Page 139 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

สบู่เหลวอาบน้ำ

รีวิวคุณแม่มือใหม่ต้องมี dmp สบู่เหลวอาบสระ ในขวดเดียว สร้างสมดุลผิวอ่อนโยนเพื่อลูกน้อย

การอาบน้ำสระผมลูกวัยแรกเกิดจะเป็นเรื่องง่าย หากคุณแม่มือใหม่มีตัวช่วยชั้นดีที่สามารถทำความสะอาด และถนอมผิวพรรณกับเส้นผมพร้อมกันได้ในขั้นตอนเดียว การเลือก สบู่เหลวอาบน้ำสระผมของลูกน้อยอาจต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะสภาพผิวของเด็กนั้นต่างจากผิวของผู้ใหญ่โดยสิ้นเชิง แม้ภายนอกจะดูนุ่มนิ่ม สุขภาพดี แต่กลับบอบบางและไวต่อการแพ้กว่าที่คิด คุณแม่จึงต้องมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในมืออ่อนโยนและปลอดภัยต่อลูกจริง

สบู่เหลวอาบน้ำ

เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ยกให้ ดีเอ็มพี โรสฮิปแอนด์คาร์โมมายด์ เป็นสบู่เหลวอาบน้ำสระผมที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice Best Hair And Body Bath จาก Amarin Baby & Kids Awards 2020

สบู่เหลวอาบน้ำสระผม dmp หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อ เดอร์มาพอน สบู่เหลวขวดสีเหลืองซึ่งคุณแม่หลายยุคหลายสมัยชื่นชอบและยกให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนที่สุดแบรนด์หนึ่ง ปัจจุบัน dmp ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คุณแม่ยุคใหม่มากขึ้น ด้วยสบู่เหลวอาบสระได้ในขวดเดียว สูตรที่ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids เห็นแล้ว Like ลองแล้ว Loveมากๆเลยก็คือ  ดีเอ็มพี แฮร์แอนด์บอดี้ เบบี้บาธ โรสฮิปแอนด์คาร์โมมายด์ (dmp Hair and Body Baby Bath Rosehip and Chamomile ) หรือดีเอ็มพีสีเขียว ซึ่งโดดเด่นด้วยคุณสมบัติในการดูแลผิวและเส้นผมบอบบางของลูกน้อยวัยแรกเกิดโดยเฉพาะ

สบู่เหลวอาบน้ำ

ด้วยการผสานเอาประโยชน์จากโรสฮิปและน้ำมันจากดอกคาโมมายล์ออร์แกนิคจากธรรมชาติ แหล่งรวมกรดไขมันจำเป็น โอเมก้า 6 และวิตามินเอ มาเป็นอาหารชั้นยอดให้ผิวและเส้นผม ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและปกป้องผิวบอบบางของลูกน้อยจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ทั้งสภาพอากาศ มลพิษ แสงแดด  ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการภูมิแพ้ผิวหนัง อาการระคายเคือง ผื่นแดง ผิวแห้งเป็นขุยที่เกิดขึ้นบ่อยในทารกแรกเกิด

ผลิตภัณฑ์ของ dmp ไม่เพียงแต่ดูแลเรื่องความสะอาดเท่านั้น ทั้งยังออกแบบให้ช่วยสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแรงให้ผิวของลูกตั้งแต่ยังเล็กด้วย ด้วยสูตรสบู่เหลวอาบน้ำสระผมที่มีค่า pH 5.5 ซึ่งมีความเป็นกรดอ่อนๆเหมือนกับผิวปกติ ช่วยรักษาสมดุล และปกป้องน้ำหล่อเลี้ยงผิวตามธรรมชาติไม่ให้ถูกทำลายจากสารทำความสะอาดในสบู่เหลวทั่วไป ผิวหนังและเส้นผมของลูกน้อยจึงดูสุขภาพดีอยู่เสมอ

เนื้อสบู่เป็นเจลใสๆ ไร้สี ค่อนข้างเหลวผสมเข้ากับน้ำเปล่าได้ดี มีฟองนิดหน่อย ล้างออกง่าย ช่วยลดขั้นตอนยุ่งยากในการอาบน้ำลูกน้อยเหมาะกับคุณแม่มือใหม่จริงๆ หลังอาบเสร็จผิวของลูกดูชุ่มชื่น เป็นธรรมชาติ ไม่มีคราบสบู่ติดผิว มีกลิ่นหอมของคาโมมายด์อ่อนๆ และกลิ่นสดชื่นเอกลักษณ์ของ dmp

สบู่เหลวอาบน้ำ

สำหรับลูกน้อยวัยแรกเกิดและลูกผิวแพ้ง่ายต้องใช้สูตรนี้เลย เพราะมีความอ่อนโยนเป็นพิเศษ ปราศจากสารเคมี 7 ชนิดทั้ง เช่น แอลกอฮอล์, พาราเบน, SLS, DEA, Phthalate, Triclosan และ Formaldehyde ซึ่งเป็นอันตรายกับผิวลูก และการันตีคุณภาพด้วยเครื่องหมายยืนยันว่าผ่านการทดสอบทางการแพทย์และการระคายเคืองต่อดวงตา คุณแม่จึงสามารถอาบน้ำและสระผมลูกไปพร้อมๆกันได้

สบู่เหลวอาบน้ำสระผม dmp โรสฮิปแอนด์คาร์โมมายด์ มีให้คุณแม่เลือกใช้ถึง 4 ขนาดได้แก่ชนิดขวด 90 มล.200 มล. 480 มล. และ 800 มล. พร้อมยังมีแบบถุงเติมขนาด 350 มล. สามารถหาซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป

    ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก

    ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก ต้องยุติตั้งครรภ์ ซ้ำยังเสี่ยงมะเร็ง

    ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก อาจท้องไม่พบทารก แต่กลับพบรกที่ผิดปกติคล้ายเม็ดสาคู สังเกตสัญญาณร่างกายที่อาจเป็นโรคร้ายต้องยุติการตั้งครรภ์

    ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก คืออะไร สังเกตอาการที่ต้องรีบมาพบแพทย์

    ครรภ์ไข่ปลาอุก ฝันร้ายของแม่ท้อง!

    ครรภ์ไข่ปลาอุก เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่พบทารกที่ปกติในการตั้งครรภ์ ซ้ำร้ายยังเสี่ยงต่อมะเร็งได้อีกด้วย เพจพบหมอเต้ ได้โพสต์อธิบายถึงครรภ์ไข่ปลาอุก ว่า พบผู้ป่วยหญิงอายุ 30 ปี ตั้งครรภ์แรก อายุครรภ์ 14 สัปดาห์ อาเจียนมาก มีเลือดออกทางช่องคลอด ตรวจอัลตราซาวด์ ไม่พบตัวเด็ก แต่พบลักษณะคล้ายถุงน้ำในโพรงมดลูก เจาะค่าการตั้งครรภ์สูงกว่าปกติ จึงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก

    โรคนี้เป็นการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ จะไม่พบทารกที่ปกติในการตั้งครรภ์ แต่จะพบรกที่ผิดปกติมีลักษณะคล้ายเม็ดสาคู โดยครรภ์ไข่ปลาอุกมีชื่อทางการแพทย์ว่า Molar Pregnancy หรือ Hydatidiform Mole ซึ่งกลุ่มนี้เป็นความผิดปกติของรก เรียกรวมว่า Gestational Trophoblastic Disease หรือ GTD

    ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก
    ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก เครดิตภาพ : เพจพบหมอเต้

    ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกเสี่ยงมะเร็ง

    ด้วยตัวของการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกนั้นไม่ใช่มะเร็ง แต่มีโอกาสกลายเป็นมะเร็งเนื้อรกได้ สำหรับครรภ์ไข่ปลาอุก อุบัติการณ์มีความแตกต่างกันไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก พบได้ตั้งแต่ 20-1,300 รายต่อ 100,000 การตั้งครรภ์ โดยในอเมริกาเหนือและทวีปยุโรปพบได้น้อยกว่าทวีปเอเชียและละตินอเมริกา

    ประเภทของตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก

    การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

    1. Complete hydatidiform mole เกิดจากการปฏิสนธิของไข่ที่ไม่มีโครโมโซม หรือโครโมโซมไม่ทำงาน กับสเปิร์มปกติ 1 ตัว หรือโครโมโซมไม่มีการทำงาน กับสเปิร์ม 2 ตัว
    2. Partial hydatidiform mole เกิดจากการปฏิสนธิของไข่ปกติ กับสเปิร์ม 2 ตัว การตั้งครรภ์แบบนี้จะได้ส่วนของทารก แต่จะมีความผิดปกติทางโครงสร้างภายนอกด้วย ทารกจะไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ในที่สุด
    ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก
    ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก

    สังเกต 4 สัญญาณร่างกาย ครรภ์ไข่ปลาอุก

    1. เลือดออกทางช่องคลอดระหว่างตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก
    2. มีลักษณะคล้ายเม็ดสาคู หลุดออกมาทางช่องคลอด
    3. พบอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก
    4. อาจมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หรือครรภ์เป็นพิษ

    การตรวจครรภ์ไข่ปลาอุกในห้องปฏิบัติการ

    • พบระดับค่าการตั้งครรภ์ β-hCG ในเลือดสูงกว่าการตั้งครรภ์ปกติ
    • การตรวจคลื่นเสียงความถี่สูง จะมีลักษณะคล้ายถุงน้ำอยู่ภายในมดลูกแต่ไม่พบตัวเด็ก หรือพบตัวเด็กที่ผิดปกติ

    วิธีรักษาครรภ์ไข่ปลาอุก

    ยุติการตั้งครรภ์ ด้วยการขูดมดลูก suctional curettage (พิจารณาตัดมดลูกในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ต้องการมีบุตรแล้ว)

    การติดตามหลังการรักษา

    1. ติดตามระดับค่าการตั้งครรภ์ β-hCG หลังทำการรักษา โดยครั้งแรกตรวจ 48 ชั่วโมงหลังทำการรักษา หลังจากนั้นทุก 1 สัปดาห์จนกระทั่งตรวจไม่พบติดต่อกัน 3 ครั้ง จากนั้นตรวจทุก 1 เดือนเป็นเวลา 6 เดือน เนื่องจากมีโอกาสเป็นมะเร็งเนื้อรกได้ตั้งแต่ 5-20%
    2. ควรคุมกำเนิดในระหว่างการติดตามการรักษาอย่างน้อย 6 เดือน
    3. แนะนำให้ฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่นๆ และตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงในครรภ์ถัดไป เนื่องจากมีโอกาสเกิดการตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกซ้ำประมาณ 1%
    4. ในครรภ์ต่อ ๆ ไป ควรส่งรกตรวจชิ้นเนื้อหลังคลอดทุกครั้งและวัดระดับ serum β-hCG หลังคลอด 6 สัปดาห์

    สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณหมออยากฝากไว้ โรคนี้รักษาหายขาดแล้วจะสามารถกลับมาตั้งครรภ์ใหม่ได้ แต่ถ้าไม่รักษาและไม่มาติดตามอาการ อาจจะเพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งเนื้อรกได้

    หากคุณแม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ควรรีบไปฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด พร้อมทั้งพบแพทย์ตรงตามเวลาทุกครั้งตามนัด และต้องคอยสังเกตร่างกายตัวเองให้ดี หากพบความผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ ต้องไปโรงพยาบาลทันที

    อ้างอิงข้อมูล : facebook.com/meetdoctae

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

    ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย พัฒนาการลูกจะเป็นอย่างไร อันตรายไหม

    แม่ท้อง แพ้อาหารทะเล ส่งผลต่อลูกยังไงมาหาคำตอบกัน

    เชื้อ CMV คืออะไร ไวรัสที่คนท้องติดเชื้อได้ มีผลต่อทารกแรกเกิด

    5โรคติดเชื้อที่ คนท้อง ห้ามละเลย..อาจทำให้ลูกพิการได้!!

     

      สอนภาษาอังกฤษลูก จากการ์ดวันพ่อ

      สอนภาษาอังกฤษลูก ด้วยการ์ดบอกรักในวันพ่อนี้กันเถอะ!!

      การ์ดวันพ่อของขวัญยอดฮิตของลูก ปีนี้เรามาบอกรักพ่อให้พิเศษยิ่งขึ้นด้วยการบอกรักเป็นภาษาอังกฤษดีไหม ได้ของขวัญโดนใจ ยังได้ สอนภาษาอังกฤษลูก ไปในตัวอีกด้วย

      สอนภาษาอังกฤษลูก ด้วยการ์ดบอกรักในวันพ่อนี้กันเถอะ!!

      วันพ่อปีนี้ คุณแม่ลองชวนลูกน้อย มาทำให้มันเป็นวันพิเศษมากยิ่งขึ้นด้วยการทำการ์ดน่ารัก ๆ เพื่อมอบให้แก่คุณพ่อกันดีไหม เพื่อเป็นการบอกรักให้พ่อรู้ ด้วยของขวัญที่ไม่ต้องใช้เงินมากมายให้ฟุ่มเฟือย เรียกได้ว่าน้อยมูลค่า แต่มากคุณค่าทางใจ

      ทักษะที่ลูกจะได้จากการทำการ์ดวันพ่อ

      การ์ดวันพ่อ นอกจากจะเป็นของขวัญอันเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจของผู้ทำแล้ว คุณแม่ยังสามารถฝึกลูกให้มีทักษะเพิ่มขึ้นในหลาย ๆ ด้านด้วยการ์ดเพียงใบเดียวอีกด้วยนะ เช่น

      ทำการ์ดบอกรักวันพ่อ
      ทำการ์ดบอกรักวันพ่อ
      1. ทำให้ลูกได้รู้จักมองภาพรวม วางแผนคร่าว ๆ ก่อนลงมือทำในหัว ไตร่ตรองว่าในการจะสร้างการ์ดให้สำเร็จนั้น ต้องทำอะไร ใช้อะไรบ้าง
      2. ได้ทำตามขั้นตอนจากการที่ได้วางแผนไว้ เรียงลำดับความคิด ว่าต้องทำสิ่งไหนก่อนหลัง วาดส่วนใดก่อนหลัง ลงสี จัด Lay-out อย่างไร ซึ่งบางครั้งเขาจะเรียงลำดับไม่เหมือนที่พ่อแม่คิด แต่อาจเป็นขั้นตอนที่เขาถนัดทำประจำ หรือลัดขั้นตอนให้ง่ายขึ้นจนบางทีคุณแม่อาจทึ่งไปเลยก็ได้
      3. ได้ฝึกทักษะกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ สำหรับลูกเล็กที่ยังต้องการพัฒนาทักษะในการขีดเขียน วาดรูป ซึ่งลูกจะรู้สึกสนุกมากขึ้น เมื่องานนั้นมีเป้าหมายชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่การวาดรูปเล่นเรื่อยเปื่อย
      4. คุณแม่อาจเพิ่มทักษะการเรียนรู้ทางด้านภาษาเข้าไปเพิ่มในการทำการ์ดวันพ่อด้วยมือในครั้งนี้ได้ด้วย โดยการเลือกใช้คำอวยพร      แคปชั่นบอกรักพ่อ เป็นภาษาอังกฤษ ทำให้แม่สามารถสอนภาษาอังกฤษลูกด้วยวิธีใหม่ ๆ เชื่อไหมว่าการได้ลงมือทำ จะช่วยให้ลูกจำคำศัพท์ที่มีได้ดีมากกว่าแค่การนั่งท่องจำเสียอีก

      ขั้นตอนวิธีทำการ์ดบอกรักพ่อ

      • หารูปแบบการ์ดอวยพรที่จะทำ 

      ปัจจุบันมีรูปแบบการ์ดอวยพรสวย ๆ น่ารัก ๆ มากมายให้ได้เลือกกันมากมายละลานตา มีทั้งแบบให้เลือกฟรี และมีค่าใช้จ่าย ลองชวนลูกเข้าไปดูรูปแบบการ์ดต่าง ๆ แล้วช่วยกันเลือกรูปแบบที่ต้องการร่วมกัน หรือใช้เป็นไอเดียในการสร้างการ์ดด้วยมือตัวเองก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น

      1.  Canva เป็นเว็บออกแบบเว็บแรก ๆ ที่ทุกคนนึกถึง ด้วยเพราะตัวเว็บมีความงามสวย และออกแบบมาให้เราใช้งานได้ง่าย  แถมยังมี       ฟังก์ชั่นให้คุณได้เลือกใช้มากมาย ซึ่งมีทั้งแบบฟรี และแบบเสียเงินให้คุณเลือก
      2. Venngage เว็บ Venngage ถูกออกแบบมาให้เราใช้งานได้ง่าย และมีการแพลตฟอร์มให้เลือก หรือเป็นไอเดียให้กับเรา ทำให้เรามีไอเดียใหม่และไม่เหมือนใครได้ง่ายขึ้น
      3. Pixabay หรือหากต้องการเพียงแค่รูปแบบการ์ดเก๋ ๆ น่ารัก อาจเข้าไปหาได้ในเว็บนี้ เพราะทั้งฟรี และยังมีรูปแบบให้เลือกมากมาย พอใช้เป็นไอเดียตั้งต้นได้

        สอนภาษาอังกฤษลูก ด้วยคำอวยพรภาษาอังกฤษ
        สอนภาษาอังกฤษลูก ด้วยคำอวยพรภาษาอังกฤษ
      • เลือกแคปชั่นบอกรักพ่อ หรือคำอวยพรโดน ๆ เป็นภาษาอังกฤษ

      ในขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับคุณแม่เองที่จะต้องประเมินว่าลูกอยู่ในวัยใด หากเขาสามารถคิดคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้เองบ้าง เราอาจใช้วิธีการให้ลูกนึกคำอวยพรเป็นภาษาไทยก่อน แล้วถึงมาเรียบเรียงเป็นประโยคภาษาอังกฤษร่วมกัน หรือหากว่าลูกยังไม่สามารถคิดคำศัพท์เองได้ คุณแม่อาจหาแคปชั่นอวยพรเด็ด ๆ โดน ๆ เป็นภาษาอังกฤษมาเอง แล้วค่อยสอนถึงความหมายในแต่ละคำให้ลูกได้รู้ โดยเริ่มจากให้เขาลองเดาความหมายก่อน แล้วเราถึงเฉลย จากนั้นจึงให้ลูกเป็นคนตัดสินใจเลือกคำอวยพรที่เขาอยากให้คุณพ่อในวันสำคัญ วันพ่อนี้ด้วยตัวเอง

      ตัวอย่างแคปชั่นโดน ๆ บอกรักภาษาอังกฤษพร้อมคำแปล

      Happy Father’s Day. I love you!
      (สุขสันต์วันพ่อ ผมรักพ่อครับ/หนูรักพ่อค่ะ)

      Dad, wishing you a happy Father’s Day. Much love.
      (พ่อ ขอให้พ่อมีความสุขในวันพ่อ รักพ่อมากนะ)

      You’re the greatest dad in the world! I love you, Dad!
      (พ่อคือพ่อที่ดีที่สุดในโลก ผมรักพ่อครับ/หนูรักพ่อค่ะ)

      Happy Father’s Day! You’re my role model and best dad.
      (สุขสันต์วันพ่อ พ่อคือต้นแบบและพ่อที่ดีที่สุด)

      Happy Father’s Day to my hero and role model. Thank you for everything you have done for our family. We love you with all our hearts.
      (สุขสันต์วันพ่อแด่ฮีโร่และแบบอย่างของผม ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่พ่อทำให้กับครอบครัวของเราครับ พวกเรารักพ่อทั้งหมดของหัวใจครับ)

      Happy Father’s day to my wonderful dad. You’re my hero!
      (สุขสันต์วันพ่อแด่คุณพ่อสุดเจ๋งของหนู พ่อคือฮีโร่ของหนูค่ะ)

      Happy Father’s Day!  You’re not just my father, but one of my closest friends.
      (สุขสันต์วันพ่อ พ่อไม่ใช่แค่พ่อของหนู แต่เป็นเหมือนเพื่อนสนิท)

      เขียนการ์ดด้วยตัวเอง สอนภาษาอังกฤษลูก ได้ด้วย
      เขียนการ์ดด้วยตัวเอง สอนภาษาอังกฤษลูก ได้ด้วย

      หรือ แนวบอกความรู้สึกก็ซึ้งกินใจ

      You’re the best, Dad. I love you!
      (พ่อคือคนที่ดีที่สุด ผมรักพ่อครับ/หนูรักพ่อค่ะ)

      I’m glad to be your daughter!
      (หนูดีใจที่เกิดมาเป็นลูกสาวของพ่อค่ะ)

      Thanks for being such a great father to me. Happy Father’s Day.
      (ขอบคุณสำหรับการเป็นคุณพ่อที่ดีเยี่ยมของหนู สุขสันต์วันพ่อค่ะ)

      Dad, you’re in all my favorite memories.
      (พ่อคะ พ่อคือทั้งหมดในความทรงจำที่ดีของหนู)

      I’m lucky that I was given the best father in the world, a father who truly loves me with all of his heart. Happy Father’s Day, dad!
      (หนูโชคดีที่ได้คุณพ่อที่ดีที่สุดในโลก พ่อคือคนที่รักหนูอย่างแท้จริงทั้งหมดหัวใจของพ่อ พ่อคะ สุขสันต์วันพ่อค่ะ)

      You taught me so many important things in life. I appreciate your love and support. I love you, Day!
      (พ่อสอนสิ่งสำคัญมากมายในชีวิต ลูกสำนึกในความรักและการสนับสนุนของพ่อนะ ผมรักพ่อครับ/หนูรักพ่อค่ะ)

      การ์ดบอกรัก สอนภาษาอังกฤษลูก
      การ์ดบอกรัก สอนภาษาอังกฤษลูก

      หรือ อยากขอบคุณจากใจก็มาเลย

      Thank you, Dad, for all that you’ve done for me. Happy Father’s Day.
      (ขอบคุณสำหรับทั้งหมดที่พ่อทำให้หนู สุขสันต์วันพ่อค่ะ)

      Thanks for everything Dad. Please stay happy and healthy forever!
      (ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างครับ/ ค่ะ ขอให้พ่อมีความสุขและสุขภาพแข็งแรงตลอดไปครับ /ค่ะ)

      ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก trueplookpanya.com

      • ร่วมด้วยช่วยกัน ลงมือตกแต่ง

      ระบายสีการ์ดให้สวยงาม หรือหากบางบ้านอย่างส่งเป็นการ์ดอวยพรอิเล็กทรอนิกส์ ในตัวโปรแกรมที่กล่าวมาข้างต้นก็มีเครื่องมือกราฟฟิคมากมายให้เลือกตกแต่งกัน และพร้อมส่งได้เลยอีกด้วย

      การสอนภาษาอังกฤษให้ลูก ไม่จำเป็นต้องอยู่แต่ภายในตำรากันอีกต่อไป ทุกที่ ทุกเวลาสามารถสร้างโอกาสในการเรียนรู้คำศัพท์ การสร้างประโยค การฟัง การเขียน ต่าง ๆ เหล่านี้ได้หมด อย่างเช่นการสอนภาษาอังกฤษลูกจากการสร้างการ์ดวันพ่อนี้ นอกจากจะได้รับความรู้แล้ว ยังได้รับความสนุกสนาน มีกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว และที่สำคัญยังได้บอกรักคุณพ่ออีกด้วย

      บอกรักพ่อ ด้วยการ์ดบอกรักวันพ่อ
      บอกรักพ่อ ด้วยการ์ดบอกรักวันพ่อ

      5 ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันพ่อ” วันที่ลูกทุกคนจะได้ใช้โอกาสอันพิเศษนี้ได้บอกรักคุณพ่อ ถึงแม้จะบอกว่าเราสามารถบอกรักพ่อได้ทุกวัน แต่การมีวันสำคัญให้ได้ย้ำเตือน ระลึกถึงความรักความผูกพันของคุณพ่อที่มีต่อลูก ก็เป็นเรื่องที่ดี ที่คอยเชื่อม คอยต่อความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกให้กลับมาแนบแน่นมากยิ่งขึ้น ดังนั้น “อย่าลืมบอกรักพ่อผ่านการ์ดในวันพ่อที่จะถึงนี้กันนะทุกคน”

      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      คำอวยพร ภาษาอังกฤษ วันคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่มีอะไรบ้าง

      มารู้จัก คำศัพท์หน้าฝน สนุกๆคุยเล่นแก้เบื่อตอนฝนตกกันดีกว่า

      ชวนลูกขายขนมกับ ประโยคซื้อขายภาษาอังกฤษ แสนสนุก

      สิ่งที่ต้องสอนลูกก่อนวัย 3 ขวบ เพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโรงเรียน

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        “ใครมี เราพร้อม Help กับ Health Me by เมืองไทยประกันภัย เจ็บหนักแค่ไหนเราพร้อมเปย์สูงสุดถึง 10 ล้านบาท”

        เมืองไทยประกันภัย หรือ MTI ออกโปรดักส์ประกันสุขภาพใหม่ ตอบโจทย์ครบทุก Gen กับ Health Me ภายใต้แคมเปญ “MTI Moving Forward” ที่มอบวงเงินความคุ้มครองสูงสุดถึง 10 ล้านบาทต่อครั้ง ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี พร้อมฟีเจอร์ครบทุกความต้องการ เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 170 บาทต่อเดือน

        นางนวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ MTI เผยจุดประสงค์การออกผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ว่า “จากช่วงปีที่ผ่านมาเมืองไทยประกันภัยได้ออกประกันสุขภาพมาเพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย ทั้ง Health Mini และ Health Trust ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อีกทั้งจากกระแสโควิดยังไม่จางหายไป ความต้องการประกันสุขภาพยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมืองไทยประกันภัยจึงตัดสินใจออกโปรดักส์ประกันสุขภาพ Health Me ช่วงปลายปีนี้ เพื่อตอบรับกับกระแสความต้องการของลูกค้า ทั้งในเรื่องทุนประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองสูงสุดถึง 10 ล้านบาท สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทฯ ต้องการคือ กลุ่มอายุทุกช่วงวัย ทุกเจนเนอเรชั่น ที่มีกำลังซื้อ มีความต้องการวางแผนการเงิน วางแผนด้านสุขภาพแบบคุ้มค่า และกำลังมองหาประกันสุขภาพที่มีวงเงินความคุ้มครองสูง ทั้งค่าห้องและค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าให้กับตัวเอง หรือคนสำคัญในครอบครัว ที่ให้ความคุ้มครองแบบครอบคลุมครบทุกมิติ และให้ทุกคนได้เตรียมตัววางแผนการดูแลสุขภาพที่ไม่แน่นอน พร้อมก้าวสู่ปีใหม่อย่างมั่นใจและก้าวได้ไกลยิ่งกว่าเดิม ภายใต้แคมเปญ ‘MTI Moving Forward’”

        สำหรับผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ Health Me ถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงภัยด้านสุขภาพและอุบัติเหตุที่ต้องเผชิญความเสี่ยงกับค่าใช้จ่ายแบบหนักๆ เบี้ยประกันภัยเริ่มต้นเพียง 170 บาทต่อเดือน ให้ความคุ้มครองค่ารักษาแบบผู้ป่วยในโรงพยาบาลสูงสุดถึง 10 ล้านบาทต่อครั้ง โดยไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปี ค่าห้องสูงสุดถึง 15,000 บาท ให้จัดเต็มมากถึง 365 วัน สามารถเลือกคุ้มครองได้ตั้งแต่อายุ 6 ปี – 70 ปี ต่ออายุได้ถึง 80 ปี ซึ่งช่วงอายุที่ต่ำกว่าสิบขวบ ถือเป็นช่วงอายุที่มีความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ประกันสุขภาพ Health Me ยังให้ลูกค้าสามารถออกแบบความคุ้มครองได้เอง โดยได้เพิ่มฟีเจอร์ขยายความคุ้มครองให้เพิ่มเติม ทั้งนี้มีค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลส่วนแรก (Deduct) โดยมีให้เลือกตั้งแต่ 20,000 – 100,000 บาท ซึ่งทำให้เบี้ยประกันภัยถูกลง เหมาะกับผู้ที่มีสวัสดิการอยู่แล้วแต่อาจจะยังไม่เพียงพอกับค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถเลือกซื้อความคุ้มครองการรักษาตัวแบบผู้ป่วยนอก และความคุ้มครองในด้านการชดเชยรายได้ต่อวันได้ โดยไม่ต้องถือประกันอื่นพ่วงเพิ่มเติมอีกด้วย พร้อมยังมอบส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 15%** เมื่อมีประวัติดีไม่มีการเคลมในทุกหมวดความคุ้มครอง (**เมื่อไม่มีเคลมติดต่อกัน 5 ปี)  และนำเบี้ยประกันลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 25,000 บาทต่อปี 

        เมืองไทยประกันภัย พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในตัวช่วยคุณได้ดูแลสุขภาพได้อย่างเต็มที่ได้ง่ายๆ เพียงมีประกันสุขภาพ Health Me มีแล้วดี มีแล้วครบทุกความต้องการแน่นอน เพื่อให้คุณก้าวได้ไกล และยิ้มได้กว้างมากกว่าเดิม ดั่งสโลแกน “ยิ้มได้ เมื่อภัยมา” ” นางนวลพรรณ กล่าวเพิ่มเติม

        เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ผู้ซื้อควรศึกษารายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจ สามารถสอบถามรายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1484 เว็บไซต์ www.muangthaiinsurance.com LineID: @mtifriend หรือตัวแทนเมืองไทยประกันภัยทั่วประเทศ

          Tags

          The Mall Lifestore

          “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ เฉลิมฉลองโฉมใหม่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน สุดอลังการ

          กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในชั่วข้ามคืน เมื่อ คุณศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำธุรกิจวงการค้าปลีก สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ เฉลิมฉลองโฉมใหม่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน สุดอลังการ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A HAPPY PLACE TO LIVE LIFE : ชีวิตที่มีความสุขทุกครอบครัว” ภายในงานได้รับเกียรติจาก ท่านพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ

          The Mall Lifestore

          คุณศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (MS. SUPALUCK UMPUJH : CHAIRWOMAN, THE MALL GROUP CO., LTD.) กล่าวว่า “เดอะมอลล์ กรุ๊ป ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจมากว่า 39 ปี และเพื่อเป็นการฉลองก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4 เดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ ทุ่มงบประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท ปรับภาพลักษณ์ใหม่เดอะมอลล์ ทุกสาขา จาก เดอะมอลล์ อาณาจักรแห่งความสุขทุกครอบครัว สู่ THE MALL LIFESTORE ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A HAPPY PLACE TO LIVE LIFE : ชีวิตที่มีความสุขทุกครอบครัว”  รีเทลโมเดลใหม่ ซึ่งถือเป็นการปรับโฉมใหม่ครั้งสำคัญที่สุดตั้งแต่ดำเนินธุรกิจรีเทลมา โดยได้เริ่มปรับที่สาขางามวงศ์วาน เป็นสาขาแรก ด้วยงบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ปรับเปลี่ยน CORPORATE IDENTITY รวมทั้งโลโก้ใหม่ จาก M ริบบิ้นม้วนสีแดง พลิกโฉมสู่อักษร M แบบเรียบง่าย ดูแข็งแรง และแฝงความร่วมสมัยเป็นสากลมากยิ่งขึ้น และคำว่า LIFESTORE สื่อถึงความมีชีวิตชีวา เข้าถึงง่ายด้วยตัวอักษรตัวเขียน จับคู่กับ M ทำให้เกิดเป็นความสมดุล แต่ยังคงเอกลักษณ์สีแดงไว้เป็นตัวแทนของความสุขที่ไม่เคยเปลี่ยน โดยโลโก้ใหม่นี้จะถูกนำไปใช้ที่เดอะมอลล์ ทุกสาขา

          The Mall Lifestore

          คุณอัจฉรา อัมพุช รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (MS. ACHARA  UMPUJH ; EXECUTIVE VICE PRESIDENT, THE MALL GROUP CO., LTD.) กล่าวว่า “เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน บนพื้นที่รวมกว่า 300,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางเมืองกรุงเทพฝั่งเหนือ โดยการปรับโฉมใหม่ครั้งนี้ได้ทำการปรับทุกพื้นที่ ทั้งภายนอก – ภายในศูนย์การค้า ภายใต้แนวคิด GREEN HOUSE”  รังสรรค์สุนทรียภาพแห่งธรรมชาติให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของคนเมือง ปรับพื้นที่ให้ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าเชื่อมต่อกันแบบลงตัว ยกความสะดวกสบายครบทุกโหมดไลฟ์สไตล์ทั้ง กิน เล่น ช้อป ให้ความรู้สึกเสมือนเดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน เป็นบ้านหลังที่ 2 ของทุกเจนเนอเรชั่น และที่สำคัญคือ เฟอร์นิเจอร์ในการตกแต่งทั้งหมดใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงหุ่นโชว์สินค้าทั้งหมดถูกผลิตขึ้นในรูปแบบแฮนด์เมดจากฝีมือคนไทย

          ทุ่มงบประมาณ 200 ล้านบาท เฉลิมฉลองโฉมใหม่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน สุดอลังการ ตระการตากับสุดยอดกิจกรรม และโปรโมชั่นยิ่งใหญ่แห่งปี

          The Mall Lifestore

          เฉลิมฉลองโฉมใหม่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน ในครั้งนี้ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ทุ่มงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท เนรมิตพื้นที่ ต้อนรับพันธมิตรทางธุรกิจ, ศิลปิน-ดารา, เหล่าเซเลบริตี้ระดับท็อปทั่วฟ้าเมืองไทย รวมถึงบุคคลมีชื่อเสียงหลากหลายวงการ ที่มาร่วมเดินเฉิดฉายอวดโฉมบนพรมแดงอย่างเนืองแน่น ตื่นตากับโชว์การแสดงเปิดงานสุดยิ่งใหญ่ตระการตาในชุด LA VIE M ROSE ที่พาคุณเข้าสู่ความมหัศจรรย์ที่เต็มไปด้วยหมู่มวลดอกไม้ และชีวิตใหญ่น้อยอันวิจิตรตระการตาผสมผสานบทเพลงโอเปร่า นักระบำปลายเท้า หุ่นยักษ์ นักกายกรรม Aerial นางแบบและนายแบบ และนักแสดงมากมาย โดยมี ลิเดียร์ ศรัณย์รัชต์ – แมทธิว ดีน นำทีมลูกๆ น้องดีแลน – น้องเดมี่ และศิลปิน 4 โพธิ์ดำ แก้ม วิชญาณี เปียกลิ่น, โดม จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม, กัน นภัทร อินทร์ใจเอื้อ และตั้ม วราวุธ โพธิ์ยิ้ม ร่วมสร้างความตระการตา ส่งมอบความสุข ความสนุกสนาน แบบจัดเต็มทุกพื้นที่

          The Mall Lifestore

          ผนึกกำลังพันธมิตร จัดโปรโมชั่นฉลองโฉมใหม่ ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน พบกับสุดยอดแคมเปญโปรโมชั่นเอาใจนักช้อป M LIFESTORE FESTIVAL มอบโปรพิเศษทุกวันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ อย่างต่อเนื่องทุกสัปดาห์ พิเศษสุด ลุ้นรับรถยนต์ TOYOTA  MAJESTY  มูลค่า 1,914,000 บาท เมื่อช้อปภายในห้างฯ หรือ ศูนย์ฯ ครบทุก 1,000 บาท รวมช้อปที่ POWER MALL, GOURMET MARKET ระหว่างวันที่ 26 พฤศจิกายน 2563 – 28 กุมภาพันธ์ 2564 นอกจากนี้    ทุกชั้น ทุกแผนก ยังร่วมเฉลิมฉลองโฉมใหม่ เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน ด้วยการจัดกิจกรรมความบันเทิงที่หลากหลายครบทุกรูปแบบ พร้อมอัดโปรโมชั่นทุกแผนกในห้างสรรพสินค้า อาทิ BEAUTY HALL, SPORTS MALL, POWER MALL, GOURMET MARKET ฯลฯ และทุกร้านค้าในศูนย์การค้าร่วมลดแบบจัดหนักจัดเต็ม อาทิ UNIQLO, MUJI, EVEANDBOY, POMELO ฯลฯ เพื่อส่งมอบความสุขให้กับชาวงามวงศ์วาน

            “5 ธันวาพาพ่อเที่ยว” อพวช. ชวนฉลองเทศกาล “วันพ่อแห่งชาติ” คุณลูกพาคุณพ่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ฟรี!

            อพวช. ร่วมเฉลิมฉลองวันพ่อแห่งชาติ จัดกิจกรรม “5 ธันวาพาพ่อเที่ยว” โดยคุณลูกพาคุณพ่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ 4 แห่งฟรี! ได้แก่ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ และพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ณ อพวช. คลองห้า ปทุมธานี 

            ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวว่าในเทศกาลวันพ่อแห่งชาติ อพวช. ขอร่วมเฉลิมฉลองช่วงเวลาแห่งความสุขให้กับคุณพ่อและคุณลูกได้มีกิจกรรม     เติมเต็มความสุขในครอบครัว โดยการมาท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้อย่างสนุกสนานกับ อพวช. โดยจะเปิดให้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ 4 แห่งฟรี! ได้แก่ “พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์” พิพิธภัณฑ์แห่งการเรียนรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐานที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกของประเทศไทย ที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง “พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา” แหล่งเรียนรู้ด้านธรรมชาติวิทยา พร้อมเป็นศูนย์กลางการศึกษาวิจัยด้านธรรมชาติวิทยาของประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง   และยังเป็นศูนย์จัดแสดงนิทรรศการความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพอันล้ำค่า “พิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีสารสนเทศ” แหล่งเรียนรู้วิวัฒนาการของเทคโนโลยี  การสื่อสารจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อเตรียมความพร้อมคนไทยสู่สังคมยุคดิจิทัล และ “พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า” พิพิธภัณฑ์ด้านนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบที่สุดของอาเซียน มาเรียนรู้และสร้างความตระหนักให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรานั่นเอง”

            นอกจากนั้น เรายังจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสนุกสนานเฉลิมฉลองวันดินโลกที่จัดเต็มเตรียมไว้ให้ทุกคนในครอบครัว อาทิ กิจกรรม “ปลูกต้นไม้วันพ่อ” ร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ด้วยดินวิทยาศาสตร์ทดสอบการพองตัว 600 เท่าของ ไฮโดรเจล ณ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ , กิจกรรม 5 ธันวา “ชีวาพิทักษ์ดิน” นำดินจากที่บ้านของคุณมาร่วมทำการทดลองและประดิษฐ์ของที่ระลึกจากดิน ณ พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า และร่วมสำรวจเส้นทางการเรียนรู้ไปกับ Museum Trail ตอน ปริศนาจากชั้นดิน เป็นต้น 

            อพวช. จัดกิจกรรม “5 ธันวาพาพ่อเที่ยว” ตั้งแต่เวลา 9.30 – 17.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2577 9999 ต่อ 2122 , 2123 หรือ www.nsm.or.th และ Facebook : NSMthailand

              Tags

              น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก

              วิธีดูแลเสื้อผ้าทารก ลดกลิ่นอับ สัมผัสนุ่มสวมใส่สบายผิว

              รู้ไหมคะว่า เสื้อผ้าเด็กทารก เด็กเล็ก จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษ และไม่ใช่แค่ซักเสื้อผ้าให้สะอาดเท่านั้น แต่ต้องถนอมเนื้อผ้าให้นุ่ม สวมใส่เสื้อผ้าแล้วไม่เสียดสี ระคายเคืองผิว ที่สำคัญชุดเสื้อผ้าของลูกควรมีกลิ่นหอม ปราศจากกลิ่นอับ เพราะเสื้อผ้าที่เหม็นอับ ไม่ใช่แค่ทำให้ลูกน้อยไม่สบายตัว แต่ยังรบกวนการหายใจของลูกได้ค่ะ

              เสื้อผ้าเหม็นอับ สาเหตุจากอะไร ?

              มีแม่ๆ แวะเวียนมาคุยกับทีมแม่ABK ขอคำแนะนำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องเลี้ยงลูก ซึ่งปัญหาหนึ่งที่ถามกันมาบ่อยๆ ก็จะมีในเรื่องของการดูแลทำความสะอาดเสื้อผ้าลูกตั้งแต่แรกเกิดอยู่ด้วย โดยเฉพาะเสื้อผ้าลูกทำไมซักแล้วถึงยังมีกลิ่นอับ หรือชุดเสื้อผ้าลูกที่ซักแล้ว จำเป็นต้องใช้ น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็กหรือเปล่า? ทีมแม่ABK ขอตอบและอธิบายให้ตามนี้ค่ะ

              เสื้อผ้าเหม็นอับ มีกลิ่นอับ

              เสื้อผ้าลูกที่ใช้แล้ว หมักหมมไว้หลายวัน มักจะมีสิ่งสกปรกจากแบคทีเรีย หรือเชื้อราฝังอยู่ในเนื้อผ้า เมื่อนำไปซักแล้วซักไม่สะอาด ก็เป็นเหตุให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ขึ้นได้ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเสื้อผ้าแล้วซักล้างออกไม่หมดตกค้างอยู่บนเสื้อผ้า ก็เป็นเหตุให้เสื้อผ้าเหม็นอับได้เช่นกัน รวมถึงความอับชื้นที่มาจากเหงื่อ ก็ทำให้เสื้อผ้ามีกลิ่นได้ค่ะ

              น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก

              เสื้อผ้าลูกจำเป็นต้องใช้ “ปรับผ้านุ่มเด็ก” ไหม ?

              เสื้อผ้าที่ให้เด็กทารก เด็กเล็กๆ สวมใส่ควรมีเนื้อผ้าที่นุ่ม ไม่แข็งกระด้าง นั่นก็เพราะว่าผิวเด็กจะมีความบอบบาง และง่ายต่อการระคายเคือง เมื่อผิวที่ระคายเคือง มักตามมาด้วยผดผื่นคัน ผิวแดงอักเสบขึ้นได้ เสื้อผ้าเด็กที่ซักทำความสะอาด ถึงแม้จะใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก ก็ยังมีความจำเป็นต้องถนอมเนื้อผ้าให้นุ่ม ไม่แข็งกระด้างด้วยน้ำยาปรับผ้านุ่มเด็กด้วยทุกครั้งค่ะ

              น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก ที่แม่ชอบใช้!!

              จากประสบการณ์ทีมแม่ABK ที่มีลูกแล้ว ก็อยากจะแนะนำแม่ๆ มือใหม่ว่า เสื้อผ้าลูกตั้งแต่แรกเกิด แค่ซักให้สะอาดอย่างเดียวไม่พอค่ะ แต่ต้องถนอมเนื้อผ้าให้มีสัมผัสนุ่ม ลูกสวมใส่แล้วเขาต้องรู้สึกสบายผิว เวลาที่ขยับ เคลื่อนไหวร่างกายจะต้องไม่รู้สึกอึดอัดจากเสื้อผ้า ที่สำคัญเสื้อผ้าของลูกควรมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ให้รู้สึกสดชื่นตลอดวันค่ะ

              น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก

              ทำไมต้อง ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็กโคโดโม ?

              จริงๆ ถ้าจะให้แนะนำผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มสำหรับเด็ก ก็มีอยู่หลายผลิตภัณฑ์เลยค่ะ แต่ที่ทีมแม่ABK ใช้อยู่ตอนนี้ แล้วก็ชอบมากๆ นั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็กโคโดโม คือมีให้เลือกใช้ 2 สูตรค่ะ แบบสูตรนิวบอร์น สำหรับหรับเด็กแรกเกิด  และสูตรป้องกันกลิ่นอับ เดี๋ยวแม่จะบอกให้ว่า 2 สูตรนี้มีความพิเศษยังไงบ้างค่ะ

              น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก

              น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก โคโดโม สูตรนิวบอร์น สำหรับเด็กแรกเกิด (0+)

              คุณแม่จำง่ายๆ กับปรับผ้านุ่มสูตรนี้ คือ นุ่มหอม สบาย ไม่อับชื้นจากเหงื่อ แม่บ้านนี้ใช้มาตั้งแต่ลูกแรกเกิดค่ะ คุณสมบัติเด่นก็คือ…

              1. มีเทคโนโลยี Cool Sense Fabric ช่วยปรับใยผ้า ทำให้เนื้อผ้านุ่มฟู โปร่ง สบาย ระบายอากาศได้ดี หมดกังวลเรื่องความอับชื้นที่มาจากเหงื่อได้ดีมากๆ ค่ะ
              2. ช่วยลดสาเหตุการเกิดผดผื่น และการระคายเคือง
              3. ไม่มีสารตกค้างให้ระคายเคืองกับผิวบอบบางของลูก
              4. หลังใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็กโคโดโม สูตรนิวบอร์น เสื้อผ้าจะมีกลิ่นหอมละมุนอ่อนๆ ซึ่งกลิ่นหอมนี้คุณแม่ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นอันตราย เพราะเป็นกลิ่นหอม ที่ผ่านการรับรองจากสถาบันน้ำหอมนานาชาติ เพื่อผิวที่บอบบางของทารกค่ะ
              5. ผ่านการทดสอบการระคายเคือง Dermatology Test จากสถาบัน Spincontrol Asia ปลอดภัยต่อผิวบอบบาง

              มาต่อกันที่อีกสูตร ซึ่งสูตรนี้เหมาะที่จะใช้กับเสื้อผ้าเด็ก 3 ขวบขึ้นไปค่ะ แต่จะว่าไปก็ใช้ถนอมเสื้อผ้าของทุกคนในครอบครัวได้ค่ะ แม่บ้านนี้ก็ใช้ด้วยเหมือนกันค่ะ

              น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก

              น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก โคโดโม สูตรป้องกันกลิ่นอับ (3+)

              นุ่ม หอมสบายผิว ป้องกันกลิ่นอับ ด้วยสารสกัดดอกโรสแมรี่ สูตรนี้ก็จะมีคุณสมบัติเด่นๆ ดังนี้ค่ะ

              1. ช่วยป้องกันกลิ่นอับชื้นด้วยสารสกัดธรรมชาติจากดอกโรสแมรี่ จากประเทศญี่ปุ่น
              2. Smooth Action ปรับใยผ้าให้ลื่น นุ่มฟู ลดการเสียดของผิวบอบบางกับเนื้อผ้า
              3. กลิ่นหอมละมุน อ่อนโยน เหมาะสำหรับเด็ก 3 ปีขึ้นไป
              4. ผ่านการทดสอบการระคายเคือง Dermatology Test จากสถาบัน Spincontrol Asia ปลอดภัยต่อผิวบอบบาง

              สำหรับผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็กโคโดโม ขอบอกว่าไม่ใช่แค่ถูกใจทีมแม่ABK นะคะ แต่ยังถูกใจคุณแม่ทั่วประเทศด้วย เพราะเพิ่งได้รับรางวัล Mommy’s Choice  สาขา BEST BABY FABRIC SOFTENER จาก AMARIN BABY AND KIDS AWARD 2020 ถ้าใช้ได้ไม่ดีจริง แม่ไม่โหวตให้นะคะ  

              เสื้อผ้าเด็กไม่ว่าจะของลูกวัยไหน หากดูแลทำความสะอาดให้หอม นุ่ม ปราศจากกลิ่นอับ พัฒนาการการเรียนรู้ไม่มีสะสุดเพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่อย่างแน่นอนค่ะ

                                                                    

                แชมพูเด็ก

                แชมพูสระผมยี่ห้อไหนดี สระสะอาด อ่อนโยนทุกสัมผัส คุณแม่โหวตให้ Johnson’s Active Kids Shampoo เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในดวงใจ

                บ้านไหนมีลูกสาววัยอนุบาล คงเคยเห็นลูกสาวหยิบลิปติกมาทาปาก แอบใส่รองเท้าส้นสูงของแม่ และอยากไว้ผมยาวให้เหมือนเจ้าหญิงแสนสวยที่ในดวงใจ ก็ถึงเวลาที่คุณแม่เปลี่ยนจากแชมพูให้ลูกสาวใหม่แล้ว แต่ แชมพูสระผมยี่ห้อไหนดี จะเหมาะกับการดูแลเส้นผมของเด็กๆที่มีกิจกรรมระหว่างวันมากขึ้น ทั้งเล่น ทั้งเรียน

                ถึงจะอยากเป็นสาวแค่ไหน แต่เส้นผมของลูกน้อยยังต้องการการดูแลต่างจากผู้ใหญ่ การเลือกแชมพูจึงต้องคัดสรรเป็นพิเศษให้เหมาะกับสภาพผม อ่อนโยนกับหนังศีรษะ และช่วยให้ลูกมีผมยาวสลวย หวีง่าย ไม่พันกัน หอมฟุ้งตลอดวัน แต่คุณแม่ยุคใหม่จะเลือกใช้ แชมพูสระผมยี่ห้อไหนดี  มาฟังคำตอบกันค่ะ

                แชมพูสระผมยี่ห้อไหนดี แม่ทั่วประเทศยกให้ยี่ห้อนี้เป็นแบรนด์ในดวงใจ

                เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ได้จัดการมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020”ต่อเนื่องในปีที่ 2 เพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์สำหรับแม่ลูกในดวงใจ จากการเสนอชื่อและคะแนนของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน โหวตให้แชมพูเด็ก Johnson’s Active Kids Shiny Drops Shampoo ได้รับคะแนนสูงสุด และคว้ารางวัล Mommy’s Choice สาขา  Best Baby Shampoo ในปีนี้

                แชมพูเด็ก

                ทำไมแม่ยุคใหม่เลือก แชมพูสระผม Johnson’s Active Kids  ดูแลผมลูกวัยซน

                “แค่เห็นขวดลูกสาวก็กรี๊ดเลย ขวดสีชมพูพิงค์ๆมีภาพเจ้าหญิงแสนสวยคู่ปราสาทถูกใจมาก อยากสระผมเองทุกวันค่ะ แม่ปลื้มที่กลิ่นหวานๆที่หอมติดผมไปทั้งวัน จะเล่นเหงื่อออกแค่ไหนก็ยังหอม ตอนสระผมเสร็จใหม่ แค่เป่าลมให้แห้งก็หวีง่าย ผมไม่พันกันเป็นก้อน ใช้คู่ครีมนวดแล้วดีมากเลย คราวนี้ลูกจะขอไว้ผมยาวแค่ไหนแม่ก็ไม่ติด”

                “ลูกสาวเป็นคนผิวแพ้ง่าย  พอจะเปลี่ยนมาใช้ แชมพูสระผม ของผู้ใหญ่ก็ค่อนข้างกังวล จนไปเจอแชมพูเด็ก จอห์นสัน ขวดสีชมพู ที่ฉลากหน้าขวดระบุว่าไม่มีสารพาราเบน ซิลิโคน ซัลเฟต หรือสีซึ่งก่อให้เกิดการระคายเคือง ผ่านการทดสอบโดยกุมารแพทย์ รู้สึกมั่นใจก็เลยซื้อมาลองใช้เลยค่ะ ลองใช้แล้วชอบมากค่ะ ผมเงางาม เรียงสวยไม่ชี้ฟู ที่สำคัญหนังศีรษะสุขภาพดี ไม่เป็นขุย หรืออาการแพ้ใด ตอนนี้ต้องมีติดบ้านตลอดเลยค่ะ”

                “ลูกสาวตัวน้อยวัย 4 ขวบอยากผมยาวเร็วๆ อยากสวยเหมือนเจ้าหญิงคนโปรด แม่เคยต้องเปลี่ยนแชมพูธรรมดามาเป็น แชมพูสระผม ที่มีส่วนผสมช่วยบำรุงเส้นผมให้แข็งแรงสุขภาพดีด้วย แชมพูจอห์นสันสูตรนี้มีทั้ง “ซิลค์โปรตีน” และ “อาร์แกน ออยล์” จากธรรมชาติซึ่งเป็นสารอาหารชั้นดีให้ผม สังเกตว่าใช้แล้วผมยาวสวย ไม่ค่อยหลุดร่วง แถมยังให้ลูกลองสระผมเองได้สบายๆเพราะเป็นสูตร  No Tear ที่ไม่ทำให้แสบตา ถึงเวลาอาบน้ำทีไรไม่เคยปฏิเสธอีกเลย”

                Johnson’s Active Kids Shiny Drops Shampoo แชมพูสระผมสูตรเฉพาะที่คิดค้นมาเพื่อเด็กวัยซนอายุ 3 ขวบขึ้นไป เน้นการดูแลเส้นผมของลูกน้อยให้เงางาม นุ่มสลวย และหอมละมุนตลอดวัน ช่วยเพิ่มช่วงเวลาสระสนุกให้เด็กๆได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ และมีความสุขในแบบของตัวเองได้เต็มที่

                คุณแม่ที่สนใจผลิตภัณฑ์ Johnson’s Active Kids Shiny Drops Shampoo สามารถหาซื้อได้ที่ ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าชั้นนำ เช่น เทสโก้ โลตัส บิ๊กซี ท็อปส์ 7-eleven และร้านค้าอื่นๆทั่วไป ทั่วประเทศ  หรือศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ www.facebook.com/JohnsonsBabyClub/

                 

                  6 สาเหตุทำลูกหายใจครืดคราด แบบไหนอันตราย?

                  หาสาเหตุให้เจอ! ลูกหายใจครืดคราด เป็นเพราะอะไร แบบไหนอันตราย

                  ลูกหายใจครืดคราด ผิดปกติไหม

                  ทารกหรือเด็กเล็ก ๆ มักจะมีอาการหายใจครืดคราดได้บ่อย ๆ ทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วง กลัวลูกจะเป็นอันตรายร้ายแรง โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งจะทำความรู้จักกับเจ้าตัวน้อยเป็นครั้งแรก แต่ก่อนจะคิด กังวลไปไกล มาดูสาเหตุหลัก ๆ 6 สาเหตุที่ทำให้ลูกหายใจครืดคราดกันค่ะ

                  เพจพี่กัลนมแม่ กลุ่มแม่และเด็ก คลินิกนมแม่ อธิบายถึง 6 สาเหตุที่ทำให้ทารกหายใจครืดคราด เพื่อให้พ่อแม่ได้สังเกตว่า ลูกหายใจแบบนี้มีโอกาสเป็นโรคอะไรได้บ้าง และอันตรายมากน้อยแค่ไหน

                  สำหรับสาเหตุที่ลูกหรือทารกหายใจเสียงดังครืดคราดนั้นมีอยู่ 6 สาเหตุที่พบได้บ่อย ดังนี้

                  1.แพ้โปรตีนนมวัว

                  การแพ้โปรตีนนมวัวเกิดได้ทั้งเด็กที่กินนมแม่ และเด็กที่กินนมผสมหรือกินนมวัว โดยเด็กที่กินนมแม่จะแพ้โปรตีนนมวัวได้จากการที่แม่ดื่มนมวัวหรือรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของนมวัว

                  อาการแพ้นมวัว แสดงว่าน้องหายใจครืดคราดจากอาการแพ้นมวัว

                  คำแนะนำหากลูกแพ้นมวัว

                  ถ้าสงสัยว่าลูกหายใจครืดคราดจากการแพ้นมวัว สิ่งที่ควรปฏิบัติที่ง่ายที่สุด ถ้าทารกกินนมผงให้คุณพ่อคุณแม่เปลี่ยนนมผสม ไปใช้นมสำหรับเด็กแพ้นมวัว จะมีจำหน่ายตามร้านขายยา ห้างสรรพสินค้าบางห้าง คลินิกหรือโรงพยาบาล

                  กรณีที่คุณแม่ให้นมแม่ แนะนำให้ลดผลิตภัณฑ์นมวัว ทั้งเบเกอรี่ นมที่คุณแม่ทาน หรือโปรตีนเสริมต่าง ๆ ให้งด 2 สัปดาห์ แล้วสังเกตว่า อาการครืดคราดของลูกหายไปหรือเปล่า ถ้าหายไป แสดงว่า คุณแม่อาจจะมาถูกทางว่า ลูกแพ้โปรตีนนมวัว ถ้าลดแล้วอาการดีขึ้น คำแนะนำต่อไปให้คุณแม่ปรึกษาแพทย์ว่า ลูกแพ้นมวัว เพื่อให้คุณหมอวินิจฉัยว่า ลูกแพ้นมวัวจริงหรือไม่

                  ลูกหายใจครืดคราด
                  ลูกหายใจครืดคราด

                  2.กระดูกอ่อนหลอดลมยังไม่แข็งแรง

                  ปกติแล้วหลอดลมจะมีกระดูกอ่อนที่ช่วยคงสภาพหลอดลมให้เป็นหลอดลม ทำให้มีรูปทรงเป็นท่อ เพื่อให้เวลาหายใจเข้าหรือหายใจออก หลอดลมยังคงอยู่ในสภาพเดิม แต่ในเด็กบางคน กระดูกอ่อนยังไม่แข็งแรง เมื่อหลอดลมฟีบ เวลาที่หายใจจะทำให้เกิดเสียงดังครืดคราดได้ อาการนี้จะสังเกตเห็นได้ชัดเจนตอนทารกดูดนม เพราะทารกจะมีการหายใจที่แรงขึ้นเสียงจะยิ่งขึ้น

                  หากทารกดูดนมแล้วมีเสียงหายใจดังขึ้น แต่ถ้าจับนอนคว่ำเสียงหายใจจะเบาลง สันนิษฐานได้ว่า กระดูกอ่อนของหลอดลมยังไม่แข็งแรง คำแนะนำให้พาทารกไปพบแพทย์เพื่อรับคำวินิจฉัย คุณหมอจะรอ 1-2 ปี อาการจะหายไปเอง ไม่ต้องทำการรักษา

                  3.ความผิดปกติที่หลอดลมหรือสายเสียง

                  เด็กบางคนอาจจะมีเส้นเลือดงอกผิดปกติบริเวณรอบหลอดลม บางคนมีเนื้องอกกดทับบริเวณหลอดลม เนื้องอกที่ช่องอก โดยข้อสังเกตของน้องที่มีอาการผิดปกติที่สายเสียงจะไอและมีเสียงแหบร่วมด้วย อาการนี้ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์

                  4.กรดไหลย้อน

                  สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อหูรูดรอบหลอดอาหารของลูก ทำให้นม น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนมาที่ช่วงคอ จนทำให้หายใจครืดคราด สังเกตได้ว่าช่วงเวลาที่ดูดนม ทารกจะมีอาการ ดังนี้

                  • แหวะนม
                  • อาเจียนนม
                  • ขย้อนนม
                  • ร้องกวนเวลาดูดนม
                  • กระสับกระส่าย
                  • แอ่นตัวไปมาเวลาที่ดูดนม เพราะดูดนมแล้วรู้สึกไม่สบายตัว

                  คำแนะนำ หากลูกมีอาการหายใจครืดคราดจากกรดไหลย้อน ให้คุณแม่ปรับการให้นม และให้กินนมอย่างถูกวิธี ครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง ปริมาณนมต้องเหมาะสมกับน้ำหนักตัวของลูก กรณีให้ขวดนมกับทารก อย่าเพิ่งรีบวางลูกนอนราบ ให้อุ้มลูกสัก 15-30 นาที ก่อนวางลูกลง และควรให้แพทย์วินิจฉัยและตรวจร่างกาย เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธี

                  ลูกหายใจครืดคราด
                  ลูกหายใจครืดคราด

                  5.ลูกมีเสียงหายใจครืดคราดหลังจากการเป็นหวัด

                  ทารกอาจหายใจครืดคราดหลังจากการเป็นหวัดหรือหลอดลมอักเสบ โดยปกติ ถ้าลูกไม่มีอาการหายใจครืดคราด ก่อนหน้านี้เลย แต่มีอาการหายใจครืดคราดหลังอาการหวัด ไข้ ไอ มีน้ำมูก หลังจากหายแล้วแต่ยังมีหายใจครืดคราดนั้นจึงเกิดขึ้นได้ เพราะเด็กไม่สามารถสั่งน้ำมูกหรือขับเสมหะออกได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะรักษาอาการไข้ ไอ มีน้ำมูกแล้ว แต่อาการหายใจครืดคราดจะคงอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์

                  6.ภาวะ Overfeeding

                  หนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยในทารก คือ ภาวะ Overfeeding เป็นสาเหตุที่ทำให้ทารกมีเสียงหายใจครืดคราด เพราะในช่วง 3 เดือนแรก ทารกจะมีการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม อาจจะร้องไห้ขอดูดนมตลอดเวลา ทำให้เกิดภาวะ Overfeeding ได้ หากทารกมีอาการหายใจครืดคราด รวมกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเกินเดือนละ 1 กิโลกรัม มีการร้องเสียงเป็นแพะ เป็นแกะ บิดตัวเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดตลอดเวลา อาเจียน แหวะนมบ่อย พุงกางเป็นน้ำเต้าตลอดเวลา ให้สันนิษฐานได้เลยว่าเกิดจาก ภาวะ Overfeeding โดยมักจะเกิดกับทารกที่กินนมด้วยขวดนมเป็นประจำ

                  ถ้าทารกมีอาการหายใจครืดคราด ลองสังเกตดูว่า ทารกหายใจครืดคราดตอนไหน ตอนดูดนม ตอนนอนหลับ หรือมีอาการหายใจผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วยหรือไม่ วิธีดูแล แม่ต้องปรับลดน้ำนมลง โดยคำแนะนำเบื้องต้นสำหรับภาวะ Overfeeding ในทารก แม่ต้องปรับลดปริมาณน้ำนมให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวของลูก ส่วนความแตกต่างระหว่างกรดไหลย้อนในทารกกับภาวะ Overfeeding น้ำหนักลูกจะไม่มีเพิ่มขึ้น แต่เด็กที่มีภาวะ Overfeeding น้ำหนักมักจะขึ้นมากกว่า 1 กิโลกรัมต่อเดือน

                  หากอาการหายใจครืดคราดของลูกเป็นอาการผิดปกติ ที่แม้จะปรับและดูแลลูกตามคำแนะนำแล้ว อาการของลูกก็ยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยอย่างละเอียดและรักษาอย่างตรงจุดต่อไป

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                  เตือนแม่ สังเกตอาการ RSV รีบพาไปตรวจหากเข้าข่ายนี้!

                  ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย พัฒนาการลูกจะเป็นอย่างไร อันตรายไหม

                  นมแม่หดถึงคราวพึ่ง นมกล่อง เลือกยังไงหากลูกแพ้นมวัว

                    ยาสีฟันเด็ก

                    ยาสีฟันเด็ก กลืนได้ ต้องแบรนด์นี้ Baybee Organics สร้างสุขภาพฟันดีเพื่อลูกน้อย

                    “รอให้ฟันซี่แรกขึ้นอาจสายเกินไป”คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลสุขภาพช่องปากของลูกน้อยได้ตั้งแต่แรกเกิดก่อนฟันน้ำนมขึ้น เพื่อให้ฟันซี่แรกของลูกน้อยสะอาด แข็งแรง และสร้างนิสัยการดูแลฟันให้ติดตัวลูกไปจนโต แล้ว ยาสีฟันเด็ก แบบไหนดีให้เหมาะกับลูกวัยเบบี๋

                    ยาสีฟันเด็ก

                    สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพส่งเสริมให้ความสำคัญและส่งเสริมการดูแลฟันน้ำนมตั้งแต่แรกเกิด โดยในช่วงอายุ 0-6 เดือน ลูกน้อยยังไม่มีฟันขึ้นมานะคะ แต่คุณแม่ควรทำความสะอาดช่องปากอยู่เสมอด้วยการใช้ผ้าสะอาดนุ่มๆชุบน้ำอุ่น เช็ดเบาๆให้ทั่วทั้งปาก นอกจากจะเป็นการเช็ดเอาคราบน้ำนม คราบน้ำลาย และทำให้ลูกคุ้นเคยกับการแปรงฟันไปพร้อมกัน เมื่ออายุครบ 6 เดือน ฟันน้ำนมซี่แรกจะเริ่มโผล่มาให้เห็น1-2 ซี่ และลูกหัดกินอาหารเสริมมากขึ้น ก็ถึงเวลาที่คุณแม่ต้องใช้ยาสีฟันเด็ก แปรงฟันให้ลูกได้แล้ว

                    แต่การเลือกใช้ยาสีฟันสำหรับลูกเบบี๋จำเป็นต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพราะเด็กวัยนี้ควบคุมการกลืนยังไม่ดี  มีโอกาสที่จะกลืนยาสีฟันเข้าไประหว่างแปรงฟันได้ หากใช้ยาสีฟันเด็กทั่วไปที่มีฟลูออไรด์  แล้วลูกกลืนบ่อยๆเมื่อสะสมในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ เช่น อาเจียน ปวดท้อง และท้องเสียได้  ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ลองศึกษาข้อมูลและเสาะหาทางเลือกอื่นๆให้คุณแม่จนพบว่า Baybee Organics แบรนด์นี้โดนใจ ใช้ดีจริง

                    ยาสีฟันเด็ก

                    เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ยกให้ Baybee Organics เป็น ยาสีฟันเด็ก ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา Best Toothpaste For Kids จาก Amarin Baby & Kids Awards 2020

                    ยาสีฟันเด็กของ Baybee Organics ที่ทีมบก.คิดว่าเหมาะกับลูกน้อยวัยเริ่มหม่ำ และขอยกมารีวิวจัดเต็ม คือสูตร Baybee Milk Enzyme Baby Toothpaste Organics ปริมาณสุทธิ 40 กรัม ที่คิดค้นมาเพื่อดูแลสุขภาพฟันน้ำนม และเหงือกของเด็กวัย 6 เดือนขึ้นไปโดยเฉพาะ ด้วยส่วนผสมออร์แกนิค  3 ชนิดทั้งสารสกัดจากว่านหางจระเข้ แอปเปิ้ล และคาโมไมล์ผสมผสานกับสารชะเอมเทศ และวิตามินซี เพื่อดูแลฟันและเหงือกของลูกน้อยให้แข็งแรง

                    ปราศจากสารฟลูออไรด์ 100 %  จึงไม่ต้องกังวลหากลูกน้อยเผลอกลืนยาสีฟันเข้าไป ไม่มีสาร SLS และ SLES ที่เป็นสารใช้ทำความสะอาดในยาสีฟันทั่วไป แต่มีฟองมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองช่องปาก เนื้อยาสีฟันเป็นเจลสีใสๆ ไร้สี มีความเหลว บีบง่าย เป็นก้อนเหมาะกับปากบอบบางของลูกน้อยมีกลิ่นหอมของกล้วยหอมๆ ที่เด็กชื่นชอบ ทำให้การแปรงฟันครั้งแรกของลูกง่ายขึ้น หมดกังวลเรื่องน้ำตาล เพราะ ยาสีฟันเด็ก Baybee Organics ใช้ ไซลิทอล สารให้ความหวานจากพืชธรรมชาติแทนน้ำตาล จึงไม่ต้องห่วงเรื่องติดหวาน หรือฟันผุ

                    พร้อมเพิ่มความปกป้องฟันน้ำนมลูกน้อยอีกขั้น ด้วย Milk Enzyme ที่ช่วยสลายคราบน้ำนมที่ตกค้างบนเหงือกและฟันของเด็กและ Milk Calcium ช่วยเสริมแคลเซียมบำรุงให้ฟันทุกซี่ของลูกแข็งแรง และปลอดภัยจากฟันผุได้ไม่ต่างจากการใช้ยาสีฟันแบบมีฟลูออไรด์ ยาสีฟันเด็ก Baybee Organics สูตรสำหรับเบบี๋ 6 เดือน การันตีความอ่อนโยนและปลอดภัยต่อลูกน้อยด้วยเครื่องหมาย ECOCERT

                     

                    Baybee Strawberry and Orange Toothpaste Organics สำหรับเด็กโตที่ต้องการการดูแลฟันมากขึ้น แบรนด์นี้ก็มียาสีฟันเด็ก สูตรสำหรับวัย 12 เดือนขึ้นไปให้ลูกน้อยได้ใช้ต่อเนื่อง ปราศจากสารฟลูออไรด์ 100 %  ไม่มีสาร SLS และ SLES  ซึ่งเป็นสารเพิ่มฟองอาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองช่องปาก เนื้อยาสีฟันเป็นเจลใสๆ ไร้สี  มีความเหลว บีบง่าย มีกลิ่นหอมของสตรอเบอร์รี่และส้ม ที่เด็กชื่นชอบ ทำให้สนุกกับการแปรงฟัน  หมดกังวลเรื่องน้ำตาล เพราะยาสีฟันเด็ก Baybee Organics ใช้ ไซลิทอล10% สารให้ความหวานจากพืชธรรมชาติแทนน้ำตาล จึงไม่ต้องห่วงเรื่องติดหวาน หรือฟันผุ และรสชาติไม่เย็นซ่าไม่ทำให้แสบปากของลูกน้อยพร้อมเพิ่มความปกป้องฟันน้ำนมลูกน้อยอีกขั้น ด้วย Milk Calcium ช่วยเสริมแคลเซียมบำรุงให้ฟันทุกซี่ของลูกแข็งแรง และปลอดภัยจากฟันผุได้ไม่ต่างจากการใช้ยาสีฟันแบบมีฟลูออไรด์

                    ยาสีฟันของ Baybee Organics ทุกแบบผ่านการผลิตด้วยกระบวนการที่ได้มาตรฐาน มาในบรรจุภัณฑ์แบบอีโคเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยต่อเด็กๆ

                    ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทางเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ยาสีฟันเด็ก Baybee Organics ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา Best Toothpaste For Kids จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2020” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

                    สำหรับคุณแม่ที่สนใจยาสีฟันเด็ก Baybee Organics สามารถหาซื้อได้ที่ Central , Robinson, Zen, Siamparagon, Emquartier, Gourmet market, Home fresh mart, Top market, Villa market, Tesco lotus, Big C และร้านค้าเบบี้ช็อปทั่วประเทศ  หรือช็อปออนไลน์ง่ายได้ที่ Amvata Lazada Shopee ShopeeSupermarket JD Central 

                    คุณแม่ยังสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

                    Website :www.baybee.in.th

                    Facebook : www.facebook.com/intervision.ivs

                    Line : https://page.line.me/992lklqf


                    อ้างอิงข้อมูล www.thairath.co.th

                      ฝากไข่ อายุ 40

                      สิ่งต้องรู้เมื่อจะ ฝากไข่ อายุ 40 รีบใช้ ควรเก็บไข่ก่อน35ปี

                      ฝากไข่ อายุ 40 จะแก่เกินไปหรือปล่าวนะ แล้วอายุที่เหมาะสมในการฝากไข่ควรเป็นเท่าใด มีวิธีการ ขั้นตอนยุ่งยากไหม อีกหลากหลายคำถามคาใจ เรารวมคำตอบมาให้แล้วที่นี่

                      สิ่งต้องรู้เมื่อจะ “ฝากไข่” อายุ 40 รีบใช้ ควรเก็บไข่ก่อน35ปี

                      ด้วยวิถีชีวิตสังคมในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปจากยุคก่อน ทำให้ค่านิยมในการแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก ได้ถูกเลื่อนระยะเวลาช่วงอายุของผู้หญิงออกไป จากที่เคยมีครอบครัวในช่วงอายุที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ คำว่า “วัยเจริญพันธุ์”นั้น ในมุมมองจากทางด้านโครงสร้างของร่างกาย ที่พร้อมจะรับการตั้งครรภ์ และคลอดบุตรนั้น อายุที่เหมาะสมก็คือ 18 ปีขึ้นไป แต่ถ้าหากจะให้สมบูรณ์พร้อมทั้งทางด้านจิตใจ และกฎหมายร่วมด้วยแล้วละก็ อายุที่เหมาะสมก็คือ 20 ปีบริบูรณ์ (บรรลุนิติภาวะ)  และวัยเจริญพันธุ์จะสิ้นสุดลงเมื่อรังไข่หมดความสามารถในการตกไข่ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วรังไข่จะหมดความสามารถนี้เมื่อถึงอายุเฉลี่ย 48-50 ปี

                      ฝากไข่ อายุ 40 รีบใช้ก่อนฝ่อ
                      ฝากไข่ อายุ 40 รีบใช้ก่อนฝ่อ

                      วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ผศ. ดร.ศศิวิมล วรุณศิริ ปวีณวัฒน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้นำเสนองานวิจัยในหัวข้อ “ทำไมน้องไม่แต่งงาน? ผลกระทบของการศึกษาต่อการตัดสินใจแต่งงานและมีลูกของผู้หญิงไทย” ซึ่งได้จัดทำร่วมกับ Ms. Lusi Liao นักศึกษาปริญญาเอก คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

                      งานวิจัยได้ศึกษารูปแบบการตัดสินใจแต่งงานและมีลูกของผู้หญิงไทยในช่วงระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา (1985-2017) โดยใช้ข้อมูลจากการสำรวจภาวะการทำงานของประชากรของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ระดับการศึกษาของผู้หญิงไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้หญิงไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นโสดมากขึ้นและมีลูกน้อยลง

                      ผู้หญิงไทยที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะเลือกอยู่เป็นโสดมากขึ้น หรือ หากแต่งงานก็มีแนวโน้มที่จะมีจำนวนลูกน้อยลง

                      ดร.ศศิวิมล ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ “Marriage strike” ที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้หญิงที่มีการศึกษาสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป มีแนวโน้มที่จะชะลอการแต่งงานให้ช้าลง เนื่องจากระดับการศึกษาที่สูงขึ้นทำให้ผู้หญิงได้รับค่าจ้างในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น และทำให้ต้นทุนค่าเสียโอกาสจากการแต่งงานและการลาคลอดบุตรเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในงานวิจัยชิ้นนี้ คณะผู้วิจัยก็พบปรากฏการณ์ “Marriage strike” ในประเทศไทยเช่นกัน โดยพบว่าสัดส่วนของผู้หญิงโสดในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป

                      ข้อมูลอ้างอิงจาก thaipublica.org

                      จากงานวิจัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่าอายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่สิ้นสุดวัยเจริญพันธุ์นั้นมีช่วงอายุที่ไม่ไกลไปจากอายุเฉลี่ยของผู้หญิงในปัจจุบันที่จบการศึกษา และกว่าจะเริ่มตัดสินใจมีครอบครัว ทำให้เกิดเทรนใหม่ในปัจจุบันขึ้นในเรื่องของการ “ฝากไข่”

                      "<yoastmark

                      การฝากไข่ คืออะไร?

                      ฝากไข่ (Eggs freezing หรือ Oocyte cryopreservation) คือการนำเอาไข่สภาพดีในวัยเจริญพันธุ์ออกมาจากรังไข่ จากนั้นนำมาแช่แข็งเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า -150 องศาเซลเซียส ด้วยเทคนิค Vitrification หรือการใช้ไนโตรเจนเหลวในการเก็บรักษาโดยไข่ที่ถูกเก็บจะเหมือนถูกหยุดอายุเอาไว้ ทำให้ไม่เสื่อมสภาพและสามารถนำกลับมาผสมกับอสุจิ เพื่อส่งตัวอ่อนกลับเข้าไปฝังในมดลูก จนเกิดการปฏิสนธิและเจริญเป็นตัวอ่อนในครรภ์ได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องการ

                      การใช้ไข่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ช่วยลดความเสี่ยงที่ลูกจะเกิดมาพร้อมความผิดปกติ เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ไข่อาจบรรจุโครโมโซมที่ผิดปกติเอาไว้ได้ และอีกประการ คือ เมื่ออายุมากจำนวนไข่ก็ลดลงด้วย ทำให้โอกาสในการมีลูกก็น้อยลงตามไปหากปล่อยให้ตั้งครรภ์ตามวิธีธรรมชาติ

                      ทุกคนสามารถทำการฝากไข่ได้หรือไม่?

                      ศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์ ประธานอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย ได้อธิบายถึง การฝากไข่ จะทำในกรณี 2 กรณีใหญ่ ๆ ดังนี้

                      1. คนที่กำลังรักษาโรคมะเร็ง

                      เนื่องจากการรักษาโรคมะเร็งอาจส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์เพศหญิง เช่น การรับเคมีบำบัดอาจทำให้ไม่มีการตกไข่ ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ หรือในบางรายอาจต้องจำเป็นต้องตัดรังไข่ออก การนำไข่มาฝากไว้ก่อน จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการวางแผนมีบุตรหลังจากที่รักษาโรคมะเร็งจนหายดีแล้ว

                      2. ผู้ที่ไม่ได้เจ็บป่วย แต่มีปัจจัยอื่นที่ทำให้ยังไม่สามารถมีบุตรได้ในช่วงเวลาปัจจุบัน

                      • ผู้ที่ไม่สะดวกที่จะมีลูกในช่วงเวลาปัจจุบัน กล่าวคือ ผู้ที่เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์แล้ว แต่ช่วงชีวิตทำให้ยังไม่พร้อมมีบุตร แต่อยากมีบุตรในอนาคต เช่น ผู้หญิงหลายคนกำลังวางแผนที่จะเรียนต่อ หรือไปทำงานต่างประเทศ หรือกำลังให้ความสำคัญกับการทำงาน จึงทำให้ไม่พร้อมต่อการมีบุตร แต่ยังมีความต้องการที่จะมีบุตรในอนาคต หากอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ที่ไข่มีความสมบูรณ์ ก็สามารถนำฝากไข่เพื่อเก็บไว้ผสมหลังจากที่ตนเองมีความพร้อมแล้ว
                      • คนในครอบครัวเคยมีประวัติประจำเดือนหมดเร็ว โดยปกติผู้หญิงจะตกไข่ได้ประมาณ 400-500 ใบ ตลอดช่วงชีวิต  ซึ่งจะอยู่ระหว่างช่วงอายุ 47-50 ปี แต่หากคนในครอบครัวหมดประจำเดือนไวกว่านี้ ก็เป็นไปได้ว่าคุณจะหมดประจำเดือนไวเช่นกัน ทำให้ระยะเวลาที่สามารถตั้งครรภ์ได้ สั้นกว่าคนอื่น ๆ หากต้องการมีบุตรควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝากไข่
                      • ผู้มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อการมีบุตรและระบบสืบพันธุ์ในอนาคต เช่น ผู้มีแนวโน้มที่จะเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) มีช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate cyst) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฝากไข่

                        อย่ามัวแต่ทำงาน ฝากไข่ อายุ 40 มากไปอาจสายเกิน
                        อย่ามัวแต่ทำงาน ฝากไข่ อายุ 40 มากไปอาจสายเกิน

                      ซึ่งไม่ว่าจะกรณีใด ๆ เจตนาของการฝากไข่ เพื่อทำให้เกิดเป็นตัวเด็ก เกิดการตั้งครรภ์ต่อไป เพราะฉะนั้นตัวเด็กก็ต้องเด็กที่มีคุณภาพ ซึ่งควรเกิดจากไข่ที่มีคุณภาพ ดังนั้น ศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์  จึงได้ให้ข้อแนะนำไว้ว่า “อยากให้ทำการฝากไข่ไว้ก่อนอายุ 35 ปี แล้วอายุที่เหมาะสมต่อการนำไข่กลับมาสู่การตั้งครรภ์ ภายใน 5 ปี ซึ่งก็หากฝากในช่วงอายุ 35 ปี ก็จะทำให้ไม่ควรไว้นานเกินอายุ 40 ปี”

                      ทำไม ฝากไข่ อายุ 40 ขึ้นไปแล้วควรรีบใช้ ?

                      แม้จะมีการฝากไข่ไว้ แต่ปัจจัยของการตั้งครรภ์นั้น ปัญหาสุขภาพของตัวคุณแม่จะมีส่วนสำคัญ เช่น หากฝากไข่ในกรณีของการให้เคมีบำบัดผู้ป่วยโรคมะเร็ง หรือโรคร้าย สุขภาพของคุณแม่จะแข็งแรงพอที่จะใส่ตัวอ่อนเพื่อการตั้งครรภ์หรือไม่ และในกรณีที่ฝากไข่จากเหตุผลส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับการเจ็บป่วยนั้น แม้จะไม่ค่อยมีข้อจำกัด แต่เมื่อผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี ก็มักจะมีปัญหาด้านสุขภาพมากกว่าผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า เช่น ปัญหาในเรื่องเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ความดันโลหิตสูง หรือมีการตกเลือดหลังคลอด เป็นต้น ทำให้การดูแลขณะตั้งครรภ์ต้องมีความระมัดระวังเป็นพิเศษ และโอกาสเสี่ยงทั้งต่อตัวคุณแม่ และลูกก็มีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

                      ขั้นตอนการฝากไข่ทำอย่างไร ? 

                      1. เมื่อถึงกำหนดวันไข่ตกตามที่แพทย์นัด แพทย์จะให้ยาสลบระยะสั้น และยาแก้ปวดก่อนเริ่มกระบวนการ
                      2. แพทย์จะใช้อัลตราซาวด์ (Ultrasound) ในการฉายภาพรังไข่เพื่อหาตำแหน่งตกไข่ จากนั้นจะดูดออกมาผ่านทางช่องคลอด แต่หากใช้อัลตราซาวด์หาตำแหน่งไม่เจอ แพทย์อาจใช้การผ่าทางช่องท้องเพื่อนำไข่ออกมา
                      3. หลังจากได้ไข่ออกมา แพทย์จะตรวจความสมบูรณ์ของไข่ภายในห้องปฏิบัติการ จากนั้นก็จะนำไปเข้ากระบวนการแช่แข็ง
                      4. หากคู่รักที่มีสเปิร์มจากสามีอยู่แล้ว อาจปรึกษาแพทย์เพื่อผสมตัวอ่อนเอาไว้เลย จากนั้นค่อยนำไปแช่แข็ง (Embryo freezing) ซึ่งการผสมตัวอ่อนก่อนแช่แข็ง มีแนวโน้มจะสำเร็จมากกว่าการฝากไข่เพียงอย่างเดียว

                      ฝากไข่ราคาแพงไหม?

                      การฝากไข่จะมีราคาประมาณ 100,000-150,000 บาท ซึ่งราคาจะต่ำหรือสูงนั้นขึ้นอยู่กับว่าเป็นโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน และยังมีค่าฝากไข่รายปีอีกด้วย ประมาณ 1,500 บาทต่อปี

                      นอกจากนี้บางโรงพยาบาลอาจมีค่าเก็บรักษาไข่เป็นรายปีอยู่ระหว่าง 2,000-5,000 บาท ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาล และจำนวนไข่

                      ข้อกำหนดตามกฎหมายที่ควรรู้ก่อนการฝากไข่

                      พรบ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พศ. 2558

                      • ห้ามมิให้ผู้ที่ประกอบวิชาชีพเวชกรรมให้บริการ
                      • ห้ามสร้างตัวอ่อน เว้นแต่เพื่อใช้ในการบำบัดรักษาภาวะการมีบุตรยากของสามีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมาย นั่นหมายถึง การจะนำไข่ออกมาผสมกับอสุจิในภายหลังนั้น กฎหมายได้ระบุว่าให้ทำได้กับคู่ที่มีการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแล้วเท่านั้น หากไม่มีคู่สามีตามกฎหมาย ก็ไม่สามารถนำไข่ออกมาผสมเพื่อทำการตั้งครรภ์ได้
                      • ห้ามซื้อ เสนอซื้อ ขาย นำเข้า หรือส่งออก
                      • หากเจ้าของที่ฝากไว้เสียชีวิต ห้ามนำไข่มาใช้ เว้นแต่มีการให้ความยินยอมเป็นหนังสือไว้ก่อนตาย และต้องใช้เพื่อการบำบัดรักษาภาวะการมีบุตรยากของสามี หรือภรรยาที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น

                        ตรวจร่างกายหาโรคติดต่อก่อนฝากไข่
                        ตรวจร่างกายหาโรคติดต่อก่อนฝากไข่

                      ประกาศแพทยสภา ที่ 95(9)/2558

                      • วิธีการรับฝาก
                      1. ผู้ฝากลงนามในหนังสือแสดงการยินยอมในการฝากให้เก็บรักษา
                      2. มีการตรวจผู้ฝากเพื่อป้องกันการถ่ายทอดโรคติดต่อ เช่น เชื้อเอชไอวี ตับอักเสบ ซิฟิลิส
                      3. ผู้ประกอบวิชาชีพที่มีคุณสมบัติ จัดทำระบบข้อมูลในการเก็บรักษาข้อมูลไว้ไม่น้อยกว่า 20 ปี
                      4. มีระบบการเก็บรักษาที่แยกกันชัดเจนในกรณีที่มีการติดเชื้อ และไม่ติดเชื้อ
                      • การรับฝากไข่
                      1. เพื่อวัตถุประสงค์ในการนำไปปฎิสนธิกับอสุจิของสามีที่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ กฎหมายเมืองไทยอนุญาตให้ผู้หญิงที่ไม่ได้เป็นโรคทำการเก็บไข่ไว้ได้ แต่ต้องเก็บไว้เพื่อใช้ในอนาคตกับตัวเองเท่านั้น ไม่อนุญาตให้เก็บไข่ตัวเองเพื่อนำไปใช้ในการอื่น ๆ เช่น บริจาคให้ญาติพี่น้องที่มีลูกไม่ได้
                      2. รับฝากไข่ในช่วงก่อนการรักษาด้วยเคมีบำบัด หรือการรักษาอื่นที่อาจเป็นอันตรายต่อรังไข่
                      • กำหนดระยะเวลาการเก็บ ไม่ต่ำกว่า 5 ปี ยกเว้นมีข้อตกลงเป็นหนังสือไว้อย่างอื่น
                      • กรณีสถานพยาบาลยุติการให้บริการ ให้สถานพยาบาลนั้นติดต่อส่งมอบไข่ที่แช่แข็งไว้ให้สถานพยาบาลอื่นที่ขึ้นทะเบียน และรายงานคณะกรรมการฯพิจารณา และดำเนินการต่อไป

                      จะเห็นได้ว่า จากสังคมในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้หญิงออกมาทำงานมากขึ้น สภาวะเศรษฐกิจที่การมีลูกต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก หรือสภาพสังคมครอบครัวเดี่ยวที่ทำให้ขาดคนดูแลเด็กเล็กเมื่อพ่อแม่ไปทำงาน จึงส่งผลให้ผู้หญิงมีความจำเป็นในการชะลอการมีลูกเพิ่มมากขึ้น ทำให้อายุล่วงเลยไปกว่าจะเริ่มมีความคิด และความพร้อมที่จะมีลูกได้ก็อาจสูญเสียโอกาส และร่างกายที่ดีไป เนื่องจากล่วงเลยวัยเจริญพันธุ์ไปเสีย ปัจจุบันสังคมไทยจึงมีการพูดถึงการฝากไข่เพิ่มมากขึ้น

                      ศ.นพ.กำธร พฤกษานานนท์   ได้กล่าวแนะนำถึงเรื่องนี้ว่า “อยากบอกว่าการฝากไข่มีทั้งข้อดี ข้อเสีย คำว่าการฝากไข่ในกรณีที่มีเหตุผล เช่น จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโรคต่าง ๆ กรณีนี้มีประโยชน์มาก ส่วนกรณีทางสังคม ต้องดูเอาว่าจริง ๆ เราจำเป็นหรือไม่ เพราะการฝากไข่มีค่าใช้จ่าย และมีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง จะต้องเจ็บตัวมาฉีดยา ซึ่งเป็นสาเหตุที่ต้องนำมาพิจารณาด้วย อย่างไรก็ตาม หลายครั้งที่คุณผู้หญิงมักคิดถึงเรื่องงาน หรือเรื่องอื่นมาก่อนตัวเอง จนลืมไปว่าตัวเรายังอายุเท่าเดิมตลอดกาล ทั้งที่มีงานวิจัยมากมายสุภาพสตรีหลังอายุ 35 ปีไปแล้ว การทำงานของรังไข่ก็จะน้อยลง และการฝากไข่ควรเลือกสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต”

                      ฝากไข่ อายุ 40 อาจช้าไปรีบท้องก่อนสายเกิน
                      ฝากไข่ อายุ 40 อาจช้าไปรีบท้องก่อนสายเกิน

                      ตัวอย่างสถานพยาบาลที่ได้รับอนุญาต 

                      โรงพยาบาลของรัฐ เช่น รพ.จุฬาลงกรณ์ รพ.ธรรมศาสตร์ รพ.ศิริราช รพ.รามาธิบดี รพ.พระมงกุฎฯ ส่วนที่โรงพยาบาลเอกชน เช่น รพ.วิภาวดี รพ.วิชัยยุทธ

                      เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับข้อมูลที่เราควรทราบก่อนการฝากไข่ เมื่อได้ศึกษาจนครบแล้ว คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับสาว ๆ แล้วละว่าหากยังต้องการ ฝากไข่ อายุ 40 ปีเมื่อไหร่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีลูกแบบนี้จะดีไหม หรือหากไม่ได้ติดขัดอื่นใดที่จำเป็นสำหรับคนที่ต้องการมีลูก การมีเพศสัมพันธ์ด้วยวิธีธรรมชาติยังถือว่ามีประสิทธิภาพดีที่สุดอยู่ เพราะการฝากไข่นั้นมีข้อจำกัดทั้งเรื่องประสิทธิภาพไม่ 100% และที่สำคัญค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ก็นับว่าสูงไม่น้อยเลยทีเดียว

                      ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก hd.co.th/ กรุงเทพธุรกิจ

                      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                      ควรมีลูกห่างกันกี่ปี มีลูกหัวปีท้ายปี แบบคนสมัยก่อนได้ไหม

                      อยากมีลูก ทำไงดี? 10 เคล็ด(ไม่)ลับทำให้ท้อง เพิ่มโอกาสมีลูกสมใจ

                      รวม 17 อาการเตือนคนเริ่มท้อง สังเกตให้รู้ว่า “ท้องแล้วจ้า”

                      มีบุตรยาก ชี้เป้า 15 ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ช่วยสานฝันโอกาสให้ได้เป็นพ่อแม่สมปรารถนา

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        ภูมิต้านทาน

                        พบทารกชาวสิงคโปร์ มี ภูมิต้านทาน โควิด-19 ตั้งแต่เกิด!!

                        กุมารแพทย์รพ. National University Hospital ในสิงคโปร์ ตรวจพบ ภูมิต้านทาน ที่ต่อต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเด็กแรกเกิดรายหนึ่ง หลังแม่ติดเชื้อช่วงตั้งครรภ์

                        พบทารกชาวสิงคโปร์ มี ภูมิต้านทาน โควิด-19 ตั้งแต่เกิด!!

                        เพราะโควิด-19 เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง กลไกในการติดเชื้อ และการสร้าง ภูมิต้านทาน จึงเหมือนเชื้อไวรัสอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป คือ สามารถติดต่อกันได้ผ่าน การสัมผัส สารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ หรือ แพร่กระจายเชื้อจากฝอยละอองน้ำมูก น้ำลาย จากผู้ป่วยที่มีเชื้อโดยการ ไอ หรือจาม และเช่นเดียวกันกลไกการสร้าง ภูมิต้านทาน ต่อเชื้อไวรัส โควิด-19 ก็เหมือนกับเชื้อไวรัสอื่นทั่วไป คือ รักษาร่างกายให้แข็งแรง การทานยาและการรักษาทางการแพทย์ตามอาการที่เกิด และรอจนร่างกายสร้างแอนติบอดี้ ภูมิคุ้มกัน หรือ ภูมิต้านทาน ขึ้นมาเอง

                        มนุษย์ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเหมือน ๆ กัน และเป็นที่ทราบกันดีว่าผู้สูงอายุ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรงเมื่อติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่อีก 1 กลุ่มที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยคือ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์นั่นเอง เนื่องจากมีข้อมูลมาจากหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ (CDC) ของสหรัฐฯ เผยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 40,406 คน พบว่าหญิงมีครรภ์มีโอกาสที่จะต้องเข้าห้องไอซียู และมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่าหญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ ดังนั้น แม่ท้องจึงต้องเฝ้าระวังไม่ให้ติดเชื้อโควิด-19 จึงจะปลอดภัยที่สุด

                        แม่ท้องติดเชื้อโควิด-19 เชื้อจะส่งต่อถึงลูกในท้องหรือไม่?

                        เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันการติดเชื้อโควิด-19 จากแม่สู่ลูกหรือส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์ สตรีมีครรภ์จึงควรปฏิบัติตามข้อควรระวังต่าง ๆ อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการได้รับเชื้อไวรัส และสังเกตตัวเองอยู่เสมอ หากพบอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ไอ หายใจลำบาก ควรปรึกษาแพทย์ผู้รับฝากครรภ์ทางโทรศัพท์ ซึ่งถ้าหากคุณแม่ตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว จะมีความยากในการรักษาอย่างที่สุด เนื่องจาก ยาต้านไวรัสหรือยาอีกหลาย ๆ ชนิด มีผลเสียต่อทารกในครรภ์และไม่สามารถใช้ยาเหล่านี้เหมือนคนปกติได้

                        โควิด-19
                        โควิด-19

                        เชื้อโควิด-19 สามารถส่งต่อผ่านน้ำนมแม่ได้หรือไม่?

                        สำหรับแม่ให้นม ทีมีอาการไอ จาม หรือ มีไข้ และสงสัยว่าตนเองติดเชื้อ โควิด-19 ควรโทรปรึกษากรมควบคุมโรค สายด่วน 1422 งดการเดินทางไปโรงพยาบาลในช่วงนี้ ในระหว่างการรอตรวจคัดกรองโรค แม่ยังคงสามารถให้นมลูกต่อได้ เนื่องจากน้ำนมแม่ไม่ได้เป็นแหล่งในการแพร่เชื้อไวรัสทางเดินหายใจชนิดใด ๆ รวมทั้งโควิด-19 โดยขณะให้นมต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือก่อนและหลังการสัมผัสลูก ทำความสะอาดฆ่าเชื้อพื้นผิว และควรปั้มเก็บน้ำนมสำรองไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะหากได้รับการตรวจยืนยันว่าเป็นผู้ติดเชื้อ แม่จะต้องแยกตัวจากลูกเพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

                        แม้ว่าในประเทศไทย ยังไม่พบการระบาดในประเทศเป็นวงกว้าง แต่ในประเทศอื่น ๆ สถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิด-19 ยังคงเป็นที่น่าเป็นห่วง รวมถึงประเทศในแถบอาเชียน เช่น เมียนม่า สิงค์โปร อินโดนีเซีย ด้วย แม่ท้องที่ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 จึงยังคงต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์การระบาดของเชื้อโควิดต่อไป ทีมแม่ ABK จึงมีข่าวล่าสุดเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อโควิด-19  ในแม่ท้องมาฝาก ดังนี้

                        พบทารกชาวสิงคโปร์ มีภูมิต้านทานต่อเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่เกิด!!

                        เชื้อไวรัสโควิด-19
                        เชื้อไวรัสโควิด-19

                        วันที่ 29 พ.ย. 2563 เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์สเตรตไทมส์ (Straits Times) รายงานว่า เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาคุณ Celine Ng-Chan อายุ 31 ปี ได้ให้กำเนิดลูกคนที่สอง และได้รับแจ้งจากกุมารแพทย์ของโรงพยาบาล National University Hospital ในสิงคโปร์ ว่าลูกชายของเขามีแอนติบอดี้ หรือภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 เนื่องจาก คุณ Celine Ng-Chan เป็น 1 ในหญิงตั้งครรภ์สิงคโปร์ไม่กี่คนที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะตั้งครรภ์ ทำให้แพทย์สันนิษฐานถึงการถ่ายโอนแอนติบอดี้จากแม่สู่ลูก หรืออาจเป็นทารกเองที่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาระหว่างอยู่ในครรภ์

                        ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนตุลาคม มีการตีพิมพ์งานวิจัยสำหรับกรณีของเด็กทารกซึ่งเกิดจากแม่ที่เป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเมืองอู่ฮั่น 11 คน พบว่าทั้งหมดมีแอนติบอดี้ชนิด IgG ขณะที่ 5 คนตรวจพบแอนติบอดี้ชนิด IgM ซึ่งตัวที่เป็นชนิด IgM นี้คือแอนติบอดี้ที่เกิดจากการตอบสนองต่อการติดเชื้อ

                        IgM เป็นแอนติบอดี้เริ่มต้นที่ผลิตขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่อการติดเชื้อ อย่างไรก็ตามโดยปกติจะไม่ถ่ายโอนจากแม่สู่ทารกในครรภ์ผ่านรกเนื่องจากมีขนาดใหญ่ ในทางกลับกันแอนติบอดี้ IgG เป็นสาร ภูมิต้านทาน ที่มีขนาดเล็กสามารถถ่ายโอนจากแม่ไปสู่ทารกในครรภ์ผ่านรกได้ แต่ระยะเวลาของภูมิคุ้มกันจากแอนติบอดี้ IgG ของมารดายังไม่ชัดเจน ทำให้ยังไม่สามารถสรุปผลได้ว่าทารกได้รับสารภูมิต้านทานจากเหตุใด

                        อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่าภูมิคุ้มกันที่อยู่ในตัวทารกคนนี้ จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ได้นานแค่ไหน เป็นระยะเวลาเท่าไหร่ แพทย์จึงหวังว่าการค้นพบจากการศึกษานี้ จะช่วยให้ข้อมูลแนวทางทางการแพทย์สำหรับการดูแลหญิงตั้งครรภ์และทารกที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 และช่วยปกป้องสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของแม่และเด็กต่อไป

                        จากข่าวดังกล่าว ทำให้ทีมแม่ ABK มีความหวังขึ้นมาว่า มนุษย์อาจจะค่อย ๆ พัฒนาร่างกายให้มีภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้วก็เป็นได้ แต่ในระหว่างที่รอให้มีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสนี้และในระหว่างการรอให้ร่างกายของคนเรามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนี้ เราทุกคนก็ควรใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ยังคงต้องสวมหน้ากาก ล้างมือบ่อย ๆ และหลีกเลี่ยงการไปอยู่ในที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ต่อไปค่ะ

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

                        ประโยชน์การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ผลวิจัยชี้ช่วยป้องกัน-รักษา โควิด-19

                        เคล็ดลับคุณแม่รับมือวิกฤตโควิด-19

                        ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19 อันตราย! WHO เตือนคนท้อง-เด็กเล็ก ยิ่งต้องระวัง

                         

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท

                          ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท หรือไม่ ทำไมไม่ควรอุ้มเด็กนั่งในรถระหว่างเดินทาง

                          จำเป็นไหม? ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท แม่อุ้มขึ้นรถเลยได้ไหม อันตรายหรือเปล่า

                          ไขข้อข้องใจทำไม ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท

                          การให้ทารกแรกเกิดหรือเด็กเล็ก นั่งคาร์ซีทตั้งแต่ยังเล็กเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อความปลอดภัยของทารกเอง เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน คาร์ซีทจะช่วยลดอันตรายต่อทารกได้ แต่แม้จะมีการรณรงค์ใช้คาร์ซีทกันมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีบางความเชื่อที่ว่า ให้แม่อุ้มไว้ในรถก็ปลอดภัยได้เหมือนกัน โดยคุณพ่อท่านหนึ่งได้โพสต์กระทู้พันทิป หัวข้อ “เด็กแรกเกิดไม่ควรนั่งคาร์ซีท เพราะไม่ปลอดภัย ให้แม่อุ้มปลอดภัยกว่า / พยาบาลบอกแบบนี้ เครียดมาก” เนื้อหาว่า

                          สวัสดีครับ พ่อ ๆ แม่ ๆ Pantip ผมมีเรื่องอัดอั้นตันใจอยากมาเล่าให้ฟังครับ พึ่งไปรับลูกกลับบ้านมาครับจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง น้องผ่าคลอดตามเกณฑ์ ไม่ได้คลอดก่อนกำหนด น้องแข็งแรงดีครับ ก่อนพาน้องกลับ ผมได้เตรียมคาร์ซีทแบบกระเช้า รุ่นสำหรับเด็กอ่อน (0-9 เดือน) เอาไว้ ซื้อมา 3 หมื่นกว่าบาทครับ (เป็นเซ็ตพร้อมรถเข็น)

                          ทุกอย่างราบรื่นดีมากครับ จนกระทั่งถึงเวลากลับ ผมจะเอาน้องลงคาร์ซีท (ที่ประกอบกับรถเข็นไว้แล้ว) แต่พยาบาลไม่ยอมครับ เขาบอกว่าขอลงไปส่งน้องที่รถ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเป็นระเบียบของโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ ที่ต้องไปส่งคนไข้ให้ถึงหน้าประตู ก็ไม่ได้ติดใจอะไรในจุดนี้ครับ เป็นบริการที่ดี ที่เอาใจใส่ลูกค้านะครับ พออะไรเรียบร้อยแล้ว พยาบาลของเนิร์สเซอรีก็เข็นแม่และน้องลงมาส่ง (รถเข็นของโรงพยาบาล สำหรับเด็กเล็ก เป็นที่นอนแบบเข็นได้)

                          พอมาถึงหน้าประตู ผมก็จะเตรียมน้องลงคาร์ซีท ก็เกิดเรื่องครับ พยาบาลเนิร์สเซอรีไม่ยอมให้ผมเอาน้องลงคาร์ซีทครับ ผมก็บอกว่า “ให้น้องนั่งคาร์ซีทดีกว่าครับ อันนี้เป็นรุ่นสำหรับเด็กแรกเกิด ปลอดภัยกว่าเวลาอยู่บนรถ” คราวนี้เวรเปลก็เสริมขึ้นมาว่า “อย่าเลยครับ น้องยังเล็กอยู่เลย” แม่ยายก็ไม่ยอมให้ผมเอาลูกลงคาร์ซีท เพราะคิดว่ามันอันตรายกับเด็ก ผมไม่ยอม ผมจะเอาลูกลงคาร์ซีท เพราะอยากให้ลูกได้รับการป้องกันเหตุไม่คาดฝันอย่างดีที่สุด ก็ถกเถียงกันอยู่เล็กน้อย

                          พยาบาลก็พูดขึ้นมาว่า “คุณพ่อคะน้องยังเล็กมากอย่าพึ่งให้น้องนั่งคาร์ซีทเลยมันไม่ปลอดภัย ให้คุณแม่อุ้มไปเถอะนะคะปลอดภัยกว่าค่ะ ให้คุณแม่อุ้มน้องเถอะนะคะ”

                          ผมนี่เงิบไปพักนึงเลย ทุกคนในที่นั้นก็พยายามทัดทานผม พอได้สติผมก็เริ่มเสียงแข็งใส่ทุกคนในที่นั้นว่า “ไม่ได้ครับ แล้วถ้าเกิดรถชนล่ะ” แม่ยายก็บอกให้ผมขับรถดี ๆ สิ พอถึงตรงนี้ ภรรยาผมก็ร้องไห้ ผมจำต้องหยุดทุกอย่างแล้วเดินไปเอารถ ผมพยายามติดต่อหมอเด็กทางโทรศัพท์ในระหว่างเดินไปที่รถ แต่เนื่องจากคุณหมอขึ้นเยี่ยมคนไข้ที่วอร์ด จึงมีพยาบาลรับเรื่องจะให้คุณหมอโทรกลับ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ แล้วขับรถมารับลูกขึ้นรถทั้งอย่างนั้น

                          พอถึงหน้าประตู ภรรยาก็อุ้มลูกขึ้นมานั่งเบาะหน้า ผมจึงไล่ให้ภรรยาย้ายไปนั่งเบาะหลัง แล้วชี้ป้ายเตือนที่ติดตรงแผ่นบังแดดให้ดูว่าเด็กเล็กห้ามมาอยู่เบาะหน้า ระหว่างทางที่ขับกลับบ้าน ผมเครียดไปหมด กังวลไปทุกสิ่งอย่าง แล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บใจมาก ว่าลูกเราแค่คนเดียวเรายังไม่มีปัญญาต่อสู้เพื่อมอบความปลอดภัยในการเดินทางให้กับเขาได้ วันนั้นผมขับรถกลับบ้านด้วยความเร็วไม่ถึง 40 คลานกลับไปจนถึงบ้าน

                          ผมโกรธมาก ๆ ครับ ผมอยากจะถามพยาบาลคนนั้นมาก ว่าคุณเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเด็กแรกเกิด ทำไมคุณถึงกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมา คุณไม่ศีกษา ไม่เรียนรู้หรอว่า สถิติสาเหตุอันดับ 1 ที่ทำให้เด็กตายบนท้องถนน เพราะให้แม่อุ้ม/ไม่นั่งคาร์ซีท คุณพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง ใช่ครับ อุบัติเหตุมันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ แต่ถ้ามันเกิดล่ะ?

                          เราถึงบ้านกันอย่างปลอดภัยครับ แต่พอถึงบ้าน ผมต้องมาเจอปัญหาครอบครัว เถียงกันเรื่องนี้กับแม่ยายและภรรยา ผมผิดมากไหม ที่ปกป้องลูกไม่ได้ นึกขึ้นมาทีไร ผมยังน้ำตาไหลอยู่เลย โชคดีที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ถ้ามันเกิดล่ะ แค่คิดผมก็จะขาดใจตายแล้ว

                          ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท
                          ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท

                          เป็นความโชคดีของครอบครัว ที่ขับรถกลับบ้านมาได้อย่างปลอดภัย แต่การอุ้มเด็กระหว่างนั่งรถยนต์นั้นอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เพราะถึงแม้เราจะระมัดระวังในการขับรถมากแค่ไหน แต่ถ้ารถคันอื่นบนท้องถนนขับมาเร็ว หรือเกิดข้อผิดพลาด อุบัติเหตุก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้

                          เด็กแรกเกิดและทารกต้องนั่งคาร์ซีททุกครั้ง

                          สำหรับการให้ทารกแรกเกิดนั่งคาร์ซีทนั้น ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ หรือ หมอวิน เจ้าของเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ ได้ออกมายืนยันว่า คาร์ซีทเป็นอุปกรณ์ที่พิสูจน์แล้วว่าช่วยชีวิตเด็กยามที่เกิดอุบัติเหตุได้จริง ช่วยเซฟคอของเด็กเล็กได้เป็นอย่างดีเมื่อมีแรงกระชากจากการลดความเร็วอย่างกะทันหันตอนรถชน และที่สำคัญที่สุดคือ คาร์ซีทช่วยยึดไม่ให้เด็กกระเด็นออกจากตัวรถ คาร์ซีทจึงเป็นสิ่งที่ต้องมีและต้องใช้อย่างเคร่งครัดในประเทศที่พัฒนาแล้ว และคนที่ใช้คาร์ซีทก็คงรู้ว่ามันดี สำหรับลูกและสำหรับคนขับรถที่ไม่ต้องกังวลตอนขับไปไหนมาไหน

                          3 เรื่องสำคัญ เมื่อจับลูกนั่งคาร์ซีท

                          เพจ เลี้ยงลูกตามใจหมอ ยังได้ย้ำถึง 3 เรื่องที่สำคัญ ดังนี้

                          1. Back is Best หันหลังจนอายุ 2 ขวบ หรือจนลูกขาล้นนั่งหันหลังไม่ได้ หรือทำตามอายุที่ระบุไว้ในคู่มือของคาร์ซีทรุ่นที่ใช้
                          2. รัดสายเข็มขัดให้กระชับเสมอ ศีรษะของลูกหันซ้ายขวาได้ ไม่มีปัญหากับคอลูก แต่ถ้าขณะรถขับ ลูกหัวกระเด้งไปกับคาร์ซีทจะอันตรายกับคอเด็ก ย้ำ! หัวต้องไม่กระเด้ง หากเด้งแสดงว่าเข็มขัดรัดไม่กระชับ
                          3. นั่งคาร์ซีทจนกระทั่งนั่งไม่ได้ แล้วเปลี่ยนมาใช้ Booster Seat เพื่อให้เด็กนั่งสูงขึ้นมาคาดเข็มขัดนิรภัยได้ และต้องนั่งที่เบาะหลังจะปลอดภัยที่สุดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุ 9 ขวบหรือไม่ต้องใช้ Booster Seat แล้ว จึงคาดเข็มขัดนิรภัยเหมือนผู้ใหญ่ และอาจย้ายมานั่งหน้าได้ เพราะเด็กเล็กถ้าเกิด Airbag กางขึ้นมาจะอุดและกระแทกให้เด็กเล็กเกิดอันตรายได้ อย่าเอาลูกมานั่งข้างคนขับโดยเด็ดขาด
                          ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท
                          ทารกแรกเกิดต้องนั่งคาร์ซีท

                          วิธีนั่งและติดตั้งคาร์ซีทที่ถูกต้อง

                          สำหรับวิธีติดตั้งคาร์ซีทที่ถูกต้อง พญ.ภณิดา แสวงศักดิ์ ศูนย์สุขภาพเด็ก รพ.พญาไท 3 แนะนำดังนี้

                          • ทารกแรกเกิด – 2 ปี

                          การติดตั้งคาร์ซีทต้องติดตั้งบนที่นั่งด้านหลังและหันหน้าเด็กไปทางด้านหลังรถ สำหรับรถกระบะหรือปิกอัพที่ไม่มีที่นั่งด้านหลัง ให้ติดตั้งด้านหน้าข้างคนขับ แต่ห้ามใช้ถุงลมนิรภัย หากถุงลมกางออกขณะเกิดอุบัติเหตุจะทำให้เด็กได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ ห้ามทิ้งเด็กไว้ในรถคนเดียว เพราะอาจเกิดอันตรายจากความร้อนภายในรถได้

                          • วัย 2 – 5 ปี
                          1. ใช้ที่นั่งนิรภัยที่เบาะหลัง หันหน้าไปทางด้านหลังรถหากตัวเด็กไม่สูงเกินที่นั่งนิรภัย หรือน้ำหนักไม่เกินตามที่คู่มือคาร์ซีทกำหนดไว้
                          2. หากเด็กตัวโตให้เปลี่ยนเป็นที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กเล็ก หันหน้าไปทางด้านหน้ารถตามปกติ (Forward Facing Child Seat) แต่ยังคงใช้ที่เบาะหลังเท่านั้น
                          • 5 ปีขึ้นไป
                          1. เด็กอายุ 4-7 ปี ใช้ที่นั่งสำหรับเด็กเล็กต่อไปจนตัวสูงหรือน้ำหนักเกิน จากนั้นเปลี่ยนมาใช้ที่นั่งเสริม (Booster Seat) ที่นั่งยกระดับตัวเด็กให้สูงขึ้น เพื่อใช้เข็มขัดนิรภัยรถยนต์ แต่ยังต้องนั่งเบาะหลัง
                          2. ที่นั่งเสริม (Booster Seat) ควรใช้จนกว่าสามารถใช้เข็มขัดนิรภัยได้พอดี หรือมีอายุมากกว่า 9 ปีขึ้นไป หรือสูงกว่า 140 ซม.

                          ข้อควรระวัง

                          อย่างไรก็ดี เพจ ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว เตือนว่า ไม่ควรให้เด็กใช้ Car seat แทนที่นอน เพราะเสี่ยงต่ออันตราย และย้ำพ่อแม่ที่ใช้คาร์ซีทให้ระมัดระวังเพิ่มขึ้น เช่น

                          ห้ามใช้คาร์ซีทให้ลูกนอนหลับเป็นเวลานาน ๆ โดยปล่อยลูกหลับทิ้งไว้บนคาร์ซีทในรถยนต์ เพราะทารกที่หลับจะเสี่ยงต่อการหยุดหายใจมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากศีรษะโต ยังช่วยเหลือตัวเองได้ไม่ดีพอ เมื่อขาดอากาศหายใจก็มีแรงดิ้นหรือขยับได้น้อย และรูปแบบทางเดินหายใจก็ยังไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ เมื่อที่นั่งคาร์ซีทยกหัวสูงขึ้น พอทารกหลับคอก็พับอุดทางเดินหายใจได้ เวลาคอพับหน้าจะไปซุกกับขอบข้างกันกระแทก อุดจมูกได้เช่นกัน

                          ส่วนคาร์ซีทที่มีแผ่นโฟมกันคอพับก็มีโอกาสที่เด็กจะหันหน้าด้านข้างแล้วไปอุดจมูก เพราะคาร์ซีทออกแบบมาเพื่อห่อหุ้มตัวเด็กให้ดภัยจากแรงเหวี่ยงแรงกระแทก จึงจำกัดการเคลื่อนไหวของเด็ก ทำให้ขยับเปลี่ยนท่าหายใจได้ไม่ดี หากต้องเดินทางและใช้คาร์ซีทให้ลูกนั่งระหว่างเดินทาง ไม่ควรให้เด็กหลับในคาร์ซีทนาน ๆ ควรตรวจเช็คเด็กเป็นระยะทุก 30-60 นาที และไม่ควรนำคาร์ซีทมาใช้แทนเปลให้เด็กนอน

                          ทารกทุกคนควรนั่งคาร์ซีทระหว่างเดินทาง เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยเสมอ เพราะอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แม้จะระวังมากแค่ไหนก็ยังอาจเกิดขึ้นได้

                          อ้างอิงข้อมูล : pantipfacebook.com/SpoiledPediatrician, facebook.com/HmxMaew และ phyathai

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                          8 วิธี “กระตุ้นสมอง” ทารกแรกเกิด ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

                          โรค G6PD คือ อะไร อันตรายกับลูกแค่ไหน พ่อแม่ควรรู้!

                          ผื่นแพ้นมวัว จากโรคแพ้นมวัว ในทารกหรือเด็กเล็ก อาการเป็นอย่างไร

                            น้องนาฬิกา หลานหม่ำ ติดเชื้อไวรัส RSV

                            เตือนแม่ สังเกตอาการ RSV รีบพาไปตรวจหากเข้าข่ายนี้!

                            ไวรัส RSV ระบาดหนักมาตั้งแต่เดือนตุลาคม และยังมีเด็กป่วย RSV เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนล้นโรงพยาบาล และยิ่งตอนนี้เปิดเทอมแล้ว ลูกต้องไปโรงเรียนก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงการได้รับเชื้อ คุณพ่อคุณแม่จึงต้อง สังเกตอาการ  RSV อย่างใกล้ชิด หากลูกน้อยมีความเสี่ยงให้รีบพาไปตรวจ

                            เช่นเดียวกับ “น้องนาฬิกา” หลานสาวสุดรักสุดหวงของคุณตาหม่ำ จ๊กมก ตลกชื่อดัง ก็ตรวจพบเชื้อไวรัส RSV เข้าอีกคน โดยคุณแม่เอ็ม บุษราคัม ได้โพสต์ภาพน้องนาฬิกา ชูสองนิ้วอยู่บนเตียงผู้ป่วยของโรงพยาบาล ลงในอินสตาแกรม emmeemm พร้อมข้อความว่า

                            “เค้าฮิตกัน ก็เลยเป็นบ้าง “RSV” 😅

                            วันนี้พามาดูแผลที่นิ้วเท้า แล้วก็พามาตรวจ rsv ซะเลย เพราะมีเสมหะในคอ ผลออกมาก็เป็นจริงๆ …”

                            หลานหม่ำตรวจพบเชื้อ rsv
                            น้องนาฬิกาหลานหม่ำ ตรวจพบเชื้อ rsv

                            ทางด้านชาวเน็ตก็เข้ามาอวยพรขอให้น้องหายไวๆ ในขณะที่คุณแม่หรือผู้ปกครองที่เป็นห่วงลูกหลานของตน ก็ได้เข้ามาถามแม่เอ็มถึงอาการของน้อง เพื่อเอาไว้ใช้สังเกตเด็กๆ ที่บ้าน

                            “อาการเป็นยังไงบ้างคะ บ้านนี้แค่ไอมีเสมหะไม่มีไข้ค่ะ”

                            “สอบถามเป็นความรู้ค่ะ ติดจากไหนคะ บ้านนี้มีลูก7ขวบ เเละ 7เดือน กลัวพี่มาติดน้องมากเลยค่ะ”

                            “มีเสมหะ แล้วมีอาการไข้ด้วยไหมคะ สอบถามคะ ลูกสาวก็มีเสมหะค่ะ”

                            เตือนแม่ สังเกตอาการ RSV รีบพาไปตรวจหากเข้าข่ายนี้!

                            โดยล่าสุด แม่เอ็มได้โพสต์อัพเดทอาการของน้องนาฬิกา ว่าตอนนี้เริ่มมีน้ำมูกและมีไข้แล้ว ที่พามาตรวจเพราะน้องได้สัมผัสและใกล้ชิดกับเพื่อนที่เป็น RSV

                             

                            ความนิ้วเท้าไม่ทันหาย ความRSVก็เข้ามาแทรก….

                            มีน้ำมูกและเพิ่งมีไข้แล้วตอนนี้ 😭😭

                            สำหรับ RSV ที่แม่ๆ ถามกันเข้ามาว่าอาการของน้องเป็นยังไง:

                            1.เสียงแหบเพราะเสมหะ

                            2.เสมหะเยอะ

                            3.พยายามจะเอาเสมหะออกด้วยการไอแต่อาเจียนแทน

                            ร่าเริง กินข้าวปกติ ไม่มีไข้ แต่ที่สงสัยและพาไปตรวจเพราะน้องได้สัมผัสและใกล้ชิดกับเพื่อนที่เป็น RSV

                            … ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องเป็นแน่ๆ และไม่ว่าจะป้องกันยังไงมันก็ยากสุดๆ เราเชื่อว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด 😢

                            ช่วงนี้ระบาดหนักมาก ห้องพักแทบไม่มีเลย น้องรอตั้งเกือบ 3 ชั่วโมงกว่า กว่าจะได้ห้อง 😅

                            ตอนนี้ก็ซึมๆ ซมๆ และจะได้เจาะสายน้ำเกลือแล้ว เพราะมีไข้และทานข้าวน้อยลง 😓

                            วันนี้แวะไปหามาแล้วตอนกลับมาดามก็ร้องไห้ตาม อยากไปกับหม่าม้า อยากกลับบ้าน 😭😭 สงสารจัง

                             

                            แม่เอ็มเผยวิธี สังเกตอาการ RSV
                            แม่เอ็ม บุษราคัม เผยวิธี สังเกตอาการ RSV

                            ทีมแม่ ABK ขอให้น้องนาฬิกาหายป่วยไวๆ เช่นเดียวกันนะคะ สำหรับน้องๆ ที่เริ่มเปิดเทอมแล้ว หากรู้สึกไม่สบาย คุณพ่อคุณแม่ควรให้หยุดเรียนก่อน เพื่อที่จะไม่แพร่เชื้อสู่เพื่อนๆ โดยไม่รู้ตัว และหากมีรายงานว่าเพื่อนในห้องติดเชื้อ RSV และลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่เริ่มมีอาการไม่สบาย อย่าลังเลที่จะพาลูกไปตรวจหาเชื้อ RSV นะคะ

                             

                            น้องนาฬิกา หลานหม่ำ จ๊กมก
                            น้องนาฬิกา หลานหม่ำ จ๊กมก

                            RSV คืออะไร?

                            ไวรัส RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นสาเหตุให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจ ไวรัสชนิดนี้จะกระจายอยู่ทั่วไป แต่เมื่อเข้าสู่การเปลี่ยนฤดูกาลหรือปลายฝนต้นหนาวที่อากาศชื้นมากขึ้น ไวรัสจะเจริญเติบโตได้ดี และหากลูกน้อยภูมิต้านทานต่ำลงก็จะทำให้มีโอกาสติดเชื้อไวรัสนี้ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยงได้แก่ เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปีซึ่ง ซึ่งเป็นวัยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรง และเด็กที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคหอบหืด โรคหัวใจ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น

                            สังเกตอาการ RSV ดูอย่างไร?

                            นายแพทย์นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เผยถึงวิธีสังเกตอาการ RSV เบื้องต้นคล้ายไข้หวัดธรรมดา แต่จะไอ มีเสมหะ หายใจเหนื่อยหอบ

                            “หากมีอาการไอ มีเสมหะจำนวนมาก หายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าหลอดลมตีบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ ในบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการถึงขั้นตัวเขียว ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต และในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัส RSV การรักษา จึงเป็นรักษาตามอาการเท่านั้น”

                            โรค RSV ยังทำให้เกิดภาวะปอดอักเสบ โดยอาจมีเสมหะออกมาในปริมาณมาก อาการคล้ายไข้หวัดปกติ เช่น มีไข้ ไอเจ็บคอ และมีน้ำมูกหรือเสมหะ แต่ในเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันต่ำหรือคลอดก่อนกำหนด อาจมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย หายใจหน้าอกยุบ หรือปากซีดเขียว หรืออาจทรุดลงถึงขั้นระบบหายใจล้มเหลว และมีโอกาสถึงขั้นเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหากมีอาการแทรกซ้อนของปอดหรือหัวใจ

                            ลูกติดเชื้อ RSV จากไหนได้บ้าง?

                            เชื้อ RSV สามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยผ่านทางเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผ่านทางการสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ การใช้สิ่งของร่วมกัน และการเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่มีคนรวมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งในช่วงเปิดเทอม เด็กเล็กย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะสัมผัสใกล้ชิดกับเพื่อนฝูง จึงมีโอกาสที่เชื่อจะแพร่ระบาดได้มากขึ้น

                            แนวทางป้องกันลูกจากเชื้อไวรัส RSV

                            • หมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด
                            • ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
                            • ไม่ไปอยู่ในสถานที่ที่แออัด
                            • หากมีอาการควรเก็บตัวอยู่บ้าน
                            • ใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
                            • ทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
                            • ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ
                            • น้ำอย่างเพียงพอเพื่อลดภาวะขาดน้ำและช่วยขับเสมหะ
                            • หากเป็นเด็กเล็กที่ยังไม่หย่านม สามารถให้เด็กดูดนมได้มากที่สุดตามต้องการ
                            • แยกอุปกรณ์และภาชนะต่างๆ ของเด็ก ไม่ควรใช้ร่วมกัน

                            ขอบคุณข้อมูลจากอินสตาแกรม emmeemm , ไทยรัฐออนไลน์ , กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                            ไวรัส RSV ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ อันตรายรุนแรงได้คล้ายอาการ RSV ในเด็ก

                            รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

                            8 วิธี ขับเสมหะ ลูกโดยไม่ต้องทานยา!

                              วิจัยชี้! เด็กที่กิน อาหาร 5 หมู่ ไม่ครบ อาจเตี้ยกว่าเพื่อน 20 ซม.

                              อาหาร 5 หมู่ เป็นอาหารที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน การทานอาหารไม่ครบหมู่ในวัยเด็กที่กำลังเจริญเติบโตนั้น อาจทำให้ลูกเตี้ยกว่าเพื่อนถึง 20 เซนติเมตร!!

                              วิจัยชี้! เด็กที่กิน อาหาร 5 หมู่ ไม่ครบ อาจเตี้ยกว่าเพื่อน 20 ซม.

                              อาหารหลัก 5 หมู่ คือ อาหารที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันรวม 5 ชนิด โดยสารอาหารที่เหมือนกันจะถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน และร่างกายของคนเราก็ต้องการสารอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ หรือ 5 ชนิด ในแต่ละวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่สามารถจะให้สารอาหารได้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเราสามารถแบ่งอาหารออกเป็นหมู่หลัก ๆ ได้ 5 หมู่ ได้แก่

                              1. โปรตีน (เนื้อสัตว์ ไข่ นม ถั่ว)
                              2. คาร์โบไฮเดรต (ข้าว แป้ง น้ำตาล เผือก มัน)
                              3. เกลือแร่หรือแร่ธาตุ (พืชผัก)
                              4. วิตามิน (ผลไม้)
                              5. ไขมัน (ไขมันจากพืชและสัตว์)

                              โดยอาหารแต่ละหมู่นั้นให้ประโยชน์ต่อร่างกายต่างกัน มีคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน ดังนั้นการทานอาหารเพียงหมู่ใดหมู่หนึ่ง หรือการทานอาหารไม่ครบหมู่ จะทำให้ร่างกายไม่ได้รับประโยชน์จากหมู่อาหารที่ไม่ได้ทานได้ และหากขาดสารอาหารชนิดนั้นนานวันเข้า ก็จะเกิดความไม่สมดุลของระบบการทำงานของร่างกาย และจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้

                              และสำหรับเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต วัยที่ต้องการสารอาหารหลากหลายชนิดเพื่อนำไปพัฒนาร่างกาย หากมีพฤติกรรม เลือกกิน กินยาก กินอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ กินเยอะแต่กินไม่หลากหลาย ก็อาจทำให้เสี่ยงต่อการกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ได้ ซึ่งนอกจากจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกแล้ว ในวัยที่กำลังเจริญเติบโตนั้น ยังมีอีก 1 ข้อเสียที่เกิดจากการทาน อาหาร 5 หมู่ ไม่ครบ คือ อาจทำให้เตี้ยกว่าเพื่อนถึง 20 เซนติเมตร ความสูงมีความสัมพันธ์อย่างไรกับอาหาร? มาดูรายละเอียดงานวิจัยกันค่ะ

                              ลูกเตี้ย
                              ลูกเตี้ย

                              วิจัยชี้! เด็กที่กินอาหารไม่ครบหมู่ อาจเตี้ยกว่าเพื่อน 20 ซม.

                              วิจัยนี้จัดทำโดย Imperial College London ในประเทศอังกฤษ และได้ตีพิมพ์ใน The Lancet โดยวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับส่วนสูงและน้ำหนักของเด็กและวัยรุ่นวัยเรียน 65 ล้านคนใน 193 ประเทศ ได้พบความแตกต่างของความสูงของเด็กที่สูงที่สุด เทียบกับเด็กที่เตื้ยที่สุด พบว่ามีความสูงแตกต่างกันถึง 20 เซนติเมตร โดยปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่างของความสูงนี้ คือ อาหาร

                              ตัวอย่างเช่น ความสูงของเด็กผู้หญิงอายุ 19 ปีในบังกลาเทศและกัวเตมาลา (ประเทศที่มีเด็กหญิงตัวเตี้ยที่สุดในโลก) จะมีความสูงเท่ากับเด็กหญิงอายุ 11 ปีโดยเฉลี่ยในเนเธอร์แลนด์ (ประเทศที่มีเด็กชายและเด็กหญิงสูงที่สุด) จากตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่าเด็กที่อยู่ในประเทศที่ทำให้มีโอกาสในการขาดสารอาหารและการทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่นั้น มีส่วนสูงเทียบเท่ากับเด็กที่มีอายุน้อยกว่าถึง 8 ปี ที่อยู่ในประเทศที่มีการสรรหาอาหารให้ประชากรได้อย่างทั่วถึง

                              การวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่า โภชนาการในวัยเด็กเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดอาหาร การทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่นั้น อาจขัดขวางการเจริญเติบโต ทำให้เด็กเตี้ย และอาจทำให้เป็นโรคอ้วนในวัยเด็ก ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของเด็กไปตลอดชีวิต

                              แคลเซียม ไม่ได้ทำให้ตัวสูง แค่กินครบ 5 หมู่ ก็สูงและแข็งแรงได้

                              แคลเซียม คือแร่ธาตุ ที่มีความสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพร่างกาย เป็นส่วนประกอบของกระดูก และฟัน ทำให้โครงสร้างเหล่านี้มีความแข็งแรง แคลเซียมช่วยให้เลือดแข็งตัว ช่วยในการทำงานของระบบประสาทในส่วนของกล้ามเนื้อ ช่วยควบคุมการยืด และหดตัวของกล้ามเนื้อในร่างกายตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นการทำงานของโปรตีนที่เป็น corboxylated-glutamic acid ให้จับเข้ากับแคลเซียม Hydroxyapatite เพื่อทำหน้าที่สร้าง และสลายกระดูก ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของมวลกระดูกใหม่ ๆ

                              ในร่างกายของเราประกอบด้วย แคลเซียมมากกว่า 1,200 กรัม เกือบ 55 เปอร์เซ็นต์ พบได้ในกระดูก และฟัน จะจับตัวร่วมกับฟอสฟอรัส เรียกว่า “Calcium Phosphates” แคลเซียม ไม่ได้อยู่แค่ในส่วนของกระดูก และฟันเท่านั้น ยังสามารถพบ แคลเซียม ได้ในเลือด ซึ่งจับตัวอยู่กับโปรตีน และพบแคลเซียม อิสระล่องลอย ทำหน้าที่อยู่ภายในร่างกายอีกด้วย

                              แคลเซียม เพิ่มความสูงได้จริงหรือ?

                              แร่ธาตุที่สำคัญต่อระบบร่างกายของเรา ถือว่าเป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ที่ส่งผลต่อสุขภาพที่ดี เราจำเป็นต้องบริโภค แคลเซียม เพื่อช่วยให้กระดูกแข็งแรง และทำให้สารสื่อประสาทระหว่างสมอง และอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้ปกติ แคลเซียมในรูปแบบของอาหารเสริม นำมากินเพื่อที่จะเพิ่มความสูง ซึ่งแท้จริงแล้ว การบริโภค แคลเซียมอย่างเดียวนั้น ไม่ได้ทำให้ส่วนสูงเพิ่มขึ้น แต่จะต้องทานร่วมกับโปรตีน และจะต้องเป็นโปรตีนที่ได้จากพืชตระกูลถั่วเท่านั้น รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอและการออกกำลังกายร่วมด้วย จึงจะทำให้สูงขึ้นได้

                              จึงกล่าวได้ว่าสารอาหารที่สามารถช่วยเพิ่มความสูงได้นั้นก็คือ “โปรตีน” นั้นเอง เพราะหน้าที่และประโยชน์หลัก ๆ ของโปรตีน คือ การช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของร่างกาย ซึ่งโปรตีนจะถูกนำไปสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก เลือด เม็ดเลือด ผิวหนัง น้ำย่อย ฮอร์โมน น้ำนม รวมไปถึงการสร้างภูมิต้านทานเชื้อโรคต่าง ๆ

                              แคลเซียม
                              แคลเซียม

                              ลูกทานโปรตีนเท่าไหร่ถึงพอดี?

                              • เด็กทารก (1-3 ขวบ) จะต้องการโปรตีนอยู่ที่ 1.2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. หรือประมาณ 15 กรัม ต่อวัน
                              • เด็กเล็ก (3-7 ขวบ) จะต้องการโปรตีนอยู่ที่ 1.1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. หรือประมาณ 26 กรัมต่อวัน
                              • เด็กโต (7-14 ปี) จะต้องการโปรตีนอยู่ที่ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. หรือประมาณ 45 กรัมต่อวัน

                              ดังนั้นเราจำเป็นต้องรับประทานโปรตีนและแคลเซียมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และถ้าอยากสูงและมีร่างกายที่แข็งแรง ควรทานอาหารในหมู่อื่น ๆ ให้เพียงพอและทาน อาหาร 5 หมู่ ให้ครบ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อผลลัพธ์ที่ดี และสุขภาพที่ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

                              อ่านมาถึงตรงนี้ คุณพ่อคุณแม่เห็นความสำคัญของอาหารแล้วใช่ไหมล่ะคะ ว่ามีความสัมพันธ์ต่อการเจริญเติบโตของลูกมากเพียงใด ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรปล่อยให้ลูกกินตามใจชอบ กินอาหารเดิม ๆ ซ้ำ ๆ และเลือกกิน อีกต่อไป ควรส่งเสริมให้ลูกกิน อาหาร 5 หมู่ ให้ครบ เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกในอนาคตค่ะ

                              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              ลูกกินยาก กินแต่อาหารซ้ำซาก เสี่ยงโรค Neophobia

                              สารพิษตกค้างในผัก! พบผัก-ผลไม้ในไทย อาบสารพิษ

                              9 อาหารไทย เพิ่มภูมิคุ้มกันต้านโควิด-19

                              กรมอนามัยห่วง! เด็กไทยเตี้ยกว่าเกณฑ์ แนะ 5 วิธีเพิ่มความสูง

                               

                              ขอบคุณข้อมูลจาก : World Economic Forum, medthai.com, www.chiangmainews.co.th

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                ส่วนลด ดีมีเงินออมให้ลูก

                                ชี้เป้า 4 วิธีประหยัดเงิน เพื่อแม่ถูกและดี มีเงินออมให้ลูก!!

                                วิธีประหยัดเงิน ใคร ๆ ก็ชอบ หากแม่อยากหาวิธีออมเงินให้ลูกแบบง่าย ๆ ใช้สิทธิประโยชน์ที่มีมาลดค่าใช้จ่ายก็เป็นอีกวิธีที่น่าสนใจที่วันนี้เรามาชี้เป้าให้เห็นกัน

                                ชี้เป้า 4 วิธีประหยัดเงิน เพื่อแม่ถูกและดี มีเงินออมให้ลูก!!

                                เดี๋ยวนี้เราทุกคนสามารถเป็นบุคคลสำคัญได้นะจะบอกให้ เพราะผู้ให้บริการต่าง ๆ หลากหลายประเภทต่างก็มอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าของเขากันแทบทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นลูกค้าของผู้ให้บริการใด ก็มักจะมีแอพพลิเคชั่นให้เลือกใช้สิทธิพิเศษมากมาย แถมมามอบให้ถึงมือ ง่าย ๆ เพียงแค่กดรับสิทธิ์ จ่าย รับสินค้า มีเงินเหลือเก็บให้ลูก ว้าว!ขนาดนี้แม่บ้านอย่างเรา ๆ จะพลาดได้ไงจริงไหม

                                ช้อปปิ้งออนไลน์อย่างไรให้ได้เงินเก็บ
                                ช้อปปิ้งออนไลน์อย่างไรให้ได้เงินเก็บ

                                วิธีเก็บเงิน มีมากมายหลากหลายรูปแบบ การประหยัดค่าใช้จ่ายก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเหลือเงินมาเก็บออมให้แก่ลูก แต่จะดีกว่าไหมหากแม่อย่างเราสามารถเก็บออมเงินให้แก่ลูกเพื่ออนาคตของเขา ไปพร้อมกับไม่ต้องลดทอนงบรายจ่ายค่าช้อปปิ้ง หรือรายจ่ายค่าของว่างลง เรียกได้ว่า ได้ทั้งสุขใจ สบายกระเป๋าไปพร้อม ๆ กัน ถ้าคุณแม่สนใจวันนี้ทาง ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมชี้เป้าวิธีเก็บเงินเพื่อลูกแบบฉบับคนมีสิทธิพิเศษมาให้ได้ศึกษากัน จะได้นำไปปรับใช้กับสถานการณ์ของแต่ละบ้านกันตามสะดวก

                                วิธีประหยัดเงินจากแอพผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์

                                ในปัจจุบันการแข่งขันกันของบริษัทผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ค่อนข้างดุเดือดในสมรภูมินี้ แน่นอนว่าผู้ที่ได้ประโยชน์จากการแข่งขันนั้น ย่อมเป็นผู้บริโภคอย่างเรา ๆ เมื่อมีการแข่งขันสูง สิทธิพิเศษ สิทธิประโยชน์จูงใจต่าง ๆ ย่อมมาแบบจัดเต็ม ถึงแม้ส่วนนี้จะเป็นกลยุทธของการดึงลูกค้าของเหล่าบรรดาผู้ให้บริการต่าง ๆ ก็ตาม แต่ก็นับว่ามือถือก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนในยุคนี้ไปเสียแล้ว ดังนั้นเชื่อได้เลยว่าทุกคนต้องมีค่ายโทรศัพท์ใช้กันอย่างน้อยคนละหนึ่งค่ายแน่นอน ดังนั้นสิทธิประโยชน์ที่ให้เขาให้แก่ลูกค้าอย่างเรา เชื่อไหมว่ามันสามารถทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เหมือนกัน หากใครใช้ของค่ายใดก็อย่าลืมโหลดแอพพลิเคชั่นมาติดเครื่องเพื่อรับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้ง่ายดายขึ้น โดยแอพของแต่ละค่ายบริการหลัก ๆ  มีดังนี้

                                วิธีประหยัดเงิน จากค่ายมือถือ
                                วิธีประหยัดเงิน จากค่ายมือถือ
                                • ค่ายสีฟ้า Dtac กับแอพ Dtac Reward ที่มาพร้อมกับน้องตัวD และสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า Platinum Blue Menber ,Gold Member และ Silver Member
                                • ค่ายสีเขียว AIS กับแอพ AIS Privileges ที่มาพร้อมกับน้องอุ่นใจ และสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า Serenade และลูกค้า AIS
                                • ค่ายสีแดง TRUE กับแอพ TRUE YOU และสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้า TRUE Black Card ,TRUE Red Card และลูกค้า TRUE

                                ส่วนลด และสิทธิประโยชน์ของแต่ละค่ายจะคล้าย ๆ กัน โดยมีการแบ่งสิทธิประโยชน์สำหรับลูกค้าแตกต่างกันไปตามยอดค่าใช้บริการที่แตกต่างกันของลูกค้า และยังมีการสะสมเหรียญเพิ่มไว้ใช้แลกเป็นส่วนลด หรือแลกของฟรีได้เพิ่มอีกด้วย โดยภายในแอพของทุกค่ายก็มีการแบ่งเป็นหมวดหมู่ไม่ว่าจะเป็น อาหาร ของว่าง กาแฟและเครื่องดื่ม ช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว ไลฟ์สไตล์ และช้อปปิ้งออนไลน์ เรียกได้ว่ามีครอบคลุมครบทุกด้าน ซึ่งหากคุณแม่ลองเลือกหาส่วนลดจากส่วนนี้ก่อนใช้จ่าย ก็สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้อยู่พอสมควร อย่างเช่น ส่วนลดในการซื้อกาแฟสักแก้ว ก็มีส่วนลดให้ทุกเดือน เดือนละสิทธิ์ต่อร้าน นอกจากจะได้ฟินจากรสชาติกาแฟแล้ว แถมยังช่วยประหยัดเงินให้เหลือเก็บไว้หยอดกระปุกให้ลูกได้อีกด้วย

                                วิธีประหยัดจากแอพช้อปปิ้งออนไลน์

                                ก็เป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่มีการแข่งขันแย่งลูกค้ากันสูงไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งในปัจจุบันที่กำลังเป็นยุคแห่งการช้อปปิ้งออนไลน์กำลังบูม ขยายตัวต่อเนื่องมาจากวิกฤตโควิด 19 ที่ทำให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาสนใจการช้อปปิ้งผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เกิดการดึงฐานลูกค้าส่วนนี้กันอย่างดุเดือด หากคุณแม่เป็นผู้หนึ่งที่ชื่นชอบส่วนลด และสิทธิพิเศษดี ๆ ในแต่ละเดือนก็ไม่ควรพลาดที่จะโหลดแอพช้อปปิ้งออนไลน์มาไว้ติดเครื่องสมาร์ทโฟนของเรา เพราะในปัจจุบันแอพช้อปปิ้งออนไลน์นั้นไม่ได้มีแค่ของใช้ฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็นอีกต่อไป มีการจับมือ ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์แบรนด์ชั้นนำในการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในแพลตฟอร์มดังกล่าว ทำให้เราสามารถเลือกซื้อข้าวของ เครื่องใช้ที่จำเป็นเข้าบ้านได้โดยไม่ต้องเสียเวลาไปเดินเลือกซื้ออีกต่อไป และที่สำคัญส่วนลดในบางวัน ในแต่ละเดือนที่มีแคมเปญนั้นช่วยแม่ประหยัดเงินไปได้มากทีเดียว และในบางแอพมี Cash back ช่วยให้เราช้อปปิ้ง แล้วยังมีเงินคืนเข้ากระเป๋าอีกด้วย ตัวอย่างเช่น หากคุณแม่ซื้อผ้าอ้อมสำเร็จรูปจากแอพช้อปปิ้งออนไลน์ในช่วงแคมเปญ นอกจากจะได้ส่วนลดเยอะแล้ว ยังมีบริการส่งฟรีถึงบ้านไม่ต้องยุ่งยากขนกลับเองอีกด้วย

                                วันนี้ยังมีคำแนะนำเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้คุณแม่นักช้อปทั้งหลายเพื่อเป็นวิธีประหยัดเงินไว้ออมให้ลูก และยังช่วยประหยัดเวลาช้อปปิ้งกัน

                                1. วางแผนการช้อป เริ่มจากการกำหนดงบที่จะจ่าย แม่ควรจะลิสต์รายการของต่าง ๆ ที่อยากได้ออกมา แล้วประเมินราคาคร่าว ๆ เอาไว้ด้วย ถ้ารวมยอดไปมาแล้วเกิดเกินกว่า งบที่วางไว้ในเดือนนั้น เราก็อาจจะกันเงินส่วนหนึ่งไว้ก่อน แล้วไปรองบประมาณเพิ่มเติมของเดือนถัดไป อดใจรออีกนิดเพื่อวินัยทางการเงินที่ดี ไม่มานั่งกลุ้มใจทีหลัง
                                2. การปรึกษาเพื่อน ๆ ก่อนซื้อของที่คุณแม่อยากได้ คือสิ่งที่ควรทำ เพราะเพื่อนแม่ ๆ ที่มีลูกในวัยใกล้ ๆ กันย่อมมีข้าวของเครื่องใช้ไม่ต่างกัน การให้เพื่อนช่วยเลือก แนะนำสินค้า เป็นเหมือนการรีวิวจากผู้ใช้จริงว่าตรงตามความต้องการของเราไหม รวมทั้งช่วยสแกนความคุ้มค่าของสินค้าที่เราจะซื้อ ถ้าทั้งคุณแม่และเพื่อนต้องการซื้อสินค้าแบบเดียวกัน ก็สั่งซื้อพร้อมกันไปเลยในทีเดียว จะได้คนหารค่าจัดส่งไปอีก ได้สินค้าที่ถูกใจในราคาที่ถูกลง นี่แหละ วิธีประหยัดเงินแบบง่าย ๆ ด้วยการช้อปเป็นแก็งค์
                                3. สมัครสมาชิกรับส่วนลดที่มากกว่า ร้านค้าออนไลน์หลายร้านมักจะมีโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะสำหรับสมาชิก ดังนั้นการสมัครสมาชิกก่อนซื้อสินค้าจะทำให้คุณแม่ได้รับส่วนลดในการซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การซื้อครั้งแรก” ที่มักจะมีส่วนลดพิเศษแบบสุด ๆ นอกจากนี้บางเว็บไซต์อาจมีการสะสมแต้มเพื่อนำไปแลกรับส่วนลดในครั้งต่อไปได้อีกต่อด้วย
                                4. ในกรณีที่คุณแม่มีของที่อยากได้ แต่ก็สามารถรอได้เช่นกัน ขอแนะนำให้ “รอ” เพื่อซื้อสินค้านั้น ๆ ในช่วง sale เพราะร้านค้าออนไลน์ในยุคนี้ต้องบอกว่าขยันจัดมหกรรมเซลล์กันจริง ๆ แทบจะมีทุกเดือนเลยด้วยซ้ำ แถมบางครั้งบางทียังลดราคาสินค้ามากถึง 80% คิดดูว่ามันจะคุ้มค่า ทำให้มีเงินเหลือเก็บมากขนาดไหน

                                  วิธีประหยัดเงิน จากเงินเหลือ ส่วนลด
                                  วิธีประหยัดเงิน จากเงินเหลือ ส่วนลด

                                รวมส่วนลดจากแอพร้านสะดวกซื้อ

                                แสตมป์ 7-11 เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่นักสะสมส่วนลดชื่นชอบ เพราะนอกจากจะสามารถนำมาแลกของพรีเมี่ยมน่ารัก น่าสะสมแล้ว คุณแม่ยังสามารถนำมาแทนเงินสดเวลาซื้อของในร้านได้อีกด้วยนะ เวลาใช้ก็ง่ายแสนง่าย โดยแสตมป์หนึ่งดวง (1 บาท) มีค่าแทนเงินสด 1 บาทเช่นกัน เวลาต้องการจ่ายเงินก็นำแสตมป์จ่ายแทนได้เลย หรือถ้าคุณแม่ไม่อยากออมให้ลูกในรูปแบบเงินแล้ว ก็สามารถใช้แสตมป์ร่วมทำบุญกับทางร้าน เป็นการสร้างบุญ และเป็นการออมบุญให้แก่ลูก ก็นับว่าเป็นการออมในอีกรูปแบบหนึ่งด้วยนะ

                                นอกจากแสตมป์แล้ว เดี๋ยวนี้ยังมีแอพร้านสะดวกซื้อมากมายหลากหลายยี่ห้อให้เลือกกันทั้งสะดวก แถมลดแลก แจกแถมกันไม่อั้นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น 7-11, CP Surprise จากค่าย CP ALL หรือ Lawson 108 จากเครือสหพัฒน์ และอันดับสองของตลาดสะดวกซื้อ Family Mart ของทางเครือเซ็นทรัล ที่เมื่อเราเข้าไปเป็นสมาชิกแล้ว ทางร้านก็จะมอบส่วนลดมาให้ โดยมีการปรับโปรโมชั่นน่าสนใจแทบทุกวัน เป็นที่รู้กันว่าราคาของสินค้าในร้านสะดวกซื้อจะแพงกว่าซุเปอร์สโตนทั้งหลาย แต่ถ้าเป็นสินค้าตัวโปรโมชั่นแล้ว บางชิ้นก็ถูกกว่าได้เหมือนกัน โดยเฉพาะโปรโมชั่น ซื้อ 1 แถม 1 นี่เป็นอะไรที่ปลื้มมาก แถมช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะทีเดียว อย่างนี้ก็มีเงินเหลือเก็บไว้ออมเงินให้ลูกใช้ในอนาคตกันแล้ว

                                รวมส่วนลดจากบัตรเครดิต

                                ส่วนลดจากบัตรเครดิต สะสมแต้ม ได้เงินคืน เหลือเงินออม
                                ส่วนลดจากบัตรเครดิต สะสมแต้ม ได้เงินคืน เหลือเงินออม

                                ทุกวันนี้ต้องบอกว่าบัตรเครดิตหลายใบนั้นเกิดขึ้นมาเพื่อเอาใจขาช้อปปิ้งโดยเฉพาะเลยจริง ๆ ด้วยโปรโมชั่นต่าง ๆ ที่เข้ามาเสริมความประหยัดคุ้มค่าให้กับทุกการช้อปปิ้ง ทั้งการลดราคาสินค้า ได้รับแต้มสะสมนำไปแลกของรางวัล หรือเป็นส่วนลดเพิ่มเติม ไปจนถึง Cash back เงินคืนจากยอดซื้อ ดังนั้น คุณแม่ถือบัตรอะไรอยู่ ก่อนช้อปก็อย่าลืมเช็คโปรโมชั่นกันด้วย เพื่อให้เราใช้บัตรเครดิตที่มีอยู่ในมือให้คุ้มค่าที่สุด แถมถ้าแม่ท่านไหนอยากหาวิธีการออมเงินเพื่อลูกแบบง่าย ๆ ก็แคชแบ็คที่ได้มายังไงล่ะ เงินออมเพื่อลูกคุณ

                                เงินยังไงก็คงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน จนมีคำกล่าวหยอก ๆ กันว่า “มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่” อย่างนี้แล้วพ่อแม่คงต้องมีหลากหลายวิธีที่จะช่วยกันเก็บเงิน ไว้เป็นเงินออมให้แก่ลูกในอนาคต โดยเฉพาะในยามวิกฤตเศรษฐกิจ ที่ทั่วโลกพบกับภาวะถดถอยเช่นนี้ นอกจากการเก็บเงินจากการหารายได้แล้ว การเก็บเงินจากการประหยัดค่าใช้จ่ายก็เป็นอีกทางที่ดีทางหนึ่งสำหรับคนในยุคนี้ อะไรประหยัดได้ก็ควรประหยัด สิ่งใดมีส่วนลดก็ควรใช้ส่วนลดที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีเงินเหลือเก็บ สะสมไว้ไปลงทุนในรูปแบบอื่นต่อไป รู้วิธีแบบนี้หนทางแห่งเศรษฐีคงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน

                                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง รูปภาพประกอบจาก shopback / Dtac / AIS / True

                                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                สั่งซื้อของสดออนไลน์ พ่อแม่ซื้อง่ายรับได้ที่บ้าน

                                แอปติดตามโควิด หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงปลอดภัยทั้งครอบครัว

                                เมื่อ “แม่ต้องช้อป ลูกต้องใช้” ได้โปรเด็ด !! กับ JD CENTRAL

                                จดทะเบียนรับรองบุตร ทำอย่างไร ลูกอายุเท่าไหร่ถึงจดได้?

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  อาหารเสริมบำรุงสมอง

                                  อยากให้ลูกเรียนรู้ได้ดีตั้งแต่เด็ก สมองลูกต้องดูแลอย่างไร?

                                  รอให้ลูกโตก็สายเสียแล้ว ถ้าคุณแม่คิดอยากให้ลูกมีพัฒนาการสมองดี อย่ารอให้ลูกโตแล้วค่อยมาใส่ใจดูแล เพราะถึงเวลานั้นลูกน้อยอาจจะเรียนรู้ได้ไม่ดีเท่าเพื่อนวัยเดียวกันก็ได้ค่ะ เพื่อให้เด็กฉลาดเรียนรู้สมวัย ลองมาดูกันว่าจะเสริมพัฒนาการสมองได้อย่างไร และควรเริ่มในช่วงวัยไหนที่ไม่ช้าไป

                                  สมอง คือหนึ่งในอวัยวะสำคัญของร่างกาย *สำหรับเด็กตั้งแต่วัยแรกเกิด จนถึงอายุ 6 ปี เป็นช่วงเวลาที่สมองจะมีการพัฒนามากที่สุดถึง 80% ซึ่งในช่วง 6 ปีแรกของชีวิต ถือเป็นช่วงเวลาทองของการพัฒนาสมองของลูกน้อยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                                  คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเป็นเด็ก 2 ภาษา 3 ภาษา อยากให้ลูกเป็นเด็กเรียนเก่ง มีทักษะรอบด้านดีเยี่ยม สมองดี มีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ ก็ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ

                                  เสริมพัฒนาการสมอง ลูกฉลาดคิด ต้องเริ่มจากอะไร ?

                                  การเตรียมความพร้อมให้ลูกในช่วง 6 ปีแรก เพื่อให้มีพัฒนาการสมองฉลาด เก่งสมวัย และสามารถต่อยอดไปได้อย่างประสบผลสำเร็จในอนาคต คุณพ่อคุณแม่เริ่มได้ง่ายๆ ดังนี้ค่ะ

                                  1. ให้ลูกกินนมแม่ตั้งแต่แรกคลอดไปจนถึงขวบปีแรก ในน้ำนมแม่มีสารอาหารครบถ้วนที่จำเป็นต่อร่างกาย และสมอง
                                  2. ต้องกระตุ้นให้ลูกได้มีการเล่นเสริมทักษะตามช่วงวัย เช่น
                                    เด็กวัยแรกเกิด – 6 เดือน เพื่อกระตุ้นพัฒนาการการมองเห็น ให้เล่นเป็นตุ๊กตาแขวนโมบายสีสันสดใส
                                    เด็กวัย 6 เดือน – 1 ขวบ เพื่อกระตุ้นพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก การใช้มือเอื้อมคว้า และฝึกการคืบ คลาน ให้เล่นของเล่นที่เขย่าแล้วมีเสียง เล่นลูกบอลลูกเล็กๆ สีสันสดใสซ่อนในผ้า หรือเล่นจ๊ะเอ๋
                                    เด็กวัย 1 ขวบ – 3 ขวบ เพื่อกระตุ้นพัฒนาการทักษะการพูด ออกเสียง การสังเกต ให้เล่นของเล่นที่เป็นรูปทรง อย่างบล็อคไม้รูปต่างๆ หรือ อ่านนิทานภาพ ฯลฯ
                                    เด็กวัย 3 ขวบ – 6 ขวบ เพื่อฝึกให้รู้จักการเข้าสังคม การสื่อสารที่มากขึ้น ฝึกทักษะการคิด ให้เล่นเป็นชุดของเล่นบ้าน , ชุดขายของ , ชุดตัวต่อเลโก้ หรือเล่นเล่านิทาน บทบาทสมมติ เป็นต้น การเล่นจะช่วยให้สมองเกิดการเรียนรู้ พัฒนาทักษะในด้านต่างๆ ได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ ภาษา อารมณ์ สังคม
                                  3. กินอาหารที่มีประโยชน์หลังลูกอายุได้ 6 เดือนขึ้นไป จะต้องเสริมอาหารให้ได้คุณค่าโภชนาการครบ 5 หมู่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่และวิตามิน ในปริมาณสัดส่วนตามช่วงวัยที่ควรจะได้รับ และในเด็กที่กำลังโต เด็กอนุบาล วัยเรียน คุณแม่จำเป็นต้องให้ลูกได้รับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยพัฒนาสมองของลูกๆ อย่าง DHA , กรดไขมันจำเป็นอย่าง โอเมก้า 3 6 9 สารอาหารกลุ่มนี้จะช่วยบำรุงพัฒนาระบบประสาท และสมองให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

                                  อาหารเสริมบำรุงสมอง

                                  7 อาหารสมองที่ลูกควรต้องได้กินอย่างเป็นประจำ

                                  อาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่คุณแม่ต้องจัดสรรมาให้ลูกๆ ได้รับประทานกันอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะอาหารสมองที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองของเด็กๆ ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คิดเก่ง ฉลาดเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี ลองมาดูว่าเด็กวัยเรียน วัยกำลังโต ควรต้องกินอะไรที่มีประโยชน์กับพัฒนาการสมองกันค่ะ
                                  1. นมและโยเกิร์ต ผลิตภัณฑ์จากนมอุดมด้วยโปรตีน และวิตามิน B ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อสมอง และยังให้ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ที่เป็นแหล่งพลังงานที่ดีให้กับสมอง
                                  2. แซลมอน และปลาทะเลน้ำลึก ที่มีไขมันดีสูงเป็นแหล่งโอเมก้า 3 ที่มีทั้งกรดไขมัน EPA และ DHA ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้าง และพัฒนาสมองลูกน้อย
                                  3. ไข่ ให้โปรตีนสูง และยังอุดมด้วยโคลีน ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาความจำ
                                  4. ถั่วแดง มีกรดไขมันโอเมก้า 3 โดยเฉพาะกรดอัลฟาไลโปลิก (ALA) สูงกว่าถั่วชนิดอื่น ที่จะช่วยกระตุ้นการทางานของสมองให้ดียิ่งขึ้น
                                  5. น้ำมันจากพืช เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน จะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า สำหรับการปรุงอาหารที่ต้องใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบ แนะนำคุณแม่ว่าให้ใช้ในสัดส่วนที่พอเหมาะ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวของเด็กๆ ค่ะ
                                  6. ผักสีสด เช่น มะเขือเทศ มันเทศ ฟักทอง แครอท ผักปวยเล้ง ผักสีต่างๆ จะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์สมองของลูกน้อยได้อย่างดี
                                  7. เนื้อแดง เป็นแหล่งของธาตุเหล็ก และสังกะสี ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยในเรื่องความจำ ช่วยให้มีสมาธิจดจ่อได้ดี

                                  อาหารบำรุงสมอง

                                  อาหารเสริมบำรุงสมอง DHA และ โอเมก้า 3 6 9 กรดไขมันที่มีประโยชน์

                                  ♦ DHA (Docosahexaenoic Acid) เป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย มีหน้าที่สำคัญช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
                                  ประโยชน์ของ DHA ดีเอชเอ คือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ดวงตาและการมองเห็น ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับสมอง เช่น ความจำเสื่อม โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น แหล่งอาหารที่อุดมด้วยดีเอชเอ ได้แก่ ไข่ไก่ ปลาแมคเคอเรล ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น
                                  ♦ โอเมก้า 3 กรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร ซึ่งใน Omega 3 จะประกอบด้วยกรดไขมันอย่าง ALA , EPA และ DHA
                                  ประโยชน์ของ Omega 3 คือ ช่วยเพิ่มสมาธิ ช่วยให้ระบบประสาท สมอง และระบบสายตาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยต้านการอักเสบต่างๆ ให้กับร่างกายอีกด้วย แหล่งอาหารที่อุดด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า น้ำมันพืช (น้ำมันถั่วเหลือง , น้ำมันดอกทานตะวัน , น้ำมันรำข้าว) เป็นต้น
                                  ♦ โอเมก้า 6 กรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร
                                  ประโยชน์ของ Omega 6 คือ จะช่วยให้ระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกายทำงานได้อย่างสมบูรณ์ โอเมก้า 6 มีส่วนสำคัญต่อพัฒนาการการเจริญเติบโตของร่างกาย การทำงานของระบบสมองและหัวใจ แหล่งอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 6 ได้แก่ น้ำมันรำข้าว ถั่วเหลือง อิฟนิ่งพริมโรส และถั่วทุกชนิด
                                  ♦ โอเมก้า 9 กรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ จากการดึงเอาโอเมก้า 3 และ 6 มาใช้ ฉะนั้นหากร่างกายได้รับโอเมก้า 3 กับ 6 ไม่เพียงพอ ร่างกายก็จะสร้างโอเมก้า 9 ขึ้นมาใช้ได้ไม่เต็ม 100%
                                  ประโยชน์ของ Omega 9 ช่วยในการทำงานของโอเมก้า 3 และ 6 ในการสร้างความแข็งแรงให้กับเซลล์สมอง และช่วยให้อวัยวะสำคัญภายในร่างกายอย่าง สมอง หัวใจ ระบบเลือด ตับ ไตทำงานได้อย่างสมบูรณ์เต็มประสิทธิภาพ
                                  แหล่งอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 9 ได้แก่ งา อโวคาโด อัลมอนด์ น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ

                                  คุณแม่เห็นถึงความสำคัญและประโยชน์ของอาหารที่ต้องเสริมเพื่อบำรุงสมองของลูกๆ ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่าง DHA และ Omega 3 6 9 กันแล้วใช่ไหมคะ แนะนำว่าต้องให้ลูกรับประทานอาหารหลากหลายและครบหมู่ เพื่อให้สมองพัฒนาและเรียนรู้ มีสมาธิ จำเก่งแม่นยำได้อย่างเต็มที่ในทุกวันค่ะ

                                  ง่ายๆ กับการเตรียมพร้อมสมองลูกให้ได้รับอาหารสมองทุกวัน

                                  หากจะพัฒนาสมองของเด็กๆ ที่อยู่ในวัยกำลังโต โดยเฉพาะช่วงเวลาทองของการพัฒนาสมองของลูกในระหว่าง 1-6 ปี แนะนำคุณแม่ว่านอกจากจะเตรียมอาหารที่มีประโยชน์ให้ลูกรับประทานครบ 3 มื้อแล้ว ยังจำเป็นต้องเสริมนมที่มีสารอาหารช่วยในการบำรุงระบบประสาท และสมอง เพื่อให้เด็กๆ พร้อมรับการเรียนรู้รอบด้าน เพราะการเรียนรู้ช่วยลูกไปได้ไกลขึ้น

                                  นมที่พัฒนาขึ้นมาสำหรับเด็กวัยกำลังโต โฟร์โมสต์ โอเมก้า 3 6 9 นมกล่องยูเอชที ที่คุณม่สามารถให้ลูกดื่มได้ทุกวัน นมโฟร์โมสต์ โอเมก้า 3 6 9 สูตรใหม่ เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และสมอง มี DHA เพิ่มขึ้น 50% , Omega 3 เพิ่ม 2 เท่า มี     วิตามินบี 12 สูง ช่วยบำรุงระบบประสาทให้แข็งแรง ช่วยเพิ่มสมาธิ ความจำ และมีกรดอะมิโนจำเป็นอีก 9 ชนิด

                                  โฟรโมสต์ โอเมก้า 3 6 9 มีคุณค่าสารอาหารเต็มกล่องที่คุณแม่มั่นใจได้ว่ามีส่วนสำคัญในการเสริมพัฒนาการของลูก ให้ลูกฉลาดคิด เรียนรู้ได้ดี

                                   

                                  อาหารเสริมบำรุงสมอง

                                  อ้างอิง : *เทคนิคพัฒนาสมองเจ้าตัวน้อย.สถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข https://th.rajanukul.go.th/