Page 138 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

คำพูดให้กำลังใจ

7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

คำพูดให้กำลังใจ คำชม ใครว่าพูดกับลูกไม่ได้ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแนะ ชม5 ดุ1 สร้างลูกที่มั่นใจ ภาคภูมิใจในตัวเอง พร้อมแนะวิธีพูดชมลูกที่ถูกหลักไม่ทำให้เหลิง

7 เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

“อย่าชมลูกมากเดี๋ยวเหลิง” คำพูดท่วงทำนองดังกล่าวคงเป็นคำที่คนเป็นพ่อเป็นแม่เคยได้ยินกันมาแล้วทั้งนั้น แล้วในยุคสมัยใหม่ ปัจจุบันยังคงเป็นเช่นนั้นหรือไม่

พญ.ถิรพร ตั้งจิตติพร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงเทคนิคการเลี้ยงลูกให้ลูกเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองว่า ช่วง 3 ปีแรกของชีวิตเป็นช่วงเวลาที่เด็กอยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่มากที่สุด ซึ่งช่วงวัยนี้เด็กจะมีวิวัฒนาการและการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา โดยเริ่มมีการทำสิ่งต่างๆ เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก และจะเริ่มเรียนรู้ถึงที่เกิดจากพฤติกรรมว่าเป็นอย่างไร ดังนั้น ช่วงนี้หากพ่อแม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง ลองผิดลองถูกในการแก้ปัญหา และชมเชยให้ลูกรู้ว่าสิ่งที่ลูกทำเป็นสิ่งที่ดี จะยิ่งเพิ่มความสามารถและความภาคภูมิใจให้กับลูกได้ แต่จุดอ่อนที่แพทย์มักพบบ่อยๆ คือ การไม่ให้โอกาสแก่ลูกได้ช่วยเหลือตนเอง และไม่ค่อยได้ชื่นชมลูกจะคอยแต่ตำหนิติเตียน หรือเรียกว่าการจับผิดมากกว่าจับถูก ทำให้เด็กไม่มีการพัฒนาความมั่นใจในตนเอง

คำพูดให้กำลังใจ สร้างความมั่นใจให้ลูก
คำพูดให้กำลังใจ สร้างความมั่นใจให้ลูก

จากความเห็นข้างต้นของจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นชี้ให้เห็นได้ว่า การชื่นชมลูก เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อบุคลิกภาพ และพัฒนาการของเขา แต่ต้องมาพร้อมกับการปล่อยให้ลูกได้ลงมือทำสิ่งใด ๆ ด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้คำชื่นชมนั้นเกิดจากความสามารถของลูก และจะแปลเปลี่ยนเป็นกำลังใจ และเป็นพลังใจให้แก่ลูกในหลาย ๆ ด้าน

อ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่าการชื่นชมลูกน้อยเป็นสิ่งที่ดี โดยเด็กจะพัฒนาไปในทางที่ดีได้ด้วยการสร้างให้ลูกมีความรู้สึกภาคภูมิใจต่อตัวเอง ขณะที่หลายครอบครัวมักไม่นิยมชื่นชมลูกและมีความคิดว่าอย่าชมมากเดี๋ยวจะเหลิง แต่ทางจิตวิทยาได้แนะนำให้ผู้ปกครองหันมาชื่นชมลูกอย่างมีเทคนิค และมีหลักการที่ดีจะดีเสียกว่า แต่การชมต้องชมให้มีความถูกต้องเพราะถ้าชมไม่ถูกต้องหลาย ๆ ครั้งก็เกิดผลลบกับลูกมากว่าผลบวก

เทคนิคในการกล่าวชมลูก

  •  ควรชมจากสิ่งที่ลูกได้กระทำเองจริงในเหตุการณ์จริง และในเรื่องที่เหมาะสม
  • ไม่กล่าวคำชมลูกในเรื่องอะไรที่เป็นหน้าที่ที่เขาควรจะทำอยู่แล้ว หรือหากชมกับงานในหน้าที่ควรเป็นการชมในเรื่องที่เขาปรับปรุง พัฒนางานนั้น ๆ ได้ดีกว่าเดิม ก็ควรกล่าวคำชมในครั้งแรก ๆ ที่เห็นพัฒนาการของลูกที่ดีขึ้น แต่จะไม่ชมเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เรียกได้ว่าเป็นการชื่นชมเพื่อให้ลูกเกิดการพัฒนา ซึ่งการชื่นชมที่ดี คือ การชื่นชมอย่างเต็มที่เมื่อลูกกล้าที่ลองทำสิ่งใหม่ ๆ หรือ สิ่งที่ยากและท้าท้าย อย่างไรก็ตามการชื่นชมยังควรมีอยู่ แม้สิ่งนั้นลูกจะทำได้จนชำนาญ เพื่อให้ลูกรู้สึกว่า สิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ดีและเหมาะสม ควรทำต่อไป
  • ชมแต่เรื่องสำคัญอย่าชมพร่ำเพรื่อ ให้เข้าใจวัตถุประสงค์ของการชม ว่าเราชมเขาเพื่อให้เขาก้าวหน้า และมีกำลังใจ การชมพร่ำเพรื่อยังทำให้ลูกรู้สึกถึงความไม่จริงใจต่อคำชมนั้น ๆ อีกด้วย

    ภาษากาย ก็เป็น คำพูดให้กำลังใจ แบบหนึ่ง
    ภาษากาย ก็เป็น คำพูดให้กำลังใจ แบบหนึ่ง
  • ชื่นชมด้วยความจริงใจ โดยใช้ภาษากายในการสื่อสาร เช่น สบตาชม ลูบหัว กอด ตบบ่า ชมด้วยการสัมผัสก็จะทำให้ลูกรู้สึกได้ว่าเราจริงใจและคำชมก็จะเป็นพลังให้แก่ลูก
  • ในกรณีของเด็กเล็ก คำชมอาจจะเปลี่ยนเป็นเกมต่าง ๆ หรือการทำสติ๊กเกอร์ การให้ดาว การให้รางวัลที่ไม่ใช่การให้สินบน แต่เป็นการจูงใจให้เขาอยากทำในสิ่งที่ดี ๆ ที่พ่อแม่แนะนำ แล้วพอเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเขาได้เราก็จะไม่ต้องมีกติกาต่าง ๆ เพราะเขาจะปรับเปลี่ยนไปเองจนเกิดความเคยชิน และเป็นเด็กดีทำตามหน้าที่ไปโดยธรรมชาติ การให้รางวัลจะมีจุดมุ่งหมายทำให้เด็กเห็นความก้าวหน้าและพัฒนาเปลี่ยนนิสัย
  • เลือกชมที่ความพยายาม ความตั้งใจของลูก มากกว่าการชมที่ผลลัพธ์ เพราะในบางครั้งเขาอาจจะพลาดหวังจากสิ่งที่ตั้งใจ คำชมของคุณพ่อคุณแม่ก็จะช่วยเป็นกำลังใจให้เขาลุกขึ้นมาสู้ต่อได้ เช่น คะแนนสอบคราวนี้หนูพยายามได้ดีมากลูก แม่ชอบที่หนูตั้งใจอ่านหนังสือ เป็นการชี้บอกชัดเจนไปเลยว่าพ่อแม่ชอบพฤติกรรมไหน เขาจะได้เรียนรู้ที่จะทำพฤติกรรมนั้นซ้ำ ๆ รักษาพฤติกรรที่พ่อแม่ชอบไว้ตลอดไป
  • อ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร ยังได้แนะนำเทคนิควิธีเฉพาะ โดยแนะนำให้ใช้วิธีนำลูกย้อนถึงความพยายามของตัวเอง อาจจะใช้วิธีตั้งคำถามทำให้เห็นความพยายามของเขาว่าทำอย่างไรถึงได้ผลที่ดี อาทิ ลูกภูมิใจไหม ที่สอบได้ที่ 1 หนูทำยังไงเนี่ย หรือบอกให้ลูกฟังว่าแม่ภูมิใจทำให้เขารู้ว่าคนที่เขารักภูมิใจในตัวเขา เช่น ประโยคง่าย ๆ หนูน่ารักจังเลยวันนี้หนูช่วยแม่เก็บจาน ทำให้เขารู้ว่าเขาจะต้องพัฒนาตัวเองไปในทางไหน

…ที่สุดในโลก คำติดปาก แต่อาจสร้างปัญหาให้ลูกได้

อ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กล่าวให้ข้อคิดเตือนใจคุณพ่อคุณแม่ไว้ว่า

“การชมลูกด้วยคำพูดปิดท้ายประโยคว่าที่สุดในโลก เช่น เก่งที่สุดในโลก หรือ ดีที่สุดในโลก หากชมนานๆ ครั้งก็คงไม่เกิดผลอะไร แต่หากติดปากพูดเป็นประจำก็อาจทำให้เด็กหลงคิดว่าตนเองเก่งและดีที่สุดในโลกจริงๆ จนยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรืออาจคิดเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นเสมอ อาจทำให้เกิดปัญหาด้านทักษะการเข้าสังคมในอนาคตได้”

ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง มีปัญหาการเข้าสังคม
ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง มีปัญหาการเข้าสังคม

เพราะคำว่า “ที่สุดในโลก” นั้นไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานคำชมจากความเป็นจริง ไม่มีใครจะเก่งไปทุกเรื่อง และเป็นที่สุด ทำให้ลูกอาจคิดเข้าใจไปได้ว่าความคาดหวังของพ่อแม่ที่มีต่อเขานั้นสูง จะเป็นการไปสร้างความกดดันต่อลูกเพิ่มเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ จึงอยากแนะนำให้ชื่นชมลูกที่หลักการง่าย ๆ เพียง 2 คำ คือ จริงใจ(ชมลูกและพ่อแม่ก็รู้สึกอย่างที่ชมจริง ๆ ) ชัดเจน(ไม่ชมแบบกว้าง ๆ บอกพฤติกรรมของลูกที่เราชอบไปพร้อมกับคำชมด้วย)

เด็กขาดคำชม จะเป็นอย่างไร?

  • ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง มักคิดแต่ว่าตัวเองไม่ดีพอ

เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า การสร้าง Self Esteem ให้แก่เด็กนั้นช่วยเสริมสร้างให้เขามีพัฒนาการที่ดี พร้อมเรียนรู้ก้าวหน้าในสิ่งใหม่ ๆ แต่การจะได้มาซึ่งการเห็นคุณค่าในตนเองนั้น ย่อมต้องได้รับพื้นฐานทางจิตใจที่มั่นคงจากคนสำคัญของลูก นั่นคือ คุณพ่อคุณแม่นั่นเอง เมื่อพ่อแม่ไม่เคยแสดงความชื่นชมลูก เมื่อเขาทำสิ่งใดสำเร็จบ่อย ๆ ครั้งเข้า ลูกจะรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้น ไม่เป็นที่สนใจ ไม่เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่ หรือเขาอาจยังไม่ดีพอสำหรับพ่อแม่ของเขา ก็จะรู้สึกท้อ และไม่อยากคิดทำอะไรด้วยตนเองอีกเลย

  • ไม่มั่นใจ และคิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นเสมอ

เมื่อเขาคิดว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่เก่ง ก็เป็นพฤติกรรมที่สืบเนื่องตามมา การไม่มั่นใจในตนเอง คิดว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ ด้อยกว่าผู้อื่นเสมอ นั่นก็มาจากสาเหตุเดียวกัน คือ การที่พ่อแม่ไม่เคยชื่นชมลูกนั่นเอง ยิ่งโดยเฉพาะบางบ้านที่นอกจากไม่ได้ชมลูกแล้ว ยังชอบเปรียบเทียบลูกกับคนอื่นเสมอ โดยหวังว่าจะเป็นการผลักดันให้ลูกพัฒนาตนเองให้เหมือนกับคนอื่น แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับตรงกันข้าม เพราะไม่ว่าลูกจะพยายามมากแค่ไหน ก็มักจะได้ยินคำจากปากพ่อแม่ว่ามีคนที่ดีกว่าเขาเสมอ ทำให้ลูกหมดกำลังใจ และเป็นความคิดติดตัวว่าเขาด้อยกว่าคนอื่น และไม่มีวันที่จะเป็นที่หนึ่งในสายตาพ่อแม่ อาจทำให้กลายเป็นคนกลัวการแข่งขัน เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้นได้ในอนาคต

  • พ่อแม่ไม่รัก

เรามักจะได้ยินเด็กบางคนพูดว่า พ่อแม่ไม่รัก ซึ่งเราต่างก็รู้ดีว่า พ่อแม่ส่วนใหญ่รักลูกดั่งดวงใจ การแสดงออกของผู้ใหญ่ที่มักคิดเอาเองว่าลูกต้องรับรู้ได้เองถึงความรักที่พ่อแม่มีให้ไม่ต้องบอกกล่าวใด ๆ แต่ในโลกสำหรับเด็กแล้ว เขาต้องการความรักที่สัมผัสได้ เป็นความรักที่มาจากคำพูด การกระทำ การสัมผัส การแสดงออกที่พ่อแม่มีต่อเขาบ้าง ไม่ใช่ความรู้สึกในใจเพียงเท่านั้น คงจะเป็นเรื่องน่าเสียดายหากความรักที่พ่อแม่มีให้ส่งไปไม่ถึงลูก ดังนั้นเพียงแค่กล่าวชื่นชมเขาบ้างก็คงไม่ยากเกิน และไม่ต้องกลัวลูกจะเหลิง ซึ่งมันดีกว่าการเข้าใจผิดว่าพ่อแม่ไม่รักมากกว่าเป็นไหน ๆ

เด็กที่ไม่เคยได้ คำพูดให้กำลังใจ นึกว่าพ่อแม่ไม่รัก
เด็กที่ไม่เคยได้ คำพูดให้กำลังใจ นึกว่าพ่อแม่ไม่รัก
  • ไม่เป็นตัวของตัวเอง ชอบทำตามผู้อื่น

เมื่อลูกไม่เห็นคุณค่าในตัวเองแล้ว เขาย่อมจะไม่เป็นผู้คิดริเริ่ม หรือแม้แต่การคิดแย้งแตกต่างจากผู้อื่น เพราะการทำตามคนส่วนมากย่อมจะทำให้เขารู้สึกปลอดภัยกว่า ในเมื่อตัวเองคิดว่าตนเองไม่เก่ง ไม่มีความสามารถพอ ก็จะคอยแต่ทำตาม และคล้อยตามคนอื่นไม่เป็นตัวของตัวเอง และคิดเองไม่เป็น การที่เด็กไม่ได้รับคำชมจากพฤติกรรมที่เหมาะสม ก็ยิ่งทำให้เขาไม่ได้เรียนรู้ว่าเขาควรทำตัวอย่างไร แบบไหนที่เรียกว่าดี แบบไหนที่ไม่ควรทำ การชมในพฤติกรรมที่ดี ที่เป็นที่ยอมรับของสังคม ก็จะเป็นการเรียนรู้ แยกแยะต่อสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับลูก ทำให้เขาเรียนรู้ว่าจะแก้ปัญหา และต้องทำตัวอย่างไรต่อสถานการณ์นั้น ๆ อีกด้วย

  • เมื่อไม่มีตัวอย่างที่ดี ลูกก็ชมผู้อื่นไม่เป็นเช่นกัน

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เด็กที่ไม่เคยได้รับคำชมจากคุณพ่อคุณแม่ ก็ย่อมไม่มีตัวอย่างที่ดีในการเลียนแบบพฤติกรรมอยู่แล้ว และเมื่อถึงวัยที่เขาต้องเข้าสังคม การไม่รู้จักชื่นชมผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะที่ดีในการเข้าสังคม ก็จะทำให้ลูกเกิดปัญหาได้เช่นกัน และเมื่อเขาถูกเปรียบเทียบตลอดเวลา ก็จะก่อให้เกิดความอิจฉา ที่เป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของสังคม และคอยบั่นทอนชีวิตลูกได้

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับข้อดีมากมายของการกล่าวคำชมลูกที่วันนี้ เราได้นำมาฝากกัน และอยากขอย้ำเตือนถึงประโยชน์ของการชมลูกอีกครั้งด้วยคำกล่าวของ อ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่กล่าวเตือนใจพ่อแม่ในเรื่องดังกล่าวนี้ไว้ให้ทุกคนดังนี้

“การชื่นชมลูก ในบางครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็จะใช้เทคนิคไม่ถูกต้อง หรือบางบ้านก็จะไม่นิยมชื่นชมอะไรกันเลย ทั้งนี้ลูกน้อยก็จะโตมาแบบไม่รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง หรือรู้สึกดีกับตัวเองพอ ถ้าโตมาแบบไม่เคยรับความชื่นชมเขาจะโตมาแบบแสวงหาความรู้สึกดีจากสิ่งอื่น พอโตมาเป็นวัยรุ่นก็จะอยากให้ชื่นชม กับการมีดี ทำให้รู้สึกว่าตัวเองก็มีดีนะ แต่ดีจากสิ่งที่เป็นภายนอกมากกว่าที่จะดีจากภายใน เช่น ถือกระเป๋าราคาสูงก็จะรู้สึกดีกับตัวเอง ใช้ของแบรนด์แนมก็รู้สึกดี มีคนมากดไลค์ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คก็รู้สึกดี แต่การชื่นชมลูกจะทำให้ลูกชื่นชม นับถือตัวเองจากภายใน”

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก rama.mahidol.ac.th/ komchadluek.net/thepotential.org

 

 

    ประกันสุขภาพลูกน้อย

    4 ปัจจัยสำคัญที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนทำ ประกันสุขภาพลูกน้อย

    เพราะ ประกันสุขภาพลูกน้อย มีหลากหลายประเภท มีหลากหลายแบบแผนและความคุ้มครอง คุณพ่อคุณแม่ควรจะเลือกซื้อประกันแบบไหน อย่างไร ให้เหมาะกับลูกน้อยและครอบครัว?

    4 ปัจจัยสำคัญที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนทำ ประกันสุขภาพลูกน้อย

    เพราะเด็กวัยแรกเกิดยังบอบบางต่อเชื้อโรคต่าง ๆ ทำให้มีโอกาสเจ็บป่วยได้ง่าย และแม้แต่โรคหวัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังทำให้ลูกน้อยของเราเกิดอาการรุนแรง จนอาจถึงขั้นนอนโรงพยาบาลได้ เพื่อลดความเสี่ยงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และเพื่อเป็นหลักประกันคุ้มครองรายได้ในอนาคต กรณีพบโรคประจำตัวเพิ่มเติม จะได้มีทุนไว้รักษาพยาบาล และในปัจจุบันนี้ ประกันมีหลากหลายแบบแผนให้เลือก ทำให้คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังจะทำประกันสุขภาพให้ลูกหลาย ๆ ท่านสับสนได้ว่าแบบแผนไหน การคุ้มครองแบบใด ที่เหมาะกับลูกน้อยและครอบครัวมากที่สุด ก่อนที่จะเลือกซื้อ ประกันสุขภาพลูกน้อย อยากจะให้คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านข้อมูลเล่านี้เพื่อประกอบการตัดสินใจกันก่อนค่ะ

    4 ปัจจัยสำคัญที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนทำ ประกันสุขภาพลูกน้อย

    1. ประกันมีกี่ประเภท?

    การประกันภัยบุคคล (Insurance of the person) เป็นการประกันภัยเกี่ยวกับภัยที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือที่เกิดกับบุคคล แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

    1. การประกันชีวิต มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองการสูญเสียรายได้ที่เกิดจากกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหรือเพื่อเป็นการออมทรัพย์สำหรับผู้เอาประกันภัยตามระยะเวลาที่ตนต้องการ การประกันชีวิตประเภทนี้มีจำนวนเงินเอาประกันภัยค่อนข้างสูง โดยทั่วไปกำหนดชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี ราย 6 เดือน ราย 3 เดือน หรือรายเดือน ในการพิจารณารับประกันชีวิตมีทั้งแบบตรวจสุขภาพและไม่ต้องตรวจสุขภาพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินเอาประกันภัยและอายุเป็นสำคัญ
    2. การประกันอุบัติเหตุ เป็นการประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองต่อผู้เอาประกันภัยในกรณีที่ผู้เอาประกันภัย ประสบอุบัติเหตุได้รับความบาดเจ็บทางร่างกาย และหากผลของการบาดเจ็บนั้นส่งผลให้ผู้เอาประกันภัยต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล หรือรุนแรงถึงขั้นทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะ หรือเสียชีวิต บริษัทประกันภัยจะเข้ามารับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการรักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย หรือจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัย หากผู้เอาประกันภัยต้องสูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพ หรือเสียชีวิต
    3. การประกันสุขภาพ คือ การประกันภัยที่บริษัทประกันภัยตกลงที่จะชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น จากการรักษาพยาบาลให้แก่ผู้เอาประกันภัย ไม่ว่าค่ารักษาพยาบาลนั้นจะเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วยจากโรคภัย หรือการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
    ประกันสุขภาพเด็ก
    ประกันสุขภาพเด็ก

    2. ประกันสุขภาพมีกี่แบบ?

    1. ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก (OPD) คุ้มครองกรณีผู้เอาประกันได้รับการรักษาในโรงพยาบาลน้อยกว่า 6 ชั่วโมง หรือไม่จำเป็นต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล พบแพทย์ วินิจฉัย จ่ายยา(ถ้ามี) แล้วก็กลับบ้านได้เลย หรือกรณีที่เรามีอาการบาดเจ็บที่ไม่รุนแรง เช่น การฉีดวัคซีน เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย เป็นต้น
    2. ประกันสุขภาพผู้ป่วยใน (IPD) คุ้มครองกรณีผู้เอาประกันต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลติดต่อกัน 6 ชั่วโมงขึ้นไป กรณีที่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล โดยจะชดเชยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งได้แก่ ค่าห้องและค่าอาหาร ค่าบริการทั่วไป ค่าใช้จ่ายในกรณีที่มีการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน หลังการเกิดอุบัติเหตุ ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการผ่าตัด ค่าปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการผ่าตัด ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการให้แพทย์มาดูแล เป็นต้น
    3. ประกันสุขภาพโรคร้ายแรง (ECIR) เนื่องจากบางโรคนั้นเป็นโรคที่ต้องใช้การรักษาเป็นระยะเวลานานและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาสูง เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ซึ่งบางครั้งประกันสุขภาพที่มีอยู่จะให้ความคุ้มครองได้ไม่เพียงพอ จึงมีประกันสุขภาพโรคร้ายแรงเพิ่มขึ้นมา เพื่อให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับโรคร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางและต้องรักษาต่อเนื่องโดยเฉพาะ
    4. ประกันชดเชยรายได้ คุ้มครองเกี่ยวกับรายได้ของผู้เอาประกันระหว่างนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยบริษัทประกันจะชดเชยค่าสินไหมทดแทนเป็นรายวันให้ ซึ่งเงินจำนวนนี้ก็เพื่อเป็นการชดเชยรายได้เมื่อเราไม่สามารถทำงานได้จากการพักรักษาตัวนั่นเอง รายละเอียดก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละกรมธรรม์ เช่น ชดเชยวันละ 300 บาท 500 บาท หรือวันละ 1,000 บาท เป็นต้น

    นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังมี ประกันสุขภาพเหมาจ่าย ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ค่ารักษาพยาบาลที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยจะกำหนดวงเงินค่ารักษาแบบเหมาจ่ายรวมกันต่อปี แถมยังเบิกจ่ายได้แทบทุกกรณีที่กล่าวมาขั้นต้น แต่ค่าเบี้ยประกันก็สูงกว่าแบบประกันสุขภาพทั่วไปอีกด้วย

    3. เงื่อนไขที่ควรรู้ก่อนทำประกันให้ลูก

    ประกันทุกประเภท จะมีเงื่อนไขต่าง ๆ เกี่ยวกับการคุ้มครอง คุณพ่อคุณแม่จะต้องอ่านเงื่อนไขเหล่านี้ให้ละเอียดก่อนเซ็นสัญญาทำประกัน เพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคตได้ และนี่คือเงื่อนไขที่มักจะระบุในประกันสุขภาพ

    1. ประกันสุขภาพเป็นสัญญาเพิ่มเติม ดังนั้นจะต้องทำประกันชีวิตตัวหลักก่อน แล้วจึงซื้อพ่วงเข้าไป โดยประกันชีวิต อาจเป็นแบบประกันแบบออมหรือไม่ออมก็ได้และสามารถเลือกจำนวนของทุนประกันให้มากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับจำนวนเบี้ยที่ต้องการจ่ายได้ แต่ประกันสุขภาพที่เป็นสัญญาเพิ่มเติมนี้ ไม่สามารถซื้อแยกเดี่ยว ๆ โดยไม่มีประกันชีวิตได้ (ยกเว้นของบางที่อาจจะจัดเป็นแพ็คเกจ ซื้อเป็นประกันสุขภาพแยกเดี่ยว ๆ ได้เลย เพราะมีการพ่วงทุนประกันชีวิตเข้าไว้ด้วยแล้ว จึงไม่ต้องทำประกันชีวิตเพิ่ม)
    2. เบี้ยที่จ่ายเป็นเบี้ยจ่ายทิ้งปีต่อปี นั่นหมายความว่า หากไม่มีการเคลม เราก็จะเสียค่าเบี้ยในปีนั้นไปเฉย ๆ (เหมือนกรณีประกันรถยนต์) และเนื่องจากเป็นสัญญาที่มีการคุ้มครองปีต่อปี ดังนั้น หากปีต่อไปพิจารณาแล้วว่าไม่ต้องการการคุ้มครอง ก็สามารถยกเลิกประกันสุขภาพตัวนั้น ๆ ไม่ต้องจ่ายเบี้ยต่อได้ แต่ถ้ายกเลิกแล้ว จะไม่สามารถขอกลับมาทำใหม่ได้ (ต้องซื้อใหม่ โดยพ่วงกับประกันชีวิตเดิมที่มีอยู่แล้ว หรือซื้อกรมธรรม์ชีวิตใหม่) และในทางกลับกัน บริษัทประกัน ก็สามารถแจ้งยกเลิกประกันสุขภาพกับผู้ทำประกันได้เช่นกัน
    3. ผู้ที่ทำประกันต้องมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่มีโรคประจำตัว และตอนทำประกันต้องแถลงข้อมูลเรื่องสุขภาพตามความเป็นจริง ห้ามปิดบัง ไม่อย่างนั้นถ้าตรวจพบความจริงทีหลัง บริษัทสามารถปฏิเสธการเคลมได้ (หรือหากมีโรคประจำตัวมาก่อน บริษัทอาจจะรับทำประกันให้ แต่จะถูกเพิ่มค่าเบี้ยประกัน หรือไม่ก็คุ้มครองเฉพาะโรคอื่น ๆ ไม่คุ้มครองโรคที่เป็นมาก่อนอยู่แล้ว แล้วแต่การพิจารณาของแต่ละบริษัท)
    4. มีระยะเวลารอคอย หลังจากทำประกันสุขภาพแล้ว จะไม่สามารถคุ้มครองได้ทันที โดยเฉพาะตัวที่อยู่ในกลุ่มโรคร้ายแรง อาจจะมีระยะเวลารอคอยประมาณ 30-120 วัน ถ้าเกิดเจ็บป่วยระหว่างนี้ ประกันอาจจะไม่คุ้มครอง
    5. ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ บางตัวคงที่ บางตัวปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามอายุที่มากขึ้น ดังนั้นอาจจะต้องวางแผนการจ่ายเบี้ยให้เหมาะสมด้วย เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ
    ประกันสุขภาพ
    ประกันสุขภาพ

    4. สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนลงปากกา ซื้อประกันสุขภาพ

    1. เบิกได้ในกรณีไหนบ้าง? โดยส่วนมาก ประกันสุขภาพลูกน้อย มักจะเน้นที่ความคุ้มครองกรณีรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือ IPD ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรดูว่า ค่าห้องและค่าอาหารที่เบิกได้เท่าไหร่ ค่าแพทย์เท่าไหร่ ค่ารักษาเท่าไหร่ ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายหากลูกต้องนอนโรงพยาบาลหรือไม่ ทีมแม่ ABK ขอแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำประกัน โดยให้คุณพ่อคุณแม่สอบถามโรงพยาบาลที่ลูกน้อยไปพบแพทย์เป็นประจำว่าหากต้องแอดมิทเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล จะเสียค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไหร่ เพื่อเลือกซื้อแพคเกจที่มีค่าประกันครอบคลุมต่อค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลนั้น ๆ
    2. ต้องสำรองจ่ายก่อนหรือไม่? ประกันบางประเภท จะมีการให้สำรองจ่ายก่อนและนำมาเบิกบริษัทประกันภายหลัง หรือบางประเภท สามารถนำเลขกรมธรรม์มายื่นให้โรงพยาบาล เพื่อให้โรงพยาบาลเบิกจ่ายกับบริษัทประกันได้เองเลย ในกรณีที่ต้องสำรองจ่ายก่อนจะต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง ยุ่งยากหรือไม่
    3. คุ้มครองอะไรบ้าง? บางแพคเกจจะคุ้มครองเฉพาะบางโรค และบางแพคเกจจะคุ้มครองทุกโรคยกเว้นโรคร้ายแรงที่แพคเกจกำหนด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องดูให้ละเอียด เพราะเราไม่รู้เลยว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลูกอาจจะเป็นโรคที่ประกันไม่คุ้มครองก็เป็นได้
    4. คุ้มครองภายในประเทศ หรือต่างประเทศด้วย? ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่พาลูกไปเที่ยวหรือไปทำธุระที่ต่างประเทศบ่อย ๆ อาจจะต้องพิจารณาถึงข้อนี้ด้วย เพราะการรักษาพยาบาลที่ต่างประเทศมักจะมีค่าใช่จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่สำหรับบ้านที่ไม่ได้ไปต่างประเทศบ่อย ๆ การคุ้มครองในต่างประเทศอาจไม่มีความจำเป็น ค่าเบี้ยประกันก็จะถูกลงไปด้วย โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถซื้อประกันให้ลูกก่อนเดินทางไปต่างประเทศแยกต่างหากก่อนไปได้เช่นกัน
    5. หากมีสวัสดิการหรือประกันสุขภาพอื่น ๆ อยู่ จะเบิกได้หรือไม่? ในกรณีที่คุณพ่อคุณแม่มีสวัสดิการในการรักษาพยาบาลให้ลูกอยู่แล้ว แต่ต้องการจะทำประกันเพื่อลดค่าใช้จ่ายของส่วนต่างที่เกินจากวงเงินในสวัสดิการ ก็ควรจะพิจารณาข้อนี้ด้วย ควรสอบถามตัวแทนบริษัทประกันให้แน่ใจก่อน
    6. ต่ออายุการคุ้มครองได้ถึงปีไหน? เนื่องจากเป็นสัญญารายปี ทั้งผู้ประกันและผู้ให้ประกันสามารถแจ้งไม่ต่ออายุการคุ้มครองได้ ดังนั้นจึงควรตรวจสอบเงื่อนไขในการไม่ต่ออายุของบริษัทประกันให้ดี เพราะพ่อแม่ทุกคน เมื่อทำประกันให้ลูกแล้ว ก็อยากให้มีการคุ้มครองที่ต่อเนื่อง
    7. จำกัดจำนวนครั้งหรือจำนวนเงินในการเบิกหรือไม่? ถ้ามีแล้วรายละเอียดเป็นอย่างไร เบิกได้ครั้งละเท่าไหร่ รวมกันทั้งปีไม่เกินเท่าไหร่ รับการรักษาได้สูงสุดไม่เกินกี่วัน เป็นต้น

    สำหรับการทำ ประกันสุขภาพลูกน้อย ในปัจจุบันนี้ มีหลากหลายแบบแผนให้เลือก แต่ละแพคเกจก็มีเบี้ยประกันที่หลากหลาย ทั้งแบบเบี้ยประกันราคาถูก แต่ความคุ้มครองก็จะลดหลั่นกันไป และเบี้ยประกันที่ราคาค่อนข้างสูง แต่ความคุ้มครองเป็นแบบเหมาจ่าย ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มเดินเข้าโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว ดังนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละบ้านว่าต้องการทำประกันเพื่อให้ครอบคลุมทุกค่าใช้จ่ายหรือทำประกันเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเมื่อลูกต้องเข้าโรงพยาบาล เลือกให้ดี เลือกที่เหมาะกับความต้องการและราคาที่ต้องการจ่ายนะคะ

    อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    9 ประกันสุขภาพเด็ก ปี 2562 ที่ไหนดีที่คุ้มครองคุ้มค่า ราคาถูก

    ซื้อประกันสุขภาพให้ลูก ประกันสุขภาพเด็ก ที่ไหนดี? ปี 2563

    ชี้เป้า! 10 ประกัน ไวรัสโคโรน่า เบี้ยขั้นต่ำแค่ 99 บาท ที่ไหนคุ้มสุดดูเลย!

    คุ้ม2ต่อ!! วัคซีน ป้องกันไอพีดี แถมลดโอกาสติดเชื้อ RSV

    ตารางวัคซีน 2564 ปีนี้มีปรับรายละเอียด? ลูกต้องฉีดอะไร ตอนไหนบ้าง เช็กเลย!

     

    ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.), www.gobear.com, aommoney.com

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      ครรภ์เป็นพิษเกิดจากอะไร

      ครรภ์เป็นพิษเกิดจากอะไร ประสบการณ์ครรภ์เป็นพิษ ต้องยุติการตั้งครรภ์

      ครรภ์เป็นพิษเกิดจากอะไร อันตรายแค่ไหน? แม่เล่าประสบการณ์ ครรภ์เป็นพิษ ไตรมาส 2 ต้องยุติการตั้งครรภ์เพื่อรักษาชีวิตแม่ พร้อมแนะวิธีสังเกตอาการครรภ์เป็นพิษ

      ครรภ์เป็นพิษเกิดจากอะไร ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายกับแม่และทารกในครรภ์

      คุณแม่ท่านหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ ครรภ์เป็นพิษ ในช่วงไตรมาส 2 เพื่อให้แม่ ๆ คนอื่นได้ระมัดระวัง และคอยสังเกตอาการระหว่างตั้งครรภ์อยู่เสมอ โดยเล่าว่า ตอนนี้ลูกสาวของเราไปเป็นนางฟ้าแล้วนะคะ อยากเล่าเรื่องราว ครรภ์เป็นพิษ ที่เกิดขึ้นกับอายุครรภ์ยังน้อยของแม่ให้เป็นความรู้ 21 สัปดาห์ 6 วัน

      ลูกมาจาก ICSI ที่ตรวจโครโมโซมแล้ว 23 คู่ แม่ตรวจความผิดปกติของลูกได้มาเรื่อย ๆ คือลูกตัวเล็กกว่าเกณฑ์ 1-2 สัปดาห์ มีรกบวม (ตรวจเชื้อไวรัสต่าง ๆ แล้วไม่มี) แล้วก็ตัวเล็กกว่าเกณฑ์มาโดยตลอด ลูกดิ้นเก่ง หัวใจเต้นดี ปอด กระเพราะ ไต มีหมดแล้ว

      จนมาถึงสัปดาห์ที่ 21 แม่มีอาการปวดหัว มือ เท้า หน้า บวม เล็กน้อย (เน้นว่าเล็กน้อยนะคะ) ปัสสาวะเป็นฟองเล็กน้อย เลยเข้าพบคุณหมอ ตรวจได้ว่ามีโปรตีนรั่ว 2+ ยังไม่ได้แอดมิท

      จากนั้นตอนเย็นแม่ยังมีอาการปวดหัวอีก เลยแอดมิทที่โรงพยาบาล คุณหมอตรวจพบว่ามีค่าครรภ์เป็นพิษ 648 ปกติต้องไม่เกิน 85

      แม่เลยแพลนว่าจะแอดมิทนอนโรงพยาบาล เช็คความดัน และค่าต่าง ๆ พยายามเคลื่อนไหวตัวให้น้อยที่สุด เพราะแค่ลุกเดินความดันก็ขึ้นแล้ว คิดว่าประคองไปสัก 2-3 เดือน เพื่อให้ลูกสามารถผ่าคลอด เพื่อคลอดก่อนกำหนดให้ได้

      แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ค่าครรภ์เป็นพิษเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน ความดันแม่จาก 140 กว่า ๆ เป็น 150 กว่า จนมาถึง 160 กว่า ทางคุณหมอพิจารณากันว่าไม่ได้แล้ว ถ้ารอต่อไปอาการแม่จะเริ่มมีมากขึ้น แล้วแม่ก็จะแย่ ตอนนี้คอนดิชั่นแม่ยังโอเคอยู่ เลยมาพูดคุยกับแม่ถึงปัญหาเรื่องครรภ์เป็นพิษที่เพิ่มขึ้น เพราะถ้าเจอในเคสอายุครรภ์เยอะ ๆ คุณหมอจะผ่าเอาเด็กออกมาเลย แต่ในเคสแม่โชคร้ายเจอในอายุครรภ์น้อยมาก คืออยากจะพยายามยื้อกันให้ถึงที่สุด ก็ไปไม่ถึง อาการของโรคเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ค่าเลือดต่าง ๆ ของแม่เริ่มแสดงผลไม่ดี และคณะกรรมการเห็นว่าควรยุติการตั้งครรภ์เพื่อรักษาชีวิตแม่

      แม่ยุติการตั้งครรภ์แล้ว และเป็นสิ่งที่ทรมานจิตใจมาก ในวันที่ 3 พฤศจิกายน แม่ยังแอดมิทอยู่ที่โรงพยาบาล ค่าครรภ์เป็นพิษยังมีอยู่ ความดันก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ยังมีปวดหัว รอบ ๆ แม่มีแต่แม่ ๆ ที่ภาวะครรภ์เป็นพิษที่เจอในระยะรุนแรงแล้ว คือหัวใจวาย ปั๊มหัวใจขึ้นมา ตับวาย ไตวาย และอีกคนยังให้ออกซิเจน เพราะน้ำท่วมปอดอยู่เลย

      ที่มาบอกเล่าในครั้งนี้อยากให้แม่ ๆ สังเกตุตัวเอง มีอะไรผิดปกติให้รีบไปหาคุณหมอตั้งแต่ต้น ๆ จะได้แพลนการรักษาได้ทันท่วงที อาการครรภ์เป็นพิษของแม่

      1. ปวดหัวที่ด้านหลัง
      2. มือ เท้าบวมเล็กน้อย มา 3-4 วันก่อนหน้าไปหาคุณหมอ
      3. ความดันขึ้น 140 กว่า ๆ
      4. โปรตีนรั่ว สังเกตคือฉี่เป็นฟอง

      อาการเพิ่มเติมที่แม่ไม่ได้เป็นนะคะ (คือพวกจุกแน่นลิ้นปี่ หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้อาเจียน ตาพล่ามัว)

      สุดท้ายขอให้แม่ ๆ ทุกคนห่างไกลครรภ์เป็นพิษ แม่ผ่านมาแล้วด้วยการเสียลูกไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ท้องอีกไหม เพราะแม่ทำอิ๊กซี่มา 4 ครั้งแล้ว มาเจอรอบนี้ท้อมาก กว่าจะได้ลูกมาว่ายากแล้ว การรักษาลูกไว้ยิ่งยากกว่า

      ล่าสุดคุณแม่บอกกับ ทีมแม่ ABK ว่า เรื่องของแม่อยากให้เป็นวิทยาทานแก่แม่ ๆ คนอื่น ให้สังเกตตัวเอง อย่าปล่อยผ่านอาการผิดปกติ ตอนนี้ร่างกายแม่เป็นปกติแล้ว ตรวจล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ความดันไม่มีแล้ว น้ำคาวปลาก็หมดแล้ว ตอนนี้เหลือรอประจำเดือนมา รอให้ร่างกายฟื้นฟูเพื่อเริ่มต้นใหม่

      ครรภ์เป็นพิษเกิดจากอะไร
      ครรภ์เป็นพิษ

      อาการครรภ์เป็นพิษเป็นภาวะเสี่ยงที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งกับตัวของแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ ในระหว่างการตั้งครรภ์จึงจำเป็นต้องสังเกตความผิดปกติของร่างกายอยู่เสมอ

      ภาวะครรภ์เป็นพิษ

      ครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ที่สำคัญ เกิดได้ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์หรือช่วงหลังคลอด โดยสาเหตุนั้นยังไม่แน่ชัด แต่มีข้อสมมติฐานว่า ครรภ์เป็นพิษเกิดได้จากสาเหตุดังนี้

      • รกทำงานผิดปกติ สารบางชนิดกระตุ้นให้หลอดเลือดหดตัวอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท
      • ภาวะโปรตีน หรือไข่ขาวรั่วออกมาปะปนอยู่ในปัสสาวะ
      • การฝังตัวไม่แน่นของรกบริเวณผนังมดลูก ทำให้ออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงทารกในครรภ์ไม่เพียงพอ เกิดการหลั่งสารพิษบางอย่างเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลเสียต่อแม่ตั้งครรภ์และลูก จนเกิดภาวะแทรกซ้อน

      ภาวะครรภ์เป็นพิษพบได้ 5-10% ของการตั้งครรภ์ กลุ่มเสี่ยงคือ แม่ตั้งครรภ์ครั้งแรก แม่มีน้ำหนักตัวมาก แม่เป็นโรคเบาหวาน แม่มีประวัติความดันโลหิตสูง แม่ที่ตั้งครรภ์ตอนอายุเกิน 35 ปี หรือแม่อายุน้อยแต่เป็นครรภ์แรก

      สังเกต 7 อาการสำคัญของครรภ์เป็นพิษ

      1. เกิดอาการบวมบริเวณใบหน้า มือ และเท้า
      2. ทารกดิ้นน้อยลง
      3. สายตาพร่ามัว
      4. ปวดศีรษะ
      5. คลื่นไส้อาเจียน
      6. จุกแน่นบริเวณลิ้นปี่
      7. หายใจลำบาก

      นอกจากนี้ ครรภ์เป็นพิษยังมีอาการตับทำงานผิดปกติและมีความดันเลือดสูงร่วมด้วย โดยภาวะครรภ์เป็นพิษมี 3 ระดับ ได้แก่ ครรภ์เป็นพิษที่ไม่รุนแรง , eclampsia คือ ครรภ์เป็นพิษที่รุนแรง และครรภ์เป็นพิษที่รุนแรงจนมีอาการชัก อาจทำให้ตับทำงานผิดปกติ หยุดทำงาน และมีการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ

      อันตรายของภาวะครรภ์เป็นพิษ

      eclampsia คือ ครรภ์เป็นพิษชนิดที่รุนแรงมาก ๆ จะทำให้แม่และลูกเสี่ยงอันตราย ทำให้แม่เสียชีวิตได้ ส่วนทารกในครรภ์ ถ้าอายุครรภ์ใกล้คลอดเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 เด็กอาจคลอดก่อนกำหนด กรณีที่อายุครรภ์ยังน้อยอาจต้องยุติการตั้งครรภ์ ถ้าครรภ์เป็นพิษรุนแรงนาน ๆ อาจทำให้ทารกเติบโตช้า ตัวเล็ก และขาดออกซิเจน

      ครรภ์เป็นพิษเกิดจากอะไร
      ครรภ์เป็นพิษ

      การรักษาครรภ์เป็นพิษ

      แพทย์จะประคับประคองแม่และทารกในครรภ์จนกว่าจะถึงเวลาอันสมควรในการคลอด หากอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ขึ้นไป จะสามารถผ่าคลอดหรือเร่งคลอด เพื่อไม่ให้อาการครรภ์เป็นพิษรุนแรงขึ้น

      วิธีป้องกันครรภ์เป็นพิษ

      • ครรภ์เป็นพิษมีสาเหตุไม่แน่ชัด หากฝากครรภ์เร็วก็สามารถตรวจร่างกาย ดูความเสี่ยง เช็คโรคประจำตัว และติดตามอาการของแม่ได้เร็ว เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
      • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ปรุงสุก สด สะอาด ปลอดภัย หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสจัด เช่น เค็มจัด
      • ดื่มน้ำไม่น้อยกว่า 6 แก้วต่อวัน
      • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้านอนนาน ๆ ไม่ได้ ก็พยายามหาช่วงเวลางีบหลับระหว่างวัน
      • ออกกำลังกายตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง
      • ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามสูบบุหรี่ และไม่ควรอยู่ใกล้สารเคมีอันตราย

      เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ควรรีบไปฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด หมั่นสังเกตร่างกายอยู่เสมอ หากมีความผิดปกติให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด ที่สำคัญ ควรไปโรงพยาบาลตามนัดทุกครั้งเพื่อติดตามการตั้งครรภ์

      อ้างอิงข้อมูล : petcharavejhospital และ rama.mahidol.ac.th

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       

      อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

      ถุงน้ำรังไข่หลายใบ ต้นตอมีลูกยาก ครรภ์เป็นพิษ

      ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก ต้องยุติตั้งครรภ์ ซ้ำยังเสี่ยงมะเร็ง

      เชื้อ CMV คืออะไร ไวรัสที่คนท้องติดเชื้อได้ มีผลต่อทารกแรกเกิด

      แม่ท้อง แพ้อาหารทะเล ส่งผลต่อลูกยังไงมาหาคำตอบกัน

      ทารกคลอดก่อนกำหนดน้ำหนักตัวน้อย พัฒนาการลูกจะเป็นอย่างไร อันตรายไหม

        มื้อเช้ากินข้าวกล้อง

        มื้อเช้ากิน “ข้าวกล้อง” โภชนาการลดเครียดเด็กเล็กวัย 1-3 ปี

        เด็กเล็กช่วงวัย 1-3 ปีมีความเครียดได้ทุกวันเหมือนผู้ใหญ่ โภชนาการที่ดีจะช่วยจัดการความเครียดได้ มีคำแนะนำจากกุมารแพทย์ ระบุว่า เพียงปรับเปลี่ยนอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรทในมื้อเช้าของลูกโดยเลือกกินข้าวไม่ขัดสีแทนข้าวขาว หรือขนมปังโฮลวีทแทนขนมปังขาวพร้อมกับเนื้อสัตว์ จะทำให้ร่างกายผลิตสารสื่อประสาทในสมองที่เป็นสารสร้างความสุข ชื่อว่า “เซโรโทนิน”  ทำให้รู้สึกเบิกบาน ผ่อนคลาย ลดภาวะความตึงเครียดของร่างกายและสมองของเด็กๆ ได้ทุกวัน แถมในข้าวไม่ขัดสียังมีวิตามินและแร่ธาตุสำคัญหลายชนิดที่ช่วยเสริมสร้างการพัฒนาสมองในวัยเด็กเล็กได้ดีอีกด้วย

        มื้อเช้ากินข้าวกล้อง โภชนาการลดเครียด ?

        มื้อเช้ากินข้าวกล้อง

        แพทย์หญิงเสาวภา  พรจินดารักษ์   กุมารแพทย์ พัฒนาการและพฤติกรรม โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์  ให้ข้อมูลว่า เด็กเล็กมีความเครียดไม่ต่างจากผู้ใหญ่ อยู่ที่ว่าพ่อแม่จะสังเกตเห็นหรือไม่  พฤติกรรมที่เด็กเล็กแสดงออกเวลาเครียด คือกริยาอาการรูปแบบต่างๆ อาจจะหงุดหงิดง่าย งอแงเอาแต่ใจ โดยเฉพาะเมื่อถูกขัดใจจะเห็นได้ชัดเจน เมื่อพ่อแม่เห็นลูกฮึดฮัด ร้องงอแง ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ จึงไม่คิดว่าเด็กๆ ก็เครียดเป็น  ยิ่งถ้าบ้านไหนชอบแหย่เด็กให้โวยวาย ให้นึกเลยว่า เรากำลังทำให้ลูกเผชิญกับความเครียดโดยไม่จำเป็น ผู้ใหญ่จึงไม่ควรแหย่เด็กเด็ดขาด เพราะความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่บั่นทอนภาวะโภชนาการของเด็กได้

        “ตามธรรมชาติร่างกาย เมื่อเกิดภาวะตึงเครียด จะหลั่งสารอะดรีนาลีนเพื่อกระตุ้นให้ร่างกายเตรียมพร้อมที่จะสู้หรือหนี โดยระบบการหมุนเวียนเลือดและหัวใจจะทำงานหนักขึ้นและเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น กล้ามเนื้อแขนขาเกร็ง มีการยับยั้งการดูดซึมอาหารของลำไส้  ซึ่งการยับยั้งการดูดซึมอาหารของลำไส้นี่แหละ ที่ทำให้ร่างกายของเด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอได้ถ้ามีความเครียดต่อเนื่องยาวนาน เมื่อร่างกายดูดซึมสารอาหารไม่พอ ก็ต้องดึงเอาสารอาหารที่เก็บสะสมไว้ในร่างกายออกมาใช้แทน ดังนั้น ถ้าเด็กที่มีโภชนาการน้อยหรือไม่เหมาะสมอยู่เป็นทุนเดิม ก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคขาดสารอาหารได้ การเลี้ยงลูกให้มีโภชนาการที่สมบูรณ์ร่วมกับการเลี้ยงลูกเชิงบวก จึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับลูก เพราะร่างกายเด็กจะสามารถรับมือกับความเครียดในปริมาณเหมาะสม โดยไม่ต้องดึงสารอาหารที่ควรใช้ในการเจริญเติบโตมาใช้งานแทน” แพทย์หญิงเสาวภา กล่าว และให้ข้อมูลน่าสนใจเติมเพิ่มว่า ทุกครั้งที่เกิดความเครียด ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนความเครียดอีกตัวชื่อว่าคอร์ติซอล ฮอร์โมนตัวนี้ถ้าเกิดขึ้นเรื้อรังและยาวนานก็จะส่งผลให้เซลล์สมองถูกทำลายได้  อย่างไรก็ตาม ในสมองมีสารสื่อประสาทหลายชนิดที่ช่วยระงับความเครียด เราเรียกว่าสารสื่อประสาทที่สร้างความสุข  เช่น  “เซโรโทนิน”

        ซึ่งทำให้เราเบิกบานใจ ผ่อนคลาย อารมณ์ดี โดยอาหารกลุ่มโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ ไก่ นม ไข่ กลุ่มถั่วและธัญพืชต่างๆ จะมีกรดอะมิโนทริพโตเฟนสูง ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตเซโรโทนิน โดยสมองจะมีระดับซีโรโทนินสูงก็เมื่อร่างกายได้รับอาหารกลุ่มดังกล่าวร่วมกับกลุ่มคาร์โบไฮเดรตในเวลาเดียวกัน เช่น  กินข้าวกับไก่ทอด หรือกินขนมปังคู่กับทูน่า  คุณหมอแนะนำให้เลือกข้าวไม่ขัดสี และขนมปังโฮลวีทดีกว่าข้าวขัดสีและขนมปังขาว เมื่อเซโรโทนินเพียงพอ ลูกจะรู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ มีความสุข แต่ถ้าเซโรโทนินไม่เพียงพอ ลูกจะดูซึมๆ ไม่ค่อยมีชีวิตชีวาหรืออาจตรงกันข้ามคือ หงุดหงิด อารมณ์ไม่ดี ดังนั้น  มื้อสำคัญของลูกคืออาหารเช้า เพื่อให้ร่างกายมีความสุขได้ตลอดวัน  คุณแม่ควรจัดคาร์โบไฮเดรทที่ไม่ขัดสีบวกกับกลุ่มโปรตีนในสัดส่วนที่เหมาะสมจึงจะทำให้เกิดสมดุลฮอร์โมนในสมองได้

        มื้อเช้ากินข้าวกล้อง

        “สำคัญคือมื้อเช้าสำหรับเด็กเล็ก กินข้าวไม่ขัดสีพร้อมโปรตีนและห้าหมู่ครบถ้วน”  คุณหมอยังแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า คุณแม่ควรให้ความสำคัญกับอาหารในกลุ่มที่มีสารต้านอนุมูลอิสระด้วย เพราะความเครียดที่เกิดขึ้นจะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำลง จะเจ็บป่วยง่ายขึ้น ถ้ากินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระทุกวันก็เท่ากับไปช่วยแก้กันได้ เช่น ผักและผลไม้หลากสี  ซึ่งเป็นอาหารในกลุ่มวิตามินและแร่ธาตุ

        แต่หลายครอบครัวมักเจอปัญหาลูกไม่ชอบกินผัก กินผลไม้น้อยหรือไม่กินเลย การเลือกนมเสริมสารอาหารสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี ซึ่งอยู่ในกลุ่มอาหารสำหรับเด็กเล็ก (Young Child Formula : YCF) ก็เป็นตัวช่วยของคุณแม่ได้ทางหนึ่ง เพราะนมกลุ่มนี้ นอกเหนือจากในนมจะมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรทและไขมันตามธรรมชาติอยู่แล้ว ยังมีการเติมสารอาหารในกลุ่มวิตามินและแร่ธาตุ  เช่น  ธาตุเหล็ก ไอโอดีน  โฟเลต วิตามินบี12 และแร่ธาตุต่างๆ ที่มีส่วนช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตตามช่วงวัย โดยสารอาหารเหล่านี้ถูกเติมในปริมาณที่มีการวิจัยมาแล้วว่าเหมาะกับช่วงวัย 1-3 ปี

        มื้อเช้ากินข้าวกล้อง

        มีคำแนะนำเรื่องการเลือกนมสำหรับเด็กเล็กวัย 1-3 ปี  จากคุณหมอเสาวภา  โดยคุณหมอฝากย้ำว่า  คุณแม่ต้องรู้ว่านมเป็นอาหารหลักของลูกในช่วงปีแรก  และช่วง 6-12 เดือน ลูกต้องกินอาหารเสริมตามวัย เพื่อให้คุ้นชินกับอาหารอื่นที่ไม่ใช่นมและเนื้อหยาบขึ้นทีละนิดๆ  เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับหลังอายุ 1 ปีที่บทบาทอาหารจะสลับกัน โดยอาหารหลักจะเป็นอาหาร 3 มื้อ ที่มีความหลากหลาย และเนื้อหยาบขึ้นด้วย ส่วนนมจะกลายมาเป็นอาหารเสริม 2-3 ครั้งต่อวันแทน  “เราต้องยึดเรื่อง 3 มื้อหลักให้ได้ครบ 5 หมู่ ส่วนการกินนม  ถ้ากินนมแม่อยู่ก็ให้กินต่อไปยาวๆ ไปเลยเพราะข้าวเป็นอาหารหลักอยู่แล้ว”  กุมารแพทย์กล่าว

        “การเลือกชนิดของนมให้ขึ้นอยู่กับสไตล์ของเด็ก  ถ้าวัย 1-2 ปี เด็กบางคนยังไม่ขอบดูดหลอด เราก็ใช้ดื่มแก้ว เป็นนมวัวก็ได้  นมเสริมสารอาหารก็ได้  แล้วนมสองอย่างนี้ต่างกันตรงไหน ก็ต่างตรงที่นมวัวทั่วไปไม่ได้เสริมเพิ่มอะไรลงไป แต่เพียงพอต่อร่างกาย (เพราะอาหารหลักอยู่ที่ 3 มื้อห้าหมู่) ส่วนนมเสริมสารอาหารก็จะมีการเติมสารอาหารที่จำเป็นต่อพัฒนาการทางร่างกายและสมองของช่วงวัย เหมาะกับเด็กที่พ่อแม่ประเมินว่าลูกอาจขาดสารอาหารจากมื้อหลักในระหว่างที่กำลังปรับพฤติกรรมการกิน อาจด้วยเพราะทะเลาะกันเยอะ ลูกต่อต้านจนเม้มปากหนัก คายอาหารทุกคำที่ป้อน ร้องไห้อาละวาด สัมพันธภาพไม่ดีแล้ว ความเครียดของลูกและแม่จะยิ่งทำให้ลูกต่อต้านไม่กินมากขึ้นอีก สารอาหารต่างๆ ก็คงไม่ถึงท้องแน่ ถ้าเป็นแบบนี้ แนะนำให้ดื่มนมเสริมสารอาหารในช่วงมื้อนม เพื่อให้ลูกได้รับสารอาหารจำเป็นที่หลากหลายบ้าง และช่วยลดความเครียดของแม่ลง แล้วคุณแม่ก็มาตั้งหลักใหม่ สร้างวินัยการกินด้วยวิธีเชิงบวกแทนนะคะ  โดยคุณแม่บางท่านใช้เวลาปรับวินัยการกินเป็นสัปดาห์ แต่บางท่านก็เป็นเดือน ตรงนี้ไม่ว่ากัน เพราะแต่ละท่านมีพื้นฐานและบริบทไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าใช้เวลาปรับลูกนานให้ประเมินด้วยว่า ลูกจะขาดอาหารที่จำเป็นหรือเปล่า การให้เป็นนมเสริมสารอาหารก็จะมีประโยชน์ต่อลูกในช่วงนี้ได้”  คุณหมอกล่าวทิ้งทาย

          ข้อดีของ โรงเรียนใกล้บ้าน

          4 ข้อดีของการเลือก “โรงเรียนใกล้บ้าน” ให้ลูก โดย พ่อเอก

          เย็นวันหนึ่งตอนที่เห็นลูกกลับจากโรงเรียนแล้วออกไปเล่นสเก็ตบอร์ดอย่างสนุกสนาน ผมนั่งมองแล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่า อืม โชคดีที่มี โรงเรียนใกล้บ้าน ที่ดี ที่เราชอบ เราจึงมีเวลาที่จะทำกิจกรรมด้วยกัน คิดๆ แล้วก็เลยอยากเล่าเรื่องการเรียนโรงเรียนใกล้บ้านดีอย่างไร  (แต่ถ้าเรียนไกลบ้านก็อย่าได้เสียใจ ตอนเรียนไกลบ้าน เราก็สร้างประสบการณ์ดีๆด้วยกันได้)

          ข้อดีของการเรียนโรงเรียนใกล้บ้าน

          1. ได้ทานมื้อเช้าด้วยกัน

          การที่เราเรียน โรงเรียนใกล้บ้าน ทำให้เราได้ทานมื้อเช้าด้วยกัน ก่อนมี Covid-19 เราจะออกไปถึงโรงเรียนแต่เช้าและทั้ง 4 คน พ่อ แม่ ลูก ก็นั่งทานอาหารมื้อเช้าด้วยกันที่โรงเรียน เสร็จแล้วก็ส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้ว ผมกับภรรยาก็ต่างขับรถแยกย้ายไปทำงาน (ก่อนหน้านี้ลูกเราก็เรียนไกลบ้าน บ้านอยู่โซนพระราม 2 แต่ลูกเรียนเอกมัย แต่เราก็สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีได้ โดยลูกจะทานเข้ากล่องที่เราเตรียมไว้ให้ แล้วบนรถเราจะมีกิจกรรมตั้งแต่ ร้องเพลง เล่านิทานที่แต่งเองด้วยกัน ไปถึงการคิดเกมส์อะไรสดๆ จากสิ่งที่เราเห็น เช่น นับรถยนต์ยี่ห้อนั้นนี้ หรือ บวกเลขจากทะเบียนรถยนต์คันหน้า เป็นต้น)

          ทำการบ้านกับเพื่อน

          2. ฝากรับลูกได้ง่ายเมื่อติดธุระ

          เราสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับโรงเรียนได้เยอะ เพราะเราจะรู้สึกว่าเป็นชุมชนเดียวกัน นอกจากนั้นครอบครัวที่อยู่ใกล้ๆ โรงเรียนก็พึ่งพาอาศัยกันได้ อย่างโรงเรียนที่ลูกเราเรียนอยู่เป็นเรื่องปกติที่ครอบครัวนั้นช่วยรับลูกครอบครัวนี้กลับ หรือฝากลูกไปเล่นที่บ้านก่อนนะพอดีติดธุระ (ซึ่งการเรียนไกลบ้าน โอกาสที่จะโชคดีมีเพื่อนร่วมทางฝากลูกมันยาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี เพราะตอนที่ลูกเรียนไกล เราโชคดีที่มีคุณพ่อคุณแม่ 3-4 ครอบครัว ที่พึ่งพาอาศัยกัน ใครถึงก่อนก็ช่วยดูแลลูกกันก่อนจะมารับแล้วแยกย้าย ตอนนี้แม้จะย้ายโรงเรียนแต่ครอบครัวก็ยังติดต่อพูดคุยกันเสมอๆ)

          3. มีเวลาทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนกับลูก

          มีเวลาทำกิจกรรมหลังเลิกเรียนในครอบครัวเยอะเพราะจากโรงเรียนกลับมาถึงบ้านเราใช้เวลาไม่ถึง 15 นาที ดังนั้น ทุกวันตอนเย็นจะมีกิจกรรมมากมายที่ลูกสามารถมีเวลาทำได้ ทั้งการทำอาหาร เล่นกีฬา ออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อน อ่านหนังสือ ทำงานศิลปะ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ไปวัดไหว้พระ ให้อาหารปลา ไปซื้อของที่ตลาด เป็นต้น ทั้งหมดที่ยกตัวอย่างมาเป็นกิจกรรมจริงๆ ที่แต่ละวันจะปวดหัวว่าวันนี้เลิกเรียนจะไปทำกิจกรรมอะไรดี เพราะอยากทำไปหมด เพราะเด็กเรียนรู้ได้ดีผ่านการเล่น การมีเวลาได้เล่นนอกจากไปโรงเรียนในแต่ละวันจะทำให้เด็กได้เรียนรู้มากขึ้น หรือบางวันก็นัดกับครอบครัวเพื่อนๆ ที่โรงเรียนไปทำกิจกรรมร่วมกัน เพราะโรงเรียนใกล้บ้านก็จะมีหลายครอบครัวอยู่ใกล้ๆ กัน อย่างของลูกเราก็จะมี 1-2 วันต่อสัปดาห์ที่จะไปเช่าสนามบอลใกล้ๆ โรงเรียนวิ่งเล่นแข่งกีฬากัน (ในตอนที่เรียนไกล เราก็ต้องใช้เวลาบนรถให้คุ้มค่า เราไม่เคยให้ลูกดูจอบนรถเลย หลายๆ กิจกรรมก็คล้ายๆ กับตอนเช้าที่เราไปโรงเรียนนั่นแหละ แต่มีเพิ่มเติมคือผลัดกันเล่าว่าวันนี้ไปทำอะไรมาบ้าง ลูกเล่าให้พ่อแม่ฟัง และพ่อแม่ก็เล่าให้ลูกฟังเช่นกัน อ้ออออ และบทสนทนาบนรถเรามักจะใช้ภาษาอังกฤษคุยกันเพื่อเป็นการเรียนรู้ไปด้วย รวมทั้งการเปิดนิทานหรือเพลงภาษาอังกฤษก็ได้)

          โรงเรียนใกล้บ้าน
          โรงเรียนใกล้บ้าน ทำให้เด็กๆ มีเวลาเล่นมากขึ้น

          4. ลูกมีเวลาเล่นมากขึ้น

          เมื่ออยู่ โรงเรียนใกล้บ้าน นอกจากจะทำให้เด็กๆ มีเวลาเล่นมากขึ้น (ยิ่งลูกเราเรียนโรงเรียนทางเลือก การบ้านน้อยมากก็ยิ่งเหลือเวลาเล่นเยอะ แต่ต่อให้เรียนโรงเรียนแนววิชาการ หากเลือกที่อยู่ใกล้บ้าน คุณพ่อคุณแม่ก็จะได้มีเวลาทำการบ้านกับลูก จะได้รู้ว่าลูกเข้าใจ ไม่เข้าใจตรงไหน เพราะเราเอาเวลาที่จะใช้ขับรถมาเป็นเวลาทำการบ้านร่วมกับลูก) ก็ยังทำให้สามารถทำกิจกรรมร่วมกับพ่อแม่ได้ เช่น ครอบครัวเราจะออกไปจ๊อกกิ้งด้วยกันตอนเย็น บางวันลูกก็สามารถจ๊อกกิ้งกับเราไปเรื่อยๆ เป็นระยะ 10 กม.ได้เลย ปั่นจักรยานออกไปผจญภัยนอกหมู่บ้านด้วยกัน ลูกเล่น roller blade ผมก็ซื้อมาหัดกับลูกด้วย ตอนนี้ลูกเล่น skate board ผมก็กำลังคิดจะหัดเล่นกับลูกหละ นอกจากนั้นผมก็กำลังคิดจะหัดเล่นเครื่องดนตรีอะไรที่ไม่ยากนักจะได้มาเล่นร่วมกับลูกที่เล่นไวโอลิน

          เห็นข้อดีของการเรียนโรงเรียนใกล้บ้านแล้วใช่มั้ยเอ่ย ตอนนี้ใกล้ช่วงเวลาหาโรงเรียนให้ลูกแล้ว ขอให้ทุกครอบครัวได้โรงเรียนที่ดีที่ใกล้บ้านนะครับ แต่หวังว่าคงไม่เอาเวลาที่เหลือจากการที่ไม่ต้องเดินทางไกลไปกับการนั่งหน้าจอกันนะครับ

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          ชวนลูกทำอาหาร “สร้างความมั่นใจ” ติดตัวไปจนโต โดย พ่อเอก

          6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว โดย พ่อเอก

          5 เทคนิค อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เริ่มตอนไหน? อ่านยังไง? โดย พ่อเอก

          แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก โดย พ่อเอก

          แชร์ประสบการณ์ ฝึกวินัยการกินให้ลูก กินข้าวตรงเวลา โดยพ่อเอก


          >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

          หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

          ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
          ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            ลูกติดเชื้อไวรัส

            ลูกติดเชื้อไวรัส ผื่นเต็มตัว แม่เตือน! ระวังคนมาเล่นกับลูก

            ผื่นเต็มตัว เพราะติดเชื้อจากผู้ใหญ่ แม่เล่าเหตุ ลูกติดเชื้อไวรัส ต้องระวังคนมาเล่นกับลูก

            ลูกติดเชื้อไวรัส เพราะสัมผัสจากผู้ใหญ่

            ทารกหรือเด็กเล็ก ๆ น่าอุ้ม น่ากอด น่าฟัด เมื่อไหร่ก็ตามที่อุ้มลูกออกจากบ้าน มักจะมีทั้งคนรู้จักและคนแปลกหน้า เดินเข้ามาชื่นชมกันอยู่เสมอ ถ้าดูอยู่ห่าง ๆ ก็ไม่เป็นอะไร แต่หลายครั้งพ่อแม่มักจะลำบากใจ เมื่อคนมาขออุ้มขอกอดทารกน้อย เพราะลูกยังเล็ก ความเสี่ยงมีมากมาย โดยเฉพาะตอนนี้ที่มีโรคระบาดและโรคติดต่อที่ต้องระวัง

            คุณแม่ท่านหนึ่งได้เล่าเรื่องราว ลูกวัย 8 เดือน ติดเชื้อไวรัสจนเกิดผื่นขึ้นเต็มตัว เพราะติดเชื้อจากผู้ใหญ่ที่มาสัมผัส โดยเล่าว่า เเม่ ๆ บ้านอื่นอย่าชะล่าใจนะคะ หมั่นสังเกตอาการของลูกอยู่เสมอ

            “เมื่อวันจันทร์ (7 ธันวาคม) ลูกมีผื่นเต็มตัว ไม่มีไข้ แม่พาไปคลินิกแถวบ้าน หมอบอกว่าเป็นหัด เช้าวันต่อมาลูกมีไข้สูง หมอที่โรงพยาบาลในอำเภอแห่งหนึ่ง เช็ดตัวและให้กินยาลดไข้ จนถึงเช้า อาการลูกไม่ดีขึ้นจึงส่งเข้ามาโรงพยาบาลในตัวจังหวัด มาถึงหมอบอกอาการไม่ค่อยดี พอ 5 โมงเย็น ลูกมีอาการชัก หยุดหายใจชั่วขณะ ตอนนี้ปั๊มและใส่ท่อแต่มีเลือดออกในปอด”

            คุณแม่เล่าด้วยว่า ลูกต้องใส่ท่อช่วยหายใจ อาการลูกยังคง 50 / 50 ต้องเฝ้าดูอาการอย่างต่อเนื่อง หมอบอกตอนนี้ น้องติดเชื้อไวรัสแต่ไม่ทราบชนิดของไวรัส ตรวจ RSV แล้วไม่พบ ที่ติดเป็นเพราะเชื้อมาจากผู้ใหญ่ มีคนมาสัมผัส มาเล่นกับลูก แม่ก็เฝ้าแต่โทษตัวเองว่าดูแลลูกไม่ดีพอ อยากฝากแม่ท่านอื่นนะคะ ให้ดูแลลูกให้ดีกว่าเรา

            ทีมแม่ ABK สอบถามเพิ่มเติม คุณแม่อัปเดตว่า อาการของลูกยังทรงตัวอยู่ คุณหมอให้นมไปแล้ว 1 ออนซ์ ตอนนี้ใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ยาฆ่าเชื้อ ยานอนหลับ และน่าจะต้องให้เลือดด้วย คนเฝ้าก็ไม่สามารถคลาดสายตาได้เลย กลัวลูกชัก เชื้อโรคทุกวันนี้ร้ายเเรงมาก คุณหมอให้งดเยี่ยมกลัวเชื้อโรคจะมาติดลูกอีก

            “คุณหมอแจ้งว่า ลูกมีอาการสมองติดเชื้อจากไวรัส และปอดติดเชื้อ หลังจากตรวจแล้วไม่พบว่าเป็น RSV ไม่ใช่ชิคุนกุนยา ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเชื้อไวรัสชนิดไหน” คุณแม่บอกด้วยว่า ลูกติดเชื้อจากผู้ใหญ่ บางครั้งพาไปตลาด ก็มีคนมาจับ มาหอม และมีพาไปห้างบ้าง ก็มีคนมาเล่นกับลูก อาจจะเพราะบางคนเป็นหวัดลูกเราก็ติดได้ แม่ก็เกรงใจ ใครมาจับก็ให้จับ กลัวเขาหาว่าหวงลูกเกินไป หลังจากนี้ต้องดูแลเรื่องความสะอาดมาก ๆ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ล้างแอลกอฮอล์

            คุณแม่ทิ้งท้ายด้วยว่า อยากฝากไว้ให้เป็นอุทาหรณ์ กลัวลูกคนอื่นจะเป็นแบบลูกเราเหมือนกัน ตอนนี้คุณหมอบอกว่า คุณแม่ต้องให้กำลังใจลูก แม่ต้องเข้มแข็งค่ะ

            ลูกติดเชื้อไวรัส ผื่นเต็มตัว
            ลูกติดเชื้อไวรัส ผื่นเต็มตัว

            โรคจากผู้ใหญ่ ภัยร้ายสำหรับเด็ก

            ความน่ารักของเจ้าตัวน้อย เชื้อเชิญให้ผู้ใหญ่รู้สึกอยากกอด อยากหอม และเข้ามาเล่นด้วย โดยไม่ทันได้ระวังว่า ทารกนั้นป่วยได้ง่าย หากสัมผัสเชื้อโรคเพียงเล็กน้อย ก็เกิดอันตรายรุนแรงได้มากกว่าที่คิด สำหรับโรคที่พบได้บ่อยว่าติดเชื้อจากผู้ใหญ่ ได้แก่

            โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น RSV และโรคไข้หวัดใหญ่

            นายแพทย์พรเทพ สวนดอก กุมารแพทย์สาขาโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า RSV เป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่มักเกิดในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี โดยเฉพาะฤดูฝน หรือช่วงปลายฝนต้นหนาว สามารถติดต่อได้ผ่านสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย ละอองจากการไอ จาม และการสัมผัส อาการของเด็กจะคล้ายไข้หวัดธรรมดา ไข้ ไอ จาม น้ำมูกไหล แต่ RSV ยังส่งผลให้ทางเดินหายใจส่วนล่างมีการอักเสบ เกิดโรคหลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ โรคปอดบวมหรือปอดอักเสบ รายที่อาการรุนแรงจะมีอาการไข้สูง ไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงครืดคราด มีเสมหะในลำคอ ส่วนอาการที่ต้องระวัง ไข้สูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส ไอจนอาเจียน หายใจเร็วหอบจนชายโครงหรืออกบุ๋ม หายใจออกลำบากหรือหายใจมีเสียงวี้ด (wheezing) ไม่กินนม ไม่กินอาหาร ปากซีดเขียว จะเสี่ยงต่อระบบทางเดินหายใจล้มเหลว

            ไข้หวัดใหญ่พบบ่อยในฤดูฝนและฤดูหนาว เกิดจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) มักมีอาการรุนแรงกว่าไข้หวัดธรรมดา และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ไข้หวัดใหญ่มีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ A, B และ C ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A แบ่งออกเป็นหลายซัปไทด์ ซัปไทด์ที่มีการระบาดเป็นประจำคือ H1N1 และ H3N2 ส่วนไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B แบ่งออกเป็น 2 lineages คือ Victoria และ Yamagata โดยอาการมักไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ A มีเฉพาะสายพันธุ์ A และ B ที่มีการระบาดโดยทั่วไป การติดต่อนั้นติดได้จากการสัมผัสละอองฝอยจากการไอและการจาม เชื้อไวรัสจะอยู่ในเสมหะ น้ำมูก และน้ำลาย หากอยู่ใกล้ชิด สัมผัสตัวเด็กก็จะเสี่ยงติดเชื้อได้ อาการในเด็กเล็กจะมีไข้สูง ร่วมกับอาการทางระบบอื่น เช่น ถ่ายเหลว คลื่นไส้อาเจียน และชักจากไข้สูง

            ลูกติดเชื้อไวรัส ผื่นเต็มตัว

            โรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร

            พญ.วนิดา พิสิษฐ์กุล กุมารแพทย์ รพ.ธนบุรี 2 บอกถึงอันตรายของโรคติดเชื้อทางเดินอาหารว่า อาการท้องเสีย อุจจาระร่วง และลำไส้อักเสบ เกิดขึ้นได้จากเชื้อหลายชนิด เช่น โนโรไวรัส (Norovirus) เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) และอดีโนไวรัส (Adenovirus) แต่เชื้อไวรัสที่พบบ่อยที่สุดคือ เชื้อไวรัสโรต้า มีอยู่ 9 สายพันธ์ใหญ่ แต่สายพันธุ์ A พบบ่อยสุด ส่วนสายพันธุ์ย่อยแบ่งตามโปรตีนบนผิวเซลล์คือ G และ P สายพันธุ์ย่อยที่พบบ่อยคือ G1,G2,G3,G4 และ G9 เนื่องจากมีหลายสายพันธุ์ทำให้พบการติดเชื้อได้หลายครั้ง แต่อาการจะรุนแรงในการติดเชื้อครั้งแรก การติดต่อเป็นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไวรัสโรต้าจะเข้าสู่ร่างกายทางปาก เช่น

            • สัมผัส ของเล่น เสื้อผ้า และของใช้
            • อาเจียนหรืออุจจาระผู้ป่วย
            • รับเชื้อผ่านน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน
            • รับเชื้อผ่านทางภาชนะอาหารหรือแก้วน้ำที่ปนเปื้อน
            • ข้อมูลองค์การอนามัยโรคพบว่ามีการติดต่อทางการหายใจได้ด้วย

            อาการสำคัญของโรค

            1. อาเจียน
            2. ไข้สูง
            3. ในเด็กเล็กต้องระวังอาการชักจากไข้สูง (หรืออาจไม่มีไข้ได้)
            4. ปวดท้อง
            5. ถ่ายเหลวเป็นน้ำ
            6. เบื่ออาหาร
            7. อาจพบอาการหวัดร่วมด้วย จะมีอาการ 3-8 วัน

            อาการแทรกซ้อนที่ต้องระวัง ได้แก่ ภาวะขาดน้ำ ขาดเกลือแร่ ริมฝีปากแห้ง ลิ้นแห้ง ใต้ตาลึกโบ๋ ร้องไห้ไม่มีน้ำตาไหล ปัสสาวะน้อย อ่อนเพลีย กระวนกระวาย เวียนศีรษะ ไม่มีแรง หากมีอาการรุนแรงจะเสี่ยงต่อภาวะช็อคหรือความดันโลหิตต่ำ เกิดไตวายเฉียบพลันและเสียชีวิตได้

            โรค มือ เท้า ปาก อีกหนึ่งโรคร้ายที่ผู้ใหญ่และเด็กติดต่อกันได้ง่าย รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายถึงโรค มือ เท้า ปาก ว่า เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหลายชนิด โดย enterovirus 71 หรือเรียกย่อๆ ว่า EV 71 เป็นเชื้อที่มีความรุนแรงสุด โรคนี้พบบ่อยในเด็กเล็กอายุ 1-5 ปี การติดต่อของโรคมือ เท้า ปาก ติดต่อได้ง่ายโดยการสัมผัสกับเชื้อโดยตรง จากตัวผู้ป่วยหรือจากเชื้อที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม สำหรับอาการสำคัญของโรค ได้แก่ มีไข้ เจ็บในช่องปาก พบเป็นตุ่มหรือแผล และพบตุ่มน้ำใสที่บริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้าร่วมด้วย

            ส่วนอาการรุนแรงที่ต้องระวัง เช่น ไข้สูง ซึม หายใจผิดปกติ มีการเต้นของหัวใจผิดปกติ อาการเหล่านี้อาจเกิดจากภาวะแทรกซ้อนทางสมอง ได้แก่ ภาวะแกนสมองอักเสบ อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

            สำหรับวิธีป้องกันการติดเชื้อของทารกหรือเด็กเล็ก ควรดูแลรักษาเรื่องความสะอาด ล้างมือให้ลูกเสมอ พ่อแม่หรือทุกคนที่มาอุ้มมาจับต้องล้างมือให้สะอาด ดูแลบ้านให้ปราศจากเชื้อโรค ของเล่น ของใช้ลูก ต้องทำความสะอาดเป็นประจำ ควรหลีกเลี่ยงการพาลูกไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน และไม่ควรให้คนอื่นมาจับ มากอดหรือหอมลูก เลือกการปฏิเสธอย่างนุ่มนวล เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย

            อ้างอิงข้อมูล : thonburi2hospital, chulalongkornhospital, prachachat และ pidst

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

            อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

            รักษาโรคภูมิแพ้ ด้วยการปรับภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ลูกรักชนะโรคร้าย

            Rhinovirus แตกต่างจาก RSV อย่างไร ระวังลูกเป็นโรคทางเดินหายใจ

            โรค G6PD คือ อะไร อันตรายกับลูกแค่ไหน พ่อแม่ควรรู้!

            โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก มะเร็งที่พบบ่อยในเด็ก สัญญาณอันตรายโรคร้าย

              ครีมกันแดดเด็ก

              รีวิว Biore UV Smooth Kids Milk SPF50+PA++++ ครีมกันแดดเด็ก ที่อ่อนโยนที่สุด ปกป้องผิวจากUVระดับสูง ลงเล่นน้ำได้

              เวลาลูกเล่นตากแดด หรือเล่นน้ำในสระต้องทาครีมกันแดดหรือเปล่า แม้เด็กๆจะสนุกกับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง แต่ผิวบอบบางของพวกเขากำลังถูกแสงยูวีทำลาย ทำให้รู้สึกแสบร้อน และเสี่ยงต่อการเป็นโรคผิวหนังไม่ต่างจากผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่จึงควรปกป้องผิวของลูกน้อยให้ปลอดภัยและมีสุขภาพดีอยู่เสมอด้วยการทา ครีมกันแดดเด็ก ก่อนทุกครั้งที่ออกแดด

              ลูกน้อยอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปสามารถใช้ครีมกันแดดได้ เพียงแต่ต้องเลือกให้เป็นสูตรอ่อนโยน ปราศจากน้ำหอม สารเคมีอันตราย ควรเลือกครีมกันแดดที่กันน้ำได้ดี สามารถทาได้ทั้งใบหน้าและลำตัว โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ผ่านการทดสอบรับรองจากสถาบันที่น่าเชื่อถือ

              สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือ คุณแม่ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง เพื่อทำหน้าที่ปกป้องผิวจากแดดให้เหมาะกับวัยของลูก หากเป็นวัยเบบี๋ ไม่ค่อยออกแดดใช้แบบค่า SPF15 ก็เพียงพอ แต่สำหรับลูกวัยคิดส์ที่มีกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้น ควรเลือกใช้ครีมที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไปซึ่งสามารถดูดซับแสง UVB ได้มากถึง 98 %  และมีค่า PA ++++ ซึ่งช่วยป้องกันรังสี UVA เมื่ออยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆถ้าจะให้ดีที่สุดควรกักเก็บความชุ่มชื่นของผิวตามธรรมชาติไว้ไม่ให้สูญเสียไปด้วย

              หากคุณแม่ยังไม่ทราบว่าจะเลือกครีมกันแดดแบรนด์ไหนดี ทีมบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอแนะนำ  Biore UV Smooth Kids Milk SPF50+PA++++ ครีมกันแดดเด็ก สูตรอ่อนโยนกับผิวของลูกวัยคิดส์จะดีแค่ไหน มาหาคำตอบกันเลยค่ะ

              เว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ยกให้ Biore UV Smooth Kids Milk SPF50+PA++++ เป็น ครีมกันแดดเด็ก ที่ได้รับรางวัล  Editor’s Choice Best Baby Sunscreen จาก Amarin Baby & Kids Awards 2020

              ถึงจะต้องปกป้องผิวจากแดดแรงแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากให้ลูกตัวเหนียวเหนอะหนะ ไม่สบายตัวใช่ไหมคะ บอกเลยว่า ครีมกันแดดเด็ก ของบิโอเรตอบโจทย์นี้จริงๆ ค่ะ ด้วยโลชั่นเนื้อน้ำนมสีขาวบริสุทธิ์ เบาบาง มีความเหลวคล้ายน้ำนม เกลี่ยง่าย ซึมซาบไว ลูบไม่กี่ทีก็ซึมเข้าผิวหมด ไม่เป็นคราบ ลูกรู้สึกสบายตัวเหมือนทาแป้ง

              ครีมกันแดดเด็ก

              เวลาทาครีมกันแดด ให้เริ่มจากเทครีมใส่มือคุณแม่ก่อนค่อยๆถูให้ทั่วฝ่ามือ อย่าบีบครีมลงบนผิวลูกโดยตรง เพื่อลดความเสี่ยงที่ครีมจะสะสมบนผิว จากนั้นลูบให้ทั่วใบหน้าและตัวของลูก หลีกเลี่ยงบริเวณรอบดวงตา รอบริมฝีปาก และนิ้วมือ ไม่จำเป็นต้องใช้เยอะนะคะ ลูบแค่ครั้งเดียวให้ทั่วตัวก็พอ

              Biore UV Smooth Kids Milk SPF50+PA++++ เป็นสินค้านำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น คิดค้นมาเพื่อป้องกันผิวบอบบางของเด็กๆโดยเฉพาะ ด้วยประสิทธิภาพสูงสุดของ SPF50+ PA++++ สามารถป้องกันทั้งรังสี UVA1, UVA2 และ UVA ต้นเหตุของผิวหมองคล้ำ และรอยไหม้จากแดด ไม่ว่าลูกจะทำกิจกรรมอะไรก็ปกป้องได้ยาวนาน เพราะเป็นสูตรกันน้ำและเหงื่อได้ดี ไม่หลุดออกง่าย

              ครีมกันแดดเด็ก

              สิ่งที่บก. ปลื้มสุดๆ ก็คือ ทาได้ทั่วตัวและใบหน้า เพราะอ่อนโยนมาก ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม สี แอลกอฮอล์ ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ทาแล้วพร้อมออกแดดได้ทันที ไม่ต้องรอถึงครึ่งชั่วโมงเหมือนครีมกันแดดทั่วไป แถมปกป้องได้นาน ไม่ต้องทาซ้ำบ่อยๆ ปล่อยให้ลูกเล่นสนุกได้เต็มที่โดยไม่มีอะไรมาขัดจังหวะ อีกอย่าง ครีมกันแดดเด็ก ตัวนี้ยังดูแลผิวลูกได้ไม่ต่างจากโลชั่นทั่วไป เพราะมีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่นชื่น ช่วยดูแลผิวไม่ให้แห้งกร้านด้วย สามารถเป็นครีมที่ใช้ทาทุกวันหลังอาบน้ำแต่งตัวได้เลยค่ะ

              ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทางเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ Biore UV Smooth Kids Milk SPF50+PA++++ ได้รับ รางวัล Editor’s Choice สาขา  Best Baby Sunscreen จาก “Amarin Baby & Kids Awards 2020” ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

              สำหรับคุณแม่ที่สนใจ Biore UV Smooth Kids Milk SPF50+PA++++ สามารถหาซื้อได้ที่ วัตสัน,ท็อปส์ และ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป หรือทางOnline ได้ที่ Lazada https://bit.ly/37pgk6c และ Shopee https://bit.ly/3mAcQUQ   สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม รวมถึงโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ https://www.biorethailand.com  และ https://www.facebook.com/Biorethailand

                เล่นอะไรให้ลูกฉลาด

                เล่นอะไรให้ลูกฉลาด หมอแนะ! วิธีเล่นกับลูกตั้งแต่แรกเกิด – 5 ปี

                คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมว่า “การเล่น” สามารถกระตุ้นพัฒนาการที่ดีให้ลูกน้อยฉลาดรอบด้านได้ เพียงแค่เล่นให้เหมาะสมกับลูกน้อยแต่ละวัย หากคุณพ่อคุณแม่ยังไม่มีไอเดียว่าจะ เล่นอะไรให้ลูกฉลาด เสริมสร้าง Power BQ ผ่าน Play Quotient (PQ) หรือความฉลาดที่เกิดจากการเล่น ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำดีๆ จาก คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก มาฝากค่ะ

                เล่นอะไรให้ลูกฉลาด วิธีเล่นกับลูก วัยแรกเกิด – 5 ปี

                นพ. พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้แนะนำ วิธีเล่นกับลูกแต่ละวัยให้ลูกฉลาด ไว้ว่า…

                พอพูดถึงความฉลาดของเด็กๆ นอกจากจะเป็นผลของยีนที่ได้รับจากพ่อและแม่แล้ว การเล่นก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สำคัญ และช่วยส่งเสริมให้ลูกฉลาดได้อย่างเต็มศักยภาพของเด็กเลยครับ หากปล่อยให้เด็กโดยเฉพาะเด็กเล็กเล่นตามลำพัง การเรียนรู้จะได้น้อยกว่าการที่พ่อแม่ร่วมเล่นกับลูกบนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดี เพียงคุณพ่อคุณแม่ต้องรู้จักเล่น รู้จักลูก และรู้จักตัวเองว่า เล่นอย่างไรเราถึงจะถนัด เล่นอย่างไรลูกถึงจะสนุก ปลอดภัย และได้เรียนรู้อย่างเต็มที่ เรามาดูกันนะครับว่า แต่ละช่วงวัยจนถึงวัยอนุบาล เราจะ เล่นอะไรให้ลูกฉลาด อย่างเต็มศักยภาพ

                 

                เล่นอะไรให้ลูกฉลาด กระตุ้นพัฒนาการลูก แรกเกิดถึง 1 ปี

                ช่วงแรกเกิดถึง 1 ปี เด็กทารกเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5​ ตั้งแต่ตาดู หูฟัง กายสัมผัส ลิ้มรับรส และจมูกรับกลิ่น การเล่นที่ส่งเสริมผ่านสัมผัสทั้งหมดได้พร้อมกันมากที่สุด จะส่งเสริมลูกได้เต็มที่มากขึ้นครับ เช่น

                หากลูกเล่น ลูกบอลสีแดงใบหนึ่งตามลำพัง เขาก็จะทำได้แค่ จับๆ ลูบๆ คลำๆ เขี่ย โยน ปา แต่หาก คุณพ่อคุณแม่นำลูกบอลสีแดงนี้ มาเล่นกับลูก แบบที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ เขาจะได้เรียนรู้ทักษะด้านอื่นที่จำเป็นและเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้และพัฒนาต่อยอดในอนาคต เช่น

                เมื่อลูกมองไปที่ลูกบอล เราก็พูดคุยกับลูกว่า “ลูกบอลสีแดงใบใหญ่ๆ หนูลองจับลูกบอลดูไหมครับ อันนี้นุ่ม อันนี้แข็ง” “ถ้าเราโยนไปลูกบอลจะเด้ง ดึ๋ง ดึ๋ง” ลูกจะรับรู้ คำศัพท์ว่า “ลูกบอล สีแดง” รู้จักคำคุณศัพท์ “ใหญ่” ได้สัมผัสและรับรู้ว่า แบบนี้เรียก “นุ่ม” แบบนี้เรียก “แข็ง” มีกริยาว่า “เด้ง” และคำขยายกริยาว่า “ดึ๋ง ดึ๋ง” เห็นไหมครับ ยังไม่ทันไปโรงเรียนเลยก็ได้เรียนภาษาไทย ที่มีความซับซ้อนผ่านการเล่นง่ายๆได้แล้วครับ

                การพูดคุยกับลูกในทุกขั้นตอนของการเล่น เป็นการส่งเสริมพัฒนาการด้านฉลาดรู้ ให้กับสมองในส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนการให้ลูกได้ลงมือทำและสัมผัสไปพร้อมกัน จะส่งเสริมความฉลาดทำให้กับสมองส่วนที่เกี่ยวข้องไปพร้อมกันด้วย หลังอายุ 6 เดือน ที่ลูกเริ่มนั่งได้แข็งแรงดีแล้ว อย่าลืม ฝึกให้ลูกรู้จักรอคอยเล็กๆน้อยๆ ในเวลาที่ไม่นานเกินไป เพื่อฝึกทักษะการควบคุมตัวเองให้เก่งขึ้น เมื่อเขาโตขึ้นได้ด้วยครับ

                บทความแนะนำ 8 วิธี “กระตุ้นสมอง” ทารกแรกเกิด ยิ่งทำลูกยิ่งฉลาด

                เล่นกับลูกวัยเตาะแตะ
                เล่นกับลูกวัยเตาะแตะ ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก

                วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการลูก วัย 1-3 ปี

                ช่วงแรกของวัย 1-3 ปี ลูกยังเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5​ เช่นเดียวกับขวบปีแรก แต่เขาสามารถช่วยเหลือตัวเอง และทำอะไรด้วยตัวเองได้มากขึ้น ทำให้สามารถเล่นกับลูกได้หลากหลายมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนให้ลูกเล่นผ่านกิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง เช่น วิ่งไปมาช่วยคุณพ่อคุณแม่เก็บข้าวของ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดเล็กและมัดใหญ่ การทำงานที่ประสานกันระหว่างสายตาและกล้ามเนื้อ การทรงตัว การตัดสินใจ ไปจนถึงการแก้ปัญหาง่ายๆด้วยตัวเองตามวัย ระหว่างการเล่นที่มีการเคลื่อนไหวอย่าลืมพูดคุยหรือพากย์ให้กับลูกด้วย เพื่อส่งเสริมความฉลาดรู้ ไปพร้อมกับฉลาดทำ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถเพิ่มเติมความยากตามศักยภาพของลูกผ่านการตั้งคำถาม เช่น

                “เรามาช่วยกันเก็บของเล่นกันดีไหมครับ เอ๊ะ …แต่ เราจะเก็บอันเล็กหรืออันใหญ่ก่อนดีนะ ถึงจะใส่กล่องได้พอดี”

                ถึงลูกจะยังทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็เป็นการส่งเสริมให้ลูกฝึกคิด วางแผนและแก้ปัญหาจากเรื่องง่ายๆ ไปสู่เรื่องที่ยากขึ้นตามลำดับครับ

                บทความแนะนำ จับ หนีบ เล่น 20+ กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก เล่นกับลูกในบ้านง่ายๆ

                เล่นบทบาทสมมุติ
                เล่นบทบาทสมมุติกับลูกวัยอนุบาล

                เล่นอะไรให้ลูกฉลาด กระตุ้นพัฒนาการลูก วัย 3-5 ปี

                ช่วงอนุบาลวัย 3-5 ปี เด็กๆ จะพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ไปมากแล้ว การเล่นกับลูกนอกจากจะส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ ที่เป็นทักษะเฉพาะตัว ที่ยังคงต้องต่อเนื่องจากวัยก่อนหน้านี้ อย่างเช่น การเคลื่อนไหวที่ยังต้องให้ได้อย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อวันแล้ว การเล่นส่งเสริมทักษะทางสังคมยังเป็นพื้นฐานการปรับตัวใช้ชีวิตร่วมกับเด็กและผู้ใหญ่คนอื่นในสังคมโรงเรียนและนอกบ้าน ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่อาจใช้การเล่นบทบาทสมมุติ ด้วยการสร้างสถานการณ์ที่เด็กสนใจ เพื่อให้เขาเรียนรู้ทักษะทางสังคม เช่น

                “วันนี้เรามาเล่นขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวกันดีครับ” “ก่อนอื่นเราต้องเข้าคิวไปขึ้นเครื่องบินตามลำดับนะครับ” “เอาล่ะ เด็กๆ นั่งที่แล้ว ต้องทำอย่างไรบ้าง” “เราต้องเก็บของไว้ด้านบนตรงนี้นะครับ” “ได้เวลาเครื่องบินขึ้นแล้ว” ถ้าลูกเอาเท้าเตะไปมา คุณพ่อคุณแม่ก็อาจสอนลูกให้ทราบว่า “เราไม่เตะไปที่เก้าอี้ด้านหน้านะครับ เพราะจะรบกวนผู้โดยสารคนอื่นที่นั่งอยู่”

                คุณพ่อคุณแม่พอเห็นได้นะครับว่า การเล่นที่มีคุณพ่อคุณแม่ร่วมเล่นด้วยสามารถส่งเสริมทักษะได้อย่างรอบด้านมากกว่าปล่อยให้ลูกเล่นตามลำพังหรือเล่นกับผู้ใหญ่ที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเด็ก การส่งเสริมพฤติกรรมและทักษะสังคมที่เหมาะสมคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้การเสริมแรง เช่น ชมเชย ให้รางวัลอย่างสะสมดาว เมื่อลูกปฏิบัติได้เหมาะสม

                บทความแนะนำ สร้างลูกให้มี SQ (Social Quotient) ไม่ก้าวร้าว ไม่เอาเปรียบ ส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิตอย่างมีความสุข

                สิ่งสำคัญในการเล่นกับลูก เพื่อส่งเสริมพัฒนาการได้อย่างเต็มศักยภาพ คือ ต้องเหมาะสมกับความสามารถ และความสนใจทั้งของลูกและผู้ใหญ่ที่เล่นด้วย รวมทั้งอยู่ในขอบเขตของความปลอดภัย เช่น ของเล่นต้องไม่มีขนาดเล็กจนเกินไปหรือแตกหักง่าย ไม่มีเชือกสำหรับเด็กเล็กที่ยังทรงตัวได้ไม่ดี เป็นต้น เพียงคุณพ่อคุณแม่เล่นกับลูกอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมกับศักยภาพของลูก บนพื้นฐานของความปลอดภัยก็สามารถส่งเสริมลูกให้ฉลาดได้อย่างเต็มศักยภาพของเขาแล้วครับ

                บทความโดย : รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
                รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                บทความที่น่าสนใจอื่นๆ 

                ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี? หมอแนะ 10 วิธีรับมือเมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว

                10 วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด สอนลูกฉลาดรู้ ฝึกลูกฉลาดทำ

                ให้ลูกดูมือถือ แท็บเล็ต โทรทัศน์ ตอนกินข้าวช่วยให้กินง่ายจริงหรือ?

                  รักษาโรคภูมิแพ้

                  รักษาโรคภูมิแพ้ ด้วยการปรับภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ลูกรักชนะโรคร้าย

                  รักษาโรคภูมิแพ้ ด้วยการปรับภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการแพ้ของลูกให้ดีขึ้น

                  รักษาโรคภูมิแพ้ ด้วยวิธีปรับภูมิคุ้มกัน

                  นายแพทย์จิรวัฒน์ เชี่ยวเฉลิมศรี อาจารย์แพทย์อนุสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันทางคลินิก สาขาวิชาอายุรกรรม ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เปิดเผยถึงสถานการณ์ของโรคภูมิแพ้ ว่า สถานการณ์ของโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วทั้งโลก ในเมืองไทย สถิติล่าสุดของสมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืดและวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย ปี 2559 พบผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากขึ้นถึง 3 – 4 เท่าเมื่อเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา

                  จากสถิติเผยให้เห็นว่า

                  สำหรับอุบัติการณ์ของโรคภูมิแพ้โดยเฉลี่ย

                  1. โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 23 – 30
                  2. โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคหืดร้อยละ 10 – 15
                  3. โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ร้อยละ 15
                  4. โรคแพ้อาหารร้อยละ 5
                  รักษาโรคภูมิแพ้
                  รักษาโรคภูมิแพ้

                  ภูมิแพ้คืออะไร

                  โรคภูมิแพ้คือโรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสารกระตุ้นที่ในภาวะปกติ แล้วจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรพืช และขนสัตว์ เมื่อเจอสารกระตุ้นจะเกิดการตอบสนองไวอย่างมากจนผิดปกติแตกต่างจากคนทั่วไป หลังสัมผัสกับสารกระตุ้นจะทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ เช่น โพรงจมูก หลอดลม ผิวหนัง

                  สารก่อภูมิแพ้ (Allergen) สามารถเข้าสู่ร่างกายได้หลายทาง อาทิ

                  • การสัมผัสทางผิวหนัง ตา หู จมูก
                  • การรับประทานอาหาร
                  • การได้รับผ่านทางระบบทางเดินหายใจ
                  • การฉีดหรือถูกแมลงกัดผ่านทางผิวหนัง

                  ตัวอย่างสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นตัวการของโรคภูมิแพ้ ได้แก่

                  โรคภูมิแพ้ที่สำคัญที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบต่อชีวิตของผู้ป่วย ได้แก่ โรคหืด (Asthma) โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) และโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Atopic dermatitis)

                  รักษาโรคภูมิแพ้
                  รักษาโรคภูมิแพ้

                  มลพิษทำให้คนเป็นภูมิแพ้เพิ่มขึ้น

                  ในปัจจุบันมีข้อมูลว่ามลพิษ (air pollution) ที่มากขึ้น ทำให้คนเป็นโรคกลุ่มภูมิแพ้ และหลอดลมมากยิ่งขึ้น โรคภูมิแพ้ นายแพทย์จิรวัฒน์ ย้ำว่า คนที่เป็นภูมิแพ้ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่กว่าคนปกติ เช่น เกิดอาการคัดจมูกในเวลากลางคืน จึงนอนอ้าปากหายใจ แล้วตื่นมาด้วยอาการปากแห้ง ทั้งยังรู้สึกเหมือนนอนหลับไม่สนิท อาจมีง่วงช่วงกลางวัน ส่วนกลุ่มโรคหืด อาจมีอาการเหนื่อยทั้งตอนกลางคืน หรือตอนออกแรงจนทำให้ต้องหยุดงาน

                  การรักษาโรคภูมิแพ้

                  การรักษาโรคภูมิแพ้เยื่อบุจมูกอักเสบ โรคหืด หรือผื่นผิวหนังอักเสบให้ได้ผลดี ผู้ป่วยต้องทราบสารที่ก่อภูมิแพ้เพื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ แล้วใช้ยาช่วยในการรักษา ทั้งยาชนิดรับประทาน ยาพ่นจมูก ยาพ่นหรือยาสูดทางปาก และหากใช้ยาแล้วผู้ป่วยยังคุมอาการไม่ได้ ปัจจุบันยังมีการรักษาด้วยการปรับภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) ให้ผู้ป่วยหายแพ้ต่อสารนั้น เพื่อให้อาการของโรคดีขึ้นหรือหายได้

                  ปัจจุบันการรักษาด้วยวิธีการปรับภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) มี 2 วิธีหลัก

                  1. ฉีดสารที่แพ้เข้าใต้ผิวหนังและค่อย ๆ เพิ่มปริมาณทีละนิดทุกครั้งที่มาพบแพทย์
                  2. ใช้สารที่ผู้ป่วยแพ้อมใต้ลิ้นทุกวัน ปัจจุบันในประเทศไทยวิธีอมใต้ลิ้น มีใช้เฉพาะผู้ป่วยกลุ่มที่แพ้ต่อไรฝุ่น

                  ทั้งนี้ ในการรักษาด้วยวิธีปรับภูมิคุ้มกัน (immunotherapy) ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์เฉพาะทาง เพราะอาจมีผลข้างเคียงจากการรักษาได้ในผู้ป่วยบางราย เช่น อาการแพ้ มีผื่น หายใจไม่ออก หรืออาจแพ้รุนแรงได้

                  โรคภูมิแพ้เยื่อบุจมูกอักเสบ โรคหืด หากปล่อยทิ้งไว้ และยังสัมผัสต่อสารแพ้ต่อเนื่อง อาจทำให้มีผลแทรกซ้อน เช่น ไซนัสอักเสบ ไอเรื้อรังจากเสมหะไหลลงคอ มีอาการหอบหืดเกิดเป็นโรคหืดที่คุมอาการไม่ได้ อาจถึงมีระบบหายใจล้มเหลวได้

                  วิธีสังเกตลูกเป็นภูมิแพ้

                  อ.ดร.เสริมศรี สันตติ อาจารย์พยาบาลผู้เชี่ยวชาญดูแลผู้ป่วยเด็กโรคระบบทางเดินหายใจ โรงเรียนพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล แนะวิธีสังเกตลูกเป็นภูมิแพ้ ว่า โรคแพ้อาหารและผื่นผิวหนัง ส่วนใหญ่เกิดในเด็กอายุ 1 ปี ส่วนการแพ้นั้นอาการมักแพ้พวกนมอาจกินแล้วมีเสียงดังครืดคราดในปอดเนื่องจากจะผลิตเสมหะเพิ่มมากขึ้น สำหรับผื่นแพ้ทางผิวหนัง อาจมีผื่นขึ้นตามตัว ข้อพับ ในร่มผ้า และมีอาการคัน หากเป็นโรคหวัดจากภูมิแพ้ ส่วนมากจะมีอาการเมื่อเจอฝุ่นหรืออากาศเย็น มักมีน้ำมูกใสไหลตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ในทารก วิธีป้องกันภูมิแพ้ที่ดีที่สุดควรให้กินนมแม่ เพราะนมแม่มีสารต้านภูมิแพ้ ช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ได้ดี และไม่ควรให้เด็กกินอาหารเสริมเร็วเกินไป เช่น ไข่ขาว ซึ่งเป็นอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย ส่งผลให้เด็กเป็นภูมิแพ้ จึงแนะนำให้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก

                  หากพ่อแม่พบว่าลูกมีอาการแพ้ หรือมีความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคหืด ควรรีบพาลูกมาพบแพทย์ เพื่อใช้ยาในการรักษาหรือหาวิธีรักษาโรคภูมิแพ้ที่เหมาะสมต่อไป

                  อ้างอิงข้อมูล : ryt9 และ rama.mahidol.ac.th

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                  โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก มะเร็งที่พบบ่อยในเด็ก สัญญาณอันตรายโรคร้าย

                  ลูกหายใจครืดคราด สาเหตุเกิดจากอะไร 6 สาเหตุที่ทำให้เสียงหายใจลูกเป็นแบบนี้

                  เตือนแม่ สังเกตอาการ RSV รีบพาไปตรวจหากเข้าข่ายนี้!

                  พบทารกชาวสิงคโปร์ มี ภูมิต้านทาน โควิด-19 ตั้งแต่เกิด!!

                    ส่งท้ายปีด้วยของขวัญสุดคิ้วท์สำหรับคุณหนูๆ ด้วยนาฬิกาคอลเลคชั่น CITY OF LIFE และ SHINE BRIGHT จาก Flik Flak

                    สวย เท่ เก๋ ชิค ไม่แพ้ใคร กับ Flik Flak (ฟลิกแฟล็ก) นาฬิกาขวัญใจเด็กๆ จากสวิส ที่บอกเลยว่าถึงจะเป็นนาฬิกาสำหรับเด็ก แต่ดีไซน์ออกมาได้น่ารักและสดใส แถมยังมีคอนเซ็ปต์เก๋ ๆ ตอบโจทย์คุณหนูๆ จริงๆ พร้อมส่ง 2 คอลเลคชั่นมาส่งท้ายปีนี้ให้เด็กๆ ได้เพลิดเพลินไปกับการเรียนรู้เรื่องเวลา และเสริมสร้างจินตนาการไปกับคอลเลคชั่น CITY OF LIFE และ SHINE BRIGHT รับรองว่าเด็กๆ จะสนุกสนานไปกับการเรียนรู้เรื่องเวลาไปกับนาฬิกาเรือนโปรดที่มีดีไซน์สุดคิ้วท์แบบที่ใส่แล้วไม่อยากจะถอดกันเลยทีเดียวหละ

                    เริ่มกันที่คอลเลคชั่นสำหรับโลกของไลฟ์สไตล์คนเมืองอย่าง CITY OF LIFE ที่ให้คุณหนูๆ ได้เพลิดเพลินและวาดฝันไปพร้อมๆ กับนาฬิกาทั้งหมดกว่า 17 ดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสุดโปรด กีฬาที่ชื่นชอบ สัตว์เลี้ยงแสนรัก วิถีชีวิตในเมือง คอลเลคชั่นนี้ก็รวมเอาไว้อย่างครบครัน ที่เปรียบเหมือนตัวแทนความสนุกสนานและมีชีวิตชีวาของชีวิตในเมืองก็ได้ถูกถ่ายทอดลงบนนาฬิกาคอลเลคชั่นนี้ แต่สิ่งสำคัญก็ยังคงมีเข็ม Flik และ Flak ที่ช่วยทำให้การดูเวลาเป็นเรื่องง่ายและสนุกยิ่งขึ้น

                    นาฬิกาในคอลเลคชั่น CITY OF LIFE ก็มีให้เลือกอย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็นลวดลายรถดับเพลิงกับรุ่น FIRETRUCK คุณหนูๆ ที่ชอบการเตะฟุตบอลก็มีรุ่น KICK IT สุนัขจิ้งจอกสเก็ตบอร์ดก็มีอย่างรุ่น SK8FOX ถ้าชื่นชอบรถแข่งก็ต้องรุ่น 3 2 1 GO! หรือใครชอบปั่นจักรยาน รุ่น BIKEWAY ก็ตอบโจทย์เลยทีเดียว หรือคนที่ชื่นชอบกีฬาเบสบอล ก็ต้องห้ามพลาดกับรุ่น HOME RUN บอกเลยว่ายังมีอีกมากมายให้เด็กๆ ได้เลือกดีไซน์ที่ชอบตามสไตล์ของตัวเอง

                    คอลเลคชั่นที่จะพาคุณหนูๆ อยู่ในห้วงแห่งความสุข และพร้อมที่จะเผยความน่ารักสดใสในทุกๆ วันไปกับ SHINE BRIGHT คอลเลคชั่นที่น่าหลงใหลราวกับต้องมนต์สะกด โดยทั้ง 4 รุ่นจะประดับไปด้วยคริสตัลจาก Swarovski® บอกเลยว่าสวยมากแถมยังระยิบระยับ โดดเด่นสุดๆ ดีไซน์แรกกับรุ่น OVER THE RAINBOW หน้าปัดพิมพ์ลายสายรุ้ง สีสดใสเหมือนยูนิคอร์นในเทพนิยาย ถัดมาเป็นเจ้าหญิงหิมะกับ FROZILICIOUS ที่ได้ไอเดียมาจากเกล็ดหิมะตัวเรือนสีฟ้าสดใสสมวัย ต่อด้วยนาฬิกาสีชมพูขวัญใจคุณหนูๆ สายหวานกับ MILLEFEUX ที่ประดับด้วยคริสตัลวิบวับๆ บนสายรัดข้อมือแบบผ้าสีชมพู และปิดท้ายคอลเลคชั่นด้วยรุ่น LILAXUS นาฬิกาสีม่วงพาสเทลสุดคิ้วท์ที่มีสายเป็นกลิตเตอร์สดใส และยังสามารถหมุนกรอบหน้าปัดได้ถึง 360 องศาอีกด้วย

                    บอกเลยว่าคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาของขวัญหรือนาฬิกาน่ารักๆ ให้กับคุณหนูๆ ต้องห้ามพลาดกับสองคอลเลคชั่นนี้จาก Flik Flak เพราะนอกจากดีไซน์ที่หลากหลายแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถมั่นใจในคุณภาพได้เลย ด้วยนาฬิกาที่ผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทนทานต่อการกระแทก แถมสามารถกันน้ำสูงสุดถึง 30 เมตร ปลอดภัยด้วยวัสดุที่เป็น BPA-free (บีพีเอฟรี) ไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายสำหรับเด็กๆ และสายนาฬิกายังสามารถซักได้ง่าย ๆ เพียงแค่ใส่ลงในถุงเท้าก่อนซักเครื่อง เพื่อให้เด็กๆ ได้สนุกสนานอย่างเต็มที่

                    Flik Flak คอลเลคชั่น CITY OF LIFE วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นเพียง 1,200 บาทเท่านั้น ส่วนคอลเลคชั่น SHINE BRIGHT วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 1,850 บาท ให้เด็กๆ สนุกไปกับการเรียนรู้เรื่องเวลาไปกับ Flik Flak ได้แล้ววันนี้ที่ Swatch Store ทุกสาขา หรือช้อปออนไลน์ได้ที่ shop.swatch.com/th_th/flikflak รวมถึง Flik Flak Official Store บน Lazada และ Shopee จัดส่งฟรีทั่วประเทศ และรับฟรีสมุดระบายสีทุกออเดอร์

                    ติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
                    LINE OA @flikflak_th
                    Facebook : flikflak
                    Instagram : @flikflak

                    Swatch Flagship store @CentralWorld ชั้น 1, ศูนย์การค้า ICONSIAM ชั้น M, Central Plaza Ladprao ชั้น 2, Mega Bangna ชั้น 1, Terminal 21 Pattaya ชั้น G, Central Plaza Nakhonratchasima ชั้น 1, เคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ Watch Galleria @ SiamParagon, The Mall Bangkhae แผนกนาฬิกา Central Pinklao, Central Festival Samui, Central Patong Robinson @ Central Rama 9, Jungceylon

                    ติดตามข่าวสารแบรนด์ Flik Flak ได้ที่ : www.flikflak.com/th | www.facebook.com/flikflak | www.instagram.com/flikflak | Line @swatch_th

                      Tags

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564

                      ชี้เป้ารวย! สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 เลือกสีไหนให้ถูกโฉลก?

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 เกิดวันนี้ ต้องเลือก กระเป๋าสตางค์ ตามาวันเกิด สีไหนดี เป็นมงคล ถูกโฉลก ใช้สีไหนแล้วปัง เก็บเงินอยู่ รวยตลอดปี มาดูกันเลย

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564
                      เลือกสีไหนให้ถูกโฉลก เสริมโชคลาภ

                      การเลือก สีกระเป๋าสตางค์มงคลประจำวัน ตามความเชื่อทางโหราศาสตร์แล้ว สีเป็นสัญลักษณ์ประจำวันมาตั้งแต่โบราณ มีการนำหลักเกณฑ์มหาทักษาที่ใช้ในการตั้งชื่อ มาผสมผสานในการเลือกสีมงคลประจำวัน โดยสามารถเลือกใช้สีของเสื้อผ้า กระเป๋า หรือข้าวของเครื่องใช้ให้ถูกต้องกับวันเกิดของตัวเองได้ เพื่อส่งเสริมด้านโชคลาภ เสน่ห์และความเป็นศิริมงคลให้แก่ชีวิต

                      ซึ่งช่วงเวลาฤกษ์งามยามดีขึ้นปีใหม่แล้ว แน่นอนว่าหลายๆ คนก็คงอยากที่จะเปิดรับเรื่องดีๆ ให้เข้ามาตั้งแต่ต้นปี และหนึ่งในเรื่องดีๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ ความเชื่อที่นอกจากจะใส่เสื้อผ้าสีมงคลตามแต่ละวันแล้วนั้น เรื่องของการเลือกใช้ สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 ก็มีความจำเป็นและต้องอัปเดตเพื่อให้เสริมโชคลาภด้วย

                      ทีมแม่ ABK จึงมีข้อมูลของ สีกระเป๋าสตางค์มงคล ตามวันเกิด มาฝาก คนเกิดวันไหนควรใช้สีอะไรเพื่อรับทรัพย์ และสีต้องห้ามประจำวันเกิดที่ห้ามใช้เด็ดขาดคือมีสีอะไร!! ตามมาเช็กกันเลย

                       

                      สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 สีมงคลคนเกิดวันอาทิตย์

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564

                      สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ อาจจะต้องเร่งรัดหาเงิน แต่จะมีรายจ่ายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นอาจจะต้องเปลี่ยน สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 เพื่อให้มีเงินเข้ามาอย่างมาก โดยใช้ สีน้ำตาลเข้ม, สีน้ำตาลทอง

                      สีกระเป๋าสตางค์ เสริมโชคลาภ มีเงินเต็มกระเป๋า มีผู้อุปถัมภ์เรื่องการเงิน คือ สีเทา, สีเขียวอ่อน, สีเขียวแก่

                      ธนบัตรขวัญกระเป๋า สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์

                      ธนบัตรใบละ 50 บาท ที่มีเลขลงท้ายด้วย 68 หรือ 86

                      ฤกษ์ในการเปลี่ยน กระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ในเปลี่ยน วันศุกร์

                      สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 สีมงคลคนเกิดวันจันทร์

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564

                      ผู้ที่เกิดวันจันทร์ เป็นคนทำเพื่อครอบครัว เพื่อคนรอบตัวก่อน ทำให้การเงินค่อนข้างตึงมือ แต่ก็ยังมีเก็บได้ และที่สำคัญคนเกิดวันจันทร์ในปี 2564 จะมีโอกาสมีโชคใหญ่ ดังนั้น สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด ที่เหมาะคือ สีชมพู หรือ สีบานเย็น ช่วยให้มีสติในการใช้เงิน

                      แต่ถ้าคนไหนทำธุรกิจค้าขายอยู่ แนะนำให้เปลี่ยน สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 เป็น สีม่วง หรือ สีครีมอ่อน ก็จะช่วยให้เก็บเงินเก็บทองอยู่ และค้าขายดี ธุรกิจรุ่งเรือง

                      ธนบัตรขวัญกระเป๋า สำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์

                      ธนบัตรใบละ 20 บาท ที่มีเลขลงท้ายด้วย 56 หรือ 65

                      ฤกษ์ในการเปลี่ยนกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันจันทร์ ในเปลี่ยน วันพุธ

                       

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 สีมงคลคนเกิดวันอังคาร

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564

                      สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร เป็นคนค่อนข้างโดดเดี่ยว ช่วงต้นปีอาจจะใช้เงินเยอะทำให้เป็นหนี้เป็นสิน แต่ขอให้มีความมุ่งมั่นค่อยๆ ผ่านปัญหาเรื่องการเงินไปก็จะมีโอกาสได้จับเงินก้อน และ สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด ที่จะช่วยกระตุ้นดวงของผู้ที่เกิดวันอังคาร คือ สีแดง และ สีส้ม จะช่วยให้มีเงินไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมีคนคอยสนับสนุนด้านการเงินตลอดเวลา

                      และถ้าอยากได้ สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 เสริมโชคลาภ รวยเงินรวยทอง ให้ใช้ สีน้ำเงิน, สีฟ้า

                      ธนบัตรขวัญกระเป๋า สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร

                      ธนบัตรใบละ 50 บาท ที่มีเลขลงท้ายด้วย 36 หรือ  63

                      ส่วนฤกษ์ดีในการเปลี่ยน กระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันอังคาร ในเปลี่ยน วันอังคาร

                       

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564  สีมงคลคนเกิดวันพุธกลางวัน

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564

                      สำหรับสีกระเป๋าสตางค์ของผู้ที่เกิดวันพุธกลางวัน จะต้องเด่น เพราะในปี 2564 คุณจะได้โชว์ศักยภาพในเรื่องของการทำงาน การค้าขาย หรือธุรกิจ ทำให้มีเงินเต็มกระเป๋า และใครที่อยากจะซื้อของชิ้นใหญ่ ก็มีโอกาสที่จะจับจ่ายได้คล่องมือ ซึ่ง สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 คู่ใจของผู้ที่เกิดวันพุธกลางวัน สีที่เหมาะสม คือ สีเขียว, สีน้ำตาลเข้ม จะช่วยเพิ่มความหนักแน่น และช่วยเพิ่มเงินในกระเป๋า

                      แต่หากอยากมีโชค ให้เน้นใช้ สีกระเป๋าสตางค์ สีดำ หรือ สีเทา

                      ธนบัตรขวัญกระเป๋า สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร

                      ธนบัตรใบละ 100 บาท ที่มีเลขลงท้ายด้วย 24 หรือ  42

                      ฤกษ์ดีในการเปลี่ยน กระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันพุธกลางวัน ในเปลี่ยน วันจันทร์

                       

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 สีมงคลคนเกิดวันพุธกลางคืน

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564

                      นิสัยการใช้เงินของคนเกิดวันพุธกลางคืน เวลาใช้จะใช้หนัก แต่ถ้าไม่อยากใช้ก็คือจะไม่ยอมหยิบเงินออกจากกระเป๋าเลยแม้แต่ใบเดียว ทำให้ดวงเรื่องการเงิน ในปี 2564 จะเป็นแบบขึ้นๆ ลงๆ เช่นเดือนนี้อาจมีเงินเหลือเก็บเยอะ แต่เดือนหน้าอาจรูดบัตรเครดิตกระจาย ดังนั้นต้องระวังการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการใช้เงินให้ดี ควรมีสมุดจดบันทึกรายรับรายจ่ายเพราะอาจมีเรื่องของการทำเงินตกหล่นสูญหายได้ หรือมีความไม่เป็นระเบียบในเรื่องของการเงิน

                      ดังนั้น สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน ควรใช้ สีม่วง, สีส้ม และ สีน้ำตาลอ่อน จะช่วยขจัดปัญหาทางการเงินที่ขัดสนได้

                      ธนบัตรขวัญกระเป๋า สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน

                      ธนบัตรใบละ 20 บาท ที่มีเลขลงท้ายด้วย 15 หรือ  51

                      ฤกษ์ดีในการเปลี่ยน กระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันพุธกลางคืน ในเปลี่ยน วันเสาร์

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 สีมงคลคนเกิดวันพฤหัสบดี

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564

                      ดวงการเงินของผู้ที่คนเกิดวันพฤหัสบดี ในปี 2564 จะนำไปใช้ในเรื่องการลงทุน เช่น ลงคอร์สเรียน ศึกษาหาประสบการณ์เพื่อลงทุนต่อยอด หรือเล่นหุ้น เพื่อผลประโยชน์ในอนาคต แต่อาจจะทำให้การเงินขาดมือได้ ดังนั้น สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 สำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดีเหมาะกับ สีเหลือง หรือ สีชมพู เพราะเป็นสีที่สดใสที่จะนำโอกาสทางด้านการเงินมาให้

                      แต่ถ้าใครอยากมีโชค มีลาภ อยากได้เงินมาแบบง่ายๆ ต้องใช้ สีกระเป๋าสตางค์ สีดำ หรือ สีเขียว เท่านั้น!

                      ธนบัตรขวัญกระเป๋า สำหรับผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี

                      ธนบัตรใบละ 100 บาท ที่มีเลขลงท้ายด้วย 56 หรือ  65

                      ฤกษ์ดีในการเปลี่ยน กระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ในเปลี่ยน วันอาทิตย์

                       

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 สีมงคลคนเกิดวันศุกร์

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564

                      ในปี 2564 จะเริ่มมีการเก็บหอมรอมริบ มีวินัยในเรื่องของการเงิน แต่ก็จะมีรายจ่ายเข้ามาให้ปวดหัวอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นผู้ที่คนในวันศุกร์ต้องมีวินัย แบ่งเงินชัดเจนว่าก้อนนี้จะใช้เพื่อวัตถุประสงค์อะไร อย่าเก็บเงินในที่เดียวกัน หรือลงทุนไว้ในที่เดียวกัน ให้กระจายความเสี่ยงการลงทุน และการออม ก็จะทำให้กลายเป็นเศรษฐีได้ไม่ยาก

                      สำหรับ สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันศุกร์ มี 4 สีดีๆ สามารถเลือกใช้สีเหล่านี้ได้ตามใจชอบ คือ สีฟ้า, สีเหลือง, สีม่วง และ สีน้ำตาล

                      ธนบัตรขวัญกระเป๋า สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์

                      ธนบัตรใบละ 100 บาท ที่มีเลขลงท้ายด้วย 69 หรือ  96

                      ฤกษ์ดีในการเปลี่ยน กระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันศุกร์ ในเปลี่ยน วันอังคาร

                       

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 สีมงคลคนเกิดวันเสาร์

                      สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564

                      ดวงของผู้ที่เกิดวันเสาร์ ช่วงแรกๆ อาจมีเรื่องเครียดเพราะมีรายจ่ายเข้ามามาก และบางครั้งอาจไม่สามารถปรึกษาใครได้ในเรื่องการเงิน แต่ก็ยังวางใจได้เพราะคนเกิดวันเสาร์มักมีแผนสำรอง 2 3 4 ในการบริหารจัดการเรื่องการเงินได้อย่างสบาย โดย สีกระเป๋าสตางค์ ตามวันเกิด 2564 ที่เด่นเหมาะกับคนเกิดวันเสาร์ ให้เน้นใช้ สีส้ม, สีชมพู, สีน้ำเงิน และ สีดำ ซึ่ง 4 สีนี้เป็นความเข้มแข็งจะเน้นในเรื่องของการดึงดูดเงิน และดึงดูดทอง

                      ธนบัตรขวัญกระเป๋า สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์

                      ธนบัตรใบละ 20 บาท ที่มีเลขลงท้ายด้วย 89 หรือ  98

                      ฤกษ์ดีในการเปลี่ยน กระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 ของผู้ที่เกิดวันเสาร์ ในเปลี่ยน วันจันทร์

                       

                      คลิปจาก >> horo heal

                       

                      คาถาโชคช่วยรวยทรัพย์ (หลวงพ่อรวย ปาสาทิโก)

                      เรียกทรัพย์ เรียกโชคลาภ ค้าขายร่ำรวย เงินทองไหลมา
                      ตั้งนะโม 3 จบ กล่าวพระคาถา 9 จบ ตั้งจิตระลึกถึงท่าน

                      สัมพุทธชิตา จะสัจจานิ
                      เกรัตสะ พระพุทธชิตา
                      สัพพะโส คุณะวิภา
                      สัมปัจโต นะรุตตะโม
                      มหาลาภัง สัพพะสิทธ
                      ภะวันตุ เม

                      หากใครพร้อมที่จะรวยแล้ว ปีใหม่นี้เตรียมตัวซื้อกระเป๋าเงินใหม่รับทรัพย์ เลือกใช้สีกระเป๋าสตางค์ตามวันเกิด 2564 แล้วรวยไปพร้อมกันนะคะ


                      ขอบคุณข้อมูลจาก อ.เจน เปิดลิขิต ธูปพยากรณ์ ติดต่อ 081-984-5792 , 099-001-9978 LINE@ : @horohealjane https://line.me/R/ti/p/%40horohealjane , http://www.facebook.com/horohealjane

                      และ horoscope.trueid.net

                       

                      อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                      200 ชื่อเพราะๆ ตั้งชื่อลูกสาวพร้อมความหมาย เป็นมงคล เน้นเสริมดวงอุปถัมภ์

                      ทำบุญตามวันเกิด เสริมดวงให้ลูก ถูกวิธี ดีตลอดปี

                      คลิกเลย! ทรงผมเสริมดวง แม่ 12 ราศี

                      ดวงวันเกิดลูก กับพ่อแม่ วันไหนเป็นมิตร วันไหนเป็นศัตรู

                        รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี จริงหรือ

                        รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เมื่อการตีเป็นผู้ร้ายพ่อแม่จะทำอย่างไร

                        เมื่อ รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี ใช้ไม่ได้กับสังคมปัจจุบัน การสั่งสอนลูกไม่ให้ทำผิดควรทำอย่างไรถ้าการตีเป็นผู้ร้ายในสังคมการลงโทษอย่างสร้างสรรค์จึงเป็นคำตอบ

                        รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เมื่อการตีเป็นผู้ร้ายพ่อแม่จะทำอย่างไร?

                        คำโบราณว่าไว้ให้พ่อแม่ใช้สอนลูกหลาน รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เป็นสุภาษิตหมายถึง การอบรมสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือน หรือลงโทษลูก เมื่อลูกได้กระทำความผิด ทำในสิ่งไม่ถูกต้อง เพื่อให้ลูกได้รับรู้ จดจำว่าสิ่งนั้นไม่ดี และจะไม่ควรจะทำอีก แต่การตีจะเป็นการลงโทษลูกเพื่อให้ได้ดีเพียงวิธีการเดียวจริงหรือ ในท่ามกลางค่านิยมยุคใหม่ที่เริ่มมีข้อโต้แย้งมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วว่า การตี เป็นการลงโทษที่จะทิ้งรอยบาดแผลในจิตใจเด็กหรือไม่ เป็นเพียงการปิดกั้นพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ไม่ให้แสดงออกมา หรือสามารถละลายพฤติกรรมที่ไม่น่ารักเหล่านั้นลงไปได้จริง

                        รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี จริงหรือ?
                        รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี จริงหรือ?

                        ลงโทษหรือทำร้าย

                        เส้นแบ่งกั้นระหว่างการลงโทษกับการทำร้ายร่างกายดูจะเป็นเพียงเส้นบาง ๆ ไม่ชัดเจน บางคนลงโทษอย่างรุนแรงจนผู้รับโทษบาดเจ็บทั้งจิตใจและร่างกายระดับสาหัส ส่วนบางคนก็ได้รับโทษที่เบาไปเลยไม่รู้สำนึก ส่วนอีกกลุ่มไม่กล้าลงโทษเพราะกลัวผู้รับโทษโกรธและอาฆาต หรือบางทีคาดหวังว่าคนทำผิดจะรู้สำนึกเอง ซึ่งในที่สุดก็ไม่สำนึก เลยกลายเป็นเหมือนกำลังส่งเสริมคนทำผิด และคนไม่ดีให้ได้ใจเสียอีก ดังนั้นเรามาทบทวน วิเคราะห์ความหมายของคำว่า ลงโทษ กันสักหน่อยว่าควรมีหลักการ และวิธีปฏิบัติอย่างไรจึงจะเหมาะสม ไม่รุนแรง และไม่หย่อนยานเกินไป

                        ความหมายของการลงโทษ

                        การลงโทษ แท้จริงแล้วมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขพฤติกรรม ประการแรกคือต้องการให้ผู้ที่กระทำผิดเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวได้ทำไปนั้นไม่เหมาะสม ผิดระเบียบ ผิดประเพณี ผิดข้อตกลงหรือผิดกฏหมายของบ้านเมือง กล่าวคือเพื่อสร้างสำนึกความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นการสร้างทัศนคติ (Attitude)ที่ถูกต้องในบริบทของสังคมนั้น ๆ ให้เกิดขึ้น ประการต่อมาคือ เพื่อต้องการแก้ไขพฤติกรรม (Behavior)ให้เลิกกระทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ให้เปลี่ยนไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง

                        จากเป้าหมายของการลงโทษจะเห็นได้ว่านอกจากจะสอนให้รู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่เหมาะสมแล้ว ยังต้องเปลี่ยนให้กลับมาทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมอีกด้วย ดังนั้น การลงโทษไม่ใช่การระบายอารมณ์ ไม่ใช่การแสดงว่าใครมีอำนาจเหนือใคร ไม่ใช่เพื่อการแก้แค้น ไม่ใช่เพื่อให้สะใจ หากเป็นเช่นนั้นคงจัดว่าเป็นการทำร้ายเสียมากกว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้เราตระหนักว่ากระบวนการลงโทษเป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน ต้องเข้าใจถึงวิธีการ และดูว่าสารที่สื่อไปกับบทลงโทษนั้น ๆ ถึงยังลูกผู้ที่ได้รับการลงโทษมากน้อยเพียงใด

                        ทะเลาะใช้ความรุนแรงกับเพื่อน ต้องปรับพฤติกรรม
                        ทะเลาะใช้ความรุนแรงกับเพื่อน ต้องปรับพฤติกรรม

                        ลงโทษอย่างสร้างสรรค์เป็นอย่างไร?

                        พญ.เบญจพร ตันตสูติ หรือ หมอมินบานเย็น จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ระบุว่า การตีอาจจะช่วยลดพฤติกรรมไม่ดีของเด็กให้เกิดขึ้นน้อยลง และมันก็หยุดเด็กที่ทำตัวไม่ดีได้รวดเร็วดี แต่ข้อไม่ดีก็คือ การตีเป็นการลงโทษที่ทำให้สัมพันธภาพของคนที่ตีและคนที่ถูกตีเสียไปได้ง่าย

                        การตีที่รุนแรง บ่อยครั้ง ตีโดยไม่รับฟังและไม่เห็นอกเห็นใจ ก็อาจจะทำให้เด็กเกิดความรู้สึกว่าผู้ใหญ่ที่ตีเขา ไม่เข้าใจ ไม่รักเขาหรือเปล่า ถ้าเป็นนาน ๆ ก็จะทำให้เด็กรู้สึกขาดความเชื่อมั่นและไม่ไว้วางใจ นำไปสู่การมองตัวเองในแง่ลบ ไม่มั่นใจ สูญเสียคุณค่าในตัวเอง กลายเป็นคนอารมณ์ไม่มั่นคง อาจมีการใช้ความรุนแรงกับคนรอบข้าง เพราะเรียนรู้ซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว

                        การลงโทษที่ดี คือการทำเพื่อให้เด็กรู้ตัวว่าทำผิด และไม่ควรทำซ้ำอีก การลงโทษจึงไม่จำเป็นต้องมาในรูปแบบของการใช้ความรุนแรงหรือพูดจาทำร้ายจิตใจลูก ซึ่งหากยึดหลักจิตวิทยานั่นคือ ต้องไม่เป็นการประจาน ไม่ใช้คำพูดที่ไม่ควรใช้กับลูก โดยสามารถแบ่งวิธีการปรับพฤติกรรมออกได้เป็นสองแบบ คือ

                        1. การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) การลงโทษด้วยการไม่ให้ของเล่น ไม่ให้ดูหนัง ไม่ให้ทานขนมที่ชอบ ไม่ให้ไปเที่ยวคือวิธีการลงโทษด้วยการงดให้รางวัลที่เด็กชอบ สามารถทำได้โดยไม่เป็นการทำร้ายสุขภาพร่างกายของเด็ก ทำให้เรียนรู้ว่าถ้าเขามีพฤติกรรมที่ไม่สมควร เขาจะไม่ได้ในสิ่งที่เขาชอบ
                        2. การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) คือการส่งเสริมให้รางวัล ให้ในสิ่งที่เด็กชอบเมื่อเขาพัฒนาปรับปรุงตนเอง และแสดงพฤติกรรมที่ถูกต้อง ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่ชอบที่จะลงโทษเมื่อลูกกระทำความผิด แต่มักไม่ให้รางวัลหรือคำชมเชยเวลาที่เขาทำดี

                        ในการปรับทัศนคติ และพฤติกรรมเราต้องใช้ทั้งวิธีเสริมแรงทางลบและบวกควบคู่กันไป การเสริมแรงทางลบทำให้เด็กเข้าใจได้ว่าสิ่งที่เขาทำไปไม่ถูกต้อง ไม่เป็นที่ยอมรับ เขาจึงไม่ได้รับในสิ่งที่เขาชอบ และเมื่อลูกทำถูกต้อง เขาก็จะได้ในสิ่งที่เขาปรารถนา เพราะถ้าทำดีแล้วไม่มีรางวัล มนุษย์เราโดยส่วนมากก็จะหมดกำลังใจท้อถอย ไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการทำดี

                        4 บทลงโทษอย่างสร้างสรรค์แบบรักวัวให้ผูกรักลูก(ไม่)ตี

                        ในปัจจุบันเริ่มมีกระแสการวิจารณ์กับคำสุภาษิตที่ว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี โดยเรียกร้องกันว่าน่าจะเปลี่ยนเป็น รักวัวให้ผูก รักลูกให้กอด ดูจะเหมาะสมกับแนวความคิดของคนยุคใหม่เสียมากกว่า แต่ไม่ว่าจะใช้คำใดก็ตาม อย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าหากเรายังคงยึดมั่นในวัตถุประสงค์ของการลงโทษลูกในแบบสร้างสรรค์แล้วละก็ ต่อให้ไม่ต้องตีลูก เราก็สามารถสั่งสอนเขาให้เดินไปในแนวทางที่ถูกที่ควรได้ด้วยความเข้าใจ ซึ่งจะดีกว่าการบังคับขู่เข็ญด้วยกำลังเป็นแน่ ลองมาดูตัวอย่างวิธีการลงโทษแบบสร้างสรรค์ที่ทีมแม่ABK นำมาฝากกันเป็นไอเดียแก่คุณพ่อคุณแม่ ดังนี้

                        สะสมแต้มจากงานบ้าน
                        สะสมแต้มจากงานบ้าน

                        1. สมุดสะสมแต้มความดี

                        คุณแม่ที่เป็นแม่บ้านส่วนใหญ่คงคุ้นเคยกับการสะสมแต้มต่าง ๆ จากการช้อปปิ้ง คะแนนที่เราต่างชื่นชอบนำมาใช้เป็นทั้งส่วนลด แลกของแถมต่าง ๆ ได้ ยิ่งอยากได้คะแนนสะสมก็ต้องยิ่งช้อป ยิ่งซื้อกันใช่ไหม วิธีการเหล่านี้เราสามารถนำมาปรับใช้กับการปรับพฤติกรรมของลูกได้เช่นกัน เชื่อเถอะว่าเราสนุกกับการสะสมแต้มแลกของตามห้างสรรพสินค้ายังไง ลูกก็จะสนุกสนานกับการสะสมแต้มการทำความดีด้วยเช่นกัน

                        วิธีการ

                        1. กำหนดข้อตกลงกันไว้ว่าการให้ลูกช่วยงาน เอาที่ใกล้ตัวและทำได้ง่ายที่สุด คือ การช่วยทำงานบ้าน จะทำให้เขาได้รับคะแนนสะสม ซึ่งอาจมีการกำหนดคะแนนให้กับงานบ้านแต่ละอย่าง เช่น กวาดบ้าน 50 คะแนน เก็บผ้า 20 คะแนน เทขยะ 10 คะแนน เป็นต้น หรือใช้เป็นพฤติกรรมที่ต้องการ เช่น ทำการบ้านเสร็จทันได้ 40 คะแนน อ่านหนังสือทบทวน 20 คะแนน ให้ลูกได้เก็บคะแนนสะสมไว้
                        2. ใช้สมุดสะสมคะแนนจดบันทึกไว้ตามข้อตกลงที่ทำร่วมกัน โดยถ้าลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น รังแกเพื่อน จะถูกหักคะแนนสะสมไป
                        3. กำหนดรางวัลที่ลูกสามารถนำคะแนนมาแลกได้ โดยรางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นของมีราคาค่างวด อาจเป็นครบ 100 คะแนนได้ฟังนิทานก่อนนอนเพิ่มอีกเรื่อง เป็นต้น (การกำหนดรางวัลไม่มีข้อกำหนดตายตัวขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบ้านที่จะกำหนดเอาตามความเหมาะสม)

                        สิ่งที่ลูกจะได้ : การทำงานบ้านจะช่วยให้ลูกมีเวลาทบทวนความผิดพลาดของตัวเอง และยังช่วยให้ลูกได้เรียนรู้วิธีทำงานบ้าน และช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย การให้คะแนนเพิ่มเมื่อทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เป็นการเสริมแรงทางบวก ส่วนการเสริมแรงทางลบ คือ การตัดคะแนนเมื่อเขาทำผิดนั่นเอง

                        2. ใช้เวลาให้เป็นทั้งรางวัล และการลงโทษ

                        เด็กกับการบริหารเวลาให้เหมาะสมมักไม่สามารถมาคู่กันได้ แต่พ่อแม่สามารถสอนให้เขารู้จักการจัดการเวลาได้ เมื่อเราพบว่าลูกไม่ได้ทำการบ้าน เพราะมัวแต่เล่นเกม พ่อแม่สามารถนำเวลามาเป็นได้ทั้งรางวัล และบทลงโทษให้แก่ลูกได้ เช่น กำหนดเวลาเส้นตายให้แก่ลูกในการทำการบ้าน หากลูกไม่สามารถทำตามได้จะถูกลดเวลาในการทำกิจกรรมที่เขาชอบ เช่น วันพรุ่งนี้จะถูกลดเวลาเล่นเกมลง 30 นาที เป็นต้น

                        สิ่งที่ลูกจะได้ : นอกจากลูกจะเข้าใจในการบริหารเวลาแล้ว การลงโทษด้วยเงื่อนไขของเวลาเป็นการทำให้ลูกเข้าใจในหลักการที่ว่า หากเราบริหารเวลาในการทำงานได้ไม่ดีพอ ก็จะไปเบียดเบียนเวลาส่วนตัว เวลาที่เราจะได้ทำสิ่งที่ชอบน้อยลงไป ซึ่งเป็นเหตุและผลที่ลูกจะต้องเจอเมื่อเขาโตขึ้น ไม่ใช่การลงโทษแบบการตี เมื่อทำไม่ดี บริหารเวลาไม่ได้ เขาก็จะเรียนรู้แค่ว่าเจ็บตัวแล้วก็หายกัน ไม่เข้าใจถึงผลกระทบจากการจัดการเวลาที่ไม่ดีของตัวเอง เป็นการฝึกการสร้างวินัย ความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นพฤติกรรมอันพึงประสงค์ในสังคม

                        รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เปลี่ยนเป็นการลงโทษแบบสร้างสรรค์
                        รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี เปลี่ยนเป็นการลงโทษแบบสร้างสรรค์

                        3. ตัดทอนสิทธิพิเศษที่เคยได้

                        เด็กทุกคนย่อมอยากเป็นผู้ใหญ่ นั่นไม่ได้หมายความถึงร่างกาย แต่หมายถึงการได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบดูแลได้เหมือนผู้ใหญ่ นั่นแสดงถึงความไว้ใจที่พ่อแม่มีต่อตน และนำความภาคภูมิใจมาสู่ตัวเขา ดังนั้นเมื่อลูกกระทำพฤติกรรมอันพึงประสงค์ได้ พ่อแม่ก็ควรมอบความไว้วางใจให้เขารับผิดชอบต่อหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง เช่น เมื่อลูกช่วยงานบ้านได้แล้ว อาจมอบหมายให้เขารับผิดชอบต่อห้องนอนของตนเอง ดูแลรักษาเก็บที่นอนเมื่อยามตื่นนอน หรืออาจเป็นหน้าที่ในการดูแลบริหารเวลาส่วนตัวของลูกเอง เช่น เมื่อทำการบ้านเสร็จก่อนเวลารับประทานข้าวเย็น จะได้รับอนุญาตให้เล่นเกมเป็นเวลา 2 ชม. เป็นต้น

                        เมื่อมีรางวัล ซึ่งเป็นการเสริมแรงทางบวกแล้ว หากลูกกระทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ พ่อแม่ก็สามารตัดทอนสิทธิ์ที่เขาเคยได้รับมอบหมายลง เช่น จากที่เคยอนุญาตให้เล่นเกมเป็นเวลา 2 ชม. ก็จะโดนลงโทษลดเวลาลงเหลือแค่ 1 ชม.ครึ่ง เป็นต้น

                        สิ่งที่ลูกจะได้ : การลงโทษด้วยการตัดทอนสิทธิ์ที่เขาเคยได้นั้น สำหรับเด็กแล้วนับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาทีเดียว การที่ถูกลดทอนความสำคัญลงนับเป็นการลงโทษที่ทำให้เด็กรู้สึกสำนึกได้ดีมากกว่าการตี เพราะเมื่อเขาถูกตีบ่อยครั้งเข้า ความเคยชินย่อมทำให้ลูกไม่รู้สึกกลัวต่อบทลงโทษนั้นอีกต่อไป แต่การลดความสำคัญต่อสายตาพ่อแม่อันเป็นที่รักลงนั้น เป็นสิ่งที่ลูกทุกคนย่อมกังวล แต่ควรมีการพูดคุยหลังจากเขาได้ปรับพฤติกรรมไม่ดีนั้นออกไปแล้วด้วย เพื่อมิให้ลูกเข้าใจว่าพ่อแม่ยังคงเห็นว่าเขาไม่เก่ง รับผิดชอบไม่ได้อยู่ เมื่อจบบทลงโทษนั้น ๆ ลงไปแล้วก็ไม่ควรพูดซ้ำอีกต่อไป

                        4. Time out ต้องมี Time in ต้องมา

                        คุณพ่อคุณแม่คงจะคุ้นเคยกับการลงโทษแบบ Time out กันดีอยู่แล้ว กล่าวคือ การหยุดพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรงด้วยการให้ไปนั่งสงบสติอารมณ์เพื่อเรียกสติกลับมาที่มุมใดมุมหนึ่งของห้อง เมื่อลูกเย็นลงถึงค่อยเข้าไปพูดคุยชี้แจงสั่งสอน  แต่ในบางคน และในบางกรณี พ่อแม่อาจประสบปัญหาว่าลูกไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ทันกับเวลาที่ให้ รวมถึงเวลาของคุณพ่อคุณแม่ที่อาจมีจำกัดด้วยหน้าที่การงาน ดังนั้นการหาตัวช่วยเป็นกิจกรรมให้ลูกได้ทำระหว่างการ Time out ก็ช่วยให้เขาสงบลงได้เร็วขึ้น เช่น การหากระดาษมาให้ลูกวาดภาพในระหว่างที่โกรธ และถูก Time out อยู่ การได้ทำกิจกรรมจะช่วยให้อารมณ์เย็นลงได้เร็วกว่า เพราะในระหว่างที่ทำก็ให้เขาคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ความผิดพลาดของตัวเองไปด้วย

                        สิ่งที่ลูกจะได้ : แม้แต่ผู้ใหญ่แล้วก็เช่นกัน การคิดหมกมุ่นกับปัญหาเพียงอย่างเดียวไปมา อาจทำให้เราไม่สามารถเห็นทางออกได้ การได้ออกมาผ่อนคลาย ไม่จมอยู่กับปัญหาแล้วค่อยกลับไปคิดใหม่ ส่วนใหญ่มักจะได้ผลดีกว่าการนั่งจมอยู่กับตัวเองเป็นไหน ๆ เด็กก็เช่นกัน การที่เขามีกิจกรรมทำระหว่างนั่งสงบสติอารมณ์ไปด้วย จะช่วยให้เขาเรียกสติกลับมาได้เร็วกว่า และในบางครั้งหากพ่อแม่เลือกการวาดรูปเป็นกิจกรรมช่วยแก่ลูก เราอาจให้ลูกคุยแสดงความคิดเห็นต่อสิ่งที่เขาวาดขณะอารมณ์โกรธ บางทีเราอาจเข้าใจมุมมองของลูกในสิ่งที่เป็นประเด็นไม่เข้าใจกันก็เป็นได้ เพราะบางครั้งพ่อแม่ก็มักจะใช้เหตุผลแบบผู้ใหญ่ในการตัดสินการกระทำของเด็ก แม้บางทีถ้าเราได้ฟังเหตุผลแท้จริงของลูกอาจไม่ได้เป็นไปตามที่เราคิดก็เป็นได้

                        การลงโทษยังจำเป็นเพื่อสอนลูกเข้าใจกติกาสังคมก่อนสายเกิน
                        การลงโทษยังจำเป็นเพื่อสอนลูกเข้าใจกติกาสังคมก่อนสายเกิน

                        หลักการในการปรับพฤติกรรมเด็กด้วยการลงโทษนั้นหากจะทำให้ได้ผลดี ต้องทำด้วยพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน เด็กจะต่อต้านน้อยกว่า เชื่อฟังและมีความเกรงใจมากกว่า และต้องเริ่มทำตั้งแต่เด็กยังเล็ก สิ่งที่เด็กทำได้ดีก็ต้องชมเชยด้วย ใช่ว่าจะมองหาสิ่งที่เด็กทำผิดอย่างเดียวและผู้ใหญ่ต้องจัดการอารมณ์ให้ดี บางครั้งผู้ใหญ่ก็โกรธมากจนทำให้ปรับพฤติกรรมได้ไม่ดีเทำไหร่ เพราะความโกรธจนขาดสติ อย่าลืมว่า การปรับพฤติกรรมไม่ใช่การเอาชนะคะคานกัน ดังนั้น รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี อาจไม่จำเป็นเสมอไป

                        ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก บทความของรศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข/ สสส. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        9 วิธีสอนลูก เมื่อลูกทำผิด ลงโทษลูกอย่างไร ถ้าไม่ตี!

                        ปรับเปลี่ยนวิธี Timeout

                        10 วิธีรับมือ “ลูกดื้อ” ตามแบบฉบับคุณแม่ยุคใหม่!

                        7 วิธีระงับความโกรธ ก่อนเผลอตีลูกด้วยอารมณ์

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          แอพเช็คประกันสังคม

                          วิธีเช็คเงินสมทบ-ค่าคลอดบุตร ผ่าน แอพเช็คประกันสังคม

                          รู้ยัง? แม่ ๆ สามารถเช็คยอดเบิกสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ยอดเงินสมทบผู้ประกันตน ยอดเงินชราภาพ ยอดเงินค่าคลอดบุตร ผ่าน แอพเช็คประกันสังคม เช็คได้ง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว

                          วิธีเช็คเงินสมทบ-ค่าคลอดบุตร ผ่าน แอพเช็คประกันสังคม

                          เงินประกันสังคมที่หลาย ๆ ท่านได้ส่งเงินสมทบไปทุกเดือนนั้น ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิต่าง ๆ ในการรักษาพยาบาล และสิทธิประโยชน์จากกองทุน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน โดยสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม มีดังนี้

                          สิทธิประกันสังคม
                          สิทธิประกันสังคม
                          1. กรณีเจ็บป่วย สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในกรณีที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอื่นโดยที่ได้สำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน สามารถเบิกคืนจากสำนักงานประกันสังคมตามอัตราที่กำหนด โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องจ่ายสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน
                          2. กรณีทันตกรรม เข้ารับบริการ ณ สถานพยาบาลที่ทำความตกลงกับสำนักงานประกันสังคม (ตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลได้จาก สำนักงานประกันสังคม ) สามารถรับค่าบริการทางการแพทย์ได้ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 900 บาทต่อปี
                          3. คลอดบุตร สามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้ 15,000 บาทต่อการคลอดบุตร 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง) อัพเดท 1 ม.ค. 2564
                            ผู้ประกันตนหญิงได้รับเงินสงเคราะห์จากการลาคลอดเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของเงินเดือนเป็นระยะเวลา 90 วัน (ใช้สิทธิได้เฉพาะบุตรคนที่ 1 และ 2 เท่านั้น) กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ สามารถเลือกใช้สิทธิได้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเดือนคลอดบุตร (บทความที่น่าสนใจ : แม่ท้องเฮ! สนช.ผ่านกฎหมายเพิ่มวัน “ลาคลอดบุตร” เป็น 98 วัน)
                          4. สงเคราะห์บุตร ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 800 บาท อัพเดท 1 ม.ค. 2564 ตั้งแต่บุตรอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์ สามารถขอใช้สิทธิ์ได้ไม่เกิน 3 คน โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือ มาตรา 39 และจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ภายในระยะเวลา 36 เดือน
                          5. ทุพพลภาพ รับเงินทดแทนขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้างเป็นรายเดือนตลอดชีวิตในกรณีทุพพลภาพร้ายแรง หากไม่ร้ายแรงจะได้รับตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามที่ประกาศฯ กำหนด โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องจ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 3 เดือน
                          6. กรณีเสียชีวิต ผู้จัดการศพสามารถขอค่าทำศพได้ 40,000 บาท สำหรับเงินสงเคราะห์ หากผู้เสียชีวิตจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือนจะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้าง 2 เดือน หากผู้เสียชีวิตจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ไม่ 120 เดือนขึ้นไป จะได้เงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้าง 6 เดือน โดยมีเงื่อนไขคือ สาเหตุการเสียชีวิตต้องไม่เกิดจากการทำงาน และจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือนขึ้นไป
                          7. กรณีชราภาพ 
                            • บำนาญชราภาพ ถ้าจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือน ในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ถ้าจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือนจะได้รับการปรับเพิ่มบำนาญชราภาพอีกร้อยละ 1.5 สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือนทุกๆ 12 เดือนที่จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือนนั้น กรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือนนับตั้งแต่ได้สิทธิบำนาญชราภาพ จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับเดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
                            • บำเหน็จชราภาพ ถ้าจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ ถ้าจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 180 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายสมทบ พร้อมทั้งผลประโยชน์ตอบแทนที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด
                          8. กรณีว่างงาน โดยมีเงื่อนไขคือ ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน
                            • ในกรณีที่ถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินทดแทนระหว่างการว่างงานปีละไม่เกิน 180 วันในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย ซึ่งค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท
                            • ในกรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามระยะเวลา จะได้รับเงินทดแทนระหว่างว่างงานปีละไม่เกิน 90 วันในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างเฉลี่ยซึ่งค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท
                            • กรณีที่ว่างงานเพราะถูกเลิกจ้างมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปีจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนทุกครั้งรวมกันไม่เกิน 180 วัน
                            • กรณีว่างงานเพราะลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปีจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนรวมกันไม่เกิน 90 วัน

                          บทความที่น่าสนใจ : เปิด ลงทะเบียนว่างงาน รับเงินชดเชย โดนเลิกจ้าง หยุดทำงานเพราะพิษโควิด-19

                          ไม่ว่าจะเป็นกรณีว่างงาน คลอดบุตร ชราภาพ ทันตกรรม ฯลฯ ผู้ประกันตนจะได้รับเงินทดแทน และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามเงื่อนไขที่สำนักงานประกันสังคมกำหนด แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่าเงินต่าง ๆ ที่เราจะได้รับมีมูลค่าเท่าไหร่? ได้รับหรือยัง? ยอดเงินทันตกรรมของปีนี้เหลือเท่าไหร่? ในตอนนี้ ผู้ประกันตนไม่ต้องเสียเวลาโทรไปสอบถาม หรือไปที่สำนักงานประกันสังคม เพื่อสอบถามข้อมูลเหล่านี้อีกแล้ว เพียงแค่ดาวน์โหลด แอพเช็คประกันสังคม หรือ “SSO Connect” แอพพลิเคชั่นที่สำนักงานประกันสังคม(สปส.) จัดทำขึ้นเพื่อให้บริการแก่ผู้ประกันตนทุกคน โดยผู้ประกันตนสามารถใช้แอพพลิเคชั่นนี้แทนบัตรประกันสังคมเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถเช็คยอดเงินต่าง ๆ ได้ผ่านแอพฯ นี้เพียงแอพเดียว ขั้นตอนง่าย ๆ ในการดาวน์โหลด SSO Connect มีดังนี้

                          วิธีดาวน์โหลด และลงทะเบียน แอพเช็คประกันสังคม

                          1. ค้นหาคำว่า SSO Connect ผ่านทาง Google play และ App Store กดดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น
                          SSO Connect
                          SSO Connect

                          2. หากเป็นการเข้าใช้งานครั้งแรกจะต้องลงทะเบียนก่อน ด้วยการกรอกข้อมูลส่วนตัว ได้แก่ ชื่อ-สกุล วันเกิด อีเมล์ พร้อมด้วยหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เบอร์มือถือ และรหัสผ่าน บนหน้าแอพฯ หรือผ่านเว็บไซต์ sso.go.th เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนและป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามาตรวจสอบข้อมูลแทน เมื่อเรียบร้อย รอรับข้อความ(SMS) เพื่อยืนยันตัวตนอีกครั้งผ่าน OTP เพียงเท่านี้เจ้าตัวก็สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย

                          ลงทะเบียนแอพเช็คประกันสังคม
                          ลงทะเบียนแอพเช็คประกันสังคม
                          ประกันสังคม
                          ประกันสังคม
                          แอพประกันสังคม
                          แอพประกันสังคม

                           

                           

                           

                           

                           

                           

                           

                           

                           

                           

                          3. เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ผู้ประกันตนสามารถ Login เข้าสู่ระบบเพื่อตรวจสอบยอดเงินต่าง ๆ ได้เลย

                          สิทธิประกันสังคม
                          สิทธิประกันสังคม

                          แอพเช็คประกันสังคม ตรวจสอบข้อมูลอะไรได้บ้าง?

                          ผู้ประกันตนทุกคนสามารถตรวจสอบข้อมูลประกันตนของตัวเองได้ทุกที่ ทุกเวลาที่ต้องการอยากจะรู้ ซึ่งจะมีข้อมูลใน 6 หมวดสำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกันควรจะต้องรู้ ดังนี้

                          1. ตรวจสอบยอดเงินชราภาพ

                          ผู้ประกันตนจะทราบยอดเงินสมทบชราภาพทั้งหมดว่าเป็นจำนวนเงินกี่บาท นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดเป็นรายปีตั้งแต่ที่เริ่มจ่ายเงินสะสมผู้ประกันตน

                          2. ตรวจสอบเงินสมทบผู้ประกันตน

                          สามารถเลือกตรวจสอบได้เป็นรายปี ตั้งแต่เดือนแรก ปีแรกที่จ่ายเงินสมทบ จะมีข้อมูลทั้งวันที่ที่ชำระเงิน จำนวนเงินสมทบ อัตราเงินสมทบ และยอดรวมเงินสมทบในแต่ละปี ซึ่งจะทำให้ผู้ประกันตนเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในการจ่ายเงินสมทบของตนเองได้อย่างชัดเจน ว่าในแต่ละเดือนแต่ละปีจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้นหรือไม่

                          3. ตรวจสอบการเบิกสิทธิประโยชน์

                          ข้อมูลเกี่ยวกับวันที่จ่ายเงิน ช่องทางการจ่าย ประเภทสิทธิประโยชน์ที่จ่าย และจำนวนเงินที่จ่าย มีข้อมูลตั้งแต่ปีแรกที่สมัครเป็นผู้ประกันตน ทำให้แต่ละคนทราบได้ว่าที่ผ่านมาตนเองเคยใช้สิทธิประโยชน์อะไรจากประกันสังคมบ้าง

                          4. ตรวจสอบค่ารักษาทันตกรรม

                          ตามสิทธิผู้ประกันตนจะได้รับคนละ 900 บาทต่อปี เช่นเดียวกันหมวดนี้จะบอกวันที่จ่าย ประเภทสิทธิประโยชน์ จำนวนเงิน ช่องทางการจ่ายเงิน และยอดคงเหลือค่ารักษานี้ ผู้ประกันตนไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าในปีนี้ สิทธิค่าทันตกรรมใช้หมดไปแล้วหรือไม่ เพียงแค่เข้ามาตรวจสอบภายในแอพฯ

                          5. เปลี่ยนโรงพยาบาล

                          จะมีการแจ้งโรงพยาบาลตามสิทธิ์ปัจจุบันของผู้ประกันตน อีกทั้ง มีข้อมูลเปลี่ยนสถานพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการกับประกันสังคม เพื่อให้ผู้ประกันตนทราบในกรณีที่ต้องการเปลี่ยนโรงพยาบาลด้วย ซึ่งในการเปลี่ยนรพ.จะต้องระบุสาเหตุ อาทิ เปลี่ยนประจำปี ย้ายสถานประกอบการ หรือย้ายที่อยู่ และสามารถยื่นคำร้องขอเปลี่ยนโรงพยาบาลใหม่ได้ผ่านทางแอพฯ นี้ จะทราบผลภายใน 2 วันทำการ

                          6. ข่าวประชาสัมพันธ์

                          เรื่องราวและข้อมูลที่น่าสนใจที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานประกันสังคมจัดทำขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ประกันตน เช่น ประกันสังคม เปิดรับสมัครรพ.ในดวงใจ หรือ ประกันสังคม เปิดรับสมัครเครือข่ายประกันสังคมมาตรา 40 เป็นต้น

                          อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                          วิธี เช็คสิทธิ์ประกันสังคม ง่ายๆ แต่ละมาตรา 33 39 40 ต่างกันอย่างไร?

                          ผู้ประกันตนได้เฮ ครม. ไฟเขียวลดหย่อน เงินสมทบประกันสังคม เหลือ2% นาน 3 เดือน

                          ประกันสังคม กรณีเงินสงเคราะห์บุตร แบบครบถ้วน

                          เปิดโพย!! ค่าคลอดบุตร รพ.รัฐ’63พร้อมทริคช่วยประหยัด

                           

                          ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานประกันสังคม, www.komchadluek.net, news.trueid.net

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก

                            โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก มะเร็งที่พบบ่อยในเด็ก สัญญาณอันตรายโรคร้าย

                            หัวอกคนเป็นแม่ ลูกวัย 5 ขวบ กำลังติดแม่ ต้องจากไปด้วยโรคร้าย โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก หลังรักษาตัวเพียง 16 วัน

                            โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก ภัยร้ายที่พบได้บ่อยในเด็ก

                            โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กเป็นโรคที่พบได้บ่อยอันดับ 1 โรคนี้เป็นโรคร้ายที่สามารถพรากลมหายใจลูกน้อยไปได้ คุณแม่ท่านหนึ่งได้เล่าเหตุการณ์สุดสะเทือนใจ เมื่อลูกน้อยวัย 5 ขวบ ต้องจากไปด้วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก ว่า ตอนเกิด ลูกร่างกายปกติ ​สมบูรณ์​ แข็งแรง​ ไม่มีโรคประจำตัว​ ไม่แพ้ยา​ จนลูกชายอายุ 5 ขวบ อยู่ในวัยที่กำลังติดแม่ อยากไปด้วยกันกับแม่ทุกที่ แต่ลูกก็ต้องจากไปด้วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก หลังรักษาตัวได้เพียง 16 วัน

                            ลูกชายเริ่มมีอาการช่วงเดือนตุลาคม เริ่มแรกลูกมีไข้ขึ้น ๆ ลง ๆ ตอนไปเรียนที่โรงเรียน คุณครูบอกว่า ลูกตัวร้อนวัดอุณหภูมิได้ 38 องศาเซลเซียส แต่ลูกก็ยังร่าเริงดี วันนั้นแม่ก็รับกลับบ้าน อาการของลูกอยู่อย่างนี้ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงพาลูกไปหาหมอ หมอแจ้งว่า อากาศเปลี่ยน พ่อแม่ไม่ต้องกังวลเดี๋ยวก็หาย อาการอื่น ๆ มีแค่เบื่ออาหาร ไม่มีน้ำมูก​ ไม่มีเสมหะ​ ไม่ไอ​ ไม่เจ็บคอ แต่ลูกบอกแม่ตลอดว่าเจ็บหลังหู มีตุ่มขึ้น​ หมอเรียกว่า​ ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ​ ส่วนอาการเบื่ออาหาร หมอบอกว่า อาจจะเจ็บคอ จึงให้ยาลดไข้​และยาแก้อักเสบตามที่หมอบอก

                            ช่วงปลายเดือนตุลาคม​ ลูกไม่หายไข้ ทั้งยังเจอจุดจ้ำเลือด​เต็มขา​ เต็มหลัง พุงเริ่มโต แต่ก็ยังร่าเริง​ เดินได้ปกติ กินได้ แต่กินได้น้อย มีคนแนะนำให้ไปโรงพยาบาลเด็ก แม่ก็ไปวันนั้นตรวจเจออาจารย์หมอ​ หมอบอกตับโตม้ามโต​ ภาวะโลหิตจางขั้นรุนแรง​ ตรวจเลือด​ พบค่าเม็ดเลือดขาว 60000​ เกล็ดเลือด​ 20000​ หมอขอแอดมิท และเจาะไขสันหลังตรวจลูคีเมีย (Leukemia)

                            จากนั้นคุณหมอแจ้งกับพ่อแม่ว่า ลูกต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง​ 3 ปี​ พ่อแม่ขอพามารักษาที่จันทบุรี​ เพราะบ้านเกิดอยู่ที่นี่ จึงทำใบส่งตัวให้ในวันที่​ 9​ พฤศจิกายน​ รักษาด้วยการทำคีโม ลูกเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว​ สายพันธุ์​ all​ (มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิดลิมฟอยด์ Acute Lymphoblastic Leukemia – ALL) การรักษามีโอกาสหายสูง หมอบอกว่า 6 เดือน ต้องไป ๆ มา ๆ ที่โรงพยาบาล ลูกรักษาด้วยยาคีโม​ ยาตัวแรก​ ร่างกายตอบสนองดีมาก​ จากค่าเม็ดเลือดขาว​แสนกว่า​ ลดลงเหลือ 7000​ หมอตกใจมากกลัวโรคแทรกซ้อนตามมา​ กลัวช็อค​ แต่ร่างกายลูกตอบสนองยาดีมากรักษาจนครบ 9 วันจบคอร์สยารอบที่ 1​ พอดี​คือวันที่ 18​ พฤศจิกายน​

                            ลูกบ่นเจ็บตา​ ปวดหัวมาก สักพัก​ปากเบี้ยว​ ตาเข​ หน้าอัมพาตครึ่งซีก​ วันนั้นหมอสงสัยว่าน่าจะมีการติดเชื้อในสมอง​ พาไปทำ CT สแกน​ ไม่พบความผิดปกติ พอตกเที่ยงลูกหายใจไม่ออกกินน้ำ​ น้ำไหลออกจากปาก​ ชีพจรต่ำ​ ลูกนอนนิ่ง​ หมอทำเรื่องเข้าไอซียูเด็ก (PICU) ตกเย็นวันนั้น​ หมอทำ CT สแกน​ ทำ MRI สมอง อีกรอบผลออกมาลูกสมองบวม​ ตกเที่ยงคืนวันนั้น หมอโทรตาม ลูกมีภาวะไตวายเฉียบพลัน หัวใจเต้น 200​ กว่า ไม่รอดคืนนี้แน่​ ทางเราไปดูลูก​ หมอปิดตาไว้​ ลูกมีสติเขารู้ว่าพ่อแม่มาเขาจับมือเราไว้แน่น​ เขาพยายามจะพูดกับเราแต่เขาใส่ท่อช่วยหายใจ​ นาทีนั้นสงสารลูกมาก​ ทำไมเขาเป็นเยอะขนาดนี้​ แต่สมัยนี้หมอเก่งจริง​ หมอยื้อชีวิตลูกไว้ได้​ ไอซียูวันแรกผ่านไป​

                            • วันที่ 2​ หมอบอก ลูกอาการดีขึ้น​ หายใจเอง​ได้​ ความดันปกติ​
                            • วันที่ 3​ หมอบอก ลูกร่างกายไม่มีการตอบสนอง​ ม่านตาไม่ตอบสนองใด ๆ​ แล้ว​ อาการทรง ๆ ทรุด ๆ​ ไม่ตอบสนอง​
                            • และในวันที่ ​7 ในไอซียู หมอบอกอาการลูกแย่มาก​ น้ำท่วมปอด​ ปอดรั่ว​ ไตวาย​ ลำไส้บวม​ เลือดออกในกระเพาะ​ ตับไม่ทำงานแล้ว​ ลูกไม่ตอบสนองกับยาเลย​ หมอให้เลือกจะปั๊มหัวใจไหม​ ถ้าหัวใจหยุดเต้น

                            เจ็บปวดนะที่ต้องเห็นลูกตายไปต่อหน้า​ ช่วยอะไรไม่ได้​ แต่ถ้าลูกตื่นมาก็ทรมานมาก​ อาจติดเตียง​ หรือเป็นเจ้าชายนิทรา​ หลังจากที่พ่อแม่ยุติการปั๊มหัวใจให้ลูกวันนั้นเอง ลูกจากไป​ เห็นหัวใจลูกเต้นช้าจนหยุดไปเอง​ ลูกรักษาให้คีโม​ 9 วัน​ รักษาโรคแทรกซ้อนในไอซียู​ 7​ วัน​ รวมรักษาตัว16​ วัน ลูกเสียชีวิตในวันที่ 25​ พฤศจิกายน​ที่ผ่านมา เพราะติดเชื้อแบคทีเรียขึ้นสมอง​ทำให้สมองบวม​ อวัยวะในร่างกายล้มเหลวหยุดทำงาน ไม่ได้ติดเชื้อในกระแสเลือด

                            เราพาลูกรักษาเร็วที่สุด​แล้ว​ ทำไมมะเร็งถึงมาคร่าชีวิตรวดเร็วขนาดนี้ ใคร ๆ ก็บอกรักษามะเร็งได้ ไม่น่ากลัว​ ใครที่เป็นมะเร็งระวังการติดเชื้อ​นะคะ เรายังไม่ได้บอกลาเขาเลย มันเร็วเกินไป​ ยังเสียใจทุกวัน​ ทำไมต้องลูกเราด้วย วันนี้ก็ครบ​ 11 วันที่ลูกจากไป​ ทำใจยากค่ะ

                            คุณแม่ยังแสดงความห่วงใยถึงแม่ ๆ ท่านอื่นที่กังวลด้วยว่า เห็นบางคนที่ลูกรักษามะเร็งอยู่จิตตกกันเลย แม่ยังยืนยันว่า หมอเก่งในการรักษามะเร็งมาก​ ช่วงจบยาคอร์สที่ 1​ ก็คืออยู่ในช่วงนอนสังเกตอาการ​ ลูกตอบสนองต่อยาดีมาก แต่มีข้อดี​ก็ต้องมีข้อเสีย​ ช่วงนี้ที่ลูกติดเชื้อ​ เชื้อก็ขึ้นไปสมองอีก ทำให้ทรุดเร็ว​ เหมือนสมองควบคุมการหายใจ​ การเคลื่อน​ไหว​ การทำงานของอวัยวะ เพราะไม่มีภูมิต้านทานคอยสู้เชื้อโรค การให้คีโมเหมือนฆ่าเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวดีไปด้วย​ แต่อาการลูก ไข้สูงขึ้น ๆ ลง ๆ ถ้าไม่ได้ตรวจละเอียดจะไม่รู้เลย ​เพราะลูกเป็นเด็กแข็งแรง​ อดทนเก่ง​ ไม่ซึม​ ร่าเริง​ เล่นหัวเราะปกติ​ แค่เบื่ออาหาร แม่ก็คิดว่าเป็นปกติของเด็กเบื่ออาหาร แต่จริง ๆ แล้วเป็นอาการเริ่มของโรค​ อยากให้คนอื่นสังเกตอาการลูกตัวเอง เพราะรักษาเร็วก็หายเร็วอันนี้จริงที่สุด

                            โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก
                            โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก

                            มะเร็งเป็นโรคร้ายที่มีโอกาสหายได้ หากรู้ได้เร็ว รักษาได้ไว ก็เพิ่มโอกาสหาย ร่างกายกลับมาแข็งแรงได้

                            โรคมะเร็งในเด็ก

                            มะเร็งในเด็กเป็นได้กับเด็กแรกเกิดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เกิดได้ทุกช่วงอายุ ทั้งเพศชายและเพศหญิง ผลการสำรวจของชมรมมะเร็งในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย พบว่า อัตราการเกิดโรคมะเร็งในเด็กอยู่ที่ 100 คนต่อประชากรเด็กไทย 1,000,000 คนต่อปี โดย 4 อันดับ มะเร็งที่พบบ่อยในเด็ก ได้แก่

                            1. มะเร็งเม็ดเลือดขาว
                            2. มะเร็งสมอง
                            3. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
                            4. มะเร็งต่อมหมวกไต

                            สาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

                            มะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือลูคีเมีย (Leukemia) พบได้บ่อยในเด็กอยู่ที่เกือบ 40 คนต่อประชากรเด็กไทย 1,000,000 คนต่อปี โดยมะเร็งเม็ดเลือดขาวคือภาวะที่ไขกระดูกหรือเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (stem cell) ทำงานผิดปกติ ผลิตเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมามาก จนทำให้ระบบการทำงานของเม็ดเลือดผิดปกติ อาจเกิดได้จากความผิดปกติของพันธุกรรมบางอย่างในเซลล์มะเร็ง แต่แม้ว่าพ่อแม่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง ลูกก็เป็นโรคมะเร็งได้ เพราะร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็ง มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็กจึงเป็นได้ตั้งแต่แรกเกิดหรือโตแล้วค่อยเป็นโรค

                            โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก
                            มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก

                            อาการสำคัญของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

                            • ซีด
                            • มีไข้
                            • มีจุดจ้ำเลือดตามร่างกาย
                            • เลือดออกง่าย

                            นอกจากนี้ บางรายยังมีอาการต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้ามโตร่วมด้วย โดยทั่วไปแล้วโรคนี้มีโอกาสหายขาดสูง โดยเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL หรือ Acute Lymphoblastic Leukemia ชนิดที่พบมากในเด็ก โดยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันชนิด ALL มีโอกาสหายขาดถึงร้อยละ 60-80

                            การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

                            วิธีรักษาต้องใช้เคมีบำบัดร่วมกันหลายชนิด อาจต้องมีทั้งการกินยา ยาฉีดเข้าเส้น ยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ยาฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยาฉีดเข้าน้ำในไขสันหลัง รวมถึงการฉายรังสี นอกจากนี้ ยังมีการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell Transplantation) จากผู้บริจาคที่มีหมู่เนื้อเยื่อที่ตรงกันหรือเข้ากันได้กับผู้ป่วย

                            การป้องกันโรคมะเร็งทำได้เพียง ให้ลูกฉีดวัคซีนตามช่วงวัย เพื่อให้คุณหมอได้ตรวจเช็คร่างกายและพัฒนาการอย่างละเอียด และต้องคอยเฝ้าสังเกตความผิดปกติของร่างกายลูกอยู่เสมอ

                            วิธีดูแลผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว

                            • บอกให้ลูกรู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเพื่อให้เด็กได้ระวังและดูแลตัวเอง เพราะการรักษาโรคมะเร็งต้องใช้เวลา ควรได้รับความร่วมมือจากตัวผู้ป่วย พ่อแม่จึงต้องบอกเล่าเรื่องโรค อาการ และแนวทางการรักษา เลือกใช้คำที่เหมาะสมกับวัยให้เด็กได้เข้าใจ
                            • พ่อแม่ต้องคอยดูแลและติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ เพราะยาเคมีบำบัด จะทำให้คนไข้มีภาวะแทรกซ้อน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง มีโอกาสเกิดภาวะซีด ติดเชื้อได้ง่าย และมีจุดเลือดออก
                            • ให้ลูกล้างมือบ่อย ๆ ใส่หน้ากากอนามัยเสมอ เมื่อต้องออกนอกบ้าน
                            • หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในสถานที่ที่มีคนพลุกพล่าน เพราะร่างกายของลูกไม่แข็งแรง เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคได้ง่าย
                            • อาหารต้องสุก สด สะอาด งดผักสดและผลไม้สด เพราะเชื้อโรคและแบคทีเรียจากอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงสุก จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือดจนถึงขั้นเสียชีวิต

                            พ่อแม่ต้องพาลูกมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง แต่หากลูกมีความผิดปกติของร่างกาย มีไข้ ควรรีบมาโรงพยาบาล เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด

                            อ้างอิงข้อมูล : thairath และ phyathai

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                            โรค G6PD คือ อะไร อันตรายกับลูกแค่ไหน พ่อแม่ควรรู้!

                            ลูกหายใจครืดคราด สาเหตุเกิดจากอะไร 6 สาเหตุที่ทำให้เสียงหายใจลูกเป็นแบบนี้

                            เตือนแม่ สังเกตอาการ RSV รีบพาไปตรวจหากเข้าข่ายนี้!

                             

                              ผ้าอ้อมแบบกางเกง ยี่ห้อไหนดี

                              ผ้าอ้อมแบบกางเกง ยี่ห้อไหนดี ที่ให้สัมผัสนุ้มนุ่ม สวมใส่สบาย และ ซึมซับยาวนาน

                              จากหลากหลายปัญหาที่เรารวบรวมมาจากคุณแม่ทั่วประเทศเกี่ยวกับคำถามว่าจะเลือก ผ้าอ้อมแบบกางเกง ยี่ห้อไหนดี ที่ให้สัมผัส นุ้มนุ่ม สวมใส่สบาย และ ซึมซับยาวนาน รวมถึงประสบการณ์การใช้ผ้าอ้อมแบบกางเกง ที่มักพบเจอการรั่วซึม การสวมใส่ที่รัดแน่นเกินไปส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและความสบายตัวของลูกน้อย การห้อยตัวของผ้าอ้อมหลังลูกปัสสาวะ ตลอดจนความกังวลเรื่องการแพ้ ด้วยความเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่นี้ ทางเว็บไซต์ www.amarinbabyandkids.com ได้จัดกิจกรรมเพื่อเฟ้นหาสุดยอดแบรนด์ผ้าอ้อมในดวงใจจากการโหวตของคุณแม่ทั่วประเทศกว่า 10,000 คน ในกิจกรรม Amarin Baby & Kids Awards 2020 ที่จัดการมอบรางวัล”ต่อเนื่องในปีที่ 2 ให้กับสินค้าไลฟ์สไตล์สำหรับแม่ลูกในดวงใจ

                              โดยในปี นี้ ผ้าอ้อม BabyLove PlayPants Premium ได้รับคะแนนสูงสุด และคว้ารางวัล Mommy’s Choice สาขา  Best Disposable Pants  ในปีนี้ไปครอง พร้อมด้วยเสียงยืนยันในเหตุผลของความชอบการเลือกใช้ที่จะมาช่วยเหล่าคุณแม่ที่กำลังมองหาผ้าอ้อมให้กับลูกน้อยตัดสินใจในการเลือกซื้อได้ง่ายขึ้นค่ะ

                              ผ้าอ้อมแบบกางเกง ยี่ห้อไหนดี

                              ทำไมแม่ยุคใหม่เลือกผ้าอ้อมสำเร็จแบบกางเกง BabyLove PlayPants Premium  ให้ลูกน้อย

                              ผ้าอ้อมแบบกางเกง ยี่ห้อไหนดี

                               

                              “เป็นแฟนพันธุ์แท้ของผ้าอ้อมเบบี้เลิฟมาตั้งแต่เกิดเลยค่ะ ตอนนั้นใช้แบบเทปแล้วชอบมาก พอสัก 4 เดือนเขาก็เริ่มอยู่ไม่นิ่ง เปลี่ยนผ้าอ้อมแต่ละทีเล่นเอาแม่เหงื่อตก เลยตัดสินใจมาใช้ผ้าอ้อมแบบกางเกง BabyLove PlayPants Premium เป็นตัวเลือกแรกเลยค่ะ ลองจับเนื้อผ้าแล้วนุ่มเหมือนสำลี นุ่มที่สุดเท่าที่เคยใช้เลยค่ะ ก็เลยมั่นใจว่าลูกใส่สบายแน่ๆ  ระบายอากาศได้ดี ก้นลูกแห้งสบายเคลื่อนไหวเยอะแค่ไหนก็ไม่ห่วงเรื่องอับชื้น หรือผื่นผ้าอ้อมเลยค่ะ”

                              “ได้ลองรุ่นนี้ แล้วประทับใจมากๆค่ะ คุณภาพพรีเมี่ยม เนื้อผ้าอ้อมนุ่มสุดๆ ลูกใส่แล้วแห้งไม่อับชื้น รุ่นนี้ใช้ได้ยาวๆจากวัยแบเบาะจนลูกโตเลยค่ะ มีตั้งแต่ไซส์ S – XXL มีภาพเด็กบนห่อผลิตภัณฑ์ที่บอกพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย ช่วยให้ดูง่ายขึ้นว่าแบบไหนเหมาะกับลูกเรา ลายของผ้าอ้อมก็น่ารัก มีให้เลือกถึง 12 ลาย เหมือนจะมีลายเยอะเพราะเปิดมาแต่ละห่อมีลายไม่ซ้ำกับห่อก่อนเลย แม่นี่ชอบทุกลายเพราะลายทันสมัยโดนใจแม่มาก จะลูกสาวหรือลูกชายก็เลือกได้ตามใจชอบเลยค่ะ ดีไซน์ทันสมัยในราคาสบายกระเป๋า แถมมีโปรโมชั่นดีๆมาฝากตลอด แม่ใช้มานานไม่เคยผิดหวังเลยค่ะ”

                              “แม่เลิฟสมชื่อแบรนด์เลยค่ะ BabyLove PlayPants Premium คุณภาพเดียวกับผ้าอ้อมญี่ปุ่น ที่ชอบมากคือขอบเอวยึดได้เยอะ เห็นเคลมว่ายึดหยุ่นได้ถึง 2.5 เท่า ก้นลูกแห้ง ไม่เคยแพ้หรือมีผดเลย เก็บกลิ่นดีมากและใช้งานได้นาน แม้ลูกนอนยาวหรือเดินทางไกลๆก็ไม่ต้องกังวล เคยใช้นานถึง 10 ชั่วโมงก็ยังโอเคอยู่นะ”

                              เคยใช้ผ้าอ้อมกางเกงมาหลายแบรนด์มาก แต่มีปัญหาตรงขอบเอว ขอบขาที่รัดแน่น ไม่ยืดหยุ่น บางครั้งเสียดสีจนเป็นรอยแดง สงสารลูกมากเลยค่ะ  แต่พอเปลี่ยนมาใช้ผ้าอ้อม BabyLove PlayPants Premium ขอบเอวยืดได้เยอะใส่ง่ายไม่ว่าลูกจะซนแค่ไหน สวมแล้วกระชับตัว ขอบขาไม่รัดเกินไปแต่ไม่ต้องห่วงรั่วซึม รูปทรงเข้ากับสรีระของลูกได้ดีในทุกการเคลื่อนไหว ช่วงนี้ลูกชายกำลังตั้งไข่ คลานบ้าง ลุกบ้างทั้งวัน ก็ไม่เกิดรอยกดทับมากวนใจเลยค่ะ

                              ผ้าอ้อมสำเร็จรูปแบบกางเกง BabyLove PlayPants  Premium เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาไปอีกขั้นให้ลูกมีความสุขกับการใส่ผ้าอ้อมมากในทุกวัน ทั้งเนื้อผ้านุ่มละเอียด มาตรฐานเดียวกับผ้าอ้อมญี่ปุ่น ผ่านการทดสอบ Hypoallergenic ว่าไม่ก่อให้เกิดการแพ้ มาพร้อมกับ 2 เทคโนโลยีใหม่ ทั้งแอคทีฟ อิลาสติก เทคโนโลยี( Active Elastic Technology) ทำให้ขอบเอวยืดได้มากกว่าเดิมถึง 2.5 เท่า จึงสวยใส่สบาย กระชับรับกับลำตัว จึงเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ กับระบบ Lock Leakage Protection ล็อกขอบขาลูกไม่ให้รั่วซึมหรือไหลย้อนกลับ แถมยังซึมซับดี แห้งสบายยาวนานถึง 10 ชั่วโมงทีเดียว

                              สำหรับท่านใดคุณแม่ที่สนใจผลิตภัณฑ์ผ้าอ้อมสำเร็จรูป  BabyLove PlayPants Premium สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ www.babylove.co.th  หรือ Facebook BabyLoveClub

                                สอนลูกให้คิดเป็น

                                6 เทคนิคคุยกับลูก สอนลูกให้คิดเป็น แก้ปัญหาเองได้

                                เคยไหมคะ ที่ลูกแก้ปัญหาในเรื่องง่ายๆ ไม่ได้ เรียกร้องขอความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา นั่นอาจเพราะลูกยังขาดความฉลาดทางการคิด หากคุณแม่สามารถ สอนลูกให้คิดเป็น ลูกก็จะสามารถแก้ปัญหาเองได้ ไม่ว่าลูกจะเจอปัญหาอะไร แม่ก็หายห่วงแม่ ว่าแล้ว เราลองมาดูเทคนิคการคุยกับลูก เพื่อสอนลูกคิดเป็น ที่ทีมแม่ ABK นำมาฝากกันเลยค่ะ

                                ความฉลาดทางการคิด ( Thinking Quotient หรือ TQ ) ซึ่งหมายถึง ความฉลาดในการคิดแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ ได้ ความสามารถคิดไตร่ตรองสิ่งถูกผิด และการคิดเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น นับเป็นทักษะความสามารถในการคิดเป็น และแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม  ซึ่งการสอนลูกให้คิดเป็นนี้เองที่เราควรฝึกฝนลูกตั้งแต่เล็กๆ เพื่อให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ

                                นอกจากนี้การเลี้ยงลูกในยุคดิจิตัลที่เต็มไปด้วยข้อมูลที่ท่วมท้น ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายจากสื่อต่างๆ เพียงปลายนิ้ว การสอนลูกให้คิดเป็น แก้ปัญหาได้ก็เป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งในยุคนี้ค่ะ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลนั้นถูกต้องน่าเชื่อถือ และควรนำไปใช้ต่อให้เกิดประโยชน์อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นการคิดวิเคราะห์เป็นยังจะช่วยให้เราสามารถชีวิตประจำวันได้อย่างชาญฉลาด และมีความสุขอีกด้วย

                                6 เทคนิคคุยกับลูก สอนลูกให้คิดเป็น แก้ปัญหาเองได้

                                การฝึกลูกแก้ปัญหาเอง สอนลูกให้คิดเป็น คิดวิเคราะห์ได้นี้ไม่ใช่เรื่องยาก มีเทคนิคง่ายๆ ในการพูดคุยกับลูกที่เราสามารถทำได้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน ดังนี้ค่ะ

                                1. พูดคุยกับลูกด้วยคำถามปลายเปิด

                                คำถามปลายเปิด คือ คำถามที่ไม่ได้ให้เพียงตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” เท่านั้น แต่เป็นคำถามเปิดกว้าง ที่ลูกน้อยสามารถตอบได้อย่างอิสระ ไม่มีคำตอบที่ตายตัว จึงเป็นการกระตุ้นให้ลูกได้ฝึกคิดวิเคราะห์เองก่อนที่จะตอบ และจะทำให้พ่อแม่ถามคำถามต่อไปได้ลึกกว่าเดิม ช่วยให้เข้าใจถึงวิธีคิดและเบื้องหลังของพฤติกรรมที่ลูกแสดงออกด้วย เช่น ถ้าหากลูกเล่าเรื่องที่โรงเรียนให้ฟัง ก็ลองถามลูกว่า “หนูรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้” และอาจถามต่อว่า “เพราะอะไร อะไรทำให้หนูคิด หรือแสดงออกแบบนั้น” การพูดคุยกับลูกด้วยคำถามปลายเปิด ไม่เพียงแต่ช่วย สอนลูกให้คิดเป็น เท่านั้น ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้แชร์ความคิดหรือความรู้สึกของตัวเอง เป็นการเสริมสร้างความมั่นใจในตัวเอง และรับรู้ว่าพ่อแม่ยอมรับในตัวตนของเขา และแน่นอนว่าช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในครอบครัวด้วยค่ะ

                                บทความแนะนำ หมอเด็กแนะ 3 เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน ให้ลูกยอมเปิดใจ

                                2. อย่าเพิ่งรีบตอบคำถามของลูก

                                เมื่อลูกถามสิ่งที่เขาสงสัย หลายครั้งพ่อแม่อาจรีบตอบให้จบๆ หลายครั้งก็เพราะไม่มีเวลา เพราะไม่รู้ หรือเพราะขี้เกียจไปหาคำตอบ แต่รู้ไหมคะว่านั่นเป็นการปิดกั้นการพัฒนาทักษะการคิดเป็นของลูกไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อใดการตามที่ลูกตั้งคำถาม เช่น “ทำไมฝนถึงตก” อยากให้พ่อแม่ลองถามลูกกลับไปว่า “แล้วหนูคิดว่าเพราะอะไร ทำไมฝนถึงตกจ๊ะ” แทนการรีบตอบคำถามลูก เพราะนี่เป็นโอกาสทองที่เราจะช่วยกระตุ้นทักษะการคิดเป็น แก้ปัญหาได้ โดยที่ลูกต้องอาศัยทักษะอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งการสังเกต การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ และนำมาสังเคราะห์ให้ได้คำตอบ

                                อย่างไรก็ดี หากพ่อแม่ตอบคำถามนั้นไม่ได้ ให้ลองชวนเด็กๆ คิดว่าจะ เราจะไปหาข้อมูลนั้นได้อย่างไร เช่น “แม่ไม่รู้คำตอบจ้ะ หนูคิดว่าเราจะหาคำตอบยังไงดีจ๊ะ” ลูกอาจจะบอกว่า “เปิดกูเกิ้ลไหมแม่” แม่ก็ควรเสริมให้ลูกคิดต่อว่า “แล้วเราจะใช้คีย์เวิร์ดอะไรดีให้หาเจอจ๊ะ” หรือเราอาจจะใช้วิธีการเปิดหนังสือสารานุกรมที่บ้าน หรือชวนลูกทำการทดลองที่เกี่ยวข้องกับการเกิดฝน ก็จะยิ่งช่วยให้เขาได้คำตอบที่น่าทึ่ง และกระตุ้นการคิดเป็นมากขึ้นอีกด้วย

                                เด็กฉลาด
                                เทคนิคคุยกับลูก สอนลูกให้คิดเป็น แก้ปัญหาเองได้

                                 

                                บทความแนะนำ ลูกไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ เพราะ พ่อแม่พูดแบบนี้ (โดยไม่ตั้งใจ)

                                3. เมื่อลูกพบปัญหา อย่าเพิ่งรีบให้ความช่วยเหลือทันที

                                แต่ลองตั้งคำถามว่า ลูกคิดว่าควรแก้ปัญหานั้นอย่างไร ให้เกิดผลดีที่สุด เช่น เมื่อลูกทำน้ำหก แล้วร้องขอความช่วยเหลือ เราอาจบอกลูกว่า “หนูคิดว่าเราควรจะทำอย่างไรดีคะ” ลูกอาจจะตอบว่า “เอาผ้ามาเช็ดค่ะ” แม่ก็ถือโอกาสชวนลูกเอาผ้ามาเช็ด จากนั้นก็ชวนลูกคิดต่อว่า “แล้วคราวหน้าเราจะทำยังไงดีไม่ให้น้ำหกอีกดีคะ” ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะช่วยกระตุ้น สอนลูกให้คิดเป็น แก้ปัญหาได้ด้วยตนเองแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นใจในตัวเองให้ลูกด้วยว่า ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรในชีวิต เขาก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง

                                บทความแนะนำ รวม ข้อความให้กำลังใจภาษาอังกฤษ เติมพลังใจเจ้าตัวน้อยพร้อมทุกสถานการณ์

                                4. ฟังลูกให้มากขึ้น บ่นลูกให้น้อยลง

                                พ่อแม่ส่วนใหญ่มักติดกับดักการเลี้ยงลูกทางเดียวคือ สั่งหรือบ่น อย่างเดียว ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้ลูกได้คิด ลูกจึงคุ้นเคยกับการได้รับคำสั่งที่ให้ปฏิบัติตามอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเขามัวรอคอยการตัดสินใจจากพ่อแม่ ไม่กล้าคิด ตัดสินใจ หรือแก้ปัญหาด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลาคับขันก็คิดเองไม่ได้ แก้ปัญหาไม่เป็น หรือบางครั้งการที่พ่อแม่พร่ำบ่น พร่ำสอนมากเกินไปอาจทำให้ลูกรำคาญและไม่อยากฟัง จนถึงขั้นไม่อยากทำตามก็เป็นได้ ผลก็คือ พ่อแม่เองก็จะหงุดหงิดอารมณ์เสีย ทำให้เสียสุขภาพจิตทั้งพ่อแม่และลูกกันเลยทีเดียวค่ะ

                                สิ่งที่ควรทำคือ พ่อแม่ควรหันมาฟังลูกให้มากขึ้น เปิดโอกาสให้ลูกมีทางเลือก โดยใจกว้างรับฟังเหตุของลูก (ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ตรงใจของพ่อแม่) และเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองผิดลองถูกกับการตัดสินใจของตัวเอง เพื่อที่จะเรียนรู้จากผลลัพธ์ของการกระทำที่ตามมา เพื่อให้ลูกได้รู้จักคิดเป็น  เคล็ดลับคือ พ่อแม่ต้องหนักแน่นเอาจริงเอาจัง มั่นคง กับแนวทางนี้ ไม่เผลอบ่น พูดอ้อนวอนซ้ำ  เพราะเมื่อใดก็ตามที่ลูกรับรู้ได้ว่าคุณเอาจริง เขาก็จะรู้ว่าได้เวลาที่เขาต้องพึ่งตัวเอง ต้องหัดคิดเอง แก้ปัญหาเองบ้างแล้วล่ะค่ะ

                                บทความแนะนำ [สร้างวินัยเชิงบวก] ชวนพ่อแม่สำรวจ เรา “สั่ง” หรือ “สอน” ลูกอยู่นะ

                                5. ชวนลูกคิดวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้รับในชีวิตประจำวัน

                                ทราบกันดีว่า ในยุคนี้ถ้าเราอยากรู้อะไรก็แค่ค้นหาใน google ก็ได้คำตอบ แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลไหนจริงหรือเท็จ บางครั้งในสื่อออนไลน์ก็มีการแชร์ fake news เวลาที่ลูกข้อมูลแปลกๆ ให้พ่อแม่ฟัง อยากให้ลองชวนคุยกับลูกว่า เรื่องราวนี้ได้ยินมาจากไหน คิดว่าเป็นไปได้ไหม และถ้าไม่แน่ใจว่าน่าเชื่อถือรึเปล่า เราลองไปหาแหล่งที่มาของข้อมูลกันไหม จะลองหาข้อมูลด้วยวิธีใด เพื่อเป็นการฝึกให้ลูกคิดวิเคราะห์ข้อมูลก่อนที่จะเชื่ออะไร ซึ่งทักษะการคิดเป็นนี้เป็นเรื่องสำคัญมากในยุคที่ใครๆ ก็สามารถสร้างข้อมูลได้ง่ายดายในโลกอินเตอร์เน็ต และยังเป็นการฝึกให้ลูกคิดพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสนใจเชื่ออะไรอีกด้วย อย่างไรก็ดีหากเราไม่เห็นด้วยกับความคิดของลูก อย่าเผลอตัดสินลูกไปก่อน แต่ให้พูดคุยกันโดยอ้างเหตุผลถึงข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เพราะนั่นเป็นการด่วนตัดสินลูก และลดความน่าเชื่อถือของพ่อแม่ลงด้วย

                                บทความแนะนำ ภัยจากสื่อสังคมออนไลน์ อิทธิพลด้านร้ายของโซเชียลมีเดียที่ส่งผลต่อลูก

                                ทักษะการคิด
                                เทคนิคคุยกับลูก สอนลูกให้คิดเป็น แก้ปัญหาเองได้

                                 

                                6. ท่าทีและน้ำเสียงของการพูดคุยกับลูกก็สำคัญ

                                การพูดคุยที่จะช่วยส่งเสริมการคิดเป็นนั้น พ่อแม่ควรใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวล มีเมตตา และท่าทีที่เป็นมิตร เช่น โน้มตัวเข้าหา สบตา โอบกอดลูกบ่อยๆ เพื่อทำให้ลูกรับรู้ว่าพ่อแม่ให้ความสำคัญ  และให้โอกาสเขาได้แสดงความคิดเห็นอย่างไม่ปิดกั้น มีเทคนิคที่น่าสนใจมากที่เจ้าชายวิลเลี่ยมแห่งอังกฤษใช้กับลูก นั่นคือ เจ้าชายมักจะย่อตัวลงไปหาลูกชายของเขาอยู่เสมอ เมื่อต้องการจะพูด หรืออธิบายเรื่องใดๆ ไม่ว่าจะอยู่สถานการณ์ใดก็ตาม สังเกตได้ว่าเมื่อเราย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับลูก พ่อแม่จะสามารถมองเห็นดวงตาของลูกได้ วิธีนี้ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเป็นเทคนิคการฟังที่ดี เพื่อให้เด็กๆ เห็นว่าคำพูดของพวกเขานั้นสำคัญกับพ่อแม่ วิธีนี้ยังช่วยเพิ่มความนับถือตัวเอง เพิ่มความไว้วางใจในครอบครัวด้วย

                                ไม่ยากเลยใช่ไหมคะ ที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่จะใช้เทคนิคง่ายๆ เหล่านี้ในชีวิตประจำวัน เพื่อจะช่วยให้ลูกของเราเป็นเด็กที่มีทักษะการคิดเป็น แก้ปัญหาได้ อันจะส่งผลทำให้พวกเขาสามารถชีวิตประจำวันได้อย่างชาญฉลาด มีความสุข และแก้ปัญหาได้ในอนาคต โดยที่คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราไม่ต้องกังวลเลยทีเดียวค่ะ

                                อ้างอิงข้อมูลจาก ปันสุขลูกรัก, motherandchild, catdumb

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                เด็กยุคใหม่ ทำไมต้องมี Power BQ ติดอาวุธให้ลูกฉลาดรอบด้าน

                                สอนลูกให้กล้า ไม่กลัวความล้มเหลว ปูหนทางสู่ความสำเร็จในชีวิต

                                วิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ดุ ไม่ตี ปูพื้นฐานชีวิตลูกให้ดีใน 3 ปีแรก

                                 

                                  ทารกจากตัวอ่อนแช่แข็ง ความหวังคนมีลูกยาก

                                  เปิดตัว”มอลลี กิบสัน” เด็กผู้จุดประกายความหวังผู้ มีลูกยาก

                                  มีลูกยาก ทำไงดี เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยได้ พิสูจน์แล้วจากหนูน้อย มอลลี่ กิบสัน ทารกที่เกิดจากตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งมานานถึง 27ปีมารู้จักเธอพร้อมแนวทางในไทยกัน

                                  เปิดตัว”มอลลี กิบสัน” เด็กผู้จุดประกายความหวังผู้ มีลูกยาก!!

                                  ปัจจุบันศาสตร์ความรู้และเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่มีความเจริญก้าวหน้าไปมาก ทำให้ภาวะการมีลูกยากของคู่สามีภรรยาที่ไม่พร้อม ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เช่น การใช้ “อสุจิ” หรือ “ไข่” ของผู้ที่ไม่ใช่พ่อแม่มาทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการช่วยคู่สมรสที่มีลูกยากให้สามารถมีลูกได้สมใจ

                                  เด็กหลอดแก้ว  “มอลลี กิบสัน” ทารกผู้เกิดจากตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งนานที่สุดในโลก

                                  มอลลี กิบสัน (Molly Gibson) ถือกำเนิดลืมตาดูโลกในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่ตัวอ่อนของเธอถูกแช่แข็งตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 1992 หรือถูกแช่แข็งมายาวนาน 27 ปีกว่าจะได้ลืมตาดูโลก ครอบครัวกิบสันประสบปัญหามีบุตรยากมาโดยตลอด และได้ติดต่อศูนย์บริจาคตัวอ่อนแห่งชาติ หรือ NEDC (National Embryo Donation Center) องค์กรไม่แสวงหากำไรซึ่งเก็บตัวอ่อนแช่แข็งของคนไข้ที่มาเข้ารับการทำเด็กหลอดแก้วแต่ไม่ได้ใช้ตัวอ่อน

                                  มอลลี่ กิบสัน ทารกจากตัวอ่อนแช่แข็งนาน 27 ปี
                                  มอลลี่ กิบสัน ทารกจากตัวอ่อนแช่แข็งนาน 27 ปี

                                  ตัวอ่อนของมอลลี ถูกรับบริจาคโดยสามีภรรยา ทีนา (Tina) และ เบน กิบสัน (Ben Gibson) ซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา ทำให้ มอลลี ได้ทำลายสถิติตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งก่อนที่จะได้เกิดเป็นเด็กทารกได้นานที่สุดในโลก โดยที่เจ้าของสถิติก่อนหน้านี้คือ เอมมา กิบสัน พี่สาวของเธอเอง

                                  NEDC ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 17 ปีก่อน และได้ดำเนินการบริจาคตัวอ่อนให้ผู้ที่ต้องการมาแล้วหลายคน จนถึงขณะนี้มีทารกที่กำเนิดจากตัวอ่อนแล้วมากกว่า 1,000 คน โดยที่ในปัจจุบันมีการบริจาคตัวอ่อนราว 200 ตัวในแต่ละปี โดยที่ผู้ขอรับบริจาคประมาณ 95% เป็นผู้ที่ประสบปัญหามีบุตรยาก อายุการเก็บรักษาตัวอ่อนแช่แข็งไม่มีที่สิ้นสุด แต่กรอบเวลาถูกจำกัดด้วยอายุของเทคโนโลยี ทารกคนแรกที่เกิดจากตัวอ่อนแช่แข็งที่ได้มาจากการบริจาคของคนไข้ทำเด็กหลอดแก้วเกิดในออสเตรเลียในปี 1984

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก brandthink

                                  จากข่าวของหนูน้อยมอลลี่ ข้างต้นทำให้คู่สมรสที่มีลูกยากหลาย ๆ คู่คงสงสัยกันแล้วว่าการทำเด็กหลอดแก้วด้วยการใช้ตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งนั้น ในประเทศไทยมีการบริการดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK จึงได้ทำการหาข้อมูลเกี่ยวกับภาวะการ มีลูกยาก ขั้นตอนการรักษา รวมถึงสถานการณ์แนวโน้มการแช่แข็งตัวอ่อนเพื่อการทำเด็กหลอดแก้วในประเทศไทยมารวบรวมไว้ให้ได้ศึกษากัน เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ เผื่ออยากจะมีเทพธิดาตัวน้อยน่ารัก ๆ แบบหนูน้อยมอลลี่ กิบสัน กันบ้าง

                                  ลูกคุณไข่ของใคร?ลูกใครมาจากไข่ของคุณ?

                                  สำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  จัดเสวนา คุยกัน…ฉันท์วิทย์ เรื่อง “ลูกคุณ…ไข่ของใคร ลูกใคร…มาจากไข่ของคุณ”

                                  นายแพทย์สมชาย สุวจนกรณ์ สูติ-นรีแพทย์   ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก โรงพยาบาลพระรามเก้า  กล่าวว่า  การทำเด็กหลอดแก้ว ถือเป็นทางเลือกในการรักษาตอนท้าย ๆ หลังจากที่รักษาโดยวิธีอย่างอื่น เช่น  การกระตุ้นการตกไข่  การฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก  หรือการผ่าตัดแก้ไขความผิดปกติของมดลูกและรังไข่ ฯลฯ  แล้วไม่เกิดการตั้งครรภ์

                                  วิธีการการทำเด็กหลอดแก้ว เริ่มจากการกระตุ้นไข่ การเก็บไข่ออกมาปฏิสนธิกับอสุจิในห้องปฏิบัติการจนได้ตัวอ่อน แล้วเลี้ยงตัวอ่อนภายนอกร่างกายประมาณ 2-5 วัน เพื่อให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตจนถึงระยะพร้อมจะฝังตัว จากนั้นจึงนำไปใส่คืนในโพรงมดลูก    ซึ่งในขั้นตอนการเก็บไข่นั้น แพทย์จะฉีดยาเพื่อกระตุ้นให้ไข่สุกหลายๆใบ  (เฉลี่ยประมาณ 10 ใบต่อครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุของผู้ถูกกระตุ้น)  เพื่อนำมาปฏิสนธิกับอสุจิที่เตรียมไว้ให้เกิดตัวอ่อนจำนวนมากในครั้งเดียว โดยวิธีนี้มีข้อดีคือทำให้การใส่ตัวอ่อนกลับในโพรงมดลูกสามารถทำได้มากกว่า 1 ตัวอ่อน(เฉลี่ยครั้งละ 2-3 ตัวอ่อน)  เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์  อีกทั้งหากการใส่ตัวอ่อนครั้งแรกไม่สำเร็จ (เนื่องจากการใส่ตัวอ่อนแต่ละครั้งจะมีโอกาสตั้งครรภ์เพียง 30 % เท่านั้น) ก็สามารถนำตัวอ่อนแช่แข็งที่เหลือมาใช้ได้ทันที ซึ่งเท่ากับช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้าน ยาฉีด ,การเตรียมอสุจิ, การปฏิสนธิ ได้มาก  แต่ในกรณีของผู้เข้ารับการรักษาที่ประสบความสำเร็จตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่ในช่วงการใส่ตัวอ่อน 1-2  ครั้งแรก จะทำให้เหลือตัวอ่อนแช่แข็งจำนวนหนึ่ง ซึ่งผู้เข้ารับการรักษาจะต้องตัดสินใจว่าจะมีแนวทางการจัดการตัวอ่อนแช่แข็งที่เหลืออย่างไร ทั้งนี้ในหลายประเทศ เช่น ประเทศออสเตรเลียได้มีกฎหมายที่ชัดเจน คืออนุญาตให้เก็บตัวอ่อนแข็งได้ไม่เกิน 5 ปี จากนั้นผู้เข้ารับการรักษาต้องแสดงเจตจำนงว่าจะทำลายตัวอ่อนทิ้ง หรือจะบริจาคให้หน่วยงานวิจัย หรือบริจาคให้แก่คู่สมรสอื่นที่มีภาวะมีบุตรยาก เป็นต้น

                                  มีลูกยาก เทคโนโลยีช่วยได้
                                  มีลูกยาก เทคโนโลยีช่วยได้

                                  “ส่วนในบ้านเรายังไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนถึงระยะเวลาการเก็บรักษาหรือการจัดการใดๆ ส่วนใหญ่ผู้เข้ารับการรักษามักจะขอเก็บแช่แข็งตัวอ่อนไว้ก่อน  และทางโรงพยาบาลจะมีการติดต่อเก็บค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาอย่างต่อเนื่องทุกปี หากคู่สมรสใดไม่ต้องการเก็บไว้ ทางโรงพยาบาลจะให้แสดงเจตจำนง 2 แนวทาง คือ 1. บริจาคเพื่อการวิจัยทดลองทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งในทางปฏิบัติยังไม่มีการนำมาใช้ เพราะยังเป็นข้อถกเถียงในด้านจริยธรรมการทดลอง หรือ 2. บริจาคให้คู่สมรสที่มีปัญหาทั้งอสุจิและไข่  โดยปัจจุบันยังปิดข้อมูลของคู่สมรสที่บริจาคไว้เป็นความลับเพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับและในทางสังคมน่าจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่มีผลดีต่อครอบครัวทั้งคู่มากกว่า หากแต่ว่าคู่สมรสบางส่วนที่บริจาคมักจะมีข้อกังวลว่าเด็กจะมีโอกาสมาพบกันหรือแต่งงานกันหรือไม่ ซึ่งแม้ในความเป็นจริงจะมีโอกาสเกิดได้ แต่เป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก  จึงทำให้สัดส่วนการบริจาคในปัจจุบันยังมีไม่ถึง 10%   ส่วนเรื่องการกำจัดตัวอ่อนทิ้งนั้นยังไม่มีในประเทศไทย เพราะในประเด็นทางจริยธรรมยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าตัวอ่อนถือว่ามีสถานะเป็นชีวิตแล้วหรือไม่”

                                  นายแพทย์สมชาย  กล่าวต่อว่า ปัญหาปัจจุบันแนวโน้มของตัวอ่อนแช่แข็งจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มีการจัดเก็บอย่างกระจัดกระจายในแต่ละโรงพยาบาลโดยไม่มีกรอบกำหนดทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งหากใครมองว่าตัวอ่อนเป็นแค่เซลล์ธรรมดาแล้วมีการทำลายทิ้งก็จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย  แนวทางการจัดการที่ดีมองว่าน่าจะมีธนาคารจัดเก็บตัวอ่อน เพื่อรวบรวมตัวอ่อนแช่แข็งจากโรงพยาบาล โดยมีการทำข้อมูลเก็บไว้อย่างละเอียด ส่วนค่าใช้จ่ายอาจจะมาจากแต่ละหน่วยงาน เพื่อว่าหากในอนาคตมีกฎหมายหรือแนวทางที่รองรับว่าสามารถนำตัวอ่อนไปใช้ประโยชน์ได้  ก็จะมีคุณค่ามาก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาก็ไม่ได้มีต้นทุนสูงมากนัก

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

                                  สรุปความได้ว่า

                                  • เมื่อคู่สมรสมีภาวะการมีลูกยาก จะมีขั้นตอนการรักษาตามขั้นตอน โดยเริ่มต้นจากการซักประวัติ ตรวจเลือด ตรวจเชื้ออสุจิ ตรวจภายในของทั้งคู่ หลังการตรวจวินิจฉัยและทราบสาเหตุ จะรักษาตามสาเหตุนั้น ๆ ก่อน เช่น ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก ถุงน้ำ chocolate เป็นต้น กรณีที่แก้ไขปัจจัยนั้น ๆ แล้วยังไม่ตั้งครรภ์ หรือไม่สามารถแก้ไขได้ แพทย์จะพิจารณาใช้ เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ตามความเหมาะสมต่อไป
                                  • การทำเด็กหลอดแก้วเป็นวิธีหนึ่งในเทคโนโลยีช่วยแก้ปัญหาภาวะการมีบุตรยาก นอกจากเด็กหลอดแก้วแล้วเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ อีก เช่น การใส่เซลล์สืบพันธุ์เข้าไปในท่อนำไข่ (GIFT: gamete intrafallopian transfer), การนำตัวอ่อนที่ได้รับการผสมแล้วเข้าไปในท่อนำไข่ (ZIFT: zygote intrafallopian transfer), การฉีดอสุจิเข้าไปในไข่ (ICSI: intracytoplasmic sperm injection) การย้ายตัวอ่อนในระยะต่าง นอกจากนี้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ยังรวมไปถึงกระบวนการตัดแยกเซลล์ของตัวอ่อน (blastomere biopsy) เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยตัวอ่อนก่อนการฝังตัว (preimplantation genetics diagnosis) ด้วย ซึ่งจะใช้วิธีใดก็ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ตามสาเหตุที่แตกต่างกันไปของแต่ละคู่สมรสที่เข้ารับการรักษา
                                  • การแช่แข็งตัวอ่อน หรือกระบวนการแช่แข็งตัวอ่อน คือ กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความเย็น เพื่อเก็บรักษาไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว เพื่อที่ว่าจะได้ย้ายกลับเข้าสู่โพรงมดลูกในระยะต่อไป ซึ่งในการกระตุ้นไข่แต่ละครั้งอาจได้จำนวนไข่หรือตัวอ่อนมากกว่าตัวอ่อนที่จะใส่ในแต่ละครั้ง โดยทั่วไปจะใส่ตัวอ่อนต่อครั้งไม่เกิน 3 ตัวอ่อน ดังนั้นตัวอ่อนที่เหลือก็สามารถเก็บไว้โดยการแช่แข็งที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส
                                    รวมทั้งไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิแล้ว แต่ยังไม่สามารถย้ายฝากเข้าสู่โพรงมดลูกได้ไม่ว่าด้วยภาวะใดก็ควรจะได้รับการแช่แข็ง เพื่อเก็บรักษาไว้ เมื่อต้องการใช้ตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งตัวอ่อนจะถูกทำให้กลับคืนสู่สภาวะอุณหภูมิเดิมตามขั้นตอนทางเทคนิค รวมทั้งตรวจสอบว่ามีความเหมาะสมทางการแพทย์ที่จะย้ายฝากเข้าสู่โพรงมดลูกหรือไม่

                                    มีลูกยาก ปรึกษาแพทย์ช่วยได้
                                    มีลูกยาก ปรึกษาแพทย์ช่วยได้

                                  “ตราบใดที่ตัวอ่อนได้รับการดูแลอย่างถูกต้องในถังเก็บไนโตรเจนเหลว ตัวอ่อนจะสามารถใช้การได้ต่อไป จากการเกิดของมอลลี่ทำให้เราได้รู้ว่า ตัวอ่อนสามารถอยู่รอดได้อย่างน้อย 27 ปี หรืออาจมากกว่านั้น” ดร. ซอมเมอร์เฟลท์ ผู้ดูแลกระบวนการจากกรณีของหนูน้อย มอลลี่ กิบสันกล่าวซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการจับเก็บดูแลตัวอ่อนได้นาน โดยไม่มีการจำกัดเวลา แล้วสถานการณ์การบริจาคตัวอ่อนในประเทศไทยนั้นจะเป็นอย่างไร

                                  การบริจาค ไข่ อสุจิ ตัวอ่อน กับกฎหมายประเทศไทย

                                  การบริจาคไข่ อสุจิในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย แต่การบริจาคไข่ และอสุจิเพื่อการค้าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมีกฎข้อบังคับ ดังนี้

                                  ตามประกาศของแพทยสภา ที่ ๙๕ (๙) ๒๕๕๘

                                  การบริจาคไข่

                                  • ผู้บริจาคต้องมีอายุระหว่าง 20 ถึง 35 ปี
                                  • ผู้บริจาคไข่ต้องมีหรือเคยมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่มีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายต้องมีหนังสือ ยินยอมจากสามีที่ชอบด้วยกฏหมายเป็นลายลักษณ์อักษร ผู้รับบริจาคไข่ต้องเป็นผู้มีสัญชาติเดียวกันกับผู้บริจาค ห้ามผู้รับบริจาคไข่ใช้ไข่จากผู้บริจาคมากกว่า 1 คนในแต่ละรอบการรักษา ผู้บริจาคไข่บริจาคไข่ได้ไม่เกิน 3 ครั้ง
                                  • ข้อมูลผู้บริจาคไข่จะถูกจัดเก็บเป็นเวลา 20 ปี
                                  • ห้ามผู้รับบริจาคไข่รับไข่จากผู้บริจาคเกิน 1 คนในแต่ละรอบการรักษา

                                  การบริจาคอสุจิ

                                  • มีอายุระหว่าง 20-45 ปี
                                  • ผ่านการตรวจประเมินสุขภาพกายและสุขภาพจิต
                                  • คู่สมรสของผู้บริจาคอสุจิต้องลงนามใน “หนังสือแสดงความยินยอม”
                                  • ต้องไม่เป็นญาติกับผู้รับอสุจิ
                                  • ไม่มีประวัติการใช้ยาเสพติด
                                  • ไม่มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
                                  • ไม่มีประวัติการเป็นโรคทางพันธุกรรม
                                  • ไม่มีประวัติเป็นโรคติดต่อ (เช่น HIV/AIDS)
                                  • ผู้บริจาคอสุจิต้องยินยอมให้ตรวจหาเชื้อ HIV/AIDS ก่อนส่งตัวอย่างอสุจิและตรวจซ้ำอีกครั้งหลังจากตรวจครั้งแรก 6 เดือนก่อนใช้อสุจิในขั้นตอนการรักษา
                                  • ผู้บริจาคอสุจิสามารถบริจาคอสุจิได้เฉพาะกรณีที่เมื่อบริจาคแล้วมีการตั้งครรภ์จนได้บุตรไม่เกิน 10 ครอบครัว

                                  การบริจาคตัวอ่อน

                                  • ผู้บริจาคตัวอ่อนต้องมีหรือเคยมีสามีที่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีที่มีสามีที่ชอบด้วยกฎหมายต้องมี หนังสือยินยอมจากสามีที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร
                                  • ผู้บริจาคตัวอ่อนต้องมีอายุระหว่าง 20 ถึง 45 ปี ขณะทำการปฏิสนธิตัวอ่อน ผู้รับบริจาคตัวอ่อนต้องเป็นผู้มีสัญชาติเดียวกันกับผู้บริจาคและมีสามีหรือภรรยาที่ชอบด้วยกฏหมาย

                                  ข้อบังคับทางกฎหมายเกี่ยวกับการแช่แข็งตัวอ่อนมีดังต่อไปนี้

                                    • คู่สมรสที่ต้องการแช่แข็งตัวอ่อนต้องสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
                                    • ก่อนการแช่แข็งตัวอ่อน ทั้งสามีและภรรยาต้องลงนามใน “หนังสือแสดงความยินยอม”
                                    • คู่สมรสต้องตรวจร่างกายเพื่อดูว่าเป็นโรคติดต่อหรือไม่
                                    • ตรวจคัดกรองเพื่อแยกตัวอ่อนที่ “ติดเชื้อ” ออกจากตัวอ่อนที่ “ไม่ติดเชื้อ” (เช่น มีเชื้อ HIV/ไม่มีเชื้อ HIV)
                                    • สามีหรือภรรยาที่ต้องการใช้ตัวอ่อนของคู่สมรสที่เสียชีวิตไปแล้วต้องมีเอกสารยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากคู่สมรสก่อนเสียชีวิต
                                    • ต้องรายงานต่อกระทรวงสาธารณสุข (ประเทศไทย) หากต้องการใช้ตัวอ่อนแช่แข็งหลังการเสียชีวิตของคู่สมรส
                                    • อาจไม่สามารถใช้ตัวอ่อนแช่แข็งของคู่สมรสที่เสียชีวิตมานานกว่า 5 ปีได้

                                      ลูกคือโซ่ทองคล้องใจ ช่วยให้ครอบครัวสมบูรณ์
                                      ลูกคือโซ่ทองคล้องใจ ช่วยให้ครอบครัวสมบูรณ์

                                  การอุ้มบุญ

                                  ภรรยาที่ชอบด้วยกฏหมายมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ว่าไม่สามารถตั้งครรภ์เองได้ ต้องมีสัญชาติไทย ในกรณีที่สามีหรือภรรยามิได้มีสัญชาติไทยต้องจดทะเบียนสมรสมาแล้วไม่น้อยกว่าสามปี หญิงรับการตั้งครรภ์แทนทั้งที่เป็นญาติสืบสายโลหิตและมิใช่ญาติสืบสายโลหิต มีสัญชาติเดียวกันกับสามี และภริยาที่ชอบด้วยกฏหมายที่ประสงค์จะมีบุตรโดยให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนมีอายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 40 ปีบริบูรณ์ และเคยบุตรมาแล้วโดยการคลอดธรรมชาติไม่ เกิน 3 ครั้ง หรือในกรณีที่ผ่าคลอดไม่เกิน 1 ครั้ง ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากสามีที่ชอบด้วยกฏหมาย หรือชายที่อยู่กินกันฉันสามีภริยา จะรับตั้งครรภ์แทนจนได้คลอดบุตรไม่เกิน 2 ครั้ง

                                  ซึ่งจะเห็นได้ว่าในข้อกฎหมาย และระเบียบปฎิบัติในเรื่องของการรับบริจาคตัวอ่อน อสุจิ หรือไข่ในประเทศไทยนั้นหากเป็นเพื่อการรักษาสามารถทำได้ แต่ยังไม่มีองค์กรที่ทำการเก็บรวบรวมเป็นหลัก เป็นการให้บริการของแต่ละโรงพยาบาล และสถานพยาบาล ซึงยังคงมีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาแช่แข็งทั้งไข่ อสุจิ และตัวอ่อน โดยจะมีการชำระค่าบริการเป็นรายปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสถานพยาบาลและผู้รับบริการแต่ละแห่งแตกต่างกันไป โดยค่าใช้จ่ายในการแช่แข็งตัวอ่อน ไข่ อสุจินั้นแม้จะเป็นค่าใช้จ่ายในราคาที่ไม่สูงมาก (ประมาณราคา 5,000-7,000บาท) แต่คู่สมรสที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยากต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายทั้งขั้นตอนในการรักษาจนจบที่สามารถได้คลอดบุตรนั้นมีขั้นตอนกระบวนการที่ค่อนข้างมาก จึงทำให้ราคาค่าใช้จ่ายทั้งกระบวนการค่อนข้างสูง และแตกต่างกันไปตามเคสของแต่ละคู่ด้วย

                                  ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในยุคปัจจุบันทำให้ความหวังของคู่สมรสที่มีปัญหาในการมีลูกยากนั้น คลายความกังวลไปได้มากยิ่งขึ้นเมื่อวิทยาการสมัยใหม่ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าตัวอ่อนแช่แข็งนั้นสามารถมีอายุการเก็บแช่แข็งไว้ได้นานกว่า 27 ปี อย่างกรณีของหนูน้อยมอลลี่ กิบสัน และมีแนวโน้มว่าจะนานขึ้นไปอีก จึงอยากขอเป็นกำลังใจให้ทุกคู่ที่ต้องการมีลูกได้สมหวัง กลายเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์กันทั่วหน้า

                                  ข้อมูลอ้างอิงจาก รพ.บำรุงราษฎร์ / med.cmu.ac.th/aivfclinic.com

                                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                  วิจัยเผย! ผู้ชายกินยาแก้แพ้บ่อย เสี่ยง “มีบุตรยาก”

                                  สิ่งต้องรู้เมื่อจะ ฝากไข่ อายุ 40 รีบใช้ ควรเก็บไข่ก่อน35ปี

                                  มีบุตรยาก ชี้เป้า 15 ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ช่วยสานฝันโอกาสให้ได้เป็นพ่อแม่สมปรารถนา

                                  อยากมีลูกต้องกินอะไร? 6 อาหารโด๊ปนี้…ช่วยได้

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                    ปฏิทินวันหยุด 2564 วันหยุดยาว วันสําคัญ ประจำปี 2021

                                    ปฏิทินวันหยุด 2564 วันหยุดยาว วันสําคัญ ประจำปี 2021 พาลูกเที่ยวช่วงไหนดี?

                                    เช็คเลย ปฏิทินวันหยุด 2564 ช่วงไหนหยุดยาว อยากพาลูกเที่ยวไกล ๆ ไปช่วงไหนถึงจะดีมีวันหยุดยาว ลองมาดูกันว่าวันหยุดราชการ 2021 มีวันไหน เดือนอะไร จะได้วางแผนพาครอบครัวไปเที่ยวได้ถูก

                                    ปฏิทินวันหยุด 2564 วันหยุดยาว ประจำปี 2021

                                    คุณพ่อคุณแม่ที่ทำงานประจำ จะไปไหนแต่ละทีก็ต้องลาล่วงหน้า ใช้วันลาพักร้อนพาลูกไปเที่ยว แต่ถ้ายังไม่อยากใช้วันลา ลองมาดูปฏิทินวันหยุด 2564 ล่วงหน้า เพื่อแพลนเที่ยวกันยาวๆ

                                    เช็คก่อนวางแผนเที่ยว วันหยุดราชการ 2564 วันหยุดนักขัตฤกษ์

                                    ในแต่ละปี จะมีวันหยุดราชการที่ประกาศที่ให้หน่วยงานราชการ เตรียมความพร้อมในปีหน้า แต่บริษัทต่าง ๆ หรือองค์กรเอกชนจะหยุดช่วงไหน หยุดตรงตามวันหยุดราชการ 2564 หรือไม่ ให้จัดการตามความเหมาะสมตรงกับข้อกำหนดของกระทรวงแรงงาน ให้ได้วันหยุดอย่างน้อย 13 วัน

                                    พุทธศักราช 2564 หรือปีคริสตศักราช 2021 ตรงกับปีฉลู หรือปีวัว ในปี 2564 นี้มีวันหยุดราชการสำคัญและวันหยุดประจำปี ให้ได้วางแผนเที่ยวกันอยู่หลายช่วง หากครอบครัวไหนที่ทั้งพ่อและแม่เป็นคนที่ทำงานประจำ และไม่อยากใช้วันลา มาดูกันได้เลยว่า ปี 2564 นี้ จะพาลูกไปเที่ยวไหนดี หรือคุณพ่อที่อยากพาแม่ท้องไปผ่อนคลายในระหว่างการตั้งครรภ์ ก็สามารถวางแผนเที่ยวใกล้ ๆ ให้คุณแม่อิ่มเอมใจ จะมีวันหยุดเดือนไหนบ้างนั้นไปดูกันเลย

                                    มกราคม 2564 วันหยุดในเดือนนี้ 1 วัน

                                    • วันศุกร์ 1 ​มกราคม วันขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาวของปีใหม่ที่เริ่มตั้งแต่ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นวันหยุดสิ้นปี

                                    กุมภาพันธ์ 2564 วันหยุดในเดือนนี้ 1 วัน

                                    • วันศุกร์ ​26 ​กุมภาพันธ์ ​วันมาฆบูชา วันสำคัญทางพุทธศาสนา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3

                                    ปฏิทินวันหยุดปี 2564 เดือน มีนาคม ไม่มีวันหยุดราชการและไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์

                                    ปฏิทินวันหยุด 2564 วันหยุดยาว

                                    เมษายน 2564 วันหยุดในเดือนนี้ 4 วัน

                                    • วันอังคาร ​6 เมษายน วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ เป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงจักรี ซึ่งครองราชย์อยู่ในปัจจุบัน
                                    • วันอังคาร 13 ​เมษายน ​วันสงกรานต์ (วันผู้สูงอายุ 2564)
                                    • วันพุธ 14 ​เมษายน ​วันสงกรานต์ (วันครอบครัว 2564)
                                    • วันพฤหัสบดี 15 ​เมษายน ​วันสงกรานต์

                                    ช่วงวันหยุดยาวอย่างวันสงกรานต์ เป็นช่วงเวลาดี ๆ ที่ควรใช้วันหยุดไปกับครอบครัว โดยพาลูกเดินทางไปเยี่ยมปู่ยาตายาย ส่งเสริมความสัมพันธ์ของครอบครัวให้แน่นแฟ้น เพิ่มความรักความอบอุ่น เติมเต็มความสุขให้ครอบครัวอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า

                                    พฤษภาคม 2564 วันหยุดในเดือนนี้ 4 วัน

                                    • วันจันทร์ ​3 พฤษภาคม ชดเชย​วันแรงงานแห่งชาติ (วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม 2564) โดยวันหยุดราชการไม่รวมวันแรงงาน 1 พฤษภาคม เพราะวันแรงงานเป็นวันหยุดเฉพาะเอกชน เพื่อให้ความสำคัญกับแรงงานให้มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้น
                                    • วันอังคาร ​4 พฤษภาคม ​วันฉัตรมงคล วันสำคัญที่รำลึกถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งราชวงศ์จักรี และราชอาณาจักรไทย ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
                                    • วันจันทร์ 10 พฤษภาคม วันพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
                                    • วันพุธ 2​6 พฤษภาคม ​วันวิสาขบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6

                                    มิถุนายน 2564 วันหยุดในเดือนนี้ 1 วัน

                                    • วันพฤหัสบดี ​3 มิถุนายน ​วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี

                                    กรกฎาคม 2564 วันหยุดในเดือนนี้ 3 วัน

                                    • วันอาทิตย์ 25 กรกฎาคม วันเข้าพรรษา
                                    • วันจันทร์ 2​6 กรกฎาคม ​ชดเชยวันอาสาฬหบูชา (วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม 2564)
                                    • วันพุธ ​28 กรกฎาคม ​วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

                                    สิงหาคม 2564 วันหยุดในเดือนนี้ 1 วัน

                                    • วันพฤหัสบดี ​12 ​สิงหาคม ​วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ

                                    ปฏิทินวันหยุดปี 2564 เดือน กันยายน ไม่มีวันหยุดราชการและไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์

                                    ปฏิทินวันหยุด 2564 วันหยุดยาว
                                    ปฏิทินวันหยุด 2564 วันหยุดยาว

                                    ตุลาคม 2564 วันหยุดในเดือนนี้ 2 วัน

                                    • วันพุธ ​13 ​ตุลาคม ​วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
                                    • วันจันทร์ 25 ตุลาคม ​ชดเชยวันปิยมหาราช (วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม 2564)

                                    ปฏิทินวันหยุดปี 2564 เดือน พฤศจิกายน ไม่มีวันหยุดราชการและไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์

                                    ปฏิทินวันหยุด 2564 วันหยุดยาว
                                    ปฏิทินวันหยุด 2564 วันหยุดยาว

                                    ธันวาคม 2564 วันหยุดในเดือนนี้ 3 วัน

                                    • วันจันทร์ 6 ​ธันวาคม ​ชดเชยวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ (วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2564)
                                    • วันศุกร์ ​10 ​ธันวาคม ​วันรัฐธรรมนูญ
                                    • วันศุกร์ ​31 ​ธันวาคม ​วันสิ้นปี หรือวันขึ้นปีใหม่

                                    อ้างอิงข้อมูล : www.bot.or.th

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                                    8 จุดเช็คอิน พาลูกเที่ยวเขาค้อ ทุ่งแสลงหลวง ภูทับเบิก โดยพ่อเอก

                                    5 เทคนิค พาลูกน้อยขับรถเที่ยวต่างจังหวัด ไม่เบื่อ ไม่งอแง

                                    ชวนลูกทำ กิจกรรมนอกบ้าน เสริมทักษะการแก้ปัญหา!!