Page 117 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

อย่าเร่งลูกเขียนหนังสือ แนะกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล็ก

อย่าเร่งลูกเขียนแนะ9 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล็ก

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ ช่วยเสริมพัฒนาการมือเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่วัยเรียน การเร่งให้ลูกเขียนได้ก่อนวัยตอบสนองความต้องการของผู้ใหญ่ แต่อันตรายต่อเด็ก

อย่า!เร่งลูกเขียนก่อนวัย แนะ 9 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่

“กล้ามเนื้อมัดใหญ่ควรพัฒนาก่อนกล้ามเนื้อมัดเล็ก”

ในวัยเด็ก หน้าที่สำคัญของลูกคือ การพัฒนาร่างกายของตนเองให้พร้อม เจริญเติบโตตามวัย ซึ่งโดยส่วนใหญ่เด็กจะพัฒนาส่วนต่าง ๆ ผ่านการเล่น การทำกิจกรรมซุกซนต่าง ๆ ที่ผู้ใหญ่อาจเห็นเป็นเรื่องง่ายดาย แต่สำหรับลูกตัวน้อยแล้ว การเล่นนั้นเป็นงานสำคัญของเขาเลยทีเดียว

หากกล่าวถึงกล้ามเนื้อกับการพัฒนาของเด็กแล้ว เราจะกล่าวถึงทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และกล้ามเนื้อมัดเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับกล้ามเนื้อมัดเล็กมากกว่า แต่แท้จริงแล้ว กล้ามเนื้อมัดใหญ่เป็นพื้นฐานของการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ดังนั้น กล้ามเนื้อมัดใหญ่จึงควรพัฒนาให้ดีก่อนพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก เรามาทำความเข้าใจกับกล้ามเนื้อทั้งสองแบบนี้กัน

เตรียมความพร้อมร่างกายลูกน้อย ให้เขาได้มีศักยภาพสมบูรณ์ดั่งฮีโร่ตัวน้อย
เตรียมความพร้อมร่างกายลูกน้อย ให้เขาได้มีศักยภาพสมบูรณ์ดั่งฮีโร่ตัวน้อย
  • กล้ามเนื้อมัดใหญ่ คือ กล้ามเนื้อส่วนแขน ขา กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการทรงตัว การเคลื่อนไหวร่างกาย ชันคอ พลิกคว่ำพลิกหงาย คลาน เดิน วิ่ง หากพัฒนากล้ามเนื้อส่วนนี้ได้ดี ทำให้เด็กมีสุขภาพดี แข็งแรง คล่องแคล่ว และมีพื้นฐานที่ดีในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความซับซ้อนมากขึ้นไปในวัยที่โตขึ้นอีกด้วย
  • กล้ามเนื้อมัดเล็ก คือ กล้ามเนื้อมือที่ใช้ในการหยิบ จับ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการเขียน การใช้ชีวิตประจำวัน ตลอดจนการช่วยเหลือตัวเองในด้านต่าง ๆ ได้ หากเด็กไม่ได้รับการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้เด็กไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจส่งผลลบไปจนถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิต บุคลิกภาพ และการเข้าสังคมของเด็กๆ ซึ่งอาจกลายเป็นปม ส่งผลลบไปจนถึงการศึกษา อาชีพ และการใช้ชีวิตของพวกเขาในอนาคต
ดังนั้นลูกควรมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้แก่ แขน ขา และแกนกลางลำดัว เพื่อที่เขาจะสามารถนั่งอย่างมั่นคง เคลื่อนไหวร่างกายด้วยการเดิน การวิ่ง การขึ้นบันได และจึงไปปีนป่ายสิ่งต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่วก่อนที่เขาจะพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้แก่ มือและนิ้วทั้งสิบของเขา ในการหยิบจับสิ่งต่าง ๆ และจับอุปกรณ์เพื่อขีดเขียน ตัด และอื่น ๆ

การเร่งลูกเขียนหนังสือก่อนวัย อันตรายกว่าที่คิด

ภาพ x-ray มือของเด็ก 7 ปี และ 5 ปี
ภาพ x-ray มือของเด็ก 7 ปี และ 5 ปี
จากข้อความในทวิตเตอร์ของ Ruth Swailes : School Improvement Advisor, Education consultant,Curriculum Developer ได้แบ่งปันภาพเอ็กซเรย์เชิงลึกของมือเด็กอายุประมาณ 7 ปีเมื่อเทียบกับรังสีเอกซ์จากเด็กอายุ 5 ปี และได้แสดงความคิดเห็นสรุปความได้ว่า
เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่ใช่แค่ขนาดมือของเด็กเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เด็กที่อายุน้อยกว่ามีกระดูกอ่อนที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ซึ่งต่อไปก็จะกลายเป็น กระดูกในที่สุด ดังนั้นเราต้องคำนึงถึงสรีรวิทยาของมือเด็กเล็กด้วย หากเราต้องการฝึกฝน หรือบังคับให้เขาทำกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมกับวัย เช่นการจับดินสอเขียนหนังสือ ที่เป็นกิจกรรมที่ต้องรอให้การเจริญเติบโตของร่างกายพร้อมเสียก่อน และการเจริญเติบโตของมือใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้หลายปี และความชำนาญโดยรวมต้องใช้เวลา การฝึกคัดลายมือจึงน่าจะเริ่มขึ้นหลังจากได้วางรากฐานมาอย่างดีแล้ว และควรเตรียมความพร้อมของลูกด้วยกิจกรรมที่เสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก เพื่อความพร้อมของพัฒนาการมือของลูกก่อนถึงวัยที่เหมาะสมกับการเขียนหนังสือจะดีกว่า
สามารถอ่านรายละเอียดต้นฉบับเพิ่มเติมได้จาก https://twitter.com/SwailesRuth

9 กิจกรรมเตรียมความพร้อมพัฒนามือลูก

ปั้น ๆๆๆ

ดินเหนียว ดินน้ำมัน แป้งโดว์ของชอบของเด็ก ๆ ไม่เพียงแค่เด็กเล็กเท่านั้น การปั้นนอกจากจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อมือพัฒนาแข็งแรงแล้ว ยังช่วยฝึกจินตนาการของเด็กได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับกิจกรรมการปั้นเพื่อเตรียมความพร้อมพัฒนามือนั้น เราอาจเริ่มจากแป้งนิ่ม ๆ เช่น แป้งโดว์ให้ลูกเริ่มต้น เมื่อเขามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากพอ ก็จะสามารถปั้นในดินที่แข็งขึ้นได้ หรือคุณพ่อคุณแม่อาจหากิจกรรมเสริมเข้าไปไม่ให้น่าเบื่อ โดยการซ่อนของเล่นชิ้นเล็ก ๆ หรือลูกแก้ว แล้วหุ้มด้วยดินน้ำมันให้ลูกแกะหา หรือช่วยปั้นเป็นก้อนกลม ปั้นทำรางรถไฟ เป็นต้น ก็จะท้าทายลูกมากขึ้น

ภาพปะติด กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก
ภาพปะติด กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก

ฉีก ตัด ปะ ผลงานของหนู

การฉีกจะช่วยให้ลูกได้ใช้นิ้วมือ เราควรเริ่มจากการให้ลูกได้ฉีกด้วยมือ ก่อนถึงให้เขาเรียนรู้การตัดด้วยกรรไกร กิจกรรมที่ทำร่วมกับลูกเพื่อเพิ่มทักษะในการใช้มือ ฉีก ตัด แปะนั้น พ่อแม่อาจวาดรูปเป็นรูปใหญ่ ๆ เช่น หัวใจ ดอกไม้ แล้วให้ลูกฉีกกระดาษสีแปะลงบนรูปให้สวยงาม การฉีกไม่จำกัดอยู่แค่กระดาษเท่านั้น กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันก็ช่วยให้ลูกต้องฉีกดินน้ำมันออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตามชิ้นงานที่เขาต้องการได้เช่นกัน โดยพ่อแม่ต้องท่องไว้ในใจว่า ให้ลูกเป็นผู้ลงมือทำเอง ไม่จัดการให้ลูกไปเสียทุกอย่าง จงเชื่อในศักยภาพของเขาให้เขาลองผิดลองถูกบ้าง

ปักฉึก ๆ 

การใช้มือหยิบจับสิ่งของลงมาปัก หรือเจาะลงบนดิน หรือวัสดุใด ๆ ก็เป็นการเพิ่มความสามารถในการพัฒนามือของลูกได้เป็นอย่างดี พ่อแม่อาจคิดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมทักษะนี้ให้สนุกน่าเล่นเพิ่มเข้าไปได้ เช่น การชวนลูกปลูกต้นไม้ ทั้งต้นไม้จริง และต้นไม้ประดิษฐ์ ให้เขาหากิ่งไม้ หรือแท่งไม่สมมติว่าเป็นต้นกล้า ปักลงไปในดินที่ไม่แข็งจนเกินไป หรือการปักเทียนลงบนเค้ก ซึ่งในปัจจุบันมีของเล่นเสริมพัฒนาการมากมายที่ข่วยเพิ่มทักษะในด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นแท่งไม้ พร้อมแท่นเสียบ หรือรูปแบบอื่น ๆ ที่มีสีสันน่าเล่นสำหรับเด็ก หรืออาจเป็นการฝึกฝนในชีวิตประจำก็ทำได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การให้ลูกใช้หลอดเจาะกล่องนมเอง การฝึกร้อยเชือกรองเท้า เป็นต้น

ทราย ตัวช่วยใน กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ได้ดี
ทราย ตัวช่วยใน กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ได้ดี

ขุด ๆ แล้วฝัง

ทรายเป็นของอีกอย่างหนึ่งที่เด็กชื่นชอบเป็นอย่างมาก หากพ่อแม่ลองเปิดใจในเรื่องความสะอาด การให้ลูกได้ลงเล่นคลุกทรายก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ได้เป็นอย่างดี การขุดทรายเด็กต้องใช้กล้ามเนื้อมือในการขุด ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง อีกทั้งยังพัฒนาจินตนาการของเขาระหว่างเล่นได้อีกด้วย

บีบคั้น ขย้ำเพลิน

การบีบคั้นในที่นี้หมายถึง การกระทำด้วยมือ กดบีบ บีบคั้นของ ขย้ำ มิใช่การบีบคั้นจิตใจแต่อย่างใด โดยทักษะนี้แฝงอยู่ในหลาย ๆ กิจกรรม เช่น การปั้นดินน้ำมัน ก็ต้องใช้มือบีบ ขย้ำก้อนดินน้ำมันให้เป็นรูปร่าง หรือการก่อทราย แต่พ่อแม่สามารถเน้นทักษะดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วยกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน โดยอาจให้ลูกช่วยทำงานบ้าน เช่น การซักผ้า ให้เขาบีบ บิดผ้าชิ้นเล็ก ๆ หรือช่วยล้างรถก็ต้องบิดผ้าให้หมาด ๆ เพื่อเช็ดถูเช่นกัน การบีบน้ำส้มคั้น เป็นต้น การทำงานบ้านนอกจากได้พัฒนากล้ามเนื้อแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่แฝงไว้สอนลูกด้วยเช่นกัน

อ่านต่อ  ให้ลูกช่วยงานบ้าน ฝึกทักษะEF ติดตัวลูกไปตลอดชีวิต โดยพ่อเอก

ติดสติ๊กเกอร์ แกะออกก็ช่วยนะ

สติ๊กเกอร์ รางวัลของเด็กน้อย ที่นิยมใช้เป็นของล่อตาล่อใจลูกน้อยของคุณ ก็สามารถนำมาเป็นกิจกรรมการพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็กได้เช่นกัน การแกะสติ๊กเกอร์ การแปะลงบนที่ต่าง ๆ ก็ต้องใช้ทักษะมือน้อย ๆ ในการหยิบจับด้วยนิ้วอย่างแม่นยำด้วยเช่นกัน

ระบายสี หรือละเลงกันนะ กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่
ระบายสี หรือละเลงกันนะ กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่

ระบายสี หรือละเลงสีกันนะ

กิจกรรมการระบายสีเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะมือโดยตรง จึงนับเป็นกิจกรรมที่ดีในการพัฒนากล้ามเนื้อมือของลูก โดยการจับดินสอสีนั้นถึงแม้ว่าเราได้กล่าวไปแล้วว่าสรีระของเด็กอาจยังไม่เหมาะต่อการจับดินสอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้เขาจับเสียเลย เพียงแค่ให้พ่อแม่เข้าใจในสรีระเพื่อลดความคาดหวังว่าลูกจะต้องทำผลงานออกมาสวยงาม ไร้ที่ติ เช่น ลูกอาจระบายสีออกนอกเส้นไปบ้าง ละเลงสีเล่นจนมั่ว เละดูไม่ออกว่ารูปอะไร หากเราเข้าใจในเรื่องดังกล่าว พ่อแม่ก็ไม่ควรตำหนิ ตรงกันข้ามอย่าลืมชื่นชอบลูกเพื่อการเสริมกำลังใจในการพัฒนามือของลูกต่อไป โดยการเลือกใช้ดินสอสีนั้น ก็เลือกตามวัยของลูก ปัจจุบันมีดินสอสีหลายไซส์ หลายขนาด ให้ได้เลือกใช้ให้เหมาะมือกับวัยของเด็กมากมาย

ร้อยเรียง ต่อภาพ

อุปกรณ์ในการร้อย การต่อ มีให้เลือกมากมาย ทั้งของเล่นดึงดูดใจ เช่น ต่อจิ๊กซอ ต่อโซ่เป็นห่วงยาว ต่อตัวต่อเลโก้ ร้อยลูกปัดสี หรือแม้แต่สิ่งของใกล้ตัว ก็นำมาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน การเรียงหมอนเก็บที่นอนตอนเช้า การร้อยเข็มกับด้าย การช่วยจัดเก็บของเล่นใส่ตู้เก็บของ เป็นต้น

กระดานขีดเขียน

ของเล่นอีกชิ้นที่ควรมีติดบ้านสำหรับการเตรียมความพร้อมให้ลูกก่อนเริ่มทักษะการเขียนนั้น คือ กระดาน ปากกา หากสามารถเป็นแบบเขียนแล้วลบได้ก็จะช่วยเพิ่มความสนุกไม่น้อย การเขียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนนั้น ความคาดหวังของพ่อแม่ควรอิงต่อพัฒนาการของลูกด้วยเช่นกัน การให้ลูกได้จับดินสอขีดเขียนเป็นการฝึกให้เขาคุ้นเคย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าใจในสรีระร่างกาย มือของเด็กว่าสามารถทำได้ดีเท่าไหร่กัน ลองมาดูทักษะ และพัฒนาการของเด็กแต่ละวัยในการเขียนว่าเขาจะสามารถเขียนได้ตรงตามวัยของลูกหรือไม่จากบทความ

ลองนำไปปรับใช้กันดู สำหรับกิจกรรมเตรียมความพร้อมก่อนลูกเข้าสู่วัยเรียน วัยที่ต้องใช้ทักษะในการขีดเขียน หากลูกมีความพร้อมทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เขาย่อมสามารถทำสิ่งนั้น ๆ ได้ดี และเป็นการช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกได้อีกทางหนึ่งด้วย พ่อแม่ไม่ควรเร่งรีบให้ลูกทำให้ได้ในขณะที่เขายังไม่พร้อม ไม่มีเกณฑ์ตายตัวใด ๆ ว่าลูกเราจะต้องเหมือนคนอื่น ดังนั้นจงดูที่ความตั้งใจของลูกมากกว่าผลงาน และคอยสนับสนุน ส่งเสริมให้เขาเรียนรู้ไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามสไตล์ของตัวเองจะเป็นสิ่งที่ดีต่อลูกที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก ตามใจนักจิตวิทยา /www.si.mahidol.ac.th/www.phyathai.com

อ่านต่อบความดี ๆ คลิก

เช็กให้ดี กับปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ โฮมสคูล !!

9 กิจกรรมเล่นกับลูกวัยอนุบาล เพิ่มทักษะ เสริมพัฒนาการรอบด้าน

หมอตอบ ของเล่นเสริมทักษะ – อุปกรณ์ IT ทำให้ลูก “เก่ง” ได้จริงหรือ?

หมอเด็กแนะ 3 เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน ให้ลูกยอมเปิดใจ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก

    9 ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก ที่อาจทำลายอนาคตของลูกได้

    ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก – ทุกคนทำผิดพลาดในการเลี้ยงลูกได้เสมอ แม้ว่าเราจะมีวุฒิภาวะที่ดีหรือเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามการทำหน้าที่พ่อแม่ไม่มีคำว่าสมบูรณ์แบบ และเราอาจไม่สามารถเข้าใจได้ตลอดเวลาว่าการกระทำต่างๆ ของเราจะส่งผลอย่างไร เช่น พฤติกรรมหรือแนวทางในการเลี้ยงลูก บางครั้งเราอาจคิดไม่ทันว่าการสอนลูกการว่ากล่าวตักเตือนลูกจะส่งผลอย่างไรกับลูกบ้าง

    ซึ่งวิธีการเลี้ยงลูกสอนลูกบางวิธีทำส่งผลกระทบในเชิงลบมากกว่าผลดี ข้อผิดพลาดง่ายๆ ทั่วไป ที่พ่อแม่มักทำสามารถนำไปสู่ปัญหาระยะยาวอนาคตของลูกได้  เพราะอนาคตของลูก ส่วนหนึ่งอยู่ที่พ่อแม่เป็นผู้คอยส่งเสริมสนับสนุนผลักดัน วันนี้เรามาดูกันค่ะว่าข้อผิดพลาด 9 ข้อ ที่อาจส่งผลกระทบที่ไม่ดี มีอะไรบ้าง

    9 ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก ที่อาจทำลายอนาคตของลูกได้

    1. ลงโทษเด็กต่อหน้าผู้อื่น

    บางครั้งแม่และพ่อก็โกรธลูกที่ทั้งซนทั้งดื้อ  อาจตะโกนด่าว่า และทำโทษลูกต่อหน้าคนอื่น ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้คิดถึงคนอื่น ๆ ว่าจะมองอย่างไรเพราะโฟกัสไปที่ลูก แต่จริงๆ แล้วเด็ก ๆ สนใจความคิดเห็นของผู้คนรอบข้างมากว่าที่เราคิด การทำให้ลูกรู้สึกอับอายในที่สาธารณะจะทำลายความมั่นใจในตนเองของเด็ก ๆ มันทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจได้มาก และเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะสลัดมันออกไปหากพวกเขามีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรต่อสภาพจิตใจเช่นนี้อยู่บ่อยๆ

    2. อิทธิพลจากอดีต

    สิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กของพ่อแม่อาจมีบ้างที่ทิ้งรอยประทับที่ไม่ดีไว้ที่เกิดจากการเลี้ยงดู ทำให้เราเลือกที่จะเป็นหรือไม่พ่อแม่แบบไหน เราต้องไม่ทำผิดซ้ำรอยของพ่อและแม่หรือปู่ย่าตายายของลูกเรา สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดและพยายามปกป้องคนรุ่นหลังจากอารมณ์เชิงลบต่างๆ เหล่านี้

    ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเราทราบแล้วว่าการลงโทษทางร่างกายมีแต่จะส่งผลในทางลบ แต่พ่อแม่สมัยใหม่หลายคนยังคงใช้วิธีการลงโทษแบบนี้ และพยายามหาเหตุผลว่าเมื่อก่อนพ่อแม่ก็ทำกับพวกเขาเช่นเดียวกันเวลาลูกดื้อลูกซน  เราไม่ควรแก้ตัวในการทำผิดของเราโดยพูดว่า “ พ่อแม่ของฉันทำแบบนี้ฉันก็จะทำเช่นกัน” แต่เราควรพยายามเป็นคนที่ทำลายวงจรทีไม่ดีเหล่านี้แทนที่จะรักษาให้มันดำเนินต่อไป

    ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก
    ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก

    3. การหักห้ามใจตัวเองมากเกินไป

    อย่าคิดว่าการแสดงความรักกับลูกมากเกินไป เช่นการกอดลูกบ่อยๆ จะเป็นเรื่องที่ไม่ดี ถ้าเราไม่กอดลูกบ่อยๆ และไม่บอกพวกเขาว่าเรารักพวกเขาพวกเขาอาจเกิดความแตกแยกอารมณ์จากครอบครัว หรือเมื่อเราไม่รับฟังความรู้สึก และความคิดเห็นต่างๆ ของพวกเขา หรือเฉยเมยลูกในเวลาที่พวกเขาต้องการเรา มีโอกาสอย่างมาก ที่ลูก ๆ ของเราจะปฏิบัติในลักษณะเดียวกันกับคนอื่น ๆ และอาจเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะสนิทสนมกับใครสักคน หรือเชื่อใจคนอื่น พวกเขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อน หรือไม่อาจสร้างครอบครัวต่อไปได้ในอนาคต

    ส่อง 10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ แบบชาวยิว

    7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

    10 วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด สอนลูกฉลาดรู้ ฝึกลูกฉลาดทำ

    4. ลักษณะนิสัยที่ไม่ดีต่างๆ 

    พ่อแม่เป็นแบบอย่างของลูก และมีความเชื่อมโยงอย่างมากระหว่างนิสัยของมารดาและน้ำหนักที่เพิ่มในบุตร สำหรับผู้หญิงที่พยายามมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีความเสี่ยงของโรคอ้วนในเด็กจะลดลง 75% นักวิจัยอ้างว่านิสัยที่ดีซึ่งมีอิทธิพลเชิงบวกต่อเด็ก คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มหรือดื่มแอลกอฮอล์แม้เพียงเล็กน้อย

    นอกจากนี้เด็กเล็กยังมีโอกาสเป็นโรคอ้วนน้อยกว่า 30% หากพ่อของพวกเขาใช้เวลาเล่นกับพวกเขามาก ๆ

    5. การชดเชยมากเกินไป

    ความไม่พอใจเก่า ๆ ในอดีตของเราที่มีต่อแม่และพ่อของเรา อาจนำไปสู่การเกลียดชังวิธีการเลี้ยงดูของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่พวกเขาทำถูกต้องก็ตาม ด้วยเหตุนี้เมื่อเราเริ่มต้นครอบครัวของเราเองเราอาจผลักดันมันไปไกลเกินไปเมื่อพยายามทำสิ่งที่แตกต่างออกไป

    ตัวอย่างเช่น หากพ่อแม่ของเราเผด็จการเกินไปเราอาจให้อิสระกับลูกมากเกินไป และการปล่อยลูกมากเกินไปอาจส่งผลดีต่อเด็กได้ พวกเขาอาจรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและไม่ต้องการได้มากกว่าที่เราคิด

    6. ตามใจหรือปกป้องมากเกินไป

    บ่อยครั้งที่พ่อแม่คิดว่าลูกชายและลูกสาวของพวกเขาพิเศษและไม่เหมือนใครและพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกลายเป็ฯการตามใจที่เกินขอบเขต สำหรับคนทั่วโลกแล้วลูกของเราเป็นแค่เด็ก และถ้าพวกเขาเคยชินกับการตามใจและต้องได้ทุกอย่างที่ต้องการ พวกเขาก็อาจเติบโตมาเป็นคนเห็นแก่ตัวที่มีความรู้สึกผิดธรรมชาติเป็นคนที่ยากที่จะสื่อสารด้วย

    เด็กที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จะมีความผิดหวังมากมายในชีวิตนอกบ้าน และพวกเขาจะไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับมันอย่างไร ในขณะเดียวกันการเลี้ยงลูกแบบป้องกันหรือปกป้องลูกมากเกินไปอาจทำให้ลูก ๆ ของคุณเกิดความกลัวต่อสิ่งต่างๆ ได้ง่าย ดังนั้นพวกเขาจะกลัวที่จะรับผิดชอบหรือออกไปนอกคอมฟอร์โซน เช่น การพบปะกับคนใหม่ๆ หรือการเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งทำให้ขาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย

    ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก

    7. การทำลายความไว้วางใจ

    ต้องมีกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับพฤติกรรม แต่เด็ก ๆ ก็ควรเข้าใจว่าพวกเขาสามารถไว้วางใจพ่อแม่ของตนได้ และความไว้วางใจของเด็ก ๆ (โดยเฉพาะวัยรุ่น) นั้นสูญเสียได้ง่ายมากๆ หากพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองและมักทำให้พวกเขาหวาดกลัว สิ่งนี้อาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับครอบครัวและไม่รู้สึกว่าได้รับการปกป้องจากพ่อแม่

    เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจได้เมื่อครอบครัวของพวกเขาเป็นเกราะป้องกันที่ปลอดภัยที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถจะออกไปสำรวจโลกได้อย่างเต็มที่

    8. พฤติกรรมก้าวร้าว

    เด็ก ๆ เรียนรู้วิธีจัดการกับปัญหาโดยการเฝ้าดูพ่อแม่เมื่อต้องรับมือกับความยากลำบาก บางครั้งด้วยธรรมชาติของเด็กเอง ทั้งการเล่นซนตามไว้ การเอาแต่ใจตามประสา ที่ทำให้พ่อแม่อาจหงุดหงิดควบคุมอารมณ์ไม่ได้และอาจพลาดใช้ความรุนแรงก้าวร้าวกับลูกไป จำไว้ว่าการหยาบคายกับลูกหรือแสดงอารมณ์เชิงลบต่อพวกเขาตั้งแต่อายุยังน้อย อาจนำไปสู่ปัญหาในการจัดการความโกรธในอนาคตของลูกได้มากกว่าที่เราคิด

    9. หลีกหนีจากปัญหา

    วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการ “ยุติ” ปัญหา คือ การเดินหนีและลืมมันไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งต่างๆ จะคลี่คลายได้ด้วยตัวมันเองอย่างที่ผู้ใหญ่หลายคนเชื่อ หลังจากทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างพ่อแม่และลูกคุณต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งหัวใจสำคัญคือ การคืนความไว้วางใจ

    ในการทำเช่นนี้คุณต้องใจเย็น ๆ และพูดอย่างเป็นกลางไม่มีอคติ แสดงความเคารพต่อลูกของคุณ ในตอนแรกให้ฟังพวกเขาเพื่อบอกให้พวกเขารู้ว่าคุณสนใจว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร และพยายามมองปัญหาจากมุมมองของพวกเขา จากนั้นพูดถึงความรู้สึกของคุณอธิบายเหตุผลที่คุณโกรธ และขอโทษ นี่เป็นวิธีแสดงให้เด็กเห็นว่าคุณไม่ใช่ศัตรูและคุณจะได้รับความไว้วางใจอีกครั้ง

    เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและข้อผิดพลาดต่างๆ ในการเลี้ยงลูก สามารถทำให้เกิดผลเสียกับลูกได้มากมาย หากคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังแนวทางที่ถูกที่ควรให้กับลูกอย่างเหมาะสมและพอดีก็จะป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียกับลูกได้ในอนาคต การรู้จักตามใจให้พอดีมีขอบเขตมีกติกา การทำให้ลูกไว้วางใจ การใส่ใจลูกและยื่นมาเข้าช่วยเมื่อมีปัญหา การไม่ใช้ความรุนแรงกับลูก ตัวอย่างเหล่านี้ หากคุณพ่อคุณแม่ทำได้อย่างสม่ำเสมอจะเป็นการส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดด้วย Power BQ หลายด้าน อาทิ ความฉลาดทางอารมณ์ EQ , ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา AQ, ความฉลาดในการคิดบวก OQ, ความฉลาดของการเข้าสังคม SQ  เป็นต้น

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : brightside.me

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

    วิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ดุ ไม่ตี ปูพื้นฐานชีวิตลูกให้ดีใน 3 ปีแรก

    3 บทบาทของพ่อแม่ สิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูกยุคนี้โดย พ่อเอก

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก

      หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก หูติดเชื้อในเด็ก ไม่ใช่เรื่องเล็กถ้าลูกป่วย!

      หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก – การติดเชื้อในหูหรือที่เรียกว่าหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็ก ทารกประมาณหนึ่งในสี่มีการติดเชื้อที่หูอย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในวันเกิดปีแรก การติดเชื้อในหูอาจทำให้เกิดอาการปวดในหูมีไข้และสูญเสียการได้ยินชั่วคราว และสัญญาณทั่วไป เช่น เบื่ออาหารและหงุดหงิด เด็กบางคนมีอาการดีขึ้นโดยไม่ต้องรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

      แต่เด็กเล็กส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการใช้ยาต้านจุลชีพ เด็กที่มีอาการหูอักเสบในช่วงต้นของชีวิต อาจมีแนวโน้มที่จะมีการติดเชื้อในหูซ้ำและของเหลวในหูชั้นกลางแบบต่อเนื่อง พวกเขาอาจมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นจากการติดเชื้อ วันนี้เรามาทำความเข้าใจคำจำกัดความสาเหตุอาการการวินิจฉัยการรักษาและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นของการติดเชื้อในหูในทารกและเด็กกันค่ะ

      หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก หูติดเชื้อในเด็ก ไม่ใช่เรื่องเล็กถ้าลูกป่วย!

      การติดเชื้อที่หูคืออะไร?

      การติดเชื้อในหูเรียกอีกอย่างว่าหูน้ำหนวกเฉียบพลัน (otitis = ear, media = middle) หูชั้นกลางอักเสบคือการติดเชื้อของหูชั้นกลาง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เด็กเกือบทุกคนมีอยู่ในจมูกและลำคอ

      การติดเชื้อในหูส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ เช่น หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อเหล่านี้อาจทำให้เยื่อเมือกในจมูกและลำคอบวม และลดการป้องกันของโฮสต์ตามปกติ เช่น การกำจัดแบคทีเรียออกจากจมูก การเพิ่มจำนวนแบคทีเรียในจมูก การติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัสอาจทำให้การทำงานของท่อยูสเตเชียนลดลง

      การทำงานของท่อยูสเตเชียนตามปกติมีความสำคัญต่อการรักษาความดันปกติในหู การทำงานของท่อยูสเตเชียนที่บกพร่องจะเปลี่ยนความดันในหูชั้นกลาง (เช่นเมื่อคุณโดยสารในเครื่องบิน) ของเหลว อาจก่อตัวในหูชั้นกลางและแบคทีเรียและไวรัสก็จะตามมา ส่งผลให้เกิดการอักเสบในหูชั้นกลาง  ความดันที่เพิ่มขึ้นทำให้แก้วหูโป่งพองซึ่งนำไปสู่อาการทั่วไปของความเจ็บปวดและความงอแงในเด็กเล็กหรือแม้แต่การแตกส่งผลให้ของเหลวในช่องหูระบายออก

      สาเหตุของการติดเชื้อที่หูในทารกและเด็กเล็ก

      การติดเชื้อในหูหรือที่เรียกทางการแพทย์ว่าหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน คือการติดเชื้อที่ส่วนกลางของหู เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (เช่น โรคไข้หวัด) หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อเหล่านี้ทำให้เกิดของเหลวในหูชั้นกลางและเกิดการอักเสบ ในบางกรณีท่อยูสเตเชียน (ท่อเล็ก ๆ ระหว่างจมูกและหูชั้นกลาง) ก็แสดงสัญญาณของการติดเชื้อเช่นกัน

      ผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อในหูได้เช่นกัน แต่เด็กทารกและเด็กเล็กมักมีแนวโน้มที่จะเป็นได้มากกว่า โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่าสามขวบ เด็กห้าในหกคนจะมีอาการหูอักเสบเมื่ออายุครบ 3 ขวบ 1 ขวบ และ 25% ของเด็กจะมีอาการหูอักเสบซ้ำ

      สาเหตุที่ทารกและเด็กเล็กมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อในหู ได้แก่ :

      • ช่องหูของทารกแตกต่างจากผู้ใหญ่คือสั้นกว่าแคบกว่าและวางในแนวนอนมากกว่า
      • ทารกมีแนวโน้มที่จะเป็นหวัดและไวรัสอื่น ๆ ซึ่งทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะติดเชื้อในหู
      • ระบบภูมิคุ้มกันของทารกมีการพัฒนาน้อยกว่าผู้ใหญ่ดังนั้นปฏิกิริยาของพวกเขาต่อไวรัสจึงรุนแรงกว่าซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเช่นการติดเชื้อในหู
      หูชั้นกลางอักเสบ
      หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก (Credit : www.askdrshah.com)

       

      อาการของการติดเชื้อในหู

      อาการของการติดเชื้อในหูในวัยรุ่นและเด็กโตอาจรวมถึงอาการปวดหูหรือปวดและสูญเสียการได้ยินชั่วคราว อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

      ในทารกและเด็กเล็กอาการของการติดเชื้อในหูนั้นไม่เฉพาะเจาะจง อาการหลายอย่างของการติดเชื้อในหูอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจพร้อมกัน อาการของการติดเชื้อในหูอาจรวมถึง:

      • มีไข้ อุณหภูมิสูงกว่า 38 ° C
      • จับและดึงที่หูตัวเอง
      • งอแงหงุดหงิดหรือนอนไม่หลับ
      • กิจกรรมลดลง
      • ขาดความอยากอาหารหรือรับประทานอาหารลำบาก
      • อาเจียนหรือท้องเสีย
      • มีหนองไหลออกจากหูชั้นนอก (otorrhea)

      การวินิจฉัยการติดเชื้อในหู

      หากคุณสงสัยว่าลูกของคุณมีอาการหูอักเสบให้โทรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลเพื่อดูว่าเด็กควรได้รับการตรวจเมื่อใดและเมื่อใด แม้ว่าการตรวจจะไม่เจ็บปวด แต่ทารกและเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบให้ตรวจหู เพื่อให้กระบวนการง่ายขึ้นให้อุ้มเด็กไว้บนตักและกอดแขนและลำตัวของเด็กไว้ในขณะที่แพทย์หรือพยาบาลใช้เครื่องมือ (otoscope) เพื่อมองเข้าไปในหูของเด็ก บ่อยครั้งที่ต้องเอาซีรูเมน (ขี้หู) ออกเพื่อให้แพทย์หรือพยาบาลสามารถมองเห็นภายในหูได้ดี

      แพทย์หรือพยาบาลสามารถบอกได้ว่าลูกของคุณมีการติดเชื้อในหูหรือไม่โดยดูที่ถังหู (เยื่อแก้วหู) เพื่อดูลักษณะทั่วไปของการติดเชื้อในหู

      การรักษาการติดเชื้อในหู

      การรักษาการติดเชื้อในหูอาจรวมถึง:

      • ยาปฏิชีวนะ
      • ยารักษาอาการปวดและไข้
      • การเฝ้าสังเกตอาการ
      • การรวมกันของข้างต้น

      การรักษาควรเป็นรายบุคคลโดยพิจารณาจากอายุของบุตรหลานของคุณประวัติการติดเชื้อครั้งก่อนความรุนแรงของการเจ็บป่วยและปัญหาทางการแพทย์ใด ๆ

      ยาปฏิชีวนะ – ยาปฏิชีวนะมักให้กับทารกที่อายุน้อยกว่า 24 เดือนหรือมีไข้สูงหรือติดเชื้อในหูทั้งสองข้าง เด็กที่มีอายุมากกว่า 24 เดือนและมีอาการเล็กน้อยอาจได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือมักจะสังเกตเห็นว่าอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

      ยาปฏิชีวนะอาจมีผลข้างเคียงเช่นอาการท้องร่วงและผื่นและการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปอาจทำให้แบคทีเรีย (ดื้อยา) รักษาได้ยากขึ้น การดื้อยาหมายความว่ายาปฏิชีวนะชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ได้ผลอีกต่อไปหรือต้องใช้ปริมาณที่สูงขึ้นในครั้งต่อไป

      การสังเกต – ในบางกรณีแพทย์หรือพยาบาลของบุตรหลานของคุณจะแนะนำให้คุณเฝ้าดูบุตรหลานของคุณที่บ้านก่อนเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะ สิ่งนี้เรียกว่าการสังเกตอาการ การสังเกตอาการสามารถช่วยในการพิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่

      อาจแนะนำให้สังเกตในสถานการณ์เหล่านี้:

      • หากเด็กอายุมากกว่า 24 เดือน
      • หากอาการปวดหูและไข้ไม่รุนแรง
      • หากเด็กมีสุขภาพแข็งแรง

      หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก

      ควรให้ยาบรรเทาอาการปวดเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดไม่ว่าลูกของคุณจะได้รับยาปฏิชีวนะหรือการสังเกตอาการ คุณจะต้องโทรหรือกลับไปที่แพทย์หรือสำนักงานพยาบาลหลังจาก 24 ชั่วโมงเพื่อติดตามผล หากลูกของคุณมีอาการปวดหรือมีไข้อย่างต่อเนื่องหรือแย่ลงมักแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะ อาจใช้การสังเกตอาการต่อไปหากเด็กมีอาการดีขึ้น

      การจัดการความเจ็บปวด – อาจใช้ยาบรรเทาอาการปวดรวมทั้งไอบูโพรเฟน (ชื่อทางการค้าตัวอย่าง: Motrin) และอะเซตามิโนเฟน (ชื่อทางการค้าตัวอย่าง: ไทลีนอล) เพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย

      การรักษาทางการแพทย์เสริมและทางเลือก – มีการรักษาแบบเสริมและการแพทย์ทางเลือก (CAM) มากมายที่โฆษณาว่าใช้รักษาการติดเชื้อในหู ซึ่งอาจรวมถึงการรักษาด้วยชีวจิต, ธรรมชาติบำบัด, ไคโรแพรคติกและการฝังเข็ม

      มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการรักษาด้วย CAM สำหรับการติดเชื้อในหูและการศึกษาน้อยลงที่แสดงให้เห็นว่าการรักษา CAM ได้ผล ด้วยเหตุนี้จึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีการรักษาเหล่านี้สำหรับการติดเชื้อในหูในเด็ก

      ยาลดน้ำมูกและยาแก้แพ้ – ยาแก้ไอและยาแก้หวัด (ซึ่งมักรวมถึงยาลดน้ำมูกหรือยาต้านฮีสตามีน) ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถรักษาหรือลดภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อในหูในเด็กได้ นอกจากนี้การรักษาเหล่านี้ยังมีผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายได้ ไม่แนะนำให้ใช้ยาลดน้ำมูกหรือยาแก้แพ้สำหรับเด็กที่ติดเชื้อในหู

      การติดตามผล – อาการของลูกควรดีขึ้นภายใน 24 ถึง 48 ชั่วโมงไม่ว่าจะมีการสั่งยาปฏิชีวนะหรือไม่ก็ตาม หากลูกของคุณไม่ดีขึ้นหลังจาก 48 ชั่วโมงหรือแย่ลงเมื่อใดก็ได้ ให้โทรติดต่อแพทย์หรือพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำ แม้ว่าอาการไข้และความรู้สึกไม่สบายอาจดำเนินต่อไปแม้ว่าจะเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะแล้วก็ตาม แต่เด็กควรมีอาการดีขึ้นทุกวัน หากบุตรของคุณป่วยมากกว่าตอนไปพบแพทย์ครั้งแรกให้ติดต่อผู้ให้บริการโดยเร็วที่สุด

      เด็กที่อายุน้อยกว่าสองปีและผู้ที่มีปัญหาด้านภาษาหรือการเรียนรู้ควรได้รับการตรวจหูติดตามสองถึงสามเดือนหลังจากได้รับการรักษาอาการหูอักเสบ เด็กเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อความล่าช้าในการเรียนรู้ที่จะพูด การติดตามผลนี้ช่วยให้แน่ใจว่าการเก็บของเหลว (ซึ่งอาจส่งผลต่อการได้ยิน) ได้รับการแก้ไขแล้ว

      การติดเชื้อในหู

      การแตกของเยื่อแก้วหู – หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยของการติดเชื้อในหูคือการแตกของถังหูหรือที่เรียกว่าเยื่อแก้วหู เยื่อแก้วหูสามารถแตกได้เมื่อมีการลดการไหลเวียนของเลือดและทำให้เนื้อเยื่ออ่อนแอลง ไม่เจ็บเมื่อพังผืดแตก และเด็ก ๆ หลายคนรู้สึกดีขึ้นจริง ๆ เพราะมีการปลดปล่อยแรงดัน โชคดีที่เยื่อแก้วหูมักจะหายเร็วหลังจากแตก การแตกของถังหูเป็นข้อบ่งชี้ในการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อในหู

      การสูญเสียการได้ยิน – ของเหลวที่สะสมอยู่หลังแก้วหู (เรียกว่าการไหล) สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนหลังจากความเจ็บปวดจากการติดเชื้อในหูหายไป การไหลของน้ำทำให้เกิดปัญหาในการได้ยินซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นชั่วคราว อย่างไรก็ตามหากของเหลวยังคงมีอยู่อาจรบกวนการเรียนรู้และ / หรือการพูด (ดู “หูชั้นกลางอักเสบที่มีน้ำไหล (หูน้ำหนวก) ในเด็ก: ลักษณะทางคลินิกและการวินิจฉัย” และ “หูชั้นกลางอักเสบที่มีน้ำในช่องท้อง (หูน้ำหนวก) ในเด็ก: การจัดการ”)

      เด็กที่มีปัญหาด้านการพูดการได้ยินหรือพัฒนาการอาจมีผลลัพธ์ที่แย่กว่าที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียการได้ยินที่เป็นของเหลวและเป็นสื่อกระแสไฟฟ้า ควรได้รับการประเมินก่อนช่วงเวลาสามเดือนที่แนะนำสำหรับเด็กที่ไม่มีปัญหาเหล่านี้เนื่องจากอาจต้องได้รับการแทรกแซงก่อนหน้านี้ เด็กที่ไม่ได้รับการบำบัดอาการหนองไหลควรได้รับการตรวจสอบเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งรวมถึงการตรวจหูและการทดสอบการได้ยินทุกๆ สามถึงหกเดือนจนกว่าการไหลของหนองจะหายไป

      หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก

      การป้องกันการติดเชื้อในหู

      เด็กบางคนเกิดการติดเชื้อในหูบ่อยๆ การติดเชื้อในหูที่กำเริบหมายถึงการติดเชื้อสามครั้งขึ้นไปในหกเดือนหรือการติดเชื้อสี่ครั้งขึ้นไปภายใน 12 เดือน นอกเหนือจากการได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามคำแนะนำของ American Academy of Pediatrics และ American Academy of Family Practice

      สำหรับเด็กทุกคนแล้วการแทรกแซงหลายอย่างสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำได้ สิ่งเหล่านี้รวมถึงการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่การให้นมบุตรการให้ยาปฏิชีวนะในขนาดต่ำอย่างต่อเนื่อง (เรียกว่าการป้องกันโรค) และ / หรือการผ่าตัดใส่ท่อในหู (ดู “หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันในเด็ก: การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ” และ “การศึกษาผู้ป่วย: วัคซีนสำหรับทารกและเด็กอายุ 0 ถึง 6 ปี (นอกเหนือจากพื้นฐาน)”)

      ยาปฏิชีวนะป้องกัน – เด็กที่มีอาการหูอักเสบกำเริบบางครั้งได้รับการรักษาด้วยวิธีการป้องกันของยาปฏิชีวนะ แม้ว่ายาปฏิชีวนะป้องกันอาจช่วยลดจำนวนการติดเชื้อในหูได้ แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่เด็กจะติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่การรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานอาจนำไปสู่แบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะมาตรฐาน พูดคุยกับแพทย์หรือพยาบาลของบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากแนวทางนี้

      การผ่าตัด – การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการผ่าตัดใส่ท่อแก้วหูในหูช่วยป้องกันการติดเชื้อในหูซ้ำ ท่อแก้วหูปล่อยให้ของเหลวไหลออกจากหูชั้นกลาง (รูปที่ 2) ปล่อยให้อากาศเข้าไปในหูชั้นกลางและรักษาความดันในหูชั้นกลางและช่องหูให้เท่ากัน การศึกษาอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าไม่มีประโยชน์ของ ท่อแก้วหูในการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ พูดคุยกับแพทย์ของบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการผ่าตัด

      การดูแลรักษาสุขภาพภายในช่องหูเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญ  หน้าที่ของทั้งคุณพ่อคือคอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของลูกน้อย ตลอดจนเช็คพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย สำหรับเด็กๆ วัยเตาะแตะที่สามารถสื่อสารโต้ตอบกับคุณได้ดูแลรักษาความสะอาดและสุขอนามัยส่วนตัว

      คุณพ่อคุณแม่สามารถอธิบายให้เด็ก ๆ ได้รู้ว่าการไม่ดูแลตนเอง ไม่รักษาความสะอาดนั้นจะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ขึ้นได้ง่าย ดังนั้นการแนะนำให้ลูกดูแลรักษาความสะอาด เช่น  การล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนการรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ  การแปรงฟันก่อนนอน หรือหลังอาหาร การอาบน้ำ การใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น ใส่หน้ากากอนามัย เป็นต้น ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย  ที่สำคัญยังเป็นการเสริมสร้างให้ลูกเกิด ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)ซึ่งนับว่าเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเด็กในยุคนี้ ที่ดูเหมือนว่าโรคระบาดครองเมืองค่ะ

      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : uptodate.com , verywellfamily.com

      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

      อุทาหรณ์!! เลี้ยงหมาในบ้าน ระวัง เห็บหมาเข้าหูลูก

      ฝีในต่อมน้ำลาย ก้อนแข็ง ๆ หลังติ่งหูทารก สัญญาณบอกโรค

      วิธีสังเกตและทดสอบว่า ลูกหูหนวก หรือไม่ (ตั้งแต่แรกเกิด- 2ปี)

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        ลูกถามถึงพ่อ

        เคล็ดลับแม่เลี้ยงเดี่ยว เมื่อ ลูกถามถึงพ่อ ควรตอบลูกว่ายังไง?

        เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็ก ๆ จะมีคำถามว่าทำไมพ่อถึงไม่อยู่ในชีวิตของพวกเขา เจ็บปวดพอ ๆ กับการเป็นคนที่ติดอยู่กับการอธิบายคำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่คุณไม่สามารถเพิกเฉยได้ ด้วยเหตุนี้จงเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะพูดวิธีการพูดและเวลาที่ควรพูด แม้ว่าคุณอาจไม่ต้องการแบ่งปันรายละเอียดทั้งหมดกับลูกชายหรือลูกสาวของคุณเกี่ยวกับสาเหตุที่พ่อของพวกเขาไม่อยู่ แต่ก็มีวิธีตอบคำถามของพวกเขาที่ช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้จะช่วยในการวางแผนล่วงหน้าเล็กน้อย

        เคล็ดลับแม่เลี้ยงเดี่ยว เมื่อ ลูกถามถึงพ่อ ควรตอบลูกว่ายังไง?

        ตัวอย่างเช่น การรู้ว่าลูกของคุณอาจถามคำถามอะไร รวมทั้งการตอบคำถามที่เตรียมไว้ล่วงหน้าจะช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงความรู้สึกถูกวางไว้ในจุดที่ไม่เหมาะสมหรือทำให้คุณไม่ทันระวังเมื่อลูก ๆ ถามถึงพ่อของพวกเขา

        คำถามทั่วไปเกี่ยวกับพ่อที่ไม่อยู่

        ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็ก ๆ จะเริ่มมีคำถามเกี่ยวกับพ่อที่ไม่อยู่ในช่วงที่พวกเขาเข้าโรงเรียนอนุบาล ในช่วงเวลานี้พวกเขามักจะเริ่มรับโครงสร้างครอบครัวที่แตกต่างกันและรับรู้ว่าครอบครัวของพวกเขาดูแตกต่างจากคนรุ่นเดียวกัน โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจะมีคำถาม

        คำถามที่พบบ่อยที่สุดที่เด็ก ๆ ถามเกี่ยวกับพ่อที่ไม่อยู่ ได้แก่ :

        • พ่อของฉันคือใคร?
        • ทำไมเขาไม่อยู่กับเรา
        • เขากำลังจะกลับมา?
        • ฉันจะพบเขาได้เมื่อไหร่?
        • เขาคิดถึงฉันไหม
        • ทำไมเด็กคนอื่นถึงมีพ่อ แต่ฉันไม่มี?

        น่าเสียดายที่ไม่มีคำอธิบายเดียวที่จะช่วยตอบคำถามของบุตรหลานของคุณได้ทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้นปัญหานี้จะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งเมื่อบุตรหลานของคุณพยายามทำความเข้าใจกับสถานการณ์ของพวกเขา คุณอาจสังเกตเห็นว่าบุตรหลานของคุณถามคำถามเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

        • เปิดกว้างและเข้าถึงได้ง่าย
        • อนุญาตให้บุตรหลานของคุณถามคำถามโดยไม่ทำให้อารมณ์เสีย
        • พยายามอดทนและรอบคอบในขณะที่ลูกของคุณทำงานผ่านกระบวนการนี้

        ยิ่งไปกว่านั้นโปรดทราบว่าเด็กเล็กมักมองชีวิตของตนด้วย “การคิดแบบอ้างอิงตัวเอง” ซึ่งหมายความว่าโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาคิดว่าโลกหมุนรอบตัวพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็ก ๆ จะคิดว่าการที่พ่อของพวกเขาไม่อยู่เป็นความผิดของพวกเขาหรือพวกเขาไม่น่ารัก ดังนั้นคุณต้องแน่ใจว่าพวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้มีความผิดอะไร เคล็ดลับต่อไปนี้จะช่วยให้คุณคิดผ่านการพูดคุยที่ยากลำบากนี้

        ลูกถามถึงพ่อ
        ลูกถามถึงพ่อ

        พิจารณาประเด็นการพูดคุย

        ลองวางแผนล่วงหน้าสำหรับคำถามของบุตรหลานของคุณโดยการพัฒนาประเด็นการพูดคุยของคุณเอง หาคำและวลีเฉพาะที่คุณต้องการใช้ในการสนทนา ต้องแน่ใจว่าคุณมีคำอธิบายง่ายๆว่าทำไมเขาถึงไม่อยู่ในภาพอีกต่อไป นอกจากนี้คุณยังต้องการหลีกเลี่ยงการวิพากษ์วิจารณ์เขาและควรมีความคิดเห็นเชิงบวกสองสามอย่างที่คุณสามารถเสนอเกี่ยวกับเขาได้

        หากเป็นไปได้คำอธิบายของคุณควรมีเหตุผลที่แท้จริงที่แฟนเก่าของคุณแบ่งปันกับคุณเมื่อเขาจากไป ตัวอย่างเช่น:

        • เขาไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อคน
        • เราอาศัยอยู่ห่างไกลจากกันและกัน
        • เขาต้องการเวลาจัดการกับปัญหาบางอย่างของตัวเอง

        แม้ว่าคำอธิบายเหล่านี้ไม่ได้เป็นเหตุผลว่าเขาเลือกที่จะไม่ได้รับการแก้ไข แต่พวกเขาสามารถยืนยันกับลูก ๆ ของคุณได้ว่าการตัดสินใจของเขาไม่ได้เกี่ยวกับพวกเขา เด็กหลายคนเชื่อว่าพวกเขาต้องตำหนิและเป็นคนที่ไม่น่ารัก ดังนั้นคุณต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่ลูก ๆ ของคุณต้องเข้าใจว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำให้พ่อต้องจากไป คุณอาจต้องเน้นย้ำหลาย ๆ ครั้งก่อนที่มันจะจมลงไป

        7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

        สอนลูกให้รู้จักความแตกต่าง หนูไม่ต้องเหมือนใคร เป็นตัวเองก็ดีมากพอแล้ว

        แจ้งเกิดลูก ไม่มีพ่อ ไม่ระบุชื่อพ่อได้ไหม? อนาคตจะมีปัญหาหรือไม่?

        บอกความจริง

        เป็นเรื่องธรรมดาเท่านั้นที่คุณต้องการปกป้องลูก ๆ ของคุณจากความเจ็บปวดและความเสียใจ แต่ไม่ควรโกหกพวกเขาหรือปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับพ่อของพวกเขามากเกินไป

        • หลีกเลี่ยงการแชร์มากเกินไป ไม่เป็นไรที่จะทิ้งรายละเอียดที่เป็นอันตรายออกไป
        • พิจารณาอายุของบุตรหลานของคุณในการตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสมและไม่เหมาะสมที่จะแบ่งปัน เด็กเล็กมักจะสบายดีกับคำตอบง่ายๆ สำหรับเด็กโตการรู้ในแง่ที่แท้จริงว่าทำไมพ่อไม่อยู่ใกล้ ๆ อาจช่วยบรรเทาได้มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาตระหนักว่านั่นไม่ใช่ความผิดของพวกเขา
        • เก็บความรู้สึกส่วนตัวความกลัวและความกังวลไว้กับตัวเอง คุณไม่ต้องการฉายสิ่งเหล่านี้ให้กับลูก ๆ ของคุณ
        • ยึดติดกับข้อเท็จจริง แต่แบ่งปันด้วยวิธีที่ละเอียดอ่อนและเอาใจใส่

        และไม่ว่าคุณจะทำอะไรอย่าบอกลูก ๆ ว่าพ่อของพวกเขาตายแล้ว ในที่สุดความจริงก็จะปรากฏออกมาและเด็ก ๆ มักจะไม่พอใจแม่เพราะคำโกหกนี้เมื่อโตขึ้น แทนที่จะแสร้งทำเป็นว่าพ่อไม่อยู่ให้บอกความจริงกับพวกเขา พวกเขาอาจไม่ชอบสิ่งที่คุณพูด แต่ท้ายที่สุดพวกเขาจะขอบคุณ

        ตรวจสอบความรู้สึกของพวกเขา

        เมื่อลูก ๆ ของคุณเริ่มแบ่งปันความรู้สึกของพวกเขาเกี่ยวกับการที่พ่อของพวกเขาไม่อยู่อย่าลืมฟัง อย่าพยายามแก้ไข แต่ให้ตรวจสอบความรู้สึกของพวกเขาแทน หลายครั้งวิธีที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบบุตรหลานของคุณคือการสะท้อนสิ่งที่พวกเขารู้สึกหรือพูด

        ความคิดเห็นต่อไปนี้เป็นวิธีที่ดีในการบอกให้ลูก ๆ รู้ว่าคุณเข้าใจว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร

        “ ฉันเห็นว่าคุณกำลังโกรธ”
        “บางครั้งฉันก็รู้สึกโกรธเหมือนกัน”
        “ ฉันรู้ว่ามันยาก”
        ในทางกลับกันหลีกเลี่ยงการระบายความรู้สึกบอกให้พวกเขาเอาชนะมันหรือพูดอะไรซ้ำซากเช่น “มันคืออะไร” สิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์หรือไม่ช่วยให้ลูก ๆ รับมือกับอารมณ์มากมายที่พวกเขากำลังรู้สึก

         

        หลีกเลี่ยงการทุบตี

        เมื่อพูดถึงการเลี้ยงดูลูก ๆ ของคุณในฐานะพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวคุณรู้อยู่แล้วว่าการหลีกเลี่ยงไม่ให้แฟนเก่าของคุณไม่ดีมีความสำคัญเพียงใด ดังนั้นคุณไม่ต้องการให้ข้อมูลเชิงลบมากเกินความเหมาะสม อย่างไรก็ตามคุณควรให้คำอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุที่เขาไม่อยู่

        จำไว้ว่าเด็ก ๆ จะคิดคำอธิบายขึ้นมาเองหากคุณไม่ได้ให้คำอธิบายแก่พวกเขา และเหตุผลที่พวกเขาคิดขึ้นมาอาจส่งผลเสียต่อความนับถือตนเองมากกว่าความจริง

        ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็ก ๆ จะสงสัยว่าพวกเขา “ไม่ดี” (พูดทางพันธุกรรม) เหมือนพ่อหรือไม่ ดังนั้นจะช่วยได้มากหากคุณสามารถแบ่งปันลักษณะเชิงบวกบางอย่างเกี่ยวกับพ่อของพวกเขาได้

        เพื่อให้สถานการณ์นี้ง่ายขึ้นเล็กน้อยให้เตรียมคำตอบหรือคำอธิบายเกี่ยวกับพ่อไว้ล่วงหน้า ด้วยวิธีนี้คำตอบของคุณจะไม่อบอวลไปด้วยความโกรธความกลัวหรือความเศร้าในขณะนั้น แม้ว่าความรู้สึกของคุณจะถูกต้อง แต่คุณก็ไม่ต้องการสร้างภาระนี้ให้กับลูก ๆ ของคุณ

        โดยรวมแล้วคุณกำลังเดินไปตามเส้นแบ่งระหว่างการอธิบายว่าทำไมพ่อของพวกเขาถึงไม่อยู่ใกล้ ๆ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำให้พวกเขามีความลึก ในกรณีที่ความสัมพันธ์เป็นไปได้ในอนาคตคุณคงไม่อยากเป็นสาเหตุที่ลูก ๆ ของคุณไม่อยากติดต่อกับพ่อที่ไม่อยู่ ดังนั้นพยายามใส่แง่บวกบางอย่างเกี่ยวกับพ่อของพวกเขาและพยายามโจมตีตัวเอง

         

        แบ่งปันความทรงจำเชิงบวก

        สิ่งสำคัญเช่นกันที่คุณจะต้องแบ่งปันความทรงจำดีๆที่คุณมีเกี่ยวกับพ่อของลูก ๆ ความทรงจำเหล่านี้จะกลายเป็นตัวอย่างที่ลูก ๆ ของคุณยึดถือและใช้เพื่อสร้างความประทับใจว่าพ่อของพวกเขาเป็นใคร

        ถ้าเป็นไปได้ให้สร้างรายการความทรงจำที่คุณต้องการแบ่งปันและเริ่มรวมไว้ในบทสนทนาเกี่ยวกับพ่อของลูก ๆ จากนั้นเมื่อพวกเขาเริ่มสงสัยในตัวเองว่า “ฉันเป็นเหมือนพ่อของฉันได้อย่างไร” พวกเขาจะมีข้อมูลเพิ่มเติมที่จะดำเนินการต่อไปมากกว่าการรู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาทอดทิ้งพวกเขาไป

        โปรดจำไว้ว่าความทรงจำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ลูก ๆ ของคุณมักจะพิจารณาเมื่อโตขึ้นและพยายามคิดว่าพวกเขาเป็นใครในฐานะบุคคล

        อธิบายถึงรูปลักษณ์ของพ่อ

        บางครั้งเด็ก ๆ มักจะติดอยู่กับความจริงที่ว่าครอบครัวของพวกเขาไม่เหมือนคนอื่น ๆ หากเป็นเช่นนี้ ควรชี้ให้เห็นว่าทุกครอบครัวมีความแตกต่างกัน เด็กบางคนอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายาย เด็กบางคนอาศัยอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู และเด็กบางคนมีพ่อสองคนและไม่มีแม่เลย คุณต้องการให้ลูกยอมรับสถานการณ์ของพวกเขาและไม่รู้สึกว่าพวกเขาขาดอะไรบางอย่าง ท้ายที่สุดคุณมีความรักมากเกินพอที่จะมอบให้

        นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในการชี้ให้เห็นรูปลักษณ์ของพ่อทั้งหมดที่พวกเขามีในชีวิตของพวกเขาตอนนี้ ผู้ชายเหล่านี้อาจเป็นปู่ลุงเพื่อนบ้านหรือเพื่อนสนิทในครอบครัวที่เต็มใจจะก้าวเข้ามาและใช้เวลากับลูก ๆ ของคุณเพื่อเติมเต็มความว่างเปล่าที่พวกเขาอาจรู้สึก ดังนั้นแม้ว่าพ่อผู้ให้กำเนิดของพวกเขาอาจไม่อยู่ในภาพ แต่ก็มี “พ่อ” คนอื่น ๆ ที่ยังอยู่

        ให้เครื่องมือรับมือกับพวกเขา

        เมื่อเด็ก ๆ ถูกพ่อทิ้งพวกเขาต้องได้รับการเตือนตลอดเวลาและซ้ำซากจำเจว่าพวกเขาไม่ควรตำหนิ อาจต้องใช้เวลาหลายปีในการพูดซ้ำ ๆ พร้อมกับการสนทนาที่เป็นจริงเกี่ยวกับสาเหตุที่พ่อของพวกเขาจากไปเพื่อให้พวกเขาตกลงกับความรู้สึกถูกทอดทิ้ง

        วิธีหนึ่งที่พวกเขาสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้คือการสร้างความยืดหยุ่นทางอารมณ์ ตัวอย่าง เช่น ส่งเสริมให้รู้สึกขอบคุณและคิดเชิงบวกเมื่อพวกเขาจมอยู่กับความจริงที่ว่าพ่อจากไปมากเกินไป ช่วยพวกเขาทำรายการสิ่งที่พวกเขาต้องขอบคุณและรายการสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความสุข

        จากนั้นเมื่อพวกเขาถูกล่อลวงให้รู้สึกเศร้ากับสถานการณ์หรือท้อแท้ว่าชีวิตของพวกเขาอาจจะยากกว่าเพื่อนบ้านเล็กน้อยพวกเขาสามารถกลับไปที่รายการนั้นและอัปเดตได้ หรือพวกเขาสามารถอ่านสิ่งต่างๆที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับชีวิตของพวกเขาและอาศัยอยู่กับสิ่งเหล่านั้นแทน

        อีกวิธีหนึ่งในการรับมือกับความรู้สึกเชิงลบคือการเก็บขวดความทรงจำไว้เป็นเครื่องเตือนใจถึงสิ่งดีๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาจนถึงตอนนี้ โถนี้สามารถเรียกกลับได้เช่นกันเมื่อพวกเขารู้สึกแย่และต้องการการเตือนความจำเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องมีความสุข วิธีอื่น ๆ ในการเป็นทางออกสำหรับความรู้สึกเชิงลบ ได้แก่ :

        • การบันทึก
        • การทำสมาธิ
        • สวดมนต์

        และสุดท้ายหากคุณรู้สึกว่าบุตรหลานของคุณต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้พูดคุยกับกุมารแพทย์ของคุณและขอคำแนะนำสำหรับที่ปรึกษาหรือโปรแกรมที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับบุตรหลานของคุณ

        โปรดจำไว้ว่าปฏิสัมพันธ์เหล่านี้กับลูก ๆ ของคุณเกี่ยวกับพ่อของพวกเขาควรอยู่ในความรัก คุณไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าพ่อของพวกเขาไม่ได้รับการแต่งตั้ง แต่คุณสามารถเตือนลูก ๆ ของคุณว่าคุณอยู่ที่นั่นคุณจะไม่ไปไหนและความรักของคุณจะสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข

        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily.com

        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

        ระวัง! คำพูดที่ไม่ควรพูดกับเด็ก ที่อยู่กับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว

        ชี้ทางแม่! กฎหมาย สิทธิ์การดูแลบุตร ทำยังไง..ให้แม่ได้เปรียบ?

        วิจัยยัน! ซิงเกิ้ลมัม ก็เลี้ยงลูกให้ดีได้ไม่แพ้ใคร

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          คนท้องให้นมลูกได้ไหม

          คนท้องให้นมลูกได้ไหม จะทำให้แท้งลูกได้หรือเปล่า?

          คนท้องให้นมลูกได้ไหม – ทุกคนคงเคยได้ยินคำแนะนำที่ว่า “นมแม่ดีที่สุด” สำหรับการเลี้ยงลูก แต่จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อคุณตั้งครรภ์ในขณะที่คุณยังให้นมลูกคนโต การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ระหว่างตั้งครรภ์ปลอดภัยหรือไม่? หากคุณเพิ่งมีลูกเมื่อไม่นานมานี้ จิตใจของคุณอาจเต็มไปด้วยคำถามมากมาย ตั้งแต่จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกของคุณได้รับนมเพียงพอหรือไม่ หรือควรกินนมเมื่อไหร่ คำถามหนึ่งที่มีแนวโน้มที่จะติดอันดับต้น ๆ ของแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่คือคุณ “สามารถตั้งครรภ์ขณะให้นมบุตรได้หรือไม่”  พ่อแม่มือใหม่หลายคนอาจกังวลว่าการตั้งครรภ์และการให้นมลูกจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร คำตอบของคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ขณะตั้งครรภ์มีดังนี้ค่ะ

          คนท้องให้นมลูกได้ไหม จะทำให้แท้งลูกได้หรือเปล่า?

          การให้นมขณะตั้งครรภ์ทำให้แท้งได้หรือไม่?

          หากคุณเพิ่งพบว่าคุณกำลังตั้งครรภ์อีกครั้ง คุณอาจมีคำถามเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ขณะตั้งครรภ์ การตรวจสอบให้แน่ใจว่าการทำเช่นนั้นปลอดภัยสำหรับทั้งลูกน้อยและทารกในครรภ์ที่กำลังพัฒนานั้นมีความจำเป็นเมื่อการตั้งครรภ์ของคุณดำเนินไป เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนออกซิโทซิน ซึ่งอาจทำให้มดลูกหดตัวเล็กน้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเคล็ดลับต่างๆ ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ระหว่างตั้งครรภ์จึงมีความสำคัญมาก  หากทารกของคุณคลอดครบกำหนดและคุณไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ ในระหว่างการตั้งครรภ์ครั้งสุดท้าย คุณควรให้นมแม่ต่อไปได้  สำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ การให้นมบุตรขณะตั้งครรภ์มักไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร

          ทุกวันนี้แม้ว่าจะมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันมากมายเกี่ยวกับปัญหาการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่มีงานวิจัยใดที่พบว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นของการแท้งบุตรในสตรีที่ให้นมบุตรต่อไปในระหว่างตั้งครรภ์ ในอดีตแพทย์เคยแนะนำให้ผู้หญิงหยุดเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เมื่อมีการตั้งครรภ์อีกครั้งด้วยความกังวลว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจทำให้ทารกไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ หรืออาจกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของมดลูก เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทำให้ระดับฮอร์โมนออกซิโทซินเพิ่มขึ้นซึ่งอาจทำให้มดลูกหดตัวได้อย่างที่กล่าวไปข้างต้น

          ตกเลือดหลังคลอด เสี่ยงโรคชีแฮนฝันร้ายแม่อยากให้นมลูก

          ให้นมลูก ท้องได้ไหม? ไขข้อข้องใจกับเซ็กส์ในช่วงให้นมแม่

          แม่สงสัย ดูแลเต้านม อย่างไรช่วงให้นมลูก

          คนท้องให้นมลูกได้ไหม
          คนท้องให้นมลูกได้ไหม

          นอกเหนือจากความกังวลเกี่ยวกับการแท้งบุตรแล้ว คุณอาจสงสัยว่าทารกในครรภ์จะได้รับสารอาหารเพียงพอหรือไม่ถ้าหากคุณยังคงให้นมบุตรขณะตั้งครรภ์ คำตอบคือ หากคุณรับประทานอาหารที่มีประโยชน์การให้นมบุตรในขณะตั้งครรภ์ ย่อมไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ต่อลูกทั้งสองคนของคุณ

          การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามารถช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรี่ได้เพิ่มขึ้น 500 แคลอรี่ต่อวัน ดังนั้นคุณอาจต้องปรับปริมาณแคลอรี่และอาหารของคุณหากคุณยังคงให้นมลูกในระหว่างตั้งครรภ์ ดร. คริสตินแซนเดอร์สสูติแพทย์และนรีแพทย์จากคลินิกฮัทชินสัน ในแคนซัส กล่าวว่า “ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นที่รู้จักกันดี”  อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยสามารถให้นมบุตรได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปก็ควรดำเนินการต่อไป

          ต่อไปนี้เป็นเคล็ดไม่ลับ ที่สำคัญ 5 ข้อ สำหรับผู้ที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในขณะตั้งครรภ์

          1. สอบถามแพทย์ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณก่อน

          โดยทั่วไปการให้นมบุตรขณะตั้งครรภ์นั้นปลอดภัย แม้ว่าฮอร์โมนการตั้งครรภ์จะมีอยู่ในน้ำนม แต่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกที่กินนมแม่ นอกจากนี้ ฮอร์โมน Oxytocin ยังถูกปล่อยออกมาในปริมาณเล็กน้อยในระหว่างช่วงการเลี้ยงลูก ดังนั้นจึงไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด การหดตัวที่เกิดจากฮอร์โมนนี้มีน้อยมาก และแทบจะไม่เพิ่มโอกาสในการแท้งบุตร อย่างไรก็ตามมีบางสถานการณ์ที่แพทย์ของคุณอาจแนะนำให้คุณหย่านมลูกของคุณ เช่น:

          • หากการตั้งครรภ์ของคุณถือว่ามีความเสี่ยงสูงหรือคุณมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร
          • หากคุณกำลังท้องแฝด
          • หากคุณมีอาการปวดมดลูกหรือมีเลือดออกจากช่องคลอด
          • หากคุณได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์

          การพูดคุยกับผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณจะเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาว่าคุณควรให้นมแม่ต่อไปในขณะตั้งครรภ์หรือไม่ หากไม่แนะนำให้ใช้กับสถานการณ์เฉพาะของคุณก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือการเตรียมร่างกายของคุณสำหรับลูกน้อยคนใหม่และบทต่อไปของเส้นทางการเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

          5 เคล็ดลับเด็ดสู่การ “ปั๊มนมเกลี้ยงเต้า” มีน้ำนมแม่ให้ลูกกินได้นาน

          ประโยชน์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ผลวิจัยชี้ช่วยป้องกัน-รักษา โควิด-19

          นมแม่หดถึงคราวพึ่ง นมกล่อง เลือกยังไงหากลูกแพ้นมวัว

          2. นั่งหรือนอนลงขณะให้นมบุตร

          อย่าลืมนั่งหรือนอนในท่าที่ผ่อนคลายเมื่อให้นมลูกหรือปั๊มนม เพื่อให้ตัวคุณมีเวลาพักผ่อนมากขึ้นในขณะที่ลูกกินนมแม่ ในขณะที่การตั้งครรภ์ของคุณดำเนินไปอย่างต่อเนื่องคุณอาจต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์กับการปั๊มนมหรือท่าทางในการให้นมใหม่ๆ ที่สะดวกสบายสำหรับคุณและลูกน้อยของคุณ

          3. ตรวจสอบปริมาณน้ำนมของคุณ

          ปริมาณน้ำนมของคุณแม่จำนวนมากจะเริ่มลดลงประมาณเดือนที่ 4 หรือ 5 หลังคลอด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องเริ่มผสมผสานสารอาหารอื่น ๆ ลงในอาหารของลูกน้อย หากพวกเขาพึงพอใจหลังจากให้นมแม่และมีการเจริญเติบโตและน้ำหนักตามเกณฑ์ปกติก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกังวล สารอาหารอื่น ๆ ที่ทารกของคุณได้รับจะชดเชยปริมาณน้ำนมแม่ที่ลดลงชั่วคราวหรือถาวร การพูดคุยกับแพทย์และ / หรือที่ปรึกษาด้านการให้นมบุตรที่มีประสบการณ์จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในช่วงเวลานี้

          เมื่อลูกคนเล็กของคุณคลอด สิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาที่จะต้องได้รับคือน้ำนมเหลืองหรือน้ำนมส่วนหน้าของคุณ ด้วยเหตุนี้คุณอาจตัดสินใจที่จะให้นมบุตรก่อนและ / หรือ จำกัด การให้นมบุตรของเด็กโตชั่วคราวในช่วงสองสามวันแรกหลังคลอดทารกใหม่

          คนท้องให้นมลูกได้ไหม
          คนท้องให้นมลูกได้ไหม

          4. พิจารณาโภชนาการของคุณ

          คุณสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยการรับประทานอาหารที่ดีให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ และพักผ่อนให้เพียงพอ คุณไม่จำเป็นต้องทานวิตามิน หรือแร่ธาตุเสริมมากมาย ร่างกายของคุณจะปรับตัวให้เข้ากับการผลิตนมแม่และบำรุงทารกในครรภ์ของคุณไปพร้อม ๆ กัน  การกินอาหารที่ดีมีความสำคัญต่อสุขภาพของลูกน้อยอย่างมาก ทั้งในช่วงตั้งครรภ์ที่กำลังพัฒนาและหลังคลอดขณะที่ให้นมแม่ อย่างไรก็ตามการบริโภคแคลอรี่เพิ่มเติมก็สำคัญสำหรับคุณแม่! การตั้งครรภ์และการให้นมบุตร ทั้งคู่ต้องใช้พลังงานมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องแน่ใจว่าคุณได้รับแคลอรี่เพียงพอเพื่อรักษาสุขภาพโดยรวมของคุณเอง หลักการทั่วไปคือ:

          • เพิ่ม 500 แคลอรี่ หากลูกที่กินนมแม่ของคุณกินอาหารอื่น ๆ ด้วย หรือต้องการแคลอรี่พิเศษ 650 แคลอรี่หากเขาหรือเธออายุต่ำกว่า 6 เดือน
          • นอกจากนี้คุณยังต้องการแคลอรี่พิเศษ 350 แคลอรี่ หากคุณอยู่ในไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ หรือต้องการแคลอรี่พิเศษ 450 แคลอรี่ หากคุณอยู่ในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์

          ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพส่วนใหญ่ยอมรับว่าไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณแคลอรี่หากคุณอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งมักเป็นผลดีสำหรับคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องหรือคลื่นไส้

          5. ดูแลสุขภาพของเต้านมและหัวนม

          อาการเจ็บหัวนมเป็นความเจ็บป่วยที่พบบ่อยสำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตร สิ่งนี้สามารถสังเกตได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณกำลังตั้งครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากอาการเจ็บเต้านมเป็นอาการทั่วไปของการตั้งครรภ์ ดังนั้นการใช้เวลาในการดูแลตนเองจึงมีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจ การเก็บรักษาผลิตภัณฑ์อย่างลาโนลินและแผ่นไฮโดรเจลสามารถช่วยบรรเทาความจำเป็นได้มากดังนั้นอย่าลืมตุนไว้! นอกจากนี้คุณอาจพบว่าคุณเหนื่อยมากขึ้นหรือมีอาการแพ้ท้องมากกว่าปกติในระหว่างตั้งครรภ์

          วิธีหย่านมลูก (คนโต)

          อย่างไรก็ตามหากคุณตัดสินใจที่จะหย่านมลูกคนโต คุณควรทำในขณะที่คุณยังตั้งครรภ์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องรับมือกับการปรับเปลี่ยนมากมายหลังจากที่ทารกคลอดออกมา หากคุณต้องการกระตุ้นให้ลูกคนโตหย่านมในขณะที่คุณตั้งครรภ์คุณอาจลองหย่านมอย่างช้าๆ โดยชะลอการป้อนอาหารหรือกระตุ้นให้อาหารสั้นลง หากลูกของคุณโตพอ ให้อธิบายว่าคุณรู้สึกเจ็บหน้าอก

          การมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันที่ดูเหมือนว่าโรคระบาดแทรกซึมอยู่ในทุกหนทุกแห่ง การมีโภชนาการที่ดี การได้นอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง การออกกำลังกาย คือปัจจัยสำคัญที่จะนำมาซึ่งสุขภาพที่ดีและชีวิตที่ห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บได้ ในฐานะพ่อแม่ เมื่อลูกน้อยของคุณอยู่ในวัยที่สื่อสารกับพ่อแม่ได้เข้าใจมากขึ้น การปลูกฝังให้เด็กๆ ได้ซึมซับแนวทางปฏิบัติของการมีสุขภาพที่ดีจากคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยกระตุ้นส่งเสริมให้เขาเกิดทักษะ ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ส่งผลให้ลูกของคุณมีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงห่างไกลโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้เป็นอย่างดีค่ะ

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : todaysparent.com , whattoexpect.com, medela.us

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          ข้ามสามีให้แพ้ท้องแทน ความเชื่อโบราณให้คนท้องกลั้นหายใจข้ามตัวสามี

          ทำความรู้จัก ฮอร์โมนคนท้อง ทำไมท้องแล้วฮอร์โมนพลุ่งพล่าน!

          วิจัยชี้! ลูกสมองดี ถ้าได้กินนมแม่ เพราะนมแม่แน่ที่สุด!

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            ระวัง! พ่อแม่ติดมือถือ สื่อสารกับลูกน้อยลง ส่งผลเสียกว่าที่คิด!

            พ่อแม่ติดมือถือ – คุณเคยไปสวนสาธารณะ ร้านอาหาร ห้องสมุด แล้วสังเกตไหมว่ามีพ่อแม่กี่คนที่ก้มหน้าดูโทรศัพท์ และไม่มีส่วนร่วมกับลูก ๆ ปล่อยให้ลูกเหมือนอยู่ลำพัง ทั้งๆ ที่มีพ่อแม่อยู่ด้วย แม้แต่ในบ้านก็ตาม ภาพเหล่านี้มันทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีแน่นอน จริงมั้ยคะ? เรามีเด็กรุ่นหนึ่งที่เติบโตขึ้นโดยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ปกครองน้อยนิด ซึ่งอย่าให้ต้องเป็นคุณเลยค่ะ  อย่างไรก็ตามเรามาลองดูทางแก้กันดีกว่าหากไม่ดำเนินการปรับเปลี่ยนในเร็ว ๆ นี้อันตรายของการเลี้ยงดูลูกที่พ่อแม่ไม่มีสมาธิ จะปรากฏเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วง เมื่อเด็ก ๆ อายุมากขึ้น!

            ระวัง! พ่อแม่ติดมือถือ สื่อสารกับลูกน้อยลง ส่งผลเสียกว่าที่คิด!

            เราอยู่ในทศวรรษที่สมาร์ทโฟนและโซเชียลมีเดียครองโลก เป็นยุคแห่งการเลี้ยงดูที่มีสิ่งรบกวนทำให้สมาธิได้มากมาย  คุณทราบหรือไม่ว่าร้อยละ 90 ของการเติบโตของสมองของเด็กเกิดขึ้นเมื่ออายุ 5 ขวบ และในปีต่อ ๆ มาเด็ก ๆ จะได้เรียนรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เหมาะสมอย่างไร และพวกเขาพัฒนาค่านิยมและความเชื่อส่วนบุคคล ที่สำคัญพวกเขาต้องการพ่อแม่ในช่วงเวลาที่มีการพัฒนาเหล่านี้ แต่สำหรับบางบ้าน ลูก ๆ อาจไม่ได้รับสิ่งที่พวกเขาต้องการจากพ่อแม่ที่ให้ความสนใจกับสิ่งที่ดูมีค่าน้อยกว่าอยู่ตลอดเวลา หากเราไม่มีวินัยกับโทรศัพท์จริง ๆ เราจะทำร้ายลูก ๆ ของเรามากกว่าที่คิด และต่อไปนี้  นี่คือ 5 อันตรายของการเลี้ยงดูลูกที่พ่อแม่เสียสมาธิตลอดเวลา

            พ่อแม่ติดมือถือ
            พ่อแม่ติดมือถือ

            1. ลูกถูกขัดขวางการเติบโตทางอารมณ์

            เมื่อพ่อแม่เสียสมาธิและไม่ได้มีส่วนร่วมกับลูก ๆ อย่างที่ควรจะเป็น เด็ก ๆ เหล่านั้นจะพลาดที่จะได้รับสิ่งกระตุ้นที่สำคัญที่จะช่วยให้พวกเขาแสดงอารมณ์ และความรู้สึกต่างๆ  ความว่างเปล่านี้อาจสร้างปัญหาด้านพฤติกรรมให้กับเด็กได้

            2. ลูกจะพัฒนาความรู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญ

            ลองนึกถึงเสียงที่ลูฏถามคำถามพ่อแม่ แต่สิ่งที่ได้รับกลับไปคือความเงียบ หรือมีท่าทีไม่สนใจเท่าที่ควร ลองคิดดูสิคะว่าเด็กๆ จะรู้สึกอย่างไร สำหรับเด็กที่พ่อแม่ใช้โทรศัพท์ตลอดเวลาเชื่อได้ว่า พวกเขาจะก่อความรู้สึก“ อย่างอื่นสำคัญกว่าฉัน” ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ความล้มเหลวในการมีส่วนร่วมในชีวิตของบุตรหลานของคุณ  ซึ่งทำให้ความภาคภูมิใจในตนเองและความมั่นใจลดลง มันทำให้คุณเสียโอกาสอันล้ำค่าที่จะได้ใช้เวลาอย่างเต็มที่กับลูก

            3. สมองของบุตรหลานเติบโตช้า

            การใช้อุปกรณ์ต่างๆ เข้ามาช่วยในการเลี้ยงเด็กสามารถยับยั้งการพัฒนาสมองได้อย่างน่ากลัว American Academy of Pediatrics ไม่แนะนำให้ใช้เวลาอยู่หน้าจอสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 18 เดือน และควรใช้เวลาเพียงสองชั่วโมงต่อวันสำหรับเด็กอายุเกิน 5 ขวบ รวมถึงวัยรุ่น บุตรหลานของคุณอยู่บนหน้าจอด้วยเหตุผลที่เป็นประโยชน์ หรือเพียงเพื่อให้คุณทำสิ่งต่างๆได้อย่างสะดวก? นอกจากนี้ควรระมัดระวังพฤติกรรมที่คุณอาจกลายเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับบุตรหลานของคุณในการไม่สนใจโลกรอบตัว

            4. เด็กขาดการพัฒนาทักษะการสื่อสารที่เหมาะสม

            เป็นไปไม่ได้ที่พ่อแม่ที่สมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นจะสนทนากับลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ  พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นครูคนแรกของเด็ก เป็นเหมือนคนกระตุ้นทักษะการสนทนาที่เด็ก ๆ   นอกจากนี้ในครอบครัวอาจไม่ได้สื่อสารกันอย่างจริงจัง รอบโต๊ะอาหารค่ำเป็นหนึ่งในตัวอย่างชั้นนำที่สามารถเกิดบทสนทนาได้

            5. ลูกไม่พัฒนาความเห็นอกเห็นใจ

            สมมุตเด็กวัยหัดเดินหงายท้องที่เก้าอี้ของเธอที่ห้องสมุด เมื่อมาหาแม่ของเธอร้องไห้และมองหาความสบายใจเธอก็พบกับการต่อต้าน เหตุผล? แม่มัว แต่ยุ่งกับเฟสบุ๊ค ไม่ว่าจะสองหรือสิบสองคนเมื่อลูก ๆ ของเราได้รับข่าวสารอย่างต่อเนื่องว่าปัญหาของพวกเขาไม่ใช่ของเรา พวกเขาพยายามที่จะพัฒนาความเห็นอกเห็นใจ เพราะพวกเขาแทบไม่ได้รับมันด้วยตัวเอง ถ้วยที่หก สิ่งของสูญหายหรือโครงการโรงเรียนที่ไม่เรียบร้อยอาจดูเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเรา แต่มันสำคัญสำหรับพวกเขา

            พ่อแม่ติดมือถือ

            การติดหน้าจอทำให้การเชื่อมต่อกับครอบครัวแย่ลง

            การทำพฤติกรรมติดหน้าจออย่างหนัก นาน ๆ ครั้งอาจไม่เป็นอันตราย อย่างไรก็ตามเราทุกคนต้องรออีเมลสำคัญจากที่ทำงานเป็นครั้งคราวหรือตอบข้อความจากเพื่อนเกี่ยวกับสิ่งที่เร่งด่วนหรือทันท่วงที แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อคุณตรวจสอบข้อความและอีเมลทุกๆ สองสามนาทีหรือหลายครั้งต่อชั่วโมงและช่วงเวลา “แค่จะตรวจสอบข้อความของฉัน” ทั้งหมดนี้จะเพิ่มเวลาที่ใช้กับโทรศัพท์เป็นจำนวนมาก

            และเมื่อพิจารณาถึงความยุ่งวุ่นวายของครอบครัวในปัจจุบันตลอดเวลาที่เราใช้โทรศัพท์เป็นเวลาส่วนตัวกับครอบครัวที่ต้องเสียไปอย่างน่าเสียดาย “ยิ่งเวลาของคุณมีค่ามากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้นในการใช้มัน” James A. Roberts, Ph.D. , ศาสตราจารย์ด้านการตลาดจาก Baylor University กล่าวว่า  เราต้องกำหนดเวลาให้กับคู่สมรสหรือเวลาแม่กับลูกที่ไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ในโลกใบนั้นด้วย

            เมื่อคุณอยู่กับใครสักคนและเขาคอยตรวจสอบเลื่อนส่งข้อความหรือมีส่วนร่วมกับโทรศัพท์มือถือในมืออยู่ตลอดเวลามันจะรู้สึกเหมือนว่าคุณไม่ได้อยู่กับคน ๆ นั้นอย่างเต็มที่จริงๆ “ เมื่อคุณสนทนามันจะส่งข้อความที่ชัดเจนว่าคุณกำลังไม่มีสมาธิกับพวกเขา ”  พฤติกรรมนี้ไม่เพียงแต่ดูไม่สุภาพแต่ยังสามารถทำลายคุณภาพของความสัมพันธ์ได้อีกด้วย

            “ ความสัมพันธ์เป็นรากฐานที่สำคัญของความสุขของเรา” ดร. โรเบิร์ตส์กล่าว ” การติดหน้าจอ ทำให้เรารู้สึกแย่ แต่ยิ่งแย่ไปกว่านั้น คือ มันจะค่อยๆ นำเราไปสู่ความไม่มีความสุข และความหดหู่ใจ” แม้กระทั่งคำอธิบายเชิงวิวัฒนาการว่าทำไมเราถึงรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่กับคนที่ไม่ได้อยู่กับเราอย่างเต็มที่ในช่วงเวลานั้น

            “มันเป็นการละเมิดเงื่อนไขทางสังคม” David Greenfield, Ph.D. , ผู้ก่อตั้ง The Center for Internet and Technology Addiction และผู้ช่วยศาสตราจารย์คลินิกจิตเวชศาสตร์ที่ University of Connecticut School of Medicine ในฟาร์มิงตันคอนเนตทิคัตกล่าว ” ความรู้สึกอึดอัดเมื่อไม่สามารถคาดเดาพฤติกรรมได้เมื่อมีคนอยู่ในห้องกับเราและคุยโทรศัพท์เราจะรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจได้”

            ผลกระทบของการติดหน้าจอต่อครอบครัว 

            ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไปกับครอบครัวของคุณมีดังต่อไปนี้:

            ห่างเหินจากสิ่งอื่น ๆ

            เรามีสิ่งที่รบกวนเวลาครอบครัวมากพอแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตารางงานที่ยุ่งยาก การบ้าน กิจกรรมนอกหลักสูตร  และอื่นๆ อีกมากมาย การวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนจำนวนมากมักจะสูญเสียการติดตามเวลาที่พวกเขาใช้โทรศัพท์มือถือ เข้าใจได้โดยพิจารณาจากจำนวนสิ่งที่เราสามารถทำได้บนอุปกรณ์เหล่านี้ตั้งแต่การตรวจสอบข่าวและคะแนนกีฬาไปจนถึงการดูว่าเพื่อนกำลังโพสต์อะไรบนเว็บไซต์โซเชียลมีเดีย

            มันเป็นสิ่งเสพติด

            การวิจัยแสดงให้เห็นว่าสมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ปรับเปลี่ยนจิตใจและอารมณ์ที่ทรงพลังซึ่งสามารถเสพติดได้เช่นเดียวกับการพนัน

            เป็นโรคติดต่อได้

            เมื่อผู้คนถูกฟูมฟายพวกเขามักจะดึงโทรศัพท์ของตัวเองออกมาเพื่อตอบสนอง “ มันคือเซลลูลาติสซึ่งเป็นโรคติดต่อทางสังคม” ดร. โรเบิร์ตส์กล่าว “เมื่อคนอื่นใช้โทรศัพท์มือถือเราก็ทำเพื่อป้องกันตัวเองเช่นกัน”

            เป็นพฤติกรรมที่ดูไม่สุภาพ

            การดึงโทรศัพท์มือถือของคุณออกมาที่โต๊ะอาหารเย็น หรือในระหว่างการสนทนาเป็นมารยาทในการใช้โทรศัพท์มือถือที่ไม่ดี หากคุณไม่จำเป็นต้องรับฟังเรื่องด่วนก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องพกโทรศัพท์ไว้ใกล้มือเมื่อคุณอยู่กับคนอื่นๆ

            พ่อแม่ติดมือถือ

            เด็ก ๆ เรียนรู้จากพฤติกรรมของคุณ

            สิ่งอื่นที่ควรพิจารณาเมื่อคุณเป็นพ่อแม่ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของเธอตลอดเวลาคือการที่เด็ก ๆ เรียนรู้จากการดูสิ่งที่เราทำ แม้แต่เด็กเล็กซึ่งส่วนใหญ่ได้รับโทรศัพท์มือถือตั้งแต่อายุยังน้อยก็มีแนวโน้มที่จะรับรู้วิธีที่ผู้ปกครองอาจมีส่วนร่วมในการพูดคุยและรับพฤติกรรมดังกล่าว

            มันเปลี่ยนวิธีที่เราคิด

            โทรศัพท์มือถือได้เปลี่ยนวิธีที่เราโต้ตอบกันและลดเวลาที่เราอาจใช้ในการสร้างสรรค์ดร. กรีนฟิลด์กล่าว การใช้หน้าจออย่างต่อเนื่องในเด็กเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่งเพราะเวลาอยู่หน้าจอทั้งหมดนั้นเปลี่ยนวิธีจัดการกับความเบื่อหน่ายและทำให้มีโอกาสน้อยที่จะหาเวลาทำกิจกรรมที่กระตุ้นให้พวกเขาใช้ความคิดสร้างสรรค์และใช้จินตนาการอย่างที่ควรจะเป็น

            เวลาที่คุณเสียไปมีค่า

            ทุกนาทีของเวลาที่ใช้ไปกับหน้าจอ มันมีค่าเสมอ : การติดหน้าจอ อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อการมีเวลาน้อยลง สำหรับสิ่งสำคัญอื่นๆ ในชีวิตของคุณ เช่น การนอนหลับเวลาว่าง การทำงาน และเวลาของครอบครัว

            • สูญเสียเวลาโดยใช่เหตุ

            มีพวกเรากี่คนที่เคยใช้โทรศัพท์ตรวจสอบโพสต์โซเชียลมีเดีย หรือสแกนพาดหัวข่าวหรือ เล่นเกมสนุก ๆ แล้วมารู้ทีหลังว่าเราใช้เวลากับสิ่งเหล่านี้ มากกว่าที่วางแผนไว้?

            • ทำลายความสัมพันธ์ของคุณ

            ปฏิสัมพันธ์ของคุณกับคู่สมรสหรือบุตรของคุณไม่ดีเท่าที่ควร เราอาจนึกภาพตัวเองว่าเป็นเครื่องมัลติทาสกิ้งทำงานได้ดีกับทุกสิ่งในเวลาเดียวกัน แต่สิ่งที่เราอาจไม่รู้ก็คือความสนใจมีความสามารถที่ จำกัด เมื่อคุณอยู่กับใครบางคนและคุณกำลังคุยโทรศัพท์ในเวลาเดียวกันคุณจะอยู่ที่ที่โทรศัพท์อยู่ในโลกเสมือนจริง  “ไม่ใช่ปริมาณ แต่เป็นคุณภาพ”

            “หากคุณอยู่กับลูกเป็นเวลาห้าชั่วโมง แต่คุณใช้โทรศัพท์ตลอดเวลาในช่วงเวลานั้น ก็จะเหมือนกับไม่ได้ใช้เวลากับลูกจริงๆ”  การสำรวจประจำปีที่จัดทำโดยนิตยสารสำหรับเด็กพบว่า 62% ของเด็กอายุ 6-12 ปีกล่าวว่าพ่อแม่ของพวกเขาเสียสมาธิเมื่อพยายามคุยกับพวกเขาโดยที่การใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวการสำคัญอันดับต้น ๆ ลองนึกถึงความรู้สึกที่ถูกเพิกเฉยดู มันไม่ใช่ความรู้สึกที่คุณอยากให้เกิดขึ้นกับลูกใช่มัั้ย?

            กลยุทธ์ในการลดการใช้หน้าจอ

            ลองใช้กลยุทธ์เหล่านี้เพื่อลดการใช้โทรศัพท์มือถือของคุณ

            • ตั้งกฎในบ้านว่าจะไม่ใช้โทรศัพท์ (หรือส่งอีเมลหรือโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ฯลฯ ) หลังจากผ่านไปช่วงเวลาหนึ่งในตอนกลางคืน
            • หากคุณรู้สึกว่ามีปัญหาในการไม่ได้ใช้โทรศัพท์เป็นประจำ ลองขอความช่วยเหลือ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าการติดโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องจริงและถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่สามารถควบคุมได้ให้พูดคุยกับนักบำบัดโรคที่เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาเรื่องการเสพติด
            • อย่าให้เวลาว่างจากโทรศัพท์มือถือ และใช้เป็นโอกาสในการติดต่อกันใหม่และพูดคุยเกี่ยวกับวันของคุณ
            • ให้เวลากับคู่สมรสของคุณเช่นออกเดทกลางคืนหรือคุยกันก่อนนอนโดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือ
            • ใช้แอปเพื่อตรวจสอบว่าบุตรหลานของคุณใช้โทรศัพท์มากแค่ไหนและใช้เพื่อติดตามการใช้งานของคุณเอง

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : allprodad.com , verywellfamily.com

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            แม่เตือน ลูกไม่สบตา เรียกไม่หัน อาการออทิสติกเทียม เหตุเพราะมือถือ!

            ให้ลูกดูมือถือ แท็บเล็ต โทรทัศน์ ตอนกินข้าวช่วยให้กินง่ายจริงหรือ?

            หมอเตือน! เล่นมือถือในห้องน้ำ เสี่ยงป่วย 5 โรค

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม

              เปิดบันทึกสุดเศร้า ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม พรากลูกในท้องจาก ‘ลีแอนน์ ฟู’ ดาราชื่อดังฮ่องกง

              รูปสุดท้ายของครอบครัวกับลูกน้องในท้องที่ไม่มีวันลืมตาดูโลก เรื่องราวแสนเศร้าของดาราสาวชาวฮ่องกง ลีแอนน์ ฟู ที่เธอต้องสูญเสียลูกน้อยไปถึง 2 ครั้งภายใน 1 ปี ซึ่งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นสัปดาห์นี้เพราะ ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม โรคประหลาดที่พรากชีวิตลูกน้อยแบบไม่ทันตั้งตัว

              ดาราสาวฮ่องกงจำใจเสียลูกครั้งที่ 2 ในรอบ 1 เพราะ ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม

              เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ลีแอนน์ฟูภรรยาสาวคนสวยของนักร้องชื่อดัง เจสัน ชาน ต้องยุติการตั้งครรภ์ครั้งที่ 2 ในรอบปีนี้อันเนื่องมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ชื่อว่า เอ็ดเวิร์ดซินโดรม เธอในวัย 35 ปีให้กำเนิดลูกคนแรกเมื่อปี 2561 และใฝ่ฝันว่าจะมีลูกอีกคน จนเมื่อพฤษภาคมปีที่แล้ว เธอจำเป็นต้องทำแท้งหลังคุณหมอพบว่าการมีลูกในครั้งนั้นเป็นภาวะท้องนอกมดลูก

              ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม
              เครดิตภาพ: IG Leanne Fu

              แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ลีแอนน์ต้องพบเจอกับการสูญเสียอีกครั้ง เมื่อเธอจำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์หลังตรวจพบว่าตัวอ่อนเสี่ยงต่อภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม ซึ่งทำให้ลูกในท้องตัวเล็ก มีปัญหาหัวใจบกพร่องจนไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดเกินวันเดียวหลังคลอด

              จดหมายถึงลูกน้อยที่ไม่มีวันได้พบหน้ากัน

              ลีแอนน์เปิดเผยถึงจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนถึงลูกคนเล็กที่ไม่มีวันได้พบเจอกันว่า

              “ถึงลูกน้อยวัย 13 สัปดาห์ แม่พยายามอย่างมากที่จะมีลูกตั้งแต่ปีที่แล้ว และต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนที่แม่เห็นขีดเล็กๆสองขีดบนที่ตรวจครรภ์ แม่รู้สึกซึ้งใจว่าในที่สุดลูกได้กลับเข้าสมาในชีวิตเราอีกครั้ง ถึงแม้แม่จะแพ้ท้องหนักทุกเช้า กินอะไรไม่ได้ แต่แม่ก็ยังอดทนและเฝ้ารอวันทีได้เจอหน้าลูก ทุกคืนแม่ได้แต่ครุ่นคิดว่าถ้าลูกจะหน้าเหมือนพ่อหรือแม่มากกว่ากัน

              แต่ตอนอายุครรรภ์ราว 10 สัปดาห์กับอีก 5 วัน แม่ไปตรวจครรภ์ตามปกติ แต่คุณหมอบอกกับแม่ว่าผิวหนังที่หลังคอของลูกหนาผิดปกติ แม่ไม่ทันได้ตั้งตัวเพราะยังไม่รู้สิ่งที่หมอพูดหมายความว่าอะไร แม่ถามหมอกลับไปว่า “มีปัญหาอะไรหรือเปล่า” หมอตอบเพียงว่าต้องให้แม่ตรวจเลือดดูว่าหลังคอที่ค่อนข้างหนาเป็นสัญญาณของภาวะดาวน์ซินโดรมหรือปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ”

              ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม
              เครดิตภาพ: IG Leanne Fu

              ลีแอนน์ใช้เวลาตลอดสัปดาห์หาข้อมูลและพูดคุยกับคุณแม่ที่มีลูกเป็นดาวน์ซินโดรม หลังจากลีแอนด์และเจสันปรึกษากันแล้ว พวกเราจะยอมตั้งครรภ์ต่อแม้ผลการตรวจจะบอกว่าลูกเป็นดาวน์ซินโดรมก็ตาม

              “เราสามารถดูแลลูกด้วยความรักจากพ่อและแม่ แต่คุณหมอโทรมาแจ้งว่าลูกไม่ได้เป็นดาวน์ซินโดรม แต่กลับมี ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม ขณะที่ในใจครุ่นคิดว่า “ทำไมต้องเกิดเรื่องนี้กับฉัน”  เพราะภาวะดังกล่าวทำให้ตัวอ่อนส่วนใหญ่เสียชีวิตตั้งแต่ในท้อง และถึงแม้จะพยายามให้มีชีวิตจนคลอดออกมาได้ ก็จะมีชีวิตอยู่เพียง 1 เดือน 1 วัน หรือแค่ 1 นาทีหลังคลอดออกมาเท่านั้น”

              ระหว่างวันนั้น ลีแอนน์นัดหมายจะพบหมออีกครั้ง เธอยังหวังว่าจะไม่ต้องยุติการตั้งครรภ์แต่ความหวังนั้นจบลงเมื่อผลอัลตราซาวด์ทำให้เห็นว่า สมองซีกซ้ายและขวารวมกันเป็นก้อนเดียว  มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ไม่มีดั้งจมูก และลำไส้อยู่นอกลำตัว เธอจึงตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ทันที

              ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรมคืออะไร

              เอ็ดเวิร์ดซินโดรม (Edward’s Syndrome) เป็นโรคหายากเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 18 ที่มีเกินจากปกติ 1 แท่ง พบได้บ่อยรองจากดาวน์ซินโดรม และเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกในน้องเสียชีวิตในช่วงสัปดาห์ที่ 2 – 3 ของการตั้งครรภ์ หากอาการไม่รุนแรงจะมีชีวิตอยู่ต่อราว 1 ปีหลังคลอด

              ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม
              เครดิตภาพ: pinterest.com

              หากต้องการลูกว่าทารกเสี่ยงต่อโรคเอ็ดเวิร์ดซินโดรมหรือไม่จำเป็นต้องผ่านการตรวจเลือดควบคู่ไปกับการอัลตราซาวด์ชนิดพิเศษเช่นเดียวกับการตรวจคัดกรองโรคดาวน์ซินโดรมและความผิดปกติของโครโมโซมอื่น ๆ โอกาสที่แม่ท้องจะเผชิญกับความผิดปกติดังกล่าวมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับอายุที่มากขึ้นด้วย

              ดังนั้นแม่ท้องอายุ 35 ปีขึ้นไปจำเป็นต้องได้รับการตรวจคัดกรองเป็นพิเศษ เพราะปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันหรือรักษาโรคเอ็ดเวิร์ดซินโดรมให้หายขาด หากลูกน้อยคลอดออกมาแล้วจำเป็นต้องรักษาในภาวะรุนแรงหลายอย่างทั้ง ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ภาวะอักเสบรุนแรง การหายใจ การมองเห็น ฯลฯ หากแพทย์ตรวจพบว่าการตั้งครรภ์ดังกล่าวมีภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรมมักแนะนำให้ยุติกาตั้งครรภ์โดยเร็ว

              รูปครอบครัวที่ของเราก่อน ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม พรากลูกไป

              ภาวะเอ็ดเวิร์ดซินโดรม
              เครดิตภาพ: IG Leanne Fu

              หลังจากคุณหมอแนะนำว่าลีแอนน์ต้องเอาเด็กออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งหนึ่งที่ลีแอนน์ตัดสินใจทำเป็นอย่างแรกคือ “ถ่ายรูป” เธอเล่าให้ฟังว่า

              “ตอนที่ฉันท้องลูกคนแรก ฉันไม่เคยได้ถ่ายรูปเลย แต่การท้องครั้งนี้ ฉันอยากมีรูปครอบครัวของเราทั้งสี่คน เพราะฉันคิดว่านี่จะเป็นการท้องครั้งสุดท้าย ฉันไม่อยากรู้สึกปลาบปลื้มและผิดหวังอีก น้ำตาของฉันมันแห้งเหือด ส่วนหัวใจของฉันแตกสลายไปหมดแล้ว

              เธอกล่าวขอโทษต่อลูกน้อยที่ไม่มีวันได้ลืมตาดูโลก “ฉันขอโทษที่ไม่กล้าหาญพอจะให้ลูกเกิดมา เพราะแม่ไม่อาทนเจอกับลูกแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หลังคลอด มีบุญไม่พอที่จะได้เป็นแม่ของลูก ชั้นได้ใช้โชคทั้งหมดในชิวิตเมื่อได้แต่งงานกับพ่อและมีพี่สาวของลูก แม่เสียใจที่ไม่อาจให้กำเนิดลูกได้ แต่แม่หวังว่าลูกจะรู้ว่าพ่อกับแม่รักลูกเสมอ”

              แหล่งข้อมูล  www.8days.sg , www.pobbad.com

              อ่านบทความอื่นๆที่น่าสนใจ

              ดาวน์ซินโดรม รู้ล่วงหน้า..หยุดความเสี่ยงได้ตั้งแต่ลูกอยู่ในครรภ์

              โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA โรคทางพันธุกรรม ที่ต้องรู้จัก! ก่อนคิดมีลูก

              แม่แชร์ประสบการณ์! “ท้องนอกมดลูก” วิธีสังเกต รักษา อย่างละเอียด

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

               

                ฮอร์โมนคนท้อง

                ทำความรู้จัก ฮอร์โมนคนท้อง ทำไมท้องแล้วฮอร์โมนพลุ่งพล่าน!

                ฮอร์โมนคนท้อง – อาจดูเหมือนไม่ค่อยยุติธรรมที่จะกล่าวหาว่า ฮอร์โมน คือตัวการที่ทำให้เกิดการการปะทุทางอารมณ์ในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งอาหาร ขี้น้อยใจ ขี้หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย เดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ นี้คือสาเหตุที่ฮอร์โมนหลายชนิดที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ มีศักยภาพที่จะตกเป็นผู้ต้องหาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้! เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของคนท้องนั้นมีมากมาย ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ซึ่งสามารถโทษเจ้าฮอร์โมนเหล่านี้ที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ได้เลยค่ะ

                ทำความรู้จัก ฮอร์โมนคนท้อง ทำไมท้องแล้วฮอร์โมนพลุ่งพล่าน!

                ความจริงแล้ว ฮอร์โมนไม่ได้เป็นผู้ร้ายเสมอไป ในแง่ดีคุณรู้หรือไม่ว่าฮอร์โมนบางชนิด มีหน้าที่ในการช่วยให้เยื่อบุมดลูกของคุณอ่อนนุ่มและปลอดภัยสำหรับทารกในการเจริญเติบโตในขณะที่ฮอร์โมนบางตัว กระตุ้นให้เต้านมของคุณผลิตน้ำนม หรือช่วยให้กระดูกของทารกของคุณก่อตัว

                แต่ในด้านที่ไม่ค่อยดีนักก็มีไม่น้อย ฮอร์โมนบางตัว ทำให้คุณสมองเสื่อมหรือขี้ลืมระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้คุณร้องไห้ได้ แค่เห็นใบไม้ร่วง!!  หากต้องการความช่วยเหลือบางอย่างในการทำความเข้าใจฮอร์โมนหลักที่เกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ของคุณรวมถึงฮอร์โมนที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณคลอดบุตร โปรดดูคำแนะนำที่ครอบคลุม พิจารณาว่าตัวเองมีอาวุธและพร้อมที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับฮอร์โมนที่ทำให้ร่างกายของคุณสามารถสร้างชีวิตได้จริง

                ฮอร์โมนการตั้งครรภ์หลักคืออะไร?

                ฮอร์โมนแต่ละตัวที่กล่าวถึงด้านล่างมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องเติมเต็มก่อนระหว่างและหลังการตั้งครรภ์ แต่ต่อไปนี้เป็นฮอร์โมนหลักในการตั้งครรภ์ที่ทำให้ลูกบอลกลิ้งไปมาเพื่อที่จะพูดและเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการคลอด

                • ฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญของไข่ (FSH)
                • ลูทิไนซิงฮอร์โมน  (LH)
                • เอชซีจี (human chorionic gonadotropin)
                • เอสโตรเจน (Estrogen)
                • โปรเจสเตอโรน (Progesterone)
                • รีแลกซิน (Relaxin)
                • สาร Growth factor กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์
                • แลคโตเจนจากรกของมนุษย์ (HPL)
                • ออกซิโทซิน (Oxytocin)
                • โปรแลคติน (Prolactin)
                ฮอร์โมนคนท้อง
                ฮอร์โมนคนท้อง

                ต่อไปนี้เป็นข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับฮอร์โมนหลักแต่ละรายการที่ระบุไว้ข้างต้นรวมถึงบทบาทของแต่ละรายการและอื่น ๆ อีกสองสามอย่าง ที่มีหน้าที่สำคัญในระหว่างและหลังการตั้งครรภ์

                เอสโตรเจน (Estrogen)

                เอสโตรเจนคืออะไร?
                เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนที่หลายคนอาจคุ้นหู แต่รู้มั้ยคะว่าหน้าที่ของมันคืออะไร ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิงหลักที่ก่อให้เกิดพัฒนาการทางเพศ รวมถึงการเจริญเติบโตของหน้าอกและกระตุ้นและควบคุมรอบประจำเดือนของผู้หญิง นอกจากนี้ยังช่วยให้กระดูกของคุณแข็งแรงและควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้

                เอสโตรเจนมีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์? นอกจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนแล้วเอสโตรเจนยังเป็นหนึ่งในฮอร์โมนหลักสองชนิดที่ช่วยให้การตั้งครรภ์เริ่มต้นขึ้น ฮอร์โมนเอสโตรเจนผลิตโดยรังไข่และต่อมาโดยรก ฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วยให้มดลูกเจริญเติบโตรักษาเยื่อบุมดลูก ควบคุมฮอร์โมนหลักอื่น ๆ และกระตุ้นการพัฒนาอวัยวะของทารก และเมื่อถึงเวลาให้นมลูกเอสโตรเจนจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อเต้านมและช่วยให้น้ำนมไหล

                คุณเคยมีอาการคัดจมูกหรือผิวหนังเป็นปื้นหรือไม่? ฮอร์โมนเอสโตรเจนยังอยู่เบื้องหลังเยื่อเมือกที่บวมและทำให้เลือดไหลเวียนไปที่ผิวหนังมากเกินไปซึ่งอาจส่งผลให้ผิวมีสีแดงและคัน และฮอร์โมนเอสโตรเจนจะเข้าร่วมกับฮอร์โมนอื่น ๆ เพื่อทำให้เกิดรอยดำ เช่น ที่หัวนม และ มีฝ้าสีน้ำตาลเข้มขึ้นที่จมูกแก้ม และหน้าผาก

                โปรเจสเตอโรน (Progesterone)

                Progesterone คืออะไร?
                ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน  เป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่สร้างจากรังไข่และจากรก (ในขณะตั้งครรภ์) โดยมีต่อมใต้สมองและสมองไฮโปทาลามัสทำหน้าที่ควบคุม เป็นฮอร์โมนที่มีส่วนช่วยควบคุมรอบเดือนของคุณ

                ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์?  ฮอร์โมนที่สำคัญนี้จะเริ่มส่งผลต่อร่างกายคนท้องหลังจากการตกไข่ โดยจะช่วยให้เยื่อบุมดลูกเปิดรับการฝังตัวของไข่ที่ปฏิสนธิ โปรเจสเตอโรนร่วมกับฮอร์โมนรีแล็กซิน อาจทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารบางอย่าง เช่น อาการเสียดท้องอาหารไม่ย่อยท้องผูกและท้องอืด

                โปรเจสเตอโรนจะร่วมมือกับรีแลกซินอีกครั้ง เพื่อช่วยให้เอ็นและกระดูกอ่อนนิ่มลงและคลายข้อต่อเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเจ็บครรภ์ และถ้าเหงือกของคุณบวมและเริ่มมีเลือดออกแสดงว่าผิวหนังของคุณแตกออกหรือคุณรู้สึกเหงื่อออกมาก นั่นก็เป็นฝีมือของฮอร์โมนชนิดนี้เช่นกัน

                ฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญของไข่ (FSH)

                FSH คืออะไร? ฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญของไข่สร้างโดยต่อมใต้สมองในสมองและสั่งให้รังไข่สร้างไข่และฮอร์โมนเอสโตรเจน FSH เป็นอีกหนึ่งฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมรอบเดือนของคุณ

                FSH มีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์?  FSH เป็นฮอร์โมนกลุ่มแรกที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ของคุณและมีอยู่ก่อนที่คุณจะตั้งครรภ์ด้วยซ้ำ FSH กระตุ้นไข่ให้เติบโตในรังไข่ซึ่งจะเพิ่มการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นส่งสัญญาณให้ร่างกายผลิต LH เพิ่มขึ้นซึ่งนำไปสู่การตกไข่และการตั้งครรภ์ได้

                ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ : ผู้หญิงที่มีฝาแฝดที่เกิดจากการผสมของไข่ 2 ใบ กับอสุจิ 2 ตัว มีแนวโน้มที่จะมี FSH ในระดับที่สูงขึ้น

                ฮอร์โมนคนท้อง

                ลูทิไนซิงฮอร์โมน (LH)

                LH คืออะไร?
                ต่อไปนี้เป็นฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งที่สร้างโดยต่อมใต้สมองและทำงานร่วมกับ FSH เพื่อปรับรอบประจำเดือนของคุณ ระดับฮอร์โมน Luteinizing จะเพิ่มขึ้นก่อนการตกไข่และ LH จะกระตุ้นการปล่อยไข่ออกจากรังไข่ของคุณ

                ในขณะที่ FSH กระตุ้นการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน เอสโตรเจนเรียกร้องให้ LH กระตุ้นการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ของไข่ ทำให้ไข่พร้อมผสมกับเสปิร์ม ไข่หลังการตกไข่จะมีการสร้างกลุ่มเนื้อเยื่อภายในรังไข่ (corpus luteum) ซึ่งจะสลายตัวในเวลาประมาณ 14 วันหากคุณไม่ได้ตั้งครรภ์ ซึ่งระดับฮอร์โมนของคุณจะลดลงและประจำเดือนจะมาถึง

                LH มีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์? หากอสุจิและไข่มารวมกัน สิ่งที่เรียกว่า คอร์ปัสลูเตียม หรือ กลุ่มเนื้อเยื่อภายในรังไข่ จะอาศัยอยู่โดยผลิตฮอร์โมนที่เหมาะสม รวมทั้งโปรเจสเตอโรนเพื่อทำให้มดลูกสุกและหล่อเลี้ยงทารกที่กำลังเติบโต

                หากคุณกำลังพยายามที่จะตั้งครรภ์ แพทย์ของคุณอาจตรวจระดับ LH ของคุณ เมื่อสิ่งเหล่านี้สูงกว่าปกติการตกไข่อาจได้รับผลกระทบหรือฮอร์โมนของคุณอาจไม่สมดุลโดยรวม ซึ่งบางครั้งก็อยู่เบื้องหลังกรณีของกลุ่มที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

                ฮอร์โมน hCG  (Human chorionic gonadotropin) 

                เอชซีจีคืออะไร?
                hCG (Human chorionic gonadotropin)  เป็นฮอร์โมนที่ทำให้หญิงตั้งครรภ์แลดูเปล่งปลั่ง ถูกสร้างจากรก มีหน้าที่สำคัญ คือ ช่วยให้ตัวอ่อนฝังตัวที่ผนังมดลูกได้ดี โดย HCG จะมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นมากในช่วง 1-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์

                hCG  มีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์?

                ฮอร์โมนนี้จะเพิ่มการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน สามารถตรวจพบฮอร์โมนนี้จากในเลือดและปัสสาวะหลังจากเกิดการตั้งครรภ์ประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้การตรวจว่าตั้งครรภ์หรือไม่  เรียกได้ว่ามันเป็นฮอร์โมนที่สร้างความสุขให้ปรากฏจากแถบตรวจการตั้งครรภ์

                ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ระดับเอชซีจี จะอยู่ในระดับต่ำแต่ในไม่ช้าก็จะเพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ สองวัน โดยอยู่ในช่วงสัปดาห์ที่ 7 ถึง 12 และจะลดลงเมื่อเริ่มไตรมาสที่สอง จากนั้นรกจะเริ่มสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนแม้ว่าเอชซีจีจะยังคงอยู่กับคุณ ในความเป็นจริงฮอร์โมนนี้มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน บางครั้งทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นหวัดและไข้หวัดใหญ่

                โปรแลคติน (Prolactin)

                โปรแลคตินคืออะไร?
                โปรแลคตินเป็นฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งที่สร้างโดยต่อมใต้สมองกระตุ้นให้คนท้องสามารถสร้างน้ำนมเพื่อให้นมบุตรการให้นมบุตรได้

                โปรแลคตินมีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์? งานหลักของฮอร์โมนน้ำนมนี้ คือช่วยขยายหน้าอก และผลิตน้ำนมที่คุณต้องใช้เลี้ยงลูกหลังคลอด โปรแลคตินยังทำงานร่วมกับต่อมหมวกไตซึ่งกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของเส้นขนในสถานที่ที่ไม่คาดคิดว่าคุณจะมีขนบริเวณนั้นได้ (เช่นที่ท้องและใบหน้า) แต่ขนอ่อนเหล่านี้มักจะหายไปเองช่วงประมาณหกเดือนหลังคลอด

                สารกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ (Growth factor)

                สารกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์คืออะไร?
                คุณจำเป็นต้องมีสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เพื่อกระตุ้นการเติบโตของหลอดเลือด ซึ่งจะส่งต่อปริมาณเลือดที่เพิ่มขึ้นซึ่งจำเป็นในการหล่อเลี้ยงและสนับสนุนทารกที่กำลังเติบโต

                สารกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์?
                การมีฮอร์โมนการตั้งครรภ์ไม่เพียงพออาจทำให้หลอดเลือดในรกแคบลงแทนที่จะขยายกว้างขึ้นซึ่งอาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และอาจเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ โชคดีที่ยากำลังรับมือกับปัญหานี้และการตรวจเลือดและปัสสาวะใหม่ช่วยในการวัดปัจจัยการเจริญเติบโตของรกเพื่อการตรวจหาและรักษา แต่เนิ่นๆ

                แลคโตเจนจากรกของมนุษย์ (hPL)

                hPL คืออะไร?
                แลคโตเจนจากรกของมนุษย์ บางครั้งเรียกว่า human chorionic somatomammotropin จะบอกทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำนม

                hPL มีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์?  ฮอร์โมนนี้ผลิตโดยรกเพื่อปรับการเผาผลาญของร่างกายเพื่อเลี้ยงลูกน้อย นอกจากปัจจัยการเจริญเติบโตของรกแล้วยังเตรียมเต้านมของคุณให้กินนมแม่ ฮอร์โมนนี้ช่วยสร้างน้ำนมเหลืองซึ่งเป็นน้ำนมก่อนที่อุดมด้วยแอนติบอดีซึ่งนำหน้านมแม่จริง ในผู้หญิงบางคนคิดว่า hPL และปัจจัยการเจริญเติบโตของรกจะนำไปสู่ภาวะดื้ออินซูลินส่งผลให้เกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

                รีแลกซิน (Relaxin)

                รีแลกซิน (Relaxin) คืออะไร?
                ฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการสืบพันธุ์ของผู้หญิง ระดับรีแล็กซินจะเพิ่มขึ้นหลังการตกไข่ และช่วยเตรียมผนังมดลูกให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ ระดับการผ่อนคลายจะลดลงจนกว่าจะถึงรอบถัดไปหากไม่มีการปฏิสนธิในเดือนนั้น

                รีแลกซิน มีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์?
                หากคุณตั้งครรภ์การผ่อนคลายก็พร้อมและมีชีวิตอยู่ เนื่องจากฮอร์โมนตัวนี้จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อกระดูกเอ็นและข้อต่อในกระดูกเชิงกรานในภายหลังในการตั้งครรภ์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด รีแล็กซินยังทำให้ปากมดลูกนิ่มและยาวขึ้น กลไกการโยกตัวของมันอาจทำให้คุณรู้สึกไม่สมดุลและโคลงเคลงขณะเดิน (ระวัง!)

                ออกซิโทซิน

                oxytocin คืออะไร?
                ออกซิโทซินสร้างจากต่อมใต้สมอง โดยไฮโปทาลามัส และหลั่งออกมาจากต่อมใต้สมองที่สำคัญทั้งหมด ฮอร์โมนการตั้งครรภ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคลอด

                Oxytocin มีบทบาทอย่างไรในการตั้งครรภ์?
                หน้าที่หลัก ๆ คือ ฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับการคลอดลูกและให้นมบุตร นอกจากนี้ยังทำให้เกิดสายใยผูกพันที่ยิ่งใหญ่ของแม่และลูก เมื่อคุณคลอดออกมาแล้วฮอร์โมนออกซิโทซินจะช่วยทำให้มดลูกหดตัวลงและเคลื่อนย้ายน้ำนมเข้าสู่เต้านม

                ฮอร์โมนการตั้งครรภ์อื่น ๆ

                คุณคิดว่านั่นคือจุดสิ้นสุดของรายการหรือไม่? ในความเป็นจริงมีฮอร์โมนสำคัญอื่น ๆ อีก ที่ทำงานในระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่ :

                Erythropoietin: ควบคุมการผลิตเม็ดเลือดแดง
                Calcitonin: ส่งเสริมการสร้างกระดูก
                วาโซเพรสซิน: ฮอร์โมนนี้ในระดับสูงจะนำไปสู่การกักเก็บน้ำของร่างกาย
                Thyroxine: ฮอร์โมนไทรอยด์ที่เพิ่มการใช้ออกซิเจนของแม่ในครรภ์มีปฏิกิริยากับฮอร์โมนการเจริญเติบโตเพื่อควบคุมและกระตุ้นการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์และใช้ในการพัฒนาระบบประสาทส่วนกลางของทารก
                อินซูลิน: ควบคุมการเผาผลาญอาหารของทั้งแม่และลูก
                ฮอร์โมนอะดรีโนคอร์ติโคโทรปิก: สารเคมีที่ทำให้ต่อมหมวกไตสูบฮอร์โมนที่ทำให้เกิดรอยแตกลายและบวม
                คอร์ติซอล: ฮอร์โมนต่อมหมวกไตที่ช่วยในการเจริญเติบโตของปอดของทารกในครรภ์ ในความเข้มข้นสูงคอร์ติซอลซึ่งเป็นฮอร์โมนความเครียดของร่างกายสามารถรบกวนระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน คอร์ติซอลอาจส่งผลเสียต่อฮิปโปแคมปัสซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้และความจำและอาจอธิบายถึงการหลงลืมการตั้งครรภ์และหมอกในสมอง
                เอ็นดอร์ฟิน: ฮอร์โมนแห่งความสุขตามธรรมชาติของสมองสามารถช่วยให้คุณอดทนต่อความเจ็บปวดจากการทำงานได้และบางทีอาจลืมไปเลยเมื่อคุณได้พบกับลูกน้อยแสนหวานของคุณ
                ฮอร์โมนหลังคลอด

                แม้ว่าจะคลอดและคลอดแล้วร่างกายของคุณก็กำลังพลุ่งพล่านด้วยฮอร์โมน ตัวอย่างเช่นในขณะที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนลดลงทันทีที่ทารกมาถึงฮอร์โมนออกซิโทซินซึ่งบางครั้งเรียกว่า“ ฮอร์โมนแม่” จะเห็นการพุ่งสูงขึ้น และโปรแลคตินเป็นฮอร์โมนหลังคลอดที่สำคัญเช่นกันเนื่องจากกระตุ้นการผลิตน้ำนมแม่ นอกจากนี้ อารมณ์เหวี่ยงวีนที่มีผลมาจากของฮอร์โมนหลังคลอด อาจเป็นเรื่องยากสำหรับคุณแม่มือใหม่บางคนซึ่งอาจนำไปสู่ความหงุดหงิดน้ำตาไหลและซึมเศร้า ความรู้สึกเหล่านี้เป็นเรื่องปกติที่ส่งผลต่อคุณแม่มือใหม่มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ หากคุณรู้สึกเศร้าหรือรู้สึกผิดปกติหลังคลอดให้ปรึกษาแพทย์ของคุณ

                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : whattoexpect.com

                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                Growth Hormone โกรทฮอร์โมน คืออะไร สำคัญกับลูกน้อยยังไง?

                ฮอร์โมน 3 ตัวที่ควรรู้จัก ก่อนท้อง

                คนท้องกินยาลดกรด ได้ไหม กินมากไปจะเป็นอันตรายหรือเปล่า?

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  คนท้องกินคีโตได้ไหม

                  ไขข้อข้องใจ คนท้องกินคีโตได้ไหม จะเป็นอันตรายหรือเปล่า?

                  คนท้องกินคีโตได้ไหม –  คีโตเจนิกไดเอ็ท (KD) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าคีโต เป็นเทรนด์โภชนาการที่ว่ากันว่า เป็นเสมือน “อาหารมหัศจรรย์” และเป็นแผนการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สำหรับการแก้ไขปัญหาสุขภาพเกือบทุกอย่าง  แต่หลายคนรวมถึงคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อาจสงสัยว่าอาหารคีโต ที่เป็นแผนการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และคาร์โบไฮเดรตต่ำ นั้นจะปลอดภัยสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือไม่ วันนี้เรามาไขข้อข้องใจนี้กันค่ะ

                  อาหารคีโตคืออะไร?

                  ในอาหารคีโตโดยทั่วไป คุณจะเน้นไปที่ปริมาณเนื้อสัตว์และไขมันจำนวนมาก แต่จะมีการจำกัดคาร์โบไฮเดรตให้น้อยกว่า 50 กรัม ต่อวัน กล่าวเปรียบเทียบได้เหมือนกับการกินกล้วย 2 ผล ใน 24 ชั่วโมง!

                  แผนการกินแบบคีโต นั้นเน้นไปที่อาหารที่มีไขมันสูงมากกว่าปกติ ซึ่งหมายความว่าในอาหารคีโต 2,000 แคลอรี่ต่อวัน แต่ละมื้ออาจประกอบไปด้วย

                  • ไขมัน 165 กรัม
                  • คาร์โบไฮเดรต 40 กรัม
                  • โปรตีน 75 กรัม

                  แนวคิดเบื้องหลังการรับประทานอาหารคีโต คือ การได้รับแคลอรี่ส่วนใหญ่จากไขมัน นำมาซึ่งการเผาผลาญไขมันตามธรรมชาติของร่างกาย (คาร์โบไฮเดรตถูกร่างกายนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงก่อนหากได้รับในปริมาณที่มากกว่าไขมัน) อาหารคีโตจะช่วยเปลี่ยนร่างกายของคุณจากการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตไปเป็นการเผาผลาญไขมันเพื่อเป็นพลังงานแทน สถานะนี้เรียกว่าคีโตซิส การเผาผลาญไขมันให้เป็นพลังงานมากขึ้นอาจช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างน้อยก็ในระยะสั้น

                  ไขข้อข้องใจ คนท้องกินคีโตได้ไหม จะเป็นอันตรายหรือเปล่า?

                  อาหารคีโตปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่?

                  สำหรับคนท้องที่สนใจการกินอาหารแบบคีโต อาจมีความกังวลและสังสัยมากมายเกี่ยวกับอาหารคีโตเจนิกกับการตั้งครรภ์ ประการแรกเป้าหมายของการรับประทานอาหารคีโต คือการเข้าสู่ภาวะคีโตซิสซึ่งก็คือเมื่อร่างกายไม่มีน้ำตาลกลูโคส (คาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง) เพียงพอสำหรับพลังงาน ดังนั้นจึงเผาผลาญไขมันแทน แต่ในช่วงไตรมาสแรกร่างกายของคุณพยายามกักเก็บไขมันไว้เพื่อเป็นพลังงานที่จะใช้ในการตั้งครรภ์ในภายหลัง

                  อาหารคีโตยังส่งผลให้เกิดการสะสมของคีโตน  ซึ่งสามารถข้ามผ่านไปยังรกได้อย่างอิสระ เป็นเรื่องปกติที่ร่างกายจะสร้างคีโตนในระหว่างตั้งครรภ์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าคีโตนจำนวนมากจะมีผลอย่างไรต่อทารกในครรภ์ที่กำลังพัฒนาการเจริญเติบโต

                  “ ยังไม่มีการทดลองอาหารคีโตเจนิกแบบสุ่มหรือแบบควบคุม ในการตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงยังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัย” Howard Berger หัวหน้าแผนกเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์และรองหัวหน้าสูติศาสตร์ของโรงพยาบาลเซนต์ไมเคิลในโตรอนโต สหรัฐอเมริกากล่าว  “แต่สมองของทารกในครรภ์ต้องการน้ำตาลกลูโคสเพื่อการทำงานและการบังคับให้สมองที่กำลังพัฒนาเปลี่ยนเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งคีโตนอาจส่งผลเสียได้”

                  แม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับอาหารคีโตในหญิงตั้งครรภ์ด้วยเหตุผลทางจริยธรรมที่ชัดเจน แต่ก็มีการทดลองในหนูทดลอง ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาไม่ดีนัก “ การศึกษาในหนูที่ตั้งครรภ์พบว่าการกินอาหารคีโตมีผลต่อการทำงานของตัวอ่อนและการพัฒนาอวัยวะโดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจและสมองซึ่งอาจส่งผลเสียในวัยผู้ใหญ่” “ อวัยวะที่สร้างไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในภายหลังรวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ด้วย”

                  น้ำหนักคนท้อง ที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ เกิดจากอะไรบ้าง?

                  อาหารเพิ่มน้ำหนักลูกในครรภ์ แพ้ท้องไตรมาสแรก กินอะไรดี?

                  เตือนแม่! อยากผอม สวย หยุดทาน ยาลดน้ำหนัก

                  คนท้องกินคีโตได้ไหม
                  คนท้องกินคีโตได้ไหม

                  ความเสี่ยงของการกินคีโตสำหรับหญิงตั้งครรภ์

                  1. การขาดสารอาหาร

                  การเข้าถึงสภาวะการเผาผลาญไขมัน (คีโตซีส) ไม่ง่ายอย่างที่คิด แม้ว่าคุณจะไม่ได้ตั้งครรภ์ แต่ก็อาจเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติตามหลักของการกินอาหารแบบคีโตอย่างถูกต้อง

                  การทานคาร์โบไฮเดรตเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำสำหรับการกินแบบคีโต รวมถึงผลไม้และผักส่วนใหญ่ซึ่งมีน้ำตาลตามธรรมชาติ การกินมากเกินไปอาจทำให้คุณได้รับคาร์โบไฮเดรตมากกว่าที่คีโตอนุญาต บรอกโคลีเพียง 1 ถ้วยก็มีคาร์โบไฮเดรตประมาณถึง 6 กรัม  แต่หญิงตั้งครรภ์ต้องการผักและผลไม้ที่มีสีสันสดใสซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินธาตุเหล็กและโฟเลตเพื่อบำรุงทารกที่กำลังเติบโต ผักยังอุดมไปด้วยเส้นใยซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าผักมักถูกจำกัดสำหรับการกินแบบคีโต ซึ่งผักสามารถช่วยแก้อาการท้องผูกระหว่างการตั้งครรภ์ได้

                  2. ได้รับไขมันอิ่มตัวมากเกินไป

                  โปรตีนเป็นส่วนหนึ่งของอาหารคีโต แต่อาหารคีโตส่วนใหญ่ไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพและโปรตีนที่มีไขมันอิ่มตัวจำนวนมาก เช่น เนื้อวัว และเนื้อหมู ในความเป็นจริงเนื่องจากการเน้นการกินไขมันปริมาณมาก จึงสามารถทำให้คนกินเนื้อสัตว์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้มากขึ้น เช่น เดียวกับน้ำมันเนย และน้ำมันหมู จริงๆ แล้ว ไขมันที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อยที่กำลังเติบโตอยู่ในครรภ์  และไขมันอิ่มตัวที่มากเกินไปอาจทำให้คนท้องเกิดปัญหาสุขภาพ เช่น คอเลสเตอรอลที่สูงขึ้นซึ่งทำให้หัวใจของคุณเครียดและอาจส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพของการตั้งครรภ์

                  นอกจากนี้การกินคีโตยังไม่ได้ให้คุณงดจากการกินเนื้อสัตว์แปรรูปต่างๆ  เช่น ฮอทดอก เบคอน ไส้กรอก และซาลามิ เนื้อสัตว์เหล่านี้ได้เพิ่มสารเคมีและสีที่อาจไม่ดีต่อสุขภาพสำหรับทารกที่กำลังเติบโตหรือแม้แต่ร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ด้วย

                  3. การบำรุงที่ไม่ถูกต้อง

                  ในขณะที่คนส่วนใหญ่ทานอาหารคีโตเพื่อลดน้ำหนัก  ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าโดยทั่วไปไม่แนะนำให้มีการลดน้ำหนักในระหว่างการตั้งครรภ์ แต่ควรมุ่งเน้นไปที่การบำรุงร่างกายเพื่อความสมบูรณ์ของลูกน้อยที่กำลังเติบโตมากกว่า การจำกัดการบริโภคเมล็ดธัญพืช ถั่ว ผลไม้ และผักบางชนิดที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตจะทำให้คุณขาดไฟเบอร์ วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระได้อย่างง่ายดาย

                  นอกจากนี้ยังมีแง่มุมที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งว่าเหตุใดคีโตจึงไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง เช่น การตั้งครรภ์มักทำให้เกิดอาการท้องผูกและคุณต้องการใยอาหารเพื่อต่อสู้กับสิ่งนั้น นอกจากนี้หากคุณรู้สึกคลื่นไส้และต้องการเคี้ยวแครกเกอร์ธรรมดาสักกำมือคุณไม่สามารถรับประทานอาหารคีโตได้ เนื่องจากแครกเกอร์มีคาร์โบไฮเดรตจำนวนมาก

                  คนท้องกินคีโตได้ไหม

                  ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่ต้องพิจารณา

                  สำหรับบางคนอาหารคีโตทำให้เกิดผลข้างเคียงมากมาย  เช่น

                  • รู้สึกเหนื่อยล้า
                  • เวียนหัว
                  • คลื่นไส้อาเจียน
                  • ท้องอืด
                  • อาการปวดท้อง
                  • ก๊าซในกระเพาะเยอะ ทางเดินอาหาร
                  • ท้องผูก
                  • ท้องร่วง
                  • คอเลสเตอรอลสูง
                  • ปวดหัว
                  • มีกลิ่นปาก
                  • ปวดกล้ามเนื้อ

                  กินคีโตช่วยรักษาเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้หรือไม่?

                  เบาหวานขณะตั้งครรภ์เป็นเบาหวานชนิดหนึ่งที่ผู้หญิงสามารถเป็นได้ในระหว่างตั้งครรภ์ โดยปกติมักจะหายไปหลังจากการคลอดลูก แต่อย่างไรก็ตามยังสามารถเพิ่มโอกาสในการเป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ได้ในภายหลัง

                  โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์สามารถเพิ่มความเสี่ยงที่ลูกน้อยของคุณจะเป็นโรคเบาหวานเมื่อโตขึ้นได้อีกด้วย แพทย์ของคุณจะทำการตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่มีโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

                  กรณีศึกษาบางกรณีเช่นในปี 2014 แสดงให้เห็นว่าอาหารคีโตสามารถช่วยจัดการหรือป้องกันโรคเบาหวานบางชนิดได้ อย่างไรก็ตามคุณไม่จำเป็นต้องกินคีโตเต็มรูปแบบเพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตต่ำที่มีไขมัน โปรตีน ไฟเบอร์ ผลไม้สด และผักจำนวนมากเป็นทางออกที่ปลอดภัยกว่าในขณะที่คุณกำลังตั้งครรภ์

                  นอกจากนี้การการขยับเคลื่อนไหวเบาๆ   20 นาที หลังอาหารแต่ละมื้อ ยังช่วยให้คุณปรับสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดระหว่างและหลังการตั้งครรภ์

                  คนท้องกินคีโตได้ไหม

                  กินคีโตเพื่อเตรียมตัวตั้งครรภ์?

                  อาจมีคำกล่าวอ้างจากหลายที่ ซึ่งอ้างว่าอาหารคีโต สามารถช่วยให้ผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร ตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้อาจเพราะการกินคีโตสามารถช่วยให้บางคนมีความสมดุลของน้ำหนักตัวได้ หากคุณได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าคุณต้องลดน้ำหนัก การทำเช่นนั้นอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ได้ อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่แสดงให้เห็นว่าอาหารคีโตสามารถเพิ่มภาวะเจริญพันธุ์ได้

                  และหากคุณกำลังพยายามตั้งครรภ์ การกินแบบคีโตอาจทำให้ วิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดชะงัก นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยทางการแพทย์ชิ้นหนึ่งพบว่า การรับประทานอาหารคีโตอาจทำให้ระดับสารอาหารที่สำคัญต่อการเจริญพันธุ์ลดลง ได้แก่ :

                  • วิตามินบี 6
                  • วิตามินซี
                  • วิตามินดี
                  • วิตามินอี
                  • โฟเลต
                  • ไอโอดีน
                  • ซีลีเนียม
                  • เหล็ก
                  • DHA

                  สรุป

                  การรับประทานอาหารที่สมดุลด้วยผลไม้ ผัก เมล็ดธัญพืช ไขมัน และโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมากในระหว่างตั้งครรภ์ ดังนั้น อาหารคีโตอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีในขณะที่คุณตั้งครรภ์ เนื่องจากจะทำให้คุณแม่ไม่ได้รับประทานอาหารที่มีสารอาหารมากพอ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมและการศึกษาใหม่อาจเปลี่ยนความคิดเห็นของชุมชนแพทย์เกี่ยวกับคีโตขณะตั้งครรภ์ ไม่ว่าเราจะแนะนำให้ตรวจสอบกับแพทย์หรือนักโภชนาการของคุณก่อนที่จะเริ่มรับประทานอาหารประเภทใดก็ตามว่าคุณกำลังวางแผนหรือคาดหวังว่าจะมีลูกหรือไม่ แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณกำลังตั้งครรภ์

                  การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพระหว่างการตั้งครรภ์ย่อมส่งผลดีต่อความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ และตัวคุณเอง ทั้งนี้หากคุณให้ความสำคัญกับโภชนาการที่ดีในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ เมื่อลูกคุณเติบโตขึ้น คุณสามารถปลูกฝังให้ลูกได้ซึมซับแนวคิดสำคัญนี้ของครอบครัวคุณได้ตั้งแต่พวกเขายังแบเบาะ เพื่อให้พวกเขาเกิดทักษะ ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) การสร้างให้ลูกมี HQ ที่ดี จะทำให้ลูกเป็นเด็กที่มีความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ เช่น รู้จักเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และงดเว้นอาหารที่ให้โทษต่อร่างกาย สามารถดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย ถ้าคุณพ่อคุณแม่เริ่มปลูกฝังให้ลูกรู้จักดูแลตัวเองเป็นตั้งแต่เล็ก ๆ เด็กก็จะมีภูมิคุ้มกันที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญคือช่วยลดอัตราการเจ็บป่วยลงไปได้ค่ะ

                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : todaysparent.com,healthline.com

                  บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                  อาหารเพิ่มน้ำหนักลูกในครรภ์ แพ้ท้องไตรมาสแรก กินอะไรดี?

                  คนท้องกินข้าวแบบไหนดี 6 ข้าวเพื่อสุขภาพ บำรุงครรภ์แม่ ดูแลลูกแข็งแรงตั้งแต่ในท้อง

                  คนท้องกินคอลลาเจนได้ไหม อันตรายต่อลูกในท้องหรือเปล่า?

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ลูกชอบทำอะไรซ้ำๆ

                    ไขข้อข้องใจ ลูกชอบทำอะไรซ้ำๆ ชอบถามคำถามเดิมๆ ผิดปกติไหม?

                    ลูกชอบทำอะไรซ้ำๆ – เป็นเรื่องที่ผู้ปกครองร้องเรียนหรือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญบ่อยครั้ง ว่าเด็ก ๆ มักจะถามคำถามเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็นคำถามจริงหรือกลัวว่า“ ทำไม? ทำไม? ทำไม?” สำหรับพ่อแม่เป็นเรื่องง่ายที่จะหงุดหงิดเมื่อได้ยินสิ่งเดิมๆ จกปากลูกซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรือตอบคำตอบซ้ำ ๆ บางครั้ง รู้สึกว่าลูกพยายามทำตัวน่าหงุดหงิด เด็กวัยหัดเดินหรือเด็กก่อนวัยเรียนของคุณไม่ได้พยายามกวนโมโหคุณแต่มีเหตุผลที่ดีบางประการที่ทำให้พวกเขาพูดซ้ำบ่อยๆ

                    ในขณะที่ลูกวัยหัดเดินของคุณเริ่ม พูดประโยคหรือคำเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า? พ่อแม่หลายคนกังวลว่าลูกมีปัญหาพัฒนาการล่าช้าอย่างไรหรือไม่ โชคดีที่การใช้คำซ้ำในเด็กๆ ถือเป็นเรื่องปกติ เป็นวิธีการเรียนรู้คำศัพท์และความหมายของเด็กวัยเตาะแตะ แต่สิ่งที่แปลกสำหรับเรา คือ วิธีของเด็กวัยหัดเดินในการทำความคุ้นเคยกับเสียง ความรู้สึก และความหมายของคำ การได้พูดซ้ำ ๆ ถามซ้ำๆ ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด!

                    ไขข้อข้องใจ ลูกชอบทำอะไรซ้ำๆ ชอบถามคำถามเดิมๆ ผิดปกติไหม?

                    การพูดซ้ำคือกุญแจสำคัญในการพัฒนาด้านภาษาของเด็ก

                    การถามซ้ำไปซ้ำมา ถือเป็นก้าวสำคัญในพัฒนาการของเด็ก พฤติกรรมนี้มักเกิดขึ้นระหว่างอายุ 15 ถึง 18 เดือน เด็ก ๆ จะเรียนรู้ผ่านการทำซ้ำ ๆ และการทำเช่นนี้จะช่วยปลูกฝังสิ่งเหล่านั้นให้ตราตรึงในความทรงจำของพวกเขา เมื่ออายุได้สองและสามขวบ ลูกของคุณจะเริ่มพูดคำ และวลีเดิมซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่ออายุสามขวบลูกวัยเตาะแตะของคุณจะเพลิดเพลินไปกับการฟังเรื่องราวเพลงและเพลงกล่อมเด็กแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่คือการแสวงหาการเรียนรู้ของเด็กวัยเตาะแตะ นอกจากนี้ สาเหตุอื่นๆ ที่เด็ก ๆ มักชอบถามซ้ำ พูดซ้ำ เกิดได้จากเหตุผลต่อไปนี้

                    ลูกชอบทำอะไรซ้ำๆ
                    ลูกชอบทำอะไรซ้ำๆ

                    สาเหตุที่เด็กชอบถามคำถามซ้ำๆ หรือทำอะไรซ้ำๆ อาจเนื่องมาจาก 

                    1. ฝึกฝนทำให้สมบูรณ์แบบ

                    เด็กวัยเตาะแตะและเด็กก่อนวัยเรียน ชอบที่จะได้ยินเสียงตัวเองพูด  มนุษย์เรียนรู้ผ่านการทำซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นวิธีแก้สมการคณิตศาสตร์หรือทักษะการตีปีกในชั้นเรียนยิมนาสติกการฝึกฝนก็ทำให้สมบูรณ์แบบ

                    การพูดไม่ต่างกัน! เมื่อเด็กถามตัวเองซ้ำ ๆ หรือถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ สาเหตุหลักประการหนึ่งคือพวกเขากำลังฝึกพูด เด็กวัยเตาะแตะและเด็กก่อนวัยเรียนอาจพูดคำและวลีซ้ำ ๆ เพื่อทดลองใช้และมอบความทรงจำ

                    นอกจากนี้ การพูดกับทารกและเด็กวัยเตาะแตะเหมือนพูดกับผู้ใหญ่ (เช่นการสนทนากับพวกเขาจริงๆ) จะช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะพูดได้เร็วขึ้น และมีคำศัพท์ที่มากขึ้น ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่าการพูดซ้ำ ๆ มักเป็นพฤติกรรมปกติ พ่อแม่ผู้ปกครองจำเป็นต้องกังวลอะไร ครั้งต่อไปที่เด็กวัยหัดเดินหรือเด็กก่อนวัยเรียนของคุณทำสิ่งเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้คุณมีส่วนร่วมกับพวกเขา จำไว้ว่ายิ่งคุณคุยกับพวกเขามากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้นเท่านั้น!

                    2. สร้างความมั่นใจ ว่าคุณให้ความสนใจพวกเขา

                    เด็ก ๆ ต้องการให้แน่ใจว่าคุณให้ความสนใจพวกเขา หากคุณตอบคำถามของพวกเขาด้วยความ “อืม” หรือตอบแบบครึ่งๆกลางๆ นั่นอาจไม่ใช่คำตอบที่น่าพอใจจริงๆ เพราะดูเหมือนว่าคุณไม่ได้ฟัง

                    ลองคิดดู ถ้าคุณถามคำถามกับคู่สมรสของคุณและพวกเขาให้คำตอบคุณเพียงคำเดียวคุณก็คงไม่พอใจกับเรื่องนี้เช่นกัน หากบุตรหลานของคุณคิดว่าคุณไม่ฟังพวกเขาอาจถามคำถามเดิมซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ยิน เมื่อลูกของคุณถามคำถามคุณควรสบตาและตอบอย่างตรงไปตรงมาและละเอียดถี่ถ้วนในครั้งแรก พูดให้ชัดเจนว่าคุณได้ยินและให้ความสนใจอย่างเต็มที่

                    หากบุตรหลานของคุณรู้ว่าคุณกำลังให้ความสนใจพวกเขาอาจไม่พูดซ้ำบ่อยๆ และถ้าพวกเขาถามอีกครั้ง … ครั้งแล้วครั้งเล่า … และอีกครั้ง จงรู้ไว้ว่านั่นหมายความว่าพวกเขารักคุณและพวกเขาก็อยากรู้ว่าพวกเขาสำคัญสำหรับคุณ

                    3. สมองของพวกเขาทำงานล่วงเวลา

                    คุณเคยพูดๆ ไป แล้วสูญเสียความคิดว่าจะพูดอะไรต่อหรือไม่?  สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ เช่นกัน! บางครั้งสมองของเด็กทำงานเร็วมากจนดูเหมือนว่าคำพูดของพวกเขาจะตามไม่ทัน ลูกอาจถามคำถาม แล้วพูดซ้ำสองสามครั้งในขณะที่สมองของลูกประมวลความคิดต่อไป

                    หากลูกของคุณพูดซ้ำ ๆ พวกเขาอาจพยายามจดจำบางสิ่งที่อยากบอกคุณ อดทนในขณะที่พวกเขาค้นหาคำที่เหมาะสม หรือคุณอาจพยายามช่วยให้พวกเขาคิดออกโดยการถามคำถามด้วยตัวเอง

                    4. พวกเขาพยายามสร้างความเข้าใจให้กับโลก

                    โลกเป็นสถานที่ที่สับสนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอาศัยอยู่ในนั้นเพียงสองสามปี! เมื่อเกิดสิ่งที่เด็กไม่เข้าใจพวกเขาอาจถามคำถามมากมาย พวกเขาอาจถามคำถามเดียวกันหลายครั้ง  แต่จะเขียนซ้ำเล็กน้อยในแต่ละครั้ง ความสม่ำเสมอในคำตอบของคุณสร้างความมั่นใจให้กับเด็ก ๆ สิ่งที่เราทุกคนสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพจากเด็กวัยหัดเดิน การเฝ้าดูลูกอดทนพูดซ้ำ ๆ และรอให้พ่อหรือแม่ได้ยินเป็นเครื่องเตือนใจที่สำคัญว่าความอดทนเป็นกุญแจสำคัญในการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

                    เราอาศัยอยู่ในโลกที่วุ่นวายซึ่งเราคุ้นเคยกับความพึงพอใจในทันที เราสามารถรับโทรศัพท์และ ไม่เพียงแต่พูดคุยผ่านเสียงแต่ยังสามารถมองเห็นใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรได้ในทันทีในฐานะพ่อแม่เราเคย“ รู้ว่าอะไรดีที่สุด” จากประสบการณ์ชีวิตหลายสิบปี โดยปกติเราไม่คาดหวังว่าลูก ๆ ของเราจะสอนอะไรใหม่ ๆ ให้เรา! แต่ถ้าลองคิดดูเด็ก ๆ มักจะเฝ้าดูและเรียนรู้จากโลกรอบตัว เนื่องจากพวกเขามีความกระหายที่จะเรียนรู้และเติบโต พวกเขาจึงอาจรับในสิ่งที่เราพลาดไป

                    ลูกชอบทำอะไรซ้ำๆ

                    ประโยชน์ของการพูดซ้ำทำซ้ำ

                    โดยทั่วไปประโยชน์ของการทำซ้ำสำหรับการพัฒนาเด็ก ๆ จะแบ่งออกเป็นสองด้าน:

                    • พวกเขาเรียนรู้มากขึ้นทุกครั้ง นี่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับพัฒนาการและความเข้าใจ ความรู้สึกเชี่ยวชาญทำให้พวกเขาสบายใจและเพิ่มความมั่นใจในตนเอง
                      ในหนังสือเรื่อง The Tipping Point ของ Malcolm Gladwell เขาพูดถึงสิ่งที่เด็ก ๆ แสดง Blue’s Clues สามารถสอนเราเกี่ยวกับการทำซ้ำได้ ทีมงานที่อยู่เบื้องหลังรายการพบว่าความเข้าใจของเด็ก ๆ เพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาเล่นรายการเดียวกันติดต่อกัน 5 วันและไม่มีการมีส่วนร่วมเลยแม้แต่น้อย ทำไม? ในระดับง่ายๆการทำซ้ำจะช่วยให้ทุกคนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เมื่อเราเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เราจะสร้างเส้นทางประสาทใหม่ในสมองของเราและสิ่งนี้จำเป็นต้องได้รับการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้วยการเรียนรู้ชิ้นส่วนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งไปกว่านั้นเราได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และระดับความเข้าใจที่แตกต่างกันในแต่ละครั้ง เมื่อเด็กได้สัมผัสกับสิ่งใหม่ ๆ เป็นครั้งแรกพวกเขามักจะรับประสบการณ์นั้น ๆ มันยากมากที่จะเรียนรู้จากมันจริงๆ แต่เมื่อพวกเขาทำกระบวนการซ้ำแล้วซ้ำเล่าพวกเขาเปลี่ยนจากประสบการณ์ไปสู่การคาดการณ์จากการทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานไปจนถึงการสำรวจกิจกรรมอย่างเต็มที่
                    • โลกของเด็กเป็นโลกที่น่ากลัว ทุกอย่างเป็นของใหม่ ทุกอย่างเปิดเผย งานที่พวกเขาต้องทำ คือการค้นหาคำศัพท์สำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาประสบในโลก การทำสิ่งที่คุ้นเคยและสะดวกสบายไม่เพียง แต่ทำให้พวกเขามีสภาพแวดล้อมที่สงบซึ่งพวกเขาสามารถเรียนรู้ได้ และยังช่วยเพิ่มความภาคภูมิใจในตนเองอีกด้วย ความรู้สึกที่ยืนยันว่า“ ฉันทำได้ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่” เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับเด็ก ๆ ทุกคน การทำซ้ำนั้นทำให้เกิดความสบายใจ

                    เมื่อใดที่ควรกังวลเกี่ยวกับทักษะทางภาษาของลูก

                    การที่ลูกวัยหัดเดินของคุณพูดคำที่ซ้ำแล้วซ้ำอีก นั้นถือเป็นพัฒนาการขั้นพื้นฐานที่สมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามมีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่าบุตรหลานของคุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับทักษะทางภาษาได้ เช่น

                    • หากลูกวัยเตาะแตะของคุณไม่ได้ใช้คำที่มีความหมายอย่างน้อย 8 ถึง 10 คำ ก่อนอายุครบ 2 ขวบ
                    • ทำตามคำสั่งง่าย ๆ ไม่ได้ เช่น“ หยุด”“ ไม่”“ ให้ฉัน”“ แตะจมูก” หรือ“ มาที่นี่”
                    • ไม่สบตาคุณเมื่อคุณกำลังคุยกับเขา
                    • ไม่มีการพูดถามซ้ำไปมาเมื่ออายุครบ  2 ขวบ
                    • ลูกไม่เคยใช้วลีสองคำ ซ้ำๆ เมื่ออายุครบ 2 ขวบ
                    • คุณไม่สามารถเข้าใจคำพูดของลูก
                    • พูดออกเสียงแต่ดูเหมือนไม่มีความหมาย
                    • สื่อสารด้วยเสียงแปลกๆ หรือใช้ภาษากายในการสื่อสารเป็นประจำ

                    “ พ่อแม่ที่พูดซ้ำ ๆ กับลูกน้อยบ่อยๆ จะทำให้ลูกมีทักษะทางภาษาที่ดีขึ้นได้ในอนาคต  “ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการกระตุ้นให้เด็กพูดคือ การพูดคุยกับพวกเขาและมีส่วนร่วมกับพวกเขา เด็ก ๆ เรียนรู้ที่จะพูดโดยการได้ยินคนอื่นพูดดังนั้นการให้เด็กเรียนรู้ภาษาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง “ Nicole Magaldi นักพยาธิวิทยาภาษาพูดและประธานภาควิชาความผิดปกติทางการสื่อสารและวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัย William Paterson กล่าว

                    การตอบสนองลูกด้วยการตั้งใจสนทนากับลูก คอยตอบคำถามเดิมๆ จากสิ่งที่ลูกถามซ้ำๆ วนๆ หลายครั้งในแต่ละวันด้วยความอดทนของพ่อแม่ที่จะไม่เมินเฉยต่อสิ่งที่ลูกวัยเตาะแตะถามแล้วถามเล่า ตลอดจนลักษณะของการสนทนาที่จริงจังจากพ่อแม่ ที่พูดโต้ตอบกับลูกจะทำให้เขาเกิดจินตนาการที่ดีในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว จนสามารถบ่มเพาะกลายเป็นทักษะความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ  ได้หลายด้านด้วยกัน อาทิ ความฉลาดในการคิดสร้างสรรรค์ (CQ)  ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ)   และ ความฉลาดในการคิดเป็น (TQ) เป็นต้น

                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                    วิธี ฝึกลูกให้เห็นคุณค่าในตัวเอง เมื่อลูกมั่นใจจะทำอะไรก็สำเร็จ

                    วิธีพูดกับลูกด้วย ภาษาเด็กเล็ก ช่วยลูกพูดไว สื่อสารได้เร็ว!

                    7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      ไวตามิ้ลค์ รสกาแฟ

                      ไวตามิ้ลค์เอาใจคอกาแฟ เปิดตัว “ไวตามิ้ลค์ รสกาแฟ กลิ่นดัลโกน่า มัคคิอาโต” สูตรพิเศษสุดเทรนด์ดี้ส่งตรงจากเกาหลี

                      “ไวตามิ้ลค์” จากการเป็นผู้นำตลาดนมถั่วเหลืองในขวดแก้วพร้อมดื่ม มุ่งมั่นในการวิจัยและพัฒนาสินค้าที่จะตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ ของผู้บริโภคในทุก ๆ ปี และปรับตัวสู่การเป็นองค์กรที่พร้อมสำหรับการเข้าถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ด้วยอินไซท์ตั้งต้นบนพื้นฐานความต้องการในยุคดิจิทัล 5G กับการสรรหารสชาติใหม่ ๆ หรือ Limited Edition เพื่อเข้ามาสร้างความตื่นเต้นเป็นสีสันในการบริโภคให้กับผู้บริโภคในแต่ละปี

                      จากการเรียนรู้เทรนด์ผู้บริโภคในยุค New Normal สำหรับปี 2021 ไวตามิ้ลค์พบว่า กระแส Café Hopping เป็นกระแสที่ได้รับความนิยมอย่างมากในโลกโซเชียลมีเดีย อาจเป็นเพราะคาเฟ่หรือร้านกาแฟที่เกิดขึ้นมากมายหลายร้าน จนทำให้การดื่มกาแฟ ไม่ใช่แค่การดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟ แบบเดิม ๆ อีกต่อไป

                      “ไวตามิ้ลค์” จึงผุดไอเดียพัฒนาสินค้าที่จะเปลี่ยนการดื่มกาแฟแบบเดิม ๆ ให้ไม่น่าเบื่อ ด้วยการนำ “ดัลโกน่า” เมนูกาแฟโฟมสุดฮิตจากเกาหลี มาผสานคุณประโยชน์จาก “น้ำนมถั่วเหลือง” จากนมถั่วเหลืองที่คัดพิเศษเต็มเมล็ด สู่การเป็นเมนูใหม่สุดเทรนด์ดี้ “ไวตามิ้ลค์ รสกาแฟ กลิ่นดัลโกน่า มัคคิอาโต” นมถั่วเหลืองรสกาแฟสุดกลมกล่อมสูตรพิเศษ ที่ให้รสสัมผัสแสนนุ่มละมุนเกินบรรยาย อุดมไปด้วยโปรตีนธรรมชาติจากน้ำนมถั่วเหลือง สู่การเป็นเครื่องดื่มที่จะช่วยเติมประโยชน์ให้ร่างกายพร้อมไปต่อได้ตลอดวัน บรรจุในขวดแก้วพร้อมดื่มแบบเย็นสดชื่น อีกทั้งยังเป็นสูตรที่มีน้ำตาลน้อย จึงตอบโจทย์คอกาแฟที่ใส่ใจดูแลสุขภาพอีกด้วย

                      นายอนันต์ ธีรวิชญกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท กรีนสปอต จำกัด กล่าวว่า “สินค้ารสชาติใหม่นี้เป็น Limited Edition ประจำ Season 2021 คือการเปิดตัวสินค้าไวตามิ้ลค์ รสกาแฟ กลิ่นดัลโกน่า มัคคิอาโต เป็นเทรนด์จากเกาหลี ที่จะมาสร้างสีสันใหม่ในตลาดนมถั่วเหลือง หลังจากได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี กับ Limited Edition ทั้งรสมะม่วง และ รสชานม บราวน์ชูการ์ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา”

                      “ไวตามิ้ลค์ รสกาแฟ กลิ่นดัลโกน่า มัคคิอาโต” Limited Edition พร้อมเสิร์ฟแล้ววันนี้ เฉพาะที่ 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ ไม่ว่าจะต้อง Work from Home หรือลุยงานจากที่ไหน ก็พร้อมตลอดวันไปกับไวตามิ้ลค์ได้เลย!

                       

                      #Vitamilk

                      #VitamilkDalgonaMacchiato

                        ฝันว่าได้ทอง ทำนายฝัน

                        ฝันว่าได้ทอง ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง หรืองวดนี้จะมีหวัง?

                        ใครอยากเป็นเศรษฐี?ฉันนะสิ ๆ ฝันว่าได้ทอง ได้ใส่สร้อยทอง ทองก้อน หรือดวงเศรษฐีของคุณกำลังมากันนะ มาดูคำทำนายฝันแม่น ๆ ให้หายข้องใจ พร้อมเลขเด็ดได้ที่นี่

                        ฝันว่าได้ทอง ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง หรืองวดนี้จะมีหวัง?

                        มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่…แล้วถ้า ฝันว่าได้ทอง ตื่นขึ้นมาจะถูกเรียกว่าพี่ไหมนะ?  ก่อนจะฝันหวานกันไปไกลลองมาดูกันก่อนสักนิดว่า ทำไมทองถึงเป็นสิ่งมีค่าให้มนุษย์อยากไขว่คว้ามาเป็นเจ้าของกันนัก

                        ทองคำเป็นที่รู้จักกันในสังคมมนุษย์มาเป็นเวลาเกือบหกพันปีมาแล้ว คำว่า “Gold” นั้นมาจากคำภาษาอังกฤษ คือ “Geolo” ซึ่งแปลว่าเหลืองส่วนสัญลักษณ์ทางวิทยาศาสตร์ของธาตุทองคำ “Au” มาจากคำภาษาลาติน คือ “Aurum” แปลว่าทอง ในดินแดนที่มีความเจริญที่สุดในสมัยโบราณกาล  ทองคำได้ครองความเป็นเจ้าเมื่อเปรียบเทียบกับเงินตรา( คือโลหะ ) มาจนถึงคริสตศตวรรษที่ 19 ได้มีการเอามาตรฐานทองคำเข้ามาใช้ในระบบเงินตราในหลายประเทศ นายทุนใหญ่ ๆ โดยรัฐบาลเป็นผู้หลอมทำและจำหน่ายเงินเหรียญทองคำ ทองคำจึงกลายมาเป็นพื้นฐานหลักของระบบเงินตราไป ได้มีการกำหนดมาตรฐานทองคำใช้กันเป็นครั้งแรกที่สุดในประเทศอังกฤษ แล้วค่อย ๆ แผ่ขยายออกไปประเทศอื่น ๆ เมื่อทองคำและเงินหลั่งไหลเข้ามาในยุโรปตะวันตกภายหลังจากที่ได้มีการค้นพบทางภูมิศาสตร์ครั้งใหญ่ ( หมายถึงการล่าอาณานิคม )ในศตวรรษที่ 15 และ 16  จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ตัณหาของมนุษย์ในการที่มุ่งครอบครองทองคำได้ผลักดันให้มนุษย์แสวงหาอาณานิคม ทำสงคราม และสร้างอารยธรรม

                        ข้อมูลอ้างอิงจาก google.com
                        ฝันว่าได้ทอง ทำนายฝัน รวยแน่
                        ฝันว่าได้ทอง ทำนายฝัน รวยแน่

                        ทอง จึงเป็นแร่ธาตุที่แสดงถึงความมั่งคั่ง ร่ำรวย เป็นที่ต้องการมาช้านาน แล้วหากทองเข้ามาอยู่ในความฝันของเรากันล่ะ จะตีความหมายได้ถึงความโชคดี มีแววเป็นเศรษฐีได้ไหม ลองมาดูคำทำนายฝัน เมื่อทองเป็นส่วนหนึ่งในความฝันของคุณ

                        ฝันว่าได้ทอง

                        ใครที่คิดจะซื้อของหรือขยับขยายธุรกิจก็ให้รีบทำเพราะโอกาสกำลังดี จะมีงานสังสรรค์กับญาติมิตร ช่วงนี้โชคลาภก็พอหาได้จากที่ไกลตัว

                        ความรัก

                        คนไม่โสดอย่าคิดแม้แต่จะมีกิ๊ก เพราะจะมีแต่ความยุ่งยาก วุ่นวายตามาอย่างไม่คาดฝัน ความรักของคุณมักจะมาในรูปความเห็นใจซะมากกว่า แต่คุณก็ควรดูด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความรักหรือความสงสารกันแน่ อย่าเล่นหูเล่นตากับใครเขาเข้าล่ะ เพราะจะมีสัมพันธ์เกินเลย

                        ดวงการเงิน การงาน

                        จะมีผลให้การงานล่าช้ากว่าที่นัดหมาย ระวังจะถูกตำหนิได้ ต้องใช้ความพยายามอดทนสูง คนทำธุรกิจอิสระจะมีโอกาส เจริญก้าวหน้า แต่ระวังจะมีคนคิดอยากจะก๊อปปี้งานในแบบของคุณ ต้องแบกภาระงานหลายอย่าง แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

                        เลขมงคล เด่นรอง

                        60 81 97

                        995 849 826

                        ฝันว่าได้ทอง ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง
                        ฝันว่าได้ทอง ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง

                        ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง

                        คนในครอบครัวจะมีเรื่องของการเจ็บป่วย เล็กๆ น้อยๆ ไม่หนักหนา ให้ระวังเรื่องสุขภาพและอาการเจ็บป่วยอย่างไม่คาดคิดมาก่อน จะวุ่นวายใจ เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวอยู่ในช่วงชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อ

                        ความรัก

                        คนโสดได้แต่รอแล้วรอเล่า ยังไม่เจอคนที่โดนใจ คงต้องใจเย็นอย่างที่โบราณท่านว่าไว้ “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” มีคนเอาใจไม่เว้นแต่ละวันจนใครๆก็อิจฉา คุณรู้ตัวบ้างหรือเปล่า คุณมีโอกาสที่จะพบกับปัญหาความไม่เข้าใจกัน และเกิดอาการบันดาลโทสะได้ง่าย ๆ

                        ดวงการเงิน การงาน

                        อย่าฝากใครเข้าทำงานเพราะจะมีปัญหาให้หนักใจ  ควรให้ผ่านพ้นช่วงปีนี้ไปก่อนแล้ว ระวังจะเสียเงินก้อนหนึ่งไปกับเหตุการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือเสียเพราะคนอื่น คุณมีเกณฑ์ดีในด้านรายรับ หาง่ายจ่ายคล่อง

                        เลขมงคล เด่นนำโชค

                        3 4

                        เลขมงคล เด่นรอง

                        74

                        72 690 587 171

                        ฝันว่าสร้อยทองขาด

                        ช่วงนี้หากจะพูดอะไรก็ระวังเพราะคนอื่นจะเข้าใจตรงกันข้ามกับคุณ จะมีสิ่งมากระทบจิตใจ ทำให้หวนคิดแต่เรื่องเก่าๆ จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งมากมาย จะมีความกังวลมากกว่าปกติ

                        ฝันว่าสร้อยทองขาด มีผลต่อความรักหรือไม่
                        ฝันว่าสร้อยทองขาด มีผลต่อความรักหรือไม่

                        ความรัก

                        คนที่อยากมีกิ๊กบ้างคงต้องร้องเพลงรอเพราะอีกนานกว่าที่คุณจะสมหวัง คุณจะมีโอกาสได้ไปร่วมงานมงคลและอาจจะพบคนที่ถูกใจ จนถึงขั้นเกิดเป็นความรักได้ ปัญหาทางความรักจะมาจากอารมณ์ของคุณเอง ถ้าควบคุมอารมณ์ได้ดีก็ยังราบรื่นเป็นปกติดี

                        ดวงการเงิน การงาน

                        การตัดสินใจของคุณจะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างเป็นอย่างดี แต่ต้องใช้สติให้ดี ระวังจะใช้เงินเกินตัวหรือต้องเสียเงินเพราะคนรอบข้าง อย่าเพิ่งลงทุนร่วมหุ้นกับใครหากยังไม่รู้ใจกันดีพอ ต้องศึกษาประวัติกันให้ดีก่อน ป้องกันปัญหาที่จะตามมา

                        เลขมงคล เด่นนำโชค

                        1 2 8

                        เลขมงคล เด่นรอง

                        14 35 88

                        13 75 33

                        ฝันว่าได้จับทองแท่ง

                        ผู้ใหญ่จะช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยดี หากหนักใจเรื่องใดก็ตามควรเข้าหาผู้ใหญ่เพื่อขอคำปรึกษา เพศตรงข้ามจะนำพาโชคทางการเงินมาให้คุณ ช่วงนี้โชคลาภก็พอหาได้จากที่ไกลตัว

                        ความรัก

                        คนที่มีกิ๊กจงระวังไว้ เพราะอีกไม่นานงานจะเข้าคุณ งานนี้อาจถึงเลิกลากันไปเลยก็ได้ คนที่มีคู่แล้วต้องใจเย็น อย่าหมางเมินกัน หมั่นเติมความรักด้วยคำหวานๆวันละนิด ความรักของคุณค่อนข้างคลุมเครือ ไม่รู้ว่าคุณจะถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งแฟนหรือกิ๊กกันแน่

                        ดวงการเงิน การงาน

                        คนทำงานเกี่ยวกับการประมูลแข่งขันจะสำเร็จได้นั้นควรเข้าหาผู้ใหญ่ จะดีช่วยเสริมดวงให้คุณได้ เรื่องการงานอาจจะมีเรื่องให้ต้องคอยแก้ปัญหาอยู่บ่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น อย่าเพิ่งลงทุนร่วมหุ้นกับใครหากยังไม่รู้ใจกันดีพอ ต้องศึกษาประวัติกันให้ดีก่อน ป้องกันปัญหาที่จะตามมา

                        เลขมงคล เด่นนำโชค

                        4 6 9

                        27 74 41 621

                        ฝันเห็นทองขาด

                        ต้องระวังเป็นพิเศษกับเรื่องสุขภาพของผู้ใหญ่ที่จะไม่ค่อยปกติและเป็นเหตุ ให้ท่านกังวลใจ จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องงานและเรื่องที่อยู่อาศัย ได้พบปะรู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มโดยเฉพาะคนอายุมากกว่า

                        ความรัก

                        คนโสดได้ดีใจกระโดดโลดเต้น เพราะเจอคนที่ถูกใจมาสารภาพรักต่อหน้า คนที่มีคนรักคู่ครองแล้วจะมีเรื่องทำให้ไม่สบายใจ ขัดใจกัน ระหองระแหงกันค่อนข้างรุนแรง ง้อแล้วก็ไม่ค่อยหายโกรธ คุณควรระวังในเรื่องคำพูด เพราะอาจะทำลายมิตรภาพจนขาดสะบั้นได้ง่าย ๆ

                        ดวงการเงิน การงาน

                        ช่วงนี้มีคนคอยยุแยงให้เจ้านายเข้าใจผิดในตัวคุณ แต่คน ๆนั้นจะแพ้ภัยตัวเอง คุณแค่ขยันพยายามตั้งใจทำงานอย่างเดิมอย่างที่คุณเป็นก็พอ ระวังจะใช้เงินเกินตัวหรือต้องเสียเงินเพราะคนรอบข้าง เงินทองที่มีอยู่ให้ระวังเรื่องการจับจ่ายใช้สอยเสียบ้าง อย่าใช้จ่ายเกินตัวลืมตัว เพราะผลที่ได้รับคือการมีหนี้สิน

                        เลขมงคล เด่นนำโชค

                        6

                        เลขมงคล เด่นรอง

                        08 82

                        18 20 200

                         

                        ฝันวันไหนก็สำคัญต่อคำทำนายนะ
                        ฝันวันไหนก็สำคัญต่อคำทำนายนะ

                        ฝันวันไหน ก็สำคัญนะ

                        แม้ว่าคนส่วนใหญ่มักจะจำแต่เรื่องที่ฝันเอามาหาคำทำนาย ฝันว่าได้ทอง ฝันเกี่ยวกับทองคำ จะหมายความว่าอย่างไรนั้นก็คงได้คำตอบกันไปแล้ว แต่ทีมแม่ ABK อยากขอแนะนำอีกสักนิด หากคุณต้องการความแม่นยำอีกสักหน่อย ให้คุณลองสังเกตเพิ่มอีกสักเรื่องว่า ความฝันนั้นเราฝันอยู่ในวันใด ก็จะสามารถลงรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อความชัดเจนของความฝันนั้นได้

                         ฝันวันอาทิตย์ 
                        หากคุณฝันคืนวันอาทิตย์ ความฝันนี้จะเกิดขึ้นหรือส่งผลแก่คนรอบตัว เป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้มีความสำคัญกับคุณมากนัก

                         ฝันวันจันทร์ 
                        หากคุณฝันคืนวันจันทร์ ความฝันนี้จะเกิดขึ้นหรือส่งผลแก่ญาติๆ ของคุณ

                         ฝันวันอังคาร 
                        หากคุณฝันคืนวันอังคาร ความฝันนี้จะเกิดขึ้นหรือส่งผลแก่พ่อแม่หรือพี่น้องของของคุณ

                         ฝันวันพุธ 
                        หากคุณฝันคืนวันพุธ ความฝันนี้จะเกิดขึ้นหรือส่งผลแก่ลูก สามีหรือภรรยาของคุณนั่นเอง

                         ฝันวันพฤหัสบดี 
                        หากคุณฝันคืนวันพฤหัสบดี ความฝันนี้จะเกิดขึ้นหรือส่งผลแก่ มิตรสหายหรือครูบาอาจารย์ของคุณ

                         ฝันวันศุกร์ 
                        หากคุณฝันคืนวันศุกร์ ความฝันนี้จะเกิดขึ้นหรือส่งผลแก่ สัตว์เลี้ยง หรือคนในความอนุเคราะห์ของคุณ

                         ฝันวันเสาร์ 
                        หากคุณฝันคืนวันเสาร์ ความฝันนี้จะเกิดขึ้นหรือส่งผลแก่ ตัวของคุณเอง

                         

                        หรือจะมีดวงเป็นเศรษฐ๊ เมื่อ ฝันว่าได้ทอง
                        หรือจะมีดวงเป็นเศรษฐ๊ เมื่อ ฝันว่าได้ทอง

                         

                        ฝันของคุณจะเป็นอย่างไร ฝันดี หรือฝันร้าย ฝันเป็นที่พอใจ หรือน่ากังวล อย่างไรก็ตาม ความฝันก็ยังคงเป็นความฝัน ฝันที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง หากความฝันนั้นเป็นความฝันที่ดี เพียงคุณใส่ความมุ่งมั่น ตั้งใจ พยายามทำให้ความฝันนั้นเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตของคุณ เราเชื่อเหลือเกินว่าความฝันที่ดีของคุณนั้นคงจะกลับกลายมาเป็นความจริงในชีวิตของคุณได้ไม่ยากเลย แต่หากความฝันนั้นช่างน่ากลัว หรือคำทำนายฝันมีผลออกมาไม่น่ายินดีเท่าไหร่ ก็ขอให้คุณถือเสียว่าเป็นการเตือน หรือบอกกล่าวให้เราจงพึงระมัดระวังในชีวิต การดำเนินชีวิตในช่วงเวลานั้น ๆ ให้เป็นไปอย่างมีสติ ไม่ประมาท สิ่งเลวร้าย หรือเรื่องร้าย ๆ ที่หนักหนา ก็อาจจะเบาบางลง หรือไม่เกิดขึ้นเลยก็เป็นได้

                        ข้อมูลอ้างอิงจาก www.sanook.com/mthai.com

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        ฝันเห็นพระพิฆเนศ เทพความสำเร็จดูคำทำนายให้รวยปังๆ!

                        สีกระเป๋าสตางค์ เรียกทรัพย์!! เลือกสีให้เข้ากับธาตุ มีโชคลาภตลอดปี 2564

                        จริงหรือ? ฝันเห็นงู แปลว่าจะมีลูก! แท้จริงหมายถึงอะไร

                        ฝันว่าแฟนนอกใจ อ่านคำทำนายพร้อมวิธีตัดไฟแต่ต้นลม!

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          ตรวจสุขภาพเด็ก 6 เดือน

                          ตรวจสุขภาพเด็ก 6 เดือน แบบไหนถึงปกติ หมอจะตรวจอะไรบ้าง?

                          ตรวจสุขภาพเด็ก 6 เดือน – ขอแสดงความยินดีกับการครบหกเดือน แห่งการเป็นพ่อแม่! คุณอาจรู้สึกว่าช่วงเวลาหกเดือน มันผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแป๊บเดียวลูกอายุครึ่งขวบแล้ว! เชื่อว่าคุณได้ผ่านประสบการณ์การเลี้ยงลูกสุดทรหดมาพอสมควรแล้ว ทั้งการอดหลับอดนอน กินข้าวไม่อร่อย ปั๊มนมทำสต๊อก กล่อมให้ลูกนอน หรือ ทีวีคืออะไร? เมื่อลูกอายุครบ 6 เดือน ก็เหมือนเข้าสู่ช่วงวัยแห่งการพัฒนาทักษะอีกขั้นของเด็ก เช่น การนั่ง หรือคลาน  เป็นต้น ตอนนี้คุณอาจต้องดูแลลูกให้มากขึ้น เพื่อที่เขาจะได้เคลื่อนไหวไปมา นอจากนี้ควรทราบรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการไปพบกุมารแพทย์ในตรวจสุขภาพลูกอายุครบ 6 เดือน เพื่อการเตรียมตัวและรับมือที่ดี

                          ตรวจสุขภาพเด็ก 6 เดือน แบบไหนถึงปกติ หมอจะตรวจอะไรบ้าง?

                          การเตรียมตัวก่อนพาลูกไปตรวจสุขภาพ

                          ควรเตรียมสมุดบันทึกสุขภาพ (เล่มสีชมพู) และเอกสารทางการแพทย์ทั้งหมดไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้ลูกน้อยของคุณจะได้รับการฉีดวัคซีนต่อเนื่องที่ฉีดต่อจากจากช่วง อายุ 2 เดือน และ 4 เดือน ซึ่งหลังกการฉีดวัคซีนลูกอาจมีอาการบวมบริเวณที่ฉีดหรือมีไข้ สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อร่างกายพยายามสร้างความต้านทานต่อโรคร้ายแรงบางชนิด ทางที่ดีควรเตรียมยาบรรเทาอาการปวด ติดกระเป๋าเอาไว้ หรือทำการปรึกษาแพทย์โดยตรง

                          คำถามที่แพทย์อาจถาม

                          แพทย์อาจถามคำถามต่างๆ เกี่ยวกับสุขภาพโดยทั่วไปของทารก เช่น :

                          • ลูกน้อยของคุณเริ่มกลิ้งไปมาหรือพยายามนั่งด้วยตัวเองหรือไม่?

                          สำหรับพัฒนาการของลูกในช่วงนี้ ลูกน้อยของคุณจะเริ่มกลิ้งไปมาซ้ายขวา และพยายามนั่งด้วยตัวเอง เขาอาจพยายามยืนในขณะที่ถือบางสิ่งบางอย่างอยู่ในมือด้วย

                          • ลูกน้อยของคุณมีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อคุณเรียกเขาหรือไม่?

                          ลูกน้อยของคุณจะเริ่มฟังอย่างระมัดระวังในช่วงเวลานี้ ดังนั้นเขาจึงเริ่มตอบสนองต่อเสียงรอบตัวและอาจชอบดนตรีหรือเสียงของคนเป็นพิเศษ

                          • ลูกน้อยของคุณกระตือรือร้นและเอื้อมมือไปคว้าสิ่งของหรือไม่?

                          ลูกน้อยของคุณอาจเริ่มคว้าบางส่วนหรือทุกสิ่งที่เขาเห็นและสัมผัส

                          • จนถึงตอนนี้มีฟันกี่ซี่?

                          ในช่วงเวลานี้โดยปกติฟันหนึ่งหรือสองซี่จะเริ่มปรากฏขึ้น หมออาจจะถามว่าฟันโผล่รึยัง?

                          ตรวจสุขภาพเด็ก 6 เดือน
                          ตรวจสุขภาพเด็ก 6 เดือน
                          • ลูกน้อยของคุณมีปฏิกิริยาอย่างไร?

                          เนื่องจากลูกน้อยของคุณจะเริ่มตอบสนองต่อเสียง แพทย์อาจถามว่าทารกตอบสนองเมื่อถูกเรียกด้วยความตื่นเต้นหรือว่าเขาหัวเราะเมื่อเห็นหรือรู้สึกอะไรหรือไม่?

                          • ทารกได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคหรือความเจ็บป่วยเมื่อเร็ว ๆ นี้หรือไม่?

                          แพทย์อาจถามเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยต่างๆ ของลูก เช่น ไอ หรือหวัด ที่ทารกอาจพบเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้ทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

                          • ทารกสามารถเกาะยืนได้หรือไม่?

                          เนื่องจากทารกอายุ 6 เดือน มักมีแนวโน้มที่จะเริ่มยืนได้ด้วยตัวเองโดยการจับอะไรบางอย่าง ขาจึงต้องสามารถรับน้ำหนักตัวได้ แพทย์อาจขอให้ตรวจดูว่าขาของทารกแข็งแรงหรือไม่ หรือมีความผิดปกติที่ต้องได้รับการรักษา

                          5ประโยชน์ของการ วาดรูประบายสี ที่สะท้อนพัฒนาการลูก

                          ทำความเข้าใจ ลูกตีตัวเอง ลูกชอบทำร้ายตัวเอง เป็นเพราะอะไร?

                          เตือนแม่ สังเกตอาการ RSV รีบพาไปตรวจหากเข้าข่ายนี้!

                           

                          แพทย์ตรวจอะไรบ้าง?

                          การตรวจสุขภาเด็ก 6 เดือน จะมีการตรวจสุขภาพดยทั่วไป และตรวจพัฒนาการของทารก เช่น:

                          • การวัดส่วนสูงและน้ำหนัก

                          ทารกมีการเติบโตที่เป็นมาตรฐานในช่วงพัฒนาการของพวกเขา แพทย์จะตรวจสอบความสูงและน้ำหนักของทารกและบันทึกไว้ในแผนภูมิการเจริญเติบโต (Growth Chart)

                          แผนภูมิการเจริญเติบโตช่วยให้คุณสามารถเปรียบเทียบการเติบโตของทารกกับเด็กคนอื่น ๆ อย่างไรก็ตามอาจแตกต่างกันเล็กน้อยสำหรับทารกที่แตกต่างกันและไม่มีความกังวลหรือกังวล

                          • ตรวจการทำงานของหัวใจและปอด

                          หัวใจของทารกจะเต้นเร็วกว่าหัวใจผู้ใหญ่ เนื่องจากพวกเขาต้องการพลังงานมากกว่าและพวกเขามักจะหายใจสั้นและเร็ว แพทย์จะตรวจสอบอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจของเด็กว่ามีสัญญาณการหายใจผิดปกติหรือไม่

                          • ตรวจตาและหู

                          ตาและหูเป็นส่วนที่บอบบางและมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้ง่าย แพทย์จะตรวจตาเพื่อตรวจหาท่อน้ำตาที่อุดตัน หรือมีการไหลออก และการติดเชื้อ ตรวจหู และสังเกตปฏิกิริยาของทารกต่อเสียง

                          • ตรวจขนาดศรีษะ

                          ทารกมีจุดอ่อน ๆ บนศีรษะซึ่งอาจส่งผลต่อร่างกายหากทารกขาดน้ำ แพทย์จะตรวจดูกระหม่อม (จุดอ่อน ๆ ) บนศีรษะของทารก เพื่อดูว่าทารกมีอาการผิดปกติใดๆ หรือไม่

                          • การตรวจสอบร่างกายโดยรวม

                          พัฒนาการโดยรวมของร่างกายมีความสำคัญมาก แพทย์จะตรวจหาความสามารถในการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และการหดตัวของกล้ามเนื้อและการควบคุมเมื่อนั่งตัวตรงเพื่อตรวจดูพัฒนาการของเด็ก

                          •  กดท้อง

                          แพทย์กดบริเวณหน้าท้องของเด็กเบา ๆ เพื่อตรวจหาสัญญาณไส้เลื่อน หรือปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารที่ทารกอาจเผชิญอยู่

                          • การตรวจอวัยวะเพศ

                          อวัยวะเพศของทารกอาจติดเชื้อเนื่องจากผ้าอ้อม แพทย์จะตรวจดูสัญญาณของการติดเชื้อเนื่องจากผ้าอ้อม หรือสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้

                          ตรวจสุขภาพเด็ก 6 เดือน

                          คำถามที่คุณสามารถถามได้

                          นอกจากนี้คุณยังสามารถเตรียมคำถามที่จะถามได้ในการตรวจสุขภาพเด็ก 6 เดือนก่อนล่วงหน้าเพื่อให้มีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของเขา / เธอ

                          หากคุณยังไม่ได้เริ่มป้อนอาหารแข็งให้กับทารกคุณสามารถถามว่า:

                          • ควรแนะนำอาหารแข็งประเภทใดให้กับทารกตั้งแต่เริ่มแรก?
                          • การเปลี่ยนสีและกลิ่นของปัสสาวะหลังจากรับประทานอาหารแข็ง
                          • ควรกังวลเกี่ยวกับอาการแพ้ใด ๆ หรือไม่?
                          • มีวิตามินหรือแร่ธาตุเฉพาะที่ควรเพิ่มในอาหารสำหรับเด็กหรือไม่?
                          • ควรให้อัตราส่วนอาหารแข็งเทียบกับนมเท่าไหร่ เพื่อให้เด็กปรับตัวเข้ากับอาหาร
                          • การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับทารกในช่วงเวลาที่ผ่านมาคืออะไร?
                          • หากเด็กมีปฏิกิริยาแปลก ๆ หรือผิดปกติเล็กน้อย คุณควรถามอาการทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น
                          • วัคซีนปัจจุบันที่จะได้รับหลังจากเดือนนี้จะเป็นอย่างไร?
                          • หากเด็กได้รับผลข้างเคียงที่รุงแรงจากวัคซีนหรือยา ควรทำอย่างไร?

                          หากคุณมีข้อกังวลอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้อย่าลังเลที่จะถามแพทย์ จะดีกว่าที่จะมีความรู้ไว้ก่อนดีกว่ากังวลในภายหลัง

                          ตรวจสุขภาพเด็ก 6 เดือน

                          แพทย์อาจให้คำแนะนำเพิ่มเติม

                          แพทย์อาจให้คำแนะนำแก่คุณระหว่างการตรวจสุขภาพทารก 6 เดือน ซึ่งอาจรวมถึง:

                          เริ่มแนะนำอาหารแข็งให้กับทารก : คุณสามารถเริ่มจากผลไม้บดละเอียด หรือซีเรียลสำหรับทารก เนื่องจากทารกเพิ่งเริ่มทานอาหารแข็งพวกเขาอาจแนะนำให้คุณบดและผสมผสานอาหารให้กับเด็ก สังเกตปฏิกิริยาของทารกต่ออาหารและโทรปรึกษาแพทย์หากทารกแสดงอาการเจ็บป่วยบางอย่าง

                          ตามใจลูกมากขึ้น : นี่คือช่วงเวลาที่คุณต้องดูแลทารกอย่างเต็มที่ แพทย์อาจแนะนำให้สร้างโซนที่สะดวกสบายสำหรับลูก วัยนี้ลูกน้อยของคุณอาจส่งเสียงหัวเราะ พยายามหสโอกาสเล่นกับลูกบ่อยๆ พูดคุยกับเขาเมื่อเขามีการตอบสนอง สิ่งนี้ช่วยกระตุ้นพัฒนาการของทารกได้เป็นอย่างดี

                          ฟันกำลังมา : วัยนี้เป็นช่วงที่ฟันน้ำนมเริ่มโผล่ออกมาช้าๆ เด็กอาจชอบเล่นน้ำลายเป็นพิเศษ ผ้าซับน้ำลายเตรียมให้พร้อม!! ซึ่งเป็นปกติของเด็กวัยนี้

                          กินนมด้วยตัวเอง : หากทารกพยายามหยิบอาหารและกินอาหารด้วยตัวเองอย่าห้ามเขา นี่เป็นช่วงเวลาที่เขากำลังพัฒนาและเริ่มเรียนรูู้

                          สุขอนามัยที่ดี : แพทย์อาจแนะนำให้คุณทำความสะอาดฟันและเหงือกของลูกอย่างสม่ำเสมอด้วยผ้าฝ้ายผืนเล็กหรือผ้าก็อซอย่างเบามือ วิธีนี้จะช่วยล้างแบคทีเรียในช่องปากออกไป คุณยังสามารถใช้ยาสีฟันเด็กเพื่อทำความสะอาดแบบเดียวกันได้อีกด้วย

                          ทั้งหมดนี้ คือ คำปรึกษาทั่วไป เมื่อคุณพาลูกไปตรวจสุขภาพเมื่ออายุครบ 6 เดือน  จำไว้ว่าเด็กแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน จึงมีระยะเวลาในการพัฒนาและการเติบโตของตัวเอง บางคนอาจโตเร็วหรือบางคนอาจโตช้าหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องกังวล อย่างไรก็ตามหากคุณมีบางอย่างที่ต้องการถามแพทย์หรือรับคำแนะนำควรถามให้ชัดเจนอย่าเก็บเอาไว้ให้กลายเป็นคำถามที่คาใจ   ช่วงวัย 6 เดือน จำเป็นอย่างยิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ความสนใจอย่างเหมาะสมกับพฤติกรรมและความต้องการของลูก ควรขอคำแนะนำจากแพทย์ทุกครั้งที่คุณรู้สึกถึงความผิดปกติๆเกี่ยวกับสุขภาพของทารกและการเติบโตของพวกเขา

                          เมื่อถึงวันที่ลูกเริ่มมีพัฒนาการที่ดีและเติบโตขึ้น การพูดคุยกับลูกและพยายามปลูกฝังในเรื่องการให้ความสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดี คือสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง การปลูฝังลูกตั้งแต่ยังเล็กๆ จะช่วยให้เด็กเกิดทักษะความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) รู้จ้กเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดื่มน้ำสะอาดวันละหลายๆ แก้ว  และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  เพียงเท่านี้ลูกก็จะเติบโตและมีพัฒนาการที่ดีสมวัยได้อย่างแน่นอนค่ะ

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parenting.firstcry.com

                          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                          ตรวจสุขภาพลูก รู้ก่อน รู้ทัน ป้องกันโรค

                          ทารกตัวเหลือง กินน้ำจะหายไหม พ่อแม่ควรทำอย่างไร?

                          ดูแลทารกแรกเกิด ตัดเล็บ อาบน้ำ ฯลฯ ครบจบในที่เดียว!!

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            คุณแม่เลอค่า

                            365 วัน ลูกคือพลังบวกของแม่ เลี้ยงลูกให้มีความสุข สไตล์”คุณแม่เลอค่า”

                            พอพูดถึงเพจ “คุณแม่เลอค่า” ของแม่ปาล์ม เลอค่า ทองสิมา ณ นครพนม เชื่อว่านาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะเราจะได้เห็นถึงความน่ารักของครอบครัวนี้กันอยู่ตลอด รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ที่คุณแม่มักจะมาแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกเชิงบวก อาหารการกิน สุขภาพ ท่องเที่ยว กิจกรรมสนุกกับลูกทั้ง 3 คน

                            ทีมงาน Amarin Baby & Kids ได้มีโอกาสแวะไปเยี่ยมคุณแม่ปาล์ม และเด็กๆ ทำให้เห็นถึงความรัก ความอบอุ่นของครอบครัวนี้ค่ะ ที่สำคัญยังได้รู้ว่า “เวลา” มีความหมายที่สุดกับครอบครัวนี้ เพราะ “เวลา” คือความสุขของลูกๆ ค่ะ

                             

                            จุดเริ่มต้นของการตั้งเพจ”คุณแม่เลอค่า”

                            คุณปาล์ม : เริ่มจากที่มีลูกคนแรกน้องธัมดีค่ะ ตอนลูกอายุ 5-6 เดือน มีพัฒนาการต่างๆ เป็นตามวัย แล้วเห็นว่าฟันลูกเริ่มขึ้น เราก็รู้สึกว่าอยากจะเขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวลูกไว้ลงเพจเป็นไดอารี่ดูกันในครอบครัว แล้วด้วยความที่น้องธัมดีเป็นหลานคนแรก ปู่ ยา  ตา ยาย อากง อาม่า ญาติพี่น้องก็จะเห่อกันมาก ขอให้ส่งรูป vdo call กันทางไลน์ตลอดเวลา เราก็คิดว่าการทำเพจก็เป็นช่องทางที่ทุกคนจะเข้ามาดูกันได้ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นขึ้นของเพจ “คุณแม่เลอค่า” ซึ่งชื่อเพจก็มาจากชื่อจริงของปาล์มค่ะ

                             

                            ชื่อลูก 3 คน น้องธัมดี-คิดดี-พอดี กับความหมายที่ลงตัว

                            คุณปาล์ม :  ที่มาที่ไปของชื่อลูก ขอย้อนกลับไปตอนช่วงตั้งครรภ์ค่ะ เราก็นั่งคุยกันในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่ พี่สาว น้องสาว ด้วยความที่เรามีลูกคนแรกจะตื่นเต้นมาก ก็คิดไม่ออกหรอกว่าลูกจะชื่ออะไรดี แล้วจังหวะนึงเหมือนน้องก็พูดขึ้นมาว่า ทำดี คิดดี พูดดี เหมือนจะเป็นคำที่ฟังแล้วรู้สึกว่าฟังง่าย แต่ว่าติดหู มีความหมายที่ดีด้วยค่ะ พอมาถึงลูกคนเล็ก ถ้าจะตั้งชื่อว่าพูดดีก็จะดูแปลกไปซะหน่อยค่ะ ก็เลยเป็นน้องพอดีแทนค่ะ ชื่อลูกทั้ง 3 คนก็จะคล้องจองกัน “ธัมดี คิดดี พอดี” ชื่อความหมายดี ความหมายตรงตัว ธัมดีทุกคนก็รู้อยู่แล้วทำดี คิดดี พอดี ก็ตรงตัวทุกอย่าง แล้วก็เรียกง่ายเป็นคำ 2 พยางค์ ชื่อจริงชื่อเล่นคือชื่อเดียวกัน จำก็ง่ายด้วยค่ะ

                            ลูกเป็นพลังบวก ที่เติมเต็มชีวิตแม่ทุกวัน

                            คุณปาล์ม : ลูกเติมเต็มในชีวิตเยอะมากค่ะ ปาล์มคิดว่าถ้าเราไม่ได้มีลูก เราอาจจะไม่ได้มีความรู้สึก หรือต้องทำอะไรเพื่อใครมากขนาดนี้ค่ะ แต่พอมีลูกเหมือนเรายอมที่จะเสียสละทุกอย่างได้เพื่อลูก  แล้วลูกก็คือพลังบวกที่เขาให้เราในแต่ละวัน คือยอมรับว่าการมีลูกคนนึงเหนื่อย การเลี้ยงลูกยากมากๆ ค่ะ ทุกคนก็จะรู้อยู่แล้วว่า การเป็นแม่ไม่ง่าย แต่ปาล์มมองว่า พลังที่ส่งกลับมาแล้วทำให้เรามีพลังบวก คือตัวลูกค่ะ คือเขาน่ารัก ดื้อ งอแง ร้องไห้ มีทุกอย่างปนกันเป็นมนุษย์ธรรมดาปกติคนหนึ่ง

                            แต่สิ่งที่รู้สึกว่าพอเราทำอะไรให้ลูก จนถึงวันที่เขาโตขึ้นรู้เรื่องพอ แค่คำพูดที่มาพูดกับเรา คือลูกชายคนโต น้องธีมดีทุกคืนจะบอกรักแม่ ธัมดีรักแม่นะครับ คือเขาจะเรียกแม่มานอนแล้วบอกรักแม่ นอนกอดกัน กล่อมหลับกันไป น้องธัมดีเขารู้นะว่าพอแม่กล่อมเขาเสร็จ จะต้องไปดูน้องคิดดี น้องพอดีต่ออีก แต่ว่าเขาขอแค่นั้น แค่ได้กอด ได้บอกรักแม่ก่อนนอนทุกคืนค่ะ

                            น้องคิดดีลูกสาวก็จะมีความขี้อ้อน เวลาที่แม่ทำอะไรดีๆ ให้ เขาจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมาน่ารัก ขอบคุณนะคะแม่ แม่ทำอาหารให้อร่อยมากเลยค่ะ เราก็รู้สึกว่าเป็นพลังเนอะ ที่ทำให้เราสู้ไปในทุกๆ วัน ลูกทั้ง 3 คนเขาสัมผัสได้ว่าแม่รัก และห่วงใยเขามากแค่ไหน แล้วลูกก็ส่งสิ่งนั้นกลับมาให้เรา ถึงจะไม่ได้บอกเป็นคำพูดทุกครั้ง แต่เขาแสดงออกด้วยการกระทำ เข้ามากอด มาหอมแม่  ส่วนน้องพอดีพึ่งจะได้ 1.1 ขวบ เป็นวัยกำลังน่ารัก ก็ต้องดูแลเขามากที่สุดในทุกๆ เรื่องค่ะ

                             

                            ความใส่ใจของแม่ กับ 3 เรื่องที่ต้องดูแลให้ลูกมากเป็นพิเศษ

                            คุณปาล์ม : เรื่องการดูแลลูกทั้ง 3 คน ปาล์มให้ความสำคัญกับทุกเรื่องของลูกค่ะ แต่ก็จะมีอยู่ 3 เรื่องที่เน้นเป็นพิเศษมากหน่อย ก็คือในเรื่องของ สุขอนามัย อาหาร และ เวลา ค่ะ

                            เรื่องแรกสุขอนามัยของลูก เป็นอะไรที่มองข้ามไม่ได้เลยค่ะ ปาล์มจะสอนให้ลูกรู้จักการรักษาความสะอาดของร่างกาย เริ่มตั้งแต่ที่เขาเล็กๆ กันเลย เพราะความสะอาดเป็นพื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดี

                            เรื่องที่สองอาหารการกินของลูก ปาล์มเป็นคนทำอาหารให้ลูกเองแทบทุกมื้อ เรามองว่าแต่ละมื้อของลูก ทำยังไงก็ได้ไม่ต้องเน้นหน้าตาสวย แต่คุณค่าสารอาหารต้องครบ 5 หมู่ทุกมื้อ อย่างเช่นวันนี้มีอะไรในตู้เย็นก็หยิบจับมา ทำอาหารให้ลูก บางมื้อลูกอาจจะทานน้อยบ้าง เยอะบ้าง นั่นก็เป็นเรื่องปกติ คือเด็กเนี่ยไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องทานเก่งทุกมื้อ แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะสามารถปรับเปลี่ยนอาหารให้ลูกได้ไหม ให้ลูกรู้สึกว่าเขาไม่เบื่อ เขาชอบเอ็นจอยกับมื้อนั้นๆ ค่ะ

                            เรื่องที่สามเป็นเรื่องของเวลาที่ให้ลูก ปาล์มมองว่านอกจากเรื่องอาหาร เรื่องสุขอนามัยในร่างกายของลูกเป็นสิ่งที่สำคัญแล้ว แต่ก็มีเรื่องของเวลาที่เราให้ลูกค่ะ ลูกมีสองอย่างแรกที่ดีแล้ว พอเรามีเวลาให้ลูก พัฒนาการเขาก็จะดี แล้วลูกจะรู้สึกว่า พ่อแม่มีตัวตนสำหรับเขาค่ะ เหมือนมีที่พึง ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ลูกก็จะรู้ว่ามีเราอยู่ด้วยตลอดค่ะ

                             

                            จากลูกคนแรกถึงลูกคนเล็ก ในความพิถีพิถันของแม่

                            คุณปาล์ม : น้องธัมดีอายุ 5.1 ขวบ น้องคิดดีอายุ 2.9 ขวบ และน้องพอดีอายุ 1.1 ขวบ สามพี่น้องเป็นเด็กนมแม่ค่ะ ตอนที่ปาล์มตั้งครรภ์เริ่มแรกก็มีความตั้งใจมาอยู่ก่อนแล้วว่าอยากจะให้นมลูกด้วยตัวเราเอง อยากให้ลูกเป็นเด็กนมแม่ เพราะเรารู้สึกว่านมแม่สะอาด ปลอดภัย แล้วก็มีประโยชน์ครบถ้วน เหมือนสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกได้ด้วยตัวเราค่ะ

                            ก่อนคลอดลูกช่วงที่ตั้งครรภ์ปาล์มจะดูแลตัวเองเยอะมาก จะดื่มพวกน้ำบำรุงต่างๆ อาหารที่บำรุงน้ำนมไว้ล่วงหน้า รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อที่ว่าพอคลอดลูกออกมาแล้ว น้ำนมเราจะได้โอเคเลยค่ะ เหมือนมีน้ำนมให้ลูกได้เลย แต่การเตรียมตัวมาอย่างดีเพื่อให้มีน้ำนม ก็ยังต้องควบคู่กับการให้ลูกเข้าเต้าตลอด ต้องให้ลูกคอยดูดกระตุ้น ปาล์มให้ลูกเข้าเต้า แล้วก็มีปั๊มด้วยเครื่องปั๊มนมเพื่อให้มีน้ำนมค่ะ

                            ปาล์มสามารถให้นมแม่จนสำเร็จ ลูก 3 คนได้กินนมแม่หมดค่ะ น้องธัมดีได้กินนมแม่ปีกว่า น้องคิดดีได้กินมแม่ปีกว่าเหมือนกันค่ะ แต่ว่าคนเล็กน้องพอดียังให้กินนมแม่อยู่ถึงจะกินมาได้ปีกว่าแล้ว ที่คนแรกกับคนที่สองได้แค่ปีกว่า เพราะเราตั้งครรภ์ต่อๆ กัน ปาล์มไม่ได้หยุดให้นมลูกนะคะ ให้นมตลอด พอรู้ว่าท้องค่อยหยุดให้นม เพราะว่าคุณหมอบอกว่ามีโอกาสเสี่ยงเป็นอันตรายต่อครรภ์ ก็แล้วแต่มุมมอง บางคนบอกว่าไม่เป็นไรให้ไปได้ แต่ด้วยตัวเราๆ รู้สึกเป็นห่วงลูกในท้อง สเต็ปคือให้นมลูกคนแรก พอท้องคนที่สองก็หยุดให้นมลูกคนแรก พอให้นมลูกคนที่สอง พอท้องลูกคนเล็กก็หยุดให้นมลูกคนที่สอง สำหรับลูกคนเล็กตอนนี้ไม่ได้กำหนดว่าจะหยุดให้นมตอนไหนค่ะ เพราะถ้าปาล์มยังให้ได้อยู่ นมแม่ดีที่สุด ให้นานแค่ไหนก็ได้ จนกว่าลูกจะเลิกกินไปเองค่ะ

                            คุณแม่เลอค่า

                            ทีนี้อีกเรื่องที่สำคัญมากๆ ของปาล์มเลย ด้วยเราเป็นแม่ก็รู้สึกว่าวัยเด็กสิ่งสำคัญคือเรื่องของผ้าอ้อม ที่มีบางจังหวะที่ลูกใช้ผ้าอ้อมแล้วเกิดอาการแดง คัน นั่นทำให้เราเครียดแล้วก็กังวลมากค่ะ ปาล์มว่าแม่ทุกแหละที่พอมีลูกแล้วให้ใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูป พอมีปัญหาผื่นผ้าอ้อม ผื่นแพ้ คุณแม่จะเครียดกันมาก

                            แต่คือโดยส่วนตัวของปาล์มเอง เราจะชอบผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบรนด์นึงมาก ให้ลูกๆ ใช้กันแล้ว คือนุ่มมาก ดีจริงๆ เป็นผ้าอ้อมสำเร็จรูปของแบรนด์เมอร์รี่ส์ (Merries) คืออยากจะแนะนำ เพราะว่าตอบโจทย์ชีวิตแม่มากตรงที่ว่า ลูกใช้แล้วไม่เป็นผื่น ไม่แพ้ไม่คัน ไม่แดง แล้วลูกก็ดูอารมณ์ดี สบายตัวค่ะ

                            อย่างน้องพอดีช่วงขวบปีแรก ปาล์มจะให้ใส่ตลอด เพราะยังเล็กอยู่ ผ้าอ้อมนี่พูดตรงๆ ว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยพ่อแม่ให้ใช้ชีวิตได้ง่าย สะดวก สบายมากขึ้น แต่อย่างน้องคิดดีเขาสองขวบกว่า เราก็มีให้เริ่มเลิกใส่ตอนกลางวันค่ะ จะใส่ผ้าอ้อมเมอร์รี่ส์แค่ตอนกลางคืนค่ะ

                            คุณแม่เลอค่า

                            จากประสบการณ์ที่ให้ลูกได้ใช้ผ้าอ้อมมานะคะ ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมอร์รี่ส์ ลูกจะไม่คันผิวเลย ผิวหน้าของผ้าอ้อมที่นุ่ม ลูกจะรู้สึกสบาย ซึมซับดี พอฉี่ก็แห้งเลยตรงนี้ดีมาก ปาล์มให้ลูกใส่ตั้งแต่ตอนแรกเกิดเลยค่ะ ถ้าแม่ๆ ที่เป็นแฟนพันธุ์แท้เมอร์รี่ส์จะรู้ว่าเป็นสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น ถ้าสังเกตที่ถุงจะมีสัญลักษณ์ Derma icon ปาล์มศึกษามาแล้ว เหมือนเป็นการการันตีได้รับรองมาแล้ว เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้เด็กรู้สึกสบาย แล้วก็ไม่แพ้  พื้นผิวของผ้าอ้อมเมอร์รี่ส์คือแบบว่ามีความนุ่ม อ่อนโยนมาก และถ้าลองสังเกตข้างในพื้นผิว เหมือนเป็นเวฟค่ะ ที่พอไม่เรียบ ก็จะไม่ไปแนบชิดกับเนื้อผิวทำให้ลูกเจ็บ หรือเสียดสี อันนี้คือเป็นข้อดีมากๆ ที่เรารู้สึกว่า เมอร์รี่ส์นี่แหละตอบโจทย์เรามาก ทำให้ผิวลูกไม่ระคายเคือง ไม่แพ้ค่ะ

                            คุณแม่เลอค่า

                            ความสุขลูกคือความสุขของแม่ วิธีสร้างความสุขให้ลูก สไตล์แม่ปาล์ม

                            คุณปาล์ม : จริงๆ แล้วความสุขของลูก หลักๆ สิ่งที่เด็กๆ ต้องการ ปาล์มขอวนกลับไปที่เรื่องของเวลาค่ะ ลูกต้องการพ่อแม่ที่นั่งอยู่กับเขา เล่นกับเขา มีเวลาให้ คือปาล์มยอมรับว่าบางช่วงที่เราต้องทำงาน เราก็ต้องหาวิธี หาอะไรให้ลูกเล่นแบบที่เขาสามารถนั่งรอเราได้ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมือนกับการที่เราลงไปเล่นด้วย ลูกจะมีความสุขกว่ามากๆ เลยค่ะ สังเกตเวลาที่ลูกนั่งเล่นคนเดียว ก็จะเล่นได้ไม่นาน หมายถึงเด็กๆ บ้านนี้นะคะ เขาก็จะลุกมาแล้วพูดว่าแม่มาเล่นกับคิดดีหน่อย ปาป๊ามาเล่นกับธัมดี ทุกคนก็คือจะเรียกหาพ่อแม่ตลอดเวลา ปาล์มรู้สึกว่าการมีเวลา การให้เวลาลูกคือความสุข เป็นความสุขจากตัวพ่อแม่ให้เขาได้เลย เราลงไปคลุกคลี นั่งเล่นกับเขาที่พื้น วิ่งเล่นกับเขานอกบ้านที่สนามหญ้า

                            และความสุขอีกอย่างหนึ่งก็คือการได้ให้อาหารที่ดีมีคุณภาพกับลูก ไม่ว่าจะอาหาร ขนม ของกินหรือของเล่น อันนี้ก็คือความสุข เด็กๆ เขาต้องการแค่นี้ค่ะ เรื่องของเวลา แล้วก็เรื่องของสิ่งที่ทำให้เขาแฮปปี้ ซึ่งพอเราที่เป็นพ่อแม่มีเวลา เราก็จะสามารถเอาเวลาไปสร้างความสุขให้ลูกได้ค่ะ เวลาเป็นตัวขับเคลื่อน แล้วก็สร้างให้ลูกมีความสุขในทุกวันค่ะ

                            คุณแม่เลอค่า

                            ตลอดการพูดคุย เราจะเห็นได้ถึงแววตาที่มีความสุข และใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของคุณปาล์มตลอด คุณแม่ที่เป็นผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง เธอเสียสละทุกอย่างเพื่อลูก และมีความมุ่งมั่น ตั้งใจจะสนับสนุนให้ลูกทั้ง 3 คนเติบโตขึ้นมีพัฒนาการสมวัย เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต ด้วยการปูรากฐานที่แข็งแรงให้กับลูกๆ ด้วยการให้เวลาคุณภาพกับลูก ให้ลูกได้มีความสุขในทุกวันของชีวิตค่ะ

                            #เพจคุณแม่เลอค่า #ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเมอร์รี่ส์

                              คนท้องกินยาลดกรด

                              คนท้องกินยาลดกรด ได้ไหม กินมากไปจะเป็นอันตรายหรือเปล่า?

                              คนท้องกินยาลดกรด – โดยทั่วไปแล้ว ยาลดกรดที่แพทย์สั่งหรือจำหน่ายตามร้านขายยา สรรพคุณทางยา คือ ช่วยลดปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหาร อาการเสียดท้อง และปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหารอื่น ๆ ที่มักเกิดขึ้นได้บ่อยในระหว่างตั้งครรภ์ ผู้หญิงตั้งครรภ์ร้อยละ 80 มักมีอาการเสียดท้องในบางช่วงของการตั้งครรภ์ เนื่องจากรกปล่อยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนออกมา ทำให้ระบบย่อยอาหารประสิทธิภาพลดลง และอาจทำให้วาล์วเปิดปิดที่เชื่อมต่อระหว่างกระเพาะอาหารและหลอดอาหารคลายตัวทำให้เกิดอาการของกรดไหลย้อน ซึ่งกรดที่ใช้ย่อยอาหารสามารถไหลย้อนกลับขึ้นไปเหนือกระเพาะอาหาร หรือบริเวณทางเดินอาหารส่วนต้นได้

                              นอกจากนี้ ทารกในครรภ์มักจะใช้พื้นที่มากในช่องท้อง ซึ่งจะสร้างแรงกดดันให้กับอวัยวะภายใน เช่น กระเพาะอาหาร สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การที่กรดจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปทางหลอดอาหาร กล่องเสียง และช่องปากได้

                              คนท้องกินยาลดกรด ได้ไหม กินมากไปจะเป็นอันตรายหรือเปล่า?

                              ยาลดกรดทำงานอย่างไร?

                              กระเพาะอาหารมีหน้าที่ย่อยทำลายอาหารให้กลายเป็นสารที่ทำให้ลำไส้สามารถดูดซึมได้ อย่างไรก็ตามอาจมีบางกรณีที่เกิดความไม่สมดุลในการผลิตกรดในกระเพาะอาหารซึ่งอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้ ยาลดกรดจึงถูกนำมาใช้ เพื่อควบคุมความไม่สมดุล และช่วยคืนความสมดุลในระบบย่อยอาหารให้แก่ผู้ป่วย

                              ยาลดกรดอาจช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้ :

                              • อาหารไม่ย่อย
                              • แสบร้อนกลางอก หรือกรดไหลย้อน – หรือที่เรียกว่า โรคกรดไหลย้อน  Gastroesophageal Reflux Disease: (GERD)
                              • แผลในกระเพาะอาหาร
                              • โรคกระเพาะ (การอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร)

                              ยาลดกรดสามารถบรรเทาอาการผิดปกติต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วภายในสองถึงสามชั่วโมง แต่ยาไม่ได้รักษาในสาเหตุที่แท้จริงซึ่งได้แก่กิจวัตรประจำวันที่ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่างๆ  นอกจากนี้ไม่แนะนำให้ใช้ยาลดกรดในระยะยาว ควรปรึกษาแพทย์หากคุณจำเป็นต้องทานยาลดกรดเป็นประจำ โดยเฉพาะในระหว่างการตั้งครรภ์

                              คนท้องกินยาลดกรด
                              คนท้องกินยาลดกรด

                              ประเภทของยาลดกรด

                              มียาลดกรดมีหลายประเภท ภายใต้ชื่อแบรนด์ต่างๆ  ซึ่งอาจมีการตั้งชื่อตามส่วนผสมหลัก

                              โดยส่วนผสมที่พบในยาลดกรดแต่ละชนิด ได้แก่ :

                              • อลูมิเนียมไฮดรอกไซด์
                              • แมกนีเซียมคาร์บอเนต
                              • แมกนีเซียมไตรซิลิเกต
                              • แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์
                              • แคลเซียมคาร์บอเนต
                              • โซเดียมไบคาร์บอเนต

                              ยาลดกรดบางชนิดยังมียาอื่น ๆ เช่น อัลจิเนต (ซึ่งเคลือบลำไส้ของคุณด้วยชั้นป้องกัน) และซิเมติโซน (ซึ่งช่วยลดอาการท้องอืด)

                              ผลข้างเคียงของยาลดกรด

                              โดยปกติยาลดกรดจะไม่มีผลข้างเคียงมากนัก หากรับประทานเป็นครั้งคราวและตามขนาดที่แนะนำ

                              แต่บางครั้งอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ ต่อไปนี้ได้ :

                              • ท้องร่วงหรือท้องผูก
                              • ท้องอืดจากแก๊ส
                              • ปวดท้อง
                              • รู้สึกไม่สบายตัว หรืออาเจียน

                              ซึ่งอาการข้างต้นเหล่านี้ ควรหายไปเมื่อคุณหยุดใช้ยา

                              การทานยาลดกรดในขณะตั้งครรภ์ปลอดภัยหรือไม่

                              ยาลดกรดส่วนใหญ่ถือว่าปลอดภัยในขณะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร แต่ควรรับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรเสมอก่อนการใช้ยา ยาลดกรดส่วนใหญ่ที่มีอยู่ตามท้องตลาด สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามมีเพียงยาลดกรดบางชนิด ที่อาจเป็นอันตรายและอาจนำไปสู่การแท้งบุตรได้ สิ่งสำคัญ คือ ต้องได้รับยาลดกรดในปริมาณที่พอเหมาะ และได้รับการอนุมัติจากแพทย์

                              กินยาลดกรดมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์ จะเป็นอะไรไหม?

                              ยาลดกรดมีส่วนประกอบของสารประกอบต่าง ๆ เช่น แมกนีเซียม แคลเซียมคาร์บอเนต โซเดียมไบคาร์บอเนต และอลูมิเนียม อย่างไรก็ตาม สารเหล่านี้อาจส่งผลต่อร่างกายได้แตกต่างกัน การบริโภคยาลดกรดในปริมาณมากเกินไปอาจเป็นอันตรายได้ โดยปัญหาส่วนใหญ่ที่เกิดจากการบริโภคยาลดกรดบ่อยและมากเกินไป ได้แก่ การอาเจียน โลหิตจาง และ นิ่วในไต

                              ยาลดกรด ชนิดใดที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์?

                              ยาลดกรดที่ปลอดภัยในระหว่างตั้งครรภ์ ได้แก่ :

                              • แมกนีเซียม

                              ยาลดกรดที่มีส่วนประกอบของแมกนีเซียมค่อนข้างปลอดภัยสำหรับสตรีมีครรภ์ และทำงานได้ดีเมื่อต้องจัดการกับอาหารไม่ย่อย

                              • แคลเซียมคาร์บอเนต

                              ยาลดกรดประเภทนี้ นี้ยังไม่มีรายงานถึงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์สำหรับหญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่  และมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการ

                              คนท้องกินยาลดกรด

                              ยาลดกรดชนิดใดที่ไม่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์?

                              • อลูมิเนียม ไฮดรอกไซด์

                              ยาลดกรดประเภทนี้อาจทำให้เกิดอาการท้องผูก และส่งผลเสียต่อร่างกายคนท้องได้มากกว่าผลดีในแง่ของการบรรเทาอาการปวด นอกจากนี้การบริโภคอะลูมิเนียมอย่างต่อเนื่องยังเป็นพิษ และอาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น การแท้งบุตรได้

                              • โซเดียมไบคาร์บอเนต

                              ปัญหาของยาลดกรดประเภทนี้ คือ นำไปสู่การกักเก็บน้ำของร่างกาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติของโซเดียม ในระหว่างตั้งครรภ์คนท้องมักมีปัญหาที่ต้องเผชิญ เช่น ข้อเท้าบวม และข้อมือบวมเนื่องจากน้ำในร่างกายมีปริมาณมาก ซึ่งปริมาณโซเดียมในยาลดกรด จะทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้น

                              เหตุผลบางประการ ที่ควรหลีกเลี่ยงยาลดกรดในขณะตั้งครรภ์

                              แม้ว่าการบริโภคยาลดกรดอาจช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์ระหว่างการตั้งครรภ์ได้ดี  เช่น อาหารกรดไหลย้อน แสบร้อนหลางทรวงอก (Heartburn)  แต่ต่อไปนี้ คือ เหตุผลบางประการ ที่คุณอาจต้องคิดทบทวนชั่งน้ำหนักให้ดี ก่อนตัดสินใจใช้ยาลดกรดในขณะที่คุณตั้งครรภ์อยู่

                              1. ลดการผลิตกรดที่ช่วยในการย่อยอาหาร
                              ในขณะที่ยาลดกรดควรจะช่วยในการควบคุมการผลิตกรดในกระเพาะอาหาร แต่การใช้มากเกินไปสามารถลดกรดที่จำเป็นในการการย่อยอาหารได้และอาจทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อย

                              2. ภาวะแทรกซ้อนในไตรมาสสุดท้าย
                              ช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงเวลาที่ควรหลีกเลี่ยงยาลดกรด เนื่องจากในช่วงนี้ร่างกายมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลข้างเคียงจากยาได้ แม้แต่ยาลดกรดที่ค่อนข้างปลอดภัย เช่น แมกนีเซียมก็เป็นที่ทราบกันดีว่ามีผลต่อการหดรัดตัวของมดลูก และอาจทำให้คลอดก่อนกำหนดได้

                              3. การเกิดผลข้างเคียง
                              มนุษย์ทุกคนมีร่างกายที่แตกต่างกัน และยาลดกรดสามารถตอบสนองหรือส่งผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไปได้ บางรายอาจไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่สำหรับบางรายอาจได้รับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เวียนศีรษะ ปวดท้อง และอาเจียน ได้เช่นกัน

                              4. โรคโลหิตจาง
                              ยาลดกรดส่วนใหญ่ในท้องตลอดมีส่วนผสมของแคลเซียม ซึ่งอาจส่งผลให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ไม่ดี แต่เดิมที่หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคโลหิตจางอยู่แล้ว ซึ่งยาลดกรดอาจทำให้สถานการณ์นี้แย่ลงได้

                              5. โรคนิ่วในไต
                              ตามที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ว่ายาลดกรดส่วนใหญ่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก ผลเสียอีกประการหนึ่ง คือ แคลเซียมจำนวนมาก หากไม่ได้รับการดูดซึมอย่างถูกต้องจากร่างกายจะถูกส่งต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะซึ่งจะก่อตัวเป็นนิ่วในไตได้ในที่สุดหากร่างกายได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งลักษณะของนิ่วในไต จะเป็นก้อนเกลือ และแร่ธาตุขนาดเล็กขรุขระซึ่งก่อตัวขึ้นภายในไตและอาจเดินทางไปตามทางเดินปัสสาวะซึ่งทำให้เกิดอาการปวดอย่างรุนแรงในช่องท้องส่วนล่าง ขาหนีบ หรือหลัง และบางครั้งอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ และมีเลือดปนในปัสสาวะ ขนาดของนิ่วสามารถมีขนาดได้ตั้งแต่ก้อนเล็ก ๆ ไปจนถึงขนาดเท่าลูกกอล์ฟ

                              6. กรดในกระเพาะอาหารกลายเป็นด่าง
                              การบริโภคยาลดกรดเป็นประจำสามารถทำให้กรดในกระเพาะอาหารกลายเป็นด่างได้โดยธรรมชาติ สิ่งนี้จะลดความสามารถของกรดในการย่อยสลายอาหารเพื่อย่อยอาหารได้อย่างที่ควรจะเป็น

                              7. การตอบสนองของกรด
                              อาจมีบางกรณีที่กระเพาะอาหารเริ่มตอบสนองต่อการใช้ยาลดกรดบ่อยๆ กระเพาะอาหารจะเพิ่มการผลิตกรดเพื่อเอาชนะฤทธิ์ของยา ส่งผลให้ช่วงเวลาที่คุณไม่มียาลดกรดเป็นเวลาสองสามวันคุณจะต้องทนทุกข์ทรมานจากความเป็นกรดอย่างรุนแรงได้

                              8. อาการท้องผูก
                              แคลเซียมเป็นตัวการใหญ่ของปัญหานี้อีกครั้ง แคลเซียมส่วนเกินทำให้กล้ามเนื้อลำไส้คลายตัว สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความล่าช้าในการทำงานของลำไส้ เนื่องจากอาหารใช้เวลานานกว่าจะไปถึงทวารหนักอาหารจึงเริ่มแข็งตัวเมื่อเวลาผ่านไปทำให้ท้องผูกและถ่ายอุจจาระได้ลำบาก และอาจทำให้คนท้องเจ็บป่วยด้วยอาการของโรคริดสีดวงทวารหนักได้

                              ทางเลือกธรรมชาติสำหรับยาลดกรด

                              มาถึงตรงนี้ สรุปได้ว่า ยาลดกรดมีอันตรายและไม่ดีใช่หรือไม่? คำตอบคือ ไม่นะคะ เพราะการได้รับยาลดกรด นาน ๆ ครั้ง ถือเป็นเรื่องปกติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายระหว่างตั้งครรภ์ แต่อย่างไรก็ตามก็มีทางเลือกของยาลดกรดจากธรรมชาติที่ดีและเป็นมิตรสำหรับหญิงตั้งครรภ์ เช่น กล้วย และโยเกิร์ต  ซึ่งว่ากันว่าสรรพคุณในการลดกรดนั้นสูสีกับยาบางตัวจากร้านขายยาเลยทีเดียว

                              สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณห่างไกลจากการใช้ยาลดกรด คือ คุณจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคุณที่สามารถช่วยหลีกเลี่ยงอาการต่างๆ ที่ไม่พึงประสงค์และนำไปสู่การใช้ยาลดกรด

                              คนท้องกินยาลดกรด

                              วิธีรับมือภาวะกรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์

                              หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ที่อาจจำเป็นต้องใช้ยาลดกรด เนื่องจากพบว่ามีอาการของกรดไหลย้อนในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งหญิงตั้งครรภ์ สามารถบรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้ โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตประจำวันตามคำแนะนำดังต่อไปนี้

                              • รับประทานอาหารเป็นมื้อย่อย ๆ แบ่งมื้ออาหารในแต่ละวันให้ถี่ขึ้น บวกกับลดปริมาณการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลง
                              • ไม่นอนทันที หลังจากเพิ่งรับประทานอาหาร ควร ยืน นั่ง หรือลุกเดินอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หลังรับประทานอาหาร แล้วค่อยเอนตัวนอนได้ตามปกติ
                              • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อน เช่น อาหารรสจัด อาหารไขมันสูง ผลไม้รสเปรี้ยว อาหารที่มีกรดเป็นส่วนประกอบ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เป็นต้น
                              • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของมินท์  เพราะมิ้นท์จะยิ่งส่งผลให้อาการกรดไหลย้อนรุนแรงและกำเริบมากยิ่งขึ้น
                              • รับประทานโยเกิร์ตหรือดื่มนมเมื่อเกิดอาการ เนื่องจากเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนจากกรดไหลย้อนได้
                              • ไม่ดื่มน้ำบ่อย ระหว่างรับประทานอาหาร ทางที่ดีควรเปลี่ยนมาดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว หรือดื่มน้ำในช่วงระหว่างมื้ออาหารแต่ละมื้อแทน
                              • ใช้หมอนหนุนบริเวณลำตัวส่วนบนระหว่างนอนหลับ วิธีนี้ ถือว่าช่วยบรรเทาอาการของกรดไหลย้อนได้เป็นอย่างดี การหนุนให้บริเวณลำตัวก็ เพื่อให้หลอดอาหารอยู่สูงกว่ากระเพาะอาหาร ซึ่งจะช่วยป้องกันกรดไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหารได้  นอกจากนี้ ควรนอนตะแคงซ้าย เพราะการนอนตะแคงด้านขวา จะทำให้ตำแหน่งของกระเพาะอยู่เหนือหลอดอาหารและกรดสามารถไหลย้อนขึ้นมาได้ง่าย
                              • ควบคุมน้ำหนักตัว ควรรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อนในขณะตั้งครรภ์ได้
                              • สวมใส่เสื้อผ้าที่สบายตัว ควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆ สบายตัว ไม่รัดจนเกินไป เพราะการสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นจนเกินไป อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ โดยเฉพาะเสื้อผ้าที่รัดบริเวณท้อง

                              การหมั่นใส่ใจดูแลสุขภาพและความปลอดภัยของตัวเราเอง โดยเฉพาะในระหว่างที่คุณตั้งครรภ์อยู่ ไม่ใช่เพื่อตัวเราเองเท่านั้น แต่ยังมีอีกหนึ่งชีวิตที่รอคอยการกำเนิดอย่างปลอดภัย ซึ่งแน่นอนว่าตัวน้อยของคุณจะนำพาความสุขมาให้ครอบครัว หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข  คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คือ การที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ

                              ในช่วงเวลาที่ลูกน้อยเริ่มเติบโตเข้าสู่วัยเตาะแตะที่สามารถสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่ได้ การปลูกฝังในเรื่องความสำคัญต่อการมีสุขภาพที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่เริ่มทำได้ทันที เด็กๆ จะค่อยๆ ซึมซับกิจวัตรประจำวันและวิถีชีวิต ต่างๆ ที่ส่งผลดีต่อการมีสุขภาพที่ดี อาทิ การมีโภชนการที่ดีได้ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ  การรักษาความสะอาดและปลอดภัยของสภาพแวดล้อมภายในบ้าน และการได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เป็นต้น เมื่อเด็กๆ คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่แวดล้อมด้วยผู้ใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ก็ย่อมส่งผลดีต่อการกระตุ้นให้พวกเขาเกิดทักษะ ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ซึ่งจะช่วยให้เด็กๆ มีแนวโน้มที่จะสุขภาพแข็งแรง พัฒนาการดี มีภูมิคุ้มกันโรค ไม่เจ็บป่วยง่าย ที่สำคัญคือการได้ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุขไปกับการสำรวจและเรียนรู้โลกตามวัยได้อย่างเหมาะสมค่ะ

                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parenting.firstcry.com , todaysparent.com

                              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              วิธีแก้กรดไหลย้อน ขณะตั้งครรภ์ อะไรที่แม่ท้องควรกิน vs ไม่ควรกิน

                              คนท้องกินยาพาราได้ไหม คนท้องกินยาอะไรได้บ้าง ยาที่คนท้องห้ามกิน มีอะไรบ้างเช็กเลย!

                              5 เคล็ดลับดูแล “มดลูกแข็งแรง” ก่อนตั้งครรภ์

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                ปกป้องลูกมาเกินไป

                                11 สัญญาณพ่อแม่ ปกป้องลูกมากเกินไป ระวัง! อาจทำร้ายลูกทางอ้อม!

                                ปกป้องลูกมากเกินไป – คุณเคยเดินตามลูกของคุณไปรอบ ๆ สนามเด็กเล่นทุกฝีก้าวหรือไม่? คุณเคยจ้องที่จะจับลูกขณะเดินลงบันไดแบบไม่ละสายตาเพราะคุณกังวลว่าพวกเขาจะก้าวผิดและพลัดหกล้ม คุณจึงคอยเดินตามลูก จ้องมองลูกโดยให้พวกเขาอยู่ในระยะเอื้อมมือถึงเพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาล้มหรือประสบอุบัติเหตุ

                                ความจริงแล้วเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันกับความปลอดภัยของลูก คือ เด็ก ๆ จำเป็นที่จะต้องได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของตนเอง แม้พวกเขาอาจจะพลาดหกล้มเจ็บตัวบ้าง แต่พวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงอันตราย และใช้ดุลยพินิจส่วนตัวเกี่ยวกับความเสี่ยงต่างๆ ผ่านประสบการณ์ของพวกเขาเอง  ถ้าพ่อแม่คอยอยู่ประชิดลูกเสมอเพื่อป้องกันพวกเขาไม่ให้ล้มเลย พวกเขาอาจพลาดโอกาสชีวิตที่จะได้เรียนรู้และระมัดระวังด้วยตัวเอง  แน่นอน! ในฐานะพ่อคุณยังคงมีความรับผิดชอบ ที่จะไม่วางพวกเขาไว้ในสถานการณ์ที่พวกเขาอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสได้แน่นอนจริงมั้ยคะ?

                                ทำไมพ่อแม่ถึงปกป้องลูกมากเกินไป

                                ความตั้งใจเลี้ยงดูเด็กๆ ด้วยการปกป้องมากเกินไป  มักเกิดขึ้นจากความกังวลที่มากเกินไปเกี่ยวกับความปลอดภัยและการตัดสินใจของบุตรหลาน  เป้าหมายสูงสุด คือ การปกป้องเด็กจากอันตรายทุกรูปแบบ แต่ความจริงแล้ว เราควรกังวลเกี่ยวกับ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีที่ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของบุตรหลานควบคู่กันไปด้วย

                                อย่างไรก็ตามในทางกลับกันพ่อแม่ควรสอนลูก ๆ เกี่ยวกับความเสี่ยง และความรับผิดชอบต่อตนเอง ซึ่งบทเรียนเหล่านั้นสามารถสอนได้ดีที่สุดจากการได้ผ่านประสบการณ์ในชีวิตจริง หากเรามักจะตามหลังลูก ๆ ของเรา และพร้อมที่จะจับพวกเขาทันทีทันใด พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับความเสี่ยง และความรับผิดชอบต่อตัวเอง

                                มีงานวิจัย เกี่ยวกับการเลี้ยงดูที่มีการปกป้อง และป้องกันมากเกินไป โดยผู้วิจัยแนะนำว่าผู้ปกครองควรอนุญาตให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง ที่ ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ ซึ่งหมายถึงการอนุญาตให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆด้วยตนเอง ซึ่งมี “ความเสี่ยงและความรับผิดชอบในระดับที่สามารถจัดการได้”

                                ปกป้องลูกมากเกินไป
                                ปกป้องลูกมากเกินไป

                                ปัญหาในการเป็นพ่อแม่ที่มีการปกป้องลูกมากเกินไป คือ เด็กมักพลาดโอกาสในการสร้างทักษะชีวิตต่าง ๆ เช่น ความรับผิดชอบด้วยตัวเอง ความเป็นอิสระ และการพัฒนาความภาคภูมิใจในตนเอง ความมั่นใจของพวกเขาอาจถูกทำลายได้เมื่อแม่หรือพ่อคอยเฝ้าดูและชี้แนะพฤติกรรมของพวกเขาอยู่เสมอ

                                ท้ายที่สุดเด็กที่ถูกเลี้ยงดูในลักษณะนี้ จะพัฒนาความรู้สึกของการไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง เพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นในชีวิต ความมั่นใจและความนับถือตนเองของพวกเขาถูกขัดขวางเมื่อพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองหากพ่อแม่ไม่ได้ดูแล หรือคอยเฝ้ามองดู

                                11 สัญญาณพ่อแม่ ปกป้องลูกมากเกินไป ระวัง! อาจทำร้ายลูกทางอ้อม!

                                พ่อแม่ที่มีแนวโน้มป้องกันและปกป้องลูกมากเกินไป มักคิดเข้าข้างตัวเองว่าพวกเขากำลังช่วยลูก เป้าหมายคือการปกป้องลูกจากสิ่งไม่ดีต่างๆ แต่ความจริงแล้วการทำลักษณะนี้ ส่งผลเสียต่อตัวลูกได้มากกว่าที่คิด ด้านล่างนี้เป็นสัญญาณที่บอกว่าคุณอาจเป็นพ่อแม่ที่ปกป้องลูกมากเกินไป ซึ่งพฤติกรรมประเภทนี้อาจส่งผลร้ายต่อพัฒนาการของเด็ก เมื่อมีพฤติกรรมเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งอย่าง มีแนวโน้มว่าจะมีวิธีอื่นๆ ที่ผู้ปกครองสามารถปกป้องบุตรหลานของตนมากเกินไปได้ นี่คือตัวอย่างเพื่อให้คุณสามารถประเมินพฤติกรรมของคุณ เพื่อพิจารณาว่าคุณจำเป็นต้องคลายนิสัยการเลี้ยงดูลูกที่ป้องกันและปกป้องลูกมากเกินไปหรือไม่

                                1. คุณมักเลือกเพื่อนเล่นให้ลูก หรือชี้นำลูกให้เล่นกับเด็กคนใดคนหนึ่งมากเกินไป
                                2. คุณไม่อนุญาตให้ลูกทำกิจกรรมด้วยตนเอง เช่น ไม่อนุญาตให้ลูกพาสุนัขเดินเล่นหน้าบ้าน แม้ว่าคุณจะอยู่ใกล้ๆ และยังสามารถเฝ้าดูสุนัขจากหน้าต่างด้านหน้าได้
                                3. คุณเฝ้าติดตามลูกของคุณอยู่ตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น คุณปรากฏตัวที่การฝึกซ้อมกีฬาของพวกเขาบ่อยครั้ง และคอยดูว่าลูกจะปลอดภัยดีมั้ย
                                4. คุณป้องกันไม่ให้พวกเขาทำผิดพลาดแม้ในเรื่องเล็กน้อย เช่น ไม่อนุญาตให้ลูกวัย 3 ขวบเทขวดซอสมะเขือเทศลงบนแพนเค้ก เพราะคุณรู้ว่าถ้าห้ามพวกเขาจะร้องไห้ และอารมณ์เสียซึ่งคุณไม่อยากให้ลูกต้องอารมณ์เสีย
                                5. คุณไม่อนุญาตให้ลูกไปเที่ยวเล่นบ้านเพื่อนโดยไม่มีคุณ
                                6. ไม่อนุญาตให้ลูกเข้าค่ายพักแรมกับทางโณงเรียน หรือกิจกรรมนอกสถานที่อื่น ๆ ในช่วงวัยเด็ก
                                7. คุณถามคำถาม เกี่ยวกับชีวิตลูกเมื่อไม่มีคุณ เช่น อยากรู้เรื่องของลูกที่โรงเรียนแบบละเอียดทุกวัน
                                8. คุณแนะนำลูกในแนวทางที่ป้องกันไม่ให้เกิดความล้มเหลว ตัวอย่าง เช่น ไม่อนุญาตให้ลูกวัยรุ่นของคุณลงคัดเลือกเข้าทีมบาสเก็ตบอลของโรงเรียนเพราะกลัวว่าลูกจะเสียใจหากไม่ได้รับคัดเลือก
                                9. คุณตัดสินใจแทนพวกเขา ตัวอย่างเช่น คุณไม่อนุญาตให้พวกเขาเลือกว่าจะเดินไปโรงเรียนหรือนั่งรถประจำทางไป คุณมักจะขับรถไปส่งพวกเขา และไม่อนุญาตให้มีการตัดสินใจใด ๆ นอกเหนือจากนี้ เพราะคุณต้องการให้พวกเขาปลอดภัยมากที่สุด
                                10. คุณมักจะอาสารับใช้ในห้องเรียนของโรงเรียน หรือเป็นประธานในการทัศนศึกษาของโรงเรียนเพราะคุณต้องการ “จับตาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนของบุตรหลานของคุณ”
                                11. คุณไม่อนุญาตให้พวกเขามีความลับหรือความเป็นส่วนตัว ตัวอย่างเช่น ไม่อนุญาตให้ล็อคประตูห้องนอนของพวกเขาเลย

                                ปกป้องลูกมากเกินไป

                                เหตุใดการปกป้องลูกมากเกินไปจึงไม่ใช่ความคิดที่ดี

                                เด็ก ๆ เรียนรู้จากผลกระทบทางธรรมชาติ หากพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้มีผลตามธรรมชาติ เนื่องจากพ่อแม่ของพวกเขาปกป้องพวกเขาจากความล้มเหลวและอันตรายอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาของพวกเขาจะถูกขัดขวาง ตัวอย่างเช่น เด็กที่พ่อแม่ดูแลมากเกินไปและไม่ได้รับอนุญาตให้ไปนอนค้างคืนหรือไปบ้านเพื่อนคนอื่นเพราะพ่อแม่กังวลเกี่ยวกับอันตรายจากคนแปลกหน้าและจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขาไม่ได้อยู่กับลูก การไม่ปล่อยลูกอยู่คนเดียวกับเพื่อน ๆ นอกโรงเรียน พ่อแม่ต้องอยู่ด้วยตลอดเวลา การปรากฏตัวของพ่อแม่แบบตามติดลูกเสมอ จะขัดขวางพัฒนาการของลูกอย่างรุนแรง เด็กมีแนวโน้มมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมงานและไม่สามารถจัดการปัญหาเองได้ เพราะไม่เคยได้รับโอกาสให้ลองทำ เด็กจะขาดทักษะทางสังคม เนื่องจากพ่อแม่เข้ามาแทรกแซงพฤติกรรมของลูกในขณะที่ลูกอยู่กับเพื่อน ๆ เสมอ

                                ผลเสียต่อตัวเด็กที่ถูกพ่อแม่เลี้ยงแบบปกป้องมากเกินไป

                                แม้ว่าแต่ละบ้านอาจมีการเลี้ยงดูที่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว อย่างไรก็ตามรายการนี้สามารถช่วยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลเสียที่เกิดจากการเลี้ยงดูที่มีการป้องกันมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเด็กได้ เช่น

                                1. ขาดการพัฒนาความนับถือตนเอง
                                หากเด็กไม่ได้รับอนุญาตให้ลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง พวกเขาจะไม่สามารถสร้างความมั่นใจในตนเองและความภาคภูมิใจในตนเองได้อย่างที่ควรเป็น

                                2. ขาดทักษะในการตัดสินใจด้วยตัวเอง
                                หากเด็กคุ้นเคยกับการมีพ่อแม่คอยดูแลและดูแลพฤติกรรมของพวกเขาอยู่เสมอพวกเขาอาจต้องพึ่งพาการตัดสินใจของพ่อแม่เพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่คนเดียวหรือทำสิ่งต่างๆ ตามลำพัง

                                3. ความวิตกกังวล
                                เด็กที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้ลองทำสิ่งต่างๆด้วยตนเอง อาจเป็นกังวลเมื่อพวกเขาได้รับอนุญาตให้ลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองในที่สุด พวกเขาจะกังวลเกี่ยวกับการทำผิดพลาดหรือล้มเหลวเพราะพวกเขามีพ่อแม่ที่คอยช่วยเหลือพวกเขาอย่างต่อเนื่องเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดและความล้มเหลว

                                ปกป้องลูกมากเกินไป

                                4. ขาดความรับผิดชอบ
                                เมื่อพ่อแม่คอยช่วยเหลือและชี้แนะลูกอย่างสุดโต่งอยู่เสมอเด็ก ๆ จะไม่สามารถพัฒนาทักษะความรับผิดชอบของตนเองได้ หากพวกเขาไม่เคยรับผิดชอบต่อสิ่งใดเลยพวกเขาจะพัฒนาความรับผิดชอบได้อย่างไร?

                                5. มีความกดดันในชีวิตสูง
                                เด็กที่มีพ่อแม่คอยปกป้องมากเกินไป ที่มักเจ้ากี้เจ้าการ ชี้นำพฤติกรรมของลูก ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น ลูกต้องขอความเห็นชอบในการทำสิ่งต่างๆ จากพ่อแม่ก่อนเสมอ เด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นโดยคุ้นเคยกับการที่ใครบางคนบอกพวกเขาอยู่เสมอว่า “ พฤติกรรมที่ถูกต้องหรือที่ดี” มีลักษณะอย่างไร หากพวกเขาไม่ได้รับคำชม หรือปลอบใจจากคนที่บอกว่าพวกเขาทำในสิ่งที่ถูกต้อง พวกเขาอาจวิตกกังวลหรือรู้สึกหดหู่ และรู้สึกผิดหวังกับชีวิตและจมอยู่กับความรู้สึกผิดพลาดได้มากกว่าคนทั่วไป

                                6. จัดการกับปัญหาในชีวิตได้ไม่ดี
                                เมื่อเด็กได้รับการเลี้ยงดูในบ้านที่มีการปกป้องมากเกินไปพวกเขามักจะไม่สามารถจัดการกับปัญหาในชีวิตต่างๆ ได้เอง พวกเขาไม่เคยประสบกับสถานการณ์ยากลำบากในชีวิตหรือเจอปัญหาใดๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยเนื่องจากพ่อแม่ที่ปกป้องมากเกินไป ดังนั้นเมื่อพวกเขาอายุมากขึ้นและอาจต้องตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากที่ต้องใช้ทักษะในการแก้ปัญหา พวกเขาจะไม่สามารถทำได้ดีพอ เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเองมาก่อนในวัยเด็ก

                                7. ขาดทักษะจัดการกับความกลัว ทักษะทางสังคม และทักษะการเผชิญกับปัญหา 
                                เด็กที่มีพ่อแม่ที่มีการป้องกันมากเกินไปจะมีปัญหาด้านพัฒนาการที่สำคัญ เช่น ไม่สามารถจัดการกับความเครียด และขาดทักษะทางการเข้าสังคม  ตัวอย่างเช่นเด็กที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นในสนามเด็กเล่นเนื่องจากผู้ปกครองต้องการปกป้องเด็กจากการบาดเจ็บจะได้รับการป้องกันไม่ให้เรียนรู้เกี่ยวกับการรับความเสี่ยงในสนามเด็กเล่นและการกระแทกและฟกช้ำจากผลที่ตามมา เด็กคนนี้อาจเติบโตมาโดยมีความกลัวมากเกินไป ไม่สามารถเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ และอาจขาดทักษะในการเข้าสังคมที่เหมาะสม

                                8. ขาดภูมิคุ้มกันโรค
                                เด็กที่มีพ่อแม่ปกป้องมากเกินไปจนไม่ยอมให้สัมผัสกับเชื้อโรคอาจกลายเป็นเด็กที่มีระบบภูมิคุ้มโรคที่อ่อนแอ การสัมผัสกับเชื้อโรคในวัยเด็กเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงตามธรรมชาติ เมื่อพ่อแม่ฆ่าเชื้อทุกชนิดที่เด็กๆ อาจพบเจอ และไม่ยอมให้สัมผัสกับเชื้อโรค เช่น ไม่อนุญาตให้ไปสวนสัตว์ลูบคลำหรือเล่นในกระบะทรายเพราะมีเชื้อโรคในสถานที่เหล่านั้น อาจทำให้ความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันของเด็กๆทำงานได้ไม่ดี

                                9. เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ชอบควบคุมคนอื่น
                                เด็กที่ถูกเลี้ยงดูโดยคนที่ชอบควบคุมจะเรียนรู้พฤติกรรมนี้จากพ่อแม่ พ่อแม่เป็นแบบอย่างหลักของพฤติกรรมสำหรับบุตรหลานของตน หากเด็ก ๆ เห็นพ่อแม่ทำตัวราวกับว่าพวกเขาต้องมีอำนาจควบคุมผู้อื่นในทุกๆ สถานการณ์ตลอดเวลา พวกเขาก็จะเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตนในลักษณะเดียวกันนี้ได้เช่นกัน

                                ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะพัฒนาทักษะการเลี้ยงดูลูกที่เหมาะสม ในโลกนี้ไม่มีพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบ เราจึงสามารถปรับปรุงวิธีการเลี้ยงดูของเราได้ตลอดเวลา เราทุกคนต้องการให้ลูก ๆ ของเราประสบความสำเร็จมีความสุข มีความสามารถ  และสิ่งต่างๆไม่ได้เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน การเลี้ยงดูด้วยกระบวนการที่ต่อเนื่อง พยายามปลูกฝังสิ่งดีๆในทุกวัน จะช่วยให้ลูกมีชีวิตและเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ชีวิตของพวกเขาเอง

                                หากเราพยายามปกป้องพวกเขาทุกย่างก้าวก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้สัมผัสชีวิตอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นควรอนุญาตให้ลูกได้มีประสบการณ์ที่เหมาะสมกับวัย และอนุญาตให้เกิดความล้มเหลวบ้างเพื่อที่พวกเขาจะได้เรียนรู้วิธีจัดการกับสิ่งเหล่านั้นและเรียนรู้ที่จะทำให้ดีขึ้นได้เองในอนาคต ซึ่งเด็กจะเกิดทักษะความฉลาดด้วย Power BQ ในหลายด้านเลยค่ะ อาทิ ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ)  ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)  ความฉลาดในการคิดเป็น (TQ) เมื่อลูกมีทักษะความฉลาดด้านต่างๆ ที่หลากหลาย ก็ย่อมใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และมีโอกาสที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างที่ตั้งใจเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตค่ะ

                                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : lifehack.org

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                หมอแนะเทคนิค เลี้ยงลูกยังไงให้มี CQ ฉลาดคิดสร้างสรรค์

                                เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

                                7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  Abbott และ Shopee

                                  Abbott และ Shopee ร่วมกันฉลองวันโภชนาการโลก โดยสนับสนุนให้ครอบครัวคนไทยกินอย่างถูกวิธีเพื่อสุขภาพ

                                  ประเทศไทย, วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 — เนื่องในโอกาสวันโภชนาการโลกที่กำลังจะมาถึงนี้  Abbott ได้ร่วมมือกับ แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ (e-commerce) ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไต้หวันอย่าง Shopee โดยการร่วมมือกันครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาและเสริมสุขภาพให้ผู้บริโภคด้วยโภชนาการที่ดีและถูกต้อง ด้วยแคมเปญ โภชนาการสำหรับทุกคนในครอบครัว เป็นแคมเปญที่จะถูกโปรโมทไปทั่วภูมิภาคอาเซียนถึง 6 ประเทศด้วยกัน ซึ่งประเทศไทยจะเริ่มเปิดตัวแคมเปญนี้พร้อมกับ Shopee Super Brand Day ในเดือนพฤษภาคมนี้

                                  แคมเปญ โภชนาการสำหรับทุกคนในครอบครัว เล็งเห็นถึงความสำคัญและอยากให้ทุกคนในครอบครัวได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่โดยเริ่มต้นจากการมีโภชนาการที่ดี ในแคมเปญนี้ ทุกครอบครัวจะได้รับข้อมูลและได้มีโอกาสได้เรียนรู้จากนักโภชนาการรวมอีกทั้งมีโอกาสได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์โภชนาการที่มีผลงานวิจัยรับรองทางการแพทย์สำหรับทั้งผู้ใหญ่และเด็ก

                                  ในทุกวันนี้ ผู้บริโภคต่างก็เริ่มหันมาสนใจและให้ความสำคัญต่อสุขภาพ อีกทั้งใส่ใจต่ออาหารที่บริโภคและโภชนาการมากยิ่งขึ้น[[1]] คนไทยต่างก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น โดยเริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีการเลือกรับประทานอาหาร การพักผ่อนให้เพียงพอ และรวมถึงการไปตรวจสุขภาพอย่างเป็นประจำ จากผลการศึกษาด้านสุขภาพประจำปีของ Abbott เราพบว่าผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากยังเริ่มรับประทานอาหารเสริมเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย โดยใช้ช่องทางออนไลน์ในการหาข้อมูลเป็นหลัก

                                  ผู้คนจำนวนมากต่างเลือกซื้อผลิตภัณฑ์โภชนาการอย่างวิตามินและอาหารเสริมออนไลน์ ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องของหมวดหมู่สินค้าเกี่ยวกับสุขภาพบน Shopee และจำนวนความต้องการในผลิตภัณฑ์โภชนาการที่มีมากขึ้น จึงทำให้เกิดการร่วมมือระหว่าง Abbott และ  Shopee ที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยครอบครัวในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีโภชนาการครบถ้วนและเหมาะสมตามความต้องการของร่างกาย โดยในแคมเปญนี้ Abbott ได้นำแบรนด์อย่าง เอนชัวร์ กลูเซอนา  และพีเดียชัวร์  เข้าร่วมด้วยเช่นกัน สำหรับใครที่กำลังอ่านอยู่ก็สามารถตั้งตารอพบกับวิธีพัฒนาและปรับปรุงโภชนาการของตัวเองแบบง่ายๆและไม่เคยทราบมาก่อนได้ผ่านทางแพลตฟอร์ม Shopee กันเลย

                                  Dr. Jose Dimaano ผู้อำนวยการทางการแพทย์ระดับเอเชียแปซิฟิคจาก Abbott กล่าวว่า “โภชนาการที่เหมาะสมและถูกต้องคือรากฐานของการมีชีวิตที่ดีที่สุดของทุกคน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ Abbott พยายามอย่างหนักที่จะทำให้ทุกคนในภูมิภาคอาเซียนแข็งแรงมากขึ้นโดยนำเสนอพลังของโภชนศาสตร์เพราะเราเชื่อว่าการได้รับโภชนาการที่ดี มีส่วนช่วยให้ทุกช่วงวัยของผู้บริโภคมีคุณภาพชีวิตที่ดีเช่นกัน โดยการร่วมมือกับ Shopee ในครั้งนี้ จะสามารถทำให้ทุกครอบครัวได้มีโอกาสเข้าถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่เปี่ยมไปด้วยสารอาหารและโภชนาการที่ครบถ้วน อีกทั้งยังมีข้อมูลและเกร็ดความรู้ของการเลือกผลิตภัณฑ์อาหารนานาชนิดที่จะทำให้เราสามารถมีสุขภาพดีได้อีกด้วย”

                                  Ian Ho กรรมการผู้จัดการส่วนภูมิภาคของ  Shopee ได้กล่าวว่า “เมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ  มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับที่ผู้บริโภคจะได้เข้าถึงข้อมูลที่สามารถเชื่อถือได้ ด้วยเหตุนี้ทางเราจึงยินดีเป็นอย่างมากที่จะร่วมมือกับ Abbott แบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากทั่วโลกในแคมเปญนี้ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับโภชนาการในรูปแบบที่สนุกสนานและมีการพูดคุยกัน เราจึงอยากเชิญชวนให้ทุกคนให้เข้ามาร่วมเรียนรู้เกี่ยวกับเคล็ดลับด้านโภชนาการตามหลักวิทยาศาสตร์ และมาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์โภชนาการคุณภาพสูงของแอ๊บบอตใน Super Brand Day นี้”

                                  โดยเริ่มต้นวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ที่จะถึงนี้ เหล่านักช้อปเตรียมพบกับข้อมูลสุดพิเศษดังต่อไปนี้ :

                                  • เคล็ดลับโภชนาการ: โภชนาการที่ดีคือหัวใจของภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ผู้บริโภคสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโภชนาการและสารอาหารต่างๆ ที่จะสามารถช่วยเสริมทำให้ร่างกายเราแข็งแร็งได้บนเฟสบุค Abbott Nutrition Care
                                  • ช็อปปิ้งไกด์ : โภชนาการที่ดีเริ่มต้นด้วยการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด สินค้าและผลิตภัณฑ์ของ Abbott บนแพลตฟอร์ม Shopee ได้รวบรวมคุณประโยชน์ด้านโภชนาการของผลิตภัณฑ์ไว้อย่างละเอียด เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาการเฉพาะทางที่เหมาะสมตามความต้องการของร่างกาย

                                  พบกับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญ โภชนาการสำหรับทุกคนในครอบครัว จาก Abbott ได้ที่ https://bit.ly/2Rco5rQ และ คลิกที่นี่ เพื่อช้อปบน Shopee.

                                   

                                    SK-II STUDIO

                                    SK-II STUDIO กลับมาพร้อมกับ ‘VS’ ซีรี่ย์แอนิเมชั่นที่มีจุดมุ่งหมายอันยิ่งใหญ่ และการร่วมงานนักกีฬาโอลิมปิกเพื่อเอาชนะ “ไคจู” ที่เป็นภัยต่อสังคม

                                    <1 พฤษภาคม 2564> การรวบรวมแอนิเมชั่น ไลฟ์แอคชั่น และการเล่าเรื่องราว เพื่อให้สอดคล้องกับจุดประสงค์สำคัญของ SK-II แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับโลก ที่กลับมาพร้อม SK-II STUDIO ภาคต่อไปอย่าง ‘VS’ ซีรีย์แอนิเมชั่นสุดแหวกแนวที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้หญิงทุกคน ว่าพวกเธอเหล่านั้นมีพลังในการเปลี่ยนโชคชะตา #CHANGEDESTINY

                                    SK-II STUDIO
                                    รับชม Trailer ที่นี่

                                    ‘VS’ ซีรี่ย์ โดย SK-II STUDIO นำเสนอแอนิเมชั่น 6 เรื่องราวจากประสบการณ์จริงของ 6 นักกีฬาโอลิมปิก อย่าง
                                    ซิโมน ไบลส์ ยอดนักยิมนาสติกระดับโลก, หลิว เซียง นักว่ายน้ำเจ้าของสถิติโลก, คาซูมิ อิชิคาวะ นักเทเบิลเทนนิสหญิง
                                    ผู้ชนะเหรียญโอลิมปิกถึงสองครั้ง, อายากะ ทาคาฮาชิ และ มิซากิ มัทสึโทโมะ คู่หูแบดมินตันผู้ชนะเหรียญโอลิมปิก, มาฮินะ มาเอดะ นักโต้คลื่น, และ ฮิโนโทริ นิปปอน[1] ทีมนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติญี่ปุ่น พวกเขาได้ออกค้นหาความหมายของการเลือกเส้นทางและกำหนดชะตาชีวิตด้วยตัวเอง รวมถึงการเผชิญหน้าและเอาชนะจากความกดดันทางสังคมที่กำหนดว่าพวกเขาควรมีรูปลักษณ์ ปฏิบัติตัว และการควบคุมความรู้สึกอย่างไรที่จะทำให้พวกเขาดูสมบูรณ์แบบ

                                    SK-II STUDIO

                                    [1] “VS ขีดจำกัด” โดย SK-II STUDIO ถูกถ่ายทำในปี  2019 ร่วมกับทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติจากประเทศญี่ปุ่น ฮิโนโทริ นิปปอน ในปี 2019 เหล่านักกีฬาในแอนิเมชั่นนี้ได้ร่วมแชร์ปรัชญา #CHANGEDESTINY ของ SK-II ผ่านเรื่องราวจากชีวิตจริงที่พวกเธอที่บ่อยครั้งที่ต้องพบเจอกับความกดดันและคำวิจารณ์ อีกทั้งต้องเผชิญและประสบการณ์ที่ทำให้โชคชะตาของพวกเธอเปลี่ยนไป เรื่องราวของทีมฮิโนโทริ นิปปอนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือส่งผลต่อการคัดเลือกนักกีฬาใน Olympic Games Tokyo 2020

                                    ในแต่ละตอนของ ‘VS’  ซีรีย์โดย SK-II STUDIO จะบอกเล่าแง่มุมต่างๆ ของแรงกดดันจากสังคมที่ผู้หญิงต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น  การเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์จากพวกก่อกวน ความกดดัน การยึดติดกับภาพลักษณ์ การอยู่ใต้กฏเกณฑ์ ข้อจำกัด และวิธีคิดที่จะต้องสมบูรณ์แบบเหมือนเครื่องจักร ซึ่งจะบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้โดยใช้ “ไคจู” หรือที่แปลเป็นภาษาไทยว่าสัปปะหลาดร้าย เป็นตัวแทนเปรียบเสมือนปีศาจที่นักกีฬาทั้ง 6 คน ต้องเผชิญหน้าและต่อสู้กับมันเพื่อไล่ตามความฝันและชะตาชีวิตที่ตนกำหนด

                                    การผสมผสานระหว่างแอนิเมชั่นและไลฟ์แอคชั่นของ ‘VS’ ซีรีย์ ครอบคลุมความหลากหลายประเภทของชนิดภาพยนตร์ อาทิ sci-fi แฟนตาซี แอคชั่น และกีฬา แต่ละตอนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีโลกจักรวาลกับสไตล์ในแบบของตัวเอง ผ่านการนำเสนอผลงานจากสตูดิโอแอนิเมชั่นชื่อดังที่ได้รับรางวัลอย่าง Imaginary Forces, Passion Pictures, Platige Imageและ C3 พร้อมเพลงต้นฉบับจากนักร้องนักแต่งเพลง อย่าง จอห์น เลเจนด์ (John Legend) และ เล็กซี่ หลิว (Lexie Liu)

                                    ซึ่ง VS’ ซีรี่ย์จะถูกปล่อยออกมาให้รับชมทั่วโลกพร้อมกันในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ด้วยการเปิดตัวในรอบปฐมทัศน์ที่มณฑลไห่หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับการเปิดตัวพ็อพอัพสตอร์ ในศูนย์การค้าปลอดภาษีไห่ถังของซานย่า (Sanya’s Haitang Bay Duty Free) และไหโข่ว โดยร่วมมือกับไชน่า ดิวตี้ ฟรี กรุ๊ป

                                    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ SK-II ได้หยิบแนวความคิดที่แบบใหม่ที่ยังไม่ได้มีใครนำมาใช้เป็นที่แพร่หลายนักมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหนังออกมา หลังจากเปิดตัวภาพยนตร์สั้นเรื่อง The Center Lane ที่ได้ผู้กำกับมากฝีมือเจ้าของหลากหลายรางวัลอย่าง ฮิโรคาสุ โคเรเอดะ มานำเสนอเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากมายของนักว่ายน้ำ ริคาโกะ อิเคเอะ ที่กลับคืนสู่การแข่งขันว่ายน้ำอีกครั้งหลังจากรักษาตัวหายจากมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับโลกได้เปิดตัวสตูดิโอผลิตภาพยนตร์และเริ่มต้นเส้นทางในด้านอุตสาหกรรมบันเทิงเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของแคมเปญ #CHANGEDESTINY ที่มุ่งเน้นในการนำเสนอเรื่องราวผ่านภาพยนตร์และแอนิเมชั่นหลากหลายรูปแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและไม่เคยคาดถึง

                                    นอกจากนี้ SK-II จะจัดตั้งกองทุน #CHANGEDESTINY โดยบริจาคเงิน 1 เหรียญสหรัฐสำหรับทุกการชมที่ได้รับจากภาพยนตร์แต่ละเรื่องของ SK-II STUDIO เพื่อสนับสนุนผู้หญิงให้กำหนดโชคชะตาของตัวเองสู่การสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจุดมุ่งหมายของแบรนด์ในปีนี้ เงินบริจาคทั้งหมดในกองทุน #CHANGEDESTINY จะถูกจำกัดไว้ที่ 500,000 เหรียญสหรัฐ โดยองค์กรที่เข้าร่วมจะได้รับการประกาศชื่อในภายหลัง

                                    “#CHANGEDESTINY คือหัวใจสำคัญของจุดมุ่งหมายของแบรนด์ SK-II ของเรา ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราได้เฉลิมฉลอง
                                    การที่โชคชะตาไม่ใช่เรื่องความบังเอิญแต่มาจากการตัดสินใจเลือก ผ่านเรื่องราวของผู้หญิงที่กล้าหาญทั่วโลก ในปีนี้เราต้องการต่อยอดและเสริมสร้างความมุ่งมั่นที่มีต่อจุดมุ่งหมายของแบรนด์ของเรา
                                    ” Sandeep Seth หัวหน้าคณะผู้บริหาร SK-II Global กล่าว “เราได้ทราบจากการสนทนากับผู้บริโภคของเราว่า ยังมีปัญหาที่ใหญ่กว่าเรื่องผิวพรรณและความงามที่พวกเขากังวล นอกจากนี้เรายังทราบว่าจากการแพร่ระบาดของโรคทำให้ผู้บริโภคมีความคาดหวังต่อแบรนด์และธุรกิจสูงขึ้น ด้วยการเปิดตัวภาพยนตร์ SK-II STUDIO เราเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ #CHANGEDESTINY ของ SK-II เราหวังว่าภาพยนตร์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้หญิงทั่วโลกมีความกล้าที่จะกำหนดโชคชะตาด้วยมือของพวกเธอเองและเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเราทั้งแบรนด์และธุรกิจ ร่วมกันสร้างพลังแห่งความดีและการเติบโตเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกและมีความหมาย

                                    เกี่ยวกับ SK-II

                                    เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วที่เอสเค-ทูได้เข้าถึงชีวิตของผู้หญิงทั่วโลกผ่านการมีผิวกระจ่างใสและชีวิตที่เราเป็นผู้กำหนดได้เอง เรื่องราวเบื้องหลังของเอสเค-ทูเริ่มต้นขึ้นหลังจากการสังเกตเห็นคนงานสูงวัยที่ทำงานในโรงบ่มสาเกในประเทศญี่ปุ่น มีใบหน้าที่มีริ้วรอย แต่กลับมีมือที่ดูอ่อนเยาว์และนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาได้ค้นพบสาเหตุว่าเป็นเพราะมือของคนงานเหล่านั้นสัมผัสโดยตรงกับการหมักบ่มสาเกเป็นเวลาสม่ำเสมอ และได้นำมาศึกษาวิจัยเป็นเวลาหลายปีจนได้ส่วนผสมมหัศจรรย์อย่าง พิเทร่า™ ของเหลวชีวภาพทางธรรมชาติจากกระบวนการหมักบ่มยีสต์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา พิเทร่า™ ก็กลายเป็นความลับพิเศษสู่ผิวกระจ่างใสสำหรับดาราทั่วโลกดังเช่น ทัง เหว่ย (Tang Wei), นี นี่ (Ni Ni), ชุน เชีย (Chun Xia), ฮารูกะ อายาเซะ (Haruka Ayase), คาซูมิ อาริมูระ (Kasumi Arimura), นาโอมิ วาตานาเบ้ (Naomi Watanabe) และ โคลอี เกรซ มอเรทซ์ (Chloe Grace Moretz) ติดตามทุก ๆ อัพเดทและข้อมูลของเอสเค-ทูได้ที่ https://www.sk-ii.co.th/

                                     

                                    เกี่ยวกับ #CHANGEDESTINY

                                    แคมเปญ #CHANGEDESTINY คือ หัวใจหลักของปรัชญาแห่งความงามของ SK-II ที่ต้องการจะทำให้เห็นว่า โชคชะตาไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นทางเดินที่เราสามารถเลือกได้เอง แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของผู้หญิงทั่วโลกผ่านแคมเปญ #CHANGEDESTINY ได้เผยให้เห็นถึงแรงกดดันและ “กรอบ” ที่ผู้หญิงถูกครอบไว้เพื่อความสมบูรณ์แบบในสายตาของผู้คนในสังคม โดยผลงานจากแคมเปญ #CHANGEDESTINY ที่กวาดรางวัลมาแล้ว ได้แก่ “Marriage Market Takeover” ในปี 2559 ซึ่งได้ประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับกระแส “ผู้หญิงที่เหลืออยู่” หรือ “ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงาน” ของประเทศจีน นอกจากนี้ ผลงานชิ้นอื่นที่ได้รับรางวัลยังมี “The Expiry Date” ในปี 2560 “Meet Me Halfwayในปี 2561 และ “Timelines” ในปี 2562 ซึ่งเป็นซีรีส์เชิงสารคดีที่ได้ร่วมมือกับผู้ประกาศข่าวชื่อดังอย่าง เคธี่ คูริก ถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับแรงกดดันจากการแต่งงานและความคาดหวังของสังคมที่ผู้หญิงทั่วโลกต้องเผชิญ