ระวัง! 3 อันตรายจากแสงสีฟ้า ทำร้ายตาลูกไม่รู้ตัว

อันตรายจากแสงสีฟ้า พ่อแม่ระวังให้ดี! ลูกต้องเรียนออนไลน์ new normal ชีวิตวิถีใหม่ อยู่กับหน้าจอตลอด เสี่ยงส่งผลร้ายต่อสายตา ควรเตรียมรับมือ

พ่อแม่ต้องใส่ใจ!! ปัญหา อันตรายจากแสงสีฟ้า
ผลต่อสุขภาพตาของเด็กยุคดิจิทัล

จากการแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย รัฐบาลจึงมีประกาศเลื่อนเปิดเทอมยาวออกไป ด้วยตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตของนักเรียนที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดดังกล่าว! … จึงทำให้สถานศึกษามีการปรับการเรียนการสอนเป็นในรูปแบบของการเรียนทางออนไลน์ ทำให้เด็กๆ ต้องใช้เวลาไปกับหน้าจอดิจิทัลมากกว่าปกติเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน

พฤติกรรมเหล่านี้เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางด้านสายตาและสุขภาพตา เพราะ แสงสีฟ้า หรือ แสงสีน้ำเงิน (Blue light) จากอุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน อาจเป็นอันตรายต่อดวงตาของเด็กๆ ได้ และการเล่นอุปกรณ์เหล่านี้เป็นเวลานานๆ จะนำมาซึ่งปัญหาและผลกระทบต่อเด็ก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ภัยจากการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล

อันตรายจากแสงสีฟ้า ส่งผลต่อสายตาเด็กที่พ่อแม่อาจมองข้าม ประกอบด้วย

  1. ภาวะตาล้า (Digital Eye Strain) เกิดจากการจ้องจอมากเกินไปเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะทำให้การหดตัวของกล้ามเนื้อเล็กๆ ในตาหดตัวเกือบตลอดเวลาทำให้มีอาการตาล้า จึงเป็นที่มาของการมองเห็นที่พร่ามัวชั่วคราว
  2. โรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) โดยแสงสีน้ำเงินจากอุปกรณ์ดิจิทัล จะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำลายเซลล์ประสาทตา หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมได้
  3. โรคสายตาสั้นมาก (pathological myopia) การเพ่งอยู่หน้าจอเป็นระยะเวลานานกว่า 5 ช.ม ต่อวัน โดยเฉพาะในระยะน้อยกว่า 20 ซ.ม นานกว่า 45 นาที เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นได้เร็วและมากขึ้นในเด็ก

นอกจากนี้ ไม่เพียงแค่ภาวะสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเร็วกว่าปกติ แต่ยังทำให้เสียบุคลิกภาพ เพราะต้องหยีตาตลอด เมื่อเด็กมองไม่ชัด ซึ่งภาวะสายตาสั้นทำให้จำเป็นต้องหยีตามองสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในระยะไกลตลอดเวลา ซึ่งมีผลต่อวิสัยทัศน์และบุคลิกภาพ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

♦ 5 ป้องกันอันตรายจากแสงสีฟ้า

ดังนั้นเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยง อันตรายจากแสงสีฟ้า และปกป้องไม่ให้สายตาของลูกเสียก่อนวัยอันควร เอสซีลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์สำหรับดวงตาชั้นนำของโลก มีข้อแนะนำดีๆสำหรับคุณพ่อคุณแม่มาฝากกัน

เลือกใช้แว่นตาที่มีเลนส์กรองแสงสีน้ำเงิน

การเลือกใช้แว่นตาที่มีเทคโนโลยีกรองแสงสีน้ำเงิน จึงเป็นก้าวแรกในการถนอมดวงตาของเด็ก และลดความเสี่ยงจากโอกาสการเกิดปัญหาทางสายตาที่รุนแรงขึ้นในอนาคต เลนส์เอสซีลอร์ Blue UV Capture นวัตกรรมกรองแสงสีน้ำเงินชนิดอันตรายในเนื้อเลนส์แต่ปล่อยช่วงแสงที่มีประโยชน์ผ่านเข้ามา เลนส์ Blue UV Capture สามารถปกป้องดวงตามากกว่าเลนส์ใสทั่วไป 3 เท่า รวมถึงป้องกันรังสียูวีทั้งด้านหน้าและด้านหลังของเลนส์มากถึง 35 เท่า เลนส์แว่นตาแม้ใช้เพียงปกป้องดวงตาโดยไม่มีค่าสายตาเพื่อแก้ไขการมองเห็น ก็ควรเลือกเลนส์คุณภาพเพื่อถนอมดวงตาของลูกน้อยในระยะยาว

อันตรายจากแสงสีฟ้า

ใช้จอคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมและปรับแสงสว่างหน้าจอให้พอเหมาะ

พ่อแม่ควรเลือกจอคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดมากกว่า 19 นิ้ว และเป็นจอที่กันแสงสะท้อน เพราะถ้ามีแสงสะท้อนจะทำให้รู้สึกไม่สบายตา และที่สำคัญควรปรับสภาพแวดล้อม แสงสว่างโดยรอบให้พอดี เพื่อลดความสว่างของหน้าจอไม่มืดหรือสว่างจนเกินไป และควรจัดแสงจากภายนอกให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ไม่ให้แยงตาโดยตรงเพราะจะทำให้ตาล้ามากขึ้น

กำหนดระยะห่างระหว่างสายตากับหน้าจอ

ระยะห่างที่พอเหมาะสำหรับอุปกรณ์ดิจิทัลจะทำให้ลูกของคุณไม่ต้องใช้กำลังโฟกัสของตามากเกินไปจนเกิดอาการล้าของตาได้ หากใช้แทบเล็ต หรือหน้าจอมือถือควรห่างประมาณ 1 ฟุต ถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะควรห่างประมาณ 2 ฟุต ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรจัดระยะห่างให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพสายตาที่ดีสำหรับลูกๆ รวมถึงคุณพ่อคุณแม่เองด้วย

ปรับขนาดตัวอักษรบนหน้าจอดิจิทัล ไม่ให้มีขนาดเล็กจนเกินไป

ขนาดตัวอักษรที่ทำให้อ่านได้สบายตาในเวลานานๆ จะต้องมีขนาดอย่างน้อย 3 เท่าของขนาดที่เล็กที่สุดที่สามารถอ่านได้ในระยะนั้น

พักสายตาด้วยเทคนิค 20-20-20

พ่อแม่ควรฝึกให้ลูกรู้จักพักสาตา ด้วยเทคนิค 20-20-20 คือทุก 20 นาทีในการจ้องหน้าจออุปกรณ์ดิจิทัลต่างๆ ควรพักสายตา 20 วินาที โดยมองออกไปไกล 20 ฟุต เพื่อช่วยให้ดวงตามีการเปลี่ยนระยะโฟกัสและผ่อนคลาย ซึ่งในระหว่างนี้ผู้ปกครองอาจให้เด็กๆ ได้พักจากหน้าจอลุกยืดเส้นยืดสายด้วย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายไปพร้อมกัน

นอกเหนือจากการดูแลปกป้องดวงตาของเด็กๆแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ควรพาลูกไปตรวจสุขภาพตาเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง เพราะการมองเห็นคือสิ่งสำคัญ เราจึงไม่ควรมองข้ามการตรวจดวงตา เพราะโรคทางตาหลายโรคที่จะไม่แสดงอาการจนกว่าจะเข้าสู่ระยะรุนแรงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็อาจสายเกินกว่าจะรักษาให้เป็นปกติได้

# # # ## # # #

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจคลิกที่ภาพได้เลย ⇓

ระวัง! ลูกจ้องจอนาน เสี่ยง สายตาสั้นเทียม ตัดแว่นได้ไม่ตรงค่าสายตา

5 ผักเทพช่วย บำรุงสายตาลูก

เลเซอร์เข้าตา ลูกน้อยเสี่ยงตาบอดจริงหรือ?

สายตาเสีย ตั้งแต่เล็กเพราะทำ 8 พฤติกรรรมเสี่ยง!

 

 

    สอนหนังสือลูก

    สอนหนังสือลูก 1 วัน ทำอะไรดี? ถ้าไม่เรียนออนไลน์ โดยพ่อเอก

    เรียนออนไลน์ เป็นหัวข้อที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกสนานบน social media แทบทุกวัน พิมพ์ใส่กันจน keyboard ลุกเป็นไฟ แต่ในขณะที่เราถกกันเรื่องคุณภาพการสอน เราก็ไม่ควรลืมนึกถึงความพร้อมที่จะเรียนรู้ของลูกเราด้วย ตอนนี้สิ่งที่ครอบครัวเรา สอนหนังสือลูก ในช่วงที่เป็นเทอมย๊าวยาว เราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องเรียนรู้ในเชิงวิชาการอะไรมากมาย แต่ให้เรียนรู้ผ่านการใช้ชีวิตไปด้วย

    เพราะเด็กตัวเล็กๆ ชั้นอนุบาล ประถมหนึ่งถึงหก จะหวังอะไรมากมายว่าจะนั่งมีสมาธิฟังครูจอสี่เหลี่ยม แถมไม่ได้มีการเตรียมความพร้อมใดๆ ให้เด็กแต่เป็นเพราะพี่โควิด-19 ไม่พร้อมให้เด็กๆ ไปโรงเรียนแล้วเราจะคาดหวังว่าเอาเขามานั่งปุ๊กหน้าทีวีแล้วเรียนได้เลยรึ ผมกลับคิดว่าถ้าเด็กคนนั้นนั่งเรียนได้ทั้งวันสิน่าเป็นห่วง

    สิ่งที่เราทำ เป็นการตกลงร่วมกันระหว่างพ่อแม่และลูก โดยมีการเขียนตารางในแต่ละวันว่าจะทำอะไรบ้าง เป็นตารางแผนกิจกรรมคล้ายๆ ตารางสอนที่เราไปโรงเรียน แต่ตารางมาจากการเสนอขึ้นมาของเด็กๆ โดยเราในฐานะพ่อแม่ก็ดูความเหมาะสมว่ามีกิจกรรม เรียนรู้ เล่น ทำงาน พักผ่อน ในระดับพอเหมาะ เพราะขืนให้เจ้าตัวเล็กวางตารางตามใจหมดมีหวังเต็มไปด้วยสารพัดการเล่น ตัวอย่างตารางในช่วงเช้าวันจันทร์ถึงศุกร์ของพี่ปูนปั้น

    สอนหนังสือลูก 1 วัน ทำอะไรดี?

    07.30-8.00               อาหารเช้า

    08.00-09.00            LEGO

    09.00-10.00            อ่านหนังสือ

    10.00-11.00             วาดเขียน

    11.00-12.00             free time

    12.00-13.00             อาหารเที่ยง

    นอกจากนั้นก่อนออกจากบ้าน ผมก็มักจะมี assignment ที่ผสมการเรียนรู้ การเล่นและการใช้ชีวิตให้ลูกได้ทำทุกวัน (ผมออกไปทำงานตามปกติ แต่ภรรยา work from home) เพื่อสร้างให้เขามีความรับผิดชอบและท้าทายไปด้วย ตัวอย่าง assignment ที่ผมเขียนให้ปูนปั้นวันละ 3 อย่าง เผื่อคุณพ่อคุณแม่จะไปลองปรับใช้ในการ สอนหนังสือลูก ที่บ้าน เช่น

    การบ้านคณิตศาสตร์ :

    ผมก็เอาโจทย์ชีวิตจริงมาเลย เพราะตอนเช้าผมจะฝากเงินไว้ให้ภรรยาไว้สำหรับ ซื้ออาหารกลางวัน หรือ เครื่องดื่ม ขนม ไว้ทานกัน

    วันนี้ปะป๊าฝากเงินกับหม่ามี้ไว้                xx                         บาท

    ซื้ออาหารกลางวัน                                (เติมเลข)               บาท

    ซื้อเครื่องดื่ม                                         (เติมเลข)               บาท

    เหลือเงิน                                               (เติมคำตอบ)         บาท

     

    การบ้านภาษาไทย :

    ให้ทำตัวละครจากเศษวัสดุ (เช่นกระดาษ กระป๋อง เป็นต้น) แล้วเล่าเป็นนิทาน 1 เรื่อง แล้วให้หม่ามี้อัดคลิปให้ปะป๊าดู

     

    การบ้านภาษาอังกฤษ :

    A book A day – หาหนังสืออังกฤษ 1 เล่มมาอ่านและตอบคำถามเมื่ออ่านจบ

    เขียนเรื่อง 1 เรื่องที่มีอย่างน้อย 10 ประโยค

     

    การบ้านอื่นๆ :

    ไวโอลิน : แกะเพลง Happy Birthday และเขียนโน้ตใส่บรรทัด 5 เส้น

    เลโก้ : ต่อเครื่องบินที่ต้องมี cockpit ให้นักบินเข้าไปนั่งได้

    ประดิษฐ์ภาพจากเศษวัสดุ : เก็บเศษวัสดุ ในบ้านและรอบๆ บ้านมาทำเป็นรูปสัตว์

     

    ลองเอาไปใช้ดูนะครับ เด็กๆ ได้เรียนรู้ไปแบบที่นึกว่ากำลังเล่นเกมส์ ส่วนคุณพ่อคุณแม่กลับมาตรวจการบ้านก็สนุกไปด้วย และจะได้ผลการเรียนรู้ที่ดีถ้าเรานั่งลงคุยกับลูกว่าที่หนูทำแต่ละอย่าง ได้เรียนรู้อะไร หนูคิดอะไรตอนทำออกมาแบบนี้ เป็นการทบทวนความคิดและเราสามารถเติมความรู้ให้เขาได้ อ้อออออ เคล็ดลับดึงดูดใจ มีของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ คำชมใหญ่ๆ ในการทำงานมาส่งให้เราด้วยนะครับ


    >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

    หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

    ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
    ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    6 กิจกรรมเล่นกับลูกสไตล์ มอนเตสเซอรี่ เสริมทักษะให้ลูกง่ายๆ ได้ที่บ้าน

    30 กิจกรรม เล่นสนุกอยู่กับบ้านง่ายๆ เสริมพัฒนาการลูกน้อย

      “โฟร์โมสต์-อีจัน” เตรียมพร้อมคาราวานรถนม ลงพื้นที่เดินหน้าภารกิจ ส่งมอบกำลังใจให้คุณแม่ พร้อมสารอาหารจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อเด็กๆ ภายใต้แคมเปญ “แม่ตกงานลูกอดนม”

      วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ณ โรงเรียนพิบูลประชาสรรค์ เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร ตัวแทนผู้บริหาร บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ นำโดย ดร.โอฬาร โชว์วิวัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ (กลาง) และ คุณราชเทพ นฤหล้า ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (ซ้ายสุด) พร้อมทีมงาน ได้มอบผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มสำหรับเด็ก ตราโฟร์โมสต์ โอเมก้า 369 และโยเกิร์ตพร้อมดื่มยูเอชที ตราโฟร์โมสต์ โอเมก้า จำนวน 2,390 ลัง มูลค่ากว่า 830,000 บาท

      เพื่อเตรียมความพร้อมการลงพื้นที่เดินหน้าภารกิจ คาราวานรถนมอีจันสนับสนุนโดยโฟร์โมสต์ ส่งมอบกำลังใจให้คุณแม่ พร้อมสารอาหารจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อเด็กๆ ภายใต้แคมเปญ ‘แม่ตกงานลูกอดนม’ โดยผลิตภัณฑ์นมจะถูกส่งมอบให้คุณแม่ที่มีลูกเล็กและอาศัยอยู่ในชุมชนแออัด ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยกำหนดตั้งเป้าส่งมอบนมพร้อมดื่มถึงมือคุณแม่และเด็กๆ ในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเขตต่างจังหวัดบางพื้นที่ โดยคาราวานรถนมจะเริ่มลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม จนถึงประมาณสิ้นเดือนพฤษภาคม หรือจนกว่าสินค้าจะหมดโฟร์โมสต์และเพจอีจัน ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจต้านภัยโควิด-19 ด้วยการมอบโภชนาการที่ดีจากน้ำนมโคคุณภาพเพื่อเสริมสร้างให้เด็กๆมีร่างกายที่แข็งแรง พร้อมส่งกำลังใจให้คุณแม่ทุกท่านให้ผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 นี้ไปด้วยกัน

        Tags

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

        500 ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว เรียกง่าย ทั้งเก๋ทั้งเท่ แถมไม่ตกยุค!

        รวม ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นพยางค์เดียว แม้จะเป็น ชื่อพยางค์เดียว แต่ก็เก๋ได้ เรียกง่าย ติดหู แถมไม่เชย ตั้งแต่ ก-ฮ จะมีชื่อใดบ้าง ตามมาดูกัน

        รวม 500 ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว เรียกง่าย แต่ไม่เชย

        หากคุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาไอเดีย ตั้งชื่อลูก ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ทีมแม่ ABK ได้รวบรวม ชื่อเล่นพยางค์เดียว มาฝากกว่า 500 ชื่อ ทั้งลูกสาว ลูกชาย ตั้งแต่ ก-ฮ ซึ่งแม้จะเป็น ชื่อพยางค์เดียว แต่ขอบอกว่าเป็นชื่อที่เก๋ เท่ แปลกหู ไม่เชย เรียกง่าย ไม่เหมือนใคร จะมีชื่อใดบ้าง ตามมาดูกันเลย

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
        ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

        หมวด ก – ซ

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ก

        กั๊ก , กัฟ , กู๊ด , แกรนด์ , เกรซ , กอล์ฟ , กาญจ์ , กัญจ์
        เกื้อ , กิ๊บ , กีฟ , แก้ว , กช , การ์ด , กราฟ , เกมส์ , แก้ม
        แก้ว , เกี๋ยว , ไกด์ , ก้อง , กริช , เกรฟ , กรีน , กัส , กก , เกียร์
        เกล้า , เกล , กั้ง , เก็ต , กาย , กุมภ์ , กริ๊ง , กรุ๊ป

        ชื่อเล่น

        ขิม , เข็ม , เขม , เข้ม , เขต , ขวัญ , ข้าว , เขื่อน , ขุน

        ชื่อเล่น ค , ฆ

        คูณ , คอปป์ , คิว , เค , คิม , แคมป์ , คริส , โค้ด , โคช
        คิง , ค่าย , เคน , คริสต์ , ไค , คีย์ , ควีน , ครีม , คีน
        คอมพ์ , คลิ๊ก , ฆ้อง

        ชื่อเล่น จ

        จีน , เจล , เจย์ , จี , เจ , แจ็ค , เจมส์ , จิ๊ก , เจ็ท , จัส , จั๊ก
        จั๊มพ์ , เจ๋ง , จิม , จุน , โจนส์ , จ๊ะ , จ๋า , เจส , จิ๊ง , จ๋อม

        ชื่อเล่น ฉ , ช

        ฉัตร , แชมป์ , ชัช , ชิน , เชียร์ , เชน , แชร์น
        ชีส , ชิลล์ , ชิว , ช้อป , ชาร์จ

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

        ซัพพ์ , ซอล , ซ่า , เซต , ซิกส์ , ซีล , โซ่  , แซม , เซนต์
        แซนด์ , เซิฟ , เซิร์ท , ซัน , ซานด์ , ซูม , เซฟ , เซนส์
        ซอฟท์ , เซ่ , เซย์ , แซ็ค , ซายน์ , ซ้ง , โซน , ซี

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
        ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

        หมวด ฌ – ธ

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ฌ , ฐ , ฑ

        ฌอร์น , ฌอณ , ฌาม , ฌาน

        ฐา , เฑียร , เฑีย

        ชื่อเล่น ด

        ดรีม , เดย์ , ดอย  , ดิน , ดาว , ดราฟ , ดัมซ์ , ด้าย , ดิม
        เดียร์ , แดน , โดม , ดิว , ดั๊มพ์ , เดฟ , ดีน , ไดรฟ์ , ดริ๊งก์ , ได

        ชื่อเล่น ต

        เติร์ด , เติร์ก , เตย์ , ต้อง ต้าร์ , ตอง , ตอย , แต๊งค์ , ตอล
        ตุลย์ , ตาณ , ตาว , ต๊ะ , เติ้ล , เตนส์ , ต่อ , ต้อ , เตียง , ตู้
        เต๋ง , ติณณ์ , เต้น , เต็นท์ , แต้ม

        ชื่อเล่น ท

        เทมส์ , ทอย , ทอท , ที , เทย์ , ไทป์ , แทน , ทาย
        ไท , ไทย , ทิม , ไทม์ , ทาม , ทิวส์ , เท็น , ทัช , ทัพพ์
        ทาวน์ , แท็ป

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

        ธีม , ธรรม , ธูป , เธียร , ธีร์ , ธาม , ธันว์

         

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
        ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

        หมวด น – ฟ

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

        นาฟ , ไนท์ , เนย์ , เนียร์ , นาว , นาย , นิกข์
        เนตร , เนท , โน้ต , น่าน , ไนน์ , ไนล์ , นิวส์ , โน๊ะ
        นอร์ท , เนย , นิ่ม

        ชื่อเล่น บ

        ไบร์ท , เบย์ , บุญ , บอส , เบียร์ , เบฟ , เบลล์ , บ๊วย
        บอน์น , เบนซ์ , บีม , บุ๋น , แบม , เบสท์ , เบิร์ท , โบ๊ท
        บุ๊ค , บลอนด์ , บลูม , บลู , บิวต์ , บัว , บริ้งค์ , แบงค์

        ชื่อเล่น ป

        ปั๊ม , เปย์ , ปอนด์ , ปูน , ป้าย , เป้ย , เป๊ก , ปิณณ์
        ปิ่น , ปุณณ์ , ปันน์ , ปราย , ปาล์ม , ปาน , ป่าน , แป๊ก
        แปน , ป๊อป , ปอร์ , ปลื้ม , ปราบ , ปั้น , ปิน , ปาร์ค
        ปริ๊นท์ , ปีป , ไปร์ท , ปริม , เปรี้ยว , ปราชญ์ , ป๊วย

        ชื่อเล่น ผ , ฝ

        ไผ่ , ผา , เผ่า , ฝุ่น , ฝ้าย

        ชื่อเล่น พ

        พลัส , พราวด์ , เพิร์ล , พาย , โพธิ์ , พราว , พั๊นซ์ , เพลง
        เพลิน , พลีส , พีช , พูห์ , พลอย , เพชร , โพสต์ , พิมพ์ , พินน์
        พลับ , พรีม , พริม , พลัช , แพน , แพลนด์ , พีค , พ้ง , โพร์ท
        แพท , แพ็กซ์ , เพื่อน , พร้อม , เพิ่ม , พิงค์ , พินต์ , พอร์ช

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

        ฟร้อง , ฟรังค์ , เฟรนด์ , เฟียส , ฟอร์ด , ฟอร์ส , ฟิกซ์
        ฟินน์ , เฟย , เฟย์ , แฟร์ , โฟม , โฟร์ , โฟน , ฟาง , ฟาร์
        ฟิกน์ , เฟรม , ฟลุค , แฟ้ม , ฟาร์ม , เฟรช , ฟอร์ด , ฟราน
        เฟี๊ยต , เฟิร์น , แฟรงค์ , เฟิร์ท , ไฟว์ , ฟง , เฟิร์ส
        ฟร้อน , ฟรองต์ , ฟอง , ฟิล์ม , ฟิวส์ , ฟินส์ , โฟล์ค

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
        ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

        หมวด ภ – ล

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว

        ภู , ภาค , ภีม , ภู่

        ชื่อเล่น ม

        มอลต์ , แม็กซ์ , เม้ย , เมย , มิว , มิ้ว , มิลล์ , มิลค์
        มาร์ค , มายด์ , มาร์ช , ไม้ , มอส , มาร์ , ไมค์ , โม่ , มิกซ์
        มีส , เม่น , มุก , ม่อน , มิ้นท์ , แมน , เมือง , มีน , มิน
        มิวซ์ , มุ่ย , เม้าส์ , มุ้ย , มิ้ม

        ชื่อเล่น ย

        ยีนส์ , ยิ้ม , โย , ยูว์ , แยม , ยิว , ยิม , ยูน , ย้ง , ยอร์ช , ยุค

        ชื่อเล่น ร

        เรย์ , รินน์ , เรน , รุ้ง , รัน , ราม , ริช , เรียว

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ล

        เลิฟ , เลย์ , เล้ง , ไลค์ , ลินน์

         

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ชื่อเล่นลูกชาย พยางค์เดียว
        ชื่อเล่นลูกสาว พยางค์เดียว

        หมวด ว – ฮ

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ว , ศ , ส

        วอยซ์ , ว่าน , วินส์ , วอร์ม , วี , เวียร์ , วิลด์ , ไวท์
        เวย์ , เวฟ , วุ่น , เวลล์ , ไวน์ , วิ๊งค์

        ศีล , เสิร์ช , เสือ , สิงห์ , แสบ

        ชื่อเล่น ห , ฬ

        เหม , หยก , ไหม , หวาย , หวาน , เหนือ , หนาม , หนุน
        หลิน , หยิน , เหม่ย , หยวน , หมอก , โฬม

        ชื่อเล่น อ

        อาฟ , ออยล์ , อาร์ต , เอฟ , อาย , เอย , เอ๋ย , แอล
        อุล , แอม , แอ้ม , แอ๊ม , อาร์ , อินท์ , เอื้อ , โอป , อีฟ
        เอิง , เอิร์น , อัพ , เอม , อันน์ , อุ่น , อิฐ , เอิร์ธ , ไอซ์
        อิงค์ , อาร์ม , เอิร์ก , อินซ์ , อาร์ค , อ้าย , อ๋อ , อ๋อง
        แอป , เอฟ , อัยย์ , อิม , โอม , เอลฟ์ , เอิร์ท

        ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว ฮ

        ฮุก , ฮาฟ , ฮาร์ด , ฮาร์ท , โฮป , ฮาย , ฮิม , ฮั่น
        ฮอลล์ , ฮัท , ฮุย , ฮาวล์ , ฮิลล์ , ฮอต

         

        อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ นอกจาก ชื่อเล่นลูกพยางค์เดียว คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

        โปรแกรมตั้งชื่อลูก ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด ชื่อมงคล ความหมายดี เยอะที่สุด

        ทำไงให้ท้อง? 12 ทางลัด ที่คนอยากมีลูกไม่ควรพลาด

        7 ท่าเซ็กส์แนะนำ! ทำได้หลังคลอด ปลอดภัย ไม่เจ็บ ไม่กดทับแผล

        อยากมีลูกต้องทำไง ? ลอง 9 วิธีแบบธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ ลูกมาแน่

        858 ชื่อเล่น ลูกสาว-ลูกชาย สุดฮิตติดเทรนด์ ปี 2020

        108 ชื่อลูกชาย 2 พยางค์ เท่ๆ มีครบตั้งแต่ ก-ฮ

        15 นักร้องยุค 90 (ผู้ชาย) มีลูกแล้ว!

        ฝันว่ามีลูก ฝันว่ามีลูกผู้ชาย จริงหรือเปล่าที่จะได้ลูก?

         

          งานบ้าน

          8 เคล็ดลับกระตุ้นให้ลูกทำ งานบ้าน เสริมสร้างทักษะชีวิตแต่เล็กมีแต่ได้กับได้

          คุณพ่อคุณแม่ทราบหรือไม่ว่าการฝึกให้ลูกช่วยทำ งานบ้าน แม้ว่าจะเป็นงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่กลับเป็นการเสริมสร้างทักษะชีวิตที่ฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบ ได้ความภาคภูมิใจ และเรียนรู้ในการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นการพัฒนาทักษะสมอง EF ด้วย จัดได้ว่าเป็นโอกาสทองของลูก ๆ ที่พ่อแม่ได้เปิดโอกาสให้ลูกช่วยทำงานบ้านตั้งแต่เล็ก

          Julie Lythcott-Haims นักเขียนและอดีตผู้นำนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้กล่าวบนเวที TED Talk ว่า “จากการศึกษาวิจัยพบว่าความสำเร็จของลูก เริ่มต้นขึ้นจากการทำงานบ้านในช่วงวัยเด็ก ยิ่งให้ลูกเริ่มต้นเร็ว เด็กก็จะยิ่งเรียนรู้ได้ดีขึ้น แต่หากบ้านไหนสปอยล์ลูก ไม่ให้เด็กช่วยลงมือทำงานอะไรเลย เขาก็จะคิดว่าเดี๋ยวพ่อแม่ก็ต้องมาทำให้ เด็กก็จะซึมซับพฤติกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ จนติดเป็นนิสัย ซึ่งไม่เพียงแต่ทำงานบ้านเท่านั้น แต่อาจรวมถึงการเรียน การทำการบ้านด้วย เป็นต้น” โดยการช่วยทำงานบ้านสำหรับเด็กนั้นสามารถฝึกให้ลูกช่วยทำได้ตั้งแต่วัยอนุบาล แต่สำหรับบ้านไหนที่ยังไม่เคยให้ลูกได้ลองช่วยทำงานบ้าน โดยเฉพาะในเด็กวัยเรียนหรือลูกโตแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจต้องมีเทคนิคในการชวนลูกช่วยทำงานบ้านกันเล็กน้อย เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้งานบ้านไม่กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อและสนุกสนาน

          8 เคล็ดลับกระตุ้นให้ลูกทำ งานบ้าน เสริมสร้างทักษะชีวิตแต่เล็กมีแต่ได้กับได้

          สอนลูกทํางานบ้าน

          1.ทำงานเป็นทีม

          วิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการให้ลูกช่วยทำงานบ้านอย่างการทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว ฯลฯ แบบสนุกยิ่งขึ้นก็คือการทำไปด้วยกัน พร้อมกับเปิดเพลงโปรดของลูก ร้องเพลงไปด้วยขณะทำความสะอาดไปด้วย ให้เวลาทำงานบ้านเท่ากับเวลาเล่น ก็จะเปลี่ยนการทำความสะอาดให้เป็นเรื่องน่าสนุกได้ และถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างครอบครัว

          2.เปลี่ยนงานบ้านด้วยการเล่นเกมจับฉลาก

          เปลี่ยนจากการทำความสะอาดห้องหรือทำหน้าที่ที่ลูกต้องรับผิดชอบอย่างจำเจ มาลองทำฉลากให้เด็ก ๆ จับเพื่อเลือกห้องที่จะทำความสะอาดหรือประเภทของงานบ้านอื่น ๆ กันดูค่ะ เช่น จับได้สีเขียว = ห้องนั่งเล่น สีชมพู = ล้างจาน สีแดง = ห้องนอนของพ่อแม่ เพื่อให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าพวกเขากำลังเลือกและได้ทำงานอื่น ๆ ที่ท้าทายและแปลกใหม่มากขึ้น

          3.ให้รางวัลสะสมแต้ม

          การให้รางวัลเป็นสิ่งกระตุ้นเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการชวนให้เด็ก ๆ อยากทำงานบ้านที่แสนน่าเบื่อได้ดียิ่งขึ้น คุณพ่อคุณแม่อาจแจกสติ๊กเกอร์เป็นรางวัลหรือให้ดาวติดลงในสมุดทำความดี เพื่อให้ลูกนำมาแลกกับรางวัลที่เขาควรจะได้ เช่น การพาไปสถานที่โปรด อุปกรณ์การเรียน หนังสือเล่มใหม่ เป็นต้น

          สอนให้ลูกช่วยงานบ้าน

          4.ให้ลูกวางแผนงานบ้านด้วยตัวเอง

          ให้เด็ก ๆ ได้วางแผนการทำงานในแต่ละสัปดาห์ด้วยตัวเอง เช่น วางแผนมื้ออาหารสุดโปรดและลงมือทำอาหารเย็นโดยมีคุณแม่เป็นลูกมือ การให้ลูกได้ออกแบบกิจกรรมเองจะทำให้มีความฉลาดเกี่ยวกับการวางแผน มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำสิ่งใหม่ ๆ  ซึ่งทำให้เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานมากกว่างานบ้านที่น่าเบื่อ

          5.ชมเชย

          เมื่อลูกได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมในการทำงานบ้านของครอบครัว เมื่อพวกเขาทำงานเสร็จแล้วคุณพ่อคุณแม่อย่าลืมที่จะเอ่ยคำชมเชยหรือขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่งานเล็ก ๆ น้อย เช่น พับผ้า พาน้องหมาไปเดินเล่น เอาขยะไปทิ้งถังหน้าบ้าน ล้างจาน ฯลฯ สิ่งนี้จะทำให้ลูกเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งขึ้น และรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง

          6.ใช้ภาษาที่นุ่มนวล

          การฝึกให้ลูกทำงานบ้าน กุญแจสำคัญคือการใช้ภาษาที่ไม่บ่งบอกว่าเป็นการบังคับ แทนที่จะเป็นคำสั่งที่จะบอกให้ลูกทำ เช่น “ลูกต้องเก็บที่นอนนะ!” เป็น “ถ้าลูกเก็บที่นอนของตัวเองทุกวันลูกจะดูน่ารักมากเลย” และคุณพ่อคุณแม่ควรพยายามที่จะรักษาน้ำเสียง เมื่อเด็ก ๆ บ่นอิดออดในการช่วยงาน ไม่พยายามพูดเสียงดุหรือขู่ แต่ใช้คำพูดเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ลูกทำจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ลูกจะมีความรู้สึกอยากทำมากขึ้น

          ลูกช่วยงานบ้าน

          7.ลงมือทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่าง

          หากเพิ่มงานบ้านในชิ้นที่ยากขึ้นและลูกไม่เคยทำงานนั้น ๆ มาก่อน คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่างที่ละขั้นตอน คอยแนะนำและอธิบายให้ฟังอย่างชัดเจน และไม่คาดหวังว่าเด็ก ๆ จะทำได้เหมือนที่คุณพ่อคุณแม่ทำตั้งแต่ครั้งแรก ลองปล่อยให้ลูกทำเท่าที่ทำได้ เพื่อเป็นการฝึกฝนประสบการณ์เพิ่มเติมไปเรื่อย ๆ

          8.ปล่อยให้ลูกได้ทำเองอย่างเป็นอิสระ

          หลังจากคุณพ่อคุณแม่ได้มอบหมายงานบ้านให้ลูกทำ ควรปล่อยให้ลูกได้ทำอย่างเป็นอิสระ ให้เรียนรู้ด้วยตนเอง แม้ว่าบางอย่างในตอนนี้อาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี เช่น ยังมีคราบติดหลังลูกล้างจาน พื้นบ้านยังถูไม่ทั่ว ฯลฯ แต่คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิ่งรีบเข้าไปจัดการด้วยตัวเอง ปล่อยให้ลูกได้ทำจนสำเร็จด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการเรียนรู้เมื่อลูกเติบโตขึ้น ลูกจะช่วยเหลือตัวเองได้และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ดี

          สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เด็ก ๆ ได้สนุกกับการทำงานในบ้านมากขึ้น ข้อสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ควรกำหนดตัวเลือกงานบ้านให้เหมาะสมตามวัยของลูก โดยฝึกให้ทำเป็นประจำเรื่อย ๆ หลังกลับจากโรงเรียนหรือทำทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับงานบ้านในเด็กวัยเรียน อาทิเช่น

          • งานบ้านวัย 6-7 ปี เด็กในวัยนี้เริ่มโตและมีความรับผิดชอบมากขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่สามารถมอบหมายงานประจำเล็ก ๆ น้อยในบ้าน เช่น จัดโต๊ะทานข้าว เช็ดโต๊ะ กวาดบ้าน ถูบ้าน ช่วยคุณแม่ล้างจานชามหลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว หรืออาจจะชวนลูกเข้าช่วยคุณแม่ทำอาหาร ซึ่งอาจจะเริ่มจากขั้นตอนง่าย ๆ เช่น หุงข้าว ล้างผัก ผลไม้ หรือลงมือทำเมนูง่าย ๆ อย่าง สลัด ทอดไข่เจียว เป็นต้น

          ช่วยทำงานบ้าน

          • งานบ้านวัย 8-11 ปี สามารถมอบหมายงานบ้านที่มีขั้นตอนเพิ่มมากขึ้นให้ลูกรับผิดชอบได้ด้วยตัวเอง เช่น ทำความสะอาดบ้าน ดูแลจัดเก็บห้องนอน ซักผ้า ตากผ้า พับผ้าของตัวเอง ช่วยคุณแม่ทำอาหาร ทำขนมในเมนูที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกหน่อยได้ หรืออาจจะปล่อยให้ลูกได้คิดเมนูและลองเตรียมอาหารมื้อง่าย ๆ ทำด้วยตัวเอง เป็นต้น
          • งานบ้านสำหรับวัย 12 ปีขึ้นไป ในวัยนี้ลูกโตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองเต็มที่แล้ว คุณพ่อคุณแม่สามารถมอบหมายให้รับผิดชอบงานบ้านได้หลายหลายประเภทมากขึ้น เช่น รีดผ้า ดูแลน้อง ทำอาหารเองได้ รวมถึงการซ่อมแซมงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ก็ยังคงต้องคอยดูแลและคอยระวังเรื่องการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตราย

          งานบ้านที่คุณพ่อคุณแม่มอบหมายให้ลูกได้ทำเรื่อย ๆ จะช่วยเสริมสร้างทักษะในการฝึกตนเองให้เก่งขึ้น มีความรับผิดชอบต่อตนเอง มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว อีกทั้งยังเป็นการสร้างฝึกวินัย รู้จักควบคุมตนเองที่ดีอีกด้วย ทั้งนี้มีจากการศึกษาพบว่าเด็กที่ทำงานบ้านมาตั้งแต่ยังอายุน้อย ๆ จะทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและตรงตามต้องการ มีสมาธิในการตั้งใจฟัง จับประเด็นได้ดีอันเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ง่าย มีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น พร้อมจะให้ความช่วยเหลืออื่นได้ นอกจากนี้เด็กที่ทำงานบ้านมาตั้งแต่เด็ก ๆ และยิ่งทำมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้พวกเขามีความสุขและมีสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวมากยิ่งขึ้นด้วยนะคะ.

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.mthai.com1896.htmlwww.parents.com

          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

          วิจัยชี้ฝึก ลูกช่วยทำงานบ้าน โตไปประสบความสำเร็จในชีวิต

          11 งานบ้านทำเพลินแถม เบิร์นไขมัน เผาผลาญแบบไม่ต้องไปฟิตเนส

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม

            คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม กินมากไปเสี่ยง 7 โรคกระทบลูกในท้อง

            เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “น้ำอัดลม” เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของใครหลายคนที่ให้ความสดชื่นและมีรสที่หวานอร่อย  ซึ่งมีคุณแม่ตั้งครรภ์จำนวนไม่น้อยที่ชอบดื่มน้ำอัดลมตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ แต่ระหว่างท้องนี้ คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม มาไขข้อข้องใจนี้กันค่ะ

            คนท้องกินน้ำอัดลมได้ไหม กินมากไปเสี่ยง 7 โรคกระทบลูกในท้อง

            ความจริงแล้วเราต่างรู้ดีกว่า ถึงแม้น้ำอัดลมจะเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความสดชื่น มีรสซ่า หวานอร่อย แต่ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับร่างกาย นอกจากไม่มีคุณค่าทางสารอาหารแล้วยังมีน้ำตาลสูงและแคลอรี่ในปริมาณมาก โดยน้ำอัดลมชนิดน้ำดำกระป๋องปริมาณ 325 มิลลิลิตร มีน้ำตาลประมาณ 31 กรัม หรือ 8 ช้อนชา และน้ำอัดลมน้ำสีและน้ำใสกระป๋องปริมาณ 325 มิลลิลิตร มีน้ำตาลประมาณ 39 กรัม หรือ 10 ช้อนชา เมื่อดื่มในปริมาณมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้

            ทั้งนี้มีข้อมูลอ้างอิงว่า การดื่มน้ำอัดลมทุกวันระหว่างตั้งครรภ์ไม่ว่าจะมีคาเฟอีนหรือไม่ ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากมีงานวิจัยที่แนะนำว่า การดื่มน้ำอัดลมมากกว่า 1 แก้วต่อวันในช่วงตั้งครรภ์ สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดคลอดก่อนกำหนด และอันตรายของน้ำอัดลมอาจส่งต่อปัญหาสุขภาพของคุณแม่และกระทบต่อลูกน้อยในตั้งครรภ์ได้มากมาย อาทิเช่น

            กินน้ำอัดลมตอนท้อง
            กินน้ำอัดลมตอนท้อง

            1.อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทารกในครรภ์

            มีงานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสาร the American Journal of Preventive Medicine ได้ให้ข้อมูลว่า คุณแม่ตั้งครรภ์อาจต้องหยุดบริโภคน้ำอัดลม เพราะอาจส่งผลถึงทักษะการเรียนรู้และความจำของลูกที่คลอดออกมา เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่า เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์บริโภคน้ำตาลมาก โดยเฉพาะน้ำตาลจากการดื่มน้ำอัดลม มีแนวโน้มว่าเด็กอาจมีทักษะด้านความรู้ความเข้าใจต่ำกว่าปกติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับทักษะการพูด (verbal knowledge) และทักษะการสื่อสาร (non-verbal skills)

            2.คาเฟอีนส่งผลกระทบต่อสุขภาพครรภ์

            รู้หรือไม่ว่าในคาเฟอีนนั้นไม่ได้มีแค่ในเครื่องดื่มกาแฟหรือชาเท่านั้น แต่ยังมีอยู่ในเครื่องดื่มและอาหารอีกหลายชนิด ในน้ำอัดลมปริมาณ 355 มิลลิลิตร จะมีคาเฟอีนประมาณ 37 มิลลิกรัม ซึ่งสารชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น อาจไม่เป็นผลดีต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์นัก โดยผลกระทบของการได้รับคาเฟอีนมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น อาจส่งผลต่อให้เกิดโอกาสที่จะเกิดการแท้ง ภาวะคลอดก่อนกำหนด ทารกมีน้ำหนักแรกคลอดต่ำกว่าปกติ หรือเด็กพิการแต่กำเนิดได้ เป็นต้น ซึ่งทางองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดไว้ว่า ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ไม่ควรได้รับคาเฟอีนอยู่ เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน และควรควบคุมปริมาณการดื่มเครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีนไม่ให้มากจนเกินไป

            3.ขาดสมดุลทางโภชนาการต่อร่างกาย

            หนึ่งในเหตุผลที่คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลมในช่วงตั้งครรภ์เพราะในน้ำอัดลมนั้นถือว่าเป็นเครื่องดื่มที่อยู่ในกลุ่ม อาหาร Empty Calories ที่มีองค์ประกอบหลักคือ น้ำ, น้ำตาล, กรดคาร์บอนิก, กรดฟอสฟอริก, คาเฟอีน, สีและกลิ่นหรือรส รวมถึงสารกันบูด จะเห็นได้ว่านอกจากน้ำตาลที่เป็นสารอาหารชนิดเดียวที่อยู่ในขวดน้ำอัดลมที่ให้ความหวานและพลังงานแล้ว ไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ นอกจากนี้การบริโภคน้ำอัดลมมาก จะทำให้คุณแม่รู้สึกอิ่มและรับประทานอาหารได้น้อยลง อาจเป็นเหตุให้ขาดสมดุลทางโภชนาการที่ดีด้วย

            4.โรคกรดไหลย้อน

            กรดไหลย้อนเป็นอีกอาการหนึ่งที่แม่ท้องอาจต้องเจอ โดยมีสาเหตุมาจากความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อตั้งครรภ์ แต่การดื่มน้ำอัดลมที่มีคาเฟอีนอยู่ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อนแย่ลงได้ ถ้าหากมีอาการนี้หลังจากดื่มน้ำอัดลมควรหยุดดื่มทันที ซึ่งโดยปกติอาการกรดไหลย้อนแม้จะไม่เป็นอันตรายต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ เช่น ทำให้คุณแม่ท้องต้องตื่นขึ้นมากลางดึก มีอาการกลืนลำบาก ไอ น้ำหนักลด หรืออุจจาระเป็นเลือด ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบ เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาทันที

            กินน้ําอัดลมเยอะ

            5.มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน

            เป็นที่รู้กันว่าในน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลสูงนั้นหากดื่มในปริมาณมากก็จะส่งผลต่อสุขภาพน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและความเสี่ยงต่อโรคอ้วน โดยเฉพาะสำหรับคุณแม่ที่กำลังจะตั้งครรภ์หรือตั้งครรภ์แล้ว โรคอ้วนหรือน้ำหนักตัวที่มากเกินบวกกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นตอนตั้งครรภ์ยิ่งส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์มากกว่าเดิมหลายเท่า เช่น เกิดความผิดปกติของการคลอด มีความดันโลหิตสูง การทำงานของระบบหัวใจผิดปกติ ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะตายคลอด และภาวะอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้ง 1.2 เท่า และภาวะแท้งซ้ำซาก 3.5 เท่า เป็นต้น ดังนั้นคุณแม่ที่มีน้ำหนักตัวเกินขณะตั้งครรภ์ควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ได้รับการตรวจบ่อยครั้งมากขึ้น และต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้น โดยเฉพาะการกินอาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยงรสหวาน

            บทความแนะนำ : คนท้องกินอย่างไรไม่ให้อ้วน กับ 9 วิธีคุมน้ำหนักตอนท้องให้ได้ผล

            6.ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์

            การดื่มน้ำอัดลมผสมน้ำตาลในปริมาณสูงหรือแม้แต่น้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล นอกจากทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนแล้ว ก็จะนำไปสู่ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (เบาหวานชนิดที่ 2) ที่จะเกิดอันตรายต่อคุณแม่และลูกน้อยในท้องได้ อาทิเช่น ความเสี่ยงที่จะเกิดครรภ์เป็นพิษ ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ร้อยละ 15-20 โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการคลอด เช่น การคลอดยาก การตกเลือดหลังคลอด ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกอาจพิการแต่กำเนิด มีโอกาสแท้งบุตรสูง หรือทารกที่คลอดอาจบาดเจ็บจากการคลอดเนื่องจากทารกตัวโตกว่าปกติ แม้กระทั่งหลังคลอดลูกน้อยยังเสี่ยงภาวะตัวเหลือง และเกิดภาวะแทรกซ้อน จากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำด้วย ดังนั้นหากคุณแม่ตรวจพบว่ามีความเสี่ยงหรือเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรเพิ่มความระมัดระวังเรื่องอาหารการกินให้มาก โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มน้ำตาลสูงรวมถึงน้ำอัดลมแบบไม่มีน้ำตาล ที่ควรจำกัดการดื่มให้ลดน้อยลง และปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด

            บทความแนะนำ : อย่าคิดว่าดีแล้วดื่มไม่ยั้ง น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล ทำแม่ท้องเสี่ยงเบาหวาน น้ำหนักเกิน

            7.โรคฟันผุขณะตั้งครรภ์และปัญหาต่าง ๆ ในช่องปาก 

            น้ำอัดลมทั้งที่มีน้ำตาลและใช้น้ำตาลเทียมนั้นเป็นสาเหตุของอาการฟันผุได้ เนื่องจากมีส่วนผสมที่มีความเป็นกรดและน้ำตาลสูงที่เป็นตัวทำลายสารเคลือบฟันและน้ำตาลที่ตกค้างจะกลายเป็นอาหารของแบคทีเรียภายในปาก ทำให้เกิดการจับตัวของแบคทีเรียกับน้ำตาลกลายเป็นคราบหินปูน แม่ท้องที่ชอบดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำหากไม่ดูแลอนามัยช่องปากที่ดีจึงมีโอกาสที่จะเกิดฟันผุ และมีโอกาสสูงที่เชื้อโรคจากช่องปากแม่ที่ฟันผุสามารถถ่ายทอดเชื้อสู่ลูกทางน้ำลายได้ ทำให้ทารกมีโอกาสเสี่ยงฟันผุเพิ่มมากขึ้นถึง 5 นอกจากนี้ ในรายที่เป็นโรคปริทันต์อาจก่อให้เกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด และน้ำหนักตัวแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์ ดังนั้นนอกจากแม่ท้องควรลดประมาณการดื่มน้ำอัดลมระหว่างตั้งครรภ์ลง ควรเข้ารับบริการขูดหินปูนและทำความสะอาดช่องปากลดภาวะเหงือกอักเสบและอุดฟันลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ รวมทั้งหมั่นกลั้วปากด้วยน้ำเปล่าหลังดื่มเครื่องดื่มหรือรับประทานอาหารที่เป็นกรดและมีความหวาน ทำความสะอาดฟันด้วยการแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟันเพื่อลดโอกาสที่จะไม่ทำให้สุขภาพฟันย่ำแย่และเกิดผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้

            จะเห็นได้ว่าน้ำอัดลมที่เป็นเครื่องดื่มให้ความรู้สึกสดชื่น ดับกระหาย และกระชุ่มกระชวย แต่เครื่องดื่มน้ำตาลสูงชนิดนี้ก็ไม่ได้ให้คุณค่าทางสารอาหารและไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ หากคุณแม่ตั้งครรภ์อยากจะพอจิบให้ชุ่มคอ ควรดื่มในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป ควรจำกัดการบริโภคน้ำตาลให้ไม่เกิน 25 กรัมต่อวัน และควรจำกัดปริมาณคาเฟอีนในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเครื่องดื่มที่ดีต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ก็คือ น้ำเปล่านั่นเอง หรือเลือกดื่มน้ำผลไม้ 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำนมไขมันต่ำวันละ 1 แก้ว เพื่อทดแทนเครื่องดื่มอย่างน้ำอัดลมก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพและปลอดภัยต่อคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์นะคะ.

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.hellokhunmor.comwww.pobpad.com

            อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

            ไขข้อข้องใจ! คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม กินแล้วล้างไข คลอดง่าย ลูกออกมาผิวขาวจริงหรือ?

            คนท้องห้ามกินอะไร 9 อาหาร ที่แม่ท้องควรห้ามใจ เลี่ยงได้เลี่ยงก่อนนะแม่!

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              โรคที่มากับหน้าฝน

              6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

              เข้าสู่หน้าฝน อากาศในช่วงนี้จะเริ่มเย็นลงและมีความชื้นสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้ดี ส่งผลให้เกิด โรคที่มากับหน้าฝน โดยเฉพาะในเด็กที่ระบบภูมิต้านทานในร่างกายยังไม่แข็งแรง เสี่ยงต่อการติดเชื้อและทำให้ป่วยง่าย มาทำความรู้จักกับโรคที่แฝงมากับหน้าฝนที่เด็กมักเป็นกัน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่พร้อมรับมือและดูแลสุขภาพของลูกน้อยเป็นพิเศษเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกป่วยกันค่ะ

              6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

              โรคไข้หวัดใหญ่
              โรคไข้หวัดใหญ่

              1.โรคไข้หวัดใหญ่

              โรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส พบได้เกือบทั้งปี แต่จะระบาดมากในช่วงฤดูฝน ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยพบไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ที่กลายพันธุ์มาจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลทั่วไป เพียงแต่รับเชื้อมาจากสัตว์ เช่น นกหรือหมู หากร่างกายของคนที่ไม่เคยมีภูมิต่อโรคก็จะมีโอกาสที่จะติดและเป็นง่าย สามารถติดต่อกันได้ทางการหายใจ เมื่อไอหรือจาม เชื้อจะเข้าทางจมูกหรือปาก โดยเฉพาะในช่วงเปิดเทอม เด็ก ๆ อาจได้รับเชื้อจากเพื่อนที่โรงเรียนได้ง่าย

              สังเกตอาการ ไข้หวัดใหญ่

              ไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาตรงที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ เด็กที่ได้รับเชื้อจะมีอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน ตัวร้อน ปวดหัว รู้สึกอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว และกล้ามเนื้อ ไอ เจ็บคอ คัดจมูก  มีน้ำมูกใส ๆ  หากมีอาการรุนแรงอาจมีโรคแทรกซ้อนที่มากับไข้หวัดก็คือไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือปอดอักเสบได้ ซึ่งเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ ผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะมีโอกาสเสี่ยงและมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่น

              วิธีป้องกัน ไข้หวัดใหญ่

              คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้ฉีควัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี โดยแพทย์จะแนะนำให้ฉีดประมาณ 1- 2 เดือนก่อนฤดูกาลระบาด และหากลูกต้องไปโรงเรียนหรือออกนอกบ้านควรป้องกันการติดเชื้อด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกสุขอนามัย จะเป็นการช่วยป้องกันการเกิดโรคไข้หวัดใหญ่ได้เป็นอย่างดี ในเด็กที่มีอาการไข้หวัดใหญ่ควรให้หยุดพักรักษาตัว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อกระจายไปสู่คนอื่น

              โรคอีสุกอีใส
              โรคอีสุกอีใส

              2.โรคอีสุกอีใส

              โรคอีสุกอีใส เป็นโรคยอดฮิตที่พ่อแม่คุ้นเคยกันตั้งแต่เมื่อตอนเป็นเด็ก ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา-ซอสเตอร์ (varicella zoster virus)เป็นโรคที่ระบาดแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วไป สามารถพบได้ตลอดทั้งปี ติดต่อได้โดยการหายใจเอาฝอยละอองจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยเข้าไป หรืออาจเกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับตุ่มน้ำที่ผิวหนังของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะแพร่เชื้อ คือ 1-2 วันก่อนผื่นขึ้นจนกระทั่งผื่นตกสะเก็ดหมด และระยะฟักตัวของโรคประมาณ 10-21 วัน แต่โดยเฉลี่ยคือประมาณ 14-17 วัน หลังจากได้รับเชื้อโรค หรือสัมผัสผู้ป่วย โดยทั่วไปจะพบอัตราการป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 5 – 9 ปี มักจะพบในเด็กที่ไม่เคยป่วยเป็นโรคนี้หรือไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ไม่ตรงตามวัย บางรายเป็นตอนเด็ก หรือบางรายอาจเป็นตอนโต ซึ่งถ้าเป็นในตอนโตจะมีอาการและการขึ้นตุ่มที่รุนแรงกว่า และบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะของร่างกายด้วยเมื่อระบาดแล้วโรคจะติดต่อกันเป็นทอด ๆ โดยเฉพาะการติดต่อจากเพื่อนที่โรงเรียน

              สังเกตอาการ อีสุกอีใส

              หลังจากได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย โรคอีสุกอีใสจะแสดงอาการภายใน 8-21 วัน เริ่มจากเด็กจะมีไข้ต่ำ ๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และมีผื่นเริ่มจากลำตัว ใบหน้า และลามไปแขนขา บางรายอาจพบตุ่มในช่องปากและเยื่อบุต่าง ๆ ลักษณะผื่นตอนแรกจะเป็นผื่นแดง มักมีอาการคันร่วมด้วย และจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส ๆ หลังจากนั้นจะเกิดเป็นสะเก็ดและแผลเป็นขึ้นได้ มักหายได้เองภายใน 2 – 3 สัปดาห์ เมื่อสังเกตว่าลูกมีอาการ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา โดยรักษาด้วยยาต้านไวรัสซึ่งอาจทำให้ระยะการเป็นโรคสั้นลง ถ้าผู้ป่วยมีไข้สูงอาจให้ยาลดไข้กลุ่มพาราเซทามอล  อาจใช้ยาทาในการรักษา เช่น คาลาไมน์เพื่อบรรเทาอาการคัน หรือยารับประทานกลุ่มแอนตี้ฮีสตามีน เพื่อไม่ให้ผู้ป่วยเกา เพราะอาจเป็นแผลติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้

              วิธีป้องกัน อีสุกอีใส

              ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส ซึ่งมีประสิทธิภาพค่อนข้างดี สามารถเริ่มฉีดในเด็กตั้งแต่ 1 ขวบเป็นต้นไป และจะกระตุ้นอีกครั้งในตอน 4 ขวบ สำหรับผู้ใหญ่และเด็กอายุเกิน 12 ปี ต้องฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 4-8 สัปดาห์ เมื่อฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม พบว่าร้อยละ 99 ของผู้รับจะเกิดภูมิต้านทานต่อโรค ซึ่งวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสจัดเป็นวัคซีนเสริม ยังไม่กำหนดเป็นมาตรฐานที่เด็กทุกคนจะต้องฉีด นอกจากการฉีดวัคซีนแล้วการดูแลสุขภาพรักษาร่างกายลูกให้แข็งแรง ฝึกให้เด็กหมั่นล้างมือบ่อย ๆ หลังสัมผัสสิ่งของ หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ สำหรับเด็กที่เป็นโรคอีสุกอีใสควรหยุดเรียนและให้แยกตัวจากผู้อื่นจนกว่าผื่นตกสะเก็ดจะหมด

              โรคตาแดง
              โรคตาแดง

              3.โรคเยื่อบุตาอักเสบหรือโรคตาแดง

              โรคตาแดง (Conjunctivitis หรือ Pink eye) ถือว่าเป็นโรคติดต่อในอันดับต้น ๆ ที่พบได้บ่อยมากในกลุ่มเด็ก และระบาดอย่างยิ่งในช่วงหน้าฝน ซึ่งเกิดจากติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย โดยเฉพาะเชื้อไวรัส adenovirus ที่มาพร้อมกับโรคหวัดหรือการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ สามารถติดต่อกันได้ง่ายจากการสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรง เช่น ไอ จาม หายใจรดกัน การใช้สิ่งของร่วมกัน การสัมผัสกับขี้ตาหรือน้ำตาที่ติดอยู่บนมือหรือสิ่งของคนที่ป่วยเป็นโรคตาแดง และเชื้อโรคชนิดนี้มักแพร่ระบาดได้ตามสถานที่ที่มีผู้คนอยู่ร่วมกันมาก ๆ จึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายในโรงเรียนด้วย

              สังเกตอาการ ตาแดง

              หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตว่า ดวงตาของลูกมีความผิดปกติมีอาการตาขาวเป็นสีแดง ตาดูฉ่ำ ๆ เด็กขยี้ตา หรือกะพริบตาบ่อยกว่าปกติ หรือมีขี้ตาติดที่หัวตาหรือที่เปลือกตาโดยเฉพาะช่วงตื่นนอน นั่นคืออาการที่บ่งบอกถึงโรคตาแดงหรือโรคเยื่อบุตาอักเสบ ในเด็กที่ติดเชื้อไวรัสจะมีอาการตาแดงอย่างรวดเร็ว ปวดเล็กน้อยในเบ้าตาเจ็บตา น้ำตาไหล รู้สึกคันตา เคืองตา รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในดวงตา เปลือกตาบวม อาจเกิดตุ่มเล็ก ๆ ขึ้นบริเวณดวงตา ในกรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตามมาจะมีขี้ตามากทำให้ลืมตายากในช่วงตื่นนอน และอาจมีเลือดออกใต้เยื่อบุตาทำให้ตาดูแดงจัด บางรายมีต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตและเจ็บ และมีโรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ ตาดำอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะหาย นอกจากนี้เด็กที่เป็นโรคตาแดงมักมีอาการของไข้หวัดมาก่อน เช่น เจ็บคอ มีไข้ เพราะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน อาการของโรคตาแดงอาจเกิดกับดวงตาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างก็ได้ ในกรณีที่เป็นสองข้างจะเริ่มมีอาการที่ดวงตาข้างหนึ่งก่อนแล้วจึงลามไปอีกข้างภายใน 2-3 วัน ระยะเวลาของโรคนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์

              วิธีป้องกัน โรคตาแดง

              โรคตาแดงเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากทั้งขี้ตาและน้ำตา และเนื่องจากโรคตาแดงไม่มียารักษาโดยตรง ในเด็กเล็กจะได้รับเชื้อหรือแพร่กระจายเชื้อได้ง่าย การป้องกันไม่ให้ติดโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งทำได้โดยการหมั่นล้างมือให้บ่อยและสะอาด คุณแม่ต้องพยายามสอนให้ลูกอย่าขยี้ตา และเมื่อรู้ว่าลูกเป็นตาแดงควรให้เด็กหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ตา เพราะจะทำให้อาการแย่ลงหรือทำให้ดวงตาอีกข้างติดเชื้อได้ ใช้กระดาษทิชชูชนิดนุ่มเช็ดขี้ตาหรือซับน้ำตาบ่อย ๆ แล้วทิ้งในถังขยะที่ปิดมิดชิด และไม่ควรซื้อยาทาหรือยาหยอดตาเอง ควรพาลูกไปหาคุณหมอซึ่งคุณหมอจะตรวจวินิจฉัยและจ่ายยามาให้หยอดตา และอาการตาแดงของลูกนี้ก็จะดีขึ้นและหายไปภายใน 2-4 สัปดาห์ ซึ่งในระยะนี้ควรให้ลูกพักเรียนอย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อไม่ให้โรคแพร่กระจายสู่เพื่อนคนอื่น

              โรคมือ เท้า ปาก
              โรคมือ เท้า ปาก

              4.โรคมือ เท้า ปาก

              โรคมือเท้าปาก พบได้ประปรายตลอดทั้งปี แต่จะพบมากในฤดูฝนเกิดจากเชื้อไวรัส (Enterovirus 71, Coxsackie) สามารถติดต่อได้ทางการไอ จาม สัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ หรือสัมผัสทางอ้อม เช่น การสัมผัสผ่านของเล่น อาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ เป็นต้น มีระยะฟักตัวประมาณ 3 – 6 วัน พบเชื้อทางน้ำลาย 2 – 3 วัน ก่อนมีอาการ จนถึง 1-2 สัปดาห์ หลังมีอาการ โดยโรคนี้มักจะพบมากในเด็กอนุบาลและประถม

              สังเกตอาการ โรคมือเท้าปาก

              อาการของโรคคือ เด็กจะมีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย หลังจากนั้น 2 – 3 วันจะมีผื่นแดงหรือ ตุ่มน้ำใสขนาดเล็กตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า บางรายอาจมีผื่นที่ขาและก้นร่วมด้วย แต่จะไม่มีอาการคัน และมีแผลร้อนในปากหลายแผล กระพุ้งแก้ม ลิ้น เหงือก ถ้าเป็นแล้ว เด็กบางคนจะรับประทานอาหารและน้ำไม่ค่อยได้ เนื่องจากเจ็บปากมาก ในบางรายก็อาจไม่ยอมกลืนน้ำลาย ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ ดังนั้นต้องระวังไม่ให้เด็กมีไข้สูงเกินไปจนอาจเกิดอาการชักได้ ดังนั้นหากสังเกตว่าเด็กมีอาการของโรคมือเท้าปากให้รีบพาไปพบแพทย์ และเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคมือเท้าปาก ต้องให้เด็กหยุดเรียนอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหาย ซึ่งอาการไข้มักหายได้เองภายใน 3 – 7 วัน จากนั้นอาการอื่น ๆ จะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายเป็นปกติภายใน 7 – 10 วัน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรดูแลลูกอย่างใกล้ชิดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก และแม้จะดูว่าผื่นและแผลในปากหายไปแล้วก็ตาม แต่โรคมือเท้าปากอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ไปจนถึงเสียชีวิตได้ โดยอาการแทรกซ้อนไม่สัมพันธ์กับจำนวนแผลในปากหรือตุ่มที่พบตามฝ่ามือฝ่าเท้า  ในรายที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงอาจมีแผลไม่กี่จุดในลำคอหรืออาจมีตุ่มเพียงไม่กี่ตุ่มตามฝ่ามือฝ่าเท้าก็ได้ โดยสัญญาณเตือนของภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที เช่น

              • ลูกมีอาการซึมลง ไม่เล่น ไม่อยากรับประทานอาหารหรือนม
              • บ่นปวดหัวมากจนทนไม่ไหว
              • มีอาการเพ้อ พูดไม่รู้เรื่อง สลับกับการซึมลง หรือเห็นภาพแปลก ๆ
              • ปวดต้นคอ คอแข็ง มีการรับรู้สับสน ซึมลง และอาเจียน
              • มีอาการสะดุ้งผวา ตัวสั่น ๆ แขนหรือมือสั่นบ้าง
              • มีอาการไอ หายใจเร็ว ดูเหนื่อย หน้าซีด มีเสมหะมาก โดยอาจมีหรือไม่มีไข้ร่วมด้วยก็ได้

              วิธีป้องกัน โรคมือเท้าปาก

              เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมือเท้าปาก สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลรักษาสุขอนามัยที่ดี ดื่มน้ำที่สะอาด รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และปรุงใหม่ สุก สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม คุณพ่อคุณแม่ควรปลูกฝังและฝึกให้ลูกใช้ของใช้ส่วนตัวโดยไม่ใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ กระติกน้ำ ใช้ช้อนกลางขณะรับประทานอาหารทุกครั้งทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ให้ลูกล้างมือบ่อย ๆ หรือหลังสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย ควรรีบล้างมือให้สะอาดโดยเร็ว หมั่นทำความสะอาดของเล่นเด็กและเครื่องใช้ส่วนตัวของลูก รวมทั้งถ้าไม่จำเป็นไม่ควรให้ลูกไปอยู่ในสถานที่แออัด หลีกเลี่ยงการให้ลูกคลุกคลีหรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคมือ เท้า ปากนี้ด้วย

              โรค rsv
              โรค rsv

              5.โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัส RSV

              โรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ เป็นอีกหนึ่งโรคที่เด็ก ๆ มักเป็นบ่อยในช่วงหน้าฝนโดยเฉพาะในเด็กเล็ก เป็นโรคที่มีอาการคล้ายไข้หวัด แต่เชื้อไวรัสนี้อาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงสามารถทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบได้ ชื้อนี้ติดต่อกันได้ง่ายมากโดยการสัมผัสใกล้ชิดกับสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ของผู้ติดเชื้อไวรัส RSV เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ เข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา หู จมูก ปาก หรือสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ จับของเล่น จับสิ่งของต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งไวรัส RSV จะมีชีวิตยู่ภายนอกร่างกายได้หลายชั่วโมง โดยอาศัยอยู่ตามวัตถุต่าง ๆ เด็กเล็กสามารถรับเชื้อไวรัสได้ตั้งแต่แรกเกิด โดยเชื้อมีระยะฟักตัวประมาณ 2-6 วัน หลังจากที่ได้รับเชื้อ

              สังเกตอาการ RSV

              อาการของโรคติดเชื้อไวรัส RSV อาจคล้ายกับอาการไข้หวัดธรรมดา คือเด็กจะมีไข้ แต่ส่วนใหญ่ไข้จะไม่สูงนัก มีอาการไอ จาม หายใจลำบาก มีน้ำมูก ปวดหัว แต่มีอาการที่คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตเพิ่มเติมและสงสัยว่าลูกอาจได้รับเชื้อไวรัส RSV คือ

              • ลูกมีอาการเหนื่อยหอบ หายใจเร็ว หายใจแรง มีเสียงหายใจครืดคราดหรือเป็นเสียงหวีด หายใจตื้นเร็ว สั้น ดูเหนื่อย หายใจลำบาก ปีกจมูกบานเวลาหายใจ
              • มีภาวะขาดน้ำ สังเกตจากเวลาลูกร้องไห้ งอแง แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา
              • มีอาการไข้สูงขึ้น ๆ ลง ๆ และมีน้ำมูกใส ๆ ไหลตลอดเวลา
              • มีอาการเบื่ออาหาร และอาการซึม
              • ไอรุนแรง จามบ่อย มีเสมหะมาก เสมหะสีคล้ำเขียว หรือสีเหลือง
              • ปลายนิ้ว เล็บ เริ่มเปลี่ยนสีเป็นเขียวคล้ำ ตัวลายเขียวจากการขาดออกซิเจน

              หากลูกมีอาการเหล่านี้ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ในทันที เนื่องจาก ไวรัส RSV พัฒนาไปสู่โรคขั้นรุนแรงได้หากเชื้อลงไปสู่ระบบหายใจส่วนล่าง มันจะทำลายเยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบ อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่ม ทำให้อาการรุนแรงอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตแต่ก็พบไม่มาก ซึ่งสาเหตุจากการเสียชีวิตเป็นเพราะระบบทางเดินหายใจล้มเหลว หรือเป็นเพราะการส่งผู้ป่วยมารักษาช้าเกินไป

              ทั้งนี้สำหรับเชื้อไวรัส RSV มี 2 กลุ่มย่อย คือกลุ่ม A และ B ซึ่งมีความสัมพันธ์กันแต่ไม่ใช่ตัวเดียวกัน ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยครั้งแรกไม่สามารถป้องกันได้ แต่ถ้าเป็นซ้ำ ๆ กันอาการจะไม่รุนแรงมากเท่ากับในครั้งแรก

              วิธีป้องกัน ไวรัส RSV

              ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคนี้โดยเฉพาะ โดยทั่วไปการรักษาจะเป็นไปตามอาการที่ป่วย รวมถึงการดูแลเรื่องการหายใจและเสมหะ เช่น ให้ยาแก้ไอละลายเสมหะ ยาขยายหลอดลม ยาลดไข้ หรือพ่นยา ตามแต่อาการของผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นได้  สำหรับการป้องกันโรคนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้เด็ก ๆ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำสบู่ทุกครั้ง หมั่นทำความสะอาดของใช้ ของเล่น แยกการใช้ภาชนะส่วนตัว ป้องกันการติดเชื้อด้วยการใส่หน้ากากอนามัย หากลูกป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจ RSV คุณพ่อคุณแม่ควรแยกลูกเพื่อป้องกันการไอจามแพร่เชื้อ ควรให้ลูกหยุดเรียนอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์และรักษาให้หายดีเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม ในเด็กบางรายถึงแม้จะหายแล้วก็ยังอาจมีอาการไอต่อเนื่องไปเป็นเดือนได้

              ข้อมูล : www.khonkaenram.com

              ไข้เลือดออก
              ไข้เลือดออก

              6.ไข้เลือดออก

              โรคไข้เลือดออก (dengue hemorrhagic fever) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี เนื่องจากบริเวณแหล่งน้ำขังอันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย อาการของโรคไข้เลือดออกมีตั้งแต่รุนแรงไม่มากนักไปจนถึงเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

              สังเกตอาการ ไข้เลือดออก

              อาการที่สงสัยว่าลูกอาจจะเป็นไข้เลือดออกก็คือ อาการระยะแรกเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป มีไข้สูงเกิน 3 วันขึ้นไป กินยาลดไข้ไม่ลง ปวดหัว ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อหรือกระดูก มีอาการตาแดง หน้าแดง ปากแดง มีความรู้สึกอ่อนเพลีย มีผื่นขึ้นคล้ายผื่นของโรคหัด และอาจมีภาวะเลือดออกหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งมีลักษณะอาการเช่นเดียวกับโรคไข้เดงกี แต่ยังมีอาการอื่น ๆ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคไข้เลือดออก คือ

              • มีไข้สูงเฉียบพลันเกิน 38 องศาเซลเซียสประมาณ 2-7 วัน
              • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
              • หน้าแดง อาจพบจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกสีแดงเล็ก ๆ ตามผิวหนัง หรือมีเลือดออกบริเวณอื่น เช่น เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ปัสสาวะ อุจจาระมีเลือดปน
              • ปวดท้องอย่างรุนแรง กดเจ็บชายโครงด้านขวา ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะตับอักเสบได้
              • ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก หลังจากมีไข้มาแล้วหลายวัน ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะการไหลเวียนโลหิตล้มเหลวหรือภาวะช็อก และเข้าสู่ระยะที่เรียกว่า กลุ่มอาการไข้เลือดออกช็อก (dengue shock syndrome) โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเย็น ปัสสาวะน้อยลง ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ความดันโลหิตลดต่ำ วัดชีพจรไม่ได้ หน้ามืดและเป็นลม สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะช็อก หลังจากมีไข้สูง 2-7 วัน ไข้จะเริ่มลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ความดันโลหิตและชีพจรเริ่มคงที่ เมื่อผ่านไป 2-3 วัน จึงเข้าสู่ระยะหายเป็นปกติ ผู้ป่วยจะมีแรงมากขึ้น เริ่มรับประทานอาหารได้ อาการปวดท้องดีขึ้น ระยะนี้มักพบผื่นแดงและคันตามฝ่ามือและฝ่าเท้าซึ่งจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์

              ดังนั้นหากสังเกตว่าลูกมีอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในระยะแรก คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพามาพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยว่าว่าลูกมีกลุ่มอาการตรงกับไข้เลือดออกหรือไม่และตรวจเลือดเพิ่มเติมต่อไป ไม่ควรรอให้เกิดอาการที่รุนแรงก่อนแล้วจึงมาพบแพทย์

              วิธีป้องกัน โรคไข้เลือดออก

              โรคไข้เลือดออกสามารถป้องกันได้โดยให้ลูกสวมใส่เสื้อผ้าที่ปกปิดแขนหรือขามิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณบ้านและใกล้เคียง เช่น ปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณบ้านให้สะอาดปราศจากเศษวัสดุที่อาจมีน้ำขังได้ เช่น ขวดเก่า กระป๋องเก่า กระถางเก่า ฯลฯ ทำให้บ้านโปร่ง ไม่อยู่ในที่อับทึบ ปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขังไม่ให้ยุงเข้าไปวางไข่ได้ และเปลี่ยนน้ำในภาชนะ เช่น แจกัน ถ้วยรองตู้กับข้าว ทุกสัปดาห์ หรือเลี้ยงปลาในอ่างบัว เป็นต้น สำหรับเด็กที่อายุมากกว่า 9 ปี และเคยเป็นไข้เลือดออกมาแล้ว อาจพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกจากสายพันธุ์อื่น

              โรคที่มากับฝน การป้องกัน

              จะเห็นได้ว่าในหน้าฝนนั้นเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคต่าง ๆ กับเด็ก ๆ ขึ้นได้ง่าย เมื่อคุณแม่รู้เท่าทันทราบถึงสาเหตุและสังเกตกับอาการที่ปกติ รวมถึงวิธีการป้องกันโรค ก็สามารถที่จะรับมือกับโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับลูกเพื่อที่จะพามาหาคุณหมอได้ทันที เพราะถ้าวินิจฉัยโรคเร็ว ความรุนแรงของโรค และโอกาสที่รักษาให้หายจะมีแนวโน้มสูง อย่างไรก็ตามวิธีการป้องกันเบื้องต้นเพื่อไม่ให้เกิดโรคต่าง ๆ ขึ้นกับลูก คือการใส่ใจเรื่องสุขอนามัยของลูก ฝึกให้ลูกได้หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในสถานที่ที่คนเยอะ ๆ ปล่อยให้ลูกได้เล่นได้ออกกำลังกายตามวัย สอนลูกให้มี HQ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพและพัฒนาการในการเจริญเติบโตที่ดีของลูกต่อไปได้.

              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.bumrungrad.comwww.bangkokhospital.com

              อ่านบทความอื่นที่น่าสนใจ

              5 พาหะนำโรค หน้าฝน ภัยร้ายต่อสุขภาพลูกน้อย

               

              วิธีดูแล เด็กเป็นไข้ อันตรายที่มากับหน้าฝน

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ให้เกียรติเมีย

                ให้เกียรติเมีย ก็เหมือนให้เกียรติตัวเอง ข้อคิดสะกิดใจที่สามีควรอ่าน!

                ข้อคิด..สะกิดใจสามี! ให้เกียรติเมีย ก็เหมือนให้เกียรติตัวเอง เพราะ เมียไม่ใช่คนใช้ อย่าทำลายน้ำใจด้วยคำพูด! บทความดีๆ จาก #สามีแม่บัวเพจอมรินทร์เบบี้แอนด์คิดส์ ที่ผู้ชายทุกคนควรอ่าน!

                ให้เกียรติเมีย ก็เหมือนให้เกียรติตัวเอง
                ข้อคิดสะกิดใจที่สามีควรอ่าน!

                การมีชีวิตคู่ เป็นการตอบสนองความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจในด้านของความรัก การยอมรับ และความรู้สึกว่า ตัวเองมีความหมายและมีคุณค่าต่อกันและกัน ซึ่งคู่สมรสที่แต่งงานกันต่างก็ปรารถนาความรู้สึกนี้ทุกคน

                การให้เกียรติ หมายถึง การแสดงให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าเป็นคนสำคัญสำหรับคุณ เป็นบุคคลที่มีคุณค่ามีความหมาย คุณเคารพในความเป็นเขา ทั้งความคิด การกระทำในฐานะบุคคลหนึ่งที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และในฐานะคู่ชีวิต

                ทั้งนี้โดยทั่วไปผู้ชายจะได้รับการยอมรับจากสังคมให้เป็นผู้นำครอบครัว ซึ่งส่วนมากก็จะมีความรู้สึกไว หากภรรยากระทำการใดที่เป็นการแสดงให้เห็นถึงการไม่ให้เกียรติ เพราะผู้ชายถือเรื่องศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญ

                แต่ในทางกลับกัน สามีก็ควร ให้เกียรติเมีย ด้วย เพราะอะไรจึงต้อง ให้เกียรติเมีย ตามมาอ่านเรื่องราวความในใจของ สามีแม่บัวเพจอมรินทร์เบบี้แอนด์คิดส์ ที่อยากบอกเล่าถึงคุณสามีหรือคุณผู้ชายทุกคน เกี่ยวกับเหตุผลที่ ทำไมต้องให้เกียรติเมีย หรือ ให้เกียรติภรรยา นั่นเอง …

                ให้เกียรติเมีย

                #เมียไม่ใช่คนใช้ อย่าทำลายน้ำใจเพราะเห็นเป็นของตาย

                ระหว่างที่นั่งพบปะเลี้ยงรุ่นกัน หัวข้อสนทนาของผู้ชายวัย 35++ คงหนีไม่พ้นเรื่อง ภรรยา
                ผมเจอแต่เพื่อนๆ บ่นเรื่อง ภรรยาโทรม ภรรยาอ้วน ภรรยาไม่สวย
                ทำกับข้าวไม่อร่อย งานบ้านไม่เป๊ะ เก็บของไม่เป็นที่ ภรรยาขี้บ่น ภรรยาคุยไม่หยุด

                กลับจากงานเลี้ยง เห็นภรรยานอนฟุบรอที่โซฟา แล้วเกิดภาพสะท้อนใจ
                ถ้าไม่นับงานบ้าน การดูแลลูกในแต่ละชั่วโมงให้ผ่านไป ผมว่าเป็นเรื่องหนักหนาเอาการสำหรับคนเป็นแม่ ต้องดูแลลูกทุกอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า เรื่องนอน เรื่องกิน เรื่องเรียน ทุกอย่างที่เป็นลูก
                แม่ต้องรับผิดชอบหมด ผู้ชายอย่างเราแม้จะทำงานบ้าน เจอปัญหาจากคนอื่นมาหนักหนาเท่าไหร่ กลับถึงบ้าน งานทั้งหมดก็จบแค่นั้น

                แต่อาชีพแม่ ไม่มีทีท่าเลยว่าจะจบ!
                นอกจากดูแลลูกแล้ว ยังต้องดูแลบ้าน ทำงานบ้าน ทำกับข้าว ซักผ้า เก็บผ้า รีดผ้า งานในบ้านจิปาถะ
                ต้องดูแลสามี เตรียมอาหารการกิน เสื้อผ้าที่ต้องใส่ไปทำงาน รองเท้าที่เน่าเขรอะสกปรก

                จะเดินทางไปเที่ยวแต่ละครั้ง คนที่ต้องเตรียมของ เตรียมตัวเยอะกว่าใครก็คงเป็นแม่
                กลับจากเที่ยว คนที่เหนื่อยที่สุดเป็นใคร ย่อมรู้กันดี

                จริงๆ แล้ว ผู้ชายอกสามศอกอย่างเรา ช่วยเป็นมือขวาให้ภรรยาได้นะครับ
                ศักยภาพความเป็นพ่อของพวกเรา ไม่ด้อยกว่าแม่เลย หากเราลองเปิดใจยื่นมือช่วยภรรยา
                ทำงานนอกบ้านเหนื่อย ใช่ว่าคนในบ้านจะไม่เหนื่อย
                ที่ลูกไม่ติด ไม่เอาเรา เพราะเราเองไม่ค่อยเข้าหาลูกหรือเปล่า?
                เล่นกับลูกไม่เป็น เพราะไม่ค่อยได้เล่นกับลูกหรือเปล่า?

                ที่ภรรยาโทรม หัวฟู ก็ไม่ใช่เพราะเธอเอาเวลาไปเลี้ยงลูกให้พวกเราหรือครับ
                เงินที่ต้องใช้เพิ่มความสวย เพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเอง เธอก็ทุ่มให้กับลูก
                เสื้อผ้า สวยงามที่เราเคยเห็น ตอนนี้มันเปลี่ยนไป กลายเป็นเสื้อผ้าของลูก
                ครีมบำรุงผิว ร้านเสริมสวย ยิมออกกำลังกาย ก็อย่าพูดถึง ในเมื่อเธออาบน้ำไม่ทันจะถูตัว คุณก็เรียกเธอแล้ว

                ให้เกียรติเมีย

                แล้วคุณตอบแทนอะไรให้กับเธอบ้าง นอกจาก คำว่า “เมียโทรม”

                หากเวลาพรากความสวยไปจากพวกเธอ สามีอย่างเรานี่แหล่ะครับ ที่ต้องคอยเติมเต็มความสวยให้กับชีวิตภรรยา
                เวลาเปลี่ยน ผิวพรรณ รูปร่างหน้าตาต้องเปลี่ยนตามเวลา ในเมื่อถ้าภรรยาแก่ได้ พวกเราก็ไม่ต่างกัน
                คุณพร่ำบอกว่า ภรรยาไม่สวย โทรม หุ่นไม่ดี แล้วพวกเราเองหล่ะครับ ผมบาง หัวล้าน พุงยื่น หน้าเหี่ยว มีกลิ่นตัว พวกเธอไม่เคยจะบ่น หรือนินทาเราเลย กลับให้กำลังใจพวกเราด้วยซ้ำ

                กับข้าว ถ้ากินไม่อร่อย ระหว่างทางขับรถกลับบ้านก็ช่วยหิ้ว ช่วยหามากินบ้าง จะได้รู้ว่า การหากับข้าวให้ถูกปาก มันไม่ใช่เรื่องง่าย
                บ้านไม่สะอาด กลับจากทำงาน ก็ช่วยภรรยาสักนิด หยิบไม้กวาดสักหน่อย แบ่งเบาภาระภรรยาตัวเอง ผมว่ามันก็เท่ไม่หยอก
                อย่าเอาแต่บอกว่าบ้านไม่สะอาด หากคุณทำรกเสียเอง และไม่ช่วยเธอเลย
                เสื้อผ้าที่รีด ไม่เนี้ยบมาก ก็ปล่อยวางบ้าง ภรรยานะครับ ไม่ใช่ร้านซักรีด

                แม่บ้าน คนใช้ ยังมีเวลาพักผ่อนเลยครับ แต่คิดดูซิ ตอนกลางคืน เธอต้องตื่นให้นม ปั๊มนม
                ลูกร้องเมื่อไหร่ เธอเด้งตัวเมื่อนั้น ตัวผมเองยังนอนสนิท ไม่ได้ยินเสียงลูกร้องเลย

                วันทั้งวันเธอต้องคอยแก้ปัญหา ดูแล ผจญกับเด็กที่ยังไม่ประสีประสา
                บางครั้งลูกก็งอแง บางครั้งก็ดื้อ ถึงวัยที่ไปเรียน เธอต้องคอยรับส่ง คอยสอนการบ้าน กลับถึงบ้าน หากเธอไม่คุยกับคุณ ไม่ปรึกษา ไม่ระบาย จะให้เธอไปคุยกับใคร

                ♦ ตั้งสติ แล้วนิ่งคิดสักนิดครับ ว่านี่คือภรรยาของคุณ ผู้หญิงที่ทิ้งทุกอย่าง
                แล้วออกเดินก้าวมาสร้างอนาคตกับคุณ
                ♦ ตั้งสติ แล้วนิ่งคิด ว่า เราคือสามี ผู้ชายที่เธอรัก เธอไว้ใจ
                เธอคือแม่ของลูก คือภรรยา ไม่ใช่คนใช้
                เปิดใจ ทำความเข้าใจ ภรรยาจะสวยได้ หากมีสามีช่วยเติมเต็ม

                #ให้เกียรติเมียก็เหมือนให้เกียรติตัวเอง
                #อ่านแล้วตอบตัวเองให้ได้ ที่ภรรยาไม่สวย เพราะอะไร?

                #สามีแม่บัวเพจอมรินทร์เบบี้แอนด์คิดส์

                คุณรู้ไหม? สามีเปลี่ยนไปหลังมีลูก เพราะอะไร

                10 สูตรผัวรักผัวหลง มัดใจสามีให้ดิ้นไม่หลุด!

                วิบากกรรมเรื่องชีวิตคู่ และวิธีแก้กรรมเพื่อให้ครอบครัวมีสุข

                ภรรยา 7 ประเภท ในสมัยพุทธกาล

                 

                 

                  เลี้ยงลูกให้เก่ง

                  เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เริ่ม 1 – 7 ขวบ

                  หาก เลี้ยงลูกให้เก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง! ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ เมื่อโตขึ้นลูกของคุณก็จะกลายเป็น คนเก่ง อยู่ในสังคม และเอาตัวรอดได้ แต่จะมีหลักวิธีการอย่างไร ตามมาดูกันเลย

                  4 หลักการ เลี้ยงลูกให้เก่ง
                  ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เริ่ม 1 – 7 ขวบ

                  เด็ก เป็นวัยที่พร้อมรับสิ่งใหม่ๆ โดยเฉพาะในช่วง 1 – 7 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงที่สมองซีกขวาเปิดกว้าง การทำงานของสมองเร็วกว่าผู้ใหญ่หลายเท่า ถ้าคุณพ่อคุณแม่ใส่เรื่องที่ดีเข้าไป ลูกน้อยก็จะเก็บไว้เป็นพลังสร้างสรรค์ และปลดปล่อยพลังนั้นออกมาตลอดชีวิต

                  พลังในวัยเด็ก เป็นพลังที่มีความสำคัญต่อเด็ก มีพ่อแม่เป็นตัวแปรต่อพลังที่จะเกิดขึ้น ทันตแพทย์สม สุจีรา เผยว่า เด็กทุกคนมีความสงสัย หรืออยากรู้อยากเห็น เพราะการกระตุ้นสมองซีกขวา คำตอบที่ได้ แม้จะไม่เข้าใจ แต่จะถูกฝังไว้เป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการค้นหาในอนาคต

                  เช่น สนใจวิทยาศาสตร์ อาจสงสัยว่า… ทำไมปลาหายใจในน้ำได้! แล้วทำไมคนถึงหายใจในน้ำไม่ได้? พอถึงเวลาที่มีโอกาสได้ศึกษา พลังความสงสัยจะส่งผลทันที นั่นคือแรงจูงใจในการศึกษาเรื่องนั้นเป็นพิเศษโดยที่หาเหตุผลไม่ได้

                  ซึ่งถ้าบ้านไหนมีลูกเล็กๆ อยู่ในวัยช่างซักช่างถาม หากอยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรแสดงอาการเบื่อหน่าย เพราะถ้าเด็กเข้าใจผิดว่า ความสงสัยเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย อาจเป็นอันตรายกับชีวิตในอนาคตของตัวเด็กได้!

                  สิ่งที่ควรทำ คือ ให้ชื่นชมในความสงสัยของลูก และพยายามตอบให้มากที่สุด ไม่ว่าจะค้นจากหนังสือ หรือจากแหล่งอื่นๆ แม้ว่าลูกจะไม่เข้าใจ แต่ขอให้เชื่อว่า … ในอนาคต เขาจะนำความรู้จากการตอบ และอธิบายของพ่อแม่ในครั้งนั้น มาหาคำอธิบายเอ ซึ่งบางครั้งอาจรู้สึกว่า ลูกไม่ตั้งใจฟังคำตอบ แต่แท้ที่จริงตัวเด็กได้บันทึกลงสมองไปเรียบร้อยแล้ว นั่นเพราะสมองของเด็กสามารถรับข้อมูลได้ไวกว่าผู้ใหญ่ 3 เท่า หมายความว่า 3 วินาทีของคุณ คือ 1 วินาทีของเด็ก

                  1. การป้อนความจำ ในช่วง 1-7 ขวบ

                  วิธี ลี้ยงลูกให้เก่ง ที่ถูกต้อง เพื่อสร้างเสริมพลังในวัยเด็กให้ลูกอย่างถูกต้อง  ช่วงอายุ 1-7 ขวบ ควรปล่อยให้ลูกเล่นไปตามธรรมชาติ เพราะ การเล่น คือการจินตนาการที่มีความสุข รวมทั้งควรป้อนความรู้สึกให้กับลูกบ่อยๆ เช่น ความรัก ความศรัทธา ความมีเมตตา หรือความพยายาม ขณะเดียวกันเมื่อลูกมีข้อสงสัย ให้หาคำตอบมาอธิบายให้ลูกฟัง

                  นอกจากนี้ ควรลดการป้อนความจำให้กับเด็ก เพราะการพยายามกระตุ้นให้เด็กใช้สมองซีกซ้ายมากเกินไป เช่น เรียนคณิตศาสตร์ที่ยากๆ ก่อนวัย อาจเป็นผลเสียในอนาคตต่อตัวเด็กเองได้ เพราะเด็กส่วนใหญ่ จะเริ่มต้นใช้สมองซีกซ้ายอย่างเต็มที่ในช่วงประมาณ 10 ขวบ หรือประมาณป.4 ดังนั้นผลการเรียนในระดับ ป.1-ป.3 จะนำมาใช้วัดไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นเรียนเก่งจริง

                  ดังนั้น เด็กเล็กที่ถูกบังคับให้เรียนพิเศษคณิตศาสตร์อย่างหนัก แม้ว่าผลการเรียนจะออกมาดีมากในช่วงนั้น แต่เมื่อผ่านพ้น ป.4 เนื่องจากการชะงักของจินตนาการในช่วงก่อนหน้า จะทำให้เขามีผลการเรียนที่ลดลง และเป็นเช่นนั้นตลอดไปจนโต เพราะขาดจินตนาการ ความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นพลังแฝงที่จะเก็บไว้ตลอดเวลาในช่วงวัยเด็ก แล้วค่อยๆ ปล่อยพลังนั่นออกมา เมื่อโตขึ้นไปจนตลอดชีวิต

                  เลี้ยงลูกให้เก่ง

                  2. การป้อนความรู้สึก ในช่วง 1-7 ขวบ

                  การป้อนความรู้สึก เป็นอีกหนึ่งวิธี เลี้ยงลูกให้เก่ง โดยในช่วงอายุ 1-7 ขวบ พ่อแม่ควรป้อนความรู้สึกให้ลูกมากๆ เพราะสมองซีกขวาเปิดกว้างที่สุด ขณะที่ความจำควรป้อนให้น้อยที่สุด เช่น ให้ลูกเรียนคณิตศาสตร์ตั้งแต่ 3 ขวบ หรือให้เรียนสิ่งที่ยากๆ … วิธีดังกล่าวนี้ ยิ่งทำร้ายเด็ก เพราะจะไปสกัดจินตนาการ และความรู้สึกของเด็กออกหมด

                  ฉะนั้นข้อมูลความจำมันเรียนกันทีหลังได้ ความรู้สึกสำคัญกว่า เพราะจะส่งผลให้เด็กโตขึ้น พลังความรู้สึก หรือแรงบันดาลใจที่พ่อแม่ป้อนให้เขา จะมีพลังสูงมาก ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็ว และมีความสำเร็จได้สูง

                  เหมือนกับไอน์สไตน์ ตอน 4 ขวบ เขาสงสัยมาก ว่าทำไมเข็มทิศถึงชี้ไปทางทิศเหนือตลอด เขาก็ถามคนไปทั่วจนได้คำตอบว่า เพราะมันมีสนามแม่เหล็กดึงไป ซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าใจคำว่าสนามแม่เหล็กดีพอ จนกระทั่งตอนโต พอได้มาเรียน และสะดุดกับคำว่า สนามแม่เหล็ก ส่งผลให้พลังในการเรียนรู้มันมาจากไหนก็ไม่รู้ ทำให้เขาสนใจที่จะเรียนรู้ในศาสตร์ดังกล่าวมากขึ้น

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  3. สังเกตการเล่น และเสริมให้โดดเด่นให้ลูก

                  หากอยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง พ่อแม่ ควรสังเกตการเล่นของลูกอยู่เสมอ ว่าลูกชอบเล่นอะไรเป็นพิเศษ เช่น ระบายสี ดนตรี เพื่อที่จะสนับสนุนความชอบของลูกให้โดดเด่น เช่นเดียวกับที่คุณพ่อของไทเกอร์ วูดส์ ที่มีคนถามว่า … เลี้ยงลูกอย่างไรให้เก่งกอล์ฟ? ซึ่งคุณพ่อของไทเกอร์ บอกว่า เขาก็เลี้ยงแบบพ่อแม่คนอื่นๆ เพียงแต่ว่า เขารู้ว่าลูกถนัดตีกอล์ฟ เพราะตอนเด็กๆ เขาสังเกตว่าลูกชอบถือไม้กอล์ฟพลาสติกตีเล่นเป็นพิเศษ จากนั้นจึงพาลูกไปเล่น และฝึกซ้อม จนเก่ง และเป็นมืออาชีพการเล่นกอล์ฟอย่างทุกวันนี้ อย่างไรก็ตามวิธีการ เลี้ยงลูกให้เก่ง พ่อแม่ต้องสังเกตให้ดีด้วย เพราะเด็กบางคนสามารถทำได้ดีและเก่ง แต่ไม่ใช่ความชอบที่แท้จริง

                  เลี้ยงลูกให้เก่ง

                  4. ศิลปะ-ดนตรี-กีฬา 3 ศาสตร์ที่เหมาะกับเด็ก

                  สำหรับวิธี เลี้ยงลูกให้เก่ง ศาสตร์ที่เหมาะสมกับเด็กเล็ก ทันตแพทย์สม เผยว่า … มีอยู่ 3 ศาสตร์ คือ ศิลปะ ดนตรี และกีฬา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พบว่า เด็กเล็กที่มีความสามารถทางดนตรีมีปริมาณเส้นประสาทซึ่งเชื่อมระหว่างสมองทั้งสองซีกหนาแน่นกว่าเด็กที่ไม่ได้เล่นดนตรี ดังนั้นเมื่อโตขึ้น สมองจะปรับการเรียนรู้จากจังหวะเสียง ทำนองของดนตรีให้ป้อนไปที่ศูนย์ภาษา ทำให้สามารถเรียน และออกสำเนียงภาษาต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็ว

                  ขณะเด็กที่เล่นดนตรี กีฬา หรือทำงานศิลปะ จะมีความสามารถทางมิติสัมพันธ์ ส่งผลต่อการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และ คณิตศาสตร์ เมื่อโตขึ้นจะพบว่า สมาธิในเด็กกลุ่มนี้ จะสูงกว่าเด็กทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

                  อย่างไรก็ตาม ทีมแม่ ABK เชื่อว่า คุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้อยาก เลี้ยงลูกให้เก่ง แต่ไม่ต้องถึงกับขั้นเป็นอัจฉริยะก็ได้ เพียงแต่ให้ลูกอยู่ในสังคม และเอาตัวรอดได้ก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นจะ ให้ลูกเก่งอย่างเดียวไม่พอ แต่ควรให้ลูกฉลาดที่จะใช้ชีวิตด้วย หมายความว่า รู้จักเรียนรู้ และประยุกต์ทุกอย่าง เพื่อให้ชีวิตมีความสุข และเอาตัวรอดได้ดีด้วย ที่สำคัญควรสอนให้ลูกเข้าใจตัวเอง พร้อมกับเข้าใจ และรู้เท่าทันคนอื่น แต่ไม่ใช่เอาเปรียบคนอื่นนะ ต้องฉลาดแบบที่ตัวเองเป็นคนดี

                  เครดิต: Life & Family / Manager

                  อ่านต่อบทความน่าสนใจอื่นๆ คลิกที่ภาพ ด้านล่างได้เลย ⇓

                  10 วิธีกระตุ้นสมองลูกในท้อง ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

                  วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้ว …พ่อแม่ที่มีลูกเก่งและฉลาด ต้องมีสิ่งเหล่านี้!

                  เลี้ยงลูกอย่างไรให้มี TQ (Thinking Quotient) ฉลาดในการคิด เก่ง และประสบความสำเร็จ

                  10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้ฉลาดรอบรู้ เก่ง ดี มีสุข ฉลาดทันคน เอาตัวรอดได้

                    วิกฤตโควิด-19

                    เคล็ดลับคุณแม่รับมือวิกฤตโควิด-19

                    แม้เด็กเล็กในช่วงวัย 1-3 ปีไม่ได้ถูกจัดเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคอุบัติใหม่  โควิด-19 แต่พวกเขาเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดไม่ต่างจากคนวัยอื่น  คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจะเป็นไกด์ไลน์นำทางสู่การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายเด็กเล็กวัย 1-3 ปีในสถานการณ์วิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19

                    วิกฤตโควิด-19

                    ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ความรู้ผ่านวิดีโอไลฟ์ในเว็บไซต์ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย  http://www.thaipediatrics.org/  ระบุว่า โรคโควิด-19 จะติดต่อมาถึงเด็กเล็กได้หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้  อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ทุกเพศทุกวัยถือว่ามีความเสี่ยงได้ทั้งหมด  และในกลุ่มเด็กมีอัตราร้อยละ 2 ของผู้ป่วยทั้งหมด เด็กส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการหรืออาการน้อยมากเมื่อได้รับเชื้อเพราะตามธรรมชาติของเด็กนั้นร่างกายจะถูกสร้างมาให้เผชิญกับ เชื้อโรคทุกชนิดอยู่แล้ว  การตอบสนองกับเชื้อใหม่จึงดีกว่าผู้ใหญ่ แต่คุณแม่ต้องไม่ประมาทและต้องเคร่งครัดในการปฏิบัติตนเองตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งไม่ประมาทในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงให้ลูกวัยเด็กเล็กด้วย คุณหมอให้คำแนะนำสำคัญ ได้แก่

                    – ผู้ใหญ่ต้องใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่ใกล้ชิดเด็กเล็ก

                    – ต้องล้างมือบ่อย ๆ รวมทั้งล้างมือให้เด็กด้วย สำหรับเด็กอายุต่ำกว่าสองปี ไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัย

                    – ฝึกลูกให้ล้างมือถูกวิธี  และไม่เอามือไปสัมผัสหน้า

                    – ทำความสะอาดข้าวของ สถานที่ที่ลูกเล่นอยู่ในบ้านทุกวัน  ให้ล้างก่อนแล้วจึงฆ่าเชื้อ

                    – การรับวัคซีน ถ้าลูกอายุต่ำกว่าหนึ่งขวบ ควรไปรับวัคซีนตามนัด  แจ้งโรงพยาบาลก่อนเสมอ

                    – ถ้าลูกอายุหนึ่งขวบขึ้นไปสามารถเลื่อนการรับวัคซีนได้ 3-6 เดือนเพราะวัคซีนในช่วงวัยนี้เป็นการฉีดวัคซีนกระตุ้น

                    – หากต้องการให้ลูกเล่นกลางแจ้ง ให้เลือกที่ ๆ คนน้อยที่สุด และไม่พาเด็กไปเล่นรวมกลุ่มด้วยกัน

                    วิกฤตโควิด-19

                    การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงสำหรับลูกวัยเด็กเล็ก 1-3 ปี เรื่องอาหารและโภชนาการ มีความสำคัญมากเช่นกัน  พญ.กิติมา ยุทธวงศ์ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก (PNMA) กล่าวว่า เคล็ดลับการจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี คือ เน้นอาหารครบคุณค่า 5 หมู่ในมื้อหลักวันละ 3 มื้อและให้ลูกกินนมวันละ 2-3 แก้ว  ถ้าเลือกเป็นนมเสริมสารอาหารสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี เด็กก็จะได้รับสารอาหารในกลุ่มไมโครนิวเทรียนต์ คือวิตามินแร่ธาตุต่างๆ  เพิ่ม  ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นที่เติมในนมเสริมสารอาหาร  นมประเภทนี้มีส่วนช่วยเติมเต็มโภชนาการจำเป็นในแต่ละวันที่เด็กจะได้รับให้มีความครบถ้วน สมดุลและพอเพียงต่อความต้องการของร่างกาย  เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนก็จะมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง

                    สำหรับสมาคมผู้ผลิตอาหารทารกและเด็กเล็ก (PNMA) ซึ่งมีพันธกิจสำคัญประการหนึ่งคือ การส่งเสริมสนับสนุนหน่วยงานภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องสู่สาธารณชน เกี่ยวกับโภชนาการที่ดี และปลอดภัย อย่างเหมาะสมสำหรับอาหารเด็กเล็ก แนะนำให้คุณแม่ได้ติดตามและรับทราบข้อมูลความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับนมเสริมสารอาหารสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี (Young Child Formula : YCF) จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เฟสบุ๊คเพจ 1-2-3 KidsPedia (https://www.facebook.com/123kidspedia/ ) ซึ่งเป็น Community สำหรับคุณแม่ยุคใหม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัย เด็กเล็ก 1-3 ปีสำหรับพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การเลี้ยงลูก

                    วิกฤตโควิด-19

                    ปิดท้ายด้วยคำแนะนำจากกุมารแพทย์ว่าด้วยเรื่องอาหารคือยาชั้นดีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง พญ.สุชาอร แสงนิพันธ์กูล กล่าวถึงกลุ่มสารอาหารหลักที่ให้พลังงานสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน  โดยมีคำแนะนำว่า คุณแม่ควรเลือกสรรโปรตีนคุณภาพดีและเป็นแหล่งของสารอาหารธาตุเหล็ก ได้แก่ เนื้อสัตว์ เช่น หมูเนื้อแดง ปลา ไก่ ไข่ ตับ โดยทำเมนูให้ลูกกินสลับกันไปทุกวันเพื่อช่วยในการเจริญเติบโต อาหารที่มีธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ซึ่งมีผลต่อการนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะเซลล์สมอง ธาตุเหล็กพบมากในเนื้อแดง เครื่องในจากสัตว์  ผักใบเขียว และอาหารทะเล

                    วิกฤตโควิด-19

                    นอกเหนือจากสารอาหารกลุ่มหลักแล้ว สารอาหารกลุ่มรองจำพวกวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ก็มีความจำเป็นเพราะเป็นสารอาหารที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง ได้แก่ สังกะสี  วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี โดยให้ลูกรับประทานเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ข้าวกล้อง  ปลาและอาหารทะเล ในทุกๆ วันให้เน้นผักผลไม้สดรสไม่หวานจัด  สีส้ม สีแดง และผักใบเขียวเข้ม ได้แก่ แครอท ฟักทอง ส้ม ฝรั่ง มะละกอ ผักโขม เป็นต้น ที่สำคัญคือ ควรให้ลูกได้กินอาหารที่หลากหลาย เพื่อให้ร่างกายได้รับโภชนาการที่มีประโยชน์เพียงพอ

                     

                     

                      8 วิธี รับมือลูกดื้อ “เผลอทำผิด” โดยไม่ต้องดุด่า!

                      ลูกบ้านไหน เป็นเด็กดื้อ ไม่ค่อยเชื่อฟังพ่อแม่ ไม่ทำตามคำสั่ง … ตามมาดูวิธี รับมือลูกดื้อ พ่อแม่ต้องตั้งสติก่อนลงไม้ลงมือ ไม่ต้องดุด่า แค่ถามแบบนี้? ก็ช่วยให้ลูกสำนึกได้

                      วิธี รับมือลูกดื้อ เผลอทำผิด โดยไม่ต้องดุด่า

                      “ความดื้อ” คือพัฒนาการตามวัยของเด็กอย่างหนึ่ง การที่ลูกเล็กวัย 0-6 ปี แสดงอาการต่อต้านพ่อแม่ เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตและพัฒนาการของเขา ลูกดื้อ ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้าย เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงการเติบโตทางจิตใจว่าลูกของคุณกำลังคิดด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะใช้เหตุผล และตัดสินใจเลือก ซึ่งในฐานะพ่อแม่ควรรู้ให้ทันพัฒนาการของลูกน้อย และเตรียมตัวเตรียมใจ รับมือลูกดื้อ โดยใช้วิธีจัดการให้เหมาะสมกับพัฒนาการตามวัยนั้นๆ

                      รับมือลูกดื้อ

                      โดยส่วนมากเมื่อลูกดื้อ หรือทำความผิด เด็กจะรู้สึกกลัวอยู่แล้ว กลัวว่าพ่อแม่จะด่า กลัวจะถูกลงโทษ แล้วยิ่งถ้าพ่อแม่ดุด่าและตี เขาก็จะยิ่งต่อต้าน … ดังนั้นสำหรับการเลี้ยงลุกในยุคนี้คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ควร รับมือลูกดื้อ ด้วยการถามคำถามเหล่านี้กับลูกก่อน ซึ่งอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการด่วนตัดสินใจลงโทษลูก โดยลองให้ลูกมีส่วนร่วมในการคิดกฏการลงโทษ ดังนี้…

                       

                      1. ถามลูกว่าเกิดอะไรขึ้น!

                      หนึ่งในวิธี รับมือลูกดื้อ คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกมีโอกาสพูดบ้าง อย่าเคยชินกับการด่วนตัดสิน และสิ่งสำคัญ คือ ไม่ควรดุด่า ว่ากล่าว หรือตะคอกโมโหใส่ลูก ควรจะฟังลูกอธิบายอย่างสงบ ทำความเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงจากมุมของลูก

                      ที่สำคัญ การให้โอกาสลูกได้พูด แม้ว่าจะทำผิดจริง ลูกก็ยินดีที่จะยอมรับความผิดของเขามากกว่า เพราะเขามีโอกาสแก้ตัวให้ตัวเองแล้ว

                      2. ถามลูกว่า รู้สึกยังไงบ้าง? หนูคิดอะไรอยู่?

                      ก่อนอื่นเลย…หลังเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องอย่าเพิ่งสั่งสอนลูก เพราะหัวใจของลูกได้รับการกระทบกระเทือน ไม่มีถูกผิด การถามความรู้สึกนึกคิดในสิ่งที่ลูกได้ทำไป ก็เพื่อให้ลูกมีทางออกของอารมณ์

                      ซึ่งหลายๆ ครั้ง เด็กก็แค่ต้องการพูดความรู้สึกของตัวเองออกมาเท่านั้น เมื่อคนเรามีภาวะอารมณ์รุนแรง สิ่งเร้าภายนอกก็จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสมองง่ายๆ หรือพูดง่ายๆ ว่า…ถ้าคนเรายังมีอารมณ์ติดค้างอยู่ คนอื่นพูดอะไรก็ฟังไม่เข้าหัวต้องรอให้อารมณ์เขาสงบลง ถึงสามารถคิดอย่างใจเย็นได้

                      เพราะฉะนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่ต้องการให้ลูกเชื่อฟังที่ตัวเองพูด ก็ควรจะต้องเข้าใจความรู้สึกของลูกก่อน ปล่อยให้อารมณ์ของลูกมีทางออก พอลูกสงบลงแล้วก็สามารถถามคำถามที่ 3

                      3. ถามลูกว่า ต้องการแบบไหน?

                      สำหรับตอนนี้เมื่อถามคำถามไปแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่ลูกพูดออกมาจะน่าอัศจรรย์แค่ไหน ขอให้คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าตกใจ อย่ากลัว ให้สงบใจไว้และถามคำถามข้อที่ 4

                      4. ถามต่อว่า หนูคิดว่าพ่อแม่ต้องทำยังไงกับความผิดของหนู?

                      เมื่อมาถึงตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องเคารพคำพูดของลูก และแสดงความเห็นแบบให้เกียรติ โดยสามารถคิดไปพร้อมกันกับลูก พร้อมช่วยเสนอแนะและแก้ปัญหาร่วมกัน

                      ซึ่งหากเป็นแบบนี้ต่อไปในอนาคต เมื่อลูกเจอปัญหาเขาก็จะคิดถึงการมาขอความช่วยเหลือจากตัวคุณพ่อคุณแม่ แต่ถ้ารอจนคิดไม่ออกแล้วก็ถามคำถามที่ 5

                      5. ถ้าพ่อแม่ทำแบบนี้แล้วหนูจะเป็นอย่างไร!

                      ให้ลูกได้คิดได้เข้าใจว่า วิธีการแก้ปัญหาทุกอันจะมีผลที่ลูกต้องรับผิดชอบ ลูกจะรับผลเหล่านี้ได้หรือไม่? ถ้าตอนนี้ลูกคิดไม่ออก คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าไปช่วยแนะนำและบอกว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร แต่ควรหลีกเลี่ยงการเทศนา ทำเพียงให้พูดแค่ข้อเท็จจริงเท่านั้น

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      6. ถามลูกต่อว่า ตัดสินใจได้ไหมว่าเราควรทำอย่างไรดี?

                      เมื่อวิเคราะห์เรื่องราวและผลที่ตามมาครบหมดแล้ว ลูกก็จะสามารถชั่งข้อดีข้อเสียได้และเลือกวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและฉลาดที่สุด แม้ว่าสิ่งที่ลูกเลือกจะไม่ตรงตามที่คุณคาดไว้ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของลูก

                      เพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่พูดกลับไปกลับมาไม่ยอมรับสิ่งที่ลูกพูดมา อีกหน่อยลูกก็จะไม่เชื่อถือพ่อแม่ ถึงตรงนี้แม้ว่าลูกจะเลือกผิด เขาก็ยังสามารถเรียนรู้บทเรียนอันมีค่าและน่าจดจำจากความผิดพลาดนี้

                      7. ถามลูกว่าอยากให้พ่อแม่ทำอะไรดี!

                      เมื่อลูกบอกว่าพ่อแม่สามารถช่วยเขาได้ยังไง คุณพ่อคุณแม่จะต้องสนับสนุนอย่างแข็งขัน เพราะการสนับสนุนจากพ่อแม่คือเบื้องหลังความเข้มแข็งของลูก ทำให้ลูกยิ่งมั่นใจมากขึ้น รอจนเรื่องราวผ่านไปก็ถามคำถามสุดท้ายกับลูก

                      8. ถ้าลูกทำผิดแบบนี้อีกคราวหน้าพ่อแม่ต้องทำยังไง?

                      วิธี รับมือลูกดื้อ ข้อสุดท้าย พ่อแม่ควรรอจนเรื่องราวผ่านไปแล้ว ให้โอกาสลูกได้ทบทวนตัวเอง ทบทวนว่าการตัดสินใจและวิธีการแก้ปัญหาของเขาว่ามีประสิทธิภาพไหม นั่นก็เพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถในการตัดสินสิ่งต่างๆ

                      อย่างไรก็ตามยังมีคุณพ่อคุณแม่จำนวนไม่น้อยที่คิดว่าลูกตัวเองอายุยังน้อย ยังเด็กเกินไป ไม่มีความสามารถในการคิดแก้ไขปัญหา แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าเด็กจะอายุน้อยมาก แต่ก็สามารถมีความคิดใช้กลยุทธ์และวิธีการบางอย่างเพื่อแก้ปัญหาได้ สิ่งสำคัญคือการเลี้ยงลูกที่มีภาวะดื้อและต่อต้านเป็นงานที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่ แต่ลูกก็จะสามารถดีขึ้นได้ หากได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมจากคนในครอบครัว ขอให้คุณพ่อคุณแม่ค้นให้พบและปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดู อีกไม่นานเขาก็จะกลับมาเป็นเด็กดีให้คุณพ่อคุณแม่ได้ชื่นใจอย่างแน่นอน สุดท้ายทุกคำสั่งสอนก้อย่าลืมใส่ใจพร้อมมอบความรักลงไปด้วยนะคะ

                      ขอบคุณที่มาจาก : aanplearn.com

                      อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

                      ภาพหาดูยาก! สอน การเลี้ยงลูกของคนจีน ในสมัยก่อน แต่ยังสอนได้ดีในสมัยนี้

                      37 แนวทาง เลี้ยงลูกให้ถูกธรรม!! ตามคำสอนพุทธ เพื่อให้ลูกเป็นคนดีและมีสุข

                      คำสอนดี ๆ ในการเลี้ยงดูลูกแบบคนจีน

                      5 เทคนิค ตามใจลูก [สร้างวินัยเชิงบวก] ฝึกลูกคิดเป็น มีความรับผิดชอบ

                      10 เคล็ดลับปรับพฤติกรรมลูก ก้าวร้าว พ่อแม่ยุคใหม่ต้องเข้าใจและพร้อมรับมือ

                       

                        การเป็นพ่อคน

                        Youtuber สอนสิ่งที่เด็กชายควรรู้ เรื่อง “การเป็นพ่อคน”

                        การเป็นพ่อคน ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย Youtuber ปิ๊งไอเดีย สอนสิ่งที่เด็กชายควรรู้ เมื่อเขากลายเป็นพ่อ เช่น การโกนหนวด การซ่อมบ้าน

                        Youtuber สอนสิ่งที่เด็กชายควรรู้ เรื่อง “การเป็นพ่อคน”

                        เมื่อครอบครัว มีเด็กตัวน้อย ๆ มาอยู่ในบ้าน ว่าที่คุณพ่อและว่าที่คุณแม่ก็มักจะมีโอกาสได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างด้วยตัวเอง เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูก ๆ อีกทั้งยังเป็นการสอนให้ลูกได้รู้จักทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง แต่สำหรับบ้านที่ไม่มีพ่อมาเป็นแบบอย่าง หรือมาสอนให้รู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ผู้ชายควรจะทำเป็น ก็ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เมื่อ Rob Kenney ได้เปิดช่องใน Youtube ขึ้นมาเพื่อสอนสิ่งที่เด็กชายควรรู้เมื่อต้องกลายเป็นพ่อคน…

                        เด็กชายวัย 12 ที่โดนพ่อทิ้ง และเติบโตมาโดยไม่มีพ่อคอยให้คำแนะนำ ซึ่งตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นพ่อลูก 2 เขาได้ตัดสินใจสร้างช่องขึ้นมาทาง Youtube ชื่อ Dad, how do I? ซึ่งช่องใน Youtube ช่องนี้ได้ถูกถ่ายอย่างเรียบง่าย แต่ละวิดีโอจะแสดงเกี่ยวกับงานทั่วไปซึ่งลูก ๆ อาจต้องการความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากพ่อ และสำหรับผู้ชายทุกคนที่กำลังจะเป็นพ่อ อาจจะต้องเรียนรู้ไว้เพื่อสอนลูก ๆ ในอนาคต ซึ่งคลิปที่ Rob Kenney ได้ลงไว้ใน Youtube มีดังนี้

                        ความเป็นพ่อ
                        การเป็นพ่อคน
                        • ฉันจะผูกเนคไทอย่างไร?
                        • สอนวิธีโกนหนวด
                        • เปลี่ยนยางรถยนต์ ทำยังไง?
                        • เช็คลมยาง ทำยังไง?
                        • วิธีฝึกใช้เตารีด รีดเสื้อเชิ๊ต
                        • วิธีตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง
                        • ใช้เครื่องหาโครงคร่าว หาท่อเหล็ก หาสายไฟ ทำยังไง?
                        • วิธีต่อชั้นวางของ
                        • ท่อตัน จัดการได้อย่างไร?
                        • วิธีจัดการกับท่อระบายน้ำตัน
                        • ซ่อมโถส้วม ทำอย่างไร?
                        • สอนการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือช่าง

                        นอกจากคลิปการสอนต่าง ๆ แล้ว Rob Kenney ยังได้ลงคลิปวิดีโอ เพื่อขอบคุณทุก ๆ ท่านที่ติดตามและคอยสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจในการทำคลิปต่อไป โดยเขาได้อธิบายว่าคนส่วนใหญ่มักจะเกิดความยุ่งยากเมื่อต้องทำสิ่งเหล่านี้ ตัวเขาเองไม่ได้มีพ่อมาคอยแนะนำ เขาจึงหวังว่าคลิปที่เขาลงทั้งหมดนี้ จะเป็นประโยชน์และเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับทุกคน สำหรับเด็กชายที่ไม่มีพ่อมาคอยให้คำแนะนำ และสำหรับผู้ชายที่กำลังจะได้เป็นพ่อในอนาคตอีกด้วย…..”เราเปลี่ยนอดีตตัวเองไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนอนาคตของเราและคนอื่น ๆ ได้”

                        หน้าที่ของพ่อ

                        พ่อ ก็มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ หน้าที่ของพ่อนั้น แบ่งเป็นหลายประการด้วยกัน เช่น หน้าที่ที่ต้องทำต่อแม่ หน้าที่ที่ต้องทำต่อลูก พ่อจึงต้องปรึกษาหารือกับแม่เพื่อแบ่งหน้าที่และกิจกรรมต่าง ๆ ในครอบครัว จริง ๆ แล้วการแบ่งหน้าที่ มักจะเริ่มตั้งแต่แต่งงานยังไม่มีลูก สามีภรรยาก็ต้องรู้จักหน้าที่ของกันและกันเอง คือเริ่มมีการวางแผน และการวางแผนแบ่งเป็นหลายด้าน ได้แก่ การแบ่งเวลา การดูแล การทำงานบ้าน การทำงาน และการดูแลในเรื่องการเงิน เมื่อมีลูกแล้ว พ่อก็ควรมีบทบาทในการเลี้ยงลูกด้วยเช่นกัน แม้ว่าแม่จะเป็นตัวเอกและจะดูแลในระยะแรก ๆ คนเป็นพ่อควรจะต้องดูว่าบทบาทของตัวเองจะไปช่วยเสริมหน้าที่ของแม่อย่างไรได้บ้าง และเมื่อลูกโตขึ้นพ่อมักจะมีบทบาทมากขึ้น ในการฝึกฝนให้คำอบรมและสั่งสอนเลี้ยงดูลูก ๆ นั่นเอง

                        เด็กมักจะสังเกตและเรียนรู้จากพ่อและแม่ การปฏิบัติให้สอดคล้องกัน และการแบ่งหน้าที่ไปตามที่ตนเองถนัด (เพราะหน้าที่บางอย่างแม่จะทำได้เหมาะสมกว่าพ่อ ส่วนบางหน้าที่ พ่ออาจจะทำได้มากกว่าแม่) ก็จะทำให้ลูกเข้าใจและเรียนรู้บทบาทหน้าที่ต่าง ๆ ของคนในครอบครัวได้ง่ายขึ้น

                        พฤติกรรมของพ่อมีส่วนสำคัญกับลูกอย่างไรบ้าง?

                        เด็กจะเรียนรู้ตลอดเวลาจากคนที่อยู่ใกล้ชิดและถ่ายทอดเอาแบบอย่างนั้นไปเลย เรื่องที่สำคัญคือ ทัศนคติและค่านิยมต่าง ๆเพราะฉะนั้นพ่อและแม่เป็นคนอย่างไร คิดอะไร เด็กก็จะเรียนรู้ ชีวิตประจำวันนี้ไปตลอด ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นแกนสำคัญต่อบุคลิกของเด็ก คือเขาโตขึ้นเขาจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่เราเลี้ยงเขาขณะที่ยังเล็ก ๆ อยู่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดอีกอย่างคือ ภาพของคุณพ่อคุณแม่ที่ดำเนินชีวิตครอบครัวไปอย่างมีความสุขก็จะติดตาติดใจไปถึงตอนนั้นด้วยแล้วก็จะเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เขาดำเนินชีวิตต่อไปด้วย

                        บางครอบครัวนั้นเด็กก็จะมีนิสัยพฤติกรรมไปทางแม่ ส่วนบางครอบครัวก็จะไปทางพ่อ นั้นก็ขึ้นกับพฤติกรรมที่เด็กได้จดจำมาจากคนใกล้ชิดนั่นเอง

                        ส่วนใหญ่ลูกผู้ชายหรือลูกผู้หญิงที่จะสนิทกับพ่อมากที่สุด?

                        ตามธรรมชาติลูกผู้หญิงจะสนิทกับคุณพ่อมากในช่วงแรก ๆ หมายถึง 3-6 ปีแรกของชีวิตเด็กผู้หญิงจะใกล้ชิดกับคุณพ่อโดยธรรมชาติ เช่นเดียวกับเด็กผู้ชายก็จะไปสนิทกับคุณแม่ แต่เมื่อเขาเริ่มเข้าอนุบาลเด็กก็จะเริ่มเรียนรู้ว่าเขาเป็นเพศใด และก็จะเริ่มถ่ายทอดแบบอย่างจากเพศเดียวกัน หมายถึงเด็กผู้หญิงก็จะเริ่มเปลี่ยนจากสนิทกับพ่อก็มาเป็นคุณแม่ ส่วนเด็กผู้ชายก็จะกลับไปสนิทกับคุณพ่อแทนเพื่อจะถ่ายทอดแบบอย่าง และการถ่ายทอดก็สำคัญเพราะจะทำให้เขามีเอกลักษณ์ทางเพศถูกต้อง พฤติกรรมทางเพศ บทบาททางเพศได้อย่างเหมาะสม

                        ครอบครัวแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่มีพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม่เลี้ยงเดี่ยว การดูแลเอาใจใส่และให้ความรักกับลูกเป็นที่ตั้งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เด็กที่ได้รับความรักอย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นจากพ่อเพียงคนเดียว หรือจากแม่เพียงคนเดียว ก็สามารถเติบโตมาได้อย่างมีความสุข และสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ในอนาคตได้ เช่นเดียวกับ Rob Kenney คนนี้

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        8 ข้อ พ่อแม่มือใหม่ ควรคุยกัน โค้งสุดท้ายก่อนคลอด

                        8 ข้อ พ่อแม่มือใหม่ ควรคุยกัน โค้งสุดท้ายก่อนคลอด

                        10 แบบอย่างที่ดี ที่พ่อแม่ควรทำให้ลูกเห็น

                        10 แบบอย่างที่ดี ที่พ่อแม่ควรทำให้ลูกเห็น

                        พ่อแม่รังแกฉัน ! บาป 14 ประการ จากท่าน ว.วชิรเมธี

                        พ่อแม่รังแกฉัน ! บาป 14 ประการ จากท่าน ว.วชิรเมธี

                        7 วิธี การเป็นพ่อแม่ที่ดี ของลูก ไม่ยากอย่างที่คิด

                        7 วิธี การเป็นพ่อแม่ที่ดี ของลูก ไม่ยากอย่างที่คิด

                         

                        ขอบคุณข้อมูลจาก : Dad, How do I? Channel, itechpost.com, fb.me/dadhowdoi, ผศ.นพ.พนม เกตุมาน ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          แก้ไขใบสูติบัตร

                          แก้ไขใบสูติบัตร ถอนชื่อพ่อออกจากใบเกิด ทำได้ไหม?

                          สำหรับแม่ ๆ ที่ต้องการ แก้ไขใบสูติบัตร ถอนชื่อพ่อออกจากใบเกิด เปลี่ยนชื่อพ่อในใบสูติบัตร อยากรู้ว่าทำได้ไหม? ต้องทำอย่างไร? อ่านได้ที่นี่

                          แก้ไขใบสูติบัตร ถอนชื่อพ่อออกจากใบเกิด ทำได้ไหม?

                          การเปลี่ยนแปลงชื่อพ่อในสูติบัตร การถอนชื่อพ่อออกจากใบเกิด ทำได้ไหม?

                          ใบเกิดหรือสูติบัตร ในกรณีที่ได้ระบุชื่อพ่อไว้แล้ว ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือถอนชื่อออกได้ เพราะการแจ้งข้อมูลในการทำสูติบัตร ต้องถือเป็นการแจ้งตามข้อเท็จจริงเท่านั้น เนื่องจากสถานะทางครอบครัวเกิดขึ้นจากกฎหมาย ทุกคนต้องมีบิดา มารได้ ไม่อาจถอนความเป็นบิดา มารดาที่แท้จริงได้นั่นเอง

                          กรณีแจ้งเกิดบุตร โดยใส่ชื่อผู้อื่นเป็นบิดาลงในสูติบัตร

                          กฎหมายบอกว่า…การแจ้งเกิดบุตร โดยใส่ชื่อผู้อื่นเป็นบิดาลงในสูติบัตรของเด็ก ไม่ว่าจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือความตั้งใจของมารดา และผู้สมรู้ร่วมคิดในขณะนั้น หรือไม่ก็ตาม หากมีการตรวจพบในภายหลัง หรือบิดาตัวจริงกลับมาทวงสิทธิขอรับรองบุตร จะเกิดเรื่องยุ่งยากต่อไปนี้

                          เริ่มจากผู้แจ้งอาจจะถูกดำเนินคดีตามฐานความผิด ผู้ใด ทำ ใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเอง หรือผู้อื่นมีชื่อ หรือมีรายการอย่างใดอย่างหนึ่งในทะเบียนบ้าน หรือเอกสารการ ทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๖ เดือนถึง ๓ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ บาท ถึง ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร มาตรา ๕๐ พ.ศ. ๒๕๓๔ (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๑)

                          จากนั้นจึงเข้ากระบวนการสอบสวนของนายทะเบียนแต่ละท้องถิ่นเพื่อทำให้เชื่อว่าบิดาคนใดเป็นตัวจริง เพื่อยกเลิกสูติบัตรตามมาตรา ๑๐ พ.ร.บ. การทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๑) และให้ผู้แจ้งดำเนินการแจ้งเกิดใหม่ต่อไป ซึ่งกรณีนี้คงต้องลงลึกถึงผลตรวจดีเอ็นเอแน่นอน

                          สำหรับมารดาที่แอบอ้างนำชื่อฝ่ายชายที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันไปใส่ในสูติบัตร ฝ่ายชายที่ถูกแอบอ้างสามารถฟ้องร้องเพิกถอนและเรียกร้องเอาค่าเสียหายได้โดยต้องผ่านการพิสูจน์ทางดีเอ็นเอ ซึ่งหากตรวจแล้วไม่ตรงกันแน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องรับรองบุตรและบุตรก็ไม่สามารถขอแบ่งมรดกได้

                          ทั้งนี้ในประเด็นที่ว่ามีการนำชื่อญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงมาใส่เป็นบิดาก็จะเกิดปัญหาตามมาเช่นเดียวกัน ตัวอย่างเช่น หากบิดาตัวปลอมคนดังกล่าวไปก่อเรื่องเป็นหนี้เป็นสินแล้วเกิดการเสียชีวิตไปก่อน เจ้าหนี้ก็จะฟ้องร้องบังคับให้ทายาทชำระแทนได้ หรือหากบิดาตัวปลอมคนที่ว่าขับรถไปประสบอุบัติเหตุจนตัวเองตายแล้วมีคู่กรณีตายด้วย ทางญาติของคู่กรณีก็สามารถเรียกร้องค่าสินไหมจากการกระทำของบิดาโดยทายาทก็ต้องรับผิดชอบไปด้วย

                          ถอนชื่อพ่อออกจากใบเกิด
                          ถอนชื่อพ่อออกจากใบเกิด

                          กรณีไม่ระบุชื่อบิดาตั้งแต่แจ้งเกิด และบิดาต้องการรับรองบุตรในภายหลัง

                          หากบิดามีความประสงค์ที่จะกลับมา รับรองบุตรตัวเองในภายหลัง ทางนายทะเบียนท้องที่ที่รับแจ้งจะทำการสอบสวนตามขั้นตอนเพื่อดำเนินการเพิ่มเติมในใบสูติบัตรให้ ซึ่งมีความจำเป็นต้องพาผู้นำชุมชน ผู้ใหญ่บ้าน หรือญาติพี่น้องมาช่วยยืนยันหรือรับรองกันจึงจะเพิ่มเติมให้ได้ ขั้นตอนจะวุ่นวายพอสมควร หากมีการยืนยันกันแล้วยังไม่น่าเชื่อถือก็อาจต้องลงลึกถึงการพิจารณาผลตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกด้วยเช่นกัน แต่ก็มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นคือการจดทะเบียนสมรสกับมารดาของเด็กในภายหลังด้วยเช่นกัน

                          ข้อดีของการไม่ระบุชื่อบิดาตั้งแต่แจ้งเกิด

                          • การไม่ระบุชื่อบิดา คุณแม่มีสิทธิในการปกครองเด็กแต่เพียงผู้เดียว
                          • เมื่อลูกโตขึ้น จะไม่ยุ่งยากในการยื่นเอกสาร เช่น การเข้าเรียน การทำพาสปอร์ต การทำงาน การรับราชการ หรือการเป็นทหาร ไม่ต้องตามตัวพ่อให้วุ่นวาย

                          อ่านต่อ เปลี่ยนชื่อลูก ที่ไหน ใช้เอกสารอะไรบ้าง?

                          แม่ควรรู้! ทำอย่างไรเมื่อ สูติบัตรลูกหาย

                          กรณีแจ้งเกิดโดยระบุชื่อบิดาตามความเป็นจริง แต่ต้องการถอนชื่อออกในภายหลัง

                          ไม่สามารถทำได้ เพราะการหย่าขาด การแยกกันอยู่ การสิ้นสุดความเป็นสามีภรรยา ไม่สามารถทำให้สถานภาพการเป็นบิดาและบุตรขาดจากกันได้

                          กรณีหย่าขาดกับสามีเก่า ต้องการใส่ชื่อสามีใหม่เป็นพ่อของเด็ก

                          คำแนะนำจากสำนักงานทนายความ ทนายคลายทุกข์

                          1. การหย่าขาดจากกันไม่เป็นเหตุให้สิ้นสุดการเป็นพ่อ จึงไม่อาจยื่นคำร้องขอให้ถอนชื่ออดีตสามี ผู้ซึ่งบิดาเป็นตามความเป็นจริงออกจากสูติบัตรของบุตรต่อนายทะเบียน เพื่อขอเปลี่ยนเป็นชื่อสามีคนใหม่ต่อนายทะเบียนไม่อาจกระทำได้ เพราะไม่มีกฎหมายให้สิทธิไว้
                          2. สามีใหม่ควรดำเนินการจดทะเบียนรับบุตรเป็นบุตรบุญธรรมโดยได้รับความยินยอมจากมารดาต่อไปตามมาตรา 1598/21, 1598/27

                          การตรวจหาดีเอ็นเอตามคำสั่งศาล

                          การตรวจหาดีเอ็นเอตามคำสั่งศาลหรือการร้องขอจากหน่วยราชการต้องผ่านการ รับรองจากองค์กรอันเป็นที่ยอมรับ หากคู่กรณีประสงค์ดำเนินการพิสูจน์กันเองก็ได้แต่ต้องได้รับความยินยอมทั้ง ๒ ฝ่าย กรณีบุตรบรรลุนิติภาวะแล้วตัวบุตรต้องยินยอมด้วย หน่วยงานราชการที่รับตรวจ ได้แก่

                          • สถาบันนิติเวชวิทยา
                          • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
                          • คณะแพทยศาสตร์ของโรงพยาบาลรัฐบาลอีกหลายแห่ง

                          ขั้นตอนการตรวจตามหลักสากลที่ปฏิบัติกัน มีดังนี้

                          1. การเจาะเลือดและใช้เครื่องมือขูดเนื้อเยื่อบริเวณกระพุ้งแก้มของผู้รับการตรวจ
                          2. จากนั้นผู้ทำหน้าที่ตรวจก็จะนำตัวอย่างดีเอ็นไปเข้ากระบวนการทางเคมีตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ใช้น้ำยาสกัด วัดปริมาณ เพิ่มปริมาณ อ่านวิเคราะห์ค่าที่ออกมาตามกราฟ จะทราบผลการตรวจยืนยันได้ภายใน ๑ สัปดาห์

                          นอกจากกระบวนการฟ้องร้องไม่ว่ากรณีใด ๆ อันเกี่ยวข้องกับการขอใส่ชื่อหรือแก้ไขชื่อบิดาตามความเป็นจริงในสูติบัตรนั้น ล้วนมีความยุ่งยากมากมายหลายขั้นตอน บวกกับค่าใช้จ่ายที่ต้องมีเพิ่มขึ้นจากกรรมวิธีขอตรวจดีเอ็นเอยืนยันความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ดังนั้น จึงควรแจ้งเกิดตามข้อเท็จจริง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาภายหลังค่ะ

                          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                          แจ้งเกิดลูก ไม่มีพ่อ ไม่ระบุชื่อพ่อได้ไหม? อนาคตจะมีปัญหาหรือไม่?

                          แจ้งเกิดลูก ไม่มีพ่อ ไม่ระบุชื่อพ่อได้ไหม? อนาคตจะมีปัญหาหรือไม่?

                          อยากมีลูกแต่ไม่มีสามี! วิจัยเผย อนาคตหญิงท้องได้ ไม่ง้อผู้ชาย

                          อยากมีลูกแต่ไม่มีสามี! วิจัยเผย อนาคตหญิงท้องได้ ไม่ง้อผู้ชาย

                          วิธีแก้กรรม 14 เรื่อง “ครอบครัว ความรัก และลูก” ไม่น่าเชื่อแต่จริง!!

                          วิธีแก้กรรม 14 เรื่อง “ครอบครัว ความรัก และลูก” ไม่น่าเชื่อแต่จริง!!

                          สิทธิการเลี้ยงดูบุตร เมื่อไม่ได้จดทะเบียน

                          สิทธิการเลี้ยงดูบุตร เมื่อไม่ได้จดทะเบียน

                           

                          ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจกฎหมายเพื่อชาวบ้าน และข่าวสาร, www.decha.com

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            เยียวยากลุ่มเปราะบาง

                            รับเงิน เยียวยากลุ่มเปราะบาง 1,000 บาท 3 เดือน ใครได้บ้าง..ต้องทำยังไง เช็กเลย!

                            ครม.เห็นชอบแล้ว แจกเงิน 1,000 บาท นาน 3 เดือน เยียวยากลุ่มเปราะบาง เงินเข้าวันไหน ใครบ้างที่จะได้รับ และต้องทำยังไงถึงจะได้ เช็กที่นี่เลย!

                            อนุมัติแล้ว! เยียวยากลุ่มเปราะบาง
                            รับเงินคนละ 1,000
                            บาท 3 เดือน

                            จากกรณีมีรายงานเมื่อช่วงกลางเดือน พ.ค. 63 ที่ผ่านมาว่า กระทรวงการคลัง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้เสนอในที่ประชุม ครม. ให้ออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบาง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 เป็นการแจกเงินคนละ 1,000 บาท ระยะเวลา 3 เดือน

                            ซึ่งล่าสุด น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาเปิดเผยว่า… ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ครั้งที่ 4/2563 เรื่อง มาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)

                            โดยกรอบวงเงินไม่เกิน 3.94 หมื่นล้านบาท สามารถใช้เงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลัง กู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และ ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมไทยที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคดังกล่าว

                            เยียวยากลุ่มเปราะบาง ใครได้บ้าง

                            สำหรับ กลุ่มเปราะบาง ในความหมายของ กระทรวงสาธารณสุข ให้นิยามว่า หมายถึง คนที่ขาดหลักประกันพื้นฐานทางสังคมในการดำรงชีวิต เข้าไม่ถึงบริการทางสังคม เดิมเรียกว่า กลุ่มด้อยโอกาส ซึ่งกลุ่มคนที่จะที่ได้รับเงินเยียวยา ตามมาตรการดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
                            – เด็กจากครัวเรือนยากจน ตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึง 6 ขวบ จากครัวเรือนที่มีความยากจน ประมาณ 1.45 ล้านคน
                            – ผู้สูงอายุ ประมาณ 9.66 ล้านคน
                            – ผู้พิการ มีจำนวน 2 ล้านคน

                            ทั้งนี้สำหรับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบาง จะให้รายละ 1,000 บาทต่อเดือน นานต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่ พ.ค. – ก.ค. 2563) ซึ่งเป็นการแจกเงินกลุ่มเปราะบางที่ให้เพิ่มจากเงินอุดหนุนตามปกติทั้ง 3 กลุ่ม ที่เคยได้รับอยู่แล้ว คือ เงินอุดหนุนเพื่อเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด , เบี้ยความพิการ และ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ไม่ต้องลงทะเบียนใดๆ เพิ่มเติมแต่หากท่านเป็นผู้ที่มีรายชื่อรับเงินจากโครงการอื่น ๆ เช่น เราไม่ทิ้งกัน เยียวยาเกษตรกร จะต้องรอมติจาก ครม. ต่อไป

                            ได้รับเงินคนละเท่าไหร่?

                            ทั้ง 3 กลุ่มเปราะบาง จะได้รับเงินคนละ 3,000 บาท (เดือนละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน)

                            เงินเยียวยา 1,000 บาท เข้าวันไหน

                            จะเริ่มจ่ายในเดือน มิ.ย. จำนวน 2,000 บาท (เป็นการสมทบงวดเดือนพฤษภาคมจ่ายพร้อมกับเดือนมิถุนายน เพราะอยู่ในช่วงสิ้นเดือน พ.ค.แล้ว) และ ให้ต่อในเดือน ก.ค. อีก 1,000 บาท

                            เกณฑ์รับเงินเยียวยากลุ่มเปราะบาง 1,000 บาท

                            ทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และกระทรวงการคลัง จะพิจารณาเรื่องเกณฑ์ของกลุ่มเปราะบางร่วมกันให้มีความชัดเจนเพื่อให้เงินเยียวยาถึงมือกลุ่มเปราะบางเร็วที่สุด

                            ขอบคุณข้อมูลจาก : www.amarintv.com

                            เงินอุดหนุนบุตร 2563 เข้าวันไหน จะได้สิทธิ์หรือไม่ เช็กเลย!

                            แม่ขอแชร์ 8 ไอเดีย วิธีประหยัดเงิน ในกระเป๋า ช่วย save cost สู้วิกฤติในยามนี้

                            มารดาประชารัฐ เริ่มปี 63 ท้องปั๊บรับเงินเลย! (มีรายละเอียด)

                            เงินสงเคราะห์บุตร ย้อนหลัง เริ่มจ่าย 31 ม.ค. 62 เข้าเท่าไหร่ เช็กเลย!

                              เนื้องอกมดลูก

                              8 สัญญาณร้ายที่อาจเป็น เนื้องอกมดลูก อันตรายแค่ไหน เรื่องที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้!

                              เนื้องอกมดลูก โรคที่มักเกิดกับผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ ช่วงอายุ 30-50 ปี ที่อาจทำให้คุณแม่ทุกคนรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย ซึ่งก้อนเนื้องอกนี้สามารถเติบโตไปกดทับอวัยวะใกล้เคียงจนส่งผลแทรกซ้อนอื่นๆ ต่อร่างกายได้ การสังเกตตนเองและรู้เท่าทันอาการเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้แม่ ๆ อุ่นใจยิ่งขึ้น

                              เนื้องอกมดลูก อันตรายแค่ไหน เรื่องที่ผู้หญิงทุกคนควรรู้!

                              “เนื้องอกมดลูก” เป็นโรคของกล้ามเนื้อมดลูกที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเซลล์กล้ามเนื้อของมดลูกที่ผิดปกติ มีการแบ่งตัวและเจริญเติบโตจนกลายเป็นก้อนเนื้อแทรกอยู่ในชั้นกล้ามเนื้ออาจเกิดในเนื้อมดลูกหรืออยู่ในโพรงมดลูก หรือโตเป็นก้อนนูนออกมาจากตัวมดลูก สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม การใช้ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนเพศหญิงและตัวเร่งการเจริญเติบโตที่มดลูกจะทำให้เนื้องอกโตขึ้น โดยลักษณะการโตของก้อนเนื้องอกส่วนใหญ่จะเป็นไปอย่างช้า ๆ ในบางรายเนื้องอกมดลูกอาจไม่โตเพิ่มขึ้น และไม่ก่อให้เกิดอาการใด ๆ ซึ่งเนื้องอกมดลูกส่วนใหญ่ไม่ใช่เนื้อร้าย โดยจะพบว่ากลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ แต่ก้อนเนื้องอกอาจเกิดเป็นหนึ่งก้อนใหญ่หรือก้อนเล็ก ๆ หลายก้อน และหากมีก้อนเนื้องอกโตขึ้นก็อาจจะไปกดทับอวัยวะบริเวณใกล้เคียงที่สามารถส่งผลแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้เช่นกัน ดังนั้นการได้ไปตรวจสุขภาพด้วยการตรวจภายในหรืออัลตราซาวด์ หากตรวจพบได้ตั้งแต่แรก ย่อมรักษาได้เร็วและปลอดภัย

                              ทำความรู้จักเนื้องอกมดลูกที่แบ่งออกได้เป็น 3 แบบ ดังนี้

                              • เนื้องอกในกล้ามเนื้อ (Intramural fibroid) คือ การเติบโตของก้อนเนื้องอกบริเวณภายในกล้ามเนื้อมดลูก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พบก้อนเนื้องอกได้บ่อยที่สุด
                              • เนื้องอกที่ผิวด้านนอกมดลูก (Subserosal fibroid) คือ เนื้องอกที่อยู่ในตำแหน่งที่เมื่อเนื้องอกโตขึ้นแล้วดันออกมาที่ผิวด้านนอกมดลูก
                              • เนื้องอกที่โพรงมดลูก (Submucosal fibroid) คือ เนื้องอกที่อยู่ในตำแหน่งที่เมื่อเนื้องอกโตขึ้นแล้วดันเข้าไปในโพรงมดลูก โดยยังอยู่ใต้เยื่อบุมดลูก ซึ่งอาจทำให้โพรงมดลูกเบี้ยวไปจากเดิมได้

                              ตำแหน่งเนื้องอกที่อันตรายที่สุดคือ เนื้องอกที่ยื่นเข้าไปในโพรงมดลูก ซึ่งจะส่งผลให้มีเลือดประจำเดือนออกมาก รองลงมาคือ เนื้องอกที่อยู่ในกล้ามเนื้อมดลูกซึ่งมีอาการคล้ายกับเนื้องอกที่โพรงมดลูกแต่ประจำเดือนจะออกน้อยกว่า และที่ส่งผลอันตรายน้อยสุดคือ เนื้องอกนอกมดลูก แต่ถ้าเกิดเนื้องอกที่ยื่นออกมาเกิดการบิดขั้วหรือฉีกขาด ก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงมาก ซึ่งต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วนทันที

                              เนื้องอกมดลูกอันตรายไหม

                              8 สัญญาณร้ายที่อาจเป็น เนื้องอกมดลูก

                              กว่าครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่มีเนื้องอกมดลูกมักจะไม่มีอาการ อาจเป็นเพราะว่ามีเนื้องอกที่มีขนาดเล็ก แต่หากสังเกตว่ามีอาการเหล่านี้ก็อาจเป็นสัญญาณผิดปกติที่บ่งว่าอาจมีเนื้องอกมดลูกได้ อาทิเช่น

                              1.ประจำเดือนที่ผิดปกติหรือมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด มีเลือดประจำเดือนออกมากและนานขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป มีลิ่มเลือดหรือเป็นก้อนปนออกมา มีการปวดประจำเดือนที่เพิ่มขึ้น หรือในบางกรณีอาจมีอาการปวดคล้ายปวดประจำเดือนทั้งที่ไม่ได้มีประจำเดือน

                              2.มีอาการซีดโดยไม่รู้ตัว รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เป็นลมบ่อย

                              3.ปัสสาวะบ่อยขึ้น แต่ออกไม่มาก อาจเกิดจากก้อนเนื้องอกไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะซึ่งอยู่ด้านหน้ามดลูก ทำให้มีอาการไม่สบายบริเวณหัวหน่า

                              4.ท้องผูกผิดปกติ อาจเกิดจากก้อนเนื้องอกไปกดเบียดลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่ต่อกับทวารหนัก หรือกดบริเวณทวารหนัก อาจมีอาการท้องอืด รู้สึกท้องโตขึ้นเรื่อย ๆ

                              5.ปวดท้องหรือเจ็บท้องขณะมีเพศสัมพันธ์ ทั้งที่ไม่เคยรู้สึกเจ็บ

                              6.คลำพบก้อนบริเวณอุ้งเชิงกรานหรือช่องท้อง เนื่องจากก้อนเนื้องอกมีขนาดใหญ่ หรือรู้สึกท้องโตขึ้นโดยไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย

                              7.มีอาการปวดท้องเรื้อรัง เจ็บปวดบริเวณท้องน้อย แต่โดยทั่วไปเนื้องอกมดลูกจะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด ซึ่งอาการปวดขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่ง หรือนอกจากเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น เนื้องอกนั้นมีขั้วและมีการบิดของขั้วส่งผลให้เกิดอาการปวดแบบเฉียบพลันแทรกซ้อน เลือดออกภายในก้อนเนื้องอก หรือเกิดการอักเสบของก้อนเนื้องอก เป็นต้น

                              8.ก้อนเนื้องอกที่ยื่นเข้าไปในโพรงมดลูก อาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากและแท้งบุตรได้ เนื่องจากเกิดการอุดตันของท่อนำไข่หรือขัดขวางการฝังตัวของตัวอ่อน

                              โดยอาการดังกล่าวขึ้นอยู่กับตำแหน่งและความรุนแรง ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เลย แต่เมื่อไปตรวจภายในกลับพบว่าเนื้องอก ซึ่งถ้าตรวจพบตั้งแต่ในระยะแรกที่เนื้องอกยังมีขนาดเล็กการรักษาก็จะทำได้ง่ายและมีโอกาสหายเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งหากพบอาการเหล่านี้ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

                              รักษาเนื้องอกมดลูก

                              แนวทางการรักษาเนื้องอกมดลูก

                              สำหรับการรักษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุของผู้ป่วย ติดตามเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของขนาดเนื้องอกในมดลูก ความต้องการมีบุตร อาการภาวะแทรกซ้อน และสุขภาพของคนไข้ ซึ่งสูตินรีแพทย์จะทำการตรวจภายในร่วมกับการตรวจอัลตราซาวด์

                              การรักษาสำหรับผู้ที่ก้อนเนื้องอกไม่โตมากและไม่มีอาการผิดปกติ หรือกรณีคนไข้อายุค่อนข้างมาก เช่น ในวัยหมดประจำเดือนแล้ว หมอก็อาจจะใช้วิธีการติดตามเพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลงของขนาดก้อนแทน นอกจากนั้นก็ต้องดูลักษณะของก้อนเนื้องอก อาการที่แสดงด้วย สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่หมอพิจารณาก่อนที่จะเลือกวิธีการรักษา หรือการใช้ยาเพื่อควบคุมอาการผิดปกติ

                              สำหรับผู้ที่มีเนื้องอกในมดลูกขนาดใหญ่หรือมีอาการผิดปกติ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการดำเนินชีวิต โดยส่วนใหญ่จะรักษาด้วยการผ่าตัดมดลูกออกทั้งหมดซึ่งจะทำให้การรักษาหายขาด ซึ่งข้อบ่งชี้ว่าเมื่อไหร่จะต้องผ่าตัดขึ้นอยู่กับ

                              • ถ้าคนไข้เป็นเนื้องอกแต่ยังต้องการมีบุตร หมออาจพิจารณา ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก โดยเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก โดยยังคงเก็บมดลูกไว้เพื่อการมีบุตรต่อไป ซึ่งการผ่าตัดนี้ก็สามารถทำการผ่าตัดผ่านกล้องได้ แต่กรณีนี้อาจมีโอกาสกลับมาเป็นเนื้องอกมดลูกซ้ำได้อีก
                              • ถ้าคนไข้อายุเริ่มมากมีบุตรพอแล้ว หมอก็อาจพิจารณาผ่าตัดโดยตัดมดลูกออกไปเลย ซึ่งวิธีผ่าตัดที่ดีที่สุดก็คือการผ่าตัดมดลูกด้วยการส่องกล้องโพรงมดลูกผ่านช่องคลอด ซึ่งวิธีนี้เป็นการผ่าตัดแบบไร้แผล แผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กเพียง 5 มิลลิเมตร ทำให้ไม่มีรอยแผลเป็นหลังผ่าตัด เป็นหนึ่งในรูปแบบการผ่าตัดแบบ MIS ซึ่งช่วยลดภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อ ใช้เวลาในการพักฟื้นไม่นาน ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้เร็วขึ้น

                              ดูแลตัวเองอย่างไรลดความเสี่ยงการเป็นเนื้องอกมดลูก

                              ในปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่พบสาเหตุการเกิดโรคที่แท้จริง แต่พบว่าการเกิดเนื้องอกมดลูกมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งสร้างในรังไข่และพันธุกรรม จึงเป็นเหตุผลที่ว่าผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์มีอัตราการเกิดเนื้องอกในมดลูกสูง นอกจากนี้ปัจจัยจากสภาวะแวดล้อมและไลฟ์สไตล์การกินอยู่ในยุคปัจจุบันก็มีส่วนทำให้เกิดโรค เช่น การรับประทานเนื้อสัตว์หรือเนื้อแดงมาก ๆ การดื่มแอลกอฮอล์ ที่เป็นพฤติกรรมเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดเนื้องอกได้มาก หรือแม้แต่การทำงานและใช้ชีวิตด้วยความเครียดก็จะส่งผลทำให้ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนไปควบคุมการทำงานของรังไข่ไม่เป็นปกติ ฉะนั้นการดูแลสุขภาพโดยรวม กินอาหารที่มีประโยชน์  ออกกำลังกาย ที่ช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนเป็นไปอย่างปกติ ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ดี รวมถึงมดลูกและรังไข่มีสุขภาพที่ดี ก็จะลดความเสี่ยงการเป็นเนื้องอกได้ทางหนึ่ง และสำหรับผู้หญิงทุกคนควรเข้ารับการตรวจภายในอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อตรวจหาความผิดปกติของมดลูก เพื่อผลประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพของตนเองนะคะ

                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.paolohospital.comwww.samitivejhospitals.comwww.bumrungrad.com

                              อ่านต่อบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

                              4 โรคของผู้หญิง ที่ไม่ควรมองข้าม อย่าอายที่จะไปตรวจ!

                              7 อาการเสี่ยง ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นแล้วมีลูกได้ไหม ท้องยากจริงหรือ?

                               

                              ไส้เลื่อนในผู้หญิง เด็กก็เป็นได้ แม่สังเกตลูกสาวให้ดี!

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                ปัสสาวะบ่อย

                                ทำไมคนท้อง ปัสสาวะบ่อย “ฉี่”แบบไหนไม่ปกติ แม่ต้องระวัง!

                                สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์อาจพบว่าตัวเองเริ่มมีอาการ ปัสสาวะบ่อย ต้องตื่นมาเข้าห้องน้ำถี่ขึ้น บางคนถึงขั้นวิตกว่าจะเกิดอันตรายกับลูกในท้องหรือเปล่า ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมข้อมูลในเรื่องนี้เพื่อให้คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้เข้าใจและดูแลตัวเองมากขึ้นกันค่ะ

                                ทำไมคนท้อง ปัสสาวะบ่อย ?

                                กระเพาะปัสสาวะเป็นอวัยวะที่วางอยู่ด้านหน้าต่อจากมดลูก ทำหน้าที่ในการรองรับน้ำปัสสาวะที่ไหลมาจากท่อไต โดยกระเพาะปัสสาวะในร่างกายมีความสามารถในการยืดขยายตัวเองให้มากพอที่จะบรรจุน้ำปัสสาวะได้เกือบครึ่งลิตร ก่อนที่จะปวดปัสสาวะมาก จนต้องถ่ายปัสสาวะ “อาการปัสสาวะบ่อย” ที่แม่ท้องต้องเจอนั้นจัดเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ เกิดขึ้นได้ใน 2 ช่วง คือในไตรมาสแรก (12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์) ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้กับคนท้องทุกคน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นและมดลูกที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ไปเบียดดันกระเพาะปัสสาวะ จนทำให้ไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่ เมื่อกระเพาะปัสสาวะรับน้ำปัสสาวะได้เพียงประมาณ 100-200 มิลลิเมตร ก็จะทำให้คุณแม่ต้องเข้าห้องน้ำไปปัสสาวะบ่อยขึ้น รวมทั้งเลือดและของเหลวที่มากขึ้นในภาวะตั้งครรภ์ไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงบริเวณอุ้งเชิงกรานและถูกขับออกมาทางไต จึงทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติได้ และจะมีอาการปัสสาวะบ่อยอีกครั้งในช่วงไตรมาสสุดท้าย (สัปดาห์ที่ 28-40) เนื่องจากร่างกายทารกในครรภ์มีการเติบโตมากขึ้นและในช่วงใกล้คลอดศีรษะของทารกเริ่มเคลื่อนตัวไปใกล้และกดลงบริเวณหัวหน่าว ซึ่งก็จะไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้คุณแม่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นนั่นเอง ซึ่งอาการนี้จะหายเป็นปกติได้เองหลังจากคลอดลูกแล้ว ดังนั้นในช่วงที่คุณแม่ท้องรู้สึกปวดปัสสาวะถึงแม้จะเดินอุ้ยอ้ายแต่ก็จำเป็นต้องเข้าห้องน้ำทุกครั้ง ไม่ควรกลั้นปัสสาวะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ส่งอันตรายต่อแม่และลูกในท้องตามมาได้

                                ทําไมคนท้องฉี่บ่อย

                                12 อาการฉี่ที่ไม่ปกติ แม่ท้องต้องระวัง!

                                แม้ว่าภาวะปัสสาวะบ่อยในระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นสิ่งผิดปกติสำหรับคุณแม่และทารกในครรภ์ แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ร่วมด้วยก็อาจเป็นอันตรายได้

                                1.ปัสสาวะแสบขัด

                                2.ปัสสาวะมีสีขุ่น/ สีแดง หรือสีน้ำตาลเข้ม

                                3.มีไข้สูง

                                4.มีอาการปวดท้อง

                                5.ปวดหลัง

                                6.มีเลือดออก

                                7.มีอาการเจ็บขณะปัสสาวะ

                                8.ปัสสาวะบ่อยมากขึ้น

                                9.มีอาการเจ็บปวดที่บริเวณด้านข้างและด้านล่างของท้อง หรือบริเวณขาหนีบ

                                10.ปัสสาวะลำบากหรือปัสสาวะไม่ออก

                                11.มีอาการปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง

                                12.มีปัญหาเกี่ยวกับการกลั้นปัสสาวะ

                                อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่ากำลังติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะหรือติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ หากปล่อยไว้นานอาจพบภาวะคลอดก่อนกำหนดหรือแท้ง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อแม่และลูกในท้องได้ จึงควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อทำการรักษาอย่างเร่งด่วน

                                บทความแนะนำ : คนท้อง ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อันตรายกับทารกในครรภ์อย่างไร?

                                คนท้องฉี่บ่อย

                                แม่ท้องดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อปัสสาวะบ่อย

                                ถึงแม้ว่าอาการปัสสาวะบ่อยขณะตั้งครรภ์จะเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ควรดูแลตัวเองปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตให้ถูกวิธี ดังนี้

                                • แม่ท้องควรดื่มน้ำให้เพียงพอหรือประมาณ 8 แก้วต่อวัน เพื่อทดแทนน้ำที่ถูกขับออกมาในรูปของปัสสาวะ ช่วยป้องกันไม่ให้ท้องผูก และไม่ให้ปัสสาวะเข้มข้นเกินไป อีกทั้งป้องกันไม่ใช่ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ เพราะในช่วงการตั้งครรภ์ร่างกายมีความต้องการน้ำมากกว่าปกติ แต่สามารถลดปริมาณดื่มน้ำลงในช่วงเวลากลางคืนเพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดปัสสาวะบ่อยในขณะนอนหลับและรบกวนการนอนพักผ่อนได้
                                • หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา หรือน้ำอัดลม เพราะจะไปกระตุ้นให้ปวดปัสสาวะมากกว่าเดิมได้ อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์อีกด้วย
                                • ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเด็ดขาด เพราะจะทำให้เสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ พยายามปัสสาวะให้สุดทุกครั้ง และหลังปัสสาวะควรล้างทำความสะอาดให้ดีและเช็ดให้แห้งทุกครั้ง เพื่อป้องกันการติดเชื้อและการอับชื้นที่อาจส่งผลให้เกิดเชื้อราได้

                                คนท้องปัสสาวะบ่อย

                                • หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องกลั้นปัสสาวะ เช่น การเดินทางไกลที่ทำให้คุณแม่ไม่สะดวกในการเข้าห้องน้ำระหว่างเดินทาง แต่เมื่อจำเป็นควรงดดื่มน้ำหนึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทางไปข้างนอก และควรถ่ายปัสสาวะก่อนออกจากบ้าน ก็จะช่วยแก้ปัญหาปวดปัสสาวะระหว่างทางไปได้ระดับหนึ่ง
                                • หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะปัสสาวะ หรือมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เช่น อาหารรสจัด ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมะเขือเทศเป็นหลัก เป็นต้น
                                • ฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหรือการขมิบช่องคลอดเพื่อช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อปัสสาวะและขมิบให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานยกขึ้นและเข้าไปข้างใน หากทำได้เป็นประจำจะช่วยให้อาการปัสสาวะบ่อยลดลง ซึ่งการฝึกขมิบช่องคลอดสามารถทำได้กับผู้หญิงทุกวัย โดยเฉพาะคุณแม่ที่ผ่านการคลอดบุตรแบบธรรมชาติ เพราะจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานแข็งแรงขึ้นด้วย
                                • ป้องกันการปัสสาวะบ่อยด้วยการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง อาหารที่มีกากใยให้มากขึ้น รวมถึงผลไม้ที่ช่วยสร้างกากอาหารในลำไส้ทำให้ระบบการขับถ่ายของร่างกายทำงานได้ดี เช่น มะละกอสุก แคนตาลูป เป็นต้น เพื่อลดอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ เนื่องจากอาการท้องผูกส่งผลให้เกิดแรงดันที่กระเพาะปัสสาวะมากขึ้น และทำให้ปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น หากลดอาการท้องผูกได้ ก็จะทำให้ปัสสาวะได้ปกติมากขึ้น

                                อาการปัสสาวะบ่อยสังเกตได้ง่าย ๆ จากจำนวนครั้งที่ปัสสาวะในแต่ละวัน ซึ่งโดยปกติภายใน 24 ชั่วโมง คนเราจะปัสสาวะอย่างน้อย 6-8 ครั้ง และในระหว่างตั้งครรภ์อาการฉี่บ่อยที่ทำให้คุณแม่ต้องคอยเดินเข้าห้องน้ำบ่อยครั้งขึ้นนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่แม่ท้องทุกคนต้องเจอ หากดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธีตามคำแนะนำ ก็ไม่น่ามีอะไรวิตกกังวลไปนะคะ

                                นอกจากนี้คอยสังเกตว่ามีอาการผิดปกติอื่น ๆ หรือไม่ เพราะการรักษาภาวะปัสสาวะบ่อยจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยแพทย์จะหาสาเหตุหลักที่ส่งผลต่อความผิดปกติในการปัสสาวะเป็นอันดับแรก เช่น อาการปัสสาวะบ่อยโดยมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ แพทย์ก็จะทำการรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อบรรเทาอาการและช่วยให้ความถี่ในการปัสสาวะลดลง

                                เรื่องปัสสาวะที่ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน แต่ในขณะตั้งครรภ์สำหรับเรื่องเล็ก ๆ ก็ไม่ควรมองข้ามนะคะ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายตอนท้องที่ส่งผลต่ออาการอื่น ๆ อีกมากมายที่แม่ท้องต้องเจอ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง คัดเต้านม ท้องผูก ท้องอืด อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ฯลฯ อาการบางอย่างอาจไม่เป็นอันตราย แต่อาการบางอย่างหากปล่อยไว้นานก็อาจจะเป็นอันตรายส่งผลต่อสุขภาพได้ ซึ่งคุณแม่ต้องคอยสังเกตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสม เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์นะคะ.

                                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.sanook.comwww.pobpad.com

                                อ่านต่อบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ คลิก :

                                 

                                ทําไมคนท้องถ่ายเป็นสีดํา แม่ท้องกินอะไรผิดไป!

                                หมอเตือน! ไม่อยาก ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อย่าทำสิ่งนี้!

                                ไขข้อสงสัย ท้องนี้ ปัสสาวะผิดปกติ หรือไม่?

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  ตามใจลูก

                                  5 เทคนิค ตามใจลูก [สร้างวินัยเชิงบวก] ฝึกลูกคิดเป็น มีความรับผิดชอบ

                                  ขัดใจทำไม…ตามใจดีกว่า!! หมอแนะเทคนิคดี รีบสอน…ก่อนสาย เลี้ยงแบบ ตามใจลูก อีกหนึ่งวิธีสร้างวินัยเชิงบวกให้ทรงประสิทธิภาพ ฝึกลูกคิดเป็น มีความรับผิดชอบ

                                  “ขัดใจทำไม?ตามใจลูก ดีกว่า!”
                                  หมอแนะ! อยากให้ลูกคิดเป็น ลองสอนแบบนี้?

                                  ทำไมลูกเราถึงสอนไม่จำ! ต้องให้คอยบอก..คอยเตือนทุกวัน จนปากเปียกปากแฉะหมดแล้ว!

                                  ทีมแม่ ABK เชื่อว่าต้องมีคุณพ่อคุณแม่หลายคนเกิดคำถามนี้…ผุดขึ้นมาในใจ หรือเคยแอบบ่นใส่ลูกบ้างว่า … เพิ่งพูดไปหยกๆ ทำไมทำอีกแล้ว! นั่นน่ะสิคะ!! เพราะลูกพูดยาก หรือ เพราะเราไปขัดใจลูก?

                                  มาลองทบทวนกันค่ะ…
                                  หากว่าพ่อแม่เตือนลูก แปลว่าใครกันที่เป็นคนจำได้…พ่อแม่หรือลูก? คำตอบที่ถูกต้อง ก็น่าจะเป็นพ่อแม่ เพราะถ้าลูกจำได้ลูกก็ไม่ต้องรอให้พ่อแม่เตือนจริงไหมคะ
                                  แต่เอ…แล้วพ่อแม่จะทราบได้อย่างไรว่าที่ลูกยังไม่ทำ >> เพราะจำไม่ได้จริงๆ หรือจำได้แต่ยังไม่ทันทำ พ่อแม่ก็มาชิงเตือนตัดหน้าไปเสียก่อน!?!? 

                                  ลองนึกภาพตามนะคะ หากเราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 8 โมง แต่ยังไม่ทัน 6 โมงก็มีคนมาปลุกให้ตื่นไปทำงาน เราจะรู้สึกอย่างไร…ขอบคุณที่ปลุกตั้งแต่ 6 โมง หรือแอบขัดใจนิดหน่อย แล้วถ้าเราบอกเขาไปแล้วว่า “เดี๋ยวจะตื่นเอง ไม่ต้องปลุก”

                                  แต่เขาก็ยังปลุกเราทุก 15 นาที ตอนนี้เราจะรู้สึกอย่างไร…ขอบคุณในความหวังดีหรือรู้สึกไม่พอใจ? แน่นอนว่าเราย่อมรู้สึกรำคาญและไม่พอใจถึงแม้ว่าคนนั้นจะปลุกเราด้วยความหวังดีก็ตาม!

                                  > ทีนี้เริ่มเข้าใจหรือยังคะ ว่าทำไมเวลาเอ่ยปากเตือน ลูกถึงอารมณ์ไม่ดี และทำไมพอตามเตือนตามบอก ลูกถึงชอบต่อต้านและลงท้ายด้วยการทะเลาะกับลูกทุกที

                                  “เตือนลูกบอกลูกทุกวัน ระวังลูกจะไม่จำว่าต้องทำอะไร!”

                                  ถ้าอยากให้ลูกคิดเป็น อย่าคอยเตือนลูกบ่อยๆ … คำถามต่อไปคือ หากพ่อแม่คอยตามบอกตามเตือนลูกทุกวัน วันละหลาย ๆ รอบตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้ายันเข้านอนตอนกลางคืน ลูกยังจำเป็นต้องจำอยู่ไหมคะ?

                                  ลองนึกภาพตามอีกทีว่า… ตั้งแต่เราบันทึกเบอร์โทรศัพท์ไว้ในโทรศัพท์มือถือ สมองของเราก็เรียนรู้ไปแล้วว่า ข้อมูลนี้ไม่ต้องจำ จะใช้ค่อยเปิดหาดู เราก็เลยกลายเป็นคนที่จำเบอร์โทรศัพท์ไม่ได้ เด็กๆ ก็เช่นกัน หากว่าพ่อแม่คอยบอกคอยเตือนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เขาก็จะไม่จำเป็นต้องจำ รอพ่อแม่บอกเมื่อไหร่ค่อยทำ!

                                  ดังนั้นแทนที่พ่อแม่จะตามบอกตามสอน ลองเปลี่ยนวิธีเป็นการ ตามใจลูก แบบการสร้างวินัยเชิงบวกกันดีกว่าค่ะ  เพียงบอกหน้าที่รับผิดชอบของลูกว่ามีอะไรบ้าง แล้ว ตามใจลูก ให้เขาตัดสินใจเองว่าจะทำอะไรก่อนหรือหลัง เช่น “พรุ่งนี้เช้าสิ่งที่หนูต้องทำคือ อาบน้ำแต่งตัว กินข้าว และหนูจะทำอะไรก่อนก็ได้ พอ 7 โมงครึ่งเราจะขึ้นรถไปโรงเรียนกันค่ะ” หรือ “พอไปถึงบ้านคุณยาย หลังจากสวัสดีคุณยายแล้ว สิ่งที่หนูต้องทำคือ เข้าห้องน้ำ ล้างมือ เล่น ช่วยเก็บผลไม้เข้าตู้เย็น หนูจะทำอะไรก่อนก็ได้ พอ 6 โมงเย็น เราจะกินข้าวด้วยกัน และกลับบ้านตอน 2 ทุ่มค่ะ”

                                  เทคนิคนี้เป็น ตามใจลูก นี้นอกจากจะสอนวินัยและความรับผิดชอบได้แล้ว ยังทำให้ลูกอยากให้ความร่วมมือมากขึ้นและไม่รำคาญเราอีกด้วย เพราะการให้อิสระในการเลือก เป็นการให้โอกาสให้ลูกได้ฝึกฝนลงมือคิด บริหารเวลา วางแผน เรียงลำดับความสำคัญ ควบคุมความต้องการของตนเอง และกำกับตนเองให้รับผิดชอบจนเสร็จทุกหน้าที่

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                  5 เคล็ดลับ ตามใจลูก เสริมให้ลูกคิดเป็น
                                  วางแผนได้ ลำดับความสำคัญถูก!!

                                  อย่างไรก็ตามเทคนิค ตามใจลูก แบบนี้จะทรงประสิทธิภาพมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเคล็ดลับต่อไปนี้

                                  1. เตือนเพื่อชวนคิด

                                  หากสังเกตเห็นว่า ลูกเริ่มติดกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งนานเกินไป เราสามารถเตือนเพื่อชวนลูกให้เริ่มคิดวิธีบริหารเวลาที่เหลือได้ เช่น เหลือเวลาอีก 30 นาทีเราจะออกจากบ้านแล้วนะคะ หนูคิดว่าเสร็จทันไหมคะ ต้องการให้แม่ช่วยอะไรไหม แทนการเตือนเพื่อชวนทะเลาะ เช่น จะเสร็จหรือยัง เห็นนั่งเล่นนานแล้ว เหลือเวลาอีกแค่ 30 นาทีนะ จะกินข้าวเตรียมกระเป๋าทันไหม!

                                  1. เป็นคนช่วยเหลือ

                                  ในกรณีที่ลูกงอแง โยเย และไม่ค่อยให้ความร่วมมือ เช่น ไม่ยอมเก็บของเล่น แต่ก็ไม่ยอมไปอาบน้ำ เราสามารถบอกได้ว่าลูกอยู่ในอารมณ์ที่ไม่พร้อม เราเลยจะเป็นคนช่วยพาเขาทำเอง แทนการเป็นคนช่วยซ้ำเติม เช่น เก็บของเล่นเดี๋ยวนี้ แล้วไปอาบน้ำเร็วๆ เลยนะ! ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมอารมณ์ให้ลูกโยเยเข้าไปใหญ่

                                  1. คำถามนำทางความคิด

                                  ในกรณีที่ลูกไม่ได้ทำหน้าที่ตามที่บอกเอาไว้ ให้ถามลูกว่า ลูกคิดเอาไว้ว่าจะทำเมื่อไหร่ แทนการใช้คำถามที่นำมาซึ่งการแก้ตัว เช่น ทำไมถึงยังไม่ทำ หรือ ทำไมไม่ยอมทำ

                                  1. ชม ชม ชม

                                  เมื่อเห็นลูกทำหน้าที่เสร็จแล้ว เราต้องชื่นชม และให้ความสำคัญกับความพยายามและความรับผิดชอบของลูก เพื่อลูกจะได้มองเห็นความสามารถของตัวเอง และเกิดความภาคภูมิใจ เช่น แม่ขอบคุณมาก ที่ลูกพยายามควบคุมความอยากเล่นไว้ก่อน แล้วทำการบ้านจนเสร็จ ลูกแม่เรียงลำดับความสำคัญได้ยอดเยี่ยม เป็นนักบริหารเวลาตัวยงเลยนะเนี่ย แทนการ ติ ติ ติ หรือให้ความสนใจแค่ตอนที่ลูกทำไม่ดีเท่านั้น

                                  1. รับผิดชอบผลที่ตามมา

                                  บางอย่างที่ลูกไม่ทำ แล้วเป็นปัญหาของลูกเอง เราต้องปล่อยให้เขาได้รับผลที่ตามมาจากการตัดสินใจของเขา เช่น หากเหลือเวลากินข้าวอีกแค่ 5 นาที เพราะมัวแต่เล่น ก็ต้องให้ลูกกินแค่ 5 นาที พอถึงกำหนดเวลา ก็ต้องพาขึ้นรถไปโรงเรียนเลย เพื่อให้เขารู้ว่า หากบริหารเวลาไม่ดีและไม่ควบคุมตัวเอง ผลจะเป็นอย่างไร

                                  การปลูกฝังพฤติกรรมที่เหมาะสมจนเป็นนิสัย เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในการฝึกฝน แค่การตามบอกตามเตือนลูก จึงยังไม่พอ แต่จำเป็นต้องอาศัยความรักและความเข้าใจจากพ่อแม่ด้วย เมื่อลูกปรารถนาแรงใจจากเรา แล้วเราจะไปขัดใจทำไม รีบตามใจ

                                  ให้แรงใจเขาดีกว่า…จริงไหมคะ?

                                  ขอบคุณบทความจาก ผศ.ดร. ปนัดดา ธนเศรษฐกร  อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์
                                  สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว  มหาวิทยาลัยมหิดล

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก

                                  Thanasetkorn, P.**, Chumchua, V. Suttho, J., & Chutabhakdikul, N. (2015). The preliminary research study on the impact of the 101s: A guide to positive discipline parent training on parenting practices and preschooler’s executive function. ASIA-PACIFIC Journal of Research in Early Childhood Education, 9(1), pp. 65-89.

                                  Jutamard Suttho*, Vasunun Chumchua, Nuanchan Jutapakdeekul, Panadda Thanasetkorn**. The impact of the 101s: A Guide to positive discipline parent training on parenting practices and preschooler’s executive function. The 2nd ASEAN Plus Three Graduate Research Congress (AGRC). 2014;255.

                                  8 วิธี สร้างวินัยเชิงบวก ง่ายๆ ป้องกันลูกดื้อ เริ่มได้ตั้งแต่ 1 ขวบ

                                  [สร้างวินัยเชิงบวก] ชวนพ่อแม่สำรวจ เรา “สั่ง” หรือ “สอน” ลูกอยู่นะ

                                  เลี้ยงลูกเชิงบวก คุยกับลูกแบบนี้ ไม่ต้องตี ลูกก็เชื่อฟัง โดยพ่อเอก

                                  เลี้ยงลูกแบบตามใจ แล้วลูกจะเสียคนจริงหรือไม่?

                                  ตายาย ตามใจหลาน จนกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ พ่อแม่ควรทำอย่างไร

                                    น้ำหนักส่วนสูงทารก

                                    ตาราง น้ำหนักส่วนสูงทารก ตามเกณฑ์ ตั้งแต่แรกเกิด – 5 ปี

                                    เซฟเก็บไว้ดูเลย!! ตาราง น้ำหนักส่วนสูงทารก ตามเกณฑ์ ของเด็ก วัยแรกเกิด ถึง 5 ปี .. ลูกของเราอายุเท่านี้ น้ำหนักและส่วนสูงควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ พ่อแม่เช็กได้ที่นี่เลย!

                                    ตารางเกณฑ์ น้ำหนักส่วนสูงทารก วัยแรกเกิด – 5 ปี

                                    น้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์ ของทารกแรกเกิด มีปัจจัยจากโภชนาการ และสิ่งแวดล้อมของแม่ โดยส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ ซึ่ง น้ำหนักส่วนสูงทารก จะมากหรือน้อย ก็ตามแต่อายุครรภ์เมื่อคลอดที่แตกต่างกันไปเช่น เด็กที่คลอดเมื่อมีอายุครรภ์ได้ 37 สัปดาห์จะมีน้ำหนักแรกคลอดที่ไม่เท่ากับทารกที่คลอดเมื่อมีอายุครรภ์ได้ 41 สัปดาห์

                                    ซึ่งนอกจาก น้ำหนักและส่วนสูงทารก เมื่อแรกเกิดแล้ว … คุณพ่อคุณแม่จะรู้ได้ว่าลูกตัวโตแค่ไหน ด้วยการเปรียบเทียบกับอัตราการเจริญเติบโตของเด็กทั่วไป ทั้งส่วนสูงและน้ำหนักที่คิดเป็นร้อยละหรือที่เรียกกันคุ้นหู ว่า “เปอร์เซ็นต์ไทล์” ที่เป็นเส้นกราฟบนตารางการเจริญเติบโต (แยกเป็นเด็กหญิงและเด็กชาย)

                                    โดยจะมีอยู่ในสมุดบันทึกการฉีดวัคซีนของลูกน้อย (สมุดสีชมพู) เมื่อนำส่วนสูงและน้ำหนักของลูกเราไปเทียบ ในกราฟแล้ว เราจะรู้ได้ว่าลูกเราโตหรือเล็กแค่ไหนเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของเด็กในประเทศ

                                    • เด็กที่มีอัตราการเติบโตต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ไทล์ (คือ ถ้าเทียบว่ามีเด็กอยู่ 100 คน จะมีเด็ก 90 คนที่ตัวโตกว่าลูกของเรา)ก็จะ ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเด็กที่ตัวเล็กกว่าอายุครรภ์ (Small for Gestational Age–SGA)  เรียกง่ายๆว่า เด็กตัวเล็ก
                                    • เด็กที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ไทล์ (คือ ถ้าเทียบว่ามีเด็กอยู่ 100 คน ลูกของเราจะตัวโตกว่าเด็ก 90 คน) ก็จะ ได้รับการพิจารณาว่าเป็นเด็กที่ตัวโตกว่าอายุครรภ์ (Large for Gestational Age–LGA) เรียกง่ายๆว่า เด็กตัวโต
                                    • เด็กที่มีอัตราการเติบโตระหว่าง 10 – 90 เปอร์เซ็นต์ไทล์ ก็จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นเด็กที่มีขนาดตัวเหมาะสมกับอายุครรภ์ (Appropriate for Gestational Age –AGA) เรียกง่าย ๆ ว่า ขนาดตามเกณฑ์

                                    ซึ่งหากใครดูจากกราฟไม่เป็น สามารถดูตารางแสดง น้ำหนักส่วนสูงทารก ตามเกณฑ์มาตรฐานของเด็ก ในช่วงอายุ 0-5 ปี ที่ทีมแม่ ABK ได้สรุปมาให้ดูด้านล่างนี้ได้เลย จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้ว่าตอนนี้ ลูกของเราอายุเท่านี้มี น้ำหนักและส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานหรือไม่?

                                    น้ำหนักส่วนสูงทารก

                                    ลูกตัวโตกว่าเกณฑ์แล้วเป็นอย่างไร

                                    สำหรับ น้ำหนักส่วนสูงทารก ที่เกินเกณฑ์เมื่อแรกเกิด มักจะมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บเมื่อแรกคลอด คือมีระดับน้ำตาล ในกระแสเลือดต่ำ ระดับเม็ดเลือดที่พุ่งสูง และปอดที่ยังไม่เติบโตพัฒนาเต็มที่ ทั้งนี้ในสมัยก่อนมีความเชื่อกันว่า น้ำหนักและขนาดที่ใหญ่โตเมื่อแรกคลอดของเด็กจะลดลงสู่ภาวะปกติต่อไปในอนาคตได้ และคิดว่าคงจะไม่มีผลเสียต่อเนื่องไปแต่อย่างใด

                                    แต่ปัจจุบันนี้กลับพบว่าอาจไม่เป็นเช่นนั้นไปทั้งหมด เพราะการศึกษาล่าสุดพบว่า.. เด็กทารกที่เกิดจากแม่ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน มักจะกลายเป็นเด็กที่เป็นโรคอ้วน และหากพ่อหรือแม่คนใด คนหนึ่งเป็นโรคเบาหวาน เมื่อลูกโตขึ้นก็จะมีความเสี่ยงต่อ ชการเป็นโรคเบาหวานได้ราวร้อยละ 1-5 ทีเดียว

                                    น้ำหนักส่วนสูงทารก

                                    ลูกตัวเล็กกว่าเกณฑ์ จะเป็นอย่างไร

                                    หาก น้ำหนักส่วนสูงทารก แรกคลอด ต่ำกว่าเกณฑ์มักจะประสบปัญหาต่างๆ ตั้งแต่แรกเกิด เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือมีเม็ดเลือดแดงมากเกินไป และมีความเสี่ยงที่จะตัวเล็กกว่าเพื่อนไป ตลอดชีวิตเมื่อเทียบกับเด็กที่มีขนาดตัวมาตรฐานเมื่อแรกคลอด และอาจจะมีพัฒนาการที่ช้ากว่าด้วย

                                    อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้ว อัตราการเจริญเติบโตของเด็ก ที่ตัวเล็กกว่าเกณฑ์จะเริ่มค่อยๆ เข้าเกณฑ์ในช่วง 6 เดือนแรก  จากสถิติก็พบว่า ยิ่งอัตราการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ช้าลงในช่วง ใกล้คลอดมากเท่าไร แนวโน้มที่เมื่อเด็กคนนั้นคลอดแล้วจะโตทัน เพื่อนก็เป็นไปได้มากเท่านั้น

                                    อย่างไรก็ตามคุณแม่มือใหม่ที่ติดตามพัฒนาการลูกอย่างสม่ำเสมอ และพบว่าน้ำหนักตัวและส่วนสูงของลูกน้อยกว่าเกณฑ์ก็อย่าเพิ่งเป็นกังวลไปนะคะ เพราะน้ำหนักของทารกแรกเกิด – 1 ปีในแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม รูปร่างและขนาดของพ่อแม่ด้วย ถ้าพ่อแม่ตัวโต สูงใหญ่ ลูกก็จะเติบโตเร็ว ถ้าพ่อแม่ไม่สูง ตัวเล็ก ลูกก็จะตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นในช่วงอายุเดียวกัน รวมถึงโภชนาการที่ได้รับตั้งแต่ยังอยู่ในท้องด้วย และนอกจากนี้แล้วยังมียังมีปัจจัยเสริมอื่น ๆ ที่คุณแม่ควรติดตาม ซึ่งจะบ่งบอกได้ว่าลูกมีพัฒนาการที่ดีควบคู่กันไปด้วย เช่น ลูกร่าเริง กินนมได้ ขับถ่ายเป็นปกติ รวมถึงพัฒนาการลูกในด้านอื่น ๆ ที่เหมาะสมกับช่วงอายุ แต่ทั้งนี้แล้วหากคุณแม่มือใหม่รู้สึกกังวลและมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเจริญเติบโตแลพัฒนาการลูกน้อย ควรปรึกษากุมารแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องนะคะ

                                    • https://www.amarinbabyandkids.com/parenting/newborn-weight/
                                    • https://www.amarinbabyandkids.com/food-nutrition/kids-nutrition/nutrition-growth-program/
                                    • https://www.amarinbabyandkids.com/parenting/baby/growth-and-development-kid/
                                    • https://www.amarinbabyandkids.com/parenting/gross-motor-skills/