คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว เพิ่มกำลังใจ

30 คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว สุดสตรอง พร้อมลุกขึ้นสู้ใหม่เพื่อลูก

คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว ข้อคิดเสริมใจ มาร่วมส่งแรงใจ ให้ single mom ทุกคนเข้มแข็ง พร้อมลุกขึ้นสู้กับชีวิต เพื่อลูก! แม้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่เชื่อเถอะคุณทำได้

30 คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว สุดสตรอง พร้อมลุกขึ้นสู้ใหม่เพื่อลูก!!

การเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว คงไม่มีใครคาดคิดมาล่วงหน้า คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมือใหม่ อาจจะยังทำใจกับความเจ็บปวดยังไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดที่เราจะรู้สึกแย่ ในช่วงเวลาแรก ๆ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมากมายที่ใจสตรองแล้ว คงสามารถเห็นได้ว่า ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวเลย การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมิได้แย่อย่างที่คิด ดังนั้น หากคุณแม่กำลังดำดิ่งกับความรู้สึกแย่ ขออย่ารู้สึกแย่นานเกินไป รีบทำใจ และหันมามองลูกน้อย ที่กำลังจ้องมองคุณด้วยดวงตาใสแป๋ว พร้อมความเป็นห่วงในแบบเด็ก ๆ เผื่อคุณจะพอเรียกสติกลับคืนมาได้

แต่หากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวท่านใดยังต้องการพลังใจอีก เราลองมาอ่าน คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว เพื่อเพิ่ม เสริม สร้าง ความรู้สึกดี ๆ และกำลังใจจากพลังความคิดแง่บวกกันดูสักทีจะดีไหม

แม่เลี้ยงเดี่ยว ให้กำลังใจตัวเองจาก คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว
แม่เลี้ยงเดี่ยว ให้กำลังใจตัวเองจาก คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว

30 คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว ได้ข้อคิดปรับความคิดให้สตรอง!!

  1. หากเหตุผลดี ๆ ไม่ช่วยรั้งใคร จงเปลี่ยนใหม่ เลือกทำตาม “ความรู้สึกของตนเอง”
  2. จุดจบของความรัก อาจเป็น จุดเริ่มต้น ของอะไรที่ดีกว่าเก่า
  3. หนึ่งในความภูมิใจของแม่ คือ เอาชนะคำดูถูกของคนอื่น ด้วยการเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
  4. คนรักแย่ ๆ ก็เหมือนกระดาษทราย ที่ขัดเกลาให้เราสวยขึ้น ในขณะที่เขากลายเป็นกระดาษที่ยับเยิน และไม่มีค่าอีกต่อไป
  5. ยิ้มที่มอบความสุข และเยียวยาจิตใจแม่ได้ดีที่สุด คือยิ้มของลูก
  6. อย่าเสียดาย คนห่วย ๆ ที่เดินจากไป แต่จงเสียดายวันเวลาที่มีค่า ที่เราสูญเสียไป
  7. จงอย่ากลัวกับความเปลี่ยนแปลง เพราะทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้แต่ใจคน
  8. แม่ทำทุกอย่าง เพราะอยากเห็นลูกมีความสุข แล้วเราจะมานั่งทุกข์เพราะคนอื่นทำไม
  9. ชีวิตไม่ได้แย่ แค่บางครั้งมันถึง “จุดเปลี่ยน” ให้เจอชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
  10. สิ่งที่ได้เรียนรู้จากวันนี้ คือ เราสามารถยิ้ม และมีความสุขได้ทุกวัน โดยไม่ต้องพยายามรั้งบางสิ่งที่เคยคิดว่า “จำเป็นต้องมี”
  11. ครอบครัวอบอุ่นไม่ได้วัดกันที่จำนวนคน แต่วัดกันที่ความเข้าใจ
  12. คืนที่ท้องฟ้ามืดมิด เราจะมองเห็นดาวได้ชัดที่สุด เช่นเดียวกับวันใดที่ทุกข์ที่สุด จะเห็นว่าใครรักเราที่สุด
  13. แม่อาจจะกอดตัวลูกได้แค่ไม่กี่ปี แต่สัญญาว่าจะกอดหัวใจบริสุทธิ์ดวงนี้ไว้ตลอดกาล
  14. วันใดที่รู้สึกแย่ ยังมีคนที่ไม่ทิ้งเราแน่ ๆ คือ พ่อแม่เรา
  15. ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงที่สุดของลูก คือ ความรักจากแม่
  16. เหน็ดเหนื่อยท้อแท้กับงาน ให้คิดไว้เสมว่า กลับบ้าน ยังมีลูกรักรออยู่
  17. รักเดียวที่ฉันเชื่อ คือ รักของแม่ที่มีต่อลูก
  18. งานหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ลูกเป็นเด็กให้แม่กอดได้ไม่นาน จงให้เวลากับลูกรัก เพื่อรักษาความสุขให้อยู่กับคุณและลูกทั้งชีวิต
  19. การอโหสิกรรม ไม่ได้อยากทำให้คนที่ทำเราเจ็บปวดรู้สึกดี แต่ทำเพื่อให้โอกาสตัวเราเอง ได้มีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่
  20. ไม่มีใครทำให้เราแย่ได้เท่ากับใจเราเอง

    คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว เพิ่มกำลังใจ
    คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว เพิ่มกำลังใจ
  21. จงอย่าเสียเวลาแม้เสี้ยววินาที ไปกับคนที่ไม่เห็นค่าของเรา
  22. จงอย่าทำให้ตัวเองถูกกระทำเหมือนของไม่มีค่า กับคนที่เราเคยให้คุณค่ามาตลอดทั้งชีวิต
  23. ไม่เสียใจเลยที่มีเขาออกมา มันเป็นสิ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรามีค่า
  24. สิ่งที่แย่ที่สุด มันไม่ได้แย่ที่สุด เพราะคุณจะพบสิ่งที่ดีที่สุดในวันต่อ ๆ ไป
  25. ผู้หญิงมักจะมีความเข้มแข็งในตัวเอง โดยที่เราไม่คิดว่าจะเข้มแข็งได้มากขนาดนี้
  26. เลี้ยงเดี่ยวไม่เห็นต้องอาย เพราะที่ต้องอายคือควายที่ทิ้งไปมากกว่า
  27. ชีวิตก็เหมือน “ล็อตเตอรี่” ต่อให้เลือกซะดิบดี ก็ใช่ว่าที่มีมันจะถูกเสมอไป!!
  28. ไม่มีเงินเรียก “หมดตัว” ไม่มีผัว (เลว) เรียก “หมดเวรหมดกรรม”
  29. กำลังใจที่ดีที่สุด คือการให้กำลังใจตัวเอง และก้าวต่อไปด้วยรอยยิ้มของลูก
  30. ให้กำลังใจคนอื่นมามากมาย แต่อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง ลุกขึ้น แต่งหน้า ปาดน้ำตาแล้วไป!!

เคล็ดลับช่วยให้ ก้าวข้ามผ่านความผิดหวัง สร้างพลังให้ตนเอง!!

พักใจก่อน

พักใจ หยุดคิดในแง่ลบ หรือคิดเรื่องที่ทำร้ายตนเอง เช่น เราไม่ดีพอเขาเลยทิ้งเราไป ทำไมเราทำตัวไม่ได้เรื่อง เป็นต้น เพราะเรื่องเหล่านี้นอกจากจะบั่นทอนกำลังใจเราแล้ว ยังไม่ก่ให้เกิดผลดีอีกด้วย เลิกโทษตัวเอง หรือว่าตัวเองก่อน บ่อยครั้งที่เราผิดหวัง หรือทำอะไรพลาด ธรรมชาติของมนุษย์ชอบหาเหตุผลว่า “ทำไม”

ยิ้มสู้ มองโลกแง่ดี เพื่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีความสุข
ยิ้มสู้ มองโลกแง่ดี เพื่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีความสุข

เวลาที่คน ๆ หนึ่งถูกบอกเลิกจากอีกคนหนึ่ง ฝ่ายที่อยากบอกเลิกมักจะคอยหาเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อมาบอกเลิก เพราะจิตใต้สำนึกรู้สึกว่าตัวเองทำผิด จึงพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนเพื่อลบล้างความผิดของตนให้เบาลง บ่อยครั้งเหตุผลเหล่านั้นคือการโทษอีกฝ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดพอสมควร เพราะนอกจากฝ่ายที่ถูกบอกเลิกจะเสียใจที่คนรักทิ้งไปแล้ว ยังรู้สึกอีกว่า “ฉันไม่ดีพอ เขาถึงทิ้งฉันไป” อีกด้วย ความรู้สึกของคนถูกทิ้งบางทีเจ็บไม่นาน แต่ความรู้สึกว่า”ฉันไม่ดี” อันนี้เจ็บนานกว่า

เรามาฝึกให้มีภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้ดีพอกันดีกว่า เพื่อที่จะก้าวข้าวผ่านมันไปได้ บ่อยครั้งที่อีกฝ่ายพูดกับเราแค่ครั้งเดียว แต่ที่เหลือเป็นความคิดเราเองที่คิดซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ เท่ากับว่าคนที่ทำร้ายตัวเราเองไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นความคิดของเราเอง จงหยุดคิดที่โทษตัวเองก่อน พักใจก่อน ดึงสติกลับมา หยุดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ เพราะคนที่คิดมาก และเครียดมักชอบหมกมุ่นกับความคิดในอดีต และอนาคตมากกว่าปัจจุบัน

ตั้งสติ ดึงเหตุผลมาใช้มากกว่าอารมณ์

นำความผิดพลาดมาไตร่ตรองดูว่า เราจะพัฒนาตัวเราเองได้อย่างไรบ้างจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่ใช่หาความไม่ดีเพื่อโทษตัวเอง แต่เป็นการพัฒนาปรับปรุงเพื่อให้เราจะได้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเราคนเมื่อวาน ตัวอย่างเช่น โทมัส อัลวา เอดิสัน ผู้ซึ่งพัฒนาหลอดไฟให้เราได้ใช้กันในปัจจุบัน เขาถูกคนเรียกว่าเป็นเด็กหัวขี้เลื่อยจนต้องออกจากโรงเรียน และยังโดนทำร้ายร่างกายจนหูหนวก โดนไล่ออกจากงาน กว่าเขาจะประสบความสำเร็จ และสร้างสิ่งประดิษฐ์กว่าพันชิ้น เขาต้องผ่านปัญหาและอุปสรรคมาอย่างโชกโชน แต่เขาก็ไม่ย่อท้อยังคงสู้ต่อและทิ้งสิ่งดีดีไว้ให้คนรุ่นหลังต่อไป

แม่เลี้ยงเดี่ยว ก็เฟี้ยวได้ กำลังใจจากเจ้าตัวน้อย
แม่เลี้ยงเดี่ยว ก็เฟี้ยวได้ กำลังใจจากเจ้าตัวน้อย

อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

ข้อนี้สำคัญมาก เพราะจะทำให้เราหมดกำลังใจ แถมยังเป็นการทำร้ายตัวเอง เพราะเรามักคิดว่าทำไมต้องเป็นเราที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเพื่อน หรือคนที่คุณนำมาเปรียบนั้น อาจจะมีปัญหาที่เขาต้องแก้ไข และเผชิญอยู่เช่นกัน แต่เขาไม่กลัวกับปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามา เพียงแต่เขาอาจจะรู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไรทำให้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา สิ่งที่เราเจอไม่ใช่ “ความโชคร้าย” แต่เป็น “วัคซีน” ที่คอยกระตุ้นเราให้มีภูมิคุ้มกันต่อปัญหาที่จะเข้ามาอีกเรื่อย ๆ เรียกว่า โชคดีที่โชคร้ายนั่นเอง

บางทีหากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวลองมองดู ก็จะพบว่าความที่เราเลี้ยงลูกมาคนเดียวนั้น สิ่งที่เราได้มากกว่านั่นคือ ความรัก ความภูมิใจ และอ้อมกอดของลูกที่มีให้เราเพียงคนเดียว

หาสิ่งที่ทำให้คิดแง่บวกเข้าไว้

เพราะความคิดในแง่ลบนอกจากจะบั่นทอนจิตใจแล้ว ยังไม่ทำให้อะไรดีขึ้นอีกด้วย ตรงกันข้ามกับความคิดในแง่บวก หากจิตใจเราดีแล้ว กายเราก็จะดีตามไปด้วย การหาสิ่งที่ทำให้คิดบวก การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เราสุขใจ คิดบวก ก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น การได้อ่านข้อคิดดี ๆ คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่โดน ๆ ก็ช่วยให้เรามองเห็นแง่คิดในหลาย ๆ มุม และสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของตัวเราเองได้

เรียนรู้จากบุคคลอื่น จากประสบการณ์ของเขาที่ผ่านมา

หากคุณแม่ยังคงไม่มีกำลังใจ ไม่มีแรงที่จะยอมรับความเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ให้เราเรียนรู้จากบุคคลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือบุคคลใกล้ ๆ ตัวก็ได้ ว่าเขาเรียนรู้ที่จะผ่านปัญหาไปได้อย่างไร โดยคุณแม่อาจลองเข้ากลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีการรวมตัวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้กำลังใจกัน หรือช่วยแบ่งเบากันและกันภายในกลุ่ม ซึ่งปัจจุบันมีการรวมตัวกันในโลกออนไลน์หลายกลุ่ม การได้กำลังใจจากคนรอบข้างก็สำคัญทั้งคนที่เรารู้จัก และไม่รู้จัก

หากำลังใจจากคนรู้จัก และไม่รู้จัก เพื่อสู้ต่อไป
หากำลังใจจากคนรู้จัก และไม่รู้จัก เพื่อสู้ต่อไป

การเลี้ยงลูกโดยปกติก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว ยิ่งยากมากขึ้นไปอีก

หมอมีเคสที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวพาลูกๆ มาปรึกษา
ในวันที่ตั้งใจดูแลลูกเต็มที่ พยายามทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อแม่ให้ลูก ความเครียดและเหนื่อยที่มากขึ้น อาจเป็นสองเท่าหรือมากกว่า ชวนให้รู้สึกท้อแท้ใจได้บ่อยๆ
.
อย่าลืมว่าก่อนที่จะไปดูแลใคร สำคัญที่สุดเราต้องดูแลตัวเองให้โอเคก่อน
แม่เลี้ยงเดี่ยวก็เหนื่อยได้ ท้อแท้ได้ และพักได้ ต้องหาตัวช่วยบ้างในเวลาที่จำเป็น
แน่นอนแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคนเป็นมนุษย์ธรรมดา การทำผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทำความเข้าใจ ยอมรับ แล้วให้ความผิดพลาดนั้นเป็นประสบการณ์
ชื่นชม และ ให้อภัยตัวเองได้อย่างเหมาะสม
.
ในการที่เป็นแม่(หรือพ่อ)เลี้ยงเดี่ยว แม้เสียบางสิ่งไปก็มีบางอย่างที่ได้มา
นั่นก็คือ ความภูมิใจ ความรัก และอ้อมกอดของลูก คืนกลับมาร้อยเท่าพันทวี
ขอเป็นกำลังใจให้พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคนค่ะ
ที่มา : ข้อความบางส่วนจากเพจ เข็นเด็กขึ้นภูเขา #ผ่านไปอย่างไรในวันที่เลี้ยงลูกคนเดียว
ข้อมูลอ้างอิงจาก investwallet.money/today.line.me/www.rama.mahidol.ac.th

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

3 ข้อท่องไว้ ใช้รับมือเมื่อ ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ !!

13 เทคนิค สร้างสมดุลชีวิต งานก็ไม่เสีย ครอบครัวก็แฮปปี้!

ฝึกสมาธิ ให้ลูกได้ตั้งแต่วัยอนุบาลง๊าย..ง่ายแค่ 4 ขั้นตอน!

10 เทคนิค สอนการบ้านลูก ให้สำเร็จ แบบไม่เสียน้ำตา

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    มดลูกโต

    เช็กอาการ มดลูกโต สังเกตได้จากอะไร? รู้เร็วไม่ต้องผ่า!

    มดลูกโต คุณรู้จักโรคนี้มากแค่ไหน สิ่งสำคัญที่ผู้หญิงควรรู้ อาการแบบไหนที่อยู่ภาวะเสี่ยงโรค สาเหตุ การรักษาเป็นแบบใด หากรู้เร็วไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องผ่า!!

    เช็กอาการ มดลูกโต สังเกตได้จากอะไร? รู้เร็วไม่ต้องผ่า!

    โรคที่เกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงนั้น มีหลายโรคที่ทำให้ผู้หญิงอย่างเราต้องคอยเฝ้าระวัง ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก  เนื้องงอกในมดลูก และมดลูกโต เป็นต้น ซึ่งโรคต่าง ๆ เหล่านี้มักมีอาการสัญญาณเตือน อาการเจ็บป่วยมาก่อนล่วงหน้า ให้เราได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ แต่ที่น่ากังวลใจนั่นคือ มดลูกโต แม้ไม่มีอาการแสดงผู้หญิงก็มีโอกาสเป็นได้

    มดลูกโต อาจไม่มีอาการใด ๆ เตือน
    มดลูกโต อาจไม่มีอาการใด ๆ เตือน

    รู้จัก มดลูกโต คืออะไร??

    มดลูกโต คือ ภาวะที่มดลูกขยายตัวมากกว่าปกติ โดยอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การตั้งครรภ์ เนื้องอกในมดลูก โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น เมื่อเกิดภาวะนี้ขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัว หรือรู้สึกหนักบริเวณช่องท้องส่วนล่าง ปกติแล้วภาวะมดลูกโตไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่หากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีเลือดออกบริเวณช่องคลอด มีอาการปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน เป็นต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้

    สาเหตุของมดลูกโต

    ภาวะมดลูกโตเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางอย่างก็ไม่ใช่สาเหตุอันตราย อย่างการตั้งครรภ์ที่จะทำให้มดลูกขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งปกติแล้วมดลูกจะมีขนาดประมาณเท่ากับลูกแอปเปิ้ล แต่เมื่อตั้งครรภ์อาจทำให้มดลูกขยายตัวจนมีขนาดเท่ากับลูกแตงโมได้ โดยมดลูกจะหดตัวกลับสู่สภาพเดิมหลังคลอดประมาณ 1 เดือน

    อ่านต่อ⇒⇒ เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอดฉบับญี่ปุ่น เห็นผลใน 5 วัน

    อย่าวางใจ หากมดลูกโตเพราะสาเหตุเหล่านี้ อันตราย!!

    มดลูกโต นอกจากภาวะที่เกิดจากสาเหตุที่ไม่อันตรายแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนี้

    • เกิดจากการมีเนื้องอกในมดลูก อาจมีเนื้องอกเจริญเติบโตขึ้นได้ทั้งด้านใน และด้านนอกของผนังมดลูก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ยังไม่ปรากฏแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยบางอย่าง เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน กรรมพันธุ์ และความอ้วน เป็นต้น โดยเนื้องอกในมดลูกเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งของภาวะมดลูกโต ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป
    • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่  เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่พบ โรคมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis) คือ การที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกเจริญหรือแทรกซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกเกิดภาวะอักเสบเรื้อรังจนเกิดพังผืดในชั้นกล้ามเนื้อมดลูก สุดท้ายมดลูกเกิดการขยายตัวและหนาขึ้น เกิดภาวะมดลูกโต ทำให้เกิดอาการประจำเดือนมามากผิดปกติ และอาการต่าง ๆ ที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล  โดยสาเหตุนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะนี้ คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีน้อยลงในผู้หญิงอายุมากกว่า 30 ปี หรือผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งผู้หญิงที่เคยผ่านการผ่าคลอดก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้เช่นเดียวกัน
    • มะเร็งในระบบสืบพันธุ์ โรคมะเร็งที่เกิดในบริเวณระบบสืบพันธุ์อย่างมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก อาจเป็นสาเหตุของภาวะมดลูกโตได้ โดยขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้อร้าย และขนาดของมดลูกด้วย

      ประจำเดือนมามากผิดปกติ เสี่ยง มดลูกโต
      ประจำเดือนมามากผิดปกติ เสี่ยง มดลูกโต

    √√√เช็กอาการ! หากเข้าข่ายระวัง ภาวะมดลูกโต

    แม้ว่าภาวะมดลูกโตอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ยังมีสัญญาณเตือนบางอย่างที่ช่วยให้เราตั้งข้อสงสัยว่าอาจเกิดภาวะมดลูกโตได้เช่นกัน อาการของโรคนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาจมีอาการไม่ครบทุกสัญญาณเตือน แต่หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจละเอียด

    • ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
    • ปวดท้องประจำเดือนมากผิดปกติ และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทนไม่ไหว
    • มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่เท่าลูกปิงปองออกมาขณะมีประจำเดือน แต่ถ้าลิ่มเลือดมีขนาดเท่าเม็ดถั่วยังไม่ถือว่าผิดปกติ
    • มีอาการคล้าย ๆ ตกเลือดขณะมีประจำเดือน คือ เมื่อขณะยืนในห้องน้ำแล้วเลือดไหลพรวดลงมาในปริมาณมาก
    • ปวดเชิงกราน และช่องท้อง
    • รู้สึกแน่น และหนักบริเวณช่องท้องส่วนล่าง
    • เจ็บปวดมากขณะมีเพศสัมพันธ์

    นอกจากนี้เมื่อมดลูกโตอาจส่งผลให้มีอาการท้องอืดหรือท้องผูก เพราะมดลูกโตจนเบียดลำไส้ ปัสสาวะบ่อยเพราะมดลูกเบียดกระเพาะปัสสาวะ อีกทั้งอาจมีอาการร่วมด้วยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปวดหลัง ปวดกระดูกเชิงกราน ตะคริวบริเวณท้อง เลือดออกจากช่องคลอด รวมถึงมีบุตรยาก เพราะการตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์

    ประจำเดือนปกติเป็นแบบไหน?

    • ประจำเดือนมาไม่เกิน 80 ซีซีต่อวัน
    • ประจำเดือนมามากเฉพาะช่วง 3 วันแรก
    • ประจำเดือนมาไม่เกิน 7 วัน
    • ลิ่มเลือดระหว่างมีประจำเดือนขนาดเท่าเม็ดถั่ว

    ผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคมดลูกโตนั้นมักไม่ทราบอาการจนเมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรง ดังนั้นการหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตนเองอยู่เสมอคือสิ่งสำคัญ และควรใส่ใจตรวจเช็กสุขภาพภายในกับสูติ-นรีแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

    การตรวจวินิจฉัยโรคมดลูกโต สามารถทำได้โดย

    1. ซักประวัติโดยสูติ – นรีแพทย์อย่างละเอียด
    2. สูติ – นรีแพทย์ตรวจภายใน
    3. อัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด หรือทวารหนักในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
    4. ตรวจ MRI ช่องท้องส่วนล่าง (MRI Lower Abdomen) ในกรณีที่ต้องการยืนยัน และหรือประเมินความรุนแรงของโรคว่าเกิดพังผืดต่ออวัยวะข้างเคียงหรือไม่

      การตั้งครรภ์ สาเหตุปกติของภาวะมดลูกโต
      การตั้งครรภ์ สาเหตุปกติของภาวะมดลูกโต

    รักษาอย่างไร?

    การรักษาภาวะมดลูกโตขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการด้วย ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการแตกต่างกันไป ดังนี้

    มดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

    ไม่ต้องผ่าตัด หากเราตรวจพบในระยะขั้นไม่รุนแรง ผู้ที่มีภาวะนี้ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษา แต่อาจต้องใช้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด โดยแพทย์อาจให้ยาไอบูโพรเฟนเพื่อช่วยให้อาการอักเสบดีขึ้น และอาจให้ยาคุมกำเนิดหรือใช้ห่วงคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนผสมอยู่ เพื่อบรรเทาอาการปวด และช่วยให้เลือดไหลน้อยลง ทำให้เนื้องอกหยุดเจริญเติบโต แต่หากอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดมดลูกด้วย

    มดลูกโตจากเนื้องอกในมดลูก

    ไม่ผ่าตัด หากอยู่ในขั้นไม่รุนแรง สามารถรักษาเหมือนกับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้ การรักษาโดยการผ่าตัดนำเนื้องอกในมดลูกออกหากประเมินแล้วว่าจำเป็น ส่วนวิธีการผ่าตัดนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้องอก และบริเวณที่เกิดเนื้องอก นอกจากนี้ อาจรักษาด้วยการอุดเส้นเลือด (Embolization) โดยแพทย์จะใช้ท่อขนาดเล็กสอดเข้าไปในมดลูก และปล่อยอนุภาคเพื่อตัดเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงเนื้องอก ซึ่งจะทำให้เนื้องอกมีขนาดเล็กลงได้

    มดลูกโตจากโรคมะเร็ง

    อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการฉายรังสีหรือรับยาเคมีบำบัด ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ อาจต้องใช้วิธีผ่าตัดนำก้อนเนื้อหรือนำมดลูกออกไป

    หมั่นตรวจภายใน ป้องกันการเกิดภาวะมดลูกโต
    หมั่นตรวจภายใน ป้องกันการเกิดภาวะมดลูกโต

    ภาวะแทรกซ้อนของมดลูกโต

    อาการมดลูกโตนั้นไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงใด ๆ ต่อร่างกาย แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดมดลูกโต อาจส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้

    • มีอาการปวด และไม่สบายตัว
    • ท้องผูก เนื่องจากมดลูกโตจนไปเบียดลำไส้ และไส้ตรง
    • ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากมดลูกไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ
    • มีปัญหาด้านการเจริญพันธุ์ หรือประสบภาวะมีบุตรยาก
    • อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์

    ป้องกันได้อย่างไร?

    ภาวะมดลูกโตมักเป็นส่วนหนึ่งของโรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดมดลูกโต ฉะนั้น การป้องกันภาวะมดลูกโตจึงอาจต้องป้องกันโรคหรือภาวะต่าง ๆ ที่เป็นต้นเหตุ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

    • ลดน้ำหนัก เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเนื้องอกในมดลูก
    • ผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการรับมือเมื่อมีฮอร์โมนเอสโตรเจนลดน้อยลง
    • ตรวจร่างกาย และตรวจภายในเป็นระยะสม่ำเสมอ
    • เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เป็นสาเหตุในการเกิดมดลูกโต เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นต้น

    เป็นมดลูกโต สามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่?

    มดลูกเป็นอวัยวะที่อยู่ในระบบสืบพันธุ์ของคุณผู้หญิง ดังนั้นหากมีภาวะที่ไม่เป็นปกติ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้ การเป็นมดลูกโตแล้วจะตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้มดลูกโต เช่น หากเป็นมดลูกโตจากเนื้องอก การจะดูว่าผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาที่ชนิด ขนาด ตำแหน่ง และจำนวนของเนื้องอกมดลูก

    ถ้าเป็นมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ นั้นสามารถตั้งครรภ์ได้ และการตั้งครรภ์จะทำให้อาการของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่สงบลง คือ อาการปวดท้องประจำเดือนจะหายไป แต่ในทางกลับกันตัวโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เองก็เป็นสาเหตุนึงของการมีบุตรยากฉะนั้นผู้ป่วยท่านใดที่มีภาวะดังกล่าวก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

    มดลูก กับอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของผู้หญิง
    มดลูก กับอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของผู้หญิง

    ถ้าเป็นมดลูกโตจากมะเร็งมาก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์แพทย์จะแนะนำให้ทำการรักษาตัวโรคมะเร็งให้หาย และสงบก่อน มะเร็งบางชนิดหลังจากที่โรคสงบแล้วจะสามารถตั้งครรภ์ได้แต่บางชนิดก็ไม่แนะนำให้ตั้งครรภ์ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญทั้งโรคมะเร็งเอง และแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ก่อนการตัดสินใจตั้งครรภ์

    อ่านต่อ ⇒⇒เป็นเนื้องอกมดลูก มีลูกได้ไหม?

    มดลูกโต ควรกินอะไรบ้าง?

    สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นมดลูกโตนั้น เป็นความผิดปกติของการทำงานของร่างกาย ดังนั้นการดูแลตนเองนอกจากจะเฝ้าดู สังเกตอาการที่ผิดปกติที่จะเป็นสัญญาณเตือนแล้ว เรายังสามารถดูแลตนเองในเรื่องอาหารการกิน เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และไม่ไปสร้างภาระให้กับการทำงานของอวัยวะในร่างกายที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ดังนี้

    • ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
    • เน้นหนักในอาหารที่มีกากใย และไฟเบอร์
    • ควรงดเว้นของที่มีปริมาณไขมันมาก หรือของที่พลังงานสูง เนื่องจากจะทำให้น้ำหนักในร่างกายเพิ่มขึ้น และทำให้ปริมาณมวลไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้นอีกด้วย
    • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อไม่ให้ร่างกายปรับระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติ ระดับฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายหากผิดปกติไป อาจทำให้เป็นสาเหตุของมดลูกโต
    ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com/www.bangkokhospital.com/hd.co.th

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    เนื้องอกในมดลูก โรคยอดฮิตของหญิงทุกวัย ไม่ใช่มะเร็ง แต่ไม่ควรมองข้าม!

    เมื่อลูกเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก ควรดูแลอย่างไร

    สัญญาณมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นเพราะอะไร พร้อมวิธีตรวจด้วยตัวเอง

    รู้จัก โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ปวดเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      เปิดเทอม กับสิ่งที่ต้องเตรียม

      เช็กด่วน!ของจำเป็นต้องมีก่อน เปิดเทอม ยุคNew Normal

      เปิดเทอม แล้ว! เมื่อลูกต้องกลับไปเรียน ใช้ชีวิตปกติ ปัดฝุ่นกระเป๋านักเรียน แล้วมาเช็กดูสิ่งของจำเป็นต้องมีกันดีไหมว่าขาดอะไร เพิ่มอะไรดีให้อุ่นใจในยุคโควิด

      เช็กด่วน!ของจำเป็นต้องมีก่อน เปิดเทอม ยุคNew Normal

      Back to School พ่อแม่ได้เฮ! เมื่อถึงช่วงเวลาเปิดเทอมแบบได้กลับไปเรียนที่โรงเรียนตามเดิม ในแบบที่ก่อนจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เสียที แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงต้องเฝ้าระวังการระบาดของโรคกันอย่างเคร่งครัด ต่อเนื่อง เรียกได้ว่า การเปิดเทอม ครั้งนี้เป็นการเปิดเทอมแบบ New Normal นั่นเอง

      เปิดเทอม เรียนแบบ on-site ต้องเตรียมอะไรบ้าง
      เปิดเทอม เรียนแบบ on-site ต้องเตรียมอะไรบ้าง

      เมื่อช่วงปีที่แล้วกับการเรียน Online ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่ลูก ๆ ต้องนำไปใช้ที่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น  เครื่องเขียน ชุดนักเรียน และอีกหลากหลายสิ่ง ต่างพากันอันตรธาน หายไป หรือไม่ก็ไม่สามารถใช้ต่อได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงถึงเวลาที่พ่อแม่ต้องมาเช็กข้าวของเครื่องใช้ เตรียมพร้อมไปโรงเรียนกันอีกครั้ง ก่อนจะเปิดเทอม ว่าสิ่งไหนขาด สิ่งไหนต้องเพิ่มกันเสียก่อน

      ข้อดีของการทำ Checklist ก่อนช้อปปิ้ง

      เราขอแนะนำว่า คุณพ่อคุณแม่ควรทำการวางแผน เช็กข้าวของที่มีอยู่ เสียก่อนที่จะออกไปจับจ่ายซื้อของ เตรียมพร้อมก่อนเปิดเทอม เพราะการทำ Checklist รายการเสียก่อนนั้น มีประโยชน์มากมายที่เราอาจคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำไป ข้อดีของการทำ Checklist ก่อนช้อปปิ้ง มีดังนี้

      1. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย หากเขียนรายการข้าวของเครื่องใช้ ที่จำเป็นต้องมี เวลาเปิดเทอม นอกจากจะทำให้เราไม่ลืม หรือขาดตกบกพร่องสิ่งใด ๆ ไปแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาในการออกไปเลือกซื้ออีกด้วย อย่างที่ทราบ ๆ กันว่า แม้ไวรัสโควิด-19 จะค่อย ๆ คลายความรุนแรงเป็นโรคประจำถิ่น แต่อย่างไรเสีย เราก็ต้องไม่คลายความระมัดระวัง คงความไม่ประมาท ปฎิบัติตัวป้องกันกันต่อไปอย่างต่อเนื่อง การออกไปในที่ที่มีผู้คนมาก ๆ ก็ยังคงไม่ปลอดภัยต่อโรคอยู่ดี ดังนั้นควรทำรายกายให้ครบ และไม่ต้องออกไปช้อปปิ้งบ่อย ๆ
      2. ช่วยให้ไม่ฟุ่มเฟือย การซื้อของมาซ้ำกับที่มีอยู่เดิมแล้ว นอกจากจะเป็นการสิ้นเปลือง ของบางอย่างเก็บไว้นานก็เกิดการเสื่อมได้ จนบางครั้งใช้ไม่ได้แล้ว ก็ยังไม่ได้หยิบมาใช้เสียที
      3. ไม่เกิดความผิดพลาด หากเราไม่ทำเช็กลิสไว้ก่อน เราอาจลืมของจำเป็นบางอย่างไปเสียสนิท กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ถึงเวลาต้องใช้ แต่ไม่มีเสียแล้ว
      4. ช่วยตัดสิ่งไม่จำเป็นออกได้ การทำเช็กลิสสิ่งของที่ต้องใช้ ทำให้เรามองเห็นว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น ช่วยให้เราสามารถเลือกได้ว่าควรซื้อเตรียมไว้หรือไม่ ก็เป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคีองเช่นนี้อีกด้วย
      5. ช่วยลำดับความสำคัญ ของบางอย่างเราอาจไม่จำเป็นต้องเตรียมไว้ล่วงหน้านาน ๆ เช่น เสื้อผ้าชุดนักเรียน หากเราซื้อไว้ล่วงหน้าหลายเดือน ลูกอาจเปลี่ยนไซส์จนไม่สามารถใส่ได้ ก็จะเป็นการสิ้นเปลือง
      6. ช่วยให้ไม่ต้องจำ การจดเช็กลิสไว้ในกระดาษ ทำให้เราไม่ต้องมานั่งจดจำ การพยายามจำเข้าไปในสมองให้ได้ แล้วก็คิดทำนองว่าคงไม่ลืมหรอก แต่ในความจริงแล้วเรามักจะลืมหลายๆ เรื่องไปอย่างรวดเร็วเพราะทุกๆ นาทีเราจะมีสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัวกระตุ้น และดึงความสนใจอยู่ตลอด แทนที่คุณจะต้องใช้สมาธิ และพลังงานในการพยายามจำลิสต์ทุกอย่าง เราก็แค่ใช้กระดาษ และปากกาช่วยแทนเสียยังดีกว่า แถมจะได้ไม่ต้องหลงๆ ลืมๆ อะไรบ่อยๆ ด้วย

        เช็กลิส สิ่งของที่ต้องใช้ก่อน เปิดเทอม
        เช็กลิส สิ่งของที่ต้องใช้ก่อน เปิดเทอม

      Checklists ของจำเป็นต้องมีก่อนเปิดเทอม!!

      • เครื่องแบบนักเรียน

      กฎระเบียบของโรงเรียนในประเทศไทย สิ่งจำเป็นข้อแรกของนักเรียน นั่นคือ เครื่องแบบนักเรียน ที่อ้างกันว่าจะช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสร้างความภาคภูมิใจต่อสถาบันการศึกษาที่ตนเองเรียนอยู่ ดังนั้นหากโรงเรียนใดมีการจัดเตรียมชุดนักเรียนให้พร้อมกับค่าเทอมเลย ก็ช่วยประหยัดเวลาของผู้ปกครองไปได้ไม่น้อย ไม่ต้องไปเลือกหาซื้อเอง แต่หากไม่มีคุณพ่อคุณแม่ก็อย่าลืมเช็กกฎระเบียบของชุดนักเรียนแต่ละโรงเรียนว่าเป็นแบบใด จะได้ไม่ซื้อผิดแบบ

      • อุปกรณ์เครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียน

      เช่น ดินสอ ยางลบ สมุด ไม้บรรทัด สีไม้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ขาดไม่ได้ต้องมีติดกระเป๋านักเรียนของลูก ถ้าหากพ่อแม่ท่านไหนต้องการจูงใจให้ลูกอยากไปโรงเรียน โดยเฉพาะเด็กอนุบาล หรือประถม ลองใช้วิธีจูงใจด้วยการให้ลูกเป็นคนเลือกซื้อเครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียนเอง เลือกลายการ์ตูนที่ลูกชอบ หรือมีลูกเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้ลูกเกิดความตื่นเต้นอยากไปโรงเรียนในวันเปิดเทอม อยากไปเรียนในช่วงเวลาแรกๆ ที่เพิ่งเปิดเทอม ที่ยังไม่มีเพื่อน หรือเพื่อนสนิท ก็สามารถใช้ตัวช่วยเหล่านี้ได้

      • กระเป๋านักเรียน

      สำรวจเสียก่อนว่า กระเป๋านักเรียนใบเก่าขาด หรือยังใช้ได้อยู่ไหม เราสามารถนำมาซัก ซ่อมแซม แล้วนำมาใช้ต่อได้ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และหากทางโรงเรียนไม่ได้บังคับ หรือเด็กอนุบาลที่สามารถใช้กระเป๋านอกเหนือจากของทางโรงเรียนได้ คุณพ่อคุณแม่ควรคำนึงถึงขนาดของกระเป๋านักเรียน ให้ขนาดมีขนาดพอเหมาะกับขนาดตัวของลูกด้วย เพื่อสุขภาพร่างกาย และไม่ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของพัฒนาการทางร่างกายของลูก วัยกำลังโต

      แก้วน้ำ ช้อนส้อม กระติกน้ำ เป็นของส่วนตัวจำเป็นต้องมี
      แก้วน้ำ ช้อนส้อม กระติกน้ำ เป็นของส่วนตัวจำเป็นต้องมี
      • กระติกน้ำ แก้วน้ำส่วนตัว ช้อนส้อม (ไอเท็มยุค New Normal)

      เลี่ยงไม่ได้กับการ เปิดเทอม ในยุคโควิด-19 ยังคงระบาด ไม่ไปไหน ดังนั้นการระมัดระวัง ป้องกันตนเองให้ห่างไกลเชื้อโรค การอยู่ร่วมกัน แบบ New Normal จึงยังเป็นสิ่งสำคัญ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวจึงเป็นทางเลือกที่ดี กระติกน้ำ แก้วน้ำ ช้อนส้อม จึงควรนำไปเองจากบ้าน เพราะเป็นของส่วนตัว ไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น หากลูกโตขึ้นมาเสียหน่อย ก็ยังช่วยให้เป็นการฝึกวินัย ความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องรักษาไม่ให้หาย และนำกลับมาล้างทำความสะอาดได้อีกด้วย

      • หมอน และผ้าห่ม 

      สำหรับเด็กอนุบาล เป็นไอเท็มที่ขาดไม่ได้ เพราะการนอนกลางวันเป็นเรื่องสำคัญ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเตรียมหมอน ผ้าห่มไว้ให้ลูก และนำกลับมาทำความสะอาด ซึ่งอาจจะเพิ่มรอบการทำความสะอาดของหมอน และผ้าห่มให้บ่อยขึ้นในช่วงโควิด-19 เช่นในปัจจุบัน

      • เจลแอลกอฮอล์ส่วนตัว (ไอเท็มยุค New Normal)

      เจลแอลกอฮอล์ นับเป็นไอเท็มคู่กายของ คนแทบทุกคนในยุคโควิดนี้ ที่จำเป็นต้องออกข้างนอกบ้าน คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมเจลแอลกอฮอล์ขวดเล็ก ๆ ไว้ให้ลูกห้อยคอ หรือเก็บไว้ใกล้ตัวได้ เพื่อให้ลูกมีใช้ได้ตลอดเวลา สอนลูกว่า ก่อนที่จะหยิบจับอะไรเข้าปาก หรือโดนหน้าโดนตา ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้งการล้างมือบ่อย ๆ ช่วยให้ลูกห่างไกลจากโควิด

      • หน้ากากอนามัยสำรอง (ไอเท็มยุค New Normal)

      เตรียมหน้ากากอนามัยสำรอง เพื่อให้ลูกสามารถเปลี่ยนระหว่างวันได้ อาจเตรียมไปมากกว่า 1 ชิ้น เผื่อลูกทำหาย ทำเลอะเปื้อน หรือทำขาด

      • ถุงซิปล็อค

      ถุงซิปไว้ใส่หน้ากากอนามัย กรณีที่อาจจะถอดหน้ากากอนามัยทานข้าวตอนพักกลางวัน ซึ่งอาจจะยังใส่ได้ไม่นาน ไม่จำเป็นต้องทิ้งเลย แต่หาถุงซิปล็อคมาใส่ไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค ไม่ควรใส่กระเป๋าเสื้อหรือวางไว้บนโต๊ะ

      สอนลูกล้างมือบ่อย ๆ ในระหว่างอยู่โรงเรียน ช่วยห่างไกลโควิด
      สอนลูกล้างมือบ่อย ๆ ในระหว่างอยู่โรงเรียน ช่วยห่างไกลโควิด
      • สติกเกอร์ป้ายชื่อ

      ของสำคัญสำหรับเด็กเล็ก ช่วยให้ข้าวของเครื่องใช้ไม่สลับกับคนอื่น ไม่หาย นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นไม่น้อยเลยทีเดียว พ่อแม่ควรเตรียมไว้ และแปะชื่อลูกกับสิ่งของเครื่องใช้ของลูกที่จะนำไปใช้ในโรงเรียนให้พร้อมก่อนเปิดเทอม และบอกกล่าว ทำความเข้าใจกับลูก หรืออาจให้ลูกร่วมช่วยกันแปะสติกเกอร์กับข้าวของของตัวเอง ก็จะช่วยย้ำเตือนให้ลูกรู้จักรักษาข้าวของของตนเอง

      เมื่อเราเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อม ครบก่อนเปิดเทอม นอกจากจะช่วยให้ลูกไปโรงเรียนได้อย่างมั่นใจแล้ว ยังเป็นสิ่งจูงใจให้ลูกเกิดความอยากไปโรงเรียนได้อีกด้วย เมื่อเขาเป็นผู้ช่วยเลือก ช่วยจัดกระเป๋าเพื่อเตรียมพร้อมก่อนไปโรงเรียน เห็นข้อดีของการเตรียมตัวจัดของให้พร้อมก่อนไปโรงเรียนเช่นนี้แล้ว ก็อย่าลืมชวนลูกมาช่วยกันทำ เช็กลิสต์ข้าวของเตรียมพร้อมก่อนเปิดเทอมกัน

      แต่เดี๋ยวก่อน ก่อนจะเปิดเทอมนอกจากการเตรียมจัดกระเป๋า เตรียมข้าวของเครื่องใช้แล้ว เรายังจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมศึกษาเส้นทางเผื่อรถติด เตรียมปรับเวลานอนของลูกให้ชินกับการตื่นเช้า ขณะเดียวกันคุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วย เพื่อเปิดเทอมวันแรกจะได้ไม่เกิดปัญหาจุกจิกกวนใจ ทำให้วันแรกเป็นวันดี ๆ ของลูกน้อย เรียกว่าเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      เปิดเทอมวันแรก …โรงเรียนแรกของลูก

      6 ประเภท “โรงเรียนประถม” ที่พ่อแม่ต้องรู้ก่อนสมัครเรียน!

      สอนลูก ให้มีทักษะการเรียนรู้ และทักษะชีวิต

      เรียนออนไลน์ เตรียมตัวอย่างไรได้ผลดี ลูกแฮปปี้ ไม่เครียดเกินไป

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        โรคไฟโบรมัยอัลเจีย

        รู้จัก โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ปวดเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้

        รู้จัก โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ปวดเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้

        คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ บ้านนอกจากต้องเลี้ยงลูกแล้ว ก็ยังทำงานเต็มเวลา และทำอย่างหนักจนบางท่านอาจรู้สึกปวดไปทั่วร่างกายเป็นระยะเวลานาน ๆ แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจคิดว่าเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม แต่จริง ๆ แล้ว อาการปวดเรื้อรังนี้อาจเป็นอาการของ โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) โรคนี้ส่งผลต่อร่างกายคุณพ่อคุณแม่อย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ

        โรคไฟโบรมัยอัลเจีย

        เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลให้รู้สึกเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อ ร่วมกับมีอาการอ่อนเพลีย มีปัญหาด้านความจำและสมาธิ รวมทั้งอาจนอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท โรคนี้รักษาไม่หายขาด แพทย์จึงจะประคับประคองอาการโดยให้รับประทานยา ออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเครียดเป็นหลัก

        อาการของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย

        โรค Fibromyalgia ส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายส่วน แต่ละรายอาจมีอาการแตกต่างกันไป และความรุนแรงของอาการป่วยอาจไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับระดับความเครียด สภาพอากาศ และสุขภาพของผู้ป่วยในขณะนั้น อาการ มีดังนี้

        โรคไฟโบรมัยอัลเจีย
        โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ปวดเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้
        • ปวดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลังและคอ บางรายอาจรู้สึกแสบหรือเจ็บแปลบร่วมด้วย
        • ไวต่อความรู้สึกปวด อาจไวต่อความรู้สึกปวดมากกว่าปกติ หรือมีอาการปวดจากสิ่งที่ไม่ควรทำให้รู้สึกปวด เช่น การสัมผัสเบา ๆ
        • กล้ามเนื้อตึง ทำให้ขยับร่างกายได้ลำบาก อาการมักรุนแรงขึ้นหลังจากอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน เช่น หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า
        • ปวดศีรษะ อาการปวดตามร่างกายและกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่แข็งเกร็ง อาจทำให้ผู้ป่วยปวดศีรษะบ่อย ๆ โดยอาจปวดเพียงเล็กน้อยหรือปวดศีรษะแบบไมเกรนอย่างรุนแรง รวมทั้งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ เป็นต้น
        • นอนหลับไม่สนิท อาการป่วยอาจทำให้นอนไม่หลับ นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือหลับไม่ลึกพอ ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียและไม่สดชื่นหลังตื่นนอน
        • อ่อนเพลีย ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลียหรือรู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนไม่อยากทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
        • มีปัญหาด้านการคิดและการเรียนรู้ เช่น ไม่มีสมาธิ พูดช้า พูดไม่รู้เรื่อง เป็นต้น
        • ลำไส้แปรปรวน มีอาการคือ ท้องอืด รู้สึกจุกแน่นในท้อง ท้องผูก หรือท้องเสีย

        นอกจากอาการข้างต้น ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกร้อนหรือหนาวผิดปกติ วิงเวียนศีรษะ มีอาการขาอยู่ไม่สุข รู้สึกเจ็บคล้ายมีเข็มทิ่มตามมือและเท้า ปวดประจำเดือนมากผิดปกติ หรือวิตกกังวล นอกจากนี้ อาการป่วยอาจก่อให้เกิดความเครียดและระดับฮอร์โมนบางชนิดลดต่ำลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงเกิดโรคซึมเศร้าตามมา

        สาเหตุของไฟโบรมัยอัลเจีย

        ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรค แต่อาจมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

        • ความผิดปกติของระบบสมอง อาการปวดทั่วร่างกายอาจเป็นผลมาจากการมีสารสื่อประสาทที่กระตุ้นให้รู้สึกเจ็บปวดในปริมาณมากขึ้น และตัวรับความรู้สึกเจ็บปวดของสมองตอบสนองไวกว่าปกติ
        • ความผิดปกติทางพันธุกรรม นักวิจัยเชื่อว่าร่างกายมียีนบางตัว ที่ทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึกเจ็บปวด การกลายพันธุ์ของยีนเหล่านี้ จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้
        • ปัญหาทางการนอนหลับ แพทย์ไม่ทราบแน่ชัดว่า การนอนไม่หลับ หรือหลับไม่เต็มอิ่มนั้นเป็นอาการหรือสาเหตุของโรคนี้กันแน่ เพราะเป็นไปได้ว่าปัญหาด้านการนอนหลับ อาจกระทบต่อระดับสารเคมีในสมองบางชนิดและส่งผลให้เกิดโรค
        • สิ่งกระตุ้นบางชนิด อาการบาดเจ็บทางร่างกาย ความบอบช้ำทางจิตใจ หรือการติดเชื้อ แม้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่อาจกระตุ้นให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้แสดงอาการป่วยออกมาได้

        ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้อเสื่อม โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือผู้ที่มีคนใกล้ชิดในครอบครัวป่วยเป็น Fibromyalgia อาจเสี่ยงเกิดโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป และยังพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

        การรักษาโรค

        จุดประสงค์ของการรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย คือบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูสุขภาพจิตที่ได้รับผลกระทบมาจากโรคนี้ ซึ่งทางแพทย์อาจมีการใช้ยา ควบคู่กับบำบัดทางกายภาพร่วมดังนี้

        • ยาบรรเทาอาการปวด เช่น อะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาพรอกเซน โซเดียม (Naproxen sodium) เป็นต้น หรือยาลดความปวดเมื่อยอื่น ๆ ตามภาวะสุขภาพในระยะเวลานั้นๆ
        • ยาต้านโรคซึมเศร้า ที่อาจเข้ามามีส่วนช่วยลดความเหนื่อยล้า ความเครียด และส่งเสริมการนอนหลับให้คุณได้อย่างดี เช่น ดูล็อกซีทีน (Duloxetine) และมิลนาซิแพรน (Milnacipran) เป็นต้น
        • ยาป้องกันโรคลมชัก ในตัวยากาบาเพนติน (Gabapentin) และยาพรีกาบาลิน (Pregabalin) มีสารบางอย่างที่ช่วยลดอาการเจ็บปวดบางประเภท และเป็นยาที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหาร และยาเพื่อใช้รักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย

        นอกจากการรับประทานยาตามที่แพทย์ได้ทำการอนุญาตแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีการทำกายภาพบำบัด โดยอาจเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น เล่นโยคะ ไทเก๊ก หรือการฝังเข็ม และนวดบำบัดร่วม เพื่อเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อคุณให้กลับมามีการใช้งานได้ปกติดังเดิม

        การดูแลตัวเอง

        สามารถดูแลตัวเองด้วยการการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อรับมือกับโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ดังนี้

        1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
        2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
        3. รับประทานผัก และผลไม้ ให้มากกว่าเนื้อสัตว์
        4. ควรทานธัญพืชจำพวก ถั่ว อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต ที่มีใยอาหารปราศจากน้ำตาล ดื่มนมที่มีไขมันต่ำ แต่ให้โปรตีน และพลังงานสูง
        5. ดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่พอดีแก่ร่างกายต้องการต่อวัน
        6. ลดการทานอาหารที่มีระดับน้ำตาลสูง
        7. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลูเตน (Gluten)
        8. ลดการทานอาหารที่อยู่ในกลุ่ม (Fermentable Oligo-Di-Monosaccharide and Polyols; FODMAP) ที่มีผลกระทบต่อลำไส้ หรือช่องทางเดินอาหาร เช่น ครีมชีส โยเกิร์ต นมข้นหวาน ผลไม้แห้ง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวสาลี เป็นต้น

        ขอบคุณข้อมูลจาก

        เดลินิวส์ออนไลน์, pobpad

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        เล็บบอกโรค พบขีดที่เล็บนิ้วโป้งให้ระวังมะเร็งผิวหนังใต้เล็บ

        ห่วง! อาการ Long COVID-19 เสี่ยงเกิด โรคผมผลัด

        เปลือกตากระตุก ลางบอกโรค!! โรคอะไร ป้องกันอย่างไร

          กฎหมายคาร์ซีท

          หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

          “รักลูกอย่ากอด” ใช้คาร์ซีท ปลอดภัยกว่า! หมอเด็กชี้แจ้ง กฎหมายคาร์ซีท กับ 8 ข้อควรรู้ ก่อนถึงวันบังคับใช้กฏหมาย ชีวิตลูกสำคัญสุด พ่อแม่ควรทำอย่างไรบ้าง

          กฎหมายคาร์ซีท เริ่มใช้วันไหน!

          นับว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พ่อแม่หลายคนต้องตระหนัก กับ กฎหมายคาร์ซีท เมื่อราชกิจจาฯ ได้ประกาศปรับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบกฉบับล่าสุด เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้มีคาร์ซีทตลอดเวลาที่โดยสารรถ ส่วนผู้โดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท มีผลบังคับใช้ในอีก 120 วัน หรือในวันที่ 5 กันยายน นี้

          จาก พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2565 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน

          • คนโดยสารที่นั่งแถวตอนหน้าและที่นั่งแถวตอนอื่น ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์

          • คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

          • คนโดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่ง หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด

          • ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือคนโดยสารมีเหตุผลทางสุขภาพอันไม่สามารถรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งได้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง แต่บุคคลนั้นต้องมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

          อ่านประกาศ กฎหมาย คาร์ซีท ฉบับเต็ม คลิกที่นี่ >> https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload/?id=139A028N0000000000500

          กฎหมาย คาร์ซีท

          แน่นอนว่า “คาร์ซีท” ถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องการพาลูกน้อยออกเดินทางทั้งใกล้หรือไกล เพราะจะสามารถปกป้องและลดความรุนแรงของการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุให้กับเด็ก องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า การใช้ “คาร์ซีท” ช่วยลดการเสียชีวิตของเด็กได้ถึงร้อยละ 70 ปัจจุบัน 96 ประเทศทั่วโลก มีกฎหมายบังคับใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กแล้ว

          กอดลูก..ให้นั่งตัก = รักลูกผิดทาง

          ทั้งนี้ด้าน รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดล  และหัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ได้ออกมาเผยข้อมูลสนับสนุน กฎหมายคาร์ซีท นี้ ถึงเวลาคุ้มครองชีวิตเด็กๆ … ถึงเวลาที่นั่งนิรภัย !

          โดยนพ.อดิศักดิ์ แนะนำว่า ระหว่างนี้ให้คุณพ่อคุณแม่เตรียมตัวหาอุปกรณ์ และปรับทัศนคติต่อความปลอดภัยของที่นั่งนิรภัย เพราะการให้เด็กนั่งและคาดเข็มขัดตรงที่นั่งข้างคนขับทำให้เด็กเสี่ยงอันตรายมากกว่าเบาะหลัง 2 เท่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือการอุ้มเด็กไว้บนตักไม่ได้ช่วยสร้างความปลอดภัย

          8 ข้อ ที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับคาร์ซีท

          1. ที่นั่งนิรภัยต้องใช้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด
          2. อุ้มเด็กนั่งตักในเบาะหน้าคือจุดที่อันตรายที่สุดในรถ
          3. เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ให้นั่งเบาะหลังเสมอ ความเสี่ยงต่อการตายจะลดลงสองเท่าตัว
          4. การใช้ระบบยึดเหนี่ยวในรถเป็นมาตรการการลดการบาดเจ็บการตายที่สำคัญที่สุดจากการกระเด็นทะลุกระจกออกนอกหรือลอยออกจากที่นั่งตาม
          5. คาดเข็มขัดที่ไม่เหมาะสมมีความเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บกระดูกไขสันหลัง ไขสันหลังและช่องท้อง
          6. เด็กอายุน้อยกว่า 9 ปีหรือสูงน้อยกว่า 135 ซม. อาจใช้เข็มขัดนิรภัยปกติไม่ได้ ให้พิจารณาการใช้ที่นั่งนิรภัยเสมอ
          7. ถุงลมนิรภัยในที่นั่งข้างคนขับ สามารถทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ไม่ควรให้เด็กนั่งในตำแหน่งนั้นอีกต่อไป
          8. เวลา 120 วัน ก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้ ไม่ใช่เป็นเพียงเวลาที่พ่อแม่ต้องเตรียมตัว แต่เป็นเวลาที่รัฐ ชุมชน องค์กร บริษัท หน่วยงานบริการสุขภาพเด็ก หน่วยงานบริการการศึกษาเด็กปฐมวัย ต้องเตรียมตัว ต้องมีมาตรการช่วยเหลือการเข้าถึงที่นั่งนิรภัยด้วย

          กฎหมาย คาร์ซีท

          ทั้งนี้รศ.นพ.อดิศักดิ์ ยังกล่าวว่า คาร์ซีท แบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ

          • กลุ่มอายุ แรกเกิด-2 ปี ต้องใช้คาร์ซีท หรือที่นั่งนิรภัย ติดตั้งไว้ที่เบาะหลัง หันหน้าเด็กไปหลังรถ
          • กลุ่มอายุ 3-7 ปี ใช้ คาร์ซีท ที่มีเข็มขัดนิรภัยภายในยึด 5 จุดติดกับเบาะหลัง หันหน้าไปหน้ารถ
          • กลุ่มอายุ 6-7 ปี จะใช้เก้าอี้เสริมคาดยึดเข็มขัดจากตัวรถ

          ซึ่งประเภทของคาร์ซีท จะมีแตกต่างกันออกไป เพื่อเหมาะกับเด็กช่วงอายุที่ต่างกัน ดังนั้นพ่อแม่ที่ให้ความสนใจ “คาร์ซีท” เพื่อความปลอดภัยของลูก ก็จะต้องเปลี่ยนคาร์ซีทไปตามช่วงอายุและสรีระของลูกน้อย ซึ่งบางคนที่มีทุนทรัพย์ การหาซื้อมือหนึ่งตามร้านหิ้ว หรือห้างสรรพสินค้า คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากทุนทรัพย์น้อย การหาซื้อคาร์ซีทมือสอง ราคาไม่แพง ถือเป็นตัวเลือกอีกช่องทางหนึ่ง


          ขอบคุณข้อมูลจาก www.thairath.co.th

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

          เด็กทารกจำเป็นต้องใช้คาร์ซีท จริงหรือ?

          ลูกดารานั่งคาร์ซีท รู้ไหม เหล่าหนูน้อยลูกซุปตาร์ก็นั่งคาร์ซีทนะ!

          ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท หรือไม่ ทำไมไม่ควรอุ้มเด็กนั่งในรถระหว่างเดินทาง

            ไข่เจียว

            6 สูตร ไข่เจียว เมนูสำหรับลูก อร่อยง่ายๆ ประโยชน์เยอะ!!

            ไข่เจียว เมนูโปรดของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ ไข่เป็นอาหารซุปเปอร์ฟู้ด อุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิด มีประโยชน์มากมาย ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตในเด็ก

            6 สูตร ไข่เจียว เมนูสำหรับลูก อร่อยง่ายๆ ประโยชน์เยอะ!!

            ไข่เจียว เมนูง่าย ๆ ที่คุณแม่ทุกคนสามารถทำได้ แต่มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามิน มีทั้งธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 บี 12 วิตามินอี วิตามินดี โฟเลต เลซิธิน ลูทีน ซีแซนทีน และโคลีน ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง ประโยชน์มากมายขนาดนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงอยากชวนคุณแม่ทั้งหลายมาทำเมนู ไข่เจียว สูตรต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมมาให้กันค่ะ

            ไข่เจียวกุ้งชีส
            ไข่เจียวกุ้งชีส

            6 สูตร ไข่เจียว เมนูสำหรับลูก อร่อยง่ายๆ ประโยชน์เยอะ!!

            ไข่เจียวกุ้งชีส

            ส่วนผสม

            • ไข่ไก่ 2 ฟอง
            • เนยสด สำหรับเจียวไข่
            • หอมใหญ่ (หั่นแว่นบาง หรือหั่นเต๋าเล็ก) 1 หัวเล็ก
            • เกลือเล็กน้อย
            • กุ้งสับ ปริมาณตามชอบ
            • มะเขือเทศ หั่นเต๋าเล็ก
            • ชีสขูดฝอย
            • พริกชี้ฟ้า หรือพริกหวานตามชอบ
            • ใบพาร์สลีย์ หรือผักชี (สำหรับโรยหน้า)
            • พริกไทย

            วิธีทำ

            1. ตอกไข่ใส่ชาม ใส่กุ้ง
            2. ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อนถึงปานกลาง ถ้าไฟแรงเนยจะไหม้ จากนั้นใส่เนย แล้วใส่หอมใหญ่ เกลือเล็กน้อย ผัดจนหอมใหญ่สุก เป็นสีใส ๆ
            3. ตีไข่กับกุ้งในชามที่เตรียมไว้ หรือจะนำกุ้งไปผัดกับหอมใหญ่ก่อนก็ได้ตามชอบ   แล้วเทลงกระทะ ใช้ไฟอ่อน รอจนไข่สุก จากนั้นใส่มะเขือเทศ ชีส และพริกชี้ฟ้า(หากเป็นเด็กโตที่สามารถทานเผ็ดได้) หรือพริกหวาน แล้วพับไข่ให้ชีสอยู่ด้านใน รอจนชีสเยิ้ม
            4. ตกแต่งด้วยพาร์สลีย์หรือผักชี โรยพริกไทยนิดหน่อย(งดเว้นได้หากเป็นเด็กเล็ก) ทานคู่กับซอสแม็กกี้ หรือซอสมะเขือเทศ

            ไข่เจียวปูฟูกรอบ

            ส่วนผสม

            • ไข่ไก่
            • กรรเชียงปู ตามชอบ
            • นมสด
            • น้ำปลา
            • น้ำตาลทรายเล็กน้อย
            • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)

            วิธีทำ

            1. ตอกไข่ใส่ชาม ใส่เนื้อปู นมสด ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลทราย ตีผสมให้เข้ากัน
            2. ใส่น้ำมันลงในกระทะ รอจนน้ำมันร้อนจัด ค่อย ๆ เทไข่ลงไป แล้วลดไฟให้เบาลง ทอดจนสุกเหลืองทั้งสองด้าน เพิ่มไฟแรงจนสุด นับ 1-10 ตักใส่จาน

            ไข่เจียวเต้าหู้

            ส่วนผสม

            • ไข่ไก่ 2 ฟอง
            • เต้าหู้ไข่ 2 หลอด
            • ซีอิ๊วขาว หรือซอสปรุงรส
            • น้ำมันพืช

            วิธีทำ

            1. หั่นเต้าหู้ไข่เป็นชิ้นตามชอบ
            2. ตอกไข่ใส่ชาม ใส่ซีอิ๊วขาว หรือซอสปรุงรส ตีจนขึ้นฟู แล้วใส่เต้าหู้ไข่ลงไป
            3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ รอจนน้ำมันร้อน เทไข่ลงกระทะ รอจะสุก พลิกกลับด้าน ทอดจนสุกทั้งสองด้าน

            ไข่เจียวดอกขจร

            ประโยชน์ของ ดอกขจร

            • บำรุงธาตุ บำรุงตับ ไต ปอด แก้เสมหะเป็นพิษ
            • มีวิตามินเอสูง มีส่วนช่วยบำรุงสายตา
            • ช่วยรักษาหวัดได้ เพราะมีวิตามินซีสูง
            • ช่วยขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
            • มีไฟเบอร์ ช่วยในการขับถ่าย
            • บำรุงฮอร์โมนสตรี หรือขับโลหิตก็ได้

            ส่วนผสม

            • ไข่ไก่
            • ดอกขจร
            • ซอสปรุงรส
            • น้ำมันพืช

            วิธีทำ

            1. ล้างดอกขจร เด็ดก้านแข็งออก นำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ
            2. ตอกไข่ใส่ชาม ใส่ดอกขจร ซอสปรุงรส แล้วตีผสม
            3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ รอจนน้ำมันร้อน เทไข่ลงกระทะ ทอดจนสุกทั้งสองด้าน
            ไข่เจียวซูเฟล่
            ไข่เจียวซูเฟล่

            ไข่เจียวซูเฟล่

            เคล็ดลับในการทำไข่เจียวซูเฟล่ให้ขึ้นฟูนั้น คือ การแยกไข่ขาว แล้วนำมาตีจนขึ้นฟู จนตั้งยอดได้ จากนั้นนำไปตะล่อมผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ ควรทำอย่างเบามือ ระวังไข่แฟ่บ แล้วนำไปเข้าเตาอบ พร้อมแล้วมาเริ่มทำกันเลยค่ะ

            อุปกรณ์

            • กระทะ หรือหม้อที่เข้าเตาอบได้
            • เตาอบ
            • ตะกร้อมือ (หรือใช้เครื่องตีแทนได้)

            ส่วนผสม

            • ไข่ไก่ 3 ฟอง
            • ชิกุวะ (ลูกชิ้นญี่ปุ่น)
            • เกลือป่น
            • เนยเค็ม

            วิธีทำ

            1. หั่นชิกุวะเป็นชิ้น
            2. แยกไข่แดงกับไข่ขาว โรยเกลือป่นลงในไข่แดงเล็กน้อย
            3. ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูจนตั้งยอดได้
            4. ตีไข่แดงให้เข้ากัน จากนั้นตักไข่ขาวที่ตั้งยอดประมาณ 1/4 ลงไปตีผสมกับไข่แดงให้เป็นเนื้อเนียน แล้วนำไข่ขาวที่เหลือเทลงมาตะล่อมกับไข่แดง ทำอย่างเบามือ ระวังไข่แฟ่บ
            5. เปิดไฟเตาอบไว้
            6. นำหม้อขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟอ่อนถึงปานกลาง ใส่เนยเล็กน้อย แล้วใส่ชิกุวะลงไปผัด พอสุกปิดเตา จากนั้นเทไข่ลงไปในหม้อ นำนำเข้าเตาอบประมาณ 5 นาที พร้อมเสิร์ฟ

            ไข่เจียวชีสกับซอสซัลซา

            ส่วนผสม

            • ไข่ไก่ 3 ฟอง
            • นมแพะ 3 ช้อนโต๊ะ
            • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
            • พริกไทยดำบดหยาบ 1/8 ช้อนชา (เด็กเล็กไม่ใส่ก็ได้)
            • เนยสดชนิดเค็ม 1/2 ช้อนโต๊ะ
            • เชดดาร์ชีสสไลซ์ 2 ช้อนโต๊ะ
            • พาร์สลีย์สำหรับแต่ง

            ส่วนผสม ซอสซัลซา

            • เนื้อมะเขือเทศหั่นเต๋า 1/4 ถ้วย
            • หอมใหญ่หั่นเต๋า 1/4 ถ้วย
            • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
            • ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ
            • ซอสพริก 1/2 ช้อนโต๊ะ
            • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
            • น้ำส้มสายชูหมักจากไวน์ขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
            • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
            • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
            • พริกไทยดำบดหยาบ 1/4 ช้อนชา
            • พาร์สลีย์ซอยละเอียดเล็กน้อย

            วิธีทำซอสซัลซา

            • ผสมส่วนผสมทุกอย่าง เคล้าเบา ๆ ให้เข้ากัน

            วิธีทำ

            1. ตอกไข่ไก่ใส่ชาม เติมนมแพะ เกลือป่น และพริกไทยดำบด ตีให้เข้ากัน
            2. ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อน ใส่เนยสด แล้วเทไข่ลงไป รอจนเกือบสุก ใส่เชดดาร์ชีสลงไปตรงกลาง ค่อย ๆ ม้วนตลบไข่ให้มีลักษณะเป็นวงรียาว
            3. นำขึ้นใส่จาน ราดด้วยซัลซาซอส แต่งด้วยพาร์สลีย์

            ไข่เจียว ธรรมดา ๆ อาจทำให้ลูกเบื่อได้ คุณแม่มาลองทำไข่เจียวสูตรต่าง ๆ ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำฝากกันดูนะคะ

            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

            แซนวิชหรรษา เมนูอาหารว่างง่ายๆ จาก DIY Happy Meal Box Set

            ชวนเข้าครัว!ให้ อาหารเป็นยา กับเมนูอร่อยต้านโควิด-19

            วิธีทำให้สูง ด้วยเมนูอาหารวิเศษเสริมแคลเซียมวัยเบบี๋

            แม่สงสัย!เทนมโรงเรียนเจอแบบนี้ นมบูด หรือปกติกันนะ

             

            ขอบคุณข้อมูลจาก :  https://kapook.com

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            Amarin Baby & Kids

              ลดเด็กอ้วน

              โรคอ้วนอันตราย! จำเป็นต้อง ลดเด็กอ้วน

              โรคอ้วนอันตราย! จำเป็นต้อง ลดเด็กอ้วน

              คุณพ่อคุณแม่หลายคนมักจะคิดว่า “เด็กอ้วน” คือเด็กน่ารัก น่ากอด แต่หารู้ไหมว่าความน่ารักที่มาจากความอ้วนนั้นอาจไม่เป็นผลดีกับเด็กเท่าไรนัก เพราะถ้าปล่อยให้เด็กอ้วนต่อไปเรื่อย ๆ ในระยะยาวจะมีปัญหาสุขภาพมากมายตามมาก้ได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรร่วมกัน ลดเด็กอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อยค่ะ

               

              สถิติของผู้เป็นโรคอ้วนในไทย

              สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน พบคนไทยมีภาวะอ้วนราว 19.3 ล้านคน หรือประมาณ 34.1% ของประชากร อธิบายง่ายๆคือ 1 ใน 3 ของประชากรไทยมีภาวะอ้วน โดยถ้าเทียบในระดับภูมิภาคอาเซียน พบว่าไทยมีความชุกของโรคอ้วนในประชากรเป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย

              ขณะที่ข้อมูลจากกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานความชุกของปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนในผู้ใหญ่ ในปี 2564 อยู่ที่ 47.2% เพิ่มขึ้นจาก 34.7% ในปี 2559

              สถิติที่ทำให้ต้อง ลดเด็กอ้วน

              ที่น่ากังวลคือ พบปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในเด็กเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ ในปี พ.ศ.2564 โดยความชุกของโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี อยู่ที่ 9.07% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 5.7%

              สาเหตุของเด็กอ้วน

              1.กินมากเกินความจำเป็น สังคมปัจจุบัน บ้านอยู่ใกล้ร้านสะดวกซื้อมากขึ้น และอาหารก็หาซื้อได้ง่ายมาก ๆ ทั้งน้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ ลูกอม ขนมหวานทำให้เด็ก ๆ ในปัจจุบันจึงนิยมบริโภคกันมากขึ้น

              2.ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวน้อย เด็กสมัยนี้เอาแต่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็จอมือถือ จอทีวีทั้งวัน ทำให้เด็กไม่ได้ขยับร่างกายหรือออกกำลังกายบ้างเลย จึงส่งผลให้กลายเป็นเด็กอ้วนในที่สุด

              3.เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยนมผง อาจจะอ้วนมากกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงโดยนมแม่ เนื่องจากว่าในนมผงบางชนิดอาจจะมีไขมันและโปรตีนบางชนิดก่อให้เด็กเกิดโรคอ้วนได้

              4.อ้วนเพราะพันธุกรรม เด็กอ้วนบางคนอ้วนเพราะพ่อแม่อ้วน เพราะเมื่อร่างกายมียีนส์อ้วน เด็กก็จะเป็นเด็กอ้วน แต่ก็พบว่า เด็กที่อ้วนจากสาเหตุพันธุกรรมนั้นมีไม่มาก แต่ส่วนมากที่อ้วนจะเกิดจากอาหารและการเลี้ยงดูมากกว่า

              ลดเด็กอ้วน
              โรคอ้วนอันตราย!

              ผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจากโรคอ้วนในเด็ก

              1.นอนกรน และอาจส่งผลให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เด็กที่อ้วนจำนวนมากมักจะหายใจติดขัดเวลานอน จึงส่งผลให้เด็กนอนกรน บางครั้งทำให้นอนหลับไม่สนิทหลับไม่ดี รวมถึงหากเด็กอ้วนมากและหายใจติดขัดรุนแรง อาจส่งผลร้ายแรงจนถึงขนาดที่ว่า หยุดหายใจขณะนอนหลับก็เป็นได้

              2.เบาหวาน ความดัน ไขมันเลือดสูงในเด็ก เด็กอ้วนจะมีภาวะต่อต้านอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ง่ายและเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานเมื่อเด็กโตขึ้น

              3.กระดูกและข้อโดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพกผิดปกติเพราะต้องรับน้ำหนักมากเกินไป ส่งผลให้เด็กเสียบุคลิกภาพ

              4.เป็นเด็กขาดความมั่นใจ เนื่องจากผิวหนังตามร่างกายโดยเฉพาะบริเวณข้อพับจะกลายเป็นปื้นสีดำเหมือนคนเป็นเบาหวานเนื่องจากเป็นภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน และในบางครั้งเด็กที่อ้วนก็มักจะโดนเพื่อนล้อ จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กกลายเป็นเด็กขาดความมั่นใจก็เป็นได้

              จะเห็นได้ว่าโรคอ้วนในเด็กนั้นส่งผลกระทบทางสุขภาพมากกว่าที่คิด หากพบว่าลูกเข้าข่ายเด็กอ้วนควรรีบหาทางแก้ไขเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพที่จะตามมาในภายหลัง

              ผลกระทบจากโรคอ้วนในทางเศรษฐกิจ

              โรคอ้วนไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจอีกด้วย โดย 13.2% ของงบประมาณสาธารณสุขทั่วโลก คิดเป็นเงิน 9.9 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 29 ล้านล้านบาท สูญเสียไปกับปัญหาน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน โดยปัญหานี้ก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือ 1.27% ของ GDP ทั้งประเทศ

              ถ้าปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ไข ในอีก 40 ปีข้างหน้าอาจกระทบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้สูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือ 4.88% ของ GDP ซึ่งนับเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อประเทศไทย ความสูญเสียนี้คิดเป็นค่าใช้จ่ายทางตรง (Direct cost) สำหรับการรักษาพยาบาลเกือบ 5 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางอ้อม (Indirect cost) 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

              วิธี ลดเด็กอ้วน ในกลุ่มประเทศอื่น ๆ

              นโยบายโครงการอาหารโรงเรียนของกลุ่มประเทศนอร์ดิก ทั้งสวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก และบอลติก อย่างเอสโตเนีย จัดอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาเป็นเวลานานให้กับนักเรียนทุกคนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ในขณะที่เด็กในประเทศนอร์เวย์และเดนมาร์ก นำอาหารกลางวันแพ็กกล่องมาเองที่โรงเรียน

              ที่โดดเด่นที่สุด คือสวีเดนและนอร์เวย์ ที่มีนโยบายการปฏิรูปอาหารกลางวันในโรงเรียน โดยเฉพาะเมนูอาหารที่ไม่มีน้ำตาล หรือที่เรียกว่า Sugar Free ที่นอกจากจะทำให้เด็กมีภาวะโภชนาการที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีสุขภาพดี ส่งผลถึง พัฒนาการ การเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้นด้วย

              สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำเพื่อลูก

              • ควบคุมปริมาณอาหารของลูก ให้รับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยเป็นประจำ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เช่น ของทอด ขนมหวาน ขนมขบเคี้ยวที่ไม่มีประโยชน์ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล น้ำอัดลม
              • ให้ลูกทำกิจกรรมที่ได้ขยับร่างกายและออกกำลังกายไปในตัวอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ไม่ปล่อยให้อยู่หน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ ทีวี ไอแพด แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ เป็นเวลานาน โดยเฉพาะเด็กเล็กอายุ 2-5 ขวบ ไม่ควรให้ดูเกินครึ่งชั่วโมงต่อวัน
              • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของลูกให้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น เช่น ฝึกการเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ฝึกทำงานบ้านง่าย ๆ
              • พาลูกเข้านอนให้เป็นเวลาและนอนให้เพียงพอ เพราะการนอนดึกหรือนอนน้อยนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งของความอ้วน

              ถึงเวลาแล้วที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องกลับมาระมัดระวังภาวะอ้วนที่จะเกิดขึ้นกับลูกนะคะ เพราะโรคอ้วนส่งผลมากมายกับลูกที่รักของเราค่ะ

              ขอบคุณข้อมูลจาก

              ไทยรัฐออนไลน์, RAMA Channel,โรงพยาบาลเปาโล

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก 

              อุทาหรณ์! ลูก ลำไส้อักเสบเรื้อรัง เพียงเพราะแม่อยากให้ลูกอ้วน

              หยุด! ปัญหา “โรคอ้วน” ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ด้วย “เวชศาสตร์ชะลอวัย”

              ลดน้ำหนักเด็กอ้วน ด้วย 10 เมนูอาหารจานเด็ด

                สิทธิ์ฝังยาคุม

                เช็คขั้นตอนตรวจ สิทธิ์ฝังยาคุม และรับบริการฟรี

                เช็คขั้นตอนตรวจ สิทธิ์ฝังยาคุม และรับบริการฟรี

                ในขณะที่หลาย ๆ คนอยากมีลูกน้อย แต่หลายคนยังไม่ถึงวัยที่พร้อมจะมีลูกน้อยล่ะ ควรทำอย่างไร ตอนนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้คำแนะนำว่า สำหรับหญิงที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์สามารถตรวจสอบ สิทธิ์ฝังยาคุม กำเนิดผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ หากได้สิทธิ์ก็สามารถไปใช้บริการที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนะคะ สิทธิ์นี้ตรวจสอบได้อย่างไร มาดูกันค่ะ

                ยาฝังคุมกำเนิด

                เป็นการใช้ฮอร์โมนชนิดเดียว คือ โปรเจสติน (Progestin) ที่บรรจุเอาไว้ในหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็กๆ ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันชนิดกลม นำมาฝังเข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านในที่ไม่ถนัด ใช้เวลาในการฝังยาประมาณ 10-15 นาที ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะค่อยๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกาย และไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา จึงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานถึง 3-5 ปี

                ข้อดีของการฝังยาคุมกำเนิด

                1. ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก ประมาณ 1/200 คน ที่เกิดอัตราล้มเหลว
                2. เป็นวิธีที่มีความสะดวก ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี
                3. มีอาการข้างเคียงน้อย
                4. สามารถเลิกใช้เมื่อใดก็ได้ เมื่อต้องการจะมีบุตร หรือเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
                5. หลังจากถอดออก จะสามารถมีลูกได้เร็วกว่าการฉีดยาคุมกำเนิด 90% ตกไข่ใน 1 เดือน
                6. ยาฝังคุมกำเนิด ยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ลดภาวะประจำเดือนมามาก

                ผู้ที่เหมาะจะใช้ยาฝังคุมกำเนิด

                1. ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและคุมกำเนิดได้ในระยะยาว
                2. ผู้ที่ต้องการเว้นช่วงการมีบุตรอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป
                3. ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน

                ผู้ที่ไม่ควรใช้

                1. ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือ สงสัยว่าตั้งครรภ์
                2. ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด หรือ กำลังได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
                3. ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน
                4. ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดหรือตามอวัยวะเพศต่างๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
                5. ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของตับ หรือ กำลังเป็นโรคตับอักเสบ

                ผลข้างเคียง

                เมื่อฝังยาฝังคุมกำเนิด อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรืออาจมีอาการระคายเคือง ปวด บวมแดงบริเวณผิวหนังที่ฝังยาเข้าไป แต่อาการจะเป็นแค่ระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นอกจากนี้อาจมีน้ำหนักตัวขึ้น สิวขึ้น ปวดศีรษะ เจ็บเต้านม และอารมณ์แปรปรวนหลังฝังยาคุมกำเนิดในบางราย

                ข้อปฏิบัติหลังฝังยาคุม

                • ควรมาพบแพทย์ตามนัด 7 วัน เพื่อดูแผลที่ฝังยา และต่อไปปีละครั้งเพื่อติดตามผล
                • เมื่อครบกำหนด 3 ปี หรือ 5 ปี ต้องกลับมาโรงพยาบาลเพื่อเอายาหลอดเก่าออก และใส่หลอดใหม่เข้าไป

                การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ ต้องทำโดยแพทย์ หรือพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ห้ามพยายามกระทำ หรือนำออกด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาได้

                สิทธิ์ฝังยาคุม สำหรับหญิงอายุไม่เกิน 20 ปี

                สปสช. ตั้งเป้าหมายฝังยาคุมกำเนิด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ให้กับกลุ่มผู้หญิงที่ยังไม่มีความพร้อมตั้งครรภ์

                • อายุต่ำกว่า 20 ปี ในปีนี้ จำนวน 9,280 คน
                • กลุ่มอายุ 20 ปีขึ้นไปที่ยุติการตั้งครรภ์ 1,159 คน

                นอกจากนี้ยังได้ประสานธนาคารกรุงไทย พัฒนาแอปฯ เป๋าตัง ให้สามารถตรวจสอบสิทธิ์ก่อนนัดหมายเข้ารับบริการยังสถานพยาบาลใกล้บ้าน

                นอกจากบริการฝังยาคุมกำเนิดแล้ว ยังรวมถึงบริการใส่ห่วงอนามัย เพื่อลดการเสียชีวิต และภาวะแทรกซ้อนจากการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัย

                สิทธิ์ฝังยาคุม
                เช็คขั้นตอนตรวจ สิทธิ์ฝังยาคุม และรับบริการฟรี
                เช็คขั้นตอนตรวจสิทธิ์ฝังยาคุมและรับบริการฟรี
                เช็คขั้นตอนตรวจสิทธิ์ฝังยาคุมและรับบริการฟรี
                เช็คขั้นตอนตรวจสิทธิ์ฝังยาคุมและรับบริการฟรี

                เกณฑ์ในการเข้ารับบริการ สิทธิ์ฝังยาคุม

                ผู้ที่เข้าเกณฑ์ สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการระบบบัตรทอง หรือระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ร่วมบริการตามความสะดวก โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์การรับบริการ ดังนี้

                • กลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ต้องการคุมกำเนิด หรืออยู่ในภาวะหลังคลอด หรือหลังแท้ง
                • กลุ่มอายุ 20 ปีขึ้นไป เฉพาะกรณีหลังยุติการตั้งครรภ์

                อย่างไรก็ตาม การเข้ารับบริการคุมกำเนิดกึ่งถาวรจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์บริการ ซึ่งในกรณีผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี จะครอบคลุมทุกคนที่ต้องการรับบริการ แต่กรณีอายุ 20 ปีขึ้นไป กำหนดให้สิทธิเฉพาะผู้ที่ยุติการตั้งครรภ์เท่านั้น

                บริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคในแอปเป๋าตังนั้น ทุกคนสามารถตรวจสอบสิทธิที่จะได้รับตามกลุ่มวัยและเพศได้ โดยเข้าไปที่กระเป๋าสุขภาพ เมื่อลงทะเบียนแล้ว จะปรากฏรายละเอียดสิทธิการรักษาพยาบาลของแต่ละคน และสามารถตรวจสอบสิทธิบริการสร้างเสริมสุขภาพที่ได้รับได้ เฉพาะในพื้นที่ กทม. ขณะนี้นำร่อง สามารถจองคิวนัดหมายเข้ารับบริการที่หน่วยบริการได้

                สำหรับการสนับสนุนการฝังยาคุมกำเนิด ผู้สนใจสามารถใช้สิทธิ์ได้ทันที  เพื่อลดปัญหาการลืมกินยาคุมกำเนิด และหากภายหลังต้องการตั้งครรภ์สามารถให้แพทย์นำยาคุมกำเนิดดังกล่าวออกได้

                สอบถามเพิ่มเติมการใช้สิทธิบัตรทอง ได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ทั้งไลน์ สปสช. (ไลน์ไอดี @nhso) หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand

                ขอบคุณข้อมูลจาก
                Hfocus , โรงพยาบาลนครธน

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                บัตรทองให้เข้าถึงยา โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก  

                กทม.เปิดคลินิกดูแล ผู้ป่วยลองโควิด ในรพ. 9 แห่ง 

                สปสช.ให้สิทธิคัดกรอง ภาวะปัญญาอ่อน เด็กแรกเกิด

                  มดตะนอย กัดเด็กเสียชีวิต

                  มดตะนอย กัดแพ้พิษถึงตายได้กับอาการบ่งบอกว่าคุณแพ้

                  มดตะนอย กัดเด็กเสียชีวิต จากข่าวเกิดข้อสงสัยพิษมดตะนอยถึงตายได้จริงหรือ มาทำความรู้จักมดตัวเล็กแต่ต่อยหนัก กับอาการที่บ่งบอกว่าคุณแพ้ และวิธีปฐมพยาบาลกัน

                  มดตะนอย กัดแพ้พิษถึงตายได้!! กับอาการบ่งบอกว่าคุณแพ้

                  จากกรณีเด็กหญิงวัย 11 ขวบ ชาว จ.น่าน เสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ หลังถูกมดตะนอยกัดระหว่างไปหาพ่อในสวน ก่อนที่ไม่ถึง 2 วันต่อมา เด็กจะมีอาการป่วยรุนแรง ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล ก่อนจะเสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า โดยญาติรู้สึกติดใจ หลังนำเด็กไปรักษาตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีอาการปวดหัว ปวดแผลที่ถูกกัด และอาเจียน แต่หมอให้ยาแล้วกลับมาดูอาการที่บ้าน ก่อนจะเสียชีวิตในวันต่อมา

                  นายแพทย์กนก พิพัฒน์เวช รองผู้อำนวยการรักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า เด็กถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลน่านเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม มีอาการเป็นผื่น แพทย์เจ้าของไข้ได้ฉีดยาแก้แพ้ และให้ยาไปรับประทาน ดูอาการที่บ้านหลังจากนั้นตอนบ่ายอีกวัน เด็กถูกส่งตัวมารักษาด้วยอาการปวดศีรษะ เวียนหัว อาเจียน ความดันโลหิต จึงนำเข้าห้องผู้ป่วยหนักรักษาช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ แต่เด็กก็มาเสียชีวิตลงด้วยอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอย่างรุนแรง

                  จากการสืบค้นประวัติการป่วยของเด็ก เคยป่วยโควิด และพ้นระยะกักตัวเมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา จึงมีข้อที่จะต้องพิสูจน์ว่า อาการหัวใจอักเสบนั้นเกิดจากพิษมดตะนอย หรือจากภาวะลองโควิดหรือไม่ แพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังค้นคว้าหาข้อมูล

                  ที่มา : www.sanook.com
                  มดตะนอย กัดเด็กเสียชีวิต ขอขอบคุณภาพจาก amarintv
                  มดตะนอย กัดเด็กเสียชีวิต ขอขอบคุณภาพจาก amarintv

                  พระสงฆ์วัย 33 ปี ถูกมดตะนอยกัดจนช็อกหมดสติต้องหามส่งโรงพยาบาล ที่บริเวณวัดริ้วหว้า ตำบลบ้านพราน อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง แต่โชคยังดีในขณะที่เกิดเหตุมดตะนอยต่อยนั้น มีพระเณรเห็นเหตุการณ์หลายท่าน และได้ช่วยกันแจ้ง 1669 ทางโรงพยาบาลแสวงหา ส่งรถกู้ชีพมารับนำไปทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที ล่าสุดอาการปลอดภัยออกจากโรงพยาบาลแล้วมาพักฟื้นอยู่ที่วัด แต่ยังคงมีอาการมึนงง คลื่นไส้อยู่

                  ที่มา : www.nationtv.tv

                  มดตะนอย ต่อยหนัก จริงหรือ??

                  มดตัวเล็ก ๆ ถึงแม้ว่าจะมีพิษ แต่เวลาโดนกัด โดนต่อย จะทำให้ถึงตายได้จริงหรือ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้า “มดตะนอย” ที่แม้จะตัวเล็ก แต่มีพิษสงไม่เล็กเลยทีเดียว

                  มดตะนอย เป็นสัตว์มีพิษชนิดหนึ่ง มีลักษณะที่เด่นชัดมาก ๆ ของมดสายพันธุ์นี้ คือ มีตัวที่ยาว เรียว บริเวณท้อง กับหัวจะมีสีเข้มค่อนไปทางดำ บริเวณอกจะมีสีน้ำตาลออกไปทางเหลือง หรือบางตัวก็เป็นสีส้ม ส่วนปลายของท้องจะมีเหล็กในแหลม ๆ กรามขนาดใหญ่กว่ามดทั่วไป อาหารของมดตะนอยมักเป็นแมลง หรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ

                  ที่อยู่อาศัยของมดตะนอย มักรวมกลุ่มทำรังกันบริเวณต้นไม้ที่แห้งตาย หรือต้นไม้ที่ยังมีชีวิตต้นใหญ่ ๆ อันตรายจากมดตะนอยเกิดจากเหล็กใน ในตัวมดตะนอยที่เคลือบสารพิษกลุ่มสารประกอบโปรตีน และสารอัลคาลอยด์ ทำให้ผู้ที่ถูกต่อยมีอาการแพ้ มีอาการรุนแรงกว่ามดทั่ว ๆ ไป และเหล็กในดังกล่าวนั้น มดตะนอยสามารถดึงกลับมาต่อยซ้ำ ๆ ได้อีกหลายครั้ง ต่างจากผึ้งที่ต่อยเพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งเหล็กในไว้ในแผล

                  อาการเบื้องต้นของคนที่โดนมดตะนอยกัดแต่ไม่ได้มีอาการแพ้คือ ปวดแสบปวดร้อน มีตุ่มบวมบริเวณที่ถูกกัด แต่จะไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรมาก เมื่อเวลาผ่านไปอาการดังกล่าวจะเบาลง และหายไป ไม่ต้องถึงขั้นต้องพบหมอ แต่สำหรับคนที่แพ้หรือไม่รู้ว่าตนเองแพ้ให้สังเกตอาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง ดังนี้

                  มดตะนอย พิษของมดตะนอย
                  มดตะนอย พิษของมดตะนอย

                  เช็กอาการแพ้ พิษมดตะนอย

                  เมื่อมดตะนอยกัด และปล่อยสารพิษเข้าสู่ร่างกายเราแล้ว จะแสดงอาการ และความรุนแรง แบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

                  1. ปฏิกิริยารุนแรง

                  หลังจากถูกกัดได้ประมาณ 15 นาที ผู้ที่ถูกมดกัดจะมีผื่นลมพิษ ผื่นแดง คัน มีอาการบวมที่ตา หน้า ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือบางคนอาจมีอาการบวมทั้งตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก พูดลำบากเนื่องจากระบบทางเดินหายใจมีภาวะบวม มีสารคัดหลั่งออกมา ผิวหนังเขียวคล้ำเพราะหลอดลมในปอดหดตัว ทำให้ลมหายใจไหลเวียนไปฟอกเลือดไม่ได้ กระทั่งส่งผลให้ความดันเลือดตก สมองขาดเลือด เซลล์สมองตาย ช็อก หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด
                  2. ปฏิกิริยาเฉพาะที่

                  หากหลังจากถูกมดตะนอยกัด จะมีอาการเจ็บ มีตุ่มคัน บวม แดง โดยภายหลังอาการจะหายไปเอง แต่สำหรับคนที่มีอาการรุนแรง อาจมีอาการปวดบวมมากแต่ไม่คัน หน้ามืด เป็นลม เหงื่อออกมาก เดินไม่ไหว แผลที่มดกัดบวมแดง และลามไปบริเวณใกล้เคียง ตัวสั่น หาวนอนถี่ มือ-เท้าเย็น หรืออาจเป็นลมพิษทั่วตัว เจ็บ คัน ร่วมกับมีไข้

                  3. ปฏิกิริยาชนิดผิดธรรมดา

                  โดยหลังจากถูกมดกัดจะมีอาการเม็ดเลือดแดงแตก มีลิ่มเลือดแพร่กระจาย มีการอุดตันของเส้นเลือดแดง เกิดภาวะเลือดออก และคั่งทั่วตัว กล้ามเนื้อตาย ปวดตามกล้ามเนื้อ เป็นตะคริว ปัสสาวะมีสีดำ สีน้ำปลา หรือสีแดงจากภาวะไตวาย โดยอาจพบว่ามีภาวะอุดตันในระบบการทำงานของไตได้

                  อาการแพ้ มีไข้ มีน้ำมูก ผื่นคัน หายใจไม่สะดวก
                  อาการแพ้ มีไข้  ผื่นคัน หายใจไม่สะดวก
                  อาการบ่งบอกเบื้องต้นว่า แพ้พิษมดตะนอย
                  • แน่นหน้าอก
                  • หายใจลำบาก
                  • ตัวชา
                  • คลื่นไส้
                  • อาเจียน
                  • ท้องเสีย
                  • มีตุ่ม แผลบวมมาก

                  แบบนี้ก็ถือว่าอาการไม่ปกติ และควรรีบนำตัวผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ระยะเวลาในการแสดงอาการจะต่างกันออกไป ตั้งแต่เป็นนาที จนถึงเป็นชั่วโมง

                  แม้เพียงตัวเดียว ก็อาจแพ้รุนแรงได้!!

                  ระดับความรุนแรงของพิษมดตะนอยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ

                  1. จำนวนมดตะนอยที่กัด หากโดนรุมกัดจากมดตะนอยหลาย ๆ ตัว ได้รับพิษมดตะนอยในปริมาณมาก ก็อาจมีอาการมากไปด้วย
                  2. มีภาวะแพ้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยอยู่แล้ว มดตะนอยกัดเพียงตัวเดียวก็อาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อร่างกายได้เช่นกัน หากคุณเป็นคนแพ้พิษแมลงอยู่แล้ว ร่างกายจึงไวต่อพิษของมดตะนอยที่เข้ามา ทำให้เกิดปฎิกิริยารุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้

                  วิธีปฐมพยาบาล เมื่อถูกมดตะนอยกัด

                  1. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และสบู่
                  2. ประคบแผลด้วยน้ำแข็งหรือเจลเย็นนาน 20 นาที เพื่อลดอาการบวม และอาการปวด โดยควรประคบเย็นซ้ำทุกชั่วโมงจนกว่าอาการจะทุเลา
                  3. ทาครีมสเตียรอยด์เพื่อลดอาการปวดได้ แต่ไม่ควรใช้ยาทาที่ทำให้เกิดความร้อน เพราะจะทำให้มีการแพร่กระจายของพิษอย่างรวดเร็ว
                  4. หากมีอาการปวดมากให้กินยาพาราเซตามอลช่วยบรรเทา
                  5. ควรรับประทานยาแก้แพ้ร่วมด้วย
                  6. ถ้าผื่นมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 2 นิ้ว หรือรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องหรือมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือถูกกัดหลายจุด ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

                    ดูแลลูกให้ห่างไกลสัตว์มีพิษ มดตะนอย งู ตะขาบ
                    ดูแลลูกให้ห่างไกลสัตว์มีพิษ มดตะนอย งู ตะขาบ

                  การดูแลเด็ก ห่างไกลสัตว์มีพิษ

                  นอกจากมดตะนอยแล้ว ยังมีสัตว์มีพิษอีกหลายชนิดที่เราต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่ไม่รู้ถึงพิษภัย และเล่นซนตามประสาจนอาจไปเจอเข้ากับสัตว์มีพิษต่าง ๆ ได้ ดังนั้นเราข้อควรระวัง และวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากสัตว์มีพิษต่าง ๆ ที่มักพบเจอบ่อยมาฝากกัน

                  งู และสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษ

                  สัตว์เหล่านี้จะหลบในรูในช่วงฤดูร้อน และออกมาในช่วงฤดูฝน งู แมงป่อง ตะขาบ และสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษ ส่วนมากมักจะออกมาจากรูมาหากินหลังฝนตก จึงควรระมัดระวังลูกหลานเวลาออกเดินเล่นนอกบ้านหลังฝนตก และจัดบ้านไม่ให้รก มีซอกมีหลืบ อันเป็นที่อยู่ของสัตว์เหล่านี้ได้

                  การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำได้โดย

                  1. รีบทำความสะอาดบาดแผลด้วยสบู่ น้ำสะอาด และแอลกอฮอล์ล้างแผล
                  2. ในกรณีสงสัยงูกัด แนะนำให้ใช้เชือกหรือผ้าพันเหนือแผลให้พอแน่น เพื่อชะลอเวลาเดินทางของพิษงูเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ
                  3. รีบไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจรักษาตามชนิดของพิษต่างๆ ซึ่งในรายงูกัด อาจจำเป็นต้องได้รับเซรุ่มแก้พิษงู ไม่ควรรอจนกว่ามีอาการแล้ว

                  แมงกระพรุนไฟ

                  มีมากบริเวณชายทะเล และแนวชายหาด เมื่อถูกแมงกะพรุนไฟเข้าไปสัมผัสกับร่างกาย จะทำให้เกิดอาการปวดร้าวไปทั้งตัว ลักษณะของแมงกะพรุนไฟ ลำตัวจะมีรูปร่างคล้ายร่ม มีสีแดง มีหนวดยื่นยาว 

                  การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำได้โดย

                  เมื่อถูกพิษของแมงกะพรุนไฟ ควรจะใช้น้ำส้มสายชูในการล้างแผล ไม่ควรใช้น้ำจืด และหลังจากนั้นควรรีบไปให้แพทย์ทำการตรวจรักษาทันทีทันใด วิธีที่จะป้องกันอันตรายจากแมงกะพรุนที่สำคัญ นักเล่นน้ำควรหลีกเลี่ยงลงเล่นน้ำทะเลในบริเวณที่มีแมงกะพรุนไฟ ชุกชุม หรือช่วงหลังพายุฝน

                  ระวังสัตว์มีพิษ มดตะนอย เวลาลูกเล่นนอกบ้าน
                  ระวังสัตว์มีพิษ มดตะนอย เวลาลูกเล่นนอกบ้าน

                  เม่นทะเล บุ้งทะเล

                  หากโดนหนามเม่นตำ จะเกิดอาการอักเสบบวมแดง เจ็บปวด และเป็นไข้ได้ หนามของเม่นทะเลจะทำให้เกิดอาการชาอยู่นาน

                  การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำได้โดย

                  เมื่อถูกหนามเม่นทะเลตำให้ถอนหนามออก หากถอนไม่ออกให้พยายามทำให้หนามบริเวณนั้นแตกเป็น ชิ้นเล็ก ๆ โดยการบิดบริเวณผิวหนังไปมา หรือแช่แผลในน้ำร้อนประมาณ 50 องศาเซลเซียส เพื่อช่วย ให้หนามย่อยสลายเร็วขึ้น

                  ข้อมูลอ้างอิงจาก สสส./www.si.mahidol.ac.th

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  5 แมลงมีพิษ และสัตว์ร้ายที่มากับหน้าฝน อันตรายใกล้ตัวลูก ที่พ่อแม่ต้องระวัง!

                  แชร์เตือน!ลูกไม่สบตาอย่าปล่อยผ่านอาจสายตายาว ตาเหล่ ได้

                  ทุกบ้านต้องระวัง! เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

                  อย่าคิดว่าเรื่องเล็ก! ลูกอาจทรมานเพราะ หอบ หืดในเด็ก

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    Attitude Mom

                    Attitude Mom และ Plentitude เปิดสาขาใหม่ที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่

                    “เปิดแล้วสาขาที่ 6! ของ Attitude Mom และ Plentitude ร่วมด้วยแบรนด์เครื่องดื่มวิตามิน Plenty Drink เปิดบริการวันแรกในวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 โดยสาขานี้ตั้งอยู่ที่ @curve community & education mall จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้ามากขึ้นด้วยบริการแบบ One Stop Service เบ็ดเสร็จในที่เดียว เปิดบริการตั้งแต่ 07:00 น.-19:00 น.ให้บริการทุกวันเลยค่ะ โดยจะเน้นความสะดวกสบายในการหาซื้อเครื่องปั๊มนม และอะไหล่ต่างๆ ทุกรายการสินค้า คุณลูกค้าสามารถส่งเครื่องเข้ามาเช็ค หรือขอรับเครื่องสำรองได้ที่ศูนย์บริการ นอกจากนั้น คุณลูกค้ายังสามารถเข้ามาเทสเครื่องปั๊มนมได้ทุกรุ่น พร้อมทั้งขอคำแนะนำต่างๆเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องปั๊มนม ได้เลยค่ะ

                    Attitude Mom x Plentitude

                    สำหรับสินค้าใหม่ เครื่องดื่มวิตามิน Plenty Drink เครื่องดื่มวิตามิน ส่วนผสมจากแอปริคอตและหัวปลี ก็มีจำหน่ายแล้วที่สาขาเชียงใหม่ และทุกๆสาขาของเรา โดยสามารถเข้ามาชิมรสชาติอร่อยๆ สดชื่นๆ ได้ที่ร้านของเราได้เลยนะคะ

                    สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าของ Attitude mom และ Plentitude ทุกช่องทางรวมถึงซื้อที่สาขา เรามีบริการหลังการขาย คุณลูกค้าสามารถแอดไลน์ที่ @Attitudemom และ @plentitude เพื่อขอรับคำปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่ เรามีบริการให้คำปรึกษาตั้งแต่เวลา 7.30 น. – เที่ยงคืนของทุกวันค่ะ”

                    #Attitudemom #Plentitude #Plentydrink

                    Attitude Mom x Plentitude

                    Attitude Mom

                      Tags

                      เอลเดอร์เบอร์รี่

                      ป้องกันหวัด ลดการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกันลูก ด้วย “เอลเดอร์เบอร์รี่”

                      หวัด! โควิด! อากาศ! เชื้อโรคที่ทำให้ลูกเจ็บป่วยมีอยู่รอบตัวค่ะ เห็นทีจะปล่อยให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายตกไม่ได้เด็ดขาด!! วิตามินอาหารเสริมสำหรับเด็ก คุณพ่อคุณแม่สามารถให้ลูกกินเสริม นอกเหนือจากอาหารมื้อหลักได้นะคะ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีนี่จ๊ะ วิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน ที่สกัดจากผลไม้มหัศจรรย์ “เอลเดอร์เบอร์รี่ Elderberry” มาแนะนำให้ค่ะ

                      รูปก็งาม นามก็เพราะของผลไม้ที่ชื่อว่า “แอลเดอร์เบอร์รี่ (Elderberry)” ขอบอกว่าเป็นผลไม้ที่จัดอยู่ในหมวดของ Superfood ค่ะคุ๊ณ ถิ่นฐานกำเนิดมาจากทวีปยุโรป ไฮโซเข้าไปอี๊ก เอลเดอร์เบอร์รี่ เป็นผลไม้มหัศจรรย์มีสรรพคุณสุดเริ่ดมาก ๆ ค่ะ

                      ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มีการวิจัยค้นหาดูสารพฤกษเคมีธรรมชาติ ก็ไปเจอว่าผลไม้ชนิดนี้อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสูง มีวิตามินอี วิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี กรดฟีนอลิก (Phenolic acids) ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) และแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ฯลฯ  ซึ่งสารอาหารธรรมชาติทั้งหมดนี้ล้วนที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์ เพราะจะช่วยเสริมสร้างให้ระบบเลือด ออกซิเจน กระดูก เซลล์ อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายมีความสมบูรณ์ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สรุปง่าย ๆ คือเมื่อร่างกายภายในของเรามีเกราะภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ก็จะส่งออกมาสู่ร่างกายภายนอกให้หน้าตา สมอง ร่างกายผิวพรรณ  มีความสดใส กระปรี้กระเปร่า แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยบ่อย  👏👏

                      ดีขนาดนี้คุณแม่ต้องจัดหาน้อง elderberry มาให้ลูก ๆ ที่บ้านได้กินกันนะคะ อ่อ..แต่จริง ๆ ก็เป็นผลไม้ที่เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย กินแล้วดีมีประโยชน์ช่วยเสริมภูมิคุ้มให้กับทุกคนเลยค่ะ

                      อยากจะบอกให้ทุกครอบครัวที่มีลูกเล็ก เด็กน้อย วัยอนุบาล วัยประถม ว่าจะระวังแค่เรื่องป่วยเป็นหวัดอย่างเดียวไม่ได้แล้วนะคะ เพราะโควิดก็ยังระบาดอยู่ และที่แย่ไปกว่านั้นคือ หากเด็ก ๆ ที่ติดโควิด หลังจากรักษาหายแล้ว ก็ยังต้องระวังเรื่องของ Long Covid อีกนะคะ เพราะลูกอาจมีภาวะอักเสบทั่วร่างกาย ที่เรียกว่า “MIS-C” ซึ่งก็เกี่ยวเนื่องมาจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายนั่นเองค่ะ ฉะนั้นแนะนำว่าควรจะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้กับเด็ก ๆ มีความแข็งแรงตลอด 365 วันจะดีที่สุดค่ะ เพื่อจะได้ไม่เจ็บป่วยเลย หรือป่วยให้ได้น้อยที่สุด

                      เอลเดอร์เบอร์รี่ Elderberry

                      9 ประโยชน์สุดว้าว!! ของเอลเดอร์เบอร์รี่

                      ทางนี้ให้ 5 WOWWWW กันเลยค่ะ ประโยชน์ดี ๆ มีอยู่ใน “เอลเดอร์เบอร์รี่ elderberry” ไม่ต้องคิดว่าจะกินหรือไม่กินดี เพราะถ้าถามทางเรา แนะนำว่ากินเถอะค่ะ 🙂

                      • ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
                      • ช่วยยับยั้งการหลั่งของสารก่อการอักเสบในร่างกาย
                      • ช่วยลดการอักเสบของผิว และภายในร่างกาย
                      • ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
                      • ช่วยดูแลสุขภาพดวงตา
                      • ช่วยดูแลสุขภาพหัวใจ
                      • ช่วยดูแลสุขภาพสมอง
                      • ช่วยป้องกันโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่
                      • ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสเริม

                      เดี๋ยวคุณแม่จะยกมือท้วงว่า หาผลสด ๆ ของเอลเดอร์รี่อยากจัง มีให้กินง่ายกว่าผลสดไหม ? มีค่ะ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids แนะนำเป็น “Nubolic Multi Elderberry Plus A C E Zine & D3” วิตามินรวมอาหารเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับเด็ก ใน 1 เม็ดมีประโยชน์ให้ครบในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายของเด็ก ๆ

                      Nubolic Multi Elderberry Plus

                      Nubolic Multi Elderberry Plus มีส่วนผสมมากถึง 6 ชนิด Elder Berry , วิตามิน C , วิตามิน E , Zinc ,วิตามิน D3 และ วิตามิน A ที่ช่วยในเรื่องของการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ให้ร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดี

                      ✅ ช่วยลดอาการเกิดเชื่อไวรัส ต้านหวัด

                      ✅ ช่วยบำรุงดวงตา และสมอง

                      ✅ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดภูมิแพ้

                      ✅ ช่วยบำรุงร่างการให้แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย

                      ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเสริมภูมิคุ้มกันสำหรับเด็ก แบรนด์ Nubolic เขานำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผู้เชี่ยวชาญคิดค้นออกแบบมาผลิตภัณฑ์บำรุงดูแลสุขภาพร่างกายของเด็กโดยเฉพาะ คุณแม่มั่นใจได้ว่าปลอดภัยอย่างแน่นอน และที่สำคัญ Nubolic Multi Elderberry Plus A C E Zinc & D3 ยังได้รับการรับรองคุณภาพและจดทะเบียนจากหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือได้นั่นก็คือ รัฐบาลออสเตรเลีย 372078 , องค์การอาหารและยา (อย.) ไทย 10-3-36959-5-0097

                      กองบรรณาธิการขออธิบายคุณประโยชน์ของ Zinc กับ Vitamin D เพิ่มเติมอีกนิดค่ะ เพราะหลายคนอาจยังไม่ค่อยรู้ว่ามีประโยชน์ช่วยเรื่องอะไรกับสุขภาพร่างกาย สำหรับ 2 วิตามินแร่ธาตุที่มีมีอยู่ใน Nubolic Multi Elderberry Plus

                      • ซิงก์ กลูโคเนต

                      เป็นสารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีความสำคัญในการบำรุงระบบภูมิคุ้มกันให้ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะที่ร่างกายขาดสังกะสีอาจมีผลต่ออัตราการหายของแผลทั่ว ๆ ไป แผลในทางเดินอาหาร และแผลกดทับต่าง ๆ

                      • วิตามินดี 3

                      มีความสำคัญต่อการแบ่งตัวของเซลล์ให้เป็นไปอย่างปกติ ช่วยบำรุงสุขภาพกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีส่วนช่วยในการดูดซึมและใช้ประโยชน์ของแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีบทบาทต่อการทำงานของทั้งระบบภูมิคุ้มกัน และกล้ามเนื้อ

                      ตลอด 365 วัน ถ้าลูกไม่เจ็บป่วย ก็ไม่มีอุปสรรคต่อการเรียนรู้ และพัฒนาการการเจริญโตที่จะเป็นตามช่วงวัยที่สมบูรณ์อย่างแน่นอนค่ะ ฉะนั้นนะคะการปฏิบัติที่ง่ายที่สุด คือ กินอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ แล้วก็เสริมด้วยวิตามินเสริมภูมิคุ้มให้กับร่างกายเป็นประจำ เท่านี้ก็ช่วยให้ชีวิตและสุขภาพของลูกสดใสในทุกวันแล้วค่ะ

                      คุณพ่อคุณแม่สามารถดูข้อมูลผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับเด็กแบรนด์ NUBOLIC เพิ่มเติม หรือสั่งซื้อได้ที่ 2 ช่องทางดังนี้ค่ะ

                      FB : https://www.facebook.com/nubolic/

                      Line : @nubolic

                       

                       

                      อ้างอิงข้อมูล : Praram9 Hospital  ,  hellokhunmor
                        ข้าวมันไก่

                        ทุกบ้านต้องระวัง! เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

                        ทุกบ้านต้องระวัง! เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

                        หนึ่งในอาหารยอดนิยมของหลาย ๆ บ้าน แน่นอนว่าต้องมี ข้าวมันไก่ อยู่ในนั้นแน่ ๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหน เราก็จะเห็นร้านข้าวมันไก่เสมอ ทั้งในรูปแบบร้านนั่งกิน ร้านรถเข็น ในตลาดสด ห้างสรรพสินค้า แต่ข้าวมันไก่ก็มีเชื้อที่ก่อโรคให้เราต้องระวังเหมือนกันนะคะคุณพ่อคุณแม่ จะป้องกันและระวังอย่างไรมาดูกันค่ะ

                        เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

                        ช่วงหน้าร้อนนี้การเลือกทานอาหารจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะอากาศที่ร้อนจะทำให้อาหารเน่าเสียง่าย และทำให้มีเชื้อก่อโรคปนเปื้อน เช่น สแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส

                        เชื้อโรคมาจากไหน

                        เชื้อชนิดนี้พบได้ในอากาศ ฝุ่น ขยะ น้ำ อาหารที่ทำจากเนื้อสัตว์ สัตว์ปีก ไข่ และพบอยู่ตามทางเดินหายใจ ลําคอ เส้นผมและผิวหนังของคน ฉะนั้น อาหารที่ต้องสัมผัสมือผู้ปรุงหลังปรุงสุกและเก็บไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้มีเชื้อชนิดนี้ปนเปื้อนได้ อย่างเช่น ข้าวมันไก่ที่ขณะรอขาย ผู้ขายมักวางเนื้อไก่ต้มและข้าวมันไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลานานและไม่อุ่นให้ร้อนก่อนเสิร์ฟหรือขายให้ลูกค้า

                        ข้าวมันไก่
                        ทุกบ้านต้องระวัง! เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

                        พบสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน

                        สถาบันอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เก็บตัวอย่างข้าวมันไก่จำนวน 5 ตัวอย่าง จาก 5 ร้าน ในเขตกรุงเทพฯ เพื่อนำมาวิเคราะห์เชื้อ สแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส ปนเปื้อน ผลปรากฏว่ามีข้าวมันไก่ 1 ตัวอย่าง พบเชื้อ สแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส ปนเปื้อนเกินเกณฑ์มาตรฐานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่กำหนดให้อาหารพร้อมบริโภคทั่วไปพบเชื้อ สแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส ปนเปื้อนได้ไม่เกิน 100 ซีเอฟยู/กรัม

                        อาการเมื่อได้รับเชื้อจาก ข้าวมันไก่

                        เมื่อเราได้รับเชื้อสแตปฟิโลค็อคคัส ออเรียส เข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดอันตรายคือ เกิดโรคอาหารเป็นพิษ ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง อ่อนเพลีย รายที่รุนแรงจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ความดันเปลี่ยนแปลง อาการจะดีขึ้นภายใน 3 วัน

                        อาการโรคอาหารเป็นพิษ

                        1. อาเจียนรุนแรง หรือถ่ายมากผิดปกติ (มากกว่า 8-10 ครั้งต่อวัน)
                        2. มีไข้
                        3. ซึม ไม่มีแรง อ่อนเพลีย มือเท้าเย็น
                        4. ปัสสาวะสีเข้ม ปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะเกิน 6 ชั่วโมง
                        5. หากเป็นเด็กเล็ก อาจมีอาการปากแห้ง ตาโหล ร้องไห้แบบไม่มีน้ำตา

                        อาหารเสี่ยงต่อการเกิดอาหารเป็นพิษ

                        1. อาหารสด สุก ๆ ดิบ ๆ หรือผ่านความร้อนไม่เพียงพอ
                        2. อาหารที่มีรสจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด หรือเค็มจัด
                        3. อาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง ที่พบว่ามีรอยบุบ รอยรั่ว หรือขึ้นสนิม
                        4. อาหารที่ผลิตหรือปรุงไม่สะอาดเพียงพอ เช่น ใช้เขียงหั่นเนื้อสัตว์สดกับผักลวกร่วมกัน
                        5. อาหารที่มีแมลงวันตอม
                        6. อาหารที่ปรุงสุกตั้งแต่เช้า โดยไม่มีการอุ่นร้อน
                        7. อาหารที่มีกะทิเป็นส่วนผสมแล้วปรุงทิ้งไว้นานหลายชั่วโมง
                        8. น้ำแข็งที่ผลิตไม่ได้มาตรฐาน

                        วิธีดูแลตนเองเมื่อมีอาการอาหารเป็นพิษ

                        • ปกติสามารถหายได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง โดยให้รักษาตามอาการคือ รับประทานเกลือแร่ทดแทนและยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน
                        • งดรับประทานอาหารประเภทนม ผลไม้ อาหารรสจัด อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ อาหารหมักดอง
                        • พักผ่อนให้มากขึ้น ดื่มน้ำมาก ๆ งดการทำกิจกรรมหนัก ๆ เช่น ออกกำลังกาย ทำงานบ้านหนัก ๆ
                        • ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ หากอาการไม่ดีขึ้นให้รีบพบแพทย์

                        การรักษาอาหารเป็นพิษ

                        เนื่องจากผู้ที่ป่วยเป็นอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง และไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการฆ่าเชื้อ จึงเป็นการรักษาตามอาการของผู้ป่วยแต่ละคน ซึ่งมีแนวทางดังนี้

                        • หากมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้รับประทานยาบรรเทาอาการคลื่นไส้
                        • หากมีอาการท้องเสีย ให้ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไป โดยค่อย ๆ จิบ จนกว่าอาการท้องเสียที่เป็นอยู่จะดีขึ้น
                        • หากมีไข้ ให้รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล

                        ในกรณีที่ต้องรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ แพทย์จะพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะกับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ในร่างกาย

                        ขอบคุณข้อมูลจาก
                        ไทยรัฐออนไลน์,โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        WHOเตือน ! พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน 

                        แชร์เตือน!ลูกไม่สบตาอย่าปล่อยผ่านอาจสายตายาว ตาเหล่ ได้

                        อย่าคิดว่าเรื่องเล็ก! ลูกอาจทรมานเพราะ หอบ หืดในเด็ก

                          ทำเด็กหลอดแก้ว

                          แม่กรเล่าละเอียดยิบ “ขั้นตอน ทำเด็กหลอดแก้ว (ICSI)” ทั้งการแพทย์ทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาครบ!

                          แม่กรเล่าละเอียดยิบ..ประสบการณ์ตรง! ขั้นตอน ทำเด็กหลอดแก้ว กว่าจะได้น้องแฝด “มิวสิค-ลีริคส์” ตั้งแต่การกระตุ้นไข่ ฉีดน้ำเชื้อเข้าโพรงมดลูก ทุกขั้นตอนไม่ง่ายอย่างที่คิด

                          กรแต่งงานตอนอายุ 26 ปี แพลนว่าจะมีลูกเลยค่ะ อยากมีลูกเร็วๆ จะได้วัยไม่ไกลกันมาก และด้วยความบ้านคนจีน
                          ก็จะมีความเชื่อในการเลือกปีนักษัตรให้ลูก โดยที่บ้านกรบอกมาว่าอยากให้ลูกเกิดปีวัวทองค่ะ กรแต่งงานเดือน พ.ย. ปี 63  (ปีชวด) นั่นแปลว่าหลังแต่งงาน กรมีเวลา 4 เดือน ที่จะต้องท้องให้ได้ภายในช่วงเวลานี้เท่านั้น ถึงจะได้คลอดปีวัวทองที่ว่า

                          กรกับพี่เป้ปรึกษากันว่าถ้าเราใช้วิธีธรรมชาติอาจจะเสี่ยงที่จะไม่ทันแน่ๆ เลยลองไปปรึกษาคุณหมอเพื่อจะพึ่งวิธีทางวิทยาศาสตร์ กรอ่านรีวิวคลินิกต่างๆ เยอะมาก แล้วก็เลือกคลินิกที่กรเชื่อถือมากที่สุดค่ะ กรโทรไปนัดคิวพบคุณหมอ
                          พอไปถึงปุ้บก็เล่าให้คุณหมอฟังเลยค่ะ ว่าต้องการตั้งครรภ์ภายในเดือนมีนาคม 64 เพื่อที่จะคลอดภายในปี 64 นี้เลย

                          ขั้นตอนแรกคุณหมอก็ขอตรวจภายในเบื้องต้นค่ะ ผลออกมาว่าทุกอย่างปกติดี เลยให้คำแนะนำว่าให้ลองเป็นวิธีการฉีดเชื้อ (IUI) ดูก่อน เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก, ไม่ต้องเจ็บตัวเยอะ และใช้ระยะเวลาน้อยด้วยค่ะ แต่คุณหมอให้กรไปฉีดสีก่อนเพื่อดูว่าท่อนำไข่ตันไหม เพราะถ้าท่อนำไข่ตีบหรือตัน การทำ IUI จะไม่ได้ผลค่ะต้องข้ามไปที่ ICSI เลย

                          แม่ๆหลายคนกังวลการฉีดสีมากๆ ว่าจะเจ็บ กรขอใช้ประสบการณ์ตรงมายืนยันเลยค่ะ ว่าไม่มีความเจ็บเลยแม้แต่นิดเดียว มีแค่หน่วงๆ ช่วงแรกเท่านั้น แต่ในกรณีนี้คือ ท่อนำไข่ปกตินะคะ ไม่ตีบหรือตันเลย พอผลออกมาปกติ

                          ก็เริ่มกระบวนการ IUI ขั้นตอน ทำเด็กหลอดแก้ว เลยค่ะ

                          กระตุ้นไข่ ได้ 3 ใบที่ดูสวย ซึ่งตรงนี้ไม่สามารถการันตีได้นะคะ ว่าไข่ที่ได้ขนาดและหน้าตาสวยจะเป็นไข่ที่คุณภาพดี เพราะตัวบ่งชี้คือไข่ข้างในค่ะ ที่คุณหมอซาวด์ดูเป็นแค่ภายนอกเท่านั้น ความพีคอยู่ตรงที่มียาฉีดที่ทำให้ไข่ตกตามเวลาที่คุณหมอกำหนด ต้องฉีดตอน 21.00 เป๊ะๆ ห้ามเร็วหรือช้าไปเด็ดขาด

                          คุณหมอให้เอากลับมาฉีดเองที่บ้าน ซึ่งหน้าที่นี้ตกไปอยู่ที่พี่เป้ค่ะ เพราะกรไม่กล้าฉีดตัวเอง 😅 พอถึงเวลา20.55 กรกับพี่เป้รนๆ ล่กๆ กันหมด 21.00 มองตากัน 2 ที พี่เป้บอกว่าเอาละนะ ปักเข็ม ปุ่ก!! ฉีด!!

                          อ่าววว ทำไมยาหกออกมาข้างนอกหล่ะ พี่เป้รีบยกเข็มขึ้น สรุปว่าพี่เป้ลืมถอดปลอกเข็มออกค่ะ ยาหกออกไปครึ่งหลอดกว่าแล้ว…  ตอนนั้นใจทั้งคู่หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รู้สึกเฟลมาก กรรีบโทรหาพี่พยาบาลที่คลินิกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง คุณหมอเลยบอกให้ฉีดเท่าที่เลือกไปก่อนแล้ววันรุ่งขึ้นรีบมาให้ตรวจว่าเป็นยังไง

                          แล้วสุดท้ายแล้วการทำ IUI ครั้งนี้ก็ไม่สำเร็จค่ะ

                          กรกับพี่เป้เลยไม่รอช้า ปรึกษาคุณหมอต่อทันทีว่าเราจะทำเด็กหลอดแก้ว (ICSI) ด้วยแพคเกตที่มี % ในการสำเร็จสูงที่สุด และจะขอเริ่มเข้ากระบวนการวันนี้เลย เราไม่อยากรอแล้ว กลัวจะพลาดแล้วต้องเริ่มต้นใหม่อีก หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าหน้าท้องของกรโดนเข็มไปทั้งหมดกี่เข็ม

                          กรต้องฉีดเข็มที่หน้าท้องทุกวัน สูงสุดฉีดวันละ 4 เข็ม ฉีดสลับข้างกันไปเรื่อยๆ หน้าท้องกรช้ำไปหมด ส่วนพี่เป้ก็ฉีดให้กรจนเซียนแล้ว ฉีดตามเวลา ตามตารางที่คุณหมอให้มา ถ้าต้องออกไปข้างนอกก็จะต้องพกยาฉีดใส่กระเป๋าเก็บความเย็นไปด้วย กรมีทั้งยาฉีด, ทาน, แปะ, ทา, สอดค่ะ ทุกอย่างต้องทำตามตารางเวลา ตั้งนาฬิกาปลุกกันทั้งวัน😅

                          ทำเด็กหลอดแก้ว

                          ขั้นตอน ทำเด็กหลอดแก้ว การกระตุ้นไข่ > เก็บไข่

                          กรได้ทั้งหมด 9 ฟอง หลังเก็บไข่เสร็จท้องบวมมากกก เหมือนคนท้อง 4-5 เดือนเลยค่ะ ท้องอืดด้วย ทรมานมากกก ของกรใช้เวลาประมาณเกือบ 10 วัน ถึงจะกลับมาปกติค่ะ ระหว่างนั้นทาง Lab ก็จะเลี้ยงตัวอ่อนไปด้วยและคอยรายงานทุกวันว่าตัวอ่อนเป็นยังไงบ้าง

                          ไข่ 9 ฟองที่เก็บออกมาได้ สามารถยิง ICSI เป็นตัวอ่อนได้ 7 ตัวค่ะ ซึ่งเบื้องต้นที่ Lab ส่ง report มาให้คือ แจ้งว่าไข่ของกรมีหน้าตาและคุณภาพเหมือนคนอายุ 40 กว่าค่ะ คือภาวะไข่เสื่อม พื้นผิวไข่ขรุขระ หยาบ ไม่ยืดหยุ่น ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนค่ะ

                          ตอนนั้นกรใจเสียมากๆ กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะไม่เหลือตัวอ่อนเลย… คุณหมอเลี้ยงตัวอ่อนจนถึง day 6 ปรากฏว่าเหลือตัวอ่อนแค่ 2 ตัวเท่านั้นค่ะ หลังจากนั้นเราจะรอประจำเดือนรอบแรกมาแล้วก็เข้าขั้นตอนเตรียมผนังมดลูก ระยะเวลาอยู่ที่เดือนกว่าๆ ถึงจะได้ใส่ตัวอ่อน ของกรเป็นการย้ายตัวอ่อนรอบแช่แข็งค่ะ (มีสถิติออกมาว่าการย้ายตัวอ่อนรอบแช่แข็งมี %ที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าการย้ายรอบสด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณหมอประเมินด้วยค่ะ)

                          ทำเด็กหลอดแก้ว

                          ขั้นตอนการใส่ตัวอ่อน (พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์)

                          คุณหมอให้กรกับพี่เป้ตัดสินใจว่าจะใส่ตัวอ่อน 1 หรือ 2 ตัวดี ถ้าใส่ 1 ตัวแล้วพลาด เราจะเหลืออีก 1 ตัวที่สามารถใส่ได้อีกครั้ง แต่ก็จะเสียเวลา อีกทางนึงคือใส่ 2 ตัวเลย เผื่อหลุด 1ตัว ยังเหลืออีก 1 ตัว แต่ก็มีโอกาสที่จะหลุดทั้ง 2 ตัวเช่นกัน ถ้าเป็นแบบนั้นเราต้องเริ่มต้นกันใหม่ ตั้งแต่ขั้นตอนกระตุ้นไข่เลยเพราะตัวอ่อนหมดแล้วค่ะ

                          สรุปกรกับพี่เป้ตัดสินใจกันว่าเราจะใส่2ตัวเลย และถ้าไม่สำเร็จเราจะรีบเริ่มใหม่ทันที หลังจากนั้นก็พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มูกันทุกที่ที่เค้าว่าได้ผลค่ะ รวมไปถึงการบนศาลตายายหน้าคลินิกด้วย555 ตอนนั้นคิดแค่ว่าจะทำทุกทาง ทุกวิธีให้ครั้งนี้สำเร็จให้ได้ … ซึ่งสภาพจิตใจสำคัญมากค่ะ ทำอะไรแล้วสบายใจทำเลย แอบกระซิบเคล็ดลับสำหรับแม่สายมูที่อยากทำตามค่ะ วันใส่ตัวอ่อน กรพกเข็มกลัดคนท้อง, ขนม, ช็อคโกแลต, อมยิ้ม, ของเล่นเด็ก (พกไปอย่างละ 2 ชิ้น เพราะคาดหวังให้ตัวอ่อนฝังทั้ง 2ตัวค่ะ) พกใส่ถุงผ้าไปด้วย

                          ระหว่างที่ใส่ตัวอ่อน กรก็พูดในใจว่า หม่าม้ากับด่าด๊ามารับหนู 2 คนกลับบ้านนะลูก มีขนมกับของเล่นมาให้หนูเต็มเลย กลับบ้านด้วยกันนะ ที่บ้านมีเยอะกว่านี้อีกเพียบ 😆 หลังจากใส่ตัวอ่อนจะต้องนอนนิ่งๆห้ามลุกไปไหนประมาณ 45 นาทีแล้วก็กลับมาพักที่บ้านค่ะ

                          ทำเด็กหลอดแก้ว

                          ระหว่างที่อยู่บ้านรอตรวจเลือดวันที่ 10 หลังใส่ตัวอ่อน กรใช้ชีวิตเหมือนสลอตเลยค่ะ ทำอะไรช้าๆ เบาๆ ส่วนใหญ่จะมีพี่เป้คอยเป็นแขนเป็นขาหยิบจับทุกอย่างให้ อันนี้กรจะบอกว่าไม่จำเป็นที่หลังใส่ตัวอ่อนแล้วคุณแม่ทุกคนจะต้องนอนนิ่งๆ หรืออยู่แต่บ้านแบบกรนะคะ กรแนะนำว่าทำตามความสบายใจของเราค่ะ เอาแบบที่ไม่เครียด เพราะความเครียดส่งผลกับการฝังตัวของตัวอ่อนนะคะ

                          ตั้งชื่อลูกแฝด ไอเดีย ตั้งชื่อลูกแฝดชายหญิง คล้องจองทั้งพี่น้อง

                          8 วิธีช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ที่มีลูกแฝด

                          อย่างของกรมีความกังวลและความกลัวสูงมาก เลยสบายใจที่จะขยับตัวน้อยๆ ทำอะไรช้าๆ เน้นไปที่การนอนหาอะไรอ่าน ดูหนัง ดูซีรีย์วนไปเพลินๆค่ะ ที่สำคัญคืออย่าไปจับจ้องอาการตัวเองนะคะ ตั้งครรภ์หรือไม่ตั้งครรภ์ อาการแม่แต่ละคนต่างกันออกไปค่ะ บางคนอาการมาเยอะมากแต่ไม่ท้อง แต่บางคนไม่มีอาการอะไรเลยแต่ท้องก็มีเยอะค่ะ เพราะฉะนั้นกรแนะนำว่าทำใจสบายๆ ไม่ต้องไปนั่งจ้องว่าหน่วงท้องไหม ปวดจี๊ดๆไหม มีเวียนหัวคลื่นไส้ไหม เดี๋ยวจะยิ่งเครียดเปล่าๆค่ะ

                          กรขอเป็นกำลังใจให้กับแม่ๆ ที่กำลังวางแผนจะตั้งครรภ์และแม่ๆ ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วด้วยนะคะ ขอให้แม่ๆ ประสบความสำเร็จ มีเจ้าตัวเล็กในพุงกันทุกคนเลยค่าา

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

                          แชร์ 5 ท่ารัก!!เพื่อคน อยากได้ลูกแฝด บอกหมดไม่หมกเม็ด

                          ไอเดียสุดแจ่ม การแต่งตัวและถ่ายภาพลูกแฝด

                          แม่ตัวเล็กแต่ท้องลูกแฝด เสี่ยงอะไรบ้าง?

                            โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก  

                            บัตรทองให้เข้าถึงยา โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก  

                            บัตรทองให้เข้าถึงยา โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก

                            คุณพ่อคุณแม่อาจเคยได้ยินโรคข้ออักเสบเรื้อรัง (หรือโรครูมาตอยด์) แต่อาจไม่ทราบว่าโรคนี้สามารถพบในเด็กเล็กได้อีกด้วย เรียกว่า โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก ซึ่งที่ผ่านมาเด็กที่เป็นโรคนี้มีโอกาสเข้าถึงยาได้ไม่มากนัก แต่ล่าสุดทางสปสช. ได้ให้สิทธิบัตรทองเข้าถึงยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดซิสเต็มมิก (Systemic Juvenile Idiopathic Arthritis: SJIA) ช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแนวทางการรักษาที่เหมาะสมให้แก่เด็กจำนวนมากค่ะ

                            โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก

                            “โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก” เป็นผลมาจากการที่ภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเองหรือภูมิคุ้มกันทำงานเกิน จนทำให้เกิดข้ออักเสบในเด็ก
                            โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับข้อทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก กระดูกคอ รวมถึงขากรรไกร โดยโรคนี้ยังแบ่งประเภทย่อยได้อีก 7 ชนิด หนึ่งในนั้นคือ โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดซิสเต็มมิก (Systemic Juvenile Idiopathic Arthritis: SJIA)

                            สถิติการเกิดโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก

                            • ในต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 0.3 – 0.8 ต่อประชากร 100,000 คน
                            • ส่วนในประเทศไทยสูงกว่าประเทศในแถบยุโรปหรืออเมริกา อีกทั้ง โรคนี้ยังเกิดขึ้นได้ในเด็กอายุเพียง 7-8 เดือนไปจนถึง 16 ปี อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดซิสเต็มมิกในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 5 ขวบ
                            โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก  
                            โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก

                            สาเหตุของ โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก

                            โรคนี้เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคแน่ชัด แต่ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากสารพันธุกรรมบางอย่างที่ผิดปกติ

                            อาการของโรค

                            การอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้เองหรืออาจได้รับการกระตุ้นด้วยปัจจัยบางประการ เช่น ภาวะติดเชื้อ โดยอาการแสดงหลัก ได้แก่ ไข้สูงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการข้ออักเสบ อาจมีผื่นแดงเวลาไข้ขึ้นและผื่นหายเวลาไข้ลง ต่อมน้ำเหลืองโต ตับม้ามโต เยื่อหุ้มปอดอักเสบ หรือ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

                            ผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคบางคนมีไข้สูงอย่างเดียวในตอนแรก แต่กลับแสดงอาการข้ออักเสบในภายหลัง จึงทำให้การวินิจฉัยกินเวลาพอสมควร

                            แม้โรคนี้จะมีโอกาสพบไม่บ่อยนัก แต่อาจเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตหรือพิการได้หากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาล่าช้า ”

                            รูปแบบของโรค

                            โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดซิสเต็มมิกมีรูปแบบการดำเนินโรค 3 ลักษณะ ได้แก่

                            • แบบแรก แสดงอาการครั้งเดียวแล้วไม่กลับมาเป็นอีกหรือเรียกว่า โมโนเฟสซิส (monophasis)
                            • แบบที่สอง ผู้ป่วยที่เคยหายจากโรคแล้วกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งหรือเรียกว่า โพลีไซคลิก (polycyclic)
                            • แบบสุดท้าย คือมีการอักเสบเรื้อรังอยู่ตลอดเวลา ปราศจากระยะโรคที่สงบลงเลย (persistent)

                            แนวทางการรักษาโรค

                            แนวทางการรักษานั้น แพทย์มักเริ่มจาก

                            • การให้ยาสเตียรอยด์ในปริมาณสูง
                            • แต่จะมีผู้ป่วยบางกลุ่มที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีนี้ แพทย์ก็จะพิจารณาให้ใช้ยากดภูมิต้านทานอื่นๆ รวมถึงยามุ่งเป้าแทน
                            • นอกจากยาที่ใช้ในประเทศไทยแล้ว ยังมียากลุ่มอื่นที่ยังไม่เข้าประเทศไทยอีกด้วย
                            • ส่วนระยะเวลาในการรักษา ที่ผ่านมาพบว่าสามารถรักษาผู้ป่วยเด็กให้หายได้เร็วสุดภายในระยะเวลา 6 เดือน – 1 ปี ในขณะที่ ผู้ป่วยบางรายแม้จะผ่านการรักษามาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังหยุดยาไม่ได้

                            ยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดซิสเต็มมิก

                            ต้องพิจารณาว่าผู้ป่วยมีอาการทางซิสเต็มมิกเด่น เช่น ไข้สูง ผื่น เยื่อหุ้มปอดหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หรืออาการข้ออักเสบเด่น ถ้าอาการทางซิสเต็มมิกเด่น แพทย์จะให้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ยาไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือ นาพรอกเซน (naproxen)

                            หากผู้ป่วยอาการยังไม่ดีขึ้น ก็จะใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ เช่น เพรดนิโซโลน (prednisolone) ซึ่งถือว่าเป็นยาที่มีผลข้างเคียงกับผู้ป่วยเด็กค่อนข้างมาก

                            ผลข้างเคียงหากเด็กใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์

                            ยากลุ่มสเตียรอยด์ยังมีผลข้างเคียงหากใช้เป็นเวลานาน เช่น

                            • ทำให้เด็กสูงช้าลง
                            • เพิ่มความอยากอาหาร
                            • ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม
                            • หน้ากลม
                            • มีขนตามตัวเยอะขึ้น
                            • รวมทั้งเกิดภาวะการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

                            สปสช. มอบสิทธิเข้าถึงยารักษาโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดซิสเต็มมิก

                            ยาที่นิยมใช้ในประเทศไทยเพื่อรักษาโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดซิสเต็มมิก ได้แก่ ยาโทซิลิซูแมบ ยาชนิดนี้ทำหน้าที่ยับยั้งโปรตีนที่ทำให้เกิดการอักเสบโดยตรง ผลข้างเคียงจึงน้อยกว่ายากลุ่มสเตียรอยด์ และออกฤทธิ์ได้เร็วกว่ายากดภูมิคุ้มกันขั้นพื้นฐาน หากผู้ป่วยได้รับยาดังกล่าวภายใน 6 เดือนหลังจากการวินิจฉัย ผู้ป่วยราวครึ่งหนึ่งสามารถหายขาดและหยุดยาได้ ภายในระยะเวลาเฉลี่ยประมาณปีครึ่

                            ฉะนั้น ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดซิสเต็มมิกที่ใช้สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า จึงสามารถเข้าถึงยาดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน โดยในขั้นแรกของการรักษา แพทย์จะให้ยาโทซิลิซูแมบเป็นเวลา 21 เดือน และมีการเก็บข้อมูลติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิดว่า ในกรณีผู้ป่วยเข้าถึงยาได้อย่างรวดเร็วจะสามารถหยุดยาได้ภายใน 21 เดือนหรือไม่ เพื่อนำข้อมูลนี้ไปพัฒนาหรือแก้ไขปรับปรุงแนวทางการรักษาต่อไปในอนาคต

                             

                            หากผู้ป่วยที่เป็นโรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็กชนิดซิสเต็มมิกมีโอกาสเข้าถึงแนวทางการรักษาที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที โรคนี้ก็มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้ ทั้งยังช่วยให้ผู้ป่วยเด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ช่วยลดผลข้างเคียงจากการได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน และลดแนวโน้มที่จะเกิดความพิการในผู้ป่วยเด็กได้อีกด้วยค่ะ

                            ขอบคุณข้อมูลจาก

                            บ้านเมือง

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            เมื่อลูกเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก ควรดูแลอย่างไร

                            ศีรษะทารกแรกเกิด มีแผลอย่ารีบโวยอาจไม่ใช่จากการทำคลอด

                            หมอเตือน! เด็กติดโรคโควิด ทำลายสมอง เสี่ยงเสียชีวิต

                              พัฒนาการทารก 2 เดือน มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร?

                              พัฒนาการทารก 2 เดือน คุณพ่อคุณแม่สามารถเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของลูกในวัยนี้ ที่ไม่ได้มีแค่การกิน การนอน และการร้องไห้อีกต่อไป

                              พัฒนาการทารก 2 เดือน มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร?

                              ผ่านวัยแรกคลอด 1 เดือนแรก ก้าวเข้าสู่เดือนที่ 2 ทารกมีพัฒนาการด้านต่าง ๆ มากขึ้น มีการเจริญเติบโต และมีการตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวได้มากขึ้น มีระยะเวลาในการตื่นนอนยาวนานขึ้น ฉะนั้นทารกจึงมีเวลาเล่นมากขึ้น เป็นโอกาสที่คุณพ่อคุณแม่จะเล่น และมีปฏิสัมพันธ์กับลูก เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการของลูกน้อย พัฒนาการทารก 2 เดือน เป็นอย่างไรบ้าง ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมมาให้แล้วค่ะ

                              พัฒนาการทารก 2 เดือน
                              พัฒนาการทารก 2 เดือน

                              พัฒนาการทางด้านร่างกาย

                              เด็กทารกในวัยนี้ อาจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากเดือนแรกประมาณ 0.7 – 0.9 กิโลกรัม และมีความยาวเพิ่มขึ้นประมาณ 2.5 – 3.8 เซนติเมตร ทั้งนี้ทารกเพศชาย อาจมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 5.6 กิโลกรัม และมีความยาวลำตัวตั้งแต่หัวถึงเท้าประมาณ 58 เซนติเมตร ส่วนทารกเพศหญิง จะมีน้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 5.1 กิโลกรัม และมีความยาวลำตัวตั้งแต่หัวถึงเท้าประมาณ 57 เซนติเมตร แต่อย่างไรก็ดี ทารกที่มีสุขภาพดีบางคนอาจมีน้ำหนัก หรือความยาวไม่ตรงกับเกณฑ์ดังกล่าว เพราะการเจริญเติบโตของเด็กแต่ละคนไม่เท่ากัน และขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย

                              ทารกสามารถมองตามวัตถุที่เคลื่อนที่ไปมา เพื่อจะจดจำรูปร่าง และลักษณะของวัตถุที่มองเห็น การได้ยินดีขึ้น เริ่มแบมือ กำมือ และเอื้อมมือ เพื่อที่จะหยิบจับสิ่งของรอบตัว แขนขาเริ่มยืดได้ตรงขึ้นเวลานอนหงาย ทารกอาจเริ่มยกศีรษะ และดันลำตัวขึ้นได้ เมื่อคุณพ่อคุณแม่อุ้มพาดบ่า

                              พัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อ

                              ทารกจะมีกล้ามเนื้อคอที่แข็งแรงขึ้น เมื่อนอนคว่ำจะเริ่มยกคอได้ และเมื่อประคองให้อยู่ในท่านั่ง จะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของศีรษะได้ดีขึ้น การแบมือกับการกำมือ จะเกิดขึ้นพอๆกัน นอกจากนี้ ทารกอาจยืดและใช้กล้ามเนื้อในการเคลื่อนไหวขึ้น โดยทารกอาจจับของเล่นที่นำไปวางไว้บนมือข้างหนึ่งได้ และอาจยืดขาหรือเตะขาได้มากขึ้น

                              พัฒนาการด้านการสื่อสาร

                              ทารกจะเริ่มมองเห็น และได้ยินชัดขึ้น อาจทำให้ทารกสามารถจดจำ และแสดงอารมณ์ตอบสนองด้วยการยิ้ม เมื่อรู้สึกชอบหรือพอใจ เริ่มทำเสียงในลำคอได้บ้าง หรือหันศีรษะไปตามเสียง ทั้งนี้ทารกยังคงใช้การร้องไห้เป็นการสื่อสารหลัก หากรู้สึกไม่สบายตัว หิว หงุดหงิด

                              พัฒนาการด้านการมองเห็น

                              ทารกอาจมองเห็นสิ่งของและคนได้ ในระยะประมาณ 45 เซนติเมตร และสามารถมองเห็นได้กว้างถึง 180 องศา โดยทารกอาจมองตามคนที่เดินเข้ามาใกล้ นอกจากนี้ ยังชอบมองรูปแบบที่มีความซับซ้อน มากกว่าวัตถุหรือสีเรียบ ๆ อย่างสีขาวดำ ซึ่งแตกต่างจากเด็กทารกอายุ 1 เดือน

                              พัฒนาการด้านการกิน

                              สำหรับนมแม่ ควรให้เด็กดื่มนมทุก ๆ 2 – 3 ชั่วโมง สำหรับนมผง อาจให้เด็กดื่มนมจากขวดครั้งละประมาณ 120 – 150 มิลลิลิตร หรือ 4 – 5 ออนซ์ ทุก ๆ 3 – 4 ชั่วโมง แต่ไม่จำเป็นต้องปลุกลูกให้ตื่นมากินนม หากเด็กกำลังหลับอยู่ ซึ่งเด็กจะสื่อสารเอง เมื่อหิวนม นอกจากนี้ ไม่ควรให้เด็กดื่มน้ำหรือกินอาหารอย่างอื่น เพราะอาจเป็นอันตรายได้ แต่อาจยกเว้น หากเป็นคำแนะนำของแพทย์

                              พัฒนาการด้านการนอน

                              ในวัยนี้ โดยทั่วไปยังคงมีการนอนที่คล้ายคลึงกับทารกวัย 1 เดือน โดยอาจนอนวันละประมาณ 15.5 ชั่วโมง แบ่งเป็นการนอนในเวลากลางคืนประมาณ 8.5 ชั่วโมง และนอนในเวลากลางวันอีกประมาณ 7 ชั่วโมง ซึ่งจะนอนช่วงสั้น ๆ ประมาณ 3 ครั้ง ในวัยนี้ การนอนของทารกเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยทารกอาจเริ่มเรียนรู้ที่จะหลับได้ด้วยตัวเอง สามารถหลับได้เร็ว ช่วยลูกให้เรียนรู้การนอนได้ด้วยตัวเอง โดยหากลูกส่งสัญญาณว่าง่วง ให้นำลูกนอนลงบนที่นอน ทั้งนี้การนอนของทารกอาจมีความแตกต่างกัน ตามลักษณะนิสัยของทารกแต่ละคน

                              บริหารร่างกายทารก
                              บริหารร่างกายทารก

                              เคล็ดลับในการดูแลทารก

                              การเคลื่อนไหวร่างกาย

                              ในวัยนี้ ทารกต้องการเรียนรู้และฝึกฝน ทางด้านกล้ามเนื้อ การมองเห็น การฟัง และการสื่อสาร จึงควรให้เด็กมีการเคลื่อนไหว เพื่อพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อ อาจบริหารร่างกายให้ทารก เช่น จับขาทารกทำท่าเหมือนถีบจักรยาน โดยทำอย่างเบามือ และฝึกกล้ามเนื้อคอ แขน ขา โดยการวางของเล่นไว้ด้านหน้า เพื่อให้ทารกอยากมอง หรืออยากเอื้อมมือไปจับ

                              การสัมผัสและการสื่อสาร

                              คุณพ่อคุณแม่ควรสัมผัสใกล้ชิดกับลูก โดยการกอดและอุ้ม หรืออาจนวดตัวเหมือนวิธีที่นวดกับทารกวัย 1 เดือน นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยกับลูกบ่อย ๆ อีกด้วย อาจอ่านหนังสือ หรือเปิดเพลงให้ลูกฟัง จะทำให้ทารกได้เรียนรู้ และจดจำเสียง ทารกอาจมีการตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยิน ช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการสื่อสารและภาษา ซึ่งจะช่วยให้ทารกฝึกออกเสียงได้ในภายหลัง

                              การปลอบเมื่อทารกร้องไห้

                              เมื่อทารกร้องไห้ อาจคาดเดาได้ยากว่าทารกต้องการสื่อสารอะไร คุณพ่อคุณแม่แต่ละบ้านก็จะมีเทคนิคที่แตกต่างกันไปในการปลอบลูก เช่น ให้ดื่มนม อุ้ม พาเดินเล่น ร้องเพลงกล่อม ให้ดูดจุกหลอก เปิดเพลง เปิดเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงคลื่นจากทะเล เสียงในป่า เป็นต้น

                              การหาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก

                              คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาถึงแหล่งที่มาของข้อมูลต่าง ๆ ก่อนเสมอ ไม่ควรเชื่อในทันที เพราะข้อมูลนั้นอาจมีความคลาดเคลื่อน หรือเป็นข้อมูลเท็จได้ ควรตรวจเช็คข้อมูลจากแหล่งอื่นมาประกอบ เพื่อยืนยันความถูกต้อง หรืออาจสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อความมั่นใจ

                              การดูแลสุขภาพทารก

                              ควรพาทารกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อรับการตรวจสุขภาพ และรับการฉีดวัคซีนตามที่กำหนด สำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตร ควรสอบถามแพทย์เกี่ยวกับการป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดกับตน และอาจส่งผลไปถึงทารกได้

                              วิธีดูแลทารกให้ปลอดภัย

                              • ไม่ควรเขย่าตัวทารก เพราะกล้ามเนื้อช่วงคอยังไม่แข็งแรงนัก และอาจเป็นสาเหตุให้มีเลือดออกในสมองได้
                              • ไม่ควรปล่อยให้ทารกนอนคว่ำเพียงอย่างเดียว เนื่องจากทารกยังไม่สามารถพลิกศีรษะและตัวได้เอง อาจทำให้ทารกหายใจลำบาก หรือหายใจไม่ออก ซึ่งอาจทำให้ทารกเสียชีวิตได้
                              • หลีกเลี่ยงทารกจากควันบุหรี่
                              • ระวังทารกสำลักนม
                              • นำสิ่งของอันตรายให้อยู่ไกลจากทารก เช่น ของร้อน มีด กรรไกร ของมีคมต่าง ๆ
                              • ควรให้ทารกนั่งคาร์ซีท เพื่อความปลอดภัย หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น โดยติดตั้งที่เบาะหลัง และหันหน้าเข้าหาเบาะ หรือหันหน้าเข้าหาท้ายรถ
                              • ระวังสิ่งของที่อยู่ใกล้ตัวทารก โดยทารกอาจนำไปปิดหน้าตัวเองได้ เช่น ผ้าห่ม ผ้าอ้อม ถุงพลาสติก ซึ่งอาจทำให้ทารกหายใจไม่สะดวก หรือหายใจไม่ออก จนเกิดอันตรายถึงชีวิตได้

                              สัญญาณบ่งชี้ว่าทารกอาจมีพัฒนาการล่าช้า

                              หากพบอาการดังต่อไปนี้ ควรพาไปพบแพทย์ เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด

                              • ร้องไห้เป็นเวลานาน
                              • ไม่มองตามวัตถุต่าง ๆ เช่น หน้าคุณพ่อคุณแม่ ของเล่น
                              • ไม่มีการตอบสนองต่อเสียงที่ได้ยิน เช่น หันศีรษะมาตามเสียง ส่งเสียงตอบรับ หรือสะดุ้ง
                              • ดื่มนมได้น้อย
                              • กำมือแน่น ไม่คลายมือออก
                              • กล้ามเนื้อ แขน ขา ข้างใดข้างหนึ่งอ่อนแรง หรือเกร็งเหยียดผิดปกติ

                              พัฒนาการทารก 2 เดือน ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมข้อมูลมาฝากนี้ คงทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับลูกน้อย เพื่อเตรียมพร้อมรับมือเรื่องต่าง ๆ ได้นะคะ

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              ลูกชอบตีหน้าแม่ โตขึ้นจะก้าวร้าวไหมร่วมไขความลับเจ้าตัวเล็ก

                              ศีรษะทารกแรกเกิด มีแผลอย่ารีบโวยอาจไม่ใช่จากการทำคลอด

                              ตารางวัคซีน สำหรับเด็กแรกเกิด–อายุ 15 ปี ประจำปี 2565

                              รวมลิงก์ ลงทะเบียนคนท้องรับของฟรี พิเศษสำหรับคนท้องและแม่ลูกเล็ก

                              ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com, https://hellokhunmor.com

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              Amarin Baby & Kids

                                Propoliz Kid

                                Propoliz Kid เมาท์สเปรย์ที่คุณหมอแนะนำ ซีซั่นนี้…ลูกแม่ต้องรอด

                                ระลอกนี้ระบาดหนัก หลายบ้านยังรอด บางบ้านติดแล้ว และบางบ้านก็ติดซ้ำ รอบตัวคนติดเชื้อเต็มไปหมด ยิ่งลูกบ้านไหนยังไม่ได้ฉีดวัคซีน คุณแม่ยิ่งห่วงสุด ๆ แถมเด็กบางคนฉีดวัคซีนแล้วก็ยังติดได้ ทั้งกลัวลูกติด ทั้งกลัว MIS-C หรืออาการข้างเคียงหลังการติดโควิด-19 ที่รุนแรงมาก

                                หลายบ้านอาจคุ้น ๆ ชื่อ สเปรย์พ่นคอ Propoliz แบรนด์ดังจากบริษัทยาที่หลายคนแนะนำบอกต่อในช่วงระบาดที่ผ่านมา วันนี้กองบรรณาธิการ Amarin Baby and Kids มีไอเทมใหม่ สเปรย์พ่นคอสำหรับเด็กที่คุณหมอแนะนำ Propoliz Kid ไอเทมนี้ที่ลูกน้อยต้องมี…มาแชร์ให้ฟังค่ะ

                                เมาท์สเปรย์สำหรับเด็ก Propoliz Kid Mouth Spray

                                สเปรย์พ่นคอสูตรที่คิดค้นมาเพื่อเด็กโดยเฉพาะ มีสารสำคัญคือ

                                • สารสกัดสแตนดาร์ดไดซ์โพรโพลิส (Standardized Propolis Extract)
                                • สารสกัดลิโคไรซ์ (Licorice Extract)
                                • ซิงค์ แลคเตท (Zinc Lactate)
                                • น้ำผึ้ง (Honey)

                                Propoliz Kid

                                สารสกัดสแตนดาร์ดไดซ์โพรโพลิส คืออะไร?

                                (Standardized Propolis Extract) แม่ ๆ คงอาจจะสงสัยว่าสารสกัดสแตนดาร์ดไดซ์โพรโพลิสคืออะไรกันนะ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ไปเจอข้อมูลว่าสารสกัดสแตนดาร์ดไดซ์โพรโพลิส จริง ๆ ก็คือสารสกัดจากผิวของรังผึ้ง ที่ปลอดภัย มีใช้มายาวนานหลายพันปี แถมมีงานวิจัยในต่างประเทศที่พบว่ามีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อในช่องปากและลำคอได้ดี โดยเฉพาะเชื้อที่เป็นต้นเหตุของอาการเจ็บคออย่าง Streptococcus group A (Streptococcus pyogenese), Staphylococcus aureus, เชื้อต้นเหตุของปอดอักเสบ ปอดบวม Pseudomonas aeruginosa, Klebsiella pneumoniae เป็นต้น แล้วล่าสุดมีงานวิจัยพบว่า สารสกัดโพรโพลิส สามารถยับยั้งไวรัสโควิด-19 ได้ด้วยนะคะ ที่สำคัญสารสกัดโพรโพลิสที่เค้าใช้ก็มีสารสำคัญออกฤทธิ์มากกว่าโพรโพลิสทั่วไปถึง 10 เท่าเลยค่ะ มิน่าล่ะในช่วงที่ผ่านมาถึงมีการพูดถึงสเปรย์พ่นคอ Propoliz กันเยอะเลย

                                Propoliz Kid Mouth Spray เหมาะสำหรับอาการใดบ้าง ?

                                • เจ็บคอ
                                • ไอ
                                • ระคายคอ
                                • ปวดฟัน
                                • เหงือกอักเสบ
                                • แผลร้อนใน

                                โพรโพลิส คิด เมาท์สเปรย์

                                ให้ลูกพ่นคอตอนไหนบ้าง?

                                • พ่นเวลาลูกมีอาการ
                                • พ่นก่อนใส่แมสและหลังถอดแมส
                                • พ่นหลังจากไปสถานที่ที่เสี่ยงต่อการคิดเชื้อ
                                • พ่นบ่อย ๆ หากลูกมีประวัติเสี่ยงติดเชื้อ

                                รสชาติ โพรโพลิส คิด เป็นยังไงนะ ?

                                แบรนด์เค้าบอกว่า รสชาติอ่อนโยน เป็นมิตรกับเด็ก จากที่กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ได้ลองพ่นคอดู รสชาติ โพรโพลิส คิด สเปรย์ จะออกหวาน ๆ ได้กลิ่นน้ำผึ้งเบา ๆ รสนุ่ม ๆ ไม่ขม ไม่แสบปาก ลองให้เจ้าแสบที่บ้านลอง ปรากฏว่าชอบกันทุกคนเลยค่ะ ยิ่งพ่นตอนที่ลูกเจ็บคอ หรือมีอาการไอ ก็รู้สึกว่าลูกหายเจ็บคอไวขึ้น ไม่ค่อยไอถี่ ๆ แบบเคย อันนี้ทีมแม่ปลื้มมาก ๆ เลยค่ะ

                                Propoliz Kid Spray

                                โพรโพลิส คิด เมาท์สเปรย์ พ่นบ่อย ๆ ได้ ไม่เป็นอันตราย

                                • สารสกัดออแกนิคจากธรรมชาติ
                                • ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ต้องกลัวฟันผุ
                                • ไม่ใส่แอลกอฮอล์ ไม่แสบปาก
                                • รสชาติน้ำผึ้ง หอม หวาน อร่อย ทานง่าย อ่อนโยน ถูกใจเด็ก ๆ
                                • แนะนำสำหรับเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป

                                ปลอดภัยด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับบริษัทยา

                                เพราะเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ มาตรฐานการใช้ต้องผ่านการทดสอบว่าปลอดภัยจริง ๆ

                                • ปราศจากเชื้อปนเปื้อน
                                • ปราศจากยาฆ่าแมลง
                                • ปราศจากโลหะหนัก

                                Propoliz Kid Mouth Spray

                                สเปรย์พ่นคอที่คุณหมอแนะนำ Propoliz Kid Mouth Spray ให้ลูกพกไว้ อุ่นใจกว่า สเปรย์พ่นคอที่กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids แนะนำ วางใจได้ด้วยประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัย  ให้ลูกพกติดกระเป๋าไปโรงเรียน ไปแคมป์หรือไปกิจกรรมนอกบ้าน พ่นเวลาถอดแมส หรือเริ่มรู้สึกระคายคอ แสบคอ ยิ่งพ่น ยิ่งนุ่มชุ่มคอ สเปรย์ขวดเดียวจบ ออกฤทธิ์เฉพาะที่ บรรเทาอาการทันทีแบบไม่ต้องรอ

                                ทั้งช่วยฆ่าเชื้อในช่องปากและลำคอ จะเจ็บคอ ระคายคอ ไอ ปวดฟัน หรือแผลร้อนใน ก็พกขวดเดียวจบเลยจ้าแม่ หาซื้อได้ตามร้านยาชั้นนำทั่วไป ได้เลยจ้าแม่จ๋า

                                 

                                  หอบ หืดในเด็ก

                                  อย่าคิดว่าเรื่องเล็ก! ลูกอาจทรมานเพราะ หอบ หืดในเด็ก

                                  อย่าคิดว่าเรื่องเล็ก! ลูกอาจทรมานเพราะ หอบ หืดในเด็ก

                                  คุณพ่อคุณแม่อย่ามองข้ามเวลาได้ยินเสียงหายใจลูกผิดปกติไปนะคะ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณว่าลูกกำลังได้รับความทรมานจากการหายใจแต่ไม่สามารถอธิบายบอกคุณพ่อคุณแม่ได้ ซึ่งอาจเป็นอาการของโรค หอบ หืดในเด็ก ค่ะ

                                  โรคหอบหืด

                                  เป็นโรคที่เกิดขึ้นเนื่องจากหลอดลมของผู้ป่วยตอบสนองต่อสิ่งที่มากระตุ้นมากกว่าภาวะปกติ ทำให้หลอดลมหดเกร็งและบวม เนื่องจากการอักเสบ ผู้ป่วยจะไอ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก หายใจมีเสียงดังวี๊ดๆ การหอบอาจเกิดขึ้นเป็นๆ หายๆ และเรื้อรัง

                                  โรค หอบ หืดในเด็ก

                                  โรคหืด หรือ โรคหอบหืดในเด็ก มีลักษณะสำคัญคล้ายกับโรคหืดในผู้ใหญ่ คือ มีการอักเสบของเยื่อบุหลอดลมอย่างต่อเนื่อง เป็นโรคที่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะหลอดลมมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ มากกว่าปกติ และทำให้เกิดภาวะตีบตันของหลอดลม แต่สามารถกลับคืนภาวะปกติ หรือใกล้เคียงปกติได้ด้วยยาขยายหลอดลม

                                  สาเหตุ

                                  1. กรรมพันธุ์ พบว่าถ้าผู้ป่วยมีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัว โอกาสที่จะเป็นโรคจะมีมากขึ้น
                                  2. สิ่งกระตุ้นต่างๆ โดยการหายใจเข้าไป อาหาร หรือ ยาที่รับประทาน เช่น ฝุ่น, ตัวไรฝุ่น, เกสรดอกไม้ หญ้า, ควันบุหรี่, น้ำมันรถ สารเคมี, มลพิษในอากาศ, เชื้ัอราในอากาศ ,ขนและรังแคสัตว์ เช่น สุนัข แมว, อาหาร เช่น ไข่ นม อาหารทะเล
                                  3. การออกกำลังกายมากๆ
                                  4. การติดเชื้อทางระบบหายใจ
                                  5. การเปลี่ยนแปลงของอากาศ
                                  หอบ หืดในเด็ก
                                  ลูกทรมานเพราะ หอบ หืดในเด็ก

                                  อาการและอาการแสดง

                                  • ไอ มีเสมหะมาก โดยเฉพาะเวลาออกกำลังกาย หรือ เวลากลางคืน
                                  • แน่นหน้าอก
                                  • เหนื่อยหอบ
                                  • หายใจลำบาก มีเสียงวี๊ดออกจากปอด

                                  จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรค หอบ หืดในเด็ก

                                  เนื่องจากเด็กไม่สามารถสื่อความหมายหรือบอกถึงอาการหอบ หายใจแน่น หรือเหนื่อยได้เหมือนผู้ใหญ่ ดังนั้น พ่อ แม่ หรือผู้ปกครองต้องสังเกตอาการต่างๆ เหล่านี้ เช่น

                                  • ไอบ่อย หายใจเร็ว หน้าอกบุ๋ม บางครั้งได้ยินเสียงวี๊ด
                                  • อาการไอเป็นๆ หายๆ ซึ่งอาจมีไข้หรือ น้ำมูกร่วมด้วย
                                  • ระยะเวลาในการเป็นหวัดและไอจะนานกว่าเด็กปกติ
                                  • ไอมากตอนกลางคืน และเช้ามืด
                                  • หลังออกกำลังกายจะไอมาก หรือเหนื่อยหอบ
                                  • อาการไอจะดีขึ้นเมื่อได้ยาขยายหลอดลม

                                  อาการเหล่านี้จะบ่งบอกถึงภาวะตีบแคบของหลอดลม และหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ ซึ่งแพทย์จะซักประวัติ อาการร่วม ความถี่ ความรุนแรง ผลกระทบต่อการเรียนหรือการทำงาน การตรวจร่างกาย การทดสอบสมรรถภาพทางปอด (เด็กโต) ประวัติโรคภูมิแพ้ในครอบครัว การได้รับควันบุหรี่ รวมถึงสาเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการหอบหืดเพื่อให้การวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของโรคหืด

                                   

                                  ข้อควรปฏิบัติเมื่อมีอาการหอบ หืด

                                  • ถ้ามีอาการหอบช่วงที่กำลังวิ่งเล่น หรือ มีอาการเหนื่อยให้หยุดพักทันที
                                  • หายใจเข้าอย่างปกติ และหายใจออกทางปากโดยค่อย ๆ เป่าลมออกจากปอดทีละน้อยให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้และขณะหายใจออก อาจห่อปากขณะเป่าลมหายใจออกด้วยก็ได้
                                  • ดื่มน้ำอุ่น ๆ มาก ๆ
                                  • พ่นยา หรือ กินยาแก้หอบตามแพทย์สั่ง ถ้ามียาขยายหลอดลมแบบพ่นชนิดออกฤทธิ์เร็ว ให้พ่น 2 พัฟ ซ้ำได้ 3 ครั้ง ห่างกัน 20 นาที หากอาการดีขึ้นให้พ่นยาทุก 4 – 6 ชั่วโมงต่ออีกประมาณ 24 – 48 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์

                                   

                                  การใช้ยารักษาโรคหอบหืด

                                  แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

                                  1. ยาขยายหลอดลมเพื่อบรรเทาอาการ ซึ่งมีทั้งแบบ พ่น กิน ฉีด เป็นชนิดออกฤทธิ์เร็ว ยาพ่นจะสามารถออกฤทธิ์ขยายหลอดลมได้ภายในเวลา 5 – 15 นาที และมักมีฤทธฺิ์อยู่นาน 4 – 6 ชั่วโมง ส่วนยากินมีฤทธิ์ขยายหลอดลมอยู่นาน 4 -6 ชั่วโมงเช่นกัน แต่ออกฤทธิ์ช้ากว่า ดังนั้นถ้าหากไม่มีปัญหาในการพ่นยา ควรพิจารณาใช้ยาพ่นก่อน ยกเว้นเด็กที่ไม่ยอมพ่นยา อาจใช้ยารับประทานได้
                                  2. ยาควบคุมอาการ เป็นยาต้านการอักเสบ ออกฤทธิ์ลดการอักเสบและลดความไวของหลอดลม มีทั้งแบบพ่น กิน ฉีด ซึ่งแบบพ่นจะให้ความปลอดภัยสูงกว่า เนื่องจากประมาณยาที่ใช้ในการพ่นมีขนาดต่ำ ยาพ่นไปที่หลอดลมโดยตรง ปัจจุบันมียาพ่นที่รวมระหว่างยาต้านการอักเสบ และยาขยายหลอดลมชนิดออกฤทธิ์นานอยู่ในหลอดเดียวกัน เพื่อให้สะดวกในการใช้ และยังเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาด้วย

                                   

                                  การจัดที่อยู่อาศัยของลูกที่เป็นหอบหืด

                                  ห้องนอน เป็นห้องที่สำคัญเพราะเป็นห้องที่ลูกจะต้องอยู่นานที่สุด จึงต้องจัดให้สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการอยู่อาศัย

                                  • ห้องนอนควรมีของน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ไม่เก็บของ หรือ หนังสือในห้องนอน ไม่ควรปูพรม
                                  • เครื่องนอน ควรใช้ผ่าคลุมกันไรฝุ่น
                                  • ที่นอน หมอน หมอนข้าง และผ้าห่มควรทำความสะอาดและนำมาผึ่งแดดบ่อยๆ
                                  • ผ้าม่าน และ ผ้าปูที่นอน ควรซักอย่างน้อยทุกสัปดาห์ โดยใช้น้ำอุณหภูมิมากกว่า 55 องศาเซลเซียสเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที
                                  • เครื่องปรับอากาศควรหมั่นทำความสะอาดหน้ากากบ่อยๆ รวมถึงทำความสะอาดพัดลม
                                  • ไม่เล่นของเล่น หรือ ตุ๊กตาที่เป็นขน
                                  • ในบ้านไม่ควรมีที่เก็บของอับชื้น หรือ ปลูกต้นไม้ในบ้านเพราะราและฝุ่นจะจับง่าย
                                  • เก็บอาหารให้มิดชิดเพื่อป้องกันหนูและแมลงสาป
                                  • ไม่ควรเลี้ยงสัตว์มีขน ถ้าจำเป็น ควรให้อยู่เฉพาะบริเวณนอกบ้านและอาบน้ำทุกสัปดาห์

                                   

                                  ขอบคุณข้อมูลจาก

                                  โรงพยาบาลธนบุรี, โรงพยาบาลรามคำแหง

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  WHOเตือน ! พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน 

                                  ไม่ล้างแอร์ ลูกเสี่ยงป่วย โรคลีเจียนแนร์ -ไข้ปอนเตียก

                                  สัตว์เลี้ยงระบบปิดก็มีสิทธิ หมา แมวติดพิษสุนัขบ้า

                                    ลูกไม่สบตา ตาเหล่ สายตายาว

                                    แชร์เตือน!ลูกไม่สบตาอย่าปล่อยผ่านอาจสายตายาว ตาเหล่ ได้

                                    ตาเหล่ สายตายาว ในเด็กทารกเกิดขึ้นได้ เตือนพ่อแม่หมั่นสังเกต คุณแม่เขียนเล่าประสบการณ์ลูกน้อยไม่สบตา ไม่ใช่เรื่องปกติ ควรรีบปรึกษาหมอตา รู้เร็วแก้ทัน

                                    แชร์เตือน!ลูกไม่สบตาอย่าปล่อยผ่านอาจสายตายาว ตาเหล่ ได้

                                    สายตายาว คุณพ่อคุณแม่รู้ไหม?? ใช่ว่าเป็นแต่ในคนสูงอายุ สายตายาวในทารก เกิดขึ้นได้!!

                                    สายตายาวในเด็ก มีจริงหรือ??

                                    ๑.สายตายาวเป็นสายตาของคนเก่าเท่านั้นหรือ? ตอบว่าไม่ใช่เป็นได้ทุกอายุ แม้แต่เด็กเล็กๆ แรกเกิดก็เป็นสายตายาวได้ และส่วนมากมักจะเป็นสายตายาวที่ร่วมกับภาวะตาเขชนิดตาดำเบนเข้าหัวตาที่เรียกว่า “ตาเขเข้าด้านในในเด็กแรกเกิด” ดังที่คุณอาจจะเคยเห็นอยู่บ้างที่เด็กอายุขนาด ๒–๖ ขวบ สวมแว่นตา ราวกับว่าพ่อแม่ซื้อแว่นเป็นของเล่นมาให้ลูกใส่เล่น เพื่อให้แลดูน่ารักน่าเอ็นดู แท้ที่จริงแล้วแว่นตาที่หนูน้อยสวมใส่อยู่เป็นแว่นที่ประกอบโดยใบสั่งแว่นของจักษุแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่วัดแว่นที่ทำงานด้านสายตาเด็กแรกเกิดโดยเฉพาะ

                                    เมื่อลูกไม่สบตาเหมือนเคย ให้สงสัยสายตายาว ตาเหล่ ในเด็ก
                                    เมื่อลูกไม่สบตาเหมือนเคย ให้สงสัยสายตายาว ตาเหล่ ในเด็ก

                                    ส่วนที่ว่าสายตายาวมีหรือเป็นเฉพาะคนมีอายุ หรือคนวัยกลางคนขึ้นไป (ไม่อยากเรียกว่าคนแก่เลย) เรื่อยไปจนถึงวัย ๖๐ ปีกว่าๆ เป็นเพราะสภาพตาอ่อนกำลังในการปรับความคมชัดของภาพหรือวัตถุที่มองลงทำให้มองไม่ชัดมัวพร่า อาจมองภาพระยะไกลเป็นภาพซ้อน จึงจำเป็นต้องสวมแว่นชนิดเลนส์บวก คือแว่นสำหรับคนสายตายาวนั่นเอง เช่น อ่านหนังสือ ทำงานบนโต๊ะ นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ เย็บปักถักร้อย ทำงานที่ต้องใช้ความละเอียด เช่น ดูตัวเลขทำบัญชีจำเป็นต้องใช้แว่นสายตาที่มีกำลังพอเหมาะกับวัย เริ่มต้นด้วยวัยขึ้นเลข ๔ ก่อน คือ ๔๐ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับอายุ จึงสังเกตได้ง่ายๆว่า คนมีอายุจะสวมแว่นตา ๒ ชั้น ชั้นบนสำหรับดูไกล ชั้นล่างไว้อ่านหนังสือแบบนี้เรียกว่า คนสายตายาวแบบ “คนแก่” โดยแท้

                                    ๒. ส่วนคนหนุ่มคนสาวอาจจะสวมแว่นสายตายาวก็ได้ ถ้าเขาหรือเธอคนนั้นเคยมีสายตายาวมาตั้งแต่สมัยแรกเกิด ก็จะติดตามมาจนกระทั่งโต โดยปกติแล้วเท่าที่เห็นๆกัน วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวมักจะสายตาสั้นดังที่ทราบและคุ้นตาคุ้นหู พวกนี้จะมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของกายวิภาค รูปทรงลูกตา ที่มีลักษณะค่อนข้างจะขนาดโตกว่าคนปกติ หรือยาวรีนั่นเอง อีกทั้งเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์อีกต่างหาก คือถ้าพ่อแม่สวมแว่นชนิดสายตาสั้นหนาเตอะละก็ ลูกที่ผลิตออกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงแทบจะไม่มีวันหนีภาวะสายตาสั้นไปได้เลย

                                    จึงสรุป และตอบให้สั้นเพียงคำเดียว เด็กสายตายาวได้ไหม? ว่า… “ได้”

                                    ผู้ตอบ น.พ.สุรพงษ์ ดวงรัตน์ เพจหมอชาวบ้าน
                                    แม่แชร์ประสบการณ์ ลูกสายตายาว เสี่ยง ตาเหล่
                                    แม่แชร์ประสบการณ์ ลูกสายตายาว เสี่ยง ตาเหล่

                                    แม่แชร์ประสบการณ์จริง ลูก 2 เดือน สายตายาว!!

                                    วันนี้จะมาโพสเป็นอุทาหรณ์ให้แม่ๆ ทุกคนค่ะ ลูกอายุ 2-4 เดือน ถ้าไม่สบตา ไม่มองตามสิ่งของ ไม่ควรมองข้ามค่ะ ลูกชาย อายุ 2 เดือน 23 วัน ไม่ยอมสบตา ไม่มองตามสิ่งของ แม่เลยตัดสินใจพาน้องพบแพทย์ค่ะ
                                    สิ่งที่ทำให้แม่เกิดความ เอ๊ะ! ขึ้นมาก็คือลูกสบตาคนเลี้ยงน้อยลง จนกลายเป็นไม่สบตาเลย ไม่ค่อยมองตามสิ่งของ ถามพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงก็รู้สึกเหมือนกัน ลอง consult หมอออนไลน์ หมอบอกเด็กแต่ละคนพัฒนาการไม่เหมือนกัน รอซัก 6 เดือนถ้าน้องยังไม่สบตาถึงจะบอกได้ แต่แม่นั้น เป็นคนวิตกจริต ลูกเคยมองหน้าแม่ มาวันนี้ไม่มอง เลยตัดสินใจไปหาหมอ และหมอเด็กที่ รพ ก็เทส พร้อมบอกว่า เอ้อ! น้องไม่ค่อยมองจริงๆ คุณแม่ น้องโฟกัสได้แค่นิดๆ หน่อยๆ หมอเด็กเลยรีบไปติดต่อหาหมอตาให้ โชคดีวันนี้เวลานี้ หมอตาออกตรวจ และมีคิวว่างเวลานี้พอดี ลูกเลยได้เจอหมอตาทันที ใช้เวลาตรวจเกือบชั่วโมง ด้วยความที่น้องยังเด็กมากๆ ก็ต้องตรวจไปพักไป ตรวจเสร็จ หมอบอก น้องมีค่าสายตายาว 600 ครับคุณแม่ ต้องใส่แว่นทันที ไม่งั้นน้องจะตาเหล่และเป็น lazy eyes เพราะน้องสายตายาวกว่าเด็กทั่วไป มันเลยทำให้น้องไม่อยากสบตาเพราะน้องเห็นระยะใกล้เบลอมากๆ แต่ไม่ต้องกังวล ปกติแล้ว เด็กทารก จะมีค่าสายตายาวประมาณ 300 กันทุกคน เพียงแต่ของลูก ยาวเกินค่าปกติไปนิสสส พอน้องใส่แว่น น้องจะกลับมาสบตาและโฟกัสได้ดีมากขึ้น เพียงแค่อาจจะต้องใส่ไปจนถึงอายุ 10 ขวบ สายตาน้องถึงจะกลับมาเหมือนคนทั่วไป
                                    *เพิ่มเติม ก่อนจะไปพบแพทย์ น้องชอบมองเหมือนมองไปไกลๆ มองเพดาน มองไฟ มองข้างๆค่ะ  แม่ๆ อย่าลืมคอยสังเกตลูกตัวเองนะคะ ป้องกันการเกิดตาเหล่ และ lazy eyes ในเด็กแรกเกิดค่า
                                    ขอขอบคุณประสบการณ์ดี ๆ จาก คุณแม่ Aom Wasiewicz

                                    สายตายาว (Hyperopia)

                                    ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ในเด็กจะมีสายตายาว ซึ่งจะต่างจากสายตายาวตามอายุในผู้ใหญ่ที่เกิดเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป หากสายตายาวในเด็กมากกว่าเกณฑ์ปกติ ก็ส่งผลทำให้ภาพไม่ชัด โดยเฉพาะเวลามองใกล้ๆ และในบางรายอาจพบว่า สายตายาวที่มากนั้นมีผลทำให้เกิดภาวะตาเขเข้าในได้ด้วย ในบางรายสายตายาวในข้างใดข้างหนึ่งมากกว่า ข้างที่สายตายาวมากกว่าก็มีความเสี่ยงในการเกิดตาขี้เกียจได้เช่นกัน

                                    การตรวจวัดค่าสายตาในเด็ก
                                    การตรวจวัดค่าสายตาในเด็ก แตกต่างจากผู้ใหญ่หรือไม่

                                    ตาเหล่ ตาเข ในเด็ก

                                    “โดยส่วนใหญ่ หลายคนมีความเชื่อที่ผิดอยู่ว่าโรคตาเหล่หรือโรคตาเขเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา ทำอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะผู้ปกครองมีความเชื่อว่าเมื่อเด็กโตอาการเหล่านี้จะหายไปเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ผิดมาก ในความเป็นจริงแล้วถ้ามีอาการผิดปกติควรรีบเข้ามาพบแพทย์เพื่อทำการรักษาแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะสายเกินไป อย่างไรก็ตาม การป้องกันเบื้องต้น ผู้ปกครองควรป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคตาเหล่หรือโรคตาเข ควรหลีกเลี่ยงการคลอดก่อนกำหนด ในระหว่างตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ระวังภาวะชักในเด็ก ทั้งนี้การป้องกันที่ดีที่สุดเมื่อเกิดความสงสัยว่าเด็กมี ตาเหล่หรือตาเข มีปัญหาเรื่องของการมองเห็นควรรีบเข้ามาตรวจหาสาเหตุและทำการประเมินโดยจักษุแพทย์เพื่อดูว่าเป็นตาเหล่ชนิดที่แก้ไขได้หรือไม่”
                                    Quate พญ.ภิยดา ยศเนืองนิตย์  แพทย์ผู้ชำนาญการด้านจักษุวิทยาเด็กและตาเข โรงพยาบาลสุขุมวิท

                                    ภาวะตาเหล่ แบ่งออกได้เป็น

                                    1. ตาเหล่หรือตาเขเข้า คือ ตาดำข้างที่เขจะเบนเข้าด้านในหรือมุดเข้าหาหัวตา ตาเขชนิดนี้จะพบได้บ่อยทุกช่วงอายุ และอาจพบได้ในเด็กแรกเกิดอายุตั้งแต่อายุ 3 เดือนขึ้นไป จึงอาจเรียกว่าเป็นตาเขเข้าด้านในชนิดแรกเกิด
                                    2. ตาเหล่หรือตาเขออก คือ ตาดำข้างที่เขจะเบนหรือเฉียงออกด้านนอก (หางตา) เป็นชนิดที่พบได้บ่อย อาจพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ชนิดที่พบบ่อยจะเป็นชนิดที่เป็น ๆ หาย ๆ (Intermittent Exotropia) ซึ่งตาเหล่หรือตาเขชนิดนี้อาจจะเกิดร่วมกับภาวะสายตาสั้น หรือตาข้างที่เขมองไม่ชัด มีความผิดปกติโครงสร้างตา เป็นต้น
                                    3. ภาวะตาเหล่หรือตาเขที่เกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาทคู่ที่มาเลี้ยงดวงตาคู่ที่ 3 4 และ 6
                                    4. ตาเหล่หรือตาเขในกลุ่มที่มีลักษณะเฉพาะ ที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของกล้ามเนื้อตาบางมัดที่ทำงานมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
                                    5. ตาเหล่หรือตาเขในแนวบนล่าง
                                    6. ตาเหล่หรือตาเขที่เกิดจากการกลอกตาผิดปกติ
                                    7. ตาเหล่หรือตาเขที่เกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคไทรอยด์ เป็นต้น

                                    การวัดสายตาในเด็ก

                                    เนื่องจากธรรมชาติของเด็กชอบเพ่ง จ้องทำให้วัดค่าสายตาได้เป็นสายตาสั้นมากกว่าความเป็นจริง หรือวัดค่าสายตายาวได้น้อยกว่าความเป็นจริง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องระงับหรือหยุดการเพ่งของเด็กชั่วคราว โดยเฉพาะในเด็กอายุน้อยกว่า 12ปี ซึ่งวิธีที่เป็นมาตรฐาน คือ การหยอดยาเพื่อลดการเพ่ง แล้วทำการวัดสายตาก็ทำให้ทราบค่าสายตาจริงๆ ของเด็ก ยาชนิดนี้ไม่ใช่ยากลุ่มเดียวกับยาขยายม่านตาในผู้ใหญ่

                                    หลังจากตรวจวัดสายตาเสร็จ จักษุแพทย์จะทำการสั่งแว่นตาตามความเหมาะสม จากนั้นจะนัดตรวจติดตามเป็นระยะเนื่องจากค่าสายตาในเด็กมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด โดยทั่วไปจะหยอดยาวัดสายตา ปีละ 1 ครั้ง จนกระทั่งอายุ ประมาณ 11 ถึง 12 ปี ก็จะสามารถวัดสายตาได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ เนื่องจากกำลังการเพ่งลดลงใกล้เคียงผู้ใหญ่ และส่วนมาก ค่าสายตาก่อนหยอดยาและค่าสายตาหลังหยอดยาไม่แตกต่างกัน จึงเป็นเหตุผลว่าไม่ต้องหยอดยาวัดสายตาในเด็กกลุ่มนี้

                                    ตาเหล่ ในเด็ก รักษาได้
                                    ตาเหล่ ในเด็ก รักษาได้

                                    การเตรียมตัวในการตรวจวัดสายตาในเด็ก

                                    1. ควรเป็นวันที่ไม่มีไข้ ร่างกายปกติดี ไม่มีการสอบหรือการเรียนที่ต้องใช้สายตามากในวันรุ่งขึ้น เพราะยาจะทำให้มองที่ใกล้ไม่ชัด ประมาณ 1 วัน
                                    2. เตรียมแว่นตาดำ หรือหมวกมาด้วย เพราะหลังการตรวจม่านตาจะขยายเล็กน้อยอาจทำให้มีการแพ้แสงได้ ประมาณ 1 วัน
                                    3. หยอดยาวัดสายตา ทุก 5 ถึง 10 นาที 2 ถึง 3 ครั้งทั้งสองตา จากนั้นรอประมาณ 30 นาทีจะสามารถตรวจได้ ในระหว่างหยอดยาเด็กอาจงอแงได้ เนื่องจากยาหยอดตาแสบ
                                    4. หลังตรวจวัดสายตาเรียบร้อย จักษุแพทย์จะทำการตรวจจอประสาทตา เนื่องจากม่านตาขยายพอที่จะสามารถตรวจได้
                                    5. หลังตรวจเรียบร้อยควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง พักผ่อนในบ้าน ไม่ควรโดนแสงไฟสว่างมาก ๆ
                                    ที่มา: นพ.วรากร เทียมทัดจักษุแพทย์เฉพาะทาง ด้านโรคตาในเด็กและตาเข
                                    ศูนย์จักษุวิทยาเฉพาะทาง โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล
                                    จากประสบการณ์จริงที่คุณแม่ได้กรุณาเขียนเล่าเป็นอุทาหรณ์ ทำให้เราตระหนักได้ว่า การหมั่นสังเกตลูกว่ามีพฤติกรรม หรือท่าทางใด ๆ ที่ดูผิดปกติ แตกต่างไปจากเดิม หรือปกติเด็กทั่วไปหรือไม่นั้น เป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากคุณแม่ไม่สังเกตได้ว่าลูกไม่สบตา ไม่มองเวลาเรียก เวลาเล่นด้วยเหมือนเคย และปล่อยละเลยทิ้งไว้ ไม่พาไปพบคุณหมอเพื่อความแน่ใจแล้ว น้องอาจจะมีโอกาสหายน้อยลงไปได้อีก และอาจมีปัญหาสายตายิ่งกว่าเดิม ที่สำคัญการมองที่พร่ามัวสำหรับเด็ก เป็นสิ่งที่ปิดกั้นพัฒนาการในด้านอื่น ๆ ที่เราอาจไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ การหาข้อมูล การอ่าน การเฝ้าระวัง น่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับแม่ๆ ยุคนี้
                                    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                    เด็กๆสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเพราะจอคอมพิวเตอร์

                                    ลูกฉลาด ถ้าฉลาดดูแลสายตา

                                    ทำไมป่วย เบาหวาน – อ้วน เสี่ยงมากเมื่อติดโควิด-19

                                    สปสช.ให้สิทธิคัดกรอง ภาวะปัญญาอ่อน เด็กแรกเกิด

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่