ลูกชอบตีหน้าแม่

ลูกชอบตีหน้าแม่ โตขึ้นจะก้าวร้าวไหมร่วมไขความลับเจ้าตัวเล็ก

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกชอบตีหน้าแม่
ลูกชอบตีหน้าแม่

ลูกชอบตีหน้าแม่ เป็นพฤติกรรมก้าวร้าวหรือไม่ มาร่วมไขความลับของเจ้าตัวเล็ก ที่แรงไม่เล็กกันว่า เหตุใดลูกถึงชอบตี ดึงผม หยิก พ่อแม่กันนะ พร้อมแนวทางรับมือ

ลูกชอบตีหน้าแม่ โตขึ้นจะก้าวร้าวไหม? ร่วมไขความลับเจ้าตัวเล็ก!!

คุณพ่อคุณแม่บ้านไหนประสบกับปัญหา ลูกชอบตีหน้าแม่ ลูกชอบตี หยิก คนอื่น บางครั้งทำไปเวลาโมโห ทะเลาะกับพี่น้อง เพื่อน หรือบางทีก็ทำไปเพราะเห็นเป็นเรื่องสนุก พฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ของเด็กเล็กในวัยนี้ เป็นเรื่องที่น่าห่วงหรือไม่ โตไปลูกจะกลายเป็นเด็กก้าวร้าว แก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังหรือไม่ แล้วพ่อแม่ควรทำตัวอย่างไรดี

เด็กวัยขวบกว่าจนถึง 3 ขวบ ยังไม่เก่งในการแก้ปัญหา และยังมีทักษะในการสื่อสารด้วยภาษาพูดกับผู้อื่นไม่ดีพอ เวลาโมโห ถูกคุกคาม เช่น แย่งของเล่นกัน ทะเลาะกัน บางคนใช้วิธีตี หยิก ข่วน เอาของเล่นฟาด บางคนใช้วิธีกัด บางคนตอนแรกไม่เป็น แต่เพิ่งมาเป็นตอนอยู่เนิร์สเซอรี่ เพราะเห็นเด็กคนอื่นกัดให้ดูเป็นตัวอย่าง ก็จะมีพฤติกรรมเลียนแบบ บางคนไม่ได้กัดเพราะโกรธแต่กัดเพราะคิดว่าเป็นการเล่นสนุก ดังนั้นผู้ใหญ่ไม่ควรเล่นแกล้งกัดกับลูก ขณะที่เด็กบางคนกัดเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจ หรือ เคยทำครั้งแรกๆ แล้วผู้ใหญ่หัวเราะเห็นเป็นเรื่องสนุก จะทำให้เด็กวัยนี้เข้าใจผิดได้เช่นกัน

Quate จากเพจ หมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ

ลูกชอบตีหน้าแม่ ลูกโมโห
ลูกชอบตีหน้าแม่ ลูกโมโห

การจะแก้พฤติกรรมเด็กที่ชอบตี ชอบกัด ชอบต่อย ชอบเตะนั้น สิ่งแรกคุณพ่อคุณแม่ควรเข้าใจก่อนถึงสาเหตุที่ลูกทำลงไปก่อน อย่างที่กล่าวข้างต้นว่าเด็กมีพฤติกรรมดังกล่าวด้วยความเข้าใจที่แตกต่างกัน การที่เราเข้าใจถึงสาเหตุ จะทำให้เราแก้ปัญหาได้ถูกจุดมากขึ้น และอ่อนโยนกับลูกมากขึ้น

ธรรมชาติพฤติกรรมของเด็กแต่ละวัย

อายุต่ำกว่า 2 ปี : พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้จะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เนื่องจากเขาสามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองได้มากขึ้น และชอบที่จะทดลองทำพฤติกรรมต่าง ๆ แล้วสังเกตการตอบสนองของพ่อแม่ และคนรอบข้างว่าเป็นอย่างไร จึงทำให้เรามักเห็นลูกในวัยนี้มีพฤติกรรมแปลก ๆ ตลก ๆ เพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ และมักทำพฤติกรรมนั้น ๆ ซ้ำเรื่อย ๆ

2-3 ปี : วัยที่มีพลังเหลือล้น จึงทำให้เขารู้สึกอยากทำนู่น อยากทำนี่ ด้วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นนักสำรวจโลกกว้างตัวยง แต่ด้วยความที่ร่างกายยังไม่โตพอ ไม่พร้อมทันใจเท่าความรู้สึกที่อยากทำ จึงทำให้เขารู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้ และจะรู้สึกโกรธที่มีคนมาคอยควบคุมไม่ให้ทำอีกด้วย ทำให้เราจะพบว่าบ่อยครั้งที่เด็กวัยนี้จะมีพฤติกรรมที่รุนแรงมากขึ้น เช่น ทุบตี ต่อย เตะ ปาข้าวของ เป็นต้น

3-4 ปี : เริ่มเข้าสู่วัยที่สามารถสื่อสาร และใช้ภาษาได้มากขึ้น เริ่มเข้าใจอะไรได้มากขึ้นแล้ว ดังนั้น หากลูกเริ่มมีการแสดงออกทางอารมณ์ คุณพ่อคุณแม่สามารถทำให้เค้ารู้ได้เหมือนกันว่าพฤติกรรมดังกล่าวที่เค้าทำไม่ถูกต้อง โดยการพูดเสียงแข็งแกมดุเล็กน้อย เช่น หากลูกขว้างสิ่งของลงพื้น คุณพ่อคุณแม่อาจพูดว่า “หากลูกทำอย่างนี้อีกครั้ง แม่จะโกรธแล้วนะ

ลูกชอบตีหน้าแม่ ลูกเรียกร้องความสนใจ
ลูกชอบตีหน้าแม่ ลูกเรียกร้องความสนใจ

ทำไมเด็กชอบตี??

  1. การตีของเด็ก เป็นเพียงพฤติกรรมปกติพฤติกรรมหนึ่ง เด็กไม่มีความหมายแฝงใด ๆ ไม่ได้คิดอะไรก่อนตี
  2. เด็กยังพูดไม่ได้ หรือไม่สามารถสื่อสารความคิดออกมาได้ทั้งหมด ว่าต้องการอะไร จึงใช้วิธีการตี เพราะเป็นพฤติกรรมที่ง่ายกว่า ไวกว่า ในการบอกความต้องการของตนเอง
  3. เด็กไม่เข้าใจว่าพฤติกรรมไหน เป็นพฤติกรรมที่สังคมยอมรับ หรือพฤติกรรมไหนที่สังคมไม่ยอมรับ ลูกไม่รู้ว่าไม่ควรตีคนอื่น
  4. เด็กต้องการคนสนใจ เวลาที่เด็กตี ผู้ใหญ่รอบตัวจะตอบสนองต่อเด็กทันที เช่น หยุดเม้าท์แล้วหันมาหาลูก เวลาร้องงอแงตีคนอื่น ลงไปนอนดิ้นกับพื้น แล้วจะได้ของที่ต้องการ เป็นต้น
  5. เมื่อเด็กเติบโตขึ้นและต้องเข้าสังคม เด็กบางคนอาจยังไม่คุ้น และไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ หรือบางครั้งอาจรู้สึกตื่นเต้นมากไปทำตัวไม่ถูกจึงแสดงออกด้วยการตี กัดหรือเตะ แต่ในบางครั้งหากลูกกัดคุณพ่อคุณแม่บ่อย อาจเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าเขาอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง เช่น คุณพ่อคุณแม่กำลังจะมีน้องใหม่อีกคน หรือคุณพ่อคุณแม่ไม่สนใจเขา เป็นต้น

รับมืออย่างไร? เมื่อลูกชอบตี

การที่ลูกชอบตีหน้าแม่ ลูกชอบตีคนอื่น คงเป็นปัญหาหนักใจคุณพ่อคุณแม่อยู่ไม่ใช่น้อย วันนี้เรามีเคล็ดลับ ฉบับไม่ลับ มาฝากเพื่อหยุดปัญหาเด็กชอบตี

  • นิ่งสงบ 

เมื่อลูกทำพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ในวัยเด็กเล็กนั้น สิ่งแรกที่พ่อแม่ควรตอบสนองต่อพฤติกรรมดังกล่าวเป็นอย่างแรก คือ การนิ่งสงบ ไม่ทั้งดุด่าว่ากล่าว หรือตะคอก และไม่ยอมให้ลูกตี

ลูกชอบโยนของ ลูกชอบตีหน้าแม่
ลูกชอบโยนของ ลูกชอบตีหน้าแม่
  • แรงมาไม่แรงกลับ 

แสดงความอ่อนโยนให้ลูกเห็น แม้ว่า ลูกชอบตีหน้าแม่ คุณหมอก็แนะนำให้ทำหน้านิ่ง ไม่ดุด่า ไม่ตีกลับ และทำพฤติกรรมที่ดีสอนให้ลูกเห็น เช่น จับมือลูกมาลูบหน้าแม่ แทนการตี แล้วบอกลูกว่า “ลูบหน้าแม่เบา ๆ แบบนี้ แม่ชอบมากกว่า” เป็นต้น

  • ยืนยัน ตอกย้ำ พฤติกรรมที่ต้องการ

ทุกครั้งที่ลูกทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ลูกตีหน้าแม่ ลูกดึงผม ให้คุณใจเย็น แล้วบอกเขาทุกครั้ง ว่าไม่ให้ทำ บอกเขาไปเรื่อย ๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่ยิ้ม ไม่เล่น ไม่พูดไปขำไป หรือหัวเราะเวลาที่ลูกตี การที่ให้พ่อแม่ทำซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่เจอพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ของลูก เนื่องจากว่าเขาอยู่ในวัยที่ไม่สามารถรับรู้สิ่งใด ๆ ได้เต็มร้อย ตั้งแต่ครั้งแรก พ่อแม่ต้องป้อนข้อมูลย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ เพื่อให้ลูกค่อย ๆ เรียนรู้ และจะจำที่สอนได้

  • Time out

หากลูกไปตีคนอื่น  ต้องเข้าห้ามทันทีที่เห็นลูกทำท่าจะทำร้ายผู้อื่น หรือ กำลังทำอยู่ ให้พูดว่า “ตีไม่ได้ เจ็บนะ” นำผู้กระทำแยกออกไปจากผู้ถูกกระทำ ให้ไปนั่งอยู่คนเดียว แล้วบอกว่า “นั่งอยู่ตรงนี้ สงบสติอารมณ์ จนกว่าแม่จะบอกให้ลุกออกมาได้” เรียกว่า การแยกเข้ามุมสงบ (Time out) นานประมาณ 1-2 นาที สำหรับเด็กอายุ 1-2 ขวบ

  • สอนทักษะในการเข้าหาผู้อื่น

เด็กวัยนี้บางครั้งตีคนอื่น เพราะขาดทักษะในการเข้าหาผู้อื่น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว อยากจะเล่นด้วยเท่านั้นเอง ให้สอนว่า ถ้าต้องการให้พี่เล่นด้วย ต้องพูดอย่างไร เช่น ขอเล่นด้วยคน ขอเล่นของเล่นของพี่หน่อยได้ไหม ผลัดกันเล่นได้ไหม ถึงจะพูดแบบที่สอนยังไม่ได้ แต่เขาจะพอเข้าใจ และ ลดพฤติกรรมเดิมได้ในที่สุด

เด็กกำลังอยู่ในวัยเรียนรู้สังคม อาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
เด็กกำลังอยู่ในวัยเรียนรู้สังคม อาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
  • ให้แรงเสริมในทางบวกกับพฤติกรรมที่ดี

ในเวลาที่ลูกมีพฤติกรรมที่ดี ไม่ก้าวร้าว เล่นกับพี่ เล่นกับเพื่อน หรือคนอื่น ๆ ได้โดยไม่มีปัญหา ไม่ตี ไม่กัด ให้รีบชมเชยทันที เป็นการให้แรงเสริมในทางบวกกับพฤติกรรมที่ดี ลูกจะรู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่เป็นที่ต้องการของพ่อแม่ แล้วเขาจะจำ และนำมาทำซ้ำ

  • ตีเพราะเรียกร้องความสนใจ ต้องทำอย่างไร

ในกรณีที่คิดว่าการกัด การตีเป็นเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจจากพี่ จากพ่อแม่ หรือผู้ใหญ่ ให้ใช้วิธีแยกออกไปนั่งคนเดียวเช่นกัน แต่หากลูกมีพฤติกรรมอย่างนี้อีก คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงออกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ลูกทำนี้ไม่ดี และคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้ชอบเล่นแบบนี้ ด้วยการลุกออกจากตรงนั้นไป หรือหากเป็นเด็กที่เล็กมากให้คุณพ่อคุณแม่เปลี่ยนบรรยากาศพาลูกเล่นอย่างอื่น หรือชมบรรยากาศสวยงามรอบตัวแทน

  • สอนวิธีระบายความโกรธ

วิธีระบายความโกรธ โดยไม่ใช้การทำร้ายผู้อื่น เช่น การพูดบอกความรู้สึก “หนูโกรธนะ หนูไม่ชอบนะ” การเดินหนีเวลาที่ใครมาทำให้โกรธ การกระทืบเท้า หรือเอามือทุบหมอนเวลาที่โกรธ หรือ ให้มาบอกผู้ใหญ่เวลาที่ใครทำให้โกรธ เพื่อที่ผู้ใหญ่จะได้ช่วยแก้ปัญหาให้

  • เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ลูก

พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการแก้ปัญหาเวลาที่มีความขัดแย้งกับผู้อื่น ไม่แสดงความก้าวร้าวต่อคู่สมรส ต่อลูก หรือคนอื่นๆ เพราะเด็กๆ เลียนแบบความก้าวร้าวได้

สอนลูกสงบสติอารมณ์ กอด ให้เขาสงบ
สอนลูกสงบสติอารมณ์ กอด ให้เขาสงบ

เด็กส่วนใหญ่เลิกนิสัยนี้ได้ เมื่อเริ่มมีความสามารถในการสื่อสารด้วยภาษาพูดได้ดีขึ้น ดังนั้น พ่อแม่จึงไม่ควรกังวลจนเกินไป หรือไปทำพฤติกรรมที่รุนแรงแทนเสียเอง เช่น การตีลูกให้หยุดการตีหน้าพ่อแม่ หรือคนอื่น หากเป็นเช่นนั้นจะยิ่งทำให้เด็กสับสนเข้าไปใหญ่ว่าแบบไหนกันแน่ที่เป็นพฤติกรรมที่ควรกระทำ แต่ถ้าลูกอายุเกิน 4 ขวบแล้ว ยังมีปัญหาชอบทำร้ายผู้อื่น ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมเด็ก

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.bounty.com/www.facebook.com/DoctorMMFamily

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ทำไมลูกวัยนี้ชอบตีนักนะ

 

10 เคล็ดลับปรับพฤติกรรมลูก ก้าวร้าว พ่อแม่ยุคใหม่ต้องเข้าใจและพร้อมรับมือ

14 ข้อสำคัญ เพื่อรับมือกับลูกน้อยที่เป็น “เด็กออทิสติก”

ลูกเก่งรอบด้าน แค่เพียงแม่ชวนลูก “นั่งสมาธิ”

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง

กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง อันตราย ดูแลอย่างไร

Alternative Textaccount_circle
event
กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง
กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง

กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง อันตราย ดูแลอย่างไร

คุณแม่ท้องหลายคน อาจรู้สึกไม่สบายตัวในหลาย ๆ ช่วง เนื่องจากการตั้งครรภ์ อาจมีอาการผิดปกติต่าง ๆ เกิดขึ้นได้มากมาย เช่น คุณแม่ท้องหลายคน อาจเข้าห้องน้ำบ่อย ปัสสาวะแล้วไม่สุดจนเกิดโรค กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง ซึ่งเป็นอันตราย เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด ด้วยนะคะ

กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง เกิดได้อย่างไร

แม่ท้อง เสี่ยงเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้มาก เนื่องจากระดับฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์นั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนออกมามากขึ้น ทำให้มัดกล้ามเนื้อของท่อไตคลายตัว ประกอบกับขนาดมดลูกที่ใหญ่ขึ้น จนบีบท่อไต ส่งผลให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานได้ช้าลง

นอกจากนี้ แม่ท้องมักมีกระเพาะปัสสาวะหย่อน จึงปัสสาวะไม่ค่อยสุด และอาจมีน้ำปัสสาวะไหลย้อนเข้าท่อไต และไตได้ ส่งผลให้เชื้อโรค และแบคทีเรียค้างอยู่บริเวณกระเพาะปัสสาวะ และเข้าสู่ไต ทำให้เสี่ยงเกิดภาวะไตติดเชื้อได้ง่าย

กระเพาะปัสสาวะอักเสบร้ายแรงอย่างไร

ในกรณีที่ไม่ได้รับการรักษา แม่ท้องอาจเกิดการติดเชื้อที่ไต หรือมีภาวะกรวยไตอักเสบ ส่งผลให้คลอดก่อนกำหนด หรือทารกมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าปกติ รวมทั้งมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด

สัญญาณเตือนกระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง

สัญญาณที่เตือนว่า คุณแม่ท้องกำลังจะเป็น โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ก็คือ

  • รู้สึกปวดหน่วง ๆ บริเวณท้องน้อย กดแล้วรู้สึกเจ็บ
  • รู้สึกแสบ หรือระคายเคือง บริเวณอวัยวะเพศเวลาปัสสาวะ
  • รู้สึกท้องแข็ง หรือเจ็บท้องบ่อย ๆ เหมือนจะคลอด (ในช่วงที่ยังไม่ถึงกำหนดคลอด)
  • ปัสสาวะบ่อย แต่กะปริดกะปรอด รู้สึกปัสสาวะไม่สุด
  • ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะมีเลือดปน หรือปัสสาวะขุ่นช่วงตั้งครรภ์
  • มีอาการหนาวสั่น ไข้สูง ปวดบริเวณบั้นเอวหรือหลัง

หากคุณแม่ท้องพบว่า มีอาการเหล่านี้ 3 ข้อขึ้นไป ให้สันนิษฐานว่าคุณแม่ อาจมีความเสี่ยงต่อโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรีบไปพบคุณหมอ เพื่อป้องกันการลุกลาม และจะได้รักษาได้อย่างถูกวิธี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 3 เพราะการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะที่ไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้กรวยไตอักเสบ และคลอดก่อนกำหนดได้

กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง
กระเพาะปัสสาวะอักเสบตอนท้อง ดูแลอย่างไร

รักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบในแม่ท้องได้อย่างไร

แม่ท้อง ควรเข้ารับการฝากครรภ์ เพื่อตรวจสุขภาพครรภ์ และปัญหาสุขภาพอื่น ๆ รวมไปถึงโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยแพทย์ จะเก็บตัวอย่างปัสสาวะ และนำไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย หากพบว่ามีกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แพทย์จะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะให้แม่ท้องเป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยต่อผู้ป่วย และทารกในครรภ์

นอกจากนี้ แม่ท้อง ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของตนเอง และไปพบแพทย์ทันที หากยังรู้สึกแสบร้อนขณะปัสสาวะหรือมีอาการอื่น ๆ ได้แก่ ไข้ขึ้น ปวดท้องน้อย คลื่นไส้ อาเจียน หนาวสั่น หรือมดลูกบีบตัว เมื่อได้รับยาจนครบระยะการรักษาแล้ว แพทย์จะนัดตรวจอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งอาจให้ยาซ้ำ ในกรณีที่ยังมีการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะอยู่

กระเพาะปัสสาวะอักเสบในแม่ท้องป้องกันได้อย่างไร

แม่ท้อง ป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ เพียงเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ด้วยการปรับพฤติกรรมการกิน และการใช้ชีวิต ดังนี้

การปรับพฤติกรรมการกิน

  • ดื่มน้ำเปล่าวันละ 6-8 แก้ว หรือหมั่นจิบน้ำตลอดวัน
  • เลี่ยงบริโภคอาหารแปรรูป น้ำผลไม้ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ เครื่องดื่มที่ผสมคาเฟอีน หรือปรุงแต่งด้วยน้ำตาล
  • รับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และสังกะสี เพื่อช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อ

การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต

  • ห้ามกลั้นปัสสาวะ และพยายามปัสสาวะให้สุด
  • ทำความสะอาดอวัยวะเพศทุกครั้งเมื่อปัสสาวะเสร็จ
  • หลังถ่ายหนัก ควรเช็ดทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียในอุจจาระเข้าสู่ท่อไต
  • หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่มีค่าความเป็นกรด หรือด่างสูง รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น และไม่ใช้แป้งทาบริเวณอวัยวะเพศ
  • เปลี่ยนกางเกงในทุกวัน และควรเลือกใช้กางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้าย
  • ไม่สวมกางเกง หรือกระโปรงที่รัดแน่น
  • ไม่แช่น้ำในอ่างอาบน้ำนานเกิน 30 นาที หรือมากกว่าวันละ 2 ครั้ง

ปัญหาแม่ท้อง ป่วยด้วยอาการโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบนั้น ไม่ใช่เรื่องที่วางใจได้เลยนะคะ เพราะส่งผลทั้งงต่องคุณแม่เอง และส่งผลต่อลูกที่อาจต้องคลอดก่อนกำหนดได้ด้วย ขอให้คุณแม่หมั่นสังเกตอาการเมื่อเวลาปวดปัสสาวะ หรือตอนปัสสาวะให้ดี เพื่อปลอดจากโรคนี้ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

pobpad, Enfant 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ท้องแข็งบ่อย ขณะตั้งครรภ์ อันตรายไหม?

คนท้องฟันผุ เสี่ยง! ส่งต่อเชื้อทางช่องปากจากแม่สู่ลูก

3 อาการผิดปกติ คนท้อง ที่ต้องรีบไปรพ. ในช่วง 3 เดือนแรก

แอสเพอร์เกอร์

ลูกเป็น แอสเพอร์เกอร์ ไม่มองหน้า ไม่สบตา ทำอย่างไร

Alternative Textaccount_circle
event
แอสเพอร์เกอร์
แอสเพอร์เกอร์

ลูกเป็น แอสเพอร์เกอร์ ไม่มองหน้า ไม่สบตา ทำอย่างไร

แอสเพอร์เกอร์ ซินโดรม (Asperger’s Syndrome) หลายคนไม่เคยได้ยินมาบ้างแล้ว และในขณะที่อีกหลายครอบครัวอาจรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี

อาการนี้พบเมื่อปี ค.ศ. 1940 มีการรายงานถึงกลุ่มอาการผิดปกติทางพฤติกรรมและพัฒนาการของเด็ก โดยคุณหมอฮานส์ แอสเพอร์เกอร์ (Hans Asperger) ที่พบลักษณะของกลุ่มอาการเหล่านี้ที่คนไข้ของเขาซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กผู้ชายที่เฉลียวฉลาด และมีระดับสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์ปกติ สามารถพูดคุยสื่อสารปกติได้ แต่มีปัญหาในด้านทักษะการเข้าสังคมร่วมกับการมีพฤติกรรมหมกมุ่น มีความสนใจซ้ำซาก

แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม คืออะไร

แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม เป็นความบกพร่องของพัฒนาการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวรูปแบบหนึ่ง โดยบกพร่องในทักษะทางสังคม ร่วมกับมีพฤติกรรมหมกมุ่น ทำซ้ำ ๆ ไม่ค่อยยืดหยุ่น จนเกิดผลเสียต่อการดำรงชีวิต การเรียน การทำงาน และการเข้าสังคม ส่วนด้านการใช้ภาษา สามารถพูดคุยสื่อสารปกติ แต่ไม่เข้าใจลูกเล่น สำนวน มุกตลก มีระดับสติปัญญาปกติ ความจำดี แต่มีปัญหาในการประยุกต์ใช้

เดิมจัดเป็นกลุ่มอาการที่คล้ายกับออทิสติก แต่ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว คือพัฒนาการด้านภาษาจะดีกว่าออทิสติก และมีระดับสติปัญญาที่ปกติหรือสูงกว่าปกติ

สาเหตุของการเกิดอาการ แอสเพอร์เกอร์

ในปัจจุบันไม่ทราบว่าอะไรคือสาเหตุที่ชัดเจนของกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่ามีหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งการทำงานที่ผิดปกติทางสมอง พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม และในปัจจุบันยังไม่มียาใดที่ใช้รักษาอาการเหล่านี้ให้หายเป็นปกติ แต่พบว่าเด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่ เมื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและให้ความรู้ความเข้าใจ และคำแนะนำแก่พ่อแม่ รวมทั้งทางโรงเรียน ในการปรับตัวและการปรับพฤติกรรมของเด็ก ก็สามารถช่วยให้เด็กเหล่านี้อยู่ร่วมในสังคมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และประสบความสำเร็จได้ดี

แอสเพอร์เกอร์
ลูกเป็น แอสเพอร์เกอร์ ทำอย่างไร

พฤติกรรมที่สามารถสังเกตได้

พฤติกรรมและลักษณะอาการของเด็กที่เป็นแอสเพอร์เกอร์สามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ

1. ด้านภาษา การพูดและทักษะการใช้ภาษาอยู่ในเกณฑ์ปกติ เด็กอาจพูดได้ถูกหลักไวยากรณ์ แต่ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาที่ลึกซึ้งหรือความหมายโดยนัยที่แฝงอยู่ เช่น มุกตลก คำเปรียบเปรย และคำประชดประชันต่างๆ เป็นต้น

2. ด้านสังคม เมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ อาจมีพฤติกรรมการแสดงออกที่ดูแปลกกว่าเด็กวัยเดียวกัน เช่น ไม่ค่อยมองหน้าหรือสบตาเวลาพูดคุย แยกตัวอยู่คนเดียว ไม่ค่อยสนใจบุคคลรอบข้าง เล่นกับเด็กคนอื่นไม่ค่อยเป็น ไม่รู้จักการทักทาย พอเจอปุ๊บอยากถามอะไร อยากรู้อะไรก็จะพูดโพล่งออกมา ไม่มีการเกริ่นนำ ถามเรื่องที่สนใจโดยไม่เสียเวลา และไม่ค่อยรู้จักกาลเทศะ เรื่องที่พูดคุยมักเป็นเรื่องของตนเองมากกว่าเรื่องอื่นๆ ไม่แสดงความใส่ใจหรือสนใจเรื่องราวของคนอื่น ขาดความเข้าใจหรือเห็นใจผู้อื่น และมักชอบพูดซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ ที่ตนเองสนใจ

3. ด้านพฤติกรรม มีความสนใจเฉพาะเรื่องและชอบทำอะไรซ้ำๆ เช่น ถ้าเขามีความสนใจอะไรก็สนใจมากจนถึงขั้นหมกมุ่น โดยเฉพาะกับเรื่องที่ค่อนข้างมีความซับซ้อน และอาจเป็นเรื่องที่คนอื่นไม่สนใจ เช่น แผนที่โลก วงจรไฟฟ้า ยี่ห้อรถยนต์ ดนตรีคลาสสิค ไดโนเสาร์ ระบบสุริยจักรวาล เป็นต้น โดยความสนใจเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา ในบางรายมีความไวต่อสิ่งเร้าที่มาจากภายนอกค่อนข้างมากกว่าคนทั่วไป

โดยทั่วไปแล้ว เด็กเหล่านี้มักมีสติปัญญาดี มีความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในเรื่องต่างๆ ที่ต้องทำในชีวิตประจำวัน บางคนอาจมีปัญหาเรื่องที่ไม่สามารถมีสมาธิกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานนัก หรือมีปัญหาในการจัดลำดับเรื่องต่างๆ และมีทักษะในบางเรื่องที่อาจจะดูดีกว่าเด็กอื่น แต่โดยรวมแล้วเด็กเหล่านี้จะมีระดับสติปัญญาที่เป็นปกติ หรืออาจจะดีกว่าปกติด้วยซ้ำ

แอสเพอร์เกอร์กับออทิสติกแตกต่างกันอย่างไร

แอสเพอร์เกอร์กับออทิสติกนั้นมีลักษณะคล้ายกันมาก แต่จุดที่แตกต่างกันคือเรื่องของภาษา ถ้าเป็นออทิสติกจะมีปัญหาพัฒนาการด้านภาษาที่ชัดเจนกว่า คือ พูดช้า พูดไม่ชัด พูดเป็นภาษาของตัวเอง

แต่แอสเพอร์เกอร์พัฒนาการด้านภาษาจะปกติ พูดคุยสื่อสารได้รู้เรื่อง เพียงแต่ลูกเล่นของภาษามีปัญหา จะไม่เข้าใจความหมายลึก ๆ ที่แฝงอยู่ ไม่เข้าใจนัยของภาษา เช่น ไม่เข้าใจมุกตลก คำเปรียบเทียบ ประชดประชันต่าง ๆ เขาจะเข้าใจในลักษณะตรงไปตรงมาตามตัวอักษร ไม่มีสีสันของภาษา ไม่มีลูกเล่นของคำ เป็นต้น

แต่ก็จะมีบางอย่างที่คล้าย ๆ กับออทิสติก เช่น เรื่องการไม่ค่อยสบตา ชอบแยกตัวอยู่คนเดียว เข้ากับเพื่อนไม่ค่อยได้ เวลาพูดก็จะพูดเฉพาะเรื่องที่ตัวเองสนใจ โดยไม่ได้สังเกตดูว่าคนที่เขาฟังอยู่นั้นจะสนใจหรือเปล่า คือเขาจะมีลักษณะที่ไม่ระวังในเรื่องของทักษะทางสังคม ซึ่งเป็นเพราะว่าเขาไม่เข้าใจ แต่ในด้านของสติปัญญาเด็กที่เป็นแอสเพอร์เกอร์จะมีระดับสติปัญญาในระดับปกติหรือสูงกว่าปกติ

พ่อแม่จะช่วยเด็กแอสเพอร์เกอร์ได้อย่างไร

ทุกคนในครอบครัวถือว่ามีบทบาทสำคัญที่ต้องช่วยกันดูแล ต้องทำความเข้าใจกับปัญหาและศึกษาวิธีแก้ไขปัญหา เรียนรู้ทักษะต่างๆ จากผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน หากเด็กได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ทั้งในการพัฒนาด้านสังคมและพฤติกรรม เด็กจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ ซึ่งมีวิธีการต่างๆ ดังนี้

1. เล่นกับเด็กโดยเอาความสนใจของเด็กเป็นที่ตั้ง แล้วค่อยๆ ขยายความสนใจเหล่านั้นไปในแง่มุมอื่นๆ โดยมีเป้าหมายที่จะแบ่งปันความสนใจ และอารมณ์ซึ่งกันและกัน

2. สนทนากับเด็กด้วยคำง่ายๆ ชัดเจน และถ้าเป็นตัวอย่างก็ควรเป็นสิ่งของในสถานการณ์จริงหรือรูปภาพ จะทำให้เด็กเข้าใจง่ายและเกิดการเรียนรู้ได้เร็ว

3. สร้างบรรยากาศในการทำกิจกรรมให้รู้สึกสบายๆ ไม่เครียด มีความอบอุ่นและเป็นกันเอง

4. ในการเล่นหรือการเรียนของเด็ก ควรจัดเป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้เด็กได้คุ้นเคยกับกฎระเบียบของกลุ่มเล็กก่อน ก่อนให้เด็กเข้าในกลุ่มใหญ่

5. การใช้คำสั่งกับเด็กต้องมีความสม่ำเสมอ คงเส้นคงวาไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย

6. สนับสนุนให้เด็กเข้าเรียนร่วม ทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน และใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่นได้

7. สนับสนุนกิจกรรมหลากหลายเพื่อให้เด็กได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้เพื่อลดความสนใจและความเคยชินที่ซ้ำซาก

 

แอสเพอร์เกอร์เป็นภาวะที่มีผลต่อการแสดงออกทางพฤติกรรม การสนับสนุนเด็กอย่างถูกต้องเหมาะสม คือทางออกที่ดีที่สุด

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลมนารมย์, ศูนย์วิชาการแฮปปี้โฮม

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก 

ลูกสมาธิสั้น หงุดหงิดง่าย เริ่มเป็นเด็กก้าวร้าว เพราะติดไอแพด

แม่เตือน ลูกไม่สบตา เรียกไม่หัน อาการออทิสติกเทียม เหตุเพราะมือถือ!

5 ความเข้าใจผิดเมื่อ ลูกไม่พูด..พูดช้า และ 6 วิธีฝึกลูกพูด

ลูกขาโก่ง

ลูกขาโก่ง ภัยแฝงในเด็ก ทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกขาโก่ง
ลูกขาโก่ง

ลูกขาโก่ง ภัยแฝงในเด็ก ทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร

ลูกขาโก่ง แบบไหนปกติ แบบไหนควรหาหมอ ลูกแรกเกิดขาโก่ง ควรหาหมอหรือไม่ มาหาคำตอบกันค่ะ

คุณพ่อคุณแม่ หรือครอบครัวไหนที่เพิ่งจะมีลูกน้อย แล้วสังเกตเห็นว่า ลูกขาโก่ง อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ เพราะโดยปกติแล้วเด็กทุกคนจะมีขาที่โก่งตามธรรมชาติอยู่แล้วเมื่อแรกเกิด แต่เมื่อโตขึ้นขาจะค่อย ๆ ตรงขึ้นได้เองและควรมีขาที่ตรงเมื่ออายุประมาณ 2 ปี ดังนั้นถ้าเด็กมีอายุมากกว่า 2 ปีแล้วแต่ยังคงมีขาที่โก่งอยู่ควรปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคขาโก่ง เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานและไม่รักษา อาจส่งผลเสียต่อร่างกายและบุคลิกภาพของลูกน้อยได้ค่ะ

 

โรคขาโก่ง (Bowed Leg)

โรคขาโก่ง (Bowed Leg) เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้กับทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มของทารกหรือเด็กเล็ก เนื่องจากปัจจัยด้านน้ำหนักและกรรมพันธุ์

อาการของโรคขาโก่ง

สำหรับลูกน้อยคนไหนที่เป็นโรคขาโก่งนั้น ส่วนมากจะมีอาการหัวเข่าทั้ง 2 ข้าง แยกห่างออกจากกัน แม้จะอยู่ในท่าทางการยืนที่เอาข้อเท้าเข้ามาชิดติดกันก็ตาม

ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการทำให้ ลูกขาโก่ง

คุณพ่อและคุณแม่หลายคนเกิดข้อสงสัยว่า เพราะอะไรถึงทำให้ลูกขาโก่ง โดยปัจจัยที่ส่งผล มีดังนี้

  • น้ำหนักเกิน เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ทารกขาโก่งได้ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อ้วนท้วม และมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ส่งผลให้กระดูกเกิดการกดทับกันบริเวณด้านในเข่าและทำให้ขาโก่ง
  • กรรมพันธุ์ เป็นกรณีที่เกิดขึ้นค่อนข้างยาก แต่ก็มีโอกาสเป็นได้ โดยปัจจัยนี้ จะมีผลให้ลักษณะกระดูกของลูกน้อยผิดรูป ซึ่งทำให้ลูกน้อยของคุณมีอาการขาโก่งไปเองตามธรรมชาติ
ลูกขาโก่ง
ลูกขาโก่ง ทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร

สาเหตุ ของอาการขาโก่ง

โรคขาโก่งนั้น สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย โดยสาเหตุหลักนอกเหนือจากน้ำหนักแล้ว คือ

  • เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ด้วยการขดตัวนอนของทารกในท้องคุณแม่ จนกระทั่งออกมาลืมตาดูโลก จึงทำให้ขามีลักษณะโก่งหรือโค้งได้ ซึ่งอาการดังกล่าวจะหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไป
  • ท่าทางการเดิน จากการศึกษาด้านการแพทย์พบว่า การเดินเร็ว ก็มีส่วนทำให้เกิดอาการขาโก่งได้เช่นกัน เนื่องจากเด็กเล็กจะยังเดินได้ไม่คล่องแคล่วและมั่นคงพอ
  • กระดูกแตกหัก หรือผิดรูป ในกรณีที่ลูกน้อยเคยหกล้ม หรือเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ขึ้น อาจส่งผลให้รูปกระดูกเปลี่ยนไปจากเดิม และทำให้เกิดอาการขาโก่งได้

โรคอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ ลูกขาโก่ง

นอกจากโรคขาโก่งจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งด้านร่างกาย ตลอดจนพฤติกรรมต่าง ๆ แล้ว ยังมีโรคอื่นที่ส่งผลให้ผู้ใหญ่หรือเด็กขาโก่งได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น โรคกระดูกอ่อน โรคเบล้าท์ โรคอ้วนในเด็ก หรือโรคพาเจท ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถสร้างความเสี่ยงให้มีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธีและเหมาะสม

  • โรคกระดูกอ่อน

โรคกระดูกอ่อน เกิดจากความผิดปกติของร่างกายในการสร้างกระดูก เนื่องจากขาดวิตามินและแร่ธาตุสำคัญที่ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของกระดูก ทำให้กระดูกไม่แข็งแรง แตกหักง่าย และไม่สามารถรองรับน้ำหนักร่างกายได้ ซึ่งจะส่งผลต่อรูปกระดูกที่เปลี่ยนรูปไป และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคขาโก่ง หรือขางอได้ โดยอาการของโรคกระดูกอ่อน คือ มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า ลุกนั่ง หรือเดินได้ไม่คล่องแคล่วเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ

  • โรคเบล้าท์

โรคเบล้าท์ คือ ภาวะที่เกิดจากเด็กมีน้ำหนักตัวมากจนเกินไป ส่งผลให้กระดูกไม่สามารถรองรับน้ำหนักของร่างกายได้ โดยเมื่อเป็นโรคนี้แล้วจะทำให้เด็กขาโก่ง แต่จะแตกต่างจากโรคขาโก่งตรงที่ ส่วนใหญ่โรคเบล้าท์จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการขาโก่งแค่ข้างเดียวเท่านั้น เนื่องจากความผิดปกติของกระดูกส่วนหน้าแข้ง ซึ่งหากลูกน้อยคนไหนเป็นอยู่ แนะนำให้รีบไปพบแพทย์โดยทันที

  • โรคอ้วนในเด็ก

โรคอ้วนในเด็กถือเป็นโรคที่พบได้บ่อย ซึ่งนอกจากจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่ายแล้ว ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย โดยโรคชนิดนี้มักเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่ส่วนใหญ่มักมาจากสภาพแวดล้อมและพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้เด็กมีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน และทำให้เด็กขาโก่ง และเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะไขมันพอกตับ และอื่น ๆ เป็นต้น

  • โรคพาเจท

โรคพาเจท หรือโรคกระดูกเรื้อรัง เป็นภาวะที่เกิดจากกระบวนการสร้างกระดูกใหม่ขึ้นมาแทนที่กระดูกเก่า แต่กระดูกชิ้นดังกล่าวเปราะบาง ไม่แข็งแรง และแตกหักง่าย ซึ่งส่วนใหญ่มักพบในบริเวณกระดูกเชิงกราน กระดูกสันหลัง และกระดูกขา โดยโรคพาเจทมักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35-40 ปีขึ้นไป และมักจะมาจากปัจจัยด้านกรรมพันธุ์ ซึ่งอาการของโรคนี้ คือ เจ็บหรือปวดบริเวณที่เป็นโรคพาเจท หากปล่อยไว้นาน อาจเสี่ยงให้เกิดโรคเข่าโก่ง โรคข้อเข่าเสื่อมและโรคอื่น ๆ ตามมาได้

ลูกขาโก่ง ทำอย่างไร รักษาอย่างไร

สำหรับคุณพ่อหรือคุณแม่ที่สงสัยว่าขาโก่งรักษาได้ไหม หรือมีวิธีการป้องกันอย่างไรได้บ้างนั้น เนื่องจากโรคขาโก่งจะทำให้แผ่นกระดูกด้านในถูกกดทับ ผลที่ตามมานอกจากขาโก่ง คือ การเสียบุคลิกภาพได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น ช่วยให้เกิดวิธีการรักษาที่หลากหลาย และให้ประสิทธิภาพในการฟื้นฟูได้เป็นอย่างดี ดังนี้

  • การบริหารกล้ามเนื้อส่วนขา

สำหรับใครที่เป็นโรคขาโก่ง หรือ Bowed Leg แล้วมีอาการไม่มากนัก การบริหารกล้ามเนื้อส่วนขานับเป็นหนึ่งในทางเลือกในการรักษาที่ง่าย และทำได้ด้วยตนเอง ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และจัดกระดูกให้กลับมาเข้ารูปดังเดิม โดยเริ่มจากการแยกปลายเท้าออกจากกันประมาณ 45 องศา ในขณะที่ส้นเท้ายังยืนชิดติดกันอยู่ จากนั้นพยายามดันตัวให้ตรงที่สุดเป็นเวลา 5 นาที ซึ่งจะต้องทำอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยวันละ 3 ครั้ง เพื่อให้การบริหารกล้ามเนื้อนี้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

  • ปรับท่าทางการเดิน

การปรับท่าทางการเดิน มีส่วนช่วยในการรักษาลูกขาโก่งได้เช่นกัน โดยให้ลูกน้อยนั้นเดินให้ปลายเท้าชี้ไปด้านหน้า รวมถึง ในขณะที่ยืนนั้น ให้พยายามหลีกเลี่ยงการยืนขาโก่ง ซึ่งวิธีดังกล่าว อาจจะต้องอาศัยระยะเวลาในการทำทีละขั้นตอน เพื่อให้กระดูกสามารถปรับรูปใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายมากที่สุด

  • การผ่าตัด

ในกรณีที่อาการขาโก่งในเด็กค่อนข้างจะเห็นได้อย่างชัดเจน การผ่าตัดถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่สามารถแก้ไขปัญหาโรคขาโก่งได้ เพื่อให้กระดูกบริเวณใต้เข่ากลับมาตรง ดังนั้น จึงนิยมใช้วิธีการผ่าตัดโดยการตัดแต่งกระดูกให้เข้ารูปแล้วจึงปล่อยให้กระดูกค่อย ๆ กลับมาอยู่ในตำแหน่งเดิม ซึ่งการผ่าตัดนั้น ทางแพทย์จะให้ผู้ป่วยได้พักฟื้นและใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตัวภายในครึ่งเดือนแรก ก่อนที่จะเริ่มทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาสมบูรณ์ที่สุด

เคล็ดลับการดูแล ป้องกันไม่ให้เกิดโรคขาโก่ง

เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกน้อยขาโก่ง การดูแลรักษาสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ด้วยการเสริมสร้างสุขภาพจากโภชนาการที่ดี การออกกำลังกาย ตลอดจนการบำรุงด้วยแคลเซียมและวิตามิน เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง พร้อมสำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน

  • เสริมสุขภาพด้วยโภชนาการ

การเสริมสุขภาพด้วยโภชนาการที่ดีอย่างการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังช่วยในเรื่องต่าง ๆ เช่น การให้พลังงาน หรือเสริมสร้างระบบร่างกายได้เป็นอย่างดี

  • ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

สำหรับเคล็ดลับการดูแลร่างกายนั้น การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งควรให้ความสำคัญเช่นกัน เพราะเมื่อร่างกายได้มีการเคลื่อนไหว จะทำให้อวัยวะต่าง ๆ เช่น กระดูก กล้ามเนื้อ และส่วนอื่น ๆ ได้มีการขยับเขยื้อน ทำให้สุขภาพแข็งแรงและช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคขาโก่งได้ด้วย

  • บำรุงร่างกายด้วยแคลเซียมและวิตามิน

สาเหตุหลักที่ทำให้เด็กขาโก่ง คือ การมีกระดูกที่เปราะบางและแตกหักง่าย จึงทำให้ไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้  ดังนั้น การบำรุงร่างกายด้วยแคลเซียมและวิตามินจะช่วยให้กระดูกกลับมาแข็งแรงและป้องกันไม่ให้ลูกขาโก่งหรือมีภาวะเจ็บป่วยอื่น ๆ ตามมา

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลสินแพทย์, โรงพยาบาลพญาไท

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

พัฒนาการเด็ก ช่วงอายุ 1 – 3 ปี เวลาทองแห่งการพัฒนา

รวม 15 จักรยานขาไถ ช่วยฝึกทักษะการทรงตัวเด็กเล็ก ยี่ห้อไหนดี

เทคนิคเตรียมสมองลูกให้พร้อมคิดนอกกรอบ แม่ต้องเริ่มก่อน 2 ขวบ

คำคมภาษาอังกฤษ

30 คำคมภาษาอังกฤษ ความหมายดีๆ สอนลูกให้คิดบวก

Alternative Textaccount_circle
event
คำคมภาษาอังกฤษ
คำคมภาษาอังกฤษ

คำคมภาษาอังกฤษ นำมาสอนลูกให้ชีวิตคิดบวก โดยใช้ภาษาอังกฤษ ได้ทั้งสอนการใช้ชีวิต และสอนภาษาอังกฤษไปในตัว ลูกจำและนำไปใช้ได้ตลอดไป

30 คำคมภาษาอังกฤษ ความหมายดีๆ สอนลูกให้คิดบวก

ในช่วงนี้ทั้งการระบาดของโรคโควิด-19 และสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย คุณพ่อคุณแม่อาจนำสถาณการณ์นี้ไปสอนลูกให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในชีวิต เรียนรู้ที่จะรับมือกับสิ่งต่าง ๆ ในอนาคต ปรับทัศนคติให้คิดบวก เพื่อให้ชีวิตก้าวเดินต่อไปได้ ไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบก็ตาม แต่จะสอนทั้งที สอนเป็น คำคมภาษาอังกฤษ ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวบมาฝากกันไปเลยค่ะ

คำคมภาษาอังกฤษ
คำคมภาษาอังกฤษ

30 คำคมภาษาอังกฤษ ความหมายดีๆ สอนลูกให้คิดบวก

  1. The journey of a thousand miles begins with one step. การเดินทางนับพันไมล์ เริ่มต้นได้ด้วยก้าวเดียวเสมอ

 

  1. Dream big and dare to fail. จงฝันให้ยิ่งใหญ่ และกล้าที่จะล้มเหลว

 

  1. Your time is limited, so don’t waste it living someone else’s life. เวลาของคุณมีจำกัด อย่าใช้ไปกับชีวิตของคนอื่นอย่างสูญเปล่า

 

  1. In order to write about life first you must live it. การจะเขียนเรื่องราวของชีวิตได้ อันดับแรกคุณต้องใช้ชีวิตเสียก่อน

 

  1. Turn your wounds into wisdom. เปลี่ยนบาดแผลของคุณให้กลายเป็นปัญญา

 

  1. Everything negative – pressure, challenges – is all an opportunity for me to rise. ทุกสิ่งที่เป็นด้านลบ ไม่ว่าจะความกดดัน หรือความท้าทาย ล้วนเป็นโอกาสให้เราฮึดสู้

 

  1. Life is really simple, but men insist on making it complicated. ชีวิตน่ะเรียบง่าย แต่คนเรานี่แหละที่ทำให้มันซับซ้อน

 

  1. Life would be tragic if it weren’t funny. ชีวิตคงน่าเศร้า ถ้าหากไม่มีเรื่องตลกอยู่ในนั้นเลย

 

  1. Too many of us are not living our dreams because we are living our fears. หลายๆ คน ไม่ได้ใช้ชีวิตตามความฝัน เพราะมัวแต่ใช้ชีวิตด้วยความกลัว

 

  1. The purpose of our lives is to be happy. เป้าหมายของการใช้ชีวิตก็คือ การมีความสุข

 

  1. I like criticism. It makes you strong. ฉันชื่นชอบการวิจารณ์ เพราะมันจะทำให้คุณแข็งแกร่ง

 

  1. Live for each second without hesitation. จงใช้ชีวิตทุกวินาที โดยปราศจากความลังเล

 

  1. When you cease to dream you cease to live. เมื่อคุณหยุดฝัน ก็เท่ากับคุณหยุดมีชีวิต

 

  1. Every moment is a fresh beginning. ทุกช่วงเวลาคือการเริ่มต้นใหม่

 

  1. Live as if you were to die tomorrow. Learn as if you were to live forever. จงใช้ชีวิตราวกับว่าคุณจะตายในวันพรุ่งนี้ จงเรียนรู้ราวกับคุณจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป

 

สอนลูกให้คิดบวก
สอนลูกให้คิดบวก

30 คำคมภาษาอังกฤษ ความหมายดีๆ สอนลูกให้คิดบวก

  1. There are no mistakes, only opportunities. ไม่มีหรอกความผิดพลาด มีแต่โอกาสเท่านั้น

 

  1. The best way to predict your future is to create it. วิธีที่ดีที่สุดในการทำนายอนาคต ก็คือสร้างมันขึ้นมาเอง

 

  1. Life is like riding a bicycle. To keep your balance, you must keep moving. ชีวิตก็เหมือนกับการปั่นจักรยาน เพื่อประคองการทรงตัว คุณจะต้องปั่นต่อไปข้างหน้า

 

  1. Sometimes you can’t see yourself clearly until you see yourself through the eyes of others. บางครั้งคุณไม่สามารถมองเห็นตัวเองชัด จนกว่าจะได้เห็นจากสายตาของผู้อื่น

 

  1. Do not dwell in the past, do not dream of the future, concentrate the mind on the present moment. อย่าจมอยู่กับอดีต อย่าฝันถึงอนาคต จงมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ

 

  1. Life is very interesting… in the end, some of your greatest pains, become your greatest strengths. ชีวิตมันน่าสนใจมาก เพราะสุดท้าย ความเจ็บปวดที่สุดของคุณ จะกลายเป็นจุดแข็งที่แข็งแกร่งมากที่สุด

 

  1. If you spend your whole life waiting for the storm, you’ll never enjoy the sunshine. ถ้าคุณใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อรอพายุ คุณจะไม่มีวันได้สัมผัสกับแสงแดด

 

  1. It’s never too late to start over, never too late to be happy. ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่ และไม่สายเกินไปที่จะมีความสุข

 

  1. When we strive to become better than we are, everything around us becomes better too. เมื่อเราทำตัวเองให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ทุกๆ สิ่งรอบตัวเราก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

 

  1. Happy is the man who can make a living by his hobby. คนที่มีความสุข คือคนที่สามารถหาเงินได้จากงานอดิเรก

 

  1. Find people who will make you better. จงตามหาคนที่จะทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น

 

  1. Life isn’t about waiting for the storm to pass, it’s about learning to dance in the rain. ชีวิตไม่ใช่การรอคอยให้พายุผ่านพ้นไป แต่มันคือการเรียนรู้ที่จะเต้นรำกลางสายฝน

 

  1. If we don’t change, we don’t grow. If we don’t grow, we aren’t really living. หากไม่เปลี่ยนแปลงก็จะไม่เติบโต หากไม่เติบโต ก็จะไม่ได้ใช้ชีวิตจริงๆ

 

  1. You will meet two kinds of people in life: ones who build you up and ones who tear you down. But in the end, you’ll thank them both. คุณจะเจอคน 2 แบบในชีวิต คนที่สร้างคุณ กับคนที่ทำลายคุณ แต่สุดท้ายแล้ว คุณจะขอบคุณพวกเขาทั้งคู่

 

  1. Don’t cry because it’s over, smile because it happened. อย่าร้องไห้เพราะมันจบลง แต่จงยิ้มที่มันเคยเกิดขึ้น

หวังว่าคุณพ่อคุณแม่จะนำ คำคมภาษาอังกฤษ ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากนี้ ไปสอนลูก เพื่อให้ลูกคิดบวก เวลามีปัญหาอะไรก็จะได้นึกถึงคำคมเหล่านี้ ช่วยให้จิตใจเข็มแข็ง ผ่านพ้นเรื่องราวต่างๆไปได้

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

30 ประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ พูดกับลูกในชีวิตประจำวัน

โหลดฟรี!! แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ สำหรับอนุบาล-ประถม

โหลดฟรี! 40+ ภาพระบายสี ฝึกกล้ามเนื้อมือ+ภาษาอังกฤษ

10 นิทานสอนใจ!! พร้อมข้อคิดดี ๆ อ่านให้ลูกฟังก่อนนอน

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.thairath.co.th

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

แม่เลี้ยงเดี่ยว

14 เคล็ดลับ แม่เลี้ยงเดี่ยว ฉบับฉุกเฉิน รับมือได้ไม่สะดุด

Alternative Textaccount_circle
event
แม่เลี้ยงเดี่ยว
แม่เลี้ยงเดี่ยว

แม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อเลี้ยงเดี่ยว เมื่อจำเป็นต้องแยกทาง มาดูวิธีรับมือกับชีวิต ทำยังไงให้ไปต่อได้ไม่มีสะดุด กับ 14 ข้อวิธีรับมือ เมื่อต้องเผชิญแบบฉุกเฉิน

14 เคล็ดลับ แม่เลี้ยงเดี่ยว ฉบับฉุกเฉิน รับมือได้ไม่สะดุด!!

เมื่อถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนสถานะมาเป็น พ่อ หรือ แม่เลี้ยงเดี่ยว อย่าเพิ่งถอดใจ วันนี้เรามีเคล็ดลับ ในการรับมือกับการเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ฉบับฉุกเฉินมาฝากกัน เพื่อช่วยให้คุณก้าวข้ามผ่านปัญหาที่เข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ไม่มีสะดุด เพราะถึงอย่างไร ลูก ก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องจูงมือ พากันก้าวเดินต่อไป

แม่เลี้ยงเดี่ยว ทำตัวอย่างไรดี
แม่เลี้ยงเดี่ยว ทำตัวอย่างไรดี

14 เคล็ดลับช่วยให้ แม่เลี้ยงเดี่ยว แต่ไม่โดดเดี่ยว

1. ดูแลตัวเองให้ดีก่อน

ดูแลความรู้สึกของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ ตอบสนองความต้องการพื้นฐานไม่ให้บกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอ การรับประทานอาหารที่ดี ให้มีสุขภาพที่ดี เพื่อให้เรามีพลังในการดูแลลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะก่อนที่คุณพ่อคุณ แม่เลี้ยงเดี่ยวทั้งหลายจะสามารถดูแลคนอื่นได้ เราต้องดูแลตัวเองให้ดีเสียก่อน

ซึ่งโดยส่วนใหญ่เมื่อตกเป็นพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว สิ่งแรกที่เรามักจะทำคือ การชดเชยให้แก่ลูกอย่างเต็มที่จนลืมนึกถึงตัวเองไป ลูกต้องมาที่หนึ่งเสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากเราทุ่มเทจนเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ความสามารถในการดูแลลูกของคุณพ่อคุณแม่ก็จะลดลงไปตามด้วย จนบ้างครั้งจะเป็นเราเสียเองที่ทำให้เขาเสียใจ

เมื่อคุณไม่ละเลยในการดูแลตัวเอง แน่นอนว่าคุณก็จะไม่ละเลยในการดูแลลูก ๆ เช่นกัน เพราะ ลูก ๆ ของคุณต้องพึ่งพาคุณ และนั่นก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าจะมีความพร้อมแค่ไหนในการดูแลพวกเขา

 2. หาเพื่อนแบ่งเบา ภาระใจ

อย่ามัวแต่คิดว่าปัญหาที่เข้ามาเป็นปัญหาใหญ่ ต้องแบกไว้เพียงลำพัง การที่เราได้ระบายความในใจ ระบายทุกข์ และปัญหาที่ประสบพบเจอให้แก่ใครสักคนที่พร้อมจะรับฟัง อย่างน้อยก็ช่วยให้ใจคุณเบา สบายขึ้น หากคุณไม่สามารถหาคนที่จะพูดคุยด้วยได้ ลองค้นหากลุ่มพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวตามกลุ่มออนไลน์ ตามเพจโซเซียลมีเดีย คุณจะได้รับคำแนะนำ และกำลังใจดี ๆ จากคนที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน แถมยังได้แนวทางการเรียนลูกจากพ่อแม่คนอื่น ๆ อีกด้วย

3. ออกไปพบปะผู้คน หลีกหนีบรรยากาศเดิม ๆ 

หากิจกรรมอื่น ๆ ทำ เพื่อให้เราได้พบปะผู้คนใหม่ ๆ เปลี่ยนบรรยากาศ ไม่จมอยู่กับอดีต เช่น การพาลูกไปเรียนว่ายน้ำ เรียนศิลปะ ออกทริปท่องเที่ยว เป็นต้น การพบคนกลุ่มใหม่ ๆ ได้พูดคุยในเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ปัญหา ทำให้เราลืม และวางปัญหานั้นไปได้บ้าง แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่การได้หยุดคิด แล้วค่อยมองย้อนกลับไป อาจทำให้คุณมองเห็นในสิ่งที่ไม่เคยมองเห็นมาก่อน และนั่นอาจเป็นทางออกที่ดีสำหรับปัญหาของคุณก็เป็นได้

เคล็ดลับ แม่เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเปลี่ยนบรรยากาศเดิม ๆ พบปะเพื่อนบ้าง
เคล็ดลับ แม่เลี้ยงเดี่ยว พาลูกเปลี่ยนบรรยากาศเดิม ๆ พบปะเพื่อนบ้าง

4. ยอมรับความช่วยเหลือบ้างก็ได้

เพราะคุณไม่ได้เป็นซุปเปอร์ฮีโร่ หรือ มีพลังพิเศษ ไม่จำเป็นต้องทำด้วยตัวเองไปทั้งหมด อาจมีคนในชีวิตของคุณที่เป็นห่วงคุณ และลูก ๆ ของคุณอยู่ไม่น้อย และพวกเขาก็ยินดีที่จะช่วยเหลือคุณ เช่น การยอมให้เพื่อนข้างบ้านโรงเรียนเดียวกับลูก ไปรับไปส่งลูกแทนบ้างในบางคราว เป็นต้น การยอมรับความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นคนอ่อนแอ หรือไร้ความสามารถ แต่การรับน้ำใจจากพวกเขา ก็เสมือนการเยียวยาทั้งทางร่างกาย ให้ได้พักผ่อน หยุดจัดระเบียบชีวิตใหม่ และยังเป็นพลังทางใจให้เรากลับมาสู้ต่อ และเราไม่ได้สู้เพียงลำพัง ยังมีมิตรอีกมากที่พร้อมจะช่วยเหลือ

5. หาโอกาสในการหารายได้พิเศษ

พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว ส่วนใหญ่มักจะประสบกับปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ในวันที่ต้องรับภาระหน้าที่เพียงคนเดียว ไม่มีคนมาช่วยหารอีกต่อไป โดยเฉพาะ แม่เลี้ยงเดี่ยว ที่ไม่ได้ทำงานข้างนอก ขณะที่ยังเป็นครอบครัวพ่อแม่ และลูก ทำให้ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายดูจะเป็นเรื่องใหญ่อยู่ไม่ใช่น้อย การเริ่มหางานประจำทำ ผ่านความช่วยเหลือของคนที่ต้องการช่วยเหลือ ก็เป็นสิ่งที่ควรรับไมตรีนั้น แต่หากยังหาไม่ได้ การหารายได้เสริมจากงานอดิเรก เช่น การทำขนมขาย การรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะช่วยแบ่งเบาในระหว่างขยับขยายไปได้บ้าง แหล่งการเรียนรู้ในอาชีพเสริม หรือกลุ่มสอนงานอาชีพต่าง ๆ ปัจจุบันมีเปิดสอนฟรีมากมาย ลองเริ่มต้นกันใหม่ บางทีอาจเป็นโอกาสสร้างอาชีพที่มั่งคั่งให้แก่คุณในอนาคตได้

6. วางแผนไว้เสมอ

ในฐานะคุณพ่อหรือคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว สิ่งหนึ่งที่คุณต้องระลึกกอยู่เสมอนั่นคือ การวางแผนล่วงหน้าสำหรับเหตุฉุกเฉิน แผนสำรองหรือแผนสอง เป็นสิ่งที่จำเป็นในสถานการณ์ฉุกเฉิน สร้างรายชื่อที่คุณรู้จัก หรือ สามารถโทรหาได้ในเวลาที่คุณมีเหตุฉุกเฉิน สิ่งสำคัญคือ คุณจะได้รู้ว่า เมื่อมีเหตุการ์ณคับขันขึ้นมา มีใครที่คุณสามารถพึ่งพาได้ หรืออาจตรวจสอบดูว่าละแวกบ้านที่คุณอยู่นั้น มีบริการรับเลี้ยงเด็กเป็นรายวัน หรือรายครั้งหรือไม่ และลองไปสำรวจดูว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยพอสำหรับลูกคุณหรือไม่ การที่รู้ว่ามีใครสามารถดูแลลูกของคุณได้ในยามคับขัน ก็สามารถบรรเทาความวิตกกังวลที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์ตึงเครียดได้

7. สร้างตารางเวลาให้ลูก

ร่วมกำหนดเวลาในชีวิตประจำวันของลูก เป็นตารางเวลา โดยกำหนดร่วมกันกับลูก ให้ลูกมีส่วนร่วมในการวางแผน เพื่อให้เขาตระหนัก และรู้ว่าในวันหนึ่ง ๆ เขามีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง เป็นการแบ่งเบาภาระให้แก่คุณพ่อคุณแม่ เช่น ตารางเวลาตื่นนอน เข้านอน เวลาทำการบ้าน เวลาเล่น เป็นต้น นอกจากจะทำให้เขารู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร ยังช่วยให้ลูกรู้จักหน้าที่ของตนเอง และรับผิดชอบตัวเองได้ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่า ตารางเวลานี้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้เลย เราต้องรู้จักยืดหยุ่น ไม่เข้มงวดจนลูกรู้สึกว่าเป็นการบังคับ ไม่อยากทำตาม

นอกจากนี้ตารางเวลายังช่วยให้คุณวางแผน ตารางชีวิตของคุณได้อีกด้วย ว่าเวลาว่างของเรามีช่วงไหนบ้าง จะได้จัดสรรเวลาให้แก่ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน ทำงาน หรือทำกิจกรรมอื่นใดส่วนตัวได้

วางตารางชีวิตประจำวันให้ลูก ช่วยแบ่งเบาภาระ แม่เลี้ยงเดี่ยว
วางตารางชีวิตประจำวันให้ลูก ช่วยแบ่งเบาภาระ แม่เลี้ยงเดี่ยว

8. การปฏิบัติตามกฎระเบียบและวินัย

นั่นคือหากลูกของคุณมีผู้ดูแลหลายคน เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ พี่เลี้ยงเด็ก คุณอาจต้องสื่อสารให้ชัดเจนเลยค่ะว่า จะจัดการเรื่องระเบียบวินัยอย่างไร เพราะการที่ลูกตระหนักถึงกฎระเบียบ และวินัยที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน จะเป็นประโยชน์ให้กับลูก ไม่ใช่ว่าอยู่กับแม่เข้มงวด อยู่กับตายาย พี่เลี้ยง เป็นอีกแบบ จะทำให้เด็กสับสน และนำมาซึ่งการไม่ทำตามกติกา อาจก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับขีดจำกัด พฤติกรรม การพูดจา เป็นต้น ในภายหลัง

9. คิดบวกอยู่เสมอ

คำว่า “โชคดีที่โชคร้าย” เป็นการให้กำลังใจตนเอง และทำให้เรามองหาข้อดีได้แม้จะอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย อย่างเช่น การที่ต้องมาเป็นพ่อ แม่เลี้ยงเดี่ยว บางคนอาจเก็บไว้คนเดียวไม่บอกลูก ทำให้เขาสับสน และทำตัวไม่ถูก บางครั้งหากเราตั้งสติ และเล่าเรื่องราวให้ลูกฟัง คุณอาจจะพบว่าลูกเรามีความคิดอ่านที่ใช้ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว สถานการณ์ที่เลวร้ายอาจเป็นการช่วยให้เขารู้จักโต และรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นการคิดบวกจะทำให้สภาพแวดล้อมในบ้านมีความสุขมากขึ้น รักษาความอารมณ์ขันของคุณ และอย่ากลัวที่จะโง่บ้าง มองไปสู่อนาคต และเดินก้าวไปพร้อมกันกับลูก ค้นหาและกำหนดคุณค่าของครอบครัวคุณเพื่อลูก และตัวคุณเอง

10. พ่อแม่ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ 100%

พ่อแม่หลาย ๆ คนมักจะคิดว่าเราจะต้องเป็นพ่อแม่ที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลูก แต่การที่พ่อแม่ทำผิดบ้างไม่ใช่เรื่องแปลก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา ยิ่งโดยเฉพาะพ่อ แม่เลี้ยงเดี่ยว ด้วยแล้ว เราต้องมีภาระหน้าที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า การที่เราจะผิดพลาดในจุดใดไปบ้างไม่ใช่เรื่องที่ไม่น่าให้อภัย ปล่อยวางสิ่งที่คุณไม่สามารถทำได้ในฐานะพ่อหรือแม่เลี้ยงเดี่ยว แต่คิดถึงสิ่งดี ๆ ที่คุณสามารถมอบให้กับลูก ๆ ของคุณได้แทน

ทิ้งความคิดที่ว่าชีวิตจะง่ายขึ้น หรือดีขึ้นหากลูกมีทั้งพ่อและแม่พร้อมหน้าพร้อมตา เพราะนอกจากจะไม่เป็นความจริงแล้ว จะทำให้กำลังใจคุณถูกบั่นทอนไปเสียเปล่า ๆ อย่าจมอยู่กับความรู้สึกผิดหรือเสียใจ คุณไม่สามารถจะควบคุมชีวิตใครได้ แต่สิ่งสำคัญคือ คุณสามารถเป็นคุณพ่อหรือคุณแม่ที่มีอยู่จริงของลูกได้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว

ไม่ใช้อารมณ์กับลูก ในวันที่เขาสับสน
ไม่ใช้อารมณ์กับลูก ในวันที่เขาสับสน

11. ตอบคำถามลูกด้วยความจริงใจ

ลูกอาจเกิดคำถาม หรือสงสัยบ้าง ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมพ่อ หรือ แม่หายไปไม่เหมือนเดิม ทำไมบ้านของพวกเขาถึงได้แตกต่างจากเพื่อน ๆ หลายคน เมื่อคุณถูกถามแบบนี้แล้ว ให้ใช้โอกาสนี้อธิบายความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น และสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับอายุของพวกเขาอธิบายให้สมกับวัยของลูก อย่าให้รายละเอียดมากเกินความจำเป็น หรือพูดไม่ดีเกี่ยวกับอีกฝ่าย แต่จงพยายามตอบอย่างซื่อสัตย์ และใช้ความจริงใจต่อลูก ๆ ของคุณ

12. รับฟังความคิดเห็นของลูก

ลูก คือ อีกคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบไม่แพ้กับคุณ ดังนั้นการให้เขาร่วมแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องต่าง ๆ หรือปัญหาที่เกิดขึ้นบ้าง ก็เป็นการเคารพในการตัดสินใจของลูก เกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาเช่นกัน ถึงแม้บางครั้งเขาอาจจะมีความคิดเห็นที่ไม่ได้ไปทางเดียวกับคุณ อย่าใช้อารมณ์ อย่าโกรธลูก คุณต้องแยกแยะความต้องการทางอารมณ์ของคุณให้ได้ และปฏิบัติต่อลูกด้วยความเข้าใจว่าเด็กอาจไม่สามารถรับรู้ได้เท่ากับผู้ใหญ่ ค่อย ๆ สอน อธิบาย และรอเวลาที่เขาจะทำความเข้าใจต่อเหตุการณ์ได้มากขึ้น

13. ค้นหาแบบอย่างที่ดีของเพศตรงข้ามคุณให้ลูก

เพราะจะเป็นการช่วยสร้างทัศนคติที่ถูกต้องให้แก่ลูก ไม่สร้างความสัมพันธ์เชิงลบกับคนเพศตรงข้ามกับคุณให้แก่เขา เป็นเรื่องปกติที่ลูกจะรู้สึกไม่ดีกับคนที่มาทำร้ายคนที่เขารักที่สุด นั่นคือ พ่อ หรือแม่ แต่การที่ทำให้ลูกรู้สึกไม่ดีต่อเพศตรงข้ามกับคุณไปด้วยจะทำให้เขามีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบน ค้นหาญาติสนิทมิตรสหาย หรือ สมาชิกในครอบครัวที่ยินดีจะใช้เวลากับลูกของคุณแบบตัวต่อตัว นั่นก็เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่คุณไว้วางใจ และเชื่อใจ

แสดงความรัก ชื่นชมลูกบ้าง
แสดงความรัก ชื่นชมลูกบ้าง

14. แสดงความรักให้ลูกได้เห็น และรับรู้บ้าง

เด็กทุกคนต้องการความรัก การมีตัวตนของพ่อแม่ นั่นคือ การที่เขารับรู้ได้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลูกจะมีคุณอยู่ข้าง ๆ เสมอ ดังนั้นการที่เราแสดงความรักให้เขาได้รับรู้เป็นสิ่งที่ดี เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ หากคุณคิดว่า การแสดงความรักกับเด็ก จะทำให้เด็กเหลิง เสียคน เพราะจากงานวิจัยมากมาย ก็แสดงให้เห็นถึงประโยชน์จากการบอกรักลูก หรือแสดงพฤติกรรมใด ๆ ให้เขารู้ว่าเรารักเขา นั่นจะทำให้ลูกรู้สึกถึงความมั่นใจ มี safe zone ในยามที่ต้องการ ชื่นชมที่การกระทำมากกว่าผลลัพธ์ที่ลูกทำ จะช่วยให้ลูกไม่รู้สึกกดดัน และสบายใจ

ข้อมูลอ้างอิงจาก bestreview.asia

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

8 เคล็ดลับ สู่การเป็น Single Momอย่างมืออาชีพ!

เล่นกับลูกไม่เป็น เราช่วยได้กับกิจกรรมเล่นดีสมวัยสร้างสรรค์

บาดแผล ทางใจในวัยเด็ก ส่งผลกระทบกับลูกมากกว่าที่คิด

10 รีวิวแปรงสีฟันเด็ก แปรงสนุก สะอาดทั่วถึง ไม่บาดเหงือก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก

10 รีวิวแปรงสีฟันเด็ก แปรงสนุก สะอาดทั่วถึง ไม่บาดเหงือก

Alternative Textaccount_circle
event
รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
รีวิวแปรงสีฟันเด็ก

10 รีวิวแปรงสีฟันเด็ก แปรงสนุก สะอาดทั่วถึง ไม่บาดเหงือก

อีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเรียนรู้ไปกับลูกน้อยก็คือ การสอนลูกแปรงฟันนั่นเอง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพัฒนาการอีกก้าวของลูกน้อยเลย เมื่อลูกน้อยเริ่มมีฟันงอกขึ้นมา การรักษาความสะอาดหรือดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้นจึงสำคัญมาก พอเค้ามีสุขภาพปากและฟันที่ดี ฟันไม่ผุ ลูกน้อยก็กินอาหารได้เต็มที่นั่นเอง ซึ่งตัวช่วยสำคัญสำหรับภารกิจนี้ก็คือ แปรงสีฟัน ใครที่ยังเลือกไม่ถูก ทีมแม่มีคำแนะนำและตัวอย่าง รีวิวแปรงสีฟันเด็ก ไว้เป็นข้อมูลตัดสินใจกันค่ะ

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก

แปรงสีฟันเด็ก แตกต่างจากแปรงสีฟันผู้ใหญ่ โดยเฉพาะวัยแรกเกิดถึง 3 ขวบ กล้ามเนื้อที่มือเค้ายังไม่สามารถจับแปรงได้ถนัดอย่างผู้ใหญ่ แปรงสีฟันเด็กจึงออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อให้ลูกน้อยฝึกใช้กับฟันซี่แรก ไปจนถึงฟันน้ำนมชุดแรก ดีไซน์จึงเน้นความปลอดภัยในการใช้งาน วัสดุที่เป็นมิตรกับช่องปากลูกน้อย รวมทั้งมีรูปลักษณ์ที่น่าใช้ เพราะจะช่วยให้ลูกน้อยสนุกกับการรักษาสุขภาพปากและฟัน เสริมสร้างพัฒนาการไปอีกก้าว

 

เลือกแปรงสีฟันเด็กแบบไหนดี

  • เลือกแปรงให้เหมาะสมกับช่วงวัยของลูกน้อย เพื่อให้เหมาะกับขนาดช่องปากและจำนวนฟัน โดยสังเกตได้ที่บรรจุภัณฑ์ที่มีคำว่า Baby Size หรือขนาดความยาวแปรงอยู่ที่ 10-13 ซม.
  • เลือกแบบขนอ่อนนุ่ม เพื่อไม่ให้บาดเหงือกหรือระคายเคืองช่องปาก 
  • หัวแปรงควรพอดีช่องปาก ไม่เล็กหรือใหญ่ไป โดยเฉพาะของเด็กเล็กควรมีความนุ่ม สามารถกัดเล่นได้
  • ด้ามแปรงควรเป็นแบบยืดหยุ่น โค้งงอได้ ช่วยเรื่องทำความสะอาดในช่องปาก และยังเผื่อเวลาเด็กหยิบจับเล่นสนุกด้วย
  • เด็กๆแปรงฟันเองอาจจะไม่ทั่วถึง จึงควรมีแปรงเด็กที่มีด้ามยาวเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ช่วยทำความสะอาดต่ออีกครั้ง

 

  1. Pigeon

ผลิตภัณฑ์มาตรฐานญี่ปุ่น ออกแบบแปรงสีฟันสำหรับเด็กมาให้เหมาะกับช่วงวัย 0-2 ปี แบ่งเป็น Lesson 1 2 และ 3 ตามขนาดช่องปากและจำนวนซี่ฟันที่เติบโตขึ้น ขนแปรงเป็นไนล่อน นุ่มพิเศษ แปรงแล้วไม่บาดเหงือก ด้ามแปรงเพิ่มขนาดตามวัย นุ่ม จับถนัดมือเด็ก และยังมียางกั้นช่วยให้ปลอดภัยกับลูกน้อยด้วย ผลิตจากวัสดุ BPA Free มั่นใจได้ว่าปลอดภัยจากสารเคมีที่เป็นอันตราย มีจำหน่ายทั้งแบบแยก หรือแบบเซ็ตครบทั้ง 3 Lesson

ข้อมูลเพิ่มเติม PIGEON INDUSTRIES THAILAND

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก https://www.pigeon.co.th/
  1. Kodomo

แปรงสีฟันที่คุณพ่อคุณแม่คงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยรุ่น Soft & Slim ออกแบบหัวแปรงไว้ถึง 4 ขนาดตามช่วงอายุ 0.5-12 ขวบ เพื่อให้พอดีกับช่องปากเด็กทุกวัย ขนแปรงปลายเรียวเล็กและนุ่มพิเศษ ลิขสิทธิ์เฉพาะของโคโดโม จึงไม่ระคายเคืองต่อเหงือกของเด็ก ด้ามแปรงออกแบบตามสรีระของอุ้งมือเด็ก มีจุดกระชับหัวแม่มือให้ไม่ลื่นหลุดขณะแปรง คอแปรงยังเรียวยาวและเอียงตามองศาของช่องปากทำให้สามารถซอกซอนทำความสะอาดฟันได้ถึงซี่ในสุด 

ข้อมูลเพิ่มเติม Lion Corporation › แปรงสีฟันโคโดโมซอฟต์ & สลิม

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก https://www.lion.co.th/

 

  1. Curapox รุ่น Curapox Baby

ออกแบบโดยทันตแพทย์จากมหาวิทยาลัยเบิร์น เหมาะสำหรับเด็กน้อยอายุตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 5 ปี มีขนแปรง CUREN® จำนวนถึง 4,260 เส้น ที่ละเอียดเป็นพิเศษจึงกำจัดคราบพลั๊คได้รวดเร็ว และนุ่มนวล ไม่เป็นอันตรายต่อเยื่อบุในช่องปากที่ละเอียดอ่อนของเด็ก หัวแปรงเล็กหุ้มด้วยยางซิลิโคนเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย ส่วนด้ามจับออกแบบให้โค้งมนเหมาะมือเด็ก และยังยืดหยุ่น โค้งรับกับช่องปากได้ดี  

ข้อมูลเพิ่มเติม CURAPROX BABY

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก https://www.curaprox.co.th/
  1. Farlin

มาถึงแปรงสีฟันสำหรับฟันซี่แรกของลูกน้อยกันบ้าง เป็นแปรงสำหรับสวมนิ้วมือเหมาะสำหรับเด็กวัย 3 เดือนขึ้นไป ผลิตจากซิลิโคนคุณภาพและมีความอ่อนนุ่มสูง จึงอ่อนโยนต่อช่องปาก ขนแปรงเล็กๆ นิ่มไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้งานง่าย ควบคุมได้ด้วยปลายนิ้ว ทำความสะอาดได้ทั่วปาก ทั้งเหงือก ลิ้น และกระพุ้งแก้มของลูกน้อย นอกจากนี้ยังสามารถทําความสะอาดได้ง่าย ไม่ว่าจะลวกนํ้าร้อน นึ่ง หรือเข้าเครื่องอบ UV    

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/FARLIN.THAILAND/

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/FARLIN.THAILAND/
  1. Oral B

แบรนด์ที่คุณพ่อคุณแม่ไว้วางใจคุณภาพได้ มีสำหรับหลายช่วงวัย รุ่นนี้เป็นแปรงสีฟันสำหรับเด็กรุ่นสเตจ 3 หรือวัย 3-7 ขวบ ขนแปรง Power Tip อ่อนนุ่ม ออกแบบมาเพื่อช่วยทำความสะอาดฟันที่เข้าถึงยากและฟันกรามซี่ในสุด หัวแปรงออกแบบมาเพื่อช่วยปกป้องเหงือกที่อ่อนโยน ส่วนด้ามแปรงกลมมน จับถนัดมือเด็ก เพิ่มความน่าสนใจด้วยลาย ไลท์นิ่งแมคควีน จากภาพยนตร์แอนิเมชั่นดิสนีย์เรื่อง Cars ให้เด็กๆ รู้สึกว่าการแปรงฟันไม่น่าเบื่อ 

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.oralb.com.sg/

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก https://www.oralb.com.sg/
  1. Jordan

แปรงสีฟันสำหรับเด็กวัยแรกเกิดถึง 2 ขวบ ที่ออกแบบมาให้ดูคล้ายของเล่น สีสันสดใส ดึงดูดเด็กๆ ให้อยากหยิบขึ้นมาแปรงฟันง่ายขึ้น รุ่นนี้มีขนแปรงไนลอน อ่อนนุ่มพิเศษเหมาะกับช่องปากที่บอบบางของลูกน้อยและการทำความสะอาดฟันซี่แรก โดยเฉพาะตรงด้ามจับที่ดีไซน์ให้กลมแบน ผลิตจากซิลิโคน จึงทั้งจับง่ายถนัดมือเด็ก รวมทั้งมีความอ่อนนุ่ม จนลูกน้อยใช้เป็นยางกัดได้โดยไม่ระคายเคือง เหมาะกับวัยที่ชอบหยิบของเข้าปาก

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/jordanthailand/

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/jordanthailand/
  1. Dodolove

แปรงสีฟันสำหรับเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไป ที่มีขนแปรงมากกว่า 10,000 เส้น เรียกว่าละเอียดจนนุ่มนิ่มมาก โดยใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสาน ทำให้ขนแปรงเป็นระเบียบเรียบร้อย หนาแน่นแน่นสม่ำเสมอ ไม่หลุดร่วงง่าย จึงปลอดภัยต่อเด็กเล็กอย่างแน่นอน ด้านหลังหัวแปรงมีปุ่มสำหรับแปรงลิ้น ส่วนด้ามจับมีกันลื่น จับสบาย และยังยืดหยุ่น สามารถซอกซอนไปในทุกมุมของช่องปากได้ง่าย

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.dodolove.com/

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก http://www.dodolove.com/
  1. Fin

แปรงสีฟันเด็กเหมาะกับช่วงอายุ 1-6 ปี ออกแบบมาได้น่าหยิบใช้เป็นรูปเพนกวินน่ารักๆ สามารถถอดหัวแปรงเปลี่ยนได้ มีแผ่นกั้นซิลิโคนเพื่อความปลอดภัย และยังมีปลายด้ามสูญญากาศ สำหรับวางตั้งได้ด้วย ขนแปรงขนาดเส้น 80 um จึงเล็กพิเศษ ช่วยให้ทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกทั่วถึงทุกซอกมุม ไม่บาดเหงือกลูกน้อย ตัวแปรงผลิตจากวัสดุคุณภาพ BPA Free จึงปลอดสารอันตราย ทนทาน และสามารถนำเข้าเครื่องนึ่งฆ่าเชื้อได้ด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม FIN แปรงสีฟันเด็กขนนุ่ม

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก https://www.babiesplusshop.com/
  1. Dr.Ray รุ่น Magical Gyro

เป็นแปรงเด็กเหมาะสำหรับช่วงอายุุ 3-7 ขวบ ขนแปรง Super Slim Soft ปลายเรียวเล็กเพียง 0.01 มม. จึงทั้งซอกซอนทำความสะอาดได้ลึกแต่ไม่บาดเหงื่อ และยังช่วยขจัดคราบแบทีเรียได้ถึง 99% ตัวแปรงสีสันสดใส ดีไซน์ให้เด็กๆจับถนัดมือ พิเศษยิ่งขึ้นด้วยลูกเล่นหลายอย่างที่ตัวแปรง มีทั้งปุ่มตั้งเตือนเวลาเปลี่ยนแปลงสีฟัน ลิขสิทธิ์เฉพาะ ดร.เรย์ ที่ครอบแปลงป้องกันความสกปรก และลูกหมุนเล็กๆให้ดึงมาหมุนเล่นสนุกได้ขณะแปรงฟัน  

ข้อมูลเพิ่มเติม https://drray-group.com/

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก https://drray-group.com/
  1. Lux360

แปรงสีฟันคุณภาพจากประเทศเกาหลี ดีไซน์รูปทรงแตกต่างด้วยขนแปรงรอบทิศแบบ 360 องศา สำหรับเด็กมีทั้งรุ่นแปรงปกติ และแบบแปรงไฟฟ้า มีไฟ LED ที่หัวแปรง เหมาะกับแรกเกิดถึง 4 ขวบขึ้นไป มาพร้อมขนแปรงแสนนุ่มเทคโนโลยี Dupont ยืดหยุ่นรอบด้าน อ่อนโยนต่อเหงือกและฟันของเด็กๆ และด้วยหัวแปรงทรงกลมจึงสามารถแปรงฟันได้สะอาดมากกว่าหัวแปรงแบบปกติ แถมยังชวนให้เด็กๆรูกสึกสนุกกับการแปรงฟันมากขึ้นด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม https://web.facebook.com/Lux360TH/

รีวิวแปรงสีฟันเด็ก
ขอขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/Lux360TH/

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

รวม 13 ยาสีฟันเด็ก ยี่ห้อไหนดี กลิ่นหอมน่าใช้ แปรงฟันสะอาด พร้อมวิธีเลือกซื้อยาสีฟัน

ชวนลูกแปรงฟัน อาบน้ำ ต้องพูดภาษาอังกฤษอย่างไรดี

ไม่อยากให้ “ลูกฟันผุ ต้องแปรงฟัน” และดูแลให้ถูกต้อง

เบาหวาน - อ้วน

ทำไมป่วย เบาหวาน – อ้วน เสี่ยงมากเมื่อติดโควิด-19

Alternative Textaccount_circle
event
เบาหวาน - อ้วน
เบาหวาน - อ้วน

ทำไมป่วย เบาหวาน – อ้วน เสี่ยงมากเมื่อติดโควิด-19

ในช่วงที่เชื้อไวรัสโควิด-19 (COVID-19) กำลังระบาดไปในประเทศอยู่นี้ กลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวเป็นกลุ่มที่ทางการแพทย์ให้ความห่วงใยมากนะคะ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างโรค เบาหวานอ้วน หากได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 อาจจะมีอาการรุนแรงมากกว่าคนทั่วไป เพราะเหตุใด และผู้ป่วยทั้ง 2 โรคนี้ ควรดูแลตัวเองอย่างไรจึงจะปลอดภัยค่ะ

เบาหวาน – อ้วน เสี่ยงมากเมื่อติดโควิด-19

ผู้ป่วยโรคอ้วน หรือผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ไม่สามารถคุมน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่ปกติได้ เมื่อติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรง หรือมีผลข้างเคียงมากกว่าคนทั่วไป

โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือโรคอ้วนที่มีโรคร่วม ยิ่งมีโรคร่วมมากเท่าใด ก็จะยิ่งมีโอกาสที่จะมีผลข้างเคียงจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ที่ไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลได้ ซึ่งมักจะมีโรคร่วมอื่น ๆ ด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน หรือมีโรคที่เป็นผลข้างเคียงจากเบาหวานร่วมด้วย เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคหัวใจ ฯลฯ ผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อได้รับเชื้อ มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรง และมีผลข้างเคียงจากเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่าคนทั่วไป

โควิด-19 สามารถมีชีวิตรอดในธรรมชาติได้เป็นชั่วโมง หรือวัน ขึ้นอยู่กับพื้นผิววัสดุ และสภาพแวดล้อม จึงสามารถติดต่อผ่าน “การสัมผัส” พื้นผิวที่มีเชื้อ ดังนั้นผู้ป่วยเบาหวาน จึงควรป้องกันด้วยการล้างมือ และงดการเข้าพื้นที่ที่มีผู้คนแออัด

เบาหวานติดโควิด-19 ทำไมเสี่ยงอาการหนัก

ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี มีโอกาสเกิดผลข้างเคียง จากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่าคนทั่วไปเนื่องจาก

  • ระดับน้ำตาลที่สูงกว่าค่าปกติ จะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานลดลง ทำให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ไม่ดี ไวรัสสามารถเติบโตและกระจายตัวได้ง่ายขึ้น
  • โรคร่วมหรือผลข้างเคียงจากเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานที่คุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี มักจะมีโรคร่วม หรือผลข้างเคียงจากเบาหวานร่วมด้วย ซึ่งการที่มีโรคร่วมดังกล่าวทำให้เมื่อติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสที่จะมีอาการรุนแรงมากขึ้น มีผลข้างเคียงง่ายและเพิ่มขึ้นได้
  • ปฏิกิริยาการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส ทำให้การควบคุมเบาหวานทำได้แย่ลง เมื่อผู้ป่วยเบาหวานติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อต้านไวรัสและเกิดการอักเสบ ปฏิกิริยาการอักเสบจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดยิ่งสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและโรคที่เป็นผลข้างเคียงจากเบาหวานดังกล่าวข้างต้น

ทั้งนี้ปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของโรค หากผู้ป่วยเบาหวานได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 ขึ้นอยู่กับอายุ ระดับน้ำตาลในเลือด โรคร่วม หรือผลข้างเคียงจากโรคเบาหวานที่ผู้ป่วยเป็นอยู่  ไม่ได้ขึ้นกับว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 หรือชนิดที่ 2

เพิ่มโอกาสเสี่ยงโรคแทรกซ้อน

  • ภูมิคุ้มกันต่ำลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • เชื้อมักเจริญเติบโตได้ดีในภาวะที่มีน้ำตาลในเลือดสูง
เบาหวาน - อ้วน
ทำไมป่วย เบาหวาน – อ้วน เสี่ยงมากเมื่อติดโควิด-19

ทำไม อ้วนติดโควิด-19 จึงเสี่ยงมาก

ผู้ป่วยโรคอ้วน มักจะมีโรคร่วม หรือผลข้างเคียงจากโรคอ้วนร่วมด้วย ซึ่งถ้ามีการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงมากกว่าคนทั่วไป คล้ายคลึงกับโรคเบาหวาน  นอกจากนี้คนที่มีโรคอ้วนโดยเฉพาะคนที่มีดัชนีมวลกาย (Body Mass Index) สูง ๆ อาจมีผลทำให้การขยายตัวของปอดทำได้จำกัด ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อมีการติดเชื้อไวรัสที่ปอด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อผู้ป่วยโรคอ้วนมีอาการป่วยหนักและต้องเข้ารักษาในห้องภาวะวิกฤติ (ICU) อาจจะมีปัญหาในการใส่ท่อช่วยหายใจ การหาเตียงที่รองรับน้ำหนักได้มาก ๆ หรือ การทำ X-Ray Computer ที่อาจจำกัดขนาดและน้ำหนักของผู้ป่วย

7 วิธีดูแลสุขภาพผู้ป่วยเบาหวานและโรคอ้วน

ในสถานการณ์ที่เชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังระบาด วิธีดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยโรคอ้วน นอกจากการล้างมือบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงการจับใบหน้า หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้ที่มีประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และการพยายามเว้นระยะห่างทางสังคม ได้แก่

  1. คุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงหลังจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่าบุคคลทั่วไปหากควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี จึงควรควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ วัดระดับน้ำตาลปลายนิ้วอย่างสม่ำเสมอตามที่แพทย์ผู้ดูแลแนะนำ
  2. ดูแลสุขภาพกายใจ ผู้ป่วยเบาหวานควรออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ถูกสุขอนามัย และลดความเครียด การมีสุขภาพกายและใจที่ดีจะเป็นส่วนช่วยในการป้องกันการติดเชื้อ
  3. ดื่มน้ำแต่ละวันให้ได้ปริมาณที่เพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงอากาศร้อน เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานเมื่อขาดน้ำระดับน้ำตาลจะยิ่งสูงขึ้น
  4. เตรียมอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล (คาร์โบไฮเดรต) ให้เพียงพอที่บ้าน เนื่องจากในกรณีที่เกิดภาวะน้ำตาลต่ำจะสามารถแก้ไขระดับน้ำตาลได้ทันที
  5. เตรียมยาประจำตัวที่บ้านให้เพียงพอ โดยเฉพาะในกรณีที่จำเป็นต้องกักกัน (Quarantine) ตัวเองอยู่ที่บ้าน 2 – 3 สัปดาห์
  6. บันทึกเบอร์โทรศัพท์สำคัญ ทั้งเบอร์โทรศัพท์ของโรงพยาบาลที่รักษาอยู่ เบอร์โทรศัพท์ของแพทย์ที่ทำการรักษา เพื่อให้สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทันที ในกรณีฉุกเฉิน และควรให้คนใกล้ชิดบันทึกเบอร์โทรศัพท์นี้ไว้ด้วย
  7. หมั่นสังเกตอาการตนเอง หากมีอาการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้ หายใจหอบเหนื่อย ไอ น้ำมูก เจ็บคอควรปรึกษาแพทย์ทันที นอกจากนี้ หากมีอาการที่เป็นผลจากระดับน้ำตาลที่ผิดปกติ เช่น หน้ามืด ใจสั่น มือสั่น มึนงง เหงื่อออกมาก คลื่นไส้ อาเจียน ความรู้สึกตัวลดลง หรือวัดระดับน้ำตาลที่บ้าน แล้วค่าระดับน้ำตาลต่ำ หรือสูงกว่าภาวะปกติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

โรคอ้วนในเด็ก พฤติกรรมแบบไหนทำลูกเสี่ยงอ้วน!!

สปสช. ให้ 7 กลุ่มเสี่ยง วอล์กอินฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฟรี

แพทย์เตือน! โรคอ้วนอาจนำไปสู่โรคมะเร็งได้

เล่นกับลูกไม่เป็น กิจกรรมเสริมพัฒนาการ

เล่นกับลูกไม่เป็น เราช่วยได้กับกิจกรรมเล่นดีสมวัยสร้างสรรค์

Alternative Textaccount_circle
event
เล่นกับลูกไม่เป็น กิจกรรมเสริมพัฒนาการ
เล่นกับลูกไม่เป็น กิจกรรมเสริมพัฒนาการ

เล่นกับลูกไม่เป็น ไม่ต้องกังวล เรามีกิจกรรมดี ๆ โดน ๆ เหมาะสมกับแต่ละวัยของลูก แถมสร้างสรรค์มาฝากกัน เพราะต่างรู้ดีว่าการเล่นเป็นบ่อเกิดแห่ง IQ EQ และ EF

เล่นกับลูกไม่เป็น เราช่วยได้!! กับกิจกรรมเล่นดี สมวัย สร้างสรรค์

งานของเด็ก คือ การเล่น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น??

การเล่น ไม่ใช่เป็นเรื่องไร้สาระสำหรับเด็ก เนื่องจากว่าการเล่นคือการเรียนรู้ตามวัยที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการ เสริมสร้างจินตนาการ ความอยากรู้อยากเห็น และกระตุ้นพัฒนาการครบทั้ง 4 ด้านให้แก่เขา นอกเสียจากประโยชน์ดังที่กล่าวมาแล้ว ประโยชน์อีกด้านของการเล่น ที่หากพ่อแม่หาเวลาลงมา เล่นกับลูก แล้ว ยังมีประโยชน์ที่สำคัญมากอยู่อีกสิ่งหนึ่ง คือ การเล่นทำให้เกิด พ่อแม่ที่มีอยู่จริง

การเล่น ช่วยพัฒนาสมอง
การเล่น ช่วยพัฒนาสมอง

พ่อแม่ที่มีอยู่จริง สำคัญอย่างไร?

พ่อแม่บอกรักลูกผ่านการเล่น กอด อุ้ม หอม เล่านิทาน และพูดคุยกับลูกแม้ในวันที่เขายังไม่รู้ภาษาก็ตาม การปรากฏตัวของพ่อแม่อย่างสม่ำเสมอและตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของลูก ทำให้เด็กรับรู้ว่า ‘พ่อแม่มีอยู่จริง’ และเขาสามารถเชื่อใจพ่อแม่ได้ ซึ่งความเชื่อใจดังกล่าวจะพัฒนาไปสู่ความเชื่อใจที่มีต่อโลกภายนอกในเวลาต่อมา ในทางกลับกันหากพ่อแม่ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการขั้นพื้นฐานของลูก หรือมีเวลาคุณภาพให้กับลูกในช่วงวัยดังกล่าวได้ เด็กจะพัฒนาความไม่เชื่อใจต่อบุคคลหรือโลก (Mistrust) ขึ้นมา

ทำอย่างไร…เมื่อ เล่นกับลูกไม่เป็น !!

การเล่นไม่ใช่เรื่องยาก หากเราสามารถย้อนจิตใจของเราให้กลับไปวัยเด็กได้ และคงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหากเราเล่นเป็นเด็กซะบ้าง สำหรับพ่อแม่บางคน ที่ประสบปัญหากับการเล่นกับลูก เล่นแล้วลูกบอกไม่สนุก หรือดูไม่สนใจ นั่นอาจเป็นเพราะว่า เราไม่เคยให้เวลากับลูกมาก่อน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่เราต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง การเล่นจึงเป็นกิจกรรมที่ดีในการสานสัมพันธ์ของพ่อแม่ และลูกให้กลับมาอีกครั้ง ซึ่งอาจจะต่อกันไม่ติดในช่วงแรก ๆ ก็ขอให้คุณพ่อคุณแม่ยังคงเล่นต่อไป เพียงแค่ลูกหยุดดู หยุดฟังที่เราเล่น หรืออ่านนิทาน นั่นก็แสดงถึงเปิดการเชื่อมต่อระหว่างกันในขั้นแรกแล้ว

เล่นกับลูกไม่เป็น ลองพาไปสนามเด็กเล่น
เล่นกับลูกไม่เป็น ลองพาไปสนามเด็กเล่น

5 ข้อแนะนำในการเล่นกับลูก 

  1. การเล่นเกิดได้ทุกที่ ไม่จำเป็นว่าเมื่อจะเล่นต้องมีของเล่นราคาแพง เพราะใจความสำคัญของการเล่นกับลูก นั่นคือ การทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น ขณะซักผ้า ทำกับข้าว ตากผ้า เป็นต้น เพียงแค่พ่อแม่ดึงลูกเข้ามามีส่วนร่วมกับสิ่งที่เราต้องทำ ให้เขามีส่วนร่วมในกิจกรรมของเราบ้าง นอกจากสนุกแล้ว ลูกยังรู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือพ่อแม่อีกด้วย
  2. พ่อแม่ทำงานไม่มีเวลา จะเล่นได้อย่างไร ระยะเวลาในการเล่น ไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพของเวลาที่ใช้เล่นด้วยกัน แม้เพียงการอ่านนิทานก่อนนอน สัก 10-15 นาที ก็นับว่าเป็นการใช้กิจกรรมร่วมกันกับลูก แม้เป็นเวลาเพียงไม่มาก แต่หากคุณพ่อคุณแม่ทำด้วยความตั้งใจ ไม่อ่านแบบขอไปที่ เพราะเป็นหน้าที่ เวลาเพียงเล็กน้อยลูกก็รับรู้ได้ถึงความมีอยู่จริงของพ่อแม่แล้ว
  3. อย่าให้การเล่นเป็นเหมือนการเรียน พ่อแม่บางคนคิดว่าเราสามารถยัดความรู้ใส่ลงไปในการเล่นกับลูกเสียเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเที่ยว ความจริงแล้วก็ไม่ผิดเสียทีเดียว แต่หากมากเกินไป เช่น ของเล่นที่มีการวัดผล หรือแม่มีเกณฑ์ที่เข้มงวดเป็นคะแนนเวลาเล่น ไม่พอใจเมื่อลูกทำไม่สำเร็จ เแบบนี้คงไม่ใช่การเล่น แต่เรียกว่าการเรียนน่าจะเหมาะกว่า
  4. พ่อแม่ต้องเล่นกับลูกตลอดเวลาที่เขาต้องการเลยหรือ คงเป็นคำถามที่พ่อแม่อยากทราบ เพื่อคลายความรู้สึกผิดต่อลูก เวลาที่เขาเรียกร้องให้เล่นแทบทั้งวัน แต่คุณมีเวลาให้ลูกไม่ได้ทั้งวัน ความจริงแล้วทักษะชีวิตที่ลูกควรได้รับการเรียนรู้ไม่เพียงแค่ความสุข ความสมหวังเพียงอย่างเดียว พ่อแม่สามารถปฎิเสธ และอธิบายถึงเหตุผลในการไม่มาเล่นให้แก่ลูกฟังตรง ๆ ได้ ลูกก็จะเรียนรู้ในการปรับตัว และยังได้ฝึกให้เขาเข้าใจเหตุและผลของคนอื่นอีกด้วย
  5. ควรมีจิตใจที่ปลอดโปร่ง พร้อมเล่นเสียก่อน มีการศึกษาว่า ความเครียด และความไม่มีความสุขของพ่อแม่นั้นส่งผลลบต่อพัฒนาการของลูก เขาสามารถรับรู้ได้ถึงอารมณ์เหล่านั้น ดังนั้นพ่อแม่จึงควรให้เวลากับตัวเอง เมื่อเราหายเหนื่อย ผ่อนคลาย จึงพร้อมที่จะมาเล่นกับลูก จะทำให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่มากกว่าการฝืน

    เล่นกับลูกไม่เป็น ระวังเด็กติดเกม ติดจอ
    เล่นกับลูกไม่เป็น ระวังเด็กติดเกม ติดจอ

การเล่นที่มีดีไม่ใช่เล่น ๆ

เด็กในวัย 3 ปีแรก ถือเป็นช่วงทองของการส่งเสริมพัฒนาการ ถ้าส่งเสริมดีในเรื่องอารมณ์ พฤติกรรมและพัฒนาการด้านต่างๆ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเด็ก ๆ ในวันหน้า” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุนทรี ทวีธนะลาภ  ภาควิชากายภาพบำบัด คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แนะนำการเล่นกับเด็กเล็กเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการในแต่ละช่วง ตั้งแต่ต่ำกว่า 1 ขวบ ถึง 4 ขวบขึ้นไป ดังนี้

“จ๊ะเอ๋” เปิดโลกการเรียนรู้กับเด็กวัยต่ำกว่า 1 ขวบ

สำหรับเด็กวัยแรกเรียนรู้ แนะนำให้เลือกของเล่นที่มีหลากสีหลายรูปทรงที่น่าสนใจ ของเล่นที่มีเสียง หรือขยับเคลื่อนไหวได้ ของเล่นที่ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างสายตากับการเคลื่อนไหวของมือ หากเป็นหนังสือควรเป็นหนังสือภาพกระดาษแข็งที่เปิดง่ายเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก

แม้ไม่มีของเล่น ผู้ปกครองก็สามารถชวนลูกเล่นได้อย่างง่ายๆ และเป็นธรรมชาติ อย่างเช่น การเล่นปิดแอบ

“การเล่น ‘จ๊ะเอ๋’ เป็นการสอนให้รู้จักการรอ การคงอยู่ และหายไป รวมทั้งการเดาเหตุการณ์ ซึ่งการเล่นแบบนี้จะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเด็ก หรือจะปรับใช้ของในบ้านมาเล่นซ่อนหาโดยเอาของไปซ่อนใต้ผ้าห่มแล้วชวนให้เด็กๆ ค้นหาก็จะเป็นการเล่นเพื่อกระตุ้นความจำของเด็กๆ” ผศ.ดร.สุนทรี กล่าว

นอกจากนี้ เด็กวัย 9-10 เดือน ที่เริ่มจะยืนเกาะได้แล้ว พ่อแม่อาจใช้เก้าอี้ในบ้านหรือรถเข็นที่ปลอดภัยให้ลูกได้ลองเกาะทรงตัวและเดิน

“สิ่งที่หลายบ้านชอบใช้กับเด็กวัยนี้คือรถหัดเดินที่มีล้อลากซึ่งไม่ขอแนะนำเลย นอกจากจะไม่ทำให้เด็กเดินได้เร็วขึ้นแล้วแต่จะทำให้เกิดปัญหาการเดิน เด็กจะติดการเดินเขย่งส้นเท้า ส่งผลให้กล้ามเนื้อขาตึง เอ็นร้อยหวายหดสั้น ทำให้มีปัญหาต่อลักษณะการเดินในอนาคต รวมทั้งรถหัดเดินนี้มีลูกล้อทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยด้วย” ผศ.ดร.สุนทรี กำชับ

อ่านนิทาน เล่นกับลูก สร้างเสริมพัฒนาการที่ดี
อ่านนิทาน เล่นกับลูก สร้างเสริมพัฒนาการที่ดี

เคลื่อนที่ไปกับเด็กวัยเตาะแตะ 1-2 ปี

วัยนี้คือวัยเตาะแตะ และเริ่มซนบ้างแล้ว เริ่มรื้อสิ่งของ ปืนป่ายขึ้นบันได ไม่อยู่นิ่ง เด็กๆ จะเริ่มออกสำรวจโลกรอบตัวซึ่งถือเป็นการเรียนรู้ ของเล่นสำหรับวัยนี้จึงควรเกี่ยวกับการลากจูง พ่อแม่อาจเพิ่มความสนุกโดยทำทางเดินลากจูงให้แก่เด็กๆ อาจเป็นทางเดินคดโค้ง หรือซิกแซก มีทางเลี้ยวไปมาเพื่อเสริมประสบการณ์การทรงตัว นอกจากนี้อาจให้ลูกปีนป่ายหมอน หรือสร้างอุโมงค์กระดาษให้เด็กมีการเคลื่อนไหว รวมทั้งพาลูกวิ่งเล่นบนพื้นหญ้า หรือเล่นทราย

ผศ.ดร.สุนทรี แนะให้ผู้ปกครองพาเด็กๆ ออกกำลังกายเพื่อเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และความแข็งแรง รวมทั้งการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมัดเล็กในมือ เช่น การขีดเขียนด้วยมือด้านที่ถนัดและการใช้มือปั้นดินแป้ง หรือจับช้อนตักของก็สำคัญต่อการฝึกฝนทักษะ และความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ การทำงานของสมองกับการควบคุมอวัยวะในร่างกาย

สำหรับเด็กวัยนี้ การเล่นและการทำกิจกรรมในครอบครัวจำเป็นต่อพัฒนาการด้านภาษา และการสื่อสารของพวกเขา นอกจากการอ่านออกเสียงหนังสือนิทานที่มีภาพประกอบแล้ว การใช้เสียงขับร้องเพลงพร้อมท่าประกอบจังหวะยังมีส่วนกระตุ้นพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็ก ยิ่งเด็กมีคำถามระหว่างประกอบกิจกรรม พ่อแม่ผู้ปกครองก็ยิ่งต้องชิงโอกาสเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นให้แก่พวกเขาผ่านคำอธิบายขยายความ และการเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงที่น่าสนุกชวนติดตาม

ผศ.ดร.สุนทรี กล่าวย้ำในเรื่องนี้ว่า “แม้เด็กวัยนี้จะพูดยังไม่คล่อง แต่การเล่นแบบนี้จะทำให้พัฒนาการด้านการพูดของเด็กเติบโตได้เร็วขึ้น มีความสามารถด้านการอ่านได้ดีขึ้น”

การเล่นที่มีดีไม่ใช่เล่น ๆ
การเล่นที่มีดีไม่ใช่เล่น ๆ

กิจกรรมใช้พลังงานสำหรับเด็กวัย 2-3 ปี

เด็กในวัยนี้ไม่อยู่นิ่งขั้นสุด เด็กมั่นใจในการเคลื่อนที่ของตนมากขึ้น เนื่องจากความพร้อมของกล้ามเนื้อ และการทรงตัวที่ดีขึ้นมาก ของเล่นเด็กจึงควรเป็นของเล่นที่เน้นการใช้พลังงาน เช่น จักรยานสามล้อ จักรยานทรงตัว การเตะลูกฟุตบอล การกระโดด และการโยนลูกบาสเก็ตบอล

“การเล่นโดยใช้พลังงานเป็นการกระตุ้นให้ออกกำลัง ยิ่งช่วงที่ทุกคนต้องอยู่ติดบ้าน ยิ่งต้องกระตุ้นเพื่อไม่ให้เด็กอ้วน และอาจเพิ่มกิจกรรมทางกายอีก เช่น การโยนรับส่งลูกบอล การใช้ตะกร้ารับลูกบอล การคลานพร้อมสิ่งของวางบนหลัง การเต้นประกอบเพลง ที่จริง นอกจากการเล่นจะควบคุมภาวะอ้วนได้แล้วยังช่วยดึงเด็กๆ วัยนี้ให้ถอยห่างจากหน้าจอ หรือเกมได้ด้วย” ผศ.ดร.สุนทรี กล่าว

นอกเหนือจากการเล่นที่ใช้พลังงานดังกล่าวแล้ว การปล่อยให้เด็กวัยนี้วาดเขียนบนผนังหรือกระดาษใหญ่ๆ ที่เตรียมไว้ให้ และการติดแผ่นสติกเกอร์ตามจุดต่างๆ ยังจำเป็นต่อเด็กวัย 2-3 ปีเช่นกัน เนื่องจากกล้ามเนื้อนิ้ว และมือมัดเล็ก ๆ ของพวกเขาต้องการการกระตุ้นพอ ๆ กับจินตนาการ การฝึกร้อยลูกปัดที่ต้องใช้สายตาและนิ้วมือที่แม่นยำจึงเป็นอีกกิจกรรมในบ้านที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา

บทบาทสมมติ การเล่นของเด็กวัย 3-4 ปี

การเล่นที่เหมาะสมกับวัยนี้คือบทบาทสมมติ เพื่อกระตุ้นจินตนาการผ่านบทบาทที่ได้รับและฝึกฝนทักษะกระบวนการสื่อสารกับคนอื่น ๆ

“จิ๊กซอว์หรือเลโก้” ก็เป็นอีกชิ้นที่เหมาะกับเด็กวัยนี้ เพื่อฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ นอกจากนี้การเล่นกิจกรรมเกี่ยวกับแสงเงา ไม่ว่าจะเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ หรือแสงจากไฟฉาย จะช่วยเสริมทักษะด้านวิทยาศาสตร์ ในเรื่องของการสังเกต การจำแนกระยะทาง ตำแหน่งและขนาดของเงา

เด็กวัยนี้เริ่มทำงานบ้านง่ายๆ ได้บ้างแล้ว พ่อแม่อาจเริ่มชวนลูกมาช่วยงานบ้านเพื่อฝึกความรับผิดชอบร่วมกันในครอบครัว เช่น การรดน้ำต้นไม้ การคัดแยกผ้าก่อนซัก การตากและเก็บผ้า การทำขนมอย่างง่ายๆ เป็นต้น

ใช้เวลาร่วมกันกับลูก ด้วยการเล่น
ใช้เวลาร่วมกันกับลูก ด้วยการเล่น

การเล่นเพื่อเตรียมพร้อมเข้าโรงเรียนของเด็ก 4 ปีขึ้นไป

วัยนี้เริ่มไปโรงเรียน พ่อแม่อาจจัดเวลาเล่นล้อกับแผนการเรียน เช่น ช่วงเช้าถึงเที่ยงเป็นเวลาเรียนรู้ มีพักระหว่างเรียน พักเที่ยง และเวลานอนกลางวัน ช่วงบ่ายจะเป็นเวลาสันทนาการ กิจกรรมกลุ่มฝึกงานฝีมือ ซึ่งน่าจะใช้กรอบนี้กำหนดแผนกิจกรรมในบ้าน ฝึกฝนเด็ก ๆ ให้รู้จักการแบ่งหรือจัดสรรเวลาประกอบกิจกรรมต่างๆ เมื่อไรเรียน ทำงานประดิษฐ์ เมื่อไรพักและเล่น ที่สำคัญกิจกรรมกลางแจ้ง โดยเฉพาะการออกกำลังที่เน้นการใช้พลังงาน

ที่มาจาก www.chula.ac.th

มาถึงบทสรุปในจุดนี้ คุณพ่อคุณแม่ที่ได้อ่านมา คงเริ่มมีความเข้าใจต่อการเล่นของลูกมากขึ้นกันแล้ว ว่าถึงแม้เด็กจะมีชีวิตประจำวันส่วนหนึ่งหมดไปกับการเล่น แต่หากพ่อแม่ใส่ใจเพิ่มอีกสักนิด ไม่ปล่อยให้การเล่นของลูกเป็นไปแบบไร้ทิศทาง เราก็สามารถส่งเสริมให้ลูกได้รับประโยชน์จากการเล่นได้มากเลยทีเดียว อ่านมาถึงจุดนี้คำว่า เล่นกับลูกไม่เป็น คงไม่ใช่ปัญหาของพ่อแม่อีกต่อไป

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.thaipbskids.com/ เพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ / เพจนายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เล่น = การเรียนรู้แสนสนุก

พ่อแม่ต้องรู้!! อาการโอไมครอนในเด็ก เจอสัญญาณต่อไปนี้ พบแพทย์ทันที

บาดแผล ทางใจในวัยเด็ก ส่งผลกระทบกับลูกมากกว่าที่คิด

สอนลูก สไตล์เอเชีย แบบให้อยู่แต่ในโอวาท ดีจริงหรือ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พัฒนาการทารก 5 เดือน

พัฒนาการทารก 5 เดือน เติบโตรอบด้านอย่างไรบ้าง?

Alternative Textaccount_circle
event
พัฒนาการทารก 5 เดือน
พัฒนาการทารก 5 เดือน

พัฒนาการทารก 5 เดือน ในวัยนี้ คุณพ่อคุณแม่จะสามารถเห็นบุคลิค และพฤติกรรมของลูกได้ชัดเจนขึ้น ทารกจะมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว

พัฒนาการทารก 5 เดือน เติบโตรอบด้านอย่างไรบ้าง?

ย่างเข้าเดือนที่ 5 คุณพ่อคุณแม่คงหน้าตาสดใสขึ้นบ้าง เนื่องจากลูกจะเริ่มนอนได้นานขึ้นในเวลากลางคืน แถมยังขยันโปรยเสน่ห์ให้คุณพ่อคุณแม่ ยิ้มเก่ง น่ารัก น่าเอ็นดู ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลงใหลได้ปลื้ม ภูมิใจในฝีมือการเลี้ยงลูกมิใช่น้อย พัฒนาการด้านต่าง ๆ เป็นอย่างไรบ้าง ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมข้อมูล พัฒนาการทารก 5 เดือน มาฝากแล้วค่ะ

พัฒนาการทารก 5 เดือน
พัฒนาการทารก 5 เดือน

พัฒนาการทารก 5 เดือน เติบโตรอบด้านอย่างไรบ้าง?

พัฒนาการทางด้านร่างกาย

น้ำหนัก และส่วนสูงโดยเฉลี่ยตามเกณฑ์ คือ

ทารกเพศชาย น้ำหนักประมาณ 7 กิโลกรัม ส่วนสูงประมาณ 63 เซนติเมตร

ทารกเพศหญิง น้ำหนักประมาณ 6 กิโลกรัม ส่วนสูงประมาณ 62 เซนติเมตร

หากทารกอยู่ในเกณฑ์ดังกล่าว แสดงว่าทารกมีสุขภาพที่ดี แต่ทั้งนี้ตัวเลขก็เป็นเพียงค่าเฉลี่ยเท่านั้น ทารกบางคนอาจมีสุขภาพแข็งแรง แม้มีตัวเลขน้ำหนัก และส่วนสูงไม่ตรงตามเกณฑ์ดังกล่าว

พัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อ

  • ทารกสามารถนั่งตัวตรงได้นานขึ้น หรืออาจนั่งโดยไม่ตัองจับได้บ้างเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ดี ควรจะมีหมอนช่วยประคองไว้ด้วย
  • สามารถพลิกตัวไป มาได้ จากนอนคว่ำ พลิกมานอนหงาย หรือนอนหงาย พลิกมานอนคว่ำ นอกจากนี้อาจกลิ้งตัวไปรอบห้องได้ ดังนั้นควรระวังอุบัติเหตุ ไม่ควรให้เด็กนอนบนเตียงสูง โดยไม่มีใครดูแล เด็กอาจตกเตียงได้
  • ยื่นมือทั้ง 2 ไปจับสิ่งของ และนำเข้าปาก ควรล้างทำความสะอาดสิ่งของ หรือของเล่น ให้แน่ใจว่าปราศจากเชื้อโรค
  • สามารถจับขวดนมได้เอง
  • สามารถส่งของเล่นจากมือนึงไปอีกมือนึงได้
  • กล้ามเนื้อเท้าแข็งแรงขึ้น สามารถลงน้ำหนักที่เท้า เมื่ออุ้มหรือยกตัวขึ้นบนพื้นแข็ง อาจใช้เท้ากระเด้งตัวขึ้น

พัฒนาการด้านการมองเห็น

  • ทารกสามารถมองเห็นได้ดีขึ้น แต่ระยะทางที่มองเห็น จะแตกต่างกันในทารกแต่ละคน
  • อาการตาเหล่ขณะใช้ตาทั้ง 2 ข้าง มองจุดเดียวกัน จะหายไปในวัยนี้
  • ยังคงชอบสีที่เป็นสีหลัก คือ สีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง แต่จะสามารถแยกแยะสีได้ดีขึ้น กล่าวคือ นอกจากสามารถแยกแยะสีได้แล้ว ยังสามารถแยกสีเดียวกัน ที่มีความเข้มของสีต่างกันได้
  • ชอบดูหนังสือที่มีสีสันสดใส
  • สามารถมองตามวัตถุที่เคลื่อนที่ได้

พัฒนาการด้านการเรียนรู้ และสติปัญญา

  • สามารถจำหน้าคน และสิ่งของที่คุ้นเคย ได้จากระยะไกล
  • สามารถเรียนรู้ได้ถึงวัตถุที่ยังคงมีอยู่ คือ รู้ว่าวัตถุนั้นมีอยู่ ไม่ได้สูญสลาย หรือหายไปไหน ถึงแม้จะนำไปซ่อน ดังนั้น เมื่อเล่นจ๊ะเอ๋ ทารกจะเข้าใจว่าคนยังอยู่ตรงนั้น ไม่ได้หายไปไหน คุณพ่อคุณแม่สามารถส่งเสริมพัฒนาการนี้ได้ โดยการเล่นเกมส์ เช่น นำลูกบอลไปซ่อนใต้ผ้าห่ม แล้วให้ลูกลองหาดู
  • เริ่มที่จะเรียนรู้ถึง เหตุและผล เช่น ทารกรู้ว่าถ้าเค้าทิ้งอาหารลงจากเก้าอี้กินข้าว อาหารจะตกลงที่พื้น
ยิ้มให้คุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่คุ้นเคย
ยิ้มให้คุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่คุ้นเคย

พัฒนาการด้านการสื่อสาร

  • ในวัยก่อนหน้านี้ ทารกจะเข้าใจความหมายของคำพูดเป็นโทนเสียง แต่ในวัยปัจจุบัน ทารกมีการพัฒนาด้านการฟังมากขึ้น จะสามารถแยกแยะความแตกต่างของเสียงได้ ในไม่ช้า ทารกจะสามารถจำชื่อของตัวเองได้ และหันเมื่อมีคนเรียกชื่อ
  • ถึงแม้ทารกจะยังไม่เข้าใจความหมายของคำพูดก็ตาม แต่สามารถทำเสียงอ้อแอ้ต่าง ๆ ได้มากขึ้น หรือเริ่มออกเสียงคำสั้น ๆ ที่มีการผสมของสระ และ พยัญชนะได้
  • เริ่มเรียนรู้ถึงเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงรถยนต์ เสียงสุนัขเห่า เป็นต้น
  • ร้องไห้ด้วยเสียงที่แตกต่าง เพื่อสื่อสารถึงความต้องการที่ต่างกัน เช่น หิว ไม่สบายตัว ง่วง เป็นต้น
  • ชอบเล่นกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เลี้ยงดูใกล้ชิด
  • ยกมือทั้ง 2 ขึ้น เพื่อส่งสัญญาณว่าอยากให้อุ้ม
  • ยิ้มให้คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ที่คุ้นเคย

พัฒนาการด้านการนอน

ในวัยนี้ทารกยังคงนอนมากกว่าตื่น อาจนอนประมาณ 15 ชั่วโมงต่อวัน โดยนอนกลางคืนประมาณ 10 ชั่วโมง (อาจบวกลบ 2 ชั่วโมง) ทั้งนี้เด็กบางคนอาจตื่นกลางดึกได้ (อาจหิว หรือต้องการให้เปลี่ยนผ้าอ้อม) และนอนกลางวันประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน วันละ 2 – 3 ครั้ง ทั้งนี้ระยะเวลาการนอนของเด็กแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของตัวเด็กเอง

พัฒนาการด้านการกิน

อาหารที่เหมาะสำหรับพัฒนาการทารก 5 เดือน คือ นมแม่ ผักบด ผลไม้บด เนื้อสัตว์บด เป็นต้น ในวัยนี้ทารกบางคนอาจเริ่มมี ฟันน้ำนม ขึ้นบ้างแล้ว แต่ทารกบางคนอาจมีฟันน้ำนมขึ้นเมื่ออายุ 1 ขวบ หรือบางคนเร็วที่สุด คือ อายุ 3 เดือน แต่อย่างไรก็ตาม การที่ทารกมีฟันน้ำนมขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่า ทารกจะพร้อมรับประทานอาหารที่ต้องบดเคี้ยวแล้ว

ในวัยนี้ ทารกยังต้องการอาหารเหลว หรืออาหารอ่อนอยู่ โดยอาหารที่เหมาะสมกับทารก ในการเจริญเติบโต อีกทั้งยังได้รับสารอาหารที่เพียงพอ มีดังนี้

  • น้ำนมแม่ ยังคงเป็นอาหารหลักของทารกวัยนี้ เป็นน้ำนมที่ดีทีสุด สำหรับพัฒนาการทารก 5 เดือน มีสารอาหาร และเสริมภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ยังไม่มีนมชนิดใด ที่ให้คุณค่าทางสารอาหารแบบเดียวกันกับนมแม่
  • นมผงสำหรับเด็กทารก ควรเลือกสูตรที่ให้สารอาหารครบถ้วน และไม่มีสารที่เป็นอันตรายต่อทารก
  • ปริมาณการบริโภคของน้ำนมแม่ หรือนมผงสำหรับเด็กทารก ประมาณ 25 – 35 ออนซ์ต่อวัน ประมาณวันละ 4 – 5 ครั้ง ครั้งละ 6 – 8 ออนซ์
  • ผักบด เช่น ถั่วลันเตาบด แครอทบด มันเทศบด ฟักทองบด ผักเหล่าอุดมไปด้วยวิตามิน และแร่ธาตุที่มีประโยชน์ อีกทั้งยังมีโปรตีนและแคลเซียม ที่มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโต นอกจากนี้ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ และเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
  • ผลไม้บด เช่น กล้วยบด มะละกอบด อะโวคาโดบด แอปเปิ้ลบด ให้สารอาหารจำพวกวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต และระบบภูมิคุ้มกัน
  • เนื้อสัตว์บด เช่น เนื้อหมุบด เนื้อไก่บด ตับบด ปลาน้ำจืดบด เช่น ปลาทู ปลาช่อน ช่วยให้ทารกได้รับโปรตีน เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และพลังงานให้แก่ทารก

การให้อาหารเสริมแก่ทารก ควรสังเกตว่าทารกพร้อมรับอาหารเสริมหรือยัง เช่น ทารกรู้สึกสนใจอาหารของผู้ใหญ่ ทารกแต่ละคนมีความพร้อมไม่เหมือนกัน ทารกบางคนอาจเริ่มตอน 4 เดือน ปริมาณการบริโภคไม่ควรเกิน 1 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ วันละ 1 – 2 ครั้ง ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่อาจปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มให้อาหารเสริมลูก

ทารกเติบโต และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในแต่ละเดือน หวังว่าบทความ พัฒนาการทารก 5 เดือน ที่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK รวบรวมข้อมูลมาฝากนี้ จะเป็นประโยชน์กับคุณพ่อคุณแม่ ทำให้เข้าใจพัฒนาการของลูกน้อยในวัยนี้ได้ดียิ่งขึ้นนะคะ

ตารางวัคซีน สำหรับเด็กแรกเกิด–อายุ 15 ปี ประจำปี 2565

หยุดก่อนแม่!ทำตามเขาแต่หนูเสี่ยง ป้อนกล้วยลูก ถึงตาย

เอกสารแจ้งเกิด แจ้งช้า คลอดที่บ้าน ลูกครึ่งต้องใช้อะไร

apgar score คือ อะไร? การประเมินสุขภาพทารกที่แม่ควรรู้

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.pobpad.com, https://hellokhunmor.com

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
Amarin Baby & Kids

แบลคมอร์ส

คนแต่ละวัยต้องการสารอาหารแตกต่างกันอย่างไร ?

Alternative Textaccount_circle
event
แบลคมอร์ส
แบลคมอร์ส

ในชีวิตที่เร่งรีบ วุ่นวายกับหลายสิ่งในแต่ละวัน ทำให้เราไม่มีเวลาดูแลตัวเอง และคนที่เรารักได้ดีพอ ขอแนะนำ อาหารเสริมแบลคมอร์ส ซึ่งมีสูตรเฉพาะสำหรับแต่ละวัย และยังเน้นดูแลเสริมระบบภูมิคุ้มกันครอบคลุม ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ

อาหารเสริมแบลคมอร์ส (BLACKMORES) สำหรับแต่ละวัย ทั้ง 8 สูตร

  • แบลคมอร์ส โคอาล่า มัลติวิตามิน + มิเนอรัล

สำหรับเด็ก 3-11 ปีเป็นเม็ดเคี้ยว หอมกลิ่นสตรอว์เบอร์รีและวานิลลา ทานง่าย แถมไม่มีน้ำตาล ใช้สารสกัดจากใบหญ้าหวาน และไซลิทอล ให้ความหวานแทนน้ำตาล ช่วยด้านพัฒนาการ การเจริญเติบโตของร่างกาย บำรุงกระดูก ระบบประสาทและสมอง

  • แบลคมอร์ส มัลติวิตามิน 12+

สำหรับเด็ก 12 ปีขึ้นไป จนถึงนักศึกษา ช่วงวัยรุ่น มีการเติบโตสูงสุด ทั้งส่วนสูง สมอง ควรเสริมไอโอดีน DHA และแคลเซียม ช่วยเรื่องการเจริญเติบโต และบำรุงสมอง

  • แบลคมอร์ส มัลติวิตามิน แอคทีฟ

สำหรับวัยทำงาน มีกรดอะมิโน วิตามินและแร่ธาตุรวมอีก 20 ชนิด และสารสกัดจากอาร์ติโชค ลูทีน ทอรีน และโคเอนไซม์คิวเทน  ช่วยให้พลังงาน ดูแลสายตา และเพิ่มความแอคทีฟ

  • แบลคมอร์ส มัลติวิตามิน นิวทริ 50+

สำหรับวัยผู้ใหญ่ 50 ปีขึ้นไป ขวดนี้จะเน้นวิตามินรวมที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน พิเศษด้วยสมุนไพรสกัดจากเห็ดหลินจือ ใบแป๊ะก๊วย โสม ปักคี้ รวมทั้งลูทีน และซีแซนธิน ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ป้องกันโรคเรื้อรัง

ในชีวิตที่เร่งรีบ วุ่นวายกับหลายสิ่งในแต่ละวัน ทำให้เราไม่มีเวลาดูแลตัวเอง และคนที่เรารักได้ดีพอ ทีมกองบรรณาธิการขอแนะนำอาหารเสริมแบลคมอร์ส ซึ่งมีสูตรเฉพาะสำหรับแต่ละวัย และยังเน้นดูแลเสริมระบบภูมิคุ้มกันครอบคลุม ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ

  • แบลคมอร์ส โคอาล่า มัลติวิตามิน + มิเนอรัล

สำหรับเด็ก 3-11 ปีเป็นเม็ดเคี้ยว หอมกลิ่นสตรอว์เบอร์รีและวานิลลา ทานง่าย แถมไม่มีน้ำตาล ใช้สารสกัดจากใบหญ้าหวาน และไซลิทอล ให้ความหวานแทนน้ำตาล ช่วยด้านพัฒนาการ การเจริญเติบโตของร่างกาย บำรุงกระดูก ระบบประสาทและสมอง

  • แบลคมอร์ส มัลติวิตามิน 12+

สำหรับเด็ก 12 ปีขึ้นไป จนถึงนักศึกษา ช่วงวัยรุ่น มีการเติบโตสูงสุด ทั้งส่วนสูง สมอง ควรเสริมไอโอดีน DHA และแคลเซียม ช่วยเรื่องการเจริญเติบโต และบำรุงสมอง

  • แบลคมอร์ส มัลติวิตามิน แอคทีฟ

สำหรับวัยทำงาน มีกรดอะมิโน วิตามินและแร่ธาตุรวมอีก 20 ชนิด และสารสกัดจากอาร์ติโชค ลูทีน ทอรีน และโคเอนไซม์คิวเทน  ช่วยให้พลังงาน ดูแลสายตา และเพิ่มความแอคทีฟ

  • แบลคมอร์ส มัลติวิตามิน นิวทริ 50+

สำหรับวัยผู้ใหญ่ 50 ปีขึ้นไป ขวดนี้จะเน้นวิตามินรวมที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน พิเศษด้วยสมุนไพรสกัดจากเห็ดหลินจือ ใบแป๊ะก๊วย โสม ปักคี้ รวมทั้งลูทีน และซีแซนธิน ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ป้องกันโรคเรื้อรัง

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.blackmores.co.th

โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก

โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก มีอะไรบ้าง?

Alternative Textaccount_circle
event
โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก
โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก

โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก มีอะไรบ้าง?

ต่อมไร้ท่อ นั้นกระจายอยู่ไปทั่วร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราไทรอยด์/ต่อมเคียง ไทรอยด์ ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของแคลเซียม, ฮอร์โมนเจริญเติบโต เป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจากต่อมใต้สมอง หากต่อมใต้สมองไม่ผลิตฮอร์โมนเจริญเติบโตก็จะทำให้อัตราการเจริญเติบโตของเด็กต่ำกว่าที่ควรจะเป็น, ฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากต่อมไทรอยด์มีหน้าที่ในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ทำให้มีการเจริญเติบโตของกระดูกกล้ามเนื้อและเซลอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย หากต่อมไร้ท่อทำงานผิดปกติไป ก็จะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของลูกได้ค่ะ ซึ่ง โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก มีหลายโรคดังนี้ค่ะ

โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก มีอะไรบ้าง?

มีหลายอาการ เช่น เด็กกินจุ แต่น้ำหนักลด ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของ ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis) ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน เป็นหนุ่มสาวก่อนวัย (Precorcious puberty) เบาหวานชนิดที่ 1 เบาหวานชนิดที่ 2 ภาวะตัวเตี้ย เป็นต้นค่ะ

 

ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ อาการหนึ่งของ โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก

เด็กกินจุ แต่น้ำหนักลด อาการหนึ่งของภาวะไทยรอยด์เป็นพิษค่ะ

อาการ

คอโต เหนื่อยง่าย ใจสั่น กินจุแต่น้ำหนักลด บางรายท้องเสีย ถ่ายบ่อย หงุดหงิดง่าย ขี้ร้อน ใจสั่น เหงื่อออกง่าย ตาโปน ประจำเดือนมาผิดปกติ พบบ่อยช่วงวัยรุ่น เด็กผู้หญิงเจอมากกว่าเด็กผู้ชาย

สาเหตุ

ที่พบได้บ่อย คือโรค Graves disease

การรักษา

ลำดับแรกคือการรักษาด้วยยากิน บางรายใช้ยากินแล้วไม่ตอบสนองหรือมีอาการแพ้ยา อาจต้องเลือกการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การกลืนแร่ หรือการผ่าตัด

ภาวะนี้หากไม่ได้รับการรักษา หรือรับการรักษาช้า อาจทำให้มีอาการรุนแรง ถึงขั้นหัวใจวาย หัวใจเต้นผิดปกติ ต้องเข้ารับการรักษาใน ICU ได้

 

ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)

เป็นภาวะที่พบได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิด ทำให้เด็กเป็นโรคเอ๋อ หรือเป็นภาวะที่เกิดขึ้นในภายหลังก็ได้ คือพบได้ทุกวัย

  • ในเด็กแรกเกิด อาจพบมีอาการตัวเหลือง บวม ดูดนมได้ไม่ดี ท้องผูก ถ่ายขี้เทาช้ากว่าปกติ กระหม่อมปิดช้า สะดือหลุดช้า พัฒนาการล่าช้าทั้งสติปัญญาความสูง และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • ในเด็กโต จะพบอาการ ส่วนสูงตกเกณฑ์ ท้องผูก คอโต สติปัญญาไม่ดี เรียนหนังสือไม่ทันเพื่อน
    การรักษา รักษาได้ด้วยการกินยาไทรอยด์ฮอร์โมน ก็จะช่วยอาการดีขึ้น ส่วนสูงดีขึ้น
โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก
โรคต่อมไร้ท่อในเด็ก มีอะไรบ้าง?

เป็นหนุ่มสาวก่อนวัย (Precorcious puberty)

คือ สภาวะที่เด็กเข้าวัยหนุ่มสาวเร็วกว่าปกติ พบได้ทั้งในเด็กหญิงและชาย โดยจะพบในเด็กหญิงมากกว่าเด็กชายประมาณ 8-20 เท่า คุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องหมั่นสังเกตถึงความผิดปกติที่แอบแฝงอยู่ เพื่อให้ลูกมีการเจริญเติบโตตามวัยอย่างเหมาะสม

เด็กผู้หญิง

ที่เป็นสาวเร็ว จะพบมีอาการดังต่อไปนี้ก่อนอายุ 8 ปี มีเต้านมขึ้น มีสิว มีกลิ่นตัว มีขนรักแร้ มีขนบริเวณหัวหน่าวหรืออวัยวะเพศ ตัวสูงเร็วกว่าเพื่อนในวัยเดียวกัน หรือบางคนมีประจำเดือนก่อนอายุ 91/2 ปี

สาเหตุ

ที่พบบ่อยในเด็กผู้หญิงคือไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด หรือบางรายได้รับฮอร์โมนปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อมหรืออาหาร บางรายเกิดจากภาวะเนื้องอกบางชนิด

เด็กผู้ชาย

ที่เป็นหนุ่มเร็ว จะพบมีอาการดังต่อไปนี้ก่อนอายุ 9 ปี มีอวัยวะเพศขยายขนาด มีสิว มีขนรักแร้ มีขนบริเวณหัวหน่าวหรืออวัยวะเพศ เสียงแตก

สาเหตุ

ที่พบบ่อยในเด็กผู้ชาย คือ เนื้องอกในต่อมใต้สมอง

ผลกระทบหรือผลเสียของการหนุ่มสาวก่อนวัย

  • ผลต่อร่างกาย จะทำให้หยุดสูงเร็ว หรือตัวเตี้ยเมื่อเป็นผู้ใหญ่
  • ผลต่อจิตใจ โดยเฉพาะในเด็กผู้หญิงที่ยังไม่มีความพร้อม ในการดูแลตนเองเมื่อมีประจำเดือน

การรักษา

สามารถรักษาได้โดยการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ แบบเดือนละ 1 ครั้ง หรือ สามเดือนฉีด 1 ครั้ง เพื่อชะลอไม่ให้กระดูกล้ำหน้าไปกว่าอายุกระดูกจริง และไม่ให้หยุดสูงเร็ว หรือป้องกันไม่ให้กระดูกปิดเร็ว หยุดการมีประจำเดือนได้

 

เบาหวานชนิดที่ 1

เป็นโรคเบาหวานที่พบได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น และพบได้มากกว่าเบาหวานชนิดที่ 2

เบาหวานชนิดที่ 1 เกิดจากร่างกายมีสารภูมิคุ้มกันของตนเองไปทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน เด็กที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จะพบมีอาการ ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย น้ำหนักตัวลด ถ้ามารักษาช้า ปล่อยจนอาการหนัก เด็กจะเริ่มอ่อนเพลีย ซึมลง หายใจหอบลึก ปวดท้อง หากไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะช็อค และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้

การรักษา

เบาหวานชนิดนี้ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เด็กและครอบครัวจะต้องได้รับความรู้เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติในการเลือกกินอาหารที่ถูกต้อง การนับสัดส่วนอาหาร การฉีดอินซูลิน การตรวจน้ำตาลในเลือดด้วยตัวเอง และ การสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ ที่จะนำไปสู่ ภาวะระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป

เบาหวานชนิดที่ 2

เด็กที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ส่วนใหญ่ จะมีลักษณะอ้วน คอดำ ปัสสาวะบ่อย หิวน้ำบ่อย พบได้บ่อยในช่วงที่เข้าสู่วัยรุ่น บางรายอาจมีประวัติเสี่ยงตั้งแต่แรกเกิด คือ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยกว่า 2500 กรัม หรือมากกว่า 4000 กรัม มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน

เบาหวานชนิดนี้เกิดจาก ร่างกายมีภาวะดื้อต่ออินซูลิน รักษาได้ด้วยการกินยาร่วมกับควบคุมอาหารและออกกำลังกาย บางรายมารักษาช้า หรือมีอาการเป็นมาก อาจต้องรักษาด้วยวิธีการฉีดยาควบคู่ไปด้วย

 

ตัวเตี้ย

ภาวะตัวเตี้ยในเด็กหมายถึง เด็กที่มีส่วนสูงน้อยกว่า เปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 3 ตามเกณฑ์ของเพศและอายุ

โดยทั่วไปการเจริญเติบโตปกติของเด็กจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ

  • ช่วงแรกเกิด (อายุ 0-2 ขวบ) การเจริญเติบโตจะอยู่ระหว่าง 30-35 ซม.
  • ช่วงวัยเด็ก อัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5-7 ซม./ปี
  • ช่วงวัยรุ่น/วัยเจริญพันธุ์ อัตราการเจริญเติบโตอยู่ที่ 8-14ซม./ปี

พ่อแม่มีหน้าที่ช่วยสังเกตถึงความผิดปกติทางร่างกาย ควรติดตามชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงของลูกทุกๆ 3-6 เดือน และควรจดบันทึกการเจริญเติบโตของลูกลงในสมุดบันทึกสุขภาพ เพื่อติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของลูกว่าเพิ่มขึ้นตามวัยหรือไม่เพราะโรคเตี้ยอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะซ่อนเร้นบางอย่างที่ต้องการการรักษาอย่างทันท่วงที

สาเหตุ

  • ตัวเตี้ยที่ไม่มีโรคเป็นสาเหตุ ได้แก่ ตัวเตี้ยตามกรรมพันธ์ หรือ เป็นม้าตีนปลาย
  • ตัวเตี้ยที่มีโรคเป็นสาเหตุ ได้แก่ ขาดสารอาหาร เป็นโรคเรื้อรังต่างๆ ขาดฮอร์โมนไทรอยด์ หรือขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโต โรคกระดูกอ่อน โรคทางพันธุกรรม และอื่นๆ

หากสังเกตว่าเด็กมีภาวะตัวเตี้ย ควรพามาพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุ โดยการตรวจเลือด เอกซเรย์ดูอายุกระดูก และรีบให้การรักษาตามสาเหตุ

 

โรคจากต่อมไร้ท่อนี้มีมากมายหลายอาการนะคะ หากลูกมีอาการผิดปกติคุณพ่อคุณแม่ควรพาพบแพทย์เพื่อรักษาตามอาการเพื่อให้มีสุขภาพดี มีความปกติทางการเจริญเติบโตค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์ ,โรงพยาบาลศิครินทร์,โรงพยาบาลธนบุรี 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

โรค เป็นหนุ่มเป็นสาวก่อนวัย ปล่อยไว้อาจตัวเตี้ย!

14 เรื่อง คุณแม่ต้องรู้ ก่อนฉีด วัคซีนเด็กไฟเซอร์

ลูกแคร์เพื่อนมากกว่าแม่ เป็นเพราะอะไร ควรรับมือแบบไหนดี?

ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน

WHOเตือน ! พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน 

Alternative Textaccount_circle
event
ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน
ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน

WHOเตือน! พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน

โรคเกี่ยวกับตับนับเป็นโรคที่มีอาการรุนแรง โดยส่วนใหญ่คนทั่วไปอาจเข้าใจว่า ผู้ที่จะเป็นโรคตับมีแต่เพียงผู้ใหญ่ที่ดื่มเหล้า หรือติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี หรือซี แล้วเกิดตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็งหรือมะเร็งตับ เท่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว เด็กเล็กๆ ก็ป่วยเป็นโรคตับได้เหมือนกันนะคะ ซึ่งล่าสุด พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน โดยไม่ทราบสาเหตุในหลายประเทศทั่วโลกเลยค่ะคุณพ่อคุณแม่

พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน

องค์การอนามัยโลก รายงานว่า พบผู้ป่วยซึ่งเป็นเด็กเล็กที่มีอาการของโรคตับอักเสบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 169 คน ใน 12 ประเทศ และมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 1 ราย จึงมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและทำงานร่วมกับหน่วยงานด้านสาธารณสุขประเทศต่างๆ เพื่อให้ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและการป้องกัน

อาการที่ที่พบในเด็ก

โดยข้อมูลในเบื้องต้น พบว่า ผู้ป่วยหลายคนจะมีอาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น ปวดท้อง ท้องร่วง และอาเจียน ก่อนที่จะมีอาการตับอักเสบเฉียบพลันรุนแรง รวมทั้งระดับเอนไซม์ตับ หรืออะลานีน อะมิโนทรานสซามิเนส และดีซ่านเพิ่มขึ้น และส่วนใหญ่ไม่มีไข้

ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน
WHOเตือน! พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน

พบเด็ก ป่วยโรคตับอักเสบเฉียบพลัน แล้วใน 12 ประเทศทั่วโลก

สำหรับประเทศที่มีการรายงานว่า พบผู้ป่วยซึ่งเป็นเด็กเล็ก ได้แก่ สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, สเปน, อิสราเอล, เดนมาร์ก, ไอร์แลนด์, เนเธอร์แลนด์, อิตาลี, นอร์เวย์, ฝรั่งเศส, โรมาเนีย และเบลเยียม เฉพาะในสหราชอาณาจักร พบมากถึง 114 คน โดยเป็นเด็กอายุตั้งแต่ 1 เดือนถึง 16 ปี และ 17 คนที่ต้องปลูกถ่ายตับ

ทั้งนี้ จากจำนวน 169 คน มีการตรวจพบอะดีโนไวรัส (ไวรัสไข้หวัดธรรมดา) 74 คน ตรวจพบเชื้อโควิดจำนวน 20 คนและตรวจพบทั้งเชื้ออะดีโนไวรัส และโควิด 19 คน

สหรัฐฯ แนะนำให้ตรวจหาสาเหตุโดยด่วน

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา หรือซีดีซี ได้ออกคำแนะนำด้านสุขภาพ แก่ผู้ให้บริการด้านสุขภาพและหน่วยงานด้านสาธารณสุข ในการสอบสวนโรคตับอักเสบเฉียบพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยให้พิจารณาการทดสอบอะดีโนไวรัสในเด็กที่เป็นโรคตับอักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุ และการตรวจเลือดโดยรวม ไม่ใช่แค่ในพลาสมาเท่านั้น

ตับสำคัญอย่างไร

ตับเป็นอวัยวะอยู่ในช่องท้องด้านบนขวา มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น

  • รับเลือดจากลำไส้ซึ่งมีสารอาหารจำนวนมากและส่งผ่านสารอาหารเหล่านี้ไปยังร่างกายส่วนอื่นๆ
  • ทำลายสารพิษในเลือดที่มาจากลำไส้
  • ผลิตน้ำดีแล้วส่งน้ำดีผ่านมาตามท่อน้ำดีมาเก็บที่ถุงน้ำดี เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไขมันถุงน้ำดีจะหดรัดตัว  ทำให้น้ำดีไหลผ่านท่อน้ำดีลงมายังลำไส้เล็กเพื่อช่วยในการย่อยและดูดซึมไขมัน
  • ผลิตสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว

ตับอักเสบ คืออะไร

ตับอักเสบ (Hepatitis) เป็นภาวะที่มีการอักเสบ เกิดการทำลายของเซลล์ตับ ทำให้การทำหน้าที่ต่าง ๆ ของตับผิดปกติ ร่างกายมีการเจ็บป่วย ไม่สบาย พบผู้ป่วยด้วยโรคนี้ได้ในทุกวัย ทั้งชายและหญิง ส่วนใหญ่เป็นโรคตับอักเสบเฉียบพลัน ส่วนน้อยอาจ เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง อาจมีภาวะแทรกซ้อนของโรคตับแข็ง โรคตับวาย มะเร็งตับ

อาการโรคตับในเด็ก

จริงๆ แล้วเด็กเล็กๆ ก็ป่วยเป็นโรคตับได้เหมือนกัน โดยอาจมีอาการดีซ่านคือตาหรือผิวหนังเป็นสีเหลือง ถ้าเป็นโรคตับเรื้อรัง เด็กอาจมีอาการดังต่อไปนี้ เช่น
  • ท้องโต เกิดจากภาวะท้องมานคือ มีน้ำในช่องท้อง หรือเกิดจากตับและม้ามมีขนาดใหญ่ขึ้น
  • ขาหรือหน้าบวม เกิดจากการที่ตับไม่สามารถสร้างโปรตีนได้
  • ผอม แขนขาลีบ เกิดจากการที่รับประทานอาหารได้น้อยลงร่วมกับร่างกายเผาผลาญสารอาหารมากกว่าปกติ
  • อาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำๆ เกิดจากเส้นเลือดในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหารที่โป่งพองขึ้นแล้วแตกทำให้มีเลือดออก
  • เลือดออกเองหรือออกแล้วหยุดยาก เกิดจากตับไม่สามารถผลิตสารที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว
  • โรคตับอาจเป็นชนิดเฉียบพลันหรือเรื้อรัง สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตับเฉียบพลัน ได้แก่ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เช่น ไวรัสตับอักเสบ เอ หรือ อี ซึ่งจริงๆ แล้วในเด็กส่วนใหญ่มักไม่แสดงอาการ
  • การติดเชื้อไวรัสอื่นๆ เช่น ไวรัสเดงกี่ที่ทำให้เกิดไข้เลือดออก ไวรัสอีบีวี
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อไข้ทัยฟอยด์

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตับเรื้อรัง

  • ความผิดปกติของท่อน้ำดี เช่น โรคท่อน้ำดีตีบตัน โรคท่อน้ำดีโป่งพอง โรคท่อน้ำดีในตับมีจำนวนลดลง เด็กจะมีอาการดีซ่านตั้งแต่เกิดหรือภายในอายุประมาณ 2-3 สัปดาห์เท่านั้น
  • การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เช่น ไวรัสตับอักเสบ บี หรือ ซี ในประเทศไทยเด็กที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี มักเกิดจากติดเชื้อจากมารดาระหว่างคลอด เด็กจะไม่แสดงอาการผิดปกติจนกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่
    อย่างไรก็ตาม เด็กบางคนอาจเกิดตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็งหรือมะเร็งตับได้เหมือนผู้ใหญ่ ส่วนเด็กที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี มักเกิดจากได้รับเลือดจากคนที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ซึ่งในปัจจุบันจะพบน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากการตรวจกรองเลือดหาเชื้อไวรัสก่อนจะนำไปให้ผู้ป่วย
  • ภาวะที่มีสารทองแดงสะสมในตับมากกว่าปกติ
  • โรคไขมันในตับ มักพบในเด็กอ้วน

การรักษา

เด็กที่เป็นโรคตับเฉียบพลันส่วนใหญ่จะหายได้เอง ถ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแพทย์จะให้การรักษาประคับประคองตามอาการเท่านั้น ถ้ามีสาเหตุจากยาแพทย์จะแนะนำให้หยุดทานยานั้น ๆ ถ้าเกิดจากทานยาพาราเซตามอลเกินขนาด แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้สังเกตอาการในโรงพยาบาลและให้ยาแก้พิษ

ขอบคุณข้อมูลจาก 

จส.100,โรงพยาบาลเวชธานี,สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เมื่อลูกเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาวในเด็ก ควรดูแลอย่างไร

หมอเตือน! เด็กติดโรคโควิด ทำลายสมอง เสี่ยงเสียชีวิต

น้ำผึ้ง ป้อนทารก ระวังอันตราย!จากภาวะโบทูลิซึม

เทียบ โรคซึมเศร้า-ไบโพลาร์ ผู้ใกล้ชิดต้องทำตัวอย่างไร

Alternative Textaccount_circle
event

เทียบ โรคซึมเศร้า-ไบโพลาร์ ผู้ใกล้ชิดต้องทำตัวอย่างไร

ปัจจุบันผู้ป่วย โรคซึมเศร้า-ไบโพลาร์ มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประชาชนทั่วไป หรือแม้กระทั่งดาราศิลปินที่มีหน้าที่การงานที่ดี หากผู้ป่วยไม่สามารถจัดการความรู้สึกหรือแก้ปัญหาได้ จนทำให้เกิดการสะสมความเครียดอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตายได้ อาการของทั้ง 2 โรคเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ผู้ใกล้ชิดควรทำตัวอย่างไร เรามีคำตอบมาให้ค่ะ

โรคซึมเศร้าเกิดจากอะไร

“โรคซึมเศร้า” คือโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ในส่วนที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม รวมถึงสุขภาพทางกาย

คนส่วนใหญ่จะคิดว่าโรคซึมเศร้าเป็นเพียงอาการหรือสภาพจิตใจที่เปลี่ยนไป คิดว่าโรคซึมเศร้าเกิดจากความผิดหวัง หรือการได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ซึ่งหากผู้ป่วยไม่สามารถจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ได้ จะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล จนพัฒนาไปสู่ภาวะซึมเศร้าและคิดทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายได้

สถิติคนไทยที่ฆ่าตัวตาย

อธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยสถิติคนไทยที่ฆ่าตัวตาย ตัวเลขย้อนหลังล่าสุดเมื่อปี 2563 เฉลี่ย 7 รายต่อประชากร 100,000 ราย และปี 2564 ที่ผ่านมาได้มีการประมาณการสูงขึ้นใกล้ ๆ กับ 8 รายต่อประชากร 100,000 ราย

โรคซึมเศร้ามีอาการอย่างไร

สำหรับอาการของโรคซึมเศร้า ได้แก่ เศร้า หดหู่ ซึม เบื่อหน่าย หงุดหงิด ฉุนเฉียว อ่อนไหวง่าย ขัดแย้งกับคนอื่นง่าย รู้สึกสิ้นหวัง ดูถูกตนเอง อาจมีอาการวิตกกังวล เครียด นั่งไม่ติด สมาธิลดลง

ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกว่าไม่อยากทำอะไร ไม่อยากกินอาหาร นอนไม่หลับ เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หมดแรง ขาดความมั่นใจในตัวเอง การตัดสินใจแย่ลง รู้สึกหมดหวัง และมีความคิดอยากตาย หรืออยากฆ่าตัวตาย

การเปลี่ยนแปลงในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า

การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าดังที่จะกล่าวต่อไปนี้ อาจเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเป็นเดือนๆ หรือเป็นเร็วภายใน 1-2 สัปดาห์เลยก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย เช่น มีเหตุการณ์มากระทบรุนแรงมากน้อยเพียงได บุคลิกเดิมของเจ้าตัวเป็นอย่างไร มีการช่วยเหลือจากคนรอบข้างมากน้อยเพียงได เป็นต้น
1. อารมณ์เปลี่ยนแปลงไป ที่พบบ่อยคือจะกลายเป็นคนเศร้าสร้อย หดหู่ สะเทือนใจง่าย ร้องไห้บ่อย เรื่องเล็กๆน้อยๆ ก็ดูเหมือนจะอ่อนไหวไปหมด บางคนอาจไม่มีอารมณ์เศร้าชัดเจนแต่จะบอกว่าจิตใจหม่นหมอง ไม่แจ่มใส ไม่สดชื่นเหมือนเดิม บางคนอาจมีความรู้สึกเบื่อหน่ายไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เดิมตนเคยทำแล้วเพลินใจหรือสบายใจ เช่น ฟังเพลง พบปะเพื่อนฝูง เข้าวัด ก็ไม่อยากทำหรือทำแล้วก็ไม่ทำให้สบายใจขึ้น บ้างก็รู้สึกเบื่อไปหมดตั้งแต่ตื่นเช้ามา บางคนอาจมีอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย อะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปหมด กลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ไม่ใจเย็นเหมือนก่อน
2. ความคิดเปลี่ยนไป มองอะไรก็รู้สึกว่าแย่ไปหมด มองชีวิตที่ผ่านมาในอดีตก็เห็นแต่ความผิดพลาดความล้มเหลวของตนเอง ชีวิตตอนนี้ก็รู้สึกว่าอะไรๆ ก็ดูแย่ไปหมด ไม่มีใครช่วยอะไรได้ ไม่เห็นทางออก มองอนาคตไม่เห็น รู้สึกท้อแท้หมดหวังกับชีวิต บางคนกลายเป็นคนไม่มั่นใจตนเองไป จะตัดสินใจอะไรก็ลังเลไปหมด รู้สึกว่าตนเองไร้ความสามารถ ไร้คุณค่า เป็นภาระแก่คนอื่น ทั้งๆ ที่ญาติหรือเพื่อนๆ ก็ยืนยันว่ายินดีช่วยเหลือ เขาไม่เป็นภาระอะไรแต่ก็ยังคงคิดเช่นนั้นอยู่ ความรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า ความคับข้องใจ ทรมานจิตใจ เหล่านี้อาจทำให้เจ้าตัวคิดถึงเรื่องการตายอยู่บ่อยๆ แรกๆ ก็อาจคิดเพียงแค่อยากไปให้พ้นๆ จากสภาพตอนนี้ ต่อมาเริ่มคิดอยากตายแต่ก็ไม่ได้คิดถึงแผนการณ์อะไรที่แน่นอน เมื่ออารมณ์เศร้าหรือความรู้สึกหมดหวังมีมากขึ้น ก็จะเริ่มคิดเป็นเรื่องเป็นราวว่าจะทำอย่างไร ในช่วงนี้หากมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนจิตใจก็อาจเกิดการทำร้ายตนเองขึ้นได้จากอารมณ์ชั่ววูบ
3. สมาธิความจำแย่ลง จะหลงลืมง่าย โดยเฉพาะกับเรื่องใหม่ๆ วางของไว้ที่ไหนก็นึกไม่ออก ญาติเพิ่งพูดด้วยเมื่อเช้าก็นึกไม่ออกว่าเขาสั่งว่าอะไร จิตใจเหม่อลอยบ่อย ทำอะไรไม่ได้นานเนื่องจากสมาธิไม่มี ดูโทรทัศน์นานๆ จะไม่รู้เรื่อง อ่านหนังสือก็ได้ไม่ถึงหน้า ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง ทำงานผิดๆ ถูกๆ
4. มีอาการทางร่างกายต่างๆ ร่วม ที่พบบ่อยคือจะรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ซึ่งเมื่อพบร่วมกับอารมณ์รู้สึกเบื่อหน่ายไม่อยากทำอะไร ก็จะทำให้คนอื่นดูว่าเป็นคนขี้เกียจ ปัญหาด้านการนอนก็พบบ่อยเช่นกัน มักจะหลับยาก นอนไม่เต็มอิ่ม หลับๆตื่นๆ บางคนตื่นแต่เช้ามืดแล้วนอนต่อไม่ได้ ส่วนใหญ่จะรู้สึกเบื่ออาหาร ไม่เจริญอาหารเหมือนเดิม น้ำหนักลดลงมาก บางคนลดลงหลายกิโลกรัมภายใน 1 เดือน นอกจากนี้ยังอาจมีอาการท้องผูก อืดแน่นท้อง ปากคอแห้ง บางคนอาจมีอาการปวดหัว ปวดเมื่อยตามตัว
5. ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเปลี่ยนไป ดังกล่าวบ้างแล้วข้างต้น ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะดูซึมลง ไม่ร่าเริง แจ่มใส เหมือนก่อน จะเก็บตัวมากขึ้น ไม่ค่อยพูดจากับใคร บางคนอาจกลายเป็นคนใจน้อย อ่อนไหวง่าย ซึ่งคนรอบข้างก็มักจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป บางคนอาจหงุดหงิดบ่อยกว่าเดิม แม่บ้านอาจทนที่ลูกๆ ซนไม่ได้ หรือมีปากเสียงระหว่างคู่ครองบ่อยๆ
6. การงานแย่ลง ความรับผิดชอบต่อการงานก็ลดลง ถ้าเป็นแม่บ้านงานบ้านก็ไม่ได้ทำ หรือทำลวกๆ เพียงให้ผ่านๆ ไป คนที่ทำงานสำนักงานก็จะทำงานที่ละเอียดไม่ได้เพราะสมาธิไม่มี ในช่วงแรกๆ ผู้ที่เป็นอาจจะพอฝืนใจตัวเองให้ทำได้ แต่พอเป็นมากๆ ขึ้นก็จะหมดพลังที่จะต่อสู้ เริ่มลางานขาดงานบ่อยๆ ซึ่งหากไม่มีผู้เข้าใจหรือให้การช่วยเหลือก็มักจะถูกให้ออกจากงาน
7. อาการโรคจิต จะพบในรายที่เป็นรุนแรงซึ่งนอกจากผู้ที่เป็นจะมีอาการซึมเศร้ามากแล้ว จะยังพบว่ามีอาการของโรคจิตได้แก่ อาการหลงผิดหรือประสาทหลอนร่วมด้วย ที่พบบ่อยคือ จะเชื่อว่ามีคนคอยกลั่นแกล้ง หรือประสงค์ร้ายต่อตนเอง อาจมีหูแว่วเสียงคนมาพูดคุยด้วย อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้มักจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อได้รับการรักษา อารมณ์เศร้าดีขึ้น อาการโรคจิตก็มักทุเลาตาม
โรคซึมเศร้า-ไบโพลาร์
โรคซึมเศร้า-ไบโพลาร์ ผู้ใกล้ชิดต้องทำตัวอย่างไร

ทำอย่างไรเมื่อต้องอยู่กับผู้ป่วย โรคซึมเศร้า-ไบโพลาร์

แม้โรคซึมเศร้าจะสามารถป้องกันได้ แต่หากเกิดขึ้นแล้วผู้ที่อยู่ใกล้ชิดควรจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรนั้น ผศ.นพ.คมสันต์ เกียรติรุ่งฤทธิ์ ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลไว้ดังนี้

  • เข้าใจว่าสิ่งที่เกิดไม่ได้แกล้งทำ และผู้ป่วยไม่ต้องการจะเป็น แต่ไม่สามารถห้ามหรือหยุดตัวเองได้
  • คอยให้กำลังใจ รับฟัง แสดงออกถึงความรักความเป็นห่วง ทั้งการพูดบอก โอบกอด ลูบหัว จับมือ
  • แสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะช่วยเหลือเสมอ ช่วยค้นหาปัญหา-ความเครียดของผู้ป่วย
  • ชวนทำกิจกรรมผ่อนคลายต่าง ๆ ส่งเสริมให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามปกติ และมีงานอดิเรกหลากหลาย
  • พยายามให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พอเพียง และนอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง
  • หากทำทุกอย่างไม่ดีขึ้น หรือมีผลกระทบเกิดขึ้น ให้พาไปปรึกษาจิตแพทย์

โรคไบโพลาร์เกิดจากอะไร

มาดูอีกหนึ่งโรคอย่าง “ไบโพลาร์” ที่เกิดขึ้นได้จากสาเหตุใกล้เคียงกับโรคซึมเศร้า โดยกรมสุขภาพจิต ระบุว่า โรคไบโพลาร์เป็นความผิดปกติทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่มีการขึ้นและลงของอารมณ์อย่างรุนแรง

สาเหตุสำคัญเกิดจากสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ หรืออาจเกิดในผู้ที่มีความเครียดสะสม หรืออดนอนบ่อย ๆ ร่วมด้วย มีการแสดงออกทางอาการแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มอาการแมเนีย (Mania) คือ อารมณ์ดี คึกคัก สนุกสนาน และกลุ่มอาการซึมเศร้า (Depress) จึงเรียกโรคนี้ว่า โรคอารมณ์สองขั้ว (ขั้วบวก = แมเนีย และ ขั้วลบ = ซึมเศร้า)

โรคไบโพลาร์มีอาการอย่างไร

กลุ่มอาการแมเนีย เป็นช่วงเวลาที่อารมณดี ครึกครื้น แสดงออกอย่างเต็มที่ พูดมาก พูดเร็ว พูดไม่ยอมหยุด ความคิด พรั่งพรู มีโครงการมากมายเป็นร้อยเป็นพันล้าน รู้สึกว่าตนเองเก่ง มีความสามารถมาก มีความสำคัญมาก ความมั่นใจในตนเองสูง เรี่ยวแรงเพิ่ม นอนน้อยกว่าปกติ บางรายนอนเพียงวันละ 1 – 2 ชั่วโมงเท่านั้น โดยไม่มีอาการอ่อนเพลีย สมาธิไม่ดี วอกแวก สนใจไปทุกสิ่งทุกอย่าง หุนหันพลันแล่น การตัดสินใจไม่เหมาะสม เช่น ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือย ซื้อของแพง มากมายเกินจำเป็น ซื้อทีละเยอะๆ แจกคน เล่นการพนัน ก่อหนี้สินมากมาย ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย ผิดกฎหมาย ชอบเที่ยวกลางคืน ความต้องการทางเพศสูง มีพฤติกรรมทางเพศไม่เหมาะสม บางคนหงุดหงิดก้าวร้าวได้ง่ายเมื่อถูกขัดใจ คนที่มีอาการแมเนียจะไม่รู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ คิดว่าช่วงนี้ตนเองอารมณ์ดี สบายใจ รู้สึกขยัน อยากทำงาน มักปฏิเสธการรักษา ซึ่งอาการเกิดขึ้นตลอดเวลาเกือบทั้งวัน ติดต่อกันเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์

กลุ่มอาการซึมเศร้า ในโรคไบโพลาร์เกิดขึ้นบ่อยกว่ากลุ่มอาการแมเนียเกือบ 3 เท่า โดยมีลักษณะเดียวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้า คือ อาการเบื่อหน่าย ท้อแท้ มองทุกอย่างในแง่ลบ ความสนใจหรือเพลิดเพลินใจในสิ่งต่างๆ ลดลงอย่างมาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีกำลังใจ ความจำไม่ดี สมาธิลดลง นอนไม่หลับหรือนอนมากกว่าปกติ รู้สึกผิด รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี เป็นภาระ รู้สึกไร้ค่า บางรายคิดอยากตาย ซึ่งมีไม่น้อยที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย

ทั้งนี้ อารมณ์ซึมเศร้าที่เกิดขึ้นในโรคไบโพลาร์มีความรุนแรงกว่าในโรคซึมเศร้า ทั้งการสูญเสียความสามารถในการทำงาน สังคม และครอบครัว

ทำอย่างไรเมื่อต้องอยู่กับผู้ป่วยโรคไบโพลาร์

ผู้ใกล้ชิด หรือญาติพี่น้องจะต้องทำความเข้าใจอาการของผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ และต้องปฏิบัติตามวิธีการรับมือ ดังนี้

  • ทำความเข้าใจตัวโรค ยอมรับ รับฟัง และให้กำลังใจผู้ป่วย
  • ดูแลให้ผู้ป่วยทานยาตามแพทย์สั่ง ไม่ให้ผู้ป่วยหยุดยาเองก่อนปรึกษาแพทย์
  • คอยดูแลพฤติกรรมไม่ให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมเสี่ยงอันตราย
  • คอยดูแลพฤติกรรมการใช้เงินของผู้ป่วย
  • สังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วย หากมีอาการรุนแรงขึ้นให้รีบพาไปพบแพทย์

แม้ทั้ง 2 โรคจะมีอาการทางอารมณ์ความรู้สึกจนถึงจุดที่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่สามารถหายเป็นปกติได้หากทำความเข้าใจโรค และเข้ารับการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์

 

ขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ,โรงพยาบาลมนารมย์, ประชาชาติธุรกิจ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดลูก คุณแม่มือใหม่ต้องพร้อมรับมือ

ซึมเศร้าในเด็ก ภัยเงียบจากโควิดที่พ่อแม่ควรระวัง

พ่อเป็นซึมเศร้าหลังคลอดได้ ความเครียด กังวล ของคุณพ่อมือใหม่

ฝันเห็นเสือ

ฝันเห็นเสือ ฝันว่าเสือกัด ทำนายฝันพร้อมเลขมงคล!!

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันเห็นเสือ
ฝันเห็นเสือ

ทำนายฝัน ฝันเห็นเสือ ฝันว่าเสือกัด ฝันว่าเสือวิ่งไล่ ฝันว่าโดนเสือกัด ฝันว่าขี่เสือ ฝันว่าฆ่าเสือ มีความหมายว่าอย่างไร? ทำนายฝันแม่น ๆ พร้อมเลขมงคล!!

ฝันเห็นเสือ ฝันว่าเสือกัด ทำนายฝันพร้อมเลขมงคล!!

ความฝัน คือ การแสดงออกของความนึกคิด ความรู้สึก และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในสมอง ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอยู่ คนเรามักจะฝันกันคืนละสองสามครั้ง แต่มีเพียงบางคนเท่านั้นที่จดจำความฝันของตัวเองได้ ความฝันสามารถใช้ในการทำนายเหตุการณ์ดีร้ายล่วงหน้าได้ เสือเป็นสัตว์ใหญ่ ที่คนเชื่อกันว่าเป็นสัตว์มงคล ความฝันเกี่ยวกับเสือ จึงมักจะมีความหมายเกี่ยวกับโชคลาภ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของความฝัน และรายละเอียดของความฝันด้วย ดังนั้น มาดูกันว่า ฝันเห็นเสือ ฝันว่าเสือกัด ฯลฯ จะหาโชคได้จากที่ไหนบ้าง? มีความหมายว่าอย่างไรกันบ้าง?

ฝันเห็นเสือ ฝันว่าเสือกัด ทำนายฝันพร้อมเลขมงคล!!

ฝันเห็นเสือ

ทำนายฝัน

การเสี่ยงโชค จงแสวงโชคจากที่ที่คุณยังไม่เคยไป จงระวังอุบัติเหตุ ทำอะไรก็อย่าประมาท ช่วงนี้โชคลาภก็พอหาได้จากที่ไกลตัว

ความรัก

คนโสดจะได้พบรักกับคนที่อยู่ทางไกล หรือพบรักในต่างแดน คุณจะมีโอกาสได้ไปร่วมงานมงคลและอาจจะพบคนที่ถูกใจ จนถึงขั้นเกิดเป็นความรักได้ ชอบใคร รักใคร ให้ลุยเลย เพราะช่วงนี้มีโอกาสที่จะสมหวัง

ดวงการเงิน การงาน

จะได้เงินที่มาจากการกู้ยืมและสามารถคลี่คลายปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ใครที่รอผลการสัมภาษณ์งานจะมีเกณฑ์ดีได้เซ็นต์สัญญา การจ้างงานเกิดขึ้น คุณอาจจะมีเกณฑ์การเปลี่ยนแปลง ย้ายที่ทำงาน หรือย้ายแผนก หรือมีการปรับตำแหน่งที่สูงขึ้นจากเดิม

เลขมงคล เด่นนำโชค
7 9

เลขมงคล เด่นรอง
01 86 238 60 49 175

ฝันว่าเสือกัด

ทำนายฝัน

การเสี่ยงโชค จงแสวงโชคจากคนที่ไม่รู้จักมาก่อนและมาจากทางทิศตะวันออก มีโอกาสที่จะพบกับเรื่องความทุกข์ ความเศร้า หรือไม่สมหวัง ระวังสัญชาตญาณกล้าได้กล้าเสียของคุณ จะทำให้คุณพลาดพลั้งได้

ความรัก

คนมีแฟนระวังมีปากเสียงกัน ให้หาเวลาไปเที่ยวตากอากาศกันบ้าง เพื่อผ่อนคลายและเปลี่ยนบรรยากาศด้วย ไม่ควรเปิดใจรับใครใหม่ๆ ในตอนนี้ เพราะอาจจะทำให้คุณคิดมากได้ อารมณ์ของคุณในระยะนี้ขึ้นๆลงๆบ่อยมากและมักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้

ดวงการเงิน การงาน

ช่วงนี้มีคนคอยยุแยงให้เจ้านายเข้าใจผิดในตัวคุณ แต่คน ๆนั้นจะแพ้ภัยตัวเอง คุณแค่ขยันพยายามตั้งใจทำงานอย่างเดิมอย่างที่คุณเป็นก็พอ คนทำงานราชการระวังเรื่องการ ขยับขยายตำแหน่งหน้าที่ อาจจะมีคนไม่พอใจ ขัดแข้งขัดขากันได้ คุณอาจถูกเลิกจ้างโดยไม่รู้ตัวต้องพยายามทำผลงานเสมอต้นเสมอปลาย อย่าชะล้าใจไปเชียว

เลขมงคล เด่นนำโชค
0 1 3

เลขมงคล เด่นรอง
19 20 61 73 75 95

ฝันว่าเสือกัด
ฝันว่าเสือกัด

ฝันว่าเสือวิ่งไล่

ทำนายฝัน

คนในครอบครัวจะมีเรื่องของการเจ็บป่วย เล็กๆ น้อยๆ ไม่หนักหนา เพศตรงข้ามจะนำพาโชคทางการเงินมาให้คุณ โชคดีจะเกิดขึ้นจากคนที่คุณไปช่วยเหลือ

ความรัก

คนโสดจะได้พบรักกับคนที่อยู่ทางไกล หรือพบรักในต่างแดน คบกันแบบเพื่อนมานานจะสวีตหวานแหววขึ้นในพริบตา คิดเตรียมแผนวิวาห์สายฟ้าแลบได้เลย คุณมีโอกาสที่จะพบกับปัญหาความไม่เข้าใจกัน และเกิดอาการบันดาลโทสะได้ง่าย ๆ

ดวงการเงิน การงาน

ต้องหนักแน่นใช้ความอดทนกับการทำงานที่มีแรงกดดันนี้ไปก่อน แล้วทุกคนจะยอมรับในความสามารถของคุณเอง ระวังการวางบิลเก็บเงินจะกลายเป็นหนี้สูญ ไม่สามารถเรียกเก็บได้ต้องทำใจทิ้งเงินก้อนนี้ไป สำหรับคนที่ทำอาชีพค้าขาย หรือทำธุรกิจส่วนตัวในเดือนนี้เป็นเดือนที่กำไรงาม มีเกณฑ์ได้ขยับ ขยายกิจการ

เลขมงคล เด่นนำโชค
5 8 9

เลขมงคล เด่นรอง
28 34 36 60 89 174

ฝันว่าโดนเสือกัด

ทำนายฝัน

ระยะนี้ท่านจะติดต่อกับคนต่างชาติหรือมิตรสหายที่เป็นคนต่างถิ่นต่างภาค พวกเขาเหล่านี้จะนำลาภมาให้ จะมีงานสังสรรค์กับญาติมิตร ระวังสัญชาตญาณกล้าได้กล้าเสียของคุณ จะทำให้คุณพลาดพลั้งได้

ความรัก

คุณควรระวังการมีปากเสียงกับคู่ครอง และกับเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ละแวกเดียวกัน คบกันแบบเพื่อนมานานจะสวีตหวานแหววขึ้นในพริบตา คิดเตรียมแผนวิวาห์สายฟ้าแลบได้เลย คนที่คุณแอบชอบอยู่ เขาเริ่มรู้แล้วว่าคุณกำลังแอบชอบเขา

ดวงการเงิน การงาน

การเงินเข้ามือขวาออกมือซ้าย เก็บเงินไม่ได้ เริ่มเป็นหนี้เป็นสิน กระทบกับชีวิตประจำวัน ระวังให้ดี เรื่องการงานอาจจะมีเรื่องให้ต้องคอยแก้ปัญหาอยู่บ่อยๆ ไม่จบไม่สิ้น การงานหนักหนาสาหัสเอาการ ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่แล้วผลที่ตามมาคุณจะหายเหนื่อยแน่นอน

เลขมงคล เด่นนำโชค
0 3

เลขมงคล เด่นรอง
55 82 84 49 97 63 725

ฝันว่าขี่เสือ

ทำนายฝัน

ระยะนี้ท่านจะติดต่อกับคนต่างชาติหรือมิตรสหายที่เป็นคนต่างถิ่นต่างภาค พวกเขาเหล่านี้จะนำลาภมาให้ จะมีเรื่องติดขัดไม่ราบรื่นอันเนื่องมาจากคนรอบข้าง ช่วงนี้จะทำอะไรก็ต้องเหนื่อยหน่อย จึงจะสำเร็จได้อย่างไม่มีปัญหา

ความรัก

คุณหรือคนรักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีความลับต่อกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้พูดออกมา เพราะกลัวจะโดนอีกฝ่ายโกรธและกลัวจะทะเลาะกัน ช่วงนี้ความรักของคุณยังเป็นไปอย่างเรื่อย ๆ ไม่ค่อยมีอะไรหนักใจเท่าไรนัก อารมณ์ของคุณในระยะนี้ขึ้นๆลงๆบ่อยมากและมักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้

ดวงการเงิน การงาน

ต้องระวังอย่าใช้จ่ายเกินตัวไป จะส่งผลให้เดือดร้อนได้ในอนาคต หากเริ่มทำงานที่ตัวเองไม่ถนัดจะเดือดร้อนเพราะคนแปลกหน้า ธุรกิจต้องอาศัยผู้ใหญ่คอยเป็นที่ปรึกษาหรือดูแลผลประโยชน์ให้ งานจึงจะไปได้ดี

เลขมงคล เด่นนำโชค
0 1 5 8 9

เลขมงคล เด่นรอง
37 930 016

ทำนายฝัน
ทำนายฝัน

ฝันว่าฆ่าเสือ

ทำนายฝัน

คุณมีเกณฑ์จะต้องระวังในเรื่องของการหลอกลวงจากมิตรใหม่ที่เข้ามาสนิทสนมกับคุณ ศัตรูที่เคยไม่ถูกกันจะมาขอคืนดี จะวุ่นวายใจ เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวอยู่ในช่วงชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อ

ความรัก

คนโสดจับพลัดจับผลูอาจได้เพื่อนรู้ใจมาเป็นแฟน คุณมีแววได้คนอายุน้อยกว่ามาเป็นเพื่อนสนิทและอาจพัฒนาไปเป้นแฟนได้ในอนาคต คุณจะมีโชคจากคนรัก อาจจะเป็นของฝากหรือของขวัญ

ดวงการเงิน การงาน

ได้ลาภจากการพนัน เสี่ยงโชค โอกาศแบบนี้มีไม่บ่อยครั้ง น่าจะลองเสี่ยงดูบ้าง คนรอบข้างหวังจะพึ่งพาบัตรเครดิตของคุณเพื่อรูดซื้อของชิ้นใหญ่ แล้วจะตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กิจการทั้งปวงซึ่งต้องสัมพันธ์หรือต้องติดต่อกับต่างประเทศอาจมีอุปสรรค เพราะการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน

เลขมงคล เด่นนำโชค
0 3 4 6

เลขมงคล เด่นรอง
45 65 36 65 938

ฝันเห็นเสือตัวใหญ่

ทำนายฝัน

ใครที่คิดจะซื้อของหรือขยับขยายธุรกิจก็ให้รีบทำเพราะโอกาสกำลังดี ระวังจะมีปัญหาความขัดแย้งกับคนใกล้ชิด ระวังเรื่องความเครียดจะส่งผลเสียกับสุขภาพ

ความรัก

อย่าปล่อยให้ตัณหาราคจริตมาครอบงำจิตสำนึกเกินไป เพราะอาจเพลี่ยงพล้ำเสียตัวได้! ความรักของคุณมักจะมาในรูปความเห็นใจซะมากกว่า แต่คุณก็ควรดูด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความรักหรือความสงสารกันแน่ คุณควรลดความขี้หึงลงบ้างในช่วงนี้ เพราะมีโอกาสทำให้คุณเลิกรากับคนที่คุณรักได้ง่ายมาก

ดวงการเงิน การงาน

จะมีโชคทางการเงินหรือมีลาภลอยในช่วงสั้น ๆ แต่ก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดอย่าประมาท จะมีคนทำให้เสียทรัพย์สินเช่น รถยนต์ นาฬิกา ทอง เพราะความไว้ใจจึงทำให้เสียรู้คนอื่น หากหวังให้เงินเดือนขึ้นตามการเลื่อนขั้นเห็นทีคงยังไม่ใช่ตอนนี้

เลขมงคล เด่นนำโชค
2 5 6 7

เลขมงคล เด่นรอง
30 61 18 629

ได้แนวทางกันไปบ้างแล้วว่าหาก ฝันเห็นเสือ และมีความฝันที่เกี่ยวกับเสือ จะไปหาโชคลาภได้จากทางไหนได้บ้าง มีความหมายว่าอย่างไร ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอให้แม่ ๆ และผู้ฝันทุกคน โชคดีค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ฝันเห็นพระพิฆเนศ เทพความสำเร็จดูคำทำนายให้รวยปังๆ!

ฝันว่าแฟนนอกใจ อ่านคำทำนายพร้อมวิธีตัดไฟแต่ต้นลม!

ฝันว่าแต่งงาน ฝันว่าแต่งงานใหม่ จะได้แต่งจริงๆ ไหม?

ฝันว่าได้อุ้มทารกแรกเกิด ใครฝันแบบนี้รู้ไว้กำลังมีโชค!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : monohoro.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

แพ็กเกจตรวจ Long covid

รวม แพ็กเกจตรวจ Long covid ที่ไหนเท่าไหร่บ้าง

Alternative Textaccount_circle
event
แพ็กเกจตรวจ Long covid
แพ็กเกจตรวจ Long covid

รวม แพ็กเกจตรวจ Long covid ที่ไหนเท่าไหร่บ้าง

หลาย ๆ บ้านอาจติดโควิด-19 และหายป่วยจากโควิดแล้ว แต่กลัวมีอาการตกค้าง หรือลองโควิด (long covid) อยากตรวจสุขภาพให้ชัวร์ วันนี้กองบรรณาธิการ ABK รวบรวมแพ็กเกจตรวจ Long covid ว่าที่ไหนรับตรวจ ราคาเท่าไหร่บ้าง มาให้แล้วนะคะ

Long covid คืออะไร

อาการ “Long Covid” ลองโควิด เป็นอาการผิดปกติที่มักพบได้บ่อยหลังหายจากโควิด และอาการนี้อาจลากยาวไปหลายเดือนอีกด้วย โดยอาการเบื้องต้นที่พบได้บ่อย คือ อาการอ่อนเพลีย ร่วมกับอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระบบอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น

  • ระบบทางเดินหายใจ : ไอ เจ็บหน้าอก หายใจถี่ หายใจลำบาก
  • ระบบประสาท : สมองเบลอ มึนงง ปวดหัว สมาธิสั้น มีความผิดปกติด้านการนอน
  • ระบบทางเดินอาหาร : ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน น้ำหนักลด
  • ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก : ปวดตามข้อ ปวดกล้ามเนื้อ
  • ปัญหาทางจิตเวช : ซึมเศร้า วิตกกังวล

นอกจากนี้ ในผู้ป่วยบางรายยังอาจส่งผลต่อสุขภาพที่รุนแรงในระยะยาวยิ่งกว่า เช่น

  • สมรรถภาพทางเพศ
  • เพิ่มความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
  • โรคสมองขาดเลือด
  • โรคเบาหวาน
  • ภาวะไตเสื่อม
  • หรือในเด็กอาจเสี่ยงต่อภาวะ MIS-C ที่ทำให้เกิดอาการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ ทั่วทั้งร่างกายอีกด้วย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการแพทย์ ระบุว่า ภาวะลองโควิดมักจะเริ่มมีอาการหลังหายป่วยโควิด 1-2 สัปดาห์ อาการเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1-6 เดือน และมักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย รวมถึงคนเป็นโรคอ้วน และคนที่ติดเชื้อโควิดที่มีอาการมาก จะพบภาวะลองโควิดมากกว่าคนที่ติดเชื้อโควิดที่มีอาการน้อย

แพ็กเกจตรวจ Long covid กรุงเทพฯ

  1. โรงพยาบาลรามคำแหง 

  • แพ็กเกจสำหรับผู้ป่วยที่หายจากโควิดอย่างน้อย 1 เดือน อายุ 30 ปีขึ้นไป
  • มี 2 แพ็กเกจ ราคาเริ่มต้นที่ 5,100 บาท
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คลิกที่นี่
 แพ็กเกจตรวจ Long covid
แพ็กเกจตรวจ Long covid รพ.รามคำแหง

2. โรงพยาบาลพระราม 9

  • มีให้เลือก 3 แพ็กเกจ ราคาเริ่มต้นที่ 2,500 บาท
  • ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายนนี้
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คลิกที่นี่
โรงพยาบาลพระราม 9

3. โรงพยาบาลลาดพร้าว

  • มีให้เลือก 5 แพ็กเกจ ราคาเริ่มต้นที่ 2,300 บาท
  • ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิถุนายนนี้
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คลิกที่นี่
โรงพยาบาลลาดพร้าว

4. โรงพยาบาลอินทรารัตน์

  • สำหรับผู้ติดเชื้อที่หายแล้ว 4 สัปดาห์ขึ้นไป
  • มีให้เลือก 2 แพ็กเกจ ราคาเริ่มต้นที่ 2,500 บาท
  • ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคมนี้
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คลิกที่นี่
โรงพยาบาลอินทรารัตน์

5. โรงพยาบาลวิภาราม

  • แพ็กเกจแบ่งออกตามความรุนแรงของอาการ เริ่มต้นที่ 1,800 บาท
  • ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคมนี้
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คลิกที่นี่
วิภาราม

6. โรงพยาบาลศิครินทร์

  • เหมาะกับผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดและหายแล้ว 4-12 สัปดาห์ขึ้นไป
  • แพ็กเกจตรวจสุขภาพราคา 4,000 บาท
  • ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คลิกที่นี่
โรงพยาบาล ศิครินทร์

7. โรงพยาบาลวิภาวดี

โรงพยาบาล วิภาวดี
  • มีให้เลือก 3 แพ็กเกจ ราคาเริ่มต้นที่ 1,805 บาท
  • ตั้งแต่วันนี้ – 31 กรกรฎาคม
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คลิกที่นี่

8. โรงพยาบาลกรุงเทพ

โรงพยาบาลกรุงเทพ
  • เหมากับผู้ที่เคยติดเชื้อโควิดและหายแล้วอย่างน้อย 4-12 สัปดาห์
  • มีให้เลือก 2 แพ็กเกจ เริ่มต้นที่ 5,500 บาท
  • ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคมนี้
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คลิกที่นี่

9. โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

  • มีให้เลือก 3 แพ็กเกจ เริ่มต้นที่ 3,500 บาท
  • ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม
  • สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : คลิกที่นี่
โรงพยาบาลวิชัยยุทธ

คุณพ่อคุณแม่และรอบครัว สะดวกตรวจที่โรงพยาบาลใด ขอเชิญได้นะคะ หากมีอาการจะได้รักษาได้ทันท่วงทีค่ะ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ลองโควิด คร่าชีวิตลูก!แม่ร้องขอตรวจสอบเพื่อเด็กอื่นได้ระวัง

ห่วง! อาการ Long COVID-19 เสี่ยงเกิด โรคผมผลัด

แจงแล้ว!เด็ก2ขวบเสียด้วยภาวะ MIS-C หลังเด็กหายป่วยโควิด

ฝันว่าฟันหลุด

ฝันว่าฟันหลุด ฟันร่วง!! ลางดีหรือลางร้าย? ทำนายฝันแม่นๆ

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันว่าฟันหลุด
ฝันว่าฟันหลุด

ทำนายฝันแม่น ๆ พร้อมเลขมงคล ฝันว่าฟันหลุด ฝันว่าฟันร่วง เป็นลางดีหรือลางร้ายกันนะ จะมีลาภหรือเปล่า มาดูคำทำนายฝัน พร้อมเลขเสริมดวงกันค่ะ

ฝันว่าฟันหลุด ฟันร่วง!! ลางดีหรือลางร้าย? ทำนายฝันแม่นๆ

ตามความเชื่อโบราณ เรามักจะเชื่อกันว่าหากฝันเกี่ยวกับฟัน เช่น ฝันว่าฟันหลุด ฝันว่าฟันหัก ฝันว่าฟันร่วง จะเป็นลางที่ไม่ดี อาจจะต้องสูญเสียของรัก คนรักไป จึงทำให้หลาย ๆ คนกังวลใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การฝันเกี่ยวกับฟัน จะต้องดูลักษณะของฝัน ในบางครั้ง ฝันว่าฟันหลุด ก็อาจจะเป็นลางดีได้เช่นกัน มาดูกันว่า ฝันลักษณะไหนบ้างเป็นลางดี ฝันลักษณะไหนบ้างเป็นลางร้าย

ฝันว่าฟันหลุด

ทำนายฝัน

การพบปะคนจำนวนมากมักเจอเหตุการณ์หรือคำพูดที่ไม่ค่อยน่าพอใจนัก มิตรรักจะแปรพักตร์เป็นอย่างอื่น คอยระวังไว้ด้วย โชคดีจะเกิดขึ้นจากคนที่คุณไปช่วยเหลือ

ความรัก

คนมีแฟนระวังมีปากเสียงกัน ให้หาเวลาไปเที่ยวตากอากาศกันบ้าง เพื่อผ่อนคลายและเปลี่ยนบรรยากาศด้วย คุณจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคนนิสัยดี จิตใจดี ชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น อารมณ์ของคุณในระยะนี้ขึ้น ๆ ลง ๆ บ่อยมากและมักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้

ดวงการเงิน การงาน

ได้ลาภจากการทำงาน หรืออาจจะได้งานพิเศษทำแบบไม่คาดคิด ระวังจะเกิดปัญหากับเพื่อนฝูงที่ไปช่วยเหลือแบบไม่มีเหตุผล เงินทองที่มีอยู่ให้ระวังเรื่องการจับจ่ายใช้สอยเสียบ้าง อย่าใช้จ่ายเกินตัวลืมตัว เพราะผลที่ได้รับคือการมีหนี้สิน

เลขมงคล เด่นนำโชค
3 7

เลขมงคล เด่นรอง
50 83 684 629 593

ฝันว่าฟันร่วง

ทำนายฝัน

การพบปะคนจำนวนมากมักเจอเหตุการณ์หรือคำพูดที่ไม่ค่อยน่าพอใจนัก จะมีโอกาสพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่าหรือมีงานสังคมอยู่บ่อยครั้ง จะวุ่นวายใจ เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวอยู่ในช่วงชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อ

ความรัก

คนโสดจะได้พบคนที่ต้องตาต้องใจก็ต่อเมื่อได้เดินทางไปไหนสักแห่ง จะต้องระวังเรื่องคนรักมีเกณฑ์นอกลู่นอกทาง คุณต้องเอาใจใส่คนรักให้ดีนะ คนที่เคยทะเลาะกันหรือหึงหวงกันอยู่จะดีขึ้น และกลับมารักใคร่กันดีกว่าเก่า

ดวงการเงิน การงาน

ต้องใช้ความหนักแน่นและพิจารณาปัญหาอย่างรอบคอบในการคิดการวางแผนงาน คุณจะมีเรื่องเสียเงินเพราะความใจอ่อนให้กับเพศตรงข้ามที่ไม่ค่อยจริงใจกับคุณเท่าไหร่ การเงินมีรายรับดีมาก เป็นเดือนที่รู้สึกคล่องตัวเป็นพิเศษ

เลขมงคล เด่นนำโชค
2 7 8

เลขมงคล เด่นรอง
35 88 92 377 418 740

ฝันว่าฟันหัก
ฝันว่าฟันหัก

ฝันว่าฟันหน้าหลุด

ทำนายฝัน

คนอายุน้อยกว่าอาจสร้างปัญหาให้คุณ จะมีโอกาสพบปะสังสรรค์กับเพื่อนเก่าหรือมีงานสังคมอยู่บ่อยครั้ง มีเหตุวิกฤตเกิดขึ้เล็กน้อย ทำให้กิจวัตรประจำวันไม่ราบรื่น

ความรัก

คนโสดจะได้พบคนที่ต้องตาต้องใจก็ต่อเมื่อได้เดินทางไปไหนสักแห่ง คุณควรจะคบหาดูใจกับคนที่มีอายุไล่เลี่ยกับคุณให้มากที่สุด ความรักของคุณค่อนข้างคลุมเครือ ไม่รู้ว่าคุณจะถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งแฟนหรือกิ๊กกันแน่

ดวงการเงิน การงาน

จะต้องระวังเรื่องคำพูดเป็นพิเศษ มีโอกาสที่จะเกิดเรื่องขัดแย้งจนถึงเป็นปากเสียงกันได้ งานธุรกิจจะคล่องตัวขึ้นเพราะมีคนรักคู่ครองและเพื่อนต่างเพศช่วย การเงินขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะความฟู่ฟ่า และใช้จ่ายอย่างไม่ประหยัดของคุณเอง

เลขมงคล เด่นนำโชค
2 5 7 8

เลขมงคล เด่นรอง
56 67 768

ฝันว่าฟันร่วงหมดปาก

ทำนายฝัน

ช่วงนี้ระวังทรัพย์สินจะเสียหาย ระวังคำพูด จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง คุณมีเกณฑ์ได้รับลาภผลจากคนรัก

ความรัก

คนโสดได้ดีใจกระโดดโลดเต้น เพราะเจอคนที่ถูกใจมาสารภาพรักต่อหน้า ความรักหากมีปัญหากันก็ต้องค่อยๆพูด ค่อยๆจา อย่าด่วนตัดสินใจพูดอะไรโดยไม่คิด เพราะจะทำให้คุณมานั่งเสียใจภายหลัง ช่วงนี้คนรักของคุณมีอาการแอบงอน ให้คุณอดทนและควรจะคุยกันดีๆ

ดวงการเงิน การงาน

จะมีโชคทางการเงินหรือมีลาภลอยในช่วงสั้น ๆ แต่ก็ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัดอย่าประมาท งานธุรกิจจะคล่องตัวขึ้นเพราะมีคนรักคู่ครองและเพื่อนต่างเพศช่วย คุณมีเกณฑ์ดีในด้านรายรับ หาง่ายจ่ายคล่อง

เลขมงคล เด่นนำโชค

6

37 90 67 573 191

ฝันว่าฟันบิ่น

ทำนายฝัน

ญาติมิตรหรือคนที่อยู่ห่างไกลจะส่งข่าวหรือเดินทางมาหา เคราะห์กรรมตามทันในช่วงนี้ ให้ทำบุญกรวดน้ำ ระวังเรื่องเดือดร้อนอันเกิดจากเพศตรงข้าม

ความรัก

คนโสดมีเพื่อนแปลกหน้าใหม่ๆ เข้ามาอยู่เสมอ ทำให้ไม่เหงาใจ คุณจะพบคนต่างเพศที่มีลักษณะต้องตาต้องใจ ไม่ว่าคุณยังโสดหรือไม่ก็ตาม มีดวงว่าคนรักของคุณจะมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคนที่คุณสงสัยนั่นแหละ

ดวงการเงิน การงาน

คนทำงานเกี่ยวกับการประมูลแข่งขันจะสำเร็จได้นั้นควรเข้าหาผู้ใหญ่ จะดีช่วยเสริมดวงให้คุณได้ งานราชการดำเนินไปโดยปกติ มีปัญหาบ้างประปรายตามธรรมดาของการทำงาน โดยมากเกิดจากเพื่อนร่วมทีมงานหรือบริวารทำงาน การงานได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในสายงานเป็นอย่างดี

เลขมงคล เด่นนำโชค
4 7 8 9

เลขมงคล เด่นรอง
12 91 23 241

ทำนายฝัน
ทำนายฝัน

ฝันเห็นคนฟันหลุด

ทำนายฝัน

ใครที่ชอบมีปัญหากับญาติผู้ใหญ่ในบ้าน ช่วงนี้ไม่ควรพาคนนอกเข้ามาบ้าน เพราะจะเกิดเรื่องได้ง่าย ช่วงนี้ชีวิตคุณดูมีความสุข ดูมีชีวิตชีวา ใครเห็นแล้วก็รู้สึกสดชื่นไปตามคุณ อยู่ในช่วงจังหวะชีวิตเปลี่ยนแปลง แต่มันจะทำให้คุณได้รับสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต

ความรัก

คุณควรระวังการมีปากเสียงกับคู่ครอง และกับเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ละแวกเดียวกัน คนที่เป็นแฟนกันมานานจะมีปัญหาเรื่องการมีคนใหม่ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักของคุณ ช่วงนี้หากคุณคิดจะมีกิ๊กระวังจะโดนจับได้

ดวงการเงิน การงาน

เป็นช่วงที่รับงานหนักให้อดทนไปก่อน แล้วผลที่ตามมาก็จะดีเอง จะได้รับความเห็นใจจากเจ้านาย คนรอบข้างหวังจะพึ่งพาบัตรเครดิตของคุณเพื่อรูดซื้อของชิ้นใหญ่ แล้วจะตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก การเงินมีรายรับดีมาก เป็นเดือนที่รู้สึกคล่องตัวเป็นพิเศษ

เลขมงคล เด่นนำโชค
9

เลขมงคล เด่นรอง
12 476 672 001 276

ฝันว่าฟันกรามหลุด

ทำนายฝัน

ต้องระวังเป็นพิเศษกับเรื่องสุขภาพของผู้ใหญ่ที่จะไม่ค่อยปกติและเป็นเหตุ ให้ท่านกังวลใจ เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ความพยายามจึงจะสมหวังในสิ่งที่ต้องการ พูดจาต้องระวัง เพราะมีคนคอยใส่ร้ายป้ายสีอยู่ตลอดเวลา

ความรัก

คนโสดได้แต่รอแล้วรอเล่า ยังไม่เจอคนที่โดนใจ คงต้องใจเย็นอย่างที่โบราณท่านว่าไว้ “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” คนที่มีคู่รักแล้วระวังจะมีคนต่างเพศเข้ามาทำท่าทีเป็นมิตร แล้วเข้ามาแทรกกลางระหว่างความรักของคุณ ชอบใคร รักใคร ให้ลุยเลย เพราะช่วงนี้มีโอกาสที่จะสมหวัง

ดวงการเงิน การงาน

จะเด่นมากในด้านการงานที่เกี่ยวกับการค้าต่างแดน หรืองานที่ต้องพบปะกับคนต่างชาติ ต่างภาษา คนทำธุรกิจอิสระจะมีโอกาส เจริญก้าวหน้า แต่ระวังจะมีคนคิดอยากจะก๊อปปี้งานในแบบของคุณ คุณจะหาเงินได้ก้อนใหญ่จากกิจการที่คุณทำอยู่และอาจมีผู้มาร่วมลงทุนกับคุณเพิ่มจากเดิม

เลขมงคล เด่นนำโชค
2 6 7

เลขมงคล เด่นรอง
57 30 71 680 606

อย่างไรก็ตามการ ทำนายฝัน ก็คือความเชื่ออย่างหนึ่ง หาก ฝันว่าฟันหลุด ฟันหัก หรือฝันอะไรที่เป็นลางไม่ดี ก็อย่าเก็บเอามากังวลใจกันเลยนะคะ เพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ถือเอาความฝันเป็นการเตือนให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลาค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ทำนายฝัน!! “ฝันว่าฟันหัก” จะเกิดการสูญเสียจริงหรือ?

ฝันเห็นแม่ที่เสียไปแล้ว ฝันดีหรือร้าย ทำนายฝันเลขเด็ด!!

ฝันเห็นคนท้อง ฝันว่าตัวเองท้อง ฝันแบบนี้ ดีหรือร้าย?

ฝันว่าได้ทอง ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง หรืองวดนี้จะมีหวัง?

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : monohoro.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

บาดแผล ทางใจในวัยเด็ก ส่งผลทางกาย

บาดแผล ทางใจในวัยเด็ก ส่งผลกระทบกับลูกมากกว่าที่คิด

Alternative Textaccount_circle
event
บาดแผล ทางใจในวัยเด็ก ส่งผลทางกาย
บาดแผล ทางใจในวัยเด็ก ส่งผลทางกาย

บาดแผล ทางใจที่พ่อแม่สร้างให้ลูกในวัยเด็ก ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ ได้สร้างมากกว่าปัญหาทางใจแก่ลูก เพราะปัจจุบันเราพบว่าโรคทางกายบางอย่างเป็นผลมาจากวัยเด็ก

บาดแผล ทางใจในวัยเด็ก ส่งผลกระทบกับลูกมากกว่าที่คิด!!

เด็กจะมีปัญหาอะไรในชีวิตมากมาย นั่นเป็นความคิดของผู้ใหญ่บางคนที่มักมองว่าเด็ก เป็นวัยที่มีแต่ความสุข ความร่าเริง แต่รู้หรือไม่ว่า เด็กก็มีอารมณ์เหมือนกันนะ ปัญหาของเด็กใช่เป็นเรื่องไร้สาระเสมอไป เมื่อปัจจุบันเราพบว่าโรคทางกายหลาย ๆ โรค เป็นผลพวงมาจาก บาดแผล ทางใจในวัยเด็ก

บาดแผล ทางใจ อาจทำให้สมองลูกทำงานได้แย่ลง!

อย่างที่เราทราบกันว่าวัยเด็กเป็นวัยที่สมองกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว มีการเพิ่มจำนวนเซลล์ประสาทอย่างมาก มีการสร้างการเชื่อมโยงของใยประสาทมหาศาลซึ่งมีผลต่อการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ในเด็กที่ประสบเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิต ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียดออกมา และหากในร่างกายมีฮอร์โมนนี้อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน ก็จะส่งผลให้สมองมีการเชื่อมโยงใยประสาทลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมองในส่วนการเรียนรู้และการใช้เหตุผล ส่วนใยประสาทที่พัฒนาไปแล้ว ก็จะกลับทำงานได้แย่ลงเช่นกัน โดยเฉพาะสมองส่วนความคิดและเหตุผล แต่ในทางกลับกันใยสมองส่วนการเอาชีวิตอยู่รอด จะกลับทำงานได้แข็งแรงขึ้นส่งผลให้การจัดการเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตไม่ผ่านสมองส่วนการใช้เหตุผล (หรือการมีสตินั่นเอง) แต่กลับใช้สมองส่วนสัญชาตญาณจัดการ (ซึ่งก็คือการใช้ความรุนแรงหรือหลีกหนี)

บาดแผล ทางใจของเด็ก
บาดแผล ทางใจของเด็ก

ฮอร์โมนความเครียด กระทบมากกว่าที่คิด

นอกจากส่งผลกระทบต่อสมองแล้ว การมีฮอร์โมนความเครียดในร่างกายเป็นเวลาต่อเนื่อง ยังทำให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกายทำงานแย่ลง เกิดปฏิกิริยาการอักเสบในร่างกายมากขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ เมื่ออายุมากขึ้นได้ เช่น โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง รวมถึงโรคทางจิตเวช เป็นต้น ดังนั้นดีที่สุด เราจึงควรปกป้องเด็กๆ ไม่ให้พบเจอเหตุการณ์ที่ร้ายแรงในชีวิตของเค้า

Fight or Flight สู้หรือหนี

โหมด Fight or Flight สู้หรือหนี เป็นสภาวะของร่างกายที่เวลามนุษย์เราเจอสถานการณ์ที่เครียด ไม่ปลอดภัย  สมองจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ออกมา แต่เมื่อเหตุการณ์กลับสู่สภาวะปกติ โหมด fight or flight ก็จะปิดเองโดยอัตโนมัติ ฮอร์โมนก็จะลดลงกลับสู่ภาวะปกติ เช่น เมื่อเด็กเกิดปัญหาในชีวิต ถูกเพื่อนแกล้ง หากเขาได้รับการจัดการจากครู หรือพ่อแม่จนเด็กรู้สึกปลอดภัย ร่างกายของเขาก็จะเข้าสู่โหมดปกติ

แต่หากปัญหานั้นไม่ได้รับการแก้ไข เด็กยังคงรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย โหมด fight or flight ก็ยังคงไม่ถูกปิด ฮอร์โมนคอร์ติซอลก็ยังคงหลั่งออกมาอ่อน ๆ ตลอดเวลา เพราะร่างกายต้องหลั่งเพื่อตั้งรับกับสถานการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เมื่อสมองถูกอาบด้วยคอร์ติซอลตลอดเวลามันจะส่งผลโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกัน มันจะค่อยๆ ทำลายระบบภูมิคุ้มกันลงทีละนิด

บาดแผล ทางใจของเด็กส่งผลต่อทางกาย
บาดแผล ทางใจของเด็กส่งผลต่อทางกาย

มารู้จัก ฮอร์โมนคอร์ติซอล กัน!!

คอร์ติซอล คือ สเตียรอยด์ฮอร์โมน (Steroid hormone) จัดเป็นฮอร์โมนกลุ่มกลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoids) ที่ผลิตจากต่อมหมวกไตชั้นนอก และส่งผ่านไปยังอวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายผ่านกระแสเลือด เป็นฮอร์โมนที่ร่างกายหลั่งออกมา เพื่อตอบสนองต่อสภาวะเครียดหรือกดดันต่างๆ จึงมักเรียกกันว่า “ฮอร์โมนความเครียด”

หากมีคอร์ติซอลมากเกินไป

การมีคอร์ติซอลในเลือดมากเกินไปเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการคุชชิง (Cushing’s disease) ซึ่งมีลักษณะ หรืออาการดังต่อไปนี้

  • น้ำหนักขึ้นฮวบฮาบ โดยเฉพาะที่ใบหน้า หน้าอก ช่วงท้อง แต่แขนขากลับเรียวลีบ
  • หน้ากลม แก้มแดง
  • ความดันโลหิตสูง
  • กระดูกพรุน
  • ผิวหนังเปลี่ยนแปลง ผิวบางลง ทำให้มีรอยช้ำและรอยแตก
  • กล้ามเนื้ออ่อนแรงลง
  • อารมณ์แปรปรวน เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล ฉุนเฉียวง่าย
  • หิวน้ำและปัสสาวะบ่อย

นอกจากนี้ ระดับคอร์ติซอลที่สูงเกินไปยังอาจส่งผลให้ไม่มีความต้องการทางเพศ ผู้หญิงมีประจำเดือนไม่ปกติ ประจำเดือนมาน้อยลง จนอาจถึงขั้นไม่มีประจำเดือน หรือที่เรียกว่า ภาวะขาดระดู (amenorrhoea)

บาดแผล ทางใจของเด็ก มีผลต่อสมอง
บาดแผล ทางใจของเด็ก มีผลต่อสมอง

หากมีคอร์ติซอลน้อยเกินไป

หากร่างกายมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลน้อยเกินไปเป็นเวลานาน อาจทำให้เป็นโรคแอดดิสัน (Addison’s disease) หรือเกิดภาวะต่อมหมวกไตบกพร่อง (adrenal insufficiency) ซึ่งมีอาการดังนี้

  • อ่อนเพลียรุนแรงและเหนื่อยง่าย
  • น้ำหนักตัวลด
  • วิงเวียนศีรษะ หน้ามืด โดยเฉพาะเวลายืน
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ผิวหนังบริเวณใบหน้า ลำคอ และหลังมือคล้ำขึ้น

บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ส่งผลกระทบต่อลูกในอนาคต

จะเห็นได้ว่าเมื่อเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลอ่อน ๆ ออกมา หากมันเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานเกินไป ทำให้เกิดผลเสียต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายในระยะยาว นั่นเป็นเหตุว่าทำไมมันยังไม่ส่งผลทันทีแต่ไปส่งผลตอนโต จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ใหญ่จึงไม่ค่อยตระหนักถึงผลเสียเวลาเด็กเจอเรื่องแย่ๆ อะไรมาระหว่างวัน และมักมองข้ามไป

พ่อแม่สามารถปิดโหมด fight or flight ของลูกได้
พ่อแม่สามารถปิดโหมด fight or flight ของลูกได้

บทความ : บาดแผลทางใจที่ส่งผลต่อสุขภาพกาย โดย ดร. เนตรปรียา มุสิกไชย ชุมไชโย (ครูเคท) 

ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนเอาใจใส่สุขภาพกายกันมากขึ้น ทั้งเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และการล้างพิษด้วยวิธีการต่างๆ มากมาย แต่ผู้คนสมัยนี้กลับดูเหมือนว่าจะมีความเจ็บป่วยทางกายมากยิ่งขึ้น เรามักพบว่าอายุของผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง และเนื้องอก จะมีอายุน้อยลงขึ้นเรื่อยๆ คนหนุ่มสาวเริ่มมีปัญหาปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง หรือ office syndrome และปวดศีรษะไมเกรนกันจนเหมือนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ก็ดูแลสุขภาพของตัวเองดี

จากการที่ครูเคทได้ให้คำปรึกษา จิตบำบัด และการฝึกอบรมเรื่องการจัดการความเครียดให้กับผู้คนในองค์กรจำนวนมาก ได้พบความเชื่อมโยงที่น่าสนใจคือ คนที่มีปัญหาปวดศีรษะไมเกรน มักเป็นคนที่ชอบคิดมาก คิดวนเวียน ย้ำคิดย้ำทำ และวิตกกังวลกลัวไม่ดี ไม่ถูก ฯลฯ ส่วนคนที่ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง มักเป็นคนที่นิสัยเป็นพ่อพระแม่พระ แบกรับภาระของคนอื่นๆ ไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกในครอบครัวหรือคนสำคัญในชีวิต และคนที่มีอาการปวดเอวหลังร่วมด้วย มักจะเป็นคนที่แบกภาระทางการเงินของครอบครัว หรือวิตกกังวลเรื่องปัญหาการเงิน คนที่มีปัญหาปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก แผลในกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน มักเป็นคนที่มีความกลัวหรือความวิตกกังวลลึกๆ อยู่ในใจสูง แต่มักไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวดีว่ากลุ้มเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนว่าจะหาทางออกไม่ได้ จึงจำยอมทนอยู่ในสภาวะที่เป็นทุกข์นั้น ส่วนคนที่มีปัญหาความดันโลหิต เวลาเครียดมักแน่นหน้าอก มักจะเป็นคนที่ไม่ปล่อยวางความผิดหวัง เสียใจ น้อยใจ หรือแม้แต่ความโกรธเกลียดแค้นใจ

ฮอร์โมนความเครียด ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
ฮอร์โมนความเครียด ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

เมื่อได้ค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาคำอธิบาย ก็ได้พบงานวิจัยทางการแพทย์ที่มีผู้คนให้ความสนใจสูงมากของเฟลิติและอันดา (1998) ที่พบว่าประสบการณ์เลวร้ายหรือชอกช้ำในวัยเด็ก เช่น การถูกดุด่าตำหนิ หรือถูกเปรียบเทียบ การถูกทอดทิ้ง ห่างเหินจากพ่อแม่ พ่อแม่ทะเลาะตบตีกัน พ่อแม่เสียชีวิต ไปจนถึงการถูกทุบตีทารุณกรรม ฯลฯ ล้วนส่งผลต่อปัญหาทางกายของคนเราเมื่อโตขึ้น โดยมีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ปวดศีรษะ โรคลูปัส มะเร็ง ซึมเศร้า มากกว่าคนทั่วไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ส่วนเด็กที่พ่อแม่หย่าร้างมีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตในอนาคตเพิ่มขึ้นสองเท่า ทั้งนี้เพราะความเครียดสะสมและคาดเดาไม่ได้ในวัยเด็กส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับชีวเคมีของเซลล์ในร่างกาย และแม้แต่ดีเอ็นเอของเรา และเมื่อความไม่สมดุลถึงจุดที่ล้น เซลล์ต่างๆ จึงพยายามปรับตัวและแสดงความผิดปกติไม่สมดุลนั้นออกมาทางกาย นอกจากนี้ความไม่สมดุลระดับดีเอ็นเอของคนเรานั้นสามารถส่งต่อมายังรุ่นลูกหลานได้ ดังจะเห็นได้จากหลายๆ โรคที่ส่งต่อทางพันธุกรรมได้ เช่น เบาหวาน มะเร็ง รวมทั้งโรคทางจิตบางอย่าง เช่น ซึมเศร้า ไบโพลาร์ จิตเภท ฯลฯ

ดังนั้นหากมนุษย์ต้องการมีชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง ต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ด้วยการได้รับการเลี้ยงดูที่สมดุลทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ และเมื่อเติบใหญ่และเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทางกาย ก็อย่ามองข้ามรากของปัญหาทางกายที่อาจเกิดจากปัญหาทางใจที่ถูกสะสมมาตั้งแต่วัยเด็กด้วยนะคะ

ที่มาบทความจาก  www.facebook.com/kateinspirerwww.thairath.co.th

สรุป บาดแผลทางใจในวัยเด็ก ส่งผลกระทบต่อลูกในอนาคตทั้งในด้านสุขภาพร่างกาย และจิตใจ ดังนั้น หากพ่อแม่หันมาใส่ใจ และทำความเข้าใจกับความรู้สึกของลูก เราจะสามารถเป็นพื้นที่ปลอดภัย Safe zone ให้กับเขาได้ เมื่อลูกรู้สึกปลอดภัย ไม่เครียด เขาก็สามารถปิดโหมด fight or flight ของตนเองลงได้ ฮอร์โมนแห่งความเครียดจะได้ไม่ไปส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวของลูกอีกต่อไป

ข้อมูลอ้างอิง www.phyathai.com/www.facebook.com/heartpsychotherapy/hellokhunmor.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

สอนลูก สไตล์เอเชีย แบบให้อยู่แต่ในโอวาท ดีจริงหรือ

พัฒนาการทารก 4 เดือน มีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?

โชคดีที่โชคร้ายเมื่อลูกต้อง ยอมแพ้ จงสอนลูกให้ล้มแล้วลุกไว

บทสวดมนต์วันพระ ชวนลูกสวดมนต์ เสริมสิริมงคลให้ชีวิต

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

keyboard_arrow_up