ชื่อจริงลูกชาย

ชื่อจริงลูกชาย 300 ชื่อมงคล ตั้งให้ลูก โตไปมีอำนาจ ได้เป็นเจ้าคนนายคน

รวมชื่อมงคล ชื่อจริงลูกชาย 300 ชื่อ ชื่อที่มีความหมายว่า ประสบความสําเร็จ ตั้งให้ลูกแล้ว ลูกจะโตไปมีอำนาจ วาสนาได้เป็นเจ้าคนนายคน จะมี ชื่อจริงลูกชาย อะไรบ้างมาดูกัน

รวม ชื่อจริงลูกชาย 300 ชื่อ
ตั้งให้ลูก โตไปมีอำนาจ ได้เป็นเจ้าคนนายคน

สำหรับบ้านไหนที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ และรู้แล้วว่าลูกในท้องเป็นเด็กชาย หากว่าที่คุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาไอเดียตั้งชื่อลูกชาย ทีมแม่ ABK ได้คัด ชื่อจริงลูกชาย กว่า 300 ชื่อ ซึ่งเป็น ชื่อที่มีความหมายว่า ประสบความสําเร็จ มาฝาก

ทั้งนี้การตั้งชื่อให้ลูกชาย คุณพ่อคุณแม่หลายคนก็คงอยากได้ ชื่อจริงลูกชาย ที่มีความหมายเป็นมงคล เสริมบารมีในตัวให้กับลูก ซึ่งการตั้งชื่อ ชื่อจริงลูกชาย ตามหลักทักษาปกรณ์ เป็นหนึ่งในหลักที่นิยม โดยห้ามใช้อักขระวรรคกาลกิณี ในชื่อ สำหรับ ชื่อจริงลูกชาย ตามธรรมเนียมโบราณที่กล่าวไว้ในหลายตำราเกี่ยวกับวรรคอักษรที่นำมานำหน้าชื่อ นิยมใช้อักษรใน วรรคเดช หรือ วรรคมนตรี มานำหน้าชื่อเพศชาย

โดยอิทธิพลของทักษาที่ใช้นำ ชื่อจริงลูกชาย  “วรรคเดช” จะช่วยส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บารมี เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ ให้คนเคารพยำเกรง การควบคุมบังคับบัญชาคนได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟัง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวจริงจังหนักแน่น เข้มแข็ง

ส่วน ชื่อจริงลูกชาย ที่นำด้วย “วรรคมนตรี” ให้คุณทางด้านผู้อุปถัมภ์ช่วยหลือ เป็นเคล็ดทำให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้านาย ผู้บังคับบัญชา ผู้ใหญ่และเจ้านาย ให้ความอุปการะ ช่วยเหลือ คุ้มครอง สนับสนุน เป็นที่พึงพาอาศัยได้ มีแต่มิตรผู้หวังดี มีความคิดอ่านดี

ดังนั้นหากอยากตั้งชื่อให้ลูก ที่เป็น ชื่อจริงลูกชาย ชื่อที่มีความหมายว่า ประสบความสําเร็จ ตามมาดู ชื่อมงคล 300 ชื่อ ตั้งแล้ว ลูกจะโตไปมีอำนาจ วาสนา ได้เป็นเจ้าคนนายคน จะมี ชื่อจริงลูกชาย อะไรบ้างมาดูกัน

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันจันทร์

ชื่อจริงลูกชายคำอ่านความหมาย
ชนม์พัศนภชน – พัด – สะ – นบผู้เกิดมากล้าหาญและยิ่งใหญ่ดั่งท้องฟ้า
ชนัศชัยชะ – นัด – ไชคนผู้เป็นใหญ่ชัยชนะ
ปวรรัชดลปะ – วอน – รัด – ชะ – ดนบันดาลให้ยิ่งใหญ่และประเสริฐ
พรรธน์ยศพัด – ยดมียศและความเจริญ
พรหมสรรค์พรม – สันพระพรหมเป็นผู้สร้างสรรค์มา
พลกฤตพน – ละ – กริดผู้สร้างพลัง
พลชพะ – ลดผู้เกิดจากพลังอันศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากอำนาจ
พสธรพด – สะ – ทอนทรงไว้ซื่งอำนาจ
พหลวัศพะ – หน – ละ – วัดมีอำนาจมาก
ยรรยงนรธนยัน – ยง – นะ – ระ – ทนผู้งามสง่าและมีทรัพย์
ยศชยนยด – ชะ – ยนมียศมีชัยชนะ
ยศพรยด – สะ – พอนมียศอันประเสริฐ
ยศพัฒน์ยด – สะ – พัดเจริญด้วยยศ
ยศมนวรรธ์ยด – มะ – นะ – วัดเจริญใจและยิ่งไปด้วยยศ
ยศวรยด – สะ – วอนมียศอันประเสริฐ
ยศกรยด – สะ – กอนผู้สร้างยศ รุ่งเรืองด้วยยศ
ยศพลยด – สะ – พนมียศและมีพลัง
รชณกรระ – ชะ – นะ – กอนที่ซึ่งมีความสามารถยิ่งใหญ่
วรยศวอ – ระ – ยดมียศอันประเสริฐ
วฤนท์ธมวะ – ริน – ทมมากมายยิ่งใหญ่
วรภพวอ – ระ – พบมีภพประเสริฐ เกิดมาดี
วรรณลภย์วัน – ลบได้รับเกียรติ มีชื่อเสียง
วศพลวะ – สะ – พนพลังอำนาจ
สมรรถชัยสะ – มัด – ถะ – ไชความสามารถในชัยชนะ
สรพหลสอ – ระ – พะ – หนใหญ่ยิ่ง,ดีงามมาก

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันอังคาร

ชื่อจริงลูกชายคำอ่านความหมาย
จณัตว์จะ – นัดความมีชื่อเสียง
จารุยศจา – รุ – ยดผู้งามสง่าด้วยเกียรติยศน่ายกย่อง
ฉัตรเฉลิมฉัด – ฉะ – เหลิมเครื่องสูงสำหรับยกย่องเกียรติ
ฉัตรพลฉัด – ตระ – พนกำลังอันสูงส่ง
ฉัตรียวัตรฉัด – ตรี – ยะ – วัดมีการปฏิบัติที่ได้รับเกียรติสูงส่ง
ฉัทปนัยฉัด – ปะ – ไนเป็นที่สรรเสริญและยินดี
ฉันทยศฉัน – ทะ – ยดยศอันเป็นที่น่ายินดี,ยินดีในยศ
ชนรพชน – นะ – รบเป็นที่กล่าวขวัญของคน
ชนรรทน์ชะ – นัดพระวิษณุ
ชนัสถ์นันท์ชะ – นัด – นันยินดีอยู่ระหว่างชนทั้งปวง
ฉันทยศฉัน – ทะ – ยดยศอันเป็นที่น่ายินดี,ยินดีในยศ
ชนาธิปชะ – นา – ทิบเป็นใหญ่กว่าคน
ชนายุสชะ – นา – ยุดพลังกำลังแห่งคน
ชนุดมชะ – นุ – ดมคนผู้สูงสุด
ชเนนทร์ชะเนนเป็นใหญ่ในหมู่คน
ชยทัตชะ – ยะ – ทัดให้ชัยชนะ
ชยพลชะ – ยะ – พนมีพลังคือชัยชนะ
ชยันต์ชะ – ยันผู้ชนะ
ชรัณชะ – รันการต่อสู้ที่มีชัย
ชัชชัยชัด – ไชชัยชนะของนักรบ
ชัชนันท์ชัด – ชะ – นันความยินดีของนักรบ,หรือนักรบผู้มีความยินดี
ชัชรัณชัด – ชะ – รันการสู้ของนักรบ
ไชยพศไช – ยะ – พตผู้มีอำนาจอันประเสริฐ
ฐิติพัศถิ – ติ – พัดมีอำนาจตั้งมั่น
ฐิระเชษฐ์ถิ – ระ – เชดยิ่งใหญ่และมั่นคง
ณัฐธรธิบดิ์นัด – ทอน – ทิบปราชญ์ผู้คงความเป็นใหญ่
ดรัสวัตดะ – หรัด – สะ – วัดรวดเร็ว,แข็งแรง,มีอำนาจ
เดชวิทย์เด – ชะ – วิดความรู้ก่อให้เกิดอำนาจ
เดชสิทธิ์เดด – ชะ – สิดผู้มีความสำเร็จด้วยอำนาจ
เดชาธรเด – ชา – ทอนทรงไว้ซึ่งเดช
เดชาวัตเด – ชา – วัดรุ่งโรจน์ด้วยอำนาจ
ตาณตานที่พึ่ง,ป้องกันภัย
ติณณภพติน – นะ – พบผู้ข้ามภพได้,ชื่อของผู้บรรลุธร
ติณห์ตินกล้าแข็ง,แหลมคม
เตชินท์เต – ชินเป็นใหญ่ด้วยเดช, มีเดชยิ่งใหญ่
เตโชดมเต – โช – ดมมีเดชสูงสุด
ถิรพลถิ – ระ – พนมีกำลังมั่นคง
ถิรวัฒน์ถิ – ระ – วัดผู้มีความเจริญอย่างมั่นคง
ถิรวัสส์ถิ – ระ – วัดความมั่นคงอันยาวนาน
ทัตเทพทัด – เทบเทพประทาน
นโรตม์นะ – โรดสูงสุดในหมู่คน
นฤเบศวร์นะ – รึ – เบดผู้ปกครองผู้เป็นใหญ่
นันยศนัน – ทะ – ยดมีความสุขมียศ
บดีศวรบอ – ดี – สวนเจ้าแห่งความเป็นใหญ่
ปรัญชัยปะ – รัน – ไชผู้ชนะคนอื่น
ปรินทร์ปะ – รินเป็นใหญ่กว่าคนอื่น
ปัญญ์ธิบดิ์ปัน – ทิบมีปัญญาและเป็นใหญ่
พรินทร์พะ – รินดีและยิ่งใหญ่
พลเชษฐ์พน – ละ – เชดผู้เป็นใหญ่ด้วยกำลังอำนาจ
พีธรธนัสพี – ทอน – ทะ – นัดทรงไว้ซึ่งความกล้าหาญและร่ำรวยยิ่ง
ภีมพลพี – มะ – พนมีพลังน่าเกรงขาม
ภูดิศพู – ดิดเจ้าแห่งความเจริญ
ภูริเดชพู – ริ – เดดมีอำนาจมาก
ภูรีฐภพพู – รี – ถะ – พบเป็นใหญ่ในพื้นพิภพ
ภูวนาถพู – วะ – นาดพระเจ้าแผ่นดิน
ภูวิศพู – วิดผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
มรุเดชมะ – รุ – เดดมีเดชดุจเทวดา
ยศพรยด – สะ – พอนมียศอันประเสริฐ
ยศพลยด – สะ – พนมียศและพลัง
วรรณธัชวัน – นะ – ทัดมียศอันประเสริฐ
วรสรณ์วอ – ระ – สอนที่พึ่งอันประเสริฐ
วริศวะ – ริดประเสริฐและเป็นใหญ่
วัชรวิศว์วัด – ชะ – ระ – วิดแข็งแกร่งทุกอย่าง
วิธพัศวิด – ทะ – พัดมีกลวิธีและอำนาจ
วีร์ชาพิภัทรวี – ชา – พิ – พัดผู้เกิดมากล้าหาญและมีความเจริญ
วีรินทร์วี – รินผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่
สาวินสา – วินบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
สิรดนัยสิ – ระ – ดะ – ไนลูกชายผู้เป็นยอด
สิรภพสิ – ระ – พบเป็นยอดในโลก หรือเกิดมาเพื่อเป็นยอด
อธิปอะ – ทิบผู้เป็นใหญ่
อินทัชอิน – ทัดเกิดจากผู้ยิ่งใหญ่ เกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันพุธ กลางวัน

ชื่อจริงลูกชายคำอ่านความหมาย
กรินทร์กะ – รินเป็นใหญ่ในการทำ
กันตยศกัน – ตะ – ยดมียศเป็นที่รัก
กิตติ์ดนัยกิด – ดะ – ไนลูกชายผู้เลื่องชื่อ
กิตติยุตกิด – ติ – ยุดมีเกียรติ
เกียรติธิติเกียด – ทิ – ติมั่นคงในเกียรติ
เกียรตินครเกียด – นะ – คอนเกียรติยศของบ้านเมือง
คณาธิปคะ – นา – ทิบเป็นใหญ่ในหมู่คณะ
คณิศรคะ – นิด – สอนผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่คนทั้งหลาย
คริษฐาคะ – ริด – ถาน่านับถือที่สุด,สำคัญที่สุด
ฐิติพัศถิ – ติ – พัดมีอำนาจตั้งมั่น
ฐิติศักดิ์ถิ – ติ – สักอำนาจ,ความสามารถมั่นคง
ฑวัตทะ – วัดเหมือนพระศิวะ
ธมนินทร์ทะ – มะ – นินผู้เป็นยิ่งใหญ่
ธิบดิ์ภวินทิบ – พะ – วินภาวะอันดีงามและยิ่งใหญ่
ธิปติพัศทิบ – ติ – พัดเป็นใหญ่และมีอำนาจยิ่ง
ปริตต์ปะ – ริดผู้ได้รับการคุ้มครองป้องกัน
ปรินทร์ปะ – รินเป็นใหญ่กว่าคนอื่น
ปฤษทัศว์ปริด – สะ – ทัดชื่อพระศิวะ
ปวิธปะ – วิดผู้สร้าง, ผู้กำหนด
ปุรุศักดิ์ปุ – รุ – สักมีอำนาจต่างๆ
พงศ์ภีระพง – พี – ระวีรบุรุษแห่งวงศ์ตระกูล
พีระวศุตม์พี – ระ – วะ – สุดกล้าหาญและมีอำนาจสูงสุด
พีรันธรพี – รัน – ทอนทรงไว้ซึ่งความกล้า
พีราธนิสร์พี – รา – ทะ – นิดกล้าหาญและมั่งมียิ่ง
พุฒินาทพุด – ทิ – นาดบรรลือหรือองอาจด้วยความเจริญ
ภาณุพลพา – นุ – พนอำนาจดุจพระอาทิตย์
ภานุวัฒน์พา – นุ – วัดเจริญด้วยแสงสว่าง, พระอาทิตย์
ภูดิทพู – ดิดที่ให้ความเป็นอยู่ดีมีสุข อำนาจและความมั่งคั่ง
ภูดินันท์พู – ดิ – นันยินดีในความเจริญรุ่งเรือง อำนาจและความมั่งคั่ง
ภูดิศพู – ดิดเจ้าแห่งความเจริญ
ภูธิปพู – ทิบเป็นใหญ่ในแผ่นดิน, พระราชา
มนันย์มะ – นันควรแก่การสรรเสริญ
มนุษินทร์มะ – นุ – สินเป็นใหญ่เหนือคนอื่น
สิรีปภาพัศสิ – ริ – ปะ – พา – พัดเจริญมีมงคลและมีอำนาจ
เอกภพเอก – กะ – พบเป็นหนึ่งในภพ,ความเป็นหนึ่ง

 

momketing 2021

วันสุดท้าย!! Amarin Baby & Kids ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่ที่มีลูกอายุ0-6 ปีร่วมทำแบบสำรวจความคิดเห็นคุณแม่ ลุ้นรับผลิตภัณฑ์สำหรับแม่ลูกฟรี 50 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 10,000 บาทคลิกที่ลิงก์นี้เลย >> https://bit.ly/3z4Eqzp

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันพุธ กลางคืน

ชื่อจริงลูกชายคำอ่านความหมาย
กษิดิชกะ – สิ – ดิดเกิดมาบนแผ่นดิน
กษิดิ์เดชกะ – สิ – เดดมีเดชในแผ่นดิน
กิตติเชษฐ์กิด – ติ – เชดพี่ชายผู้มีชื่อเสียง
กิตติ์ธัญชัยกิด – ทัน – ยะ – ไชมีเกียรติยศมีโชคและชัยชนะ
ไกรธนเดชไกร – ทะ – นะ – เดดมีทรัพย์และอำนาจยิ่งใหญ่
ไกรสรไกร – สอนราชสีห์
ขวัญชัยขวัน – ไชมิ่งขวัญแห่งชัยชนะ
คณิสร์ธนาคะ – นิด – ทะ – นาร่ำรวยและเป็นใหญ่เหนือพวกพ้อง
ครรชิตคัน – ชิดเสียงกึกก้อง
จักรทิพย์จัก – ทิบอาวุธของเทวดา
ชัยเดชไช – เดดอำนาจแห่งชัยชนะ
ชัยวิชิตไช – วิ – ชิดมีชัยชนะบนแผ่นดิน
ชิษณุชาชิด – สะ – นุ – ชาเกิดจากผู้ชนะ
ชุติเดชชุ – ต – เดดมีเดชอันรุ่งเรือง
ฐานิศวรร์ถา – นิดมีฐานะอันยิ่งใหญ่
ฐิรชาติศักดิ์ถิ – ระ – ชาด – ติ – สักเกิดมามียศศักดิ์มั่นคง
ณรงค์คณินทร์นะ – รง – คะ – นินเป็นใหญ่เหนือหมู่คณะในการรบ
ธีร์ไชยารัตน์ที – ไช – ยา – รัดปราชย์ผู้ยิ่งใหญ่และเจริญกว่า
นรินทร์จิโรจน์นะ – ริน – จะ – โรดผู้เป็นใหญ่และรุ่งเรือง
รณิศระ – นิดเป็นใหญ่ในการรบ
รเณศระ – เนดจอมทัพ, เจ้าแห่งการรบ
วรยสวอ – ระ – ยดอำนาจเหนือ
วรรณชเยษฐ์วัน – ชะ – เยดเกิดในสกุลเยี่ยม
วรรณิตวัน – นิดผู้ที่บุคคลอื่นสรรเสริญ
วริศวะ – ริดประเสริฐและเป็นใหญ่
วัศวรรดิ์วัด – สะ – วันมีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง
วิวิธชัยวิ – วิด – ทะ – ไชมีชัยชนะหลายอย่าง
วิศวชิตวิด – สะ – วะ – ชิดผู้ชนะมาหมดแล้ว
วิศเวศวิด – สะ – เวดเป็นใหญ่ในโลก
วีร์ยศสินวี – ยด – สินกล้าหาญมียศและทรัพย์สิน
ไวศิษฎ์ไว – สิดความเด่น ความยอดเยี่ยม เหนือ
ศรัณย์วริศสะ – รัน – วะ – ริดเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ
เศรษฐ์ถิรคุณเสด – ถิ – ระ – คุนมีคุณธรรมมั่นคงและประเสริฐยิ่ง
เศรษฐิณาธรเสด – ถิ – นา – ทอนเศรษฐีผู้ทรงความรู้
โศรวิทย์โส – ระ – วิดกล้าหาญ
สิร์รัชชาสิ – รัด – ชาผู้เป็นยอดแห่งราชา
สิราสวัสดิ์สิ – รา – สะ – หวัดยอดแห่งความรุ่งเรือง
อนันต์ยศอะ – นัน – ยดมียศหรือชื่อเสียงหาที่สุดมิได้
อนันยชอะ – นัน – ยดเกิดมาเป็นที่หนึ่ง
อิษวัตอิด – สะ – วัดผู้มีกำลังและความเข้มแข็ง

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันพฤหัสบดี

ชื่อจริงลูกชายคำอ่านความหมาย
กรวิระยศกอน – วิ – ระ – ยดสร้างความกล้าหาญและยศศักดิ์
คริษฐ์คะ – ริดผู้ที่น่าบูชาที่สุด
จรัสรวีจะ – หรัด – ระ – วีสว่างไสวดุจพระอาทิตย์ รุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์
ชยพลชะ – ยะ – พนมีพลังคือชัยชนะ
ชเยศชะ – เยดผู้เป็นใหญ่ด้วยชัยชนะ จอมผู้พิชิต
ไชยวัศไช – ยะ – วัดมีอำนาจที่เจริญกว่า
บารเมษฐ์บา – ระ – เมดฐานะสูงสุด
บุระชวาลบุ – ระ – ชะ – วานความรุ่งโรจน์แห่งเมือง
บุริศร์บุ – ริดเจ้าเมือง, ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง
ปภารัชปะ – พา – รัดดั่งราชาผู้รุ่งเรือง
ปรมะปะ – ระ – มะยอมเยี่ยม, สูงสุด
ประยสย์ประ – ยดเด่น มีอำนาจเหนือหมู่คน
ปรัญชัยปะ – รัน – ไชผู้ชนะคนอื่น
ปวีร์ปะ – วีผู้กล้าหาญยิ่ง
ปารเมศปา – ระ – เมดบารมี
ปารย์ปานผู้สามารถ, เป็นที่น่าสนใจหรือพอใจ
ปุรเชษฐ์ปุ – ระ – เชดผู้เป็นใหญ่ในเมือง เจ้าเมือง
พชรพลพด – ชะ – ระ – พนมีกำลังกล้าแกร่งดุจเพชร
พลชพะ – ลดผู้เกิดจากพลังอันศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากอำนาจ
พัชรพลพัด – ชะ – ระ – พนมีพลังแข็งแกร่งดุจเพชร
พิชยะพิด – ชะ – ยะชัยชนะ
พิชเยศพิด – ชะ – เยดเจ้าแห่งชัยชนะ
พิเชษฐ์คมพิ – เชด – คมประเสริฐยิ่งใหญ่แลละเฉียบคม
พิรชัชพิ – ระ – ชัดนักรบผู้กล้า
พิรภพพิ – ระ – พบภพแห่งผู้กล้า, ความเป็นผู้กล้า
พิร์ภูณกรพิ – พู – นะ – กอนกล้าหาญและมีความสามารถสูง
พิรศุษม์พิ – ระ – สุดมีความเข้มแข็ง กล้าหาญเยี่ยงวีรบุรุษ
พิรัชย์พิ – รัดชัยชนะของคนกล้า
พิสิฐชัยพิ – สิด – ไชมีชัยชนะที่พิเศษยิ่ง
พีรัชชัยพี – รัด – ไชเกิดจากผู้กล้า ลูกวีรบุรุษ
ภรศิษฐ์พอน – สิดมีอำนาจมากที่สุด แข็งแรงที่สุด
ภรัณยูพะ – รัน – ยูผู้ปกป้อง, ผู้คุ้มครอง
ภวิศพะ – วิดผู้เป็นใหญ่ในโลก
ภวิศปวรพะ – วิด – ปะ – วอนประเสริฐและเป็นใหญ่ในโลก
ภูมิรพีพูม – ระ – พีผู้เป็นดุจพระอาทิตย์ในแผ่นดิน
วริศวะ – ริดประเสริฐและเป็นใหญ่
สิร์ปพัศสิ – ปะ – พัดเป็นยอดแห่งอำนาจ
สีหราชสี – หะ – ราดพญาราชสีห์
สุจชัจจ์สุด – ชัดมีเชื้อชาติดี
สุชาคณิศสุ – ชา – คะ – นิดมีชาติกำเนิดดีเหนือพวกพ้อง
สุรเศรษฐ์สุ – ระ – เสดชื่อพระวิษณุ พระอินทร์ พระศิวะ
สุรสัขสุ – ระ – สักเพื่อนเทวดา
สุรสีห์สุ – ระ – สีราชสีห์ผู้กล้าหาญ
หาญณรงค์หาน – นะ – รงแกล้วกล้าในการต่อสู้
อชิตพลอะ – ชิด – พนมีพลังอันไม่มีใครเอาชนะได้
อภิชัจอะ – พิ – ชัดมีชาติสูง
อริญชย์อะ – รินผู้ชนะศัตรู
อิศรอิดความเป็นเจ้าเป็นใหญ่
อุกฤษฏ์อุ – กริดสูงสุด

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันศุกร์

ชื่อจริงลูกชายคำอ่านความหมาย
กษิดิศกะ – สิ – ดิดเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
กสานติ์เดชกะ – สาน – เดดมีอำนาจและความสงบ
กิตติพิเชษฐ์กิด – ติ – พิ – เชดมีชื่อเสียงประเสริฐสุด
คณนาถคะ – นะ – นาดผู้เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลาย
เดชพิสิฏฐ์เด – ชะ – พิ – สิดมีฤทธ์อำนาจอันประเสริฐยิ่ง
เตชทัตเต – ชะ – ทัดให้เดช,มีเดชมาก
เทพฤทธาเทบ – ริด – ทามีฤทธ์ดั่งเทพ
ธมเชษฐ์ทม – เชดผู้เป็นใหญ่
ธามเมธีทาม – เม – ทีปราชญ์ผู้มียศศักดิ์
ธัญกฤษฏิ์ทัน – ยะ – กิดฉลาดเป็นเลิศ
ธิปกทิ – ปกผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นหัวหน้า
บุญสิทธิ์บุน – ยะ – สิดมีความดีและอำนาจ
พศุตม์พะ – สุดมีอำนาจสูงสุด
ภีมเดชพี – มะ – เดดมีเดชน่าเกรงขาม
สมัชญ์สะ – มัดมีเกียรติยศ มีชื่อเสียง
สุพศินสุ – พะ – สินมีความเชี่ยวชาญยิ่ง มีอำนาจยิ่ง
อธิชอะ – ทิดเกิดมายิ่งใหญ่
อภิทัตอะ – พิ – ทัดให้ความยิ่งใหญ่

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันเสาร์

ชื่อจริงลูกชายคำอ่านความหมาย
กิตติ์จีระภูมิกิด – จี – ระ – พูมมีเกียรติยิ่งยืนในแผ่นดิน
กิตติชนม์กิด – ติ – ชนอายุยืนและมีเกียรติ
กิตติ์พงศ์กิด – พงมีเกียรติของตระกูล
กุศลดิลกกุ – สน – ดิ – หลกบุญกุศลที่สูงยิ่ง
เกริกนภเกริก – นบชื่อเสียงเกริกไกรทั่วฟ้า
เกียรติพงศดาเกียด – พง – สะ – ดามาจากตระกูลที่มีเกียรติ
จรัลพิพัศจะ – รัน – พิ – พัดก้าวไปข้างหน้าด้วยอำนาจ
ชยุตม์ชะ – ยุดมีชัยชนะอันประเสริฐสุด
ชัชพิมุขชัด – พิ – มุกนักรบผู้รู้เป็นหัวหน้า
ชิตวรชิ – ตะ – วอนมีชัยชนะอันประเสริฐ
ชินาธิปชิ – นา – ทิบผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่
ชิษณุพงศ์ชิด – สะ – นุ – พงเผ่าพันธุ์ของผู้ชนะ
ชุติเดชชุ – ต – เดดมีเดชอันรุ่งเรือง
ชุติเทพชุ – ติ – เทบเทวดาผู้รุ่งเรือง
ทฤนห์ทะ – รินทำให้มั่นคงเข้มแข็ง
ทัตต์ดนัยทัด – ดะ – ไนลูกที่ได้รับเกียรติ
ทัตพงศ์ทัด – พงได้รับสืบทอดวงศ์ตระกูล
ไทวกฤตไท – วะ – กริดเทวดาให้เกิด
ธมรุจน์ทม – มะ – รุดรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่
ธราทพทะ – รา – ทบพระราชา
ธรินทร์วรัชทะ – ริน – วะ – รัดประเสริฐและทรงไว้ซึ่งความเป็นใหญ่
ธเรศทะ – เรดพระเจ้าแผ่นดิน
ธัญเดชาทัน – เด – ชาโชคดีและมีอำนาจ
ยศวรรธน์ยด – สะ – วัดเจริญด้วยยศ, มีชื่อเสียง
วิชยุตม์วิด – ชะ – ยุดชัยชนะอันสูงสุด
วิธันพัศวิ – ทัน – พัดมีกลวิธีและอำนาจ
อธิชาอะ – ทิ – ชาเกิดมายิ่งใหญ่

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันอาทิตย์

 

ชื่อจริงลูกชายคำอ่านความหมาย
กนกพลกะ – หนก – พนมีพลังคือทอง
ก้องฤทธาก้อง – ริด – ทามีอำนาจกึกก้อง
กันตยศกัน – ตะ – ยดน่ารักและมีอำนาจ
กิตติพัทธ์กิด – ติ – พัดเกี่ยวข้องกับเกียรติ
กีรติกี – ระ – ติเลื่องลือ, ชื่อเสียงที่ดี
กุลชาตกุน – ละ – ชาดเกิดในตระกูลดี
กุลโชตกุน – ละ – โชดผู้เจริญรุ่งเรืองของตระกูล
กุลดิลกกุน – ละ – ดีลกเป็นมิ่งขวัญของตระกูล
เกรียงไกรเดชเกรียง – ไกร – เดดมีอำนาจอย่างเกรียงไกร
ฆนัตว์คะ – นัดความมั่นคง,ความหนาแน่นหนา
ฆนีกรคะ – นี – กอนทำให้เข้มแข็งมั่นคง
จรกฤตย์จอ – ระ – กริดมีชื่อเสียง มีผู้คงความรู้ถึงด้วยการสรรเสริฐ
จีรชยาจี – ระ – ชะ – ยาชัยชนะอันยืนนาน,มีชัยชนะตลอดกาล
ชคทัณฑ์ชะ – คะ – ทันจักรวาล
ชนกเดชชะ – นก – เดดให้กำเนิดอำนาจ
ชนาเทพชะ – นา – เทบผู้เป็นเทพแห่งชนทั้งหลาย
เดชพนต์เดด – ชะ – พนผู้มีอำนาจมีความยิ่งใหญ่
เดชาภัทรเด – ชา – พัดมีเดชและความเจริญ
ธมฤทธาทม – ริด – ทามีอำนาจใหญ่โต
ธัชพลทัด – ชะ – พนมีกำลังเด่น, เด่นทางกำลัง
ธัญฐิติชัยทัน – ถิ – ติ – ไชโชคดีมีชัยชนะอันมั่นคง
นัทธ์เดชภาคย์นัด – เด – ชะ – พากผูกพันกับอำนาจและมีโชค
ประกฤตเดชาประ – กิด – เด – ชาเดชอำนาจที่ทำมามาก
ประพลประ – พนแข็งแรง, มีอำนาจ
ประวีร์ประ – วีผู้กล้าหาญ, นักรบผู้กล้าหาญ
ปรัชป – รัดเกิดมาดียิ่ง
ปรินทรปะ – ริน – ทอนเป็นใหญ่กว่าผู้อื่น
อนิรชิตอะ – นิ – ระ – ชิดไม่มีอะไรชนะได้
อภิชัยอะ – พิ – ไชผู้มีชัยชนะเหนือใคร
อมิตเดชอะ – มิด – ตะ – เดดมีอำนาจมาก
อรรจกรอัด – จะ – กอนที่ให้การสรรเสริญเคารพนับถือ
อรัญชัยอะ – รัน – ไชชัยชนะอันรวดเร็วแก่ศัตรู, มีชัยอันรวดเร็ว
อริญชัยอะ – ริน – ไชผู้ชนะศัตรู
อัคคเดชอัก – คะ – เดดความสง่างาม,ความยิ่งใหญ่,ความดีเลิศ
เอกอัครจรัลเอก – อัก – จะ – รันก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่และเป็นที่หนึ่ง

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจนอกจาก ชื่อจริงลูกชาย คลิกที่ภาพได้เลย 

โปรแกรมตั้งชื่อลูก ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด ชื่อมงคล ความหมายดี เยอะที่สุด

ผิดไหม? ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ลูกสาวเล่นรถ พ่อแม่ควรทำไงดี!

ทรงผมลูกชาย เท่ ๆ ตัดง่ายๆ ไม่แหว่งไม่เจ็บ ด้วยสิ่งนี้…!?

500 ชื่อเล่นสุดฮิต ชื่อลูกแบบอินเตอร์ ใช้ตั้งได้ทุกปี ไม่มีเอ้าท์!

    นายอินทร์บริจาคหนังสือ

    นายอินทร์บริจาคหนังสือ ให้กับมูลนิธิศุภนิมิตฯ จำนวน 5,000 เล่ม

    สืบเนื่องจาก ร้านนายอินทร์จัดกิจกรรมภาพยนตร์โฆษณาส่งเสริมสังคมชุด “คนที่เฝ้ามองเราอยู่ – The Watcher” เพื่อให้นักอ่านทุกท่านได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการให้ โดยทุก 1 แชร์ จากคลิปภาพยนตร์ดังกล่าว เท่ากับนักอ่านได้ร่วมบริจาคหนังสือ 1 เล่ม  ซึ่งร้านนายอินทร์จะบริจาคหนังสือสูงสุด 5,000 เล่ม มอบให้กับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เพื่อส่งต่อความรู้สู่มือของผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล

    วันที่ 12 มิ.ย. 63 ม.ล.ลือศักดิ์ จักรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายหนังสือชั้นนำของเมืองไทย ในนาม “ร้านนายอินทร์” พร้อมด้วย คุณกวิล นาวานุเคราะห์ ที่ปรึกษาด้านการตลาดและพัฒนาธุรกิจ และทีมการตลาด บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด เข้าบริจาคหนังสือจำนวน 5,000 เล่ม ภายใต้โครงการภาพยนตร์โฆษณาส่งเสริมสังคมชุด “คนที่เฝ้ามองเราอยู่ – The Watcher” ณ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

    โดยมี ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อำนวยการ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย และดร.บรรจงเศก ทรัพย์โสภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ-สายงานการตลาดและจัดหาทุน มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับมอบ

    โดยหนังสือดังกล่าว จะถูกส่งมอบให้กับผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล เพื่อเป็นส่วนช่วยในการส่งต่อความรู้ ความสุข และพลังสร้างสรรค์ ตามพันธกิจของ ร้านนายอินทร์ ที่มีความมุ่งหวังจะเป็นศูนย์กลาง การกระจายความรู้ ความคิด และช่วยส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับคนไทยอันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคน สังคม ตลอดจนประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ

      60 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เหมาะกับลูกเล็ก โดยพ่อเอก

      ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ รวมไปถึงคุณลูกๆ คงอึดอัด และคงอยากออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกันเต็มที่แล้ว ตอนนี้มาตรการปลอดล็อคขั้นที่ 3 เปิดโอกาสให้ออกไปสูดอากาศไกลๆ จากพื้นที่รอบบ้านแล้ว ถ้างั้นไปเที่ยวไหนกันดี ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ ที่เหมาะกับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ เนื่องจากเพิ่งจะปลดล็อค งั้นเอาจังหวัดที่เดินทางไปไม่เกิน 3 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ แล้วกัน และขอยกมาเฉพาะจังหวัดกับสถานที่เด่นๆ ที่ปูนปั้นกับปั้นแป้งเคยไปแล้วชอบนะครับ

      60 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เหมาะกับลูกเล็ก

      สมุทรสงคราม – จะพลาดการดูหิ่งห้อยที่อัมพวาไปได้อย่างไร แต่อย่าลืมว่าที่นี่มีวัดน่าสนใจเยอะ วัดบางกุ้งที่รากต้นโพธิ์คลุมพระอุโบสถทั้งหลัง และ อย่าลืมโบสถ์คริสต์อาสนวิหารพระแม่บังเกิด

      โบสถ์คริสต์อาสนวิหารพระแม่บังเกิด ราชบุรี
      โบสถ์คริสต์อาสนวิหารพระแม่บังเกิด ราชบุรี

      สมุทรปราการ – จะไปปั่นจักรยานที่เจริญสุขมงคลจิต หรือ จะเที่ยวอีกฝั่งของเจ้าพระยาที่บางกะเจ้า ที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งปั่นจักรยาน ร้านอาหารริมน้ำบรรยากาศดี สูดโอโซนที่ปอดของชาวกรุง และลองลงแพรถข้ามก็สนุกไม่เบา

      บางกระเจ้า สมุทรปราการ
      บางกระเจ้า สมุทรปราการ

      อยุธยา – เที่ยวเมืองเก่า กินกุ้งเผา ไหว้พระวัดใหญ่ วัดพนัญเชิง เอาให้ครบ 9 วัดได้สบายมาก ชมพระราชวังบางปะอินแล้วอย่าลืมนั่งกระเช้าข้ามไปวัดนิเวศน์ธรรมประวัติวัดไทยที่มีสถาปัตยกรรมตะวันตกที่สวยงาม แล้วอย่าลืมแวะซื้อสายไหมมาหม่ำตอนกลับหละ

      นครราชสีมา เขาใหญ่ไม่ไปได้อย่างไร ทั้งน้ำตก ทั้งทุ่งหญ้า หรือจะเอาแบบมนุษย์สร้างก็มีสวนน้ำ สวนสัตว์ ฟาร์มม้า ฟาร์มวัว หรือจะเที่ยวปากช่องไปถึงลำตะคอง เอาให้สุดก็ไปให้ถึงปราสาทหินพิมาย อ้อ วกไปทางวังน้ำเขียวก็สงบงามนะ

      ให้อาหารกระต่าย

      ชลบุรี – จะเล่นน้ำที่บางแสน หรือ ดูสัตว์ที่เขาเขียว เอ๊ะหรือจะเที่ยวศรีราชา ก็อย่าลืมเที่ยวอวกาศที่ Space Inspirium หรือจะลงไปใต้ทะเลที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสนดี

      บางแสน ชลบุรี
      บางแสน ชลบุรี

      ระยอง – ได้ทุกหาดครับ จะใกล้หน่อยก็สัตหีบ หรือหาดหัดเที่ยวอย่างหาดแม่พิมพ์ เกาะเสม็ดก็น่าข้ามไปนะเออ

      นครนายก – ซุ้มป่าไผ่ที่วัดจุฬาภรณ์ฯ ถ่ายรูปมาเหมือนไปญี่ปุ่นเลย เขื่อนขุนด่านต้องแวะ ถ้าเด็กๆ ชอบตื่นเต้นต้องไปเล่น zip line ที่เขาชะโงก ที่พักริมธารให้ลงไปแช่กันจนตัวเปื่อยก็มีเยอะเลย

      ซุ้มป่าไผ่ที่วัดจุฬาภรณ์ฯ นครนายก
      ซุ้มป่าไผ่ที่วัดจุฬาภรณ์ฯ นครนายก

      ราชบุรี – ที่เที่ยวเยอะแยะ แต่ต้องไม่ลืมแวะสวนผึ้ง หรือไปโซน เขางู ถ้ำจอมพล ถ้ำเขาบิน หรือไปดูค้างคาวที่วัดเขาช่องพรานก็น่าตื่นตาตื่นใจ

      กาญจนบุรี – เป็นอีกที่ๆ ไปหลายรอบ การนั่งรถไฟไปน้ำตกไทรโยคโดยผ่านเส้นทางรถไฟสายมรณะก็เป็นวิวที่สวยงามทีเดียว นอนแพริมแม่น้ำแควแช่เท้าเย็นๆ ในวันสงบๆ ก็สุดเยี่ยม ต้นจามจุรียักษ์ ที่แวะเยอะแยะไปหมด (ยอมเกิน 3 ชม. ไปให้ถึง สะพานมอญ ชมวัดจมน้ำ เที่ยวสังขละบุรีก็สุดประทับใจ)

      ต้นจามจุรียักษ์
      ต้นจามจุรียักษ์ กาญจนบุรี

      นครปฐม – เที่ยวพระปฐมเจดีย์ หรือไปไหว้พระปั่นจักรยานสงบๆ ที่พุทธมณฑล ตลาดน้ำดอนหวาย หรือซื้อกล้วยไม้ที่แอร์ออคิด พิพิธภัณฑ์รถเก่า เจษฎาเทคนิคมิวเซียม จะทำให้เด็กตาโต

      เจษฎาเทคนิค มิวเซียม นครปฐม
      เจษฎาเทคนิค มิวเซียม นครปฐม

      เพชรบุรี – จะไม่พูดถึงทะเลชะอำก็คงจะน่าขำ และต้องไม่พลาดพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ที่มีทั้งประวัติศาสตร์และศิลปะให้เด็กๆได้เดินชมกินลมเย็นๆ

      ชะอำ เพชรบุรี
      ชะอำ เพชรบุรี

      ประจวบคีรีขันธ์ – เที่ยวทะเลหัวหิน หาของกินที่ตลาดหัวหิน หรือ ร้านอาหารทะเลหลากหลายให้เลือกตามระดับรสนิยมที่ต้องการ ไปหาเรื่องเสียเงินที่ซิคาด้ามาร์เก็ต อย่าลืมจุดสำคัญสำหรับเด็กคือสถานีรถไฟหัวหิน แวะอุทยานราชภักดิ์ และไปไหว้หลวงพ่อทวด ที่วัดห้วยมงคล

      สุพรรณบุรี – เด็กๆ ไม่ลืมประสบการณ์นอนบ้านต้นไม้ที่บึงฉวากแน่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และท้องนาเขียวชะอุ่ม ในตัวเมืองก็ต้องไม่พลาดพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร  ไหว้พระวัดไผ่โรงวัว วัดป่าเลไลยก์ และไปสักการะพระพุทธรูปแกะสลักผาหินที่อู่ทอง อย่าลืมพาเด็กๆ แวะไปดูควายที่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยด้วยนะ

      พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร สุพรรณบุรี
      พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร สุพรรณบุรี

      สมุทรสาคร – อีกหนึ่งไฮไลท์เลย คือ ชมวาฬบรูด้า เราจัดทริปเหมาเรือพาเพื่อนๆ ไปชมมา 4 รอบแล้ว เด็กๆ ตื่นเต้นสุดๆ ไม่อยากบอกเลยว่าพ่อกับแม่ตื่นเต้นกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า ศาลพันท้ายนรสิงห์ก็อยู่ที่นี่  มีร้านอาหารวิวริมทะเลราคาถูกๆ เยอะ อ้อสมุทรสาครมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนะเออ

      ชมวาฬบลูด้า สมุทรสาคร
      ชมวาฬบลูด้า สมุทรสาคร

       

      พาลูกเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ จริงๆ มีอีกหลายจังหวัดรอบๆ กรุงเทพฯ นะครับ ที่เราไปเที่ยวมาและอยากชวนไปเที่ยวกัน เอาสั้นๆ สักจังหวัดละที่ นนทบุรี (เกาะเกร็ด), ปทุมธานี (บ้านครูธานี), สิงห์บุรี (ค่ายบางระจัน) เอาเท่านี้เนอะ อ่านมาจนจบกว่า 60 สถานที่ ต้องมีที่ถูกใจเด็กๆ หลายที่แน่นอน อ่านจบก็สตาร์ทรถเลย


      >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

      หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

      ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
      ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

      บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

      5 แลนด์มาร์ก นนทบุรี พาลูกเที่ยว เช้าไปเย็นกลับสบายๆ

      พาลูกเที่ยว ฟาร์มแกะ ค่าเข้าไม่เกิน 100 พาเจ้าตัวเล็กไปเป็นเด็กเลี้ยงแกะกัน!

      พาลูกเที่ยว ฟาร์ม 5 ห้องเรียนธรรมชาติของเจ้าตัวเล็ก เข้าชมฟรี!!

        ดูแลผิวลูกหน้าฝน รับมือเชื้อราและแบคทีเรีย

        ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน มีฝนตกมาพร้อมกับอากาศที่ร้อนชื้น อาจทำให้ลูกน้อยเสี่ยงเกิดปัญหาผิวขึ้นได้ โดยเฉพาะในเด็กทารก และเด็กเล็กที่มีผิวบอบบาง เช่น โรคเชื้อราผิวหนัง ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นผ้าอ้อม ทีมแม่ ABK จึงมีคำแนะนำดีๆ ดูแลผิวลูกหน้าฝน มาฝาก ให้ผิวลูกน้อยสุขภาพดี ป้องกันปัญหาผื่นต่างๆ ที่เกิดจากเชื้อรา และแบคทีเรียได้

        Continue reading “ดูแลผิวลูกหน้าฝน รับมือเชื้อราและแบคทีเรีย”

          สมองซีกซ้าย

          8 กิจกรรมยามว่างพัฒนา สมองซีกซ้าย vs ซีกขวา ฝึกลูกใช้เหตุผลและมีความคิดสร้างสรรค์

          “สมอง” นั้นจัดว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกายเลยก็ว่าได้ ที่ทำหน้าที่ควบคุม สั่งการเคลื่อนไหว และเกี่ยวข้องกับการรับรู้ ความจำ และความสามารถในการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ โดยสมองของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือ สมองซีกซ้าย กับซีกขวาที่ทำงานกันคนละด้าน และทำหน้าที่แตกต่างกัน การเลี้ยงดูและการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมในวัยเด็กจะส่งผลต่อการเชื่อมต่อของเซลล์สมอง และมีส่วนช่วยปลุกศักยภาพความถนัดให้ลูกรักนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่ คุณพ่อคุณแม่พอจะสังเกตเห็นว่า ตอนนี้ลูกของเรามีความถนัดในด้านไหนกันบ้าง เป็นนักคิด อาร์ตติสท์ ชอบวางแผนหรือชอบร้องเพลง แล้วรู้มั้ยค่ะว่าความถนัดในแต่ละด้านนั้นเกี่ยวข้องกับสมองซีกซ้ายและซีกขวาอย่างไร มาดูกันค่ะว่า สมองแต่ละด้านทำงานเกี่ยวกับอะไรบ้าง พร้อมกับกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาสมองทั้งสองซีกให้เด็ก ๆ กันค่ะ

          สมองซีกซ้าย ซีกขวา เกี่ยวกับอะไร?

          สมองซีกซ้าย เป็นสมอง “ส่วนของการตัดสิน” สมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของมือขวา และจะควบคุมเรื่องเกี่ยวกับเหตุผลทุกอย่าง ทำหน้าที่คิดวิเคราะห์ เพื่อการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ทั้งด้านการใช้ภาษา การเขียน การอ่าน การควบคุม การพูด การใช้เหตุผล ทักษะด้านตัวเลข วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์  ฯลฯ ซึ่งมีผลทำให้คนถนัดสมองซีกซ้ายเป็นนักวางแผน ชอบวิเคราะห์ ทำอะไรทีละอย่างตามขั้นตอน แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน และมีผลวิจัยบอกว่าสมองที่โดดเด่นและได้รับการใช้งานมากที่สุดคือสมองซีกซ้ายนั่นเอง

          สมองซีกขวา สมองซีกนี้ถูกเรียกว่า “ส่วนของความคิดสร้างสรรค์” ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของมือซ้าย ช่วยควบคุมและพัฒนาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ทำหน้าที่ในเรื่องของศิลปะ ความเข้าใจการเห็นภาพสามมิติ มีความสุนทรียะและความสามารถด้านดนตรี เพลง และการใช้จินตนาการในการดำเนินชีวิต มีความรู้สึกดื่มด่ำต่อศิลปะ มีทักษะด้านการเข้าใจตนเอง นอกจากนี้สมองซีกขวายังช่วยให้เด็กเรียนรู้จิตใต้สำนึก และมีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากด้วยความรวดเร็วซึ่งแตกต่างจากสมองซีกซ้าย สิ่งนี้จะแปลความสามารถในการจดจำที่ดีขึ้น เด็กหรือคนที่ถนัดสมองซีกขวาจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย ปรับตัวเก่ง มองการณ์ไกล รักการอ่าน การเขียนหนังสือ มีความสามารถในงานฝีมือ และงานประดิษฐ์ ส่วนใหญ่จะเป็นศิลปิน เพราะมีความคิดสร้างสรรค์สูง

          8 กิจกรรมยามว่างพัฒนา สมองซีกซ้าย ซีกขวา

          กิจกรรมพัฒนาสมองซีกซ้าย เป็นการฝึกฝนลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันหรือเล่นเกมที่ใช้ทักษะความคิดเพื่อฝึกหลักการใช้เหตุผล การแยกแยะ การเก็บรายละเอียด การลำดับก่อนหลัง การจัดระเบียบขั้นตอน ฝึกการวางแผน การคิดให้เป็นระบบ ตัวเลข หรือภาษา อาทิเช่น

          กิจกรรมเสริมสมองซีกซ้าย

          1.เล่นเกม Crossword

          “ครอสเวิร์ดเกม” หรือเกมต่อศัพท์ภาษาอังกฤษ เป็นหนึ่งเกมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในงานวิจัยหลายฉบับ และเป็นเกมที่ได้รับความนิยมเล่นอย่างกว้างขวาง เป็นเกมที่ช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง เพิ่มพลังความคิด และทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ ๆ ด้วยการผสมอักษรและคำนวณคะแนนให้ได้มากที่สุด ผลลัพธ์จากการเล่มเกมนี้จะทำให้เด็กมีความสนใจในการเรียนรู้ภาษาเพิ่มมากขึ้น สะกดคำได้เก่ง และอ่านหนังสือได้เร็วขึ้น แถมยังได้ความสนุกสนานที่สามารถเล่นกันได้ทั้งครอบครัวด้วย

          2.เล่นเกม Sudoku

          ซูโดะกุ เป็นเกมปริศนาตารางตัวเลข ที่ผู้เล่นจะต้องเติมตัวเลขลงในช่องว่างของตาราง โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องใช้ตัวเลขในแต่ละแถวไม่ให้ซ้ำกัน และใช้ตัวเลขแต่ละตัวได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ทั้งในทุกแถวของแนวตั้ง แนวนอน เกมนี้จึงเป็นเกมที่เด็ก ๆ จะได้ฝึกสมอง ฝึกรูปแบบกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุผล หรือตรรกะ (logic) ในการไขปริศนานี้โดยดูจากข้อมูลตัวเลขที่ให้มา ได้ฝึกทักษะการสังเกตและการคิดวิเคราะห์ ฝึกฝนความคิดเรื่องการจัดลำดับ และ sense of space ฝึกความจำ รวมถึงการฝึกความอดทน มีสมาธิ เด็กที่เล่นเกมนี้จะพัฒนาทักษะการคิดเร็ว และปรับมุมมองคิดนอกกรอบได้เก่ง แถมยังเป็นเกมที่เล่นได้ทั้งครอบครัว ได้ทุกทีทุกเวลาอีกด้วย

          เล่นรูบิค

          3.เล่นรูบิค (Rubik’s Cube)

          รูบิคหรือตัวบิดทรงสี่เหลี่ยม ถือเป็นของเล่นฝึกสมองสุดคลาสสิกที่ไม่เคยล้าสมัยที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยได้เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ของเล่นชนิดนี้สามารถช่วยบริหารสมองและพัฒนาความสามารถในการจดจำ เป็นตัวช่วยที่ดีที่ทำให้สมองของลูกมีการพัฒนาในทางบวก ช่วยกระตุ้นความจำระยะสั้น เสริมทักษะความสัมพันธ์ตาและมือ ฝึกทักษะการวิเคราะห์ สร้างสมาธิและความอดทน ฝึกทักษะในการแก้ปัญหา ช่วยให้ลูกเป็นคนที่รู้จักคิดและส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทางด้านสติปัญญาช่วยให้ลูกมีความฉลาดมากยิ่งขึ้น ช่วยฝึกความเร็ว ความคล่องแคล่ว ทำให้ลูกได้คิดเร็วขึ้นในเวลาที่จำกัด จะเห็นได้ว่าเกมรูบิคนั้นมีประโยชน์มากมายเทียบเท่ากับการเล่นหมากรุก และมีขนาดเล็ก พกพาได้สะดวก สามารถนำติดตัวไปเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา เหมาะแก่การฝึกพัฒนาการสำหรับเด็ก ๆ และให้ลูกสนุกได้ดีทีเดียว

          4.เล่นหมากรุก

          เกมหมากรุก เป็นอีกเกมคลาสสิคที่เล่นกันได้ตั้งแต่เด็กจนถึงรุ่นคุณตาคุณยายกันเลยทีเดียว เป็นเกมที่จะช่วยฝึกสมอง ฝึกวางแผน วิเคราะห์ปัญหา ส่งผลให้สมองได้ใช้ความคิด และความสามารถในการประมวลข้อมูลต่าง ๆ ของสมอง ช่วยเสริมไอคิวเพิ่มสูงขึ้นได้ สร้างสมาธิ และช่วยให้มีความจำดีอีกด้วย

          5.อ่านหนังสือ

          การอ่านเป็นวิธีง่าย ๆ ที่แต่ช่วยพัฒนาสมองได้เป็นอย่างดี การอ่านจะมีส่วนช่วยเพิ่มการเชื่อมโยงเครือข่ายของสมอง ทำให้โครงสร้างของสมองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพิ่มการเรียนรู้และการจดจำ และเป็นการเปิดโลกจินตนาการถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ได้วิเคราะห์ตามเนื้อหาในหนังสือ ยิ่งถ้าให้ลูกได้อ่านหนังสือในเรื่องที่ไม่เคยอ่านมาก่อน ก็จะทำให้ลูกได้ความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอีกด้วย

          กิจกรรมพัฒนาสมองซีกขวา สมองซีกขวาเป็นส่วนสำคัญที่ควบคุมด้านจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ ความรู้สึก ควรให้ลูกได้ทำกิจกรรมใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อทำให้สมองส่วนนี้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

          สมองซีกซ้ายและซีกขวา มีความแตกต่างกันอย่างไร

          6.เขียนวาดความคิดออกมาเป็นภาพหรือสัญลักษณ์

          ฝึกให้ลูกได้วาดรูปตามจินตนาการหรือคิดนอกกรอบในภาพแนวใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ในแบบที่เป็นไปได้หรือเหนือจินตนาการ หรือเขียนออกมาในรูปของภาพประกอบมีคำบรรยาย หรือในรูปแบบของ Mind Map การฝึกแบบนี้บ่อยๆ จะช่วยให้ลูกเห็นภาพรวมของความคิด จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถค้นพบไอเดียใหม่ ๆ ได้อีกด้วย

          7.เล่นดนตรี

          ปัจจุบันการสนับสนุนให้ลูกเล่นดนตรีนับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่พ่อแม่ให้ความสนใจ เนื่องจากมีงานวิจัย ผลทดลอง และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากศึกษาถึงประโยชน์ของดนตรีต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าการให้ทำกิจกรรมทางดนตรี อย่างการร้องเพลงหรือเล่นเครื่องดนตรีตั้งแต่ยังเล็ก จะทำให้พัฒนาการทุกด้านรวดเร็วกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เพลงและดนตรีทำให้สมองมีการทำงานทุกส่วน สมองเกิดการตื่นตัวและทำงานแบบสอดประสานกัน ทั้ง 2 ซีก มีส่วนช่วยเสริมพัฒนาการสมอง ความจำ และทักษะความสามารถด้านต่าง ๆ ของเด็กได้มาก แม้แต่การฝึกเล่นดนตรีเป็นชิ้นเดียวก็จะพัฒนาทักษะทางปัญญา ความสามารถในการเรียนรู้ การคิดการใช้เหตุผล การเข้าสังคม การควบคุมอารมณ์ และความอดทนได้สูงอีกด้วย เนื่องจากการเล่นดนตรีไม่ได้ใช้ความเข้าใจหรือการจำอย่างเดียว แต่ต้องใช้ทักษะทางร่างกายที่ซับซ้อนด้วยและทักษะเหล่านี้จะติดตัวไปตลอดแม้ว่าจะหยุดเล่นดนตรีไปแล้วก็ตาม อีกทั้งยังมีผลการศึกษาพบว่า ดนตรีให้ผลโดยตรงต่อสมอง ระหว่างการเล่นดนตรีทำให้เกิดกระบวนการคิดสร้างสรรค์ เมื่อเด็ก ๆ ได้ฟังเพลง เนื้อร้องก็จะเกิดการจินตนาการเป็นภาพตามบทเพลง ครีเอทสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นได้ดี รวมถึงช่วยเพิ่มทักษะไอคิวได้อีกด้วย

          บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : เรียนดนตรีดียังไง หลายเหตุผลที่บอกว่า เลี้ยงลูกด้วยดนตรี มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต

          8.พาลูกทำกิจกรรมนอกบ้าน

          การทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา พาลูกไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ทุกกิจกรรมล้วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ของเซลล์สมองซีกขวาได้เป็นอย่างดี และให้ลูกได้มีประสบการณ์การนอกห้องเรียนที่ทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ด้วยความสนุก และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะหลาย ๆ ด้าน การเรียนรู้ที่จะเข้าสังคม ได้มีโอกาสลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ หรืออาจมีสถานการณ์ที่ต้องแก้ปัญหา และฝึกความอดทนมากขึ้น

          จะเห็นได้ว่าการพัฒนาสมองทั้งสองซีกของลูกน้อยให้ทำงานดีมีประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมกิจกรรมที่ดีต่อสมอง กระตุ้นให้ลูกได้เล่น หรือได้ใช้เวลาในการร่วมทำกิจกรรมร่วมกัน ให้ลูก ได้ฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์บ่อย ๆ และใช้สมองซีกซ้าย สมองซีกขวา ไปพร้อม ๆ กันอย่างสมดุล ก็จะช่วยให้พัฒนาการสมองทั้งสองซีกทำงานได้ดี ทำให้ลูกรักมีศักยภาพและความสามารถในการแสดงออกที่ปลดปล่อยออกมาได้ตามเวลาที่เหมาะสมอย่างเต็มที่

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www2.dnee.co.thwww.new.smartteen.net

          อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

          9 กิจกรรม & เกมพัฒนาสมอง ของลูกวัย 6+ ให้ลูกฉลาดและอารมณ์ดี

          9 แอพ เกมลับสมอง เล่นสนุก เพิ่มรอยหยัก ฝึกความจำ ให้ลูกมีไหวพริบฉลาดยิ่งขึ้น

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            พัฒนาการทารก 3 เดือน

            พัฒนาการทารก 3 เดือน ผมลูกบาง แหว่งเป็นกระจุก อันตรายหรือไม่?

            พัฒนาการทารก 3 เดือน  ลูกน้อยจะเริ่มจ้ำม่ำน่าฟัดสุดๆ นอกจากความน่ารักที่ใครเห็นก็หลงไปตามๆกันแล้ว พัฒนาการด้านร่างกายและอารมณ์ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งด้านร่างกายและอารมณ์ คุณแม่อาจกังวลว่าน้ำหนักของลูกเพิ่มขึ้นไม่มากเท่าช่วง 1 – 2 เดือนแรก พร้อมกับเส้นผมที่บางลง หรือแหว่งหายเป็นกระจุก แบบนี้อันตรายหรือเปล่า?

            ลูกวัยนี้จะยิ้มเก่งชวนหลง แถมบางคนเริ่มเลียนแบบสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินเป็นแล้วด้วย ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่คงต้องชวนคุยบ่อยๆ เล่นกับลูกเยอะๆ เพราะนั่นเป็นวิธีเรียนภาษาและการพูดของเจ้าตัวน้อย เพราะเด็กวันนี้เริ่มจำเสียงพ่อแม่ และอยากเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้นทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ

            พัฒนาการทารก 3 เดือน ทำไมผมลูกบาง ผมแหว่งเป็นกระจุกแบบนี้ ผิดปกติหรือเปล่า

            พัฒนาการทารก 3 เดือน พัฒนาการทางร่างกาย

            ลูกวัย 3 เดือนแข็งแรงกว่าที่คิด พวกเขาเริ่มควบคุมกล้ามเนื้อคอให้มั่นคง ยกคอขึ้นตั้งตรงได้แล้ว ชอบหันหน้ามองตามพ่อแม่ซ้ายที ขวาที เวลาจับนอนคว่ำก็สามารถยกหัวและหน้าอกข้น พร้อมกับเตะขาได้ แต่ในสายตาของลูกน้อยอะไรก็ไม่สำคัญเท่า “มือของตัวเอง” โดยมักจะจ้องมือบ่อยๆ พยายามเอามือเข้าปาก หรือจับมือตัวเองเล่นได้ทั้งวันเหมือนเป็นของเล่นชิ้นพิเศษที่เคลื่อนไหวได้ มือคว้าจับของเล่นถึงจะยังจับไม่ได้

            หากลองจับลูกให้ยืน เขาจะทำท่ากระโดดขาคู่ ขณะที่การมองเห็นทำงานดีขึ้น เห็นในระยะมือตัวเองชัดเจน ถ้าอยากส่งเสริมพัฒนาการ 3 เดือน ของลูกน้อย ควรปล่อยให้เล่นบนพื้นรองด้วยแผ่นปูนุ่มๆ เพื่อให้มีพื้นที่กว้างพอจะเตะขาหรือแกว่งของเล่น

            พัฒนาการทางอารมณ์

            เป็นเรื่องน่าดีใจสุดๆของแม่หลายคน เพราะเด็ก 3 เดือน สามารถจำหน้าแม่ได้ และพยายามคุยด้วยผ่านรอยยิ้มน้อยๆ ส่งเสียงอื้อๆ เรียกร้องความสนใจ ถ้าแม่ยิ้มให้ลูกก็พร้อมยิ้มตอบทันที แสดงอาการดีใจด้วยการกางมือ ชูแขน ขยับขา หากลองจ้องหน้าลูกใกล้ๆแล้วทำสีหน้ายิ้ม ร้องไห้ หน้าบึ้ง หัวเราะ ลูกน้อยก็จะพยายามทำตาม เพราะนั่นคือกระบวนการเลียนแบบการแสดงอารมณ์ตามธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าอยากให้ลูกมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี พ่อแม่ควรเล่นกับลูก พูดคุยกับลูกบ่อยๆ

            ลูกผมบาง ผมแหว่งผิดปกติหรือเปล่า

            “ผ้าอ้อมกัดหัว” เป็นคำที่ได้ยินบ่อยๆจากปู่ย่าตายาย มักเกิดในช่วงที่ทารกอายุราว 2 – 3 เดือน  ผมเส้นบางแสนอ่อนนุ่มของลูกน้อยเริ่มบางลง บางทีอาจแหว่งหายไปเป็นกระจุกคล้ายรอยหนูกัด คุณแม่เห็นแบบนี้อาจตกใจกลัวลูกเป็นอันตราย แต่ความจริงแล้ว อาการผมร่วงแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดกับเด็กทุกคน เพราะระบบฮอร์โมนของลูกเปลี่ยนแปลง มักกินเวลาประมาณ 3- 6 เดือน เช่นเดียวกับคุณแม่ที่มักผมร่วงเยอะในช่วงเวลานี้เช่นกัน โดยมีคำกล่าวว่า “ถ้าลูกจำหน้าแม่ได้ ผมแม่จะร่วง” ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ลูกอายุครบ 3 เดือนนั่นเอง  ยกเว้นกรณีที่หนังศีรษะลูกมีรอยแผล อาการคัน หรือเป็นผื่นแดง ซึ่งอาจเกิดจากอาการแพ้ ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาให้ละเอียด

            MUST READ :ลูกผมร่วง เพราะ ผ้าอ้อมกัดหัว ผ้าอ้อมกัดผม จริงหรือ?

            เรื่องนี้พ่อแม่มักสงสัย

            การกิน : ลูกจะกินเยอะกว่าเดิมมาก และสื่อสารบอกว่าหนูหิวได้เก่งขึ้นแล้ว ทารกที่กินนมผสมส่วนมากกินนมครั้งละ 5 ออนซ์ วันละ 6-8 มื้อ ส่วนทารกที่กินนมแม่ หากผ้าอ้อมสำเร็จรูปเต็มวันละ 4-5 ชิ้นก็ถือว่ากินได้เพียงพอ ทารกวัย 3 เดือนยังไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ เนื่องจากในนมผสมและนมแม่มีน้ำมากพอต่อความต้องการแล้ว

            การนอน : เบบี๋ในระยะนี้มักนอนประมาณวันละ 15 ชั่วโมง ส่วนมากเป็นเวลากลางคืน ซึ่งอาจนอนได้ถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทารก 3 เดือนอาจหลับยาวต่อเนื่องได้ 5-6 ชั่วโมง ระหว่างวันอาจนอนหลับสัก 3 รอบ รวมระยะเวลาราว 5 ชั่วโมง เด็กวัยนี้อาจนอนยากขึ้นแม้จะง่วงเพลีย คุณแม่ควรจัดสภาพการนอนให้เหมาะสม อย่างเช่น ปิดไฟมืด ร้องเพลงกล่อม วางทารกลงนอนในตอนที่เด็กง่วงแต่ยังไม่หลับ และฝึกให้ทารกนอนหลับเอง

            ส่วนเวลาเข้านอนของเบบี๋วัย 3 เดือนนั้นให้ขึ้นอยู่กับตารางเวลาของครอบครัว แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำว่าให้นอนระหว่าง 1 – 3 ทุ่ม เมื่อทารกเริ่มนอนยาวขึ้น ให้ลองพาทารกเข้านอนเร็วขึ้น จะช่วยให้ลูกยิ่งหลับยาวมากขึ้นด้วย

            เรื่องนี้แม่ห้ามพลาด

            • พาลูกไปพบแพทย์และฉีดวัคซีนตามนัด
            • ลองให้ลูกได้นอนคว่ำเล่น เพื่อฝึกกล้ามเนื้อคอและแขน หากลูกไม่ชอบนอนคว่ำบนพื้น ลองจับลูกอย่างมั่นคงและให้นอนคว่ำบนลูกบอล แล้วคุณพ่อคุณแม่จับลำตัวลูกให้เคลื่อนที่เป็นวงกลม
            • เล่นเกมกับลูก : นำกระจกมาตั้งให้ลูกส่องมองตัวเอง เด็กๆ ส่วนมากจะชอบมองและยิ้มให้ตัวเองในกระจก หรืออาจให้ลูกน้อยสวมถุงเท้าเสริมพัฒนาการที่มีกระพรวนกรุ๋งกริ๋ง เด็กจะสนุกสนานเมื่อขยับเท้าตัวเองแล้วได้ยินเสียงดัง

            แหล่งข้อมูล  www.thebump.com

            พัฒนาการเด็ก 3 เดือน ต้องกระตุ้นอย่างไร? ให้ลูกแข็งแรงสมวัย

             

            ของเล่นเสริมพัฒนาการ เด็กแรกเกิด-6 เดือน แบบไหนเหมาะกับวัยลูก?

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

             

              โรค 4s เกิดจากอะไร

              โรค 4s เกิดจากอะไร ภัยใกล้ตัวลูกน้อย ที่พ่อแม่ต้องระวัง!

              โรค 4s เกิดจากอะไร ภัยใกล้ตัวลูกน้อย ที่พ่อแม่ต้องระวังให้ดี อย่าให้ความเอ็นดูทำพิษ ปล่อยให้คนอื่นมาอุ้ม กอด หอมลูก เสี่ยงลูกติดเชื้อทางผิวหนังอย่างรุนแรง เป็นโรค ssss

              อุทาหรณ์ โรค 4s ภัยใกล้ตัวที่พ่อแม่ต้องรู้เท่าทัน
              พร้อมระวังลูกน้อยให้ดี!

              โรค 4S ถือเป็นอีกหนึ่งโรคผิวหนังในเด็ก ที่หลายคนเริ่มคุ้นหู เพราะไม่ใช่โรคอุบัติใหม่และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวเด็กป่วย โรค 4S มาแล้ว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะเป็นโรคที่ไม่ได้ระบาดหรือมีข่าวว่าเกิดกับเด็กเยอะแยะมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นกับลูกน้อยของเรา

              เพราะด้วยความที่เด็กทารกยังมีผิวที่บอบบางและอ่อนแอ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องรับมือกับปัญหาภูมิแพ้และผื่นคันของลูกน้อยอยู่บ่อยครั้ง แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากสิ่งสกปรกรอบตัวแล้ว “การสัมผัสตัวเด็ก” ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง ร้ายแรงอย่างภาวะ Staphylococcal Scalded Skin Syndrome หรือที่เรียกกันว่า โรค 4S ได้เช่นกัน

              เช่นเดียวกับหนูน้อยวัย 5 เดือนเศษคนนี้ที่ ป่วยเป็น โรค 4s มีภาวะติดเชื้อทางผิวหนังอย่างรุนแรง สาเหตุก็เพราะถูกผู้ใหญ่ที่เอ็นดูน้องเข้ามาจับ อุ้ม และหอมน้อง โดยเรื่องราวนี้ผู้เป็นป้าของหนูน้อยได้ออกมาโพสต์เฟสบุ๊คเตือนถึงอาการป่วยเป็น โรค 4S ของหลานว่า..

              ขอเตือนนะคะภัยใกล้ตัวไม่ควรมองข้าม….ใครที่มีลูกมีหลานเล็กๆอย่านะคะ…??! อย่าจับน้องถ้ายังไม่ใด้ล้างมืออย่าอุ้มน้องขณะที่ตัวเองเปื้อนสิ่งอะไรต่างๆนาๆตามตัวค่ะ ย้ำเลยนะคะ สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากการ 📍สัมผัส 📍หอม 📍หรือโดนตัวน้องขณะที่ไม่ล้างมือกัน เชื้อพวกนี้ขะติดตามตัวน้องและจะฟักตัวประมาน 10 วัน
              #ทุกเคยบอกพูดว่าจะอนามัยอะไรหนักหนาเลี้ยงมาแบบแต่ก่อนก็ไม่เห็นเป็นอะไรคลานกับดินเล่นกับดิน คือแบบเด็กทุกวันเขาเกิดมาพร้อมโรคมากมายไม่ใช่แต่ก่อนที่เลี้ยงแบบใหนก็ใหนใด้ ทุกวันนี้โรคมันอยู่รอบๆ ตัวเราทั้งนั้นค่ะ ไม่ใด้รังเกียจนะคะถ้าจะจับน้องแต่ขอให้ล้างมือด้วยค่ะ ทุกคนบอกจะล้างทำไมไม่เห็นจะเป็นอะไร เป็นแน่นอนเป็นอย่างหลานเราเป็นค่ะ
              โรค 4s เกิดจากอะไร
              ภาพหนูน้อยวัย 5 เดือนเศษคนนี้ที่ ป่วยเป็น  #โรค4s ติดเชื้อทางผิวหนังอย่างรุนแรง โดยการ ✔️จับน้อง ✔️อุ้มน้อง ✔️หอมน้อง
              #เตือนเลยน่ะค่ะอยากจับน้องอุ้มน้องหอมน้องล้างมือล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดก่อนน่ะค่ะ โรคนี้รักษาหายค่ะถ้าไม่ปล่อยเยอะเกินไป ไม่เกี่ยวกับการกินนะคะเกี่ยวกับการสัมผัสล้วนๆเลยค่ะ 💥ใครจะว่าเราอนามัยก็แล้วแต่เราห่วงลูกห่วงหลานควรระวังมากกว่านี้
              🌓 #เคยเห็นแต่เค้าแชร์กันโรค4sไม่คิดว่าจะมาเป็นกับหลานตัวเองระวังอย่าให้ใครจับน้องง่ายๆนะคะ

              โรค 4s เกิดจากอะไร

              โรค 4S หรือ โรค SSSS (Staphylococcal scalded skin syndrome) พบบ่อยในทารกแรกเกิด หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นกลุ่มอาการผิวหนังลอกทั้งตัว เกิดจากท็อกซินของเชื้อแบคทีเรีย S.aureus phage group II phage type 71 หรือ 55 เมื่อมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง เชื้อจะสร้างสารพิษที่มีชื่อว่า exfoliation ทำให้เกิดตุ่มน้ำในระหว่างชั้นของหนังกำพร้า เกิดการอักเสบและแยกชั้นของผิวหนังบริเวณหนังกำพร้า เมื่อขนาดขยายใหญ่ขึ้นทำให้หนังกำพร้าชั้นบนหลุดลอกออกจากผิวหน้งชั้นล่างตลอดทั้งตัว และจากการวิจัยพบว่าเชื้อ S. aureus ที่ติดจากการสัมผัสโดยทางตรงและทางอ้อม เป็นสาเหตุอันดับ 3 ของการติดเชื้อในกระเเสเลือด พบอัตราการเสียชีวิตจากเชื้อนี้ได้ร้อยละ 26 จากการรักษาช้า เชื้อดื้อยา และจากการติดเชื้อที่รุนแรง

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

              อาการของ โรค 4s

              พบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด  อาการแสดงจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายหลังการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเด็กจะมีอาการไข้ ร้องกวน งอแง เกิดผื่นผิวหนังแดงทั้งตัว โดยเฉพาะที่ตา รอบปาก เยื่อบุจมูก และลำคอ ร้องกวนและเวาลาจับตัวจะร้องเนื่องจากรู้สึกเจ็บ  ภายใน 1-2 วันต่อมาผื่นแดงนี้จะพองขึ้นเห็นเป็นรอยย่นหรือตุ่มน้ำ แล้วลอกออกเป็นแผ่นใหญ่ ๆ เห็นผิวข้างใต้แดงขึ้นคล้ายผิวหนังของผู้ที่ถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก เห็นได้ชัดบริเวณซอกพับต่างๆ โดยเฉพาะขาหนีบ รักแร้และคอ หลังจากนั้นผื่นค่อยๆ แห้ง ตกสะเก็ด อาจเห็นเป็นรอยย่นแยกเป็นแฉกออกจากรอบปากและตา สะเก็ดหลุดแล้วผื่นจะหายเป็นปกติ

              วิธีรักษาและป้องกัน โรค 4S

              การรักษาในรายที่มีอาการรุนแรงควรรับตัวไว้รักษาไว้ในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะเข้าทางหลอดเลือด เมื่ออาการดีขึ้นสามารถเปลี่ยนเป็นยากินได้ รวมระยะเวลาการให้ยาปฏิชีวนะ 10-14 วัน นอกจากนี้ควรให้การรักษาประคับประคองดูแลผิวที่ลอกให้ดี ดูแลภาวะขาดสารน้ำและแก้ไขภาวะอิเล็กโทรไลต์ที่อาจผิดปกติ เฝ้าระวังการติดเชื้อแทรกซ้อนและให้ยาระงับอาการเจ็บปวด เด็กจะค่อย ๆ ดีขึ้น ผื่นจะหายเป็นผิวปกติ โดยไม่มีแผลเป็นหลงเหลืออยู่ภายในเวลา 10-14 วัน

              ดังนั้นเมื่อรู้แล้วว่า โรค 4s เกิดจากอะไร สิ่งสำคัญสำหรับการควบคุมการแพร่กระจายของ S. aureus คือการป้องกัน เนื่องจากติดเชื้อจากการสัมผัสโดยทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นการที่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ จะช่วยลดการแพร่เชื้อได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่วัคซีนป้องกันการติดเชื้อสแตฟฟิลโลคอคคัส

              อย่างไรก็ตามหากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกจะเป็นโรค 4s ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรหาซื้อยามาทาให้ลูกเอง เนื่องจากโรคนี้หากมีการรักษาที่ไม่ถูกต้องหรือได้รับรักษาไม่ทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

              ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : เฟซบุ๊ก Rattanakron Phrmbandit , ศิริพร พรมบันดิษฐ์

              www.thaihealth.or.th

              www.si.mahidol.ac.th

              อ่านบทความอื่นๆ น่าสนใจเพิ่มเติม ⇓

              สังเกตให้ดี! ลูกขึ้นผื่นเล็กๆ มีตุ่มใสๆ ไม่ใช่ผดร้อน แต่อาจเป็น โรคตุ่มน้ำพอง

              6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

              หมอเตือน อย่าใช้ยาลดไข้สูง รักษาโรคไข้เลือดออก

              แม่โพสต์เตือน! สาเหตุที่ทำให้ ทารกท้องเสีย เป็นโรคลําไส้อักเสบ

              แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

                พัฒนาการทารก 2 เดือน

                พัฒนาการทารก 2 เดือน ตื่นบ่อย ร้องไห้เก่ง ใช่โคลิคหรือเปล่า ?

                พัฒนาการทารก 2 เดือน ลูกโตขึ้นมาก ไม่ได้นอนนิ่งๆเป็นตุ๊กตาน้อยอย่างเคย เริ่มขยับแข้ง ขยับขา สนุกกับการมองเห็นสิ่งรอบตัว ขณะที่คุณพ่อคุณแม่เริ่มปรับตัวและเข้าใจความต้องการของลูกน้อยได้มากขึ้น  แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังมีเรื่องตื่นเต้นให้ใจได้มากมาย บางครั้งลูกตื่นบ่อย ร้องไห้นาน ร้องงอแงกลางดึกบ่อยๆ แบบนี้ ลูกเป็นโคลิค หรือเปล่า

                พัฒนาการทารก 2 เดือน เปลี่ยนไปมาก ร้องไห้เก่ง ร้องงอแงเป็นชั่วโมง ใช่โคลิคหรือเปล่า

                เด็กวัย 2 เดือนจะเริ่มรู้จักการเล่น และนอนหลับน้อยลงในช่วงกลางวันเพื่อตื่นมา “เข้าสังคม” ช่วงกลางคืนทารกจะเริ่มนอนดีขึ้น แต่ถ้าลูกบ้านไหนยังตื่นบ่อยเหมือนเดิม อย่าเพิ่งกังวล เพราะลูกจะปรับตัวให้นอนได้นานขึ้นเอง ส่วนจะช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปตามพื้นฐานของเด็กแต่ละคน

                พัฒนาการทางร่างกาย พัฒนาการทารก 2 เดือน

                ลูกในวัยนี้มีความเปลี่ยนแปลงที่คุณแม่สังเกตได้หลายอย่าง นอกจากน้ำหนักและส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมากแล้ว พัฒนการทางร่างกายหลายด้านชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการแสดงความสนใจต่อสิ่งรอบตัว ทั้งมองตามเสียงต่างๆ แม้ว่าจะยังหันซ้าย หันขวาไม่ตรงทิศ แต่ก็สามารถมองตาม คุณแม่ที่กำลังเดินไปเดินมา หรือพัดลมที่หันช้าๆ ได้ถึง 180 องศาแล้ว ชอบมากรูปทรงและสีสันที่ซับซ้อนได้มากขึ้น ไม่เฉพาะสีขาว-ดำ แต่จะยังเห็นสีได้ไม่เหมือนผู้ใหญ่

                เจ้าตัวน้อยแข็งแรงขึ้น หลายคนพยายามยกศีรษะขึ้นมากที่นอน หรือถ้าได้นอนคว่ำก็จะพยายามเอาแขนยันพื้นไว้ ชูคอสูง คอเริ่มแข็งตั้งตรงได้ ขยับแขนขยับขาได้คล่องแคล่วขึ้นมาก

                พัฒนาการทางอารมณ์ ร้องเยอะแต่ก็ยิ่งเก่งด้วย

                เด็กวัยนี้เริ่มแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าให้คุณพ่อคุณแม่รับรู้ได้ว่ารู้สึกอย่างไร สีหน้าตอนโกรธ ไม่พอใจ เสียใจ  ไม่ใช่แค่การร้องไห้เหมือนตอนหลังคลอด ลูกเริ่มยิ้ม ส่งเสียงอื้ออ้าในคอเวลาได้ยินเสียงคุณพ่อคุณแม่ หันมองเวลามีใครพูดด้วย บางคนอาจยกมือ เตะเท้าเวลาถูกใจ สังเกตได้ว่าลูกจะจ้องดูหน้าแม่เป็นเวลานาน เพราะเขากำลังศึกษาและจดใบหน้าว่าคนนี้ไหงแม่ของหนู

                หลายบ้านอาจเจอปัญหาว่า ลูกกินนมแล้วไม่นอนหลับเหมือนเดิม นอนน้อยในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง บางคนนอนยาวในตอนกลางวัน แต่กลางคืนไม่ยอมนอน นั่นเพราะเขาอยากเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้นแต่ยังไม่สามารถปรับเวลานอนเหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกสักพัก ขณะที่หลายบ้านอาจเจอปัญหาว่า ลูกร้องไห้หนักขึ้น ร้องอแงไม่ยอมหยุด โดยเฉพาะช่วงเย็นหรือค่ำ คุณแม่อาจกังวลว่า อาการแบบนี้ ลูกเป็นโคลิคหรือเปล่า

                ร้องโคลิคคืออะไร

                โคลิค หรือ โคลิก (colic) คืออาการร้องของเด็กทารก ที่มักจะเกิดขึ้นในทารกอายุ 3 สัปดาห์จนถึง 3 เดือน ลักษณะการร้องของลูกจะร้องมาก ร้องนาน ร้องหน้าแดงกำหมัดแน่น ร้องจนตัวงอ เป็นต้น และมักชอบร้องช่วงเวลาเย็นๆ หรือไม่ก็ช่วงกลางคืน  เป็นการร้องที่ตรงเวลากันทุกวัน โดยจะร้องนานมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุที่ชัดเจนได้ และอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น

                พื้นฐานอารมณ์ของลูกเป็น “เด็กเลี้ยงยาก”

                กลืนอากาศมากขณะดูดนม หรือกินนมแล้วไม่ได้เรอ ทำให้แน่นท้อง

                กินมากหรือน้อยไป กินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป

                มีภาวะกรดไหลย้อน ลำไส้เคลื่อนตัวผิดปกติ

                แพ้อาหาร

                พ่อแม่มีปัญหาด้านอารมณ์ คุณแม่เครียดขณะตั้งครรภ์

                จากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งข้างต้นจึงทำให้ลูกร้องไห้ยาวนาน บางคนอาจร้องต่อเนื่องเป็นชั่วโมง อุ้มเดินแค่ไหนก็ไม่หาย หรือถ้าหยุดร้องแล้ววางลงนอนลูกเริ่มร้องใหม่ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ลำบากอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อผ่านพ้น 6-8 สัปดาห์แล้วอาการร้องโคลิคจะค่อยๆดีขึ้นและหายไปเอง ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องทำใจยอมรับ อดทน และพยายามไม่เครียด ที่สำคัญควรสลับกันดูแลลูก อย่าปล่อยให้แม่ดูแลเพียงคนเดียว เพื่อให้อีกฝ่ายได้ไปพัก ผ่อนคลายอารมณ์ รอเวลาที่ลูกน้อยน่ารักคนเดิมกลับมา

                 

                 

                เรื่องที่พ่อแม่สงสัย พัฒนาการทารก 2 เดือน

                ฟันขึ้น : แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนักในพัฒนาการทารก 2 เดือนแต่ก็เป็นไปได้ที่ทารกจะมีฟันขึ้นในเดือนนี้ โดยปกติฟันจะขึ้นเมื่อลูกอายุ 4-6 แต่ถ้าลูก 2 เดือนมีอาหารน้ำลายยืด ร้องไห้งอแง นอนไม่หลับ และไม่ยอมกินนม อาจเป็นเพราะฟันกำลังจะขึ้น หรือถ้าไม่แน่ใจควรให้คุณหมอตรวจดูอาการ

                การขับถ่าย : ทารกที่กินนมผสมมักอึวันละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนทารกที่กินนมแม่จะอึบ่อยกว่านั้น หรืออาจจะไม่อึเลยถึง 7 วัน ไม่ถือว่าเป็นปัญหา คุณพ่อคุณแม่อย่ายึดติดความถี่ ให้ดูที่คุณภาพเป็นหลัก หากลูกวัย 2 เดือนท้องผูก อึที่ออกมาจะเป็นก้อนกลมแข็ง แต่ถ้าลูกท้องเสีย อึจะเหลวเป็นน้ำกว่าปกติ

                การกิน : หากกินนมขวด เดือนนี้ลูกยังคงกินนมถี่ทุก 3-4 ชั่วโมง จำนวน 4-5 ออนซ์ต่อครั้ง และบางทีลูกก็อาจหิวเป็นพิเศษ หรือกินน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนเด็กนมแม่ก็อาจกินทุก 2 หรือ 3 ชั่วโมง หากลูกกำลังหลับสนิทและได้เวลากินนมแล้ว ไม่จำเป็นต้องปลุกขึ้นมากิน และทารกยังไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ เพราะน้ำในนมมีปริมาณน้ำที่มากเพียงพออยู่แล้ว

                การนอน : ลูกนอนหลับประมาณ 15 – 16 ชั่วโมงต่อวัน โดยกลางคืนทารกจะนอน 8-9 ชั่วโมง (อาจไม่ติดต่อกัน ซึ่งถือว่าปกติ) และนอนกลางวันอีกราว 3 รอบ หรือรวมประมาณ 7-8 ชั่วโมง

                ลูก 2 เดือนสามารถฝึกให้นอนยาวได้หรือยัง?

                คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะอยากฝึกให้ลูกนอนยาวเร็วๆ แต่โดยทั่วไปแล้วควรรอให้ลูกอายุ 4 เดือนก่อน ซึ่งตอนนั้นลูกจะตื่นมากินนมกลางคืนน้อยลงตามธรรมชาติ และมีรูปแบบการนอนคงที่มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มฝึกการนอนให้ทารกด้วยการพาลูกลงนอนเปลทุกครั้งที่ลูกทำท่าง่วง แต่ยังไม่หลับ สิ่งสำคัญคือการฝึกให้ลูกนอนหลับเองให้ได้ ซึ่งเป็นทักษะที่จะทำให้ลูกนอนเองในตอนกลางคืนโดยไม่ต้องปลุกพ่อแม่

                เช็คลิสต์ที่ต้องทำ

                • พาลูกไปพบแพทย์และฉีดวัคซีนตามนัด
                • ให้ลูกมีเวลา Tummy Time หรือการนอนคว่ำเล่น เพื่อให้ลูกได้ฝึกกล้ามเนื้อคอและแขน
                • เล่นเกมกับลูก : คุณพ่อคุณแม่อาจหาวัตถุที่ทำให้เกิดเสียงต่างๆ เช่น กระดาษ, ไม้เคาะ, ของเล่นเขย่า ฯลฯ นำมาทำให้เกิดเสียงต่างๆ ให้ทารกฟัง จากนั้นให้ลูกจับสิ่งของนั้นแล้วช่วยเคาะ ขยำ หรือทำให้เกิดเสียง ทารกจะตื่นเต้นกับเสียงที่แปลก แตกต่างกันออกไป ทั้งยังช่วยฝึกทักษะการฟังและเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อยด้วย

                 


                แหล่งข้อมูล    www.thebump.com

                 

                พัฒนาการเด็ก 2 เดือน ลูกโตแค่ไหน ต้องส่งเสริมพัฒนาการยังไง?

                 

                ลูกร้องโคลิค สาเหตุ อาการ และวิธีแก้ไข

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                  ลูกพูดช้า

                  ลูกพูดช้า เพราะอะไร แค่ไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ! พ่อแม่ต้องแก้ยังไง?

                  ลูกพูดช้า สาเหตุเพราะอะไร … 1 ขวบ แล้ว ลูกไม่ยอมพูด พ่อแม่ควรกังวลหรือไม่ เด็กพูดช้า แค่ไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ ควรรีบไปหาหมอ ตามมาดูคำตอบกันค่ะ

                  ลูกพูดช้า เพราะอะไร แค่ไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ!

                  เมื่อถึงวัยแล้ว ลูกพูดช้า ลูกไม่ยอมพูด !! เด็กพูดช้า ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาพัฒนาการที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายบ้านมักเจอ ซึ่งเด็กมักจะมีพัฒนาการทางด้านภาษา หรือการพูดตั้งแต่แรกเกิด คือ จะส่งเสียงร้องไห้ตั้งแต่เกิด และประมาณ 2-3 เดือนต่อมาก็จะเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้บ้าง เหมือนเป็นการพูดคุยกับพ่อแม่ พัฒนามาเรื่อยๆ จนเป็นเสียงหัวเราะ ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ เล่นน้ำลาย เป่าปาก ส่งเสียงจากลำคอ ทำตามคำพูดหรือคำถาม และพัฒนามาเป็นคำพูดในช่วงประมาณ 1 ขวบ และจะเริ่มพูดคำมีความหมาย 2 คำติดกัน เมื่ออายุประมาณ 2 ขวบ จนกระทั่งเป็นประโยคยาวๆ ประมาณ 3-4 ขวบ ซึ่งส่วนใหญ่เด็กจะเริ่มพูดออกเสียงเป็นคำได้ในช่วงอายุ 12 เดือนเป็นต้นไป

                  ลูกพูดช้า
                  ทักษะภาษาของเด็กแต่ละวัย

                  แต่ก็อาจมีเด็กบางคนที่เมื่อถึงวัยนี้แล้ว ยังไม่ออกเสียงพูด เป็นคำให้ได้ยิน จึงทำให้คุณพ่อคุณที่ประสบเหตุนี้อยู่เริ่มกังวลใจ เช่นเดียวกับ คุณแม่สายสตรอง “ต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์” ที่ดูแล “น้องปกป้อง” มาอย่างอบอุ่น แต่มีเรื่องให้ต้องเข้าพบแพทย์ เพราะน้องพูดช้าเกินไป โดยได้เผยคลิปพร้อมแคปชั่นว่า…

                  “ช่วงคุณแม่มือใหม่….มาปรึกษาคุณหมอเพราะอยากรู้เรื่องพัฒนาการตามวัยของลูก และสิ่งที่แม่ควรทำ มันช่วยได้เยอะจริงๆค่ะ ปกป้องวัยขวบครึ่งเป็นช่วงเวลาที่เค้าต้องพูด แต่มันต้องมาจากการสอนของคนเลี้ยง คุณหมอก็แนะเทคนิคการสอนให้มันก็เหมือนกะการที่แม่มาเรียนน่ะค่ะ การจะสอนลูกได้คือเราต้องรู้ก่อน เพราะบางอย่างเราอาจจะมาผิดทาง เด๋ววันหลังหอมจะไลฟ์นะคะละบอกว่าหมอสอนอะไรบ้าง…..เป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ค่ะแต่จะบอกว่าแค่มาคุยกะหมอ เราก็จะเข้าใจได้ง่ายกว่าค่ะ”

                  View this post on Instagram

                  ช่วงคุณแม่มือใหม่….มาปรึกษาคุณหมอเพราะอยากรู้เรื่องพัฒนาการตามวัยของลูก และสิ่งที่แม่ควรทำ มันช่วยได้เยอะจริงๆค่ะ ปกป้องวัยขวบครึ่งเป็นช่วงเวลาที่เค้าต้องพูด แต่มันต้องมาจากการสอนของคนเลี้ยง คุณหมอก็แนะเทคนิคการสอนให้มันก็เหมือนกะการที่แม่มาเรียนน่ะค่ะ การจะสอนลูกได้คือเราต้องรู้ก่อน เพราะบางอย่างเราอาจจะมาผิดทาง เด๋ววันหลังหอมจะไลฟ์นะคะละบอกว่าหมอสอนอะไรบ้าง…..เป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ค่ะแต่จะบอกว่าแค่มาคุยกะหมอ เราก็จะเข้าใจได้ง่ายกว่าค่ะ

                  A post shared by Sakuntala Teinpairoj (@djtonhorm) on

                  ลูกพูดช้า ทำไงดี!

                  ทั้งนี้เด็กปกติบางคนพูดคำแรกตั้งแต่อายุ 8 เดือน แต่บางคนยังไม่พูดจน 2-2 ขวบ 6 เดือน สำหรับเรื่องนี้ พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด มีวิธีประเมินเด็กที่มีปัญหาพูดช้าเพื่อให้การวินิจฉัยและให้การดูแลที่เหมาะสมมาแนะนำ ดังนี้

                  • ประเมินเรื่องการได้ยิน หากสงสัยว่าลูกมีปัญหา เช่น เรียกไม่หัน เสียงดังๆจึงตอบสนอง อาจเป็นความผิดปกติแต่กำเนิด หรือมีปัญหาหูชั้น อักเสบบ่อยๆ แพทย์จะใช้อุปกรณ์เพื่อตรวจการได้ยินและรักษาได้ด้วยเครื่อง ช่วยฟัง
                  • ประเมินกล้ามเนื้อลิ้น ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการพูด แก้ไขโดย ฝึกกล้ามเนื้อ ปรึกษานักฝึกพูด
                  • ประเมินพัฒนาการด้านอื่นๆ เช่น การเคลื่อนไหว ความเข้าใจด้าน ฟังรู้เรื่องและทำตามคำสั่งง่ายๆได้หรือไม่ การสบตาและการมีปฏิกิริยาตอบสนอง กับบุคคลเป็นอย่างไร เพื่อดูว่ามีปัญหาสมองพิการหรือพัฒนาการช้ารอบด้าน หรือช้าเฉพาะด้านภาษา หรือเป็นโรคออทิสติกหรือไม่ กุมารแพทย์จะช่วย ประเมินในเบื้องต้น และหากสงสัยว่ามีความผิดปกติจริง จะส่งต่อให้แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กหรือจิตแพทย์เด็ก เพื่อการวินิจฉัยและให้ คำแนะนำในการดูแลต่อไป
                  • ประเมินเรื่องการเลี้ยงดู การส่งเสริมกระตุ้นพัฒนาการ ใครเป็นผู้ดูแลใกล้ อ่านหนังสือให้ฟัง พูดคุยกับลูกบ่อยหรือไม่ ดูทีวีมากไปหรือไม่ แก้ไขโดย ส่งเสริมพัฒนาการลูกเพิ่มขึ้น หรืออาจเป็นบ้านที่พูดหลายภาษาหรือไม่ ซึ่ง อาจทำให้เริ่มพูดช้ากว่าบ้านที่พูดภาษาเดียว แต่ภายหลังจะพูดได้เอง

                   

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                   

                  อย่างไรก็ตามปัญหา ลูกพูดช้า ส่วนใหญ่เกิดจากการเลี้ยงดูที่ดีจนเกินไป ทำให้พัฒนาการของลูกถอยหลัง เพราะการที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ปล่อยให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง ไม่ปล่อยให้ลูกรู้จักรอ ไม่ปล่อยให้เขาบอกเรา เช่น กินข้าว ลูกยังไม่ทันหิวก็มีอาหารมาป้อนถึงปาก

                  การทำให้ลูกทุกอย่าง อุ้มตลอด โดยไม่กระตุ้นให้ช่วยเหลือตัวเองหรือปล่อยให้เล่น ได้หยิบ ได้จับบ้าง ถือเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อมที่ ร้ายแรงมาก ฉะนั้นควรเดินสายกลาง ปล่อยให้ลูกทำอะไรเองบ้างโดยไม่ประคองไปเสียทั้งหมด

                  ส่วนปัญหา ลูกพูดช้า ถ้าไม่นับว่ามีความผิดปกติทางด้านร่างกาย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ไม่ได้เปิดโอกาสให้ลูกพูด หลายคนอาจจะแย้งว่าพูด แต่ถ้าเด็กอยู่ในบ้านที่พ่อแม่พูดกันเอง ไม่ได้พูดคุยกับลูก ลูกก็ไม่เข้าใจ ฉะนั้นเวลาพ่อแม่พูดคุยกับลูกต้องมีตัวอย่างเชื่อมโยง เพราะลูกมีคำอยู่ในสมอง แต่ใช้ไม่เป็น

                  และอีกสาเหตุที่สำคัญไม่แพ้กันคือ พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกคลานด้วย เพราะกล้ามเนื้อ แขน ไหล่ถือเป็นกล้ามเนื้อเบื้องต้นที่ช่วยให้คอ ปาก รวมถึงการพูดทำงานอย่างเต็มที่ เมื่อลูกได้ออกกำลังกายและคุณพ่อคุณแม่สื่อสารกับลูกแล้วจะทำใหพัฒนาการทางด้านการพูดของเขาดีขึ้นค่ะ

                  สุดท้ายนี้ พัฒนาการของการพูด จำเป็นต้องรอเวลา และการสังเกต การกังวลล่วงหน้าอาจส่งผลถึงลูกได้ ต่อเมื่อถึงเกณฑ์ แล้วลูกยังไม่พูดก็อย่าได้ลังเลจนเวลาล่วงเลย ควรรีบพาไปปรึกษาคุณหมอ เพราะยิ่งรู้ได้เร็วว่าพูดช้าจากเหตุใด จะยิ่งเป็นผลดี ต่อลูกเท่านั้นนะคะ


                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.phyathai.com

                  อ่านบทความอื่นๆ น่าสนใจเพิ่มเติม ⇓

                  รวมรายชื่อ หมอพัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลชื่อดัง ที่แม่ควรเซฟเก็บไว้

                  วิจัยชี้! แค่มองตาลูกก็กระตุ้น ทักษะด้านภาษา ได้แล้ว!

                  ส่งลูกเข้า เตรียมอนุบาล จำเป็นมั้ย? ควรให้ลูกเข้าเรียนตอนกี่ขวบดี?

                  ลูกพูดช้า ทำอย่างไรดี

                  ต้นเหตุลูกพูดช้า เพราะดูทีวี มือถือ และแท็บเล็ต ประสบการณ์จากคุณแม่

                    เทคนิคการเลี้ยงลูก

                    6 เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่! (ฉบับฮาร์วาร์ด)

                    เผย เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี ฉบับฮาร์วาร์ด หากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่กำลังมองหา เทคนิคการเลี้ยงลูกหรือวิธีอบรบสั่งสอนดูแลลุกที่ดี ที่ถูกต้อง ตามมาดูเทคนิคเลี้ยงลูกฉบับฮาร์วาร์ดกันเลยค่า

                    วิจัยฮาร์วาร์ดเผย! 6 เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี
                    เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่!

                    เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนต่างก็ต้องการอยากให้ลูกเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญที่มีมีอนาคตรุ่งเรือง มีความสุขและความสำเร็จในชีวิต ซึ่งปัจจัยที่เป็นเหตุทำให้เกิดผลดังกล่าวนี้มีมากมายหลาย แต่องค์ประกอบที่คือครอบครัวเพราะไม่ว่าจะเชื้อชาติใด วัฒนธรรม หรือศาสนาใด การเจริญเติบโตของเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต่างก็มีรากฐานมาจากประสบการณ์ภายในครอบครัวของตนเองทั้งสิ้น ซึ่งวัยแรก ๆ ของชีวิต ก็คือวัยเด็ก ซึ่งมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งทางร่างกาย จิตใจและ อุปนิสัยถ้าพ่อแม่ต้องการเลี้ยงลูก สอนลูกให้เป้นเด็กดี ก็ต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็กๆ

                    เพราะการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง เป็นพื้นฐานสำคัญของอนาคตลูก ทีมแม่ ABK จึงมี 6 เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี ฉบับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มาแบ่งปันให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนได้อ่านกันค่ะ

                    Good to know : มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของโลกและเป็นหนึ่งมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงมากในเรื่องคุณภาพทางวิชาการ คุณภาพของอาจารย์ที่สอนและคุณภาพของนักศึกษา ซึ่งการที่จะเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้นั้นเรียนเก่งอย่างเดียวไม่พอจริงๆ เพราะต้องทำอะไรที่ใหญ่มากๆ เช่น มีโปรเจกต์ทำประโยชน์ให้กับสังคม ออกหน้าสื่อ ลงหนังสือพิมพ์ ออกรายการ ต้องมีกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม ซึ่งถ้าจะเป็นคุณหมอก็ต้องเป็นหมอที่มีจิตสาธารณะ ช่วยเหลือสังคม 

                    1. หมั่นให้เวลากับลูก

                    เทคนิคการเลี้ยงลูก เรื่องการให้เวลากับลูก ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของทุกอย่าง คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจและใช้เวลากับลูกให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน หรืออยู่เคียงข้างเวลาลูกมีปัญหา และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือการรับฟังลูกว่าพวกเขาต้องการอะไร การให้เวลากับลูกไม่เพียงแต่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้เรียนรู้นิสัยใจคอของลูกเท่านั้น หากแต่ยังเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะทำให้ลูกรู้จักการเอาใจใส่คนรอบข้างอีกด้วย

                    เทคนิคการเลี้ยงลูก
                    เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี

                    อ่านเพิ่มเติม >> 9 กิจกรรมเล่นกับลูกวัยอนุบาล เพิ่มทักษะ เสริมพัฒนาการรอบด้าน

                    อ่านเพิ่มเติม >> 7 กิจกรรมเล่นกับลูก ได้จินตนาการ เสริมพัฒนาการลูกดีทุกด้าน

                     

                    2. พูดเสมอว่าลูกเป็นคนสำคัญต่อคุณพ่อคุณแม่มากเพียงใด

                    จากการวิจัยของนักจิตวิทยา พบว่าเด็กจำนวนมากไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับพ่อแม่ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรบอกลูกบ่อยครั้งเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัย เป็นที่รัก และรับรู้ว่าตัวเองมีค่าต่อคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    3. อยู่เคียงข้างเมื่อลูกมีปัญหา พร้อมช่วยหาทางแก้ไข

                    ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกถอดใจจากการฝึกซ้อมฟุตบอลกะทันหัน คุณพ่อคุณแม่ลองถามถึงเหตุผลที่ลูกตัดสินใจเช่นนั้น พร้อมกับให้เขาอธิบายถึงภาระหน้าที่ที่มีต่อเพื่อนร่วมทีมด้วย หากลูกยังตัดสินใจที่จะเลิกฝึกซ้อม คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมใหม่ ๆ ให้ลูกลองทำเพื่อจุดประกายความสนใจของตัวเอง

                    4. ฝึกให้ลูกช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกวัน

                    มีงานวิจัยว่า ผู้ที่เคยแสดงความกตัญญู มีแนวโน้มที่จะมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มใจ คุณพ่อคุณแม่อาจจัดสรรกิจกรรมให้ลูกได้ช่วยเหลืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวัน ที่สำคัญคือ อย่าลืมแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่รู้สึกซึ้งใจกับความช่วยเหลือของลูก นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่าควรให้รางวัลลูกสำหรับความีน้ำใจและความพยายามของพวกเขาด้วยค่ะ

                    เทคนิคการเลี้ยงลูก
                    ฝึกให้ลูกช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ

                    5. ช่วยลูกจัดการกับอารมณ์ด้านลบ

                    นักจิตวิทยาเชื่อว่าอารมณ์ด้านลบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความละอายใจ หรือความอิจฉา ล้วนทำให้คนเราใส่ใจผู้อื่นน้อยลง การช่วยให้ลูกเข้าใจอารมณ์ด้านลบเหล่านั้นจะช่วยให้ลูกจัดการกับความขัดแย้งภายในจิตใจได้ การให้ลูกทำความเข้าใจด้วยตัวเองเช่นนี้จะทำให้ลูกเติบโตมาเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเป็นพื้นฐานที่สำคัญของจิตใจที่มั่นคงอีกด้วย

                    6. สอนลูกว่าโลกนี้กว้างใหญ่ ซับซ้อน และน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่ลูกคิด

                    นักจิตวิทยาพบว่าเด็ก ๆ เกือบทุกคนสนใจเพียงแค่โลกเล็ก ๆ ที่มีเพียงครอบครัวและเพื่อน ๆ เท่านั้น คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องให้ลูกรู้จักเรียนรู้โลกกว้างนอกเหนือไปจากกรอบจำกัดเหล่านี้ ซึ่งอาจแตกต่างกับสังคมและวัฒนธรรมที่ลูกเคยรู้จัก คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกได้โดยการให้ลูกเรียนรู้การเป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักความหลากหลายของโลก โดยอาจให้ลูกได้เรียนรู้จากภาพยนตร์ รูปภาพ หรือข่าวต่าง ๆ ก็ได้ค่ะ

                    เทคนิคการเลี้ยงลูก
                    สอนลูกให้รู้จักโลกกว้าง

                    ผู้เชี่ยวชาญบอกเพิ่มเติมว่า การเลี้ยงลูกให้เติบโตมาเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย เอาใจใส่ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนทำได้ และไม่มีความภาคภูมิใจใดในโลกจะเปรียบเทียบได้เลยเมื่อพ่อแม่ทำสำเร็จ

                     

                    ผู้เชี่ยวชาญบอกเพิ่มเติมว่า เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้เติบโตมาเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย เอาใจใส่ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนทำได้ และไม่มีความภาคภูมิใจใดในโลกจะเปรียบเทียบได้เลยเมื่อพ่อแม่ทำสำเร็จ!

                     


                    ขอบคุณข้อมูลจาก : brightside.me

                    บทความน่าสนใจเพิ่มเติม ⇓

                    เทคนิคเลี้ยงลูก ให้สุขภาพจิตแข็งแรง

                    เทคนิคเลี้ยงลูกให้น่ารักและเป็นที่รักของผู้อื่น

                    สอนลูก รู้จัก “การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน” อ้างจากเรื่องจริง!

                      ศรัณยู วงศ์กระจ่าง

                      6 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกสาว ให้สตรอง ฉบับพ่อ “ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง “

                      ศรัณยู วงศ์กระจ่าง หรือที่รู้จักกันในชื่อ ตั้ว ศรัณยู นักแสดง ผู้กำกับ และพิธีกรชื่อดัง ผู้เคยฝากผลงานในวงการบันเทิงมามากกว่า 30 ปี วันนี้ เรามาทำความรู้จักกับคุณตั้วในบทบาทคุณพ่อลูกสอง ของลูกสาวฝาแฝดอย่าง ลูกหนัง ศีตลา วงษ์กระจ่าง และลูกหนุน ศุภรา วงษ์กระจ่าง   มาดูกันค่ะว่าคุณตั้วมีเคล็ดลับอะไรบ้างในการเลี้ยงลูกสาวฝาแฝดทั้งสองคน ให้โตมาสวยและสตรองขนาดนี้

                      ศรัณยู วงศ์กระจ่าง
                      instagram : @Sarunyoo Wongkrachang

                      เปิด 6 เคล็ดลับของพ่อตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง เลี้ยงลูกสาวอย่างไรให้สุดสตรอง!!

                       

                      ศรัณยู วงศ์กระจ่าง
                      instagram @ple_hattaya
                      1. สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลูกต้องมีความสุข

                      คุณตั้วกล่าวว่า สิ่งที่เขาให้ความสำคัญเสมอมาตลอดชีวิตที่มีลูก คือ การให้ “ลูกได้มีความสุขกับชีวิต” ไม่ว่าลูกจะเลือกอะไร ขอแค่ลูกมีความสุข เขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ คุณตั้วให้ลูก ๆ ทั้งสองคนได้ลองทำกิจกรรมมากมายตอนเป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นบัลเล่ต์ กีฬา และดนตรีประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ลูกมีประสบการณ์ที่ดี และสามารถตัดสินใจได้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรตอนโตขึ้น

                       

                      instagram @ple_hattaya
                      1. สนับสนุนสิ่งที่ลูกเลือกอย่างเต็มที่

                      อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณตั้วคำนึงถึงเสมอในการเลี้ยงลูก คือการให้ลูกมีความสุข ดังนั้น “ไม่ว่าลูกจะเลือกทำกิจกรรมอะไร หรือเลือกเรียนอะไร คุณพ่อคนนี้ก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่” หรือหากลูกเลือกแล้วรู้สึกเครียด กดดัน ก็ไม่เป็นไร เพียงแค่ลองเปิดใจคุยกัน แล้วหาทางออกร่วมกัน

                       

                      instagram @ple_hattaya
                      1. เหนื่อยคูณสอง แต่มีความสุขที่ลูกได้มีเพื่อน

                      ถึงแม้ว่าการมีลูกแฝด จะทำให้คุณพ่อมือใหม่ต้องเหนื่อยมากเป็นสองเท่า เพราะจะทำไร จะซื้ออะไร ก็ต้องคูณสอง บางทีคนหนึ่งหลับ อีกคนงอแงตื่นมา แต่คุณตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง บอกว่าดีแล้วที่ลูกเกิดมาพร้อมกันจะได้มีเพื่อน เพราะถ้าไม่ใช่ลูกแฝด ก็ตั้งใจว่าจะมีคนที่สองที่อายุไล่เลี่ยกันอยู่ดี เพื่อให้ลูกได้มีเพื่อนเล่น

                      instagram @sitalawonk
                      1. เลี้ยงลูกให้รักและห่วงใยกัน

                      คุณตั้วเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวฝาแฝดทั้งสองคนรักและเป็นห่วงกันมาก อาจมีทะเลาะกันบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ทุกครั้งที่ใครมีปัญหา อีกคนจะออกรับแทนเสมอ เวลาใครโดนเพื่อนแกล้ง อีกคนก็จะคอยปกป้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้คนเป็นพ่ออย่างเขามีความสุขมาก เพราะรู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกมาถูกทาง ลูกสาวทั้งสองคนจึงโตมาเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อผู้อื่นเสมอ

                      instagram @sitalawonk
                      1. ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ

                      เป็นเรื่องปกติที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนจะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูก สำหรับคุณตั้วเองก็เช่นกัน คุณตั้วเล่าว่าสิ่งสุดท้ายที่คิดจะสอนลูก คือการขับรถ คุณตั้วมองว่าการขับรถเป็นกิจกรรมที่อันตราย เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ หากพลั้งเผลอหรือไม่มีสมาธิ ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ตาม คุณตั้วบอกว่าตนเองพร้อมที่จะสอนลูกเสมอเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกต้องการขับรถเป็นจริง ๆ แล้วมีสติมากพอที่จะฝึก ไม่ใช่อยากขับรถเป็นเพียงเพราะอยากทำตามเพื่อน

                      instagram : @Sarunyoo Wongkrachang
                      1. เลี้ยงลูกให้สนิทกับพ่อแม่ คุยกันทุกเรื่อง แม้เรื่องความรักของลูก

                      ในฐานะคุณพ่อที่มีลูกสาวอยู่ในวัยรุ่น ย่อมต้องเป็นห่วงเรื่องการที่ลูกจะมีความรักเป็นธรรมดา สำหรับคุณตั้ว ไม่เคยห้ามเวลาลูกจะมีความรัก และด้วยความที่เป็นคุณพ่อที่สนิทกับลูกมาก ทำให้ลูกไม่เคยปิดบังเรื่องนี้ เพียงแต่อาจไม่เคยเล่าให้คุณพ่อฟังตรง ๆ แต่คุณพ่อก็รู้เสมอ นอกจากนี้ คุณตั้วยังเคยเจอคนที่มาจีบลูกสาวตัวเองทุกคน และมักจะแซวลูกสาวเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ อีกด้วย

                      instagram @sitalawonk

                      เรียกได้ว่าการเลี้ยงดูของบ้านวงศ์กระจ่างปูทางให้ลูกทั้งสองกลายเป็นสาวสตรองมากความสามารถโดยลูกหนุนจะชอบเล่นดนตรีและเต้น ส่วนลูกหนังจะชอบการแสดงเหมือนกับคุณพ่อ เป็นนางแบบให้กับนิตยสารของประเทศเกาหลี ในสังกัด YGKPlus อีกด้วย

                       

                      ทีมแม่ ABK ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัววงศ์กระจ่าง ต่อการจากไปของคุณตั้วศรัณยู วงศ์กระจ่างนักแสดงคุณภาพ ผู้กำกับมือดี และคุณพ่อแสนน่ารักทั้งสอง มา ณ.โอกาสนี้ด้วยค่ะ


                      แหล่งข้อมูล  th.hellomagazine.com / www.noozup.me    / www.sanook.com

                      เลี้ยงลูกสาว ให้เป็น “เด็กผู้หญิงเก่ง”

                      ความสำคัญและข้อดีของการเลี้ยงลูกโดย “คุณพ่อ”

                       

                      6 ช่วงเวลาที่ต้องปล่อย ให้พ่อเลี้ยงลูก เองบ้าง

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                       

                        ลูกนอนน้อย

                        ลูกนอนน้อย นอนดึก แก้ได้ด้วย 5 ต้องห้าม 5 ต้องทำ!!

                        ลูกนอนน้อย นอนดึก ส่งผลต่อพัฒนาการ อารมณ์ และสมองของลูกโดยตรง หากปล่อยให้ลูกนอนน้อยไปจนเป็นนิสัย อาจทำให้เสี่ยงต่อโรคร้ายหลายโรค!!

                        ลูกนอนน้อย นอนดึก แก้ได้ด้วย 5 ต้องห้าม 5 ต้องทำ!!

                        การนอนเป็นอาหารสมอง เป็นสิ่งสำคัญ หากลูกนอนหลับได้เพียงพอ ก็จะช่วยทำให้ร่างกายได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่ สร้างภูมิต้านทานโรค สดชื่นแจ่มใสอารมณ์ดี มีความกระฉับกระเฉง ร่าเริง จดจำสิ่งต่าง ๆ ที่เรียนรู้ไปได้อย่างแม่นยำ แต่หาก ลูกนอนน้อย พักผ่อนไม่เพียงพอ ก็จะมีปัญหาเรื่องพัฒนาการและพฤติกรรม ดังนั้นการนอนเป็นเรื่องสำคัญของคนทุกคนและควรสนับสนุนให้เด็ก ๆ นอนให้เพียงพอ

                        การนอนหลับของเด็กเป็นเรื่องที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่สับสน เพราะการนอนของเด็กแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกัน อีกทั้งในช่วงทารก จะมีภาวะหลับตื่นสลับกันไปตลอดทั้งวันและทั้งคืน ทำให้ไม่แน่ใจว่าที่ลูกนอนหลับไปนั้น เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายหรือยัง ลูกของคุณควรนอนวันละกี่ชั่วโมงกันแน่

                        เด็กแต่ละวัย …. นอนแตกต่างกันอย่างไร?

                        1. วัยทารก วัยนี้จะมีภาวะหลับตื่นสลับกันไปตลอดทั้งวัน แต่เมื่ออายุได้ประมาณ 4 เดือนจะเริ่มหลับกลางคืนได้ยาวประมาณ 6 ชั่วโมงและเมื่ออายุ 6 เดือนจะสามารถหลับได้นานถึง 10 ชั่วโมงแต่ก็ยังสามารถตื่นได้ในระหว่างการนอนหลับ ซึ่งทารกบางคนสามารถกลับไปหลับต่อได้ด้วยตัวเอง แต่บางคนต้องการการกล่อมจึงจะหลับต่อได้
                        2. วัยเรียน วัยนี้ต้องการการนอนประมาณ 9 – 12ชั่วโมง ซึ่งเด็กแต่ละคนอาจต้องการจำนวนชั่วโมงในการนอนแตกต่างกัน คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตว่าลูกนอนพอหรือไม่ ได้จากพฤติกรรมของลูกระหว่างวัน เช่น สามารถปลุกตื่นได้ง่าย ไม่ผล็อยหลับตอนกลางวัน (ถามได้จากคุณครู) และเมื่อเข้านอนสามารถหลับได้ภายใน 15 – 30 นาที
                        3. วัยรุ่น วัยนี้ต้องการเวลานอน 8 – 10 ชั่วโมง แต่ลักษณะการนอนของเด็กวัยนี้จะเปลี่ยนไปจากวัยเรียน โดยที่วัยรุ่นจะเข้านอนดึกและตื่นสายซึ่งเป็นภาวะปกติเมื่อเด็กเข้าสู่วัยรุ่น ดังนั้นในช่วงเปิดเทอมที่วัยรุ่นต้องมาโรงเรียนในตอนเช้าจะมีผลทำให้วัยรุ่นนอนไม่พอได้บ่อย และอาจกระทบต่อการเรียน และวัยรุ่นมักจะมานอนชดเชยในวันหยุด

                        สัญญาณที่แสดงว่าลูกกำลังมีปัญหาด้านการนอนหลับ

                        • คุณพ่อคุณแม่ใช้เวลามากเกินไป “ช่วย” ให้ลูกของคุณนอนหลับ
                        • ลูกตื่นขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทั้งคืน
                        • ลูกมีปัญหาเรื่องพัฒนาการและพฤติกรรม เช่น หงุดหงิดง่าย มักจะผล็อยหลับตอนกลางวัน
                        • คุณพ่อคุณแม่อดนอน เนื่องจากปัญหาด้านการนอนหลับของลูก

                        ลูกนอนน้อย นอนไม่พอ ส่งผลต่ออะไรได้บ้าง?

                        1. จะเกิดปัญหาการเจริญเติบโตไม่ดี

                        การนอนหลับมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต การพัฒนาสมองและสุขภาพของเด็ก โดยเวลานอนทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) มากขึ้น ส่งผลกระตุ้นการเจริญเติบโต และควบคุมสัดส่วนของไขมันในกล้ามเนื้อ โดยพบว่าฮอร์โมนการเจริญเติบโต (Growth Hormone) จะหลั่งมากในเวลากลางคืน หลังจากที่หลับไปแล้ว 1 – 2 ชั่วโมง ถ้านอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้การหลั่งของฮอร์โมนการเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ส่งผลต่อการเจริญเติบโตทางด้านความสูง

                        2. การเรียนรู้ช้าลง

                        เด็กเป็นวัยที่เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทุกวัน เมื่อลูกนอนหลับ สมองจะทำหน้าที่จัดเก็บและจัดระเบียบข้อมูลที่เรียนรู้มาในช่วงระยะของการหลับลึก เพื่อพร้อมให้ดึงกลับมาใช้ใหม่ มีผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าเมื่อเด็กเรียนรู้ในสิ่งเดียวกัน แล้วมาทำแบบทดสอบภายหลัง พบว่าเด็กที่ได้มีโอกาสนอนหลังจากการเรียน จะสามารถทำแบบทดสอบได้ดีกว่ากลุ่มที่ยังไม่ได้นอนอย่างชัดเจน ดังนั้นการนอนหลับอย่างเพียงพอ จะส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กเป็นอย่างมาก

                        3. ความจำลดลง

                        การที่ ลูกนอนน้อย ส่งผลให้ระบบจัดเก็บความทรงจำหรือระบบประสาทมีประสิทธิภาพลดลง โดยอวัยวะที่สำคัญ คือ ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) จะทำหน้าที่ถ่ายโอนข้อมูลที่เรียนรู้ในระหว่างวัน เข้าสู่ความทรงจำระยะยาว ซึ่งอวัยวะชิ้นนี้จะทำงานตอนที่เรานอนหลับเท่านั้น และจะทำงานได้ดีหากร่างกายได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ

                        4. การสร้างภูมิต้านทานโรคลดลง ทำให้ติดเชื้อง่าย

                        การนอนไม่พออาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน เนื่องจากระหว่างนอนหลับ ร่างกายจะหลั่งสารอินเตอร์ลิวคิน-1 (interleukin-1) ออกมา ซึ่งเป็นสารประกอบที่กระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการนอนไม่พอติดต่อกันหลายคืน สามารถรบกวนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก ๆ ได้

                        ลูกนอนไม่พอ
                        ลูกนอนไม่พอ

                        5 ต้องห้าม 5 ต้องทำ เพื่อสร้างนิสัยการนอนที่ดีให้ลูกน้อย

                        5 ต้องทำ เพื่อสร้างนิสัยการนอนที่ดีให้ลูกน้อย

                        • สร้างกิจวัตรก่อนนอนให้เป็นเวลาพิเศษที่จะพูดคุยกับลูก เพื่อให้ลูกรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัย เมื่อลูกรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยแล้ว ลูกจะสามารถนอนหลับได้อย่างไม่ต้องกังวล ไม่ตื่นมากลางดึกบ่อย ๆ
                        • ให้ลูกเข้านอนและตื่นนอนตรงเวลา เวลาที่เริ่มกล่อมให้ลูกเข้านอน ควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน และไม่ควรให้ลูกตื่นสายจนเกินไป เพราะเมื่อถึงเวลานอนอีกครั้งจะทำให้ลูกไม่ยอมนอนหรือนอนไม่หลับได้ ดังนั้นจึงควรให้ลูกตื่นนอนให้ตรงเวลาด้วย
                        • จัดบรรยากาศห้องนอนให้เหมาะสมสำหรับการนอน สำหรับเด็กเล็กสามารถใช้เสียงที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอไม่ดัง ไม่กระตุ้น หรือเสียง White Noise เป็นเสียงที่ช่วยกล่อมให้เด็กนอน
                        • สร้างกิจวัตรในระหว่างวันให้มีตารางเวลาสม่ำเสมอ เวลาตื่นนอน เวลาทานข้าวเช้า กลางวัน เย็น เวลาอาบน้ำ เวลาเล่น เวลาของกิจกรรมก่อนนอน ควรเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน เพราะการทำกิจวัตรระหว่างวันไม่ตรงตามเวลาที่กำหนด อาจจะไปกระทบต่อเวลาที่ควรจะเข้านอนได้ เช่นหากทานอาหารมื้อเย็นช้าเกินไป จะทำให้มีเวลาอาบน้ำ และเวลากิจกรรมก่อนนอนน้อยลง จนไปทำให้ต้องเข้านอนดึกขึ้น เป็นต้น
                        • ควรปิดไฟ หรือ หรี่แสงไฟในห้องนอน เมื่อถึงเวลานอน และควรให้เด็กได้เจอแสงแดดธรรมชาติในเวลากลางวัน

                        5 ต้องห้าม!! เพื่อสร้างนิสัยการนอนที่ดีให้ลูกน้อย

                        • ทารกควรเลี่ยงการให้เด็กหลับคาขวดนม การใช้ขวดนมในการกล่อมให้ลูกนอนหลับไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง เด็กควรนอนหลับได้ด้วยตัวเอง การใช้ตัวช่วยต่าง ๆ เช่น การนอนหลับคาขวดนม การอุ้มกล่อม จะส่งผลต่อปัญหาในการหลับต่อเองเมื่อตื่นกลางดึกได้ ดังนั้น ควรฝึกให้ลูกกล่อมตัวเองนอนหลับแทนการใช้ตัวช่วยต่าง ๆ
                        • หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่เร้าใจ ตื่นเต้น หรือ กิจกรรมที่ต้องเผชิญกับแสงที่จ้ามากเกินในช่วงเวลา 2 – 3 ชั่วโมงก่อนนอน เช่น การดูทีวี ดูมือถือ ดูแท็ปเล็ตก่อนนอน จะทำให้ลูกตื่นเต้น คิดแต่เรื่องที่เพิ่งจะดูมา จนทำให้นอนไม่หลับ หรือเป็นกังวลจนนอนหลับไม่สนิทได้
                        • อย่าให้การนอนเกิดจากการขู่ หรือ เป็นการลงโทษจากการทำความผิด ควรสอนให้เด็กรับรู้ว่าการนอนเป็นเวลาของความสุข เพื่อให้ลูกนอนหลับไปอย่างมีความสุข ไม่ใช่ความกลัว เพราะหากหลับด้วยความกลัว ลูกจะนอนหลับได้ไม่สนิท ตื่นตอนกลางคืนบ่อย ๆ ได้
                        • หลีกเลี่ยงการเอาของเล่นมาให้เด็กเล่นเมื่อถึงเวลานอน ของเล่นที่สามารถนำมาเล่นก่อนนอนได้ควรเป็นของเล่นที่เหมาะกับกิจกรรมก่อนนอน เช่น ตุ๊กตา หนังสือนิทาน เป็นต้น
                        • หลีกเลี่ยงอาหารหนัก หรือ ชา กาแฟ น้ำอัดลมที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ เพราะการทานอาหารหนักก่อนนอน อาจทำให้ลูกต้องลุกมาเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น และสำหรับทารก หากมีการขับถ่ายตอนกลางคืน จะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้ และสำหรับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน จะกระตุ้นให้ลูกรู้สึกตื่นตัวจนนอนไม่หลับได้

                        ปัญหาการนอนหลับที่เกิดขึ้นในเด็กส่วนใหญ่ ไม่ได้เกิดจากความบกพร่องของการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่แต่อย่างใด และก็ไม่ได้แปลว่าเด็กมีความผิดปกติทางจิต หรือทางกายแต่อย่างใดด้วย หากคุณพ่อคุณแม่ได้ทำตามหลัก 5 ต้องห้าม 5 ต้องทำแล้ว ยังพบว่าลูกมีปัญหาการนอนหลับ ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุของปัญหาต่อไป

                        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        ตารางการนอนของทารก นอน/ตื่นกี่ครั้ง นอนนานแค่ไหน?

                        ฝึกลูกนอน (เร็วและเป็นเวลา) จำเป็นไหม? พร้อมวิธีฝึกลูกให้หลับเร็ว

                        5 เคล็ดลับสร้างนิสัย “การนอนของทารก” ให้มีประสิทธิภาพ

                        REM Sleep ช่วง “การนอนของทารก” ที่ทำให้ลูกโตช้า

                         

                        ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์นิทราเวช โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล , สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                          ผลไม้สำหรับคนท้อง

                          22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

                          ในช่วงตั้งครรภ์ โภชนาการที่ดีถือเป็นเรื่องสำคัญที่แม่ท้องควรใส่ใจเป็นพิเศษ เพื่อสุขภาพของคุณแม่และลูกน้อยที่กำลังเจริญเติบโตในครรภ์ นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว “ผลไม้” ก็เป็นอีกแหล่งอาหารที่ประกอบด้วยสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และและกากใยที่เป็นประโยชน์สำหรับแม่ท้อง มาดูกันค่ะว่ามี ผลไม้สำหรับคนท้อง อะไรบ้างที่คุณแม่กินแล้วดี บำรุงสุขภาพคุณแม่และได้ประโยชน์ต่อลูกน้อยด้วย

                          22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น ได้ประโยชน์ดีต่อแม่และลูกในท้อง

                          คนท้องกินส้มได้ไหม

                          1.ส้ม

                          ผลไม้ตระกูลส้มไม่ว่าจะเป็นส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง ส้มสายน้ำผึ้ง ส้มบางมด ฯลฯ ล้วนให้คุณค่าสารอาหารคล้าย ๆ กัน

                          • มีวิตามินซีสูงมาก ที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายของคุณแม่ ป้องกันการเป็นหวัดระหว่างตั้งครรภ์ และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายอีกด้วย
                          • มีกากใย ที่ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายให้กับแม่ท้อง ช่วยลดอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี
                          • มีโฟเลตซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ช่วยป้องกันความผิดปกติของหลอดเลือด ช่วยป้องกันข้อบกพร่องของท่อประสาท ที่ทำให้ลูกน้อยในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรง

                          2. มะละกอสุก

                          แม้ว่ามะละกอจะเป็นผลไม้ที่สามารถกินได้ทั้งสุกและดิบ แต่ในช่วงตั้งครรภ์นั้นการเลือกกินมะละกอสุดที่อุดมไปด้วยวิตามินซี สารเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี และแคลเซียม จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายแม่มากกว่า สารอาหารเหล่านี้ช่วยให้แม่ท้องขับถ่ายง่ายขึ้นแก้ปัญหาท้องผูกที่เกิดขึ้นได้ในขณะตั้งครรภ์ และยังช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน บำรุงระบบประสาทและสายตา ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย คุณแม่สามารถกินมะละกอสุกเป็นมื้อว่างระหว่างวันหรือหลังรับประทานอาหารได้ทุกวัน แต่ควรซื้อแล้วนำมาปอกเปลือกทานเองที่บ้าน หรือเลือกซื้อผลไม้จากร้านที่สะอาด เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับเชื้อโรคปนเปื้อน เพื่อความปลอดภัยต่อคุณแม่และลูกน้อยในท้อง

                          3. กล้วย

                          กล้วย เป็นผลไม้ที่หาซื้อและรับประทานได้ง่ายอีกหนึ่งชนิดที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมายทั้งธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินเอ, บี 1, บี 2, บี 3, มีวิตามินบี 6 ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการคลื่นไส้และอาเจียนในขณะตั้งครรภ์ และวิตามินซี ในกล้วยมีปริมาณเส้นใยอาหารสูงจะช่วยเรื่องระบบขับถ่ายของแม่ท้อง แก้ปัญหาท้องผูกได้ รวมทั้งมีกรดอะมิโนที่ชื่อTryptophan ที่ช่วยทำให้ผ่อนคลายอารมณ์ ช่วยให้คุณแม่อารมณ์ดี แก้ปัญหาภาวะซึมเศร้าระหว่างตั้งครรภ์ได้ โดยทั่วไปคุณแม่สามารถกินกล่วยวันละ 1 ลูก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกที่มีอาการแพ้ท้อง

                          4. ละมุด

                          ละมุดเป็นผลไม้ที่มีรสหวานและเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์จำนวนมาก เช่น อิเล็กโทรไลต์ วิตามิน A คาร์โบไฮเดรต และพลังงาน ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการวิงเวียนศีรษะและคลื่นไส้ อาการลำไส้แปรปรวนลงได้ คุณแม่สามารถกินละมุดได้ตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ แต่ก็ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดภาวะเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์

                          มะพร้าว คนท้องกินได้ไหม

                          5. มะพร้าว

                          มะพร้าวเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่คุณแม่สามารถกินได้ตอนท้อง มีคุณค่าทางอาหารสูงและสารอาหารต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่น เกลือแร่ โพแทสเซียม วิตามินซี โปรตีน โซเดียม แคลเซียม คลอไรด์ และเส้นใยอาหาร ที่ให้คุณประโยชน์สำหรับแม่ท้อง เช่น

                          • โซเดียมโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต และการทำงานของหัวใจคุณแม่ตั้งครรภ์ให้เป็นปกติ
                          • แมงกานีส ช่วยบำรุงโลหิตและเสริมสร้างกระดูกให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
                          • วิตามินซี ช่วยให้คุณแม่ตั้งครรภ์ มีผิวพรรณสดใส
                          • กลูโคสและฟรักโทสในปริมาณมาก ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที เมื่อแม่ท้องได้ดื่มก็จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น แก้กระหาย
                          • กรดลอริก ที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อไวรัส เชื้อหวัด และเชื้อรา จึงช่วยในการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของแม่และทารกในครรภ์ และช่วยป้องกันการติดเชื้อของโรคไข้หวัดใหญ่ เอชไอวี และโรคเริม
                          • มีไขมันอิ่มตัวที่มีคุณสมบัติละลายน้ำดี (MCT) ซึ่งมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแคลเซียมที่มีส่วนช่วยทำให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย
                          • มีโฟเลตประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อร่างกายได้รับโฟเลตในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดต่าง ๆ ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด
                          • เกลือแร่ที่มาจากธรรมชาติ ช่วยลดภาวะการขาดน้ำและช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้ดีทีเดียว

                          สำหรับคุณแม่ท้องที่ต้องการกินมะพร้าว ควรกินในปริมาณที่พอดีหรือ 1 ลูกต่อวัน เลือกซื้อมะพร้าวอ่อนแบบเป็นลูก เพื่อความปลอดภัย สะอาด เท่านี้ก็จะได้ประโยชน์จากสารอาหารครบถ้วนในมะพร้าวได้เป็นอย่างดีด้วย

                          บทความแนะนำที่น่าสนใจ : ไขข้อข้องใจ! คนท้องกินน้ำมะพร้าวได้ไหม กินแล้วล้างไข คลอดง่าย ลูกออกมาผิวขาวจริงหรือ?

                          6. ลูกพรุน

                          ลูกพรุนเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาเรื่องโลหิตจาง ในลูกพรุนจะมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญคือธาตุเหล็ก ที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง และมีวิตามิน บี 2 ที่จะช่วยในสร้างแคลเซียม เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟันของแม่และทารกในครรภ์ รวมทั้งลูกพรุนยังเป็นผลไม้ที่ตอบโจทย์สำหรับแม่ท้องที่มีอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี เนื่องจากลูกพรุนมีไฟเบอร์กากอาหารมาก ซึ่งจะช่วยในการขับถ่ายที่ดี

                          บทความแนะนำที่น่าสนใจ : ตารางเปรียบเทียบสารอาหารใน ลูกพรุนและน้ำลูกพรุน แก้อาการท้องผูก

                          7. ฝรั่ง

                          ฝรั่งนับเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสารอาหารที่หลากหลายเหมาะสำหรับรับประทานระหว่างตั้งครรภ์ได้ดี ในฝรั่งน้ำหนัก 165 กรัม จะให้วิตามินสูงถึง 377 มิลลิกรัม หากเทียบกับส้มที่ว่าเป็นผลไม้ที่วิตามินซีสูงแล้ว ฝรั่งยังมีวิตามินซีสูงกว่าถึง 5 เท่า ! และยังประกอบด้วยวิตามินเอสูง ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและความดันโลหิตในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งยังช่วยเรื่องเหงือกและฟันให้แข็งแรง อุดมไปด้วยวิตามิน E, iso-flavonoids, Carotenoids และ Polyphenols สารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก และให้ความแข็งแรงแก่ระบบประสาทของทารก นอกจากนี้รสชาติอร่อย กลิ่นหอมสดชื่นของฝรั่งยังช่วยในเรื่องอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดีด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรกินฝรั่งในปริมาณที่มากเกินไป เนื่องจากจะทำให้ย่อยยากและส่งผลทำให้ท้องอืดได้ ดังนั้นคุณแม่ท้องควรเลือกกินแต่พอดีและควรเคี้ยวให้ละเอียดก่อนเสมอ เท่านี้การกินฝรั่งก็จะมีประโยชน์ต่อสุขภาพต่อแม่และลูกน้อยในท้อง

                          บทความแนะนำที่น่าสนใจ : “ฝรั่ง” ผลไม้มีประโยชน์…แต่คนท้องไม่ควรกินมาก!

                          8. องุ่น

                          องุ่นสามารถเป็นผลไม้ทานเล่นระหว่างมื้อที่ดีต่อสุขภาพในระหว่างตั้งครรภ์ ในองุ่นเต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ เช่นวิตามินนานาชนิด, สารต้านอนุมูลอิสระ มีเส้นใย น้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตสที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งยังมีแมกนีเซียม แคลเซียม เหล็ก กรดโฟลิก และอื่น ๆ อีกมากมายที่ส่วนช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันและป้องกันการติดเชื้อ และนอกจากนี้องุ่นสีเข้มยังมีคุณสมบัติต่อต้านริ้วรอยที่สำคัญและทำให้ผิวของคุณแม่ดูอ่อนเยาว์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม่ท้องควรกินในปริมาณที่เหมาะสมคือ 10-12 ผล และควรล้างทำความสะอาดเปลือกผิวด้านนอกขององุ่นก่อนรับประทานเนื่องจากอาจมีสารเคมีที่ตกค้างอยู่บนเปลือก

                          9. แอปริคอต

                          แอปริคอตเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและยังสามารถรับประทานได้ทั้งผล คือทั้งเนื้อและเมล็ด อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการป้องกันภาวะโลหิตจาง มีแคลเซียมที่ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง และยังมีวิตามิน A, C, E รวมไปถึงเบต้าแคโรทีน ฟอสฟอรัส ซิลโคน แคลเซียม และโพแทสเซียม สุดยอดสารอาหารเหล่านี้ช่วยในการพัฒนาและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ มีเส้นใยสูงและดีเยี่ยมที่ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของธาตุอาหารหลัก เช่นทองแดงแมกนีเซียมและแมงกานีส แร่ธาตุเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของเอนไซม์บางชนิดและมีความสำคัญต่อการทำงานของกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย

                          คนท้องกินผลไม้อะไรดี
                          คนท้องกินผลไม้อะไรดี

                          10. สตรอวเบอร์รี่

                          สตรอเบอร์รี่เป็นผลไม้แสนอร่อยเหมาะที่คุณแม่ท้องจะกินในมื้อว่างได้ดี เพื่อเพิ่มสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย ในสตรอวเบอร์รี่อุดมไปด้วย

                          • วิตามินซีและวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อาทิเช่น ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด ลดอาการภูมิแพ้ ลดอาการเลือดออกตามไรฟันที่เกิดจากการขาดวิตามินซี และช่วยบำรุงสายตา เป็นต้น
                          • ไฟเบอร์และโฟเลต ช่วยในการลดความเสี่ยงของข้อบกพร่องของท่อประสาท
                          • แร่ธาตุต่างๆ อย่าง ธาตุเหล็ก แมงกานีส และโพแทสเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกของลูกน้อยในครรภ์ที่กำลังเติบโตให้แข็งแรงขึ้น และช่วยในการปรับความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ มีฟลาโวนอยด์สูงที่มีศักยภาพสูงในการลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
                          • สารต้านอนุมูลอิสระอยู่สูงช่วยลดอาการอักเสบ อาการปวดตามข้อ เนื่องจากมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะตั้งครรภ์
                          • กรดฟอลิค ป้องกันทารกมีอาการผิดปกติทางสมอง ที่คุณแม่สามารถรับประทานตั้งแต่ในช่วงแรก ๆ ของการตั้งครรภ์
                          • อุดมด้วยใยอาหารสูง ช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ

                          อย่างไรก็ตามก่อนซื้อสตรอเบอร์รี่มารับประทานแต่ละครั้งควรเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่เน้นความปลอดภัย เนื่องจากมีการใช้ยากำจัดศัตรูพืช และคุณแม่ควรล้างทำความสะอาดก่อนรับประทานเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพตามมา

                          บทความแนะนำที่น่าสนใจ : สตรอเบอร์รี คนท้อง ผลไม้ดีต่อสุขภาพ

                          11. เชอร์รี่

                          เชอร์รี่จัดว่าเป็นผลไม้ที่เป็นแหล่งวิตามินซีที่ยอดเยี่ยม ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในระหว่างตั้งครรภ์ให้กับคุณแม่และลูกน้อยได้จากโรคติดเชื้อ เช่น โรคหวัดและผื่น การรับประทานเชอร์รี่ยังช่วยในการส่งเลือดไปเลี้ยงรกและทารกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชอร์รี่ยังมีสารเมลาโทนินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพช่วยในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ดี ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยต้านความเครียดที่จะทำให้คุณแม่นอนหลับสนิทได้อีกด้วย

                          12. บลูเบอร์รี่

                          บลูเบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลเบอ์รี่อีกหนึ่งชนิดที่เหมาะสำหรับทานเล่นในมื้ออาหารว่างระหว่างตั้งครรภ์ มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี มีสารอาหารที่จำเป็นต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ อย่างเช่น วิตามินซีและวิตามินนานาชนิด รวมไปถึงแคลเซียมและเส้นใยอาหารที่สูง หากกินในปริมาณที่เหมาะสมก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ ช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ แนะนำว่าในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่สามารถกินบลูเบอร์รี่ร่วมกับอาหารอย่างอื่นเพื่อให้ทานง่ายขึ้นและป้องกันการกินที่มากเกินจำเป็นได้ เช่น ผสมกับโยเกิร์ต ซีเรียล ทำแพนเค้ก ทำสลัดผลไม้ หรือทำเป็นน้ำผลไม้ปั่นรสอร่อย

                          13. กีวี่

                          กีวี่สีเขียวและกีวี่สีทองเป็นหนึ่งในบรรดาผลไม้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด ในปริมาณแคลอรีต่ำที่สุดและมีสารอาหารหนาแน่นสำคัญมากมาย อาทิ วิตามิน C, E, A, โพแทสเซียม, ฟอสฟอรัส, แมกนีเซียม กรดโฟลิกและใยอาหาร มีการวิจัยพบว่ากีวีหนึ่งผล มีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกาย และประโยชน์มากมายจากการรับประทานกีวี่ เช่น ช่วยเสริมสร้างการทำงานของภูมิคุ้มกันโรค ช่วยรักษาระบบทางเดินหายใจ เพื่อป้องกันอาการหวัด ไอ หรือหายใจไม่ออก ลดความเสี่ยงของการแข็งตัวของเลือด เพื่อให้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ง่ายขึ้นได้ อีกทั้งกีวีมีปริมาณโฟเลตสูงซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับคุณแม่และทารกในครรภ์ และยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี

                          คนท้องกินแอปเปิ้ลได้ไหม

                          14.แอปเปิ้ล

                          แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยสารอาหารทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สารฟลาโวนอยด์ มีเส้นใยอาหารสูง วิตามินซีสูง วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 กรดโฟลิก แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี เหล็ก เป็นต้น และประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายกับแม่และลูกในท้อง อาทิเช่น

                          • ในแอปเปิ้ลมีวิตามินซีสูงที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานเชื้อโรค และอาการติดเชื้อต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับคุณแม่และลูกในท้องได้
                          • มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าการกินแอปเปิ้ลขณะตั้งครรภ์อาจช่วยลดโอกาสที่ทารกจะเป็นโรคหอบหืดและภูมิแพ้เมื่อโตขึ้นได้ อีกทั้งยังสามารถลดอาการตีบแคบของทางเดินหายใจได้อีกด้วย
                          • แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยสารอาหารและมีวิตามิน A, E และ D และสังกะสี
                          • มีคาร์โบไฮเดรต ที่ช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายให้กับแม่ท้อง
                          • มีแคลเซียมสูงช่วยเสริมสร้างกระดูกของแม่และลูกในท้องให้แข็งแรง
                          • แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารที่ช่วยในระบบย่อยอาหาร ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดีและลดความผิดปกติของลำไส้
                          • มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งแม่และลูก ซึ่งจะส่งผลดีให้กับการทำงานของปอด ช่วยให้ระบบการหายใจของคุณแม่และลูกในท้องทำงานได้ดีขึ้น
                          • กินแอปเปิ้ลตอนท้องมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตัน อาการแสบร้อนกลางอกซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในตอนตั้งครรภ์

                          สำหรับแอปเปิ้ลนั้นเป็นผลไม้ที่แม่ท้องสามารถกินอย่างน้อยวันละ 1 ลูก เป็นประจำทุกวัน ได้สบายหายห่วงโดยไม่ต้องกังวลระหว่างตั้งครรภ์ เพราะเป็นผลไม้ที่มีปริมาณแคลอรี่ต่ำ จึงไม่ต้องกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อน้ำหนักตัวหากคุณแม่อยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนัก

                          บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : แอปเปิ้ล ผลไม้สร้างสุขภาพสำหรับแม่ท้อง

                          15. มะม่วงสุก

                          มะม่วงสุก เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญมากมายที่ให้ประโยชน์ต่อแม่และลูกในครรภ์ เช่น

                          • แคลเซียม ฟอสฟอรัส เบต้าแคโรทีน ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันของแม่ท้องให้แข็งแรง ทั้งยังช่วยสร้างกระดูกและฟันให้กับทารกในครรภ์อีกด้วย
                          • ในมะม่วงสุกยังมีวิตามิน A ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น บำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยลดความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนหลังคลอด เช่น การติดเชื้อทางเดินหายใจ
                          • วิตามิน C ในปริมาณมาก ที่ช่วยการควบคุมระบบการย่อยอาหาร ช่วยลดอาการท้องผูกและบรรเทาอาการติดเชื้อเล็ก ๆ ได้ในขณะตั้งครรภ์ และช่วยเสริมสร้างกระดูกให้กับทารกในครรภ์ ช่วยแก้ปัญหาเลือดออกตามไรฟัน ช่วยบรรเทาอาการหวัดหรือภูมิแพ้ได้ นอกจากนี้ยังมาช่วยในการเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
                          • มีไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร ช่วยลดอาการท้องผูกสำหรับแม่ท้องที่ปัญหาเรื่องของระบบขับถ่ายได้

                          อย่างไรก็ตามการกินมะม่วงสุกตอนท้องก็ไม่ควรทานบ่อยหรือทานทานในปริมาณมาก ๆ เนื่องจากมีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นหรือเป็นภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้

                          บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : กินมะม่วงตอนท้อง ได้ประโยชน์หรือได้โทษ

                          16.มะนาว

                          มะนาว ถือเป็นแหล่งของวิตามินซีและเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อย่างมากในระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะกินแบบคั้นเป็นน้ำ หรือนำมาปรุงอาหารเพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกใจ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกที่มะนาวจะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องได้เป็นอย่างดี และยังมีประโยชน์ของน้ำมะนาวอีกมากมาย เช่น

                          • วิตามินซีในน้ำมะนาวที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาทิ ช่วยปรับสมดุลและช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ป้องกันจากอาการไข้หวัดตามกลไกธรรมชาติของร่างกาย กระตุ้นระบบย่อยอาหาร กระตุ้นการขับถ่ายและช่วยให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้ดี ช่วยรักษาอาการท้องผูก และวิตามินซียังเป็นส่วนช่วยให้กระดูกทารกแข็งแรงอีกด้วย
                          • มีโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ในการบำรุงรักษาความดันโลหิตในระดับปกติ ช่วยป้องกันการติดเชื้อทั่วไป และช่วยให้สมองทารกเติบโตในครรภ์ได้เป็นอย่างดี
                          • มีแมกนีเซียมและแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงกระดูกของแม่และทารกในครรภ์

                          คุณแม่สามารถดื่มน้ำมะนาวตอนท้องได้อย่างน้อยวันละ 1 แก้วก็เพียงพอต่อประโยชน์ที่จะได้รับตลอดการตั้งครรภ์ ทั้งนี้ควรเลือกเป็นน้ำมะนาวสดเท่านั้น ซึ่งจะให้ผลดีกว่าการกินน้ำมะนาวสำเร็จรูป เพราะอาจมีสารปนเปื้อนจากขวดพลาสติก

                          บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : คนท้องกินน้ำมะนาวได้ไหม?

                          17.ลูกพลับ

                          เป็นอีกผลไม้ที่มีรสหวานที่สามารถกินได้ทั้งแบบสดหรือแบบที่แปรรูปเป็นลูกพลับแห้ง พลับเชื่อม น้ำลูกพลับ แยมลูกพลับ ฯลฯ ในลูกพลับนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายของแม่ท้อง อาทิเช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการของกระดูกของทารก แคโรทีนและวิตามินเอช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจ สายตา และวิตามินซีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน รวมทั้งแมกนีเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต ลดภาวะเครียดระหว่างตั้งครรภ์ที่ช่วยแก้โรคนอนไม่หลับของคุณแม่ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรกินลูกพลับหลังมื้ออาหารซัก 3-4 ชิ้น เพื่อให้ได้ประโยชน์ที่ดี เนื่องจากการกินลูกพลับขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก เมื่อรวมเข้ากับยางในลูกพลับ ก็อาจทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

                          คนท้องกินแตงโม
                          คนท้องกินแตงโม

                          18.แตงโม

                          แตงโมจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินและแร่ธาตุอยู่ภายในมากมาย ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล เส้นใย โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซี กรดโฟลิก แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และ สังกะสี เป็นต้น และมีประโยชน์ต่อสุขภาพแม่ท้องมากมาย อาทิเช่น

                          • แตงโมเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม ช่วยควบคุมอัตราความดันโลหิตของร่างกาย ช่วยรักษาระดับความดันโลหิตของคุณแม่ไม่ให้สูงเกินไป ซึ่งก็จะลดความเสี่ยงครรภ์เป็นพิษได้ดี
                          • มีวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
                          • แตงโมอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง มีส่วนช่วยบำรุงสายตาของทารกในครรภ์
                          • การกินแตงโมขณะตั้งครรภ์มีส่วนช่วยช่วยบรรเทาลดอาการจุกเสียด ท้องอืด อันเนื่องมาจากมีลมหรือกรดในกระเพาะมากเกินไป
                          • แตงโมสามารถช่วยลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน สำหรับคุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องในตอนเช้าให้ดีขึ้นทั้งยังช่วยให้คุณแม่รับประทานอาหารได้ดี เจริญอาหารได้มากขึ้นอีกด้วย
                          • แตงโมมีน้ำเป็นส่วนผสมมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ การรับประทานแตงโมระหว่างตั้งครรภ์นั้น จะช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ที่จะป้องกันอาการขาดน้ำในระหว่างตั้งครรภ์ได้

                          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าแตงโมจะมีประโยชน์ต่อคนท้องมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังอย่ากินในปริมาณที่มากเกินไป เพราะอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้ ด้วยความที่แตงโม เป็นผลไม้ที่มีรสหวาน หากคุณแม่รับประทานมากเกินไปก็อาจจะส่งผลทำให้เกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ ซึ่งหากมีอาการรุนแรงมากก็อาจถึงขั้นเกิดอาการครรภ์เป็นพิษเลยก็ว่าได้

                          บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : ห้าม คนท้องกินแตงโม จริงหรือไม่?

                          19. สับปะรด

                          ในสับปะรดมีสารอาหารมากมายที่ดีต่อสุขภาพของคุณแม่ท้องและลูกน้อยในครรภ์ ไม่ว่าจะเป็น

                          • วิตามินบี 1 ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาทและหัวใจ
                          • วิตามินบี 6 ช่วยป้องกันโลหิตจาง และบรรเทาอาการแพ้ท้อง
                          • แมงกานีส ช่วยบำรุงกระดูกและฟันคุณแม่และลูกในท้อง
                          • เบต้าแคโรทีน ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

                          อย่างไรก็ตามการกินสับปะรดตอนท้องนั้น ควรจำกัดปริมาณให้เหมาะสมเนื่องจากสับปะรดมีความหวาน หากคุณแม่กินมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดอาการเบาหวานขณะตั้งครรภ์ได้ หรือการกินสับปะรดขณะท้องว่างจะไปกระตุ้นการเกิดกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารเกิดการระคายเคืองขึ้นได้ ดังนั้นแม่ท้องควรทานสับปะรดสัก 2-3 ชิ้นหลังมื้ออาหารก็จะดีต่อสุขภาพร่างกายมากกว่ากินตอนท้องว่าง

                          บทความแนะนำที่น่าสนใจ : ไขข้อข้องใจ สับปะรด เร่งคลอด ได้จริงหรือ?

                          20. ทับทิม

                          แม้ทับทิมจะเป็นผลไม้ที่กินค่อนข้างยาก เพราะมีเมล็ดมาก แต่ในทับทิมนั้นมีแร่ธาตุและวิตามินจำนวนมาก เป็นแหล่งพลังงานที่ดี เป็นผลไม้ที่แม่ท้องไม่ควรพลาดเลยทีเดียว มีเป็นประโยชน์มากมาย อาทิเช่น

                          • มีปริมาณเส้นใยสูง ช่วยลดอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์
                          • มีธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจางระหว่างตั้งครรภ์
                          • ทับทิมมีวิตามินซีสูง มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนที่มีส่วนช่วยให้กระดูกและฟันของลูกในท้องแข็งแรง
                          • มีวิตามินเคสูง ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกของแม่ท้อง และยังช่วยในการพัฒนาความแข็งแรงของกระดูกของลูกน้อยในท้อง
                          • ในทับทิม 1 เม็ด จะประกอบด้วยโฟเลตสูงถึง 16% คุณแม่ท้องที่ได้รับโฟเลตอย่างเพียงพอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดความพิการของลูกในท้องได้ โฟเลตจะช่วยสร้างเซลล์ประสาทในสมอง รวมทั้งไขสันหลังของทารกได้เป็นอย่างดี
                          • มีสารเคมีธรรมชาติ ที่จะช่วยลดความดันโลหิตระหว่างตั้งครรภ์ได้
                          • มีไอโอดีน ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับการพัฒนาระบบประสาทของลูกในท้อง ไอโอดีนยังป้องกันไม่ให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดและการแท้งบุตร
                          • แมกนีเซียม แคลเซียม และฟอสฟอรัสในน้ำทับทิม มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อกระดูกให้กับลูกในท้อง
                          • มีเส้นใยสูง ที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกในขณะตั้งครรภ์ได้ดี

                          อย่างไรก็ตามแม้ว่าทับทิมจะให้ประโยชน์มากมายกับแม่ท้องและลูกในท้อง แต่เนื่องจากทับทิมเป็นผลไม้ที่มีปริมาณแคลอรี่สูง การกินทับทิมในปริมาณมากเกินไปก็จะทำให้ได้รับแคลอรี่เกินความจำเป็นต่อร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดได้

                          บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง :ประโยชน์ของทับทิม ที่คนท้องไม่ควรพลาด

                          21. แก้วมังกร

                          แก้วมังกร เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่ท้องและทารกในครรภ์ ซึ่งสารอาหารในแก้วมังกรไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณแม่ท้องมีสุขภาพครรภ์ที่ดีแต่ยังช่วยป้องกันลูกในท้องจากความผิดปกติต่าง ๆ ได้ด้วย อาทิเช่น

                          • มีปริมาณโฟเลตสูง ช่วยลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และป้องกันโรคสมองพิการของทารกในครรภ์ได้
                          • อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งจะช่วยเพิ่มระดับฮีโมโกบินของคุณแม่ท้อง เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตจางที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์ได้
                          • มีแคลเซียมที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันของทั้งแม่และลูกให้แข็งแรง ทั้งยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของกระดูกทารกในครรภ์อีกด้วย
                          • มีไฟเบอร์หรือกากใยสูง ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างปกติ ช่วยให้ระบบย่อยภายในกระเพาะทำงานได้ดียิ่งขึ้น ปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้การขับถ่ายให้สะดวก แก้ปัญหาอาการท้องผูกระหว่างการตั้งครรภ์
                          • มีวิตามินซีสูงและวิตามินที่มีประโยชน์มากมาย ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงทั้งคุณแม่และลูกน้อย รวมทั้งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างสมองของลูกน้อยในครรภ์ และช่วยส่งเสริมสุขภาพการเจริญเติบโต และพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้ดี
                          • อุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ที่ช่วยเพิ่มพลังงานให้กับแม่ท้อง และเมล็ดสีดำเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไปในผลแก้วมังกรจะอุดมไปด้วยไขมันที่ไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยต่อต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ระหว่างตั้งครรภ์ได้

                          ถึงแม้แก้วมังกระจะเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ แถมปริมาณแคลอรี่ต่ำที่กินแล้วอิ่มง่ายแบบไม่ต้องกลัวน้ำหนักจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ให้พลังงานน้อย ดังนั้นควรให้ได้สารอาหารครบถ้วนต่อร่างกาย แนะนำคุณแม่ท้องทานแก้วมังกรไม่เกินวันละ 1 ลูก หลังมื้ออาหาร หรือจะทานเป็นของว่างระหว่างวัน และรับประทานอาหารอื่น ๆ ให้ครบถ้วน 5 หมู่ก็จะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างเต็มที่และมีพลังงานเพียงพอสำหรับสุขภาพครรภ์ที่ดี

                          บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : รวม 9 ประโยชน์ของ “ แก้วมังกร ” ที่แม่ท้องไม่ควรพลาด!!

                          อะโวคาโดเหมาะกับคนท้อง
                          อะโวคาโดเหมาะกับคนท้อง

                          22.อะโวคาโด

                          อะโวคาโด ถือเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ ที่มีคุณค่าทางอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นอยู่หลายชนิด และยังเป็นแหล่งรวมสารอาหารสำคัญมากมายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ อาทิเช่น

                          • ในอะโวคาโดมีโฟเลตมากกว่าผลไม้ชนิดอื่น อะโวคาโดถ้วยเดียวมีสารอาหารเกือบเท่ากับโฟเลตที่ร่างกายของทุกคนต้องการต่อวัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับแม่ท้องตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ที่ช่วยป้องกันการเกิดการพิการตั้งแต่เริ่มสร้างร่างของตัวอ่อน ช่วยให้ลูกในท้อง แข็งแรงสมบูรณ์ และถ้าหากว่าร่างกายของคุณแม่ได้รับสารโฟเลตอย่างเต็มที่ก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ หัวใจวาย และความดันเลือดได้ ได้
                          • มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายซึ่งให้พลังงานและช่วยป้องกันข้อบกพร่องของท่อประสาท และยังเพิ่มเซลล์ที่รับผิดชอบในการสร้างผิวหนังและเนื้อเยื่อสมองของทารกที่กำลังพัฒนา
                          • โพแทสเซียมในอะโวคาโดสามารถบรรเทาอาการปวดขาซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในระหว่างตั้งครรภ์โดยเฉพาะในไตรมาสที่สาม
                          • เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน A (เบต้าแคโรทีน) ช่วยบำรุงสายตา, วิตามิน B ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ปากนกกระจอก, วิตามิน C ช่วยป้องกันหวัด เลือดออกตามไรฟัน, วิตามิน E ซึ่งเป็นสาร antioxidant  ที่มีคุณค่าในการปกป้องเซลล์ร่างกายจากมลพิษทางอากาศ น้ำ และอาหาร ป้องกันร่างกายจากโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ และโรคหัวใจ และวิตามิน K
                          • มีเส้นใยโคลีนแมกนีเซียมและโพแทสเซียม
                          • มีธาตุเหล็ก โคลีน ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสมองและระบบเส้นประสาทของทารก ช่วยป้องกันการเสื่อมของสมอง
                          • มีสารกลูตาไธโอน ที่มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่อของอวัยวะทุกส่วนโดยการต่อต้านอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ และกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
                          • อะโวคาโดอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เป็นไขมันที่ย่อยง่ายมีคาร์โบไฮเดรตต่ำ ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด ช่วยลดความเสี่ยงเบาหวานขณะตั้งครรภ์และอาการที่เสี่ยงในกลุ่มครรภ์เป็นพิษ
                          • มีโปรตีนที่ย่อยง่าย มีเส้นใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นแก้ปัญหาอาการท้องผูกของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์ได้
                          • ในอะโวคาโดมีทั้ง โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่บำรุงสมองและระบบประสาทและเพิ่มความฉลาดให้ลูกน้อยในครรภ์

                          อะโวคาโดนั้นนอกจากจะดีต่อสุขภาพคุณแม่ยังดีต่อพัฒนาการและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ด้วย อย่างไรก็ตามการกินอะโวคาโดแบบได้ประโยชน์ที่สุดควรกินอะโวคาโดสุกและแนะนำให้ทานปริมาณครั้งละไม่เกิน ครึ่งผล หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 1 ผลต่อ ถ้ากินมากไปหรือกินผลดิบ จะทำให้มีรสขมอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้

                          บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : อะโวคาโด ผลไม้มากคุณค่า เพื่อสุขภาพคุณแม่ท้องและสมองของลูกน้อย

                          จะเห็นได้ว่า การรับประทานผักและ ผลไม้สำหรับคนท้อง เป็นอาหารว่างที่ดีในระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อนร่างกายมากมาย ที่ช่วยพัฒนาการของทารกในครรภ์ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคและข้อบกพร่องบางอย่างและช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายของคุณแม่ ทั้งนี้ผลไม้แต่ละอย่าง แม่ท้องควรกินในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากรับประทานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อทั้งแม่และลูกน้อยในครรภ์ได้ ควรกินผลไม้ที่สลับกันไปในแต่ละวัน ควบคู่กับอาหารทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน ก็จะช่วยให้มีสุขภาพครรภ์ดีตลอดการตั้งครรภ์นี้นะคะ

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.momjunction.comwww.mommychooses.com

                          อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

                          แม่เช็กก่อนซื้อ! นี่คือ 6 ผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างมากที่สุด

                          7 ผลไม้แก้ท้องผูก ช่วยแม่ท้องระบบขับถ่ายดีตลอด 9 เดือน

                           

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

                            ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี? หมอแนะ 10 วิธีรับมือเมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว

                            ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี !? หากบ้านไหนกำลังประสบกับปัญหานี้อยู่ ลูกเบื่ออาหาร ลูกไม่ยอมกินข้าว ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำดีๆ จาก คุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก มาฝากค่ะ

                            หมอแนะวิธีแก้ปัญหา? ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

                            นพ. พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้กล่าวถึงปัญหา เด็กไม่ยอมกินข้าว ว่า…

                            ลูกไม่กินข้าว เป็นหนึ่งในปัญหาหนักอกที่พบกว่าครึ่งของคุณพ่อคุณแม่ทั่วโลก ซึ่งจะเกิดกับเด็กที่อยู่ในวัยเตาะแตะตั้งแต่เริ่มหัดเดินประมาณ 1 ขวบเศษ ไปจนถึงก่อนเข้าอนุบาล โดยคุณพ่อคุณแม่มักบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า >> หลอกล่อก็แล้ว บังคับขู่เข็ญก็แล้ว ก็ยังมีปัญหา “ลูกไม่กินข้าว” อยู่ดี

                            วันนี้ผมมีวิธีดีๆ ตั้งแต่จะดูได้อย่างไรว่า “ลูกไม่กินข้าว” นั้นเป็นเรื่องจิ๊บๆที่รับมือได้ไม่ยาก ไปจนถึง “ลูกไม่กินข้าว” ที่มีความรุนแรงจากความเจ็บป่วยซึ่งต้องพบคุณหมอโดยเร็ว มาฝากคุณพ่อคุณแม่กัน

                            สาเหตุของปัญหา “ลูกเบื่อข้าว” ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

                            ที่พบบ่อย มักเป็นปัญหาทางพฤติกรรมเลือกกิน ประเภทนั่นก็ไม่กิน นี่ก็ไม่กิน กินเฉพาะบางสิ่งบางอย่างที่พ่อแม่รู้สึกว่าไม่ควรกิน หรือ ปฏิเสธอาหารใหม่ที่ไม่เคยกินโดยเฉพาะอาหารหลักอย่างบ้านเรา ซึ่งก็ คือ ข้าว

                            ส่วนที่พบน้อยแต่เป็นความรุนแรง เพราะ กินไม่ได้เนื่องจากมีความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น มีปัญหาพัฒนาการด้านการกิน มีปัญหาความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของรสชาติ หรือพฤติกรรมซ้ำของเด็กออทิสติกจนทำให้ไม่สามารถกินอาหารได้ตามปกติ

                            ซึ่งในกลุ่มที่ “ลูกไม่กินข้าว” อย่างรุนแรงจากความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจนี้พบได้น้อยมาก ไม่ถึง 1 ใน 20 คนของปัญหา ดังนั้น 19 ใน 20 คนของปัญหาเด็กไม่กินข้าว ส่วนใหญ่มักมีสาเหตุมาจาก ความไม่เข้าใจของพ่อแม่ต่อพฤติกรรมการกินของลูกเป็นหลัก ทำให้ไม่สามารถรับมือและทำให้ลูกกินข้าวได้มากขึ้น จนเป็นปัญหาให้สงสัยอยู่ตลอดว่า ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี ตามมานั่นเอง!!

                            ขณะเดียวกันก็มีเด็กจำนวนหนึ่ง ที่คุณพ่อคุณแม่พามาพบคุณหมอด้วยปัญหา “ลูกไม่ยอมกินข้าว” ซึ่งเมื่อประเมินทั้งตัวเด็ก อาหารที่เด็กรับประทานแล้วก็พบว่า ที่จริงลูกกินข้าวได้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าลูกกินน้อยเกินไปจึงเป็นที่มาของการพาลูกเข้าพบหมอ ซึ่งในที่นี้หมอขอแบ่งกลุ่ม ปัญหา ลูกไม่กินข้าว แบบง่ายๆ เป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ

                            1. มีความเจ็บป่วยทั้งทางร่างกายและจิตใจจนทำให้ส่งผลตามมา คุณพ่อคุณแม่สังเกตกันอย่างนี้ครับ เช่น ใช้เวลากินนานมาก ปฏิเสธอาหารบางประเภทชัดเจนอย่างนมที่เป็นอาหารเหลว ดูลูกเครียดมากเมื่อถึงเวลาอาหาร สำลักอาหาร กลืนแล้วเจ็บ กลืนไม่ลง อาเจียน ท้องเสีย พัฒนาการด้านอื่นล่าช้า มีอาการหอบเหนื่อยระหว่างรับประทานอาหาร การเจริญเติบโตล่าช้าไม่สมวัย หากลูกมีอาการเหล่านี้ร่วมกับปัญหาไม่ยอมกินข้าว หรือ ลูกกินยาก ให้พาลูกไปตรวจ และถ้ายิ่งมีอาการแสดงให้เห็นมากอย่าง ยิ่งบ่งบอกว่าน่าจะมีความเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจมากขึ้น

                            2. ไม่คุ้นเคยความชอบไม่ชอบ หรือ มีความไวต่อรสชาติของอาหารใหม่ หรือ เป็นเด็กที่ต้องการเวลาในการปรับตัวกับอาหารใหม่ กลุ่มนี้จะไม่มีปัญหาทางร่างกายและจิตใจ แต่อาจเลือกกินเลยทำให้กินได้เฉพาะอาหารบางอย่าง ถ้าเลือกมากกินไม่พอก็อาจมีผลต่อการเจริญเติบโตได้ แต่ต้องเน้นย้ำว่า เป็นการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสมนอกจากตามวัยของเขาแล้ว ก็ยังต้องเหมาะสมตามศักยภาพในการเจริญเติบโตของเขาด้วยครับ เช่น พ่อแม่ตัวเล็กลูกก็จะตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน

                            3. เกิดจากความเข้าใจผิดของคุณพ่อคุณแม่ ว่า.. ลูกกินน้อย ทั้งที่ปริมาณและอาหารที่ลูกกินอยู่นั้นเพียงพอกับความต้องการของร่างกายแล้ว กลุ่มนี้การเจริญเติบโตของเด็กมักปกติ บางรายน้ำหนักตัวมากกว่าเกณฑ์ปกติตามวัยหรือตามความสูงด้วยครับ

                            เมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นที่มาที่ไปของปัญหาแล้ว ถึงตรงนี้จะเห็นได้เลยว่า กลุ่มที่ 1 ต้องพบคุณหมอ ส่วนกลุ่มที่ 3 ต้องปรับทัศนคติของตัวเอง และกลุ่มที่ 2 ให้คุณพ่อคุณแม่ลองรับมือไปพร้อมกับการลับสมองไปพร้อมกัน

                            ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี
                            10 วิธีรับมือ แก้ปัญหาลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

                            วิธีรับมือ ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี

                            โดยมีหลักการง่ายๆ  หากลูกไม่ยอมกินข้าว ก็จะกินข้าวได้มากขึ้นได้เอง ถ้าเขา “หิว อาหารชวนกิน และบรรยากาศเป็นใจ” ดังนั้นโจทย์ของคุณพ่อคุณแม่ คือ ทำอย่างไรดีให้ลูกหิว! ทำอย่างไรให้อาหารชวนกิน? และทำอย่างไรบรรยากาศถึงจะเป็นใจ ตามมาดูกันเป็นข้อๆเลย

                            1. กินอาหารเป็นมื้อเป็นคราว กินทั้งวันลูกก็จะไม่หิวเมื่อถึงเวลาที่เราจะกินข้าวกัน ลูกเล็กหน่อย วัยก่อนเข้าป. 1 อาจมีอาหารว่างมื้อเล็กที่ 10 โมงเช้า กับ บ่าย 2 โมง ก็ได้ แต่ต้องมื้อเล็กและมีคุณค่าทางโภชนาการ หลีกเลี่ยงขนมกรุบกรอบ
                            2. กำหนดเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อไม่เกิน 30 นาที ฝึกวินัยให้ลูกรู้ว่า เวลาไหนกิน กินนานเท่าไร ถ้าลูกเล่นเพลินไม่กินแล้วแสดงว่าลูกไม่หิว ก็บอกลูกดีๆ ว่า “ลูกคงอิ่มแล้ว แม่เก็บนะคะ เราจะกินกันอีกที ตอน ……(มื้อถัดไป) นะคะ” ระหว่างนี้ถ้าลูกหิว ให้อาหารว่างได้ตามเวลา ถ้าไม่ใช่เวลากิน ให้เบี่ยงเบนความสนใจของลูกไปสู่กิจกรรมที่ชวนลูกสนุกแทน
                            3. หลีกเลี่ยงอาหารหวาน น้ำหวาน ขนมหวาน โดยเฉพาะก่อนมื้ออาหารสัก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกได้รู้จักความหิว
                            4. ให้ลูกได้มีกิจกรรมทางร่างกาย เด็กก่อนเข้าป.1 ควรมีกิจกรรมการเคลื่อนไหว เช่น วิ่งเล่นอย่างอิสระอย่างน้อยวันละ 60 นาทีขึ้นไป ยิ่งมากยิ่งดี และจะทำให้ลูกหิวมากขึ้นด้วย… อย่าปล่อยให้ลูกนั่งนิ่งๆนานเกินกว่า 60 นาทีต่อเนื่องกัน โดยเฉพาะผ่านหน้าจอทั้งหลาย เว้นแต่ทำกิจกรรมร่วมกับพ่อแม่
                            5. ลูกอายุ 6 เดือนถึง 1 ปี ควรเริ่มอาหารตามวัย ร่วมกับนมแม่โดยไม่จำเป็นต้องปรุงรสชาติ เพื่อไม่ให้เด็กติดรสชาติเมื่อโตขึ้นและจะทำให้กินยากตามมา อาหารเด็กควรเพิ่มความหยาบมากขึ้นตามวัย จนสามารถรับประทานอาหารเหมือนผู้ใหญ่ที่ไม่แข็งจนเกินไปได้เมื่ออายุ 1 ปี
                            6. ให้ลูกได้หยิบจับอาหารหรือตักอาหารใส่ปากด้วยตัวเอง เมื่อเขาเริ่มทำได้ให้มากที่สุด ความเลอะเทอะ คือ การเรียนรู้ ถ้าพ่อแม่วุ่นวายกับความสะอาดมากจนต้องทำความสะอาดกันตลอดเวลาระหว่างกิน อาจเกิดปัญหาลูกกินยากตามมา
                            7. จัดอาหารให้เหมาะสมกับความชื่นชอบของเด็ก เช่น สีสันที่ลูกชอบ ลักษณะอาหารที่ลูกคุ้นเคย ชนิดของอาหารที่ลูกคุ้นชิน ก่อนขยับขยายไปแนะนำอาหารอื่นโดยเฉพาะสำหรับเด็กที่ปรับตัวได้ช้ากับอาหารใหม่ อย่างเด็กบางคนกินผักตำลึงได้ คุณพ่อคุณแม่ก็อาจขยับขยายไปหาผักโขม ที่มีสีเขียวและลักษณะสัมผัสใกล้เคียงกัน หรือ ลูกกินฟักทองนึ่งได้ก็ลองขยับไปเป็นแครอทต้มสุก ลูกจะได้รู้จักอาหารใหม่ได้มากขึ้น
                            8. จัดอาหารแลกเปลี่ยนให้ลูกเป็น เช่น หากลูกไม่ชอบกินข้าว ก็หาอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตให้ลูกได้สลับสับเปลี่ยนบ้าง อย่าง ขนมปัง สปาเก็ตตี้ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เขาจะได้ไม่เบื่อ
                            9. ให้ลูกได้กินอาหารร่วมกับคนอื่นในบ้าน และทุกคนร่วมสร้างบรรยากาศให้สนุกไปกับการกิน
                            10. เวลากินเป็นกิน ไม่ทำกิจกรรมอื่นไปด้วย เช่น ไม่ดูโทรทัศน์ ไม่ดูวิดีโอ

                            สุดท้าย หากลูกปฏิบัติดีให้เสริมแรง เช่น ชมเชย ตบมือ ยิ้มให้ แล้วบอกว่า ที่คุณพ่อคุณแม่พอใจ คือ พฤติกรรมอะไร

                            อย่างไรก็ตามถือว่ามีเทคนิคให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกนำไปประยุกต์เพื่อปฏิบัติกันหลายวิธี ซึ่งก้ควรเลือกไปใช้ให้เหมาะกับบริบทของลูกและครอบครัวกันนะครับ …ได้ผลไม่ได้ผลอย่างไร มาส่งข่าวบอกกันนะครับ ^^ และอย่าลืมว่าปัญหาเด็กไม่กินข้าว ส่วนใหญ่เป็นเด็กปกติ ที่เราเพียงปรับทัศนคติมุมมองของเรา และปรับการตอบสนองต่อพฤติกรรมลูก เพียงแค่นี้ก็รับมือกับปัญหา ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี ได้ไม่ยากแล้วครับ

                            บทความโดย : นพ. พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
                            หัวหน้าภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                            อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

                            รีวิว “4 วิตามินซีเด็ก วิตามินรวม” อีกหนึ่งตัวช่วยที่แม่ควรรู้จัก!

                            10 วิธีแก้อาการเบื่ออาหาร ทำยังไงให้ลูกกินข้าว?

                            10 เมนูลูกวัย 12 เดือน สูตรสำหรับฝึกเคี้ยวโดยเฉพาะ!

                            ลูกกินยาก กินแต่อาหารซ้ำซาก เสี่ยงโรค Neophobia

                              ดื่มน้ำลดความอ้วน

                              เผยสูตร ดื่มน้ำลดความอ้วน “ดื่มถูกหลัก” ได้ผลเริ่ด แถมสุขภาพดี!

                              ดื่มน้ำลดความอ้วน ได้จริงหรือ? กินน้ำถูกวิธี จะช่วยลดน้ำหนัก ลดพุงได้อย่างไร! ตามมาดูสูตรดื่มน้ำลดอ้วน ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันว่าทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี ต้องทำอย่างไรมาดูกันเลย

                              เผยเคล็ดลับ ดื่มน้ำลดความอ้วน ดื่มถูกวิธีก็ผอมได้

                              การรักษารูปร่างให้สวยแข็งแรง เป็นเรื่องที่คุณแม่หลังคลอดอยากทำกันมาก แต่ติดอยู่ตรงที่ต้องให้นมลูก ซึ่งช่วงให้นมลูกคุณแม่ไม่ควรงดอาหาร แต่ถ้าอยากผอมสวยสุขภาพดีแบบปลอดภัย ทีมแม่ ABK มีคำแนะนำการ ดื่มน้ำลดความอ้วน มาฝากค่ะ

                              ดื่มน้ำลดความอ้วน : ประโยชน์ของน้ำต่อร่างกาย

                              ร่างกายของเราทุกคนประกอบไปด้วยน้ำมากถึง 60-75 % และน้ำก็เป็นสิ่งสำคัญที่ร่างกายจะขาดไม่ได้รองมาจากออกซิเจน หรืออากาศที่เราใช้หายใจกันในทุกๆ วัน  โดยธรรมชาติแล้วร่างกายจะใช้พลังงานจากอาหารที่ร่างกายสะสมไว้ ในกรณีที่เกิดขาดแคลนอาหาร หรืออดอาหาร ทุกคนจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้เป็นสัปดาห์ แต่ถ้าไม่ได้ดื่มน้ำแค่ 1-2 วัน ทำเอาร่างกายแย่กันเลยค่ะ

                              น้ำมีความสำคัญต่อระบบการย่อยอาหาร สารอาหารจากอาหารที่ทานกันในทุกวัน เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะต้องละลายน้ำก่อนจึงจะผ่านเยื่อบุลำไส้เข้าสู่ร่างกายตามกระแสโลหิต และหลอดน้ำเหลืองได้อย่างสมบูรณ์  และน้ำก็ยังช่วยในการขับถ่ายของเสียที่ร่างกายไม่ต้องการใช้ออกจากร่างกาย  แล้วก็ยังช่วยในการรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกายด้วยค่ะ  นอกจากนี้น้ำยังมีประโยชน์กับร่างกายอีกหลายอย่าง คือ

                              1. ช่วยลดการเกิดกลิ่นปาก
                              2. ช่วยในการย่อยอาหาร
                              3. ช่วยลดอาการท้องผูก
                              4. ช่วยให้สมองทำงานได้ดี
                              5. ช่วยรักษาสุขภาพไตให้แข็งแรง , ป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต
                              6. ช่วยให้ดวงตาดูสดใส มีชีวิตชีวา
                              7. ช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย , ให้สุขภาพผิวดูมีน้ำมีนวลสดใส
                              8. ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้คงที่
                              9. ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
                              10. ช่วยลดอาการการปวดศีรษะและไมเกรน
                              11. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ปรับสมดุลในร่างกาย
                              12. ช่วยให้หัวใจทำงานได้อย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพ
                              Good to know… “ในหนึ่งวันควรดื่มน้ำวันละกี่ลิตร ให้ใช้สูตรการคำนวณปริมาณน้ำที่ต้องดื่ม คือ เอาน้ำหนักตัว(กิโลกรัม) คูณ 40 แล้วหารด้วย 1000 เป็นปริมาณน้ำ(ลิตร) ตัวอย่าง น้ำหนักตัว 56 กิโลกรัม ปริมาณน้ำที่ควรได้รับคือ 56X40 /1000 =  2.24 ลิตร”

                              ดื่มน้ำเท่าไหร่ถึงจะพอ?

                              จำนวนน้ำที่พอเหมาะกับความต้องการน้ำของร่างกายในแต่ละวัน คือ ดื่มน้ำ 4 แก้วต่อการสูญเสียพลังงาน 1,000 แคลอรี ซึ่งเท่ากับ 12 แก้วต่อหนึ่งวันสำหรับผู้ชาย และ 9  แก้วต่อหนึ่งวันสำหรับผู้หญิง  

                              • แต่สำหรับคนที่ออกกำลังกายและอยู่กลางแจ้ง ควรดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนออกกำลังกายสองชั่วโมง และดื่มน้ำครึ่งแก้วทุก 15 นาทีของการออกกำลังกาย
                              • คนท้องควรดื่มน้ำอยู่ที่วันละ 8-10 แก้วต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละคน ให้สังเกตดูว่าถ้าปากไม่แห้ง ปัสสาวะสีใสๆ ก็แสดงว่าร่างกายได้รับน้ำในปริมาณที่เพียงพอ
                              Good to know… “ร่างกายคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 2 ใน 3 ส่วน และอวัยวะสำคัญต่างๆ ก็มีน้ำอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น ปอดมีน้ำอยู่เกือบ 90 % สมองมีน้ำอยู่ถึง 75 %”

                               

                              ดื่มน้ำลดความอ้วน

                              สูตร ดื่มน้ำลดความอ้วน ที่มีงานวิจัยยืนยันว่าทำแล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี คือ

                              1. น้ำเปล่า 2 แก้วก่อนอาหาร

                              ลด 75 กิโลแคลอรี งานวิจัยซึ่งตีพิมพ์ใน Journal of the American Dietetic Association ระบุว่า การดื่มน้ำเปล่า 2 แก้วก่อนกินอาหารเช้าครึ่งชั่วโมงทุกวัน ช่วยให้กินอาหารลดลง 13 เปอร์เซ็นต์ หรือเท่ากับ 75 กิโลแคลอรี สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 3.5 กิโลกรัมภายใน 1 ปี สอดคล้องกับผลการทดลองร่วมระหว่าง Institute for Public Health and Water Research และ Virginia Tech University ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งให้อาสาสมัครสองกลุ่มกินอาหารพลังงานต่ำ ต่างกันที่กลุ่มแรกดื่มน้ำเปล่า 2 แก้ว ก่อนกินอาหารทั้งสามมื้อหลัง 12 สัปดาห์พบว่า กลุ่มที่ดื่มน้ำเปล่ามีน้ำหนักตัวลดลงมากกว่า โดยสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 2 กิโลกรัม

                              2. น้ำเปล่าเผาไขมัน + น้ำตาล

                              ศาสตราจารย์ ดร. บาร์รี ป็อปคิน ผู้อำนวยการศูนย์ UNC Interdisciplinary Obesity Center (IDOC) ประจำมหาวิทยาลัยนอร์ธแคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา แสดงทัศนะว่า การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณเหมาะสมช่วยลดน้ำหนัก เพราะเหตุผลสองประการ คือ

                              • น้ำทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายลดลง ร่างกายจึงเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดสมดุลความร้อน ส่งผลให้อาหารและพลังงานถูกเผาผลาญตามไปด้วย ช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกินสะสม
                              • เมื่อดื่มน้ำเปล่ามากขึ้น ทำให้ลดโอกาสดื่มน้ำหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานน้อยลง จึงควบคุมน้ำหนักง่ายขึ้น

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                              ตาราง ดื่มน้ำลดความอ้วนดื่มน้ำลดความอ้วน ลดพุง แถมช่วยให้สุขภาพดี

                              1. ดื่มน้ำลดความอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดี ครั้งแรกให้ ดื่มน้ำตอนเช้าหลังจากตื่นนอน 2 แก้ว จะช่วยให้ร่างกายตื่น เพิ่มความสดชื่น กระตุ้นการขับถ่าย และช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี (หากดื่มน้ำอุ่นได้จะดีมาก)

                              2. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารเช้า 30 นาที เพื่อช่วยให้อิ่มไวและระบบย่อยอาหารทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
                              3. หลังจากรับประทานอาหารเช้า 1 ชั่วโมง ดื่มน้ำ 1 แก้ว ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                              4. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนมื้อรับประทานอาหารกลางวัน 30 นาที ช่วยให้อิ่มไว และระบบย่อยทำงานดี
                              5. หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน 1 ชั่วโมง ดื่มน้ำ 1 แก้ว จะช่วยย่อยอาหารและช่วยในการขับถ่าย
                              6. บ่าย 3 โมง ดื่มน้ำ 1-2 แก้ว เพื่อให้ร่างกายสดชื่นระหว่างวัน และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
                              7. ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานมื้อเย็น 30 นาที จะช่วยลดความอยากอาหารและช่วยให้อาหารย่อยง่ายขึ้น
                              8. ช่วง 1-2 ทุ่ม ให้ดื่มน้ำ 2 แก้ว เพื่อให้ระบบเลือดไหลเวียน และระบบลำไส้ทำงานได้ดี 
                              9. สุดท้ายของวัน ตาราง ดื่มน้ำลดความอ้วน เพื่อสุขภาพที่ดี ให้ดื่ม 1 ชั่วโมง ก่อนนอน เพื่อชำระล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้ 

                              ดื่มน้ำลดความอ้วน ดื่มตอนไหนให้ประโยชน์กับร่างกายมากที่สุด

                              1. หลังตื่นนอน ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำทันที 2- 5 แก้ว เพื่อช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นเท่านั้น ที่ต้องดื่มตอนเช้าเพราะเป็นช่วงที่ร่างกายขับสารพิษได้ดีที่สุด

                              2. ดื่มน้ำแต่น้อยระหว่างรับประทานอาหาร ไม่ควรเกิน 1 แก้ว หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว 40 นาที จึงค่อยดื่มน้ำตาม  เพื่อให้กระเพาะย่อยอาหารได้เต็มที่ ที่สำคัญไม่ควรดื่มน้ำเย็น เพราะจะไปรบกวนระบบการย่อยอาหาร

                               

                              อย่างไรก็ตามการที่จะให้รูปร่างสวยผอม และมีสุขภาพดีได้นั้น ดื่มน้ำลดความอ้วน อาจช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้คุณแม่ และผู้หญิง รวมถึงผู้ชายที่อยากลดน้ำหนัก ควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องของแต่ละคนด้วย นั่นคือควรลดการทานอาหารประเภท ของทอด ปิ้ง ย่าง อาหารหวาน มัน งดน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่ช่วยให้ร่างกายสดชื่นทันที เพราะเครื่องดื่มประเภทนี้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบค่อนข้างสูง นอกจากนี้ก็ต้องหมั่นออกกำกายอย่างสม่ำเสมอ  ทานผัก ผลไม้ ให้มากกกว่าการทานขนมหวานหลัง หรือระหว่างวัน เพียงเท่านี้การดื่มน้ำเพื่อลดน้ำหนักก็จะเกิดประสิทธิภาพอย่างแน่นอนค่ะ


                              ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงเรื่อง ดื่มน้ำลดความอ้วน จาก :  women.mthai.com , healthcarethai.com, manager.co.th, health2shape.com, medthai.com , mgronline.com

                              อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

                              ตรวจหลังคลอด..เจ็บไหม? ต้องตรวจอะไรบ้าง?

                              11 อาหารบำรุงสมองลูกในท้อง มีอะไรบ้างที่แม่ควรกิน

                              5 วิธีรับมือ “ลูกแพ้อาหารที่แม่กิน” ลูกแพ้อาหารผ่านนมแม่ ทำไงดี?

                              12 อาหารบำรุงแม่หลังคลอด ทำอย่างไรให้น้ำนมมีคุณภาพ

                              4 สูตร “อาหารหลังคลอด” คัดเฉพาะเมนูที่ปรุงง่าย ไม่ยุ่งยาก

                               

                                โรคแทรกซ้อนโควิด-19

                                แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

                                อย่าคิดว่าเป็นโควิด-19 จะรู้ได้ถ้ามีไข้ หรือพบจุดขาวในปอดตอนเอ็กซเรย์เท่านั้น หลังพบเด็กจำนวนมากป่วยหนักด้วยอาการประหลาด “เป็นผื่น เจ็บคอ ปวดท้อง ตาแดง หลอดเลือดหัวใจตีบ “ และมีเชื้อโควิดในร่างกาย ” โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ” ภัยเงียบที่แฝงมาทำร้ายลูกน้อย อันตรายถึงชีวิต เตือนพ่อแม่อย่านิ่งนอนใจ สังเกตเจอสัญญาณผิดปกติ รีบพาหมอทันที

                                 

                                เด็กกับโรคโควิด-19 

                                เราอาจเคยได้ยินข้อมูลที่ว่า ผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 จะมีอาการรุนแรงและอันตรายถึงชีวิตมากกว่าเด็ก ๆ ใช่ไหมคะ เพราะเด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 มักไม่แสดงอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่อันตรายกับเด็กเลย ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีโรคประหลาดที่มีความสัมพันธ์กับโรคโควิด-19 เกิดขึ้นกับเด็กจำนวนมากในหลายประเทศทางตะวันตกอีกด้วย จะมีอาการเป็นอย่างไรบ้าง ไปทำความเข้าใจกันค่ะ 

                                โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ” ภัยเงียบที่แฝงมาร้ายลูกน้อย

                                 

                                เมื่อเด็กที่หายจากโควิด-19 ป่วยหนักอีกครั้ง
                                เมื่อเด็กที่หายจากโควิด-19 ป่วยหนักอีกครั้ง

                                เมื่อเด็กที่หายจากโควิด-19 ป่วยหนักอีกครั้งด้วยอาการคล้ายโรคคาวาซากิ 

                                โรคคาวาซากิ” (Kawazaki diseaseเป็นโรคที่มีสาเหตุการเกิดไม่ทราบแน่ชัด เมื่อมีการติดเชื้อในผู้ป่วย มักทำให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานดีมากจนเกินไป กลายเป็นการทำร้ายตัวเอง จนสุดท้าย ส่งผลต่อหลอดเลือดหัวใจโป่งพอง และเยื่อบุหัวใจอักเสบ  

                                เด็กที่ป่วยเป็นโรคคาวาซากิ จะมีอาการไข้สูง ตาแดง ปากแดง ปวดศีรษะ เจ็บคอ ปวดท้อง และอาเจียน บางรายมีผื่นและอาการช็อก ในบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อน คือ การเกิดการอักเสบของหัวใจและหลอดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ อาจทำให้หลอดเลือดหัวใจมีลักษณะโป่งพอง ตีบหรือแคบได้ ในรายที่หลอดเลือดตีบมาก อาจเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน ในภาวะแทรกซ้อนนี้ อาจเป็นสาเหตุเสียชีวิตได้ แม้ไม่เสียชีวิตก็อาจจะเป็นโรคนี้ไปตลอดชีวิตของเด็กคนนั้นก็ได้ 

                                 

                                อ่านเพิ่มเติม >>  Covid toe ผื่นแดงขึ้นเท้า สัญญาณเตือน ลูกติดโควิดแม่อย่าชะล่าใจ

                                อ่านเพิ่มเติม >> โรคคาวาซากิ ภัยร้ายเด็กเล็กที่ก่อโรคหัวใจในเด็ก

                                 

                                ประมาณกลางเดือนเมษายน 2563 หลังโรคโควิด-19 เริ่มมีการระบาดอย่างหนักในยุโรปประมาณ 1 เดือน กุมารแพทย์ในประเทศอังกฤษพบเด็กป่วยที่ไม่สามารถอธิบายสาเหตุได้ ในผู้ป่วยบางคนมีอาการครบข้อบ่งชี้โรคคาวาซากิ โดยพบว่าผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมีการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่แสดงว่าเคยมีการติดเชื้อโควิด-19 มาก่อน โดยอาจจะพบหรือไม่พบเชื้อในทางเดินหายใจของผู้ป่วยก็ได้ แสดงให้เห็นว่าการระบาดของโรคโควิด-19 น่าจะมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดโรคที่มีอาการคล้ายโรคคาวาซากิได้ 

                                 

                                องค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งชื่อเรียกภาวะคาวาซากิที่เกิดในคนไข้โควิด-19 นี้ว่า Multisystem Inflammatory Disorder in Children and Adolescents หรือ MIDCA 

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                หลังจากที่พบเด็กป่วยด้วยอาการคล้ายโรคคาวาซากิจำนวนมาก ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ของประเทศสหราชอาณาจักรได้มีการออกจดหมายเตือนกุมารแพทย์เกี่ยวกับโรคดังกล่าวเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2563 โดยให้ชื่อว่า Pediatric Multisystem Inflammatory Syndrome – Temporally Associated with Covid-19 (PMIS-TS) หลังจากนั้นได้มีการยืนยันว่าพบภาวะดังกล่าวในเด็กจากอีกหลายประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา โดยบางรายมีอาการรุนแรงจนทำให้เด็กเสียชีวิต ส่วนทาง Center for Disease Control (CDC) หรือศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการออกคำเตือนเกี่ยวกับโรคนี้เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 โดยให้ชื่อว่า Multisystem Inflammatory Syndrome in Children Associated with Covid-19 (MIS-C) 

                                MIS-C อาการป่วยที่คล้ายกับโรคคาวาซากิ 
                                MIS-C อาการป่วยที่คล้ายกับโรคคาวาซากิ

                                รู้จัก MIS-C อาการป่วยที่คล้ายกับโรคคาวาซากิ 

                                โรค Multisystem Inflammatory Syndrome in Children หรือ MIS-C คือกลุ่มอาการที่ทำให้เกิดภาวะอักเสบในหลายอวัยวะ ผู้ป่วยเด็กโรค MIS-C จะมีอาการที่มีความคล้ายคลึงกับผู้ป่วยเด็กที่เป็นโรคคาวาซากิหลายประการ เช่น มีไข้สูง ผื่น ตาแดง ปากแดง ต่อมน้ำเหลืองโต 

                                ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบ MIS-C กับโรคคาวาซากิ จุดสังเกตคือ โรคคาวาซากิเกิดในเด็กเล็กถึงอายุ 5 ปี ส่วน MIS-C จะเป็นในเด็กโต อายุเฉลี่ย 7.5 ปี พบสูงสุด 21 ปี โดย MIS-C จะมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารบ่อยกว่า มีภาวะช็อกจากภาวะหัวใจล้มเหลว ส่วนหนึ่งกล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติชั่วคราว และมีเกล็ดเลือดต่ำ มีอาการทางสมอง ขณะที่คาวาซากิมักไม่ค่อยมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร มีหลอดเลือดอักเสบแต่ไม่ถึงภาวะช็อก เกล็ดเลือดค่อนข้างสูง 

                                 

                                อ่านเพิ่มเติม >> โรคอักเสบรุนแรงในเด็ก ที่อาจเกี่ยวข้องกับโควิด 19

                                 

                                อ่านมาถึงตรงนี้ คุณพ่อคุณแม่หลายคนคงมีคำถามว่า สรุปแล้วโรคโควิด-19 เป็นสาเหตุของอาการป่วยคล้ายโรคคาวาซากิที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายด้วยหรือไม่ ในเรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนจากวงการแพทย์ค่ะ เพราะยังไม่มีผู้ป่วยดังกล่าวที่ตรวจพบชื้อไวรัสโควิด-19 ทุกราย แต่มีแนวโน้มว่าโรคทั้งสองโรคนี้มีความสัมพันธ์กันอยู่ อย่างไรก็ตาม หากอาการเด็กน่าสงสัยเข้าลักษณะกลุ่มอาการโรคคาวาซากิ หรือ MIS-C ต้องให้เฝ้าระวังความสัมพันธ์กับการติดเชื้อโควิด-19 และให้ทำการตรวจหาเชื้อนี้ร่วมไปด้วย 

                                เปิดเทอมนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมพร้อม
                                เปิดเทอมนี้ คุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมพร้อม

                                ด้วยความที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลาย รัฐบาลจึงมีการปลดล็อกมาตรการหลายอย่างเพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามเดิม รวมไปถึงจะมีการเปิดเทอมในวันที่ 1 กรกฎาคม 2563 นี้ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน และการระบาดระลอกสองของโควิด-19 อาจมาถึงได้ทุกเมื่อ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อย่าชะล่าใจ ดูแลลูกให้ที่สุด และปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เตรียมหน้ากากอนามัยให้ลูก บอกให้เขาล้างมือบ่อย ๆ เพราะป้องกันไว้ ดีกว่าแก้ไขทีหลังแน่นอนค่ะ 

                                 


                                ขอบคุณข้อมูลจาก

                                โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ

                                ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย

                                MGR Online

                                ไทยรัฐออนไลน์

                                แพทย์ไทย ไอเดียสุด / Doc Idea D

                                อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม

                                โรคคาวาซากิ ประสบการณ์โรครุนแรงในเด็กเล็ก

                                6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

                                WHO เตือน ไวรัสอีโบลา ระบาดซ้ำ โรคร้ายต่างแดนแม่ต้องระวัง

                                  รร.สังกัดกทม เตรียม เปิดเทอมอนุบาล – ประถม เน้นแบ่งห้องเรียน จัดตารางสอนให้เหมาะสม

                                  กทม.เคาะแล้วแผน เปิดเทอมอนุบาล ประถม มัธยม ในสังกัด จัดการเรียนตามขนาดโรงเรียน เพื่อยึดตามหลัก social distancing เน้นเรียนผสมผสานระหว่าง “เข้าเรียน –ออนไลน์-ออนแอร์” เริ่ม 1 ก.ค. นี้

                                  รร.สังกัดกทม. เริ่มก่อน แผนเตรียม เปิดเทอมอนุบาล-ประถม คุมเข้มโควิด-19

                                  หลังกระทรวงศึกษาธิการให้นักเรียนทั่วประเทศทดลองเรียนออนไลน์ผ่านการศึกษาทางไกล DLTV มาระยะหนึ่งและกำลังพิจารณาถึงแผนการเปิดเทอมที่เหมาะสมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในบ้านเรา ทางสำนักงานการศึกษา กรุงเทพมหานครได้เปิดเผยถึงแผนการสอนของโรงเรียนในสังกัดกทม.ทั้งหมด 437 แห่ง ได้ดังต่อไปนี้

                                   

                                  เปิดเทอมอนุบาล

                                  เปิดเทอมอนุบาล – ประถมตามขนาดโรงเรียน

                                  เมื่อต้องเปิดเทอม เนอสเซอรี่และโรงเรียนอนุบาลคือกลุ่มที่มีความอ่อนไหวมากที่สุด เพราะทั้งหมดเป็นเด็กเล็ก 2 -6 ขวบซึ่งภูมิคุ้มกันร่างกายยังทำงานไม่เต็มที่  การอยู่รวมกันเป็นจำนวนมากจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย จึงกำหนดให้มีมาตรการลดจำนวนเด็กในห้องเรียน จากเดิมอาจมีนักเรียนห้องละ 40 คน ให้เหลือห้องละ 20 – 25 คน พร้อมกับจัดให้มีระยะห่างในพื้นที่ส่วนกลางอย่าง โรงอาหาร สนามเด็กเล่น ห้องน้ำ ด้วย รวมถึงการพิจารณาเปิดเทอมล่วงหน้าสำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อม

                                  โรงเรียนในสังกัดกทม. จะแบ่งโรงเรียนออกเป็น 3 กลุ่มตามจำนวนนักเรียน เพื่อดำเนินการตามแผนการเรียนที่แตกต่างกัน ดังนี้

                                  1. โรงเรียนขนาดเล็ก นักเรียนไม่เกิน 400 คน อนุญาตให้จัดการเรียนการสอนตามปกติ นักเรียนมาโรงเรียนทุกวัน แต่ต้องทำตามมาตรการ social distancing ตลอดเวลาที่อยู่โรงเรียน ทั้งเวลาเรียน พัก และรับประทานอาหาร
                                  2. โรงเรียนขนาดกลาง มีนักเรียนระหว่าง 401 – 800 คน ให้เตรียมการสอนไว้ 2 รูปแบบ คือ

                                  *สลับวันมาโรงเรียน  กรณีที่โรงเรียนมีตั้งแต่ชั้นอนุบาล – มัธยมปลายให้สลับกันมาโรงเรียน เช่น  ชั้นอนุบาล ประถมต้น มัธยมต้นมาโรงเรียนในวันอังคาร และพฤหัสบดี  ส่วนชั้นประถมปลาย และมัธยมปลายมาเรียนในวันจันทร์ พุธ และศุกร์

                                  *เรียนผ่านออนไลน์และออนแอร์ ส่วนช่วงเวลาที่เด็กไม่ได้มาโรงเรียนให้จัดการเรียนการสอนผ่านออนไลน์ หรือทีวี DLTV โดยที่คุณครูคอยดูแลวิธีการเรียนรู้ จัดทำแบบฝึกหัด การบ้าน หรือใบงานให้ตามความเหมาะสม

                                  1. โรงเรียนขนาดใหญ่ มีนักเรียน 801 – 1,500 คน ส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนที่สอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล – มัธยมปลาย ซึ่งมีจำนวนห้องมากพอสำหรับรองรับการแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มเล็ก กทม.จึงกำหนดให้ เด็กชั้นอนุบาลและประถมต้นไปโรงเรียนตามปกติ ส่วนเด็กประถมปลายและมัธยมทั้งหมด สลับวันเรียน

                                  อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานศึกษาของกทม.อนุญาตให้แต่ละโรงเรียนพิจาณาแผนการสอนตามความเหมาะสม โดยจะเข้าไปตรวจความพร้อมของแต่ละโรงเรียนช่วงวันที่ 1 – 20 มิถุนายนอีกครั้ง

                                   

                                   MUST READ :  ให้ลูกเรียนออนไลน์ อย่างไร? ถ้าแม่ต้องไปทำงาน?

                                  MUST READ : Twinkl สื่อการสอนจากประเทศอังกฤษ แจกโค้ดโหลดฟรี!

                                  รร.เสี่ยงน้อยให้เปิดก่อน เปิดเทอมอนุบาล ยังไม่ใช่กลุ่มแรก

                                  ที่ประชุมศบค.ได้พิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะให้โรงเรียนบางส่วนได้เปิดเรียนก่อน โดยเฉพาะโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งมีโอกาสเกิดโรคไม่มาก โรงเรียนขนาดเล็กมีจำนวนนักเรียนต่อห้องน้อย ได้ข้อสรุปว่าให้ยึดวัน เปิดเทอมอนุบาล ประถม และมัธยมเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม เช่นเดิมไปก่อน หากพิจารณาแล้วพบว่ามีความพร้อมเพียงพอก็อาจให้เปิดเร็วขึ้นได้ ภายใต้หลักการ 3 ประการ คือ

                                  1. ขนาดโรงเรียนว่ามีนักเรียนมากน้อยแค่ไหน จะจัดการเรียนให้สามารถรักษาระยะห่างทางสังคมได้อย่างไร
                                  2. สถานที่ตั้งของโรงเรียน พิจารณาว่าอยู่ในพื้นที่ชุมชน หรือพื้นที่ห่างไกล ทุรกันดาร ที่มีโอกาสแพร่กระจายของเชื้อได้น้อยกว่า
                                  3. หากโรงเรียนอยู่ในเมืองที่เด็กต้องเดินทางจากต่างอำเภอเข้ามา จะต้องจัดเวลาเข้าเรียนให้สลับเหลื่อมกัน 3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อไม่ให้เกิดการแออัดทั้งระหว่างการเดินทางและในโรงเรียน
                                  4. หากโรงเรียนเปิดเทอมก่อนกำหนด ให้เน้นเฉพาะกลุ่มเด็กโต ชั้นประถมขึ้นไป เพราะหากเด็กเล็กมาโรงเรียนจะอยู่ใกล้ชิดกัน นอนกลางวัน และเล่นกันอาจเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อได้

                                  สำหรับโรงเรียนนานาชาติที่ต้องการเปิดเทอมเร็วขึ้นเพื่อให้ทันกับการเรียนในมาตรฐานของต่างประเทศ ที่ประชุมศบค.ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน และได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาไปพิจารณารายละเอียดและหาข้อสรุปมานำเสนออีกครั้ง

                                  เปิดเทอมอนุบาล

                                  ทำไมเด็กอนุบาล-ประถมต้องกลับไปเรียนก่อน

                                  คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจรู้สึกเป็นกังวลและสงสัยในความจำเป็นต่อการกลับไปโรงเรียนของเด็กอนุบาล และประถม เพราะดูจะเป็นกลุ่มเสี่ยงจะเป็นอันตรายจากเชื้อได้ง่าย ในอีกมุมหนึ่งของโลก รัฐบาทอังกฤษให้ เปิดเทอมอนุบาล ประถม 1- 6 ก่อนชั้นอื่นๆ เพราะมองว่า การศึกษามีความสำคัญมากต่อเด็กกลุ่มนี้ เด็กๆอายุยังน้อยมีแนวโน้มว่าจะป่วยน้อยกว่าหากติดเชื้อ ขณะที่เด็กโตชั้นมัธยมมีแนวโน้มจะพบปะกับเพื่อนฝูง ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ มากกว่า จะยิ่งแพร่เชื้อได้มาก  และที่สำคัญคือ เด็กโตสามารถเรียนหนังสือจากที่บ้านได้ดีกว่า

                                  อย่างไรก็ตาม นักเรียนชั้นม.-4- 6 ในอังกฤษจะได้กลับไปโรงเรียนในวันที่ 15 มิถุนายน โดยแบ่งนักเรียนราว 1 ใน 4 ของนักเรียนทั้งหมดที่จะได้ไปโรงเรียนในแต่ะละครั้ง แต่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะให้เด็กประถมกลับไปเรียนได้เมื่อไร


                                  แหล่งข้อมูล  www.bbc.com    www.posttoday.com  mgronline.com  www.dailynews.co.th

                                   

                                  7 ประเทศดูแลเด็กๆ อย่างไรเมื่อ โรงเรียนเปิดเทอม 2563

                                  หมอเผย 4 เหตุผลสำคัญ ทำไมต้อง เลื่อนเปิดเทอม เป็น 1 ก.ค.63

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    การขู่ลูก

                                    แม่แชร์เทคนิค การขู่ลูก ไม่ช่วยแก้ปัญหา อยากให้ลูกเชื่อฟังต้องใช้วิธีนี้!

                                    การขู่ลูก ไม่ได้แปลว่าสอน แถมไม่ช่วยแก้ปัญหา! หากอยากให้ลูกเชื่อฟังอย่าขู่ลูก แต่ลองใช้วิธีอื่นดู ทีมแม่ ABK มีเทคนิคดีๆ จากคุณแม่ลูกสองมาแนะนำ หากไม่ให้ขู่ลูกจะทำยังไงดี?

                                    แม่แชร์เทคนิค การขู่ลูก ใช้ได้ไหม? ถูกหรือผิดที่ขู่ลูก?

                                    เชื่อว่ามีคุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายบ้านที่ชอบพูดขู่ลูก แม้จะเป็น การขู่ลูก พูดขู่เล่นๆ หรือแค่พูดเพราะอยากให้ลูกกลัว แต่นั่นอาจทำให้เด็กๆคิดจริง ซึ่งการขู่ให้ลูกกลัวถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการเลี้ยงลูกแบบผิด ๆ เป็นการทำร้ายลูกทางอ้อม แม้ช่วงแรกการขู่จะใช้ได้ผล ลูกเชื่อฟัง แต่ก็เป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาในระยะสั้นเท่านั้น เพราะในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อตัวลูกที่คุณอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

                                    ดังนั้นเพื่อเป็นแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่ หากขู่ลูกไม่ได้ จะสามารถทำวิธีใดได้บ้างหรือควรพูดสอนลูกอย่างไรให้ลูกเชื่อฟัง ไม่ดื้อไม่ซน ทีมแม่ ABK มีเทคนิคดีๆ จากคุณแม่แพท เจ้าของเพจ Mrs. Melon’s Diary คุณแม่ลูกสอง (น้องนิสสาและน้องแซม) ที่เป็นทั้ง ครูและแม่ ซึ่พบงเจอเด็กๆ มาเยอะ รู้ว่าอะไรดีไม่ดี นิสัยไหนอยากให้ลูกมี หรือไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มที่ขวบปีแรก เพราะหากช้ากว่านี้ก็สายแล้วอย่างที่เขาว่าจริงๆ

                                    การขู่ลูก

                                    โดยคุณแม่ได้เขียนเทคนิค การขู่ลูก ว่าไม่ควรทำไว้ ดังนี้!

                                    รีรัน : “ขู่ลูก” ใช้ได้ไหม? ถูกหรือผิดที่ขู่ลูก?

                                    ด้วยความที่ลูกมักจะอยู่ไม่สุขและก็ท้าทายตลอดเวลา บวกกับพูดรู้เรื่องแล้ว บางครั้งเวลาที่ลูกควบคุมยาก แพทก็อยากจะใช้คำพูดขู่ลูกเหมือนกัน เช่น “วิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นเดี๋ยวคนนั้นก็จับไปหรอก” ของแพทส่วนใหญ่มักจะรู้สึกอยากใช้ตอนที่ลูกวิ่งหนีค่ะ เพราะมันเกินเอื้อมและหยุดยากจริงๆ แต่…แพทก็ไม่ได้พูด เพราะแพทรู้ว่ามันไม่ดีต่อลูก

                                    การขู่ลูก ไม่ได้แก้ปัญหา ไม่ได้สอนและไม่ได้กระตุ้นเรื่องความรับผิดชอบ

                                    การขู่ หรือ หลอกเกินจริง ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ณ ตอนนั้น ขณะนั้น เช่น

                                    “เดี๋ยวคนก็จับไปหรอก ไม่เห็นหน้าพ่อหน้าแม่เลยนะ”
                                    “เดี๋ยวล้มหัวฟาดตายเลยนะ”

                                    จะทำให้ลูกรู้สึกกลัว เขาจะรู้สึกไม่ไว้ใจโลก และจะทำให้ลูกคิดเลยเถิดไปสำหรับทุกเรื่อง กลายเป็นเด็กขี้กลัว 
                                    เพราะสำหรับเด็ก แค่บอกว่า เดี๋ยวเจ็บ ร้องไห้แงๆ ก็พอแล้วค่ะ ไม่ต้องไปไกลถึงตายจากกัน

                                    นอกจากนั้นเวลาที่เราใช้คำขู่ ลูกจะรู้สึกว่า เขาไร้ประสิทธิภาพที่จะควบคุมตัวเอง พ่อแม่เลยต้องควบคุมเขาด้วยคำขู่เหล่านี้

                                    มิหนำซ้ำ คำขู่ที่ใช้ ถ้าสังเกตดู มันไม่ได้ผลนะคะ ถึงแม้ว่าวันนี้ ตอนนี้มันได้ผล แต่มันจะเปลี่ยนค่ะ ลูกจะเรียนรู้ที่จะไม่ฟัง ไม่เชื่อ ไม่สนใจ และพ่อแม่จะเรียนรู้ที่จะเลิกควบคุมลูก (ควบคุมไม่ได้แล้ว) โดยเฉพาะเมื่อเราขู่ในสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น

                                    “ทำไมทำแบบนี้ เดี๋ยวแม่จะเรียกตำรวจมาจับ”
                                    “ไม่ยอมนอน เดี๋ยวผีมาหลอกแน่” 
                                    “ไม่เก็บของ แม่จะเอาไปทิ้งให้หมดเลย”

                                    แน่นอนว่าเมื่อลูกต่อต้านขึ้นมา พ่อแม่ไม่สามารถทำให้ตำรวจมาจับ หรือผีมาหลอกจริงๆ ได้ แต่ถ้าพ่อแม่ทำจริงๆ อันนี้ก็จะเกินเหตุไปหน่อย

                                    การขู่ลูก ที่ทำร้ายความรู้สึก เช่น 
                                    “ถ้าไม่เดินมา แม่จะทิ้งแล้วนะ” 
                                    “แม่ไม่รักแล้ว ทำแบบนี้” 

                                    จะทำให้ลูกรู้สึกไม่มั่นคงทางจิตใจ ลูกควรจะรู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อแม่ก็ยังรักและจะดูแลตลอดเวลา นี่คืออย่างน้อยยยยยที่สุดที่พ่อแม่ควรทำให้ลูกได้ เพราะฉะนั้นไอ้พวกคำว่า ไม่รักแล้ว เบื่อแล้ว อะไรพวกนี้ แพทว่าเป็นคำที่แย่มากๆ เลิกพูดกันซะนะคะ

                                    การขู่ลูก โดยใช้บุคคลที่ 3 เช่น 
                                    “ดื้อแบบนี้ แม่จะบอกพ่อ เดี๋ยวพ่อกลับมา พ่อจะจัดการเราแน่” 
                                    “ดื้อแบบนี้เดี๋ยวจะไปฟ้องครู ให้ครูจัดการ” 
                                    “จะหยุดร้องไหม ไม่งั้นจะให้หมอจับฉีดยา” 

                                    การขู่ลูก หรือใช้คำขู่แบบนี้ ในที่สุดลูกจะคิดได้ว่า อ๋อ แม่ไม่สามารถทำอะไรเราได้ จนกว่าพ่อจะกลับ จนกว่าจะเจอครู จนกว่าจะเจอหมอ ดังนั้นเขาสามารถจะซนเท่าไหร่ก็ได้ จนกว่าพ่อจะกลับมา หรือจนกว่าจะเจอครูอีกครั้ง มันจึงไม่ช่วยให้ชีวิตของคนขู่ดีขึ้นเท่าไหร่

                                    นอกจากนั้น หากว่าพ่อกลับบ้านมาและมาดุลูกจริง ต่อไป ลูกจะรู้สึกเป็นกังวลว่าพ่อหรือครูหรือหมอจะดุเขาไหม เขาจะไม่ยินดีต้อนรับพ่อกลับบ้าน ไม่รู้สึกดีใจที่พ่อจะกลับบ้าน เพราะกังวลกลัวพ่อดุ

                                    จริงๆ เราในฐานะพ่อแม่ ควรเป็นคนที่ลูกเคารพทั้งคู่ ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง และมันไม่แฟร์เอาซะเลย ที่จะยัดความรู้สึกแย่ๆ จากลูก ไปให้ใครคนใดคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วยซ้ำ

                                    ทั้งหมดทั้งมวล ถ้าพลาดขู่ไปแล้ว และรู้สึกตัวว่าเฮ้ย เราไม่น่าพูดงี้กับลูกเลย ให้เราถอนคำพูดนะคะ ให้พูดต่อเลยค่ะว่า

                                    “แม่ขอโทษค่ะ แม่พูดผิด แม่หมายถึง….” 

                                    เพราะส่วนใหญ่ที่เราขู่ลูก เรามักจะไม่ได้คิดให้รอบครอบก่อนพูด หรือถ้าเราขู่และเราทำจริง แต่ว่ามันเป็นอะไรที่เกินกว่าเหตุ เราก็สามารถขอโทษลูกได้เช่นกันค่ะ บางทีแพทก็จำพูดว่า “ไม่เอาดีกว่า แม่ว่าแม่ก็เกินไปหน่อย เอาเป็นแค่… ดีกว่า”

                                    วิธีอื่นๆ ที่สามารถช่วยได้แทน การขู่ลูก เช่น 

                                    1. ให้ตัวเลือก เช่น แทนที่จะพูดว่า “อย่าเอาไม้มาตีแม่ ไม่งั้นแม่จะเอาไปทิ้งเลยนะ” ลองเปลี่ยนเป็น “อย่าตีแม่ แม่เจ็บ เอาไปตีพื้น หรือตีหม้อแทนสิคะ”
                                    2. พูดอะไรที่เป็นไปได้ เช่น แทนที่จะพูดว่า “ถ้าไม่เก็บหนังสือ แม่จะเอาไปเผาทิ้งให้หมดเลย” เปลี่ยนเป็น “ถึงเวลาเก็บของแล้วค่ะ” สำหรับแพท ถ้าลูกไม่เก็บ แพทจะจับมือเก็บแล้วบอกว่า “ขอบคุณที่ช่วยแม่เก็บหนังสือค่ะ” (ชมพฤติกรรมดี)
                                    3. บอกลูกล่วงหน้า ว่าเราคาดหวังอะไรจากเขา เช่น “เดี๋ยวเราจะไปห้างกัน แม่อยากให้หนูนั่งบนรถเข็นเท่านั้นนะคะ” พอไปถึงห้าง ก็ให้ถามลูกซ้ำว่า เดี๋ยวลูกจะต้องนั่งตรงไหนคะ เวลาแม่ซื้อของ? เมื่อถึงเวลาที่ลูกงอแง ไม่ให้ความร่วมมือ เราสามารถบอกลูกว่า “ถ้าหนูนั่งบนรถเข็น แม่ก็จะให้หนูเลือกซีเรียลเองได้ 1 อย่าง แต่ถ้าไม่นั่ง เราก็คงจะต้องยืนรอจนกว่าลูกจะนั่ง ซึ่งแม่ว่ามันน่าจะเบื่อสำหรับหนูมากเลย” และถ้าหากลูกยังไม่ยอมนั่งอีก เราก็สามารถที่จะยืนอยู่ที่จุดๆ เดิมจนกว่าลูกจะเบื่อและยอมนั่ง อย่าลืมว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เรามีความอดทนมากกว่าเด็กมาก การเผื่อเวลาไว้เยอะๆ จะทำให้เราสามารถรอลูกได้จนกว่าลูกจะยอมทำตาม
                                    4. รู้จักขีดจำกัดของลูก เช่น ถ้าวันนี้ลูกเหนื่อยมากทั้งวันแล้ว การไปนั่งกินมื้อเย็นนอกบ้าน และคาดหวังให้ลูกนั่งที่เก้าอี้กินเรียบร้อยอาจจะไม่ใช่ความคาดหวังที่เหมาะสม เราต้องเลือกศึกที่จะรบกับลูก ไม่ใช่สู้กันไปทุกเรื่อง

                                    โดยส่วนตัวแพทจะไม่ขู่ลูกเลยค่ะ ทุกอย่างที่พูด เป็นสิ่งที่ทำได้จริง ไม่ได้แปลว่าแพทยอมให้ลูกทุกอย่าง กฎและสิ่งที่ต้องทำ ก็ยังคงต้องทำ และบอกชมแบบเจาะจงทุกครั้งที่ลูกทำตามที่ขอ

                                    “แม่จะไปแล้วนะ” และเริ่มเดินนำไปเลย ลูกจะวิ่งตาม ถ้าเรารู้อยู่แล้วว่าลูกเหนื่อย คงเดินไม่ไหว ก็จะตัดสินใจอุ้มแต่แรกค่ะ

                                    “ไม่กินแล้วใช่ไหม แม่จะเก็บแล้วนะ ไว้หิวแล้วค่อยมาบอกใหม่แล้วกัน” แพทก็จะเก็บอาหารไปเลย และพอหิวเขาก็จะมาขอกินเอง ถ้ามันเสียแล้ว กินไม่ได้แล้ว เขาก็ต้องยอมรับว่าเขาจะอดกิน

                                    “มาแต่งตัว” แต่ลูกวิ่งหนี อันนี้แพทก็จะไม่เรียก จะหันหน้าหนี ไม่สบตา และลูกจะวิ่งมาดูเองว่าแม่ทำอะไร 555

                                    “ไปอาบน้ำ แปรงฟัน” แต่วิ่งหนี ถ้าแพทไม่มีเวลามาหลอกล่อ แพทก็จะพาจูงเข้าไปอาบน้ำแบบร้องไห้นั้นแหละค่ะ และก็ค่อยหาของเล่น แปรงสีฟันอะไรในห้องน้ำเบี่ยงเบนความสนใจให้เล่น

                                    ที่มา : www.babycenter.com

                                     

                                    จะเห้็นได้ว่า การขู่ลูก นอกจากไม่ได้เป็นการสอนแล้วยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดี เพื่อหยุดลูกอีกด้วย ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถลองนำเทคนิคของคุณแม่แพทไปปรับใช้กันได้นะคะ ได้ผลเช่นไรอย่าลืมมาเล่าให้ทีมแม่ ABK ฟังด้วยนะคะ


                                    ขอบคุณบทความดีๆ จากคุณแม่แพท เจ้าของเพจ Mrs. Melon’s Diary

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

                                    How to สอนลูกให้มีระเบียบวินัย ต้องไม่ตี ไม่ขู่ ไม่เกิดผลเสียในระยะยาว

                                    ลงโทษ Time out!! วิธีการนี้ดีหรือไม่…ลูกจะรู้สึกอย่างไร?

                                    ลูกฉลาด หรือไม่ ดูที่พ่อแม่จริงหรือ!?