Page 118 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ทักษะชีวิตที่สำคัญ

นี่แหละ! 3 ทักษะชีวิตที่สำคัญ ที่ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมที่ดีของเด็กได้

ทักษะชีวิตที่สำคัญ – เมื่อลูกวัยซน มักทำตัวเหลวไหล ไม่มีความรับผิดชอบ หรือ ชอบก่อกวนและแกล้งคนอื่น คุณอาจเคยรู้สึกเปรียบเทียบพวกเขากับ “เด็กดี” ที่ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาพฤติกรรมใดๆ ที่ทำให้พ่อแม่ต้องหนักอกหนักใจ คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจรู้สึกสิ้นหวังกับความเป็นไปได้ที่จะสอนลูกให้เป็นเด็กที่มีความประพฤติดีทั้งกับคนในครอบครัวและกับผู้อื่น อย่างที่พ่อแม่เคยวาดฝันไว้ แต่อย่างไรก็ตามพฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถสอนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้

นี่แหละ! 3 ทักษะชีวิตที่สำคัญ ที่ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมที่ดีของเด็กได้

ความจริงก็ คือ พฤติกรรมที่ดีของลูก ไม่ใช่เรื่องยากหรือเหนือบ่ากว่าแรงที่เราจะปรับเปลี่ยนได้ จริงอยู่ที่เราไม่สามารถเสกให้ลูกเปลี่ยนให้เป็นในแบบที่ต้องการได้ทั้งหมด แต่พฤติกรรมที่ดีเป็นทักษะที่สามารถเรียนรู้ได้ ซึ่งต่อไปนี้ คือทักษะที่สำคัญที่สุดสามประการสำหรับเด็ก ในการเรียนรู้ เพื่อเป็นรากฐานต่อการมีพฤติกรรมที่ดีในอนาคต ได้แก่

(1) วิธีอ่านสถานการณ์ทางสังคม (2) วิธีจัดการอารมณ์ และ (3) วิธีแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม

หากบุตรหลานของคุณสามารถเรียนรู้ที่จะเชี่ยวชาญทักษะทั้งสามอย่างนี้ ด้วยความช่วยเหลือและสนับสนุนจากพ่อและแม่ พวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิตในอนาคตได้ไม่ยาก

ทักษะชีวิตที่สำคัญ
ทักษะชีวิตที่สำคัญ

ทักษะ# 1: การอ่านสถานการณ์ทางสังคม

ความสามารถในการอ่านสถานการณ์ทางสังคม เป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ทุกคน การอ่านสถานการณ์ทางสังคมได้ดี จะช่วยให้บุตรหลานของคุณหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างตัวเขากับคนอื่นๆ  และช่วยสอนวิธีในการเข้าหาผู้อื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ หากพวกเขาสามารถเดินเข้าไปในห้องเรียน หรือ สนามเด็กเล่น แล้ววิเคราะห์สถานการณ์ที่พบตรงหน้า พร้อมตัดสินใจว่าควรจะโต้ตอบกับคนอื่นๆ อย่างไรให้เหมาะสมในสภาพแวดล้อมนั้นๆ  หากบุตรหลานของคุณเห็นเด็กๆ จำนวนมากที่มักหยอกล้อและกลั่นแกล้งผู้อื่น ทักษะในการอ่านสถานการณ์ทางสังคมจะช่วยให้พวกเขาอยู่ห่างจากเด็กกลุ่มนี้ แทนที่จะเข้าไปคบค้าสมาคมด้วย

ผู้ปกครองสามารถช่วยให้บุตรหลานพัฒนาทักษะเหล่านี้ได้ โดยให้พวกเขาฝึกอ่านสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงอารมณ์ของผู้คนที่เดินในห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหาร เป็นต้น

หากบุตรหลานของคุณสามารถเรียนรู้ที่จะแยกแยะ ว่าใครที่ดูกำลังโกรธ หรือกำลังหงุดหงิด หรือ เบื่อหน่าย ในขั้นตอนนี้จะมีสองสิ่งเกิดขึ้น ขั้นแรกเขาจะสามารถระบุได้ว่าผู้คนมีน่าจะมีความรู้สึกอย่างไร และอย่างที่สองเขาจะได้เรียนรู้ว่าเขาควรพยายามระบุอารมณ์ของคนอื่นอย่างไร ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นส่วนสำคัญในการเรียนรู้วิธีอ่านสถานการณ์ทางสังคม

ทักษะ # 2: การจัดการอารมณ์

ลูกของคุณต้องเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์ของตนเองอย่างเหมาะสม เมื่อพวกเขาโตขึ้น  เด็กๆ ต้องเรียนรู้ว่า ความรู้สึกโกรธไม่ได้ทำให้พวกเขามีสิทธิ์ที่จะทำร้ายผู้อื่นด้วยการกระทำหรือคำพูดใดๆ ก็ได้

หากลูกของคุณเรียกชื่อน้องสาวของเขาแบบหยาบคาย คุณต้องนั่งลงและถามว่า: “คุณเห็นอะไรเกิดขึ้นบ้าง หลังจากที่คุณทำเช่นนั้นไป” อย่าถามว่า“ คุณรู้สึกอย่างไร” แต่ให้ถามว่า“ เกิดอะไรขึ้น”

คุณจะพบว่าเด็กๆ ที่มีพฤติกรรมประเภทนี้ มักจะเอาแต่ใจตัวเอง บางทีน้องสาวของลูกอาจได้รับความสนใจมากขึ้น หรือเธอกำลังดูรายการและลูกคนโตต้องการดูทีวีช่องอื่น หรือบางทีน้องอาจกำลังเล่นวิดีโอเกมและเขาต้องการที่จะบงการ เมื่อลูกของคุณไม่รู้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์นั้นอย่างไร และพวกเขากลายเป็นคนที่ดูไม่น่ารัก หรือไม่เหมาะสม ก็ถึงเวลาที่คุณต้องก้าวเข้ามาและหยุดยั้งมัน และฉันคิดว่าคุณควรระบุอย่างชัดเจนว่า:

“ เพียงเพราะคุณโกรธ มันไม่ได้ทำให้คุณมีสิทธิ์ที่จะเรียกชื่อน้องสาวของคุณด้วยคำหยาบนะ” นั่นเป็นวิธีที่มีความหมายและตรงไปตรงมาในการสอนทักษะการจัดการอารมณ์

ผลที่ตามมาจากการสอนลูกให้มีพฤติกรรมที่ดีเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบของทั้งพ่อแม่และลูก กล่าวอีกนัยหนึ่ง บุตรหลานของคุณควรรู้ว่าพวกเขาจะต้องรับผิดชอบหากมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นอีก

อย่างไรก็ตามผู้คนไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ทั้งหมดเพียงเพราะถูกลงโทษ  แต่เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับผลที่ตามมาจากการกระทำ ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กได้

ดังนั้นความคืบหน้าและความสำเร็จจะเกิดขึ้นเมื่อกระบวนการคิดของลูกเรียนรู้ที่จะพูดว่า “ครั้งต่อไปที่ฉันอารมณ์เสีย ฉันต้องมีปัญหาแน่ ถ้าฉันเรียกชื่อน้องด้วยคำหยาบ แต่ฉันควรจะไปที่ห้องของฉัน แล้วก็ทำใจให้เย็นลง ”

ทักษะชีวิตที่สำคัญ

 

สิ่งที่ควรถามลูกของคุณ คือ :“ ครั้งหน้า คุณจะทำอะไรที่แตกต่างออกไป หรือดีขึ้นได้บ้าง? ”
พูดคุยกับลูกของคุณเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสามารถทำได้ และสร้างความแตกต่าง เมื่อมีเหตุการณ์ครั้งต่อไป ที่ทำให้เขารู้สึกโกรธหรือหงุดหงิด วิธีนี้เป็นวิธีสำคัญในการมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุตรหลาน เมื่อคุณใช้เทคนิคนี้ จะกระตุ้นให้ลูกของคุณคิดสิ่งอื่น ๆ ที่เขาควรต้องทำเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น

อย่างไรก็ตามเมื่อคุณพูดคุยกับบุตรหลานของคุณ ควรเป็นการสนทนาที่เป็นธรรมชาติ ไม่ควรเป็นการละเมิดความรู้สึก หรือพูดในเชิงลบ ที่สำคัญคือการ รักษาภาษากายของคุณ แม้ว่าลูกของคุณจะกำลังโกรธอยู่ก็ตาม คุณต้องมีภาษากายที่เป็นกลางไม่อารมณ์เสียหรือหงุดหงิดโมโห หรือมีอคติ

ลูกไม่ยอมทำการบ้าน ชอบผัดวันประกันพรุ่ง พ่อแม่ต้องแก้ยังไง?

ให้ ลูกเล่นเลอะเทอะ บ้างสิดี! เลอะแบบนี้ ดีต่อพัฒนาการ!

เคล็ดลับแก้ปัญหา ลูกไม่มีเพื่อน ลูกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ทำไงดี?

ทักษะ # 3: การแก้ปัญหา

เด็ก ๆ ที่มีป้ายกำกับว่าเป็น “เด็กเก่ง” มักรู้วิธีแก้ปัญหาและจัดการพฤติกรรมของพวกเขา และถูกมองว่าเป็น “เด็กดี” ในทางตรงกันข้ามเด็กที่ถูกระบุว่าเป็น “เด็กไม่เก่ง” คือเด็กที่อาจยังไม่รู้วิธีแก้ปัญหาของตัวเอง ซึ่งเด็กกลุ่มหลังมักถูกระบุว่าเป็น “เด็กนิสัยไม่ดี” เมื่อเขาไม่สามารถพัฒนาพฤติกรรมและทักษะที่ดีต่อการเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ อย่างที่เด็กคนอื่น ๆ สามารถทำได้อย่างเหมาะสม

ดังนั้นเด็ก อาจหันไปตอบสนองด้วยพฤติกรรมแย่ๆ เช่น ก้าวร้าว ทำลายล้าง และสร้างความรุนแรงทางร่างกาย จำไว้ว่าการจะสอนเด็กให้มีพฤติกรรมที่ดีได้ ต้องไม่มีการแยกแยะด้วยคำว่า เด็กดี หรือ เด็กไม่ดี  แต่ให้มองว่ามีเพียงเด็กที่ได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหาชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว และเด็ก ๆ ที่ยังไม่เคยเรียนรู้ และยังจำเป็นต้องให้พวกเขาได้เรียนรู้ต่อไป

ในขณะที่พวกเขาพัฒนาพฤติกรรม เด็ก ๆ จะต้องปรับทักษะการแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง และเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตัวอย่างเช่น เด็กสามขวบการถูกบอกปฏิเสธคำขอซื้อของเล่นใหม่อาจเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในชีวิตในวัยของพวกเขา พฤติกรรมที่ตามมาหลังจากถูกปฏิเสธอาจมีได้หลายรูปแบบ  เช่น การกระทืบเท้า หรือแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวบ้าง แต่ในที่สุดพวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับปัญหานั้น และจัดการกับความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับเรื่องนี้

สำหรับเด็กวัยห้าขวบปัญหาอาจจะเกิดขึ้นในวันแรกของการเข้าเรียน สำหรับเด็กอายุเก้าขวบปัญหาอาจเกิดจากการกลั่นแกล้ง และสำหรับเด็กอายุ 12 และ 13 ปีเมื่ออยู่ชั้นมัธยมต้นพวกเขาจะพบกับสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายมากกว่าที่เคยเผชิญมาก่อน

ทักษะชีวิตที่สำคัญ

สิ่งสำคัญคือ พ่อแม่ไม่ควรเมินเฉยต่อพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูก

องค์ประกอบสำคัญในการช่วยให้เด็กเปลี่ยนพฤติกรรม คือการที่พ่อแม่ต้องเรียนรู้เทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยให้ลูกระบุปัญหาที่ลูกของคุณกำลังเผชิญอยู่ พิจารณาวิธีแก้ปัญหา และหาวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพซึ่งจะไม่ทำให้ปัญหาเหล่านี้เกิดเป็นปัญหาอีกต่อไป ดังนั้นให้พูดคุยกับบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับปัญหาที่มีอยู่และต้องได้รับการแก้ไข ตลอดวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่เกี่ยวกับอารมณ์ที่บุตรหลานของคุณกำลังรู้สึก

ในท้ายที่สุดไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่วิเศษสำหรับพฤติกรรมที่ดี เคล็ดลับคือการสอนเด็ก ๆ ถึงวิธีแก้ปัญหาพฤติกรรม เป็นเพียงผลลัพธ์อย่างหนึ่งในการแก้ปัญหา

เป้าหมายของคุณในฐานะพ่อแม่คือให้ลูกมีเครื่องมือในการเรียนรู้พฤติกรรมที่ดี และไม่ย่อท้อต่อการพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูก ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่ลูกจะเปิดรับสิ่งต่างๆ จากคุณ หากลูกวัยรุ่นของคุณอ่านสถานการณ์ทางสังคมไม่ได้ ตอบสนองอย่างไม่เหมาะสม มีปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการก้าวร้าว คุณคิดว่าพวกเขาจะรับมือกับสถานการณ์ ต่อไปนี้อย่างไร? เช่น เมื่อพวกเขาเป็นผู้ใหญ่และเจ้านายของพวกเขาพูดในสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการได้ยิน? พวกเขาจะจัดการความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างไร? นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องไม่ปรารถนาต่อพฤติกรรมที่ไม่ดี และต้องเริ่มสอนทักษะที่จำเป็นต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเขาให้บุตรหลานสู่สิ่งที่ดีกว่า

เมื่อคุณพ่อคุณแม่สนับสนุนและสอนทักษะที่จำเป็นซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ต่อการมีพฤติกรรรมที่ดี ให้เด็กๆ ตามที่ได้กล่าวไป จะสามารถเชื่อมโยงกับการส่งเสริมให้เด็กๆ เกิดความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ได้ในหลายทักษะด้วยกัน อาทิ ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ)  ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ)   และ ทักษะด้าน ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)เป็นต้น ซึ่งแม้แราไม่อาจเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกได้ในชั่วข้ามคืน แต่ถ้าหากเราให้ความใส่ใจพยายามและอดทนลงมือทำอย่างสม่ำเสมอแน่นนอนว่าแสงสว่างรอเด็กๆ อยู่ไม่ไกลที่ปลายอุโมงค์แน่นอนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : empoweringparents.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สอนลูกให้เป็นคนรักษาของ ดูแลของเล่นชิ้นโปรด รักษาสมบัติส่วนตัว

เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

ทำไม พี่น้องนิสัยต่างกัน ทั้งที่เลี้ยงเหมือนกัน? โดย พ่อเอก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    คนท้อง 6 เดือน

    ข้อควรระวัง คนท้อง 6 เดือน และการเจริญเติบโตของทารกที่เหมาะสม

    คนท้อง 6 เดือน – อุ้มท้องมาได้ครึ่งทางแล้วค่ะคุณแม่! ขอต้อนรับสู่เดือนที่หกของการตั้งครรภ์ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของไตรมาสที่สองของคุณ น้ำหนักตัวคุณจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วงนี้ ที่น่ายินดีคือ ทารกในครรภ์จะเติบโตอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ซึ่งตอนนี้คุณควรเข้าใจสัญญาณความปลอดภัยต่างๆ ของการตั้งครรภ์ เช่น การเจ็บครรภ์ การนับลูกดิ้น หรืออาการปวดท้องแบบต่างๆ  การตั้งครรภ์ในเดือนที่ 6 เป็นการเข้าสู่ช่วงเวลาที่คุณใกล้ที่จะต้องพร้อมในการทำหน้าที่แม่ที่พร้อมทั้งจิตใจและร่างกาย

    ข้อควรระวัง คนท้อง 6 เดือน และการเจริญเติบโตของทารกที่เหมาะสม

    ในช่วงเดือนที่หกของการตั้งครรภ์ หากคุณยังไม่ได้จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับลูก ควรเริ่มเตรียมให้พร้อม ช้อปปิ้งของกระจุกกระจิกสำหรับลูกน้อยของคุณ นอกจากนี้ยังคงต้องระมัดระวังเรื่อง อาการผิดปกติต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น และควรเช็คตัวเองและลูกในท้องให้ดี ต่อไปนี้คือ พัฒนาการของทารกในครรภ์ และอาการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้

    พัฒนาการทารกในเดือนที่ 6 ของการตั้งครรภ์

    การเจริญเติบโตของลูกน้อยของคุณจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงนี้ ทั้งความยาวและน้ำหนัก ทารกในครรภ์จะเริ่มดูเหมือนมนุษย์จิ๋วมากขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าและแขนขามีรูปร่าง และโครงสร้างที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และต่อไปนี้คือการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญบางประการที่จะเกิดขึ้นกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกายของทารกในเดือนที่หกของการตั้งครรภ์

    ความรู้สึก : ทารกเริ่มตอบสนองต่อประสาทสัมผัสบางอย่าง เช่น การสัมผัส การมองเห็น เสียง ฯลฯ ทารกอาจเอามือบังใบหน้า (บางครั้ง) เพื่อตอบสนองต่อแสงที่เล็ดลอดเข้าสู่ครรภ์จากภายนอก ตอนนี้ทารกสามารถได้ยินเสียงจากโลกภายนอก และสามารถตอบสนองต่อเสียงที่ดังขึ้นได้แล้ว (โดยการเคลื่อนไหว) ทารกสามารถได้ยินเสียงของคุณได้ตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป นอกจากนี้ต่อมรับรสจะเริ่มมีการพัฒนา อย่าแปลกใจเมื่อคุณรู้สึกว่าลูกถีบแรงหลังจากที่คุณกินไอศกรีมหรือขนมหวานของโปรด มันเป็นวิธีที่เจ้าตัวน้อยของคุณบอกว่าพวกเขาก็ชอบรสชาติเดี๋ยวกับคุณ
    ผิวหนัง : ผิวของทารกมีสีชมพูเล็กน้อยเนื่องจากเส้นเลือดใต้ผิวผิวหนังเริ่มพัฒนา การสะสมของไขมันจะเริ่มขึ้นใต้ผิวหนังของทารก และผิวหนังที่เหี่ยวย่นจะเริ่มเรียบเนียนและหนาขึ้น
    ตา / หู : ดวงตาของทารกเริ่มเปิดกว้าง และเปลือกตาเริ่มกะพริบก่อนเดือนที่หกของการตั้งครรภ์จะเกิดขึ้น เมื่อจอประสาทตาตาเริ่มมีการพัฒนา กระดูกหูเริ่มแข็งขึ้นซึ่งจำเป็นต่อการได้ยิน
    กระดูกสันหลัง : เอ็นและข้อต่อของไขสันหลังของทารกในครรภ์ก็เริ่มพัฒนาเช่นกัน สิ่งเหล่านี้รวมกันเป็นกระดูกสันหลังและจะรองรับเด็กเมื่ออยู่ในท่าตั้งตรง
    อวัยวะเพศ : อวัยวะสืบพันธุ์ของทารกเพศหญิงถูกสร้างขึ้นและวางไว้อย่างถูกต้อง แต่อัณฑะของทารกเพศชายซึ่งก่อตัวขึ้นใกล้กับช่องท้องจะเริ่มตกลงไปสู่ที่ที่เหมาะซึ่งอยู่ในถุงอัณฑะ
    กล้ามเนื้อ : กล้ามเนื้อมือและขาของทารกกำลังพัฒนาอย่างมาก พวกเขามีหน้าที่ในการผลักและเตะซึ่งคุณสามารถผัสได้
    กิจวัตรได้รับการพัฒนา : ซึ่งแตกต่างจากความกระสับกระส่ายอย่างต่อเนื่องที่คุณประสบในเดือนก่อน ๆ ในเดือนนี้ทารกจะเริ่มออกแบบกิจวัตรประจำวันของตัวเองซึ่งตามมาด้วยเวลาพักผ่อน
    ตำแหน่งของทารกอาจอยู่ส่วนไหนก็ได้ในช่วงเดือนที่ 6 ของการตั้งครรภ์ อาทิ ตามขวาง ก้นเฉียง หรือแม้แต่ด้านข้าง เนื่องจากมีพื้นที่เพียงพอที่จะว่ายน้ำในน้ำคร่ำ โดยในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการอยู่ในครรภ์จะมีการตัดสินตำใจแหน่งสุดท้ายก่อนคลอด

    สายสะดือพันคอทารกในครรภ์ 6 รอบ ยาวถึง 90 ซม. หมอช็อคเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก

    ไม่ต้องรอคลอด! 9 วิธีกระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ สร้างลูกฉลาด อารมณ์ดีได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง

    อาหารเพิ่มน้ำหนักทารกในครรภ์ เพื่อแม่ท้องไตรมาสที่ 2

    คนท้อง 6 เดือน
    คนท้อง 6 เดือน

    อาการที่คุณอาจพบได้ ในเดือนที่  6 ของการตั้งครรภ์

    เมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์เดือนที่ 6 คุณอาจไม่มีอาการแพ้ท้องอีกต่อไป เว้นแต่คุณจะเป็นหนึ่งในผู้ที่โชคร้ายที่ต้องอยู่กับอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ตลอด 9 เดือน ซึ่งพบได้น้อย

    อาการตั้งครรภ์หกเดือน ที่โดดเด่นที่สุดคือ ระบบต่างๆ ของร่างกายที่ค่อนข้างแปรปรวน คุณอาจท้องอืดได้ทุกวัน อ่อนเพลีย เป็นกรดไหลย้อน ปวดเมื่อย และระคายเคืองในช่องท้อง อาหารไม่ย่อย ผิวแตกลาย ท้องผูก รู้สึกอยากอาหาร คัดจมูก ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เส้นเลือดขอด ริดสีดวงทวารหนัก ปวดหลัง เป็นต้น ความวิตกกังวลและอารมณ์แปรปรวนเป็นเรื่องปกติในการตั้งครรภ์เดือนที่ 6  และการเพิ่มน้ำหนักเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกายจะช่วยให้คุณสามารถรักษาร่างกายของคุณให้สมบูรณ์แข็งแรงได้ การยืดกล้ามเนื้ออย่างง่ายๆ การฝึกโยคะ การฝึกหายใจ และการทำสมาธิจะช่วยในการยืดกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อให้คลอดทารกทำได้ง่ายและมีสมรรถภาพ

    แต่เดือนที่หกของการตั้งครรภ์ อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นอาจไม่แน่นอน คุณอาจรู้สึก หรือมีอาการต่อไปนี้ได้ :

     

     

    คนท้อง 6 เดือน

     

    1) เลือดออกที่เหงือก: คุณอาจพบว่ามีเลือดออกที่เหงือกเมื่อใดก็ตามที่คุณแปรงฟัน เกิดจากการเพิ่มปริมาณเลือดในร่างกาย ใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันโรคเหงือกอักเสบในช่วงเดือนนี้เนื่องจากคุณมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้มากขึ้น

    2) หายใจถี่เล็กน้อย : ในช่วงเดือนที่ 6 ของการตั้งครรภ์หัวใจและปอดของคุณจะทำงานหนักกว่าปกติ 50% ยิ่งไปกว่านั้นเด็กจะเริ่มขยายตัวไปเบียดกระดูกซี่โครง ดังนั้นคุณอาจหายใจถี่เล็กน้อย

    3) เริ่มรู้สึกได้ถึงการถีบของลูกน้อย : ในช่วงเดือนที่ 5 คุณอาจรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์เล็กน้อย อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการเติบโตของทารกจะเกิดขึ้นตั้งแต่นั้นมา ก่อนที่เดือนปัจจุบันจะสิ้นสุดลงคุณจะเริ่มรู้สึกได้ถึงการเตะและการเคลื่อนไหวของลูกได้บ่อยๆ

    4) อาการคัน :  ผิวหนังบริเวณท้องของคุณอาจเริ่มคันเนื่องจากจะแห้งเนื่องจากการแตกลาย เป็นเดือนที่เหมาะสำหรับการเริ่มใช้ครีมเฉพาะเพื่อป้องกันผิวแตกลาย

    5) การเพิ่มน้ำหนัก : เดือนนี้คุณจะเริ่มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ½กิโลกรัมต่อสัปดาห์

    6) ปวดหลังส่วนล่าง : แรงกดบนกล้ามเนื้อหลังและกระดูกสันหลังของคุณเพิ่มขึ้น ดังนั้นหากไม่รักษาท่าทางที่ดีต่อสุขภาพโอกาสที่คุณจะปวดหลังจะเพิ่มขึ้นรวมถึง สะโพกและบริเวณอุ้งเชิงกราน (เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และการกระจายของน้ำหนักตัว)

    7) ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร : หากไม่มีมาตรการที่เพียงพอปัญหา เช่น อาการท้องผูกการก่อตัวของก๊าซ อาหารไม่ย่อยอาการเสียดท้อง ฯลฯ เนื่องจากมดลูกที่โตขึ้นไปกดและดันลำไส้ ทำให้ลำไส้ทำงานได้ช้าลง

    8) อาการบวม : มือเท้าและขาบวมเล็กน้อยในเดือนนี้เนื่องจากปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นและการกักเก็บน้ำ

    9) ความถี่ในการปัสสาวะเพิ่มขึ้น : ช่วงเวลาระหว่างการปัสสาวะของคุณจะลดลงมากขึ้นในช่วงเดือนนี้ เนื่องจากความดันในกระเพาะปัสสาวะของมดลูกเพิ่มขึ้น (มากกว่าเดือนที่ 5) ขณะที่ทารกและมดลูกมีการเจริญเติบโตต่อไป

    10) ตกขาวเพิ่มขึ้น : อาการการตั้งครรภ์เดือนที่หกที่สังเกตเห็นได้อีกอย่างหนึ่ง สีอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่สีใสไปจนถึงสีเหลืองเล็กน้อยและมีกลิ่นจาง ๆ หากสีและกลิ่นเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดควรปรึกษาแพทย์เพราะอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อ

    11) มีอาการวิงเวียนบ่อย : เนื่องจากมีการไหลเวียนของโลหิตเพิ่มขึ้น เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปที่มดลูกมากขึ้น

    คนท้อง 6 เดือน

    ข้อควรระวังและข้อควรปฏิบัติ ในระหว่างตั้งครรภ์ที่ต้องดำเนินการในเดือนที่ 6

    1) อาหารป้องกันท้องผูก : อาการท้องผูกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นข้อควรระวังในการตั้งครรภ์ที่ดีที่สุดคือการเน้นการทานอาหารที่มีปริมาณไฟเบอร์สูง ปัญหาเหล่านี้จะไม่หนักใจคุณอีกต่อไปหลังคลอดบุตร

    2) ท่าทาง : การเตะการถีบของทารกที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และอาการคันที่หน้าท้องอาจทำให้คุณต้องเปลี่ยนท่าทางบ่อยๆ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้รับความระมัดระวังอย่างเพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์ โดยรักษาท่าทางที่ดีอยู่เสมอ นั่งบนเก้าอี้บุนวมต่อไป และนอนตะแคงซ้าย ถ้าเป็นไปได้ควรลงทุนซื้อหมอนรองครรภ์คุณภาพดีที่มีจำหน่ายในร้านค้าชั้นนำ ไม่ควรนอนหงายเพราะอาจสร้างแรงกดดันต่อครรภ์และตัดการให้ออกซิเจนของลูกน้อยได้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด

    3) การออกกำลังกาย : ออกกำลังกายทุกวัน คุณอาจลองออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อเบาๆ ขั้นพื้นฐาน เดินเร็ว หรือเล่นโยคะ คุณอาจลองทำสมาธิซึ่งช่วยให้คุณมีสมาธิและปราศจากความเครียดทั้งทางจิตใจและร่างกาย อย่าลืมแจ้งผู้ฝึกสอนของคุณเกี่ยวกับอายุครรภ์ของคุณ

    4) การพักผ่อนอย่างเพียงพอ : การนอนดึกและตื่นขึ้นมากลางดึก หลับๆ ตื่นๆ  อาจกลายเป็นกิจวัตรไปแล้วในตอนนี้ พยายามดูแลตัวเองด้วยการอาบน้ำอุ่น ดื่มนม และฟังเพลงเบา ๆ เพื่อให้ประสาทสัมผัสสงบลงก่อนเข้านอน เพราะการพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนท้อง

    5) รักษาระดับธาตุเหล็ก / ฮีโมโกลบิน
    คุณอาจต้องทนทุกข์ทรมานจากการขาดธาตุเหล็กในช่วงเดือนที่ 6 ของการตั้งครรภ์ ให้แน่ใจว่าคุณได้กินอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เพื่อเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดงที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

    6) อาหารขยะ อาหารสุกๆ ดิบๆ 
    สิ่งสำคัญ ที่ต้องระมัดระวังในการตั้งครรภ์ในช่วงนี้ คือการควบคุมอาหารขยะต่างๆ ที่คุณบริโภคแบบตามใจปาก โดยไม่คำนึงถึงผลเสียของสุขภาพที่อาจตามมา นอกจากนี้ควรระวังการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เพราะเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย เช่น ลิสเทอเรีย (Listeria) อาจเข้าสู่ร่างกายของคุณซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงได้ ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ผ่านการพาสเจอร์ไรส์หรืออาจมีเชื้อโรคปนเปื้อน เช่น  นมดิบ ไข่ดิบ เนื้อดิบ และซูชิ เป็นต้น

    7) การสูบบุหรี่
    สำหรับคนที่สูบบุหรี่ ต้องหยุดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด!ตลอดการตั้งครรภ์ หรือ ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้สูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่และการรับควันบุหรี่มือสองเป็นอันตรายต่อสุขภาพของทารก

    8) ระวังอาการผิดปกติ

    เมื่อคุณมีอาการเช่นเลือดออกจากช่องคลอด ปวดท้องจนทนไม่ได้ เป็นต้น ให้รีบรายงานแพทย์ของคุณ อย่ารู้สึกอายที่จะพูดคุยในสิ่งที่สงสัยแม้เพียงเล็กน้อย
    นี่คือเคล็ดลับสำคัญบางประการที่คุณควรปฏิบัติตามในช่วงเดือนที่ 6 ของการตั้งครรภ์

    • ฝึกสมองให้ผ่อนคลาย นั่งสบาย ๆ
    • การเป็นพ่อแม่มีความรับผิดชอบมาก แต่ตอนนี้การพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
    • เพลิดเพลินไปกับการช้อปปิ้งของใช้สำหรับลูกน้อยของคุณ
    • หากมีความสับสนทางอารมณ์ใด ๆ คุณจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ของคุณ

    พูดคุยกับครอบครัวเพื่อนและคนใกล้ชิดเพื่ออธิบายหรือระบายเกี่ยวกับสิ่งที่รบกวนคุณ พยายามอยู่ใกล้กับคนที่คิดบวกเสมอจะช่วยให้คุณสบายใจได้มากขึ้น

    คนท้อง 6 เดือน

    การทดสอบที่แนะนำในช่วงเดือนที่หกของการตั้งครรภ์

    หญิงตั้งครรภ์ต้องตรวจเบาหวานขณะตั้งครรภ์  ในระหว่างสัปดาห์ที่ 24 ถึง 28 ของการตั้งครรภ์ กรณีที่แพทย์พบว่าคุณมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การทดสอบขอให้เสร็จสิ้นภายใน 13 สัปดาห์ ในระหว่างการทดสอบแม่จะถูกขอให้กินของเหลวที่มีน้ำตาลกลูโคสสูง จากนั้นจะมีการเจาะเลือดและทดสอบระดับน้ำตาลในเลือดในหนึ่งชั่วโมงถัดไป

    ในระหว่างการไปพบแพทย์ของคุณในเดือนนี้ แพทย์ของคุณจะตรวจสอบร่างกาย ในรายการต่างๆ  เช่น

    • น้ำหนักตัว
    • การเต้นของหัวใจทารกในครรภ์
    • ปัสสาวะ
    • ความดันโลหิต
    • ขนาดและรูปร่างของมดลูก
    • ความสูงของส่วนบนของมดลูก
    • ตำแหน่งของทารก
    • อาการบวมที่เท้าหรือข้อเท้า

    การใส่ใจเรื่องสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับว่าที่คุณแม่ทุกคน ทั้งนี้ก็เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการตั้งครรภ์ของคุณมีคุณภาพ รวมถึงการเจริญเติบโตและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในครรภ์ ในอนาคตเมื่อลูกของคุณเติบโตขึ้น การปลูกฝังลูกในเรื่องการใส่ใจเรื่องของสุขภาพ ตลอดจนการมีวิถีชีวิตที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีควรเป็นสิ่งที่ ครอบครัวควรให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ  ซึ่งจะเป็นการเสริมสร้างทักษะด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ ให้กับลูกได้ คุณสามารถแนะนำลูกได้ว่า เพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เราควรให้ความสำคัญกับเรื่องใดบ้าง เช่น การทานอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนอย่างเพียงพอ เป็นต้น

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com,baby360.in

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    น้ำหนักคนท้อง ที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ เกิดจากอะไรบ้าง?

    หยุด! ปัญหา “โรคอ้วน” ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ด้วย “เวชศาสตร์ชะลอวัย

    อาหาร เครื่องดื่ม ที่ คนท้องห้ามกิน กินแล้วอันตรายต่อลูก!

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      เยลลี่ลูกตา

      แม่เตือนภัย ลูก 2 คนป่วย ลำไส้อักเสบ พร้อมกัน! หลังกิน เยลลี่ลูกตา

      สยองทั้งหน้าตาทั้งอาการ แม่โพสต์เฟซบุ๊กเตือนภัย!! “ขนมฮิต..ทำพิษ” หามลูก 2 คนพร้อมกันเข้าโรงพยาบาล พบลำไส้อักเสบ หลังกิน เยลลี่ลูกตา

      อุทาหรณ์..แม่เตือน!! เยลลี่ลูกตา ขนมสยอง ของจริง!

      เยลลี่ลูกตา อีกหนึ่งขนมที่กำลังฮิตในหมู่เด็กๆ ขนมเยลลี่ กลมๆ มีรูปร่างคล้ายลูกตาของมนุษย์ มีไส้ด้านใน หอมกลิ่นผลไม้ ซึ่งหลายคนอาจจะเคยเห็นขนมเยลลี่ลูกตานี้ขายกันเกลื่อนในท้องตลาด แต่อาจไม่รู้ว่า ความจริงแล้วไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาที่แปลกประหลาด แต่ถ้าหากเด็กๆ กินขนมชนิดนี้มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้

      เยลลี่ลูกตา
      หน้าตาของ เยลลี่ลูกตา ที่ข้างในสอดไส้น้ำเยลลี่แต่งกลิ่น

      ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูกพูกถึง และกำลังถูกแชร์ออกไปเป็นวงกว้างอยู่บนโลกออนไลน์ เมื่อคุณแม่ท่านหนึ่งได้ใช้เฟซบุ๊กส่วนตัว โพสต์เตือนภัยเป็นอุทาหรณ์ หลังลูกสาวและลูกชายมีอาการป่วย หลังจากกินขนม เยลลี่ลูกตา โดยคุณแม่ได้เล่าเหตุการณ์ พร้อมอาการของลูกทั้งสอง ระบุว่า…

      ข้าวหอมกินไป3ลูกทั้งปวดท้องอ้วกตัวร้อน…พี่เคนจิกินไป 2 ลูกเวียนหัวอ้วกตัวร้อน…สรุปลำไส้อักเสบ…ขนมบ้าไร..เข็ดไปอีกนานไม่ให้กินอีกแล้วของพวกนี้

      เยลลี่ลูกตา

      ทั้งนี้ทางคุณแม่ยังได้บอกรายละเอียดเพิ่มเติมให้กับทีมแม่ ABK อีกว่า..ผลตรวจเลือดของลูกทั้งสองคน คือ เป็นลำไส้อักเสบ ส่วนใบรับรองแพทย์ หมอเขียนว่าวินิจฉัยแล้ว ปวดท้องรุนแรง

      พร้อมฝากไปถึงร้านค้าที่ขาย เยลลี่ลูกตา ว่า..ที่แม่โพสต์ไป เพราะรู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ลูกทั้ง 2 ป่วยแบบนี้พร้อมกัน มาจากการกินขนมชนิดนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้น้องกินอะไรแปลกเลย

      อย่างไรก็ตาม ภายหลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปเป็นสาธารณะ ต่างก็มีชาวเน็ตจำนวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย อาทิ ไม่กล้าซื้อให้ลูกกินเลยค่ะ แค่รูปร่างก็น่ากลัวแล้ว … บางรายก็เชื่อว่า เป็นเพราะความอับชื้นของขนมที่อยู่ในพลาสติกนาน จนทำให้เสื่อมคุณภาพ

      โดยคุณแม่ก็ได้ตอบคอมเม้นท์เพิ่มเติมว่า ทราบมาว่าขนมแบบนี้มีทั้งของจริงและของปลอม ถ้าของจริงต้องซื้อในเซเว่นฯ เท่านั้น แต่ก็ไม่สนแล้ว เพราะจะไม่ให้ลูกๆ กินอีก

      อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากอาหารว่างอย่างนมหรือผลไม้สด ขนมก็เป็นอาหารว่างอีกหนึ่งชนิดที่พ่อแม่ควรใส่ใจการเลือกซื้อให้ลูกกิน โดยมีหลักการเลือกขนม ดังนี้

      1. เลือกอาหารว่างหรือขนมที่มีพลังงาน ปริมาณน้ำตาล เหลือ และน้ำมันไม่สูง โดยเด็กควรได้รับพลังงานจากอาหารว่างมื้อละ 100-150 กิโลแคลอรี่ ไม่เกิน 2 มื้อต่อวัน และควรมีไขมันไม่เกิน 3 กรัม น้ำตาล ไม่เกิน 6 กรัม และโซเดียมหรือเกลือ ไม่เกิน 100 กรัม
      2. เลือกขนมหรืออาหารว่างที่ปรุงใหม่จากอาหารตามธรรมชาติหรือขนมที่ทำจากผลไม้ เพราะจะมีวิตามินและใยอาหาร
      3. สำหรับขนมกรุบกรอบควรหลีกเลี่ยงหรือกินบางครั้งเพราะส่วนใหญ่มีการปรุงแต่งรสเข้มข้น ทั้งหวาน มัน เค็ม รวมถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีโซเดียมในปริมาณมากเกินไป ทำให้ไตต้องทำงานหนักจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว
      4. ควรเลือกขนมให้ลูกที่มีสีธรรมชาติหรือใส่สีปริมาณน้อยที่สุด
      5. เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ไม่ควรให้กินขนมประเภทลูกอม ลูกกวาด เพราะอาจเป็นอันตราย เด็กอาจจะกลืนทำให้ติดหลอดคอ
      6. ไม่ควรเลือกซื้อขนม หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงให้ลูก เช่น น้ำอัดลม ขนมหวานประเภท ท๊อฟฟี่ หรือลูกกวาด
      7. ไม่ควรซื้อขนมเก็บตุนไว้ในบ้าน เป็นจำนวนมากเพราะจะทำให้ลูกเคยชินรับประทานมากจนเกินไป

      ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงปู่ย่าตายาย หรือผู้เลี้ยงดูไม่ควรตามใจลูก และควรปลูกฝังให้ลูกรับประทานผลไม้แทนขนมหวานและรับประทานอาหารครบ 5 หมู่

       

      ทั้งนี้สำหรับเรื่อง ขนม เยลลี่ลูกตา อันตรายทำเด็กป่วยลำไส้อักเสบ ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ  หนึ่งใน 10 ของ Power BQ (Power Baby & Kids Quotients) อาวุธที่ช่วยให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกันนั่นเอง ทั้งนี้ HQ หรือ Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ

      ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ


      ขอบคุณข้อมูลจาก : www.thaihealth.or.thmgronline.com

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      อ่านต่อบทความอื่น่าสนใจ คลิก ⇓

      5 ผลเสียหากให้ลูกต่ำกว่า 2 ขวบกินอาหารที่เด็กเล็กไม่ควรกิน !!

      ห้ามลูกกิน! 18 อาหารอันตราย เสี่ยงทำลายสมอง พัฒนาการช้า

      7 เคล็ดลับ สอนลูกดูแลสุขภาพ มี HQ (Health Quotient) สร้างภูมิต้านทาน แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย

      14 อาหาร เสริมภูมิคุ้มกันลูก ช่วยให้ลูกไม่ป่วยง่าย!

      ชัวร์หรือมั่ว? ลูกเป็นมะเร็ง เด็กเป็นมะเร็ง เพราะพ่อแม่ให้กินแบบนี้

        เด็กวัยอยากรู้อยากเห็น

        เข้าใจธรรมชาติ เด็กวัยอยากรู้อยากเห็น อีกเรื่องจำเป็นของพ่อแม่คน

        เด็กวัยอยากรู้อยากเห็น – เด็กกับความอยากรู้อยากเห็นเป็นของคู่กัน เพราะพวกเขาเพิ่งมาอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ได้ไม่นาน ยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมาย ที่พวกเขายังไม่รู้ และอยากรู้ สัญชาตญาณ สั่งให้เด็กๆ มุ่งมั่นในการแสวงหาสิ่งต่างๆ ในโลกใบใหม่นอกท้องคุณแม่ที่ยังมีอะไรน่าค้นหาอีกมากมาย หน้าที่ของพ่อแม่ คือ ต้องเข้าใจและสามารถกระตุ้นธรรมชาติของลูกให้เหมาะสม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการที่ดีสมวัยได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

        เข้าใจธรรมชาติ เด็กวัยอยากรู้อยากเห็น อีกเรื่องจำเป็นของพ่อแม่คน

        ความอยากรู้อยากเห็นเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมความอยากรู้อยากเห็นจึงเป็นสิ่งสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ ดังนั้นการกระตุ้นให้เด็กๆ เกิดความอยากรู้อยากเห็นตั้งแต่อายุยังน้อย คือหัวใจสำคัญต่อการเรียนรู้และพัฒนาการที่ดีของเด็ก

        จากการวิจัยของสมาคมวิทยาศาสตร์จิตวิทยาในสหราชอาณาจักร พบว่าความอยากรู้อยากเห็น ถือเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อ ผลการเรียนของเด็ก  นักวิจัยกล่าวว่า เด็กมีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติ และมักจะมองหาโอกาสสำรวจและค้นพบสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ อย่างไรก็ตามอาจมีเด็กหลายคนที่ไม่ได้รับการพัฒนาสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นได้ดีเท่ากับเด็กคนอื่นๆ บทบาทของพ่อแม่ในการจัดการกับปัญหานี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ พ่อแม่ต้องช่วยปลูกฝัง และตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นในการเรียนรู้โลกกว้างของลูกๆ อย่างเหมาะสม และต่อไปนี้ คือ 13 วิธี ที่น่าตื่นเต้น ในการปลุกความอยากรู้อยากเห็นของเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้ปกครองหลายคนอาจไม่เคยทำและไม่เคยรู้มาก่อน

        1. เปลี่ยนกิจวัตรของลูก

        เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็ก ๆ ที่จะต้องมีกิจวัตรประจำวัน แต่การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรบางอย่าง เล็ก ๆ น้อย ๆ  เป็นครั้งคราว สามารถกระตุ้นสมองให้คิดในรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากเดิม ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นได้  อาจเป็นอะไรที่ง่ายๆ เช่น การเปลี่ยนสบู่อาบน้ำแบบโฟมที่ลูกใช้อยู่ตามปกติเป็นสบู่แบบก้อน และปล่อยให้พวกเขาค้นพบเนื้อสัมผัสใหม่ๆ เล่นกับมัน และได้คิดตัดสินใจว่าพวกเขาชอบแบบไหนมากกว่า

        2. ทำให้ลูกประหลาดใจ

        ความประหลาดใจหรือการสร้างเซอร์ไพรส์ในเชิงบวก สามารถเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นของเด็กได้ คุณสามารถทิ้งข้อความอรุณสวัสดิ์ไว้ใต้หมอน จัดกิจกรรมตามล่าหาของว่าง หรือชวนคนที่พวกเขาชอบมาทานอาหารกลางวัน และอย่าบอกพวกเขาจนกว่าคนที่คุณรักจะมาถึง

        เด็กวัยอยากรู้อยากเห็น
        เด็กวัยอยากรู้อยากเห็น

        3. ไปรับลูกที่โรงเรียน แล้วพาไปเที่ยวแบบเซอร์ไพรส์

        หากคุณสามารถลาหยุดงานได้ทั้งวัน แล้วปฏิบัติการ “ลักพาตัว” ลูกของคุณจากโรงเรียน เด็กๆ จะจดจำเหตุการณ์นี้ได้ตลอดชีวิต แจ้งคุณครูว่าขอความร่วมมือในการทำสิ่งนี้ถ้าเป็นไปได้  คุณสามารถใช้เวลาอย่างสนุกสนานร่วมกับลูก พาพวกเขาไปที่ร้านหนังสือในพื้นที่และกินไอศกรีมที่พวกเขาโปรดปราน ลูกของคุณจะมีช่วงเวลาที่แสนวิเศษ ที่พวกเขาจะนึกถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าแม้เวลาจะผ่านไป แต่สิ่งที่สำคัญคือ คุณจะต้องบอกให้ชัดเจนว่าวันนี้ เป็นวันพิเศษอย่างไร อย่าลืมเช็คว่าพวกเขาจะไม่พลาดเรื่องอะไรที่สำคัญในวันนั้นที่โรงเรียนกับคุณครูด้วย

        4. อบเค้กด้วยกัน

        เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ชอบเค้ก แต่ไม่ใช่เด็กทุกคนที่รู้วิธีทำเค้ก การได้สัมผัสกับกระบวนการทำเค้ก ตั้งแต่เตรียมส่วนผสมไปจนถึงผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมาเป็นเค้กหน้าตาสวยงามน่าทาน อาจเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง และน่าตื่นเต้นมากสำหรับเด็ก ๆ หลายคน และยิ่งการได้ลงมือทำด้วยตัวเองจะยิ่งปลุกประสาทสัมผัสทั้งหมดของเด็กได้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการได้ยิน วิธีการทำ การได้เห็นความเปลี่ยนแปลง สีสัน ได้สัมผัสพื้นผิวของเค้ก กลิ่นเค้กขณะอบ และการได้ชิมรสชาติของเค้กในที่สุด!

        5. อ่านนิทานและเรื่องราวปลายเปิด

        การอ่านนิทานก่อนนอนเป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับเด็ก ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย  อย่างไรก็ตามการอ่านเรื่องราวเดิม ๆ อยู่เสมอ อาจทำให้เกิดความซ้ำซากจำเจได้ เพื่อให้ลูกรู้สึกสนุกยิ่งขึ้น คุณสามารถเล่าเรื่องโดยใช้คำถามปลายเปิด เพื่อให้พวกเขาใช้จินตนาการในการจบเรื่องได้ วิธีอื่นที่จะช่วยให้พวกเขาพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ด้วยนิทาน คือการขอให้พวกเขาตั้งชื่อนิทานเรื่องใหม่ กระตุ้นให้พวกเขาเริ่มเรื่อง หรือดำเนินการต่อ นอกจากนี้คุณยังสามารถค้นหาตอนจบที่แตกต่างกันสำหรับเรื่องราวเดียวกัน เพื่อดึงดูดความสนใจของพวกเขา และทำให้พวกเขาสนใจเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นในครั้งนี้ และครั้งต่อๆ ไป

        6. พร้อมที่จะตอบคำถามของลูก

        เด็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กวัยเตาะแตะมักจะถามคำถามอย่างต่อเนื่องแบบไม่หยุดหย่อน และบางครั้งก็เป็นคำถามที่ตอบได้ยาก! สิ่งนี้พ่อแม่หลายคนคงเข้าใจดี เพื่อให้เราสามารถตอบสนองอย่างสร้างสรรค์ได้ พ่อแม่จำเป็นต้องเข้าใจ ว่าเหตุใดพวกเขาจึงถามคำถามนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเขาถามคุณว่า “ทำไมคุณต้องไปทำงาน” แท้จริงแล้วพวกเขาอาจไม่ต้องการฟังเหตุผล แต่พวกเขามีความปรารถนาที่จะใช้เวลาร่วมกับคุณมากขึ้น เพราะฉะนันการทำความเข้าใจความหมายในการถามที่แท้จริงของลูก จะช่วยให้คุณไขข้อสงสัยของพวกเขาด้วยคำตอบที่ดีและเหมาะสมกับวัยของลูกได้

        เด็กวัยอยากรู้อยากเห็น

        7. กระตุ้นให้ลูกถามมากขึ้น

        ความอยากรู้อยากเห็นเพียงเล็กน้อย สามารถนำไปสู่ความอยากรู้อยากเห็นที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น เมื่อลูกของคุณถามคุณว่า ‘ทำไมฝนถึงตก’ คุณสามารถอธิบายวัฏจักรของฝนให้พวกเขาฟัง และเมื่อสิ้นสุดการหาเหตุผลมาอธิบายลูกในประเด็นแรก คุณอาจพูดถึงลักษณะของน้ำฝนต่อโดยไม่ต้องอธิบายรายละเอียดมากมายนัก ซึ่งหากพวกเขาสนใจฟัง ก็อาจกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นเพื่อสอบถามคุณเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ นี่เป็นเพราะถ้าเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องหนึ่ง เราจะไม่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องนั้นเพิ่มเติม แต่ทันทีที่เรารู้อะไรบางอย่างเพียงเล็กน้อย ความอยากรู้อยากเห็นของเราก็จะถูกหยิบขึ้นมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดคำถามเพิ่มเติมได้!

        8. เป็นคนถามคำถาม

        การถามคำถามกับลูก ๆ ของคุณคุณจะช่วยกระตุ้นสมองของพวกเขา และทำให้พวกเขาได้ใช้ความคิดเกี่ยวกับวิธีแก้ไขปัญหา หรือเรื่องต่างๆ อย่าลืมขอให้พวกเขาให้เหตุผลกับคุณเสมอ และเตรียมพร้อมที่จะรับฟังคำตอบที่น่าสนใจของลูก โดยแนวคิดคำถามบางประการ เราอาจถามลูก ได้ดังนี้ :

        “ คุณคิดว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดีหรือเปล่า”

        “ สถานที่โปรดของคุณอยู่ที่ไหนในโลก”

        “ ถ้าคุณสามารถประดิษฐ์สิ่งที่จะทำให้ชีวิตของผู้คนง่ายขึ้นคุณจะประดิษฐ์อะไร?”

        “ ถ้าคุณมีประเทศของตัวเอง จะเรียกชื่อว่าอะไร?”

        9. พาลูกไปร้านอาหารพื้นเมือง

        การค้นพบวัฒนธรรมใหม่ ๆ เป็นวิธีที่ดีในการรักษาความอยากรู้อยากเห็น และอาหารท้องถิ่นก็เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการค้นหาวัฒนธรรมใหม่ ๆ รสชาติ มารยาท และประเพณี และอื่นๆ ลองหาโอกาสพาลูก ๆ ของคุณไปรับประทานอาหารแสนอร่อยในร้านอาหารญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม หรือสเปนแม้ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบอาหารสไตล์เหล่านี้ก็ตาม แต่ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับลูก

        10. พาลูกไปเที่ยวและเยี่ยมชมสถานที่ใหม่ ๆ

        ขอแนะนำอย่างยิ่ง! ให้พาบุตรหลานของคุณไปเที่ยวที่ต่างๆ ในประเทศ หรือต่างประเทศถ้ามีโอกาสในสักวันหนึ่ง เพื่อให้ลูกได้สัมผัสกับวัฒนธรรมใหม่ ๆ ได้เห็นสถานที่ที่หลากหลาย และพบปะผู้คนใหม่ ๆ  เหตุผลหลักประการหนึ่งที่เราเดินทางคือเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็น และการเดินทางทำให้เราอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ดังนั้นการพาลูก ๆ เข้าสู่กิจกรรมที่น่าตื่นเต้นนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย จะช่วยให้พวกเขามีความสุขจากการเยี่ยมชมสถานที่ใหม่ ๆ ที่ไม่คุ้นเคย

        เด็กวัยอยากรู้อยากเห็น

        11. ส่งเสริมให้ลูกเรียนดนตรี

        คุณอาจรู้อยู่แล้วหรือคิดอยู่แล้วว่า เป็นเรื่องที่ดีถ้าลูกของคุณจะได้เรียนรู้วิธีการเล่นเครื่องดนตรี แต่คุณอาจไม่ได้คิดถึงเหตุผลที่แท้จริงที่อยู่เบื้องหลังมัน

        คุณรู้หรือไม่? ว่าดนตรีมีผลต่อสมองของมนุษย์อย่างไร? มนุษย์ส่วนใหญ่จะใช้สมองซีกขวาหรือซีกซ้ายมากกว่า แต่คนที่เรียนดนตรีมักจะใช้สมองทั้งสองซีก! สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทำได้ดีขึ้นในการคิด ซึ่งหมายถึงความสามารถในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ การมีความคิดสร้างสรรค์ จะทำให้ลูกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกรอบตัวมากขึ้น

        12. สังเกตความสนใจส่วนตัวของลูก

        เราทุกคนมีความสนใจที่แตกต่างกันและมีข้อพิสูจน์ว่าเรามีแนวโน้มที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เมื่อเราสนใจสิ่งเหล่านี้เท่านั้น ในฐานะพ่อแม่คุณอาจสังเกตว่าลูกของคุณชอบและไม่ชอบอะไรดังนั้นให้มุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเขาในด้านความรู้ที่เขาชื่นชอบ

        13. ปล่อยให้ลูกได้อยู่ในโลกของเด็ก

        ในฐานะผู้ปกครองบางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะปล่อยให้ลูก ๆ ทำในสิ่งที่ต้องการ พวกเขามักต้องการทำสิ่งที่ผู้ใหญ่อาจรู้สึกว่ามันแปลกหรือไม่เหมาะสม แต่ตราบใดที่แนวคิดของพวกเขาไม่เป็นอันตราย ก็ควรปล่อยให้พวกเขาสำรวจโลกในแบบของตัวเอง ในช่วงอายุหนึ่งเด็กวัยเตาะแตะมีความปรารถนาที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง และขอแนะนำให้ปล่อยให้พวกเขาลองทำ การพูดว่า“ นั่นไม่ใช่วิธีที่คุณควรทำ” อาจส่งผลเสียต่อความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา คุณควรปล่อยให้พวกเขาทำผิด และเรียนรู้ด้วยตัวเองจะดีกว่า

        เด็กที่ได้รับการตอบสนองในความอยากรู้อยากเห็นอย่างเหมาะสม จะทำให้สมองของพวกเขา ได้รับกระตุ้นให้เกิดความคิดจินตนาการผ่านสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาได้เห็น ได้สำรวจและสัมผัส ซึ่งย่อมส่งผลดีต่อการก่อให้เกิดทักษะความฉลาด ด้วย Power BQ ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเด็กยุคนี้ หลายด้านด้วยกัน  อาทิ  ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ)    ความฉลาดในการคิดสร้างสรรรค์ (CQ)  ความฉลาดในการคิดเป็น (TQ) ความฉลาดในการเล่น (PQ)  เป็นต้น  เพื่ออนาคตที่ดีของลูก เรามาหมั่นสังเกตความอยากรู้อยากเห็นของลูก แล้วช่วยให้พวกเขาได้สำรวจและค้นพบสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างมีความสุขกันเถอะค่ะ

        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : lifehack.org

        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

        5 วิธี ส่งเสริมความ “อยากรู้อยากเห็น” ของลูกน้อย

        คุยเรื่องเพศกับลูก ต้องสอนยังไง จะเริ่มได้เมื่อไหร่ดี?

        ให้ ลูกเล่นเลอะเทอะ บ้างสิดี! เลอะแบบนี้ ดีต่อพัฒนาการ!

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          คนท้องติดเชื้อโควิด

          กรมอนามัยเผย คนท้องติดเชื้อโควิด เสี่ยงป่วยหนัก แนะฉีดวัคซีนป้องกัน! หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

          คนท้องติดเชื้อโควิดกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยผลสำรวจ พบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 77 ราย ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ และพบการติดเชื้อในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ถึงร้อยละ 81.5 แนะนำหญิงตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีนป้องกัน แต่ให้เหมาะควรฉีดช่วงหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ พร้อมย้ำป้องกันตัวเองต่อเนื่อง สวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ

          กรมอนามัยเผย คนท้องติดเชื้อโควิด เสี่ยงป่วยหนัก แนะฉีดวัคซีนป้องกัน!

          นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกการประชุมคณะทำงาน การดูแลสุขภาพหญิงตั้งครรภ์และหลังคลอด ที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่ผ่านมา ได้นำเสนอข้อมูลการสำรวจของกรมอนามัยโดยพบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 77 ราย ไม่แสดงอาการ 43 ราย มีอาการปอดอักเสบ แต่ไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ 21 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ซึ่งร้อยละ 81.5 ติดเชื้อในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์

          ปัจจุบันการใช้วัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ยังมีไม่มาก แต่หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิด-19  มีความเสี่ยงที่โรคจะรุนแรงกว่าคนทั่วไปได้ ดังนั้นการนัดหมายตรวจครรภ์ กรณีตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรกและไตรมาสที่ 2 โดยไม่มีการนัดตรวจพิเศษอื่น ๆ สามารถโทรติดต่อขอเลื่อนนัดตรวจครรภ์ออกไปตามความเหมาะสม

          สาวไทยรีวิวฉีด วัคซีนโควิด-19 ฟรีที่แคนาดา ผลข้างเคียงเป็นยังไง

          CDC ชี้! หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ดีกว่าวัคซีน

          ผู้เชี่ยวชาญชี้! การให้ วัคซีนโควิด คนท้อง ยังปลอดภัย หลังไม่พบเคสรุนแรงหลังฉีด

          ส่วนในรายที่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์เป็นต้นไป และในรายที่เป็นกลุ่มครรภ์เสี่ยงสูง หรือมีโรคร่วม ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ธัยรอยด์ หัวใจ หอบหืด ปอดเรื้อรัง ไต และภูมิต้านทานผิดปกติ ควรไปฝากครรภ์ตามแพทย์นัดทุกครั้ง โดยมีการนัดเวลาล่วงหน้า เพื่อลดระยะเวลาอยู่โรงพยาบาลให้สั้นที่สุด

          คนท้องติดเชื้อโควิด
          คนท้องติดเชื้อโควิด

          หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะ แนะนำให้มีผู้ติดตามไม่เกิน 1 คน และสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่นอกบ้าน พกเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อติดตัวเพื่อล้างมือให้สะอาดทุกครั้งที่จำเป็น ระหว่างนั่งรอการตรวจหรือรับยา ให้เว้นระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตร เมื่อกลับถึงบ้านให้ถอดหน้ากากอนามัย และทิ้งอย่างถูกวิธี ล้างมือให้สะอาด และเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที  หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของการตั้งครรภ์ เช่น อาการบวม ลูกดิ้นน้อยลง มีเลือดออกทางช่องคลอด เจ็บครรภ์ หรือน้ำเดิน หากมีอาการดังกล่าว ให้รีบโทรประสานกับหน่วยบริการที่ฝากครรภ์ เพื่อส่งต่อโรงพยาบาลเป็นการด่วนต่อไป

          ทางด้าน นายแพทย์เอกชัย เพียรศรีวัชรา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ และโฆษกกรมอนามัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมอนามัยโดยสำนักส่งเสริมสุขภาพ ได้ประชุมหารือร่วมกับ รศ.นายแพทย์ชเนนทร์ วนาภิรักษ์ ประธานอนุกรรมการอนามัยแม่และเด็ก ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย พร้อมด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ และอนุกรรมการมารดาและทารกปริกำเนิด

          ภายใต้คณะกรรมการอนามัยแม่และเด็กแห่งชาติ ได้ข้อสรุปในเบื้องต้น โดยมีคำแนะนำว่าหญิงตั้งครรภ์ทุกคนควรได้รับวัคซีน และควรได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์และอาการข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน รวมทั้งความเสี่ยงที่จะติดโรคโควิด-19 และความรุนแรงของโรคก่อนตัดสินใจ

          คนท้องติดเชื้อโควิด

          หญิงตั้งครรภ์ที่ควรได้รับวัคซีนก่อนนั้น มีหลักการพิจารณาเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป ได้แก่ กลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดโรค เช่น บุคลากรทางการแพทย์ หรือบุคคลที่ทำงานในลักษณะที่ต้องสัมผัสกับคนหมู่มาก บุคคลที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคสูง รวมถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรครุนแรงเมื่อติดเชื้อ เช่น หญิงตั้งครรภ์ที่มีโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคปอดเรื้อรัง หอบหืด น้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์

          สำหรับช่วงเวลาที่แนะนำให้ฉีดวัคซีนคือช่วงหลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์เป็นต้นไป และแนะนำให้ฉีดวัคซีนซิโนแวคก่อน เนื่องจากผลิตจากเชื้อที่ตายแล้ว ในขณะที่แอสตราเซเนกา เป็น viral vector vaccine มีโอกาสเกิดอาการไข้หลังฉีดได้มาก และมีรายงานการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหญิงที่อายุน้อยกว่า 30 ปี แต่พบน้อยมาก สำหรับหญิงที่วางแผนจะตั้งครรภ์ และหญิงให้นมบุตร สามารถรับการฉีดวัคซีนได้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : amarintv.com

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          งานวิจัยเผย! แม่ท้องติดโควิด เสี่ยงเสียชีวิตสูง!

          รอบนี้ดุ! โควิดระบาดในเด็ก เชียงใหม่ ติดแล้วเกือบร้อย!

          เปิดจองสิทธิ์ประกันสังคมพื้นที่กทม ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ต้องทำอย่างไร

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            พี่น้อง แย่งของเล่น พ่อแม่ควรทำยังไง? ไม่ให้พี่น้อยใจที่ต้องเสียสละให้น้อง!

            แย่งของเล่น อีกหนึ่งปัญหาในบ้าน สร้างแผลใจให้คนเป็นพี่ได้ไม่น้อยหากพ่อแม่แก้ปัญหาไม่เป็น!! แล้วพ่อแม่ควรทำยังไง มาฟังคำแนะนำจากคุณหมอประเสริฐ กันค่ะ

            หมอแนะ วิธีแก้ปัญหา “พี่น้องแย่งของเล่นกัน”
            ไม่ให้พี่รู้สึกน้อยใจเพราะ “ต้องเสียสละ” ให้น้อง!

            พี่ยังไม่ทัน “มี” จะให้เอาอะไรไป “เสีย” และ “สละ” คำสั่งสอนประเภท “เป็นพี่ต้องเสียสละ มีน้ำใจให้น้อง” เป็นคำพูดที่ไม่มีความหมายอะไร พี่อายุ 3 ขวบไม่ต้องการคำสั่งสอนประเภทนี้

            >> จากคำถาม : น้อง แย่งของเล่น พี่ พี่ไม่ยอมจนเป็นเรื่องกันบ่อยๆ ค่ะ พี่อายุ 3 ขวบ 9 เดือน น้องอายุ 2 ขวบครึ่ง เราอยากให้พี่น้องรักกัน พอน้องร้องมากๆ เรามักแก้ปัญหาด้วยการบอกว่าพี่น้องต้องรักกัน เป็นพี่ต้องเสียสละ มีน้ำใจให้น้อง หรือให้เขาไปเล่นของอย่างอื่น หรือหาของใหม่ให้เขาแทน คุณยายพูดมาคำหนึ่งว่า “จะไม่ให้พี่มันมีสิทธิ์ในของๆ มันบ้างเลยหรือ” เราพ่อแม่ก็อึ้งไปค่ะ มาคิดดูก็เกี่ยวกันอยู่ แต่เด็กขนาดนี้จะเข้าใจเรื่องแบบนี้ พอจะแก้ปัญหาพี่น้องทะเลาะกันเพราะ แย่งของเล่น ได้หรือคะ และพ่อแม่ควรทำอย่างไร?

            มีสองเรื่องที่ควรทำความเข้าใจ ข้อแรก เด็กไม่ได้เรียนรู้ด้วยการสั่งสอนแต่เพียงอย่างเดียว … อีกข้อคือ เด็กเรียนรู้ด้วยการดูและการเลียนแบบด้วย การเรียนรู้ด้วยการดูและเลียนแบบสำคัญกว่าการสั่งสอนด้วยซ้ำไป

            น้องแย่งของพี่ แย่งของเล่น พี่น้องทะเลาะกัน

            ดังนั้น คำสั่งสอนประเภท “เป็นพี่ต้องเสียสละ มีน้ำใจให้น้อง” เป็นคำพูดที่ไม่มีความหมายอะไร พี่อายุ 3 ขวบไม่ต้องการคำสั่งสอนประเภทนี้ และไม่มีความสามารถจะเข้าใจด้วย เสียสละแปลว่าอะไร น้ำใจแปลว่าอะไร เหตุเพราะพัฒนาการทางจริยธรรมส่วนที่เป็นนามธรรมนั้นกว่าจะมาถึงก็ประมาณ 7 ขวบ ในวัยนี้เขาไม่สามารถเข้าใจคำสอนของคุณได้เพราะคำว่า เสียสละ หรือคำว่า น้ำใจ ทั้งสองคำเป็นนามธรรมทั้งคู่

            นอกจากนี้คุณแม่ยัง “ให้เขาไปเล่นของอย่างอื่น หรือหาของใหม่ให้เขาแทน” อันนี้จึงเป็นการแสดงให้เขาเห็นว่าคุณแม่ลำเอียง   เขาเล่นของเขาอยู่ดีๆ กลับถูกคุณแม่ยกให้คนอื่นและส่งเขาไปเล่นที่อื่นหรืออย่างอื่น การกระทำทำนองนี้ไม่ต้องใช้คำพูดบรรยายให้มากความเพราะลำพังการกระทำนั้นชัดเจนอยู่แล้ว เหตุเพราะพัฒนาการทางความคิดของเด็ก 3 ขวบยังเอาตนเองเป็นศูนย์กลางอยู่มาก เขาเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง ดังนั้นไม่ผิดปกติอะไรที่เขาจะคิดว่าของเล่นนั้นควรเป็นของเขามากกว่าเด็กอีกคนหนึ่งที่เกิดทีหลัง

            ในมุมมองของน้องอายุ 2 ขวบครึ่ง เขาไม่เข้าใจคำพูดประเภท “เป็นพี่ต้องเสียสละ มีน้ำใจให้น้อง” เช่นกัน ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นคือนี่เป็นคำพูดที่เป็นนามธรรมมากจนจับต้องไม่ได้เลยและเขาเห็นตนเองเป็นศูนย์กลาง ส่วนการกระทำ “ให้เขา(พี่)ไปเล่นของอย่างอื่น หรือหาของใหม่ให้เขา(พี่)แทน” เป็นการสาธิตอย่างเป็นรูปธรรมให้เขาเห็นว่าเขามีอำนาจเหนืออีกคนหนึ่ง(คือพี่)อย่างมากมาย และเขาพร้อมจะใช้อำนาจนั้น(แย่งของเล่นของพี่)อีกในวันหลัง

            แย่งของเล่น

             

            คุณยายพูดถูกแล้วครับ คุณยายพูดมาคำหนึ่งว่า “จะไม่ให้พี่มันมีสิทธิ์ในของๆ มันบ้างเลยหรือ”

            ในครอบครัวใดๆ มีโครงสร้างของมันอยู่ โครงสร้างปกติคือพ่อแม่พี่น้อง นั่นคือพ่อแม่ใหญ่สุดและใหญ่กว่าลูกๆ ในประดาลูกๆ พี่ใหญ่กว่าน้องเสมอ ธรรมเนียมไทยสอนให้พี่เสียสละให้น้องแต่แท้จริงแล้วคนเราทุกคนจะเสียสละได้ต้อง “มี” ก่อนเสมอ มิเช่นนั้นแล้วจะเอาอะไรไป “เสีย” และ “สละ”   นี่พี่ยังไม่ทันจะมีเลยก็ถูกบังคับให้เสียสละเสียแล้ว

            พ่อแม่ควรส่งสัญญาณให้ลูกๆ ทราบว่าพี่ใหญ่นั้นใหญ่ที่สุดและเป็นผู้ช่วยพ่อแม่ในการดูแลน้องๆ ดังนั้นพี่ต่างหากที่ควรได้รับสิทธิมากกว่าในตอนแรก เช่น เมื่อจะซื้อไอศกรีมให้ลูก ให้พี่สองก้อนและให้น้องหนึ่งก้อน ด้วยวิธีนี้น้องๆ ทั้งหลายจะได้เรียนรู้ว่าใครใหญ่และควรเชื่อฟังใคร ส่วนคนพี่นั้นเมื่อเขาพบว่าเขามีมากกว่าคนอื่น เขาพบว่าพ่อแม่ให้เกียรติเขามากกว่าคนอื่นๆ เราจึงบอกเขาได้ว่า “อยากจะแบ่งให้น้องมั่งก็ได้นะลูก” ส่วนเขาจะแบ่ง ไม่แบ่ง แบ่งแล้วจะรู้สึกอย่างไร เช่น เห็นแววตาน้องๆ ที่มองมาด้วยความเทิดทูน อะไรแบบนี้พ่อแม่ควร (ใจแข็ง) ปล่อยให้เด็กเรียนรู้เอง

            11411936_10204802841774257_2019116833482538984_o

            ย้ำว่าเรื่องไอศกรีม เป็นเพียงการยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ มิได้แปลว่าต้องทำตามนี้จริงๆ

            สุดท้ายยนี้..เวลาพี่น้องทะเลาะกันเพราะ แย่งของเล่น ที่พ่อแม่ควรทำคือแยกวง ให้คนหนึ่งไปอยู่ที่มุมห้องหนึ่ง และให้อีกคนหนึ่งไปอยู่ที่อีกมุมห้องหนึ่ง บอกทั้งสองคนอย่างชัดๆ ช้าๆ ว่า… ดีกันเมื่อไรก็ออกมาเล่นด้วยกันได้อีก ของเล่นที่แย่งกันจะวางอยู่ตรงกลางห้องนี้เหมือนเดิม จากนั้นพ่อแม่ต้อง (ใจแข็ง) ไปทำอย่างอื่น อย่าพูดมากและอย่าแทรกแซง พวกเขาจะค้นพบกระบวนการปรองดองด้วยตนเองในที่สุด ขอให้มั่นใจ

            บทความโดย: นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์
            จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

            บัญญัติ 10 ประการ คู่มือพ่อแม่ยุคใหม่ สไตล์หมอประเสริฐ

            หมอแนะ! ลูกทำผิดในที่สาธารณะ ควร ทำโทษลูก ทันทีหรือทีหลังได้?

            เชื่อหรือไม่? ข้อดีของการมีน้องสาว ช่วยให้คนเป็นพี่มีความสุขได้!

              ลูกอยู่ไม่นิ่ง กับพฤติกรรมชอบแหย่

              รับมือ ลูกอยู่ไม่นิ่ง กับ6พฤติกรรม”แหย่ๆ”ของเด็กวัยซน

              พฤติกรรมแหย่ ๆ แม้ว่าเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ของเจ้าลูกจอมซน ลูกอยู่ไม่นิ่ง ก็ตามที แต่บางครั้งการแหย่ก็ก่อให้เกิดอันตรายได้หากพ่อแม่ไม่ระมัดระวังให้ดี

              รับมือ ลูกอยู่ไม่นิ่ง กับ 6 พฤติกรรม”แหย่ๆ”ของเด็กวัยซน!!

              เมื่อลูกน้อยเข้าสู่วัยเริ่มคลาน เริ่มขยับร่างกายได้เอง พฤติกรรมหนึ่งที่สร้างความปวดหัวแก่พ่อแม่ไม่น้อย นั่นคือ พฤติกรรมแหย่ ๆ ที่แม้ว่าไม่ใช่พฤติกรรมที่แย่ก็ตามที เพราะอย่างที่รู้กันว่าเด็กวัยนี้กำลังเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ การที่เขาจะมีพฤติกรรมชอบแหย่ ไม่ว่าจะเป็น แหย่ปลั๊กไฟ แหย่สัตว์เลี้ยง แหย่รู หรืออีกหลาย ๆ การแหย่ก็ตามที ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ลูกกำลังทดลอง สังเกต และต้องการเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวของเขา

              แต่ในบางที พฤติกรรมการแหย่นี้ก็อาจเป็นอันตรายร้ายแรงแก่ลูกจอมซน ลูกอยู่ไม่นิ่ง ได้เช่นกัน หากพ่อแม่ประมาท ละเลย วันนี้ ทีมแม่ ABK จึงของหยิบยกพฤติกรรมแหย่ ๆ ที่พ่อแม่ต้องระวัง และเตรียมรับมือเมื่อเจ้าตัวน้อยเข้าสู่วัยซน มาให้ได้เตรียมตัวก่อนเกิดเหตุร้ายกัน

              ลูกแหย่ปลั๊กไฟ!!

              ปลั๊กไฟ ของชอบของเด็กจอมซน เมื่อลูกอยู่ไม่นิ่ง อยากเรียนรู้ไปเสียทุกอย่าง ไฉนเลยที่เจ้ารูเล็ก ๆ ที่มีอยู่รอบบ้าน และที่สำคัญอยู่ในตำแหน่งไม่สูง พอที่จะทำให้เจ้าจอมซนใช้นิ้วน้อย ๆ แหย่ปลั๊กไฟ ให้พ่อแม่ต้องหวาดเสียวเล่น

              ลูกอยู่ไม่นิ่ง ลูกชอบแหย่ปลั๊กไฟ พฤติกรรมเรียนรู้ของเด็กวัยซน
              ลูกอยู่ไม่นิ่ง ลูกชอบแหย่ปลั๊กไฟ พฤติกรรมเรียนรู้ของเด็กวัยซน

              วิธีเลือกปลั๊ก ป้องกันลูกชอบแหย่ปลั๊กไฟ

              1. ปลั๊กแบบมีม่านนิรภัยกันไฟดูด เป็นปลั๊กที่มีพลาสติกปิดเปิดเหมือนบานพับ อยู่ภายในคอยกั้นไม่ให้นิ้วเล็ก ๆ ของเจ้าจอมซนแหย่เข้าไปโดนกระแสไฟฟ้าโดยตรง บริเวณขั้วทองแดงได้
              2. ปลั๊กที่มีสวิตซ์เปิด-ปิด ในตัว โดยปลั๊กชนิดนี้สามารถตัดกระแสไฟโดยการปิดสวิสซ์ที่มีลักษณะเหมือนกับสวิตซ์เปิดปิดไฟ สามารถป้องกันอันตรายจากเด็กเล็กได้ หากไม่ใช้เราก็สามารถตัดวงจรไฟฟ้าไป และหากเกิดเหตุไม่คาดฝันก็สามารถตัดกระแสไฟได้ง่ายด้วยเช่นกัน
              3. ตัวปิดปลั๊กไฟป้องกันไฟดูด ตัวปิดนี้ทำจากวัสดุพลาสติกซี่งเป็นฉนวนกันไฟฟ้า สามารถป้องกันไฟดูดได้ โดยเสียบขาปลั๊กที่ทำมาเหมือนขาปลั๊กไฟไว้ที่ช่องเสียบปลั๊กที่ไม่ใช้ ก็ช่วยป้องกันลูกอยู่ไม่นิ่ง เจ้าจอมซน ไม่ให้แย่ปลั๊กได้
              4. ฝาครอบปลั๊กไฟ โดยส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์ชนิดนี้จะใช้ในสถานที่ ที่ปลั๊กมักจะมีโอกาสโดนน้ำ หรือฝุ่นกระเด็นใส่ แต่ก็สามารถเลือกมาติดตั้งในบ้านที่คิดว่าอันตรายต่อลูกได้เช่นกัน โดยฝาครอบเปิดเมื่อใช้งานเท่านั้นเพื่อลดโอกาสในการสัผัสกระแสไฟจากปลั๊กได้

              การป้องกันอุบัติเหตุจากไฟดูดในเด็ก

              นอกจากพ่อแม่ต้องจัดการปลั๊กไฟให้มีความปลอดภัย ห่างไกลอันตรายที่จะเกิดกับลูกแล้ว ก็ยังมีข้อควรปฏิบัติอีกสักนิดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยแก่ลูกมากยิ่งขึ้น

              1. พ่อแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิด
              2. จัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย เช่น ไม่วางรางปลั๊กไฟไว้ที่พื้น หรือที่ที่เด็กเข้าถึงได้ง่าย เป็นต้น
              3. เดินสายดิน และติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วภายในบ้าน
              4. สอนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกต้องให้กับลูก เมื่อถึงวัยที่สามารถใช้งานได้

               

              ปลั๊กไฟ มีสวิทซ์เปิดปิด ช่วยป้องกันอันตราย
              ปลั๊กไฟ มีสวิทซ์เปิดปิด ช่วยป้องกันอันตราย

               

              วิธีปฐมพยาบาลเมื่อลูกถูกไฟดูด

              1. หากโชคร้ายเกิดไฟดูดลูก พ่อแม่อย่าเพิ่งเข้าไปช่วยทันที ให้ตัดแหล่งกำเนิดไฟฟ้าก่อน เช่น ถอดปลั๊ก ยกคัทเอาท์ลง แล้วจึงเข้าไปช่วยเหลือตามลำดับ
              2. ใช้วัตถุที่ไม่เป็นสื่อไฟฟ้า หรือฉนวนกันไฟฟ้า เช่น ผ้าแห้ง ไม้แห้ง เชือก สายยางพลาสติก หรือหนังสือพิมพ์ที่ม้วนเป็นแท่ง เขี่ยสายไฟให้หลุดจากตัวเด็ก หรือคล้องตัวเด็กที่ถูกไฟฟ้าดูดออกมา
              3. หากเด็กที่ถูกไฟฟ้าดูดไม่รู้สึกตัว และหัวใจหยุดเต้น ให้นวดหัวใจ โดยนวดอย่างน้อย 100 ครั้งต่อนาที พร้อมทั้งผายปอด โดยถ้ามีผู้ช่วยเหลือ 1 คน ให้ทำการนวดหัวใจ 30 ครั้งและผายปอด 2 ครั้ง แต่ถ้ามีผู้ช่วยเหลือ 2 คนให้ทำการนวดหัวใจ 15 ครั้งและผายปอด 2 ครั้ง จากนั้นให้รีบนำส่งโรงพยาบาล หรือตามหน่วยกู้ ถ้าไฟดูดไม่มาก เด็กยังมีสติ พูดโต้ตอบได้ ก็ควรตรวจตามร่างกายว่ามีบาดแผลใด ๆ หรือไม่ และนำส่งโรงพยาบาลต่อไป

              ลูกแหย่ สัตว์!!

              ข้อดีของการเลี้ยงสัตว์นั้นมีหลากหลายด้านที่พ่อแม่อาจคาดไม่ถึง เช่น ฝึกให้ลูกรู้จักการเอื้อเฟื้อ สอนความรับผิดชอบในการดูแลสัตว์เลี้ยงตัวเอง หรือเพิ่มความมั่นใจให้ลูกได้ แต่ขึ้นชื่อว่าสัตว์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของที่บ้านเอง หรือสัตว์ที่ลูกไม่คุ้นเคยก็แล้วแต่ พ่อแม่ควรระมัดระวังเมื่อเจ้าตัวน้อยยังไม่สามารถเข้าใจถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้แม้ว่าสัตว์ตัวนั้นจะเป็นสัตว์เลี้ยงที่บ้านก็ตาม

              ข้อควรระวัง

              1. แม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงที่บ้าน และเชื่องมากแค่ไหนก็ตาม แต่ไม่ควรไว้ใจมากจนปล่อยให้เด็กอยู่กับสัตว์ตามลำพัง พ่อแม่ควรอยู่ด้วยเสมอเวลาลูกเข้าใกล้สัตว์เลี้ยง
              2. ห้ามลูกป้อนอาหารสัตว์ เพราะหากสัตว์ตัวนั้นหิว แล้วรู้สึกไม่ทันใจอาจงับมือ หรือหน้าลูกเอาได้
              3. สอนให้ลูกมีเมตตากับสัตว์ ไม่แหย่หรือแกล้ง เพราะหากมันหงุดหงิดอาจกลับมาทำร้ายลูกได้
              4. นำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนตามกำหนดเวลา เพราะลูกอาจเสี่ยงรับเชื้อโรคจากการกัด ข่วน หรือเลียได้
              5. ดูแลสัตว์เลี้ยงให้สะอาดเสมอ

              ฟังข้อควรระวังแล้วพ่อแม่อาจรู้สึกว่าน่ากลัวจนไม่อยากเลี้ยงสัตว์ แต่ถ้าหากใช้ความรอบคอบและรู้จักดูแลเรื่องความปลอดภัยแล้ว ในบ้านก็จะมีสัตว์เลี้ยงน่ารักอยู่ร่วมกับทุกคนได้อย่างมีความสุข

              สัตว์เลี้ยง ลูกอยู่ไม่นิ่ง ลูกชอบแหย่สัตว์
              สัตว์เลี้ยง ลูกอยู่ไม่นิ่ง ลูกชอบแหย่สัตว์

              ลูกแหย่ ของเข้าจมูก!!

              วิธีการเรียนรู้ของเด็กวัยซนนี้ เมื่อเจอสิ่งของที่ตกตามพื้น หรือบางทีพ่อแม่อาจลืมวางของชิ้นเล็ก ๆ ไว้ใกล้มือของลูก เด็กก็มักจะหยิบขึ้นมาชิม เอาเข้าปาก หรือแหย่เข้าจมูกของตัวเอง เป็นอันตรายที่ควรระมัดระวังอย่างที่สุด ซึ่งพ่อแม่สามารถรับมือได้อย่างง่าย ๆ เพียงแค่คอยระมัดระวังไม่วางสิ่งของโดยเฉพาะของชิ้นเล็ก ๆ ไว้ที่พื้น หรือที่ ๆ ลูกสามารถหยิบได้ หมั่นสังเกตตรวจตราในบริเวณที่ลูกคลานให้สะอาด ไม่มีของวางไว้

              ข้อควรปฏิบัติ…เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก

              หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันแล้วจริง ๆ พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นเวลาลูกมีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก

              1. ตั้งสติ อย่าพึ่งโวยวายจนทำให้ลูกตกใจ จนอาจทำให้สิ่งแปลกปลอมนั้นหลุดเข้าไปลึกกว่าเดิม
              2. ใช้มือปิดรูจมูกอีกข้างแล้ว ให้ลูกทำแบบการสั่งน้ำมูกออกมา เพื่อให้สิ่งแปลกปลอมนั้นหลุดออกมาเอง แต่ใช้ได้ในกรณีที่ของนั้นหลุดเข้าไปไม่ลึก สามารถมองเห็น และเด็กรู้วิธีการสั่งน้ำมูกแล้ว
              3. ห้าม!!! พยายามใช้คีม หรือเครื่องมือต่าง ๆ คีบเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาเอง เพราะอาจทำให้ลูกตกใจ โดยเฉพาะเด็กเล็ก จะดิ้นเวลาเราคีบจนอาจจะดันให้หลุดเข้าไปลึกกว่าเดิม ถ้าเข้าไปลึกถึงหลอดลม หรือปอด อาจทำให้ไปอุดตันหลอดลมจนเสียชีวิตได้
              4. กรณีที่สั่งน้ำมูกแล้ว หรือประเมินดูแล้วว่าสิ่งแปลกปลอมนั้นอยู่ลึก หรือไม่มั่นใจ ให้รีบพาลูกไปพบแพทย์ในทันที

                ลูกชอบแหย่จมูก ลูกอยู่ไม่นิ่ง
                ลูกชอบแหย่จมูก ลูกอยู่ไม่นิ่ง

              ลูกแหย่ พัดลม!!

              พัดลมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เด็กชอบ และให้ความสนใจเสมอ ลูกมักจ้องเวลามันทำงาน และอาจเกิดความสงสัยจนนำนิ้วเข้าไปแหย่ดู ซึ่งนับว่าเป็นของอันตรายที่ต้องระวังใกล้ตัวเลยทีเดียว นอกเหนือจากพัดลมที่พบเจอบ่อยแล้ว บานพับประตู หน้าต่างก็ควรระวังไม่ต่างกัน แต่หากเกิดเหตุการณ์เลวร้าย ถึงขั้นนิ้วขาด ให้พ่อแม่ตั้งสติ แล้วรีบเอานิ้วนั้นมาล้างด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือ ใส่ในถุงพลาสติกมัดปากถุงให้แน่น จึงค่อยใส่ในกระติกน้ำแข็ง แล้วรีบไปโรงพยาบาลโดยทันที

              ข้อควรระวัง อย่าเอานิ้วที่ขาดสัมผัสน้ำแข็งโดยตรง เพราะจะทำให้เนื้อเยื่อตายจนไม่สามารถต่อได้

              ลูกแหย่ ของเข้าหู!!

              พฤติกรรมนี้นอกจากจะคอยระวังไม่ให้ลูกนำของเข้าหูด้วยตัวเองแล้ว ยังเป็นการเตือนพ่อแม่ที่ชอบใช้ก้านสำลีเเข้าไปทำความสะอาดในหูของลูกด้วยเช่นกัน หากต้องการทำความสะอาดหูของลูก แนะนำให้ใช้สำลีชุบน้ำสะอาดเช็ดรอบ ๆ ใบหูของลูกจะดีกว่า การแหย่ของเข้าหู การแคะหู อาจทำให้เกิด “แก้วหูทะลุ” ได้ อาการของการแก้วหูทะลุ คือเป็นไข้ ปวดหู และมีหนองไหลออกจากหู มีลักษณะเป็นๆ หายๆ และจะไม่ค่อยปวดมาก แต่ส่งผลให้การได้ยินลดลงตามมา หากไม่มีการติดเชื้อซ้ำซ้อนจะสามารถหายเองได้ภายใน 2-3 เดือน โดยไม่ต้องรักษา

              แหย่ ที่ไม่ใช่การแหย่

              “เฮ้ย! เจ้าอ้วน ไปกินอะไรมาเนี่ย?…เดินคับซอยเลยนะ (หัวเราะ)”

              หากกล่าวถึงพฤติกรรมการแหย่ มีด้วยกันสองความหมาย ความหมายที่นอกเหนือจากการเอานิ้วมือ หรือปลายไม้จิ้มแยงเข้าไปแล้ว ยังมีความหมายถึงการยั่ว หยอกเย้าให้เกิดความรำคาญได้

              เด็กถูกแหย่ ทำให้ขาดความมั่นคงทางอารมณ์
              เด็กถูกแหย่ ทำให้ขาดความมั่นคงทางอารมณ์

              การหยอกล้อหรือแหย่เด็ก (Teasing) เป็นพฤติกรรมการแสดงออกโดยทั่วไปที่ผู้ใหญ่มักใช้ในการสร้างสีสันและความสนุกสนาน ไม่ว่าจะเป็นการทำหน้าตาหรือท่าทางประหลาดๆเพื่อล้อเลียน การตั้งชื่อหรือฉายาในทางขำขัน การเล่นหยิกแก้มหรือจั๊กจี้เอว การเล่นแย่งอาหารหรือสิ่งของกัน เป็นวิธีการสร้างความใกล้ชิดและความสัมพันธ์กับเด็กภายใต้ขอบเขตของการสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของทั้งสองฝ่าย

              แม้ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามและโดยความตั้งใจของผู้ใหญ่แล้วดูจะเป็นการแสดงความรู้สึกดีๆ ต่อกันเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อใดที่การหยอกล้อไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็กหรือเด็กโตได้ข้ามเส้นแบ่งความสนุกไปสู่ความรู้สึกไม่พอใจ โกรธหรืออับอาย และไม่สนุกไปด้วยกันอีกแล้ว เมื่อนั้นการแหย่เด็กโดยไม่คิดให้รอบคอบและระมัดระวังถึงผลกระทบต่อเด็กที่ตามมามากมายจึงไม่ใช่วิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอีกต่อไป

              วิธีรับมือ เด็กซน ลูกอยู่ไม่นิ่ง
              วิธีรับมือ เด็กซน ลูกอยู่ไม่นิ่ง

              การหยอกล้อโดยไม่คิดหน้าคิดหลังดังตัวอย่างที่กล่าวถึงนี้สามารถส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านจิตใจ อารมณ์และพฤติกรรมการเข้าสังคมของเด็กใน 3 ลักษณะที่สำคัญ ดังนี้

              1. ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ เด็กที่ตกอยู่ในภาวะเครียดและกดดัน หรือมีความฝังใจในเรื่องใดๆ มักไม่สามารถรับมือหรือจัดการกับอารมณ์ของตนเองในทิศทางที่เหมาะสมได้ บางคนฉุนเฉียวและโมโหง่าย บางคนอยู่กับความกลัวและวิตกกังวล บางคนอยู่กับความทุกข์ใจ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเป็นอย่างมาก
              2. ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง การแหย่ทำให้เด็กคิดไปว่าตัวเองไร้ค่า ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง มีแต่คนแกล้ง และทำให้ขาดความมั่นใจในที่สุด
              3. มีพฤติกรรมเลียนแบบ โดยปกติของเด็กแล้วการเลียนแบบผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อแม่ถือเป็นงานอย่างหนึ่งของเด็กวัยเรียนรู้ เมื่อเด็กเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ดี ก็จะก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น การหยอกล้อเพื่อความสนุกที่เกินเลยไป การข่มขู่คุกคามบุคคลรอบตัวด้วยสำคัญผิดว่าเป็นความสนุก เป็นต้น
              ข้อมูลอ้างอิงจาก sahndesign.com/Rama channel/sanook.com/paolohospital.com/กรมสุขภาพจิต

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              โชคดีพ่อทำเป็น! ปั๊มหัวใจ ลูกชาย 3 ขวบจมน้ำ รอดหวุดหวิด!

              ง๊าย..ง่าย 2 วิธีติดตั้งคาร์ซีท ให้ถูกต้องปลอดภัยกับลูก ตั้งแต่แรกเกิด – 7 ขวบ

              อันตรายจาก ประทัดระเบิด สอนลูกให้ระวังไว้ วัยซนเสี่ยงเจ็บสูง!

              สอนลูกอย่างไรให้รอดชีวิตจาก ไฟไหม้บ้าน !!

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ลูกไม่ยอมทำการบ้าน

                ลูกไม่ยอมทำการบ้าน ชอบผัดวันประกันพรุ่ง พ่อแม่ต้องแก้ยังไง?

                ลูกไม่ยอมทำการบ้าน –  “เดี๋ยวเอาไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยทำพรุ่งนี้”  คือ คำพูดที่คุณพ่อคุณแม่หลายๆ คน อาจเคยได้ยินจากลูกๆ วัยเรียน ที่มักผัดวันประกันพรุ่งไม่ยอมจัดการกับการบ้านที่คุณครูสั่งมาให้เสร็จเรียบร้อยในเวลาที่ควรจะเป็น จริงๆ แล้วการผัดวันประกันพรุ่งไม่ใช่สิ่งเลวร้าย  การผัดวันประกันพรุ่งในเด็กๆ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ปกติตามวัย เนื่องจากเด็กๆ มักพบว่ามีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าการต้องเปิดสมุดหนังสือเพื่อทำการบ้าน การต้องคอยกระตุ้นลูก ๆ ในวัยนี้อาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายวันนี้เรามีวิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลูกเพื่อให้เลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่งมาฝากกันค่ะ

                ลูกไม่ยอมทำการบ้าน ชอบผัดวันประกันพรุ่ง พ่อแม่ต้องแก้ยังไง?

                หากทุกวันนี้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการสอนลูกเรื่องความรับผิดชอบ และดูเหมือนว่ามันยากเย็นหลือเกิน อยากแนะนำว่าไม่ต้องกังวลจนเกินไป หรือกลัวว่าลูกจะติดนิสัยแบบนี้จนแก้ไม่หายไปจนโต เพราะมีงานวิจัยในต่างประเทศชิ้นหนึ่ง ที่พบความจริงที่ว่า ผู้คนจะผัดวันประกันพรุ่งน้อยลงเมื่อมีอายุ และประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการวิจัยเกี่ยวกับการผัดวันประกันพรุ่งยังแสดงให้เห็นอีกด้วยว่าพ่อแม่สามารถสอนบุตรหลานให้เอาชนะการผัดวันประกันพรุ่งได้ถ้าทำอย่างสม่ำเสมอ  และยิ่งบุตรหลานของคุณปฏิบัติตามมากเท่าไหร่ ก็จะมีโอกาสทำให้พฤติกรรมผัดวันประกันพรุ่งลดน้อย หรือหายไปได้

                อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างระหว่างการอู้งานเป็นครั้งคราว กับเด็กที่มีนิสัยผัดวันประกันพรุ่งอย่างชัดเจนซึ่งอาจเป็นผลมาจากปัญหาพื้นฐานบางอย่างที่ต้องได้รับการแก้ไข สำหรับพ่อแม่การจัดการกับสิ่งต่างๆ เพื่อให้ลูกลดละเลิกพฤติกรรมที่ไม่ดีนี้ อาจมีความท้าทายด้วยการต้องคอยสังเกตว่าลูกของเราจัดอยู่ในกลุ่มเด็กที่อู้งานเป็นบางครั้ง หรือชอบอู้ตลอดจนติดเป็นนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง

                รูปแบบของการผัดวันประกันพรุ่ง

                การผัดวันประกันพรุ่งมีหลายรูปแบบ เช่น

                • ลูกไม่เริ่มทำการบ้าน ตั้งแต่เนิ่นๆ ปล่อยไว้จนถึงวันสุดท้ายก่อนกำหนดส่ง
                • ทำงานที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้
                • การหยุดทำการบ้านกลางคัน เพื่อทำสิ่งอื่นที่ดูไม่สำคัญ

                สำหรับเด็กการผัดวันประกันพรุ่งมักจะส่งผลด้านลบต่อตัวเด็กได้หากปล่อยเอาไว้ เช่น ผลการเรียนไม่ดี หรือสอบตก เด็กๆ ไม่สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตร หรือผลที่ตามมาของครอบครัว เช่น ผู้ปกครองต้องเหนื่อยกับการกำกับดูแลลูกมากขึ้น

                มีขั้นตอนและวิธีต่างๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถลงมือทำได้เพื่อช่วยให้ลูกเลิกพฤติกรรมผัดวันประกันพรุ่งได้ โดยสิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ต้องเข้าใจว่าเหตุใดบุตรหลานของคุณจึงชอบดองการบ้านของพวกเขา

                ลูกไม่ยอมทำการบ้าน
                ลูกไม่ยอมทำการบ้าน

                การทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูก

                มักมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ว่าเด็กที่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง เป็นเด็กขี้เกียจ หรือมีแรงจูงใจต่ำ แต่ความจริงยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่อาจทำให้เด็กมีพฤติกรรม ผัดวันประกันพรุ่ง ได้แก่ :

                • ขาดความเชื่อมโยง : บุตรหลานของคุณอาจไม่เห็นว่างานนั้นเกี่ยวข้องกับเป้าหมายในปัจจุบันหรืออนาคตของเขาหรือเธอ
                • ความเบื่อหน่าย : การบ้านบางวิชาอาจไม่น่าสนใจ เช่น เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ อาจมองว่าวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่น่าเบื่อ และไม่น่าสนใจ
                • ขาดวินัยในตนเอง : การรู้หน้าที่ของตัวเองว่าต้องทำอะไรบางอย่าง ไม่เหมือนกับการเริ่มต้นที่จะทำให้สำเร็จ เด็ก ๆ ต้องเผชิญกับสิ่งรบกวนมากมาย ซึ่งอาจทำให้ยากที่จะจัดลำดับความสำคัญและโฟกัสตามแผนที่ควรจะเป็น
                • การบริหารเวลาไม่ดี : เด็ก ๆ หลายคนประเมินว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ในการทำบางสิ่งและต้องทำให้ดี พวกเขาละเลยการบ้านเพราะอาจสมมติว่ามีเวลาเพียงพอที่จะทำงานให้เสร็จสิ้นได้ตามกำหนด
                • ความวิตกกังวลและ / หรือความกลัวที่จะล้มเหลว : เด็กบางคนไม่สามารถเริ่มงานได้ เนื่องจากพวกเขากลัวว่าผลงานของพวกเขาจะไม่เป็นไปตามความคาดหวังของตัวเอง หรือความคาดหวังของผู้อื่นเช่นพ่อกับแม่ ที่สำคัญเมื่อปัญหาดำเนินไปสู่จุดสูงสุด ความวิตกกังวลต่างๆ อาจกลายเป็นสิ่งที่ฝังลึกในจิตใจของลูกจนเกิดความเชื่อด้านลบที่ว่าอะไรที่ไม่สมบูรณ์แบบ มักเป็นสิ่งที่ไม่มีใครให้การยอมรับ และคิดว่าตัวเองทำอะไรก็ไม่ดี จนไม่อยากริเริ่มทำอะไรให้เสร็จลุล่วงอย่างที่ควรจะเป็น

                เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมผัดวันประกันพรุ่งของบุตรหลานคุณต้องพูดคุยอย่างเปิดอกและรับฟังมุมมองของลูก โดยทั่วไปแล้วเด็ก ๆ ยินดีที่จะบอกเล่าปัญหากับพ่อแม่ หากพวกเขารู้สึกว่าพ่อแม่รับฟังและพร้อมให้การสนับสนุนและแก้ปัญหาให้พวกเขา หน้าที่สำคัญของพ่อแม่ คือ ต้องทำให้ลูกรู้สึกได้ว่าคุณพร้อมที่จะรับฟัง และเข้าใจปัญหาต่างๆ ของพวกเขาอย่างแท้จริง

                ผู้ปกครองจะทำอะไรได้บ้าง? เมื่อความวิตกกังวลของลูกทำให้เธอไม่สามารถจัดการกับงานที่จำเป็นได้คุณจำเป็นต้องเข้ามาแทรกแซง ห้าขั้นตอนเหล่านี้สามารถช่วยได้:

                1. ตั้งคำถามลูก

                คอยสังเกตและเรียนรู้ว่าลูกของคุณมีมุมมองต่อตนเองอย่างไร ความคาดหวังที่พวกเขาต้องเจอ และความเป็นจริงของสถานการณ์ ถามคำถามเช่น “ลูกตั้งมาตรฐานสำหรับตัวเองอย่างไร”  “ ลูกคิดว่าพ่อแม่คาดหวังอะไรจากลูก” “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าลูกไม่ทำงานให้สำเร็จตามมาตรฐานที่ตั้งใจไว้” การเข้าใจว่าบุตรหลานของคุณตีความสถานการณ์อย่างไร จะช่วยให้คุณพัฒนาการตอบสนองกับลูกได้อย่างเหมาะสม

                2. อธิบายความคาดหวังของคุณ

                เด็ก ๆ มักจะประเมินความคาดหวังของผู้ปกครองสูงเกินไป ดังนั้นให้แน่ใจว่าคุณมีความชัดเจนและเป็นจริง ในสิ่งที่คุณคาดหวังจากลูก ตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองหลายคนอาจให้ความสำคัญกับความพยายามในการทำโครงงานของโรงเรียน หรือการทดสอบ ไม่ใช่เกรด แต่เด็กอาจคิดว่าคุณคาดหวังให้พวกเขาต้องทำได้ดีในทุกๆ อย่าง
                สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องจริงสำหรับเด็กที่ประสบความสำเร็จสูงอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับเด็กที่ต่อสู้กับการแก้นิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ความคาดหวังดังกล่าวอาจสูงเกินไป ในกรณีนี้ให้มุ่งไปที่การระบุความคาดหวังที่เฉพาะเจาะจงและสามารถทำได้ เช่น การกำหนดเวลาทำการบ้าน

                จำไว้ว่าต้องชัดเจนและตรงไปตรงมาเมื่ออธิบายให้ลูกได้รู้ถึงความคาดหวังของคุณ การทำเช่นนี้ จะช่วยให้แน่ใจว่าคุณและบุตรหลานของคุณจะปฏิบัติตัวตามความคาดหวังนั้น – หากบุตรหลานของคุณยังคงผัดวันประกันพรุ่งหลังจากที่คุณกับลูกได้ตกลงและพูดคุยกันแล้ว ให้ทบทวนความคาดหวังของคุณใหม่ และช่วยกระตุ้นให้พวกเขารับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง และผลที่ตามมา

                ลูกไม่ยอมทำการบ้าน

                3. สอนทักษะในการแก้ปัญหา

                เด็กที่กลัวความล้มเหลวมักจะวนเวียนอยู่กับความคิดด้านลบที่เกินเลยความเป็นจริง ไร้เหตุผลและมองโลกในแง่ร้ายอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้นอกจากจะก่อให้เกิดความวิตกกังวลและการผัดวันประกันพรุ่งแล้ว ยังสามารถนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่ดีได้อีกด้วย เด็กอาจแสดงออกเพราะไม่รู้วิธีแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม

                คุณสามารถช่วยเป็นโค้ชให้ลูกของคุณได้โดยการสอนเทคนิคในการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ลองแบ่งงานออกเป็นส่วนที่จัดการได้มากขึ้น หรือตั้งเป้าหมายที่เล็กลง และสามารถบรรลุได้มากขึ้น การช่วยให้บุตรหลานของคุณเข้าใจวิธีการจัดทำแผนสำหรับจัดการกับปัญหา จะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกไม่หนักใจกับงานที่ต้องรับผิดชอบตรงหน้า

                วิธีรับมือ ลูกทะเลาะกับเพื่อน ต้องเตือนหรือสอนลูกยังไง?

                เทคนิคดี สอนให้ลูกคิดเอง หาวิธีแก้ปัญหาเองได้ โดยพ่อเอก

                10 เทคนิค สอนการบ้านลูก ให้สำเร็จ แบบไม่เสียน้ำตา

                4. ชี้ให้ลูกเข้าใจวิธีที่จะช่วยแก้ปัญหาได้

                ขอให้บุตรหลานของคุณระบุคุณลักษณะที่พวกเขาคิดว่านำไปสู่ความสุขและความสำเร็จในชีวิต เช่น ความซื่อสัตย์ ความคิดสร้างสรรค์ ทักษะของผู้คน ความหลงใหล เป็นต้น การให้บุตรหลานของคุณมุ่งเน้นไปที่ลักษณะบุคลิกภาพที่พวกเขามีอยู่แล้ว หรือมีแนวโน้มที่จะพัฒนาขึ้นจะช่วยเพิ่มความภาคภูมิใจในตนเองและส่องแสงสว่างให้กับลูกมุ่งไปสู้เป้าหมายในการที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้

                5.ใช้ประสบการณ์ของคุณเพื่อเชื่อมโยง

                เล่าถึงปัญหาต่างๆ ของคุณเองในอดีตให้ลูกฟัง และ อธิบายว่าคุณจัดการและผ่านปัญหาเหล่านั้นมาได้อย่างไร  เนื่องจากความวิตกกังวลที่สะสมเรื้อรังและไม่ได้รับการแก้ไขที่เหมาะสม อาจทำให้การแก้ปัญหาพฤติกรรมไม่สำเร็จ คุณอาจต้องช่วยลูกที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนหรือปรับปรุงตัวเอง พิจารณากำหนดเวลาเริ่มต้นให้กับลูก ตัวอย่างเช่น“ หลังอาหารเย็นเวลา 6.00 น. เรามาเริ่มกันเลย” คุณยังลองตั้งกฎบางอย่างเกี่ยวกับการเริ่มปรับเปลี่ยน เช่น ให้ลูกทำการบ้านโดยไม่หยุดพักจนกว่าจะเสร็จเรียบร้อย หรือ ทำงานเฉพาะส่วนให้เสร็จก่อนที่จะหยุดพัก ด้วยวิธีนี้สามารถช่วยให้เด็กๆ  จัดการกับความวิตกกังวลและสร้างความรู้สึกมีแรงผลักดันและความมั่นใจในการทำงานให้สำเร็จได้

                ท้ายที่สุด เป้าหมายของคุณ คือ การช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะตั้งความคาดหวังกับตัวเองอย่างสมเหตุสมผลและสามารถจัดการกับความวิตกกังวลตอดจนความกลัว ต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยพยายามที่จะประสบความสำเร็จในงานที่ทำ แทนที่จะหลีกเลี่ยงหรือละเลย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ความสำเร็จได้ในที่สุด เพราะด้วยการสนับสนุนจากผู้ปกครอง รวมถึงวิธีการที่ใช้จัดการกับปัญหา และความเต็มใจที่จะพยายามให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงของลูก จะทำให้การจัดปัญหาต่างๆ ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

                การหมั่นปลูกฝังให้ลูกลดละเลิกพฤติกรรมด้านลบต่างๆ  ด้วยความช่วยเหลือที่เหมาะสมของพ่อและแม่  จะช่วยให้ปัญหาต่างๆ เช่น การผัดวันประกันพรุ่ง การรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมายไม่ดีพอ การปล่อยปละละเลยสิ่งที่ต้องทำตามหน้าที่ มีแนวโน้มที่จะดีขึ้นได้แน่นอน การให้ความสำคัญต่อการพูดคุยกับลูกเพื่อหาทางแก้ปัญหาต่างๆ ร่วมกันอยู่เสมอ จะช่วยให้ลูกเป็นเด็กที่รู้จักกับความ ผิดชอบชั่วดี และมีทักษะด้านความฉลาดทางคุณธรรม (MQ) ซึ่งถือเป็นทักษะจำเป็นสำหรับเด็กยุคนี้ เพราะจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกฝังความดีลงไปในจิตสำนึก ซึ่งจะทำให้ตัวเด็กสามารถพัฒนา MQ ได้ในระดับที่สูงขึ้นต่อไปในอนาคตค่ะ

                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : empoweringparents.com

                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                การบ้านอนุบาล เรื่องปวดหัวทั้งตัวพ่อและตัวแม่ โดยพ่อเอก

                ต่างกันอย่างไรระหว่าง ลอกการบ้าน เพื่อนกับให้เพื่อนลอก

                ลูกไม่อยากทำการบ้าน ทำอย่างไรดี?

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  เห็นคุณค่าในตัวเอง

                  วิธี ฝึกลูกให้เห็นคุณค่าในตัวเอง เมื่อลูกมั่นใจจะทำอะไรก็สำเร็จ

                  ฝึกลูกให้เห็นคุณค่าในตัวเอง – พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสำคัญต่อความนับถือตนเองของบุตรหลาน ความนับถือตนเอง คือ การรวบรวมสั่งสมความเชื่อหรือความรู้สึกที่เราทุกคนมีเกี่ยวกับตัวเอง ตลอดจนวิธีที่เราคิดเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ว่าจะในทางบวกหรือทางลบ ซึ่งพ่อแม่ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อทัศนคติพฤติกรรมและความสำเร็จในชีวิตของลูก หากลูกของคุณมีความมั่นใจในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง ก็มีแนวโน้มที่จะต่อสู้กับแรงกดดันจากสังคมที่มนุษย์ทุกคนต่างต้องพบเจอเป็นธรรมดา

                  วิธี ฝึกลูกให้เห็นคุณค่าในตัวเอง เมื่อลูกมั่นใจจะทำอะไรก็สำเร็จ

                  ไม่ว่าลูกของคุณจะเป็นเด็กวัยเตาะแตะหรือวัยรุ่น คุณมีอิทธิพลต่อวิธีที่ลูกนึกคิด เกี่ยวกับตัวเอง เพื่อส่งเสริมให้บุตรหลานของคุณสร้างความภาคภูมิใจในตนเองที่ดีควรคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้เมื่อพูดคุยกับเขา

                  • เห็นอกเห็นใจ  มองโลกผ่านสายตาของเด็ก
                  • สื่อสารด้วยความเคารพ  อย่าขัดจังหวะ หรือเฉยเมย กับการพูดของลูก
                  • ให้ความสนใจ  เด็กรู้สึกรักเมื่อเราใช้เวลากับพวกเขาแบบตัวต่อตัว หากลูกของคุณต้องการคุยกับคุณให้ปิดโทรทัศน์หรือวางหนังสือพิมพ์ลง
                  • ยอมรับและรักลูกในสิ่งที่พวกเขาเป็น  วิธีนี้จะช่วยให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นในการสื่อสารกับผู้อื่นและจะเรียนรู้วิธีแก้ปัญหา
                  • ให้โอกาสบุตรหลานของคุณในการมีส่วนร่วม  สิ่งนี้จะสื่อถึงความศรัทธาของคุณที่มีต่อความสามารถของเลูก และจะทำให้ลูกรู้สึกถึงความรับผิดชอบ
                  • ให้ความผิดพลาดเป็นประสบการณ์  เด็กที่พ่อแม่ตอบสนองต่อความผิดพลาดของลูกมากจนเกินไป เด็กมักจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่างๆ ที่จะนำไปสู่ความผิดพลาด ในที่สุดจึงลงเอยด้วยการโทษคนอื่น
                  • เน้นจุดแข็งของพวกเขา  ความรู้สึกถึงความสำเร็จ และความภาคภูมิใจ จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจที่จะอดทนเมื่อต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆในชีวิต
                  • ให้พวกเขาแก้ปัญหาและตัดสินใจ  หลีกเลี่ยงการบอกลูกว่าต้องทำอะไร กระตุ้นให้ลูกคิดวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน
                  • วินัยในการสอน    ไม่ควรลงโทษทางวินัยในลักษณะที่ข่มขู่ หรือทำให้ลูกต้องอับอาย
                  • อย่าปล่อยให้ลูกมีความคิดเชิงลบ  เมื่อลูกของคุณพูดว่า“ หนูทำคณิตศาสตร์ไม่ได้” ในฐานะพ่อแม่คุณต้องจัดการกับทัศนคติเชิงลบนี้ คำตอบที่ดีอาจพูดว่า “หนูเป็นนักเรียนที่ดีจ๊ะ แค่คณิตศาสตร์อาจเป็นวิชาที่หนูไม่ถนัด แต่เราฝึกฝนกันได้นิ เดี๋ยวพ่อกับแม่ช่วยติวให้”
                  • สื่อสารแบบสองต่อสอง  โดยเฉพาะ ให้ระงับการสนทนาให้เป็นส่วนตัว การสื่อสารที่ดีที่สุดระหว่างคุณกับลูกจะเกิดขึ้นเมื่อไม่มีคนอื่นอยู่ใกล้ ๆ
                  • ใช้คำพูดให้กำลังใจและยกย่องชื่นชม เช่น พ่อชอบวิธีคิดของลูก แม่ภูมิใจในตัวหนู พ่อแม่ดีใจที่ได้มีลูกเกิดมาเป็น ลูกชาย / ลูกสาว ของพ่อแม่ เป็นต้น

                  โปรดคำนึงถึงคำแนะนำเหล่านี้ เมื่อต้องพูดคุยกับลูกของคุณ วิธีที่คุณโต้ตอบกับลูกสามารถกระตุ้นให้เด็กๆ คิดบวกเกี่ยวกับตัวเองได้มากขึ้น คุณสามารถสร้างความภาคภูมิใจในตนเองให้ลูกได้ง่ายๆเพียงแค่สื่อสารกับลูกในแง่บวก จำไว้ว่าลูก ๆ ของคุณต้องพึ่งพาคุณในหลายๆ ความเชื่อของพวกเขา หากคุณแสดงให้เห็นว่าคุณเชื่อมั่นในตัวลูก ลูกก็จะเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง!

                  ฝึกลูกให้เห็นคุณค่าในตัวเอง
                  ฝึกลูกให้เห็นคุณค่าในตัวเอง

                   

                  วิธีพัฒนาความนับถือในตนเองให้ลูก

                  การมีความภาคภูมิใจในตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อลูกของคุณโตขึ้นเขาจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ มากมายที่รออยู่ในวันข้างหน้า การมีความภาคภูมิใจในตนเองเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกทางเลือกให้ชีวิตที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพกายและใจ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่บุตรหลานของเราต้องรู้ว่าตัวเองนั้นมีค่า

                  แม้ว่าพ่อแม่ต้องมีบทบาทอย่างแข็งขันในการส่งเสริมความภาคภูมิใจในตนเองของลูก แต่พ่อแม่ก็ต้องสอนลูก ๆ ว่าจะรับผิดชอบต่อความรู้สึกของตัวเอง และความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองได้อย่างไร การให้ข้อมูลและการสนับสนุนบุตรหลานจะช่วยให้พวกเขามีความมั่นใจ และมีทักษะในการตัดสินใจที่ดีต่อการเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง

                  ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่บุตรหลานของคุณสามารถทำได้เพื่อปรับปรุงการมองเห็นคุณค่าในตังเอง หากพบว่ามีความภาคภูมิใจในตัวเองไม่ดีเท่าที่ควร

                  • ลิสต์รายการสิ่งที่ถนัดและทำได้ดี

                  อาจเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่การเล่นเครื่องดนตรีหรือวาดภาพไปจนถึงการเล่นกีฬา หรือ การทำผลงานได้ดีในวิชาต่างๆ ที่โรงเรียน หากลูกมีปัญหาในการคิดสิ่งที่ตนเองถนัด ให้ลูกขอความช่วยเหลือจากคุณพ่อคุณแม่ จากนั้นให้คุณเพิ่มบางสิ่งลงในรายการ เพราะอาจมีบางอย่างที่ลูกยังมองไม่เห็นว่าตัวเองทำได้ดี ซึ่งพ่อแม่อาจมองเห็นอะไรที่ดีบางอย่างที่แฝงอยู่ในความสามารถของลูก

                  • ชมเชยตัวเองสามครั้ง ทุกวัน

                  อย่าพูดแค่ว่า“ ฉันสบายดี” ให้ลูกได้พูดเจาะจงถึงสิ่งที่ชอบเกี่ยวกับตัวเอง ตัวอย่างเช่น “วันนี้ฉันช่วยแม่ได้มากในห้องครัว” หรือ “ฉันทำได้ดีมากในชั้นเรียนคณิตศาสตร์” ให้ลูกได้ทำก่อนเข้านอนทุกคืน การบอกตัวเองพูดกับตัวเองอย่างสม่ำเสมอถึงสิ่งที่ทำให้มีความสุข จะช่วยให้ลูกของคุณเกิดความนับถือตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ

                  • สร้างความภูมิใจในร่างกายตัวเอง

                  ไม่ว่ารูปร่างหน้าตา สีผิว จะเป็นอย่างไร หากลูกกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ส่วนตัว พ่อแม่ควรตรวจสอบกับแพทย์เพื่อให้แน่ใจว่าลูกมีสุขภาพที่ดี ให้ลูกฝึกเตือนตัวเองเกี่ยวกับสิ่งที่ชอบในร่างกายตัวเอง ตัวอย่างเช่น “ หนูมีกล้ามเนื้อแขนที่แข็งแรง หนูถนัดใช้มันเล่นเทนนิส” หรือ“ หนูมีสุขภาพตาที่ดีและเป็นนักอ่านที่สุดยอดไปเลย!

                  • ยอมรับสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวเองที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

                  พยายามฝึกให้ลูกเปลี่ยนความคิดเห็นเชิงลบในหัวให้เป็นความคิดเห็นเชิงบวก เมื่อเริ่มได้ยินลูกพูดในสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเอง ให้บอกลูกว่าให้หยุดคิด แล้วให้แทนที่ความคิดที่ไม่ดีเหล่านั้นด้วยความคิดที่ดี ตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่า“ หนูโง่มากทำการบ้านคณิตศาสตร์ไม่ได้”  ทางที่ดีควรบอกลูก ให้พูดกับตัวเองว่า “หนูรู้ว่าถ้าขอให้แม่ช่วยสอน หนูจะทำโจทย์คณิตศาสตร์เหล่านี้ได้ดีขึ้นแน่ๆ” มุ่งเน้นไปที่สิ่งดีๆ ที่คุณทำแทนที่จะเป็นแง่ลบลูกจะได้เรียนรู้ที่จะรักและเห็นคุณค่าในตัวเอง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ ของเด็กที่มีความยอมรับและเห็นคุณค่าในตัวเอง

                  ฝึกลูกให้เห็นคุณค่าในตัวเอง

                   

                  วิธีที่ผู้ปกครองช่วยเพิ่มความนับถือตนเองให้ลูกได้

                  ผู้ปกครองสามารถส่งเสริมความนับถือตนเองของบุตรหลานได้มากกว่าคนอื่น ๆ ในความเป็นจริงพ่อแม่อาจทำโดยไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่พูดและทำนั้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อความรู้สึกของลูกเกี่ยวกับตัวเอง ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำที่ดีที่จะช่วยให้ผู้ปกครองส่งเสริมความนับถือตนเองของบุตรหลานอย่างกระตือรือร้น :

                  • บอกให้ลูกรู้ เมื่อคุณรู้สึกภูมิใจในตัวลูก

                  พ่อแม่มักจะแสดงความรู้สึกเชิงลบกับลูก ๆ โดยไม่รู้ตัว หรือด้วยเหตุผลบางอย่างอาจไม่ค่อยได้แบ่งปันความรู้สึกเชิงบวกให้ลูกรู้สึก ด้วยสิ่งนี้ลูกอาจเกิดความไม่แน่ใจว่าเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกภูมิใจในตัวเขา เขาจึงจำเป็นต้องได้ยินจากคุณบ่อยๆ ว่าคุณมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของคุณ เด็ก ๆ จำสิ่งดีๆ ที่เราบอกพวกเขา พวกเขาเก็บมันไว้และพูดคำพูดที่ให้กำลังใจกับตัวเองซ้ำ ๆ ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกรักและต้องการ ให้แน่ใจว่าคุณฝึกฝนให้ลูกของคุณมีกำลังใจที่ดีในทุกวัน

                  • ชื่นชมลูกด้วยเหตุผลที่ชัดเจน

                  เมื่อชมเชยลูกของคุณ ให้ใช้คำอธิบายที่ชัดเจน เพื่อให้เขารู้ว่าเขาทำสิ่งไหนได้ดี แล้วทำได้ดีแค่ไหน แน่นอนว่านี่หมายความว่าคุณจะต้องเริ่มสังเกตบุตรหลานของคุณว่าสามารถทำอะไรได้อย่างยอดเยี่ยมและ หรือแสดงความสามารถพิเศษ เมื่อลูกของคุณทำงานเสร็จคุณสามารถพูดว่า “ฉันชอบวิธีที่คุณแบ่งปันของเล่นกับน้องสาว ฉันรู้ว่าบางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะทำและการแบ่งปันของเล่นของคุณแสดงให้เห็นว่าคุณห่วงใยน้องสาวของคุณมากแค่ไหน” หรือเมื่อลูกของคุณแสดงความสามารถคุณอาจพูดว่า“ วันนี้คุณมีเกมที่ยอดเยี่ยม! ฉันบอกได้เลยว่าคุณฝึกซ้อมอย่างหนักในการเล่นฟุตบอล” คุณยังใช้คำชมเพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมของบุตรหลานได้อีกด้วย คุณอาจพูดว่า“ ฉันชอบมากที่คุณมาทานอาหารเย็นตรงเวลาคืนนี้ มันแสดงให้เห็นว่าคุณมีความรับผิดชอบแค่ไหน”  เป็นต้น

                  • หลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างความอับอาย

                  จริงอยู่ที่เด็กๆ ต้องได้ด้รับการสอนวินัยด้วยวาจาบ้างเพื่อให้จดจำ อย่างไรก็ตามหากคำวิจารณ์พุ่งเป้าไปที่เด็กในฐานะบุคคลหนึ่งแทนที่จะมุ่งไปที่พฤติกรรม ซึ่งอาจทำให้ลูกรู้สึกอับอายและเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อตัวเอง สิ่งสำคัญคือ พ่อแม่ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ “คำพูดของฉัน” มากกว่า “คำพูดของคุณ”ในการกล่าวตักเตือนลูก  เช่นพูดว่า “แม่อยากให้ลูกเก็บของเล่นไว้ในกล่องของเล่น แทนที่จะวางเกลื่อนพื้นห้องนอนแบนนี้นะลูก” แทนที่จะพูดว่า “ทำไมลูกถึงขี้เกียจขนาดนี้ ทำไมปล่อยห้องโสโครกขนาดนี้นะลูก?” แน่นอนว่า การใช้ข้อความแรก จะไม่ทำร้ายอัตตา หรือความนับถือตนเองของบุตรหลาน

                  • ใช้แนวทางเชิงบวกในการกำหนดขอบเขตและผลที่ตามมาสำหรับบุตรหลานของคุณ

                  เด็กทุกคนต้องยอมรับความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตนเอง และการเรียนรู้วินัยในตนเองเป็นสิ่งสำคัญมากในการจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพื่อช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้การมีวินัยในตนเอง ผู้ปกครองควรเข้าใกล้บทบาทของตนในด้านนี้ของพัฒนาการของเด็กโดยทำหน้าที่เป็นโค้ชหรือครูแทน ที่จะเป็นผู้ลงโทษ เมื่อคุณมีความยุติธรรมมั่นคง และเป็นมิตร เมื่อต้องรับมือกับลูกของคุณ คุณจะช่วยให้พวกเขายอมรับความรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของพวกเขา (ทั้งในทางร้ายและทางดี) โดยไม่ต้องคำนึงถึง “สิ่งแย่ๆ” ในการกระทำของพวกเขา

                  • หัวเราะกับลูก ๆ ของคุณและกระตุ้นให้พวกเขาหัวเราะด้วยตัวเอง

                  คนที่จริงจังกับตัวเองมากเกินไปอาจพลาดความสนุกมากมายในชีวิต อารมณ์ขันที่ดี และความสามารถในการสร้างแสงสว่างให้กับตนเองเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเติมแต็มการใช้ชีวิตให้มีความสุข สิ่งนี้ช่วยให้เด็ก ๆ รู้ว่าการทำผิดพลาดนั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ แค่ต้องรู้จักการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น

                  ทั้งนี้ ความล้มเหลวเพียงครั้งเดียว อาจจะทำให้ลูกเกิดความรู้สึกเป็นปมด้อยที่ตรึงติดภายในใจ เช่น ทำให้ลูกคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ทำไม่ได้ ไม่ดีพอ ดังนั้นเพื่อป้องกันลูกจากการมองตัวเองในแง่ร้ายและยอมรับได้กับความล้มเหลว ผิดพลาด ที่เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วคราว คุณพ่อคุณแม่ควรให้กำลังใจในความพยายามที่ดีของลูก แม้สิ่งนั้นอาจยังไม่ประสบความสำเร็จ  ควรใช้คำพูดและสร้างทัศนคติในด้านที่ดีให้กับลูก โดยมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหา ฝึกฝนใหม่ และก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างทักษะด้าน ความฉลาดในการคิดบวก (OQ) ให้กับลูกได้ เมื่อลูกเป็นคนคิดบวก มองเห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่เอาความผิดพลาดมาทำร้ายและตอกย้ำตัวเอง พวกเขาก็จะมีชีวิตที่มีความสุข เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สุขภาพกายใจดี มีความมั่นใจ มีความสุขและสำเร็จในชีวิตได้แน่นอนค่ะ

                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : yessafechoices.org

                    รีวิว บอร์ดเกม Splendor

                    ชวนเล่น! Splendor จุดประกายลูก สนุกกับบอร์ดเกม โดย พ่อเอก

                    Splendor เป็นบอร์ดเกม เกมที่ 3 แล้วนะครับ ที่จะเอามาเล่าและชวนกันมาเล่น  โปรยก่อนเลยว่าเกมนี้มีความน่าสนใจและสนุกมาก ปูนปั้นเองก็เข้ามาสู่โลกของบอร์ดเกมแบบเต็มตัวก็เพราะ Splendor คือก่อนหน้านั้น เราก็พาลูกไปเล่นตามร้านบอร์ดเกม เขาก็ชอบและสนุกกับการลองเกมโน้นเกมนี้ที แต่แล้วคืนหนึ่งในช่วงวันหยุดสงกรานต์เมื่อสัก 3 ปีที่แล้ว ผมพาเขาไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งจัดกิจกรรมเล็กๆ ชื่อ บอร์ดเกมไนท์ ก่อนไปผมถามลูกว่าอยากไปมั้ย ปูนปั้นตอบว่าอยาก ผมก็เลยขับรถพาลูกไปกันเองแค่ 2 คน พอไปถึงที่ร้าน เราก็แอบแปลกใจว่า เหล่าคนที่มาจัดกิจกรรมก็คือ กลุ่มมิชชันนารีหนุ่มสาว ชาวอังกฤษ อเมริกัน และเราไปเป็นลูกค้าคนแรก ซึ่งผมก็เข้าไปแนะนำตัวให้เขารู้ว่าลูกอยากลองเล่นเกม มีประสบการณ์เล่นบ้าง คุยอังกฤษได้ หลังจากที่เขาพูดคุยกับปูนปั้นแล้วก็ตกลงเลือก Splendor ซึ่งเกมแรกผมร่วมเล่นด้วย พอเกมที่ 2 ผมบอกว่าถ้าจะเล่นต้องเล่นกับพี่ๆเขาเอง ซึ่งผมก็แปลกใจที่เด็กขี้อายอย่างปูนปั้นตอบตกลง แล้วก็ไปขลุกเล่นกับเหล่ามิชชันนารีต่างชาติหนุ่มสาวเหล่านั้น และก็ยังมีเล่นบอร์ดเกมอื่นต่ออีก 2-3 อย่าง หลังจากคืนนี้ ปูนปั้นก็อยากเล่น บอร์ดเกม Splendor อีกจนเป็นบอร์ดเกมอันแรกที่เราสั่งซื้อเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษจากต่างประเทศ และก็บอกได้ว่าเล่นคุ้มมาก

                    รีวิวบอร์ดเกม Splendor

                    Splendor หรือ เกมพ่อค้าเพชร เป็นเกมที่น่าจะมีอยู่ในร้านบอร์ดเกมเกือบทุกร้านแทบจะเรียกได้ว่าเป็น เกมมาตรฐานที่ต้องมีเลยทีเดียว ใน boardgamegeek.com ไห้ rating เฉลี่ยไว้ที่ 7.4 เหมาะกับเด็กอายุ 10+ แต่จริงๆมันไม่ได้ยากขนาดนั้น เพียงแต่ต้องเรียนรู้ลอจิคและกลยุทธในการเล่น โดย complexity อยู่ที่ 1.8/5.0 เล่นได้ 2-4 คน แนะนำว่า 3 คนกำลังดี ตอนที่ปูนปั้นเล่นตอนนั้น น่าจะเพิ่ง 5 ขวบกว่า ดังนั้นไม่ยากไปแน่นอน

                    เกมจะเกี่ยวกับการซื้อขายอัญมณีหลากหลายรูปแบบ โดยเราจะมีเหรียญโทเคนหลายสีแทนอัญมณีต่างๆ ให้เลือกหยิบ เพื่อจะนำไปซื้ออัญมณีที่อยู่บนการ์ดที่เปิดไว้ โทเคนประกอบด้วย

                    • Emerald (มรกต) 7 Token – สีเขียว
                    • Sapphire (ไพลิน) 7 Token – สีฟ้า
                    • Ruby (ทับทิม) 7 Token – สีแดง
                    • Diamond (เพชร) 7 Token – สีขาว
                    • Onyx 7 (โอนิกซ์) Token – สีดำ
                    • Gold Joker 5 Token – สีทอง

                    ซึ่งบนการ์ดที่เราจะนำโทเคนไปซื้อนั้น การ์ดจะมีระดับความยากง่ายอีก 3 ระดับ ที่จะบอกว่า อัญมณีบนการ์ดต้องใช้เหรียญอะไรจำนวนเท่าไหร่ในการซื้อ และ แต่ละการ์ดจะมีคะแนนแสดงอยู่ด้วย นั่นก็หมายความว่า ถ้าการ์ดไหนมีคะแนนสูง (ระดับยาก) การจะครอบครองก็จะยากเพราะต้องใช้เหรียญหลากหลายสี และจำนวนมาก

                    บอร์ดเกม splendor รีวิว

                    ลูกได้เรียนรู้อะไรจาก บอร์ดเกม Splendor 

                    บอร์ดเกม Splendor เป็นเกมที่ต้องนำกลยุทธและการวางแผนต่างๆ มาใช้ในการตัดสินใจ เพื่อจะได้เปรียบและเป็นผู้ชนะ ยกตัวอย่าง เช่น

                    • การหยิบโทเคนมีข้อกำหนดการหยิบในแต่ละรอบว่า หยิบได้รอบละ 3 เหรียญ แต่หากจะหยิบสีซ้ำ รอบนั้นจะได้แค่ 2 เหรียญ
                    • การเลือกซื้ออัญมณีจะมองแค่ตัวแต้มสูง อย่างเดียวไม่ได้ เพราะเราต้องเก็บการ์ดอัญมณีที่ไม่มีแต้มด้วย เพราะราคาจะถูก ซื้อง่าย แต่เมื่อได้มาแล้วจะทำหน้าที่เหมือน โทเคนไปใช้ในการซื้อการ์ดต่อๆ ไปได้
                    • การแอบหมายปองการ์ดอัญมณีใบใดไว้ จะต้องไม่ให้คู่แข่งเดาได้ เพราะเขาอาจจะแกล้งมาแย่งชิง โดยการซื้อตัดหน้า หรือเอาเหรียญสีทองมาจองไว้
                    • การใช้เหรียญสีทองจองนั้น เราก็สามารถใช้เพื่อแกล้งคู่แข่งได้ เพื่อไม่ให้ได้การ์ดที่หมายปองไว้ แต่ถ้าเราเลือกทำอย่างนั้นเราจะเสียโอกาสไป 1 รอบ
                    • แล้วเมื่อมีการ์ดอัญมณีมากพอเราสามารถนำไปแลกการ์ดชนชั้นสูงที่คะแนนสูงมาไว้กับเรา ทำให้เรามีโอกาสชนะสูงขึ้น

                    แค่อ่านอาจจะไม่เห็นภาพ แต่ลองได้เล่นรับรองว่าจะติดใจ และเป็นเกมที่เหมาะกับเด็กเพราะไม่ยากเกินไป สนุกและสอนการคิดวางแผนเป็นระบบได้ดีเลย และน่าจะเป็นเกมที่จุดประกายให้เด็กมาสนุกกับบอร์ดเกม จะได้ไม่ไปติดอยู่หน้าจอหากเขารู้ว่ามีเกมสนุกๆ ที่ไม่ต้องใช้จออยู่ และคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เวลากับลูกได้ดี ครอบครัวเราเองหิ้วบอร์ดเกมติดรถไปเสมอ เวลาลูกไปเรียนกีฬาหรือเรียนดนตรีช่วงที่พี่รอน้องหรือน้องรอพี่ก็เป็นเวลาบอร์ดเกมที่ดีทีเดียว


                    ชวนลูกเล่นบอร์ดเกมนอกจากได้ความสนุกสนาน ใช้เวลาร่วมกับครอบครัวแล้ว ยังช่วยให้เกิด Power BQ หลายด้านทั้งความฉลาดจากการเล่น Play Quotient (PQ)  ความฉลาดทางสติปัญญา Intelligenct Quotient (IQ) และ Thinking Quotient (TQ) ฉลาดคิดเป็น ผ่านการคิดวางแผนเพื่อให้การเดินของตัวเองได้เปรียบ และการบล็อคเส้นทางเดินฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังช่วยสร้างจินตนาการให้ลูกมี Creativity Quotient (CQ) ด้วยการตั้งคำถามจากเกม รวมถึงต่อยอดชวนลูกไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุดอีกด้วย


                    >แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                    หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                    ติดตามเพจหมุนรอบลูก

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                    แนะนำ 4 “บอร์ดเกม” ฝึกลูกสมองไว ไหวพริบดี โดย พ่อเอก

                    เทคนิคดี สอนให้ลูกคิดเอง หาวิธีแก้ปัญหาเองได้ โดยพ่อเอก

                     

                      ลูกไม่พูด

                      5 ความเข้าใจผิดเมื่อ ลูกไม่พูด..พูดช้า และ 6 วิธีฝึกลูกพูด

                      ลูกไม่พูด..พูดช้า ลูกหูหนวกหรือเปล่านะเลยไม่พูด? ควรไปหาหมอหรือไม่? มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านภาษาของเด็ก ได้ที่นี่

                      5 ความเข้าใจผิดเมื่อ ลูกไม่พูด..พูดช้า และ 6 วิธีฝึกลูกพูด

                      เมื่อเด็กทารกเกิดมา พัฒนาการทางด้านต่าง ๆ ก็จะพัฒนาขึ้นไปตามวัย ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา พัฒนาการทางด้านภาษาและการพูด ก็เป็นอีก 1 พัฒนาการที่ลูกน้อยจะต้องมี โดยทั่วไป เด็กจะสามารถพูดได้เมื่ออายุ 2-3 ปี โดยพัฒนาการด้านภาษาและการพูดของเด็กตามปกติ เป็นดังนี้

                      • ช่วงอายุ 1 – 4 เดือน ส่งเสียงอ้อแอ้ สนใจเสียงผู้ที่มาคุยด้วย คุ้นเคยกับเสียงคนใกล้ชิด
                      • ช่วงอายุ 5 – 6 เดือน ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ เริ่มหันหาเสียงและเลียนเสียงผู้อื่น
                      • อายุ 9 – 12 เดือน เริ่มพูดได้เป็นคำพยางค์เดียว ให้ท่าทางสื่อความหมายร่วมด้วย
                      • อายุ 1 – 1.5 ปี มีการโต้ตอบชัดเจน สามารถทำตามคำสั่งได้ เริ่มพูดคำที่มีความหมายได้
                      • ช่วงอายุ 1.5 – 2 ปี พูดได้ 50-80 คำ เริ่มรวมคำ เข้าใจคำสั่งที่ยากขึ้น
                      • ช่วงอายุ 2 – 3 ปี สามารถพูดเป็นประโยคได้ ตอบได้ พูดคุยสื่อสารรู้เรื่องมากขึ้น

                      คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยเล็ก ๆ หรือวัยกำลังหัดพูด อาจเป็นกังวลว่า ลูกไม่พูด พูดช้า หรือพูดไม่เป็นคำ ไม่มีความหมาย เมื่อเทียบกับลูกของเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน ทำให้เกิดความกังวลใจว่า อาการที่ลูกพูดช้าเช่นนี้ ผิดปกติหรือไม่ ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ควรเปรียบเทียบลูกของตนเองกับลูกของเพื่อน ๆ ค่ะ เพราะเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ที่ไม่เท่ากัน หากกังวลว่าการที่ ลูกไม่พูด..พูดช้า นั้นเป็นเรื่องผิดปกติหรือไม่ มาดูพัฒนาการด้านภาษาและการพูดของเด็กที่ผิดปกติกันก่อนค่ะ

                      • ช่วงอายุ 6-10 เดือน ไม่ส่งสัญญาณการพูด ไม่หันมาตามเสียง ไม่เลียนแบบ
                      • ช่วงอายุ 15 เดือน ไม่สามารถทำตาม ไม่เข้าใจคำสั่งง่าย ๆ ยังไม่พูดคำแรก และไม่มีภาษาทางกาย
                      • อายุ 1-2 ปี ไม่เริ่มการสื่อสารและไม่เข้าใจคำถามหรืออาจจะพูดไม่หยุด แต่ไม่สื่อสารในเรื่องเดียวกัน
                      • ช่วงอายุ 3 ปี ไม่บอกความต้องการ ไม่เข้าใจและไม่เคยใช้ประโยคคำถาม หรืออาจจะพูดเป็นภาษาสคริปต์ ที่ไม่ใช่ภาษาของเด็กวัยเดียวกัน

                      จะเห็นได้ว่าเด็กที่มีพัฒนาการที่ผิดปกติในการพูดนั้น จะไม่มีการสื่อสาร ส่งสัญญาณเลย ดังนั้นหากลูกของคุณแม่ไม่ค่อยพูดหรือพูดช้า แต่ยังมีการสื่อสาร ส่งสัญญาณบ้าง ก็ยังไม่สามารถฟันธงได้ว่าผิดปกติ คุณพ่อคุณแม่ยังต้องสังเกตกันไปก่อนอีกระยะ หรือหาวิธีที่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกพูดได้เร็วขึ้นมาฝึกลูกกันจะดีกว่าค่ะ แต่ก่อนอื่น มาดูความเข้าใจผิด ๆ เมื่อ ลูกไม่พูด..พูดช้า กันก่อนค่ะ

                      ลูกไม่ยอมพูด
                      ลูกไม่ยอมพูด

                      5 ความเข้าใจผิด ๆ เมื่อ ลูกไม่พูด..พูดช้า

                      1. การที่ลูกพูดช้า ไม่ได้หมายความว่าลูกจะหูหนวกเสมอไป

                      แม้ว่าปัญหาการได้ยินบกพร่องเป็น 1 ในสาเหตุที่ทำให้ลูกพูดช้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กที่พูดช้าจะเป็นเพราะบกพร่องการได้ยินทุกคน โดยปกติแล้ว เมื่อเด็กได้ยินเสียง ได้ยินคนพูดกัน เด็กจะค่อย ๆ ซึมซับ เข้าใจ พูดตามได้โดยอัตโนมัติ เด็กที่มีการได้ยินบกพร่องประเภทหูหนวกรุนแรงทั้งสองข้างจะสังเกตได้ง่ายว่ามีความผิดปกติ และประเภทหูไม่ได้หนวกสนิท การได้ยินบกพร่องเพียงบางส่วน เด็กยังอาจมีพัฒนาการทางภาษาได้อยู่บ้าง แต่ล่าช้ากว่าวัย เด็กบางคนพูดได้แต่ไม่ชัดเจน

                      เด็กปกติบางคนอาจเริ่มพูดค่อนข้างช้าเมื่ออายุประมาณ 1 ขวบกว่า จนถึง 2 ขวบ ผลการศึกษาวิจัยยังได้ระบุว่า ถ้าเด็กอายุขวบครึ่งแล้วยังไม่พูด ควรเริ่มสังเกตอย่างใกล้ชิดว่า เด็กเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูดด้วยหรือไม่ หากมีความเข้าใจน้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ก็ไม่ควรรอจนกระทั่งถึง 2 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์หู คอ จมูก เพื่อตรวจร่างกาย ตรวจหู และพบกุมารแพทย์เพื่อประเมินพัฒนาการด้านอื่น ๆ เพื่อวัดระดับการได้ยิน

                      2. เด็กที่ไม่ค่อยพูด..ไม่ได้เป็นออทิสติกทุกคน

                      โรคออทิสติก(Autistic Disorder) หรือ ออทิสซึม(Autism) เป็นความผิดปกติของพัฒนาการเด็กรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว โดยเด็กไม่สามารถพัฒนาทักษะสังคม ทักษะทางภาษา และการสื่อความหมายได้เหมาะสมตามวัย มีลักษณะพฤติกรรม กิจกรรม และความสนใจ เป็นแบบแผนซ้ำ ๆ ไม่ยืดหยุ่น เด็กที่เป็นออทิสติกกับความผิดปกติในพัฒนาการด้านภาษานั้นจะเริ่มสังเกตได้ชัดเจนในช่วงขวบปีที่ 2 คือ เด็กจะยังไม่พูดเป็นคำ แต่จะพูดเป็นภาษาต่างดาวที่ไม่มีความหมาย ไม่สนใจของเล่น ไม่สนใจในเรื่องที่คนรอบข้างกำลังสนใจอยู่ ไม่ชี้นิ้วบอกความต้องการของตนเอง เวลาอยากได้อะไรมักจะทำเอง หรือจูงมือพ่อแม่ไปหยิบโดยไม่ส่งเสียง ดังนั้น หากลูกคุณพ่อคุณแม่ยังสามารถสื่อสารในสิ่งที่ตนเองต้องการได้อยู่ ก็อาจจะหมายความว่าลูกอาจจะไม่ได้เป็นออทิสติก แต่อาจเป็นเพราะลูกปากหนักเท่านั้นก็ได้

                      3. พูดช้า…ไม่เท่ากับสมองช้า!!

                      จากความเชื่อที่ว่า..เด็กพูดเร็ว พูดมาก มักฉลาด เพราะการพูดเป็นการสื่อสารที่สำคัญ เด็กพูดเร็วแสดงว่าพัฒนาการของสมองส่วนที่เกี่ยวกับภาษามีความพร้อม และเมื่อเด็กพูดได้มาก ข้อมูลที่ได้จากการสื่อสารกับผู้คนรอบข้าง ก็จะกลับไปพัฒนาความสามารถของสมองเพิ่มขึ้นอีก แล้วเด็กที่พูดช้าล่ะ? หมายความว่าเด็กคนนั้นจะไม่ฉลาดหรือ? ขอบอกว่าความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ การที่เด็กจะฉลาดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ค่ะ ไม่เกี่ยวกับการที่ลูกพูดช้าหรือเร็วเลย

                      4. ลูกไม่ค่อยพูดกับใช้ภาษาได้ช้า..ไม่เหมือนกัน

                      พัฒนาการทางด้านการพูด คือสิ่งที่ลูกเปล่งเสียงออกมาจากปากของลูก แต่พัฒนาการทางด้านภาษาและการสื่อสาร คือความสามารถในการเปล่งเสียงออกมาเป็นคำที่ผู้พูดและผู้ฟังเข้าใจได้ ภาษาคือความสามารถในการเข้าใจความหมายของคำ การที่ลูกไม่ค่อยพูด แต่เมื่อพูดแล้ว สามารถที่จะอธิบายให้คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ฟังเข้าใจได้นั้น หมายความว่าพัฒนาการทางด้านภาษาของลูกนั้นปกติ เพียงแต่ไม่ค่อยชอบพูดเท่านั้นเองค่ะ

                      5. ลูกพูดช้า..รักษาไม่ได้

                      หากทราบสาเหตุของการพูดช้า แพทย์จะทำการรักษาที่ต้นเหตุ แม้ว่าความผิดปกติที่เป็นสาเหตุบางอย่าง จะไม่สามารถรักษาให้ลูกพูดได้ปกติ เช่น ความผิดปกติทางด้านสมอง แพทย์จะทำการฝึกพัฒนาการให้ตามหลักการ แต่หลังการรักษาเด็กอาจไม่สามารถพูดได้เหมือนคนปกติ แต่อาจสื่อสารได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น เป็นต้น แต่หากสาเหตุของการพูดช้า เกิดจากการเลี้ยงดู คุณพ่อคุณแม่สามารถที่จะปรับเปลี่ยนการเลี้ยงดู พร้อมทั้งหาวิธีกระตุ้นให้ลูกพูดได้ ดังนั้น การที่ลูกพูดช้า สามารถรักษาได้

                      จะเห็นได้ว่าการเลี้ยงดูนั้นเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นได้ว่าลูกเริ่มมีพัฒนาการในด้านนี้ช้าเกินไป ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อให้ทราบถึงแนวทางในการกระตุ้นให้ลูกพูดต่อไป และนี่คืออีก 6 วิธีที่จะช่วยฝึกลูกพูดที่ได้ผลดี

                      ฝึกลูกพูด
                      ฝึกลูกพูด

                      6 วิธีฝึกลูกพูด..กระตุ้นให้ลูกพูด ที่ได้ผล

                      1. อ่-า-น!

                      การอ่านหนังสือ นิทาน หรือเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ลูกฟัง เป็นวิธีที่จะช่วยกระตุ้นลูกให้พูดที่ได้ผลดีที่สุด เพราะเมื่อเราอ่าน ลูกจะฟังและสังเกตถึงการใช้ภาษา สร้างภาษา และเรียบเรียงคำพูดของเรา ลูกจะได้เรียนรู้และทำตามคุณพ่อคุณแม่ในที่สุด

                      2. ร้องเพลง

                      เพลงมีทั้งเสียงสูง เสียงกลาง และเสียงต่ำ สิ่งเหล่านี้จะช่วยดึงดูดความสนใจของเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี และเมื่อเด็กสนใจในเสียงเพลงแล้ว ลูกก็จะค่อย ๆ ซึมซับถึงการใช้ภาษา การออกเสียง ไปด้วย

                      3. เติมคำพูดของลูกให้ยาวขึ้น

                      เมื่อลูกพูดคำสั้น ๆ คุณพ่อคุณแม่สามารถเติมคำพูดของลูกให้ยาวขึ้น เช่น เมื่อลูกพูดคำว่ารถไฟ ให้ตอบลูกไปว่า รถไฟวิ่งดังปู๊น..ปู๊น หรือรถไฟวิ่งเร็ว เป็นต้น การทำแบบนี้จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ ๆ ได้เพิ่มขึ้น และทั้งยังช่วยฝึกให้ลูกพูดเป็นประโยคได้อีกด้วย

                      4. เล่นกับลูก

                      แม่บางคนอาจบอกว่า แม่ก็เล่นกับลูกเป็นประจำอยู่แล้วนะ!! ถูกต้องแล้วค่ะ การเล่นกับลูกเป็นการช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูกได้เป็นอย่างดี แต่ในคราวนี้ อยากให้ลองเปลี่ยนบทบาทกันบ้าง โดยให้ลูกเป็นผู้นำในการเล่นนั้น ๆ และคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้ตาม รอฟังคำสั่งจากลูก เพราะนี่คือการจัดสถานการณ์ให้ลูกพูดออกมาได้อย่างสบายใจ เพราะการพูดครั้งนั้นเป็นเพียงการเล่นกัน ไม่ใช่การพูดกับผู้ใหญ่ จะทำให้ลูกกล้าพูด กล้าแสดงออกได้มากขึ้นนั่นเอง

                      5. ซ่อนของเล่นที่มีเสียง!!

                      การให้ลูกอยู่กับกรอบที่ว่าของเล่นชิ้นนี้ต้องมีเสียงแบบนี้ ของเล่นชิ้นนั้นต้องมีเสียงแบบนั้น บางทีกรอบนี้ก็อาจไปปิดกั้นความสร้างสรรค์ของลูกได้ ดังนั้น ลองเอาของเล่นที่มีเสียงเหล่านี้ไปซ่อนก่อน แล้วนำของเล่นธรรมดา ๆ เช่น บล๊อคต่อ บ้านตุ๊กตา แป้งโดว์ มาให้ลูกเล่น แล้วให้ลูกได้สร้างสรรค์เสียงของของเล่นนั้น ๆ เอง บางทีเมื่อลูกไม่มีกรอบแล้ว อาจจะทำให้ลูกกล้าที่จะเปล่งเสียงไม่ว่าจะผิดหรือถูกออกมาได้

                      6. ออกไปเล่นนอกบ้าน

                      ให้ลูกได้เห็นสิ่งใหม่ ๆ ได้ลองสำรวจสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่นอกบ้านบ้าง เพื่อให้ลูกเกิดความสงสัยและอยากรู้ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะกระตุ้นลูกโดยการชี้ไปที่สิ่งต่าง ๆ และบอกว่าสิ่งนั้น ๆ คืออะไร โดยคุณพ่อคุณแม่ควรจะพูดให้เป็นประโยคสมบูรณ์ เช่น ดูท้องฟ้านั่นสิ มีสีฟ้าสวยจังเลย เป็นต้น หลังจากนั้น ให้ลองชี้และถามลูกบ้างว่าสิ่งที่เจอนั้นคืออะไร เมื่อลูกได้เจอสิ่งใหม่ ๆ ก็จะช่วยกระตุ้นให้ลูกอยากสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่บ้างนั่นเอง

                      หากคุณพ่อคุณแม่ได้ลองกระตุ้นและฝึกให้ลูกพูดแล้ว แต่ลูกยังไม่ตอบสนองหรือยังไม่ยอมพูด ก็ควรที่จะไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการรักษาต่อไปค่ะ

                      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                      8 วิธี “กระตุ้นสมอง” ทารกแรกเกิด ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

                      10 ประโยชน์จาก ของเล่นทำอาหาร และการเล่นบทบาทสมมุติ

                      เก่งไม่พอ ต้องเจ๋งด้วย! เสริมจินตนาการให้ลูกด้วย เล่นต่อบล็อกภาษาอังกฤษ ต้องพูดยังไงบ้าง

                      ประสบการณ์จากคุณแม่ ลูกพูดช้า สาเหตุ เพราะดูทีวี มือถือ และแท็บเล็ต

                       

                      ขอบคุณข้อมูลจาก : www.ourfamilyworld.com, www.rama.mahidol.ac.th, สถาบันราชานุกูล

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        Fibermate Daily

                        Fibermate Daily ไอเทมเด็ด! สำหรับเด็กไม่ถ่าย! ท้องผูก! ช่วยอุจจาระนิ่ม ถ่ายง่ายทุกวัน

                        เห็นลูกนั่งเบ่งอึอยู่นาน นั่งจนหน้าแดงก็ไม่ถ่ายสักที หัวอกคนเป็นแม่สงสารลูกจับใจ เพราะเวลาที่อึไม่ออก มันไม่ใช่แค่เรื่องระบบขับถ่ายเท่านั้น ลูกจะไม่สนุกกับทุกสิ่ง กินอะไรก็ไม่อร่อย เพราะรู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว อารมณ์ก็จะบูด ๆ หงุดหงิดง่าย ไม่อยากเล่นอะไรเลย  เห็นทีจะปล่อยให้มีอาการท้องผูกแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วค่ะ แม่ต้องหาตัวช่วยมาทำให้ลูกอุจจาระง่าย ขับถ่ายเป็นปกติได้ทุกวันซะแล้ว !?

                        “ท้องผูกในเด็ก” จะบอกว่าเป็นเรื่องปกติก็คงไม่ได้ค่ะ เพราะ เมื่อรับประทานอาหารเข้าไป อาหารจะถูกย่อยและดูดซึมไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย และที่เหลือบางส่วนร่างกายนำไปใช้ไม่หมด กลายเป็นของเสียอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งของเสียจะถูกส่งออกมาในรูปแบบของอุจจาระ การปล่อยให้ลูกท้องผูกสะสมนานๆ อาจส่งผลต่อพัฒนาการ จิตใจและอารมณ์ได้ค่ะ

                        สังเกตอาการท้องผูกเมื่อลูกขับถ่ายน้อย

                        ตามปกติร่างกายจะขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทุกวันค่ะ แต่ก็ไม่เสมอไปกับทุกคน ดังนั้นจะรู้ได้ว่าลูกมีอาการท้องผูก ให้สังเกตง่ายๆ คือ

                        1. ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์
                        2. ขณะถ่ายอุจจาระจะใช้เวลาเบ่งนาน
                        3. อุจจาระที่ถ่ายออกมามีลักษณะแข็งเป็นก้อน
                        4. อุจจาระมีเลือดปนออกมา (ผนังทวารฉีกขาดขณะเบ่งอึ)
                        5. มีอาการท้องอืด

                        อาการท้องผูกในเด็กส่วนใหญ่มักมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และนิสัยการขับถ่ายค่ะ อธิบายง่ายๆ ก็คือ ถ้ากินอาหารที่มีกากใยน้อย และดื่มน้ำระหว่างวันไม่เพียงพอ จะทำให้อุจจาระแข็ง พอเข้าห้องน้ำนั่งถ่ายจะรู้สึกเจ็บรูทวาร เมื่อเจ็บก็จะกลั้นอุจจาระไม่ยอมถ่ายออกมา การกลั้นอุจจาระบ่อยๆ ของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกายจะแข็งก้อนใหญ่ขึ้นทำให้ถ่ายออกยาก จนเกิดเป็นอาการท้องผูกค่ะ

                        ลูกไม่ถ่าย! ท้องผูก! ต้องกินอาหารแบบไหน ?

                        ไม่ถ่าย ท้องผูก อึแข็ง ทรมานสุดๆ ทีมแม่ABK ไม่อยากให้ลูกๆ ของคุณพ่อคุณแม่มีปัญหาเรื่องการขับถ่ายกันค่ะ สำคัญสุดเราต้องดูแลให้เด็กๆ ได้มีลักษณะนิสัยการขับถ่ายที่ดีเป็นปกติทุกวัน ถ้าไม่ถ่ายทุกวัน จะเป็นแบบถ่ายวันเว้นวันก็ยังได้อยู่ค่ะ แนะนำให้ดูแลเรื่องอาหารการกิน โดยในทุกมื้ออาหาร ควรจัดอาหารที่ย่อยง่าย และมีกากใยสูง เช่น เนื้อปลา เนื้อไก่ ผักใบเขียว ผลไม้ และดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน อาหารที่ย่อยง่าย อาหารที่มีกากใยสูง และน้ำสะอาดจะช่วยให้ลำไส้ขับเคลื่อนทำงานได้ดีขึ้นค่ะ

                        fiber mate daily

                        พอแม่บอกว่าจะให้กินผัก ผลไม้เพิ่มขึ้น เด็กๆ ร้องยี้ ส่ายหน้ากันรัวๆ ค่ะ เพราะใช่ว่าเด็กทุกคนจะเลิฟการกินผัก ผลไม้ แต่เรื่องนี้จัดการได้ง่ายนิดเดียว ทีมแม่ABK ขอแนะนำตัวช่วยสำหรับเด็กท้องผูก ถ่ายยาก และนี่ก็คือ “Fibermate ไฟเบอร์เมท” เป็นใยอาหาร พรีไบโอติกส์ 100% ช่วยปรับการทำงานของลำไส้ เมื่อรับประทานอย่างต่อเนื่อง จะช่วยในเรื่องอาการท้องผูกในเด็ก จากอุจจาระที่แข็งๆ ถ่ายออกยาก ก็จะนิ่มขึ้นทำให้เด็กๆ มีความสุขตอนเข้าห้องน้ำ และขับถ่ายเป็นปกติค่ะ

                        Fibermate ตัวที่เหมาะกับเด็กๆ ก็จะเป็น Fibermate Daily (ไฟเบอร์เมทเดลี่) กับ Fibermate Crispy (ไฟเบอร์เมทคริสปี้) สำหรับเด็กที่มีอาการท้องผูกหรือเด็กไม่ชอบกินผักค่ะ

                        • Fibermate Daily (ไฟเบอร์เมทเดลี่)

                          • เป็นใยอาหารพรีไบโอติกส์จากธรรมชาติ 100%
                          • ผลิตจากถั่ว Guar Gum ประเทศญี่ปุ่น
                          • มีความปลอดภัยสูง วัตถุดิบ NON GMO และผ่านการรับรอง Low FODMAP รับรองจาก Monash University USA (ใยอาหารแบบ Low FODMAP จะไม่ทำให้ท้องอืด ไม่ปวดท้องเหมือนไฟเบอร์ทั่วไป)
                          • ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส
                          • ไม่ข้นหนืด ไม่พองตัวเป็นวุ้น หรือจับเป็นก้อน
                          • สามารถผสมได้กับอาหารและเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็น

                        fiber mate daily

                        Fibermate Daily จะมาในรูปแบบผงสามารถละลายได้ง่ายทั้งในน้ำร้อนและน้ำเย็น คุณแม่สามารถผสมลงในอาหาร หรือเครื่องดื่มของลูกๆ ได้เลยค่ะ ในเด็กที่แพ้นมวัวก็กินได้ เพราะไม่มีส่วนผสมจากนมวัวค่ะ วิธีรับประทาน Fibermate Daily ดูเพิ่มเติมคลิก https://fibermate-official.com/

                        • Fibermate Crispy (ไฟเบอร์เมทคริสปี้)

                          • ขนมผักผลไม้กรอบผสมอินนูลินไฟเบอร์ช่วยแก้ท้องผูก
                          • ขนมเด็กที่จะทำให้โลกของการกินผักเปลี่ยนไป บอกลาเด็กไม่ชอบกินผัก เขี่ยผัก อี๋ผักไปได้เลย ไฟเบอร์เมท คริสปี้ ตัวช่วยเด็กไม่กินผัก
                          • ผักผลไม้แท้ 100% อุดมไปด้วยผักและผลไม้หลากสี ถึง 5 ชนิดในซองเดียว ทั้งบล็อกโคลี่ ฟักทองญี่ปุ่น แครอท กล้วยหอมและข้าวโพดหวาน
                          • ผ่านการทำให้กรอบอย่างพิถีพิถันเพื่อคงคุณค่าสารอาหารตามธรรมชาติของผักและผลไม้ไว้ให้มากที่สุด
                          • ที่สำคัญที่มากกว่าและไม่มีใครเหมือน คือ มีส่วนผสมของอินนูลินไฟเบอร์ ใยอาหารพรีไบโอติกส์จากธรรมชาติที่ช่วยเรื่องระบบขับถ่ายและเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันด้วย
                          • ปลอดภัยกว่าเพราะปราศจากผงชูรสและอาหารก่อภูมิแพ้ถึง 8 ชนิด แล้วการกินผักจะเป็นเรื่องสนุก อร่อยและไม่น่ากลัวอีกต่อไป

                        Fiber Mate Kiddy

                        เป็นไอเดียที่ดีมากๆ ไม่เฉพาะเด็กที่มีปัญหาท้องผูก ถ่ายยากนะคะ เพราะ Fibermate Crispy ยังเหมาะที่จะเป็นขนมของว่างแสนอร่อยที่มีประโยชน์กับสุขภาพของเด็กทุกคน แนะนำให้มีติดบ้าน หรือพกใส่กระเป๋าเวลาพาลูกไปเที่ยวนอกบ้าน ก็ให้กินขนมผักได้ตลอดเวลา ที่สำคัญยังดีกับระบบขับถ่าย และมีประโยชน์ด้วยค่ะ

                        ท้องผูก ถ่ายยาก อึแข็ง นั่งห้องน้ำนาน ถ่ายยาก คุณแม่โบกมือบ๊าย บาย กับปัญหาหนักใจที่ลูกๆ กำลังเจออยู่ออกไปได้เลยค่ะ ถ้ามีใยอาหารพรีไบโอติกส์จากธรรมชาติ 100%  ไฟเบอร์เมทเดลี่ และ ไฟเบอร์เมทคริสปี้ ให้ลูกๆ ได้รับประทาน ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น อุจจาระนิ่ม ระบบขับถ่ายเป็นปกติทุกวันค่ะ

                        ลูกท้องผูก อึแข็ง ถ่ายยาก ให้ #FiberMate #พรีไบโอติกส์ธรรมชาติ100% ดูแลทุกวัน

                        fiber mate daily

                          น้ำหนักคนท้อง

                          น้ำหนักคนท้อง ที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ เกิดจากอะไรบ้าง?

                          ในระหว่างการตั้งครรภ์ แม่ท้องควรมีน้ำหนักเพิ่มโดยเฉลี่ย 10-15 กิโลกรัม แม่ท้องสงสัยกันไหมคะว่า น้ำหนักคนท้อง ที่เพิ่มขึ้น เกิดจากอะไรบ้าง? มาดูกัน

                          น้ำหนักคนท้อง ที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ เกิดจากอะไรบ้าง?

                          ตั้งแต่เริ่มมีเจ้าตัวน้อยเข้ามาอยู่ในครรภ์ของคุณแม่ ร่างกายของแม่ ๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จนคลอด และหลังคลอดได้ 6 เดือน ร่างกายก็จะค่อย ๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติเหมือนช่วงก่อนคลอด (ยกเว้นน้ำหนักส่วนเกินของแม่ท้องที่เกิดจากการทานอาหารที่เกินความต้องการของร่างกาย) โดยการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของแม่ท้องแต่ละคนมักจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ช่วงอายุที่ตั้งครรภ์ พันธุกรรม อาหาร สิ่งแวดล้อม ชีวิตประจำวันและอัตรการเผาผลาญ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงระหว่างตั้งครรภ์นั่นเองค่ะ

                          แม่ท้องส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์โดยเฉลี่ยที่ 10 – 15 กิโลกรัม โดยในไตรมาสแรก น้ำหนักของแม่ท้องอาจจะเพิ่มขึ้นไม่มาก หรือในแม่ท้องบางท่านก็อาจจะมีน้ำหนักที่ลดลงด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะว่าาช่วงไตรมาสแรก แม่ท้องมักจะแพ้ท้อง บางรายมีอาการแพ้ท้องมากจนรับประทานอาหารตามปกติไม่ได้ จึงทำให้น้ำหนักลดลง อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ์ อาการแพ้ท้องมักจะหายไป ทำให้แม่ท้องทานอาหารได้มากขึ้น หลากหลายขึ้น น้ำหนักก็จะค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้นตามอายุครรภ์นั่นเอง

                          จะเห็นได้ว่าการทานอาหารของแม่ท้องมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น แต่แม่ ๆ สงสัยกันไหมคะว่าทำไมแม่ท้องหลาย ๆ คนที่แพ้ท้องหนักมาก ทานอะไรไม่ค่อยจะได้ แต่ก็ยังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ขอบอกว่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของแม่ท้องนั้น ไม่ได้หมายถึงไขมันที่มากขึ้นเพียงอย่างเดียวค่ะ น้ำหนักคนท้อง ที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์นั้น มีปัจจัยที่มากกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งท้องค่ะ มาดูกันว่า น้ำหนักคนท้อง ที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ เกิดจากอะไรกันบ้าง?

                          น้ำหนักคนท้อง ที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ เกิดจากอะไรบ้าง?

                          1. ผลผลิตจากการตั้งครรภ์ ได้แก่
                            • น้ำหนักของทารกในครรภ์เอง ซึ่งจะเพิ่มขึ้นจนถึงวันคลอด โดยน้ำหนักของทารกในครรภ์ (ภาวะปกติ) จะมีน้ำหนักสูงสุดที่ 2.5-4 กิโลกรัม
                            • รก คือ อวัยวะพิเศษที่สร้างขึ้นมาในช่วงตั้งครรภ์ ทำหน้าที่ส่งอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงทารกและกำจัดของเสีย ด้านหนึ่งของรกต่อกับเส้นเลือดที่สายสะดือของทารก อีกด้านของรกจะเกาะกับผนังมดลูก เลือดลูกกับแม่จะไม่ผสมกัน แต่มีการแลกเปลี่ยนสารต่าง ๆ ระหว่างกัน โดยรกจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 0.5 – 0.8 กิโลกรัม
                            • น้ำคร่ำ คือ ของเหลว ใส สีเหลืองอ่อนที่อยู่ล้อมรอบทารกในครรภ์ ส่วนประกอบของน้ำคร่ำประกอบไปด้วยน้ำ 98% และสารต่าง ๆ อีก 2% ซึ่งจะมีเซลล์ของทารกที่หลุดออกมาปนอยู่ด้วย เมื่อตั้งครรภ์ครบกำหนด (40 สัปดาห์) จะมีปริมาณของน้ำคร่ำประมาณ 1 กิโลกรัม ที่ล้อมรอบทารกอยู่ น้ำคร่ำจะไหลเวียนโดยการเคลื่อนไหวตัวของทารกทุก ๆ 3 ชั่วโมง
                          2. เนื้อเยื่อของมารดา ได้แก่
                            • มดลูก ปกติมดลูกจะมีน้ำหนักประมาณ 70 กรัม แข็ง และมีความจุ 10 มล. แต่ในระหว่างตั้งครรภ์มดลูกจะปริมาตรเพิ่มขึ้น เมื่อครรภ์ครบกำหนดจะมีความจุเฉลี่ย 5 ลิตร แต่สามารถจุได้ ≥20 ลิตร (เพิ่มขึ้น 500-1000 เท่า) โดยจะหนักประมาณ 1 – 2.5 กิโลกรัม การขยายขนาดของมดลูกเชื่อว่าเป็นผลของเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน
                            • เต้านมที่ขยายใหญ่ขึ้น ในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 6-8 ของการตั้งครรภ์ เต้านมของคุณแม่จะขยายใหญ่ขึ้น และจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมีเนื้อเยื่อไขมันและเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงเต้านมเพิ่มมากขึ้น เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของต่อมและท่อน้ำนม โดยเต้านมอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิมได้ถึง 1-2 ไซส์ เมื่อเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็ทำให้น้ำหนักของเต้านมเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยน้ำหนักของเต้านมที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์จะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 1 – 1.5 กิโลกรัม
                            • ปริมาตรเลือดที่เพิ่มขึ้น ปริมาตรเลือดจะเพิ่มตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 และเมื่ออายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ปริมาณพลาสมาจะเพิ่ม 15% จากก่อนตั้งครรภ์ ในไตรมาสที่ 2 ปริมาตรเลือดจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว และเพิ่มอย่างช้า ๆ ตอนไตรมาสที่ 3 และคงที่ในสัปดาห์ท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์ โดยการเพิ่มขึ้นของปริมาณเลือด ทำให้น้ำหนักตัวของแม่ท้องเพิ่มขึ้นถึง 2 กิโลกรัม การเพิ่มขึ้นนี้มีหน้าที่สำคัญได้แก่  ความต้องการเมตาบอลิซึมสูงขึ้นจากมดลูกที่โตขึ้น และระบบหลอดเลือดที่ขยายขนาด
                          3. ไขมันที่สะสมมากขึ้นในมารดา น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้ จะเป็นส่วนที่เหลืออยู่ในร่างกายของแม่หลังคลอดนั่นเองค่ะ ซึ่งน้ำหนักในส่วนนี้ ไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์แต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นจากการรับประทานอาหารของแม่ท้องที่มากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการจริง ๆ นั่นเอง

                          น้ำหนักตัวแม่ท้อง
                          น้ำหนักตัวแม่ท้อง

                          จะเห็นได้ว่าแพทย์มักจะแนะนำให้แม่ท้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไม่เกิน 15 กิโลกรัม ตลอดการตั้งครรภ์ นั่นเป็นเพราะการที่แม่ท้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากเกินไป สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพของแม่ท้องเองทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้ ดังนต่อไปนี้

                          ผลกระทบต่อสุขภาพของแม่ท้องที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากเกินไป

                          1. ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ แม่ท้องที่มีน้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นมากกว่า 15.88 กิโลกรัม จะมีความเสี่ยงมากขึ้นต่อการเกิดความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (อ่านต่อ โรคความดันโลหิตสูงกับการตั้งครรภ์ ภัยเงียบของแม่ท้อง)
                          2. โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ แม่ท้องที่มีน้ำหนักตัวก่อนการตั้งครรภ์มากกว่าเกณฑ์ปกติ และแม่ท้องที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติขณะตั้งครรภ์ มีแนวโน้มสูงขึ้นที่จะตรวจพบ impaired glucose tolerance (หรือโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์) เมื่อเปรียบเทียบกับแม่ท้องที่มีน้ำหนักตัวก่อนการตั้งครรภ์ที่น้้อยกว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าแม่ท้องที่เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์มีอัตราการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์มากกว่าหญิงตั้งครรภ์ปกติทั่วไป และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ก็สามารถพบได้มากขึ้นในกลุ่มแม่ท้องที่มีน้ำหนักเกินหรือภาวะอ้วนก่อนการตั้งครรภ์ (อ่านต่อ แม่แชร์! เป็นเบาหวานตอนท้อง และวิธีคุมน้ำตาลแบบง่ายและได้ผลดี)
                          3. การผ่าตัดคลอด ความเสี่ยงในการผ่าตัดคลอดพบมากขึ้นในแม่ท้องที่มีภาวะอ้วนก่อนการตั้งครรภ์ หรือมีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวของการตั้งครรภ์มากกว่า 15.88 กิโลกรัม (อ่านต่อ ผ่าคลอด กับ คลอดเอง แบบไหนดีกว่ากัน?)
                          4. การให้นมบุตร แม้ว่าพฤติกรรมการให้นมบุตรจะแตกต่างกันไปในแต่ละเชื้อชาติและวัฒนธรรม แต่ก็มีการศึกษาพบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มแม่ท้องที่มีน้ำหนักตัวก่อนการตั้งครรภ์ปกติ การเพิ่มขึ้นของน้ำนักตัวขณะตั้งครรภ์ที่มากกว่าเกณฑ์มาตรฐาน มีความสัมพันธ์กับระยะเวลาการให้นมบุตรที่สั้นลง เมื่อพิจารณาแต่ละกลุ่มน้ำหนักตัว พบว่ายิ่งแม่ท้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์มากเท่าใด ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะหยุดการให้นมบุตรหลังคลอดเร็วมากขึ้นเท่านั้น (อ่านต่อ อยาก ให้นมแม่ สำเร็จ แม่ต้องสตรอง และห้ามท้อ)
                          5. น้ำหนักตัวคงค้างหลังคลอด พบว่าแม่ท้องที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์มากกว่า 9.1 กิโลกรัม มักจะมีน้ำหนักตัวคงค้างหลังคลอดและมีน้ำหนักตัวก่อนการตั้งครรภ์ถัดไปเพิ่มมากขึ้น

                          ผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ของแม่ท้องที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นมากหรือน้อยเกินไป

                          1. การคลอดก่อนกำหนด แม้จะมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับการคลอดก่อนกำหนด แต่ในแง่ของน้ำหนักตัวแม่ท้องแล้ว พบว่าน้ำหนักแม่ท้องก่อนการตั้งครรภ์และน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ก็มีความสัมพันธ์กับการคลอดก่อนกำหนดเช่นกัน
                          2. การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ มีปัจัยหลาย ๆ อย่างที่ส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ได้แก่ การเจริญของรก ความผิดปกติของโครโมโซมและสารพันธุกรรมของทารก ความพิการแต่กำเนิด การติดเชื้อในครรภ์ ภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรมของมารดา เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น จากการศึกษาของ IOM ในปี พ.ศ. 2533 กล่าวว่า ผลขของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความเสี่ยงในการเกิดทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์
                          3. ทารกน้ำหนักตัวมากกว่าปกติหรือทารกตัวใหญ่
                          4. องค์ประกอบของร่างกายทารก พบว่าอายุครรภ์เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำนายปริมาณไขมันในร่างกายทารก และมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนก่อนการตั้งครรภ์ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์ มีความสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของไขมันในทารก

                          น้ำหนักตัวระหว่างตั้งครรภ์
                          น้ำหนักตัวระหว่างตั้งครรภ์

                          จะเห็นได้ว่าน้ำหนักตัวของแม่ท้องที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์นั้น มีความสำคัญและสัมพันธ์ต่อสุขภาพของแม่ท้องและทารกในครรภ์เป็นอย่างมาก ดังนั้น การมีภาวะโภชนาการที่ดีระหว่างตั้งครรภ์จึงเป็นสิ่งที่แม่ท้องควรใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อให้ลูกในท้องได้สารอาหารครบถ้วน และแม่ท้องไม่อ้วนหลังคลอดนะคะ

                          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                          ตารางน้ำหนักทารกในครรภ์ กับวิธีการตรวจดูขนาดของลูกในท้องว่าตัวเล็กหรือใหญ่!

                          เพิ่มน้ำหนักให้ลูกในท้อง แม่ทำได้ด้วย 5 วิธี

                          7 พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในครรภ์ฉลาด

                          แม่ท้องดื่มน้ำมะพร้าว ช่วยให้ลูกผิวดีจริงหรือไม่?

                           

                          ขอบคุณข้อมูลจาก : เวชบันทึกศิริราช โดย อาจารย์ นายแพทย์ตรีภพ เลิศบรรณพงษ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, th.wikipedia.org, พ.ญ. ดาราณี มีเงินทอง ภาควิชาสูติศาสตร์ และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, พบแพทย์

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ ทำนายฝัน

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ เทพความสำเร็จดูคำทำนายให้รวยปังๆ!

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ ว่ากันว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ช่วยขจัดปัดเป่าอุปสรรคทั้งปวง ทำนายฝันจะว่าอย่างไร มีดวงเศรษฐีหรือไม่ รวบรวมไว้หมดพร้อมทริกเด็ดให้สมหวัง

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ เทพแห่งความสำเร็จ ดูคำทำนายพร้อมทริกให้รวยปังๆ!

                            พระพิฆเนศนั้น เป็นเทพเจ้าของชาวฮินดู เป็นพระโอรสของพระศิวะ และเชื่อว่าพระพิฆเนศนั้นเป็นองค์เทพผู้ขจัดความขัดข้องและเป็นผู้ที่อำนวยความสำเร็จให้กับกิจการทั้งหมดทั้งปวง ชาวอินเดียนั้นเมื่อจะประกอบพิธีต่าง ๆ ทางศาสนาหรือมีการเล่าเรียนวิชาความรู้ต่าง ๆ ทางด้านศิลปะจะต้องมีการบูชาและทำความเคารพต่อองค์พระพิฆเนศก่อนเพื่อขอความสำเร็จให้กับกิจการ และการเรียนนั้น ๆ

                            ประวัติของพระพิฆเนศ ตามตำราเล่าว่า พระพิฆเนศนั้นเป็นโอรสที่พระแม่ปารวตีพระมเหสีของพระศิวะได้เสกขึ้นมาเพื่ออยู่คอยรับใช้ครั้งที่พระศิวะเสด็จไปบำเพ็ญสมาธิเป็นระยะเวลานาน ซึ่งครั้งนั้นพระแม่ปารวตีต้องอยู่เพียงลำพัง จึงเสกโอรสขึ้นมาเพื่อดูแล และปกป้องจากบุคคลที่จะเข้ามาทำร้าย และก่อความวุ่นวาย มีอยู่คราวหนึ่งที่พระแม่ปารวตีต้องการสรงน้ำในพระตำหนักด้านใน จึงได้สั่งให้พระโอรสคอยนั่งเฝ้าหน้าประตูไว้ และรับสั่งว่า ห้ามให้ใครก็ตามเข้ามาในพระตำหนักของพระองค์ทั้งสิ้น แต่ครั้งนั้นเป็นคราวเดียวกันกับที่พระศิวะเสด็จกลับมายังพระตำหนักและต้องการเข้าไปข้างใน กับพบเด็กหนุ่มนั่งขวางไว้ไม่ให้เข้าตามคำรับสั่งของพระมารดา

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ
                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ

                            พระศิวะจึงโกรธมาก ทั้งสองจึงได้ทะเลาะกันใหญ่โตจนเทพทั่วทั้งสวรรค์ต่างเกิดความวิตกเกรงกลัวต่อหายนะที่จะเกิดขึ้น แต่ในที่สุดพระโอรสนั้นก็ถูกตรีศูลของพระศิวะตัดศรีษะขาดจนสิ้นใจ โดยที่พระศิวะไม่ได้ทราบเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นทรงเป็นพระโอรสของพระมเหสีของตนที่ถูกเสกขึ้นมา เมื่อพระแม่ปารวตีได้ยินเสียงดังครึกโครมก็ได้เดินออกมาดูและเมื่อเห็นว่าพระโอรสของนางได้ถูกปลิดชีพโดยพระสวามีพระนางจึงได้ตัดพ้อต่อว่าพระศิวะ และโศกเศร้าโศกาเป็นอย่างมาก พระศิวะเมื่อทราบความจริงดังนั้นจึงรับปากว่าจะฟื้นคืนชีพพระโอรสให้ แต่หาศีรษะของพระโอรสไม่พบ จนเกือบจะเลยเวลาที่จะสามารถฟื้นคืนชีพได้ จึงได้รับสั่งเทพยดาที่คอยรับใช้พระองค์ว่าให้ออกตามหาศีรษะของสัตว์มาโดยให้นำศีรษะของสัตว์ตัวแรกที่พบมาให้พระองค์

                            เทพยดาเหล่านั้นจึงออกตามหาและได้พบกับช้าง จึงได้ตัดเอาศีรษะของช้างมาให้กับพระศิวะ พระศิวะจึงได้ทำการต่อเศียรคืนให้กับพระโอรสเพื่อคืนชีพ พร้อมกับยกย่องและตั้งพระนามให้ว่า พระพิฆเนศ ซึ่งแปลว่าเทพผู้ขจัดปัดเป่าอุปสรรคและความทุกข์ยาก โดยได้อวยพรเอาไว้ว่า ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทั้งหมดจะต้องมีการทำพิธีบูชาองค์พระพิฆเนศก่อน เพื่อความสำเร็จของพิธีเหล่านั้น

                            จากนั้นมา พระพิฆเนศนั้นจึงได้เป็นเทพที่เป็นตัวแทนแห่งความสำเร็จทั้งปวง โดยได้รับความเคารพจากชาวฮินดูอย่างมาก เพราะเดิมทีนั้นชาวฮินดูจะนับถือเทพทุกชนิดที่เป็นสัตว์ และเชื่อว่าช้างนั้นเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งหมด จึงยกให้พระพิฆเนศนั้นเป็นหัวหน้าของเหล่าเทพทั้งหลายนั่นเอง

                            ในการกราบไหว้บูชาพระพิฆเนศนั้น ยังมีความเชื่ออีกว่าองค์รูปปั้นของพระพิฆเนศเองนั้นมีหลายปาง ซึ่งแต่ละปางนั้นก็จะใช้ในการกราบไหว้บูชาของแต่ละสายอาชีพที่แตกต่างกัน ดังนั้นหากใครที่ต้องการกราบไหว้องค์พระพิฆเนศให้ได้รับความสำเร็จอย่างแท้จริงควรทำการศึกษาข้อมูลของพระพิฆเนศแต่ละปางให้ละเอียดว่าตรงกับสายงานที่เราจะทำหรือไม่

                            ข้อมูลอ้างอิงจาก www.silpa-mag.com

                            ฝันพระพิฆเนศ สีชมพู ทำนายฝัน
                            ฝันพระพิฆเนศ สีชมพู ทำนายฝัน

                            พระพิฆเนศ เป็นมหาเทพของศาสนาพราหมณ์ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จสมปราถนา เทพแห่งศิลป์และสรรพวิทยาการ ที่ไม่ใช่แต่คนที่นับถือศาสนาพราหมณ์จะนับถือ แต่ชาวพุทธเราเองก็ได้นับถือบูชาองค์พระพิฆเนศกันอย่างมากมาย และเป็นที่ทราบกันดีว่า ท่านมีหลายปางให้ได้บูชา และควรจะศึกษาว่าแต่ละปางปกป้องคุ้มครองเด่นในด้านไหน วันนี้ ทีมแม่ ABK จึงขอยกตัวอย่างพระพิฆเนศ 10 ปาง มาให้ได้ศึกษากันอย่างคร่าว ๆ พร้อมทั้งคาถาบูชาของแต่ละปางอีกด้วย

                            ตัวอย่าง 10 ใน 32 ปาง ของพระพิฆเนศ

                            พระพิฆเนศ ปางที่ 1
                            พระพิฆเนศ ปางที่ 1

                            ปางที่ 1 : พระบาล คณปติ (Bala Ganapati)
                            อวตารภาคเด็ก : ปางอันเป็นที่รักของทุกคนและเด็กๆ นิยมบูชาในบ้านเรือน หรือโรงเรียนที่มีเด็กเล็ก เด็กนักเรียน เช่น โรงเรียนอนุบาลและชั้นประถม สถานรับเลี้ยงเด็ก สนามเด็กเล่น ฯลฯ
                            “โอม ศรี บาลา คณปติ ยะนะมะฮา”

                            ปางที่ 2 : พระตรุณ คณปติ (Taruna Ganapati)
                            อวตารภาควัยหนุ่ม : ปางที่ให้คุณประโยชน์ในกิจการงาน นิยมตั้งบูชาไว้ตามสถานศึกษา มหาวิทยาลัย หรือสถานที่ทำงานที่เต็มไปด้วยคนหนุ่มสาววัยกระตือรือร้น
                            “โอม ศรี ตรุณะ คณปติ ยะนะมะฮา”

                            ปางที่ 3 : พระภักติ คณปติ (Bhakti Ganapati)
                            ปางบูชาขอพระเวท เพื่อความสมบูรณ์เติมเต็มของชีวิต บูชาเพื่อความสุขสมหวังในชีวิต หรือเพื่อหลุดพ้น
                            “โอม ศรี ภัคดี คณปติ ยะนะมะฮา”

                            ปางที่ 4 : พระวีระ คณปติ (Veera Ganapati)
                            อวตารแห่งนักรบ ปางออกศึก และปราบมาร ให้อำนาจในการบริหารปกครอง และความเป็นผู้นำ อำนวยผลให้กับองค์กรบริหารราชการแผ่นดิน ทหาร ตำรวจ พลเรือน ฝ่ายปกครอง ผู้นำ ผู้บริหาร หัวหน้าหน่วยงานทุกประเภท

                            “โอม ศรี วีระ คณปติ ยะนะมะฮา”

                            ปางที่ 5 : พระศักติ คณปติ (Shakti Ganapati)
                            ปางทรงอำนาจเหนือการงาน การเงิน และความรัก อำนวยผลให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
                            “โอม ศรี ศักติ คณปติ ยะนะมะฮา”

                            พระพิฆเนศ ปางที่ 6
                            พระพิฆเนศ ปางที่ 6

                            ปางที่ 6 : พระทวิชา คณปติ (Dwija Ganapati)
                            ปางของการบุกเบิก เริ่มต้นชีวิตใหม่ เปิดกิจการใหม่ อำนวยผลให้กับผู้ประกอบกิจการต่างๆ นักธุรกิจ นักลงทุน นักสำรวจ นักบุกเบิก คนทำงานต่างแดน เป็นต้น
                            “โอม ศรี ทวิชา คณปติ ยะนะมะฮา”

                            ปางที่ 7 : พระสิทธิ คณปติ (Siddhi Ganapati)
                            ปางประทานความสมบูรณ์ และทรัพย์สมบัติ อำนวยผลด้านทรัพย์สินเงินทอง และความอุดมสมบูรณ์
                            “โอม ศรี สิทธิ คณปติ ยะนะมะฮา”

                            ปางที่ 8 : พระอุจฉิษฏะ คณปติ (Uchhishta Ganapati)
                            ปางเสน่หา และความสำเร็จสมปรารถนา อำนวยผลให้เกิดเสน่ห์ และความสำเร็จในด้านต่างๆตามแต่จะขอพร
                            “โอม ศรี อุจฉิษฏะ คณปติ ยะนะมะฮา”

                            ปางที่ 9 : พระวิฆณา คณปติ (Vighna Ganapati)
                            ปางขจัดอุปสรรค และแก้ไขปัญหา อำนวยผลให้ประสบความสำเร็จทั่วไป ตามแต่จะอธิษฐาน

                            “โอม ศรี วิฆนา คณปติ ยะนะมะฮา”

                            ปางที่ 10 : พระเหรัมภะ คณปติ (Heramba Ganapati)
                            ปางปกป้องคุ้มครอง เป็นปางหนึ่งที่พระราชาในอินเดียนิยมบูชากันมาก อำนวยผลด้านการปกป้องคุ้มครองบริวาร การบริหาร ปกครองของผู้นำ
                            “โอม ศรี เหรัมภะ คณปติ ยะนะมะฮา”

                            พระพิฆเนศทั้ง 32 ปาง
                            พระพิฆเนศทั้ง 32 ปาง

                            ถึงแม้ว่าองค์พระพิฆเนศจะมีอยู่หลายปาง แต่หลักใหญ่ใจความในการบูชาพระพิฆเนศทุกปางนั้น ล้วนแล้วแต่เหมือนกัน คือ  การตั้งจิตให้แน่วแน่ในการสวดบูชา พร้อมทั้งให้ปรับจิตใจของเราให้มีความรัก และ ศรัทธา พระพิฆเนศและทวยเทพอย่างเต็มเปี่ยม เคารพองค์ท่านไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ระลึกถึงองค์ท่านเสมอ มีความเมตตาต่อผู้อื่นและสำนึกดีอยู่ตลอดเวลา ถ้าทำได้อย่างนี้ พระองค์ท่านก็เมตตาเรา ประทานพรให้เราได้เต็มที่ท่านจะประทานพรให้เราประสบความสำเร็จ เดินไปสู่ทางที่ดีงาม เกิดสิริมงคลแก่ชีวิตและประสบแต่ความโชคดี

                            ทำนายฝัน..ฝันเห็นพระพิฆเนศ

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ

                            ระวังสิ่งของที่คนแปลกหน้านำมาให้นี้อาจมีเจตนาอื่นแฝงอยู่ จะมีสิ่งมากระทบจิตใจ ทำให้หวนคิดแต่เรื่องเก่า ๆ โชคลาภมีแต่ต้องไขว่คว้าเอง

                            ความรัก

                            อย่าปล่อยให้ตัณหาราคะจริตมาครอบงำจิตสำนึกเกินไป เพราะอาจเพลี่ยงพล้ำเสียตัวได้! ระวังจะเกิดการขัดแย้งในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่คุณก็เก่งนะที่สามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตัวคุณเอง คุณมีดวงที่ต้องเดินทางในระยะนี้ ทำให้คุณจะมีโอกาสห่างเหินกับคนที่คุณรัก

                            ดวงการเงิน การงาน

                            การเงินเข้ามือขวาออกมือซ้าย เก็บเงินไม่ได้ เริ่มเป็นหนี้เป็นสิน กระทบกับชีวิตประจำวัน ระวังให้ดี ทางด้านการเงินดีมาก แต่ก็ไม่เหลือเก็บ อย่าเพิ่งลงทุนร่วมหุ้นกับใครหากยังไม่รู้ใจกันดีพอ ต้องศึกษาประวัติกันให้ดีก่อน ป้องกันปัญหาที่จะตามมา

                            เลขมงคล เด่นนำโชค

                            0 8

                            เลขมงคล เด่นรอง

                            62 68 77

                            05 492 398

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ ดวงด้านไหนกำลังรุ่งกันนะ
                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ ดวงด้านไหนกำลังรุ่งกันนะ

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศสีทอง

                            การพบปะคนจำนวนมากมักเจอเหตุการณ์หรือคำพูดที่ไม่ค่อยน่าพอใจนัก จะมีแต่คนนำพาโชคลาภมาให้คุณ ช่วงนี้ระวังศัตรูคู่แข่งของคุณจ้องจะทำร้ายคุณอยู่

                            ความรัก

                            คุณหรือคนรักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีความลับต่อกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดออกมา เพราะกลัวจะโดนอีกฝ่ายโกรธและกลัวจะทะเลาะกัน ใครที่ชอบมีความรักแบบปิดบังซ่อนเร้น ช่วงนี้จะรู้สึกร้อนรุ่ม เพราะกลัวความลับถูกเปิดเผย คุณมีโอกาสที่จะได้คู่รักเป็นคนต่างชาติ คนๆ นี้ดูดีเลยทีเดียว

                            ดวงการเงิน การงาน

                            จะมีผลให้การงานล่าช้ากว่าที่นัดหมาย ระวังจะถูกตำหนิได้ ต้องใช้ความพยายามอดทนสูง คนทำงานด้านบริการจะมีงานวิ่งเข้ามาหา ประเภทเพื่อนชักชวนลูกค้ามาให้ อย่าเพิ่งลงทุนร่วมหุ้นกับใครหากยังไม่รู้ใจกันดีพอ ต้องศึกษาประวัติกันให้ดีก่อน ป้องกันปัญหาที่จะตามมา

                            เลขมงคล เด่นนำโชค

                            4 5 7 9

                            เลขมงคล เด่นรอง

                            38 73

                            960 785

                             

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ จะได้รับทรัพย์ก้อนโตไหม
                            ฝันเห็นพระพิฆเนศ จะได้รับทรัพย์ก้อนโตไหม

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศสีชมพู

                            การเสี่ยงโชค จงแสวงโชคจากที่ที่คุณยังไม่เคยไป ชีวิตราบเรียบ จะมีแต่ความสุขอย่างต่อเนื่อง ความเจริญของคุณจะมาจากความอ่อนน้อมถ่อมตนกับคนที่มีอายุมากกว่า

                            ความรัก

                            ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นในกันและกันทั้งสองฝ่าย ความสุขจะบังเกิดกับคุณทันที ใครที่ชอบมีความรักแบบปิดบังซ่อนเร้น ช่วงนี้จะรู้สึกร้อนรุ่ม เพราะกลัวความลับถูกเปิดเผย ต้องหลีกเลี่ยงอย่าให้เกิดชนวนแห่งความขัดแย้ง

                            ดวงการเงิน การงาน

                            งานที่ใช้การเจรจาจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หรือถ้าติดขัดก็จะสามารถนำพาให้ผ่านพ้นไปได้ จะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างทั้งที่เกี่ยวกับเรื่องการเงิน อาจมีคนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากคุณ การงานได้เพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือ ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น

                            เลขมงคล เด่นนำโชค

                            3

                            เลขมงคล เด่นรอง

                            60

                            149 063 160 690

                             

                            วิธีบูชาพระพิฆเนศที่ถูกต้อง
                            วิธีบูชาพระพิฆเนศที่ถูกต้อง

                            ฝันเห็นพระพิฆเนศองค์ใหญ่

                            คนในครอบครัวจะมีเรื่องของการเจ็บป่วย เล็กๆ น้อยๆ ไม่หนักหนา จะทำของหาย หรือสูญเสียของที่รัก คุณมีเกณฑ์ได้รับลาภผลจากคนรัก

                            ความรัก

                            คนที่มีกิ๊กจงระวังไว้ เพราะอีกไม่นานงานจะเข้าคุณ งานนี้อาจถึงเลิกลากันไปเลยก็ได้ คนที่มีคู่แล้วให้ระวังเรื่องความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างคู่ของคุณกับเพื่อนสนิทของคุณ จับตาดูไว้ให้ดีๆ ชอบใคร รักใคร ให้ลุยเลย เพราะช่วงนี้มีโอกาสที่จะสมหวัง

                            ดวงการเงิน การงาน

                            การงานของคุณไม่สู้จะดีนัก โดยเฉพาะการประสานงานติดต่ออาจจะมีความขัดแย้งและไม่เห็นด้วยเกิดขึ้น คุณจะใช้จ่ายมากไปสักนิดในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ควรเก็บๆ ไว้บ้าง ระวังจะมีคนคิดอยากจะก๊อปปี้งานในแบบของคุณ แล้วนำไปเสนอหัวหน้าแล้วแอบอ้างว่าเป็นผลงานของเค้า

                            เลขมงคล เด่นนำโชค

                            1 6

                            เลขมงคล เด่นรอง

                            39 43

                            705 155

                            ไม่ว่าผลคำทำนายจะดีหรือร้าย สิ่งหนึ่งที่ควรยึดถือไว้นั่นคือ การประพฤติดี คิดดี ทำดี พูดดี ไม่ว่าดวงเราในช่วงนั้นจะเป็นเช่นไร รับรองความดีก็จะช่วยคุ้มครองให้เราพบเจอแต่สิ่งที่ดี มีทางแก้ปัญหา และสามารถผ่านพ้นไปด้วยดีอย่างแน่นอน

                            ข้อมูลอ้างอิงจาก www.sanook.com/www.siamganesh.com/mthai.com

                            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            ฝันว่าแฟนนอกใจ อ่านคำทำนายพร้อมวิธีตัดไฟแต่ต้นลม!

                            6 เทคนิคสุดน่ารักสร้างสรรค์ช่วยลูกแยก ซ้ายขวา ได้ง่ายๆ

                            ชี้เป้ารวย! สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 เลือกสีไหนให้ถูกโฉลก?

                            ฝันว่ามีลูก ฝันว่ามีลูกผู้ชาย จริงหรือเปล่าที่จะได้ลูก?

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              การตรวจคัดกรอง

                              6 การตรวจคัดกรอง ที่แม่ท้องต้องตรวจตามนัด!!

                              เมื่อตั้งครรภ์ การตรวจคัดกรอง โรคต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น จะช่วยให้แม่ท้องและคุณหมอที่รับฝากครรภ์ได้เตรียมตัวรับมือและป้องกันโรคดังกล่าวไม่ให้เกิดอันตราย มาดูกันว่าแม่ท้องควรตรวจคัดกรองอะไรบ้าง

                              6 การตรวจคัดกรอง ที่แม่ท้องต้องตรวจตามนัด!!

                              ในช่วงที่โรคโควิดกำลังระบาดอยู่นั้น แม่หลายคนอาจจะได้รับการเลื่อนนัดจากโรงพยาบาลบ้าง หรือคุณแม่หลาย ๆ ท่านก็ไม่สะดวกที่จะไปโรงพยาบาลในช่วงนี้ แต่คุณแม่ทราบไหมคะว่าในการนัดตรวจครรภ์แต่ละครั้ง ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ เพราะเมื่อครบกำหนดที่แม่ท้องควรจะตรวจคัดกรองโรคที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ หรือโรคที่อาจส่งผลกระทบต่อเด็กในท้อง คุณหมอก็จะพิจารณาให้คุณแม่ทำ การตรวจคัดกรอง โรคนั้น ๆ ค่ะ ดังนั้น ทีมแม่ ABK ขอรวบรวม 6 การตรวจคัดกรอง ที่แม่ท้องควรมาตรวจตามหมอนัด ห้ามเลื่อน ห้ามยกเลิกเด็ดขาด!!

                              หมายเหตุ! การตรวจคัดกรองต่อไปนี้ ไม่บังคับว่าจะต้องตรวจแม่ท้องทุกคน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณหมอว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ควรจะตรวจหรือไม่ ทั้งนี้ คุณแม่สามารถปรึกษาและขอคำแนะนำจากหมอผู้ฝากครรภ์ได้ค่ะ

                              6 การตรวจคัดกรอง ที่แม่ท้องต้องตรวจตามนัด ห้ามเลื่อน ห้ามยกเลิก!!

                              1. ตรวจโรคเลือด ตรวจพาหะธาลัสซีเมีย

                              โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบยีนด้อยที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยผู้ที่เป็นโรคจะต้องได้รับยีนผิดปกติมาจากทั้งพ่อและแม่ ยีนผิดปกตินี้จะทำให้จำนวนฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงลดลง มีผลให้เม็ดเลือดแดงผิดปกติแตกง่าย ในประเทศไทยมีผู้ที่มียีนโรคธาลัสซีเมียและฮีโมโกลบินแฝงผิดปกติสูงถึงร้อยละ 40 ของประชากรไทย ผู้ที่มียีนแฝงมีสุขภาพแข็งแรงและรูปร่างหน้าตาเหมือนคนปกติ ทั้งผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มียีนแฝง สามารถถ่ายทอดยีนผิดปกติไปสู่ลูกหลานได้ บางรายอาจมีอาการรุนแรงมาก ต้องการการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

                              ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียจะมีอาการซีดเรื้อรัง เหลือง เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ตับม้ามโต ปัสสาวะสีเข้ม เนื่องจากมีการแตกของเม็ดเลือดแดงเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มียีนแฝง (พาหะโรคธาลัสซีเมีย) สามารถถ่ายทอดยีนผิดปกติไปสู่ลูกหลานได้ อัตราเสี่ยงในการเป็นโรคหรือยีนแฝงในแต่ละครอบครัวจะเท่ากันทุกครั้งของการตั้งครรภ์ ดังนี้

                              1. ในกรณีที่พ่อและแม่มียีนแฝงทั้งคู่ โอกาสลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 25% โอกาสลูกจะมียีนแฝงเท่ากับ 50% และโอกาสลูกจะปกติเท่ากับ 25%
                              2. ในกรณีที่พ่อหรือแม่มียีนแฝงเพียงคนเดียว โอกาสลูกจะมียีนแฝงเท่ากับ 50% แต่ไม่มีลูกคนใดเป็นโรคเลย
                              3. พ่อและแม่ฝ่ายหนึ่งเป็นโรค และอีกฝ่ายหนึ่งมียีนแฝง โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 50% โอกาสที่ลูกจะมียีนแฝงเท่ากับ 50%

                              เนื่องจากผู้ที่มียีนโรคธาลัสซีเมียแฝงจะไม่มีอาการ ดังนั้น แม่ท้องควรตรวจกรองภาวะที่มียีนโรคธาลัสซีเมียแฝงที่สำคัญ ได้แก่ แอลฟาธาลัสซีเมียแฝง เบต้าธาลัสซีเมียแฝง ฮีโมโกลบินอีแฝง และโฮโมซัยกัสฮีโมโกลบินอี หากแม่ท้องมียีนธาลัสซีเมียแฝง จะได้รับคำแนะนำให้รีบพาสามีมาตรวจด้วย หลังจากวินิจฉัยได้แล้วว่าหญิงตั้งครรภ์และสามีเป็นคู่เสี่ยงต่อการมีลูกเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง ทั้งคู่ควรได้รับคำปรึกษาแนะนำจากผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจโรคเป็นอย่างดี ต้องให้ข้อมูลว่าเสี่ยงต่อการเป็นโรคชนิดใด มีความรุนแรงและการดำเนินโรคเป็นอย่างไร มีการรักษาอะไรบ้าง โอกาสเสี่ยงที่จะมีลูกเป็นโรคเท่าใด มีทางเลือกในการตรวจวินิจฉัยทารกในครรภ์ได้อย่างไรบ้าง อายุครรภ์ที่ตรวจได้ รวมทั้งข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี และทางเลือกเมื่อทราบว่าทารกเป็นโรค คู่สามีภรรยาควรได้รับการตรวจเลือดวิเคราะห์สารพันธุกรรมโรคธาลัสซีเมียหรือฮีโมโกลบินผิดปกติ เพื่อใช้สำหรับวินิจฉัยโรคแก่ทารกในครรภ์ต่อไป

                              แม่ท้องจะได้รับการตรวจพาหะธาลัสซีเมียเมื่อไหร่? เมื่อไปฝากครรภ์ครั้งที่ 1 หรือครั้งแรกนั้น คุณหมอจะเจาะเลือดเพื่อตรวจเลือดทั่วไปและตรวจ RH Group อยู่แล้ว ในการเจาะเลือดครั้งนั้น จะตรวจรวมไปถึงการตรวจพาหะธาลัสซีเมียด้วย

                              ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์
                              ตรวจคัดกรองขณะตั้งครรภ์

                              2. ตรวจคัดกรองเบาหวาน

                              การตั้งครรภ์มีส่วนกระตุ้นให้ภาวะเบาหวานแสดงอาการได้มากขึ้น เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดการดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลทำให้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายเสียสมดุลย์ไป รวมถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อหญิงตั้งครรภ์หลายประการ เช่น การเกิดภาวะความดันโลหิตสูงแทรกซ้อน ภาวะน้ำคร่ำมากเกินปกติภาวะแทรกซ้อนจากการคลอดบุตร เนื่องจากบุตรมีขนาดใหญ่กว่าเกณฑ์ ทำให้คลอดยากหรือเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด ดังนั้น การตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์จึงสำคัญมาก เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาแต่เนิ่น ๆ และสามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดการตั้งครรภ์ ลดภาวะแทรกซ้อนและเสียชีวิตของทารกในครรภ์ได้

                              การตรวจคัดกรอง เบาหวานจะทำในรายที่มีข้อบ่งชี้ ดังนี้

                              • มีประวัติบิดา/มารดา/พี่/น้องเป็ นเบาหวาน
                              • อายุตั้งแต่ 30 ปี ขึ้นไป
                              • ภาวะอ้วน โดยมี BMI มากกว่าหรือเท่ากับ 27 kg/m2
                              • ทารกเสียชีวิตในครรภ์ โดยไม่ทราบสาเหตุ
                              • เคยคลอดบุตรน้ำหนักแรกเกิดตั้งแต่ 4 กิโลกรัมขึ้นไป
                              • เคยคลอดบุตรที่มีความพิการแต่กำเนิดโดยไม่ทราบสาเหตุ
                              • มีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์ในท้องก่อน
                              • เคยมีประวัติความดันโลหิตสูงในท้องก่อน

                              อ่านต่อ คนท้องต้องรู้! กินน้ำตาล ตรวจเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ทำอย่างไร?

                              3. ตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HIV

                              เมื่อไปฝากครรภ์ครั้งแรก แม่ท้องจะได้รับการตรวจเลือด พร้อมกับเอกสารให้เซ็นยินยอมในการตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HIV เมื่อแม่ท้องเซ็นยินยอม เลือดที่นำไปตรวจ จะถูกนำไปตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HIV ไปด้วย และควรตรวจซ้ำเมื่ออายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์ในกรณีที่ผลการตรวจครั้งแรกเป็นลบ การตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HIV นี้ ก็เพื่อให้การรักษาและให้ยาต้านไวรัสที่ปลอดภัยต่อสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ในช่วงที่เหมาะสม (ในกรณีที่ผลเลือดเป็นบวก) และเพื่อลดความเสี่ยงในการถ่ายทอดเชื้อไปยังทารก โดยคุณหมอจะปรับยาเพื่อให้คุมโรคได้และไม่มีผลข้างเคียงในระหว่างตั้งครรภ์ และอาจต้องปรับยาตามช่วงอายุครรภ์เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อคุณแม่และลูกน้อยมากที่สุด

                              4. การตรวจคัดกรองความพิการของทารกในครรภ์ด้วยการอัลตราซาวด์

                              อัลตราซาวด์ (Ultrasound) เป็นการตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์โดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงจับภาพอวัยวะหรือส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย การอัลตราซาวด์มีประโยชน์ต่อการตรวจครรภ์หลายอย่าง ในระยะแรกอาจใช้เพื่อคำนวณวันคลอด ดูว่าเป็นลูกแฝดหรือไม่ รวมถึงการตรวจดูการตั้งครรภ์นอกมดลูก ช่วยตรวจปัญหาขณะตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ความพิการแต่กำเนิดของทารก ความผิดปกติของรก ทารกไม่กลับหัว เป็นต้น นอกจากนี้ พ่อแม่หลายคนที่ต้องการรู้ว่าเพศของลูกเป็นหญิงหรือชาย การตรวจอัลตราซาวด์สามารถช่วยบอกได้ ส่วนในภาวะคลอดก่อนกำหนด แพทย์ยังอาจใช้เครื่องมือนี้ช่วยประเมินน้ำหนักตัวของทารกได้ด้วย ในระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรได้รับการตรวจอัลตราซาวด์อย่างน้อย 1 ครั้ง ในช่วงอายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์ โดยสูติแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ (maternal-fetal medicine, MFM)

                              อ่านต่อ ตัวย่ออัลตร้าซาวด์ มีความหมายและบอกอะไรเกี่ยวกับทารกในครรภ์ได้บ้าง?

                              5. ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรม

                              เด็กดาวน์ หรือ เด็กที่มี “กลุ่มอาการดาวน์ซินโดรม” จะมีความผิดปกติทางโครโมโซมซึ่งเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาแต่กำเนิด เด็กจะมีความพิการที่เด่นชัดทางด้านสติปัญญาหรือที่เราเรียกว่ามีภาวะปัญญาอ่อน ร่วมกับมีความพิการทางร่างกาย เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่อง ความผิดปกติที่ระบบลำไส้ หรือมีระบบการได้ยินที่ผิดปกติ สำหรับภาวะปัญญาอ่อนนั้นมีความหนักเบาตั้งแต่ระดับปานกลางจนถึงมาก สตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปจะมีความเสี่ยงสูงต่อการตั้งครรภ์ทารกกลุ่มอาการดาวน์ ส่วนสตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อยก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกันแต่จะพบได้น้อยกว่าตามอายุของสตรีที่คลอด

                              การตรวจโครโมโซมของทารก เป็นวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กัน โดยการเจาะตรวจน้ำคร่ำขณะอายุครรภ์ 17-20 สัปดาห์ ทำให้ทราบว่าทารกมีโครโมโซมผิดปกติหรือไม่ แต่การเจาะตรวจน้ำคร่ำมีอัตราเสี่ยงต่อการแท้งบุตรประมาณ 1 ใน 350 ราย ดังนั้นสูติแพทย์จึงแนะนำการเจาะตรวจน้ำคร่ำในคุณแม่ที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น เช่น คุณแม่อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป คุณแม่ที่คลอดลูกคนก่อนเป็นทารกดาวน์ หรือคุณแม่ที่ทำการตรวจคัดกรองเลือดแล้วได้ผลบวก เป็นต้น

                              ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีวิธีการตรวจคัดกรองทารกดาวน์ด้วยการตรวจสารชีวเคมีในเลือดของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรกร่วมกับการตรวจอัลตร้าซาวด์ เพื่อวัดความหนาของผิวหนังบริเวณต้นคอทารกในครรภ์ ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สามารถตรวจคัดกรองทารกดาวน์ได้ถึงร้อยละ 85-90 เป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ค่าใช้จ่ายไม่สูง และมีประโยชน์ในการวางแผนในการตรวจวินิจฉัยและดูแลทารกที่มีความเสี่ยงต่อไป วิธีนี้สามารถทำได้เฉพาะในช่วงอายุครรภ์ 10 -14 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นคุณแม่ควรรีบไปฝากครรภ์กับสูติแพทย์ทันทีที่สงสัยว่าตั้งครรภ์เพื่อรับการตรวจคัดกรองในช่วงดังกล่าว และหากผลการตรวจเป็นบวก คุณแม่จะได้รับคำแนะนำในการตรวจวินิจฉัยต่อไป โดยปัจจุบันการตรวจดังกล่าวเป็นวิธีมาตรฐานที่ใช้ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ซึ่งทำการตรวจในสตรีตั้งครรภ์ทุกรายที่มาฝากครรภ์แล้ว

                              หากเลยจากช่วงเวลานี้แล้ว เช่น ในกรณีที่อายุครรภ์อยู่ระหว่าง 14 – 18 สัปดาห์ คุณแม่ก็สามารถรับการตรวจเลือดเพื่อคัดกรองทารกดาวน์ในไตรมาสที่สองที่เรียกว่า Triple screening แทนได้ ซึ่งสามารถตรวจคัดกรองทารกดาวน์ได้ประมาณร้อยละ 65-70

                              คนท้อง ตรวจคัดกรอง
                              คนท้อง ตรวจคัดกรอง

                              6. การคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สำคัญและอาจก่ออันตรายต่อทารกในครรภ์

                              ทารกที่ได้รับเชื้อจากแม่ที่เป็นโรคซิฟิลิสจะมีโอกาสเสียชีวิตในครรภ์ ส่วนทารกที่เกิดมีชีพ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 2 ปี สามารถพบอาการ ได้แก่ ผื่นลอกที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ซีด เหลือง ตับม้ามโต กระดูกผิดปกติ ในบางรายอาจพบการติดเชื้อในระบบประสาทร่วมด้วย หากพบอาการ ได้แก่ ตาบอด หูหนวก ดั้งจมูกยุบ ฟันแท้มีลักษณะผิดปกติและปากแหว่ง ซึ่งมีความผิดปกติของกระดูกและข้อทำให้เกิดรูปหน้าที่ผิดปกติ ตั้งแต่อายุ 2 ปีขึ้นไป มักเป็นอาการผิดปกติที่คงอยู่ตลอดชีวิต หากพบว่าทารกที่คลอดแล้วป่วยเป็นโรคดังกล่าว ต้องได้รับการดูแลรักษาและติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง

                              ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันโรคที่เกิดจากพันธุกรรมและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคซิฟิลิสแต่กำเนิด เมื่อทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ควรเข้ารับการฝากครรภ์โดยเร็ว (ก่อนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์) โดยจะได้รับการตรวจคัดกรองซิฟิลิสในหญิงตั้งครรภ์ 2 ครั้ง คือ ตั้งแต่ที่ฝากครรภ์ครั้งแรก และ ระหว่างอายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์ หากตรวจพบจะได้รักษาตั้งแต่เริ่มต้น จะช่วยลดการถ่ายทอดเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้

                              อ่านต่อ เมื่อฉันติด โรคซิฟิลิส มาจากสามี จนสูญเสียลูกในครรภ์

                              แม้สถานการณ์โควิดในขณะนี้จะเป็นที่น่ากังวล หากคุณแม่จำเป็นต้องเลื่อนนัด แนะนำให้สอบถามพยาบาลก่อนว่าสามารถเลื่อนไปได้ถึงเมื่อไหร่ เพราะ การตรวจคัดกรอง ทั้ง 6 การตรวจนี้ ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ และในบางการตรวจ ก็จะมีระยะเวลาที่สามารถตรวจได้ หากเลยกำหนดแล้วจะทำให้ไม่สามารถตรวจได้อีก ดังนั้น หากแม่ท้องได้รับคำแนะนำให้ตรวจคัดกรองดังกล่าว ก็ควรที่จะไปตามนัดนะคะ

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              5 ความเชื่อผิดๆ ของแม่ตั้งครรภ์

                              คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร? กระทบลูกในท้องหรือไม่?

                              10 อาการผิดปกติ ตอนท้อง ที่แม่ควรรีบไปหาหมอ!

                              Update! แพคเกจปี 2564 อัลตร้าซาวด์ 4 มิติ ราคา เท่าไหร่?

                               

                              ขอบคุณข้อมูลจาก : Facebook Page OBG Social, ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล, สสส., กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณะสุข, รศ.พญ. สายฝน ชวาลไพบูลย์ ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, พบแพทย์

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                14 อาหาร เสริมภูมิคุ้มกันลูก ช่วยให้ลูกไม่ป่วยง่าย!

                                เสริมภูมิคุ้มกันลูก –  อาการเจ็บป่วย ไม่ว่าจะป่วยด้วยโรคอะไรก็ตาม คงไม่มีคุณพ่อคุณแม่คนไหนยินดีแน่หากเกิดขึ้นกับลูกของเรา  ความจริงเราสามารถสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้ลูกของเราได้ด้วยอาหารหลากหลายชนิดที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาหารบางชนิดมีสารอาหารที่สามารถช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กๆ แข็งแรง และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นเมื่อเด็กสัมผัสกับเชื้อโรคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ร่างกายของเด็กก็พร้อมที่จะต่อสู้กับเชื้อโรคเหล่านั้น และต่อไปนี้คืออาหารที่ดีต่อลูกๆ เพื่อให้ร่างกายของเด็กๆ ได้สร้างระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงได้อย่างต่อเนื่อง

                                14 อาหาร เสริมภูมิคุ้มกันลูก ช่วยให้ลูกไม่ป่วยง่าย!

                                1.อัลมอนด์และวอลนัท

                                อัลมอนด์และวอลนัท อุดมไปด้วยวิตามินอีและแมงกานีส ซึ่งเป็นคู่หูที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง ทั้งยังช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์นักฆ่าตามธรรมชาติ นอกจากนี้ อัลมอนด์และวอลนัท ยังมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายของคุณต่อสู้กับความเจ็บป่วย การศึกษาเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งพบว่าโอเมก้า 3 สามารถลดจำนวนการติดเชื้อทางเดินหายใจในเด็กได้ คุณสามารถโรยวอลนัทในขนมธัญพืชได้ อย่าลืมกินผลไม้แห้งเหล่านี้มากเกินไป       คุณสามารถ ให้ ลูก ๆ กินอัลมอนด์เป็นของว่างได้ และยังมีหลายวิธีที่จะรวมไว้ในอาหารของลูก ๆ

                                เสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก
                                เสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก

                                2. ผักใบเขียว

                                ผักใบสีเขียว เช่น กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ผักโขม บรอกโคลี ผักชีฝรั่ง ผักคะน้า ผักกาดหอม ช่วยในการป้องกันและต่อสู้กับการติดเชื้อต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ผักใบเขียวเหล่านี้เต็มไปด้วยสารอาหาร และธาตุอาหารต่างๆ เช่น วิตามินเอ ซี เค แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม โพแทสเซียมเป็นต้นซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น เบต้าแคโรทีนและแคโรทีนอยด์อื่น ๆ ซึ่งจำเป็นต่อระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง

                                3. ผักจำพวกราก 

                                เช่น มันเทศ แครอท บีทรูท มันเทศ และมันฝรั่ง มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสร้างความแข็งแรงให้กับระบบทางเดินหายใจ เนื่องจากผักชนิดนี้เติบโตใต้ดิน จึงดูดซับสารอาหารจำนวนมากจากดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุดมไปด้วยเส้นใยที่ละลายน้ำ และไม่ละลายน้ำ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพของลำไส้ให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติ ผักจำพวกราก ยังอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และไฟเบอร์ซึ่งช่วยในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันที่ดี

                                4.แอปริคอต

                                แอปริคอตขึ้นชื่อในเรื่องสรรพคุณในการต้านการอักเสบ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในแอปริคอตช่วยในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและช่วยให้ร่างกายต่อต้านโรคทั่วไป สารอาหารที่สำคัญในแอปริคอต ประกอบไปด้วย วิตามินเอ วิตามินซี โพแทสเซียม และเส้นใยอาหารจำนวนมาก

                                5. ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว

                                ผลไม้รสเปรี้ยวเช่นส้มฝรั่งและมะนาวมีวิตามินซีในปริมาณที่ดีซึ่งช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ผลไม้รสเปรี้ยวยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารเช่นธาตุเหล็กและสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

                                เสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก
                                เสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก

                                6.โปรตีน

                                โดยเฉพาะโปรตีนจากเนื้อสัตว์ต่างๆ ซึ่งมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณที่เพียงพอ โปรตีนจำเป็นสำหรับการสร้างเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยโปรตีนที่มีคุณค่าต่อร่างกายสามารถพบได้ในสัตว์ปีก ชีส ปลา ไข่ และนม เป็นต้น สำหรับเมนูเน้นโปรตีนแบบมังสวิรัติ สามารถรับโปรตีนจากธัญพืช และพืชตระกูลถั่วแทนได้ เช่น ถั่วเหลือง หรือ ถั่วชิกพี เป็นต้น

                                 

                                เสริมภูมิคุ้มกันให้ลูก

                                7. ถั่วในกลุ่มพัลส์

                                ถั่วที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มพัลส์  ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วถั่วเลนทิลเขียว ถั่วเลนทิลแดง ถั่วขาว ถั่วพินโต้ ถั่วแดงหลวง ถั่วเขียวซีก ถั่วลูกไก่ ถั่วในกลุ่มนี้อุดมไปด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ โฟเลต เหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และโพแทสเซียม ถั่วเหล่านี้เป็นหนึ่งในแหล่งของโปรตีนที่หาทานได้ง่าย และยังจำเป็นสำหรับทุกระบบของร่างกาย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ถั่วเลนทิลยังมีสารพฤกษเคมี ซึ่งเป็นสารประกอบจากพืชที่ช่วยต่อสู้กับโรคเรื้อรังได้อีกด้วย

                                8.กระเทียม

                                ว่ากันว่าสารประกอบกำมะถันที่มีอยู่ในหัวหอม และกระเทียมสามารถป้องกันมะเร็งได้ สารประกอบในกระเทียมคือ Anicillin, flavonoid ซึ่งช่วยป้องกันการเจ็บป่วยตามฤดูกาลได้เป็นอย่างดี

                                9.ถั่วลันเตา

                                ถั่วลันเตา อุดมไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อหัวใจ เช่น วิตามิน A, B1, B6 และ C นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ฟลาโวนอยด์ คาโรทีนอยด์ กรดฟีนอลิก และโพลีฟีนอลซึ่งช่วยในการปรับปรุงภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งโปรตีนชั้นยอด ในถั่วลันเตาหนึ่งถ้วยตวง มีปริมาณโปรตีนสูงถึง 8 กรัม

                                10. นัต (nuts) 

                                หรือ ถั่วเปลือกแข็ง เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี หากคุณต้องการให้ลูกของคุณได้ฝึกการเคี้ยว นัต อุดมไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุ รวมทั้งวิตามินจำนวนมาก และยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น กรดไขมันโอเมก้า สังกะสี และวิตามินอี โดยพบได้ใน พิสตาชิโอ ลูกเกด อินทผลัม มะเดื่อแห้ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถทำเป็นผลไม้แห้งในการปรุงแต่งขนมโฮมเมด หรือช็อคโกแลตบาร์ ซึ่งเป็นวิธีที่กระตุ้นให้เด็กอยากทาน ทานได้ง่ายขึ้น ส่งผลดีต่อการสร้างภูมิคุ้มกันของลูก

                                เสริมภูมิคุ้มกันลูก

                                11. เบอร์รี่

                                รายชื่ออาหารที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกของคุณจะไม่สมบูรณ์ หากไม่มีผลเบอร์รี่ ที่เป็นเสมือนฮีโร่ในเรื่องการเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายรวมอยู่ด้วย ผลเบอร์รี่ ได้แก่ แบล็กเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และแครนเบอร์รี่ ผลเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสารพฤกษเคมีหรือไฟโตนิวเทรียนท์ เช่น ฟลาโวนอยด์ ซึ่งช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันและต่อสู้กับการอักเสบได้เช่นกัน

                                12.ถั่วงอก

                                ลองหาโอกาสให้เด็กๆ ได้ทานถั่วงอก (จากถั่วเขียว)  เพื่อช่วยให้พวกเขามีการเจริญเติบโตที่ดี สรรพคุณที่ถูกกล่าวถึงของถั่วงอก คือ การต้านการอักเสบ จากการศึกษาพบว่าสารอาหารหลายชนิดที่สกัดได้จากถั่วงอกสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง  ในถั่วงอก ประกอบไปด้วยสารอาหารหลายชนิด ทั้งโปรตีน กรดอะมิโน แคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะกรดอะมิโนที่ช่วยสร้างเนื้อเยื่อ ฮอร์โมน และเอนไซม์

                                13.ขมิ้น

                                เป็นขมิ้นเครื่องเทศมหัศจรรย์ที่ใช้กันมาหลายชั่วอายุคนเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ขมิ้นอุดมไปด้วยเคอร์คูมิน ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านจุลชีพและต้านการอักเสบ  นอกจากนี้ในขมิ้นยังมีสารพฤกษเคมีกลุ่มโพลีฟีนอล โดยคุณสมบัติของขมิ้นตามงานวิจัยแล้ว นอกจากมีฤทธิ์การต้านการอักเสบ ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และฤทธิ์การต้านจุลินทรีย์ก่อโรคทั้งเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรรัส หากต้องการทราบว่าลูกน้อยของคุณจะสามารถทานขมิ้นชันได้หรือไม่ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านก่อน

                                14. น้ำผึ้ง

                                น้ำผึ้งเป็นที่รู้กันดีว่ามีสรรพคุณในการต้านอนุมูลอิสระ และต้านเชื้อแบคทีเรียซึ่งส่งผลต่อปัญหาสุขภาพได้มากมายรวมถึงมีส่วนทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ สรรพคุณของน้ำผึ้งคือ ช่วยในการปรับปรุงสุขภาพของลำไส้ นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในน้ำผึ้งยังช่วยในการกำจัดอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของโรคร้ายแรงออกจากร่างกาย อย่างไรก็ตามไม่ควรให้น้ำผึ้งในเด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้

                                การที่คุณพ่อคุณแม่ให้ลูกๆ ได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิด นอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายของเด็กๆ แข็งแรงและมีภูมิต้านทานโรคที่ดีแล้ว ยังเป็นการปลูกฝังให้พวกเขาซึมซับและคุ้นเคยกับการกินที่มีคุณภาพ ให้รู้จักการเลือกรับประทานสิ่งที่ดี มีประโยชน์กับร่างกาย อะไรที่ไม่ดีก็รู้จักเลี่ยงหรือจำกัดปริมาณให้เหมาะสม ทั้งนี้การปลูกฝังเรื่องการให้ความสำคัญกับสุขภาพร่างกายอย่างสม่ำเสมอเมื่อพวกเขายังเด็ก จะช่วยให้เด็กๆ เกิดทักษะการใช้ชีวิตที่สำคัญด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ได้อย่างยั้งยืน ซึ่งทักษะความฉลาดที่สำคัญต่างๆ ด้วย Power BQ ที่พ่อแม่ให้ความสำคัญและหมั่นส่งเสริมอย่างเหมาะสมจะติดตัวเด็กๆ ไปจนวันที่พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้แน่นอนค่ะ

                                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : classmonitor.com

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                ไข่จุ๊บ อันตราย! ลูกเสี่ยงกินเชื้อโรคเข้าร่างกาย เกิดอาหารเป็นพิษ

                                อาหารเสริมเพิ่มพลังสมองของลูกน้อย

                                อย่ามองข้าม ไอโอดีน สารอาหารสำคัญ ที่จำเป็นต่อทุกวัย!

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  วิธีชงนมผง

                                  แนะ! วิธีชงนมผง ที่ถูกต้อง ใส่น้ำเท่านี้..ต้องใส่นมกี่ช้อน?

                                  วิธีชงนมผง ให้ลูกทารกที่ถูกต้อง ต้องชงยังไง? พ่อแม่มือใหม่ควรรู้! เพราะหากชงผิดสูตร ผิดขั้นตอน หรือ ชงนมผิดวิธี อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกน้อยไปจนโต!

                                  แนะ! วิธีชงนมผง ที่ถูกต้อง √
                                  ชงนมผิดวิธี
                                  ส่งผลเสียต่อสุขภาพลูกไปจนโต

                                  วิธีชงนมผง ที่ถูกต้อง คือ ต้องทำตามคำแนะนำที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์นมผงยี่ห้อนั้นๆ อย่างระมัดระวัง ทั้งน้ำและนม ต้องตวงอย่างถูกต้อง ซึ่งช้อนตวงนมและปริมาณการใส่นมผง แต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันออกไป คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ให้ลูกกินนมผง หรือ นมผสม ควรอ่านฉลากคำแนะนำ วิธีชงนมผง อยู่ข้างกระป๋องนมให้ละเอียดก่อนชงนมให้ลูก เพราะถ้าใส่น้ำมากเกินไป จะทำให้ทารกได้รับอาหารไม่เพียงพอ ถ้าใส่น้ำน้อยเกินไป ก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับระบบการย่อยอาหาร ระบบไต และยังอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ หรือหากใส่ส่วนผสมอื่นๆ เพิ่มลงไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกน้อยได้

                                  วิธีชงนมผง

                                  เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้ ที่ทำเอาคุณแม่รุ่นใหม่ต้องปวดขมับ เมื่อได้เห็นวิธีการบางอย่างของคนเฒ่าคนแก่ที่บ้านที่ช่วยเลี้ยงลูกน้อยแต่อาจจะไม่ถูกต้อง แถมไม่ยอมรับฟังแม้จะพยายามอธิบายหลักการและเหตุผลให้ทราบแล้วก็ตาม ซึ่งกรณีนี้เกิดขึ้นในประเทศจีน โดยเว็บไซต์ chinapress ได้นำเสนอเรื่องราวที่ชายคนหนึ่งนำมาเปิดเผยบนโลกออนไลน์ เมื่อเพื่อนผู้หญิงของเขาเกิดมีปัญหากับแม่สามีของตัวเอง เพราะเรื่องของลูกน้อย จนทำให้ประเด็นนี้กลายมาเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์

                                  โดยเผยว่า… เพื่อนหญิงคนนี้มีลูกชายอายุ 1 ขวบ ขณะที่แม่สามีของเธอก็มักจะมาช่วยเลี้ยงลูกประจำ ซึ่งที่ผ่านมาแม่สามีกับสะใภัคู่นี้แทบจะไม่มีเรื่องขัดแย้งใหญ่โต มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ทั้งคู่ขัดแย้งจนถึงขั้นทะเลาะกันหลายครั้ง นั่นคือการชงนมให้เด็กน้อย

                                  ในขณะที่แม่ของเด็กเป็นเหมือนคุณแม่ยุคใหม่คนอื่น ๆ ที่ได้ทำการศึกษามาแล้วว่า วิธีชงนมผง ควรจะให้นมลูกในปริมาณเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม แต่เธอกลับพบว่าแม่สามีมักจะใช้นมผง 2 ช้อนเต็ม ๆ พูนๆ ตอนที่ชงนมให้ลูกของเธอ ซึ่งเธอมองว่ามันเยอะเกินไป และพยายามบอกแม่สามีว่า วิธีชงนมผง ให้เด็กในปริมาณที่มากเกินไป อาจจะส่งผลกับสุขภาพของเด็กได้ ควรให้แต่พอดี แต่ฝ่ายแม่สามีกลับอ้างว่ากลัวเจ้าตัวเล็กกินไม่อิ่ม

                                  วิธีชงนมผง

                                  ซึ่งแม้ว่าผู้เป็นแม่จะพยายามอธิบายให้แม่สามีฟัง และขอให้ปรับเปลี่ยนปริมาณ วิธีชงนมผง แต่ดูเหมือนว่าแม่สามีจะไม่รับฟัง เพราะในเวลาต่อมาเธอพบว่าลูกชายชอบดื่มแค่นมที่ย่าชงให้เท่านั้น ด้วยความสงสัยว่าทำไมลูกน้อยถึงติดใจ เธอจึงลองชิมดู และต้องตกใจเมื่อพบว่าไม่เพียงแต่นมจะมีรสชาติเข้มข้นมาก ๆ แต่ยังหวานมากด้วย

                                  “แล้วเธอก็พบความจริงว่า แม่สามีไม่เพียงแต่จะใช้นมผง 2 ช้อนเต็ม ๆ ชงนม แต่ยังแอบเติมน้ำตาลเพิ่มไปอีก 1 ช้อนด้วย”

                                  ทั้งนี้เมื่อแม่ของเด็กทารบเรื่อง จึงรีบพาลูกน้อยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลทันที เพราะห่วงว่าการกินน้ำตาลมากเกินไปจะส่งผลอะไรกับลูกน้อยหรือไม่ ด้านชาวเน็ตต่างก็ออกมาวิจารณ์การกระทำของฝ่ายแม่สามี โดยยืนยันว่าไม่ควรให้เด็กกินของหวาน ๆ ซึ่งการกระทำของย่านี้ก็ไม่ต่างจากการทำร้ายหลานทางอ้อมเลย!!

                                  วิธีชงนมผง

                                  วิธีชงนมผงที่ถูกต้อง

                                  1. เลือกชนิดของนมให้ถูกต้องตามอายุของเด็ก และต้องชงให้ถูกส่วน ซึ่งปริมาณของนมจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว และความเจริญอาหารของลูก

                                  2. โดยธรรมดาแล้วจะใช้นมผง 1 ช้อนตวงสำหรับน้ำ 30 ซีซี (1 ออนซ์) แต่คุณแม่ควรศึกษาอัตราส่วนผสมบนกล่องให้ชัดเจน เนื่องจากว่าแต่ละสูตรบางทีอาจใช้แตกต่างกัน

                                  3. ควรใช้ช้อนตวงที่มีมากับนมยี่ห้อนั้นๆ เมื่อตักตวงนมผงเสร็จแล้วต้องปาดให้เรียบโดยใช้ช้อนปาด ห้ามใช้มือเด็ดขาด

                                  4. ในส่วนของการชง คุณแม่หลายคนบางทีอาจจะคุ้นชินกับการตักนมผงลงไปก่อนแล้วจึงค่อยเพิ่มน้ำลงไป ซึ่ง วิธีชงนมผงแบบใส่นมผงก่อนน้ำอาจจะส่งผลให้ปริมาณน้ำน้อยกว่าความเป็นจริง ทำให้ลูกได้รับนมในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป อาจทำให้ลูกท้องผูกได้ ดังนั้นคุณแม่จึงต้องควรใช้วิธีชงนมแบบเติมน้ำอุ่น หรือน้ำที่ต้มสุกแล้วและวางทิ้งไว้ตามอุณหภูมิห้อง ใส่ลงในขวดก่อนตามปริมาณออนซ์ที่จะชงให้ลูกกิน และก็ค่อยตามด้วยการใส่นมผงในปริมาณจำนวนช้อนตวงที่เท่ากับออนซ์นั้นๆ

                                  5. หลังจากนั้นให้เขย่าขวดนม ซึ่งก็มีคุณแม่หลายคน ชงนมผิดวิธี ในขั้นตอนนี้ เพราะใช้วิธีเขย่าขึ้นลงแรงๆ เพื่อนมผงละลาย ซึ่งวิธีนี้อาจทำให้เกิดฟองอากาศมาก เมื่อลูกดูดฟองอากาศเข้าไป เกิดเป็นก๊าซในกระเพาะ ส่งผลให้ลูกไม่สบายท้อง ท้องเฟ้อได้ วิธีที่ถูกต้องคือให้แกว่งวนเป็นวงกลมเบาๆ เพื่อนมละลาย ได้โดยที่ไม่เกิดฟอง แต่ถ้าเกิดฟองอากาศให้ตั้งขวดนมทิ้งเอาไว้สักครู่ก็เพียงพอแล้ว

                                  6. รวมทั้งจำเป็นต้องไม่ลืมตรวจอุณหภูมิน้ำนมด้วยหลังมือของคุณแม่ ไม่แนะนำให้ใช้ตู้ไมโครเวฟ เพราะว่ามีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการไหม้

                                  ที่สำคัญนมที่เหลือจากการดูดควรปิดฝาครอบให้สนิททุกครั้ง และไม่ควรทิ้งนมผงที่ชงแล้วเอาไว้ภายในอุณหภูมิปกตินานเกิน 2 ชั่วโมง เนื่องจากว่าแบคทีเรียจะเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้น ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพของลูก ฉะนั้ แนวทางที่ดีที่สุดควรจะทิ้งนมในขวดที่ลูกกินไม่หมดทุกครั้งนะคะ

                                  ทั้งนี้สำหรับเรื่อง วิธีชงนมผง ให้ลูกทารกที่ถูกต้อง ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ  หนึ่งใน 10 ของ Power BQ (Power Baby & Kids Quotients) อาวุธที่ช่วยให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกันนั่นเอง ทั้งนี้ HQ หรือ Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ

                                  ขอบคุณข้อมูลจาก chinapress

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                  อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

                                  ให้ลูกกิน นมผงผสมนมแม่ ในขวดเดียวกันได้หรือไม่?

                                  แม่แชร์เตือน! ลูกกินนมผสม สังเกตอึให้ดี เสี่ยงเป็นโรคลำไส้อักเสบ

                                  แม่กลุ้มใจ! ลูกกินแต่นม ไม่ยอมกินข้าวกินปลา ต้องแก้ยังไง?

                                    เอลามายด์ ซูทติ้ง ครีม

                                    วิธีดูแลเด็กที่มีปัญหาผื่น แดง คัน ตามผิวหน้า

                                    คุณแม่ๆ มีถามเกี่ยวปัญหาผิวของลูกน้อยเข้ามาบ่อยค่ะ อย่างล่าสุดก็มีถามมาว่า “ลูกอายุได้ 10 เดือน มีอาการผื่น แดง คันขึ้นที่ผิวหน้าเป็นๆ หายๆ” คุณแม่สงสัยว่าลูกอาจจะแพ้ระคายเคืองอะไรสักอย่าง อยากได้คำแนะนำการดูแลผิวลูกเบื้องต้น วันนี้ทีมแม่ABK มีคำตอบจาก พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ มาคลายข้อสงสัยให้คุณแม่ค่ะ

                                    วิธีดูแลผื่น แดง คัน ตามผิวหน้าของลูกน้อย คุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ให้คำตอบพร้อมคำแนะนำไว้ดังนี้ค่ะ “ลักษณะอาการที่คุณแม่บรรยาย น่าจะเข้าได้กับอาการแพ้ระคายเคืองผิวจากปัจจัยภายนอกต่างๆ ที่มากระตุ้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นกับเด็กที่มีผิวแห้งจนถึงแห้งมาก เนื่องจากชั้นผิวหนังของเด็กไม่แข็งแรง การที่ลูกมีผิวที่ไวต่อการแพ้ระคายเคือง อาจเป็นเพราะชั้นผิวหนังขาดเซราไมด์ ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง หรืออาจเป็นผลจากกรรมพันธุ์ที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองผิวเพิ่มขึ้นได้ นอกจากอาการผื่น แดง ก็จะมีอาการคัน ที่เรียกได้ว่าเป็นอีก  1 อาการสำคัญ ที่ก่อให้เกิดความรำคาญเป็นอย่างมาก เด็กจะเกาตลอดเวลาเกิดเป็นแผลถลอก และจะตามมาด้วยอาการติดเชื้อแบคทีเรียที่มากับเล็บ  อาการคันทำให้นอนหลับไม่สนิท อาจส่งผล กระทบไปถึงการพัฒนาการของเด็กอีกด้วย”

                                    คุณแม่พอจะทราบเบื้องต้นแล้วนะคะว่า ผื่น แดง คัน ที่หน้าลูกน้อย เป็นอาการแพ้ระคายเคืองผิว คุณหมอสุธีรา ยังได้อธิบายถึงปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดผื่น แดง คัน “ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงคือ ตัวกระตุ้นให้เกิด “ผื่น แดง คัน” ที่ผิวหนัง เช่น

                                    1. น้ำลาย น้ำนม ที่เลอะบนผิวหน้า ซอกคอ ทำให้เกิดผื่นแดงที่หน้า หรือที่คุณแม่ๆ คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือ ผื่นแพ้น้ำลาย ผื่นน้ำนมนั่นเอง ป้องกันโดยทาครีมทุกครั้งหลังอาบน้ำ  และทาปิโตรเลียมเจลทับหลังทาครีมอีกที

                                    2. อากาศร้อน เหงื่อออกระคายเคืองผิว สวมใส่เสื้อผ้าหนา มีการอับชื้นของเหงื่อ หรือสวมเสื้อผ้าที่ระคายเคืองผิวหนัง ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเป็นผื่นแดง คัน  ผดร้อน  ผื่นแพ้เหงื่อ  รวมถึงการอยู่ห้องแอร์ตลอดเวลาก็เป็นปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน หากไม่ได้ทาครีม  เพราะทำให้ผิวแห้งมากเกินไป เกิดผื่นแดง คัน แห้งลอกเป็นขุยๆ

                                    3. การเสียดสี เช่น การใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่อับชื้นหรือรัดแน่นเกินไป ทำให้เกิดผื่นแดง บริเวณขาหนีบ และร่องก้น รวมถึงการเช็ดทำความสะอาดผิวหนังด้วยทิชชูเปียก  อาจทำให้เกิดผื่นแดง คัน แพ้ระคายเคือง จากส่วนประกอบที่อยู่ในทิชชูเปียกได้ เช่น น้ำหอม  แอลกอฮอล์ พาราเบน หรือสารกันเสีย  ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองผิวได้

                                    4. กิจกรรมบางอย่าง เช่น ว่ายน้ำสระคลอรีน เล่นน้ำนาน ทำให้ลูกเกิดผื่นแดง ผิวแห้งได้ ควรทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำ เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ระคายเคืองผิวจากคลอรีน และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว เพราะการเล่นน้ำนานๆ  อาจทำให้ผิวหนังสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติจนทำให้ผิวแห้งมากยิ่งขึ้นได้

                                    5. อาบน้ำอุ่น..ต้องอาบน้ำอุณหภูมิปกติค่ะ อย่าผสมน้ำจนรู้สึกอุ่น ต้องแค่รู้สึกธรรมดาหรือเย็นนิดๆ ลูกไม่ชอบ ลูกร้องไห้เวลาอาบก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่นานลูกจะชิน และเลิกร้องไห้ ทนฟังลูกร้องดีกว่าผิวถูกทำลาย  จนมีผื่นแดง  แห้งคัน  ที่ผิวหน้าและตามตัว

                                    6. สบู่ที่ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น พวกหอมๆ ฟองๆ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดผื่นแดง แพ้ระคายเคืองผิว ได้…ควรเลือกใช้แบบไม่มีฟอง ไม่มีน้ำหอม อย่าใช้เยอะ อย่าอาบน้ำนาน อย่าเล่นน้ำนาน ไม่ให้เล่นของเล่นขณะอาบน้ำจะทำให้เสียเวลานานเกินไป ถ้าไม่ตัวเหม็น ไม่สกปรกอะไร ก็ไม่ต้องใช้สบู่บ้างก็ได้ ใช้เฉพาะตรงจุดซ่อนเร้น เพราะอาจมีกลิ่นอึ กลิ่นฉี่ กลิ่นเหงื่อ

                                    7. น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะสารตกค้างที่เสื้อผ้าจะกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ระคายเคืองผิว เกิดเป็นผื่นแดง คัน ที่ผิวหนังได้..ใช้แค่น้ำยาซักผ้า และล้างน้ำเปล่าออกจนสะอาดก็เพียงพอแล้ว

                                    8. ฝุ่น ไรฝุ่นในบ้าน สะสมตามตุ๊กตุ่นตุ๊กตา หนังสือ พรม ผ้าม่าน โซฟาที่นอน หมอน หมอนข้าง แอร์ ขนสัตว์ แมลงสาบ ทำให้ลูกแพ้ฝุ่น เกิดผื่นแดง คัน  ตามผิวหน้า และตามแขน ขา…ควรทาครีมเพื่อป้องกันอาการแพ้ระคายเคือง  ร่วมกับใช้เครื่องฟอกอากาศ ผ้าหุ้มกันไรฝุ่น

                                    9. อาหารบางอย่างที่คุณแม่ทาน (หากให้นมบุตร) และอาหารที่ลูกทาน บางคนทานอาหารบางอย่างแล้วผื่นกำเริบ ซึ่งอาจขึ้นผื่นแดง คัน ทั้งตัวหรือเฉพาะส่วนก็ได้ เช่น นมวัว ไข่ แป้งสาลี ไข่ อาหารทะเล ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเหลือง ผลไม้รสเปรี้ยว .. หากพบว่าสัมพันธ์กับอาหาร เมื่องดสิ่งที่ลูกแพ้อย่าลืมปรึกษาแพทย์เพื่อหาอาหารทดแทน เพื่อไม่ให้ขาดสารอาหารที่จำเป็น อย่างดอาหารโดยที่ไม่ได้วิเคราะห์ว่า แพ้จริงหรือไม่ เพราะจะทำให้ชีวิตเครียดโดยไม่จำเป็น

                                    10. เกิดมามีผิวหนังแห้งเพราะขาดชั้นไขมันตามธรรมชาติ…ปัจจุบันพบว่าการทาครีม เสมือนเป็นการช่วยเติมเต็มเซราไมด์ เพิ่มสารไขมันในชั้นผิวหนัง เป็นชั้นป้องกันช่วยคงความชุ่มชื้นไม่ให้สูญเสียน้ำผ่านผิว และ ป้องกันไม่ให้สารระคายเคืองและสารก่อภูมิแพ้ผ่านผิวหนังเข้าไปทำให้เกิดการกำเริบของผื่นแดง คัน ผื่นแพ้ระคายเคือง ช่วยลดการใช้สเตียรอยด์ลงได้”

                                    เอลามายด์ ซูทติ้ง ครีม

                                    การปกป้องดูแลผิวลูกน้อยให้ปลอดภัยจากอาการผื่น แดง คัน ด้วยการทาครีม  ในขั้นตอนนี้สำคัญมากค่ะ เพราะการทาครีมที่ผิวลูกน้อยอย่างถูกต้อง จะเป็นการสร้างเกราะป้องกันให้กับผิวจากอาการแพ้ระคายเคืองที่มักเกิดขึ้นกับผิวลูกน้อย คุณหมอสุธีรา แนะนำว่า “วิธีทาครีมอย่างมีประสิทธิภาพคือ ให้ทาหลังอาบน้ำทันที เพราะช่วงเวลานั้นผิวหนังจะรับครีมเข้าไปได้เต็มที่ ให้ทาเยอะๆ เทใส่ฝ่ามือในปริมาณที่เมื่อลูบไปที่ตัว แขน ขา หน้า หลัง ของลูกแล้วต้องถูไปมาอยู่นาน 2-3 นาที ครีมจึงจะซึมเข้าไปจนหมด ไม่เหลือเปียกไว้ที่ผิวหนัง ถ้าทาแป๊บเดียวไม่ถึง 2-3 นาทีก็หายเปียกแล้ว แสดงว่าใช้ครีมน้อยเกินไป ถ้าถูนาน 3 นาทีแล้วยังเปียกอยู่ แสดงว่าชโลมครีมมากเกินไป ก็ต้องเสียเวลาถูนาน

                                    ส่วนการเลือกครีม ควรเลือกชนิดที่มีคุณสมบัติเด่น 3 ด้าน คือ ดูดซับความชุ่มชื้นมาไว้ที่ผิว ช่วยเคลือบผิวกักเก็บความชุ่มชื้นให้ผิวอิ่มน้ำยาวนาน และซึมเข้าผิวช่วยให้ผิวนุ่ม ถ้าอาการแพ้ระคายเคืองเกิดขึ้นที่ผิวหน้า หรือรอบริมฝีปาก ยิ่งต้องการการดูแลเป็นพิเศษ ด้วย Organic Moisturizer และ Food grade เพื่อความอ่อนโยน และปลอดภัย เพื่อให้คุณแม่มั่นใจสามารถทาใกล้ตาและปากได้”

                                    เอลามายด์ ซูทติ้ง ครีม

                                    คุณพ่อคุณแม่ได้รับคำแนะนำในการดูแลปกป้องผิวลูกน้อยจากอาการผื่น แดง คัน  แพ้ระคายเคืองจากคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กันไปแล้ว เชื่อว่าจะสามารถรับมือกับปัญหาผิวที่เกิดขึ้นกับลูกน้อยกันได้อย่างแน่นอนค่ะ ทั้งนี้หากดูแลเบื้องต้นตามนี้แล้วยังไม่ดีขึ้นควรพบหมอผิวหนังเด็กเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องค่ะ ซึ่งคุณหมอมักสั่งยาสเตียรอยด์ทาช่วงสั้นๆ เพื่อให้หายอักเสบเร็วขึ้น บางรายอาจต้องใช้ยาทานฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ติดเชื้อแทรกซ้อน หรือยาทานลดอาการคันเพื่อให้คุณภาพการนอนดีขึ้นและไม่เกาจนติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

                                    เอลามายด์ ซูทติ้ง ครีม

                                    💙 เอลามายด์ ซูทติ้ง ครีม เป็นอีกทางเลือกให้เหมาะกับผิวลูก

                                    • เป็นครีมที่เป็น 100% ออร์แกนิก มอยส์เจอไรเซอร์ และ เป็น Food grade มั่นใจได้ว่า ปลอดภัย สามารถทาใกล้ปากลูกได้ หรือทาตัวก็ไม่ต้องกลัวเวลาลูกเลีย/อมมือ
                                    • มีนวัตกรรม Cera-Shield ที่เป็น Double Ceramide ช่วยให้เนื้อครีมซึมได้ดี และซึมลึก จึงช่วยเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ยาวนานขึ้น
                                    • ช่วยลดอาการแพ้ระคายเคือง ได้ 7 อาการ ได้แก่ 1.ผด 2.ผื่น 3.แพ้ 4.แห้ง 5.แสบ 6.แดง และ 7.คัน
                                    • ช่วยฟื้นฟูเกราะปกป้องผิวให้แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการเกิดซ้ำได้อีก เมื่อใช้ทุกวันหลังอาบน้ำ
                                    • ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ว่า ปลอดภัยสำหรับทารก และคุณแม่
                                    • ปราศจากสารสเตียรอยด์ สี น้ำหอม สารกันเสีย พาราเบน และแอลกอฮอล์
                                    • เอลามายด์ ซูทติ้ง ครีม แบรนด์อันดับ 1 ที่คุณแม่แนะนำให้คุณแม่ที่มีลูกน้อยใช้

                                    เอลามายด์ ซูทติ้ง ครีม