ลูกขยี้ตา

ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

อาการเคืองตา คันตา เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่า ลูกเปิดเทอมไปโรงเรียนแล้ว กลับบ้านมา ลูกขยี้ตา บ่อย ๆ มีอาการคันตา เปลือกตาบวม ก็สงสัยได้เลยว่า ลูกอาจติดโรคตาแดงมาแล้วค่ะ หากเด็ก ๆ คนไหนยังไม่เป็น และคุณพ่อคุณแม่อยากป้องกัน จะมีวิธีป้องกันและรักษาอย่างไร ทีมกองบรรณาธิการ ABK จะบอกให้ฟังค่ะ

ลูกขยี้ตา อาการหนึ่งของตาแดง

โรคตาแดง หรือ เยื่อบุตาอักเสบ คือ ภาวะที่เยื่อบุตาเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ ซึ่งเยื่อบุตาเป็นเยื่อเมือกใสที่คลุมตาขาวและบุด้านในของเปลือกตา สาเหตุของโรค แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ

  1. ชนิดติดเชื้อ ทั้งจากเชื้อไวรัส เช่น เชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บคอและมีไข้สูง และเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) และสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus Pneumoniae) เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะติดต่อจากการสัมผัส โดยเฉพาะเด็กเล็กที่เริ่มหยิบจับสิ่งของต่างๆ รอบตัวได้เองเชื้ออาจติดมากับมือ แล้วมาจับหน้า เอามือเข้าปาก หรือเอามือขยี้ตาทำให้ได้รับเชื้อ เป็นสาเหตุที่เด็กเป็นโรคตาแดงง่ายและเป็นมากกว่าผู้ใหญ่
  2. ชนิดไม่ติดเชื้อ อาจเกิดจากสิ่งแปลกปลอม ฝุ่นละอองทำให้ระคายเคือง หรือจากโรคภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสรดอกไม้ หญ้า ฝุ่นจากสัตว์เลี้ยง สุนัข แมว ไรฝุ่น โดยภายหลังได้ นอกจากนี้ อาจเกิดจากอุบัติเหตุ เกิดจากการแพ้ยาได้
ลูกขยี้ตา
ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

อาการโรคตาแดงในเด็ก

สำหรับเด็กที่เป็นโรคตาแดง อาการจะเริ่มจากเด็กจะคันตา ขยี้ตาบ่อยๆ จากนั้นตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงชัดเจน มีขี้ตา น้ำตาไหล กระพริบตาบ่อย เจ็บตา มีขี้ตามาก โดยจะมีขี้ตาสีขาว เหลือง หรือเขียว ซึ่งอาจทำให้ลืมตาได้ลำบากในเวลาตื่นนอนตอนเช้า เปลือกตาเริ่มบวมแดง อาจเป็นตาข้างใดข้างหนึ่งก่อน แล้วลามไปตาอีกข้างหนึ่ง โดยอาการสามารถแบ่งได้ดังนี้

  • อาการจากเชื้อไวรัส เด็กจะมีอาการตาแดง เคืองตา มีน้ำตาไหล ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโต อาจมีอาการตาบวม หรือปวดตาเล็กน้อย จะมีอาการกลัวแสง มองแสงนานไม่ได้ มีอาการแสบตาหากสัมผัสแสง รวมทั้งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ อาการหวัด หรือการติดเชื้อเกี่ยวกับการหายใจอาการเยื่อบุตาติดเชื้อ การอักเสบของกระจกตา โดยลักษณะตาแดงจากไวรัสจะหายเองภายใน 2-3 สัปดาห์
  • อาการจากเชื้อแบคทีเรีย เด็กจะมีอาการตาแดงเข้มมาก มีขี้ตามากออกสีเหลืองหรือสีเขียว ซึ่งจะเกิดมากหลังการตื่นนอน มีขี้ตาเกาะกรัง ทำให้ลืมตาไม่ขึ้น อาการอักเสบมักจะเกิดขึ้นทั้งสองข้างของตา
  • อาการที่มีสาเหตุจากการแพ้ มักมีอาการ เช่น คันตา น้ำตาไหล หรือตาบวม และมักพบร่วมกับอาการภูมิแพ้จมูกอักเสบด้วย ได้แก่ จาม คันจมูก น้ำมูกไหล คัดจมูก

การรักษาตาแดงในเด็ก

เมื่อพบว่าเด็กมีอาการตาแดง ไม่ควรไปซื้อยาทา หรือยาหยอดตามาหยอดรักษาเอง ควรพามาพบจักษุแพทย์ หรือกุรมารแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย ว่าเป็นโรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ หรืออาจจะเกิดจากโรคอื่น เช่น อาจมีสิ่งแปลกปลอมเข้าในตา แทนที่จะเป็นโรคตาแดง

ถ้าได้รับเชื้อแบคทีเรียซึ่งพบได้บ่อย จะรักษาด้วยการใช้ยาหยอดตาเพื่อทำการฆ่าเชื้อ และคอยประคบเย็น เพื่อลดอาการบวมของเปลือกตา ให้รู้สึกสบายตามากขึ้น ประคบครั้งละ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง ประมาณ 5-6 วันอาการจะดีขึ้น โดยทั่วไปแล้วโรคนี้อาการจะดีขึ้นภายใน 7-10 วัน แต่หากมีการติดเชื้อ อักเสบลามไปที่กระจกตา (ตาดำ) ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย

วิธีทำความสะอาดตา ถ้าเด็กมีน้ำตาหรือขี้ตาควรใช้สำลีชุบน้ำหรือใช้ทิชชูเช็ดเบาๆ เช็ดแล้วทิ้งเลย ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็จะเป็นวิธีการช่วยป้องกันการติดต่อได้

การป้องกันโรคตาแดงในเด็ก

  • ให้ลูกล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่
  • บอกให้ลูกหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งของที่อาจปนเปื้อนสิ่งคัดหลั่งของคนอื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดมือ 
  • ให้ลูกหลีกเลี่ยง หรือระวังไม่ให้ลูกสัมผัสน้ำท่วมขัง หรือน้ำสกปรก ระวังไม่ให้น้ำกระเด็นเข้าตา หากสัมผัสแล้ว ให้รีบทำความสะอาดบริเวณนั้น และ/หรืออาบน้ำให้สะอาดทันที
  • บอกลูกว่าไม่ควรใช้มือขยี้ตา
  • หากลูกเป็นโรคตาแดงแล้ว ควรงดการไปในที่สาธารณะจนกว่าจะหาย เช่น การเดินห้างสรรพสินค้า การใช้รถโดยสารประจำทาง การลงสระว่ายน้ำ เพื่อป้องกันการแพร่ กระจายของเชื้อ
  • ไม่ควรใช้ยาหยอดตาร่วมกับผู้อื่น ควรล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการหยอดยาเสมอ

ตาแดงไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากเกิดกับลูกน้อยแล้ว ย่อมรบกวนการใช้ชีวิตและทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายตัวได้ คุณพ่อคุณแม่ควรป้องกันลูกน้อยตามวิธีที่แนะนำเพื่อสุขอนามัยที่ดีค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลนครธน, โรงพยาบาลเวิล์ดเมดิคอล, pobpad

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

แชร์เตือน!ลูกไม่สบตาอย่าปล่อยผ่านอาจสายตายาว ตาเหล่ ได้

ลูกเป็น แอสเพอร์เกอร์ ไม่มองหน้า ไม่สบตา ทำอย่างไร

ตาแฉะ ทารกตาแฉะ ขี้ตาเป็นหนอง ปล่อยไว้อาจเป็นโรคนี้!!

    ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

    เช็ค 9 สัญญาณ ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

    เช็ค 9 สัญญาณ ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

    ไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีการระบาดเกือบทั้งปี บ้านไหนที่มีเด็กเล็ก ต้องระมัดระวัง ลูกน้อยติดไข้เลือดออก เป็นพิเศษ เพราะน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรค อาการของเด็กอาจมีตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

     

    โรคไข้เลือดออก

    ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue) มี 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 แต่ละสายพันธุ์มีระดับความรุนแรงของโรคต่างกันไป หากเป็นไข้เลือดออกจากเชื้อสายพันธุ์ไหนแล้ว จะไม่เป็นสายพันธุ์นั้นอีก แต่สามารถกลับมาเป็นโรคไข้เลือดออกในสายพันธุ์อื่น ๆ แทน

    การติดต่อนั้นจะมียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยยุงลายจะออกหากินกัดคนในเวลากลางวัน เมื่อยุงลายตัวเมียดูดเลือดจากผู้ป่วยที่มีเชื้อเดงกี่เข้าไป เชื้อไวรัสเดงกี่ในยุงจะเพิ่มจำนวน และกระจายเชื้อเข้าไปสู่ต่อมน้ำลายของยุง เตรียมพร้อมที่จะปล่อยเชื้อให้กับคนที่ถูกกัดครั้งต่อไปได้ตลอดอายุของยุง ซึ่งอยู่ได้นาน 1-2 เดือน

    กลุ่มเสี่ยงต่อการป่วย

    • กลุ่มเด็กวัยเรียน อายุ 5 – 14 ปี
    ลูกน้อยติดไข้เลือดออก
    9 สัญญาณ ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

    ระยะอาการของไข้เลือดออก

    สำหรับอาการของคนเป็นไข้เลือดออก มักจะแสดงออกหลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ 5-8 วัน ถ้าเป็นการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ครั้งแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อครั้งที่สอง อาจมีอาการรุนแรงเกิดเป็นภาวะไข้เลือดออกได้ โดยอาการของโรคแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

    1. ระยะไข้สูง เมื่อเริ่มเป็นจะมีไข้สูงถึง 38-40 องศาเซลเซียส แม้กินยาลดไข้ หรือเช็ดตัวแล้วไข้ก็ยังไม่ลด อยู่ 2-7 วัน ตาและใบหน้า มักจะแดงกว่าปกติ เบื่ออาหารและมีอาการซึม บางคนอาจมีผื่นขึ้น หรือพบว่ามีจุดเลือดออกขึ้นตามลำตัว แขน ขา

    2. ระยะวิกฤติ จะเกิดประมาณวันที่ 3-6 หลังจากระยะไข้สูงระยะหนึ่งแล้ว ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่อาการทั่วไปจะดูเพลียมากขึ้น รวมถึงมีอาการปวดท้อง ท้องอืด เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อาจมีอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ในกรณีที่รุนแรงมาก มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ผู้ป่วยอาจเกิดอาการช็อกได้ ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที

    3. ระยะฟื้นตัว เป็นระยะหลังไข้ลงโดยไม่มีอาการช็อก โดยเกล็ดเลือดจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ชีพจรและความดันโลหิตเริ่มคงที่ดีขึ้น อาการทั่วไปจะดีขึ้น เริ่มอยากอาหาร ปัสสาวะออกมากขึ้น มีผื่นแดงคันตามตัว

    9 สัญญาณ ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

    หากมีอาการเหล่านี้ แม้ว่าไข้เริ่มจะลดลงแล้ว ก็ควรต้องไปพบแพทย์ทันที

    1. ไข้ลง หรือไข้ลดลง แต่อาการแย่ลง ยังเบื่ออาหาร ไม่ค่อยเล่น และอ่อนเพลีย
    2. คลื่นไส้ อาเจียน ตลอดเวลา
    3. ปวดท้องมาก
    4. มีเลือดออกมาก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
    5. พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไปจากปกติ
    6. กระหายน้ำตลอดเวลา
    7. ร้องกวนมากในเด็กเล็ก
    8. ตัวเย็น สีผิวคล้ำลง หรือตัวลาย
    9. ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ถ่ายปัสสาวะนานเกิน 4- 6 ชั่วโมง

    การตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก

    นอกจากซักประวัติอาการ และอาการแสดงแล้ว จะมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการมาช่วยในการวินิจฉัยโรคด้วย เช่น ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อหาความผิดปกติเม็ดเลือดขาว ความเข้มข้นเลือดและจำนวนเกล็ดเลือด นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาไวรัสเดงกี่ด้วยวิธี PCR, การตรวจหา NS1 แอนติเจนของไวรัสซึ่งควรตรวจ ในช่วงวันแรกๆ ของไข้ การตรวจดูภูมิคุ้มกัน (แอนตีบอดีย์) ต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ มักจะขึ้นหลังมีไข้ 4-5 วัน ปัจจุบันมี Rapid test ซึ่ง อ่านผลเร็วใน 10-15 นาที

     

    ลูกน้อยติดไข้เลือดออก ดูแลรักษาอย่างไร

    ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักษาจึงเป็นไปตามอาการ

    • มีไข้ให้เช็ดตัว
    • รับประทานยาพาราเซตามอลลดไข้เท่านั้น ห้ามใช้แอสไพริน ไอบูโพรเฟน
    • เฝ้าสังเกตอาการช็อกหลังจากไข้ลดลง
    • ถ้าลูกรับประทานอาหารได้น้อย อาจให้ดื่มนม น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ร่วมด้วย

     

    ป้องกันไข้เลือดออกในเด็กได้อย่างไร

    สามารถป้องกันได้ โดย

    • ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ใกล้แหล่งที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอ เช่น แหล่งน้ำขังในบ้าน
    • ป้องกันตัวเองและบุตรหลานไม่ให้ยุงกัด ด้วยการนอนในมุ้ง ทายากันยุง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
    • การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกในเด็ก
    • ไปพบแพทย์เมื่อป่วยเป็นไข้ ควรติดตามอาการ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

     

    วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ดีต่อเด็กอย่างไร

    การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเด็งกี่ สามารถป้องกันเชื้อไวรัสเด็งกี่ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 9 ปี จนถึงผู้ใหญ่อายุ 45 ปี แบ่งการฉีดเป็น 3 เข็ม ระยะห่างกัน 6 เดือน (0, 6, 12 เดือน) มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ 65% ลดความรุนแรงของอาการเลือดออกได้ 93% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80% โดยประมาณ แนะนำให้ฉีดป้องกันในผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกี่มาก่อน จะเป็นการเสริมภูมิป้องกันได้ดียิ่งขึ้น

    ขอบคุณข้อมูลจาก
    โรงพยาบาลนครธน, โรงพยาบาลพญาไท

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    ระวัง ไข้เลือดออกระบาด ติดเชื้อร่วมโควิด ดับแล้วหลายราย

    เช็กเลย! อาการ โอมิครอน ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ต่างกันอย่างไร

    โลชั่นกันยุงยี่ห้อไหนดี ปกป้องลูกจากยุงร้าย ลดเสี่ยงไข้เลือดออก คุณแม่ทั่วประเทศยกให้ Kindee เป็นแบรนด์ในดวงใจ

      โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

      พ่อแม่ต้องระวัง! 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

      พ่อแม่ต้องระวัง! 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

      หลังจากที่เด็ก ๆ ต้องเรียนออนไลน์มานานเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ก็ถึงเวลาแล้วนะคะคุณพ่อคุณแม่ที่ลูก ๆ ของเราจะเปิดเทอม on-site กลับไปเรียนที่โรงเรียน หลายบ้านอาจดีใจที่ลูกจะไปโรงเรียนสักที แต่รู้หรือไม่คะว่า ช่วงเปิดเทอมนี่แหละที่คุณพ่อคุณแม่ก็ยิ่งต้องระวังกับ 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม มีโรคอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

       

      5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

      1. ตาแดง 

      โรคตาแดงเป็นโรคระบาดทางตาที่ติดต่อกันได้ง่าย และ รวดเร็วส่วนมากจะเกิดจากเชื้อไวรัส หรือ เชื้อแบคทีเรีย ไม่ใช่โรคที่รุนแรง และ สามารถหายได้เองภายในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยมากมักพบในกลุ่มเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กจะไม่ค่อยระมัดระวังในการป้องกันจึงเกิดการแพร่เชื้อได้ง่ายกว่ากลุ่มวัยอื่น
      ถ้าลูกเป็นตาแดงจะมีอาการ ตาแดง ปวดเล็กน้อย คันตา เคืองตา เปลือกตาบวม อาจพบตุ่มเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป ถ้าที่ติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยจะมีขี้ตามาก

      โรคนี้มักติดต่อกันผ่านการไอ หรือ จาม การหายใจรดกัน การอยู่ร่วมกันในสถานที่แออัดบริเวณที่มีคนอยู่รวมกันมากๆ

      2. มือเท้าปาก

      เกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบได้บ่อยในทารกและเด็กเล็ก ทำให้มีอาการไข้ เป็นแผลในปาก มีตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว สร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ไม่น้อย

      อาการเริ่มต้นของโรคมือเท้าปากจะคล้ายไข้หวัด คือ มีตุ่มใส หรือแผลร้อนในเกิดขึ้นหลายแผลในปาก ส่วนใหญ่แผลในปากพบได้หลายตำแหน่ง ตั้งแต่บริเวณของเพดานแข็ง เพดานอ่อน หรือบางคนก็พบที่กระพุ้งแก้ม หรือที่ลิ้นได้ บางคนเป็นเยอะก็จะลามออกมาที่ริมฝีปากหรือรอบ ๆ ริมฝีปากเลยก็มี และมีอาการเจ็บ มีผื่นแดงหรือตุ่มใส ขนาดเล็กที่บริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า ง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า หรือก้น และมีอาการไข้เป็นระยะเวลา 5-7 วัน

      โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม
      พ่อแม่ต้องระวัง! 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

      3. ไข้หวัดใหญ่

      ไข้หวัดใหญ่ เป็นการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ซึ่งมีสาเหตุมาจาก การติดเชื้อไวรัสที่อยู่ในอากาศ หรือสารคัดหลั่ง ทั้งน้ำมูก น้ำลาย หรือ การไอ จาม ใส่กัน ก็เป็นสาเหตุให้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ เพราะเชื้อไวรัส แพร่กระจายทางอากาศได้ เชื้อจะอยู่ตามละอองฝอย ที่อยู่บนอากาศ เมื่อเด็กสูดเข้าไป ก็จะทำให้ติดเชื้อ “อินฟลูเอนซา” ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ทั้ง เอ บี และ ซี ที่ได้ยินบ่อย ๆ และมีความรุนแรง เช่น สายพันธุ์ H1N1 H5N1 เป็นต้น

      อาการของไข้หวัดใหญ่ในเด็กนั้น ลูกจะไข้สูง น้ำมูกใส คัดจมูก ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร ไข้นานประมาณ 3-7 วัน อาจอาเจียน ท้องเสีย ร่วมด้วย มีไอและมีน้ำมูก นาน 1-2 สัปดาห์ และอาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ

       

      4. ไข้เลือดออก

      โรคไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยยุงลายที่ดูดเลือดของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี่ จะแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายผู้ที่ถูกยุงกัดคนต่อไป อาการของไข้เลือดออก ที่สามารถสังเกตได้ คือ ลูกจะไข้สูงแบบเฉียบพลัน และต่อเนื่องเป็นเวลา 2-7 วัน ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ส่วนใหญ่มีอาการหน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็ก ๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องและเบื่ออาหาร

       

      5. อาหารเป็นพิษ

      อาหารเป็นพิษ เกิดจากการที่ลูกรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียเข้าไป ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องและท้องเสียถ่ายเหลวตามมา ดังนั้นหากลูกมีอาการมีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระบ่อย เกินวันละ 3 ครั้ง ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว มีอาการสูญเสียน้ำ เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย กระหายน้ำแบบนี้ใหุ้ณพ่อคุณแม่สงสัยไว้เลยว่าลูกอาจเป็น “อาหารเป็นพิษ” ค่ะ

      จะเปิดเทอมแล้ว ขอให้คุณพ่อคุณแม่ระวังโรคต่าง ๆ เหล่านี้ให้ดีนะคะ โควิดก็ต้องรอด โรคอื่น ๆ เราก็ต้องไม่ประมาทค่ะ

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       อ่านต่อบทความ ดี ๆ คลิก

      โรคอ้วนอันตราย! จำเป็นต้อง ลดเด็กอ้วน

      อย่าคิดว่าเรื่องเล็ก! ลูกอาจทรมานเพราะ หอบ หืดในเด็ก

      WHOเตือน ! พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน 

        ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท

        ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไร? ให้ลูกแฮปปี้..ดี๊ดีตลอดทริป

        เมื่อแม่ให้ลูกนั่งคาร์ซีท แต่ลูกสู้กลับ!! ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแชร์เทคนิกง๊ายง่าย ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไรให้ลูกไม่ร้องไห้ ยอมนั่งคาร์ซีทตลอดทริป

        ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไร? ให้ลูกแฮปปี้..ดี๊ดีตลอดทริป

        เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับแม่และเด็ก ดังนี้

        คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือ มีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

        คนโดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่ง หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด

        ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือคนโดยสารมีเหตุผลทางสุขภาพอันไม่สามารถรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งได้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง แต่บุคคลนั้นต้องมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท โดยพ.ร.บ.นี้มีผลใช้บังคับในอีก 120 วันนับแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

        สรุปคือเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ ต้องนั่งคาร์ซีท และเด็กที่สูงไม่เกิน 135 ซม. ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยไม่ว่าจะนั่งด้านหน้าหรือด้านหลังก็ตาม

        อ่านต่อ หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

        เชื่อว่าแม่ ๆ หลายบ้านเห็นด้วยกับข้อบังคับนี้ และสามารถหาซื้อคาร์ซีทได้ไม่ยาก แต่ปัญหาใหญ่คือ ลูกไม่ยอมนั่งคาร์ซีท!!! นั่งปุ๊ปร้องปั๊ป!! จะให้ทำยังไง!! ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแปะมือค่ะ เพราะเราก็เคยเจอประสบการณ์ลูกไม่ยอมนั่งคาร์ซีทมาก่อน และได้สู้รบปรบมือกับลูกน้อยมาจนยอมนั่งคาร์ซีทแต่โดยดีแล้ว วันนี้เลยขอมาแชร์ประสบการณ์พร้อมเทคนิคดี ๆ ในการ ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท มาให้แม่ ๆ ได้ลองนำไปใช้กันค่ะ

        คาร์ซีท
        คาร์ซีท

        ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไร? ให้ลูกแฮปปี้..ดี๊ดีตลอดทริป

        1. ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ยิ่งฝึกเร็ว…ยิ่งดี

        จริง ๆ แล้วควรให้ลูกนั่งคาร์ซีทตั้งแต่แรกเกิด เพราะเด็กแรกเกิดจะยังไม่รู้เรื่องเท่าเด็กที่โตแล้ว ลูกจะไม่เคยได้นั่งรถโดยไม่มีคนอุ้มมาก่อน ทำให้ไม่มีข้อเปรียบเทียบ คุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้ลูกรู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ขึ้นรถ ลูกจะต้องนั่งคาร์ซีทเท่านั้น ไม่มีข้อยกเว้น ลูกจะสามารถออกจากคาร์ซีทได้ต่อเมื่อรถจอดเท่านั้น

        2. ทำให้การนั่งคาร์ซีทเป็นเรื่องสนุก

        ต้องอย่าลืมว่าลูกตัวเล็กเกินกว่าจะมองเห็นวิวนอกกระจก ถึงแม้จะนั่งในคาร์ซีทที่ทำให้ตัวสูงขึ้นก็ตาม ลูกนั่งนาน ๆ ลูกก็เบื่อ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้การนั่งรถเป็นเรื่องสนุก โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะร้องเพลงไปพร้อมกับลูก หรือเตรียมของเล่นชิ้นพิเศษเอาไว้ให้ลูก และของเล่นชิ้นนี้จะเล่นได้ต่อเมื่ออยู่ในรถเท่านั้น ทริคนี้จะทำให้ลูกรู้สึกสนุกเมื่อต้องนั่งในรถและคาร์ซีทค่ะ

        อ่านต่อ ไขข้อข้องใจ ทำไม ลูกไม่เล่นของเล่น ที่ซื้อให้ เล่นแต่อะไรก็ไม่รู้!?

        3. Keep Calm and Drive On

        เมื่อลูกร้องไห้ ให้ทำสิ่งที่ทำได้ยากที่สุดคือ ทำใจให้สงบค่ะ ไม่โกรธหรือโมโหตามลูก ให้ทำใจให้เย็น ๆ พูดกับลูกให้อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนข้อที่จะอุ้มลูกออกมาเด็ดขาด พูดซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ ว่าอุ้มลูกออกมาไม่ได้จริง ๆ เพราะไม่ปลอดภัย หากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกไม่ไหวจริง ๆ ให้จอดรถแล้วค่อยอุ้มลูกออกมาเพื่อให้ลูกสงบและแม่สงบลง และเมื่อต้องการจะขับไปต่อ ให้นำลูกนั่งในคาร์ซีทเหมือนเดิมค่ะ

        อ่านต่อ แม่แชร์ 11 วิธีรับมือ “ลูกชอบร้องงอแง” เทคนิคดีจากหมอญี่ปุ่น!

        4. ตรวจสอบดูก่อนนั่ง ว่าลูกไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า

        บางทีสาเหตุที่ลูกร้อง อาจไม่ได้เพราะนั่งคาร์ซีทก็ได้นะคะ อาจเป็นเพราะรู้สึกไม่สบายตัวจากผ้าอ้อม หิว ร้อน แดดส่องมาที่หน้าลูก สายรัดเอวอาจจะแน่นเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะขนาดของคาร์ซีทไม่เหมาะกับตัวลูก ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดก็เป็นได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนให้ลูกนั่งนะคะ

        5. คาร์ซีทร้อนกว่าที่คุณคิด!!

        อย่าลืมนะคะ ว่าบ้านเราเป็นเมืองร้อน เมื่อรถต้องจอดตากแดด ด้านในที่นั่งก็ย่อมร้อนเป็นธรรมดา แต่ปกติแล้วเมื่อเปิดแอร์ได้ซักพัก ความร้อนก็หายไปแล้ว แต่สำหรับคาร์ซีท ซึ่งกว่าจะระบายความร้อนได้ จะใช้เวลานานกว่าเบาะในรถค่ะ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องทำงานกันเป็นทีม โดยให้คุณพ่อสตาร์ทเครื่องและเปิดแอร์ทิ้งไว้ซักพักก่อนแล้วค่อยนำลูกนั่งในคาร์ซีทนะคะ

        ลูกไม่นั่งคาร์ซีท
        ลูกไม่นั่งคาร์ซีท

        6. จัดท่านั่งให้ถูกต้อง

        คาร์ซีทแต่ละชนิดถูกออกแบบให้เหมาะกับเด็กในช่วงวัยที่ต่างกัน สำหรับวัยทารก – 6 เดือน คาร์ซีทจะเป็นลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน เพราะในวัยนี้ เด็กไม่ควรถูกจัดให้อยู่ในท่านั่งเพราะจะเป็นการกดทับเป็นเวลานาน ส่วนสะโพกของลูกน้อยยังไม่พร้อมรับน้ำหนัก ทำให้เมื่อยล้าได้ สำหรับเด็กวัยที่นั่งได้แล้ว หากต้องนั่งในคาร์ซีทที่เป็นลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน ลูกก็จะไม่ชอบ เพราะมองไม่เห็นวิวนอกหน้าต่างเท่าไหร่

        อ่านต่อ รีวิวคาร์ซีท 10 แบรนด์ยอดนิยม แข็งแรง ปลอดภัยทุกการเดินทาง

        7. นั่งอยู่ข้าง ๆ ลูก

        หากโดยสารกันหลาย ๆ คน ให้คนที่ไปด้วยกันนั่งอยู่ข้าง ๆ คาร์ซีท เพื่อพูดคุยเล่นกับลูกไปด้วย แต่หากเดินทางเพียงลำพังกับลูก ให้คุณพ่อคุณแม่พยายามพูดคุยกับลูกไปตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงด้วยกัน ฟังนิทาน หรือการพูดคุยกันทั่วไป และสำหรับคาร์ซีทที่เป็นแบบหันหลัง แนะนำให้ติดตั้งกระจกไว้บริเวณคาร์ซีท เพื่อให้สะท้อนกับกระจกมองหลัง วิธีนี้จะทำให้ลูกมองเห็นคุณพ่อคุณแม่ผ่านกระจกได้ตลอดเวลานั่นเอง

        อ่านต่อ 10 นิทานสอนใจ!! พร้อมข้อคิดดี ๆ อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน

        8. ฝึกต่อเนื่อง และสม่ำเสมอให้กลายเป็นกิจวัตร

        ต้องทำให้ลูกรู้ว่าทุกครั้งที่ขึ้นรถ จะต้องนั่งคาร์ซีทเสมอ ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางระยะใกล้ หรือ ไกล ก็ต้องนั่งในคาร์ซีท และในช่วงแรก คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องพาน้องเดินทางให้บ่อยหน่อย เพื่อให้ลูกคุ้นชินกับการนั่งคาร์ซีทค่ะ เพราะหากนั่งไปได้ 1 วัน และอยู่บ้านยาว ๆ อีกหลายวัน ลูกก็จะไม่ชินกับการนั่งคาร์ซีทอยู่กับที่เป็นเวลานาน

        อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่อาจต้องใจแข็งเมื่อ ลูกไม่ยอมนั่งคาร์ซีท หน่อยนะคะ และลองใช้วิธีรับมือตามข้างต้นดูค่ะ และเมื่อลูกเริ่มชินและปรับตัวกับการนั่งคาร์ซีทได้เอง คราวนี้ไปไหนมาไหนก็ไม่ร้องไห้งอแงแล้วค่ะ แถมยังจะรู้สึกแฮปปี้มากกว่า เมื่อรู้ว่าจะได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านอีกแล้วค่ะ

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท หรือไม่ ทำไมไม่ควรอุ้มเด็กนั่งในรถระหว่างเดินทาง

        คาร์ซีท คือสิ่งจำเป็นแค่ไหนสำหรับลูกน้อย?

        ให้ลูก นั่งคาร์ซีท หรือ อุ้มนั่งตัก แบบไหนปลอดภัยกว่า?

        ไขข้อข้องใจให้คุณแม่ ทารกนั่งคาร์ซีทตั้งแต่แรกเกิด ปลอดภัยหรือไม่?

         

        ขอบคุณข้อมูลจาก : www.kindercare.com

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

          รับมือ!ลูกร้องไห้เปิดเทอม วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

          วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน ตัวช่วยคุณแม่รับมือ ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน เปิดเทอมใหม่นี้ใครยังร้องไห้อยู่บ้างยกมือขึ้น มาสร้างความอยากไปโรงเรียนให้ลูกกัน

          รับมือ!ลูกร้องไห้เปิดเทอม วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

          เปิดเทอมแล้ว! ถึงเวลาที่เด็ก ๆ ต้องไปโรงเรียนกันเสียที แต่การเปิดเทอมครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ สำหรับเด็กใหม่ที่เพิ่งได้เข้าเรียน คงเป็นเรื่องปกติกับการร้องไห้ กะจองอแง แต่คราวนี้แม้ไม่ใช่เด็กใหม่ป้ายแดง ก็คงมีออกอาการกันไม่มากก็น้อยทีเดียว เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ที่ทำให้พวกเด็ก ๆ ห่างหายไปจากโรงเรียนเสียนาน จนอาจก่อให้เกิดปัญหาสุดคลาสิก นั่นคือ การร้องไห้งอแงไม่อยากไปโรงเรียนของลูก ๆ

          เปิดเทอมแล้ว ทำอย่างไรให้ลูกอยากไปโรงเรียน
          เปิดเทอมแล้ว ทำอย่างไรให้ลูกอยากไปโรงเรียน

          เด็กไม่ยอมไปโรงเรียน เป็นเรื่องที่พบเจอได้บ่อยในเด็กเล็ก เนื่องจากยังไม่มีการปรับตัว และกังวลที่ต้องแยกจากพ่อแม่ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ แนะให้พ่อแม่รับมืออย่างใจเย็น เปิดใจรับฟังความรู้สึกของเด็กอย่างเข้าใจ และพร้อมให้ความช่วยเหลือ

          นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเวลาเปิดเทอม เด็กๆ ต้องเปลี่ยนการดำเนินชีวิตจากที่เคยนอนดึกตื่นสาย ไปเที่ยว ทำกิจกรรมกับครอบครัว และเพื่อนๆ กลายเป็นต้องนอนไวตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน เด็กจะรู้สึกขี้เกียจ และงอแงไม่อยากไปโรงเรียน ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องปกติที่พบในช่วงอายุประมาณ 3 ปี ถึง 4 ปี ที่เริ่มไปโรงเรียนใหม่ๆ ซึ่งการแยกจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูจะทำให้เด็กมีความกังวล รวมทั้งต้องพบเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น หรือถูกทำโทษที่โรงเรียน เด็กบางคนแสดงออกด้วยการร้องไห้ บางคนสะสมความเครียดจนทำให้ตัวเองเจ็บป่วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ ซึ่งเป็นกลไกการต่อต้านทางร่างกาย พ่อแม่ผู้ปกครองควรเปิดใจให้กว้างรับฟังความรู้สึกของเด็ก และค่อยๆ สอนอย่างใจเย็น พร้อมทั้งหาทางแก้ไข และให้ความช่วยเหลือ

          เมื่อเช้านี้…ไม่สดใส!!

          คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อลูกของคุณร้องไห้ในตอนเช้าที่ไปส่งเขาที่โรงเรียน ? เห็นลูกพยายามดิ้นนำตัวเองออกจากอ้อมแขนของคุณครูขณะที่เรากำลังบอกลา แม้ว่าเราจะรู้ว่าต้องให้เวลากับลูกในการปรับตัว แต่เมื่อคุณก้าวขึ้นรถเตรียมกลับบ้าน ความรู้สึกผิดในความเป็นแม่ก็พุ่งเข้ามากระแทกใจอย่างเต็มแรง กับคำถามมากมายในหัวด้วยความเป็นห่วงลูก ลูกจะอยู่ได้ไหม จะร้องไห้ทั้งวันเลยหรือเปล่า และอีกสารพัดคำถาม

          และในวันต่อ ๆ มา เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงวนเวียน ซ้ำไปมาจนคุณรู้สึกเริ่มเครียด แถมยังทวีความรุนแรง เมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มต่อต้านตั้งแต่การก้าวออกจากประตูบ้าน เมื่อรู้ว่าต้องไปโรงเรียน แล้วคุณจะจัดการอย่างไรดี?

          เมื่อลูกร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน
          เมื่อลูกร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

          นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น พ่อแม่ควรรับมือแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ ปรับเปลี่ยนการเลี้ยงดู ฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง และช่วยเหลืองานบ้านเพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ผู้ปกครอง โดยพ่อแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด และให้กำลังใจ นอกจากนี้ควรฝึกทักษะพื้นฐานในด้านการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทั้งนี้ ควรให้เด็กไปโรงเรียนทุกวันโดยไม่จำเป็นต้องหยุด และแนะวิธีปฎิบัติตัวของพ่อแม่ตามคำแนะนำต่าง ๆ ดังนี้

          เมื่อลูกไม่อยากไปโรงเรียน ผู้ปกครองควรทำอย่างไร
          เมื่อลูกไม่อยากไปโรงเรียน ผู้ปกครองควรทำอย่างไร

          สูตรเด็ดเคล็ดลับ จากรุ่นพี่

          นอกจากนี้เรายังเคล็ดลับรับมือ เมื่อลูกร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน ฉบับประสบการณ์จริงจากพ่อแม่รุ่นก่อน ๆ มาฝากกัน

          ชวนลูกคุย ผลัดกันเล่าเรื่องราวของแต่ละคนที่เจอมาในวันนี้

          พ่อแม่ควรชวนลูกคุย และเล่าถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน กิจกรรมที่ได้ทำในวันนี้ ปล่อยให้ลูกได้พูดถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นต่อเหตุการณ์เมื่อเช้า แม้ว่าบางครั้งจะเป็นอารมณ์เชิงลบก็ตามที ปล่อยให้ลูกแสดงความรู้สึกที่อาจมี และพูดถึงมันบ่อยๆ เพื่อให้เธอระบุความรู้สึกของตนเองออกมาได้ เช่น กลัว โกรธ เจ็บปวด และวิตกกังวล เป็นต้น โดยอาจเริ่มจากการที่คุณเป็นฝ่ายเล่าเรื่องของตัวเองก่อน เช่น ที่ทำงานเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรกับเพื่อนร่วมงานในวันนี้บ้าง เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกอยากเล่าความรู้สึกของตัวเองบ้าง อาจคุยกันระหว่างทางกลับบ้านในรถก็ได้

          แม่ก็คิดถึงหนูเหมือนกัน แต่…

          เราสามารถบอกลูกได้เช่นกันว่า วันนี้แม่คิดถึงลูกมาก อยากเจอเร็ว ๆ แต่…แม่รู้ว่าเราก็ต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ลูกต้องมีหน้าที่เรียนหนังสือ แม่ต้องมีหน้าที่ทำงาน ทำงานบ้าน บอกลูกว่าไม่เป็นไรที่เขาจะคิดถึงคุณ ทำให้ลูกรู้ว่าคุณก็คิดถึงเหมือนกัน และตั้งตารอที่จะไปรับลูกจากโรงเรียนทุกวัน เพื่อที่ลูกจะได้ไม่กลัวการพลัดพรากจากพ่อแม่เมื่ออยู่ที่โรงเรียน ให้เขารู้ว่าเราไม่ทิ้ง และรอคอยเวลาเลิกเรียนเพื่อเจอลูกเช่นกัน แต่ต้องจัดลำดับความสำคัญ และอดทนทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นเสียก่อน

          ลาจากตอนเช้าด้วยความมั่นใจ และกระชับ

          เมื่อถึงเวลาส่งลูกหน้าห้อง หรือหน้าประตูโรงเรียนแล้ว พ่อแม่ควรบอกลาลูกด้วยท่าทางที่มั่นใจ เชื่อมั่น และสั้น กระชับ เพราะการทำเช่นนี้จะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกว่า สถานที่นี้ปลอดภัยสำหรับเขา และพ่อแม่จะกลับมารับแน่นอนเมื่อถึงเวลา โปรดอย่าแสดงสีหน้ากังวล หรือเดินกลับมากอดลูกอีกเป็นครั้งที่สอง หรือร้องไห้ไปกับลูก แม้ว่าพ่อแม่อาจคิดว่าเป็นการแสดงว่าแม่ก็ไม่อยากจากเขาไปเช่นกัน แต่ลูกจะมีความหมายกว้างกว่านั้น เขาจะหมายรวมว่าสถานที่นี้ไม่ปลอดภัย แม่ยังไม่อยากให้เขาอยู่ แต่คุณครู หรือโรงเรียนบังคับ ทำให้ลูกเกลียดโรงเรียนมากขึ้นไปอีก

          วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน
          วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

          อย่าไปโดยไม่บอกลา หรือใช้คำพูดรุนแรงเพื่อให้เขาหยุด

          อย่ากดดันลูกๆ ของคุณด้วยคำพูดเชิงลบ เช่น “อย่าสร้างความโกลาหลที่โรงเรียน” หรือ “แม่จะลงโทษลูก ถ้าลูกร้องไห้ที่โรงเรียน” เป็นต้น อย่าเปรียบเทียบลูกของคุณกับเด็กคนอื่นต่อหน้าเด็ก มันสร้างอิทธิพลเชิงลบในเด็กเล็ก และพวกเขาเริ่มสูญเสียความมั่นใจในตนเองทำให้เกิดปัญหาไม่รู้จบ เป็นต้นตอของการร้องไห้งอแงเมื่อต้องไปโรงเรียนนั่นเอง

          และแม้ว่าลูกของคุณในวันนี้อาจกำลังเพลิดเพลินกับของเล่น ไม่ร้องไห้ในตอนเช้าเหมือนทุกวัน แต่สิ่สำคัญคือ พ่อแม่ห้ามเดินจากไปโดยไม่ได้บอกลาลูก เพราะนั่นจะทำให้เขากังวลไปตลอดวัน และเกิดความไม่มั่นใจในเช้าวันถัดไป

          ไปโรงเรียนเร็วกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ 

          ลองนึกภาพเมื่อมาถึงงานปาร์ตี้ และทุกคนก็อยู่ที่นั่นแล้ว นี่อาจจะดีถ้าปาร์ตี้มีเพื่อน และครอบครัวที่คุ้นเคย แต่ถ้าคุณไม่รู้จักใครเลย คุณคงจะรู้สึกหนักใจ ประหม่า และพร้อมที่จะกลับบ้าน ลูกคุณก็เช่นกัน การพาเขาไปโรงเรียนแม้เพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ทำให้ลูกสามารถเตรียมตัว เตรียมใจได้นานก่อนที่ความโกลาหลจะเริ่มต้นขึ้น เขายังได้รับความสนใจจากครูก่อนที่เด็กส่วนใหญ่จะมาถึง ทำให้เขามีโอกาสมีเวลาเตรียมตัว และรู้สึกสบายใจมากขึ้น

          หากิจกรรมตอนเช้าจูงใจลูก

          ในช่วงสองสามวันแรก แนะนำให้ลูกทำกิจกรรมที่เขาสนใจ และสามารถทำได้ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ชอบ เช่น ปริศนาหรือบล็อก วิ่งเล่นกับเพื่อนที่สนาม เป็นต้น คุณสามารถช่วยให้ลูกจดจ่อกับกิจกรรมดีๆ ได้โดยการชี้นำเขาไปยังกิจกรรมโปรด หรือชวนเล่นในช่วงแรก ๆ แทนที่จะนึกถึงการจากไปของคุณที่ใกล้จะมาถึง

          นอกจากนี้การที่ลูกได้สนุกในตอนเช้ายังสามารถทำให้ลูกรู้สึกตื่นเต้น และรู้สึกอยากไปโรงเรียนมากขึ้น เพราะมีเรื่องสนุก ๆ ทำแทนที่จะมานั่งกังวลเกี่ยวกับการต้องแยกจากคุณในตอนเช้า

          ให้ลูกทำกิจกรรมกับเพื่อนช่วงเช้า วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน
          ให้ลูกทำกิจกรรมกับเพื่อนช่วงเช้า วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

          ให้ลูกนอนหลับให้เต็มอิ่ม

          เด็กๆ มักจะทำตัวงอแง เมื่อเหนื่อย ง่วง หรือหิว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ลูกของคุณไม่สบายใจที่จะไปโรงเรียน ให้ลูกเข้านอนแต่หัววัน แล้วตื่นแต่เช้าเพื่อที่เธอจะได้มีเวลาเตรียมตัวอย่างไม่เร่งรีบ พักผ่อนอย่างสบายในการรับประทานอาหารเช้าให้เสร็จเพื่อให้ตัวเองอิ่มและพร้อมที่สุดในช่วงเวลาเรียน

          ให้ลูกน้อยของคุณไม่ว่าง

          เป็นความคิดที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่จะทำให้ลูกของคุณยุ่งอยู่กับกิจกรรมบางอย่างในขณะที่คุณออกจากบ้านเพื่อพาเธอไปโรงเรียน จัดการลูกของคุณโดยให้งานบางอย่างกับเธอเพื่อที่เธอจะได้สนใจงานนั้น และเมื่อถึงเวลานั้นให้ส่งลูกของคุณไปที่ประตูโรงเรียน และจูบลาเธอ งานที่มอบให้ลูกของคุณต้องน่าสนใจเพื่อที่เธอจะได้หมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมของเธออย่างเต็มที่เมื่อคุณบอกลา

          วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

          นอกจากวิธีการรับมือกับการไม่อยากไปโรงเรียนของลูกตามคำแนะนำแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาวิธีในการสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียนเสียแต่เนิ่น ๆ เพราะหากเราเตรียมตัวมาก่อน เตรียมตัวมาดีแล้ว เมื่อถึงเวลาจริง ลูกก็พร้อมลงสนามได้แบบไร้ปัญหา แถมยังช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมได้เร็วกว่าอีกด้วย

          ฝึกให้ลูกสามารถบอกเล่าเรื่องราว และความรู้สึกของตนเองได้

          พ่อแม่สามารถพูดคุยกับลูกได้ตั้งแต่เขายังเล็ก ในช่วงเวลาที่ลูกยังไม่สามารถสื่อสารได้ดี หากเขามีอารมณ์ใด ๆ พ่อแม่สามารถพูดบอกกล่าวให้ลูกได้เรียนรู้ว่าอาการ ความรู้สึกเหล่านี้ คืออารมณ์ที่เรียกว่าแบบนี้ได้ เช่น  ตอนนี้หนูร้องไห้ เพราะกำลังเสียใจที่ทำของเล่นหายใช่ไหมจ๊ะ หรือ ลูกปาข้าวของเพราะกำลังมีอารมณ์โกรธอยู่ แม่ไม่ว่าแต่ถ้าสงบลงแล้วเรามาช่วยกันเก็บของดีไหม เป็นต้น

          การให้ลูกฝึกความสามารถในการสื่อสาร โดยเฉพาะความรู้สึกตัวเอง เมื่อเขาโตขึ้นจะง่ายต่อการพูดคุย และสอนให้เขาปฎิบัติตัวในแบบที่สังคมยอมรับได้ดีกว่า การที่ลูกเองก็ไม่สามารถรู้เช่นกันว่าเขามีอารมณ์แบบใด

          ทำความคุ้นเคยกับโรงเรียน

          ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะให้ลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนไหน ลองพาลูกไปเดินสำรวจโรงเรียน ดูสภาพแวดล้อมของโรงเรียน ว่าลูกชอบหรือไม่ และให้เขาทำความคุ้นเคยกับโรงเรียน และบริเวณโดยรอบก่อนวันเปิดเทอมจริง จะได้ไม่รู้สึกกังวลใจ และประหม่าในวันแรกที่เปิดเทอม

          งานบ้าน ฝึกลูกได้มากกว่าที่คิด
          งานบ้าน ฝึกลูกได้มากกว่าที่คิด

          ให้ลูกทำงานบ้านบ้าง

          งานบ้าน ช่วยฝึกลูกได้มากกว่าที่คิด นอกจากจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของคุณพ่อคุณแม่แล้ว การที่ลูกได้ทำงานที่ได้รับมอบหมาย ช่วยฝึกให้เขารู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ เรียนรู้ว่าตนเองมีหน้าที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง และเมื่อลูกทำสำเร็จ การได้รับคำชมเชย ก็จะช่วยให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ และเห็นคุณค่าในตนเอง เมื่อลูกได้รับการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่วัยเยาว์ การรับผิดชอบ การรับรู้ต่อสิ่งใหม่ ๆ ลูกก็จะทำได้ดีด้วยความเข้าใจ เขาจะรู้ว่าการมาโรงเรียนเป็นหน้าที่ของเด็กทุกคน และรู้จักอดทน อดกลั้นรอเวลาที่จะกลับบ้านได้ดีกว่า

          เป็นอย่างไรกันบ้าง คุณพ่อคุณแม่ลองทำตามขั้นตอนง่าย ๆ เหล่านี้เพื่อทำให้ลูกของคุณรักโรงเรียนของเธอ บอกลาลูกของคุณทุกวันเมื่อคุณไปส่งลูกที่ประตูโรงเรียน แล้วเช้าวันใหม่ของการเปิดเทอมจะเป็นเช้าที่ดีของคุณและลูกไปในทุก ๆ วัน

          ข้อมูลอ้างอิงจาก sleepingshouldbeeasy.com/www.indiaparenting.com/www.childrenhospital.go.th

          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          6 ประเภท “โรงเรียนประถม” ที่พ่อแม่ต้องรู้ก่อนสมัครเรียน!

          อัพเดทล่าสุด! ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล 2022 รวม 60 แห่ง

          เมื่อลูกถูก bully ลองใช้เทคนิคสุดเฟี้ยวฉบับแม่ญี่ปุ่นกัน!!

          30 คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว สุดสตรอง พร้อมลุกขึ้นสู้ใหม่เพื่อลูก

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            พัฒนาการทารก 6 เดือน

            พัฒนาการทารก 6 เดือน เรียนรู้พัฒนาการด้านต่างๆของลูก

            พัฒนาการทารก 6 เดือน ทารกจะเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว สมองด้านซ้ายจะเริ่มสื่อสารกับสมองด้านขวา ซึ่งหมายความว่าทารกจะสามารถประสานการทำงานของร่างกายได้ดีขึ้น

            พัฒนาการทารก 6 เดือน เรียนรู้พัฒนาการด้านต่างๆของลูก

            เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครี่งปีแล้วที่ลูกเกิดมา มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย และเดือนนี้ก็เช่นกัน ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูล พัฒนาการทารก 6 เดือน มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นถึงพัฒนาการ และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆของลูกน้อย มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

            สามารถนั่งเองได้
            สามารถนั่งเองได้

            พัฒนาการทารก 6 เดือน เรียนรู้พัฒนาการด้านต่างๆของลูก

            ทารกในวัยนี้เริ่มที่จะเรียนรู้ในการใช้เสียงเพื่อการสื่อสาร และเริ่มทานอาหารแข็ง หรืออาหารเสริมได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทารกบางคนอาจส่งสัญญาณว่าเริ่มทานอาหารเสริมได้ตั้งแต่ 4 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทารกแต่ละคน อาจปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มให้ทารกทานอาหารเสริม

             การเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย

            ทารกเพศชาย

            น้ำหนักเฉลี่ย 7.5 กิโลกรัม

            ทารกหญิง

            น้ำหนักเฉลี่ย 6.5 กิโลกรัม

            ส่วนสูงเฉลี่ย 64 เซนติเมตร

            ตัวเลขด้านบนเป็นเพียงค่าเฉลี่ยเท่านั้น ทารกบางคนอาจมีน้ำหนักหรือส่วนสูง ไม่ตรงกับตัวเลขดังกล่าว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทารกแต่ละคน เพราะมีการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันไป

            นอกจากนี้ ในวัยนี้ทารกอาจเริ่มมีฟันขึ้นแล้ว ซึ่งอาจทำให้ทารกมีอาการเจ็บเหงือก ส่งผลให้ทารกอาจมีเหงือกบวมแดง อยากกัดสิ่งของ เกิดอาการหงุดหงิด งอแง มีน้ำลายไหล หลับไม่สนิท ไม่อยากอาหาร หรือมีไข้ต่ำ

            การรับประทาน

            ปกติในวัยนี้ทารกจะดื่มนมแม่ทุก 3 – 4 ชั่วโมง ระยะห่างในการดื่มอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน คุณแม่ควรให้ลูกดื่มนมจนอิ่ม และคอยสังเกตว่าน้ำนมจากเต้าใกล้จะหมดหรือยัง อีกทั้งยังต้องสังเกตน้ำหนักตัวของลูกว่าเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมหรือไม่

            ปริมาณในการดื่มนมต่อวันประมาณ 740 มิลลิลิตร หรือ 25 ออนซ์ หากต้องการปั๊มนมเก็บไว้ ควรแบ่งให้เท่ากับจำนวนครั้งที่ทารกดื่มต่อวัน ส่วนกรณีที่ทารกดื่มนมผง ปกติทารกจะดื่มประมาณ 6 ครั้งต่อวัน ประมาณครั้งละ 180 – 240 มิลลิลิตร หรือประมาณ 6 – 8 ออนซ์

            ในวัยนี้การให้ทารกดื่มนมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรเริ่มให้ทารกฝึกทานอาหารแข็ง หรืออาหารเสริม เพื่อให้ได้รับสารอาหาร นำไปเสริมสร้างการเจริญเติบโต ช่วยทำให้ทารกแข็งแรง และมีพัฒนาการทางด้านร่างกายที่สมบูรณ์

            อาหารเสริมสำหรับทารก 6 เดือน

            หากยังไม่เริ่มให้อาหารแข็ง หรืออาหารเสริมแก่ทารกมาก่อน ควรเริ่มเมื่อทารกย่างเข้าสู่เดือนที่ 6 ควรเริ่มให้เด็กทานประมาณ 30 มิลลิลิตรหรือประมาณ 1 ออนซ์ในแต่ละมื้อก่อน แล้วจึงค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้น จนถึงมื้อละประมาณ 90 มิลลิลิตรหรือประมาณ 3 ออนซ์ และไม่ควรให้เด็กทานเกิน 90 มิลลิลิตรต่อวัน ทั้งนี้ควรเป็นอาหารที่มีเนื้อนิ่ม และควรให้อาหารชนิดเดียวเป็นเวลา 7 วัน เพื่อสังเกตว่าลูกมีอาการแพ้หรือไม่ เนื่องจากทารกอาจแพ้อาหารบางชนิด เช่น ไข่ ถั่ว เป็นต้น

            • อาหารประเภทแป้ง

            อาหารประเภทแป้ง เป็นอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานชั้นดี ช่วยทำให้ทารกแข็งแรง แต่ทั้งนี้ควรทานผัก ผลไม้ ร่วมด้วย เพื่อช่วยในการย่อยอาหารของทารก อาหารประเภทแป้งที่เหมาะกับทารกวัย 6 เดือน คือ ข้าว ข้าวต้ม ข้าวโอ๊ต ขนมปัง มันฝรั่ง มันเทศ ข้าวโพด เป็นต้น ทั้งนี้ควรนำมาบด ปั่น หรือผสมกับนม เพื่อให้มีเนื้อนิ่ม เหลว ช่วยให้ทารกทานได้ง่ายขึ้น

            • อาหารประเภทโปรตีน

            โปรตีน เป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ เซลล์ และช่วยนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงอวัยวะทั่วร่างกาย นอกจากนี้ยังสร้างแอนติบอดีให้ร่างกายทารกสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงจากการเป็นไข้ เจ็บป่วย อาหารประเภทโปรตีน ได้แก่ ไข่ ถั่ว เต้าหู้ ปลา ไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ทั้งนี้ควรปรุงให้สุก แล้วปั่น บด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ

            อาหารแข็งหรืออาหารเสริม สำหรับทารก 6 เดือน
            อาหารแข็งหรืออาหารเสริม สำหรับทารก 6 เดือน
            • ผัก

            ผัก  มีวิตามิน ไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ และน้ำ ช่วยเพิ่มพลังงาน บำรุงสายตา และลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งบางชนิด โรคหัวใจ ผักที่เหมาะกับทารก เช่น แครอท ฝักทอง อะโวคาโด บร็อคโคลี่ ผักกาด ผักโขม ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น ทั้งนี้ควรนำไปต้ม หรือนึ่งให้นิ่ม แล้วบด หรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ

            • ผลไม้

            ผลไม้ เป็นแหล่งรวมวิตามิน แร่ธาตุ โฟเลต โพแทสเซียม และไฟเบอร์ ช่วยทำให้ลำไส้ในทางเดินอาหารแข็งแรง ป้องกันท้องผูก ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ โรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง ผลไม้ที่เหมาะกับทารก ได้แก่ กล้วย แอ๊ปเปิ้ล มะละกอ กีวี่ ส้ม สตรอเบอร์รี่ มะม่วง แตงโม แคนตาลูป พรุน ลูกแพร์ เป็นต้น ควรนำมาล้างทำความสะอาด แล้วบด ปั่น หรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ

            • ผลิตภัณฑ์จากนม

            อาหารที่ทำจาก นมพาสเจอร์ไรส์ เช่น โยเกิร์ต ชีส อาจเหมาะสำหรับลูกวัยตั้งแต่ 6 เดือน ขึ้นไป ทั้งนี้ควรผสมกับอาหารชนิดอื่น ๆ ไม่ควรให้ทานเป็นอาหารมื้อหลักเพียงอย่างเดียว จนกว่าทารกจะอายุ 1 ขวบ

            อย่างไรก็ดี ไม่ควรให้ทารกทาน นมเปรี้ยว เพราะเป็นนมที่หมักด้วยแลคโตแบคทีเรียบาซิลลัส (Lactobacillus) ที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องระบบขับถ่าย การย่อยอาหาร แต่ก็อาจทำให้ลูกปวดท้อง ท้องร่วง หรือท้องผูกอย่างรุนแรงได้

            มื้อแรกที่เริ่มฝึกให้ทารกทานอาหารแข็ง หรืออาหารเสริม ควรให้ปริมาณเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ทารกคุ้นชินกับอาหาร

            ในวัยนี้สามารถให้ทารกเริ่มดื่มน้ำเปล่าได้แล้ว แต่ทั้งนี้ไม่ควรให้เกินวันละ 120-180 มิลลิลิตร เพราะอาจทำให้ทารกอิ่มจนไม่ดื่มนม

            การนอน

            ทารกนอนวันละประมาณ 14-15 ชั่วโมง โดยนอนตอนกลางคืน 10-11 ชั่วโมง และนอนกลางวันรวมทั้งหมดประมาณ 3-4 ชั่วโมง ประมาณ 2-3 ครั้ง

            การใช้กล้ามเนื้อ

            • ทารกสามารถดันตัวเองขึ้นนั่งได้ โดยใช้มือและหัวเข่า แต่ยังคงต้องระวังทารกล้มขณะนั่งได้
            • สามารถโยกตัวไปมาขณะนั่งได้
            • พลิกตัวไปมาขณะนอนคว่ำและนอนหงายได้ ทารกบางคนสามารถกลิ้งไปรอบๆได้
            • การหยิบจับสิ่งของทำได้ดีขึ้น โดยอาจใช้มือหรือนิ้วดึงสิ่งของเข้ามาหาตัว นอกจากนี้ยังถือสิ่งของและย้ายไปยังมืออีกข้างได้

            การมองเห็น

            ระยะในการมองเห็นมีการพัฒนาขึ้น โดยทารกสามารถมองพ่อแม่ที่อยู่คนละห้องได้ และยังสามารถมองของที่อยู่ใกล้ได้ เช่น ของบนพื้น

            สีตาอาจเปลี่ยนจากตอนแรกคลอด โดยทารกที่มีสีตาอ่อนอาจมีการเปลี่ยนสีหลายครั้ง อาจใช้เวลาประมาณ 6 เดือนสีตาจึงจะคงที่

            การสื่อสาร

            ทารกอาจยิ้ม หัวเหราะ หรือส่งเสียงสั้นๆได้ ทั้งยังเริ่มจำผู้คนและสิ่งของรอบตัวได้ จึงอาจทำให้ทารกมีท่าทางหวาดกลัวเมื่ออยู่กับคนแปลกหน้า หรือเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆ และร้องไห้เมื่อรู้สึกกลัว

            พัฒนาการทารก 6 เดือน จะมีการพัฒนาด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น ตามบทความที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้นำเสนอนี้ คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองควรสังเกตการเปลี่ยนแปลง เพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อย ให้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์และแข็งแรง

            ตารางวัคซีน สำหรับเด็กแรกเกิด–อายุ 15 ปี ประจำปี 2565

            เข้าใจ “เดอะวันเดอร์วีค” รับมือลูกงอแงแบบไม่มีสาเหตุ!

            ถอดรหัส 18 ภาษาทารก ลูกร้องแบบนี้..แปลว่าอะไรนะ?

            หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

             

            ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com, https://hellokhunmor.com

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            Amarin Baby & Kids

              ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

              เช็ค 6 อาการ ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

              เช็ค 6 อาการ ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

              โรคมือ เท้า ปาก เป็นอีกโรคที่เมื่อเปิดเทอมทีไร ก็มักจะระบาด จนหลายโรงเรียนมีเด็ก ๆ ติดกันแทบยกห้องเรียน จนต้องประกาศหยุดโรงเรียนเพื่อทำความสะอาดอยู่หลายครั้ง ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอชวนคุณพ่อคุณแม่มาสังเกตดูว่าลูกเรามี 6 อาการที่เสียง ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียนหรือไม่ค่ะ

              สาเหตุของโรคมือ เท้า ปาก

              โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ซึ่งมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคที่พบได้บ่อย เช่น คอกซากีไวรัส เอ16 (coxsackievirus A16) และเอนเทอโรไวรัส 71 (enterovirus 71) กลุ่มเสี่ยงที่พบบ่อยคือ เด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งมักมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็กโต สำหรับผู้ใหญ่พบโรคนี้ได้บ้างค่ะ

              6 อาการติดโรคมือ เท้า ปาก

              โรคมือเท้าปากมีระยะฟักตัว 3-6 วัน โดยหลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการแสดง ดังนี้

              1. มีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียส
              2. ไอ เจ็บคอ
              3. ไม่อยากอาหาร
              4. ปวดท้อง
              5. อ่อนเพลีย
              6. มีตุ่มพอง ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และภายในปาก

              โดยอาการจะเริ่มจากมีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียสก่อน จากนั้นจึงมีอาการอื่น ๆ ตามมาภายใน 1-2 วัน ได้แก่ ไอ เจ็บคอ ไม่อยากอาหาร อ่อนเพลีย และจะเริ่มมีตุ่ม ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และบริเวณปากทั้งภายนอกและภายใน

              ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน
              เช็ค 6 อาการ ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

              โรคมือ เท้า ปาก ตุ่มพองจะขึ้น

              ตุ่มพอง ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่เกิดขึ้นภายในปาก อาจเกิดได้ทั้งบริเวณปากด้านนอกและด้านใน บนริมฝีปาก ในลำคอ บนลิ้น หรือกระพุ้งแก้มด้านใน ตุ่มแผลเหล่านี้จะทำให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลืนน้ำดื่มหรืออาหาร และตุ่มพองน้ำกับผื่นเป็นจุด ๆ จะเกิดขึ้นบนผิวหนังบริเวณนิ้วมือ ฝ่ามือ หลังมือ ฝ่าเท้าและบางครั้งก็พบที่บริเวณก้นและขาหนีบด้วยเช่นกัน

              ตุ่มและแผลที่เกิดขึ้น มีลักษณะคล้ายเป็นอีสุกอีใส แต่มีขนาดเล็กกว่า บางครั้งทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง และไม่สบายตัว แต่หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายใด อาการป่วยจะทุเลาลงและหายไปภายในระยะเวลาประมาณ 10 วัน

              ภาวะแทรกซ้อน

              ส่วนใหญ่มักจะหายได้เองภายใน 5-7 วัน แต่ขณะเดียวกันคือ ภาวะแทรกซ้อนก็พบได้ อันที่รุนแรงที่สุด เราเรียกว่าเป็นก้านสมองอักเสบ ซึ่งพบได้น้อยมาก ๆ 1-5 รายต่อปี มีโอกาสเสียชีวิตที่สูง

              พ่อแม่ต้องสังเกตให้ดีว่าเด็กมีอาการที่น่ากังวลไหม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลูกมีอาการซึมลง หายใจหอบ หายใจเร็ว มีอาการชัก เกร็ง หมดสติ หรือมือสั่น ขาสั่น เดินเซ ถ้ามีอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรจะต้องรีบพากลับมาพบแพทย์

              การรักษาโรคมือ เท้า ปาก

              ในปัจจุบัน โรคมือเท้าปากยังไม่มีการรักษาโดยตรง แต่เป็นการรักษาอาการทั่ว ๆ ไปตามแต่อาการที่เกิดขึ้น เช่น

              • เจ็บคอมาก รับประทานอะไรไม่ได้ เด็กดูเพลียจากการขาดอาหารและน้ำ ก็จะให้พยายามป้อนน้ำ นมและอาหารอ่อน
              • หากเด็กเพลียมาก อาจให้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล และให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ร่วมกับให้ยาลดไข้แก้ปวด และ/หรือหยอดยาชาในปาก เพื่อลดอาการเจ็บแผลในปาก
              • เฝ้าระวังสังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อนทางสมองและหัวใจ เป็นต้น

              การคัดกรองโรค

              กรมวบคุมโรคได้เน้นให้ตามโรงเรียน สังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ดังนี้

              1. คัดกรองเด็กก่อนเข้าเรียนทุกเช้าอย่างเคร่งครัด
              2. ให้เด็กสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย เพื่อลดการสัมผัส ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
              3. หมั่นทำความสะอาดของใช้ ของเล่นและพื้นที่ที่เด็กใช้ร่วมกันเป็นประจำ
              4. สอนให้เด็กล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ ทั้งก่อน และหลังรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังเล่นของเล่น
              5. จัดให้มีพื้นที่ในการเข้าแถวทำกิจกรรม หรือเล่นเป็นกลุ่มย่อย จำนวน 5-6 คน มีการเว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1-2 เมตร
              6. หากเด็กไม่สบาย หรือมีไข้ก่อนมาเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรพาไปพบแพทย์และให้พักอยู่บ้าน
              7. หากโรงเรียนพบเด็กป่วย ให้แยกออกจากเด็กปกติ และแจ้งให้คุณพ่อคุณแม่รับกลับบ้าน เพื่อพาไปพบแพทย์โดยเร็ว พร้อมทั้งให้เด็กหยุดเรียนจนกว่าจะหาย แยกของใช้ส่วนตัวของเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับเด็กคนอื่น งดไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด

               

              ขอบคุณข้อมูลจาก
              กรมควบคุมโรคโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. pobpad

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              กรมอนามัยเตือน! ปล่อยลูก ฟันผุ เสี่ยงเด็กแคระแกร็น!!

              ลูกแขนขาอ่อนแรงอย่ามองข้าม! อาจป่วย ไขสันหลังอักเสบเฉียบพลัน!

              Propoliz Kid เมาท์สเปรย์ที่คุณหมอแนะนำ ซีซั่นนี้…ลูกแม่ต้องรอด

                ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                พ่อแม่ต้องทำอย่างไร เมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                พ่อแม่ต้องทำอย่างไร เมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบได้ตลอดปี เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ต้นเหตุคือไวรัสที่มีชื่อว่า “อินฟลูเอนซา” (Influenza virus) ที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะ และติดต่อผ่านการไอ จาม หรือหายใจรดกัน ดังนั้นจึงติดกันง่ายมากแน่นอน หากมีเด็กป่วยไปโรงเรียนแล้วลูกเราอยู่ใกล้ชิด แล้วพ่อแม่ต้องทำอย่างไรเมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                รู้จักเชื้อไข้หวัดใหญ่

                เชื้อไข้หวัดใหญ่มี 3 ชนิดใหญ่ๆ เรียกว่า ชนิด A, B และ C โดยแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อยๆ อีกมาก โดยการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากพันธุ์ย่อยเพียงพันธุ์เดียว เมื่อเป็นสายพันธุ์ไหนแล้วร่างกายจะมีภูมิต้านทานต่อสายพันธุ์นั้น จึงสามารถติดเชื้อสายพันธุ์ที่ไม่เคยเป็นได้ มีระยะฟักตัว 1-4 วัน

                เชื้อไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่ และการระบาดแต่ละครั้งจะตั้งชื่อตามแห่งต้นกำเนิด เช่น ไข้หวัดฮ่องกง, ไข้หวัดรัสเซีย, ไข้หวัดสิงคโปร์ และไข้หวัดใหญ่ A H1N1 2009 เป็นต้น

                อาการเมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                • มีไข้สูงเกิดขึ้นทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่อ อาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บในคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอแห้ง ๆ จุกแน่นท้อง แต่เด็กบางคนก็อาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้
                • ไข้สูงกว่าหวัดธรรมดา ประมาณ 38.5-40 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-4 วัน แล้วค่อยๆ ลดลง
                • ไอ และอ่อนเพลีย อาจจะเป็นอยู่ 1- 4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่นๆ จะทุเลา แล้วก็ตาม
                • หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีน้ำมูกใส คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลย (ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บคอ) ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่นๆ
                ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน
                พ่อแม่ต้องทำอย่างไร เมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                พ่อแม่ต้องทำอย่างนี้เมื่อ ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                • คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูก คล้ายกับการดูแลเมื่อลูกเป็นไข้หวัด คือ ให้ลูกนอนพักผ่อนมาก ๆ ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง กินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม และโจ๊ก รวมทั้งให้ลูกดื่มน้ำเปล่า น้ำหวานหรือน้ำผลไม้มาก ๆ
                • พ่อแม่สามารถให้ยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้แก้ปวด ยาแก้ไอ ยาแก้หวัด เป็นต้น ทั้งนี้ ในเด็กควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน
                • หากพาไปพบแพทย์ แพทย์จะให้กินยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะพิจารณาการรักษาเป็นราย ๆ ไป
                • หากลูกมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย อาจจะต้อง ได้รับยาปฏิชีวนะ โดยจะมีอาการน้ำมูกหรือเสมหะสีเหลืองหรือเขียว, ไซนัสอักเสบ, หูชั้นกลางอักเสบ, หลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบ เป็นต้น
                • สังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ เช่น ไข้สูง ซึม หายใจหอบเหนื่อย ผิดปกติ หรือในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง/โรคเรื้อรัง/เด็กเล็กน้อยกว่า 2 ปี ควรดูแลสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

                ป้องกันไข้หวัดใหญ่ในเด็กอย่างไร

                เด็ก ๆ ทั่วไปที่ร่างกายแข็งแรงดี ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัดทั่วไป โดย

                • ให้ล้างมือบ่อยๆ
                • ออกกำลังกายเป็นประจำ
                • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
                • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือคลุกคลีกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
                • สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยปิดปาก/จมูก เมื่อออกนอกบ้าน
                • ไม่พยายามเอามือขยี้ตา แคะจมูกหรือเอามือเข้าปาก
                • ควรพาบุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี

                ใครควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

                • เด็กอายุ 6-23 เดือน และผู้ที่ใกล้ชิดกับบุคคลที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่
                • ผู้ใหญ่อายุ 55 ปีขึ้นไป
                • เด็กอายุ 6-18 ปี ที่มีโรคเบาหวาน, โรคไต, โรคเลือด, ภูมิคุ้มกันเสื่อม หรือต้องรักษาด้วยยาแอสไพริน เป็นประจำนานๆ
                • ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดเรื้อรัง, หอบหืด, โรคหัวใจ, โรคไต, เบาหวาน, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตนเองไม่ได้, ผู้ที่อ้วนมาก
                • ผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำในปีที่ผ่านมา
                • ผู้ป่วยที่เคยเป็นปอดอักเสบมาก่อน
                • บุคคลากรทางการแพทย์, เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ, เจ้าหน้าที่ในสถานเลี้ยงเด็ก, สถานบริบาลคนชรา, สถานบำบัดผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
                • หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 3 ของครรภ์
                • นักทัศนาจร ที่จะเดินทางไปต่างถิ่นที่อาจมีการระบาด

                ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดย ภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นสูงสุดหลังฉีดวัคซีนประมาณ 2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี สามารถป้องกันสูงสุดที่ 6-8 เดือนแรก จากนั้นภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดลง

                คนที่ห้ามฉีดวัคซีน

                • เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน
                • ผู้มีประวัติแพ้ไข่ไก่ชนิดรุนแรง ถ้าแพ้แบบไม่รุนแรง เช่น เป็นผื่นสามารถฉีดวัคซีนได้ แต่ต้องเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 30 นาที หลังฉีด
                • ผู้ที่เจ็บป่วยเฉียบพลัน
                • มีไข้สูง แต่ถ้าป่วยด้วยโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน
                • ผู้ที่มีปฏิกิริยาแทรกซ้อนที่รุนแรง หลังได้รับวัคซีนครั้งที่ผ่านมา

                คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักในเรื่องการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับลูกน้อยเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป และคนที่อยู่ใกล้ชิดเด็ก เพราะการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถช่วยปกป้องคนที่คุณรักและตัวคุณเองได้

                ขอบคุณข้อมูลจาก

                โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลสมิติเวช

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                เช็กเลย! อาการ โอมิครอน ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ต่างกันอย่างไร

                ไข้หวัดใหญ่ VSโควิด19กับวัคซีนป้องกันในสถานการณ์ปัจจุบัน

                สปสช. ให้ 7 กลุ่มเสี่ยง วอล์กอินฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี

                  Tags

                  คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว เพิ่มกำลังใจ

                  30 คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว สุดสตรอง พร้อมลุกขึ้นสู้ใหม่เพื่อลูก

                  คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว ข้อคิดเสริมใจ มาร่วมส่งแรงใจ ให้ single mom ทุกคนเข้มแข็ง พร้อมลุกขึ้นสู้กับชีวิต เพื่อลูก! แม้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่เชื่อเถอะคุณทำได้

                  30 คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว สุดสตรอง พร้อมลุกขึ้นสู้ใหม่เพื่อลูก!!

                  การเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว คงไม่มีใครคาดคิดมาล่วงหน้า คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมือใหม่ อาจจะยังทำใจกับความเจ็บปวดยังไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดที่เราจะรู้สึกแย่ ในช่วงเวลาแรก ๆ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวมากมายที่ใจสตรองแล้ว คงสามารถเห็นได้ว่า ความสุขนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวเลย การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมิได้แย่อย่างที่คิด ดังนั้น หากคุณแม่กำลังดำดิ่งกับความรู้สึกแย่ ขออย่ารู้สึกแย่นานเกินไป รีบทำใจ และหันมามองลูกน้อย ที่กำลังจ้องมองคุณด้วยดวงตาใสแป๋ว พร้อมความเป็นห่วงในแบบเด็ก ๆ เผื่อคุณจะพอเรียกสติกลับคืนมาได้

                  แต่หากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวท่านใดยังต้องการพลังใจอีก เราลองมาอ่าน คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว เพื่อเพิ่ม เสริม สร้าง ความรู้สึกดี ๆ และกำลังใจจากพลังความคิดแง่บวกกันดูสักทีจะดีไหม

                  แม่เลี้ยงเดี่ยว ให้กำลังใจตัวเองจาก คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว
                  แม่เลี้ยงเดี่ยว ให้กำลังใจตัวเองจาก คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว

                  30 คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว ได้ข้อคิดปรับความคิดให้สตรอง!!

                  1. หากเหตุผลดี ๆ ไม่ช่วยรั้งใคร จงเปลี่ยนใหม่ เลือกทำตาม “ความรู้สึกของตนเอง”
                  2. จุดจบของความรัก อาจเป็น จุดเริ่มต้น ของอะไรที่ดีกว่าเก่า
                  3. หนึ่งในความภูมิใจของแม่ คือ เอาชนะคำดูถูกของคนอื่น ด้วยการเลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จในชีวิต
                  4. คนรักแย่ ๆ ก็เหมือนกระดาษทราย ที่ขัดเกลาให้เราสวยขึ้น ในขณะที่เขากลายเป็นกระดาษที่ยับเยิน และไม่มีค่าอีกต่อไป
                  5. ยิ้มที่มอบความสุข และเยียวยาจิตใจแม่ได้ดีที่สุด คือยิ้มของลูก
                  6. อย่าเสียดาย คนห่วย ๆ ที่เดินจากไป แต่จงเสียดายวันเวลาที่มีค่า ที่เราสูญเสียไป
                  7. จงอย่ากลัวกับความเปลี่ยนแปลง เพราะทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนไป ไม่เว้นแม้แต่ใจคน
                  8. แม่ทำทุกอย่าง เพราะอยากเห็นลูกมีความสุข แล้วเราจะมานั่งทุกข์เพราะคนอื่นทำไม
                  9. ชีวิตไม่ได้แย่ แค่บางครั้งมันถึง “จุดเปลี่ยน” ให้เจอชีวิตใหม่ที่ดีกว่า
                  10. สิ่งที่ได้เรียนรู้จากวันนี้ คือ เราสามารถยิ้ม และมีความสุขได้ทุกวัน โดยไม่ต้องพยายามรั้งบางสิ่งที่เคยคิดว่า “จำเป็นต้องมี”
                  11. ครอบครัวอบอุ่นไม่ได้วัดกันที่จำนวนคน แต่วัดกันที่ความเข้าใจ
                  12. คืนที่ท้องฟ้ามืดมิด เราจะมองเห็นดาวได้ชัดที่สุด เช่นเดียวกับวันใดที่ทุกข์ที่สุด จะเห็นว่าใครรักเราที่สุด
                  13. แม่อาจจะกอดตัวลูกได้แค่ไม่กี่ปี แต่สัญญาว่าจะกอดหัวใจบริสุทธิ์ดวงนี้ไว้ตลอดกาล
                  14. วันใดที่รู้สึกแย่ ยังมีคนที่ไม่ทิ้งเราแน่ ๆ คือ พ่อแม่เรา
                  15. ภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงที่สุดของลูก คือ ความรักจากแม่
                  16. เหน็ดเหนื่อยท้อแท้กับงาน ให้คิดไว้เสมว่า กลับบ้าน ยังมีลูกรักรออยู่
                  17. รักเดียวที่ฉันเชื่อ คือ รักของแม่ที่มีต่อลูก
                  18. งานหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ลูกเป็นเด็กให้แม่กอดได้ไม่นาน จงให้เวลากับลูกรัก เพื่อรักษาความสุขให้อยู่กับคุณและลูกทั้งชีวิต
                  19. การอโหสิกรรม ไม่ได้อยากทำให้คนที่ทำเราเจ็บปวดรู้สึกดี แต่ทำเพื่อให้โอกาสตัวเราเอง ได้มีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่
                  20. ไม่มีใครทำให้เราแย่ได้เท่ากับใจเราเอง

                    คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว เพิ่มกำลังใจ
                    คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว เพิ่มกำลังใจ
                  21. จงอย่าเสียเวลาแม้เสี้ยววินาที ไปกับคนที่ไม่เห็นค่าของเรา
                  22. จงอย่าทำให้ตัวเองถูกกระทำเหมือนของไม่มีค่า กับคนที่เราเคยให้คุณค่ามาตลอดทั้งชีวิต
                  23. ไม่เสียใจเลยที่มีเขาออกมา มันเป็นสิ่งเดียวบนโลกใบนี้ที่ทำให้เรารู้สึกว่า เรามีค่า
                  24. สิ่งที่แย่ที่สุด มันไม่ได้แย่ที่สุด เพราะคุณจะพบสิ่งที่ดีที่สุดในวันต่อ ๆ ไป
                  25. ผู้หญิงมักจะมีความเข้มแข็งในตัวเอง โดยที่เราไม่คิดว่าจะเข้มแข็งได้มากขนาดนี้
                  26. เลี้ยงเดี่ยวไม่เห็นต้องอาย เพราะที่ต้องอายคือควายที่ทิ้งไปมากกว่า
                  27. ชีวิตก็เหมือน “ล็อตเตอรี่” ต่อให้เลือกซะดิบดี ก็ใช่ว่าที่มีมันจะถูกเสมอไป!!
                  28. ไม่มีเงินเรียก “หมดตัว” ไม่มีผัว (เลว) เรียก “หมดเวรหมดกรรม”
                  29. กำลังใจที่ดีที่สุด คือการให้กำลังใจตัวเอง และก้าวต่อไปด้วยรอยยิ้มของลูก
                  30. ให้กำลังใจคนอื่นมามากมาย แต่อย่าลืมให้กำลังใจตัวเอง ลุกขึ้น แต่งหน้า ปาดน้ำตาแล้วไป!!

                  เคล็ดลับช่วยให้ ก้าวข้ามผ่านความผิดหวัง สร้างพลังให้ตนเอง!!

                  พักใจก่อน

                  พักใจ หยุดคิดในแง่ลบ หรือคิดเรื่องที่ทำร้ายตนเอง เช่น เราไม่ดีพอเขาเลยทิ้งเราไป ทำไมเราทำตัวไม่ได้เรื่อง เป็นต้น เพราะเรื่องเหล่านี้นอกจากจะบั่นทอนกำลังใจเราแล้ว ยังไม่ก่ให้เกิดผลดีอีกด้วย เลิกโทษตัวเอง หรือว่าตัวเองก่อน บ่อยครั้งที่เราผิดหวัง หรือทำอะไรพลาด ธรรมชาติของมนุษย์ชอบหาเหตุผลว่า “ทำไม”

                  ยิ้มสู้ มองโลกแง่ดี เพื่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีความสุข
                  ยิ้มสู้ มองโลกแง่ดี เพื่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีความสุข

                  เวลาที่คน ๆ หนึ่งถูกบอกเลิกจากอีกคนหนึ่ง ฝ่ายที่อยากบอกเลิกมักจะคอยหาเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อมาบอกเลิก เพราะจิตใต้สำนึกรู้สึกว่าตัวเองทำผิด จึงพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนเพื่อลบล้างความผิดของตนให้เบาลง บ่อยครั้งเหตุผลเหล่านั้นคือการโทษอีกฝ่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บปวดพอสมควร เพราะนอกจากฝ่ายที่ถูกบอกเลิกจะเสียใจที่คนรักทิ้งไปแล้ว ยังรู้สึกอีกว่า “ฉันไม่ดีพอ เขาถึงทิ้งฉันไป” อีกด้วย ความรู้สึกของคนถูกทิ้งบางทีเจ็บไม่นาน แต่ความรู้สึกว่า”ฉันไม่ดี” อันนี้เจ็บนานกว่า

                  เรามาฝึกให้มีภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้ดีพอกันดีกว่า เพื่อที่จะก้าวข้าวผ่านมันไปได้ บ่อยครั้งที่อีกฝ่ายพูดกับเราแค่ครั้งเดียว แต่ที่เหลือเป็นความคิดเราเองที่คิดซ้ำ ๆ เรื่องเดิม ๆ เท่ากับว่าคนที่ทำร้ายตัวเราเองไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นความคิดของเราเอง จงหยุดคิดที่โทษตัวเองก่อน พักใจก่อน ดึงสติกลับมา หยุดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ เพราะคนที่คิดมาก และเครียดมักชอบหมกมุ่นกับความคิดในอดีต และอนาคตมากกว่าปัจจุบัน

                  ตั้งสติ ดึงเหตุผลมาใช้มากกว่าอารมณ์

                  นำความผิดพลาดมาไตร่ตรองดูว่า เราจะพัฒนาตัวเราเองได้อย่างไรบ้างจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่ใช่หาความไม่ดีเพื่อโทษตัวเอง แต่เป็นการพัฒนาปรับปรุงเพื่อให้เราจะได้กลายเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเราคนเมื่อวาน ตัวอย่างเช่น โทมัส อัลวา เอดิสัน ผู้ซึ่งพัฒนาหลอดไฟให้เราได้ใช้กันในปัจจุบัน เขาถูกคนเรียกว่าเป็นเด็กหัวขี้เลื่อยจนต้องออกจากโรงเรียน และยังโดนทำร้ายร่างกายจนหูหนวก โดนไล่ออกจากงาน กว่าเขาจะประสบความสำเร็จ และสร้างสิ่งประดิษฐ์กว่าพันชิ้น เขาต้องผ่านปัญหาและอุปสรรคมาอย่างโชกโชน แต่เขาก็ไม่ย่อท้อยังคงสู้ต่อและทิ้งสิ่งดีดีไว้ให้คนรุ่นหลังต่อไป

                  แม่เลี้ยงเดี่ยว ก็เฟี้ยวได้ กำลังใจจากเจ้าตัวน้อย
                  แม่เลี้ยงเดี่ยว ก็เฟี้ยวได้ กำลังใจจากเจ้าตัวน้อย

                  อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

                  ข้อนี้สำคัญมาก เพราะจะทำให้เราหมดกำลังใจ แถมยังเป็นการทำร้ายตัวเอง เพราะเรามักคิดว่าทำไมต้องเป็นเราที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วเพื่อน หรือคนที่คุณนำมาเปรียบนั้น อาจจะมีปัญหาที่เขาต้องแก้ไข และเผชิญอยู่เช่นกัน แต่เขาไม่กลัวกับปัญหา และอุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามา เพียงแต่เขาอาจจะรู้ว่าต้องแก้ไขอย่างไรทำให้ไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา สิ่งที่เราเจอไม่ใช่ “ความโชคร้าย” แต่เป็น “วัคซีน” ที่คอยกระตุ้นเราให้มีภูมิคุ้มกันต่อปัญหาที่จะเข้ามาอีกเรื่อย ๆ เรียกว่า โชคดีที่โชคร้ายนั่นเอง

                  บางทีหากคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวลองมองดู ก็จะพบว่าความที่เราเลี้ยงลูกมาคนเดียวนั้น สิ่งที่เราได้มากกว่านั่นคือ ความรัก ความภูมิใจ และอ้อมกอดของลูกที่มีให้เราเพียงคนเดียว

                  หาสิ่งที่ทำให้คิดแง่บวกเข้าไว้

                  เพราะความคิดในแง่ลบนอกจากจะบั่นทอนจิตใจแล้ว ยังไม่ทำให้อะไรดีขึ้นอีกด้วย ตรงกันข้ามกับความคิดในแง่บวก หากจิตใจเราดีแล้ว กายเราก็จะดีตามไปด้วย การหาสิ่งที่ทำให้คิดบวก การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เราสุขใจ คิดบวก ก็เป็นสิ่งจำเป็น เช่น การได้อ่านข้อคิดดี ๆ คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่โดน ๆ ก็ช่วยให้เรามองเห็นแง่คิดในหลาย ๆ มุม และสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของตัวเราเองได้

                  เรียนรู้จากบุคคลอื่น จากประสบการณ์ของเขาที่ผ่านมา

                  หากคุณแม่ยังคงไม่มีกำลังใจ ไม่มีแรงที่จะยอมรับความเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ให้เราเรียนรู้จากบุคคลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง หรือบุคคลใกล้ ๆ ตัวก็ได้ ว่าเขาเรียนรู้ที่จะผ่านปัญหาไปได้อย่างไร โดยคุณแม่อาจลองเข้ากลุ่มแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีการรวมตัวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ให้กำลังใจกัน หรือช่วยแบ่งเบากันและกันภายในกลุ่ม ซึ่งปัจจุบันมีการรวมตัวกันในโลกออนไลน์หลายกลุ่ม การได้กำลังใจจากคนรอบข้างก็สำคัญทั้งคนที่เรารู้จัก และไม่รู้จัก

                  หากำลังใจจากคนรู้จัก และไม่รู้จัก เพื่อสู้ต่อไป
                  หากำลังใจจากคนรู้จัก และไม่รู้จัก เพื่อสู้ต่อไป

                  การเลี้ยงลูกโดยปกติก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาเลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว ยิ่งยากมากขึ้นไปอีก

                  หมอมีเคสที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวพาลูกๆ มาปรึกษา
                  ในวันที่ตั้งใจดูแลลูกเต็มที่ พยายามทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อแม่ให้ลูก ความเครียดและเหนื่อยที่มากขึ้น อาจเป็นสองเท่าหรือมากกว่า ชวนให้รู้สึกท้อแท้ใจได้บ่อยๆ
                  .
                  อย่าลืมว่าก่อนที่จะไปดูแลใคร สำคัญที่สุดเราต้องดูแลตัวเองให้โอเคก่อน
                  แม่เลี้ยงเดี่ยวก็เหนื่อยได้ ท้อแท้ได้ และพักได้ ต้องหาตัวช่วยบ้างในเวลาที่จำเป็น
                  แน่นอนแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคนเป็นมนุษย์ธรรมดา การทำผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ทำความเข้าใจ ยอมรับ แล้วให้ความผิดพลาดนั้นเป็นประสบการณ์
                  ชื่นชม และ ให้อภัยตัวเองได้อย่างเหมาะสม
                  .
                  ในการที่เป็นแม่(หรือพ่อ)เลี้ยงเดี่ยว แม้เสียบางสิ่งไปก็มีบางอย่างที่ได้มา
                  นั่นก็คือ ความภูมิใจ ความรัก และอ้อมกอดของลูก คืนกลับมาร้อยเท่าพันทวี
                  ขอเป็นกำลังใจให้พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกคนค่ะ
                  ที่มา : ข้อความบางส่วนจากเพจ เข็นเด็กขึ้นภูเขา #ผ่านไปอย่างไรในวันที่เลี้ยงลูกคนเดียว
                  ข้อมูลอ้างอิงจาก investwallet.money/today.line.me/www.rama.mahidol.ac.th

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  3 ข้อท่องไว้ ใช้รับมือเมื่อ ลูกชอบโยนของเวลาโกรธ !!

                  13 เทคนิค สร้างสมดุลชีวิต งานก็ไม่เสีย ครอบครัวก็แฮปปี้!

                  ฝึกสมาธิ ให้ลูกได้ตั้งแต่วัยอนุบาลง๊าย..ง่ายแค่ 4 ขั้นตอน!

                  10 เทคนิค สอนการบ้านลูก ให้สำเร็จ แบบไม่เสียน้ำตา

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    มดลูกโต

                    เช็กอาการ มดลูกโต สังเกตได้จากอะไร? รู้เร็วไม่ต้องผ่า!

                    มดลูกโต คุณรู้จักโรคนี้มากแค่ไหน สิ่งสำคัญที่ผู้หญิงควรรู้ อาการแบบไหนที่อยู่ภาวะเสี่ยงโรค สาเหตุ การรักษาเป็นแบบใด หากรู้เร็วไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องผ่า!!

                    เช็กอาการ มดลูกโต สังเกตได้จากอะไร? รู้เร็วไม่ต้องผ่า!

                    โรคที่เกี่ยวกับอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงนั้น มีหลายโรคที่ทำให้ผู้หญิงอย่างเราต้องคอยเฝ้าระวัง ไม่ว่าจะเป็น โรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก  เนื้องงอกในมดลูก และมดลูกโต เป็นต้น ซึ่งโรคต่าง ๆ เหล่านี้มักมีอาการสัญญาณเตือน อาการเจ็บป่วยมาก่อนล่วงหน้า ให้เราได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ แต่ที่น่ากังวลใจนั่นคือ มดลูกโต แม้ไม่มีอาการแสดงผู้หญิงก็มีโอกาสเป็นได้

                    มดลูกโต อาจไม่มีอาการใด ๆ เตือน
                    มดลูกโต อาจไม่มีอาการใด ๆ เตือน

                    รู้จัก มดลูกโต คืออะไร??

                    มดลูกโต คือ ภาวะที่มดลูกขยายตัวมากกว่าปกติ โดยอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การตั้งครรภ์ เนื้องอกในมดลูก โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น เมื่อเกิดภาวะนี้ขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายตัว หรือรู้สึกหนักบริเวณช่องท้องส่วนล่าง ปกติแล้วภาวะมดลูกโตไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่หากมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น มีเลือดออกบริเวณช่องคลอด มีอาการปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน เป็นต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้

                    สาเหตุของมดลูกโต

                    ภาวะมดลูกโตเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางอย่างก็ไม่ใช่สาเหตุอันตราย อย่างการตั้งครรภ์ที่จะทำให้มดลูกขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งปกติแล้วมดลูกจะมีขนาดประมาณเท่ากับลูกแอปเปิ้ล แต่เมื่อตั้งครรภ์อาจทำให้มดลูกขยายตัวจนมีขนาดเท่ากับลูกแตงโมได้ โดยมดลูกจะหดตัวกลับสู่สภาพเดิมหลังคลอดประมาณ 1 เดือน

                    อ่านต่อ⇒⇒ เทคนิคลดน้ำหนักหลังคลอดฉบับญี่ปุ่น เห็นผลใน 5 วัน

                    อย่าวางใจ หากมดลูกโตเพราะสาเหตุเหล่านี้ อันตราย!!

                    มดลูกโต นอกจากภาวะที่เกิดจากสาเหตุที่ไม่อันตรายแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนี้

                    • เกิดจากการมีเนื้องอกในมดลูก อาจมีเนื้องอกเจริญเติบโตขึ้นได้ทั้งด้านใน และด้านนอกของผนังมดลูก ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะนี้ยังไม่ปรากฏแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากปัจจัยบางอย่าง เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน กรรมพันธุ์ และความอ้วน เป็นต้น โดยเนื้องอกในมดลูกเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งของภาวะมดลูกโต ซึ่งส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป
                    • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่  เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่พบ โรคมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Adenomyosis) คือ การที่เนื้อเยื่อในโพรงมดลูกเจริญหรือแทรกซึมเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูก ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกเกิดภาวะอักเสบเรื้อรังจนเกิดพังผืดในชั้นกล้ามเนื้อมดลูก สุดท้ายมดลูกเกิดการขยายตัวและหนาขึ้น เกิดภาวะมดลูกโต ทำให้เกิดอาการประจำเดือนมามากผิดปกติ และอาการต่าง ๆ ที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล  โดยสาเหตุนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดภาวะนี้ คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีน้อยลงในผู้หญิงอายุมากกว่า 30 ปี หรือผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน อีกทั้งผู้หญิงที่เคยผ่านการผ่าคลอดก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะนี้เช่นเดียวกัน
                    • มะเร็งในระบบสืบพันธุ์ โรคมะเร็งที่เกิดในบริเวณระบบสืบพันธุ์อย่างมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก อาจเป็นสาเหตุของภาวะมดลูกโตได้ โดยขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้อร้าย และขนาดของมดลูกด้วย

                      ประจำเดือนมามากผิดปกติ เสี่ยง มดลูกโต
                      ประจำเดือนมามากผิดปกติ เสี่ยง มดลูกโต

                    √√√เช็กอาการ! หากเข้าข่ายระวัง ภาวะมดลูกโต

                    แม้ว่าภาวะมดลูกโตอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่ยังมีสัญญาณเตือนบางอย่างที่ช่วยให้เราตั้งข้อสงสัยว่าอาจเกิดภาวะมดลูกโตได้เช่นกัน อาการของโรคนี้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล อาจมีอาการไม่ครบทุกสัญญาณเตือน แต่หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจละเอียด

                    • ประจำเดือนมามากกว่าปกติ
                    • ปวดท้องประจำเดือนมากผิดปกติ และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทนไม่ไหว
                    • มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่เท่าลูกปิงปองออกมาขณะมีประจำเดือน แต่ถ้าลิ่มเลือดมีขนาดเท่าเม็ดถั่วยังไม่ถือว่าผิดปกติ
                    • มีอาการคล้าย ๆ ตกเลือดขณะมีประจำเดือน คือ เมื่อขณะยืนในห้องน้ำแล้วเลือดไหลพรวดลงมาในปริมาณมาก
                    • ปวดเชิงกราน และช่องท้อง
                    • รู้สึกแน่น และหนักบริเวณช่องท้องส่วนล่าง
                    • เจ็บปวดมากขณะมีเพศสัมพันธ์

                    นอกจากนี้เมื่อมดลูกโตอาจส่งผลให้มีอาการท้องอืดหรือท้องผูก เพราะมดลูกโตจนเบียดลำไส้ ปัสสาวะบ่อยเพราะมดลูกเบียดกระเพาะปัสสาวะ อีกทั้งอาจมีอาการร่วมด้วยเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปวดหลัง ปวดกระดูกเชิงกราน ตะคริวบริเวณท้อง เลือดออกจากช่องคลอด รวมถึงมีบุตรยาก เพราะการตั้งครรภ์ไม่สมบูรณ์

                    ประจำเดือนปกติเป็นแบบไหน?

                    • ประจำเดือนมาไม่เกิน 80 ซีซีต่อวัน
                    • ประจำเดือนมามากเฉพาะช่วง 3 วันแรก
                    • ประจำเดือนมาไม่เกิน 7 วัน
                    • ลิ่มเลือดระหว่างมีประจำเดือนขนาดเท่าเม็ดถั่ว

                    ผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคมดลูกโตนั้นมักไม่ทราบอาการจนเมื่อเข้าสู่ระยะรุนแรง ดังนั้นการหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตนเองอยู่เสมอคือสิ่งสำคัญ และควรใส่ใจตรวจเช็กสุขภาพภายในกับสูติ-นรีแพทย์อย่างสม่ำเสมอ

                    การตรวจวินิจฉัยโรคมดลูกโต สามารถทำได้โดย

                    1. ซักประวัติโดยสูติ – นรีแพทย์อย่างละเอียด
                    2. สูติ – นรีแพทย์ตรวจภายใน
                    3. อัลตราซาวนด์ทางช่องคลอด หรือทวารหนักในกรณีที่ผู้ป่วยยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
                    4. ตรวจ MRI ช่องท้องส่วนล่าง (MRI Lower Abdomen) ในกรณีที่ต้องการยืนยัน และหรือประเมินความรุนแรงของโรคว่าเกิดพังผืดต่ออวัยวะข้างเคียงหรือไม่

                      การตั้งครรภ์ สาเหตุปกติของภาวะมดลูกโต
                      การตั้งครรภ์ สาเหตุปกติของภาวะมดลูกโต

                    รักษาอย่างไร?

                    การรักษาภาวะมดลูกโตขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการด้วย ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยวิธีการแตกต่างกันไป ดังนี้

                    มดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

                    ไม่ต้องผ่าตัด หากเราตรวจพบในระยะขั้นไม่รุนแรง ผู้ที่มีภาวะนี้ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องรักษา แต่อาจต้องใช้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด โดยแพทย์อาจให้ยาไอบูโพรเฟนเพื่อช่วยให้อาการอักเสบดีขึ้น และอาจให้ยาคุมกำเนิดหรือใช้ห่วงคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนผสมอยู่ เพื่อบรรเทาอาการปวด และช่วยให้เลือดไหลน้อยลง ทำให้เนื้องอกหยุดเจริญเติบโต แต่หากอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดมดลูกด้วย

                    มดลูกโตจากเนื้องอกในมดลูก

                    ไม่ผ่าตัด หากอยู่ในขั้นไม่รุนแรง สามารถรักษาเหมือนกับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้ การรักษาโดยการผ่าตัดนำเนื้องอกในมดลูกออกหากประเมินแล้วว่าจำเป็น ส่วนวิธีการผ่าตัดนั้นขึ้นอยู่กับขนาดของเนื้องอก และบริเวณที่เกิดเนื้องอก นอกจากนี้ อาจรักษาด้วยการอุดเส้นเลือด (Embolization) โดยแพทย์จะใช้ท่อขนาดเล็กสอดเข้าไปในมดลูก และปล่อยอนุภาคเพื่อตัดเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงเนื้องอก ซึ่งจะทำให้เนื้องอกมีขนาดเล็กลงได้

                    มดลูกโตจากโรคมะเร็ง

                    อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการฉายรังสีหรือรับยาเคมีบำบัด ในกรณีที่มีอาการรุนแรงหรือก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ อาจต้องใช้วิธีผ่าตัดนำก้อนเนื้อหรือนำมดลูกออกไป

                    หมั่นตรวจภายใน ป้องกันการเกิดภาวะมดลูกโต
                    หมั่นตรวจภายใน ป้องกันการเกิดภาวะมดลูกโต

                    ภาวะแทรกซ้อนของมดลูกโต

                    อาการมดลูกโตนั้นไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนหรือผลข้างเคียงใด ๆ ต่อร่างกาย แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดมดลูกโต อาจส่งผลให้เกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมาได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ดังนี้

                    • มีอาการปวด และไม่สบายตัว
                    • ท้องผูก เนื่องจากมดลูกโตจนไปเบียดลำไส้ และไส้ตรง
                    • ปัสสาวะบ่อย เนื่องจากมดลูกไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ
                    • มีปัญหาด้านการเจริญพันธุ์ หรือประสบภาวะมีบุตรยาก
                    • อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์

                    ป้องกันได้อย่างไร?

                    ภาวะมดลูกโตมักเป็นส่วนหนึ่งของโรคหรือภาวะอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดมดลูกโต ฉะนั้น การป้องกันภาวะมดลูกโตจึงอาจต้องป้องกันโรคหรือภาวะต่าง ๆ ที่เป็นต้นเหตุ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

                    • ลดน้ำหนัก เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดเนื้องอกในมดลูก
                    • ผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการรับมือเมื่อมีฮอร์โมนเอสโตรเจนลดน้อยลง
                    • ตรวจร่างกาย และตรวจภายในเป็นระยะสม่ำเสมอ
                    • เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เป็นสาเหตุในการเกิดมดลูกโต เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เป็นต้น

                    เป็นมดลูกโต สามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่?

                    มดลูกเป็นอวัยวะที่อยู่ในระบบสืบพันธุ์ของคุณผู้หญิง ดังนั้นหากมีภาวะที่ไม่เป็นปกติ ก็อาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้ การเป็นมดลูกโตแล้วจะตั้งครรภ์ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้มดลูกโต เช่น หากเป็นมดลูกโตจากเนื้องอก การจะดูว่าผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาที่ชนิด ขนาด ตำแหน่ง และจำนวนของเนื้องอกมดลูก

                    ถ้าเป็นมดลูกโตจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ นั้นสามารถตั้งครรภ์ได้ และการตั้งครรภ์จะทำให้อาการของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่สงบลง คือ อาการปวดท้องประจำเดือนจะหายไป แต่ในทางกลับกันตัวโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เองก็เป็นสาเหตุนึงของการมีบุตรยากฉะนั้นผู้ป่วยท่านใดที่มีภาวะดังกล่าวก็ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

                    มดลูก กับอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของผู้หญิง
                    มดลูก กับอวัยวะสืบพันธุ์ภายในของผู้หญิง

                    ถ้าเป็นมดลูกโตจากมะเร็งมาก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์แพทย์จะแนะนำให้ทำการรักษาตัวโรคมะเร็งให้หาย และสงบก่อน มะเร็งบางชนิดหลังจากที่โรคสงบแล้วจะสามารถตั้งครรภ์ได้แต่บางชนิดก็ไม่แนะนำให้ตั้งครรภ์ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญทั้งโรคมะเร็งเอง และแพทย์เวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ ก่อนการตัดสินใจตั้งครรภ์

                    อ่านต่อ ⇒⇒เป็นเนื้องอกมดลูก มีลูกได้ไหม?

                    มดลูกโต ควรกินอะไรบ้าง?

                    สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นมดลูกโตนั้น เป็นความผิดปกติของการทำงานของร่างกาย ดังนั้นการดูแลตนเองนอกจากจะเฝ้าดู สังเกตอาการที่ผิดปกติที่จะเป็นสัญญาณเตือนแล้ว เรายังสามารถดูแลตนเองในเรื่องอาหารการกิน เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และไม่ไปสร้างภาระให้กับการทำงานของอวัยวะในร่างกายที่เกี่ยวข้องอีกด้วย ดังนี้

                    • ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
                    • เน้นหนักในอาหารที่มีกากใย และไฟเบอร์
                    • ควรงดเว้นของที่มีปริมาณไขมันมาก หรือของที่พลังงานสูง เนื่องจากจะทำให้น้ำหนักในร่างกายเพิ่มขึ้น และทำให้ปริมาณมวลไขมันในร่างกายเพิ่มขึ้นอีกด้วย
                    • ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อไม่ให้ร่างกายปรับระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติ ระดับฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายหากผิดปกติไป อาจทำให้เป็นสาเหตุของมดลูกโต
                    ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com/www.bangkokhospital.com/hd.co.th

                    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                    เนื้องอกในมดลูก โรคยอดฮิตของหญิงทุกวัย ไม่ใช่มะเร็ง แต่ไม่ควรมองข้าม!

                    เมื่อลูกเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก ควรดูแลอย่างไร

                    สัญญาณมะเร็งเต้านม ก้อนเนื้อที่เต้านมเป็นเพราะอะไร พร้อมวิธีตรวจด้วยตัวเอง

                    รู้จัก โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ปวดเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      เปิดเทอม กับสิ่งที่ต้องเตรียม

                      เช็กด่วน!ของจำเป็นต้องมีก่อน เปิดเทอม ยุคNew Normal

                      เปิดเทอม แล้ว! เมื่อลูกต้องกลับไปเรียน ใช้ชีวิตปกติ ปัดฝุ่นกระเป๋านักเรียน แล้วมาเช็กดูสิ่งของจำเป็นต้องมีกันดีไหมว่าขาดอะไร เพิ่มอะไรดีให้อุ่นใจในยุคโควิด

                      เช็กด่วน!ของจำเป็นต้องมีก่อน เปิดเทอม ยุคNew Normal

                      Back to School พ่อแม่ได้เฮ! เมื่อถึงช่วงเวลาเปิดเทอมแบบได้กลับไปเรียนที่โรงเรียนตามเดิม ในแบบที่ก่อนจะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เสียที แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงต้องเฝ้าระวังการระบาดของโรคกันอย่างเคร่งครัด ต่อเนื่อง เรียกได้ว่า การเปิดเทอม ครั้งนี้เป็นการเปิดเทอมแบบ New Normal นั่นเอง

                      เปิดเทอม เรียนแบบ on-site ต้องเตรียมอะไรบ้าง
                      เปิดเทอม เรียนแบบ on-site ต้องเตรียมอะไรบ้าง

                      เมื่อช่วงปีที่แล้วกับการเรียน Online ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่ลูก ๆ ต้องนำไปใช้ที่โรงเรียน ไม่ว่าจะเป็น  เครื่องเขียน ชุดนักเรียน และอีกหลากหลายสิ่ง ต่างพากันอันตรธาน หายไป หรือไม่ก็ไม่สามารถใช้ต่อได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงถึงเวลาที่พ่อแม่ต้องมาเช็กข้าวของเครื่องใช้ เตรียมพร้อมไปโรงเรียนกันอีกครั้ง ก่อนจะเปิดเทอม ว่าสิ่งไหนขาด สิ่งไหนต้องเพิ่มกันเสียก่อน

                      ข้อดีของการทำ Checklist ก่อนช้อปปิ้ง

                      เราขอแนะนำว่า คุณพ่อคุณแม่ควรทำการวางแผน เช็กข้าวของที่มีอยู่ เสียก่อนที่จะออกไปจับจ่ายซื้อของ เตรียมพร้อมก่อนเปิดเทอม เพราะการทำ Checklist รายการเสียก่อนนั้น มีประโยชน์มากมายที่เราอาจคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำไป ข้อดีของการทำ Checklist ก่อนช้อปปิ้ง มีดังนี้

                      1. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย หากเขียนรายการข้าวของเครื่องใช้ ที่จำเป็นต้องมี เวลาเปิดเทอม นอกจากจะทำให้เราไม่ลืม หรือขาดตกบกพร่องสิ่งใด ๆ ไปแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลาในการออกไปเลือกซื้ออีกด้วย อย่างที่ทราบ ๆ กันว่า แม้ไวรัสโควิด-19 จะค่อย ๆ คลายความรุนแรงเป็นโรคประจำถิ่น แต่อย่างไรเสีย เราก็ต้องไม่คลายความระมัดระวัง คงความไม่ประมาท ปฎิบัติตัวป้องกันกันต่อไปอย่างต่อเนื่อง การออกไปในที่ที่มีผู้คนมาก ๆ ก็ยังคงไม่ปลอดภัยต่อโรคอยู่ดี ดังนั้นควรทำรายกายให้ครบ และไม่ต้องออกไปช้อปปิ้งบ่อย ๆ
                      2. ช่วยให้ไม่ฟุ่มเฟือย การซื้อของมาซ้ำกับที่มีอยู่เดิมแล้ว นอกจากจะเป็นการสิ้นเปลือง ของบางอย่างเก็บไว้นานก็เกิดการเสื่อมได้ จนบางครั้งใช้ไม่ได้แล้ว ก็ยังไม่ได้หยิบมาใช้เสียที
                      3. ไม่เกิดความผิดพลาด หากเราไม่ทำเช็กลิสไว้ก่อน เราอาจลืมของจำเป็นบางอย่างไปเสียสนิท กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็ถึงเวลาต้องใช้ แต่ไม่มีเสียแล้ว
                      4. ช่วยตัดสิ่งไม่จำเป็นออกได้ การทำเช็กลิสสิ่งของที่ต้องใช้ ทำให้เรามองเห็นว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น ช่วยให้เราสามารถเลือกได้ว่าควรซื้อเตรียมไว้หรือไม่ ก็เป็นการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ในยุคเศรษฐกิจฝืดเคีองเช่นนี้อีกด้วย
                      5. ช่วยลำดับความสำคัญ ของบางอย่างเราอาจไม่จำเป็นต้องเตรียมไว้ล่วงหน้านาน ๆ เช่น เสื้อผ้าชุดนักเรียน หากเราซื้อไว้ล่วงหน้าหลายเดือน ลูกอาจเปลี่ยนไซส์จนไม่สามารถใส่ได้ ก็จะเป็นการสิ้นเปลือง
                      6. ช่วยให้ไม่ต้องจำ การจดเช็กลิสไว้ในกระดาษ ทำให้เราไม่ต้องมานั่งจดจำ การพยายามจำเข้าไปในสมองให้ได้ แล้วก็คิดทำนองว่าคงไม่ลืมหรอก แต่ในความจริงแล้วเรามักจะลืมหลายๆ เรื่องไปอย่างรวดเร็วเพราะทุกๆ นาทีเราจะมีสิ่งเร้าต่างๆ รอบตัวกระตุ้น และดึงความสนใจอยู่ตลอด แทนที่คุณจะต้องใช้สมาธิ และพลังงานในการพยายามจำลิสต์ทุกอย่าง เราก็แค่ใช้กระดาษ และปากกาช่วยแทนเสียยังดีกว่า แถมจะได้ไม่ต้องหลงๆ ลืมๆ อะไรบ่อยๆ ด้วย

                        เช็กลิส สิ่งของที่ต้องใช้ก่อน เปิดเทอม
                        เช็กลิส สิ่งของที่ต้องใช้ก่อน เปิดเทอม

                      Checklists ของจำเป็นต้องมีก่อนเปิดเทอม!!

                      • เครื่องแบบนักเรียน

                      กฎระเบียบของโรงเรียนในประเทศไทย สิ่งจำเป็นข้อแรกของนักเรียน นั่นคือ เครื่องแบบนักเรียน ที่อ้างกันว่าจะช่วยให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และสร้างความภาคภูมิใจต่อสถาบันการศึกษาที่ตนเองเรียนอยู่ ดังนั้นหากโรงเรียนใดมีการจัดเตรียมชุดนักเรียนให้พร้อมกับค่าเทอมเลย ก็ช่วยประหยัดเวลาของผู้ปกครองไปได้ไม่น้อย ไม่ต้องไปเลือกหาซื้อเอง แต่หากไม่มีคุณพ่อคุณแม่ก็อย่าลืมเช็กกฎระเบียบของชุดนักเรียนแต่ละโรงเรียนว่าเป็นแบบใด จะได้ไม่ซื้อผิดแบบ

                      • อุปกรณ์เครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียน

                      เช่น ดินสอ ยางลบ สมุด ไม้บรรทัด สีไม้ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ขาดไม่ได้ต้องมีติดกระเป๋านักเรียนของลูก ถ้าหากพ่อแม่ท่านไหนต้องการจูงใจให้ลูกอยากไปโรงเรียน โดยเฉพาะเด็กอนุบาล หรือประถม ลองใช้วิธีจูงใจด้วยการให้ลูกเป็นคนเลือกซื้อเครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียนเอง เลือกลายการ์ตูนที่ลูกชอบ หรือมีลูกเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้ลูกเกิดความตื่นเต้นอยากไปโรงเรียนในวันเปิดเทอม อยากไปเรียนในช่วงเวลาแรกๆ ที่เพิ่งเปิดเทอม ที่ยังไม่มีเพื่อน หรือเพื่อนสนิท ก็สามารถใช้ตัวช่วยเหล่านี้ได้

                      • กระเป๋านักเรียน

                      สำรวจเสียก่อนว่า กระเป๋านักเรียนใบเก่าขาด หรือยังใช้ได้อยู่ไหม เราสามารถนำมาซัก ซ่อมแซม แล้วนำมาใช้ต่อได้ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และหากทางโรงเรียนไม่ได้บังคับ หรือเด็กอนุบาลที่สามารถใช้กระเป๋านอกเหนือจากของทางโรงเรียนได้ คุณพ่อคุณแม่ควรคำนึงถึงขนาดของกระเป๋านักเรียน ให้ขนาดมีขนาดพอเหมาะกับขนาดตัวของลูกด้วย เพื่อสุขภาพร่างกาย และไม่ไปขัดขวางการเจริญเติบโตของพัฒนาการทางร่างกายของลูก วัยกำลังโต

                      แก้วน้ำ ช้อนส้อม กระติกน้ำ เป็นของส่วนตัวจำเป็นต้องมี
                      แก้วน้ำ ช้อนส้อม กระติกน้ำ เป็นของส่วนตัวจำเป็นต้องมี
                      • กระติกน้ำ แก้วน้ำส่วนตัว ช้อนส้อม (ไอเท็มยุค New Normal)

                      เลี่ยงไม่ได้กับการ เปิดเทอม ในยุคโควิด-19 ยังคงระบาด ไม่ไปไหน ดังนั้นการระมัดระวัง ป้องกันตนเองให้ห่างไกลเชื้อโรค การอยู่ร่วมกัน แบบ New Normal จึงยังเป็นสิ่งสำคัญ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวจึงเป็นทางเลือกที่ดี กระติกน้ำ แก้วน้ำ ช้อนส้อม จึงควรนำไปเองจากบ้าน เพราะเป็นของส่วนตัว ไม่ควรใช้ร่วมกับผู้อื่น หากลูกโตขึ้นมาเสียหน่อย ก็ยังช่วยให้เป็นการฝึกวินัย ความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องรักษาไม่ให้หาย และนำกลับมาล้างทำความสะอาดได้อีกด้วย

                      • หมอน และผ้าห่ม 

                      สำหรับเด็กอนุบาล เป็นไอเท็มที่ขาดไม่ได้ เพราะการนอนกลางวันเป็นเรื่องสำคัญ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเตรียมหมอน ผ้าห่มไว้ให้ลูก และนำกลับมาทำความสะอาด ซึ่งอาจจะเพิ่มรอบการทำความสะอาดของหมอน และผ้าห่มให้บ่อยขึ้นในช่วงโควิด-19 เช่นในปัจจุบัน

                      • เจลแอลกอฮอล์ส่วนตัว (ไอเท็มยุค New Normal)

                      เจลแอลกอฮอล์ นับเป็นไอเท็มคู่กายของ คนแทบทุกคนในยุคโควิดนี้ ที่จำเป็นต้องออกข้างนอกบ้าน คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมเจลแอลกอฮอล์ขวดเล็ก ๆ ไว้ให้ลูกห้อยคอ หรือเก็บไว้ใกล้ตัวได้ เพื่อให้ลูกมีใช้ได้ตลอดเวลา สอนลูกว่า ก่อนที่จะหยิบจับอะไรเข้าปาก หรือโดนหน้าโดนตา ต้องล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้งการล้างมือบ่อย ๆ ช่วยให้ลูกห่างไกลจากโควิด

                      • หน้ากากอนามัยสำรอง (ไอเท็มยุค New Normal)

                      เตรียมหน้ากากอนามัยสำรอง เพื่อให้ลูกสามารถเปลี่ยนระหว่างวันได้ อาจเตรียมไปมากกว่า 1 ชิ้น เผื่อลูกทำหาย ทำเลอะเปื้อน หรือทำขาด

                      • ถุงซิปล็อค

                      ถุงซิปไว้ใส่หน้ากากอนามัย กรณีที่อาจจะถอดหน้ากากอนามัยทานข้าวตอนพักกลางวัน ซึ่งอาจจะยังใส่ได้ไม่นาน ไม่จำเป็นต้องทิ้งเลย แต่หาถุงซิปล็อคมาใส่ไว้เพื่อป้องกันเชื้อโรค ไม่ควรใส่กระเป๋าเสื้อหรือวางไว้บนโต๊ะ

                      สอนลูกล้างมือบ่อย ๆ ในระหว่างอยู่โรงเรียน ช่วยห่างไกลโควิด
                      สอนลูกล้างมือบ่อย ๆ ในระหว่างอยู่โรงเรียน ช่วยห่างไกลโควิด
                      • สติกเกอร์ป้ายชื่อ

                      ของสำคัญสำหรับเด็กเล็ก ช่วยให้ข้าวของเครื่องใช้ไม่สลับกับคนอื่น ไม่หาย นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นไม่น้อยเลยทีเดียว พ่อแม่ควรเตรียมไว้ และแปะชื่อลูกกับสิ่งของเครื่องใช้ของลูกที่จะนำไปใช้ในโรงเรียนให้พร้อมก่อนเปิดเทอม และบอกกล่าว ทำความเข้าใจกับลูก หรืออาจให้ลูกร่วมช่วยกันแปะสติกเกอร์กับข้าวของของตัวเอง ก็จะช่วยย้ำเตือนให้ลูกรู้จักรักษาข้าวของของตนเอง

                      เมื่อเราเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อม ครบก่อนเปิดเทอม นอกจากจะช่วยให้ลูกไปโรงเรียนได้อย่างมั่นใจแล้ว ยังเป็นสิ่งจูงใจให้ลูกเกิดความอยากไปโรงเรียนได้อีกด้วย เมื่อเขาเป็นผู้ช่วยเลือก ช่วยจัดกระเป๋าเพื่อเตรียมพร้อมก่อนไปโรงเรียน เห็นข้อดีของการเตรียมตัวจัดของให้พร้อมก่อนไปโรงเรียนเช่นนี้แล้ว ก็อย่าลืมชวนลูกมาช่วยกันทำ เช็กลิสต์ข้าวของเตรียมพร้อมก่อนเปิดเทอมกัน

                      แต่เดี๋ยวก่อน ก่อนจะเปิดเทอมนอกจากการเตรียมจัดกระเป๋า เตรียมข้าวของเครื่องใช้แล้ว เรายังจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมศึกษาเส้นทางเผื่อรถติด เตรียมปรับเวลานอนของลูกให้ชินกับการตื่นเช้า ขณะเดียวกันคุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วย เพื่อเปิดเทอมวันแรกจะได้ไม่เกิดปัญหาจุกจิกกวนใจ ทำให้วันแรกเป็นวันดี ๆ ของลูกน้อย เรียกว่าเริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

                      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                      เปิดเทอมวันแรก …โรงเรียนแรกของลูก

                      6 ประเภท “โรงเรียนประถม” ที่พ่อแม่ต้องรู้ก่อนสมัครเรียน!

                      สอนลูก ให้มีทักษะการเรียนรู้ และทักษะชีวิต

                      เรียนออนไลน์ เตรียมตัวอย่างไรได้ผลดี ลูกแฮปปี้ ไม่เครียดเกินไป

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        โรคไฟโบรมัยอัลเจีย

                        รู้จัก โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ปวดเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้

                        รู้จัก โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ปวดเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้

                        คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ บ้านนอกจากต้องเลี้ยงลูกแล้ว ก็ยังทำงานเต็มเวลา และทำอย่างหนักจนบางท่านอาจรู้สึกปวดไปทั่วร่างกายเป็นระยะเวลานาน ๆ แน่นอนว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจคิดว่าเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม แต่จริง ๆ แล้ว อาการปวดเรื้อรังนี้อาจเป็นอาการของ โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) โรคนี้ส่งผลต่อร่างกายคุณพ่อคุณแม่อย่างไรบ้าง มาดูกันค่ะ

                        โรคไฟโบรมัยอัลเจีย

                        เป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลให้รู้สึกเจ็บปวดตามกล้ามเนื้อ ร่วมกับมีอาการอ่อนเพลีย มีปัญหาด้านความจำและสมาธิ รวมทั้งอาจนอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท โรคนี้รักษาไม่หายขาด แพทย์จึงจะประคับประคองอาการโดยให้รับประทานยา ออกกำลังกาย และปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเครียดเป็นหลัก

                        อาการของโรคไฟโบรมัยอัลเจีย

                        โรค Fibromyalgia ส่งผลกระทบต่อร่างกายหลายส่วน แต่ละรายอาจมีอาการแตกต่างกันไป และความรุนแรงของอาการป่วยอาจไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับระดับความเครียด สภาพอากาศ และสุขภาพของผู้ป่วยในขณะนั้น อาการ มีดังนี้

                        โรคไฟโบรมัยอัลเจีย
                        โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ปวดเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้
                        • ปวดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลังและคอ บางรายอาจรู้สึกแสบหรือเจ็บแปลบร่วมด้วย
                        • ไวต่อความรู้สึกปวด อาจไวต่อความรู้สึกปวดมากกว่าปกติ หรือมีอาการปวดจากสิ่งที่ไม่ควรทำให้รู้สึกปวด เช่น การสัมผัสเบา ๆ
                        • กล้ามเนื้อตึง ทำให้ขยับร่างกายได้ลำบาก อาการมักรุนแรงขึ้นหลังจากอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน เช่น หลังจากตื่นนอนในตอนเช้า
                        • ปวดศีรษะ อาการปวดตามร่างกายและกล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่แข็งเกร็ง อาจทำให้ผู้ป่วยปวดศีรษะบ่อย ๆ โดยอาจปวดเพียงเล็กน้อยหรือปวดศีรษะแบบไมเกรนอย่างรุนแรง รวมทั้งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ เป็นต้น
                        • นอนหลับไม่สนิท อาการป่วยอาจทำให้นอนไม่หลับ นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือหลับไม่ลึกพอ ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลียและไม่สดชื่นหลังตื่นนอน
                        • อ่อนเพลีย ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลียหรือรู้สึกหมดเรี่ยวแรงจนไม่อยากทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
                        • มีปัญหาด้านการคิดและการเรียนรู้ เช่น ไม่มีสมาธิ พูดช้า พูดไม่รู้เรื่อง เป็นต้น
                        • ลำไส้แปรปรวน มีอาการคือ ท้องอืด รู้สึกจุกแน่นในท้อง ท้องผูก หรือท้องเสีย

                        นอกจากอาการข้างต้น ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกร้อนหรือหนาวผิดปกติ วิงเวียนศีรษะ มีอาการขาอยู่ไม่สุข รู้สึกเจ็บคล้ายมีเข็มทิ่มตามมือและเท้า ปวดประจำเดือนมากผิดปกติ หรือวิตกกังวล นอกจากนี้ อาการป่วยอาจก่อให้เกิดความเครียดและระดับฮอร์โมนบางชนิดลดต่ำลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงเกิดโรคซึมเศร้าตามมา

                        สาเหตุของไฟโบรมัยอัลเจีย

                        ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรค แต่อาจมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

                        • ความผิดปกติของระบบสมอง อาการปวดทั่วร่างกายอาจเป็นผลมาจากการมีสารสื่อประสาทที่กระตุ้นให้รู้สึกเจ็บปวดในปริมาณมากขึ้น และตัวรับความรู้สึกเจ็บปวดของสมองตอบสนองไวกว่าปกติ
                        • ความผิดปกติทางพันธุกรรม นักวิจัยเชื่อว่าร่างกายมียีนบางตัว ที่ทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึกเจ็บปวด การกลายพันธุ์ของยีนเหล่านี้ จึงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้
                        • ปัญหาทางการนอนหลับ แพทย์ไม่ทราบแน่ชัดว่า การนอนไม่หลับ หรือหลับไม่เต็มอิ่มนั้นเป็นอาการหรือสาเหตุของโรคนี้กันแน่ เพราะเป็นไปได้ว่าปัญหาด้านการนอนหลับ อาจกระทบต่อระดับสารเคมีในสมองบางชนิดและส่งผลให้เกิดโรค
                        • สิ่งกระตุ้นบางชนิด อาการบาดเจ็บทางร่างกาย ความบอบช้ำทางจิตใจ หรือการติดเชื้อ แม้ไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่อาจกระตุ้นให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้แสดงอาการป่วยออกมาได้

                        ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคข้อเสื่อม โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือผู้ที่มีคนใกล้ชิดในครอบครัวป่วยเป็น Fibromyalgia อาจเสี่ยงเกิดโรคนี้มากกว่าคนทั่วไป และยังพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

                        การรักษาโรค

                        จุดประสงค์ของการรักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย คือบรรเทาอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูสุขภาพจิตที่ได้รับผลกระทบมาจากโรคนี้ ซึ่งทางแพทย์อาจมีการใช้ยา ควบคู่กับบำบัดทางกายภาพร่วมดังนี้

                        • ยาบรรเทาอาการปวด เช่น อะเซตามีโนเฟน (Acetaminophen) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) นาพรอกเซน โซเดียม (Naproxen sodium) เป็นต้น หรือยาลดความปวดเมื่อยอื่น ๆ ตามภาวะสุขภาพในระยะเวลานั้นๆ
                        • ยาต้านโรคซึมเศร้า ที่อาจเข้ามามีส่วนช่วยลดความเหนื่อยล้า ความเครียด และส่งเสริมการนอนหลับให้คุณได้อย่างดี เช่น ดูล็อกซีทีน (Duloxetine) และมิลนาซิแพรน (Milnacipran) เป็นต้น
                        • ยาป้องกันโรคลมชัก ในตัวยากาบาเพนติน (Gabapentin) และยาพรีกาบาลิน (Pregabalin) มีสารบางอย่างที่ช่วยลดอาการเจ็บปวดบางประเภท และเป็นยาที่ได้รับการยอมรับจากองค์การอาหาร และยาเพื่อใช้รักษาโรคไฟโบรมัยอัลเจีย

                        นอกจากการรับประทานยาตามที่แพทย์ได้ทำการอนุญาตแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีการทำกายภาพบำบัด โดยอาจเป็นการออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น เล่นโยคะ ไทเก๊ก หรือการฝังเข็ม และนวดบำบัดร่วม เพื่อเสริมสร้างการทำงานของกล้ามเนื้อคุณให้กลับมามีการใช้งานได้ปกติดังเดิม

                        การดูแลตัวเอง

                        สามารถดูแลตัวเองด้วยการการเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อรับมือกับโรคไฟโบรมัยอัลเจีย ดังนี้

                        1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
                        2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
                        3. รับประทานผัก และผลไม้ ให้มากกว่าเนื้อสัตว์
                        4. ควรทานธัญพืชจำพวก ถั่ว อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต ที่มีใยอาหารปราศจากน้ำตาล ดื่มนมที่มีไขมันต่ำ แต่ให้โปรตีน และพลังงานสูง
                        5. ดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่พอดีแก่ร่างกายต้องการต่อวัน
                        6. ลดการทานอาหารที่มีระดับน้ำตาลสูง
                        7. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลูเตน (Gluten)
                        8. ลดการทานอาหารที่อยู่ในกลุ่ม (Fermentable Oligo-Di-Monosaccharide and Polyols; FODMAP) ที่มีผลกระทบต่อลำไส้ หรือช่องทางเดินอาหาร เช่น ครีมชีส โยเกิร์ต นมข้นหวาน ผลไม้แห้ง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวสาลี เป็นต้น

                        ขอบคุณข้อมูลจาก

                        เดลินิวส์ออนไลน์, pobpad

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        เล็บบอกโรค พบขีดที่เล็บนิ้วโป้งให้ระวังมะเร็งผิวหนังใต้เล็บ

                        ห่วง! อาการ Long COVID-19 เสี่ยงเกิด โรคผมผลัด

                        เปลือกตากระตุก ลางบอกโรค!! โรคอะไร ป้องกันอย่างไร

                          กฎหมายคาร์ซีท

                          หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

                          “รักลูกอย่ากอด” ใช้คาร์ซีท ปลอดภัยกว่า! หมอเด็กชี้แจ้ง กฎหมายคาร์ซีท กับ 8 ข้อควรรู้ ก่อนถึงวันบังคับใช้กฏหมาย ชีวิตลูกสำคัญสุด พ่อแม่ควรทำอย่างไรบ้าง

                          กฎหมายคาร์ซีท เริ่มใช้วันไหน!

                          นับว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พ่อแม่หลายคนต้องตระหนัก กับ กฎหมายคาร์ซีท เมื่อราชกิจจาฯ ได้ประกาศปรับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบกฉบับล่าสุด เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้มีคาร์ซีทตลอดเวลาที่โดยสารรถ ส่วนผู้โดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท มีผลบังคับใช้ในอีก 120 วัน หรือในวันที่ 5 กันยายน นี้

                          จาก พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2565 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก มาตรา 7 ให้ยกเลิกความในมาตรา 123 แห่ง พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 และให้ใช้ข้อความต่อไปนี้แทน

                          • คนโดยสารที่นั่งแถวตอนหน้าและที่นั่งแถวตอนอื่น ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งตลอดเวลาในขณะโดยสารรถยนต์

                          • คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

                          • คนโดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่ง หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด

                          • ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือคนโดยสารมีเหตุผลทางสุขภาพอันไม่สามารถรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งได้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง แต่บุคคลนั้นต้องมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

                          อ่านประกาศ กฎหมาย คาร์ซีท ฉบับเต็ม คลิกที่นี่ >> https://ratchakitcha2.soc.go.th/pdfdownload/?id=139A028N0000000000500

                          กฎหมาย คาร์ซีท

                          แน่นอนว่า “คาร์ซีท” ถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีเมื่อคุณพ่อคุณแม่ต้องการพาลูกน้อยออกเดินทางทั้งใกล้หรือไกล เพราะจะสามารถปกป้องและลดความรุนแรงของการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุให้กับเด็ก องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำว่า การใช้ “คาร์ซีท” ช่วยลดการเสียชีวิตของเด็กได้ถึงร้อยละ 70 ปัจจุบัน 96 ประเทศทั่วโลก มีกฎหมายบังคับใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กแล้ว

                          กอดลูก..ให้นั่งตัก = รักลูกผิดทาง

                          ทั้งนี้ด้าน รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวมหาวิทยาลัยมหิดล  และหัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี ได้ออกมาเผยข้อมูลสนับสนุน กฎหมายคาร์ซีท นี้ ถึงเวลาคุ้มครองชีวิตเด็กๆ … ถึงเวลาที่นั่งนิรภัย !

                          โดยนพ.อดิศักดิ์ แนะนำว่า ระหว่างนี้ให้คุณพ่อคุณแม่เตรียมตัวหาอุปกรณ์ และปรับทัศนคติต่อความปลอดภัยของที่นั่งนิรภัย เพราะการให้เด็กนั่งและคาดเข็มขัดตรงที่นั่งข้างคนขับทำให้เด็กเสี่ยงอันตรายมากกว่าเบาะหลัง 2 เท่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือการอุ้มเด็กไว้บนตักไม่ได้ช่วยสร้างความปลอดภัย

                          8 ข้อ ที่พ่อแม่ควรรู้เกี่ยวกับคาร์ซีท

                          1. ที่นั่งนิรภัยต้องใช้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด
                          2. อุ้มเด็กนั่งตักในเบาะหน้าคือจุดที่อันตรายที่สุดในรถ
                          3. เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ให้นั่งเบาะหลังเสมอ ความเสี่ยงต่อการตายจะลดลงสองเท่าตัว
                          4. การใช้ระบบยึดเหนี่ยวในรถเป็นมาตรการการลดการบาดเจ็บการตายที่สำคัญที่สุดจากการกระเด็นทะลุกระจกออกนอกหรือลอยออกจากที่นั่งตาม
                          5. คาดเข็มขัดที่ไม่เหมาะสมมีความเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บกระดูกไขสันหลัง ไขสันหลังและช่องท้อง
                          6. เด็กอายุน้อยกว่า 9 ปีหรือสูงน้อยกว่า 135 ซม. อาจใช้เข็มขัดนิรภัยปกติไม่ได้ ให้พิจารณาการใช้ที่นั่งนิรภัยเสมอ
                          7. ถุงลมนิรภัยในที่นั่งข้างคนขับ สามารถทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ไม่ควรให้เด็กนั่งในตำแหน่งนั้นอีกต่อไป
                          8. เวลา 120 วัน ก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้ ไม่ใช่เป็นเพียงเวลาที่พ่อแม่ต้องเตรียมตัว แต่เป็นเวลาที่รัฐ ชุมชน องค์กร บริษัท หน่วยงานบริการสุขภาพเด็ก หน่วยงานบริการการศึกษาเด็กปฐมวัย ต้องเตรียมตัว ต้องมีมาตรการช่วยเหลือการเข้าถึงที่นั่งนิรภัยด้วย

                          กฎหมาย คาร์ซีท

                          ทั้งนี้รศ.นพ.อดิศักดิ์ ยังกล่าวว่า คาร์ซีท แบ่งเป็น 3 กลุ่มอายุ คือ

                          • กลุ่มอายุ แรกเกิด-2 ปี ต้องใช้คาร์ซีท หรือที่นั่งนิรภัย ติดตั้งไว้ที่เบาะหลัง หันหน้าเด็กไปหลังรถ
                          • กลุ่มอายุ 3-7 ปี ใช้ คาร์ซีท ที่มีเข็มขัดนิรภัยภายในยึด 5 จุดติดกับเบาะหลัง หันหน้าไปหน้ารถ
                          • กลุ่มอายุ 6-7 ปี จะใช้เก้าอี้เสริมคาดยึดเข็มขัดจากตัวรถ

                          ซึ่งประเภทของคาร์ซีท จะมีแตกต่างกันออกไป เพื่อเหมาะกับเด็กช่วงอายุที่ต่างกัน ดังนั้นพ่อแม่ที่ให้ความสนใจ “คาร์ซีท” เพื่อความปลอดภัยของลูก ก็จะต้องเปลี่ยนคาร์ซีทไปตามช่วงอายุและสรีระของลูกน้อย ซึ่งบางคนที่มีทุนทรัพย์ การหาซื้อมือหนึ่งตามร้านหิ้ว หรือห้างสรรพสินค้า คงไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากทุนทรัพย์น้อย การหาซื้อคาร์ซีทมือสอง ราคาไม่แพง ถือเป็นตัวเลือกอีกช่องทางหนึ่ง


                          ขอบคุณข้อมูลจาก www.thairath.co.th

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

                          เด็กทารกจำเป็นต้องใช้คาร์ซีท จริงหรือ?

                          ลูกดารานั่งคาร์ซีท รู้ไหม เหล่าหนูน้อยลูกซุปตาร์ก็นั่งคาร์ซีทนะ!

                          ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท หรือไม่ ทำไมไม่ควรอุ้มเด็กนั่งในรถระหว่างเดินทาง

                            ไข่เจียว

                            6 สูตร ไข่เจียว เมนูสำหรับลูก อร่อยง่ายๆ ประโยชน์เยอะ!!

                            ไข่เจียว เมนูโปรดของหลาย ๆ คน โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ ไข่เป็นอาหารซุปเปอร์ฟู้ด อุดมไปด้วยสารอาหารนานาชนิด มีประโยชน์มากมาย ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตในเด็ก

                            6 สูตร ไข่เจียว เมนูสำหรับลูก อร่อยง่ายๆ ประโยชน์เยอะ!!

                            ไข่เจียว เมนูง่าย ๆ ที่คุณแม่ทุกคนสามารถทำได้ แต่มีคุณค่าทางอาหารสูง อุดมไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามิน มีทั้งธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 บี 12 วิตามินอี วิตามินดี โฟเลต เลซิธิน ลูทีน ซีแซนทีน และโคลีน ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทและสมอง ประโยชน์มากมายขนาดนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงอยากชวนคุณแม่ทั้งหลายมาทำเมนู ไข่เจียว สูตรต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมมาให้กันค่ะ

                            ไข่เจียวกุ้งชีส
                            ไข่เจียวกุ้งชีส

                            6 สูตร ไข่เจียว เมนูสำหรับลูก อร่อยง่ายๆ ประโยชน์เยอะ!!

                            ไข่เจียวกุ้งชีส

                            ส่วนผสม

                            • ไข่ไก่ 2 ฟอง
                            • เนยสด สำหรับเจียวไข่
                            • หอมใหญ่ (หั่นแว่นบาง หรือหั่นเต๋าเล็ก) 1 หัวเล็ก
                            • เกลือเล็กน้อย
                            • กุ้งสับ ปริมาณตามชอบ
                            • มะเขือเทศ หั่นเต๋าเล็ก
                            • ชีสขูดฝอย
                            • พริกชี้ฟ้า หรือพริกหวานตามชอบ
                            • ใบพาร์สลีย์ หรือผักชี (สำหรับโรยหน้า)
                            • พริกไทย

                            วิธีทำ

                            1. ตอกไข่ใส่ชาม ใส่กุ้ง
                            2. ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อนถึงปานกลาง ถ้าไฟแรงเนยจะไหม้ จากนั้นใส่เนย แล้วใส่หอมใหญ่ เกลือเล็กน้อย ผัดจนหอมใหญ่สุก เป็นสีใส ๆ
                            3. ตีไข่กับกุ้งในชามที่เตรียมไว้ หรือจะนำกุ้งไปผัดกับหอมใหญ่ก่อนก็ได้ตามชอบ   แล้วเทลงกระทะ ใช้ไฟอ่อน รอจนไข่สุก จากนั้นใส่มะเขือเทศ ชีส และพริกชี้ฟ้า(หากเป็นเด็กโตที่สามารถทานเผ็ดได้) หรือพริกหวาน แล้วพับไข่ให้ชีสอยู่ด้านใน รอจนชีสเยิ้ม
                            4. ตกแต่งด้วยพาร์สลีย์หรือผักชี โรยพริกไทยนิดหน่อย(งดเว้นได้หากเป็นเด็กเล็ก) ทานคู่กับซอสแม็กกี้ หรือซอสมะเขือเทศ

                            ไข่เจียวปูฟูกรอบ

                            ส่วนผสม

                            • ไข่ไก่
                            • กรรเชียงปู ตามชอบ
                            • นมสด
                            • น้ำปลา
                            • น้ำตาลทรายเล็กน้อย
                            • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)

                            วิธีทำ

                            1. ตอกไข่ใส่ชาม ใส่เนื้อปู นมสด ปรุงรสด้วยน้ำปลา และน้ำตาลทราย ตีผสมให้เข้ากัน
                            2. ใส่น้ำมันลงในกระทะ รอจนน้ำมันร้อนจัด ค่อย ๆ เทไข่ลงไป แล้วลดไฟให้เบาลง ทอดจนสุกเหลืองทั้งสองด้าน เพิ่มไฟแรงจนสุด นับ 1-10 ตักใส่จาน

                            ไข่เจียวเต้าหู้

                            ส่วนผสม

                            • ไข่ไก่ 2 ฟอง
                            • เต้าหู้ไข่ 2 หลอด
                            • ซีอิ๊วขาว หรือซอสปรุงรส
                            • น้ำมันพืช

                            วิธีทำ

                            1. หั่นเต้าหู้ไข่เป็นชิ้นตามชอบ
                            2. ตอกไข่ใส่ชาม ใส่ซีอิ๊วขาว หรือซอสปรุงรส ตีจนขึ้นฟู แล้วใส่เต้าหู้ไข่ลงไป
                            3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ รอจนน้ำมันร้อน เทไข่ลงกระทะ รอจะสุก พลิกกลับด้าน ทอดจนสุกทั้งสองด้าน

                            ไข่เจียวดอกขจร

                            ประโยชน์ของ ดอกขจร

                            • บำรุงธาตุ บำรุงตับ ไต ปอด แก้เสมหะเป็นพิษ
                            • มีวิตามินเอสูง มีส่วนช่วยบำรุงสายตา
                            • ช่วยรักษาหวัดได้ เพราะมีวิตามินซีสูง
                            • ช่วยขับเสมหะ แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ
                            • มีไฟเบอร์ ช่วยในการขับถ่าย
                            • บำรุงฮอร์โมนสตรี หรือขับโลหิตก็ได้

                            ส่วนผสม

                            • ไข่ไก่
                            • ดอกขจร
                            • ซอสปรุงรส
                            • น้ำมันพืช

                            วิธีทำ

                            1. ล้างดอกขจร เด็ดก้านแข็งออก นำขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ
                            2. ตอกไข่ใส่ชาม ใส่ดอกขจร ซอสปรุงรส แล้วตีผสม
                            3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ รอจนน้ำมันร้อน เทไข่ลงกระทะ ทอดจนสุกทั้งสองด้าน
                            ไข่เจียวซูเฟล่
                            ไข่เจียวซูเฟล่

                            ไข่เจียวซูเฟล่

                            เคล็ดลับในการทำไข่เจียวซูเฟล่ให้ขึ้นฟูนั้น คือ การแยกไข่ขาว แล้วนำมาตีจนขึ้นฟู จนตั้งยอดได้ จากนั้นนำไปตะล่อมผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ ควรทำอย่างเบามือ ระวังไข่แฟ่บ แล้วนำไปเข้าเตาอบ พร้อมแล้วมาเริ่มทำกันเลยค่ะ

                            อุปกรณ์

                            • กระทะ หรือหม้อที่เข้าเตาอบได้
                            • เตาอบ
                            • ตะกร้อมือ (หรือใช้เครื่องตีแทนได้)

                            ส่วนผสม

                            • ไข่ไก่ 3 ฟอง
                            • ชิกุวะ (ลูกชิ้นญี่ปุ่น)
                            • เกลือป่น
                            • เนยเค็ม

                            วิธีทำ

                            1. หั่นชิกุวะเป็นชิ้น
                            2. แยกไข่แดงกับไข่ขาว โรยเกลือป่นลงในไข่แดงเล็กน้อย
                            3. ตีไข่ขาวให้ขึ้นฟูจนตั้งยอดได้
                            4. ตีไข่แดงให้เข้ากัน จากนั้นตักไข่ขาวที่ตั้งยอดประมาณ 1/4 ลงไปตีผสมกับไข่แดงให้เป็นเนื้อเนียน แล้วนำไข่ขาวที่เหลือเทลงมาตะล่อมกับไข่แดง ทำอย่างเบามือ ระวังไข่แฟ่บ
                            5. เปิดไฟเตาอบไว้
                            6. นำหม้อขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟอ่อนถึงปานกลาง ใส่เนยเล็กน้อย แล้วใส่ชิกุวะลงไปผัด พอสุกปิดเตา จากนั้นเทไข่ลงไปในหม้อ นำนำเข้าเตาอบประมาณ 5 นาที พร้อมเสิร์ฟ

                            ไข่เจียวชีสกับซอสซัลซา

                            ส่วนผสม

                            • ไข่ไก่ 3 ฟอง
                            • นมแพะ 3 ช้อนโต๊ะ
                            • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
                            • พริกไทยดำบดหยาบ 1/8 ช้อนชา (เด็กเล็กไม่ใส่ก็ได้)
                            • เนยสดชนิดเค็ม 1/2 ช้อนโต๊ะ
                            • เชดดาร์ชีสสไลซ์ 2 ช้อนโต๊ะ
                            • พาร์สลีย์สำหรับแต่ง

                            ส่วนผสม ซอสซัลซา

                            • เนื้อมะเขือเทศหั่นเต๋า 1/4 ถ้วย
                            • หอมใหญ่หั่นเต๋า 1/4 ถ้วย
                            • น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
                            • ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ
                            • ซอสพริก 1/2 ช้อนโต๊ะ
                            • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
                            • น้ำส้มสายชูหมักจากไวน์ขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
                            • น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
                            • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
                            • พริกไทยดำบดหยาบ 1/4 ช้อนชา
                            • พาร์สลีย์ซอยละเอียดเล็กน้อย

                            วิธีทำซอสซัลซา

                            • ผสมส่วนผสมทุกอย่าง เคล้าเบา ๆ ให้เข้ากัน

                            วิธีทำ

                            1. ตอกไข่ไก่ใส่ชาม เติมนมแพะ เกลือป่น และพริกไทยดำบด ตีให้เข้ากัน
                            2. ตั้งกระทะใช้ไฟอ่อน ใส่เนยสด แล้วเทไข่ลงไป รอจนเกือบสุก ใส่เชดดาร์ชีสลงไปตรงกลาง ค่อย ๆ ม้วนตลบไข่ให้มีลักษณะเป็นวงรียาว
                            3. นำขึ้นใส่จาน ราดด้วยซัลซาซอส แต่งด้วยพาร์สลีย์

                            ไข่เจียว ธรรมดา ๆ อาจทำให้ลูกเบื่อได้ คุณแม่มาลองทำไข่เจียวสูตรต่าง ๆ ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำฝากกันดูนะคะ

                            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            แซนวิชหรรษา เมนูอาหารว่างง่ายๆ จาก DIY Happy Meal Box Set

                            ชวนเข้าครัว!ให้ อาหารเป็นยา กับเมนูอร่อยต้านโควิด-19

                            วิธีทำให้สูง ด้วยเมนูอาหารวิเศษเสริมแคลเซียมวัยเบบี๋

                            แม่สงสัย!เทนมโรงเรียนเจอแบบนี้ นมบูด หรือปกติกันนะ

                             

                            ขอบคุณข้อมูลจาก :  https://kapook.com

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            Amarin Baby & Kids

                              ลดเด็กอ้วน

                              โรคอ้วนอันตราย! จำเป็นต้อง ลดเด็กอ้วน

                              โรคอ้วนอันตราย! จำเป็นต้อง ลดเด็กอ้วน

                              คุณพ่อคุณแม่หลายคนมักจะคิดว่า “เด็กอ้วน” คือเด็กน่ารัก น่ากอด แต่หารู้ไหมว่าความน่ารักที่มาจากความอ้วนนั้นอาจไม่เป็นผลดีกับเด็กเท่าไรนัก เพราะถ้าปล่อยให้เด็กอ้วนต่อไปเรื่อย ๆ ในระยะยาวจะมีปัญหาสุขภาพมากมายตามมาก้ได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรร่วมกัน ลดเด็กอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกน้อยค่ะ

                               

                              สถิติของผู้เป็นโรคอ้วนในไทย

                              สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน พบคนไทยมีภาวะอ้วนราว 19.3 ล้านคน หรือประมาณ 34.1% ของประชากร อธิบายง่ายๆคือ 1 ใน 3 ของประชากรไทยมีภาวะอ้วน โดยถ้าเทียบในระดับภูมิภาคอาเซียน พบว่าไทยมีความชุกของโรคอ้วนในประชากรเป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย

                              ขณะที่ข้อมูลจากกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานความชุกของปัญหาน้ำหนักเกินหรืออ้วนในผู้ใหญ่ ในปี 2564 อยู่ที่ 47.2% เพิ่มขึ้นจาก 34.7% ในปี 2559

                              สถิติที่ทำให้ต้อง ลดเด็กอ้วน

                              ที่น่ากังวลคือ พบปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในเด็กเช่นเดียวกับในผู้ใหญ่ ในปี พ.ศ.2564 โดยความชุกของโรคอ้วนและน้ำหนักเกินในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี อยู่ที่ 9.07% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 5.7%

                              สาเหตุของเด็กอ้วน

                              1.กินมากเกินความจำเป็น สังคมปัจจุบัน บ้านอยู่ใกล้ร้านสะดวกซื้อมากขึ้น และอาหารก็หาซื้อได้ง่ายมาก ๆ ทั้งน้ำอัดลม ขนมกรุบกรอบ ลูกอม ขนมหวานทำให้เด็ก ๆ ในปัจจุบันจึงนิยมบริโภคกันมากขึ้น

                              2.ร่างกายขาดการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวน้อย เด็กสมัยนี้เอาแต่นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือไม่ก็จอมือถือ จอทีวีทั้งวัน ทำให้เด็กไม่ได้ขยับร่างกายหรือออกกำลังกายบ้างเลย จึงส่งผลให้กลายเป็นเด็กอ้วนในที่สุด

                              3.เด็กที่ถูกเลี้ยงด้วยนมผง อาจจะอ้วนมากกว่าเด็กที่ถูกเลี้ยงโดยนมแม่ เนื่องจากว่าในนมผงบางชนิดอาจจะมีไขมันและโปรตีนบางชนิดก่อให้เด็กเกิดโรคอ้วนได้

                              4.อ้วนเพราะพันธุกรรม เด็กอ้วนบางคนอ้วนเพราะพ่อแม่อ้วน เพราะเมื่อร่างกายมียีนส์อ้วน เด็กก็จะเป็นเด็กอ้วน แต่ก็พบว่า เด็กที่อ้วนจากสาเหตุพันธุกรรมนั้นมีไม่มาก แต่ส่วนมากที่อ้วนจะเกิดจากอาหารและการเลี้ยงดูมากกว่า

                              ลดเด็กอ้วน
                              โรคอ้วนอันตราย!

                              ผลกระทบทางสุขภาพที่เกิดจากโรคอ้วนในเด็ก

                              1.นอนกรน และอาจส่งผลให้เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เด็กที่อ้วนจำนวนมากมักจะหายใจติดขัดเวลานอน จึงส่งผลให้เด็กนอนกรน บางครั้งทำให้นอนหลับไม่สนิทหลับไม่ดี รวมถึงหากเด็กอ้วนมากและหายใจติดขัดรุนแรง อาจส่งผลร้ายแรงจนถึงขนาดที่ว่า หยุดหายใจขณะนอนหลับก็เป็นได้

                              2.เบาหวาน ความดัน ไขมันเลือดสูงในเด็ก เด็กอ้วนจะมีภาวะต่อต้านอินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ง่ายและเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานเมื่อเด็กโตขึ้น

                              3.กระดูกและข้อโดยเฉพาะข้อเข่าและข้อสะโพกผิดปกติเพราะต้องรับน้ำหนักมากเกินไป ส่งผลให้เด็กเสียบุคลิกภาพ

                              4.เป็นเด็กขาดความมั่นใจ เนื่องจากผิวหนังตามร่างกายโดยเฉพาะบริเวณข้อพับจะกลายเป็นปื้นสีดำเหมือนคนเป็นเบาหวานเนื่องจากเป็นภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน และในบางครั้งเด็กที่อ้วนก็มักจะโดนเพื่อนล้อ จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เด็กกลายเป็นเด็กขาดความมั่นใจก็เป็นได้

                              จะเห็นได้ว่าโรคอ้วนในเด็กนั้นส่งผลกระทบทางสุขภาพมากกว่าที่คิด หากพบว่าลูกเข้าข่ายเด็กอ้วนควรรีบหาทางแก้ไขเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพที่จะตามมาในภายหลัง

                              ผลกระทบจากโรคอ้วนในทางเศรษฐกิจ

                              โรคอ้วนไม่ได้ส่งผลต่อสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจอีกด้วย โดย 13.2% ของงบประมาณสาธารณสุขทั่วโลก คิดเป็นเงิน 9.9 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 29 ล้านล้านบาท สูญเสียไปกับปัญหาน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน โดยปัญหานี้ก่อความสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือ 1.27% ของ GDP ทั้งประเทศ

                              ถ้าปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ไข ในอีก 40 ปีข้างหน้าอาจกระทบเศรษฐกิจของประเทศไทยได้สูงถึง 2.7 ล้านล้านบาท หรือ 4.88% ของ GDP ซึ่งนับเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมากต่อประเทศไทย ความสูญเสียนี้คิดเป็นค่าใช้จ่ายทางตรง (Direct cost) สำหรับการรักษาพยาบาลเกือบ 5 หมื่นล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางอ้อม (Indirect cost) 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

                              วิธี ลดเด็กอ้วน ในกลุ่มประเทศอื่น ๆ

                              นโยบายโครงการอาหารโรงเรียนของกลุ่มประเทศนอร์ดิก ทั้งสวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก และบอลติก อย่างเอสโตเนีย จัดอาหารกลางวันที่มีคุณค่าทางโภชนาการมาเป็นเวลานานให้กับนักเรียนทุกคนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ในขณะที่เด็กในประเทศนอร์เวย์และเดนมาร์ก นำอาหารกลางวันแพ็กกล่องมาเองที่โรงเรียน

                              ที่โดดเด่นที่สุด คือสวีเดนและนอร์เวย์ ที่มีนโยบายการปฏิรูปอาหารกลางวันในโรงเรียน โดยเฉพาะเมนูอาหารที่ไม่มีน้ำตาล หรือที่เรียกว่า Sugar Free ที่นอกจากจะทำให้เด็กมีภาวะโภชนาการที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีสุขภาพดี ส่งผลถึง พัฒนาการ การเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้นด้วย

                              สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำเพื่อลูก

                              • ควบคุมปริมาณอาหารของลูก ให้รับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยเป็นประจำ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง เช่น ของทอด ขนมหวาน ขนมขบเคี้ยวที่ไม่มีประโยชน์ เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล น้ำอัดลม
                              • ให้ลูกทำกิจกรรมที่ได้ขยับร่างกายและออกกำลังกายไปในตัวอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ไม่ปล่อยให้อยู่หน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ ทีวี ไอแพด แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือ เป็นเวลานาน โดยเฉพาะเด็กเล็กอายุ 2-5 ขวบ ไม่ควรให้ดูเกินครึ่งชั่วโมงต่อวัน
                              • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของลูกให้มีการเคลื่อนไหวมากขึ้น เช่น ฝึกการเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ ฝึกทำงานบ้านง่าย ๆ
                              • พาลูกเข้านอนให้เป็นเวลาและนอนให้เพียงพอ เพราะการนอนดึกหรือนอนน้อยนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งของความอ้วน

                              ถึงเวลาแล้วที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องกลับมาระมัดระวังภาวะอ้วนที่จะเกิดขึ้นกับลูกนะคะ เพราะโรคอ้วนส่งผลมากมายกับลูกที่รักของเราค่ะ

                              ขอบคุณข้อมูลจาก

                              ไทยรัฐออนไลน์, RAMA Channel,โรงพยาบาลเปาโล

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก 

                              อุทาหรณ์! ลูก ลำไส้อักเสบเรื้อรัง เพียงเพราะแม่อยากให้ลูกอ้วน

                              หยุด! ปัญหา “โรคอ้วน” ในคุณแม่ตั้งครรภ์ ด้วย “เวชศาสตร์ชะลอวัย”

                              ลดน้ำหนักเด็กอ้วน ด้วย 10 เมนูอาหารจานเด็ด

                                สิทธิ์ฝังยาคุม

                                เช็คขั้นตอนตรวจ สิทธิ์ฝังยาคุม และรับบริการฟรี

                                เช็คขั้นตอนตรวจ สิทธิ์ฝังยาคุม และรับบริการฟรี

                                ในขณะที่หลาย ๆ คนอยากมีลูกน้อย แต่หลายคนยังไม่ถึงวัยที่พร้อมจะมีลูกน้อยล่ะ ควรทำอย่างไร ตอนนี้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้คำแนะนำว่า สำหรับหญิงที่ไม่พร้อมตั้งครรภ์สามารถตรวจสอบ สิทธิ์ฝังยาคุม กำเนิดผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ได้ หากได้สิทธิ์ก็สามารถไปใช้บริการที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนะคะ สิทธิ์นี้ตรวจสอบได้อย่างไร มาดูกันค่ะ

                                ยาฝังคุมกำเนิด

                                เป็นการใช้ฮอร์โมนชนิดเดียว คือ โปรเจสติน (Progestin) ที่บรรจุเอาไว้ในหลอดหรือแท่งพลาสติกเล็กๆ ยาวประมาณ 3 เซนติเมตร ขนาดเท่าไม้จิ้มฟันชนิดกลม นำมาฝังเข้าไปที่ใต้ผิวหนังบริเวณใต้ท้องแขนด้านในที่ไม่ถนัด ใช้เวลาในการฝังยาประมาณ 10-15 นาที ซึ่งฮอร์โมนตัวนี้จะค่อยๆ ซึมผ่านออกมาจากแท่งยาเข้าสู่ร่างกาย และไปยับยั้งการเจริญเติบโตของฟองไข่ ส่งผลทำให้ไม่มีการตกไข่ตามมา จึงช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานถึง 3-5 ปี

                                ข้อดีของการฝังยาคุมกำเนิด

                                1. ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก ประมาณ 1/200 คน ที่เกิดอัตราล้มเหลว
                                2. เป็นวิธีที่มีความสะดวก ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี
                                3. มีอาการข้างเคียงน้อย
                                4. สามารถเลิกใช้เมื่อใดก็ได้ เมื่อต้องการจะมีบุตร หรือเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
                                5. หลังจากถอดออก จะสามารถมีลูกได้เร็วกว่าการฉีดยาคุมกำเนิด 90% ตกไข่ใน 1 เดือน
                                6. ยาฝังคุมกำเนิด ยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ลดภาวะประจำเดือนมามาก

                                ผู้ที่เหมาะจะใช้ยาฝังคุมกำเนิด

                                1. ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและคุมกำเนิดได้ในระยะยาว
                                2. ผู้ที่ต้องการเว้นช่วงการมีบุตรอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป
                                3. ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน

                                ผู้ที่ไม่ควรใช้

                                1. ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือ สงสัยว่าตั้งครรภ์
                                2. ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด หรือ กำลังได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
                                3. ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน
                                4. ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดหรือตามอวัยวะเพศต่างๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
                                5. ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของตับ หรือ กำลังเป็นโรคตับอักเสบ

                                ผลข้างเคียง

                                เมื่อฝังยาฝังคุมกำเนิด อาจทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรืออาจมีอาการระคายเคือง ปวด บวมแดงบริเวณผิวหนังที่ฝังยาเข้าไป แต่อาการจะเป็นแค่ระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นอกจากนี้อาจมีน้ำหนักตัวขึ้น สิวขึ้น ปวดศีรษะ เจ็บเต้านม และอารมณ์แปรปรวนหลังฝังยาคุมกำเนิดในบางราย

                                ข้อปฏิบัติหลังฝังยาคุม

                                • ควรมาพบแพทย์ตามนัด 7 วัน เพื่อดูแผลที่ฝังยา และต่อไปปีละครั้งเพื่อติดตามผล
                                • เมื่อครบกำหนด 3 ปี หรือ 5 ปี ต้องกลับมาโรงพยาบาลเพื่อเอายาหลอดเก่าออก และใส่หลอดใหม่เข้าไป

                                การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ ต้องทำโดยแพทย์ หรือพยาบาลผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ห้ามพยายามกระทำ หรือนำออกด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาได้

                                สิทธิ์ฝังยาคุม สำหรับหญิงอายุไม่เกิน 20 ปี

                                สปสช. ตั้งเป้าหมายฝังยาคุมกำเนิด โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ให้กับกลุ่มผู้หญิงที่ยังไม่มีความพร้อมตั้งครรภ์

                                • อายุต่ำกว่า 20 ปี ในปีนี้ จำนวน 9,280 คน
                                • กลุ่มอายุ 20 ปีขึ้นไปที่ยุติการตั้งครรภ์ 1,159 คน

                                นอกจากนี้ยังได้ประสานธนาคารกรุงไทย พัฒนาแอปฯ เป๋าตัง ให้สามารถตรวจสอบสิทธิ์ก่อนนัดหมายเข้ารับบริการยังสถานพยาบาลใกล้บ้าน

                                นอกจากบริการฝังยาคุมกำเนิดแล้ว ยังรวมถึงบริการใส่ห่วงอนามัย เพื่อลดการเสียชีวิต และภาวะแทรกซ้อนจากการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัย

                                สิทธิ์ฝังยาคุม
                                เช็คขั้นตอนตรวจ สิทธิ์ฝังยาคุม และรับบริการฟรี
                                เช็คขั้นตอนตรวจสิทธิ์ฝังยาคุมและรับบริการฟรี
                                เช็คขั้นตอนตรวจสิทธิ์ฝังยาคุมและรับบริการฟรี
                                เช็คขั้นตอนตรวจสิทธิ์ฝังยาคุมและรับบริการฟรี

                                เกณฑ์ในการเข้ารับบริการ สิทธิ์ฝังยาคุม

                                ผู้ที่เข้าเกณฑ์ สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการระบบบัตรทอง หรือระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ร่วมบริการตามความสะดวก โดยได้กำหนดหลักเกณฑ์การรับบริการ ดังนี้

                                • กลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี ที่ต้องการคุมกำเนิด หรืออยู่ในภาวะหลังคลอด หรือหลังแท้ง
                                • กลุ่มอายุ 20 ปีขึ้นไป เฉพาะกรณีหลังยุติการตั้งครรภ์

                                อย่างไรก็ตาม การเข้ารับบริการคุมกำเนิดกึ่งถาวรจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์บริการ ซึ่งในกรณีผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี จะครอบคลุมทุกคนที่ต้องการรับบริการ แต่กรณีอายุ 20 ปีขึ้นไป กำหนดให้สิทธิเฉพาะผู้ที่ยุติการตั้งครรภ์เท่านั้น

                                บริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคในแอปเป๋าตังนั้น ทุกคนสามารถตรวจสอบสิทธิที่จะได้รับตามกลุ่มวัยและเพศได้ โดยเข้าไปที่กระเป๋าสุขภาพ เมื่อลงทะเบียนแล้ว จะปรากฏรายละเอียดสิทธิการรักษาพยาบาลของแต่ละคน และสามารถตรวจสอบสิทธิบริการสร้างเสริมสุขภาพที่ได้รับได้ เฉพาะในพื้นที่ กทม. ขณะนี้นำร่อง สามารถจองคิวนัดหมายเข้ารับบริการที่หน่วยบริการได้

                                สำหรับการสนับสนุนการฝังยาคุมกำเนิด ผู้สนใจสามารถใช้สิทธิ์ได้ทันที  เพื่อลดปัญหาการลืมกินยาคุมกำเนิด และหากภายหลังต้องการตั้งครรภ์สามารถให้แพทย์นำยาคุมกำเนิดดังกล่าวออกได้

                                สอบถามเพิ่มเติมการใช้สิทธิบัตรทอง ได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ทั้งไลน์ สปสช. (ไลน์ไอดี @nhso) หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand

                                ขอบคุณข้อมูลจาก
                                Hfocus , โรงพยาบาลนครธน

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                บัตรทองให้เข้าถึงยา โรคข้ออักเสบไม่ทราบสาเหตุในเด็ก  

                                กทม.เปิดคลินิกดูแล ผู้ป่วยลองโควิด ในรพ. 9 แห่ง 

                                สปสช.ให้สิทธิคัดกรอง ภาวะปัญญาอ่อน เด็กแรกเกิด

                                  มดตะนอย กัดเด็กเสียชีวิต

                                  มดตะนอย กัดแพ้พิษถึงตายได้กับอาการบ่งบอกว่าคุณแพ้

                                  มดตะนอย กัดเด็กเสียชีวิต จากข่าวเกิดข้อสงสัยพิษมดตะนอยถึงตายได้จริงหรือ มาทำความรู้จักมดตัวเล็กแต่ต่อยหนัก กับอาการที่บ่งบอกว่าคุณแพ้ และวิธีปฐมพยาบาลกัน

                                  มดตะนอย กัดแพ้พิษถึงตายได้!! กับอาการบ่งบอกว่าคุณแพ้

                                  จากกรณีเด็กหญิงวัย 11 ขวบ ชาว จ.น่าน เสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ หลังถูกมดตะนอยกัดระหว่างไปหาพ่อในสวน ก่อนที่ไม่ถึง 2 วันต่อมา เด็กจะมีอาการป่วยรุนแรง ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล ก่อนจะเสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้า โดยญาติรู้สึกติดใจ หลังนำเด็กไปรักษาตั้งแต่วันแรกๆ ที่มีอาการปวดหัว ปวดแผลที่ถูกกัด และอาเจียน แต่หมอให้ยาแล้วกลับมาดูอาการที่บ้าน ก่อนจะเสียชีวิตในวันต่อมา

                                  นายแพทย์กนก พิพัฒน์เวช รองผู้อำนวยการรักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า เด็กถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลน่านเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม มีอาการเป็นผื่น แพทย์เจ้าของไข้ได้ฉีดยาแก้แพ้ และให้ยาไปรับประทาน ดูอาการที่บ้านหลังจากนั้นตอนบ่ายอีกวัน เด็กถูกส่งตัวมารักษาด้วยอาการปวดศีรษะ เวียนหัว อาเจียน ความดันโลหิต จึงนำเข้าห้องผู้ป่วยหนักรักษาช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ แต่เด็กก็มาเสียชีวิตลงด้วยอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบอย่างรุนแรง

                                  จากการสืบค้นประวัติการป่วยของเด็ก เคยป่วยโควิด และพ้นระยะกักตัวเมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา จึงมีข้อที่จะต้องพิสูจน์ว่า อาการหัวใจอักเสบนั้นเกิดจากพิษมดตะนอย หรือจากภาวะลองโควิดหรือไม่ แพทย์เจ้าของไข้และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกำลังค้นคว้าหาข้อมูล

                                  ที่มา : www.sanook.com
                                  มดตะนอย กัดเด็กเสียชีวิต ขอขอบคุณภาพจาก amarintv
                                  มดตะนอย กัดเด็กเสียชีวิต ขอขอบคุณภาพจาก amarintv

                                  พระสงฆ์วัย 33 ปี ถูกมดตะนอยกัดจนช็อกหมดสติต้องหามส่งโรงพยาบาล ที่บริเวณวัดริ้วหว้า ตำบลบ้านพราน อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง แต่โชคยังดีในขณะที่เกิดเหตุมดตะนอยต่อยนั้น มีพระเณรเห็นเหตุการณ์หลายท่าน และได้ช่วยกันแจ้ง 1669 ทางโรงพยาบาลแสวงหา ส่งรถกู้ชีพมารับนำไปทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที ล่าสุดอาการปลอดภัยออกจากโรงพยาบาลแล้วมาพักฟื้นอยู่ที่วัด แต่ยังคงมีอาการมึนงง คลื่นไส้อยู่

                                  ที่มา : www.nationtv.tv

                                  มดตะนอย ต่อยหนัก จริงหรือ??

                                  มดตัวเล็ก ๆ ถึงแม้ว่าจะมีพิษ แต่เวลาโดนกัด โดนต่อย จะทำให้ถึงตายได้จริงหรือ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้า “มดตะนอย” ที่แม้จะตัวเล็ก แต่มีพิษสงไม่เล็กเลยทีเดียว

                                  มดตะนอย เป็นสัตว์มีพิษชนิดหนึ่ง มีลักษณะที่เด่นชัดมาก ๆ ของมดสายพันธุ์นี้ คือ มีตัวที่ยาว เรียว บริเวณท้อง กับหัวจะมีสีเข้มค่อนไปทางดำ บริเวณอกจะมีสีน้ำตาลออกไปทางเหลือง หรือบางตัวก็เป็นสีส้ม ส่วนปลายของท้องจะมีเหล็กในแหลม ๆ กรามขนาดใหญ่กว่ามดทั่วไป อาหารของมดตะนอยมักเป็นแมลง หรือสัตว์ตัวเล็ก ๆ

                                  ที่อยู่อาศัยของมดตะนอย มักรวมกลุ่มทำรังกันบริเวณต้นไม้ที่แห้งตาย หรือต้นไม้ที่ยังมีชีวิตต้นใหญ่ ๆ อันตรายจากมดตะนอยเกิดจากเหล็กใน ในตัวมดตะนอยที่เคลือบสารพิษกลุ่มสารประกอบโปรตีน และสารอัลคาลอยด์ ทำให้ผู้ที่ถูกต่อยมีอาการแพ้ มีอาการรุนแรงกว่ามดทั่ว ๆ ไป และเหล็กในดังกล่าวนั้น มดตะนอยสามารถดึงกลับมาต่อยซ้ำ ๆ ได้อีกหลายครั้ง ต่างจากผึ้งที่ต่อยเพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งเหล็กในไว้ในแผล

                                  อาการเบื้องต้นของคนที่โดนมดตะนอยกัดแต่ไม่ได้มีอาการแพ้คือ ปวดแสบปวดร้อน มีตุ่มบวมบริเวณที่ถูกกัด แต่จะไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรมาก เมื่อเวลาผ่านไปอาการดังกล่าวจะเบาลง และหายไป ไม่ต้องถึงขั้นต้องพบหมอ แต่สำหรับคนที่แพ้หรือไม่รู้ว่าตนเองแพ้ให้สังเกตอาการที่บ่งบอกถึงความรุนแรง ดังนี้

                                  มดตะนอย พิษของมดตะนอย
                                  มดตะนอย พิษของมดตะนอย

                                  เช็กอาการแพ้ พิษมดตะนอย

                                  เมื่อมดตะนอยกัด และปล่อยสารพิษเข้าสู่ร่างกายเราแล้ว จะแสดงอาการ และความรุนแรง แบ่งออกเป็น 3 แบบ ดังนี้

                                  1. ปฏิกิริยารุนแรง

                                  หลังจากถูกกัดได้ประมาณ 15 นาที ผู้ที่ถูกมดกัดจะมีผื่นลมพิษ ผื่นแดง คัน มีอาการบวมที่ตา หน้า ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือบางคนอาจมีอาการบวมทั้งตัว แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก พูดลำบากเนื่องจากระบบทางเดินหายใจมีภาวะบวม มีสารคัดหลั่งออกมา ผิวหนังเขียวคล้ำเพราะหลอดลมในปอดหดตัว ทำให้ลมหายใจไหลเวียนไปฟอกเลือดไม่ได้ กระทั่งส่งผลให้ความดันเลือดตก สมองขาดเลือด เซลล์สมองตาย ช็อก หมดสติ และเสียชีวิตในที่สุด
                                  2. ปฏิกิริยาเฉพาะที่

                                  หากหลังจากถูกมดตะนอยกัด จะมีอาการเจ็บ มีตุ่มคัน บวม แดง โดยภายหลังอาการจะหายไปเอง แต่สำหรับคนที่มีอาการรุนแรง อาจมีอาการปวดบวมมากแต่ไม่คัน หน้ามืด เป็นลม เหงื่อออกมาก เดินไม่ไหว แผลที่มดกัดบวมแดง และลามไปบริเวณใกล้เคียง ตัวสั่น หาวนอนถี่ มือ-เท้าเย็น หรืออาจเป็นลมพิษทั่วตัว เจ็บ คัน ร่วมกับมีไข้

                                  3. ปฏิกิริยาชนิดผิดธรรมดา

                                  โดยหลังจากถูกมดกัดจะมีอาการเม็ดเลือดแดงแตก มีลิ่มเลือดแพร่กระจาย มีการอุดตันของเส้นเลือดแดง เกิดภาวะเลือดออก และคั่งทั่วตัว กล้ามเนื้อตาย ปวดตามกล้ามเนื้อ เป็นตะคริว ปัสสาวะมีสีดำ สีน้ำปลา หรือสีแดงจากภาวะไตวาย โดยอาจพบว่ามีภาวะอุดตันในระบบการทำงานของไตได้

                                  อาการแพ้ มีไข้ มีน้ำมูก ผื่นคัน หายใจไม่สะดวก
                                  อาการแพ้ มีไข้  ผื่นคัน หายใจไม่สะดวก
                                  อาการบ่งบอกเบื้องต้นว่า แพ้พิษมดตะนอย
                                  • แน่นหน้าอก
                                  • หายใจลำบาก
                                  • ตัวชา
                                  • คลื่นไส้
                                  • อาเจียน
                                  • ท้องเสีย
                                  • มีตุ่ม แผลบวมมาก

                                  แบบนี้ก็ถือว่าอาการไม่ปกติ และควรรีบนำตัวผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ระยะเวลาในการแสดงอาการจะต่างกันออกไป ตั้งแต่เป็นนาที จนถึงเป็นชั่วโมง

                                  แม้เพียงตัวเดียว ก็อาจแพ้รุนแรงได้!!

                                  ระดับความรุนแรงของพิษมดตะนอยขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยด้วยกัน คือ

                                  1. จำนวนมดตะนอยที่กัด หากโดนรุมกัดจากมดตะนอยหลาย ๆ ตัว ได้รับพิษมดตะนอยในปริมาณมาก ก็อาจมีอาการมากไปด้วย
                                  2. มีภาวะแพ้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยอยู่แล้ว มดตะนอยกัดเพียงตัวเดียวก็อาจส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงต่อร่างกายได้เช่นกัน หากคุณเป็นคนแพ้พิษแมลงอยู่แล้ว ร่างกายจึงไวต่อพิษของมดตะนอยที่เข้ามา ทำให้เกิดปฎิกิริยารุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้

                                  วิธีปฐมพยาบาล เมื่อถูกมดตะนอยกัด

                                  1. ล้างแผลด้วยน้ำสะอาด และสบู่
                                  2. ประคบแผลด้วยน้ำแข็งหรือเจลเย็นนาน 20 นาที เพื่อลดอาการบวม และอาการปวด โดยควรประคบเย็นซ้ำทุกชั่วโมงจนกว่าอาการจะทุเลา
                                  3. ทาครีมสเตียรอยด์เพื่อลดอาการปวดได้ แต่ไม่ควรใช้ยาทาที่ทำให้เกิดความร้อน เพราะจะทำให้มีการแพร่กระจายของพิษอย่างรวดเร็ว
                                  4. หากมีอาการปวดมากให้กินยาพาราเซตามอลช่วยบรรเทา
                                  5. ควรรับประทานยาแก้แพ้ร่วมด้วย
                                  6. ถ้าผื่นมีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 2 นิ้ว หรือรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องหรือมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือถูกกัดหลายจุด ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที

                                    ดูแลลูกให้ห่างไกลสัตว์มีพิษ มดตะนอย งู ตะขาบ
                                    ดูแลลูกให้ห่างไกลสัตว์มีพิษ มดตะนอย งู ตะขาบ

                                  การดูแลเด็ก ห่างไกลสัตว์มีพิษ

                                  นอกจากมดตะนอยแล้ว ยังมีสัตว์มีพิษอีกหลายชนิดที่เราต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ที่ไม่รู้ถึงพิษภัย และเล่นซนตามประสาจนอาจไปเจอเข้ากับสัตว์มีพิษต่าง ๆ ได้ ดังนั้นเราข้อควรระวัง และวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากสัตว์มีพิษต่าง ๆ ที่มักพบเจอบ่อยมาฝากกัน

                                  งู และสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษ

                                  สัตว์เหล่านี้จะหลบในรูในช่วงฤดูร้อน และออกมาในช่วงฤดูฝน งู แมงป่อง ตะขาบ และสัตว์เลื้อยคลานที่มีพิษ ส่วนมากมักจะออกมาจากรูมาหากินหลังฝนตก จึงควรระมัดระวังลูกหลานเวลาออกเดินเล่นนอกบ้านหลังฝนตก และจัดบ้านไม่ให้รก มีซอกมีหลืบ อันเป็นที่อยู่ของสัตว์เหล่านี้ได้

                                  การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำได้โดย

                                  1. รีบทำความสะอาดบาดแผลด้วยสบู่ น้ำสะอาด และแอลกอฮอล์ล้างแผล
                                  2. ในกรณีสงสัยงูกัด แนะนำให้ใช้เชือกหรือผ้าพันเหนือแผลให้พอแน่น เพื่อชะลอเวลาเดินทางของพิษงูเข้าสู่อวัยวะต่าง ๆ
                                  3. รีบไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจรักษาตามชนิดของพิษต่างๆ ซึ่งในรายงูกัด อาจจำเป็นต้องได้รับเซรุ่มแก้พิษงู ไม่ควรรอจนกว่ามีอาการแล้ว

                                  แมงกระพรุนไฟ

                                  มีมากบริเวณชายทะเล และแนวชายหาด เมื่อถูกแมงกะพรุนไฟเข้าไปสัมผัสกับร่างกาย จะทำให้เกิดอาการปวดร้าวไปทั้งตัว ลักษณะของแมงกะพรุนไฟ ลำตัวจะมีรูปร่างคล้ายร่ม มีสีแดง มีหนวดยื่นยาว 

                                  การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำได้โดย

                                  เมื่อถูกพิษของแมงกะพรุนไฟ ควรจะใช้น้ำส้มสายชูในการล้างแผล ไม่ควรใช้น้ำจืด และหลังจากนั้นควรรีบไปให้แพทย์ทำการตรวจรักษาทันทีทันใด วิธีที่จะป้องกันอันตรายจากแมงกะพรุนที่สำคัญ นักเล่นน้ำควรหลีกเลี่ยงลงเล่นน้ำทะเลในบริเวณที่มีแมงกะพรุนไฟ ชุกชุม หรือช่วงหลังพายุฝน

                                  ระวังสัตว์มีพิษ มดตะนอย เวลาลูกเล่นนอกบ้าน
                                  ระวังสัตว์มีพิษ มดตะนอย เวลาลูกเล่นนอกบ้าน

                                  เม่นทะเล บุ้งทะเล

                                  หากโดนหนามเม่นตำ จะเกิดอาการอักเสบบวมแดง เจ็บปวด และเป็นไข้ได้ หนามของเม่นทะเลจะทำให้เกิดอาการชาอยู่นาน

                                  การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำได้โดย

                                  เมื่อถูกหนามเม่นทะเลตำให้ถอนหนามออก หากถอนไม่ออกให้พยายามทำให้หนามบริเวณนั้นแตกเป็น ชิ้นเล็ก ๆ โดยการบิดบริเวณผิวหนังไปมา หรือแช่แผลในน้ำร้อนประมาณ 50 องศาเซลเซียส เพื่อช่วย ให้หนามย่อยสลายเร็วขึ้น

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก สสส./www.si.mahidol.ac.th

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  5 แมลงมีพิษ และสัตว์ร้ายที่มากับหน้าฝน อันตรายใกล้ตัวลูก ที่พ่อแม่ต้องระวัง!

                                  แชร์เตือน!ลูกไม่สบตาอย่าปล่อยผ่านอาจสายตายาว ตาเหล่ ได้

                                  ทุกบ้านต้องระวัง! เชื้อก่อโรคใน ข้าวมันไก่

                                  อย่าคิดว่าเรื่องเล็ก! ลูกอาจทรมานเพราะ หอบ หืดในเด็ก

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    Attitude Mom

                                    Attitude Mom และ Plentitude เปิดสาขาใหม่ที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่

                                    “เปิดแล้วสาขาที่ 6! ของ Attitude Mom และ Plentitude ร่วมด้วยแบรนด์เครื่องดื่มวิตามิน Plenty Drink เปิดบริการวันแรกในวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 โดยสาขานี้ตั้งอยู่ที่ @curve community & education mall จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเพิ่มความสะดวกให้ลูกค้ามากขึ้นด้วยบริการแบบ One Stop Service เบ็ดเสร็จในที่เดียว เปิดบริการตั้งแต่ 07:00 น.-19:00 น.ให้บริการทุกวันเลยค่ะ โดยจะเน้นความสะดวกสบายในการหาซื้อเครื่องปั๊มนม และอะไหล่ต่างๆ ทุกรายการสินค้า คุณลูกค้าสามารถส่งเครื่องเข้ามาเช็ค หรือขอรับเครื่องสำรองได้ที่ศูนย์บริการ นอกจากนั้น คุณลูกค้ายังสามารถเข้ามาเทสเครื่องปั๊มนมได้ทุกรุ่น พร้อมทั้งขอคำแนะนำต่างๆเกี่ยวกับการใช้งานเครื่องปั๊มนม ได้เลยค่ะ

                                    Attitude Mom x Plentitude

                                    สำหรับสินค้าใหม่ เครื่องดื่มวิตามิน Plenty Drink เครื่องดื่มวิตามิน ส่วนผสมจากแอปริคอตและหัวปลี ก็มีจำหน่ายแล้วที่สาขาเชียงใหม่ และทุกๆสาขาของเรา โดยสามารถเข้ามาชิมรสชาติอร่อยๆ สดชื่นๆ ได้ที่ร้านของเราได้เลยนะคะ

                                    สำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าของ Attitude mom และ Plentitude ทุกช่องทางรวมถึงซื้อที่สาขา เรามีบริการหลังการขาย คุณลูกค้าสามารถแอดไลน์ที่ @Attitudemom และ @plentitude เพื่อขอรับคำปรึกษากับทางเจ้าหน้าที่ เรามีบริการให้คำปรึกษาตั้งแต่เวลา 7.30 น. – เที่ยงคืนของทุกวันค่ะ”

                                    #Attitudemom #Plentitude #Plentydrink

                                    Attitude Mom x Plentitude

                                    Attitude Mom

                                      Tags