อาหารหลังคลอด

เปิด25เมนู อาหารหลังคลอด แบบไหนที่แม่ปลื้ม!!

อาหารหลังคลอด ควรกินอะไรบ้าง แบบไหนกินได้ แบบไหนควรเลี่ยง มาลองดูเมนูอาหารที่ดีต่อสุขภาพคุณแม่หลังคลอดพร้อมวิธีทำรับรองอาหารเมนูเหล่านี้คุณแม่ปลื้มแน่นอน

เปิด 25 เมนู อาหารหลังคลอด แบบไหนที่แม่ปลื้ม!!(พร้อมวิธีทำ)

โรคหลังคลอด เป็นอาการของผู้หญิงหลังคลอดลูกบางคนที่มักมีอาการไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว ปวดเนื้อตัว ขี้หนาว โดยเฉพาะเวลาฝนตกอากาศชื้น ๆ จะหนาวสั่น อ่อนเปลี้ย เพลียแรง ไม่สดชื่น ปวดหลัง และที่สำคัญไปตรวจร่างกายก็ไม่พบโรคใด ๆ อาการเหล่านี้เราเรียกกันว่า อาการหลังคลอดเนื่องจากเวลาคลอดลูก ร่างกายของคุณแม่จะสูญเสียทั้งเลือด น้ำ พลังงานในการคลอด ทำให้ร่างกายต้องปรับสมดุล และต้องปรับฮอร์โมนที่มีอยู่มากในระหว่างตั้งครรภ์ให้กลับมาเป็นปกติอีกด้วย

คุณแม่หลังคลอด กับอาหารที่ช่วยเพิ่มน้ำนม และฟื้นฟูร่างกาย
คุณแม่หลังคลอด กับอาหารที่ช่วยเพิ่มน้ำนม และฟื้นฟูร่างกาย

จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณแม่ต้องกินอาหารที่ให้พลังงานและมีประโยชน์ต่อร่างกายเพื่อเป็นการฟื้นฟูสภาพร่างกาย และเตรียมความพร้อมสำหรับการเลี้ยงลูกน้อยด้วยการให้น้ำนม โดยทั่วไปหลักการเลือกรับประทานอาหารหลังคลอดนั้น ก็เป็นหลักทั่ว ๆ ไป ไม่แตกต่างจากตอนท้องจะมีความแตกต่างบ้างเพียงเล็กน้อย ดังนี้

  • รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่
  • ใช้วัตถุดิบที่สด ผ่านกระบวนการการปรุงที่สะอาดและสุกทั่วถึง
  • รับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ อาจเพิ่มอาหารว่างอีก 1 มื้อก็ได้
  • เลี่ยงของมันอๆ ทอดอๆ หรือการดื่มนมมากเกินไป เพราะอาจทำให้ท่อน้ำนมอุดตันได้ในกรณีแม่ให้นมบุตร รวมถึงทำให้ลูกมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้นมวัวอีกด้วย
  • เพิ่มส่วนประกอบของอาหารให้มีเครื่องเทศ เช่น พริกไทย ขิง ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยการย่อย
  • มื้อเช้าควรเริ่มต้นด้วยอาหารที่ย่อยง่าย รสอ่อน ๆ มีส่วนผสมของน้ำค่อนข้างมาก ซึ่งช่วยให้ระบบการย่อยและดูดซึมทำงานได้ดี ลดอาการอึดอัดแน่นท้อง กระตุ้นให้ร่างกายพร้อมที่จะทำงาน หลีกเลี่ยงอาหารทอด
  • อย่ากังวลเรื่องน้ำหนักมากจนเกินไป เพราะคุณแม่ต้องใช้พลังงานมหาศาลในการดูแลลูกน้อย ดังนั้นไม่ควรอดอาหารในช่วงนี้ แต่ควรเพิ่มเมนูอาหารที่มีสรรพคุณเรียกน้ำนม เช่น แกงเลียง แกงหัวปลี น้ำขิงอุ่น ปลาผัดขึ้นฉ่าย ไก่ผัดขิง
  • ดื่มน้ำอุ่นมากๆ จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดกระตุ้นการหลั่งน้ำนมได้มากขึ้น และขณะที่คุณแม่ให้นมร่างกายจะสูญเสียน้ำถึงวันละ 700 มิลลิกรัม จึงควรดื่มน้ำเข้าร่างกายเพื่อไปชดเชยให้เพียงพอ

    สัมตำ อาหารรสจัด ไม่ผ่านความร้อน ควรหลีกเลี่ยง
    สัมตำ อาหารรสจัด ไม่ผ่านความร้อน ควรหลีกเลี่ยง

อาหารหลังคลอดแบบไหนที่ไม่ควรปลื้ม (ควรหลีกเลี่ยง)

  • อาหารที่มีรสจัดและกลิ่นฉุน เช่น ยำรสจัด หัวหอม เพราะแม่ที่ให้นม จะทำให้ลูกได้รับสารเหล่านี้ไปด้วยผ่านน้ำนม อาจทำให้ลูกไม่สบายท้องได้ ส่วนแม่จะแสบกระเพาะอาหารได้ง่าย
  • อาหารหมักดอง กาแฟ ชา น้ำอัดลม แอลกอฮออล์ นอกจากจะไม่ดีต่อสุขภาพแล้ว คุณแม่ที่ให้นมลูกเองจะส่งผ่านสิ่งไม่ดีไปสู่ลูกผ่านน้ำนมได้อีกด้วย
  • หากแม่ดื่ม เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่ว่าจะเป็นกาแฟ ชา น้ำอัดลม ควรเว้นช่วงระยะเวลาให้นมลูกหลังดื่มไปสองชั่วโมง เพราะระดับคาเฟอีนจะได้ลดลงเหลือปริมาณน้อย ไม่ส่งผ่านไปทางน้ำนมสู่ลูก
  • อาหารที่ผ่านการปรุงด้วยผงชูรส ซุปก้อน ผงปรุงรส สี และสารปรุงแต่งต่างๆ เช่น กุนเชียง ลูกชิ้น ไส้กรอก (ถ้าผลิตภัณฑ์นั้นไม่มีแหล่งผลิตที่ชัดเจน ไม่ควรรับประทานเลย)
  • ถ้าจะรับประทานยาควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะยาบางอย่างอาจจะส่งผ่านไปทางน้ำนมแม่ได้ ยาที่สารมารถรับประทานได้ความปลอดภัยสูงไม่ผ่านทางน้ำนม เช่น  ลดไข้บรรเทาปวดพาราเซตามอล และยาสามัญประจำบ้าน

ตัวอย่างเมนูอาหารหลังคลอด (พร้อมวิธีทำ)

เมนูนี้ที่ลูกปลื้ม : เมนูเพิ่มน้ำนม 

  • แกงเลียงผักรวม
  • กุยช่ายผัดตับ
  • ผัดหัวปลี
  • ต้มข่าอกไก่ใส่หัวปลี
  • ไข่ตุ๋นน้ำขิง
  • ไก่ผัดขิง
  • แกงส้มมะรุม
  • แกงจืดตำลึง
  • ไข่เจียวใส่ใบกะเพรา
  • ผัดกะเพราเผ็ดน้อย

จากตัวอย่างเมนูอาหารข้างต้นจะเห็นได้ว่าเป็นเมนูที่นำผักเรียกน้ำนมมาปรุงเป็นอาหารแสนอร่อย ให้คุณแม่ได้รับประทานจะช่วยให้ร่างกายสร้างน้ำนมได้มากนั่นเอง มาดูกันว่าผักเรียกน้ำนม นั้นมีอะไรกันบ้าง

บทความน่าอ่าน : 20 ผักผลไม้เพิ่มน้ำนม ช่วยเพิ่มน้ำนมให้คุณแม่

ถึงเวลาเข้าครัว

อาหารหลังคลอด ผัดผักกุยช่ายตับหมู
อาหารหลังคลอด ผัดผักกุยช่ายตับหมู

ผัดดอกกุยช่ายใส่ตับหมู

ส่วนผสม
  • ดอกกุยช่าย 100 กรัม (ประมาณ 3 – 4 ถ้วย)
  • ตับหมู (จากหมูเลี้ยงตามธรรมชาติ) 100 กรัม
  • ขิงสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
  • พริกไทยป่น ¼ ช้อนชา
  • ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
  • น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทรายเล็กน้อย (หากไม่ชอบหวานไม่ใส่ก็ได้)
  • น้ำเปล่าสำหรับลวกตับหมู
  • น้ำเย็นสำหรับแช่ตับหมูที่ลวกแล้ว
  • เกลือเล็กน้อย
  • ข้าวต้มข้าวกล้องห้าสี
วิธีทำ
1. ล้างดอกกุยช่ายให้สะอาด หั่นเป็นท่อน พักไว้
2. ล้างตับหมูให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นใหญ่ พักไว้ ใส่น้ำลงในหม้อ เติมเกลือ ยกขึ้นตั้งไฟให้เดือดใส่ตับหมูลงไปลวกประมาณ 3 นาทีแล้วนำไปแช่ในน้ำเย็น พักไว้
3. ตั้งกระทะใส่น้ำมันงาลงไป ตามด้วยขิงและกระเทียมสับ ผัดจนมีสีเหลืองและหอมนำตับลวกขึ้นจากน้ำเย็นใส่ลงไปผัด ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย เร่งไฟขึ้นแล้วใส่ดอกกุยช่าย ผัดเร็วๆ จนสุก ปิดไฟ ตักใส่จานโรยพริกไทย รับประทานกับข้าวสวยหรือข้าวต้มข้าวกล้องห้าสี
Tips
– การรับประทานข้าวต้มข้าวกล้องห้าสีจากข้าวพันธุ์ต่างๆ จะช่วยให้ได้รับสารอาหารที่พึงได้อย่างเต็มที่ทั้งวิตามินและแร่ธาตุเพราะในข้าวแต่ละชนิดมีสารเหล่านี้ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะสารกาบาในเมล็ดข้าวและเส้นใยอาหาร ซึ่งมีความจำเป็นต่อการสร้างเสริมสุขภาพของแม่หลังคลอดและทารก
– การแช่ตับหลังลวกแล้วในน้ำเย็นทำให้ขนาดของชิ้นตับหดตัวและคงสภาพได้ดี เวลานำไปผัดตับจะคงความนุ่มและสุกพอดีไม่แข็งกระด้าง
พลังงานต่อหนึ่งหน่วยบริโภค 645.09 กิโลแคลอรี
โปรตีน 28.22 กรัม ไขมัน 28.73 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 69.51 กรัม ไฟเบอร์ 3.96 กรัม
เรื่องและสูตรอาหาร : อาจารย์วันทนี ธัญญา เจตนธรรมจักร
ภาพ : แอนโทนี่ อดัมสัน (Anthony Adamson)

กะเพราเห็ดฟาง

อาหารหลังคลอด กะเพราเห็ดฟาง
อาหารหลังคลอด กะเพราเห็ดฟาง

ส่วนผสม

  • เห็ดฟาง ดอกเล็ก 3 ขีด
  • ใบกะเพรา 1 ถ้วย (หรือมากกว่าถ้าชอบ)
  • พริกขี้หนู 7 เม็ด (แล้วแต่ชอบเผ็ดมากเผ็ดน้อย)
  • รากผักชี 2 ราก
  • กระเทียม 5-7 กลีบ
  • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
  • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

1.นำเห็ดมาปอกให้สะอาด ลวกน้ำร้อนต้มเดือด เหยาะเกลือเล็กน้อย จะช่วยให้เห็ดสะอาดและน่ารับประทานมากขึ้น ตักใส่ตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ ถ้าเห็ดยังไม่แห้ง เวลาผัดระวังน้ำมันจะกระเด็นได้

2.ตำกระเทียม รากผักชี พริกขี้หนูรวมกันพอหยาบ ตักขึ้นพักไว้

3.ตั้งกระทะ ใส่น้ำมัน พอร้อนใส่เครื่องที่โขลกลงไปผัดจนมีกลิ่นหอม ใส่เห็ดฟาง เติมน้ำสะอาดเล็กน้อย ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลก่อนตักขึ้นใส่ใบกระเพรา ต้องใช้ไฟแรงและผัดเร็วๆ จะทำให้กลิ่นพริกและใบกะเพราส่งกลิ่นหอม ต้องรับประทานขณะที่ยังร้อนอยู่พร้อมข้าวร้อนๆ จะทำให้อร่อยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นข้าวกล้องจะได้วิตามินครบครัน

4.ใช้เวลาผัดและเตรียมประมาณ 15 นาที จะได้อาหารมังสวิรัติรสเด็ดที่มีประโยชน์กับร่างกายเต็มเปี่ยม

เคล็ดลับ อาหารที่มีเครื่องเทศและสมุนไพร เช่น พริก กระเทียม รากผักชี ส่วนใหญ่จะมีน้ำมันหอมระเหย ต้องผัดในน้ำมันร้อนให้หอมก่อนจึงจะมีกลิ่นและรสที่ชวนรับประทาน แต่อย่าใช้ไฟแรงจนเกินไป เพราะถ้าไหม้ กลิ่นไหม้จะส่งกลิ่นอบอวลรวมอยู่ในจานอาหารด้วย

เมนูอาหารที่ดี ช่วยฟื้นฟูร่างกายแม่หลังคลอด
เมนูอาหารที่ดี ช่วยฟื้นฟูร่างกายแม่หลังคลอด

เมนูนี้ที่แม่ปลื้ม : เมนูช่วยฟื้นฟูร่างกาย

  • ปลานึ่งซีอิ๊วใส่ขิง
  • แกงหัวปลี
  • ข้าวต้มปลา
  • ไก่ผัดขิง หมูผัดขิง
  • ไก่ต้มน้ำปลา
  • แกงเลียงกุ้งสด
  • ซุปไก่ตุ๋น
  • ผัดผักโขม
  • ผัดเห็ดรวม
  • แกงเห็ด
  • สลัดผัก ผลไม้
  • ปลาผัดพริกไทยดำ
  • ผัดถั่ว ลันเตาใส่กุ้ง
  • ข้าวต้ม ข้าวกล้องเนื้อปลา
  • แกงจืดเต้าหู้ขาวใส่สาหร่าย

สำหรับคุณแม่หลังคลอด มักจะเสียเลือด และต้องการสารอาหารที่เป็นประโยชน์เพื่อนำมาฟื้นฟูร่างกาย ความจำเป็นในการฟื้นฟูร่างกายสำหรับแม่นั้น นับว่ามีความสำคัญมาก เพราะคุณแม่ต้องมีพลังในการเลี้ยงดูลูกเล็ก ๆ ร่างกายต้องการการฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติ และยังต้องการสารอาหารมาช่วยในการสร้างน้ำนมอีกด้วย ดังนั้นสารอาหารที่ควรรับประทานหลังคลอดนั้น ควรเน้นอาหารที่มีโปรตีน ไขมันที่ดีที่จำเป็นต่อร่างกาย

ถึงเวลาเข้าครัว

อาหารหลังคลอด แกงเลียงผักรวมกุ้งสด
อาหารหลังคลอด แกงเลียงผักรวมกุ้งสด

แกงเลียงผักรวมกุ้งสด

ส่วนผสม

  • ฟักทอง หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 1 ถ้วย
  • บวบหอมอ่อน หั่นเป้นชิ้นพอดีคำ 1 ถ้วย
  • ข้าวโพดอ่อน 1/2 ถ้วย
  • เห็ดชิเมจิ 1/4 ถ้วย
  • เห็ดออนเร็นจิ 1/4 ถ้วย
  • เห็ดเข็มทอง 1/4 ถ้วย
  • ใบแมงลัก 2 ถ้วย
  • กุ้งสด 4-5 ตัว
  • น้ำเปล่าสำหรับลวกกุ้ง
  • พริกแกงเลียง

วิธีทำ

  1. นำผักทุกอย่างมาล้างน้ำให้สะอาดและปอกเปลือกเอาไว้ เตรียมหั่นผักทุกอย่างไว้ให้เรียบร้อย
  2. เตรียมเครื่องแกงเลียง ให้นำเครื่องแกงเลียงที่เตรียมไว้มาโขลกรวมกัน โดยเริ่มจากโขลกกุ้งแห้งก่อน ตามด้วยพริกไทย กระชาย กะปิ หอมแดง กุ้งสด และพริกสด ตำให้พอละเอียด
  3. กุ้งสดนำไปล้างน้ำ ปอกเปลือก แล้วใช้กรรไกรตัดหัวเอาขี้กุ้งออก ตัดขากุ้งออกด้วย และผ่าหลังแบ่งเป็น 2 ชีกดึงเอาเส้นดำทิ้งไป
  4. จากนั้นเราก็จะนำกุ้งมาต้มในน้ำเดือดแค่พอกุ้งสุก (เพราะเราต้องการน้ำที่ได้จากการต้มกุ้งนี้ไปทำน้ำซุป) โดยกรองเอาน้ำไว้ด้วย
  5. พอได้กุ้งที่สุกแล้ว เราก็จะนำมาแกะเอาเปลือกกุ้งออก แต่ยังไม่ทิ้งเปลือกกุ้ง ถ้าสังเกตุให้ดีที่เปลือกกุ้งจะมีหัว และมันกุ้งติดอยู่ ให้นำเอาทั้งหมดนั้นมาปั่น แล้วละลายในน้ำต้มกุ้ง และใช้กระชอนกรองเอาส่วนที่ปั่นไม่ละเอียดทิ้งไป เราก็จะได้น้ำซุปกุ้งสดสุดแสนหวานมาทำแกงเลียง โดยไม่ต้องใช้ผงปรุงรสใดๆ มาช่วยเลย
  6. เมื่อได้น้ำซุปกุ้งสดมาแล้วก็นำใส่หม้อต้มให้เดือด พอน้ำแกงเดือดใส่เครื่องแกงเลียงลงไป
  7. พอน้ำแกงเดือดอีกครั้ง ให้เตรียมผักลงใส่ตามลำดับความสุกช้าหรือเร็ว คือให้ใส่ผักที่เนื้อแข็งสุกยากลงไปก่อนแล้วค่อยตามด้วยผักที่สุกง่าย
  8. ปรุงรสด้วยน้ำปลาเล็กน้อย เติมไปชิมไป ให้ได้รสชาติที่เราต้องการ
  9. ใส่ใบแมงลัก ที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงเลียงไทย ใช้ทัพพีกดให้ใบแมงลักจมน้ำแกงให้หมด ปิดเตา พักไว้ 1 นาที คนให้ทั่วและตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟร้อน ๆ

ไม่ว่าจะเมนูอาหารแบบใด คุณแม่อย่าเพิ่งเป็นกังวลมากเกินไป สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับอาหารหลังคลอดของคุณแม่ นั่นคือ การรับประทานอาหารให้ครบหมู่ มีสารอาหารเพียงพอต่อร่างกาย เลือกรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย เพียงเท่านี้ก็เป็นอาหารหลังคลอดที่ดีทั้งต่อตัวคุณแม่เอง และลูกที่พึ่งคลอดด้วยเช่นกัน แต่จะให้ดีอีกสักนิดถ้าคุณแม่สามารถได้รับเมนูอาหารหลังคลอดแบบที่คุณแม่ญี่ปุ่นได้รับจากโรงพยาบาลหลัง คลอดแบบในข่าวนี้บ้างคงดีต่อใจไม่น้อย เพราะอย่าลืมว่าอาหารที่ดีต้องได้รับรสอร่อยทั้งรูป รส กลิ่น สัมผัสที่ดี อาหารจานนั้นจะยิ่งได้รสชาติทวีคูณ เห็นแล้วน่าอิจฉาคุณแม่ญี่ปุ่นกันเลยทีเดียว

เมนูอาหารหลังคลอดของแม่ญี่ปุ่น
เมนูอาหารหลังคลอดของแม่ญี่ปุ่น

หญิงสาวชาวต่างชาติที่อาศัยในญี่ปุ่น ผู้ใช้ชื่อในโลกออนไลน์ว่า jenkinsinjapan ได้โพสต์ภาพอาหารที่ทางโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองมิโตะ จังหวัดอิบาระกิจัดให้เธอในระหว่างเวลา 3 วันที่พักผ่อนหลังได้คลอดบุตรที่โรงพยาบาล

อาหารของคุณแม่มือใหม่สร้างความสนใจให้กับผู้คนในโลกออนไลน์จำนวนมาก เมนูอาหารมีทั้งอาหารแบบญี่ปุ่นและแบบตะวันตก รวมทั้งของหวาน, ของว่างมื้อบ่าย ทุกอย่างน่าทานเหมือนกับเมนูในร้านอาหารชื่อดัง

ที่มา : ข่าวจาก mgronline.com 
ข้อมูลอ้างอิงจาก today.line.me/goodlifeupdate.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ผักผลไม้ต้องห้าม สำหรับแม่ท้อง และให้นมลูก

4 สูตร “อาหารหลังคลอด” คัดเฉพาะเมนูที่ปรุงง่าย ไม่ยุ่งยาก

13 อาหารบำรุงน้ำนม เพิ่มน้ำนม ปลอดภัยจากธรรมชาติ

คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล

    แจกฟรี!! 50 แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล โหลดเลย!!

    เด็กอยู่บ้านนาน ๆ วัน ๆ ก็มีแต่ดูโทรทัศน์ จับมือถือ มาใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ด้วย  แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล มีให้แม่ ๆ ได้โหลดกันฟรี ๆ ให้ลูกฝึกภาษาได้ง่าย ๆ แม้อยู่แต่บ้าน

    แจกฟรี!! 50 แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล โหลดเลย!!

    ในช่วงที่โรงเรียนยังเปิดเรียนไม่ได้เพราะโรคระบาด เด็ก ๆ อยู่แต่บ้านทั้งวัน แทบไม่ได้เรียนหนังสือกันเลย ทำให้แม่ ๆ กังวลถึงพัฒนาการของลูก ว่าอาจจะไม่ทันเพื่อน ๆ ได้ เพราะในวัยอนุบาล เราต้องฝึกให้ลูกได้ขีดเขียน เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ให้เตรียมพร้อมก่อนขึ้นเรียนในชั้นประถม ในตอนนี้ที่ยังไปเรียนที่โรงเรียนอนุบาลไม่ได้ การเรียนออนไลน์สำหรับบางบ้านก็อาจจะไม่สะดวก ทีมแม่ ABK จึงขอรวบรวม แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล มาให้แม่ ๆ ได้โหลดกันฟรี ๆ ไปเลย!! ให้ลูกได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก แถมยังได้ฝึกภาษาอังกฤษ เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้าเรียนกันค่ะ

    50 แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล

    แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ
    แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ
    1. “Reading” pictures #1 วงกลมคำตามรูปที่เห็น ในแบบฝึกหัดนี้ เด็ก ๆ จะต้องวงกลมคำตามรูปที่เห็น เด็กๆ สามารถเดาว่าคำไหนควรจะเป็นคำตามรูปภาพกันน้า
    2. “Reading” pictures #2 ฝึกให้เด็กได้ฝึกอ่านและเดาคำศัพท์ง่าย ๆ จากภาพที่ให้ไว้ แล้วฝึกอ่านตามคำศัพท์ด้านล่างของภาพ
    3. A practice sentence ฝึกเขียนประโยคตามคำที่กำหนด พร้อมระบายสีรูปภาพให้สวยงาม
    4. Above, on, below มาฝึกการใช้ on, above, and below โดยการวาดรูปตามคำสั่ง
    5. Above, on, below, part 2 ตอบคำถามโดยการฝึกการใช้ on, above, and below
    6. Adding 1 more ฝึกตัวเลข 1-10 และฝึกการบวกเลขแบบง่าย ๆ ด้วยการเพิ่มจำนวน 1
    7. Alphabet ฝึกเขียน a-z ตามรอยประ
    8. And 1 more makes… เพิ่มจำนวนทีละ 1 ฝึกการบวกเลขด้วยการวาดรูป
    9. Big triangles, small circles ระบายสีตามคำสั่ง โดยฝึกให้เด็กรู้จัก สามเหลี่ยม และวงกลม
    10. Big, bigger, biggest ใหญ่..ใหญ่กว่า…ใหญ่ที่สุด ฝึกการเปรียบเทียบด้วยรูปภาพ
    แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล
    แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล
    1. Clowning around connect the dots เรียนรู้การเรียงลำดับตัวเลข 1-9 ด้วยเกมลากเส้นต่อจุด พร้อมระบายสีให้สวยงาม
    2. Color the pattern เรียนรู้เรื่องสีและรูปทรงต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษผ่านการระบายสี
    3. Complete the picture: snakes! ตัวอะไรกำลังปีนต้นไม้อยู่! ลากเส้นตามรอยประ แล้วมาทายกันว่าเป็นตัวอะไร
    4. Complete the picture: snowmen!  มีอะไรอยู่หลัง Snowman? ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กผ่านการลากเส้นโค้ง ด้วยการวาดรูป Snowman
    5. Connect the animal to its food มาเรียนวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก เป็นภาษาอังกฤษ โดยการลากเส้นเชื่อมโยงระหว่างสัตว์ในภาพและอาหารของมัน
    6. Find the animal to its home ลากเส้นเชื่อมโยงระหว่างสัตว์ในภาพและบ้านของมัน
    7. Connect the rhymes: vowel sound a เรียนรู้และอ่านออกเสียงสระ a ด้วยภาพ
    8. Vowel sound e : connect the rhymes:  เรียนรู้และอ่านออกเสียงสระ e ด้วยภาพ
    9. Connect the rhymes: vowel sound i เรียนรู้และอ่านออกเสียงสระ i ด้วยภาพ
    10. Connect the rhymes: vowel sound o เรียนรู้และอ่านออกเสียงสระ o ด้วยภาพ
    ใบงานภาษาอังกฤษ
    ใบงานภาษาอังกฤษ
    1. Vowel sound u : connect the rhymes:  เรียนรู้และอ่านออกเสียงสระ u ด้วยภาพ
    2. Connect-the-dot flowers เรียนรู้การเรียงลำดับตัวเลข 1-12 ด้วยการวาดรูปดอกไม้
    3. Counting circles ฝึกการนับเลข นับวงกลม พร้อมทั้งเขียนตัวเลขลงในช่องว่าง
    4. Creating letter-shape patterns ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กด้วยการลากเส้นโค้งและเส้นฟันปลา
    5. Creating letter-shape patterns #2 ฝึกการลากเส้นในรูปแบบต่าง ๆ
    6. Decorating umbrellas รู้จักจำนวนของตัวเลขโดยการวาดรูป
    7. Dinosaur connect the dots มาเรียนรู้ตัวเลขด้วยการวาดรูปไดโนเสาร์กันเถอะ
    8. Draw it yourself: dog, mouse, cat, and hen หาคำที่ออกเสียงเหมือนกันตามภาพที่กำหนด พร้อมวาดภาพนั้น ๆ ปลุกความเป็นศิลปินตัวน้อยในตัวคุณ!!
    9. Draw it yourself: fox, three, car, and spoon หาคำที่ออกเสียงเหมือนกันตามภาพที่กำหนด พร้อมวาดภาพนั้น ๆ ปลุกความเป็นศิลปินตัวน้อยในตัวคุณ!!
    10. Bigger shapes เรียนรู้เรื่องการเปรียบเทียบรูปทรงต่าง ๆ และสีเป็นภาษาอังกฤษ

    แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล doc

    แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล
    แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล
    1. Drawing curvy lines ฝึกวาดเส้นโค้งตามจินตนาการ
    2. Drawing straight lines ฝึกเขียนเส้นตรงตามจินตนาการ เด็ก ๆ สามารถวาดเส้นตรงให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ได้ พร้อมระบายสีให้สวยงาม
    3. Find the pictures หารูปภาพที่ซ่อนอยู่โดยการระบายสีในช่องที่มีคำที่ออกเสียงเหมือนกันกับโจทย์ที่กำหนดให้
    4. Find the pictures #2 หารูปภาพที่ซ่อนอยู่โดยการระบายสีในช่องที่มีคำที่ออกเสียงเหมือนกันกับโจทย์ที่กำหนดให้
    5. Finding letters: bin and cup ฝึกการสะกดคำศัพท์ตามภาพที่กำหนด
    6. Finding letters: dog and hat ฝึกการสะกดคำศัพท์ตามภาพที่กำหนด
    7. Finish the picture วาดรูปตามคำสั่ง แบบฝึกหัดนี้จะฝึกให้เด็กเรียนรู้ตำแหน่ง และ prepositions พร้อมทั้งให้เด็กฝึกนับจำนวนพร้อมเรียนรู้รูปทรงต่าง ๆ
    8. Finish the picture, part 2 วาดรูปตามคำสั่ง แบบฝึกหัดนี้จะฝึกให้เด็กเรียนรู้ตำแหน่ง และ prepositions
    9. Geometric jack-o’-lantern ตกแต่งฟักทองด้วย สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม และวงกลม
    10. Gimme more! ฝึกการเพิ่มจำนวนด้วยการวาดรูป
    แบบฝึกหัดเด็กอนุบาล
    แบบฝึกหัดเด็กอนุบาล
    1. Goldilocks and the three bears เรื่องราวของสาวน้อยกับครอบครัวหมี ให้เด็กฝึกฟังนิทานภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งระบายสี
    2. Haunted house ฝึกนับจำนวนรูปภาพต่าง ๆ และเปรียบเทียบจำนวนผ่านรูปวาด
    3. How many legs does this animal have? มานับจำนวนขาของสัตว์ชนิดต่าง ๆ กันเถอะ
    4. It’s beside! เรียนรู้คำว่า Beside พร้อมทั้งความหมายด้วยการวาดรูปลูกบอล
    5. It’s between! เรียนรู้คำว่า Between พร้อมทั้งความหมายด้วยการวาดรูปลูกบอล
    6. It’s story time! หาคำศัพท์ที่หายไปโดยการเดาผ่านรูปวาดและนิทาน
    7. Ladybug’s spots เรียนรู้จำนวนและตัวเลขโดยการนับจำนวนจุดของแมลงเต่าทอง
    8. Learning #1 ฝึกเขียนเลข 1
    9. Learning #1-5 ฝึกเขียนเลข 1-5 โดยการเขียนตามเส้นประ และเขียนตามแบบ
    10. Part 2, Learning #1-5,  ฝึกการสะกดคำศัพท์ 1-5 และการนับจำนวน 1-5

    แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษอนุบาล นี้เน้นให้เด็กได้ฝึกภาษาด้วยความสนุก พร้อมทั้งเป็นการใช้เวลาร่วมกันในครอบครัว เพื่อสอนลูกผ่านแบบฝึกหัดต่าง ๆ ค่ะ

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    โหลดฟรี! 12 นิทานคุณธรรมสำหรับเด็ก บ่มเพาะ “ความดี” ในใจลูก

    หมอเผย..แท้จริงแล้ว! ลูกควรเข้าโรงเรียนกี่ขวบ กันแน่?

    10 เคล็ดลับ ฝึกลูกให้มีสมาธิ ลูกไม่วอกแวกง่าย ทำอะไรก็ฉลุย!

    เช็กให้ดี กับปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ โฮมสคูล !!

     

    ขอบคุณข้อมูลจาก : www.greatschools.org

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง

      ภรรยาสาว เป้ วงมายด์ รีวิว ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง 6 เดือน ท้องแฝด!

      ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง – ว่าที่คุณแม่ ป้ายแดง ลูกแฝด  “น้องกร” ภรรยา นักร้องหนุ่ม “เป้ วงมายด์” โพสต์แชร์ประสบการณ์ และผลข้างเคียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง หลังการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19  ขณะตั้งครรภ์ พร้อมอธิบายเหตุผลในการตัดสินใจเข้ารับการฉีดวัคซีนในครั้งนี้

      ภรรยาสาว เป้ วงมายด์ รีวิว ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง 6 เดือน ท้องแฝด!

      จากกรณีที่ “กร ษิภูตา เดชสังวรณ์” ภรรยาของ “เป้ บดินทร์ เจริญราษฎร์” นักร้องดังวงมายด์ ได้ตัดสินใจเข้ารับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อความปลอดภัยของตนเองและลูกในท้อง ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ซึ่งหลังฉีดวัคซีนเสร็จเจ้าตัวได้ออกมาเล่าอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด ผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดเมื่อยตามตัว มีไข้ ไปจนถึงการอาเจียน

      “แชร์ประสบการณ์ฉีดวัคซีน AstraZeneca ในคนท้อง (แฝด)**ตอนฉีดกรอายุครรภ์ 25+2 สัปดาห์ค่ะ เลื่อนขวาอ่านยาวๆ ได้เลยค่า จะมีทั้งเหตุผลที่กรตัดสินใจฉีดและผลข้างเคียงหลังฉีดวัคซีนมาแล้วนะคะขอย้ำอีกครั้งว่า โพสต์นี้ของกรไม่ได้มีจุดประสงค์มาโน้มน้าวให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ไปรับหรือไม่รับวัคซีนนะคะ เพราะอาการข้างเคียงของแต่ละคนจะแตกต่างกันค่ะ”

      ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง
      ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง

      โดยน้องกรได้มีการโพสต์ถึงรายละเอียดของการตัดสินใจเข้ารับการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ ว่า “ก่อนอื่นกรต้องบอกเลยค่ะว่าตอนแรกกรตัดสินใจที่จะไม่รับวัคซีนแล้ว รอไปฉีดหลังคลอดทีเดียวเลย เพราะค่อนข้างกังวลเรื่องเอฟเฟคต่างๆ ที่รุนแรงค่ะ (เนื่องจากกรยังแพ้ท้องอยู่ด้วย ร่างกายไม่ 100% เลยกลัวจะรับไม่ไหว) แต่ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ คือพี่เป้เองต้องกลับมาทำเพลง มีเพลงลูกค้า เพลงตัวเอง รวมไปถึงทำเพลงให้กับศิลปินท่านอื่นๆ ทำให้ต้องมีการพบปะผู้คนอยู่บ้าง

      มีคนมาทำงานที่สตูดิโอบนบ้าน (Home Studio) ซึ่งกรกับพี่เป้ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าใครไปไหนมาบ้าง มีใครสัมผัสผู้ติดเชื้อมาหรือมีเชื้อในตัวไหม และอย่างที่ทราบกันดี วัคซีน Sinovac มีประสิทธิภาพบรรเทาความรุนแรงของโรค และลดอัตราการเสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู่อื่นได้เหมือนเดิม ทำให้กรเริ่มกังวลว่า ถ้าหากมีคนใดคนหนึ่งเข้ามาทำงานที่สตูดิโอแล้วมีเชื้อโควิด กรก็จะมีโอกาสรับเชื้อมาเต็มๆ คราวนี้จะเรื่องใหญ่

      กรมอนามัยเผย คนท้องติดเชื้อโควิด เสี่ยงป่วยหนัก แนะฉีดวัคซีนป้องกัน! หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

      ไขข้อข้องใจ ใช้ ยาคุมชนิดฮอร์โมนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่?

      รู้ก่อนฉีด! ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด -19 เช็คเลย!

      เพราะคนท้องหากติดเชื้อโควิดจะมีอาการรุนแรงมากกว่าคนปกติทั่วไป รวมไปถึงอาจส่งผลกระทบกับลูกในท้องด้วยเช่นกัน ในตอนนั้นรู้สึกว่ามันไม่มีทางไหน ปลอดภัย 100% สำหรับกรและลูกในท้องอีก 2 คน เลยฉีดวัคซีนไปก็ไม่รู้ว่าจะแพ้ไหมจะส่งผลอันตรายกับลูกไหม แต่ถ้าไม่ฉีดแล้วกรได้รับเชื้อเข้าไป จะเสี่ยงกว่าไหม ในหัวมีแต่คำถามและความกังวลใจเต็มไปหมด เพราะเราไม่มีโอกาสได้เลือกวัคซีนที่ดีและปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเองและลูกเลย กรกับพี่เป้เลยปรึกษาคุณหมอที่กรฝากครรภ์อยู่ว่ากรควรจะฉ๊ดวัคซีนหรือไม่ (ในตอนนี้ที่มีแค่ AstraZeneca) คุณหมอแจ้งว่ากรสามารถฉีดได้ แต่ให้สังเกตอาการหลังฉีด 24 -72 ชั่วโมงอย่างใกล้ชิด หากมีอาการผิดปกติที่รู้สึกว่าจะไม่ไหวให้เข้าแอดมิดทันที “

      หลังจากนั้นได้มีการ โพสต์อัพเดทอาการหลังการฉีดวัคซีน  โดยน้องกร ได้กล่าวว่า “อาการโดยรวมของวันนี้คือเหมือนจะวูบได้ตลอดเวลา นั่งอยู่เฉยๆ ก็เหนื่อยจนจะวูบ คาดเดาไม่ได้เลยว่าจะเป็นตอนไหน จิตตกมากๆ แต่คาดว่าพรุ่งนี้จะดีขึ้นตามลำดับค่ะ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะมาอัพเดตให้ในคอมเม้นท์อีกทีนะคะ”

      ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง

      หลังฉีดวัคซีน 2 วัน น้ำหนักกรลงไปทั้งหมด 9 ขีด เนื่องจากทานไม่ได้และอาเจียนหนักขึ้นค่ะ แต่โชคดีที่ลูกทั้ง 2 คนน้ำหนักดีมาก คุณหมอเลยไม่ได้ซีเรียสเท่าไหร่ โพสต์นี้ของกรไม่ได้มีจุดประสงค์มาโน้มน้าวให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ไปรับหรือไม่รับวัคซีนนะคะ เพราะอาการข้างเคียงของแต่ละคนจะแตกต่างกันค่ะ บางคนอาจจะไม่มีอาการอะไรเลย หรือบางคนอาจจะรุนแรงกว่ากรก็เป็นไปได้เช่นกัน กรแค่มาแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว เผื่อจะเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของแม่ๆ เท่านั้น  แนะนำให้ตัดสินใจจากความเสี่ยงของการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัวพร้อมกับปรึกษาคุณหมอที่คุณแม่ฝากครรภ์ควบคู่ไปด้วยนะคะ เพราะคุณหมอเจ้าของไข้จะพิจารณาจากประวัติการรักษาของคุณแม่ด้วย เป็นอีก 1กำลังใจให้ทุกคนค่ะ ขอให้ทุกคนปลอดภัย “

      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : tnnthailand.com

      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

      ฉีดในคนแล้ว! ChulaCov19 วัคซีนโควิด ชนิด mRNA ฝีมือคนไทย!

      งานวิจัยเผย! แม่ท้องติดโควิด เสี่ยงเสียชีวิตสูง!

      วิธีเช็กความ เสี่ยงติดโควิด-19 อาการแบบไหนต้องรีบไปตรวจหาเชื้อ

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

        ภาพระบายสี โหลดฟรี

        โหลดฟรี! ภาพระบายสี กว่า100รูปชวนลูกห่างไกลแสงสีฟ้า

        ไหนจะเรียนออนไลน์ ไหนจะเกมมือถือ หน้าจอแสงสีฟ้าดูจะไม่ห่างจากสายตาลูกเลย ลองหากิจกรรมเรียบง่าย แต่ได้พักสายตากับ ภาพระบายสี กัน แถมโหลดกันได้ฟรี ๆ ที่บ้าน

        โหลดฟรี! ภาพระบายสี กว่า 100 รูป ชวนลูกห่างไกลแสงสีฟ้า

        แสงสีฟ้า มีอยู่ในอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราใช้งานในชีวิตประจำวัน ทั้งคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โทรทัศน์ รวมถึงอาชีพที่ต้องใช้แสง เช่น การเชื่อมเหล็ก เป็นต้น แสงสีฟ้านี้สามารถทะลุทะลวงได้ถึงจอประสาทตา มีพลังทำลายกระจกตาหรือจอประสาทตาได้มากกว่าแสงสีอื่น ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือใช้อุปกรณ์ให้แสงสีฟ้าในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น เล่นสมาร์ทโฟนในที่มืด ปิดไฟดูโทรทัศน์ ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงภัยจากแสงสีฟ้าทั้งสิ้น

        พักสายตาลูกด้วย กิจกรรมวาด ภาพระบายสี
        พักสายตาลูกด้วย กิจกรรมวาด ภาพระบายสี

         รศ.นพ.นริศ กิจณรงค์ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าว ในงานเสวนาสุขภาพซึ่งจัดโดย Dr.Eyes Film by Vox เมื่อเร็วๆ นี้ว่า คนที่มีพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้ตาแห้ง และกะพริบตาน้อยลง เกิดการแสบตา การมองเห็นเริ่มผิดปกติ เห็นภาพซ้อน มองไม่ชัด ปวดเบ้าตา กล้ามเนื้อตาอ่อนล้า เป็นอาการเริ่มต้นของโรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรมและเป็นการกระตุ้นให้จอ ประสาทตาเสื่อมเร็วขึ้นด้วย

        รศ.นพ.นริศ กล่าวต่อว่า วิธีป้องกันจอประสาทตาเสื่อมจากการใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน คือใส่แว่นตาที่ป้องกันแสงยูวี หรือลดความสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพราะความสว่างหน้าจอที่มากปริมาณยูวีก็มากขึ้นด้วย อีกทางเลือกหนึ่งคือติดฟิล์มที่หน้าจออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ช่วยลดแสง UV400/UVA1 เป็นการป้องกันไม่ให้ดวงตาสัมผัสแสงเหล่านี้โดยตรง และควรพักสายตาทุก 12 ชั่วโมง ประมาณ 5 นาที

        ข้อมูลอ้างอิงจาก med.mahidol.ac.th

        ชวนลูกพักสายตาด้วยกิจกรรมวาดภาพระบายสี      

        การพักสายตาที่ดีที่สุดคือการนอน แต่ถ้าไม่สามารถนอนได้ ควรพักสายตาอาจเริ่มจากการให้มองไปไกล ๆ เพื่อลดการเพ่งของสายตาเป็นการบรรเทาความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาได้ นอกจากนี้การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอและรับประทานอาหารประเภทผักผลไม้ที่มีสี เหลืองส้มจะช่วยบำรุงสายตาได้

        การดึงความสนใจเด็กออกจากการเล่นเกม การใช้หน้าจอจากสมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ ใด ๆ ก็ตาม พ่อแม่ควรหากิจกรรมที่น่าสนใจเพื่อมาดึงดูดให้ลูกห่างจากจอได้บ้างในบางช่วงเวลาของวัน เพื่อเป็นการให้เขาได้พักสายตาเสียบ้าง กิจกรรมยอดฮิต กิจกรรมหนึ่งของเด็ก ๆ ที่ไม่ว่าวัยไหน เพศใด ก็มีความชื่นชอบอยู่เสมอ นั่นคือ การวาดภาพ การระบายสี เพราะเป็นกิจกรรมที่เขาสามารถสร้างสรรค์จินตนาการ ต่อยอดความคิด และได้ฝึกทักษะหลาย ๆ ด้านจากการระบายสีอีกด้วย อย่างที่รู้กันว่าเด็กมักไม่อยู่นิ่ง การที่จะให้เขาหยุดพักสายตาจากหน้าจอต่าง ๆ โดยไม่มีกิจกรรมใด ๆ มาดึงความสนใจนั้น คงเป็นเรื่องที่ยากไม่น้อย

        ประโยชน์การวาดภาพระบายสี
        ประโยชน์การวาดภาพระบายสี

        การวาดภาพระบายสีให้ประโยชน์อะไรกับลูกบ้าง

        1. เรียนรู้ และฝึกฝนการจับดินสอจากการได้ลากเส้น และรูปทรงต่าง ๆ
        2. เด็กได้แสดงออกถึงความรู้สึกนึกคิดจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
        3. ขณะระบายสีทำให้เด็กได้ฝึกการควบคุมกล้ามเนื้อ และประสาทสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา
        4. ได้เรียนรู้หลักการใช้สี การทดลองผสมสีต่าง ๆ
        5. การระบายสี ทำให้ได้ผ่อนคลายความเครียด ลดความกดดันทางอารมณ์ และส่งเสริมให้มีจิตใจที่ดีงาม
        6. ช่วยฝึกการทำงานการจัดลำดับก่อนหลัง ได้ทักษะการทำงานทั้งการทำงานตามลำพัง และเป็นกลุ่ม
        7. ฝึกความรับผิดชอบ และความเป็นระเบียบเรืยบร้อย
        8. ได้สร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในครอบครัว จากการร่วมกันวาดภาพ ระบายสี

        100 ภาพระบายสีสวย ๆ โดนใจ

        ภาพระบายสีลายการ์ตูนดัง 

        มีภาพให้เลือกมากมาย แบ่งไว้เป็นหมวดหมู่ตามคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูน รับรองว่าลูก ๆ ต้องรู้จักเป็นอย่างดี การที่เราให้ลูกเลือกภาพที่จะระบายเองจะยิ่งเป็นการดึงความสนใจเขาได้ดียิ่งขึ้น

        สามารถโหลดภาพเพิ่มเติมอีกมากมายได้จาภาพวาดระบายสี.com

        ลายงานเทศกาล

        การชวนลูกมาพักสายตาด้วยการระบายสี วาดรูปนั้น ไม่ได้หมายความว่าการได้ระบายสีจะเป็นเพียงการผ่อนคลายเพียงอย่างเดียว เราสามารถสอนความรู้ให้ลูกได้ผ่านภาพวาดระบายสีนั้นได้ด้วย โดยการเลือกลายภาพเป็นงานเทศกาลต่าง ๆ เช่น ภาพระบายสีงานเทศกาลคริสมาสต์ ภาพระบายสีวันขึ้นปีใหม่ เป็นต้น ในระหว่างการร่วมกันทำกิจกรรม คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ความรู้เกี่ยวกับภาพนั้น ๆ โดยการบอกเล่าเรื่องราว ก็จะเพิ่มความสนุกสนาน และการมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างกันและกันได้ดีกว่า การที่ลูกได้รับข้อมูลแบบด้านเดียว ไม่สามารถตอบโต้ พูดคุยได้จากการทำกิจกรรมหน้าจอต่าง ๆ ได้

        ลายภาพระบายสีรูปสัตว์ 

        ในส่วนของภาพระบายสีสำหรับเด็กในหมวดหมู่สัตว์นี้นับได้ว่าเป็นที่ชื่นชอบของเด็กแทบทุกคน ระหว่างทำกิจกรรมคุณพ่อคุณแม่สามารถอธิบายถึงวิถีชีวิตของสัตว์ในภาพ วงจรชีวิตของสัตว์แต่ละชนิด หรือการจัดประเภทของสัตว์ เช่น สัตว์ปีก สัตว์สี่เท้า แมลง เป็นต้น ว่าในแต่ละประเภทนั้นมีอะไรบ้าง การได้เรียนรู้จากการปฎิบัติเป็นการเรียนรู้ที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก เพราะเด็กจะเข้าใจ และสนใจได้มากกว่า

        โหลดภาพเพิ่มเติมอีกมากมายได้จาก www.crayola.com

        รูปทรงต่าง ๆ

        การเรียนรู้เรื่องรูปทรง รูปร่าง นับเป็นพื้นฐานขั้นต้นของหลักการวาดภาพ ดังนั้นหากพ่อแม่ให้ลูกระบายสีภาพที่เน้นแสดงให้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องรูปร่างรูปทรงเป็นอย่างดีแล้ว ทำให้เวลาจะมองสิ่งของใดสิ่งของหนึ่งก็จะมองภาพออกว่าสิ่งนั้น ประกอบไปด้วยรูปร่างรูปทรงอะไร เช่น บ้าน ประกอบไปด้วย รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม เป็นต้น

        ลายภาพระบายสี รูปทรง รูปร่าง
        ลายภาพระบายสี รูปทรง รูปร่าง

        สามารถโหลดภาพเพิ่มเติมอีกมากมายได้จาก karn.tv

        ฝึกทำตามคำสั่งจากภาพระบายสี

        พ่อแม่อาจลองฝึกให้ลูกทำตามคำสั่งจากโจทย์ โดยใช้ภาพวาดระบายสี ซึ่งนอกจากจะสวยงามแล้ว ยังดึงดูดความสนใจเขาได้จากการความตื่นเต้นที่อยากเห็นภาพวาดตรงหน้าจะมีสีสัน สวยงามขนาดไหน โดยลูกจะต้องทำตามที่โจทย์กำหนด แถมยังเป็นการฝึกการรอคอยที่ดีอีกทางหนึ่งด้วย

        แบบฝึกระบายสีทำตามคำสั่ง
        แบบฝึกระบายสีทำตามคำสั่ง

        โหลดเลย!!ภาพเพิ่มเติมอีกมากมายที่ ฟรีสื่อการเรียนการสอน

        ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า หน้าจอต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น จอสมาร์ทโฟน จอโทรทัศน์ จอคอมพิวเตอร์ จอแท็ปเล็ต ล้วนแล้วแต่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีการระบาดของไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ด้วยแล้ว การเรียนออนไลน์ทำให้เด็กต้องนั่งอยู่หน้าจอมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นหากมีเวลา พ่อแม่ควรชวนให้ลูกหันมาสนใจในกิจกรรมอื่น ๆ บ้างนอกจากการสนใจแต่กิจกรรมที่ต้องนั่ง เพ่งสายตากับหน้าจอทั้งหลาย ที่มักจะมาพร้อมกับแสงสีฟ้าที่เป็นแสงที่เป็นอันตรายต่อดวงตาของเด็กเป็นอย่างมาก หากลูกมีกิจกรรมอื่นให้สนใจเพิ่ม อย่างเช่น การวาดภาพระบายสี เวลาที่มีเวลาว่างเขาก็จะได้ใช้เวลาไปกับกิจกรรมอื่นบ้าง ไม่นั่งจ้องแต่หน้าจอเท่านั้น ดังนั้นกิจกรรมวาดภาพระบายสีนี้ก็นับเป็นอีกกิจกรรมที่ช่วยให้ลูกห่างจากแสงสีฟ้าได้เป็นอย่างดี

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        โหลดฟรี! 25 รูปภาพระบายสีอนุบาล พัฒนากล้ามเนื้อมือ ฝึกสมาธิ สร้างจินตนาการ

        แบบฝึกระบายสีอนุบาล แจกฟรี!! มากกว่า 100 แบบ แม่โหลดเลย!

        รีวิว Jurassic Snack บอร์ดเกมง่ายๆ สอนลูกรู้จักวางแผน โดยพ่อเอก

        กินข้าวด้วยกัน สานสัมพันธ์ในครอบครัว เสริมทักษะชีวิตลูก

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          แคะหูให้ลูก

          ลูกมีขี้หู แคะหูให้ลูก ได้ไหม หูลูก ควรทำความสะอาดอย่างไร?

          แคะหูให้ลูก – หนึ่งในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดให้ลูกวัยทารก ที่คุณพ่อคุณแม่หลายบ้านอาจยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องการดูแลรักษาความสะอาดบริเวณหูลูกวัยทารก เพราะอย่างเราๆ เวลาเรารู้สึกว่ามีขี้หู ไม่ได้แคะหูมานานแล้วหลายคนก็เลือกที่จะใช้คอตตอนบัดแคะเข้าไปในหูเพื่อทำความสะอาด หลายคนอาจจะรู้สึกว่ายิ่งแคะก็ยิ่งเพลิน แต่สำหรับทารกล่ะ? หากเรามองเห็นว่าลูกวัยทารกของเรามีขี้หู เราจะทำแบบเดียวกันได้มั้ย? หรือวควรต้องทำยังไงหากต้องการทำความสะอาดหูให้ลูก วันนี้เรามาไขข้อข้องใจในเรื่องนี้กันค่ะ

          ลูกมีขี้หู แคะหูให้ลูก ได้ไหม หูลูก ควรทำความสะอาดอย่างไร?

          เมื่อพูดถึงการทำความสะอาดหูของทารก ความปลอดภัย เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก  มีวิธีการและเครื่องมือมากมายในการทำความสะอาดหูของทารก ซึ่งความจริงแล้วคุณพ่อคุณแม่สามารถทำความสะอาดหูให้ลูกได้ แต่ควรเป็นการทำความสะอาดเฉพาะบริเวณหูชั้นนอก และรอบ ๆ เท่านั้น  โดยสิ่งที่ต้องมีในการทำความสะอาดหูให้ลูกวัยทารก คือ ผ้าเช็ดตัวเนื้อนุ่ม หรือสำลีก้อน และน้ำอุ่น  วันนี้เรามาดูวิธีทำความสะอาดหูของลูกน้อย พร้อมคำแนะนำด้านความปลอดภัยที่เหมาะสมสำหรับเด็กเล็กกันค่ะ

          วิธีทำความสะอาดหูของลูกน้อย

          ในการทำความสะอาดหูของทารกทุกวันหรือเป็นประจำ ควรใช้สำลีก้อนชุบน้ำอุ่น หรือผ้าขนหนูนุ่มๆ กับน้ำอุ่น (ไม่ร้อน) ก็ได้ โดยการทำความสะอาด จะอยู่ในบริเวณหูชั้นนอก ซึ่งเป็นวิธีที่กุมารแพทย์แนะนำมากที่สุด

          • ชุบผ้าขนหนูด้วยน้ำอุ่นพอหมาดๆ  ตรวจสอบให้แน่ใจว่าน้ำไม่ร้อนเกินไป
          • เช็ดรอบหูชั้นนอกของทารก ทั้งใบหู และปากรูหู เพื่อทำความสะอาดคราบขี้หู (Ear Wax)
          • ไม่ควรใช้ชายผ้าสอดไปในรูหูของทารก (รวมถึงคอตตอนบัด) เพราะไม่ใช่วิธีการทำความสะอาดหูของทารกที่ถูกต้อง

          เหตุใดจึงไม่ควรใช้คอตตอนบัด แคะหูให้ลูก

          สำลีก้านหรือคอตตอนบัด อาจไม่ปลอดภัยที่จะใช้กับทารกหรือเด็กเล็ก ความจริง ตั้งแต่ปี 1990-2010 การทำความสะอาดหูโดยใช้การแคะหูเป็นสาเหตุที่เด็กเล็กในสหรัฐอเมริกาต้องเข้ารับการรักษาห้องฉุกเฉินบ่อยครั้งด้วยอาการบาดเจ็บที่หู เด็กกว่า 260,000 คนได้รับผลกระทบจากการทำความสะอาดหูที่ไม่ถูกวิธี สิ่งที่ควรพึงระลึกไว้เสมอ คือ หากคุณเห็นคราบขี้หู หรือของเหลวที่เกาะอยู่ด้านนอกหู ให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นชุบน้ำอุ่นเช็ดออก และให้ทิ้งสิ่งที่อยู่ในหู (ส่วนที่มองไม่เห็น) ไว้ เพราะการแคะหูให้เด็กเล็กเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่แก้วหู กระดูกหู หูชั้นใน ได้ ซึ่งล้วนแต่ก่อให้เกิดโรคแทรกซ้อนทางสุขภาพในระยะยาวสำหรับเด็กได้

           

          แคะหูให้ลูก
          แคะหูให้ลูก ( Credit : www.thebump.com)

          ข้อควรระวังในการทำความสะอาดหูทารกเด็กเล็ก

          • ไม่ควรใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดรูหู เพราะจะทำให้ผิวหนังบริเวณรูหูแห้ง อาจเกิดการระคายเคืองได้
          • ระวังอย่าให้น้ำเข้ารูหู ขณะอาบน้ำหรือสระผมให้ลูก หากกังวลว่าขณะอาบน้ำจะมีน้ำเข้าหูลูกให้ใช้สำลีปั้นก้อนขนาดพอเหมาะอุดไว้บริเวณหูลูกได้

          อุทาหรณ์!! เลี้ยงหมาในบ้าน ระวัง เห็บหมาเข้าหูลูก

          หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก หูติดเชื้อในเด็ก ไม่ใช่เรื่องเล็กถ้าลูกป่วย!

          อุทาหรณ์! ลูก ขี้หูเหม็น ขี้หูหมักหมมจนเน่า! เกือบเป็นหูน้ำหนวก

          อะไรทำให้ขี้หูสะสมในหูทารก?

          ขี้หูสะสมในทารกเกิดขึ้นได้ไม่บ่อย เพราะโดยปกติ ช่องหูของเด็กวัยนี้จะผลิตขี้หูในปริมาณที่เหมาะสม แต่ในบางกรณี ขี้หูที่สะสมมากเกินไปอาจรบกวนการได้ยิน หรือทำให้เกิดอาการปวดหรือไม่สบาย ลูกน้อยของคุณอาจดึงหูเพื่อแสดงความรู้สึกไม่สบาย

          สาเหตุบางประการของการสะสมของขี้หู ได้แก่ :

          • การใช้คอดตอนบัดขนาดใหญ่หรือเท่ากับรูหู ปั่นหู แคะหู อาจดันขี้หูให้ลึกลงไป ทำให้เกิดปัญหาขี้หูอุดตันได้ในภายหลัง
          • นิ้วทารกแหย่หูบ่อยๆ อาจทำให้ขี้หูสะสมในรูหูได้
          • การให้เด็กใส่ ที่อุดหู (Ear Plug) สามารถดันขี้หูกลับเข้าไปในหู และทำให้เกิดการสะสมของขี้หูภายในได้

          อย่าพยายามกำจัดขี้หูให้ลูกเอง หากคุณกังวลเรื่องขี้หูของลูก ให้พาลูกไปพบกุมารแพทย์ เพื่อให้แพทย์ประเมินว่าจำเป็นต้องกำจัดขี้หูออกหรือไม่

          ขี้หูเป็นอันตรายต่อทารกหรือไม่?

          หากสังเกตเห็นขี้หูอยู่ในหูของลูก คุณไม่จำเป็นต้องพยายามแคะออกมา เพราะสำหรับเด็กทารกและเด็กเล็กแล้ว ขี้หู ถือว่ามีประโยชน์อย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง  เช่น

          • ปกป้องแก้วหู และช่องหู ไม่ให้อับชื้น ช่วยป้องกันเชื้อโรค เช่น เชื้อแบคทีเรีย และการติดเชื้อต่างๆ
          • ดักจับสิ่งสกปรก ฝุ่นละออง และอนุภาคอื่น ๆ เพื่อไม่ให้เข้าไปในช่องหูที่จะทำให้เกิดการระคายเคืองหรือบาดเจ็บ

           

          แคะหูให้ลูก

          เมื่อไหร่ที่ต้องขอความช่วยเหลือ

          ควรไปพบแพทย์ทันที หากคุณสังเกตเห็นว่ามีเลือดออกจากหูของลูก หรือ เสียการทรงตัวในการเดิน  นอกจากนี้ ควรแจ้งให้กุมารแพทย์ทราบ เมื่อลูกมีพฤติกรรมผิดปกติต่างๆ เช่น มีพฤติกรรมดึงหูตัวเองบ่อยจนผิดสังเกต หรือ เห็นได้ชัดความสามารถในการได้ยินลดลง หรือมีสิ่งคัดหลั่งไหลออกจากหูของลูกเป็นสีเหลืองเขียว ในบางกรณีแพทย์อาจตัดสินใจนำขี้หูของทารกออกหากขี้หูทำให้เด็กรู้สึกไม่สบาย เจ็บปวด หรือถูกรบกวนการได้ยิน ในบางกรณีหากแพทย์สังเกตเห็นสัญญาณของการติดเชื้อที่หูของเด็ก แพทย์อาจสั่งยาหยอดหูยาปฏิชีวนะสำหรับลูกน้อยของคุณ

          เรื่องขี้หู อาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ หากดูแลไม่ถูกวิธีอาจเกิดการบาดเจ็บ หรือทำให้เด็กได้รับผลกระทบที่รุนแรงได้ เช่น มีปัญหาด้านการได้ยิน คุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลหูของลูกอย่างใกล้ชิด และทำอย่างระมัดระวังมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อเด็กๆ เติบโตขึ้นถึงวัยที่สามารถดูแลตัวเองได้ดีขึ้น การปลูกฝังให้ลูกใส่ใจ ดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย และเข้าใจในความสำคัญของการมีสุขอนามัยที่ดีย่อมส่งเสริมให้พวกเขาเกิดทักษะความฉลาดด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ซึ่งจะเป็นเสมือนเกราะป้องกันที่แข็งแรงต่อปัญหาด้านสุขภาพต่างๆ ของลูกในวันที่พวกเขาต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตค่ะ

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : thebump.comhealthline.com

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          ฝีในต่อมน้ำลาย ก้อนแข็ง ๆ หลังติ่งหูทารก สัญญาณบอกโรค

          โรคหูติดเชื้อ คืออะไร? จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกเป็น

          เจาะหูให้ลูก เจาะให้ดี อย่าเจาะแบบนี้มันอันตราย (มีคลิป)

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            โรคตาเด็ก

            10 ปัญหา โรคตาเด็ก ที่พบได้บ่อย พร้อมวิธีรักษา

            โรคตาเด็ก – เวลาที่เราจ้องมองแววตาของลูก เราจะรู้สึกถึงความไร้เดียงสา ความรัก ความอบอุ่น ดวงตาของเด็กสะท้อนทุกสิ่งที่พวกเขารู้สึก ทั้งความเจ็บปวดและความสุข ทุกอย่างถูกอธิบายไว้ในนั้น  ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางและอาจเกิดความผิดปกติขึ้นได้ และหากเกิดขึ้นแล้วก็เป็นเรื่องที่ต้องได้รับการดูและรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากดวงตาเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ปัญหาสายตา หรือโรคเกี่ยวกับตาในเด็กควรได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างระมัดระวัง ทั้งนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้เด็กป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับตา หากคุณสงสัยว่าลูกคุณมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา  ควรปรึกษาจักษุแพทย์เด็ก เพื่อประเมินและวินิจฉัยทำการรักษาได้อย่างเหมาะสม

            10 ปัญหา โรคตาเด็ก ที่พบได้บ่อย พร้อมวิธีรักษาปัญหาโรคตาที่พบได้บ่อยในเด็ก

            ภาวะผิดปกติของตาในเด็ก มีอยู่หลายชนิด แต่ภาวะที่พบได้บ่อยมีอยู่ประมาณ 10 อาการ ดังต่อไปนี้

            1. สายตาเอียง (Astigmatism)

            ปัญหาสายตาเอียง พบได้บ่อยตั้งแต่แรกเกิด เป็นภาวะที่เกิดจากการหักเหของแสงที่ตกกระทบกระจกตาในแต่ละแนวไม่เท่ากันเนื่องจากกระจกตาผิดรูป เช่น มีส่วนโค้งไม่เท่ากัน เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลต่อความสามารถในการมองเห็นของเด็ก เด็กอาจมีปัญหาในการมองวัตถุ ทั้งในระยะใกล้ และไกล กล่าวคือ จะมองเห็นภาพเบลอ มองเห็นภาพซ้อนได้

            การรักษา : การรักษาสายตาเอียงในเด็กจะมุ่งเน้นที่การเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น คอนแทคเลนส์และแว่นตาที่เหมาะสมกับสายตาของผู้ป่วยเป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย

            2. ตาเหล่ (Strabismus)

            ภาวะตาเหล่ พบได้ตั้งแต่ช่วงแรกเกิด  คือภาวะที่ตาข้างใดข้างหนึ่งมีลักษณะ เข้าใน ออกนอก ขึ้นบน หรือลงล่าง และทำงานไม่สอดคล้องกัน ดวงตาไม่สามารถเล็งตรงไปที่วัตถุเดียวกันได้อย่างสม่ำเสมอ หากสภาพนี้ไม่ได้รับการรักษาปล่อยเอาไว้นานเกินไปจะไม่สามารถทำการรักษาได้ อาจนำไปสู่ภาวะตาขี้เกียจ (Amblyopia) โดยภาวะตาเหล่ส่วนใหญ่มักเกิดจากกรรมพันธุ์ นอกจากนี้อาจเกิดจากการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตาหรือเส้นประสาทตา

            การรักษา : ภาวะตาเหล่ในเด็กไม่สามารถหายเองได้ สำหรับการรักษา จักษุแพทย์อาจเลือกใช้วิธีการแปะตาเพื่อปรับการทำงานของดวงตา หรือใช้แว่นสายตาแก้ไข แต่ในกรณีที่รุนแรงแพทย์จะพิจารณาเพื่อทำการผ่าตัด ข้อควรสังเกตสำหรับเด็กเล็ก คือ ดวงตาของเด็กแรกเกิดจะยังไม่สามารถมองไปในทิศทางเดียวกันได้ แต่เมื่อเด็กอายุได้ 3-4 เดือน ดวงตาจะเริ่มทำงานได้สอดคล้องกัน  ถ้าหากเด็กอายุครบ 4 เดือนแล้ว แต่ดวงตายังไม่สามารถมองไปในทิศทางเดียวกันได้ ควรพาไปพบแพทย์โดยเร็ว

            3. สายตาสั้น (Myopia) 

            สายตาสั้น คือ ภาวะค่าสายตาผิดปกติอันเกิดจากการหักเหแสงของตาที่มากเกินไป เด็กสายตาสั้นจะมองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ได้อย่างชัดเจน แต่วัตถุที่อยู่ห่างไกลจะเบลอไม่ชัด เด็กสายตาสั้นส่วนใหญ่มีประวัติพ่อแม่สายตาสั้น มีการศึกษาในประเทศเขตทวีปเอเชียตะวันออก พบว่าถ้าทั้งพ่อและแม่มีสายตาสั้น จะมีโอกาสที่ลูกจะสายตาสั้นเท่ากับร้อยละ 77.3% สาเหตุเบื้องหลังสายตาสั้น คือ แสงไม่สามารถโฟกัสที่เรตินาได้ ดังนั้นวัตถุที่วางอยู่ไกลออกไปจึงดูพร่ามัว ในสภาวะนี้ รังสีของแสงจะโฟกัสภาพที่ด้านหน้าเรตินาไม่ใช่ที่เรตินาอาจเป็นเพราะลูกตายาวเกินไปหรือกระจกตาโค้งมากเกินไป

            การรักษา : การมองเห็นสามารถแก้ไขได้ด้วยการใส่แว่นตา ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย และปลอดภัย จึงเป็นวิธีที่เหมาะที่สุดสำหรับเด็ก หากเด็กมีค่าสายตาสั้นมากกว่า -1.00 ถึง 1.50 diopter ควรพิจารณาให้ใส่แว่นตา ทั้งนี้การรักษาด้วยวิธีผ่าตัดที่นิยมทำในผู้ใหญ่อาจไม่เหมาะหรับเด็ก เนื่องจากค่าสายตาเด็กอาจยังไม่คงที่

            โรคตาเด็ก
            โรคตาเด็ก

            4. สายตายาว (Hyperopia)

            สายตายาวในทางการแพทย์หมายถึง อาการสายตายาวที่เกิดขึ้นตั้งแต่อายุยังน้อย โดยภาวะนี้จะตรงข้ามกับสายตาสั้น หากเด็กได้รับผลกระทบจากภาวะสายตายาว จะสามารถมองเห็นวัตถุที่วางในระยะไกลได้ชัดเจน แต่วัตถุที่อยู่ใกล้เคียงจะเบลอ แต่ในบางรายอาจเห็นไม่ชัดทั้งระยะใกล้และระยะไกล  สายตายาว สาเหตุเกิดจากภาวะกำลังหักเหแสงของตาผิดปกติ โดยเด็กที่มีสายตายาวจะมีลูกตาเล็กหรือกระจกตาแบน ทำให้รังสีแสงมีจุดโฟกัสอยู่นอกเรตินาเมื่อมองวัตถุที่อยู่ใกล้ ภาวะนี้อาจเป็นจากกรรมพันธุ์ โดยส่วนใหญ่สายตายาวมักพบได้ตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อเด็กอายุมากขึ้นอาการมักจะหายไปได้เอง แต่ในรายที่การพัฒนาของสายตาหยุดลง และยังคงมีปัญหาสายตายาวอยู่เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ดวงตาจะปรับตัวด้วยการปรับโฟกัสของตา (Accommodation) เพื่อแก้ไขปัญหา แต่เมื่ออายุมากขึ้นการปรับโฟกัสของตาก็จะทำได้น้อยลง

            การรักษา : หากสายตายาวเกิดตอนอายุยังน้อย อาจไม่จำเป็นต้องรักษา เพราะว่าเลนส์ตาจะค่อยๆ ปรับตัวและแก้ไขภาวะสายตายาวได้เองเมื่ออายุมากขึ้น แต่เมื่อมีอายุที่เพิ่มมากขึ้นความยืดหยุ่นของเลนส์ตาอาจลดลงซึ่งจำเป็นต้องแก้ไขด้วยการใส่แว่นสายตายาว หรือคอนแทคเลนส์สายตายาว

            5. ตาขี้เกียจ (Amblyopia)

            ตาขี้กียจ คือ การที่ตาข้างใดข้างหนึ่งของเด็ก มองเห็นได้ไม่ดี เมื่อเทียบกับตาอีกข้างหนึ่ง ภาวะนี้เกิดขึ้นเมื่อตาข้างหนึ่งมีพัฒนาการที่ผิดปกติ  ในที่สุดหากปล่อยไว้ สมองจะหยุดรับสัญญาณจากตาข้างนั้น ทำให้มองเห็น ได้ไม่ชัด ภาวะตาขี้เกียจส่วนใหญ่มักเป็นผลมาจากอาการตาเหล่ หรือเมื่อตาข้างหนึ่งทำงานได้ดีกว่าอีกข้างหนึ่งอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับโรคตาอื่นๆ ได้ เช่น หากเด็กมีปัญหา สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือ ต้อกระจกแต่กำเนิด

            การรักษา : ภาวะสายตาขี้เกียจนี้มักเกิดขึ้นในเด็กเฉพาะเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 -7 ปี  หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา อาจจะทำให้มีปัญหาในการมองเห็นอย่างถาวรหากพ่อแม่สังเกตเห็นพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูก และพาไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ การรักษารวมถึงการทำให้ตาขี้เกียจทำงานหนักขึ้นเพื่อกระตุ้นระบบประสาท อาจใช้แผ่นปิดตา โดยการปิดตาข้างที่ดีกว่าเพื่อกระตุ้นให้ดวงตาอีกข้างที่ด้อยกว่าได้ถูกใช้งานบ้าง

            6. ต้อกระจก (Cataracts)

            โรคต้อกระจก เป็นความผิดปกติของเลนส์อย่างหนึ่งที่พบมากที่สุดในเด็ก พบได้ประมาณ 1: 250 ของทารก แรกคลอด สาเหตุการเกิดต้อกระจกในเด็ก อาจเกิดได้จากการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ โรคของตาเอง หรือโรคต่างๆ ที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ หรือ อุบัติเหตุทางตา

            สาเหตุ : เนื่องจากภาวะนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ทารกบางคนจึงเกิดมาพร้อมกับโรคตานี้ เลนส์ตาที่ใสจะขุ่น เมื่อโปรตีนที่เกาะกลุ่มเลนส์เข้าด้วยกัน

            การรักษา : หากการมองเห็นถูกกีดขวางอย่างรุนแรง อาจต้องผ่าตัดเอาเลนส์ที่ขุ่นออก เลนส์ธรรมชาติจะถูกแทนที่ด้วยเลนส์ตา

            โรคตาเด็ก

            7. หนังตาตก (Ptosis)

            ภาวะหนังตาตก (เปลือกตาตก) ในทารกและเด็ก ส่วนใหญ่เกิดได้โดยกรรมพันธุ์ และการยืดหรือฉีกขาดของ ปลอกหุ้มคล้ายเส้นเอ็น (levator aponeurosis) ที่ช่วยให้เปลือกตาขยับได้ ภาวะนี้ เปลือกตาบนของเด็กมักอยู่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น อาจเกิดขึ้นในตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง เปลือกตาหลบตาที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิดหรือภายในปีแรกเรียกว่าหนังตาตกแต่กำเนิด เปลือกตาหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นภายหลังในวัยเด็กหรือวัยผู้ใหญ่อาจทำให้ตาพร่ามัว หรือเกิดภาวะตาขี้เกียจได้ในที่สุดหากไม่ได้รับการรักษา

            การรักษา : การผ่าตัดยกเปลือกตาสามารถซ่อมแซมเปลือกตาบนที่หย่อนคล้อยได้ หากการมองเห็นไม่ได้รับผลกระทบ การผ่าตัดสามารถรอจนถึงอายุ 3 ถึง 4 ปี แต่ในกรณีที่รุนแรงอาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อปรับความสามารถในการมองเห็น ซึ่งในเด็กบางคนอาจต้องผ่าตัดมากกว่าหนึ่งครั้ง จุดมุ่งหมายของการผ่าตัดโดยทั่วไปคือการกระชับกล้ามเนื้อหรือซ่อมแซมซึ่งสามารถช่วยยกเปลือกตาได้

            8. ตาแดงหรือเยื่อบุตาอักเสบ (Conjuctivitis)

            เยื่อบุตาอักเสบ คือการอักเสบของเยื่อบุตาเหนือลูกตาและภายในเปลือกตา จากการติดเชื้อจากแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส เยื่อบุตาอักเสบจากไวรัสเป็นโรคติดต่อได้ แต่เยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียไม่ใช่โรคติดต่อ ลูกตาจะแดง น้ำตาไหล เจ็บหรือคัน บางครั้งอาจมีน้ำมูกเหนียวสีเหลืองหรือสีเขียวในตาของเด็ก ซึ่งทำให้เปลือกตาติดกันหลังจากที่ลูกหลับไปแล้ว ผิวรอบดวงตาอาจดูบวม ในเยื่อบุตาอักเสบจากแบคทีเรียหรือไวรัส ตาข้างเดียวหรือทั้งสองข้างอาจได้รับผลกระทบ ในเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ ดวงตาของลูกทั้ง 2 ข้างจะคันและน้ำตาไหล ลูกของคุณอาจมีอาการไข้ละอองฟาง เช่น คันจมูกและจาม

            การรักษา : ยาหยอดตายาปฏิชีวนะมีไว้เพื่อควบคุมการติดเชื้อ

            9. โรคตากระตุก (Nystagmus)

            เด็กที่มีอาการของโรคตากระตุก จะมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของลูกตาซึ่งอยู่นอกอำนาจการควบคุมของจิตใจ และอาจเกิดขึ้นซ้ำๆ แทนที่จะจับจ้องไปที่วัตถุ ดวงตาจะแกว่งไปมาอย่างรวดเร็วจากทางด้านข้าง หรืออาจเคลื่อนที่เป็นวงกลมหรือขึ้นลงได้เช่นเดียวกัน เด็กที่มีอาการนี้สมองในส่วนที่รับผิดชอบต่อการเคลื่อนไหวของดวงตาจะทำงานผิดปกติ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของดวงตา นอกจากนี้ เนื้องอกในสมอง ยาบางชนิด และโรคปลอกประสาทเสื่อมก็สามารถทำให้เกิดโรคนี้ขึ้นได้เช่นเดียวกัน

            การรักษา : การรักษาขึ้นอยู่กับว่าภาวะนั้นมีมาแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นในภายหลัง การรักษาโรค แพทย์อาจใช้เลนส์แว่นตาพิเศษที่เรียกว่าปริซึมในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานของตา ในรายที่เป็นมากอาจต้องทำการผ่าตัด (tenotomy) เพื่อเปลี่ยนตำแหน่งของกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของดวงตา

            10. ตากุ้งยิงชนิดไม่เจ็บ (Chalazion)

            เป็นอาการบวมเล็กน้อยที่ไม่เจ็บปวดในเปลือกตา เกิดจากการอุดตันของต่อมของเปลือกตาบนหรือล่าง ทำให้เกิดรอยแดงและบวมของเปลือกตาบางครั้งอาจมีของเหลวสีเหลืองร่วมด้วย ผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่ขนาดของก้อนบริเวณเปลือกตา อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการมองเห็น และทำให้เกิดการระคายเคืองได้

            สาเหตุ : เกิดจากต่อมไมโบเมียน (Meibomian) ที่เป็นต่อมสร้างน้ำมันหล่อลื่นของดวงตาที่บริเวณขอบเปลือกตา เกิดการอักเสบหรืออุดตัน ทำให้น้ำมันหล่อลื่นไหลออกจากท่อตาได้ยาก ส่งผลให้ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง

            การรักษา : ตากุ้งยิงชนิดไม่เจ็บ สามารถหายได้เอง หรือหายได้เร็วขึ้น หากได้รับยาหยอดตาหรือประคบร้อน แต่ในกรณีรุนแรงอาจต้องทำการผ่าตัด

             

            โรคตาเด็ก

            การตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ลดโอกาสความผิดปกติของดวงตาได้

            การวินิจฉัยและการรักษาโรคตาในเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันดวงตาของเด็กไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติม การมองเห็นที่ไม่เหมาะสมและผิดปกติ ทำให้เด็กเรียนรู้ได้ยากและอาจประสบปัญหาในโรงเรียน อาการทางตาอย่างกะทันหันในเด็กอาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ในสมอง หรือแม้แต่การเริ่มต้นเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1

            ดังนั้น ผู้ปกครองควรมองหาสัญญาณทั่วไปของปัญหาสายตาในเด็ก เพื่อให้แน่ใจว่าเขาได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด สัญญาณบางอย่างของปัญหาสายตาในเด็ก ได้แก่:

            • ลักษณะสีขาวในรูม่านตา
            • ตาข้างหนึ่งดูคงที่ ในขณะที่อีกข้างหนึ่งเคลื่อนไหวบ่อยๆ
            • ตาไวต่อแสง
            • เอียงศีรษะไปข้างหนึ่งจนดูผิดปกติ
            • นั่งชิดหนังสือหรือโทรทัศน์เพื่อให้ได้ภาพที่ชัดเจน
            • ตาดูไม่เท่ากันหรือไม่สมมาตร ตาข้างหนึ่งอาจดูใหญ่กว่าอีกข้าง

            จะป้องกันปัญหาสายตาในเด็กได้อย่างไร

            มีหลายวิธีในการป้องกันปัญหาสายตาในเด็ก โดยใช้วิธีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

            • สอนลูกให้รักษาท่าทางที่ดีในการนั่งเรียน หรือนั่งหน้าทีวี หรือคอมพิวเตอร์
            • ส่งเสริมให้ลูกเล่นนอกบ้าน ลิกใช้วิดีโอเกม เพราะการเล่นกลางแจ้งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการโดยรวมของเด็ก เวลาออกไปเล่นนอกบ้าน จะมองไปรอบๆ บ่อยๆ ตาจึงเคลื่อนไหวตลอดเวลา ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดีต่อสายตา นอกจากนี้พบว่าการสัมผัสกับแสงแดดช่วยป้องกันการพัฒนาของสายตาสั้นตามการศึกษาบางกรณี
            • ให้ลูกทานผักใบเขียวและอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนและกรดอะมิโน เนื่องจากมีความสำคัญต่อการพัฒนาและบำรุงรักษาดวงตา
            • การตรวจตาเป็นประจำเป็นกุญแจสำคัญในการค้นพบปัญหาความผิดปกติ ต่าง ๆ เพื่อหยุดอาการก่อนที่จะเลวร้ายลง
            • การรักษาอาหารเพื่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญ หากมีประวัติโรคเบาหวานในครอบครัว การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อยจะช่วยยับยั้งการเริ่มเป็นโรคเบาหวานและป้องกันปัญหาสายตาได้
            • หากสงสัยว่าลูกของคุณมีปัญหาทางสายตา ให้พาเขาไปพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อทำการตรวจ
            • สอนลูกให้ล้างมือทุกครั้งที่กลับมาจากนอกบ้าน อย่าปล่อยให้ลูกสัมผัสดวงตาด้วยมือที่สกปรก
            • หากลูกมีอาการตาติดเชื้อ เช่น ตาแดงจากเชื้อไวรัส ควรให้หยุดเรียนจนกว่าการติดเชื้อจะหายดี
            • หากคุณสังเกตเห็นอาการต่างๆ เช่น ตาเหล่ ปวดหัว และกะพริบตาถี่ๆ ให้พาลูกไปตรวจสายตา

            ข้อแนะนำการตรวจสายตาตามวัย

            การตรวจสายตาเป็นสิ่งที่แนะนำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็ก เนื่องจากเน้นที่การตรวจหาความผิดปกติของดวงตาในพวกเขา เพื่อรักษาในช่วงปีแรกๆ ของชีวิต นี่คือคำแนะนำในการตรวจคัดกรองสายตาสำหรับเด็ก

            แรกเกิด :  แพทย์จะตรวจแสงสะท้อน (ทดสอบการสะท้อนสีแดง) จากจอประสาทตาทารกแรกเกิดเพื่อดูว่าผิดปกติหรือไม่ การประเมินการมองเห็น ประวัติโรคตา ตรวจความผิดปกติของดวงตาและเปลือกตาภายนอก ประเมินลักษณะของรูม่านตา หากเด็กคลอดก่อนกำหนด หรือมีความเสี่ยงสูง มีสัญญาณของความผิดปกติ มีประวัติครอบครัวเป็นโรคดวงตาที่ร้ายแรง แพทย์จะทำการตรวจดวงตาอย่างละเอียดทันที

            6 เดือน – 1 ปี : ประเมินลักษณะของรูม่านตา โดยการทดสอบการมองเห็น ตรวจสุขภาพตา ตรวจหาโรคตาที่พบบ่อยในเด็กที่ต้องการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เช่น ตาเขเหล่ เป็นต้น

             3 ปี – 3 ปี ครึ่ง :  ในวัยนี้เด็กโตพอที่จะให้ความร่วมมือในการตรวจวัดสายตาได้  เพื่อดูว่าเด็กมีสายตาสั้น ยาวหรือเอียงหรือไม่ เด็กหลายคนมักมีภาวะสายตายาว แต่สามารถมองเห็นในระยะอื่นได้ โดยเด็กส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตาหรือแก้ไขความผิดปกติทางสายตา นอกจากนี้ยังควรตรวจหาภาวะตาสองข้างไม่มองในทิศทางเดียวกัน เช่น ตาเข ตาเหล่ ตาขี้เกียจ เป็นต้น

            เด็กวัยเรียน :  เมื่อเด็กเข้าเรียนหรือเมื่อผู้ปกครองสงสัยว่าเด็กมีปัญหาทางสายตา ควรพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อตรวจวัดสายตา ปัญหาทางสายตาที่พบบ่อยในเด็กวัยนี้ คือ สายตาสั้นซึ่งแก้ไขได้ด้วยการสวมแว่นตา หากสงสัยว่าเด็กมีภาวะสายตาสองข้างไม่มองในทิศทางเดียวกันหรือปัญหาทางสายตาอื่นๆ ควรให้จักษุแพทย์ตรวจดวงตาอย่างละเอียด

            การสังเกตเห็นอาการผิดปกติของดวงตาของลูก และให้ลูกได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม จะช่วยให้ความผิดปกติของตาด้วยภาวะต่าง ๆ ทุเลาลง หรือ หายเป็นปกติไปได้ นอกเสียจาก ว่าเด็กจะเป็นโรคเกีายวกับตาบางชนิด ที่อาจต้องรักษาเพียงตามอาการ หากคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังพฤติกรรมที่ดีให้กับลูกในด้านการป้องกันโรคต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาของลูกได้แน่นอนว่าจะเป็นการเสริมสร้างทักษะความฉลาดให้กับลูกในด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ได้อีกด้วยค่ะ เมื่อลูกไม่ป่วยง่ายด้วยมีความฉลาดในการดูแลใสใจสุขภาพของตัวเองแล้ว ก็จะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ส่งผลให้เด็กๆ เติบโตไปพร้อมกับสุขภาพที่แข็งแรงช่วยให้มีพัฒนาการและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดีสมวัยค่ะ

             

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : dmei.org , aao.org , kidshealth.org.nz , bumrungrad.com

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            ระวัง! 3 อันตรายจากแสงสีฟ้า ทำร้ายตาลูกไม่รู้ตัว

            โรคตาในเด็ก รีบรักษาก่อนสายเกินแก้!

            โรคตาขี้เกียจในเด็ก (Lazy eye) คืออะไร?

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              ตาราง รายรับ รายจ่าย

              โหลดฟรี!! ตาราง รายรับ รายจ่าย ทำง่าย ออมเงินได้เยอะ!

              ในยุคเศรษฐกิจแบบนี้ การทำ ตาราง รายรับ รายจ่าย จะช่วยให้แม่ ๆ รับรู้และควบคุมรายจ่ายที่ไม่จำเป็นของครอบครัว และออมเงินได้ ดีอย่างนี้ โหลดฟรีกันไปเลย!!

              โหลดฟรี!! ตาราง รายรับ รายจ่าย ทำง่าย ออมเงินได้เยอะ!

              เชื่อว่าแม่ ๆ ทุกคน อยากมีเงินออมเงินเก็บเพื่ออนาคตของลูก ๆ แต่ในยุคเศรษการทำบัญชีรายรับรายจ่ายในแต่ละวันนั้นเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัวเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะช่วยบริหารเงินได้ดีขึ้น ยังช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และยังมีเงินออมให้ลูกไว้ในอนาคตได้อีกด้วย

              ในแต่ละเดือนคนส่วนมากมักจะจำไม่ได้ว่าได้ใช้จ่ายอะไรไปบ้าง จนทำให้หลาย ๆ ครั้งมักจะมีปัญหาเรื่องเงินขาดมือ หรือเงินติดลบ และในบางบ้านที่แม่ ๆ ได้ลาออกมาเป็นแม่ฟูลไทม์ ทำให้เงินได้หายไปอีก 1 ทาง การทำ ตาราง รายรับ รายจ่าย หรือการจัดทำบัญชีครัวเรือน จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี และขอบอกว่าการทำบัญชีรายรับ รายจ่าย นั้นไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด ทีมแม่ ABK จึงขอนำ ตาราง รายรับ รายจ่าย จากธนาคารแห่งประเทศไทย มาให้โหลดกันฟรี ๆ ไปเลย

              โหลด ตาราง รายรับ รายจ่าย คลิก >> สมุดเงินออม – ธนาคารแห่งประเทศไทย <<

              วิธีใช้ สมุดเงินออม

              ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่ที่มีเงินเท่าไร แต่อยู่ที่ใช้เงินอย่างไร

              ถ้าใช้เงินอย่างฉลาด เงินนั้นก็จะช่วยให้คุณมีความสุข

              และมีความมั่นคงในชีวิตได้

              เมื่อดาวน์โหลด สมุดเงินออม จากธนาคารแห่งประเทศไทยกันแล้ว เมื่อเปิดไฟล์ excel ออกมา ก็จะเจอกับหน้า มาออมกันนะ

              ออมเงิน
              ออมเงิน

              ให้กดเปลี่ยนปี พ.ศ. ให้เป็นปีปัจจุบัน (ตามรูป) โดยสามารถเปลี่ยนปีพ.ศ.ได้ถึง ปีพ.ศ. 12442 กันเลยทีเดียว

              บัญชีรายรับรายจ่าย
              บัญชีรายรับรายจ่าย

              จากนั้น ให้กดไปที่ชีทเดือนที่ต้องการจะบันทึกรายรับรายจ่าย (ตามรูป)

              ตาราง รายรับ รายจ่าย
              ตาราง รายรับ รายจ่าย

              บันทึกรายรับ-รายจ่าย ตามวันที่ได้รับและจ่ายจริง โดยในตารางนี้ จะแสดงให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น ค่าอาหาร ค่าเช่าที่พัก ค่าไฟ ค่าน้ำ ค่าเครื่องนุ่งห่ม ค่ายา ค่าเดินทาง เป็นต้น และยังมีส่วนของค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และ ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าหวย ค่าบุหรี่ ท่องเที่ยว เลี้ยงดูบุพการี เป็นต้น เมื่อถึงปลายเดือน จะทำให้เราได้รู้เลยว่าครอบครัวได้เสียค่าใช้จ่ายส่วนไหนมากเกินไป โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น จะทำให้รู้ได้ว่าเราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีส่วนของเงินออมในแต่ละเดือน และเงินออมสะสม ให้เราได้รู้อีกด้วย ว่าในแต่ละเดือน เราสามารถออมเงินได้กี่บาท ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว เราควรออมเงินให้ได้ 1 ใน 4 ของเงินได้ค่ะ

              10 วิธีการออมเงินอย่างง่าย

              ในเวลาปัจจุบัน เงินเป็นปัจจัยจำเป็นสำหรับคนทุกคน เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากเราใช้ไปโดยไม่ยั้งคิดหรือฟุ่มเฟือย ปัจจัยชนิดนี้ก็จะหมดไปโดยฝากความลำบากไว้ให้กับเราในอนาคต ดังนั้นการออมเงินจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ควรปลูกฝังการประหยัดเงินตั้งแต่อายุน้อยเพื่ออนาคตจะได้ไม่ต้องพบเจอกับเจ้าปีศาจที่ไม่เป็นที่ประสงค์ของคนทุกคนคือ ความจนกับความลำบาก นั่นเอง

              วิธีการในการออมเงิน สามารถทำได้ดังนี้

              1. ซื้อกระปุกออมสินมาวางไว้ในที่ที่พบเห็นบ่อยครั้ง เช่น โต๊ะทำงาน ข้างเครื่องคอมพิวเตอร์ บนหัวเตียง ข้างรูปสุดที่รัก หรือแม้แต่หน้าห้องอาบน้ำ เป็นต้น เลือกเอาที่ใดที่หนึ่ง เพื่อเป็นการฝึกนิสัยการออม โดยจะได้ไม่ลืมใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยและหยอดออมสินทุกครั้งที่มีเงินเหลือ
              2. ก่อนจะใช้จ่ายอะไร ให้ถามกับตัวเองก่อนว่า “จำเป็นหรือไม่” เพราะของทุกอย่างล้วนมีระดับความจำเป็นไม่เท่ากัน การซื้อโดยคำนึงแต่ความชอบ หรือ ความถูกใจ เพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอ ดังนั้นจึงควรคิดพิจารณาก่อนจ่ายเงินทุกครั้ง จะได้ไม่เสียใจเมื่อซื้อในภายหลัง เว้นแต่ว่าของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่อยากได้จริง ๆ และของสิ่งนั้นเหมาะสมกับสภาพเงินที่มี ก็สามารถซื้อได้เพื่อสนองความต้องการ
              3. ทำแบบบันทึกรายรับรายจ่าย ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น อาจทำเป็นสมุดเล่มเล็กเพื่อพกพาไปได้ทุกที่ จ่ายอะไรไปก็จดไว้ ได้มายังไงก็จดไป เมื่อถึงบ้านแล้ว ก็นำรายจ่ายที่ได้ใช้ไปทั้งหมดมาลงในตาราง
              4. เปิดบัญชีฝากประจำ การฝากประจำ คือ ต้องฝากเงินในจำนวนเท่า ๆ กันทุกเดือน ในระยะเวลาที่กำหนด และเงินจำนวนนี้จะไม่สามารถถอนออกก่อนกำหนดเวลาได้ ทั้งนี้ ระยะเวลาของการฝากประจำก็มีทั้งแบบระยะสั้น 3 เดือน – 1 ปี และแบบระยะยาว 2-3 ปี ใครที่เป็นคนเก็บเงินไม่ค่อยอยู่ แนะนำให้ลองออมเงินด้วยวิธีนี้ดู ทั้งได้เงินออม ได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ย แถมยังได้ฝึกวินัยในตนเองเพิ่มอีกด้วย
              5. เก็บก่อนใช้ ได้เปรียบกว่าเห็น ๆ เช่น เงินเดือน 15,000 ให้กันเงินไว้ 1,500 (คิดเป็น 10% จากเงินเดือน) จากนั้น เงินเหลือเท่าไหร่ ค่อยหักลบหนี้สิน และรายจ่ายคงที่ (Fixed Cost) ในแต่ละเดือน เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าโทรศัพท์ แล้วจึงเหลือเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน วิธีนี้อาจจะฟังดูโหดร้ายไปสักนิด แต่เชื่อเถอะว่า เราจะมีเงินเก็บที่แน่นอนในทุก ๆ เดือน อย่างน้อย ๆ ก็ได้เดือนละ 1,500 บาท ตกปีหนึ่งก็ได้มา 18,000 บาทแล้วนะ
              6. หักบัญชีอัตโนมัติ การตั้งหักบัญชีอัตโนมัติถือเป็นตัวช่วยด้านวินัยอย่างหนึ่ง ให้เราสามารถชำระค่าบริการต่างๆ ได้อย่างถูกต้องและตรงต่อเวลา อย่าง ค่าผ่อนบ้าน ค่าโทรศัพท์ และค่างวดที่ฝากประจำต่าง ๆ ซึ่งการที่เราสามารถชำระค่าบริการต่าง ๆ ได้ตรงเวลา นอกจากจะไม่โดนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชำระล่าช้าแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างเครดิตและความน่าเชื่อถือให้กับตัวเราเองอีกด้วย
              7. ห้ามใช้แบงก์ 50 แบงก์ 50 ค่อนข้างจะเป็น Rare Item เพราะมันมีน้อยกว่าจำนวนแบงก์อื่น ๆ ที่เราใช้กัน การที่เราจะเก็บมันไว้โดยไม่ใช้ ก็ไม่น่าจะกระทบกับชีวิตประจำวันของเรามากนัก ดังนั้น ให้มองว่า เจ้าแบงก์สีฟ้านี้เป็นของต้องห้าม หมายถึง “ต้องห้ามนำออกมาใช้เด็ดขาด” นั่นแหละ สะสมเอาไว้หลายใบเข้า มารู้ตัวอีกที เก็บได้เกือบ 1,000 บาทก็มีนะ
              8. ช้อปไปเท่าไหร่ ออมคืนเท่านั้น ข้อนี้เป็นการปรับนิสัยการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของตัวเองได้ดีเลยนะ มองอีกแง่ มันเหมือนกับการ “ยืมเงินตัวเองออกมาใช้ก่อน” แล้วคืนให้ทีหลัง หลักการเดียวกับการยืมเงินเพื่อนเลย เพียงแต่นี่คือเงินตัวเอง ถ้าอยากช้อปปิ้งมาก ก็ช้อปได้เลย แต่ซื้ออะไรไปเท่าไหร่ จดไว้ แล้วหามาจ่ายคืนทีหลังด้วยนะ แม้จะเป็นเงินตัวเอง ก็ห้ามอ่อนข้อ ทำให้เหมือนเราติดหนี้เพื่อน ต้องรีบใช้คืน อย่าผัดวันประกันพรุ่งเด็ดขาด
              9. เงินเหลือเท่ากับออม สมมติว่า สิ้นเดือนเรามียอดคงเหลือในบัญชีอยู่ 1,530 บาท ให้ย้ายเงินส่วนนี้ไปใส่บัญชีเงินออม อาจจะถอนออกเป็นเลขกลม ๆ เช่น 1,500 บาท ไปเก็บออมไว้ พอขึ้นเดือนใหม่ เงินเดือนเข้ามาอีก 15,000 บาท + ของเก่าคงค้าง 30 บาท รวมเป็น 15,030 บาทเพื่อใช้จ่ายในเดือนนั้น ๆ แล้วเราก็กลับไปใช้เทคนิคตั้งแต่ข้อที่ 1 ไล่ลงมาใหม่ ถือเป็นการบังคับตัวเองให้ใช้จ่ายด้วยวงเงินที่จำกัดเท่า ๆ กันในแต่ละเดือน และลดการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายลงได้
              10. หารายได้เสริม การได้เงินได้เพียงทางเดียว ในยุคนี้นับว่าเสี่ยงต่อการเป็นหนี้ได้เหมือนกัน เพราะไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต หากรายได้หลักเกิดลดลง หรือเกิดต้องใช้เงินก้อนใหญ่ขึ้นมา การมีรายได้เสริม ก็อาจจะช่วยได้เยอะเลยค่ะ ให้จำไว้ว่าหากรู้ตัวว่าใช้เงินเก่ง ก็ต้องหาเงินให้เก่งด้วยเช่นกัน

              การจัดทำบัญชีเงินออมครัวเรือน บันทึกรายรับและรายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ โดยแบ่งหมวดหมู่อย่างชัดเจน เป็นวิธีการหนึ่งที่จะช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการใช้จ่ายของครอบครัวว่า มีการใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลตามความจำเป็น พอเหมาะกับรายรับของครอบครัวหรือไม่ หากสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นหรือฟุ้งเฟ้อเกินตน รวมทั้งมุ่งมั่นสะสมเงินออมตามเป้าหมายของตน จะสามารถสร้างรากฐานชีวิตที่มั่นคง เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีสำหรับชีวิตในอนาคตเกิดความพอเพียงในวิถีปฏิบัติอย่างแท้จริง

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              7 เคล็ดลับง่าย ๆ สอนลูกออมเงิน และรู้จักคุณค่าของเงิน

              สอนลูกเรื่องการออมเงิน ควรเริ่มเมื่อไหร่ดี?

              วิธีแก้กรรม 14 เรื่อง “ครอบครัว ความรัก และลูก” ไม่น่าเชื่อแต่จริง!!

              6 เคล็ดลับ สอนลูกใช้เงิน สไตล์ “ฟลุค เกริกพล”

               

              ขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย, ธนาคารออมสิน

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ถุงเก็บนมแม่

                19 อันดับ ถุงเก็บนมแม่ ถุงเก็บน้ำนม ยี่ห้อไหนดี

                แม่มาอีกแล้ว ทีมแม่ABK หอบหิ้วเอา ถุงเก็บนมแม่ ถุงเก็บน้ำนม เอ๊ะ!! หรือ ถุงเก็บสต๊อก จริงๆ เรียกแบบไหนก็ได้เหมือนกัน เพราะคุณสมบัติการใช้งานก็เพื่อไว้บรรจุใส่ “น้ำนมแม่” อาหารที่มีประโยชน์สำหรับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด แม่รวบตึงมาให้ได้ทั้งหมด 19 ยี่ห้อ ไปจ้ะ ไปช้อปกันดีกว่า ชอบแบบไหน ก็ซื้อมาใช้กันตามสะดวกค่ะ

                ประโยชน์ของถุงเก็บนมแม่  ถุงเก็บน้ำนม

                1. ช่วยยืดอายุน้ำนมแม่ คุณค่าสารอาหารในนมแม่ไม่ให้เสียหาย
                2. ช่วยให้น้ำนมแม่ไม่ปนเปื้อนจากเชื้อโรค แบคทีเรียต่างๆ ที่ลอยปะปนมากับอากาศ ทำให้น้ำนมแม่ สะอาด ปลอดภัย
                3. ช่วยให้ลูกน้อยมีน้ำนมแม่กินไปได้มากกว่า 6 เดือนขึ้นไป
                4. สามารถเก็บฟรีสไว้ได้นานในตู้แช่เย็น ทำให้มีสต๊อกน้ำนมให้ลูก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผง
                5. นอกจากน้ำนมแม่ เช่น ใส่อาหารเหลว ผัก ผลไม้ นำไปแช่เย็น แช่แข็งได้ ช่วยคงคุณค่าสารอาหารของอาหาร ผลไม้ให้คงอยู่

                 ควรเลือก ถุงเก็บน้ำนมแม่ แบบไหนดี ?

                1. ควรมีคุณสมบัติที่เหนียว หนา ไม่แตก ไม่รั่วง่าย
                2. ต้องมีซิปล๊อคที่แน่นหนา
                3. ต้องผลิตมาจากวัสดุที่ปลอดภัยกับสุขภาพ
                4. ควรมีที่ให้เขียน วัน เดือน ปี ระบุได้อย่างชัดเจนอยู่บริเวณด้านหน้า

                19 อันดับ ถุงเก็บนมแม่ ถุงเก็บน้ำนม ยี่ห้อไหนดี

                1. ถุงเก็บนมแม่ Toddler

                ถุงเก็บนมแม่ Toddler

                ขนาด : 4 ออนซ์  /  1 กล่อง บรรจุ 28 ใบ

                วัสดุ : ผลิตจากพลาสติก LDPE (Low density polyethylene) เนื้อถุงใสคริสตัล พลาสติกเหนียวใส มองเห็นชัดเจน ปลอดสาร BPA FREE ถุงเก็บนมแม่ ผ่านการฆ่าเชื้อแบบ Commercial Sterilization

                ระบบ : ซิปล๊อค 3 ชั้น กันรั่วซึมด้วยระบบซิปเหลี่ยม น้ำนมแม่จะไม่รั่ว ไม่ซึม

                ราคา : 124 บาท

                สั่งซื้อ : www.amvata.com

                 

                2. ถุงเก็บนมแม่ Pureen

                ถุงเก็บนมแม่ Pureen

                ขนาด : 9 ออนซ์ / 1 กล่อง บรรจุ 20 ใบ

                วัสดุ : เม็ดพลาสติกใหม่ 100% ปลอดภัยจากสารฟินอล (PBA FREE) ถุง และ สีพิมพ์เป็นชนิดที่เหมาะกับการบรรจุอาหาร (Food Contact Grade) สะอาดปลอดภัยผ่านการสเตอริไลซ์

                ระบบ : ซิปล็อค 2 ชั้น มั่นใจว่าไม่รั่วซึม เนื้อถุงหนา ทนทาน ไม่แตกง่าย

                ราคา :  270 บาท

                สั่งซื้อ : www.lazada.co.th

                 

                3. ถุงเก็บนมแม่ Sunmum

                ถุงเก็บนมแม่ Sunmum

                ขนาด :  8 ออนซ์ / 1 กล่อง บรรจุ 50 ใบ

                วัสดุ : ผลิตจากเม็ดพลาสติกเกรด A (PE100%) ผ่านการฆ่าเชื้อ (Pre-sterilized) เพื่อสุขอนามัยของลูกน้อย

                ระบบ : ซิปล็อค 3 ชั้น ปิดสนิท ป้องกันการรั่วซึมเนื้อถุงใส เคลียร์ มองเห็นน้ำนมได้ชัดเจน ซีลด้านข้างมีความหนา แข็งแรง

                ราคา :   85 บาท

                สั่งซื้อ :  www.sunmumshopping.com

                 

                4. ถุงเก็บนมแม่ Pur

                ถุงเก็บน้ำนมแม่ Pur

                ขนาด :  9 ออนซ์ / 1 กล่อง บรรจุ 40 ใบ

                วัสดุ : ปราศจาก BPA  ผ่านกระบวนการสเตอร์ริไลซ์ เพื่อรักษาคุณภาพของน้ำนมให้สะอาดอยู่เสมอ

                ระบบ : ซิปล็อค 2 ชั้น เพื่อป้องกันการรั่วซึมจากการใส่น้ำนม ถุงหนา ทนทาน ไม่แตก

                ราคา :  130  บาท

                สั่งซื้อ :  shopee.co.th

                 

                5. ถุงเก็บนมแม่ Lamoon

                ถุงเก็บน้ำนมแม่ Lamoon

                ขนาด :   5 ออนซ์ / 12 กล่อง

                วัสดุ : ผลิตจากวัสดุ FoodGrade มั่นใจในความสะอาดปลอดภัย หมดกังวลเรื่องสารตกค้าง พลาสติกคุณภาพพิเศษหนา 2 ชั้น เป็นเกราะป้องกันอากาศ ความชื้นเข้า ช่วยลดกลิ่นเหม็นหืน และช่วยรักษาอายุในการเก็บน้ำนมได้นานขึ้น ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยเทคโนโลยี มาตรฐานระดับโลก Electron beam สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์ รา

                ระบบ : ซิปล็อค 2 ชั้น แข็งแรง ป้องกันการรั่วซึมของน้ำนม

                ราคา :   1,450 บาท

                สั่งซื้อ : www.lamoonbaby.com

                 

                6. ถุงเก็บนมแม่ Minimin

                ถุงเก็บนมแม่ Minimin

                ขนาด :    9 ออนซ์ /  1 กล่อง บรรจุ 25 ใบ

                วัสดุ : พลาสติกที่ใช้เป็นแบบ Non-Toxic มาตรฐาน Biosystems Atlanta, สหรัฐอเมริกา และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พลาสติกพิเศษ เพิ่มความหนา และเพิ่มความเหนียวมากขึ้นสำหรับอาหารและยาโดยเฉพาะ ถุงเก็บสต๊อก ทุกถุงผ่านการ Pre-Sterlilized เพื่อความสะอาดสูงสุด 100%

                ระบบ : ซิปล็อค 3 ชั้น เปลี่ยนสีเมื่อปิดสนิท

                ราคา :  120 บาท

                สั่งซื้อ : https://www.facebook.com/kukkaiminimin/

                 

                7. ถุงเก็บนมแม่ Pigeon

                ถุงเก็บสต๊อก Pigeon

                ขนาด :  6 ออนซ์ /  1 กล่อง บรรจุ 25 ใบ

                วัสดุ :

                ระบบ : ซิปล็อค 2 ชั้น ป้องกันการรั่วซึม ผ่านการฆ่าเชื้อ (Pre-Sterilized) ด้วยเทคโนโลยีรังสีแกมม่า สะอาด ปลอดภัย มั่นใจ

                ราคา :   135 บาท

                สั่งซื้อ : www.central.co.th

                 

                8. ถุงเก็บนมแม่ Saker

                ถุงเก็บนมแม่ Saker

                ขนาด :  5 ออนซ์

                วัสดุ : ผลิตจากวัสดุ ฟู้ดเกรด [Food grade] ที่ได้รับรองจาก U.S.FDA จากประเทศอเมริกา ปลอดสาร BPA-Free ปลอดสารก่อมะเร็ง ปลอดสารอันตรายทุกชนิด ฆ่าเชื้อโรคด้วย เทคโนโลยี Electron beam มั่นใจทุกถุงปลอดเชื้อโรคทุกชนิด

                ระบบ : ซิปล็อค 2 ชั้น หนา 2 ชั้น ขอบ 2 ชั้น  ป้องกัน 2 ชั้น ไม่รั่ว ไม่ซึม ไม่แตก

                ราคา :   69 บาท

                สั่งซื้อ : shopee.co.th 

                 

                9. ถุงเก็บนมแม่ Nanny

                ถุงเก็บนมแม่ Nanny

                ขนาด :   5 ออนซ์ / 1 กล่อง บรรจุ 60 ใบ

                วัสดุ : ผลิตจากวัสดุพรีเมี่ยม ผ่านการรับรองมาตรฐานจากสถาบัน TUV Rheinland Germany ผ่านการสเตอริไลซ์ด้วยวิธีที่ดีที่สุด จากสถานบันมาตรฐานระดับโลกจึงสะอาด ปลอดภัยไร้สารตกค้าง

                ระบบ :  ซิปล็อค 2 ชั้น ป้องกันการรั่วซึม

                ราคา : 115 บาท

                สั่งซื้อ : amvata.com

                 

                10. ถุงเก็บนมแม่ BabyTooth

                ถุงเก็บน้ำนม BabyTooth

                 

                ขนาด :  6 ออนซ์ / 4 กล่อง 120 ใบ

                วัสดุ : สติกเกรด Vigrin บริสุทธิ์ 100% ไม่ผสมเม็ด recycle  ผ่านการฆ่าเชื้ออย่างถูกหลักอนามัย สะอาดปลอดภัย ใช้สีพิมพ์ปราศจากสารโลหะหนัก บริสุทธิ์ 100%  หมดดกังวลเรื่องสารตกค้าง

                ระบบ :  ซิปล็อค 3 ชั้น ป้องกันการรั่วซึม

                ราคา :  340 บาท

                สั่งซื้อ : amvata.com

                 

                11. ถุงเก็บนมแม่ Moby

                ถุงเก็บนมแม่ Moby

                 

                ขนาด :  5 ออนซ์ / 1 กล่องมี 3 ลาย บรรจุ 30  ใบ

                วัสดุ : ผลิตด้วยฟิล์ม Food Grade หนา 2 ชั้น เหนียวแข็งแรง ไม่แตกง่าย ผ่านการฆ่าเชื้อแบบสเตอไรส์

                ระบบ :  ซิปล็อค 2 ชั้น ปิดสนิทไม่รั่วซึม ป้องกันแสง อากาศ ความชื้น และช่วยลดการเหม็นหืน

                ราคา :  740 บาท

                สั่งซื้อ : amvata.com

                 

                12. ถุงเก็บน้ำนมแม่ Marinda

                ถุงเก็บน้ำนมแม่ Marinda

                ขนาด :   – ออนซ์ /  1 กล่อง บรรจุ 40 ใบ

                วัสดุ : ทุกถุงผ่านการฆ่าเชื้อในระบบ sterilized อย่างดี เพื่อความสะอาดสูงสุด

                ระบบ :  ซิปล็อค 2 ชั้น ป้องกันการรั่วซึม พิมพ์ด้วยสีน้ำปราศจากสารโลหะหนัก ผ่านการฆ่าเชื้อตามมาตรฐานการผลิตสากล

                ราคา :   150 บาท

                สั่งซื้อ : amvata.com

                 

                13. ถุงเก็บนมแม่ Philips Avent

                ถุงเก็บน้ำนมแม่ Philips Avent

                 

                ขนาด : 6 ออนซ์ /  1 กล่อง บรรจุ 25 ใบ

                วัสดุ : ผลิตจากวัสดุปลอดสาร BPA ถุงเก็บสต็อกผ่านการฆ่าเชื้ออย่างดี สะอาด ปลอดภัย

                ระบบ :  ซิปล็อค 2 ชั้น หนา ปลอดภัยและกันการรั่วซึมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยตะเข็บด้านข้างที่ได้รับการเสริมความแข็งแรงเหนียวแบบสองชั้น

                ราคา : 190 บาท

                สั่งซื้อ : amvata.com

                 

                14. ถุงเก็บนมแม่ Brusta

                ถุงเก็บน้ำนม Brusta

                 

                ขนาด :  6 ออนซ์ /  1 ลัง บรรจุ 300  ใบ

                วัสดุ : ผลิตจากพลาสติกชั้นดี ปลอดภัย ถุงเก็บสต๊อกเนื้อเหนียว ไม่รั่ว หนาแต่รีดง่าย

                ระบบ :  ซิปล็อค 3 ชั้น เก็บนมอย่างหนาแน่นไม่มีหก

                ราคา :  1,320 บาท

                สั่งซื้อ : amvata.com

                 

                15. ถุงเก็บนมแม่ Saruchan

                ถุงเก็บนมแม่

                 

                ขนาด :  – ออนซ์ /  1 กล่อง บรรจุ  20  ใบ

                วัสดุ : ผลิตจากวัสดุปราศจาก BPA Free ผ่านการฆ่าเชื้อ ปลอดภัยสำหรับเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิด

                ระบบ :  ซิปล็อค 3ชั้น แน่นหนาหนึบหนับ

                ราคา :  59 บาท

                สั่งซื้อ : www.punnita.com

                 

                16. ถุงเก็บนมแม่ Ken & Kathy

                ถุงเก็บนมแม่ Ken & Kathy

                 

                ขนาด :  ออนซ์ / 1 กล่อง บรรจุ 200 ใบ

                วัสดุ : ผลิตจากพลาสติกเกรดพรีเมียม BPA Free ผ่านการฆ่าเชื้อ สะอาด ปลอดภัย

                ระบบ :  ซิปล็อค 2 ชั้น ป้องกันของเหลวไหลออกและรองรับแรงดันได้ดีขณะวัตถุขยายตัวเมื่ออยู่ในช่อง Freeze

                ราคา : 990 บาท

                สั่งซื้อ : shopee.co.th

                 

                17. ถุงเก็บนมแม่ Little Mom

                ถุงเก็บน้ำนม Little Mom

                 

                ขนาด :  – ออนซ์ / 7 สีใน 1 กล่อง บรรจุ 35 ใบ

                วัสดุ : ถุงหนาพิเศษด้วยเทคโนโลยีการผลิตแบบ 2 ชั้นเพิ่มความแข็งแรง และช่วยหมดกังวลเรื่องการซึมของหมึกพิมพ์ ผ่านการ Pre-sterilized ช่วยให้คุณแม่หมดกังวล และมั่นใจเรื่องของความสะอาด

                ระบบ :  ซิปล๊อก 3 ชั้น ลดการรั่วซึม ขอบซีลหนา ลดการแตกรั่ว

                ราคา :  189 บาท

                สั่งซื้อ : https://web.facebook.com/LittleMomBreastmilkBags/

                 

                18. ถุงเก็บนมแม่ Attitude Mom

                ถุงเก็บนมแม่ Attitude Mom

                ขนาด :  8 ออนซ์ /  12 กล่อง บรรจุ  360 ใบ

                วัสดุ : ผลิตด้วยกระบวนการแลฃยะวัถุดิบมาตรฐาน FOOD GRADE วัสดุชั้นในเป็นพลาสติก LDEP มีความยืดหยุ่นสูงป้องกันการแตก ไม่รั่วซึม เหมาะสำหรับการแช่แข็งน้ำนมที่มีความเย็นจัด ทนอุณหภูมิต่ำได้เป็นอย่างดี วัสดุชั้นนอกเป็นพลาสติก PET ป้องกันการยืดและหดตัวขณะแช่แข็งแล้วละลายเพื่อใช้งาน ช่วยป้องกันสารเคมีจากน้ำหมึกที่เขียนซึมบนถุง

                ระบบ :  ซิปล็อค 2 ชั้น ปิดสนิท ไม่รั่วซึม ถุงเก็บสต๊อก ชีลขอบหนา 5 mm. พลาสติก 2 ชั้นหนาและเหนียวเป็นพิเศษ ป้องกันอากาศเข้าสู่น้ำนม ลดการเหม็นหืนของน้ำนม สีถุงทึบแสงเพื่อเก็บคุณค่าของน้ำนมได้นานยิ่งขึ้น

                ราคา :  1,699 บาท

                สั่งซื้อ : attitudemombreastpump.com

                 

                19. ถุงเก็บน้ำนมแม่ NATUR

                ถุงเก็บนมแม่ NATUR

                ขนาด : 4 ออนซ์ /  1 กล่อง บรรจุ  30  ใบ

                วัสดุ : ผลิตจากพลาสติกโพลิเอทิลีน (LDPE) ชนิดที่ใช้บรรจุอาหาร ปลอดสารบิสฟีนอล-เอ (BPA-free) สีพิมพ์เป็นสีชั้นคุณภาพสำหรับการสัมผัสอาหาร (food contract grade) ถุงเก็บสต๊อกหนา ผ่านการสเตอริไลซ์ สะอาด ปลอดภัย

                ระบบ : ซิปล็อคแน่น 2 ชั้น ซีลปิดสนิท ป้องกันการรั่วซึม

                ราคา : 85 บาท

                สั่งซื้อ : www.bonnykids.com

                 

                ✨ต้องบอกว่าตลาดผลิตภัณฑ์ ถุงเก็บนมแม่ ถือว่ามีให้เลือกช้อปหลายแบรนด์มาก ซึ่งแต่ละแบรนด์ ก็มีความโดดเด่น ที่แตกต่างการออกไป ซึ่งหากมองในเรื่องของคุณภาพแล้วถือมีว่าใกล้เคียงกันหมด ทั้งนี้สำหรับคุณแม่ท้องที่เตรียมตัวคลอด และอยากให้นมลูกด้วยตัวเอง ถุงเก็บน้ำนม จึงเป็นไอเทมสำคัญที่ต้องมีติดบ้าน แต่หากยังไม่รู้ว่าจะเลือกซื้อยี่ห้อไหนดี ก็สามารถมาหยิบจับสัมผ้สเนื้อถุงเก็บน้ำนมด้วยตัวเอง ได้ที่งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 22 ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ ถุงเก็บนมแม่ มากมายหลายแบรนด์ให้เลือกซื้อ

                ✨รวมไปถึงสินค้าแม่และเด็กอื่นๆ อีกมากมาย พากันไปช้อปได้ตั้งแต่วันที่ 8-11 ก.ย. 65
                ⏰ เวลา 10.00 – 20.00 น. 📌 Hall 98-99  ไบเทค บางนา
                ❤️ แม่จ๋ากำเงินไว้.. มาช้อปแหลกเพื่อแม่ลูก ครบ ถูก ดี ยิ่งใหญ่กว่าทุกครั้ง❗️

                ✨ ลงทะเบียนเข้างาน! รับฟรี 2 ต่อ 👉🏻 https://cooll.ink/abk22

                💕 ต่อที่ 1 : รับฟรี! ชาม Amarin Baby & Kids Fair พร้อมผลิตภัณฑ์แม่-ลูก

                💕 ต่อที่ 2 : ลุ้นรับฟรี! ของรางวัลเพื่อแม่ลูก จากกล่องสุ่มของใช้แม่ลูกและผลิตภัณฑ์จากอิเกีย มูลค่ารวมกว่า 300,000 บ.
                .
                สำหรับแม่ๆ ที่ช้อปผ่าน Lazada รับเพิ่มฟรี!
                👉 จ่ายผ่านลาซาด้ารับคูปองลดเพิ่มสูงสุด 2,000.- (เฉพาะในงานนี้เท่านั้น)
                👉 ของขวัญมากมายจากลาซาด้าและแบรนด์ชั้นนำ เมื่อช้อปภายในงาน (พบกันที่บูธ S16)
                👉 คูปองสมาชิก LazMom Club ไว้ช้อปทุกเดือน

                *เฉพาะแบรนด์และร้านค้าที่ร่วมงาน กว่า 100 ร้านค้า
                .
                💛 ลดจัดหนัก ไม่มีกั๊ก 4 วันรวด 🔥
                💚 ยกขบวนสินค้าแบรนด์ดัง ดีลสุดโดน 🧸
                💙 ยิ่งช้อปยิ่งคุ้ม รับสิทธิพิเศษเพียบ!! 🛍
                📌 ในงาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 22
                .
                🚩 พบกัน วันที่ 8-11 ก.ย. 65 Hall 98-99 ไบเทค บางนา
                ⏰ งานเริ่ม 10.00 – 20.00 น.
                🌱 มาที่นี่ครบ จบที่เดียว 💕 ครบทุกสิ่ง❗️ ครบทุกอย่าง❗️ ที่คุณต้องการ❗️
                #ABK22 #AmarinBabyAndKidsFair22 #ไบเทคบางนา

                 

                อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ

                รวม 10 คอกกั้น “เด็ก” ยี่ห้อไหนดี

                  ตั้งชื่อลูก ชื่อดอกไม้

                  รวม250 ชื่อดอกไม้ แสนสวย หลายภาษาไว้ตั้งชื่อลูก!

                  ชื่อดอกไม้ แสนสวยเป็นที่ชื่นชอบทั่วโลก เพราะให้ความรู้สึกงดงาม ฟังแล้วไพเราะ ใครได้ยินก็ชื่นใจ มาดูตัวอย่างชื่อดอกไม้หลายภาษา ชื่อไหนเหมาะกับลูกเรากันนะ

                  รวม 250 ชื่อดอกไม้ แสนสวย หลายภาษาไว้ตั้งชื่อลูก!

                  เพราะ “ชื่อ” เป็นสิ่งที่ติดตัวไปตั้งแต่เกิดจนโต ดังนั้น คงเป็นเรื่องหนักใจสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ในการตั้งชื่อให้กับสมาชิกใหม่ในครอบครัวที่หน้าตาน่ารัก น่าชัง ชื่อแบบไหนจะเหมาะกับลูก แบบไหนจะถูกโฉลก และแบบไหนที่เป็นมงคลกับชีวิตเขากันนะ

                  วิธีการตั้งชื่อลูกนั้นก็มีมากมายหลากหลายแนวคิดให้พ่อแม่ได้เลือกใช้กัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแนวทางไหนก็ลองเลือกดูในแบบที่เหมาะกับครอบครัวของเราที่สุด และคำนึงถึงเจ้าตัวน้อยเพราะเป็นสิ่งที่เขาจะต้องใช้ไปตลอดชีวิตนั่นเอง

                  ศาสตร์แห่งการตั้งชื่อลูก

                  หลักการ หรือศาสตร์ในการตั้งชื่อให้เป็นมงคลนั้น เป็นเรื่องที่กำหนดไว้โดยยึดหลั่ีกใหญ่ ๆ อยู่ 2 แบบ คือ ศาสตร์แห่งโหราศาสตร์ และศาสตร์แห่งโลกศาสตร์ หากจะกล่าวกันแบบง่าย ๆ นั่นคือ การตั้งชื่อลูกให้เป็นมงคลนั้น ควรยึดตามแนวทั้งของความเชื่อ และความเป็นจริง ในแนวทางความเชื่อนั้นก็คงมีมากมายแตกต่างกันไปตามแต่ความเชื่อ และวัฒนธรรมของแต่ละครอบครัว เช่น ตามหลักโหราศาสตร์ ตามหลักศาสนา หรือตามหลักเชื้อชาติ เป็นต้น แต่ในด้านโลกศาสตร์นั้น เราพอจะรวบรวมมาให้แง่คิดกันเป็นข้อ ๆ ดังนี้

                  การตั้งชื่อลูก หลักเกณฑ์และแนวคิด
                  การตั้งชื่อลูก หลักเกณฑ์และแนวคิด

                  8 แนวคิดในการตั้งชื่อลูกตามหลักความเป็นจริง

                  1. คำนึงถึงอนาคต
                    การตั้งชื่อลูกตามสมัยนิยม หรือตั้งโดยดูจากความน่ารักของเด็ก อาจเหมาะสมกับความเป็นเด็กทารกน่ารัก หรือดูน่าสนใจในช่วงเวลานั้น ๆ แต่อย่าลืมว่า ชื่อนี้จะต้องอยู่ไปจนลูกโตเป็นผู้ใหญ่ มีลูกมีหลาน อาจได้เป็นเจ้าคนนายคน เข้าสังคม ดังนั้นชื่อจึงควรมีส่วนช่วยสร้างความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิต ดังนั้น การตั้งชื่อลูก ควรคำนึกถึงหน้าลูกตอนเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าชื่อเล่นหรือชื่อจริงก็ตาม
                  2. ตั้งชื่อจริงต้องถูกต้องตาม พรบ.
                    ชื่อจริงลูกที่ตั้งนั้นต้องนำไปลงทะเบียนแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการ จึงจำเป็นต้องถูกต้องตาม พรบ. ชื่อบุคคล ปัจจุบัน ดังนั้นควรทำความเข้าใจ หาข้อมูลว่าชื่อแบบใดที่เป็นข้อห้ามบ้าง และอาจจำเป็นต้องเตรียมชื่อจริงไปมากกว่าหนึ่งชื่อ เผื่อเลือก เพราะตาม พรบ.จะมีการจำกัดพยางค์ และพยัญชนะ ที่กฏหมายอาจเปลี่ยนแปลงได้
                  3. หลีกเลี่ยงการตั้งชื่อกำกวม
                    การตั้งชื่อลูกประเภทที่มีความหมายกำกวม หรือชื่อที่มีความหมายแฝงไปในแง่ที่อาจจะทำให้ถูกล้อได้ เช่น ลูกผู้ชาย แต่เอาชื่อเล่นผู้หญิงมาตั้งให้ หรือเอาชื่อที่คล้ายกับชื่อสัตว์เลี้ยงมาตั้งให้เพราะคิดว่ายังเป็นเด็กทารก ชื่ออะไรก็ได้น่ารักดี ชื่อเหล่านี้จงอย่าเสี่ยงตั้งให้ลูก เพราะมีแนวโน้มสูงที่ลูกจะถูกเพื่อนล้อ(Bully)ในโรงเรียน และทำให้เกิดปมด้อย อาจส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตไปจนโต
                  4. ตั้งชื่อที่มีความยาวพอดิบพอดี
                    ชื่อที่สามารถจำง่าย สะกดง่าย มักดีต่อเจ้าของชื่อมากกว่าชื่อที่ยาว ๆ หรือเขียนยาก ๆ เรามักพบคนในตำแหน่งสูง ๆ และแม้แต่ผู้นำของโลกมักมีชื่อเรียกที่ธรรมดา เรียกง่าย ไม่ได้แปลกประหลาดกว่าคนอื่น ๆ แต่อย่างใด เริ่มจากการเข้าสังคม ถ้าชื่อเข้าใจง่าย ใคร ๆ ก็อยากเรียก อยากจำ เหมือนกับเป็นชื่อแบรนด์ที่จำง่าย เพิ่มมูลค่าการตลาดให้กับเจ้าของชื่อไปในตัว

                    ลูกโดนล้อชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้
                    ลูกโดนล้อชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้
                  5. อาจคำนึงถึงการย่อชื่อ ความหมายอื่นที่ล้อไปกับชื่อลูกด้วย
                    ชื่อจริงของลูกถ้ามันสามารถย่อได้ ก็มีแนวโน้มสูงว่าเพื่อนๆ ของลูกคุณจะย่อมันให้เหลือคำเดียวแน่นอน พ่อแม่ควรคำนึงถึงชื่อที่สามารถถูกย่อลงมาได้ด้วย เช่น จิรายุธ ก็อาจเหลือแค่คำว่า “จิ” ซึ่งดูแล้วแบบนี้ใช้ได้ไม่เป็นไร แต่ชื่ออื่นๆ ก็ต้องมาดูกันให้ดี เพราะถ้าชื่อถูกย่อ แล้วมีความหมายแปลก ๆ ไม่น่าฟังก็ไม่ควรนำมาตั้งเป็นชื่อให้กับลูก หรือชื่อที่มีความหมายหลายแบบ หากความหมายอีกแบบไม่ค่อยจะดีก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจจะกลายเป็นชื่อที่ถูกล้อได้อีกเช่นกัน
                  6. ความคล้องจองของเสียง
                    เสียงของชื่อและนามสกุลถ้าเข้ากันก็น่าฟังกว่า รวมถึงความสั้นยาวของชื่อ การสะกด ที่ช่วยทำให้จำง่ายขึ้น ล้วนเสริมสร้างความไพเราะของชื่อ และช่วยเรื่องการเข้าสังคมให้ง่ายขึ้นของลูก นอกจากนี้ สำหรับพ่อแม่ที่อยากให้ลูกมีชื่อที่เป็นสากล หลังจากได้ชื่อที่ชอบแล้ว ลองเอาออกมาเขียนเป็นภาษาอังกฤษดูด้วยว่ามันจะอ่านยาก หรือง่ายอย่างไรบ้าง มีชื่อไทยมากมายที่สามารถใช้ได้ทั้งสองภาษา เช่น วสันต์ – Watson หรือชื่อไทยที่ดูดีแม้เป็นภาษาอังกฤษอย่าง ศรัณย่า – Sarunya เป็นต้น
                  7. อย่าตั้งชื่อลูกเพราะเกรงใจ
                    อย่าตั้งชื่อเพียงเพราะมีคนอื่นแนะนำมา หรือเป็นชื่อที่ได้มาจากผู้ใหญ่ที่เกรงใจ หรือที่ไหนก็ตาม แต่ถ้าตัวพ่อแม่เองก็ไม่ได้ชอบ หรือคิดว่าชื่อนั้นเหมาะสมกับลูกตัวเองเท่าไหร่ (อาจขัดแย้งกับข้อแนะนำในการตั้งชื่อทั้งหมดในนี้) ชื่อที่ดีควรเป็นชื่อที่พ่อแม่รู้สึกดีด้วย ลองใช้สัญชาตญาณความเป็นพ่อแม่ และความรู้สึกถึงความเหมาะสมต่อลูกคุณ อย่าเชื่อคนอื่นเสียหมด หรือตั้งชื่อเพราะเกรงใจคนอื่น ชื่อของลูกคุณต้องสำคัญที่สุดก่อนเสมอ ก่อนความเกรงใจและอื่น ๆ ทั้งหมด
                  8. ชื่อความหมายมงคล
                    ถ้าคุณพ่อคุณแม่เชื่อในเรื่องของความเป็นสิริมงคล ชื่อที่ดีก็อาจหมายถึงชื่อที่มาพร้อมความหมายมงคล ชื่อที่ตั้งตามวันเกิด หรือเป็นชื่อที่ตั้งตามชื่อพ่อแม่ และชื่อตามตัวเลขมงคล ซึ่งเด็กเกิดวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน ชื่อที่เหมาะกับเด็กคนนี้อาจแตกต่างกัน เพราะต้องดูชื่อคุณพ่อคุณแม่มาประกอบด้วย เพราะฉะนั้น การตั้งชื่อลูก จึงควรดูแบบเฉพาะเจาะจงไปราย ๆไป จะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องที่สุด

                    ชื่อที่เป็นมงคล เหมาะสำหรับลูกน้อย
                    ชื่อที่เป็นมงคล เหมาะสำหรับลูกน้อย

                  ชื่อดอกไม้ ชื่อนี้แสนไพเราะ

                  ชื่อดอกไม้ ชื่อที่มีความไพเราะ สวยงาม งดงามอยู่ในตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่ใครหลาย ๆ คนนิยมนำมาตั้งเป็นชื่อในแก่ลูกน้อย ดอกไม้คือสิ่งที่ผู้คนทั่วโลกต่างนิยม ใครได้เห็นดอกไม้ ต่างก็ชื่นใจ ทั้งสบายตา กลิ่นหอม และสวยงาม และที่สำคัญเพียงแค่เอ่ยชื่อ ทุกคนต่างรู้จักกันดี และเข้าใจถึงลักษณะของดอกไม้นั้น ๆ ได้ในทันที ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจหลักการในการตั้งชื่อลูกแล้ว ลองเลือกนำชื่อของดอกไม้มาตั้งเป็นชื่อให้แก่ลูกน้อยก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย

                  ชื่อดอกไม้หลายภาษา

                  ชื่อดอกไม้ ภาษาอังกฤษ

                  Allamanda

                  แอลลาแมนด้า

                  ดอกบานบุรีChrysanthemum

                  คริสเซนทีมัม

                  ดอกเบญจมาศ
                  Bullet wood

                  บุลเล็ต วู้ด

                  ดอกพิกุลCroton

                  โครตัน

                  ดอกโกสน
                  Butterfly pea

                  บัทเตอร์ฟลาย พี

                  ดอกอัญชันDahlia

                  ดาเลีย

                  ดอกรักเร่
                  Canna Lily

                  แคนนา ลิลี่

                  ดอกพุทธรักษาDesert rose

                  เดสเสิท โรส

                  ดอกลั่นทม
                  Cape Jasmine

                  เคป จัสมิน

                  ดอกพุดซ้อนEagle Wood

                  อีเกิล วู้ด

                  ดอกกฤษณา
                  Chinese rose

                  ไชนีส โรส

                  ดอกชบาEricaceae

                  เอริคาซี

                  ดอกกุหลาบพันปี
                  Flamingo Plantฟลามิงโก แพลนท์ดอกหน้าวัวFour o’clock

                  โฟ โอคล๊อค

                  ดอกบานเย็น
                  Globe Amaranth

                  โกล๊บ แอมมาแรน

                  ดอกบานไม่รู้โรยHibicus

                  ฮิบิคัส

                  ดอกชบา
                  โรส ชื่อดอกไม้ แนวสากล
                  โรส ชื่อดอกไม้ แนวสากล
                  ilang-ilang

                  อิแลง อิแลง

                  ดอกกระดังงาIndian Cork

                  อินเดี้ยน คอร์ค

                  ดอกกาสะลอง
                  Ixora

                  ไอโซร่า

                  ดอกเข็มJasmine

                  จัสมิน

                  ดอกมะลิ
                  Kalanchoe

                  คาลันโช

                  ดอกกุหลาบหินLotus

                  โลตัส

                  ดอกบัว
                  Marigold

                  แมริโกล

                  ดอกดาวเรืองMexican Diasy  แมกซิกัน เดลซี่ดอกดาวกระจาย
                  Night jasmine

                  ไนท์ จัสมิน

                  ดอกราตรีOlender

                  โอเลนเดอร์

                  ดอกยี่โถ
                  Orange jasmine

                  ออเร๊นจ จัสมิน

                  ดอกแก้วOrchid

                  ออขิด

                  ดอกกล้วยไม้
                  Rainbow shower

                  เรนโบว์ ชาวเวอร์

                  ดอกชัยพฤกษ์Rose

                  โรส

                  ดอกกุหลาบ
                  Saraphi

                  สาระพี

                  ดอกสารภีScrophulariaceae

                  สโครพูลาเรียซี

                  แววมยุรา

                  ชื่อดอกไม้ ภาษาญี่ปุ่น พร้อมความหมาย

                  1. ดอกกุหลาบแดง ( Akaibara, 赤い薔薇)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความโรแมนติก

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความโรแมนติก

                  2. ดอกคาร์เนชั่น (Kaneshon, カーネーション)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความรัก เพราะดอกคาร์เนชั่น สีแดงเป็นของขวัญวันแม่

                  ความหมายของชาวตะวันตก : มีความหมายหลายอย่าง ขึ้นอยู่กับสี ยกตัวอย่างเช่น ดอกคาร์เนชั่นสีแดง เป็นตัวแทนของความรักที่โรแมนติกแต่ดอกสีเหลืองจะหมายถึงการปฏิเสธนั้นเอง

                  3. ดอกพลับพลึงสีแดง (Higanbana, 彼岸花 )

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความตาย

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ไม่มี

                  ดอกฮิกังบะนะ ในอดีตจะปลูกอยู่รอบ ๆ สุสานเพราะคิดว่ามันสามารถไล่แมลงตัวเล็ก ๆ ได้ ฉะนั้นดอกไม้เหล่านี้จึง เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับความตาย และมีตำนานมากมาย ยกตัวอย่างเช่น เชื่อกันว่าหากคุณจะได้เจอใครเป็นครั้งสุดท้าย ดอกฮิกังบะนะจะโตขึ้นในที่ที่คุณบอกลากัน

                  4. ดอกกุหลาบสีขาว (Shiroibara, 白い薔薇)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความใสซื่อ ความซื่อสัตย์และความสงบ

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความบริสุทธิ์และการถือพรหมจรรย์

                  5. ดอกกุหลาบสีเหลือง (Kiiroibara, 黄色い薔薇)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความอิจฉาริษยา

                  ความหมายของชาวตะวันตก : มิตรภาพและความจงรักภักดี

                  6. ดอกทิวลิปสีแดง (Akaichurippu, 赤いチューリップ)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ชื่อเสียง

                  ความหมายของชาวตะวันตก : รักที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์

                  7. ดอกทิวลิปสีเหลือง (Kiiroichurippu, 黄色 チューリップ)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : การหลงรักข้างเดียว

                  ความหมายของชาวตะวันตก : การหลงรักข้างเดียวหรือรักที่ไม่สมหวัง

                  8. ดอกพริมโรส (Sakuraso, 桜草)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความสิ้นหวัง

                  ความหมายของชาวตะวันตก : รักที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์

                  9. ดอกสวีทพี (Suitopi, スイートピー)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความสิ้นหวัง

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ไม่มี

                  10. ดอกบลูเบล (Buruberu, ブルーベル)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความกตัญญู

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความกตัญญู

                  11. ดอกกระบองเพชร (saboten no hana, さぼてんの花)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความทะเยอทะยาน

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความรักของแม่

                  ตั้งชื่อลูก ชื่อดอกไม้ ธรรมชาติ สวยงาม
                  ตั้งชื่อลูก ชื่อดอกไม้ ธรรมชาติ สวยงาม

                  12. ดอกคาร์มีเลียสีแดง (Tsubaki, 椿)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ถ้าคุณไม่ใช่ซามูไร ดอกคาร์มีเลียจะหมายถึง ความรัก

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความยอดเยี่ยม ความเป็นเลิศ

                  13. ดอกคาร์มีเลียสีเหลือง

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความปรารถนา ความต้องการ

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความยอดเยี่ยม ความเป็นเลิศ

                  14. ดอกคาร์มีเลียสีขาว (Tsubaki, 椿)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : การรอคอย

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความยอดเยี่ยม ความเป็นเลิศ

                  15. ดอกเบญจมาศสีขาว (Shiragiku, 白菊)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : ความจริงหรือความเศร้า (เป็นดอกไม้ที่พบมากที่สุดในงานศพ)

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความตายและความเศร้า

                  16. ดอกแดฟโฟดิล (Suisen, 水仙)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : การเคารพและนับถือ

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความรักที่มีเกียรติหรือรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

                  17. ดอกกุหลาบสีชมพู (Pinku no bara, ピンクの薔薇)

                  ความหมายของคนญี่ปุ่น : การเชื่อใจและความสุข

                  ความหมายของชาวตะวันตก : ความสง่างาม

                  ตัวอย่างชื่อดอกไม้ภาษาญี่ปุ่น ความหมายดี

                  ชื่อดอกไม้ภาษาญี่ปุ่นชื่อดอกไม้

                  ภาษาอังกฤษ

                  ชื่อดอกไม้ภาษาญี่ปุ่นชื่อดอกไม้

                  ภาษาอังกฤษ

                  TsubakiCamelliaKinmokuseiOrange Osmanthus
                  SumireVioletKosumosuCosmos
                  MomoPeachUmeJapanese Apricot
                  SakuraJapanese CherryAyameIris flower
                  SakurasouPrimula sieboldiiHimawariSun flower
                  AsagaoMorning GloryHimariHolly Holk
                  KikuChrysanthemumMomokoPeach
                  RunOrchidRikoJasmin
                  SakiHope flowerSaikaColourful flower
                  SumireVioletHanaflower
                  IchikoStrawberryMasakiTree
                  MisakiBlooming flowerHarumiFlower sesion
                  ชื่อดอกไม้ ดอกลีลาวดี
                  ชื่อดอกไม้ ดอกลีลาวดี

                  ชื่อดอกไม้ไทย ความหมายดี เสริมดวง

                  1. ดอกแก้ว คนโบราณมีความเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นแก้วไว้ประจำบ้านจะทำให้เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ มีความเบิกบาน มีคุณค่าสูง เพราะแก้วคือความใสสะอาดความสดใส หมายถึง สิ่งที่ดี มีค่าสูง เป็นที่นับถือบูชาของบุคคลทั่วไป นอกจากนี้ดอกแก้วยังมีสีขาวสะอาดสดใสมีกลิ่นหอมนวลไปไกล และดอกแก้วยังถูกนำไปใช้ในพิธีบูชาพระในพิธีทางศาสนาด้วย

                  2.มะลิ ถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ดอกไม้ประจำวันแม่แห่งชาติ จึงเป็นดอกไม้ที่หลาย ๆ คนมักจะนำไปไหว้แม่ ในด้านความหมายสื่อแทนความกตัญญู คนที่บูชา คนที่รัก ผู้สูงส่ง ความปรารถนาดี เป็นที่รัก ที่คิดถึงของคนทั่วไป

                  3.เบญจมาศ ในคติความเชื่อโบราณของจีน ดอกเบญจมาศเป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุยืน ความงามนิรันดร์ ดอกไม้แห่งความรื่นเริงและความบริสุทธิ์ใจ

                  4.ลีลาวดี แสดงถึงความสวยงาม อ่อนช้อย บูชา การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้วมีความสุข นับเป็นชื่อยอดนิยมอีกชื่อหนึ่งของคนไทย

                  5.ทิวลิป ดอกทิวลิปเป็นอีกดอกไม้ที่เป็นที่นิยมระดับโลก เพราะมีความโดดเด่นของรูปร่างดอก สี และกลิ่นหอม ถือเป็นดอกไม้ที่ถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของรักแท้ ซึ่งรักแท้ของคุณพ่อคุณแม่ก็คือลูกนี่เอง

                  6.ทิวา ต้นทิวาเป็นไม้กระถางที่ออกดอกเป็นช่อที่ปลายกิ่งมีดอกย่อย 15 – 20 ดอก โคนกลีบดอกเป็นหลอด ยาว 1 เซนติเมตร ปลายแยกเป็น 5 – 6 กลีบสั้นๆ ม้วนกลับ ดอกสีขาว ด้วยสไตล์ดอกที่เท่ไม่เหมือนใคร จึงมีคนหลงใหลนำมาตั้งเป็นชื่อจะได้มีความเป็นตัวของตัวเองไม่ซ้ำใคร

                  7.พิกุล ตามความเชื่อของคนไทย ดอกพิกุล เป็นดอกไม้มงคล มีความหมายแสดงถึง ความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง พรั่งพร้อม หากมีไว้กับตัวจะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลในชีวิต

                  สุพรรณิการ์ ชื่อดอไม้มงคล

                    สุพรรณิการ์ ชื่อดอกไม้มงคล

                  ตัวอย่างชื่อดอกไม้ไทย

                  แคทรียามหาหงส์พุทธรักษาเอื้องจอมทองกาหลง
                  ลำดวนทิวาหิรัญญิการ์พลับพลึงรสสุคนธ์โสน
                  พุดตานพุดจีบมินตราสโรชาโบตั๋นลดาวัลย์
                  ระย้าเเก้วนางแย้มอัญชันจงกลณีฉัตรชบาโป๊ยเซียน
                  เอื้องมินตราบานชื่นชบาแก้วช่อพิกุลระย้าแก้ว
                  เทียนหอมซ่อนกลิ่นทานตะวันกันเกรามาลาการบุนนาค
                  ราตรีแก้วเจ้าจอมราชาวดีเข็มขาวกัลปพฤกษ์พุดจีบ
                  มาลีวัลย์มรินทร์รักเวียงพิงค์สร้อยสายเพชรว่านหางช้าง
                  ดาวกระจายซ่อนกลิ่นคอเดียยิปโซลิลลี่โรสแมรี่
                  พริมโรสโรสเยอบีร่าคอเดียคัดเค้ากาสะลองคำ
                  ต้นงาช้างสุพรรณิการ์ฉัตรแก้วจันทร์กระจ่างฟ้าพุดตาลชมพูสิริน
                  ประยงค์ช้องนางประดู่หลิวช้องแมวคัดเค้าเทียนหยด
                  ดอกเดซี่ ชื่อดอกไม้ ที่นิยมตั้งให้ลูก
                  ดอกเดซี่ ชื่อดอกไม้ ที่นิยมตั้งให้ลูก

                  ชื่อดอกไม้หลายภาษา 

                  1.อาเคเซีย (Acacia) มาจากชื่อไม้พุ่ม ‘อาเคเชีย’ ที่มีดอกเป็นสีเหลืองและสีขาว เดิมทีชื่อนี้มักตั้งเป็นชื่อของชาวกรีก และยังเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ
                  2.เดซี่ (Daisy) เป็นอีกชื่อดอกไม้ที่คนนิยมนำมาตั้งชื่อลูกสาว เพราะนอกจากจะเป็นดอกไม้ที่สวยแล้ว ยังมีความหมายที่ดีอีกด้วย ซึ่งดอกเดซี่นั้นใช้แทนถึงความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา และแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจต่อกันและกัน อีกทั้งยังเป็นตัวแทนของความรักที่ซื่อสัตย์อีกด้วย
                  3.พริมโรส (Primrose) เป็นอีกชื่อที่ไพเราะ และนิยมใช้ตั้งชื่อคนมาหลายสมัย เพราะว่าเป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นวัยรุ่นแรกแย้ม จะเห็นได้ว่าชาวต่างชาติมักให้ดอกพริมโรสพร้อมของขวัญในวันเกิด หรือในวันโอกาสสำคัญ ๆ เพราะหมายถึง ความเป็นวัยรุ่นจะยังคงสดใสตลอดไป
                  4.จาเรด(Jared)เป็นชื่อผู้ชายที่มาจากภาษาฮีบรู มีความหมายว่า‘ดอกกุหลาบ’ เป็นอีกชื่อที่ฟังดูเท่มากเลย คิดเหมือนกันไหม?
                  ชื่อดอกไม้ เรน แปลว่า ดอกบัว
                  ชื่อดอกไม้ เรน แปลว่า ดอกบัว
                  5.เร็น (Ren) เป็นชื่อภาษาญี่ปุ่นของ ‘ดอกบัว’ มักใช้เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และความสมบูรณ์แบบ
                  6.ซีดาร์ (Cedar) ต้นสนซีดาร์ เป็นต้นไม้ที่เกี่ยวพันกับศาสนาคริสต์ และมีความหมายตามคัมภีร์ไบเบิลว่าประเสริฐและงดงาม และคำว่า ‘Cedar’ ตามภาษาฮีบรูแปลว่า‘ความตั้งมั่น’
                  ตัวอย่างชื่อดอกไม้ภาษาโบราณ
                  แพงพวยลานไพลินเทียนหอมราชรัตน์อินทนิล
                  มะลุลีจิกม่วงมณีรัตน์ดาวกระจายช่อพิกุล
                  เฟื่องฟ้าหอมฝ้ายคำปักษาสวรรค์บัวสวรรค์
                  พุดน้ำบุษย์พุดพิชญาฝิ่นน้ำบัวตองชมจันทร์
                  ช้องนางช้องแมวช้องนาวเวียงพิงค์ย่าหยา (พืช)
                  เข็มขาวยี่โถดอกปีปบัวขาวมะลิลา
                  ข้อมูลอ้างอิงจาก  www.dek-d.com/ www.sanook.com / lifestyle.campus-star.com/www.tistranslation.com/

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  คิดให้ดีก่อน ตั้งชื่อลูก เมื่อลูกโดนล้อเพราะชื่อฟรุ้งฟริ้ง!!

                  ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด 200 ชื่อดี เน้นเสริมเดช ศรี บารมี ครบทั้ง 7 วัน!

                  เปลี่ยนชื่อลูก ที่ไหน ใช้เอกสารอะไรบ้าง?

                  ตั้งชื่อลูกชาย ชื่อมงคล เสริมเรื่องอำนาจ บารมี

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    โรคPTSD

                    รู้จัก โรคPTSD โรคที่หนุ่มกราดยิง 2 ศพ อ้างว่าป่วย!

                    โรคPTSD –  จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ที่ นาย กวิน แสงนิลกุล อดีตทหารชุดปฏิบัติการพิเศษ “ฉก.90” ได้บุกไปยิงพนักงานเซเว่น เนื่องจากมีปากเสียงกันเรื่องที่เบียร์ที่แตก จากนั้นนายกวิน ได้ขับรถมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลสนาม สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี และยิงคนจนเสียชีวิตอีก 1 ราย พร้อมกับจะยิงคนป่วยข้างใน แต่ได้หลบหนีไปก่อน ซึ่งตอนนี้ นายกวินได้เข้ามอบตัวแล้วนั้น

                    ในเวลาต่อมา นายกวิน ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงเหตุการณ์ที่ตนเองลงมือยิงพนักงานเซเว่นจนเสียชีวิต และบุกเข้าไปในโรงพยาบาลสนาม เพราะมีคนมาทำร้ายตนก่อน จนเกิดอาการของโรค PTSD กำเริบ และได้ออกไปก่อเหตุ ซึ่งนอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายกวิน แสงนิลกุลเคยถูกทำร้ายร่างกาย จึงมีความโกรธแค้น ฝังใจ หลังจากนั้นเกิดความเครียดสะสม  ทำให้มีอาการเป็นคน 2 บุคลิก จึงต้องเข้ารับการรักษาอาการป่วยทางจิต ซึ่งมีการยืนยันว่านายกวินเคยมีประวัติการเข้ารับการรักษาอาการทางจิตจริงที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง

                    รู้จัก โรคPTSD โรคที่หนุ่มกราดยิง 2 ศพ อ้างว่าป่วย!

                     

                    โรค PTSD คืออะไร ?

                    คือ สภาวะป่วยทางจิตใจ ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์สะเทือนใจอย่างรุนแรง ทำให้เกิดความเครียดในระดับสูง มีชื่อย่ออย่างเป็นสากลว่า Post-traumatic Stress Disorder เป็นภาวะความผิดปกติทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น ภายหลังพบเหตุการณ์ความรุนแรง เช่น อยู่ในเหตุการณ์วินาศกรรม จลาจล สึนามิ ดินโคลนถล่ม บ้านพัง ถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทารุณกรรมทางเพศ ถูกโจรปล้น พบเห็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ถูกขังเป็นเวลานาน ฯลฯ  สิ่งสำคัญของโณคนี้คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ป่วยเกิดความเครียดทางด้านจิตใจชนิดรุนแรงมาก จนเกิดความทุกทรมาน

                    บางคนอาจจะไม่ได้ประสบพบเหตุร้ายด้วยตัวเอง แต่อาจเห็นจากข่าว หรือได้ฟังคำบอกเล่ามาแล้วรู้สึกตื่นกลัวตามไปด้วย จนเกิดความเครียดและมีพฤติกรรมบางอย่างที่กระทบต่อการดำเนินชีวิต ซึ่งผู้ที่ได้รับบาดแผลทางจิตใจจากเหตุเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการรักษา ทั้งการบำบัด การใช้ยา เป็นต้น

                    โรคPTSD
                    โรคPTSD (ขอบคุณภาพจาก เพจ อสมท ชุมพร)

                    ทั้งนี้ ผู้ป่วยยังมีอาการอื่นได้อีก เช่น ซึมเศร้า โทษตัวเองว่ามีส่วนทำให้เกิดเหตุร้าย หรือรู้สึกผิดที่หนีเอาตัวรอด (Survivor guilt) วิตกกังวล ย้ำคิดย้ำทำ ดื่มเหล้าเบียร์มากกว่าเดิมเพื่อดับความกระวนกระวายใจ หงุดหงิดง่าย ทำร้ายตัวเอง หรือพยายามฆ่าตัวตาย

                    โรคซึมเศร้าในเด็ก ต้นเหตุเพราะพ่อแม่มีส่วน

                    ฮิคิโคโมริ โรคอันตรายของเด็กที่อยู่แต่ในห้อง กลัวการเข้าสังคม

                    ลูกผม(ฆ่า)ตัวตายเพราะโควิดเมื่อ โรคติดเกม พรากลูกไป

                    ลักษณะอาการที่สำคัญของโรค PTSD

                    • เห็นภาพเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นนั้นตามมาหลอกหลอนอยู่บ่อยๆ ฝันเห็นบ่อยครั้ง
                    • มีอาการ Flash Back คือ เกิดความตื่นตัว เห็นเหตุการณ์นั้นๆ กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ โมโหง่าย ก้าวร้าว ซึ่งเดิมไม่เคยเป็น นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย ตกใจง่าย ใจสั่น ความดันโลหิตสูง ไม่มีสมาธิ เครียดได้กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
                    • พยายามหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะทำให้กระทบกระเทือนต่อจิตใจ เช่น ภาพข่าวเหตุการณ์ การพูดถึงจากบุคคลอื่น
                    •  รู้สึกว่าชีวิตตัวเองหม่นหมอง คิดลบตลอดเวลาทั้งกับตัวเองและสิ่งรอบข้าง คิดว่าตัวเองจะไม่มีความสุขได้อีกต่อไปแล้ว ไม่สนใจกิจกรรมที่เคยชอบหรือเคยทำมาก่อน อาจคิดฆ่าตัวตาย หรือพึ่งสารเสพติดต่างๆ เพื่อต้องการให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น ในกรณีที่ใช้ยาเสพติด อาจจะทำให้เกิดผลร้ายแรงกว่าเดิมหลายเท่า

                     

                    โรคPTSD
                    ขอบคุณ ภาพจาก เพจ สื่อจิตอาสา

                    การรักษา

                    หากคุณได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค PTSD ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของคุณมักจะใช้การรักษาด้วย การใช้ยา หรือ รักษารวมกับการบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา (CBT) หรือที่เรียกว่า “การพูดคุยบำบัด” เพื่อ กระตุ้นให้ผู้ป่วยประมวลผลต่อเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ และทำการเปลี่ยนรูปแบบการคิดเชิงลบที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์นั้น ผู้ป่วยจะได้ระลึกถึงความรู้สึกที่บอบช้ำในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย สิ่งนี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยลดอาการไม่พึประสงค์ต่างๆ ลงได้ ยาแก้ซึมเศร้า ยาลดความวิตกกังวล และเครื่องช่วยนอนหลับ อาจช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าและวิตกกังวลได้ สำหรับยาที่ใช้ในการรักษาโรค PTSD ได้แก่ยายากล่อมประสาทสองชนิด ที่ได้รับการอนุมัติจาก FDA  ได้แก่ ยา sertraline (Zoloft) และ paroxetine (Paxil)

                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก  : hilight.kapook.com , amarintv.com , healthline.com

                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                    ลูกไม่นิ่ง ซน อยู่ไม่สุข เข้าข่าย โรคสมาธิสั้น หรือไม่? พ่อแม่ช่วยแก้ยังไง!

                    9 ผลเสียที่จะเกิดเมื่อลูกขาด ทักษะ EF

                    วิจัยชี้! พ่อเครียด ส่งผลต่อสเปิร์ม ทำลูกมีปัญหาทางจิต

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      ครูลงโทษเด็ก

                      โผล่อีก! ครูลงโทษเด็ก ให้ทำนิ้วขนมจีบ ใช้แปรงลบกระดานตีจนห้อเลือด!

                      ครูลงโทษเด็ก – มีครูสอนวิทยาศาสตร์ ที่บุรีรัมย์ ใช้วิธีลงโทษนักเรียนที่ไม่ส่งการบ้าน 20 คน ด้วยวิธีแบบโบราณ “ขายขนมจีบ” ใช้แปรงลบกระดานเคาะปลายนิ้วจนเด็กบาดเจ็บเป็นห้อเลือด แม่โพสต์ จิตใจครูทำด้วยอะไร เด็กเจ็บจนร้องไห้ก็ยังตีไม่หยุด โดยล่าสุดครูรายนี้โดนทางโรงเรียนต้นสังกัดสั่งพักการสอนแล้ว

                      โผล่อีก! ครูลงโทษเด็ก ให้ทำนิ้วขนมจีบ แล้วตีจนห้อเลือด!

                      สืบเนื่องจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งระบุว่าเป็นผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้โพสต์ภาพ มือของลูก ที่บริเวณปลายนิ้วและเล็บเป็นรอยช้ำ ลักษณะห้อเลือด พร้อมข้อความบรรยายพฤติกรรมคุณครูที่ลงโทษเด็กนักเรียนถึง 20 คน จากนักเรียนทั้งหมด 22 คน โดยการให้จีบมือ หรือที่เรียกกันว่า “ขายขนมจีบ” แล้วใช้แปรงลบกระดานดำเคาะที่ปลายนิ้ว จากสาเหตุที่นักเรียนไม่ยอมทำการบ้านตามที่ครูสั่งทางกลุ่มไลน์ โดยเรียกร้องให้คุณครูที่ลงโทษเด็กนักเรียน ได้พิจารณาตัวเองว่าเหมาะสมหรือไม่ พร้อมกล่าวขอบคุณคณะผู้บริหารโรงเรียน และคณาจารย์ที่ได้แสดงความห่วงใยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

                      ทั้งนี้ ปัจจุบัน วิธีการลงโทษเด็กด้วยการใช้ความรุนแรงเริ่มไม่ได้รับความนิยม หรือสังคมให้การยอมรับเหมือนในอดีต เนื่องจากเป็นวิธีการที่ในระดับสากล ต่างลงความเห็นว่า การใช้ความรุนแรงกับเด็กในการลงโทษไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวเด็ก หากแต่ส่งผลกระทบในทางลบมากกว่า อย่างเช่น ในประเทศสวีเดนซึ่งเป็นประเทศแรกของโลกที่ออกกฎหมายที่ว่าด้วยการห้ามลงโทษเด็กด้วยการตี  นอกจากนี้ยังมีอีก 4 ประทศที่ออกกฎหมายในลักษณะเดียวกัน ได้แก่ สกอตแลนด์ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้

                      สำหรับประเทศไทย การลงโทษทางร่างกายเหมือนเป็นวัฒนธรรมที่สานต่อมายาวนาน จนกลายเป็นคำสำนวนไทยว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ซึ่งการตีในที่นี้หากไม่ได้กระทำการรุนแรงมากก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า การลงโทษเด็กด้วยการตี เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก การปลูกฝังวินัยด้วยการลงโทษทางร่างกาย อาจทำให้เกิดปัญหามากมาย  เช่น จะลดความสามารถในการทำงานของสมอง ทำให้ระดับสติปัญญาและความสามารถทางการสื่อสารด้วยวาจาลดต่ำลง  เพิ่มความวิตกกังวลและความก้าวร้าว และที่สำคัญ ยังไม่มีประสิทธิภาพในการหยุดพฤติกรรมในระยะยาวอีกด้วย

                       

                      ครูลงโทษเด็ก
                      ครูลงโทษเด็ก

                      4 ผลเสีย ของการลงโทษเด็กด้วยการตี 

                      1. สมองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง

                      การทำร้ายร่างกายเด็ก ก่อให้เกิดความเสี่ยงมากมายต่อเด็ก เช่น กระดูกหัก และการเกิดบาดแผล การลงโทษทางร่างกายยังมีส่วนในการลดการทำงานของสมอง และทำให้ไอคิวลดลง ตามการศึกษาของ Akemi Tomodo จิตแพทย์ของ Harvard Medical School ในการศึกษาบุคคล 1,455 คนที่ตีพิมพ์ในชื่อ “Reduced Prefrontal Cortical Grey Matter Volume in Young Adults Exposed to Harsh Corporal Punishment” ใน Neuroimage ในปี 2010 เป็นไปได้ว่าความกลัวและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับเด็ก ทำให้การตอบสนองต่อความเครียดเพิ่มขึ้น สิ่งนี้เปลี่ยนแปลงการพัฒนาของสมองเมื่อ พลังงานถูกเตรียมพร้อมสำหรับอันตรายที่จะเกิดขึ้น แทนที่จะได้เรียนรู้

                      2. ความสามารถทางการสื่อสารลดลง

                      เด็กที่ถูกลงโทษทางกายเป็นประจำตั้งแต่ยังเล็ก จะมีความสามารถทางวาจาน้อยกว่า  เมื่ออายุได้ 5 ขวบ เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้ถูกลงโทษทางร่างกาย  นอกจากนี้ยังกระตั้นให้เด็กแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ศาสตราจารย์ Michael MacKenzie แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ได้ทำการศึกษาเด็ก 4,200 คน ในประเด็น “การลงโทษทางร่างกายและพฤติกรรมเด็ก และผลลัพธ์ทางปัญญาผ่านอายุ 5 ปี” พบว่าเด็กที่ถูกตีเป็นประจำ มักมีความสามารถในการจดจำเสียง และมีปัญหาในการพูด เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ถูกลงโทษทางร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งวิชาการและทักษะในการเข้าสังคม  โดยนักวิจัยสนับสนุนให้เลือกใช้วิธีการอื่นแทนการตี เช่น การพูดคุยอย่างเปิดเผย หรือ “ให้เวลาคุณภาพ” ที่พ่อแม่จะสามารถนั่งอยู่กับลูกจนกว่าพวกเขาจะสงบสติอารมณ์ และสามารถพูดกับลูกอย่างสงบได้

                       

                      ครูลงโทษเด็ก

                      3. เด็กเกิดความวิตกกังวล ความก้าวร้าว และขาดทักษะทางสังคม

                      เจนนิเฟอร์ แลนด์สฟอร์ด ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยดุ๊ก ได้ทำหารศึกษาเด็ก 1,196 คน  ในประเด็น  “การลงโทษทางร่างกาย ความอบอุ่นของมารดา และการปรับตัวของเด็ก” โดยผลการศึกษาได้ลงตีพิมพ์ในวารสารจิตวิทยาคลินิกและวัยรุ่นในปี 2557  ระบุว่า การลงโทษทางร่างกายนำไปสู่ความวิตกกังวลและความก้าวร้าว ส่งผลเสียต่อเด็กเมื่อต้องไปโรงเรียนและอาจสร้างปัญหาต่างๆ กับคนรอบข้าง ทำให้เด็กๆ คนอื่นหลีกเลี่ยงที่จะคบหาด้วย ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการเข้าสังคม  นอกจากนี้ การศึกษาังพบว่า การโอบกอด การให้ความอบอุ่น และการสนับสนุนที่ดีของมารดา โดยปราศจากการลงโทษทางร่างกาย จะเพิ่มประสิทธิภาพในการเลี้ยงดู และปลูกฝังวินัย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะช่วยลดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการ นำไปสู่ความวิตกกังวลและความก้าวร้าวที่น้อยลงของเด็ก

                      4. เป็นการลงโทษที่ไม่มีประสิทธิภาพในระยะยาว

                      Elizabeth T. Gershoff ศาสตราจารย์และนักวิจัยจาก University of Texas ระบุในบทความที่ตีพิมพ์ว่า “เรารู้เพียงพอแล้วที่จะหยุดตีลูกของเรา” ในมุมมองของการพัฒนาเด็ก ในปี 2014 แม้ว่าเด็กบางคนจะหยุดพฤติกรรมในระยะสั้นหลังจากการถูกพ่อแม่ลงโทษด้วยการตี แต่พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำพฤติกรรมนั้นๆ ต่อไปในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพ่อแม่ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ การใช้เทคนิคด้านการปลูกฝังวินัยที่อธิบายให้เด็กเข้าใจได้มากขึ้นว่าทำไมพฤติกรรมเหล่านี้จึงผิด ที่ไม่ใช่ “จะโดนตี หากทำมัน” เป็นสิ่งสำคัญ ในการหยุดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของเด็กในระยะยาว

                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : oureverydaylife.com , thairath.co.th

                      บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

                      ครูตีเด็ก ผิดกฎหมายหรือไม่? ตีเด็กอย่างไรไม่ให้ถูกฟ้อง?

                      10 ขอบเขต ลงโทษเด็ก ป้องกันลูกจิตใจบอบช้ำหลังถูกทำโทษ

                      วิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ดุ ไม่ตี ปูพื้นฐานชีวิตลูกให้ดีใน 3 ปีแรก

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                        จดทะเบียนสมรสใช้อะไรบ้าง

                        จดทะเบียนสมรสใช้อะไรบ้าง? จดออนไลน์ได้ไหม?

                        เตรียมตัวให้พร้อม! จดทะเบียนสมรสใช้อะไรบ้าง จดออนไลน์ได้ไหม? เสียค่าธรรมเนียมเท่าไหร่? ต้องจดที่ไหน? มีขั้นตอนในการจดอย่างไรบ้าง? ทีมแม่ ABK มีคำตอบ

                        จดทะเบียนสมรสใช้อะไรบ้าง? จดออนไลน์ได้ไหม?

                        ทะเบียนสมรส นอกจากจะเป็นหลักฐานในการแสดงความรักแล้ว ยังเป็นเอกสารทางกฎหมายเพื่อยืนยันสถานะการสมรสของบุคคลสองคน ให้มีสถานะเป็นสามี-ภรรยา หรือ คู่ชีวิต ให้เป็นไปตามหลักกฎหมาย ซึ่งทำให้การกระทำบางอย่างในทางกฎหมาย เช่น การกู้ยืม การครอบครองทรัพย์สินสมรส การครอบครองสินทรัพย์ ต่อให้เป็นการกระทำของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่จะมีผลผูกพันทั้งสองคนทันที จดทะเบียนสมรสใช้อะไรบ้าง? อ่านต่อได้ที่นี่เลยค่ะ

                        คุณสมบัติของผู้ที่จะจดทะเบียนสมรส

                        • ชายหรือหญิงมีอายุครบ 17 ปี บริบูรณ์ กรณีมีเหตุอันควร ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนที่ชายและหญิง
                          มีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์ได้
                        • ไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือเป็นบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ
                        • ไม่เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดา หรือร่วมแต่บิดามารดา
                        • ไม่เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่น
                        • ผู้รับบุตรบุญธรรมจะสมรสกับบุตรบุญธรรมไม่ได้
                        • หญิงหม้ายจะสมรสใหม่ เมื่อการสมรสครั้งก่อนได้สิ้นสุดไปแล้วไม่น้อยกว่า 310 วัน เว้นแต่
                          • คลอดบุตรแล้วในระหว่างนั้น
                          • สมรสกับคู่สมรสเดิม
                          • มีใบรับรองแพทย์ว่าไม่ได้ตั้งครรภ์
                          • ศาลมีคำสั่งให้สมรสได้
                          • มีคำสั่งของศาลให้สมรสได้
                        • ผู้เยาว์จะทำการสมรสได้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้มีอำนาจให้ความยินยอมได้ตามกฎหมาย

                        จดทะเบียนสมรสใช้อะไรบ้าง?

                        • บัตรประจำตัวประชนหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้
                        • สำเนาหนังสือเดินทาง (กรณีชาวต่างประเทศ)
                        • หนังสือรับรองสถานภาพบุคคลจากสถานทูต หรือสถานกงสุลหรือองค์การของรัฐบาลประเทศนั้น มอบหมาย พร้อมแปล (กรณีชาวต่างประเทศขอจดทะเบียนสมรส)
                        • สำเนาทะเบียนบ้าน (ตัวจริง)
                        • พยานบุคคล จำนวน 2 คน
                        • พยาน 2 คน (พร้อมบัตรประชาชนของพยานด้วย) ที่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
                        • ถ้าเคยหย่ามาก่อน ให้พกหลักฐานการหย่าไปด้วย
                        • กรณีคู่สมรสคนก่อนหน้าเสียชีวิต ต้องมีหลักฐานการเสียชีวิต เช่น ใบมรณบัตร ประกอบ
                        • สูจิบัตรและทะเบียนบ้านของบุตร กรณีที่มีลูกก่อนที่จะจดทะเบียนสมรส
                        • แบบฟอร์ม คร.1 ตัวนี้สามารถขอได้จากที่อำเภอ หรือสำนักทะเบียนที่ไปจดทะเบียนสมรส

                        ระเบียบในการขอจดทะเบียนสมรส

                        • การจดทะเบียนสมรส สามารถยื่นคำร้องขอจดทะเบียนได้ทุกแห่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงภูมิลำเนาของคู่สมรส
                        • คู่สมรสยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสมรสต่อเจ้าหน้าที่หรือนายทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือสำนักทะเบียนเขตใดก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงภูมิลำเนาของคู่สมรส
                        • คู่สมรสที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องนำบิดาและมารดาหรือผู้ปกครองโดยชอบธรรมมาให้ความยินยอม
                        • คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย เป็นคนต่างด้าว ต้องขอหนังสือรับรองสถานภาพบุคคล จากสถานทูตหรือกงสุลสัญชาติที่ตนสังกัด
                        • หนังสือรับรองนั้น ต้องแปลเป็นภาษาไทยและมีคำรับรอง การแปลถูกต้อง ยื่นพร้อมคำร้องขอจดทะเบียนสมรสต่อนายทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอ กิ่งอำเภอ หรือสำนักงานเขต
                        จดทะเบียนสมรส
                        จดทะเบียนสมรส

                        ค่าธรรมเนียม

                        • การจดทะเบียนสมรส ณ สำนักทะเบียนที่จด ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
                        • ในกรณีการจดทะเบียนสมรสนอกสำนักทะเบียน เสียค่าธรรมเนียม 200 บาท และต้องจัดยานพาหนะ รับ – ส่ง นายทะเบียน
                        • การจดทะเบียนสมรสนอกสำนักทะเบียนในท้องที่ห่างไกล เสียค่าธรรมเนียม 1 บาท

                        ขั้นตอนการจดทะเบียนสมรส

                        1. รับเรื่อง – ผู้ร้องแจ้งความประสงค์ต่อนายทะเบียน โดยลงชื่อในคำร้องตามแบบคร.1 ที่นายทะเบียนเป็นผู้บันทึกข้อความ และจัดพิมพ์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์
                        2. ตรวจสอบหลักฐานหรือเอกสารที่เกี่ยวข้อง
                          • นายทะเบียนตรวจสอบหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้สำหรับบุคคลซึ่งไม่ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนตามกฎหมาย หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว
                          • สำเนาทะเบียนบ้าน
                          • หนังสือให้ความยินยอม (กรณีผู้ร้องขอยังไม่บรรลุนิติภาวะและผู้มีอำนาจให้ความยินยอมไม่ได้มาด้วย)
                          • ผู้มีอำนาจให้ความยินยอม (กรณีผู้ร้องขอยังไม่บรรลุนิติภาวะ และผู้มีอำนาจให้ความยินยอมมาด้วยตนเอง)
                          • ผู้ร้องขอเคยจดทะเบียนสมรสมาก่อนหรือไม่ หากหย่าแล้วต้องตรวจ สอบหลักฐานการหย่า หรือคู่สมรสตาย ให้ตรวจสอบหลักฐานการตาย
                          • คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลที่ให้จดทะเบียน (กรณีมีคำพิพากษาหรือคำสั่งศาล)
                          • พยานอย่างน้อย 2 คน
                        3. นายทะเบียนตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ร้องทั้งสองฝ่าย
                        4. ผู้มีอำนาจในการจดทะเบียน ได้แก่ นายทะเบียน (นายอำเภอ / ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ / อำนวยการเขต / หรือผู้รักษาราชการแทน)
                        5. หากผู้ร้องทั้งสองฝ่ายประสงค์จะให้บันทึก ข้อตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือเรื่องอื่น ให้นายทะเบียนพิมพ์รายละเอียดนั้นไว้ในช่องบันทึก
                        6. ตรวจสอบข้อความในทะเบียนสมรส เมื่อพิมพ์ข้อความลงในทะเบียนสมรสแล้ว หากมีข้อผิดพลาดสามารถแก้ไขได้ทันทีก่อนการสั่งพิมพ์ กรณีไม่มีการแก้ไขและได้สั่งพิมพ์แล้วจะไม่สามารถเรียกกลับมาแก้ไขได้อีก เพื่อเป็นการป้องกันการแก้ไขหรือลบข้อมูลโดยมิชอบ
                        7. เมื่อเห็นว่าถูกต้องให้สั่งพิมพ์ทะเบียนสมรส และใบสำคัญการสมรสเพื่อให้ผู้ร้อง ผู้ให้ความยินยอม (ถ้ามี) และพยานลงลายมือชื่อในทะเบียนสมรส  และนายทะเบียนลงลายมือชื่อในใบสำคัญการสมรส
                        8. มอบใบสำคัญการสมรส ให้แก่คู่สมรสฝ่ายละหนึ่งฉบับ และนายทะเบียนเก็บรักษาทะเบียนสมรสไว้เป็นหลักฐาน
                        9. การใช้นามสกุลของคู่สมรส ให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างคู่สมรสให้ทางทะเบียนท้องที่บันทึกข้อตกลงของคู่สมรสว่าจะใช้ชื่อสกุลของฝ่ายใดโดยให้บันทึกต่อท้ายในแบบ คร. 2
                        จดทะเบียนสมรสออนไลน์
                        จดทะเบียนสมรสออนไลน์

                        จดทะเบียนสมรสออนไลน์

                        การจดทะเบียนสมรสออนไลน์นั้น หลายท่านเข้าใจผิดว่าเป็นการทำนิติกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ของทางกรมการปกครอง จริง ๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ เป็นเพียงการจองคิวเพื่อจดทะเบียนสมรสผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น คู่สมรสยังคงต้องไปจดทะเบียนสมรส ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขต หรือสำนักงานทะเบียนเขตพื้นที่ กันอยู่เหมือนเดิมค่ะ เพียงแต่การจองคิวออนไลน์ เป็นการลดเวลาในการรอคิว และยังเป็นโอกาสในการเจอผู้คนหน้าแน่น และยังลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโควิด-19 ได้อีกด้วย

                        โดยวิธีการจองคิว ก็ง่ายแสนง่าย เพียงว่าที่คู่สามีภรรยาเข้าไปที่เว็บไซต์กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย (https://q-online.bora.dopa.go.th/) เพื่อลงทะเบียนขอรับบริการล่วงหน้า โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน, วันเดือนปีเกิด และ เบอร์โทรศัพท์ 10 หลักเพื่อทำการจอง เมื่อเข้าหน้าลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว จะมีหน้ารับบริการที่เราจะต้องเลือกสำนักทะเบียนที่ต้องการเข้าไปจดทะเบียนสมรส โดยเลือกจังหวัด อำเภอ และสำนักทะเบียนใกล้บ้าน จากนั้นให้เลือกวันและเวลาที่ต้องการเข้ารับบริการ เลือกล่วงหน้าได้ถึง 15 วันเลย

                        ไขข้อข้องใจกันแล้วนะคะว่า จดทะเบียนสมรสใช้อะไรบ้าง จดที่ไหน จะได้เมื่อไหร่ มีขั้นตอนอะไรบ้าง สามารถจดทะเบียนสมรสออนไลน์ได้หรือไม่ และเมื่อทำการจองเรียบร้อยแล้วก็เตรียมเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการจดทะเบียนสมรสให้พร้อม แล้วอย่าลืมไปให้ตรงเวลานัด เพื่อให้การจดทะเบียนสมรสทำได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้นค่ะ

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        คุณแม่ควรรู้ไว้!! ประโยชน์ของ ทะเบียนสมรส ที่คุณอาจไม่เคยรู้

                        จดทะเบียนรับรองบุตร ทำอย่างไร ลูกอายุเท่าไหร่ถึงจดได้?

                        เอกสารแจ้งเกิด เพื่อเตรียมทำสูติบัตรให้ลูกน้อย

                        แจ้งเกิดลูก ไม่มีพ่อ ไม่ระบุชื่อพ่อได้ไหม? อนาคตจะมีปัญหาหรือไม่?

                         

                        ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักบริหารการทะเบียน, th.wikipedia.org, www.wongnai.com

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          น้ำมันปลา DHA เข้มข้น

                          น้ำมันปลา DHA เข้มข้น อาหารสมองชั้นดีสำหรับเด็กวัยเรียนรู้

                          รู้ไหมคะว่าสมองเด็กช่วงวัย 1-5 ปีแรก เป็นโอกาสทองของสมองสาหรับการเรียนรู้ สมองเด็กจะพัฒนาถึง 85% ทุก 1 วินาทีเซลล์สมองจะมีการเชื่อมต่อสูงถึง 700 เซลล์* สมองจะมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการการเรียนรู้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในช่วงโอกาสทองนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่พลาดที่จะส่งเสริมลูกน้อยให้ได้รับอาหารสมองชั้นดี อย่าง “น้ำมันปลา DHA เข้มข้น” กันนะคะ

                          หัวใจสำคัญที่จะช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการการเรียนรู้ที่สมวัย คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ลูกได้รับโภชนาการสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเสริมด้วย DHA ดีเอชเอ ทีมแม่ABK ขอกระซิบบอกดัง ๆ ตรงนี้เลยค่ะว่า DHA เนี่ยเป็นสารอาหารหลักสำคัญในการบำรุงสมองของเด็กวัยเรียนรู้ได้อย่างยอดเยี่ยมมาก ๆ ค่ะ ฉะนั้นวันนี้ทีมแม่ABK จะพาทุกครอบครัวที่มีลูกกำลังอยู่ในช่วงวัยเรียนรู้ ไปทำความรู้จักกับสารอาหารที่ชื่อว่า “ดีเอชเอ” กันให้มากขึ้นค่ะ

                          น้ำมันปลาเบนไซรัป

                          DHA ดีเอชเอ คืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับสมองเด็ก ?

                          DHA (Docosahexaenoic acid) โดโคซาเฮกซาอี คือกรดไขมันจำเป็นในตระกูลโอเมก้า 3 เป็นโครงสร้างพื้นฐานของเซลล์สมองและจอประสาทตา ดีเอชเอเป็นส่วนประกอบสำคัญของระบบประสาทส่วนกลาง (CNS) รวมถึงกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อไมอีลิน รอบเส้นใยประสาท (Myelinogenesis) ซึ่งจะช่วยในการถ่ายทอดสัญญาณและข้อมูลของเซลล์ประสาท มีคุณสมบัติในการพัฒนาเซลล์สมอง ช่วยป้องกันภาวะสมองฝ่อ

                          “ดีเอชเอ” เป็นส่วนประกอบในเนื้อสมองมากถึง 65% มีผลต่อระบบการทำงานของสมอง และระบบจอประสาทตา เห็นความดีงามของดีเอชเอแบบนี้แล้ว ก็ใช่ว่าอยู่เฉย ๆ ดีเอชเอจะมีขึ้นในร่างกายของลูก ๆ ได้นะคะ

                          จำง่าย ๆ ค่ะว่า “DHA ดีเอชเอ” ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ แต่จะต้องได้รับจากอาหารที่กินเข้าไปเท่านั้น!! ฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่จะเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองให้ลูกน้อยด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่าง DHA จะต้องมาจากแหล่งอาหารที่มีดีเอชเอค่ะ

                          DHA มีอยู่ที่ไหนบ้างนะ ?

                          – น้ำนมแม่อุดมด้วยดีเอชเอ แนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ตั้งแต่แรกเกิด

                          – ปลาทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน ปลาทู และสาหร่ายทะเลบ้างชนิด

                          – ปลาน้ำจืดที่มีไขมันสูง เช่น ปลาสวาย ปลาช่อน เป็นต้น

                          – น้ำมันปลาทูน่า

                          ประโยชน์ดี ๆ ที่ลูกน้อยได้จากดีเอชเอ

                          – ทารกช่วง 6 เดือนแรก จำเป็นต้องได้รับดีเอชเออย่างเพียงพอ เพื่อสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาท รวมทั้งส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท ซึ่งการกินนมแม่จะทำให้ลูกน้อยได้รับดีเอชเออย่างเพียงพอ

                          – ดีเอชเอ มีผลต่อร่างกายของลูกน้อย เพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญของสมอง จอประสาทตา และกล้ามเนื้อหัวใจ

                          – ดีเอชเอ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ และเพิ่มทักษะกระบวนการคิดของลูกน้อย

                          – ดีเอชเอ ช่วยป้องกันการเกิดโรคสมาธิสั้น

                          น้ำมันปลาเบนไซรัป

                          เห็นประโยชน์ดี ๆ ที่ได้จากดีเอชเอแบบนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียนรู้ ต้องหาอาหารที่อุดมด้วย DHA มาบำรุงสมองให้ลูก ๆ กันแล้วนะคะ

                          ทีมแม่ABK แนะนำเคล็ดลับในการเสริมดีเอชเอให้ลูกที่อยู่ในวัยเรียนรู้อย่างง่าย ๆ เผื่อบ้านไหนที่กังวลว่าลูกจะได้รับอาหารสมองดีเอชเอไม่เพียงพอ วิธีนี้สามารถทำได้ทุกวัน ด้วยการเสริมด้วย “น้ำมันปลาทูน่า” ที่มี “DHA 70%” อย่างน้ำมันปลาเบนไซรัป น้ำมันปลา DHA เข้มข้น 70% ช่วยให้ลูกน้อยฉลาด สดใส แข็งแรงทุกวันค่ะ

                          คุณพ่อคุณแม่เสริม น้ำมันปลา เบนไซรัปให้ลูก ๆ ได้ทุกวัน แค่วันละ 1 ช้อนโต๊ะหลังอาหาร จะหลังอาหารเช้า หรือมื้ออาหารเย็นก็ได้นะคะ เมื่อเด็ก ๆ ได้รับ DHA ที่เข้มข้นมากเพียงพอที่ร่างกาย และสมองต้องการ ก็จะช่วยให้เติบโตสมวัย และมีพัฒนาการสมองที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพค่ะ

                          สนับสนุนข้อมูลโดย น้ำมันปลา เบนไซรัป www.bainsyrup.com

                          น้ำมันปลาเบนไซรัป

                           

                           

                           

                           

                           

                           

                          อ้างอิง : *รศ.พญ.ทิพวรรณ หรรษคุณาชัย กุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ www.bangkokbiznews.com
                            ครูลงโทษเด็ก

                            อุทาหรณ์! อาจารย์สาวมือเป็นแผล หั่นหมูดิบ ติดเชื้อหูดับ เสียชีวิต!

                            อาจารย์สาวมือเป็นแผล – อาจารย์สาววัย 49 ป่วยโรคไข้หูดับ เสียชีวิต หลังซื้อเนื้อหมูมาทำหมูกระทะ และพบว่า ลงมือหั่นหมู ทั้งที่มือเป็นแผล  จนติดเชื้อในกระแสเลือด จากกรณี งานระบาดวิทยาสำนักงานสาธารณสุข ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลกรุงเทพพิษณุโลกว่า พบผู้เสียชีวิตโดย “โรคไข้หูดับ”  เป็นเพศหญิง อายุ 49 ปี ในเขตพื้นที่ตำบลพลายชุมพล อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

                            ช็อก! อาจารย์สาวมือเป็นแผล หั่นหมูดิบ ติดเชื้อไข้หูดับ เสียชีวิต!

                            นายแพทย์รัฐภูมิ ชามพูนท รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิษณุโลก จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า ได้มีการซื้อเนื้อหมู จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มาประกอบอาหาร (ปิ้งย่างหมูกระทะ) ร่วมกับเพื่อนๆ  ภายหลังสืบทราบว่าผู้เสียชีวิตมีแผลที่มือเป็นผู้ลงมือหั่นหมู จากนั้นเริ่มมีอาการท้องเสีย อาเจียน จึงไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพพิษณุโลก โดยมีอาการปวดกระดูก หนาวสั่น ปากเขียว และต้องย้ายไปห้องไอซียู จากนั้นร่างกายไม่มีการตอบสนอง ไตวาย ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยแพทย์สงสัยว่า เป็น “โรคไข้หูดับ”

                            โรคไข้หูดับคืออะไร?

                            ไข้หูดับ หรือ โรคติดเชื้อสเตรฟโตคอกคัส ซูอิส เกิดจากเชื้อ Streptococcus (S.) suis เป็นสาเหตของภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือดและการสูญเสียการได้ยิน สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยการรับประทานเนื้อสัตว์ดิบ และการสัมผัสสัตว์ป่วย ทําให้เชื้อเข้าทางบาดแผลตามร่างกาย หรือเข้าทางเยื่อบุตา เนื่องจากเชื้ออาศัยอยู่ใน ต่อมทอนซิล ทางเดินอาหาร ช่องคลอดและโพรงจมูกของหมู

                            ผู้ที่ติดเชื่อส่วนใหญ่มักมีอาชีพเกี่ยวกับการเลี้ยงหมูทํางานในโรงงาน ชําแหละหมู หรือผู้สัมผัสกับสารคัดหลั่งของหมู ย และผู้ทมี่ ีความเสี่ยง ได้แก่ ผู้จําหน่าย หรือผทู้ ี่ รับประทานเนื้อหมูดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบหมูดิบ หรือหลู้ ที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุแต่โดยทั่วไปจะพบในผู้ใหญ่และพบในเพศชายสูงกว่าเพศหญิง

                            อาจารย์สาวมือเป็นแผล
                            อาจารย์สาวมือเป็นแผล

                            อาการและการก่อโรค

                            เชื้อไข้หูดับมีมากกว่า 30 ชนิด แต่ที่พบมากที่สุดในการก่อให้เกิดโรคในคน คือ เชื้อ ซีโรทัยป์ 2  ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1 – 14 วัน แต่มักมีอาการหลังรับเชื้อไม่เกิน 3 วัน

                            อาการที่พบ ได้แก่ มีไข้หนาวสั่น หอบเหนื่อย คลื่นไส้ อาเจียน  ปวดศีรษะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่ง นําไปสู่การเสียชีวิตจากภาวะ toxic shock syndrome ผู้ป่วยบางรายที่ไม่เสียชีวิตส่วนใหญ่จะพบความพิการตามมา เช่น สูญเสียการทรงตัว กล้ามเนื้ออ่อนแรง และสูญเสียการได้ยิน จนถึงขั้นหูหนวก หรือที่เรียกว่าหูดับ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องมาจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต

                            มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไข้หูดับ ครั้งแรกที่ประเทศเดนมาร์คในปี พ .ศ .2511 หลังจากนั้นก็พบผู้ป่วยติด เชื้อนี้จํานวนเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีการเลี้ยงหมูกันอย่างหนาแน่น ในช่วงฤดูร้อนของปี พ .ศ .2548 ได้มีการระบาดครั้งใหญ่ในคนเกิดขึ้นในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน มีผู้ป่วยติดเชื้อ จํานวน 215 ราย เสียชีวิต 38 ราย

                            ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติการสัมผัสกับหมูหรือเนื้อหมูที่ติดเชื้อ โดยอาการของผู้ป่วยที่พบ จากการระบาดครั้งนี้ได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และภาวะช็อค  ( streptococcal toxic shock syndrome) และ นอกจากการระบาดในครั้งนี้แล้ว ยังมีรายงานการติดเชื้อนี้ในคนอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยเองก็พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หูดับเป็นจํานวนมาก และจากผลการสํารวจของ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ปี 2561 ทั่วประเทศ ยังคงพบมีการติดเชื้อกระจายเกือบทุกภาค โดยเฉพาะภาคเหนือ

                             

                            อาจารย์สาวมือเป็นแผล

                            การป้องกันโรคไข้หูดับ

                            การป้องกันโรคติดเชื้อไข้หูดับ ทำได้โดยการหลีกเลี่ยง การบริโภคเนื้อหมูดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ  การปรุงเนื้อหมูให้ปลอดภัยจากไข้หูดับ คือ หากผู้ปรุงมีแผลที่ผิวหนัง ต้องปิดแผล และสวมถุงมือยางขณะปรุง นอกจากนี้ควรเลือกซื้อเนื้อหมูจาก ตลาดสด และห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะผ่านการตรวจเช็คมาตรฐานจากโรงฆ่าสัตว์ ไม่ควรซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ เนื้อยุบ การปรุงอาหารควรต้มด้วยอุณหภูมิตั้งแต่ 70 องศา เซลเซียส นานอย่างน้อย 10 นาที หรือจนน้ำต้มไม่มีสีแดง นอกจากนั้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหมูที่คาดว่าจะเป็นพาหะ ซึ่งมักไม่แสดงอาการป่วย ควรสวมถุงมือ รองเท้าบู๊ต ในระหว่างการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหมูตลอดจนการรักษาความ สะอาดหลังสัมผัสหมู
                            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : thairath.co.th , nih.dmsc.moph.go.th
                            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              งานวิจัยยืนยัน ลูกเรียนเก่งแน่ แค่ชวนทำงานบ้าน

                              สอนลูกทำงานบ้าน – ดร.ทามาร์ ชานสกี้ นักจิตวิทยาและผู้แต่งหนังสือหลายเล่ม รวมถึง “Freeing Your Child from Anxiety” กล่าวถึงการศึกษาที่ตีพิมพ์โดยมหาวิทยาลัยมินนิโซตา ซึ่งพบว่า การให้เด็กๆ ได้ทำงานบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย  จะช่วยสร้างความรู้สึกเชี่ยวชาญที่ยั่งยืน ความรับผิดชอบ และความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ได้ตลอดชีวิต ซึ่งมีการศึกษา และติดตามผลในเด็กกว่า 80 คน

                              งานวิจัยชี้! สอนลูกทำงานบ้าน ตั้งแต่เล็ก ลูกจะเก่งวิชาการ!

                              โดยผลการศึกษาพบว่าเด็กที่เริ่มทำงานบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย (ประมาณ 3 หรือ 4 ขวบ) มีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและครอบครัว ตลอดจนประสบความสำเร็จด้านวิชาการ และประสบความสำเร็จในอาชีพ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ฝึกทำงานบ้านตั้งแต่ยังเล็ก เช่นเดียวกับเด็กเล็กๆ ที่ต้องเรียนรู้คุณค่าของเงิน พวกเขาต้องเรียนรู้คุณค่าของการทำความสะอาดด้วย

                              ทำไมการสอนลูกให้ทำงานบ้านจึงเป็นเรื่องสำคัญ?

                              จากข้อมูลโดย ABS National Health Survey 2017–18 มีรายงานว่าภาวะสุขภาพเรื้อรัง ในเด็กอายุ 0-14 ปี ได้แก่ โรคหอบหืด (9.3% – 11%) ไข้ละอองฟาง (10%) และภูมิแพ้ โรคจมูกอักเสบ (10%) แม้ว่าภาวะเหล่านี้อาจเกิดจากความพิการแต่กำเนิด ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคอ้วน ฯลฯ แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหาเหล่านี้ได้ เช่น สุขอนามัยที่ไม่ดี และการขาดความสะอาดในบ้านที่เหมาะสม  เด็ก ๆ ต้องการสภาพแวดล้อมที่ถูกสุขอนามัยเพื่อการเจริญเติบโตที่ดี ด้วยเหตุนี้ นอกจากการรักษาสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้สะอาดแล้ว ยังต้องสอนให้พวกเขาดูแลตัวเองด้วยการสอนลูกๆ ให้ทำความสะอาด และดูแลรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อให้มั่นใจว่าเด็กๆ จะมีสุขภาพแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี และไม่เจ็บป่วยง่าย

                              สอนลูกทำงานบ้าน
                              สอนลูกทำงานบ้าน

                              ประโยชน์ของการสอนให้ลูกทำงานบ้าน

                              การสอนให้เด็กๆ ทำงานบ้าน มีข้อดีหลายประการ แม้ว่าการทำงานบ้านด้วยตัวเองมักจะง่ายกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องใช้ความพยายามในการสอนให้เจ้าตัวน้อย อายุยังไม่ 3 ขวบเต็มฟัง ว่าต้องทำความสะอาดบ้านอย่างไร ความจริงก็คือ การช่วยเหลืองานบ้านเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาการของเด็ก ทางที่ดีลองหางานบ้านที่ลูกของคุณสามารถช่วยทำได้  และจัดตารางเวลาและระบบที่จะเหมาะกับคุณและลูก

                              งานเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กอายุ 3- 5 ขวบของคุณสามารถทำได้รอบ ๆ บ้านอาจมีไม่มากนัก แต่คุณสามารถสอนบทเรียนอันมีค่าให้ลูกของคุณ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะติดตัวไปจนถึงช่วงวัยรุ่น เมื่อลูกของคุณอายุ 9 หรือ 10 ขวบ เขาจะสามารถมีส่วนสำคัญในงานบ้านได้ ตัวอย่างของการทำงานบ้านที่เป็นประโยชน์ต่อเด็ก ๆ เช่น :

                              • ช่วยสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง การทำงานบ้านให้เสร็จลุล่วง และทำได้ดีด้วยตัวเอง จะช่วยให้ลูกของคุณเกิดความมั่นใจ และภูมิใจในตัวเอง
                              • สอนความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย  สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์มาก เมื่อลูกของคุณโตขึ้นและต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน
                              • ช่วยให้เด็กๆ รู้คุณค่าของการรักษาความสะอาด ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างกิจวัตรที่ดีที่จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กไปตลอดชีวิต แต่ยังช่วยให้บ้านของคุณเป็นระเบียบและสงบสุข
                              • ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “ทีม”  บอกเด็กๆ ว่าพวกเขา คือ ส่วนหนึ่งของครอบครัว และทุกคนในครอบครัวต้องทำหน้าที่ของตัวเอง โดยการให้แนวทางในการใช้ชีวิตกับเด็กๆ ว่า “เราทุกคนอยู่ด้วยกัน” และต้องช่วยกันรักษาความสะอาดของบ้านเพื่อส่วนรวม

                              วิธีที่คุณสามารถกระตุ้นให้บุตรหลานของคุณทำความสะอาด

                              หากพ่อแม่มีความกระตือรือร้นและช่วยลูกปลูกฝังนิสัยที่ดี เด็กที่อายุน้อยกว่าสามขวบ สามารถเรียนรู้คุณค่าของการทำความสะอาดได้  ต่อไปนี้ คือ 9 วิธีที่คุณสามารถสอนลูกๆ ของคุณให้เห็นคุณค่าของการทำความสะอาดได้

                              1. ทำให้ลูกเห็น

                              เด็กๆ ซึบซับนิสัยที่ดีจากพ่อแม่ และหากพวกเขาเห็นว่าคุณเป็นคนรักสะอาด ใส่ใจและให้ความสำคัญในการจัดบ้านให้สะอาดเรียบร้อย พวกเขาจะทำตามอย่างไม่ต้องสงสัย ควรให้บุตรหลานของคุณรู้ว่าการทำความสะอาดบ้านแต่ละอย่างเป็นอย่างไร โดยสาธิตการทำงานต่างๆ เช่น การปัดฝุ่น การขจัดสิ่งสกปรก การซัก การกวาด การถู เป็นต้น

                              2. คิดหาวิธีให้เด็กๆ ได้ช่วยงานบ้าน

                              แม้ลูกของคุณอาจยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ แต่คุณสามารถสอนให้พวกเขาแบ่งเบางานของคุณได้ เช่น ในขณะที่ทำความสะอาดบ้าน ลองขอความช่วยเหลือจากเด็กๆ  คุณสามารถให้ลูกทำงานง่ายๆ เช่น พับเสื้อผ้า เช็ดถู ปัดฝุ่น ในพื้นที่เล็ก ๆ เก็บของเล่นส่วนตัว และทำงานบ้านอื่นๆ ได้มากมาย ยิ่งคุณกระตุ้นให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมมากเท่าไหร่ เด็กๆ ก็จะสนใจการทำความสะอาดบ้านมากขึ้นเท่านั้น

                              3. อย่าให้การทำงานบ้านเป็นเรื่องของการลงโทษ

                              บางครั้ง พ่อแม่อาจขอให้ลูกทำความสะอาดห้อง หยิบของเล่น หรือทิ้งขยะ เพื่อเป็นการลงโทษเมื่อลูกมีพฤติกรรมไม่ดี ซึ่งความจริงแล้วการให้ลูกทำลงมือทำงานบ้านไม่ควรเป็นเรื่องที่ไปเชื่อมโยงกับการลงโทษเพราะจะทำให้เด็กๆ มีทัศนคติและมุมมองที่ไม่ดีต่อการทำงานบ้าน

                              แนะ! 10 เทคนิค สอนลูกให้ทำงานบ้าน แบบราบรื่น

                              8 เคล็ดลับกระตุ้นให้ลูกทำ งานบ้าน เสริมสร้างทักษะชีวิตแต่เล็กมีแต่ได้กับได้

                              ให้ลูกช่วยงานบ้าน ฝึกทักษะ EF ติดตัวลูกไปตลอดชีวิต โดยพ่อเอก

                              4. สอนลูกว่าทำไมการทำความสะอาดบ้านจึงสำคัญ

                              คุณสามารถบอกลูก ๆ ถึงประโยชน์ของการรักษาบ้านให้สะอาด สอนเกี่ยวกับเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรคอื่นๆ บนพื้นผิวและวัตถุต่างๆ ของบ้าน นอกจากนี้ ให้สอนว่าหากบ้านสกปรก ก็จะทำให้พวกเขาป่วยง่าย และสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อกำจัดเชื้อโรคก็คือการรักษาความสะอาด

                              สอนลูกทำงานบ้าน

                              5. ให้ลูกเลือกว่าอยากทำอะไร

                              ถ้าลูกของคุณไม่ชอบพับเสื้อผ้า คุณสามารถให้ทางเลือกหลายทางกับลูก ให้ลูกของคุณเลือกกิจกรรมที่ชอบและทำสิ่งนั้นให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น

                              6. ทำทุกอย่างให้เรียบง่าย

                              อย่าให้การทำงานบ้านเป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนสำหรับลูก ดังนั้นให้ลดความซับซ้อนของงาน และค่อยๆ ให้ลูกเริ่มต้นทำไปทีละนิด เพื่อให้พวกเขาเกิดวามสนใจในการทำงานบ้านได้  เพราะโดยปกเด็กมักสมาธิสั้น มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งต่างๆ ได้สั้นกว่าผู้ใหญ่ หากพวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดที่ต้องใช้เวลานานหรือซับซ้อน พวกเขาจะเลิกสนใจอย่างรวดเร็ว

                              7. ช่วยเด็ก ๆ ให้ทำงานบ้าน ด้วยความสนุกสนาน

                              เด็กๆ อาจไม่ได้เติบโตขึ้นมาเพื่อเข้าใจคุณค่าของการทำความสะอาดบ้าน หากสิ่งที่ต้องทำไม่น่าสนใจหรือไม่ตื่นเต้นสำหรับพวกเขา เพื่อช่วยให้บุตรหลานของคุณทำความสะอาดและเข้าใจถึงความสำคัญของการทำงานบ้าน พยายามให้การทำงานบ้านเป็นเรื่องสนุก เช่น ทำความสะอาดพร้อมเปิดเพลงฟังออกสเต็ปกันเบาๆ  เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกสนุกสนานและไม่รู้สึกว่าการทำงานบ้านน่าเบื่อจนเกินไป

                              8. ให้พวกเขาทำงานบ้านให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด

                              เด็กเล็กๆ มักมีความสามารถในการแข่งขัน และชอบความท้าทาย ซึ่งคุณสามารถใช้ข้อนี้ เพื่อประโยชน์ของคุณ โดยกำหนดเวลาการทำงานบ้านของลูก อาจใช้โทรศัพท์ หรือนาฬิกาเพื่อตั้งเวลาและขอให้เด็กๆ ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่เสียงเตือนหมดเวลาจะดังขึ้น ลองทำเป็นแข่งขันกับลูกๆ ว่าใครจะทำงานของตัวเองเสร็จก่อนกัน เพื่อทำให้การทำงานบ้านน่าสนุกและมีความหมายมากขึ้นสำหรับพวกเขา และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำงานบ้านที่ได้รับมอบหมายเสร็จ ควรให้รางวัลพวกเขาด้วยการชื่นชม

                              9. สอนลูกถึงความสำคัญของการทำเพื่อผู้อื่น

                              สอนลูกๆ ให้เข้าใจเรื่องการมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถบอกลูกว่าการปัดฝุ่น ช่วยขจัดฝุ่น ไรฝุ่น สิ่งสกปรก ทำให้สภาพแวดล้อมและอากาศในบ้านดีขึ้น ไม่เพียงเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพของพวกเขาแต่ดีสำหรับสุขภาพของแม่และพ่อด้วย เมื่อเด็กๆ รู้ว่าการลงมือทำงานบ้านของเขามีส่วนช่วยคนที่พวกเขารัก จะช่วยให้เด็กๆ มีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือและเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น การรักษาบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่การใช้วิธีการต่างๆ ที่กล่าวถึงข้าง ต้นจะกระตุ้นให้ลูกๆ ของคุณสามารถมีส่วนร่วมในการทำความสะอาดบ้านเป็นประจำทุกเมื่อที่จำเป็น

                              เราจะเห็นได้ว่าการสอนให้เด็ก ๆ รู้จักรับผิดชอบในการทำงานบ้าน นอกจากจะช่วยปลูกฝังด้านศีลธรรม และ จริยธรรม ให้กับลูกแล้ว ยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกฝังเรื่องความดีลงไปในจิตสำนึกของเด็กๆ ได้ ช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเลือกทางที่ถูกต้อง รู้ผิดชอบชั่วดี ซึ่งโดยรวมแล้วก็คือ การส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดทางคุณธรรม (MQ)  ทั้งนี้สิ่งต่างๆ อาจไม่ได้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่จำเป็นต้องได้รับการปลูกฝังอย่างต่อเนื่อง

                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : bondcleaning.sydney , verywellfamily.com

                              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              วิจัยชี้ฝึก ลูกช่วยทำงานบ้าน โตไปประสบความสำเร็จในชีวิต

                              ผลวิจัยชี้ชัด! ผู้ชายทำงานบ้าน จะทำให้ฉลาด สุขภาพแข็งแรง

                              ผลวิจัยชี้! เด็กที่ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในชีวิตและมีนิสัยที่ดี

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                คนท้องปวดท้องน้อย

                                คนท้องปวดท้องน้อย อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง?

                                อาการปวดท้องน้อยขณะตั้งครรภ์ หรือ คนท้องปวดท้องน้อย เป็นอาการปกติที่คนท้องทุกคนต้องเจอหรือไม่? ปวดท้องแบบไหนอันตรายต่อเด็กในท้อง? อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง? อ่านต่อที่นี่

                                คนท้องปวดท้องน้อย อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง?

                                อาการปวดท้อง เกิดขึ้นได้บ่อยแม้แต่กับคนทั่วไป โดยอาการปวดท้องนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาการปวดท้องเหล่านี้หากเกิดขึ้นขณะที่ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ เราจะสามารถดูอาการต่อไปได้หากอาการปวดยังไม่รุนแรง และยังสามารถเดาได้ว่าอาการปวดท้องนี้เกิดขึ้นในตำแหน่งใด แต่เมื่อตั้งครรภ์แล้ว เมื่อคนท้องมีอาการปวดท้อง แม้จะไม่ใช่อาการปวดที่รุนแรงมากนัก แต่ก็อดทำให้แม่ ๆ กังวลใจไม่ได้ อีกทั้งร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้คาดเดาตำแหน่งของการปวดท้องได้ยาก ว่าตำแหน่งที่ปวดนั้น เกี่ยวข้องกับทารกในครรภ์หรือไม่? และอาการปวดท้องนั้น ๆ อันตรายต่อลูกแค่ไหน?

                                คนท้องปวดท้องน้อย เกิดจากอะไร?

                                การที่ คนท้องปวดท้องน้อย เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยอาการเหล่านี้ มักเกิดขึ้นในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โดยเกิดจากการที่ตัวอ่อนทารกกำลังมีการฝังตัวเข้าไปในผนังมดลูก ประกอบกับการขยายตัวของมดลูก ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด โดยส่วนใหญ่อาการจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วันหรืออาจเป็นสัปดาห์ได้ โดยระดับความปวดมากหรือปวดน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ เช่น การเดินบ่อย ๆ การออกกำลังกายที่มากเกินไป การขึ้นลงบันไดหรือการเคลื่อนไหวเร็วจนเกินไป แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง แต่หากมีเพศสัมพันธ์ หรือทำงานหนักก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวดท้องได้มากขึ้น

                                ปวดท้องน้อยขณะตั้งครรภ์
                                ปวดท้องน้อยขณะตั้งครรภ์

                                ควรจะทำอย่างไร เมื่อมีอาการปวดท้อง

                                • เมื่อเกิดอาการปวดบริเวณท้องน้อย ควรหยุดที่จะทำกิจกรรมทุกอย่างอยู่ทันที แล้วนั่งหรือนอนพักให้ร่างกายผ่อนคลายขึ้น จนอาการปวดทุเลาลง
                                • หากมีอาการปวดน้อยระหว่างการนอน ให้ลองปรับเปลี่ยนท่าทางการนอนจากนอนหงายให้ลองนอนตะแคงซ้ายหรือขวา
                                • การใช้หมอนหนุนบริเวณหลังขณะนั่ง จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้
                                • อาบน้ำอุ่น สามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
                                • การใช้มือลูบวนบริเวณหน้าท้อง สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้
                                • ถ้าเกิดมีอาการปวดมาก หรือมีมีเลือดออกควรรีบไปพบแพทย์ทันที

                                ทั้งนี้ แม้สาเหตุของอาการปวดท้องน้อยในช่วงการตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่อยากให้คุณแม่นิ่งนอนใจนะคะ หากเกิดอาการปวดหน่วงที่ท้องน้อย ปวดเป็นจังหวะเดี๋ยวปวดเดี๋ยวหาย ปวดแบบเจ็บจิ๊ด แนะนำให้คุณแม่หยุดการทำกิจกรรมที่หนัก ๆ ไปก่อน และคอยสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย หากอาการปวดไม่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ปวดตลอดเวลา ไม่มีเลือดออกจากช่องคลอด รวมถึงไม่มีอาการของสาเหตุอื่น ๆ เช่น มีไข้ ท้องเสีย ปัสสาวะแสบขัด เป็นต้น ก็ไม่ได้อันตรายแต่อย่างใด แต่หากอาการปวดท้องเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ปวดตลอดเวลา หรือมีเลือดออกจากช่องคลอด หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ก็ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะอาการปวดท้องขณะตั้งครรภ์นั้น อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งบางสาเหตุหากได้ปรับพฤติกรรม อาการปวดท้องก็จะหายไป แต่บางสาเหตุก็ควรจะไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ปลอดภัย ดังต่อไปนี้

                                1. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

                                แม่ท้องเสี่ยงต่อการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบสูง เนื่องจากระดับฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์นั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนออกมามากขึ้น ทำให้มัดกล้ามเนื้อของท่อไตคลายตัว ประกอบกับขนาดมดลูกที่ใหญ่ขึ้นจนบีบท่อไต ส่งผลให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานได้ช้าลง นอกจากนี้ สตรีมีครรภ์มักมีกระเพาะปัสสาวะหย่อน จึงปัสสาวะไม่ค่อยสุดและอาจมีน้ำปัสสาวะไหลย้อนเข้าท่อไตและไตได้ ส่งผลให้เชื้อโรคและแบคทีเรียค้างอยู่บริเวณกระเพาะปัสสาวะและเข้าสู่ไต ทำให้เสี่ยงเกิดภาวะไตติดเชื้อได้ง่าย อีกทั้งน้ำปัสสาวะในช่วงตั้งครรภ์มีความเป็นกรดน้อยและอุดมไปด้วยกลูโคส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโต ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบตามมาได้ง่าย โดยแม่ท้องที่มีโอกาสเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จะมีอาการดังนี้

                                • ปวดบริเวณท้องน้อย
                                • รู้สึกแสบขัดขณะปัสสาวะ หรือเมื่อปัสสาวะกำลังจะเสร็จ
                                • มีไข้ หนาวสั่น
                                • รู้สึกเหนื่อย เพลีย
                                • ปัสสาวะบ่อย
                                • มีเลือดออกจากปัสสาวะ

                                หากคุณแม่มีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัยต่อลูกในครรภ์ต่อไป

                                อ่านต่อ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในสตรีมีครรภ์ เรื่องที่คุณแม่ท้อง ต้องระวัง

                                2. มีแก๊สในท้องมาก ท้องอืด

                                อาการท้องอืด คือภาวะที่เกิดอาการแน่นท้อง เนื่องจากมีแก๊สในกระเพาะอาหาร จนทำให้ท้องดูมีลักษณะบวม ในบางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย แต่อาการปวดจะไม่มาก และตำแหน่งที่ปวดมักเคลื่อนที่ได้ตามการเคลื่อนที่ของแก๊สในท้อง และอาการจะดีขึ้นเมื่อ เรอ หรือ ผายลม ซึ่งอาการท้องอืดในคนท้อง เกิดจาก

                                • ขณะตั้งครรภ์ ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนโปรเจนเตอโรน (Progesterone) ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งฮอร์โมนนี้ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายไปทั้งร่างกาย รวมถึงกล้ามเนื้อในระบบการย่อยอาหารด้วย จึงเป็นสาเหตุให้ลำไส้ทำงานได้ช้าลงจนเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร
                                • เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากขณะตั้งครรภ์ มดลูกขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์ ซึ่งการขยายตัวนี้ได้ไปเบียดอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึง ลำไส้ กระเพาะอาหาร กระบังลม การถูกกดทับนี้ ทำให้อวัยวะเหล่านี้ทำงานได้ไม่สะดวก ย่อยอาหารได้ช้าลง จนทำให้เกิดแก๊สในท้องได้

                                อ่านต่อ ไขข้อข้องใจ คนท้อง ท้องอืด แน่นท้อง ทำไงดี?

                                3. ท้องนอกมดลูก

                                การตั้งครรภ์นอกมดลูก หมายถึงการตั้งครรภ์ที่เกิดจากการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้วนอกโพรงมดลูก ร้อยละ 95 เกิดขึ้นที่ท่อนำไข่ นอกจากนั้นอาจพบได้ที่รังไข่ ปากมดลูก และในช่องท้อง พบได้ประมาณร้อยละ 0.5-0.75 หรือประมาณ 1 : 125 ถึง 1 : 200 ของการคลอดทั้งหมด และเป็นสาเหตุทำให้มารดาเสียชีวิตเป็นอันดับที่ 4 ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด แต่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดของการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก ดังนั้น คุณแม่จึงควรสังเกตอาการ คนท้องปวดท้องน้อย ดี ๆ ว่าเกิดจากสาเหตุนี้หรือไม่ โดยอาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูก มีดังนี้

                                • ความเจ็บปวดที่รุนแรงในช่องท้องกระดูกเชิงกราน ไหล่ หรือคอ
                                • อาการปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของช่องท้อง
                                • มีเลือดออกทางช่องคลอด
                                • รู้สึกเวียนศีรษะหรือคล้ายจะเป็นลม
                                • ความดันทางทวารหนัก

                                หากมีอาการดังกล่าว ควรติดต่อแพทย์หรือขอรับการรักษาทันทีฃ

                                อ่านต่อ ทำไมถึง ตั้งครรภ์นอกมดลูก ท้องนอกมดลูก รู้เร็ว แม่รอด

                                ปวดท้องน้อย
                                ปวดท้องน้อย

                                4. เจ็บท้องหลอก

                                อาการเจ็บท้องหลอก มักเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ แต่ยังไม่ถึงกำหนดคลอด การเจ็บท้องหลอก หรือเรียกว่า เจ็บท้องลวง (False Labor) คือ การเจ็บท้องที่ไม่มีการคลอดลูกตามมา ซึ่งจะมีการหดตัวของมดลูกที่ไม่สม่ำเสมอประมาณวันละ 2-3 ครั้ง ไม่มีเลือดออก และถุงน้ำคร่ำแตกไหลออกมาจากช่องคลอด แม่ท้องอาจรู้สึกว่าปวดท้อง ปวดหลังได้

                                สำหรับอาการเจ็บครรภ์ลวงจะเป็นได้ตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ ซึ่งการเจ็บครรภ์หลอกคุณแม่ท้องจะเจ็บถี่ขึ้น 6-8 ครั้ง/วัน เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น แต่หากเจ็บครรภ์และมีมดลูกหดรัดตัวอย่างสม่ำเสมอทุก 10 นาที หดรัดตัวนานครั้งละมากกว่า 30 วินาที ถือว่าเข้าข่ายเจ็บท้องจริง

                                อ่านต่อ เจ็บท้องหลอก เจ็บท้องจริง แม่ท้องใกล้คลอดจะรู้ได้อย่างไร ?

                                5. คลอดก่อนกำหนด

                                โดยปกติในระยะตั้งครรภ์เกิน 6 เดือนขึ้นไป คุณแม่จะรู้สึกว่ามดลูกหดตัวเบา ๆ เป็นพัก ๆ ไม่รู้สึกเจ็บปวด (อย่างที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเด็กโก่งตัว) เป็นการฝึกหัดตัวเองของมดลูกที่จะบีบตัวเมื่อถึงกำหนดคลอด การหดตัวของมดลูกแบบนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีการหดตัวบ่อย ๆ ถี่เกินไป ท้องตึงแข็งอยู่เป็นเวลานาน และมีอาการอื่นร่วมด้วย ก็แสดงว่าอาจจะมีการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด

                                อาการผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณแม่อาจคลอดก่อนกำหนด ได้แก่

                                • มีอาการปวดท้อง แบบผิดปกติ เช่น ปวดท้องตื้อ ๆ บริเวณช่วงล่าง ปวดบริเวณท้องน้อยคล้าย ๆ กับอาการปวดประจำเดือน
                                • ท้องเสียหรือลำไส้บิดตัวมากกว่าปกติ
                                • มดลูกบีบรัดตัวอย่างรุนแรง และบีบรัดตัวถี่มาก รู้สึกมีแรงกดบริเวณอุ้งเชิงกราน ขาหรือหลัง
                                • ปวดหลังมาก และอาการปวดหลังไม่หายไป
                                • มีมูกเลือด
                                • มีน้ำเดิน หรือมีน้ำคร่ำออกจากช่องคลอด

                                หากคุณแม่มีอาการอย่างนี้แล้วก็มักจะคลอดภายใน 24 ชั่วโมง โดยแพทย์อาจจะต้องตัดสินใจผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง เพราะว่าการที่ถุงน้ำแตก มีน้ำเดินแล้วยังไม่คลอด จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในถุงน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์อย่างมาก

                                อ่านต่อ คลอดก่อนกำหนด เรื่องที่แม่ท้องต้องรู้สาเหตุและวิธีป้องกัน

                                แม้ว่า คนท้องปวดท้องน้อย ที่เกิดในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์นั้น เป็นเรื่องที่ไม่อันตราย สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่อยากให้คุณแม่วางใจไปค่ะ เพราะอาการปวดท้อง อาจไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่ไม่อันตรายก็เป็นได้ ดังนั้น หากคุณแม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ มีอาการปวดมากขึ้น มีเลือดออกจากทางช่องคลอด ก็ควรไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

                                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                10 ข้อห้าม คนท้องอ่อนๆ ต้องระวังอะไรบ้าง?

                                คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร? กระทบลูกในท้องหรือไม่?

                                คนท้องยืนนานๆ กระทบลูกหรือไม่ เสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง?

                                คนท้องอารมณ์อ่อนไหว มีผลกับลูกในท้องอย่างไร

                                 

                                ขอบคุณข้อมูลจาก : www.medicalnewstoday.com, www.pobpad.com, ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย, worldwideivf.com

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  ทารกไม่ถ่าย นวดท้องช่วยได้

                                  I love youคาถานวดท้องแก้ปัญหา ทารกไม่ถ่าย ได้ผลชะงัด

                                  ทารกไม่ถ่าย ปัญหาหนักใจของพ่อแม่เมื่อเห็นลูกน้อยอึดอัด ร้องงอแง แต่เชื่อไหมความรักของเราสามารถช่วยให้ลูกอึได้ เพียงนวดท้องแล้วร่ายมนต์แห่งความรัก I love you

                                  I love you คาถานวดท้องแก้ปัญหา ทารกไม่ถ่าย ได้ผลชะงัด!!

                                  ทารกไม่ถ่าย ลูกไม่อึ เป็นปัญหาที่น่ากังวลของพ่อแม่ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเห็นลูกน้อยอึดอัดทรมานด้วยแล้ว พ่อแม่คงทุกข์ใจกันไม่น้อย ก่อนจะตัดสินว่า ทารกไม่ถ่ายจนเป็นเรื่องที่น่าห่วงมากแค่ไหน เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบขับถ่ายของเด็กทารกกันก่อน

                                  โดยทั่วไปแล้ว ทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือน อาจถ่ายวันละประมาณ 2-3 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 5-40 ครั้ง เมื่ออายุ 3-6 เดือน จะถ่ายวันละ 2-4 ครั้ง ส่วนทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไป อาจถ่ายวันละประมาณ 1-2 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 5-28 ครั้ง ทั้งนี้ ทารกอาจไม่ได้ถ่ายทุกวัน ซึ่งการที่ทารกไม่ถ่ายนั้นไม่ได้บ่งบอกว่ามีอาการท้องผูกเสมอไป หากสงสัยว่าลูกท้องผูก ควรสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมกับลักษณะอุจจาระว่าแข็งหรือมีเลือดปนออกมาด้วยหรือไม่

                                  ทารกไม่ถ่าย เรื่องกลุ้มของพ่อแม่
                                  ทารกไม่ถ่าย เรื่องกลุ้มของพ่อแม่

                                  แบบไหนเรียกว่า “ลูกท้องผูก”

                                  ทารกแต่ละคนมีความถี่ในการขับถ่ายแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเด็กดื่มนมแม่ หรือนมชง ได้เริ่มทานอาหารอะไรบ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อระบบขับถ่ายของลูกทั้งสิ้น สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ หมั่นสังเกตการขับถ่ายของเจ้าตัวเล็ก ว่าเป็นเช่นไร มีลักษณะแบบไหน จำนวนเท่าไหร่ ความสม่ำเสมอของแต่ละครั้ง และช่วงเวลาไหน หากเราคอยสังเกตจะพบความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายได้อย่างแม่นยำ อาการที่อาจแสดงว่าทารกท้องผูกนั้น ให้สังเกตดังต่อไปนี้

                                  1. ไม่ค่อยถ่าย ความถี่ในการขับถ่ายแต่ละวันของทารกนั้นไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงที่เพิ่งเริ่มหัดกินอาหารใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตว่าลูกไม่ได้ขับถ่ายติดต่อกันนานกว่า 2-3 วัน อาจเป็นสัญญาณของอาการท้องผูกได้
                                  2. ต้องออกแรงเบ่งอุจจาระ พ่อแม่ควรสังเกตว่าลูกต้องออกแรงเบ่งอุจจาระมากกว่าปกติ หรือรู้สึกหงุดหงิดและร้องไห้เวลาขับถ่ายหรือไม่ หากมีอาการเหล่านี้ เด็กอาจประสบภาวะท้องผูกอยู่
                                  3. มีเลือดปนอุจจาระ ทารกที่ท้องผูกอาจมีเลือดปนมากับอุจจาระได้ เนื่องจากผนังทวารหนักฉีกขาดจากการออกแรงเบ่งอุจจาระ
                                  4. ไม่กินอาหาร ลูกจะไม่กินอาหาร และมักรู้สึกอิ่มเร็ว เนื่องจากอึดอัดและไม่สบายท้องจากการไม่ได้ขับถ่ายของเสีย
                                  5. ท้องแข็ง ลักษณะท้องของทารกจะตึง แน่น หรือแข็ง ซึ่งเป็นอาการท้องอืดที่เกิดขึ้นร่วมกับการมีท้องผูก

                                  ส่อง “อึ” ลูกสังเกตอาการท้องผูก

                                  อีกวิธีที่ง่าย และค่อนข้างได้ผลในการดูว่าทารกกำลังมีอาการท้องผูกอยู่หรือไม่ ก็คือ การสังเกตคุณภาพของอุจจาระ ให้สังเกตดูว่าเป็นอุจจาระที่

                                  • แห้ง คุณภาพของอุจจาระดูแห้งไม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ลักษณะแห้งไม่นุ่ม เป็นต้น
                                  • รูปทรงกรวด หรือเม็ด แม้ว่าเด็กจะไม่ต้องออกแรงเบ่งมากนักกับอุจจาระรูปแบบนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นทรงกรวด หรือเป็นเม็ดนั่นแสดงถึงภาวะท้องผูกในทารก
                                  • ออกไม่หมด โดยจะพบรอยเปื้อนบนผ้าอ้อม

                                   

                                  สังเกตอึลูก เพื่อคาดเดาอาการท้องผูก
                                  สังเกตอึลูก เพื่อคาดเดาอาการท้องผูก

                                  หากพบลักษณะดังกล่าว สามารถบอกได้ว่าลูกน้อยของคุณกำลังพบกับภาวะ “ท้องผูก” เสียแล้ว

                                  วิธีกระตุ้น และดูแล เมื่อ “ทารกไม่ถ่าย”

                                  ส่วนสำคัญสุดในการช่วยให้การขับถ่ายของทารกเป็นปกติ นั่นคือ อาหาร อาหารสำหรับทารกส่วนใหญ่ก็คือ นมนั่นเอง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจในการเลือกซื้อนมผงที่เข้ากับลูก เพราะนมแต่ละยี่ห้อก็มีผลต่อเด็กแต่ละคนแตกต่างกันไป เช่น เด็กบางคนอาจไม่ถูกกับนมชนิดนี้ กินไปแล้วอาจเกิดอาการแพ้ ท้องเสีย ถ่ายเหลว หรือท้องผูกได้ โดยอาจทดลองซื้อนมผงขนาดเล็กมาให้เจ้าตัวเล็กลองทานดูก่อน เผื่อลูกน้อยเกิดแพ้นมผงสูตรนั้นหรือยี่ห้อนั้นขึ้นมาจะได้เปลี่ยนได้ทัน จะได้ไม่ต้องเสียดายเงินหากซื้อกระป๋องใหญ่ และหากลูกทานได้ ไม่มีอาการแพ้ หรือมีผลไม่ดีต่อร่างกายใด ๆ ก็ตาม ถึงอย่างนั้นก็ยังแนะนำให้ซื้อกระป๋องเล็กในจำนวนเยอะ ๆ แทนอยู่ดี เหตุผลเพราะเมื่อเปิดกระป๋องแล้ว ควรจะชงนมผงให้หมดในไม่เกิน 7 วันเพื่อลดความเสี่ยงของเชื้อโรคที่จะก่อตัวในกระป๋องนม

                                  แต่นมที่ดีที่สุด และพบปัญหาต่อลูกน้อยที่สุด นั่นคือ นมแม่นั่นเอง หากคุณแม่ไม่ได้มีเหตุจำเป็นใด ๆ ก็ขอแนะนำว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในตัวน้ำนมแม่แล้ว ยังเป็นน้ำนมที่เข้ากับร่างกายของลูกของเรามากที่สุดอีกด้วย เนื่องจากแทบจะไม่พบปัญหาเรื่องทารกไม่ถ่าย หรือท้องผูก กับเด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวเลย

                                  นอกจากอาหารแล้ว เราอาจใช้การกระตุ้นด้วยวิธีอื่นเพื่อให้ทารกขับถ่ายได้ง่ายขึ้น เช่น

                                  • ช่วยขยับร่างกาย การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยเร่งการย่อยอาหาร ส่งผลให้ร่างกายลำเลียงของเสียออกไปได้เร็ว โดยพ่อแม่อาจฝึกทารกที่ยังเดินไม่ได้ให้ถีบจักรยานกลางอากาศ หรือหากทารกยังคลานไม่ได้ อาจช่วยนวดกระตุ้นขา
                                  • นวดท้องเด็ก วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นลำไส้ ส่งผลให้ขับถ่ายได้ง่าย
                                  • ทาว่านหางจระเข้ หากเด็กถ่ายลำบากจนมีเลือดออกหรือผิวหนังบริเวณทวารหนักฉีกขาด ควรพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุและรับการรักษาเป็นอันดับแรก แต่ในระหว่างที่ยังไม่ได้รับการรักษาอาจใช้ครีมที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ทาบริเวณดังกล่าวเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด
                                  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษา พ่อแม่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาหรือวิธีรักษาอาการท้องผูกของเด็ก โดยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาที่ช่วยให้อุจจาระไม่แข็งตัวเพื่อให้เด็กถ่ายง่ายขึ้น หรือใช้ยากลีเซอรีนเหน็บก้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ยาเหน็บก้นเป็นประจำ เนื่องจากจะทำให้เด็กเคยชิน และไม่ถ่ายเองตามปกติ รวมทั้งเลี่ยงไม่ให้เด็กรับประทานยาระบาย หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อน

                                   

                                  ทารกไม่ถ่าย นวดท้องช่วยได้
                                  ทารกไม่ถ่าย นวดท้องช่วยได้

                                  ชั่วโมงแห่งการนวด “ระบายท้อง”

                                  ศาสตร์แห่งการนวดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ยอมรับกันมากให้หมู่พ่อแม่ที่ดูแลลูกน้อย แม้ว่าจะไม่สามารถระบุผลที่ชัดเจนได้ตามวิทยาศาสตร์เท่าไหร่นักก็ตาม แต่เมื่อนำไปลองปฎิบัติดู ต่างก็เห็นผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ไม่มากก็น้อย พบว่าการนวดบริเวณท้องของทารกสามารถช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ และยังบรรเทาอาการจุกเสียดและก๊าซ เด็กที่ได้รับการนวดวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที ติดต่อกัน 14 วัน มีจำนวนการถ่ายอุจจาระเพิ่มขึ้น ในการนวดมีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากกัน ดังนี้

                                  เคล็ดลับทั่วไปบางประการในการนวดลูกน้อยเพื่อรักษาอาการท้องผูก:

                                  • นวดลูกน้อยของคุณวันละครั้ง
                                  • เวลาที่ดีที่สุดในการนวดแก้อาการท้องผูก เนื่องจากพลังของการกำจัดและการย่อยอาหารทำงานมากที่สุดตั้งแต่ตี 5 – 11 โมงเช้า
                                  • อย่าลืมใช้น้ำมันเกรดอาหารในระหว่างการนวด เช่น น้ำมันมะพร้าว หรือเบบี้ออยล์ก็ได้เช่นกัน
                                  • ทำให้มือของคุณอุ่นก่อนเริ่ม หากมือของคุณเย็นอยู่เสมอ ให้แช่มือด้วยน้ำอุ่นสักครู่
                                  • นวดลูกน้อยของคุณในห้องที่มีอุณหภูมิห้องปกติ ไม่ควรหนาว หรือเย็นเกินไป

                                  ดังนั้นเรามานวดทารก เพื่อช่วยระบายอาการอึดอัดท้องกันดีกว่า เพราะไม่มีอันตราย แถมสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเองที่บ้านเสียด้วย

                                  1. ท่า I love you ความรักชนะทุกสิ่ง

                                  ท่านวดนี้เป็นท่านวดช่วยไล่ลมในท้องของทารก เพราะอาการท้องอืดมักมาพร้อมกับการไม่ถ่ายด้วยเช่น หากลูกสบายท้อง ไม่มีลมในท้อง ก็จะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้นได้

                                  •   I   การนวดท่านี้ให้ใช้ฝ่ามือลูบเป็นเส้นตรงจากใต้ราวนมด้านซ้ายถึงบริเวณท้องน้อยเป็นตัว I (ด้านขวาของผู้นวด)
                                  •   LOVE   ให้ผู้นวดใช้ฝ่ามือลูบเป็นตัว L กลับหัวบริเวณท้อง โดยเริ่มลากมือจากซ้ายไปขวาตามแนวนอนถึงใต้ชายโครงซ้าย แล้วลากลงตรง ๆ ถึงบริเวณท้องน้อย
                                  •   YOU  ใช้ฝ่ามือลูบบริเวณท้องเป็นรูปตัวยูคว่ำ โดยเริ่มจากด้านขวาของเด็กไปซ้าย

                                  ข้อแนะนำ ให้นวดก่อนมื้อนม หรือหลังจากให้นมไปแล้ว 2 ชั่วโมง

                                  ท่านวด I love you ช่วยเรื่อง ทารกไม่ถ่าย ได้ผล
                                  ท่านวด I love you ช่วยเรื่อง ทารกไม่ถ่าย ได้ผล

                                  2.นวดมือกระตุ้นลำไส้

                                  จับมือทารกลูบลงบนฝ่ามือไล่มือโดยใช้นิ้วโป้งลากไปจากข้อมือเรื่อยไปถึงนิ้วชี้ ทำซ้ำประมาณ 100 – 300 ครั้ง สิ่งนี้ควบคุมลำไส้ใหญ่และส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้ให้ดีขึ้น

                                  3.นวดท้องขยับกระเพาะอาหาร

                                  • ให้ถูรอบสะดือตามเข็มนาฬิกาด้วยโคนฝ่ามือ 100 – 500 ครั้ง วิธีนี้ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร และการเคลื่อนไหวของลำไส้ให้ขยับ จะได้กลับมาทำงานปกติ
                                  • นวดท้องส่วนล่างด้านซ้ายของเด็กซึ่งอยู่ใต้สะดือประมาณ 3 นิ้วมือ โดยใช้ปลายนิ้วกดลงไปเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอประมาณ 3 นาที และควรหมั่นนวดวันละหลายครั้งจนกว่าเด็กจะถ่ายได้ปกติ

                                    ก่อนนวดทำให้มืออุ่น และทาน้ำมันลงบนมือ
                                    ก่อนนวดทำให้มืออุ่น และทาน้ำมันลงบนมือ

                                  4.นวดบนขาท่อนล่าง

                                  ใช้ปลายนิ้วกลางนวด หรือทำเป็นวงกลมเล็ก ๆ บริเวณใต้เข่าด้านนอกของกระดูกหน้าแข้ง 50-100 ครั้ง การนวดบริเวณนี้จะช่วยส่งเสริมการย่อยอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันของทารก

                                  การนวดนอกจากจะส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ระบบย่อยอาหารของทารกแล้ว ยังช่วยให้เกิดสัมผัสแห่งรักที่จะส่งผ่านจากแม่สู่ลูกน้อย การที่เขาได้รับการสัมผัสบ่อย ๆ จากแม่ หรือพ่อผ่านการนวด จะทำให้สร้างสายใยความผูกพันระหว่างกันได้ดีอีกด้วย รู้แบบนี้แล้ว…รีบกลับไปนวดเจ้าตัวเล็กกันเถอะ!!

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com/www.mommasociety.com

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  ลูกกินนมแม่..แต่ทำไมยังท้องผูก??

                                  ลูกอายุ 4 เดือน ท้องผูก ถ่ายไม่ออก เพราะแม่ป้อนกล้วยบด

                                  แม่แชร์สูตร! อาบน้ำใบกะเพรา ระเบิดพุง แก้ปัญหาลูกท้องผูก

                                  ส่งลูกเข้า เตรียมอนุบาล จำเป็นมั้ย? ควรให้ลูกเข้าเรียนตอนกี่ขวบดี?

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    ลูกถูกครูตี

                                    แม่โวย! ลูกถูกครูตี จนต้องเข้าเฝือก เหตุ ครูทำโทษที่ส่งการบ้านไม่ครบ!

                                    ลูกถูกครูตี –  คุณแม่ของเด็กนักเรียนชาย ชั้น ป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง ได้แสดงความคิดเห็นว่าคุณครูประจำชั้นของลูกได้กระทำการอันเกินกว่าเหตุหรือไม่ สืบเนื่องจากกรณีผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในเขต อ.เมือง จ.อ่างทอง ว่าลูกชายถูกคุณครูประจำชั้นทำโทษโดยการใช้ไม้ตีที่มืออย่างแรง จนเกิดอาการบวม ช้ำจนถึงขั้นต้องเข้าเฝือก! ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเฝ้าดูอาการว่ากระดูกมือของเด็กร้าวหรือหัก หรือไม่

                                    แม่โวย! ลูกถูกครูตี จนต้องเข้าเฝือก เหตุครูทำโทษ ที่ส่งการบ้านไม่ครบ!

                                    ซึ่งเหตุดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 64 เด็กชายชั้น ป.5 ของโรงเรียนระดับประถมศึกษาชื่อดังแห่งหนึ่ง ใน จ.อ่างทอง ถูกครูประจำชั้นสาวทำโทษ โดยครูอ้างว่าเด็กส่งการบ้านไม่ครบ จึงลงโทษใช้ไม้ตีบริเวณมือทั้ง 2 ข้าง จำนวน 3 ครั้ง พอเลิกเรียนตนและสามีจึงพาลูกไปโรงพยาบาล ซึ่งมือเด็กบวมแดงและอักเสบ คุณหมอจึงทำการเอ็กซเรย์ พบว่าบริเวณมือซ้ายมีความผิดปกติ มีจุดดำบริเวณกระดูก เบื้องต้นจึงทำการเข้าเฝือกไว้ และรอดูอาการอีก 5 วันเอ็กซเรย์ซ้ำ หากบริเวณจุดดำมีรอยของคราบหินปูนเกาะแสดงว่ากระดูกหัก จากเหตุการนี้ครอบครัวรู้สึกว่าคุณครูทำเกินกว่าเหตุ ลักษณะไม่ใช่การลงโทษ แต่เหมือนเป็นการทำร้ายร่างกาย จึงอยากออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมและให้คุณครูแสดงความรับผิดชอบ

                                    จะเห็นได้ว่าการใช้ความรุนแรงกับเด็ก โดยเฉพาะในโรงเรียน ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งนี้ครั้งแรก หากย้อนกลับไปดูในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะพบว่ามีประเด็นให้สังคมต้องถกเถียงอยู่บ่อยครั้ง ถึงความเหมาะสมในกรณีการลงโทษและใช้ความรุนแรงกับเด็ก สิ่งที่น่าวิตกคือ เด็กบางคนอาจบอกให้พ่อแม่รู้ว่าตัวเองถูกครูลงไม้ลงมือจนบาดเจ็บ แต่มีเด็กจำนวนมาก ที่อาจไม่บอกให้ทางบ้านรับรู้ อาจเพราะคิดกลัวไปต่างๆ นา ๆ  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ปกครองที่ต้องเฝ้าสังเกตความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับลูก ก่อนที่สภาพจิตใจ หรือร่างกายลูกจะได้รับความกระทบกระเทือนจนสายเกินแก้

                                    ลูกถูกครูตี
                                    ลูกถูกครูตี

                                    มีงานวิจัยมากมาย ที่เผยผลการศึกษาว่าการลงโทษโดยใช้ความรุนแรงกับเด็กมักส่งผลเสียต่อตัวเด็กมากกว่าที่จะเกิดผลดี โดยเฉพาะการลงโทษในโรงเรียนด้วยการใช้ความรุนแรงกับตัวเด็ก จะยิ่งสร้างความกลัวให้กับเด็กโดยเฉพาะในระหว่างกระบวนการสอนและการเรียนรู้ (Myers, 1999; McNeil & Rubin, 1977)  เด็กจะเรียนรู้เพียงเพื่อทำให้ครูพอใจ และจะไม่ได้รับทักษะและความรู้เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างที่ควรจะเป็น การลงโทษทางร่างกายที่ได้รับอิทธิพลจากความกลัว จะบั่นทอนแรงจูงใจในการเรียนรู้ของนักเรียน นักเรียนที่ถูกทารุณกรรมทางร่างกายและทางอารมณ์จะพัฒนาความวิตกกังวลที่ทำให้เสียสมาธิและการเรียนรู้ที่ไม่ดีเมื่อเทียบกับเด็กปกติ แน่นอนว่าผู้ปกครองทุกคนไม่ต้องการให้เหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นกับบุตรหลานของตัวเอง แต่เราจะมีวิธีสงเกตุได้อย่างไร? ว่าลูกของเรากำลังถูกทำร้ายในโรงเรียนหรือไม่

                                    สัญญาณบ่งบอกว่าลูกอาจถูกทำร้ายร่างกาย

                                    สิ่งบ่งชี้ว่าการโดนล่วงละเมิดทางร่างกาย อาจเกิดขึ้นกับลูกได้ มีดังต่อไปนี้

                                    • ตาเขียว โดยไม่ทราบสาเหตุ ตามตัวมีรอยฟกช้ำ รอยกัด หรือรอยไหม้ เป็นต้น
                                    • อาการบาดเจ็บที่อาจเผยให้เห็นชัดเจน เช่น แผลไหม้ หรือแผลที่มือ
                                    • ร้องไห้เมื่อถึงเวลาต้องไปสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือโรงเรียน หรือสถานที่อื่นๆ
                                    • แสดงความกลัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างชัดเจน
                                    • มีอาการสะดุ้งเมื่อสัมผัสตัว
                                    • สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิดผิดสังเกต เพื่อปกปิดอาการบาดเจ็บ

                                    แนะพ่อแม่! สอนลูกหวงตัว รู้จักสิทธิของตัวเราป้องกันลูกถูกทำร้าย

                                    7 สัญญาณเตือน ลูกโดนทำร้าย ลูกเปลี่ยนไป พ่อแม่ต้องรู้!

                                    เทคนิครับมือ ลูกโดนบูลลี่ เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ต้องรู้ให้ทัน!

                                     

                                    วิธีรับมือ และดูแลสภาพจิตใจลูก หลังถูกทำร้าย

                                    คุณพ่อคุณแม่จะรับมืออย่างไรได้บ้าง หรือควรปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อสงสัยว่าลูกถูกทำร้ายร่างกาย หรือ ทำให้บาดเจ็บทางรางกายและจิตใจ

                                    1. หาสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องที่เกิดขึ้น

                                    หลังจากได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกแล้ว ลองนึกถึงสาเหตุที่ครูของลูกคุณลงไม้ลงมือกับลูก ซึ่งอาจเป็นไปได้จากหลายเหตุผล ทั้งครูจะอารมณ์ร้อน หรือความเข้าใจผิดระหว่างครู และนักเรียนจนทำให้เกิดปัญหา เมื่อทราบสาเหตุแล้วจะช่วยให้ผู้ปกครองจัดการกับปัญหาของลูกได้ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น

                                    2. ช่วยทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย

                                    ประการแรก พ่อแม่ต้องทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย และมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่โดนทำร้ายอีก เพื่อรับมือกับความกลัวของลูกพ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการให้ลูกกลับไปในที่เกิดเหตุจนกว่าสภาพจิตใจของลูกจะดีขึ้น ไม่ควรบังคับให้ลูกต้องไปโรงเรียนทั้งที่สภาพจิตใจยังไม่ปกติ  แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของสภาพร่างกายและจิตใจของเด็ก  สิ่งสำคัญคือ พ่อแม่ต้องอยู่เคียงข้างลูกและพร้อมที่จะรับฟังพวกเขาอย่างเข้าใจ ในภาวะนี้ เด็กอาจแสดงพฤติกรรมผิดปกติบางอย่าง คล้ายกับพฤติกรรมถดถอย เช่น ฉี่รดที่นอนทั้งที่ไม่เคยมีพฤติกรรมนี้มาก่อน กัดเล็บอมนิ้ว  พูดติดอ่าง พูดเสียงอยู่ในลำคอ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างที่ควรจะเป็นหรืออาจงอแงมากกว่าปกติคล้ายเด็กเล็ก ซึ่งผู้ปกครองต้องอดทน และให้เวลาเด็กในการปรับตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

                                    ลูกถูกครูตี

                                    2. พูดคุยกับลูกอย่างเปิดเผย

                                    เมื่อเด็กถูกทารุณกรรม พวกเขาอาจรู้สึกกลัวการถูกคุกคาม และอาจไม่กล้าเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะเมื่อคนที่ทำร้ายพวกเขาเป็นถึงคุณครู อาจทำให้ลูกเกิดความรู้สึกสับสน ดังนั้นผู้ปกครองควรพูดคุยกับลูกอย่างเปิดเผย แสดงให้ลูกของคุณเห็นว่าพ่อแม่เป็นที่พึ่งของพวกเขาได้ และพร้อมรับฟัง เชื่อใจ และจริงใจที่จะแก้ปัญหาที่ลูกกำลังเผชิญอยู่ พยายามเริ่มด้วยการพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันให้เป็นกิจวัตร เช่น วันนี้ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง? มีใครแกล้งลูกบ้างไหม?  คุณครูเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นต้น

                                    3. แสดงตัวเรียกร้องความยุติธรรมให้ลูก

                                    แน่นอนว่าหากมีความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับลูก พ่อแม่มีหน้าที่ปกป้องและแสดงความกล้าหาญในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูก จงอย่านึกถึงคนอื่นมากกว่าลูก หากเป็นไปได้ควรโอกาสเหมาะๆ พูดคุยกับคู่กรณีโดยตรง แต่หากว่าไม่สามารถพูดคุยได้ อาจลองพูดคุยกับครูท่านอื่น เพื่อหาทางออกร่วมกัน และให้ครูคนอื่นช่วยกันสอดส่องดูแล หากสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างยังดูไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ควรแจ้งผู้บริหารโรงเรียน พร้อมทั้งแจ้งฝ่ายบริหารของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อตรวจสอบและจัดการกับความผิดที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กคนอื่นๆ ถูกกระทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน

                                    4. สอนลูกให้ระมัดระวังตัว

                                    ปลูกฝังให้ลูกมีจิตใจที่เข้มแข็ง โดยสอนให้ลูกรู้จักระวังตัว ไม่ไปไหนคนเดียว และไม่กลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นยามจำเป็น รวมถึงการฝึกให้บุตรหลานรู้จักทักษะในการจัดการกับปัญหา หรือสอนวิธีป้องกันตัวเองเมื่อถูกรังแก และควรสอนด้วยว่าถ้าลูกถูกใครทำร้ายที่โรงเรียน ต้องบอกพ่อแม่เป็นคนแรก โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะข่มขู่ เพราะพ่อแม่คือผู้ปกป้องลูก ที่สำคัญอย่าลืมให้กำลังใจลูกในวันที่ถูกทำร้าย นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรมีกลุ่มผู้ปกครองทั้งทางออนไลน์ และในชีวิตจริง เพื่อช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา คอยสังเกตพฤติกรรมของเด็กเสมอว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ จะได้รู้ปัญหา และหาทางแก้ไขได้เร็วขึ้น

                                    5. พาลูกไปพบจิตแพทย์เด็ก

                                    ในเด็กบางคนอาจมีปัญหาทางอารมณ์และสภาพจิตใจหลังถูกครูลงโทษ หรือทำร้ายร่างกาย ซึ่งผู้ปกครองอาจไม่สามารถรับมือหรือจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้เพียงลำพัง ทางที่ดี ควรขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น พาลูกไปพบแพทย์เพื่อประเมินสภาพจิตใจ และรับความช่วยเหลือ เพราะการรักษา ฟื้นฟูจิตใจตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เด็กฟื้นตัวได้ดีกว่าการทิ้งปัญหาเอาไว้จนเกินเยียวยา

                                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : grin.com , เพจชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย , เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน , medicalnewstoday.com

                                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                    ลูกถูกทำร้าย ใจลูกสำคัญ พ่อแม่ควรทำเรื่องนี้..ก่อนสายเกินแก้!!

                                    ครูตีเด็ก ผิดกฎหมายหรือไม่? ตีเด็กอย่างไรไม่ให้ถูกฟ้อง?

                                    จิตแพทย์แนะ! ขอบเขตการลงโทษเด็ก ป้องกันเด็กบอบช้ำหลังถูกลงโทษ

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่