Page 114 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

อพวช.

อพวช. ต้อนรับ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศธ. ประชุมหารือความร่วมมือด้านกิจกรรมวิทยาศาสตร์

11 มิถุนายน 2564 /ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมช.ศธ.) ประชุมหารือความร่วมมือ กับ ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและกระจายความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมผ่านเครือข่ายด้านวิทยาศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ อาทิ การจัดกิจกรรมคาราวานวิทยาศาสตร์ การนำนิทรรศการไปจัดแสดงตามศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาทั่วประเทศ พร้อมทั้ง ร่วมบูรณาการพัฒนากิจกรรมและพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์ของสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษาตลอดชีวิตให้แก่คนไทยทุกช่วงวัย ทั้งนี้ รมช.ศธ. ได้เข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ อาคารคาราวานวิทยาศาสตร์ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ณ อพวช. คลองห้า ปทุมธานี

อพวช. ต้อนรับ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์
อพวช. ต้อนรับ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์
อพวช. ต้อนรับ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์
อพวช. ต้อนรับ ดร.กนกวรรณ วิลาวัลย์

 
ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ห้ามพลาด! 3 ที่เที่ยววิทยาศาสตร์ เปิดโลกเรียนรู้ให้ลูก สนุกจนไม่อยากกลับ

อพวช. เปิดตัว “หนังสือมดประเทศไทย” พร้อมผลักดันองค์ความรู้ด้านอนุกรมวิธานสู่สังคม

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    อาหารลดพุง เทคนิคดีๆที่พิสูจน์ได้

    ต้องลอง อาหารลดพุง กับเทคนิคที่พิสูจน์แล้วว่าเห็นผลจริง

    อาหารลดพุง กับเทคนิดดี ๆที่แม่ไม่ควรพลาดเพราะพิสูจน์แล้วจากวิธีวิทยาศาสตร์ว่าเห็นผลจริง ใครพุงยื่น พุงป่อง ไม่ยุบหลังคลอด เรารวมวิธีเด็ด เมนูน่าทานมาให้แล้ว

    ต้องลอง!! อาหารลดพุง กับเทคนิคที่พิสูจน์แล้วว่าเห็นผลจริง

    พุงนั้นสำคัญไฉน…เมื่อความอ้วนมาเยือน คงเป็นที่น่ากังวลสำหรับผู้หญิงทั้งหลายกันจริงไหมล่ะ แต่รู้หรือไม่ว่าแม้ไม่อ้วน หากแต่มีพุง ก็เป็นสัญญาณอันตรายของสุขภาพเช่นกัน ดังนั้นอย่ามัวแต่กังวลเรื่องความสวยความงามกันเพียงอย่างเดียว อย่าลืมก้มมองดูพุงกันดูสักหน่อยว่า เรา “อ้วนลงพุง” กันแล้วหรือยัง

    วิธีวัดพุง…รู้ไว้ก่อนสาย

    ลดพุง ลดโรค อาหารลดพุง
    ลดพุง ลดโรค อาหารลดพุง

    อันตรายและโรคที่มาพร้อม “พุง” ได้แก่

    1. ปอดทำงานได้ไม่เต็มที่

    มีผลการวิจัยพบว่า ผู้ที่อ้วนลงพุงนั้นจะทำให้การทำงานของปอดลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี ไม่สูบบุหรี่ และไม่มีไขมันหน้าท้อง ผลการวิจัยนี้พบว่าผู้ที่มีไขมันส่วนเกินทำให้อัตราการหายใจลดลง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ทำให้ทางเดินหายใจหดแคบลง และก่อให้เกิดโรคปอดเรื้อรังอย่างหอบหืดตามมาได้

    2. การทำงานของหลอดเลือดผิดปกติ

    จากผลการศึกษาปี 2012 พบความสัมพันธ์ระหว่างผู้ที่อ้วนลงพุงกับภาวะการเกิดโรคหลอดเลือดตีบตันและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว โดยนักวิจัยได้เปรียบเทียบระหว่างคนอ้วน คนอ้วนที่มีพุงและคนที่มีสุขภาพดีพบว่า หากอัตราส่วนของเอวต่อความสูงเพิ่มขึ้นทุกๆ 0.1 ทำให้เสี่ยงที่จะเกิดภาวะดังกล่าวมากขึ้น ดังนั้น ผู้ที่มีไขมันส่วนเกินบริเวณหน้าท้องจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะดังกล่าว และการที่เส้นเลือดแดงแข็งตัวและตีบนั้นก็จะก่อให้เกิดโรคหัวใจตามมาได้

    3. เสี่ยงต่อเบาหวาน

    ไขมันในช่องท้องเป็นไขมันที่พบในคนที่มีภาวะอ้วนลงพุง ไขมันนี้มีการผลิตฮอร์โมนซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย นอกจากนี้ฮอร์โมนดังกล่าวยังทำให้ตัวรับสัญญาณอินซูลินทำงานผิดปกติ ซึ่งหมายความว่าอินซูลินซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกายจะทำงานด้อยลง ทำให้เสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นนั่นเอง

    4. ระดับคอเลสเตอรอลสูง และโรคหัวใจ

    ไขมันที่อยู่บริเวณขาหรือก้นนั้นเป็นไขมันที่มีการเผาผลาญที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าไขมันบริเวณหน้าท้องของคนอ้วนลงพุง ซึ่งสาเหตุที่การเผาผลาญไขมันบริเวณนี้ดีกว่าเนื่องจากได้ระดับน้ำตาล ไตรกลีเซอไรด์ คอเลสเตอรอล และอินซูลินต่ำกว่าไขมันที่เผาผลาญจากบริเวณช่องท้องนอกจากนั้นไขมันในช่องท้องสามารถเปลี่ยนเป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งส่งผลให้ร่างกายผลิตคอเลสเตอรอล LDL (ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ) นอกจากนั้นกรดไขมันอิสระยังทำให้ระดับของไขมันดีหรือคอเลสเตอรอล HDL ลดลง ซึ่งไขมันเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลต่อการทำงานของหลอดเลือด แต่ยังทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงและภาวะหัวใจวายตามมาได้

    พุงโต มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้
    พุงโต มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้

    5. เสี่ยงโรคสมองเสื่อม และอัลไซเมอร์

    ผลการศึกษาในปี 2010 พบว่ายิ่งรอบเอวคุณหนามากเท่าไหร่ รวมทั้งยิ่งอ้วนลงพุงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์มากขึ้นเท่านั้น โดยจากการศึกษาพบว่าผู้อ้วนลงพุงทำให้เซลล์สมองน้อยกว่าคนปกติ ซึ่งก่อให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ตามมาได้ โดยสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าไขมันจะไปอุดตันในเส้นเลือดทำให้เลือดไหลเวียนขึ้นไปเลี้ยงเซลล์สมองไม่สะดวก สมองจึงขาดออกซิเจน และทำให้เซลล์ตายนั่นเอง

    ข้อมูลอ้างอิงจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) / www.rama.mahidol.ac.th

    รู้กันอย่างนี้แล้ว คงเริ่มกังวลกับเจ้าพุงป่อง ๆ ของเรากันแล้วใช่ไหม แต่อย่าพึ่งกังวลกันมากเกินไปนัก เพราะวันนี้ ทีมแม่ ABK ได้นำเทคนิคดี ๆ ที่ได้พิสูจน์ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์แล้วว่า สามารถช่วยให้พุงยุบ เห็นผลได้จริงมาฝากกัน

    6 เทคนิคพร้อม อาหารลดพุง เห็นผลได้แน่…คอนเฟิร์ม!!

    ใช้ไขมันลดพุง!!

    พูดแบบนี้อาจจะงง ๆ กัน เพราะคำว่าไขมันมักมาคู่กับความอ้วนที่ผู้หญิงเรากลัวกันหนักหนา แต่หากพูดว่า ไขมันดี สามารถช่วยร่างกาย และสร้างประโยชน์ให้แก่ร่างกายได้ คงจะทำให้เข้าใจกันได้มากขึ้น แล้วเจ้าไขมันดีนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร ใช่แล้วเรากำลังพูดถึง “ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats, MUFAs)” ที่ถึงแม้จะเป็นไขมันชนิดที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ แต่หากเราสามารถหารับประทานเพิ่มเข้าไปได้เองด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารหลากหลาย เช่น น้ำมันมะกอก ถั่วอัลมอนด์ หรืออะโวคาโด เป็นต้น ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวจะช่วยให้ไขมันในช่องท้องลดลงได้ ข้อมูลจากวารสาร Journal for Diabetes Care อธิบายว่า การกินอาหารที่อุดมไปด้วย ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันในช่องท้อง  เนื่องจากไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวช่วยเร่งอัตราการเผาผลาญไขมัน ทำให้ลดพุงได้

    ตัวอย่างเมนูอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวในอาหาร 100 กรัม

    • น้ำมันมะกอก 73.1 grams
    • ถั่ว Almonds: 33.6 grams
    • ถั่ว Cashews: 27.3 grams
    • ถั่วลิสง Peanuts: 24.7 grams
    • ถั่ว Pistachios: 24.2 grams
    • Olives: 15 grams
    • เมล็ดฟักทอง: 13.1 grams
    • หมู 10.7 grams
    • Avocados: 9.8 grams
    • เม็ดทานตะวัน 9.5 grams
    • ไข่ 4 grams

      อาหารลดพุง ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว
      อาหารลดพุง ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว

    เพิ่มโปรตีน อกไก่ ไข่ขาว นม ถั่ว ช่วยได้!!

    งานวิจัยที่ตีพิมพ์ ในวารสารวิชาการ Nutrition, Metabolism and Cardiovascular Diseases ได้ติดตามผล จากการกินอาหารที่มีโปรตีนสูงเป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน ผลการวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีโปรตีนสูงจะช่วยลดไขมันในช่องท้อง ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ แถมยังช่วยลดประมาณคลอเลสเตอรอล และปริมาณไขมันในเลือดด้วย

    ตัวอย่างเมนู อาหารลดพุงเพิ่มโปรตีนที่แนะนำ :อกไก่อบลมร้อน

    หมักอกไก่กับเบกกิ้งโซดาก่อน 10 นาทีแล้วค่อยล้างออก เพื่อให้เนื้ออกไก่นุ่ม จากนั้นก็หมักด้วยซีอิ๊ว และซอสหอยนางรมผสมรากผักชี และพริกไทยป่น หมักไว้ข้ามคืน นำไปอบในหม้ออบลมร้อนโดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ที่ความร้อน 180-220 องศา เมื่ออกไก่เราสุกแล้วก็ตักมาใส่จานและตกแต่งด้วยผักต้ม ไข่ลวก โรยด้วยพริกไทยอีกครั้ง ก็อร่อยพร้อมทานเพิ่มโปรตีน อิ่มนาน ลดพุงได้อีกด้วย

    ไก่อบ อาหารมากโปรตีน อาหารลดพุง
    ไก่อบ อาหารมากโปรตีน อาหารลดพุง

    อ่านต่อ 10 เมนูไก่ ทำง่าย ไม่จำเจ เน้นเพิ่มพลัง บำรุงสมองลูกน้อย

    เลี่ยงแป้งแบบขัดสี หรืออาหารแปรรูป

    ขนมปังขาว แคร็กเกอร์ หรือมันฝรั่งทอด พวกน้ำหวาน และของหวาน จะทำให้ร่างกายไม่สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินได้ เนื่องจากเมื่อกินเข้าไปแล้วอินซูลินจะสูง ส่งผลให้ร่างกายไม่เผาผลาญไขมัน ทำให้พุงไม่ยุบนั่นเอง

    ทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ

    มีงานวิจัยที่ชี้ว่า การกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ จะทำให้ลดน้ำหนักได้มากกว่าการกินอาหารที่มีไขมันต่ำ อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำที่หาซื้อได้ง่ายก็เช่น ผลไม้ และถั่วเปลือกแข็ง วิธีกินอาหารให้ลดพุงได้แบบง่ายๆ คือ กินถั่วแทนขนมขบเคี้ยว เช่น ถั่วอัลมอนด์ ถั่วต้ม เพิ่มผลไม้ลงไปในมื้ออาหาร และต้องไม่ลืมที่จะกินอาหารโปรตีนสูงกับกินผักด้วย

    ตัวอย่างเมนู อาหารลดพุงคาร์โบไฮเดรตต่ำ : อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์

    อัลมอนด์ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปราศจากคาร์โบไฮเดรต ในจำนวน 6 เม็ด มีไขมัน 5 กรัม ให้พลังงาน 45 กิโลแคลอรี อัลมอนด์และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ไม่เพียงมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่ยังมีปริมาณกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง (Monounsaturated Fatty Acid) มีคุณสมบัติช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อขณะลดน้ำหนัก

    ลดน้ำตาล

    น้ำตาลมีผลต่อระดับคอเลสเตอรอล ซึ่งคอเลสเตอรอลทำให้มีพุง และคอเลสเตอรอลก็เกี่ยวข้องกับการเกิดไขมันในช่องท้อง ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย

    ตัวอย่างเมนูอาหารลดน้ำตาล ลดพุง : ดาร์กช็อกโกแลต

    ดาร์กช็อกโกแลต อาหารลดพุง
    ดาร์กช็อกโกแลต อาหารลดพุง

    ในบางครั้งชีวิตก็ขาดหวานไม่ได้ หากอยากลดน้ำตาล แต่ยังไม่สามารถทำใจตัดขาดจากของหวานได้ ลองใช้ดาร์กช็อกโกแลตมาเป็นตัวช่วยอีกแรงหนึ่งกันดีไหม วารสาร American Journal of Clinical Nutrition ให้ข้อมูลว่า การกินอาหารที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated fats, MUFAs) จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วกว่าอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ซึ่งดาร์กช็อกโกแลตอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ถ้าเรากินเข้าไปก็จะช่วยลดพุงได้ เพราะดาร์กช็อกโกแลต มีส่วนช่วยในการเผาผลาญไขมัน และงานวิจัยจากประเทศเดนมาร์กยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เนื่องจากดาร์กช็อกโกแลตทำให้รู้สึกอิ่มนาน จึงช่วยในการลดพุง

    ถึงเวลาปรับพฤติกรรม

    • เคี้ยวอาหารนานๆ เป็นวิธีการที่ป้องกันอาการท้องอืดได้ดีเยี่ยม โดยให้เคี้ยวอาหารจนละเอียดเป็นเนื้อเหลว จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลทำให้ไม่มีแก๊สในกระเพาะ และไม่มีอาการท้องอืดที่เป็นสาเหตุที่ทำให้พุงป่องออกมา
    • กินซุปก่อนกินข้าว งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแพนซิลเวเนีย  ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการกินซุปแคลอรีต่ำ 1 ถ้วย ก่อนการกินข้าวกลางวัน หรือข้าวเย็น จะช่วยลดปริมาณแคลอรี่ในมื้ออาหาร 20% หากใครที่อยากลดพุงแบบไม่ทรมาน ลองหาซุปซักถ้วยมากินก่อนมื้ออาหารดู
    • เพิ่มการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ หรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ทำให้หัวใจและปอดแข็งแรง รวมถึงส่งผลต่อการเผาผลาญไขมันด้วย เนื่องจากจากการศึกษาทบทวนงานวิจัย 16 งานวิจัยพบว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิก หรือคาร์ดิโอ จะช่วยลดไขมันหน้าท้อง ซึ่งช่วยลดขนาดของรอบเอว และมวลไขมัน รวมถึงยังช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้ออีกด้วย โดยควรออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ ประมาณ 150 ถึง 300 นาทีต่อสัปดาห์ ด้วยระดับความหนักปานกลาง หรือประมาณ 20 ถึง 40 นาทีต่อวัน ซึ่งการวิ่ง เดิน ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก และว่ายน้ำ ต่างก็เป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่จะช่วยเผาผลาญไขมัน และทำให้ลดน้ำหนักได้สำเร็จ

    ถึงแม้ว่าแม่ ๆ ทั้งหลายจะรู้สึกยุ่งวุ่นวายกับการเลี้ยงลูกมากแค่ไหน แต่อย่าลืมว่าสุขภาพของตัวเองก็สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน หันมาดูแลใส่ใจตัวคุณแม่เอง ทั้งเพื่อลูกน้อย ให้คุณได้มีความแข็งแรง อายุยืนยาวคอยดูแลเขาไปจนเติบใหญ่ หรือทั้งเพื่อตัวคุณแม่เอง การลดพุงด้วยอาหารลดพุงจากเทคนิคที่ได้พิสูจน์มาแล้วทางวิธีวิทยาศาสตร์ว่าได้ผลจริง นอกจากคุณแม่จะได้เรื่องสุขภาพจากการลดพุงแล้ว ยังได้รับสิ่งดี ๆ อีกอย่างด้วยนั่นคือ รูปร่าง หุ่นผอมเพรียวที่จะกลับมาสู่เราเหมือนดั่งเดิมอีกด้วยนะ แบบนี้ไม่ลองไม่ได้แล้วละ

    ข้อมูลอ้างอิงจาก sanook.com

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอด ฉบับญี่ปุ่น สุดง่าย เห็นผลใน 5 วัน

    เมนู อาหารลดน้ำหนัก แม่หลังคลอดผอมไว..ได้คุณค่า

    7 เมนูไข่ง่าย ๆ ทำกินได้บ่อย ทั้งอร่อยและมีประโยชน์!!

    อาหาร เครื่องดื่ม ที่ คนท้องห้ามกิน กินแล้วอันตรายต่อลูก!

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      ตั้งครรภ์ ท้องผูก

      “ตั้งครรภ์ ท้องผูก” ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ทรมานแม่ท้องตลอด 9 เดือน

      “ตั้งครรภ์ ท้องผูก” อาจไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ทรมานแม่ท้องตลอด 9 เดือน ปล่อยไว้ อาจส่งผลแย่ต่อลูก!! ทีมแม่ABK มีเคล็ด(ไม่)ลับฉบับแม่ญี่ปุ่น ที่เขาใช้ดูแลสุขภาพร่างกายช่วยให้มีระบบขับถ่ายปกติตอนท้อง แม่บ้านนี้ลองแล้ว พูดเลยฟินนาเล่มากจ้า เข้าห้องน้ำทุกวัน ไม่ต้องเบ่งให้หน้าแดง อึออกง่าย แม่ว่าท้องนี้แม่รอดจากน้องริดซี่(ริดสีดวง)ล่ะนะ

      ตั้งครรภ์ ท้องผูก! ตั้งครรภ์ ท้องผูก! คำนี้วนเวียนอยู่ในหัวทำให้กังวล และกลัวอยู่ก่อนหน้าที่จะท้อง จนแล้วจนรอดอาการท้องผูกก็มาเยือนดิฉันค่ะ ท้องผูกแวะมาทักทายจริง ๆ อย่างที่เพื่อน ๆ พี่ ๆ เตือนมา คุณคะกลุ้มใจไปก็เท่านั้น ก็เลยหาสารพัดตัวช่วยในการจัดการกับเรื่องท้องผูก เอาเป็นว่าก่อนที่จะไปดูเคล็ดลับที่แม่ใช้รับมือกับอาการท้องผูกขณะตั้งครรภ์แบบว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี ปลอดภัยกับสุขภาพแม่ สุขภาพลูกในท้อง เรามาเช็กกันดูหน่อยว่า…

      อาการท้องผูกในคนท้อง ส่งผลกระทบอะไรกับแม่ท้อง ?

      • มดลูกมีการขยายใหญ่ขึ้นไปกดทับลำไส้ใหญ่
      • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
      • การไหลเวียนของเลือดที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดบริเวณรอบทวารหนักขยายตัว

      สาเหตุเหล่านี้ส่งผลต่อการทำงานของระบบขับถ่าย แม่ท้องจะอุจจาระลำบากขึ้น และมีอาการท้องผูกตามมาในที่สุด นอกจากนี้ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ท้องผูกขณะตั้งครรภ์ เช่น ดื่มน้ำน้อย , กินอาหารที่มีกากใยน้อย และกินวิตามินบำรุงครรภ์ ธาตุเหล็ก , แคลเซียม เป็นต้น

      ตั้งครรภ์ ท้องผูก

      ถามว่าอาการท้องผูกที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบอะไรกับสุขภาพร่างกายของแม่ท้องบ้าง ขอยกตัวอย่างจากดิฉันเองที่เจอกับตัว และจากที่สอบถามเพื่อน พี่น้อง ที่ท้องผูกตอนท้อง ก็เจอผลกระทบไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะเป็น…

      1. อารมณ์หงุดหงิด ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงตอนท้องส่งผลต่อภาวะอารมณ์ของคนท้องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ด้วยความอึดอัดแน่นท้องไม่ได้เข้าห้องน้ำ ก็ยิ่งส่งผลต่ออารมณ์มากขึ้น ดิฉันนี่หงุดหงิดทั้งวัน
      2. อุจจาระแข็ง ถ่ายลำบาก ไม่กล้าเบ่ง ท้องผูกหนักๆ กลายเป็นริดสีดวงทวาร
      3. รับประทานอาหารไม่อร่อย กินได้น้อย เพราะของเก่าที่เข้าไปยังแน่นอยู่ในท้อง
      4. ผิวพรรณไม่สดใส ปกติเวลาที่กินอาหารเข้าไป กระเพาะจะย่อยอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย และส่วนหนึ่งที่ใช้ไม่หมดกลายเป็นของเสียที่ร่างกายจะต้องขับออกมานั่นก็คืออุจจาระ ทีนี้ถ้าของเสียไม่ได้ถูกขับถ่ายออกมา ร่างกายก็จะดึงเอาไปใช้งานต่อ จะเห็นว่าในหลายคนที่มีอาการท้องผูก มักจะมีปัญหาสิว ผิวหมองคล้ำ อันนี้คนไม่ท้องก็เป็นนะจ๊ะ
      5. ร่างกายได้รับคุณค่าสารอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ อาหารต่างๆ ที่แม่รับประทานเข้าไป ส่วนหนึ่งก็ใช้ในการหล่อเลี้ยงร่างกาย อวัยวะต่างๆ ของตัวแม่เองให้แข็งแรง และอีกส่วนหนึ่งจะถูกส่งไปให้ลูกน้อยในครรภ์(ผ่านทางสายสะดือ) เพื่อใช้ในการสร้างร่างกาย อวัยวะต่างๆ ให้แข็งแรง สมบูรณ์พร้อมที่สุดก่อนคลอด ในแม่ท้องที่ท้องผูก มักจะกินอาหารได้น้อย หรือบางคนไม่อยากอาหาร (ดิฉันนี่แหละบางวันกินแค่ 2 มื้อแบบแมวดม) ถ้าแม่กินไม่ได้ หรือกินได้น้อย ก็ส่งผลให้ลูกในท้องไม่ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

      ชีวิตคนท้องในช่วง 3 เดือนแรกของแม่บ้านนี้โรยด้วยกลีบกุหลาบมากนะบอกเลย เข้าห้องน้ำขับถ่ายทุกวัน แต่พออายุครรภ์เริ่มเข้าเดือน 4 เป็นต้นไป เอ๊ะ!! เริ่มไม่ปกติ เพราะถ่ายอุจจาระได้ไม่ทุกวัน สองวัน สามวันถ่ายที แม่ไม่แฮปปี้เลยจ๊ะ อึดอัด ไม่อยากกินข้าว หรือกินได้ก็เท่าแมวดม ก็เริ่มคิดแล้วว่าถ้าปล่อยให้ร่างกายถูกรุกรานด้วยอาการท้องผูก นอกจากความทรมานจากอาการท้องผูก สุขภาพร่างกายจะแย่ได้ทั้งแม่ และลูกค่ะ  นี่คือสิ่งที่แม่ทำเพื่อให้อาการท้องผูกของตัวเองดีขึ้น กลับมาขับถ่ายได้ปกติเร็วที่สุด

      1. เริ่มด้วยการเพิ่มการกินผัก ผลไม้ที่มีกากใยให้มากขึ้น
      2. ดื่มน้ำเปล่าให้ได้มากกว่า 5 ลิตรต่อวัน
      3. กินโยเกิร์ตรสธรรมชาติ
      4. เปลี่ยนจากข้าวขาว มากินเป็นข้าวกล้อง

      ผลิตภัณฑ์ LACTIS

      ทั้งสี่ตัวช่วยนี้ดีนะคะ แต่ระบบขับถ่ายทำงานได้ยังไม่ปกติเท่าที่ควร สุดท้ายมาจบที่ “LACTIS”  จำได้ว่าตอนท้องเกือบๆ จะเข้าเดือนที่ 5 ไปเจอผลิตภัณฑ์ LACTIS ที่เพจของ Palmer’s Thailand น่าสนใจมาก ตาลุกวาว รีบคลิกเข้าไปอ่านดูข้อมูลผลิตภัณฑ์อย่างด่วนเลย

      • สำหรับผลิตภัณฑ์ LACTIS เขาพัฒนามากกว่า 100 ปี จากโรงงานที่ผลิตโยเกิร์ตแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่น จากกรรมวิธีหมักนมถั่วเหลืองแบบธรรมชาติเป็นเวลา 1 ปี ด้วยจุลินทรีย์ดี 16 สายพันธุ์ แล้วสกัดได้สารสกัดธรรมชาติ 100%
      • มั่นใจว่าดีต่อสุขภาพ ที่ประเทศญี่ปุ่นเขาใช้ผลิตภัณฑ์ LACTIS ในการดูแลสุขภาพ ระบบขับถ่าย ระบบลำไส้ รับประทานกันมากว่า 30 ปี
      • ที่ว้าวเลยก็คือ ทาน LACTIS 1 ซอง เทียบเท่ากับการกินโยเกิร์ต 30 ถ้วย (เพราะพัฒนาจากโรงงานโยเกิร์ต) แม่ท้องที่กลัวเรื่องกินโยเกิร์ตแล้วลูกจะแพ้นมวัว ถ้าทาน LACTIS ตอนท้องสบายใจได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องลูกแพ้นมวัวค่ะ
      • ไม่ใช่ยาถ่าย คนท้องทานได้ปลอดภัย ในปี 2011 สมาคมคนท้องในประเทศญี่ปุ่น แนะนำให้แม่ท้องทาน เพื่อแก้ปัญหาท้องผูก ท้องอืด มานาน

      อย่างที่บอกว่าคนท้องที่มีปัญหาท้องผูก กินแลคติสได้อย่างปลอดภัย เพราะที่ญี่ปุ่นได้มีการตีพิมพ์คุณประโยชน์แนะนำในวารสารทางการแพทย์ Japan Society of Maternal Health Journal Volume 52, 2011 สำหรับแลคติส ไม่ได้แค่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติเท่านั้นนะคะ แต่ลำไส้ที่สะอาด เป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายไม่เจ็บป่วยบ่อยด้วยค่ะ

      ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ LACTIS

      ผลลัพธ์จากการรับประทานผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ  LACTIS

      อย่างที่บอกไปค่ะว่าผลิตภัณฑ์ LACTIS ไม่ใช่ยาถ่าย ด้วยที่เป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ  100%  เมื่อทานเข้าไปในร่างกาย การทำงานของผลิตภัณฑ์ก็จะค่อยเป็นค่อยไป อย่างตัวแม่บ้านนี้ก็ไม่ได้ท้องผูกมาก่อนที่จะท้องนะคะ

      • คนที่ท้องผูกไม่หนัก ก่อนท้องไม่เคยผูก มามีอาการท้องผูกตอนท้อง จะกิน 1 ซองต่อวัน 3-5 วัน มักจะเห็นผลลัพธ์ ร่างกายระบบการขับถ่ายก็จะปรับตัวพัฒนาดีขึ้นจนทำให้สามารถมาขับถ่ายได้ทุกวัน
      • คนที่ท้องผูกหนัก เป็นมาตั้งแต่ตอนท้อง ติดยาถ่าย ส่วนใหญ่ทาน 2 ซองต่อวัน ในช่วงแรกประมาณ 3-5 วัน จะเห็นผลลัพธ์ คือกลับมาถ่ายเองได้เกือบทุกวัน  หลังจากนั้นส่วนใหญ่ จะทานต่อเนื่องปรับมาทานเป็น 1 ซองไปอีกระยะ

      ตอนนี้ก็กินแลคติสมาได้เกือบจะห้าเดือน ก็คิดว่าจะกินต่อไปเรื่อย ๆ เพราะก็ไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกาย เท่าที่ดูข้อมูลมา เขาว่าช่วยให้ลำไส้สะอาด ทำให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหาร และวิตามินได้ดีขึ้น ช่วยลดการติดเชื้อในลำไส้ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย ช่วยควบคุมคลอเรสเตอรอลในเลือด เป็นต้น  เห็นมีคุณแม่ท้องในหลาย ๆ ท่านเลย ที่ทานแลคติสแล้วหายจากอาการท้องผูก ก็ยังซื้อมาทานเพิ่มเติมอีก เพราะเชื่อว่าดีต่อสุขภาพ  ดีต่อลูกในท้อง

      วิธีรับประทาน LACTIS : 1 ซองผสมน้ำ 1 แก้ว แนะนำให้ดื่มก่อนนอน

      ตั้งครรภ์ท้องผูก ! จัดการได้ง่าย ๆ แม่ท้องบ้านไหนที่กำลังเจอกับอาการท้องผูก ทีมแม่ABK แนะนำให้จบปัญหาท้องผูก ด้วยผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ 100% LACTIS กล่องนี้กันนะคะ  รับรองว่าขับถ่ายดี คุณแม่ไม่ต้องทรมานกับอาการอึดอัดแน่นท้องเพราะไม่ได้ขับถ่าย ที่สำคัญลูกน้อยในท้องได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อพัฒนาการร่างกาย และสมองที่ได้จากอาหารที่แม่รับประทานและส่งต่อให้ตลอด 9 เดือนอย่างเพียงพอค่ะ

      #ชี้เป้าสั่งซื้อผลิตภัฑณ์ Lactis  คลิก https://www.facebook.com/palmersthailand  และ  www.smooth-e.com
        ลูกชอบถูหน้าตัวเอง

        ทารกชอบขยี้ตา ลูกชอบถูหน้าตัวเอง เป็นเพราะอะไร?

        ลูกชอบถูหน้าตัวเอง – จะมีอะไรน่ารักไปกว่ากำปั้นกลมๆ เล็กๆ ของทารกที่เอื้อมไปแตะใบหน้าตัวเอง มันเป็นหนึ่งในความทรงจำดี ๆ ที่คุณแม่ได้เห็นท่าทางของลูกระหว่างการอัลตราซาวนด์ก่อนคลอด การเคลื่อนตอนที่ลูกอยู่ในครรภ์อาจไม่มีความหมายอะไรไปมากกว่าการรับรู้ว่าลูกยังอยู่ดีมีสุขในครรภ์  แต่เมื่อลูกของคุณคลอดออกมาแล้ว กำปั้นอ้วนๆ ของลูก เปลี่ยนไปเป็นการชอบ ขยี้ตา ถูหน้าตัวเองไปมา บ่อยๆ ซึ่งผู้ปกครองหลายคนอาจสงสัยว่าลูกมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นที่ดวงตา  แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นอีกมั้ย วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจกันค่ะ ว่าพฤติกรรมชอบขยี้ตาถูหน้าไปมาของเด็กทารก เกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง?

        ทารกชอบขยี้ตา ลูกชอบถูหน้าตัวเอง เป็นเพราะอะไร?

        เป็นเรื่องปกติ หากลูกน้อยรู้สึกรำคาญหรือมีอาการคันตาแล้วจึงเริ่มยกมือกลมๆ ขึ้นมาขยี้ตา ถูหน้าไปมา แต่หากว่าถ้าพวกเขาทำบ่อยๆ และต่อเนื่อง ก็อาจทำให้เรารู้สึกกังวลใจได้ไม่มากก็น้อย

        ในช่วงที่เด็กทารกอายุยังไม่เกิน 6 เดือน เป็นธรรมดาที่พวกเขามักจะพยายามถูตามใบหน้าหน้าหรือขยี้ตาตัวเองได้ หากพวกเขารู้สึกหงุดหงิด และรู้สึกไม่สบายตัว แต่การที่ทารกขยี้ตาอาจเป็นสัญญาณเตือนสำหรับอาการบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งสาเหตุของการที่ทารกขยี้ตา ถูหน้าตัวเองมีได้มากกว่าหนึ่งข้อ เช่น

        สาเหตุที่ ลูกชอบถูหน้าตัวเอง 

        1. รู้สึกง่วง

        บางครั้งลูกของคุณอาจหาวพร้อมกับขยี้ตา ซึ่งหมายความว่าพวกเขาง่วงนอนและเหนื่อย เมื่อคุณเหนื่อย ดวงตาของคุณก็จะอ่อนล้า นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมทารกถึงขยี้ตาเพื่อที่พวกเขาจะได้ลองผ่อนคลายความตึงเครียดและความเจ็บปวดบริเวณกล้ามเนื้อตาและเปลือกตา เช่นเดียวกับการนวด แสดงว่าได้เวลางีบหลับยาวแล้ว!

        2. ตาแห้ง

        ลูกน้อยของคุณอาจขยี้ตาได้เมื่อพวกเขาตาแห้งเกินไป  เนื่องจากน้ำตาที่ปกคลุมดวงตาด้านในระเหยออกไปได้หากสัมผัสกับอากาศเป็นเวลานาน สิ่งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายเนื่องจากตาแห้ง และลูกน้อยของคุณอาจขยี้ตาตามสัญชาตญาณเพื่อบรรเทาความรู้สึกไม่สบายที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากการถูจะทำให้มีน้ำตาซึ่งจะนำความชุ่มชื้นกลับมาสู่ดวงตาได้

        สุดยอด!แม่สังเกตจนรู้ ลูกไม่ได้เป็น ตากุ้งยิง แท้จริงคือชีสต์

        ระวัง! ลูกแพ้โลหะ มีผื่นแดง ผื่นแพ้ขึ้นตามตัว ต้องรีบรักษา!

        เข้าใจธรรมชาติ เด็กวัยอยากรู้อยากเห็น อีกเรื่องจำเป็นของพ่อแม่คน

        3. อยากรู้อยากเห็น

        คุณอาจสังเกตเห็นว่าเมื่อคุณหลับตาและขยี้ตา คุณเห็นแสงและลวดลายที่ด้านในของเปลือกตา ลูกน้อยของคุณอาจเพิ่งพัฒนาทักษะยนต์เพื่อขยี้ตาและกำลังทดลองทักษะใหม่นี้ ลูกน้อยของคุณอาจตื่นตาตื่นใจกับรูปแบบที่เห็นขณะขยี้ตาและอาจลองทำดูซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อสัมผัสประสบการณ์

        4. ฟันกำลังขึ้น

        ข้อนี้อาจเป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อย แต่ก็ยังอาจเป็นผู้ต้องสงสัยได้ หากลูกน้อยของคุณอยู่ในช่วงวัยที่มักมีการงอกใหม่ของฟัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟันบน อาจจะทำให้เกิดอาการปวดบนใบหน้าได้มากพอที่จะทำให้ทารกขยี้ตาเพื่อพยายามบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

        ลูกชอบถูหน้าตัวเอง
        ลูกชอบถูหน้าตัวเอง

        5. มีสิ่งแปลกปลอมในดวงตา

        ลูกน้อยของคุณอาจขยี้ตาอย่างต่อเนื่องหากมีบางสิ่งในนั้นทำให้เกิดอาการระคายเคือง อาจเป็นเศษฝุ่น ขนตา หรือเมือกแห้ง สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าแม้กระพริบตาหรือน้ำตาไหลอาจเป็นสัญญาณของสิ่งนี้ หากดวงตาของลูกน้อยระคายเคือง ให้ใช้ผ้าเปียกนุ่ม ๆ เช็ดตาและใบหน้าเพื่อไม่ให้สิ่งอื่นๆ เข้าตา หลังจากนั้นให้ใช้น้ำเย็นทำความสะอาดดวงตาของทารก (อย่าใช้น้ำอุ่นในดวงตา) ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีคนจับศีรษะของทารกหรือมีการสนับสนุนเพียงพอเมื่อคุณทำเช่นนี้

        6. เจ็บหรือคันตา

        อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทารกขยี้ตาอาจเกิดจากการแพ้หรือการติดเชื้อที่อาจปรากฏขึ้นจากความเจ็บปวดหรืออาการคัน อาการที่ลูกของคุณมีการติดเชื้อที่ตาอาจรวมถึงตาบวมหรือแดง มีน้ำมูกไหล มีไข้ หรือร้องไห้ต่อไป ในกรณีเช่นนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อที่เขาจะได้วินิจฉัยและรักษาตาติดเชื้อหรือภูมิแพ้ที่ดวงตาของทารกได้อย่างถูกต้อง

        ความเสี่ยงเมื่อลูกขยี้ตาอย่างรุนแรง 

        การขยี้ตาเล็กน้อยเมื่อง่วงนอน ฯลฯ ไม่น่าจะเป็นอันตราย แต่การขยี้ตาแรงๆ อาจมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ต่อไปนี้คือความเสี่ยงบางประการของการขยี้ตาบ่อยๆ หรือขยี้ตาอย่างรุนแรง

        •  เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทารกมีความอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติ และยังคงสัมผัสทุกสิ่งรอบตัว ไม่ต้องพูดถึงผู้คนรอบๆ ตัวเด็กที่อาจนำเชื้อโรคมาสัมผัสเวลากอดเด็กน้อย การขยี้ตาจะเพิ่มความเสี่ยงที่เชื้อโรคเหล่านี้จะถูกส่งไปยังดวงตาของทารก และทำให้เกิดการติดเชื้อได้
        • ทำให้สายตาแย่ลงในระยะยาว การขยี้ตาอย่างต่อเนื่องจะทำให้เนื้อเยื่อกระจกตาบางลง ทำให้สายตาแย่ลงในระยะยาว แม้ว่าผลกระทบอาจไม่เกิดขึ้นในทันทีทันใดเท่ากับการติดเชื้อ แต่ลูกน้อยของคุณมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นมาพร้อมกับการสายตาสั้นได้ในอนาคต
        • อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บ ทารกอาจขยี้ตาอย่างรุนแรงหากมีสิ่งใดติดอยู่ในดวงตา ซึ่งจะทำให้เกิดการระคายเคือง สิ่งนี้จะเพิ่มความเสี่ยงที่กระจกตาอาจถลอกซึ่งอาจเจ็บปวดและใช้เวลานานกว่าจะหายดี
          อย่ากังวลหรือตื่นตระหนกหากคุณสังเกตเห็นว่าลูกน้อยของคุณมีนิสัยชอบขยี้ตา หากคุณคิดว่ามีบางอย่างกวนใจเขาและสังเกตเห็นรอยแดงหรือบวม ให้ลองล้างตาและทำความสะอาดบริเวณรอบๆ ดวงตา หากยังอาการไม่ดีขึ้น ให้ปรึกษาแพทย์ หากการขยี้ตายังคงดำเนินต่อไป แม้จะไม่มีรอยแดงหรือบวม ควรไปพบแพทย์อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ 100% ว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี

         

        ลูกชอบถูหน้าตัวเอง

         

        จะป้องกันอย่างไรเมื่อ ลูกชอบถูหน้าตัวเอง 

        คุณจำเป็นต้องใช้มาตรการบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยขยี้ตาบ่อยๆ เพราะอาจทำให้ดวงตาของลูกน้อยได้รับบาดเจ็บ หรือมีแผลขีดข่วนได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นพยายามเอาถุงมือปิดมือของทารกหากเขามีนิสัยการขยี้ตาอย่างรุนแรง วิธีนี้จะช่วยปกป้องผิวจากการขีดข่วนหรือระคายเคือง ให้ลูกน้อยของคุณเข้านอนทันที หากคุณสังเกตเห็นการขยี้ตาพร้อมกับหาว กำหนดกิจวัตรการนอนหลับให้ลูกน้อยของคุณและทำตามนั้น เมื่อลูกน้อยของคุณชินกับมันแล้ว จะไม่เมื่อยล้าอีกต่อไป และด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องขยี้ตาอีกต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้วัตถุแปลกปลอมเข้าไปในดวงตาของลูกน้อย อย่าพยายามพาเขาไปในที่ที่มีฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว ถ้าจำเป็น ให้ปกป้องดวงตาและจมูกของทารกให้เหมาะสมก่อนที่จะให้เด็กสัมผัสฝุ่น

        เมื่อใดที่พ่อแม่ต้องกังวล

        หากคุณคิดว่าลูกขยี้ตาด้วยเหตุผลอื่นที่ไม่ใช่อาการง่วงนอน หรือปวดฟัน ให้นัดตรวจกับกุมารแพทย์เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สัญญาณใด ๆ ของปัญหาการมองเห็นในเด็กก็ควรได้รับการตรวจเช็ค โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากอายุ 6 เดือน สาเหตุส่วนใหญ่ที่ลูกน้อยของคุณอาจขยี้ตานั้นค่อนข้างไม่เป็นอันตราย แต่อาจทำให้เด็กๆ รู้สึกไม่สบายทางร่างกาย  ช่วยลูกน้อยของคุณโดยการตรวจสอบหาสาเหตุที่เป็นไปได้ ทดลองใช้วิธีแก้ปัญหา และพบกุมารแพทย์หากจำเป็นเพื่อแก้ไขปัญหาเพิ่มเติม

        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : abcofparenting.com , healthline.com

        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

        พ่อแม่ระวัง! ลูกขยี้ตาบ่อยเสี่ยงเป็น ภูมิแพ้ขึ้นตา

        เช็คสัญญาณเตือนลูกขาดน้ำ ภาวะขาดน้ำในเด็ก เป็นแบบไหน?

        “แสงแฟลช” ทำลายดวงตาเด็กจริงหรือ?

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          แพ็กเกจคลอด

          อัพเดท แพ็กเกจคลอด ปี 2564 ร.พ. เอกชน 30 แห่ง ในกรุงเทพฯ

          แพ็กเกจคลอด – สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และวางแผนเตรียมตัวคลอด อาจยังไม่แน่ใจว่า จะเลือกคลอดที่ไหนดี วันนี้ทีมงาน ABK เรามีตัวเลือกโรงพยาบาลเอกชน ในเขตกรุงเทพฯ  30 แห่ง มาให้พิจารณา เพื่อช่วยให้คุณแม่เลือกได้เหมาะสมกับตัวเองและลูกน้อย ราคาแพ็กเกจคลอดล่าสุด ของโรงพยาบาลเอกชนแต่ละแห่งจะเป็นอย่างไร เรามาติดตามไปพร้อมกันเลยค่ะ

          อัพเดท แพ็กเกจคลอด ปี 2564 ร.พ. เอกชน 30 แห่ง ในกรุงเทพฯ

          แพ็กเกจ ค่าคลอดลูก โรพยาบาลเอกชน 30 แห่ง ในกรุงเทพฯ  

          1. โรงพยาบาลวิภาวดี

          • คลอดธรรมชาติ  ราคา 46,900 บาท (นอนโรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 62,900 บาท (นอนโรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          (Package คลอดบุตรโดยให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล ยกเว้นมารดาและ/หรือ ทารกมีภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอดหรือหลังคลอด)

          หมายเหตุ:ไม่ครอบคลุมค่าแพทย์ช่วยผ่าตัด,ครรภ์แฝด

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ศูนย์สูตินรีเวช 24 ชั่วโมง โทร.0-2561-1111 ต่อ 2219, 2220

          เว็บไซต์: www.vibhavadi.com

           

          2. โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 58,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 82,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)
          • ผ่าตัดคลอดลูกแฝด ราคา 98,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : แผนกสูตินรีเวชกรรมผู้ป่วยนอก โทร. 02-625-9000 ต่อ 30230-1

          เว็บไซต์: www.bch.in.th

           

          3. โรงพยาบาลกรุงเทพ

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 82,500 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 115,500 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 3 คืน)
          • ผ่าตัดคลอดครรภ์แฝด ราคา 181,500 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 3 คืน)

          หมายเหตุ : โรงพยาบาลขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงราคาแพคเกจคลอดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : โทร. 1719

          เว็บไซต์: www.bangkokhospital.com

          แพ็กเกจคลอด
          แพ็กเกจคลอด

           

          4. โรงพยาบาลบางเทพธารินทร์

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 49,000 บาท
          • ผ่าตัดคลอด  ราคา 69,000 บาท

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : แผนกสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลเทพธารินทร์ โทร : 02-348-7000 ต่อ 3215-3217

          เว็บไซต์: www.theptarin.com

           

          5. โรงพยาบาลไทยนครินทร์

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 มิถุนายน 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 43,000 บาท
          • ผ่าตัดคลอด  ราคา 60,000 บาท

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : โรงพยาบาลไทยนครินทร์ โทร 02-340-6499 หรือ 02-340-6488

          เว็บไซต์: www.thainakarin.co.th

           

          6. โรงพยาบาลบางปะกอก 1

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 31,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 48,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : โทร.0-2109-1111

          เว็บไซต์: www.bangpakok1.com

           

          7. โรงพยาบาลบางปะกอก 9

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 45,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 55,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ศูนย์สูตินารีเวช ชั้น 2 โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล  โทร 02–109–9111 ต่อ 10213, 10214 Call Center : 1745

          เว็บไซต์: www.bangpakokhospital.com

           

          8. โรงพยาบาลบางโพ

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 33,900 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 43,900 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : โทร. 02 587 0144  ต่อ 2411 แผนกสุขภาพสตรี

          เว็บไซต์: www.bangpo-hospital.com

           

          9. โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 85,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 3 คืน 2 วัน)
          • คลอดธรรมชาติ โดยฉีดยาชาที่ไขสันหลัง ราคา 99,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 3 คืน 2 วัน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 109,000 บาท (พักอยู่โรงพยาบาล 3 คืน 4 วัน)

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ศูนย์สูติ-นรีเวช โทร. 02-066-8888

          เว็บไซต์: www.bumrungrad.com

           

          10. โรงพยาบาลเจ้าพระยา

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          โปรแกรมคลอดบุตรปกติ (แบบเหมาจ่าย 3 วัน 2 คืน)

          • ห้อง Suite ราคา 52,500 บาท
          • ห้อง Exclusive ราคา 51,200 บาท
          • ห้อง Premium ราคา 49,900 บาท

          โปรแกรมผ่าตัดคลอดบุตร (แบบเหมาจ่าย 4วัน 3 คืน)

          • ห้อง Suite ราคา  74,000 บาท
          • ห้อง Exclusive ราคา 71,900 บาท
          • ห้อง Premium ราคา 69,900 บาท

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : โทร. 02-433-8222, 02-433-5666

          เว็บไซต์: www.chaophya.com

           

          11. โรงพยาบาลเปาโล เกษตร

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          โปรแกรม ค่าคลอดลูก แบบเหมาจ่าย

          • คลอดธรรมชาติ (พักอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)

          แพ็กเกจ Gold ราคา 39,900 บาท

          แพ็กเกจ Platinum ราคา 49,900

          • ผ่าตัดคลอด (พักอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)

          แพ็กเกจ Gold ราคา 49,900 บาท

          แพ็กเกจ Platinum ราคา 59,900 บาท

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : แผนกสูตินรีเวช โรงพยาบาลเปาโล เกษตร โทร. 02 1500 900 ต่อ 5420

          เว็บไซต์: www.paolohospital.com/th-TH/kaset

           

          12. โรงพยาบาลพญาไท 3

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          คลอดปกติคุณแม่+ทารก (รวมค่าแพทย์ และพักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)

          • คลอดธรรมชาติ แบบมาตรฐาน ราคา 51,500 บาท
          • คลอดธรรมชาติ แบบพรีเมี่ยม ราคา 55,500 บาท
          • คลอดธรรมชาติ แบบ Presidential Suite ราคา 87,500 บาท

          ผ่าตัดคลอดคุณแม่+ทารก (รวมค่าแพทย์ และพักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          • ผ่าตัดคลอด แบบมาตรฐาน ราคา 69,900 บาท
          • ผ่าตัดคลอด แบบพรีเมี่ยม ราคา 73,900 บาท
          • ผ่าตัดคลอด แบบ Presidential Suite ราคา 114,900 บาท

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท 3  โทร. 02-467-1111 ต่อ 3264-66

          เว็บไซต์: www.phyathai.com

          13. โรงพยาบาลเพชรเกษม 2

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)

          ห้องพิเศษ Superior  ราคา 23,900 บาท

          ห้องพิเศษเดี่ยว Standard ราคา 21,900 บาท

          ห้องพิเศษคู่ ราคา 19,900 บาท

          • ผ่าตัดคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          ห้องพิเศษ Superior  ราคา 39,000 บาท

          ห้องพิเศษเดี่ยว Standard ราคา 37,000 บาท

          ห้องพิเศษคู่ ราคา 34,900 บาท

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม :  โทร. 02-455-5599 ต่อ 5191 , 6010

          เว็บไซต์: www.petkasem2hospital.com

           

          14. โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)
          • คลอดธรรมชาติไม่ได้ ต้องผ่าคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)  ราคา 78,000 บาท
          • ผ่าตัดคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)  ราคา 77,000 บาท

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : แผนกสูติ – นรีเวชกรรม โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ โทร 02-838-5555 ต่อ 10251, 10252

          เว็บไวต์ : www.saintlouis.or.th

           

          15. โรงพยาบาลสุขุมวิท

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 59,000 บาท ห้องเดี่ยว (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3วัน 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 79,000 บาท ห้องเดี่ยว (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4วัน 3 คืน)

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม : ศูนย์สูติ-นรีเวช ชั้น 2A โรงพยาบาลสุขุมวิท โทร. 02-391-0011 ต่อ 356, 357

          เว็บไซต์ www.sukumvithospital.com

           

          16. โรงพยาบาลสินแพทย์ ศรีนครินทร์

          โปรแกรมราคา ค่าคลอดลูก ถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 32,000 บาท (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3วัน 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 44,000 บาท (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4วัน 3 คืน)

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม :  โทร. 02-066-8888

          เว็บไซต์: www.synphaet.co.th/srinakarin/

           

          17. โรงพยาบาลศิครินทร์

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          โปรแกรมคลอดแบบเหมาจ่าย

          • คลอดธรรมชาติ ( พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน ) ห้อง VIP 55,000 บาท ห้อง Superior ราคา 48,000.00 บาท
          • ผ่าตัดคลอด ( พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน ) ห้อง VIP 74,000 บาท ห้อง Superior 65,000.00 บาท

          ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม :  โทร. 1728, 0-2366-9900

          เว็บไซต์: www.sikarin.com

           

          18. โรงพยาบาลลาดพร้าว

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 30 มิถุนายน 2564

          • คลอดธรรมชาติ

          ไม่รวมฝากครรภ์ ราคา 29,900 บาท

          รวมฝากครรภ์ ราคา 34,900 บาท

          • ผ่าตัดคลอด

          ไม่รวมฝากครรภ์ ราคา 42,900 บาท

          รวมฝากครรภ์ ราคา 47,900 บาท

          ติดต่อสอบถามรายละอียดเพิ่มเติม : โทร. ศูนย์สุขภาพสตรี 02-530-2556 ต่อ 2400, 2410

          เว็บไซต์: www.ladpraohospital.com

           

          แพ็กเกจคลอด

           

          19. โรงพยาบาลซีจีเอช พหลโยธิน

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 36,000 บาท (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 48,000 บาท (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4วัน 3 คืน)

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม :  แผนกสูติ-นรีเวช ชั้น2 โรงพยาบาล ซีจีเอช โทร. 02 552 8777 ต่อ 2250 (08.00 – 16.00 น.)

          เว็บไซต์: www.cgh.co.th/phaholyothin

           

          20. โรงพยาบาลหัวเฉียว

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 30 มิถุนายน 2564

          • คลอดธรรมชาติ (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)

          ชุดสุดคุ้ม ราคา 33,000 บาท

          ชุดพิเศษ ราคา 41,000 บาท

          ชุดพิเศษ VIP ราคา 52,000 บาท

          • ผ่าตัดคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          ชุดสุดคุ้ม ราคา 45,000 บาท

          ชุดพิเศษ ราคา 55,000 บาท

          ชุดพิเศษ VIP ราคา 66,000 บาท

          สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมสิทธิประโยชน์ คลินิกสูตินรีเวช โทร. 02-223-1351 ต่อ 3230, 3232

          เว็บไซต์: www.hc-hospital.com

           

          21. โรงพยาบาลบี.แคร์. เมดิคอลเซ็นเตอร์

          ราคาแพ็กเกจคลอดแบบเหมาจ่าย ราคานี้อัพเดตถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 37,900 (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 49,900 บาท (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม :  ศูนย์สุขภาพสตรี ชั้น 1 อาคารปานนิติ โรงพยาบาลบี.แคร์. เมดิคอลเซ็นเตอร์ โทร 02-994-8200-3 ต่อ 2103, 2104

          เว็บไซต์ : www.bcaremedicalcenter.com

           

          22. โรงพยาบาลประชาพัฒน์

          ราคานี้สำหรับบัตรทอง (UC) และประกันสังคมเท่านั้น

          ราคาคลอดแบบเหมาจ่ายนี้สามารถใช้ได้ถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ห้องคู่ ราคา 23,900 บาท ห้องเดี่ยว ราคา 29,900 บาท
          • ผ่าตัดคลอด ห้องคู่ ราคา 41,900 บาท ห้องเดี่ยว ราคา 48,900 บาท

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โรงพยาบาลประชาพัฒน์  โทร 02-427-9966

          เว็บไซต์ : www.prachapat.com

           

          23. โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ

          สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมและบัตรทองได้

          ราคาคลอดแบบเหมาจ่ายนี้สามารถใช้ได้ถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ ราคา 35,000 บาท
          • ผ่าตัดคลอด ราคา 51,000 บาท

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : แผนกสูติ – นรีเวชกรรมผู้ป่วยนอก Women Center โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โทร 0-2574-5000 ต่อ 8126, 8128

          เว็บไซต์ : www.mongkutwattana.co.th

           

          24. โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย 4 

          ราคาคลอดแบบเหมาจ่ายนี้สามารถใช้ได้ถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ

          แบบ Special ราคา 39,900 บาท

          แบบ Special +1 ราคา 44,900 บาท

          แบบ Special +2 ราคา 49,900 บาท

          ฟรี สำหรับข้าราชการ

          • ผ่าตัดคลอด

          แบบ Special ราคา 49,900 บาท

          แบบ Special +1 ราคา 54,900 บาท

          แบบ Special +2 ราคา 59,900 บาท

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : แผนกสิทธิประโยชน์ โรงพยาบาลเปาโล โชคชัย4 โทร 02-514-4141 ต่อ 2805

          เว็บไซต์ : www.paolohospital.com/th-TH/chokchai4

           

          25. โรงพยาบาลบางมด

          สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมและบัตรทองได้

          • คลอดธรรมชาติ (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)

          W6 (เดี่ยว) ราคา 19,999 บาท

          W9 (คู่) ราคา 26,000 บาท (หากมีประกันสังคมหรือบัตรทอง ราคา 21,000 บาท)

          W9 (เดี่ยว) ราคา 28,500 บาท (หากมีประกันสังคมหรือบัตรทอง ราคา 25,000 บาท)

          W10 (VIP) ราคา 35,000 บาท

          W10 (Deluxe) ราคา 45,000 บาท

          • ผ่าตัดคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          W6 (เดี่ยว) ราคา 24,900 บาท

          W9 (คู่) ราคา 39,000 บาท (หากมีประกันสังคมหรือบัตรทอง ราคา 32,000 บาท)

          W9 (เดี่ยว) ราคา 46,000 บาท (หากมีประกันสังคมหรือบัตรทอง ราคา 37,000 บาท)

          W10 (VIP) ราคา 49,000 บาท

          W10 (Deluxe) ราคา 52,000 บาท

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โรงพยาบาลบางมด โทร 0-2867-0606 ต่อ 3503, 3504

          เว็บไซต์ : www.bangmodhospital.com

           

          26. โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง

          สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้

          ราคาคลอดแบบเหมาจ่ายนี้สามารถใช้ได้ถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)

          ห้องพักเดี่ยวมาตรฐาน ราคา 29,000 บาท

          ห้องพักเดี่ยวมาตรฐาน (สำหรับผู้ถือบัตรประกันสังคม) ราคา 28,000 บาท

          • ผ่าตัดคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          ห้องพักเดี่ยวมาตรฐาน 41,000 บาท

          ห้องพักเดี่ยวมาตรฐาน (สำหรับผู้ถือบัตรประกันสังคม) ราคา 38,000 บาท

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : แผนกสูตินรีเวช โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง โทร 02-339-0000 ต่อ 2079-2080

          เว็บไซต์ : www.kasemrad.co.th/ramkhamhaeng

           

          27. โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค

          สามารถใช้สิทธิ์ประกันสังคมได้

          ราคาคลอดแบบเหมาจ่ายนี้สามารถใช้ได้ถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)  ราคา 37,500 บาท
          • ผ่าตัดคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน) ราคา 52,500 บาท

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค โทร 0-2804-8959 หรือ 0-2804-8970 หรือ 0-2804-8960

          เว็บไซต์ : www.kasemrad.co.th/Bangkae

          28. โรงพยาบาลธนบุรี 2 

          ราคาคลอดแบบเหมาจ่ายนี้สามารถใช้ได้ถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)  ราคา 40,000 บาท
          • ผ่าตัดคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน) ราคา 67,900 บาท

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โรงพยาบาลธนบุรี 2 โทร 1645 หรือ 02-487-2100

          เว็บไซต์ : www.thonburi2hospital.com

           

          29. โรงพยาบาลนครธน

          ราคาคลอดแบบเหมาจ่ายนี้สามารถใช้ได้ถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน 2 คืน)

          แบบ Perfect ราคา 42,900 บาท

          แบบ Premium ราคา 52,900 บาท

          แบบ Platinum ราคา 69,900 บาท

          • ผ่าตัดคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 3 คืน)

          แบบ Perfect ราคา 62,900 บาท

          แบบ Premium ราคา 72,900 บาท

          แบบ Platinum ราคา 89,900 บาท

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โรงพยาบาลนครธน โทร 02-450-9999 หรือ 02-000-9999

          เว็บไซต์ : www.nakornthon.com

           

          30. โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท

          ราคาคลอดแบบเหมาจ่ายนี้สามารถใช้ได้ถึง 31 ธันวาคม 2564

          • คลอดธรรมชาติ (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 3 วัน  72 ชม.)  ราคา 89,900 บาท
          • ผ่าตัดคลอด (พักฟื้นอยู่โรงพยาบาล 4 วัน 96 ชม.)  ราคา 119,000 บาท

          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : ศูนย์สุขภาพสตรี สุขุมวิท วิง ( อาคาร 2) ชั้น 1 โทร. 02-022-2555-6

          เว็บไซต์ : www.samitivejhospitals.com

          ข้อมูลทั้งหมดนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากทางโรงพยาบาลในภายหลังได้ ดังนั้นแนะนำว่าก่อนเข้ารับบริการฝากครรภ์ และรวมอัตราค่าคลอดบุตร รบกวนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมไปยังโรงพยาบาลที่ต้องการใช้บริการกันอีกครั้งนะคะ ด้วยความใส่ใจและห่วงใยจากทีมงานแม่ ABK 

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          5 ไอเท็มต้องมี เตรียมของใช้คุณแม่ ใกล้คลอดปี 2021

          กินไข่แล้ว แผลผ่าตัดคลอด หายช้า-เป็นรอยนูน..จริงหรือ?

          3 วิธี คลอดลูก คลอดแบบธรรมชาติ แบบผ่าคลอด หรือคลอดลูกในน้ำ คลอดแบบไหนดี?

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ยาคุมยี่ห้อไหนดี

            เซฟเก็บไว้ก่อน! รีวิว 15 ยาคุม ยี่ห้อไหนดี พร้อมข้อดี-ข้อเสียแบบชัดๆ เข้าใจง่าย

            ยาคุม ยี่ห้อไหนดี !!  ยังไม่พร้อมมีลูกตอนนี้ เศรษฐกิจฝืด โควิดยังระบาด คิดหนักมากกลัวเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ หากต้องการคุมกำเนิด จะเลือกกินยาคุม ยี่ห้อไหนดี ให้เหมาะกับตัวเอง ตามมาดู รีวิวยาคุม พร้อมแนะวิธีใช้ เทียบข้อดี ข้อเสียของแต่ละยี่ห้อกัน

            เลือกยาคุม ให้เหมาะกับตัวเองซื้อ ยาคุม ยี่ห้อไหนดี !?

            ยาคุม หรือ ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth Control Pill) คือ หนึ่งในวิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งเป็นยาที่ใช้กินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์แบบชั่วคราว แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

            • ชนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (progesterone) เพียงอย่างเดียว
            • ชนิดฮอร์โมนรวม (combined pills) ซึ่งในแต่ละเม็ดมีฮอร์โมน 2 ชนิด คือฮอร์โมนกลุ่มเอสโตรเจน (estrogens) ผสมกับฮอร์โมนกลุ่มโพรเจสติน (progestins) โดยมีสัดส่วนแตกต่างกัน

            ฮอร์โมนที่อยู่ในยาคุมมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์ โดยอาศัยกลไกเพื่อออกฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ โดยจัดทำไว้เป็นแผงหลายชนิดแต่ละชนิดจะมีปริมาณตัวยาและจำนวนเม็ดไม่เท่ากัน เช่น 21เม็ด และ 28 เม็ด ทั้งนี้คุณผู้หญิงที่ต้องการคุมกำเนิดด้วยการกินยาคุม ต้องกินยาต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพราะยาคุมบางตัวหากหยุดไปสามารถกลับมามีลูกได้อีก …ทั้งนี้หากเคยกินยาคุมมาก่อนแล้วต้องการเปลีี่ยนยา แต่ไม่แน่ใจว่าฤทธิ์ของยาส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือไม่ ควรไปปรึกษาแพทย์ควบคู่กับการวางแผนครอบครัวในอนาคตด้วย

            Must read >>ท้องไม่พร้อม ไม่สนุก!! รู้ยังวัยรุ่น ฝังยาคุม ฟรี

            วิธีใช้ ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยวและฮอร์โมนรวม

            ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยวและฮอร์โมนรวม จะมีวิธีใช้ที่แตกต่างกัน ดังนี้

            • “ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดี่ยว” เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถใช้ยาคุมที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ เพราะเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความผิดปกติภายในมดลูก และเยื่อบุโพรงมดลูก

            อย่างไรก็ตามการใช้ยาคุมกำเนิดประเภทนี้ มีผลข้างเคียงค่อนข้างต่ำ  ไม่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ หรือปวดหัว แต่ผู้ใช้อาจพบกับภาวะประจำเดือนขาดทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ได้

            • “ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม” เป็นยาคุมที่จะมีกลไกการออกฤทธิ์เลียนแบบการหลั่งฮอร์โมนของร่างกายมากที่สุด ปริมาณของฮอร์โมนทั้ง 2 ตัวที่อยู่ในยาคุมกำเนิด และมีของเม็ดยาอาจแตกต่างกันไปตามยี่ห้อ แต่วิธีการรับประทานยาจะเหมือนกัน คือต้องรับประทาน 1 เม็ดทุกๆ วัน

            ทั้งนี้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นกับผู้ใช้บ้าง เช่น คลื่นไส้ ปวดหัว น้ำหนักตัวขึ้น ท้องอืด เจ็บคัดเต้านม และที่สำคัญ ห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ในผู้ป่วยเกี่ยวกับลิ่มเลือดเด็ดขาด

            Must read >> ยาคุมยี่ห้อไหนดี กินแล้วไม่อ้วน ไม่บวม หน้าใสไร้สิว เช็กเลย!

            ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดแบบเม็ด

            • หากกินยาคุมกำเนิดแบบเม็ดอย่างสม่ำเสมอ และตรงเวลาตามฉลากการใช้ยา ยาคุมกำเนิดก็จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้สูงถึง 99.7 %
            • แต่หากกินยาไม่สม่ำเสมอ ลืมกินยาบ่อยๆ หรือใช้ไม่ถูกต้องตามคำแนะนำ โอกาสที่จะล้มเหลวในการป้องกันการตั้งครรภ์จะมีอยู่ประมาณ 9% แม้จะเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีโอกาสที่คุณจะตั้งครรภ์ได้อยู่

            อย่างไรก็ตาม ยาคุมในท้องตลาดก็มีอยู่หลายยี่ห้อให้เลือกซื้อ แต่จะเลือกซื้อ ยาคุมยี่ห้อไหนดี เลือกยาคุมแบบไหนให้เหมาะกับตัวเอง ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมยาคุมมาให้เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้ดูก่อน ใครที่ซื้อไม่เป็น เพิ่งจะลองซื้อมากินเป็นครั้งแรก ห้ามพลาด!! พร้อมแนะวิธีใช้ เทียบข้อดี ข้อเสียของแต่ละยี่ห้อ จะมียี่ห้อไหนบ้างตามมาดูกันเลย

            รีวิว 15 ยาคุมกำเนิด เลือกกิน ยาคุม ยี่ห้อไหนดี เช็กข้อดี-ข้อเสียตรงนี้เลย

            ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว สำหรับแม่ให้นมลูก

            ยาคุมยี่ห้อไหนดี แบบแรกที่แนะนำกันก่อนเลย คือยาคุมกำเนิดที่เหมาะสำหรับคุณแม่ให้นมลูก ซึ่งต้องการคุมกำเนิดไปด้วย หากรับประทานยาคุมประเภทฮอร์โมนรวม จะทำให้น้ำนมลูกไหลน้อยเกินไปและเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังคลอดได้
            ดังนั้น จึงมียาคุมอีกประเภทหนึ่งซึ่งเหมาะกับคุณแม่ให้นมมากกว่า นั่นก็คือ “ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว” คือ เป็นยาคุมที่บรรจุฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ยังสามารถใช้ได้กับผู้ที่แพ้ยาคุมง่าย และผู้ที่กลัวมีปัญหาเรื่องฝ้าขึ้นใบหน้าด้วย

            ยาคุมยี่ห้อไหนดี

            ยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยวที่มักพบเห็นกันบ่อยในท้องตลาด คือยี่ห้อ เซราเซ็ท (Cerazette) เอ็กซ์ลูตอน (Exluton) และเดลีตัน (Dailyton) รูปแบบการกินยาสังเกตจากสัญลักษณ์ด้านหลัง เม็ดยาจะเรียงลำดับตามลูกศรตามวันในสัปดาห์ สามารถเริ่มตามวันให้ตรงกับแผงยาได้เลย หรือเริ่มกินเมื่อประจำเดือนมาวันแรกเหมือนยาคุมทั่วไป

            ยาคุมประเภทฮอร์โมนรวมยอดนิยม

            1. ยาซ (Yaz)

            ยาคุมยี่ห้อไหนดี

            เป็นยาคุมแบบ 28 เม็ด (มียาเม็ดฮอร์โมน 24 เม็ด และยาแป้ง 4 เม็ด) มีตัวยาดรอสไพริโนน 3 mg. และยาเอธินิล เอสตราไดออล 0.02 mg.

            สำหรับคุณผู้หญิงที่สงสัยว่าจะเลือกซื้อ ยาคุมยี่ห้อไหนดี ยาซ เป็นยาคุมที่เหมาะกับคนที่มักมีอาการหงุดหงิดก่อนมีประจำเดือน (หรือที่เรียกว่า PMS) และยังช่วยลดสิวที่เกิดจากฮอร์โมนได้ด้วย แต่อาจอาการข้างเคียงที่พบได้แต่น้อย เช่น คลื่นไส้อาเจียน

             

            2. ยาสมิน (Yasmin) และ จัสติมา (Justima)

            ยาคุมยี่ห้อไหนดี

            เป็นยาคุมแบบ 21 เม็ด มีตัวยาดรอสไพริโนน  3 mg. และยาเอธินิล เอสตราไดออล 0.03 mg.

            เป็นตัวยาที่มีความคล้ายคลึงกับฮอร์โมนธรรมชาติมาก ไม่ค่อยส่งผลให้มีอาการบวมน้ำ คนที่มีรูปร่างอวบไม่ต้องกลัวว่า เมื่อใช้แล้วจะมีอาการตัวบวมขึ้น ส่วนผู้ที่ไม่เคยรับประทานยาคุมมาก่อนก็สามารถใช้ได้

             

            3. ไดแอน-35 (Diane-35)

            ยาคุมยี่ห้อไหนดี

            เป็นยาคุมแบบ 21 เม็ด มีตัวยาไซโปรเทอโรน อาซีเตท 2 mg. และยาเอธินิล เอสตราไดออล ตัวที่มีระดับเอสโตรเจนสูง 0.035 mg.

            ยาคุมยี่ห้อนี้มีส่วนประกอบเป็นยาที่มีเอสโตรเจนสูง ดังนั้น คนที่ใช้บางรายจึงอาจเกิดการบวมน้ำได้ แต่ข้อดี คือ ดูมีน้ำมีนวล แถมยังมีฮอร์โมนที่ช่วยลดฮอร์โมนเพศชายในร่างกายได้ ทำให้ลดอาการผมมัน ผมร่วง หน้ามัน และลดสิวจากฮอร์โมนได้ดี

             

            4. พรีม (PREME) และ บี-เลดี้ (B-Lady)

            ยาคุมยี่ห้อไหนดี

            เป็นยาคุมแบบ 21 เม็ด มีส่วนประกอบของยาเหมือนกับ Diane-35 ทุกอย่าง ดังนั้นจึงมีสรรพคุณที่ใกล้เคียงกันมาก แต่เพราะเป็นยาคุมที่มีระดับเอสโตรเจนสูง จึงอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้มากขึ้น เช่น คลื่นไส้อาเจียน เลือดออกกะปริดกะปรอย  **สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยรับประทานยาคุมมาก่อน ไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้

            5. เมลลิแอน (Meliane)

            ยาคุมยี่ห้อไหนดี

            เป็นยาคุมแบบ 21 เม็ด มีตัวยาเจสโทดีน 0.075 mg. และยาเอธินิล เอสตราไดออล 0.02 mg.

            หากคุณผู้หญิงกำลังสงสัยว่าจะเลือกซื้อ ยาคุมยี่ห้อไหนดี เมลลิแอน เป็นอีกหนึ่งตัวที่สามารถซื้อกินได้ ด้วยปริมาณยาฮอร์โมนที่ไม่มากเกินไป ข้อดีของยาคุมยี่ห้อนี้จึงเกิดผลข้างเคียงน้อย เช่น อาการปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่เคยกินยาคุมมาก่อน หรือผู้ที่มีอาการ PMS ก่อนมีรอบเดือน รวมทั้งช่วยลดอาการบวมน้ำได้

             

            6. มินิดอซ (Minidoz)

            ยาคุมยี่ห้อไหนดี

            เป็นยาคุมแบบ 28 เม็ด มีตัวยาเจสโทดีน 0.06 mg. และยาเอธินิล เอสตราไดออล 0.03 mg.

            ยาคุมยี่ห้อนี้มีปริมาณฮอร์โมนยาค่อนข้างน้อย จึงช่วยลดอาการข้างเคียงต่างๆ ได้ดี อีกทั้งช่วยลดสิว ลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ สำหรับคนที่ไม่เคยกินยาคุมมาก่อน สามารถเริ่มจากยายี่ห้อนี้ได้

             

            อ่านต่อ >> “รีวิวยาคุมประเภทฮอร์โมนรวมที่นิยม
            พร้อมข้อดี ข้อเสียของแต่ละยี่ห้อ” คลิกหน้า 2

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              รีวิว แอป ALive ดีจริงไหม ทำอะไรได้บ้าง ทำไมคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ถึงต้องโหลด

              รีวิว แอป ALive ดีจริงไหม ทำอะไรได้บ้าง ทำไมคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ถึงต้องโหลด

              ไม่พูดถึงไม่ได้เลยนาทีนี้กับแอปพลิเคชันดีงามที่ชื่อว่า “แอป ALive Powered by AIA” เพราะเราได้ลองใช้แล้ว คือชอบมาก สำหรับแอป ALive เขารวมการให้บริการทางสุขภาพที่คลอบคลุมตั้งแต่เรื่องการเตรียมตัวก่อนมีลูก การตั้งครรภ์ การคลอด  การเลี้ยงลูก พัฒนาการการเติบโตของลูก ฯลฯ ที่เด็ดสุด ๆ คือสามารถ call พูดคุยปรึกษากับคุณหมอ พยาบาลแบบเห็นหน้ากันได้ด้วย อันนี้ ฟรี! นะจ๊ะ ขอบอก

              เรื่องของเรื่องที่ทำให้เรารู้จักกับแอป ALive ก็เพราะว่ากำลังเตรียมตัวมีลูก ได้เข้าไปเสิร์ชคลัง Play Store ในมือถือของตัวเองก็มีแอป ALive โชว์ขึ้นมา คนมารีวิวเพียบเลยว่า work มาก ก็เลยคลิกเข้าไปโหลดออกมา OMG!! คือใช่เลย เพราะคิดว่าจะต้องได้ใช้บริการจากแอปพลิเคชันนี้กันไปต่อเนื่องแน่นอนค่ะ สำหรับใครที่มีแอป เอ ไลฟ์ อยู่ในมือถือกันอยู่ก่อนแล้ว มาเม้าท์แชร์ประสบการณ์กันได้นะ

              จริง ๆ ก่อนจะเจอกับแอป ALive เราหาข้อมูลเรื่องการเตรียมตัวมีลูกเยอะมากนะ ทั้งอ่านหนังสือ คุยกับเพื่อน ญาติพี่น้องที่มีลูกกันมาก่อน แล้วรวมถึงหาข้อมูลต่าง ๆ จากอินเทอร์เน็ตบางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าแหล่งข้อมูลไหน ที่น่าเชื่อถือบ้าง  แต่ด้วยความจะเป็นแม่ไง ไม่เคยท้องมาก่อน ความกลัว ความกังวลถาโถมเข้ามามาก อยากให้ตัวเองพร้อมที่สุดก่อนท้อง เรื่องนึงที่อยากได้มาก ๆ คือการได้ปรึกษากับหมอที่เขาจะให้คำปรึกษาเราได้ตลอดเวลา ครั้นจะไปโรงพยาบาลบ่อย ๆ ก็ไม่น่าสะดวกในช่วงนี้

              ซึ่งทั้งหมดที่อยากได้ เรายกให้ ALive Powered by AIA  และด้วยความที่เป็น AIA ก็มีความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่งเลย เพราะจากตอนแรกแค่ว่าอยากได้ข้อมูลมีคุณหมอที่ให้คำปรึกษาเรื่องการเตรียมตัวมีลูก แต่ที่ได้เพิ่มเข้ามาคือแอป ALive มีข้อมูลครอบคลุมให้ทุก category ไม่ใช่เฉพาะการเตรียมตัวตั้งครรภ์ แต่ยังมีในเรื่องของการตั้งครรภ์ สุขภาพของทั้งคุณพ่อคุณแม่ โภชนาการ การเตรียมตัวก่อนคลอดลูก การเลี้ยงลูก ชีวิตครอบครัว การวางแผนการเงิน การศึกษา ฯลฯ และที่สุดของความปังคือ เขามีคุณหมอมา LIVE ให้คำปรึกษาแบบใกล้ชิดด้วยนะคุณ ก่อนจะพาไปดูฟีเจอร์หลักด้านในของแอป ALive สำหรับคนยากมีลูก

              เราไปทำความรู้จักกันหน่อยว่า แอป ALive ที่พูดถึงนี้คืออะไรค่ะ

              แอป ALive powered by AIA

              แอปพลิเคชัน ALive ชื่อเต็มเขาคือ ALive Powered by AIA (เอ ไลฟ์ พาวเวอร์ บาย เอไอเอ) เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลครบวงจรที่ให้บริการการปรึกษาออนไลน์กับแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ แชทกลุ่มของคุณพ่อคุณแม่ บทความและวิดีโอที่คัดสรรจากผู้เชี่ยวชาญ แอปพลิเคชัน ALive สามารถให้คำแนะนำได้อย่างครอบคลุมในทุกช่วงเวลาของครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังแพลนจะมีลูกคนแรก คุณแม่ใกล้คลอด คุณแม่เพิ่งคลอด หรือคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยกำลังโต โดยเชื่อมต่อระหว่างสังคมออนไลน์เข้ากับแพทย์ / พยาบาลผู้เชี่ยวชาญ

              5 ฟีเจอร์เด่นของ แอป ALive

              หลังจากดาวน์โหลดและลงทะเบียนตามขั้นตอนของระบบแล้ว ก็จะเข้ามาเจอกับหน้าบ้านของแอป ALive Powered by AIA ซึ่งภายในหน้านี้ก็จะมี

              หน้าเริ่มต้นของแอป ALive

              • ชื่อเราอยู่ด้านบนตรงกลาง “สวัสดี iamapinya เราพร้อมอยู่เคียงข้างคุณ”
              • ถัดมาก็จะเจอกับช่องหน้าต่างสีขาว 3 ช่อง คือ “ฟรี!” ปรึกษาแพทย์และพยาบาล / “กิจกรรมไลฟ์” / “บันทึกครอบครัว”
              • ถัดมาก็จะเป็นเกี่ยวกับแผนประกัน ปุ่มสีแดง “รับสิทธิพิเศษ”
              • ถัดมาก็จะเป็นกิจกรรม Live ปุ่มสีแดง “ดู Live ทั้งหมด”
              • ท้ายสุดก็จะเป็น “บทความแนะนำ”
              • ส่วนล่างสุด จะมี 4 เมนู คือ “สำหรับคุณ” / “แชท” / “เนื้อหา” / “โปรไฟล์”

              ใครที่ได้สมัครเข้ามาใช้บริการแอปพลิเคชัน ALive ลองเล่นใช้บริการดูแต่ละจุดที่ปรากฎอยู่หน้าแอปกันนะคะ ทีนี้มาดูทั้ง 5 ฟีเจอร์ของแอป ALive กันต่อค่ะ

              ฟีเจอร์ปรึกษาแพทย์และพยาบาลของแอป ALive

              1. ฟีเจอร์ “ฟรี! ปรึกษาแพทย์และพยาบาล”

              ฟีเจอร์แรกขอบอกว่า WOW มาก เพราะมี Partner เป็นแพทย์และพยาบาลมาจากโรงพยาบาลชั้นนำ ที่จะมาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพต่าง ๆ ยิ่งทำให้รู้สึกมั่นใจ และที่สำคัญ ฟรี! ถ้าเทียบว่าต้องไปจ่ายเงินเองก็หลายพันเลยนะจ๊ะ

              หลักจากกดเข้ามาที่หน้านี้ จะมีรายเอียดต่างๆ แจ้งไว้ จากนั้นก็กดตรงปุ่มสีแดงที่เขียนว่า “ถัดไป” ให้เข้าไปกรอกข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ให้ครบซึ่งใช้เวลาไม่นาน แล้วกด “ถัดไป” จากนั้นเลือกกดตรงปุ่มสีแดง “ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ฟรี” ก็จะเจอกับหน้าที่เขียนว่า ข้อกำหนดและเงื่อนไขของบริการ (แนะนำว่าให้อ่านให้ละเอียดกันก่อนนะคะ) แล้วค่อยกด “ยอมรับ”

              ข้อตกลงการใช้งานของโรงพยาบาลสมิติเวชบนแอป ALive

              หลังจากกดยอมรับ รอไม่ถึง 2 นาที ระบบจะเชื่อมต่อไปยังบริการจากโรงพยาบาลสมิติเวช จะมีคุณพยาบาลรับสายแบบเห็นหน้ากันเลย (ขอโทษด้วยเราแคปรูปมาให้ดูไม่ทัน เนื่องจากตื่นเต้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และหน้าก็สดมากด้วย ^^) การขอคำปรึกษาตรงนี้ทำได้ 2 แบบตามความต้องการของแต่ละคนเลยค่ะ

              1.1 จะปรึกษาถามข้อมูลทั่วไปกับคุณพยาบาลที่รับเรื่องอยู่เลยก็ได้ ของเรามีสอบถามข้อมูลเบื้องต้นของการตั้งครรภ์ไปในเรื่องเกี่ยวกับ

              • การเตรียมฉีดวัคซีนที่จำเป็นก่อนท้องว่ามีวัคซีนอะไรบ้าง ?

              : อย่างของเราได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นไปว่าเคยได้รับการฉีควัคซีนไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน ทางคุณพยาบาลก็จะมีแนะนำเพิ่มเติมในเรื่องของวัคซีนโรคหัดเยอรมัน ตรงนี้คือต้องไปตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งว่ามีภูมิอยู่หรือเปล่า  ถ้าไม่มีก็ต้องฉีดเพิ่มเติมค่ะ

              • ควรทานกรดโฟลิคก่อนท้องกี่เดือน ?

              : เป็นหนึ่งในเรื่องที่สงสัยมาตลอดว่าต้องกินกรดโฟลิคก่อนท้อง หรือกินตอนท้อง ก็ได้คำตอบมาว่า ผู้หญิงที่จะเตรียมร่างกายสำหรับการตั้งครรภ์ แนะนำให้กินกรดโฟลิคได้เลยก่อนท้องอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง กรดโฟลิคมีส่วนช่วยในเรื่องการสร้างตัวอ่อน และช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบประสาทให้กับลูกได้ด้วย

              • การใช้เครื่องทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง ก็จะมีทั้งแบบจุ่ม แบบหยด ?  

              : อันนี้เรามีความสงสัยว่าควรใช้แบบไหนดี ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำว่ามาใช้ได้ทั้ง 2 แบบ สำหรับการเช็กเบื้องต้นว่าท้องหรือเปล่า แต่เพื่อเพิ่มความชัวร์ 100% คือให้มาตรวจกับแพทย์ที่โรงพยาบาลด้วยอีกครั้ง ซึ่งจะตรวจปัสสาวะ กับตรวจเลือดค่ะ

              1.2 หรือถ้าต้องการคำแนะนำในเรื่องที่ลึก หรือละเอียดมากขึ้น สามารถทำการนัดคุณหมอเพื่อพูดคุย จากตรงนี้ก็ได้เลยเช่นกัน

              ในส่วนการขอคำปรึกษากับคุณพยาบาล หรือคุณหมอ นอกเหนือจากเรื่องการเตรียมตัวตั้งครรภ์ ถ้าเป็นคุณแม่ใกล้คลอด คุณแม่เพิ่งคลอด คุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยกำลังโต ฯลฯ ก็สามารถมาขอคำปรึกษากันได้เลยค่ะ สะดวกมาก ๆ

              ฟีเจอร์กลุ่มแชทของแอป ALive

              2. ฟีเจอร์ “กลุ่มแชท” เข้ากลุ่ม พบเพื่อนใหม่

              คือสามารถเข้ากลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยน ขอคำแนะนำ คำปรึกษาได้ตามเรื่องที่เราต้องการและให้ความสนใจ ในกลุ่มแชทก็จะมีกลุ่มแม่ลูกเล็ก 0-12 เดือน , กลุ่มแม่ลูกโต 1-7 ปี , สุขภาพ , แม่ท้อง , แม่หลังคลอด , กลุ่มเตรียมตัวมีลูก  เป็นต้น

              ตัวอย่างกลุ่มแชทของแอป ALive

              เราเลือกเป็นกลุ่มแชท Prepare for Pregnancy #2 กลุ่มนี้สำหรับคนที่วางแผนจะมีลูก รวมถึงภาวะมีบุตรยาก การทำเด็กหลอดแก้ว ทุกอย่างของคนอยากมีลูกรวมไว้ในกลุ่มแชทนี้

              ตัวอย่างการพูดคุยในกลุ่มแชทของแอป ALive

              ตัวอย่างการพูดคุยในกลุ่มแชทของแอป ALive สำหรับคุณแม่

              ใครมีคำถามอะไรอยากปรึกษา ขอคำแนะนำ ฝากคำถามไว้ หรืออยากแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง ก็ทำได้เลย แล้วทางพยาบาลผู้เชี่ยวชาญจากสมิติเวชจะมาทยอยตอบให้ ที่สำคัญเราสามารถย้อนดูคำถาม คำตอบของคนอื่น ๆ ได้เลย คือแบบบางคำถามก็เป็นเรื่องที่เราอยากรู้อยู่แล้วด้วย ก็ได้คำตอบจากตรงนี้เลย ซึ่งเป็นประสบการตรงจากคุณแม่ ๆ ที่มีประสบการณ์มาช่วยตอบ อบอุ่นมาก สะดวก สบายมาก ๆ อ่ออีกนิดสำหรับกลุ่มแชท เขาจะมี Live กลุ่ม ด้วยนะ จะมีอัพเดทแจ้งเตือนให้รู้กันในกลุ่มด้วย หรือจะเช็กจากกลุ่มแชทของแต่ละคนที่เลือกไว้ก็ได้

              ฟีเจอร์กิจกรรมไลฟ์สดของแอป ALive

              3. ฟีเจอร์ “กิจกรรม Live”

              ส่วนนี้จะมีการ Live โดยแพทย์และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อต่างๆ ที่ Update สุด ๆ เช่น หน้าฝนกำลังจะมา วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำเป็นหรือไม่ , ก้าวสู่สุดยอด คุณแม่นักปั๊ม ด้วยเมนูตุ้นน้ำนม , การเลี้ยงลูกช่วงโควิท หรือพวกปัญหาโลกแตก เช่น อึของลูกก็กระจ่างเลยทีเดียว ซึ่งสามารถกดเข้าไปเช็กดูหัวข้อที่ขึ้นมาได้เลย ถ้าสนใจก็กดจองดูไลฟ์ไว้ได้เลย เขามีจะหัวข้อ วันเวลา และระยะเวลา Live แจ้งไว้ให้ ส่วนการไลฟ์ต่อครั้งก็จะประมาณ 30 นาที แนะนำว่าให้กดจองเข้าร่วมรับชมไลฟ์ไว้ล่วงหน้านะคะ

              ฟีเจอร์บันทึกครอบครัวของแอป ALive

              4. ฟีเจอร์ “บันทึกครอบครัว”

              คือต้องบอกว่า แอป ALive ทำได้ทุกสิ่ง เพราะเขามีในส่วนที่ให้เราสามารถเข้าไปเขียนเรื่องราวบันทึกความทรงจำ เรื่องน่าประทับใจที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้ด้วยนะ สำหรับภายใน Feature “บันทึกครอบครัว” ก็จะมี “บันทึกการให้นม” กับ “บันทึกความทรงจำ”

              ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชั่นบันทึกการให้นมของแอป ALive

              บันทึกการให้นม พอกดเพิ่มบันทึกการให้นม ข้างในก็จะมีให้เลือก “วิธีการให้นม” ตรงนี้ก็ดูเลยว่าเราเลี้ยงลูกด้วยวิธีไหน ก็เลือกอันนั้น แล้วก็บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ได้เลยค่ะ

              ตัวอย่างการใช้งานฟังก์ชั่นบันทึกครอบครัวของแอป ALive

              อย่างของเราจะเลือกในส่วนของสีม่วง “บันทึกความทรงจำ” กดเพิ่มความทรงจำ แล้วก็เข้าไปสร้างโปรไฟล์เขียนบันทึก หรือจะเก็บรูปไว้ในบันทึกส่วนตัวของเราเองก็ได้เหมือนกันค่ะ

              เราว่าฟีเจอร์นี้ดีมาก ๆ ทั้งกับทุกคนนะคะ คือถ้ายังไม่ได้ตั้งครรภ์ เราก็สามารถที่จะบันทึกประจำวันต่าง ๆ ได้ทั้งสุขภาพ เรื่องประทับใจ หรือกระบวนการเตรียมตั้งครรภ์ ส่วนคุณแม่หลังคลอดก็สามารถบันทึกการให้นม และบันทึกพัฒนาการของลูกในแต่ละวัน หรือแต่ละสัปดาห์ เป็นต้น

              ฟีเจอร์บทความแนะนำของแอป ALive

              5. ฟีเจอร์ “บทความแนะนำ” ของแอป ALive

              คือใน category “บทความแนะนำให้ความรู้คัดสรรมาเพื่อคุณพ่อคุณแม่โดยเฉพาะ” ต้องบอกว่ามีครบทุกองค์ความรู้ตั้งแต่ก่อนมีลูก , ตั้งครรภ์ , หลังคลอด , พัฒนาการเด็ก , โภชนาการและสุขภาพ ฯลฯ อยากให้ทุกคนที่กำลังจะมีลูก คุณแม่ตั้งครรภ์ หรือมีลูกได้อ่านกันค่ะ

              ตัวอย่างบทความแนะนำของแอป ALive -1

              ตัวอย่างบทความแนะนำของแอป ALive -2

              ตัวอย่างการใช้งานการค้นหาบทความ -1

              สามารถเลือกอ่านบทความตามหมวดที่เราสนใจได้เลยนะ อย่างของเราก็จะเน้นไปที่หมวดของ “เตรียมตั้งครรภ์” ก็จะมี Topic การดูแลโภชนาการในช่วงเตรียมตั้งครรภ์ อาหารเพื่อการเตรียมตัวมี่บุตร สำหรับผู้หญิงและผู้ชาย การตรวจร่างกายก่อนตั้งครรภ์ อยากท้องต้องรู้ 9 สัญญาณเตือน ฯลฯ  คือจะบอกว่า Content ที่มีอยู่ในฟีเจอร์ที่ 5 นี้ ทุก ๆ หมวดมีความน่าเชื่อถือของข้อมูลเพราะมีผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบข้อมูลเนื้อหามาแล้วค่ะ

              แล้วควรมีแอปพลิเคชัน ALive ไว้บนหน้าจอมือถือไหม? เราว่าควรมีนะ เพราะเป็นแอปที่ให้ประโยชน์มาก ๆ คือไม่ใช่เฉพาะคนที่อยากท้อง แต่แม่ท้อง พ่อแม่ที่กำลังมีลูกเล็ก พัฒนาการเด็ก เราสามารถหาข้อมูลได้จบครบภายในแอปเดียว

              มาสรุปข้อดีที่ได้จากแอป ALive Powered by AIA แอปพลิเคชันนี้กันค่ะ

              สรุป 4 ข้อดีของแอป ALive

              เอาเป็นว่าถ้าไม่อยากไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลบ่อย ๆ แต่ก็อยากได้คำปรึกษาด้านสุขภาพ ขอให้โหลดแอปพลิเคชัน ALive ไว้บนหน้าจอมือถือกันตอนนี้เลย รับรองไม่ผิดหวัง เหมือนมีคุณหมอ คุณพยาบาลอยู่ด้วยที่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง มงลง ให้คะแนนเต็ม 10 ไม่หัก !! ครั้งหน้าจะมารีวิวอะไรให้คุณแม่ คุณลูกอีก ต้องติดตามกันนะคะ

              สิทธิพิเศษ: รับเลย! แผนประกันคุ้มครองการเสียชีวิตกรณีเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี จำนวนเงินเอาประกันภัยสูงสุด 100,000 บาท และ ฟรี! บริการให้คำปรึกษาจากแพทย์โรงพยาบาลสมิติเวช 1 ครั้ง* เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ลงทะเบียนเริ่มใช้งาน และกรอกข้อมูลเพื่อรับสิทธิพิเศษ

              ตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ. 2564 – 30 มิ.ย. 2564 เท่านั้น (จำนวนจำกัด)

              *เงื่อนไขในการรับสิทธิพิเศษหรือรับบริการเป็นไปตามที่บริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด กำหนด

              หากคุณแม่ ๆ สนใจสามารถดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน ALive Powered by AIA ได้ตามด้านล่างนี้เลย 

              App store & Google play store: https://www.alive.aia.co.th/adver-amarinbaby

                ใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนฉีดวัคซีน

                ไขข้อข้องใจ ใช้ ยาคุมชนิดฮอร์โมนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่?

                ยาคุมชนิดฮอร์โมนฉีดวัคซีน –  เมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวน่าเศร้าของหญิงวัย 32 ปี รายหนึ่ง ที่เสียชีวิต หลังจากได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดย ซิโนแวค ไบโอเทค ซึ่งหลังจากการได้รับวัคซีน พบว่ามีอาการเหนื่อยง่าย ขึ้นลงบันไดเหนื่อย ก่อนล้มลงและเสียชีวิต ซึ่งจากผลตรวจ CT scan พบลิ่มเลือดในปอด (PE)  โดยแพทย์คาดอาจเกิดจากการทานยาคุมกำเนิด หลังจากข่าวเผยแพร่ออกมาได้สร้างความแตกตื่นในโลกโซเชียลเป็นอย่างมาก และทำให้เกิดคำถามมากมายว่า หากใช้ยาคุมชนิดฮอร์โมนอยู่ต้องหยุดยาก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีนหรือไม่

                ใช้ ยาคุมชนิดฮอร์โมนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่?

                ล่าสุด ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ออกประกาศเรื่อง การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และ การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน ใจความว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ทำให้การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนสำหรับบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย รวมถึงสตรีวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งส่วนหนึ่งใช้ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนมีหลายอย่าง เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิด และ แผ่นยาปิดผิวหนังคุมกำเนิด

                สำหรับในประเทศไทย การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์ และมีผลข้างเคียงน้อย ยาเม็ดคุมกำเนิดได้รับการวิจัยและพัฒนาด้านความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่องนานกว่า 50 ปี

                จากประกาศดังกล่าวนี้ทาง ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ได้มีข้อแนะนำเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค
                โควิด-19 ในผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนไว้ ดังนี้

                1. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนที่มีเอสโตรเจนเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ยาเม็ด ยาฉีดคุมกำเนิด
                และแผ่นยาปิดผิวหนังคุมกำเนิด มีผลเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหลอดเลือดดำอุดตันได้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้วิธีการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ภาวะดังกล่าวพบได้น้อยมากในสตรีไทย และยังพบได้น้อยกว่าในสตรีตั้งครรภ์ ซึ่งมีระดับเอสโตรเจนสูงมากตามธรรมชาติ

                2. ข้อมูล ณ ปัจจุบัน ซึ่งรวบรวมจากการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในสตรีทั่วโลกและในประเทศไทย ซึ่งมีผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก ไม่พบว่ามีการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดหลอดเลือดดำอุดตันแต่อย่างใด

                3. ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนทุกชนิด สามารถรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ โดยไม่จำเป็นต้องหยุดการใช้

                4. หากยังมีความกังวลใจ และต้องการหยุดการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมน ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นๆ มาทดแทนเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์.

                 

                ยาคุมชนิดฮอร์โมนฉีดวัคซีน
                (Credit : www.rtcog.or.th)

                ยาคุมฉุกเฉิน ผู้หญิงรู้ไว้ใช้บ่อยไปผลร้ายตกอยู่กับคุณ!

                ยาคุมกำเนิดแม่หลังคลอดกินอย่างไรให้ปลอดภัย? ไม่กระทบน้ำนม

                อัพเดทล่าสุด รีวิว15 ยาคุมยี่ห้อไหนดี พร้อมข้อดี-ข้อเสียแบบชัดๆ เข้าใจง่าย

                นอกจากนี้  เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ด้าน พล.อ.ท. นายแพทย์อนุตตร จิตตินันทน์ ประธาน ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ได้มีการโพสต์เฟซบุ๊ก ตอบข้อซักถาม กรณีการคุมกำเนิดกับการเข้ารับวัคซีนโควิด-19 ไว้น่าสนใจดังนี้

                ” ในฐานะของหมอเมดไม่ใช่หมอสูติ เลยต้องอ้างอิงข้อแนะนำของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศอังกฤษ (Royal College of Obstretricians & Gynecologists) โดย Faculty of Sexual and Reproductive Healthcare (FSRH) เรื่องการคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมกับการรับวัคซีนโควิด-19 สรุปให้อ่านกันตามนี้ครับ

                “การคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม เสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่หลอดเลือดดำเพิ่มขึ้น (ถึงแม้ไม่ได้ฉีดวัคซีน) ซึ่งผู้รับการคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมยอมรับต่อความเสี่ยงนี้ เมื่อเทียบกับผลดีจากการใช้การคุมกำเนิดดังกล่าว

                “มีรายงานการเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่หลอดเลือดดำเพียงไม่กี่รายหลังจากได้รับวัคซีนโควิด-19 โดยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากวัคซีนหรือไม่ และไม่มีข้อมูลว่าการคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวมทำให้ความเสี่ยงนั้นเพิ่มขึ้น ”

                จากทั้งสองข้อมูลดังกล่าวข้างต้น อาจทำให้ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรู้สึกอุ่นใจกันได้บ้าง หลังจากมีข้อสงสัยและวิตกกังวลในวงกว้าง จนเป็นประเด็นร้อนทางสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งนี้ในเพจเฟซบุ๊คชื่อดังอย่าง หมอแล็บแพนด้า ก็ได้มีการออกมาโพสต์ข้อความยืนยันประกาศจากทางราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ข้างต้น และได้ให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า “สำหรับใครยังมีความกังวลใจ และอยากหยุดยาคุมชนิดฮอร์โมน ก็ให้เลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นๆ แทนได้ แต่หลักๆ ก็คือ ใครใช้ยาคุม สามารถฉีดวัคซีนป้องกันโควิด -19 ได้ตามปกติ”

                ทั้งนี้ ล่าสุด วันที่ 1 มิถุนายน 2564  ซีเอ็นบีซี รายงานว่า องค์การอนามัยโลก หรือ WHO  ได้อนุมัติวัคซีนโควิด-19 ที่ผลิตโดย ซิโนแวค ไบโอเทค สำหรับรายการใช้ในกรณีฉุกเฉิน เพื่อปูทางสู่การใช้วัคซีนตัวที่ 2 ของจีน ในประเทศยากจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

                วัคซีนโควิด-19

                โดยการได้รับอนุมัติให้วัคซีนดังกล่าว อยู่ในรายการฉุกเฉินของ WHO ถือเป็นสัญญาณถึงหน่วยงานกำกับดูแลระดับประเทศ เกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีน นอกจากนี้ทาง WHO ยังอนุมัติให้วัคซีนจาก ซิโนแวค สามารถนำไปใช้ใน โครงการโคแวกซ์ (Covax) ได้อีกด้วย

                คณะผู้เชี่ยวชาญอิสระเผยในแถลงการณ์ว่า พวกเขาแนะนำให้ใช้วัคซีนซิโนแวคกับผู้ใหญ่อายุมากกว่า 18 ปี โดยให้เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก ราว 2-4 สัปดาห์ พร้อมระบุว่าวัคซีนชนิดนี้ ไม่จำกัดอายุสูงสุดของผู้เข้ารับวัคซีน เนื่องจากตามข้อมูลบ่งชี้ว่ามีแนวโน้มที่วัคซีนจะมีผลในการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ในผู้สูงอายุ

                ปัจจุบันถือการรับวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี สำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค นอกจากนี้ การให้ความสำคัญและใส่ใจในการป้องกันและดูแลตัวเอง เช่น การหมั่นล้างมือบ่อยๆ การสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อออกนอกบ้าน แม้แต่การเว้นระยะห่างทางสังคมก็ยังเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ

                ในช่วงที่ผ่านมาของการเกิดโรคระบาด เราอาจเห็นภาพของเด็กๆ ตัวน้อยที่คุณพ่อคุณแม่สวมหน้ากากอนามัยให้อย่างเข้มงวดเมื่อต้องอยู่นอกบ้าน หรือเทเจลแอลกอฮอล์ให้เด็กๆ ล้างมือทุกครั้งหลังวิ่งเล่นซนในที่สาธารณะ ซึ่งสิ่งนี่ก็คือการปลูกฝังให้เด็กๆ ได้รู้จักระมัดระวังป้องกันตัวเองจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนสามารถทำได้และควรทำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่โรคระบาดแทบจะมาเคาะประตูหน้าบ้านเราอยู่ทุกวัน หากเราสามารถปลูกฝังเด็กๆ อย่างสม่ำเสมอ ก็จะช่วยส่งเสริมให้พวกเขาจะเกิดทักษะที่สำคัญด้าน ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ) ทำให้รู้จักดูแลและป้องกันตัวเอง ให้ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างแน่นอนค่ะ

                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : http://www.rtcog.or.th/home , prachachat.net , www.who.int , เพจหมอแล็บแพนด้า

                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                ผู้เชี่ยวชาญชี้! การให้ วัคซีนโควิด คนท้อง ยังปลอดภัย หลังไม่พบเคสรุนแรงหลังฉีด

                วิธีเช็กความ เสี่ยงติดโควิด-19 อาการแบบไหนต้องรีบไปตรวจหาเชื้อ

                กรมอนามัยเผย คนท้องติดเชื้อโควิด เสี่ยงป่วยหนัก แนะฉีดวัคซีนป้องกัน! หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  ลูกเสียชีวิต

                  วิธีเยียวยาจิตใจเมื่อ ลูกเสียชีวิต คนที่ยังอยู่ ต้องจับมือกันไว้!

                  ลูกเสียชีวิต – เมื่อมีคนในครอบครัวเสียชีวิตในช่วงวัยชรา คนเรามักยอมรับว่าความตายที่เกิดขึ้นว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทุกคนต่างต้องพบเจอกับการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา แต่ประสบการณ์ที่เราจะพูดถึงวันนี้อาจแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของลูกชายหรือลูกสาวอันเป็นที่รัก ที่ทั้งพ่อแม่ต่างเฝ้าฟูมฟักดูแลมาแต่อ้อนแต่ออก  สำหรับพ่อแม่ที่สูญเสียลูกไป มันไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้เข้าใจและยอมรับได้กับการที่ชีวิตน้อยๆ จะต้องล่วงลับไปก่อนเวลาอันสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการสุญเสียเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า หากคุณกำลังเผชิญกับการสูญเสียลักษณะนี้ ในครอบครัวของคุณ ต่อไปนี้คือ 11 เคล็ดลับดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณและครอบครัวสามารถรับมือและผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายนี้ไปได้ในไม่ช้า

                  วิธีเยียวยาจิตใจเมื่อ ลูกเสียชีวิต คนที่ยังอยู่ ต้องจับมือกันไว้!

                  1.อยู่เคียงข้างกันให้กำลังใจกัน

                  อยู่รวมกันไว้ หันหน้าเข้าหากัน พึ่งพาอาศัยกันเพื่อขอความช่วยเหลือกันและกัน การอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจกันจะช่วยให้คุณไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในความเศร้าโศกครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในครอบครัว การศึกษาวิจัยในพ่อแม่ของเด็กที่เป็นมะเร็ง (เด็กบางคนเสียชีวิต) ที่ตีพิมพ์ในปี 2010 พบว่าในบรรดาคู่รักเกือบ 5,000 คู่ มีอัตราการหย่าร้างน้อย และได้ข้อสรุปว่า “ความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสส่วนใหญ่ รอดพ้นจากความเครียดที่เกิดจากการตายของเด็ก และอาจแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว” แม้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีความเชื่อว่าการตายของเด็ก อาจทำให้เกิดอัตราการหย่าร้างสูงในหมู่พ่อแม่ที่ต้องพบกับความสูญเสีย แต่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่สนับสนุนเรื่องนี้

                  2. ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

                  อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทุกคนอาจเศร้าโศกในระดับที่ต่างกันไป การเผชิญการสูญเสียลูกชายหรือลูกสาวตัวน้อย อาจสร้างความตึงเครียดให้กับการแต่งงาน และความสัมพันธ์ของพ่อแม่รวมถึงพี่น้องที่ยังอยู่ได้ สิ่งสำคัญคือ หัวหน้าครอบครัวต้องเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อต้องรับมือกับการสูญเสียที่หนักหนาสาหัส อย่าพยายามผ่านสถานการณ์นี้อย่างทุลักทุเลด้วยตัวเอง การได้รับคำปรึกษาด้านครอบครัวจากผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยให้คุณและคนในครอบครัวมีทักษะที่จำเป็นในการผ่านพ้นความสูญเสียอันแสนสาหัสนี้ไปได้

                  หากความตายของสมาชิกตัวน้อยเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน มันอาจจะเป็นเรื่องยากมากที่จะสามารถรับมือได้ในเวลาอันสั้น ตามที่ ดร.เทอรีส แรนโด  นักจิตวิทยา และผู้อำนวยการคลินิกของ The Institute for the Study and Treatment of Loss ในสหรัฐอเมริกา ได้กล่าวไว้ ด้วยเหตุผลนี้ การหาผู้เชี่ยวชาญที่สามารถช่วยคุณค้นหาวิธีแก้ปัญหาที่ดีและเหมาะสำหรับครอบครัวคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้คุณจัดการกับ วัน สัปดาห์ และเดือนต่อๆ ไปได้ ในขณะเดียวกัน ลูกคนอื่นๆ ของคุณอาจได้รับประโยชน์จากการให้คำปรึกษาด้านการรับมือกับความเศร้าโศกเพื่อเรียนรู้ที่จะจัดการกับความรู้สึกของพวกเขาได้

                  3. ยอมรับความช่วยเหลือจากญาติมิตร

                  เปิดใจกว้างและเต็มใจยื่นมือรับความช่วยเหลือจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง หรือเพื่อนบ้าน ในช่วงแรกหากคุณรู้สึกทำกิจวัตรต่างๆ ได้ไม่เหมือนเดิม จงปล่อยให้พวกเขาช่วยคุณเรื่องต่างๆ ภายในบ้าน ทั้งเรื่องอาหาร และการดูแลลูก ๆ ของคุณในบางโอกาส ให้พวกเขาช่วยทำงานบ้าน ทำธุระให้ และที่สำคัญที่สุดคือการฟังเมื่อคุณต้องการพูดและระบายความุกข์ในใจ นอกจากนี้ ให้พวกเขาช่วยทำงานประจำวัน เช่น ซักผ้า หรือซื้อของ อย่าพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองหรือโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือ ให้ตัวเองได้หยุดพักตามที่คุณต้องการ และถ้ามีคนพูดว่า “ให้ช่วยอะไรก็บอกได้เสมอนะ” ก็ควรรับข้อเสนอของพวกเขาไว้ ขอความช่วยเหลือเมื่อคุณต้องการ คนรอบข้างมีความปรารถนาที่จะช่วยคุณ แต่บางทีพวกเขาอาจไม่รู้ว่าควรจะเริ่มมันได้อย่างไร

                  ลูกเสียชีวิต
                  ลูกเสียชีวิต

                  4. เตรียมพร้อมรับความจริงหลังจบพิธีทางศาสนา

                  ในช่วงเวลาที่คุณจัดการกับงานศพเสร็จลุล่วง และทุกคนต้องกลับมามีชีวิตตามปกติของตัวเอง ครอบครัวที่เศร้าโศกจะเริ่มเผชิญกับชีวิตโดยปราศจากลูกอันเป็นที่รัก คนส่วนใหญ่คิดว่าการจัดการกับการสูญเสียลูกทันทีหลังความตายเป็นฝันร้ายมากที่สุด สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ฝันร้ายที่ทำให้หัวใจสลายยังคงดำเนินต่อไป ครอบครัวต้องรับมือกับฝันร้ายต่อไปอีกนาน พวกเขากำลังเผชิญชีวิตที่เหลือโดยไม่มีลูกที่เพิ่งเสียชีวิตไป  สิ่งสำคัญคือต้องเปิดช่องทางการสื่อสารคนในครอบครัวที่ยังอยู่ และหมั่นใช้เวลาคุณภาพร่วมกัน การพูดคุยกันเกี่ยวกับการสูญเสียของคุณ คนที่คุณรักที่เสียชีวิต และสิ่งที่คุณรู้สึกจะช่วยให้ทุกคนในครอบครัวของคุณจัดการกับความเศร้าโศกได้ นอกจากนี้ยังจะช่วยให้สายสัมพันธ์ในครอบครัวของคุณแข็งแกร่งขึ้น จำไว้ว่าการรู้ว่าครอบครัวเรายังแข็งแรงอยู่ เป็นสิ่งที่ช่วยให้คุณผ่านพ้นความเศร้าโศกไปได้สำเร็จเช่นกัน

                  5. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง

                  แม้ว่าการได้รับความช่วยเหลือเพื่อผ่านพ้นช่วงแรกที่สูญเสียเป็นเรื่องสำคัญ แต่การขอความช่วยเหลือต่อไปก็ยังเป็นเรื่องจำเป็น คุณจะต้องได้รับการสนับสนุนสำหรับปัญหาที่ไม่คาดฝันที่อาจก่อให้เกิดการสูญเสีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณก้าวผ่านขั้นตอนของความเศร้าโศก ปัญหาอาจเกิดขึ้นได้ เช่น การเรียนของพี่น้องตกต่ำ ความซึมเศร้าในวัยรุ่น หรือสมาชิกในครอบครัวไม่ต้องการอยู่โดยปราศจากผู้เป็นที่รักซึ่งเสียชีวิตอีกต่อไป การขอความช่วยเหลือในสถานการณ์เหล่านี้ง่ายกว่ามาก เมื่อคุณพบผู้เชี่ยวชาญที่รู้จักคุณและครอบครัวของคุณกำลังเผชิญปัญหาอยู่ จากนั้น เมื่อเกิดปัญหาขึ้น คุณมีบุคคลที่สามารถช่วยคุณประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นและผ่านมันไปได้

                  6. เข้าร่วมกลุ่มกับผู้ที่สูญเสียเช่นกัน

                  ผู้ปกครองหลายคนพบว่าการเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน ไม่ว่าจะมาเป็นครอบครัวหรือคนเดียวก็สามารถช่วยเยียวยาความรู้สึกได้ แม้ไม่ใช่การได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรง แต่กลุ่มผู้ที่ประสบชะตากรรมเดียวกันสามารถเพิ่มการสนับสนุนที่ดีได้ ไม่เพียงแต่เป็นโอกาสในการเชื่อมต่อกับผู้คนที่กำลังประสบในสิ่งเดียวกันกับคุณ แต่กลุ่มสนับสนุนที่มีสุขภาพดีมักจะให้ที่ที่ปลอดภัยในการแบ่งปันสิ่งที่คุณคิดและรู้สึกกับผู้ที่ “เข้าใจ” เท่าที่เพื่อนของคุณต้องการเห็นอกเห็นใจและอยู่เคียงข้างคุณ มีองค์ประกอบบางอย่างเกี่ยวกับการสูญเสียลูกที่พวกเขาอาจไม่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ กลุ่มสนับสนุนจึงมีความสำคัญต่อกระบวนการบำบัดรักษา

                  7. ใส่ใจสุขภาพตัวเอง

                  บ่อยครั้งการต้องจมอยู่กับความเสียใจต่อการสูญเสียคนที่รักไปอย่างกะทันหัน อาจทำให้เกิดความละเลยต่อสุขภาพของตนเอง ขาดความเอาใจใส่เรื่องโภชนาการและการออกกำลังกาย และพึ่งพาอาหารจานด่วนมากขึ้น เพราะไม่มีแรงพอที่จะทำอาหาร นอกจากนี้อาจละเลยการไปพบแพทย์และตรวจร่างกาย

                  อย่างไรก็ตามการได้กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพและออกกำลังกายอย่างพอเหมาะยังเป็นสิ่งสำคัญ  สิ่งที่จะช่วยได้คือ การตั้งเป้าหมายในการออกกำลังกายอย่างง่ายๆ ก่อน เช่นการเดินเล่นในละแวกบ้านในแต่ละวัน และกินผลไม้สักชิ้นพร้อมกับมื้ออาหารของคุณ เมื่อคุณเริ่มรู้สึกดีขึ้น คุณสามารถปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและกิจวัตรที่ดีต่อสุขภาพที่เคยทำให้กลับเข้ามาในชีวิตของคุณได้อย่างเต็มรูปแบบ คนส่วนใหญ่พบว่าเมื่อพวกเขารู้สึกดีขึ้นทางร่างกาย พวกเขาก็จะเริ่มรู้สึกดีขึ้นทางจิตใจด้วย

                  ลูกเสียชีวิต

                  8. อยู่ให้ห่างจากคนที่คำพูดเป็นพิษ

                  มีผู้คนมากมายที่ไม่รู้ว่าจะตอบสนองด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อสิ่งที่คุณและครอบครัวกำลังประสบอยู่ได้เหมาะสมอย่างไร พวกเขาอาจพูดในสิ่งที่ไม่ละเอียดอ่อนหรือไตร่ตรองให้ดีก่อน หรือพวกเขาอาจสร้างความรู้สึกในแง่ลบ เช่น พวกเขาอาจพูดว่า “คุณควรจะจบเรื่องนี้ได้แล้ว” หรือ “อย่างน้อยคุณก็มีลูกอีกคน” สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อสุขภาพของคุณหรือครอบครัวของคุณ ความเศร้าโศกเป็นกระบวนการปกติที่เกิดขึ้นหลังจากความสูญเสีย ไม่มีทางไหนไหนที่คุณจะ “เอาชนะมันได้”  หากมีเพื่อนที่เป็นพิษในชีวิตของคุณที่ไม่สามารถเคารพความรู้สึกของคุณ คุณต้องกำจัดพวกเขาออกไปก่อน เพราะคุณไม่ต้องการความเจ็บปวดและความโศกเศร้าในชีวิตของคุณอีกต่อไป คุณควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนที่คอยช่วยเหลือและห่วงใย การทำเช่นนี้จะทำให้กระบวนการเศร้าโศกไม่เลวร้ายเกินไป และผ่านไปได้ในเร็ววัน

                  9. ให้สมาชิกที่ยังอยู่กลับเข้าสู่วิถีชีวิตปกติ

                  การได้มีสิ่งต่างๆ ให้ทำในแต่ละวันมักให้ความรู้สึกสบายใจและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็ก ๆ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องนำกิจวัตรและวิถีชีวิตเดิมของคุณกลับมาโดยเร็วที่สุด ความพยายามนี้อาจรวมถึงกิจวัตรประจำวันในการเตรียมพร้อมสำหรับการเรียน และการทำงาน รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน หรือการได้พูดคุยสนทนาในช่วงเวลาค่ำคืนของครอบครัว นอกจากนี้ยังรวมถึงการทำกิจกรรมกับงานอดิเรกและความสนใจที่คุณมีก่อนที่สมาชิกอันเป็นที่รักของทุกคนจะเสียชีวิต  หากกิจวัตรครอบครัวของคุณอาจต้องงดไปช่วงหนึ่งเพราะคนที่คุณรักไม่อยู่ที่นั่นแล้ว จงพยายามให้ครอบครัวกลับมามีกิจวัตรต่างๆ ร่วมกันเหมือนเคยเพื่อให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างที่ควรจะเป็น

                  ลูกเสียชีวิต

                  10. จดบันทึกเพื่อเยียวยาจิตใจ

                  หาสมุดบันทึกหรือสมุดสเก็ตช์ สำหรับทุกคนในครอบครัว แนะนำให้ลูกๆ ได้เปิดใช้เมื่อรู้สึกไม่สบายใจด้วยการได้ระบายความเศร้าผ่านบันทึกย่อ วาดรูป หรือระบายสี หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือสร้างเพลย์ลิสต์ในความทรงจำของลูก เขียนบทกวี หรือสร้างเพลง อะไรก็ได้จะช่วยระบายความโศกเศร้าของครอบครัวคุณได้อย่างสร้างสรรค์ ช่วยให้คุณเข้าใจความรู้สึกของคุณได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณกำลังให้โอกาสสำหรับคุณและสมาชิกในครอบครัวในการแสดงความเศร้าโศกและระลึกถึงความทรงจำดีๆ ลงในสมุดบันทึก

                  11. อยู่กันเป็นครอบครัว

                  จำไว้ว่าสมาชิกที่ขาดหายไปยังคงเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ทุกคนในครอบครัวของคุณจะระลึกถึง และเก็บสมาชิกที่ล่วงลับไว้ในใจไปตลอดชีวิต ดังนั้นควรสร้างประเพณีของครอบครัวที่จะช่วยให้คุณจดจำความทรงจำดีๆ ที่คุณเคยมีร่วมกันเมื่อครั้งที่สมาชิกยังอยู่กันพร้อมหน้า เช่น การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ ในทุกปีที่ครบรอบการเสียชีวิต เป็นต้น

                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily.com

                  บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                  วิจัยเผย! แม่เลี้ยงลูกลำพังเสี่ยงเป็น โรคซึมเศร้าหลังคลอด!

                  พี่น้อง แย่งของเล่น พ่อแม่ควรทำยังไง? ไม่ให้พี่น้อยใจที่ต้องเสียสละให้น้อง!

                  ลูกติดโควิด ทำอย่างไรดีใครจะดูแล สธ.ผุดหลักใหม่ไม่แยก

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    ฝันว่าโดนยิง

                    ฝันว่าโดนยิง ฝันว่าถูกยิง ฝันเห็นคนโดนยิง ลางดีหรือร้าย?

                    ทำนายฝัน ฝันว่าโดนยิง ฝันว่าถูกยิง ฝันเห็นคนโดนยิง หมายความว่าอย่างไร? ฝันแบบนี้เป็นลางดีหรือลางร้าย? หาคำตอบได้ที่นี่ พร้อมเลขเด็ด เลขมงคล

                    ฝันว่าโดนยิง ฝันว่าถูกยิง ฝันเห็นคนโดนยิง ลางดีหรือร้าย?

                    ความฝันสุดฮิตของใครหลาย ๆ คน ที่ทำให้ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก กับความฝันที่แสนเหมือนจริง มาดูกันว่าหากเรา ฝันว่าโดนยิง ฝันว่าโดนยิงตาย ฝันว่าถูกยิง ฝันเห็นคนโดนยิง จะแปลว่าอะไรได้บ้าง? ฝันว่าโดนยิงที่ไหนบ้าง ถึงจะเป็นลางดี? ทีมแม่ ABK ขอรวบรวมความฝันเกี่ยวกับการโดนยิงมารวมไว้ตรงนี้

                    ฝันว่าโดนยิง

                    ทำนายว่า การเสี่ยงโชค ทิศเหนือเป็นทิศมงคลสำหรับคุณ ให้ระวังเรื่องสุขภาพของคนที่บ้าน คุณจะเจอเรื่องเครียด และแรงกดดัน ต้องรับภาระหลายอย่าง

                    ความรัก คุณเป็นคนที่โชคดีมาก เพราะได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากคนรักเป็นอย่างดี รู้สึกอบอุ่นใจ จะต้องระวังเรื่องคนรักมีเกณฑ์นอกลู่นอกทาง คุณต้องเอาใจใส่คนรักให้ดีนะ มีดวงว่าคนรักของคุณจะมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคนที่คุณสงสัยนั่นแหละ

                    ดวงการเงิน การงาน ที่กำลังทำเรื่องขอกู้ยืมเงินจากธนาคารระมัดระวังเรื่องเอกสารสัญญาไม่สมบูรณ์ขาดตกบกพร่องทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบ การประหยัดช่วยกันในครอบครัวคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้ การงานได้เพื่อนฝูงคอยช่วยเหลือ ทำให้งานเสร็จเร็วขึ้น

                    เลขมงคล เด่นนำโชค 0 1

                    เลขมงคล เด่นรอง 57 93 408 000

                    ฝันว่าถูกยิง

                    ทำนายว่า คุณไม่ควรจะเข้าไปรับทำอะไรใหม่ ๆ ที่เสี่ยง จะมีเรื่องร้อนใจหรือไม่สบายใจที่มาจากพี่น้องของคุณเอง ช่วงนี้ระวังศัตรูคู่แข่งของคุณจ้องจะทำร้ายคุณอยู่

                    ความรัก คนโสดยังลงหลักปักฐานกับใครไม่ได้ เพราะคนที่เข้ามามักจะมีข้อเสียที่คุณรับไม่ได้ งั้นต้องอดทนรอต่อไป ใครที่ชอบมีความรักแบบปิดบังซ่อนเร้น ช่วงนี้จะรู้สึกร้อนรุ่ม เพราะกลัวความลับถูกเปิดเผย คุณมีโอกาสที่จะพบกับปัญหาความไม่เข้าใจกัน และเกิดอาการบันดาลโทสะได้ง่าย ๆ

                    ดวงการเงิน การงาน มีเรื่องใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตนเอง หรือกับบริวาร คนรอบข้าง เงินพิเศษจะมาจากการบริการที่ถูกใจคนอื่น สินค้าที่เกิดจากไอเดียใหม่ ๆ การเงินขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะความฟู่ฟ่า และใช้จ่ายอย่างไม่ประหยัดของคุณเอง

                    เลขมงคล เด่นนำโชค 2 3 6 7 9

                    เลขมงคล เด่นรอง 51 36 74 229

                    ฝันว่าถูกยิง
                    ฝันว่าถูกยิง

                    ฝันว่าโดนยิงตาย

                    ทำนายว่า คุณไม่ควรจะเข้าไปรับทำอะไรใหม่ๆ ที่เสี่ยง ระวังเรื่องอารมณ์ของคุณให้ดี เพราะมันจะนำมาซึ่งความเลวร้าย ช่วงนี้จะทำอะไรก็ต้องเหนื่อยหน่อย จึงจะสำเร็จได้อย่างไม่มีปัญหา

                    ความรัก ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นในกันและกันทั้งสองฝ่าย ความสุขจะบังเกิดกับคุณทันที ความรักของคุณกำลังก่อตัวขึ้น ดูท่าจะดีขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วยสิ คุณมีโอกาสที่จะพบกับปัญหาความไม่เข้าใจกัน และเกิดอาการบันดาลโทสะได้ง่าย ๆ

                    ดวงการเงิน การงาน มีโอกาสปรับเปลี่ยนงาน โยกย้ายสายงาน หรือ ได้รับอะไรที่แตกต่างจากเดิมที่เป็นอยู่ ทางด้านการเงินดีมาก แต่ก็ไม่เหลือเก็บ จะมีเกณฑ์การเดินทางด้วยเรื่องของงาน และได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดี

                    เลขมงคล เด่นนำโชค 6

                    เลขมงคล เด่นรอง 32 80 27 36 85 740 750

                    ฝันเห็นคนโดนยิง

                    ทำนายว่า จะมีโชคอยู่ทางทิศใต้ มาจากคนผิวสองสี จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องงานและเรื่องที่อยู่อาศัย อาจจะได้เงินคืนจากลูกหนี้แบบไม่คาดคิดมาก่อน

                    ความรัก ความรักไม่ได้ดังใจที่คุณคิดไว้ มักได้ยินเรื่องราวที่ทำให้ไม่สบายใจอยู่เป็นประจำ ระวังจะเกิดการขัดแย้งในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่คุณก็เก่งนะที่สามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตัวคุณเอง ชอบใคร รักใคร ให้ลุยเลย เพราะช่วงนี้มีโอกาสที่จะสมหวัง

                    ดวงการเงิน การงาน ได้ลาภจากการพนัน เสี่ยงโชค โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยครั้ง น่าจะลองเสี่ยงดูบ้าง หากทำสัญญากู้หนี้ยืมสินระหว่างเพื่อนกันจะถูกอีกฝ่ายบิดพลิ้ว เอารัดเอาเปรียบได้ เป็นโอกาสที่คุณจะได้เริ่มต้นงานใหม่ ๆ และประสบผลสำเร็จสูงเสียด้วย

                    เลขมงคล เด่นนำโชค 1 9

                    เลขมงคล เด่นรอง 46 41 401 305

                    ฝันว่าโดนยิงที่หัว

                    ทำนายว่า การเสี่ยงโชค ทิศเหนือเป็นทิศมงคลสำหรับคุณ ให้ระวังการปวดข้อกระดูก ปวดหลัง เพื่อนหรือผู้ที่คุณคุ้นเคยเป็นอย่างดีจะทำตัวห่างเหิน

                    ความรัก คนโสดหน้าบาน ช่วงนี้เสน่ห์แรงเกินห้ามใจ มีคนมารุมล้อมเอาใจอย่างไม่ขาดสาย จะต้องระวังเรื่องคนรักมีเกณฑ์นอกลู่นอกทาง คุณต้องเอาใจใส่คนรักให้ดีนะ ระวังจะมีเรื่องที่ต้องขัดแย้งและทะเลาะเบาะแว้งกับคนรักอย่างรุนแรง

                    ดวงการเงิน การงาน มีโอกาสที่จะเปลี่ยนหัวหน้าใหม่ในช่วงนี้ด้วย คุณยังต้องพยายามรักษาสัมพันธภาพกับหัวหน้าให้ดี เพื่อให้การงานของคุณราบรื่นขึ้น ธุรกิจการค้าในช่วงนี้อาศัยการเจรจาอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องรู้จักใช้กลยุทธ์อื่น ๆ ด้วย การเงิน ค่อนข้างนิ่ง รายได้อาจหดหายไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับฝืดเคือง

                    เลขมงคล เด่นนำโชค 2 3 4 9

                    เลขมงคล เด่นรอง 05 03 550

                    ฝันว่าโดนยิงที่ขา

                    ทำนายว่า จะมีโชคอยู่ทางทิศเหนือ มาจากคนผิวสองสี จงระวังอุบัติเหตุ ทำอะไรก็อย่าประมาท ได้พบปะรู้จักเพื่อนใหม่เพิ่มโดยเฉพาะคนอายุมากกว่า

                    ความรัก คนโสดต้องพึ่งพาเพื่อนฝูงคนใกล้ตัวคอยเป็นพ่อสื่อแม่ชักให้ถึงจะสำเร็จ คนที่เป็นแฟนกันมานานจะมีปัญหาเรื่องการมีคนใหม่ ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักของคุณ ถ้าจะมองหาใครใหม่ ๆ นั้นเป็นอันล้มเลิกความคิดไปได้เลย ถ้าคิดจะมีใครก็จะแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น

                    ดวงการเงิน การงาน จะต้องระวังเรื่องคำพูดเป็นพิเศษ มีโอกาสที่จะเกิดเรื่องขัดแย้งจนถึงเป็นปากเสียงกันได้ จะมีคนมาทาบทามให้คุณไปทำงานด้วย แต่ช่วงนี้ดวงขึ้นยังไม่เหมาะกับการโยกย้ายงานรอประมาณช่วงสิ้นปีก่อนจะดีกว่า งานจะมีภาระเร่งด่วน กดดัน และต้องใช้ความรับผิดชอบสูงมาก

                    เลขมงคล เด่นนำโชค 1 8

                    เลขมงคล เด่นรอง 22 26 36 62 982 734

                    ฝันว่าโดนยิงตาย
                    ฝันว่าโดนยิงตาย

                    ฝันว่าโดนยิงที่ตัว

                    ทำนายว่า ผู้ใหญ่จะช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยดี หากหนักใจเรื่องใดก็ตามควรเข้าหาผู้ใหญ่เพื่อขอคำปรึกษา จะมีงานสังสรรค์กับญาติมิตร มีเหตุวิกฤตเกิดขึ้นเล็กน้อย ทำให้กิจวัตรประจำวันไม่ราบรื่น

                    ความรัก ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นในกันและกันทั้งสองฝ่าย ความสุขจะบังเกิดกับคุณทันที ปัญหาคาใจกับคนรัก ต้องค่อย ๆ แก้ อย่าใช้อารมณ์และความรุนแรงมาหักหาญน้ำใจกัน มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นความแตกร้าว หรือต้องพลัดพรากจากกันในที่สุด

                    ดวงการเงิน การงาน การตัดสินใจของคุณจะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างเป็นอย่างดี แต่ต้องใช้สติให้ดี เรื่องการงานอาจจะมีเรื่องให้ต้องคอยแก้ปัญหาอยู่บ่อย ๆ ไม่จบไม่สิ้น คุณมีเกณฑ์ดีในด้านรายรับ หาง่ายจ่ายคล่อง

                    เลขมงคล เด่นนำโชค 0 2 4 7

                    เลขมงคล เด่นรอง 27 41 54 88 02 68

                    ฝันว่ายิงคนอื่น

                    ทำนายว่า ญาติผู้ใหญ่อาจมีอิทธิพลหลาย ๆ เรื่องในการตัดสินใจของคุณ มีโอกาสเจ็บป่วยหรือเลือดตกยางออกได้ เพื่อนหรือผู้ที่คุณคุ้นเคยเป็นอย่างดีจะทำตัวห่างเหิน

                    ความรัก ช่วงนี้ควรระวังเนื้อระวังตัวให้มาก อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวเกินไป คบกันแบบเพื่อนมานานจะสวีตหวานแหววขึ้นในพริบตา คิดเตรียมแผนวิวาห์สายฟ้าแลบได้เลย คุณจะมีโชคจากคนรัก อาจจะเป็นของฝากหรือของขวัญ

                    ดวงการเงิน การงาน ต้องใช้ความหนักแน่นและพิจารณาปัญหาอย่างรอบคอบในการคิดการวางแผนงาน เงินไม่คล่องมือ ต้องจ่ายเกี่ยวกับสุขภาพของท่านหรือการเรียนของลูกหลานหรือเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย จะมีอุปสรรคเรื่องคนและการเดินทางต้องเผื่อเวลาสำหรับการนัดไว้เสมอ

                    เลขมงคล เด่นนำโชค 0 1 2 4 6

                    เลขมงคล เด่นรอง 27 934 608 587

                    ฝันเห็นปืน

                    ทำนายว่า สิ่งที่ตั้งใจไว้มากอาจจะยังไม่สำเร็จทันทีทันใดแต่สิ่งที่ไม่ได้คาดฝันอาจจะได้มาแบบฟลุค ๆ ช่วงนี้ชีวิตคุณดูมีความสุข ดูมีชีวิตชีวา ใครเห็นแล้วก็รู้สึกสดชื่นไปตามคุณ ระวังเรื่องความเครียดจะส่งผลเสียกับสุขภาพ

                    ความรัก ถ้าคุณมีความเชื่อมั่นในกันและกันทั้งสองฝ่าย ความสุขจะบังเกิดกับคุณทันที คุณอาจจะพบคนที่ถูกใจแล้ว แต่มันยังไม่ใช่จังหวะที่จะเจอเนื้อคู่ ความรักของคุณค่อนข้างคลุมเครือ ไม่รู้ว่าคุณจะถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งแฟนหรือกิ๊กกันแน่

                    ดวงการเงิน การงาน ได้ลาภจากการพนัน เสี่ยงโชค โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยครั้ง น่าจะลองเสี่ยงดูบ้าง ทุนรอนที่สะสมไว้จะถูกนำออกมาใช้เพื่อลงทุนการค้าบางอย่างแต่จะประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ระวังจะมีคนคิดอยากจะก๊อปปี้งานในแบบของคุณ แล้วนำไปเสนอหัวหน้าแล้วแอบอ้างว่าเป็นผลงานของเค้า

                    ลขมงคล เด่นนำโชค 1 3 6 7

                    เลขมงคล เด่นรอง 46 84 52 326

                    ความฝันล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากความคิดของเราทั้งสิ้น ไม่ว่าจะ ฝันว่าโดนยิง ฝันว่าถูกยิง ไม่ว่า ทำนายฝัน จะเป็นอย่างไร สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วแต่เกิดจากการกระทำของเราทั้งสิ้น ดังนั้น ขอให้มีสติในการดำเนินชีวิตค่ะ

                    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                    ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว ฝันดีหรือร้าย ทำนายฝันเลขเด็ด!!

                    ทำนายฝันแม่ ๆ ฝันแบบนี้ได้ลูกชายหรือลูกสาว?

                    ฝันว่าแฟนนอกใจ อ่านคำทำนายพร้อมวิธีตัดไฟแต่ต้นลม!

                    ฝันเห็นพระพิฆเนศ เทพความสำเร็จดูคำทำนายให้รวยปังๆ!

                     

                    ขอบคุณข้อมูลจาก : horoscope.mthai.com

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      ระวังอย่าล้วงคอ เมื่อลูก สำลักอาหาร

                      อย่าล้วงคอลูก!หาก สำลักอาหาร อาจอันตรายถึงชีวิตได้

                      เมื่อลูก สำลักอาหาร หรือมีสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในลำคอ พ่อแม่ระวังอย่าทำเช่นนี้ อันตรายถึงชีวิตมาแล้วหลายราย หากมองไม่เห็นของอุดตันนั้น อย่าล้วงคอลูกเด็ดขาด

                      อย่าล้วงคอลูก!หาก สำลักอาหาร อาจอันตรายถึงชีวิตได้

                      ลูกน้อยวัยเตาะแตะ วัยซน เป็นวัยที่กำลังเรียนรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างดูใหม่แปลกตาสำหรับพวกเขาเสมอ การเล่นซนหยิบโน่นจับนี่ และสำรวจสิ่งเหล่านั้นโดยใช้ตัวเองเป็นที่ทดสอบ จึงมีให้เห็นเสมอมา เช่น กลืนกระดุม ลูกปัด หรือมีของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ติดรูจมูก เป็นต้น นอกจากนั้นยังโปรดปรานการหยิบจับอาหารเข้าปากด้วย หรือค่านิยมคนไทยที่มักตามใจลูกน้อย ด้วยการป้อนอาหารไปด้วยขณะที่ลูกกำลังเล่นสนุก ทำให้เจ้าตัวน้อยสำลักอาหาร ก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย

                      นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขอแนะนำผู้ปกครองดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ระมัดระวังอาหารที่มีลักษณะเป็นเส้น กลม ลื่น และแข็ง เช่น ลูกชิ้น ไส้กรอก ควรป้อนเป็นชิ้นเล็ก ๆ ส่วนผลไม้เช่น แตงโม น้อยหน่า ละมุด มะขามให้แกะเมล็ดออกก่อน ไม่ป้อนอาหารขณะเด็กกำลังวิ่งเล่น สอนเด็กเคี้ยวอาหารช้า ๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน เลือกของเล่นให้เหมาะกับวัยของเด็ก ไม่ควรให้เล่นของเล่นที่มีชิ้นส่วนขนาดเล็กหรือแตกหักง่าย เก็บสิ่งของที่มีขนาดเล็ก เช่น กระดุม เข็มกลัด ยา ให้พ้นมือเด็ก และสอนเด็กไม่ให้นำของเล่นไปอมหรือเคี้ยว เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจเด็ก อันตรายที่พบบ่อยในเด็กเล็กอายุ 1 – 3 ปี คือ สิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจ เนื่องจากเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็น ต้องการทดลองทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ชอบหยิบจับสิ่งของเข้าปาก ใส่จมูก และยังมีฟันกรามขึ้นไม่ครบ ทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียดพอ รวมทั้งมักจะวิ่งหรือเล่นขณะกินอาหาร หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 

                      เด็กเล็กชอบหยิบของเข้าปาก ต้องระวังให้ดี
                      เด็กเล็กชอบหยิบของเข้าปาก ต้องระวังให้ดี

                      พ่อแม่มีลูกเล็กควรระวัง!! สำลักอาหารอันตรายกว่าที่คิด

                      รศ.พญ.กิติรัตน์  อังกานนท์ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา อธิบายว่า ปัญหาสำลักสิ่งแปลกปลอมมักเกิดในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เด็กมักเอาสิ่งแปลกปลอมใส่เข้าไปในรูจมูกและปาก  ประกอบกับฟันที่ยังขึ้นไม่ครบ ทำให้ไม่สามารถบดเคี้ยวอาหารชิ้นโต ๆ ได้ จึงอาจเกิดการสำลักอาหารระหว่างรับประทานหรือขณะวิ่งเล่น อันตรายจากสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ทางเดินหายใจ คือ อาจไปอุดกั้นทางเดินหายใจ  ซึ่งในเด็กเล็กมีทางเดินหายใจขนาดเล็ก แม้ถูกอุดกั้นเพียงเล็กน้อยก็อาจเป็นอันตรายจากการขาดอากาศหายใจถึงชีวิตได้

                      ระวัง! ห้ามล้วงคอเมื่อลูกสำลักอาหาร พร้อมรู้ถึงวิธีปฐมพยาบาล

                      เมื่อลูกสำลักอาหารให้รีบช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยใช้วิธีจับเด็กนอนคว่ำ และตบแรง ๆ บริเวณทรวงอกด้านหลังระหว่างกระดูกสะบัก จนอาหารกระเด็นหลุดออกมา ห้ามใช้นิ้วมือล้วงช่องปาก หรือจับเด็กห้อยศีรษะและตบหลังเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เศษอาหารตกมาอุดที่กล่องเสียงจนขาดอากาศหายใจได้

                      ในกรณีที่สำลักแล้วหายใจไม่ออก ริมฝีปากเขียว ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน อาจเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ควรรีบใช้วิธีช่วยเหลือแบบ Heimlich Maneuver  ซึ่งคือวิธีการเคลียร์หลอดลมเด็กแบบทันทีทันใด นับว่าเป็นวิธีการปฐมพยาบาลที่ทุกคน โดยเฉพาะพ่อแม่ควรศึกษาไว้ เพราะเด็กวัยหัดเดินนี้หากสำลักอาหารเมื่อใดอาจอันตรายถึงขั้นหมดสติได้ ซึ่งหากเอาสิ่งแปลกปลอมออกมาไม่ได้ จนสุดท้ายเด็กถึงกับหมดสติ ขั้นตอนต่อไปก็คือคุณพ่อคุณแม่ต้องทำ CPR

                      ควรอ่าน…วิธีการทำ CPR 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ช่วยชีวิตได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

                      การปฐมพยาบาลเด็ก สำลักอาหาร เบื้องต้น
                      การปฐมพยาบาลเด็ก สำลักอาหาร เบื้องต้น

                      สิ่งที่สำคัญที่สุดในการช่วยลูกจากภาวะฉุกเฉินดังกล่าวนั้น คุณแม่จะต้องตั้งสติให้ดี ๆ รีบช่วยเหลือลูกโดยเร็วที่สุดอย่างถูกวิธี เพราะหากสมองของลูกขาดออกซิเจนเพียง 4 นาที ก็อาจทำให้กลายเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทราตลอดไป

                      ควรอ่าน… การปฐมพยาบาล และทำ CPR เมื่ออาหารติดคอลูกน้อย

                      Heimlich Maneuver

                      เมื่อสังเกตอาการของลูก พบว่าผิดสังเกต และมีแนวโน้มที่ลูกจะมีอาหารติดคอ สำลักอาหาร หรือสำลักสิ่งแปลกปลอม ก่อนอื่นให้เราประเมินอาการของลูกก่อนเบื้องต้น ดังนี้

                      อาการเตือน เมื่อลูก “สำลักอาหาร” แบบผิดปกติ

                      1. สังเกตว่าลูกมีอาการไอหอบ ๆ ไออย่างรุนแรง และต่อเนื่องหรือไม่ เมื่อมีอาหารติดคอร่างกายจะพยายามขับสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา แต่หากไม่สำเร็จ จึงทำให้เกิดอาการไอเสียงหอบ ๆ หากไอเสียงดังแบบเวลาป่วย แสดงว่ายังมีอากาศหายใจได้ไม่มีอะไรอุดตันหลอดลม
                      2. สังเกตว่าลูกหายใจติดขัดหรือไม่ หายใจไม่ออก มีอาการหอบเหนื่อยเฉียบพลัน หายใจเร็วผิดปกติ หรือหายใจเสียงดังเหมือนคนเป็นโรคหอบหืด อาจมีเสียงแปลก ๆ เวลาหายใจ
                      3. สังเกตดูว่าลูกยังสามารถพูดได้ไหม หรือหากลูกยังเล็กยังไม่พูด ให้ดูว่าเขาส่งเสียงแล้วมีเสียงออกมาหรือไม่ เพราะหากมีสิ่งแปลกปลอมอุดหลอดลมจะทำให้พูดได้ลำบาก พูดไม่มีเสียงออกมา  เด็กจะเอามือจับบริเวณคอ เพราะเด็กไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และไม่สามารถสื่อสารออกมาได้
                      4. ริมฝีปาก ใบหน้าเขียวคล้ำ เกิดจากการหายใจไม่ออกเป็นเวลานาน ถือเป็นภาวะฉุกเฉินควรรีบไปพบแพทย์ทันที แต่บางทีก็ต้องระวังว่าเด็กเล็กสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ จนบางทีก็ตัวหรือหน้าไม่เขียวคล้ำบอกอาการทันทีทันใด
                      Heimlich Maneuver วิธีช่วยเมื่อลูก สำลักอาหาร
                      Heimlich Maneuver วิธีช่วยเมื่อลูก สำลักอาหาร

                      วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น แบบ Heimlich Maneuver

                      1. คุกเข่าลงที่พื้น เอนตัวเด็กลง หรือพลิกตัวเด็กนอนคว่ำบนตักก็ได้เช่นกัน ตามแต่ถนัด
                      2. ทุบหลังเด็ก 5 ครั้ง โดยใช้สันมือกระแทกไปที่กลางหลัง ระหว่างกระดูกสะบักของเด็ก ระวังอย่าให้เด็กหล่นจากตัว สังเกตดูว่าสิ่งแปลกปลอม หรืออาหารนั้นหลุดออกมาหรือยัง หรือดูว่าเด็กสามารถกลับมาหายใจได้เป็นปกติอีกครั้ง
                      3. ให้เด็กนั่งตักหันหลังให้ เอาแขนโอบรอบตัวเด็ก กำมือข้างหนึ่งจรดไว้เหนือสะดือเด็ก ให้อยู่ล่างกระดูกหน้าอก ส่วนมืออีกข้างให้กุมกำปั้นไว้
                      4. รั้งกำปั้นเข้าไปที่หน้าท้องของเด็ก โดยกระแทกให้แรง และเร็ว ทำซ้ำ 4 ครั้ง หรือจนกว่าสิ่งแปลกปลอมนั้นจะหลุดออกมา
                      5. หากยังไม่สำเร็จให้ทำสลับกันไปมาระหว่างทุบหลัง กับกระแทกท้อง และรีบเรียกรถพยาบาล หรือนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

                      การป้องกันมีความสำคัญมากกว่าการรักษา เพราะเป็นภาวะที่อาจเกิดซ้ำ ๆ อีกได้  ไม่ควรปล่อยเด็กเล็กให้อยู่ตามลำพัง เด็กอาจหยิบจับสิ่งใด ๆ ที่ไม่ใช่อาหารเข้าปากได้ตลอดเวลา ผู้ปกครองควรสังเกตอาการ ถ้าเกิดอาการไอ หอบเหนื่อยเฉียบพลัน หายใจเสียงดังโดยไม่ทราบสาเหตุ ถือเป็นภาวะฉุกเฉิน มักเกิดจากสิ่งที่อุดกั้นมีขนาดใหญ่ไปติดค้างที่กล่องเสียง ซึ่งเป็นตำแหน่งแคบที่สุดของทางเดินหายใจ ทำให้เกิดการอุดกั้นอย่างสมบูรณ์และเฉียบพลัน ให้รีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่หากไม่สามารถทำได้ให้รีบโทรสายด่วน 1669 หรือนำส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็วที่สุด

                      วิธีป้องกัน…ไม่ให้อาหารติดคอ

                      • เก็บอาหารชิ้นเล็กๆ เช่น เมล็ดถั่ว เมล็ดข้าวโพด ลูกอม ข้าวโพดคั่ว องุ่น ลูกเกด ขนมเยลลี่ ฯลฯ ให้พ้นมือเด็ก เพื่อหลีกเลี่ยงการที่เด็กอาจจะหยิบกินโดยที่ไม่ได้อยู่ในสายตาและความดูแลของพ่อแม่
                      • ควรสอนให้เด็กเคี้ยวอาหารช้า ๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน ไม่กินอาหารขณะนอนราบ รวมถึงไม่ให้พูดหัวเราะ หรือวิ่งเล่นขณะที่มีอาหารอยู่ในปาก ควรนั่งรับประทานบนโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย และฝึกเป็นนิสัย ไม่ตามใจป้อนอาหารลูกขณะวิ่งเล่นเด็ดขาด
                      • ไม่ควรให้เด็กเล็กกินอาหารที่มีลักษณะเป็นเส้น มีขนาดกลม ลื่นและแข็ง เช่น ลูกชิ้น ไส้กรอก รวมไปถึงปลาที่มีก้าง เนื้อสัตว์ที่ติดกระดูก และผลไม้ที่มีเม็ดขนาดเล็ก ควรเอาเม็ดออกพร้อมตัดแบ่งเป็นคำเล็กพอที่เด็กจะสามารถเคี้ยวได้ เนื่องจากเม็ดของผลไม้มีความลื่นและมีโอกาสหลุดเข้าหลอดลมได้ง่าย

                        ป้องกันดีกว่าแก้ ระมัดระวังอย่าปล่อยลูกจน สำลักอาหาร
                        ป้องกันดีกว่าแก้ ระมัดระวังอย่าปล่อยลูกจน สำลักอาหาร

                      ย้ำเตือนกันอีกครั้ง หากลูกเกิดอาการสำลักอาหาร มีสิ่งแปลกปลอมหลุดลงคอ ถ้าคุณพ่อคุณแม่เห็นสิ่งแปลกปลอมนั้นก็สามารถล้วงหยิบออกมาอย่างระมัดระวังได้ แต่หากมองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมนั้น ไม่ควรเอามือล้วงเข้าไปในคอลูกเด็ดขาด อันตรายอาจทำให้ของนั้นหลุดลึกเข้าไปกว่าเดิมจนไปอุดตันหลอดลม ซึ่งจะเป็นอันตรายถึงชีวิต ทำให้ตายได้ การเรียนรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เช่น วิธี Heimlich Maneuver การทำ CPR ก็เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำ เมื่อยามฉุกเฉินจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการรักษาชีวิตลูกน้อยให้ไม่เกิดเหตุไม่คาดฝันอันน่าเศร้าขึ้นได้

                      ข้อมูลอ้างอิงจาก www.si.mahidol.ac.th/th.wikihow.com/กระทวงสาธารณสุข

                      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                      แม่แชร์ประสบการณ์สำลักนม ทำลูกปอดติดเชื้อ มีไข้สูงชักตัวเกร็ง

                      สำลักนมคร่าชีวิตลูกน้อย อันตรายที่คาดไม่ถึง

                      รวม “การปฐมพยาบาลเบื้องต้น” ให้ลูกน้อยที่ถูกต้อง…ที่พ่อแม่ควรรู้!

                      ช่วยลูกรักจากอาการชักเบื้องต้น – easy baby & kids

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        ภาวะรังที่ว่างเปล่า

                        ทำความเข้าใจ ภาวะรังที่ว่างเปล่า ก่อนลูกต้องห่างจากอ้อมอก

                        ภาวะรังที่ว่างเปล่า – ดูเหมือนว่าเมื่อวานนี้คุณเพิ่งจะอุ้มทารกแรกเกิดตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน และสัญญาว่าจะรักและดูแลเขาตลอดไป ตัดภาพกลับมาที่ตอนนี้ ลูกคนสุดท้องของคุณกำลังเก็บข้าวของออกจากบ้านไปหาที่พักใกล้ๆ มหาวิทยาลัย ทันใดนั้น คุณเกิดความรู้สึกแปลกๆ และไม่แน่ใจว่าจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร

                        สิ่งนี้ คือความรู้สึกตามปกติที่เกิดขึ้นได้กับพ่อแม่ทุกคนที่ลูกๆ หายหน้าหายตาออกไปจากบ้าน บ้านที่เคยมีแต่เสียงหัวเราะและความสุขของพ่อแม่ลูก ซึ่งภาวะอาการนี้ มีชื่อที่เรียกว่า ภาวะรังที่ว่างเปล่า (Empty Nest Syndrome) ซึ่งเกิดจากการปรับตัวไม่ทัน ความรู้สึกสูญเสีย ความเศร้า ความวิตกกังวลและความกลัว เป็นเรื่องปกติในหมู่พ่อแม่ที่มีอาการนี้  และภาวะนี้มีผลต่อทั้งชายและหญิงได้เช่นเดียวกัน

                        ทำความเข้าใจ ภาวะรังที่ว่างเปล่า ก่อนลูกต้องห่างจากอ้อมอก

                        ภาวะรังที่ว่างเปล่า (Empty Nest Syndrome) คืออะไร?

                        นายแพทย์พร ทิสยากร จิตแพทย์ประจำศูนย์จิตรักษ์ โรงพยาบาลกรุงเทพ และอาจารย์ประจำคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงภาวะรังที่ว่างเปล่านี้ว่า “เป็นอาการเมื่อผู้ปกครองรู้สึกเหงา เศร้า เสียใจ จากสาเหตุเมื่อผู้เป็นลูกโตขึ้นและต้องออกจากบ้านไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง จากเคสที่เคยพบได้บ่อยมักผู้หญิงวัยกลางคน อายุ 40 – 50 ปี ที่มีลูกวัยเริ่มเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย

                        และต่อไปนี้คือสัญญาณห้าประการที่พบบ่อยที่สุดของกลุ่มอาการนี้

                        1. การสูญเสียวัตถุประสงค์ในชีวิต

                        วันเวลาส่วนใหญ่ในอดีตของคุณเคยใช้ไปกับการต้องดูแลลูก ส่งลูกไปเรียนพิเศษ ประชุมผู้ปกครอง-ครู  โดยสารรถร่วมกัน และ มีความสุขในงานเลี้ยงวันเกิด เมื่อความเร่งรีบและบรรยากาศที่มีความสุขในการเลี้ยงลูกกลายเป็นอดีตไปแล้ว แม้จะมีเพื่อนครอบครัว งาน และกิจกรรมอื่น ๆ ให้ได้ทำ แต่วันเวลาที่ผ่านไปแต่ละวัน คุณอาจรู้สึกว่างเปล่าอยู่บ้าง ข่าวดีก็คือหลังจากช่วงเวลาปรับตัว คุณจะพบจุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้เวลาหางานอดิเรกใหม่ๆ หรือรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในขณะที่คุณปรับตัวเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกถึงความเศร้าโศกเมื่อคุณตกลงกับความจริงที่ว่าบทหนึ่งในชีวิตของคุณสิ้นสุดลงแล้ว อย่าละสายตาจากบทใหม่ที่กำลังเริ่มต้น – ในชีวิตของลูกและของคุณเอง

                        ภาวะรังที่ว่างเปล่า
                        ภาวะรังที่ว่างเปล่า

                        2. รู้สึกหงุดหงิดเมื่อลูกมีโลกส่วนตัว

                        มันเป็นเวลาหลายปีที่คุณสามารถควบคุมการจัดตารางชีวิตของลูก ๆได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนทุกอย่างเปลี่ยนไป วันนี้คุณอาจไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับวันของพวกเขาเหมือนที่เคยผ่านมา เมื่อลูกเข้าเรียน ไปทำงาน ออกเดท หรือไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ อาจทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิด คุณอาจรู้สึกอึดอัดไม่มากก็น้อยที่ไม่ทราบรายละเอียดของตารางเวลาในแต่ละวันของบลูก

                        มีการวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบการเลี้ยงในแบบที่พ่อแม่มีส่วนร่วมมากเกินไปและมักชอบบงการชีวิตลูก ผลการศึกษาพบว่าทำให้ความรู้สึกเป็นอยู่ที่ดีลดลงในเด็กวัยเรียนได้ แม้ว่าพ่อแม่จะมีเจตนาที่ดีที่สุด แต่เมื่อเด็กกลุ่มนี้เติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มสาว อาจไม่พอใจสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นการก้าวก่ายชีวิตใหม่ของพวกเขาเหมือนที่พ่อแม่เคยทำเมื่อพวกเขายังเป็นเด็ก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยินดีรับคำแนะนำจากคุณ แต่การคิดแทนหรือให้คำแนะนำมากเกินไปจะขัดขวางลูกของคุณจากการเรียนรู้ที่จะตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตด้วยตัวเอง

                        ทางที่ดีควรมองว่าลูกของคุณกำลังใช้ทักษะที่คุณสอนพวกเขาเพื่อเริ่มต้นชีวิตของตัวเอง และนี่คือช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับพวกเขา พยายามมั่นใจในความสามารถในการเรียนรู้และเติบโตอย่างอิสระ การเป็นปัจเจกบุคคลสามารถช่วยคนหนุ่มสาวให้เป็นคนของตัวเองได้อย่างไร แม้ลูกของคุณอาจยังต้องการคุณอยู่ แต่บทบาทของคุณตอนนี้ควรเป็นที่ปรึกษาคนหนึ่ง แทนที่จะเป็นผู้สั่งสอนหรือช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตของพวกเขา

                        แทนที่จะพยายามควบคุมรายละเอียดในชีวิตของลูก ให้มุ่งเน้นไปที่การรับมือกับความรู้สึกแย่ที่อาจเกิดขึ้นด้วยวิธีที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยแนวคิดเหล่านี้:

                        • ทำตามความสนใจที่คุณไม่เคยมีเวลาได้ทำในอดีต เช่นงานอดิเรก ต่างๆ
                        • หาความรู้ใหม่ๆ เข้าชั้นเรียนออนไลน์ในหัวข้อที่น่าสนใจ
                        • นัดพบปะเพื่อนเก่าอีกครั้ง
                        • เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เพื่อให้ชีวิตไม่น่าเบื่อ

                        เมื่อเวลาผ่านไปการมีรังว่างจะง่ายขึ้น คุณจะคุ้นเคยกับการที่ลูกของคุณต้องรับผิดชอบชีวิตของตัวเอง และคุณสามารถเริ่มพัฒนาความรู้สึกปกติใหม่ในชีวิตของคุณได้

                         

                        ภาวะรังที่ว่างเปล่า

                         

                        3. ความทุกข์ทางอารมณ์

                        หากคุณน้ำตาไหล รู้สึกหดหู่ ขับรถอย่างเหม่อลอย เมื่อนึกถึงอดีตระหว่างคุณและลูก ให้รู้ว่านี่เป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้

                        ภาวะอาการรังที่ว่างเปล่า สามารถกระตุ้นอารมณ์ที่หลากหลายให้เกิดขึ้นได้ โดยคุณอาจเกิดความรู้สึก ต่างๆ ได้ดังนี้ :

                        • เสียใจที่ลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
                        • โกรธตัวเองที่อาจเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีพอสำหรับลูกๆ ในอดีตที่ผ่านมา
                        • กังวลเกี่ยวกับสถานะของการแต่งงานของคุณ
                        • กังวลกับอายุที่มากขึ้น กลัวการเจ็บไข้ได้ป่วย
                        • ผิดหวังที่ลูกไม่อยู่ในชีวิตของคุณเหมือนเดิมอีกต่อไป

                        จงปล่อยให้ตัวเองรู้สึกถึงอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และจำไว้ว่าอารมณ์นั้นไม่ได้ถูกหรือผิด แต่เป็นภาพสะท้อนของสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญ การประสบกับอารมณ์ที่ไม่สบายใจอย่างหนักหน่วง ต้องใช้เวลาจนกว่าความรู้สึกเหล่านั้นจะบรรเทาลงเอง ความจริงแล้วมีหลายวิธีที่สามารถช่วยให้ความรู้สึกเหล่านั้นดำเนินไปและจางหายไปเร็วขึ้น

                        4. ความเครียดในชีวิตสมรส

                        ในกระบวนการเลี้ยงลูก คู่รักหลายคู่อาจละทิ้งความสัมพันธ์อันหวานชื่นไป และทำให้ครอบครัวหมุนรอบลูกๆ จนความหวานเหมือนจะกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว หากคุณละเลยการใช้ชีวิตคู่ที่หวานนิดๆ โรแมนติกหน่อยๆ มานานหลายปี คุณอาจจะพบว่าความสัมพันธ์ของคุณอาจต้องการบางสิ่งบางอย่างที่กล่าวมา เมื่อลูกๆ ของคุณเริ่มหายหน้าไป คุณอาจไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับตัวเองในฐานะคู่รัก เพราะกิจกรรมของคุณมักจะเกี่ยวกับโรงเรียนและกิจกรรมของเด็กๆ มากกว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา  ดังนั้นการได้รู้จักกันและกันและมีเวลาร่วมกันสองคนมากขึ้นอีกครั้งอาจดูเหมือนเป็นเรื่องท้าทาย

                        นอกจากนี้ คู่รักบางคู่พบว่าพวกเขามีปฏิกิริยาแตกต่างกันไปจากการมี ภาวะรังที่ว่างเปล่า หากคุณคนใดคนหนึ่งกำลังปรับตัวเพื่อให้ชีวิตยามที่ลูกห่างหายให้ดีขึ้น หรือไม่ทุกข์ร้อนมากนักกับชีวิตที่ไม่มีลูกในบ้านมากกว่าคู่ของคุณ คุณอาจพบกับความตึงเครียดในความสัมพันธ์มากขึ้นได้ ดังนั้นจงตั้งเป้าหมายเพื่อทำความคุ้นเคยกับชีวิตคู่ ให้เวลานี้เป็นโอกาสในการสานสัมพันธ์กับคู่ของคุณ และพากันค้นพบสิ่งใหม่ๆ ที่ทำให้คุณตกหลุมรักกันได้เหมือนครั้งแรกตอนที่พบกันในวัยหนุ่มสาวอีกครั้ง

                        5. ความวิตกกังวลเกี่ยวกับบุตรหลาน

                        เป็นเรื่องปกติที่ไม่ได้ดูแลลูกใกล้ชิดเหมือนเมื่อตอนพวกเขายังเล็ก อาจมีบ้างที่คุณจะรู้สึกกังวลว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไรหลังจากที่พวกมีชีวิตเป็นของตัวเองมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ปกติคือ ความรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลาว่าลูกของคุณจะผ่านแต่ละวันไปได้อย่างไร การเช็คความเคลื่อนไหวของลูกผ่านโซเชียลมีเดียอย่างหมกหมุ่นไม่ใช่ความคิดที่ดี  นี่เป็นโอกาสที่ลูกของคุณจะกางปีกและฝึกฝนโดยใช้ทักษะทั้งหมดที่คุณสอนในขณะที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่บ้าน สำหรับวิธีที่คุณจะไม่พลาดการติดต่อ คุณอาจตั้งค่าโทรศัพท์ทุกสัปดาห์ สื่อสารกับลูกบ่อยๆ ผ่านข้อความ หรืออีเมล หรือนัดทานอาหารเย็นประจำสัปดาห์ละครั้ง

                         

                        ภาวะรังที่ว่างเปล่า

                         

                        เมื่อคุณเป็นพ่อแม่ของเด็กหนุ่มสาวที่อายุ 18 ปีขึ้นไป นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่น่าใจหาย และสะเทือนอารมณ์ แต่วางใจได้เลยความรู้สึกที่คุณกำลังประสบอยู่จะค่อยๆ จางหายไปเมื่อคุณคุ้นเคยกับบ้านที่เงียบและมีชีวิตที่จดจ่ออยู่กับความปรารถนาและมีเวลาของตัวคุณเองมากขึ้น แต่ถ้าหากคุณรู้สึกว่าชีวิตของคุณหดหู่่ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต หรือไม่มีค่าอีกต่อไป เป็นไปได้ว่าคุณอาจกำลังตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า หรือความวิตกกังวลของคุณอาจแย่กว่าปกติ ถ้าเป็นเช่นนั้นควรพิจารณษขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ

                        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : verywellfamily.com , thestandard.co

                        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                        เคล็ด(ไม่)ลับ เลี้ยงลูกด้วยสติ ช่วยยุติได้ทุกปัญหา!

                        9 ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก ที่อาจทำลายอนาคตของลูกได้

                        ส่อง 10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ แบบชาวยิว

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          ลูกชอบฝันร้าย

                          ลูกชอบฝันร้าย ตื่นแล้วร้องไห้ไม่หยุด พ่อแม่ควรรับมือยังไง?

                          ลูกชอบฝันร้าย – แม้แต่เด็กวัยเตาะแตะก็อาจพูดถึงความฝัน ทั้งเรื่องที่สนุก และน่ากลัว เด็กเกือบทุกคนมีความฝันที่น่ากลัวหรือน่าผิดหวังเป็นครั้งคราว แต่ฝันร้ายสำหรับเด็กๆ อาจจะรุนแรงขึ้นในช่วงวัยเรียนก่อนวัยเรียนที่ความกลัวความมืดเป็นเรื่องปกติ ฝันร้ายอาจไม่สามารถป้องกันได้ แต่ผู้ปกครองสามารถจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการพักผ่อนในยามค่ำคืนอย่างสงบสุขได้ ด้วยวิธีนี้ เมื่อฝันร้ายคืบคลานเข้ามา ความสบายใจเล็กน้อยจากคุณจะช่วยให้จิตใจของลูกสงบลงได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้ว เด็กอายุ 3-6 ปี ประมาณ 10% -50% มักมีประสบการณ์ฝันร้ายที่ดูเหมือนจริงจนน่าสะพรึง เป็นเหตุให้เด็กๆ เกิดความกลัว นอนหลับตาร้องไห้ แม้ในขณะตื่นแล้วก็ยังคงร้องไห้ ขวัญเสียไม่หยุด จนพ่อแม่ต้องอุ้มปลอบกันเป็นการใหญ่ สำหรับพ่อแม่ เราจะทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อช่วยให้ลูกหยุดฝันร้ายได้ ต่อไปนี้เป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณรับมือและลดความเสี่ยงที่ทำให้ลูกนอนฝันร้ายได้ค่ะ

                          ลูกชอบฝันร้าย ตื่นแล้วร้องไห้ไม่หยุด พ่อแม่ควรรับมือยังไง?

                          ฝันร้ายในเด็กคืออะไร?

                          ฝันร้ายเป็นความฝันที่อาจทำให้เด็ก ๆ ตื่นขึ้นมารู้สึกตกใจกลัวและเสียใจ

                          เป็นเรื่องปกติที่เด็ก ๆ จะฝันร้ายได้เกี่ยวกับ:

                          • อันตรายที่เหมือนเกิดขึ้นจริง เช่น โดนสุนัขวิ่งไล่กัด
                          • ฝันเห็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ในจินตนาการ เช่น แมงมุมยักษ์
                          • เหตุการณ์จริงต่างๆ ที่น่ากลัวที่พวกเขาเคยเห็นหรือประสบมา

                          บางครั้งเด็ก ๆ สามารถบอกเราเกี่ยวกับฝันร้ายที่เกิดขึ้นโดยละเอียดได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถทางภาษาของพวกเขา ฝันร้ายมักจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของคืน เมื่อลูกของคุณกำลังนอนหลับสนิท หากฝันร้ายแล้วเด็กที่อายุน้อยบางคนอาจรู้สึกว่าการกลับไปนอนหลับต่อได้อีกครั้งหลังจากฝันร้ายเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา ฝันร้ายพบได้บ่อยในเด็กทุกวัย แต่จริงๆ แล้วมักพบได้บ่อยกว่าเมื่อเด็กอายุประมาณ 10 ปี

                          ฝันร้ายเกิดขึ้นเมื่อใด

                          ฝันร้ายเหมือนความฝันส่วนใหญ่ โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นในช่วงของการนอนหลับที่สมองทำงานหนักและกำลังหลับลึก (REM Sleep) ภาพที่สดใสที่สมองกำลังประมวลผลอาจดูเหมือนจริง การนอนหลับส่วนนี้เรียกว่าเป็นช่วงของการเคลื่อนไหวของดวงตาอย่างรวดเร็วเนื่องจากดวงตามีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วภายใต้เปลือกตาที่กำลังปิด ฝันร้ายมักจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของการนอนหลับเมื่อช่วง REM Sleep นานขึ้น

                          เมื่อเด็ก ๆ ตื่นจากฝันร้ายภาพที่เห็นในความฝันจะยังคงสดใหม่และดูเหมือนจริง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกกลัวและเสียใจและมองหาผู้ปกครองเพื่อให้ช่วยปลอบโยน

                          แต่เมื่อถึงวัยอนุบาล 3 – 4 ขวบ เด็ก ๆ จะเริ่มเข้าใจได้ดีขึ้นว่าฝันร้ายที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริงและไม่สามารถทำร้ายพวกเขาได้ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้ป้องกันไม่ให้พวกเขารู้สึกกลัว แม้แต่เด็กโตก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อต้องตื่นจากฝันร้าย

                          ลูกชอบฝันร้าย
                          ลูกชอบฝันร้าย

                          สาเหตุของการฝันร้ายในเด็ก

                          ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าอะไรเป็นสาเหตุของฝันร้าย ความฝันและฝันร้ายอาจเกิดได้จากความคิดและความรู้สึกเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่เผชิญอยู่ ซึ่งสมองของเด็กๆ มีการประมวลผลเพื่อจัดการกับความวิตกกังวลเหล่านั้นดังนั้นฝันร้ายอาจเกิดขึ้นได้เมื่อเด็กมีความเครียดหรือกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงในเหตุการณ์ หรือสถานการณ์ที่อาจทำให้รู้สึกไม่มั่นคง เช่น การย้ายบ้าน การเข้าโรงเรียนใหม่ การเกิดของพี่น้อง หรือความตึงเครียดในครอบครัวอาจสะท้อนให้เห็นในความฝัน

                          บางครั้งฝันร้ายเป็นส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาของเด็กต่อการบาดเจ็บ เช่น ภัยธรรมชาติ อุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บทางร่างกายต่างๆ  สำหรับเด็กบางคนโดยเฉพาะผู้ที่มีจินตนาการที่ดีการอ่านหนังสือที่น่ากลัวหรือดูภาพยนตร์หรือรายการทีวีที่น่ากลัวก่อนนอนสามารถสร้างฝันร้ายที่เป็นเรื่องเป็นราวได้ เด็กอาจจะจำทุกรายละเอียดไม่ได้ แต่โดยปกติจะจำภาพตัวละครหรือสถานการณ์และส่วนที่น่ากลัวได้บางส่วน

                          วิธีช่วยให้ลูกนอนหลับสบาย

                          ความจริงแล้วพ่อแม่อาจไม่สามารถป้องกันฝันร้ายให้ลูกได้ 100% แต่สามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจทำให้ลูกฝันร้ายได้ดังนี้

                          เพื่อช่วยให้พวกเขาผ่อนคลายเมื่อถึงเวลานอนควรแน่ใจว่าเด็ก ๆ :

                          • ฝึกให้ลูกเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา
                          • สร้างกิจวัตรการนอนหลับที่ช่วยให้พวกเขาผ่อนคลาย และรู้สึกปลอดภัยเมื่อเข้านอน ซึ่งอาจรวมถึงการอาบน้ำ การกอดกับพ่อแม่ การอ่านหนังสือ หรือการพูดคุยอย่างเงียบ ๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่น่ายินดีในวันนั้น
                          • จัดสภาพแวดล้อมในการนอนที่สะดวกสบายและเงียบสงบ หากลูกมีตุ๊กตาตัวโปรด อย่าลืมวางเอาไว้ใกล้ๆ กับลูกหรือให้ลูกได้จับได้กอดก่อนนอน
                          • หลีกเลี่ยงภาพยนตร์ รายการทีวี คลิปมือถือ ที่มีเนื้อหาน่ากลัวสยดสยองก่อนนอน

                          กลยุทธ์ฝึกลูกให้เอาชนะความกลัวในยามค่ำคืน 

                          ความกลัวความมืด สัตว์ประหลาดในตู้เสื้อผ้า หรือเพียงแค่กังวลเรื่องการเข้านอน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติในเด็กเล็ก วิธีที่คุณในฐานะพ่อแม่หรือผู้ดูแลจัดการกับความกลัวและให้ความมั่นใจกับลูกของคุณจะส่งผลต่อความสามารถในการงีบหลับได้อย่างสบาย

                          เคล็ดลับบางประการที่จะช่วยให้ลูกของคุณเอาชนะความกลัวในตอนกลางคืน :

                          • ลูกของคุณกลัวอะไร? เริ่มต้นด้วยการระบุความกลัว ฟังลูกของคุณ ถามคำถามปลายเปิดที่ช่วยให้พวกเขาบอกคุณถึงสิ่งที่ทำให้พวกเขากลัวเวลานอน อย่าล้อเล่นกับความกลัวของลูก สิ่งที่อาจดูตลกหรือไร้สาระสำหรับคุณคือเรื่องจริงสำหรับลูกของคุณ
                          • สร้างความมั่นใจในตนเองและทักษะการเผชิญปัญหาให้ลูก เช่น ในช่วงเวลากลางวัน ให้ลูกทำกิจกรรมที่ช่วยสร้างความมั่นใจในตนเอง ตัวอย่างเช่น ให้ลูกของคุณพูดคุยเกี่ยวกับความกลัวและประสบการณ์ก่อนนอน คุณอาจสามารถพูดคุยถึงวิธีอื่นในการตอบสนองต่อความกลัวเหล่านี้หรือรับมือกับความกลัวที่อาจช่วยให้ลูกของคุณรู้สึกกลัวน้อยลงในตอนกลางคืน
                            อย่าลืมให้รางวัลหากลูกสามารถเอาชนะความกลัวได้สำเร็จ อาจจะเป็น อาหารเช้าอร่อยๆ ของเล่นชิ้นเล็กๆ หรือรางวัลพิเศษอื่น ๆ อย่าลืมสนับสนุนให้ลูกของคุณพูดคุยเกี่ยวกับความกลัวกับคุณในเวลากลางวัน

                          ลูกชอบฝันร้าย

                          วิธีรับมือเมื่อลูกตื่นหลังจากฝันร้าย

                          ต่อไปนี้คือวิธีช่วยให้บุตรหลานของคุณรับมือกับฝันร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้น :

                          • สร้างความมั่นใจให้ลูกของคุณว่าคุณอยู่ที่นั่น ความสงบจะช่วยให้ลูกของคุณรู้สึกปลอดภัยและได้รับการปกป้องหลังจากตื่นนอนด้วยความรู้สึกกลัว การรู้ว่าคุณจะอยู่ที่นั่นจะช่วยเสริมสร้างความรู้สึกปลอดภัยของบุตรหลาน
                          • อธิบายให้ลูกฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ให้ลูกของคุณรู้ว่ามันเป็นแค่ฝันร้ายและตอนนี้มันจบลงแล้ว คุณอาจพูดว่า “ลูกฝันร้าย แต่ตอนนี้ลูกตื่นแล้วและทุกอย่างเรียบร้อยดี” สร้างความมั่นใจให้ลูกว่าสิ่งน่ากลัวในฝันร้ายไม่ได้เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง
                          • ให้ความสบายใจ โดยแสดงว่าคุณเข้าใจว่าลูกของคุณรู้สึกกลัวและปลอบว่าไม่เป็นไร อธิบายให้ลูกฟังว่าทุกคนก็นอนฝันได้ บางครั้งความฝันอาจน่ากลัว สะเทือนใจ และอาจดูเหมือนจริงมาก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะลูกจะรู้สึกกลัว
                          • ใช้แสงไฟช่วย ไฟกลางคืนหรือไฟหัวเตียงจะช่วยให้เด็กๆ รู้สึกปลอดภัยในห้องที่มืดมิด เมื่อพวกเขาพร้อมที่จะกลับไปนอนอีกครั้ง
                          • ช่วยให้ลูกของคุณกลับไปนอน การเสนอสิ่งที่ปลอบโยนอาจช่วยเปลี่ยนอารมณ์ได้ ลองใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อช่วยให้การเปลี่ยนกลับไปนอนหลับ เช่น ตุ๊กตาสัตว์ตัวโปรดให้ลูกถือ ตาข่ายดักฝัน หรือเพลงเบาๆ หรือพูดคุยถึงความฝันอันน่ารื่นรมย์ที่ลูกของคุณอยากจะมี และอาจส่งลูกให้กลับเข้านอนด้วยการหอมและจูบลูก

                          สำหรับเด็กส่วนใหญ่ ฝันร้ายเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เกิดความกังวล และต้องการการปลอบโยนและความมั่นใจจากผู้ปกครอง พูดคุยกับแพทย์ของคุณหากฝันร้ายมักจะป้องกันไม่ให้บุตรหลานของคุณนอนหลับเพียงพอหรือหากเกิดขึ้นพร้อมกับปัญหาทางอารมณ์หรือพฤติกรรมอื่น ๆ

                          ปรึกษาแพทย์หากฝันร้ายส่งผลเสียต่อลูก และคุณรู้สึกกังวัล

                          คุณสามารถพิจารณาโทรปึกษาแพทย์ได้ถ้าหาก :

                          • ความกลัวและความวิตกกังวลก่อนนอนของบุตรของท่านยังคงดำเนินต่อไป รุนแรงหรือแย่ลง
                          • ความกลัวของบุตรหลานของคุณเริ่มต้นหลังจากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจหลังจากเหตุการณ์จบลง
                          • ความกลัวของบุตรหลานของคุณขัดจังหวะกิจกรรมในเวลากลางวัน

                          บางครั้งฝันร้ายของลูกอาจเป็นเรื่องที่น่าวิตกได้มากหากเกิดขึ้นซ้ำซาก หรืออาจเกี่ยวข้องกับปัญหาทางจิต ในกรณีเช่นนี้ เทคนิคการรักษาทางจิตวิทยา เช่น กลยุทธ์การผ่อนคลายอาจใช้ได้  หรือสำหรับเด็กโต การฝึกจินตภาพในฝันอาจช่วยแก้ไขเรื่องการฝันร้ายได้

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : my.clevelandclinic.org , kidshealth.org

                          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                          เพราะเหตุใด ลูกถึงฝันร้ายบ่อยๆ

                          พร้อมไหม ให้ลูกนอนคนเดียว ฝึกลูกให้นอนเองได้ ตอนไหนดี

                          วิจัยชี้!! ลูก นอนกลางวัน ช่วยให้ความจำดี เรียนรู้เร็ว!

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            ประโยชน์ของดนตรี

                            พ่อแม่อย่ามองข้าม! 10 ประโยชน์ของดนตรี ที่ดีต่อลูก

                            ประโยชน์ของดนตรี ที่ดีต่อสุขภาพจิต เป็นที่กล่าวขานมานานหลายพันปี นักปรัชญาโบราณตั้งแต่เพลโตจนถึงขงจื๊อ และกษัตริย์แห่งอิสราเอลร้องเพลงสรรเสริญและใช้เพลงเพื่อช่วยบรรเทาความเครียด วงดนตรีทหารใช้ดนตรีเพื่อสร้างความมั่นใจ และความกล้าหาญ การแข่งขันกีฬามีเสียงเพลงเพื่อปลุกความกระตือรือร้น เด็กนักเรียนใช้เพลงเพื่อจดจำการท่อง ABC ห้างสรรพสินค้าเปิดเพลงเพื่อดึงดูดลูกค้า หรือแม้แต่ทันตแพทย์ก็มักเปิดเพลงหรือฮัมเพลงในขณะถอนฟันเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสงบ ซึ่งการวิจัยสมัยใหม่หลายชิ้นก็ยังสนับสนุนภูมิปัญญาดั้งเดิมว่าดนตรีมีประโยชน์ต่ออารมณ์และความมั่นใจ

                            ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน คนเราจึงพัฒนารสนิยมและความชอบทางดนตรีได้แตกต่างกัน แม้จะมีความแตกต่างเหล่านี้ แต่ก็มีการตอบสนองต่อดนตรีเช่นเดียวกัน เช่น  ทารกชอบเพลงกล่อมเด็ก การร้องเพลงของแม่คือสิ่งที่ผ่อนคลายเป็นพิเศษสำหรับทารก โดยที่แม่ไม่จำเป็นต้องเป็นนักร้องระดับดีว่า! วันนี้เรามาดูว่า ประโยชน์ของดนตรีที่ดีกับลูก

                            พ่อแม่อย่ามองข้าม! 10 ประโยชน์ของดนตรี ที่ดีต่อลูก

                            1. ดนตรีกับความสนใจและการเรียนรู้

                            เด็กทุกคนที่ได้เรียนรู้การท่อง ABC จะรู้ว่ามันง่ายกว่าที่จะจดจำหากใช้เพลงเข้ามาช่วย การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนประสบการณ์ทั่วไปที่ว่าการจับคู่ดนตรีกับจังหวะและระดับเสียงช่วยเพิ่มการเรียนรู้และการจดจำ ดนตรีช่วยเด็กและวัยรุ่นที่มีปัญหาด้านความสนใจได้หลายวิธี ประการแรก สามารถใช้เป็นรางวัลสำหรับพฤติกรรมที่ต้องการได้ ตัวอย่างเช่น ให้ลูกทำการบ้านเป็นเวลา 10 นาที เพื่อโอกาสในการได้ฟังเพลงเป็นเวลา 5 นาที ประการที่สองสามารถใช้เพื่อช่วยเพิ่มความสนใจให้กับงานวิชาการที่ “น่าเบื่อ” เช่น การท่องจำการใช้เสียงเพลง จังหวะ และการเต้นรำ หรือการเคลื่อนไหวเพื่อเพิ่มความน่าสนใจของการเรียน ประการที่สาม ดนตรีสามารถใช้เพื่อช่วยในการจัดกิจกรรมที่แตกต่างกันออกไป เช่น  เพลงแนวหนึ่งเหมาะสำหรับกิจกรรม เช่น การเรียน  เพลงอีกแนวหนึ่งเหมาะสำหรับกิจกรรมอื่นๆ  เช่น การรับประทานอาหาร หรือเพลงที่เหมาะจะเปิดฟังก่อนเข้านอน นอกจากนี้ดนตรีที่สงบเงียบฟังสบาย สามารถส่งเสริมพฤติกรรมที่ดีทางสังคม และลดพฤติกรรมหุนหันพลันแล่นได้

                            การผสมผสานดนตรีในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาทักษะทางปัญญาบางอย่าง เช่น ความจำ สมาธิการเอาใจใส่ และการคิด เมื่อรวมกับการเคลื่อนไหวและการเต้นรำดนตรีเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ สร้างความสัมพันธ์เชิงพื้นที่จดจำท่าเต้นได้สำเร็จ คิดเกี่ยวกับการเคลื่อนไห วและการร้องเพลงไปพร้อม ๆ กันซึ่งช่วยในการพัฒนาสมองโดยรวม

                            2. ดนตรีกับภาษาและการรู้หนังสือ

                            การร้องเพลงและการฟังเพลงสามารถเพิ่มทักษะการฟังการพูดการเขียนและการอ่านให้แก่เด็กๆ  เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ทำได้ง่าย แต่มีประโยชน์มากมาย ในช่วงแรกของการเรียนรู้ด้านภาษาของเด็ก เพลงที่ติดหู จะช่วยให้เด็กมีความมั่นใจมากขึ้นในการพูดและใช้ภาษาได้เร็วและเหมาะสม และยังช่วยในการพัฒนาการจดจำโครงสร้างวลี และความเข้าใจรูปแบบภาษา นอกจากนี้กระบวนการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เพลงจะถูกใช้เป็นประจำเพื่อช่วยให้เด็กจดจำคำศัพท์ ตลอดจนสำนวนภาษาทั่วไป และอื่น ๆ ได้

                            ประโยชน์ของดนตรี
                            ประโยชน์ของดนตรี

                            3. ดนตรีและความวิตกกังวล

                            หลายคนพบว่าเพลงที่คุ้นเคยเป็นเพลงปลอบโยนและสงบเงียบ ในความเป็นจริงดนตรีมีประสิทธิภาพมากในการลดความวิตกกังวล ซึ่งเสียงดนตรีจะช่วยลดความวิตกกังวลในผู้สูงอายุ คุณแม่มือใหม่ และเด็ก ได้เช่นกัน ดนตรีที่ผ่อนคลายทุกประเภท สามารถช่วยให้อารมณ์ของมนุษย์สงบลงได้ ดนตรีที่สงบสามารถใช้ร่วมกับการบำบัดเพื่อลดความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการบำบัดแบบเดิมเพียงอย่างเดียว การศึกษาบางชิ้นชี้ให้เห็นว่า ดนตรีที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ เช่น ดนตรีที่มีโทนเสียงแบบ binaural beats (เสียงที่มีมีความถี่แตกต่างกัน ฟังแล้วเกิดการประสานหรือ synchronize ในสมอง) ทำให้คลื่นสมองเข้าสู่คลื่นเดลต้าหรือคลื่นทีต้าที่ผ่อนคลายได้ ช่วยให้อาการของผู้ป่วยวิตกกังวลดีขึ้นได้มากกว่าดนตรีที่ไม่มีโทนเสียงเหล่านี้

                            4. ดนตรีและอารมณ์

                            การวิเคราะห์งานวิจัย 5 เรื่องเกี่ยวกับดนตรีสำหรับภาวะซึมเศร้า สรุปได้ว่าดนตรีบำบัดไม่เพียง แต่เป็นที่ยอมรับสำหรับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ดนตรีได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง แผลไฟไหม้ และโรคระบบประสาทส่วนกลางเสื่อม  หากสามารถช่วยในสถานการณ์เหล่านี้ได้ก็อาจช่วยให้เด็กๆ มีอารมณ์เชิงบวกมากขึ้นได้

                            5. ดนตรีและการนอนหลับ

                            หลายคนฟังเพลงที่ช่วยให้หลับสบาย แนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนโดยการศึกษาในหลากหลายรูปแบบ อย่าพยายามฟังเพลงเต้นรำที่คึกคักหรือเร้าใจก่อนที่คุณจะตั้งใจจะให้เด็กๆ นอนหลับ ในทางกลับกันหากพยายามให้ลูกตื่นนอนในตอนเช้าให้เลือกเพลงจังหวะเร็วๆ เร้าใจ แทนเพลงกล่อมเด็ก!

                            6. ดนตรีและความเครียด

                            เป็นที่ทราบกันดีว่าดนตรีบางประเภทสามารถช่วยบรรเทาความเครียดได้ เพลงบรรเลงที่สงบเงียบ สามารถลดความหงุดหงิดและส่งเสริมความสงบในบ้านพักคนชราที่มีภาวะสมองเสื่อมได้ และช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียด ในทางกลับกันพ่อแม่ของเด็กวัยเตาะแตะ หรือวัยรุ่นทุกคน รู้ดีว่าดนตรีบางประเภท เช่น ดนตรีร็อค สามารถกระตุ้นให้เกิดความเครียดได้ การรู้ว่าดนตรีบางประเภทสามารถบรรเทาความเครียดได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง การมีสติในการเลือกเพลงที่จะฟังก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นแค่เลือกอย่างระมัดระวังเหมือนกับการเลือกอาหารและเพื่อนของคุณ

                            7. ทักษะทางดนตรีและการเข้าสังคม

                            “ ดนตรีเชื่อมโยงผู้คน”  เด็ก ๆ ชอบเต้นรำร้องเพลง พวกเขาชอบพูดซ้ำทำซ้ำในสิ่งที่ได้ยินและเห็น และมักจะชอบแบ่งปันกับคนอื่น ๆ ดนตรีช่วยพัฒนาทักษะการพูด และการเคลื่อนไหวของเด็ก ทำให้พวกเขามีความมั่นใจและมีพลังในการสำรวจโลกรอบตัว และแบ่งปันประสบการณ์กับผู้อื่น หากเด็กกำลังมีปัญหาเรื่องความขี้อาย หรือการปรับตัวเข้าสังคม การเรียนรู้ที่จะเล่นเครื่องดนตรีหรือร้องเพลงอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับความวิตกกังวลความเครียดหรือความโดดเดี่ยวทางสังคม การเป็นนักดนตรีอาจช่วยในการเอาชนะความกลัวบนเวที เพราะจะได้เรียนรู้วิธีที่จะอยู่ในสปอตไลท์ และเผชิญหน้ากับความกลัวในการแสดงต่อหน้าคนแปลกหน้า เพื่อนๆ และครอบครัว

                            ประโยชน์ของดนตรี

                            8. ดนตรีเป็นเครื่องมือในการแสดงออก

                            ดนตรีคือศิลปะ เป็นวิธีที่สร้างสรรค์ในการแสดงความรู้สึกต่างๆ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือไม่ดี ดนตรีสามารถช่วยให้เด็กแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้ หรืออาจกลัวเกินไปที่จะแบ่งปันด้วยวาจา การแต่งเพลงและการแสดงสามารถเปิดโลกใหม่ให้กับเด็ก ๆ และเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงด้านที่แตกต่างของตัวเอง ในกรณีของความบกพร่องทางสังคมอารมณ์หรือจิตใจ ดนตรีอาจเป็นวิธีการสื่อสารและการแสดงออกถึงตัวตนที่ดีได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความชอบของบุตรหลานของคุณ

                            9. ดนตรีสอนความอดทนและวินัย

                            ไม่มีวิธีการสอนความอดทน การสอนวินัย ที่สร้างสรรค์ และน่าดึงดูดมากไปกว่าดนตรี  ดนตรีสามารถช่วยให้เด็กเข้าใจได้อย่างแท้จริง ว่าการฝึกฝนอย่างทุ่มเทและความพากเพียรต่างๆ นั้นทำไปเพื่ออะไร การเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จหรือเพียงแค่สร้างความสนใจในดนตรีต้องใช้เวลาและความตั้งใจ บางครั้งถึงกับต้องเสียสละเล็กน้อยเมื่อต้องพยายามไปสู่ความสำเร็จที่สูงขึ้น ในที่สุดทุกอย่างก็สำเร็จ และเมื่อเด็กเห็นผลของการทำงานหนักของเขา ความพยายามที่เกิดขึ้นก็สมเหตุสมผลในที่สุด

                            10. ดนตรีและตรรกะ

                            แม้ว่าโดยปกติแล้วจะถูกมองว่าตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง แต่ดนตรีและคณิตศาสตร์เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน การอ่านและการนับจังหวะเพลง จริง ๆ แล้วต้องมีความเข้าใจเรื่องเศษส่วนการหารและการรักษาจังหวะและเวลา ซึ่งการเล่นดนตรีเป็นประจำจะช่วยเพิ่มทักษะเหล่านี้และพัฒนาความคิดเชิงตรรกะ ยิ่งไปกว่านั้นที่น่าสนใจคือ การเล่นดนตรีใช้สมองส่วนเดียวกับส่วนที่ใช้ทำความเข้าใจเชิงพื้นที่ซึ่งจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจคณิตศาสตร์ด้วย

                            การให้ลูกฟังเพลงหรือการสอนดนตรีให้ลูกไม่มีผลเสีย และทำได้ไม่ยาก ความสามารถพิเศษไม่ควรนำมาตัดสินว่าจะสอนเด็กให้เล่นเครื่องดนตรีหรือร้องเพลงหรือไม่ ประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์ของดนตรีเป็นเหตุผลที่ดีที่จะรวมเข้ากับชีวิตของลูกคุณทันทีที่พวกเขาเกิด ช่วยทั้งการพัฒนาบุคลิกภาพ สติปัญญา ทักษะความมั่นใจ และอื่น ๆ อีกมากมาย และเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับจิตใจและจิตวิญญาณของเด็ก ที่คุณสามารถมอบให้ได้และทำได้ เพียงแค่แนะนำพวกเขาด้วยพลังแห่งดนตรี หากคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังให้ลูกสนใจดนตรี ได้ฟังและได้เล่นเครื่องดนตรีตั้งแต่เล็กจะเป็นประโยชน์ต่อทักษะที่สำคัญหลายด้าน โดยเฉพาะการเสริมสร้างทักษะ ความฉลาดในการเล่น (PQ)  การได้ฟังหรือร้องเล่นดนตรีทำให้เด็ก ๆ ได้รับความสนุกสนานเพลินเพลิน และมีความสุข ซึ่งมีส่วนทำให้สมองเจริญเติบโต นำไปสู่การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ดีด้วยค่ะ

                            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthychildren.org , thriveglobal.com

                            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                            3 เทคนิคสร้างสมองลูกน้อยเติบโต ด้วยเสียงดนตรี

                            วิจัยสำเร็จ!! ดนตรีพัฒนาสมอง เด็กคลอดก่อนกำหนดได้

                            ให้ลูกเรียนดนตรี กี่ขวบดี? แชร์ประสบการณ์ โดย พ่อเอก

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                              เพื่อนในจินตนาการ

                              ลูกมีเพื่อนทิพย์! เพื่อนในจินตนาการ ชอบพูดคนเดียวปกติไหม?

                              เพื่อนในจินตนาการ – มีการวิจัยเกี่ยวกับเพื่อนในจินตนาการอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา แพทย์และผู้ปกครอง ต่างก็สงสัยว่าการมีเพื่อนในจินตนาการของเด็กเป็นเรื่องปกติหรือไม่ งานวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าการมีเพื่อนในจินตนาการเป็นส่วนหนึ่งของเด็กเล็กๆ โดยธรรมชาติ การวิจัยก่อนหน้านี้ระบุว่า เด็กจำนวนมากถึง 65 เปอร์เซ็นต์ ที่อายุไม่เกิน 7 ขวบ มีเพื่อนในจินตนาการ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการที่ลูกมีเพื่อนในจินตนาการก็ยังทำให้พ่อแม่หลายคนรู้สึกกังวลใจได้ไม่น้อย เมื่อเห็นว่าลูกนั่งพูดคนเดียว เล่นคนเดียวแต่เหมือนพูดกับใครบางคน

                              ลูกมีเพื่อนทิพย์! เพื่อนในจินตนาการ ชอบพูดคนเดียวปกติไหม?

                              เพื่อนในจินตนาการ คืออะไร?

                              ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็ก ๆ จะสร้างเพื่อนในจินตนาการหรือเพื่อนร่วมทางของพวกเขา ที่พวกเขาสามารถพูดคุยโต้ตอบและเล่นด้วยได้ เพื่อนขี้เล่นเหล่านี้ อาจอยู่ในรูปแบบของอะไรก็ได้ ทั้ง เพื่อนที่มองไม่เห็น สัตว์ สิ่งที่น่าอัศจรรย์ สิ่งของ เช่น ของเล่น หรือ ตุ๊กตาสัตว์ เป็นต้น เพื่อนในจินตนาการอาจให้มิตรภาพ ความช่วยเหลือ ความบันเทิง และอื่น ๆ แก่ลูกของคุณได้

                              การวิจัยส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าการมีเพื่อนในจินตนาการเป็นรูปแบบการเล่นที่ดีในวัยเด็ก จากการศึกษาพบว่าอาจมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็ก

                              ประโยชน์ต่างๆ อาจรวมถึง :

                              • ความรู้ความเข้าใจทางสังคมที่ดีกว่า
                              • ความเป็นกันเอง เข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
                              • เพิ่มความคิดสร้างสรรค์
                              • รับมือกับเรื่องยากๆในชีวิตได้ดีกว่า
                              • ความเข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่น

                              ผู้ปกครองควรมีปฏิกิริยาอย่างไร?

                              หากบุตรหลานของคุณเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเพื่อนในจินตนาการของพวกเขา ให้ลองถามคำถามลูก คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบุตรหลานของคุณ ความสนใจและสิ่งที่เพื่อนในจินตนาการอาจทำเพื่อพวกเขา ตัวอย่างเช่น เพื่อนในจินตนาการของพวกเขากำลังสอนวิธีจัดการกับมิตรภาพอยู่หรือไม่? นอกจากนี้ยังสามารถช่วยในการเล่น กำหนดสถานที่พิเศษในมื้อค่ำ หรือถามบุตรหลานของคุณว่าเพื่อนของพวกเขากำลังจะมาเที่ยวหรือไม่ หากลูกของคุณ หรือเพื่อนที่แกล้งทำเป็นเรียกร้องหรือทำให้เกิดปัญหา คุณสามารถกำหนดกฎเกณฑ์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องแสดงพฤติกรรมที่ไม่ดี

                              จะเป็นอย่างไรถ้าเพื่อนในจินตนาการทำให้ลูกกลัว?

                              ในขณะที่เพื่อนในจินตนาการส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นคนใจดี เป็นมิตรและเชื่อฟัง แต่ก็อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นทั้งหมด เพื่อนในจินตนาการของลูกอาจมีนิสัยชอบก่อกวน แหกกฎ หรือก้าวร้าว เป็นไปได้ว่าเพื่อนในจินตนาการบางคนอาจทำให้ลูกหวาดกลัวไม่พอใจ หรือก่อให้เกิดความขัดแย้งต่างๆ ได้ ในขณะที่เด็กหลายคนแสดงออกถึงการควบคุม หรือมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของเพื่อนในจินตนาการ แต่เด็กบางรายอธิบายว่าพวกเขาอยู่นอกเหนือการควบคุม แม้ว่าจะไม่เข้าใจทั้งหมดว่าทำไมเพื่อนในจินตนาการถึงดูน่ากลัว แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ในจินตนาการเหล่านี้ยังคงให้ประโยชน์กับเด็กอยู่บ้าง ความสัมพันธ์ที่ยากขึ้นเหล่านี้อาจช่วยปูทางให้เด็กๆ รู้จักการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม และรับมือกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในโลกแห่งความเป็นจริงได้

                              เพื่อนในจินตนาการ
                              เพื่อนในจินตนาการ

                              เพื่อนในจินตนาการทำให้ลูกมีปัญหาพฤติกรรมได้หรือไม่?

                              ผู้ปกครองบางคนกังวลว่าเด็กที่มีเพื่อนในจินตนาการจะเข้าใจหรือแยกแยะความเป็นจริงกับจินตนาการได้ไม่ดี แต่โดยทั่วไปแล้วสิ่งนี้ไม่เป็นความจริง

                              ในความเป็นจริงเด็กส่วนใหญ่เข้าใจว่าเพื่อนในจินตนาการของพวกเขาแกล้งทำ เด็กทุกคนมีความแตกต่างกันและหลายคนเติบโตขึ้นได้ดีด้วยประสบการณ์เหล่านี้ของชีวิต  มีรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปีที่อยู่กับเพื่อนในจินตนาการ แม้ว่ารายงานอื่นๆ ได้แสดงให้เห็นว่ามีเพื่อนในจินตนาการมักพบในเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี ไม่จำเป็นต้องกังวลหากเด็กโตยังคงพูดถึงเพื่อนในจินตนาการของตน หากคุณมีข้อกังวลใด ๆ เนื่องจากพฤติกรรมของบุตรหลาน คุณสามารถติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กได้

                              นี่แหละ! 3 ทักษะชีวิตที่สำคัญ ที่ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมที่ดีของเด็กได้

                              รับมือ ลูกอยู่ไม่นิ่ง กับ6พฤติกรรมแหย่ๆ ของเด็กวัยซน

                              ลูกเลียนแบบพ่อแม่ พฤติกรรมเลียนแบบของเด็กสั่งจากสมอง! หนูรู้ หนูจำได้

                              เพื่อนในจินตนาการเชื่อมโยงกับโรคจิตเภทหรือไม่?

                              เมื่อเห็นลูกพูดคนเดียวเป็นเรื่องเป็นราว พ่อแม่หลายคนอาจตั้งคำถามว่าลูกของตนกำลังประสบกับอาการทางจิตได้หรือไม่ แต่การมีเพื่อนในจินตนาการไม่เหมือนกับอาการของโรคจิตเภท

                              โดยปกติโรคจิตเภทมักไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าบุคคลนั้นจะมีอายุระหว่าง 16 ถึง 30 ปี โรคจิตเภทที่เริ่มมีอาการในวัยเด็กเป็นเรื่องที่พบได้ยาก และยังยากที่จะวินิจฉัยโรคด้วย เมื่อเกิดขึ้น มักเกิดหลังอายุ 5 ขวบ แต่ก่อน 13 ปี แม้ในอดีตผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าการมีเพื่อนในจินตนาการบ่งบอกถึงปัญหาหรือภาวะสุขภาพจิต แต่จากการวิจัยในปัจจุบันกับแหล่งที่เชื่อถือได้ ความคิดนี้ก็ไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป

                              แม้การมีเพื่อนในจินตนาการจะเกิดขึ้นกับเด็กเล็ก แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่เด็กโตจะมีได้เช่นกัน มีการศึกษาวิจัยที่พบว่า 28 เปอร์เซ็นต์ ของเด็กอายุ 5 ถึง 12 ปี มีเพื่อนในจินตนาการ เด็กผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีเพื่อนในจินตนาการมากกว่าเด็กผู้ชาย  จินตนาการเป็นส่วนสำคัญในการเล่นและพัฒนาการของเด็ก การมีเพื่อนในจินตนาการสามารถช่วยให้เด็กสำรวจความสัมพันธ์และทำงานอย่างสร้างสรรค์ได้

                              อย่างไรก็ตาม อาการของโรคจิตเภทจะมีการแสดงออกแตกต่างออกไป โดยอาการบางอย่างของโรคจิตเภทในวัยเด็ก ได้แก่ :

                              • ความหวาดระแวง
                              • อารมณ์เปลี่ยนไปมาเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
                              • อาการประสาทหลอน เช่น บอกพ่อแม่ว่าได้ยินเสียง หรือมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่มีอยู่จริง
                              • การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างกะทันหัน

                              เพื่อนในจินตนาการ

                              หากบุตรหลานของคุณมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน หรือกำลังประสบปัญหาบางอย่างที่ดูมากกว่าการพูดคุยกับเพื่อนในจินตนาการ ให้ติดต่อกุมารแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต

                              ในขณะที่ลักษณะของโรคจิตเภทในเด็กและการเล่นกับเพื่อนในจินตนาการมักจะแตกต่างกัน และแยกจากกันได้  แต่ก็มีสภาพจิตใจ และร่างกายอื่น ๆ ที่อาจมีความเชื่อมโยงกัน

                              ตัวอย่างเช่น การวิจัยในปี 2549 พบว่าเด็กที่พัฒนาความผิดปกติทางความคิดสร้างสรรค์มีโอกาสที่จะมีเพื่อนในจินตนาการสูงกว่ามาก ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ถูกจัดว่าป่วยเป็นโรคความทรงจำบกพร่อง หรือ Dissociative disorder ซึ่งเป็นภาวะสุขภาพจิตที่บุคคลประสบกับการขาดการเชื่อมต่อจากความเป็นจริง  นอกจากนี้ งานวิจัยอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่าเด็กที่เป็นดาวน์ซินโดรม มีอัตราการเมีเพื่อนในจินตนาการสูงกว่า และมีแนวโน้มที่จะให้เพื่อนเหล่านี้อยู่กับพวกเขาไปจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่

                              ควรไปพบแพทย์หรือไม่?

                              ส่วนใหญ่ เพื่อนในจินตนาการมักไม่มีอันตราย และเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณเชื่อว่าบุตรหลานของคุณกำลังประสบปัญหาบางอย่างมากกว่านั้นให้ไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาได้ เมื่อใดก็ตามที่พฤติกรรมและอารมณ์ของลูกของคุณเปลี่ยนไปอย่างมากหรือเริ่มทำให้คุณกังวล โปรดติดต่อขอความช่วยเหลือจากแพทย์ของบุตรหลานหรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต หากเพื่อนในจินตนาการของลูกคุณดูก้าวร้าว หรือเป็นภัยสำหรับลูกของคุณ การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจะช่วยให้คุณสบายใจได้

                              ทั้งนี้ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการมีเพื่อนในจินตนาการ คือเรื่องปกติของเด็กวัยเตาะแตะอาจที่เกิดขึ้นได้ การที่ลูกได้แสดงบทบาทในการเล่นและสื่อสารกับเพื่อนในจินตนาการของพวกเขาจะช่วยเสริมสร้างทักษะทางสังคมที่ดี ปลูกฝังนิสัยความเป็นกันเอง เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และช่วยพัฒนาทักษะด้านความเข้าใจอารมณ์ตนเองและผู้อื่นได้ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลและส่งเสริมให้ลูกได้เล่นและอยู่กับโลกแห่งการเรียนรู้ในจินตนาการได้อย่างเหมาะสม ก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เด็กเกิดทักษะ ความฉลาดในการเล่น (PQ)ได้ค่ะ

                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com

                              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              สอนให้ ลูกคบเพื่อน นิสัยดี และเป็นเพื่อนที่ดี สอนกันได้!

                              เคล็ดลับแก้ปัญหา ลูกไม่มีเพื่อน ลูกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ทำไงดี?

                              วิธีรับมือ ลูกทะเลาะกับเพื่อน ต้องเตือนหรือสอนลูกยังไง?

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                นมพาสเจอร์ไรส์

                                นมพาสเจอร์ไรส์ นมUHT นมสเตอริไลส์ ลูกกินแบบไหนดี?

                                นมพาสเจอร์ไรส์ นม UHT นมสเตอริไลส์ แตกต่างกันอย่างไร? นมชนิดไหนเหมาะกับเด็ก? ควรทานตอนอายุเท่าไหร่? และลูกควรทานแบบไหนถึงจะดี? อ่านได้ที่นี่

                                นมพาสเจอร์ไรส์ นมUHT นมสเตอริไลส์ ลูกกินแบบไหนดี?

                                ตามท้องตลาดนอกจากจะมีนมหลากหลายยี่ห้อแล้ว ยังมีนมอีกหลากหลายชนิดให้แม่ ๆ ได้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพาสเจอร์ไรส์ นม UHT นมสเตอริไลส์ นมหลากหลายชนิดนี้แตกต่างกันแค่ไหน และลูกควรทานแบบไหนถึงจะดี คำถามเหล่านี้ ทีมแม่ ABK หาคำตอบมาให้แล้ว แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับ “นมวัว” กันก่อน ว่ามีประโยชน์อย่างไร มีสารอาหารอะไรบ้าง

                                สารอาหารในนมวัว

                                นมวัวอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณประโยชน์หลายชนิด โดยนมวัว 1 ถ้วยที่หนักประมาณ 244 กรัม จะให้คุณค่าทางโภชนาการเป็นพลังงาน 146 แคลอรี่ โปรตีน 8 กรัม ไขมัน 8 กรัม และยังประกอบไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ ดังนี้

                                • แคลเซียม ประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
                                • วิตามินบี 2 ประมาณ 26 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
                                • วิตามินดี ประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
                                • ฟอสฟอรัส ประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
                                • วิตามินบี 12 ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
                                • ซีลีเนียม ประมาณ 13 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน
                                • โพแทสเซียม ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน

                                ประโยชน์ของนมวัว

                                เนื่องจากนมวัวมีคุณค่าทางโภชนาการสูง จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับประโยชน์ของนมวัวในด้านต่าง ๆ มากมาย โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์บางส่วนได้พิสูจน์ประสิทธิภาพของนมวัวไว้ ดังนี้

                                • นมวัวช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง นมวัวอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย ทั้งโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และวิตามินเค 2 ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง
                                • นมวัวอาจช่วยป้องกันโรคอ้วน นมวัวมีสารอาหารสำคัญหลายชนิดที่อาจช่วยลดน้ำหนักและป้องกันการมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ไขมัน โปรตีน และแคลเซียม เป็นต้น
                                • นมวัวอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยมีงานวิจัยหนึ่งที่ศึกษาความสัมพันธ์ของการดื่มนมวัวกับภาวะความดันโลหิตสูง พบว่าการดื่มนมวัวอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะความดันโลหิตสูง เนื่องจากในน้ำนมวัวมีส่วนประกอบของแคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียมที่นักวิจัยเชื่อว่าอาจมีประสิทธิภาพในด้านดังกล่าว ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุอย่างนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัวอย่างโยเกิร์ต อาจส่งผลดีต่อสุขภาพและอาจป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงได้ด้วย

                                ควรดึ่มนมวันละกี่แก้ว?

                                1. เด็กก่อนวัยเรียน 1 ปีขึ้นไป และวัยเรียน ควรดื่มนมรสจืด 2 แก้วต่อวัน ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมครบส่วนไม่ควรเลือกดื่มนมพร่องมันเนยหรือไร้ไขมัน เพราะมีแหล่งพลังงานคือไขมันและวิตามินเอ ดี อี เค ซึ่งละลายในไขมัน
                                2. หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตรควรดื่มนมรสจืดวันละ 2 แก้ว และบริโภคปลาเล็กปลาน้อย 2 ช้อนกินข้าวหรือผักใบเขียวเข้ม 4 ทัพพี หรือเต้าหู้แข็ง 1 แผ่นเพิ่ม ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกระดูกทั้งมารดาและทารกในครรภ์
                                3. วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุแนะนำให้ดื่มนมรสจืดวันละ 2 แก้ว เพื่อให้ได้รับแร่ธาตุแคลเซียมเพียงพอ ป้องกันภาวะกระดูกพรุน

                                เห็นประโยชน์ของนมแล้ว มาดูกันต่อว่านมที่มีขายตามตลาดบ้านเรา มีกี่ชนิดบ้าง และแต่ละประเภท คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง กันต่อเลยค่ะ

                                นม
                                นม

                                นมพร้อมดื่ม มีกี่ชนิด?

                                1. นมพาสเจอร์ไรส์ (PASTEURIZED MILK)

                                หมายถึง นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ตํ่ากว่า 63 องศาเซลเซียส และคงอยู่ที่อุณหภูมินี้ไม่น้อยกว่า 30 นาที หรือทำให้ร้อนไม่ต่ำกว่า 72 องศาเซลเซียส และคงอยู่ที่อุณหภูมินี้ไม่น้อยกว่า 16 วินาที แล้วจึงทำให้เย็นลงทันทีที่อุณหภูมิ 5 องศาเซลเซียสหรือตํ่ากว่า ทั้งนี้จะผ่านกรรมวิธีทำนมสดให้เป็นเนื้อเดียวกันหรือไม่ก็ตาม

                                ข้อดี นมพาสเจอร์ไรซ์เป็นนมมีคุณค่าทางอาหาร ใกล้เคียงกับนมโคสดมากที่สุดและยังมีรสชาติสดอร่อยอีกด้วย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่านมสดพาสเจอร์ไรซ์จะเป็นนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ก็ควรใช้เลี้ยงเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 1 ขวบขึ้นไป เด็กแรกเกิดถึง 1 ขวบควรได้รับการเลี้ยงดูด้วยน้ำนมแม่ ที่นอกจากมีสารอาหารครบถ้วนแล้ว ยังมีภูมิคุ้มกันที่จำเป็นสำหรับทารกอีกด้วย

                                ข้อเสีย กรรมวิธีการพาสเจอร์ไรซ์นั้นสามารถทำลายจุลินทรีย์ได้เพียงแค่บางชนิด เช่น จุลินทรีย์ที่เป็นโทษต่อร่างกาย แต่ไม่สามารถกำจัดจุลินทรีย์ที่ทำให้นมเน่าเสียได้ ดังนั้นจึงต้องเก็บนมพาสเจอร์ไรซ์ไว้ในที่อุณหภูมิ 0-4 องศาเซลเซียส (ตู้เย็น) ตลอดเวลา หลังจาก 3-5 วัน เชื้อจุลินทรีย์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่อาจเพิ่มจำนวนขึ้นจนทำให้นมบูดได้ แต่ถ้าเปิดขวดแล้วควรดื่มให้หมดภายใน 2 วัน

                                2. นมสเตอริไลส์ (STERILIZATION MILK)

                                หมายถึง นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ตํ่ากว่า 100 องศาเซลเซียส ภายในเวลาที่เหมาะสม ทั้งนี้ต้องผ่านกรรมวิธีทำให้นมสดเป็นเนื้อเดียวกัน

                                ข้อดี เก็บได้นานโดยไม่ต้องแช่ตู้เย็น แต่ถ้าเปิดกล่องแล้วดื่มไม่หมด ควรนำไปแช่ในตู้เย็น

                                ข้อเสีย รสชาติ ความสด อร่อยน้อยกว่า เมื่อเทียบนมพาสเจอร์ไรซ์

                                3. นมยูเอชที (ULTRA HIGH TEMPERATURE MILK)

                                หมายถึง นมสดที่ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อด้วยความร้อนไม่ตํ่ากว่า 133 องศาเซลเซียส ไม่น้อยกว่า 1 วินาที แล้วบรรจุลงในภาชนะภายใต้สภาวะที่ปราศจากเชื้อ ทั้งนี้ต้องผ่านกรรมวิธีทำนมสดให้เป็นเนื้อเดียวกัน

                                ข้อดี เก็บที่อุณหภูมิห้องได้นาน แต่ถ้าเปิดกล่องแล้วดื่มไม่หมดก็ควรนำไปแช่ในตู้เย็น

                                ข้อเสีย รสชาติ ความสด อร่อยน้อยกว่า เมื่อเทียบกับนมพาสเจอร์ไรซ์ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่ามีการปรุงแต่งนมประเภทนี้เพื่อให้มีรสชาติอร่อยขึ้น

                                นมวัว
                                นมวัว

                                การดื่มนมอย่างถูกวิธี

                                • การอุ่นนมก่อนดื่มที่ถูกต้องคือ ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 60 องศาเซลเซีลส โดยอุ่นประมาณซัก 5-6 นาทีก็พอ ไม่ควรต้มนมจนเดือด เพราะน้ำตาลที่อยู่ในน้ำนมอาจไหม้และกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้
                                • ไม่ควรดื่มนมจากขวดโดยตรง เพราะจะทำให้นมที่เหลือในขวดเน่าเสียเร็วขึ้น เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นการดื่มจนหมดขวดภายในครั้งเดียว
                                • ไม่ควรดื่มนมควบคู่กับยา เพราะนมจะไปเคลือบกระเพาะอาหาร ลดการดูดซึมยา ก่อนหรือหลังรับประทานยา 1-2 ชั่วโมง ไม่ควรที่จะดื่มนม
                                • ไม่ควรเลี้ยงทารกด้วยนมเปรี้ยว หรือนมข้นหวาน เพราะนมข้นหวานเป็นแค่หางนมที่ถูกนำมาปรุงแต่งรสด้วยน้ำตาล
                                • นมที่เหมาะสำหรับเด็กก็คือนมที่ยังมีปริมาณไขมันอยู่อย่างครบถ้วน
                                • ไม่ควรเติมน้ำตาลเกิน 8 กรัมต่อนม 100 มิลลิลิตร ถ้าจะเติมควรใช้น้ำตาลทรายแดงหรือน้ำตาลอ้อยจะดีที่สุด เพราะเป็นน้ำตาลที่ร่างกายดูดซึมได้ง่าย และไม่ควรเติมน้ำตาลในนมร้อน ๆ เกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดสารพิษต่อร่างกายได้ (ควรเติมในขณะที่อุณหภูมิ 40-50 องศา)
                                • ไม่ควรรับประทานข้าวต้มพร้อมกับการดื่มนม เพราะจะไปทำลายวิตามิเอในนมได้ และจะส่งผลให้เด็กเจริญเติบโตช้า

                                จะเห็นได้ว่า นมพาสเจอร์ไรส์ เป็นนมที่สามารถเก็บสารอาหารของนมได้มากที่สุด ดังนั้น เด็กที่ดื่ม นมพาสเจอร์ไรส์ (ที่ยังมีปริมาณไขมันอยู่ครบถ้วน) จะได้รับประโยชน์ทางโภชนาการจากการดื่มนมมากที่สุด ทั้งนี้ข้อเสียของ นมพาสเจอร์ไรส์ คือต้องเก็บอยู่ในตู้เย็น และต้องทานให้หมดภายใน 3-5 วัน ดังนั้นนมชนิดอื่น ๆ ที่แม้แต่จะมีคุณค่าทางโภชนการที่รองลงมา แต่สามารถเก็บได้นานกว่า ก็เป็นอีก 1 ทางเลือก ให้แม่ ๆ ได้ตัดสินใจค่ะ การเลือกนมชนิดใดก็ตามให้ลูกของแต่ละบ้าน ควรเน้นที่ความเหมาะสมของแต่ละครอบครัวค่ะ

                                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                อาหารเสริมทารก เริ่มด้วยอาหารแบบไหน? ทานอย่างไร?

                                14 อาหาร เสริมภูมิคุ้มกันลูก ช่วยให้ลูกไม่ป่วยง่าย!

                                แจกสูตร 12 เมนูอาหารง่ายๆ สำหรับแม่ทำกับข้าวไม่เก่ง เข้าครัวเพื่อลูก!

                                ช่วยฝึกลูกนั่ง คลาน ยืน เดิน อย่างถูกวิธี และไม่เร่งลูก

                                 

                                ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักข่าว Hfocus เจาะลึกระบบสุขภาพ, pobpad.com, ไทยเกษตรศาสตร์www.maanow.com, สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพิจิตร

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  เมนูไข่ง่าย ๆ

                                  7 เมนูไข่ง่าย ๆ ทำกินได้บ่อย ทั้งอร่อยและมีประโยชน์!!

                                  แม่!! วันนี้ทำอะไรให้กิน? คำถามยอดฮิตของลูก แต่เป็นปัญหาโลกแตกของแม่ ทีมแม่ ABK มีตัวช่วย กับ 7 เมนูไข่ง่าย ๆ ที่รับรองว่าลูกต้องร้องว้าว!!

                                  7 เมนูไข่ง่าย ๆ ทำกินได้บ่อย ทั้งอร่อยและมีประโยชน์!!

                                  ช่วงปิดเทอม ช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้าน ช่วงที่ลูกเรียนออนไลน์ หน้าที่แม่อย่างเรา ๆ ก็คงจะหนีไม่พ้นการเตรียมอาหารให้ลูกรัก แต่อยู่บ้านนาน ๆ แม่ก็เริ่มจะหมดมุขที่จะทำอาหารให้ลูกทานแล้ว ทีมแม่ ABK จึงขอแนะนำ เมนูไข่ง่าย ๆ ที่ใช้เวลาปรุงไม่นาน แต่เด็ก ๆ ชอบทาน มาให้แม่ ๆ ได้จดสูตรกันค่ะ

                                  ไข่ดาวฟู
                                  ไข่ดาวฟู
                                  1. ไข่ดาวก้อนเมฆ

                                  มาเปลี่ยนไข่ดาวธรรมดา ๆ ให้ดูน่าทานกับเมนูไข่ดาวฟู หรือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ไข่ดาวซูเฟล่ กันดีกว่า!!

                                  ส่วนผสม

                                  • ไข่ไก่2 ฟอง
                                  • เนย10 กรัม

                                  วิธีทำ

                                  1. แยกไข่แดงออกจากไข่ขาว
                                  2. ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูจนตั้งยอด ถ้ามีเครื่องตีไฟฟ้าจะช่วยประหยัดเวลาขึ้น
                                  3. ทาเนยลงบนกระทะ เปิดไฟอ่อน ใส่ไข่ขาวที่ตีจนฟูลงไป และกดตรงกลางให้เป็นรอยบุ๋ม
                                  4. ปิดฝากระทะ อบทิ้งไว้ 10 นาที
                                  5. ใส่ไข่แดงลงไป ปิดฝาอบทิ้งไว้อีก 5-10 นาที ตามความสุกของไข่แดงที่ชอบ
                                  6. เสิร์ฟพร้อมชุดอาหารเช้า หรือทานเปล่า ๆ กับพริกไท เกลือ แม็กกี้ หรือซอสมะเขือเทศ
                                  ขอบคุณสูตรจากคุณ Myeze
                                  อะโวคาโด้อบไข่
                                  อะโวคาโดอบไข่

                                  2. อะโวคาโดอบไข่

                                  เด็กบางคนไม่ชอบทานอะโวคาโดเปล่า ๆ เราจึงขอเสนอเมนูนี้ อะโวคาโดอบไข่ ที่จะทำให้เด็กได้รับประโยชน์ทั้งจากไข่และอะโวคาโด้ แถมอร่อยด้วย!!

                                  ส่วนผสม

                                  • อะโวคาโด 1 ลูก (ใหญ่)
                                  • ไข่ไก่ 1 ฟอง

                                  วิธีทำ

                                  1. ผ่าครึ่งอโวคาโด้ ตักเนื้อตรงกลางออกให้พอดีกับขนาดไข่ที่จะตอกลงไป
                                  2. ตอกไข่ใส่ในผลอะโวคาโด้
                                  3. นำเข้าเต้าอบ ไฟ 180 องศา ประมาณ 20นาที หรือตามความพอใจ ว่าชอบไข่สุกประมาณไหน
                                  4. อบเสร็จโรยเกลือ กับ พริกไทยเล็กน้อย เสิร์ฟพร้อมกาแฟ เป็นอาหารเช้า
                                  ขอบคุณสูตรจากคุณ k. Puibali

                                  3. แกงจืดไข่น้ำ (แกงจืดไข่เจียว)

                                  เมนูที่คนไทยรู้จักกันดี เป็น เมนูไข่ง่าย ๆ ที่อยู่คู่กับแม่บ้านไทยมาช้านาน ทั้งทำได้ง่าย และอร่อย เด็ก ๆ ชอบ!!

                                  ส่วนผสม

                                  • ไข่ 2 ฟอง
                                  • หมูสับ 100-200 กรัม
                                  • ต้นหอม 3 ต้น
                                  • น้ำซุปกระดูกหมู หรือน้ำซุปผัก
                                  • ซีอิ้วขาว
                                  • ซอสปรุงรส

                                  วิธีทำ

                                  1. ตอกไข่ ใส่หมูสับลงไปในชามผสม ใส่ซอสปรุงรสเล็กน้อย เจียวไข่และหมูสับให้เข้ากัน
                                  2. ตั้งกระทะ ไฟปานกลาง ใส่น้ำมันลงไปในกระทะเล็กน้อย
                                  3. รอจนกระทะเริ่มร้อน นำไข่ที่เจียวไว้ลงไปทอด
                                  4. ตักไข่เจียวขึ้นมาพักไว้ และหั่นไข่เจียวให้เป็นชิ้นพอดีคำ
                                  5. ต้มน้ำซุปกระดูกหมู หรือน้ำซุปผักให้เดือด ปรุงรสให้กลมกล่อมด้วยซีอิ้วขาว (สำหรับเด็กเล็ก ไม่จำเป็นต้องปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวก็ได้)
                                  6. ใส่ไข่เจียวที่หั่นแล้วลงไป
                                  7. ใส่ต้นหอมที่หั่นเป็นท่อนลงไป รอให้เดือด แล้วนำมาเทใส่ชาม พร้อมเสริฟ
                                  แซนด์วิชไข่ชีส
                                  แซนด์วิชไข่ชีส

                                  4. แซนด์วิชไข่ใส่ชีส

                                  เมนูเพิ่มพลังลูก แถมสารอาหารครบถ้วน ทำง่าย ทานง่าย และหมดเกลี้ยงได้ง่าย ๆ

                                  ส่วนผสม

                                  • ไข่ไก่ 2-4 ฟอง
                                  • ผักตามชอบ เช่น หัวหอม มะเขือเทศ ผักโขม หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
                                  • ขนมปัง
                                  • ชีส

                                  วิธีทำ

                                  1. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันหรือเนยเล็กน้อย ผัดหัวหอม ผักโขม และมะเขือเทศให้สุก
                                  2. ตอกไข่ลงในกระทะ ใส่ผักและชีสลงไป คนให้เละ แล้วนำมาใส่จานพักไว้
                                  3. ทาเนยลงบนขนมปังทั้ง 2 แผ่น
                                  4. นำไข่คนมาวางไว้บนขนมปัง ปิดด้วยขนมปังอีกแผ่น
                                  5. นำแซนด์วิชไปอบให้อุ่น แล้วนำมาเสริฟเด็ก ๆ ได้เลย

                                  Tips : สามารถเปลี่ยนจากขนมปังเป็นครัวซองท์ และผสมเนื้อสัตว์ เช่น เบคอน แฮม หั่นเล็ก ๆ ในแซนด์วิชได้นะคะ

                                  ขอบคุณสูตรจาก : momjunction

                                  5. ข้าวผัดไข่ใส่เบคอน

                                  เมนูแสนง่าย แต่เด็กทานสบาย แถมทานได้กันทั้งครอบครัวอีกด้วย

                                  ส่วนผสม

                                  • ข้าวสวย
                                  • ไข่ไก่ 1-2 ฟอง
                                  • เบคอน (หรือเปลี่ยนเป็นแฮมก็ได้)
                                  • ผักหั่นเต๋า (แครอท ข้าวโพด ถั่วลันเตา)
                                  • ซอสปรุงรส

                                  วิธีทำ

                                  1. ตั้งกระทะใช้ไฟปานกลางถึงแรง ใส่น้ำมันลงไปเล็กน้อย
                                  2. ใส่เบคอน (หรือเนื้อสัตว์ชนิดอื่น ๆ) ผัดให้สุก
                                  3. ใส่ผักตามลงไป ผัดให้สุกเช่นกัน
                                  4. ตอกไข่ลงในกระทะ คนให้เข้ากับเบคอนและผัก
                                  5. ใส่ข้าวสวยลงไปผัดให้เข้ากัน ใส่ซอสปรุงรส น้ำตาลเล็กน้อย
                                  6. นำขึ้นมาเสริฟ

                                  6. ไข่ม้วนใส่ผัก

                                  ส่วนผสม

                                  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
                                  • นมจืด 1 ถ้วย
                                  • ผักหั่นเต๋า (แครอท หัวหอม หอมแดง ฯลฯ)
                                  • เห็ดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
                                  • มอสซาเรลล่าชีส
                                  • เกลือ
                                  • พริกไทยเล็กน้อย (สำหรับเด็กโต)

                                  วิธีทำ

                                  1. ตอกไข่ ใส่นม เกลือปรุงรสเล็กน้อย ตีให้เข้ากัน คอยช้อนฟองออกจากไข่ที่คนแล้ว
                                  2. ผสมผักที่หั่นแล้วลงไป ใส่พริกไทยเล็กน้อย คนให้เข้ากัน
                                  3. ตั้งกระทะ ใช้ไฟปานกลาง ทาน้ำมันให้ทั่วกระทะ
                                  4. เทไข่ที่ตีแล้วลงไปครึ่งนึง หรี่ไฟต่ำ จนไข่สุกทั่วกระทะ
                                  5. ค่อย ๆ ม้วนไข่ขึ้นไปด้านบนของกระทะ
                                  6. จากนั้นให้ทาน้ำมันที่กระทะ แล้วเทไข่ 1/4 ลงไปที่กระทะที่ทาน้ำมันไว้แล้ว รอจนไข่สุก
                                  7. ม้วนไข่ที่ม้วนไว้ลงมา
                                  8. ทำข้อ 5-7 วนไปมาจนกว่าไข่จะหมด
                                  9. นำไข่ที่ม้วนเสร็จแล้วมาหั่นให้พอดีคำ
                                  ขอบคุณสูตรจาก : momjunction
                                  มักกะโรนีไข่ต้ม
                                  มักกะโรนีไข่ต้ม

                                  7. มักกะโรนีไข่ต้ม

                                  ส่วนผสม

                                  • เส้นมักกะโรนี
                                  • ไข่ต้ม 8-10 ฟอง (ใช้ไข่ทั้งฟองเพียง 2 ฟอง ไข่ที่เหลือใช้แต่ไข่ขาว)
                                  • หัวหอม 2 หัวเล็ก (หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ)
                                  • เนย 1/2 ช้อนชา
                                  • ผักและถั่วตามชอบ (หั่นชิ้นเล็ก)
                                  • กระเทียมและขิงแบบเข้มข้น (Ginger Garlic Paste) 1/2 ช้อนชา
                                  • ผงขมิ้น 1/2 ช้อนชา
                                  • น้ำเปล่า
                                  • เกลือ 2 1/2 ช้อนชา
                                  • น้ำมันมะกอก 9 ช้อนชา

                                  วิธีทำ

                                  1. ต้มน้ำในหม้อจนเดือด ใส่ เกลือ 1/2 ช้อนชา และน้ำมันมะกอก 2 ช้อนชาลงไปในน้ำ
                                  2. ใส่มักกะโรนีลงไป คอยคน ควรต้มเส้นมักกะโรนี้ไม่เกิน 9 นาที และไม่ต้องลดไฟลง
                                  3. เทน้ำออกจากเส้นมักกะโรนี คลุกเนยใส่ในมักกะโรนีที่เทน้ำออกแล้ว นำไปพักไว้
                                  4. เทน้ำมันลงในกระทะ ใส่หัวหอม ผัดจนสุก ใส่ผักที่หั่นแล้วลงไป ใส่กระเทียมและขิงแบบเข้มข้น ผงขมิ้น และเกลือลงไป
                                  5. ใส่ไข่ต้มลงไป บดให้ไข่ละเอียด และใส่เส้นมักกะโรนีลงไป พร้อมเสริฟ
                                  ขอบคุณสูตรจาก : momjunction

                                  ไม่ยากเลยใช่ไหมละคะ กับ เมนูไข่ง่าย ๆ ที่เน้นทำได้ง่าย ทำได้เร็ว แต่ลูกชอบ และมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน แม่ ๆ คนไหนที่ทำตามสูตรนี้ อย่าลืมส่งรูปมาอวด ทีมแม่ ABK บ้างนะคะ

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  แจกสูตร 12 เมนูอาหารง่ายๆ สำหรับแม่ทำกับข้าวไม่เก่ง เข้าครัวเพื่อลูก!

                                  ห้ามลูกกิน! 18 อาหารอันตราย เสี่ยงทำลายสมอง พัฒนาการช้า

                                  10 อาหารที่คนท้องควรกิน พร้อมเมนูอร่อยสำหรับแม่และลูก

                                  โปรแกรมคำนวณภาวะโภชนาการ เช็กน้ำหนักส่วนสูง ความสมส่วนของลูก

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    ลูกชอบนอนละเมอ

                                    ลูกชอบนอนละเมอ พ่อแม่ควรกังวลไหม จะแก้ไขได้อย่างไร?

                                    ลูกชอบนอนละเมอ – การนอนละเมอในเด็ก คือการที่เด็กตื่นขึ้นมาระหว่างการนอนหลับ แต่ไม่รู้ถึงการกระทำของตัวเอง ลักษณะของการนอนละเมอ เด็ก มีทั้ง ละเมอพูด  ละเมอกรีดร้อง อาจลุกขึ้นมานั่งเฉยๆ  หรือ ลุกขึ้นเดินไปเดินมา โดยไม่รู้ตัว อาการนี้มักพบได้บ่อยในเด็กอายุระหว่าง 4 ถึง 8 ขวบ เด็กส่วนใหญ่ที่มีอาการละเมอ จะเริ่มนอนละเมอในช่วงหนึ่งหรือสองชั่วโมงหลังจากหลับไป และมักจะกินเวลาตั้งแต่ 5 ถึง 15 นาที โดยทั่วไปพฤติกรรมนี้ไม่เป็นอันตราย และเด็กส่วนใหญ่มีประสบการณ์การนอนละเมอได้เป็นเรื่องปกติ แต่การนอนละเมออาจเป็นอันตรายได้หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแล สิ่งสำคัญคือ ต้องปกป้องบุตรหลานของคุณจากการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้จากการนอนละเมอ

                                    ลูกชอบนอนละเมอ พ่อแม่ควรกังวลไหม จะแก้ไขได้อย่างไร?

                                    สาเหตุของการนอนละเมอ?

                                    มีหลายปัจจัยที่สามารถนำไปสู่การละเมอ ได้แก่ :

                                    • อ่อนเพลียหรือขาดการนอนหลับ
                                    • นิสัยการนอนหลับที่ผิดปกติ
                                    • ความเครียดหรือความวิตกกังวล
                                    • อยู่ในสภาพแวดล้อมการนอนหลับที่แตกต่างกัน (ไม่คุ้นเคยกับสถานที่)
                                    • เจ็บป่วยหรือมีไข้
                                    • ยาบางชนิดรวมทั้งยาระงับประสาทยากระตุ้นและยาแก้แพ้
                                    • ประวัติการนอนละเมอของคนในครอบครัว

                                    นอกจากนี้ การนอนละเมออาจมีภาวะผิดปกติอื่นๆ ของร่างกาย ที่อาจเป็นต้นเหตุได้ เช่น :

                                    • มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (หยุดหายใจช่วงสั้น ๆ ในตอนกลางคืน)
                                    • ความสยดสยองในตอนกลางคืน (ฝันร้ายตอนนอนหลับสนิท)
                                    • ไมเกรน
                                    • โรคขาอยู่ไม่สุข (RLS)
                                    • บาดเจ็บที่ศีรษะ
                                    ลูกชอบนอนละเมอ
                                    ลูกชอบนอนละเมอ

                                    อาการละเมอเป็นอย่างไร?

                                    การเดินในระหว่างการนอนหลับอาจเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของการละเมอ แต่ยังมีการกระทำอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาวะนี้

                                    อาการละเมออาจรวมถึง:

                                    • นั่งบนเตียงและเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ
                                    • ลุกขึ้นเดินไปรอบ ๆ บ้าน
                                    • พูดหรือพึมพำระหว่างการนอนหลับ (พบได้บ่อยที่สุด)
                                    • กรีดร้องด้วยความตกใจกลัว
                                    • ไม่ตอบสนองเมื่อมีคนพูดด้วย
                                    • ปัสสาวะในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม
                                    • ทำพฤติกรรมซ้ำ ๆ เช่น การเปิดและปิดประตูห้องนอน

                                    การวินิจฉัยอาการ

                                    โดยทั่วไปการนอนละเมออาจไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา เพียงแต่แพทย์จะให้คำปรึกษาถึงแนวทางในการป้องกัน แพทย์อาจทำการตรวจร่างกายและจิตใจเพื่อแยกแยะเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดการนอนละเมอ ซึ่งหากปัญหาทางการแพทย์อื่นๆ ทำให้ลูกของคุณนอนละเมอก็อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาสำหรับปัญหาพื้นฐาน

                                    หากแพทย์สงสัยว่ามีปัญหาการนอนหลับอื่น ๆ เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจตรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณภาพการนอนหลับของลูก โดยอาจใช้เวลาทั้งคืนในห้องแล็บสำหรับการนอนหลับ โดยใช้อิเล็กโทรดติดอยู่กับบางส่วนของร่างกายเด็กเพื่อวัดอัตราการเต้นของหัวใจคลื่นสมองอัตราการหายใจความตึงของกล้ามเนื้อการเคลื่อนไหวของตาและขาและระดับออกซิเจนในเลือด กล้องอาจบันทึกภาพเด็กขณะหลับ

                                    แพทย์อาจแนะนำคุณพ่อคุณแม่ให้ใช้เทคนิคที่เรียกว่า การตื่นนอนตามกำหนดเวลา สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการเฝ้าดูบุตรหลานของคุณสักสองสามคืน เพื่อตรวจสอบว่ามักจะละเมอขึ้นมาในเวลาใด จากนั้นปลุกลูกให้พอรู้สึกตัว แล้วนอนหลับต่อ ซึ่งจำเป็นต้องทำวิธีนี้ในช่วง 15 นาที ก่อนที่จะมีการละเมอในเวลาเดิมจากการเฝ้าสังเกต วิธีนี้สามารถช่วยรีเซ็ตวงจรการนอนหลับของเด็กและควบคุมพฤติกรรมการละเมอได้

                                    หากการนอนละเมอก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นอันตราย หรือทำให้ลูกรู้สึกอ่อนเพลียมากเกินไป แพทย์อาจสั่งจ่ายยา เช่น เบนโซไดอะซีปีน (ยาออกฤทธิ์ทางจิตที่มักกำหนดเพื่อรักษาความวิตกกังวล) หรือยาแก้ซึมเศร้า

                                    การนอนละเมอควรได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน ก็ต่อเมื่อมีความสงสัยว่าอาการละเมอไม่ใช่อาการละเมอที่แท้จริง แต่อาจเป็นการ ชักขณะหลับ วิธีสังเกต คือ โดยปกติคนเราจะละเมอ คืนละ 1-2 ครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในช่วงของการหลับลึก (Rem Sleep) แต่หากมีการละเมอมากกว่านั้นอาจไม่ใช่การละเมอ และควรพบแพทย์  นอกจากนี้ในส่วนของการละเมอเดินจัดเป็นภาวะที่ควรพบแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายต่อตัวเด็กได้สูงมาก

                                    การรักษาสภาพแวดล้อมในบ้านให้ปลอดภัย

                                    หากคุณสังเกตเห็นว่าลูกของคุณนอนละเมอ เช่นการลุกขึ้นยืนหลับตา หรือลุกขึ้นนั่ง ให้พยายามพาพวกเขากลับไปที่เตียงอย่างนุ่มนวล อย่าพยายามปลุกเพราะอาจทำให้พวกเขารู้สึกแย่ลงได้ แต่ให้สร้างความมั่นใจให้กับบุตรหลานของคุณด้วยคำพูด และช่วยพาพวกเขากลับไปที่เตียง

                                    นอกจากนี้ยังมีมาตรการด้านความปลอดภัยที่สามารถทำได้รอบ ๆ บ้านเพื่อช่วยให้บุตรหลานของคุณปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ ได้แก่ :

                                    • ปิดและล็อคประตูและหน้าต่างทั้งหมดในเวลากลางคืน
                                    • ติดตั้งสัญญาณเตือนที่ประตูและหน้าต่างหรือติดตั้งล็อคให้พ้นมือเด็ก
                                    • เคลียร์สิ่งของที่อาจเป็นอันตรายจากการสะดุด
                                    • นำของมีคมและแตกหักออกจากรอบ ๆ เตียงของบุตรหลานของคุณ
                                    • ไม่ให้ลูกนอนบนเตียงสองชั้น
                                    • ติดตั้งประตูนิรภัยหน้าบันไดหรือทางเข้าประตู

                                    ลูกชอบนอนละเมอ

                                    การป้องกันการนอนละเมอ

                                    การช่วยลูกของคุณพัฒนานิสัยการนอนหลับที่ดีและเทคนิคการผ่อนคลายสามารถช่วยป้องกันการนอนละเมอได้  ทั้งการได้เข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลา เพื่อคุณภาพการนอนหลับที่ดี ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการนอนละเมอได้ ทั้งนี้การรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของการนอนให้เหมาะสม ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการนอนละเมอได้

                                    ลองทำสิ่งต่อไปนี้เพื่อช่วยป้องกันการนอนละเมอ:

                                    • ฝึกให้ลูกเข้านอนเวลาเดียวกันทุกคืน
                                    • สร้างกิจวัตรก่อนนอนที่ผ่อนคลาย เช่น อาบน้ำอุ่น หรือฟังเพลงสบาย ๆ
                                    • สร้างสภาพแวดล้อมการนอนหลับที่มืดเงียบ และสบายสำหรับเด็กๆ
                                    • ลดอุณหภูมิในห้องนอนให้ต่ำกว่า 24 ° C
                                    • จำกัด ของเหลวก่อนนอน และควรให้ลูกปัสสาวะก่อนเข้านอน
                                    • หลีกเลี่ยงการให้ลูกบริโภคน้ำตาลก่อนนอน

                                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com , rama.mahidol.ac.th

                                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                    ลูกนอนกรน หายใจเสียงดัง เสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

                                    ลูกนอนน้อย นอนดึก แก้ได้ด้วย 5 ต้องห้าม 5 ต้องทำ!!

                                    สัญญาณเตือน! ลูกนอนไม่พอ พ่อแม่ต้องรู้ ก่อนสายเกินแก้

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่