Page 174 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกเลือดกำเดาไหล

วิธีปฐมพยาบาล ลูกเลือดกำเดาไหล ให้ “ก้ม”หรือ “เงย”?

เมื่อลูกเลือดกำเดาไหล คุณแม่อย่าเพิ่งตกใจจนทำอะไรไม่ถูก วิธีปฐมพยาบาล ลูกเลือดกำเดาไหล เป็นสิ่งสำคัญควรตั้งสติให้ดี หากเผลอปฐมพยาบาลผิดวิธี ทำให้ลูกน้อยเสี่ยงเสียชีวิตได้

ลูกเลือดกำเดาไหล สาเหตุเกิดจากอะไร?

  • อาการระคายเคืองหรืออาการบาดเจ็บที่โพรงจมูก ส่วนใหญ่เกิดจากอาการหวัด ซึ่งทำให้จมูกแห้งแล้วเขาไปแคะจมูก อาการเหล่านี้มักไม่ค่อยเป็นอันตรายค่ะ จะมีเลือดกำเดาไหลออกช่วงสั้น ๆ และหายไปได้เอง แต่หากมีพฤติกรรมการแคะจมูกที่รุนแรง หรือทำให้จมูกเกิดบาดแผล ก็จำทำให้มีเลือดกำเดาไหลบ่อยตามมาได้ง่าย
  • เกิดจากการชนและการกระแทก จะปริมาณเลือดจะมีมากในช่วงแรก แต่จะค่อยๆ หายไปได้เอง แต่หากเลือดกำเดาไหลนานเป็นสัปดาห์ สาเหตุอาจมาจากการที่เส้นเลือดภายในโพรงจมูกโป่งพองจากอุบัติเหตุ
  • ภาวะอักเสบภายในโพรงจมูก มักมาจากการติดเชื้อไวรัส ภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ การสัมผัสกับสิ่งระคายเคือง มีสิ่งแปลกปลอมในจมูก การใช้เครื่องอัดอากาศช่วยหายใจ และการรักษาโรคหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น
  • อาการหนาวและแห้ง อาการหนาวและแห้ง จะเป็นสาเหตุทำให้เลือดกำเดาไหลบ่อยได้ เนื่องจากเยื่อบุจมูกมีความแห้ง เกิดการระคายเคือง ตามมาด้วยเลือดออกได้ง่ายขึ้นค่ะ

ก้ม หรือ เงยหน้า? เมื่อเลือดกำเดาไหล

มีอุทาหรณ์หนึ่งที่น่าสนใจมาเล่าให้คุณแม่ฟังค่ะ เด็กชายคนหนึ่งชื่อว่าเฉียงเฉียง เป็นลูกคนเดียวไม่มีพี่น้อง วันหนึ่งขณะที่เล่นอยู่ดีๆ ก็เกิดเลือดกำเดาไหลออกมา เฉียงเฉียงจึงรีบวิ่งไปหาคุณแม่ พอแม่เห็นดังนั้น จึงสั่งให้ลูกเงยหน้าและนำกระดาษทิชชูยัดเข้าไปในจมูกของเฉียงเฉียงเพื่อห้ามเลือด โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็น วิธีการปฐมพยาบาล ลูกเลือดกำเดาไหล ที่ผิดวิธีทำให้ลูกน้อย เสียชีวิต

เมื่อคุณแม่ปฐมพยาบาลลูกน้อยไปได้ไม่นาน เฉียงเฉียงก็เริ่มมีอาการหายใจไม่ออก รู้สึกแน่นหน้าอก จนต้องใช้ปากช่วยหายใจ สักพักหนึ่งหนูน้อยเริ่มตาลาย แล้วจึงเป็นลมหมดสติไป เมื่อคุณแม่เห็นดังนั้นแล้วจึงรีบนำกระดาษทิชชูออก แล้วพาลูกน้อยไปโรงพยาบาลทันที

หลังจากที่คุณหมอตรวจอาการของหนูน้อยได้สักครู่หนึ่ง ก็ออกมาแสดงความเสียใจกับคุณแม่ของเฉียงเฉียง “เราช่วยชีวิตเฉียงเฉียงเอาไว้ไม่ทัน เขาจากไปแล้ว” เมื่อคุณแม่ได้ยินดังนั้นก็เป็นลมล้มพับลงไปเลย

คุณหมออธิบายว่า การเงยหน้าอาจทำให้เลือดไหลเข้าไปในหลอดลม และทำให้สำลักได้ง่าย ถ้าเป็นเลือดกำเดาไหลที่เกิดจากอุบัติเหตุภายนอก อาจจะเป็นน้ำไขสันหลังที่ไหลออกมา เพราะกะโหลกได้รับการกะแทก ถ้าเกิดการอุดตันในจมูก อาจจะเป็นสาเหตุของอาการสมองอักเสบได้

ลูกเลือดกำเดาไหล
เฉียงเฉียง เสียชีวิตเพราะเลือดกำเดาไหล

ที่มา : liekr

วิธีปฐมพยาบาล ลูกเลือดกำเดาไหล

จากการที่คุณแม่หลายท่านอาจจะยังใช้วิธีปฐมพยาบาล ลูกเลือดกำเดาไหล แบบผิดๆ ด้วยการจับลูกเงยหน้าซึ่งอาจทำให้เด็กสำลักเลือดกำเดาลงคอได้ สิ่งที่คุณแม่ควรทำ ก็คือ

  • ใช้หลักการห้ามเลือดไม่ว่าออกมาจากทางไหน ด้วยการกดที่จุดเลือดออกทิ้งไว้ 10-15 นาที จะช่วยให้เกล็ดเลือดเข้ามารวมตัว และเลือดหยุดได้เองในที่สุด
  • ตำแหน่งที่เลือดกำเดาไหลบ่อย จะพบที่ด้านหน้าตรงสันกลางจมูก
  • หากมีเลือดออกให้ใช้วิธีเอามือบีบจมูกให้แน่นด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ ค้างไว้ 5-10 นาที เพื่อปิดจุดเลือดออก และใช้วิธีหายใจทางปากไปก่อน
  • หลีกเลี่ยงการบีบๆ ปล่อยๆ จมูกขณะที่กำลังกดจุดหยุดเลือด เพราะส่วนใหญ่ต้องการดูว่าเลือดหยุดไหลหรือยัง
  • ดังนั้นให้บีบทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีเป็นอย่างต่ำ หากต้องการทราบว่าเลือดหยุดไหลแล้วหรือไม่
  • ประคบเย็นด้วยผ้าห่อน้ำแข็งหรือ cold pack ที่จมูก ซึ่งจะช่วยให้เส้นเลือดภายในโพรงจมูกหดตัว
  • บรรเทาเลือดไหลให้น้อยลง หรืออมน้ำเย็น หรือน้ำแข็งภายในช่องปากไปพร้อมๆ กันด้วย จะช่วยลดภาวะเลือดออกให้หายได้เร็วขึ้น
  • หากพบว่าเลือดกำเดาไหลออกมา ไม่ยอมหยุดซักที ให้บีบจมูกต่อด้วยวิธีเดิมอีกครั้ง
  • กรณีที่มีเลือดกำเดาไหลอย่างต่อเนื่องเกิน 20 นาที ให้บีบทิ้งไว้และรีบพาลูกไปโรงพยาบาลในทันที
  • หลังจากเลือดหยุดแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการแคะจมูกหรือการสั่งนำมูกแรงๆ ภายในระยะเวลา 24-48 ชั่วโมงก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลออกมาอีก
  • ควรให้ลูกนอนพักในท่ายกศีรษะขึ้นสูง ใช้น้ำแข็งมาประคบเอาไว้ตรงตำแหน่งหน้าผากหรือคอ

 

โดยคุณหมอวิรัช จิตสุทธิภากร แพทย์โรคจมูก รพ. สวรรค์ประชารักษ์ ได้เผยแพร่วิธีหยุดเลือดกำเดาที่ใช้ได้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 4 ขั้นตอน ดังนี้

เลือดกำเดา

4 สเต็ป “บีบจมูก หลังตรง ก้มหน้า อ้าปาก”

  • บีบจมูก– การบีบจมูกจะช่วยหยุดเส้นเลือดขนาดเล็กที่รวมกันอยู่ตรงผนังกั้นจมูกด้านหน้า
  • หลังตรง – ในขณะที่นั่งหลังตรง ยืดตัว ศีรษะจะอยู่สูงกว่าส่วนอื่นของร่างกาย ทำให้ความดันโลหิตที่สูบฉีดเลือดอยู่นั้นลดลง
  • ก้มหน้า – เพื่อป้องกันเลือดไหลตกลงคอจนอาจทำให้สำลัก เข้าคอ จะทำให้เกิดการระคายเคือง
  • อ้าปากหายใจ – การอ้าปากจะช่วยรับอากาศเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ผ่านทางโพรงจมูกที่มีเลือดไหลอยู่ อีกทั้งต้องระวังการไอ จาม เพื่อไม่ให้เส้นเลือดฝอยแตกอีก

คุณหมอแนะนำว่า ควรกดอย่างน้อย 5 นาที หากปล่อยแล้วเลือดยังไหลให้ทำใหม่ หากยังไม่หยุดอีก ให้พาลูกไปพบแพทย์ค่ะ

เมื่อเลือดหยุดแล้ว ควรให้ลูกพักผ่อน หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ไว้ก่อน จากนั้นค่อยนอนหัวสูงได้ ทำใจให้สบาย ฟังเพลงเพื่อผ่อนคลายให้หัวใจเต้นช้าลง ระวังการเบ่ง ไอ จาม อาจใช้การประคบเย็นร่วมด้วย

หวังว่าข้อมูลนี้จะมีประโยชน์ ช่วยให้คุณแม่สามารถปฐมพยาบาล ลูกเลือดกำเดาไหล ได้อย่างถูกวิธีนะคะ เพียงคุณแม่จำให้แม่น “บีบ ตรง ก้มหน้า อ้าปาก” เพียงเท่านี้ก็จะไม่ปฐมพยาบาลผิดแล้วล่ะค่ะ แต่หากลูกน้อยมีอาการเลือดกำเดาไหลเรื้อรัง ควรพาไปพบคุณหมอ เพื่อวินิจฉัยให้แน่ชัดต่อไปค่ะ

เลือดกำเดาไหล ทำไงดี
เลือดกำเดาไหล ต้องทำยังไง

ขอบคุณข้อมูลจาก นพ. วิรัช จิตสุทธิภากร แพทย์โรคจมูก รพ. สวรรค์ประชารักษ์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

    คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม

    ไขข้อข้องใจ! คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม กินแล้วล้างไข คลอดง่าย ลูกออกมาผิวขาวจริงหรือ?

    ในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์จะกินอะไรเข้าไปแต่ละอย่างก็ระแวงระวังไปซะหมด สำหรับ “มะพร้าว” ที่เป็นผลไม้แสนอร่อยทั้งเนื้อและน้ำมะพร้าว ก่อนกินก็ต้องหาข้อมูลกันหน่อยว่า คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม เพราะมีคนเคยทัก โบราณเคยกล่าวจนกลายเป็นความเชื่อต่อ ๆ กันมา ว่าคนท้องอ่อน ๆ กินน้ำมะพร้าวเข้าไปอาจทำให้เกิดอาการแท้งลูกได้ หรือการดื่มน้ำมะพร้าวตอนท้องจะช่วยชะล้างไขของทารกออกจนหมดช่วยให้คลอดลูกง่าย และที่ว่าดื่มน้ำมะพร้าวแล้วจะช่วยให้ลูกมีผิวขาวสวยเหมือนเนื้อมะพร้าวจริงหรือ มาหาคำตอบกันค่ะ

    ไขข้อข้องใจ! คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม
    กินแล้วล้างไข คลอดง่าย ลูกออกมาผิวขาวจริงหรือ?

    “มะพร้าว” นั้นนับเป็นผลไม้มีประโยชน์ต่อร่างกายที่สามารถกินได้ทุกเพศทุกวัย รวมถึงคุณแม่ท้องก็สามารถกินน้ำมะพร้าวได้ในช่วงตั้งครรภ์นะคะ ยิ่งได้เลือกกินผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างมะพร้าวตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ก็จะช่วยส่งผลดีต่อร่างกายได้ น้ำมะพร้าวนั้นจัดเป็นน้ำผลไม้ที่สะอาดเนื่องจากเป็นน้ำจากธรรมชาติที่บรรจุอยู่ในกะลามะพร้าวห่อหุ่มอย่างหนาแน่น การได้กินน้ำมะพร้าวจากลูกสด ๆ โดยไม่ปรุงแต่งก็นับว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณแม่และทารกในครรภ์มากมาย

    ข้อมูลจากกรมอนามัย ระบุว่า มะพร้าวอ่อนมีคุณค่าสารอาหารสูง โดยเฉพาะในน้ำมะพร้าวมีโปแตสเซียมสูงมาก น้ำมะพร้าวอ่อน 1 ลูก มีน้ำหนักในส่วนที่กินได้ 259 กรัม จะให้พลังงาน 60 แคลอรี่ และอุดมไปด้วยสารอาหารต่าง ๆ มากมาย อาทิ น้ำประมาณ 243 กรัม น้ำตาล 19 กรัม วิตามินซี 3 มิลลิกรัม โพแทสเซียม 855 มิลลิกรัม แคลเซียม 30 มิลลิกรัม และโซเดียม 27 มิลลิกรัม เป็นต้น นับเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงครรภ์สำหรับคุณแม่

    คนท้องกินน้ำมะพร้าว
    คนท้องกินน้ำมะพร้าว

    15 ประโยชน์ของการดื่มน้ำมะพร้าวขณะตั้งครรภ์

    1.ในน้ำมะพร้าวมีกลูโคสและฟรักโทสในปริมาณมาก ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที เมื่อแม่ท้องได้ดื่มก็จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น แก้กระหาย

    2.น้ำมะพร้าวนั้นเป็นเกลือแร่ที่มาจากธรรมชาติ เพราะอุดมไปด้วยโพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามิน ซึ่งเป็นสารอาหารชนิดเดียวกับในเครื่องดื่มเกลือที่นำดื่มทดแทนกันได้ ช่วยลดภาวะการขาดน้ำและช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้ดีทีเดียว

    3.ช่วยควบคุมความดันโลหิต และการทำงานของหัวใจคุณแม่ตั้งครรภ์ให้เป็นปกติ เนื่องจากมะพร้าวอ่อนมีโพแทสเซียมสูงมาก จึงมีส่วนช่วยลดระดับความดันในร่างกายได้ดี

    4.ในน้ำมะพร้าวอุดมด้วยแหล่งของสารอาหารมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อผิวที่ช่วยบำรุงผิวพรรณคุณแม่ตั้งครรภ์ให้เปล่งปลั่งสดใส ลดริ้วรอยบนผิวหนังช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื่นขึ้นเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนังช่วยให้ดูอ่อนเยาว์

    5.น้ำมะพร้าวอุดมไปด้วยกรดลอริก คือไขมันอิ่มตัวชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในน้ำนมแม่ ที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อไวรัส เชื้อหวัด และเชื้อรา จึงช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของแม่และทารกในครรภ์ และช่วยป้องกันการติดเชื้อของโรคไข้หวัดใหญ่ เอชไอวี และโรคเริม

    6.ดื่มน้ำมะพร้าวช่วยให้ระบบย่อยอาหารของคุณแม่ตั้งครรภ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้แบคทีเรียที่ดีในลำไส้ทำงานดีขึ้น จึงช่วยป้องกันอาการท้องผูกในขณะตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี

    7.น้ำมะพร้าวเป็นตัวช่วยกระตุ้นการขับถ่ายปัสสาวะให้เป็นไปอย่างปกติ ซึ่งจะช่วยให้กระเพาะปัสสาวะได้ขับสารพิษและแบคทีเรียที่อาจตกค้างอยู่ออกมาอย่างเต็มที่ ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงโรคต่าง ๆ ในระบบขับถ่ายปัสสาวะลงได้ เช่น ช่วยลดการเกิดนิ่วและป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ

    8.ช่วยลดอาการกรดไหลย้อน เพราะในน้ำมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัว ที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้ ล้างสารพิษในร่างกายแบบธรรมชาติไม่เป็นอันตราย

    กินน้ำมะพร้าวตอนท้องอ่อน

    9.ในน้ำมะพร้าวอ่อนมีแคลอรี่น้อย และมีไขมันต่ำกว่า 0.5 กรัม จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนักในระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี เพราะในน้ำมันมะพร้าวมีโมเลกุลขนาดกลางจึงย่อยได้เร็ว ไม่มีการสะสมในร่างกาย โมเลกุลตัวนี้ยังไปกระตุ้นกระบวนการเมตาบอลิซึม ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่จากอาหารที่รับประทานเข้าไป ส่งผลให้เหลือไขมันสะสมในร่างกายน้อยลง อีกทั้งยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้

    10.สำหรับแม่ท้องบางคน กลิ่นหอมของมะพร้าว สามารถช่วยลดอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ได้

    11.ในน้ำมะพร้าวอ่อนมีไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติละลายน้ำดี (MCT) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแคลเซียม จึงมีส่วนช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

    12.ในมะพร้าวอ่อนมีโฟเลตประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งการที่ร่างกายได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด

    13.ในน้ำมะพร้าวมีโพแทสเซียมสูงใกล้เคียงกับกล้วย 1 ลูก ที่นอกจากจะช่วยการทำงานของหัวใจแล้วยังช่วยในการลดตะคริวและปวดกล้ามเนื้อหลังที่เป็นอาการสำหรับคนท้องในไตรมาสที่ 2 ได้

    14.เนื้อมะพร้าวอ่อนมีไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำได้ จึงช่วยลดการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตไปเป็นน้ำตาล จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ไม่สูงเกินไป และช่วยลดความเสี่ยงภาวะการเกินโรคเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์ได้

    แม่ท้องควรดื่มน้ำมะพร้าวตอนไหนดี

    จะเห็นได้ว่าประโยชน์ของมะพร้าวนั้นได้มาจากทั้งในน้ำและเนื้อมะพร้าวอย่างครบครัน เหมาะสมกับคนทุกเพศ ทุกวัย และในทางการแพทย์ ไม่มีข้อจำกัดหรือข้อห้ามใดๆ สำหรับคุณแม่ที่สามารถดื่มน้ำมะพร้าวตอนท้องได้ และดื่มได้ในปริมาณที่พอดีหรือ 1 ลูกต่อวัน ซึ่งก็ควรเลือกดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนแบบเป็นลูก เพื่อความปลอดภัย สะอาด และมีสารอาหารครบถ้วนตามที่ควรจะเป็น ควบคู่ไปกับการกินอาหารหลากหลาย เพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับโภชนาการดี ๆ ต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์

    ไขข้อสงสัย 3 ความเชื่อผิด ๆ ถ้าดื่มน้ำมะพร้าวตอนท้อง

    ส่วนคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ยังมีข้อสงสัยในความเชื่อเรื่องการดื่มน้ำมะพร้าวต่าง ๆ มาดูข้อเท็จจริงเรื่องนี้กันค่ะ

    น้ำมะพร้าวล้างไข

    ความเชื่อ: การดื่มน้ำมะพร้าวขณะตั้งครรภ์จะช่วยให้ลูกคลอดง่าย ออกมาไม่มีไข

    ข้อเท็จจริง : ในน้ำมะพร้าวมีกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นไขมันที่ไม่อิ่มตัวและไขมันอิ่มตัว แต่สำหรับไขของทารกในครรภ์ (Vernix caseosa) นั้นเป็นพัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วง 5 เดือนที่จะเริ่มมีการสร้างไขขึ้นมาบนผิว ซึ่งไขมีหน้าที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวทารก ป้องกันการเสียความร้อนให้ทารกแรกเกิด ป้องกันแบคทีเรียผ่านสู่ผิวทารก และยังเป็นตัวหล่อลื่นที่ห่อหุ้มตัวเพื่อช่วยให้ทารกคลอดออกมาทางช่องคลอดได้ง่ายขึ้น ดังนั้นการที่ทารกมีไขเกาะตามร่างกายเยอะจึงถือเป็นเรื่องที่ดี แสดงให้เห็นความสมบูรณ์ของทารกที่อยู่ในครรภ์ครบตามกำหนด ดังนั้นการที่แม่ท้องดื่มน้ำมะพร้าวไม่ได้ช่วยทำให้ไขของทารกลดน้อยลงหรือคลอดง่ายแต่อย่างใดนะคะ

    ความเชื่อ: ดื่มน้ำมะพร้าวขณะตั้งครรภ์ลูกออกมาจะตัวขาว

    ข้อเท็จจริง : สีผิวของทารกแรกเกิดนั้นไม่ได้เกิดจากการที่คุณแม่ดื่มน้ำมะพร้าวตอนท้อง ทารกจะมีผิวขาวอมชมพูหรือสีผิวเข้มคล้ำขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ของคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น การกินยาบางชนิด สภาพแวดล้อม การเลี้ยงดู ที่มีผลต่อการสร้างเซลล์ผิวในเด็กแตกต่างกันออกไป เป็นต้น ซึ่งตามธรรมชาติผิวของทารกแรกเกิดนั้นจะถูกห่อหุ้มออกมาพร้อมไขสีขาวที่ติดอยู่บนผิว และจะค่อย ๆ หลุดภายใน 1-3 สัปดาห์ จากนั้นจะสามารถสังเกตได้ว่าผิวของทารกมีความเปลี่ยนแปลง โดยจะเห็นสีผิวที่ชัดเจนหรือสีผิวจริงของทารกได้ภายใน 3-6 เดือนขึ้นไป

    ความเชื่อ: ดื่มน้ำมะพร้าวขณะตั้งครรภ์จะทำให้แท้งบุตร

    ข้อเท็จจริง : การดื่มน้ำมะพร้าวตอนท้องจะทำให้แท้งลูกนั้นในทางการแพทย์ยังไม่มีข้อมูลที่ออกมายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ถึงแม้ในน้ำมะพร้าวจะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีผลต่อการหดรัดตัวของมดลูก แต่ก็มีในปริมาณที่น้อยมากจนแทบไม่ส่งผลต่อครรภ์ที่ทำให้แท้งลูกได้ นอกจากคุณแม่จะมีอาการแพ้น้ำมะพร้าว หรือกินมะพร้าวในลูกที่ไม่สดก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ท้องเสีย ส่วนในรายที่ดื่มแล้วแท้งอาจเกิดได้จากความบังเอิญ เช่น เกิดขึ้นได้จากคุณแม่มีภาวะแท้งคุกคามอยู่แล้ว ซึ่งมีสาเหตุจากความผิดปกติของทารกในครรภ์ แม่ตั้งครรภ์ที่อายุมาก คุณแม่มีการติดเชื้อ มีโรคประจำตัว มีความเครียด สูบบุหรี่ ดื่มสุราขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น ดังนั้นการดื่มน้ำมะพร้าวไม่ได้ทำให้แท้งลูกแต่อย่างใด

    หมดข้อสงสัยในเรื่องนี้ก็ทำให้คุณแม่เบาใจหายกังวลลงไปได้ว่าการดื่มน้ำมะพร้าวตอนท้องนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดโทษหรือส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์แต่อย่างใด แต่เป็นโภชนาการดี ๆ ที่ให้ประโยชน์และช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามเรื่องอาหารการกินยังคงเป็นสิ่งสำคัญในช่วงตั้งครรภ์ที่คุณแม่ควรเลือกใส่ใจและรับประทานแต่พอดีส่งผลต่อครรภ์คุณภาพตลอด 9 เดือนนี้นะคะ

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.babygiftretail.comwww.happymom.in.thwww..kapook.com

    อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

    คนท้องกินอย่างไรไม่ให้อ้วน กับ 9 วิธีคุมน้ำหนักตอนท้องให้ได้ผล

    คนท้องกินทุเรียนได้ไหม ส่งผลอะไรกับลูกหรือไม่!

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      อาการคนท้องระยะแรก 1-2 สัปดาห์

      เช็กเลย! 15 อาการคนท้องระยะแรก 1-2 สัปดาห์ มีอาการแบบนี้เตรียมเฮเป็นคุณแม่!

      อาการที่บ่งบอกว่ากำลังตั้งครรภ์ของว่าที่คุณแม่แต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไป โดยในช่วงระยะสัปดาห์แรกนั้น ว่าที่คุณแม่บางคนนั้นอาจไม่มีอาการแสดงออกหรือไม่มีอาการแพ้ใด ๆ เลยจนไม่รู้ตัวว่าตั้งท้อง ในทางกลับกันบางคนอาจจะมีอาการแพ้ท้องหรืออาการอื่น ๆ เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นเวลานาน ดังนั้นอาการที่แสดงออกว่าตั้งครรภ์ในระยะแรกจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในทางการแพทย์ก็มีลักษณะบางอย่างที่ร่างกายแสดงออกมาที่สันนิษฐานได้ว่าเป็น อาการคนท้องระยะแรก 1-2 สัปดาห์ เพื่อจะได้เตรียมพร้อมรับมือกับการเป็นคุณแม่มือใหม่

      เช็กเลย! 15 อาการคนท้องระยะแรก 1-2 สัปดาห์ มีอาการแบบนี้ท้องหรือยัง!

      อาการคนท้อง

      1.ประจำเดือนขาด

      โดยปกติประจำเดือนของผู้หญิงจะมีระยะเวลาประมาณ 21-35 วัน และมาใกล้เคียงกันทุกเดือน แต่ถ้าหาก ประจำเดือนไม่มานานเกินกว่า 10 วัน นั่นอาจเป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า “กำลังตั้งครรภ์” เนื่องจากเมื่อไข่กับตัวอสุจิเริ่มปฏิสนธิกัน ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) จำนวนมากออกมา เพื่อยับยั้งไม่ให้ผนังมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน อย่างไรก็ตาม การขาดของประจำเดือนก็อาจมาจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่การตั้งครรภ์ก็ได้ เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ มีอารมณ์เปลี่ยนแปลง รู้สึกเครียดมากจนเกินไปจนทำให้ไข่ไม่ตก หรือเป็นโรคบางอย่างก็อาจมีผลต่อการขาดประจำเดือนได้ เช่น โรคของระบบต่อมไร้ท่อ เบาหวาน โรคเกี่ยวกับรังไข่ เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มที่มีรอบเดือนมาไม่แน่นอนอยู่แล้ว

      2.มีตกขาวมากผิดปกติ

      เมื่อมีการตั้งครรภ์ทั้งสรีระและฮอร์โมนในร่างกายก็มีการปรับตัวสูงขึ้น จึงส่งผลให้มี “ตกขาว” ในปริมาณที่มากขึ้นกว่าปกติ แต่อย่าเพิ่งตกใจถ้าลักษณะของตกขาวเป็นมูกเหลวสีขาวขุ่นหรือสีครีมก็ถือว่าเป็นสภาวะปกติที่ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด เนื่องจากบริเวณปากมดลูกและช่องคลอดจะมีการสร้างของเหลวออกมาเพื่อหล่อลื่นบริเวณปากช่องคลอดอยู่แล้ว เพียงแต่ในช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ควรดูแลรักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้เกิดความอับชื้นจนก่อให้เกิดเชื้อรา แต่ถ้าหากตกขาวมีลักษณะผิดปกติไป เช่น มีสีเขียว สีเหลือง และมีอาการคันระคายเคืองร่วมด้วยอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อบางอย่าง ซึ่งควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูนะคะ

      3. มีเลือดซึมออกทางช่องคลอด

      หากคุณแม่เห็นเลือดออกเล็กน้อยกระปริบกระปรอยซึมออกที่บริเวณช่องคลอดแต่ไม่ใช่ประจำเดือน อย่าเพิ่งตกใจ นั่นอาจเป็นสัญญานของการตั้งครรภ์ในระยะแรก เนื่องจากร่างกายกำลังอยู่ในสภาวะปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการปฏิสนธิภายในมดลูก ซึ่งในช่วง 11-12 วันหลังปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะฝังตัวอยู่ที่เยื่อบุโพรงมดลูก อาจทำให้คุณแม่บางรายมีเลือดสีแดงจาง ๆ หรือสีชมพู ปริมาณไม่มากไหลออกมาจากช่องคลอดได้ และเลือดนี้จะหยุดไหลไปเองภายใน 1-2 วัน ถ้าไม่มีอาการปวดเกร็งท้องก็ถือว่าไม่น่าเป็นห่วง แต่คุณแม่ควรจะสังเกตอาการ ถ้าหากมีเลือดไหลไม่หยุดและมีอาการปวดเกร็งท้องร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพราะเลือดที่ไหลออกมานั้นจากอาจเป็นสัญญาณของภาวะการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ และเกิดการแท้งได้

      อาการคนท้องไม่รู้ตัว

      5.ปวดหัว/ เวียนศีรษะ

      อาการปวดหัวเป็นหนึ่งในสัญญาณเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนภายในร่างกายและการปรับตัวตามธรรมชาติของร่างกายขณะตั้งครรภ์นั่นเอง ซึ่งอาการปวดหัวในระยะตั้งครรภ์สัปดาห์แรกนั้น แม่ท้องบางคนอาจมีอาการปวดศีรษะบ่อยขึ้น และจะปวดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแม่ท้องเป็นสำคัญ บางคนอาจจะเครียดวิตกกังวล หรือมีอาการภูมิแพ้ที่ทำให้อาการปวดหัวจากการตั้งครรภ์มีความรุนแรงกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อรู้ตัวว่าตั้งท้องคุณแม่ควรเริ่มปรับพฤติกรรมในการดูแลตัวเองทั้งเรื่องอาหารการกินเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่มากพอและดื่มน้ำอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน พักผ่อนเยอะ ๆ ทำจิตใจให้สงบ หลีกเลี่ยงการใช้งานโทรศัพท์มือถือติดต่อกันเป็นเวลานาน อยู่ในที่ ๆ อากาศปลอดโปร่ง ก็จะช่วยห่างไกลหรือลดอาการปวดหัวลงได้

      6.คัดเต้าและเจ็บหัวนม

      หากรู้สึกใส่ชั้นในแล้วมีอาการรู้สึกเจ็บตึงบริเวณเต้านมและหัวนม หรือไวต่อการสัมผัส เป็นหนึ่งในสัญญาณที่บอกได้ว่ากำลังตั้งท้องในช่วง 1-2 สัปดาห์ อาการนี้จะเกิดขึ้นประจำเดือนขาด โดยสาเหตุของอาการคัดเต้านั่นเกิดจากความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย และจะพบว่าเมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์มากขึ้น เต้านมก็จะยิ่งตึงมากขึ้น รวมทั้งมีความเปลี่ยนแปลงบริเวณเต้านมและหัวนมขึ้นอีก เช่น บริเวณลานหัวนมจะกว้างขึ้นและมีเส้นเลือดดำสีเขียว ๆ กระจายอยู่โดยรอบ หัวนมมีลักษณะสีคล้ำและขยายใหญ่มากขึ้น ผิวหนังบริเวณเต้านมบางลงจนสังเกตเห็นเส้นเลือดเต้านมมีสีแดงเข้มและนูนเด่นชัด ซึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของร่างกายส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลิตน้ำนมให้กับทารกนั่นเอง ดังนั้นเมื่อรู้ตัวว่าตั้งครรภ์คุณแม่ควรเลือกสวมชุดชั้นในที่มีขนาดพอดีเพื่อช่วยรับน้ำหนักเต้าได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอาการเจ็บเหล่านี้จะหายไปได้เองภายหลังตั้งครรภ์แล้วประมาณ 3 เดือนค่ะ

      7.ปวดหลัง

      อาการปวดหลังก็จัดเป็นหนึ่งในอาการที่บ่งบอกได้ว่ากำลังตั้งท้อง โดยมีอาการปวดหรือเจ็บบริเวณหลังช่วงล่างแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และอาจมีอาการตะคริวร่วมด้วย สาเหตุของอาการปวดหลังมาจากการขยายตัวของกล้ามเนื้อส่วนกลาง ที่เป็นผลมาจากมดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับทารกน้อยที่กำลังเติบโตขึ้นภายในร่างกายของคุณแม่นั้นเอง โดยอาการนี้นับว่าเป็นอาการปกติของคนท้อง ทั้งนี้อาการปวดหลังสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดการตั้งครรภ์ เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ที่ทำให้ศูนย์กลางของการทรงตัวเปลี่ยนไป เป็นผลให้ท่าทางในการยืน นั่ง หรือเดิน ของคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อคุณแม่ท้องรู้สึกปวดหลังควรปรับท่านอนด้วยการนอนตะแคง ใช้หมอนข้างสำหรับวางขา เลือกที่นอนที่แข็งพอดี ไม่นุ่มจนเกินไป หากปวดหลังมากจนทนไม่ไหวควรปรึกษาแพทย์ ไม่ควรซื้อยาแก้ปวดมารับประทานเองนะคะ

      อาการคนท้องระยะแรก เป็นยังไง

      8.ปัสสาวะบ่อย

      อาการปัสสาวะบ่อย เป็นสัญญาณที่แสดงว่าร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่โหมดตั้งครรภ์แล้ว ในช่วงนี้แม่ท้องอาจต้องลุกตื่นไปเข้าห้องน้ำบ่อย ๆ เนื่องจากในระหว่างตั้งครรภ์ใหม่ ๆ หรือในช่วง 3 เดือนแรก ร่างกายจะสร้างของเหลวในร่างกายมากขึ้น มดลูกที่ขยายขนาดจากการตั้งครรภ์ต้องการเลือดไปเลี้ยงมดลูกมากกว่าปกติจึงทำให้ไตจะทำงานหนักมากกว่าปกติ เพราะปริมาณของเลือดในร่างกายมีเพิ่มขึ้น ชีพจรเต้นเร็วขึ้น มีเลือดผ่านไตมากขึ้นกว่าเดิม จึงทำให้ไตกลั่นกรองเอาปัสสาวะมามากขึ้น ในขณะเดียวกันมดลูกที่อยู่ติดกับด้านหลังของกระเพาะปัสสาวะที่มีขนาดใหญ่ขึ้น จึงไปเบียดและกดทับกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้แม่ท้องปัสสาวะบ่อยมากขึ้นนั่นเอง แต่เมื่อถึงช่วงกลางของการตั้งครรภ์มดลูกจะอยู่สูงขึ้น การกดทับกระเพาะปัสสาวะจะลดลง ทำให้การถ่ายปัสสาวะก็จะกลับเข้าสู่โหมดปกติอีกครั้ง จนถึงช่วงใกล้คลอดที่หัวทารกจะลดต่ำลงอีกครั้งและทำให้แม่ท้องมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยขึ้นอีกครั้ง

      9.ท้องผูก/ ท้องอืดมากกว่าปกติ

      อาการท้องผูก ท้องอืด รู้สึกไม่สบายท้อง เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อเข้าสู่สภาวะการตั้งครรภ์เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร รวมทั้งเกิดจากการขยายตัวของมดลูกที่ไปเบียดเข้ากับลำไส้ใหญ่ส่งผลให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง ทำให้อาหารย่อยยาก ย่อยได้ช้าลง มีลมในกระเพาะมาก ซึ่งอาการนี้นับว่าเป็นสภาวะปกติของคนท้อง ซึ่งคุณแม่ท้องสามารถบรรเทาอาการท้องอืด ท้องผูกลงได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซี ดื่มน้ำให้เพียงพอ ลดเครื่องดื่มอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของนม และออกกำลังกายเบา ๆ อย่างพอเหมาะ ก็จะช่วยแก้ไขอาการนี้ได้ค่ะ

      10.เมื่อยล้าอ่อนเพลียง่าย

      อาการเมื่อยล้ารู้สึกร่างกายเพลียง่ายกว่าปกติเป็นส่วนหนึ่งของอาการคนท้องที่เกิดขึ้นในระยะแรกหรือเดือนต้น ๆ เป็นเพราะว่าร่างกายที่กำลังตั้งครรภ์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น ส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ความดันเลือด และระบบไหลเวียนโลหิต มีผลทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายคลายตัว ภายในร่างกายมีการเผาไหม้อาหารหรือใช้พลังงานอย่างมากในการพัฒนาทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงและสูญเสียพลังงานมากขึ้น จึงทำให้ผู้หญิงที่เริ่มตั้งครรภ์บางคนรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายกว่าปกติ ซึ่งอาการนี้จะค่อย ๆ หายและรู้สึกดีขึ้นเป็นปกติเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่สอง ดังนั้นในระยะนี้แม่ท้องควรดูแลตัวเองด้วยการรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนและอาหารที่มีธาตุเหล็กเพิ่มเติม ลดกิจกรรมต่าง ๆ ประจำวันลงบ้าง เพื่อให้ได้นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ ทำอารมณ์ให้ผ่อนคลาย อาการอ่อนเพลียจากการตั้งครรภ์ก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นได้ค่ะ

      11.รู้สึกหายใจถี่

      เมื่อรู้สึกมีอาการหายใจถี่ เหนื่อยง่ายในขณะทำงานที่ต้องใช้แรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกได้ว่ากำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากตัวอ่อนที่กำลังเจริญเติบโตในครรภ์มีความต้องการออกซิเจนจากคุณแม่ และเมื่อทารกในครรภ์มีการเจริญเติบโตมากขึ้นก็จะมีแรงกดดันต่อปอดและกระบังลม ส่งผลให้แม่ท้องมีอาการหายใจถี่แบบนี้ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ตลอดการตั้งครรภ์

      12.อยากกินของเปรี้ยว/ อยากกินของแปลก ๆ

      อีกหนึ่งอาการที่บอกได้ว่าตั้งท้อง คือเริ่มรู้สึกมีการเปลี่ยนแปลงของความอยากอาหารแตกต่างไปจากเดิมทันทีทันใด บางคนอยากอาหารที่มีรสเปรี้ยวมากขึ้น อยากทานอาหารแปลก ๆ โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงอยากกิน หรือในบางคนกลับมีอาการเบื่ออาหาร ไม่อยากกินอะไรเลยก็มี ซึ่งเป็นเพราะระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้การรับรู้รสชาติของแม่ที่กำลังตั้งครรภ์เปลี่ยนแปลงไปนั่นเอง

      อาการตั้งครรภ์เริ่มแรก

      13.อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย

      ถ้ากำลังรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองกำลังแกว่ง ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย หงุดหงิดง่าย อารมณ์อ่อนไหว ขี้น้อยใจ หรือร้องไห้เก่ง ฯลฯ ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน อาการแบบนี้บอกได้ว่าเป็นอาการที่กำลังเข้าสู่สภาวะตั้งครรภ์ในระยะแรกของคุณแม่มือใหม่ที่คุณพ่อมือใหม่ต้องเตรียมรับมือ ภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงในช่วงตั้งครรภ์นี้เกิดจากระดับฮอร์โมนที่มีการเปลี่ยนแปลง และร่างกายของคุณแม่กำลังพยายามปรับตัวเพื่อสร้างสมดุลในการทำงานต่าง ๆ ของร่างกายในช่วงตั้งครรภ์ เมื่อผ่านพ้นช่วงนี้ไปอารมณ์ของคุณแม่ก็จะเข้าสู่ภาวะปกติเองค่ะ ดังนั้นในช่วงนี้คุณแม่ตั้งครรภ์ควรหาอะไรทำเพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง นั่งสมาธิ ฯลฯ และคนใกล้ตัวต้องทำความเข้าใจกับภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้นของแม่ท้องคอยช่วยดูแลเพื่อทำให้แม่ท้องไม่เครียดนะคะ

      วิธีสังเกตว่าท้องหรือไม่

      14.ไวต่อกลิ่น
      สำหรับคนที่กำลังตั้งครรภ์จะมีอาการที่จมูกจะไวต่อกลิ่นทุกชนิดมากเป็นพิเศษ ที่เรียกว่า Super Smell เช่น กลิ่นน้ำหอมที่ใช้เป็นประจำก็จะหอมรุนแรงจนกลายเป็นกลิ่นเหม็น และอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ หรือบางรายมีอาการเหม็นกลิ่นอาหาร เหม็นกลิ่นตัวสามี เป็นต้น

      15.ความต้องการทางเพศเปลี่ยนแปลง
      อาการคนท้องในระยะแรกที่ทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงยังส่งผลกระทบไปยังภาวะทางอารมณ์ ทำให้แม่ท้องบางรายอาจมีความต้องการทางเพศลดลง หรือบางรายอาจเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งอาการนี้จะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติเมื่อเข้าสู่การตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่สองค่ะ

      อย่างไรก็ตาม หากสังเกตว่ามีอาการเหล่านี้ คุณแม่อาจจะเช็กเพื่อความชัวร์ด้วยการตรวจสอบการตั้งครรภ์ได้ด้วยตนเองจาก ชุดตรวจการตั้งครรภ์เพื่อตรวจหาฮอร์โมน Human chorionic gonadotropin: HCG ในปัสสาวะ ซึ่งมีความแม่นยำมากกว่า 90% เมื่อผลจากที่ตรวจครรภ์ออกมาว่าตั้งท้อง วคุณแม่ควรไปฝากครรภ์ภายใน 12 สัปดาห์ เพื่อให้คุณหมอเช็กอายุครรภ์ที่แน่นอน และติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้อย่างถูกต้อง เพื่อคำนวณกำหนดการคลอด นอกจากนี้คุณหมอจะตรวจหาความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ ซึ่งสามารถรักษาได้เร็วหากพบความผิดปกติ รวมทั้งได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตนเองในช่วงตั้งครรภ์ได้อย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และชีวิตน้อย ๆ ในท้องค่ะ

      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก :www.honestdocs.co,  www.medthai.com

      อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

      อาการของคนท้อง ตั้งแต่สัปดาห์แรกจนคลอด มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

      คนท้องห้ามกินอะไร 9 อาหาร ที่แม่ท้องควรห้ามใจ เลี่ยงได้เลี่ยงก่อนนะแม่!

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่ไ

        ให้ลูกเรียนออนไลน์

        ให้ลูกเรียนออนไลน์ อย่างไร? ถ้าแม่ต้องไปทำงาน?

        ในวันที่ผู้ปกครองเด็กทุกระดับชั้น ตั้งแต่อ.1-ม.6 ต้องหันมา ให้ลูกเรียนออนไลน์ ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ผ่านระบบเทคโนโลยีทางการศึกษาทางไกล (DLTV) ซึ่งเผยแพร่ทางฟรีทีวี 17 ช่อง ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ให้เริ่มทำการทดลองเรียน ในวันที่ 18 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2563 ทำให้ทั้งครูและผู้ปกครองเกิดคำถามว่า เราพร้อมที่จะเรียนออนไลน์กันแล้วหรือ?

        ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การเรียนออนไลน์ในครั้งนี้ เป็นทางเลือกหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งหากโรงเรียนไม่สามารถเปิดได้จริงในวันที่ 1 ก.ค. 2563 ตามที่กำหนดไว้ โรงเรียนอาจต้องพิจารณาจัดการเรียนการสอนออนไลน์ เป็นแผนสำรอง ดังนั้น ในช่วงวันที่ 18 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2563 จึงเป็นเพียงการทดลอง หากครอบครัวใดไม่พร้อม ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเรียนค่ะ เมื่อเปิดเทอมนักเรียนจะได้เรียนกับคุณครูตามหลักสูตรอย่างครบถ้วนเหมือนเดิม

        จากที่เห็นข่าว ผู้ปกครองซื้อทีวี หรือโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ เพื่อเตรียมให้ลูกหลานเรียนออนไลน์นั้น น่าจะเกิดจากการขาดการประชาสัมพันธ์ที่ชัดเจน ทำให้ผู้ปกครองเข้าใจว่า เด็กต้องเรียนออนไลน์วันที่ 18 พ.ค.นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

        แต่สำหรับผู้ปกครองที่สนใจให้ลูกเรียนออนไลน์ ผ่าน DLTV แต่ยังไม่ทราบว่าต้องทำยังไง จะเริ่มต้นอย่างไร ทีมแม่ ABK มีข้อมูลดีๆ มาฝากแล้วค่ะ

        เรียนออนไลน์ ช่องทางไหนได้บ้าง

        เรียนออนไลน์ ทางไหนได้บ้าง
        ให้ลูกเรียนออนไลน์ ช่องทางไหนได้บ้าง

        คุณแม่สามารถ ให้ลูกเรียนออนไลน์ ผ่าน DLTV ได้ถึง 6 ช่องทางค่ะ หากบ้านที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ เปิด WI-FI ได้ทั้งวันสามารถดูผ่าน

        1. เว็บไซต์ DLTV https://www.dltv.ac.th/ หรือ
        2. ดาวน์โหลด application DLTV ลงในโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต
        3. Youtube DLTV1 Channel ถึง DLTV15 Channel

        แต่สำหรับบ้านที่สะดวกช่องทางทีวี ก็สามารถดูผ่านฟรีทีวี ตามช่องที่กำหนดในแต่ละระดับชั้นได้เลย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัญญาณทีวีของแต่ละบ้าน ว่าเป็นแบบไหน ก็จะมีการกำหนดช่องที่ต่างกันไป ดังนี้

        1. ทีวีดิจิตัล
        2. KU-Band จานทึบ
        3. C-Band จานโปร่ง
        ช่อง DLTV ทีวีดิจิตอล
        ทีวีดิจิตอล ดู DLTV ช่องไหน

         

        ระบบ KU-Band
        ระบบ KU-Band (จานทึบ และเคเบิ้ล) ดู DLTV ช่องไหน

         

        ระบบ C-Band
        ระบบ C-Band (จานโปร่ง) ดู DLTV ช่องไหน

         

        แม่ต้องไปทำงาน จะ ให้ลูกเรียนออนไลน์ ได้อย่างไร

        เรามีเคล็ด(ไม่)ลับมาฝาก สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีความพร้อมด้านอุปกรณ์ แต่ไม่พร้อมด้านเวลา เพราะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน อาจไม่สะดวกกับการให้ลูกเรียนออนไลน์ตามตารางออกอากาศของ DLTV ในกรณีนี้ สามารถชมผ่านทางเว็บไซต์ www.dltv.ac.th ได้ทุกเวลา ตามที่คุณแม่และลูกน้อยสะดวกได้เลย 

        เพียง เลือกเมนู ชมล่วงหน้า หรือ ชมย้อนหลัง > เลือกช่องรายการที่ต้องการเรียนตามระดับชั้น > เลือกวิชาที่ต้องการเรียน > เลือกหน่วยการเรียนรู้ และชมคลิปการสอนได้ทันที โดยไม่ต้องรอเวลาออกอากาศ

        เลือกเมนู ชมล่วงหน้า
        เลือกเมนู ชมล่วงหน้า หรือ ชมย้อนหลัง

         

        ช่องรายการ DLTV
        เลือกช่องรายการ DLTV แยกตามระดับชั้น

         

        เลือกวิชา DLTV
        เลือกวิชาที่ต้องการเรียน

         

        หน่วยการเรียนรู้
        เลือกหน่วยการเรียนรู้ที่ต้องการเรียน

         

        คลิปการเรียนทางไกล DLTV
        ชมคลิปการเรียนทางไกล DLTV

        ทั้งนี้แต่ละหน่วยการเรียนรู้จะมีสาระสำคัญ/ความคิดรวมยอด สรุปไว้ให้ เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ชั้น ป.1 หน่วยการเรียนรู้เรื่อง การนับและแสดงจำนวน 1 ถึง 5 และ 0

        สาระสำคัญ/ความคิดรวมยอด

        – เราสามารถบอกจำนวนของสิ่งต่างๆ ได้จากการนับ เช่น หลอดดูด 2 หลอด ไม้ไอศกรีม 5 อัน

        – จำนวนไม่ขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด และรูปร่างของสิ่งต่างๆ เช่น ช้าง 1 เชือก มด 1 ตัว

        – หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เป็นจำนวนนับที่เริ่มต้นจากหนึ่ง และนับเพิ่มขึ้นทีละหนึ่ง ตามลำดับ

        – ถ้าไม่มีของจะถือว่ามีจำนวนเป็นศูนย์

        นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถดาวน์โหลด สื่อประกอบการสอน และใบงาน ไปใช้สอนลูกน้อยได้อย่างครบครันอีกด้วย

        ดาวน์โหลดสื่อการสอน DLTV
        วิธีดาวน์โหลดสื่อการสอน DLTV (ขอบคุณภาพจาก DLTV)

        ทั้งนี้คุณแม่อาจจัดเวลาในวันหยุด ชวนลูกเรียนออนไลน์ แบบไม่เคร่งเครียด ค่อยเป็นค่อยไป ในบรรยากาศที่อบอุ่น ก็จะทำให้ลูกน้อยพร้อมเรียนรู้อย่างมีความสุขค่ะ

        อ่านเพิ่มเติม คำแนะนำจากหมอ เรียนออนไลน์ เตรียมตัวอย่างไรได้ผลดี ลูกแฮปปี้ ไม่เครียดเกินไป

        ขอบคุณข้อมูลจาก DLTV

        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

        ปรับนโยบายการศึกษา ช่วงโควิด 19

        Twinkl สื่อการสอนจากประเทศอังกฤษ แจกโค้ดโหลดฟรี!

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          ลูกพัฒนาการช้า

          7 สัญญาณ “ทารกพัฒนาการช้า” พ่อแม่สังเกตได้ตั้งแต่แรกเกิด

          ช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ คือการได้พบหน้าลูกน้อยที่รอคอยมาตลอด 9 เดือน และเมื่อลูกคลอดออก  มาแล้ว ก็หวังว่าจะมีพัฒนาการที่ครบสมบูรณ์แข็งแรง มีพัฒนาการสมวัย ซึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าลูกมีพัฒนาการที่ดี ทีมแม่ABK จะชวนมาสังเกตทารกแรกเกิดว่ามีสัญญาณใดที่บอกว่า “ทารกพัฒนาการช้า” หรือไม่?

          เด็กแรกเกิด – 1 เดือน (Newborn) เริ่มตั้งแต่แรกคลอดออกมาจากครรภ์คุณแม่ คุณหมอจะเช็กสัญญาณการร้อง   หากมีการ ตอบสนองด้วยการร้องดี ถือว่าผ่านในขั้นแรก จากนั้นก็จะเช็กร่างกายโดยรวมทั้งหมด ซึ่งในช่วง 1 เดือนแรก  เป็นช่วงที่คุณ พ่อคุณแม่ต้องสังเกตลูกอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น การนอน การตื่น การกินนม การขับถ่ายปัสสาวะ อุจจาระ เป็นต้น

          • ทารกมีการเคลื่อนไหวเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ รอบข้างหรือไม่ เช่น มีการสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงดัง ขยับ ศีรษะเวลาที่คุณพ่อคุณแม่เอามือลูบที่แก้มลูกเบาๆ กำนิ้วมือ นิ้วเท้า เวลาที่ถูกสัมผัส
          • ยิ้ม และร้องไห้ เป็นการสื่อสารบอกว่าต้องการอะไร เช่น ร้องเมื่อหิว ร้องเวลาที่รู้สึกเปียกชื้น หรือ ยิ้มออกมา อัตโนมัติ(โบราณว่ายิ้มให้แม่ซื้อ) รวมทั้งเริ่มเห็นสิ่งที่อยู่ใกล้มากๆ (ใบหน้าคุณพ่อคุณแม่) จำกลิ่นของพ่อแม่ได้

          นี่คือพัฒนาการโดยรวมของทารกในช่วง 1 เดือนแรก ทีนี้เรามาสังเกตสัญญาณพัฒนาการช้าของลูกทารกกันค่ะ ว่าจะมีจุดสังเกตใดบ้างที่บ่งชี้ว่า ลูกพัฒนาการช้า

          ทารกพัฒนาการช้า จะรู้ได้อย่างไร ?

          จุดสังเกตทั้ง 7 จุดนี้เป็นสิ่งที่บอกได้ในเบื้องต้นว่า ทารกพัฒนาการช้า หรือไม่อย่างไร พัฒนาการช้าคือ พัฒนาการการเติบโตของร่างกายโดยรวมทั้งหมด และหากพบว่าลูกมีความผิดปกติ ทีมแม่ABK แนะนำให้พาลูกไปตรวจพัฒนาการกับกุมารแพทย์ทันทีนะคะ

          1. ศีรษะ

          ศีรษะเล็ก หรือใหญ่เกินไป บ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของสมอง อาจบ่งบอกถึงการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เช่น ขาดอากาศขณะคลอด หรือเป็นโรคทางพันธุกรรม ขนาดเส้นรอบศีรษะของเด็กโดยปกติ มีดังนี้

          แรกเกิด – 3 เดือน เส้นรอบศีรษะยาว 35 เซนติเมตร

          วัย 3 เดือน เส้นรอบศีรษะจะยาวประมาณ 40 เซนติเมตร

          วัย 1 ขวบ เส้นรอบศีรษะจะยาวประมาณ 45 เซนติเมตร

          วัย 2 ขวบ เส้นรอบศีรษะจะยาวประมาณ 47 เซนติเมตร

          วัย 5ขวบ เส้นรอบศีรษะจะยาวประมาณ 50 เซนติเมตร

          2. หู

          สังเกตพัฒนาการช้าของลูกอีกหนึ่งจุด ก็คือที่ใบหูทั้ง 2 ข้าง นั่นคือ ใบหูผิดรูป อยู่ต่ำหรือสูงเกินไปจนสังเกตได้ ติ่งหูยาวผิดปกติ มีรูด้านหน้าหู หรือหูไม่มีรู หรือ เมื่อลูกน้อยอายุ 6 เดือนแล้ว แต่ยังไม่สามารถหันตามเสียง ไม่ตอบสนองกับเสียงที่ได้ยิน เช่น ไม่สะดุ้ง ตกใจ เมื่อมีเสียงดัง แนะนำว่าลองให้ลูกน้อยฟังเสียงที่มีโทนเสียงแตกต่างกัน เสียงที่มีความซับซ้อน หรือการพูดคุยตอบโต้ จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการฟังให้ลูกน้อยได้ค่ะ

           

          ทารกพัฒนาการช้า

          3. ตา

          สังเกตพัฒนาการจากดวงตา เช่น ตาห่างจนผิดปกติ ตาเหล่เข้า ตาเหล่ออก ถ้ามีแสงสะท้อนจากรูม่านตาเป็นสีขาว แสดงว่ามีความผิดปกติอยู่ด้านหลังรูม่านตา อาจเป็นต้อ มีเนื้องอก หรือจอประสาทตาลอก เมื่อมองตามวัตถุแล้วตามแกว่ง ไม่จับจ้องที่วัตถุ ไม่สบตา แนะนำให้คุณแม่หาของเล่นที่มีสีสันสดใส เคลื่อนไหวได้ เล่นจ๊ะเอ๋ เล่นซ่อนของ เพื่อช่วยกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกการเคลื่อนไหวของดวงตา ให้มองตามวัตถุนั้นๆ ค่ะ

          4. จมูก

          สังเกตพัฒนาการจากจมูก เช่น ดั้งจมูกบี้ หรือเชิดมากเกินไป รวมถึงใบหน้าโดยรวม เช่น หางตาชี้ กระหม่อมแบน ลิ้นใหญ่ ซึ้งอาจเป็นอาการของดาวน์ซินโดรม ไม่ตอบสนอง หรือไม่มีปฏิกิริยาต่อกลิ่นต่างๆ เช่น ไม่นิ่วหน้า หรือจาม เมื่อได้กลิ่นฉุน ซึ่งโดยปกติเด็กทารกจะต้องเริ่มได้กลิ่นตั้งแต่อายุประมาณ 3 วัน โดยหันไปตามกลิ่นแม่ที่คุ้นเคย

          5. ปาก

          ปากบาง จนไม่เห็นริมฝีปาก หรือปากแหว่งเพดานโหว่ พูดไม่ชัด ติดอ่าง เสียงผิดปกติ ไม่เล่นเสียง หรือส่งเสียงอ้อแอ้ ไม่โต้ตอบคำพูดตามวัย มีพัฒนาการทางภาษาช้า เช่น 2 ขวบแล้ว ยังพูดด้วยคำที่ไม่มีความหมาย ไม่ทำตามคำสั่ง และไม่พยายามพูดกับคนอื่น

          คุณพ่อ คุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการพูดของลูกน้อยได้ จากการตอบสนองเสียงอ้อแอ้ ชวนลูกพูดคุยโต้ตอบ เหมือน พูดคุยกันรู้เรื่อง หรือชวนออกเสียงด้วยคำง่ายๆ ให้ลูกน้อยได้เลียนเสียง หรือเล่นเกมเป่าฟองสบู่ เป่าลูกโป่ง หรือเป่าน้ำใน  แก้ว จะช่วยในการฝึกกล้ามเนื้อเพดานช่องคอ และการใช้ลมออกเสียง

          6. ลิ้น

          ลูกน้อยมีลิ้นใหญ่ ลิ้นยืดออกมา ขณะอ้าปากอ้อแอ้ น้ำลายไหลย้อย อ้าปากกว้างไม่หุบ ไม่กลืนนม ไอและสำลักอบ่อยๆ  แนะนำให้นวดกระตุ้นกล้ามเนื้อรอบริมฝีปากลูก เพื่อทำให้เกิดการดูด โดยวางนิ้วชี้กับนิ้วหัวมือลงบนคาง ใต้ริมฝีปากล่าง  แล้วลากออกเป็นเส้นตรงจนสุดขอบปากล่างทั้งสอง ประมาณ 5-10 ครั้ง

          7. แขนขา และลำตัว

          แขนขายาวไม่เท่ากัน ไม่สามารถควบคุมลำตัวเพื่อทรงตัวให้มีสมดุลขณะถูกอุ้ม เช่น 3 เดือนคอยังไม่แข็ง 9 เดือนแล้วยังไม่คว่ำ คลาน หรือ 1 ขวบแล้วลูกยังหยิบของเล่นไม่ได้ กำมือไม่ได้ ข้อต่อติด บิดหมุนรอบไม่ได้ หากพบความผิดปกติของลูกไมต้องรอให้ถึง 3 เดือน หรือ 1 ขวบ คุณแม่ควรพาลูกไปตรวจพัฒนาการร่างกายกับกุมารแพทย์ทันทีในช่วง 1-2 เดือนแรก เพื่อที่คุณหมอจะได้ให้วิธีในการกระตุ้นพัฒนาการด้านกล้ามเนื้ออย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นค่ะ

          การสังเกตลูกน้อยตั้งแรกเกิด จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รู้ปัญหาในเบื้องต้นได้อย่างทันท่วงที และเมื่อพบว่าลูกมีพัฒนาการ ด้านร่างกายช้า แนะนำว่าควรพาลูกน้อยไปพบกุมารแพทย์ทันที เพื่อทำการคัดกรอง และประเมินพัฒนาการอย่างละเอีย ไม่ ว่าจะเป็นการตรวจทางพันธุกรรม ตรวจการมองเห็น และการได้ยิน ฯลฯ  เพื่อที่ลูกน้อยจะได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องในการกระตุ้นพัฒนาการอย่างถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านค่ะ

          อย่างไรทีมแม่ABK ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกครอบครัวนะคะ …ด้วยความห่วงใย

          อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ

          40 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ ขยับแขน ขา ปล่อยพลัง อยู่บ้านก็สนุกได้ 

          รวมรายชื่อ หมอพัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลชื่อดัง ที่แม่ควรเซฟเก็บไว้ 

          “เสื้อผ้าเด็กทารก” เลือกยังไง ? ให้ลูกน้อยใส่สบายที่สุด 

          หมอเตือน! อาการไข้หวัดใหญ่ คล้ายกับโควิด-19 ติดร่วมกันได้ทำให้ป่วยหนัก

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่


          ขอขอบคุณข้อมูลจาก :

          โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ , oknation 

            โรงเรียนดัง ประกาศเรียนออนไลน์

            เรียนออนไลน์ เตรียมตัวอย่างไรได้ผลดี ลูกแฮปปี้ ไม่เครียดเกินไป

            สถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่นี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนเป็นพ่อแม่ใจคอไม่ค่อยดี เป็นห่วงว่าจะดูแลลูกน้อยให้รอดปลอดภัยในช่วงนี้ได้ดีแค่ไหน และหลังปีใหม่จะเปิดเรียนได้หรือไม่ ล่าสุด มีแนวโน้มว่าลูกจะได้ เรียนออนไลน์ อีกรอบ หลังโรงเรียนดังเคลื่อนไหว ประกาศให้นักเรียนเตรียมตัวเรียนออนไลน์แล้ว

            สาธิตเกษตรฯ ประกาศ เรียนออนไลน์ ตั้งแต่ 4 มกราคม 2564 เป็นต้นไป

            วันที่ 28 ธันวาคม 2563โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ฯ ออกประกาศเรื่อง การเรียนการสอนออนไลน์ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ฉบับที่ 3 ใจความว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน อาจารย์ และบุคลากร และเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา จึงขอประกาศให้มีการเรียนการสอนออนไลน์ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

            สาธิตเกษตร ประกาศเรียนออนไลน์
            สาธิตเกษตร ประกาศเรียนออนไลน์

            กรุงเทพคริสเตียน ประกาศเลื่อนเปิดเรียน-สอนออนไลน์ หนี ‘โควิด’

            วันที่ 30 ธันวาคม 2563 เฟซบุ๊กโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ออกประกาศเรื่อง เลื่อนเปิดทำการเรียนการสอนและการทำการเรียนการสอนออนไลน์ ใจความว่า ด้วยสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่ยังมีความรุนแรงและมีแนวโน้มการแพร่ระบาดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับช่วงเทศกาลคริสต์มาสและขึ้นปีใหม่ยังคงมีการสัญจรไปมาระหว่างจังหวัดของประชาชนทั่วไป

            ทางโรงเรียนมีความห่วงใยต่อสุขภาพของนักเรียนเป็นสำคัญ และจำเป็นต้องรักษามาตรฐานเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดขึ้นในโรงเรียน ดังนั้น ทางโรงเรียนจึงขอประกาศเลื่อนการเปิดทำการเรียนการสอนจากกำหนดเดิม คือวันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ.2564 ออกไปเป็นเวลา 14 วัน (ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 ถึงวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2564)

            โดยโรงเรียนจะเปิดทำการเรียนการสอนอีกครั้งในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ.2564 และโรงเรียนจึงให้จัดการสอนเพื่อให้ครบหลักสูตร ดังนี้

            1.ระดับประถมศึกษาทุกระดับชั้น เรียนผ่านออนไลน์ ในวันจันทร์ที่ 4 ถึงวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2564

            2.ระดับมัธยมศึกษาทุกระดับชั้น เริ่มเรียนผ่านออนไลน์ ในวันอังคารที่ 5 ถึงวันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2564

            กรุงเทพคริสเตียน ประกาศเรียนออนไลน์
            กรุงเทพคริสเตียน ประกาศเรียนออนไลน์

            เพื่อเตรียมความพร้อมให้ลูกน้อยสามารถ เรียนออนไลน์ ได้อย่างมีความสุข และเหมาะสมกับวัย  Amarin Baby & Kids จึงขอนำคำแนะนำดีๆจาก คุณหมอดวงรัตน์  วังเกล็ดแก้ว หรือหมอปุ๊ก เจ้าของเพจ “หมอดวงรัตน์ Doctor For Kids”  มาฝากกันค่ะ

            เรียนออนไลน์
            คุณหมอดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว กุมารแพทย์ที่ปรึกษา ศูนย์เด็กพิเศษ รพ.สมิติเวชศรีนครินทร์

            4 ข้อคิดเมื่อลูกต้อง เรียนออนไลน์ 

            ช่วงนี้ มีคุณพ่อคุณแม่ถามหมอเข้ามาเยอะเลยค่ะว่าจะช่วยให้ลูกเรียนหนังสือออนไลน์จากที่บ้านยังไงดี บรรยากาศที่บ้านก็ไม่เหมือนกับที่โรงเรียน เด็กๆมัวแต่ติดเล่นเกมทั้งออนไลน์และออฟไลน์แทนที่จะตั้งใจเรียน อยู่บ้านนานเข้า เด็กๆก็ติดสบาย นอนดึก ตื่นสาย หมอมีคำแนะนำ 4 ขัอ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ลองอ่านกันนะคะ

            ข้อแรก คุยกับลูกให้เข้าใจ ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ต้องทำด้วยคำพูดสั้น ง่าย

            เช่น “ตอนนี้มีการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด ถ้าเราออกไปข้างนอก ไปอยู่รวมกับคนอื่น เราจะติดเชื้อได้ เราเลยอยู่บ้านตามคำแนะนำของหมอ แต่นี่ไม่ใช่วันหยุดพักผ่อนนะลูก พ่อแม่ก็ยังต้องทำงาน และลูกยังต้องเรียนหนังสือตามปกติ เพียงแต่พวกเราจะทำสิ่งเหล่านี้จากที่บ้านกันจ้ะ”

            ข้อสอง จัดสถานที่ และจัดอุปกรณ์การ เรียนออนไลน์ ในบ้านให้ลูก

            หามุมที่เหมาะสมในการเรียนออนไลน์ให้ลูก มีบรรยากาศที่สงบ ไม่มีสิ่งเร้ามารบกวนให้วอกแวกออกนอกบทเรียน พร้อมกับจัดหาอุปกรณ์ที่รองรับการเรียนออนไลน์ เช่น คอมพิวเตอร์ แท็ปเล็ต มือถือ จัดหาโต๊ะ เก้าอี้ที่มีขนาดเหมาะสมกับขนาดร่างกายลูก ลองให้ลูกทดลองนั่งเรียนแล้วก็ช่วยปรับให้เหมาะสมตามการใช้งาน

            เรียนออนไลน์

            ข้อสาม จัดทำตารางเวลาประจำวันของลูกและของพ่อแม่ไปพร้อมๆกัน

            1.พูดคุยบอกลูกให้เข้าใจและยอมรับว่าจะทำตามตารางนี้ และติดตารางเวลาตรงบริเวณที่เด็กเห็นได้ง่าย เพราะนี่เป็นการช่วยจัดระเบียบเวลาและจัดลำดับความสำคัญทั้งการเรียนและกิจวัตรประจำวันให้ลูก เด็กจะได้ไม่หลงลืมว่าเวลาไหน ควรทำอะไร

            2.จัดเวลาของคุณพ่อคุณแม่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่างๆของลูกด้วย

            หากลูกโตพอที่จะเรียนออนไลน์ได้เอง คุณพ่อคุณแม่อาจจัดเวลาทำงานให้ตรงกับเวลาเรียนของลูก เพื่อมีเวลาว่างตรงกันในการทำสิ่งต่างๆ เช่น การทานอาหาร การทำงานบ้าน การนั่งเล่นพูดคุย ร่วมกันได้

            แต่หากลูกยังเล็กและต้องการการช่วยเหลือในการ เรียนออนไลน์ พ่อแม่ควรจัดเวลามานั่งประกบการเรียนของลูกด้วย ส่วนนี้พ่อแม่สามารถพิจารณาตามความเหมาะสมตามวัยและลักษณะการเรียนรู้ของลูก
            ซึ่งเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกัน พ่อแม่เป็นคนที่รู้จักธรรมชาติวิธีการเรียนรู้ของลูกดีที่สุด สามารถปรับไปตามความจำเป็นของลูกได้

            ทั้งนี้ “อย่าเคร่งครัดให้ลูกนั่งเรียนหนังสือออนไลน์อย่างเดียว สมองจะเหนื่อยล้ามากเกินไป” ควรมองหากิจกรรมเพลิดเพลินอื่นๆให้ทำด้วย โดยเฉพาะการออกกำลังกายในบ้าน จะช่วยให้การอยู่บ้านไม่น่าเบื่อและมีร่างกายแข็งแรง

            เรียนออนไลน์

            ข้อสี่ ดูแลติดตามให้ลูกเรียนออนไลน์ไปได้อย่างที่ควรจะเป็น

            1.ในแต่ละวัน หาเวลาช่วงเย็นประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง เพื่อเช็คดูว่าลูกทำงานส่งครูได้ตามกำหนดหรือไม่ ตามทันสิ่งที่ครูสอนดหรือเปล่า หรือมีปัญหาติดขัดอะไรที่ต้องการให้ช่วยหรือไม่

            ระลึกไว้เสมอว่า“ช่วงเวลานี้ไม่ควรเป็นเวลาที่จะมาจับผิดลูก แต่ควรเป็นเวลาที่เราจะรับฟัง” ให้คำแนะนำ รวมถึงพูดชมเชยในความตั้งใจเรียนของลูก

            2.ลองจินตนาการว่าถ้าเรามีหัวหน้างาน แล้วได้รับมอบหมายจากหัวหน้าให้ไปศึกษาและทำงานชิ้นหนึ่งให้เสร็จภายในหนึ่งสัปดาห์ และทุกเย็นจะเป็นช่วงเวลาที่หัวหน้าจะมาติดตามงาน เราในฐานะลูกน้องต้องการให้หัวหน้าปฏิบัติต่อเราในช่วงติดตามงานนี้อย่างไรบ้าง

            ถ้าถามหมอ

            หมอก็อยากให้หัวหน้ารับฟัง รวมถึงพูดชมเชยอย่างจริงใจหากหมอทำงานได้ตามกำหนด แต่หากเรามีปัญหาติดขัดบางอย่าง ก็ต้องการให้หัวหน้าเข้าใจ มีพูดให้กำลังใจบ้าง เราก็จะสบายใจ มีแรงทำงานต่อ ความรู้สึกของเด็กก็ไม่ต่างกันนะคะ

            ในครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูกก็มีส่วนคล้ายกับความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าและลูกน้อง คล้ายตรงที่ “หัวหน้า/พ่อแม่ – มีอำนาจเหนือกว่า”   “ลูกน้อง/ลูก – มีอำนาจน้อยกว่า” ในการเรียนหรือการทำงานต่างๆตามที่พ่อแม่บอก ลูกก็ย่อมต้องการกำลังใจ คำชี้แนะ คำชมเชย การยอมรับคุณค่าในตัวลูกอย่างจริงใจจากพ่อแม่

            เรียนออนไลน์

            ตาราง เรียนออนไลน์ และกิจวัตรประจำวันสำหรับเด็ก

            นอกจากนี้ คุณหมอปุ๊กหมอยังมีตัวอย่าง #ตารางเวลาในการเรียนและการทำกิจวัตรประจำวัน มาฝากให้คุณพ่อคุณแม่ลองนำไปปรับใช้กับลูกๆที่บ้านช่วงต้องเรียนออนไลน์กันนะคะ

            8.00-9.00 น. ตื่นนอน อาบน้ำ แต่งตัว กินอาหารเช้า

            9.00-10.00 น ช่วยกันทำงานบ้าน เก็บล้างจาน ซักเสื้อผ้าฯลฯ

            10.00-12.00 น เวลาเรียนหนังสือออนไลน์

            12.00-13.30 น กินอาหารกลางวัน ช่วยเก็บล้างจาน พักผ่อนอิสระ

            13.30-15.30 น เรียนหนังสืออนไลน์

            15.30-17.00 น ทำงานบ้านหรือกิจกรรมอื่นๆตามความสนใจ เช่น ทำความสะอาดบ้าน เก็บผ้า ออกกำลังกาย เล่นกีฬาที่ชอบ อ่านหนังสือ วาดรูป เล่นของเล่น เล่นดนตรี ฟังเพลง ทำขนม ปลูกต้นไม้ คุยเล่นกับเพื่อน ฯลฯ

            17.00-18.00 น พ่อแม่ติดตามดูความก้าวหน้าในการเรียน ช่วยลูกทบทวนบทเรียนออนไลน์

            18.00-19.00 น กินอาหารเย็น ช่วยกันเก็บล้าง

            19.00-20.00 น อาบน้ำ

            20.00-22.00 กิจกรรมผ่อนคลายอิสระและเตรียมตัวเข้านอน

            ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวอย่างของตารางกิจกรรมในหนึ่งวัน คุณพ่อคุณแม่เอาไปปรับใช้ตามความเหมาะสมนะคะ สิ่งสำคัญคือ ทำใจให้สบาย ไม่ต้องเคร่งเครียดกับการทำให้ถูกต้องหรือมองหาความสมบูรณ์แบบมากนักนะคะ เราควรมีความยืดหยุ่น รู้จักปรับตัวไปในสถานการณ์แบบนี้

            ด้วยความปรารถนาดีจาก
            #หมอดวงรัตน์DoctorForKids

            เป็นอย่างไรบ้างคะ สำหรับคำแนะนำดีๆจากคุณหมอ เชื่อว่าคงช่วยคลายความกังวล และพอจะเป็นไกด์ให้ทั้งคุณพ่อคุณแม่ และลูกน้อยสามารถเตรียมความพร้อม และปรับตัวให้เข้ากับ “วิธีการเรียนแบบใหม่” ได้อย่างเหมาะสม และมีความสุขกันทั้งครอบครัว

            เรียนออนไลน์
            เรียนออนไลน์

            บทความน่าสนใจอื่นๆ 

            ลูกไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ เพราะ พ่อแม่พูดแบบนี้

            ปรับนโยบายการศึกษา ช่วงโควิด 19

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              พ่อแม่รังแกฉัน

              พ่อแม่รังแกลูก ไม่รู้ตัว “บาป 14 ประการ” ข้อคิดเตือนใจจากท่านว. วชิรเมธี

              พ่อแม่รังแกลูก ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นแต่บางครั้งความรัก ความปรารถนาดีอยากให้ลูกมีชีวิตที่ดี ไม่ลำบาก อย่างที่พ่อแม่วาดฝันไว้อาจสร้างรอยแผลใหญ่ติดตัวลูกไปตลอดชีวิตโดยไม่ตั้งใจ การเลี้ยงลูกไม่ใช่หาอาหารกิน ให้เงินใช้ หรือส่งไปเรียนโรงเรียนดีๆเท่านั้น แต่ต้องอาศัยศิลปะในการเลี้ยงลูกที่เหมาะกับเด็กแต่ละคนด้วย

              เพราะรักจนล้นจนกลายเป็น พ่อแม่รังแกลูก โดยไม่รู้ตัว

              พ่อแม่รังแกลูก

               

              เพราะเด็กทุกคนเกิดมาแตกต่างกัน แม้จะเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน แต่ก็มีจิตใจอารมณ์ไม่เหมือนกัน พ่อแม่จึงต้องใช้วิธีดูแลไม่เหมือนกัน ไม่ว่าลูกจะเป็นคนแบบไหน สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือการมอบความรักและไว้วางใจได้ให้กับลูก การพูดคุยสื่อสารที่ดีต่อกัน รู้จักควบคุมตัวเองให้ได้ สร้างวินัยร่วมกันให้ทุกคนในครอบครัว และต้องยอมรับความถนัดของลูก

              แม้พ่อแม่จะเป็นรักแรกของลูก แต่ถ้ารักลูกไม่ถูกทาง ก็กลายเป็น พ่อแม่รังแกลูก โดยไม่รู้ตัว   Amarin Baby & Kids ขอยกข้อคิดเกี่ยวกับ “บาป 14 ประการ” จากพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ท่านว.วชิรเมธี) เพื่อเตือนสติพ่อแม่ถึงสิ่งที่อาจกระทำต่อลูก ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ อาจเป็นต้นเหตุให้ชีวิตของลูกดำเนินไปอย่างไม่ถูกไม่ควร สำรวจตัวเองดูคุณเผลอทำแบบนี้อยู่หรือเปล่า..

              พ่อแม่บางคน (๑)

              ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลคือเกิด “ภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง” ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา

              พ่อแม่รังแกลูก

              พ่อแม่บางคน (๒)

              ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลคือ “พ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก” ส่วนลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่

              พ่อแม่บางคน (๓)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ “ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น” มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว

              พ่อแม่บางคน (๔)

              ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลคือ “ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน” ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ

              พ่อแม่รังแกลูก

              พ่อแม่บางคน (๕)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลคือเมื่อโตขึ้น“ลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้” ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว

              พ่อแม่บางคน (๖)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลคือ“ลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย” ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้างปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก

              พ่อแม่รังแกลูก

              พ่อแม่บางคน (๗)

              ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลคือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และ “ลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น” ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใคร

              พ่อแม่บางคน (๘)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลคือ “ลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ” ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น

              พ่อแม่รังแกลูก
              พ่อแม่รังแกลูก

              พ่อแม่บางคน (๙)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลคือ เมื่อโตขึ้น “ลูกจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด” ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร

              พ่อแม่บางคน (๑๐)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้น “เขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ” คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง”กลับถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า”

              พ่อแม่บางคน (๑๑)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลคือ “ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง” ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี

              พ่อแม่รังแกลูก

              พ่อแม่บางคน (๑๒)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลคือ “เขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ” ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์

              พ่อแม่บางคน (๑๓)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลคือ “รอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร” (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต

              พ่อแม่บางคน (๑๔)

              ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลคือ “เขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน” ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน

              หากอ่านดูแล้ว คุณพ่อคุณแม่พบว่ากำลังทำ 1 ในบาป 14 ข้อหรือเผลอทำไปหลายข้อ จะได้หยุดกระทำบาปนั้นได้ทันท่วงทีก่อนที่จะสายเกินไป ถึงอย่างไรก็พ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดา ทำผิดทำพลาดเผลอเป็น พ่อแม่รังแกลูก โดยไม่ตั้งใจ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็น “พ่อแม่ที่ไม่ดี” เพราะเมื่อรู้ตัวแล้วรีบปรับปรุงตัวเอง แล้วอบรมเลี้ยงดูลูกในทางที่เหมาะสมแล้ว คุณก็ยังเป็นแสงเทียนที่ส่องสว่างให้ลูกไปสู่เส้นทางชีวิตที่ดีได้เสมอ

               

              บทความน่าสนใจอื่นๆ 

              7 วิธีระงับความโกรธ ก่อนเผลอตีลูกด้วยอารมณ์

              ฮิคิโคโมริ โรคอันตรายของเด็กที่อยู่แต่ในห้อง


              ขอบคุณแหล่งข้อมูลและภาพจาก  https://www.facebook.com/v.vajiramedhi/

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

                เสื้อผ้าเด็กทารก

                “เสื้อผ้าเด็กทารก” เลือกยังไง ? ให้ลูกน้อยใส่สบายที่สุด

                ผิวลูกวัยทารกบอบบาง อ่อนโยนสุดๆ สัมผัสโดนเข้ากับอะไรนิดหน่อยก็ระคายเคือง เกิดผดผื่นแดงคัน คุณพ่อคุณแม่ มือใหม่ต้องใส่ใจให้ความสำคัญกับผิวลูกน้อยมากเป็นพิเศษนะคะ ไม่ว่าจะอุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ หรือ เสื้อผ้าเด็กทารก ชุดเด็กต่างๆ แนะนำว่าควรต้องเลือกกันอย่างพิถีพิถัน ทุกรายละเอียด จะต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก

                เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกรักค่ะ โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้และจะต้องผลัดเปลี่ยนไปตามช่วงวัยพัฒนาการของลูกก็คือ เสื้อผ้า เมื่อลูกสวมใส่แล้ว จะต้องสบายตัวที่สุด ดีที่สุดสำหรับผิวของลูกน้อย แล้วคุณแม่รู้ไหมคะว่าการเลือก “เสื้อผ้าเด็กทารก” จะต้องให้ความสำคัญในเรื่องใดบ้าง และนี่คือคุณสมบัติเบื้องต้นที่เสื้อผ้าเด็กควรต้องมีค่ะ

                 

                เสื้อผ้าเด็กทารก ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร ?

                เสื้อผ้าเด็กทารก
                ขอบคุณภาพจาก : เพจเจ้าตัวเล็ก

                1. เนื้อผ้าคุณภาพดี ไม่ระคายเคืองผิว ให้ความสบายขณะสวมใส่ เนื้อผ้าต้องไม่ระคายเคือง  อ่อนโยนต่อผิวบอบบางของลูก ทำจากเนื้อผ้ามีความโปร่ง และระบายอากาศได้ดี

                 “เสื้อผ้าเด็กทารก” เลือกยังไง ? ให้ลูกน้อยใส่สบายที่สุด

                2. สวมใส่ง่าย ควรเป็นชุดที่มีเชือกผูกด้านหน้า แทนการสวมใส่ทางศีรษะ เนื่องจากลูกวัยนี้ช่วงตั้งแต่ลำคอลงไปยังไม่แข็งแรงที่จะทรงตัวได้เอง และเมื่อลูกวัย 6 เดือนขึ้นถึงเหมาะกับชุดเสื้อผ้าที่สวมทางศีรษะ หรือชุดหมี(ทั้งชุดแขน-ขา สั้น และ ชุดแขน-ขา ยาว)

                UNIQLO BABY
                ขอบคุณภาพจาก : เพจ 2Madames.com เที่ยวและไลฟ์สไตล์แบบครอบครัว 

                3. ซ่อนตะเข็บ ไม่ให้เสียดสีกับผิวหนัง ตัดเย็บแบบไม่มีตะเข็บด้านใน และป้ายสินค้าต้องอยู่ด้านนอก เพราะผิวลูกที่เสียดสี สามารถทำให้ผิวระคายเคืองขึ้นได้

                4. กระดุมที่ใช้ทำจากพลาสติก ให้ความปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการแพ้กับผิวหนัง เป็นแบบติดแป๊กสีเหลือง ช่วยป้องกันไม่ให้ติดกระดุมผิดด้าน

                เสื้อผ้าเด็กทารก ยูนิโคล่
                ขอบคุณภาพจาก : เพจ 2Madames.com เที่ยวและไลฟ์สไตล์แบบครอบครัว 

                5. ขอบยางเอวยืด ปรับขนาดได้ สำหรับเด็กที่เริ่มโต เริ่มคลาน ควรให้ใส่เลกกิ้ง ที่สามารถใส่เป็นกางเกง มีหลากลายสี และมีความยืดหยุ่น เหมาะกับเด็กวัยนี้ เค้าจะได้เคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก

                6. ต้องหาซื้อได้ง่าย เนื้อผ้ามีคุณภาพดี และราคาที่เหมาะสม

                 

                ยูนิโคล่
                ขอบคุณภาพจาก : เพจ 2Madames.com เที่ยวและไลฟ์สไตล์แบบครอบครัว 

                 

                ชุดเด็ก ยูนิโคล่
                ขอบคุณภาพจาก : เพจเจ้าตัวเล็ก

                หลังจากได้ลองเลือกซื้อชุดเด็กของยูนิโคล่ ขอบอกเลยว่าไม่ผิดหวังค่ะ และก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณแม่ส่วนใหญ่ เขาถึงแนะนำกันมาปากต่อปากว่าดี  เพราะ UNIQLO Baby เขาออกแบบมาเพื่อให้เด็กๆ ได้ใส่เสื้อผ้าที่สบาย คุณภาพดี ใส่ใจทุกรายละเอียดที่แม่ต้องการ

                คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหา และต้องการชุดเสื้อผ้าเด็กดีๆ ให้ลูกรักได้สวมใส่ ไปหาซื้อกันได้ ช้อปออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง คลิกที่นี่   https://bit.ly/2VJdfJG

                แล้วคุณจะหลงรัก UNIQLO BABY เหมือนกับคุณแม่อีกหลายๆ คนค่ะ

                เสื้อผ้าเด็กทารก” เลือกยังไง ?
                ขอบคุณภาพจาก : เพจเจ้าตัวเล็ก  ,  ขอบคุณภาพจาก : เพจ 2Madames.com เที่ยวและไลฟ์สไตล์แบบครอบครัว 

                #UniqloBaby #ชุดเก่งของหนู #CrewNeckbodysuit #BabyLegging #UniqloThailand

                  ลูกกินข้าวเอง

                  5 เทคนิคฝึก ลูกกินข้าวเอง ก่อน 2 ขวบ ไม่ต้องตามป้่อนไปจนโต

                  ลูกกินข้าวเอง เป็นสุดยอดปรารถนาของคุณแม่ทุกคน เพราะปัญหาพฤติกรรมการกิน ไม่ว่าจะกินน้อย กินซ้ำ ไม่ยอมกินกลายเป็นหนังชีวิตเคล้าน้ำตาของหลายบ้าน กว่าจะกินเสร็จในแต่ละมื้อ ต้องคิดหาวิธีหลอกล่อสารพัด  ทั้งของเล่น คำชม และสุดท้ายอาจต้องพึ่งหน้าจอ ซึ่งกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้น

                  ไม่อยากป้อนข้าวลูกไปจนโต ต้องฝึกแบบไหนให้ ลูกกินข้าวเอง!!

                  ต้นเหตุของเรื่องนี้เป็นเพราะลูกไม่เคยฝึกให้ควบคุบตัวเอง นอกจากจะทำให้พ่อแม่ต้องเหนื่อยกับการตามป้อนข้าว 3 มื้อทุกวันแล้ว ลูกน้อยเองก็รู้สึกเครียดเช่นกันที่ต้องถูกบังคับ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการด้านต่างๆ และทักษะ EF ด้วย ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากต้องตามป้อนข้าวลูกไปจนโต ก็จำเป็นต้องฝึกลูกให้กินข้าวเองได้ตั้งแต่ก่อน 2 ขวบ

                  ลูกกินข้าวเอง

                  ฝึก ลูกกินข้าวเอง ตั้งแต่ยังเล็กดีอย่างไร

                  สมัยก่อนผู้ใหญ่คิดว่าไม่ต้องรีบให้เด็กเล็กกินข้าวเอง เพราะกลัวหกเลอะเทอะ เสียเวลา และที่สำคัญคือกลัวลูกกินได้ไม่เยอะเท่ากับการป้อน กลัวว่าลูกจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่ แต่ข้อมูลทางจากแพทย์ด้านจิตวิทยาและพัฒนาการระบุชัดเจนว่าการที่ ลูกกินข้าวเองได้ ช่วยพัฒนาทักษะรอบด้านทั้งทางร่างกายและจิตใจ ดังต่อไปนี้

                  การกินเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดในการฝึกลูกให้รู้จักการควบคุมตัวเอง (Self-Control)

                  ซึ่งนำไปสู่การมี EF ที่ดี เด็กรู้จักความรู้สึกตัวเอง ตอนไหนหิวต้องทำอย่างไร อิ่มแล้วต้องทำอย่างไร รู้จักการควบคุมตัวเอง ให้พยายามกินจนอิ่ม กินตรงเวลา ต่างจากการป้อนที่พ่อแม่เป็นผู้ควบคุม เด็กแค่อ้าปากรับอาหารเข้าไปเท่านั้น เขาจะไม่รู้สึกว่า การกินเป็นเรื่องที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ แต่เป็นหน้าที่ที่พ่อแม่ต้องทำให้” เวลาไหนที่ลูกไม่ต้องการ ไม่อยากกินก็จะไม่ยอมกิน”

                  ส่งเสริมพัฒนาการประสาทสัมผัส และกล้ามเนื้อมัดเล็ก

                  สำหรับเด็กเล็กที่ต้องเปลี่ยนจากการใช้ปากดูด มาเป็นการหยิบอาหารเข้าปาก ซึ่งต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งสายตา มือ และปากให้สอดคล้องกัน พยายามใช้นิ้วมือเล็กๆ หยิบอาหารทีละชิ้นจากจาน ยกสูงขึ้นมาที่ปาก ถือเป็นเรื่องยากมาก

                  ลูกกินข้าวเอง

                  ฉะนั้นอย่าแปลกใจว่าทำไม ลูกจึงหยิบอาหารแล้วหล่นก่อนเข้าปาก กำจนเละ เอาช้อนไปจิ้มปากหรือจมูก พัฒนาการแบบนี้มีส่วนช่วยฝึกกล้ามเนื้อมือให้แข็งแรง นำไปสู่การจับดินสอขีดเขียนเมื่อเข้าสู่วัยเรียน และเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก หากบทเรียนนี้ต้องหายไปเพราะการป้อนข้าว

                   เมื่อ ลูกกินข้าวเอง ได้บรรยากาศในครอบครัวก็ดีขึ้น

                  ช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารกลายเป็นเวลาแห่งความสุข ลูกจะได้มองหน้าพ่อแม่ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดคุยกัน ทุกครั้งที่ถึงเวลากินข้าว ลูกจะอยากมานั่งโต๊ะโดยไม่อิดออด จะเติบโตเป็นเด็กมีวินัย ไม่ต้องเสียเวลากินข้าวเป็นชั่วโมงๆ จนไปกระทบกับกิจวัตรอื่นๆทั้งอาบน้ำช้า เข้านอนดึก ไปโรงเรียนสาย กระทบเป็นลูกโซ่ไปเรื่อยๆและติดนิสัยไปจนโต

                   

                  ลูกกินข้าวเอง

                  ทำไมต้องให้ลูกกินข้าวเองเป็นก่อน 2 ขวบ

                  ตั้งแต่วัยเริ่มอาหารเสริมช่วง 6 เดือน เด็กจะให้ความสนใจกับอาหารมากขึ้น อยากชิม อยากลองรสชาติใหม่ๆ จึงเป็นจังหวะที่ดีให้ลูกฝึกกินอาหารด้วยตัวเอง โดยลองได้ทั้งอาหารบด หรืออาหาร finger food อาหารหลักของเด็กวัยนี้ยังเป็น “นม” ถ้าลูกจะกินหกหรือกินน้อย คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องกังวล ระยะเวลาตั้งแต่ 6 เดือนจนถึง 2 ขวบ ลูกมีเวลามากพอเพื่อฝึกฝนทักษะการกินไปตามพัฒนาการโดยไม่ต้องเร่งรีบ เมื่ออายุ 2 ขวบแล้วกล้ามเนื้อมือจะแข็งแรงพอใช้ช้อนส้อมตักข้าวกิน ดื่มน้ำจากแก้วได้เอง ช่วงเวลากินข้าวก็กลายเป็นความสุขของทั้งครอบครัว

                   5 เทคนิคฝึก ลูกกินข้าวเอง

                  เริ่มตั้งแต่มื้อแรก

                  เมื่อลูกเริ่มอาหารมื้อแรก คุณแม่สามารถเริ่มฝึกให้ลูกกินกินข้าวเองได้ทันที โดยให้ลูกนั่งบนเก้าอี้กินอาหารสำหรับเด็กหรือไฮแชร์ (highchair) และควรให้นั่งทุกมื้ออาหารเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ลูกเข้าใจว่า ถึงเวลากินข้าวแล้ว

                  สร้างบรรยากาศให้รู้ว่าถึงเวลาอาหาร

                  เวลากินข้าวควรเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของทุกคนในครอบครัว แม้แต่เจ้าตัวเล็ก ควรรู้สึกสบายและเอ็นจอยส์ที่จะได้กินข้าวอร่อยๆฝีมือคุณแม่ ดังนั้นไม่ว่าลูกจะกินช้า กินเละ ก็ไม่ควรดุว่า กดดัน หลอกล่อด้วยของเล่น หรือให้ดูมือถือตอนกินข้าว เพื่อให้ลูกเข้าใจว่าบนโต๊ะอาหารคือที่ที่ทุกคนจะกินอาหารด้วยกัน และเราจะนั่งกินกันจนเรียบร้อยจึงลุกจากโต๊ะ

                  MUST READ : ฝึกลูกกินข้าวเอง ช่วยพัฒนาการอะไรบ้าง?

                  MUST READ :แชร์ประสบการณ์แม่น้องอิงฟ้า หนูน้อย BLW ฝึกลูกกินเอง ตั้งแต่ 6 เดือน!

                  พ่อแม่เป็นตัวอย่างที่ดี

                  ถ้าอยากให้ ลูกกินข้าวเอง ได้ก่อน 2 ขวบ ทุกคนให้บ้านต้องทำเป็นตัวอย่างให้ทำตาม พอแม่ตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวอย่างมีความสุข จากนั้นลองให้ลูกหยิบจับช้อนและชามของตัวเอง อาจเตรียมไว้ 2 ชุด ชุดหนึ่งให้ลูกตักกินเอง อีกชุดไว้สำหรับช่วยป้อนในระยะแรก สมองของลูกจะเชื่อมโยงช้อนกับการกินได้เองในที่สุด หากลูกใช้ช้อนจุ่มลงไปในจานอาหาร ใช้โอกาสนี้ช่วยจับมือลูกตักอาหารเข้าปาก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนลูกเริ่มตักเข้าปากเองได้

                  ให้โอกาสลูกเสมอ

                  ถ้าลูกยังใม่อยากตักข้าวเข้าปาก หยิบช้อนยังไม่ได้ หรือเอาแต่ขยำอาหารเล่นอย่างเดียว คุณแม่คงต้องช่วยเตือนความจำให้ด้วยการจับมือลูกตักอาหารใส่ปากไปก่อน และต้องไม่ลืมว่าการเล่นเลอะเทอะ คือกระบวนการของการฝึกกินอาหารด้วยตัวเอง

                  ลูกกินข้าวเอง

                  มีกติกาที่ชัดเจน

                  ถ้าลูกอายุราว 15 เดือน และกินข้าวเองได้แล้ว คุณแม่สามารถกำหนดเวลากินให้อยู่ที่ 30 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่มากพอสำหรับการกิน 1 มื้อ หากลูกยังกินไม่หมด ให้เก็บอาหารทันทีด้วยท่าทีอ่อนโยน ไม่แสดงอารมณ์โมโห แล้วค่อยเสิร์ฟอาหารให้ลูกในมื้อถัดไป ระหว่างมื้อต้องไม่มีนม ขนมหรือผลไม้ให้กิน โดยไม่ต้องกลัวว่าลูกจะหิวหรือขาดสารอาหาร เพราะเมื่อถึงมื้อต่อไปลูกจะกินเองและเรียนรู้ว่าเมื่ออาหารมาต้องกิน ทั้งนี้ต้องทำด้วยความละมุนละม่อมและไม่เคร่งเครียดเกินไป

                  เปิดโอกาสให้เป็นคนตัดสินใจ

                  หากลูกกินข้าวและบอกว่าอิ่มแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคะยั้นคะยอให้ลูกกินเพิ่ม เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อตัวเอง ถ้าบอกว่าอิ่มเพื่อจะรีบไปเล่น แล้วเกิดหิวขึ้นมาก่อนมื้อถัดไป ลูกจะต้องอดทนพร้อมกับเรียนรู้ว่าต้องกินให้อิ่มจริงๆ สิ่งนี้จะปลูกฝังความซื่อสัตย์ลูกและมอบพื้นที่ส่วนตัวไปในตัว ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะติดตัวไปเมื่อลูกโตขึ้นด้วย

                  จริงๆแล้ว การฝึกลูกให้กินข้าวเองนั้นอาจไม่ยาก แต่ตัวแปรที่ทำให้หลายบ้านทำไม่สำเร็จอยู่ที่ตัวคุณแม่เอง ว่าจะอดทนกับความเลอะเทอะซึ่งต้องทำความสะอาดบ้านบ่อยๆ แต่รับรองว่าการทำความสะอาดบ้านในตอนนี้ เหนื่อยน้อยกว่าการตามป้อนในอีกหลายปีแน่นอน

                  บทความน่าสนใจอื่นๆ 

                  7 วิธีแก้ปัญหา ลูกไม่กินข้าว และป้อนอาหารลูกเล็กอย่างไรให้ปลอดภัย ?

                  แจก! 20 เมนูอาหารBLW สำหรับลูกวัย 6 เดือนขึ้นไป

                  5 เทคนิค หัดลูกกินข้าวเอง สำเร็จได้ก่อน 1 ขวบ


                  แหล่งข้อมูล 

                  www.yourkidstable.com, www.educatall.com, นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                    วิธีคุยกับลูก

                    6 วิธีคุยกับลูก ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน (เริ่ม 6 ขวบ+)

                    แนะ! วิธีคุยกับลูก รับมือลูกวัยกำลังโต อารมณ์แปรปรวน ขี้หงุดหงิดง่าย พ่อแม่ต้องเริ่มตรงไหน คุยยังไง เพื่อให้ลูกสงบลง ไม่เกิดเหตุบานปลาย ตามมาดูกันเลย…

                    วิธีคุยกับลูก ขี้หงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน
                    เริ่มได้ตั้งแต่ 6
                    ขวบขึ้นไป

                    หนังก็น่าเบื่อ! โรงเรียนก็แสนเอียน แถมอาหารที่แม่ทำยัง “น่าแหวะ” อีก .. นี่ลูกวัยทวีนกลายเป็นน้องเตาะแตะที่เอาแต่ร้องว่า “ไม่!” อีกรอบหรือเปล่านะ?

                    เมื่อลูกเข้าสู่ช่วงวัยกำลังโต อาจมีอาการเหวี่ยง ขี้วีน หรือ ลูกอารมณ์หงุดหงิดง่าย สำหรับเรื่องนี้ ดร.เด็บบี้ กลาสเซอร์ นักจิตวิทยาคลินิก ในริชมอนต์ เวอร์จิเนีย อธิบายว่า… การเปลี่ยนผ่านของช่วงวัยมีผลกับพฤติกรรม ตอนอายุ 2 ขวบ พ่อหนูแม่หนูยืนคร่อมอยู่ระหว่างความเป็นทารกกับเด็กเล็ก และตอนนี้พวกแกก็กำลังเกาะติดอยู่กับนิสัยแบบเด็กๆ ขณะที่มืออีกข้างก็ไขว่คว้าหาความเป็นวัยรุ่น จึงไม่แปลกที่ลูกทั้งสองวัยจะค้นหาอิสระ ซึ่งเด็กวัยเตาะแตะจะร้องว่า “ไม่” กับทุกสิ่งที่คุณบอกให้แกทำ ส่วนลูกวัยทวีนก็คอยต่อต้านปฏิเสธคำแนะนำ แถมยังตั้งแง่วิจารณ์พ่อแม่เสียอีก

                    ซึ่งก็มีการศึกษาจากเนเธอร์แลนด์พบว่า ขณะที่เด็กเล็กตอบสนองต่อปฏิกิริยาแง่บวก เช่น คำชม ส่วนเด็กก่อนวัยรุ่นกลับตอบสนองต่อแรงกระตุ้น เช่น คำเตือนเรื่องความรับผิดชอบ มากกว่า นั่นเป็นเพราะ “สมองของเด็กโตพัฒนากระบวนการทางความคิดมากขึ้น”

                    โดยลูกวัยกำลังโตจะเริ่มรู้จักปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตัวไปเรื่อยๆ และมองหาตัวเลือกในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ มากกว่าจะยึดมั่นอยู่ในเส้นทางเดิมเหมือนตอนเล็กๆ เมื่อความคิดของลูกวัยกำลังโตเปลี่ยนไป วิธีการสอนของคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเปลี่ยนไปด้วย

                    ซึ่งความจริงแล้วอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้เป็นธรรมชาติของเด็กก่อนวัยรุ่น พอเริ่มโตเด็กๆ ก็จะค่อยๆ ดึงความสนใจออกมาจากเรื่องของตัวเองแล้วเหลียวมองรอบด้าน พวกเขาเริ่มเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น โดยเฉพาะเพื่อนวัยเดียวกัน และมองเห็นความแตกต่าง

                    วิธีคุยกับลูก

                    ผลที่ตามมาก็คือ… เสียงคร่ำครวญ “หนูเรียนเลขไม่เก่งเหมือนเพื่อนๆ เลย…ทำไมหนูตอบคำถามไม่ได้อยู่คนเดียว” หรืออาการหมดหวัง “โธ่เอ๊ย ซ้อมตั้งเยอะ ผมยังเตะบอลสู้คนอื่นไม่ได้เลย!” ซึ่งจะปรากฏให้เห็นสลับกับอาการลิงโลดในยามที่ความมั่นใจในตัวเองถูกเรียกกลับคืนมา (อย่างเช่น ตอนที่ได้คะแนนวิชาศิลปะเต็ม 10) และบางครั้งการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนวัยรุ่นก็อาจเป็นสาเหตุหลักของอาการหดหู่ได้เช่นกัน

                    ซึ่งอารมณ์แปรปรวนเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป (ยกเว้นถ้าลูกหดหู่จนไม่อยากอาหารหรือนอนไม่หลับ? แบบนั่นคงต้องมานั่งหาทางแก้ไขอย่างจริงจังแล้ว) สำหรับ วิธีคุยกับลูก และรับมือกับอาการแปรปรวนเพื่อให้ลูกของคุณไม่ทรุดหนัก มีดังนี้

                     

                    1. เปิดอกคุยกับลูก

                    พอลูกบอกว่า “หนูเกลียดไอ้นี่” แทนที่จะบอกว่า “กินๆ ไปเถอะน่า!” ก็ให้ถามว่า “ทำไมหนูถึงไม่ชอบล่ะ” เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความมีตัวตนอย่างสร้างสรรค์ และแสดงให้ลูกเห็นว่า คุณใส่ใจกับสิ่งที่ลูกคิด

                    1. หาผู้รับฟังลูก

                    ถ้าลูกรู้สึกหงุดหงิดหรือสับสน แต่ปฏิเสธที่จะคุยกัน ลองแนะนำให้ลูกโทร.หาเพื่อนหรือน้าสาวที่สนิทด้วยเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้ระบายความอัดอั้นและใจเย็นลงพอที่จะค้นหาว่า อะไรกันแน่ที่กำลัง “รบกวน” จิตใจอยู่ (จริงๆ แล้วปัญหานั้นอาจไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ลูกบ่นหรือหงุดหงิดด้วยซ้ำ)

                    1. ยอมรับความคิดเห็นของลูก

                    บางครั้งเสื้อตัวนี้อาจจะ “เด็กเกินไป” หรือเห็ดในผัดผักอาจจะทำให้ลูก “คลื่นไส้” จริงๆ ปล่อยให้ลูกมีสิทธิ์เลือกบ้าง แล้วลูกอาจจะบ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้กับคุณน้อยลง

                    1. หาสาเหตุ

                    ถ้าหากว่าผ่านไปเป็นวันๆ แล้วลูกยังไม่เลิกหดหู่เสียที คงต้องลองแอบสอบถามกับครูหรือเพื่อนๆ ของลูกว่ามีใครเห็นอะไรผิดปกติบ้างไหม

                    1. อย่าเซ้าซี้เรื่องรายละเอียด

                    ถ้าลูกกลับจากโรงเรียนแล้วไม่ยอมพูดยอมจา แถมทำหน้างอ ก็อย่าเพิ่งไปเซ้าซี้ถามว่าเป็นอะไรเพราะคำถามซ้ำๆ จี้แผลใจมีแต่จะทำให้ลูกยิ่งรู้สึกแย่ (เช่นคำถามของคุณทำให้เขาย้อนนึกภาพตอนที่ยืนอึ้งแก้โจทย์เลขบนกระดานไม่ได้) ดังนั้นคำแนะนำคือ ลองเสนอตัวเข้าไปช่วยแบบไม่กดดันดูสิ เช่น แม่รู้ว่าวันนี้หนูคงเจอเรื่องไม่สบายใจมา เอาเป็นว่า ถ้าอยากเล่าให้แม่ฟังก็เล่าตอนดูโทรทัศน์ได้นะลูก

                    1. ชมตามความเป็นจริง

                    พ่อแม่บางคนมักเรียกความมั่นใจของลูกกลับคืนมาด้วยการชมว่าลูกเก่งทุกอย่าง แต่เด็กวัยทวีนส่วนใหญ่ฉลาดเกินกว่าจะหลงเชื่อเสียแล้ว วิธีการที่ถูกต้องคือ สอนให้ลูกยอมรับความจริงตรงหน้าและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ พึงระลึกว่าความจริงไม่ได้โหดร้ายเสมอไป แม้ลูกจะไม่เก่งในทักษะหนึ่ง เขาก็อาจเป็นเลิศในทักษะอีกด้านก็ได้

                    สุดท้ายนอกจาก วิธีคุยกับลูก ที่ทีมแม่ ABK แนะนำไปนั้น สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องทำความเข้าใจด้วย เมื่อลูกเริ่มโตเข้าสู่วัยรุ่นจะมีอารมณ์ที่แปรปรวน  ค่อนข้างรุนแรง  ยากที่จะควบคุมอารมณ์ได้  จึงมีการถกเถียงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากการสนทนาไม่เป็นดั่งใจคนที่ต้องสงบก่อน ก็คือพ่อแม่ และควรให้ความรักอย่างถูกวิธี เพราะหากลูกรับรู้ถึงความรักและความเอาใจใส่อย่างถูกวิธีจากคุณพ่อคุณแม่ คือ ไม่เอาอกเอาใจเกินพอดีหรือว่ากล่าวทำโทษเกินควร แต่ให้รับรู้ได้ว่าคอยอยู่ใกล้ชิดและเป็นที่พึ่งพิงทางใจให้เสมอ ก็จะทำให้เด็กมีสุขภาพจิตที่ดีและมีจิตใจที่อ่อนโยน สามารถควบคุมสติตัวเองได้ในที่สุด

                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก

                      อาการไข้หวัดใหญ่

                      หมอเตือน! อาการไข้หวัดใหญ่ คล้ายกับโควิด-19 ติดร่วมกันได้ทำให้ป่วยหนัก

                      หมอเตือน!! หน้าฝนนี้ .. ไข้หวัดใหญ่ระบาดหนัก 6 กลุ่มเสี่ยงระวังให้ดี อาการไข้หวัดใหญ่ คล้ายกับโควิด-19 ติดร่วมกันได้ ทำอาการรุนแรงยิ่งขึ้น หากมีอาการควรรีบหามหมอ

                      หมอเตือน! ไข้หวัดใหญ่ระบาด เสี่ยงติดโควิด-19 ร่วมกันได้
                      ทำอาการรุนแรงยิ่งขึ้น!!

                      จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบและสร้างความวิตกกังวลต่อประชากรทั่วโลกอย่างหนักซึ่งสำหรับประเทศไทยในช่วงเดือน พ.ค. ที่แม้จะมียอดผู้ป่วยที่ติดเชื้อ Covid-19 ลดลง … แต่เมื่อเข้าสู่หน้าฝนก็ยังคงมีอีกหนึ่งโรคต้องระวัง นั่นคือ “โรคไข้หวัดใหญ่” ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ที่สามารถแพร่กระจายไปสู่คนทุกเพศทุกวัยได้เช่นเดียวกับโควิด-19

                      โดยช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึง 7 พ.ค. 2563 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วย อาการไข้หวัดใหญ่ มากกว่าโควิด-19 ถึง 33 เท่า (จํานวน 98,831 ราย) และเสียชีวิตไปแล้ว 3 ราย ซึ่งในปีนี้ก็ถือเป็นครั้งแรกที่มีโรคระบาดทั้ง 2 โรคพร้อมกัน ทำให้เป็นการเพิ่มภาระงานและส่งผลต่อทรัพยากรทางการแพทย์อย่างมาก จึงจำเป็นที่ทุกคนต้องหาวิธีจัดการกับไข้หวัดใหญ่ในช่วงเวลานี้ให้ไม่ซ้ำเติมกันเข้าไปอีก

                      อาการไข้หวัดใหญ่

                      ความแตกต่างระหว่าง อาการไข้หวัดใหญ่ และ โควิด 19

                      นายแพทย์ วีรวัฒน์ มโนสุทธิ รองผู้อำนวยการสถาบัน กลุ่มแผนปฏิบัติการชาติฯ สถาบันบำราศนราดูร ได้กล่าวว่า “โรคไข้หวัดใหญ่มักระบาดในหน้าฝน ซึ่งมีความน่ากังวลเพราะ อาการไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 มีความคล้ายคลึงกันมาก และสามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นเมื่อมีการไอหรือจามได้เช่นเดียวกัน

                      ซึ่งถึงแม้ในปัจจุบันวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะมีแพร่หลาย แต่พบว่าคนที่ได้รับวัคซีนแล้วยังคงสามารถป่วยจากไข้หวัดใหญ่ได้ เนื่องจากวัคซีนอาจมีประสิทธิภาพเพียง 40-60 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นกับสายพันธุ์ของไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดในแต่ละปี แต่ล่าสุดพบมีข้อมูลว่าผู้ป่วยติดเชื้อร่วมกันได้ทั้ง 2 โรค

                      ทั้งนี้การติดเชื้อทั้ง 2 โรคในเวลาเดียวกันหรือ co-infection จะเป็นการเพิ่มความรุนแรงของโรค ซึ่งเป็นอันตรายในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว หญิงตั้งครรภ์ โดยการศึกษาที่สหรัฐอเมริกาและจีนพบว่าการติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้ออื่นๆร่วมกันได้สูงถึง 20 และ 80 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ และการติดเชื้อร่วมกับโควิด-19 กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ พบเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ และการติดเชื้อร่วมกันนั้นเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงถึง 29-55 เปอร์เซ็นต์

                      อาการไข้หวัดใหญ่ ที่เข้าเกณฑ์มีการติดเชื้อประกอบด้วย

                      • ไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส
                      • ปวดศีรษะ คัดจมูกหรือน้ำมูกไหล
                      • เจ็บคอ ไอ
                      • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และร่างกายอ่อนเพลีย

                      อาการไข้หวัดใหญ่

                      ส่วน 6 กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัส และมี อาการไข้หวัดใหญ่ มากที่สุด ได้แก่

                      • กลุ่มแม่ท้อง
                      • เด็กเล็กอายุระหว่าง 6 เดือน – 5 ปี
                      • ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี
                      • ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังประจำ
                      • ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น เป็นโรคมะเร็ง
                      • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น มีโรคปอดอักเสบเรื้อรัง โรคหัวใจ ไตวายเรื้อรัง หลอดเลือดในสมองตีบ

                      และกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย ซึ่งเมื่อแพทย์ยังไม่สามารถแยกอาการระหว่างผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่กับผู้ป่วยโควิด-19 ได้อย่าง 100%

                      ดังนั้นหากใครสงสัยว่ามี อาการของโรคไข้หวัดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น มีไข้สูง ไอ คัดจมูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เจ็บคอ ร่างกายอ่อนเพลีย และมีน้ำมูลมาก แสดงว่ามีอาการไข้หวัดใหญ่มากกว่าโควิด-19 ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว โดยเฉพาะในกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาด้วยยาต้านไวรัส

                      วิธีรักษาโรคไข้หวัดใหญ่

                      สำหรับการรักษา จะมีการรับยาต้านไวรัส เพื่อลด อาการไข้หวัดใหญ่ ลดปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกาย ทำให้อาการของคนไข้ลดลง ลดภาวะการเป็นโรคแทรกซ้อน โรคปอดอักเสบได้ และลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อไวรัสสู่คนรอบข้าง โดยทางการรักษาโรคไข้หวัดใหญ่จะแบ่งตามความรุนแรง คือ ถ้าเป็นผู้ป่วยที่อาการรุนแรง จะพิจารณายาต้านไวรัสให้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องรอผลการตรวจ ส่วนกลุ่มผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง จะแบ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง จะให้ยาต้านไวรัสเร็วที่สุด ขณะที่กลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำ จะมีการพิจารณาตามอาการ แต่หากเป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำแต่ต้องอาศัยร่วมกับบุคคลเสี่ยงก็จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสเช่นเดียวกัน

                      ทั้งนี้การแพร่กระจายเชื้อของไข้หวัดใหญ่ และโควิด-19 มีลักษณะใกล้เคียงกัน ผู้ที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สามารถแพร่กระจายเชื้อไป 2 คน แต่โควิด -19 กระจายเชื้อ 2-3 คน ซึ่งแม้สถานการณ์ภาพรวมของประเทศดีขึ้น แต่เมื่อเข้าสู่หน้าฝนในเดือน มิ.ย.นี้ ที่อาจมีการระบาดไข้หวัดใหญ่ และมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์โควิด -19 จะทำให้เกิดการประชุม สัมมนา การท่องเที่ยว การคมนาคมมากขึ้น จึงอาจจะทำให้มีแนวโน้มเกิดโควิด -19 รุนแรงกลับมาใหม่ได้ และหากผู้ป่วยมี อาการไข้หวัดใหญ่ ร่วมด้วย จะทำให้ภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น และต้องใช้ยารักษาต้านไวรัสทั้งไข้หวัดใหญ่ และโรคโควิด-19 ไปพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้เกิดอันตรายได้

                      วิธีจัดการรับมือโรคไข้หวัดใหญ่ = สามารถทำได้โดยการรักษาสุขอนามัยที่ดี ล้างมือบ่อยๆ และฉีดวัคซีนประจำปี ซึ่งสามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง เนื่องจากการจะฉีดวัคซีนแต่ละปีองค์การอนามัยโลกจะคาดการณ์ว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัสตัวไหนบ้าง และประกาศให้แต่ละประเทศมีการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตัวนั้น

                      และเพื่อลดการแพร่ระบาดโรคไข้หวัดใหญ่ ทุกบ้านควรมีความรู้ในการป้องกันตนเอง ซึ่งช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีโควิด-19 ระบาด มาตรการป้องกันดูแลตัวเองของโควิด-19 ก็สามารถป้องกันการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่ในช่วงหน้าฝนเดือน มิ.ย.นี้ ด้วยเช่นกัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรดูแล ป้องกันสุขภาพของลูกน้อยและตัวเองให้ดี ต้องระวังการแพร่กระจายเชื้อ ซึ่งหากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกน้อยหรือตัวเองมีอาการผิดปกติ ไข้ ไอ เหนื่อย หรือมีความเสี่ยงต้องอยู่กับกลุ่มเสี่ยงในบ้าน ให้รีบมาพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อนำไปสูการวินิจฉัย รักษา และมีโอกาสในการลดการปลดปล่อยของเชื้อ ไปยังผู้อื่นนะคะ

                      อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :


                      ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.sanook.comwww.bangkokbiznews.comwww.ryt9.comwww.pidst.or.th

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        เกมพัฒนาสมอง

                        9 กิจกรรม & เกมพัฒนาสมอง ของลูกวัย 6+ ให้ลูกฉลาดและอารมณ์ดี

                        การมีพัฒนาการทางสมองที่ดีเป็นส่วนสำคัญต่อการเรียนรู้ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ มีความเฉลียวฉลาด รู้จักคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ แก้ไขปัญหา นำไปสู่การดำเนินชีวิตที่ดีในอนาคตได้ ดังนั้นเพื่อให้ลูกได้เติบโตอย่างสมวัยไปพร้อมกับการพัฒนาสมองอย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความฉลาดทางสติปัญญา หรือ ‘IQ’ เท่านั้น แต่ยังรวมถึง EQ และทักษะทางด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งสมองสามารถพัฒนาได้ด้วยปัจจัยหลากหลาย สำหรับเด็กในวัย 6 ปีขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่คงเริ่มเห็นว่าลูกรักมีพัฒนาการที่เติบโตชัดเจน มีความคิดอ่านเป็นตัวของตัวเองและดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ในวัยนี้นอกจากการเรียนแล้วคุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมให้ลูกได้ทำกิจกรรม ได้เล่น เกมพัฒนาสมอง เพื่อพัฒนาการทางสมองที่ดีและสนุกควบคู่กันไป จะมีกิจกรรมอะไรบ้างที่เหมาะสมกับวัย 6-12 ปีมาดูกันค่ะ

                        9 กิจกรรม & เกมพัฒนาสมอง ให้ลูกฉลาดและอารมณ์ดีไปพร้อมกัน

                        กิจกรรมพัฒนาสมอง

                        1.สนุกแบบคราฟต์ๆ

                        เด็กในวัย 6 ขวบขึ้นไปนั้นมีโครงสร้างทางสมองที่เกี่ยวกับศิลปะ จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม โดยกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กวัยเรียนหรือประถม จะเป็นการฝึกกล้ามเนื้อมือให้แข็งแรงและสัมพันธ์กับการใช้ตา ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะง่าย ๆ เช่น การวาดรูประบายสี การปั้น การพับกระดาษ เรื่อยไปจนถึงศิลปะที่ซับซ้อนขึ้นอย่างงานประดิษฐ์หรือการเย็บปักถักร้อยโดยนำวัตถุดิบมาสร้างสรรค์ผลงานในแบบต่าง ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถชวนลูกมาสร้างสรรค์ผลงานได้ เช่น การระบายสีบนผ้าหรือมัดย้อมแล้วสามารถนำชิ้นงานนั้นไปใช้ประโยชน์ได้อย่างนำมาเป็นผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ หรือผ้ารองจานข้าว การประดิษฐ์ของเล่นจากกล่องกระดาษ เช่น เป็นของเล่น เป็นบ้านในจินตนาการ เป็นร้านขายของชำ เป็นต้น

                        การทำศิลปะนั้นนอกจากจะช่วยทำให้อารมณ์ผ่อนคลาย สนุกไปกับช่วงเวลาที่ทำ ยังช่วยฝึกสมองให้เกิดความคิดสร้างสรรค์จากการออกแบบ มีจินตนาการ ช่วยฝึกสมาธิไปในตัว และได้พัฒนาการในการใช้กล้ามเนื้อมือและตาให้สอดประสานกัน ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมได้อย่างถูกทางก็จะช่วยให้เกิดพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง

                        2.ฝึกเขียนบันทึก/ เขียนจดหมาย

                        กิจกรรมขีด ๆ เขียน ๆ นั้น มีส่วนช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีและให้ความรู้สึกผ่อนคลาย พร้อมกับการฝึกพัฒนาการในเรื่องของการใช้ทักษะด้านภาษา การคิด และการเขียน ซึ่งลูกในวัยประถมนั้นมีชุดคำศัพท์ที่มากพอและสามารถเขียนหนังสือได้ดีขึ้นกว่าในช่วงวัยอนุบาลแล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถจัดกิจกรรมชวนลูกมาเขียนบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ลงในสมุดบันทึกด้วยการเขียนในสิ่งที่ลูกต้องการตามความสนใจ และหลังบันทึกเสร็จก็ชวนสนทนาให้ลูกได้เล่าเรื่องจากสิ่งที่บันทึกลงไปให้ฟัง วิธีการนี้จะช่วยให้ลูกได้รู้จักรวบรวมความคิด เรียงลำดับเหตุการณ์ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ฝึกจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่สะท้อนออกมาเป็นคำพูดและข้อความได้ดีในรูปแบบการจดบันทึก ซึ่งกิจกรรมนี้จะช่วยพัฒนาสมองลูกในด้านฝึกความจำ มีความคิดสร้างสรรค์ควบคุมอารมณ์ได้ดี รวมถึงได้ทักษะ EF ด้วย

                        3.เล่นเกมหาสมบัติ

                        เกมนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้เวลาว่างเล่นกับลูกที่บ้านได้ง่าย ๆ โดยการหากล่องแล้วให้ลูกนำของเล่นชิ้นโปรดมาใส่ไว้ในกล่อง แล้วผลัดกันนำไปซ่อน สำหรับเด็กโตอาจจะเพิ่มปริศนาใบคำที่ซ่อนกล่องสมบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเพิ่มความท้าทายและตื่นเต้นยิ่งขึ้น สำหรับการเล่นเกมหาสมบัตินอกจากความสนุกแล้ว เด็ก ๆ ยังได้ใช้ไหวพริบและลับสมองในการคิดแก้ปัญหา ปริศนาคำใบ้ต่าง ๆ ได้ดีทีเดียวค่ะ

                        กิจกรรมพัฒนาสมอง ประถม

                        4.เล่นเกมฝึกสมอง/ บอร์ดเกม

                        เกมฝึกสมองที่เหมาะกับเด็กวัยประถมที่น่าสนใจมีมากมาย อาทิเช่น จิ๊กซอว์ เกมส์ไพ่สำหรับหัดนับเลข หมากหมากรุก ครอสเวิร์ด ฯลฯ เกมฝึกสมองเหล่านี้จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ใช้ความคิด วิเคราะห์ในการแก้ปัญหา พร้อมทั้งต้องทำการวางแผนอย่างเป็นระบบ เป็นวิธีกระตุ้นสมองที่ดีและได้ความสนุกสนาน รวมทั้งยังช่วยพัฒนาทักษะในการใช้สายตาและกล้ามเนื้อนอกเหนือจากการฝึกสมองอีกด้วย

                        5.อ่านหนังสือ

                        หนังสือที่เหมาะกับเด็กวัยประถมควรจะเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสั้น ๆ อ่านง่าย การปลูกฝังให้ลูกรักการอ่านหนังสือจะช่วยพัฒนาสมอง และเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ ได้ในเวลาเดียวกัน รวมถึงได้ทักษะทางด้านภาษา ช่วยให้มีสมาธิ และได้รับความเพลิดเพลินจากการอ่าน ยิ่งลูกได้อ่านหนังสือมากเท่าไหร่ก็จะช่วยพัฒนาสมองและได้รับความรู้ในทุก ๆ ด้านได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        6.ทำงานบ้าน

                        นอกจากการให้ลูกช่วยทำงานบ้านจะเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของคุณพ่อคุณแม่ภายในบ้านได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีผลวิจัยชี้ว่า เด็กที่ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านตั้งแต่เล็กมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ปลูกฝังให้ลูกมีนิสัยที่ดี ที่จะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบได้ การฝึกให้ลูกได้ช่วยทำงานบ้านจะช่วยให้เด็กสนุกกับการได้แสดงความสามารถใหม่ ๆ ให้พ่อแม่ชื่นชมและเป็นกำลังใจ ได้รู้จักกับการแก้ปัญหา รู้จักมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง และสามารถช่วยทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ การทำงานที่ผ่านความยากลำบกมาจะทำให้ลูกรู้จักมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทำให้ลูกรู้สึกภูมิใจและมองเห็นคุณค่าของตัวเอง อีกทั้งการทำงานบ้านจะทำให้เด็ก ๆ รู้จักฟังคำแนะนำวิธีการอย่างตั้งใจ จับประเด็น อันเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ซึ่งในเด็กโตจะเริ่มรู้จักมีความรับผิดชอบมากขึ้นและสามารถช่วยทำงานบ้านที่ยากขึ้นอีกนิดได้ เช่น

                        กิจกรรมพัฒนาสมอง ef

                        • งานบ้านสำหรับลูกวัย 6-7 ขวบ เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ตากเสื้อ เก็บผ้า พับผ้า ล้างถ้วยชามของตัวเองหลังกินข้าวเสร็จ เป็นต้น
                        • งานบ้านสำหรับลูกวัย 8-11 ขวบ สามารถมอบหมายงานบ้านที่ซับซ้อนมากขึ้นเพิ่มเติมจากงานบ้านเดิม ๆ เช่น ทำความสะอาดบ้าน จัดเก็บห้องนอนของตัวเอง ทำงานสวนเล็ก ๆ น้อย ตัดหญ้า รดน้ำต้นไม้ เริ่มหัดซ่อมแซมเสื้อผ้าที่ขาดเล็ก ๆ น้อยไม่ยุ่งยาก เช่น เย็บรอยขาดจุดเล็ก ๆ หรือเย็บกระดุมที่หลุด เป็นต้น
                        • งานบ้านสำหรับลูกวัย 12 ปีขึ้นไป วัยนี้โตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ดีแล้วและสามารถเริ่มทำงานบ้านได้หลายประเภท เช่น ดูแลเสื้อผ้า ซักผ้า รีดผ้า จัดห้องนอนของตัวเอง จ่ายเงินซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต หุงข้าว เตรียมอาหารเย็น ซ่อมแซมงานบ้านเล็กน้อย ๆ ช่วยล้างรถ เป็นต้น

                        ช่วยพ่อแม่ทํางานบ้าน

                        7. เป็นลูกมือช่วยคุณแม่ทำอาหาร

                        ชวนลูกเข้าครัวเป็นลูกมือทำอาหารด้วยกันกับคุณแม่ก็ถือเป็นกิจกรรมที่แสนสนุกและช่วยส่งเสริมให้ลูกได้เรียนรู้และฝึกฝน มีสมาธิ การทำอาหารที่หลากหลายเมนู ส่งผลทำให้สมองตื่นตัวเพื่อให้รับรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ได้สัมผัส และนับได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นสมองและสติปัญญาได้อีกทางหนึ่ง โดยคุณแม่อาจหางานที่ลูกสามารถช่วยได้ในครัวที่เริ่มจากขั้นตอนง่าย ๆ เช่น การเด็ดผัก ล้างผัก ช่วยปอกเปลือกมันฝรั่ง แครอท หรือลงมือทำเมนูง่าย ๆ เช่น หุงข้าว ทอดไข่ ทำสลัด ทำขนม เป็นต้น

                        เล่นดนตรี

                        8.เล่นดนตรี

                        การเล่นดนตรีนั้นถือว่าเป็นกิจกรรมที่สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง ส่งผลต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก รวมทั้งช่วยพัฒนาความสามารถทางด้านสติปัญญา ช่วยเพิ่มทักษะไอคิวได้ มีทักษะความจำที่ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการฝึกสมาธิ พร้อมทั้งความอดทนให้เพิ่มขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เสียงเพลงยังช่วยให้สมองได้พัฒนาทักษะการฟัง มีงานวิจัยนำเสนอออกมามากมายว่า เสียงดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งดนตรีคลาสสิกมีส่วนช่วยพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของเด็กวัยเจริญเติบโต ช่วยกล่อมเกลาอารมณ์ ให้รู้สึกสงบ ลดอาการฉุนเฉียว ขี้โมโห และทำให้ลูกเป็นเด็กเข้าใจง่าย สอนง่าย ส่วนเสียงดนตรีที่มีจังหวะเร็วก็มีส่งผลต่ออารมณ์ให้เด็กรู้สึกตื่นตัว ร่าเริง แจ่มใส ดังนั้นหากลูกมีความสนใจในด้านนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถสนับสนุนให้ลูกหัดเล่นเครื่องดนตรีที่ลูกสนใจ เช่น เปียโน กีต้าร์ หรือเครื่องดนตรีไทยอย่างขิมหรือระนาด ซึ่งก็ถือว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้ลูกฉลาดและประสบความสำเร็จในอนาคตได้

                        กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา

                        9.เล่นกีฬา ออกกำลังกาย

                        การได้เล่นกีฬาออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังส่งผลดีต่อสมองและสติปัญญา ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คลายเครียด ซึ่งก็ทำให้ลูกมีความจำที่ดี ส่งผลดีต่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                        ทั้งหมดนี้เป็นเกมและกิจกรรมที่จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านสติปัญญาและอารมณ์ ให้สำหรับลูกในวัยตั้งแต่ 6 ขวบขึ้นไปได้ ซึ่งความจริงแล้วยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่จะช่วยพัฒนาสมองลูกไปพร้อม ๆ กับความสนุกสนาน อย่างไรก็ตามแม้ลูกจะอยู่ในวัยที่เริ่มโตขึ้นแล้วก็ตาม แต่การได้เล่นหรือกิจกรรมแต่ละอย่างก็ควรจะได้รับการดูแลหรือคำแนะนำสั่งสอนจากคุณพ่อคุณแม่อย่างใกล้ชิด และมั่นใจว่ากิจกรรมนั้นความปลอดภัยเพียงพอสำหรับลูกนะคะ

                        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.lenkubluk.comwww.honestdocs.co

                        อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                        7 กิจกรรมเล่นกับลูก ได้จินตนาการ เสริมพัฒนาการลูกดีทุกด้าน

                        Apple แนะนำ 30 กิจกรรมสร้างสรรค์ ให้ลูกทำบน iPhone, iPad (ดาวน์โหลดฟรี)

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          โรคสมาธิสั้น

                          ลูกไม่นิ่ง ซน อยู่ไม่สุข เข้าข่าย โรคสมาธิสั้น หรือไม่? พ่อแม่ช่วยแก้ยังไง!

                          แม้ความซนกับเด็กจะเป็นของคู่กันจนคุณพ่อคุณแม่อาจเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าลูกซนมาก อยู่ไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิ มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น แสดงว่าลูกเข้าข่ายเป็น โรคสมาธิสั้น หรือเปล่า ซึ่งปัจจุบันภาวะสมาธิสั้นใกล้ตัวลูกกว่าที่คิดด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง รวมถึงเด็กในยุคดิจิตอลมีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ไอแพด แท็บเล็ต มือถือ และโทรทัศน์ เป็นเวลานาน ๆ หากรู้ทันก็จะช่วยป้องกันและรักษาได้ ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นพัฒนาการของลูกที่บางครั้งอาจบ่งบอกความผิดปกติ ไม่ควรปล่อยผ่านเมื่อเกิดความสงสัย

                          ลูกไม่นิ่ง ซน อยู่ไม่สุข เข้าข่าย โรคสมาธิสั้น หรือไม่? พ่อแม่ช่วยแก้ยังไง!

                          “โรคสมาธิสั้น” เรียกย่อ ๆ ว่า ADHD หรือ “Attention deficit hyperactivity disorder” เป็นภาวะที่เกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมสมาธิและพฤติกรรมมีการทำงานลดลง ทำให้ขาดการควบคุมการเคลื่อนไหว มีลักษณะอาการซุกซน วอกแวกง่าย ไม่มีสมาธิ ไม่อยู่นิ่ง เวลาที่พูดด้วยจะไม่ตั้งใจฟัง ขาดความรับผิดชอบ และเก็บรายละเอียดไม่ค่อยได้ ซึ่งพบว่าเด็กวัยเรียนทั่วโลกเป็นโรคสมาธิสั้นประมาณ 7 % หมายความว่าในเด็กวัยเรียน 100 คน จะพบเป็นโรคสมาธิสั้น 7 คน ถ้าในห้องเรียนมีนักเรียนประมาณ 40 – 50 คน ก็น่าจะมีเด็กสมาธิสั้น 2 – 3 คน และพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง ซึ่งในประเทศไทยพบ 3-5% ของเด็กในวัยเรียน ช่วงอายุระหว่าง 3 – 7 ปี และอาการเหล่านี้ต้องเกิดก่อนอายุ 12 ปี ในรายที่แสดงอาการไม่มากจะสังเกตพฤติกรรมได้ชัดเจนขึ้นในหลังอายุ 7 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่ลูกเข้าโรงเรียน มีการบ้าน มีงานที่ต้องรับผิดชอบหลายอย่างในเวลาเดียวกัน รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและคุณครู ที่จะต้องรู้จักปรับตัวในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นและการเข้าสังคม โดยเด็กที่แสดงอาการจะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการปรับตัวเข้าสังคม

                          ลูกสมาธิสั้น
                          ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

                           สาเหตุของการเกิดภาวะสมาธิสั้น เกิดได้จากปัจจัยร่วมหลายปัจจัย ได้แก่

                          • ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ พบว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดภายในครอบครัวได้ ถ้ามีพ่อหรือแม่ 1 คนเป็นโรคสมาธิสั้น พบว่าลูกจะเป็นโรคนี้ร้อยละ 57
                          • ปัจจัยทางด้านระบบประสาท พบว่ามีการทำงานของสมองส่วนหน้าที่ผิดปกติ โดยเฉพาะบริเวณที่ทำงานเกี่ยวกับการคิด การวางแผน การจัดลำดับสิ่งต่าง ๆ และการควบคุมตนเอง รวมถึงมีสารในสมองที่สำคัญบางตัวน้อยกว่าคนปกติทั่วไป ที่ทำให้เป็นโรคสมาธิสั้นได้
                          • ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม เช่น แม่ท้องสูบบุหรี่/ ดื่มสุราระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่มีประวัติการคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่าเกณฑ์ ได้รับพิษสารตะกั่ว ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งที่ทำให้เด็กมีโอกาสเป็นสมาธิสั้นด้วย
                          • ปัจจัยทางด้านการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม เช่น ภายในครอบครัวมีการเลี้ยงดูที่ขาดระเบียบวินัย ตามใจ ไม่มีกฎระเบียบภายในบ้าน ไม่มีการควบคุมที่สม่ำเสมอ หรือความเห็นในการเลี้ยงดูที่ไม่ตรงกันของพ่อแม่ ซึ่งก็จะส่งผลทำให้เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีอาการมากขึ้น หรือทำให้เด็กปกติดูมีอาการคล้ายสมาธิสั้น หรือที่เรียกว่า “สมาธิสั้นเทียม”
                          • การใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ไอแพด แท็บเล็ต มือถือ รวมถึงโทรทัศน์ เป็นเวลานาน ๆ โดยขาดการควบคุม พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกให้อยู่กับหน้าจอตลอดเวลาทั้งในบ้านและนอกบ้าน โดยยื่นอุปกรณ์เหล่านี้ให้เพื่อที่จะได้ไม่มารบกวน ทำให้ลูกนิ่ง ควบคุมได้ง่าย เด็กที่ใช้มือถือ สมาร์ทโฟนอยู่หน้าจอเป็นเวลานานมาก ๆ จะกลายเป็นเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า โดยเฉพาะด้านการพูดและการสื่อสาร ขาดทักษะสังคม ใจร้อน รอคอยอะไรไม่ได้ หงุดหงิดง่าย รวมถึงอาจมีปัญหาพฤติกรรมรุนแรงที่เกิดจากการเลียนแบบสิ่งที่ดูจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้อีกด้วย

                          โดยปกติโรคสมาธิสั้นที่แสดงพฤติกรรมชัดจะมีกลุ่มอาการหลัก 3 ด้าน ซึ่ง ในเด็กบางคนมีอาการซนและหุนหันพลันแล่นเป็นอาการเด่น แต่บางคนมีอาการขาดสมาธิเป็นอาการเด่น หรืออาจมีครบทุกอย่างเลยก็ได้ แต่ควรเริ่มเห็นอาการตั้งแต่ก่อนอายุ 12 ปี และ มีอาการในหลาย ๆ สถานที่ เช่น ทั้งที่บ้าน ในห้องเรียน สนามเด็กเล่น ฯลฯ ได้แก่

                          • พฤติกรรมขาดสมาธิ มีสมาธิสั้น – มีอาการเหม่อลอย วอกแวกง่าย ใจลอย ไม่ได้ตั้งใจฟังเวลาที่คุณพ่อคุณแม่หรือครูที่โรงเรียนพูดด้วย พูดแล้วจะไม่ทำตาม หรือทำตามไม่ได้เพราะฟังคำสั่งไม่ได้ครบ เนื่องจากเด็กขาดสมาธิทำให้ไม่สนใจที่จะฟังประโยคยาวๆ ได้ไม่จบ ไม่สามารถรับความรู้ใหม่ ๆ ได้เต็มที่ ทำให้การเรียนได้ไม่ดี ทำการบ้านไม่เสร็จ ทำงานตามสั่งไม่ครบ หรือมีอการขี้ลืม ทำของหายได้บ่อย ๆ เพราะจำไม่ได้ว่าไปวางที่ไหน
                          • พฤติกรรมซนมาก อยู่ไม่นิ่ง – เด็กจะวิ่งเล่นแบบไม่หยุด ไม่รู้เหนื่อย ไม่ยอมอยู่นิ่ง นั่งนิ่ง ๆ ไม่ได้ นั่งไม่ติดที่ ผุดลุกผุดนั่งตลอดเวลา ชอบเดินวนไปวนมา ต้องขยับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเสมอ และชอบพูดไม่หยุดและส่งเสียงดัง เล่นผาดโผน เล่นแรง ๆ แบบไม่กลัวเจ็บ จนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้บ่อย และเป็นสาเหตุที่ไม่ค่อยมีเพื่อนกล้าเข้ามาเล่นด้วย
                          • พฤติกรรมขาดความยับยั้งชั่งใจตนเองหุนหันพลันแล่น – เด็กจะไม่รู้จักการรอคอย มีความอดทนน้อย ใจร้อน วู่วาม ขาดความระมัดระวังในการทำสิ่งต่าง ๆ สังเกตได้จากการชอบพูดสวน พูดโพล่ง พูดแทรกขึ้นมา หรือชอบที่จะแซงคิว ถ้าต้องทำอะไรที่ช้า ๆ หรือนาน ๆ ก็จะไม่อยากทำหรือไม่อดทนพอที่จะทำสิ่งนั้น
                          โรคสมาธิสั้น (adhd)
                          ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

                           เช็กลิสต์ลูกมีอาการเป็นเด็กสมาธิสั้นหรือเปล่า?

                          ข้อมูลจากโรงพยาบาลกรุงเทพ ได้แนะนำว่าการสังเกตว่าลูกเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ ยังจำเป็นต้องพิจารณาจากระยะเวลาที่เป็น และสถานที่ที่เด็กมีอาการ กล่าวคือ

                          อาการขาดสมาธิ เด็กต้องมีอาการดังต่อไปนี้ 6 ข้อ (หรือมากกว่า) ติดต่อกันเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน โดยที่อาการต้องถึงระดับที่ผิดปกติและไม่เป็นไปตามพัฒนาการตามวัยของเด็ก ได้แก่

                          • มักไม่สามารถจดจ่อกับรายละเอียดหรือไม่รอบคอบเวลาทำงานที่โรงเรียนหรือทำกิจกรรมอื่น
                          • มักไม่มีสมาธิในการทำงานหรือการเล่น
                          • มักดูเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่คนอื่นพูดกับตนอยู่
                          • มักทำตามคำสั่งได้ไม่ครบ ทำให้ทำงานในห้องเรียน งานบ้าน หรืองานในที่ทำงานไม่เสร็จ (โดยไม่ใช่เพราะต่อต้านหรือไม่เข้าใจ)
                          • มักมีปัญหาในการจัดระบบงานหรือกิจกรรม ทำงานไม่เป็นระเบียบ
                          • มักเลี่ยงไม่ชอบหรือไม่เต็มใจในการทำงานที่ต้องใช้ความคิด (เช่น การทำการบ้านหรือทำงานที่โรงเรียน)
                          • มักทำของที่จำเป็นในการเรียนหรือการทำกิจกรรมหายบ่อยๆ (เช่น อุปกรณ์การเรียน)
                          • มักวอกแวกไปสนใจสิ่งเร้าภายนอกได้ง่าย
                          • มักหลงลืมทำกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำ

                          อาการอยู่ไม่นิ่งหรือหุนหันพลันแล่น เด็กต้องมีอาการดังต่อไปนี้ 6 ข้อ (หรือมากกว่า) นานติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน โดยที่อาการต้องถึงระดับที่ผิดปกติและไม่เป็นไปตามพัฒนาการตามวัยของเด็ก ได้แก่

                          • อาการอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)
                          • ยุกยิก อยู่ไม่สุข ชอบขยับมือและเท้าไปมา หรือนั่งนิ่ง ๆ ไม่ได้
                          • มักลุกจากที่นั่งในห้องเรียนหรือในสถานการณ์อื่นที่เด็กจำเป็นต้องนั่งอยู่กับที่
                          • มักวิ่งไปมาหรือปีนป่ายสิ่งต่าง ๆ ในที่ ๆ ไม่สมควรกระทำ
                          • ไม่สามารถเล่นหรือทำกิจกรรมอย่างเงียบ ๆ ได้
                          • มัก “พร้อมที่จะวิ่งไป” หรือทำเหมือนเครื่องยนต์ที่เดินเครื่องอยู่ตลอดเวลา
                          • มักพูดมากพูดไม่หยุด
                          • อาการหุนหันพลันแล่น (Impulsivity)
                          • มักโพล่งคำตอบโดยที่ฟังคำถามไม่จบ
                          • มักไม่ชอบการเข้าคิวหรือการรอคอย
                          • มักขัดจังหวะหรือสอดแทรกผู้อื่น (ระหว่างการสนทนาหรือการเล่น)

                          อื่น ๆ

                          • เริ่มพบอาการเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนอายุ 7 ขวบ
                          • พบความบกพร่องที่เกิดจากอาการเหล่านี้ในสถานการณ์อย่างน้อย 2 แห่ง เช่น ที่บ้านหรือที่โรงเรียน
                          • อาการต้องมีความรุนแรงจนกระทั่งรบกวนการเรียน การเข้าสังคม หรือการทำงานอย่างชัดเจน
                          • อาการไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็น กลุ่มโรคที่มีความผิดปกติของพัฒนาการ (Pervasive Developmental Disorder), โรคจิตเภท Schizophrenia, กลุ่มอาการโรคจิต Psychotic Disorder และอาการต้องไม่เข้าได้กับอาการของโรคทางจิตเวชอื่น ๆ เช่น อารมณ์แปรปรวน, มีความวิตกกังวล, หรือความผิดปกติด้านบุคลิกภาพ (Personality Disorder)
                          ลูกสมาธิสั้น รักษาอย่างไร
                          ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

                          10 วิธีดูแลลูกสมาธิสั้นที่พ่อแม่ช่วยแก้ได้

                          เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นนั้น มีเพียง 15 – 20% เท่านั้นที่สามารถหายได้เองเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่อีกประมาณ 60% นั้นอาจไม่หายขาดและจะเป็นโรคนี้ไปจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ดังนั้นการหมั่นสังเกตอาการดังกล่าวหรือสงสัยว่าลูกเข้าข่ายสมาธิสั้นหรือเปล่า เพื่อรีบพาลูกเข้ารับการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะมีโอกาสหายจากโรคนี้ สำหรับการช่วยเหลือดูแลเด็กสมาธิสั้นนั้นจะต้องร่วมด้วยช่วยกันหลายฝ่ายทั้งตัวเด็กเอง พ่อแม่ผู้ปกครอง และครูที่โรงเรียน ในการปรับพฤติกรรมที่ต้องใช้หลายวิธีผสมผสานกันในการดูแล ร่วมกับการใช้ยาสมาธิสั้นในบางรายเพื่อให้ได้ผลการรักษาดีที่สุด อย่างไรก็ตามพ่อแม่ยังคงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในการเลี้ยงดูและช่วยปรับพฤติกรรมลูกเพื่อช่วยให้โรคสมาธิสั้นในเด็กดีขึ้นได้ ซึ่งการดูแลเบื้องต้นง่าย ๆ ที่พ่อแม่ช่วยแก้ได้ เช่น

                          1.พ่อแม่ต้องมีความตั้งใจที่จะร่วมมือกันในการปรับพฤติกรรมลูก ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูแลตามลำพัง เพื่อช่วยให้ลูกที่สมาธิสั้นมีอาการดีขึ้น หรือช่วยให้ลูกที่มีอาการสมาธิสั้นเทียมหายจากการมีอาการคล้ายสมาธิสั้น

                          2.ใช้การสื่อสารที่สั้น กระชับ ตรงไปตรงมา  เวลาพูดหรือออกคำสั่งให้ลูกทำ ควรให้ลูกได้สบตาพ่อแม่และให้หยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ เมื่อพูดแล้วควรให้ลูกได้พูดทบทวนซ้ำ เพื่อเช็กว่าความเข้าใจว่าลูกได้รับฟังครบอย่างถูกต้องหรือไม่

                          3.จัดตารางเวลา สร้างวินัยให้ลูกกิน นอน เล่น เป็นเวลา ให้ลูกได้รู้ว่าเวลาไหนควรทำอะไรบ้าง เพื่อเป็นการฝึกให้เด็กรู้จักควบคุมตัวเอง ได้ช่วยเหลือตัวเองและรู้จักวางแผนแบ่งเวลาโดยที่ไม่ต้องให้พ่อแม่คอยเตือนซ้ำ ๆ ทุกวัน โดยในช่วงแรก ๆ พ่อแม่อาจจะต้องคอยดูแลกำกับจนลูกคุ้นเคย เมื่อมั่นใจว่าลูกสามารถทำซ้ำทุกวันได้แล้วก็ให้ปฏิบัติตามตารางที่จัดจนเป็นนิสัย

                          4.ปรับบรรยากาศภายในบ้านให้สงบ เวลาให้ลูกได้ทำการบ้านหรือทำกิจกรรมควรให้ลูกได้อยู่ในพื้นที่ที่สงบ ไม่มีเสียงโทรทัศน์ ไม่มีสิ่งเร้าส่งเสียงดังที่มาคอยกระตุ้นให้เด็กวอกแวกหรือเสียสมาธิ

                          ลูกสมาธิสั้น ทําไงดี
                          ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบบทความ ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

                          5.หากิจกรรมสร้างสรรค์ที่เหมาะสม เช่น เล่นกีฬา ฟุตบอล ว่ายน้ำ ตีแบด ทำศิลปะ หรือการเล่นดนตรี เช่น เปียโน เป็นต้น ฯลฯ เพื่อให้ลูกได้ปล่อยพลังงาน  สร้างความกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ให้เข้ากับธรรมชาติของเด็กสมาธิสั้นที่ไม่ชอบอยุ่นิ่ง อีกทั้งยังช่วยเสริมพัฒนาการ และสร้างความอบอุ่นภายในครอบครัว

                          6.หลีกเลี่ยงการเลี้ยงลูกด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยี เนื่องจากการอยู่กับหน้าจอนาน ๆ มีส่วนกระตุ้นให้เด็กสมาธิสั้นมากขึ้น ทำให้เด็กขาดสมาธิ และการควบคุมตนเอง อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น และหากเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ก่อนแล้วอาการจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจำกัดเวลาในการดูสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ขวบ ไม่ควรใช้เวลาอยู่หน้าจอ เด็กอายุ 3-5 ปี วันละไม่เกิน 1 ชั่วโมง/ วัน และอายุ 6-10 ปีไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง/ วัน ควรจัดเวลาให้ลูกเล่นที่ชัดเจน และพ่อแม่ควรอยู่กับเด็กในขณะที่เล่นหรืออยู่หน้าจอเพื่อความเหมาะสม

                          7.ชื่นชมและให้รางวัล พูดให้กำลังใจเมื่อลูกทำได้ดีหรือให้รางวัลดวยการสะสมดาว เพื่อกระตุ้นให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี หากมีการลงโทษควรใช้วิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรง ไม่พูดด่าทอรุนแรง

                          8.พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกเห็น ทั้งในเรื่องระเบียบวินัย การรอคอย รวมถึงไม่ควรใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เวลาอยู่กับลูก

                          9.ปรึกษาแพทย์อย่างต่อเนื่อง เพื่อทำความเข้าใจและขอคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง

                          10.สื่อสารกับครูที่โรงเรียน เพื่อร่วมกันช่วยกันปรับพฤติกรรม โดยเฉพาะวิธีพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กให้ดีขึ้นอย่างเหมาะสม

                          ภาวะสมาธิสั้นจำเป็นต้องทำการรักษา เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและส่งผลเสียต่อตัวเด็ก การเข้าสังคมร่วมกับคนอื่น รวมถึงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว และเมื่อโตขึ้นเด็กสมาธิสั้นยังมีแนวโน้มที่จะเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย อ่อนไหวต่อคำพูดของคนอื่น การรักษาได้ทันท่วงทีจะช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้ ดังนั้นหากสงสัยว่าลูกเข้าข่ายอาการสมาธิสั้น หรือสมาธิสั้นเทียม ควรพาลูกเข้ารับการปรึกษาจากคุณหมอเพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องอย่างเหมาะสม หลังเข้ารับการรักษาจนหายขาดจากโรค ทำให้ลูกมีสมาธิที่ดีขึ้น มีผลการเรียนดีขึ้น ทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเอง

                          อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะช่วยให้อาการสมาธิสั้นของลูกดีขึ้นได้ คือความเข้าใจและการยอมรับของพ่อแม่ในอาการที่ลูกเป็นว่าเกิดจากการทำงานของสมองบางส่วนที่เสียสมดุลไป ทำให้เด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้เท่าที่ควร ไม่ได้เกิดจากนิสัยหรือการตั้งใจทำให้เกิดขึ้นเอง ซึ่งพ่อแม่จะต้องมีความอดทนเป็นอย่างสูง มีทัศนคติและให้แรงเสริมในเชิงบวกอยู่เสมอ ต้องให้เวลา ให้ความรัก ความอบอุ่นที่มีคุณภาพ ก็จะส่งผลให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้เด็กสามารถปรับพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม มีพัฒนาการด้านต่างๆ  ดีขึ้น และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพได้ในอนาคต ซึ่งก็จะทำให้คุณพ่อคุณแม่หายเหนื่อยและสบายใจมากขึ้นด้วย.

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.bangkokhospital.comwww.manarom.comwww.bumrungrad.com

                          อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ :

                          พ่อแม่ควรอ่าน! หากไม่อยากให้ ลูกเป็นโรคสมาธิสั้น

                          ไม่อยากให้ลูกเป็น “โรคสมาธิสั้น ADHD” หยุดหยิบยื่นสิ่งเหล่านี้

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            เกมลับสมอง

                            9 แอพ เกมลับสมอง เล่นสนุก เพิ่มรอยหยัก ฝึกความจำ ให้ลูกมีไหวพริบฉลาดยิ่งขึ้น

                            ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กในยุคดิจิตอล ใช้เวลาว่างส่วนหนึ่งไปกับการดูยูทูป เล่นเกม บนสมาร์ทโฟน วันนี้ทีมแม่ ABK เลยมองหาแอพ เกมลับสมอง มาให้เด็ก ๆ ได้เล่นสนุกไปพร้อม ๆ กับฝึกสมอง เพื่อช่วยพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น มีเกมอะไรบ้าง ลองไปดูและดาวน์โหลดลงเครื่องให้ลูกลองเล่นกันเลยค่ะ

                            9 แอพ เกมลับสมอง เพิ่มรอยหยัก ฝึกความจำ ให้ลูกมีไหวพริบฉลาดยิ่งขึ้น

                            Block Hexa Puzzle

                            1.Block Hexa Puzzle

                            Block Hexa Puzzle เกมปริศนาตัวต่อ Tetris ที่มาในรูปแบบสไตล์บล็อก เป็นเกมลับสมองที่เล่นง่าย ๆ ช่วยฝึกความคิด พัฒนาสมองไปในตัว เพียงแค่ย้ายและเติมบล็อกให้พอดีกับช่องสี่เหลี่ยมที่กำหนดไว้ให้และเก็บชิ้นส่วนบล็อกเพื่อให้เลเวลอัพ ซึ่งก็จะเพิ่มความยากขึ้นตามลำดับ แต่ก็จะมีตัวช่วยหากปริศนาในด่านนั้นยากเกินไป ซึ่งมีด่านให้เล่นมากถึง 300+ แบบ ภาพในเกมมีสีสัน น่ารัก ที่ชวนให้เด็ก ๆ เล่นสนุก เพลิดเพลิน แก้เบื่อได้เป็นอย่างดี ซึ่งสามารถดาวน์โหลดมาแล้วเล่นแบบออฟไลน์ ไม่ต้องมีอินเตอร์เน็ทก็สามารถเปิดเล่นได้ทุกที่กันเลยค่ะ

                            Block Hexa Puzzle
                            Block Hexa Puzzle

                            ดาวน์โหลด Android / iOS

                            Brain Dots
                             

                            2.Brain Dots

                             

                            Brain Dots เป็นเกมลับสมองง่าย ๆ ที่จะช่วยให้เด็ก ๆ ได้ฝึกสมองด้านตรรกะ ใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ไปพร้อม ๆ กับความสนุกสนานเพลิดเพลินได้เป็นอย่างดี ผ่านเกมรูปแบบเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ยุ่งยาก ภาพในการมีสีสันน่าเล่น

                            โดยมีวิธีการเล่นที่ง่ายมาก คือ แค่ต้องลากเส้นด้วยปลายนิ้ว จะให้เป็นเส้นตรง เส้นโค้ง รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม หรืออื่น ๆ เพื่อทำให้ลูกบอลลูกใดลูกหนึ่ง คือสีฟ้าและสีแดง สามารถกลิ้งผ่านไปโดนยังลูกบอลอีกลูกก็จะผ่านแต่ละด่านไปได้ ซึ่งเกมนี้การใช้จินตนาการในการขีดเขียนถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่จะพิชิตเกมในแต่ละด่านที่มีให้เล่นมากมายกว่า 500 ด่าน ตั้งแต่ระดับง่ายไปจนถึงยาก อีกทั้งเมื่อเล่นผ่านด่านไปเรื่อย ๆ ก็จะได้รับไอเทมดินสอหรือปากกาหลายรูปแบบที่ใช้ในการขีดเขียนอีกด้วย โดยในด่านแรกจะเริ่มต้นโดยใช้ดินสอในการวาดเส้น แต่เมื่อผ่านด่านก็จะได้รับดินสอหัวหนา ปากกาหัวบาง สีเทียน แปรงทาสี เป็นต้น ซึ่งมีไอเทมไว้รอให้สะสมถึง 25 แบบ เพื่อเพิ่มความสนุกในการเล่นได้มากยิ่งขึ้น จัดว่าเป็นอีกหนึ่งแอพเกมที่น่าดาวน์โหลดติดมือถือไว้ให้ลูกได้ลองเล่นกันดูเลยละค่ะ เพราะนอกจากความสนุกแล้วยังช่วยพัฒนาสมองได้อีกด้วย

                            Brain Dots
                            Brain Dots

                            ดาวน์โหลด Android / iOS

                            Credit : www.iphonemod.net

                            Elevate

                            3.Elevate

                            เกมที่จะช่วยทำให้เรื่องคณิตศาสตร์ของเด็ก ๆ กลายเป็นความสนุกได้ โดยเกมนี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการกระตุ้นสมองและบริหารสมองในส่วนต่าง ๆ ให้ถูกพัฒนามากยิ่งขึ้น ผ่านตัวเกมทั้งหมด 35 เกมที่จะช่วยฝึกทักษะในด้านต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไปเช่น ทักษะทางด้านคณิตศาสตร์ ทักษะทางด้านภาษา คำศัพท์ ทักษะการอ่าน การฟัง และการเขียน เป็นต้น

                            Elevate
                            Elevate

                            ดาวน์โหลด Android / iOS

                            Flow Free

                            4.Flow Free

                            Flow Free เป็นเกมในแนว Puzzle แบบง่าย ๆ ที่ช่วยฝึกสมอง พัฒนาความคิด และทักษะหลาย ๆ ด้าน ให้กับเด็ก ๆ ได้เป็นอย่างดี วิธีการเล่น คือ ลากจุดสีที่เหมือนกันให้มาชนบรรจบกันแค่นั่นเอง มีด่านให้เล่นมากถึง 750 ด่าน ที่สามารถค่อย ๆ เล่นชนะที่ละด่านไปเรื่อย ๆ พร้อมเสียงประกอบสนุก ๆ แต่ถ้าข้ามไปทับสีอื่นก็จะจบเกมทันที หรือลองใช้โหมดจับเวลาเพื่อท้าทายความสามารถของเด็ก ๆ ดูค่ะ

                            Flow Free
                            Flow Free

                            ดาวน์โหลด android/ iOS

                            Luminosity

                            5.Luminosity

                            Luminosity เป็นแอพเกมฝึกสมองที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว เล่นได้ทุกเพศทุกวัย ทั้งสนุกและช่วยฝึกความจำ มีคำแนะนำเป็นภาษาอังกฤษที่เข้าใจง่าย ซึ่งมีด่านต่าง ๆ ต้องแข่งกับเวลาที่สร้างความท้าทายตลอดทั้งเกม มาให้เลือกมากกว่า 40 เกม เพื่อฝึกทักษะด้านต่าง ๆ สลับกันไปในแต่ละวัน โดยแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

                            • ช่วยฝึกทักษะสมองด้านความจำ (Memory) เช่น เกม Memory Matrix
                            • Speed(ความเร็ว)
                            • ช่วยฝึกทักษะสมองด้านสมาธิ (Attention) เช่น เกม Train of Thought
                            • ช่วยฝึกทักษะการแก้ปัญหา (Problem Solving) เช่น เกม Puzzle
                            • ช่วยฝึกทักษะสมองทางด้านการพลิกแพลง ความยืดหยุ่น (Flexibility) เช่น เกม Color Match

                            โดยแอพจะสุ่มแบบฝึกหรือเกมใหม่มาให้เล่นในแต่ละวันฟรีในแบบโหมด Classic เพื่อฝึกทักษะในแต่ละด้านสลับสับเปลี่ยนกันไป และทุกแบบฝึกความสามารถจะมีการสรุปผลคะแนนว่าความสามารถด้านต่าง ๆ ของสมองเราว่าอยู่ในระดับไหน และถูกบันทึกคะแนนเอาไว้ในรูปแบบของ LPI (Lumosity Performance Index) ยิ่งเล่นเยอะก็จะยิ่งมีคะแนนสะสมเฉลี่ยที่ช่วยให้สามารถนำมาวิเคราะห์จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองได้ โดยคะแนนจะบ่งบอกถึงความถนัดของเราในแต่ละด้านด้วย

                            Luminosity
                            Luminosity

                            ดาวน์โหลด Android / iOS

                            credit : www.iphonemod.net

                            Move the Block

                            6.Move the Block

                            Move the Block เป็นอีกหนึ่งเกมลับสมองแนว Puzzle ที่เล่นง่ายและสร้างความท้าทายในการเล่นโดยให้พยายามย้ายบล็อกสีแดงไปยังทางออกให้ได้ เพื่อที่จะผ่านไปเล่นในด่านต่อไป โดยสามารถขยับบล็อกเป็นแนวนอนหรือแนวตั้ง สำหรับคนที่ไม่เก่งในการเล่น Puzzle ไม่ต้องกังวลไปในเกมมีระบบช่วยเหลือ ถ้าด่านไหนยากเกินไปก็สามารถใช้ตัวช่วยได้นะคะ จัดว่าเป็นเกมที่ช่วยฝึกสมองและให้เด็ก ๆ ใช้เวลาในการเล่นสมาร์ทโฟนแบบมีประโยชน์กันค่ะ

                            Move the Block
                            Move the Block

                            ดาวน์โหลด Android / iOS

                            Peak

                            7.Peak

                            อีกหนึ่งแอพที่เป็นเกมช่วยในการฝึกสมาธิและสมองในด้านต่างๆ  และเพิ่มทักษะต่าง ๆ เช่น การจดจำ การแก้ปัญหา ฯลฯ ผ่านรูปแบบเกมแนว Puzzle ต่างๆ ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย เช่น เกมเรียงลำดับตัวเลขจากค่าน้อยไปมาก เกมจับคู่ภาพ เกมจับคู่สี เกมลากเส้นหลบสิ่งกีดขวาง เกมโฟกัสสายตาโดยเลือกว่าวัตถุจะหันหัวไปทางไหน เป็นต้น หลังเล่มเกมเสร็จ แอพจะสรุปคะแนนมาให้และจัดอันดับความสามารถว่าอยู่ลำดับที่เท่าไหร่ ทุกเกมจะมีการบอกวิธีการเล่นอย่างละเอียด สามารถล็อกอินผ่าน Facebook หรือ E-mail เพื่อดูผลเทียบคะแนนกับผู้เล่นคนอื่น ๆ หรือตั้งค่าการแจ้งเตือนให้ได้ใช้เวลาสั้น ๆ มาเล่นเกมเพื่อฝึกสมองในทุกวันได้อีกด้วย

                            Peak
                            Peak

                            ดาวน์โหลด AndroidiOS 

                            Pocket World 3D

                            8.Pocket World 3D

                            เกม Pocket World 3D จัดเป็นเกม Puzzle หรือตัวต่อในฉบับ 3D ที่ได้นำเอาสถานที่สวย ๆ และสำคัญ ๆ หลายรูปแบบ อาทิ  บ้าน ร้านขายเบเกอรี ร้านขายดอกไม้ ร้านขายของชำ ร้านราเม็งข้างทาง วัด อาคาร ปฏิมากรรมต่าง ๆ จนถึงสถานที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวจากทั่วโลก มาย่อส่วนให้เราได้นำชิ้นส่วนมาประกอบให้สมบูรณ์ อาทิ ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริ ประเทศญี่ปุ่น สะพานโกลเดนเกต ซานฟรานซิสโก ประเทศอเมริกา หอไอเฟล ประเทศฝรั่งเศส หอนาฬิกาบิ๊กเบน ประเทศอังกฤษ เป็นต้น และสถานที่ในเมืองชื่อดังอีกมากกว่า 50 แห่ง รวมถึงรถยนต์ ภาพวาด วิวทิวทัศน์ รถถัง หุ่นยนต์ในแบบต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ซึ่งรวม ๆ แล้วมีมากกว่าร้อยแบบมาให้เล่นกันอย่างจุใจ ไม่มีเบื่อ และนอกจากจะได้ความสนุกในการต่อประกอบสถานที่สำคัญ ๆ ของโลกแล้ว ยังทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ประวัติย่อของสถานที่นั้น ๆ ด้วย เรียกว่าได้ทั้งสนุกและความรู้ไปพร้อม ๆ กันเลยละค่ะ

                            ส่วนวิธีการเล่นนั้นง่ายมากคล้ายกับการประกอบโมเดลจำลองทีละชิ้น ๆ แต่ว่าอยู่ในรูปแบบ 3D บนมือถือ เพียงเลือกชิ้นส่วนมาวางตรงตำแหน่งที่ถูกต้อง และมุมที่ถูกต้อง ก็จะสามารถประกอบโมเดลนั้นเป็นรูปเป็นร่างได้ โดยในเกมสามารถหมุนได้ 360 องศา และซูมเข้าออกได้ทั้งหมด ส่วนใครที่หาจุดในตอนที่ประกอบไม่ได้ในเกมจะมีการบอกใบ้ให้ว่าชิ้นส่วนต่อไปติดตรงไหนมุมไหนหรือมีแบบที่ต่อเสร็จแล้วให้ดูเป็นตัวอย่าง ในบางสถานที่อาจจะยากเกินไปสำหรับเด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถช่วยลูกหรือเล่นไปพร้อม ๆ กันกับลูกได้ บ้านไหนที่ชอบต่อโมเดล จิ๊กซอว์ อยู่แล้วลองดาวน์โหลดเกมนี้มาลองเล่นดูนะคะ

                            Pocket World 3D
                            Pocket World 3D

                            ดาวน์โหลด Android / iOS

                            Credit : www.game-ded.com

                            Sudoku

                            9.Sudoku

                            เกม Sudoku เป็นหนึ่งในเกมปริศนาชื่อคุ้นหูที่ได้รับความนิยมสูงสุดตลอดกาล ถือเป็นเกมที่ช่วยฝึกสมองและกระบวนการคิด ไหวพริบต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี โดยวิธีเล่นก็คือ การใส่ตัวเลข 1-9 ลงไปในตารางขนาด 9×9 ที่มีตัวเลขกรอกอยู่ในบางช่องแล้ว โดยมีเงื่อนไขก็คือ ในแถวใดแถวหนึ่งจะต้องมีตัวเลข 1-9 ที่ไม่ซ้ำกันทั้งแนวนอนและแนวตั้ง โดยเลขทั้งหมดในช่องสี่เหลี่ยมจะต้องไม่มีการซ้ำกันด้วย หากลองให้ลูกได้เล่นซูโดกุเป็นประจำทุกวันจะช่วยฝึกทักษะคิดเลขได้เร็วมากขึ้น และจะเห็นพัฒนาการในเรื่องของสมาธิได้ชัดเจน เป็นอีกเกมที่น่าดาวน์โหลดติดเครื่องไว้มาลับสมองประลองความคิดกันทั้งครอบครัวดูนะคะ

                            Sudoku
                            Sudoku

                            ดาวน์โหลด AndroidiOS

                            Credit : www.sudoku.com/th

                            เพราะ “สมอง” เป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องมีการใช้งานเพื่อพัฒนาอยู่เสมอ สำหรับแอพเกมลับสมองนี้ จัดว่าเป็นตัวช่วยในการฝึกสมองชั้นดี ที่สามารถดาวน์โหลดมาเล่นด้วยกันได้ทั้งครอบครัว ใช้งานง่าย ๆ เหมาะสำหรับเด็กตั้งแต่ 4+ ขึ้นไป โดยมีคุณพ่อคุณแม่มาเป็นผู้ช่วยอยู่ข้าง ๆ ใช้เวลาว่างหรือให้เวลาในการเล่นสมาร์ทโฟนของลูกได้อย่างมีประโยชน์ อย่างไรก็ตามการใช้เวลาหน้าจอของลูกก็ยังควรจำกัดเวลาในการใช้ ข้อมูลจาก American Academy of Pediatrics & WHO แนะนำว่า เด็กอายุ 3-5 ปี ไม่ควรเกิน 1 ชม./ วัน อายุ 6-10 ปี ไม่ควรเกิน 1 ชม.ครึ่ง/ วัน และ 11-13 ปี ไม่ควรเกิน 2 ชม./ วัน  ในช่วงวัยเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกเริ่มรู้จักวางแผนการใช้ด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้กระทบการนอนและการพักผ่อนของลูก รวมถึงแบ่งเวลาให้ลูกได้เล่นเทคโนโลยีบนหน้าจอและทำกิจกรรมอื่น ๆ ด้วยนะคะ.

                            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ :

                            เกม เด็ก 4 ขวบ พ่อแม่ชวนเล่น “เกมอะไรดี” ให้ลูกห่างจอ

                            8 บอร์ดเกมเด็ก ต้องมีติดบ้าน ช่วยเพิ่มทักษะรอบด้านให้ลูก

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              twinkl

                              Twinkl สื่อการสอนจากประเทศอังกฤษ แจกโค้ดโหลดฟรี!

                              ในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 Twinkl (ทวิงเคิล) ผู้ผลิตสื่อการสอนจากประเทศอังกฤษใจดี แจกโค้ดดาวน์โหลด สื่อการสอนจากประเทศอังกฤษ ฟรี! กว่า 630,000 สื่อการสอน

                              สื่อการสอนของทวิงเคิล มีหลากหลายรูปแบบ เหมาะสำหรับคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง จะได้นำสื่อการสอนเกมส์ กิจกรรมเสริมสร้างความรู้ ไปใช้กับเด็กๆ ตั้งแต่ 0-18 ปี ให้เด็กๆ ทำที่บ้านได้ในช่วงที่โรงเรียนต้องเลื่อนเปิดเทอม เนื่องจากปัญหาโควิด-19 ระบาด

                              หรือหากเป็นคุณครูและผู้สอนในทุกระดับชั้น ก็สามารถดาวน์โหลดทุกสื่อการสอน ฟรี สามารถเลือกได้ตามอายุของผู้เรียน มีตั้งแต่เด็กเล็กก่อนเข้าโรงเรียน  อนุบาล ประถม มัธยม รวมถึงการศึกษาพิเศษค่ะ

                              ทุกสื่อการสอนและกิจกรรมในเว็บไซต์ ออกแบบโดย ครู ในสหราชอาณาจักร ผู้มีประสบการณ์ในการสอนและการใช้สื่อการสอนในห้องเรียนมาอย่างยาวนาน ได้รับมาตรฐานและสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาของสหราชอาณาจักร

                              แม่ยูมิ ลองสมัครเข้าไปแล้วชอบมากค่ะ มีสื่อการสอนเยอะมาก ให้เราสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจริงๆ ค่ะ

                              รายการสื่อการสอนสำหรับคุณพ่อคุณแม่

                              รายการสื่อการสอน สำหรับผู้ปกครอง

                              รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 0-5 ปี

                              สื่อการสอนสำหรับเด็ก 0-5 ปี

                              รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 5-7 ปี

                              รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 5-7 ปี

                              รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 7-11 ปี

                              รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 7-11 ปี

                              รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 11-18 ปี

                              รายการสื่อการสอนสำหรับเด็กวัย 11-18 ปี

                              รายการสื่อการสอนสำหรับโรงเรียนนานาชาติ

                              รายการสื่อการสอนสำหรับโรงเรียนนานาชาติ

                               

                              วิธีการสมัครและใช้โค้ด

                              1. คลิกเข้าไปที่ลิงค์  https://www.twinkl.co.th/offer

                              2. กรอกข้อมูลในส่วนของ New to Twinkl

                              3. กรอกโค้ดTHATWINKLHELPSในช่อง Offer Code

                              เพียงเท่านี้ก็สามารถ เข้าไปเลือกดู และดาวน์โหลดสื่อการสอนได้อย่างฟรีๆ มากกว่า 630,000 สื่อการสอนค่ะ

                               

                              เกี่ยวกับ ทวิงเคิล

                              หนึ่งในผู้ผลิตสื่อการสอนรายใหญ่ของโลก ก่อตั้งเมื่อปี 2010 สำนักงานใหญ่อยู่ที่เมือง Sheffield ประเทศอังกฤษ

                              ปัจุบันมีจำนวนผู้ใช้สื่อการสอนมากกว่า 3.5 ล้านคน ใน 150 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสื่อการสอน, แผนการสอน, หนังสือเรียน หรือสื่อการสอนในรูปแบบดิจิตอลสำหรับเด็กเล็กวัยก่อนเข้าโรงเรียน, นักเรียนชั้นอนุบาล, ประถม, มัธยม และยังรวมไปถึง การศึกษาพิเศษ

                              และเมื่อต้นปี 2020 ทวิงเคิลได้ขยายตลาด เพิ่มการเข้าถึงให้แก่ครูและผู้สอนในประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย

                              ทวิงเคิล เล็งเห็นว่า ครูในประเทศไทยนั้น มีภาระหน้าที่มากมาย นอกเหนือจากการสอน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลนักเรียน จัดกิจกรรมต่างๆ ประสานงานส่วนต่างๆ ในโรงเรียน และนอกโรงเรียน

                              พ่อแม่ผู้ปกครองหลายท่านก็ให้ความสำคัญกับ การเรียนรู้เพิ่มเติมของลูกมากขึ้น การเสริมสร้างทักษะด้านภาษาอังกฤษ การใช้ภาษาอังกฤษภายในบ้าน ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ

                              ครูสอนพิเศษ หรือติวเตอร์ มองหาเนื้อหา วิธีการสอนที่แตกต่างและน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น

                              ทวิงเคิล จึงอยากถือโอกาสนี้ เข้ามาเป็นตัวช่วยของผู้สอนทุกๆ ท่าน ด้วยสื่อการสอนที่ทันสมัย ใช้ง่าย เนื้อหาน่าสนใจ ได้มาตรฐาน และสอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาของสหราชอาณาจักร

                               

                              คุณพ่อคุณแม่ และคุณครูสามารถทำความรู้จักกับทวิงเคิล เพิ่มเติมได้ที่ https://www.twinkl.co.th/blog/twinkl-subscription

                               

                              บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                              แจกฟรี! แบบฝึกหัดอนุบาล 3 กว่า 100+ แผ่น เน้นพัฒนาทักษะการคิด

                              แบบฝึกหัด ฝึกเขียนอนุบาล แจกฟรี!! กว่า 50 ใบงานอนุบาล 1-3

                              แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ ประถม รวม 60 แบบ โหลดเลย!

                              รวมแบบฝึกหัดอนุบาล กว่า 60 แบบฝึก

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                กระตุ้นสมองลูก

                                10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

                                พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกเกิดมาสมบูรณ์ครบ 32 แต่จะยิ่งดีถ้าลูกเกิดมาพร้อมสติปัญญาที่ดี ฉลาดคิด ฉลาดเรียนรู้ ซึ่งความฉลาดของลูกไม่ได้มาจากกรรมพันธุ์ของพ่อแม่เท่านั้น คุณแม่ที่กำลังตั้งท้องอยู่ก็สามารถกระตุ้นสมองลูกให้ฉลาดและพัฒนาการดีได้ตั้งแต่ในท้อง ด้วย 10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ที่ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมมาไว้ที่นี่แล้วค่ะ

                                10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง

                                จะสร้างลูกให้สติปัญญาดีต้องเริ่มจากอาหารที่ดี และการได้ถูกกระตุ้นด้วยกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสมองมาตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องแม่

                                1. กินอาหารที่ดีต่อสมองลูก

                                ระบบประสาทและสมองของลูกน้อยในครรภ์จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ และค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอายุ 3 ขวบ ระบบประสาทจะพัฒนาได้ถึง 70% ของผู้ใหญ่ คุณแม่จึงควรได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมองลูกตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์

                                เนื้อสมองของทารกในครรภ์มีองค์ประกอบที่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวถึง 60% ซึ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญต่อพัฒนาการสมองของลูกในท้อง คือ DHA และ ARA ซึ่ง DHA พบมากในปลาทะเลและสาหร่ายทะเล ส่วน ARA พบมากในน้ำมันพืช เช่น น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย และน้ำมันข้าวโพด

                                หากคุณแม่เลือกกินอาหารที่มีสารอาหารดังกล่าวอย่างเพียงพอจะช่วยในการสร้างเนื้อสมอง และระบบเส้นใยประสาทของลูกน้อยให้มีคุณภาพได้ตั้งแต่เริ่มต้น

                                บทความแนะนำ คนท้องกินอย่างไรไม่ให้อ้วน กับ 9 วิธีคุมน้ำหนักตอนท้องให้ได้ผล

                                1. แม่สุข ลูกก็สุข

                                การที่คุณแม่ท้อง อารมณ์ดี มีความสุข จะทำให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า สารเอนโดรฟิน (endorphin) ส่งผ่านไปยังลูกน้อยทางสายสะดือ ทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ)

                                บทความแนะนำ แม่ท้องเครียด ส่งผลต่อลูกในท้องอย่างไร?

                                1. ฟังเพลงกระตุ้นระบบประสาทลูก

                                ระบบประสาทด้านการรับฟังของลูกในท้อง เริ่มทำงานตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน นั่นคือลูกเริ่มได้ยินเสียงแล้ว คุณแม่สามารถใช้ วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ด้วยเสียงเพลง จะช่วยกระตุ้นเครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมา จะมีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี ทั้งนี้คุณแม่ไม่จำเป็นต้องฟังเฉพาะเพลงคลาสสิกเท่านั้น แต่สามารถเลือกฟังเพลงแนวไหนก็ได้ที่คุณแม่ฟังแล้วสบายใจ โดยเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงเพลงดังพอประมาณให้ลูกในท้องได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย

                                บทความแนะนำ แม่ท้องฟังเพลง คลาสสิค-โมสาร์ท ช่วยให้ทารกฉลาดขึ้นจริงหรือ?

                                ลูกในท้องเคลื่อนไหว

                                1. เต้นเบาๆ ตามเสียงเพลง

                                นอกจากการฟังเพลงจะช่วยเพิ่ม IQ ให้ลูกในท้องฉลาดแล้ว หากคุณแม่ลองขยับเบาๆ ตามเสียงเพลง โยกย้ายไปตามจังหวะดนตรี โดยใช้มืออุ้มรับท้องเอาไว้ วิธีนี้ ถือเป็นการออกกำลังกายเบาๆ ที่ไม่เพียงแต่คุณแม่จะได้ผ่อนคลายและรู้สึกสนุกสนานแล้ว ลูกน้อยในท้องยังได้รับรู้ถึงความสุขของคุณแม่ และรู้สึกสนุกสนานตามไปด้วย เป็นการกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกให้ตื่นตัวได้เป็นอย่างดี

                                1. คุยกับลูกในท้อง อ่านหนังสือให้ฟังบ่อยๆ

                                ยิ่งคุณแม่คุยกับลูกในท้องบ่อยเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินของลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้น คุณแม่ควรคุยกับลูกบ่อยๆ อ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ ชัดๆ ทำให้ทารกรับฟังได้อย่างชัดเจน แม้ลูกในท้องจะยังมองไม่เห็นโลกภายนอก แต่ก็ช่วยทำให้ลูกคุ้นชินกับการสื่อภาษาได้

                                บทความแนะนำ รวมวิธีกระตุ้นประสาท คุยกับลูกในท้อง สร้างอัจฉริยะให้ลูก

                                บทความแนะนำ 3 เหตุผลดีๆ ที่แม่ท้องควรอ่านหนังสือ

                                1. ลูบหน้าท้อง

                                เมื่อคุณแม่เริ่มสัมผัสบริเวณหน้าท้องเบาๆ จะสังเกตได้ว่าทารกในครรภ์จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ หรือมีการเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด เช่น จะรู้สึกว่าลูกขยับตัวไปตามบริเวณที่มือพ่อแม่ลูบไป หรือมีอาการเตะเพื่อตอบโต้เหมือนกำลังเล่นกับคุณพ่อคุณแม่ โดยการลูบท้องควรลูบเป็นวงกลม เพราะการลูบหน้าท้องลักษณะนี้ เป็นการส่งความรู้สึกและพลังผ่านหน้าท้องสู่ลูกในท้องโดยตรง จึงทำให้ลูกสามารถรับถึงความรู้สึกและการสัมผัสแบบนี้ได้ การลูบหน้าท้องจะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น

                                บทความแนะนำ ลูบท้องให้ลูกฉลาด กระตุ้นพัฒนาการสมองทารกในครรภ์ด้วย 5 วิธี

                                1. ส่องไฟที่หน้าท้อง

                                ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน ให้คุณแม่ลองนำไฟฉายมาส่องที่หน้าท้อง เพื่อกระตุ้นให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นของลูกน้อยมีพัฒนาการดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นภายหลังคลอด โดยเมื่อคุณแม่ส่องไฟที่หน้าท้องลูกน้อยในครรภ์สามารถกะพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้

                                1. จิ้มท้องตามจังหวะ

                                เมื่อคุณแม่เข้าสู่ไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะเริ่มรู้สึกได้ถึงการดิ้นของลูก ให้ลองใช้มือตบหน้าท้องเบาๆ หรือจิ้มท้องเป็นจังหวะทุกครั้งที่ลูกดิ้น หรือโก่งตัวเคลื่อนไปมา จะรู้สึกได้ว่าลูกมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง วิธีนี้ช่วยให้ลูกน้อยมีการพัฒนาเซลล์ประสาทที่ดี และฉลาดมากขึ้นจากการใช้สติปัญญาตอบสนองต่อการกระตุ้นของคุณแม่นั่นเอง

                                โยคะคนท้อง
                                แม่ท้องออกกำลังกายกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาได้ดี
                                1. ออกกำลังกาย

                                ขณะตั้งครรภ์คุณแม่สามารถออกกำลังกายเบาๆ ได้ตามที่ถนัด เช่น การเดิน การเต้นรำ ว่ายน้ำ โยคะ หรือขี่จักรยานอยู่กับที่ เมื่อคุณแม่ออกกำลังกาย ลูกน้อยในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก เป็นการกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาได้ดี

                                บทความแนะนำ โยคะคนท้อง 15 สิ่งที่ควรรู้ Do&Don’t เล่นโยคะระหว่างตั้งครรรภ์

                                1. ทำสมาธิ

                                การนั่งสมาธิสักวันละ 1 ชั่วโมง ช่วงเช้าตรู่หรือก่อนเข้านอน ได้ประโยชน์ทั้งคุณแม่และลูกในท้องไปพร้อมกัน การทำสมาธิ ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ จดต่ออยู่ที่การนับลมหายใจเข้าออก โดยไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น ช่วยให้คุณแม่จิตใจสงบ เลือดสูบฉีดปกติ หัวใจเต้นสม่ำเสมอ สมองก็จะรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย ลูกน้อยก็จะรับรู้ถึงความมั่นคงและปลอดภัยเช่นกัน

                                ทั้ง 10 ข้อที่กล่าวมาไม่ยากเลยใช่ไหมคะ กับ วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ให้ฉลาดมีพัฒนาการที่ดีตั้งแต่ในท้องแม่ ถ้าคุณแม่พร้อมแล้ว ชวนคุณพ่อมากระตุ้นพัฒนาการลูกน้อยไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

                                 

                                ขอบคุณข้อมูลจาก รศ.นพ.วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, modernmom

                                 

                                บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                                นักวิจัยพิสูจน์แล้ว! ลูกจะสืบทอดสติปัญญาจากแม่ได้มากกว่าพ่อ

                                200 ชื่อจริง + ความหมายของชื่อ เน้นเรื่องฉลาด มีปัญญาเฉียบแหลม

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                  ดึงแขนลูก

                                  แม่เล่าอุทาหรณ์! “ลูกสาวข้อศอกเคลื่อน” เพราะเล่นเต้นรำ ดึงแขนลูก

                                  เตือน! ดึงแขนลูก เหวี่ยงแขนลูก กระชากฉุดแขนลูก ห้ามเล่นหรือกับลูกแบบนี้ พ่อแม่ระวังให้ดี .. แม่เล่าอุทาหรณ์! เพราะเล่นเต้นรำแบบเจ้าหญิง ดึงแขน หมุนตัว ทำลูกสาวข้อศอกเคลื่อน

                                  อุทาหรณ์ “ลูกข้อศอกเคลื่อน” เพราะเล่นเต้นรำ ดึงแขนลูก

                                  คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่? ภาวะกระดูกเคลื่อนในเด็ก มักพบได้บ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ หรือวัยเริ่มเดินเริ่มวิ่งได้ เนื่องจากสรีระของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อศอก ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ หากขยับผิดจังหวะก็จะเคลื่อนหลุดออกจากกันได้โดยง่าย ซึ่งส่วนของร่างกายเด็กที่มักจะเกิดอุบัติเหตุลักษณะนี้บ่อยมากที่สุด ก็คือ บริเวณข้อศอก

                                  ทั้งนี้การที่ กระดูกข้อศอกของลูกเคลื่อน มักเกิดจากการกระทำของคุณพ่อคุณแม่หรือพี่เลี้ยงเด็ก เช่น ดึงแขนลูก หรือยกลูกขึ้นจากพื้นโดยการจับมือแล้วฉุดขึ้น หรือการฉุดคว้าข้อมือเด็กยกตัวลอยให้ยืนขึ้น หรือการเล่นเหวี่ยงแขนลูก  ดึงแขนลูกแรงๆ เพียงข้างเดียว การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้กระดูกข้อศอกของเด็กเคลื่อนหลุดได้โดยไม่ตั้งใจ

                                  เช่นเดียวกับเรื่องราวของคุณแม่ท่านนี้ที่ออกมาโพสต์แชร์อุทาหรณ์เตือน หลังจากที่ลูกสาวข้อศอกเคลื่อนเพราะเล่นกับแม่ โดยจากโพสต์นั้นคุณแม่ได้ระบุว่า …

                                  วันนี้จะมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกันตาเมื่อวานเพื่อเป็นความรู้เล็กๆ น้อยๆ ให้กับพ่อแม่ที่มีลูกวัยเล็กๆแบบกันตา และเพื่อบันทึกไว้เป็นความรู้ของตัวเราเองด้วย เพราะเอาจริงๆ ถ้าเรื่องนี้ไม่เกิดกับกันตา เราคงไม่รู้จักภาวะ กระดูกข้อศอกเคลื่อนในเด็ก

                                  ดึงแขนลูก
                                  ภาพน้องกันตาก่อน ถูกดึงแขน กระดูกข้อศอกเคลื่อน

                                  เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวานก็เล่นกับลูกตามปกตินี่แหละ เล่นเต้นรำ ดึงแขนลูก แบบเจ้าหญิงเจ้าชาย กันตาเป็นเจ้าหญิง (สังเกตจากเสื้อผ้าหน้าผมนางได้ ไปหาหมอทั้งชุดเต็มยศเลยจ้ะ) ส่วนแม่เป็นเจ้าชาย เล่นเต้นรำแบบซิลเดอเรลล่า ช่วงนี้ลูกบ้าเจ้าหญิง ก็มีการจับแขน ดึงแขนลูก หมุนตัว แต่ไม่ได้ดึงแรงอะไรเลยนะ เพราะเราก็ค่อนข้างระวังเรื่องอุบัติเหตุแบบนี้อยู่แล้ว เล่นกันปกติ

                                  ดึงแขนลูก

                                  แต่มันมีจังหวะนึงที่กันตาหันหลังแล้วเราจับแขนลูก พลิกมาด้านหลัง อยู่ๆ กันตาก็ร้องว่าแขนหนูจะหักอยู่แล้ว แล้วก็ร้องไห้ เราก็คิดว่าลูกอ้อน คงจะงอแง เริ่มง่วง เพราะนี่ก็จะบ่ายสามโมงแล้วยังไม่ได้นอนกลางวัน ก็พานางมานอนกินนม แต่พอโดนแขนบริเวณข้อศอกข้างซ้าย กันตาก็ร้องอีก เอาเข้าเต้าก็ไม่หยุดร้อง ซึ่งเราว่ามันผิดปกติมากสำหรับกันตา เพราะกันตาไม่ใช่เด็กขี้งอแง เจ็บตัวแค่ไหน ให้ดูดนมเต้าคือสงบและหยุดร้องไห้ตลอด … แต่ครั้งนี้กันตาไม่ยอมดูดเต้าแม่ และร้องไห้ เราก็งง ว่าไม่ได้เล่นกันแรง ไม่น่าจะแขนหักได้ แต่ลูกดูเจ็บมากจริงๆ ไม่ได้แค่งอแงแน่นอน สังเกตว่าบริเวณข้อศอกเริ่มแดงๆ และบวมขึ้นเล็กน้อย เลยคิดว่าอาจจะหักแน่

                                  ดึงแขนลูก
                                  ภาพตัวอย่างการเล่นดึงหิ้วแขนลูก
                                  ดึงแขนลูก
                                  ภาพประกอบ : พ่อแม่จับดึงแขนลูก ทำกระดูกข้อศอกเคลื่อน

                                  ไอ้เรื่องกระดูกข้อศอกเคลื่อนนี่ไม่มีอยู่ในหัวเลย เพราะยังไม่เคยเจอเคสแบบนี้ คิดแต่ว่าอาจจะหัก แต่จะหักได้ไงหว่า เพราะไม่ได้เล่นรุนแรงอะไรเลย เอาล่ะ อย่าช้าที รีบพาลูกไปหาหมอ x-ray ดูให้รู้กันไปเลยดีกว่า เรียกว่าเป็นปุ๊ป ประเมินอาการลูกแล้วว่าปวดจริงๆแน่ ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ก็รีบไปหาหมอเลย (ขอบคุณอาชีพพยาบาลที่สั่งสมประสบการณ์และสอนให้เรารู้จักการประเมินคนไข้)

                                  อุ้มขึ้นรถนั่งคาร์ซีท จะรัดเข็มขัดคาร์ซีท กันตาไม่ยอมเลย ไม่ยอมขยับแขน ร้องเจ็บตลอด จนหลับไปเอง แม่ยังแอบไปจับแขนดู จากหลับๆอยู่ สะดุ้งตื่นร้องเจ็บลั่นรถไปหมด พ่อหันมาดุแม่ใหญ่โตว่าไปจับให้ลูกเจ็บทำไม จริงๆแม่แค่อยากประเมินว่าลูกเจ็บจริงๆ ไม่ใช่แค่งอแงเพราะง่วง ก็เป็นอันรู้เรื่องว่าเจ็บจริงอะไรจริง โดนสามีดุอีกต่างหาก แม่แค่ประเมินซ้ำจ้ะพ่อมรึ๊งงงง 😂😂😂

                                  ดึงแขนลูก

                                  ดึงแขนลูก

                                  พอถึงโรงบาลเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอก็สงสัยว่าจะเป็น ข้อศอกเคลื่อนจากการดึง (Pulled elbow) ระหว่างตรวจคือกันตาร้องตลอด ร้องดังลั่นห้องฉุกเฉิน หมอจับแขนไม่ได้เลย ทั้งกลัวทั้งเจ็บผสมกัน คุณหมอให้ลองขยับแขนดู ก็ไม่ยอมขยับเลย คุณหมอให้ไป X-ray ระหว่างที่ทำการ X-ray พี่เขาก็จัดท่างอข้อศอก เหยียดข้อศอก กันตาร้องหนักมาก คงทั้งกลัวทั้งเจ็บ พ่อกับแม่ช่วยกันจับ 2 คน ร้องก็ร้องไปลูก มันจำเป็นต้องทำ

                                  พอ X-ray เสร็จ กลับมาห้องฉุกเฉิน ให้คุณหมอดูฟิล์ม ไม่มีกระดูกหัก หรือร้าวใดๆ และกันตาก็ขยับแขนได้ปกติแล้ว ยกแขน ยกขึ้น ยกลงให้คุณหมอดู หยุดร้องไห้ทันที คุยกับคุณหมอได้ คุณหมอบอกว่าตอนที่ไป X-ray กระดูกที่เคลื่อนออกจากเส้นเอ็น น่าจะกลับเข้าที่ปกติแล้ว น้องหายเจ็บ แต่มีโอกาสจะเกิดซ้ำได้อีก จึงควร on slab ไว้ก่อน (ใส่เฝือกอ่อน) นัดมาติดตามอาการ 1 อาทิตย์ วันนี้กลับบ้านได้ ไม่ต้องทานยาอะไร ซึ่งกันตาก็กลับมาเป็นกันตาคนเดิม ดื้อและซนปกติ ไม่ร้องเจ็บ ยกแขน ขยับแขนได้ปกติเลยทุกอย่าง ต่างจากคนเมื่อกี้จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย แถมจะไม่ยอมใส่เฝือกอ่อนอีกต่างหาก เพราะนางบอกนางไม่เจ็บแล้ว 😂😂

                                  เป็นอันจบเรื่อง สำหรับบ้านที่มีเด็กเล็กๆ ต้องระวังการจับ การ ดึงแขนลูก มากๆ เลยนะคะ แม้ว่าจะไม่รุนแรง แค่การจูงมือข้ามถนน หรือเล่นยกแขน ก็อาจเกิดภาวะนี้ได้แล้ว เพราะในเด็กเล็กๆ อายุต่ำกว่า 5 ขวบ สรีระของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อศอก ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ง่ายต่อการเคลื่อนหลุด ถ้าขยับผิดจังหวะ และหากเคยเป็นแล้ว จะเป็นซ้ำได้ง่าย

                                  การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อ ดึงแขนลูก จนข้อศอกเคลื่อน

                                  การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ การจัดให้ส่วนที่เจ็บอยู่นิ่งๆมากที่สุด แล้วรีบพาลูกไปรพ. อย่าพยายามขยับข้อศอกให้เข้าที่ด้วยตัวเอง เพราะอาจทำผิดพลาดแล้วทำให้บาดเจ็บที่ข้อศอก เส้นเอ็น เส้นเลือดบริเวณนี้มากขึ้น ระหว่างทางไปพบแพทย์ ให้ประคบเย็น และ รักษาสภาพข้อศอกให้เคลื่อนไหวน้อยที่สุด

                                  ปล. พ่อกันตาบอกว่าดีนะเกิดเหตุการณ์นี้ตอนอยู่กับแม่ เพราะถ้าเกิดตอนอยู่กับพ่อ มีหวัง แม่บ่นพ่อจนหูชาไป 3 วัน บ้าหรอออออ ใครเขาเป็นคนแบบนั้นกัน

                                  ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจากคุณแม่น้องกันตา เฟซบุ๊ก พัชรินทร์ จันทร์แสง‎ 

                                  ทั้งนี้ทั้งนั้นจากโพสต์ที่คุณแม่ของน้องกันตาได้แชร์เตือนมานั้น ทางทีมแม่ ABK จึงอยากจะฝากไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์สำหรับคุณพ่อคุณแม่บ้านไหนมีลูกเล็กอายุในช่วง 1-5 ปี ควรจะต้องระวังมากเป็นพิเศษ เพราะบ่อยครั้งที่เรามักเผลอเล่นหรือ ดึงแขนลูก โดยไม่ทันระวังจนเป็นเหตุให้กระดูกข้อศอกของเด็กเคลื่อนหลุดได้โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งภาวะกระดูกข้อศอกเคลื่อน ก็ถือเป็นอุบัติเหตุใกล้ตัวอันดับต้นๆ และถ้าเคยเป็นแล้วจะเป็นซ้ำได้ง่ายมาก เพราะกระดูกของเด็กนั้นยังบอบบางอยู่มาก แม้จะเล่นเบาๆไม่ผาดโผนก็ตาม แต่ไม่ควรประมาทนะคะ

                                  อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    แพ้แป้งสาลี

                                    แม่ควรรู้! แพ้แป้งสาลี อาการเป็นยังไง? มีอะไรบ้างที่ลูกกินได้หรือต้องหลีกเลี่ยง!

                                    แม่ควรรู้! ลูกแพ้อาหาร แพ้แป้งสาลี เกิดจากอะไร อาการแพ้แป้งสาลี เป็นยังไง? และถ้ากินแป้งสาลีไม่ได้ จะมีอาหารอะไรที่ลูกกินได้ หรือควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดใดเพื่อไม่ให้ลูกเกิดอาการแพ้อีก

                                    แม่ควรรู้! แพ้แป้งสาลี อาการ เป็นยังไง?
                                    มีอะไรที่ลูกกินได้-กินไม่ได้

                                    แพ้แป้งสาลี หรือ ข้าวสาลี คือ อาหาร 1 ใน top 5 ที่เด็กๆ แพ้กันมากที่สุด! ปัจจุบันอาการแพ้อาหารนี้ถือเป็นภาวะที่พบมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งนอกจากเป็นภาวะที่อันตรายทำให้เสียชีวิตได้แล้ว ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมากอีกด้วย

                                    เพราะเด็กที่แพ้อาหาร แพ้ไข่ หรือ แพ้แป้งสาลี จะมีข้อจำกัดในการกิน การใช้ชีวิต เรื่องอาหารการกินของเด็กที่แพ้อาหารจึงเป็นสิ่งที่ต้องละเอียดอ่อนมากๆ หากพ่อแม่ไม่ระวังให้ดี หากลูกน้อยเผลอกินอาหารที่แพ้เข้าไป ก็จะมีอาการแพ้เฉียบพลันขึ้นมาได้ ภายในเวลาไม่กี่นาที หรือไม่เกิน 2 ชม. จะมีอาการผื่นคัน ลมพิษ อาจมีอาการบวมที่ตาและริมฝีปากร่วมด้วย เช่นเดียวกับ “น้องวิน” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ “หนูเล็ก ก่าก๊า” หรือ “หนูเล็ก ภัทรวดี ปิ่นทอง” ก็เป็นหนึ่งในเด็กที่ แพ้แป้งสาลี โดยจะมีอาการผื่นแพ้ทันทีหลังจากรับประทาน และคุณแม่หนูเล็กก็ระมัดระวังเป็นอย่างดีในการเลือกอาหารให้กับลูกชาย

                                    แต่ล่าสุดก็ต้องมีอันที่ทำให้น้องวินเกิดอาการแพ้อีกครั้ง เมื่อซื้ออาหารนอกบ้านมารับประทาน ซึ่งคุณแม่หนูเล็กได้ออกแชร์เรื่องราวเพื่อให้แง่คิดกับคุณแม่มือใหม่ให้ระมัดระวังเรื่องอาหารการกินของลูกมากขึ้น เพราะแม้ว่าการสอบถามแม่ค้าแล้วแต่ก็อาจจะไม่เพียงพอต่อความปลอดภัยของลูก โดยเผยว่า…

                                    น้องวินชอบกินน่องไก่ทอดมากๆ. ทุกครั้งถ้าจะซื้อกินต้องถามย้ำและซ้ำหลายรอบว่าไม่มีส่วนผสมแป้งสาลีใช่ไหม แต่ครั้งนี้เกิดจากพนักงานขายพูดด้วยความมั่นใจทุกรอบว่าไม่มีแป้งสาลี. แม่เลยกล้าให้ลูกกิน. ผ่านไป 20 นาทีก็เป็นแบบนี้เลยจ้า ต่อไปจะกินไก่แค่ของป้าจูนคนเดียว และแม่จะ ฝึกทอดให้อร่อยเหมือนของป้าจูนเองเลย. #เก็บไว้ให้วินดู

                                    แพ้แป้งสาลี

                                    แพ้แป้งสาลี
                                    ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก IG @nulek_gaga

                                    >>ทั้งนี้ก็ได้มีคนในวงการบันเทิงหลายคนเข้ามาคอมเมนต์ถามอาการและแสดงความเป็นห่วง รวมถึงมีชาวเน็ตเข้ามาคอมเม้นต์ว่า “ของข้างนอกบางทีปนเปื้อนติดมาด้วยคะ​ ต้องระวังมากๆ​” , “คุณแม่ต้องรู้ด้วยว่าน้องแพ้ในระดับไหน​ บ้านนี้แพ้ขนมปรุงแบบโดยตรง​เลย​” โดยคุณแม่หนูเล็กก็ตอบกลับว่า “รู้ค่ะ แต่คนขายย้ำว่าไม่มี 100%”

                                    แพ้แป้งสาลี เกิดจาก ?

                                    การแพ้แป้งสาลีในเด็ก จะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายตอบสนองต่อโปรตีนที่พบในข้าวสาลี ผ่านกลไกทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย อาจเกิดจากกินข้าวสาลีหรือการสูดดมแป้งสาลีเข้าไป ซึ่งปัจจุบันแป้งสาลีมักเป็นส่วนประกอบอาหารหลากหลายชนิด ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ลูกน้อยเสี่ยงต่อการแพ้แป้งสาลี ได้แก่ พันธุกรรม และอายุ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กเล็กยังไม่แข็งแรงสมบูรณ์เพื่อป้องกันสิ่งแปลกปลอมต่างๆ โรคภูมิแพ้ทั่วไป หากลูกมีการแพ้อาหารอื่นๆ ก็จะทำให้มีโอกาสแพ้แป้งสาลีได้

                                    แพ้แป้งสาลี อาการ !

                                    ภาวะแพ้แป้งสาลี มักจะแสดงอาการต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย อาการแพ้และความรุนแรงอาจมีความแตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนี้

                                    • อาการแพ้ที่ส่งผลต่อระบบผิวหนัง ได้แก่ ผื่นแดงคัน ผื่นลมพิษ หน้าบวม ตาบวม ริมฝีปากบวมพร้อมกับอาการคันซึ่งอาจทำให้อาการบวมเพิ่มขึ้นได้ค่ะ
                                    • อาการแพ้ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ น้ำมูกไหล ไอ จาม การแพ้ในบางครั้งอาจนำไปสู่การอักเสบของปอดหรือลำคอ ส่งผลให้หายใจลำบาก หลอดลมตีบเฉียบพลัน แน่นหน้าอก เป็นต้น
                                    • อาการแพ้ที่ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาการคันริมฝีปากบวม คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย กลืนลำบาก เป็นต้น
                                    • อาการแพ้ที่ส่งผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น เวียนศีรษะ มึนงง ความดันโลหิตต่ำ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

                                    ลูกแพ้แป้งสาลี ห้ามกินอะไร?

                                    แพ้แป้งสาลี
                                    ขอบคุณภาพข้อมูลเรื่อง ภูมิแพ้ข้าวสาลี
                                    จาก ศูนย์โรคภูมิแพ้ โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ www.siphhospital.com

                                    แพ้แป้งสาลี กินอะไรได้บ้าง!

                                    ทั้งนี้หากลูกแพ้แป้งสาลี สิ่งที่สามารถกินได้ คือ

                                    • ข้าวเจ้า เช่น ข้าวสวย ข้าวกล้อง ข้าวเหนียว เส้นหมี่ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ ก๋วยจับ เกี๋ยมอี๋ ขนมจีน ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด
                                    • แป้งบัควีต เช่น เส้นโซบะ
                                    • ถั่วเขียว เช่น วุ้นเส้น เส้นเซี่ยงไฮ้ เต้าส่วน ลูกชุบ ซาหริ่ม
                                    • ถั่วเหลือง เช่น นมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ เต้าเจี้ยว เต้าฮวย ซีอิ๊วซอสปรุงรสบางยี่ห้อ เพราะบางยี่ห้อจะมีแป้งสาลีผสมอยู่ ต้องอ่านฉลากให้ละเอียดด้วย
                                    • แป้งมันสำปะหลัง เช่น ทับทิมกรอบ แป้งมันที่ใส่อาหารทำให้หนืดๆเช่น เต้าส่วน ราดหน้า ขนมชั้น ขนมฟักทอง ขนมกล้วย เม็ดสาคู
                                    • ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น แมคคาเดเมีย วอลนัท ถั่วแดง ถั่วขาว เมล็ดดอกทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแฟล็กซ์ ถั่วปากอ้า ถั่วพิทาชิโอ มะม่วงหิมพานต์
                                    • และอื่นๆ เช่น มันฝรั่ง แห้ว เผือก เส้นบุก มันเทศ แปะก๊วย ลูกเดือย ลูกบัว งา กุยช่าย เป็นต้น

                                    Must read >> 7 เมนูอาหารและขนม สำหรับเด็กแพ้อาหาร

                                    การรักษาอาการแพ้แป้งสาลี

                                    การรักษาโดยทั่วไป เบื้องต้นง่ายๆ ที่คุณหมอแนะนำคือให้เลี่ยงอาหารที่สงสัยว่าแพ้ จนกว่าอาการแพ้จะดีขึ้นตามช่วงอายุ แต่ก็มีอาหารหลายชนิดที่มีโอกาสหายแพ้ได้น้อย หรือในบางครั้งเด็กป่วยที่มีอาการแพ้มาก ทำให้ไม่หายจากการแพ้อาหารตามช่วงอายุ และอาหารบางชนิดก็เลี่ยงได้ยาก เนื่องจากอาจมีปะปนเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายชนิด และฉลากอาหารไม่ได้ระบุ ทำให้ลูกกินอาหารที่แพ้โดยไม่ได้ตั้งใจ และทำให้เกิดอาการแพ้ได้

                                    ซึ่งถ้าลูกน้อยเผลอกินแป้งสาลีเข้าไปแล้วเกิดผื่นคัน เป็นอาการแพ้แบบไม่รุนแรง ก็สามารถทานยาแก้แพ้ได้ แต่ถ้ามีอาการแพ้รุนแรงต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที

                                    ทั้งนี้สำหรับบ้านไหนที่คุณพ่อคุณแม่รู้อยู่แล้วว่าลูกของตัวเองแพ้อาหาร หากต้องซื้อหรือทำอาหารให้ลูกกิน เรื่องการเลือกดูวัตถุดิบในส่วนประกอบของอาหาร หากเป็นอาหารสำเร็จรูป ผู้ผลิตที่มีความรับผิดชอบจะมีการระบุไว้ที่กล่องหรือฉลาก แต่ในกรณีของร้านอาหาร ภัตตาคาร คุณพ่อคุณแม่ควรสอบถามพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ ให้แน่ใจก่อนทุกครั้ง หรือหากไม่มั่นใจ ไม่แน่ใจจริงๆ ก็ควรใช้วิธีหลีกเลี่ยงการกินอาหารนั้นๆ ไว้ก่อนจะดีที่สุด!!

                                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :


                                    ขอบคุณข้อมูลจาก www.thaichildcare.comwww.breastfeedingthai.com

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่