Page 118 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

Eucerin Omega Balm

เริดเวอร์!! 5 มอยซ์เจอร์ไรเซอร์บํารุงผิวลูกน้อย กู้ผิวแห้ง สู่ผิวสุขภาพดี

ผิวเด็กทารกแรกเกิด ผิวเด็กเล็ก ทำไม๊ ทำไม ถึงมีผื่นแดง ผิวแห้ง สากๆ สงสัยกันไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับผิวลูกน้อย วันนี้ทีมแม่ABK จะมาบอกถึงปัญหาผิวที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ กับผิวเด็กค่ะ รวมถึงจะมารีวิวมอยซ์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวที่แม่บ้านนี้ใช้กับผิวลูกและผิวแม่ ขอบอกว่า 5 ตัวนี้เด็ด!! ช่วยกู้ผิวพังๆ ให้กลับมามีผิวสุขภาพดีทุกวันค่ะ

ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นประสบการณ์หนึ่งที่แม่บ้านนี้จำไม่ลืมเลยค่ะ ตอนที่ลูกได้ 3 เดือน สังเกตว่าลูกร้องไห้ งอแงเกือบจะตลอดวันเลย แล้วก็ชอบเอามือมาบัดๆ ที่หน้า พอเข้าไปดูใกล้ๆ โอ๊ะ โอ !! ผิวลูกมีผื่นแดงตรงแก้ม ใบหู ผิวช่วงแขน ขาก็มี พอเอามือลูบสัมผัสดู รู้สึกผิวแห้ง สากๆ ด้วย แม่ว่าไม่ได้การล่ะ สิ่งแรกที่ทำคือเข้า Google หาดูอาการที่เกิดกับผิวลูก ก็พอจะได้คำตอบว่า ลูกเราน่าจะมีอาการผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง วันรุ่งขึ้นแม่ก็พาไปหาคุณหมอเด็ก ที่ทราบจากคุณหมอคือ เจ้าผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเนี่ย เกิดได้จากหลายสาเหตุค่ะ ไม่ว่าจะมาจากพันธุกรรม หรือมีปัจจัยกระตุ้น เช่น อาหาร สภาพอากาศ สารเคมี ไรฝุ่น เหงื่อ น้ำหอม สบู่ แป้ง โลชั่น ครีมทาผิว เนื้อผ้าของชุดเสื้อผ้าที่สวมใส่ ก่อให้เกิดการระคายเคือง เป็นต้น สำหรับผื่นภูมิแพ้ผิวหนังเกิดขึ้นได้กับเด็ก และผู้ใหญ่เลยค่ะ

Eucerin Omega Balm

ทีนี้สิ่งที่แม่อยากได้คือ การดูแลปกป้องและทำให้ผิวลูกแข็งแรงให้ผิว ไม่ใช่แค่ระยะสั้นๆ แต่อยากให้ผิวลูกแข็งแรงมีผิวสุขภาพดีไปจนโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ แม่จึงเฟ้นหาสารพัดผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวลูกน้อย ที่ช่วยในเรื่องบำรุงผิว ป้องกันผิวจากการแพ้ ระคายเคืองคันต่างๆ หรือผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น จนมาจบที่มอยซ์เจอร์ไรเซอร์จาก 5 ยี่ห้อนี้ค่ะ ขอบอกว่าเราก็ใช้กับลูกด้วยนะจ๊ะ ใช้ดีจริง อยากให้คุณแม่ๆ ได้ลองใช้กันค่ะ  นี่ก็คือ 5 ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเด็กที่เหมาะสำหรับผิวแห้ง แพ้ง่าย และปัญหาผิวที่เกิดผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง พูดเลยแม่เลิฟมาก ❤ ✨ ได้แก่ Eucerin Omega Balm , Physiogel Soothing Care A.I. Cream , Ezerra Cream , Cerave Facial Moisturising Lotion และ Cetaphil PRO AD Derma ค่ะ

Eucerin Omega Balm

Eucerin Omega Balm ยูเซอริน โอเมก้า บาล์ม

หมอเด็กแนะนำเป็นอันดับ 1 ตัวนี้เด็ดจริงแม่ยกให้เป็นเบอร์ 1 ที่หมดแล้วซื้อใช้ซ้ำบ่อยที่สุด Eucerin omega balm เป็นมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ที่ใช้ทาบำรุงผิวกาย อ่อนโยน ปลอดภัย ใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดเลยค่ะ เนื้อสัมผัสบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ทาแล้วซึมซาบลงสู่ผิวเร็วดีมากๆ สามารถทาให้ลูกได้ทุกวัน สำหรับยูเซอริน โอเมก้า บาล์มหลอดนี้นะคะเขามีจะ Licochalcone A สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยในเรื่องการลดผิวแดงระคายเคือง ซึ่งมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสเตียรอยด์ โดยที่ไม่ต้องใช้สเตียรอยด์เลย ที่สำคัญคือมีการผสานเข้ากับ Omega 3 & 6 fatty acids และ Ceramides ที่จะช่วยเติมไขมันที่จำเป็นอย่างครบถ้วนเพื่อคืนความชุ่มชื้น เพื่อฟื้นบำรุงชั้นปกป้องผิวให้มีสุภาพดีขึ้น และยังมี Shea Butter ที่ช่วยทำให้ชั้นปกป้องผิวดูแข็งแรงขึ้น และยังปราศจากสารที่ทำให้เกิดการแพ้อย่างน้ำหอม สารแต่งสี และพาราเบน มั่นใจได้เลยว่าไม่แพ้ ลูกบ้านไหนที่มีผิวธรรมดาทั่วไป ผิวแห้ง หรือที่มีปัญหาเรื่องผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง แนะนำเลยค่ะ

Eucerin Omega Balm

Physiogel Soohthing Care A.I. Cream ฟิซิโอเจล ซูธธิ่ง แคร์ เอ.ไอ. ครีม

มอยซ์เจอร์ไรเซอร์ตัวนี้เหมาะสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย และผิวเด็กก็ใช้ได้ค่ะ เนื้อครีมเข้มข้น Physiogel Soohthing Care A.I. Cream เขาใช้นวัตกรรมที่ผสานไขมันที่เรียกว่า Physiogel BioMimic Technology โดยในเนื้อครีมจะมีส่วนผสมของไขมันซึ่งมีความคล้ายคลึงกับไขมันที่พบได้ในเซลล์ผิวของคนเรา ซึ่งสามารถทำหน้าที่เติมไขมันให้ผิวมีความชุ่มชื่น ป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น พร้อมปกป้องผิวจากมลภาวะต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดการระคายเคือง และมี Palmitamide MEA (PEA) ช่วยลดปัญหาผิวแห้งที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวแดงและคัน เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยให้ผิวได้รับการฟื้นบำรุงอย่างเต็มที่และค่อยๆ ปรับสภาพให้ดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผิวนุ่มเรียบเนียน ดูมีสุขภาพผิวดีค่ะ

เริดเวอร์!! 5 มอยซ์เจอร์ไรเซอร์บํารุงผิวลูกน้อย กู้ผิวแห้ง สู่ผิวสุขภาพดี

Ezerra Cream อีเซอร์ร่า ครีม

ครีมทาผิวเด็กหมีม่วง เราเรียกกันอย่างนี้จริงๆ ค่ะ ส่วนใหญ่แม่ๆ จะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เพราะใช้ทาผิวก้นลูกก่อนใส่ผ้าอ้อม Ezerra Cream เขาเป็นครีมสำหรับเด็กที่มีผิวแห้ง ผิวแพ้ง่ายค่ะ สารสำคัญในอีเซอร์ร่า ครีม ก็คือสเป็นเกรนแว็กซ์ (Spent Grain Wax) , เชียร์บัทเทอร์ (Shea Butter Extract) และ อาร์แกนออยล์ (Argania Sopinosa Kernel Oil)สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยบำรุงผิว นอกจากนี้ก็ยังจะมี แซคคาไรด์ ไอโซเมอเรท(Saccharide Isomerate) สารสกัดธรรมชาติ จากอนุพันธ์กลูโคสของพืช เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่มีโครงสร้างเช่นเดียวกับสารที่ให้ความชุ่มชื้นธรรมชาติในชั้นผิวของคนเราค่ะ มาดูกันที่เนื้อครีมของอีเซอร์ร่า จะมีลักษณะเนื้อสัมผัสที่เข้มข้น แต่พอทาลงบนผิวแล้วเกลี่ยง่าย และซึมซาบลงผิวได้เร็ว แต่จะให้ความรู้สึกเหนอะนิดๆ เหมือนมีอะไรมาเคลือบผิวค่ะ

Eucerin Omega Balm

Cerave Facial Moisturising Lotion เซราวี เฟเซียล มอยซ์เจอร์ไรซิ่ง โลชั่น

คุณแม่หรือเด็กเล็กๆ ที่ผิวหน้ามีปัญหาแห้ง แดง ไม่สบายผิว ต้องลอง Cerave Facial Moisturising Lotion กันค่ะ ตัวนี้อ่อนโยนกับผิวมากๆ เป็นสูตรไฮโปอัลเลอจีนิค ไม่ทำให้ผิวเกิดการแพ้ระคายเคือง คิดค้นขึ้นโดยความร่วมมือของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยเฉพาะค่ะ เป็นนวัตกรรมการส่งคืนเซราไมด์ให้ผิว ที่ประกอบด้วยเซราไมด์ที่จำเป็นต่อผิว 3 ชนิด สกัดจากพืชธรรมชาติ พร้อมผสานด้วยไฮยาลูรอนิกแอซิด เพื่อช่วยชดเชยความชุ่มชื้น เซราไมด์ที่ขาดหาย และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้มีความแข็งแรงขึ้น  เนื้อสัมผัสจะเป็นเนื้อโลชั่นที่บางเบามากๆ แล้วก็เกลี่ยได้ง่ายด้วย พอทาลงบนผิวแล้วซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว และไม่มีน้ำหอมด้วยค่ะ

Eucerin Omega Balm

Cetaphil PRO AD Derma Skin Restoring Body Moisturizerเซตาฟิล โปร เอดี เดอร์มา สกิน รีสโตริ่ง บอดี้ มอยส์เจอไรเซอร์

Cetaphil PRO AD Derma Skin Restoring Body Moisturizer เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกายสำหรับผิวแห้ง คัน ผลิตภัณฑ์ตัวนี้เขาผ่านการวิจัยมาแล้วว่าช่วยในเรื่องเก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างอ่อนโยน มีส่วนผสมของสารสกัดที่ได้จาก Filaggrin breakdown product (PCA and arginine), Ceramide-5, Sun Flower Oil และ Shea Butter ที่ช่วยทำให้ผิวมีความนุ่ม ชุ่มชื้น เนื้อครีมซึมลงสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมและสารกันเสียจึงเหมาะแม้ผิวเด็ก หรือคนที่มีอาการผิวแห้งคัน ก็ใช้ได้ดีค่ะ

Eucerin Omega Balm

ทารก เด็กเล็ก หรือผู้ใหญ่ ที่มีปัญหาผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง เหมือนที่ลูกแม่บ้านนี้เคยเป็นมาก่อน อยากให้ลอง Eucerin omega balm ที่มี Licochalcone A สารสกัดจากธรรมชาติ ที่ช่วยในเรื่องลดปัญหาผิวแห้ง และการระคายเคืองที่มีสาเหตุจากผิวแห้ง เติมความชุ่มชื้นผิวด้วย Omega 3 & 6 fatty acids และ Ceramides ที่จะช่วยเติมไขมันที่จำเป็นเพื่อฟื้นบำรุงชั้นปกป้องผิวให้มีสุภาพดีขึ้น และ Shea Butter ที่ช่วยทำให้ชั้นปกป้องผิวแข็งแรงขึ้นค่ะ

ทีมแม่ABK แนะนำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวลูกน้อย และผิวคุณแม่ให้แล้ว ทั้ง 5 ยี่ห้อนี้ ควรมีไว้ใช้ที่บ้านค่ะ

ดาราพ่อลูกอ่อน

ส่อง 8 ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 กับมุมอ่อนโยน เมื่ออยู่กับลูก

ส่อง 8 ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 กับมุมอ่อนโยน เมื่ออยู่กับลูก ดาราชาย ที่ได้กลายเป็นคุณพ่อมือใหม่ คุณพ่อลูกอ่อนป้ายแดง จะมีใครบ้าง..ไปส่องกันเลยจ้า

รวม 8 ดาราพ่อลูกอ่อน แม่ดาราคลอดลูก 2564

สวัสดีปีวัว 2564 ปีนี้เป็นปีที่ดี เพราะแค่ ต้นปีก็มีเหล่าคนดังหลายคนที่ได้เป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ป้ายแดง รวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่ดาราที่ได้มีลูกน้อยคนที่ 2 คนที่ 3 กำเนิดในปีนี้

ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์ โควิด-19 จะระบาด แต่ไม่อาจขวางกั้นความรัก และความสุข ที่คุณพ่อคุณแม่ในวงการบันเทิงจะได้มีโอกาสต้อนรับทายาทกันหลายคนแน่นอน เรียกได้ว่าอบอุ่น และก็มี ดาราชาย ที่ได้กลายเป็นคุณพ่อมือใหม่ คุณพ่อลูกอ่อนป้ายแดงกันเพียบ ว่าแต่จะมี ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 เป็นใครบ้าง..ไปส่องกันเลยจ้า

 

มาที่ ดาราพ่อลูกอ่อน คนแรกขอแสดงความยินดีตั้งแต่ต้นปี กับคุณพ่อสุดหล่อ ชาย ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ ที่คุณแม่วิกกี้ สุนิสา เจทท์ ได้คลอดลูกชายคนที่ 2 ให้เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2564 ตั้งชื่อว่า “น้องไทเลอร์” ตั้งชื่อจริงว่า ด.ช.ทวิรท หิรัณยัษฐิติ แข็งแรงทั้งแม่และลูก ซึ่งคุณพ่อชาย ก็คอยดูแลเฝ้าไม่ห่าง น้ำตาซึม ซึ้งใจวันรอลูกชาย

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ขอบคุณภาพจาก IG @chartayodom และ IG @sunisajett

ดาราพ่อลูกอ่อน ถัดมาเรียกได้ว่ากลายเป็นคุณพ่อลูก 3 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ คุณพ่อน้ำ รพีภัทร เอกพันธ์กุล ที่ล่าสุดได้ประกาศข่าวดี หลังภรรยาสุดคุณแม่มินตรา ชนิศา ได้คลอดลูกคนที่ 3 เป็นลูกสาวชื่อ “น้องอาโป” ด.ญ.เอวาริณณ์ เอกพันธ์กุล ซึ่งความหมายของชื่อลูกสาวคนที่ 3 นี้แปลว่า น้ำ เหมือนชื่อของคุณพ่อนั่นเอง

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ขอบคุณภาพจาก IG @namrapeepatekpankul

อีกหนึ่ง ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 ที่ตั้งตารอมานานก็ได้ชื่นใจกับเขาแล้ว สำหรับคุณพ่อป้ายแดง ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยาและ ภรรยา คุณนาน่า ธันยา ที่ได้ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก “น้องเนล่า” หรือ ด.ญ.ธัญญณัฐ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแม้ว่าน้องจะมาก่อนกำหนดเล็กน้อย แต่สุขภาพทั้งคุณแม่คุณลูก แข็งแรงดีมาก จิ้มลิ้มที่สุด ด้านคุณพ่อก็เห่อไม่เบา ลงภาพลูกสาวเด็มไอจีไปหมด

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ขอบคุณภาพจาก IG @nut_devahastin

ถัดมาเรียกได้ว่าเป็นที่ฮือฮามาก เพราะหลังจากที่นางเอกสาวคนดัง คุณแม่ศรีริต้า เจนเซ่น ณรงค์เดช ให้กำเนิดลูกชาย “น้องกวินท์” หรือ ด.ช.อัศวิน เจนเซ่น ณรงค์เดช ที่ฉายแววหล่อมาแต่เด็ก และต้องบอกว่าพอคุณแม่คลอดปุ๊บก็ยังสวยปั๊บเช่นเดียวกัน มาพร้อมกับภาพครอบครัวและโมเมนต์ป้อนนมลูกบอกเลยว่าสุขใจที่สุด รวมไปถึงคุณพ่อป้ายแดงอย่าง “กรณ์ ณรงค์เดช” ก็โพสต์ภาพลูกน้อยตลอดเช่นเดียวกัน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ขอบคุณภาพจาก IG @kornnarongdej

ดาราพ่อลูกอ่อน คนต่อมา คุณพ่อสุดหล่อฟลุค เกริกพล มัสยวาณิช  ที่แฮปปี้สุดๆ กับลูกสาว “น้องนาตาชา” โดยภรรยาสุดสวย คุณแม่นาตาลี เจียรวนนท์ ได้คลอดเมื่อวันที่ 6 เม.ย.2564 บอกเลยว่าหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดูมาก ทั้งนี้คุณพ่อและคุณแม่ก็ได้จัดงาน ต้อนรับวันเกิดของลูกสาว ที่ต้องบอกว่าความน่าเอ็นดูนั้น เกินร้อยเลยทีเดียว อีกทั้งถ่ายภาพครอบครัว รวมกับพี่ชาย “น้องอชิ” เป็นภาพอบอุ่นชนิดทีเรียกว่าไอจีอบอวลไปด้วยความละมุน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ขอบคุณภาพจาก IG @fluke777

ตามมาติดๆ กับ ดาราพ่อลูกอ่อน คุณกันต์ กันตถาวร สามีพิธีกรแห่งชาติ เมื่อภรรยาสาว คุณพลอย อัยดา กันตถาวร ได้ให้กำเนิดลูกชายในวันที่ 7 เม.ย.2564 คนนี้สมค่าการรอคอยเช่นกัน พ่อแม่ป้ายแดง ต้อนรับลูกชายอย่างน่ารัก ตัวสีชมพูมาเลยทีเดียว สำหรับ “น้องพร้อม” ซึ่งมีชื่อจริงว่า “ด.ช.กันต์ธีร์ กันตถาวร” ที่มาด้วยน้ำหนักตัว 3,160 กรัม ส่วนสูง 51.5 ซม. สมบูรณ์แข็งแรงดีทั้งแม่ทั้งลูก บอกเลยว่าโมเมนต์บ้านนี้ แฮปปี้มาก

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ขอบคุณภาพจาก IG @kankantathavorn

ดาราพ่อลูกอ่อน ถัดมา เรียกได้ว่ากลายเป็นคุณพ่อคุณแม่ลูกสองเต็มตัวแล้ว สำหรับคู่รักดัง คุณพ่อฟลุค จิระ ด่านบวรเกียรติ และ คุณแม่แอปเปิ้ล สีสะเหงียน สีหาราช เพราะล่าสุดวันที่ วันที่ 9 เม.ย.2564 คุณแม่แอปเปิ้ล ได้คลอดลูกสาวคนที่ 2 เมื่อเวลา 6.09 น. ที่ รพ.บีเอ็นเอช โดยตั้งชื่อว่า น้องจูน่า ด.ญ.ชนิตา ด่านบวรเกียรติ มีน้ำหนักแรกคลอด 3.350 กก. สูง 50 ซม.

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ขอบคุณภาพจาก IG @fluke_jira

ดาราพ่อลูกอ่อน ปี 64 คนสุดท้าย ของต้นปี ก็คือ คุณพ่อเชน ธนา ซึ่งก็เป็นคุณพ่อลูก 2 แล้ว เมื่อภรรยาคนสวย คุณเจมส์ กณิการ์ ภูโชคอนันต์ ได้คลอดลูกสาว “น้องสเตลล่า” หรือ “ด.ญ. เฌอษิจันทร์ ภูโชคอนันต์” เมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 เม.ย.2564 ทายาทธุรกิจพันล้าน ที่ตลอดในปีวัว และในช่วงที่โควิด-19 ระบาด แต่ไม่อาจขวางความน่ารักของน้องสเตลล่าได้เลย

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ดาราพ่อลูกอ่อน

ขอบคุณภาพจาก IG @chaintana

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก

ส่อง “18 ดาราเลี้ยงลูก” อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ! วันๆ ทำอะไรกันบ้าง?

ส่อง ค่าเทอมลูกดารา เรียนที่ไหนกัน แม่ต้องจ่ายเท่าไหร่บ้าง?

รวมภาพหายาก 10 คุณแม่ดาราตอนวัยเด็ก ใครเป็นใคร? ต้องดู

ชื่อเล่นลูกดารา 100+ ไอเดียสำหรับตั้ง ชื่อเล่นลูก น่ารัก เก๋ๆ ไม่เหมือนใคร!

ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

เตือนภัยเงียบ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า ไข้สูงเฉียบพลันจนชักกลางดึก

ลูกวัยขวบเศษร้องกรี๊ดกลางดึก ตัวชักเกร็ง น้ำลายฟูมปาก ต้องแอดมิทรพ.กลางดึก แม่แชร์ประสบการณ์ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า ไม่มีอาการ กินได้นอนหลับดี อยู่ๆไข้สูงเฉียบพลันจนชัก เตือนแม่ลูกเล็กอย่าประมาท ลูกป่วยไม่มีอาการรุนแรง

หลายบ้านอาจกังวลกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ไม่ควรละเลยโรคภัยไข้เจ็บอื่นๆ เพราะยังมี “โรคหน้าร้อน” อีกหลายโรคมาทำให้ลูกน้อยเจ็บป่วยได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะหน้าร้อนที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เดี๋ยวร้อนจัด เดี๋ยวฝนตก เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลสุขภาพร่างกายของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สังเกตเห็นอาการผิดปกติและเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงกับภาวะชักจากไข้สูงเหมือนหนูน้อยคนนี้

คุณแม่ผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ จ๊ะจ๋า Darling ได้โพสต์แชร์ประสบการณ์เตือนในกลุ่มปิด “ห้องนั่งเล่นพ่อแม่” เมื่อลูกสาววัย 1 ขวบ 2 เดือน ไข้สูงจนชักกลางดึกเพราะ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า โดยไม่มีอาการผิดสังเกตใดๆ โดยคุณแม่เล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด จึงขอยกบางช่วงบางตอนมานำเสนอดังนี้ค่ะ

ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

แม่ขอแชร์ประสบการณ์ลูกไข้ขึ้นสูงแบบเฉียบพลันจนชัก เพราะเฮอร์แปงไจน่า ขอเกริ่นก่อนว่าแม่เป็นพวกชอบหาข้อมูลและเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับลูกเสมอ มียาครบทุกประเภท การปฐมพยาบาลต่างๆ แต่ก็ยังพลาดค่ะ

เมื่อวันที่2 เม.ย.ที่ผ่านมา ตลอดทั้งวัน ลูกสาววัย 1 ขวบ 2 เดือนก็เล่นปกติ อารมณ์ดี ทานข้าวได้เยอะเหมือนเดิม ตัวไม่ร้อน ไม่มีไข้ แม่พาเข้านอนตอนสามทุ่ม มีคุณพ่อนอนหลับข้างๆ ส่วนแม่ออกไปพับผ้า… จนกระทั่งห้าทุ่ม แม่ได้ยินเสียงน้องกรี๊ดดังมากเหมือนฝันร้าย คุณพ่อสะดุ้งตื่นและจับตัวน้องรู้สึกเหมือนน้องเกร็งตัวและกระตุก แม่เลยรีบวิ่งไปเปิดไฟทันที

ภาพที่เห็นทำให้แม่สติหลุดมาก น้องชักเกร็ง ตาเหลือกค้าง ปากเบี้ยว น้ำลายฟูมปาก ปากเริ่มม่วง มือเท้าซีด แม่รีบวิ่งไปอุ้มน้อง เรียกชื่อน้องดังๆ เขย่าตัวแบบคนขาดสติ แม่ไม่ได้คิดเลยว่าน้องตัวร้อนหรือมีไข้สูงจนชัก เพราะก่อนเข้านอนตัวเย็นมาก…

แม่รีบวิ่งอุ้มลูกขึ้นรถไปรพ.ภายใน 5 นาที พอถึงแผนกฉุกเฉิน วัดไข้ได้39.5 องศาเซลเซียส พยาบาลก็รีบเช็ดตัว…แม่ช่วยพยาบาลเช็ดตัวอยู่นาน 20 นาที แม่กอดน้องไว้ เรียกชื่อบ่อยๆ น้องเริ่มมองมาที่แม่ เรียกชื่อพ่อออกมา นาทีนั้นคือแม่ร้องไห้ออกมาเลยค่ะ รู้สึกโล่งใจที่สุด

ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

หมอให้แอดมิทดูอาการ เจาะเลือดไปตรวจและนอนให้น้ำเกลือ (ตอนนั้นได้แต่โทษตัวเองว่าทำไมเราดูแลลูกดีที่สุดแล้วแต่ก็ยังพลาด ปล่อยให้ลูกเป็นหนักขนาดนี้ได้ยังไง) เช้าอีกวันได้รับแจ้งผลเลือดว่าน้องติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด ทำให้มีไข้ คอแดง แต่ไม่ได้ทราบว่าเป็นแบคทีเรียอะไร จากนั้นพาน้องกลับมาดูแลต่อที่บ้าน คอยระวังไม่ให้มีไข้อีก

ผ่านไป 2 วัน น้องเริ่มมีน้ำลายยืดอาการเหมือนฟันจะขึ้น เวลาให้กินข้าว น้องจะชี้ไปที่ปากและร้องเหมือนเจ็บ แทบไม่กินข้าวเลย น้ำก็ไม่ค่อยกิน อมน้ำลายอยู่ในปาก แม่ก็มั่นใจว่าคงเป็นอาการเจ็บเพราะฟันจะขึ้นปกติ จนสังเกตว่าไม่เห็นฟันโผล่ออกมา แต่มีแผลเล็กๆใต้ลิ้น

จนวันที่3 น้องเริ่มถ่ายเหลวเหมือนท้องเสีย 6 ครั้ง ทั้งๆที่ไม่กินอะไรเลย แม่กลัวน้องจะช๊อคเพราะขาดน้ำจึงพาไปหาหมอที่คลินิกเด็ก คุณหมอแบดูมือและเท้าของน้อง เอาไฟฉายส่องที่คอ เป็นอย่างที่คุณหมอคิด น้องมีแผลขนาดใหญ่ในคอหอย กว้างประมาณ 1 ซม. คุณหมอบอกว่า ลูกติดโรคเฮอร์แปงไจน่า …

สิ่งที่แม่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้คือ ต่อให้เราระวังมากแค่ไหน เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ แม่ไม่เคยอ่านวิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกชัก เพราะคิดว่าแม่คอยระวังไม่ให้ลูกเป็นไข้อยู่แล้ว ลูกไม่มีทางไข้ขึ้นสูงจนชักได้หรอก พอลูกชักแม่จึงไปไม่เป็น …

ฝากถึงพ่อแม่ทุกท่านด้วยนะคะ โรคนี้มันน่ากลัวจริงๆ เพราะไข้สามารถขึ้นสูงแบบเฉียบพลันได้โดยไม่มีสัญญาณเตือนเลย คอยสังเกตุอาการลูกน้อย ทำความสะอาดของเล่นบ่อยๆ ขอให้เด็กๆสุขภาพแข็งแรงทุกคนนะคะ

สังเกตยังไงว่าลูกอาจเสี่ยงเป็น โรคเฮอร์แปงไจน่า

โรคเฮอร์แปงไจน่า (Herpangina) เป็นโรคที่ติดเชื้อจากไวรัสชนิดเดียวกันกับโรคมือ เท้า ปาก จึงทำให้มีอาการใกล้เคียงกัน คือมีตุ่มใสหรือแผลเล็กๆตามมือ เท้า และในช่องปาก มีไข้เฉียบพลัน (อาจมีไข้สูงจนชักได้) เจ็บปาก กลืนอาหารลำบาก  อาเจียน ท้องเสียหลายครั้ง (ต้องระวัง ภาวะขาดน้ำ) ปอดบวมน้ำ หอบเหนื่อย ซึม ชักเกร็ง หากไม่ได้รับการรักษาทันทีเสี่ยงที่จะช็อกเสียชีวิต

แต่จุดสังเกตของโรคเฮอร์แปงไจน่าที่ต่างจากโรคมือ เท้าปาก คือจะพบแผลเล็กๆเฉพาะที่ปากเท่านั้น ซึ่งมักพบแผลสีขาวขอบแดงขนาด 2-4 มิลลิเมตรบริเวณเพดานอ่อน ต่อมทอนซิล ผนังคอด้านหลัง ภายใน 2 วันหลังการติดเชื้อ และส่วนใหญ่จะหายเองใน 7 วัน มักพบในกลุ่มเด็กเล็กก่อน 5 ขวบ ติดต่อผ่านการสัมผัสสิ่งที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย หรือมีการไอจามใส่กัน

ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

ดูแลอย่างไรให้ปลอดภัยเมื่อ ลูกติดเฮอร์แปงไจน่า

จริงๆแล้วโรคเฮอร์แปงไจน่าไม่มีอาการรุนแรงหายเองได้ภายใน 7 วัน อาจทำให้คุณแม่ไม่ทันสังเกตเห็นว่าลูกติดเชื้อแล้ว ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงที่ลูกจะมีไข้สูงเฉียบพลัน แบบไม่มีสัญญาณผิดปกติมาก่อน จนทำให้เกิดภาวะชักและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ (พบได้น้อย) เช่น ก้านสมองอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ดังนั้นเมื่อพบว่าลูกติดเฮอร์แปงไจน่า คุณแม่ต้องหมั่นดูแลใกล้ชิดและระวังไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ ด้วยการ

  • หากพบว่ามีไข้ให้ยาลดไข้ตามความเหมาะสมร่วมกับเช็ดตัว

  • จิบน้ำบ่อยๆหากลูกเจ็บปาก สามารถจิบน้ำเย็นแทนได้

  • ให้กินน้ำแข็ง หรือไอศกรีมเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด

  • ปรุงอาหารอ่อน รสจืด ย่อยง่าย เช่นพวก ข้าวต้ม ซุป เพื่อให้กลืนง่าย

  • หลีกเลี่ยงการให้กินน้ำผลไม้หรืออาหารมีรสเปรี้ยวจัดเพราะทำให้แสบแผลในปาก

ลูกชักจากไข้สูงเฉียบพลัน ต้องทำอย่างไร

ในกรณีที่ลูกไม่มีสัญญาณเตือนของโรคมาก่อนแต่มีไข้สูงเฉียบพลันจนเกิดภาวะช็อก เหมือนหนูน้อยวัยขวบเศษคนนี้ คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องรู้วิธีปฐมพยาบาลที่ถูกต้อง เมื่อพบว่าเด็กกำลังชักให้รีบทำตามตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1.จับให้นอนตะแคง ไม่หนุนหมอน หันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อป้องกันการสำลัก

2.คลายเสื้อผ้าให้หลวม

3.ห้ามใช้ช้อนหรือวัตถุอื่นๆ หรือนิ้วมืองัดปาก และห้ามป้อนยาหรือน้ำทางปาก ในขณะที่เด็กไม่รู้สึกตัว

4.เช็ดตัวด้วยน้ำจากก๊อกประปา หรือน้ำอุ่น ไม่ควรเช็ดตัวด้วยน้ำเย็นหรือแอลกอฮอล์

5.นำเด็กส่งโรงพยาบาล หรือพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของการชัก

อาการชักจากไข้สูงมักเกี่ยวกับข้องกับพันธุกรรม เช่น เด็กที่เกิดในครอบครัวที่มีประวัติชักจากไข้จะมีโอกาสชักได้ง่าย โดยมีโอกาสเกิดชักซ้ำได้ราว 30 % วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการไม่ปล่อยให้ลูกน้อยมีไข้สูง ควรเริ่มให้ยาลดไข้ตั้งแต่เริ่มมีไข้ และเช็ดตัวลดไข้ อาการชักจากไข้สูงไม่ได้ทำให้เกิดสมองพิการ ลูกน้อยมีระดับไอคิวและเรียนรู้ ทำกิจกรรมต่างๆได้เป็นปกติ

หากสังเกตดูจะพบว่า โรคติดต่อในเด็กส่วนใหญ่เกิดจากจับ สัมผัส หรือเอาเข้าปาก วิธีหนึ่งที่ปกป้องลูกให้ปลอดภัยจากเชื้อโรครอบตัวได้คือ การปลูกฝัง “ความฉลาดสุขภาพดี” หรือ HQ ให้กับลูกน้อยตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อเป็นพื้นฐานสำคัญในการดูแลสุขภาพของตัวเองไปตลอดชีวิต  เพราะทุกวันนี้ภาวะโรคภัยต่างๆรุนแรงขึ้น หากลูกรู้จักวิธีปฏิบัติ วิธีหลบเลี่ยงจากความเสี่ยงต่างๆ ก็จะช่วยให้รอดพ้นจากภัยนี้ได้ไม่ยาก

ขอบคุณข้อมูลจาก www.phyathai.com

บทความน่าสนใจอื่นๆ 

อุทาหรณ์..แม่เตือน ล้างขวดนม ผิดวิธี เสี่ยงทำลูกติดเชื้อในกระเพราะอาหารได้

 

เช็คให้ชัวร์ ก่อน ให้ลูกกินยา การใช้ยาในเด็กต้องระวังให้ดี!

 

ลูกไม่ป่วย เป็นRSV แน่ ถ้าพ่อแม่ดูแลได้แบบนี้!

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

กอดลูกหอมลูก

5 มหัศจรรย์แห่งการกอด กอดลูกหอมลูก บ่อยๆ ดีกว่าที่คิด!

กอดลูกหอมลูก – ลูกวัยสองสามขวบ เป็นอะไรที่น่ากอดน่าฟัดมากถึงมากที่สุด จริงมั้ยคะ? บางทีลูกสาวลูกชายตัวน้อยมักจะขอให้เรากอด และพวกเราก็ทำตามคำขออย่างเต็มใจทุกครั้งไป เพราะว่าการได้กอดได้หอมลูก ๆ ทำให้พ่อแม่มีความสุข และมีรอยยิ้มบนใบหน้าได้เสมอ สำหรับประโยชน์ของการกอดลูกนั้นมีความจริงที่ยอดเยี่ยมมากกว่าที่เราคาดคิด อธิบายได้ง่ายๆ เช่นเมื่อคุณกอดลูก ๆ ก่อนเข้านอน จะทำให้วันของคุณจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเรื่องนี้มีวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้!

 5 มหัศจรรย์แห่งการกอด กอดลูกหอมลูก บ่อยๆ ดีกว่าที่คิด!

ทำไมการกอดลูกจึงสำคัญ?

เด็กที่ขาดการสัมผัสทางกาย จะประสบกับปัญหาเรื่องพัฒนาการที่ล่าช้า รวมถึงปัญหาต่างๆ อีกมากมายในอนาคตได้เมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ในฐานะมนุษย์ เราย่อมต้องการความรักและการเอาใจใส่ เริ่มต้นจากวันแรกและดำเนินต่อไปตลอดชีวิตของเรา ผลกระทบที่สำคัญของเด็กที่ไม่ได้รับความรักนั้นคงอยู่ยาวนาน และอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตได้อย่างมาก เด็กจะประสบปัญหาพัฒนาการทางสติปัญญา และความบกพร่องในด้านอื่น ๆ เด็กบางคนอาจมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วย การกอดและการกระตุ้นจากการสัมผัสทางกายจะทำให้ร่างกายปล่อยฮอร์โมนและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทภายในสมองของเรา

ในปี 2020 มีวิดีโอ Tik Tok ที่โด่งดังจนเป็นไวรัล ในวิดีโอคือคลิปผู้ปกครองเข้าหาลูกวัยหัดเดิน พวกเขาวางศีรษะลงบนตักของเด็กในขณะที่เด็กวัยหัดเดินกำลังดูทีวีอยู่ จากนั้นผู้ปกครองบันทึกปฏิกิริยาของเด็กๆ เอาไว้  โดยวิดีโอส่วนใหญ่จะแสดงให้เห็นว่าเด็กวัยหัดเดินมักจะกอดและจับหัวพ่อแม่ทันที เด็กบางคนจะจูบพ่อแม่หรือลูบหัว ด้วยปฏิกิริยาอันแสนหวานนี้เอง ที่ทำให้ดวงตาของพ่อแม่หลายคนมีน้ำตาซึม ในขณะที่ชาวเน็ตจำนวนมากต่างสร้างวิดีโอแนวนี้ เพื่อเข้าร่วมเทรนด์ใน Tik Tok กันอย่างล้นหลาม คลิปนี้สามารถเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเด็ก และการตอบสนองของเด็ก จากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แวดวงวิทยาศาสตร์ต่างถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง

กอดลูกหอมลูก
กอดลูกหอมลูก

การกอดเป็นมากกว่าแค่สัมผัสแห่งความรัก แต่เป็นเหมือนสัญชาตญาณ และต่อไปนี้คือความจริง:

  • ฮอร์โมนแห่งความสุขจะหลั่งออกมาระหว่างการกอด
  • ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
  • ลดความเครียดและความวิตกกังวล
  • ลดความดันโลหิตสูง
  • ช่วยให้สมองทำงานได้ดี

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การกอด มีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยสนับสนุนความก้าวหน้าของพัฒนาการ ทั้งยังช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้บุคคลรู้สึกเกิดความสมบูรณ์ทางจิตใจและรู้สึกถึงการได้รับการยอมรับ

กอดลูก ทารก ภาษารักง่ายๆ ช่วยเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์

เคล็ดลับพัฒนาสมอง ด้วยการกอด กิน เล่น อ่าน

เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

 

กอดลูกหอมลูก

การกอด คือสิ่งที่จำเป็นสำหรับเด็ก

การกอดจากพ่อและแม่อย่างทะนุถนอม เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเด็กเล็ก พ่อแม่ไม่ควรพลาดโอกาสสำคัญนี้เมื่อลูกยังเป็นเด็ก เด็กที่ประสบกับความเครียด ความโกรธ หรือความวุ่นวายทางอารมณ์เป็นเวลานาน สภาพจิตใจของเด็กอาจเกิดความย่ำแย่ พวกเขาอาจเจ็บป่วยได้ง่าย มีความนับถือในตนเองลดลง และอาจมีภาวะซึมเศร้า ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและร่างกายของเด็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ การอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน การรู้สึกถึงความอบอุ่นของร่างกาย ถือเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่ไม่มีอะไรเหมือน!  คุณรู้หรือไม่? ว่าการกอดมีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ที่นอกเหนือไปจากความรู้สึกอบอุ่นกายและใจ  ทั้งนี้มีการศึกษาที่พบว่า ในความรู้สึกอบอุ่นทางกายและใจของเด็กจากการได้รับการกอดจากพ่อแม่ มีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจในเชิงบวกของเด็ก ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางอารมณ์ การเรียนรู้ ความเข้าใจ และร่างกายของเด็กวัยเตาะแตะ โดยประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ 5 ประการ ของการกอดลูก มีดังต่อไปนี้

1. การกอดทำให้เด็กฉลาดขึ้น

เด็ก ๆ ต้องการการกระตุ้นประสาทสัมผัสในช่วงที่สมองของพวกเขากำลังพัฒนาและเจริญเติบโต การศึกษาเกี่ยวกับเด็กทารกในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งเด็กแต่ละคนแทบไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดี ผลการศึกษาพบว่าเด็กเหล่านี้มีความบกพร่องทางสติปัญญาขั้นรุนแรง แต่เมื่อพวกเขาได้รับการกอดพียง 20 นาทีต่อวัน เป็นเวลานาน 10 สัปดาห์ ติดต่อกัน พวกเขาได้คะแนนจากการประเมินพัฒนาการทางสมองที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!?

เนื่องจากทารกแรกเกิดเรียนรู้ที่จะท่องโลกผ่านการสัมผัสเป็นครั้งแรก การสัมผัสทางกายภาพ เช่น การกอดและการสัมผัสทางผิวหนังจึงมีความสำคัญต่อพัฒนาการ จากประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์เรา การสัมผัสเป็นสิ่งแรกในการพัฒนา ดังนั้นการสัมผัสอย่างทะนุถนอมจึงช่วยกระตุ้นสมองของเด็กเล็กที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามปกติต่อไปในอนาคต

เมื่อลูกน้อยของคุณเติบโตขึ้นพวกเขาจะยังคงได้รับประโยชน์จากการได้รับและให้ความรักทางกายด้วยการกอด การวิจัยพบว่าเด็กที่ได้รับการกอดมากขึ้นจะมีสมองที่พัฒนามากขึ้นตามไปด้วย!

2. ช่วยให้เด็ก ๆ มีสุขภาพที่ดี

เด็ก ๆ ต้องการสารอาหารมากกว่าเพื่อเจริญเติบโต แต่เมื่อเด็กขาดการสัมผัสทางกาย ร่างกายของพวกเขาจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการเติบโตที่คาดไว้ได้ สิ่งนี้สามารถนำไปสู่สภาวะที่เรียกว่าล้มเหลวในการเจริญเติบโต แต่เมื่อมีการกอดอย่างทะนุถนอมเด็ก ๆ สามารถเปลี่ยนจากคนที่ไม่แข็งแรงไปสู่คนที่มีสุขภาพดีได้อย่างรวดเร็ว

วิทยาศาสตร์ ระบุว่า การกอดทำให้เกิดการปลดปล่อยออกซิโทซินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความไว้วางใจ ความปลอดภัยและความรัก เมื่อฮอร์โมนนี้ถูกปล่อยออกมามันยังกระตุ้น โกรท ฮอร์โมน ที่ช่วยให้เด็กเจริญเติบโตโดยเฉพาะทางร่างกาย ในขณะที่นักวิจัยยังคงศึกษาผลที่ซับซ้อนของ ออกซิโทซิน (oxytocin) ต่อร่างกาย แต่ดูเหมือนชัดเจนว่าการปล่อยฮอร์โมนนี้ในสมองของเราช่วยในการพัฒนาทางร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อย

3. การกอดสามารถหยุดอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกได้

การกอดไม่เพียงแต่จะดีต่อพัฒนาการทางสมอง และการเจริญเติบโตทางร่างกายของเด็กเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนพัฒนาการทางอารมณ์ได้ดีอีกด้วย ไม่มีสิ่งใดช่วยบรรเทาเสียงร้องของเด็กได้เร็วไปกว่าการกอดที่อบอุ่นจากผู้ใหญ่ที่รักพวกเขา

นอกจากนี้การกอดยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการยุติอารมณ์ฉุนเฉียว ผู้ใหญ่หลายคนกังวลว่าการกอดเด็กที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวจะตอกย้ำพฤติกรรมที่ไม่ดี แต่นี่เป็นเพียงความเชื่อที่เล่าต่อกันมา เมื่อเด็กวัยเตาะแตะมีอารมณ์ฉุนเฉียวพวกเขาจะปลดปล่อยอารมณ์เพื่อตอบสนองต่อบางสิ่งบางอย่างในสภาพแวดล้อมของพวกเขา พวกเขาไม่ดื้อรั้นหรือพยายามทำลายวันของคนอื่น

เด็กสูญเสียการควบคุมอารมณ์เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ได้ในบางครั้ง ความแตกต่างคือเด็กไม่ได้เรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ได้อย่างผู้ใหญ่  การกอดลูกของคุณในช่วงเวลาที่พวกเขาอารมณ์รุนแรงจะช่วยทำให้พวกเขาค่อยๆ สงบลง ให้สอนพวกเขาว่าคุณอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยเหลือพวกเขาในช่วงเวลาที่ยากลำบากและช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงความผิดพลาดทางอารมณ์

4. การกอดทำให้เด็ก ๆ มีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้น

ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์และความเครียด อะดรีนาลีนและคอร์ติซอล จะหลั่งเข้าสู่ร่างกายและสมอง เนื่องจากเด็กไม่ได้เรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ความเครียดจึงอาจส่งผลต่อร่างกายของเด็กถึงระดับที่เป็นพิษ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ฮอร์โมนความเครียดเหล่านี้อาจส่งผลต่อสุขภาพของเด็กทั้งทางจิตใจและร่างกาย

การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการได้รับฮอร์โมนความเครียดในระดับสูงอาจนำไปสู่ผลเสียในวัยผู้ใหญ่เช่นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยทางร่างกายเช่นเดียวกับภาวะซึมเศร้าและภาวะไม่พึงประสงค์

การกอดกระตุ้นการปลดปล่อยออกซิโทซินจะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดและบรรเทาความรู้สึกของเด็กและช่วยให้เด็กพัฒนาความยืดหยุ่นทางจิตใจได้

5. การกอดช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคุณกับลูก

นอกจากประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์สำหรับลูกแล้ว การกอดลูกยังสร้างความผูกพันของคุณกับลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การกอดช่วยเพิ่มความไว้วางใจลดความกลัวและเสริมสร้างความสัมพันธ์ การให้และรับความรักทางกายเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทั้งคุณและลูกของคุณ ตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณอุ้มลูกคุณจะสร้างความผูกพันพิเศษและความผูกพันนี้จะต้องได้รับการรักษาไว้ตลอดวัยเด็ก เมื่อลูกของคุณเติบโตขึ้นความผูกพันของคุณจะพัฒนาขึ้น แต่ความต้องการที่จะรู้สึกถึงสัมผัสที่น่าทะนุถนอมของคุณจะไม่มีวันหมดไป

กอดลูกบ่อยๆ จะมีผลเสียอะไรไหม?

มีการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การแสดงความรักกับบุตรหลาน ด้วยการกอดหรือหอมบ่อยๆ  ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาใดๆ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็ก ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งที่พ่อแม่ควรกังวลมากกว่า คือการไม่มีเวลาในการให้ความสนใจกับลูกอย่างที่พวกเขาต้องการ เช่น ช่วงเวลาที่พวกเขาต้องการความสนใจจากคุณ เวลาที่พวกเขาเจ็บปวดและรู้สึกเศร้า เพราะบางครั้งแค่การกอดจากพ่อแม่ก็สามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและแตกต่างให้ลูกได้ ดังนั้นควรกังวลให้น้อยลงเกี่ยวกับการกอด และควรใช้เวลาให้มากขึ้นกับความรู้สึกที่ดีที่ช่วยสร้างความผูกพันระหว่างคุณกับลูก

เห็นได้ชัดว่าการกอด มีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยให้เด็กเกิดความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ และช่วยให้มีสุขภาพกายและใจที่ดีตามมา ถ้าคุณพ่อคุแม่กอดลูกบ่อยๆ จนเป็นกิจวัตรของครอบครัวในทุกๆ วัน และหมั่นรักษาความสัมพันธ์และสร้างความผูกพันกับลูก คอยบอกรักลูก คอยสนับสนุน และส่งเสริมลูกในสิ่งที่ช่วยพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ของลูกอย่างเหมาะสม พวกเขาจะซึมซับสิ่งแวดล้อมในการเลี้ยงดูที่ดีและทำให้เติบโตเป็นคนที่มีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ  ซึ่งจะสามารถช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะด้าน ความฉลาดทางอารมณ์ EQ  รู้จักควบคุมอารมณ์ต่างๆ ได้เก่ง  ด้วยมีพื้นฐานแห่งความรักความอบอุ่นที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : speechblubs.com, exchangefamilycenter.org

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

กอดลูก ทารก ภาษารักง่ายๆ ช่วยเพิ่มความฉลาดทางอารมณ์

3 ข้อดีของ การกอดลูก สิ่งอุ่นใจที่สุดที่พ่อแม่ควรมอบ!

อย่าสร้างช่องว่าง กว้างกว่าอ้อมกอด

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกสมองดี

วิจัยชี้! ลูกสมองดี ถ้าได้กินนมแม่ เพราะนมแม่แน่ที่สุด!

ลูกสมองดี – ปัจจุบันมีหลักฐานทางการแพทย์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาการทางสมองของทารกได้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบราวน์ รัฐโรดไอแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ค้นพบว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวให้ผลลัพธ์ที่ดีในการกระตุ้นการเติบโตของสมองของทารก จากผลการศึกษาพบว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สามารถเพิ่มการเจริญเติบโตของสมองของทารกได้ 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์

วิจัยชี้! ลูกสมองดี ถ้าได้กินนมแม่ เพราะนมแม่แน่ที่สุด!

มีการถกเถียงกันมาอย่างนาน ว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ช่วยเพิ่มความฉลาดในวัยเด็กได้หรือไม่ นักวิทยาศาสตร์พบว่านมแม่ช่วยเพิ่มระดับสารเคมีบางอย่างในสมองของทารก ที่เชื่อมโยงกับพัฒนาการทางระบบประสาท การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่แสดงให้เห็นว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับทารกในหลายด้าน เช่น ช่วยป้องกันพวกเขาจากการติดเชื้อ และเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่ลดลงของโรคอ้วน และมะเร็งเม็ดเลือดขาวในวัยเด็ก รวมถึงโรคหัวใจ และหลอดเลือดในวัยผู้ใหญ่

อย่างไรก็ตามการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะนำไปสู่ความฉลาดที่ดีขึ้นหรือไม่ เป็นคำถามที่ถกเถียงกันและการศึกษาพบผลลัพธ์ที่หลากหลาย ความยากอยู่ที่ ยังมี ปัจจัยอื่นๆ ที่นอกเหนือจากผลของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อีกมากมายที่อาจส่งผลต่อสติปัญญาของเด็กเช่นกัน

งานวิจัยของโรงพยาบาล Children’s National ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกาพบว่า นมแม่ช่วยเพิ่มปริมาณสารชีวเคมีที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง ซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้การรับรู้ที่ดีขึ้นในระยะเริ่มต้น นักวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นการศึกษาเกี่ยวกับ ทารกที่คลอดก่อนกำหนด (micro-preemies) ที่เกิดเมื่อมารดาอายุครรภ์ระหว่าง 23 ถึง 32 สัปดาห์ ผู้ป่วยเด็กเหล่านี้เข้ารับการรักษาในหออภิบาลทารกแรกเกิดของโรงพยาบาลในสัปดาห์แรกของชีวิต

ลูกสมองดี
ลูกสมองดี

ด้วยการใช้เทคนิคการถ่ายภาพที่ซับซ้อนและไม่รบกวนทารกที่เรียกว่า “โปรตอนเรโซแนนซ์สเปกโทรสโกปี” นักวิจัยสามารถมองเข้าไปในสมองของทารกแรกเกิด และตรวจจับลายเซ็นทางเคมีของสารชีวโมเลกุลต่างๆ “ เราสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพสมองของทารกในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งได้” ดร. แคทเธอรีน ลิมเพโรปูลอส ผู้เขียนอาวุโส และผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการวิจัยสมองที่กำลังพัฒนาของ Children’s National กล่าว

นักวิจัยมุ่งเน้นไปที่สสารสีขาวในสมองส่วนหน้าและสมองน้อย หรือ ซีรีเบลลัม ซึ่งเป็นบริเวณสมองสองแห่งที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษในทารกที่คลอดก่อนกำหนด ปัญหาพัฒนาการเกี่ยวข้องกับปัญหาด้านความรู้ความเข้าใจและพฤติกรรมในอนาคต พวกเขาพบว่ามีสารชีวเคมีที่สำคัญในระดับที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในทารกที่กินนมแม่ เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับนมผสม กล่าวคือ มีจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นของอิโนซิทอล (โมเลกุลที่คล้ายกับกลูโคส) และครีเอทีน (โมเลกุลที่ช่วยในการรีไซเคิลพลังงานภายในเซลล์) เปอร์เซ็นต์ของวันที่ทารกได้รับนมแม่ยังเชื่อมโยงกับสารอาหารคล้ายวิตามินที่เรียกว่าโคลีนในระดับที่สูงขึ้น

“ สารชีวเคมีเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการพัฒนาของสมอง” ลิมเพโรปูลอส กล่าว “ ตัวอย่างเช่น ระดับโคลีนที่สูงขึ้นในสมองสัมพันธ์กับความจำและความรู้ความเข้าใจที่ดีขึ้น แม้เราไม่สามารถเชื่อมโยงโดยตรงได้ เนื่องจาก เราไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความจำและความรู้ความเข้าใจในทารกแรกเกิด  แต่สิ่งนี้เป็นเครื่องหมายเริ่มต้นสำหรับการปรับสติปัญญาของเด็กในอนาคตซึ่งจำเป็นต้องยืนยันด้วยการศึกษาและการติดตามผล

“ เรารู้สึกตื่นเต้นกับผลลัพธ์เหล่านี้เพราะมันช่วยให้เราเข้าใจว่าการคลอดก่อนกำหนดจะส่งผลเสียต่อสมองที่กำลังพัฒนาได้อย่างไร แต่การดูแลของเราสามารถช่วยปกป้องสมองของทารกที่มีความเสี่ยงสูงเหล่านี้ได้อย่างไรด้วยเช่นกัน”

ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย พัฒนาการลูกจะเป็นอย่างไร อันตรายไหม

ลูบท้องให้ลูกฉลาด กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกในครรภ์ด้วย 5 วิธี

5 เคล็ดลับเด็ดสู่การ “ปั๊มนมเกลี้ยงเต้า” มีน้ำนมแม่ให้ลูกกินได้นาน

ลูกสมองดี

แล้วสารอาหารที่“ สร้างสมอง” ในนมแม่มีอะไรบ้างที่สำคัญ?

·กรดไขมัน –  เซลล์ในสมองส่วนใหญ่สร้างมาจากกลุ่มของกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนสายยาวที่เรียกว่า DHA (docosahexaenoic acid) และ AA (arachidonic acid) กรดไขมันเหล่านี้สนับสนุนการประมวลผลข้อมูลและการส่งผ่านข้อมูลที่เกิดขึ้นในสมอง

อย่างไรก็ตาม DHA และ AA ไม่พบในร่างกายมนุษย์และกรดไขมันที่จำเป็นในการสังเคราะห์ไม่ ได้แก่ กรดอัลฟาไลโนเลนิก (ALA) และกรดไลโนเลอิก (LA)

กรดไขมันเหล่านี้สามารถหาได้จากอาหารของบุคคลเท่านั้นและนมแม่มีกรดไขมันเหล่านี้อยู่ในระดับสูงสุด (มาจากแหล่งเดียว)

·ฟอสโฟลิปิด – การส่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพระหว่างเซลล์ประสาทในสมองนั้นขึ้นอยู่กับการเชื่อมของเซลล์ประสาทกล่าวคือการเคลือบด้วยชั้นของไขมัน (ไมอีลิน) ซึ่งทำให้การส่งผ่านเร็วขึ้น คอเลสเตอรอลซึ่งพบในน้ำนมแม่ที่มีความเข้มข้นสูงก็จำเป็นสำหรับกระบวนการนี้เช่นกัน

·ทอรีน – ทอรีนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองและดวงตา โดยเฉพาะทอรีนมีบทบาทในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทในสมองซึ่งมีความสำคัญต่อการสื่อสารของเส้นประสาท อย่างไรก็ตามร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์กรดอะมิโนนี้ได้ดังนั้นการมีอยู่ในน้ำนมแม่จึงมีความสำคัญมาก

·โคลีน – บทบาทของโคลีนในการพัฒนาและการทำงานของสมองนั้นมีมากมาย จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์ฟอสโฟลิปิดการส่งข้อมูลระหว่างเซลล์สมองและยังช่วยเพิ่มความจำ ในความเป็นจริงเมื่อเซลล์ขาดสารอาหารนี้พวกมันจะถูกตั้งโปรแกรมให้ตายในกระบวนการที่เรียกว่าอะพอพโทซิส

·สังกะสี – สังกะสีสนับสนุนการแบ่งตัวและการเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้สังกะสียังได้รับการยกย่องว่าเป็นสารอาหารที่ช่วยปกป้องเซลล์ในสมองและระบบประสาทส่วนกลางเนื่องจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ

นมแม่ยังมีสารต่อสู้กับโรคหลายชนิดรวมถึงแอนติบอดีซึ่งช่วยปกป้องร่างกายของบุตรหลานจากการติดเชื้อที่เป็นอันตราย นมแม่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องทารกจากอาการแพ้ ยิ่งลูกของคุณมีสุขภาพดีเท่าไหร่ก็จะสามารถพัฒนาเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดได้มากขึ้นเท่านั้น ผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสมองของทารกไม่เพียง แต่ประโยชน์ทางโภชนาการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างการให้นมบุตรด้วย

ขอบคุณข้อมูลอ้าอิงจาก : thestar.com.my, sciencefocus.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แม่นมน้อย น้ำนมไม่พอ ทำยังไงให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้สำเร็จ

คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

4 วิธีกระตุ้นนมแม่ อย่างได้ผลดี ไม่เหนื่อย ไม่เจ็บ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เสียงหัวใจลูก

เช็คให้รู้! เสียงหัวใจลูก ในครรภ์ บอกสุขภาพของลูกได้

เสียงหัวใจลูก – แน่นอนคุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนต่างหวังให้ลูกน้อยของเรา สมบูรณ์ แข็งแรง และมีพัฒนาการที่ดี การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งซึ่งจะช่วยให้ทราบว่าลูกน้อยของคุณมีสุขภาพโดยทั่วไปว่าสมบูรณ์แข็งแรงดีหรือไม่ ด้วยการการวัดอัตราการเต้นของหัวใจและจังหวะการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์แพทย์อาจทำการตรวจสอบหัวใจของทารกในครรภ์ระหว่างตั้งครรภ์ และการคลอด

การตรวจหัวใจทารกในครรภ์ คืออะไร?

อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์โดยเฉลี่ย ควรอยู่ระหว่าง 110 ถึง 160 ครั้ง ต่อนาที อาจแตกต่างกันไป 5 ถึง 25 ครั้งต่อนาที อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อทารกของคุณตอบสนองต่อสภาวะในมดลูกของแม่ หากอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ผิดปกติอาจหมายความว่าลูกน้อยของคุณได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอหรือมีปัญหาอื่น ๆ

การตรวจหัวใจทารกในครรภ์มี 2 วิธี ได้แก่  :

1. การตรวจหัวใจทารกในครรภ์ภายนอก

การตรวจด้วยอุปกรณ์เพื่อฟังและบันทึกการเต้นของหัวใจของทารกผ่านหน้าท้อง (หน้าท้อง) หรือ เครื่องอัลตราซาวนด์ดอปเลอร์ มักใช้ในระหว่างการตรวจก่อนคลอดเพื่อนับอัตราการเต้นของหัวใจของทารก นอกจากนี้ยังอาจใช้เพื่อตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ระหว่างคลอด ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพอาจตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกอย่างต่อเนื่องระหว่างที่คุณแม่เจ็บครรภ์และคลอด ในการทำเช่นนี้ หัววัดอัลตราซาวนด์ (ตัวแปลงสัญญาณ) จะถูกยึดเข้ากับหน้าท้องของคุณ และส่งเสียงหัวใจของลูกน้อยไปยังคอมพิวเตอร์ อัตราและรูปแบบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกจะแสดงบนหน้าจอและพิมพ์ลงบนกระดาษ

เสียงหัวใจลูก
เสียงหัวใจลูก

2. การตรวจหัวใจทารกในครรภ์ภายใน

วิธีนี้จะมีการใช้ แผ่นวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (อิเล็กโทรด) วางบนหนังศีรษะของลูกน้อย ลวดไหลจากทารกผ่านปากมดลูกของคุณ เชื่อมต่อกับจอภาพ วิธีนี้ให้การอ่านที่ดีขึ้นเนื่องจากสิ่งต่างๆ เช่นการเคลื่อนไหวจะไม่ส่งผลกระทบ แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อถุงน้ำคร่ำที่ล้อมรอบทารกในระหว่างตั้งครรภ์ (ถุงน้ำคร่ำ) แตก และปากมดลูกเปิด  อาจใช้การตรวจสอบภายในเมื่อการตรวจสอบภายนอกไม่สามารถให้การอ่านค่าที่ดี หรืออาจมีการใช้วิธีนี้เพื่อเฝ้าดูลูกน้อยของคุณอย่างใกล้ชิดในระหว่างการคลอด

ในระหว่างคลอดผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณจะเฝ้าดูการหดรัดตัวของมดลูก และอัตราการเต้นของหัวใจของทารก แพทย์จะสังเกตว่ามดลูกของคุณมีการหดรัดตัวบ่อยเพียงใด และแต่ละครั้งใช้เวลานานแค่ไหน เนื่องจากมีการบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์และการหดตัวในเวลาเดียวกันจึงสามารถดูผลลัพธ์เหล่านี้ร่วมกัน และทำการเปรียบเทียบได้

ตรวจภายใน เรื่องเขินอายที่คุณแม่ควรรู้!! พร้อมวิธีเตรียมรับมือ

8 พัฒนาการลูกในครรภ์ ช่วยให้แม่รู้จักลูกมากขึ้น!

เคล็ด(ไม่)ลับ ดูแลลูกในท้อง วิธีบำรุงลูกในท้องให้แข็งแรง!

เหตุใดจึงต้องมีการตรวจการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์

การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง หากแม่มีการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งหมายถึงการตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงสูงหากแม่เป็นโรคเบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงสูง หากลูกน้อยของคุณไม่มีการพัฒนาหรือเจริญเติบโตเท่าที่ควร

แพทย์อาจใช้การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์เพื่อตรวจสอบว่ายาป้องกันและยับยั้งการคลอดก่อนกำหนดมีผลต่อทารกของคุณอย่างไร ยาเหล่านี้ใช้เพื่อช่วยไม่ให้การคลอดเริ่มเร็วเกินไป

การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์อาจใช้ในการทดสอบอื่น ๆ ได้แก่ :

  • การทดสอบแบบ Non Stress Test ซึ่งจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ขณะที่ทารกเคลื่อนไหว
  • การทดสอบ Stress Test จากการหดรัดตัว ซึ่งจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์พร้อมกับการหดตัวของมดลูก
  • ข้อมูลทางชีวฟิสิกส์ (BPP) การทดสอบนี้รวมถึงการทดสอบแบบ Non Stress Test กับ อัลตราซาวนด์

สิ่งที่อาจส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ระหว่างคลอด:

  • มดลูกหดตัว
  • ยาแก้ปวดหรือยาระงับความรู้สึกที่ได้รับในระหว่างคลอด
  • การทดสอบระหว่างคลอด
  • การเร่งคลอดในระยะที่สองของการคลอด
  • แพทย์อาจมีเหตุผลอื่น ๆ ในการใช้การตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์

เสียงหัวใจลูก

ประโยชน์ของการใช้เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์

  • เครื่องตรวจวัดการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ช่วยให้แพทย์ของคุณสามารถได้ยินการเต้นของหัวใจของทารกและตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจและจังหวะเพื่อดูว่าทารกเติบโตและมีพัฒนาการอย่างไรในมดลูก
  • หากการตั้งครรภ์ของคุณมีความเสี่ยงสูง การตรวจสอบการเต้นของหัวใจของทารกเป็นวิธีที่แพทย์ของคุณสามารถติดตามสุขภาพโดยทั่วไปของทารกได้
  • สำหรับคุณการได้ยินเสียงหัวใจของลูกน้อยที่น่าทึ่งอาจเป็นวิธีที่ดีที่จะรู้สึกผูกพันกับลูกมากขึ้น

การตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ขณะคลอด บอกอะไรเกี่ยวกับลูกได้บ้าง?

จุดประสงค์หลักของการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ คือเพื่อแจ้งเตือน หากลูกน้อยได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ เพื่อให้ลูกน้อยคลอดออกมาอย่างราบรื่นที่สุด

อัตราการเต้นของหัวใจของทารกในระหว่างคลอดควรอยู่ระหว่าง 110 ถึง 160 ครั้งต่อนาที แต่อัตราการเต้นของหัวใจของทารกอาจมีความผันผวนสูงหรือต่ำกว่านี้ได้จากหลายสาเหตุ หัวใจทารกที่เต้นเร็วในช่วงสั้น ๆ เป็นเรื่องปกติ และบ่งชี้ว่าทารกยังได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ การชะลอตัวของอัตราการเต้นของหัวใจทารกในช่วงสั้น ๆ หรือหัวใจเต้นช้า อาจเป็นเรื่องปกติได้เช่นกัน เมื่อศีรษะของทารกถูกบีบอัดขณะอยู่ในช่องคลอด

หากการเร่งหรือการชะลอตัวเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาที่เหมาะสม หรือหากใช้เวลานาน อาจหมายถึงความผิดปกติหลายอย่าง เช่น สายสะดือถูกบีบอัด และการไหลเวียนของเลือดไปยังทารกจะช้าลง บางครั้งการแทรกแซงง่าย ๆ เช่นการเปลี่ยนตำแหน่งการคลอดจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น หากผลการตรวจอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์บ่งชี้ว่าทารกของคุณอาจตกอยู่ในอันตราย แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดคลอดทางช่องคลอด (โดยใช้คีมหรืออุปกรณ์ดูดสูญญากาศ) หรือ การผ่าตัดคลอด

คุณกำลังทำร้ายหัวใจลูกรักอย่างรุนแรงอยู่หรือไม่?

ความรู้คู่มือแม่ | 10 ปลาไทย โอเมก้า 3 สูง! บำรุงสมองสดใส หัวใจแข็งแรง

หยุด! ปัญหา “โรคอ้วน” ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ด้วย “เวชศาสตร์ชะลอวัย”

 

เสียงหัวใจลูก

 

วิธีดูแลหัวใจของทารกในครรภ์ให้แข็งแรง

มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงมากมายเมื่อลูกน้อยของคุณอยู่ในครรภ์ แม้ว่าบางสิ่งจะไม่สามารถควบคุมได้ซึ่งอาจส่งผลต่อพัฒนาการของหัวใจของทารก เช่น ความผิดปกติทางพันธุกรรม แต่ก็มีขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้เพื่อช่วยให้แน่ใจว่าสัญลักษณ์ของทารกมีสุขภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้:

  • การทานกรดโฟลิกก่อนและระหว่างตั้งครรภ์จะช่วยป้องกันโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในทารกได้
  • หากคุณสูบบุหรี่ให้เลิกทันที นักวิจัยคาดว่าการสูบบุหรี่ของมารดาในช่วงไตรมาสแรกอาจคิดเป็นร้อยละ 2 ของข้อบกพร่องของหัวใจทั้งหมด
  • หากคุณเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 หรือ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดใก้เหมาะสม เนื่องจากเบาหวานมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของความผิดปกติของหัวใจทารกในครรภ์
  • งดใช้ยา Accutane (สำหรับรักษาสิว) ซึ่งอาจทำให้เกิดความผิดปกติของหัวใจของทารกในครรภ์
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และยาคลายเครียด

แม้ว่าคุณจะระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี และทำทุกอย่างที่แพทย์แนะนำแล้ว แต่ถ้าหากลูกน้อยของคุณอาจเกิดมาพร้อมกับความบกพร่องของหัวใจที่มีมาแต่กำเนิด หากเกิดเหตุการณ์นี้ จงจำไว้ว่าไม่ใช่ความผิดของคุณ เพราะยังมีหลายปัจจัยซึ่งส่วนใหญ่อยู่เหนือการควบคุม  แต่ข่าวดีก็คือ หากตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ ลูกน้อยของคุณจะได้รับการรักษาและเพิ่มโอกาสที่เธอจะมีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีได้ค่ะ

การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายทั้งของแม่และลูกน้อยในครรภ์ย่อมทำให้ ทั้งคุณและลูกมีแนวโน้มที่จะปลอดภัยจากความผิดปกติหรืออาการแทรกซ้อนต่างๆ ระหว่างการตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้น หากมีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นก็จะสามารถให้การดูและรักษาได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้การใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายทั้งของตัวคุณแม่เองและลูก ก็เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญตั้งแต่วันแรกที่ลูกลืมตาดูโลก และเมื่อลูกเข้าสู่ช่วงวัยที่สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น การปลูกฝังเรื่องความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี ก็เป็นสิ่งที่คุณแม่ควรเน้นหนักเพื่อเสริมสร้างให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต อย่าง ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ซึ่งจะทำให้เด็กๆ ห่่างไกลจากอาการเจ็บป่วยได้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : utswmed.org , verywellfamily.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แม่ลูก หัวใจเต้น พร้อมกันไหม จะเริ่มได้ยินเสียงหัวใจลูกเมื่อไหร่

ใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจ แต่ไม่ได้ยินเสียงลูกในท้อง ต้องกังวลไหม?

แม่รู้มั้ย? พัฒนาการทารกในครรภ์ 2 เดือน น่าอัศจรรย์เพิ่มขึ้นอย่างไร

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ให้ลูกกินยา

เช็คให้ชัวร์ ก่อน ให้ลูกกินยา การใช้ยาในเด็กต้องระวังให้ดี!

ให้ลูกกินยา – หากลูกวัยทารกและเด็กเล็กของคุณมีอาการเจ็บป่วย อาจต้องมีการใช้ยาต่างๆ เพื่อให้อาการป่วยของเด็กๆ ดีขึ้น แต่ก่อนที่คุณจะไปที่ร้านขายยาคุณต้องแน่ใจว่าคุณจะสามารถให้ยาที่ปลอดภัยสำหรับลูกน้อยของคุณ และรู้ปริมาณที่เหมาะสมในการใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้คุณ ต่อไปนี้เป็นแนวทางและคำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยาสำหรับทารกและเด็กเล็ก

เช็คให้ชัวร์ ก่อน ให้ลูกกินยา การใช้ยาในเด็ก ต้องระวังให้ดี!

ในแต่ละปีเด็กหลายพันคน ต้องเข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ หลังจากพบการกินยาในปริมาณที่ไม่ถูกต้อง โดยเกิดจากการที่พ่อแม่ขาดความเข้าใจหรือรู้เท่าไม่ถึงการ ดังนั้นการเรียนรู้วิธีดูแลเด็กให้ปลอดภัยจากการใช้ยาจึงเป็นสิ่งที่พ่อแม่และผู้แลเด็กทุกคนควรรู้ไว้

การให้ยาสำหรับทารกและเด็กเล็ก

คำแนะนำในการให้ยา สำหรับทารกและเด็กเล็ก มีดังนี้:

  • ห้ามให้ยาใด ๆ กับทารกที่มีอายุต่ำกว่า 2 เดือน แม้แต่ยาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ ที่ไม่ได้รับการแนะนำหรือสั่งโดยแพทย์
  • ควรพิจารณาใช้ยาแก้ปวดและยาแก้ไข้เพียงสองประเภทสำหรับทารกและเด็กเล็ก ได้แก่ ยา acetaminophen (เช่น Tylenol) สำหรับทารก 2 เดือนขึ้นไป และ ibuprofen (เช่น baby Motrin หรือ Advil) สำหรับเด็กที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป
  • ใช้โดสยาสำหรับทารกหรือเด็กเล็กอย่างเคร่งครัด
  • พึงระวังด้านกายภาพ เพื่อป้องกันการสำลักยา อย่าบีบแก้มของลูกน้อยของคุณ จับจมูกของลูก หรือฝืนลูกมากเกินไป
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกของคุณพร้อมแล้ว หากลูกน้อยของคุณโตพอที่จะลุกขึ้นนั่งได้ให้ป้อนยาในท่านั่ง หากลูกน้อยของคุณยังไม่สามารถนั่งได้ให้เล็งหลอดหยดยาไปที่ด้านในแก้มของทารกในขณะที่ยกทารกขึ้นเล็กน้อยเพื่อป้องกันการสำลักยา
  • ใช้เทคนิคเล็กน้อย  หากลูกน้อยของคุณต่อต้านการกินยาให้ลองเป่าที่ใบหน้าเบา ๆ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนช่วยการกลืนในเด็กเล็ก หรือให้จุกนมหลอกให้ลูกดูดทันทีหลังป้อนยาเนื่องจากการดูดจะช่วยให้ลูกกลืนยาได้ดี

วิธีคำนวณปริมาณยาลดไข้เด็ก ที่ถูกต้อง

แม่แชร์! ลูกสมองติดเชื้อ ตับ-ม้ามโต เพราะป้อนยาเกินขนาด

ยาหมดอายุ ดูอย่างไร? หลังเปิดใช้ เก็บไว้ได้นานแค่ไหน?

ให้ลูกกินยา
ให้ลูกกินยา

ยาที่ควรหลีกเลี่ยงการให้ทารกและเด็กเล็ก

เมื่อพูดถึงความปลอดภัยในการใช้ยาสำหรับทารกและเด็กเล็กยาบางชนิดอาจเป็นอันตราย ได้แก่ :

  • ยาแก้ไอและแก้หวัด จากการศึกษาพบว่า ยาบรรเทาอาการไอและอาการหวัด อาจทำให้เด็กเล็กเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น อัตราการเต้นของหัวใจที่รวดเร็ว และการชัก นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ผลิตยาเหล่านี้เปลี่ยนฉลากโดยสมัครใจเพื่อระบุว่ายาเหล่านี้ไม่ควรใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี  แนะนำให้รอจนกว่าเด็กจะมีอายุอย่างน้อย 6 ปีเพื่อให้ลูกใช้ยาแก้หวัดที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเด็ก หรือเมื่อได้รับการอนุมัติจากแพทย์เท่านั้น
  • แอสไพริน (และยาทุกตัวที่มีซาลิไซเลต) ตัวยาที่มีส่วนผสมของซาลิไซเลตเชื่อมโยงกับการเกิดอาการของ Reye’s Syndrome ซึ่งเป็นโรคที่พบได้น้อย แต่เป็นโรคที่ร้ายแรง มีผลต่อตับและสมอง National Reye’s Syndrome Foundation ไม่แนะนำให้เด็กทานยาที่มีซาลิไซเลตทุกรูปแบบ ดังนั้นโปรดอ่านรายการส่วนผสมบนฉลากยาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

คำถามที่ควรถามเภสัชกร

การได้รับยาสำหรับบุตรหลานของคุณต้องใช้มากกว่าการไปรับยาจากร้านขายยา: คุณต้องรู้ขนาดยาวิธีและเวลาที่ควรให้และผลข้างเคียงคืออะไร รวมถึงรายละเอียดอื่น ๆ กุมารแพทย์ของคุณควรให้ข้อมูลแก่คุณ แต่คุณควรพูดคุยกับเภสัชกรเพื่อความปลอดภัย หากคุณให้ลูกรับประทานยาแบบที่มีขายตามหน้าเคาเตอร์ร้านสะดวกซื้อ ( ยากลุ่ม OTC) โปรดดูฉลากที่ระบุอยู่ด้านหลังของบรรจุภัณฑ์ สำหรับยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์โปรดอ่านเอกสารกำกับยาที่ให้มาในกล่อง ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ให้ถามเภสัชกรก่อนเสมอ นี่คือคำถามบางส่วน ที่ควรต้องได้รับคำตอบก่อนกลับบ้าน:

  • ต้องทานยาอย่างไร
  • ควรเก็บรักษายาอย่างไร
  • ต้องให้ยาก่อนหรือพร้อมอาหาร สามารถผสมกับอาหารหรือนมได้หรือไม่
  • มีทางเลือกอื่นที่สามารถใช้ปริมาณน้อยลงต่อวันหรือไม่ (ถ้าต้องทานสามครั้งต่อวัน)
  • หากลูกคายยา ควรให้ซ้ำอีกครั้งหรือไม่
  • หากลืมให้ยาลูก ควรเพิ่มเป็นสองเท่าในครั้งต่อไปหรือไม่
  • ควรโทรหาแพทย์เมื่อใดหากลูกอาการไม่ดีขึ้น
  • ควรให้ลูกกินยาครบตามใบสั่งแพทย์หรือไม่
  • มีผลข้างเคียงที่ควรระวังหรือไม่
  • หากลูกทานยาตัวอื่น ควรกังวลเกี่ยวกับปฏิกิริยาใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหรือไม่
  • ยาจะส่งผลต่อภาวะสุขภาพของทารกในระยะยาวได้หรือไม่
  • จะฝึกให้ลูกวัยเตาะแตะกินยาเหลวยาน้ำได้อย่างไร

เคล็ดลับความปลอดภัยทั่วไปในการให้ยาลูกของคุณ

เมื่อต้องให้ยาลูก ควรปฏิบัติตามคำแนะต่อไปนี้:

  • ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง คุณไม่ควรให้ยาแก่เด็ก ทั้งทารกหรือเด็กเล็ก โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากแพทย์สำหรับอาการเจ็บป่วยทุกอย่างที่เกิดขึ้น เว้นแต่แพทย์จะให้คำแนะนำแก่คุณ (เช่นเมื่อใดก็ตามที่ลูกของคุณ มีไข้สูง ควรให้ยาอะเซตามิโนเฟน หรือ ให้ใช้ยารักษาโรคหอบหืดทุกครั้งที่เริ่มหายใจไม่ออก)
  • ควรระวังการรักษาด้วยสมุนไพร ควรระวังเรื่องการใช้สมุนไพรให้เหมือนการใช้ยาแผนปัจจุบัน เพราะไม่มีใครสามารถบอกได้ ว่าสมุนไพรแต่ละชนิด ปลอดภัยสำหรับทารกและเด็กเล็กหรือไม่ เพราะมีสมุนไพรหลายชนิดที่ไม่ได้รับการควบคุมอย่างถูกกฎหมายโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งหมายความว่าอาจมีสารออกฤทธิ์มากกว่าที่โฆษณาำว้บนฉลาก หรืออาจมีสารปนเปื้อนอื่น ๆ ได้ ต้องจ่ายยาให้กับบุตรหลานโดยได้รับการอนุมัติจากแพทย์เท่านั้น
  • ใช้ยาสำหรับเด็กโดยเฉพาะเท่านั้น เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็กที่สามารถรับประทานยาสำหรับผู้ใหญ่ในปริมาณที่น้อยกว่าได้ ร่างกายของเด็กมีการพัฒนาน้อยกว่าและยาสำหรับผู้ใหญ่ (ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะสำหรับร่างกายของผู้ใหญ่) ไม่เพียงแต่จะออกฤทธิ์แตกต่างกันมากในร่างกาย แต่ยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้อีกด้วย
  • อ่านคำแนะนำอย่างละเอียด อ่านฉลากกำกับยาอย่างระมัดระวัง หลักการสำคัญในการวัดขนาดยา คือ ปฏิบัติตามคำแนะนำด้านน้ำหนัก แม้ว่าที่กล่องบาจะแนะนำขนาดยาที่คิดปริมาณตามน้ำหนักของเด็ก และปริมาณที่แตกต่างกันตามอายุของลูก แต่ถ้าหากคำแนะนำนั้นขัดแย้งกับคำแนะนำของแพทย์หรือไม่ได้ระบุไว้สำหรับอายุของทารกหรือเด็กวัยเตาะแตะ ให้โทรติดต่อแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
ให้ลูกกินยา
ให้ลูกกินยา
  • ใช้ยาตามวัตถุประสงค์ เว้นแต่แพทย์ของคุณจะให้ใช้ยาเพื่อรักษาข้อบ่งชี้ ที่ระบุไว้บนฉลากเท่านั้น และอย่าให้ยาลูกนานเกินกว่าเวลาที่กำหนด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาซ้ำซ้อน  ควรจดบันทึกทุกครั้งที่ให้ลูกกินยา อย่าให้ยาทารกหรือเด็กเล็กมากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละครั้งโดยไม่ได้ตรวจสอบกับแพทย์หรือเภสัชกรก่อน
  • ตรวจสอบส่วนผสม ควรถึงรู้ส่วนผสมที่ใช้งานอยู่ในยาที่คุณกำลังจะให้ลูกกิน เพื่อหลีกเลี่ยงการให้ยากับลูกซึ่งมีสารออกฤทธิ์ชนิดเดียวกันในเวลาเดียวกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งอาจทำให้เด็กได้รับยาเกินขนาด การอ่านรายชื่อส่วนผสมยังช่วยชี้แนะให้คุณทราบว่ายานั้นมีสารอะไรที่ลูกของคุณอาจแพ้ได้หรือไม่
  • หลีกเลี่ยงยาที่หมดอายุ ยาที่หมดอายุไม่เพียงแต่มีฤทธิ์ทางยาน้อย แต่ยังอาจได้รับการเปลี่ยนแปลงทางเคมีซึ่งอาจทำให้เป็นอันตรายได้ ดูวันหมดอายุก่อนที่คุณจะซื้อยาเพื่อให้แน่ใจว่ายาจะไม่หมดอายุในเร็วๆ นี้ ตรวจสอบวันหมดอายุอีกครั้งเป็นระยะ ๆ และควรเรียนรู้วิธีกำจัดยาที่หมดอายุอย่างปลอดภัย
  • อย่าให้ยาตามใบสั่งแพทย์  ให้กับลูกอีกคนหนึ่ง เช่น เอายาปฏิชีวนะที่เหลืออยู่ของพี่ชายให้คนน้องกิน เพียงเพราะเห็นว่าลูกคนโตกินยาแล้วหายดี  การรับประทานยาของผู้อื่นอาจเป็นอันตรายต่อลูกของคุณได้ ทางที่ดีควรให้ยาตามใบสั่งแพทย์ที่กุมารแพทย์กำหนดให้โดยเฉพาะสำหรับเด็กแต่ละคนเท่านั้น
  • เปิดไฟให้สว่างเพียงพอ หากคุณต้องให้ลูกกินยาในช่วงเช้าตรู่ ให้แน่ใจว่าคุณสามารถมองเห็นได้ชัดเจน (ไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อคุณอดนอนตลอดทั้งคืน พร้อมกับเด็กวัยหัดเดินที่ป่วย) อ่านฉลากบรรจุภัณฑ์ในที่แสงเพียงพอ จะช่วยให้คุณไม่ผิดพลาดเรื่องปริมาณต่างๆ เช่น ช้อนชา ช้อนโต๊ะ เป็นต้น
  • ชั่งตวงยาด้วยความระมัดระวัง เมื่อคุณมั่นใจว่าได้กำหนดขนาดของยาที่ถูกต้องแล้ว ให้ป้อนยาในถ้วยที่มาพร้อมกับยาไซริงค์ป้อนยา หรือใช้ช้อนหยดยาโดยเฉพาะเท่านั้น เพราะหากชั่งตวงด้วยพาชนะที่ไม่ได้มาตรฐานลูกอาจได้ยาขาดหรือมากเกินไปได้
ให้ลูกกินยา
ให้ลูกกินยา
  • ผสมยากับอาหาร ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น และตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุตรหลานของคุณกินอาหารได้หมดจาน
  • ระวังการให้ยาซ้ำ หากลูกถ่มน้ำลาย หรืออาเจียนยาออกมา ไม่ควรให้ยาซ้ำครั้งที่สอง โดยไม่ตรวจสอบกับเภสัชกรหรือแพทย์ก่อนเนื่องจากการให้ยาน้อยเกินไป มีความเสี่ยงน้อยกว่าการกินยาเกินขนาด ที่สำคัญมากคือ อย่าลืมตรวจสอบกับแพทย์กี่ยวกับยาปฏิชีวนะเนื่องจากการรับประทานยาให้ครบตามที่แนะนำเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
  • กินยาปฏิชีวนะให้ครบคอร์ส ในบันทึกย่อนั้นหากกุมารแพทย์ของคุณสั่งยาปฏิชีวนะให้กับลูกของคุณ ให้แน่ใจว่าลูกกินยาได้ครบโดส แม้ว่าลูกจะดูดีขึ้นก็ตามก็ไม่ควรหยุึดยาเอง การหยุดยาปฏิชีวนะกลางคันสามารถทำให้แบคทีเรียที่ยังหลงเหลือมีโอกาสเติบโตกลับมาอีกได้ ผลลัพธ์สุดท้าย  คือเด็กป่วยซ้ำแล้วซ้ำเล่าและบางทีอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะอีก
  • จัดเก็บยาอย่างปลอดภัย เก็บยาสำหรับทารกและเด็กเล็ก (รวมถึงยาสำหรับผู้ใหญ่ในบ้าน) ให้พ้นมือเด็กและควรเก็บยาไว้ในที่แห้งและเย็น นั่นหมายความว่าคุณควรหลีกเลี่ยงการเก็บไว้ในตู้ห้องน้ำซึ่งความชื้นจากอ่างอาบน้ำและฝักบัวอาจทำลายคุณภาพของยาได้
  • อ่านฉลากยาซ้ำทุกครั้ง ด้วยวิธีนี้คุณจะมั่นใจได้ว่าการใช้ยาเวลาและข้อมูลสำคัญอื่น ๆ นั้นถูกต้องแล้วหรือไม่
  • อัปเดตกับผู้ดูแลลูกคนอื่นๆ หากบุตรหลานของคุณอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กหรืออยู่กับผู้ดูแลคนอื่น ให้แน่ใจว่าพวกเขามีคำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการใช้ยา สถานดูแลเด็กที่ได้รับอนุญาตต้องใช้รูปแบบพิเศษในการดูแลยาตามใบสั่งแพทย์และยาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ (รวมถึงวิตามิน) ถามผู้ดูแลประจำวันของคุณเกี่ยวกับนโยบาย เพื่อให้คุณรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากบุตรของคุณต้องจ่ายใบสั่งยาให้เสร็จสิ้น เช่นการติดเชื้อในหูในขณะที่อยู่ในความดูแล
  • อย่าเรียกยาว่า “ขนม”  ใการทำเช่นนี้ อาจทำให้ทารกหรือเด็กวัยหัดเดินของคุณให้ความร่วมมือชั่วคราว ความสัมพันธ์แบบนั้นอาจนำไปสู่การใช้ยาเกินขนาดหากบุตรของคุณพบในภายหลังและจัดการเปิดยาได้และตัดสินใจลองใช้ “การรักษา” วิตามินและยามักจะดูเหมือนขนมสำหรับเด็ก
  • ถามคำถาม หากคุณไม่แน่ใจว่าควรให้ยาแก่ลูกน้อยหรือเด็กวัยเตาะแตะของคุณหรือไม่หรือหากบุตรของคุณมีอาการไม่พึงประสงค์ให้โทรติดต่อแพทย์ของคุณ

เทคนิคการป้อนยาเด็กเล็ก

พ่อแม่หลายคนจำเป็นต้องหาวิธีหลอกล่อให้ลูกกินยาให้ได้อย่างราบรื่น เว้นแต่คุณจะโชคดีพอที่จะมีลูกที่อ้าปากค้างอย่างมีความสุขเมื่อเห็นหลอดหยดยา การมีกลเม็ดเหล่านี้ในกระเป๋าหลังของคุณเพื่อ “ช่วยให้ยาลดลง” สามารถช่วยได้

  • ลองให้ยาแก่ลูกก่อนมื้ออาหาร เว้นแต่คุณจะได้รับคำสั่งให้กินยาเมื่อเด็กอิ่มท้อง หรือหลังรับประทานอาหารให้ลองรับประทานก่อนอาหารเช้ากลางวันหรือเย็น ลูกของคุณอาจมีแนวโน้มที่จะยอมรับได้มากขึ้นเมื่อเธอหิว
  • หลีกเลี่ยงการวางยาที่ส่วนรับรสของลิ้น ที่อยู่ด้านหน้าและกึ่งกลางของผิวลิ้น หโดยวางยาไว้ด้านหลังเหงือก ด้านหลังและด้านในแก้ม ซึ่งมันจะลงลำคอโดยเด็กไม่ได้รับรู้รสยามากนัก
  • เก็บยาไว้ในที่เย็น หากเภสัชกรของคุณบอกว่าการแช่เย็นยาไม่ส่งผลต่อคุณภาพของยา ให้ลองแช่ยาไว้ในตู้เย็นเพื่อให้ลูกทานยาได้ง่ายขึ้น หรือมห้ลูกทานไอติมก่อนเพื่อให้ลิ้นของทารกเย็นและชาเล็กน้อยเพื่อให้รสชาติยาเจือจางลงบ้าง
  • สอบถามเภสัชกรของคุณเกี่ยวกับยาสำหรับเด็กที่มีรสผลไม้ หรือรสที่เด็กๆ ชอบ ที่ได้รับการอนุมัติจาก อย.  ซึ่งช่วยให้เด็กกินยาได้ง่ายขึ้น บางทีราคาอาจสูงเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า
  • การติดสินบน ทางเลือกสุดท้าย ลองเสนอของรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับลูก เพื่อแลกกับการกินยา

ผลข้างเคียงของยาสำหรับทารกและเด็กที่ควรระวัง

เด็กบางคนอาจได้รับผลข้างเคียงเมื่อทานยาบางชนิด อาการที่ควรระวังมีดังนี้

  • ท้องร่วง
  • การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ (เช่น งอแงหรือง่วงนอน)
  • เหงื่อออกมาก
  • มีผื่นขึ้น หรือ มีอาการบวมที่ไม่สามารถอธิบายได้
  • อัตราการเต้นของหัวใจสูง

จริงอยู่ที่เราควรใช้ยาเท่าที่จำเป็นเมื่อลูกป่วย แต่หากวิธีการรักษาอื่น ๆ ที่บ้านไม่ได้ผล การให้ลูกทานยาก็เป็นทางเลือกที่จะช่วยเหลือลูกให้รู้สึกดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมปฏิบัติตามคำแนะของแพทย์ หรือเภสัชกรเมื่อต้องให้ยาลูกน้อยของคุณ นอกจากนี้หากอาการลูกไม่ดีขึ้นหลังการทานยา ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

เรื่องการทานยาให้ถูกกับโรค หรือทานในปริมาณที่ถูกต้องไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่จะมองข้ามไปได้ หากลูกของคุณโตพอที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับอันตรายในการใช้ยา ควรสอนลูกว่ายาชินดไหนที่เป็นอันตรายบ้าง  นอกจากนี้การเก็บรักษายาอันตรายต่างๆ ให้พ้นจากมือเด็ก ก็เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะบ้านที่มีลูกวัยกำลังซน นอกจากนี้เมื่อถึงวัยที่ลูกสามารถทานยาได้ดี โดยไม่ต้องบังคับขู่เข็ญ การสอนให้ลูกทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ควรอธิบายให้ลูกได้รับรู้ว่า หากเรากินายาไม่หมดไม่ครบตามที่แพทย์สั่งจะเกิดผลเสียอย่างไรต่อสุขภาพและร่างกาย เมื่อคุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างการรับรู้ที่ดีเกี่ยวกับยาให้ลูกได้ จะเป็นการเสริมสร้างความฉลาดรอบด้านให้แก่ลูกในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในยุคนี้ได้แน่นอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : whattoexpect.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

4 อุทาหรณ์ !ป้อนยาลูกผิด พร้อมวิธีสังเกตอาการหลังป้อน

เตือนพ่อแม่! ห้าม ป้อนยาลูก พร้อม 3 เครื่องดื่มนี้เด็ดขาด!

8 เทคนิคป้อนยาลูก เมื่อลูกกินยายาก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อาการผิดปกติ

10 อาการผิดปกติ ตอนท้อง ที่แม่ควรรีบไปหาหมอ!

อาการผิดปกติ – ช่วงเวลาที่น่าประทับใจ และน่ายินดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตของผู้หญิง คือ ช่วงเวลาที่ได้มีโอกาสดูแลและเลี้ยงดูทารกน้อยให้สมบูรณ์แข็งแรง  แต่ความทุกข์อาจอยู่ไม่ไกลออกไปนัก หากแม่ท้องพบว่าตัวเองมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ หรือมีผลกระทบจากโรค หรือความผิดปกติใด ๆ ก็อาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อทารกในครรภ์ได้  ในบางครั้งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อทั้งแม่และลูกในเวลาเดียวกัน ดังนั้นหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ไม่ควรมั่นใจว่าจะไม่เป็นอะไร หรือลงมือแก้ปัญหาด้วยตัวเองเพียงลำพัง แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดคือปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและได้รับคำแนะนำจากมืออาชีพ  ต่อไปนี้ คือ อาการผิดปกติ 5 ที่พบเจอได้บ่อยซึ่งสามารถเป็นข้อบ่งชี้ของการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติและคนท้องควรต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

10 อาการผิดปกติ ตอนท้อง ที่แม่ควรรีบไปหาหมอ!

การตั้งครรภ์สามารถทำให้เกิดอาการต่างๆ มากมายซึ่งเป็นปกติ ตั้งแต่ ความอยากอาหารไปจนถึงการแพ้ท้อง และแน่นอนคือเรื่องของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น แต่ทว่าอาการที่ผิดปกติก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่าภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ สิ่งสำคัญ คือ คนท้องควรต้องตระหนักถึงอาการการผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ ต่อไปนี้ และคุณควรรีบติดต่อแพทย์ทันที :

1. อ่อนเพลียหรือเวียนศีรษะมาก

เป็นเรื่องปกติที่คนท้องจะรู้สึกเหนื่อยมากกว่าปกติเล็กน้อยในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ความเหนื่อยล้าและเวียนศีรษะที่ค่อนข้างรุนแรง อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคโลหิตจางได้ โรคโลหิตจางเป็นผลมาจากจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำซึ่งหมายความว่ามีการขนส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายไม่เพียงพอ

นอกเหนือจากความเหนื่อยล้าอย่างมากและหายใจถี่แล้วยังสามารถเห็นภาวะแทรกซ้อนจากการหายใจได้อีกด้วย นี่เป็นอีกข้อบ่งชี้ว่าการขนส่งออกซิเจนไม่มีประสิทธิภาพ โดยปกติแล้วสิ่งนี้สามารถรักษาได้อย่างโดยการบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็กมากขึ้น หรืออาหารเสริมธาตุเหล็ก

อาการผิดปกติ
อาการผิดปกติ

2. คลื่นไส้อย่างรุนแรง

อาการคลื่นไส้อาเจียนเป็นอาการที่พบบ่อยโดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์  โดยทั่วไปเรียกว่าอาการ แพ้ท้อง อาการเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในแต่ละวัน อย่างไรก็ตามมีเส้นแบ่งระหว่างอาการปกติและผิดปกติ หากแม่ท้องมีการอาเจียนไม่หยุด นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าคุณมีภาวะที่เรียกว่า อาการแพ้ท้องอย่างรุนแรง (hyperemesis gravidarum) ซึ่งเป็นภาวะที่มีโอกาสทำให้ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงได้ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา หากคุณไม่สามารถลดการอาเจียนได้ภายใน 8 ชั่วโมง คุณควรโทรติดต่อแพทย์ของคุณอย่างเร่งด่วน

3. ตรวจช่องคลอด พบว่ามีเลือดออก

การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงประมาณ 20-30% มีอาการเลือดออกในระหว่างการตั้งครรภ์ระยะแรก ในบางกรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในสองสัปดาห์แรกหลังการปฏิสนธิ อาจมีเลือดออกจากช่องคลอดซึ่งเกิดจากไข่ที่ปฏิสนธิฝังตัวเองในเยื่อบุมดลูก ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ในการตั้งครรภ์ระยะแรก อาจเกิดจากการติดเชื้อ เช่น ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI)  หรือการระคายเคืองที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์

อย่างไรก็ตามหากคุณพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอด อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนในการตั้งครรภ์ที่มากขึ้น แนะนำให้ใส่แผ่นรองหรือซับในกางเกงใน เพื่อให้คุณสามารถตรวจสอบได้ว่าคุณมีเลือดออกมากแค่ไหน และเป็นลักษณะเลือดออกแบบใด หากคุณพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอดเป็นสีแดงสดจำนวนมาก หรือมีลิ่มเลือดอุดตัน คุณควรโทรติดต่อแพทย์ของคุณ

4. เป็นตะคริวที่ท้องอย่างรุนแรง

ในขณะที่ความเจ็บปวดจากการเตะของลูกน้อยในครรภ์เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะหลังของการตั้งครรภ์ แต่คนท้องควรสังเกตอาการตะคริวหรือปวดท้องอย่างรุนแรง หากอาการตะคริวไม่บรรเทาลงอาจบ่งบอกถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับรกหรือการหยุดชะงักตามธรรมชาติของการตั้งครรภ์ซึ่ง รวมถึงการแท้งบุตร

อาการผิดปกติ

5. ความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นผิดปกติ

ความดันโลหิตที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระหว่างตั้งครรภ์อาจเป็นเรื่องปกติเนื่องจากความเครียดที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย อย่างไรก็ตามหากความดันโลหิตเริ่มสูงขึ้นร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่นอาการบวมและตาพร่ามัวอาจมีภาวะที่เรียกว่าครรภ์เป็นพิษ หากเป็นเช่นนี้อาจจำเป็นต้องคลอดก่อนกำหนด และทารกอาจต้องใช้เวลาเพิ่มเติมภายใต้การดูแลของแพทย์เพื่อให้มีพัฒนาการตามธรรมชาติต่อไปก่อนออกจากโณงพยาบาลได้

6. การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ลดลง

ในช่วงอายุครรภ์ระหว่าง 13 ถึง 25 สัปดาห์ คุณจะรู้สึกว่าลูกน้อยของคุณเริ่มเคลื่อนไหวได้  ในหลาย ๆ กรณีคุณแม่อาจไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครั้งแรก แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องจำไว้ว่าผู้หญิงแต่ละคน และการตั้งครรภ์ในแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน หากคุณตั้งครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ และไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ให้ปรึกษาแพทย์ของคุณ เมื่อคุณรู้สึกว่าลูกน้อยของคุณเคลื่อนไหวแล้วคุณควรติดต่อแพทย์ของคุณ หากคุณสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ลดลง (น้อยกว่า 10 ครั้งในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมง)

7. มีไข้สูงกว่า 38 °C

คุณอาจคิดว่าการมีไข้เล็กน้อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าคุณตั้งครรภ์ และมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส และแม้จะทานยาลดไข้แล้วก็ตามแต่ไข้ก็ไม่มีท่าทีจะลดลงดังนั้นการไปพบแพทย์คือทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

8. ปัสสาวะแสบขัด และปัสสาวะบ่อย 

ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ หรือการเปลี่ยนแปลงความถี่ในการปัสสาวะ อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ประมาณ 5% ของผู้หญิงสามารเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) ได้ อย่างน้อยหนึ่งครั้งในระหว่างตั้งครรภ์ และในจำนวนนี้ 1 ใน 3 มีแนวโน้มที่จะมีอาการกำเริบ โดยทั่วไป การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจะได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ในกรณีที่การติดเชื้อลามไปถึงบริเวณไตแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดฉีด (IV)  ข้อควรระวังคือ อาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การติดเชื้อในไต รวมทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการขัดขวางการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษและการคลอดก่อนกำหนดได้

อาการผิดปกติ

9. ของเหลวในช่องคลอดมีสีหรือกลิ่น

การเกิดมูกหรือตกขาวไม่ใช่เรื่องแปลกในระหว่างตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามของเหลวที่เกิดขึ้นควรเป็นสีใสหรือสีขาวและไม่มีกลิ่น ถ้านอกเหนือจากนี้แสดงว่าอาจเกิดความผิดปกติบางอย่างขึ้นได้ ซึ่งควรปรึกษาแพทย์เจ้าของครรภ์

10. อาการเจ็บท้องคลอด

หากคุณมีอาการเจ็บท้อง คุณควรโทรหาแพทย์ทันที ซึ่งอาการเจ็บท้อง รวมถึงการหดรัดตัวของมดลูก 5 ครั้งใน 1 ชั่วโมงหากอายุครรภ์น้อยกว่า 36 สัปดาห์ การหดรัดตัวของมดลูกทุก ๆ  5 นาที หรือน้อยกว่าเป็นเวลา 1 ชั่วโมง และ /หรือ การแตกของเยื่อบุมดลูกหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “น้ำคร่ำแตก” ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องรีบเดินทางไปพบแพทย์ในทันที

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : raleighob.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เลือดออกตอนท้องอ่อนๆ สาเหตุ ภาวะแท้งคุกคาม แม่ท้องต้องสังเกตให้เป็น!

ครรภ์เป็นพิษเกิดจากอะไร ประสบการณ์ครรภ์เป็นพิษ ต้องยุติการตั้งครรภ์

เลือดออกทางช่องคลอด ไม่ใช่เลือดประจำเดือน สัญญาณอันตรายที่ต้องไปหาหมอ!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกไม่มีเพื่อน

เคล็ดลับแก้ปัญหา ลูกไม่มีเพื่อน ลูกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ทำไงดี?

ลูกไม่มีเพื่อน – การเล่นร่วมกันอย่างเรียบร้อย ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแย่งชิงกัน เป็นทักษะที่เด็ก ๆ ควรได้รับการอบรมสั่งสอน และต้องเรียนรู้ ไม่เพียงแต่จะทำให้บ้านและสังคมมีความสุขมากขึ้น ยังทำให้คุณไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาต่างๆ ที่อาจตามมาเวลาปล่อยให้ลูกเล่นกับคนอื่นหรือกับพี่น้องอีกด้วย ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี หากมีคนมาบอกว่าลูกของคุณชอบแย่งของเล่นเพื่อน หรือเข้าสังคมกับผู้อื่นไม่ได้ ก่อนที่ปัญหาเหล่านี้จะเกิด คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักวิธีการสั่งสอนลูกให้อยู่ร่วมกันกับคนอื่นได้อย่างราบรื่น ต้องสอนลูกยังไงบ้างวันนี้เรามาติดตามกันค่ะ

เคล็ดลับแก้ปัญหา ลูกไม่มีเพื่อน ลูกเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ทำไงดี?

จะเป็นอย่างไรหากบุตรหลานของคุณไม่ชอบเข้าสังคมหรือชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวในช่วงปิดภาคเรียนหรือหลังเลิกเรียน ในฐานะพ่อแม่มีบางวิธีที่คุณสามารถช่วยได้ Kristen Eastman ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพพฤติกรรมเด็กกล่าว “ ถ้าลูกของคุณไม่มีเพื่อนเหมือนเด็กคนอื่น ๆ ในวัยเดียวกัน พวกเขาอาจต้องการแค่การฝึกสอนและฝึกฝนทักษะทางสังคม”

พ่อแม่ทุกคนรู้ดีว่ามิตรภาพในโรงเรียนมีความสำคัญ เพื่อนจะช่วยเสริมสร้างชีวิต เพิ่มความภาคภูมิใจในตนเองและให้การสนับสนุนทางศีลธรรมที่เราต้องการ เมื่อเราท่องจำตารางสูตรคูณ การพูดอย่างมีพัฒนาการ การหาเพื่อนในโรงเรียนมีความสำคัญพอ ๆ กับการได้รับ เกรด 4 การเรียนรู้วิธีสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนที่ประสบความสำเร็จเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเด็กและเป็นทักษะที่พวกเขาจะต้องปรับใช้ไปตลอดชีวิต

แต่เด็กบางคนก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการปรับตัวเข้ามาสิ่งสำคัญของปฏิสัมพันธ์ในวัยเด็ก เช่น การแบ่งปันของเล่นหรือการมีส่วนร่วมในการทำให้เชื่ออาจทำให้พวกเขาหลุดรอดไปได้ แม้ว่าพ่อแม่จะหาเพื่อนให้ลูกไม่ได้ แต่ก็สามารถช่วยพัฒนาและฝึกฝนทักษะทางสังคมที่สำคัญได้ หากคุณเห็นบุตรหลานของคุณพยายามหาเพื่อนหรือถูกเด็กคนอื่นปฏิเสธโปรดทำตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อช่วยเหลือ

1. สร้างทักษะทางสังคมให้ลูก

ทักษะทางสังคมไม่ได้เกิดขึ้นกับเด็กทุกคนโดยธรรมชาติ เด็กที่หุนหันพลันแล่น และสมาธิสั้นมักแสดงออกในลักษณะที่ขัดขวางความปรารถนาอันแรงกล้าสำหรับมิตรภาพ  ศาสตราจารย์ แมรี่ รูนี่  นักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญด้านสมาธิสั้นและความผิดปกติของพฤติกรรมก่อกวน กล่าวว่า  “พวกเขามักจะมีปัญหาในการเปลี่ยนและควบคุมความโกรธเมื่อไม่เข้าทาง เด็กที่ไม่ตั้งใจเรียนมากขึ้นอาจทำตัวเหม่อลอยหรือลอยอยู่ตรงขอบของกลุ่มเด็กเล่นโดยไม่แน่ใจว่าจะยืนยันตัวเองอย่างไร”

ลูกไม่มีเพื่อน
ลูกไม่มีเพื่อน

หากคุณสังเกตเห็นว่าลูกของคุณมีปัญหาในการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างให้ลองสอนลูกที่บ้าน โดยเน้นสอนเรื่องการแบ่งปันระหว่างช่วงเวลาเล่นของครอบครัวและอธิบายว่าเพื่อน ๆ คาดหวังพฤติกรรมที่ดีเช่นเดียวกัน เด็กที่หุนหันพลันแล่นจะได้รับประโยชน์จากการฝึกกลยุทธ์ต่างๆ ในการจัดการกับความขัดแย้งระหว่างเพื่อน การสวมบทบาทจะมีประโยชน์มาก แน่นอนว่าในฐานะพ่อแม่คุณควรระมัดระวังในการแสดงพฤติกรรมทางสังคมที่ดีด้วยตัวคุณเองเมื่อพูดคุยกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนของคุณเอง

สำหรับเด็กที่ต้องการคำแนะนำที่เข้มข้นขึ้นผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ “สคริปต์โซเชียล” หรือบทสนทนาง่ายๆในชีวิตประจำวันที่เด็ก ๆ สามารถฝึกฝนกับผู้ปกครองได้ คุณสามารถทำงานร่วมกับแพทย์หรือนักบำบัดพฤติกรรมของบุตรหลานเพื่อเลือกสคริปต์ที่เหมาะสมและพัฒนากลยุทธ์ในการซักซ้อมและนำไปใช้ สคริปต์ทางสังคม มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเด็กในกลุ่มออทิสติกที่ต้องการเรียนรู้ทักษะทางสังคมที่สำคัญโดยเจตนา เช่น การสบตาและตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้อื่น

สุดท้ายนี้หากบุตรหลานของคุณมีปัญหาในการคบหาเพื่อนดร. รูนีย์แนะนำให้นัดพบกับครูของเขา “ บ่อยครั้งเด็ก ๆ จะพูดว่า ‘ทุกคนเกลียดฉัน’ แต่พวกเขาอาจอธิบายไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ครูสามารถให้ความรู้สึกที่ดีขึ้นเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนของบุตรหลานของคุณและแนะนำเพื่อนร่วมชั้นในเชิงบวกมากขึ้นสำหรับการเล่นหลังเลิกเรียน

2. ฝึกฝนลูกระหว่าง การเล่นแบบ playdates

Playdates หรือการ การนัดให้ลูกได้มีโอกาสไปเล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ เป็นวิธีที่ดีสำหรับเด็ก ๆ ในการสร้างทักษะทางสังคม รูนีย์แนะนำให้ผู้ปกครองใช้เวลาสักพักก่อนที่ playdates จะทบทวนตัวชี้นำทางสังคมให้กับลูก ๆ กิจกรรมบางอย่างสำหรับ การเล่น playdate ได้แก่ :

  • พูดคุยกับบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับความหมายของการเป็นเจ้าบ้านที่ดี ลูกของคุณจะทำอย่างไรเพื่อให้แขกของลูกรู้สึกสบายใจ?
  • ให้ลูกของคุณเลือกเกมล่วงหน้าสักสองสามเกม บุตรหลานของคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาที่จะต้องเล่นเกมต่อไป
  • ถามลูกว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าแขกของลูกมีช่วงเวลาที่ดี พวกเขายิ้ม? หรือ หัวเราะ? หรือไม่

ตราบใดที่เด็ก ๆ ไม่หันเหไปสู่การเล่นที่เป็นอันตราย ให้ปล่อยให้ playdate ดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น ศาสตรราจารย์ เจมี่ โฮวาร์ด นักจิตวิทยาคลินิกของ Child Mind Institute กล่าวว่า เด็ก ๆ เรียนรู้จากผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการกระทำของพวกเขา ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการฝึกให้เด็กๆ รู้จักการเข้าสังคมในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและมีการสนับสนุนที่ดีจึงมีความสำคัญมาก

ลูกไม่มีเพื่อน

3. ให้ความช่วยเหลือเด็กขี้อาย

เด็กบางคนเข้าสังคมกับเด็กคนอื่นๆ ได้โดยธรรมชาติ แต่ในขณะที่เด็กบางคนอาจต้องการเวลามากขึ้นในการอุ่นเครื่องกับสถานการณ์ใหม่ ๆ อย่ากังวลหากบุตรหลานของคุณลังเลในสถานการณ์ทางสังคมที่ต้องเจอบ้างเล็กน้อย การคาดหวังให้เด็ก ๆ ทุกคนกระโดดเข้ามาเป็นผู้นำกลุ่มนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการรุกหรือยัดเยียดที่หนักหน่วงเกินไป อย่างไรก็ตามผู้ปกครองไม่ควรทำผิดพลาด เช่น การกักขังเด็กไว้ที่บ้านเช่นกัน ดร. ราเชล บุสแมน นักจิตวิทยาที่ทำงานกับเด็กที่มีความวิตกกังวล อธิบายว่า “มีความแตกต่างระหว่างการรองรับและการเปิดใช้งาน สำหรับเด็กขี้อายเราต้องการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้พบกับเด็กใหม่ ๆ แต่เราต้องการช่วยเชื่อมต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อไม่ให้พวกเขาอึดอัดเกินไป”

บุสแมน แนะนำให้วางแผน playdates ที่บ้านของคุณก่อนซึ่งลูกของคุณจะสบายใจที่สุด ชมรมหรือกิจกรรมอื่น ๆ ก็เป็นวิธีที่ดีในการหาเพื่อนเพราะมีโครงสร้างในตัวที่ช่วยลดความวิตกกังวลให้น้อยที่สุด หากบุตรหลานของคุณไม่เต็มใจให้ลองหาเพื่อนที่คุ้นเคยมาร่วมกิจกรรมกับลูก เช่นเดียวกับทักษะทางสังคม ผู้ปกครองสามารถช่วยเด็กขี้อายฝึกซ้อมล่วงหน้าสำหรับสถานการณ์ที่อาจทำให้พวกเกิดความเขากังวลใจ เช่น ต้องไปงานวันเกิดเพื่อน หรือต้องพบปะกับผู้คนกลุ่มใหม่ เป็นต้น

4. เด็กทุกคนแตกต่างกัน

ดร. บุสแมนกล่าวว่านอกจากนี้ยังมีความแตกต่างระหว่างเด็กที่ขี้อายและเด็กที่ชอบเก็บตัวและชอบใช้เวลาอ่านหนังสือหรือวาดภาพคนเดียว “ เด็กแต่ละคนในครอบครัวเดียวกันอาจมีขีดจำกัดทางสังคมและระดับความรู้สึกสะดวกใจในการเข้าสังคมที่แตกต่างกัน เด็กที่ชอบความเงียบ หรืออยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงเด็กคนอื่น ๆ” แต่สิ่งสำคัญคือเด็กที่เก็บตัวมากขึ้นจะยังคงได้รับโอกาสในการทำความรู้จักกับเพื่อน บุสแมนแนะนำว่าบุตรหลานของคุณสามารถรับมือกับความคาดหวังได้มากเพียงใด เด็กบางคน เพียงพอแล้วที่จะหาสิ่งเดียวที่พวกเขาชอบทำประมาณสัปดาห์ละครั้ง

ประการสุดท้ายสิ่งสำคัญคือพ่อแม่ไม่ควรคาดหวังทางสังคมกับเด็กมากเกินไป   “ เด็ก ๆ ต้องการเพื่อนที่ดีเพียงหนึ่งหรือสองคน คุณไม่ต้องกังวลว่าพวกเขาจะเป็นเด็กที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในชั้นเรียน”  จำไว้ว่าสิ่งที่สำคัญ คือ หากคุณพ่อคุณแม่หมั่นฝึกฝนทักษะทางสังคมให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก จะช่วยส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะทีสำคัญ ได้แก่ ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี เพื่อให้ลูกสามารถเติบโตขึ้นไปใช้ชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกันผู้คนที่หลากหลายได้อย่างไร้ปัญหา

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : childmind.org

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

9 วิธีสอนลูกไม่ให้แกล้งเพื่อน หรือไปทำร้ายคนอื่น

7 เคล็ด(ไม่)ลับ สอนลูกให้ซื่อสัตย์ ตรงมาตรงไป โตไปไม่โกง

เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

คนท้องติดโควิด

อัปเดท คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร?

อัปเดท คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร? 

แม่ท้องทุกคนไม่มีใครไม่กังวลใจกับสถานการณ์โรคระบาดในตอนนี้ เพราะแม่ท้องต้องดูแลอีก 1 ชีวิตที่กำลังจะลืมตาดูโลก หากติดโควิดขึ้นมา จะทำอย่างไร ทีมแม่ ABK จึงขอนำข้อมูลจากกรมการแพทย์ ที่นำเสนอล่าสุดว่าหาก คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร? มาฝากกันค่ะ

 

ท้อง ติดโควิด
ท้อง ติดโควิด

อัปเดต แนวทางในการรักษาหญิงตั้งครรภ์ที่ติดโควิด

เนื่องจากหญิงตั้งครรภ์อาจมีความเสี่ยงต่อการเป็น COVID-19 ที่รุนแรง ร่วมกับอาจจะมีข้อจำกัดของทางเลือกในการรักษา
หลักการรักษา COVID-19 ในหญิงตั้งครรภ์ให้พิจารณาการใช้ยาต้านไวรัสเหมือนกับผู้ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ยกเว้นบางกรณี
ดังต่อไปนี้
1. การใช้ favipiravir ในหญิงตั้งครรภ์อาจทำให้เด็กอ่อนในท้องเสียชีวิตหรือพิการได้ (teratogenic effect) ในกรณีที่
ผู้ป่วยเป็นหญิงวัยเจริญพันธุ์ควรพิจารณาตรวจการตั้งครรภ์ก่อนเริ่มยา
2. ไม่แนะนำให้ใช้ favipiravir ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาส 1
3. สามารถใช้ favipiravir ได้ในหญิงตั้งครรภ์ไตรมาส 2 และ 3 ถ้ามีข้อบ่งชี้และแพทย์พิจารณาแล้วว่าจะได้ประโยชน์
มากกว่าความเสี่ยง โดยมีการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
4. มีข้อมูลความปลอดภัยของการใช้ remdesivir ในหญิงตั้งครรภ์จำนวนหนึ่งแต่ไม่มาก สามารถใช้ remdesivir ได้ใน
หญิงตั้งครรภ์ทุกไตรมาส ควรใช้ตามข้อบ่งชี้เหมือนผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ถ้ามีข้อบ่งชี้และแพทย์พิจารณาแล้วว่าจะได้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง โดยมีการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
5. ยังไม่มีข้อมูลการศึกษา nirmatrelvir/ritonavir ในหญิงตั้งครรภ์ แต่ถ้าแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีประโยชน์มากกว่า
ความเสี่ยง ให้ใช้ได้ถ้ามีข้อบ่งชี้ โดยมีการตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยและญาติ
6. เนื่องจาก molnupiravir มี teratogenic effect จึงห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ในทุกไตรมาส
7. หากหญิงตั้งครรภ์มีแนวโน้มอาการรุนแรง ให้รีบส่งต่อโรงพยาบาลที่สามารถดูแลได้ให้เร็วที่สุด ตามดุลยพินิจของแพทย์

หากแม่ท้องมีอาการหนัก จะได้รับการรักษาอย่างไร? จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกยังมีสุขภาพดีอยู่?

อย่างไรก็ตามในกรณีที่มีอาการปานกลาง หรืออาการหนัก ต้องรับไว้ในโรงพยาบาล มีการตรวจติดตามสัญญาณชีพ ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจทารก หรือเรียกว่า CTG ตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์เป็นต้นไป และก็มีการให้ยาตามแนวทางของกรมควบคุมโรค แต่ถ้าอาการแย่ลงอาจจะต้องย้ายเข้า ICU มีการให้เครื่องช่วยหายใจในแง่ของ respiratory support และมีการให้ยาอย่างเหมาะสมเพื่อดูแลต่อไป

ส่วนในกรณีที่อาการหนัก เป็นมาก ออกซิเจนต่ำ หรือแม่ช็อก อาจมีความจำเป็นต้องผ่าตัดฉุกเฉิน เพื่อเอาเด็กออกมาก่อน หรือในกรณีต้องปฏิบัติการกู้ชีพ ในการผ่าตัด ถ้าจะต้องผ่าตัดก็แนะนำให้ทำในห้องที่มีความดันลบ การระงับความเจ็บปวดขึ้นอยู่กับวิสัญญีแพทย์ว่าจะเป็นการบล็อคหลังหรือใส่ tube ก็แล้วแต่ สำหรับทีมงานที่จะทำการผ่าตัดแนะนำให้ใส่ full PPE มีการเตรียมทีมกุมารแพทย์ใส่ PPE ในการรับเด็ก สำหรับทารกหลังคลอดจะมีการเช็ดตัว ทำความสะอาดและส่งให้กุมารแพทย์ประเมิน

แม่ท้องติดโควิด
แม่ท้องติดโควิด

อ่านมาถึงตรงนี้ แม่ท้องหลายคนก็จะยิ่งวิตกกังวลก็แล้วใช่ไหมล่ะคะ เพราะแค่ตัวคนเดียวที่ต้องระวังไม่ให้ติดโควิดก็ลำบากมากพอแล้ว แต่แม่ท้องที่ต้องระวังโรคระบาดนั้น ยากขึ้นเป็น 2 เท่า ทีมแม่ ABK จึงขอนำแนวทางการป้องกันโรคโควิด-19 จาก นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์​ กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า โดยหลักการสตรีตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์ตามปกติ และดำเนินการป้องกันโรคเหมือนคนทุกคน ทั้งสวมหน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยการล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตา จมูก และปาก โดยเฉพาะหลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือแออัด ถ้าจำเป็นต้องเดินทางให้อยู่ห่างจากคนอื่นประมาณ 1.5 เมตร มีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับหญิงตั้งครรภ์กับโรคโควิด-19 ดังนี้

  • ควรฝากครรภ์ตามปกติ
  • สวมหน้ากากอนามัย
  • หลีกเลี่ยงการติดเชื้อโดยการล้างมือบ่อย ๆ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส ดวงตา จมูก และปาก
  • หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือแออัด
  • ถ้าจำเป็นต้องเดินทาง ให้อยู่ห่างจากคนอื่น (ประมาณ 1.5 เมตร)
  • ส่วนใหญ่ (มากกว่า 2 ใน 3) ของหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19 ไม่แสดงอาการ
  • อาจพบอาการรุนแรงในหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะอ้วน อายุมาก มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน (DM, HT)
  • การติดเชื้อจากแม่สู่ลูก อาจพบได้ 2-5%
  • มีโอกาสทารกคลอดก่อนกำหนด 15.1% แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนเรื่องการแท้งบุตร
  • ควรได้รับการดูแลจากสูติ-นรีแพทย์อย่างใกล้ชิด

 

ทั้งนี้ ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากมีไข้ ไอ เป็นผู้ที่อาศัยอยู่หรือเพิ่งกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หรืออยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นผู้ป่วย เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและเพื่อให้แพทย์สามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมสำหรับการตรวจและการวินิจฉัยได้

อย่างที่ทราบกันดี ไวรัสชนิดนี้เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบ คุณแม่ควรติดตามข่าวสารอยู่เป็นประจำ พร้อมศึกษาวิธีการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อความปลอดภัยทั้งตัวคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

วิธีเช็กความ เสี่ยงติดโควิด-19 อาการแบบไหนต้องรีบไปตรวจหาเชื้อ

เปิดจองสิทธิ์ประกันสังคมพื้นที่กทม ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ต้องทำอย่างไร

CDC ชี้! หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ดีกว่าวัคซีน

เตือนใส่ หน้ากากอนามัยเด็ก -เบบี๋อันตรายมากกว่าป้องกัน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.komchadluek.net, สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ, กรมการแพทย์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พ่อแม่จ๋าเช็กให้ดี กับปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ โฮมสคูล !!

เทรนด์การศึกษาใหม่มาแรงช่วงการระบาดของโรคโควิด19นี้ โฮมสคูล ดูจะเป็นทางเลือกใหม่ที่พ่อแม่สนใจ แต่อย่าลืมเช็กความพร้อม และปัจจัยที่ต้องมีก่อนตัดสินใจให้ลูก

พ่อแม่จ๋าเช็กให้ดี กับปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ โฮมสคูล !!

สถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรน่า (โควิด19) ที่ยังคงมีต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันหลากหลายด้าน รวมถึงการเรียนของลูก ข้อจำกัดของการปฎิบัติตัวในสถานการณ์การระบาดนี้ ทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมรวมกลุ่มกันได้อย่างเต็มที่ และเพิ่มความกังวลให้แก่พ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน ทำให้เกิดกระแสความสนใจหันไปหาการศึกษาแบบทางเลือกนอกเหนือจากการเรียนการศึกษาตามระบบในโรงเรียน โฮมสคูลนับว่าเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ตอบโจทย์ได้ดี แต่การทำโฮมสคูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะไม่ยากเกินความพยายามของครอบครัวที่ตั้งใจ ซึ่งก็มีตัวอย่างหลาย ๆ ครอบครัวที่ทำแล้วประสบความสำเร็จให้เห็นก็ตาม ดังนั้นก่อนเริ่มตัดสินใจเรามาลองเช็กความพร้อมของครอบครัวเรากันก่อนดีไหม

6 ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเริ่มทำโฮมสคูล

  • เหตุผลที่ตัดสินใจเลือกโฮมสคูลคืออะไร

การตัดสินใจเลือกการศึกษาให้แก่ลูกในแนวทางนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่คุณพ่อคุณแม่จะตัดสินใจ เนื่องจากแนวทาง และวิธีการไม่ได้เป็นรูปแบบสำเร็จเหมือนดั่งการศึกษาแบบในโรงเรียน ดังนั้นก่อนที่จะทำการตัดสินใจลองมาทบทวนตัวเองดูว่าเหตุผลใดที่ครอบครัวเราจะเลือกในแนวทางนี้ เช่น เห็นด้วยกับแนวคิด อยากจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก ให้เหมาะกับแต่ละคนที่ระดับการเรียนรู้ไม่เท่ากัน หรือมีปัญหามาจากทางโรงเรียน (ลูกถูกบุลลี่ มีปัญหากับครู) หรือมีปัญหาด้านสุขภาพ เป็นต้น การรู้เหตุผลที่แท้จริงที่ต้องการจัดการศึกษาแบบโฮมสคูลก็จะช่วยให้เราหาข้อดี ข้อเสีย ของเหตุผลนั้น แล้วนำมาพิจารณาว่าครอบครัวเราเหมาะสมกับโฮมสคูลจริงหรือไม่ได้

ความหมายของโฮมสคูล

โฮมสคูล Homeschool หรือ บ้านเรียน เป็นการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานที่พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง เป็นผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาด้วยตนเอง เป็นระบบของการบูรณาการการเรียนรู้ที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้จากวิถีชีวิตจริงจากทุกสถานที่ และกิจกรรมต่างๆ ที่ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน มุ่งให้โอกาสผู้เรียนได้ทำในสิ่งที่สนใจ เพื่อการค้นพบความถนัดและความสามารถของตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ หลายๆ ครอบครัวจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อการพัฒนาทักษะชีวิต และความฉลาดทางอารมณ์ นำไปสู่การเป็นผู้คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น รู้วิธีการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือของการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งประเทศไทยรับรองการจัดการศึกษาในรูปแบบนี้ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

 

โฮมสคูล รูปแบบการเรียนรู้จากชีวิตจริงได้ทุกสถานที่
โฮมสคูล รูปแบบการเรียนรู้จากชีวิตจริงได้ทุกสถานที่

 

การตัดสินใจว่าการเรียนแบบโฮมสคูลเหมาะกับครอบครัวคุณพ่อคุณแม่หรือไม่ให้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น

  1. ปัจจัยเรื่องเวลา ลองพิจารณาดูว่าพ่อแม่มีเวลาพร้อมดูแลจริงจังหรือไม่ แนะนำว่าควรมีหนึ่งคนที่มีความพร้อมดูแลเต็มเวลาจะดีกว่า
  2. ข้อดีข้อเสียของการโฮมสคูลตามความต้องการของครอบครัว เพราะเหตุผลของแต่ละครอบครัวแตกต่างกัน จึงควรมานั่งพิจารณาร่วมกันทั้งพ่อแม่ และลูกว่าครอบครัวเราพร้อมสำหรับแนวทางนี้หรือไม่
  3. ถามความคิดเห็นของสมาชิกทุกคนในบ้าน แม้คุณพ่อคุณแม่จะเห็นพ้องต้องกันในการเลือกการศึกษาในแนวโฮมสคูล แต่สิ่งที่ควรทำอีกอย่างคือ การสอบถามลูกของคุณพ่อคุณแม่ว่าพร้อมแค่ไหนกับการเรียนแนวนี้ เพราะอย่าลืมว่าเขาเป็นผู้ที่ต้องได้รับผลมากที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดในการให้เข้าร่วมตัดสินใจได้ถูกต้อง นั่นคือ การให้เขาได้รับรู้ข้อมูลร่วมด้วยกันกับพ่อแม่
  • ทำความเข้าใจกับกฎระเบียบ กฏหมายโฮมสคูลให้ถ่องแท้

เมื่อเราเข้าใจในหลักการของการจัดทำโฮมสคูลดีแล้ว และเหตุผลของครอบครัวว่าต้องการจัดทำการเรียนแบบนี้ให้แก่ลูกไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตามนั่นแสดงว่าคุณพ่อคุณแม่ยอมรับ และต้องเสียสละเวลาในการมาจัดรูปแบบการเรียนรู้ให้แก่ลูกของเรา เบื้องต้นจึงควรต้องทำความเข้าใจในเรื่องกฎระเบียบ กฎหมายในการจัดการศึกษาในรูปแบบโฮมสคูลว่าเราจะจัดการศึกษาให้แก่ลูกได้ในระดับใดบ้าง ซึ่งในส่วนนี้เป็นในส่วนวิธีการได้มาซึ่งวุฒิการศึกษา จึงขออธิบายอย่างคร่าว ๆ ดังนี้

การศึกษาแบบ Homeschool สามารถเริ่มจัดได้ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษา โดยสามารถไปจดทะเบียนตามสถานที่ที่ในแต่ละระดับชั้นกำหนดไว้

สำหรับระดับปฐมวัย (อนุบาล) จะสามารถจดทะเบียนเพื่อจัดการศึกษาบ้านได้เมื่อเด็กอายุ 3 ขวบ ซึ่งในระดับอนุบาลคุณพ่อคุณแม่จะจดทะเบียนโฮมสคูลให้กับลูกหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของคุณพ่อคุณแม่ ถ้าหากพร้อมก็สามารถไปยื่นคำอนุญาตจดทะเบียนในเขตพื้นที่การศึกษาได้เลย

 

โฮมสคูล เมื่อการเรียนในระบบโรงเรียน ไม่ใช่คำตอบ
โฮมสคูล เมื่อการเรียนในระบบโรงเรียน ไม่ใช่คำตอบ

 

ระดับประถมศึกษา ครอบครัวสามารถยื่นขออนุญาตจดทะเบียน และจัดการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาตามภูมิลำเนา

ระดับมัธยมศึกษา ครอบครัวจะต้องยื่นขออนุญาตจดทะเบียนจัดการศึกษาที่
– สำนักงานเขตพื้นที่การมัธยมศึกษา
– ลงทะเบียนเป็นนักเรียนกับ กศน. (การศึกษานอกระบบ)
– ลงทะเบียนเป็นนักเรียนกับ การจัดการศึกษาทางไกล

โดยการจดทะเบียนแบบนี้เมื่อเรียนจบการศึกษาในแต่ระดับ ก็จะได้รับวุฒิการศึกษาในระดับนั้น ๆ ซึ่งก็จะสามารถนำวุฒิการศึกษาไปใช้เรียนต่อในระบบได้เลย หรือหากเรียนจบในระดับมัธยมปลายก็จะสามารถนำวุฒิการศึกษาไปสอบเข้าเพื่อเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ตามปกติ

การยื่นคำขอจดทะเบียนกับเขตพื้นที่การศึกษาจะมีขั้นตอนดังนี้

  1.  ยื่นคำขออนุญาตจัดการศึกษาที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาที่ครอบครัวมีภูมิลำเนาอยู่
  2.  จัดทำแผนการศึกษา ครอบครัวและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะต้องร่วมกันกำหนดตามความมุ่งหมาย หลักการและแนวทางการจัดการศึกษาตามกฏหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ
  3. ดำเนินการจัดการศึกษาให้เป็นไปตามแผนการจัดการศึกษาของครอบครัว
  4. ดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามหลักเกณฑ์ และวิธีการวัดผล และประเมินผลของหลักสูตร  การศึกษาขึ้นพื้นฐาน
  5. จัดทำรายงานการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมทั้งการจัดการเรียนการสอนและสภาพปัญหาที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากำหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
  6. ปรับปรุงผลการเรียนของผู้เรียน ตามที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเสนอแนะ

ในที่นี้หากจดทะเบียนกับเขตพื้นที่การศึกษาแม้การจดทะเบียนจะมีขั้นตอนที่มากกว่า แต่จะสามารถขอรับเงินค่าอุดหนุนรายหัวตามที่ สพฐ.กำหนดไว้ได้ด้วย หรือถ้าหากคุณพ่อคุณแม่อยากจะขอจดทะเบียนแบบไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ก็สามารถจดทะเบียนกับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ Homeschool ได้  ซึ่งก็มีโรงเรียนรุ่งอรุณ กทม. และที่หมู่บ้านเด็ก จ.กาญจนบุรี แต่การจดทะเบียนในรูปแบบนี้จะไม่สามารถขอรับเงินอุดหนุนรายหัวได้

ทุกที่คือห้องเรียน สำหรับเด็ก โฮมสคูล
ทุกที่คือห้องเรียน สำหรับเด็ก โฮมสคูล

 

  • เริ่มต้นอย่างแข็งแกร่ง

เมื่อผ่านขั้นตอนการตัดสินใจต่าง ๆ มาได้แล้ว ต่อไปก็เป็นการเริ่มต้นศึกษากระบวนการเรียนรู้แบบโฮมสคูลกันแล้ว ซึ่งในช่วงแรก ๆ อาจเกิดความลังเลขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นตัวลูกเอง หรือสมาชิกในครอบครัว และแม้แต่ตัวคุณเอง สิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถเริ่มต้นกระบวนการได้อย่างแข็งแกร่งอย่างหนึ่ง คือ การได้เข้าไปพูดคุย เรียนรู้ หาข้อมูลจากผู้ที่ได้ผ่านประสบการณ์มาก่อน ซึ่งก็มีกลุ่มหลากหลายให้พ่อแม่ได้เข้าร่วม เช่น Homeschool Thailand ,Unschooling Thailand ,โฮมสคูลอนุบาล ,โฮมสคูลประถม ,โฮมสคูลกศน และสถาบันการศึกษาทางไกล เป็นต้น กลุ่มเหล่านี้สามารถเป็นแหล่งกำลังใจที่ดี ช่วยในการเลือกหลักสูตรทำความเข้าใจสิ่งที่จำเป็นเกี่ยวกับการทำโฮมสคูล แบ่งปันเทคนิคและแบ่งปันกิจกรรมดี ๆ ได้อีกด้วย

  • เลือกหลักสูตร หรือวิธีการการเรียนรู้

ในขั้นตอนนี้ อยากทำความเข้าใจโดยการแบ่งวิธีการทำโฮมสคูลออกเป็นวิธีการได้วุฒิการศึกษา (ซึ่งได้กล่าวไปแล้วข้างต้น) กับวิธีการเรียนรู้ ซึ่งหากเราแยกกระบวนการศึกษาแบบโฮมสคูลออกมาเป็นสองวิธีดังกล่าว จะทำให้เราเข้าใจหลักการมากยิ่งขึ้น ในขั้นตอนนี้จะขอกล่าวถึงการเลือกวิธีการเรียนรู้ให้แก่ลูกของคุณตามหลักการของการศึกษาแนวนี้ ขอบอกว่าปัจจุบันมีหลากหลายแนวทางให้เลือก เช่น เรียนออนไลน์ เรียนกับครูสอนพิเศษ เรียนรู้ด้วยตนเอง และจัดการเรียนการสอนโดยผู้ปกครอง เป็นต้น หากจะแบ่งประเภทของการเรียนรู้ อาจแบ่งได้อย่างคร่าว ๆ ดังนี้

  1. Traditional เรียนเหมือนโรงเรียนในระบบ ทั้งหนังสือที่ใช้เรียน เพียงแค่ไม่ได้ไปเรียนที่โรงเรียน
  2. Classical Learning How to think เรียนรู้วิธีคิด หาคำตอบจากคำถามที่ตั้งไว้
  3. Charlotte Mason ไม่เน้นหนังสือเรียน ใช้วิธีให้เด็กเป็นผู้พูด เล่าเรื่อง เขียนตอบมากกว่า
  4. Unit Studies เป็นการทำโปรเจค ทำกิจกรรม โดยให้เรียนรู้ผ่านการคิด และลงมือทำกิจกรรมนั้น ๆ
  5. Unschooling ไม่มีหลักสูตร ไม่มีตาราง เรียนรู้จากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน

อย่างไรก็ตามการเรียนรู้ในรูปแบบโฮมสคูลจะไม่มีรูปแบบตายตัว สามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมของแต่ละครอบครัว สุดท้ายก็จะมีการประเมินผลเพื่อให้ได้วุฒิการศึกษาตามข้อกำหนดที่มีไว้ เป็นการเช็กได้ว่าเราได้จัดการเรียนรู้มาถูกทางหรือไม่อีกทางหนึ่ง นอกจากการสังเกตผู้เรียน (ลูก) เป็นหลัก

 

การเรียนนอกห้องเรียน ทุกอย่างน่าเรียนรู้
การเรียนนอกห้องเรียน ทุกอย่างน่าเรียนรู้

การสอบแบบ Homeschool พ่อแม่จะเป็นผู้สอบและผู้วัดผลการสอบด้วยตัวเอง

สำหรับการประเมินผล ครอบครัวจะเป็นผู้ประเมินความรู้ของเด็กตามหลักเกณฑ์ในหลักสูตรขั้นพื้นฐาน หรือตามข้อตกลงที่ตกลงไว้กับทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา  โดยทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจะเข้ามาประเมินร่วมกับครอบครัวปีละ 1 ครั้ง ว่ามีพัฒนาการตรงตามที่ครอบครัวประเมินไว้หรือไม่ และกำหนดความสามารถของเด็กว่าเทียบได้ในระดับชั้นใดแล้ว ซึ่งวุฒิการศึกษาที่ได้ก็จะเหมือนกับผู้เรียนในระบบการศึกษา และที่สำคัญวุฒิการศึกษาที่ได้จะสามารถนำเข้าไปเรียนต่อในระบบการศึกษาปกติตามระดับชั้นที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้เทียบไว้ได้ด้วย

  • เรียนรู้พื้นฐานการเก็บบันทึก การจัดตารางเวลา

ส่วนนี้เป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในการตัดสินเลือกรูปแบบการเรียนของลูกในแนวทางโฮมสคูล เพราะพ่อแม่ต้องเข้าใจว่า การเรียนในแนวทางนี้ เราต้องเป็นผู้จัดทำทั้งตารางการเรียนรู้ และบันทึกเพื่อไปใช้ในการประเมินของทางภาครัฐอีกที ดังนั้น หากจะเลือกจัดการเรียนการสอนแนวนี้ พ่อแม่ต้องเรียนรู้ในการหลักการจัดทำทั้งตาราง และบันทึก (การเก็บร่องรอย) รวมถึงถามตัวเองว่าพร้อมไหมในการดูแล จัดการเรื่องดังกล่าว

  • ยืดหยุ่น พร้อมปรับตัว เปลี่ยนแปลงแค่ไหน

มีหลายวิธีในการโฮมสคูลลูกของคุณพ่อคุณแม่ การค้นหาสไตล์ที่เหมาะกับครอบครัวอาจต้องใช้การลองผิดลองถูก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะลองใช้วิธีต่าง ๆ สองสามวิธีตลอดหลายปีที่เรียนแบบโฮมสคูล หรือเพื่อผสมผสานและจับคู่ ซึ่งอาจพบว่าบางแง่มุมของการเลิกเรียนแนวนี้อาจใช้ได้ผลกับครอบครัวของคุณ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องจำไว้คือเปิดใจรับสิ่งที่เหมาะกับครอบครัวแทนที่จะรู้สึกว่าคุณต้องทุ่มเทไปตลอดชีวิตกับวิธีการเรียนแบบโฮมสคูลโดยเฉพาะ ไม่กล่าวโทษ ไม่รู้สึกผิดหากทำได้ไม่สำเร็จ

 

โฮมสคูล ทางเลือกหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน
โฮมสคูล ทางเลือกหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในปัจจุบัน

 

การเรียนของลูก เป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่พ่อแม่ต่างให้ความสำคัญ ดังนั้นหากเราจะตัดสินใจแบบใด ก็ควรคิดให้รอบคอบ และหาข้อมูลให้รอบด้านเสียก่อนที่จะเริ่ม ก็จะเป็นการช่วยให้ความผิดพลาดนั้นน้อยลงไปได้ อย่างไรก็ตามขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวที่กำลังหาทางเลือกทางการศึกษาให้แก่ลูกน้อยของคุณ หากแน่วแน่ในการเรียนแบบโฮมสคูลแล้วละก็ ความตั้งใจ ความมุ่งมั่น และความพร้อมก็สามารถช่วยให้ครอบครัวสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้ประสบความสำเร็จไปด้วยดีได้ไม่ยาก

ข้อมูลอ้างอิงจาก dek-d.com/ www.greelane.com/ Homeschool Thailand
เจ็บหัวนม

8 วิธีช่วยแม่ให้นม แม่เจ็บหัวนม ต้องแก้ยังไง?

แม่เจ็บหัวนม – อาการเจ็บหัวนมเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้สำหรับคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ บางคนคิดว่านี่เป็นประสบการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือใครๆ ก็เป็นกัน แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้นมบุตรเปิดเผยว่าความเจ็บปวดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการให้นมลูก เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น หากคุณพบว่าคุณมีอาการเจ็บหัวนม  พบว่าหัวนมแตก เป็นแผล หรือมีเลือดออกระหว่างหรือหลังการให้นมลูกนี่คือสิ่งที่คุณทำได้เพื่อบรรเทาอาการต่างๆ

8 วิธีช่วยแม่ให้นม แม่เจ็บหัวนม ต้องแก้ยังไง?

เมื่อคุณมีลูกและเริ่มให้นมลูกครั้งแรกอาการเจ็บหัวนมเล็กน้อยเป็นเรื่องปกติ คุณอาจรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเมื่อลูกดูดนมหรือเมื่อน้ำนมแม่เริ่มลดลง ความเจ็บปวดเล็กน้อยนี้เป็นเรื่องปกติและควรหายไปเมื่อคุณต้องคอยดูแลลูกน้อยของคุณ

เมื่อเวลาหลายสัปดาห์ผ่านไป การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะสะดวกสบายมากขึ้น แน่นอนว่านี่ไม่ใช่กรณีเสมอไป บางครั้งความอ่อนโยนจะแย่ลงและหัวนมของคุณอาจเจ็บอย่างรุนแรง น่าเสียดายที่อาการเจ็บหัวนมเป็นปัญหาที่พบบ่อยในการให้นมบุตร

พวกเขาสามารถพัฒนาได้จากหลายสาเหตุรวมทั้งสลักให้นมไม่ดีการใช้เครื่องปั๊มนมไม่ถูกต้องหรือการติดเชื้อ จากนั้นเมื่อคุณมีอาการเจ็บหัวนมอาจนำไปสู่การปล่อยยากน้ำนมแม่มีน้อยหรือการหย่านมก่อนกำหนด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้คุณควรพยายามหยุดอาการเจ็บหัวนมก่อนที่จะเริ่ม นี่คือแปดวิธีในการป้องกันอาการเจ็บหัวนม

แม่เจ็บหัวนม
แม่เจ็บหัวนม

1. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกอมหัวนมและลานนมได้ดี

ลักษณะการดูดเต้าที่ดีเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ประสบความสำเร็จและยังช่วยป้องกันอาการเจ็บหัวนม  เมื่อลูกน้อยของคุณจับเข้าที่เต้านมของคุณอย่างถูกต้องเขาจะมีหัวนมทั้งหมดของคุณและบริเวณรอบ ๆ บางส่วนอยู่ในปากของเขา หัวนมของคุณควรอยู่ลึกเข้าไปในปากของทารก หากทารกแรกเกิดของคุณติดกับหัวนมของคุณเพียงอย่างเดียวเหงือกของเขาจะกดลงในขณะที่เขาพยายามจะดูดนมแม่ เมื่อเขาดูดเฉพาะหัวนมที่บอบบางของคุณอาจทำให้เจ็บหัวนมได้ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้ทารกหิวและจุกจิกอยู่เสมอเนื่องจากลูกของคุณจะไม่ได้รับนมแม่มากนักหากเธอไม่สามารถดูดนมได้ดีและบีบท่อน้ำนมรอบลานนมของคุณ คุณสามารถช่วยป้องกันอาการเจ็บหัวนมได้โดยเรียนรู้วิธีการให้นมลูกอย่างถูกต้องตั้งแต่การให้นมลูกครั้งแรก

2. ให้นมลูกในท่าที่ดี

ท่าให้นมที่ดีจะสะดวกสบายสำหรับทั้งคุณและลูกน้อยของคุณและจะกระตุ้นให้เกิดการล็อคที่เหมาะสม 2 ที่ยึดแท่นวางแบบไขว้และที่ยึดลูกฟุตบอล (คลัทช์) จะทำงานได้ดีเมื่อคุณเริ่มออกเดินทางครั้งแรกเนื่องจากทั้งสองตำแหน่งนี้ ให้มุมมองที่ดีขึ้นของหัวนมของคุณและปากของทารก

การใช้หมอนพยาบาลและที่วางเท้าพยาบาลอาจเป็นประโยชน์ อุปกรณ์เสริมสำหรับการให้นมบุตรเหล่านี้ช่วยยกตักของคุณและทำให้ลูกของคุณอยู่ในระดับเดียวกับเต้านมของคุณ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ที่ดีนั้นง่ายกว่าเมื่อคุณเลี้ยงลูกเพราะไม่ต้องเอนตัว การเอนตัวลงจะทำให้ไม่สบายตัวและอาจทำให้หลังแขนและคอของคุณตึงได้

คุณยังสามารถสลับตำแหน่งการให้นมที่คุณใช้ในการให้นมแต่ละครั้งได้ เมื่อคุณให้นมลูกในท่าเดิมตลอดเวลาปากของลูกน้อยจะกดจุดเดิมบนหัวนมของคุณเสมอ

 

แม่เจ็บหัวนม

3. ทำให้หน้าอกของคุณนิ่มลงเพื่อให้ลูกน้อยของคุณสามารถดูดนมได้

อาการคัดตึงของเต้านมเป็นเรื่องปกติในช่วงเปลี่ยนถ่ายของการผลิตเต้านมซึ่งคุณน่าจะพบมากที่สุดภายในสองสามสัปดาห์แรกของการให้นมบุตร อย่างไรก็ตามเต้านมของคุณสามารถบีบรัดได้เช่นกันหากคุณพลาดการให้นมหรือหากคุณมีปริมาณน้ำนมแม่มากเกินไป 3 เมื่อเต้านมของคุณบีบรัดและแข็งเป็นเรื่องยากสำหรับทารกแรกเกิดที่จะดูดนม

เพื่อให้ลูกของคุณง่ายขึ้นคุณสามารถเอานมแม่ออกเล็กน้อยก่อนให้นมแต่ละครั้งเพื่อบรรเทาอาการตึงและทำให้เนื้อเยื่อเต้านมนิ่มลง เมื่อเต้านมของคุณนิ่มลงลูกน้อยของคุณจะสร้างผนึกที่ดีบนเต้านมได้ง่ายกว่ามาก และดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้สลักที่ดีจะช่วยป้องกันการเจ็บหัวนม

แม่สงสัย ดูแลเต้านม อย่างไรช่วงให้นมลูก

สัญญาณมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นเพราะอะไร พร้อมวิธีตรวจด้วยตัวเอง

นม แม่ ให้นมลูกอย่างไรให้สำเร็จภายใน 14 วัน

4.ให้นมลูกอย่างน้อยทุกๆ 2 ถึง 3 ชั่วโมง

ทารกแรกเกิดมีกระเพาะเล็ก ๆ และย่อยนมแม่ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาต้องกินบ่อยๆ ยิ่งคุณรอให้นมลูกนานเท่าไหร่ลูกน้อยของคุณก็จะหิวมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อทารกหิวมากเขาสามารถดูดนมได้มากขึ้น

หากคุณรอนานเกินไประหว่างการให้นมหน้าอกของคุณอาจบีบรัดทำให้ทารกดูดนมได้ยากขึ้น การรวมกันของสลักที่ไม่ดีและการดูดที่รุนแรงอาจทำให้หัวนมเจ็บได้อย่างรวดเร็ว

คุณสามารถลดโอกาสของการคัดตึงและการดูดที่แรงเกินไปโดยให้นมลูกตามความต้องการอย่างน้อยทุกๆ 2 ถึง 3 ชั่วโมงและก่อนที่เธอจะหิวเกินไป

5. ดูแลผิวหนังบริเวณหน้าอกและหัวนมของคุณให้ดี

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะดูแลหน้าอกของคุณเอง คุณไม่ต้องทำอะไรมากเกินไปเนื่องจากหน้าอกของคุณถูกสร้างขึ้นเพื่อให้นมบุตร คุณยังมีการกระแทกเล็กน้อยบน areola ของคุณที่เรียกว่า Montgomery Glands ที่ให้ความชุ่มชื้นและปกป้องหน้าอกและหัวนมของคุณ แต่คุณสามารถช่วยให้ผิวของคุณมีสุขภาพดีและป้องกันอาการเจ็บหัวนมได้ด้วยการทำบางสิ่ง

เมื่อคุณล้างหน้าอกให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้แห้งระคายเคืองและทำให้ผิวหนังบริเวณหน้าอกและหัวนมแตกได้ นอกจากนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมขี้ผึ้งหรือโลชั่นเพื่อป้องกันปัญหาหัวนมก่อนที่จะเริ่ม ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์จำนวนมากไม่เป็นประโยชน์ ในความเป็นจริงพวกเขาสามารถทำให้เจ็บหัวนมแย่ลงได้

อย่างไรก็ตามหากคุณมีหัวนมแห้งแตกอยู่แล้วหรือหากคุณอาศัยอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งคุณอาจได้รับประโยชน์จากมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงหัวนม มีผลิตภัณฑ์บางอย่างเช่นลาโนลินเกรดทางการแพทย์หรือครีมทาหัวนมอเนกประสงค์ (APNO) ของดร. แจ็คนิวแมนที่ช่วยผ่อนคลายและเป็นประโยชน์

หากคุณคิดว่าคุณอาจต้องการมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่หัวนมให้ปรึกษาแพทย์ของคุณ เธอสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยสำหรับคุณให้ใช้ในขณะที่คุณให้นมบุตร

แม่เจ็บหัวนม
แม่เจ็บหัวนม

6.ป้องกันการรั่วซึมของน้ำนมและเปลี่ยนแผ่นซับน้ำนมบ่อยๆ

อาจเป็นเรื่องยากที่จะทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเป็นหนึ่งในผู้หญิงจำนวนมากที่มีปัญหาการรั่วซึมบ่อยครั้ง แต่พยายามดูแลหน้าอกเสื้อชั้นในและแผ่นซับน้ำนมให้สะอาดและแห้ง ใส่ชุดชั้นในพยาบาลที่สะอาดทุกวันและเปลี่ยนทุกครั้งที่เปียกหรือสกปรก หากคุณใส่แผ่นซับน้ำนมพยายามอย่าใช้ผลิตภัณฑ์ใด ๆ ที่มีพลาสติกหรือซับที่กันน้ำได้เนื่องจากมีความชื้น

ให้เลือกแผ่นซับน้ำนมที่ซักและนำกลับมาใช้ใหม่ได้ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติหรือแผ่นรองซับน้ำนมแบบใช้แล้วทิ้งที่ระบายอากาศดูดซับและสวมใส่สบาย ไม่ว่าคุณจะชอบแผ่นรองพยาบาลแบบใช้ซ้ำได้หรือแบบใช้แล้วทิ้งก็ตามอย่าลืมเปลี่ยนบ่อยๆ การเจริญเติบโตของแบคทีเรียหรือเชื้อราอาจทำให้ผิวหนังของคุณพังและนำไปสู่อาการเจ็บหัวนมเชื้อราหรือการติดเชื้อที่เต้านม หากคุณทิ้งแผ่นซับน้ำนมที่เปียกไว้บนผิวหนังเป็นระยะเวลานานสิ่งเหล่านี้สามารถให้สภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบสำหรับจุลินทรีย์ที่จะเติบโต

ป้าหมอเผย วิธีเตรียมเต้า กระตุ้นน้ำนม ก่อนคลอด

วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน ทำความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรค

คุณแม่มือใหม่เลือก เครื่องปั๊มนม แบบไหนดี ใช้งานคล่องตัว ปั๊มได้ไม่สะดุด

7. ระมัดระวังการเอาทารกออกจากเต้านม

เมื่อลูกของคุณเข้าเต้าได้ดี และกินนมแม่ได้อยากราบรื่น ลูกจะสร้างรอยผนึกที่แน่นหนาระหว่างปากกับเต้านมของคุณ ในตอนท้ายของการให้นมเธออาจปลดผนึกและปล่อยเต้านมของคุณเองหรือเธออาจจะอยู่ติดกับคุณแม้ว่าเธอจะหลับไปก็ตาม

หากลูกน้อยของคุณไม่ปล่อยคุณไปด้วยตัวเองเมื่อสิ้นสุดการให้นมอย่าดึงเธอออกจากเต้านมของคุณ การดึงปากของเด็กออกจากเต้านมหลังการให้นมอาจทำให้หน้าอกและหัวนมเสียหายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณทำซ้ำแล้วซ้ำอีก

เพื่อป้องกันไม่ให้หัวนมของคุณเสียหายให้ใช้เวลาในการเรียนรู้เทคนิคที่เหมาะสมในการเอาลูกออกจากเต้านม การวางนิ้วลงที่ด้านข้างของปากของทารกเบา ๆ คุณสามารถทำลายการดูดของสลักได้อย่างปลอดภัย จากนั้นเมื่อคุณทำลายผนึกนั้นคุณสามารถเกี่ยวนิ้วของคุณไปรอบ ๆ หัวนมเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกบีบขณะที่คุณเอาเต้านมออกจากปากของทารก

8. ใช้เครื่องปั๊มนมอย่างถูกวิธี

ไม่ว่าคุณจะปั๊มนมอยู่ตลอด หรือปั๊มเป็นครั้งคราวเพื่อบรรเทาอาการคัดตึงของเต้านมหรือเพิ่มปริมาณน้ำนมคุณควรใช้เครื่องปั๊มนมอย่างถูกต้อง หน้าแปลนปั๊ม (โล่ปั๊ม) มีหลายขนาด ดังนั้นอย่าคิดว่าชิ้นส่วนที่มาพร้อมกับเครื่องปั๊มของคุณเหมาะกับคุณ ตรวจสอบดูว่าผู้ผลิตเครื่องปั๊มของคุณทำขนาดอื่นหรือมองหาผลิตภัณฑ์เช่นหน้าแปลนปั๊มนม Pumpin ‘Pal Super Shield เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าหน้าแปลนปั๊มของคุณพอดีกับคุณอย่างถูกต้องและสะดวกสบาย

ปัญหาอื่น ๆ ของการใช้เครื่องปั๊มนม คือการตั้งค่าการดูดที่แรงเกินไป ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการปั๊มด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นและระดับความแรงของการดูดที่สูงขึ้นจะทำให้มีน้ำนมออกมามาก แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งนี้มีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความเจ็บปวดที่หัวนมได้มากขึ้น และอาจส่งผลให้นมแม่น้อยลง ดังนั้นเพื่อป้องกันการเจ็บที่หัวนมและความเสียหายของเต้านมจากการปั๊มนมใ ห้ใช้หน้าแปลนปั๊มที่พอดีและเริ่มด้วยระดับความแรงของการดูดจากเบาๆ ก่อน

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ นอกจากจะเป็นการสานสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่ลูกแล้ว ยังช่วยให้เด็กมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงจากการได้รับสารอาหารที่อุดมไปด้วยประโยชน์จากน้ำนมแม่ มีหลักฐานทางการแพทย์มากมายที่บ่งบอกว่าน้ำนมแม่ส่งผลดีต่อสติปัญญาและสุขภาพที่ดีของทารก เมื่อลูกของคุณคลอดและเติบโตขึ้นด้วยการได้รับนมแม่อย่างเหมาะสม สามารถกินนมแม่ได้นานจนถึงวัยที่แนะนำ แน่นอนว่าจะเป็นการเสริมสร้างสมองของลูกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อปูพื้นฐานทักษะที่จำเป็นสำหรับเด็กยุคใหม่ให้กับลูก ให้ลูกมีความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power  BQ  เช่น ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ) , ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)  ได้อีกด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

13 สาเหตุการ เจ็บหัวนม อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้าย

ท่าอุ้มให้นม!จากประสบการณ์จริง เพื่อแม่ หัวนมบอด -สั้น

คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกทะเลาะกับเพื่อน

วิธีรับมือ ลูกทะเลาะกับเพื่อน ต้องเตือนหรือสอนลูกยังไง?

ลูกทะเลาะกับเพื่อน – ตัวแสบที่บ้านแม่ๆ มักจะมีเรื่องเทาะเลาะหรือมักมีปัญหากับคนรอบข้างหรือเพื่อนๆ ที่โรงเรียนกันบ้างมั้ยคะ? วันนี้เรามีวิธีดีๆ  ในการแก้ไขความขัดแย้งซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม และการแก้ปัญหาต่างๆ ให้กับลูกน้อยของคุณมาฝากเพื่อให้ปัญหาการทะเลาะกับเพื่อนๆ หรือพี่น้องลดลงหรือดีขึ้นได้ค่ะ

วิธีรับมือ ลูกทะเลาะกับเพื่อน ต้องเตือนหรือสอนลูกยังไง?

ในฐานะพ่อแม่คงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะน่ายินดีนัก ถ้าต้องเฝ้าดูลูกๆ ของเราไม่สบายใจ จากการมีปัญหาทะเลาะกับเพื่อนที่โรงเรียน  อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ ก็ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตของเด็กๆ แม้ว่าเด็ก ๆ สำหรับพ่อแม่แล้ว แทนที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหรือที่ปรึกษาปัญหาชีวิต ผู้ปกครองสามารถช่วยลูก ๆ ได้มากขึ้นกว่านั้น โดยการเป็นผู้สังเกตการณ์ผู้ฟัง โค้ช และเชียร์ลีดเดอร์ ด้วยวิธีนี้เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ และพบเจอแนวทางที่ดี ว่าพวกเขาจะสามารถจัดการกับประสบการณ์ชีวิตอย่างไร

เป็นธรรมดาที่คนเราจะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่โดยธรรมชาติ สำหรับเด็ก ๆ แล้ว พวกเขาไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความสามารถในการจัดการกับความขัดแย้งอย่างมีประสิทธิภาพ โลกของเด็กก็มีความขัดแย้งระหว่างเพื่อนฝูงคล้ายกับในวัยผู้ใหญ่ แต่ทว่าความขัดแย้งของเด็กเมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะมีความเข้มข้นกว่า ศาสตราจารย์ ปีเตอร์ โคลแมน  ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยากล่าว  แต่บางครั้งอาจฟังดูแปลกอยู่บ้างว่าการโต้เถียงหรือการเกิดความขัดแย้ง ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่แฝงอยู่

ลูกทะเลาะกับเพื่อน
ลูกทะเลาะกับเพื่อน

เป็นการช่วยเน้นย้ำความจริงที่ว่ายังมีปัญหาในชีวิตที่คนเราต้องหาทางแก้ไข การโต้แย้งยังมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างทักษะทางสังคมและการแก้ปัญหาของมนุษย์เรา “ครอบครัวคือสังคมแห่งแรกของเรา สถาบันแห่งแรกที่เราได้สัมผัสและเรียนรู้เกี่ยวกับกับคู่แข่งและความเป็นมิตร ไปจนถึงการปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ก่อนที่จะพร้อมก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียนที่เต็มไปด้วยคนแปลกหน้าและกฎการอยู่ร่วมกันอีกมากมาย

ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำตามคำแนะนำต่อไปนี้  เพื่อช่วยให้บุตรหลานของคุณรับมือกับการทะเลาะกับเพื่อนไม่ว่าจะเกิดขึ้นในสนามเด็กเล่นหรือในระหว่างการนอนกลางวันที่โรงเรียน

1. รับฟังและเห็นอกเห็นใจ

หากลูกของคุณอารมณ์เสียจากการทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อน ให้ช่วยลูกได้สงบสติอารมณ์ด้วยการฝึกสมาธิ หรือการหายใจ  เช่น ให้ลูกหายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วถามว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น กับลูก? ตั้งใจรับฟังสิ่งที่พวกเขากำลังประสบ คุณอาจพูดว่า “แม่เห็นว่าหนูอารมณ์เสียมาก และดูหงุดหงิดไม่เบานะ” การตอบสนองนี้จะช่วยให้ลูกของคุณรู้สึกดีที่ได้ยิน และยังช่วยบ่งบอกอารมณ์ของพวกเขาซึ่งอาจทำให้แสดงความรู้สึกในครั้งต่อไปได้ง่ายขึ้น

เด็กสามารถเรียนรู้ว่าพวกเขามีความกล้าหาญและมั่นใจที่จะจัดการกับประสบการณ์ในชีวิต พวกเขาสามารถรับผิดชอบในส่วนของพวกเขา ในการสร้างความเจ็บปวดและสามารถเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เป็นเรื่องดีที่มีคนรับฟังโดยไม่ช่วยเหลือหรือตำหนิพวกเขา ในกรณีของปัญหาด้านความปลอดภัยเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ว่าคุณอยู่ที่นั่นเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับความช่วยเหลือตามที่ต้องการ

2. ฝึกให้ลูกได้เห็นมุมมองของเพื่อน

ควรกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกการมองสถานการณ์จากมุมมองของเด็กคนอื่น ๆ สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องการเอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อรู้สึกโกรธใครบางคน อาจเป็นเรื่องง่ายที่เด็กจะคิดถึงปัญหาจากมุมมองของตัวเองเท่านั้น ดังนั้นพยายามช่วยให้ลูกของคุณมองเห็นหรือลองนึกถึงมุมมองของเพื่อน ถ้าลูกของคุณเรียกเพื่อนด้วยคำนำหน้าที่ไม่สุภาพ คุณอาจพูดว่า “แม่เข้าใจว่าหนูอารมณ์เสียที่เพื่อไม่ยอมให้ลูกเล่นด้วย” และ “แต่หนูจะรู้สึกอย่างไรถ้ามีคนเรียกชื่อหนูแบบนั้นเหมือนกัน” หลังจากที่พวกเขาตอบคุณ อาจถามว่า “เป็นไปได้ไหมที่เพื่อนของลูกจะรู้สึกเศร้าหรือโกรธลูก”

 

ลูกทะเลาะกับเพื่อน
ลูกทะเลาะกับเพื่อน

3. อย่าควบคุมความคิดลูกมากเกินไป

ตราบใดที่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ร้ายแรง เช่น การโดนกลั่นแกล้ง คุณไม่ควรรีบติดต่อกับโรงเรียนหรือผู้ปกครองของเด็กคนอื่น ๆ เพราะปัญหาเรื่องมิตรภาพอาจเกิดขึ้นตลอดชีวิตของลูกได้ ดังนั้นจึงควรเรียนรู้วิธีจัดการปัญหาเหล่านี้ด้วยตนเอง หากต้องการความช่วยเหลือโปรดถามคำถามปลายเปิดกับลูก ตัวอย่างเช่น“ ครั้งหน้าคุณจะทำอะไรให้ดีขึ้นได้บ้าง” และ“ คุณคิดว่าต้องเกิดอะไรขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้” การทำตามขั้นตอนนี้จะช่วยให้พวกเขาสร้างทักษะในการแก้ไขความขัดแย้งและคิดถึงขั้นตอนต่อไปที่อาจต้องทำ

เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

เด็กฆ่าตัวตาย เพราะถูกเพื่อนแกล้ง สังคมที่ต้องได้รับการเยียวยา

ลูกถูกเพื่อนรังแก พ่อแม่จะรับมืออย่างไร?

4. ถามคำถามเพื่อระบุสิ่งที่เป็นความขัดแย้ง

ขอให้ลูกของคุณใช้เวลาสังเกตเมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้น เพื่อที่คุณจะได้ช่วยพวกเขา จำกัดตัวกระตุ้นทางร่างกายที่อาจเกิดขึ้น (ความเหนื่อยล้าความหิว ฯลฯ ) หรืออารมณ์ (ความอิจฉาความเหงา ฯลฯ ) บอกให้เด็ก ๆ พูดคุยกันในประเด็นต่างๆ ในช่วงเวลาที่ต่างคนต่างใจเย็นลงแล้ว พวกเขาสามารถถามคำถามอย่างใจเย็นเช่น “คุณดูโกรธวันนี้ฉันทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า คำถามที่ตรงไปตรงมาสามารถช่วยคลายความโกรธได้โดยเปิดโอกาสให้เพื่อนอีกคนได้อธิบายตัวเองและช่วยให้ลูกของคุณหาสาเหตุของความไม่เห็นด้วย

5. แก้ปัญหาไปตามขั้นตอน

เมื่อบุตรหลานของคุณทราบว่าพวกเขาต้องการก้าวต่อไปอย่างไรให้เสนอคำแนะนำตามสิ่งที่พวกเขาเลือก ตัวอย่างเช่นหากพวกเขารู้สึกไม่ดีกับการมีส่วนร่วมในการต่อสู้และต้องการบอกว่าพวกเขาขอโทษให้แสดงบทบาทขอโทษง่ายๆที่อาจได้ผล ตัวอย่างเช่น“ ฉันขอโทษที่เรียกชื่อคุณแบบผิด ๆ ”

หากพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาทำผิดให้สนับสนุนให้พวกเขาแบ่งปันความรู้สึกกับเพื่อน พวกเขาอาจพูดว่า“ เมื่อวานฉันรู้สึกเศร้าจริงๆ เมื่อคุณไม่สนใจฉัน” บางครั้งเป้าหมายของบุตรหลานของคุณอาจคือการได้เพื่อนที่ดีกว่า ดังนั้นให้ช่วยพวกเขาหาวิธีแสดงออก เช่น“ ฉันชอบเป็นเพื่อนของคุณ แต่คุณไม่สามารถรับสิ่งของของฉันได้โดยไม่ต้องร้องขอ” ในกรณีอื่น ๆ การต่อสู้หมายถึงมิตรภาพสิ้นสุดลงแล้ว หากบุตรหลานของคุณตัดสินใจว่าพวกเขาไม่ต้องการเป็นเพื่อนกับเพื่อนคู่กรณีอีกต่อไปให้เคารพการตัดสินใจของพวกเขา

6. ฝึกฝนลูกในแนวทางที่คุณต้องการ

“ เด็กเล็กเป็นฟองน้ำที่ซึมซับสิ่งที่ผู้ใหญ่ทำและพร้อมที่จะนำมาใช้โดยอัตโนมัติ” ดร. โคลแมนกล่าว “ดังนั้นอย่าสอนทักษะการแก้ไขความขัดแย้งที่สร้างสรรค์ให้กับเด็ก ๆ แต่กลับเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี โดยการใช้อารมณ์กับลูกหรือคู่สมรสของคุณซะเอง ผู้ใหญ่ควรรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตนเอง” ให้ลูกของคุณเห็นช่วงเวลาที่คุณยอมรับว่าคุณทำผิดและพยายามที่จะแก้ไข

พร้อมไหม ให้ลูกนอนคนเดียว ฝึกลูกให้นอนเองได้ ตอนไหนดี

เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

30 คำถามหลังเลิกเรียน ไขปริศนา ลูกถูกเพื่อนแกล้ง หรือไม่?

ลูกไม่มีเพื่อน

7. เลี้ยงลูกให้อยู่กับความจริงของโลก

ผู้ปกครองจำนวนมากกระตือรือร้นที่จะดูแลลูกให้มีความสุขอยู่เสมอ หรือทนไม่ได้ที่เห็นลูก ๆ โกรธ เสียใจ และน้ำตาไหล ด้วยเพราะความต้องการที่จะให้ลูกมีความสุขตลอดเวลาจึงพยายามป้องกันไม่ให้ลูกมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร โดยสอนให้ลูกอยู่ห่างจากเด็กคนอื่น ๆ หรือ อาจถลาเข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาแทนลูก หรือมอบทางออกที่จะยุติการต่อสู้ทันที ในโ,ก แห่งความจริงแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ที่คนเราจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้และความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น ตราบใดที่ยังต้องมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม สิ่งที่พ่อแม่ควรให้ลูกได้เรียนรู้ คือ วิธีแก้ไขการต่อสู้เพื่อให้การแก้ปัญหานั้นยุติธรรมสำหรับทุกคน  ในขณะที่คุณเลี้ยงลูก – พยายามเลี้ยงดูเขาในโลกแห่งความจริงที่ซึ่งมีความโกรธความเศร้าและความผิดหวังเกิดขึ้นบ่อยพอ ๆ กับความสุขและความพึงพอใจ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parents.com,positivediscipline.com,whatparentsask.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกทะเลาะกับเพื่อนเมื่อไหร่ ใช้วิธีเหล่านี้จัดการ

หมอเตือน! พ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูกเสี่ยงลูกพัฒนาการถดถอย สับสนทางเพศ

4 วิธี ช่วยแก้ปัญหา เมื่อลูกทะเลาะกับเพื่อน

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สั่งสอนลูก

อย่าหาทำ! 10 ข้อผิดพลาดในการ สั่งสอนลูก ที่พบได้บ่อย!

การ สั่งสอนลูก ให้มีวินัย  รู้ว่าอะไรควรไม่ควร อาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับพ่อแม่ หากคุณได้ลองใช้วิธีต่างๆ เพื่อให้ลูกของคุณเชื่อฟังหรือเข็ดหลาบ แต่ลูกยังคงไม่สะทกสะท้าน หากคุณตัดสินใจทำบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับลูกด้วยอารมณ์ หรือ ความสิ้นคิด สิ่งเหล่านั้นอาจทำลายความพยายามในการสร้างวินัยที่คุณเคยทำมาทั้งหมดได้ค่ะ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดต่อไปนี้ และจงอดทนในแนวทางที่ถูกต้องที่คุณเคยทำมาตลอด เพื่อให้ลูกมีพฤติกรรมที่ค่อยๆ ดีขึ้นได้ในอนาคต

อย่าหาทำ! 10 ข้อผิดพลาดในการ สั่งสอนลูก ที่พบได้บ่อย!

 

1.ดุลูกในที่สาธารณะ

คุณควรจัดการกับพฤติกรรมที่เป็นอันตรายกับลูก เช่น วิ่งเล่นบนถนน หรือ ผลักเด็กคนอื่นออกจากชิงช้า  แต่สิ่งที่คุณไม่ควรทำอย่างยิ่งในการ ลงโทษหรือสั่งสอนลูก คือการตีสั่งสอนลูกต่อหน้าคนอื่น เพราะเมื่อคุณทำเช่นนั้น ลูกอาจจะจดจ่ออยู่กับผู้อื่นรอบตัวมากกว่าสิ่งที่คุณพยายามจะสอนเขา  Erica Reischer,  มองหาสถานที่ส่วนตัวที่คุณสามารถพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่ไม่มีใครเห็นหรือได้ยิน หากคุณไม่สามารถหาพื้นที่สำหรับพูดคุยได้ในขณะนั้น ให้บอกลูกถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแบบสั้น ๆ และบอกให้ลูกรู้ว่าคุณจะคุยเรื่องนี้ที่บ้านในภายหลัง

2.ให้คำแนะนำที่คลุมเครือ

หากคุณเคยบอกเคยสอนลูกหลายต่อหลายครั้งว่าอย่าโยนสิ่งของต่างๆ ภายในบ้าน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล นั้น เป็นเพราะลูกอาจยังไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณต้องการสอนอย่างแท้จริง  การสอนให้ลูกไม่ทำในสิ่งต่างๆ ที่ไม่เหมาะไม่ควร ต้องไม่ใช่แค่การพูดกับลูกว่า “อย่าทำ…”  แต่ควรต้องบอกให้ชัดเจนและกำหนดแนวทางให้ลูกรู้ บอกลูกว่าสิ่งที่ควรทำกับสิ่งของที่ลูกโยนเหล่านั้น คืออะไร เช่น “แทนที่ลูกจะโยนชุดนอน ลูควรแขวนชุดนอนของลูกไว้ในตู้เสื้อผ้า” เป็นต้น

สั่งสอนลูก
สั่งสอนลูก

3.ให้รางวัลจูงใจในทางที่ผิด

คุณอาจเคยซื้อขนมเพื่อแลกกับการหยุดความซนและพฤติกรรมที่เหนือการควบคุมของลูกที่เคาน์เตอร์ชำระเงินในซูเปอร์มาร์เก็ต วิธีนี้อาจใช้ได้ผลแค่ในนาทีนั้น “การให้รางวัลกับพฤติกรรมที่ไม่ดีของเด็ก” เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง  หากคุณทำแบบนี้เป็นประจำ ก็อย่าได้แปลกใจถ้าลูกของคุณจะแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการในครั้งต่อไป หน้าที่ของพ่อแม่คือ การสอนให้ลูกตระหนักว่าพฤติกรรมที่เหมาะสมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การรอคอยอย่างอดทน หรือการทำตัวดีกับพี่น้องไม่ได้มาพร้อมกับสิ่งของใด ๆ ตอบแทนเสมอไป

เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

5 เทคนิค สอนลูกให้เรียนรู้ จากความล้มเหลว เพื่อลุกขึ้นสู้!

10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

4. ละเลยความหิวของลูก

แน่นอนว่าคุณจะไม่สามารถคาดหวังให้ลูกของคุณอยู่ในอารมณ์ปกติ หรือเชื่อฟังคุณได้อย่างราบรื่น หากท้องของลูกว่างเปล่า (ไม่น่าแปลกใจที่ลูกจะขี้แง!) ความหิวทำให้เด็กขาดสมาธิ และอาจทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้มากยิ่งขึ้น

5.ไม่ให้ทางเลือกที่ชัดเจนกับลูก

เช่น ถ้าลูกบอกอยากไปวิ่งเล่นที่สนามเด็กเล่นใกล้บ้าน แต่คุณแม่บอกแค่ว่า “ไม่ไปลูก” ด้วยความรู้สึกส่วนตัว ลูกอาจเกิดความสงสัย และถามต่อว่าเพราะอะไรคุณถึงไม่ไป แต่ถ้าคุณตอบกลับไปเพียง ว่า “แม่บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ” จากเหตุการณ์นี้ สิ่งเดียวที่ลูกจะทำได้ คือ งงกับสิ่งที่แม่พูด และ อาจเสียความรู้สึก พร้อมเกิดคำถามในใจอย่างมาก

6. ตะคอกดุลูกอย่างขาดสติ

สมมุติ ลูกของคุณทิ้งต่างหูคู่โปรดลงชักโครก แล้วคุณตะคอกดุใส่ลูกด้วยความขาดสติ สิ่งนี้จะทำลายความสามารถของคุณในการเข้าถึงใจลูก “ เด็ก ๆ ไม่สามารถซึมซับบทเรียนได้ เมื่อถูกพ่อแม่ใส่อารมณ์กับพวกเขา  เด็กส่วนใหญ่มักเงียบและร้องให้ และไม่สนใจเหตุผลใดๆ หรือเด็กบางคนอาจตอบสนองอย่างรุนแรงต่อการโดนตะคอก

สั่งสอนลูก

7. ลงไม้ลงมือกับลูก

การแสดงออกที่ไม่ค่อยน่ารัก ของเด็กๆ เกิดจากเหตุผลหลากหลายประการ  จำไว้ว่าลูกวัยเตาะแตะยังควบคุมตนเองได้ไม่ดีนัก พวกเขาชอบที่จะทดสอบพ่อแม่ว่าจะห้ามเขาหรือไม่ ถ้าทำสิ่งนั้น สิ่งนี้  เนื่องจากลูกต้องการความสนใจจากพ่อแม่เป็นธรรมดา การสอนด้วยเหตุและผลโดยการใช้วินัยเชิงบวก โดยไม่ลงโทษด้วยการตี จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

8. เปรียบเทียบลูกกับพี่น้อง

เมื่อใดก็ตามที่คุณเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น  เช่น “พี่ของหนูเก็บที่นอนเองได้ ทำไมลูกถึงทำแบบพี่ไม่ได้นะ” ด้วย วิธีการสอนแบบนี้ จะทำให้เด็กๆ โดยเฉพาะพี่น้องผู้หญิงไม่พอใจและไม่ลงรอยกันได้ง่ายมาก การสอนเรื่องวินัยต้องมุ่งเน้นไปที่วิธีที่ลูกทำ ไม่ใช่การต้องไปแข่งขันกับคนอื่น เมื่อคุณเลิกเปรียบเทียบระหว่างพี่น้อง คุณจะค่อยๆ เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ลูกจะค่อยๆ ประพฤติตัวดี และมีอารมณ์ฉุนเฉียวน้อยลง ทั้งยังเข้ากันได้ดียิ่งขึ้น

8 วิธี สร้างวินัยเชิงบวก ง่ายๆ ป้องกันลูกดื้อ เริ่มได้ตั้งแต่ 1 ขวบ

ลูกจะรู้สึกอย่างไร เมื่อพ่อแม่เปรียบเทียบกับลูกคนอื่น?

ลูกชอบพูดโกหก เพราะพ่อแม่เข้มงวดกับลูกมากไป

9. เข้มงวดกับลูกมากเกินไป

บ่อยครั้งที่พ่อแม่อาจแสดงท่าที หรือออกกฎที่เข้มงวดเกินไป (“ ไม่มีทีวีเป็นเวลา 1 เดือน!”) เมื่อคุณไม่พอใจกับลูกของคุณ แต่เพื่อให้การมีวินัยมีประสิทธิผลนั้นจะต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไม่ใช่ให้เป็นไปตามความหงุดหงิดของคุณ ดร. Reischer กล่าวว่า วิธีนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการลงโทษที่ไม่ยุติธรรมแต่ยังเป็นความท้าทายอย่างมากในการบังคับใช้อีกด้วย (คุณจะทิ้งเด็กที่น่ารักของคุณต้องหลับไปจริงๆหรือ?) เพื่อป้องกันตัวเองจากการกำหนดบทลงโทษที่ไร้เหตุผลให้ตั้งกฎของบ้านที่คุณจะสะกดผลลัพธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลไว้ล่วงหน้า ตัวอย่างเช่นแจ้งให้บุตรหลานของคุณทราบว่าหากเขาเลือกที่จะไม่ล้างเครื่องล้างจานเมื่อคุณขอให้เขาทำเขาจะต้องทำก่อนที่จะดูรายการโปรดของเขาในภายหลัง

10. ปล่อยเลยตามเลย

การบังคับใช้กฎกับลูกอย่างหละหลวม และไม่สม่ำเสมอ จะสอนให้ลูกของคุณ เกิดความเคยชินว่าสิ่งที่คุณห้าม หรือบังคับไม่ใช้เรื่องใหญ่ที่ต้องกลัว”  นอกจากนี้ยังสร้างความสับสนให้กับเด็ก ๆ ได้ หากคุณปล่อยให้ลูกเตะคุณเพื่อความสนุกสนาน ในขณะที่คุณกำลังเล่นลูกอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่จะทำเมื่อลูกโกรธ หลีกเลี่ยงการตกหลุมพรางนี้ โดยพิจารณาความคาดหวังของคุณใหม่เป็นประจำ

การสอนลูกหรือการเสริมสร้างวินัยให้กับลูก พ่อแม่อาจต้องใช้ความอดทนจนกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีได้ในที่สุด แต่สิ่งที่ได้จากการพร่ำสอนลูกอย่างสม่ำเสมอนั้นย่อมคุ้มค่าแน่นอนค่ะ การที่ลูกหลานของเราเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย มีวินัย ใฝ่ความดี และยังมีทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต จากการที่คุณพ่อคุณแม่คอยสั่งสอน จะทำให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power BQ ได้หลายทักษะ ซึ่งทักษะความฉลาดต่างๆ เหล่านี้จะติดตัวลูกไปในอนาคตที่เขาต้องเผชิญกับโลกแห่งความจริง ไม่ว่าจะเป็น ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ)  , ความฉลาดในการคิดบวก (OQ) และ  ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) 

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parents.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

6 อันตรายนอกบ้าน ที่ควรสอนลูกให้ระวัง!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

แคท คิดสตัน

สุดว้าว! แคท คิดสตัน เอาใจคุณหนู ๆ ด้วยคอลเลคชั่นใหม่ Cath Kidston x Beatrix Peter Rabbit

เอาใจคุณแม่สายช้อปที่กำลังมองหา กระเป๋าเป้ กระเป๋าสะพาย ขวดน้ำ กล่องใส่อาหาร หรือข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ให้คุณลูก แต่ตัวคุณแม่เองไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรให้ถูกใจคุณลูก ทางทีมแม่ ABK จึงมีเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับแบรนด์ แคท คิดสตัน ที่ได้เปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่สุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มาเอาใจคุณหนู ๆ และครอบครัวโดยเฉพาะกับ Cath Kidston x Beatrix Peter Rabbit รับรองว่างานนี้คุณแม่ซื้อของได้ถูกใจคุณลูกอย่างแน่นอนค่ะ

แคท คิดสตัน

แคท คิดสตัน (Cath Kidston) แบรนด์ไลฟ์สไตล์สัญชาติอังกฤษ ที่โดดเด่นด้วยลายปริ้นท์เอกลักษณ์แนววินเทจ ร่วมกับ บีทริกซ์ พอตเตอร์ นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ ปลุกความน่ารักของตัวการ์ตูนคาแรคเตอร์ที่ครองใจเด็กทั่วโลกมากว่า 100 ปี อย่าง ปีเตอร์ แรบบิท (Peter Rabbit) เจ้ากระต่ายน้อยแสนซน กับครอบครัว จากวรรณกรรมเยาวชนประเทศอังกฤษ ที่โด่งดังไปทั่วโลก ให้มาโดดแล่นบนลายปริ้นท์อันเป็นเอกลักษณ์ของแคทคิดสตันเป็นครั้งแรก

แคท คิดสตัน

สำหรับคอลเลคชั่นนี้ ดีไซเนอร์ได้แรงบันดาลใจจากลายเส้นและภาพวาดคาแรคเตอร์ของนิทานต้นฉบับ นำมาออกแบบ โดยมีปีเตอร์ แรบบิท ครอบครัวและผองเพื่อนเป็นไฮไลท์ อยู่บนลายปริ้นท์โทนสีฟ้า ซึ่งเป็นสีเสื้อแจ็คเก็ตของปีเตอร์ แรบบิทที่ทุก ๆ คนจดจำได้ดี เพิ่มดีเทลดอกดิสซี่ (Ditsy) สไตล์แคท คิดสตัน ทำให้คอลเลคชั่นนี้ดูอบอุ่น ละมุนและสนุกสนาน น่ารักยิ่งขึ้น

แคท คิดสตัน

บอกเล่าเรื่องราวสนุก ๆ ในวัยเยาว์ของคุณกับลูก ๆ ผ่านลายปริ้นท์สุดน่ารัก หรือจะชวนกันไปผจญภัย เพลิดเพลินกับธรรมชาติแบบปีเตอร์ แรบบิท ด้วยกระเป๋าเป้, Kids Half Moon Hand Bag กระเป๋าสะพายสำหรับเด็กผู้หญิง, ขวดน้ำพับได้, กล่องใส่อาหาร ฯลฯ

Cath Kidston

คุณแม่และคุณลูกที่เป็นแฟน ๆ ของกระต่ายแสนซน ห้ามพลาดกับคอลเลคชั่นสุดพิเศษ Cath Kidston x Beatrix Peter Rabbit ที่มาพร้อมสินค้าหลากหลายให้เลือกอาทิ กระเป๋า, แอคเซสซอรี่, Home และสินค้าสำหรับเด็ก ในราคาเริ่มต้นที่ 390 บาท รับรองว่าจะทำให้ทุก ๆ คนหลงรักเจ้ากระต่ายน้อย Peter มากขึ้นแน่นอน

คุณแม่สามารถหาซื้อได้แล้วตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.นี้ ที่ร้านแคท คิดสตันทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากคุณแม่ไม่สะดวกไปช้อปที่ร้านแคท คิดตัน คุณแม่ก็สามารถช้อปอยู่บ้านได้เหมือนกันเพียงแค่คุณแม่เข้าไปที่เว็บไซต์ www.cathkidston.co.th คุณแม่ก็สามารถช้อปอยู่บ้านแบบสบาย ๆ ได้แล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : cathkidston

บทความที่น่าสนใจ

ว้าวเลย! คอลเลคชั่น Love Bugs จากแคท คิดสตัน ได้ใจแม่ โดนใจลูก

5 ไอเท็มต้องมี เตรียมของใช้คุณแม่ ใกล้คลอดปี 2021

ครีมทาหน้าคุณแม่ยี่ห้อไหนดี ตอนท้องใช้ได้ หลังคลอดใช้ดี คุณแม่ทั่วประเทศเทใจให้ Smooth E Gold เป็นแบรนด์ในดวงใจ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ชื่อภาษาญี่ปุ่น

แม่บ้านญี่ปุ่นคัดมาให้!! 100 ชื่อภาษาญี่ปุ่น เพราะๆ ทั้งลูกชายลูกสาว

รวม ชื่อภาษาญี่ปุ่น 100 ชื่อสุดฮิต เพราะๆ แม่บ้านญี่ปุ่นคัดมาให้เอง!! บ้านไหนกำลังมองหาไอเดียตั้งชื่อลูกภาษาญี่ปุ่น พร้อมคำอ่านและความหมายดีดี ต้องห้ามพลาด

100 ชื่อภาษาญี่ปุ่น ชื่อญี่ปุ่นเท่ๆ ทั้งลูกชายลูกสาว

เทรนด์ในการตั้งชื่อลูกในแต่ละประเทศนั้นก็มีความเชื่อแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการตั้งชื่อลูกให้มีความหมายที่ดี หรือการสะกดตัวอักษรที่ไม่ซับซ้อน สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วจะมีหลักในการตั้งชื่อให้ลูก ชื่อภาษาญี่ปุ่น ใหญ่ๆอยู่ไม่กี่ข้อ เช่น เน้นการนับขีดของตัวอักษรคันจิ หรือการตั้งชื่อตามฤดูกาล หรือการตั้งชื่อตามความหมายที่ต้องการให้ลูกเป็น

ซึ่งหนึ่งในการตั้งชื่อสุดฮิตของชาวญี่ปุ่น คือการตั้งชื่อลูกเน้นตามการออกเสียง โดยคุณแม่อุ๋ย หรือคุณแม่โทมิ โมริตะ (Facebook : Morita Tomi) แม่บ้านญี่ปุ่น

ชื่อภาษาญี่ปุ่น

ได้แนะเทคนิคการตั้งชื่อลูกภาษาญี่ปุ่นนี้ว่า.. เป็นหลักการที่ชาวญี่ปุ่นมักใช้ตั้งให้ลูก บางบ้านก็จะเน้นในส่วนของคันจิด้วย หรือบางบ้านก็เน้นเฉพาะการออกเสียง และเลือกเขียนด้วยวิธีการใช้อักษรฮิรากานะหรือคาตาคานะ ทีมแม่ ABK จึงมี ชื่อญี่ปุ่น มานำเสนอ เป็น ชื่อภาษาญี่ปุ่น ของเด็กผู้ชาย 50 ชื่อ และ ชื่อภาษาญี่ปุ่น เด็กผู้หญิง 50 ชื่อ รวมเป็น 100 ชื่อด้วยกัน พร้อมคำเขียนตัวอักษรญี่ปุ่น คำอ่านภาษาไทย และ ความหมาย จะมีชื่ออะไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะ

ชื่อญี่ปุ่นผู้ชาย ชื่อภาษาญี่ปุ่น ชื่อญี่ปุ่นเท่ๆ ชื่อเด็กผู้ชาย

ลำดับที่ ตัวอักษร และ คำอ่าน (ความหมาย)
1 はると(陽翔) ฮารุโตะ (ใต้ปีกแสงอาทิตย์)
2 そうた(颯太) โซว์ตะ (เสียงแห่งสายลม)
3 はるき(悠希) ฮารุคิ (ความหวังอันยาวไกล)
4 みなと(湊) มินะโตะ (ท่าเรือ)
5 りく(陸) ริคุ (แผ่นดิน)
6 あおと(碧人) อะโอะโตะ (ผู้เป็นเจ้าของอัญมณี)
7 ゆいと(結翔) ยุยโตะ (ช่อบูเก้ปีกนก)
8 ゆうと(悠人) ยูว์โตะ (ผู้ที่น่าค้นหา)
9 あおい(蒼) อะโอะอิ (สีฟ้าเข้ม)
10 いつき(樹) อิสึกิ (ต้นไม้)
11 ひなた(陽向) ฮินะตะ (มุ่งหน้าไปยังดวงอาทิตย์)
12 そうま(颯真) โซว์มะ (สายลม)
13 こうき(光希) โคว์คิ (แสงแห่งความหวัง)
14 そうすけ(蒼介) โซว์สุเกะ (ผู้ที่ชอบช่วยเหลือ)
15 はる(晴) ฮารุ (เจิดจ้า)
16 かいと(海翔) ไคโตะ (ปีกแห่งท้องทะเล)
17 そら(蒼空) โซะระ (ฟ้าสีคราม)
18 あさひ(朝陽) อะซะฮิ (แสงอาทิตย์ยามเช้า)
19 かなた(奏汰) คะนะตะ (การแสดงอันตื่นตา)
20 はやと(颯人) ฮะยะโตะ (ผู้ที่มากับสายลม)
20 ゆうせい(悠誠) ยูว์เซย์ (ความจริงใจตลอดกาล)
22 れん(蓮) เร็น (ดอกบัว)
23 あやと(絢斗) อะยะโตะ (ดาวเหนืออันสวยงาม)
24 えいと(瑛斗) เอย์โตะ (คริสตัลแห่งดาวเหนือ)
25 りくと(陸斗) ริคุโตะ (ดาวเหนือแห่งแผ่นดิน)
26 ゆうま(悠真) ยูว์มะ (ผู้มีความลึกซึ้ง)
27 ひろと(大翔) ฮิโระโตะ (ปีกอันกว้างใหญ่)
28 りつき(律希) ริสึคิ (ความหวังแห่งความเที่ยงธรรม)
29 はるま(悠真) ฮะรุมะ (ผู้มีความลึกซึ้ง)
30 るい(琉生) รุย (ผู้ให้กำเนิดแห่งอัญมณี)
31 かなと(奏翔) คะนะโตะ (สยายปีกกว้าง)
32 りつ(律) ริสึ (คุณธรรม)
33 さく(朔) สะคุ (การเริ่มต้น)
34 あきと(暁斗) อะคิโตะ (แสงอัสดง)
35 れお(怜央) เระโอะ (ผู้มีไหวพริบ)
36 とうま(斗真) โทมะ (ดาวเหนือ)
37 れい(怜) เรย์ (ผู้มีไหวพริบ)
37 いぶき(一颯) อิบุคิ (สายลมแรก)
39 けんと(健人) เคนโตะ (ผู้ที่แข็งแรง)
40 いおり(伊織) อิโอะริ (ดาวเวก้า)
41 あお(碧) อะโอะ (อัญมณีสีฟ้า)
42 ゆうき(悠希) ยูว์คิ (ความหวังอันยาวไกล)
43 りょうま(涼真) เรียวมะ (ความเย็นสดชื่น)
44 かい(櫂) ไคย์ (เรือ)
45 こうせい(航成) โคว์เซย์ (ล่องเรือด้วยความราบรื่นสำเร็จ)
46 かいり(浬) ไคริ (ห้วงมหาสมุทร)
47 こうた(航大) โคว์ตะ (เรือลำใหญ่)
48 たいが(大雅) ไทยกะ (ผู้มีคุณสมบัติสูงส่ง)
49 こう(煌) โคว์ (แสงสว่างไสว)
50 りょう(遼) เรียว (ยาวไกล)

ชื่อภาษาญี่ปุ่น

ชื่อญี่ปุ่นผู้หญิง ชื่อภาษาญี่ปุ่น ชื่อญี่ปุ่นน่ารักๆ ชื่อเด็กผู้หญิง

ลำดับที่ ตัวอักษร และ คำอ่าน (ความหมาย)
1 めい(芽依) เมย์ (ต้นอ่อน)
2 えま(咲茉) เอะมะ (ดอกมะลิบาน)
3 ゆい(結衣) ยุย (เสื้อผ้าอาภรณ์)
4 みお(澪) มิโอะ (สายน้ำ)
5 あおい(葵) อะโออิ (ดอกฮอลลีฮ็อค)
6 ひまり(陽葵) ฮิมะริ (ดอกฮอลลีฮ็อคยามเช้า)
7 つむぎ(紬) สึมุกิ (ผ้าไหมจากเส้นใยธรรมชาติ)
8 あかり(朱莉) อะคะริ (ดอกมะลิสีชาด)
9 ほのか(穂香) โฮะโนะกะ (กลิ่นหอมของจมูกข้าวสาลี)
9 いちか(一花) อิจิกะ (ดอกไม้แรก)
11 こはる(心春) โคะฮารุ (ความรู้สึกถึงฤดูใบไม้ผลิ)
12 さな(紗菜) ซะนะ (พืชบนผืนทราย)
13 りお(莉緒) ริโอะ (มะลิ)
14 はな(花) ฮะนะ (ดอกไม้)
15 りこ(莉子) ริโกะ (เด็กหญิงดอกมะลิ)
16 さら(紗良) ซะระ (ผ้าไหมชั้นดี)
17 ひな(陽菜) ฮินะ (พืชผักกลางแสงแดด)
18 さくら(咲良) ซะคุระ (ดอกไม้บาน)
19 いろは(彩葉) อิโระฮะ (ใบไม้ที่มีสีสันสดใส)
20 りん(凛) ริน (ความหนาวเย็น)
21 ゆあ(結愛) ยูอะ (ทอรัก)
22 ゆな(結菜) ยูนะ (ศูนย์รวมแห่งความแข็งแรง)
23 ひなた(ひなた) ฮินะตะ (แสงอาทิตย์)
24 ゆづき(結月) ยุซึกิ (กลุ่มดวงจันทร์)
25 みゆ(美結) มิยุ (ศูนย์รวมความงาม)
26 かんな(栞奈) คันนะ (ความน่ารักสดใส)
27 ひかり(ひかり) ฮิคะริ (แสงสว่าง)
28 えな(瑛菜) เอะนะ (ดอกไม้คริสตัล)
29 ももか(百花) โมะโมะกะ (ดอกไม้หลายร้อยดอก)
30 ことは(琴葉) โคะโตะฮะ (เสียงพิณ)
31 かのん(花音) คะนน (เสียงแห่งดอกไม้)
32 いと(絃) อิโตะ (เครื่องดนตรีประเภทสาย)
33 ゆいな(結菜) ยุยนะ (ขุมพลังของแห่งฤดูใบไม้ผลิ)
34 かほ(夏帆) คะโฮะ (มุ่งหน้าสู่คิมหันต์)
35 みつき(美月) มิสึกิ (ความสวยงามของพระจันทร์)
36 さき(咲希) ซะคิ (ความหวังอันเบ่งบาน)
37 ひより(日和) ฮิโยะริ (ความอ่อนโยนแห่งแสงอาทิตย์)
38 のあ(乃愛) โนะอะ (ความรัก)
39 ふうか(風花) ฮูว์กะ (สายลมแห่งดอกไม้)
40 ひなの(陽菜乃) ฮินะโนะ ( ดอกไม้ใต้แสงแดดอันอบอุ่น)
41 しおり(栞) ชิโอะริ (เด็กว่านอนสอนง่าย)
42 すみれ(菫) สุมิเระ (ต้นไวโอเล็ต)
43 ゆいか(唯花) ยุยกะ (ดอกไม้ที่มีเพียงหนึ่งเดียว)
44 うた(詩) อุตะ (บทกวี)
45 ゆうな(優奈) ยูว์นะ (เยี่ยมยอดและน่ารัก)
46 なな(奈々) นานะ (เด็กน่ารัก)
47 ゆずは(柚葉) ยูซุฮะ (ใบต้นยูซุ)
48 ななみ(七海) นะนะมิ (เจ็ดย่านมหาสมุทร)
49 まな(愛菜) มะนะ (เด็กน่ารักและแข็งแรง)
50 あんな(杏奈) อันนะ (เด็กน่ารัก)

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ จาก ชื่อภาษาญี่ปุ่น สำหรับลูกชายและลูกสาว มีทั้ง ชื่อภาษาญี่ปุ่น เท่ๆ และน่ารักๆ รวม 100 ชื่อ มีชื่อไหนที่ชื่นชอบบ้างหรือไม่คะ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่ชอบ ชื่อภาษาญี่ปุ่น ชื่อไหนก็สามารถนำไปใช้ตั้งให้กับลูกน้อยกันได้เลยนะคะ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

วิธีเก็บเงิน ให้ล้นกระเป๋าสตางค์แบบฉบับคนญี่ปุ่น!!

แม่แชร์เทคนิคจากหมอญี่ปุ่น! 5 วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด ฉบับญี่ปุ่น สุดง่าย เห็นผลใน 5 วัน

10 เมนูอาหารลูกน้อย วัย 6 – 10 เดือน สูตรอร่อยจากแม่ญี่ปุ่น!

แม่แชร์ 11 วิธีรับมือ “ลูกชอบร้องงอแง” เทคนิคดีจากหมอญี่ปุ่น!

รวมหลักเกณฑ์ ตั้งชื่อลูกตามตัวอักษร และวันเกิด จากคัมภีร์ทักษาฯ

1,000+ ชื่อมงคลตามวันเกิด โปรแกรมตั้งชื่อมงคล รวมชื่อดีเสริมชีวิต

ลูกอาละวาด

10 ข้อห้ามทำเมื่อ ลูกฉุนเฉียว ลูกกำลังโมโห อย่าทำแบบนี้!

ลูกฉุนเฉียว – ในฐานะพ่อแม่ การรับมือกับอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกอาจเป็นเรื่องยากเย็นในบางครั้ง และบางทีเราอาจเผลอแสดงออกกับลูกไปอย่างผิดพลาดได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกอย่างได้ผลแล้วยังกลับทำให้สถานการณ์ต่างๆ แย่ลงได้อีกด้วย พ่อแม่มีอิทธิพลมากที่สุดสำหรับลูก พวกเขาจะเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ก่อนใคร ดังนั้นวิธีจัดการอารมณ์ฉุนเฉียวของเด็กวัยเตาะแตะของพ่อแม่ สามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในชีวิตของลูก วันนี้เราจะมาพูดถึงสิ่งที่ไม่ควรทำในขณะที่ลูกวัยเตาะแตะของคุณกำลังอยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวกันค่ะ

10 ข้อห้ามทำเมื่อ ลูกฉุนเฉียว ลูกกำลังโมโห อย่าทำแบบนี้!

1. อย่าให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่เห็นว่าเรื่องของเขาไร้สาระ

บางครั้งลูกของเราอาจมีอารมณ์ฉุนเฉียวกับเรื่องที่เรารู้สึกว่ามันเล็กน้อย เช่น พลาดทำนมหก ไม่ได้ของเล่นใหม่ ไม่ได้รับอนุญาตให้กินดินน้ำมัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือเราต้องไม่ทำให้ความรู้สึกของพวกเขาเป็นโมฆะหรือถูกเพิกเฉย แม้ว่าเหตุผลที่ทำให้พวกเขาอารมณ์เสียอาจดูไร้สาระสำหรับเรา แต่ก็เป็นเรื่องจริงสำหรับเด็กในวัยนี้

ลองนึกภาพตามดูว่ามันจะทำให้คุณโกรธขนาดไหน ถ้าคุณไม่พอใจกับบางสิ่ง แล้วมีคนพูดว่า “ทำไมต้องอารมณ์เสียขนาดนี้ด้วย? ไม่เห็นเป็นอะไรเลย!” แน่นอนว่านี้คือสิ่งที่เด็กวัยหัดเดินของคุณรู้สึก แม้ว่าคุณอาจจะมองว่าเรื่องที่ทำให้ลูกอารมณ์เสียดูเป็นเรื่องเล็กมาก  แต่หารู้ไม่ว่าในใจของลูกไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ความหงุดหงิด ความเศร้า หรือความโกรธนั้นเป็นเรื่องที่ลูกรู้สึกจริงจัง ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวในเรื่องใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณต้องรับรู้และแสดงความเข้าอกเข้าใจ ไม่แสดงความเห็นทางลบต่อความรู้สึกของพวกเขา

2. อย่าฉุนเฉียวกลับเมื่อ ลูกฉุนเฉียว

อันนี้เป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่หลายคนทำพลาดอยู่บ่อยๆ  พ่อแม่หลายคน มักมีอารมณ์ฉุนเฉียวโดยคิดว่าอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นสิ่งที่ต้องแสดงออกเมื่อลูกอาละวาด  แต่จงจำไว้ว่า การอาละวาดของเด็กเป็นเรื่องปกติของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในเด็กแทบจะทุกคน รับรองได้เลยว่าไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่ไม่เคยเจอกับปัญหา ลูกอาละวาด งอแง เอาแต่ใจ การอาละวาดของเด็กไม่ใช่ปัญหาเรื่อง “พฤติกรรม” แต่เป็นเพียงวิธีการแสดงออกทางอารมณ์ของเด็กๆ เมื่อพวกเขาไม่มีทางแสดงออกอื่น ดังนั้นอย่าเป็นผู้ที่เลือกแสดงออกโดยการใช้อารมณ์ซะเอง

ลูกฉุนเฉียว
ลูกฉุนเฉียว

3. อย่าหัวเราะเยาะลูก

หากคุณรู้สึกเสียใจอย่างมากกับบางสิ่ง และมีคนหัวเราะเยาะคุณ คุณจะรู้สึกอย่างไร? แน่นอนว่ามันอาจทำให้คุณโกรธ!

แม้ว่าในบางครั้งอารมณ์ฉุนเฉียวอาจอยู่เหนือสิ่งที่ “น่าหัวเราะ” แต่ก็ควรพยายามควบคุมเสียงหัวเราะของคุณให้ดีที่สุด อย่าหัวเราะต่อหน้าลูก นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งในการทำให้การแสดงออกทางอารมณ์ของพวกเขาไม่ถูกต้อง ผิดเพี้ยน และจะทำให้ลูกของคุณรู้สึกได้ว่าพวกเขาไม่สามารถพึ่งพาคุณได้เมื่อพวกเขาอารมณ์เสีย

4. ควบคุมอารมณ์ให้ได้

การควบคุมอารมณ์ หรือการแสดงออกที่เหมาะสมกับลูกในบางสถานการณ์อาจเป็นเรื่องยาก อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น อารมณ์ฉุนเฉียวของเด็กวัยเตาะแตะอาจทำให้พ่อแม่รู้สึกเครียดและแสดงออกอย่างผิดๆ หรือเผลอใช้อารมณ์ได้ แต่ถ้าพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ คุณจะคาดหวังให้ลูกของคุณควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อย่างไร? เพราะคนที่ลูกยึดถือเป็นแบบอย่างก็ยังใช้อารมณ์ให้พวกเขาเห็นอยู่บ่อยๆ  เมื่อลูกวัยเตาะแตะของคุณมีอารมณ์ฉุนเฉียว สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ “ใจเย็น” ให้ได้มากที่สุด แม้ว่าคุณจะรู้สึกอยากระเบิดอารมณ์เพียงใดก็ตาม  เหราะถ้าหากลูกๆ ของคุณเห็นว่าคุณอารมณ์เสีย จะทำให้อารมณ์ของพวกเขาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หากพวกเขาเห็นคุณสงบสติอารมณ์กับเรื่องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ในท้ายที่สุดแล้วลูกก็จะเรียนรู้ที่จะเลียนแบบพฤติกรรมที่ดีนี้ของคุณเอง

5. อย่าเพิกเฉยต่อพฤติกรรมของลูก

เมื่อลูกของคุณเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวมันคือวิธีการแสดงออกทางอารมณ์เชิงลบที่หวังผลบางอย่าง และเมื่อเด็กรู้สึกเสียใจ เศร้า กลัว หรือโกรธจะเป็นช่วงที่พวกเขาต้องการพ่อแม่มากที่สุด อย่าปล่อยให้พวกเขารู้สึกว่าถูกทอดทิ้งเพราะจะทำให้พวกเขาตื่นตระหนก และรู้สึกห่างเหินกับคน ควรอยู่ใกล้ลูกให้มากพอที่ลูกจะมองเห็นคุณ และรู้ว่าคุณคอยอยู่ใกล้ๆ พวกเขา สิ่งนี้จะสร้างความมั่นใจให้กับเด็กๆ ได้ว่าคุณจะอยู่ที่นั่นเพื่อพวกเขาเสมอหากพวกเขาต้องการ ทั้งในสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคต

6. อย่าพยายามยัดเยียดเหตุผลกับลูก

เมื่อลูกของคุณอยู่ในสภาวะทางอารมณ์ที่ย่ำแย่มากๆ บวกกับวัยวุฒิของพวกเขาแล้วแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่สามารถคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ การพยายามหาเหตุผลกับพวกเขาท่ามกลางอารมณ์ฉุนเฉียวนั้นเป็นสิ่งที่ค่อนข้างไร้จุดหมาย จำไว้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินคุณ และในบางสถานการณ์อาจทำให้อารมณ์รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก แต่หากลูกของคุณโตพอที่จะรับฟังเหตุผลได้ คุณอาจทำได้บ้าง แต่ควรรอจนกว่าอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกจะดีขึ้นหรือเริ่มสงบลงแล้วจะดีกว่า

เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

7 เคล็ดลับ! สยบ ลูกขี้หงุดหงิด แบบไม่พึ่งหน้าจอ ลูกก็สงบได้!

ลูกโกรธ ลูกโมโห เรื่องธรรมดา แต่ต้องสอนลูกแสดงออกให้เป็น

7. อย่ายอมแพ้

หลายครั้งอารมณ์ฉุนเฉียวเป็นผลมาจากความต้องการส่วนตัว บางทีเด็กๆ อาจรู้สึกเศร้าเพราะเหนื่อย หรืออาจจะอารมณ์เสียเพราะหิว แต่บางครั้งเด็กวัยเตาะแตะอาจอารมณ์เสียเพราะไม่ได้รับการตอบสนองในสิ่งที่พวกเขา “ต้องการ” นี่คือเหตุผลที่เรามักจะเห็นภาพของเด็ก ๆ ที่แสดงออกด้วยท่าทีฉุนเฉียวได้บ่อยครั้งในห้างสรรพสินค้า เช่น เด็กๆ เห็นของเล่นใหม่ที่น่าสนใจ จนตาเป็นประกาย และร้องขอให้พ่อแม่ซื้อให้ เมื่อพ่อแม่บอกว่าไม่ – ทันใดนั้นลูกก็อารมณ์ฉุนเฉียวได้ทันที

ในสถานการณ์เช่นนี้ คุณยังสามารถรับรู้ความรู้สึกของลูกได้ (“ แม่เข้าใจว่าลูกกำลังอารมณ์เสีย”) โดยอย่ายอมแพ้  ขอแนะนำอย่างยิ่ง คือ อย่ายอมแพ้เด็ดขาด หากลูกของคุณแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวใส่สิ่งที่พวกเขาต้องการจนมากเกินควร หากคุณยอมแพ้อยู่บ่อยครั้ง ลูกของคุณจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมาก ว่าการแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวทำให้พวกเขาได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการและผลที่ตามมาคือลูกจะเพิ่มความโกรธเกรี้ยวที่หนักมากยิ่งขึ้น

ลูกฉุนเฉียว

8. อย่าติดสินบนลูก

การติดสินบนลูก จะให้ผลลัพธ์ที่แย่กว่าที่คิด เช่น หากคุณ บอกลูกว่า “ถ้าหยุดร้องแม่จะซื้อของเล่นใหม่ให้เลย”  วิธีนี้ เป็นเหมือนการสนับสนุนให้ลูกเลือกใช้พฤติกรรมการแสดงออกด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวได้โดยที่พ่อแม่อาจคาดไม่ถึง ซึ่งจะทำให้พฤติกรรมที่ดีในอนาคตของลูกไม่สามารถเกิดขึ้นได้

9. อย่าลงโทษลูกของคุณ

จำไว้ว่าอารมณ์ฉุนเฉียวในเด็กวัยเตาะแตะเป็นผลมาจากการพยายามแสดงออก หรือ การควบคุมอารมณ์ของเด็กๆ ที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นการบังคับใช้การลงโทษ จะไม่มีผล หรือส่งผลที่ดีได้ หากลูกของคุณโตขึ้นและแสดงอารมณ์ฉุนเฉียว การบังคับใช้บทลงโทษมีแต่จะส่งผลให้พฤติกรรมนั้นทวีความรุนแรงขึ้น หากการลงโทษมีความสมเหตุสมผล ให้รอจนกว่าเด็กจะสงบลงและสถานการณ์ได้คลี่คลายลงแล้ว จากนั้นจึงนั่งลงพูดคุยกับลูกถึงผลที่จะตามมา

10 วิธีกระตุ้นให้ลูกพูด เมื่อลูกพูดช้าเพราะแม่รู้ใจเกินไป!!

ลูกพูดช้าเกิดจากอะไร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกพูดช้า ผิดปกติ?

ประสบการณ์จากคุณแม่ ลูกพูดช้า สาเหตุ เพราะดูทีวี มือถือ และแท็บเล็ต

10. อย่าเพิกเฉยต่อสัญญาณของปัญหาพื้นฐาน

อารมณ์ฉุนเฉียวเป็นเรื่องปกติของวัยเด็ก แต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาที่ซ่อนอยู่ เช่น เด็กที่มีปัญหาเรื่อวพัฒนาการในการพูด การสื่อสาร  มักจะแสดงพฤติกรรมฉุนเฉียวอยู่บ่อยครั้ง มีการศึกษาที่พบว่าเด็กที่พูดช้ามีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมฉุนเฉียวมากกว่าเด็กทั่วไปที่มีพัฒนาการปกติถึงสองเท่า ยิ่งคุณสามารถรู้ถึงปัญหาเกี่ยวกับการพัฒนาการด้านการพูด และการสื่อสารของลูกได้เร็วเท่าไหร่ คุณก็จะประสบความสำเร็จมากขึ้นในการปฏิบัติต่อพวกเขาและลดพฤติกรรมอารมณ์ฉุนเฉียวของลูกได้

หากคุณพ่อคุณแม่ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องเหมาะสมในการจัดการปัญหาเรื่อง ลูกฉุนเฉียว และหมั่นปลูกฝังและคอยเป็นแบบอย่างด้านพฤติกรรมที่ดีให้กับลูก เช่น การจัดการกับปัญหาต่างๆ ด้วยความสงบเยือกเย็น ไม่เลือกที่จะแสดงออกต่อปัญหาต่างๆ รอบตัวโดยการใช้อารมณ์ แน่นอนว่า เด็กๆ ในวัยที่มีพ่อแม่เป็นต้นแบบก็จะค่อยๆ ซึมซับพฤติกรรมที่ดีเหล่านั้นของคุณพ่อคุณแม่ได้แน่นอนค่ะ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะด้าน ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ให้ลูกๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : speechblubs.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

7 เคล็ดลับ! สยบ ลูกขี้หงุดหงิด แบบไม่พึ่งหน้าจอ ลูกก็สงบได้!

เทคนิคสยบ ลูกร้องไห้ ทารกร้องไห้ได้ทั้งวัน ปกติไหม?

6 วิธีคุยกับลูก ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน (เริ่ม 6 ขวบ+)

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ล้างขวดนม

อุทาหรณ์..แม่เตือน ล้างขวดนม ผิดวิธี เสี่ยงทำลูกติดเชื้อในกระเพาะอาหารได้

นี่คือผลร้ายของการล้างขวดนมลูกไม่ถูกต้อง! แม่โพสต์เตือน “เพราะ ล้างขวดนม ผิดวิธี!!” ทำลูกวัย 21 วัน ป่วยหนักติดเชื้อในกระเพาะอาหาร

แม่เตือน! ล้างขวดนม ผิดวิธี
เสี่ยงทำลูกติดเชื้อในกระเพาะอาหารได้!

อีกหนึ่งเรื่องสำคัญในการเลี้ยงดูลูกน้อยให้เจริญเติบโตแข็งแรงสมวัย คือ การรักษาความสะอาด การดูแลทำความสะอาดของของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ลูกใช้อยู่ ถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องพิถีพิถันและทำให้ถูกหลักถูกขั้นตอน โดยเฉพาะของใช้ที่ลูกต้องนำเข้าปากทุกวัน อย่าง “ขวดนม” ถ้าคุณแม่ทำความสะอาดขวดนมไม่ถูกต้อง ก็อาจทำให้ลูกน้อยได้รับเชื้อโรคสิ่งสกปรกเข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่รู้ตัว เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเด็กทารกพัฒนาช้าและต้องได้รับการปกป้องจากแบคทีเรียและสารอันตรายอื่น ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย

หากขวดนมที่เป็นของใช้ใกล้ตัว ซึ่งมีความเสี่ยงของการสะสมเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสต่างๆ เมื่อลูกกินนมจากขวดนมที่มีการสะสมของเชื้อโรค สามารถทำให้เกิดการอาเจียนและท้องเสียได้ ดังนั้นคุณควรล้างทำความสะอาด ฆ่าเชื้อขวดนมอย่างถูกต้อง ถูกวิธีทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นอาจป่วยติดเชื้อในกระเพาะอาหาร เหมือนหนูน้อยคนนี้

โดยคุณแม่ผู้ใช้เฟสบุ๊คชื่อ Are Raa Rom ได้ออกมาโพสต์อุทาหรณ์เตือนคุณพ่อคุณแม่ทุกคน ถึงวิธีการ ล้างขวดนมที่ถูกต้อง เพราะหากล้างผิดวิธี ก็อาจทำให้ลูกน้อยป่วยติดเชื้อได้ โดยคุณแม่เล่าว่า..

ลูกชายวัย 21 วัน ติดเชื้อในกระเพาะอาหาร ซึ่งอาการเบื้อต้นที่พบคือ น้องมีอาการตัวเหลืองๆ ซึมๆ ซีดไป แล้วอาเจียนบ่อย ท้องเสีย เลยไปหาหมอ หมอซักประวัติจนหมด เลยวินิจฉัยออกมาว่าเกิดจากการทำความสะอาดขวดนมผิดวิธีจริงๆเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ว่าทุกอย่างของลูกต้องสะอาด

ล้างขวดนม

ฝากเตือน!!! แม่ๆที่ยังทำความสะอาดขวดนมด้วยการ #ลวกน้ำร้อน #หรือตากแดด แล้วบอกทำมาแบบนี้ลูกชั้น แข็งแรงดีไม่เคยเป็นอะไร…มันไม่ถูกนะคะ!! เพราะเด็กติดเชื้อง่ายมากๆ
ย้อนไปตอนที่น้องเข้าโรงพยาบาล ตอนนั้นน้องเกิดได้ประมาณ 21 วัน ด้วยความที่เราเป็นคุณแม่มือใหม่ ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากมาย เราก็ล้างขวดนมแบบล้างน้ำยาล้างขวดนมเสร็จ ก็เอาขวดนมลวกน้ำร้อนเขย่าๆ แล้วเททิ้ง ผ่านไปซัก 2-3 อาทิตย์ เริ่มสังเกตอาการลูกตัวเหลืองๆ ขับถ่ายผิดปกติ อาเจียน เราก็พาไปโรงพยาบาลเลยค่ะ ปรากฎหมอบอกว่าลูกเราติดเชื้อค่ะ ต้องให้ยาฆ่าเชื้อ 7 วัน เจาะน้ำเกลือเป็น 20 กว่าครั้งได้ เพราะหาเส้นเลือดยากมากๆ แล้วสายน้ำเกลือก็หลุดบ่อยมากๆ สงสารลูกสุดใจ
ฝากถึงแม่ๆ ที่ยังทำความสะอาดขวดนมแบบผิดวิธีอยู่ ถ้าไม่อยากให้ลูกเป็นแบบเรา ควรเปลี่ยนวิธีการทำความสะอาดให้ถูกต้องกันนะคะ ด้วยรักและหวังดี วิธีทำความสะอาดขวดนมที่ถูกวิธีคือเวลาล้างขวดนมเสร็จต้องนึ่งหรือต้มที่อุณหภูมิน้ำเดือด 15 นาทีจ้า
ขอบคุณเรื่องราวและภาพจาก : Are Raa Rom

ล้างขวดนม

ซึ่งจากโพสต์นี้ก็มีคุณแม่ผู้มีความรู้มาแสดงความคิดเห็นเตือนพร้อมแนะนำพ่อแม่ท่านอื่นถึงวิธีการ ล้างขวดนม ที่ถูกต้องด้วยว่า..

จากโพสต์นี้นะคะ อย่างแรกเลยคือแม่ๆต้องอ่านภาษาไทยให้เข้าใจก่อนค่ะอันดับแรกเลย เจ้าของโพสนะคะเขาใช้วิธีล้างขวดนมแบบพอล้างเสร็จแล้วนำน้ำร้อนใส่ขวดแล้วเขย่าๆ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ผิดและไม่สามารถฆ่าเชื้อโรคได้

**วิธีฆ่าเชื้อโรคที่ถูกต้องคือการนำขวดนมไปต้มในน้ำเดือด 10-15 นาที ((ข้างกล่องนมลูกก็มีเขียนระบุไว้ลองไปสังเกตกันดูนะคะ)) ส่วนคนที่ถามว่าขวดนมเป็นพลาสติกเอาไปต้มจะไม่ละลายหรอ ไม่มีสารหรอ คำตอบคือ ถ้าซื้อขวดนมที่ได้มาตรฐานมี bpa free ยังไงก็ทนความร้อนได้ค่า ปัจจุบันมีการคิดค้นเครื่องนึ่งขวดนมก็สามารถใช้ได้เหมือนกันค่ะ เครื่องจะปรับระดับความร้อนเกิน 100 องศาเพื่อฆ่าเชื้อให้อยู่แล้ว ส่วนแม่ๆ บ้านไหนไม่มีเครื่องก็สามารถตั้งหม้อต้มขวดนมได้ตามปกติเลยค่ะ

ล้างขวดนม

วิธีการ ล้างขวดนม ฆ่าเชื้อขวดนม

อย่างไรก็ตามสำหรับวิธีการ ล้างขวดนม การฆ่าเชื้อขวดนมลูก พ่อแม่ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าขวดนมและอุปกรณ์ล้างอย่างสะอาด ซึ่งมีวิธีการฆ่าเชื้อดังนี้

  1. การต้มขวดนมเป็นวิธีการฆ่าเชื้อที่ใช้กันมากที่สุด และยังเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการฆ่าเชื้อขวดนม โดยมีขั้นตอนดังนี้
    • ล้างขวดนม ฝาขวดนม และจุกนม ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือน้ำยาล้างขวดนมสำหรับเด็ก
    • เมื่อล้างเสร็จให้ใส่อุปกรณ์ขวดนมทั้งหมดลงในหม้อ เติมน้ำให้ท่วมอุปกรณ์ทั้งหมด
    • นำไปต้มในน้ำเดือด อย่างน้อย 10-15 นาที จากนั้นปิดแก๊สและปล่อยให้น้ำเย็นลงตามธรรมชาติ
    • หากต้องการใช้ขวดนมทันที ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดสิ่งที่ผ่านการฆ่าเชื้อให้แห้งเพราะสารปนเปื้อนจะผ่านจากผ้าไปยังขวด เพียงเขย่าขวดเพื่อกำจัดน้ำหยดก็เพียงพอแล้วค่ะ
    • ในการเก็บอุปกรณ์ขวดนม ให้ใส่อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อทั้งหมดในภาชนะที่สะอาดแห้ง
  1. เครื่องนึ่งขวดนม สำหรับอุปกรณ์นึ่งขวดนมเป็นกระบวนการทำงานที่ใช้ความร้อนคล้ายกับการต้ม เพื่อฆ่าจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย เครื่องนึ่งฆ่าเชื้อไอน้ำสามารถเสียบใช้ไฟฟ้าซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
    • ทำความสะอาดอุปกรณ์ขวดนมทั้งหมด ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือน้ำยาล้างขวดนมสำหรับเด็ก
    • วางขวดนมลงล่างไว้ในเครื่องฆ่าเชื้อเพื่อให้ไอน้ำสัมผัสกับพื้นผิวด้านในได้สูงสุด
    • สามารถทิ้งขวดนมหรืออุปกรณ์ต่างๆ ไว้ในเครื่องฆ่าเชื้อจนกว่าคุณจะต้องใช้งาน แต่ตรวจสอบคำแนะนำเกี่ยวกับเวลาการใช้งานด้วย
    • การเปิดใช้งานเครื่องนึ่งขวดนม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิต

ล้างขวดนม

เคล็ดลับความปลอดภัยในการเลือกใช้ขวดนมและการฆ่าเชื้อ

  • ควรซื้อขวดพลาสติกที่ปลอดสารพิษปราศจาก BPA และสารเคมีอื่นๆ
  • หลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุในบ้าน ดังนั้นควรวางอุปกรณ์สำหรับฆ่าเชื้อ เช่น หม้อต้มขวดนม เครื่องนึ่งขวดนม ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ฯลฯ ให้ห่างจากมือลูกน้อย
  • จุกนมควรเลือกใช้ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก ทนทานต่อความร้อนเพราะการต้มอาจทำให้จุกนมแตกได้ค่ะ
  • หมั่นตรวจสอบสภาพของขวดนมและอุปกรณ์สม่ำเสมอค่ะ เช่น จุกนมการสึกหรออาจนำไปสู่การไหลของน้ำนมจำนวนมาก ทำให้ลูกน้อยสำลักน้ำนมได้ค่ะ ฯลฯ

ล้างขวดนม

Must read : รวมข้อมูลสำคัญ!!ที่คุณแม่ควรรู้ก่อนซื้อ ขวดนม

Must read : วิจัยใหม่จากต่างประเทศพบ!! ไมโครพลาสติก รั่วจากขวดนม เพราะต้มก่อนใช้

 

อย่างไรก็ดีการ ล้างขวดนม หรือการฆ่าเชื้อขวดนมและอุปกรณ์เสริมสำหรับทารกจึงมีความจำเป็นอย่างมากสำหรับลูกน้อย เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกคุณ ลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อไวรัสต่างๆได้ค่ะ

ทั้งนี้สำหรับเรื่อง การล้างขวดนมลูกน้อย  ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ : Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thaichildcare.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ ⇓

เช็คลิสต์ 60 ของใช้เด็กแรกเกิด อย่างไหนควรซื้อเลย อย่างไหนไม่ต้องรีบ!

7 น้ำยาล้างขวดนม ยี่ห้อไหนดี ล้างสะอาด ไม่ทิ้งคราบ ปลอดภัยกับลูกน้อย

วิธีล้างขวดนม ที่ถูกต้อง พร้อมวิธีฆ่าเชื้อโรค เพื่อสุขอนามัยของลูกรัก

ตู้ฆ่าเชื้อขวดนมยี่ห้อไหนดี ขวดนมสะอาดจริง หมดห่วงเรื่องสารตกค้าง คุณแม่ทั่วประเทศยกให้ Prince & Princess เป็นแบรนด์ในดวงใจ