกับปัญหานี้อยู่บ่อยๆ  เชื่อว่า เรื่องนี้คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้แม่มือใหม่เครียดไม่มากก็น้อย แน่นอนว่าการร้องไห้เป็นทักษะการสื่อสารเพียงอย่างเดียวที่ทารกแรกเกิดจะทำได้ ทารกอาจร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่สามารถเข้าใจได้ตั้งแต่แรกว่าทำไมลูกถึงอารมณ์เสีย ทว่าการถอดรหัสความหมายการร้องไห้ของลูกก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป เพื่อช่วยให้ลูกน้อยของคุณสงบลงได้ เราลองมาดูสาเหตุที่พบบ่อยที่ทำให้ทารกร้องไห้ และวิธีปลอบลูกน้อยของคุณเพื่อให้คุณคลายความเครียดลงได้กันค่ะ

เทคนิคสยบ ลูกร้องไห้ ทารกร้องไห้ได้ทั้งวัน ปกติไหม?

ทำไมลูกถึงร้องไห้?

คำถามคลาสสิคที่มีมาทุกยุคทุกสมัย คงไม่พ้น คำถามว่า ทำไม่ลูกถึงร้องไห้ไม่หยุด? ลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า? เพื่อช่วยให้รู้สาเหตุที่ทำให้ลูกร้องไห้ อาจต้องลองเช็คในเรื่องต่างๆ ต่อไปนี้ ที่อาจอยู่เบื้องหลังการร้องไห้ของลูก ได้แก่ :

  • ความหิว ควรให้นมลูก หรือให้ลูกดูดขวดทุกสองสามชั่วโมง หรือ 8 ถึง 12 ครั้ง ในช่วง 24 ชั่วโมง หากลูกน้อยของคุณร้องไห้ก็เป็นโอกาสดีที่ลูกจะพร้อมกินนมอีกครั้ง หมั่นสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกถึงความหิวของลูก เช่น การตบริมฝีปาก เอามือปิดหรือแตะปากตัวเอง เป็นต้น
  • ลมและแก๊สในทางเดินอาหาร การกินนมสามารถดักอากาศให้เข้าไปในท้องของทารกทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดไม่สบายท้องได้ วิธีแก้ไข คือ ต้องให้ลูกเรอหลังกินนมทุกครั้ง โดยตบที่หลังเบา ๆ หรือใช้วิธี อุ้มลูกเรอ
  • ผ้าอ้อมเปียกหรือสกปรก คงไม่มีใครอยากนั่งในกางเกงในที่เต็มไปด้วยฉี่หรืออึ เด็กทารกใช้ผ้าอ้อมจนเปียกได้มากกว่าหกชิ้นต่อวันดังนั้นควรตรวจดูก้นเล็ก ๆ ของลูกบ่อยๆว่าแห้งสบายดีหรือไม่
  • ความเหนื่อยล้า ตั้งแต่วันที่หนึ่งถึงเดือนที่สาม ทารกแรกเกิดจะนอนหลับประมาณ 14 ถึง 17 ชั่วโมงเต็มวัน ควรแน่ใจว่าลูกของคุณได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่
  • จุกเสียดจากการร้องไห้ การร้องไห้มากเกินไปอาจทำให้จุกเสียดในท้องได้ – สอบถามกุมารแพทย์หากคุณกังวลว่าลูกร้องไห้มากเกินไปจนอาจเกิดอาการจุกเสียด
  • เบื่อหน่าย ใช่ค่ะ เด็ก ๆ อาจเบื่อที่จะนั่งมองฉากเดิมๆ  ในที่เดิม การขจัดความเบื่อหน่ายของลูก คุณอาจพาลูกไปนั่งเก้าอี้โยกกับคุณ ไปยืนข้างหน้าต่าง ออกไปเดินเล่น หรือเดินเล่นจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งก็ได้แล้วแต่ความสะดวกค่ะ
  • รู้สึกถูกรบกวน ลูกน้อยของคุณควรได้พักผ่อนและได้รับการกล่อมจากคุณอย่างเงียบ ๆ ในที่สงบ ห่างจากผู้คนและเสียงรบกวน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดูดจุกหลอกก็ช่วยบรรเทาความรู้สึกถูกรบกวนได้บ้าง หรือคุณอาจลองห่อตัวลูกด้วยผ้าห่มเบา ๆ เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและสบายตัว
  • ร้อน – หรือหนาว เกินไป  การสวมเสื้อผ้าที่หนาเกินไปอาจทำให้ลูกอึดอัด หรือ สวมเสื้อผ้าบางเกินไปท่ามกลางอากาศเย็นก็ทำให้ลูกไม่สบายตัว และเป็นที่มาของการร้องไห้ได้
  • ความเจ็บป่วย บางครั้งการร้องไห้ก็เป็นตัวบ่งชี้ว่าลูกน้อยของคุณอาจกำลังไม่สบายได้ ดังนั้นควรปรึกษากุมารแพทย์ หากคุณสงสัยว่าลูกอาจมีไข้ หรือมีอาการใดๆ ที่ผิดปกติ
ลูกร้องไห้
ลูกร้องไห้

จะทราบได้อย่างไรว่าลูกร้องไห้แบบไหนผิดปกติ?

การร้องไห้เป็นเรื่องปกติสำหรับทารกในช่วงแรกของชีวิต แต่สำหรับพ่อแม่แล้ว ขั้นต่อไปที่ยากขึ้น คือ การหาว่าเสียงร้องของลูกที่ได้ยินนั้นมีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร เพราะลูกอาจกำลังเผชิญกับความหิว ความเหนื่อยล้า และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้อยู่อีกมากมาย

เมื่อคุณสามารถรับรู้ และแยกแยะได้ว่าเสียงร้องแต่ละประเภทเป็นอย่างไร คุณจะรู้ว่าเสียงร้องไห้ที่คุณได้ยินน่าจะเป็นเรื่องปกติหรือไม่ อย่างไรก็ตามการกรีดร้องที่รุนแรงมากขึ้นอาจบ่งบอกถึงความผิดปกติได้ หากลูกของคุณร้องไห้มากเกินไปแม้ว่าคุณจะจัดการด้วยวิธีต่างๆ แล้วให้รีบปรึกษาแพทย์ เพราะลูกอาจต้องได้รับการประเมินอย่างละเอียดเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติใดๆ ทางการแพทย์เกิดขึ้น หากแพทย์สงสัยว่าลูกมีอาการจุกเสียด พวกเขาสามารถแนะนำสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยลูกของคุณ

นอกจากนี้การร้องไห้ที่เหมือนเสียงครวญเบา ๆ อาจหมายความว่าลูกน้อยของคุณไม่สบาย และไม่สามารถรวบรวมกำลังได้เพียงพอที่จะร้องไห้ออกมาให้เสียงดังได้ กรณีนี้ควรโทรหาแพทย์เพื่อบรรยายอาการของลูกน้อย และเรียนรู้วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาอาการเจ็บป่วยของลูก แพทย์อาจแนะนำให้คุณพาลูกของคุณไปตรวจสุขภาพอย่างละเอียดต่อไป

อาการ โคลิค กับ การร้องไห้ปกติ

กฎสามส่วนเป็นวิธีที่ดีในการพิจารณาว่าลูกน้อยของคุณอาจมีอาการจุกเสียดหรือไม่ ทารกที่ร้องไห้มากกว่าสามชั่วโมงต่อวันเป็นเวลานานกว่าสามวันต่อสัปดาห์ในช่วงสามสัปดาห์อาจมีอาการโคลิค สอบถามแพทย์หากคุณไม่แน่ใจว่าการร้องไห้ของลูกคุณในตอนนี้ถือว่ามากเกินไปหรือไม่

สัญญาณของอาการโคลิคอีกอย่างหนึ่ง คือ การร้องไห้ซึ่งเหมือนกับเสียงกรีดร้องมากกว่า และมักเกิดขึ้นในช่วงบ่ายหรือเย็นครั้งละหลายชั่วโมง

แม้ว่าจะไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจน ของคำว่า “การร้องไห้ปกติ” แต่ก็มีแนวโน้มว่าเป็นการร้องไห้ที่คุณสามารถเข้าใจได้ และสามารถระงับได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่าง เช่น เสียงร้องที่เป็นจังหวะเสียงต่ำ พร้อมกับเสียงดูดหรือเสียงตบปากอาจบ่งบอกถึงความหิว ในขณะที่เสียงร้องโหยหวนอย่างต่อเนื่องที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ อาจหมายความว่าทารกของคุณกำลังเหนื่อยล้าหรือไม่สบายตัว

ลูกร้องไห้

วิธีปลอบโยนเมื่อลูกร้องไห้

เมื่อคุณตัดสาเหตุต่างๆ ที่ชัดเจนแล้วว่าอาจทำให้ลูกน้อยของคุณร้องไห้ได้ เช่น ท้องว่าง ผ้าอ้อมเปียก หรือนอนหลับมากเกินไป และกุมารแพทย์ มีความเห็นว่าลูกไม่ได้มีอาการป่วยให้ลองใช้เทคนิค ต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้ลูกสงบและรู้สึกดีขึ้น

  • ใช้ผ้าห่อตัวลูก การห่อตัวที่แสนสบายในผ้าห่ม ช่วยให้เจ้าตัวน้อยของคุณรู้สึกปลอดภัย การห่อตัวจะช่วยปลอบประโลมทารกเพราะมันทำให้รู้สึกสบายตัวเหมือนอยู่ในครรภ์ พ่อแม่หลายคนพบว่าการห่อตัวช่วยให้ทารกนอนหลับได้เร็วขึ้นและนอนหลับได้นานขึ้นอีกด้วย
  • กระตุ้นการดูด ทารกมักจะปลอบตัวเองด้วยการดูดแม้ไม่ได้รับสารอาหารใดๆ ที่จะทำให้ท้องอิ่ม แต่การดูดไปเรื่อยๆ จะทำให้พวกเขาสงบลง หากลูกน้อยของคุณกำลังร้องไห้ให้ช่หานิ้วโป้ง กำปั้น หรือจุกหลอก ให้ลูกดูด ก็เป็นเคล็ดลับในการบรรเทาการร้องได้เช่นกัน แต่วิธีนี้ควรรอจนกว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ดีก่อน
  • ลองใช้เป้สะพายหลัง การวางลูกน้อยของคุณในเป้อุ้มและเดินไปรอบ ๆ เป็นวิธีที่ดีในการปลอบประโลมลูกที่ดี ทารกจะเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกใกล้ชิดและสัมผัสได้ถึงจังหวะการก้าวของคุณ
  • เหวี่ยงหรือไกวลูกไปมา  อุ้มลูกน้อยในขณะที่คุณนั่งบนเก้าอี้โยก หรือจะวางลูกไว้ในชิงช้าเด็กที่มีมอเตอร์แกว่งอัตโนมัติก็ได้เช่นกัน แต่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยของผู้ผลิตเกี่ยวกับข้อจำกัด ด้านอายุและน้ำหนักสำหรับอุปกรณ์เหล่านี้
  • เปิดเสียงที่ฟังสบาย ทารกบางคนสงบลงได้ด้วยเสียงที่ฟังสบาย ที่สะกด และกล่อม พวกเขาให้นึกถึงตอนอยู่ครรภ์ได้
  • ร้องเพลงให้ลูกฟัง ลูกน้อยของคุณไม่รู้หรอกค่ะว่าคุณร้องเพลงเพราะหรือเพี้ยน สิ่งที่ลูกรู้ก็คือ คุณกำลังอาบน้ำให้พวกเขา พร้อมด้วยเสียงเพลงและความรักที่สัมผัสได้ ครั้งต่อไปที่ลูกงอแง ให้ลองร้องเพลงกล่อมเด็ก หรือเพลงอะไรก็ได้ที่คุณชอบ
  • นวด การนวดลูกน้อยของคุณอาจช่วยลูกให้ผ่อนคลายเป็นวิธีที่ดีในการทำให้เสียงร้องของลูกน้อยของคุณสงบลงได้ สามารถทดลองใช้โลชั่นหรือน้ำมันนวดตัวสำหรับเด็กได้ ให้ใช้สัมผัสที่อ่อนโยนหนักแน่น แต่อย่าทำให้ลูกรู้สึกจั๊กจี้
  • เปลี่ยนบรรยากาศ การเคลื่อนไหวอาจเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ลูกต้องการเพื่อสงบสติอารมณ์ รวมทั้งการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็สามารถสร้างความมหัศจรรย์ให้กับเด็กทารกที่ร้องโยเยได้ แสงอากาศและอุณหภูมิรวมถึงสถานที่ท่องเที่ยว เสียงและกลิ่นใหม่ ๆ จะทำให้ทารกคนอารมณ์ดีขึ้นได้รวมถึงคุณพ่อคุณแม่ด้วย
  • สร้างความสนุกสนาน แม้แต่เด็กเล็กก็รู้สึกเบื่อได้ เพื่อให้ลูกน้อยของคุณได้รับความบันเทิงลองบรรยายการกระทำของคุณประกอบไปด้วยเสียงตลก ๆ และการแสดงออกที่มีการเคลื่อนไหว คุณอาจเล่นกับลูกและแสดงให้เห็นว่าของเล่นของลูกสั่นและหมุนอย่างไร

ทำอย่างไรถ้ารู้สึกหงุดหงิดกับการร้องไห้ของลูก

ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย เครียดกับการจัดการปัญหาเรื่องลูกจากการร้องไห้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงควรแบ่งเบาภาระของคุณลงบ้าง โดยการให้คู่ของคุณ ปู่ย่าตายาย หรือพี่เลี้ยงช่วยรับช่วงต่อ และลองให้เวลากับตัวเองบ้าง สิ่งที่ควรระวังเป็นอย่างยิ่ง คือ ไม่ว่าคุณจะหงุดหงิดแค่ไหนแต่สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง คือ การเขย่าตัวลูก การเขย่าอย่างรุนแรง เช่นการเผลอทำด้วยความไม่พอใจ หรืออารมณ์ชั่ววูบ อาจส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะของทารก (AHT) ได้ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าโรค shaken baby syndrome (SBS) แม้ว่าจะเป็นการเขย่าในช่วงสั้น ๆ ก็ตาม การเขย่าอย่างรุนแรงในเด็กอาจทำให้สมองถูกทำลายอย่างรุนแรง หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะเด็กทารกและเด็กเล็กร่างกายยังอ่อนแอมากเป็นพิเศษ

หากคุณรู้สึกเหมือนจะระเบิดอารมณ์ในไม่ช้า ให้วางลูกน้อยของคุณไว้ในเปล และสงบสติอารมณ์อย่างเงียบ ๆ ในห้องอื่น จนกว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้น การหายใจและนับ 1 ถึง 10 การระบายกับคนใกล้ชิด หรือฟังเพลงแบบเบาๆ สบาๆ จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ หากคุณรู้สึกหนักใจและคิดว่าจำเป็นต้องพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณ ให้โทรสายด่วนสุขภาพจิตหรือผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณได้ทันที

ทั้งนี้การที่คุณพ่อคุณแม่ใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ ที่ส่งผลต่อสุขภาพของลูกทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ ย่อมช่วยให้ลูกได้ซึมซับความรู้สึกที่ดีได้ในวัยที่เขาเริ่มรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของคนรอบข้าง ลูกจะเกิดความเข้าใจและตระหนักได้ถึงสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ ใส่ใจห่วงใยในตัวเขา ด้านการให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวที่ช่วยกันเฝ้าระวังดูแลกันและกัน และที่สำคัญ การปลูกฝังให้ลูกได้รู้จักกับการดูแลสุขภาพของตัวเองเมื่อลูกยังเล็ก จะช่วยให้เด็กๆ เกิดทักษะที่สำคัญในการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน ด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ได้อีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : whattoexpect.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกร้องไห้งอแง ทารกร้องแบบไหนเรียกว่าผิดปกติ?

วิจัยเผย! ทารกร้องไห้ เก่งที่สุดพบมากในประเทศนี้…!?

ทารกร้องไห้มีน้ำตาตอนกี่เดือน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกขี้กลัว

เทคนิค คลายปัญหา ลูกขี้กลัว ช่วยลูกปรับตัว ในทุกเหตุการณ์

ลูกขี้กลัว – ความกลัวในสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้สำหรับเด็กๆ ประสบการณ์ชีวิตยังน้อยนัก สำหรับเด็กบางคนความกลัวอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นรบกวนความสุขของชีวิตได้ บางครั้งความวิตกกังวล และความกลัวต่างๆ ของเด็กมักมาในรูปแบบของสถานการณ์เฉพาะที่กระตุ้นให้เกิดความกลัว  โดยความวิตกกังวลจะผ่านไปก็ต่อเมื่อพวกเขาอยู่ห่างจากตัวกระตุ้นเหล่านี้  หากตอนนี้คุณสงสัยว่าลูกของคุณอาจเป็นโรควิตกกังวลต่อสถานการณ์ต่างๆ และไม่รู้จะช่วยเหลือลูกได้อย่างไร วันนี้เรามีวิธีดีๆ มาแนะนำค่ะ

เทคนิค คลายปัญหา ลูกขี้กลัว ช่วยลูกปรับตัว ในทุกเหตุการณ์

สำหรับเด็กทุกวัย ความวิตกกังวลสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเตือนก่อนล่วงหน้า โดยปกติ เด็ก ๆ จะมีอาการวิตกกังวลเมื่อต้องพบเจอสถานการณ์ใหม่ ๆ หรือเมื่อมีการรับรู้ว่าความเจ็บปวดต่อร่างกายกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า หรือเมื่อลูกกลัวว่าพวกเขาจะต้องแยกจากคุณ  ในกิจวัตรประจำวันต่างๆ ของเด็กสามารถมีสิ่งที่กระตุ้นความรู้สึกกลัวและวิตกกังวลได้เสมอ แม้ว่าคุณจะพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยให้พวกเขาพร้อมสำหรับสถานการณ์ใหม่ๆ ที่ต้องเจอ แต่พวกเขายังอาจรู้สึกวิตกกังวลเล็ก น้อยปานกลางหรือรุนแรงต่อสถานการณ์เหล่านี้ได้ ซึ่งเด็กแต่ละคนก็จะแสดงอาการวิตกกังวลในรูปแบบที่ต่างกันออกไป

การกลัวและกังวลต่อสถานการณ์ต่างๆ มีผลกระทบต่อเด็กอย่างไร?

เด็กที่ทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลในสถานการณ์เฉพาะ จะตอบสนองด้วยความกลัวที่เพิ่มขึ้นต่อสถานการณ์ เหตุการณ์หรือประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงเหล่านั้น บ่อยครั้งที่ความวิตกกังวลนี้มาพร้อมกับอาการทางกายภาพหลายอย่าง เช่น ตัวสั่น เวียนศีรษะ หัวใจเต้นแรง ปวดหัว หรือเหงื่อออก แม้ว่าความกังวลอาจเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการของเด็ก แต่หากเด็กหรือวัยรุ่นยังคงตอบสนองในทางลบต่อสิ่งกระตุ้นเดิม ๆ ก็อาจต้องทนทุกข์ทรมานจากความวิตกกังวลตามสถานการณ์ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างสถานการณ์บางอย่างที่อาจทำให้เด็กเกิดความวิตกกังวลตามสถานการณ์ และเคล็ดลับบางประการเกี่ยวกับวิธีที่คุณสามารถช่วยได้

1. กลัวการเจอหมอ

จากการสำรวจใหม่ของพ่อแม่ 726 คน ของเด็กที่อายุ 2 ถึง 5 ขวบ พบว่า เด็กกว่าครึ่งหนึ่ง มีความกลัวและกังวลต่อการไปพบหมอ กลัวการฉีดยา ฉีดวัคซีน กลัวว่าต้องเจ็บตัว  บางครั้งความกลัวนี้อาจอยู่ได้เกินอายุ 5 ขวบ และอาจรุนแรงขึ้นจนเด็กอาจวิตกกังวลหรือตื่นตระหนกทุกครั้งที่ต้องเข้าพบหมอ หรือแม้แต่เข้าใกล้สถานที่ที่รู้ว่ามีหมออยู่ที่นั่น

วิธีบรรเทา : ตรวจสอบความรู้สึกของบุตรหลานก่อนและระหว่างการเดินทางไปพบแพทย์ แสดงความเห็นอกเห็นใจโดยรับรู้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร บอกให้พวกเขารู้ว่าแม้บางครั้งลูกจะรู้สึกประหม่าเมื่อต้องไปหาหมอ แต่คุณก็ดีใจเสมอที่ไปหาเพราะอยากมีสุขภาพดี หรืออาจบอกว่า หากลูกอย่างแข็งแรงเราก็ต้องอดทน ฉีดวัคซีน เจ็บนิดหน่อยก็หายแล้วนะ เป็นต้น นอกจากนี้ควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปพบหมอครั้งต่อไป โดยบอกให้ลูกทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แม้ว่าจะรวมถึงการฉีดวัคซีนก็ตาม ลองฝึกเทคนิคการฝึกสติ เช่น การหายใจช้าๆ ท่าโยคะที่ผ่อนคลาย หรือทำสมาธิเงียบ ๆ ก่อนเข้าพบคุณหมอ

ลูกขี้กลัว
ลูกขี้กลัว

2. ย้ายบ้านใหม่หรือโรงเรียนใหม่

สำหรับเด็กๆ สถานการณ์ใหม่ที่ต้องพบอาจเป็นเรื่องยากที่จะปรับตัว การย้ายบ้านใหม่ หรือโรงเรียนใหม่ อาจทำให้เด็กรู้สึกวิตกกังวลได้มากมายราวกับว่าทุกสิ่งในโลกช่างไม่คุ้นเคย กลัวการต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ครูคนใหม่ และโอกาสที่จะได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งความวิตกกังวลต่างๆ อาจรบกวนการนอนหลับของพวกเขาได้

วิธีบรรเทา : หากมีการต้องย้ายบ้านหรือย้ายโรงเรียน พยายามช่วยให้บุตรหลานของคุณสร้างกิจวัตรประจำวันรูปแบบใหม่เพื่อการปรับตัวโดยเร็วที่สุด ง่ายๆ เพียงลองเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันบางอย่างให้ลูกได้ฝึกการปรับตัวจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการช่วยให้พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน นอกจากนี้เรื่องการย้ายโณงเรียนใหม่ คุณควรสอนพื้นฐานเรื่องทักษะการเข้าสังคมให้ลูก เพื่อให้ลูกปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ได้ง่าย

3. การพูดในที่สาธารณะและการสอบแข่งขัน

เด็กๆ อาจวิตกกังวลมากเมื่อนึกถึงการพูดในที่สาธารณะ หรือต้องทำแบบทดสอบแข่งขันที่สำคัญ เด็กๆ อาจกลัวคำวิจารณ์ที่มาพร้อมกับการทำอะไรเปิ่นๆ หรือผิดพลาด (ทางกายหรือทางวาจา) ต่อหน้าฝูงชน จนรู้สึกจมอยู่กับความกดดันมากมาย

วิธีบรรเทา : เพื่อช่วยให้เด็กๆ รู้สึกพร้อมสำหรับการพูดหรือการสอบมากที่สุด การซ้อมพูดก่อนวันจริงให้คล่องหรือการให้ลูกได้ลองทำข้อสอบตัวอย่างเป็นวิธีที่จะช่วยให้ลูกพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ต้องเจอได้ดีกว่าการไม่เตรียมพร้อมอะไรเลย นอกจากนี้คุณต้องฝึกให้ลูกมีนิสัยการคิดเชิงบวก เช่น“ ฉันมั่นใจ” หรือ“ ฉันพร้อมแล้ว” คอยย้ำให้ลูกนึกถึงช่วงเวลาที่ประสบความสำเร็จในอดีตที่เคยเกิดขึ้นจากการพูดต่อหน้าสาธารณะชนหรือการสอบแข่งขันที่หนักหน่วง เพื่อให้พวกเขาระลึกถึงช่วงเวลาแห่งความสำเร็จเหล่านี้ได้ เมื่อต้องอยู่ภายใต้แรงกดดัน

4. ความกลัวเฉพาะตัว

เด็กอาจเกิดความกลัวกับสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัว กลัวสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง หรือสถานที่หรือเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับที่เคยทำให้พวกเขากลัว  เช่น กลัวความสูง กลัวความมืด กลัวที่แคบเป็นต้น เด็ก ๆ หลายคนเติบโตขึ้นแต่ประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีอาจฝังใจอยู่ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ได้

วิธีบรรเทา  : พยายามให้ลูกสนใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายและพฤติกรรมของเขาเมื่อต้องเผชิญกับความกลัวหรือความหวาดกลัว เช่น ฝ่ามือที่มีเหงื่อออก หรือตัวสั่น ไม่ใช้การลงโทษที่ทำให้ลูกอับอาย ถามลูกถึงการสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อเกิดความกลัว เพื่อช่วยให้เขาตระหนักถึงการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด จากนั้นสร้างแบบจำลองเทคนิค เช่น การหายใจช้าๆ หรือเบี่ยงเบนความสนใจไปจุดอื่น อย่างไรก็ตามหากความกลัวเฉพาะตัวดูจะมีปัญหามากและแก้ไขได้ยาก ควรพาลูกไปพบจิตแพทย์เด็กเพื่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป

ลูกขี้กลัว

วิธีฝึกให้ลูกหายกลัว และรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ 

ก่อนอื่นต้องช่วยให้บุตรหลานของคุณเข้าใจว่าความรู้สึกวิตกกังวลเป็นเรื่องปกติ และพฤติกรรมหรืออารมณ์ของทุกคนจะเปลี่ยนไปได้  อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าสถานการณ์ที่ทำให้เราไม่สบายใจสามารถทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวลได้อย่างไร และความรู้สึกเหล่านี้อาจทำให้ศีรษะและร่างกายของเราเจ็บปวดได้อย่างไร

อธิบายว่าผู้คน (รวมทั้งตัวคุณเอง) ทุกคนรู้สึกเครียดและวิตกกังวลได้ในบางครั้ง และทุกคนก็รู้สึกแตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น คุณอาจลองพูดว่า“ ฉันไม่ชอบที่จะต้องคุยกับคนใหม่ ๆ เหมือนกัน บางครั้งถ้าฉันรู้สึกประหม่ามือและเท้าของฉันจะมีเหงื่อออกมาก” ช่วยให้ลูกเข้าใจว่าการรู้สึกวิตกกังวลไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติ นั่นเป็นเพียงวิธีที่ร่างกายของเราบอกให้เรารู้ว่าไม่สบายใจเท่านั้น

เมื่อคุณช่วยให้ลูกรับรู้ถึงความวิตกกังวลและปรับความรู้สึกนี้ให้เป็นปกติได้แล้วตอนนี้คุณสามารถช่วยให้ลูกผ่อนคลายได้ ขั้นตอนแรกของคุณคือการพูดคุยกับบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์และพยายามบรรเทาความกลัวด้วยวาจาถ้าเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่นบุตรหลานของคุณอาจรู้สึกกระวนกระวายอย่างมากในห้องรอแพทย์ การพูดคุยกับบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่รบกวนพวกเขาไม่เพียง แต่จะชี้แจงว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร แต่ยังช่วยให้คุณมีโอกาสให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาคาดหวังได้อีกด้วย

หากลูกของคุณยังคงมีอาการวิตกกังวลให้ใช้เทคนิคการลดความเครียดเพื่อช่วยบรรเทาความรู้สึก วิธีการบางอย่างที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเด็ก ได้แก่ การสอนเทคนิคการ ฝึกสติ ให้ลูกเช่น การหายใจช้า ๆ และการส่งเสริมนิสัยที่ดีต่อสุขภาพในการนอนหลับ และโภชนาการ สามารถเตรียมลูกให้พร้อมสำหรับสถานการณ์ที่กระตุ้นความวิตกกังวลในอนาคตได้ ทางเลือกสุดท้ายอาจจำเป็นต้องเดินออกจากสถานการณ์ที่ตึงเครียดแล้วลองใหม่อีกครั้ง

ลูกขี้กลัว

หากลูกของคุณมีอารมณ์ฉุนเฉียวกรีดร้องหรือแสดงอาการตื่นตระหนกควรพาพวกเขาไปยังสถานที่ที่พวกเขารู้สึกปลอดภัย อย่าบังคับให้ลูกทำสิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวโดยไม่จำเป็น เด็กที่กลัวความสูงไม่ควรถูกบังคับให้มองข้ามขอบของโครงสร้างสูง เด็กที่กลัวตัวตลกไม่ควรถูกยัดเยียดให้โพสท่าถ่ายรูปกับตัวตลกที่เขากลัว เด็กที่ได้รับการแทรกแซงแบบบังคับเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะพัฒนาความหวาดกลัวและความไม่พอใจที่ฝังแน่นไปจนโต

ควรสนับสนุนให้บุตรหลานของคุณทำตามขั้นตอนเล็ก ๆ เพื่อเอาชนะความวิตกกังวลในสถานการณ์เมื่อเวลาผ่านไป หากความวิตกกังวลของบุตรหลานรบกวนมากจนไม่สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เหมาะสมและจำเป็นหรือหากเป็นเรื้อรังจนห้ามไม่ให้มีชีวิตทางสังคมที่ดีต่อสุขภาพ ให้ติดต่อกุมารแพทย์ของบุตรหลานเพื่อขอคำแนะนำ

สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณอาจต้องการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ การปฏิเสธที่จะเข้าโรงเรียนของบุตรหลาน การไม่สามารถรักษาพฤติกรรมการนอนหลับที่ดีต่อสุขภาพ ความอยากอาหารที่เปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติ หรือการเปลี่ยนแปลงในการทำงานของจิต ในฐานะพ่อแม่คุณมีอิทธิพลสำคัญที่สุดต่อความสามารถของบุตรหลานในการรับมือกับความวิตกกังวล  จำไว้ว่าทุกสิ่งที่คุณทำในการฝึกฝน และสั่งสอนลูก จะค่อยๆ สร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจให้ลูกของคุณมีภูมิคุ้มกันที่ดีเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ตึงเครียดในอนาคต แล้วเมื่อพวกเขาโตขึ้น ทักษะสำคัญในการใช้ชีวิตในสังคม ที่เรียกว่า ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ) ก็จะติดตัวลูกของเราไปจนพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : childdevelopmentinfo.com , discoverbrillia.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

7 วิธีช่วยลดระดับ ลูกกลัวความมืด

ทำยังไงดี ลูกกลัวของเล่น

สอนลูกให้กล้า ไม่กลัวความล้มเหลว ปูหนทางสู่ความสำเร็จในชีวิต

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

เทคนิค “จับ-จด” เปลี่ยนชีวิต สร้างนิสัยรู้จักคิด หยุด! ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น พ่อแม่จะทำยังไงถ้าไม่อยากซื้อของเล่นให้ลูก ไม่อยากให้ลูกฟุ่มเฟือย และของเล่นลูกต้องเยอะแค่ไหนถึงจะพอ? ผศ.ดร.ปนัดดา มีคำแนะนำมาฝาก

เทคนิค “จับ-จด” เปลี่ยนชีวิต สร้างนิสัยรู้จักคิด
หยุด! ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น ได้ผลชะงัด!

เพราะเด็กๆ กับของเล่นเป็นของคู่กันเพราะงานหลักของเด็กคือการเล่นและการเล่นคือการเรียนรู้ …ซึ่งถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเล่น แต่ไม่อยากซื้อของเล่นให้ลูกจะทำอย่างไร? ไม่อยากให้ลูกฟุ่มเฟือยจะทำอย่างไร? และของเล่นลูกต้องเยอะแค่ไหนถึงจะพอ?

จริงอยู่ว่าสำหรับเด็กๆ แล้วการเล่นนั้นมีประโยชน์มากมาย เพราะจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการเด็กรอบด้านไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านร่างกายอารมณ์จิตใจสังคมภาษากระบวนการรู้คิดและทักษะสมอง EF แต่การเล่นก็อาจเสริมสร้างนิสัยที่ไม่เหมาะสมได้เช่นกันหากเรามองข้ามเรื่องการสอนวินัยกฎกติกาและมารยาทให้กับลูก

Good to know : การฝึกทักษะสมอง EF เพื่อสร้างนิสัยให้ลูกรู้จักคิด Executive Function (EF) คือ การทำงานของสมองด้านการจัดการ ซึ่งมีอิทธิพลต่อความสำเร็จในชีวิต โดยอาศัยกระบวนการทางปัญญา เช่น การยับยั้งความคิด การแก้ปัญหา การวางเป้าหมาย การวางแผนการปฏิบัติ การจดจำ ความยืดหยุ่นทางปัญญา เป็นความสามารถในการควบคุมความคิดตนเอง เช่น มีรูปแบบความคิดที่หลากหลาย การคิดนอกกรอบ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนความคิดและความสนใจตามสถานการณ์ รวมถึงการปฏิบัติตามคำสั่งที่ซับซ้อน

ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

โดยปกติ เวลาเด็กส่วนใหญ่เจอของเล่นก็อยากได้เป็นธรรมดา พฤติกรรมที่เด็กเรียกร้องแล้วร้องไห้ลงไปนอนดิ้นกับพื้นแล้วกรี๊ดก็พบเห็นได้บ่อย คำถามก็คือแล้วทำไมลูกของเราถึงมีพฤติกรรมเช่นนี้ ผู้เป็นพ่อแม่ต้องมองย้อนกลับมาดูว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่ทำให้ลูกมีพฤติกรรมเหล่านี้หรือไม่

ซึ่งส่วนใหญ่พ่อแม่ที่มีลูกน้อยมีพฤติกรรมแบบนี้ มักเกิดคำถามว่าทำไมลูกเราถึงเป็นแบบนี้ ทำไม ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น และพยายามหาวิธีจัดการแก้ปัญหา หรือปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของลูกออกไปให้ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนวิธีคิด จากที่ว่าจะจัดการพฤติกรรมของลูกอย่างไร มาเป็นการปรับพฤติกรรมของตัวเราเองกันก่อน ดังนี้

1. ตรวจสอบตัวเอง

พ่อแม่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราเป็นพ่อแม่ที่มักจะตามใจลูกอยู่เสมอหรือไม่ ลูกอยากได้อะไรก็ไม่ค่อยขัด ถ้าใช่แล้วล่ะก็ต้องปรับตัวเองก่อนว่าจากนี้ไปจะไม่ตามใจลูกพร่ำเพรื่อ ควรจะมีขอบเขตบ้าง บางอย่างก็ต้องขัดใจบ้าง แต่เวลาขัดใจต้องอธิบายให้ลูกฟังด้วยว่าเพราะอะไร เช่น ของเล่นชนิดนี้หนูมีหลายชิ้นแล้ว หรือไม่ก็ต้องบอกว่าลูกมีของเล่นมากแล้ว เราลองเอาของเล่นที่มีอยู่มาปรับเปลี่ยนวิธีเล่น หรือพ่อแม่ก็สามารถร่วมเล่นกับลูกด้วย

ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

2. ต้องใจแข็ง

เวลาเจอเสียงร้องของลูก ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น คนเป็นพ่อแม่มักทนไม่ได้ กลัวลูกไม่รักบ้าง กลัวลูกเสียใจ กลัวลูกไม่มีเหมือนคนอื่น กลัวลูกเสียงแหบ กลัวลูกจะกลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ ฯลฯ เรียกว่ามีเหตุให้กลัวมากมาย และนั่นก็นำไปสู่อาการใจอ่อนกับลูกทุกครั้งเมื่อลูกร้องไห้ แล้วจะไม่ให้ลูกจับทางพ่อแม่ถูกได้อย่างไร เด็กฉลาดกว่าที่เราคิด และมักใช้ความรักของพ่อแม่เป็นเครื่องมือต่อรองอยู่เสมอ ที่สำคัญมักสำเร็จด้วย เพราะเขารู้ว่าจะต้องทำแบบไหนเดี๋ยวพ่อหรือแม่ก็ใจอ่อนเอง

3. ตกลงกันก่อน ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

ทุกครั้งที่จะต้องเดินทางออกนอกบ้านไม่ว่าจะไปที่ไหนทั้งครอบครัว ควรจะพูดคุยกับเจ้าตัวน้อยของเราให้ชัดเจน เช่น เราจะไปห้างสรรพสินค้า จะไปเที่ยวทะเล ไปบ้านญาติ ฯลฯ คุณพ่อคุณแม่ควรจะพูดคุยกับลูกก่อนที่จะไปในสถานที่นั้นๆ เช่นจะไปห้างสรรพสินค้า ก็ควรตกลงกันว่าจะไม่ซื้อของเล่น (อย่าคิดว่าเขาเล็กเกินไปนะคะ) เขารู้เรื่องค่ะ เพียงแต่แรกๆ หนูน้อยอาจจะอยากลองของกันบ้าง ก็บอกเขาว่าเราตกลงกันแล้วนะจ๊ะ ว่าแม่ไม่อนุญาตให้ซื้อของเล่น อย่าใช้อารมณ์ค่ะ พยายามพูดกับลูกดีๆ และต้องยืนยันคำพูดเดิมว่าเราตกลงกันไว้แล้วนะลูก พร้อมกับเตือนตัวเองในข้อสองด้วย

ข้อเท็จจริงที่สำคัญประการหนึ่งเกี่ยวกับการเล่นของลูก คือ การเล่นที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมพัฒนาการนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับของเล่น จำนวนของเล่นและ ราคาของเล่นแต่ขึ้นอยู่กับ กระบวนการเล่นให้เป็นไปตามวินัย กฎ กติกา และมารยาทในการเล่น

ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ต้องเป็นกังวลว่า ของเล่นจะต้องเยอะแค่ไหน ลูกถึงจะมีพัฒนาการที่ดี และการไม่ซื้อของเล่นก็ไม่ได้แปลว่า เราไม่รักไม่ส่งเสริมพัฒนาการให้กับลูก!!!

ในทางตรงกันข้าม การไม่ซื้อของเล่น กลับใช้เป็นการส่งเสริมลักษณะนิสัยให้กับลูกน้อยได้เช่นกัน ซึ่งเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวก นั้นคือ “การหยุดคิดก่อนซื้อ” ด้วยเทคนิคการ “จับจด” ซึ่งมี 2 ขั้นตอนดังนี้ค่ะ

 

  • จับวันพิเศษ

ขั้นตอนนี้คือการทำข้อตกลงกับลูกว่า วันพิเศษที่เราจะอนุญาตให้ลูกซื้อของได้ คือวันอะไรบ้าง เช่น วันสุดท้ายของการสอบ วันเกิด วันคริสต์มาส วันปีใหม่ เป็นต้น เมื่อตกลงได้แล้ว ให้เขียนวันพิเศษในกระดาษ หน้าละ 1 วัน และเหลือพื้นที่เอาไว้เขียนรายการชื่อของเล่นที่ลูกอยากได้

  • จดชื่อของเล่น

ขั้นตอนนี้ คือ ให้ลูกจดชื่อของเล่นที่อยากได้ลงในวันต่างๆ ซึ่งลูกจะต้องเลือกว่าของเล่นชิ้นไหน จะซื้อในวันไหน คุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยกับลูกและให้เขาเลือกได้ว่า ของเล่นที่ไหนที่หนูอยากได้มากที่สุด และอยากได้เร็วที่สุด และหนูลองดูว่า วันพิเศษไหน ที่จะมาถึงก่อนเพื่อน หนูก็จับวันพิเศษนั้น มาจดชื่อของเล่นลงไป และเมื่อถึงวันพิเศษ คุณพ่อคุณแม่ก็ซื้อของเล่นชิ้นที่ลูกจดไว้ให้ลูก

โดยคุณแม่สามารถช่วยลูกจับวันพิเศษและจดชื่อของเล่น ได้ดังนี้

วันสอบ
–  ตุ๊กตาหมี

–  รถไฟของเล่น

วันเกิด
–  บล็อกไม้

–  ตัวต่อเลโก้

วันคริสต์มาส
–  รถของเล่น

–  เครื่องบิน

วันปีใหม่
–  ลูกบอล

–  กลอง

หากว่าลูกยังเล็กคุณพ่อคุณแม่อาจเป็นคนจดรายการของเล่นให้ลูกหรือให้ลูกวาดรูปไว้ก็ได้ค่ะและเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกร้องอยากได้ของเล่นอีกบอกลูกไปเลยค่ะว่า “ได้เลย พ่อ/แม่อยากซื้อให้ หนูไปจับวันพิเศษ มาจดชื่อของเล่นไว้เลย วันไหนมาถึงก่อน พ่อ/แม่ซื้อให้เลย” รับรองว่านอกจากจะช่วยให้ลูกรู้จักหยุดคิดก่อนจะซื้อแล้ว ยังสามารถช่วยลดปัญหาการทะเลาะกับลูกเรื่องไม่ซื้อ ของเล่นให้ลูกหรือการร้องไห้ดิ้นกับพื้นเพราะอยากได้ของเล่นได้อีกด้วยค่ะ

ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น

4. ตักเตือนและเบี่ยงเบน

แม้คุณพ่อคุณแม่จะทำการบ้านมาดี แต่เวลาเด็กเห็นของเล่นแล้ว น้อยคนที่จะบังคับใจตัวเองไม่ให้อยากได้ มันเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจด้วย ไม่ใช่ดุว่าอย่างเดียวว่าตกลงกันแล้วไงว่าไม่ซื้อๆ หน้าตาขมึงเชียว เด็กก็คือเด็ก พ่อแม่ควรเตือนควบคู่ไปกับการปลอบใจว่า “เราตกลงกันแล้วนะลูกว่าจะไม่ซื้อของเล่นในคราวนี้ แม่ว่าเราลองไปดูหนังสือกันไหม” เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของลูกให้ไปสนใจในสิ่งอื่น หรือในสิ่งที่พ่อแม่อยากชักชวนให้ลูกเรียนรู้ร่วมกัน เพราะความสนใจของเด็กยังสั้นอยู่

5. เดินหนี

หาก ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น การเดินหนี ไม่การเดินหนีไปที่อื่น จริงอยู่ว่าโดยปกติเด็กจะจะร้องอยู่สักพัก แต่เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้แน่ๆ เขาจะวิ่งไปหาพ่อแม่เอง แล้วเขาก็จะเรียนรู้ว่าทำวิธีนี้ก็ไม่ได้อยู่ดี ซึ่งส่วนใหญ่คนเป็นพ่อแม่มักจะไม่สามารถผ่านด่านลูกร้องไห้แล้วดิ้นไปได้ สุดท้ายก็เลยกลายเป็นปัญหาทางด้านพฤติกรรมของลูกต่อไป

วิธีการเดินหนีอยากจะให้เป็นหนทางสุดท้าย เพราะเป็นการทำร้ายจิตใจเด็กด้วย และแนวโน้มคนเป็นพ่อแม่ก็มักพลาดพลั้งเพราะทนไม่ได้ที่เห็นลูกร้อง หรือเพราะอายผู้คนก็ตาม ฉะนั้น ถ้ามีการเตรียมรับมืออย่างดีมาก่อนหน้านี้ ก็อาจไม่ต้องมีใครเสียน้ำตา และไม่ต้องมีใครมาเสียใจในภายหลังด้วย

◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊◊

นอกจากการซื้อของเล่นให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่อาจประยุกต์ของเล่นของใช้อื่นที่มีอยู่แล้วในบ้าน มาเล่นให้ได้ประโยชน์เดียวกันทดแทนของเล่นชิ้นใหม่ได้ เช่น อาจนำตัวต่อมาเรียงต่อกัน ให้ลูกเอาไม้ตีแทนการเล่นระนาด หรือ ของใช้ประจำวันของคุณพ่อคุณแม่นำมาประยุกต์เป็นของเล่นให้ลูกเล่น ก็สร้างความตื่นเต้นเสริมสร้างพฤติกรรมเลียนแบบให้สนุกได้ง่ายๆ รวมทั้งการลงมือทำของเล่นด้วยตัวเอง นอกจากจะสร้างคุณค่าทางจิตใจที่ดีของลูกแล้ว คุณพ่อคุณแม่ภูมิใจที่เห็นลูกเล่นสนุกตามไปด้วย

การเล่นและของเล่นของเด็กเป็นเรื่องที่ควรใส่ใจ เพราะจะเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้นในช่วงวัยต่อๆมา เด็กที่ขาดโอกาสในการเล่นอาจทำให้ประสบปัญหาการเรียนรู้และมีพัฒนาการล่าช้าได้ อย่างไรก็ดี เพื่อป้องกัน ลูกงอแง ร้องซื้อของเล่น ของเล่นที่ดีสุดของลูกก็คือคุณพ่อคุณแม่เอง ดังนั้นขอแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่จัดสรรเวลาเพื่อเล่นกับลูกให้มากขึ้นแทนการหาของเล่นเพิ่มขึ้น นอกจากจะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการสมวัยได้อย่างแน่จริงแล้ว ยังเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆอีกด้วย 

ทั้งนี้หลายพฤติกรรมของลูกที่เป็นปัญหามากมาย ผู้ใหญ่มักสรุปว่าเป็นเพราะนิสัยใจคอของเด็ก ลูกชอบเอาแต่ใจ ลูกดื้อ ลูกไม่เชื่อฟัง หรือสอนแล้วไม่จำ แต่แท้จริงแล้วพฤติกรรมที่เป็นปัญหาหลายอย่างของเด็ก ก็บ่งบอกและสะท้อนถึงการถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรด้วย เพราะบางครั้งก็เกิดจากพฤติกรรมของคนเป็นพ่อแม่ค่ะ

บทความโดย : ผศ.ดร. ปนัดดา ธนเศรษฐกร  อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว  มหาวิทยาลัยมหิดล

โควิดสายพันธุ์อังกฤษ

โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ต้นตอโควิดระลอกใหม่ อันตรายแค่ไหน แม่ต้องรู้

ติดง่าย ลามไว ไม่แสดงอาการ โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ทำคนไทยติดเชื้อรายวันเพิ่มหลักร้อยพบเชื่อมโยงคลัสเตอร์ “ผับ-บาร์-สถานบันเทิง” กลางกรุงแล้วร่วม 20 จังหวัด อันตรายแค่ไหน ป้องกันอย่างไร วัคซีนโควิดป้องกันได้หรือเปล่า ไปหาคำตอบกัน

โควิดสายพันธุ์อังกฤษ อันตรายกว่าสายพันธุ์อู่ฮั่นหรือไม่ ป้องกันอย่างไรให้รอดชัวร์

ใกล้ช่วงสงกรานต์เข้ามาทุกที แต่คนไทยกลับต้องตกอยู่ในความกังวลอีกครั้ง เมื่อพบผู้ติดเชื้อโควิดเป็นกลุ่มก้อนจากสถานบันเทิงย่ายทองหล่อ และกระจายตัวไปในคนหลายวงการ หลายอาชีพ และในหลายพื้นที่ของประเทศ จากรายงานของศบค. (วันที่ 8 เม.ย.64) พบมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 405 คนเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 391 คน โดยมีผู้ติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับคลัสเตอร์สถานบันเทิงราว 500 คนใน 20 จังหวัดทั่วประเทศ

โควิดสายพันธุ์อังกฤษ

จากการตรวจสอบพบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน ไม่แสดงอาการผิดปกติเหมือนการระบาดระลอกก่อน ที่สังเกตได้จากอาการ มีไข้สูง จมูกไม่ได้กลิ่น และลิ้นไม่รับรส ภายหลังมีรายงานจากศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ตรวจพันธุกรรม SARS -CoV-2 จากตัวอย่างบางแค และทองหล่อ ด้วยวิธี Specific probe Real Time RT-PCR เพื่อแยกสายพันธุ์อังกฤษ กับสายพันธุ์ปกติ (Wild type) พบว่าสายพันธุ์ที่ระบาดจากคลัสเตอร์ทองหล่อ เป็นเชื้อ โควิดสายพันธุ์อังกฤษ ซึ่งสามารถระบาดได้รวดเร็วขึ้น กว่าสายพันธุ์ปกติ 1.7 เท่า และมีปริมาณไวรัสในผู้ป่วยสูงมากแม้ไม่แสดงอาการ

โควิดสายพันธุ์อังกฤษคืออะไร มาจากไหน

ศ.นพ. โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย ระบุว่า “โควิดสายพันธุ์B1.1.7 ประเทศอังกฤษเป็นประเทศแรกเมื่อปลายปีที่ผ่านมา กระจายตัวไปในอเมริกาและหลายบประเทศในยุโรป ไวรัสชนิดนี้มีคุณสมบัติจับเซลล์มนุษย์ได้ดีขึ้น มีประสิทธิภาพในการแบ่งตัวดี เพราะฉะนั้นจะตรวจพบเชื้อในโพรงจมูกมาก และติดเชื้อง่าย และเลี่ยงหลบจากภูมิต้านทานได้”

การกลายพันธุ์นี้เป็นผลให้พบผู้ติดเชื้อในประเทศอังกฤษมากถึงวันละ 6 แสนคนจนต้องประกาศล็อคดาวน์ทั้งประเทศ และอนุญาตให้มีการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนเป็นประเทศแรก ซึ่งปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยลดลงเรื่อยๆเหลือวันละประมาณหลักพันคน

ขณะที่ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ระบุถึงความน่ากลัวของเชื้อ โควิดสายพันธุ์อังกฤษไว้ว่า “มันสามารถแพร่กระจายได้เร็วมาก จึงไม่แปลกว่าเหตุใดสถานบันเทิงจึงมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งมากกว่าปีที่แล้ว 10 เท่า หากผู้ติดเชื้ออยู่อาศัยร่วมกับผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง ทำให้เกิดปอดบวมสูง โอกาสเกิดจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ในปีนี้จึงมีความน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะการเคลื่อนย้ายของประชาชนเป็นเหตุทำให้การแพร่กระจายของโรคไปได้ไกล”

โควิดสายพันธุ์อังกฤษ

คุมเข้มคนมาจากต่างประเทศ เชื้อสายพันธุ์อังกฤษเข้ามาได้อย่างไร

อีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัยว่า ประเทศไทยมีมาตรการคุมเข้มการเข้า-ออกต่างประเทศมาระยะหนึ่ง เพื่อสกัดกั้นไม่ให้มีการนำเชื้อโควิดจากต่างประเทศเข้ามา โดยผู้เดินทางจากต่างประเทศจะต้องเข้ารับการตรวจเชื้อก่อนบิน และเมื่อถึงเมืองไทยก็ต้องเข้าสู่มาตรการกักตัวอีก 14 วัน จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เชื้อโควิดสายพันธุ์อังกฤษนี้จะเล็ดลอดมาจากสถานที่กักกันตัวใช่หรือไม่

MUST READ : รวมประกันโควิด 2021 

MUST READ : เรื่องจริงจากหมอ “ทำคลอดแม่ติดโควิด” อันตรายสุด

MUST READ:เด็กติดโควิด ระวังเชื้อจากพ่อแม่ แพร่ Covid-19 สู่ลูก

ด้านนายแพทย์ยงได้โพสต์อธิบายถึงเรื่องดังกล่าวไว้ว่า  “มีการระบาดของสายพันธุ์อังกฤษอย่างมากในประเทศเขมร ตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 64 – 19 มีนาคม 64 มีจำนวนผู้ป่วยกว่า  1500 ราย สายพันธุ์ที่ตรวจพบ รายงานโดย องค์การอนามัยโลก เป็นสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 และแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมากในเขมร

เมื่อเป็นเช่นนี้่ต้นต่อของการระบาดในประเทศไทยครั้งนี้ ที่เกิดจากสายพันธุ์อังกฤษ “ไม่น่าจะมาจากสถานกักกัน ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ แต่น่าจะมาจากการเคลื่อนย้ายของประชาชนระหว่างประเทศเขมรและไทย เพราะพบสายพันธุ์นี้ในเขมร ตั้งแต่วันที่ 20 กพ 64 และยังระบาดอย่างรุนแรงในเขมร รายงานต่างด่าว หรือคนไทยที่ข้ามไป ข้ามมา น่าจะเป็นต้นเหตุ ในการแพร่ระบาดครั้งนี้”

โควิดสายพันธุ์อังกฤษ

สำหรับวันหยุดยาวสงกรานต์ที่คนไทยจะเดินทางกันเยอะทั้งกลับบ้าน และท่องเที่ยวกลายเป็นช่วงเวลาน่ากังวลใจอย่างยิ่ง  ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา  คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวในรายการโหนกระแส ออกอากาศเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564  “ช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าพวกเราการ์ดตก ไม่ใส่หน้ากาก ล้างมือ ไม่เว้นระยะห่าง ประจวบเหมาะกับที่เชื้อ โควิดสายพันธุ์อังกฤษ เข้ามา ทำให้แพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว

ถ้าเป็นไปได้หลีกเลี่ยงการเดินทางข้ามจังหวัด ข้ามพื้นที่ เพราะไม่รู้ว่าในตัวเรามีไวรัสหรือเปล่า จะได้ไม่กระจายเชื้อออกไป รอบนี้ผมถึงเป็นห่วงมากพอการ์ดตก แล้วถูกซ้ำเติมด้วยสายพันธุ์ที่กระจายง่าย ตัวเลขผู้ติดเชื้อก็จะทะลุไปถึงหลักพันในที่สุด

สิ่งสำคัญคืออย่าปิดบังข้อมูล เมื่อกลัดกระดุมเสื้อผิดแล้ว อย่ากลัดไปเรื่อยๆ หยุดเถอะ แล้วกลับมาช่วยกันดีกว่า ตอนนี้อยากให้ทุกคนกลับมายกการ์ดสูง ใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างกันเหมือนปีที่แล้ว สงกรานต์นี้เราจะได้ปลอดภัย”

ขณะเดียวกันประเทศไทยยังต้องเฝ้าระวังเชื้อโควิดกลายพันธุ์อีก 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์แอฟริกา ซึ่งแพร่เชื้อมาแล้วระยะหนึ่งในอเมริกาและยุโรป กับอีกหนึ่งสายพันธุ์คือ สายพันธุ์บราซิลที่กำลังระบาดอย่างหนัก พบผู้ติดเชื้อ 6แสนกว่าคนในประเทศบราซิล และมีการแพร่ระบาดในอเมริกาและอังกฤษแล้วเช่นกัน แต่ยังไม่มีข้อมูลวิชาการมากนัก

ช่วงนี้เวลาคุณพ่อคุณแม่อยุู่นอกบ้านต้องระวังให้มาก เพราะถ้าจะไม่มีอาการใดๆ ก็ไม่ได้หมายความจะปลอดภัย เพราะเราอาจกลายเป็นพาหะชั้นดีพาเชื้อร้ายกลับไปติดลูกที่บ้านแบบไม่รู้ตัว วิธีง่ายๆที่ช่วยให้ปลอดภัยจากเชื้อ มีดังนี้

  1. ยกการ์ดสูงทุกด้าน ใส่หน้ากากตลอดเวลา ล้างมือบ่อยๆ ไม่สัมผัสกับจุดเสี่ยง เว้นระยะห่าง ไม่เข้าไปในสถานที่มีคนพลุกพล่าน
  2. เฝ้าติดตามสถานการณ์โควิดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทราบข้อมูล และไม่เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง
  3.  ลดการรวมกลุ่มระหว่างคนทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการประชุม การรับประทานอาหาร่วมกัน หรือนัดสังสรรค์ อาจต้องเลื่อนไปก่อน
  4. กลับถึงบ้านแล้วต้องทำความสะอาดตัวเองทันที ก่อนสัมผัสลูก
  5. หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์ที่นำไปนอกบ้าน และมีโอกาสที่ลูกจะสัมผัสด้วย เช่น กุญแจบ้าน กุญแจรถ โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าสตางค์ เป็นต้น

MUST READ : 10 สิ่งของเสี่ยงติดโควิด ควรระวังป้องกัน ฆ่าเชื้อโรค ก่อนถึงตัวลูก!

ในเมื่อต้องอยู่บ้านกันยาวๆแบบนี้ อย่าลืมหากิจกรรมดีๆไว้เล่นสนุกกับลูกน้อย ช่วยเสริมสร้างพัฒนาและทักษะรอบด้าน ไปพร้อมๆ กับสร้าง “เวลาคุณภาพ” กับลูกน้อยอย่างปลอดภัย ด้วยนะคะ

ขอบคุณข้อมูลจาก: รายการโหนกระแส /  thairathnews / the standard

บทความน่าสนใจอื่นๆ

CDC ชี้! หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ดีกว่าวัคซีน

หมอเด็กแนะ!!พ่อแม่ต้อง กักตัว 14 วัน จะบอกลูกยังไงดี?

 

สสส. แนะวิธี ป้องกันลูกจากโควิด กับ 4 ข้อ ที่พ่อแม่ต้องเพิ่มความระวัง!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ

3 ข้อท่องไว้ ใช้รับมือเมื่อ ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ !!

เมื่อลูกไม่น่ารัก อารมณ์ร้าย ชอบปาของ พ่อแม่จะมีวิธีลดพฤติกรรม ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ ได้อย่างไร ลองดูกฎ 3 ข้อ กระตุ้น ชื่นชม ชัดเจน ช่วยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

3 ข้อท่องไว้ ใช้รับมือเมื่อ ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ !!

ลูกชอบปาของ เป็นพฤติกรรมที่พ่อแม่ควรต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า หากเกิดขึ้นในเด็กเล็ก วัยเตาะแตะ (ประมาณช่วงอายุ 1-3 ปี) นั้น นับว่าเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ของลูกอย่างหนึ่ง เด็กวัยนี้กำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนากล้ามเนื้อมือ และทักษะทางร่างกายหลาย ๆ อย่าง เขาจะรู้สึกตื่นเต้น และต้องการทดลองดูว่าเขาสามารถหยิบจับทำสิ่งใด ๆ ได้ด้วยตัวเอง และจะยิ่งมีความสุขมากที่ได้เห็นการตอบสนองของคนรอบข้างจากการกระทำนั้น ๆ ดังนั้นเราจึงมักจะพบว่า เด็กวัยนี้จะหัวเราะชอบใจเวลาโยนของ ปาของลงบนพื้น เมื่อแม่อยู่ใกล้ ๆ เพื่อให้แม่เก็บของนั้นขึ้นมา แต่สิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องสอนเขานั่นคือ กำหนดชัดเจนว่าสิ่งใดโยนได้ สิ่งไหนไม่ได้ เพื่อลูกจะได้เรียนรู้ว่าพฤติกรรมไหนบ้างที่เหมาะสม

เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของเด็กก่อนนะคะ ถึงจะแก้ปัญหานี้ได้ยั่งยืน

1. เด็กวัยนี้กำลังพัฒนาทักษะการใช้มือทำงานที่มีประโยชน์ เช่น เก็บของใสกล่อง เอาของวางบนโต๊ะอย่างบรรจง เทน้ำใส่ขวด เจาะหลอดลงกล่อง ระบายสี เล่นของเล่น ปอกไข่ฯลฯ

2. เด็กต้องการเสียงตอบสนองเชิงบวกว่าเขาใช้มือทำงานได้ดีจริงๆ ซึ่งแปลว่าเด็กต้องมีข้อ 1 มากพอก่อนเขาถึงจะได้ข้อ 2

3. เด็กต้องการให้แม่แยกเรื่องให้ชัดเจนว่า ตอนไหนคือเล่นที่แม่อนุญาตให้โยน ตอนไหนจริงจังแม่ไม่อนุญาตเด็ดขาด

ข้อมูลอ้างอิงจาก FB: หมอเสาวภา เลี้ยงลูกเชิงบวก
ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ หรือแค่เรียนรู้ทักษะใหม่ของเขา
ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ หรือแค่เรียนรู้ทักษะใหม่ของเขา

เมื่อ ลูกชอบขว้างของ บ่อย ๆ ความสนุกที่ได้ค้นพบได้ด้วยตัวเอง แต่กลับเกิดปัญหากับพ่อแม่ที่ต้องมาตามเก็บนั้น เราสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยการเข้าใจในธรรมชาติของลูกเสียก่อน จากนั้นก็สามารถยึดหลักกฎ 3 ข้อที่พ่อแม่ต้องทำเพื่อปรับพฤติกรรมนั้น ๆ ให้เข้าสู่ความเหมาะสม ให้ลูกได้เรียนรู้ในพฤติกรรมว่าแบบไหนควรกระทำ แบบไหนที่ไม่น่ารักเสียเลย

กฎข้อที่ 1 กระตุ้น

พ่อแม่ส่วนใหญ่มักใช้วิธีการห้ามไม่ให้ทำพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ และชื่นชมเวลาลูกแสดงพฤติกรรมที่ดีเพียงเท่านั้น น้อยคนนักที่จะทำการกระตุ้นพฤติกรรมที่ต้องการให้ลูกได้เรียนรู้ การหากิจกรรมมากระตุ้นให้ลูกใช้มือทำงานที่สร้างสรรค์ ก็นับว่าเป็นส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาเรื่องการโยนของ ของเด็กวัยนี้ได้เช่นกัน เช่น

  • ชวนลูกมาเล่นเก็บของ วิธีเล่นก็แสนง่าย แค่รอให้ลูกขว้างของลงบนพื้นไปเรื่อย ๆ จนเขาหยุดเอง จากนั้นให้คุณพ่อคุณแม่เปิดเพลงโปรดของลูกแล้วชวนกันมาเก็บของที่เกลื่อนกลาดบนพื้นให้ได้ก่อนเพลงจบ อาจหารางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สติ๊กเกอร์มาเพิ่มแรงจูงใจให้กับลูกอีกทางหนึ่งด้วยก็ได้
  • เก็บผ้าใส่ตระกร้า เสื้อผ้าในตระกร้าก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลูกมักชอบโยนออกมา แม้จะเป็นการเพิ่มงานให้กับคุณแม่ แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งของที่ไม่เป็นอันตราย เมื่อโยนได้ก็ต้องเก็บเองได้นะจ๊ะเจ้าตัวน้อย
    ตักข้าวเอง กิจกรรมกระตุ้นการทำงานของมือที่สร้างสรรค์
    ตักข้าวเอง กิจกรรมกระตุ้นการทำงานของมือที่สร้างสรรค์

     

  • ตักอาหารใส่จาน เรื่องนี้อาจเป็นสิ่งที่หนักใจของพ่อแม่หลาย ๆ คน โดยเฉพาะสังคมไทยที่มักจะใช้วิธีป้อนข้าวลูกเสียเองเลย เพื่อป้องกันการหกเลอะเทอะ แต่หากคุณพ่อคุณแม่เปิดใจยอมสักนิด ลองให้ลูกได้ตักข้าวเข้าปากเอง หรืออาจเปลียนเป็นช่วยตักอาหารใส่จานบ้าง ก็เป็นการกระตุ้นให้ลูกได้ใช้มือทำงานที่สร้างสรรค์ นอกจากเขาจะได้ฝึกกล้ามเนื้อแล้ว ยังเพิ่มความภาคภูมิใจในตัวเองแก่ลูกอีกด้วย

กฎข้อที่ 2 ชื่นชม

การชื่นชมเจ้าตัวน้อยเวลาทำพฤติกรรมที่ดี ที่ต้องการ เป็นสิ่งจำเป็นที่พ่อแม่ควรฝึกไว้จนเป็นนิสัย เพราะการชื่นชม เป็นการตอบสนองความพยายามของลูก ทำให้เขามีกำลังใจ และเรียนรู้ที่จะพฤติกรรมนั้นซ้ำ การชื่นชมนอกจากคำพูดที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดแล้ว พ่อแม่ยังสามารถชื่นชมด้วยสีหน้า รอยยิ้ม ต่อผลงานของลูกได้ด้วยเช่นกัน

การโยนของ เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งของเด็กวัยเตาะแตะ
การโยนของ เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งของเด็กวัยเตาะแตะ

กฎข้อที่ 3 ชัดเจน

ชัดเจนในเรื่องที่ว่าพฤติกรรมไหนทำได้ พฤติกรรมไหนไม่ให้ทำ เช่น การปาอาหาร เราต้องอธิบายว่าอาหารไม่ใช่ของเล่น ทิ้งขว้างไม่ได้ หากลูกไม่สนใจ ยังโยนอาหารอีก เราต้องหนักแน่น จับมือลูก บอกลูกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไม่โยนอาหารเล่น” พร้อมทั้งชวนให้ลูกใช้มือตักอาหารเข้าปากเองแทนการโยนเล่น เมื่อเขาทำได้อย่าลืมชม ลูกอาจไม่สามารถทำได้ในครั้งแรกเลย แต่เมื่อเขาเกิดพฤติกรรมนั้น ๆ อีก พ่อแม่ต้องใจเย็น และชัดเจนย้ำในเรื่องเดิมจนกว่าเขาจะเข้าใจ และเลิกทำไปในที่สุด

หลักสำคัญคือ การชัดเจนในการสอนว่าไม่ให้ทำพฤติกรรมนั้น ในบางครั้งหากเป็นเรื่องที่ไม่ร้ายแรง ครั้งแรก ๆ พ่อแม่อาจไม่ได้กำหนดว่าห้ามทำ แต่พอครั้งหลัง ๆ กลับมาดุว่าเวลาลูกทำ แบบนี้จะทำให้ลูกสับสนและไม่สามารถเลิกพฤติกรรมการปาของนั้น ๆ ได้

ข้อควรระวัง พ่อแม่ไม่ควรบ่นจุกจิก ถึงจะยาก แต่รู้หรือไม่ว่าถ้าพ่อแม่ยิ่งแสดงออกว่าไม่พอใจหรือโกรธลูกมากเท่าใด สำหรับลูกวัยเตาะแตะ การบ่น ดุ ว่า จะกลายเป็นแรงผลักให้ลูกอยากแสดงพฤติกรรมนี้บ่อยขึ้น เข้าทำนอง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ

ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ หนึ่งในพฤติกรรมอารมรณ์ร้าย
ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ หนึ่งในพฤติกรรมอารมรณ์ร้าย

ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ

การที่ลูกวัยเตาะแตะโยนของเพื่อการเรียนรู้ และสนุกที่ได้เห็นพ่อแม่ตามเก็บของที่เขาโยนนั้น ลูกมักมีพฤติกรรมดังกล่าวไปพร้อมกับรอยยิ้ม หรือพ่อแม่จะสังเกตได้ว่าเขาไม่ได้มีอารมณ์โกรธ โมโห แต่ถ้าพฤติกรรมการขว้างปาข้าวของในยามที่เจ้าตัวน้อยเกิดอารมณ์โมโหด้วยแล้วนั้น นับว่าเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งในการแสดงอาการโกรธที่ไม่ธรรมดาของเด็กในเบื้องต้น ซึ่งพ่อแม่ควรหันมาใส่ใจ และสังเกตพฤติกรรมของลูกว่าเขาได้แสดงอาการโกรธ ก้าวร้าวรุนแรงขึ้นหรือไม่

CHECKLIST ความโกรธที่น่าเป็นห่วง

เจ้าตัวเล็กอาจไม่สามารถควบคุมความโกรธ และแสดงพฤติกรรมรุนแรงได้ตั้งแต่อายุ 1 ขวบเป็นต้นไป ซึ่งพ่อแม่สามารถสังเกตอาการโกรธที่ไม่ธรรมดาของเด็กเบื้องต้น ได้แก่

  • หยิก
  • ดึงผม
  • ฉุดกระชาก
  • ดื้อมากไม่ฟังใคร
  • ขว้างปาข้าวของ
  • โมโหร้าย อาละวาด
  • ชักดิ้นชักงอ
  • ร้องไห้นานเป็นชั่วโมง
  • ตบหน้าพ่อแม่หรือทำร้ายคนเลี้ยงดู เช่น พี่เลี้ยง
  • ทุบตีหรือทำร้ายเพื่อนที่โรงเรียนและผู้อื่น

    หากิจกรรมทำกับลูก ลดอารมณ์โกรธ ลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ได้
    หากิจกรรมทำกับลูก ลดอารมณ์โกรธ ลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ได้

สอนลูกจัดการความโกรธ

การสอนวิธีบริหารจัดการความโกรธ (Anger Management) ให้กับลูกคือสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ควรใส่ใจเพื่อให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ทำได้ไม่ยาก ดังนี้

  • เป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็ก เมื่อพ่อแม่มีความโกรธให้นิ่งหรือปลีกตัวออกมาจนรู้สึกผ่อนคลายเสียก่อนแล้วค่อย ๆ พูดคุยกับคนรอบข้างด้วยความนุ่มนวล ทำให้เด็กเห็นเป็นประจำเพื่อให้ซึมซับตัวอย่างที่ดีในการจัดการอารมณ์โกรธ
  • ปล่อยลูกให้อยู่กับตัวเองแล้วค่อยอธิบายภายหลัง หากเด็กมีความโกรธไม่รุนแรง เช่น หน้าบึ้ง ร้องไห้ ฮึดฮัด เป็นต้น ลองปล่อยให้อยู่กับตัวเองจนใจเย็นลง แล้วค่อยเข้าไปถามความรู้สึก และเปิดโอกาสให้เขาได้เล่าถึงความคับข้องใจของเขา พ่อแม่ควรใช้โอกาสนี้ในการที่จะรับฟัง อย่าตำหนิ แต่ควรชี้ให้เขาเห็นว่าอะไรคือผลที่ตามมาจากการกระทำของเขา สอนให้เขารู้จักที่จะขอโทษ เช่นเดียวกับการรู้อภัย  และบอกถึงวิธีจัดการความโกรธที่เหมาะสมสำหรับเหตุการณ์ครั้งต่อ ๆ ไปที่จะตามมาในอนาคต และเส้นทางอื่น ๆ ในการระบายความรู้สึกไม่พอใจในรูปแบบอื่น ๆ ที่ไม่ต้องผ่านความรุนแรง เช่น เมื่อโกรธให้ถอยออกมาจากวงของความขัดแย้ง สงบสติอารมณ์ แล้วแยกตัวไปอยู่ในที่ที่เงียบสงบหรือไปเล่นดนตรี เล่นกีฬา เล่นกับสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
  • เข้าใจความโกรธของลูก เมื่อเห็นเด็กโกรธ พ่อแม่บอกลูกให้รู้และเข้าใจว่าความโกรธของเขาถือเป็นเรื่องธรรมชาติปกติ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะโกรธได้ แต่เมื่อโกรธแล้วจะต้องรู้จักวิธีที่จะสงบสติอารมณ์ของตนเองลงให้ได้เสียก่อนเป็นลำดับแรก การเบี่ยงเบนความสนใจเป็นวิธีหนึ่งที่มีความเหมาะสม เมื่อเขาอารมณ์นิ่งขึ้นจึงให้ลูกเลือกวิธีที่จะจัดการกับความโกรธของเขาที่ยังเหลืออยู่อย่างเหมาะสมโดยเปิดโอกาสให้เขาได้หัดคิดและเรียนรู้ โดยมีพ่อแม่คอยช่วยประคับประคอง
  • สำหรับพฤติกรรมโกรธที่รุนแรงมากควรรีบปรึกษาจิตแพทย์ ในกรณีที่เด็กมีการทำร้ายตนเอง ผู้อื่น และข้าวของ ควรต้องรีบหยุดเด็กในตอนนั้น และพาไปปรึกษาจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นทันที
  • แลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องความรุนแรงในสังคม ตามสื่อต่าง ๆ ทั้งข่าว ละคร มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรงปรากฏขึ้น พ่อแม่ควรอธิบายเหตุผลให้ลูกฟัง และฟังความคิดเห็นของเขาเพื่อแนะนำอย่างเหมาะสม

 

ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ ปล่อยไว้อาจพัฒนาไปเป็นการทำร้ายเพื่อนเวลาโต
ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ ปล่อยไว้อาจพัฒนาไปเป็นการทำร้ายเพื่อนเวลาโต

จะเห็นได้ว่า หากการขว้างปาของหากมาพร้อมกับอารมณ์โกรธของลูก เมื่อ  ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ วิธีการรับมือ ปรับพฤติกรรมที่ไม่ต้องการนี้ของพ่อแม่จึงควรเริ่มจากการทำให้ลูกอารมณ์เย็นลงก่อน จากนั้นถึงจะใช้วิธีตามกฎ 3 ข้อ ของการสอนลูกไม่ปาของได้ เพราะความโกรธเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะวัยเด็กที่เป็นวัยแห่งการเรียนรู้ พ่อแม่ควรสอนวิธีจัดการความโกรธอย่างถูกต้องเพื่อให้เจ้าตัวเล็กควบคุมอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม แล้วจึงค่อยสอน หรือปรับพฤติกรรมในส่วนที่ไม่เหมาะสมของลูก เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นมาได้อย่างมีคุณภาพและสามารถจัดการอารมณ์ มีความฉลาดทางอารมณ์ติดตัวต่อไป

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.sanook.com/www.bangkokhospital.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

10 วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด เมื่อลูกพูดช้าเพราะแม่รู้ใจเกินไป!!

7 วิธี สยบปัญหา พี่น้องตีกัน พี่น้องทะเลาะกัน ต้องรีบแก้ไข

วิจัยเผย! เลี้ยงลูกกับสุนัขด้วยกัน ได้ประโยชน์กว่าที่คิด

7 เคล็ดลับ! สยบ ลูกขี้หงุดหงิด แบบไม่พึ่งหน้าจอ ลูกก็สงบได้!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

นมA2

“นมA2” นวัตกรรมล่าสุด ให้ลูกกินนมแล้วย่อยง่าย สบายท้อง

ใครเคยดื่มนมA2 บ้างคะ ในตลาดต่างประเทศนมชนิดนี้เป็นที่นิยมกันมากๆ ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่มีปัญหาการดื่มนม หรือมีปัญหาเรื่องการย่อยนม วันนี้ทีมแม่ABK ได้หาข้อมูล และพบว่าที่บ้านเรามี นมA2 สำหรับเด็กเล็กแล้วนะคะ จึงอยากมาแชร์ให้แม่ๆ ทราบกันค่ะ เผื่อจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคุณแม่ในการเลือกนมให้ลูกน้อยดื่ม โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่มักมีอาการไม่สบายท้องหลังจากดื่มนม

เด็กเล็กโดยปกติจะดื่มนมแม่ เพราะในนมแม่มีสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และมีโปรตีนเบต้า-เคซีน A2 (โปรตีน A2) ที่ดีต่อระบบการย่อย ช่วยทำให้ไม่เกิดอาการไม่สบายท้องจากการดื่มนมค่ะ

  • นมแม่ กับ โปรตีน A2 เพื่อการย่อยที่ดี ลูกน้อยสบายท้อง

อย่างที่รู้กันว่านมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกตั้งแต่แรกเกิด ในน้ำนมแม่มีสารอาหารหลายร้อยชนิด เช่น แลคโตส ไขมัน โปรตีน และแร่ธาตุ ซึ่งล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของลูกน้อย และความพิเศษของน้ำนมแม่ จะมีโปรตีนเบต้า-เคซีน A2 ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เนื่องจากย่อยและดูดซึมได้ง่าย ช่วยให้ลูกน้อยสบายท้อง  ซึ่งเหมาะสมกับระบบการย่อยของลูกน้อยมากที่สุด เมื่อร่างกายย่อยและดูดซึมสารอาหารไปใช้งานได้หมด ก็จะไม่มีปัญหาอาการไม่สบายท้องเกิดขึ้นค่ะ คุณพ่อคุณแม่มือใหม่เข้าใจกันแล้วใช่ใหมคะว่า ทำไมเด็กทารกควรกินแต่น้ำนมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดไปจนถึง 6 เดือน โดยที่ไม่ต้องกินอาหารเสริมใดๆ รวมถึงการให้ดื่มน้ำด้วยค่ะ

  • โปรตีนA2 นอกจากมีใน “นมแม่” แล้ว “นมวัว” มีหรือเปล่า ?

มีค่ะ โปรตีนA2 ก็มีอยู่ในนมวัวทั่วไป   โดยในนมวัวทั่วไปอาจมีในปริมาณน้อยเพราะจะมีโปรตีนเบต้า-เคซีนชนิดอื่น ๆ เช่น ชนิด A1 ผสมอยู่ด้วย แต่นมจากวัวสายพันธุ์ดั้งเดิมตามธรรมชาติจะมีเฉพาะโปรตีนเบต้า-เคซีน ชนิด A2 (โปรตีนA2)  เท่านั้น  โปรตีนA2 เป็นโปรตีนคุณภาพจากธรรมชาติ และก็มีโครงสร้างโปรตีนใกล้เคียงกับโครงสร้างโปรตีนในนมแม่ด้วยค่ะ ทีมแม่ABK ว้าวมากกับโปรตีนA2 เพราะขนาดมีในน้ำนมวัว ยังต้องได้มาจาก “วัวสายพันธุ์ดั้งเดิมตามธรรมชาติ” เท่านั้น เพื่อให้ได้โปรตีนคุณภาพที่ใกล้เคียงในนมแม่

  • นมA2 นวัตกรรมน้ำนมทางเลือกใหม่ ที่ลูกดื่มได้อย่างสบายท้อง

ถ้าเด็กเล็กดื่มนมแล้วมีอาการไม่สบายท้อง เช่น อาการท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน หรือท้องเสีย ก็อาจส่งผลกระทบต่อการมีสุขภาพที่ดี คุณแม่สามารถเปลี่ยนจากนมวัวสูตรปกติทั่วไป มาเป็นสูตรนมA2  ให้ลูกดื่มได้นะคะ ซึ่งในขวบปีแรกที่เริ่มเสริมนมให้ลูกดื่ม นอกจากนมแม่ อาจต้องเลือกนมที่เหมาะสมกับร่างกายของลูกน้อยด้วย เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดอาการไม่สบายท้อง และเพื่อการเจริญเติบโตที่ดี ครบถ้วน สมบูรณ์ค่ะ

ปัจจุบันมีนมA2 ที่เป็นนวัตกรรมคัดสรรโปรตีนคุณภาพจากธรรมชาติ ที่เหมาะกับลูกน้อย เป็นนมสูตรพรีเมี่ยม ที่แตกต่างจากนมวัวปกติทั่วไป และถึงแม้ว่าปัจจุบันวัวสายพันธุ์ดั้งเดิมตามธรรมชาติ จะเริ่มเหลือจำนวนน้อยลง แต่เราสามารถคัดสรรได้  ด้วยการตรวจสอบ DNA และตรวจชนิดโปรตีนในน้ำนม ว่าเป็นวัวที่ผลิตน้ำนมที่มีโปรตีนเบต้า – เคซีนเฉพาะชนิด A2 จริงๆ เท่านั้น แม่ๆ จึงมั่นใจได้ว่า นมA2 จะช่วยให้ลูกน้อยกินแล้วย่อยง่าย สบายท้องค่ะ

อาการไม่สบายท้องอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการการเจริญเติบโต และพัฒนาการการเรียนรู้ของลูกน้อยได้ทั้งในระยะสั้น และระยะยาว คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกนมที่เหมาะสมกับวัยของลูกน้อย สูตรนมพรีเมี่ยมที่มีโปรตีนA2 ถือเป็นทางเลือกที่ดีมากๆ ที่จะส่งเสริมให้ลูกน้อยมีสุขภาพทางเดินอาหารที่ดี ลดโอกาสการเกิดอาการไม่สบายท้อง เพื่อลูกน้อยพร้อมเรียนรู้ได้เต็มที่

นอกจากเลือกนมที่มีโปรตีนคุณภาพอย่าง A2 แล้ว ลูกยังคงต้องการโภชนาการ เพื่อส่งเสริมภูมิคุ้มกัน พัฒนาการทางด้านสมอง และสุขภาพทางเดินอาหารที่ดี จาก MFGM และ DHA ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่พบได้ในนมแม่ และ PDX-GOS/FOS ซึ่งเป็นใยอาหารสุขภาพ ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ของลูก ช่วยให้ลูกมีสุขภาพทางเดินอาหารที่ดี  เพื่อพัฒนาการที่ก้าวล้ำ ทั้งร่างกาย สมอง และจิตใจ คุณแม่ควรเลือกสรรแต่โภชนาการที่ดีให้แก่ลูกน้อยนะคะ เพราะทุกสิ่งที่มาจากธรรมชาติ ย่อมดีที่สุด

เป็นRSV

ลูกไม่ป่วย เป็นRSV แน่ ถ้าพ่อแม่ดูแลได้แบบนี้!

เป็นRSV-  โรค RSV (Respiratory syncytial virus)  คือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่สามารถส่งเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ทว่าเชื้อชนิดนี้จะส่งผลร้ายแรงกว่าในเด็กทารกและเด็กเล็ก เนื่องจากทางเดินหายใจของทารกและเด็กเล็กอาจยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่  ในรายที่มีอาการหนักอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะปอดอักเสบได้จากการเกิดพยาธิสภาพของหลอดลมเล็ก (bronchiole) และถุงลม (alveoli)

ทำความรู้จักเชื้อ RSV

เชื้อไวรัส RSV แบ่งออกได้ 2 สายพันธุ์ ได้แก่ RSV-A และ RSV-B  สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ผ่านทางเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผ่านทางการสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือซึ่งการติดเชื้อดังกล่าวมักพบในเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และมีการระบาดเกือบทุกปี ในคนส่วนใหญ่ RSV ทำให้เกิดอาการหวัดโดยมักจะมีอาการไอร่วมด้วย ในเด็กทารก RSV อาจมีการเจ็บป่วยที่รุนแรงขึ้นจากหลอดลมฝอยอักเสบ ทารกที่เป็นโรคหลอดลมฝอยอักเสบจะหายใจได้ค่อนข้างลำบาก นอกจากนี้เชื้อไวรัสยังสามารถนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรง เช่น ปอดบวม  RSV เป็นไวรัสที่ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ  มีเพียงการรักษาตามอาการเพื่อลดระยะและความรุนแรงของการติดเชื้อเท่านั้น

เป็นRSV
เป็นRSV

อาการของ RSV ในทารกและเด็กเล็ก

ในเด็กโต RSV อาจทำให้เกิดอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล แต่ในทารกและเด็กเล็กที่อายุไม่เกิน 3 ขวบ ไวรัสอาจทำให้เด็กมีอาการรุนแรงกว่า โดยสามารถมีอาการโรคลุกลามไปยังทางเดินหายใจส่วนล่าง (หลอดลม เนื้อปอด) ทำให้หลอดลมใหญ่อักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบและปอดอักเสบตามมาได้ โดยไวรัส RSV มักระบาดในช่วงปลายฝนต้นหนาว หรือประมาณ เดือนกรกฎาคม-พฤศจิกายน

อาการเริ่มต้นของโรคผู้ป่วยอาจมีความอยากอาหารลดลง หรือน้ำมูกไหล หลังจากนั้นอาการที่รุนแรงมากขึ้นอาจปรากฏภายในสองสามวันต่อมา

อาการของทารกและเด็กที่ติดเชื้อ RSV ได้แก่ :

  • หายใจเร็วกว่าปกติ
  • หายใจลำบาก
  • ไอ
  • มีไข้
  • กระวนกระวาย
  • ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด
  • คัดจมูก น้ำมูกไหล
  • จาม
  • หายใจลำบาก (ใช้กล้ามเนื้อหน้าอกช่วยหายใจ)

ทารกบางคนมีความเสี่ยงต่ออาการ RSV มากกว่า ซึ่งรวมถึงเด็กที่คลอดก่อนกำหนดหรือทารกที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอดหรือหัวใจ

ลูกมีอาการแบบไหนควรรีบไปพบแพทย์

ผู้ป่วย RSV อาจมีอาการหวัดเล็กน้อยไปจนถึงหลอดลมฝอยอักเสบขั้นรุนแรง แต่ถ้าคุณสงสัยว่าลูกของคุณติดเชื้อ RSV ควรโทรหากุมารแพทย์หรือขอการดูแลทางการแพทย์ฉุกเฉิน

โดยอาการที่ต้องระวัง ได้แก่ :

  • ลูกมีอาการขาดน้ำ เช่น ไม่มีน้ำตาเมื่อร้องไห้
  • ไอมีเสมหะเป็นมูกข้น มีสีเขียวหรือเหลือง ทำให้หายใจลำบาก
  • มีไข้สูงกว่า 38 °C  ตรวจทางทวารหนักในทารกที่อายุน้อยกว่า 3 เดือน
  • มีไข้สูงกว่า 39.4 °C ในเด็กทุกวัย
  • น้ำมูกเหนียวข้นทำให้หายใจลำบาก
  • รีบไปพบแพทย์ทันทีหากเล็บหรือปากของทารกเริ่มมีสีเขียว สิ่งนี้บ่งชี้ว่าเด็กอาจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ

การรักษา RSV ในทารก

ในกรณีที่รุนแรงอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ให้ยาลดไข้ ยาแก้ไอ และยาละลายเสมหะ แต่ในเด็กบางรายที่มีเสมหะเหนียวมากและมีอาการหนักอาจต้องทำการพ่นยาขยายหลอดลม หรือให้น้ำเกลือผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย เคาะปอดและดูดเสมหะออก ยาปฏิชีวนะไม่มีประโยชน์ในการรักษาหากไม่มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน  นอกจากนี้หากเด็กมีอาการขาดน้ำ แพทย์อาจพิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ (IV)

เป็นRSV

ลูกไม่ป่วย เป็นRSV แน่ถ้าพ่อแม่ดูแลแบบนี้!

จะป้องกันลูกจากการติดเชื้อได้อย่างไร

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีน ไม่มียาป้องกัน จึงควรป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ ดังนี้
  • หมั่นล้างมือบ่อย ๆ  เพื่อลดเชื้อ RSV และเชื้ออื่นๆ ที่ติดมากับมือ การล้างมือสามารถฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้สูงถึงร้อยละ 70
  • ในกรณีฉุกเฉินสามารถใช้แอลกอฮอลเจลถูมือช่วยป้องกันโรคได้
  • หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัดถ้าไม่จำเป็น
  • ทำความบริเวณสะอาดบ้าน ของใช้ และของเล่นเด็กเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ มีรายงานว่าทารกที่สูดดมควันบุหรี่ มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส RSV ได้ง่าย และอาการมักรุนแรง
  • รับประทานอาหารถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ทั้งนี้ไม่ควรอยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา
  • เมื่อบุตรหลานมีไข้หรือมีน้ำมูก ควรแยกเด็กที่ป่วยออกจากเด็กปกติเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

อย่างที่ทราบกันว่า RSV เป็นโรคที่มักระบาดในช่วงปลายฝนต้นหนาว หากคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงวิธีการรับมือ และการปฏิบัติตนให้ครอบครัวห่างไกลโรค ก็ทำให้ลูกมีโอกาสเจ็บป่วยได้น้อยลง อย่างไรก็ตาม การปลูกฝังลูกให้ดูแลสุขภาพตัวเองตั้งแต่ลูกยังเล็ก โดยการอธิบายให้เด็ก ๆ ได้รู้ว่าการไม่ดูแลตนเอง ไม่รักษาความสะอาดนั้นจะก่อให้เกิดโรคขึ้นได้ง่าย ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ดีในการที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะการป้องกันตัวเองจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆให้ลูกได้ กล่าวคือ ลูกจะเป็นเด็กที่มีทักษะความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) เป็นเด็กที่สามารถเติบโตสมวัยไปพร้อมกับการพัฒนาการที่ดีและที่สำคัญมีสุขภาพที่ดีได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เตือนแม่ สังเกตอาการ RSV รีบพาไปตรวจหากเข้าข่ายนี้!

Rhinovirus แตกต่างจาก RSV อย่างไร ระวังลูกเป็นโรคทางเดินหายใจ

ไวรัส RSV ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ อันตรายรุนแรงได้คล้ายอาการ RSV ในเด็ก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

หัวใจเต้น

แม่ลูก หัวใจเต้น พร้อมกันไหม จะเริ่มได้ยินเสียงหัวใจลูกเมื่อไหร่

หัวใจเต้น – สำหรับว่าที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เฝ้ารอวันที่ลูกน้อยจะลืมตาดูโลก เป็นธรรมดาที่คุณแม่อาจมีข้อสงสัยเกี่ยวกับลูกในครรภ์มากมายหลายเรื่อง หนึ่งในนั้น ก็อาจเป็นเรื่องการเต้นของหัวใจลูก หลายคนสงสัยว่าหัวใจของแม่กับลูกในท้องจะเต้นพร้อมกันไหม แล้วเราจะสามารถได้ยินเสียงหัวใจลูกเต้นได้เมื่อไหร่วันนี้เรามาไขข้อข้องใจกันค่ะ

แม่ลูก หัวใจเต้น พร้อมกันไหม จะเริ่มได้ยินเสียงหัวใจลูกเมื่อไหร่

ความจริงแล้ว จังหวะการเต้นของหัวใจของคนเราย่อมแตกต่างกัน ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้ง อายุ เพศ สภาพความแข็งแรงของร่างกาย บางคนหัวใจเต้นเร็ว บางคนหัวใจเต้นช้าและสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์กับทารกตัวน้อยที่นอนหลับสบายอยู่ในท้องแม้จะเหมือนเป็นคนเดียวกันกับคุณแม่ แต่จังหวะการเต้นของหัวใจแม่กับลูกก็ไม่ได้พร้อมกันเสมอไป โดยปกติหัวใจของลูกจะเต้นเร็วกว่าหัวใจแม่ได้ถึง 2 เท่า

การได้ยินเสียงหัวใจทารก

การได้ยินเสียง หัวใจเต้น ของทารกครั้งแรก ถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่ายินดี สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ แพทย์อาจตรวจพบการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ได้โดยอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดได้เร็วที่สุด คือ เมื่อคุณมี อายุครรภ์ได้ 5-6 สัปดาห์ แต่เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่ 7  ของการตั้งครรภ์ จะสามารถประเมินการเต้นของหัวใจได้ดีขึ้น และจะเป็นช่วงเวลาที่แพทย์อาจทำการอัลตราซาวนด์ช่องท้องหรือช่องคลอดเป็นครั้งแรก เพื่อตรวจหาสัญญาณของการตั้งครรภ์ที่ดี ทั้งนี้การเต้นของหัวใจของทารกในช่วงสัปดาห์ที่ 7 ควรอยู่ระหว่าง 90-110 ครั้งต่อนาที (bpm) และเมื่อถึงสัปดาห์ที่ 9 ของการตั้งครรภ์ การเต้นของหัวใจของทารกควรเต้นอยู่ที่ 140-170 ครั้งต่อนาที (bpm)

หัวใจเต้น
หัวใจลูกเต้น

เหตุใดถึงไม่ได้ยินเสียงหัวใจของทารก

คุณอาจไม่ได้ยินเสียงหัวใจของทารกเมื่ออัลตราซาวนด์ครั้งแรก ส่วนใหญ่เป็นเพราะอายุครรภ์ยังน้อยเกินไป ซึ่งการไม่ได้ยินเสียงหัวใจ ไม่ได้หมายความว่าจะมีปัญหาที่น่าวิตกเกิดขึ้นเสมอไป โดยแพทย์ของคุณอาจแนะนำให้คุณกลับมาอัลตราซาวนด์อีก 1 ถึง 2 สัปดาห์หลังจากนั้น

สาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้ไม่ได้ยินการเต้นของหัวใจ ได้แก่ :

  • ตำแหน่งของมดลูกอยู่ผิดปกติ เช่น มดลูกหงาย
  • หน้าท้องมีขนาดใหญ่
  • คำนวณวันผิด หากไม่แน่ใจว่าประจำเดือนครั้งสุดท้ายมาเมื่อไร อายุครรภ์อาจคลาดเคลื่อน

หัวใจเต้น

หลังจากสัปดาห์ที่ 6 หากตรวจไม่พบถุงตั้งครรภ์ แพทย์ของคุณอาจขอตรวจเลือดเพื่อยืนยันการตั้งครรภ์หรือขอให้คุณกลับมาตรวจอัลตร้าซาวด์อีกครั้งในอีกสองสามวัน จากการศึกษาระยะยาวในปี 2542 ของผู้หญิง 325 คนในสหราชอาณาจักรที่มีประวัติการแท้งบุตร มีรายงานว่าหากตรวจพบการเต้นของหัวใจในช่วง 6 สัปดาห์ มีโอกาส 78 เปอร์เซ็นต์ที่จะตั้งครรภ์ต่อไป เมื่อ 8 สัปดาห์มีโอกาส 98 เปอร์เซ็นต์และเพิ่มขึ้นถึง 99.4 เปอร์เซ็นต์หลังจาก 10 สัปดาห์

มะเร็งมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก รู้ทัน รักษาเร็ว โอกาสหายขาดสูง!

ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ มดลูกข้างซ้าย อันตรายหรือเปล่า

ภาวะแท้งจากติ่งเนื้อที่ปากมดลูก อันตรายที่แม่ท้องห้ามประมาท

วิธีที่ใช้ในการฟังการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์

ในการอัลตราซาวนด์ครั้งแรกแพทย์จะใช้อัลตร้าซาวด์ทางช่องท้องหรืออัลตราซาวนด์ช่องท้องแบบ 2 มิติหรือ 3 มิติ โดยการอัลตราซาวนด์ทางช่องคลอดจะใช้ในระหว่างการตั้งครรภ์ระยะแรกเพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจนของตัวอ่อน  สำหรับการอัลตราซาวนด์ 3 มิติ จะช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นความกว้างความสูงและความลึกของทารกในครรภ์และอวัยวะต่างๆ ของทารกได้ดีขึ้น

จะได้ยินเสียง หัวใจเต้น ของทารกด้วยหูได้หรือไม่?

การฟังหรือตรวจจับการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ด้วยหูเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่มีรายงานว่าคุณแม่บางคนเคยได้ยินเสียงหัวใจเต้นของลูกน้อยได้หากอยู่ในห้องที่เงียบสงบ และอายุครรภ์อยู่ในช่วงใกล้คลอด ทั้งนี้ไม่ต้องกังวลหากคุณไม่ได้ยินเสียงหัวใจของลูกน้อยที่บ้าน หากคุณกังวลเกี่ยวกับการเต้นของหัวใจของทารกทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดคือติดต่อแพทย์ของคุณ พวกเขาสามารถกำหนดเวลาในการทำโซโนแกรมเพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าการเต้นของหัวใจของทารกเป็นปกติ

ใช้แอปพลิเคชันเพื่อฟังเสียง หัวใจเต้น ของทารกได้ไหม

ปัจจุบันมีแอปและอุปกรณ์มากมายตามท้องตลาดที่โฆษณาว่าสามารถใช้ฟังเสียงหัวใจของลูกน้อยเองได้ที่บ้าน แต่ทั้งนี้คุณภาพของแอปและอุปกรณ์เหล่านี้แตกต่างกันไปจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ อาจทำให้คุณอ่านค่าการเต้นของหัวใจไม่ถูกต้อง และทำให้เกิดความกังวลหรือตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น พูดคุยกับแพทย์ของคุณและถามว่าพวกเขาแนะนำให้ใช้อุปกรณ์เพื่อฟังเสียงหัวใจลูกเองได้หรือไม่

ครบเครื่องเรื่องคุณแม่ กับสุดยอดแอปพลิเคชัน ที่จะเปลี่ยนคุณแม่มือใหม่ ให้เป็นคุณแม่มือโปรฯ

เปิดตัว Mobile Application “RDU รู้เรื่องยา” ครั้งแรกกับการให้ข้อมูลด้านยาที่ถูกต้องผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือ

แนะวิธี แก้ปัญหาลูกติดมือถือ ด้วยแอพพลิเคชัน NetCare พ่อแม่ทำได้แค่ปลายนิ้ว

หัวใจเต้น

รู้หรือไม่? การเต้นของหัวใจทารก เปลี่ยนแปลงตลอดการตั้งครรภ์

ตลอดการตั้งครรภ์ หัวใจของทารกจะยังคงพัฒนาต่อไป การเต้นของหัวใจของทารกจะอยู่ที่  90 ถึง 110 ครั้งต่อนาที(bpm) ในช่วงสัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ และจะเพิ่มขึ้นประมาณสัปดาห์ที่ 9 ถึง 10 โดยอัตราการเต้นของหัวใจจะอยู่ที่  140 ถึง 170 ครั้งต่อนาที(bpm)

หลังจากนั้นการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ที่ปกติจะอยู่ระหว่าง 110 ถึง 160 ครั้งต่อนาที(bpm) ในไตรมาสที่สองและสาม โปรดทราบว่าการเต้นของหัวใจของทารกอาจแตกต่างกันไปในระหว่างตั้งครรภ์และในการนัดหมายแพทย์ก่อนคลอดแต่ละครั้ง  หากแพทย์ของคุณมีข้อกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการของหัวใจของทารกแพทย์อาจกำหนดเวลาการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจของทารกในครรภ์เพื่อตรวจดูหัวใจของทารกเพิ่มเติมค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจ แต่ไม่ได้ยินเสียงลูกในท้อง ต้องกังวลไหม?

แม่รู้มั้ย? พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน น่าอัศจรรย์เพิ่มขึ้นอย่างไร

พัฒนาการทารกในครรภ์ 9 เดือนมหัศจรรย์ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตน้อยๆ ของแม่บ้าง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

IPHA-Foremost

‘โฟร์โมสต์’ ผ่านการรับรอง IPHA ยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์นมโคคุณภาพเพื่อผู้บริโภคชาวไทย

บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)โดยฟรีสแลนด์คัมพิน่า ได้ผ่านการรับรอง “IPHA : Industrial and Production Hygiene Administration” เป็นสถานประกอบการที่มีการบริหารจัดการสถานที่ กระบวนการผลิตและบุคลากร ตามมาตรการร่วมและมาตรฐานด้านสุขอนามัย ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงฯ ได้แก่ กรมควบคุมโรค สถาบันอาหาร และสถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ (ISO) เป็นผู้จัดทำแนวทางตรวจสอบ และรับรองมาตรฐาน

คุณอาเมีย มูเนีย ผู้อำนวยการฝ่ายผลิต บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัยในการผลิตผลิตภัณฑ์ของเราในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลี้ยงโคนม การเลือกสรรวัตถุดิบ ตลอดจนกระบวนการผลิตเป็นระบบปิดตลอดทั้งกระบวนการ และผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนที่อุณหภูมิตั้งแต่ 90 ถึง 139 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถทำลายเชื้อไวรัส Covid-19 ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเชื้อไวรัส Covid-19 ไม่สามารถทนความร้อนได้และจะถูกทำลายที่อุณหภูมิสูงกว่า 70 องศาเซลเซียส

ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีความปลอดภัยสูงสุดและได้ส่งออกไปถึงผู้บริโภคอย่างมีคุณภาพมาตรฐาน ทั้งนี้ในตลอดช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทฯได้เพิ่มมาตรการควบคุมมาตรฐานตามสุขอนามัยในสถานประกอบการถึงขั้นสูงสุด และมีการจัดทำระบบคุณภาพมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารอย่างเข้มงวดในระดับสากล ซึ่งการรับรอง IPHA นี้ได้พิจารณาถึงการบริหารจัดการสุขอนามัยใน 3 ด้านหลักของผู้ประกอบการคือ 1) สถานประกอบการ  2) กระบวนการผลิต และ 3) บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรฐานของ IPHA โดยนอกจากการรับรองนี้ บริษัทฯ ยังได้รับรองมาตรฐาน GMP มาตรฐานในการผลิตอาหาร , HACCP มาตรฐานควบคุมดูแลความปลอดภัยในทุกกระบวนการผลิตอาหาร และ ISO 22000 มาตรฐานระบบการจัดการความปลอดภัยของอาหาร ”

“เราให้ความสำคัญกับมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าเป็นอย่างยิ่ง และเราได้ดำเนินการยกระดับมาตรการดูแลจัดการในสถานการณ์การระบาด Covid-19 ทั้งนี้เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคตลอดจนคู่ค้าของเรา ตลอดจนสานต่อเจตนารมณ์ในการส่งมอบนมโคคุณภาพแก่ผู้บริโภคชาวไทย พร้อมผลักดันภาคอุตสาหกรรมนมไทยให้มีศักยภาพ และผลิตน้ำนมโคได้อย่างมีคุณภาพอย่างยั่งยืน ” คุณอาเมีย กล่าวทิ้งท้าย

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทรศัพท์ 02-620-1900 เว็บไซต์ www.foremostthailand.com และเฟซบุ๊ก www.facebook.com/ForemostThailand

โรคพิษสุนัขบ้า

เด็ก!! เสี่ยงติด “โรคพิษสุนัขบ้า” โรคที่ไม่ได้เกิดจากแค่สุนัข

โรคพิษสุนัขบ้า โรคที่มักจะระบาดในหน้าร้อน โดยทั่วไปพ่อแม่จะระวังไม่ให้ลูกไปเล่นกับสุนัขจรจัด แต่รู้หรือไม่ว่า กระต่าย ลิง และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็มีเชื้อพิษสุนัขบ้า

เด็ก!! เสี่ยงติด “โรคพิษสุนัขบ้า” โรคที่ไม่ได้เกิดจากแค่สุนัข

โรคพิษสุนัขบ้า หรือที่ชาวบ้านทั่วๆ ไปนิยมเรียกว่า เรียก “โรคกลัวน้ำ” (Hydrophobia) เป็นโรคติดเชื้อของระบบประสาทส่วนกลางที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต พบเกิดในสัตว์ เลือดอุ่นทุกชนิด ทั้งสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าและยังติดต่อมาสู่มนุษย์ พาหะนำโรคที่สำคัญที่สุดสู่มนุษย์ และสัตว์อื่นๆ คือ สุนัข รองลงมาคือแมว โรคนี้เกิดจากเรบี่สไวรัส (Rabies virus)

สัตว์และคนติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้จากไหน

พาหะนำโรคคือ สัตว์เลือดอุ่นเลี้ยงลูกด้วยนม ที่ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า เช่น สุนัข แมว โค กระบือ สุกร หนู ลิง ชะนี กระต่าย ค้างคาว ฯลฯ ในประเทศไทยสัตว์พาหะนำโรคที่สำคัญคือ สุนัขและแมว

ไม่ใช่แค่กัด ข่วน เลีย โดนน้ำลายสัตว์ ก็ติดเชื้อได้!!

การติดเชื้อที่สำคัญที่สุดคือการถูกสัตว์เป็นบ้ากัด แต่เชื้อโรคพิษสุนัขบ้าก็สามารถเข้าสู่ร่างกายโดยการถูก ข่วน เลีย หรือน้ำลายสัตว์กระเด็นเข้าแผลรอยขีดข่วน เยื่อบุตา จมูก ปาก หรือการปลูกถ่ายกระจกตา ได้เช่นกัน นอกจากนี้ เชื้ออาจติดต่อจากการกินได้ถ้ามีบาดแผลภายในช่องปากและหลอดอาหาร ซึ่งจะพบกรณีสัตว์กินเนื้อตัวป่วย หรือที่ตายใหม่ ๆ เข้าไป

จากผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนัขบ้า เชื้อจะยังคงอยู่บริเวณนั้นระยะหนึ่ง โดยเพิ่มจำนวนในกล้ามเนื้อ ก่อนจะเดินทางผ่านเข้าสู่เส้นประสาทส่วนปลาย ไขสันหลัง และเข้าสู่สมอง มีการแบ่งตัวในสมอง พร้อมทำลายเซลล์สมอง และปล่อยเชื้อกลับสู่ระบบขับถ่ายต่างๆ เช่น ต่อมน้ำลาย น้ำปัสสาวะ น้ำตา ตามแขนงประสาทต่างๆ ทำให้เกิดอาการ บางรายเกิดอาการช้านานเกิน 1 ปี บางรายเกิดอาการเร็วเพียง 4 วันเท่านั้น แต่โดยเฉลี่ย 3 สัปดาห์ถึง 4 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ

  • จำนวนเชื้อที่เข้าไป บาดแผลใหญ่ ลึก หรือมีหลายแผล มีโอกาสที่เชื้อจะเข้าไปได้มาก
  • ตำแหน่งที่เชื้อเข้าไป ถ้าอยู่ใกล้สมองมาก เชื้อก็จะเดินทางไปถึงสมองได้เร็ว ถ้าน้ำลายถูกผิวหนังปกติ ไม่มีรอยข่วนหรือบาดแผล ไม่มีโอกาสติดโรค การติดต่อโดยการหายใจ มีโอกาสน้อยมาก ยกเว้นมีจำนวนไวรัสในอากาศเป็นจำนวน มาก เช่น ในถ้ำค้างคาวนอกจากนั้นติดต่อจากการกินได้ ถ้ามีบาดแผลภายในช่องปากและหลอดอาหาร ซึ่งจะพบกรณีสัตว์กินเนื้อสัตว์ที่ป่วยตายใหม่ๆ
  • อายุคนที่ถูกกัด เด็กและคนชราจะมีความต้านทานของโรคต่ำกว่าคนหนุ่มสาว
  • ความรุนแรงของเชื้อ เชื้อจากสัตว์ป่าอันตรายกว่าสัตว์เลี้ยง สุนัขและแมวที่ป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้า สามารถแพร่เชื้อได้ก่อนแสดงอาการ เพราะ เชื้อจะออกมาในน้ำลายเป็นระยะ ๆ ประมาณ 1-7 วัน ก่อนแสดงอาการ
พิษสุนัขบ้า
พิษสุนัขบ้า

วิธีสังเกตสัตว์ที่อาจติดเชื้อพิษสุนัขบ้า

สัตว์ที่ได้รับเชื้อจะแสดงอาการภายใน 14-90 วัน หรืออาจนานกว่านี้โดยเฉลี่ยประมาณ 21 วัน อาการของสัตว์แต่ละตัวจะแตกต่างกันมาก แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ

  • แบบดุร้าย (furious form) สัตว์จะแสดงอาการเบื่ออาหาร อุปนิสัยเปลี่ยนไป บางรายชอบกิน ดิน หิน เป็นต้น แสดงอาการตื่นเต้น ร้อง หาว ดุร้าย วิ่งชนคน หรือสิ่งกีดขวาง แสดงอาการกลืนลำบาก (ทำให้เรียกว่าโรคกลัวน้ำ) มีน้ำลายไหลมาก แสดงอาการไวต่อแสงและเสียงอย่างมาก เมื่อโรคดำเนินต่อไปถึงขั้นสมองอักเสบ สัตว์จะแสดงอาการอัมพาต ล้มลงนอน ชัก และตายในที่สุด
  • แบบซึม (dumb or paralytic form) สัตว์จะแสดงอาการในระยะตื่นเต้นสั้นมากจนสังเกตไม่เห็น อาการจะเข้าระยะอัมพาตอย่างรวดเร็ว ซึม มีน้ำลายไหลมาก กล้ามเนื้อขาไม่สัมพันธ์กัน ล้มลงนอน ชักหายใจไม่ออกและตายในที่สุด

ทำอย่างไรเมื่อถูกสัตว์ ข่วน เลีย กัด?

  • ล้างแผลด้วยน้ำและน้ำสบู่หลายๆ ครั้ง โดยให้น้ำไหลผ่านเป็นเวลานาน แล้วทายาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดน-ไอโอดีน (Povidone-iodine) หรือแอลกอฮอล์
  • จดจำลักษณะของสัตว์ เพื่อค้นหาเจ้าของและสอบถามประวัติและความเสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้า
  • พบแพทย์ทันทีเพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้เร็วที่สุด รวมถึงการฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
  • กักสัตว์ตัวที่กัดไว้เพื่อสังเกตอาการ 10 วัน หากสัตว์ตายให้รีบแจ้งปศุสัตว์ในพื้นที่

หากเพียงลูกสุนัขหรือแมวข่วนเป็นรอยถลอก จำเป็นต้องไปพบแพทย์หรือไม่?

ไม่ว่าสัตว์นั้นจะเคยรับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อนหรือไม่ก็ตาม จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษาและฉีดวัคซีนป้องกัน

เมื่อคนติด โรคพิษสุนัขบ้า จะมีอาการอย่างไร?

เชื้อพิษสุนัขบ้ามีระยะฟักตัวนานเป็นสัปดาห์จนถึงหลายปี ดังนั้น ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการตั้งแต่ 1 สัปดาห์จนถึงระยะเวลานานเป็นเดือนหรือเป็นปีหลังจากสัมผัสเชื้อ โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร ไม่ค่อยสบายตัว คันหรือเจ็บบริเวณแผลที่ถูกกัด

  • อาการแสดงระบบประสาท – สับสน กระวนกระวายใจ กลืนลำบาก อยู่ไม่นิ่ง กลัวน้ำ
  • อาการแสดงระบบหัวใจ – เริ่มหัวใจล้มเหลว หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตในที่สุด

ทำไม “เด็ก” ถึงมีความเสี่ยงติดเชื้อพิษสุนัขบ้า?

ไม่ว่าวัยไหนก็มีโอกาสติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้ แต่สำหรับในเด็กนั้นมีความเสี่ยงมากกว่าวัยอื่น ๆ เพราะพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงวัย ที่มีความอยากรู้อยากเห็น ชอบสัตว์ อยากจับ อยากสัมผัส จึงมีโอกาสที่จะถูกสัตว์กัดได้ง่าย และอาจไม่บอกผู้ปกครอง และปล่อยทิ้งไว้จนเกิดแผลติดเชื้อ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรคอยดูแลลูกอยู่ตลอดเวลาขณะที่เล่น ป้อนอาหาร หรือจับสัตว์

โรคพิษสุนัขบ้า อาการ
โรคพิษสุนัขบ้า อาการ

“ป้องกัน” สำคัญกว่า “รักษา”

ปัจจุบัน ยังไม่มียารักษา โรคพิษสุนัขบ้า หากผู้ป่วยมีอาการของโรคแล้ว จะเสียชีวิตเกือบ 100% แต่หากได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการรักษาอย่างทันท่วงทีและถูกวิธีหลังการสัมผัสโรค จะสามารถลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม การเลี่ยงไม่ให้เกิดความเสี่ยงต่อการโดนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กัด ข่วน หรือเลีย จึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสุนัขที่เราไม่ทราบประวัติที่ชัดเจน ควรเรียนรู้พฤติกรรมสุนัขและวิธีปฏิบัติตนไม่ให้ถูกสุนัขกัด เช่น

  • หลีกเลี่ยงไม่ให้เข้าใกล้หรือจับต้องสุนัขแปลกหน้า
  • สุนัขที่กำลังกินอาหารหรือกัดแทะสิ่งของ เพราะอาจหวงอาหาร หรือสิ่งของนั้น
  • สุนัขแม่ลูกอ่อน เพราะอาจหวงลูก
  • เลี่ยงการไปอยู่ใกล้สุนัขที่ผูกล่ามไว้ เพราะอาจเครียด รู้สึกไม่ปลอดภัย หรือกลัว
  • สุนัขที่นอนหลับหรือไม่เห็นว่ามีคนกำลังเข้ามาใกล้ เพราะอาจตกใจ

ในช่วงวันหยุด คุณพ่อคุณแม่มักจะพาลูก ๆ ไปเที่ยวสวนสัตว์ ฟาร์ม และแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่อาจมีสัตว์ต่าง ๆ ให้ป้อนอาหาร อุ้ม เล่น เพื่อให้เด็ก ๆ ได้ใกล้ชิดและเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์ แต่เนื่องจากการพาไปสถานที่เหล่านี้ก็อาจทำให้ลูกเสี่ยงต่อการโดนสัตว์ต่าง ๆ ข่วนหรือกัดได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมที่จะสอบถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีน โรคพิษสุนัขบ้า ก่อนให้ลูก ๆ เข้าไปเล่นนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

7 โรคในฤดูร้อน 3 ภัยจากอากาศร้อน ที่เด็กเล็กต้องระวัง!!

เมื่อลูกปวดท้องจาก “โรคบิด” ภัยร้ายหน้าร้อนที่ต้องระวัง!!

Kid Safetyระวังลูก จมน้ำ ด้วย5ทักษะความปลอดภัยทางน้ำ

20 อาหารอันตรายช่วงหน้าร้อน แม่ลูกต้องระวัง

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : องค์กรพิทักษ์สัตว์แห่งโลก, สถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ, กรมควบคุมโรค, โรงพยาบาลพญาไท

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่