เหงื่อออกมือ-เท้า

เหงื่อออกมือ-เท้า สัญญาณ4โรคร้าย ที่พ่อแม่อาจกำลังเสี่ยง

เหงื่อออกมือ-เท้า สัญญาณ 4 โรคร้าย ที่พ่อแม่อาจกำลังเสี่ยง

ปกติแล้ว ร่างกายจะช่วยรักษาสมดุลของอุณหภูมิในร่างกาย เมื่อต้องเจอกับอากาศร้อน ๆ ด้วยการขับเหงื่อออกมา แต่หลายครั้ง ที่อาการเหงื่อออก ไม่ได้มาจากสภาพอากาศ แต่อาจเป็นอาการเบื้องต้น หรือสัญญาณเริ่มต้นของโรคบางชนิด เช่นเดียวกับที่อาการ เหงื่อออกมือ-เท้า อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า คุณพ่อ คุณแม่ อาจกำลังเผชิญกับ 4 โรคร้ายค่ะ

เหงื่อออกมือ-เท้า สัญญาณอันตราย 4 โรคร้าย

  1. เบาหวาน

โรคเบาหวาน คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงานของฮอร์โมน อินซูลิน  ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายของคนเรา จำเป็นต้องมีอินซูลิน เพื่อนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะสมอง และกล้ามเนื้อ ในภาวะที่อินซูลินมีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นการลดลงของปริมาณอินซูลินในร่างกาย หรือการที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายดื้ออินซูลิน จะทำให้ร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือดไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้มีปริมาณน้ำตาลคงเหลือในกระแสเลือดมากกว่าปกติ

ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอาการเริ่มต้นที่แสดงออกให้เห็นมากมาย เช่น

  • ปัสสาวะบ่อย
  • กระหายน้ำบ่อย
  • แผลที่เป็นอยู่ไม่ยอมหายหรือหายช้าผิดปกติ
  • วิงเวียนศีรษะ
  • สายตาพร่ามัว
  • รวมถึงอาการเหงื่อออกมากบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ที่มักมาควบคู่ไปกับอาการเหนื่อยหอบ คล้ายจะเป็นลมด้วย
เหงื่อออกมือ-เท้า
เหงื่อออกมือ-เท้า สัญญาณ 4 โรคร้าย ที่พ่อแม่อาจกำลังเสี่ยง
  1. ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ

ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ เรียกอีกชื่อว่า ภาวะไฮเปอร์ไทรอยด์ หรือภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป เกิดขึ้นเมื่อต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากกว่าปริมาณที่ร่างกายต้องการ

ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมขนาดเล็ก ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของลำคอ มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ โดยฮอร์โมนไทรอยด์ มีผลต่อระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย จึงเกี่ยวข้องกับการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายเกือบทุกส่วน ที่สำคัญ เช่น การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย การหายใจ การเต้นของหัวใจ น้ำหนักตัว อารมณ์ ฯลฯ หากมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ แล้วไม่ได้รับการรักษา จะส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพต่อหัวใจ กระดูก กล้ามเนื้อ รอบเดือน และระบบสืบพันธุ์ได้

อาการเบื้องต้นของผู้ป่วยโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ มักพบได้จากอาการ

  • เหงื่อซึมไปทั่วทั้งตัว รวมถึงฝ่ามือ
  • ร่วมกับอาการมือสั่น
  • ผมร่วง
  • กระหายน้ำบ่อยกว่าปกติ
  1. เครียด

ความเครียด เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ในทุกเพศทุกวัย คนส่วนใหญ่มักมีอาการเครียดสะสม เนื่องมาจากการใช้ชีวิตที่ตึงเครียด บางรายมีความกดดันมาก และมีความคาดหวังสูง ซึ่งพอไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง  ทำให้มีอาการเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัวได้เช่นกัน บางรายอาจจะเป็นโรคซึมเศร้า หรือ โรควิตกกังวล ได้ในอนาคต

อาการเครียด หรือตื่นเต้น วิตกกังวลมากจนเกินไป จนเริ่มควบคุมตัวเองได้อย่างยากลำบาก สามารถเกิดขึ้นร่วมกับอาการอื่นๆ ที่สังเกตได้ ได้แก่

  • เหงื่อออกมากบริเวณผ่ามือ ฝ่าเท้า และหน้าผาก
  • อาจมีอาการร่วมกับใจสั่น มือสั่น
  1. โรคหัวใจ

โรคหัวใจ คือโรคที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ สามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันโรคหัวใจ และหลอดเลือด มีอัตราการเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในแต่ละปี จะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ และหลอดเลือด จำนวน 54,530 คน เฉลี่ยเสียชีวิตวันละ 150 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน เลยทีเดียว

สาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจนั้น มักเกิดจากปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ทำอยู่ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น การสูบ หรือสูดดมควันบุหรี่ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง มีรสหวาน และอาหารเค็ม และยังรวมไปถึงน้ำหนักตัว ความดันโลหิต และระดับน้ำตาลในเลือดด้วย

ผู้ป่วยโรคหัวใจอาจพบอาการที่สังเกตได้ เช่น

  • ใจสั่น
  • เหนื่อยหอบ
  • รวมถึงเหงื่อออกมือ เพราะร่างกายต้องใช้พลังงานมาก ในการสูบฉีดโลหิต ความร้อนในร่างกายจึงเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย จนทำให้เกิดเหงื่อที่มือได้

เหงื่อออกมือ-เท้ามากแค่ไหน ควรพบแพทย์

อาการเหงื่อออกที่มือ เท้า รวมถึงเหงื่อออกมากผิดปกติ สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หากมีอาการเหงื่อออกร่วมกับอาการที่กล่าวไปข้างต้น รวมถึงเหงื่อออกมากผิดปกติตามบริเวณต่าง ๆ ในร่างกาย ก็ควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อเร่งหาสาเหตุและรักษาอย่างทันท่วงที

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลเปาโล,Medpark hospital, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, โรงพยาบาลศิครินทร์,โรงพยาบาลเปาโล

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เช็กอาการ มดลูกโต สังเกตได้จากอะไร? รู้เร็วไม่ต้องผ่า!

รู้จัก โรคไฟโบรมัยอัลเจีย ปวดเรื้อรังหาสาเหตุไม่ได้

เล็บบอกโรค พบขีดที่เล็บนิ้วโป้งให้ระวังมะเร็งผิวหนังใต้เล็บ

    พัฒนาการทารก 8 เดือน วัยแห่งความอยากรู้อยากเห็น!!

    พัฒนาการทารก 8 เดือน มีความอยากรู้ในทุก ๆ สิ่งรอบตัว เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ทุกวัน ส่วนการเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย และอารมณ์ก็พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน

    พัฒนาการทารก 8 เดือน วัยแห่งความอยากรู้อยากเห็น!!

    เด็กในวัย 8 เดือน พัฒนาการทารก 8 เดือน จะมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ มากขึ้นอย่างชัดเจน ทารกไม่เพียงแค่เรียนรู้โลกรอบ ๆ ตัว โดยการนำสิ่งของเข้าปาก แต่ยังเรียนรู้ถึงการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น และถึงแม้ว่าทารกจะยังไม่เริ่มเดิน แต่คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้ถึงขาที่แข็งแรงขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการก้าวเดินในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้พัฒนาด้านต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้นำข้อมูลมาฝากแล้วค่ะ

    คลานได้คล่อง
    คลานได้คล่อง

    พัฒนาการด้านร่างกาย

    ร่างกายทารกในวัยนี้ จะมีพัฒนาการที่ชัดเจนมาก โดยจะมีน้ำหนักและส่วนสูงเพิ่มมากขึ้น จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 400 กรัมต่อเดือน ทั้งนี้การเจริญเติบโตของทารกแต่ละคนอาจมีความแตกต่างกัน หากทารกมีน้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์มาตรฐาน และมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องวิตกกังวลใด ๆ

    ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของทารกก็สามารถเพิ่มความสูงได้เช่นกัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถเสริมพัฒนาการได้ โดยให้ลูกได้เคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำ

    ทารกเพศชาย

    น้ำหนักประมาณ 7.2 – 9.5 กิโลกรัม

    ส่วนสูงประมาณ 65.9 – 73.2  เซนติเมตร

    ทารกเพศหญิง

    น้ำหนักประมาณ 6.6 – 9 กิโลกรัม

    ส่วนสูงประมาณ 64.2 – 72.8 เซนติเมตร

    พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อ

    • ทารกจะสามารถลุกนั่งเองได้
    • คลานได้คล่อง โดยเฉพาะเมื่อเจอสิ่งที่สนใจจะคลานได้อย่างรวดเร็ว
    • เริ่มเกาะยืนได้บ้างแล้ว โดยใช้เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ เช่น ตู้ เตียง โต๊ะ ในการพยุงตัวขึ้นยืน คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกเกาะยืนบ่อย ๆ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อขา เตรียมพร้อมสำหรับการเดินในไม่ช้านี้
    • ใช้นิ้วหยิบของชิ้นเล็ก ๆ ได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรระวัง ไม่นำของชิ้นเล็ก ๆ ไว้ใกล้ลูก เพราะอาจหยิบเข้าปาก เป็นอันตรายได้
    • ชี้นิ้วไปที่สิ่งของต่าง ๆ ได้ โดยจะชี้นิ้วเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่หยิบของที่ต้องการให้ หรือชี้ไปที่สิ่งของแปลก ๆ เพราะสงสัย และอยากรู้ว่าคืออะไร

    อย่างไรก็ตาม ทารกบางคนอาจคลานช้า แต่หากอายุ 1 ปีแล้ว แต่ยังไม่เริ่มคลาน หรือคลานด้วยลักษณะที่ผิดปกติ ควรนำทารกไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ นอกจากนี้ การยืนเกาะของทารกบางคนอาจเริ่มช้า อาจเริ่มเมื่ออายุ 9 เดือนได้

    พัฒนาการด้านประสาทสัมผัสและการมองเห็น

    • การมองเห็นดีขึ้น สามารถมองเห็นได้ในระยะที่ไกลขึ้น และสามารถแยกความลึกความตื้นของภาพที่เห็นได้ดีขึ้นด้วย
    • สามารถแยกแยะความแตกต่างของรูปร่างหรือพื้นผิวของสิ่งของต่าง ๆ ได้
    • มองตามของที่ตกลงพื้น

    พัฒนาการด้านอารมณ์

    • แสดงความรู้สึกต่าง ๆ ได้ชัดเจนขึ้น จะปรบมือเมื่อรู้สึกตื่นเต้นดีใจ และโบกมือเมื่อจะจากกัน
    • มีอาการติดพ่อแม่ จะรู้สึกกลัว หรือวิตกกังวลหากคุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่ด้วย ดังนั้น หากมีความจำเป็นต้องให้ลูกอยู่กับผู้อื่น ควรอยู่กับลูกให้ลูกรู้สึกคุ้นเคยกับผู้ที่จะอยู่ด้วยก่อน ส่งสัญญาณให้ลูกรู้ล่วงหน้าว่าพ่อแม่จะไม่อยู่ด้วยสักพัก โดยการหอมแก้ม โบกมือ เป็นต้น แล้วบอกลูกว่าพ่อแม่จะไปไหน และพูดให้ลูกมั่นใจว่าพ่อแม่จะกลับมา
    • ในวัยนี้สามารถจดจำใบหน้าของคุณพ่อคุณแม่และผู้ที่คุ้นเคยได้ ดังนั้นจึงรู้สึกกลัวคนแปลกหน้า จะร้องไห้เสียงดังหรือผลัก หากโดนคนแปลกหน้าอุ้มหรือจับตัว
    พัฒนาการทารก 8 เดือน
    พัฒนาการทารก 8 เดือน

     พัฒนาการทางภาษาและการเข้าสังคม

    • เริ่มพูดเลียนแบบเสียงคำสั้น ๆ ได้ชัดขึ้น เช่น มะมา ปะปา หม่ำ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรพูดคุยกับลูกบ่อย ๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษาของลูก
    • เข้าใจคำศัพท์ หรือประโยคง่าย ๆ ได้ เช่น นม หม่ำ สวัสดี ลาก่อน เป็นต้น
    • สนใจสิ่งรอบ ๆ ตัวมากขึ้น และสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของกับการกระทำต่าง ๆ หรือผลลัพธ์จากการกระทำของตัวเองได้ เช่น จะรู้ว่าถึงเวลาทานอาหาร เมื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้สูง หรือเก้าอี้ทานข้าว และรู้ว่าถึงเวลานอน เมื่ออยู่บนเตียงนอน เป็นต้น

    การรับประทาน

    ทารกวัย 8 เดือน ยังคงดื่มนมแม่หรือนมผงอยู่ประมาณ 3 – 5 ครั้งต่อวัน ร่วมกับการให้อาหารบดหยาบ อาหารเสริม หรืออาหาร Finger Food

    ตัวอย่างอาหารบดหยาบหรืออาหารเสริม และปริมาณอาหารที่ควรได้รับต่อวัน

    • ข้าวบดหยาบประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ
    • ไข่ทั้งฟอง สลับกับเนื้อปลา เนื้อหมู หรือเนื้อไก่ 2 ช้อนโต๊ะ
    • ผักสุกบดหยาบ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ สลับผักให้หลากหลาย เช่น แครอท อะโวคาโด ฟักทอง บร็อคโคลี่ ผักโขม เป็นต้น
    • น้ำต้มผักกับกระดูกหมู 1 มื้อ
    • ผลไม้สุกหลังอาหาร เช่น แอ๊ปเปิ้ล กล้วย มะละกอ กีวี มะม่วง แตงโม บลูเบอรี่ เป็นต้น

    อาหาร Finger Food คือ อาหารที่มีขนาดพอดีคำ ที่ทารกสามารถหยิบรับประทานเองได้ ช่วยในการฝึกให้ทารกรับประทานอาหารเอง

    ในวัยนี้ คุณพ่อคุณแม่จะสังเกตได้ถึงความพร้อมในการรับประทานอาหารด้วยตัวเองของทารก โดยทารกจะเอามือคว้าช้อนที่กำลังป้อนอยู่ หรือคว้าอาหารในจาน ซึ่งการการหยิบอาหารรับประทานเองนี้ จะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กของทารก

    อย่างไรก็ตาม การเลือกอาหาร Finger food ก็ควรระวัง นอกจากอาหารควรจะเป็นชิ้นเล็กขนาดพอดีคำแล้ว ยังต้องพิจารณาถึง ความนิ่ม และความหนืด อีกด้วย ควรระวังทารกสำลัก หรืออาหารติดคอได้

    ตัวอย่างอาหาร Finger Food มีดังนี้

    • ไข่กวน ไข่คน หรือไข่ต้มสุก หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอดีคำ
    • พาสต้าผัดกับเนย น้ำมันมะกอก หรือซอสมะเขือเทศแบบโซเดียมต่ำ หั่นพอดีคำ
    • เต้าหู้หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี
    • ผักนึ่งหรือต้ม เช่น แครอท มันเทศ มันฝรั่ง หั่นพอดีคำ
    • ชีสต่าง ๆ หั่นพอดีคำ
    • ถั่วต่าง ๆ บดพอหยาบให้ทารกสามารถหยิบได้
    • ไก่ชิ้น ปลาชิ้น เนื้อบด หมูบด หั่นพอดีคำ

    การนอน

    ทารกในวัยนี้ ควรนอนวันละประมาณ 14 ชั่วโมง โดยนอนตอนกลางคืนประมาณ 10 -11 ชั่วโมง ทั้งนี้ทารกบางคนอาจหลับยาวถึงเช้า และนอนกลางวันรวมทั้งหมดประมาณ 3-4 ชั่วโมง ประมาณ 2 ครั้ง

    วิธีดูแลทารก 8 เดือน

    การดูแลทารกในวัยนี้ ซึ่งเป็นวัยเริ่มคลาน และเริ่มฝีกเกาะยืน จึงควรต้องมีความระมัดระวังดังนี้

    • ทำความสะอาดพื้นอยู่เสมอ และเก็บของต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อทารก เช่น สารเคมี ของชิ้นเล็ก ๆ เพราะทารกอาจนำเข้าปากได้
    • ปิดรูปลั๊กไฟ ป้องกันทารกเอานิ้วแหย่เข้าไป
    • ควรปิดประตูห้องต่าง ๆ ให้สนิท ติดประตูกั้นบันได ป้องกันทารกปีนขึ้นบันได เพราะอาจตกลงมาจากบันไดได้
    • ปิดที่ปิดลิ้นชัก กันทารกเปิดลิ้นชักแล้วร่วงทับตัว
    • ไม่ควรให้ทารกดูโทรทัศน์เป็นเวลานาน ควรเปิดเพลง ร้องเพลง อ่านนิทาน เล่นจ๊ะเอ๋ เล่นตบมือ เล่นจับปูดำ หรือพูดคุยแทน เพราะการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

    ทั้งหมดนี้คือ พัฒนาการทารก 8 เดือน ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวบข้อมูลมานำเสนอให้แก่คุณพ่อคุณแม่ เพื่อสังเกตถึงพัฒนาการของลูกน้อยว่ามีพัฒนาการที่สมวัยหรือไม่

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    ตาแฉะ ทารกตาแฉะ ขี้ตาเป็นหนอง ปล่อยไว้อาจเป็นโรคนี้!!

    ศีรษะทารกแรกเกิด บวมโนอันตรายไหม? จะยุบเมื่อไหร่?

    เข้าใจ “เดอะวันเดอร์วีค” รับมือลูกงอแงแบบไม่มีสาเหตุ!

    ลูกชอบมองเพดาน หัวเราะคนเดียว ทำท่าทางแปลกๆ ผิดปกติไหม?

    ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com, https://www.sanook.com, https://www.synphaet.co.th

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    Amarin Baby & Kids

      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a

      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a ระบาดหมอชี้มีโอกาสติดเชื้อพร้อมโควิด

      หมอมนูญเตือนพบสัญญาณการระบาดของ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a อาการใกล้เคียงโควิด หรือบางคนอาจติดเชื้อทั้ง 2 เชื้อพร้อมกันได้ แนะรีบฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ช่วยได้

      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a ระบาด หมอชี้มีโอกาสติดเชื้อพร้อมโควิด!!

      นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าโรคระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้ส่งสัญญาณเตือนผ่านข้อความเฟซบุ๊ก “หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC” ไว้เกี่ยวกับการกลับมาระบาดใหม่ของ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a ที่น่ากังวลดังนี้

      สัญญาณเตือนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กำลังกลับมาระบาดใหม่ หลังจากว่างเว้นไปมากกว่า 2 ปี ทำให้ภูมิคุ้มกันของคนไทยส่วนใหญ่ต่อเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ลดลงตามเวลา เนื่องจากไม่ได้รับเชื้อตามธรรมชาติและคนจำนวนมากไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี ขอให้คนกลุ่มเสี่ยง คนสูงอายุ คนที่มีโรคประจำตัว เด็กเล็ก และหญิงตั้งครรภ์ รีบไปรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่โดยเร็ว

      คนที่มีอาการสงสัยโรคโควิด มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ต่อไปนี้ต้องตรวจหาทั้งไวรัสโควิด-19 และไข้หวัดใหญ่พร้อมกัน บางคนอาจติดเชื้อไวรัส 2 เชื้อในเวลาเดียวกัน (ดูรูป) ถ้าตรวจพบเชื้อไข้หวัดใหญ่ รีบให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ทันที
      ผู้ป่วยหญิงอายุ 75 ปีมีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง มาพบแพทย์วันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ด้วยไข้ 1 วัน ไอ มีเสมหะ เจ็บคอบ้าง ไม่มีน้ำมูก มึนหัว คลื่นไส้ 4 วัน อยู่บ้านเดียวกับหลานอายุ 7 ,9 ,10 ขวบ หลานทั้ง 3 คนทยอยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม
      ตรวจร่างกาย ไม่มีไข้ ระดับออกซิเจนปกติ เอกซเรย์ปกติ ตรวจล้วงจมูกส่งตรวจแบบให้ผลเร็ว พบไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ตรวจ ATK สำหรับโควิด-19 ให้ผลลบ
      วินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ให้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ Baloxavir กิน 2 เม็ดทันที
      เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2565 มีอีก 1 ครอบครัวติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่เหมือนกัน
      เพจหมอมนูญเตือนระวังการระบาด ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a
      เพจหมอมนูญเตือนระวังการระบาด ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a
      จากประเด็นข้อน่ากังวลของคุณหมอมนูญที่ส่งสัญญาณเตือนให้เราเตรียมตัวรับมือกับการระบาดใหม่ของ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a นั้น ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่กันเสียก่อนว่า มีกี่สายพันธุ์ และมีอาการแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

      ทำความรู้จัก โรคไข้หวัดใหญ่!!

      โรคไข้หวัดใหญ่ หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ Influenza เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza Virus) มีผลต่อระบบทางเดินหายใจอย่างจมูก คอ หลอดลม อาจลามไปถึงปอดด้วยเช่นกัน ไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่กระจายเชื้อจากผู้ป่วยคนหนึ่งสู่ผู้ป่วยอีกคนหนึ่งผ่านละอองฝอย น้ำลาย หรือเสมหะ รวมถึงการใช้ของร่วมกันของผู้ป่วย ไข้หวัดใหญ่มีความแตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาตรงที่มีความรุนแรงมากกว่า หากมีอาการหนักอาจถึงแก่ชีวิตได้

      ไข้หวัดใหญ่ในปัจจุบันมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ นั่นก็คือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A, B และ C ตามลำดับ

      • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A: เชื้อไวรัสที่เกิดจากสัตว์ปีกอย่างนก ไก่ ทำให้ไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อจากสัตว์ไปสู่คน และคนสู่คนต่อไปเรื่อยๆ มีอาการเจ็บป่วยรุนแรง และอันตรายที่สุด เช่น เชื้อไวรัส H1N1
      • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B: เชื้อไวรัสที่พบได้เฉพาะคน การติดต่อก็จะเกิดจากคนสู่คนด้วยกัน มักมีการแพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนหรือฤดูหนาว มีอาการที่รุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ A เช่น เชื้อไวรัสสายพันธุ์ B/Yamagata
      • ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ C: อีกหนึ่งเชื้อไวรัสที่เกิดจากคน แต่ไม่ค่อยแสดงอาการและไม่มีการแพร่ระบาดในหมู่คน แพทย์จึงไม่ให้ความสนใจกับเชื้อไวรัสชนิดนี้มากนัก

      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a : สายพันธุ์ที่อันตรายที่สุด!!

      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A/H1N1 เกิดจากการผสมผสานของไวรัสสายพันธุ์ของคน หมู และนก ไม่เป็นที่ปรากฏว่าเชื้อนี้ได้เริ่มติดในคนเป็นครั้งแรกตั้งแต่เมื่อใด แต่เมื่อมีการระบาดเกิดขึ้นแล้ว พบว่าเป็นการแพร่กระจาย และติดต่อจากคนสู่คน เริ่มพบที่ประเทศเม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ต่อมาได้แพร่ออกไปอีกหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย

      ป้องกัน ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a หมั่นล้างมือ
      ป้องกัน ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a หมั่นล้างมือ

      แพร่เชื้ออย่างไร?

      เชื้อไวรัสที่อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ติดต่อไปยังคนอื่น ๆ  โดยการไอจามรดกันโดยตรง หรือหายใจเอาฝอยละอองเข้าไป หากอยู่ใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร บางรายได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือ หรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู  โทรศัพท์ ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางจมูก ตา ปาก

      • ผู้ป่วยอาจเริ่มแพร่เชื้อได้ ตั้งแต่ 1 วันก่อนป่วย
      • ช่วง 3 วันแรก จะแพร่เชื้อได้มากสุด
      • และระยะแพร่เชื้อมักไม่เกิน 7 วัน

      อาการที่น่าสงสัยว่าป่วย

      1. ระบบทางเดินหายใจมีความผิดปกติ อาทิ น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ
      2. ไข้ขึ้นสูง ประมาณ 38 องศาเซลเซียส หรือมากกว่า
      3. อาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วยในผู้ป่วยบางราย
      4. ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะโรคปอด โรคหัวใจ โรคเรื้อรังต่างๆ อาจส่งผลให้เกิดอาการปอดบวม หัวใจวาย และเสียชีวิตได้

      โรคนี้รักษาได้ไหม?

      ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที ซึ่งแพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส คือยาโอลเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir)เป็นยาชนิดกิน หากผู้ป่วยได้รับยาภายใน 2 วันหลังเริ่มป่วย จะให้ผลการรักษาดี ผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย เช่น มีไข้ต่ำ ๆ และยังรับประทานอาหารได้ อาจไปพบแพทย์ที่คลินิก  หรือรับยา และขอคำแนะนำจากเภสัชกรใกล้บ้าน และดูแลรักษากันเองที่บ้าน โดยมีข้อควรปฎิบัติ ดังนี้

      • รับประทานยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอล ยาละลายเสมหะ เป็นต้น
      • เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ ด้วยน้ำสะอาด ไม่เย็น
      • ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มาก ๆ งดดื่มน้ำเย็น
      • พยายามรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ได้มากพอ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก ผลไม้ เป็นต้น หากรับประทานอาหารได้น้อย อาจต้องได้รับวิตามินเสริม
      • นอนหลับพักผ่อนมาก ๆ ในห้องที่อากาศถ่ายเทดี
      • ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยกเว้นติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งต้องรับประทานยาจนหมดตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ดื้อยา

        มีโอกาสติดเชื้อ 2 เชื้อ ทั้ง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a และโควิด19
        มีโอกาสติดเชื้อ 2 เชื้อ ทั้ง ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a และโควิด19

      ป้องกันอย่างไร?

      • รักษาร่างกายให้แข็งแแรง โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมทั้งไข่ นม ผัก และผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดและนอนหลับพักผ่อนให้พอเพียง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงบุหรี่และสุรา
      • ล้างมือฟอกสบู่บ่อยๆ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ ใน ที่สาธารณะ
      • หลีกเลี่ยงการพบปะกับคนที่กำลังป่วย หรือเป็นหวัด
      • หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีฝูงชนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า
      • หากป่วยควรเก็บตัวอยู่บ้าน และใส่หน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่เชื้อให้กับคนในบ้าน
      • ปิดปาก และจมูกเวลาไอหรือจามด้วยกระดาษทิชชู่ แล้วทิ้งขยะทันที หรือใช้ผ้าเช็ดหน้าซึ่งจะใช้ซ้ำได้ 2-3 ครั้ง โดยกลับด้านสะอาดขึ้นมาใหม่ (ในกรณีที่ไม่มีกระดาษทิชชู่ ควรปิดปากและจมูกด้วยต้นแขนเสื้อ) เพื่อไม่ให้เชื้อโรคสัมผัสกับมือหรือแพร่กระจายในอากาศ
      • ใช้ช้อนกลางทุกครั้ง  เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
      • ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดมือ  ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น  โดยเฉพาะผู้ป่วย ไข้หวัดใหญ่
      • ไม่ควรกินยาแอสไพรินเองก่อนปรึกษาแพทย์ เนื่องจากยาจะออกฤทธิ์รบกวนการทำงานของเกล็ดเลือด

      สร้างภูมิคุ้มกัน ลดเสี่ยงด้วยวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์

      “ ..ไข้หวัดใหญ่…” โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา Influenza Virus อาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ไม่ควรมองข้ามว่าไม่อันตราย เนื่องจากสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกัน ควรรับการฉีดวัคซีนป้องกันเป็นประจำทุกปี

      วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ปี 2022
      วัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ 2022 ประกอบด้วย 4 สายพันธุ์ คือ

      • ไวรัสสายพันธุ์ A มี A/H1N1 กับ H3N2 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ไปทีละเล็กละน้อยเพื่อหลบหลีกวัคซีน
      • ไวรัสสายพันธุ์ B  ส่วนไข้หวัดใหญ่ B มี Victoria กับYamagata สลับกันไปมา จึงได้มีการให้วัคซีนทุกปี ทั้ง 2 สายพันธุ์

        ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ป้องกันการติดเชื้อไวรัส
        ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ป้องกันการติดเชื้อไวรัส

      ใครบ้างควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์

      1. เด็ก อายุตั้งแต่ 6 เดือน ขึ้นไป จนถึง 5 ปี
      2. ผู้สูงอายุ อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
      3. สตรีมีครรภ์ หรือหลังคลอดไม่เกิน 2 สัปดาห์
      4. ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน หัวใจ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง

      อ่านต่อ ⇒⇒ไข้หวัดใหญ่ vs โควิด19 กับวัคซีนป้องกันในสถานการณ์ปัจจุบัน

      อาการของไข้หวัดใหญ่ & โควิด 19 มีความเหมือนและต่างอย่างไร ?

      โรคไข้หวัดใหญ่โรคโควิด19

      มีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียสมีไข้สูงเกิน 37.5องศาเซลเซียส
      ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมากเหนื่อยล้ามาก ปวดกล้ามเนื้อ
      ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย หนาวสั่นปวดศีรษะ
      เบื่ออาหารเบื่ออาหาร
      คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอแห้ง ๆเจ็บคอ มีน้ำมูก ไอแห้ง ๆหายใจลำบาก
      บางรายอาเจียน คลื่นไส้แพร่เชื้อได้ตั้งแต่ 48 ชั่วโมงก่อนมีอาการ
      การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ควรฉีดเป็นประจำทุกปี และล่าสุดศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (Centers for Disease Control and Prevention: CDC) และในอีกหลายๆ ประเทศ รวมถึงสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ประกาศถึงแนวทางการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี ว่าสามารถฉีดร่วมกับวัคซีนโควิด-19 ในวันเดียวได้ โดยหากใครอยู่ในกลุ่มเสี่ยงและยังไม่ได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ตั้งแต่ปีที่แล้ว ขอให้รีบรับวัคซีนให้เร็วที่สุด
        ลูกป่วยRSV

        7 อาการต้องสงสัย ลูกป่วยRSV ดูแลอย่างไรไม่ให้เป็น

        7 อาการต้องสงสัย ลูกป่วยRSV ดูแลอย่างไรไม่ให้เป็น

        เปิดเทอมทีไร หลายบ้านต้องกลุ้มใจเพราะลูกป่วยกลับมาตลอด โรคหนึ่งที่มักพบในเด็ก ๆ ช่วงเปิดเทอมก็คือ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจค่ะ เพราะติดต่อกันง่ายผ่านสารคัดหลั่งผ่านตาตา จมูก ปาก โรคหนึ่งที่ลูกมักเป็น คือ ติดเชื้อไวรัส RSV เชื้อนี้อันตรายขนาดไหน อาการเมื่อ ลูกป่วยRSV เป็นอย่างไร และพ่อแม่ควรดูแลลูกอย่างไร ไม่ให้ป่วย บทความนี้มีคำตอบค่ะ

        RSV คือ

        RSV หรือชื่อเต็มๆ ว่า Respiratory Syncytial Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในเด็กเล็ก เชื้อไวรัสนี้สามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบได้เนื่องจากมักเกิดพยาธิสภาพในส่วนของหลอดลมเล็ก และถุงลม ทำให้มีการสร้างสิ่งคัดหลั่ง เช่น เสมหะ ออกมาในปริมาณมาก และมีการหดตัวของหลอดลมเนื่องจากการบวมของเยื่อบุหลอดลมและทางเดินหายใจต่างๆ ส่งผลให้เด็กมีอาการหอบ เหนื่อย และหายใจลำบากได้อย่างรวดเร็ว เชื้อนี้ติดต่อกันได้โดยการสัมผัสใกล้ชิดกับสิ่งคัดหลั่งต่างๆ ของผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ

        กลุ่มเสี่ยงคือเด็กเล็ก

        ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี จะติดต่อกันได้ง่าย แต่ถ้ามีอาการรุนแรงมักจะเจอในเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี

        ส่วนมากตัวเชื้อไวรัสนี้จะลงไปที่หลอดลมฝอย หรือลงไปที่ตัวเนื้อปอด ทำให้เป็นปอดอักเสบ หรือเป็นหลอดลมฝอยอักเสบ

        สิ่งที่อันตรายที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง ถ้าเจอเชื้อไวรัสนี้ในเด็กเล็ก ๆ อายุน้อยกว่า 3 เดือน อาจจะทำเกิดอาการหยุดหายใจได้ ซึ่งถือว่าเป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายมากในเด็กเล็ก

        ลูกป่วยRSV
        7 อาการต้องสงสัย ลูกป่วยRSV
        ดูแลอย่างไรไม่ให้เป็น

        7 อาการต้องสงสัย ลูกป่วยRSV

        อาการของโรคติดเชื้อไวรัส RSV บางอย่างอาจคล้ายกับอาการไข้หวัดธรรมดา เช่น ไข้ (ส่วนใหญ่ไข้ไม่สูงนัก) ไอ จาม แต่ก็มีอาการที่คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตและสงสัยว่าลูกอาจได้รับเชื้อไวรัส RSV เช่น

        1. หอบเหนื่อย
        2. หายใจเร็ว หายใจแรง
        3. หายใจครืดคราด
        4. ตัวเขียว
        5. มีเสียงหวีดในปอด (จากการที่เยื่อบุทางเดินหายใจบวมอักเสบและหลอดลมหดตัว)
        6. มีเสมหะมาก
        7. ไอโขลกๆ

        เลี้ยงลูกอย่างไรไม่เป็น RSV

        1. หากลูกต้องออกนอกบ้าน ไปโรงเรียน ควรฝึกให้ลูกใส่หน้ากากอนามัยให้เป็นนิสัย นอกจากจะป้องกันเชื้อไวรัส RSV ได้แล้ว ยังสามารถป้องกัน COVID19 ฝุ่น pm 2.5 และโรดติดเชื้อต่างๆ ได้อีกด้วย นอกจากเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 1 ปี ที่ห้ามสวมหน้ากากอนามัย เพราะอาจทำให้ขาดอาการหายใจได้ หากต้องไปพบคุณหมอ หรือไปนอกบ้านควรมีผ้าคลุม เพื่อป้องกันละอองฝอยของเชื้อโรค
        2. ระมัดระวังเรื่องความสะอาด และป้องกันการติดเชื้อ ก่อนจะให้ใครจับตัวเด็ก ควรให้ล้างมือ ฟอกสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ใหญ่ที่ไปทำงานนอกจาก อาจจะเป็นพาหะที่นำเชื้อจากนอกบ้านมาติดเด็กได้ เพราะฉะนั้นเมื่อออกไปนอกบ้านก่อนจับตัวหรือเล่นกับลูกหลาน ควรอาบน้ำให้สะอาด
        3. หลีกเลี่ยงอย่าให้ลูกคลุกคลี กับคนที่มีอาการหวัด ไอ จาม หรือมีน้ำมูก ควรอยู่ห่างประมาณ 90 ซม.
        4. ทำความสะอาดของเล่น หรือคอกเล่น หรือที่นอนของลูกบ่อย ๆ
        5. หลีกเลี่ยงไม่พาลูกไปสถานที่แออัด เน้นพาไปสถานที่โล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงให้เด็กจับสิ่งของสาธารณะต่าง ๆ หากจับต้องรีบล้างมือ
        6. หลีกเลี่ยงสถานทีที่เป็นจุดเสี่ยงที่ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย เช่น เนอสเซอรี่ แหล่งที่มีเด็กอยู่รวมกันหลาย ๆ คน เช่น บ้านบอล หรือสนามเด็กเล็น ถ้าช่วงเป็นช่วงที่โรคนี้ระบาด ก็ควรหลีกเลี่ยง
        7. ฝึกให้ลูกล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่
        8. ให้ลูกกินอาหารที่ดี มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ
        9. ถ้าลูกป่วยควรให้หยุดเรียน
        10. สังเกตอาการ หากลูกมีไข้สูง หายใจลำบาก มีน้ำมูก หรือเสมหะมากผิดปกติ ควรรีบพาไปหาคุณหมอทันที

        การรักษาเมื่อลูกเป็น RSV

        ปัจจุบันยังไม่มียา หรือวัคซีนที่จะรักษา RSV ที่โดยตรง คุณหมอจะรักษาตามอาการ เช่น

        • ให้ยาลดไข้ แก้ไข ละลายเสมหะ
        • บางรายที่เสมหะเหนียวมาก อาจต้องพ่นยาขยายหลอดลมผ่านทางออกซิเจนละอองฝอย
        • เคาะปอด และดูดเสมหะออก เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอาการไอ และอาการหายใจหอบเหนื่อย
        • แนะนำให้เด็กดื่มน้ำเยอะ ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เสมหะเหนียวและเชื้อไวรัสจะได้ไม่ลงปอด

        การติดเชื้อไวรัส RSV ใช้เวลาประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ จึงจะฟื้นไข้ ไวรัสชนิดนี้ทำให้เกิดอาการได้ตั้งแต่ไข้หวัดธรรมดา รวมถึงอาการรุนแรงเป็นปอดบวม ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตลูกน้อยได้ เชื้อไวรัสนี้มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกหากร่างกายอ่อนแอ คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังให้ดีนะคะ

        ขอบคุณข้อมูลจาก

        โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์,โรงพยาบาลวิชัยเวช หนองแขม

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

        พ่อแม่ต้องทำอย่างไร เมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

        พ่อแม่ต้องระวัง! 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

          โลหิตจางในเด็ก

          โลหิตจางในเด็ก อาการใหม่หลังโควิดเสี่ยงเสียชีวิต

          โลหิตจางในเด็ก อาการใหม่หลังโควิดเสี่ยงเสียชีวิต

          เมื่อติดเชื้อโควิด-19 ความรุนแรงของโรคตอนแสดงอาการย่อมแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละคน หากเกิดขึ้นกับเด็กหลายรายที่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย แต่หลังจากหายแล้ว กลับมีอาการผิดปกติต่าง ๆ เกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในอาการของ ‘ลองโควิด’ (LONG COVID) และอาการล่าสุดที่ทางแพทย์ค้นพบก็คือ โลหิตจางในเด็ก ซึ่งหากอาการรุนแรงอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ค่ะ

           

          Long covid คืออะไร

          อาการ “Long Covid” เป็นอาการผิดปกติที่มักพบได้บ่อยหลังหายจากโควิด และอาการนี้อาจยาวนานหลายเดือนอีกด้วย โดยอาการเบื้องต้นที่พบได้บ่อย คือ อาการอ่อนเพลีย ร่วมกับอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น

          • ระบบทางเดินหายใจ : ไอ เจ็บหน้าอก หายใจถี่ หายใจลำบาก
          • ระบบประสาท : สมองเบลอ มึนงง ปวดหัว สมาธิสั้น มีความผิดปกติด้านการนอน
          • ระบบทางเดินอาหาร : ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด
          • ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก : ปวดตามข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
          • ปัญหาทางจิตเวช : ซึมเศร้า วิตกกังวล

          นอกจากนี้ ในผู้ป่วยบางรายยังอาจส่งผลต่อสุขภาพที่รุนแรงในระยะยาวยิ่งกว่า เช่น

          • สมรรถภาพทางเพศ
          • เพิ่มความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
          • โรคสมองขาดเลือด
          • โรคเบาหวาน
          • ภาวะไตเสื่อม
          • หรือในเด็กอาจเสี่ยงต่อภาวะ MIS-C ที่ทำให้เกิดอาการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ ทั่วทั้งร่างกายอีกด้วย

          ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการแพทย์ ระบุว่า ภาวะลองโควิดมักจะเริ่มมีอาการหลังหายป่วยโควิด 1-2 สัปดาห์ อาการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1-6 เดือน และมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย รวมถึงคนเป็นโรคอ้วน และคนที่ติดเชื้อโควิดที่มีอาการมาก จะพบภาวะลองโควิดมากกว่าคนที่ติดเชื้อโควิดที่มีอาการน้อย

          โลหิตจางในเด็ก
          โลหิตจางในเด็ก อาการใหม่หลังโควิดเสี่ยงเสียชีวิต

          โลหิตจางในเด็ก อาการใหม่ลองโควิด

          “หมอธีระ” รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน) ว่า

          ทีมวิจัยจาก Children’s Hospital and Medical Center, Omaha ประเทศสหรัฐอเมริกา เผยแพร่รายงานผู้ป่วยเด็กที่เดิมแข็งแรงดี แต่ได้ติดเชื้อโรคโควิด19 โดยไม่มีอาการ 3 ราย อายุ 5-8 ปี ทั้งเพศชายและหญิง ต่อมาเกิด“โรคโลหิตจาง” จากภาวะไขกระดูกฝ่อ (Acquired aplastic anemia) แม้จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่หากเกิดขึ้นมาแล้วจะป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้สูง

          ดังนั้นหากประเทศใดมีการระบาดกว้างขวาง ไม่สามารถควบคุมการติดเชื้อได้ มีเด็กเล็กจำนวนมากที่ไม่ได้วัคซีน หรือได้รับไม่ครบ ก็ย่อมมีโอกาสเกิดผลกระทบต่างๆ ตามมา ไม่ใช่ติดโควิด19 แล้วจบที่หาย แต่ป่วยได้ตายได้ และเกิดปัญหา Long COVID ตามมาในระยะยาว Acquired aplastic anemia ก็อาจเป็นหนึ่งในนั้นได้

          การป้องกันไม่ให้ติดเชื้อย่อมดีที่สุด ใช้ชีวิตอย่างมีสติ ป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงระหว่างการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำมาค้าขาย และศึกษาเล่าเรียนได้ การใส่หน้ากากเป็นหัวใจสำคัญที่จะประคับประคองให้เราผ่านพ้นสถานการณ์ไปได้

          โรคนี้จึงนับเป็นอีกอาการที่คุณพ่อุณแม่ต้องอยสังเกตลูกนะคะ

          โรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ

          เป็นภาวะผิดปกติที่ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดต่าง ๆ ได้ไม่เพียงพอ ทั้งเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว และเกล็ดเลือด ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น อาการอ่อนเพลีย เลือดออกง่าย หรือเกิดการติดเชื้อบ่อย เป็นต้น

          สามารถเกิดได้ในทุกช่วงอายุ ทั้งเพศชายและเพศหญิง แต่จะพบได้มากในเด็กและผู้ที่อยู่ในวัยเริ่มทำงาน โดยความรุนแรงของอาการและผลการรักษาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สาเหตุ อายุหรือสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เป็นต้น

          อาการของโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ

          ในช่วงแรก อาจไม่มีอาการ แต่จะค่อย ๆ แสดงอาการออกในภายหลังตามชนิดเซลล์เม็ดเลือดในร่างกายที่เกิดความผิดปกติ โดยอาจเกิดเพียงชั่วคราวหรือเรื้อรัง เช่น

          • เซลล์เม็ดเลือดแดงต่ำ อาจส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย หายใจไม่อิ่ม เวียนศีรษะ ผิวซีด ปวดศีรษะ เจ็บหน้าอก หรือหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ
          • เซลล์เม็ดเลือดขาวต่ำ อาจส่งผลให้ไข้ขึ้น หรือร่างกายเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
          • เกล็ดเลือดต่ำ อาจส่งผลให้มีเลือดออกโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดออกง่าย เลือดกำเดาไหล เลือดออกบริเวณเหงือก หรือประจำเดือนมามากในผู้หญิง

           

          โรคนี้มีความรุนแรงและอาจส่งผลให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว หากพบอาการผิดปกติบางอย่าง เช่น เกิดรอยช้ำตามร่างกายโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ มีเลือดออกบริเวณเหงือก เป็นต้น เพื่อวามปลอดภัยของลูกน้อยนะคะ

          ขอบคุณข้อมูลจาก

          คมชัดลึก, pobpad

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

          กทม.เปิดคลินิกดูแล ผู้ป่วยลองโควิด ในรพ. 9 แห่ง 

          อาการ ลองโควิด กับมิสซีเทียบอาการให้ชัดป้องกันได้ไว

          ลองโควิด คร่าชีวิตลูก!แม่ร้องขอตรวจสอบเพื่อเด็กอื่นได้ระวัง

            แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ

            โหลดฟรี!! แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ประถม รวม 60 แบบ

            แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ประถมเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะฝึกให้เด็กมีทักษะความรู้ภาษาอังกฤษได้ ซึ่งเป็นเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อพัฒนาการแบบก้าวกระโดดในชั้นเรียน พร้อมสำหรับอนาคตทั้งในด้านการศึกษา และโอกาสที่สดใสในการทำงานเมื่อลูกโตขึ้น

            แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ประถม

            พ่อแม่ทุกคนก็หวังอยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะทุกวันนี้ภาษาอังกฤษแทบจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันแล้ว และถ้าใครสามารถสื่อสารได้ก็เหมือนกับเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเองไม่ใช่น้อย ด้วยเหตุนี้ทำให้พ่อแม่ยุคใหม่หันมาให้ความสำคัญกับการสอนภาษาอังกฤษให้ลูกตั้งแต่แรกเกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพ่อแม่สามารถพูดภาษาอังกฤษเป็นอยู่แล้วก็สามารถสื่อสารกับลูกได้ทันที ลูกก็จะสามารถสื่อสารได้ 2 ภาษา

            เทคนิคฝึกภาษาอังกฤษให้ลูก

            สำหรับพ่อแม่ท่านใดที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ ใช่ว่าจะไม่สามารถสอนลูกน้อยได้นะคะ  วันนี้มีเทคนิคง่ายๆ ที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองนำไปฝึกกับลูกน้อย

            1. ใช้อุปกรณ์ดิจิตอลเป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้ให้กับลูกน้อย จริงอยู่ว่าการใช้สื่อประเภทนี้ทำให้เด็กเกิดการสื่อสารทางเดียว คือ ดูอย่างเดียวไม่สามารถตอบโต้ได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ควรจะอยู่ดูและสอนลูกไปด้วย เพื่อให้ลูกเกิดการสื่อสาร 2 ทาง เช่น ถามลูกว่าดูแล้วเป็นอย่างไร คิดยังไง อธิบายพร้อมๆกันไปด้วย อย่าให้ลูกนั่งดูอยู่อย่างเดียว
            2. เรียนอย่างสนุกสนาน ลองคิดดูว่าถ้าเราเป็นเด็กเราอยากเรียนแบบไหน ที่ไม่น่าเบื่อ และซ้ำซาก ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัด หรือกดดันลูกว่าจะต้องจำหรือพูดให้ได้ การเรียนรู้ที่สนุกสนานจะทำให้เด็กสามารถจดจำได้ดี
            3. เข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของลูก สังเกตดูนะคะ ไม่ว่าจะเด็กชาติไหนก็ตาม มักจะเริ่มเรียนภาษาของตัวเองจากการเห็นและการได้ยินก่อน เขาจะเริ่มเรียนเป็นคำๆ พร้อมกับความหมายที่ให้ พอได้หลายคำก็จะกลายเป็นวลี หรือชุดคำ ซึ่งในระหว่างนี้ เขาจะเริ่มได้ยินเสียง ได้ฝึกฝนการควบคุมอวัยวะเพื่อการออกเสียง ในการเรียนรู้ตามธรรมชาติ เรามีเป้าหมายในใจว่า ลูก (และเรา) เห็น ‘ภาพ’ นี้ ก็ออกเสียงได้เลยว่า คืออะไร ที่จริงก็คือการสะสมวงคำศัพท์แบบที่ไม่ได้ท่องว่า Cat แปลว่า แมว แต่พอพูดว่า Cat ก็เห็นภาพ แมวปิ๊งขึ้นมาในหัวเลย และวิธีธรรมชาตินี้ล่ะค่ะ ที่เด็กเริ่มเรียนจากการสังเกต และได้ยินซ้ำๆ บ่อยๆ แล้วลองเปล่งเสียงตามมา
            4. ฝึกฝนบ่อยๆ  การเรียนภาษาเป็นเรื่องของความชำนาญ หมายความว่ายิ่งฝึกก็ยิ่งคล่อง แล้วลูกของเราจะเป็นเองโดยอัตโนมัติ
            5. เรียนๆ เล่นๆ กับเกมเพลินๆ คุณพ่อคุณแม่จะมี 2 บทบาท คือเป็นทั้งคุณครูที่จะต้องหาวิธีการมาฝึกลูก และเป็นทั้งนักเรียนที่จะต้องเรียนรู้ไปกับลูกด้วย

            ทั้งนี้การทำแบบฝึกหัดจะช่วยให้เด็กๆได้เรียนรู้คำศัพท์ง่ายๆ ที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งคงไม่ยากเกินไปที่จะเรียนรู้ Amarin Baby & Kids จึงมี แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ง่ายๆ สำหรับเด็กวัยประถมขึ้นไปที่มีมากถึง 60 แบบ มาให้น้องๆ หนูๆ ได้ลองฝึกทำกันค่ะ

            แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ง่ายๆ สำหรับเด็กวัยประถม

            คลิกดู >> “แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษสำหรับเด็กวัยประถม” คลิกหน้า 2

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              สีชุดว่ายน้ำสดใส ช่วยให้มองเห็นป้องกันการ จมน้ำ ได้

              สีของชุดว่ายน้ำสำคัญ! ช่วยลูกรอดจากการ จมน้ำ ได้

              ชวนดูผลการทดสอบ สีของชุดว่ายน้ำที่มีผลต่อการมองเห็นจากผิวน้ำ สีไหนควรให้ลูกใส่ สีไหนควรเลี่ยง เพื่อความปลอดภัย ให้ลูกรอดจากการ จมน้ำ ที่อาจเกิดได้อย่าประมาท

              สีของชุดว่ายน้ำสำคัญ! ช่วยลูกรอดจากการ จมน้ำ ได้

              ชุดว่ายน้ำ นอกจากจะใส่เพื่อความคล่องตัว สะดวกสบาย เหมาะสมกับกิจกรรมทางน้ำแล้ว ยังเป็นแฟชั่นที่มีสีสันให้แก่ชายหาด สระว่ายน้ำ และสถานที่นั้น ๆ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทำให้บรรดาผู้ผลิตต่างจัดหา รูปแบบ สีสัน ลวดลายต่าง ๆ มาประชันกันให้เรามีได้เลือกหลากหลายมากมาย แต่รู้หรือไม่ว่า ?? สีของชุดว่ายน้ำ นอกจากจะเพื่อความสวยงามดึงดูดแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้ผู้ใส่รอดจากอุบัติเหตุการ จมน้ำ เสียชีวิตได้

              ชุดว่ายน้ำระบายสีขาวสดใส ชุดว่ายน้ำสีลายเจ้าหญิง หรือลายตัวละครการ์ตูนที่เด็ก ๆ ชื่นชอบ หรือหากชอบสีเรียบ ๆ เช่น สีฟ้า สีน้ำเงิน สีเทา สีดำ เป็นต้น ก็มีให้เห็นหลากหลาย แต่ชุดไหนละที่เหมาะแก่การว่ายน้ำในสระน้ำ ชุดไหนที่เหมาะกับการว่ายน้ำในแหล่งธรรมชาติ เรามาดูสีของชุดว่ายน้ำที่ช่วยให้คุณรอดจากการ จมน้ำ กันดีกว่าว่ามีสีอะไรกันบ้าง

              สีของเสื้อผ้า สีของชุดว่ายน้ำ ช่วยลูกจากการ จมน้ำ ได้
              สีของเสื้อผ้า สีของชุดว่ายน้ำ ช่วยลูกจากการ จมน้ำ ได้

              ทำไมสีของชุดว่ายน้ำจึงช่วยให้เรารอดจากการจมน้ำกันนะ??

              สีของชุดว่ายน้ำนั้นมีผลต่อการมองเห็นจากผิวน้ำ เมื่อมีคนจมน้ำ เด็กจมน้ำ ผู้คนรอบตัวจะสามารถสังเกตเห็นได้ถึงตำแหน่งของบุคคลนั้น โดยเราได้นำผลการทดลองของบริษัทความปลอดภัยทางน้ำจากสหรัฐอเมริกา Alive Solutions มาฝากกันว่า สีของชุดว่ายน้ำสีไหนที่ควรใส่เพื่อความปลอดภัยทางน้ำ

              Alive Solutions ได้ทำการทดลองสีของชุดว่ายน้ำที่สามารถมองเห็นได้จากใต้น้ำลึก 18 นิ้ว ทั้งตอนผิวน้ำเรียบ และผิวน้ำเป็นคลื่นริ้ว ๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ทำให้เราต้องประหลาดใจ

              alive solutions ทำการทดสอบสีของชุดว่ายน้ำ ในน้ำลึกในสระที่สีแตกต่างกัน
              alive solutions ทำการทดสอบสีของชุดว่ายน้ำ ในน้ำลึกในสระที่สีแตกต่างกัน

              โดยการทดสอบดังกล่าว ได้ใช้สถานที่ทดสอบสีต่าง ๆ ในสระสีขาว สระสีเข้ม และทะเลสาบสีเทา พร้อมกันเทียบกับสภาพผิวน้ำที่เรียบ และมีคลื่นริ้ว โดยพบว่ามีเพียงชุดว่ายน้ำไม่กี่สีที่สามารถมองเห็นได้จากผิวน้ำ บางสีมองจากผิวน้ำแทบไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นเด็กที่อยู่ใต้น้ำ คล้ายเศษใบไม้ หรือขยะเสียมากกว่า และบางสีหายไปในน้ำเลย จนเราไม่สามารถสังเกตเห็นได้ว่ามีคนอยู่ใต้ผิวน้ำ โดยหากคุณพ่อคุณแม่สนใจที่จะดูรายละเอียดการทดสอบดังกล่าว สามารถตามไปศึกษาต่อได้ในลิงก์ aquaticsafetyconnection

              สีชุดว่ายน้ำนี้แหละใช่เลย!!

              เพื่อความปลอดภัยของผู้สวมใส่จากการทดลองดังกล่าว ทำให้เราต้องหันมาใส่ใจในการเลือกสีของชุดว่ายน้ำกันเสียหน่อย โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็ก การพาลูกไปว่ายน้ำ สิ่งสำคัญที่เราพ่อแม่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับแรก คือ ความปลอดภัย ดังนั้นก่อนซื้อชุดว่ายน้ำให้ลูกลองใช้คำแนะนำเหล่านี้เป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อชุดว่ายน้ำให้ลูกกันดีกว่า

              สระสีเข้ม

              ชุดว่ายน้ำที่แนะนำ : เมื่อมองจากผิวน้ำในสระน้ำสีเข้ม และสามารถอ้างอิงได้ถึงทะเลสาบสีน้ำเงิน หรือทะเล แม่น้ำ บ่อน้ำ ที่สีของแหล่งน้ำโดยรวมมีความเข้ม และค่อนไปทางสีเทามากกว่าน้ำในสระ สีที่มองจากผิวน้ำได้อย่างชัดเจนที่สุดเมื่ออยู่ใต้น้ำ คือ สีเหลืองนีออน(เรืองแสง) สีเขียวนีออน (เรืองแสง) และสีส้ม เป็นสีที่สว่าง และตัดกับสีสระน้ำได้ โดยที่เราไม่มองเห็นเป็นขยะ หรือเศษใบไม้

              สีของชุดว่ายน้ำที่ควรระวัง : เมื่อมองจากผิวน้ำในสระน้ำสีเข้ม ในทะเล ทะเลสาบ แม่น้ำ บ่อน้ำ สีของชุดว่ายน้ำที่ไม่ควรใส่ คือ สีที่ใกล้เคียงกับสีพื้นสระน้ำ เช่น สีฟ้า สีขาว สีเขียว สีน้ำเงิน และที่น่าประหลาดใจคือ สีที่สะท้อนสีพื้นสระได้อย่าง สีโทนเย็น สีขาวนั้น ถึงแม้จะมองเห็นได้ง่ายในระยะใกล้ แต่เมื่อเราเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ผิวน้ำที่เป็นคลื่น หรือว่ายดำลึกลงไป สีโทนนี้สามารถหาย หรือจางจนแทบมองไม่เห็นจากผิวน้ำ อาจทำให้การช่วยเหลือไม่ทันท่วงทีหายเกิดการ จมน้ำ โดยเฉพาะเด็ก ๆ

              สระสีอ่อน ควรใส่ชุดสีใด ให้ปลอดภัยจากการ จมน้ำ
              สระสีอ่อน ควรใส่ชุดสีใด ให้ปลอดภัยจากการ จมน้ำ

              สระสีขาว สีอ่อน

              ตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของสีชุดว่ายน้ำที่จะแนะนำ คือ สีชมพูนีออน และสีส้มนีออน แม้ว่าสีที่เข้มกว่าจะปรากฏที่พื้นสระสีอ่อน แต่มักถูกมองข้ามเพราะเป็นเหมือนกองใบไม้ ดิน หรือเงา ดังนั้นคนมักจะอยู่ห่างจากสีเหล่านั้นเมื่อคิดเช่นนั้น โดยอาจเพิ่มการมองเห็นนั้นมากยิ่งขึ้นด้วยการใส่สีสดใสให้ตัดกัน ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

              สีของชุดว่ายน้ำที่ควรระวัง : เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วว่าสีของชุดว่ายน้ำสีขาว และสีฟ้าอ่อนในสระน้ำสีอ่อน แทบจะทำให้ผู้อื่นมองไม่เห็น ยิ่งโดยเฉพาะเวลาที่เราตีน้ำให้กระเพื่อม หรือว่ายห่างออกไป มันแทบหายไปเหมือนดั่งเวทมนตร์เลย

              แหล่งน้ำธรรมชาติ (แม่น้ำ ทะเลสาบ)

              ในแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างทะเล ทะเลสาบ แม่น้ำ บ่อน้ำ ที่สีของแหล่งน้ำโดยรวมมีความเข้ม และเจือไปทางเทามากกว่าน้ำในสระ เหตุที่จำเป็นต้องแยกออกจากสีของสระสีอ่อน เพราะว่าแหล่งน้ำธรรมชาตินั้นจะมีความขุ่น และมีแสงเงาสะท้อนของท้องฟ้า ทำให้ความสามารถในการมองเห็นใต้ผิวน้ำแตกต่างไปจากในสระน้ำสีที่ชัดเจนที่สุดเมื่ออยู่ใต้น้ำจะเป็นสีเหลืองเรืองแสง เขียวเรืองแสง และส้มเรืองแสง

              สีของชุดว่ายน้ำที่ควรระวัง : ถึงแหล่งน้ำที่มีสีเข้มจะทำให้สีขาวเห็นได้ชัด แต่อาจทำให้ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเงาสะท้อนจากก้อนเมฆได้ และอาจทำให้หาตัวยากเมื่ออยู่ท่ามกลางคนจำนวนมาก สีชมพูนีออนกลับไม่เป็นที่แนะนำในแหล่งน้ำธรรมชาติเหมือนดังสระสีอ่อน

              สรุปได้ว่า การเลือกสีชุดว่ายน้ำนั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อความปลอดภัยของผู้สวมใส่ สีที่แนะนำโดยหลักแล้ว แนะนำให้เลือกสีชุดสีสด ๆ เข้าไว้ เพราะจะเป็นจุดสังเกต และง่ายต่อการมองเห็นหากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดมากเสียยิ่งกว่า สีของชุดว่ายน้ำ คือ การดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด เมื่อพาลูกไปเล่นน้ำ

              สีชุดว่ายน้ำที่แนะนำเวลาเล่นน้ำทะเล
              สีชุดว่ายน้ำที่แนะนำเวลาเล่นน้ำทะเล

              ปลอดภัยก็ต้องมี ประโยชน์ก็ต้องได้จากการ…ว่ายน้ำ

              แม้ว่าเราจะกล่าวถึงเรื่องอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ จากการจมน้ำ และความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้พ่อแม่กลัวการพาลูกไปว่ายน้ำ เนื่องจากว่า การว่ายน้ำนั้นยังคงเป็นการออกกำลังกายที่มากด้วยประโยชน์ เสริมสร้างพัฒนาการที่ดีสำหรับเด็ก สำหรับประโยชน์ที่เจ้าตัวเล็กจะได้รับจากการว่ายน้ำ มีดังนี้

              1. การฝึกให้ลูกคุ้นเคยกับการว่ายน้ำตั้งแต่ยังเล็ก จะช่วยให้ลูกมีความมั่นใจ ไม่กลัวน้ำ และเมื่อถึงวัยที่สามารถเรียนว่ายน้ำอย่างจริงจัง เขาก็สามารถเรียนรู้ทักษะต่างๆ ในการว่ายน้ำได้ง่ายขึ้น และเมื่อลูกสามารถว่ายน้ำได้ เขาจะมีความภูมิใจในตัวเอง และมีความกล้าที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
              2. ช่วยฝึกกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายให้มีความแข็งแรง และทำงานประสานกันได้ดี ซึ่งจะส่งผลต่อพัฒนาการการยืนและเดิน รวมทั้งพัฒนาการทางสมองของลูกด้วย ซึ่งการว่ายน้ำเป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยต่อกล้ามเนื้อ เพราะน้ำจะช่วยลดแรงกระแทก ที่อาจทำให้กล้ามเนื้อ และข้อต่างได้รับบาดเจ็บ
              3. ช่วยเสริมสร้างทักษะการทรงตัว และการลอยตัว
              4. น้ำช่วยกระตุ้นให้ลูกมีประสาทสัมผัสที่ไวขึ้น ทั้งการมองเห็น การได้ยิน การรับรส และการดมกลิ่น
              5. การว่ายน้ำช่วยสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างคุณพ่อ คุณแม่ และลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพราะทำให้ได้ใช้เวลาร่วมกัน ได้เรียนรู้กันและกันมากขึ้น ได้รับความไว้วางใจซึ่งกันและกัน การได้รับการสัมผัสโอบกอดจากคุณพ่อคุณแม่เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ลูกมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย

              เคล็ดลับในการสอนเด็กว่ายน้ำ

              เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเรียน พ่อแม่ควรพาเด็กมาถึงสระก่อนชั่วโมงเรียนว่ายน้ำเริ่ม 15 นาที เพื่อให้เด็กคุ้นชินกับสถานที่ รวมถึงมีเวลาปรับตัวและทำสมาธิก่อนลงน้ำ

              หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนว่ายน้ำ พ่อแม่ไม่ควรให้เด็กรับประทานอาหารก่อนว่ายน้ำ หากเพิ่งรับประทานอาหารเสร็จ ควรให้เด็กนั่งพักและรอประมาณ 1 ชั่วโมงจึงค่อยลงว่ายน้ำ

              ไม่บังคับให้เด็กลงน้ำ เด็กบางรายอาจลังเลหรือยังไม่พร้อมว่ายน้ำ ซึ่งพ่อแม่ไม่ควรบังคับให้ลูกน้อยทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เพราะการบังคับฝืนใจอาจส่งผลให้เด็กเกิดทัศนคติด้านลบต่อการว่ายน้ำ หากเด็กเริ่มร้องไห้โยเยหรือแสดงอาการไม่พอใจเมื่ออยู่ในน้ำ ให้นำเด็กขึ้นจากสระทันที

              เริ่มต้นด้วยการแช่น้ำในอ่าง ในช่วงแรกเริ่ม พ่อแม่ควรลงไปแช่น้ำในอ่างกับลูกน้อยด้วย เพื่อทำให้เด็กคุ้นเคยกับน้ำ รู้สึกปลอดภัย และสนุกสนาน โดยอาจเทน้ำจากขันรดบนศีรษะและใบหน้าของเด็กทีละน้อย

              อย่าไว้ใจอุปกรณ์ช่วยว่ายน้ำ ผู้ปกครองต้องดูแลใกล้ชิดเสมอ
              อย่าไว้ใจอุปกรณ์ช่วยว่ายน้ำ ผู้ปกครองต้องดูแลใกล้ชิดเสมอ

              เลือกสระน้ำอุ่น เด็กและทารกยังไม่สามารถปรับอุณหภูมิร่างกายได้ดีเท่าผู้ใหญ่ การว่ายน้ำในสระที่มีอุณหภูมิน้ำเย็นเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ พ่อแม่จึงควรนำลูกลงว่ายน้ำในสระน้ำอุ่นที่มีอุณหภูมิประมาณ 32-33 องศาเซลเซียส แต่หากจำเป็นต้องลงว่ายน้ำในสระปกติ ให้นำเด็กขึ้นจากสระทุก ๆ 10 นาทีเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น ทั้งนี้ พ่อแม่จำเป็นต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเด็กในระหว่างที่แช่น้ำอยู่เสมอ หากริมฝีปาก นิ้วมือ หรือนิ้วเท้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วง ให้นำเด็กขึ้นจากสระน้ำทันที

              สร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน พ่อแม่ควรลงไปว่ายน้ำกับเด็กและสร้างบรรยากาศที่สนุกสนานไปด้วย อย่างการร้องเพลงหรือเล่นเกม และมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอ เพื่อทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและคิดว่าการว่ายน้ำเป็นเรื่องสนุก

              หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ช่วยลอยตัว การใช้อุปกรณ์ช่วยลอยตัวอย่างห่วงยางหรือปลอกแขนว่ายน้ำ อาจทำให้เด็กรู้สึกว่าการว่ายน้ำนั้นไม่ปลอดภัย นอกจากนั้น การใช้อุปกรณ์ดังกล่าวยังบังคับให้เด็กว่ายน้ำโดยจัดร่างกายให้ตั้งฉากกับน้ำ แต่จริง ๆ แล้วท่าว่ายน้ำที่เหมาะสม คือ จัดร่างกายให้ขนานกับน้ำ

              ว่ายน้ำให้ปลอดภัย ต้องเตรียมตัวอย่างไร ไม่ให้ จมน้ำ
              ว่ายน้ำให้ปลอดภัย ต้องเตรียมตัวอย่างไร ไม่ให้ จมน้ำ

              อุ้มเด็กด้วยท่าที่เหมาะสม วิธีอุ้มเด็กในน้ำนั้นมีหลายวิธี ซึ่งควรเลือกท่าที่ผู้อุ้มและเด็กรู้สึกสบายที่สุด อย่างการอุ้มโดยใช้มือประคองด้านหลังศีรษะและก้นของเด็ก หรือการอุ้มโดยใช้มือทั้ง 2 ข้างประคองใต้รักแร้จากทางด้านหน้าหรือด้านหลัง รวมทั้งผู้อุ้มควรพาเด็กเดินวนรอบสระ เพื่อให้เด็กรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของน้ำ หากเป็นสระเด็กหรือสระที่มีน้ำไม่ลึกมากนัก ให้ผู้อุ้มย่อตัวลงและใช้มือทั้ง 2 ข้างประคองใต้รักแร้ของเด็ก เพื่อให้ตนเองอยู่ในระดับเดียวกันกับเด็ก

              คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก พ่อแม่หรือผู้ดูแลที่ลงไปในสระน้ำกับเด็กต้องอุ้มเด็กด้วยวิธีที่ถูกต้องอยู่เสมอ สำหรับเด็กที่ว่ายน้ำเป็นแล้วอาจปล่อยให้เด็กว่ายน้ำเองได้ แต่จำเป็นต้องเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา และพร้อมเข้าช่วยเหลือทันทีหากเกิดอุบัติเหตุใด ๆ

              ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com/new.camri.go.th

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              พูดเรื่องความปลอดภัย ให้ลูกเข้าใจง่าย

              เตือนภัยพ่อแม่! ชุดว่ายน้ำเด็ก สีไม่สดใส อันตรายกว่าที่คิด

              พ่อแม่ต้องระวัง! 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

              ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ลูกอาหารเป็นพิษ

                ช่วยด้วย ลูกอาหารเป็นพิษ ปวดท้อง อาเจียนไม่หยุด

                ช่วยด้วย ลูกอาหารเป็นพิษ ปวดท้อง อาเจียนไม่หยุด

                โรงเรียนเปิดแล้ว เด็ก ๆ ก็จะได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียน หลังเลิกเรียน เด็กหลายคนก็ชอบซื้ออาหาร ขนม ที่ขายอยู่ตามหน้าโรงเรียนมากินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ก็ต้องระวัง เพราะเราไม่รู้ว่าอาหาร ขนม เหล่านั้น สะอาดมากน้อยแค่ไหน เพราะหาก ลูกอาหารเป็นพิษ ก็อาจส่งผลให้ลูกปวดท้องและอาเจียน จนถึงกับอาจซึมได้

                อาหารเป็นพิษคืออะไร

                อาหารเป็นพิษ (Food Poisoning) หรือ ลำไส้อักเสบติดเชื้อ (Acute Infectious Diarrhea) เป็นภาวะที่เกิดจากการรับประทานอาหาร ขนม หรือน้ำที่มีเชื้อโรคอยู่เข้าไป ร่างกายจึงมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย ตอบสนองออกมา ซึ่งจะเกิดอาการเร็วหรือช้านั้น ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน และส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะมีอาการไม่รุนแรง สามารถหายเองได้ภายใน 24 – 48 ชั่วโมง

                สาเหตุที่ทำให้ ลูกอาหารเป็นพิษ

                เชื้อโรคและอาหารที่มักจะพบเชื้อได้มีดังนี้

                • Campylobacter: มักพบในเนื้อสัตว์ปีก
                • Clostridium botulinum: มักพบในอาหารกระป๋อง อาหารหมัก อาหารที่ถูกเก็บในอุณหภูมิอุ่น ๆ เป็นเวลานาน
                • Clostridium perfringens: มักพบในเนื้อสัตว์ย่างที่ให้ความร้อนไม่เพียงพอ
                • Escherichia coli (E. coli): มักพบในเนื้อวัวดิบ ผักสด นมและน้ำผลไม้ที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ
                • Listeria: มักพบในฮอตดอก นมและชีสที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ อาหารทะเลรมควัน
                • Noroviruses: มักพบในผักสด ผลไม้สด หอยนางรมสด
                • Salmonella: มักพบในเนื้อสัตว์สด ไข่แดงสด
                • Staphylococcus aureus: มักพบในอาหารที่เตรียมไว้และไม่ได้รับการปรุงในทันที เช่น เนื้อสไลด์ ครีมซอส สลัด
                • Vibrio vulnificus: มักพบในหอยนางรมสด หอยแมลงภู่สด หอยเชลล์สด

                เชื้อโรคเหล่านี้จะมีการผลิตสารพิษบางอย่างขึ้นมา แม้อาหารนั้น ๆ จะมีการปรุงสุกเรียบร้อยแล้ว แต่สารพิษเหล่านี้มีความสามารถทนทานต่อความร้อนได้ ทำให้ผู้ป่วยที่ทานอาหารจานนั้นเข้าไปเกิดอาการอาหารเป็นพิษในที่สุด

                ลูกอาหารเป็นพิษ
                ลูกอาหารเป็นพิษ ปวดท้อง อาเจียนไม่หยุด

                อาการที่ควรพบแพทย์

                1. ถ่ายอุจจาระเป็นมูก หรือมูกเลือด

                2. ไข้สูง หรือชัก

                3. อาเจียนบ่อย

                4. ท้องอืด

                5. หอบลึก

                6. ไม่ยอมดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ทุกชนิดและ/ หรือไม่ยอมดื่มนมหรือกินอาหาร

                7. ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่แล้ว แต่เด็กยังดูเพลีย, ซึม

                8. ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำบ่อย (มากกว่า 10 ครั้งต่อวัน)

                อาหารที่ควรให้รับประทานระหว่างที่ ลูกอาหารเป็นพิษ

                1. เด็กเล็กที่เลี้ยงด้วยนมมารดา ให้นมมารดาต่อไป ควรให้เด็กดูดนมบ่อยขึ้นกว่าปกติ
                2. เด็กที่เลี้ยงด้วยนมผสม ให้ชงเจือจางเท่าตัวและดื่มต่อไป
                3. เด็กโตให้อาหารอ่อนที่ย่อยง่ายเป็นข้าวต้ม, โจ๊ก โดยอาจต้องเพิ่มให้บ่อยกว่าปกติ

                ถ้าเด็กสามารถดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ และกินอาหารและนมได้ ถึงแม้จะยังถ่ายอยู่ แต่เด็กไม่อ่อนเพลีย ดูสดใสขึ้น แสดงว่าทดแทนการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ ด้วยสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ทัน และพอเพียง ก็ให้ดื่มต่อไปจนกว่าจะหยุดถ่าย

                ถ้าถ่ายท้องรุนแรง อาเจียนรุนแรง ดื่มนมหรือน้ำไม่ได้ ซึม กระสับกระส่าย ตาโบ๋ กระหม่อมบุ๋มมาก (ในเด็กเล็ก) หายใจหอบแรง หรืออาการไม่ดีขึ้นใน 24 ชั่วโมง ต้องไปหาหมอโดยเร็ว

                การรักษา

                หากเป็นเด็กที่โตขึ้นมา แพทย์จะให้การรักษา ตามความรุนแรงของโรคดังนี้

                1. ถ้ารุนแรงไม่มาก ยังกินได้ และขาดน้ำไม่มาก (ลุกเดินได้ ไม่หน้ามืด) ก็จะให้การรักษาตามอาการและให้ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ (แบบเดียวกับที่แนะนำในหัวข้อ “การดูแลตนเอง”)

                2. ถ้ารุนแรง ถึงขั้นขาดน้ำรุนแรง (มีอาการใจหวิว ใจสั่น จะเป็นลม มือเท้าเย็น  ปัสสาวะออกน้อยมาก) หรืออาเจียนรุนแรง ถ่ายรุนแรง หรือกินไม่ได้ ก็จะต้องรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล โดยให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ จนกว่าจะทุเลา

                3. ถ้าสงสัยเกิดจากสาเหตุอื่น ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะในรายที่พบว่าเป็นบิดชิเกลล่า หรืออหิวาต์ เป็นต้น

                วิธีป้องกัน

                การรักษาความสะอาดเพื่อกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าปาก โดย

                • ผู้ปกครองต้องหมั่นให้เด็กล้างมือทุกครั้ง ก่อนจะหยิบจับอาหาร หรือชงนมให้เด็กที่กินนมผสม
                • รวมทั้งขวดนม,จุกนม ต้องล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทันที และฆ่าเชื้อโดยการต้มจนเดือดอย่างน้อย 10-15 นาที ดังนั้นจึงต้องมีขวดนมจำนวนเพียงพอ ที่จะมีเวลาต้มทำความสะอาดได้
                • ควรชงนม ในปริมาณที่กินหมด ในครั้งเดียว ถ้ายังกินไม่หมด ควรมีฝาครอบจุกให้มิดชิด และไม่ควรทิ้งไว้นานเกิน 2 ชม.
                • ในเด็กโตที่กินอาหารอื่น ต้องเป็นอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ มีภาชนะปิด
                • ทำความสะอาด ภาชนะที่ใส่เช่น จาน, ชาม, ช้อน
                • อย่าลืมล้างมือให้เด็กบ่อย ๆ เพราะในวัยนี้จะชอบเอาของ และมือตัวเองเข้าปาก ก็จะเป็นการนำเชื้อโรคเข้าตัวเองด้วย
                • ของเล่นที่สามารถล้างทำความสะอาดได้ ก็ควรนำไปล้าง แต่บางชนิดที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ ก็ควรทิ้งหรือเปลี่ยนใหม่

                ขอบคุณข้อมูลจาก

                โรงพยาบาลเปาโล, Raksa, โรงพยาบาลราชวิถี

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                เมื่อลูกปวดท้องจาก “โรคบิด” ภัยร้ายหน้าร้อนที่ต้องระวัง!!

                เตือนแม่! ลูกแอดมิท ปวดท้องหนัก เพราะชานมไข่มุก

                ลูกปวดท้อง อย่านิ่งนอนใจ! 4 โรคร้ายที่อาจแอบแฝง

                  พัฒนาการทารก 7 เดือน วัยแห่งการเล่น สำรวจ เรียนรู้!!

                  พัฒนาการทารก 7 เดือน เป็นช่วงที่ยุ่งของพ่อแม่มากกว่า 6 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากลูกเริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น และชอบนำสิ่งของเข้าปาก จึงต้องคอยระวังเป็นพิเศษ

                  พัฒนาการทารก 7 เดือน วัยแห่งการเล่น สำรวจ เรียนรู้!!

                  หากทารกยังไม่เริ่มนั่งได้เอง หรือฟันซี่แรกยังไม่เริ่มขึ้น เหตุการณ์เหล่านั้นอาจจะเริ่มเกิดขึ้นในเดือนนี้ได้ นอกจากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวแล้ว ยังมีความเปลี่ยนแปลงด้านใดบ้าง ที่อาจจะเกิดขึ้นในเดือนนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ พัฒนาการทารก 7 เดือน มาให้แล้วค่ะ

                  ทารกนั่งได้เองโดยไม่ต้องประคอง หรือมีหมอนหนุน
                  ทารกนั่งได้เองโดยไม่ต้องประคอง หรือมีหมอนหนุน

                  การเจริญเติบโตทางร่างกาย

                  ในเดือนนี้ ทารกอาจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนประมาณ 450-560 กรัม และส่วนสูงอาจเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 เซนติเมตร

                  ทารกเพศชาย

                  น้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัม

                  ส่วนสูงประมาณ 68 เซนติเมตร

                  ทารกเพศหญิง

                  น้ำหนักประมาณ 7 กิโลกรัม

                  ส่วนสูงประมาณ 66 เซนติเมตร

                  ทั้งนี้การเจริญเติบโตของทารกแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป ทารกที่น้ำหนักและส่วนสูงไม่ตรงตามค่าเฉลี่ยดังกล่าว อาจเป็นทารกที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ได้

                  ทารกอาจเริ่มมีฟันงอกขึ้น ในช่วงอายุ 5-7 เดือน ลองสังเกตว่าทารกมีอาการร้องไห้งอแงผิดปกติ หรือมีน้ำลายไหลหรือไม่ ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดจากอาการเจ็บเหงือก เพราะฟันจะเริ่มขึ้นนั่นเอง โดยฟัน 2 ซี่ด้านล่างอาจงอกขึ้นก่อน ต่อด้วยฟัน 2 ซี่ด้านบน และฟันด้านข้างควรจะงอกขึ้นมาภายในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า แต่ทั้งนี้ทารกบางคนฟันอาจไม่ขึ้นในช่วงเวลานี้ ทารกบางคนอาจมีฟันงอกขึ้นมาตั้งแต่แรกคลอดได้ หรือบางคนอาจเริ่มมีฟันงอกหลังจากอายุครบ 1 ปีแล้วก็ได้

                  การรับประทาน

                  ทารก 7 เดือน ยังคงดื่มนมแม่หรือนมผงเป็นอาหารหลัก สำหรับนมแม่ ทารกจะดื่มทุก 3-4 ชั่วโมง หากคุณแม่ต้องการปั๊มนมเก็บไว้ ควรปั๊มเก็บไว้ประมาณ 740 มิลลิลิตร หรือ 25 ออนซ์ต่อวัน แล้วแบ่งให้เท่ากับจำนวนที่ทารกดื่มในแต่ละวัน สำหรับทารกที่ดื่มนมผง ควรให้ดื่มคร้้งละประมาณ 180-240 มิลลิลิตร หรือประมาณ 6-8 ออนซ์ โดยให้ดื่ม 4-6 ครั้งต่อวัน

                  ในวัยนี้ทารกบางคนอาจมีฟันขึ้นมาหลายซี่แล้ว การรับประทานอาหารจึงสามารถทานได้หลากหลายมากขึ้น ไม่ใช่แค่ดื่มนมแม่หรือนมผงเท่านั้น ทารกที่เริ่มทานอาหารบด ผักบด ผลไม้บด ในช่วงอายุ 4-6 เดือน สามารถเริ่มทานอาหารที่แข็งขึ้นมาเล็กน้อยได้ เช่น ผัก ผลไม่ ข้าวสวย เพื่อให้ทารกได้ฝึกการทานอาหารที่มีเนื้อหยาบขึ้น และฝึกการเคี้ยว ควรเริ่มให้อาหารที่มีเนื้อหยาบ 1-2 มื้อต่อวัน อาจเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย จนเพิ่มขึ้นถึง 120-180 มิลลิลิตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของทารกแต่ละคน

                  อาหารที่เหมาะสำหรับทารก 7 เดือน

                  ธัญพืช

                  ทารกเริ่มเคี้ยวธัญพืชต่าง ๆ ได้ดีขึ้น เช่น

                  • ข้าวสวย
                  • ฃ้าวกล้อง
                  • ข้าวบาร์เลย์
                  • ข้าวโอ๊ต
                  • ข้าวฟ่าง
                  • ลูกเดือย

                  ผัก

                  อาจนำไปบดหรือต้มจนนิ่มก่อน เพื่อให้ทารกทานได้ง่ายขึ้น เช่น

                  • ฟักทอง
                  • แครอท
                  • อะโวคาโด
                  • ดอกกะหล่ำ
                  • หน่อไม้ฝรั่ง
                  • บร็อคโคลี่
                  • ผักโขม
                  • ผักคะน้า
                  • กะหล่ำปลี
                  • บวบ

                  ผลไม้

                  อาจยังต้องเลือกผลไม้ที่สุกแล้ว หรือมีเนื้อนิ่ม เพื่อทารกจะได้เคี้ยวง่าย หรืออาจนำผลไม้มาบดก่อนได้ เช่น

                  • กล้วย
                  • แอ๊ปเปิ้ล
                  • มะม่วง
                  • บลูเบอรี่
                  • กีวี
                  • ลูกแพร์
                  • สตรอเบอรี่
                  • มะละกอ
                  • ส้ม
                  • แตงโม
                  • ลูกพีช
                  • ลูกพลัม
                  อาหารเสริม
                  อาหารเสริม

                  อาหารประเภทแป้ง

                  ทารกในวัยนี้สามารถย่อยอาหารประเภทแป้งได้ดีขึ้น และยังมีคาร์โบไฮเดรต ซึ่งจะช่วยสร้างพลังงานให้กับทารกอีกด้วย เช่น

                  • ข้าว
                  • ขนมปัง
                  • พาสต้า
                  • มันฝรั่ง
                  • มันเทศ
                  • ธัญพืชจำพวกข้าวต่าง ๆ

                  อาหารประเภทโปรตีน

                  โปรตีน เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยในการเจริญเติบโตของทารก อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อ กระดูก และเสริมพลังงานได้เป็นอย่างดี แต่อาหารประเภทโปรตีนบางชนิดเป็นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ ซึ่งมีเนื้อที่แข็ง จึงควรนำไปต้ม บด หรือปั่น ให้นิ่มก่อน เพื่อง่ายต่อการเคี้ยวของทารก อาหารประเภทโปรตีน เช่น

                  • เนื้อหมู
                  • เนื้อวัว
                  • เนื้อไก่
                  • ปลา
                  • ไข่
                  • ถั่ว
                  • เต้าหู้

                  ผลิตภัณฑ์จากนม

                  ในวัยนี้ทารกสามารถย่อยโปรตีนในนมได้ดีขึ้น จึงสามารถเริ่มดื่มนม หรือทานอาหารที่ผลิตจากนมวัวได้มากขึ้น เช่น

                  • นมวัวพาสเจอร์ไรส์
                  • นมแพะ
                  • นมแกะ
                  • โยเกิร์ต
                  • ชีส

                  การนอน

                  ทารกวัย 7 เดือน ควรนอนวันละประมาณ 14 -15 ชั่วโมง โดยนอนตอนกลางคืนประมาณ 6 – 11 ชั่วโมง ทั้งนี้ทารกบางคนอาจหลับยาวถึงเช้า แต่บางคนอาจตื่นในเวลากลางคืนได้ และนอนกลางวันรวมทั้งหมดประมาณ 3-4 ชั่วโมง ประมาณ 2 ครั้ง

                  การใช้กล้ามเนื้อ

                  • ทารกสามารถนั่งได้เองโดยไม่ต้องประคองหรือมีหมอนหนุน
                  • อาจยืนทรงตัวได้โดยมีผู้ใหญ่คอยประคองอยู่
                  • สามารถเอื้อมเอาสิ่งของเข้ามาหาตัว และใช้มือจับไว้ได้
                  • ถือแก้วน้ำ และยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มเองได้ และอาจทานอาหารจากช้อนได้
                  • อาจเริ่มคลาน กลิ้ง หรือไถลำตัวไปกับพื้นรอบ ๆ ห้องได้แล้ว หรือทารกอาจใช้หลายวิธีร่วมกัน เพื่อช่วยในการเคลื่อนที่

                  การมองเห็นและการได้ยิน

                  ระยะในการมองเห็นพัฒนาขึ้น และสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นภาพสีได้แล้ว นอกจากนี้การได้ยินก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน เมื่อทารกได้ยินเสียงพูด อาจรู้ได้ว่าผู้พูดอยู่ตรงไหน และทารกยังอาจพยายามเลียนแบบเสียง และวิธีการพูดอีกด้วย

                  การสื่อสาร

                  ความจำจะพัฒนาขึ้นมาก ทารกอาจรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งของต่าง ๆ แม้ว่าตนเองจะมองไม่เห็นสิ่งของนั้นแล้ว โดยสังเกตได้จากการที่ทารกเริ่มโยนสิ่งของลงพื้นแล้วมองตามสิ่งของนั้น

                  ทารกจะเริ่มเข้าใจความหมายของคำพูดมากขึ้น โดยทารกอาจหันไปหาเสียงที่เรียกชื่อของตนเอง หรือแสดงปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อถูกปฏิเสธแม้จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทุกครั้งก็ตาม นอกจากนี้ทารกอาจพยายามสื่อสารโดยการใช้เสียง อาจส่งเสียงที่แตกต่างกัน เช่น หัวเราะ หรือออกเสียงสั้น ๆ ต่อเนื่องกัน โดยสามารถออกเสียงสระและพยัญชนะได้ เช่น ปะปา มะมา

                  ทารกอาจสื่อสารอารมณ์ต่าง ๆ โดยการแสดงออกทางใบหน้า และยังเข้าใจความรู้สึกของผู้พูดจากน้ำเสียงและสีหน้าได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังอาจมีอาการติดแม่ หากคุณแม่ต้องออกไปนอกบ้าน อาจต้องรอจนกว่าลูกจะหลับ หรือให้ผู้ที่ช่วยดูแลเบี่ยงเบนความสนใจของทารกไว้ขณะจะออกนอกบ้าน หากลูกร้องไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะทารกจะหยุดร้องเองในเวลาไม่นาน

                  เคล็บลับการดูแลทารกวัย 7 เดือน

                  การเลี้ยงดูทารกนั้น ควรเรียนรู้วิธีส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ เพื่อให้ทารกเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง เคล็ดลับต่าง ๆ มีดังนี้

                  • ให้ทารกนั่งเก้าอี้สูงหรือเก้าอี้ทานข้าว เพื่อให้ทารกได้ร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัว และได้ฝึกทารกให้ทานอาหารเองได้
                  • ชอบเล่นจ๊ะเอ๋ ทารกจะหัวเราะอย่างสนุกสนาน ช่วยพัฒนาทางด้านอารมณ์
                  • นำผ้าห่มมาปิดลูกบอลหรือตุ๊กตา แล้วเปิดผ้าห่มออก ทารกจะสนุกกับเกมส์ และช่วยทำให้ทารกได้เรียนรู้ถึงการมีอยู่อย่างถาวรของวัตถุสิ่งของ
                  • นำของเล่นมาวางไว้ในจุดที่ไม่สามารถเอื้อมถึง เพื่อให้ทารกพัฒนาการเคลื่อนไหว โดยพยายามไปหยิบของเล่น
                  • อ่านหนังสือนิทานให้ลูกฟัง และอธิบายว่ามีอะไรอยู่ในภาพบ้าง
                  • เล่น และพูดคุยกับลูกเป็นประจำ เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อและภาษา
                  • ควรใช้ยางกัดหรือผ้าให้ทารกกัด เพื่อบรรเทาอาการเจ็บเหงือกเมื่อเริ่มมีฟันขึ้น ไม่ควรใช้เจลบรรเทาอาการเจ็บเหงือก ที่มีส่วนผสมของสารเบนโซเคน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้
                  • หากทารกมีฟันขึ้นแล้ว ควรแปรงฟันทุกวัน โดยใช้แปรงสีฟันเด็กที่ขนนุ่ม และใส่ยาสีฟันเล็กน้อย
                  • ควรเก็บของมีคม สารเคมี และสิ่งของต่างๆที่เป็นอันตรายต่อทารก เนื่องจากวัยนี้สามารถเคลื่อนที่ได้บ้างแล้ว นอกจากนี้ควรปิดปลั๊กไฟไม่ให้ทารกใช้นิ้วแหย่เข้าไปได้

                  พัฒนาการทารก 7 เดือนที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมข้อมูลมาฝากนี้ คงจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่นำไปเป็นคู่มือในการดูแลลูกน้อยกันนะคะ

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไร? ให้ลูกแฮปปี้..ดี๊ดีตลอดทริป

                  ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

                  5 ข้อดีให้ลูกน้อยใช้ “ยางกัด” พร้อมวิธีทำความสะอาด

                  หยุดก่อนแม่!ทำตามเขาแต่หนูเสี่ยง ป้อนกล้วยลูก ถึงตาย

                   

                  ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com, https://hellokhunmor.com

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  Amarin Baby & Kids

                    ใบงานอนุบาล

                    แจกฟรี! ใบงานอนุบาล เน้นเสริมเชาวน์ปัญญา กว่า 180 ชุด

                    โหลดไปใช้กันฟรีๆ!! รวมไฟล์ ใบงานอนุบาล แบบฝึกหัดอนุบาล 1-3 มากกว่า 180 ชุด เน้นเตรียมความพร้อม+เสริมเชาวน์ปัญญา สำหรับฝึกทักษะให้ลูกน้อยแบบเน้นๆ

                    แจกฟรี! ใบงานอนุบาล สำหรับฝึกทักษะ เสริมเชาวน์ปัญญา

                    เชาวน์ปัญญา ในเด็กปฐมวัย หมายถึง ความสามารถทางสติปัญญา ความสามารถในการเข้าใจ มีไหวพริบ มีความสามารถในการแก้ปัญหา และมีความสามารถในการใช้ความจำ รวมไปถึงความสามารถในการปรับตัวและอยู่รวมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

                    ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเสริมสร้างทักษะทางเชาวน์ปัญญาให้กับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกเกิด ถึง 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รวมถึงมีพัฒนาการทางสติปัญญาที่ซึมซับได้อย่างดีเยี่ยมและเป็นวัยแห่งการวางรากฐานของพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน คือ ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา

                    หากคุณพ่อคุณแม่อยากทดสอบและฝึกเชาวน์ปัญญาให้กับลูกน้อยวัยอนุบาล หรือลูกน้อยในวัย 3-6 ขวบ จึงต้องห้ามพลาด! ไฟล์ ใบงานอนุบาล แบบฝึกหัดอนุบาล ที่ทางทีมงาน Amarin Baby & Kids ได้รวบรวมมาให้แล้ว โดยไม่ต้องไปลำบากเดินหาซื้อเองให้เมื่อยขา และสามารถโหลดไปใช้กันฟรีๆ เพื่อนำไปฝึกและทดสอบเชาวน์ปัญญาของลูกน้อยมากกว่า 80 ชุด

                    ซึ่งทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็หวังว่า ใบงานอนุบาล เสริมเชาวน์ปัญญา กว่า 80 ชุด นี้ จะมีส่วนช่วยให้คุณพ่อ คุณแม่ หรือคุณครูได้แบบฝึกหัดนำไปเป็นสื่อการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะและความรู้ สำหรับลูกน้อยวัยอนุบาลได้เป็นอย่างดี

                    ใบงานอนุบาล ชุดความรู้ความเข้าใจ

                    สำหรับไฟล์นี้มีอยู่ประมาณ 40 หน้า ส่วนใหญ่จะเป็นแบบอธิบายให้เด็กฟังแล้วทำความเข้าใจ หรือยกตัวอย่างเพิ่มเติม เหมาะที่จะให้คุณพ่อคุณแม่ได้มีเวลาพูดคุยกับลูกน้อยด้วย

                    ใบงานอนุบาล ชุดความรู้ความเข้าใจคลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลด >> แบบฝึกหัดเตรียมอนุบาล ชุดความรู้ความเข้าใจ

                     

                    ใบงานอนุบาล แบบทดสอบเตรียมความพร้อม
                    ทางด้านเชาวน์ปัญญา อนุบาล 1 – อนุบาล 3

                    ขอบคุณข้อมูลจาก : exercise-exam.blogspot.com

                    ใบงานอนุบาล

                    รวม ใบงานอนุบาล เสริมเชาวน์ปัญญา 5 ทักษะ

                    การจำแนกและจัดกลุ่มการเรียงลำดับ
                    ใบงานอนุบาลชุดที่:   1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |  11 | 12 | 13 |ใบงานอนุบาลชุดที่:   1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |  11 | 12 | 13 |
                    การเปรียบเทียบขนาดเล็ก-ใหญ่การเปรียบเทียบความสั้น-ยาว
                    ใบงานอนุบาลชุดที่:   1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |ใบงานอนุบาลชุดที่:   1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
                    การสังเกตรูปทรงใบงานอนุบาล
                    ใบงานอนุบาลชุดที่:   1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |  11 | 12 | 13 |

                    ขอบคุณข้อมูลไฟล์ ใบงานอนุบาล จาก : karn.tv

                    รวมแบบฝึกการพัฒนาทักษะการคิด 
                    สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3

                    แบบฝึกการพัฒนาทักษะการคิด สำหรับเด็ก อ.3 นี้เป็นชุดฝึกอบรมครูเพื่อพัฒนาทักษะการคิดของเด็กชั้นอนุบาลปีที่ 3 ในโรงเรียนสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 “ เล่มที่ 2 แบบฝึกการพัฒนาทักษะการคิดสำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ” นี้เป็นเอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อฝึกอบรมครู
                    เพื่อพัฒนาทักษะการคิดพื้นฐาน ซึ่งประกอบด้วยแบบฝึกจ านวน 8 ชุด แต่ละแบบฝึก จะมีจุดประสงค์ในการพัฒนาทักษะการคิดที่เป็นพื้นฐานทางการเรียนรู้ และทักษะการคิด จินตนาการและคิดสร้างสรรค์ ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560

                    โหลด แบบฝึกการพัฒนาทักษะการคิด (100 ชุด)
                    สำหรับนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 คลิก  ใบงานอนุบาล 3 พัฒนาทักษะการคิด

                    ใบงานอนุบาล
                    (ขอบคุณ ใบงานอนบาลจาก ชุดฝึกอบรมครูเพื่อพัฒนาทักษะการคิด ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 3 ในโรงเรียนสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 เล่มที่ 2)

                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก : 

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      ลูกขยี้ตา

                      ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

                      ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

                      อาการเคืองตา คันตา เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่า ลูกเปิดเทอมไปโรงเรียนแล้ว กลับบ้านมา ลูกขยี้ตา บ่อย ๆ มีอาการคันตา เปลือกตาบวม ก็สงสัยได้เลยว่า ลูกอาจติดโรคตาแดงมาแล้วค่ะ หากเด็ก ๆ คนไหนยังไม่เป็น และคุณพ่อคุณแม่อยากป้องกัน จะมีวิธีป้องกันและรักษาอย่างไร ทีมกองบรรณาธิการ ABK จะบอกให้ฟังค่ะ

                      ลูกขยี้ตา อาการหนึ่งของตาแดง

                      โรคตาแดง หรือ เยื่อบุตาอักเสบ คือ ภาวะที่เยื่อบุตาเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อ ซึ่งเยื่อบุตาเป็นเยื่อเมือกใสที่คลุมตาขาวและบุด้านในของเปลือกตา สาเหตุของโรค แบ่งเป็น 2 ชนิดคือ

                      1. ชนิดติดเชื้อ ทั้งจากเชื้อไวรัส เช่น เชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ซึ่งทำให้เกิดอาการเจ็บคอและมีไข้สูง และเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) และสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนียอี (Streptococcus Pneumoniae) เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะติดต่อจากการสัมผัส โดยเฉพาะเด็กเล็กที่เริ่มหยิบจับสิ่งของต่างๆ รอบตัวได้เองเชื้ออาจติดมากับมือ แล้วมาจับหน้า เอามือเข้าปาก หรือเอามือขยี้ตาทำให้ได้รับเชื้อ เป็นสาเหตุที่เด็กเป็นโรคตาแดงง่ายและเป็นมากกว่าผู้ใหญ่
                      2. ชนิดไม่ติดเชื้อ อาจเกิดจากสิ่งแปลกปลอม ฝุ่นละอองทำให้ระคายเคือง หรือจากโรคภูมิแพ้ เช่น ละอองเกสรดอกไม้ หญ้า ฝุ่นจากสัตว์เลี้ยง สุนัข แมว ไรฝุ่น โดยภายหลังได้ นอกจากนี้ อาจเกิดจากอุบัติเหตุ เกิดจากการแพ้ยาได้

                      ลูกขยี้ตา
                      ลูกขยี้ตา คันตาบ่อย ๆ ระวังเป็นตาแดงรับเปิดเทอม

                      อาการโรคตาแดงในเด็ก

                      สำหรับเด็กที่เป็นโรคตาแดง อาการจะเริ่มจากเด็กจะคันตา ขยี้ตาบ่อยๆ จากนั้นตาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงชัดเจน มีขี้ตา น้ำตาไหล กระพริบตาบ่อย เจ็บตา มีขี้ตามาก โดยจะมีขี้ตาสีขาว เหลือง หรือเขียว ซึ่งอาจทำให้ลืมตาได้ลำบากในเวลาตื่นนอนตอนเช้า เปลือกตาเริ่มบวมแดง อาจเป็นตาข้างใดข้างหนึ่งก่อน แล้วลามไปตาอีกข้างหนึ่ง โดยอาการสามารถแบ่งได้ดังนี้

                      • อาการจากเชื้อไวรัส เด็กจะมีอาการตาแดง เคืองตา มีน้ำตาไหล ต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโต อาจมีอาการตาบวม หรือปวดตาเล็กน้อย จะมีอาการกลัวแสง มองแสงนานไม่ได้ มีอาการแสบตาหากสัมผัสแสง รวมทั้งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ อาการหวัด หรือการติดเชื้อเกี่ยวกับการหายใจอาการเยื่อบุตาติดเชื้อ การอักเสบของกระจกตา โดยลักษณะตาแดงจากไวรัสจะหายเองภายใน 2-3 สัปดาห์
                      • อาการจากเชื้อแบคทีเรีย เด็กจะมีอาการตาแดงเข้มมาก มีขี้ตามากออกสีเหลืองหรือสีเขียว ซึ่งจะเกิดมากหลังการตื่นนอน มีขี้ตาเกาะกรัง ทำให้ลืมตาไม่ขึ้น อาการอักเสบมักจะเกิดขึ้นทั้งสองข้างของตา
                      • อาการที่มีสาเหตุจากการแพ้ มักมีอาการ เช่น คันตา น้ำตาไหล หรือตาบวม และมักพบร่วมกับอาการภูมิแพ้จมูกอักเสบด้วย ได้แก่ จาม คันจมูก น้ำมูกไหล คัดจมูก

                      การรักษาตาแดงในเด็ก

                      เมื่อพบว่าเด็กมีอาการตาแดง ไม่ควรไปซื้อยาทา หรือยาหยอดตามาหยอดรักษาเอง ควรพามาพบจักษุแพทย์ หรือกุรมารแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย ว่าเป็นโรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ หรืออาจจะเกิดจากโรคอื่น เช่น อาจมีสิ่งแปลกปลอมเข้าในตา แทนที่จะเป็นโรคตาแดง

                      ถ้าได้รับเชื้อแบคทีเรียซึ่งพบได้บ่อย จะรักษาด้วยการใช้ยาหยอดตาเพื่อทำการฆ่าเชื้อ และคอยประคบเย็น เพื่อลดอาการบวมของเปลือกตา ให้รู้สึกสบายตามากขึ้น ประคบครั้งละ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง ประมาณ 5-6 วันอาการจะดีขึ้น โดยทั่วไปแล้วโรคนี้อาการจะดีขึ้นภายใน 7-10 วัน แต่หากมีการติดเชื้อ อักเสบลามไปที่กระจกตา (ตาดำ) ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะหาย

                      วิธีทำความสะอาดตา ถ้าเด็กมีน้ำตาหรือขี้ตาควรใช้สำลีชุบน้ำหรือใช้ทิชชูเช็ดเบาๆ เช็ดแล้วทิ้งเลย ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็จะเป็นวิธีการช่วยป้องกันการติดต่อได้

                      การป้องกันโรคตาแดงในเด็ก

                      • ให้ลูกล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่
                      • บอกให้ลูกหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งของที่อาจปนเปื้อนสิ่งคัดหลั่งของคนอื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดมือ 
                      • ให้ลูกหลีกเลี่ยง หรือระวังไม่ให้ลูกสัมผัสน้ำท่วมขัง หรือน้ำสกปรก ระวังไม่ให้น้ำกระเด็นเข้าตา หากสัมผัสแล้ว ให้รีบทำความสะอาดบริเวณนั้น และ/หรืออาบน้ำให้สะอาดทันที
                      • บอกลูกว่าไม่ควรใช้มือขยี้ตา
                      • หากลูกเป็นโรคตาแดงแล้ว ควรงดการไปในที่สาธารณะจนกว่าจะหาย เช่น การเดินห้างสรรพสินค้า การใช้รถโดยสารประจำทาง การลงสระว่ายน้ำ เพื่อป้องกันการแพร่ กระจายของเชื้อ
                      • ไม่ควรใช้ยาหยอดตาร่วมกับผู้อื่น ควรล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังการหยอดยาเสมอ

                      ตาแดงไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากเกิดกับลูกน้อยแล้ว ย่อมรบกวนการใช้ชีวิตและทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายตัวได้ คุณพ่อคุณแม่ควรป้องกันลูกน้อยตามวิธีที่แนะนำเพื่อสุขอนามัยที่ดีค่ะ

                      ขอบคุณข้อมูลจาก

                      โรงพยาบาลนครธน, โรงพยาบาลเวิล์ดเมดิคอล, pobpad

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                      แชร์เตือน!ลูกไม่สบตาอย่าปล่อยผ่านอาจสายตายาว ตาเหล่ ได้

                      ลูกเป็น แอสเพอร์เกอร์ ไม่มองหน้า ไม่สบตา ทำอย่างไร

                      ตาแฉะ ทารกตาแฉะ ขี้ตาเป็นหนอง ปล่อยไว้อาจเป็นโรคนี้!!

                        ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

                        เช็ค 9 สัญญาณ ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

                        เช็ค 9 สัญญาณ ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

                        ไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีการระบาดเกือบทั้งปี บ้านไหนที่มีเด็กเล็ก ต้องระมัดระวัง ลูกน้อยติดไข้เลือดออก เป็นพิเศษ เพราะน้ำขังตามภาชนะต่าง ๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นพาหะนำโรค อาการของเด็กอาจมีตั้งแต่ไม่รุนแรงไปจนถึงเสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

                         

                        โรคไข้เลือดออก

                        ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue) มี 4 สายพันธุ์ คือ DENV-1, DENV-2, DENV-3 และ DENV-4 แต่ละสายพันธุ์มีระดับความรุนแรงของโรคต่างกันไป หากเป็นไข้เลือดออกจากเชื้อสายพันธุ์ไหนแล้ว จะไม่เป็นสายพันธุ์นั้นอีก แต่สามารถกลับมาเป็นโรคไข้เลือดออกในสายพันธุ์อื่น ๆ แทน

                        การติดต่อนั้นจะมียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยยุงลายจะออกหากินกัดคนในเวลากลางวัน เมื่อยุงลายตัวเมียดูดเลือดจากผู้ป่วยที่มีเชื้อเดงกี่เข้าไป เชื้อไวรัสเดงกี่ในยุงจะเพิ่มจำนวน และกระจายเชื้อเข้าไปสู่ต่อมน้ำลายของยุง เตรียมพร้อมที่จะปล่อยเชื้อให้กับคนที่ถูกกัดครั้งต่อไปได้ตลอดอายุของยุง ซึ่งอยู่ได้นาน 1-2 เดือน

                        กลุ่มเสี่ยงต่อการป่วย

                        • กลุ่มเด็กวัยเรียน อายุ 5 – 14 ปี

                        ลูกน้อยติดไข้เลือดออก
                        9 สัญญาณ ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

                        ระยะอาการของไข้เลือดออก

                        สำหรับอาการของคนเป็นไข้เลือดออก มักจะแสดงออกหลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ 5-8 วัน ถ้าเป็นการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ครั้งแรก ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อครั้งที่สอง อาจมีอาการรุนแรงเกิดเป็นภาวะไข้เลือดออกได้ โดยอาการของโรคแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้

                        1. ระยะไข้สูง เมื่อเริ่มเป็นจะมีไข้สูงถึง 38-40 องศาเซลเซียส แม้กินยาลดไข้ หรือเช็ดตัวแล้วไข้ก็ยังไม่ลด อยู่ 2-7 วัน ตาและใบหน้า มักจะแดงกว่าปกติ เบื่ออาหารและมีอาการซึม บางคนอาจมีผื่นขึ้น หรือพบว่ามีจุดเลือดออกขึ้นตามลำตัว แขน ขา

                        2. ระยะวิกฤติ จะเกิดประมาณวันที่ 3-6 หลังจากระยะไข้สูงระยะหนึ่งแล้ว ไข้จะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่อาการทั่วไปจะดูเพลียมากขึ้น รวมถึงมีอาการปวดท้อง ท้องอืด เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน อาจมีอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ในกรณีที่รุนแรงมาก มือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ผู้ป่วยอาจเกิดอาการช็อกได้ ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที

                        3. ระยะฟื้นตัว เป็นระยะหลังไข้ลงโดยไม่มีอาการช็อก โดยเกล็ดเลือดจะเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ชีพจรและความดันโลหิตเริ่มคงที่ดีขึ้น อาการทั่วไปจะดีขึ้น เริ่มอยากอาหาร ปัสสาวะออกมากขึ้น มีผื่นแดงคันตามตัว

                        9 สัญญาณ ลูกน้อยติดไข้เลือดออก

                        หากมีอาการเหล่านี้ แม้ว่าไข้เริ่มจะลดลงแล้ว ก็ควรต้องไปพบแพทย์ทันที

                        1. ไข้ลง หรือไข้ลดลง แต่อาการแย่ลง ยังเบื่ออาหาร ไม่ค่อยเล่น และอ่อนเพลีย
                        2. คลื่นไส้ อาเจียน ตลอดเวลา
                        3. ปวดท้องมาก
                        4. มีเลือดออกมาก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียน หรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
                        5. พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไปจากปกติ
                        6. กระหายน้ำตลอดเวลา
                        7. ร้องกวนมากในเด็กเล็ก
                        8. ตัวเย็น สีผิวคล้ำลง หรือตัวลาย
                        9. ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ถ่ายปัสสาวะนานเกิน 4- 6 ชั่วโมง

                        การตรวจวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก

                        นอกจากซักประวัติอาการ และอาการแสดงแล้ว จะมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการมาช่วยในการวินิจฉัยโรคด้วย เช่น ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อหาความผิดปกติเม็ดเลือดขาว ความเข้มข้นเลือดและจำนวนเกล็ดเลือด นอกจากนี้ยังมีการตรวจหาไวรัสเดงกี่ด้วยวิธี PCR, การตรวจหา NS1 แอนติเจนของไวรัสซึ่งควรตรวจ ในช่วงวันแรกๆ ของไข้ การตรวจดูภูมิคุ้มกัน (แอนตีบอดีย์) ต่อเชื้อไวรัสเดงกี่ มักจะขึ้นหลังมีไข้ 4-5 วัน ปัจจุบันมี Rapid test ซึ่ง อ่านผลเร็วใน 10-15 นาที

                         

                        ลูกน้อยติดไข้เลือดออก ดูแลรักษาอย่างไร

                        ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักษาจึงเป็นไปตามอาการ

                        • มีไข้ให้เช็ดตัว
                        • รับประทานยาพาราเซตามอลลดไข้เท่านั้น ห้ามใช้แอสไพริน ไอบูโพรเฟน
                        • เฝ้าสังเกตอาการช็อกหลังจากไข้ลดลง
                        • ถ้าลูกรับประทานอาหารได้น้อย อาจให้ดื่มนม น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ร่วมด้วย

                         

                        ป้องกันไข้เลือดออกในเด็กได้อย่างไร

                        สามารถป้องกันได้ โดย

                        • ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ใกล้แหล่งที่อยู่อาศัยอย่างสม่ำเสมอ เช่น แหล่งน้ำขังในบ้าน
                        • ป้องกันตัวเองและบุตรหลานไม่ให้ยุงกัด ด้วยการนอนในมุ้ง ทายากันยุง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ
                        • การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกในเด็ก
                        • ไปพบแพทย์เมื่อป่วยเป็นไข้ ควรติดตามอาการ และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

                         

                        วัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก ดีต่อเด็กอย่างไร

                        การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสเด็งกี่ สามารถป้องกันเชื้อไวรัสเด็งกี่ได้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 9 ปี จนถึงผู้ใหญ่อายุ 45 ปี แบ่งการฉีดเป็น 3 เข็ม ระยะห่างกัน 6 เดือน (0, 6, 12 เดือน) มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ 65% ลดความรุนแรงของอาการเลือดออกได้ 93% และลดอัตราการนอนโรงพยาบาลได้ 80% โดยประมาณ แนะนำให้ฉีดป้องกันในผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกี่มาก่อน จะเป็นการเสริมภูมิป้องกันได้ดียิ่งขึ้น

                        ขอบคุณข้อมูลจาก
                        โรงพยาบาลนครธน, โรงพยาบาลพญาไท

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        ระวัง ไข้เลือดออกระบาด ติดเชื้อร่วมโควิด ดับแล้วหลายราย

                        เช็กเลย! อาการ โอมิครอน ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ต่างกันอย่างไร

                        โลชั่นกันยุงยี่ห้อไหนดี ปกป้องลูกจากยุงร้าย ลดเสี่ยงไข้เลือดออก คุณแม่ทั่วประเทศยกให้ Kindee เป็นแบรนด์ในดวงใจ

                          โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

                          พ่อแม่ต้องระวัง! 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

                          พ่อแม่ต้องระวัง! 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

                          หลังจากที่เด็ก ๆ ต้องเรียนออนไลน์มานานเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ก็ถึงเวลาแล้วนะคะคุณพ่อคุณแม่ที่ลูก ๆ ของเราจะเปิดเทอม on-site กลับไปเรียนที่โรงเรียน หลายบ้านอาจดีใจที่ลูกจะไปโรงเรียนสักที แต่รู้หรือไม่คะว่า ช่วงเปิดเทอมนี่แหละที่คุณพ่อคุณแม่ก็ยิ่งต้องระวังกับ 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม มีโรคอะไรบ้างมาดูกันค่ะ

                           

                          5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

                          1. ตาแดง 

                          โรคตาแดงเป็นโรคระบาดทางตาที่ติดต่อกันได้ง่าย และ รวดเร็วส่วนมากจะเกิดจากเชื้อไวรัส หรือ เชื้อแบคทีเรีย ไม่ใช่โรคที่รุนแรง และ สามารถหายได้เองภายในระยะเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยมากมักพบในกลุ่มเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กจะไม่ค่อยระมัดระวังในการป้องกันจึงเกิดการแพร่เชื้อได้ง่ายกว่ากลุ่มวัยอื่น
                          ถ้าลูกเป็นตาแดงจะมีอาการ ตาแดง ปวดเล็กน้อย คันตา เคืองตา เปลือกตาบวม อาจพบตุ่มเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วไป ถ้าที่ติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วยจะมีขี้ตามาก

                          โรคนี้มักติดต่อกันผ่านการไอ หรือ จาม การหายใจรดกัน การอยู่ร่วมกันในสถานที่แออัดบริเวณที่มีคนอยู่รวมกันมากๆ

                          2. มือเท้าปาก

                          เกิดจากการติดเชื้อไวรัส พบได้บ่อยในทารกและเด็กเล็ก ทำให้มีอาการไข้ เป็นแผลในปาก มีตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว สร้างความกังวลใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ไม่น้อย

                          อาการเริ่มต้นของโรคมือเท้าปากจะคล้ายไข้หวัด คือ มีตุ่มใส หรือแผลร้อนในเกิดขึ้นหลายแผลในปาก ส่วนใหญ่แผลในปากพบได้หลายตำแหน่ง ตั้งแต่บริเวณของเพดานแข็ง เพดานอ่อน หรือบางคนก็พบที่กระพุ้งแก้ม หรือที่ลิ้นได้ บางคนเป็นเยอะก็จะลามออกมาที่ริมฝีปากหรือรอบ ๆ ริมฝีปากเลยก็มี และมีอาการเจ็บ มีผื่นแดงหรือตุ่มใส ขนาดเล็กที่บริเวณฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า ง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า หรือก้น และมีอาการไข้เป็นระยะเวลา 5-7 วัน

                          โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม
                          พ่อแม่ต้องระวัง! 5 โรคฮิตมาพร้อมเปิดเทอม

                          3. ไข้หวัดใหญ่

                          ไข้หวัดใหญ่ เป็นการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ซึ่งมีสาเหตุมาจาก การติดเชื้อไวรัสที่อยู่ในอากาศ หรือสารคัดหลั่ง ทั้งน้ำมูก น้ำลาย หรือ การไอ จาม ใส่กัน ก็เป็นสาเหตุให้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ได้ เพราะเชื้อไวรัส แพร่กระจายทางอากาศได้ เชื้อจะอยู่ตามละอองฝอย ที่อยู่บนอากาศ เมื่อเด็กสูดเข้าไป ก็จะทำให้ติดเชื้อ “อินฟลูเอนซา” ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ทั้ง เอ บี และ ซี ที่ได้ยินบ่อย ๆ และมีความรุนแรง เช่น สายพันธุ์ H1N1 H5N1 เป็นต้น

                          อาการของไข้หวัดใหญ่ในเด็กนั้น ลูกจะไข้สูง น้ำมูกใส คัดจมูก ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร ไข้นานประมาณ 3-7 วัน อาจอาเจียน ท้องเสีย ร่วมด้วย มีไอและมีน้ำมูก นาน 1-2 สัปดาห์ และอาการอาจรุนแรงถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ

                           

                          4. ไข้เลือดออก

                          โรคไข้เลือดออก มียุงลายเป็นพาหะนำโรค โดยยุงลายที่ดูดเลือดของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดงกี่ จะแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายผู้ที่ถูกยุงกัดคนต่อไป อาการของไข้เลือดออก ที่สามารถสังเกตได้ คือ ลูกจะไข้สูงแบบเฉียบพลัน และต่อเนื่องเป็นเวลา 2-7 วัน ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ส่วนใหญ่มีอาการหน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็ก ๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องและเบื่ออาหาร

                           

                          5. อาหารเป็นพิษ

                          อาหารเป็นพิษ เกิดจากการที่ลูกรับประทานอาหาร หรือน้ำที่มีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียเข้าไป ทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องและท้องเสียถ่ายเหลวตามมา ดังนั้นหากลูกมีอาการมีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระบ่อย เกินวันละ 3 ครั้ง ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว มีอาการสูญเสียน้ำ เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย กระหายน้ำแบบนี้ใหุ้ณพ่อคุณแม่สงสัยไว้เลยว่าลูกอาจเป็น “อาหารเป็นพิษ” ค่ะ

                          จะเปิดเทอมแล้ว ขอให้คุณพ่อคุณแม่ระวังโรคต่าง ๆ เหล่านี้ให้ดีนะคะ โควิดก็ต้องรอด โรคอื่น ๆ เราก็ต้องไม่ประมาทค่ะ

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           อ่านต่อบทความ ดี ๆ คลิก

                          โรคอ้วนอันตราย! จำเป็นต้อง ลดเด็กอ้วน

                          อย่าคิดว่าเรื่องเล็ก! ลูกอาจทรมานเพราะ หอบ หืดในเด็ก

                          WHOเตือน ! พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน 

                            ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท

                            ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไร? ให้ลูกแฮปปี้..ดี๊ดีตลอดทริป

                            เมื่อแม่ให้ลูกนั่งคาร์ซีท แต่ลูกสู้กลับ!! ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแชร์เทคนิกง๊ายง่าย ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไรให้ลูกไม่ร้องไห้ ยอมนั่งคาร์ซีทตลอดทริป

                            ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไร? ให้ลูกแฮปปี้..ดี๊ดีตลอดทริป

                            เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2565 เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2565 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับแม่และเด็ก ดังนี้

                            คนโดยสารที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้นั่งในที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือนั่งในที่นั่งพิเศษสำหรับเด็กเพื่อป้องกันอันตราย หรือ มีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

                            คนโดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่ง หรือมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะนั่งแถวตอนใด

                            ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือคนโดยสารมีเหตุผลทางสุขภาพอันไม่สามารถรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยไว้กับที่นั่งได้ ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง แต่บุคคลนั้นต้องมีวิธีการป้องกันอันตรายในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ทั้งนี้มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท โดยพ.ร.บ.นี้มีผลใช้บังคับในอีก 120 วันนับแต่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

                            สรุปคือเด็กอายุไม่เกิน 6 ขวบ ต้องนั่งคาร์ซีท และเด็กที่สูงไม่เกิน 135 ซม. ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยไม่ว่าจะนั่งด้านหน้าหรือด้านหลังก็ตาม

                            อ่านต่อ หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

                            เชื่อว่าแม่ ๆ หลายบ้านเห็นด้วยกับข้อบังคับนี้ และสามารถหาซื้อคาร์ซีทได้ไม่ยาก แต่ปัญหาใหญ่คือ ลูกไม่ยอมนั่งคาร์ซีท!!! นั่งปุ๊ปร้องปั๊ป!! จะให้ทำยังไง!! ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแปะมือค่ะ เพราะเราก็เคยเจอประสบการณ์ลูกไม่ยอมนั่งคาร์ซีทมาก่อน และได้สู้รบปรบมือกับลูกน้อยมาจนยอมนั่งคาร์ซีทแต่โดยดีแล้ว วันนี้เลยขอมาแชร์ประสบการณ์พร้อมเทคนิคดี ๆ ในการ ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท มาให้แม่ ๆ ได้ลองนำไปใช้กันค่ะ

                            คาร์ซีท
                            คาร์ซีท

                            ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ทำอย่างไร? ให้ลูกแฮปปี้..ดี๊ดีตลอดทริป

                            1. ฝึกลูกนั่งคาร์ซีท ยิ่งฝึกเร็ว…ยิ่งดี

                            จริง ๆ แล้วควรให้ลูกนั่งคาร์ซีทตั้งแต่แรกเกิด เพราะเด็กแรกเกิดจะยังไม่รู้เรื่องเท่าเด็กที่โตแล้ว ลูกจะไม่เคยได้นั่งรถโดยไม่มีคนอุ้มมาก่อน ทำให้ไม่มีข้อเปรียบเทียบ คุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้ลูกรู้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ขึ้นรถ ลูกจะต้องนั่งคาร์ซีทเท่านั้น ไม่มีข้อยกเว้น ลูกจะสามารถออกจากคาร์ซีทได้ต่อเมื่อรถจอดเท่านั้น

                            2. ทำให้การนั่งคาร์ซีทเป็นเรื่องสนุก

                            ต้องอย่าลืมว่าลูกตัวเล็กเกินกว่าจะมองเห็นวิวนอกกระจก ถึงแม้จะนั่งในคาร์ซีทที่ทำให้ตัวสูงขึ้นก็ตาม ลูกนั่งนาน ๆ ลูกก็เบื่อ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้การนั่งรถเป็นเรื่องสนุก โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะร้องเพลงไปพร้อมกับลูก หรือเตรียมของเล่นชิ้นพิเศษเอาไว้ให้ลูก และของเล่นชิ้นนี้จะเล่นได้ต่อเมื่ออยู่ในรถเท่านั้น ทริคนี้จะทำให้ลูกรู้สึกสนุกเมื่อต้องนั่งในรถและคาร์ซีทค่ะ

                            อ่านต่อ ไขข้อข้องใจ ทำไม ลูกไม่เล่นของเล่น ที่ซื้อให้ เล่นแต่อะไรก็ไม่รู้!?

                            3. Keep Calm and Drive On

                            เมื่อลูกร้องไห้ ให้ทำสิ่งที่ทำได้ยากที่สุดคือ ทำใจให้สงบค่ะ ไม่โกรธหรือโมโหตามลูก ให้ทำใจให้เย็น ๆ พูดกับลูกให้อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนข้อที่จะอุ้มลูกออกมาเด็ดขาด พูดซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ ว่าอุ้มลูกออกมาไม่ได้จริง ๆ เพราะไม่ปลอดภัย หากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกไม่ไหวจริง ๆ ให้จอดรถแล้วค่อยอุ้มลูกออกมาเพื่อให้ลูกสงบและแม่สงบลง และเมื่อต้องการจะขับไปต่อ ให้นำลูกนั่งในคาร์ซีทเหมือนเดิมค่ะ

                            อ่านต่อ แม่แชร์ 11 วิธีรับมือ “ลูกชอบร้องงอแง” เทคนิคดีจากหมอญี่ปุ่น!

                            4. ตรวจสอบดูก่อนนั่ง ว่าลูกไม่สบายตัวตรงไหนหรือเปล่า

                            บางทีสาเหตุที่ลูกร้อง อาจไม่ได้เพราะนั่งคาร์ซีทก็ได้นะคะ อาจเป็นเพราะรู้สึกไม่สบายตัวจากผ้าอ้อม หิว ร้อน แดดส่องมาที่หน้าลูก สายรัดเอวอาจจะแน่นเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะขนาดของคาร์ซีทไม่เหมาะกับตัวลูก ทำให้ลูกรู้สึกอึดอัดก็เป็นได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมตรวจสอบให้เรียบร้อยก่อนให้ลูกนั่งนะคะ

                            5. คาร์ซีทร้อนกว่าที่คุณคิด!!

                            อย่าลืมนะคะ ว่าบ้านเราเป็นเมืองร้อน เมื่อรถต้องจอดตากแดด ด้านในที่นั่งก็ย่อมร้อนเป็นธรรมดา แต่ปกติแล้วเมื่อเปิดแอร์ได้ซักพัก ความร้อนก็หายไปแล้ว แต่สำหรับคาร์ซีท ซึ่งกว่าจะระบายความร้อนได้ จะใช้เวลานานกว่าเบาะในรถค่ะ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องทำงานกันเป็นทีม โดยให้คุณพ่อสตาร์ทเครื่องและเปิดแอร์ทิ้งไว้ซักพักก่อนแล้วค่อยนำลูกนั่งในคาร์ซีทนะคะ

                            ลูกไม่นั่งคาร์ซีท
                            ลูกไม่นั่งคาร์ซีท

                            6. จัดท่านั่งให้ถูกต้อง

                            คาร์ซีทแต่ละชนิดถูกออกแบบให้เหมาะกับเด็กในช่วงวัยที่ต่างกัน สำหรับวัยทารก – 6 เดือน คาร์ซีทจะเป็นลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน เพราะในวัยนี้ เด็กไม่ควรถูกจัดให้อยู่ในท่านั่งเพราะจะเป็นการกดทับเป็นเวลานาน ส่วนสะโพกของลูกน้อยยังไม่พร้อมรับน้ำหนัก ทำให้เมื่อยล้าได้ สำหรับเด็กวัยที่นั่งได้แล้ว หากต้องนั่งในคาร์ซีทที่เป็นลักษณะกึ่งนั่งกึ่งนอน ลูกก็จะไม่ชอบ เพราะมองไม่เห็นวิวนอกหน้าต่างเท่าไหร่

                            อ่านต่อ รีวิวคาร์ซีท 10 แบรนด์ยอดนิยม แข็งแรง ปลอดภัยทุกการเดินทาง

                            7. นั่งอยู่ข้าง ๆ ลูก

                            หากโดยสารกันหลาย ๆ คน ให้คนที่ไปด้วยกันนั่งอยู่ข้าง ๆ คาร์ซีท เพื่อพูดคุยเล่นกับลูกไปด้วย แต่หากเดินทางเพียงลำพังกับลูก ให้คุณพ่อคุณแม่พยายามพูดคุยกับลูกไปตลอดทาง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงด้วยกัน ฟังนิทาน หรือการพูดคุยกันทั่วไป และสำหรับคาร์ซีทที่เป็นแบบหันหลัง แนะนำให้ติดตั้งกระจกไว้บริเวณคาร์ซีท เพื่อให้สะท้อนกับกระจกมองหลัง วิธีนี้จะทำให้ลูกมองเห็นคุณพ่อคุณแม่ผ่านกระจกได้ตลอดเวลานั่นเอง

                            อ่านต่อ 10 นิทานสอนใจ!! พร้อมข้อคิดดี ๆ อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน

                            8. ฝึกต่อเนื่อง และสม่ำเสมอให้กลายเป็นกิจวัตร

                            ต้องทำให้ลูกรู้ว่าทุกครั้งที่ขึ้นรถ จะต้องนั่งคาร์ซีทเสมอ ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางระยะใกล้ หรือ ไกล ก็ต้องนั่งในคาร์ซีท และในช่วงแรก คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องพาน้องเดินทางให้บ่อยหน่อย เพื่อให้ลูกคุ้นชินกับการนั่งคาร์ซีทค่ะ เพราะหากนั่งไปได้ 1 วัน และอยู่บ้านยาว ๆ อีกหลายวัน ลูกก็จะไม่ชินกับการนั่งคาร์ซีทอยู่กับที่เป็นเวลานาน

                            อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่อาจต้องใจแข็งเมื่อ ลูกไม่ยอมนั่งคาร์ซีท หน่อยนะคะ และลองใช้วิธีรับมือตามข้างต้นดูค่ะ และเมื่อลูกเริ่มชินและปรับตัวกับการนั่งคาร์ซีทได้เอง คราวนี้ไปไหนมาไหนก็ไม่ร้องไห้งอแงแล้วค่ะ แถมยังจะรู้สึกแฮปปี้มากกว่า เมื่อรู้ว่าจะได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านอีกแล้วค่ะ

                            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท หรือไม่ ทำไมไม่ควรอุ้มเด็กนั่งในรถระหว่างเดินทาง

                            คาร์ซีท คือสิ่งจำเป็นแค่ไหนสำหรับลูกน้อย?

                            ให้ลูก นั่งคาร์ซีท หรือ อุ้มนั่งตัก แบบไหนปลอดภัยกว่า?

                            ไขข้อข้องใจให้คุณแม่ ทารกนั่งคาร์ซีทตั้งแต่แรกเกิด ปลอดภัยหรือไม่?

                             

                            ขอบคุณข้อมูลจาก : www.kindercare.com

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

                              รับมือ!ลูกร้องไห้เปิดเทอม วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

                              วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน ตัวช่วยคุณแม่รับมือ ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน เปิดเทอมใหม่นี้ใครยังร้องไห้อยู่บ้างยกมือขึ้น มาสร้างความอยากไปโรงเรียนให้ลูกกัน

                              รับมือ!ลูกร้องไห้เปิดเทอม วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

                              เปิดเทอมแล้ว! ถึงเวลาที่เด็ก ๆ ต้องไปโรงเรียนกันเสียที แต่การเปิดเทอมครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ สำหรับเด็กใหม่ที่เพิ่งได้เข้าเรียน คงเป็นเรื่องปกติกับการร้องไห้ กะจองอแง แต่คราวนี้แม้ไม่ใช่เด็กใหม่ป้ายแดง ก็คงมีออกอาการกันไม่มากก็น้อยทีเดียว เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ที่ทำให้พวกเด็ก ๆ ห่างหายไปจากโรงเรียนเสียนาน จนอาจก่อให้เกิดปัญหาสุดคลาสิก นั่นคือ การร้องไห้งอแงไม่อยากไปโรงเรียนของลูก ๆ

                              เปิดเทอมแล้ว ทำอย่างไรให้ลูกอยากไปโรงเรียน
                              เปิดเทอมแล้ว ทำอย่างไรให้ลูกอยากไปโรงเรียน

                              เด็กไม่ยอมไปโรงเรียน เป็นเรื่องที่พบเจอได้บ่อยในเด็กเล็ก เนื่องจากยังไม่มีการปรับตัว และกังวลที่ต้องแยกจากพ่อแม่ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ แนะให้พ่อแม่รับมืออย่างใจเย็น เปิดใจรับฟังความรู้สึกของเด็กอย่างเข้าใจ และพร้อมให้ความช่วยเหลือ

                              นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า ช่วงเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเวลาเปิดเทอม เด็กๆ ต้องเปลี่ยนการดำเนินชีวิตจากที่เคยนอนดึกตื่นสาย ไปเที่ยว ทำกิจกรรมกับครอบครัว และเพื่อนๆ กลายเป็นต้องนอนไวตื่นแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียน เด็กจะรู้สึกขี้เกียจ และงอแงไม่อยากไปโรงเรียน ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องปกติที่พบในช่วงอายุประมาณ 3 ปี ถึง 4 ปี ที่เริ่มไปโรงเรียนใหม่ๆ ซึ่งการแยกจากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูจะทำให้เด็กมีความกังวล รวมทั้งต้องพบเจอสิ่งแวดล้อมใหม่ การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น หรือถูกทำโทษที่โรงเรียน เด็กบางคนแสดงออกด้วยการร้องไห้ บางคนสะสมความเครียดจนทำให้ตัวเองเจ็บป่วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ ซึ่งเป็นกลไกการต่อต้านทางร่างกาย พ่อแม่ผู้ปกครองควรเปิดใจให้กว้างรับฟังความรู้สึกของเด็ก และค่อยๆ สอนอย่างใจเย็น พร้อมทั้งหาทางแก้ไข และให้ความช่วยเหลือ

                              เมื่อเช้านี้…ไม่สดใส!!

                              คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อลูกของคุณร้องไห้ในตอนเช้าที่ไปส่งเขาที่โรงเรียน ? เห็นลูกพยายามดิ้นนำตัวเองออกจากอ้อมแขนของคุณครูขณะที่เรากำลังบอกลา แม้ว่าเราจะรู้ว่าต้องให้เวลากับลูกในการปรับตัว แต่เมื่อคุณก้าวขึ้นรถเตรียมกลับบ้าน ความรู้สึกผิดในความเป็นแม่ก็พุ่งเข้ามากระแทกใจอย่างเต็มแรง กับคำถามมากมายในหัวด้วยความเป็นห่วงลูก ลูกจะอยู่ได้ไหม จะร้องไห้ทั้งวันเลยหรือเปล่า และอีกสารพัดคำถาม

                              และในวันต่อ ๆ มา เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงวนเวียน ซ้ำไปมาจนคุณรู้สึกเริ่มเครียด แถมยังทวีความรุนแรง เมื่อเจ้าตัวเล็กเริ่มต่อต้านตั้งแต่การก้าวออกจากประตูบ้าน เมื่อรู้ว่าต้องไปโรงเรียน แล้วคุณจะจัดการอย่างไรดี?

                              เมื่อลูกร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน
                              เมื่อลูกร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

                              นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวว่า จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น พ่อแม่ควรรับมือแก้ไขปัญหาอย่างมีสติ ปรับเปลี่ยนการเลี้ยงดู ฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง และช่วยเหลืองานบ้านเพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่ผู้ปกครอง โดยพ่อแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด และให้กำลังใจ นอกจากนี้ควรฝึกทักษะพื้นฐานในด้านการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทั้งนี้ ควรให้เด็กไปโรงเรียนทุกวันโดยไม่จำเป็นต้องหยุด และแนะวิธีปฎิบัติตัวของพ่อแม่ตามคำแนะนำต่าง ๆ ดังนี้

                              เมื่อลูกไม่อยากไปโรงเรียน ผู้ปกครองควรทำอย่างไร
                              เมื่อลูกไม่อยากไปโรงเรียน ผู้ปกครองควรทำอย่างไร

                              สูตรเด็ดเคล็ดลับ จากรุ่นพี่

                              นอกจากนี้เรายังเคล็ดลับรับมือ เมื่อลูกร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียน ฉบับประสบการณ์จริงจากพ่อแม่รุ่นก่อน ๆ มาฝากกัน

                              ชวนลูกคุย ผลัดกันเล่าเรื่องราวของแต่ละคนที่เจอมาในวันนี้

                              พ่อแม่ควรชวนลูกคุย และเล่าถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน กิจกรรมที่ได้ทำในวันนี้ ปล่อยให้ลูกได้พูดถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นต่อเหตุการณ์เมื่อเช้า แม้ว่าบางครั้งจะเป็นอารมณ์เชิงลบก็ตามที ปล่อยให้ลูกแสดงความรู้สึกที่อาจมี และพูดถึงมันบ่อยๆ เพื่อให้เธอระบุความรู้สึกของตนเองออกมาได้ เช่น กลัว โกรธ เจ็บปวด และวิตกกังวล เป็นต้น โดยอาจเริ่มจากการที่คุณเป็นฝ่ายเล่าเรื่องของตัวเองก่อน เช่น ที่ทำงานเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรกับเพื่อนร่วมงานในวันนี้บ้าง เป็นต้น เพื่อกระตุ้นให้ลูกอยากเล่าความรู้สึกของตัวเองบ้าง อาจคุยกันระหว่างทางกลับบ้านในรถก็ได้

                              แม่ก็คิดถึงหนูเหมือนกัน แต่…

                              เราสามารถบอกลูกได้เช่นกันว่า วันนี้แม่คิดถึงลูกมาก อยากเจอเร็ว ๆ แต่…แม่รู้ว่าเราก็ต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ลูกต้องมีหน้าที่เรียนหนังสือ แม่ต้องมีหน้าที่ทำงาน ทำงานบ้าน บอกลูกว่าไม่เป็นไรที่เขาจะคิดถึงคุณ ทำให้ลูกรู้ว่าคุณก็คิดถึงเหมือนกัน และตั้งตารอที่จะไปรับลูกจากโรงเรียนทุกวัน เพื่อที่ลูกจะได้ไม่กลัวการพลัดพรากจากพ่อแม่เมื่ออยู่ที่โรงเรียน ให้เขารู้ว่าเราไม่ทิ้ง และรอคอยเวลาเลิกเรียนเพื่อเจอลูกเช่นกัน แต่ต้องจัดลำดับความสำคัญ และอดทนทำให้สำเร็จเสร็จสิ้นเสียก่อน

                              ลาจากตอนเช้าด้วยความมั่นใจ และกระชับ

                              เมื่อถึงเวลาส่งลูกหน้าห้อง หรือหน้าประตูโรงเรียนแล้ว พ่อแม่ควรบอกลาลูกด้วยท่าทางที่มั่นใจ เชื่อมั่น และสั้น กระชับ เพราะการทำเช่นนี้จะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกว่า สถานที่นี้ปลอดภัยสำหรับเขา และพ่อแม่จะกลับมารับแน่นอนเมื่อถึงเวลา โปรดอย่าแสดงสีหน้ากังวล หรือเดินกลับมากอดลูกอีกเป็นครั้งที่สอง หรือร้องไห้ไปกับลูก แม้ว่าพ่อแม่อาจคิดว่าเป็นการแสดงว่าแม่ก็ไม่อยากจากเขาไปเช่นกัน แต่ลูกจะมีความหมายกว้างกว่านั้น เขาจะหมายรวมว่าสถานที่นี้ไม่ปลอดภัย แม่ยังไม่อยากให้เขาอยู่ แต่คุณครู หรือโรงเรียนบังคับ ทำให้ลูกเกลียดโรงเรียนมากขึ้นไปอีก

                              วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน
                              วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

                              อย่าไปโดยไม่บอกลา หรือใช้คำพูดรุนแรงเพื่อให้เขาหยุด

                              อย่ากดดันลูกๆ ของคุณด้วยคำพูดเชิงลบ เช่น “อย่าสร้างความโกลาหลที่โรงเรียน” หรือ “แม่จะลงโทษลูก ถ้าลูกร้องไห้ที่โรงเรียน” เป็นต้น อย่าเปรียบเทียบลูกของคุณกับเด็กคนอื่นต่อหน้าเด็ก มันสร้างอิทธิพลเชิงลบในเด็กเล็ก และพวกเขาเริ่มสูญเสียความมั่นใจในตนเองทำให้เกิดปัญหาไม่รู้จบ เป็นต้นตอของการร้องไห้งอแงเมื่อต้องไปโรงเรียนนั่นเอง

                              และแม้ว่าลูกของคุณในวันนี้อาจกำลังเพลิดเพลินกับของเล่น ไม่ร้องไห้ในตอนเช้าเหมือนทุกวัน แต่สิ่สำคัญคือ พ่อแม่ห้ามเดินจากไปโดยไม่ได้บอกลาลูก เพราะนั่นจะทำให้เขากังวลไปตลอดวัน และเกิดความไม่มั่นใจในเช้าวันถัดไป

                              ไปโรงเรียนเร็วกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ 

                              ลองนึกภาพเมื่อมาถึงงานปาร์ตี้ และทุกคนก็อยู่ที่นั่นแล้ว นี่อาจจะดีถ้าปาร์ตี้มีเพื่อน และครอบครัวที่คุ้นเคย แต่ถ้าคุณไม่รู้จักใครเลย คุณคงจะรู้สึกหนักใจ ประหม่า และพร้อมที่จะกลับบ้าน ลูกคุณก็เช่นกัน การพาเขาไปโรงเรียนแม้เพียงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ทำให้ลูกสามารถเตรียมตัว เตรียมใจได้นานก่อนที่ความโกลาหลจะเริ่มต้นขึ้น เขายังได้รับความสนใจจากครูก่อนที่เด็กส่วนใหญ่จะมาถึง ทำให้เขามีโอกาสมีเวลาเตรียมตัว และรู้สึกสบายใจมากขึ้น

                              หากิจกรรมตอนเช้าจูงใจลูก

                              ในช่วงสองสามวันแรก แนะนำให้ลูกทำกิจกรรมที่เขาสนใจ และสามารถทำได้ โดยเฉพาะกิจกรรมที่ชอบ เช่น ปริศนาหรือบล็อก วิ่งเล่นกับเพื่อนที่สนาม เป็นต้น คุณสามารถช่วยให้ลูกจดจ่อกับกิจกรรมดีๆ ได้โดยการชี้นำเขาไปยังกิจกรรมโปรด หรือชวนเล่นในช่วงแรก ๆ แทนที่จะนึกถึงการจากไปของคุณที่ใกล้จะมาถึง

                              นอกจากนี้การที่ลูกได้สนุกในตอนเช้ายังสามารถทำให้ลูกรู้สึกตื่นเต้น และรู้สึกอยากไปโรงเรียนมากขึ้น เพราะมีเรื่องสนุก ๆ ทำแทนที่จะมานั่งกังวลเกี่ยวกับการต้องแยกจากคุณในตอนเช้า

                              ให้ลูกทำกิจกรรมกับเพื่อนช่วงเช้า วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน
                              ให้ลูกทำกิจกรรมกับเพื่อนช่วงเช้า วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

                              ให้ลูกนอนหลับให้เต็มอิ่ม

                              เด็กๆ มักจะทำตัวงอแง เมื่อเหนื่อย ง่วง หรือหิว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ลูกของคุณไม่สบายใจที่จะไปโรงเรียน ให้ลูกเข้านอนแต่หัววัน แล้วตื่นแต่เช้าเพื่อที่เธอจะได้มีเวลาเตรียมตัวอย่างไม่เร่งรีบ พักผ่อนอย่างสบายในการรับประทานอาหารเช้าให้เสร็จเพื่อให้ตัวเองอิ่มและพร้อมที่สุดในช่วงเวลาเรียน

                              ให้ลูกน้อยของคุณไม่ว่าง

                              เป็นความคิดที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่จะทำให้ลูกของคุณยุ่งอยู่กับกิจกรรมบางอย่างในขณะที่คุณออกจากบ้านเพื่อพาเธอไปโรงเรียน จัดการลูกของคุณโดยให้งานบางอย่างกับเธอเพื่อที่เธอจะได้สนใจงานนั้น และเมื่อถึงเวลานั้นให้ส่งลูกของคุณไปที่ประตูโรงเรียน และจูบลาเธอ งานที่มอบให้ลูกของคุณต้องน่าสนใจเพื่อที่เธอจะได้หมกมุ่นอยู่กับกิจกรรมของเธออย่างเต็มที่เมื่อคุณบอกลา

                              วิธีสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียน

                              นอกจากวิธีการรับมือกับการไม่อยากไปโรงเรียนของลูกตามคำแนะนำแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรศึกษาวิธีในการสร้างแรงจูงใจให้ลูกไปโรงเรียนเสียแต่เนิ่น ๆ เพราะหากเราเตรียมตัวมาก่อน เตรียมตัวมาดีแล้ว เมื่อถึงเวลาจริง ลูกก็พร้อมลงสนามได้แบบไร้ปัญหา แถมยังช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากเดิมได้เร็วกว่าอีกด้วย

                              ฝึกให้ลูกสามารถบอกเล่าเรื่องราว และความรู้สึกของตนเองได้

                              พ่อแม่สามารถพูดคุยกับลูกได้ตั้งแต่เขายังเล็ก ในช่วงเวลาที่ลูกยังไม่สามารถสื่อสารได้ดี หากเขามีอารมณ์ใด ๆ พ่อแม่สามารถพูดบอกกล่าวให้ลูกได้เรียนรู้ว่าอาการ ความรู้สึกเหล่านี้ คืออารมณ์ที่เรียกว่าแบบนี้ได้ เช่น  ตอนนี้หนูร้องไห้ เพราะกำลังเสียใจที่ทำของเล่นหายใช่ไหมจ๊ะ หรือ ลูกปาข้าวของเพราะกำลังมีอารมณ์โกรธอยู่ แม่ไม่ว่าแต่ถ้าสงบลงแล้วเรามาช่วยกันเก็บของดีไหม เป็นต้น

                              การให้ลูกฝึกความสามารถในการสื่อสาร โดยเฉพาะความรู้สึกตัวเอง เมื่อเขาโตขึ้นจะง่ายต่อการพูดคุย และสอนให้เขาปฎิบัติตัวในแบบที่สังคมยอมรับได้ดีกว่า การที่ลูกเองก็ไม่สามารถรู้เช่นกันว่าเขามีอารมณ์แบบใด

                              ทำความคุ้นเคยกับโรงเรียน

                              ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะให้ลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนไหน ลองพาลูกไปเดินสำรวจโรงเรียน ดูสภาพแวดล้อมของโรงเรียน ว่าลูกชอบหรือไม่ และให้เขาทำความคุ้นเคยกับโรงเรียน และบริเวณโดยรอบก่อนวันเปิดเทอมจริง จะได้ไม่รู้สึกกังวลใจ และประหม่าในวันแรกที่เปิดเทอม

                              งานบ้าน ฝึกลูกได้มากกว่าที่คิด
                              งานบ้าน ฝึกลูกได้มากกว่าที่คิด

                              ให้ลูกทำงานบ้านบ้าง

                              งานบ้าน ช่วยฝึกลูกได้มากกว่าที่คิด นอกจากจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของคุณพ่อคุณแม่แล้ว การที่ลูกได้ทำงานที่ได้รับมอบหมาย ช่วยฝึกให้เขารู้จักรับผิดชอบต่อหน้าที่ เรียนรู้ว่าตนเองมีหน้าที่ต้องทำให้สำเร็จลุล่วง และเมื่อลูกทำสำเร็จ การได้รับคำชมเชย ก็จะช่วยให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ และเห็นคุณค่าในตนเอง เมื่อลูกได้รับการปลูกฝังสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่วัยเยาว์ การรับผิดชอบ การรับรู้ต่อสิ่งใหม่ ๆ ลูกก็จะทำได้ดีด้วยความเข้าใจ เขาจะรู้ว่าการมาโรงเรียนเป็นหน้าที่ของเด็กทุกคน และรู้จักอดทน อดกลั้นรอเวลาที่จะกลับบ้านได้ดีกว่า

                              เป็นอย่างไรกันบ้าง คุณพ่อคุณแม่ลองทำตามขั้นตอนง่าย ๆ เหล่านี้เพื่อทำให้ลูกของคุณรักโรงเรียนของเธอ บอกลาลูกของคุณทุกวันเมื่อคุณไปส่งลูกที่ประตูโรงเรียน แล้วเช้าวันใหม่ของการเปิดเทอมจะเป็นเช้าที่ดีของคุณและลูกไปในทุก ๆ วัน

                              ข้อมูลอ้างอิงจาก sleepingshouldbeeasy.com/www.indiaparenting.com/www.childrenhospital.go.th

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              6 ประเภท “โรงเรียนประถม” ที่พ่อแม่ต้องรู้ก่อนสมัครเรียน!

                              อัพเดทล่าสุด! ค่าเทอมโรงเรียนอนุบาล 2022 รวม 60 แห่ง

                              เมื่อลูกถูก bully ลองใช้เทคนิคสุดเฟี้ยวฉบับแม่ญี่ปุ่นกัน!!

                              30 คำคมแม่เลี้ยงเดี่ยว สุดสตรอง พร้อมลุกขึ้นสู้ใหม่เพื่อลูก

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                พัฒนาการทารก 6 เดือน

                                พัฒนาการทารก 6 เดือน เรียนรู้พัฒนาการด้านต่างๆของลูก

                                พัฒนาการทารก 6 เดือน ทารกจะเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว สมองด้านซ้ายจะเริ่มสื่อสารกับสมองด้านขวา ซึ่งหมายความว่าทารกจะสามารถประสานการทำงานของร่างกายได้ดีขึ้น

                                พัฒนาการทารก 6 เดือน เรียนรู้พัฒนาการด้านต่างๆของลูก

                                เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครี่งปีแล้วที่ลูกเกิดมา มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย และเดือนนี้ก็เช่นกัน ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมข้อมูล พัฒนาการทารก 6 เดือน มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้เห็นถึงพัฒนาการ และความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆของลูกน้อย มีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

                                สามารถนั่งเองได้
                                สามารถนั่งเองได้

                                พัฒนาการทารก 6 เดือน เรียนรู้พัฒนาการด้านต่างๆของลูก

                                ทารกในวัยนี้เริ่มที่จะเรียนรู้ในการใช้เสียงเพื่อการสื่อสาร และเริ่มทานอาหารแข็ง หรืออาหารเสริมได้ แต่อย่างไรก็ตาม ทารกบางคนอาจส่งสัญญาณว่าเริ่มทานอาหารเสริมได้ตั้งแต่ 4 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทารกแต่ละคน อาจปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มให้ทารกทานอาหารเสริม

                                 การเจริญเติบโตทางด้านร่างกาย

                                ทารกเพศชาย

                                น้ำหนักเฉลี่ย 7.5 กิโลกรัม

                                ทารกหญิง

                                น้ำหนักเฉลี่ย 6.5 กิโลกรัม

                                ส่วนสูงเฉลี่ย 64 เซนติเมตร

                                ตัวเลขด้านบนเป็นเพียงค่าเฉลี่ยเท่านั้น ทารกบางคนอาจมีน้ำหนักหรือส่วนสูง ไม่ตรงกับตัวเลขดังกล่าว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทารกแต่ละคน เพราะมีการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันไป

                                นอกจากนี้ ในวัยนี้ทารกอาจเริ่มมีฟันขึ้นแล้ว ซึ่งอาจทำให้ทารกมีอาการเจ็บเหงือก ส่งผลให้ทารกอาจมีเหงือกบวมแดง อยากกัดสิ่งของ เกิดอาการหงุดหงิด งอแง มีน้ำลายไหล หลับไม่สนิท ไม่อยากอาหาร หรือมีไข้ต่ำ

                                การรับประทาน

                                ปกติในวัยนี้ทารกจะดื่มนมแม่ทุก 3 – 4 ชั่วโมง ระยะห่างในการดื่มอาจแตกต่างกันไปในแต่ละคน คุณแม่ควรให้ลูกดื่มนมจนอิ่ม และคอยสังเกตว่าน้ำนมจากเต้าใกล้จะหมดหรือยัง อีกทั้งยังต้องสังเกตน้ำหนักตัวของลูกว่าเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมหรือไม่

                                ปริมาณในการดื่มนมต่อวันประมาณ 740 มิลลิลิตร หรือ 25 ออนซ์ หากต้องการปั๊มนมเก็บไว้ ควรแบ่งให้เท่ากับจำนวนครั้งที่ทารกดื่มต่อวัน ส่วนกรณีที่ทารกดื่มนมผง ปกติทารกจะดื่มประมาณ 6 ครั้งต่อวัน ประมาณครั้งละ 180 – 240 มิลลิลิตร หรือประมาณ 6 – 8 ออนซ์

                                ในวัยนี้การให้ทารกดื่มนมเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรเริ่มให้ทารกฝึกทานอาหารแข็ง หรืออาหารเสริม เพื่อให้ได้รับสารอาหาร นำไปเสริมสร้างการเจริญเติบโต ช่วยทำให้ทารกแข็งแรง และมีพัฒนาการทางด้านร่างกายที่สมบูรณ์

                                อาหารเสริมสำหรับทารก 6 เดือน

                                หากยังไม่เริ่มให้อาหารแข็ง หรืออาหารเสริมแก่ทารกมาก่อน ควรเริ่มเมื่อทารกย่างเข้าสู่เดือนที่ 6 ควรเริ่มให้เด็กทานประมาณ 30 มิลลิลิตรหรือประมาณ 1 ออนซ์ในแต่ละมื้อก่อน แล้วจึงค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้น จนถึงมื้อละประมาณ 90 มิลลิลิตรหรือประมาณ 3 ออนซ์ และไม่ควรให้เด็กทานเกิน 90 มิลลิลิตรต่อวัน ทั้งนี้ควรเป็นอาหารที่มีเนื้อนิ่ม และควรให้อาหารชนิดเดียวเป็นเวลา 7 วัน เพื่อสังเกตว่าลูกมีอาการแพ้หรือไม่ เนื่องจากทารกอาจแพ้อาหารบางชนิด เช่น ไข่ ถั่ว เป็นต้น

                                • อาหารประเภทแป้ง

                                อาหารประเภทแป้ง เป็นอาหารที่จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานชั้นดี ช่วยทำให้ทารกแข็งแรง แต่ทั้งนี้ควรทานผัก ผลไม้ ร่วมด้วย เพื่อช่วยในการย่อยอาหารของทารก อาหารประเภทแป้งที่เหมาะกับทารกวัย 6 เดือน คือ ข้าว ข้าวต้ม ข้าวโอ๊ต ขนมปัง มันฝรั่ง มันเทศ ข้าวโพด เป็นต้น ทั้งนี้ควรนำมาบด ปั่น หรือผสมกับนม เพื่อให้มีเนื้อนิ่ม เหลว ช่วยให้ทารกทานได้ง่ายขึ้น

                                • อาหารประเภทโปรตีน

                                โปรตีน เป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อ เซลล์ และช่วยนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงอวัยวะทั่วร่างกาย นอกจากนี้ยังสร้างแอนติบอดีให้ร่างกายทารกสามารถต่อสู้กับการติดเชื้อ ลดความเสี่ยงจากการเป็นไข้ เจ็บป่วย อาหารประเภทโปรตีน ได้แก่ ไข่ ถั่ว เต้าหู้ ปลา ไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ทั้งนี้ควรปรุงให้สุก แล้วปั่น บด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ

                                อาหารแข็งหรืออาหารเสริม สำหรับทารก 6 เดือน
                                อาหารแข็งหรืออาหารเสริม สำหรับทารก 6 เดือน

                                • ผัก

                                ผัก  มีวิตามิน ไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ และน้ำ ช่วยเพิ่มพลังงาน บำรุงสายตา และลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็งบางชนิด โรคหัวใจ ผักที่เหมาะกับทารก เช่น แครอท ฝักทอง อะโวคาโด บร็อคโคลี่ ผักกาด ผักโขม ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปลี หน่อไม้ฝรั่ง เป็นต้น ทั้งนี้ควรนำไปต้ม หรือนึ่งให้นิ่ม แล้วบด หรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ

                                • ผลไม้

                                ผลไม้ เป็นแหล่งรวมวิตามิน แร่ธาตุ โฟเลต โพแทสเซียม และไฟเบอร์ ช่วยทำให้ลำไส้ในทางเดินอาหารแข็งแรง ป้องกันท้องผูก ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ โรคหัวใจ และหลอดเลือดสมอง ผลไม้ที่เหมาะกับทารก ได้แก่ กล้วย แอ๊ปเปิ้ล มะละกอ กีวี่ ส้ม สตรอเบอร์รี่ มะม่วง แตงโม แคนตาลูป พรุน ลูกแพร์ เป็นต้น ควรนำมาล้างทำความสะอาด แล้วบด ปั่น หรือหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ

                                • ผลิตภัณฑ์จากนม

                                อาหารที่ทำจาก นมพาสเจอร์ไรส์ เช่น โยเกิร์ต ชีส อาจเหมาะสำหรับลูกวัยตั้งแต่ 6 เดือน ขึ้นไป ทั้งนี้ควรผสมกับอาหารชนิดอื่น ๆ ไม่ควรให้ทานเป็นอาหารมื้อหลักเพียงอย่างเดียว จนกว่าทารกจะอายุ 1 ขวบ

                                อย่างไรก็ดี ไม่ควรให้ทารกทาน นมเปรี้ยว เพราะเป็นนมที่หมักด้วยแลคโตแบคทีเรียบาซิลลัส (Lactobacillus) ที่ช่วยส่งเสริมในเรื่องระบบขับถ่าย การย่อยอาหาร แต่ก็อาจทำให้ลูกปวดท้อง ท้องร่วง หรือท้องผูกอย่างรุนแรงได้

                                มื้อแรกที่เริ่มฝึกให้ทารกทานอาหารแข็ง หรืออาหารเสริม ควรให้ปริมาณเพียงเล็กน้อย เพื่อให้ทารกคุ้นชินกับอาหาร

                                ในวัยนี้สามารถให้ทารกเริ่มดื่มน้ำเปล่าได้แล้ว แต่ทั้งนี้ไม่ควรให้เกินวันละ 120-180 มิลลิลิตร เพราะอาจทำให้ทารกอิ่มจนไม่ดื่มนม

                                การนอน

                                ทารกนอนวันละประมาณ 14-15 ชั่วโมง โดยนอนตอนกลางคืน 10-11 ชั่วโมง และนอนกลางวันรวมทั้งหมดประมาณ 3-4 ชั่วโมง ประมาณ 2-3 ครั้ง

                                การใช้กล้ามเนื้อ

                                • ทารกสามารถดันตัวเองขึ้นนั่งได้ โดยใช้มือและหัวเข่า แต่ยังคงต้องระวังทารกล้มขณะนั่งได้
                                • สามารถโยกตัวไปมาขณะนั่งได้
                                • พลิกตัวไปมาขณะนอนคว่ำและนอนหงายได้ ทารกบางคนสามารถกลิ้งไปรอบๆได้
                                • การหยิบจับสิ่งของทำได้ดีขึ้น โดยอาจใช้มือหรือนิ้วดึงสิ่งของเข้ามาหาตัว นอกจากนี้ยังถือสิ่งของและย้ายไปยังมืออีกข้างได้

                                การมองเห็น

                                ระยะในการมองเห็นมีการพัฒนาขึ้น โดยทารกสามารถมองพ่อแม่ที่อยู่คนละห้องได้ และยังสามารถมองของที่อยู่ใกล้ได้ เช่น ของบนพื้น

                                สีตาอาจเปลี่ยนจากตอนแรกคลอด โดยทารกที่มีสีตาอ่อนอาจมีการเปลี่ยนสีหลายครั้ง อาจใช้เวลาประมาณ 6 เดือนสีตาจึงจะคงที่

                                การสื่อสาร

                                ทารกอาจยิ้ม หัวเหราะ หรือส่งเสียงสั้นๆได้ ทั้งยังเริ่มจำผู้คนและสิ่งของรอบตัวได้ จึงอาจทำให้ทารกมีท่าทางหวาดกลัวเมื่ออยู่กับคนแปลกหน้า หรือเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆ และร้องไห้เมื่อรู้สึกกลัว

                                พัฒนาการทารก 6 เดือน จะมีการพัฒนาด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น ตามบทความที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้นำเสนอนี้ คุณพ่อคุณแม่หรือผู้ปกครองควรสังเกตการเปลี่ยนแปลง เพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อย ให้เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์และแข็งแรง

                                ตารางวัคซีน สำหรับเด็กแรกเกิด–อายุ 15 ปี ประจำปี 2565

                                เข้าใจ “เดอะวันเดอร์วีค” รับมือลูกงอแงแบบไม่มีสาเหตุ!

                                ถอดรหัส 18 ภาษาทารก ลูกร้องแบบนี้..แปลว่าอะไรนะ?

                                หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

                                 

                                ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com, https://hellokhunmor.com

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                Amarin Baby & Kids

                                  ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

                                  เช็ค 6 อาการ ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

                                  เช็ค 6 อาการ ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

                                  โรคมือ เท้า ปาก เป็นอีกโรคที่เมื่อเปิดเทอมทีไร ก็มักจะระบาด จนหลายโรงเรียนมีเด็ก ๆ ติดกันแทบยกห้องเรียน จนต้องประกาศหยุดโรงเรียนเพื่อทำความสะอาดอยู่หลายครั้ง ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอชวนคุณพ่อคุณแม่มาสังเกตดูว่าลูกเรามี 6 อาการที่เสียง ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียนหรือไม่ค่ะ

                                  สาเหตุของโรคมือ เท้า ปาก

                                  โรคมือ เท้า ปาก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสในกลุ่มเอนเทอโรไวรัส ซึ่งมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคที่พบได้บ่อย เช่น คอกซากีไวรัส เอ16 (coxsackievirus A16) และเอนเทอโรไวรัส 71 (enterovirus 71) กลุ่มเสี่ยงที่พบบ่อยคือ เด็กทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งมักมีอาการรุนแรงมากกว่าเด็กโต สำหรับผู้ใหญ่พบโรคนี้ได้บ้างค่ะ

                                  6 อาการติดโรคมือ เท้า ปาก

                                  โรคมือเท้าปากมีระยะฟักตัว 3-6 วัน โดยหลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการแสดง ดังนี้

                                  1. มีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียส
                                  2. ไอ เจ็บคอ
                                  3. ไม่อยากอาหาร
                                  4. ปวดท้อง
                                  5. อ่อนเพลีย
                                  6. มีตุ่มพอง ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และภายในปาก

                                  โดยอาการจะเริ่มจากมีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียสก่อน จากนั้นจึงมีอาการอื่น ๆ ตามมาภายใน 1-2 วัน ได้แก่ ไอ เจ็บคอ ไม่อยากอาหาร อ่อนเพลีย และจะเริ่มมีตุ่ม ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่ผิวหนังบริเวณมือ ฝ่ามือ เท้า ฝ่าเท้า และบริเวณปากทั้งภายนอกและภายใน

                                  ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน
                                  เช็ค 6 อาการ ติดโรคมือ เท้า ปาก มาจากโรงเรียน

                                  โรคมือ เท้า ปาก ตุ่มพองจะขึ้น

                                  ตุ่มพอง ผื่น หรือแผลอักเสบมีหนองที่เกิดขึ้นภายในปาก อาจเกิดได้ทั้งบริเวณปากด้านนอกและด้านใน บนริมฝีปาก ในลำคอ บนลิ้น หรือกระพุ้งแก้มด้านใน ตุ่มแผลเหล่านี้จะทำให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลืนน้ำดื่มหรืออาหาร และตุ่มพองน้ำกับผื่นเป็นจุด ๆ จะเกิดขึ้นบนผิวหนังบริเวณนิ้วมือ ฝ่ามือ หลังมือ ฝ่าเท้าและบางครั้งก็พบที่บริเวณก้นและขาหนีบด้วยเช่นกัน

                                  ตุ่มและแผลที่เกิดขึ้น มีลักษณะคล้ายเป็นอีสุกอีใส แต่มีขนาดเล็กกว่า บางครั้งทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง และไม่สบายตัว แต่หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายใด อาการป่วยจะทุเลาลงและหายไปภายในระยะเวลาประมาณ 10 วัน

                                  ภาวะแทรกซ้อน

                                  ส่วนใหญ่มักจะหายได้เองภายใน 5-7 วัน แต่ขณะเดียวกันคือ ภาวะแทรกซ้อนก็พบได้ อันที่รุนแรงที่สุด เราเรียกว่าเป็นก้านสมองอักเสบ ซึ่งพบได้น้อยมาก ๆ 1-5 รายต่อปี มีโอกาสเสียชีวิตที่สูง

                                  พ่อแม่ต้องสังเกตให้ดีว่าเด็กมีอาการที่น่ากังวลไหม ยกตัวอย่างเช่น ถ้าลูกมีอาการซึมลง หายใจหอบ หายใจเร็ว มีอาการชัก เกร็ง หมดสติ หรือมือสั่น ขาสั่น เดินเซ ถ้ามีอาการผิดปกติเหล่านี้ ควรจะต้องรีบพากลับมาพบแพทย์

                                  การรักษาโรคมือ เท้า ปาก

                                  ในปัจจุบัน โรคมือเท้าปากยังไม่มีการรักษาโดยตรง แต่เป็นการรักษาอาการทั่ว ๆ ไปตามแต่อาการที่เกิดขึ้น เช่น

                                  • เจ็บคอมาก รับประทานอะไรไม่ได้ เด็กดูเพลียจากการขาดอาหารและน้ำ ก็จะให้พยายามป้อนน้ำ นมและอาหารอ่อน
                                  • หากเด็กเพลียมาก อาจให้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล และให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ร่วมกับให้ยาลดไข้แก้ปวด และ/หรือหยอดยาชาในปาก เพื่อลดอาการเจ็บแผลในปาก
                                  • เฝ้าระวังสังเกตอาการของภาวะแทรกซ้อนทางสมองและหัวใจ เป็นต้น

                                  การคัดกรองโรค

                                  กรมวบคุมโรคได้เน้นให้ตามโรงเรียน สังเกตอาการของเด็กอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ และปฏิบัติตามคำแนะนำป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ดังนี้

                                  1. คัดกรองเด็กก่อนเข้าเรียนทุกเช้าอย่างเคร่งครัด
                                  2. ให้เด็กสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย เพื่อลดการสัมผัส ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น
                                  3. หมั่นทำความสะอาดของใช้ ของเล่นและพื้นที่ที่เด็กใช้ร่วมกันเป็นประจำ
                                  4. สอนให้เด็กล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ ทั้งก่อน และหลังรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังเล่นของเล่น
                                  5. จัดให้มีพื้นที่ในการเข้าแถวทำกิจกรรม หรือเล่นเป็นกลุ่มย่อย จำนวน 5-6 คน มีการเว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1-2 เมตร
                                  6. หากเด็กไม่สบาย หรือมีไข้ก่อนมาเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรพาไปพบแพทย์และให้พักอยู่บ้าน
                                  7. หากโรงเรียนพบเด็กป่วย ให้แยกออกจากเด็กปกติ และแจ้งให้คุณพ่อคุณแม่รับกลับบ้าน เพื่อพาไปพบแพทย์โดยเร็ว พร้อมทั้งให้เด็กหยุดเรียนจนกว่าจะหาย แยกของใช้ส่วนตัวของเด็กป่วยออกจากเด็กปกติ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับเด็กคนอื่น งดไปในที่ชุมชนหรือสถานที่แออัด

                                   

                                  ขอบคุณข้อมูลจาก
                                  กรมควบคุมโรคโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์. pobpad

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  กรมอนามัยเตือน! ปล่อยลูก ฟันผุ เสี่ยงเด็กแคระแกร็น!!

                                  ลูกแขนขาอ่อนแรงอย่ามองข้าม! อาจป่วย ไขสันหลังอักเสบเฉียบพลัน!

                                  Propoliz Kid เมาท์สเปรย์ที่คุณหมอแนะนำ ซีซั่นนี้…ลูกแม่ต้องรอด

                                    ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                                    พ่อแม่ต้องทำอย่างไร เมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                                    พ่อแม่ต้องทำอย่างไร เมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                                    ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบได้ตลอดปี เกิดได้กับทุกเพศทุกวัย ต้นเหตุคือไวรัสที่มีชื่อว่า “อินฟลูเอนซา” (Influenza virus) ที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะ และติดต่อผ่านการไอ จาม หรือหายใจรดกัน ดังนั้นจึงติดกันง่ายมากแน่นอน หากมีเด็กป่วยไปโรงเรียนแล้วลูกเราอยู่ใกล้ชิด แล้วพ่อแม่ต้องทำอย่างไรเมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                                    รู้จักเชื้อไข้หวัดใหญ่

                                    เชื้อไข้หวัดใหญ่มี 3 ชนิดใหญ่ๆ เรียกว่า ชนิด A, B และ C โดยแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อยๆ อีกมาก โดยการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากพันธุ์ย่อยเพียงพันธุ์เดียว เมื่อเป็นสายพันธุ์ไหนแล้วร่างกายจะมีภูมิต้านทานต่อสายพันธุ์นั้น จึงสามารถติดเชื้อสายพันธุ์ที่ไม่เคยเป็นได้ มีระยะฟักตัว 1-4 วัน

                                    เชื้อไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิดการระบาดใหญ่ และการระบาดแต่ละครั้งจะตั้งชื่อตามแห่งต้นกำเนิด เช่น ไข้หวัดฮ่องกง, ไข้หวัดรัสเซีย, ไข้หวัดสิงคโปร์ และไข้หวัดใหญ่ A H1N1 2009 เป็นต้น

                                    อาการเมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                                    • มีไข้สูงเกิดขึ้นทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่อ อาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บในคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอแห้ง ๆ จุกแน่นท้อง แต่เด็กบางคนก็อาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้
                                    • ไข้สูงกว่าหวัดธรรมดา ประมาณ 38.5-40 องศาเซลเซียส ประมาณ 2-4 วัน แล้วค่อยๆ ลดลง
                                    • ไอ และอ่อนเพลีย อาจจะเป็นอยู่ 1- 4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่นๆ จะทุเลา แล้วก็ตาม
                                    • หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีน้ำมูกใส คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลย (ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บคอ) ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่นๆ

                                    ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน
                                    พ่อแม่ต้องทำอย่างไร เมื่อลูก ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                                    พ่อแม่ต้องทำอย่างนี้เมื่อ ติดไข้หวัดใหญ่จากโรงเรียน

                                    • คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลลูก คล้ายกับการดูแลเมื่อลูกเป็นไข้หวัด คือ ให้ลูกนอนพักผ่อนมาก ๆ ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง กินอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม และโจ๊ก รวมทั้งให้ลูกดื่มน้ำเปล่า น้ำหวานหรือน้ำผลไม้มาก ๆ
                                    • พ่อแม่สามารถให้ยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้แก้ปวด ยาแก้ไอ ยาแก้หวัด เป็นต้น ทั้งนี้ ในเด็กควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน
                                    • หากพาไปพบแพทย์ แพทย์จะให้กินยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะพิจารณาการรักษาเป็นราย ๆ ไป
                                    • หากลูกมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย อาจจะต้อง ได้รับยาปฏิชีวนะ โดยจะมีอาการน้ำมูกหรือเสมหะสีเหลืองหรือเขียว, ไซนัสอักเสบ, หูชั้นกลางอักเสบ, หลอดลมอักเสบหรือปอดอักเสบ เป็นต้น
                                    • สังเกตอาการผิดปกติที่ต้องมาพบแพทย์ เช่น ไข้สูง ซึม หายใจหอบเหนื่อย ผิดปกติ หรือในเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง/โรคเรื้อรัง/เด็กเล็กน้อยกว่า 2 ปี ควรดูแลสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด

                                    ป้องกันไข้หวัดใหญ่ในเด็กอย่างไร

                                    เด็ก ๆ ทั่วไปที่ร่างกายแข็งแรงดี ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัดทั่วไป โดย

                                    • ให้ล้างมือบ่อยๆ
                                    • ออกกำลังกายเป็นประจำ
                                    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
                                    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือคลุกคลีกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
                                    • สวมหน้ากากผ้า/หน้ากากอนามัยปิดปาก/จมูก เมื่อออกนอกบ้าน
                                    • ไม่พยายามเอามือขยี้ตา แคะจมูกหรือเอามือเข้าปาก
                                    • ควรพาบุตรหลานเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี

                                    ใครควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่

                                    • เด็กอายุ 6-23 เดือน และผู้ที่ใกล้ชิดกับบุคคลที่ได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่
                                    • ผู้ใหญ่อายุ 55 ปีขึ้นไป
                                    • เด็กอายุ 6-18 ปี ที่มีโรคเบาหวาน, โรคไต, โรคเลือด, ภูมิคุ้มกันเสื่อม หรือต้องรักษาด้วยยาแอสไพริน เป็นประจำนานๆ
                                    • ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดเรื้อรัง, หอบหืด, โรคหัวใจ, โรคไต, เบาหวาน, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ผู้พิการทางสมองช่วยเหลือตนเองไม่ได้, ผู้ที่อ้วนมาก
                                    • ผู้ที่ต้องเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำในปีที่ผ่านมา
                                    • ผู้ป่วยที่เคยเป็นปอดอักเสบมาก่อน
                                    • บุคคลากรทางการแพทย์, เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ, เจ้าหน้าที่ในสถานเลี้ยงเด็ก, สถานบริบาลคนชรา, สถานบำบัดผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
                                    • หญิงมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 3 ของครรภ์
                                    • นักทัศนาจร ที่จะเดินทางไปต่างถิ่นที่อาจมีการระบาด

                                    ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดย ภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นสูงสุดหลังฉีดวัคซีนประมาณ 2 สัปดาห์ และอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี สามารถป้องกันสูงสุดที่ 6-8 เดือนแรก จากนั้นภูมิคุ้มกันจะค่อย ๆ ลดลง

                                    คนที่ห้ามฉีดวัคซีน

                                    • เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน
                                    • ผู้มีประวัติแพ้ไข่ไก่ชนิดรุนแรง ถ้าแพ้แบบไม่รุนแรง เช่น เป็นผื่นสามารถฉีดวัคซีนได้ แต่ต้องเฝ้าดูอาการอย่างน้อย 30 นาที หลังฉีด
                                    • ผู้ที่เจ็บป่วยเฉียบพลัน
                                    • มีไข้สูง แต่ถ้าป่วยด้วยโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นข้อห้ามในการฉีดวัคซีน
                                    • ผู้ที่มีปฏิกิริยาแทรกซ้อนที่รุนแรง หลังได้รับวัคซีนครั้งที่ผ่านมา

                                    คุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักในเรื่องการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับลูกน้อยเพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กที่มีอายุ 6 เดือนขึ้นไป และคนที่อยู่ใกล้ชิดเด็ก เพราะการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สามารถช่วยปกป้องคนที่คุณรักและตัวคุณเองได้

                                    ขอบคุณข้อมูลจาก

                                    โรงพยาบาลพญาไท, โรงพยาบาลสมิติเวช

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                    เช็กเลย! อาการ โอมิครอน ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก ต่างกันอย่างไร

                                    ไข้หวัดใหญ่ VSโควิด19กับวัคซีนป้องกันในสถานการณ์ปัจจุบัน

                                    สปสช. ให้ 7 กลุ่มเสี่ยง วอล์กอินฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี

                                      Tags