วิธีเคลมประกันโควิด-19

วิธีเคลมประกันโควิด-19 เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ควรรู้

หลังจากการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ติดต่อกันไปทั่วโลก คุณพ่อ คุณแม่หลายคน อาจกำลังตัดสินใจทำประกันเอาไว้ให้ทุกคนในครอบครัว เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉินถ้าจำเป็นต้องใช้เงินในการรักษา มาเตรียมความพร้อมศึกษา วิธีเคลมประกันโควิด-19 หากเจ็บป่วยจะได้รับมือได้ทัน

Continue reading “วิธีเคลมประกันโควิด-19 เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ควรรู้”

    ตั้งชื่อจริงลูก

    ตั้งชื่อจริงลูก 250 ชื่อจริง ความหมายดี ชื่อมงคล ปี 2023

    ไอเดียสำหรับ ตั้งชื่อจริงลูก 250 ชื่อ รวมชื่อจริงแปลกๆ ชื่อจริงอ่านยากๆ ชื่อจริงยาวๆ ความหมายดี เป็นมงคล ทั้งลูกสาวและลูกชาย เด็กไทยยุค Gen Z พ่อแม่จะ ตั้งชื่อจริงลูก ว่าอะไรกันบ้าง? ตามไปดูกันเลย

    ไอเดีย ตั้งชื่อจริงลูก ชื่อจริงอ่านยาก
    ชื่อจริงแปลกๆ ความหมายดี เป็นมงคล ทั้งชาย-หญิง

    การตั้งชื่อ ถือเป็นวัฒนธรรมหนึ่งของคนไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดและเห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะแตกต่างจากสมัยรุ่นปู่ย่าตายายที่มักมีชื่อที่เรียกกันง่ายๆ เช่น ยายบุญ, นายมี, สมศรี, สมชาย … แต่ถ้าเป็นชื่อจริงของเด็กรุ่นใหม่ยุค Gen Z สมัยนี้ที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นการ ตั้งชื่อจริงลูก ที่คุณพ่อคุณแม่เปิดตำราตั้งให้เอง ก็จะเป็นการตั้งชื่อลูกยากๆ ชื่อจริงแปลกๆ ความหมายดี มีความหมายของชื่อที่เฉพาะ หรือเป็น ชื่อจริงอ่านยากๆ ทั้งการออกเสียงและการเขียน เป็นคำตัวอักษรที่ไม่คุ้นเคย บางชื่อก็อ่านออกเสียงเหมือนกัน แต่เขียนต่างกันก็มี

     

    ทักษาปกรณ์ กับ ชื่อลูกยากๆ

    ซึ่งหากมองถึงหลักการตั้งชื่อให้กับลูกในยุค Gen Z ถือเป็นการตั้งชื่อ ตามหลักทักษาปกรณ์ ซึ่งจะหลีกเลี่ยงการใช้อักขระ วรรคกาลกิณี โดยในชื่อเด็กชายมักใช้ วรรคเดช นำหน้า ตามหลัง หรือเป็นส่วนประกอบ และสำหรับเด็กหญิงมักจะใช้ วรรคศรี นำหน้า ตามหลัง หรือเป็นส่วนประกอบ หรือใช้วรรคอื่นๆ นำหน้าชื่อก็ได้ เพื่อเป็นการแก้ข้อบกพร่อง หรือส่งเสริมในเรื่องต่าง ๆ

    ซึ่งในปัจจุบันการ ตั้งชื่อจริงลูก ปี 2023 ส่วนใหญ่ที่พบไม่ใช่ชื่อแปลกใหม่เท่าไร แต่แค่มีการเขียนแปลกต่างไปจากเดิม คือ มีการนำพวกตัวอักษร ฌ, ฏ, ฐ มาใช้เพิ่มมากขึ้น หรือที่พบอีกกรณีก็คือ ตัวลูกเองเมื่อโตขึ้นก็มีการตั้งชื่อตัวเองใหม่ โดยมีเหตุผลว่า ชื่อเดิมมีตัวอักษรเป็นกาลกิณี แต่การตั้งชื่อจริงใหม่เอง ก็จะสามารถเลือกตามที่ชอบและนำคำมาประสมกัน ความหมายก็ลงตัว และเป็นสิริมงคล

     

    ข้อควรคำนึงในการ ตั้งชื่อจริงลูก ให้เป็นสิริมงคล

    สำหรับการ ตั้งชื่อจริงลูก จะมีสิ่งที่ต้องคำนึงอยู่ ดังนี้ ก็คือ บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี กาลกิณี ซึ่งหลักเบื้องต้นก่อนตั้งชื่อคุณพ่อคุณแม่ควรเลือกอักษรที่เหมาะกับวันเกิดของลูกด้วย โดยจะเลือกตัวอักษรมงคลอะไรมาตั้งก็ได้ แต่ควรเลี่ยงอักษรที่เป็นกาลกิณีด้วย โดยอักษรที่ห้ามนำมาใช้ตั้งชื่อของแต่ละวัน มีดังนี้ (ความเชื่อส่วนบุคคล)

     

    • ชื่อคนเกิดวันอาทิตย์ : ห้ามตัวอักษร ศ ษ ส ห ฬ ฮ

    • ชื่อคนเกิดวันจันทร์ : ห้าม สระ ทั้งหมด

    • ชื่อคนเกิดวันอังคาร : ห้ามตัวอักษร ก ข ค ฆ ง

    • ชื่อคนเกิดวันพุธกลางวัน : ห้ามตัวอักษร จ ฉ ช ซ ฌ ญ

    • ชื่อคนเกิดวันราหูวันพุธกลางคืน : ห้ามตัวอักษร บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม

    • ชื่อคนเกิดวันพฤหัสบดี : ห้ามตัวอักษร ด ต ถ ท ธ น

    • ชื่อคนเกิดวันศุกร์ : ห้ามตัวอักษร ย ร ล ว

    • ชื่อคนเกิดวันเสาร์ : ห้ามตัวอักษร ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

     

    Must read >> ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด ชื่อมงคล ครบทุกวัน จ.- อา.

    Must read >> การตั้งชื่อลูก คิดให้ดีก่อนส่งผลกระทบต่อจิตใจในอนาคต

    ทั้งนี้ในส่วนของตัวอักษรที่ไม่ได้กล่าวมาในแต่ละวัน คือ ตัวอักษรที่สามารถใช้ได้ ดังนั้นเมื่อรู้หลักการ ตั้งชื่อจริงลูก แล้ว เพื่อเป็นไอเดียในการ ตั้งชื่อจริงลูก ให้เหมาะกับยุคสมัยนี้ ทีมแม่ ABK จึงได้รวบรวมชื่อจริง ความหมายดี เป็นมงคล ประจำปี 2021 ของทั้งลูกสาวลูกชาย มาฝาก … โดยคัดเฉพาะชื่อที่มีตัวอักษรเพื่อเสริมสิริมงคลให้กับชีวิตของลูกโดยเฉพาะ จะมีชื่อจริงอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

     

    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกชายเกิดวันอาทิตย์

    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
    กฤตัชญ์กริ-ตัดผู้รู้คุณคนอื่น มีความกตัญญู
    คณุตม์คะ-นุดประเสริฐกว่าคนทั้งหลาย
    จิรทีปต์จิ-ระ-ทีบรุ่งเรืองตลอดกาลนาน
    ณัฐปคัลภ์นัด-ปะ-คันปราชญ์ผู้องอาจ
    ติณณภพติน-นะ-พบผู้ข้ามภพได้ ชื่อของผู้บรรลุธรรม
    นิพพิชฌน์นิบ-พิดปัญญา เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ตรัสรู้
    ผรัณชัยผะ-รัน-ไชมีชัยชนะไปทั่ว
    พิทยุตม์พิด-ทะ-ยุดผู้มีความรู้สูงสุด
    ศาตนันท์สา-ตะ-นันมีความสุขและความเพลิดเพลิน
    อนันยชอะ-นัน-ยดเกิดมาเป็นที่หนึ่ง
    อิงครัตอิง-คะ-รัดผู้ยินดีในความรู้

    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกสาวเกิดวันอาทิตย์

    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
    กานต์พิชชากาน-พิด-ชามีความรู้เป็นที่รัก
    จิณัฐตาจิ-นัด-ตาความเป็นผู้ฉลาดที่ได้สั่งสมมา
    จารุพิชญาจา-รุ-พิด-ชะ-ยานักปราชญ์ผู้งดงาม
    จิรภิญญาจิ-ระ-พิน-ยาความรู้ยั่งยืน
    ชนัญชิดาชะ-นัน-ชิ-ดาผู้ชนะคนอื่น
    ฐานิฏฐ์ถา-นิดเป็นที่น่าพอใจ
    นันทัชพรนัน-ทัด-ชะ-พอนคนประเสริฐเกิดมาเพื่อความสุข
    พิชญ์สินีพิด-สิ-นีหญิงงามผู้ฉลาด
    พิชามญชุ์พิ-ชา-มนผู้งดงามด้วยความรู้
    ภิญญาพัชญ์พิน-ยา-พัดผู้มีปัญญารู้ในกรอบ
    มัญชุพรมัน-ชุ-พอนงามและประเสริฐ
    สุภาพิชญ์สุ-พา-พิดนักปราชญ์ผู้มีความงาม
    อนรรฆวีอะ-นัก-คะ -วีมีค่ามาก

     

    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกชายเกิดวันจันทร์

    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
    กฤตยชญ์กริด-ตะ-ยดนักปราชญ์ผู้คงแก่เรียน
    คณพศคะ-นะ-พดมีอำนาจในหมู่คณะ
    ชวกรชะ-วะ-กอนผู้สร้างเชาวน์ ผู้มีเชาวน์
    ณฏฐพลนัด-ถะ-ทะ-พนกำลังของนักปราชญ์
    ธนลภย์ทะ-นะ-ลบได้ทรัพย์
    ธรรมปพนทำ-ปะ-พนมีคุณธรรมบริสุทธิ์
    นฤสรณ์นะ-รึ-สอนเป็นที่พึ่งของคนทั้งหลาย
    วรลภย์วอ-ระ-ลบผู้มีลาภอันประเสริฐ
    วฤนท์ธมวะ-ริน-ทมมากมายยิ่งใหญ่
    สรฐชญณ์สอน-ถะ-ชนมีความรู้เป็นที่พึ่งอย่างมั่นคง

     

    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกสาวเกิดวันจันทร์

    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
    กนกอรกะ-หนก-ออนผู้หญิงที่ดี
    กฤตพรกริด-ตะ-พอนผู้สร้างพร มีความประเสริฐ
    จรรย์อมลจัน-อะ-มนผู้มีความประพฤติดีไม่มีที่ติ
    จรรยมณฑน์จัน-ยะ-มนผู้มีความประพฤติดี เป็นเครื่องประดับ
    พรลภัสพอน-ละ-พัดมีลาภอันประเสริฐ
    พรสรวงพอน-สวงเป็นพรของสวรรค์
    พรรธน์ชญมนพัด – ชะ – ยะ – มนผู้มีใจงามมีความรู้และเจริญ
    มนพรมะ-นะ-พอนมีใจประเสริฐ
    วรรจชนกวัด-ชะ-นกศักดิ์ศรีบิดา
    วรณภัทรชญณ์วอ-ระ-นะ-พัด-ชนที่ซึ่งดีงามประเสริฐและมีความรู้
    ศตพรสะ-ตะ-พอนมีพรมากหรือมีความประเสริฐมากมาย

    ตั้งชื่อจริงลูก

    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกชายเกิดวันอังคาร

    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
    จรณินทร์จะ-ระ-นินเป็นใหญ่เพราะความประพฤติดี
    จิรัฎฐ์จิ-รัดดำรงมั่น อยู่นาน
    ชิณณวรรธน์ชิน-นะ-วัดอยู่กับความเจริญ
    ญานุจจัยยา-นุด-ไจสะสมความรู้ มีความรู้มาก
    ถิรพุทธิ์ถิ-ระ-พุดมีความรู้มั่นคง
    ทัณฑธรทัน-ทะ-ทอนผู้พิพากษา
    ปุณณัตถ์ปุน-นัดผู้สมปรารถนา สมประสงค์
    พฤนท์เดชพริน-เดดมีอำนาจทางทหาร
    ภัทรจารินพัด-ทระ-จา-รินมีความประพฤติดี
    ฤทธิรณริด-ทิ-รนความเก่งกล้าในการรบ
    วัณณุวรรธน์วัน-นุ-วัดทางแห่งความเจริญ
    อจลวิชญ์อะ-จะ-ละ-วิดมีความรู้ไม่หวั่นไหว
    อติวัณณ์อะ-ติ-วันการสรรเสริญ ผู้มีตระกูลสูง
    อติวิชญ์อะ-ติ-วิดนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีตระกูลสูง
    อัฑฒ์อัดชายผู้ร่ำรวย

    momketing 2021

    วันสุดท้าย!! Amarin Baby & Kids ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่ที่มีลูกอายุ0-6 ปีร่วมทำแบบสำรวจความคิดเห็นคุณแม่ ลุ้นรับผลิตภัณฑ์สำหรับแม่ลูกฟรี 50 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 10,000 บาทคลิกที่ลิงก์นี้เลย >> https://bit.ly/3z4Eqzp

    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกสาวเกิดวันอังคาร

    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
    จิรัจฌาจิ-รัด-ชากิริยาดีตลอดกาล
    ชุติมณฑน์ชุ-ติ-มนมีความรุ่งเรืองเป็นเครื่องประดับ
    ธิษณามดีทิด-สะ-นา-มะ-ตีมีความคิดฉลาด
    นันท์นพินนัน-ทะ-พินผู้มีความสุขใหม่ ๆ มีความสุขเสมอ
    ปดิวรัดาปะ-ดิ-วะ-รัด-ดาภักดีในสามี ปรนนิบัติสามีดี
    ปุริมปรัชญ์ปุ-ริม-ปรัดนักปราชญ์คนแรก
    ปัณฑารีย์ปัน-ดา-รีประเสริฐด้วยปัญญา
    เปมนีย์เป-มะ-นีน่ารัก
    พรสุนีติ์พอน-สุ-นีผู้นำที่ดีเลิศ
    ภวรัญชน์พะ-วะ-รันทำให้ชาวโลกยินดี เป็นที่ยินดีของชาวโลก
    วรวลัญช์วอ-ระ-วะ-ลันผู้มีลักษณะอันประเสริฐ
    สัณห์ฤทัยสัน-รึ-ไทมีจิตใจละเอียดอ่อน จิตใจงาม

    ตั้งชื่อเล่นลูกชาย

    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกชายเกิดวันพุธกลางวัน

    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
    คณุฒน์คะ-นุดประเสริฐกว่าคนทั้งหลาย
    ฐปนวัฒน์ถะ-ปะ-นะ-วัดเจริญอย่างมั่นคง
    ฐิตธีร์ถิ-ตะ-ทีปราชญ์ผุ้มั่นคง
    ฐิติวัสส์ถิ-ติ-วัดยืนยาวตลอดปี
    ธุวานันท์ทุ-วา-นันมีความยินดียั้งยืน มีความสุขยั่งยืน
    นนทิวรรธน์นน-ทิ-วัดยินดีในทรัพย์
    นัธทวัฒน์นัด-ทะ-วัดมีความเจริญเป็นที่มั่นคง
    ปัณฑ์ธรปัน-ทอนทรงไว้ซึ่งความรู้
    พิชญุตม์พิด-ชะ-ยุดฉลาดและยิ่งใหญ่
    พลัฎฐ์พะ-ลัดตั้งอยู่ในกำลัง ทรงพลัง
    วริทธิ์นันท์วะ-ริด-นันยินดีในความสำเร็จอันประเสริฐ
    วเรณย์วะ-เรนประเสริฐสุด
    อุกฤษฎ์อุก – กริดประเสริฐสุด

     

    ตั้งชื่อจริงลูก พร้อมความหมาย ชื่อมงคล ลูกสาวเกิดวันพุธกลางวัน

    ชื่อมงคล ชื่อจริงลูกอ่านว่าความหมาย
    กัณฐมณีกัน-ถะ-มะ-นีของที่รัก
    ขยาทิมาตขะ-ยา-ทิ-มาดมีชื่อเสียงเลื่องลือ
    ขรินทร์ทิพย์ขะ-ริน-ทิบเทวดาผู้เป็นใหญ่และเก่งกล้า
    คคนางค์คะ-คะ-นางท้องฟ้า
    ณภัทรฐนันนะ-พัด-ถะ-นันมีความเจริญก้าวหน้า
    ณัฏฐริกานัด-ถะ-ริ-กาผู้เป็นปราชญ์
    โตษณาการโต-สะ-นา-กานอาการปลื้มปีติยินดี
    ธนันกรกานต์ทะ-นัน-กอน-กานสร้างทรัพย์และเป็นที่รัก
    ธิษณาธรทิด-สะ-นา-ทอนทรงความรู้ความเข้าใจ
    นลินณัฐมนนะ-ลิน-นัด-ถะ-มนจิตใจที่ประเสริฐดั่งดอกบัวและฉลาด
    นิษฐการต์นิด-ถะ-กานน่ารักอยู่เสมอๆ
    ปรีย์ประภัสสรปรี-ปะ-พัด-สอนเป็นที่รักแห่งความรุ่งเรือง
    เปรมาวรินทร์เปร-มา-วะ-รินมีความรักความชอบและประเสริฐยิ่งใหญ่
    พรรธน์ธวัลพัด-ทะ-วันเจริญก้าวหน้าและบริสุทธิ์
    พิมลดาลภัสพิ-มน-ดา-ละ-พัดงดงามยิ่ง
    ภาวรรณวรางค์พา-วัน-วะ-รางรูปร่างดีและผิวพรรณงาม

     

    ดูต่อหน้า 2 “ไอเดีย ตั้งชื่อจริงลูกพร้อมความหมาย
    วันพุธ ถึง วันเสาร์” คลิกเลย!!

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      วัคซีนสำหรับคนท้อง จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอะไรบ้าง ?

      วัคซีนสำหรับคนท้อง ควรฉีดไหม? ฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์ไม่เป็นอันตรายกับลูกในท้องใช่ไหม ? ถามกันมาบ่อยๆ แบบนี้ วันนี้ทีมแม่ABK จะมาตอบให้หายสงสัย เพื่อที่แม่ท้อง หรือว่าที่คุณแม่ได้คลายความกังวลกันด้วยค่ะ

       

      วัคซีนสำหรับคนท้อง จำเป็นต้องฉีดหรือไม่?

      จากที่ทีมแม่ABK เคยตั้งครรภ์ที่ผ่านก็มีได้รับการฉีด วัคซีนสำหรับคนท้อง มาด้วยเช่นกัน เป็นวัคซีนไข้หวัดใหญ่ค่ะ เดี๋ยว จะมาบอกรายละเอียดว่าฉีดวัคซีนได้ตอนช่วงไหนของการตั้งครรภ์ คุณหมอมีแนะนำมานะคะว่าการฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์มีความจำเป็นและสำคัญมากๆ เพราะเป็นการสร้างภูมิคุ้มให้กับร่างกายของแม่ท้อง

      เมื่อร่างกายแม่ถูกกระตุ้นให้มีภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงในระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยขณะตั้งครรภ์ได้ค่ะ เพราะถ้าหากแม่เจ็บป่วยไม่สบายขึ้นมาก็อาจส่งผลกระทบโดยตรงกับลูกน้อยในครรภ์ อย่าลืม!! ว่าการกินยาเพื่อรักษาอาการป่วยไม่สบาย ไม่เป็นผลดีต่อลูกในท้องเลยค่ะ

       

      ทำไมไม่ฉีดวัคซีนก่อนท้อง ?

      การวางแผนในการตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่ทีมแม่ABK แนะนำอยู่ตลอดค่ะ การตรวจสุขภาพร่างกายก่อนท้อง จะช่วยให้เรารู้ว่าร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคหรือเปล่า หรือถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน คุณหมอก็จะแนะนำว่าต้องได้รับการฉีควัคซีนที่จำเป็นอะไรบ้าง ซึ่งวัคซีนพื้นฐานจำเป็นก็เช่น บาดทะยัก ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ วัคซีนเหล่านี้จำเป็นและสำคัญมากๆ กับสุขภาพร่างกายของแม่ท้องทุกคนนะคะ

      แล้วถ้าไม่ได้ไปตรวจสุขภาพก่อนท้อง แล้วมีการตั้งครรภ์ขึ้นมา ในระหว่างนี้จะฉีดวัคซีนอะไรได้บ้าง ทีมแม่ABK ขอบอกให้คุณแม่ท้องทุกคนได้สบายใจก่อนค่ะ ว่าในเบื้องต้นเมื่อเรารู้ตัวแล้วว่ามีการตั้งครรภ์ สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำในทันที รอไม่ได้ นั่นก็คือการไป “ฝากครรภ์” ยิ่งฝากครรภ์เร็วยิ่งช่วยลดภาวะเสี่ยงจากการเจ็บป่วย ไม่สบายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากตั้งครรภ์ไปแล้วได้ค่ะ

      การฝากครรภ์คุณหมอจะเช็กสุขภาพ และสอบถามประวัติการได้รับวัคซีนต่างๆ ให้กับคุณแม่ด้วยค่ะ ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้ได้รู้ เบื้องต้นว่าร่างกายคุณแม่ยังจำเป็นต้องได้รับวัคซีนอะไรบ้าง สำหรับวัคซีนแม่ท้อง ที่สามารถรับการฉีดได้ในขณะตั้งครรภ์ ที่ทางการแพทย์แนะนำไว้ คือ…

       

      ฉีดวัคซีนระหว่างตั้งครรภ์ อะไรได้บ้างที่ไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง ?

      การได้รับการฉีดวัคซีนหากเป็นไปได้คุณหมอก็แนะนำว่าให้ฉีดเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนตั้งครรภ์ค่ะ แต่ที่บอกไปตอนต้นว่าทีมแม่ABK ก็มีฉีดวัคซีนตอนท้องด้วยเหมือนกัน เป็นวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ค่ะ และนี่คือวัคซีนที่คุณแม่ถามกันมาว่าคนท้องฉีดวัคซีนอะไรได้บ้าง มีดังนี้ค่ะ

      1. วัคซีนป้องกันบาดทะยัก

      วัคซีนป้องกันบาดทะยักเป็นวัคซีนสำหรับคนท้อง ที่คุณหมอแนะนำให้ฉีดกันค่ะ ซึ่งโดยปกติวัคซีนบาดทะยักทุกคนจะได้รับฉีดกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะคะ แต่โตมาเป็นผู้ใหญ่วัคซีนบาดทะยักก็ยังจำเป็นอยู่นะคะ ปกติควรฉีดทุกๆ 10 ปี สำหรับคุณแม่ท้องที่ไม่ได้มีการฉีดวัคซีนบาดทะยักมามากกว่า 10 ปี และไม่เคยได้มีการฉีดมาก่อนท้อง หลังจากตั้งครรภ์คุณหมอจะฉีดให้ 3 เข็ม การฉีดเข็มแรกเดือนที่ 1(ของการตั้งครรภ์) และเข็มที่ 2 ในเดือนที่ 6(ของการตั้งครรภ์) ส่วนเข็มที่ 3 จะฉีดให้คุณแม่หลังจากที่คลอดลูกเรียบร้อยแล้วค่ะ

      2. วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน

      พอบอกว่าเป็นวัคซีนคอตีบ ไอเกรน จะต้องฉีดหลายเข็มหรือเปล่า ไม่ต้องกลัวค่ะคุณแม่ เพราะวัคซีนเข็มนี้เป็นวัคซีนรวมในเข็มเดียวกัน และก็ฉีดแค่เข็มเดียว เป็นวัคซีนที่ช่วยปกป้องคุณแม่จากการติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ ให้มีอัตราเสี่ยงน้อยลง หรือไม่มีเลยค่ะ คุณหมอจะฉีดวัคซีนให้คุณแม่ได้ในช่วงอายุครรภ์ 27-36 สัปดาห์ค่ะ

      3. วัคซีนไข้หวัดใหญ่

      คนท้องถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้ป่วยไม่สบายเป็นไข้หวัดใหญ่กันเลยค่ะ เพราะเมื่อป่วยแล้วโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจะรุนแรงมากกว่าคนที่ไม่ท้องค่ะ โดยปกติแล้ววัคซีนไข้หวัดใหญ่จะมีแนะนำให้ฉีดกันในทุกๆ ปีค่ะ ปีละ 1 เข็ม สำหรับคุณแม่ท้องที่ไม่ได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ก่อนตั้งครรภ์ คุณแม่จะสามารถฉีดให้ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ในช่วงอายุครรภ์หลัง 28 สัปดาห์ไปแล้วค่ะ

      ส่วนนี้เป็นวัคซีนพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับคนท้อง ซึ่งวัคซีนนอกเหนือจากนี้ จะเป็นการพิจารณาการได้รับวัคซีนที่จะอยู่ในการควบคุมของคุณหมอที่ดูแลครรภ์ให้คุณแม่เป็นกรณีๆ ไปค่ะ

      นอกจากนี้นะคะก็ยังวัคซีนได้แก่ วัคซีนป้องกันโรค สุกใส (Varicella) งูสวัด (Zoster) และวัคซีน คางทูม หัด หัดเยอรมัน ( Measles, mumps, rubella ) เป็นวัคซีนที่คุณหมอจะไม่ฉีดให้คุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์กันนะคะ ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ฉีดกันก่อนที่จะมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น ฉีดมาล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน สาเหตุที่ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีคซีนกลุ่มนี้ขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากเป็นวัคซีนเชื้อเป็น หากฉีดขณะตั้งครรภ์อาจเสี่ยงที่จะทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อ และอันตรายถึงพิการได้นั่นเองค่ะ

      การสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดีที่สุดก็คือการได้รับวัคซีนที่จำเป็นๆ ประจำทุกปี เพื่อให้ร่างกายกระตุ้นสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด บวกกับการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ไม่กินหวาน มัน เค็ม เผ็ดจัดๆ ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ และต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็ช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย เป็นการตั้งครรภ์ สมบูรณ์แข็งแรงทั้งคุณแม่ และลูกน้อยในท้องด้วยค่ะ …ด้วยความห่วงใย

       

      บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

      7 สัญญาณ อันตรายระหว่างตั้งครรภ์ ที่แม่ท้องต้องรีบหาหมอ 

      ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ H1N1

      มันฝรั่งทอด กินมากไปเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์ 

      วัคซีนผู้ใหญ่ ใครว่าไม่สำคัญ พ่อแม่ควรฉีดถ้าอยากอยู่กับลูกไปนานๆ

      โรคหัด หัดเยอรมัน ต่างกันอย่างไร

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


      เครดิต : โรงพยาบาลวิชัยยุทธ , โรงพยาบาลเปาโล 

       

       

        work from home

        งานก็ต้องทำ ลูกก็ต้องเลี้ยง work from home ยังไงให้ดี ถ้ามีลูกต้องดูแล

        Work from home (WFH) หรือ “ทำงานที่บ้าน” ที่หลายบริษัทได้ตัดสินใจให้พนักงานอยู่บ้านทำงานเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ COVID-19 แม้ว่าจะต้องเตรียมพื้นที่สำหรับนั่งทำงานที่บ้านให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็ต้องรับมือกับเจ้าตัวเล็กจอมซนในบ้านที่จำเป็นต้องอยู่บ้านเช่นเดียวกัน ไหนจะมาอ้อนให้แม่เล่นด้วย ไหนจะเล่นส่งเสียงดัง ฯลฯ เป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยากสำหรับแม่เมื่ออยู่บ้านไปพร้อมกับลูก ๆ จะแบ่งเวลายังไงดี

        งานก็ต้องทำ ลูกก็ต้องเลี้ยง work from home ยังไงให้ดีถ้ามีลูกต้องดูแล

        1.จัดโซนนิ่งทำงาน

        จัดพื้นที่ทำงานให้เป็นส่วนสัดชัดเจน เพื่อให้ลูกเข้าใจว่านี่คือ “พื้นที่ทำงาน” ของคุณแม่ไม่ให้เข้ามารบกวนเวลาทำงาน เวลาเริ่มต้นทำงานจึงเป็นการส่งสัญญาณให้ลูกเข้าใจว่า “แม่จะเริ่มทำงานแล้วนะ”  อีกทั้งการจัดโซนทำงานที่แยกจากส่วนอื่น ๆ ของบ้าน จะช่วยสร้างบรรยากาศให้รู้สึกจดจ่อกับการทำงานเป็นอันดับแรก แต่แน่นอนว่าพื้นที่ทำงานในบ้านไม่เหมือนที่ออฟฟิศ ถ้าในบ้านไม่มีห้องทำงานโดยเฉพาะ คุณแม่ลองหาพื้นที่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง แล้วหาสิ่งของมากั้นให้เป็นสัดส่วนดูนะคะ

        ทํางานที่บ้าน

        2.แจ้งหัวหน้า ทีม หรือเพื่อนร่วมงานว่าในบ้านมีเด็ก

        แน่นอนว่าการทำงานที่บ้าน อาจจำเป็นต้องมีการสื่อสารร่วมกับที่ทำงาน บางครั้งการคุยงานผ่านโทรศัพท์ หรือการประชุมผ่าน VDO Conference สำหรับคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกเอง หากไม่มีพี่เลี้ยงหรือญาติผู้ใหญ่ ควรแจ้งกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานให้ทราบด้วยว่า อาจมีเสียงของเด็กๆ รบกวนบ้าง โดยเฉพาะบ้านที่เด็กเล็กที่มีพฤติกรรมเหนือการควบคุม แต่ก็จะพยายามจัดการช่วงเวลาทำงานอย่างดีที่สุด

        3.ให้คนในครอบครัวช่วยดูแลลูก

        เป็นเรื่องดีหากมีคนในครอบครัวอาศัยอยู่ด้วยภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณปู่คุณย่าหรือญาติพี่น้องที่สนิท เพราะพวกเขาจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการเลี้ยงลูกเมื่อคุณแม่นั่งทำงานที่บ้าน อย่างน้อยที่สุดก็คือช่วงเวลาที่คุณแม่จัดสรรในการทำงานจนกระทั่งถึงเวลาพัก

        4.จัดตารางการทำงานและกำหนดความสำคัญของงาน

        การจัดตารางงานในแต่ละวันจะทำให้คุณแม่แบ่งเวลาระหว่างการทำงานและเวลาที่จะดูแลลูกได้ กำหนดเป็นตารางเวลาให้ชัดเจนและวางแผนเริ่มต้นจัดลำดับงานที่สำคัญก่อน เช่น เลือกทำงานหนักที่สุด หรือยากที่สุด  ทั้งนี้เมื่อทำงานที่บ้านก็สามารถยืดหยุ่นได้ เช่น ถ้าลูกกวนเวลาที่ทำงานคุณแม่อาจจะสลับเวลาเล่นกับลูกมาแทน เพื่อให้เกิดผลดีแก่ทั้งสองอย่าง แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่ work from home ด้วยกันทั้งคู่ก็อาจจะใช้วิธีสลับกันดูแลลูกก็ได้เช่นกัน ส่วนช่วงที่ลูกเข้านอนคุณแม่อาจจะใช้เวลาช่วงนี้เคลียร์งานที่เหลือได้อย่างเต็มที่หรือวางแผนสำหรับวันถัดไป การวางแผนที่ดีจะช่วยทำให้คุณแม่เหนื่อยน้อยลง ไม่ทำให้เครียด และอาจช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นนะคะ

        5.อธิบายให้ลูกเข้าใจเมื่อคุณแม่ต้องทำงานอยู่ที่บ้าน

        เมื่อเริ่มต้นทำงานคุณแม่จำเป็นต้องสื่อสารให้ลูกเข้าใจว่า นี่คือการทำงานที่บ้านเพียงแต่ไม่ได้เดินทางไปที่ออฟฟิศเท่านั้น และช่วงเวลาทำงานคุณแม่ไม่สามารถเล่นกับลูกได้จนกว่าจะถึงเวลาพัก หรือใช้วิธีตั้งกฏกับคนในครอบครัวว่าในเวลาทำงานอย่าเพิ่งเข้ามารบกวน เพื่อช่วยให้เข้าใจตรงกันและไม่ส่งผลกระทบต่องานของคุณแม่ค่ะ

        วิธีทํางานที่บ้าน

        6.จัดตารางกิจกรรมให้ลูก

        คุณแม่ลองวางแผนกิจกรรมของเจ้าตัวเล็กให้ทำในแต่ละวันในช่วงเวลาที่แม่ทำงานดูค่ะ โดยปกติเวลาในการ WFH ของบริษัทส่วนใหญ่จะประมาณ 9:00–18:00น. และเวลาพักกลางวัน 12:30-13:30 น. เหมือนเวลาเข้างานปกติ ข้อดีของการทำงานที่บ้านทำให้คุณแม่มีเวลาในช่วงเช้าเตรียมอาหาร กินข้าว และเล่นกับลูกได้ รวมถึงเวลาพักเที่ยง พักเบรคเล็กน้อย ดังนั้นในช่วงเวลาทำงานของคุณแม่ก็มีตารางกิจกรรมให้คุณลูกเช่นกัน เพื่อไม่ให้เจ้าตัวเล็กมารบกวนเวลาทำงานของคุณแม่ เช่น อาจจะหาแบบฝึกหัด ทำการบ้านปิดเทอม หรือหากิจกรรมง่าย ๆ ให้ลูกทำอย่างวาดภาพ ทำศิลปะประดิษฐ์ อ่านหนังสือ เล่นบอร์ดเกม เล่นเกม หรือการปล่อยให้ได้ดูทีวี ดูมือถือบ้าง แต่ก็ควรกำหนดเวลาดูให้ชัดเจน เพื่อไม่ให้ในแต่ละวันลูกอยู่กับหน้าจอมากเกินไป

        บทความแนะนำ : 6 กิจกรรมเล่นกับลูกสไตล์ มอนเตสเซอรี่ เสริมทักษะให้ลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน

        7.ให้รางวัลเด็กดี

        เมื่อลูกเข้าใจและไม่มารบกวนคุณแม่เวลาทำงานตามที่ตกลงไว้ได้ คุณแม่อาจให้รางวัลกับเจ้าตัวน้อยเป็นคำชมเชยเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมีขนมอร่อย ๆ ให้กิน สำหรับความร่วมมือที่ช่วยให้การทำงานที่บ้านของคุณแม่ไม่ยากลำบาก และเมื่อเสร็จจากงานในแต่ละวัน คุณแม่ควรใช้เวลาเล่นกับลูกหรือพูดคุยกับลูกให้เต็มที่เลยค่ะ แต่หากว่าคุณแม่เจอเจ้าตัวเล็กมาขัดจังหวะเวลาทำงาน อาจจำเป็นต้องหยุดทำงานเพื่อมาทำความเข้าใจกับลูก อธิบายให้ลูกฟังว่าการที่ลูกไม่รบกวนจะช่วยให้คุณแม่ทำงานได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่าถ้าไม่มากวนเด็ก ๆ ก็ควรจะได้รับรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ

        working from home

        8.พักเบรกแล้วพักเล่นกับลูก

        โดยปกติเวลาทำงานที่บริษัทคุณแม่ยังมีเวลาลุกออกจากโต๊ะทำงานเพื่อยืดเส้นยืดสาย พักสายตา ดังนั้นในระหว่างที่สามารถนั่งทำงานที่บ้าน คุณแม่ควรแบ่งเวลาพัก เพื่อเดินออกไปดูลูก พูดคุยกับลูก เช่น ใน 1 ชั่วโมง คุณแม่สามารถแบ่งเวลาทำงาน 50 นาที และพักอีก 10 นาที เพื่อให้ลูกรู้สึกว่าแม่ยังคอยดูแล ไม่ปล่อยเขาไว้อยู่คนเดียว และช่วยให้แม่ได้ผ่อนคลายจากการทำงาน พักสมองจากความเครียดด้วยค่ะ

        9.อย่าเคร่งเครียดมากเกินไป

        การปรับตัว work from home ในช่วงแรก ๆ อาจจะเกิดการติดขัด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ระบบ การสื่อสารระหว่างที่ทำงาน แม้กระทั่งการปรับตัวทำงานที่บ้านที่มี่เจ้าตัวเล็กอยู่ด้วย แถมการทำงานที่เจ้านายมองไม่เห็นทำให้คุณแม่ต้องมีวินัยมาก การทำงานที่บางทีต้องทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย อาจทำให้คุณแม่เครียด ความเครียดแม้เพียงเล็กน้อยก็จะส่งผลต่อสุขภาพและกระทบไปถึงการทำงานได้ ดังนั้นคุณแม่ควรทำความเข้าใจว่าการ WFH อยู่ในช่วงสถานการณ์ไม่ปกติ อย่าเครียด หรือหักโหมมากเกินไป พยายามสื่อสารกับคนในออฟฟิศ หรือคิดง่าย ๆ ว่าเราทำงานเหมือนตอนเข้าออฟฟิศปกตินั่นเอง เมื่อทำงานเสร็จแล้ว ให้ปิดหน้าจอแล้วก็มาสนุกกับเจ้าตัวเล็กเพื่อพักผ่อนคลายเครียดกันค่ะ

        แม้ว่าการ Work from home จะเป็นเรื่องที่ยังไม่คุ้นชินสำหรับพนักงานออฟฟิศ แต่ด้วยสถานการณ์ฉุกเฉินที่ทำให้องค์กร บริษัท และพนักงานต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้า ซึ่งยังคงต้องรับผิดชอบในส่วนงานให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่เหมือนเดิม ดังนั้นเมื่อมีโอกาสได้ลองทำงานจากที่บ้าน จากที่เคยใช้ชีวิตประจำวันจันทร์-ศุกร์เข้าออฟฟิศ ก็ถือเป็นประโยชน์ที่คุณแม่จะได้เรียนรู้การทำงานในอีกระบบไปพร้อม ๆ กับการเลี้ยงลูก ๆ ที่บ้าน แม้ว่าบางอย่างมันจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่น แต่อย่างน้อยการร่วมด้วยช่วยกันอยู่บ้านก็ช่วยลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื้อ ได้อยู่อย่างปลอดภัย และมีสุขภาพดีนะคะ

        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :www.brandinside.asiawww.fastcompany.com

        อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

        11 ข้อพ่อแม่ควรทำ & ไม่ควรทำ รับมือ COVID-19 โดย พ่อเอก

        แม่ไทยในอิตาลีแชร์ “วิธีรับมือ COVID-19” ในวันที่ต้องปิดประเทศ

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          วิธีคลายเครียด

          เมื่อแม่จิตตก! 9 วิธีคลายเครียด ดูแลสุขภาพใจไม่ให้ Panic ช่วงโควิด-19

          ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 บวกกับความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสารที่มีทั้งข่าวจริง ข่าวปลอม จนทำให้แม่ ๆ หลายคนเลี้ยงลูกด้วยอาการจิตตก มีทั้งความรู้สึกกังวล ห่วงครอบครัว จนเกิดอาการ “เครียด” ที่นอกจากจะบั่นทอนจิตใจยังส่งผลกระทบต่อร่างกายได้ไม่น้อย การเตรียมพร้อมรับมือกับความวิตกกังวลดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง มาดู วิธีคลายเครียด ที่อย่างน้อยก็ต้องทำจิตใจและร่างกายให้แข็งแรงขึ้นเพื่อดูแลลูกและครอบครัวกันค่ะ

          นายแพทย์ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้อธิบายถึงความกังวลที่เกิดขึ้นในสถานการณ์แบบนี้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่กังวลน้อยไป กลุ่มที่ 2 กังวลมากไป ซึ่งแบ่งความกังวลได้เป็น กลัวคนอื่นจะมาติด กลัวว่าคนป่วยหรือคนเสี่ยงจะมาทำให้เราติด กลัวอาหารหมดจนต้องไปกักตุน กลัวหน้ากากหมด กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่ 3 ตระหนักแต่ไม่ตระหนก รู้จักป้องกันตนเอง ด้วยวิธีการพื้นฐาน ตระหนักรู้ว่าเราต้องทำอย่างไร

           “การที่เรากลัวเกินไป ส่งผลกระทบต่อสังคม สิ่งสำคัญคือ สุขภาพจิตเสีย นอนไม่หลับ ใช้เวลาในการรับรู้ข่าวสารยาวนานเกินไป เกิดความเครียด มีผลเสียต่อสุขภาพกาย เวลาที่เราเครียดทำให้เราภูมิคุ้มกันตก เราควรอยู่ในระดับความกังวลที่พอดี คือ กลุ่มที่ 3 หากกังวลน้อยไปก็ต้องเปลี่ยน แต่หากกังวลมากไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพจิต แต่หากอยู่ในความพอดี คุณคือคนสำคัญที่จะเตือนคนรอบข้างของเราได้” นายแพทย์ยงยุทธ กล่าว”

          ด้านนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้กล่าวถึงผลเสียที่เกิดจากความเครียดว่า “หากมีความเครียดสะสมในระดับที่มากไปจะส่งผลต่อสุขภาพกาย  นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดท้อง และส่งผลต่อสุขภาพจิต หงุดหงิด โกรธง่าย เบื่อหน่าย คิดมาก วิตกกังวล เศร้าหมอง รวมทั้งอาจมีพฤติกรรม เก็บตัว ชวนทะเลาะ มีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่น”

          เมื่อแม่จิตตก! 9 วิธีคลายเครียด ดูแลสุขภาพใจไม่ให้ Panic ช่วงโควิด-19

          วิธีช่วยคุณแม่ลดความกังวลใจในสถานการณ์เกี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 สามารถทำได้หลายทาง เช่น

          วิธีคลายเครียด วิตกกังวล
          วิธีคลายเครียด วิตกกังวล

          1.เว้นระยะการรับข้อมูลข่าวสาร การอ่านข้อมูลข่าวสารที่มากเกินไปทำให้เกิดความกังวลใจได้มาก ซึ่งก็มีทั้งข่าวจริงและที่เป็นเฟคนิวส์ เมื่อเสพข่าวที่ล้นเกินไปทำให้สามารถเสียการควบคุมตัวเองได้ จนเกิดอาการบั่นทอนทางจิตใจ ซึ่งสิ่งที่ทำให้คลายกังวลหรือการติดตามข่าวสารอย่างมีสติ และเรียนรู้ที่จะคัดกรองแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือได้ ได้ เช่น เว็บไซต์ WHO หรือกรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้สามารถเฝ้าระวังและรับมือได้อย่างเหมาะสม

          2.การพูดคุยด้วยวิธีออนไลน์ กับคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนที่ไว้ใจ จะสามารถช่วยคลายความรู้สึกเครียด หรือวิตกกังวลได้เป็นอย่างดี เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีสุขภาพจิตที่ดีตามไปด้วย

          3.พยายามรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่ประโยชน์เพื่อส่งผลดีต่อสุขภาพ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

          4.หากิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ทำให้ตัวเองมีความสุขในเวลาว่างทำ เช่น ดูซีรีส์ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำงานประดิษฐ์ ฯลฯ

          5.ดูแลร่างกายตัวเองมากขึ้น ฝึกการกำหนดลมหายใจเข้าออก คือเมื่อหายใจเข้าหน้าท้องจะพองออก และเมื่อหายใจออกหน้าท้องจะยุบลง หายใจเข้าลึก ๆ และช้า ๆ กลั้นไว้ชั่วครู่แล้วจึงหายใจออก หมั่นลองฝึกเป็นประจำทุกวัน จนสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ การหายใจแบบนี้จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น ควบคุมให้หัวใจเต้นช้าลง ทำให้สมองแจ่มใส และคลายกังวลมากขึ้น

          วิธีแก้เครียด คิดมาก

          6.นั่งสมาธิ เป็นอีกวิธีที่ได้ผลดีในการช่วยบำบัดความเครียดและต้องการผ่อนคลาย โดยเริ่มต้นนั่งจากท่าที่สบาย จากนั้นให้หลับตาแล้วหายใจเข้าออกช้าๆ เริ่มทำสมาธิด้วยการเอาใจไปจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวด้วยการใช้วิธีนับลมหายใจเป็นหลัก ซึ่งก็จะช่วยทำให้ความเครียด ความรู้สึกวิตกกังวลลดลงได้

          7.ให้เวลากับตัวเองเงียบ ๆ คล้ายกับการทำสมาธิ เพียงแต่ไม่ต้องกำหนดลมหายใจ โดยใช้เวลาประมาณ 15   นาที นั่งหรือนอนในท่าที่สบาย จากนั้นหลับตาเพื่อตัดสิ่งรบกวนจากภายนอก หายใจเข้าออกช้า ๆ ลึก ๆ ฝึกครั้งละ 10-15 นาที ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง

          8.ปรับตัวเพื่อปรับสภาพจิตใจ โดยหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหาไปสักระยะหนึ่ง และพยายามไม่คาดหวังในสิ่งต่าง ๆ มากจนเกินไป พยายามคิดบวกเข้าไว้ แต่ถ้าหากคุณแม่รู้สึกเครียด รู้สึกจิตใจตัวเองย่ำแย่เกินไป การปรึกษานักจิตวิทยานับว่าเป็นทางออกที่ดี

          9.ออกกำลังกาย หากิจกรรมที่สามารถออกกำลังภายในบ้านได้ เช่น โยคะ บางท่าของโยคะถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการลดความตึงเครียดและผ่อนคลายร่างกายได้ การยืนบิดตัวยืดเส้นยืดสาย หรือการเดิน/ วิ่งรอบ ๆ บ้านก็จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อนผ่อนคลายลง และยังเพิ่มระดับเอ็นโดรฟินหรือสารอื่น ๆ ที่ดีต่อสุขภาพและอารมณ์ ซึ่งช่วยคลายเครียดได้เป็นอย่างดี

          วิธีรับมือความเครียด
          ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/csdthai

          ช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัส Covid-19 ที่ส่งผลให้ทุกคนเกิดความเครียดได้ โดยสาเหตุหลัก ๆ คือเกิดจากความกลัวและความกังวล ทำให้เกิดอาการนอนหลับยากขึ้น มีสมาธิน้อยลงเพราะมีสิ่งรบกวนจิตใจ แน่นอนว่าช่วงนี้ความเครียดอาจเป็นสิ่งที่หนีไปพ้น แต่ก็สามารถหาวิธีคลายเครียดลงได้ เพื่อทำให้ทุกคนสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุขและมีสุขภาพที่ดีนะคะ.

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.brandinside.asia. www.bangkokbiznews.com, www.goodlifeupdate.com

          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

          หมอรามาแนะแนวทาง รับมือไวรัสโคโรน่า “5 วิธีดูแล+สอนลูก รอดจาก COVID-19”

          8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            เด็กติดโควิด-19

            เด็กติดโควิด-19 เพิ่ม เตือนพ่อแม่ระวัง อย่าพาเชื้อเข้าบ้าน

            โควิด-19 ไม่ได้รักเด็กอีกต่อไป หลังจากเริ่มมีข่าว เด็กติดโควิด-19 เพิ่มขึ้น จากเคสแรก เด็ก 8 ขวบติดจากปู่ย่า ต่อมาไม่นานเด็ก 6 เดือนติดเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19 ซึ่งเป็นเคสที่อายุน้อยที่สุดในไทย และในยามที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในบ้านเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ เชื้อได้มีการแพร่กระจายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น ก็ทำให้พบ เด็กติดโควิด-19 เพิ่มที่โคราชอีก 2 รายค่ะ

            โดยล่าสุด (26 มี.ค. 2563) ได้มีการรายการสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด –19 ในจังหวัดนครราชสีมา พบผู้ป่วยเพิ่ม 4 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 1 ขวบ 2 เดือน ติดจากญาติ และอีกเคสหนึ่งเป็นเด็ก 9 ปี ติดเชื้อจากแม่ที่กทม.

            จะเห็นได้ว่า ในเด็กเล็ก แม้เราจะให้เขาอยู่แต่ในบ้าน เขาก็ยังสามารถได้รับเชื้อจากผู้ใหญ่ที่ยังเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะไปทำงาน หรือไปทำธุระ จับจ่ายใช้สอยของจำเป็นเข้าบ้านก็ตาม แม้จะใส่หน้ากาก หรือพกแอลกอฮอล์ล้างมือ ก็ไม่ได้หมายความว่า ผู้ใหญ่ที่ออกนอกบ้าน จะไม่พาเชื้อเข้าบ้าน มาติดลูกหลานที่ยังมีภูมิต้านทานไม่เท่าผู้ใหญ่

            ทีมแม่ ABK จึงมีคำแนะนำดีๆ  ให้บ้านนี้ปลอดเชื้อโควิด-19 ต้องเริ่มต้นที่พ่อแม่ มาร่วมมือกันดูแลตัวเองเพื่อคนที่คุณรัก  ป้องกัน เด็กติดโควิด-19 กันเถอะ

            บ้านนี้ปลอดเชื้อโควิด-19
            บ้านนี้ปลอดเชื้อโควิด-19

            เมื่อจำเป็นต้องออกนอกบ้าน

            1. วางแผนก่อนออกจากบ้าน ทำรายการกิจกรรมที่ต้องออกไปทำ เช่น รายการสถานที่ที่ต้องไป ของที่ต้องซื้อ
            2. วัดอุณหภูมิร่างกายก่อนออกจากบ้าน
            3. สวมหน้ากาอนามัย / หน้ากากผ้าทุกครั้ง ไม่สวมนาฬิกา เครื่องประดับ เพราะอาจเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค
            4. พกเจลล้างมือ / สเปรย์แอลกอฮอล์
            5. ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก หรือใบหน้า
            6. สวมชุดคลุม หากผมยาวควรใส่หมวก
            7. หากไปซื้อของเลือกเวลาและสถานที่ที่คนไปน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการใช้ลิฟท์
            8. รักษาระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 2 เมตร
            9. รีบไปรีบกลับ

            วิธีป้องกันโควิด เมื่อออกนอกบ้าน

            อ่านต่อ วิธีป้องกันโควิด-19 เมื่อกลับมาถึงบ้าน คลิกหน้า 2

              ช่วงโควิด19

              ข้อควรปฏิบัติ! เมื่อต้อง พาลูกไปโรงพยาบาล ช่วงโควิด-19 ระบาด

              ไขข้อสงสัย? ช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด จำเป็นต้องพาลูกไปฉีดวัคซีนหรือไม่? เลื่อนนัดได้หรือเปล่า! และถ้าลูกป่วย ต้อง พาลูกไปโรงพยาบาล ควรเตรียมตัวอย่างไรเพื่อให้ลูกปลอดภัย

              ข้อควรปฏิบัติ! เมื่อต้อง พาลูกไปโรงพยาบาล
              ช่วงโควิด-19
              ระบาด

              เมื่อคุณแม่มีความจําเป็นต้อง พาลูกไปโรงพยาบาล พบคุณหมอ แต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) คงทำให้คุณพ่อคุณแม่ผู้เกิดความกังวลใจอยู่ไม่น้อยที่จะต้องพาลูกไปพบคุณหมอตามนัดหรือเข้ารับการรักษา ซึ่ง ช่วงโควิด-19 ระบาด แบบนี้ โรงพยาบาลแต่ละแห่งอาจมีการรับมือและข้อปฏิบัติในการ ควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ต่างกันทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่

              Must read >> เผย “ความในใจคนเป็นแม่” หลัง ลิเดียติดเชื้อไวรัสโควิด-19

              Must read >> วิธี ลงทะเบียนรับเงิน 5,000 บาท
              ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ใครมีสิทธิ์บ้าง? เช็กเลย!!

               

              สำหรับคำถามที่ว่า เมื่อถึงกำหนดฉีดวัคซีนแล้วต้องพาลูกไปฉีดวัคซีน แต่ก็ไม่กล้า พาลูกไปโรงพยาบาล จะสามารถเลื่อนการรับวัคซีนออกไปก่อนได้หรือไม่? เพื่อคลายข้อสงสัยที่คุณพ่อคุณแม่กำลังเป้นกังวลกันมากในเรื่องนี้ ทางทีมแม่ ABK จึงได้นำคำตอบจาก คุณหมออร พญ.กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล กุมารแพทย์ เฉพาะทางด้านต่อมไร้ท่อ (ฮอร์โมนเด็ก) มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบกัน โดยคุณหมออร ได้โพสต์ในเพจ เลี้ยงลูกโตไปด้วยกันกับหมออร Hormone for Kids กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ ว่า …

               

              Q: หากถึงกำหนดฉีดวัคซีน แต่ไม่กล้า พาลูกไปโรงพยาบาล จะเลื่อนฉีดออกไปก่อนได้มั้ย?

              A: คำตอบ คือ ขึ้นกับอายุของเด็ก

               

              *ถ้าลูกอายุต่ำกว่า 1 ปี คุณหมอแนะนำให้ควรไปฉีดให้ครบตามกำหนด เพราะลูกอาจมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้ออื่นๆ ได้ เนื่องจากลูกยังไม่มีภูมิคุ้มกันอะไรเลย

              ไม่ว่าจะเป็น โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก โปลิโอ ฮิบ (HIB) ตับอักเสบบี และโรต้า ก็อาจจะอันตรายกว่าถ้าไม่ได้รับวัคซีนโดยเฉพาะวัคซีนโรต้า ที่มีกำหนดช่วงอายุที่สามารถรับได้ คือ หยอดครั้งแรก ต้องอายุไม่เกิน 15 สัปดาห์ และครั้งสุดท้ายไม่เกิน 32 สัปดาห์ หรือ 8 เดือน

              Must read >> เซฟไว้ดูเลย! ตารางวัคซีน 2563
              อัปเดตจากสมาคมโรคติดเชื้อฯ ปีนี้ลูกต้องฉีดอะไรบ้าง?

              พาลูกไปโรงพยาบาล

              ทั้งนี้คุณหมออรยังได้บอกอีกว่า…

              ถ้าเลื่อนการรับวัคซีนออกไป ก็ไม่มีใครตอบได้ว่าต้องเลื่อนออกไปอีกนานแค่ไหน เพราะสถานการณ์แนวโน้มการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน และอาจจะกินเวลาอีกหลายเดือน

              >> อีกทางเลือกนึง คือ อาจจะเปลี่ยนไปฉีดที่คลินิกใกล้บ้านที่คนไม่พลุกพล่านก็สามารถทำได้

              ซึ่งเรื่องนี้ทีมแม่ ABK ก็เห็นด้วยคือคุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกน้อยไปฉีดวัคซีนที่คลินิก หรือ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ใกล้บ้านที่อาศัยอยู่ก็ได้เช่นกัน

              *แต่ถ้าอายุหลัง 1 ปีไปแล้ว ส่วนใหญ่วัคซีนที่เด็กได้รับจะเป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งลูกก็มีภูมิคุ้มกันพอสมควรแล้ว สามารถเลื่อนไปก่อนได้ ไว้มาฉีดหลัง สถานการณ์โควิด-19 สงบลง

              อีกอย่างนึง คือ ช่วงนี้เด็กๆ อยู่แต่บ้าน ไม่ได้ไปโรงเรียน โอกาสได้รับเชื้อก็น้อย เพราะฉะนั้นเลื่อนออกไปก่อนได้

               

              อ่านต่อ >> “วิธีปฏิบัติตัวเมื่อต้องพาลูกป่วยไปโรงพยาบาล” คลิกหน้า 2

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                เสียวหมี่ เปิดตัว เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C รับเทรนด์ Work from Home เมื่องานก็ต้องทำ บ้านก็ต้องคลีน

                ในช่วงที่เทรนด์ Work from Home งานก็ต้องทำ บ้านก็ต้องคลีนแบบนี้ จะตามแม่บ้านมาช่วยเวลานี้ก็คงไม่มีใครออกมา ดังนั้นเราคงต้องหาตัวช่วยอัจฉริยะกันสักหน่อย ล่าสุด เสียวหมี่ ผู้นำเทคโนโลยีของโลก ได้เปิดตัว เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C ประสบการณ์ทำความสะอาดแบบไม่เปลืองแรง ด้วยการออกแบบที่สามารถเคลื่อนย้ายพกพาไร้สายกวนใจ เครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นใหม่นี้ยังคงมาพร้อมมอเตอร์ DC brushless motor ที่มีความสามารถในการหมุนเร็วถึง 100,000 รอบต่อนาที จากรุ่นก่อนหน้านี้แต่ได้รับการอัพเกรดให้มีพลังการดูดถึง 120 AW รวมไปถึงระบบการกรองฝุ่นอย่างละเอียดมากถึง 5 ขั้นตอน ดังนี้ ระบบการแยกแบบแอดวานซ์มัลติ-ไซโคลนและมีการกรองอย่างละเอียดด้วย H12-class HEPA filter ทำให้เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C สามารถจับฝุ่นได้มากถึง 99.97% แม้ฝุ่นที่มีขนาดเล็ก 0.3 ไมครอนก็สามารถจัดการได้ ให้คุณมั่นใจว่าเครื่องจะปล่อยแต่อากาศบริสุทธิ์ออกมา

                นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานได้นานถึง 60 นาทีภายใต้โหมดอีโค Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C ยังมาพร้อมหัวดูดให้เลือกหลากหลายถึง 4 หัว ที่จะให้คุณสามารถปรับใช้กับสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม ให้คุณสามารถทำความสะอาดบ้านได้ทั้งหลังและยังซอกซอนตามร่องลึกพื้นผิวเบาะหรือบางหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากผ้าได้อย่างง่ายดาย

                เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย Mi Handheld Vacuum Cleaner 1C วางจำหน่ายในราคา 7,999 บาท ตั้งแต่วันนี้ ณ ร้านค้าที่ได้รับอนุญาตจากทางเสียวหมี่, Lazada, Shopee และ JD Central โดยเริ่มวางจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ครั้งแรกผ่านแพลตฟอร์มลาซาด้าในวันที่ 27 มีนาคม 2563

                นอกจากจะเปิดตัวเครื่องดูดฝุ่นแล้วยังเปิดตัวสมาร์ทโฟนตัวล่าสุด Redmi Note 9S: ขุมพลังแห่งชัยชนะ ไว้สำหรับคนขี้เหงาอยากพักจากงานแล้วหันมาเล่นเกมบนมือถือชิปเซ็ตทรงพลัง Qualcomm® Snapdragon™ 720G ที่จะทำให้การเล่นเกมไหลลื่น ไม่มีสะดุด พร้อมความจุของแบตเตอรี่ที่ยาวนานถึง 5020mAh มากที่สุดเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนอื่นในรุ่นราคาเดียวกัน สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ยาวนานตลอดทั้งวันคราวนี้ไม่ว่าจะเรื่องงานเรื่องบ้านเรื่องเกม ก็ทำให้ช่วงวันอยู่บ้านเป็นวันที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

                สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวเสียวหมี่ สามารถเข้าชมได้ที่  http://blog.mi.com/en/

                  Tags

                  30 กิจกรรม เล่นสนุกอยู่กับบ้านง่ายๆ เสริมพัฒนาการลูกน้อย

                  ช่วงวัยเด็กของลูกถือเป็นช่วงเวลาที่ควรสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในทุกด้านของพัฒนาการ และสิ่งที่จะช่วยกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการที่ดีใน 5 ด้านและเหมาะกับลูกมากที่สุดก็คือ “การเล่น” ซึ่งจัดเป็นส่วนสำคัญของชีวิตในวัยเด็กที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพัฒนาการ การเรียนรู้ สร้างพฤติกรรม และทักษะ ที่จะทำให้ลูกได้เติบโตอย่างมีรากฐานที่ดี และช่วยกระตุ้นพัฒนาการทั้ง 5 ด้าน อันได้แก่ พัฒนาการด้านสติปัญญา (Cognitive Development) พัฒนาการด้านร่างกาย (Physical Development) พัฒนาการด้านสังคม/ อารมณ์ (Social/ Emotion Development) พัฒนาการด้านภาษา (Language Development) พัฒนาการและทักษะการช่วยเหลือตัวเอง SELF-HELP Development มี กิจกรรม แบบไหนเหมาะสำหรับเจ้าตัวเล็กบ้างมาดูกันค่ะ

                  30 กิจกรรม เล่นสนุกอยู่กับบ้านง่ายๆ เสริมพัฒนาการลูกน้อยก่อนเข้าเรียน

                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา

                  ช่วยในการการพัฒนาความรู้ความเข้าใจ ให้ลูกได้เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ กับตนเอง ช่วยกระตุ้นให้ลูกได้คิด เรียนรู้ หาเหตุผล แก้ไขปัญหา และสื่อสาร เช่น

                  1.ร้องเพลง ร้องเพลงไปกับลูกและกระตุ้นให้ลูกได้ร้องเพลงไปดัวยกัน ไม่ว่าจะเป็นเพลงโปรดหรือเพลงที่เปิดประจำในบ้าน ในที่สุดลูกก็จะจดจำและอาจเริ่มร้องเพลงด้วยตัวเอง กิจกรรมนี้ช่วยส่งเสริมความจำและการคำศัพท์ได้ดีทีเดียวค่ะ

                  2.ฟังเสียงที่ได้ยินบ่อย ๆ เช่น เสียงน้ำไหล เสียงเคาะประตู เสียงสตาร์ทรถ จะทำให้ลูกเริ่มเข้าใจว่าเสียงเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมในชีวิตประจำวันของเขาอย่างไร

                  3.เล่นตัวอักษร ไม่ว่าจะเป็นบัตรคำ ของเล่นตัวอักษร หนังสือที่เกี่ยวกับตัวอักษร หรือปริศนาตัวอักษรที่จะช่วยให้ลูกจำพยัญชนะได้มากขึ้น

                  4.ฝึกนับเลข ชวนเจ้าตัวเล็กมาหัดนับเลข 1-10 รอบตัว เช่น นับจำนวนรองเท้า นับกระดุมบนเสื้อ จำนวนสไลด์ที่สนามเด็กเล่น ในไม่ช้าก็จะพบว่าพวกเขากำลังนับทุกอย่างได้แล้ว

                  กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการ
                  กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการ

                  5.ฝึกรูปทรงและสี สร้างกิจกรรมรูปทรงและสีด้วยของเล่นที่เป็นรูปทรงและสีต่าง ๆ เช่น การใช้ลูกบอลหลากสี และพูดว่า “ลูกบอลกลมสีฟ้า” เมื่อลูกโตขึ้นอีกนิดเขาก็จะสามารถอธิบายสิ่งของให้คุณพ่อคุณแม่ฟังได้อย่างละเอียดมากกว่าจะระบุแค่อย่างเดียว

                  6.ถามคำถาม การตั้งคำถามง่าย ๆ เป็นวิธีง่าย ๆ ที่จะกระตุ้นให้เจ้าตัวเล็กได้เรียนรู้ที่จะคิดด้วยตนเอง เช่น “ลูกต้องการใส่กางเกงขาสั้นสีน้ำตาลหรือสีน้ำเงิน” หรือคำถามง่าย ๆ รอบตัว “นั่นอะไร” “นี่อะไร” การถามคำถามจะช่วยให้ลูกเรียนรู้วิธีการหาคำตอบ แก้ปัญหา และรู้จักกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ดีขึ้น และยังเป็นกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับพัฒนาการด้านภาษาที่จะทำให้ลูกรู้จักสร้างประโยคที่จะตอบคำถาม การตั้งคำถามกับลูกจะมีส่วนช่วยปูพื้นฐานทางด้านสติปัญญาและภาษาที่ดีสำหรับอนาคต

                  7.พากันออกไปเที่ยวที่น่าสนใจ ปัจจุบันมีแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสำหรับเด็กเล็กมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด พิพิธภัณฑ์เด็ก ฟาร์ม ที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ฯลฯ พาลูกออกไปเที่ยวเพื่อที่จะกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น และมอบประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเพลิดเพลิน แต่ถ้าในวันที่อยู่บ้า้นคุณแม่อาจจะหาหนังสือภาพท่องเที่ยวมาเปิดให้ลูกดูก็ได้นะคะ

                  8.เล่นกับของใช้ในบ้าน นอกจากของเล่นเสริมพัฒนาการทั่วไปแล้ว การเล่นกับของใช้ในครัวเรือนก็สร้างความสนุกและการเรียนรู้ให้ลูกได้ไม่น้อย เช่น จับคู่ฝาขนาดต่าง ๆ เข้ากับหม้อที่ใช้ จับคู่ช้อนกับส้อม เป็นต้น

                  9.เล่นเกม เล่นเกมที่หลากหลายกับลูกเพื่อกระตุ้นการแก้ปัญหาและความคิดสร้างสรรค์ เช่น เล่นจ๊ะเอ๋ เล่นซ่อนแอบ ต่อบล็อก เป็นต้น

                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย

                  ทักษะการพัฒนาทางด้านร่างกายเป็นส่วนสำคัญของวัยเด็ก เป็นความสามารถของร่างกายในการทรงตัวและการเคลื่อนไหว โดยการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมัดใหญ่ รวมถึงมือและตาที่ประสานกันได้ดีในการทำกิจกรรมต่าง ๆ  กิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านนี้จึงควรเน้นไปที่การให้ลูกได้เคลื่อนไหวร่างกาย เช่น

                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย
                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย

                  10.เดิน วิ่ง กระโดด ปีนป่าย พาเจ้าตัวเล็กออกไปเดินเล่น วิ่งเหยาะ ๆ สร้างด่านอุปสรรคภายในบ้าน หรือหากมีโอกาสก็พาเจ้าตัวเล็กได้ออกไปใช้พลังในการทำกิจกรรมนอกบ้าน ที่นอกจากจะช่วยเสริมพัฒนาการร่างกายยังทำให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงเพิ่มขึ้นด้วย

                  11.เล่นกระบะทราย ให้ลูกได้จับ ขยำเล่น เนื้อหยาบ ๆ ของทราย เป็นการช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสของกล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้ใช้นิ้ว และฝ่ามือทั้งสองข้างได้ดีมากขึ้น

                  12.เล่นกับน้ำ เด็ก ๆ กับน้ำเป็นของเล่นที่สนุกคู่กัน สร้างกิจกรรมที่ให้ลูกได้สัมผัสน้ำ เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ เป่าบับเบิ้ล หรืออะไรที่เกี่ยวข้องสบู่และน้ำ ก็คือความสนุกที่เต็มเปี่ยมที่จะทำให้เจ้าตัวเล็กพยายามจะวิ่งไล่จับทั้งนี้ต้องคอยดูแลเรื่องความปลอดภัยเวลาลูกอยู่ใกล้น้ำเสมอด้วยนะคะ

                  13.สร้างด่านกีดขวาง ด้วยการใช้อุปกรณ์ในบ้านง่าย ๆ อย่างหมอน กล่องลังกระดาษหรือวัตถุอื่น ๆ ที่ทำให้เจ้าตัวเล็กได้ปีนข้าม วิ่งไปมา

                  14.เล่นลูกบอล ช่วยกระตุ้นให้เจ้าตัวเล็กได้เตะ ได้วิ่ง ได้จับ ได้ขว้าง เป็นกิจกรรมสนุกที่ช่วยเสริมได้ทั้งกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่

                  15.เปิดเพลงเต้นรำ เสียงเพลงที่เป็นจังหวะจะช่วยให้เจ้าตัวเล็กได้ขยับร่างกายเคลื่อนไหวที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางร่างกายได้ดี

                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการ ปฐมวัย

                  16.ระบายสี วาดภาพ ทำศิลปะ ให้ลูกได้ใช้มือหยิบจับดินสอ จับชอล์ก มีส่วนช่วยฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของลูก นอกจากนี้ศิลปะยังเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ ช่วยเสริมจินตนาการ เป็นทางออกสำหรับการแสดงออกทางอารมณ์ รวมถึงมีส่วนช่วยเสริมพัฒนาการในด้านสติปัญญาอีกด้วย

                  17.ให้ลูกได้ช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวัน เช่น แปรงฟัน แต่งตัว ติดกระดุม ล้างมือ เป็นต้น

                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านสังคม/ อารมณ์

                  เด็ก ๆ เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ กิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการในด้านนี้จะช่วยให้ลูกได้รู้จักปรับพฤติกรรมและอารมณ์ตัวเอง สามารถสร้างสัมพันธ์กับเด็กคนอื่น ๆ และผู้ใหญ่รอบตัว เข้าใจผู้อื่น และเป็นปัจจัยในการช่วยพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญ เช่น

                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม
                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม

                  18.เล่มเกมเป็นกลุ่ม ส่งเสริมการพัฒนาสังคมของลูกโดยให้ลูกเล่มเกมที่ต้องผลัดกันเล่น แบ่งปัน และร่วมมือ เช่น playgroup บอร์ดเกมที่เหมาะกับวัยของลูก หรือกีฬาแข่งขันกลางแจ้งเพื่อความสนุกและสอนลูกให้รู้จักกฏกติกาการเล่น น้ำใจนักกีฬา

                  19.บทบาทสมมุติ การส่งเสริมให้เด็ก ๆ มีส่วนร่วมในการสวมบทบาทสมมุติ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ได้เป็นอย่างดี เพราะต้องใช้การสื่อสารทั้งคำพูดและท่าทาง และยังช่วยกระตุ้นจินตนาการให้ลูกในระหว่างเล่นสวมบทบาท รวมถึงการเสริมสร้างทักษะภาษา ชุดคำศัพท์อีกหลากหลาย และให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้การเล่นละครร่วมกันกันเป็นกลุ่ม

                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการด้านภาษา

                  การพัฒนาภาษาให้กับเจ้าตัวเล็กเริ่มต้นได้จากการใช้ภาษาและการสื่อสารกับลูก เพื่อเสริมสร้างทักษะการฟังและทำความเข้าใจ ด้วยกิจกรรมง่าย ๆ และสนุกกระตุ้นให้เด็ก ๆ มั่นใจในขณะใช้คำพูดได้ เช่น

                  20.ร้องเพลงกับลูก ฝึกพัฒนาการทางด้านภาษาให้กับลูกผ่านการร้องเพลงง่าย ๆ สั้น ๆ ร้องซ้ำ ๆ วนไปเพื่อให้ลูกหัดออกเสียงคำและจดจำคำศัพท์ได้ เช่น เพลงชาติ (เพลงชาติไทย) เพลงช้าง ฯลฯ และเสียงเพลงยังทำให้เด็ก ๆ มีความสุขอีกด้วย

                  21.เล่นเกมฮัลโหล ให้โทรศัพท์ของเล่นเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมนี้ คุณแม่อาจจะแสร้งว่ากำลังโทรหาลูก กระตุ้นให้ลูกยกหูรับสาย สอนวิธีพูดว่า ‘สวัสดี’ เมื่อลูกรับโทรศัพท์ การทำกิจกรรมนี้เป็นประจำจะช่วยให้ลูกพัฒนาทักษะการพูดแถมยังรู้จักมารยาททางโทรศัพท์ที่ดีอีกด้วยนะ

                  22.เล่นเกมเรียกชื่อ คุณแม่ลองชี้ไปที่วัตถุต่าง ๆ ในบ้านและขอให้ลูกลองเรียกชื่อสิ่งของเหล่านั้น คุณแม่สามารถช่วยได้จนกว่าลูกจะเริ่มพูดคำศัพท์นั้นออกมา นี่เป็นวิธีง่าย ๆ ในการกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษา และเกมนี้สามารถเล่นได้ทุกที่ทั้งในบ้าน ในสวนสาธารณะ หรือแม้แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ต

                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา
                  กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านภาษา

                  23.อ่านหนังสือกับลูก การอ่านหนังสือด้วยกันทุกคืนเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกระตุ้นให้ลูกได้รู้จักกับคำศัพท์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น สำหรับเจ้าตัวเล็กการอ่านหนังสือที่มีคำศัพท์ง่าย ๆ พร้อมรูปภาพ ในขณะที่อ่านคุณแม่ลองชี้ไปที่ภาพในหนังสือ ถามคำถามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว ชวนให้ลูกบอกว่าคืออะไร สิ่งนี้สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านภาษาของลูกให้ดีขึ้นได้

                  24.เล่นหุ่นนิ้วหรือตุ๊กตา ใช้หุ่นเชิดเพื่อพูดคุยกับลูก เป็นวิธีกระตุ้นให้เจ้าตัวเล็กสนทนาตอบโต้ได้ง่าย ๆ แถมเวลาเล่นเด็กจะรู้สึกสนุกด้วย

                  สื่อที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านภาษา

                  25.จับคู่ตัวอักษร ใช้บัตรคำหรือแฟลชการ์ดเพื่อให้ลูกได้ลองจับคู่รูปภาพกับตัวอักษร ด้วยวิธีนี้จะทำให้ลูกรู้จักพยัญชนะ การออกเสียงตัวอักษรกับวัตถุ และความสามารถในการสะกดอย่างถูกต้องตามมา

                   

                  #กิจกรรมเสริมพัฒนาการและทักษะการช่วยเหลือตัวเอง

                  กิจกรรมที่ฝึกให้ลูกได้ช่วยเหลือตนเอง มีอิสระที่จะทำสิ่งต่าง ๆ จะทำให้เด็ก ๆ มีความมั่นใจ มีความกล้าที่การลองสิ่งใหม่ ๆ และสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง เช่น

                  กิจกรรมเสริมพัฒนาการ 2 ขวบ

                  26.ให้ลองกินอาหารด้วยตัวเอง ปล่อยให้ลูกมีความเป็นอิสระมากที่สุดในช่วงเวลาอาหาร กระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้ลองใช้มือ ใช้ช้อนส้อม กินด้วยตัวเอง ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ

                  27.แต่งตัวด้วยตัวเอง กระตุ้นให้ลูกได้หยิบเสื้อผ้ามาใส่ด้วยตัวเอง คุณแม่เพียงแค่ให้ความช่วยเหลือน้อยที่สุด อาจจะเริ่มต้นจากการใส่ถุงเท้าถอดถุงเท้า หรือช่วยในขั้นตอนที่ยากขึ้น เช่น การรูดซิปหรือติดกระดุม

                  28.ปัสสาวะด้วยตัวเอง กระตุ้นให้ลูกเรียนรู้ที่จะใช้ห้องน้ำเพื่อปัสสาวะที่โถ จัดการถอดกางเกงขึ้นและลง และล้างมือหลังทำธุระเสร็จเองได้

                  กิจกรรมเสริมทักษะชีวิต
                  กิจกรรมเสริมทักษะชีวิต

                  29.ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเอง กระตุ้นให้เด็ก ๆ ดูแลกิจวัตรด้านสุขอนามัยในชีวิตประจำวัน เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน หวีผม เป็นต้น

                  30.ช่วยทำงานบ้าน ชวนให้ลูกมาช่วยทำงานบ้านทุกวัน รับผิดชอบงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เก็บของเล่น จัดโต๊ะอาหาร ล้างจาน ฯลฯ เด็กที่มีส่วนร่วมในการทำงานบ้านก่อนอายุ 4 ขวบ จะมีแนวโน้มที่จะมีความรับผิดชอบ ดูแลตัวเองได้ดีมากกว่าเด็กที่ไม่มีประสบการณ์ในการช่วยเหลือตัวเอง

                  เป็นอย่างไรกันบ้าง กับกิจกรรมที่ทีมแม่ ABK ได้คัดสรรมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำมากระตุ้นสร้างพัฒนาการดี ๆ ให้กับเจ้าตัวเล็ก อย่าให้ช่วงวัยเด็กที่สำคัญของลูกปล่อยผ่านไป ลองหาเวลาที่จะทำกิจกรรมร่วมกับลูกทำกันนะคะ.

                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :www.friendshipcircle.org, www.stayathomeeducator.com, www.babycenter.com, www.living.thebump.com, www.parenting.firstcry.com, www.childcare.extension.org

                    คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก

                    9 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก บั่นทอนจิตใจลูกถึงโต!

                    คำพูดพ่อแม่นั้นมีอิทธิพลต่อลูกมาก ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพูด น้ำเสียง ลูกจะเติบโตมาอย่างไร คำพูดจากพ่อแม่ก็คือผลลัพธ์ที่ส่งผ่านมาถึงตัวเด็ก เมื่อเจ้าตัวเล็กของคุณพ่อคุณแม่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม บ่อยครั้งที่คำพูดว่ากล่าวจากพ่อแม่กลายเป็น คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก และทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว เพราะคำพูดนั้นอาจเป็นคำพูดที่แรงเกินไป มีทัศนคติในเชิงลบ เป็นคำตำหนิที่ดูถูกเหยียดหยาม ซึ่งคำพูดจากปากไม่กี่คำกลับส่งผลกระทบยาวนานต่อความรู้สึกลูกได้คุณพ่อคุณแม่ ควรเลือกคำพูดที่จะใช้สอนลูก ว่ากล่าวลูกอย่างระมัดระวัง และไม่ควรใช้คำพูดแบบนี้กับลูก

                    9 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก บั่นทอนจิตใจลูกถึงโต!

                    1.“ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง”

                    การบอกลูกว่าพฤติกรรมที่ลูกทำไม่เหมาะสม ไม่เป็นประโยชน์ แม้แต่การเปรียบเทียบว่าทำได้ไม่ดีเหมือนพี่ หรือเหมือนน้องตัวเอง ก็เป็นการดูถูกความเป็นตัวตนของลูก ทำให้ลูกรู้สึกน้อยใจและเสียใจที่พ่อแม่มองไม่เห็นข้อดี หรือความตั้บงใจในสิ่งที่ตนเองทำ ส่งผลทำให้ลูกกลายเป็นเด็กขาดความมั่นใจ ไม่กล้าที่ลองทำสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งจะผลเสียต่อตัวเด็กในระยะยาว ด้วยคำพูดเชิงลบแบบนี้จึงเป็นคำพูดที่ควรหลีกเลี่ยง ยิ่งกับพี่น้องในครอบครัวเดียวกันยิ่งไม่ควรนำมาเปรียบเทียบ ลองเปลี่ยนคำพูดด่าทอในเวลาเมื่อลูกทำผิดพลาดมาเป็นคำพูดที่ให้กำลังใจ และข้อแนะนำให้ลูกได้ลองทำ หรือตั้งใจทำให้ดียิ่งขึ้นกว่านี้จะดีกว่านะคะ

                    คำที่ลูกไม่อยากได้ยิน
                    คำที่ลูกไม่อยากได้ยิน

                    2.“ทำแบบนี้ไม่มีใครรักหรอก”

                    คำว่า “พ่อแม่ไม่รัก” เป็นคำพูดที่บั่นทอนจิตใจลูกเป็นที่สุด เด็กที่ได้ยินพ่อแม่พูดบ่อยว่าจะไม่รัก หรือไม่มีใครรัก นอกจากจะทำให้ลูกเสียใจมาก ยังทำให้เด็กรู้สึกไม่มั่นคง กลัวว่าพ่อแม่ไม่รัก กลัวว่าพ่อแม่จะทิ้งไป ไม่สนใจ จนทำใหลูกไม่กล้าที่จะทำอย่างอื่นเพราะกลัวว่าถ้าทำไปแล้วไม่ดีพอ ไม่ถูกใจ พ่อแม่จะไม่รัก คำพูดนี้จะทำร้ายจิตใจของลูกอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นคุณค่าของตัวเอง และเป็นปมด้อยของลธกไปจนโตได้ ดังนั้น ถึงแม้ว่าคนเป็นพ่อแม่จะรักลูกจริง ๆ ก็ตาม แต่คำพูดประชดประชันว่า “ไม่รักลูก” ด้วยอารมณ์และความพลั้งปากของพ่อแม่นั้นจะกระทบความรู้สึกในจิตใจลูกเป็นอย่างมาก คำพูดแบบนี้ไม่ควรพูดกับลูกเลยนะคะ

                    3.“รอให้พ่อกลับมาก่อนเถอะ”

                    ถ้าคุณแม่ไม่สามารถจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของลูกได้ บางทีการนำคำขู่มาใช้เพื่อแสดงถึงอำนาจให้ลูกกลัว เช่น “จะให้พ่อจัดการให้เข็ด” “ถ้าพ่อรู้เมื่อไหร่โดนแน่” ฯลฯ เมื่อขู่ด้วยประโยคเดิม ๆ ลูกก็จะรับรู้ได้ว่า นี่เป็นแค่คำขู่ และไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผลที่ตามมาคือลูกก็จะไม่สนใจคำขู่อีกต่อไปก็เป็นได้

                    บอกลูกว่าไม่รัก

                    4.“หยุดร้องไห้เลยนะ”

                    เด็ก ๆ มักจะระบายออกทางความรู้สึกด้วยการร้องไห้ ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถบอกอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้ดีมากกว่าคำพูด โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เมื่อถูกคุณพ่อคุณแม่ดุ หรืองอแงเอาแต่ใจตัวเอง การร้องไห้จึงเป็นวิธีช่วยป้องกันตัวจากความรู้สึกต่าง ๆ ได้ แต่การบอกให้ลูกหยุดร้องไห้ อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีนัก เพราะการร้องไห้ของเด็กจะทำให้ลูกรู้สึกปลอดโปร่ง และสบายใจขึ้น ดังนั้นหากเจ้าตัวเล็กกำลังเศร้าเสียใจ ไม่ควรไปบอกหรือห้ามเสียงดังว่าให้หยุดร้องไห้ แต่ควรมานั่งข้าง ๆ และโอบกอด แสดงความรัก ยอมรับความรู้สึกของลูก และเปลี่ยนจากการดุด่าเป็นคำพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เมื่อลูกหยุดร้องหรือระบายอารมณ์เรียบร้อยแล้ว จากนั้นค่อย ๆ สอนลูกและอธิบายเหตุผล มากกว่าการออกคำสั่งให้ลูกหยุดร้องไห้จะดีที่สุดค่ะ

                    5.“เด็กอะไรนิสัยไม่ดี”

                    เมื่อลูกทำผิดในเรื่องนั้น ๆ แต่กลับได้ยินคุณพ่อคุณแม่มาบอกว่า “นิสัยไม่ดี” อาจทำให้ลูกคิดว่าเป็นการตัดสินโดยภาพรวมมากกว่าสิ่งที่ทำผิดตรงหน้า ทั้งที่บางเรื่องอาจเป็นความผิดแค่เรื่องเพียงนิดเดียว คำพูดแบบนี้ก็จะสร้างผลกระทบต่อจิตใจลูกไม่น้อยเช่นกันค่ะ ดังนั้นเมื่อลูกทำผิดอย่าพยายามว่า “นิสัยไม่ดี” แต่ควรว่ากล่าวเฉพาะเรื่อง และควรพูดชมเชยเมื่อลูกแสดงพฤติกรรมที่ดีนะคะ

                    6.”ทำเดี๋ยวนี้เลยนะ”

                    โดยธรรมชาติของเด็กมักจะไม่ชอบการถูกบังคับ การออกคำสั่งกับลูกบ่อย ๆ และบังคับให้ลูกทำทันที เด็กบางคนถ้าถูกออกคำสั่งเสียงดังก็อาจจะไม่ยอมทำตาม ดื้อต่อต้าน เป็นผลทำให้พ่อแม่โมโหและใส่อารมณ์กับลูกมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ตามมาได้ ดังนั้นแทนที่จะเป็นประโยคออกคำสั่ง ควรเปลี่ยนคำพูดให้เป็นประโยคคำถามหรือเป็นการขอร้องให้ลูกช่วย เช่น คนเก่งมาช่วยคุณแม่รองน้ำหน่อยได้ไหมคะ” หรือชวนลูกมาทำงานบ้านพร้อมกันมากกว่าตะโกนสั่งให้ลูกทำ เพื่อให้เด็ก ๆ ได้เห็นตัวอย่างและอยากทำด้วยตัวเองมากกว่าการถูกบังคับนะคะ

                    คำพูดที่ แม่ไม่ควรพูดกับลูก

                    7.“หยุดเถียงเลยนะ”

                    เมื่อลูกโตขึ้น มีความคิดเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น การเจอลูกที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนตอนเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องหาได้ง่าย ๆ ของคุณพ่อคุณแม่อีกต่อไป บางครั้งที่พ่อแม่พูดไปอาจจะเจอลูกแสดงความคิดเห็นกลับมา เมื่อคุณพ่อคุณแม่เจอประโยคที่ไม่เห็นด้วย การออกคำสั่งให้ลูก “หยุดเถียง” ไม่ใช่ทางออกที่ดี แต่ควรมีสติและเพิกเฉยเพื่อไม่ให้เกิดการโต้เถียงทั้งสองฝ่าย เมื่ออารมณ์เย็นลงแล้วค่อยตามมาด้วยการฟังเหตุผลและคำแนะนำ

                    8.”จะไม่สนใจอีกต่อไป”

                    ถึงแม้การบอกให้ลูกทำอะไรซักอย่างในเรื่องเดิม ๆ นับสิบครั้งจะทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกหงุดหงิด จนบางครั้งส่งผลต่ออารมณ์และพลั้งปากพูดไปว่า “จะไม่สนใจลูก” หากลูกไม่ยอมทำตามที่สอน คำพูดนี้จะส่งผลกระทบต่อจิตใจลูก ดังนั้นหากสิ่งที่บอกให้ลูกทำแต่ยังไม่ได้ผลดี คุณพ่อคุณแม่ลองปรับเปลี่ยนคำพูดใหม่ พยายามใช้คำถามแบบเปิดให้มากขึ้นเพื่อจะได้รู้สาเหตุที่ลูกไม่อยากทำ เพื่อคุณพ่อคุณแม่จะได้ช่วยกันหาทางออกมากกว่าใช้คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูกนะคะ

                    9.”ทำไมสู้เด็กบ้านอื่นไม่ได้”

                    ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะเข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถที่แตกต่างกัน และเราไม่ควรนำลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น แต่เวลาโมโหอาจจะมีการพลั้งคำพูดที่ทำร้ายลูก และเป็นการสร้างความกดดันให้กับลูกได้ ทำให้ลูกรู้สึกอยากเป็นเหมือนคนอื่น ลดความรักในตัวเองลง เพื่อให้พ่อแม่จะได้ชื่นชม ถ้าไม่อยากให้ลูกลดคุณค่าของตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนคำพูดเปรียบเทียบเป็นการให้กำลังใจกับสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่ ส่งเสริมความสามารถที่ลูกถนัด และที่สำคัญคือการไม่เปรียบเทียบลูกคนหนึ่งกับลูกอีกคนหรือลูกของคนอื่นนะคะ

                    จะเห็นได้ว่า พ่อแม่เองคือบุคคลที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ความรู้สึกของลูกมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ ดังนั้นก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเริ่มตักเตือนเจ้าตัวเล็ก ควรปรับอารมณ์ตัวเองให้ดี และเข้าใจลูกว่าความผิดพลาดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ในบางเรื่องหรือพฤติกรรมที่เอาแต่ใจตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้สำหรับเด็ก ๆ และเป็นประสบการณ์เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ทั้งนี้นอกจากปรับเปลี่ยนคำพูดสอนลูก พร้อมการใช้บทสนทนาในเชิงบวกแล้ว ยังควรมองให้เห็นถึงศักยภาพในตัวลูกว่ามีความสามารถในด้านไหนเพื่อสนับสนุนในสิ่งที่ลูกชอบ มอบความรัก ความเอาใจใส่มากกว่าการดุด่าและทำให้ลูกกลัว เพื่อนำไปสู่พัฒนาการที่ดีและทำให้ลูกเติบโตอย่างมีความสุขนะคะ.

                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.verywellfamily.comwww.sanook.com

                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก !

                    12 คำพูดของพ่อแม่ ที่มักหลุดปาก ทำลูกเสียใจ!!

                    10 คำพูดร้าย ทำลายครอบครัว

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                      คนท้องปวดหลัง

                      6 วิธีลดอาการ คนท้องปวดหลัง แบบไม่ต้องกินยา

                      คนท้องปวดหลัง เป็นอาการที่พบบ่อยในตอนตั้งครรรภ์ ยิ่งมีอายุครรภ์มากขึ้นแม่ท้องบางคนอาจจะมีอาการปวดมากขึ้น ซึ่งบางครั้งอาจมีอาการปวดหลังนี้จนกระทั่งหลังคลอดที่อาจนานเป็นหลายเดือน

                      6 วิธีลดอาการ คนท้องปวดหลัง แบบไม่ต้องกินยา

                      อาการปวดหลังตอนท้อง ถือเป็นอาการปกติที่มักเกิดขึ้นได้สำหรับแม่ท้อง ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน หรือเดิน โดยคนท้องแต่ละคนจะมีความปวดความรุนแรงไม่เท่ากัน บางคนอาจจะไม่เคยปวดเลย บางคนอาจจะปวดมากจนถึงขั้นต้องร้องไห้ ซึ่งอาการปวดหลังเกิดขึ้นได้เมื่ออายุครรภ์ที่มากขึ้น และทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่เพิ่มมากขึ้น น้ำหนักของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมในขณะตั้งครรภ์ และการถ่วงของครรภ์ที่อยู่ด้านหน้าส่งผลให้กระดูกสันหลังแอ่นเป็นเวลานาน เนื่องจากการทรงตัวและท่าทางต่าง ๆ ที่มีหน้าท้องใหญ่ ที่ทำให้คุณแม่ต้องเดินตัวแอ่นไปข้างหลังเพื่อพยุงตัว หลังต้องแบกรับน้ำหนักตัวมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุทำให้แม่ท้องมีอาการปวดหลังนั่นเอง

                      ยิ่งคุณแม่ท้องใหญ่มากทำให้ร่างกายต้องรองรับน้ำหนักทารกในครรภ์เพิ่มขึ้น ก็จะมีโอกาสปวดหลังมากยิ่งขึ้น หรือแม่ท้องที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน บางคนทำงานหนักที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ รวมถึงการนั่ง การก้มหยิบของไม่ถูกวิธี ก็มีโอกาสทำให้ปวดหลังมากขึ้นได้อีก แต่ถ้าตอนตั้งครรภ์ได้มีโอกาสได้นอนพักหรือนั่งเอนหลังเป็นประจำ ก็จะมีโอกาสเกิดอาการปวดหลังได้น้อยกว่า

                      คนท้องปวดหลังแบบไหนอันตราย

                      นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้แม่ท้องมีอาการปวดหลัง เช่น

                      • ในขณะตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกาย จะมีการหลั่งฮอร์โมน Relaxin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างมาจากรังไข่ขณะตั้งครรภ์ ที่ช่วยกระตุ้นการคลายตัวเอ็นยึดกระดูกเชิงกราน ให้คลอดง่ายขึ้น ซึ่งบางครั้งส่งผลให้มีอาการปวดหลังได้
                      • เมื่อถึงอายุครรภ์ 5 เดือนขึ้นไป ทารกจะดึงแคลเซียมจากกระแสเลือดคุณแม่ไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน เป็นเหตุให้เกิดการกร่อนของกระดูก นำมาซึ่งอาการปวดหลังได้
                      • เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ทารกมีการเจริญเติบโต มดลูกขยายใหญ่ขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อตรงส่วนกลางของลำตัวเกิดการแยกตัว ทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมาได้
                      • ความเครียดของแม่ท้อง ทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ ในร่างกายเกิดการตึงตัว ก็ส่งผลต่ออาการปวดหลังได้ด้วยเช่นกัน

                      อย่างไรก็ตาม อาการปวดหลังในขณะตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ทำให้เกิดความไม่สบายตัว แต่หากมีอาการปวดรุนแรงจนทนไม่ไหว ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเด็ดขาด เพราะอาจมีผลต่อทารกในครรภ์ได้

                      วิธีลดอาการปวดหลังในขณะตั้งครรภ์

                      โดยปกติแล้ว แพทย์มักจะย้ำเตือนอยู่เสมอในเรื่องของการทานยาบางชนิดหรือการทานยาเอง ที่อาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ดังนั้นในช่วงเวลาที่ท้องอุ้ยอ้ายคุณแม่สามารถใช้วิธีเหล่านี้เพื่อบรรเทาอาการปวดหลังได้

                      • ปรับเปลี่ยนท่าในการยืน นั่ง เดิน นอน ไม่ยืน นั่ง หรือนอนในท่าเดียวกันนานจนเกินไป ควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆ หรืออย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง ท่านั่งสำหรับคนท้องควรอยู่ในท่านั่งหลังตรง หรือเอนพิงพนักเก้าอี้เล็กน้อย และควรมีเก้าอี้เตี้ย ๆ เพื่อรองรับเท้า และไม่ควรนั่งไขว่ห้าง เวลาเดินพยายามเดินตัวตรงหลังตรง เพื่อให้เกิดความสบายตัว
                      • เลือกใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ รวมถึงใส่รองเท้าพื้นแบนที่มีความนิ่มสบาย หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง ตามหลักการแพทย์แล้ว สำหรับแม่ตั้งครรภ์ควรใส่รองเท้าที่มีส้นไม่เกิน 1 – 2 นิ้ว เพื่อให้น้ำหนักอยู่ในช่วงกลางลำตัวและมีความสมดุล
                      • คนท้องควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก แต่ถ้าหากจำเป็น ควรใช้ท่ายกของด้วยการยืนแยกเท้าออกมีระห่างเท่าช่วงสะโพก ให้ปลายเท้าเฉียงออกเล็กน้อย จากนั้นค่อย ๆ ย่อเข่า หย่อนตัวลงไปยก พยายามให้น้ำหนักตัวอยู่ตรงกลางและบริเวณสะโพก และใช้ขาพยุงตัวเองขึ้นมา โดยไม่ใช้แรงหลังเด็ดขาด ไม่ควรโน้มตัวลงไปยกของ เพราะจะยิ่งทำให้หลังเกิดการอักเสบและทำให้มีอาการปวดมากกว่าเดิมได้

                      อาการคนท้องปวดหลัง

                      • ใช้การนวดหลังเบา ๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย บรรเทาอาการปวด นวดประคบร้อน หรือหาซื้อพลาสเตอร์บรรเทาอาการปวดมาแปะเพื่อช่วยลดอาการปวดหลังลงได้
                      • ออกกำลังกายเบา ๆ สำหรับคนท้องอย่างสม่ำเสมอ เป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังขณะตั้งครรภ์ได้ดีที่สุด นอกจากเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เช่น การเล่นโยคะ ว่ายน้ำ เป็นต้น ยังจะช่วยให้คลอดลูกได้ง่ายและยังช่วยให้ฟื้นตัวหลังคลอดเร็วกว่าคุณแม่ที่ไม่ได้ออกกำลังกายด้วย
                      • คุมน้ำหนักตัวให้ขึ้นตามเกณฑ์ที่หมอกำหนดไว้ เพื่อไม่ให้น้ำหนักครรภ์มากจนเกินไปจนเกิดการถ่วงจนกระดูกสันหลังแอ่น

                      อ่านต่อ แม่ท้องปวดหลังมาก นอนไม่หลับ ควรทำอย่างไร? คลิกหน้า 2

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        วิธีเล่นกับลูก

                        14 วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการตามวัย ให้ฉลาด อารมณ์ดี ตั้งแต่เบบี๋

                        “มีผลงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศยืนยันตรงกันว่า ยิ่งเด็กมีโอกาสเล่นมากเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง กระโดด คืบคลาน เล่นดิน เล่นทราย หยิบจับสิ่งของ เล่นของเล่น เล่นตุ๊กตา เล่นบล็อก เล่นตัวต่อ ฯลฯ ก็จะยิ่งได้รับการพัฒนาเซลล์ประสาทในสมองที่มีนับแสนล้านเซลล์เชื่อมต่อกันเป็นร่างแห เด็กจะมีความสามารถในการคิด เรียนรู้ นอกจากนี้การเล่นของเด็กจะเป็นพื้นฐานของการพัฒนาความฉลาดทางปัญญา อารมณ์ และสังคมไปพร้อมๆ กันด้วย” (อ้างอิงจาก www.mgronline.com) การที่คุณพ่อคุณแม่ได้เล่นกับลูกหรือให้ลูกได้เล่น ไม่ว่าจะเล่นคนเดียว หรือเล่นกับเพื่อน ยิ่งเจ้าตัวน้อยเล่นมากเท่าไหร่ก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกได้รับมากขึ้นเท่านั้น มาดู วิธีเล่นกับลูก ที่จะช่วยให้ลูกน้อยได้รับพัฒนาการดี ๆ ส่งผลให้ลูกฉลาด และอารมณ์ดีกันค่ะ

                        14 วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการตามวัย ให้ฉลาด อารมณ์ดี ตั้งแต่เบบี๋

                         วิธีเล่นกับลูกวัย 0-4 เดือน

                        เล่นกับลูกเสริมพัฒนาการ
                        เล่นกับลูกเสริมพัฒนาการ

                        พัฒนาการในวัยทารกนั้นไม่หยุดนิ่ง มีการเคลื่อนไหวขยับมือ ถีบเท้า ส่งเสียง วิธีเล่นกับลูกที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการทารกตั้งแต่แรกเกิด อาทิเช่น

                        1.เล่นโมบายต่าง ๆ มาแขวนไว้ในระดับสายตาให้ลูกได้เล่น เพื่อช่วยกระตุ้นพัฒนาการร่างกายผ่านการมองเห็น ได้ยิน สัมผัส

                        2.เล่นของเล่นที่มีเสียง โดยนำของเล่นมาวางไว้ใกล้ ๆ กระตุ้นให้เด็กพลิกหันคอสลับ ซ้าย-ขวา มองตามและส่งเสียง สำหรับกิจกรรมนี้จะเป็นการช่วยเสริมให้ลูกมีพัฒนกาารทางด้านสายตาและการรับรู้ได้ดีขึ้น

                        3.ร้องเพลงให้ลูกฟังหรือเปิดเพลง เสียงดนตรีจะช่วยสร้างการเรียนรู้และจินตนาการ และทำให้ลูกน้อยอารมณ์ดี

                        4.เล่นโดยใช้นิ้วแตะที่ฝ่ามือของลูก ซึ่งทารกจะกำนิ้วมือตอบกลับไว้แน่นโดยอัตโนมัติ เป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อนิ้วให้แข็งแรง

                        วิธีเล่นกับลูกแรกเกิด

                        5.พูดคุยใกล้ ๆ เพื่อให้ลูกหันตามเสียงของคุณพ่อคุณแม่ ช่วยทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอของทารกแข็งแรง และเป็นการสร้างความคุ้นเคยระหว่างทารกกับพ่อแม่ได้ดีด้วย

                        6.เล่นของเล่นที่มีสีสันหรือมีผิวสัมผัสนิ่ม ๆ ให้ลูกได้ลองหยิบจับและค่อย ๆ เอาออกจากมือลูกเบา ๆ การกำและคลายมือจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก

                        7.ทารกตั้งแต่ 1-6 เดือน เด็กวัยนี้สามารถยกคอและชูคอได้นานมากขึ้น การอุ้มลูกหรือไกวลูกเบา ๆ ก็เป็นวิธีเล่นที่จะช่วยทำให้เกิดพัฒนาการประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังเป็นการสร้างสัมพันธ์อันอบอุ่นระหว่างพ่อแม่กับลูกน้อยด้วย

                        8.ทารกอายุ 3 เดือน สามารถกระตุ้นพัฒนาการโดยเล่นน้ำพร้อมกับพ่อแม่ ที่จะช่วยเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อได้ออกแรงแขนขามากกว่าอยู่บนพื้น หรือให้ลูกเล่นน้ำในกะละมัง สระน้ำเป่าลม เพื่อการสร้างความคุ้นเคยกับน้ำ ระหว่างที่ลูกเล่นน้ำก็เสริมบรรยากาศให้สนุกด้วยการร้องเพลง เล่านิทาน เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการได้หลาย ๆ ทางให้เจ้าตัวน้อยได้อีกด้วย

                        วิธีเล่นกับลูกวัย 5-12 เดือน

                        วิธีเล่นกับลูก 5 เดือน

                        9.วัย 5 เดือนทารกจะเริ่มลุกลุกขึ้นนั่งโดยใช้มือค้ำได้ด้วยตนเอง สามารถนั่งหลังตรง และเอี้ยวตัวใช้มือเล่นได้อย่างอิสระ คุณพ่อคุณแม่สามารถหากิจกรรมให้ลูกได้ใช้นิ้วมือในการหยิบ จับ กำ หรือเขย่าของเล่นเป็นการกระตุ้นพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กให้ลูกได้ใช้นิ้วมืออย่างคล่องแคล่วและแข็งแรงขึ้น

                        10.เมื่อลูกเข้าสู่วัย 8-9 เดือน จะสามารถลุกขึ้นนั่งหาที่เกาะยึดและเกาะยืนได้ด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการร่างกายให้ลูกได้เคลื่อนไหว เสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กมักใหญ่ด้วยกิจกรรมเดิน เกาะ ยึดจับสิ่งของต่าง ๆ เช่น ขอบโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณต้นขา ขา ลำตัว มือ และนิ้วมือของลูกแข็งแรง และได้เรียนรู้จากการเดิน สำรวจสิ่งรอบตัวได้มากขึ้น

                        เล่นกับลูก

                        11.พัฒนาการของลูก 9-10 เดือน ลูกสามารถคลาน ลุกขึ้นเกาะเดิน และสามารถเดินด้วยตัวเองได้ในระยะสั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถหากิจกรรมมากระตุ้นให้ลูกได้คลาน ลุก และเกาะเดิน เช่น ใช้ของเล่นที่เคลื่อนที่ได้ อย่างลูกบอลขนาดเล็ก รถเด็กเล่น กระตุ้นให้ลูกได้คลานไปจับของเล่น เพื่อให้ลูกได้ฝึกใช้พัฒนาการกล้ามเนื้อมือและขา หรือเล่นกับลูกด้วยวิธีง่าย ๆ อย่างการส่งเสียงร้องเรียกให้เจ้าตัวน้อยได้คลานมาหาตามเสียงเรียกของพ่อแม่ ที่จะทำให้ลุกได้คุ้นเคยกับเสียงของคุณพ่อคุณแม่ขึ้นด้วย

                        12.อายุ 10-12 เดือน ลูกสามารถลุกขึ้นยื่น เดินได้ด้วยตัวเองได้มากขึ้น ในช่วงวัยนี้คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมกระตุ้นให้ลูกได้ใช้กล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างและลำตัวในการเคลื่อนไหว ลุกขึ้นยืน และทรงตัวควบคู่ไปกับการกระตุ้นระบบประสาทการรับรู้ เช่น เล่นทราย เดินบนพื้นหญ้า ให้ลูกได้ลองเดิน วิ่งเล่นอย่างอิสระ

                        วิธีเล่นกับลูกวัย 1 ขวบขึ้นไป

                        ลูกในช่วงวัยนี้จะมีพัฒนาการร่างกายที่เริ่มแข็งแรง เริ่มเคลื่อนไหวร่างกายโดยใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่บริเวณขา แขน ลำตัว และกล้ามเนื้อมัดเล็กบริเวณมือและนิ้วมือได้คล่องแคล่วกว่าวัยทารก สามารถยืน เดิน ได้นานมากขึ้น ใช้มือหยิบจับ ออกแรงขว้างของเล่นได้ กิจกรรมที่เหมาะสมสำหรับช่วงวัยนี้ เช่น

                        กิจกรรมเล่นกับลูก 1 ขวบ

                        13.พาลูกออกไปเดิน วิ่งเล่นอิสระ (Free Play) ในบริเวณบ้าน สนามเด็กเล่น หรือสวนสาธารณะ เล่นเครื่องเล่นแบบปีนป่าย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเจริญเติบโตทางด้านร่างกายที่ทำให้ลูกได้เคลื่อนไหวอย่างอิสระ เป็นการช่วยกระตุ้นให้ลูกได้กล้ามเนื้อเท้าและข้อเท้า เรียนรู้การทรงตัว และการประสานงานต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยให้พัฒนาการกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น

                        14.เล่นดิน เล่นทราย ให้ลูกได้สัมผัสธรรมชาติ มีผลต่อการการรับรู้ สัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ขรุขระ ในพื้นผิวต่าง ๆ รวมถึงกระตุ้นพัฒนาการด้านสติปัญญาให้ลูกได้เรียนรู้และเข้าใจธรรมชาติรอบตัวมากขึ้น เรียนรู้คำต่าง ๆ ที่ได้พบเจอ เช่น หญ้า ตันไม้ เป็นต้น

                        จะเห็นได้ว่า การเล่นของลูกคือการทำงานของพัฒนาการที่จะมีส่วนเสริมให้เด็กได้คิด สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ตลอดจนค้นหา ปรับ เปลี่ยน แก้ปัญหา วิธีการเล่นของตัวเองตลอดเวลา เกิดทักษะการวางแผน ซึ่งทำให้เกิดการเรียนรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์จากการที่ลูกได้ลงมือทำด้วยตัวเอง ส่งผลให้เด็กมีความมั่นใจ ซึ่งสุดท้ายจะทำให้ลูกมีความภาคภูมิใจในตนเอง รวมถึงทำให้เด็ก ๆ มีความสนุกสนานเพลิดเพลิน มีความสุข ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานโรค หลังเล่นหรือทำกิจกรรมเสร็จก็จะทำให้ลูกเจริญอาหาร กินข้าวได้ดี และนอนหลับได้ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดพัฒนาการในหลากหลายด้านของลูก ทั้งสติปัญญาความฉลาด ร่างกาย อารมณ์ ภาษา และสังคมที่ดีขึ้นด้วย ดังนั้นในช่วงวัยเด็กของลูก หากคุณพ่อคุณแม่ใส่ใจเรื่องของการเล่นของลูกอย่างจริงจัง ให้เวลาเล่นกับลูก ก็จะส่งผลดีต่อเจ้าตัวน้อยได้เป็นอย่างดีเลยละค่ะ.

                        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :www.unicef.org

                        อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                        จับ หนีบ เล่น 20+ กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก เล่นกับลูกในบ้านง่ายๆ

                        “ยิ่งเล่น ยิ่งฉลาด “ พัฒนา PQ (Play Quotient) สร้างลูกให้ฉลาดแข็งแรงจากการเล่นแสนสนุก

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19

                          วิจัยพบ! คนสูบบุหรี่ เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ง่ายกว่าคนอื่น!

                          แม่ห้ามด่วน! ให้พ่อสูบบุหรี่ หรือ ดื่มเหล้า มีโอกาส เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ง่ายกว่าคนอื่นทั่วไป! แถมทำให้อาการทรุด หมอเตือน ควรเลิกเพื่อฟื้นฟูปอด

                          เหล้า บุหรี่ เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ง่ายกว่าคนอื่นทั่วไป!

                          จากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในไทย โดยพบว่า… ผู้ที่ดื่มเหล้า-สูบบุหรี่ จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในโรคติดเชื้อ ทำลายปอด ระบบทางเดินหายใจ ได้ง่าย หลังพบ 11 คนติดเชื้อไวรัสโคโรน่าจากการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้าแก้วเดียวกัน

                          โดย รศ.พญ.รัศมน กัลยาศิริ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้กล่าวว่า… แอลกอฮอล์เป็นสาเหตุเพิ่มความเสี่ยงในโรคติดเชื้อ อาทิ วัณโรคปอด ปอดบวม โรคติดเชื้อในปอด ส่วนเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในปอดได้เช่นกัน

                          Must read >> อันตรายที่มองไม่เห็น!! ควันบุหรี่ จากพ่อแม่สู่ลูกน้อย เสี่ยงปอดติดเชื้อ

                          Must read >> แม่เล่า! ลูกติดเชื้อแบคทีเรีย เพราะสัมผัสจากคนกินเหล้า-สูบบุหรี่

                          ดังนั้นผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีโอกาสรับเชื้อง่ายกว่าคนปกติ เพราะเมื่อดื่มเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานฆ่าเชื้อโรคในร่างกายได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ติดเชื้อต่าง ๆ ได้!!

                          >> การตั้งวงดื่มเหล้ากับเพื่อนหรือเที่ยวในสถานบันเทิงยิ่งเสี่ยงหนัก หากมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกลุ่ม แค่หายใจ หรือหยิบจับภาชนะร่วมกันก็ติดเชื้อได้แล้ว เพราะนั่งในระยะใกล้ และจากสถิติพบผู้ใหญ่ เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ง่ายกว่าวัยอื่น ส่วนผู้ที่เสียชีวิตจะเป็นกลุ่มคนสูงวัยและคนที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง

                          ซึ่งผู้ที่ดื่มเหล้าเป็นประจำต้องระมัดระวังตัวมากกว่าคนปกติ เพราะจากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ติดเหล้ามีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคติดเชื้อในปอดถึง 2.9 เท่า และยังพบอีกว่า เหล้าเป็นสาเหตุของอัตราการเสียชีวิตในกลุ่มของผู้ติดเชื้อวัณโรค ปอดบวมถึง 13.5 % โดยถือมาตรการในการสกัดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส ที่ให้มีการสั่งปิดสถานบันเทิงหลาย การงดสังสรรค์ หรือยกเลิกจัดกิจกรรมที่มีผู้คนแออัด จะช่วยชะลอการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้

                          Must read >> โควิด-19 พ่อแม่ติดเชื้อส่งผลกระทบถึงลูกน้อย

                          “สูบบุหรี่” เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ง่ายกว่าคนอื่น! จริงหรือ?

                          ในส่วนของการสูบบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า ก็มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ

                          • ข้อแรก คือ การสูบบุหรี่มวน และบุหรี่ไฟฟ้าทำให้ปอดไม่แข็งแรง การสูบบุหรี่แม้เพียงมวนเดียว ก็ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจและสุขภาพปอด และถ้าสูบเป็นระยะเวลานานสามารถนำไปสู่โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) เสี่ยงติดเชื้อมากยิ่งขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับรายงานจากวารสารการแพทย์จีน ระบุว่า ในผู้ป่วยที่มีอาการทรุดลงรวมถึงเสียชีวิตเป็นผู้สูบบุหรี่มากกว่าผู้ไม่สูบบุหรี่ถึง 14 เท่า
                          • ส่วนข้อที่สอง คือ การแบ่งกันเสพ บุหรี่มวนเดียวกัน หรือการใช้บุหรี่ไฟฟ้าร่วมกัน อาจจะส่งผลต่อการติดเชื้อโคโรน่า หรือเพิ่มความ เสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ได้จากทางน้ำลายหรือเสมหะ ดังจะเห็นได้จากที่มีข่าว คนไทย 11 คนติดเชื้อจากการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ร่วมกับชาวฮ่องกงในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

                           

                          อ่านต่อ >> “ผลวิจัยจากสหรัฐ เตือน “ผู้สูบบุหรี่” เสี่ยงติดโควิด-19
                          และมีแนวโน้มเสียชีวิตสูงกว่าคนทั่วไป” คลิกหน้า 2

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            ทำฟัน

                            ทำฟัน ช่วงโควิด 19 จะทำได้ไหม ?

                            ทำฟัน ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 แบบนี้จะทำได้ไหม จะปลอดภัยหรือเปล่า เชื่อว่ามีหลายๆ ครอบครัวเลยค่ะที่มีข้อสงสัย และความกังวลเกิดขึ้น เพราะถ้าเด็กๆ หรือคนในบ้านมีอาการปวดฟัน ปัญหาในช่องปากต่างๆ ขึ้นมาในช่วงที่เชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) แพร่ระบาดแบบนี้การไปพบทันตแพทย์ที่คลินิก หรือโรงพยาบาลจะปลอดภัยหรือเปล่า ทีมแม่ABK มีข้อมูลในเรื่องนี้มาบอกให้ได้ทราบกันค่ะ

                             

                            ทำฟัน ช่วงโควิด 19 ทำได้ไหม ?

                            ทีมแม่ABK ได้รับข้อความทาง Inbox เกี่ยวกับเรื่องการ ทำฟัน ค่อนข้างเยอะในช่วงสถานการณ์โควิด 19 เพราะไม่ใช่แค่คุณ  แม่เกิดความกังวลกับช่องปากของตัวเอง แต่ของลูกเล็ก เด็กโต รวมไปถึงผู้ใหญ่ในครอบครัว อาจมีปัญหาเกิดขึ้น เช่น ฟันผุ  ปวดฟัน ฟันหัก เหงือกอักเสบ อุดฟัน ฯลฯ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เชื่อว่าเราคงจะไปพบคุณหมอทันทีที่พบว่าช่องปากมีปัญหา  บางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหมคะ  แต่ช่วงนี้อาจทำได้ไม่สนิทใจกับการไปหาคุณหมอฟัน คือไม่ใช่ว่าคุณหมอจะช่วยรักษาช่องปาก  และฟันไม่ได้นะคะ แต่หลายๆ คนกลัวว่าการทำฟัน จะเสี่ยงต่อเชื้อไวรัสโคโรน่า (Covid-19) ได้หรือเปล่า!!

                             

                            ไวรัสโคโรน่า ติดต่อทางไหน / ได้อย่างไร ?  

                            โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019  (Covid-19) เชื้อไวรัสร้ายชนิดนี้นะคะจะถ่ายทอดผ่านการสัมผัสโดยตรงกับฝอยละออง (Droplet) จากลมหายใจของผู้ติดเชื้อ (ที่เกิดจากการไอและจาม) หรือการไปสัมผัสที่พื้นผิวที่มีเชื้อไวรัสโควิด 19 ปนเปื้อนอยู่ค่ะ

                            ซึ่งทำความสะอาดพื้นผิวที่เราอาจมีการต้องไปสัมผัส เช่น ราวบันไดเลื่อน ประตูตามทางเข้า-ออก หรือปุ่มกดขึ้น-ลงลิฟท์  ฯลฯ ตามที่สาธารณะต่างๆ ด้วยสเปรย์แอลกอฮอล์ก่อนที่เราจะสัมผัส จับลงบนพื้นผิวต่างๆ นั้น ก็ช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ในระดับหนึ่งค่ะ และที่สำคัญให้ล้างมือด้วยสบู่เจลแอลกอฮอล์ทันที่ และเมื่อถึงที่ทำงาน หรือบ้านให้รีบล้างมือให้สะอาดก่อนเป็นอันดับแรกเลยนะคะ

                            ทีนี้ที่หลายคนสงสัยกันว่าแล้วจะไปทำฟันล่ะ จะเสี่ยงต่อเชื้อไวรัสโควิด 19 ได้หรือไม่ ทีมแม่ABK มีคำตอบจากกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ออกเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการทำฟันในช่วงสถานการณ์โควิค 19 ค่ะ

                            แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย แนะนำว่าในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มข้นที่สุด ขอให้หลีกเลี่ยงการไปทำฟันที่ยังไม่มีอาการ เช่น ขูดหินปูน อุดฟัน ผ่าฟันคุด ควรรอให้พ้นระยะระบาดของโรคก่อน

                            แต่หากมีอาการฉุกเฉิน เช่น ปวดฟัน เหงือกบวม เป็นหนอง ได้รับอุบัติเหตุฟันหัก สามารถพบทันตแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านได้ตามปกติ

                            ทีมแม่ABK สรุปให้เข้าใจกันอีกครั้งคือ สาเหตุที่ไม่ให้ ขูดหินปูน อุดฟัน หรือผ่าฟันคุด ในช่วงนี้ไวรัสโคโรน่าระบาด ก็เพื่อป้องกันและลดโอกาสความเสี่ยงในการแพร่โรคจากทางน้ำลายที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคทางช่องปากต่างๆ และรวมถึงเชื้อ ไวรัสโควิด 19 ด้วย(ในกรณีที่อาจมีคนมีเชื้อไวรัสโควิด แต่ไม่รู้ตัวว่าป่วย ไปเข้ารับการรักษาการทำฟัน) ฉะนั้นเพื่อความ ปลอดภัย ไม่ว่าจะตัวเรา หรือคนอื่นๆ หากไม่ได้มีอาการทางช่องปากรุนแรงอย่าง 3 อาการที่บอกไปนั้น ควรเว้นการทำฟัน ในช่วงนี้ไปก่อนค่ะ

                            สิ่งทำคัญที่สุดเพื่อช่วยรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้แข็งแรง ลดการเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ควรแปรงฟันอย่างน้อย 2 ครั้ง  เช้า-ก่อนนอน ใช้ไหมขัดฟัน หรือน้ำยาป้วนปากด้วยก็ได้ค่ะ แค่นี้ก็ช่วยให้คุณแม่ เด็กๆ และทุกคนในครอบครัวมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันนะคะ  

                            ท้ายนี้นะคะทีมแม่ABK มีการปฏิบัติในกิจวัตรประจำวันง่ายๆ เพื่อให้ห่างไกลจากเจ้าเชื้อไวรัสร้าย Covid-19 นี้กันค่ะ

                            • ถ้ามีความจำเป็นต้องออกจากบ้าน (ไปทำงาน , ไปจ่ายตลาด)
                            • ให้สวมใส่หน่ากากอนามัย แนะนำว่าควรเปลี่ยนใหม่ทุกวันค่ะ
                            • เมื่อขึ้นบริการรถขนส่งสาธารณะ ไม่เอามือสัมผัสใบหน้า
                            • ควรอยู่ห่างจากผู้โดยสารคนอื่นประมาณ 1-2 เมตร
                            • เมื่อลงจากรถขนส่งสาธารณะให้ใช้เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือทันที
                            • หลังกลับจากที่ทำงาน หรือจากการไปจ่ายตลาด , ซุปเปอร์มาร์เก็ต
                            • ล้างมือก่อนเข้าบ้าน
                            • หลังเข้าบ้านให้เปลี่ยนเสื้อผ้า และอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย
                            • ปรุงอาหารสุกใหม่ กินร้อน ใช้ช้อนกลาง แก้วดื่มน้ำควรมีเป็นของส่วนตัว

                            #โควิด19ทุกคนต้องรอด #ไม่จำเป็นไม่ออกจากบ้าน #ช่วยชาติลดการแพร่กระจายโควิด19 …ด้วยความห่วงใยค่ะ

                            บทความอื่นที่น่าสนใจ

                            8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

                            วิธี ลงทะเบียนรับเงิน 5,000 บาท “ฝ่าวิกฤติโควิด-19” ใครมีสิทธิ์บ้าง? เช็กเลย!! 

                            หมอรามาแนะแนวทาง รับมือไวรัสโคโรน่า “5 วิธีดูแล+สอนลูก รอดจาก COVID-19”

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


                            เครดิต : กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

                              ลงทะเบียนรับเงิน 5000

                              วิธี ลงทะเบียนรับเงิน 5,000 บาท “ฝ่าวิกฤติโควิด-19” ใครมีสิทธิ์บ้าง? เช็กเลย!!

                              เช็กก่อน ลงทะเบียนรับเงิน 5000 … ใคร หรือ อาชีพใดบ้าง ที่จะมีสิทธิรับเงินเยียวยา 5,000 บาท ฝ่าวิกฤติโควิด-19 นี้ พร้อมแนะวิธี ลงทะเบียนรับเงินเยียวยาโควิด

                              ใครมีสิทธิ์ ลงทะเบียนรับเงิน 5000 บ้าง?

                              จากสถานการณ์ไวรัส COVID-19 ระบาดในไทยตอนนี้ ที่ทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน จนทำให้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตามมามากมาย เนื่องจากมีมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สั่งปิดพื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดชั่วคราว รวม 26 ประเภท ตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค. จนถึงวันที่ 12 เม.ย. 63 โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ

                              ลงทะเบียนรับเงิน 5000

                              ทั้งนี้โดยหลักคือการปิดห้างสรรพสินค้า ยกเว้นแผนกซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อต่างๆ และไม่ปิดตลาด แต่ให้ขายได้เฉพาะอาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นเท่านั้น นอกนั้นเป็นสถานที่ที่มีคนไปรวมตัวกันจำนวนมาก เช่น สนามมวย สนามกีฬา สถานที่ออกกำลังกาย ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และอื่นๆ รวมไปถึงการระงับการให้บริการของสถานบริการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และในอีกหลายพื้นที่ ที่ต้องงดกิจกรรม อาทิ การแข่งขันกีฬา งานบันเทิง งานอบรมสัมมนา การแสดงสินค้า เป็นต้น

                              Must read >> ตรวจโควิดฟรี ทุกรพ. แต่ต้องมีอาการเข้าข่าย เช็กเองได้ที่นี่!

                              Must read >> 8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

                               

                              มาตรการนี้เองจึงส่งผลต่อการดําเนินชีวิตของประชาชนเป็นอย่างมาก รัฐบาลจึงได้ทำการเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสานพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด-19 ในระยะที่ 2 แล้ว … เป็นการดูแลผู้ที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม (กลุ่มแรงงานนอกระบบ) โดยจะสนับสนุนเปิดให้ ลงทะเบียนรับเงิน 5000 เพื่อเให้มีค่าครองชีพเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน  รวม 15,000 บาท  (เมษายน-มิถุนายน 2563) แต่หากสถานการณ์ยังมีความจำเป็น ก็สามารถต่อไปได้เรื่อยๆ ซึ่งน่าจะเพียงพอกับการดำรงชีวิต และอาจมีการออกมาตรการเพิ่มเติม เพราะมีผลกระทบทั้งภาคบริการและภาคการเงิน ซึ่งองค์กรที่เกี่ยวข้องมีมาตรการดูแลการออกพันธบัตร ตราสาร เพื่อป้องกันผลกระทบตั้งแต่ต้น และมาตรการต่างๆ เหล่านี้ต้องเริ่มให้เร็วที่สุดในเดือนเมษายนนี้

                              Must read >>  ปิดห้างสรรพสินค้า ร้านไหนปิด ไม่ปิด? เช็คตรงนี้!

                              Must read >> เปิดรายชื่อ 25 สถานที่เสี่ยงไวรัสโคโรน่า ทั่วประเทศ

                              ลงทะเบียนรับเงิน 5,000 วันไหน

                              ซึ่งกลุ่มแรงงานนอกระบบที่ว่านี้ จะต้องผ่านการ ลงทะเบียนรับเงิน 5000 ที่เว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com โดยแสดงความจำนงตรวจสอบคุณสมบัติ และการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น พร้อมเพย์ตามเลขบัตรประจำตัวประชาชน โอนเข้าบัญชีธนาคาร กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

                              โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเซตระบบเว็บไซต์ให้มีเสถียรภาพ และจะเปิดให้กลุ่มแรงงานนอกระบบ ลงทะเบียนรับเงิน 5000 ชดเชยเป็นเวลา 3 เดือน ได้ภายในวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป

                              อ่านต่อ >> “หลักเกณฑ์และอาชีพ
                              ที่สามารถรับเงินเยียวยา 5,000
                              บาท” คลิกหน้า 2

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                พฤติกรรมไม่น่ารัก

                                3 วิธีจัดการ พฤติกรรมไม่น่ารัก เมื่อลูกน้อยโมโห!

                                ลูก 5 ขวบ เจ้าอารมณ์ โมโหร้าย ปาของ มี พฤติกรรมไม่น่ารัก แบบนี้ พ่อแม่ควรทำอย่างไร? ตามมาดูคำแนะนำดีๆ กับการจัดการพฤติกรรมนี้ จาก นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ กันค่ะ

                                รับมืออย่างไร เมื่อลูกมีพฤติกรรมไม่น่ารัก

                                Q : ตอนนี้มีปัญหากับพฤติกรรมของลูกน้อยวัย 5 ขวบค่ะ เดี๋ยวนี้เวลาโมโหก็จะแสดง พฤติกรรมไม่น่ารัก เช่น ปาข้าวของจนเสียหาย เดินกระแทกส้นเสียงดังใส่ ปิดประตูเสียงดัง หรือกรีดร้อง คำราม

                                จะแก้พฤติกรรมเหล่านี้อย่างไรดีคะ ไม่อยากให้เคยตัว เคยพยายามพูดดีๆ และสอนตามตำราแล้ว แต่ก็เหมือนไม่ได้ผลเลย กลุ้มใจมากๆ ค่ะ

                                A: ไม่ว่าจะใช้จิตวิทยาเชิงบวกหรือการจัดการพฤติกรรมโดยตรง อย่างไรเสียที่คุณแม่ต้องมีคือความสม่ำเสมอคงเส้นคงวา และความหนักแน่นเอาจริง

                                สำหรับเรื่องนี้ นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า …
                                ก่อนอื่น ท่องไว้เสมอว่าเขา 5 ขวบ ยังแก้ไขได้สบายมาก อย่ายอมแพ้

                                ลูกไม่น่ารัก
                                เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมไม่น่ารักและขี้โมโห

                                Must read >> [สร้างวินัยเชิงบวก] ชวนพ่อแม่สำรวจ เรา “สั่ง” หรือ “สอน” ลูกอยู่นะ

                                Must read >> ลูกโกรธ ลูกโมโห เรื่องธรรมดา แต่ต้องสอนลูกแสดงออก ให้เป็น

                                 

                                เขาไม่รู้จักอารมณ์ตนเอง หรืออาจจะรู้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรภายใต้สถานการณ์อะไร

                                หากคุณแม่สนใจจิตวิทยาเชิงบวก ลองหาหนังสือจิตวิทยาเชิงบวกอ่าน จะพบวิธีช่วยเหลือลูกให้รู้จักอารมณ์ตนเองเป็นอย่างแรก รวมทั้งเรียนรู้ผลลัพธ์ของการกระทำของตัวเอง .. ซึ่งหากคุณแม่สนใจวิธีจัดการพฤติกรรมตรงๆ หลักการใหญ่ 3 ข้อยังคงใช้ได้เสมอ

                                อ่านต่อ >> “วิธีจัดการพฤติกรรมไม่น่ารักของลูก” คลิกหน้า 2

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  สถานที่เสี่ยงไวรัสโคโรน่า

                                  เปิดรายชื่อ 25 สถานที่เสี่ยงไวรัสโคโรน่า ทั่วประเทศ

                                  สถานที่เสี่ยงไวรัสโคโรน่า ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ในเขตกรุงเทพมหานครเท่านั้นนะคะ เพราะยังมีสถานที่อันตรายที่สุ่มเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อไวรัสโคโรน่าทั่วประเทศ ทีมแม่ABK จะมาสรุปข้อมูลล่าสุดให้ได้ทราบกันค่ะ

                                   

                                  สถานที่เสี่ยงไวรัสโคโรน่า 25 แห่งทั่วประเทศที่ไหนบ้าง เช็กด่วน!!

                                  ล่าสุดนะคะได้มีประกาศจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ลงวันที่ 23 มีนาคม 2563 ได้เปิดเผย รายชื่อสถานที่เสี่ยงไวรัสโคโรน่า 25 แห่งทั่วประเทศ ใครที่ได้เดินทางไปยังสถานที่ตามที่แจ้งไว้ทั้งหมด ให้เฝ้าระวังอาการอยู่บ้านภายใน 14 วัน ซึ่งหากพบอาการปรากฎที่เข้าข่ายการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้รีบแจ้งต่องานควบคุมโรค หรือสาธารณสุขจังหวัดที่ตนเองอาศัยอยู่ทันที่ค่ะ

                                  ย้ำกันอีกครั้งนะคะกับอาการเบื้องต้นระหว่างที่กักตัวอยู่บ้านใน 14 วัน คือพบว่า มีอาการไอ เจ็บคอ มีไข้ หายใจลำบาก !!!

                                  25 สถานที่เสี่ยงไวรัสโคโรน่า พบคนติดโควิด-19  ใครไปมาในระหว่างวันที่เขียนระบุแจ้งไว้ ให้รีบเช็ก และเฝ้าระวังกักตัวอยู่บ้านด่วนเลยนะคะ

                                  อุบลราชธานี 5 จุดเสี่ยงใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 9-14 มีนาคม 2563

                                  1. ตะวันแดง (วันที่ 9/03)
                                  2. มิกซ์ผับ (วันที่ 9/03)
                                  3. ริคโก้ (วันที่ 12/03)
                                  4. ยูบาร์ (วันที่ 13-14/03)
                                  5. ร้านอาหารชมจันทร์ (วันที่ 14/03)

                                  ขอนแก่น 4 จุดเสี่ยงใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 7-16 มีนาคม 2563

                                  1. โรงเหล้ามิตรภาพ (วันที่ 7/03)
                                  2. ตะวันแดงขอนแก่น (วันที่ 7/03)
                                  3. ตะวันแดงขอขแก่น (วันที่ 8/03)
                                  4. ตะวันแดงขอนแก่น (วันที่ 15/03)
                                  5. ร้านซอดแจ้ง หมูกระทะ ชิวชิว (วันที่ 12/03)
                                  6. ตลาดหนองไผ่ล้อม (วันที่ 16/03)

                                  กรุงเทพฯ 3 พื้นที่เสี่ยง ตั้งแต่วันที่ 6-10 มีนาคม 2563

                                  1. สนามวยลุมพินี (วันที่ 6-8/03)
                                  2. สนามมวยราชดำเนิน (วันที่ 6-8/03)
                                  3. สถานบันเทิง ร้านอาหารค่ำคืน (วันที่ 9-10/03)

                                  สงขลา 2 พื้นที่เสี่ยง ตั้งแต่วันที่ 13-15 มีนาคม 2563

                                  1. มินิบัสหมายเลข 4 สนามบิน-ตัวเมืองหาดใหญ่ (วันที่ 13/03)
                                  2. สนามกีฬาจิระนคร อำเภอหาดใหญ่ (วันที่ 14-15/03)

                                  นครราชสีมา 2 พื้นที่เสี่ยง ตั้งแต่วันที่ 7-8 มีนาคม 2563  

                                  1. สนามไก่ชน อำเภอโนนไทย (วันที่ 7/03)
                                  2. มวยตู้ ตำบลกุดจิก อำเภอสูงเนิน (วันที่ 8/03)

                                  นนทบุรี 5 พื้นที่เสี่ยง ตั้งแต่วันที่ 8-14 มีนาคม 2563

                                  1. สนามมวย อตก.3 (วันที่ 8/03)
                                  2. รถ ปอ.ประชาชื่น – สนามมวยลุมพินีและราชดำเนิน (วันที่ 8-14/03)
                                  3. รถตู้ เดอะมอลล์-ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต คันที่ 53 (วันที่ 8-20/03)
                                  4. การสอบมหาวิทยาลัยราชมงคลสุวรรณภูมิ นนทบุรี (วันที่ 13/03)
                                  5. งานบวช วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร เขตดุสิต กทม. (วันที่ 14/03)

                                  สุรินทร์ 2 พื้นที่เสี่ยง ตั้งแต่วันที่ 15-16 มีนาคม 2563

                                  1. ตลาดช่องจอม อำเภอกาบเชิง จ.สุรินทร์ (วันที่ 15/03)
                                  2. งานศพ ม.3 ลำดวน (วันที่ 16/03)

                                  ข้อสำคัญหลังจากเช็กแล้วว่าพบว่าตนเองได้มีการไปยังสถานที่ดังกล่าว ตามช่วงวันที่ระบุ ให้เฝ้าระวังตนเองด้วยการกักตัวอยู่บ้าน และระหว่างใน 14 วันพบว่ามีอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจลำบาก ให้แจ้งไปยังสาธาณสุขจังหวัด เพื่อที่จะได้ดำเนินเรื่องการรักษาต่อไปค่ะ

                                  ทีมแม่ABK ขอเตือนกันอีกบ่อยๆ เลยว่า การล้างมือ การใส่หน้ากากอนามัย เป็นเรื่องจำเป็นอย่างมาก ถ้าต้องออกไปข้างนอก กลับบ้านมาแล้วให้รีบอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทันที และข้อควรปฏิบัติตัวในช่วงนี้คือ การอยู่บ้าน work from home หรือใครที่ไม่มีกิจธุระจำเป็นจริงๆ ไม่ควรออกนอกบ้านไปยังสถานที่สาธารณะต่างๆ กันนะคะ เพื่อเป็นการจุดรับเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 และเป็นการช่วยคุณหมอ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ที่ตอนนี้ทำงานกันอย่างหนัก เพื่อตรวจรักษาผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาค่ะ …ด้วยความห่วงใย

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  บทความที่น่าสนใจ

                                  8 วิธีรับมือไวรัสโคโรน่า COVID-19 ฉบับพ่อแม่ที่มีลูกเล็กโดยเฉพาะ!

                                  ชี้เป้า! 10 ประกัน ไวรัสโคโรน่า เบี้ยขั้นต่ำแค่ 99 บาท ที่ไหนคุ้มสุดดูเลย!

                                  10 สถานที่เสี่ยงแพร่กระจาย “เชื้อไวรัสโคโรนา”


                                  เครดิต : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข , thebangkokinsight 

                                   

                                   

                                    รับมือไวรัสโคโรน่า

                                    หมอรามาแนะแนวทาง รับมือไวรัสโคโรน่า “5 วิธีดูแล+สอนลูก รอดจาก COVID-19”

                                    หมอรามา แนะแนวทางพ่อแม่ ดูแลและสอนลูก รับมือไวรัสโคโรน่า พ่อแม่ต้องเลี้ยงดู หรือ บอกลูกอย่างไรบ้าง เพื่อลดความเสี่ยงลูกจากเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ โควิด-19

                                    หมอรามาแนะแนวทาง รับมือไวรัสโคโรน่า
                                    ลูกปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้พ่อแม่!

                                    แม้ว่าสถานการณ์ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ เชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) ในบ้านเรากำลังจะดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าการระบาดระลอก 2 กำลังใกล้เข้ามาทุกที ซึ่งเจ้าไวรัสโควิด-19 นี้ ก็แพร่กระจายเชื้อแบบไม่เลือกเพศ หรือ อายุใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเพื่อเป็นแนวทางให้กับคุณพ่อคุณแม่เน้นย้ำและบอกสอนลูกน้อยในสถานการณ์แบบนี้ ทีมแม่ ABK จึงมีวิธี รับมือไวรัสโคโรน่า จาก รศ. พญ. นิดา ลิ้มสุวรรณ หน่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล มาฝาก เพื่อช่วยป้องกันพร้อมลดความเสี่ยงไม่ให้ลูกติดเชื้อ COVID-19 จะต้องทำอย่างไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

                                    Must read >> แม่ไทยในอิตาลีแชร์ วิธีรับมือ COVID-19 ในวันที่ต้องปิดประเทศ

                                    Must read >> ปิดห้างสรรพสินค้า ร้านไหนปิด ไม่ปิด? เช็คตรงนี้!

                                     

                                    5 วิธีดูแล+สอนลูก รับมือไวรัสโคโรน่า

                                    1. พ่อแม่ต้องมีท่าทีที่สงบมั่นคง

                                    วิธี รับมือไวรัสโคโรน่า ข้อแรกที่คุณหมอนิดา จิตเวชเด็กและวัยรุ่น แนะนำนี้ ที่ให้พ่อแม่ทำก็เพื่อช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ เพราะลูกไม่ได้เพียงแต่ฟังสิ่งที่พ่อแม่พูด แต่การรับรู้ส่วนใหญ่ของเด็กก้มาจากการมองทาง สีหน้า ท่าทาง และวิธีการพูดขอองคุณพ่อคุณแม่ด้วย ซึ่งเขาจะสังเกตทั้งตอนที่คุณคุยกับเขาและตอนที่คุณคุยกับคนอื่น

                                    2. หลีกเลี่ยงการต่อว่า ด่าทอ กล่าวโทษผู้อื่นหรือ พูดด้วยอารมณ์ต่อหน้าเด็ก

                                    ในสถานการณ์แบบนี้บางครั้งผู้ใหญ่หรือคุรพ่อคุรแม่ ผู้ปกครองที่ติดตามข่าวสาร และเกิดมีอารมณ์ รู้สึกไม่พอใจ ผิดหวัง ตามมาด้วยการต่อว่า ด่าทอ กล่าวโทษผู้อื่น ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่พบได้ตามปกติในสถานการณ์แบบนี้ แต่การแสดงออกเหล่านี้ไม่เป็นผลดีกับสุขภาพจิตของเด็กที่อยู่ใกล้ชิด

                                    พ่อแม่ควรงับอารมณ์ เพราะการแสดงออกด้วยอารมณ์ด้านลบต่างๆ ไม่ใช่สิ่งผิด เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรต่างๆ ดีขึ้น … สิ่งที่ควรทำ คือ หาทางเตรียมตัวแก้ปัญหา หาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและแนวทาง รับมือไวรัสโคโรน่า กับปัญหาที่ถูกต้อง จะมีประโยชน์มากกว่า

                                    Must read >> ชี้เป้า! 10 ประกัน ไวรัสโคโรน่า เบี้ยขั้นต่ำแค่ 99 บาท ที่ไหนคุ้มสุดดูเลย!

                                    3. อย่าให้ลูกฟังข่าว หรือ รับรู้ข้อมูลเรื่อง COVID-19 มากเกินไป

                                    พ่อแม่ควรใส่ใจว่าลูกได้รับข้อมูลอะไรไปบ้างในแต่ละวัน ซึ่งช่วงนี้บางบ้านผู้ใหญ่อาจเปิด TV ดูข่าวตลอดทั้งวัน หรือไม่ก็ดูตามหน้าจอสื่อ social media ต่างๆ โดยที่ไม่ตั้งใจ ทำให้ลูกพลอยได้รับรู้ข่าวสารพวกนี้ไปด้วย

                                    ซึ่งการนำเสนอข่าวของสื่อต่างๆ อาจไม่เหมาะสมกับเด็กทั้งเนื้อหาและวิธีการสื่อสาร เพราะเขาตั้งใจสื่อสารกับผู้ใหญ่ ถ้าปล่อยให้ลูกดูรายการเหล่านี้ก็มีโอกาสที่จะเข้าใจข้อมูลบางอย่างผิดไปและก่อให้เกิดความกังวลที่ไม่จำเป็น คุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจดูแลไม่ให้ลูกได้รับข้อมูลที่ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใหญ่นี้ด้วย

                                    Must read >> โควิด-19 พ่อแม่ติดเชื้อส่งผลกระทบถึงลูกน้อย

                                    Must read >> แม่ขอแชร์ 8 ไอเดีย วิธีประหยัดเงิน ในกระเป๋า ช่วย save cost สู้วิกฤติในยามนี้

                                    ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการให้ลูกดูทีวี ที่มีข่าวสารต่างๆ เกี่ยวกับโรคโควิด-19 เพราะอาจทำให้ลูกกังวล เกิดความกลัวมากจนเกินไป แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่หากิจกรรมทำกับลูกเยอะๆ เช่น ชวนลูกทำกับข้าว ทำขนมกินเอง หรือสอนขียนหนังสือ สอนวาดรูป เพิ่มความผ่อนคลายได้ หรือรวมไปถึงการชวนลูกทำความสะอาดบ้าน จัดบ้านให้มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีอากาศถ่ายเทสะดวก สะอาด จะได้ห่างไกลเชื้อโรค

                                     

                                    อ่านต่อ >> “วิธีดูแลป้องกันลูกน้อยให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโคโรน่า
                                    แบ่งตามระดับอายุพัฒนาการ” คลิกหน้า 2

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่