Page 115 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกชอบฝันร้าย

ลูกชอบฝันร้าย ตื่นแล้วร้องไห้ไม่หยุด พ่อแม่ควรรับมือยังไง?

ลูกชอบฝันร้าย – แม้แต่เด็กวัยเตาะแตะก็อาจพูดถึงความฝัน ทั้งเรื่องที่สนุก และน่ากลัว เด็กเกือบทุกคนมีความฝันที่น่ากลัวหรือน่าผิดหวังเป็นครั้งคราว แต่ฝันร้ายสำหรับเด็กๆ อาจจะรุนแรงขึ้นในช่วงวัยเรียนก่อนวัยเรียนที่ความกลัวความมืดเป็นเรื่องปกติ ฝันร้ายอาจไม่สามารถป้องกันได้ แต่ผู้ปกครองสามารถจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการพักผ่อนในยามค่ำคืนอย่างสงบสุขได้ ด้วยวิธีนี้ เมื่อฝันร้ายคืบคลานเข้ามา ความสบายใจเล็กน้อยจากคุณจะช่วยให้จิตใจของลูกสงบลงได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้ว เด็กอายุ 3-6 ปี ประมาณ 10% -50% มักมีประสบการณ์ฝันร้ายที่ดูเหมือนจริงจนน่าสะพรึง เป็นเหตุให้เด็กๆ เกิดความกลัว นอนหลับตาร้องไห้ แม้ในขณะตื่นแล้วก็ยังคงร้องไห้ ขวัญเสียไม่หยุด จนพ่อแม่ต้องอุ้มปลอบกันเป็นการใหญ่ สำหรับพ่อแม่ เราจะทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อช่วยให้ลูกหยุดฝันร้ายได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณรับมือและลดความเสี่ยงที่ทำให้ลูกนอนฝันร้ายได้ค่ะ

ลูกชอบฝันร้าย ตื่นแล้วร้องไห้ไม่หยุด พ่อแม่ควรรับมือยังไง?

ฝันร้ายในเด็กคืออะไร?

ฝันร้ายเป็นความฝันที่อาจทำให้เด็ก ๆ ตื่นขึ้นมารู้สึกตกใจกลัวและเสียใจ

เป็นเรื่องปกติที่เด็ก ๆ จะฝันร้ายได้เกี่ยวกับ:

  • อันตรายที่เหมือนเกิดขึ้นจริง เช่น โดนสุนัขวิ่งไล่กัด
  • ฝันเห็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ในจินตนาการ เช่น แมงมุมยักษ์
  • เหตุการณ์จริงต่างๆ ที่น่ากลัวที่พวกเขาเคยเห็นหรือประสบมา

บางครั้งเด็ก ๆ สามารถบอกเราเกี่ยวกับฝันร้ายที่เกิดขึ้นโดยละเอียดได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถทางภาษาของพวกเขา ฝันร้ายมักจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคืน เมื่อลูกของคุณกำลังนอนหลับสนิท หากฝันร้ายแล้วเด็กที่อายุน้อยบางคนอาจรู้สึกว่าการกลับไปนอนหลับต่อได้อีกครั้งหลังจากฝันร้ายเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา ฝันร้ายพบได้บ่อยในเด็กทุกวัย แต่จริงๆ แล้วมักพบได้บ่อยกว่าเมื่อเด็กอายุประมาณ 10 ปี

ฝันร้ายเกิดขึ้นเมื่อใด

ฝันร้ายเหมือนความฝันส่วนใหญ่ โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นในช่วงของการนอนหลับที่สมองทำงานหนักและกำลังหลับลึก (REM Sleep) ภาพที่สดใสที่สมองกำลังประมวลผลอาจดูเหมือนจริง การนอนหลับส่วนนี้เรียกว่าเป็นช่วงของการเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างรวดเร็วเนื่องจากดวงตามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายใต้เปลือกตาที่กำลังปิด ฝันร้ายมักจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของการนอนหลับเมื่อช่วง REM Sleep นานขึ้น

เมื่อเด็ก ๆ ตื่นจากฝันร้ายภาพที่เห็นในความฝันจะยังคงสดใหม่และดูเหมือนจริง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกกลัวและเสียใจและมองหาผู้ปกครองเพื่อให้ช่วยปลอบโยน

แต่เมื่อถึงวัยอนุบาล 3 – 4 ขวบ เด็ก ๆ จะเริ่มเข้าใจได้ดีขึ้นว่าฝันร้ายที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริงและไม่สามารถทำร้ายพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้ป้องกันไม่ให้พวกเขารู้สึกกลัว แม้แต่เด็กโตก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อต้องตื่นจากฝันร้าย

ลูกชอบฝันร้าย
ลูกชอบฝันร้าย

สาเหตุของการฝันร้ายในเด็ก

ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุของฝันร้าย ความฝันและฝันร้ายอาจเกิดได้จากความคิดและความรู้สึกเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เผชิญอยู่ ซึ่งสมองของเด็กๆ มีการประมวลผลเพื่อจัดการกับความวิตกกังวลเหล่านั้นดังนั้นฝันร้ายอาจเกิดขึ้นได้เมื่อเด็กมีความเครียดหรือกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นคง เช่น การย้ายบ้าน การเข้าโรงเรียนใหม่ การเกิดของพี่น้อง หรือความตึงเครียดในครอบครัวอาจสะท้อนให้เห็นในความฝัน

บางครั้งฝันร้ายเป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาของเด็กต่อการบาดเจ็บ เช่น ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บทางร่างกายต่างๆ  สำหรับเด็กบางคนโดยเฉพาะผู้ที่มีจินตนาการที่ดีการอ่านหนังสือที่น่ากลัวหรือดูภาพยนตร์หรือรายการทีวีที่น่ากลัวก่อนนอนสามารถสร้างฝันร้ายที่เป็นเรื่องเป็นราวได้ เด็กอาจจะจำทุกรายละเอียดไม่ได้ แต่โดยปกติจะจำภาพตัวละครหรือสถานการณ์และส่วนที่น่ากลัวได้บางส่วน

วิธีช่วยให้ลูกนอนหลับสบาย

ความจริงแล้วพ่อแม่อาจไม่สามารถป้องกันฝันร้ายให้ลูกได้ 100% แต่สามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจทำให้ลูกฝันร้ายได้ดังนี้

เพื่อช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายเมื่อถึงเวลานอนควรแน่ใจว่าเด็ก ๆ :

  • ฝึกให้ลูกเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา
  • สร้างกิจวัตรการนอนหลับที่ช่วยให้พวกเขาผ่อนคลาย และรู้สึกปลอดภัยเมื่อเข้านอน ซึ่งอาจรวมถึงการอาบน้ำ การกอดกับพ่อแม่ การอ่านหนังสือ หรือการพูดคุยอย่างเงียบ ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่น่ายินดีในวันนั้น
  • จัดสภาพแวดล้อมในการนอนที่สะดวกสบายและเงียบสงบ หากลูกมีตุ๊กตาตัวโปรด อย่าลืมวางเอาไว้ใกล้ๆ กับลูกหรือให้ลูกได้จับได้กอดก่อนนอน
  • หลีกเลี่ยงภาพยนตร์ รายการทีวี คลิปมือถือ ที่มีเนื้อหาน่ากลัวสยดสยองก่อนนอน

กลยุทธ์ฝึกลูกให้เอาชนะความกลัวในยามค่ำคืน 

ความกลัวความมืด สัตว์ประหลาดในตู้เสื้อผ้า หรือเพียงแค่กังวลเรื่องการเข้านอน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติในเด็กเล็ก วิธีที่คุณในฐานะพ่อแม่หรือผู้ดูแลจัดการกับความกลัวและให้ความมั่นใจกับลูกของคุณจะส่งผลต่อความสามารถในการงีบหลับได้อย่างสบาย

เคล็ดลับบางประการที่จะช่วยให้ลูกของคุณเอาชนะความกลัวในตอนกลางคืน :

  • ลูกของคุณกลัวอะไร? เริ่มต้นด้วยการระบุความกลัว ฟังลูกของคุณ ถามคำถามปลายเปิดที่ช่วยให้พวกเขาบอกคุณถึงสิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวเวลานอน อย่าล้อเล่นกับความกลัวของลูก สิ่งที่อาจดูตลกหรือไร้สาระสำหรับคุณคือเรื่องจริงสำหรับลูกของคุณ
  • สร้างความมั่นใจในตนเองและทักษะการเผชิญปัญหาให้ลูก เช่น ในช่วงเวลากลางวัน ให้ลูกทำกิจกรรมที่ช่วยสร้างความมั่นใจในตนเอง ตัวอย่างเช่น ให้ลูกของคุณพูดคุยเกี่ยวกับความกลัวและประสบการณ์ก่อนนอน คุณอาจสามารถพูดคุยถึงวิธีอื่นในการตอบสนองต่อความกลัวเหล่านี้หรือรับมือกับความกลัวที่อาจช่วยให้ลูกของคุณรู้สึกกลัวน้อยลงในตอนกลางคืน
    อย่าลืมให้รางวัลหากลูกสามารถเอาชนะความกลัวได้สำเร็จ อาจจะเป็น อาหารเช้าอร่อยๆ ของเล่นชิ้นเล็กๆ หรือรางวัลพิเศษอื่น ๆ อย่าลืมสนับสนุนให้ลูกของคุณพูดคุยเกี่ยวกับความกลัวกับคุณในเวลากลางวัน

ลูกชอบฝันร้าย

วิธีรับมือเมื่อลูกตื่นหลังจากฝันร้าย

ต่อไปนี้คือวิธีช่วยให้บุตรหลานของคุณรับมือกับฝันร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้น :

  • สร้างความมั่นใจให้ลูกของคุณว่าคุณอยู่ที่นั่น ความสงบจะช่วยให้ลูกของคุณรู้สึกปลอดภัยและได้รับการปกป้องหลังจากตื่นนอนด้วยความรู้สึกกลัว การรู้ว่าคุณจะอยู่ที่นั่นจะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกปลอดภัยของบุตรหลาน
  • อธิบายให้ลูกฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ให้ลูกของคุณรู้ว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายและตอนนี้มันจบลงแล้ว คุณอาจพูดว่า “ลูกฝันร้าย แต่ตอนนี้ลูกตื่นแล้วและทุกอย่างเรียบร้อยดี” สร้างความมั่นใจให้ลูกว่าสิ่งน่ากลัวในฝันร้ายไม่ได้เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง
  • ให้ความสบายใจ โดยแสดงว่าคุณเข้าใจว่าลูกของคุณรู้สึกกลัวและปลอบว่าไม่เป็นไร อธิบายให้ลูกฟังว่าทุกคนก็นอนฝันได้ บางครั้งความฝันอาจน่ากลัว สะเทือนใจ และอาจดูเหมือนจริงมาก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะลูกจะรู้สึกกลัว
  • ใช้แสงไฟช่วย ไฟกลางคืนหรือไฟหัวเตียงจะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยในห้องที่มืดมิด เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะกลับไปนอนอีกครั้ง
  • ช่วยให้ลูกของคุณกลับไปนอน การเสนอสิ่งที่ปลอบโยนอาจช่วยเปลี่ยนอารมณ์ได้ ลองใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนกลับไปนอนหลับ เช่น ตุ๊กตาสัตว์ตัวโปรดให้ลูกถือ ตาข่ายดักฝัน หรือเพลงเบาๆ หรือพูดคุยถึงความฝันอันน่ารื่นรมย์ที่ลูกของคุณอยากจะมี และอาจส่งลูกให้กลับเข้านอนด้วยการหอมและจูบลูก

สำหรับเด็กส่วนใหญ่ ฝันร้ายเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เกิดความกังวล และต้องการการปลอบโยนและความมั่นใจจากผู้ปกครอง พูดคุยกับแพทย์ของคุณหากฝันร้ายมักจะป้องกันไม่ให้บุตรหลานของคุณนอนหลับเพียงพอหรือหากเกิดขึ้นพร้อมกับปัญหาทางอารมณ์หรือพฤติกรรมอื่น ๆ

ปรึกษาแพทย์หากฝันร้ายส่งผลเสียต่อลูก และคุณรู้สึกกังวัล

คุณสามารถพิจารณาโทรปึกษาแพทย์ได้ถ้าหาก :

  • ความกลัวและความวิตกกังวลก่อนนอนของบุตรของท่านยังคงดำเนินต่อไป รุนแรงหรือแย่ลง
  • ความกลัวของบุตรหลานของคุณเริ่มต้นหลังจากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจหลังจากเหตุการณ์จบลง
  • ความกลัวของบุตรหลานของคุณขัดจังหวะกิจกรรมในเวลากลางวัน

บางครั้งฝันร้ายของลูกอาจเป็นเรื่องที่น่าวิตกได้มากหากเกิดขึ้นซ้ำซาก หรืออาจเกี่ยวข้องกับปัญหาทางจิต ในกรณีเช่นนี้ เทคนิคการรักษาทางจิตวิทยา เช่น กลยุทธ์การผ่อนคลายอาจใช้ได้  หรือสำหรับเด็กโต การฝึกจินตภาพในฝันอาจช่วยแก้ไขเรื่องการฝันร้ายได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : my.clevelandclinic.org , kidshealth.org

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เพราะเหตุใด ลูกถึงฝันร้ายบ่อยๆ

พร้อมไหม ให้ลูกนอนคนเดียว ฝึกลูกให้นอนเองได้ ตอนไหนดี

วิจัยชี้!! ลูก นอนกลางวัน ช่วยให้ความจำดี เรียนรู้เร็ว!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    ประโยชน์ของดนตรี

    พ่อแม่อย่ามองข้าม! 10 ประโยชน์ของดนตรี ที่ดีต่อลูก

    ประโยชน์ของดนตรี ที่ดีต่อสุขภาพจิต เป็นที่กล่าวขานมานานหลายพันปี นักปรัชญาโบราณตั้งแต่เพลโตจนถึงขงจื๊อ และกษัตริย์แห่งอิสราเอลร้องเพลงสรรเสริญและใช้เพลงเพื่อช่วยบรรเทาความเครียด วงดนตรีทหารใช้ดนตรีเพื่อสร้างความมั่นใจ และความกล้าหาญ การแข่งขันกีฬามีเสียงเพลงเพื่อปลุกความกระตือรือร้น เด็กนักเรียนใช้เพลงเพื่อจดจำการท่อง ABC ห้างสรรพสินค้าเปิดเพลงเพื่อดึงดูดลูกค้า หรือแม้แต่ทันตแพทย์ก็มักเปิดเพลงหรือฮัมเพลงในขณะถอนฟันเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสงบ ซึ่งการวิจัยสมัยใหม่หลายชิ้นก็ยังสนับสนุนภูมิปัญญาดั้งเดิมว่าดนตรีมีประโยชน์ต่ออารมณ์และความมั่นใจ

    ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน คนเราจึงพัฒนารสนิยมและความชอบทางดนตรีได้แตกต่างกัน แม้จะมีความแตกต่างเหล่านี้ แต่ก็มีการตอบสนองต่อดนตรีเช่นเดียวกัน เช่น  ทารกชอบเพลงกล่อมเด็ก การร้องเพลงของแม่คือสิ่งที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษสำหรับทารก โดยที่แม่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักร้องระดับดีว่า! วันนี้เรามาดูว่า ประโยชน์ของดนตรีที่ดีกับลูก

    พ่อแม่อย่ามองข้าม! 10 ประโยชน์ของดนตรี ที่ดีต่อลูก

    1. ดนตรีกับความสนใจและการเรียนรู้

    เด็กทุกคนที่ได้เรียนรู้การท่อง ABC จะรู้ว่ามันง่ายกว่าที่จะจดจำหากใช้เพลงเข้ามาช่วย การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนประสบการณ์ทั่วไปที่ว่าการจับคู่ดนตรีกับจังหวะและระดับเสียงช่วยเพิ่มการเรียนรู้และการจดจำ ดนตรีช่วยเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาด้านความสนใจได้หลายวิธี ประการแรก สามารถใช้เป็นรางวัลสำหรับพฤติกรรมที่ต้องการได้ ตัวอย่างเช่น ให้ลูกทำการบ้านเป็นเวลา 10 นาที เพื่อโอกาสในการได้ฟังเพลงเป็นเวลา 5 นาที ประการที่สองสามารถใช้เพื่อช่วยเพิ่มความสนใจให้กับงานวิชาการที่ “น่าเบื่อ” เช่น การท่องจำการใช้เสียงเพลง จังหวะ และการเต้นรำ หรือการเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มความน่าสนใจของการเรียน ประการที่สาม ดนตรีสามารถใช้เพื่อช่วยในการจัดกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป เช่น  เพลงแนวหนึ่งเหมาะสำหรับกิจกรรม เช่น การเรียน  เพลงอีกแนวหนึ่งเหมาะสำหรับกิจกรรมอื่นๆ  เช่น การรับประทานอาหาร หรือเพลงที่เหมาะจะเปิดฟังก่อนเข้านอน นอกจากนี้ดนตรีที่สงบเงียบฟังสบาย สามารถส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีทางสังคม และลดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นได้

    การผสมผสานดนตรีในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะทางปัญญาบางอย่าง เช่น ความจำ สมาธิการเอาใจใส่ และการคิด เมื่อรวมกับการเคลื่อนไหวและการเต้นรำดนตรีเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ สร้างความสัมพันธ์เชิงพื้นที่จดจำท่าเต้นได้สำเร็จ คิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไห วและการร้องเพลงไปพร้อม ๆ กันซึ่งช่วยในการพัฒนาสมองโดยรวม

    2. ดนตรีกับภาษาและการรู้หนังสือ

    การร้องเพลงและการฟังเพลงสามารถเพิ่มทักษะการฟังการพูดการเขียนและการอ่านให้แก่เด็กๆ  เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ทำได้ง่าย แต่มีประโยชน์มากมาย ในช่วงแรกของการเรียนรู้ด้านภาษาของเด็ก เพลงที่ติดหู จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจมากขึ้นในการพูดและใช้ภาษาได้เร็วและเหมาะสม และยังช่วยในการพัฒนาการจดจำโครงสร้างวลี และความเข้าใจรูปแบบภาษา นอกจากนี้กระบวนการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เพลงจะถูกใช้เป็นประจำเพื่อช่วยให้เด็กจดจำคำศัพท์ ตลอดจนสำนวนภาษาทั่วไป และอื่น ๆ ได้

    ประโยชน์ของดนตรี
    ประโยชน์ของดนตรี

    3. ดนตรีและความวิตกกังวล

    หลายคนพบว่าเพลงที่คุ้นเคยเป็นเพลงปลอบโยนและสงบเงียบ ในความเป็นจริงดนตรีมีประสิทธิภาพมากในการลดความวิตกกังวล ซึ่งเสียงดนตรีจะช่วยลดความวิตกกังวลในผู้สูงอายุ คุณแม่มือใหม่ และเด็ก ได้เช่นกัน ดนตรีที่ผ่อนคลายทุกประเภท สามารถช่วยให้อารมณ์ของมนุษย์สงบลงได้ ดนตรีที่สงบสามารถใช้ร่วมกับการบำบัดเพื่อลดความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการบำบัดแบบเดิมเพียงอย่างเดียว การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่า ดนตรีที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เช่น ดนตรีที่มีโทนเสียงแบบ binaural beats (เสียงที่มีมีความถี่แตกต่างกัน ฟังแล้วเกิดการประสานหรือ synchronize ในสมอง) ทำให้คลื่นสมองเข้าสู่คลื่นเดลต้าหรือคลื่นทีต้าที่ผ่อนคลายได้ ช่วยให้อาการของผู้ป่วยวิตกกังวลดีขึ้นได้มากกว่าดนตรีที่ไม่มีโทนเสียงเหล่านี้

    4. ดนตรีและอารมณ์

    การวิเคราะห์งานวิจัย 5 เรื่องเกี่ยวกับดนตรีสำหรับภาวะซึมเศร้า สรุปได้ว่าดนตรีบำบัดไม่เพียง แต่เป็นที่ยอมรับสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ดนตรีได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง แผลไฟไหม้ และโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม  หากสามารถช่วยในสถานการณ์เหล่านี้ได้ก็อาจช่วยให้เด็กๆ มีอารมณ์เชิงบวกมากขึ้นได้

    5. ดนตรีและการนอนหลับ

    หลายคนฟังเพลงที่ช่วยให้หลับสบาย แนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนโดยการศึกษาในหลากหลายรูปแบบ อย่าพยายามฟังเพลงเต้นรำที่คึกคักหรือเร้าใจก่อนที่คุณจะตั้งใจจะให้เด็กๆ นอนหลับ ในทางกลับกันหากพยายามให้ลูกตื่นนอนในตอนเช้าให้เลือกเพลงจังหวะเร็วๆ เร้าใจ แทนเพลงกล่อมเด็ก!

    6. ดนตรีและความเครียด

    เป็นที่ทราบกันดีว่าดนตรีบางประเภทสามารถช่วยบรรเทาความเครียดได้ เพลงบรรเลงที่สงบเงียบ สามารถลดความหงุดหงิดและส่งเสริมความสงบในบ้านพักคนชราที่มีภาวะสมองเสื่อมได้ และช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด ในทางกลับกันพ่อแม่ของเด็กวัยเตาะแตะ หรือวัยรุ่นทุกคน รู้ดีว่าดนตรีบางประเภท เช่น ดนตรีร็อค สามารถกระตุ้นให้เกิดความเครียดได้ การรู้ว่าดนตรีบางประเภทสามารถบรรเทาความเครียดได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง การมีสติในการเลือกเพลงที่จะฟังก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นแค่เลือกอย่างระมัดระวังเหมือนกับการเลือกอาหารและเพื่อนของคุณ

    7. ทักษะทางดนตรีและการเข้าสังคม

    “ ดนตรีเชื่อมโยงผู้คน”  เด็ก ๆ ชอบเต้นรำร้องเพลง พวกเขาชอบพูดซ้ำทำซ้ำในสิ่งที่ได้ยินและเห็น และมักจะชอบแบ่งปันกับคนอื่น ๆ ดนตรีช่วยพัฒนาทักษะการพูด และการเคลื่อนไหวของเด็ก ทำให้พวกเขามีความมั่นใจและมีพลังในการสำรวจโลกรอบตัว และแบ่งปันประสบการณ์กับผู้อื่น หากเด็กกำลังมีปัญหาเรื่องความขี้อาย หรือการปรับตัวเข้าสังคม การเรียนรู้ที่จะเล่นเครื่องดนตรีหรือร้องเพลงอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับความวิตกกังวลความเครียดหรือความโดดเดี่ยวทางสังคม การเป็นนักดนตรีอาจช่วยในการเอาชนะความกลัวบนเวที เพราะจะได้เรียนรู้วิธีที่จะอยู่ในสปอตไลท์ และเผชิญหน้ากับความกลัวในการแสดงต่อหน้าคนแปลกหน้า เพื่อนๆ และครอบครัว

    ประโยชน์ของดนตรี

    8. ดนตรีเป็นเครื่องมือในการแสดงออก

    ดนตรีคือศิลปะ เป็นวิธีที่สร้างสรรค์ในการแสดงความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี ดนตรีสามารถช่วยให้เด็กแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ หรืออาจกลัวเกินไปที่จะแบ่งปันด้วยวาจา การแต่งเพลงและการแสดงสามารถเปิดโลกใหม่ให้กับเด็ก ๆ และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงด้านที่แตกต่างของตัวเอง ในกรณีของความบกพร่องทางสังคมอารมณ์หรือจิตใจ ดนตรีอาจเป็นวิธีการสื่อสารและการแสดงออกถึงตัวตนที่ดีได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความชอบของบุตรหลานของคุณ

    9. ดนตรีสอนความอดทนและวินัย

    ไม่มีวิธีการสอนความอดทน การสอนวินัย ที่สร้างสรรค์ และน่าดึงดูดมากไปกว่าดนตรี  ดนตรีสามารถช่วยให้เด็กเข้าใจได้อย่างแท้จริง ว่าการฝึกฝนอย่างทุ่มเทและความพากเพียรต่างๆ นั้นทำไปเพื่ออะไร การเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จหรือเพียงแค่สร้างความสนใจในดนตรีต้องใช้เวลาและความตั้งใจ บางครั้งถึงกับต้องเสียสละเล็กน้อยเมื่อต้องพยายามไปสู่ความสำเร็จที่สูงขึ้น ในที่สุดทุกอย่างก็สำเร็จ และเมื่อเด็กเห็นผลของการทำงานหนักของเขา ความพยายามที่เกิดขึ้นก็สมเหตุสมผลในที่สุด

    10. ดนตรีและตรรกะ

    แม้ว่าโดยปกติแล้วจะถูกมองว่าตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง แต่ดนตรีและคณิตศาสตร์เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน การอ่านและการนับจังหวะเพลง จริง ๆ แล้วต้องมีความเข้าใจเรื่องเศษส่วนการหารและการรักษาจังหวะและเวลา ซึ่งการเล่นดนตรีเป็นประจำจะช่วยเพิ่มทักษะเหล่านี้และพัฒนาความคิดเชิงตรรกะ ยิ่งไปกว่านั้นที่น่าสนใจคือ การเล่นดนตรีใช้สมองส่วนเดียวกับส่วนที่ใช้ทำความเข้าใจเชิงพื้นที่ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจคณิตศาสตร์ด้วย

    การให้ลูกฟังเพลงหรือการสอนดนตรีให้ลูกไม่มีผลเสีย และทำได้ไม่ยาก ความสามารถพิเศษไม่ควรนำมาตัดสินว่าจะสอนเด็กให้เล่นเครื่องดนตรีหรือร้องเพลงหรือไม่ ประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ของดนตรีเป็นเหตุผลที่ดีที่จะรวมเข้ากับชีวิตของลูกคุณทันทีที่พวกเขาเกิด ช่วยทั้งการพัฒนาบุคลิกภาพ สติปัญญา ทักษะความมั่นใจ และอื่น ๆ อีกมากมาย และเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับจิตใจและจิตวิญญาณของเด็ก ที่คุณสามารถมอบให้ได้และทำได้ เพียงแค่แนะนำพวกเขาด้วยพลังแห่งดนตรี หากคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังให้ลูกสนใจดนตรี ได้ฟังและได้เล่นเครื่องดนตรีตั้งแต่เล็กจะเป็นประโยชน์ต่อทักษะที่สำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะการเสริมสร้างทักษะ ความฉลาดในการเล่น (PQ)  การได้ฟังหรือร้องเล่นดนตรีทำให้เด็ก ๆ ได้รับความสนุกสนานเพลินเพลิน และมีความสุข ซึ่งมีส่วนทำให้สมองเจริญเติบโต นำไปสู่การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดีด้วยค่ะ

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthychildren.org , thriveglobal.com

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    3 เทคนิคสร้างสมองลูกน้อยเติบโต ด้วยเสียงดนตรี

    วิจัยสำเร็จ!! ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กคลอดก่อนกำหนดได้

    ให้ลูกเรียนดนตรี กี่ขวบดี? แชร์ประสบการณ์ โดย พ่อเอก

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      เพื่อนในจินตนาการ

      ลูกมีเพื่อนทิพย์! เพื่อนในจินตนาการ ชอบพูดคนเดียวปกติไหม?

      เพื่อนในจินตนาการ – มีการวิจัยเกี่ยวกับเพื่อนในจินตนาการอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา แพทย์และผู้ปกครอง ต่างก็สงสัยว่าการมีเพื่อนในจินตนาการของเด็กเป็นเรื่องปกติหรือไม่ งานวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าการมีเพื่อนในจินตนาการเป็นส่วนหนึ่งของเด็กเล็กๆ โดยธรรมชาติ การวิจัยก่อนหน้านี้ระบุว่า เด็กจำนวนมากถึง 65 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุไม่เกิน 7 ขวบ มีเพื่อนในจินตนาการ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการที่ลูกมีเพื่อนในจินตนาการก็ยังทำให้พ่อแม่หลายคนรู้สึกกังวลใจได้ไม่น้อย เมื่อเห็นว่าลูกนั่งพูดคนเดียว เล่นคนเดียวแต่เหมือนพูดกับใครบางคน

      ลูกมีเพื่อนทิพย์! เพื่อนในจินตนาการ ชอบพูดคนเดียวปกติไหม?

      เพื่อนในจินตนาการ คืออะไร?

      ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็ก ๆ จะสร้างเพื่อนในจินตนาการหรือเพื่อนร่วมทางของพวกเขา ที่พวกเขาสามารถพูดคุยโต้ตอบและเล่นด้วยได้ เพื่อนขี้เล่นเหล่านี้ อาจอยู่ในรูปแบบของอะไรก็ได้ ทั้ง เพื่อนที่มองไม่เห็น สัตว์ สิ่งที่น่าอัศจรรย์ สิ่งของ เช่น ของเล่น หรือ ตุ๊กตาสัตว์ เป็นต้น เพื่อนในจินตนาการอาจให้มิตรภาพ ความช่วยเหลือ ความบันเทิง และอื่น ๆ แก่ลูกของคุณได้

      การวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าการมีเพื่อนในจินตนาการเป็นรูปแบบการเล่นที่ดีในวัยเด็ก จากการศึกษาพบว่าอาจมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็ก

      ประโยชน์ต่างๆ อาจรวมถึง :

      • ความรู้ความเข้าใจทางสังคมที่ดีกว่า
      • ความเป็นกันเอง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
      • เพิ่มความคิดสร้างสรรค์
      • รับมือกับเรื่องยากๆในชีวิตได้ดีกว่า
      • ความเข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่น

      ผู้ปกครองควรมีปฏิกิริยาอย่างไร?

      หากบุตรหลานของคุณเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเพื่อนในจินตนาการของพวกเขา ให้ลองถามคำถามลูก คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบุตรหลานของคุณ ความสนใจและสิ่งที่เพื่อนในจินตนาการอาจทำเพื่อพวกเขา ตัวอย่างเช่น เพื่อนในจินตนาการของพวกเขากำลังสอนวิธีจัดการกับมิตรภาพอยู่หรือไม่? นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการเล่น กำหนดสถานที่พิเศษในมื้อค่ำ หรือถามบุตรหลานของคุณว่าเพื่อนของพวกเขากำลังจะมาเที่ยวหรือไม่ หากลูกของคุณ หรือเพื่อนที่แกล้งทำเป็นเรียกร้องหรือทำให้เกิดปัญหา คุณสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี

      จะเป็นอย่างไรถ้าเพื่อนในจินตนาการทำให้ลูกกลัว?

      ในขณะที่เพื่อนในจินตนาการส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นคนใจดี เป็นมิตรและเชื่อฟัง แต่ก็อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นทั้งหมด เพื่อนในจินตนาการของลูกอาจมีนิสัยชอบก่อกวน แหกกฎ หรือก้าวร้าว เป็นไปได้ว่าเพื่อนในจินตนาการบางคนอาจทำให้ลูกหวาดกลัวไม่พอใจ หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งต่างๆ ได้ ในขณะที่เด็กหลายคนแสดงออกถึงการควบคุม หรือมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของเพื่อนในจินตนาการ แต่เด็กบางรายอธิบายว่าพวกเขาอยู่นอกเหนือการควบคุม แม้ว่าจะไม่เข้าใจทั้งหมดว่าทำไมเพื่อนในจินตนาการถึงดูน่ากลัว แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ในจินตนาการเหล่านี้ยังคงให้ประโยชน์กับเด็กอยู่บ้าง ความสัมพันธ์ที่ยากขึ้นเหล่านี้อาจช่วยปูทางให้เด็กๆ รู้จักการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม และรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในโลกแห่งความเป็นจริงได้

      เพื่อนในจินตนาการ
      เพื่อนในจินตนาการ

      เพื่อนในจินตนาการทำให้ลูกมีปัญหาพฤติกรรมได้หรือไม่?

      ผู้ปกครองบางคนกังวลว่าเด็กที่มีเพื่อนในจินตนาการจะเข้าใจหรือแยกแยะความเป็นจริงกับจินตนาการได้ไม่ดี แต่โดยทั่วไปแล้วสิ่งนี้ไม่เป็นความจริง

      ในความเป็นจริงเด็กส่วนใหญ่เข้าใจว่าเพื่อนในจินตนาการของพวกเขาแกล้งทำ เด็กทุกคนมีความแตกต่างกันและหลายคนเติบโตขึ้นได้ดีด้วยประสบการณ์เหล่านี้ของชีวิต  มีรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีที่อยู่กับเพื่อนในจินตนาการ แม้ว่ารายงานอื่นๆ ได้แสดงให้เห็นว่ามีเพื่อนในจินตนาการมักพบในเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี ไม่จำเป็นต้องกังวลหากเด็กโตยังคงพูดถึงเพื่อนในจินตนาการของตน หากคุณมีข้อกังวลใด ๆ เนื่องจากพฤติกรรมของบุตรหลาน คุณสามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กได้

      นี่แหละ! 3 ทักษะชีวิตที่สำคัญ ที่ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมที่ดีของเด็กได้

      รับมือ ลูกอยู่ไม่นิ่ง กับ6พฤติกรรมแหย่ๆ ของเด็กวัยซน

      ลูกเลียนแบบพ่อแม่ พฤติกรรมเลียนแบบของเด็กสั่งจากสมอง! หนูรู้ หนูจำได้

      เพื่อนในจินตนาการเชื่อมโยงกับโรคจิตเภทหรือไม่?

      เมื่อเห็นลูกพูดคนเดียวเป็นเรื่องเป็นราว พ่อแม่หลายคนอาจตั้งคำถามว่าลูกของตนกำลังประสบกับอาการทางจิตได้หรือไม่ แต่การมีเพื่อนในจินตนาการไม่เหมือนกับอาการของโรคจิตเภท

      โดยปกติโรคจิตเภทมักไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าบุคคลนั้นจะมีอายุระหว่าง 16 ถึง 30 ปี โรคจิตเภทที่เริ่มมีอาการในวัยเด็กเป็นเรื่องที่พบได้ยาก และยังยากที่จะวินิจฉัยโรคด้วย เมื่อเกิดขึ้น มักเกิดหลังอายุ 5 ขวบ แต่ก่อน 13 ปี แม้ในอดีตผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการมีเพื่อนในจินตนาการบ่งบอกถึงปัญหาหรือภาวะสุขภาพจิต แต่จากการวิจัยในปัจจุบันกับแหล่งที่เชื่อถือได้ ความคิดนี้ก็ไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป

      แม้การมีเพื่อนในจินตนาการจะเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กโตจะมีได้เช่นกัน มีการศึกษาวิจัยที่พบว่า 28 เปอร์เซ็นต์ ของเด็กอายุ 5 ถึง 12 ปี มีเพื่อนในจินตนาการ เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีเพื่อนในจินตนาการมากกว่าเด็กผู้ชาย  จินตนาการเป็นส่วนสำคัญในการเล่นและพัฒนาการของเด็ก การมีเพื่อนในจินตนาการสามารถช่วยให้เด็กสำรวจความสัมพันธ์และทำงานอย่างสร้างสรรค์ได้

      อย่างไรก็ตาม อาการของโรคจิตเภทจะมีการแสดงออกแตกต่างออกไป โดยอาการบางอย่างของโรคจิตเภทในวัยเด็ก ได้แก่ :

      • ความหวาดระแวง
      • อารมณ์เปลี่ยนไปมาเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
      • อาการประสาทหลอน เช่น บอกพ่อแม่ว่าได้ยินเสียง หรือมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่มีอยู่จริง
      • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างกะทันหัน

      เพื่อนในจินตนาการ

      หากบุตรหลานของคุณมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน หรือกำลังประสบปัญหาบางอย่างที่ดูมากกว่าการพูดคุยกับเพื่อนในจินตนาการ ให้ติดต่อกุมารแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

      ในขณะที่ลักษณะของโรคจิตเภทในเด็กและการเล่นกับเพื่อนในจินตนาการมักจะแตกต่างกัน และแยกจากกันได้  แต่ก็มีสภาพจิตใจ และร่างกายอื่น ๆ ที่อาจมีความเชื่อมโยงกัน

      ตัวอย่างเช่น การวิจัยในปี 2549 พบว่าเด็กที่พัฒนาความผิดปกติทางความคิดสร้างสรรค์มีโอกาสที่จะมีเพื่อนในจินตนาการสูงกว่ามาก ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ถูกจัดว่าป่วยเป็นโรคความทรงจำบกพร่อง หรือ Dissociative disorder ซึ่งเป็นภาวะสุขภาพจิตที่บุคคลประสบกับการขาดการเชื่อมต่อจากความเป็นจริง  นอกจากนี้ งานวิจัยอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม มีอัตราการเมีเพื่อนในจินตนาการสูงกว่า และมีแนวโน้มที่จะให้เพื่อนเหล่านี้อยู่กับพวกเขาไปจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่

      ควรไปพบแพทย์หรือไม่?

      ส่วนใหญ่ เพื่อนในจินตนาการมักไม่มีอันตราย และเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณเชื่อว่าบุตรหลานของคุณกำลังประสบปัญหาบางอย่างมากกว่านั้นให้ไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาได้ เมื่อใดก็ตามที่พฤติกรรมและอารมณ์ของลูกของคุณเปลี่ยนไปอย่างมากหรือเริ่มทำให้คุณกังวล โปรดติดต่อขอความช่วยเหลือจากแพทย์ของบุตรหลานหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หากเพื่อนในจินตนาการของลูกคุณดูก้าวร้าว หรือเป็นภัยสำหรับลูกของคุณ การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจะช่วยให้คุณสบายใจได้

      ทั้งนี้ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการมีเพื่อนในจินตนาการ คือเรื่องปกติของเด็กวัยเตาะแตะอาจที่เกิดขึ้นได้ การที่ลูกได้แสดงบทบาทในการเล่นและสื่อสารกับเพื่อนในจินตนาการของพวกเขาจะช่วยเสริมสร้างทักษะทางสังคมที่ดี ปลูกฝังนิสัยความเป็นกันเอง เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และช่วยพัฒนาทักษะด้านความเข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่นได้ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลและส่งเสริมให้ลูกได้เล่นและอยู่กับโลกแห่งการเรียนรู้ในจินตนาการได้อย่างเหมาะสม ก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เด็กเกิดทักษะ ความฉลาดในการเล่น (PQ)ได้ค่ะ

      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com

      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

      สอนให้ ลูกคบเพื่อน นิสัยดี และเป็นเพื่อนที่ดี สอนกันได้!

      เคล็ดลับแก้ปัญหา ลูกไม่มีเพื่อน ลูกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ทำไงดี?

      วิธีรับมือ ลูกทะเลาะกับเพื่อน ต้องเตือนหรือสอนลูกยังไง?

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        นมพาสเจอร์ไรส์

        นมพาสเจอร์ไรส์ นมUHT นมสเตอริไลส์ ลูกกินแบบไหนดี?

        นมพาสเจอร์ไรส์ นม UHT นมสเตอริไลส์ แตกต่างกันอย่างไร? นมชนิดไหนเหมาะกับเด็ก? ควรทานตอนอายุเท่าไหร่? และลูกควรทานแบบไหนถึงจะดี? อ่านได้ที่นี่

        นมพาสเจอร์ไรส์ นมUHT นมสเตอริไลส์ ลูกกินแบบไหนดี?

        ตามท้องตลาดนอกจากจะมีนมหลากหลายยี่ห้อแล้ว ยังมีนมอีกหลากหลายชนิดให้แม่ ๆ ได้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพาสเจอร์ไรส์ นม UHT นมสเตอริไลส์ นมหลากหลายชนิดนี้แตกต่างกันแค่ไหน และลูกควรทานแบบไหนถึงจะดี คำถามเหล่านี้ ทีมแม่ ABK หาคำตอบมาให้แล้ว แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ “นมวัว” กันก่อน ว่ามีประโยชน์อย่างไร มีสารอาหารอะไรบ้าง

        สารอาหารในนมวัว

        นมวัวอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์หลายชนิด โดยนมวัว 1 ถ้วยที่หนักประมาณ 244 กรัม จะให้คุณค่าทางโภชนาการเป็นพลังงาน 146 แคลอรี่ โปรตีน 8 กรัม ไขมัน 8 กรัม และยังประกอบไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ดังนี้

        • แคลเซียม ประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
        • วิตามินบี 2 ประมาณ 26 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
        • วิตามินดี ประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
        • ฟอสฟอรัส ประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
        • วิตามินบี 12 ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
        • ซีลีเนียม ประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
        • โพแทสเซียม ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน

        ประโยชน์ของนมวัว

        เนื่องจากนมวัวมีคุณค่าทางโภชนาการสูง จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับประโยชน์ของนมวัวในด้านต่าง ๆ มากมาย โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางส่วนได้พิสูจน์ประสิทธิภาพของนมวัวไว้ ดังนี้

        • นมวัวช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง นมวัวอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ทั้งโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และวิตามินเค 2 ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง
        • นมวัวอาจช่วยป้องกันโรคอ้วน นมวัวมีสารอาหารสำคัญหลายชนิดที่อาจช่วยลดน้ำหนักและป้องกันการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ไขมัน โปรตีน และแคลเซียม เป็นต้น
        • นมวัวอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยมีงานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาความสัมพันธ์ของการดื่มนมวัวกับภาวะความดันโลหิตสูง พบว่าการดื่มนมวัวอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง เนื่องจากในน้ำนมวัวมีส่วนประกอบของแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียมที่นักวิจัยเชื่อว่าอาจมีประสิทธิภาพในด้านดังกล่าว ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุอย่างนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวอย่างโยเกิร์ต อาจส่งผลดีต่อสุขภาพและอาจป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้ด้วย

        ควรดึ่มนมวันละกี่แก้ว?

        1. เด็กก่อนวัยเรียน 1 ปีขึ้นไป และวัยเรียน ควรดื่มนมรสจืด 2 แก้วต่อวัน ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมครบส่วนไม่ควรเลือกดื่มนมพร่องมันเนยหรือไร้ไขมัน เพราะมีแหล่งพลังงานคือไขมันและวิตามินเอ ดี อี เค ซึ่งละลายในไขมัน
        2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรดื่มนมรสจืดวันละ 2 แก้ว และบริโภคปลาเล็กปลาน้อย 2 ช้อนกินข้าวหรือผักใบเขียวเข้ม 4 ทัพพี หรือเต้าหู้แข็ง 1 แผ่นเพิ่ม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกระดูกทั้งมารดาและทารกในครรภ์
        3. วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุแนะนำให้ดื่มนมรสจืดวันละ 2 แก้ว เพื่อให้ได้รับแร่ธาตุแคลเซียมเพียงพอ ป้องกันภาวะกระดูกพรุน

        เห็นประโยชน์ของนมแล้ว มาดูกันต่อว่านมที่มีขายตามตลาดบ้านเรา มีกี่ชนิดบ้าง และแต่ละประเภท คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง กันต่อเลยค่ะ

        นม
        นม

        นมพร้อมดื่ม มีกี่ชนิด?

        1. นมพาสเจอร์ไรส์ (PASTEURIZED MILK)

        หมายถึง นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ตํ่ากว่า 63 องศาเซลเซียส และคงอยู่ที่อุณหภูมินี้ไม่น้อยกว่า 30 นาที หรือทำให้ร้อนไม่ต่ำกว่า 72 องศาเซลเซียส และคงอยู่ที่อุณหภูมินี้ไม่น้อยกว่า 16 วินาที แล้วจึงทำให้เย็นลงทันทีที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียสหรือตํ่ากว่า ทั้งนี้จะผ่านกรรมวิธีทำนมสดให้เป็นเนื้อเดียวกันหรือไม่ก็ตาม

        ข้อดี นมพาสเจอร์ไรซ์เป็นนมมีคุณค่าทางอาหาร ใกล้เคียงกับนมโคสดมากที่สุดและยังมีรสชาติสดอร่อยอีกด้วย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่านมสดพาสเจอร์ไรซ์จะเป็นนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ก็ควรใช้เลี้ยงเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป เด็กแรกเกิดถึง 1 ขวบควรได้รับการเลี้ยงดูด้วยน้ำนมแม่ ที่นอกจากมีสารอาหารครบถ้วนแล้ว ยังมีภูมิคุ้มกันที่จำเป็นสำหรับทารกอีกด้วย

        ข้อเสีย กรรมวิธีการพาสเจอร์ไรซ์นั้นสามารถทำลายจุลินทรีย์ได้เพียงแค่บางชนิด เช่น จุลินทรีย์ที่เป็นโทษต่อร่างกาย แต่ไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์ที่ทำให้นมเน่าเสียได้ ดังนั้นจึงต้องเก็บนมพาสเจอร์ไรซ์ไว้ในที่อุณหภูมิ 0-4 องศาเซลเซียส (ตู้เย็น) ตลอดเวลา หลังจาก 3-5 วัน เชื้อจุลินทรีย์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่อาจเพิ่มจำนวนขึ้นจนทำให้นมบูดได้ แต่ถ้าเปิดขวดแล้วควรดื่มให้หมดภายใน 2 วัน

        2. นมสเตอริไลส์ (STERILIZATION MILK)

        หมายถึง นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ตํ่ากว่า 100 องศาเซลเซียส ภายในเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ต้องผ่านกรรมวิธีทำให้นมสดเป็นเนื้อเดียวกัน

        ข้อดี เก็บได้นานโดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น แต่ถ้าเปิดกล่องแล้วดื่มไม่หมด ควรนำไปแช่ในตู้เย็น

        ข้อเสีย รสชาติ ความสด อร่อยน้อยกว่า เมื่อเทียบนมพาสเจอร์ไรซ์

        3. นมยูเอชที (ULTRA HIGH TEMPERATURE MILK)

        หมายถึง นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ตํ่ากว่า 133 องศาเซลเซียส ไม่น้อยกว่า 1 วินาที แล้วบรรจุลงในภาชนะภายใต้สภาวะที่ปราศจากเชื้อ ทั้งนี้ต้องผ่านกรรมวิธีทำนมสดให้เป็นเนื้อเดียวกัน

        ข้อดี เก็บที่อุณหภูมิห้องได้นาน แต่ถ้าเปิดกล่องแล้วดื่มไม่หมดก็ควรนำไปแช่ในตู้เย็น

        ข้อเสีย รสชาติ ความสด อร่อยน้อยกว่า เมื่อเทียบกับนมพาสเจอร์ไรซ์ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่ามีการปรุงแต่งนมประเภทนี้เพื่อให้มีรสชาติอร่อยขึ้น

        นมวัว
        นมวัว

        การดื่มนมอย่างถูกวิธี

        • การอุ่นนมก่อนดื่มที่ถูกต้องคือ ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 60 องศาเซลเซีลส โดยอุ่นประมาณซัก 5-6 นาทีก็พอ ไม่ควรต้มนมจนเดือด เพราะน้ำตาลที่อยู่ในน้ำนมอาจไหม้และกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้
        • ไม่ควรดื่มนมจากขวดโดยตรง เพราะจะทำให้นมที่เหลือในขวดเน่าเสียเร็วขึ้น เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นการดื่มจนหมดขวดภายในครั้งเดียว
        • ไม่ควรดื่มนมควบคู่กับยา เพราะนมจะไปเคลือบกระเพาะอาหาร ลดการดูดซึมยา ก่อนหรือหลังรับประทานยา 1-2 ชั่วโมง ไม่ควรที่จะดื่มนม
        • ไม่ควรเลี้ยงทารกด้วยนมเปรี้ยว หรือนมข้นหวาน เพราะนมข้นหวานเป็นแค่หางนมที่ถูกนำมาปรุงแต่งรสด้วยน้ำตาล
        • นมที่เหมาะสำหรับเด็กก็คือนมที่ยังมีปริมาณไขมันอยู่อย่างครบถ้วน
        • ไม่ควรเติมน้ำตาลเกิน 8 กรัมต่อนม 100 มิลลิลิตร ถ้าจะเติมควรใช้น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลอ้อยจะดีที่สุด เพราะเป็นน้ำตาลที่ร่างกายดูดซึมได้ง่าย และไม่ควรเติมน้ำตาลในนมร้อน ๆ เกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดสารพิษต่อร่างกายได้ (ควรเติมในขณะที่อุณหภูมิ 40-50 องศา)
        • ไม่ควรรับประทานข้าวต้มพร้อมกับการดื่มนม เพราะจะไปทำลายวิตามิเอในนมได้ และจะส่งผลให้เด็กเจริญเติบโตช้า

        จะเห็นได้ว่า นมพาสเจอร์ไรส์ เป็นนมที่สามารถเก็บสารอาหารของนมได้มากที่สุด ดังนั้น เด็กที่ดื่ม นมพาสเจอร์ไรส์ (ที่ยังมีปริมาณไขมันอยู่ครบถ้วน) จะได้รับประโยชน์ทางโภชนาการจากการดื่มนมมากที่สุด ทั้งนี้ข้อเสียของ นมพาสเจอร์ไรส์ คือต้องเก็บอยู่ในตู้เย็น และต้องทานให้หมดภายใน 3-5 วัน ดังนั้นนมชนิดอื่น ๆ ที่แม้แต่จะมีคุณค่าทางโภชนการที่รองลงมา แต่สามารถเก็บได้นานกว่า ก็เป็นอีก 1 ทางเลือก ให้แม่ ๆ ได้ตัดสินใจค่ะ การเลือกนมชนิดใดก็ตามให้ลูกของแต่ละบ้าน ควรเน้นที่ความเหมาะสมของแต่ละครอบครัวค่ะ

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        อาหารเสริมทารก เริ่มด้วยอาหารแบบไหน? ทานอย่างไร?

        14 อาหาร เสริมภูมิคุ้มกันลูก ช่วยให้ลูกไม่ป่วยง่าย!

        แจกสูตร 12 เมนูอาหารง่ายๆ สำหรับแม่ทำกับข้าวไม่เก่ง เข้าครัวเพื่อลูก!

        ช่วยฝึกลูกนั่ง คลาน ยืน เดิน อย่างถูกวิธี และไม่เร่งลูก

         

        ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ, pobpad.com, ไทยเกษตรศาสตร์www.maanow.com, สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิจิตร

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          เมนูไข่ง่าย ๆ

          7 เมนูไข่ง่าย ๆ ทำกินได้บ่อย ทั้งอร่อยและมีประโยชน์!!

          แม่!! วันนี้ทำอะไรให้กิน? คำถามยอดฮิตของลูก แต่เป็นปัญหาโลกแตกของแม่ ทีมแม่ ABK มีตัวช่วย กับ 7 เมนูไข่ง่าย ๆ ที่รับรองว่าลูกต้องร้องว้าว!!

          7 เมนูไข่ง่าย ๆ ทำกินได้บ่อย ทั้งอร่อยและมีประโยชน์!!

          ช่วงปิดเทอม ช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน ช่วงที่ลูกเรียนออนไลน์ หน้าที่แม่อย่างเรา ๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นการเตรียมอาหารให้ลูกรัก แต่อยู่บ้านนาน ๆ แม่ก็เริ่มจะหมดมุขที่จะทำอาหารให้ลูกทานแล้ว ทีมแม่ ABK จึงขอแนะนำ เมนูไข่ง่าย ๆ ที่ใช้เวลาปรุงไม่นาน แต่เด็ก ๆ ชอบทาน มาให้แม่ ๆ ได้จดสูตรกันค่ะ

          ไข่ดาวฟู
          ไข่ดาวฟู
          1. ไข่ดาวก้อนเมฆ

          มาเปลี่ยนไข่ดาวธรรมดา ๆ ให้ดูน่าทานกับเมนูไข่ดาวฟู หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไข่ดาวซูเฟล่ กันดีกว่า!!

          ส่วนผสม

          • ไข่ไก่2 ฟอง
          • เนย10 กรัม

          วิธีทำ

          1. แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว
          2. ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูจนตั้งยอด ถ้ามีเครื่องตีไฟฟ้าจะช่วยประหยัดเวลาขึ้น
          3. ทาเนยลงบนกระทะ เปิดไฟอ่อน ใส่ไข่ขาวที่ตีจนฟูลงไป และกดตรงกลางให้เป็นรอยบุ๋ม
          4. ปิดฝากระทะ อบทิ้งไว้ 10 นาที
          5. ใส่ไข่แดงลงไป ปิดฝาอบทิ้งไว้อีก 5-10 นาที ตามความสุกของไข่แดงที่ชอบ
          6. เสิร์ฟพร้อมชุดอาหารเช้า หรือทานเปล่า ๆ กับพริกไท เกลือ แม็กกี้ หรือซอสมะเขือเทศ
          ขอบคุณสูตรจากคุณ Myeze
          อะโวคาโด้อบไข่
          อะโวคาโดอบไข่

          2. อะโวคาโดอบไข่

          เด็กบางคนไม่ชอบทานอะโวคาโดเปล่า ๆ เราจึงขอเสนอเมนูนี้ อะโวคาโดอบไข่ ที่จะทำให้เด็กได้รับประโยชน์ทั้งจากไข่และอะโวคาโด้ แถมอร่อยด้วย!!

          ส่วนผสม

          • อะโวคาโด 1 ลูก (ใหญ่)
          • ไข่ไก่ 1 ฟอง

          วิธีทำ

          1. ผ่าครึ่งอโวคาโด้ ตักเนื้อตรงกลางออกให้พอดีกับขนาดไข่ที่จะตอกลงไป
          2. ตอกไข่ใส่ในผลอะโวคาโด้
          3. นำเข้าเต้าอบ ไฟ 180 องศา ประมาณ 20นาที หรือตามความพอใจ ว่าชอบไข่สุกประมาณไหน
          4. อบเสร็จโรยเกลือ กับ พริกไทยเล็กน้อย เสิร์ฟพร้อมกาแฟ เป็นอาหารเช้า
          ขอบคุณสูตรจากคุณ k. Puibali

          3. แกงจืดไข่น้ำ (แกงจืดไข่เจียว)

          เมนูที่คนไทยรู้จักกันดี เป็น เมนูไข่ง่าย ๆ ที่อยู่คู่กับแม่บ้านไทยมาช้านาน ทั้งทำได้ง่าย และอร่อย เด็ก ๆ ชอบ!!

          ส่วนผสม

          • ไข่ 2 ฟอง
          • หมูสับ 100-200 กรัม
          • ต้นหอม 3 ต้น
          • น้ำซุปกระดูกหมู หรือน้ำซุปผัก
          • ซีอิ้วขาว
          • ซอสปรุงรส

          วิธีทำ

          1. ตอกไข่ ใส่หมูสับลงไปในชามผสม ใส่ซอสปรุงรสเล็กน้อย เจียวไข่และหมูสับให้เข้ากัน
          2. ตั้งกระทะ ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันลงไปในกระทะเล็กน้อย
          3. รอจนกระทะเริ่มร้อน นำไข่ที่เจียวไว้ลงไปทอด
          4. ตักไข่เจียวขึ้นมาพักไว้ และหั่นไข่เจียวให้เป็นชิ้นพอดีคำ
          5. ต้มน้ำซุปกระดูกหมู หรือน้ำซุปผักให้เดือด ปรุงรสให้กลมกล่อมด้วยซีอิ้วขาว (สำหรับเด็กเล็ก ไม่จำเป็นต้องปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวก็ได้)
          6. ใส่ไข่เจียวที่หั่นแล้วลงไป
          7. ใส่ต้นหอมที่หั่นเป็นท่อนลงไป รอให้เดือด แล้วนำมาเทใส่ชาม พร้อมเสริฟ
          แซนด์วิชไข่ชีส
          แซนด์วิชไข่ชีส

          4. แซนด์วิชไข่ใส่ชีส

          เมนูเพิ่มพลังลูก แถมสารอาหารครบถ้วน ทำง่าย ทานง่าย และหมดเกลี้ยงได้ง่าย ๆ

          ส่วนผสม

          • ไข่ไก่ 2-4 ฟอง
          • ผักตามชอบ เช่น หัวหอม มะเขือเทศ ผักโขม หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
          • ขนมปัง
          • ชีส

          วิธีทำ

          1. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันหรือเนยเล็กน้อย ผัดหัวหอม ผักโขม และมะเขือเทศให้สุก
          2. ตอกไข่ลงในกระทะ ใส่ผักและชีสลงไป คนให้เละ แล้วนำมาใส่จานพักไว้
          3. ทาเนยลงบนขนมปังทั้ง 2 แผ่น
          4. นำไข่คนมาวางไว้บนขนมปัง ปิดด้วยขนมปังอีกแผ่น
          5. นำแซนด์วิชไปอบให้อุ่น แล้วนำมาเสริฟเด็ก ๆ ได้เลย

          Tips : สามารถเปลี่ยนจากขนมปังเป็นครัวซองท์ และผสมเนื้อสัตว์ เช่น เบคอน แฮม หั่นเล็ก ๆ ในแซนด์วิชได้นะคะ

          ขอบคุณสูตรจาก : momjunction

          5. ข้าวผัดไข่ใส่เบคอน

          เมนูแสนง่าย แต่เด็กทานสบาย แถมทานได้กันทั้งครอบครัวอีกด้วย

          ส่วนผสม

          • ข้าวสวย
          • ไข่ไก่ 1-2 ฟอง
          • เบคอน (หรือเปลี่ยนเป็นแฮมก็ได้)
          • ผักหั่นเต๋า (แครอท ข้าวโพด ถั่วลันเตา)
          • ซอสปรุงรส

          วิธีทำ

          1. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลางถึงแรง ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย
          2. ใส่เบคอน (หรือเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ) ผัดให้สุก
          3. ใส่ผักตามลงไป ผัดให้สุกเช่นกัน
          4. ตอกไข่ลงในกระทะ คนให้เข้ากับเบคอนและผัก
          5. ใส่ข้าวสวยลงไปผัดให้เข้ากัน ใส่ซอสปรุงรส น้ำตาลเล็กน้อย
          6. นำขึ้นมาเสริฟ

          6. ไข่ม้วนใส่ผัก

          ส่วนผสม

          • ไข่ไก่ 3 ฟอง
          • นมจืด 1 ถ้วย
          • ผักหั่นเต๋า (แครอท หัวหอม หอมแดง ฯลฯ)
          • เห็ดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
          • มอสซาเรลล่าชีส
          • เกลือ
          • พริกไทยเล็กน้อย (สำหรับเด็กโต)

          วิธีทำ

          1. ตอกไข่ ใส่นม เกลือปรุงรสเล็กน้อย ตีให้เข้ากัน คอยช้อนฟองออกจากไข่ที่คนแล้ว
          2. ผสมผักที่หั่นแล้วลงไป ใส่พริกไทยเล็กน้อย คนให้เข้ากัน
          3. ตั้งกระทะ ใช้ไฟปานกลาง ทาน้ำมันให้ทั่วกระทะ
          4. เทไข่ที่ตีแล้วลงไปครึ่งนึง หรี่ไฟต่ำ จนไข่สุกทั่วกระทะ
          5. ค่อย ๆ ม้วนไข่ขึ้นไปด้านบนของกระทะ
          6. จากนั้นให้ทาน้ำมันที่กระทะ แล้วเทไข่ 1/4 ลงไปที่กระทะที่ทาน้ำมันไว้แล้ว รอจนไข่สุก
          7. ม้วนไข่ที่ม้วนไว้ลงมา
          8. ทำข้อ 5-7 วนไปมาจนกว่าไข่จะหมด
          9. นำไข่ที่ม้วนเสร็จแล้วมาหั่นให้พอดีคำ
          ขอบคุณสูตรจาก : momjunction
          มักกะโรนีไข่ต้ม
          มักกะโรนีไข่ต้ม

          7. มักกะโรนีไข่ต้ม

          ส่วนผสม

          • เส้นมักกะโรนี
          • ไข่ต้ม 8-10 ฟอง (ใช้ไข่ทั้งฟองเพียง 2 ฟอง ไข่ที่เหลือใช้แต่ไข่ขาว)
          • หัวหอม 2 หัวเล็ก (หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ)
          • เนย 1/2 ช้อนชา
          • ผักและถั่วตามชอบ (หั่นชิ้นเล็ก)
          • กระเทียมและขิงแบบเข้มข้น (Ginger Garlic Paste) 1/2 ช้อนชา
          • ผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา
          • น้ำเปล่า
          • เกลือ 2 1/2 ช้อนชา
          • น้ำมันมะกอก 9 ช้อนชา

          วิธีทำ

          1. ต้มน้ำในหม้อจนเดือด ใส่ เกลือ 1/2 ช้อนชา และน้ำมันมะกอก 2 ช้อนชาลงไปในน้ำ
          2. ใส่มักกะโรนีลงไป คอยคน ควรต้มเส้นมักกะโรนี้ไม่เกิน 9 นาที และไม่ต้องลดไฟลง
          3. เทน้ำออกจากเส้นมักกะโรนี คลุกเนยใส่ในมักกะโรนีที่เทน้ำออกแล้ว นำไปพักไว้
          4. เทน้ำมันลงในกระทะ ใส่หัวหอม ผัดจนสุก ใส่ผักที่หั่นแล้วลงไป ใส่กระเทียมและขิงแบบเข้มข้น ผงขมิ้น และเกลือลงไป
          5. ใส่ไข่ต้มลงไป บดให้ไข่ละเอียด และใส่เส้นมักกะโรนีลงไป พร้อมเสริฟ
          ขอบคุณสูตรจาก : momjunction

          ไม่ยากเลยใช่ไหมละคะ กับ เมนูไข่ง่าย ๆ ที่เน้นทำได้ง่าย ทำได้เร็ว แต่ลูกชอบ และมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน แม่ ๆ คนไหนที่ทำตามสูตรนี้ อย่าลืมส่งรูปมาอวด ทีมแม่ ABK บ้างนะคะ

          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          แจกสูตร 12 เมนูอาหารง่ายๆ สำหรับแม่ทำกับข้าวไม่เก่ง เข้าครัวเพื่อลูก!

          ห้ามลูกกิน! 18 อาหารอันตราย เสี่ยงทำลายสมอง พัฒนาการช้า

          10 อาหารที่คนท้องควรกิน พร้อมเมนูอร่อยสำหรับแม่และลูก

          โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ เช็กน้ำหนักส่วนสูง ความสมส่วนของลูก

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ลูกชอบนอนละเมอ

            ลูกชอบนอนละเมอ พ่อแม่ควรกังวลไหม จะแก้ไขได้อย่างไร?

            ลูกชอบนอนละเมอ – การนอนละเมอในเด็ก คือการที่เด็กตื่นขึ้นมาระหว่างการนอนหลับ แต่ไม่รู้ถึงการกระทำของตัวเอง ลักษณะของการนอนละเมอ เด็ก มีทั้ง ละเมอพูด  ละเมอกรีดร้อง อาจลุกขึ้นมานั่งเฉยๆ  หรือ ลุกขึ้นเดินไปเดินมา โดยไม่รู้ตัว อาการนี้มักพบได้บ่อยในเด็กอายุระหว่าง 4 ถึง 8 ขวบ เด็กส่วนใหญ่ที่มีอาการละเมอ จะเริ่มนอนละเมอในช่วงหนึ่งหรือสองชั่วโมงหลังจากหลับไป และมักจะกินเวลาตั้งแต่ 5 ถึง 15 นาที โดยทั่วไปพฤติกรรมนี้ไม่เป็นอันตราย และเด็กส่วนใหญ่มีประสบการณ์การนอนละเมอได้เป็นเรื่องปกติ แต่การนอนละเมออาจเป็นอันตรายได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแล สิ่งสำคัญคือ ต้องปกป้องบุตรหลานของคุณจากการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากการนอนละเมอ

            ลูกชอบนอนละเมอ พ่อแม่ควรกังวลไหม จะแก้ไขได้อย่างไร?

            สาเหตุของการนอนละเมอ?

            มีหลายปัจจัยที่สามารถนำไปสู่การละเมอ ได้แก่ :

            • อ่อนเพลียหรือขาดการนอนหลับ
            • นิสัยการนอนหลับที่ผิดปกติ
            • ความเครียดหรือความวิตกกังวล
            • อยู่ในสภาพแวดล้อมการนอนหลับที่แตกต่างกัน (ไม่คุ้นเคยกับสถานที่)
            • เจ็บป่วยหรือมีไข้
            • ยาบางชนิดรวมทั้งยาระงับประสาทยากระตุ้นและยาแก้แพ้
            • ประวัติการนอนละเมอของคนในครอบครัว

            นอกจากนี้ การนอนละเมออาจมีภาวะผิดปกติอื่นๆ ของร่างกาย ที่อาจเป็นต้นเหตุได้ เช่น :

            • มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (หยุดหายใจช่วงสั้น ๆ ในตอนกลางคืน)
            • ความสยดสยองในตอนกลางคืน (ฝันร้ายตอนนอนหลับสนิท)
            • ไมเกรน
            • โรคขาอยู่ไม่สุข (RLS)
            • บาดเจ็บที่ศีรษะ
            ลูกชอบนอนละเมอ
            ลูกชอบนอนละเมอ

            อาการละเมอเป็นอย่างไร?

            การเดินในระหว่างการนอนหลับอาจเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของการละเมอ แต่ยังมีการกระทำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะนี้

            อาการละเมออาจรวมถึง:

            • นั่งบนเตียงและเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ
            • ลุกขึ้นเดินไปรอบ ๆ บ้าน
            • พูดหรือพึมพำระหว่างการนอนหลับ (พบได้บ่อยที่สุด)
            • กรีดร้องด้วยความตกใจกลัว
            • ไม่ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วย
            • ปัสสาวะในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม
            • ทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ เช่น การเปิดและปิดประตูห้องนอน

            การวินิจฉัยอาการ

            โดยทั่วไปการนอนละเมออาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพียงแต่แพทย์จะให้คำปรึกษาถึงแนวทางในการป้องกัน แพทย์อาจทำการตรวจร่างกายและจิตใจเพื่อแยกแยะเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการนอนละเมอ ซึ่งหากปัญหาทางการแพทย์อื่นๆ ทำให้ลูกของคุณนอนละเมอก็อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาสำหรับปัญหาพื้นฐาน

            หากแพทย์สงสัยว่ามีปัญหาการนอนหลับอื่น ๆ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจตรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณภาพการนอนหลับของลูก โดยอาจใช้เวลาทั้งคืนในห้องแล็บสำหรับการนอนหลับ โดยใช้อิเล็กโทรดติดอยู่กับบางส่วนของร่างกายเด็กเพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจคลื่นสมองอัตราการหายใจความตึงของกล้ามเนื้อการเคลื่อนไหวของตาและขาและระดับออกซิเจนในเลือด กล้องอาจบันทึกภาพเด็กขณะหลับ

            แพทย์อาจแนะนำคุณพ่อคุณแม่ให้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า การตื่นนอนตามกำหนดเวลา สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการเฝ้าดูบุตรหลานของคุณสักสองสามคืน เพื่อตรวจสอบว่ามักจะละเมอขึ้นมาในเวลาใด จากนั้นปลุกลูกให้พอรู้สึกตัว แล้วนอนหลับต่อ ซึ่งจำเป็นต้องทำวิธีนี้ในช่วง 15 นาที ก่อนที่จะมีการละเมอในเวลาเดิมจากการเฝ้าสังเกต วิธีนี้สามารถช่วยรีเซ็ตวงจรการนอนหลับของเด็กและควบคุมพฤติกรรมการละเมอได้

            หากการนอนละเมอก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นอันตราย หรือทำให้ลูกรู้สึกอ่อนเพลียมากเกินไป แพทย์อาจสั่งจ่ายยา เช่น เบนโซไดอะซีปีน (ยาออกฤทธิ์ทางจิตที่มักกำหนดเพื่อรักษาความวิตกกังวล) หรือยาแก้ซึมเศร้า

            การนอนละเมอควรได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน ก็ต่อเมื่อมีความสงสัยว่าอาการละเมอไม่ใช่อาการละเมอที่แท้จริง แต่อาจเป็นการ ชักขณะหลับ วิธีสังเกต คือ โดยปกติคนเราจะละเมอ คืนละ 1-2 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในช่วงของการหลับลึก (Rem Sleep) แต่หากมีการละเมอมากกว่านั้นอาจไม่ใช่การละเมอ และควรพบแพทย์  นอกจากนี้ในส่วนของการละเมอเดินจัดเป็นภาวะที่ควรพบแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อตัวเด็กได้สูงมาก

            การรักษาสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย

            หากคุณสังเกตเห็นว่าลูกของคุณนอนละเมอ เช่นการลุกขึ้นยืนหลับตา หรือลุกขึ้นนั่ง ให้พยายามพาพวกเขากลับไปที่เตียงอย่างนุ่มนวล อย่าพยายามปลุกเพราะอาจทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลงได้ แต่ให้สร้างความมั่นใจให้กับบุตรหลานของคุณด้วยคำพูด และช่วยพาพวกเขากลับไปที่เตียง

            นอกจากนี้ยังมีมาตรการด้านความปลอดภัยที่สามารถทำได้รอบ ๆ บ้านเพื่อช่วยให้บุตรหลานของคุณปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ ได้แก่ :

            • ปิดและล็อคประตูและหน้าต่างทั้งหมดในเวลากลางคืน
            • ติดตั้งสัญญาณเตือนที่ประตูและหน้าต่างหรือติดตั้งล็อคให้พ้นมือเด็ก
            • เคลียร์สิ่งของที่อาจเป็นอันตรายจากการสะดุด
            • นำของมีคมและแตกหักออกจากรอบ ๆ เตียงของบุตรหลานของคุณ
            • ไม่ให้ลูกนอนบนเตียงสองชั้น
            • ติดตั้งประตูนิรภัยหน้าบันไดหรือทางเข้าประตู

            ลูกชอบนอนละเมอ

            การป้องกันการนอนละเมอ

            การช่วยลูกของคุณพัฒนานิสัยการนอนหลับที่ดีและเทคนิคการผ่อนคลายสามารถช่วยป้องกันการนอนละเมอได้  ทั้งการได้เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา เพื่อคุณภาพการนอนหลับที่ดี ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการนอนละเมอได้ ทั้งนี้การรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของการนอนให้เหมาะสม ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการนอนละเมอได้

            ลองทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อช่วยป้องกันการนอนละเมอ:

            • ฝึกให้ลูกเข้านอนเวลาเดียวกันทุกคืน
            • สร้างกิจวัตรก่อนนอนที่ผ่อนคลาย เช่น อาบน้ำอุ่น หรือฟังเพลงสบาย ๆ
            • สร้างสภาพแวดล้อมการนอนหลับที่มืดเงียบ และสบายสำหรับเด็กๆ
            • ลดอุณหภูมิในห้องนอนให้ต่ำกว่า 24 ° C
            • จำกัด ของเหลวก่อนนอน และควรให้ลูกปัสสาวะก่อนเข้านอน
            • หลีกเลี่ยงการให้ลูกบริโภคน้ำตาลก่อนนอน

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com , rama.mahidol.ac.th

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            ลูกนอนกรน หายใจเสียงดัง เสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

            ลูกนอนน้อย นอนดึก แก้ได้ด้วย 5 ต้องห้าม 5 ต้องทำ!!

            สัญญาณเตือน! ลูกนอนไม่พอ พ่อแม่ต้องรู้ ก่อนสายเกินแก้

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              แม่ท้องสักคิ้ว

              แม่ให้นมลูก แม่ท้องสักคิ้ว สักปาก สักตามผิวหนัง ได้ไหม?

              ตอบทุกข้อสงสัย แม่ให้นมลูก แม่ท้องสักคิ้ว สักปาก สักตามผิวหนัง ได้หรือไม่? จะเป็นอันตรายต่อลูกในท้อง และลูกที่ทานนมแม่หรือเปล่า? อ่านต่อได้ที่นี่

              แม่ให้นมลูก แม่ท้องสักคิ้ว สักปาก สักตามผิวหนัง ได้ไหม?

              การสักบนร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการสักบริเวณผิวหนัง การสักคิ้ว สักปาก คือการสักเม็ดสีเข้าไปในร่างกาย ทั้งนั้น ทำให้แม่ท้องและแม่ให้นมลูกหลาย ๆ ท่านกังวลว่าเม็ดสีที่สักนั้นจะกระทบต่อลูกในท้อง หรือกังวลว่าเม็ดสีนั้นจะเข้าไปปนเปื้อนในน้ำนมแม่

              แม่ท้องสักคิ้ว สักปาก สักตามผิวหนังระหว่างตั้งครรภ์ได้หรือไม่?

              ขณะนี้ยังไม่มีงานค้นคว้าใดยืนยันชัดเจนว่าการสักระหว่างตั้งครรภ์จะปลอดภัยหรือเป็นอันตราย อีกทั้งยังอาจมีความเสี่ยงในการติดเชื้อสู่ทารกในครรภ์ด้วย จึงไม่แนะนำให้สักในช่วงที่ตั้งครรภ์ และควรเลื่อนแผนการสักออกไปก่อน

              หากตัดสินใจจะสักระหว่างตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรเลือกร้านสักที่มีลักษณะดังต่อไปนี้

              • ยินดีตอบคำถามที่กังวลและให้รายละเอียดต่าง ๆ ที่สังสัย หรือยินดีให้สังเกตการสักของช่างระหว่างที่กำลังสักให้ผู้อื่นก่อนตัดสินใจสัก
              • ร้านสะอาดและถูกสุขอนามัย โดยพื้น กำแพง และเพดานสะอาด และมีพื้นที่สำหรับสักที่แยกออกจากพื้นที่การใช้งานส่วนอื่น ๆ
              • อุปกรณ์สักต่าง ๆ ผ่านการฆ่าเชื้อมาแล้ว และร้านสักมีหม้อนึ่งฆ่าเชื้อที่ใช้ความร้อนและไอน้ำเพื่อทำความสะอาดอุปกรณ์สักโดยเฉพาะ
              • ใช้อุปกรณ์ที่เป็นของใหม่ และไม่นำอุปกรณ์บางชนิดกลับมาใช้ซ้ำหรือใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น ถุงมือ ผ้าพันแผล สีหมึก และเข็ม เป็นต้น
              • ใช้สีหมึกที่อยู่ในถ้วยสีสักชนิดใช้แล้วทิ้งโดยเฉพาะ ไม่ใช้สีสักจากขวดสีหมึก
              • ช่างสักมีความชำนาญ และใส่ถุงมือตลอดขั้นตอนการสัก
              • ช่างสักว่างตอบคำถามในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังจากสักเสร็จ เพื่อให้ผู้ที่สักสอบถามข้อมูลได้หากเกิดปัญหาใด ๆ ขึ้น

              ทั้งนี้ ควรแจ้งช่างสักให้ทราบว่ากำลังตั้งครรภ์ด้วย เพื่อให้ช่างสักระมัดระวังมากกว่าปกติ และควรรอให้เลยช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ไปก่อน เพื่อให้อวัยวะสำคัญต่าง ๆ ของทารกในครรภ์พัฒนาขึ้นมาก่อน เช่น อวัยวะภายใน กระดูก เส้นประสาท และกล้ามเนื้อ เป็นต้น

              คนท้องสักคิ้ว
              คนท้องสักคิ้ว

              ทำไมแม่ท้องถึงไม่ควรสักคิ้วระหว่างตั้งครรภ์?

              การสักโดยทั่วไปแล้วในทุกขั้นตอนมักจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทั้งนั้น เช่น HIV หรือ โรคไวรัสตับอักเสบบี สำหรับคนท้องแล้วจะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นอีก เพราะอาจมีผลกระทบต่อลูกน้อยในท้องอีกด้วย

              และถึงแม้ว่าร้านสักคิ้วที่มีมาตรฐานจะมีมาตรการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อระหว่างสักก็ตาม ถ้าคุณแม่ไม่ดูแลรักษาอย่างถูกวิธีหลังจากการสักก็อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้เช่นกัน หากเป็นไปได้คุณแม่ควรงดการสักออกไปก่อนจะดีกว่า แต่ใช่ว่านี้คือสาเหตุหลักเท่านั้น ยังมีสาเหตุอีก ดังนี้

              • ในระหว่างที่คุณแม่ท้องผิวหนังจะยืดออก มีอาการบวมตามตัว โดยเพราะช่วงไตรมาสสุดท้ายไม่เว้นแม้กระทั่งใบหน้า นั่นหมายความว่า ถ้าคุณแม่สักคิ้วตอนท้องโตอยู่พอร่างกายกลับเข้าที่คิ้วที่สักไปอาจไม่ได้รูปก็ได้ ทำให้ต้องไปแก้คิ้วเพิ่มหลังคลอดอีก
              • คิ้วเป็นบริเวณที่บอบบางที่สุด ซึ่งในระหว่างการสักคิ้วคุณแม่อาจจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากทำให้ต้องเกร็งบริเวณหน้าท้องนาน ๆ ถ้าคุณแม่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรกอยู่ด้วยแล้วอาจทำให้เสี่ยงต่อการแท้งลูกได้ด้วย
              • สักคิ้วอาจทำให้ความดันโลหิตภายในหรือความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
              • อาจเกิดการแพ้ต่อสารเคมีหรือส่วนประกอบที่รวมอยู่ในสีที่ใช้ในระหว่างการสักคิ้ว
              • ผิวอาจเป็นรอยแผลหรือมีผื่นอักเสบ

              แม่ท้องสักคิ้ว สัญญาณแบบไหนควรรีบไปพบแพทย์?

              ในกรณีที่ แม่ท้องสักคิ้ว มาแล้ว ปรากฏอาการที่เป็นสัญญาณของการติดเชื้อหลังการสัก ดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

              • เป็นไข้ หนาวสั่น
              • มีหนองหรือเป็นแผลแดงบริเวณรอยสัก
              • มีกลิ่นเหม็นบริเวณรอยสัก
              • เกิดเนื้อเยื่อแข็งบริเวณรอยสัก
              • มีรอยดำปรากฏขึ้นบริเวณรอยสักหรือรอบรอยสัก

              นอกจากนี้ ผู้ที่สักระหว่างตั้งครรภ์อาจประสบปัญหาสภาพผิวที่อาจส่งผลให้ลักษณะของรอยสักเปลี่ยนไปได้ โดยเฉพาะผิวหนังบริเวณที่มีการขยายมาก เช่น หน้าท้อง หน้าอก และสะโพก เป็นต้น ซึ่งหากผิวเกิดรอยแตกลายในบริเวณเดียวกับที่สัก รอยสักก็อาจดูจางลงได้ด้วย

              แม่ให้นมลูกสักคิ้ว สักปาก สักตามผิวหนังได้ไหม?

              สำหรับแม่ให้นมลูกนั้น จะแตกต่างกับแม่ท้อง เพราะคลอดทารกออกมาแล้ว จึงไม่มีผลกระทบต่อลูกซักเท่าไหร่ เพียงแต่แม่ลูกอ่อนที่ให้นมบุตรอยู่นั้น มักจะกังวลว่าสีที่สักเข้าไปในร่างกาย และยาชา อาจจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด และเข้าไปสู่น้ำนมได้นั้น ทีมแม่ ABK ขอนำคำตอบจากคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ มาแชร์กันค่ะ

              คุณแม่ที่ให้นมลูก สามารถทำตัวให้สวยได้ค่ะ เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับตัวเองได้ เช่น ย้อมผม ยืดผม ดัดผม สักคิ้ว (เลือกร้านที่สะอาด ปราศจากโรคติดเชื้อ) โบท็อกซ์ เลเซอร์ (เลือกทำจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญ อย่าทำกับหมอเถื่อนเพื่อความปลอดภัยกับตัวคุณแม่เอง) ทำฟัน จัดฟัน (ทำกับคุณหมอฟัน อย่าทำกับหมอเถื่อน) ฉีดยาชา ผ่าตัด ดมยาสลบ (ฟื้นจากดมยาสลบก็ให้นมได้เลยค่ะ ถ้าเช็คแล้วยาไม่มีปัญหากับน้ำนม
              แต่ห้ามคุณแม่ทานยาต่อไปนี้…ยาลดความอ้วน อาหารเสริมอกฟูรูฟิต ยาชุดที่ทำให้ผิวขาว ยาเพิ่มน้ำนมที่ไม่มีอ.ย. (ระวังถึงมีอ.ย. ก็อาจเป็นอ.ย. ปลอม) ยาเสพติดให้โทษ (ยกเว้นกรณีแม่สูบบุหรี่ ถ้าแม่สูบบุหรี่ ให้นมได้ไหม ให้นมได้ค่ะ และยิ่งต้องให้ เพราะจะได้ลดความอันตรายจากการสูดดมบุหรี่ไปได้บ้าง…แต่ดีที่สุดคือ พยายามเลิกบุหรี่เพราะเพิ่มความเสี่ยงโรคเสียชีวิตขณะนอนหลับจากการสูดดมในอากาศ ไม่ใช่จากที่ผ่านทางน้ำนม เพิ่มความเสี่ยงโรคภูมิแพ้ โรคมะเร็ง โรคติดเชื้อ)
              เห็นไหมคะ ให้นมแม่ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด
              Cr. คุณแม่ให้นมลูกสักได้ค่ะ แต่ต้องเลือกร้านที่สะอาดปลอดภัยจากโรคติดเชื้อที่ใช้เข็มร่วมกัน เช่น เอดส์ ไวรัสตับอักเสบ
              รอยสักบางครั้งก็มีประโยชน์ไม่น้อย เพราะช่วยเยียวยาจิตใจ เช่น คนที่มีแผลเป็นไฟไหม้น้ำร้อนลวก พอสักแล้วช่วยกลบเกลื่อนรอยแผลที่น่าเกลียดให้ดูสวยงามได้ แต่ต้องเลือกร้านที่สะอาดปลอดภัยไม่เสี่ยงติดเชื้อ
              ให้นมลูกสักคิ้วได้ไหม
              ให้นมลูกสักคิ้วได้ไหม
              จะเห็นได้ว่าการสักสำหรับแม่ท้องและแม่ให้นมลูกนั้น ล้วนแล้วแต่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV และการติดเชื้อ HIV ขณะตั้งครรภ์ และขณะให้นมลูก ก็ส่งมีผลกระทบต่อลูกทั้งสิ้น อีกทั้งต้องควรระวังและตรวจสอบชนิดของยาชา ว่ามีปัญหากับน้ำนมและลูกในท้องหรือไม่อีก ดังนั้น สำหรับแม่ท้อง ควรเลื่อนการสักออกไปก่อน และสำหรับแม่ให้นมบุตรนั้น ควรเลือกร้านที่ปลอดภัย และตรวจสอบชนิดของยาชาก่อนสักค่ะ

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              คนท้องกิน “ยาหอม” แก้แพ้ท้อง กระทบลูกในท้องไหม?

              กรมอนามัยเผย คนท้องติดเชื้อโควิด เสี่ยงป่วยหนัก แนะฉีดวัคซีนป้องกัน! หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

              น้ำหนักคนท้อง ที่เพิ่มขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ เกิดจากอะไรบ้าง?

              6 การตรวจคัดกรอง ที่แม่ท้องต้องตรวจตามนัด!!

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กคลอดก่อนกำหนด

                วิจัยสำเร็จ!! ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กคลอดก่อนกำหนดได้

                ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กคลอดก่อนกำหนดได้อย่างไร นักวิจัยเผยดนตรีสามารถช่วยพัฒนาสมอง และระบบประสาทอันบอบบางของเด็กกลุ่มนี้ได้ ถือเป็นงานวิจัยที่น่ายินดี

                วิจัยสำเร็จ!! ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กคลอดก่อนกำหนดได้

                วิธีนี้ได้ผล!!  นักวิจัยในสวิตเซอร์แลนด์ อันเดรส์ ฟอลเลนไวเดอร์ (Andreas Vollenweider) พบว่า การเปิดเพลงที่แต่งขึ้นมาเป็นพิเศษให้ทารกที่คลอดก่อนกำหนดฟัง มีส่วนช่วยพัฒนาสมองที่บอบบางของพวกเขา

                ทารกที่เกิดก่อนครบกำหนดอาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ทารกเหล่านี้ ต้องฟังบทเพลงพิเศษเพื่อช่วยพัฒนาระบบประสาท ผลการศึกษาพบว่า ทารกที่ได้ฟังเพลง มีกิจกรรมทางสมองที่ดีขึ้น

                เด็กคลอดก่อนกำหนด กับเพลงพิเศษเพื่อพวกเขา

                ทารกคลอดก่อนกำหนด คือ การคลอดทารกก่อนหรืออายุครรภ์เท่ากับ 37 สัปดาห์เป็นทารกที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรค และการเสียชีวิต เนื่องจากอวัยวะระบบต่าง ๆ ยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ทารกยิ่งคลอดก่อนกำหนดเร็วก็ยิ่งมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของอวัยวะในระบบต่าง ๆ มากขึ้นเท่านั้น จากสถิติพบว่าอัตราการเกิดของเด็กไทยในปัจจุบันประมาณ 800,000 คนต่อปี มีอัตราการเกิดของเด็กคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คิดเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ 8-10 ต่อปี ส่งผลให้อวัยวะของทารกพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ด้วยเหตุนี้ทารกคลอดก่อนกำหนดจึงจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์และพยาบาลที่มีความชำนาญเฉพาะทาง เพื่อช่วยให้ทารกรอดชีวิตและมีความพิการหลงเหลือน้อยที่สุด

                ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กคลอดก่อนกำหนดได้
                ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กคลอดก่อนกำหนดได้

                ขณะที่ความก้าวหน้าของการแพทย์ในปัจจุบันทำให้พวกเขามีโอกาสรอดชีวิตได้ดี แต่เด็กคลอดก่อนกำหนดเหล่านี้จะมีความเสี่ยงสูงอีกอย่างหนึ่งที่จะเกิดความผิดปกติทางระบบประสาท หออภิบาลทารกแรกเกิดที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจนีวา (HUG) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้รับเด็กทารกที่เกิดก่อนกำหนด ระหว่างสัปดาห์ที่ 24 -32 ของการตั้งครรภ์ เรียกได้ว่าเกือบสี่เดือนก่อนกำหนด และเกือบครึ่งหนึ่งจะพัฒนาความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาท รวมถึงปัญหาในการเรียนรู้ความผิดปกติทางความตั้งใจ หรือทางอารมณ์ โดยกล่าวว่า “ในช่วงแรกเกิดสมองของทารกเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์ ประกอบกับการพัฒนาสมองต้องดำเนินไปในห้องผู้ป่วยหนักในตู้อบ สมองที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์บวกกับสภาพแวดล้อมที่รบกวนการพัฒนา จึงอธิบายได้ว่าทำไมโครงข่ายประสาทจึงไม่พัฒนาตามปกติ” Petra Hüppi ศาสตราจารย์ UNIGE  คณะแพทยศาสตร์และหัวหน้ากองพัฒนาและเติบโต HUG อธิบาย

                นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเจนีวา (UNIGE) และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจนีวา (HUG)   ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เสนอวิธีแก้ปัญหาโดยใช้เพลงมาใช้บำบัด โดยเป็นเพลงที่เขียนขึ้นโดยเฉพาะสำหรับเด็กทารกที่เกิดก่อนกำหนด และผลงานแรกตีพิมพ์ในProceedings of the National Academy of Sciences(PNAS) ในสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ: ภาพทางการแพทย์เผยให้เห็นว่าโครงข่ายประสาทของทารกคลอดก่อนกำหนดที่เคยฟังเพลงนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของประสาทสัมผัสและการรับรู้จำนวนมากกำลังพัฒนาได้ดีขึ้นมาก

                ดนตรีพัฒนาสมอง 

                เริ่มต้นแนวคิด

                นักวิจัยชาวเจนีวาเริ่มต้นจากแนวคิดที่ต้องการจัดสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กคลอดก่อนกำหนดให้มีสภาวะที่ดี ไม่เครียด เสริมสร้างด้วยสิ่งที่น่ารื่นรมย์ และการจัดโครงสร้างสิ่งเร้า โดยเชื่อว่า เพลง หรือดนตรีจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะในช่วงแรก ระบบการได้ยินของเด็กยังสามารถใช้งานได้ดี แต่จะเพลงแบบไหนกันละ?

                ดนตรีพัฒนาสมอง ทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นเพลงแบบไหนกันละ
                ดนตรีพัฒนาสมอง ทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นเพลงแบบไหนกันละ

                เพลงนี้เพื่อเธอ

                Lara Lordier ปริญญาเอกด้านประสาทวิทยา และนักวิจัยที่ HUG และ UNIGE เปิดเผยกระบวนการสร้างดนตรี “สิ่งสำคัญคือสิ่งเร้าทางดนตรีเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสภาพของทารก เราต้องการจัดช่วงเวลาในแต่ละวันด้วยสิ่งเร้าที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา ดนตรีที่เข้ากับช่วงเวลาการตื่นของพวกเขา ดนตรีที่เข้ากับการเข้านอน การหลับของพวกเขา และดนตรีที่จะตอบสนองในช่วงระหว่างก่อนการตื่นนอน ” ในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยอายุน้อยเหล่านี้ Andreas Vollenweider นักดนตรียุคใหม่ที่นิยมใช้พิณอิเล็กโทรอะคูสติกที่ดัดแปลงตามแบบของเขาเอง ซึ่งเคยดำเนินโครงการดนตรีกับกลุ่มประชากรที่เปราะบางอยู่แล้ว ได้สนใจเข้าร่วมโครงการวิจัยนี้  เขาได้เล่นเครื่องดนตรีหลายชนิดให้กับทารก โดยมีพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลสนับสนุนพัฒนาการ “เครื่องดนตรีที่สร้างปฏิกิริยาได้มากที่สุด คือ ฟลุตนักชกงูของอินเดีย (ปุนจิ)” ลาร่าลอร์ดเยอร์เล่า “เด็กที่ตื่นตระหนกสงบลงเกือบจะในทันที ความสนใจของพวกเขาถูกดึงดูดไปที่เพลง!”

                การเชื่อมต่อการทำงานของสมองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านดนตรี

                การศึกษานี้ดำเนินการโดยการศึกษาแบบ double-blind กับกลุ่มทารกคลอดก่อนกำหนดที่ฟังเพลง กลุ่มควบคุมทารกคลอดก่อนกำหนด และกลุ่มควบคุมของทารกอายุครบกำหนด เพื่อประเมินพัฒนาการทางสมอง พบว่าพัฒนาการทางสมองของทารกคลอดก่อนกำหนดที่ได้รับการฟังเพลงมีความคล้ายคลึงกับเด็กทารกอายุครบกำหนดมากกว่ากลุ่มเด็กทารกคลอดก่อนกำหนดที่ไม่ได้ฟังเพลง 

                หากไม่มีดนตรีทารกที่คลอดก่อนกำหนดมักจะมีการเชื่อมต่อระหว่างสมองน้อยกว่าทารกที่มีอายุครบกำหนด ซึ่งเป็นการยืนยันถึงผลเสียของการคลอดก่อนกำหนด “เครือข่ายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือเครือข่ายของประสาทการทำงานของประสาทสัมผัส และการรับรู้ ที่มีความสำคัญในเรื่องการปรับตัวเข้ากับสังคม และการจัดการอารมณ์”

                การเชื่อมโยงของสมองทำได้ดีขึ้นหลังจากได้ฟังเพลง
                การเชื่อมโยงของสมองทำได้ดีขึ้นหลังจากได้ฟังเพลง

                สรุป

                การปรับสภาพแวดล้อมให้แก่เด็กคลอดก่อนกำหนด ที่ต้องอยู่ในห้องผู้ป่วยหนัก ในตู้อบ ที่เต็มไปด้วยเสียงเปิดปิดประตู เสียงสัญญาณเตือน โดยปรับสภาพแวดล้อมด้วยการใช้ดนตรีบำบัดนั้น สามารถสงบอารมณ์ของเด็กกลุ่มนี้ได้ดี ในแง่ของการใช้ดนตรีพัฒนาสมองกับเด็กทารกคลอดก่อนกำหนดนั้น ก็มีผลการวิจัยที่มีนัยสำคัญ แสดงการเชื่อมต่อการทำงานระหว่างระบบประสาท the salience network and auditory, sensorimotor, frontal, thalamus and precuneus networks ที่เพิ่มขึ้นของเด็กทารกคลอดก่อนกำหนดที่ได้ฟังเพลงพิเศษของ Andreas Vollenweider จนคล้ายคลึงกับของทารกอายุครบกำหนดคลอด

                การศึกษานี้ได้รับทุนสนับสนุนจาก Swiss National Science Foundation และมูลนิธิ Prim’Enfance Foundation
                ข้อมูลอ้างอิงจาก Materials provided by Université de Genève./www.sciencedaily.com/ Note: Content may be edited for style and length.

                ดนตรีบำบัด

                นอกจากการฟังดนตรีจะให้ผลดีต่อการพัฒนาสมองของเด็กทารกแรกเกิดแล้ว จิตใจ อารมณ์ของผู้ดูแลเด็กก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคุณแม่ ที่อาจเกิดความเครียด วิตกกังวล เมื่อลูกน้อยยังอยู่ในภาวะที่ต้องเฝ้าดูอาการในระหว่างการฟื้นฟูร่างกายให้พัฒนาเข้าสู่เกณฑ์ปกติเหมือนเด็กทั่วไป ดังนั้นดนตรีจึงไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาสมอง เป็นประโยชน์ต่อลูกของคุณแม่เท่านั้น การใช้ดนตรีบำบัดมาช่วยฟื้นฟูจิตใจให้คุณแม่ หรือผู้ดูแลเด็กคลอดก่อนกำหนด ก็เป็นประโยชน์ได้ไม่น้อย
                 Music Therapy หรือดนตรีบำบัด สามารถพัฒนาศักยภาพด้านร่างกาย จิตใจ ความคิด และทักษะทางสังคม ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยให้คนที่ต้องการยกระดับคุณภาพจิตใจให้ดีขึ้น สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้ที่อยากเพิ่มพูนศักยภาพของตนเอง ซึ่งแตกต่างจากการรักษาโรค เพราะดนตรีบำบัดไม่สามารถรักษาคนป่วยให้หายจากโรคได้ เพียงแต่ดนตรีจะช่วยให้คนที่ได้ฟัง หรือคนที่รับการบำบัดอยู่มีอารมณ์ร่วม เกิดสัมพันธภาพในการบำบัดที่ร่วมไปกับดนตรีที่ฟังอยู่

                คนที่ใช้ดนตรีบำบัดไม่จำเป็นว่าจะต้องป่วยอย่างเดียวเท่านั้น เพราะดนตรีบำบัดนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้ว ดนตรียังช่วยพัฒนา และผลักดันศักยภาพรวมถึงทักษะต่าง ๆ ให้ดีขึ้น เช่น การทำกายภาพบำบัดควบคู่กับการทำดนตรีบำบัด ดังนั้น คนที่มีอาการเครียดแต่ยังไม่ถึงกับมีอาการซึมเศร้าก็สามารถใช้ดนตรีบำบัดในการผ่อนคลายได้เช่นเดียวกัน แต่การใช้ดนตรีบำบัดก็แตกต่างกับการฟังดนตรีทั่วไป เพราะการบำบัดจำเป็นต้องให้คนฟังที่บำบัดเข้าถึง และมีสัมพันธภาพทางการบำบัด มีความสัมพันธ์กับเพลง เกิดความเชื่อใจ และมีเป้าหมายในการบำบัดชัดเจน

                เด็กคลอดก่อนกำหนด ร่างกายยังไม่พร้อมทำงานได้ไม่เต็ม 100%
                เด็กคลอดก่อนกำหนด ร่างกายยังไม่พร้อมทำงานได้ไม่เต็ม 100%
                7 ประโยชน์จากดนตรีบำบัด

                1. เพิ่มคุณภาพชีวิต
                2. การจัดการความเครียด
                3. การกระตุ้นความจำ
                4. เพิ่มทักษะการสื่อสาร
                5. บรรเทาอาการเจ็บปวด
                6. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย
                7. ส่งเสริมทักษะการเข้าสังคม
                การที่เราเลือกใช้ดนตรีบำบัดในการช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดนั้นอาจจะไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะใช้ดนตรีอะไรในการบำบัด แต่อาจจะเป็นเราจะเลือกใช้ดนตรีอย่างไรในการบำบัดมากกว่า เพราะการบำบัดด้วยดนตรีอาจจะต้องดูความต้องการ หรือวัตถุประสงค์ด้วยว่าคนที่จะบำบัดเกิดความเครียดจากอะไร และเขามีความชื่นชอบเพลงประเภทไหน การฟังเพลงคลาสสิค หรือเพลงบรรเลงฟังสบายอาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ หรือช่วยเยียวยาให้เขาดีขึ้น เราเพียงต้องเลือกให้เหมาะสมและค่อย ๆ ปรับเพลงให้เหมาะกับการบำบัดผ่อนคลายความเครียด
                ข้อมูลอ้างอิงจาก รพ.เปาโล
                เด็กคลอดก่อนกำหนด กับเพลงพิเศษเพื่อใช้ ดนตรีพัฒนาสมอง
                เด็กคลอดก่อนกำหนด กับเพลงพิเศษเพื่อใช้ ดนตรีพัฒนาสมอง

                ข้อดีของดนตรีนั้นยังมีอีกมากมาย หลากหลาย ในปัจจุบันนักวิจัยต่างก็ช่วยกันคิดค้น ปรับปรุง พัฒนาให้ดนตรีเข้ามามีส่วนช่วยให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ อีกทั้งยังพบงานวิจัยอีกมากที่แสดงให้เห็นว่า ดนตรีสามารถช่วยพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะนอกจากการวิจัยดังกล่าวที่สามารถสรุปได้ว่า ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กทารกคลอดก่อนกำหนดได้ ยังมีงานวิจัยที่ได้ค้นพบว่าดนตรี เพลงโมสาร์ทก็สามารถส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ ค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด และระยะเวลาการนอนหลับในทารกเกิดก่อนกำหนดได้เช่นกัน จากงานวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นี่เป็นเพียงตัวอย่างจากอีกหลาย ๆ การวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของดนตรี ดังนั้น วันนี้คุณได้เปิดเพลงให้คนที่คุณรักฟังกันแล้วหรือยัง?

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                ดนตรีพัฒนาสมอง เพิ่มทักษะการเรียนรู้ให้ลูกน้อย

                6 การตรวจคัดกรอง ที่แม่ท้องต้องตรวจตามนัด!!

                กรมอนามัยเผย คนท้องติดเชื้อโควิด เสี่ยงป่วยหนัก แนะฉีดวัคซีนป้องกัน! หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

                ไขข้อข้องใจ คนท้องกินคีโตได้ไหม จะเป็นอันตรายหรือเปล่า?

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  20 วิธี ทำให้ลูกรู้สึกมีค่า สัมผัสได้ถึงความรักจากพ่อแม่

                  ทำให้ลูกรู้สึกมีค่า – ไม่ว่าคุณจะมีลูกวัยเตาะแตะขี้โมโหที่ชอบขว้างปาข้าวของหรือทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า หรือลูกวัยรุ่นที่เป็นตัวของตัวเองและชอบคิดว่าพ่อแม่น่ารำคาญก็ตาม แต่เด็ก ๆ ทุกคน ควรได้รับรู้ถึงความรักและความเคารพที่พ่อแม่มีให้พวกเขา ในฐานะพ่อแม่เราจะทำให้ลูกรู้สึกถึงความรักเหล่านี้ได้อย่างไร? มีพ่อแม่จำนวนไม่น้อยที่อาจเกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่การแสดงความรักไม่ใช่สิ่งที่ได้รับความใส่ใจและให้ความสำคัญเท่าที่ควร ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเรื่องยากสำหรับพ่อแม่ที่เติบโตมาในครอบครัวแบบนี้ที่จะแสดงความรักให้ลูกๆ ของพวกเขาสัมผัสได้อย่างที่ควรจะเป็น และพวกเขาอาจสงสัยว่าจะทำให้ลูกๆ รู้สึกถึงความรักได้อย่างไร? ก่อนอื่นเลยเรามาดูกันก่อนค่ะว่าความรู้สึกรัก รู้สึกถึงการมีค่าในสายตาของพ่อแม่มีความสำคัญกับเด็กอย่างไร?

                  เหตุใดความรักและความเสน่หาจึงสำคัญสำหรับเด็ก?

                  ความรักความเสน่หาทำให้ลูกมีความสมบูรณ์แข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ หัวใจสำคัญประการหนึ่งของพัฒนาการที่ดีของเด็ก คือความรัก ความรู้สึกได้เป็นที่รักที่มากขึ้นเท่ากับเด็กจะแข็งแรงและมีสุขภาพกายและใจดี หากเด็กรู้สึกถึงความรักและความเสน่หาได้น้อย เด็กจะมีความเปราะบางทางร่างกายและจิตใจ ขาดความมั่นใจในตัวเองและไม่ชอบเข้าสังคม ความรักและความเสน่หามีความสำคัญพอ ๆ กับอาหาร ที่อยู่อาศัย และน้ำ ช่วยสร้างรากฐานที่มั่นคงให้กับเด็ก มีงานวิจัยหลายพันชิ้นที่ยืนยันว่าเด็กที่มีพ่อแม่ที่แสดงออกอย่างเต็มเปี่ยมด้วยความรัก มักมีความสามารถและ ความยืดหยุ่น (resilience) ที่ดีกว่า ซึ่งสิ่งนี้สามารถส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตของเด็กได้

                  ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขช่วยให้ลูกประสบความสำเร็จได้อย่างไร?

                  ความรักช่วยให้เด็กมีสุขภาพจิตโดยรวมที่ดี ความรักทำให้บุตรหลานของคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น ความรักช่วยเพิ่มพัฒนาการทางสมองและความจำของบุตรหลาน ความรักสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างพ่อแม่และลูก ความรักทำให้ลูกของคุณกล้าหาญและรอบรู้มากขึ้น!

                  20 วิธี ทำให้ลูกรู้สึกมีค่า สัมผัสได้ถึงความรักจากพ่อแม่

                  ต่อไปนี้เป็น 20 วิธีในการแสดงให้ลูกของคุณเห็นว่าคุณรักพวกเขาและพวกเขาเขย่าโลกของคุณมากแค่ไหน

                  1. กระตุ้นลูกของคุณให้มีความสุขเสมอ

                  การศึกษาพบว่า มีเก้านาทีในระหว่างวัน ที่ส่งผลกระทบต่อเด็กได้มากที่สุด :

                  • สามนาทีแรกทันทีเมื่อพวกเขาตื่นนอน
                  • สามนาทีหลังจากกลับถึงบ้านจากสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียน
                  • สามนาทีสุดท้ายของวันก่อนที่พวกเขาจะเข้านอน

                  เพราะฉะนั้นในตอนเช้า ลองปลุกลูกขึ้นมาเจอกับการโอบกอดที่พร้อมหน้าพร้อมรอยยิ้มจากพ่อและแม่ จะช่วยสร้างความอบอุ่นทางใจให้เด็กได้เป็นอย่างดี

                  2. ตั้งใจดูและตั้งใจฟังลูก

                  ในขณะสนทนากับลูก พ่อแม่ควรสบตาและตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกพูด ความสามารถของเด็ก ๆ คือ พวกเขามักรู้ได้ทันทีว่าเมื่อไหร่ที่คุณเสียสมาธิระหว่างการพูดคุยกับพวกเขา และสิ่งนั้นจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่สำคัญสำหรับคุณได้ เพราะฉะนั้นก่อนจะสนทนากับลูก ควรตัดทุกอย่างที่รบกวนออกไปและโฟกกัสไปที่ลูก ๆ ของคุณ เมื่อบุตรหลานของคุณต้องการพูดคุยกับคุณ (โดยเฉพาะลูกวัยรุ่น) ให้หยุดสิ่งที่คุณกำลังทำ และสบตาและให้ความสนใจกับลูกอย่างเต็มที่ ถามคำถามที่แสดงว่าคุณมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

                  ทำให้ลูกรู้สึกมีค่า
                  ทำให้ลูกรู้สึกมีค่า

                  3. ใช้เวลาร่วมกันแบบส่วนตัว

                  ใช้เวลาที่มีคุณภาพ เพียง 10 นาทีต่อวันก็ยอดเยี่ยมแล้วสำหรับเด็กเล็กๆที่ต้องการอยู่ใกล้พ่อแม่เสมอ สำหรับเด็กวัยรุ่นการให้เวลากับพวกเขาก็เป็นสิ่งสำคัญแต่ควรปล่อยให้ลูกของคุณตัดสินใจว่าคุณกับเขาจะทำอะไรร่วมกัน ควรปิดโทรศัพท์ของคุณถ้าทำได้ เสียงและการแจ้งเตือนของโทรศัพท์อาจทำให้คุณเสียสมาธิได้ การเลานบอร์ดเกมส์ร่วมกันก็เป็นความคิดที่ดี

                  4. ถามคำถามลูก

                  หากคุณถามลูกด้วยคำถามสั้นๆ  เช่น  “วันนี้เรียนรู้เรื่องมั้ย” ด้วยคำถามลักษณะนี้ การสนทนาของคุณอาจจะจบลงได้อย่างรวดเร็วเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทางที่ดี การถามคำถามกับลูกๆ ควรใช้คำถามปลายเปิดที่แสดงให้เห็นว่าคุณสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของลูกอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น ถามพวกเขาว่าวันนี้พวกเขาเรียนได้รู้อะไรบ้างจากการสอบท่องคำศัพท์ที่โรงเรียน ถามถึงเนื้อเรื่องและตัวการ์ตูน จากหนังสือนิทานที่ลูก ๆ ชื่นชอบ หรือถามว่า โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร แล้วทำไมถึงอยากเป็นแบบนั้น

                  5. สร้างกิจวัตรที่น่าจดจำ

                  การสร้างช่วงเวลาที่น่าจดจำกับลูกๆ คุณไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองมากมาย เพียงสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกันสักเดือนละครั้งสองครั้ง เช่น พาลูกของคุณไปเที่ยวเดินเล่น ทานไอศครีมหลังเลิกเรียน ไปสำรวจสวนสาธารณะหรือห้องสมุดใหม่ทุกวันพฤหัสบดี หรือทำขนมร่วมกันสำหรับทานกันในครอบครัวในวันอาทิตย์ เป็นต้น การได้ทำสิ่งต่างๆ ร่วมกัน จะช่วยพัฒนาความสัมพันธ์พิเศษระหว่างคุณกับลูกได้เป็นอย่างดี

                  6. แสดงความรักของคุณ

                  ไม่ว่าจะเป็นการจูบการกอดหรืออะไรก็ตามที่แสดงให้ลูกเห็นว่าพวกเขามีความหมายกับคุณมากแค่ไหน ทั้งการตั้งใจรับฟังปัญหาและให้คำปรึกษา การให้ของขวัญลูกในวาระโอกาสพิเศษต่างๆ หรือการชื่นชมและให้ของขวัญเป็นรางวัลเมื่อลูกทำในสิ่งที่ดี เป็นต้น

                  7. ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกชื่นชอบ

                  การแสดงความสนใจและให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกทำหรือชอบ เป็นการแสดงให้ลูกรู้ว่าพวกเขามีความสำคัญต่อคุณ ฟังอย่างตั้งใจและกระตือรือร้นในขณะที่พวกเขาอธิบายว่าพวกเขาออกแบบบล็อกที่ต่อเป็นอะไร หรือวาดรูประบายสีเป็นรูปอะไร  การใส่ใจในความสนใจของลูก ๆ ช่วยให้พวกเขารู้สึกได้รับการสนับสนุน และแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความสำคัญมากพอที่คุณจะอุทิศเวลาที่มีค่าของคุณให้กับพวกเขา

                  ทำให้ลูกรู้สึกมีค่า

                  8. เรียนรู้ภาษารักของบุตรหลาน

                  ตามที่ ดร. แกรี่ แชปแมน และ ดร. รอส แคมป์เบล ผู้เขียน หนังสือเรื่อง The Five Love Languages of Children ระบุว่า มีภาษารักที่แตกต่างกันห้าภาษาสำหรับเด็กๆ ภาษารักเหล่านี้มีตั้งแต่ การสัมผัสทางกาย การใช้คำพูดบอกรัก การใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน การให้ของขวัญแทนใจ และการให้ความช่วยเหลือ เด็กบางคนโหยหาการกอดรัดฟัดเหวี่ยงและการเล่นกับพ่อแม่แบบใช้กำลัง (ส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชาย) ในขณะที่เด็กบางคนอาจกระหายการชื่นชม คำชมเชย และ คำพูดว่า “ ฉันรักคุณ” ในทุกวัน เป็นต้น  การที่พ่อแม่เรียนรู้ภาษารักของลูก และทำความเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้อย่างถ่องแท้ จะทำให้คุณสามารถตอบสนองและแสดงความรักอย่างมีประสิทธิภาพให้ลูกๆ รู้สึกได้

                  9. ให้ลูกได้แสดงออกถึงความเป็นตัวเอง

                  พ่อแม่ที่เปิดกว้างในการแสดงออกหรือความสนใจของลูก คอยสนับสนุนและปล่อยให้ลูกทำและได้เป็นในสิ่งที่พวกเขารักและชื่นชอบจะทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าพ่อแม่ให้ความสำคัญเข้าใจและยอมรับในตัวตนของพวกเขาอย่างแท้จริง  ไม่ว่าลูกชายของคุณจะชอบเล่นตุ๊กตา หรือลูกสาวชอบเล่นหุ่นยนต์ยอดมนุษย์ ก็ควรปล่อยให้พวกเขาได้ทำและแสดงออก เพราะเราทุกคนต่างเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ดังนั้นเราควรเลี้ยงดูลูก ๆ ของเราให้เป็นตัวของตัวเอง

                  10. สอนลูกไม่ให้จมอยู่กับความผิดพลาด

                  มนุษย์ทุกคนสามารถทำผิดพลาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรากำลังเรียนรู้ ช่วยให้ลูกของคุณได้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความจริงของชีวิต สิ่งสำคัญ คือ ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดไม่ใช่หมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาดเหล่านั้น การแสดงความรักต่อบุตรหลานของคุณการอยู่เคียงข้างพวกเขาเสมอ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความมั่นคงทางอารมณ์ให้พวกเขา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นในชีวิตได้เป็นอย่างดี

                  11. ขอบคุณลูกของคุณ

                  เมื่อลูกของคุณทำความสะอาดห้องนอน หรือมุมของเล่น อย่าลืมที่จะขอบคุณพวกเขาด้วยความจริงใจ เมื่อลูกของคุณวิ่งลงบันไดเพื่อช่วยคุณหาของ หรือช่วยคุณคิดว่าจะซื้อของใช้อะไรเข้าบ้านบ้าง ให้แสดงความขอบคุณพวกเขา แม้ว่าลูก ๆ ของคุณอาจยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่พวกเขาก็ยังต้องการการสนับสนุนและส่งเสริมในความคิดและการกระทำ เช่นเดียวกับพวกเราที่บรรลุนิติภาวะแล้ว

                  12. แสวงหาความคิดเห็นของลูก

                  เมื่อคุณขอความคิดเห็นจากใคร แน่นอนว่าสิ่งนั้นจะทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีความสำคัญและได้รับความเคารพ เช่นเดียวกันกับเด็ก ๆ บางครั้งเรามักจะบงการทุกอย่างเพื่อลูก แต่ทางที่ดี เราควรใเปิดโอกาสให้พวกเขาแบ่งปันความคิดเห็นของพวกเขาด้วย สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกๆ ของคุณรับรู้ว่าคุณคำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขามากเพียงใด

                  13. ทำให้ลูกประหลาดใจ

                  เช่นการพาเด็กๆ ไปกินไอศกรีมหลังเลิกเรียน ฝากจดหมายรักไว้ในถุงอาหารกลางวัน ซื้อหนังสือเล่มใหม่ที่น่าสนใจจากร้านหนังสือเพื่อให้คุณกับลูกได้อ่านร่วมกันในเย็นวันนั้น ปิกนิกในสวนหลังบ้านพร้อมของว่างและของเล่นกลางแจ้งที่ลูกชื่นชอบ สิ่งเหล่านี้จะทำให้วันของเด็กๆ สดใสและมีความสุขมากขึ้น ไม่ต้องสงสัยว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่คุณทำจะช่วยให้พวกเขารู้สึกรักคุณและรู้สึกว่าคุณก็รักพวกเขา สิ่งที่คุณทำให้ลูกๆ รู้สึกเซอร์ไพรส์หัวใจพองโต มักจะติดอยู่ในความทรงจำตลอดไปแม้ในวันที่พวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม

                  14. ชมเชยลูกของคุณ

                  ชมเชยลูกของคุณแม้เวลาที่อยู่ในบ้าน หรือต่อหน้าเพื่อน ๆ บองลูกและคนอื่น ๆ  สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกรู้สึกว่าคุณรักและชื่นชม แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเองของพวกเขา การเสริมแรงเชิงบวกยังช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ ทำพฤติกรรมดีๆ ที่น่ายกย่องได้เสมอ

                  15. ให้ความสำคัญกับวาระสำคัญของลูก

                  การได้ยินพ่อแม่ส่งเสียงเชียร์บนอัฒจันทร์เมื่อพวกเขาแข่งกีฬา หรือยกนิ้วโป้งให้ มันหมายถึงโลกทั้งใบสำหรับลูกของคุณ บุตรหลานของคุณต้องการแสดงให้คุณเห็นว่าพวกเขาเรียนรู้อะไรและสามารถทำได้ดีเพียงใด พวกเขาต้องการสร้างความประทับใจและให้คุณภูมิใจในตัวพวกเขา พวกเขาแสวงหาการเน้นย้ำการทำสิ่งที่ดีจากคุณอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจงมอบสิ่งเหล่านี้ให้กับพวกเขาบ่อยๆ

                  ทำให้ลูกรู้สึกมีค่า

                  16. ให้กำลังใจลูก

                  เพื่อช่วยสร้างความภาคภูมิใจในตนเองของบุตรหลานพวกเขาต้องการกำลังใจมากมาย ความรู้สึกในเชิงบวกเป็นของขวัญที่วิเศษที่สุดอย่างหนึ่งที่จะมอบให้บุตรหลานของคุณ เมื่อพวกเขากลัวกังวลหรือรู้สึกแย่ช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นมันไปได้ ดังนั้นพ่อแม่จงเป็นกองเชียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา แบ่งปันคำให้กำลังใจ เมื่อคุณใช้คำพูดที่ให้กำลังใจสิ่งนี้สามารถส่งผลดีต่อลูกของคุณได้ในระยะยาว

                  17. จัดมุมแสดงผลงานศิลปะเกียรติบัตรและเหรียญรางวัลของลูก

                  คุณรู้สึกดีใช่ไหมเมื่อหยุดพักและมองเห็นประกาศนียบัตร เกียรติบัตร หรือรางวัลที่คุณได้ด้วยความยากลำบาก บนผนังห้องหรือโต๊ะทำงานของคุณ? ลูกของคุณก็รู้สึกไม่ต่างกันแน่นอน ดังนั้นแสดงให้ลูกๆ เห็นว่าคุณให้เกียรติในความสามารถคิดสร้างสรรค์ การทำงานหนักและความพยายามของพวกเขา การสร้างพื้นที่เล็ก ๆ สำหรับจัดวาวรางวัลต่างๆ ของลูก ข้างมุมตู้เย็น กำแพง หรือชั้นวางของ เป็นสิ่งที่คุณควรทำ!

                  18. ทำตามคำสัญญา

                  ตอนเป็นเด็กพวกเรารู้ดีว่าคำมั่นสัญญาจากพ่อแม่มันน่าตื่นเต้นเพียงใด และเป็นธรรมดาที่เราจะรู้สึกแย่มากเมื่อมันไม่บรรลุผล  สิ่งนี้มันกระทบกับลูก ๆ ของเราได้เช่นกัน หากคุณสัญญากับลูกว่าจะซื้อของเล่นที่พวกเขาชื่นชอบให้ หากพวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่ท้าทายความสามารถของพวเขาได้  หากคุณสัญญากับลูกวัยเตาะแตของคุณว่าจะพาไปเที่ยวสวนสัตว์ในวันหยุด คุณจำเป็นต้องเคลียร์งานทุกอย่างให้เรียบร้อยและมั่นใจว่าจะไม่มีอะไรมาทำลายแผนการของคุณ หากคุณคิดว่าไม่สามารถทำตามสัญญาได้จงอย่าสัญญากับลูก หากคุณผิดคำสัญญาเป็นประจำ ลูกอาจมองว่าคุณไม่น่าไว้วางใจ คาดเดาไม่ได้ และไม่น่าเชื่อถือ และที่สำคัญ พวกเขาจะมองว่าคุณไม่ให้ความใส่ใจต่อสิ่งที่มีค่าสำหรับพวกเขา

                  19. พูดว่า“ ใช่” แทนไม่ใช่

                  เมื่อคุณเลือกพูดคำว่า ใช่ แท นไม่ สิ่งนี้จะช่วยลดความวิตกกังวลหรือการต่อต้านในการทำสิ่งต่างๆ ที่ลูกควรทำ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องให้หรือยอมรับทุกอย่างที่พวกเขาร้องขอคุณ เพียงแค่ต้องรู้วิธีตอบกลับคำขอของพวกเขา เรียกว่าการปฏิเสธลูกอย่างมีศิลปะ

                  ตัวอย่าง :

                  ลูกสาว:“ คืนนี้หนูต้องล้างจานไหม? หนูเหนื่อยจัง”

                  แม่:“ ใช่แม่ว่าแล้วว่าหนูต้องเหนื่อย หรือหมดแรงหลังจากว่ายน้ำสองชั่วโมงแน่ๆ เดี๋ยวแม่ช่วยหนูเอาจานมาแช่น้ำไว้ก่อนนะ หนูจะได้ไม่ต้องทำเหนื่อยมาก”

                  20. บอกลูกว่า “ พ่อแม่รักลูก”

                  ไม่มีอะไรที่จะทำให้ลูกรู้สึกหัวใจพองโตได้เท่ากับได้ยินและได้เห็นแววตาอันแสนอบอุ่นของคุณในยามที่คุณบอกรักพวกเขา จงทำสิ่งนี้ให้เป็นกิจวัตรประจำวัน ตอนตื่นเช้าหรือก่อนเข้านอน สิ่งนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงและอบอุ่นในจิตใจให้กับลูกได้มากมายกว่าที่เราคิด

                  การแสดงให้ลูกเห็นและรู้สึกถึงความรักจากพ่อแม่นอกจากจะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีค่าสำหรับคุณแล้ว หากพ่อแม่สามารถทำตาม 20 ข้อข้างต้นได้ แน่นอนว่าจะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะความฉลาดรอบด้วย Power BQ ให้กับลูกได้หลายด้านเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)  ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ)  ความฉลาดในการคิดสร้างสรรรค์ (CQ)  เป็นต้นค่ะ

                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : theculturedbaby.world

                  บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ฝึกลูกให้มีสมาธิ

                    10 เคล็ดลับ ฝึกลูกให้มีสมาธิ ลูกไม่วอกแวกง่าย ทำอะไรก็ฉลุย!

                     ฝึกลูกให้มีสมาธิ –  เด็กๆ ที่บ้านมีปัญหาการจดจ่อกับการทำงานบ้านที่คุณมอบหมายหรือการเรียนหรือไม่? ปกติแล้วเด็กวัยเตาะแตะส่วนใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นอาจเสียสมาธิจนวอกแวกได้ง่ายดายต่อสิ่งที่มากระตุ้น อย่างไรก็ตามสมาธิเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเรียน การทำการบ้าน แม้แต่การเล่น และเพื่อให้หน้าที่ต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบเสร็จสมบูรณ์ได้ตามเวลาที่กำหนดสำหรับผู้ใหญ่อย่างเราๆ  อาจสามารถพัฒนาสมาธิได้ด้วยวิธีต่าง ๆ มากมาย แต่สำหรับเด็กเราจำเป็นต้องใช้วิธีการที่ต่างออกไป

                    ความจริงแล้ว สมาธิก็เหมือนกล้ามเนื้อที่ต้องออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อเสริมสร้าง เด็กบางคนเกิดมา“ แข็งแกร่ง” ในด้านนี้มากกว่าคนอื่น ๆ แต่เด็ก ๆ ทุกคนสามารถเรียนรู้กลยุทธ์และมีส่วนร่วมในการปฏิบัติที่ช่วยปรับปรุงความสามารถในการมุ่งความสนใจ และรักษาความสนใจของพวกเขาได้ พ่อแม่สามารถช่วยลูกเพิ่มสมาธิได้หลายวิธี ซึ่งวิธีต่างๆ ต่อไปนี้ จะสอนให้เด็กรู้จักกฎเกณฑ์บางอย่างซึ่งจะช่วยให้พวกเขาโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญในชีวิตได้ง่ายขึ้นวอกแวกน้อยลง และอยู่เป็นสุขมากขึ้นในขณะที่ต้องทำการบ้านหรือทำงานต่างๆ

                    10 เคล็ดลับ ฝึกลูกให้มีสมาธิ ลูกไม่วอกแวกง่าย ทำอะไรก็ฉลุย!

                    1. แบ่งงานใหญ่ออกเป็นงานเล็ก ๆ

                    การทำงานใหญ่หรือท้าทายความสามารถ อาจต้องใช้สมาธิและวินัยอย่างมากในการทำให้สำเร็จลุล่วง ดังนั้นวิธีที่จะช่วยให้เด็กๆ จัดการกับงานยากๆ เหล่านี้ได้ คือ การแบ่งงานออกเป็นส่วนย่อย ๆ แล้วค่อยๆ ทำให้สำเร็จ สิ่งนี้สามารถนำไปใช้ได้กับการทำการบ้าน งานบ้าน และการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ การค่อยๆ ทำทีละเล็กทีละน้อย แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ และมีเวลากำหนดที่ชัดเจน สามารถนำไปสู่ความสำเร็จของงานใหญ่ๆ งานยากๆ ได้ในไม่ช้า ง่ายต่อการโฟกัสได้อย่างเต็มที่และยังให้ความรู้สึกถึงความคืบหน้าของงานอีกด้วย งานยากๆ ที่ต้องใช้เวลาความทุ่มเทความมุ่งมั่น อาจดูเป็นเรื่องหนักใจและสามารถทำให้เกิดความไม่เต็มใจและการผัดวันประกันพรุ่งในการเริ่มต้นที่จะทำได้หากคิดว่าต้องทำให้เสร็จภายในวันเดียว  ดังนั้นหากลูกของคุณมีการบ้านที่ค่อนข้างยาก ควรบอกลูกให้เริ่มจัดการลงมือทำตั้งแต่เนิ่นๆ ให้ค่อยๆ ทำให้สำเร็จไปทีละส่วน

                    10 เทคนิค สอนการบ้านลูก ให้สำเร็จ แบบไม่เสียน้ำตา

                    10 นิสัยที่ควรสอนลูก ปูทางให้เป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

                    9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

                    2. ลดหรือกำจัดสิ่งรบกวน

                    สำหรับเด็ก ๆ แล้วการจัดการกับสิ่งรบกวนต่างๆ รอบตัวอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นพ่อแม่ต้องคอยตรวจตราสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเรียนรู้ ทำการบ้าน หรือแม้แต่เรียนออนไลน์ ให้ปราศจากสิ่งรบกวนให้มากที่สุด

                    ระมัดระวังเป็นพิเศษเรื่องการเปิดโทรทัศน์  เปิดเพลงเสียงดัง หรือเสียงอื่นใดที่อาจเบี่ยงเบนรือรบกวนความสนใจและสมาธิของเด็กๆ

                    3. งดใช้โทรทัศน์และโทรศัพท์มือถือ

                    ไม่ควรดูทีวีขณะทำการบ้านเพราะจะรบกวนสมาธิ ข้อความและการเล่นโซเชียลมีเดียยังขัดขวางการตั้งสมาธิของเด็กๆ ได้ ทางที่ดีควรส่งเสริมและสอนบุตรหลานของคุณว่าไม่ควรอ่านข้อความหรือใช้โทรศัพท์มือถือขณะเรียนและทำการบ้าน

                    ฝึกลูกให้มีสมาธิ
                    ฝึกลูกให้มีสมาธิ

                    4. ทำการบ้านในช่วงเวลาเดียวกันทุกวัน

                    การทำกิจกรรมเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทุกวัน ในเวลาเดิมเป็นประจำ ในที่สุดจะเปลี่ยนเป็นนิสัยได้ หากเด็กนั่งทำการบ้านในเวลาเดิมทุกวัน เมื่อถึงเวลาที่ต้องเริ่มทำการบ้านและเรียนรู้บทเรียนใหม่อาจไม่จำเป็นต้องพยายามจดจ่อมากนัก เนื่องจากพวกเขาจะคุ้นเคยและเคยชินว่าถึงเวลาทำการบ้านแล้ว วิธีนี้ยังช่วยให้เด็กๆ ตั้งใจเรียนได้มากขึ้นอีกด้วย

                    5. ให้ลูกมีกิจกรรมทางกายอย่างเพียงพอ

                    การมีกิจกรรมทางกาย หรือการได้ออกกำลังกายบางอย่าง เช่น วิ่งเล่น กระโดดโลดเต้น นอกเวลาการทำการบ้าน หรือแม้แต่ระหว่างพักเบรกจากการทำการบ้าน และงานต่างๆ อาจเป็นวิธีที่ช่วยระบายพลังงานส่วนเกินหรือความตึงเครียดของสมองออกไป วิธีนี้จะช่วยให้เด็กๆ ไม่กระสับกระส่าย ลดความรู้สึกเบื่อหน่ายและช่วยให้โฟกัสกับงานได้ง่ายขึ้นเมื่อต้องกลับมาลงมือทำงานต่อ

                    วิธีส่งเสริม กิจกรรมทางกาย ช่วยลูกให้แข็งแรง สมองดี!

                    3 เหตุผลที่พ่อแม่ควรหมั่น ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ โดย พ่อเอก

                    ให้ ลูกเล่นเลอะเทอะ บ้างสิดี! เลอะแบบนี้ ดีต่อพัฒนาการ!

                    6. ให้เด็ก ๆ ได้เล่นสนุก

                    การมอบหมายให้เด็กๆ ทำงานมากเกินไป หรือใช้เวลาอยู่กับการเรียนและการบ้านมากเกินไป อาจทำให้เด็กๆ รู้สึกเหนื่อยล้า สมองไม่ปลอดโปร่งได้ ในฐานะพ่อแม่คุณควรให้เวลาพวกเขาอย่างเพียงพอสำหรับการได้รับความเพลิดเพลินสนุกสนานตามวัย เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกกดดันกับชีวิตมากเกินไป

                    7. พักผ่อนให้เพียงพอ

                    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเด็กได้นอนหลับอย่างเพียงพอในตอนกลางคืนและพักผ่อนในระหว่างวันด้วย มีการวิจัยหลายชิ้นที่ เชื่อมโยงถึงเรื่อง การนอนหลับให้เพียงพอส่งผลต่อสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงาน และความรู้ความเข้าใจที่ดีขึ้น

                    8. กำหนดเวลาสำหรับการบรรลุเป้าหมาย

                    ตั้งเวลาในการทำเป้าหมายให้สำเร็จ เช่น สิบนาที ยี่สิบนาทีเป็นต้น ซึ่งพ่อแม่อาจบังคับและคอยกระตุ้นให้ลูกโฟกัสเพื่อให้บรรลุเป้าหมายภายในเวลาที่กำหนด อย่างไรก็ตามคุณควรระมัดระวังในเรื่องนี้เนื่องจากเด็กบางคนอาจพบว่าการกำหนดเวลา การมีข้อจำกัดต่างๆ เป็นสิ่งที่กดดันเกินไป และอาจทำให้พวกเขาวิตกกังวลและรบกวนสมาธิได้

                    ฝึกลูกให้มีสมาธิ

                    9. ให้ลูกเล่นบอร์ดเกม 

                    คุณสามารถฝึกและเสริมสร้างความสามารถในการโฟกัสของเด็กโดยให้เด็กๆ เล่นบอร์ดเกมที่ต้องใช้ความคิด มีเกมประเภทนี้มากมายที่หาซื้อได้ในร้านค้าที่ขายเกมสำหรับเด็ก บอร์ดเกมสำหรับเด็กเล็กนั้น จะเป็นบอร์ดเกมที่เน้นการใช้ความคิด และสมาธิ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถเล่นไปพร้อมกับลูกๆ ได้ ซึ่การใช้บอร์ดเกมเป็นตัวช่วยเป็นอีกวิธีที่ทำให้เด็ก ๆ ได้ฝึกสมาธิโดยอยู่กับกิจกรรมที่ทำได้ เด็กๆ จะได้ใช้ทั้งใช้สมาธิ การวางแผน และการใช้ความจำผสมผสานความสนุกสนานเข้ากับสมาธิ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เด็กๆ เกิดสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นค่ะ

                    10. ให้เวลาพักก่อนเริ่มงานใหม่

                    การให้ลูกได้พักเบรกสักครู่หลังจากที่ทำงานชิ้นแรกเสร็จ ระหว่างรอเริ่มงานใหม่ จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกเกิดความรู้สึกเครียดหรือรู้สึกต่อต้าน นอกจากนี้หากคุณต้องการผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คุณจำเป็นต้องกำหนดเป้าหมายส่วนตัวคุณต้องปรับปรุงสมาธิของตัวเองก่อน จากนั้นคุณจะสอนลูกของคุณได้ดีขึ้น

                    ความสามารถในการมีสมาธิและรักษาความสนใจในงานทุกประเภทเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากช่วยให้เด็กเรียนรู้และปรับปรุงซึ่งนำไปสู่ความมั่นใจในตนเอง และความภาคภูมิใจในตนเองในเชิงบวก ตลอดจนสามารถมองโลกในแง่บวกได้จากการมีสมาธิที่ดี เพราะความนิ่งสงบ จะช่วยปรับความคิดเชิงลบให้กลับมาเป็นความคิดบวกได้ ซึ่งเมื่อลูกมีความมั่นใจในการทำสิ่งต่างๆ และมีความภาคภูมิใจในตัวเอง อีกทั้งยังสามารถในการจัดการกับความคิดเชิงลบด้วยการมีสมาธิที่เต็มเปี่ยม จะช่วยส่งเสริมให้เด็กๆ เกิดทักษะความฉลาดรอบด้านที่สำคัญด้วย Power BQ  ได้หลายด้าน อาทิ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)  , ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ)  และ ความฉลาดในการคิดบวก (OQ) เป็นต้นค่ะ

                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : successconsciousness.com , nelsonrealty.net

                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                    ฝึกสมาธิ ให้ลูกได้ตั้งแต่วัยอนุบาลง๊าย..ง่ายแค่ 4 ขั้นตอน!

                    ลูกสมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย เริ่มเป็นเด็กก้าวร้าว เพราะติดไอแพด

                    ลูกไม่นิ่ง ซน อยู่ไม่สุข เข้าข่าย โรคสมาธิสั้น หรือไม่? พ่อแม่ช่วยแก้ยังไง!

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      นิสัยที่ควรสอนลูก

                      10 นิสัยที่ควรสอนลูก ปูทางให้เป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

                      นิสัยที่ควรสอนลูก – เป็นธรรมดาของพ่อแม่ทุกคนที่ต้องการให้ลูกมีอนาคตที่ดีและประสบความสำเร็จในชีวิต พ่อแม่หลายคนมีส่วนร่วมในการเรียนของลูกๆ จนกลายเป็นอีกหนึ่งวิถีวิตประจำวัน เพราะเชื่อมั่นว่าการเอาใจใส่ดูแลช่วยชี้แนะลูกเรื่องการเรียน หรือส่งลูกไปเรียนพิเศษ จะช่วยให้ลูกเก่งวิชาการและมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้

                      แต่ความจริงแล้วพ่อแม่บางอาจลืมคิดไปว่าสิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับเรื่องวิชาการของเด็กๆ  คือ การได้รับการปลูกฝังลักษณะนิสัยเชิงบวก ซึ่งก็เป็นหน้าของพ่อแม่อย่างปฏิเสธไม่ได้ มีลักษณะนิสัยหลายประการ ที่เด็ก ๆ ต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต และเพื่อให้เป็นคนรอบรู้  ซึ่งลักษณะนิสัยหลายอย่างเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเอื้ออำนวยให้เด็ก ๆ ได้ดิบได้ดีในวัยผู้ใหญ่เท่านั้น แต่ยังช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในด้านวิชาการซึ่งเป็นหน้าที่ประจำของพวกเขาได้เช่นเดียวกัน ต่อไปนี้เป็นลักษณะนิสัยที่สำคัญ 10 ประการที่เด็ก ๆ ทุกคนต้องเรียนรู้ในช่วงต้นของชีวิตและพัฒนาต่อไปในวัยผู้ใหญ่

                      10 นิสัยที่ควรสอนลูก ปูทางให้เป็นผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

                      1.ความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity)

                      ความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของเด็กอาจดูเหมือนสร้างความรำคาญให้กับพ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลา แต่ก็เป็นลักษณะนิสัยสำคัญที่ลูกควรมี นักประดิษฐ์และผู้ที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคนชี้ให้เห็นว่าความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติของพวกเขา คือ กุญแจสู่ความสำเร็จ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นลักษณะโดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของสติปัญญาอันยอดเยี่ยม ทำให้การเรียนรู้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น ช่วยให้เกิดความกระตือรือร้นมากกว่าการคิดแบบเรื่อย ๆ ซึ่งส่งผลดีต่อสมอง อย่าลืมกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของลูก ๆ พาพวกเขาไปยังสถานที่ใหม่ ๆ และสอนสิ่งใหม่ ๆ ให้พวกเขา ถามคำถามเพื่อให้พวกเขาสนใจโลกรอบตัว

                      2. ทักษะทางสังคม (Social skills)

                      ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นพื้นฐานที่สำคัญของชีวิตสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ ดังนั้นการเรียนรู้ทักษะทางสังคมที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เด็กที่มีทักษะทางสังคมที่ดีมักจะเรียนได้ดีขึ้นในโรงเรียน มองตัวเองในแง่ดี และแก้ไขความขัดแย้งได้ดีกว่า เด็กบางคนเกิดมาพร้อมกับเสน่ห์และบุคลิกที่ไม่เหมือนใครในการเข้ากับคนอื่น ๆ แต่สำหรับบางคนการเข้าสังคมอาจเป็นเรื่องไม่ง่าย พ่อแม่สามารถใช้กิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างทักษะเหล่านี้ให้เด็กได้ เช่น การเรียนรู้ที่จะอ่าน การแสดงออกทางสีหน้า หรือการเล่นทายคำเพื่อฝึกสื่อสารภาษากาย

                      3. ความยืดหยุ่น (Resilience)

                      บางครั้งชีวิตอาจเป็นเรื่องยาก แม้สำหรับเด็ก ๆ มนุษย์ทุกคนต้องการความยืดหยุ่นในระดับหนึ่งเพื่อช่วยให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก เมื่อเด็กเรียนรู้ที่จะยืดหยุ่นหรือฟื้นตัวจากความผิดพลาด ผิดหวังได้เร็ว พวกเขาจะสามารถจัดการกับความชอกช้ำและความยากลำบากที่พวกเขาจะต้องเผชิญได้ดีขึ้น พ่อแม่หลายคนพยายามปกป้องลูกจากสถานการณ์ที่เจ็บปวด แต่การสอนให้พวกเขามีความยืดหยุ่นจะช่วยให้พวกเขาดีขึ้นได้ในระยะยาว หากบุตรหลานของคุณมีปัญหาในโรงเรียนหรือกับเพื่อน ๆ ให้ลองหาทางแก้ปัญหาด้วยกันกับลูก เพื่อให้เขาเรียนรู้วิธีจัดการปัญหาแทนที่จะวิ่งหนี ผู้ปกครองสามารถช่วยเด็ก ๆ ในการมองให้เห็นปัญหาของพวกเขาให้ชัดขึ้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียนรู้ว่าปัญหาส่วนใหญ่ไม่ได้ใหญ่โต หรือผ่านไม่ได้อย่างที่คิดในตอนแรก

                      4. ความซื่อสัตย์ (Integrity)

                      บ่อยครั้งที่เด็ก ๆ อาจแสดงถึงความไม่ตรงไปตรงมา หรือ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความซื่อสัตย์สุจริตเท่าที่ควรจนพ่อแม่ต้องชี้แนะให้เห็นว่าว่าการมีความซื่อสัตย์นั้นหมายความว่าอย่างไร เด็กๆ ควรได้เรียนรู้หัวใจของความซื่อสัตย์สุจริตก่อนที่จะเผชิญกับคำถามทางจริยธรรมที่ท้าทาย พูดคุยเกี่ยวกับค่านิยมของครอบครัวกับบุตรหลานของคุณ และลองถามว่าบุตรหลานของคุณจะทำอย่างไรหากต้องเผชิญกับประเด็นขัดแย้งทางจริยธรรม เช่น เห็นเพื่อนขโมยของจากโต๊ะนักเรียนคนอื่นหรือโกงในการสอบแข่งขันเพื่อให้ได้เกรดที่ดีขึ้น การพูดคุยด้วยคำถามเหล่านี้จะช่วยเตรียมเด็กให้พร้อมสำหรับสถานการณ์ในชีวิตจริง

                      นิสัยที่ควรสอนลูก
                      นิสัยที่ควรสอนลูก

                      5. ความมีไหวพริบและคิดนอกกรอบ (Resourcefulness)

                      การค้นหาวิธีแก้ปัญหาได้เก่ง แสดงถึงความฉลาดทางการคิดเป็นลักษณะสำคัญของบุคคลที่องค์กรมองหาจากตัวพนักงาน  ซึ่งทักษะนี้ควรได้รับการพัฒนาที่ดีในวัยเด็ก พ่อแม่อาจลองให้เด็กๆ ทำกิจกรรมบางอย่างที่จะช่วยกระตุ้นให้ลูกมีไหวพริบและคิดนอกกรอบได้ ตัวอย่างเช่น ท้าทายให้พวกเขาสร้างสิ่งของจากของเหลือใช้ขวดพลาสติก กล่องไข่ หรือหนังยาง ให้เกิดประโยชน์ใหม่ ๆ และสามารถใช้งานได้จริง

                      6. ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)

                      คนส่วนใหญ่อาจนึกถึงผลงานทางศิลปะเมื่อได้ยินคำว่า“ ความคิดสร้างสรรค์” แต่มันครอบคลุมมากกว่านั้น ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวข้องกับจินตนาการและการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด นอกเหนือจากความพยายามทางวิชาการแล้วเด็ก ๆ ควรใช้เวลาในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น ดนตรี การถ่ายภาพ การละคร การประดิษฐ์ การปั้น  เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์และมีชั่วโมงอนุรักษ์ธรรมชาติตลอดจนการวาดภาพระบายสี การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในเด็กเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างทักษะการสื่อสาร การพัฒนาความสามารถทางปัญญา เช่นการแก้ปัญหาและพัฒนาการทางอารมณ์ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เด็ก ๆ ได้มีเวลาเพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง “ เด็กที่ไม่มีอิสระในการเล่นจะไม่พบตัวตนที่สร้างสรรค์ของพวกเขา”  ดร. เค็นเน็ธ อาร์. จินส์เบิร์ก กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์วัยรุ่นกล่าว

                      7. ความเอาใจใส่ผู้อื่น (Empathy)

                      ในการศึกษาของโครงการ Making Caring Common Project ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่ทำแบบสำรวจกล่าวว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับความสำเร็จหรือความสุขมากกว่าการดูแลผู้อื่น และ ผู้ที่ตอบแบบสำรวจมีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้มากกว่าสามเท่า  ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะกระตุ้นให้เด็กๆ มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นโดยธรรมชาติ และต้องเน้นย้ำถึงความสำคัญของการดูแลรักษาน้ำใจเข้าอกเข้าใจผู้อื่นให้มากพอ ๆ กับการได้รับเกรดดีๆ การปลูกฝังเรื่องความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นไม่เพียงแต่ดีต่อคนรอบข้างเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เด็กๆ มีความฉลาดทางอารมณ์ที่ดีขึ้นและอาจประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากขึ้นด้วยซ้ำ มีหลายวิธีในการปลูกฝังอบรมเรื่องความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นให้บุตรหลาน รวมถึงการสร้างแบบจำลองการเอาใจใส่และการขยายสังคมของเด็ก ๆ เพื่อรวมผู้คนที่แตกต่าง และยังรวมถึงการยกเอาลักษณะนิสัยตัวละครที่หลากหลายในหนังสือการ์ตูนมาสอนเด็กๆ ก็ย่อมได้

                      นิสัยที่ควรสอนลูก

                      8. ความกล้าแสดงออก (Assertiveness)

                      สิ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างความก้าวร้าวและความขี้อาย คือ ความกล้าแสดงออก  การกล้าแสดงออกและพูดเมื่อจำเป็นแต่ยังคงให้เกียรติผู้อื่น คือลักษณะนิสัยที่สำคัญที่พ่อแม่ควรปลูกฝังให้ลูกตั้งแต่ยังเล็ก  การสอนเรื่องกล้าแสดงออกจะช่วยส่งเสริมความเข้าใจผู้อื่น สติปัญญา ความอดทน ความอดกลั้น และความมั่นใจในตัวเอง  เป็นส่วนประกอบที่จำเป็นในการสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง วิธีในการสอนความกล้าแสดงออกสามารถรวมถึงการแสดงบทบาทสมมติต่างๆ เพื่อสอนเด็กว่าการกล้าแสดงออกจะมีประสิทธิผลได้อย่างไร

                      9. ความอ่อนน้อมถ่อมตน (Humility)

                      มีความสมดุลที่สำคัญระหว่างการมีความภาคภูมิใจในตนเองในเชิงบวกและความอ่อนน้อมถ่อมตน ที่เด็กและผู้ใหญ่ทุกคนต้องเรียนรู้ เด็กที่ขาดความอ่อนน้อมถ่อมตนอาจเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่หยิ่งผยองและไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมด้วย ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความนับถือตนเองในเชิงบวกเปนสิ่งที่ต้องสอนควบคู่กันไป เพราะเมื่อเด็กมั่นใจในตนเองมองตัวเองในแง่ดีและไม่รู้สึกด้อยกว่าคนอื่น เขาจะไม่รู้สึกว่าต้องโอ้อวดเกี่ยวกับพรสวรรค์และความสำเร็จของตัวเอง การสอนความอ่อนน้อมถ่อมตนให้เด็กสามารถเริ่มต้นด้วยการสร้างแบบจำลองที่ดีด้วยตัวคุณเองและกระตุ้นให้เด็ก ๆ ทำเช่นเดียวกัน การแสดงให้ลูกๆ เห็นว่าคุณยกย่องชื่นชมผู้คนที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนจะช่วยปลูกฝังให้พวกเขาเปิดรับและซึมซับนิสัยที่ดีนี้ได้

                      10. ความมั่นใจ (Confidence)

                      ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการมีความมั่นใจและภาคภูมิใจในตนเองในเชิงบวก มีความสัมพันธ์อย่างมากกับพฤติกรรมและความสุข ดังนั้นการสอนและการมีวินัยในการเลี้ยงดูลูกเพื่อช่วยให้เด็กๆ มีความมั่นใจในตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ยกย่องบุตรหลานตามความเป็นจริง ให้รางวัลกับพฤติกรรมเชิงบวก การปล่อยให้เด็กล้มเหลวในบางครั้งและเอาชนะอุปสรรคด้วยตนเองจะสร้างความมั่นใจสำหรับความพยายามในอนาคต อย่าลืมว่าพวกเขาจะไม่มีพ่อแม่คอยช่วยเหลือเสมอไป ความเชื่อมั่นว่าจะสามารถเผชิญกับความท้าทายได้ด้วยตัวเองได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

                      มีหลายสิ่งที่เด็กๆ ต้องเรียนรู้ในชีวิตนอกเหนือไปจากเรื่องวิชาการ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวรรณคดี บทเรียนเหล่านี้ต้องเริ่มต้นจากผู้ปกครองในบ้านเป็นอันดับแรก ต้องแน่ใจว่าลูก ๆ ของคุณได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตที่สำคัญเหล่านี้ เพื่อที่พวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่รอบรู้มีความสุขและประสบความสำเร็จ! หากคุณพ่อคุณแม่สามารถปลูกลักษณะนิสัยต่างๆ เหล่านี้ให้ลูกๆ ได้ แน่นอนว่าจะเป็นการเสริมสร้างให้เด็กๆ เกิดความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ได้หลายด้าน อาทิ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)  ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) ความฉลาดทางคุณธรรม (MQ) ความฉลาดในการคิดสร้างสรรรค์ (CQ)  เป็นต้นค่ะ

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : learningliftoff.com

                      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                      9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

                      อย่าหาทำ! 10 ข้อผิดพลาดในการ สั่งสอนลูก ที่พบได้บ่อย!

                      6 เทคนิคคุยกับลูก สอนลูกให้คิดเป็น แก้ปัญหาเองได้

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        ฝันว่างูกัด

                        ฝันว่างูกัด ฝันว่าโดนงูกัด ทำนายฝันแม่นๆ พร้อมเลขเด็ด

                        ฝันว่างูกัด ฝันว่าโดนงูกัด ไม่ได้แปลว่าจะได้เนื้อคู่เพียงอย่างเดียว ยังอาจแปลว่าจะได้ลาภก้อนใหญ่!! มาดูทำนายฝันแม่น ๆ พร้อมเลขมงคลได้ที่นี่!!

                        ฝันว่างูกัด ฝันว่าโดนงูกัด ทำนายฝันแม่นๆ พร้อมเลขเด็ด

                        ว่ากันว่า ฝันว่างูกัด หรือ ฝันว่าโดนงูกัด แปลว่าผู้ฝันจะได้พบเนื้อคู่ แต่จริง ๆ แล้วการฝันถึงงู มีความหมายมากกว่านั้น และยังมีรายละเอียดของความฝันเกี่ยวกับงู ที่มาให้ทำนายฝันกัน ทีมแม่ ABK ขอรวบรวมทุกความฝันที่เกี่ยวกับงูกัด มาให้แม่ ๆ ได้ทำนายกันให้จุใจไปเลยจ้า

                        ฝันว่างูกัด

                        ทำนายว่า – สิ่งที่ตั้งใจไว้มากอาจจะยังไม่สำเร็จทันทีทันใดแต่สิ่งที่ไม่ได้คาดฝันอาจจะได้มาแบบฟลุคๆ ให้ระวังการปวดข้อกระดูก ปวดหลัง ช่วงนี้โชคของคุณยังไม่ดีเท่าไรนัก

                        ความรัก – คนไม่โสดอย่าคิดแม้แต่จะมีกิ๊ก เพราะจะมีแต่ความยุ่งยาก วุ่นวายตามาอย่างไม่คาดฝัน ระวังจะเกิดการขัดแย้งในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่คุณก็เก่งนะที่สามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตัวคุณเอง ระวังคนรักของคุณจะเผลอใจไปปิ๊งรักกับคนอื่น ควรใส่ใจและดูแลคนรักให้ดี

                        ดวงการเงิน การงาน – งานที่ใช้การเจรจาจะต้องใช้เวลาอีกซักระยะ จึงจะสำเร็จต้องอดทนอดใจ สู้ต่อไป คนทำงานประจำจะมีปัญหากับ เพื่อนร่วมงานใหม่ๆ โดยเฉพาะอายุน้อยกว่า เป็นโอกาสที่คุณจะได้เริ่มต้นงานใหม่ ๆ และประสบผลสำเร็จสูงเสียด้วย

                        เลขมงคล เด่นนำโชค : 7

                        เลขมงคล เด่นรอง : 03 39 76 744 592 656

                        ฝันว่าโดนงูกัด

                        ทำนายว่า – จะได้พบกับมิตรหน้าใหม่มากหน้าหลายตาเพิ่มขึ้น มิตรรักจะแปรพักตร์เป็นอย่างอื่น คอยระวังไว้ด้วย โชคลาภมีแต่ต้องไขว่คว้าเอง

                        ความรัก – ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นในกันและกันทั้งสองฝ่าย ความสุขจะบังเกิดกับคุณทันที ช่วงนี้คุณต้องหนักแน่นให้มากๆ เพราะมือที่สามเขามาแรงจริงๆ คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณรักเขามากขนาดไหน คุณรู้หรือเปล่าว่ามีคนกำลังแอบชอบคุณอยู่

                        ดวงการเงิน การงาน – งานที่ใช้การเจรจาจะต้องใช้เวลาอีกซักระยะ จึงจะสำเร็จต้องอดทนอดใจ สู้ต่อไป ระวังการวางบิลเก็บเงินจะกลายเป็นหนี้สูญ ไม่สามารถเรียกเก็บได้ต้องทำใจทิ้งเงินก้อนนี้ไป ภาระรับผิดชอบในหน้าที่การงานทำให้จำต้องสละแผนการพักผ่อนกระทันหัน

                        เลขมงคล เด่นนำโชค : 0 2 3 9 04 01 698

                        ฝันว่างูกัดขา

                        ทำนายว่า – การพบปะคนจำนวนมากมักเจอเหตุการณ์หรือคำพูดที่ไม่ค่อยน่าพอใจนัก ระวังจะมีปัญหาความขัดแย้งกับคนใกล้ชิด ระวังเรื่องเดือดร้อนอันเกิดจากเพศตรงข้าม

                        ความรัก – หากคุณมีคู่รักคู่ครองแล้ว จะมีช่วงห่างกันมากขึ้น คุณต้องเติมช่องว่างให้เต็มอย่าให้ขาดนะ เดี๋ยวจะงานเข้าไม่รู้ตัว คุณจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคนนิสัยดี จิตใจดี ชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นความแตกร้าว หรือต้องพลัดพรากจากกันในที่สุด

                        ดวงการเงิน การงาน – ต้องใช้ความหนักแน่นและพิจารณาปัญหาอย่างรอบคอบในการคิดการวางแผนงาน ระวังจะเสียเงินก้อนหนึ่งไปกับเหตุการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือเสียเพราะคนอื่น สำหรับคนที่ทำอาชีพค้าขาย หรือทำธุรกิจส่วนตัวในเดือนนี้เป็นเดือนที่กำไรงาม มีเกณฑ์ได้ขยับ ขยายกิจการ

                        เลขมงคล เด่นนำโชค : 0 1 5 7 9

                        เลขมงคล เด่นรอง : 98 56 94

                        ฝันว่างูกัดเท้า

                        ทำนายว่า – ช่วงนี้จะทำอะไรก็ให้แบ่งรับแบ่งสู้อย่าเพิ่งทุ่มไปซะจนหมดตัวและหัวใจ คุณจะได้ลาภก้อนโตจากผู้ใหญ่ จะวุ่นวายใจ เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวอยู่ในช่วงชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อ

                        ความรัก – คนโสดก็อย่าคิดอะไรมากเลยนะ หาที่ปลีกวิเวก หาความสุขใส่ตัวในเรื่องอื่น ๆ ดีกว่า ความรักหากมีปัญหากันก็ต้องค่อยๆพูด ค่อยๆจา อย่าด่วนตัดสินใจพูดอะไรโดยไม่คิด เพราะจะทำให้คุณมานั่งเสียใจภายหลัง มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นความแตกร้าว หรือต้องพลัดพรากจากกันในที่สุด

                        ดวงการเงิน การงาน – ระวังจะมีมือดีมาล้วงกระเป๋าเอาได้ง่ายๆ ต้องระมัดระวังมากขึ้นจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไม่รู้จัก หรือคนใกล้ชิด ควรระวังข้าวของมีค่าจะเสียหาย เครื่องจักรที่จำเป็นต่ออาชีพของคุณจะชำรุดจนต้องซื้อใหม่ หยิบจับทำอะไรก็งอกเงยเป็นดอกผล

                        เลขมงคล เด่นนำโชค : 1 5 6

                        เลขมงคล เด่นรอง : 11 24 049 29 12 98

                        ฝันว่าโดนงูกัด
                        ฝันว่าโดนงูกัด

                        ฝันว่างูกัดมือ

                        ทำนายว่า – คุณจะถูกคนชั้นสูงรังแก เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ความพยายามจึงจะสมหวังในสิ่งที่ต้องการ จะวุ่นวายใจ เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวอยู่ในช่วงชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อ

                        ความรัก – คนโสดจะมีการเปลี่ยนแปลงความคิดที่เกี่ยวกับคนที่เข้ามาพัวพัน อาจจะเปิดโอกาสทางด้านความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน คนที่มีคนรู้ใจจะมีเรื่องของบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ถึงคุณจะมีแฟนแล้ว แต่ก็จะมีคนเสนอตัวเข้ามาใกล้ชิด

                        ดวงการเงิน การงาน – ระวังคำพูด เพราะอาจจะทะเลาะกับหัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงาน และ ลูกน้องได้ หากคุณสับสนที่จะเลือกระหว่างการทำงานต่อไป หรือไปเรียนต่อดี คุณก็จะได้รับคำแนะนำที่ดี จากผู้ใหญ่ ชาย หรือหญิง ผิวขาวท้วม มีอายุ ช่วงนี้จะลงทุนก็ขอให้หาคนที่ สนิทจริงๆ มาปรึกษาหารือ ไม่ควรนำ ความในไปเล่าให้คนนอกกลุ่มฟังจะเกิดเรื่องหมางใจกัน

                        เลขมงคล เด่นนำโชค : 3 9

                        เลขมงคล เด่นรอง : 13 90 99 827 399

                        ฝันว่างูกัดแขน

                        ทำนายว่า – ช่วงนี้หากจะพูดอะไรก็ระวังเพราะคนอื่นจะเข้าใจตรงกันข้ามกับคุณ จะมีโอกาสพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่าหรือมีงานสังคมอยู่บ่อยครั้ง ระวังเรื่องเดือดร้อนอันเกิดจากเพศตรงข้าม

                        ความรัก – คนที่คุณรักดูเหมือนจะเป็นที่ต้องตาต้องใจของคนอื่นๆด้วย ความรักของคุณกำลังก่อตัวขึ้น ดูท่าจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยสิ ปัญหาทางความรักจะมาจากอารมณ์ของคุณเอง ถ้าควบคุมอารมณ์ได้ดีก็ยังราบรื่นเป็นปกติดี

                        ดวงการเงิน การงาน – ช่วงนี้งานที่ทำหรือได้รับมอบหมายจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่ติดขัดอะไร มีเกณฑ์ว่าคุณจะได้ทำงานที่ไม่จำเจ หรือได้รับผิดชอบงานที่ใหญ่ ขึ้นใช้ความสามารถมากขึ้น จะมีอุปสรรคเรื่องคนและการเดินทางต้องเผื่อเวลาสำหรับการนัดไว้เสมอ

                        เลขมงคล เด่นนำโชค : 0

                        เลขมงคล เด่นรอง : 06 13 28 29 49 840

                        ฝันเห็นงูกัดคนอื่น

                        ทำนายว่า – คุณจะถูกคนชั้นสูงรังแก ให้ระวังเรื่องสุขภาพของคนที่บ้าน จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งมากมาย จะมีความกังวลมากกว่าปกติ

                        ความรัก – คนที่อยากมีกิ๊กบ้างคงต้องร้องเพลงรอเพราะอีกนานกว่าที่คุณจะสมหวัง ช่วงนี้คุณต้องหนักแน่นให้มากๆ เพราะมือที่สามเขามาแรงจริงๆ คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณรักเขามากขนาดไหน ช่วงนี้ความมีเสน่ห์ของคุณจะโดดเด่นมาก จนทำให้คนรักของคุณเริ่มหึงหวงนะ

                        ดวงการเงิน การงาน – คุณจะต้องวางแผนควบคุมเรื่องเงินรายรับรายจ่ายให้รอบคอบ ช่วงนี้ประหยัดได้ก็จะดี ใครที่รอผลการสัมภาษณ์งานจะมีเกณฑ์ดีได้เซ็นต์สัญญา การจ้างงานเกิดขึ้น หากเรียกร้องเก็บหนี้สินจากใครต้องใช้เวลานาน และต้องอดทนพอสมควรถึงจะสามารถเก็บได้หมด

                        เลขมงคล เด่นนำโชค : 0 7

                        เลขมงคล เด่นรอง : 00 95 661 833 573

                        ฝันว่างูรัด

                        ทำนายว่า – คุณจะมีโชคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะเพลิดเพลินกับความรุ่งเรืองอย่างไม่ขาดสาย มีโอกาสที่จะพบกับเรื่องความทุกข์ ความเศร้ หรือไม่สมหวัง พูดจาต้องระวัง เพราะมีคนคอยใส่ร้ายป้ายสีอยู่ตลอดเวลา

                        ความรัก – คนมีแฟนระวังมีปากเสียงกัน ให้หาเวลาไปเที่ยวตากอากาศกันบ้าง เพื่อผ่อนคลายและเปลี่ยนบรรยากาศด้วย คบกันแบบเพื่อนมานานจะสวีตหวานแหววขึ้นในพริบตา คิดเตรียมแผนวิวาห์สายฟ้าแลบได้เลย คนมีคู่หากทำงานติดต่อกับคนต่างชาติ ระวังคนรักของคุณจะหึงหวงเอานะ

                        ดวงการเงิน การงาน – ช่วงนี้มีดวงเพศตรงข้ามอุปถัมภ์ อุ้มชู ทำให้ผ่านพ้นช่วงอุปสรรค หรือได้รับสิ่งที่ดีๆ นอกเหนือความคาดหมาย มีแต่เรื่องเสียเงิน แต่เป็นการเสียเงินให้คนอื่น แต่คุณก็จะได้ความสุขใจกลับมาในความช่วยเหลือ สำหรับคนที่ทำอาชีพค้าขาย หรือทำธุรกิจส่วนตัวในเดือนนี้เป็นเดือนที่กำไรงาม มีเกณฑ์ได้ขยับ ขยายกิจการ

                        เลขมงคล เด่นรอง : 83 813 296 402

                        ฝันเห็นงู

                        ทำนายว่า – คุณจะถูกคนชั้นสูงรังแก จะมีงานสังสรรค์กับญาติมิตร อาจจะได้เงินคืนจากลูกหนี้แบบไม่คาดคิดมาก่อน

                        ความรัก – คนโสดจะมีเกณฑ์ได้พบรักกับคนที่มีเจ้าของแล้วเข้าให้อย่างจัง จะมีญาติผู้ใหญ่คอยเป็นแม่สื่อช่วยผลักดันให้คุณได้ลงเอยกับคนคุณที่ชื่นชอบ เรื่องรักของคุณไม่ถือว่าราบรื่น มีงอน มีหึงหวง มีทะเลาะเบาะแว้งบ้าง เรียกว่าคู่ทรหดก็คงได้

                        ดวงการเงิน การงาน – หลังจากนี้ไปอีกประมาณ 1 เดือนจะมีโชคมีลาภจะได้รับเงินหรือส่วนแบ่งจากการงานในช่วงนี้ คนทำธุรกิจอิสระจะมีโอกาส เจริญก้าวหน้า แต่ระวังจะมีคนคิดอยากจะก๊อปปี้งานในแบบของคุณ การงานหนักหนาสาหัสเอาการ ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่แล้วผลที่ตามมาคุณจะหายเหนื่อยแน่นอน

                        เลขมงคล เด่นนำโชค : 0 1 2 9

                        เลขมงคล เด่นรอง : 04 23 73 96 72

                        ฝันเห็นงู
                        ฝันเห็นงู

                        ฝันเห็นงูตัวใหญ่

                        ทำนายว่า – การเสี่ยงโชค จงแสวงโชคจากที่ที่คุณยังไม่เคยไป มิตรรักจะแปรพักตร์เป็นอย่างอื่น คอยระวังไว้ด้วย อาจจะได้เงินคืนจากลูกหนี้แบบไม่คาดคิดมาก่อน

                        ความรัก – คนที่มีคู่แล้วจะมีปากเสียงกันบ่อย ไม่เข้าใจกันบ่อย ถ้ายังไม่รู้จักอภัยให้กันและกัน ความรักของคุณกำลังก่อตัวขึ้น ดูท่าจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยสิ คนที่คุณแอบชอบอยู่ เขาเริ่มรู้แล้วว่าคุณกำลังแอบชอบเขา

                        ดวงการเงิน การงาน – ที่กำลังทำเรื่องขอกู้ยืมเงินจากธนาคารระมัดระวังเรื่องเอกสารสัญญาไม่สมบูรณ์ขาดตกบกพร่องทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบ คนทำธุรกิจอิสระจะมีโอกาส เจริญก้าวหน้า แต่ระวังจะมีคนคิดอยากจะก๊อปปี้งานในแบบของคุณ ใครที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดียิ่งมีโอกาสไขว่คว้าหาผลประโยชน์ได้มากแต่ต้องขวนขวายด้วยตัวเองด้วย

                        เลขมงคล เด่นนำโชค : 3 4 7 9

                        เลขมงคล เด่นรอง : 35 38 488

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        ฝันเห็นคนท้อง ฝันว่าตัวเองท้อง ฝันแบบนี้ ดีหรือร้าย?

                        ฝันว่าได้ทอง ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง หรืองวดนี้จะมีหวัง?

                        ฝันว่าแฟนนอกใจ อ่านคำทำนายพร้อมวิธีตัดไฟแต่ต้นลม!

                        ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว ฝันดีหรือร้าย ทำนายฝันเลขเด็ด!!

                         

                        ขอบคุณข้อมูลจาก : horoscope.mthai.com

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          ลูกไอคิวสูง

                          10 สัญญาณบ่งบอก ลูกไอคิวสูง มีแนวโน้มโตไป อนาคตดี!

                          ลูกไอคิวสูง – แม่ของเซอร์ไอแซกนิวตันจะรู้หรือไม่ ว่าลูกชายของเธอ มีไอคิวสูงมากถึง 192 เธอคงไม่คาดคิดว่าลูกชายของเขาจะเติบโตมาเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลมากที่สุดตลอดกาล เพราะเธอพาลูกออกจากโรงเรียนในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ด้วยความหวังจะให้ลูกเป็นชาวนาเหมือนพ่อผู้ล่วงลับของเขา มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง IQ ของเด็ก โดยทำการศึกษาในเด็กที่ถูกระบุว่าเรียนดี จากผลการศึกษาพบว่ามีสัญญาณบ่งชี้ที่พ่อแม่สามารถสังเกตได้ ว่าลูก ๆ ของพวกเขาอาจมีไอคิวสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วไป ลองเช็คดูสิ! ลูกคุณมีกี่ข้อใน 10 ข้อต่อไปนี้?

                          10 สัญญาณบ่งบอก ลูกไอคิวสูง มีแนวโน้มโตไป อนาคตดี!

                          เด็กที่มีสติปัญญาดี IQ สูง มักมีลักษณะดังต่อไปนี้:

                          1. ความจำยอดเยี่ยม

                          เห็นได้ชัดว่าความจำที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กในการเรียนรู้และเก็บข้อมูลใหม่ ๆ ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน ในความเป็นจริงตามที่นักจิตวิทยาและนักเขียน Tracy Packiam Alloway กล่าวว่า“ ความจำในการทำงานไม่ได้เชื่อมโยงกับการเรียนรู้เท่านั้น (ตั้งแต่อนุบาลถึงวิทยาลัย) แต่สำหรับการตัดสินใจในกิจกรรมประจำวันด้วย” คำเตือนคำเดียวจากการศึกษาระบุว่าเด็กที่มีความทรงจำดีๆ ก็โกหกได้ดีกว่า!

                          2. อ่านหนังสือได้ก่อน 4 ขวบ

                          โดยเฉลี่ยแล้วเด็กที่ฉลาดมากจะเริ่มอ่านหนังสือได้ก่อนอายุสี่ขวบในขณะที่เด็ก ๆ ส่วนใหญ่มีอายุใกล้หก หรือเจ็ดขวบก่อนที่จะถึงขั้นตอนนี้ การอ่านมีหลายขั้นตอนและเด็ก ๆ ต้องเรียนรู้ที่จะจดจำและเข้าใจคำศัพท์ก่อนจึงจะเริ่มอ่านได้ด้วยตนเอง เด็กบางคนอาจค้นพบความสุขของการอ่านเมื่อเริ่มเติบโตขึ้น และเมื่อได้อ่านเด็กอัจฉริยะมักจะติดการอ่านอย่างงอมแงม

                          ลูกไอคิวสูง
                          ลูกไอคิวสูง

                          3. มีความอยากรู้อยากเห็น

                          จากรายงานของ Harvard Business Review  ระบุว่า “ความอยากรู้อยากเห็นมีความสำคัญพอ ๆ กับความฉลาด” และการมีจิตใจที่อยากรู้อยากเห็นก็เป็นตัวบ่งชี้ความสำเร็จที่ดีในอนาคตของเด็ก เด็กที่ชอบถามคำถามจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะเรียนรู้โดยสัญชาตญาณในขณะที่พวกเขาแสวงหาโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด พวกเขาก็จะสามารถพัฒนาจิตใจและสติปัญญาของพวกเขาต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง

                          4. มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ทำ

                          ทารกและเด็กเล็กมักมีช่วงสมาธิสั้น และเสียสมาธิได้ง่ายจากเสียงหรือการเคลื่อนไหวใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว พวกเขาอาจมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ ประมาณ 10 ถึง 15 นาทีเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำ  อย่างไรก็ตามเด็กที่มีพรสวรรค์ มักสามารถโฟกัสอยู่กับสิ่งที่ทำได้เป็นระยะเวลานานตั้งแต่อายุยังน้อย (บางรายก่อนอายุหกเดือน) เมื่อพวกเขาอายุเพียง 10 หรือ 11 เดือน การจับคู่รูปทรง และสีไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขา นอกจากนี้คุณอาจเห็นพวกเขาชอบชี้ไปที่ภาพในระหว่างที่คุณอ่านหนังสือนิทานให้ฟัง หรือแม้แต่พลิกหน้าหนังสือเอง ในขณะที่คุณยังอ่านในหน้านั้นไม่จบ

                          5. มีความสามารถทางดนตรี

                          จากการศึกษาวิจัย แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการเป็นนักดนตรีกับความฉลาด และนักวิจัยเชื่อว่าเด็ก ๆ จะได้รับประโยชน์ทางวิชาการเมื่อพวกเขาได้เรียนรู้ด้านดนตรี พ่อแม่ทุกคนควรเปิดโอกาสให้ลูก ๆ ได้เรียนรู้ดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีความสามารถพิเศษทางดนตรีก็ตาม นักวิจัยเชื่อว่าการฝึกดนตรีส่งผลกระทบต่อสมองและปลดล็อกความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ

                          6. เป็นคนมาตรฐานสูง

                          เด็กฉลาดและผู้ใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมีแนวโน้มที่จะสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง พวกเขามีความต้องการโดยสัญชาตญาณในการปรับปรุงและทำสิ่งต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น แรงผลักดันนี้ยังช่วยพวกเขาในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และวิชาต่างๆ ในโรงเรียนอย่างสุดความสามารถ การมีสมาธิมากแบบสุดลิ่มทิ่มประตูกับการทำอะไรก็ตามที่พวกเขาสนใจ และตั้งใจให้ผลงานออกมาอย่างดีที่สุด อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคนที่มีไอคิวสูง

                          7. พูดเก่งกับผู้ใหญ่

                          เด็กที่มีพรสวรรค์มักถูกอธิบายว่าเป็น“ ผู้ใหญ่ตัวน้อย” เนื่องจากมีวุฒิภาวะที่โตเร็ว มีการรับรู้เหตุการณ์ปัจจุได้ดี และมีแนวโน้มที่จะสนทนากับผู้ใหญ่แบบเป็นเรื่องเป็นราวได้มากกว่าเด็กคนอื่น ๆ เด็กที่สดใสร่างเริงเป็นพิเศษอาจเป็นคนที่ชอบคุยกับผู้ใหญ่ในงานเลี้ยงวันเกิด แทนที่จะเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ การเพลิดเพลินกับการสนทนาและการชอบบอกเล่าพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตของพวกเขาก็เป็นสัญญาณของความฉลาดในเด็กเช่นกัน

                          ลูกไอคิวสูง

                          8. บุคลิกภาพที่มีพลังทางอารมณ์

                          ทารกที่มีพรสวรรค์ด้านความฉลาด อาจมีการแสดงออกทางอารมณ์ที่รุนแรงได้เช่นกัน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาอาจแสดงความรู้สึกต่อทั้งอารมณ์เชิงบวกและเชิงลบค่อนข้างรุนแรง นอกจากนี้จะมีความคิดที่ซับซ้อนและเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กทั่วไปวัยเดียวกัน หากลูกน้อยของคุณเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านความอัจฉริยะ ลองสังเกตว่าลูกของคุณอาจชอบที่จะชอบสนทนากับผู้คน ตุ๊กตา ของเล่น และสัตว์เลี้ยง เด็กที่มีบุคลิกภาพลักษณะนี้ควรต้องได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสม ไม่ควรโดนฉุดหรือโดนหยุดความคิดและจินตนาการที่พรั่งพรู

                          9. กระตือรือล้น

                          เมื่อทารกเกิดมา เวลาตื่นนอนส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการสังเกตสภาพแวดล้อม ผู้คน และการเคลื่อนไหวต่างๆ รอบๆ ตัวพวกเขา ทั้งนี้ทารกที่มีพรสวรรค์หรือมีแนวโน้มว่าเป็นเด็กไอคิวสูง อาจชอบที่จะสบตากับบุคคลที่อุ้มหรือพูดกับพวกเขา ทารกอาจหันศีรษะไปหาใครบางคนและตอบสนองต่อเสียงและการกระทำได้ในทันที นอกจากนี้ เมื่อพวกเขาเข้าสู่วัยเตาะแตะ พวกเขาจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ  ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของระดับการรับรู้ที่ดีมาก เช่น ลูกของคุณอาจต้องการเช็ดน้ำตาของคุณหรือกอดคุณไว้ใกล้ ๆ หากพวกเขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าทางอารมณ์ของคุณ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความฉลาดในเด็กวัยเตาะแตะ

                          10. ชอบอยู่คนเดียว

                          เด็กที่มีพรสวรรค์มีความสุขมากกว่าใน บริษัท ของตัวเองเล่นกับของเล่นสมุดระบายสีหรือไขปริศนา หากบุตรหลานของคุณแสวงหาเพื่อนร่วมงานของเด็กโตเล็กน้อยก็เป็นเพียงการได้รับความเข้าใจทางอารมณ์และสติปัญญาที่สูงขึ้นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆรอบตัวพวกเขา นี่เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งของความฉลาดสูงในทารก เด็ก ๆ ชอบเพื่อนหนึ่งหรือสองคนและชอบอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ หากลูกน้อยของคุณสามารถสร้างความบันเทิงให้ตัวเองได้โดยไม่ต้องวุ่นวายมากนักก็เตรียมต้อนรับอัจฉริยะตัวน้อยเข้ามาในครอบครัวได้เลย เด็กที่มีพรสวรรค์เช่นนี้สามารถเก็บตัวได้เล็กน้อยเช่นกันดังนั้นระวังอย่าผลักดันให้พวกเขาทำในสิ่งที่พวกเขาไม่ชอบจริงๆ

                          อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเชื่อว่า แม้ว่าเด็กบางคนอาจไม่ได้แสดงให้เห็นถึงสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่ามีไอคิวสูง แต่พวกเขาก็ยังสามารถเป็นอัจฉริยะในอนาคตได้  และเด็กทุกคนมีศักยภาพที่จะก้าวไปสู่ความฉลาดและความสำเร็จในแบบของตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่ยอมรับว่า การเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมเชิงบวกต่อตัวเด็กมีผลอย่างมากต่อความสามารถในอนาคตตลอดจนโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวต

                          ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถพัฒนาอัจฉริยภาพภายในของบุตรหลานได้ โดยจัดสภาพแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ ในแต่ละวันควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุตรหลานของคุณได้ใช้เวลาในการอ่านหนังสือ ได้นอนหลับเพียงพอ ได้รับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกาย และมีลักษณะของความสนใจที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในชีวิตอยู่เสมอ เมื่อสภาพแวดล้อมรอบตัวลูกดีและเหมาะสมสำหรับการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ จะช่วยส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะ ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ)  ได้อีกทางหนึ่ง  และแน่นอนว่าเมื่อพ่อแม่พร้อมสนับสนุนลูกในทางบวกก็จะช่วยให้บุตรหลานของคุณประสบความสำเร็จในอนาคตได้ค่ะ

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parenting.firstcry.com , learningliftoff.com

                          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                          ประสบการณ์จริง! พ่อจน แนะเคล็ด (ไม่) ลับ สอนลูกเรียนเก่ง

                          พาลูกไปเรียนเสริมทักษะตั้งแต่เล็ก ช่วยลูกสมองดีจริงหรือ?

                          งานวิจัยเผยอยากให้ลูกฉลาดแม่ต้องมีความสุขก่อน

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            จั๊กจี้ลูก

                            จั๊กจี้ลูก ควรเล่นแต่พอดี เล่นแรงเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องดีต่อลูก

                            จั๊กจี้ลูก –  การจั๊กจี้เจ้าตัวน้อยวัยหัดเดินของคุณสามารถกระตุ้นให้เกิดเสียงหัวเราะที่น่ารักที่สุดที่คุณเคยได้ยินได้  แต่การ “จั๊กจี้”  ที่มากเกินไป อาจทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากได้ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กบางคนคิดว่า การจั๊กจี้สามารถส่งข้อความที่ไม่ถูกต้องไปยังเด็ก ๆ เกี่ยวกับความเป็นอิสระของร่างกายได้ เมื่อไหร่ที่ลูกวัยเตาะแตะของคุณยินดีที่จะเล่น และเมื่อไหร่ที่เด็กอาจจะไม่เป็นที่พอใจ หรือสร้างความสับสนให้กับเด็ก? เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ไว้ค่ะ

                            จั๊กจี้ลูก ควรเล่นใแต่พอดี เล่นแรงเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องดีต่อลูก

                            การตอบสนองที่ทำให้เข้าใจผิด

                            เด็กส่วนใหญ่หัวเราะคิกคักหรือหัวเราะเบา ๆ เพื่อตอบสนองต่อการถูกจั๊กจี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะต้องสนุกกับประสบการณ์นั้นเสมอไป มนุษย์หัวเราะเมื่อถูกจั๊กจี้เป็นการตอบสนองอัตโนมัติเหมือนกับการจามแต่ถึงแม้พวกเขาจะหัวเราะเด็ก ๆ หลายคนอาจไม่สบายใจหรือเจ็บปวดในขณะที่ถูกจั๊กจี้ โดยสีหน้าท่าทางบางอย่างอาจแสดงให้เห็นว่าลูกแสดงออกถึงความเจ็บปวดและไม่สบายใจ แม้ในขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะอยู่ก็ตาม

                            สัญญาณบ่งบอกว่าลูกอาจไม่ต้องการให้จั๊กจี้

                            อาจเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าเมื่อใดที่เด็กวัยเตาะแตะไม่ต้องการถูกจั๊กจี้ ในขณะที่เด็กบางคนเพลิดเพลินกับประสบการณ์โดนจั๊กจี้โดยไม่มีปัญหาใด แต่สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องตระหนักรู้ และให้ความเคารพในเวลาที่พวกเขาไม่อยากให้คุณจั๊กจี้ แม้ว่าเด็ก ๆ จะหัวเราะ แต่คำตอบต่อไปนี้ควรเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณควรหยุด

                            • แสดงความรู้สึกไม่สบายตัว เช่น จมูกยก หรือ แสยะยิ้ม
                            • ตะโกนว่า “ไม่!” หรือ “หยุด!”
                            • กรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว
                            • ร้องไห้

                            หากเด็กวัยเตาะแตะขอให้คุณจั๊กจี้ ให้ใช้สัมผัสเบา ๆ และหยุดบ่อยๆ เพื่อดูว่าพวกเขาต้องการที่จะให้เล่นต่อไปหรือไม่ หากพวกเขาแสดงอาการไม่สบายข้างต้นให้หยุดและเปลี่ยนไปเล่นรูปแบบอื่น

                            ผลของการเล่นจั๊กจี้ ต่อความรู้สึกเป็นอิสระของร่างกาย

                            นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ว่าลูกวัยเตาะแตะของคุณอาจไม่สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาสนุกกับการถูกจั๊กจี้หรือไม่ การจั๊กจี้ที่ลูกไม่สนุกด้วย สามารถส่งข้อความอันตรายเกี่ยวกับความเป็นอิสระของร่างกายความคิดที่ว่าการล้อเล่นของพ่อแม่ที่ขี้เล่นอาจมีผลกระทบทางจิตใจอาจดูไร้สาระ แต่หนึ่งในความรับผิดชอบของพ่อแม่คือ จะต้องสอนลูก ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อยเกี่ยวกับความเป็นอิสระของร่างกาย การส่งเสริมให้เด็กใช้หลักการนี้ในสถานการณ์ที่มีสมาชิกในครอบครัวที่เชื่อถือได้ จะช่วยให้พวกเขาต่อต้านและรายงานสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมได้ง่ายขึ้นในภายหลัง

                            จั๊กจี้ลูก
                            จั๊กจี้ลูก

                            เล่นอะไรให้ลูกฉลาด หมอแนะ! วิธีเล่นกับลูกตั้งแต่แรกเกิด – 5 ปี

                            14 วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการตามวัย ให้ฉลาด อารมณ์ดี ตั้งแต่เบบี๋

                            7 กิจกรรมเล่นกับลูก ได้จินตนาการ เสริมพัฒนาการลูกดีทุกด้าน

                            การสอนเรื่องความเป็นอิสระของร่างกาย

                            การสอนให้เด็กต่อต้านการสัมผัสที่ไม่ต้องการ สามารถช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญได้เช่นกัน การวิจัยแสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กวัยเตาะแตะได้รับอนุญาตให้เลือกด้วยตนเองนั่นจะเป็นการพัฒนาสมองส่วนต่างๆ ที่ควบคุมการทำงานด้านการคิดบริหาร

                            คุณสามารถเสริมสร้างให้ลูกวัยเตาะแตะรู้ว่าพวกเขาต้องมีหน้าที่ในการดูแลปกป้องร่างกายของตัวเอง โดยพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับความสำคัญของการเคารพขอบเขตทางร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อย ซึ่งสิ่งที่ควรสอนลูกมีดังนี้

                            • การขออนุญาตจากผู้อื่นก่อนสัมผัส ตัวอย่างเช่น สอนให้ถามเพื่อนก่อนที่จะลูกจะกอดตุ๊กตาหมีตัวโตของเพื่อน
                            • เป็นเรื่องปกติที่จะพูดว่า “ไม่” หรือหลีกเลี่ยงการสัมผัสที่ไม่ต้องการ แม้กระทั่งจากสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้ใหญ่

                            สิ่งนี้จะช่วยให้ลูกของคุณไม่มีปัญหาในการบ่งบอกความรู้สึกกับคุณ หากถูกสัมผัสในแบบที่พวกเขาไม่ชอบ การให้เด็กวัยเตาะแตะเป็นผู้นำในการตัดสินใจของตนเองรวมถึงการที่พวกเขาชอบถูกจั๊กจี้จะช่วยพัฒนาการทำงานของสมองในส่วนของการคิด และทักษะชีวิตอื่น ๆ ได้

                            วิธีอื่น ๆ ในการทำให้ลูกหัวเราะ

                            บางครั้งเราจี้บังคับเด็กวัยเตาะแตะเพื่อให้กำลังใจพวกเขาหรือเบี่ยงเบนความสนใจพวกเขาจากช่วงเวลาที่อารมณ์เสียหรืออารมณ์ฉุนเฉียวที่ทวีความรุนแรงขึ้น และเสียงหัวเราะอาจเป็นยาที่ดีที่สุดนักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าอารมณ์ขันช่วยให้เด็กวัยเตาะแตะเรียนรู้งานใหม่ ๆ ได้จริง 6

                            แต่มีวิธีที่ดีกว่าในการระบายความรู้สึกของการ์ตูนเข้าไปในสถานการณ์มากกว่าการซุ่มโจมตีจากการจั๊กจี้ที่อาจไม่ต้องการ วิธีเชื่อมต่อกับเด็ก ๆ ผ่านอารมณ์ขันมีดังนี้

                            ทำหน้าตลก : การได้เห็นพ่อแม่ทำสีหน้าท่าทางที่แปลกประหลาดสามารถทำให้เด็ก ๆ มีความสุขและนำมาซึ่งเสียงหัวเราะได้
                            พูดเรื่องตลกที่เหมาะกับวัย : เช่น ” เมื่อกี๊แม่ได้ยินเสียงกบร้องที่ก้นลูก แต่มันดังปู๊ด!! มันใช่กบร้องมั้ยนะ? ”
                            ทำเสียงแปลกๆ  : เด็กทารกและเด็กเล็กๆ ชอบเสียงแปลกๆ ที่พวกเขาอาจไม่เคยได้ยิน ลองเอาขวดน้ำ ที่ใช้แล้วมาบีบให้เกิดเสียงกร๊อบแกร๊บต่อหน้าพวกเขาดูสิ รับรองว่าต้องมีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาจากลูกได้ไม่มากก็น้อยค่ะ

                            จั๊กจี้ลูก

                            เลือกวิธีการอื่นในการเชื่อมต่อทางกายภาพ

                            การเชื่อมต่อทางกายภาพเช่นเดียวกับการสัมผัสระหว่างพ่อแม่และลูกมีความสำคัญมาก เป็นวิธีสำคัญที่พ่อแม่และลูกจะสื่อสารกันโดยไม่ใช้คำพูด สิ่งนี้ช่วยควบคุมอารมณ์ของเด็กและเกี่ยวข้องกับความภาคภูมิใจในตนเองความพึงพอใจในชีวิตและความมั่นใจในภายหลัง

                            มีทางเลือกมากมายนอกจากการการจั๊กจี้ เพื่อช่วยประสานความผูกพันทางร่างกายที่ดีระหว่างพ่อแม่และลูก เช่นกิจกรรมสร้างความใกล้ชิดเหล่านี้:

                            อ่านหนังสือด้วยกัน : ถามบุตรหลานของคุณว่าพวกเขาต้องการนั่งบนตักของคุณเพื่ออ่านนิทานหรือไม่ หรืออาจให้บุตรหลานของคุณเป็นคนอ่านนิทานให้คุณฟังก็ย่อมได้

                            การนวด: เป็นที่ยอมรับว่าทารกได้รับประโยชน์จากการนวด ซึ่งคุณสามารถทำตามเทคนิคเดียวกันในการนวดเด็กวัยเตาะแตะได้เช่นเดียวกัน โดยใช้โลชั่นหรือกับน้ำมันหอมระเหยที่คุณชื่นชอบหนึ่งหยด (โปรดตรวจสอบกับกุมารแพทย์ของคุณก่อนใช้น้ำมันหอมระเหยกับผิวหนังของเด็กวัยหัดเดิน)

                            ให้ลูกขี่หลัง : หากเป้าหมายของคุณคือการสร้างความสุขและความสนุกให้ลูก ลองจับลูกขึ้นหลังแล้วบอกว่าคุณคือม้าของลูกดูสิ แล้วถามลูกประมาณว่า จะให้ไปที่ไหน?? ให้ลูกตอบ แล้วคุณก็พาลูกขี่หลังวิ่งไปรอบบ้าน วิธีนี้จะช่วยสร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและความสุขให้กับลูกได้แน่นอนค่ะ

                            การจั๊กจี้เกี่ยวข้องกับเสียงหัวเราะช่วงเวลาดีๆและความใกล้ชิดของพ่อแม่ลูก แต่อาจถึงเวลาที่ต้องคิดทบทวนถึงแรงกระตุ้นของเราที่จะใช้รูปแบบการเล่นที่เจ็บปวดในบางครั้งเพื่อสร้างความผูกพันกับลูก ๆ ของเราโดยเฉพาะเด็กวัยเตาะแตะที่อาจขาดทักษะในการพูดเพื่อสื่อสารถึงความรู้สึกไม่สบายตัว

                            แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการเชื่อมต่อทางกายภาพที่ใกล้ชิดกับลูก เพราะแน่นอนว่าสิ่งนี้มีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กอย่างไม่น่าเชื่อ แต่อย่างไรก็ตามควรเล่นด้วยความอ่อนโยนและแน่ใจว่าลูกของคุณยินดีที่จะเล่นด้วย การส่งเสริมให้เด็ก ๆ เลือกว่าต้องการให้พ่อแม่เล่นกับพวกเขาด้วยการสัมผัสกับร่างกายของพวกเขาหรือไม่อย่างไร เป็นการสอนให้พวกเขาฝึกการสื่อสารความต้องการและให้ลูกได้เรียนรู้เกี่ยวกับความเป็นอิสระและการเป็นเจ้าของร่างกาย ช่วยให้เด็กๆ ได้คิดตัดสินใจด้วยตัวเองเป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้ลูกเกิด ความฉลาดในการเล่น (PQ) ได้อีกทางหนึ่งด้วยค่ะ

                            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily.com

                            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                            “ยิ่งเล่น ยิ่งฉลาด “ พัฒนา PQ (Play Quotient) สร้างลูกให้ฉลาดแข็งแรงจากการเล่นแสนสนุก

                            ชวนลูกเล่น เกมต่อบล็อคไม้ Katamino Family

                            ให้ ลูกเล่นเลอะเทอะ บ้างสิดี! เลอะแบบนี้ ดีต่อพัฒนาการ!

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              ปวดฝีเย็บหลังคลอด

                              เจ็บนี้อีกนานมั้ย! แม่ ปวดฝีเย็บหลังคลอด จะบรรเทาอาการอย่างไร

                              ปวดฝีเย็บหลังคลอด – อาการปวดฝีเย็บหลังคลอดเป็นความจริงหลังคลอดที่ต้องเจอสำหรับคุณแม่มือใหม่ที่ คลอดแบบธรรมชาติ  หากจะว่าไปแล้ว เรื่องที่ยากๆ หรือเรื่องเจ็บตัวของคนท้องที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมานานกว่า 9 เดือนควรจะจบลงเมื่อการคลอดลูกผ่านไปเรียบร้อย น่าเสียดายที่คุณอาจยังไม่ได้หลุดพ้นความเจ็บทั้งหมดไปได้ เพราะสิ่งที่คุณอาจต้องเผชิญ คือ ความเจ็บปวดหลังคลอดต่อการต้องเบ่งทารก น้ำหนัก 7 หรือ 8 ปอนด์ (หรือมากกว่า!) ผ่านช่องคลอดที่ค่อนข้างเล็กซึ่งไม่ใช่งานง่าย! จึงไม่น่าแปลกใจหากคุณยังคงรู้สึกเจ็บปวดและระคายเคืองบริเวณฝีเย็บอยู่  วันนี้เรามาดูขั้นตอนและวิธีต่างๆ ที่คุณสามารถทำได้เพื่อบรรเทาอาการเจ็บฝีเย็บหลังคลอดได้

                              เจ็บนี้อีกนานมั้ย! แม่ ปวดฝีเย็บหลังคลอด จะบรรเทาอาการอย่างไร

                              ฝีเย็บ คือ ผิวหนังและกล้ามเนื้อคล้ายรูปเพชร ที่อยู่ระหว่างช่องคลอดและทวารหนัก ซึ่งมักจะฉีกขาดและบางครั้งถูกตัดออก (ตอนคลอด) ในระหว่างการคลอดทางช่องคลอดเพื่อให้ทารกออกมาสู่โลก มีระดับความเสียหายที่แตกต่างกันไปเกิดขึ้นกับฝีเย็บ ตั้งแต่รอยฟกช้ำ และแผลที่หายได้เองไปจนถึง แผลที่ต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัด โชคดีที่โอากาสบาดเจ็บรุนแรงเกิดได้ไม่บ่อย

                              หลังคลอดช่องคลอดของคุณมีแนวโน้มที่จะฉีกขาดเมื่อศีรษะของทารกบีบตัวผ่าน  95 เปอร์เซ็นต์ของคุณแม่ที่เข้ารับการคลอดครั้งแรก จะมีอาการฝีเย็บฉีกขาด คุณอาจต้องเย็บแผลและขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการฉีกขาดการฟื้นตัวจะใช้เวลาตั้งแต่สัปดาห์ถึงเดือน  กิจวัตรต่าง ๆ เช่น การไอ จาม และการเคลื่อนไหวของลำไส้ อาจทำให้คุณรู้สึกไม่สบายตัว อาการคันในช่องคลอดหลังคลอดอาจบ่งบอกว่ารอยแผลเป็นของคุณหายดีแล้ว

                              ผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์อีกประการหนึ่งของการคลอด คือ น้ำคาวปลา (lochia) หรือการตกขาวของเลือดเมือกและเนื้อเยื่อมดลูกซึ่งเป็นสิ่งคัดหลั่งที่ออกมาจากโพรงมดลูกหลังคลอด ซึ่งกินเวลานานหกแปดสัปดาห์ น้ำคาวปลาจะเริ่มมีสีแดงสดจากนั้นจะจางหายไปเป็นสีน้ำตาลเข้ม และในที่สุดก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซึ่งอาจทำให้ช่องคลอดมีกลิ่นเล็กน้อยหลังคลอดซึ่งคุณควรรายงานอาการต่างๆ ให้แพทย์ทราบ

                              ปวดฝีเย็บหลังคลอด
                              ปวดฝีเย็บหลังคลอด

                              การฉีกขาด ใช้เวลานานแค่ไหนในการรักษา?

                              ระยะเวลาในการรักษาจะแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไป บาดแผลหรือรอยฉีกขาดยิ่งลึกเท่าใด เวลาในการฟื้นตัวก็จะยิ่งนานขึ้นเท่านั้น การฉีกขาดเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง (ไม่ใช่กล้ามเนื้อ) อาจไม่จำเป็นต้องเย็บแผล โดยทั่วไปอาการบาดเจ็บในระดับนี้จะหายได้อย่างรวดเร็วโดยไม่รู้สึกตัว

                              การฉีกขาดระดับที่สองเกี่ยวข้องกับผิวหนังและกล้ามเนื้อ สิ่งเหล่านี้มักต้องได้รับการเย็บแผล และต้องใช้เวลาหายเป็นปกติในสองถึงสามสัปดาห์ (รอยเย็บจะสลายไปเองในช่วงเวลานี้) ผู้หญิงบางคนรู้สึกเจ็บเล็กน้อยหลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ในขณะที่บางคนรู้สึกไม่สบายตัวเป็นเวลาหนึ่งเดือน

                              หากคุณมีแผลฉีกขาดระดับที่สามหรือสี่ ซึ่งเป็นการฉีกขาดที่ร้ายแรงกว่าที่ขยายไปถึงทวารหนัก คุณอาจมีอาการปวดและไม่สบายตัวเป็นเวลาหนึ่งเดือนหรือนานกว่านั้น ในช่วงสองสามวันแรกหลังคลอดคุณอาจมีปัญหาในการปัสสาวะและการเคลื่อนไหวของลำไส้ คุณอาจมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาในการควบคุมการเคลื่อนไหวของลำไส้ หรือเผชิญกับภาวะกลั้นปัสสาวะไม่ได้ เป็นเวลานานหลายเดือนหรืออาจกินเวลาแรมปี

                              คลอดธรรมชาติแบบบล็อคหลัง อีกหนึ่งทางเลือกของคุณแม่

                              ลูกตัวใหญ่แต่อยากคลอดธรรมชาติ ได้หรือไม่

                              3 วิธี คลอดลูก คลอดแบบธรรมชาติ แบบผ่าคลอด หรือคลอดลูกในน้ำ คลอดแบบไหนดี?

                              จะทำอย่างไรเพื่อบรรเทาอาการปวด? 

                              พยาบาลและผู้ให้บริการของคุณจะให้คำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการดูแลตัวเอง อาจช่วยได้:

                              • ใช้ถุงน้ำแข็งแบบที่มีผ้าปิด ประคบเบา ๆ บริเวณฝีเย็บหลังคลอด เพื่อลดอาการบวมและไม่สบายตัว ควรเปลี่ยนน้ำแข็งแพ็คใหม่ทุกๆ สองสามชั่วโมง ในช่วง 12 ชั่วโมงถัดไป
                              • ทานไอบูโพรเฟนหรืออะเซตามิโนเฟน เพื่อบรรเทาอาการปวด (อย่าทานแอสไพรินหากคุณให้นมบุตร) หากคุณมีการฉีกขาดมาก คุณอาจต้องใช้ยาแก้ปวดตามใบสั่งแพทย์
                              • ลองใช้ยาชาแบบสเปรย์ ผู้หญิงบางคนสาบานกับสิ่งเหล่านี้และโรงพยาบาลส่วนใหญ่ยังคงกำหนดให้พวกเขาแม้ว่าการวิจัยที่ จำกัด จะชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
                              • เปลี่ยนแผ่นอนามัย ทุกครั้งที่ใช้ห้องน้ำ
                              • ใช้ขวดสเปร์ฉีดน้ำอุ่นที่ฝีเย็บขณะที่คุณกำลังปัสสาวะ น้ำจะเจือจางปัสสาวะของคุณเพื่อไม่ให้แสบร้อนมากนักเมื่อสัมผัสกับผิวหนังของคุณ ทำความสะอาดบริเวณนั้นด้วยการฉีดอีกครั้งหลังจากนั้น ซับให้แห้งจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อหลีกเลี่ยงการนำเชื้อโรคจากทวารหนักเข้าสู่บริเวณช่องคลอด
                              • อย่านั่งเป็นเวลานาน ในขณะที่ฝีเย็บยังเจ็บอยู่
                              • เริ่มแช่น้ำอุ่น 24 ชั่วโมงหลังคลอด ทำเช่นนี้เป็นเวลา 20 นาที สามครั้งต่อวัน หรือใช้วิธีแช่อ่างซิทซ์ (Sitz bath) โดยเติมอ่างพลาสติกทรงตื้นด้วยน้ำอุ่น แล้ววางไว้เหนือที่นั่งชักโครกจากนั้นนั่งลงโดยให้ฝีเย็บจุ่มลงในน้ำ ด้วยวิธีนี้คุณสามารถแช่บริเวณฝีเย็บได้หลายครั้งต่อวัน
                              • ให้แผลสัมผัสกับอากาศให้มากที่สุด นี่อาจเป็นเรื่องยากที่จะทำหากคุณยังคงมีขี้มูกไหลออกมาเป็นเลือดหลังคลอด แต่คุณสามารถนอนบนผ้าขนหนูเก่าหรือแผ่นรองที่ใช้แล้วทิ้งได้ในขณะที่ตากแผล
                              • เริ่มบริหารอุ้งเชิงกราน สิ่งเหล่านี้ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อกระตุ้นการไหลเวียนและความเร็วในการรักษา (การเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจะรองรับบาดแผลดังนั้นคุณจะรู้สึกได้ถึงแรงดึงที่เย็บน้อยลงเมื่อคุณเคลื่อนไหว)
                              • พักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าทำงานบ้านที่ไม่จำเป็น ประหยัดพลังงานในการดูแลลูกน้อยและตัวคุณเองเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู

                              ปวดฝีเย็บหลังคลอด

                              หากคุณมีการฉีกขาดที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก (การฉีกขาดในระดับที่สามหรือสี่) สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือคุณต้องดื่มน้ำมาก ๆ และได้รับไฟเบอร์เพียงพอในอาหาร เพื่อป้องกันอาการท้องผูก เริ่มใช้น้ำยาปรับอุจจาระทันทีหลังจากคลอดและทำต่อไปอีกสองสามสัปดาห์ หลีกเลี่ยงการเหน็บยาสวนทวารและการรักษาทางทวารหนักอื่น ๆ

                              ควรไปพบแพทย์เมื่อใด

                              โทรหาแพทย์หรือผู้ให้บริการของคุณหากคุณมีอาการปวดหรือบวมที่ไม่หายไป หรือแย่ลง โดยเฉพาะถ้ามีไข้หรือมีอาการอื่น ๆ ของการติดเชื้อ เช่น มีกลิ่นเหม็นออกจากช่องคลอดหรือบริเวณที่มีการฉีกขาดหรือแม้ว่าคุณรู้สึกเป็นกังวลกับอาการบางอย่างก็ตาม คุณอาจได้รับการส่งต่อไปยังแพทย์ทางเดินปัสสาวะหรือนักกายภาพบำบัดเกี่ยวกับกระดูกเชิงกราน

                              จะมีเซ็กส์อีกครั้งได้เมื่อไหร่?

                              หากคุณไม่ต้องการเย็บแผล และตั้งใจที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของคุณ คุณสามารถลองทำได้หลังจากผ่านไปสองสามสัปดาห์เมื่อเลือดที่ออกทางช่องคลอดหยุดลงแล้ว หากคุณมีแผลปริหรือฉีกขาดคุณควรได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์ภายในสี่ถึงหกสัปดาห์หลังคลอดเสียก่อน หากผู้ให้บริการของคุณให้การยอมรับและคุณทำตามนั้นคุณสามารถลองมีเพศสัมพันธ์ได้

                              หากคุณมีอาการฉีกขาดในระดับที่สามหรือสี่สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือจำเป็นต้องต้องรอให้แผลหายดีก่อน เมื่อคุณมีเซ็กส์ครั้งแรกอีกครั้ง คุณอาจรู้สึกถึงความอ่อนโยนและความรัดกุม เพื่อให้เซ็กส์สบายขึ้นพยายามผ่อนคลายให้มากที่สุด และใช้น้ำมันหล่อลื่นที่ละลายน้ำได้ดี

                              การใส่ใจดูแลรักษาการเจ็บป่วยของร่างกายด้วยอาการต่างๆ  หลังคลอดเป็นความรับผิดชอบต่อตัวเองเพื่อการปรับกิจวัตรประจำวันให้เป็นมิตรกับการรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อลูกน้อยของคุณเติบโตเข้าสู่วัยที่พร้อมเรียนรู้ในเรื่องการให้ความสำคัญต่อการดูแลรักษาร่างกายยามเจ็บไข้ได้ป่วย หรือการดูแลร่างกายเพื่อป้องกันอาการเจ็บป่วยต่างๆ ด้วยการมีกิจวัตประจำวันที่ดี ทั้งเรื่องของโภชนาการ การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้เพียงพอ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่างได้เลยเมื่อพวกเขายังเล็ก พวกเขาจะค่อยๆ ซึมซับพฤติกรรมที่เหมาะสมต่อการให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพที่ดีของพ่อและแม่ ซึ่งจะทำให้พวกเขาเกิดทักษะ ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ได้ค่ะ

                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : babycenter.com

                              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              “รูรั่วช่องคลอด” ภาวะเสี่ยงหลังคลอด แม่ต้องรู้ วิธีเบ่งคลอด ให้ปลอดภัย

                              กินไข่แล้ว แผลผ่าตัดคลอด หายช้า-เป็นรอยนูน..จริงหรือ?

                              คนท้อง ต้นคอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบดำ แก้ไขอย่างไร ?

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                ลูกอึยาก

                                ลูกอึยาก ลูกอึไม่ออก ท้องผูกหลายวัน พ่อแม่จะช่วยลูกได้อย่างไร

                                ลูกอึยาก – อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็ก เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่พ่อแม่พอเด็กๆ ไปหาผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ระบบทางเดินอาหาร เด็กที่มีอาการท้องผูกอาจมีอุจจาระที่แข็ง แห้ง ถ่ายยาก หรือเจ็บปวดขณะถ่ายอุจจาระ อาการท้องผูกอาจเกิดขึ้นทุกวันหรือนานๆ ครั้ง แม้ว่าอาการท้องผูกอาจทำให้เด็กๆ รู้สึกไม่สบายตัวและมีอาการเจ็บปวดแต่โดยปกติแล้วอาการท้องผูกมักเกิดชั่วคราว สามารถรักษาและป้องกันไม่ให้เกิดได้

                                ลูกอึยาก ลูกอึไม่ออก ท้องผูกหลายวัน พ่อแม่จะช่วยลูกได้อย่างไร

                                ท้องผูกในเด็กเล็กเกิดขึ้นได้อย่างไร?

                                ส่วนใหญ่ร้อยละ 90 อาการท้องผูกในเด็กเล็ก ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติจากการทำงานของลำไส้  แต่มักเกิดจากปัจจัยแวดล้อม ต่างๆ  เช่น การกินที่ไม่เหมาะสม เลือกกิน กินอาหารที่ไม่มีกากใยอาหาร หรือเด็กอาจมีพฤติกรรมกลั้นอุจจาระจนเคยชิน นอกจากนี้ โดยทั่วไปแล้วเด็กทารกที่กินนมแม่มักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องท้องผูก แต่อาการท้องผูกในทารกมักเกิดกับเด็ก

                                ทั้งนี้อาการท้องผูกในเด็กเล็กๆ อายุ 1-2 ปี อาจมีสาเหตุจากกลั้นอุจจาระ หรือเคยรู้สึกเจ็บจากการถ่ายอุจจาระก้อนใหญ่และแข็งมาก่อน ส่วนในเด็กวัยเรียนอาจกลั้นอุจจาระเพราะเป็นวัยที่ห่วงเล่น หรือต้องรีบไปโรงเรียนแต่เช้าตรู่ จนไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ นอกจากนี้เด็กวัยเรียน อาจกลั้นอุจจาระเพราะรู้สึกไม่ชอบห้องน้ำที่โรงเรียนด้วยสาเหตุส่วนตัวต่างๆ  เด็กที่มีอาการท้องผูกชนิดที่ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของอวัยวะในร่างกาย การเจริญเติบโต พัฒนาการ รวมทั้งสุขภาพโดยทั่วไปจะอยู่ในเกณฑ์ปกติและไม่มีอาการเจ็บป่วยใดแทรกซ้อนนอกจากมีอาการท้องผูก

                                อาการท้องผูกในทารกและเด็กเล็กไม่แตกต่างจากอาการในผู้ใหญ่มากนัก ความแตกต่างที่สำคัญคือทารกและเด็กบางคนไม่สามารถสื่อสารได้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรดังนั้นคุณต้องใส่ใจกับการขับถ่ายของพวกเขาเพื่อรับรู้ความผิดปกติ

                                ทารก
                                ทารกที่กินนมผสมและนมแม่บางรายจะมีอาการท้องผูกเมื่อได้รับการแนะนำให้รู้จักกับอาหารแข็ง อาการท้องผูกในเด็กทารก ได้แก่ :

                                • ถ่ายอุจจาระลำบาก
                                • ร้องไห้ระหว่างการพยายามถ่ายอุจจาระ
                                • อุจจาระแห้งแข็ง
                                • การเคลื่อนไหวของลำไส้น้อยลง

                                ความถี่ในการอุจจาระอาจแตกต่างกันไปในทารกแต่ละคน ดังนั้นให้ใช้กิจกรรมปกติของทารกเป็นพื้นฐาน เช่น หากตามปกติลูกน้อยของคุณถ่ายอุจจาระวันละ 1 ครั้ง  แต่เมื่อผ่านไป 2-3 วันนับ จากอุจจาระครั้งสุดท้ายลูกยังไม่อุจจาระ ก็อาจเป็นสัญญาณของอาการท้องผูก ทารกที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน ควรได้รับน้ำนมแม่หรือนมผงเท่านั้น ไม่ควรมีของเหลวอื่น ๆ แม้กระทั่งน้ำเปล่า หากคุณให้ทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนอาหารแข็ง หรือซีเรียล ให้หยุดให้อาหารเหล่านี้และดูว่าอาการท้องผูกดีขึ้นหรือไม่ หากอาการไม่ดีขึ้นให้พาลูกไปพบแพทย์

                                เด็กวัยเตาะแตะ
                                เด็กวัยเตาะแตะอาจมีอาการคล้ายกับทารกดังที่ระบุไว้ข้างต้น แต่คุณอาจพบอาการอื่น ๆ ในเด็กเล็กด้วยเช่น:

                                • อุจจาระเป็นเม็ดเล็กๆ คล้านมูลกระต่าย หรืออุจจาระมีขนาดใหญ่ผิดปกติ
                                • ท้องรู้สึกยากที่จะสัมผัส
                                • ท้องบวม
                                • ท้องอืด
                                • ร่องรอยของเลือดบนก้อนอุจจาระ หรือกระดาษชำระ

                                อาการท้องผูกอย่างรุนแรงอาจทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้ โดยมีอุจจาระขนาดใหญ่ติดอยู่ในลำไส้ส่วนล่างซึ่งโดยปกติจะอยู่เหนือทวารหนัก ซึ่งอาจอาจทำให้เด็กมีอุจจาระเล็ดเลอะกางเกงได้

                                ลูกอึยาก
                                ลูกอึยาก

                                การรักษาอาการท้องผูกในเด็กเล็ก

                                หากคุณคิดว่าลูกของคุณอาจท้องผูกให้รีบพาไปพบแพทย์ การรักษาอาการท้องผูกขึ้นอยู่กับอายุของเด็ก ยิ่งลูกของคุณมีอาการท้องผูกนานเท่าไรก็ต้องใช้เวลาในการรักษามากขึ้น  แพทย์มักแนะนำให้ใช้ยาระบายสำหรับเด็กที่รับประทานอาหารแข็ง ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงอาหารและวิถีชีวิต อาจใช้เวลาหลายเดือนเพื่อให้การรักษาได้ผล แต่พ่อแม่ต้องพยายามต่อไปจนกว่าจะสำเร็จ  เมื่ออาการท้องผูกของลูกได้รับการจัดการแล้วสิ่งสำคัญ คือต้องหยุดไม่ให้กลับมาอีก แพทย์อาจแนะนำให้ลูกของคุณกินยาระบายไปสักพักเพื่อให้แน่ใจว่าอุจจาระของพวกเขายังนุ่มพอที่จะเบ่งถ่ายออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ

                                การรักษาอาการท้องผูกโดยทั่วไป ในเด็กสุขภาพดีที่มีปัญหาท้องผูกมีดังนี้

                                1. รักษาด้วยยาระบายอย่างอ่อน ซึ่งยาออกฤทธิ์ โดยเพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ทำให้อุจจาระนิ่มขึ้น เพื่อให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น  แพทย์มักแนะนำให้เด็กกินยาระบายอย่างต่อเนื่องจนพฤติกรรมการถ่ายอุจจาระเป็นปกติจึงหยุดยาได้ หรือจนกว่าพฤติกรรมกลั้นอุจจาระเพราะกลัวเจ็บหายไป ทั้งนี้อาจจำเป็นต้องให้ยาระบายนานหลายเดือน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวล เพราะยาระบายอย่างอ่อนมักทำให้เด็กติดยาและเกิดผลข้างเคียงอันตรายใดๆ  แต่ข้อควรระวังคือ ควรหลีกเลี่ยงยาระบายกลุ่ม milk of magnesia ในเด็กที่เป็นโรคไต ในเด็กเล็กไม่ควรใช้ยาสวนทวารอย่างพร่ำเพรื่อ  เพราะเด็กอาจรู้สึกเจ็บและต่อต้านและยิ่งเพิ่มพฤติกรรม กลัวการอุจจาระและทำให้กลั้นอุจจาระมากขึ้น แต่การสวนทวารเพื่อขจัดอุจจาระปริมาณมากในลำไส้นั้นมีความจำเป็นในเด็กที่ท้องผูกมานานจนมีอาการอุจจาระเล็ดไม่รู้ตัว

                                2. ปรับปรุงแก้ไขปัจจัยที่ทำให้ท้องผูก  ฝึกการขับถ่ายให้ลูกควบคู่ไปกับการกินยาระบาย ควรให้เด็กได้บริโภคผักและผลไม้ในปริมาณที่มากขึ้น และลดปริมาณนมลงในช่วงที่ท้องผูก  หลังจากกินยาระบายจนอุจจาระนิ่มขึ้น ควรให้ลูกฝึกถ่าย วันละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเช้า และช่วงเย็น โดยการฝึกให้นั่งถ่ายนานประมาณ  5-10 นาที  ทางที่ดีควรฝึกหลังจาการทานอาหารเสร็จ เพราะในช่วงหลังอาหารลำ ไส้ใหญ่จะเกิดการบีบรัดตัวซึ่งช่วยให้ถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น หากไม่มีโอกาสฝึกการขับถ่ายในตอนเช้า คุณพ่อคุณแม่อาจฝึกการขับถ่ายได้ในเวลาหลังอาหารมื้อเย็น

                                ควรฝึกท่านั่งถ่ายที่เหมาะสม กล่าวคือ ท่าทางในการขับถ่ายอุจจาระที่ดี เด็กควรใช้เท้ายันพื้นได้ ถ้าโถชักโครกสูงมากจนเท้าของเด็กลอยสูงจากพื้น ควรนำเก้าอี้ตัวเล็กๆ มาวางเสริมให้สูงจากพื้น  ในเด็กเล็กที่กลัวการนั่งถ่ายมาก ควรเริ่มต้นฝึกโดยนั่งถ่ายบนตักของคุณแม่ก่อน และให้แม่คอยปลอบและให้กำลังใจ เพื่อลดความกลัวของลูกให้รู้สึกสบายใจ เมื่อเด็กคุ้นเคยกับการถ่ายในท่านั่งแล้วก็สามารถฝึกให้ลองนั่งถ่ายบนกระโถนต่อไปได้

                                ลูกอึยาก

                                อาการท้องผูกในเด็กเล็กป้องกันได้อย่างไร?

                                เนื่องจากรูปแบบการขับถ่ายของเด็กแต่ละคนแตกต่างกันควรทำความคุ้นเคยกับรูปแบบการขับถ่ายตามปกติของบุตรหลาน สังเกตขนาดและความสม่ำเสมอของอุจจาระ วิธีนี้จะช่วยให้คุณและแพทย์ของบุตรหลานทราบได้ว่าอาการท้องผูกเกิดขึ้นเมื่อใดและควรรักษาอย่างไรให้ดีที่สุด หากลูกของคุณไม่มีการเคลื่อนไหวของลำไส้ตามปกติทุกๆสองสามวันหรือรู้สึกไม่สบายตัวเมื่ออุจจาระผ่านไปเธออาจต้องการความช่วยเหลือในการพัฒนานิสัยการขับถ่ายที่เหมาะสม

                                วิธีแก้อาการท้องผูกของทารกและเด็กวัยหัดเดิน

                                แม้ว่าอาการท้องผูกจะทำให้ทารกและเด็กเล็กไม่สบายตัว แต่ก็ไม่ค่อยมีสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะพื้นฐาน การเยียวยาที่บ้านหลายวิธีสามารถช่วยให้อุจจาระนิ่มลงและบรรเทาอาการท้องผูกได้

                                • ดื่มน้ำให้มากขึ้น
                                  อาการท้องผูกสามารถเกิดขึ้นได้เมื่ออุจจาระแห้งและแข็ง การดื่มน้ำสามารถทำให้อุจจาระนิ่มลงทำให้อุจจาระง่ายขึ้นหากลูกน้อยของคุณอายุอย่างน้อย 6 เดือนคุณสามารถให้น้ำ 2-3 ออนซ์ต่อครั้งเพื่อบรรเทาอาการท้องผูก โปรดทราบว่าน้ำไม่ได้ทดแทนการให้อาหารปกติ
                                • ดื่มน้ำผลไม้
                                  น้ำผลไม้ยังช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากบางชนิดมีซอร์บิทอลซึ่งเป็นสารให้ความหวานซึ่งสามารถทำหน้าที่เป็นยาระบายได้                                                                                          หากลูกน้อยของคุณอายุอย่างน้อย 6 เดือนคุณสามารถให้น้ำผลไม้ได้ 2 ถึง 4 ออนซ์ ซึ่งรวมถึงน้ำแอปเปิ้ล 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำลูกพรุน หรือน้ำลูกแพร์นอกเหนือจากการให้อาหารตามปกติ
                                • เพิ่มอาหารที่มีกากใยสูง
                                  หากลูกน้อยของคุณเริ่มกินอาหารแข็งให้ใส่อาหารทารกที่มีเส้นใยสูงมากขึ้นในอาหารของพวกเขา ซึ่งรวมถึง:
                                • แอปเปิ้ล
                                • ลูกแพร์
                                • เมล็ดถั่ว
                                • ลูกพรุน
                                • กล้วย

                                ลูกอึยาก

                                วิธีอื่นๆ

                                • กระตุ้นให้ลูกเคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกาย ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่สมดุลจะเป็นรากฐานสำหรับชีวิตที่แข็งแรงและกระฉับกระเฉง
                                • เด็กที่ดื่มนมผสม ให้เลือกนมที่มีส่วนผสมใกล้เคียงกับนมมารดา (นมผงดัดแปลงสูตร 1 ที่มีสัดส่วนของ เวย์และเคซีนอย่างน้อย 60 : 40) และดื่มน้ำให้มากขึ้น หรือดื่มน้ำผลไม้ เช่น น้ำลูกพรุน น้ำส้ม เพิ่ม ผัก ผลไม้ และธัญพืช เสริมอีกทางหนึ่ง
                                • ช่วยลูกบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น การนวดท้อง และยกขาเด็กขึ้นลงจะทำให้การขับถ่ายดีขึ้น
                                • ฝึกนิสัยในการขับถ่าย ใช้ยาระบายได้เป็นครั้งคราว

                                แต่ทั้งนี้หากลูกของคุณมีอาการท้องผูกเรื้องรัง ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางค่ะ

                                ไฟเบอร์ที่เพียงพอในอาหาร

                                เพื่อป้องกันอาการท้องผูก เด็กที่อายุระหว่าง 2 ถึง 19 ปี ควรได้รับประทานไฟเบอร์ในปริมาณที่เท่ากับอายุของพวกเขา บวกด้วยจำนวน  5 กรัม ตัวอย่างเช่น  ควรให้ลูกของคุณทานไฟเบอร์ให้ได้ปริมาณ 7 กรัม ต่อวัน หากลูกของคุณอายุ 2 ปี (2 บวก 5 กรัม) หากคุณกังวลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของลำไส้ของลูกให้ปรึกษาแพทย์ การปรับเปลี่ยนอาหารและการออกกำลังกายง่ายๆ อาจเป็นวิธีที่แก้ไขอาการท้องผูกได้ แต่หากลูกของคุณยังมีอาการท้องผูกแพทย์สามารถแนะนำแผนการที่เหมาะกับบุตรหลานของคุณมากที่สุดต่อไปได้ค่ะ

                                อาการท้องผูกเป็นสิ่งที่ป้องกันได้หากคุณพ่อคุณแม่คอยใส่ใจเรื่องอาหารการกิน และกิจวัตรประจำวันของลูก อย่างที่กล่าวไปในเนื้อหาข้างต้น เราจะเห็นได้ว่าอาหารมีผลอย่างมากต่อคุณภาพในการขับถ่าย ดังนั้นควรให้ลูกได้ทานอาหารที่เหมาะสมในปริมาณที่พอเหมาะ  นอกจากนี้ในเด็กวัยเตาะแตะที่สามารถสื่อสารกับคุณพ่อคุณแม่รู้เรื่อง การสอนให้พวกเขาได้ขับถ่ายตัวเอง และพ่อแม่คอยให้กำลังใจก็เป็นเหมือนกุญแจสำคัญในการฝึกให้พวกเขามีนิสัยการขับถ่ายที่ดี และเป็นการปลูกฝังให้พวกเขาเกิดทักษะด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)ได้อีกด้วยค่ะ

                                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthychildren.org , nhs.uk , thaipediatrics.org , healthline.com

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                ลูกท้องผูก ไม่ถ่าย ทำอย่างไรดี ?

                                แม่แชร์สูตร! อาบน้ำใบกะเพรา ระเบิดพุง แก้ปัญหาลูกท้องผูก

                                3 ผลร้าย ของการปล่อยให้! ลูกกินแต่นม เพียงอย่างเดียว

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  หลักใหม่สธ. ไม่แยกเมื่อ ลูกติดโควิด

                                  ลูกติดโควิด ทำอย่างไรดีใครจะดูแล สธ.ผุดหลักใหม่”ไม่แยก”

                                  พ่อแม่ติดโควิด ลูกติดโควิด ต้องกักตัว ใครจะดูแลลูก ลูกจะอยู่ได้ไหม ไม่ต้องห่วง กระทรวงสาธารณสุขแก้ปัญหายึดหลักใหม่ ไม่แยกดูแลพร้อมกันครอบครัวติดเชื้อโควิด19

                                  ลูกติดโควิด ทำอย่างไรดีใครจะดูแล สธ.ผุดหลักใหม่”ไม่แยก”

                                  จากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด – 19 ในสถานการณ์ปัจจุบันพบการติดเชื้อติดต่อกันภายในครอบครัวไปสู่ผู้สูงอายุ และเด็กเล็กเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการอยู่ร่วมกัน และการไปมาหาสู่ระหว่างกัน เมื่อพบว่าคนในครอบครัวติดเชื้อโควิด-19 มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการแยกผู้ป่วยที่ยืนยันติดเชื้อโควิด-19 เข้ารักษาในโรงพยาบาลสนาม หรือฮอสพิเทล หรือโรงพยาบาล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ติดเชื้อ และให้การรักษาตามอาการ ร่วมกับการให้ยาต้านไวรัสโควิด-19 อย่างน้อย10-14 วัน หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น

                                  แนวทางการรักษาล่าสุด (อัพเดท 17 เมษายน 2564)

                                  การรักษาโควิด 19 แบ่งกลุ่มตามอาการได้เป็น 4 กรณี ดังนี้

                                  1. ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ไม่มีอาการ

                                  • แนะนำให้นอนโรงพยาบาล หรือในสถานที่รัฐจัดให้อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่ตรวจพบเชื้อ และให้จำหน่ายจากโรงพยาบาลได้
                                  • หากมีอาการปรากฏขึ้นมาให้ตรวจวินิจฉัยและรักษาตามสาเหตุ
                                  • ให้ดูแลรักษาตามดุลยพินิจของแพทย์ไม่ให้ยาต้านไวรัส เนื่องจากส่วนมากหายได้เองและอาจได้รับผลข้างเคียงจากยา

                                  2. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ไม่มีปอดอักเสบ ไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง/โรคร่วมสำคัญ ภาพถ่ายรังสีปอดปกติ

                                  • ให้ดูแลรักษาตามอาการ ส่วนมากหายได้เอง
                                  • แนะนำให้นอนโรงพยาบาล หรือในสถานที่รัฐจัดให้อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่เริ่มมีอาการ หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น ไม่มีไข้หรือไม่มีอาการอื่น ๆ ของโรคแล้วอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง พิจารณาจำหน่ายผู้ป่วยได้
                                  • พิจารณาให้ฟาวิพิราเวีร์ (ตามดุลยพินิจของแพทย์)

                                   

                                  เด็กเล็กติดเชื้อโควิด-19 ลูกติดโควิด
                                  เด็กเล็กติดเชื้อโควิด-19 ลูกติดโควิด

                                  3. ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงแต่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรครุนแรง หรือมีโรคร่วมสำคัญ หรือผู้ป่วยที่มีปอดบวม (pneumonia) เล็กน้อยซึ่งไม่เข้าเกณฑ์ข้อ 4

                                  • ปัจจัยเสี่ยงได้แก่ข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ได้แก่อายุ >60 ปี โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) รวมโรคปอดเรื้อรังอื่น ๆ โรคไตเรื้อรัง (CKD) โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมโรคหัวใจแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดสมอเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ภาวะอ้วน (น้ำหนักมากกว่า 90 กก.)
                                  • ตับแข็ง ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำและ lymphocyte น้อยกว่า 1,000 เซลล์/ลบ.มม.
                                  • แนะนำให้นอนโรงพยาบาล อย่างน้อย 14 วัน หรือจนกว่าอาการจะดีขึ้น
                                  • แนะนำให้ฟาวิพิราเวียร์ ระยะเวลา 5 ถึง 10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิกตามความเหมาะสม หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
                                  • กรณีที่มีผู้ป่วยมีอาการและภาพถ่ายรังสีปอดที่แย่ลง คือ มี progression of infiltrates หรือค่า room air SpO2 ≤96% หรือพบว่ามี SpO2 ขณะออกแรงลดลงมากกว่า 3% ของค่าที่วัดได้ครั้งแรก (exercise-induced hypoxia) อาจพิจารณาให้ คอร์ติโคสเตียรอยด์ ร่วมกับ ฟาวิพิราเวียร์

                                  4. ผู้ป่วยยืนยันที่มีปอดบวมที่มี hypoxia (resting O2 saturation <96 %) หรือมีภาวะลดลงของออกซิเจน SpO2 ≥3% ของค่าที่วัดได้ครั้งแรกขณะออกแรง (exercise-induced hypoxemia) หรือภาพรังสีทรวงอกมี progression ของ pulmonary infiltrates

                                  • แนะนำให้ฟาวิพิราเวียร์ เป็นเวลา 5-10 วัน ขึ้นกับอาการทางคลินิก
                                  • อาจพิจารณาให้ โลปินาเวียร์/ริโทนาเวียร์ 5-10 วัน ร่วมด้วย (ตามดุลยพินิจของแพทย์)
                                  • แนะนำให้ คอร์ติโคสเตียรอยด์

                                   

                                  เมื่อ ลูกติดโควิด ต้องแยกกักตัวหรือไม่
                                  เมื่อ ลูกติดโควิด ต้องแยกกักตัวหรือไม่

                                  แนวทางดูแลผู้ป่วยและจัดการเตียง (ล่าสุด 24 เมษายน 2564)

                                  1. ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่มีอาการ ให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือสถานที่ที่รัฐจัดไว้ให้เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 วัน นับจากวันแรกที่ตรวจพบเชื้อ และให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านต่ออีก 14 วัน

                                  2. ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการน้อย ให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 10 วัน นับจากวันที่มีอาการ เมื่อครบกำหนดแล้วหากยังมีอาการ ให้อยู่รักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาล หรือ สถานที่ที่รัฐจัดไว้ให้ จนไม่มีอาการเป็นระยะเวลา 24-48 ชั่วโมง และให้กลับไปพักที่บ้านต่ออีก 14 วัน

                                  ทั้งนี้ระหว่างพักฟื้นที่บ้าน ให้ผู้ป่วยปฏิบัติตามตำแนะนำที่ได้รับก่อนกลับบ้านอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม ให้โรงพยาบาลมีระบบติดตามอาการเพื่อ ให้เกิดความมั่นใจและปลอดภัยต่อผู้ป่วย รวมถึงผู้ใกล้ชิดเป็นระยะ ๆ ทุกวันจนครบกำหนด หากมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ผู้ป่วยสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่หรือโรงพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง

                                  แนวทางการรักษาโรคดังกล่าว ทำให้เกิดความกังวลใจแก่พ่อแม่เป็นอย่างมากในเรื่องการปฎิบัติตัวอย่างไรเมื่อพบว่าตนเองติดเชื้อ หรือลูกติดโควิด แล้วต้องทำการแยกกักตัวห่างกัน หากเป็นเช่นนั้นใครกันจะดูแลลูก ลูกจะอยู่ได้ไหมในช่วงเวลากักตัว และรักษาตัวที่มีระยะเวลาค่อนข้างยาวนาน เกือบครึ่งเดือนเป็นอย่างต่ำ
                                  กระทรวงสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ต่างตระหนักในปัญหาดังกล่าว เมื่อปัจจุบันมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด19 กันทั้งครอบครัวมากยิ่งขึ้น จึงได้กำหนดแนวทางใหม่ ให้ยึดหลักในการปฎิบัติดูแลผู้ป่วยในกลุ่มเด็ก และครอบครัวที่ติดเชื้อโควิด -19 โดยมีหลักในการดูแลแบบ “ไม่แยก ดูแลพร้อมกัน” โดยได้รับการเปิดเผยจากเพจไทยคู่ฟ้า ดังนี้
                                  สธ.ยึดหลักไม่แยกดูแล สำหรับเด็ก- ลูกติดโควิด
                                  สธ.ยึดหลักไม่แยกดูแล สำหรับเด็ก- ลูกติดโควิด

                                   

                                  ยึดหลัก “ไม่แยก ดูแลพร้อมกัน” ในกลุ่มเด็ก – ครอบครัวติดเชื้อโควิด-19
                                  .
                                  การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พบว่า มีเด็กปฐมวัยติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 1,557 คน คิดเป็นร้อยละ 1.8
                                  .
                                  รัฐบาลโดยกระทรวงธารณสุข จึงได้กำหนดแนวทางการปฏิบัติ สำหรับดูแลเด็กและครอบครัวที่ติดเชื้อโควิด-19 เน้นหลักไม่แยกดูแลพร้อมกัน ดังนี้
                                  .
                                  1. เด็กและผู้ปกครองเป็นผู้ติดเชื้อให้เข้ารับการรักษาโดยให้จัดอยู่เป็นกลุ่มครอบครัว
                                  2. เด็กเป็นผู้ติดเชื้อ แต่ผู้ปกครองไม่เป็นผู้ติดเชื้อ โดยผู้ปกครองที่อายุไม่เกิน 60 ปี และไม่มีโรคประจำตัว สามารถเข้าดูแลเด็กในสถานพยาบาลได้
                                  3. เด็กไม่เป็นผู้ติดเชื้อ แต่ผู้ปกครองเป็นผู้ติดเชื้อ ให้ญาติเป็นผู้ดูแล แต่หากไม่มีผู้ดูแล ให้ส่งเด็กไปยังสถานสงเคราะห์ หรือบ้านพักในสังกัดกระทรวง พม.(กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)เป็นผู้ดูแลต่อไป แต่ถ้าในชุมชนพบเด็กไม่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจำนวนมาก อาจพิจารณาใช้พื้นที่สถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในชุมชนเป็นที่ดูแลเด็ก โดยพิจารณาจากความพร้อมของสถานที่ บุคลากร และการบริการจัดการตามดุลพินิจคณะกรรมการป้องกันโรคจังหวัด หรือกรุงเทพมหานคร
                                  4. หากเกิดการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยให้คณะกรรมการป้องกันโรคจังหวัดหรือกรุงเทพมหานคร พิจารณาให้เหมาะสมตามบริบทเพื่อดำเนินการดูแลเด็กต่อไป
                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก www.facebook.com/ThaigovSpokesman

                                  เมื่อลูกติดโควิด…การดูแลผู้ป่วยเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19

                                  ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบัน บางครอบครัวมีการเจ็บป่วย ติดเชื้อโควิด -19 พร้อมกันหลายคนในบ้าน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินีจากเดิมที่รับดูแลเฉพาะผู้ป่วยเด็กอายุน้อยกว่า15ปี ได้ปรับรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเด็กติดเชื้อโควิด เป็นการบริบาลแบบครอบครัว ผู้ปกครองหรือคุณพ่อคุณแม่ที่แม้ว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อ COVID-19 สามารถเข้ารับบริการและรับการรักษาดูแลเป็นครอบครัวแบบผู้ป่วยในได้

                                  ลูกติดโควิด สธ.ยึดหลักใหม่ ไม่แยกดูแล ครอบครัวติดเชื้ออยู่ด้วยกันได้
                                  ลูกติดโควิด สธ.ยึดหลักใหม่ ไม่แยกดูแล ครอบครัวติดเชื้ออยู่ด้วยกันได้

                                  ทั้งนี้ ต้องเป็นผู้ที่มีอาการไม่มากและได้รับการประเมินวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนเข้าทำการรักษา สถาบันสุขภาพเด็กฯ ได้จัดทีมแพทย์-พยาบาลดูแล ให้การพยาบาลทั้งผู้ป่วยเด็กและผู้ปกครอง มีกล้องวงจรปิด สามารถสื่อสารผ่านอินเตอร์คอมและโทรศัพท์ติดต่อพยาบาลได้ตลอดเวลา

                                  รวมทั้งการให้คำแนะนำแต่ละครอบครัวถึงการปฏิบัติตัวภายในห้องผู้ป่วย และหอผู้ป่วย แนวทางให้ผู้ปกครองได้บริหารจัดการดูแลลูกด้วยตนเอง ทั้งการวัดไข้ การวัดความดัน ซึ่งจะมีอุปกรณ์ต่างๆ จัดเตรียมไว้ภายในห้องโดยเฉพาะไม่ปะปนกับห้องผู้ป่วยรายอื่น การจัดการแยกขยะ แยกเสื้อผ้า จัดอาหารครบ 3 มื้อสำหรับผู้ปกครอง และอาหารตามวัยสำหรับผู้ป่วยเด็ก ทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ ดูแลผู้ป่วยเด็กและผู้ปกครองจนมั่นใจว่าอาการดีขึ้น สามารถกลับบ้านและหรือพิจารณาย้ายไปยัง hospitel เพื่อสังเกตอาการต่อจนครบ 10-14วัน

                                  นอกจากนั้น ทางโรงพยาบาลได้จัดให้มีการประเมินตอบข้อสงสัย ให้คำแนะนำ การดูแลผู้ป่วยระหว่างรอการเคลื่อนย้ายมารับการรักษาในโรงพยาบาล ที่บ้าน ผ่านสายด่วน 1415 หรือติดต่อผ่านช่องทาง Line Official COVID QSNICH โดย add ผ่าน Line ID : @080hcij สำหรับผู้ป่วยเด็กทุกราย จะได้รับการประเมินโดยกุมารแพทย์ เพื่อแยกระดับความรุนแรง เป็นสีเขียว เหลือง แดง โดยกลุ่มที่เป็นสีเขียวจะมีการโทรติดตามประเมินอาการที่บ้านอย่างต่อเนื่อง

                                  ล้างมือบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอนามัย หยุดเชื้อโควิด-19
                                  ล้างมือบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอนามัย หยุดเชื้อโควิด-19

                                  ในกรณีที่เตียงยังไม่พร้อม หากมีการเปลี่ยนแปลง จะมีการประสานรับผู้ป่วยเข้ามารับการรักษา ในกรณีที่รุนแรงระดับสีเหลืองหรือสีแดงจะประสานให้ได้รับรักษาในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน โดยทางทีมรับปรึกษาได้เตรียมขั้นตอนเพื่ออำนวยความสะดวกในการประเมินผู้ป่วย โดยผู้ป่วยหรือญาติสามารถให้ข้อมูลรายละเอียดผ่านทาง google form ที่เชื่อมโยงกับ Line จะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินผู้ป่วยได้เร็ว ละเอียด และครบถ้วน ประสานจัดการเรื่องของการส่งผู้ป่วยต่อได้อย่างรวดเร็ว การปรับรูปแบบการบริบาลแบบครอบครัว เป็นความภาคภูมิใจ เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถของบุคลากรชาวสถาบันสุขภาพเด็กฯ เพราะทุกลมหายใจที่ได้คืนมา มีค่ามากว่าคำชื่นชม

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก www.bangkokbiznews.com / กรมอนามัย

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  สิทธิบัตรทอง เพิ่มสิทธิ์ดูแลและป้องกันโรคให้ทุกช่วงวัยฟรี!

                                  โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA โรคทางพันธุกรรมที่ไม่ควรมองข้าม

                                  รอบนี้ดุ! โควิดระบาดในเด็ก เชียงใหม่ ติดแล้วเกือบร้อย!

                                  เปิดจองสิทธิ์ประกันสังคมพื้นที่กทม ลงทะเบียนตรวจโควิดฟรี ต้องทำอย่างไร

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    เลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง

                                    20 วิธี เลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง สำคัญที่พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วม!

                                    เลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง –  พ่อแม่คุณคือครูคนแรกและครูที่สำคัญที่สุดของลูก เป็นผู้ที่บทบาทสำคัญในการสร้างลักษณะนิสัยที่ดีของลูก เพื่อให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาที่เป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญที่สุด มีผลการศึกษาวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่า เมื่อพ่อแม่และครอบครัวมีส่วนร่วมในโรงเรียนของบุตรหลาน เด็ก ๆ จะทำหน้าที่ได้ดีขึ้น และมีความรู้สึกที่ดีต่อการไปโรงเรียน ในความเป็นจริงการศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ครอบครัวทำมีความสำคัญต่อความสำเร็จในโรงเรียนของลูกหลานมากกว่าเงินทองที่ครอบครัวสูญเสียไปกับค่าเล่าเรียนพิเศษเพิ่มเติมต่างๆ

                                    20 วิธี เลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง สำคัญที่พ่อแม่ต้องมีส่วนร่วม!

                                    เพราะการศึกษาของเด็กเริ่มต้นจากที่บ้าน  ความสมดุลของการศึกษาที่บ้านและโรงเรียนหล่อหลอมการเรียนรู้ที่แท้จริงของนักเรียน หน้าที่ของพ่อแม่คือการช่วยเหลือในการเดินทางเพื่อการศึกษาและเดินทางไปกับพวกเขาด้วยแรงบันดาลใจที่แท้จริง การให้กำลังใจของผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อนักเรียนที่ประสบความสำเร็จ บทบาทของพวกเขาไม่ได้ จำกัด อยู่ที่บ้าน แต่มีส่วนร่วมในกิจกรรมของโรงเรียนด้วย ต่อไปนี้คือสิ่งที่พ่อแม่สามารถทำได้เพื่อช่วยให้ลูกมีแนวโน้มประสบผลสำเร็จทางการเรียนได้

                                    1. เป็นแบบอย่างที่ดี

                                    เด็ก ๆ จะได้รับแรงบันดาลใจได้อย่างง่ายดายจากสิ่งที่พ่อแม่ทำ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีที่พ่อแม่จะเป็นแบบอย่างในช่วงการเรียนรู้ของพวกเขา พ่อแม่เป็นครูคนแรกของเด็กและช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ด้วยกันที่บ้าน แสดงให้พวกเขาเห็นว่าชีวิตในวัยเรียนจะน่าตื่นเต้นและมีความหมายเพียงใด สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาเรียนรู้เรื่องราว หรือบทเรียนใหม่ ๆ ทั้งในและนอกโรงเรียนด้วยการกระตุ้นเตือนและให้คำแนะนำที่เป็นมิตร

                                    2. อ่านด้วยกัน

                                    การทำสิ่งต่างๆ ร่วมกันกับพ่อแม่ทำให้เด็กรู้สึกถึงการได้รับการสนับสนุนและช่วยสร้างความมั่นใจ การอ่านทบทวนบทเรียนด้วยกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่ง ในการใกล้ชิดกับการเรียนรู้ของเด็กที่โรงเรียน สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยปรับปรุงคำศัพท์ของพวกเขา แต่ยังกระตุ้นให้พวกเขาสนใจอ่านเพิ่มเติม นอกจากนี้ควรพาลูกไปห้องสมุดด้วยกัน และช่วยแนะนำหนังสือดีๆ สักเล่มให้ลูกอ่าน เพื่อช่วยให้พวกเขาได้รับความรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากบทเรียนในห้องเรียน

                                    เลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง
                                    เลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง

                                    3. ดูแลกิจกรรมของเด็ก

                                    การจับตาดูกิจกรรมของเด็กในโรงเรียนและที่บ้านเป็นสิ่งสำคัญ นิสัยโดยทั่วไปของเด็กจะมีความเชื่อมโยงกับวิธีปฏิบัติในการศึกษาของพวกเขา ดังนั้นให้คำแนะนำอย่างทันท่วงทีและแก้ไขพฤติกรรมที่ผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ  และสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาเป็นพลเมืองดี ช่วยให้พวกเขามีระเบียบวินัยกับกิจวัตรประจำวันมากขึ้น และหาเวลาเพียงพอสำหรับการทบทวนบทเรียน

                                    4. อย่าพยายามเข้มงวดมากเกินไป

                                    ไม่ควรยัดเยียดให้เด็กๆ ใช้เวลากับการเรียนมากเกินไปเมื่ออยู่ที่บ้าน พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่โรงเรียนประมาณครึ่งหนึ่งของวันแล้ว ดังนั้นช่วยพวกเขาจัดตารางเวลาทบทวนบทเรียน และทำการบ้านที่บ้านโดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยหรือล้ามากเกินไป การจัดเวลาให้สมดุลระหว่างบทเรียน เวลาเล่น และพักผ่อนเป็นสิ่งสำคัญในการมีชีวิตการเป็นนักเรียนที่มีคุณภาพ

                                    5. จัดบรรยากาศในบ้านให้น่าอยู่

                                    ผู้ปกครองควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเด็ก ๆ ได้รับบรรยากาศที่สงบและน่าอยู่ที่บ้าน เป็นการดีที่จะหลีกเลี่ยงการพูดคุยถึงปัญหาครอบครัวต่อหน้าเด็ก และอย่าสร้างความวุ่นวายในบ้านด้วยการทะเลาะวิวาทโดยไม่จำเป็น
                                    ทั้งพ่อและแม่ควรคำนึงถึงความสำคัญของชีวิตการเรียน และให้การสนับสนุนทางศีลธรรมอย่างเพียงพอแก่พวกเขา

                                    6. วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์

                                    หากคุณสังเกตเห็นว่าลูกของคุณทำงานได้ไม่ดี หรือให้ความสำคัญกับการเรียนน้อยลงให้แก้ไขตั้งแต่เริ่มต้นด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำให้ความสงบภายในใจของเด็กๆ เสียไปกับคำพูดแย่ๆ ที่คุณไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน ทางที่ดีคุณควรมีความอดทนต่อลูก และวิจารณ์ลูกอย่างสร้างสรรค์ หากคุณสังเกตเห็นข้อเสียใด ๆเกิดขึ้น สิ่งที่ควรทำคือ ช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด แทนที่จะตำหนิพวกเขาเพียงอย่างเดียว

                                    7. ช่วยเรื่องการบ้าน

                                    การให้การสนับสนุนที่ดีแก่เด็ก ๆ ในเรื่องการเรียน จะช่วยยกระดับจิตวิญญาณในการเรียนรู้ของเด็กได้ ให้คุณแสดงท่าทีต่อการมีส่วนร่วมเมื่อได้พวกเขาทำการบ้าน เช่น ช่วยแนะนำในสิ่งที่พวกเขาอาจสงสัย  อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่แนะนำอย่างยิ่งคือการทำการบ้านแทนลูก ปล่อยให้พวกเขาได้ทำด้วยตัวเอง พ่อแม่มีหน้าที่เพียงช่วยให้พวกเขาทำงานของตัวเองได้ดีขึ้น เสนอเคล็ดลับและคำแนะนำในการทำงานด้วยประสบการณ์ของคุณเพื่อช่วยให้ลูกคิดต่อยอดไปสู่การจัดการด้วยตัวเองได้

                                    เลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง

                                    8. เตรียมความพร้อมสำหรับการสอบ

                                    เมื่อถึงเวลาสอบของลูก อย่าปล่อยให้พวกเขาอยู่กับบทเรียนเพียงลำพัง ช่วยพวกเขาเตรียมความพร้อมสำหรับการทดสอบด้วยคำแนะนำและการสนับสนุนที่ดี คุณอาจทำการทดสอบขนาดเล็กที่บ้านก่อนการทดสอบจริงเพื่อลดความกังวลและความตึงเครียดในการสอบ คุณอาจให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในส่วนของบทเรียนที่พวกเขาอาจยังทำได้ไม่ได้

                                    9. ให้รางวัลสำหรับผลลัพธ์ที่ดี

                                    การให้แรงจูงใจที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กที่จะเรียนรู้ได้ดีขึ้น ดังนั้นอย่าลังเลที่จะให้รางวัลพวกเขา หากพวกเขาได้ผลลัพธ์ที่ดีในการสอบแข่งขัน สิ่งนี้ยังทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะทำผลงานได้ดีขึ้นในครั้งต่อๆ ไป

                                    อย่างไรก็ตามควรให้อย่างมีข้อจำกัด และไม่ควรให้ของขวัญแก่พวกเขามากเกินไปซึ่งจะทำให้สัญชาตญาณการเรียนรู้ที่มุ่งมั่นของพวกเขาจางหายไปได้

                                    10. พาลูกไปเปิดหูเปิดตา

                                    เป็นความคิดที่ดีที่จะไปทัศนศึกษาในช่วงวันหยุด ศึกษาจุดหมายปลายทางสถานที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กำลังศึกษาอยู่ เพื่อช่วยให้พวกเขามีความเข้าใจในบทเรียนได้ดีขึ้น การเดินทางไปพิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์เป็นครั้งคราวจะช่วยให้พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างสนุกสนานและสร้างแรงบรรดาลใจในการเรียนรู้ได้ดี

                                    11. รักษาความสัมพันธ์อันดีกับคุณครู

                                    อย่าพยายามขาดการประชุมครูผู้ปกครอง และเซสชันการถามตอบและเสนอแนะ เป็นการดีที่จะรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับครูของบุตรหลานของคุณ เรียนรู้จากพวกเขาเกี่ยวกับกิจกรรมของเด็กในโรงเรียน และอย่าลืมแก้ไขข้อบกพร่องของลูก หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น การรักษาความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้ปกครองยังแสดงให้เห็นถึงความสนใจและใส่ใจของคุณ

                                    12. ให้เวลาส่วนตัวกับลูก

                                    เป็นความจริงที่พ่อแม่ที่ทำงานประจำอาจจะยุ่งอยู่กับตารางงานที่ยุ่งเหยิง อย่างไรก็ตามควรเผื่อเวลาไว้สำหรับลูก ๆ ของคุณและอย่าปล่อยให้พวกเขารู้สึกเหงาที่บ้าน

                                    สร้างพื้นที่ที่สะดวกสบายสำหรับพวกเขาโดยรักษาความสัมพันธ์ที่ดีของพ่อแม่ลูก รับประทานอาหารร่วมกันและเล่นกับพวกเขาในเวลาว่างและออกทริปเป็นครั้งคราวเพื่อสร้างความอบอุ่นทางใจให้กับลูก

                                    13. ตรวจสอบการเรียนของพวกเขา

                                    เด็กบางคนจะคิดริเริ่มด้วยตัวเองเพื่อใช้เวลาในการเรียนรู้ทบทวนบนเรียนที่บ้าน อย่างไรก็ตามอาจไม่ใช่สำหรับเด็กทุกคน ผู้ปกครองควรช่วยตรวจตราและกระตุ้นให้พวกเขาทบทวนบทเรียนที่บ้านบ้างหากมีโอกาส แต่อย่าบังคับหรือเรียกร้องกดดันให้พวกเขาทำอะไรมากเกินไป ควรทำการตรวจสอบอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่บ้าน และให้คำแนะนำที่เป็นมิตร ตรวจสอบหาเวลาให้เด็กๆ ได้ทบทวนเพิ่มเติมสำหรับบทเรียนที่ลูกยังอ่อนอยู่

                                    14. จัดลำดับความสำคัญการเรียนรู้ของเด็ก

                                    ชีวิตการเรียนเป็นช่วงสำคัญของเด็กและพ่อแม่ควรให้ความสำคัญกับมันมากพอที่จะตัดสินใจในเรื่องอื่น ๆ จัดลำดับความสำคัญและหลีกเลี่ยงการเดินทางหรือวาระที่ไม่จำเป็นซึ่งอาจส่งผลต่อตารางเรียนของเด็กๆ

                                    อย่าสนับสนุนให้พวกเขาละเรื่องสำคัญในโรงเรียนโดยไม่จำเป็นเพื่อทำเรื่องที่ดูสำคัญน้อยกว่า ทำให้พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของการเข้าชั้นเรียนในทุกวัน

                                    15. แบ่งปันประสบการณ์ส่วนตัวของคุณ

                                    เป็นเรื่องที่ดีที่คุณจะแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตในโรงเรียนของคุณกับบุตรหลานของคุณในเวลาว่าง ซึ่งอาจรวมถึงประสบการณ์เชิงบวกและเชิงลบที่ผ่านมาของคุณ เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจความสำคัญของการเรียนรู้และเห็นถึงข้อผิดพลาดเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต นอกจากนี้คุณอาจสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาด้วยเรื่องราวความสำเร็จของคุณ เพื่อสอนพวกเขาเกี่ยวกับความสำคัญของการทุ่มเทและตั้งใจ

                                    16. คิดค้นวิธีที่สนุกในการเรียนรู้

                                    ทำให้การเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานด้วยการคิดหาวิธีที่น่าสนใจ Gamification ยังเป็นความคิดที่ดีที่จะนำมาใช้เพื่อการเรียนรู้ที่บ้านด้วย นอกจากนี้อาจใช้เวลาในการเดินทางและเวลาเล่นเพื่อช่วยให้พวกเขาจดจำและแก้ไขหัวข้อที่ยากด้วยวิธีการสนุก ๆ ทำแบบทดสอบสนุก ๆ และการโต้วาทีอย่างเป็นกันเองที่บ้านที่อาจครอบคลุมบทเรียนของพวกเขา หรือรวมถึงการเล่นแฟลชการ์ดเพื่อแก้ไขและทบทวนคำศัพท์ที่ยังไม่แข็งแรงให้เด็กๆ ได้ทำได้อย่างสนุกสนานและไม่น่าเบื่อ

                                    เลี้ยงลูกให้เรียนเก่ง

                                    17. พูดคุยกับลูกของคุณ

                                    ใช้เวลาให้เพียงพอทุกวันเพื่อคุยกับลูกแม้ว่าคุณจะมีตารางงานที่แน่นแค่ไหนก็ตาม เรียนรู้จากพวกเขาเกี่ยวกับความกังวลหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งในและนอกโรงเรียน

                                    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับความคิดหรือสิ่งที่น่าวิตก และให้การสนับสนุนทางศีลธรรมแก่พวกเขาสำหรับปัญหาที่กำลังเผชิญ

                                    18. ส่งเสริมการเรียนรู้อย่างกระตือรือร้น

                                    การเรียนรู้แบบแอคทีฟมีประโยชน์มากมายเหนือการเรียนรู้อยู่ประจำ เป็นบทบาทสำคัญของผู้ปกครองในการส่งเสริมให้พวกเขาเรียนรู้ที่บ้านซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่พวกเขาดำเนินการในห้องเรียน

                                    นอกจากนี้คุณยังสามารถริเริ่มเพื่อช่วยให้พวกเขาสร้างกลุ่มเพื่อนที่ดี กับเด็ก ๆ ในละแวกใกล้เคียงและจัดกิจกรรมที่น่าสนใจให้เด็กๆ ได้ร่วมกันทำ

                                    สิ่งนี้ไม่เพียง แต่ทำให้พวกเขามีชีวิตชีวา แต่ยังเป็นการสร้างจิตวิญญาณของการเรียนรู้ในแบบเพื่อนช่วยเพื่อนด้วยประสบการณ์ที่สนุกสนานได้

                                    19. ให้ลูกได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า

                                    นอกจากตารางการเรียนและเวลาเล่นที่ยุ่งยาก แล้วให้แน่ใจว่าพวกเขาได้พักผ่อนอย่างเหมาะสมในแต่ละวัน ช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายด้วยการนอนหลับฝันดี และรับประทานอาหารที่เหมาะสม

                                    ใช้ความพยายามในการสอบถามความสนใจของบุตรหลานของคุณ ว่าอยากทำอะไรเพื่อเป็นการพักผ่อนในช่วงวันหยุดเพื่อให้พวกเขาผ่อนคลายความเครียดจากการเรียนได้

                                    20. เป็นเพื่อนที่ดี

                                    สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุดการเป็นเพื่อนที่ดีของลูกเป็นสิ่งสำคัญ ให้พื้นที่พวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งที่อยู่ในใจและแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขา ให้ความมั่นใจกับพวกเขาว่าคุณจะให้ความช่วยเหลือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มระดับความมั่นใจและช่วยให้พวกเขาเก่งและทำงานได้ดีขึ้นในการเรียน และกิจกรรมอื่น ๆ ของโรงเรียน นอกเหนือจากการเรียนในโรงเรียนแล้วบทบาทที่กระตือรือร้นของผู้ปกครองในช่วงชีวิตการศึกษายังช่วยให้ลูกของคุณได้เติบโตขึ้นพร้อมกับทักษะทางสังคมที่ดีขึ้นและพฤติกรรมที่ดีขึ้นอีกดวย

                                    การมีส่วนร่วมของพ่อแม่ในช่วงวัยเรียนของลูก คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในหน้าที่การเป็นนักเรียนของลูก การปลูกฝัง ส่งเสริม และให้ความใส่ใจที่เหมาะสมแก่ลูก จะช่วยให้เด็กๆ มีแนวโน้มที่จะสามารถทำผลงานในการเรียนได้ดี นอกจากสิ่งที่พ่อแม่ทำจะช่วยปลูกฝังทักษะด้าน ความฉลาดทางสติปัญญา (IQ)  แล้ว ทักษะความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power BQ ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับเด็กๆ อีกหลายด้าน จากการมีส่วนร่วมกับการเรียนรู้ และอบรมส่งสอนลูกๆ ได้อย่างเหมาะสมของพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็น ความฉลาดทางคุณธรรม (MQ) , ความฉลาดในการเล่น (PQ)  และ ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) เป็นต้นค่ะ

                                     

                                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : edsys.in

                                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                    คณิตศาสตร์ สอนลูกน้อยอย่างไรให้เรียนเก่ง?

                                    วิธีสอนลูกเรียนเก่ง เริ่มต้นได้ที่บ้าน

                                    อยากให้ลูกเรียนรู้ได้ดีตั้งแต่เด็ก สมองลูกต้องดูแลอย่างไร?

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่