ลูกถูกไฟช็อต

อุทาหรณ์ ลูกถูกไฟช็อต จากสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ

ไม่ว่าคุณจะทำอะไร ลูกน้อยของคุณกำลังเฝ้าดูและพยายามจะทำตามทุกการกระทำของคุณ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในพัฒนาการปกติของเด็กทั่วไป แต่สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของลูก เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังให้ดีเลยค่ะ โดยเฉพาะเรื่องของปลั๊กไฟ กับสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ ที่อาจทำให้ ลูกถูกไฟช็อต โดยไม่คาดคิดมาก่อน

ดังกรณีที่ คุณแม่ท่านหนึ่ง ได้แชร์ประสบการณ์ ลูกถูกไฟช็อต จากสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ เพราะหนูน้อยอยากจะเลียนแบบแม่ ด้วยการลองเสียบสายชาร์จโทรศัพท์มือถือ อย่างที่เห็นแม่ทำอยู่เป็นประจำ และผลที่ได้รับก็คือ ลูกถูกไฟช็อต จนมือเป็นแผลไหม้

คุณแม่เล่าว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอ สายชาร์จฝั่งหนึ่งเสียบอยู่คาเต้าเสียบ เธอไม่คาดคิดว่า หนูน้อยจะหยิบสายชาร์จอีกฝั่งขึ้นมาและเสียบเข้าไปในเต้าเสียบอีกอัน และทันใดนั้นเอง ก็เกิดเสียงไฟฟ้าช็อต พรึ่บ เกิดประกายไฟ และควันสีดำ ส่งผลให้หนูน้อยกระเด็นไปไกล 2-3 ฟุตและนิ่งไป สักพักก็เริ่มกรีดร้องและร้องไห้ เธอรีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันที

ในช่วงแรกคุณหมอมีความกังวลว่า หนูน้อยจะได้รับการบาดเจ็บภายในหรือไม่ ส่งผลกระทบต่อคลื่นไฟฟ้าหัวใจหรือเปล่า จึงต้องขอให้นอนดูอาการที่โรงพยาบาลก่อน แต่โชคยังดี ที่ไม่พบการบาดเจ็บในส่วนอื่น นอกจากแผลไหม้ที่ฝ่ามือของหนูน้อย

เธอตำหนิตัวเอง รู้สึกผิดมากๆ ที่ทำให้ลูกของเธอได้รับบาดเจ็บ ทั้งที่เธอพยายามจะป้องกันทุกอย่างให้บ้านนี้ปลอดภัยที่สุดสำหรับลูกของเธอ เธอมีทั้งที่ปิดปลั๊กไฟ ที่กั้นประตู ฝาครอบเตาแก๊ส แต่เธอก็ดันพลาดให้กับเรื่องที่เธอคิดไม่ถึงจนได้ จึงฝากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์กับคุณแม่ทุกท่าน ให้ระวังอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับเด็กคนอื่นอีกเลย

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ช่วยลูกอย่างไร หาก “ลูกถูกไฟช็อต”

ไฟฟ้าช็อตเป็นอุบัติเหตุที่พบได้บ่อย อาจเกิดขึ้นเพราะความประมาท การใช้เครื่องไฟฟ้าอย่างผิดวิธี หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นต้น

อาการเมื่อถูกไฟช็อต

ผู้ที่ถูกไฟฟ้าช็อตอาจมีอาการรุนแรงแตกต่างกันไปตั้งแต่บาดแผลไหม้เล็กน้อยจนถึงเสียชีวิต ซึ่งปัจจัยที่ทำให้อาการของผู้ที่ถูกไฟฟ้าช็อตแตกต่างกันไป เช่น ลักษณะของผิวหนังส่วนที่สัมผัสถูกไฟฟ้า ชนิดของกระแสไฟฟ้า ตำแหน่งและทางเดินของกระแสไฟฟ้าในร่างกาย และระยะเวลาสัมผัส

โดยบางรายอาจเพียงทำให้ล้มลงกับพื้น หรือของหล่นจากมือเมื่อถูกไฟฟ้าช็อต แต่ถ้าไฟฟ้าช็อตแล้วตกจากที่สูงก็อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ อาจมีอาการชักเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกายถ้าเป็นแบบรุนแรง แล้วตามมาด้วยอาการตื่นเต้น หายใจเร็ว หมดสติ อาจมีอาการหยุดหายใจหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ในทันที

ในบางรายอาจหมดสติไปชั่วครู่ และอาจจะรู้สึกปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ และมีความรู้สึกหวาดผวา หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว หรือบางรายอาจทำให้เป็นแผลไหม้ และไม่รู้สึกเจ็บถ้าเกิดแผลไหม้ผิวหนังแล้วกินลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง และอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำเช่นเดียวกับบาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก และอาจติดเชื้อแทรกซ้อนได้ถ้าบาดแผลมีขนาดใหญ่ หรือเนื่องจากการชักกระตุกหรือตกจากที่สูงอาจทำให้กระดูกสันหลังและกระดูกส่วนอื่นๆ หักได้ หรือมีอาการซีดเหลืองจากภาวะเม็ดเลือดแดงแตกเกิดขึ้นได้

ลูกโดนไฟช็อต

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ถูกไฟฟ้าช็อต

  • รีบปิดสวิตช์ไฟหรือถอดปลั๊กไฟทันที
  • ถ้าทำไม่ได้ ควรช่วยให้ผู้ที่ถูกไฟช็อตหลุดจากกระแสไฟที่วิ่งอยู่ด้วยความระมัดระวัง โดยยืนบนฉนวนที่แห้ง เช่น ไม้กระดาน กระดาษหนังสือพิมพ์ ผ้าห่ม เสื่อ ผ้ายาง หรือผ้า แล้วใช้ด้ามไม้กวาด ไม้กระดาน ขาเก้าอี้ไม้ หรือไม้เท้าหรือไม้ที่แห้ง เขี่ยสายไฟให้พ้นจากผู้ป่วยหรือดันร่างกายส่วนที่สัมผัสไฟให้หลุดออกจากสายไฟ ไม่ควรให้โลหะหรือวัตถุที่เปียกน้ำเป็นอันขาด ควรใช้ไม้หรือฉนวนไฟฟ้าที่แห้ง และไม่ควรแตะต้องถูกตัวผู้ป่วยโดยตรงจนกว่าจะหลุดพ้นออกจากสายไฟเสียก่อน
  • ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจทันที ถ้าหัวใจหยุดเต้นให้ทำการนวดหัวใจพร้อมกันไปจนกว่าจะหายใจได้เอง และถ้าผู้ป่วยหายใจได้เองแต่หมดสติควรจัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่าพักฟื้น และให้การปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ป่วยหมดสติจากสาเหตุอื่นๆ
  • รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล ควรตรวจการหายใจอย่างใกล้ชิด ถ้าหยุดหายใจให้เป่าปากช่วยหายใจไปตลอดทางจนกว่าจะถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

การรักษา

ควรตรวจดูอาการต่อไปนี้ถ้าผู้ป่วยยังมีชีวิตอยู่หลังจากถูกไฟฟ้าช็อต เช่น ดูอาการเต้นของหัวใจว่าผิดจังหวะหรือไม่ ดูภาวะช็อก ภาวะขาดน้ำ บาดแผลไหม้ กระดูกหัก เป็นต้น และให้การรักษาไปตามอาการที่พบ

ควรให้การดูแลรักษาแบบบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกสำหรับบาดแผลไหม้ ในบางครั้งแม้แผลภายนอกจะดูเล็กน้อยแต่เนื้อเยื่อส่วนลึกอาจถูกทำลายรุนแรงจนทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ หรือมีเลือดออก หรือติดเชื้อแทรกซ้อนในเวลาต่อมา ดังนั้นจึงต้องเฝ้าระวังในส่วนนี้ด้วย

การป้องกัน

ควรติดตั้งและซ่อมแซมสายไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้าให้มีความปลอดภัยสูงอยู่เสมอ และใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าด้วยความระมัดระวังเสมอไม่ควรประมาท

ผู้ช่วยเหลืออย่าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ให้มีสติเสมอ ก่อนทำการช่วยเหลือให้โทรแจ้งการแพทย์ฉุกเฉินทันที เพื่อทีมแพทย์จะได้เดินทางมาระหว่างที่กำลังช่วยเหลือเบื้องต้น ให้ทำตามขั้นตอนวิธีการที่แนะนำ อย่าทำอะไรแรงโดยพลการอย่างเด็ดขาด เพราะชีวิตที่สูญเสียไปมันไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้

ฉะนั้น จึงขอให้คุณพ่อคุณแม่ต้องหมั่นดูแลความปลอดภัยในบ้านอยู่ตลอดเวลา อย่าประมาทกับเรื่องไฟฟ้า เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยและทุกคนในครอบครัวค่ะ


ขอบคุณข้อมูลจาก : babyology.com.aucprkids.com.au, healthcarethai.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

นาทีชีวิต เด็กหญิงห้อยโหนตู้เย็นเล่น เกือบล้มทับร่าง !

รวมอุทาหรณ์ เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน

“ฝึกลูกนอนคว่ำ” อันตราย! เสี่ยงขาดอากาศหายใจ

    พัฒนาการทารก 1 เดือน

    พัฒนาการทารก 1 เดือน เช็กให้รู้ ลูกต้องการอะไรบ้าง?

    พัฒนาการทารก 1 เดือน เจอกันไม่นาน แม่รู้สึกว่าลูกโตไวมาก เช็กให้รู้พัฒนาการรอบด้านมีอะไรบ้าง พร้อมเคล็ดลับดูแลลูกสำหรับพ่อแม่มือใหม่

    หลังจากได้พบหน้าทารกน้อยที่รอคอยมาตลอด 9 เดือน ช่วงเวลาสั้นในหนึ่งเดือนที่แม่กับลูกต่างเริ่มต้นเรียนรู้กัน ทารกที่เหมือนจะเอาแต่นอน กิน ร้องไห้ อึกับฉี่ และต้องคอยพึ่งพาคุณพ่อคุณแม่ตลอดเวลา แต่ระหว่างนี้พัฒนาการทั้งด้านร่างกายและจิตใจของเจ้าตัวน้อยเปลี่ยนแปลงในหลายอย่างทีเดียว

    พัฒนาการทารก 1 เดือนความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพริบตา พ่อแม่ต้องรู้

    พัฒนาการทารก 1 เดือน

    พัฒนาการทางร่างกาย หนึ่งเรื่องสำคัญของ พัฒนาการทารก 1 เดือน

    ลูกน้อยวัย 1 เดือนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว เช่น เสียงของแม่ เสียงสัตว์เลี้ยง หรือเสียงเปิดปิดประตูบ้าน ด้วยการทำหน้าเบ้เมื่อได้ยินเสียงดัง หรือหรี่ตาเมื่อถูกแสงจ้า สามารถยกกำปั้นเข้าหาปาก แม้จะตรงเป้าบ้างไม่ตรงบ้าง

    ในวัยนี้ลูกน้อยได้ยินเสียงของคุณแม่ได้ชัดเจนแล้ว บางคนอาจหันตามเสียงที่คุ้นเคย สามารถมองเห็นวัตถุที่ห่างออกไป 8-12 นิ้วได้ชัดเจน สบตาเป็น เห็นภาพเป็นสีขาว-ดำ ชอบสัมผัสนุ่มๆของผิวคุณแม่หรือผ้าห่ม แต่รู้สึกไม่ปลอดภัยเลยถ้าโดนเหวี่ยง หรือจับเปลี่ยนทิศเร็วเกินไป

    พัฒนาการทารก 1 เดือน
    ภาพพัฒนาการทางสายตาของทารกวัย 1 เดือน

     

    MUST READ :อันตราย !! จากการ อุ้ม เขย่าทารก “Shaken baby syndrome”

    พัฒนาการทางอารมณ์ พื้นฐานจิตใจของพัฒนาการทารก 1 เดือน

    แม้ลูกวัย 1 เดือนจะยังพูดคุยกับคุณแม่ได้ แต่ก็รู้จักสื่อสารความต้องการผ่านเสียงร้อง ฉะนั้นไม่ว่าลูกจะรู้สึกหิว กลัว ไม่สบายตัว อยากให้อุ้ม ลูกก็จะร้องบอกแม่รู้ พวกเขาสามารถตอบสนองต่อเสียงและรอยยิ้มของพ่อแม่ได้แล้ว สังเกตว่าเวลาแม่ยิ้มให้ ลูกจะยิ้มตอบ สนุกกับการได้มองหน้าคนใกล้ๆ จึงไม่จำเป็นต้องซื้อของเล่นในวันนี้

    อย่างไรก็ดี ทารกแต่ละคนมีพัฒนาการเร็ว-ช้าแตกต่างกัน โดยไม่มีผลเกี่ยวข้องกับความฉลาดหรือความแข็งแรงเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรเป็นกังวลมากเกินไปหากทารกยังไม่มีพัฒนาการครบทุกข้อ ยกเว้นกรณีดังต่อไปนี้

    พัฒนาการทารก 1 เดือน

    อย่างไรก็ตาม พัฒนาการเด็กข้างต้นนี้เป็นเกณฑ์อ้างอิงเบื้องต้นสำหรับเด็กทั่วไปว่าสามารถทำอะไรได้ใน แต่ละช่วงวัย ซึ่งอาจมีทักษะบางอย่างที่เด็กปกติ จำนวนหนึ่งทำได้เร็วหรือช้ากว่าเกณฑ์นี้เล็กน้อย คุณแม่ไม่ต้องกังวลใจไป ขอเพียงลูกเป็นเด็กที่แข็งแรง สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ อารมณ์ดี ก็เพียงพอ

    เช็ก  7 พัฒนาการช้า ลูกเป็นแบบนี้รีบแก้ด่วน

    1. มีปัญหาเรื่องการกลืน กลืนนมแล้วสำลัก หรืออาเจียนบ่อย
    2. ไม่กระพริบตาเมื่อมีแสงจ้า ไม่สอบสนองเสียงดัง
    3. ไม่สบตา สายตาไม่โฟกัสไปที่จุดใดจุดหนึ่ง ไม่มองตามวัตถุ
    4. มีอาการขากรรไกรขณะอยู่เฉยๆ ไม่ร้องไห้
    5. นอนนิ่ม ไม่ขยับแขนขยับขา  หรือแขนขาอ่อนแรง หรือแรงเยอะเกินไป

    เคล็ดลับดูแลลูกน้อยอย่างเข้าใจ

    * ทารกมีอาการคัดจมูกบ่อย และอาจเกิดจากโรคหวัดได้ถึง 10-12 ครั้งต่อปี แถมมีโอกาสติดเชื้อและมีอาการแพ้ได้ง่ายด้วย

    * ทารก 1 เดือนอาจมีอาการไอบ่อยเช่นเดียวกับคัดจมูก โดยเฉพาะในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย บางคนอาจไอติดต่อกันนานถึง 21 วัน ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรซื้อยาแก้ให้ลูกเอง

     MUST READ : วิธีช่วยลูกหายคัดจมูกไม่ต้องกินยา

    * วัยแรกเกิด นมแม่คืออาหารหลักของลูกน้อย จะกินนมบ่อยทุกๆ 2-3 ชั่วโมง (ถ้าเป็นนมผงลูกจะร้องหิวทุก 3 ชั่วโมง)  ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา คุณแม่อาจเริ่มสังเกตได้ว่าตอนไหนลูกจะหิว หรือแยกเสียงร้องของลูกได้ว่า เสียงใดเป็นเสียงร้อยหิวนม

    การให้นมสำหรับคุณแม่ให้นมเอง ควรปล่อยให้กินตามต้องการ เมื่ออิ่มก็จะเบือนหน้าออกจากเตา หรือหลับคาอกเลย ระยะนี้คุณแม่ยังต้องให้นมลูกบ่อยสักหน่อย แต่ไม่นานลูกจะดูดนมต่อมื้อมากขึ้นและอิ่มเร็วขึ้นเอง  ไม่จำเป็นต้องให้ลูกดื่มนม เพราะในนมมีปริมาณน้ำมากพอแล้ว

    ส่วนการขับถ่ายของลูกน้อยจะสอดคล้องกับปริมาณการกิน โดยเฉพาะทารกจะถ่ายวัน 2 ครั้ง ส่วนเด็กนมแม่ล้วนอาจไม่ถ่ายเป็นบางวัน ลองสังเกตดูหากอึของลูกเป็นก้อนกลมแข็ง แสดงว่าอาการท้องผูก

     Thing to do ลิสต์นี้แม่ห้ามลืม

    • พาลูกไปพบแพทย์และฉีดวัคซีนตามนัด
    • หาเวลาพักผ่อน ออกกำลังกาย หรือเดทกับคุณพ่อบ้าง
    • ถ่ายภาพลูกวัย 1 เดือน

    แหล่งข้อมูล    www.thebump.com

     

    ถอดรหัส เสริมพัฒนาการ 11 กระบวนท่าของทารกที่พ่อแม่มือใหม่ควรรู้!

     

    ประโยชน์ที่พ่อและแม่ควรนอนใกล้กันกับลูกน้อย

      จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

      แจกฟรี! ไฟล์ภาพ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ กว่า 40 แบบ โหลดเลย!!

      ดาวน์โหลด..แล้วปริ้นได้เลยแม่ แจกฟรี! ไฟล์ภาพ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ อย่างง่าย คัดมาสำหรับเด็กเล็กโดยฉพาะ ช่วยฝึกสมอง เพิ่ม IQ เสริมพัฒนาการให้ลูกน้อยได้เป็นอย่างดี

      แจกฟรี! ไฟล์ภาพ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

      จิ๊กซอว์ ถือเป็นอีกหนึ่งของเล่นเสริมทักษะ ช่วยเสริมพัฒนาการทางด้านการคิดและจินตนาการ ให้กับลูกน้อยได้ป็นอย่างดี ซึ่งจิ๊กซอว์เหมาะเป็นทั้งของเล่นเด็กและของเล่นสำหรับผู้ใหญ่ เพราะสามารถเล่นหรือประกอบให้เกิดความสมบูรณ์ของภาพหรือโมเดลนั้นๆ โดยอาศัยทักษะการจำแนก จินตนาการและความจำที่ต้องค่อนข้างดี

      ทั้งนี้เสน่ห์ของ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ เกมส์ฝึกเชาว์ปัญญาชนิดนี้ คือการที่เด็กจะต้องจำภาพหรือจินตนาการถึงภาพแรกที่ชิ้นส่วนต่างๆ เหล่านี้ยังประกอบเข้าล๊อคกันอยู่ และเมื่อชิ้นส่วนต่างๆ ถูกแยกออกจากกันแล้ว ก็ต้องพยายามนำชิ้นส่วนที่มีเฉด,โทนของสี หรือรูปแบบของชิ้นส่วนที่จะสามารถประกอบเข้ากันได้ แล้วออกมาเป็นภาพหรือรูปทรงต้นแบบ มาลองประกอบเข้าด้วยกันจนสำเร็จ

      จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

      ประโยชน์ของการให้ลูกเล่นจิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

      1. ช่วยฝึกทักษะการใช้สมอง สายตา และมือที่ทำงานประสานเชื่อมโยงกัน โดยในการต่อจิ๊กซอว์แต่ละชิ้น ๆ จะช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ การทำงานฝึกฝนการใช้ สมอง สายตา และมือ ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
      2. เสริมสร้างจินตนาการของลูกน้อย ในการออกไอเดีย ต่อจิ๊กซอว์ในรูปแบบต่าง ๆ
      3. ฝึกกระบวนการคิด จากขั้นตอนการต่อจิ๊กซอว์ ที่เริ่มจากการวาดภาพในใจ และ ลงมือต่อจิ๊กซอว์ รวมถึงการปรับแต่งรูปร่างการต่อจิ๊กซอว์ ตามความเหมาะสม ที่เด็ก ๆ อยากให้เป็น ฝึกพัฒนาความคิดในด้านตรรกะ ความคิดเชื่อมโยง ช่วยให้เด็ก ๆ คิดวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเหตุเป็นผล ในการปูพื้นฐานกระบวนการคิดต่อไปในอนาคต
      4. พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ในการหยิบจับจิ๊กซอว์ขนาดพอดีกับมือน้อง ๆ และการพยายามต่อจิ๊กซอว์ ให้เป็นรูปร่างแบบต่าง ๆ จะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กของลูกน้อยได้เป็นอย่างดีด้วย
      5. พัฒนาการด้านอารมณ์ และ สมาธิ เพราะการต่อจิ๊กซอว์ ต้องใช้สมาธิ และ ความพยายาม ในการประกอบจิ๊กซอว์ แต่ละตัวให้สำเร็จ ลูกจะจดจ่อกับการต่อจิ๊กซอว์ และ เมื่อต่อสำเร็จก็จะสร้างความภูมิใจ ในตนเองอีกด้วย

      ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถร่วมต่อจิ๊กซอว์กับลูกได้ เพื่อเป็นการช่วยเสริมพัฒนาการ ได้ใช้เวลาร่วมกัน สร้างความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว และทำให้เด็กๆ ไม่เบื่ออีกด้วย

      ดังนั้นเพื่อไม่ให้คุณพ่อคุณแม่ไปเสียเวลาหาซื้อจิ๊กซอว์ ทีมแม่ ABK จึงมีไฟล์ภาพ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ อย่างง่าย คัดมาสำหรับเด็กเล็กโดยฉพาะ มาแจกฟรี!! ซึ่งคุณพ่อคุแม่สามารถเซฟหรือดาวน์โหลดไฟล์ภาพจิ๊กซอว์นี้ แล้วปริ้นท์ใส่ประดาษแข็งออกมาให้ลูกน้อยเล่นได้เลย

      ***การเซฟภาพหรือดาวน์โหลด สำหรับมือถือให้เปิดเลือกดุภาพ แล้วกดค้างไว้เพื่อดาวนืดหลด ระบบจะเซฟลงไว้ในเครื่องให้ ถ้าเป้นคอมพิวเตอร์ให้คลิกที่ภาพแล้วกดคลิกขวาที่เม้าส์ จากนั้นก้เซฟลงเครื่อง แล้วสั่งปริ้นทืได้ทันที

      ภาพจิ๊กซอว์ เสริมพัฒนาการ รูปสัตว์น่ารัก แบบ 4 ชิ้น

      ภาพจิ๊กซอว์ เสริมพัฒนาการ รูปผัก แบบ 4 ชิ้น

      ภาพจิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ รูปยานพาหนะ แบบ 4 ชิ้น

      ภาพจิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ รูปสัตว์ แบบ 10 ชิ้น

      จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการรูปสัตว์ แบบ 4 ชิ้น

      ไฟล์ภาพจิ๊กซอว์ เสริมพัฒนาการรูปสัตว์ แบบ 3 ชิ้น

      จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการ

       

      จิ๊กซอว์เสริมพัฒนาการรูปน่ารักสีสันสดใส แบบ 4 ชิ้น

       


      ขอบคุณภาพจากเพจ : Free Worksheets สื่อการสอน print ฟรี

      ขอบคุณข้อมูลจาก : www.smartbomcrafts.biz

       

      อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย 

      ของเล่นธรรมชาติ ของเล่นเสริมพัฒนาการ ที่ไม่สำเร็จรูป แต่มหัศจรรย์ต่อลูกน้อย

      ของเล่นเสริมพัฒนาการ เด็กแรกเกิด-6 เดือน แบบไหนเหมาะกับวัยลูก?

      การเลือกของเล่นเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็ก

      7 สัญญาณ “ทารกพัฒนาการช้า” พ่อแม่สังเกตได้ตั้งแต่แรกเกิด

        ของติดจมูกลูก

        เตือนแม่ ของติดจมูกลูก ห้ามล้างจมูกเด็ดขาด

        ของติดจมูกลูก เจอแล้วต้องรีบช่วย แต่ต้องระวัง ห้ามใช้วิธีล้างจมูกเด็ดขาด ยิ่งติดลึกเอาออกยาก อาจเสี่ยงหลุดลงหลอดลมทำลูกขาดอากาศหายใจ

        อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอโดยเฉพาะเด็กวัยซนที่สนุกกับการหยิบจับองชิ้นเล็กชิ้นน้อย ผสมกับความอยากรู้อยากเห็น ลูกลองยัดสิ่งแปลกหลอมเข้ารูจมูกตัวเองโดยไม่รู้ตัว ถ้าเป็นของชิ้นใหญ่สักหน่อยอาจเข้าไปขวางทางเดินหายใจ ทำให้ลูกหายใจไม่ออกถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่มีหลายกรณีที่ของชิ้นเล็กมากไมได้เข้าไปอุดรูจมูกไว้ทั้งหมด ลูกจึงยังหายใจได้เป็นปกติ แต่ทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมา เช่น คัดจมูก มีน้ำมูกไหลตลอดเวลาแต่ไม่เป็นหวัด หรือมีน้ำมูกข้นเหนียว เป็นต้น

        อย่างกรณีที่เพจ Infectious ง่ายนิดเดียว ซึ่งเผยแพร่ข้อมูลทางการแพทย์ได้โพสต์เหตุการณ์ที่พ่อแม่พาลูกสาววัย 2 ขวบมาพบคุณหมอหลังพบว่ามีเศษพลาสติกติดอยู่ในจมูกของลูก แต่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร

        เด็กหนอเด็กน้อย!! สาวสวย อายุ 2 ปี เอาเศษพลาสติกยัดจมูก พ่อแม่ไม่รู้ว่าคืออะไร เอาออกไม่ได้ อยู่ลึก รูจมูกขวา

        การรักษาของหมอ 

        1)ใช้คลิปหนีบกระดาษกาง ถ่าง ออก

        2) จับเด็กมัดแน่นๆ ทั้งตัว ให้ดิ้นไม่ได้ ร้องก็ให้ร้องไป

        3)ใช้ไฟฉายส่อง ในรูจมูก

        4)แล้วค่อยๆเขี่ย จากด้านใน ให้ออกมา

        สักพักก็หลุด จุกหยุด  คลายยยยยย ดูแลเหมือนจะเป็น จุกปลายพลาสติกหุ้มไม้แขวนเสื้อ!!

        เครดิตภาพ https://www.facebook.com/Infectious1234/

        จุกไม้แขวนเสื้อไปอยู่ในจมูกลูกได้อย่างไร

        พ่อแม่ส่วนใหญ่มักคิดว่า ของติดจมูกลูก น่าจะเป็นของเล่นที่ลูกเล่นติดมืออยู่เป็นประจำ ความจริงแล้วยังมีสิ่งแปลกปลอมหลายอย่างที่ลูกเผลอหยิบเข้าไปใส่จมูกได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางคนอาจใส่แค่ข้างเดียว หรือจมูกทั้งสองข้างก็เป็นไปได้หมด มีทั้งเศษอาหารอย่าง เมล็ดข้าว เมล็ดส้ม น้อยหน่า แตงโม ส้มโอ ละมุด ลำไย หรือเมล็ดถั่วต่างๆ  รวมถึงของใช้ที่คุณพ่อคุณอาจทำตักไว้บนพื้นอย่าง เม็ดกระดุม ยางรัดผม เหรียญสตางค์ ลูกปัด ลูกแก้ว หรือแม้กระทั่งก้อนกรวดเล็กนิดเดียว ฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ จุกไม้แขวนเสื้อจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมในจมูกของหนูน้อยคนนี้ได้เช่นกัน

        รวมเคส ของติดจมูกลูก อุบัติเหตุชั่วพริบตาที่พ่อแม่ต้องระวัง

        นอกจากจุกไม้แขวนเสื้อแล้ว ยังมีสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ที่ลูกน้อยหยิบเข้าจมูกได้สารพัด พ่อแม่ต้องระวังให้มาก

        เคสที่ 1

        ลูกชายวัย 2 ขวบของคุณแม่ท่านหนึ่ง ชอบหยิบยางรัดผมใส่จมูก และทำอยู่บ่อยๆ จนคุณแม่ต้องพาไปโรงพยาบาลถึง 3 ครั้ง

        เคสที่ 2

        ลูกชายยัดเม็ดน้ำหอมปรับอากาศเข้าไปในจมูก แม่ตกใจมากเพราะเม็ดโตพอสมควร โชคดีที่น้องจามแล้วเม็ดน้ำหอมหลุดออกมาเอง

        เคสที่ 3

        ลูกสาววัย 2 ขวบ ยัดกระดาษห่อลูกเข้าในจมูก ไม่มีใครในบ้านเห็นเลยจนลูกมีน้ำมูกไหลและพาไปพบคุณหมอ ตอนแรกตรวจดูแล้วไม่พบความผิดปกติ แต่กินยาลดน้ำมูกได้ 2 วันยังไม่มี แถมจมูกมีกลิ่นเหม็นเน่ามาก จึงพากลับไปหาหมออีกรอ หลังจากนั้นลูกแอบเอาเม็ดพลาสติกที่เป็นกระสุนของปืดอัดลมใส่จมูกอีก โชคดีว่าพี่ชายเห็นเหตุการณ์ จึงรีบพาไปให้คุณเครื่องดูดออกทันเวลา ไม่เป็นอันตราย

        เคสที่ 4

        คุณแม่อีกท่านสังเกตเห็นก้อนดำๆนูนๆที่เพดานปาก เข้าใจว่าห้อเลือดเพราะมีอะไรกระแทกปาก จึงพาไปพบคุณหมอฟันลองเขี่ยดูดังป๊อกๆ  พบว่าเป็นเม็ดพลาสติก หลังจากคุณหมอเอาออกแล้วจึงทราบว่าเป็นชิ้นส่วนจมูกของหมวกน้องหมีคู่ใจ ที่ลูกสาวแกะไปอมเล่น

        จะรู้ได้อย่างไรว่ามี ของติดจมูกลูก

        บางครั้งสิ่งแปลกปลอมมีขนาดไม่ใหญ่จนทำให้หายใจไม่ออก พ่อแม่จึงไม่รู้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมติดในจมูกลูก มีวิธีสังเกตง่ายๆ หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวดังต่อไปนี้

        1. ลูกหายใจขัด คล้ายเป็นหืดหอบ หรือสังเกตว่าลูกหายใจสะดวกจากรูจมูกเพียงข้างเดียว
        2. ลูกใช้นิ้วแคะจมูกหรือดันจมูกบ่อยๆ
        3. มีน้ำมูกใส หรือน้ำมูกสีเขียวปนหนอง ปนเลือดไหลออกมาจากรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง อาจมีไข้ตัวร้อน ปวดศีรษะ
        4. ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ อาจมีน้ำมูกเขียวข้นคล้ายไซนัสอักเสบ
        5. หากสิ่งของติดอยู่เป็นเวลานาน อาจกลายเป็นหินปูนแข็งๆ เกาะติดในโพรงจมูก

        พ่อแม่ควรทำอย่างไรเมื่อลูกเอาของยัดจมูก

        อย่างแรก ที่พ่อแม่ต้องทำให้ได้ ! คือตั้งสติ เพื่อลดความตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ถ้าเป็นเช่นนั้นสถานการณ์อาจเลวร้ายลง เพราะลูกเองก็กลัวอยู่แล้วยิ่งเห็นพ่อแม่ตกใจอาจทำให้ลูกเสียขวัญกว่าเดิม เมื่อตั้งสติแล้วควรหันมาปลอบโยนและกำลังใจ ลูกจะกลัวน้อยลง การช่วยเหลือก็จะง่ายขึ้น

        สอง ถ้าลูกอายุ 5 ขวบขึ้นไป ทำตามคำสั่งได้แล้ว บอกให้ลูกหายใจทางปาก เงยหน้าขึ้น จากนั้นลองส่องไฟฉายดูว่าสิ่งแปลกปลอมมีขนาดเล็กแค่ไหน อยู่ลึกหรือไม่ แล้วใช้มือปิดจมูกข้างที่ปกติไว้ ลองสั่งน้ำมูกเบาๆ อาจช่วยให้หลุดออกมา (ทั้งนี้ไม่ควรสั่งแรงหรือทำบ่อยครั้งเกินไป เพราะเป็นอันตรายกับแก้วหู

        สาม หาก ของติดจมูกลูก อยู่ลึกเข้าไปโพรงจมูก ควรพาไปพบแพทย์ทันที

        ** ของติดจมูกลูก ห้ามใช้น้ำเกลือล้างจมูก เขี่ย แคะ หรือคีบออกมาเด็ดขาด เพราะอาจทำให้สิ่งของติดลึกไปกว่าเดิม หากตกไปหลังโพรงจมูก หรือหลอมลม เสี่ยงเป็นอันตรายถึงชีวิตได้**

        สี่   กรณีลูกอายุน้อยกว่า  5 ขวบไม่ควรช่วยเหลือด้วยตัวเองเป็นอันขาด ไปพบแพทย์จะเป็นวิธีดีที่สุด

        ป้องกันอย่างไรให้ไม่ให้ลูกเอาของยัดจมูก

        หลายครั้งการที่ลูกเอาขอยัดใส่จมูกตัวเอง อาจไม่แสดงอาการให้เห็นทันที แต่ถ้าปล่อยไว้จะทำให้เกิดอาการอักเสบในโพรงจมูกแน่นอน จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งแปลกปลอม ดังนั้นทางที่ดีคุณพ่อคุณแม่ควรป้องกันเหตุร้ายตั้งแต่เนิ่นด้วยเทคนิคดังต่อไปนี้

        • เข้าใจธรรมชาติของเด็กก่อนว่า วัย 1-4 ขวบเป็นวัยอยากรู้อยากเห็น แต่ลูกพอเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่สอน
        • สอนลูกด้วยภาษาง่ายๆ อย่างตรงไปตรงมา ทำท่าทางประกอบให้เด็กสนใจ จดจำได้ เช่น “ลูกเอาเม็ดนี้เข้าจมูกไม่ได้นะครับ พร้อมกับโบกมือว่าไมได้ ถ้าใส่ไปแล้วจะเจ็บมากเลยนะ”
        • ควรปัดกวาดเช็ดถูกบ้านบ่อยๆ เก็บชิ้นส่วนเล็กน้อยให้หมด เพื่อให้บ้านปลอดภัยที่สุด เพราะเด็กเล็กมักนั่งกับพื้น จึงมีโอกาสหยิบสิ่งของยัดใส่จมูกได้ง่าย

        แหล่งข้อมูล  https://www.facebook.com/Infectious1234/  http://www.csip.org/

         

        อุทาหรณ์! ลูกยัดถ่านเข้าจมูก คีบไม่ออกจนถ่านเข้าไปในท้อง

         

        รวมอุทาหรณ์ เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน

        ล้างจมูกลูก อย่างไรให้ปลอดภัย ถูกต้องแต่ละช่วงวัย

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

         

          น้ำนมน้อย

          10 สาเหตุที่แม่ น้ำนมน้อย แก้ได้ด้วยวิธีกระตุ้นน้ำนมสุดเวิร์ก

          สำหรับคุณแม่มือใหม่แล้วปัญหา น้ำนมน้อย นมแม่ไม่พอ เป็นอีกหนึ่งปัญหาระดับอกที่ทำให้แม่กลุ้มใจ กังวลว่าลูกน้อยจะไม่มีนมแม่กินและได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งปัจจัย “น้ำนมน้อย” ที่พบบ่อยเกิดขึ้นได้จากอะไรบ้าง มีวิธีไหนที่จะช่วยคุณแม่รับมือปัญหานี้และแก้ไขได้ มาดูกันดีกว่าค่ะ

          นี่ไง! 10 สาเหตุที่แม่ น้ำนมน้อย

          แม่เครียดหลังคลอด
          แม่เครียดหลังคลอด

          1.ความเครียดหลังคลอด

          ภาวะความเครียดที่อาจเกิดขึ้นได้กับแม่มือใหม่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็น วิธีการเลี้ยงลูก กลัวน้ำนมมาน้อยไม่เพียงพอต่อลูก ฯลฯ ซึ่งความเครียดที่เกิดขึ้นนั้นก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้น้ำนมหด แห้ง หายได้ โดยเฉพาะการให้นมในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดที่คุณแม่มือใหม่อาจจะประสบปัญหาน้ำนมมาน้อย หรือบางคนแทบจะไม่มีเลย เพราะกลไกการผลิตน้ำนมในเต้านมของแม่และกระเพาะลูกน้อยเพิ่งเริ่มทำงานกันทั้งคู่ ในระยะแรกหลังคลอดจึงเป็นช่วงที่คุณแม่ต้องมีการปรับตัวมากพอสมควร การกระตุ้นให้ทารกได้ดูดนมจากเต้าบ่อย ๆ และให้ลูกน้อยดูดนมอย่างน้อยข้างละประมาณ 10-15 นาที ยิ่งทารกดูดบ่อยก็จะช่วยกระตุ้นให้น้ำนมผลิตเพิ่มขึ้นมาได้ ดังนั้นปริมาณน้ำนมที่ผลิตจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความถี่ในการกระตุ้นเป็นสำคัญนี่เอง ซึ่งโดยมากน้ำนมแม่จะเริ่มมาใน 3-4 วันหลังคลอด หากพบว่าในช่วงแรก ๆ แม่มีน้ำนมน้อยอย่าเพิ่งเครียด วิตกกังวลไป เพราะถ้ายิ่งเครียด ก็จะส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคตินที่กระตุ้นให้เซลล์ผลิตน้ำนมออกมาลดลง ทำให้น้ำนมไหลออกมาน้อยเกินไปได้

          2.เคยผ่าตัดเต้านมมาก่อน

          คุณแม่ที่เคยผ่าตัดลดขนาดของเต้านมมาก่อน อาจมีผลลดปริมาณน้ำนมได้ แต่ในกรณีที่เคยผ่าตัดเสริมอก หากเป็นการผ่าตัดที่ไม่ตัดท่อน้ำนมหรือกระเปาะน้ำนม เป็นการลงมีดตามแนวรัศมีวงกลม ก็จะไม่มีปัญหากับปริมาณการผลิตน้ำนม สามารถกระตุ้นให้ลูกดูดนมแม่เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมได้ปกติ

          กินยาคุมหลังคลอด
          กินยาคุมหลังคลอด

          3.ใช้ยาคุมกำเนิดในช่วง 6 เดือนแรกหลังคลอด

          สำหรับคุณแม่ที่ใช้ยาคุมกำเนิดในระหว่างให้นมลูกหลังคลอดอาจส่งผลให้น้ำนมและคุณภาพของน้ำนมคุณแม่ลดน้อยลงได้ เนื่องจากยาคุมกำเนิดโดยทั่วไปจะมีส่วนประกอบของฮอร์โมน 2 ชนิดรวมกัน คือเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ซึ่งฮอร์โมนเอสโตรเจนจะกระตุ้นให้มีการเติบโตของท่อ และระบบการหลั่งเก็บนม หากรับประทานยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนตัวนี้มากก็จะไปออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างน้ำนม ทำให้น้ำนมลดน้อยลงได้ ดังนั้นหากคุณแม่ต้องการคุมกำเนิดในช่วงที่กำลังให้นมลูกอยู่ ใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้ถุงยางอนามัย หรือเลือกทานยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนเพียงอย่างเดียว

          4.ยาบางชนิด

          ยาแก้แพ้จำพวก CPM (คลอเฟนิรามีน) หรือ Pseudoephedrine ที่ใช้ลดน้ำมูก แก้คัดจมูก ถึงแม้จะสามารถใช้ได้ในขณะให้นมลูก แต่หากใช้ต่อเนื่องหลาย ๆ วันก็มีผลทำให้น้ำนมลดได้ แต่หลังจากงดใช้ยาก็จะสามารถผลิตน้ำนมกลับมาเหมือนเดิม ดังนั้นหากคุณแม่จำเป็นต้องใช้ก็ไม่ควรใช้อย่างพร่ำเพรื่อ และควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง

          ลูกไม่ดูดเต้า
          ลูกไม่ดูดเต้า

          5.ลูกไม่ดูดเต้า

          ลูกไม่ยอมเข้าเต้า ไม่ดูดนมแม่ อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น ลูกดูดเต้าไม่เป็น แม่เอาลูกเข้าเต้าผิดวิธี ทำให้ลูกอมงับไม่ลึกพอ อาการเจ็บป่วยทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายตัวจนไม่อยากที่จะขยับปากดูดนม ปัญหาลูกน้อยอาจจะเป็นพังผืดใต้ลิ้น ที่ส่งผลให้การดูดนมแม่เป็นไปได้ยาก หรือหัวนมแม่บอด ที่ทำให้ดูดนมจากเต้าแม่ลำบากออกแรงดูดน้ำนมแม่ก็ยังไม่ออกมา ดังนั้นคุณแม่ต้องคอยสังเกตว่าลูกทำไมไม่ยอมเข้าเต้า หรือใช้เวลาในการดูดน้อยเกินไป อาจจะส่งผลให้น้ำนมไม่ได้รับการกระตุ้นอย่างเพียงพอและเหมาะสม ทำให้น้ำนมแม่มาน้อยลงได้

          6.ใช้จุกนมหลอก

          แม้ว่าจุกนมหลอกสำหรับทารกจะมีข้อดีที่ช่วยลดการเล่นน้ำลาย ดูดนิ้ว ช่วยทำให้เบบี๋อารมณ์ดี ลดอาการงอแง หรือช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อภาวะการตายเฉียบพลันในทารก (SIDS) ลงได้ แต่การใช้จุกนมหลอกนั้นเหมาะสำหรับทารกวัย 2 – 12 เดือน และไม่ควรใช้กับทารกแรกเกิด เพราะเป็นช่วงที่ทารกเริ่มรับประทานนมแม่ใหม่ ๆ หากให้ลูกดูดจุกนมหลอกควบคู่กันหรือปล่อยให้ลูกดูดบ่อย ๆ อาจทำให้ทารกเกิดความสับสนระหว่างหัวนมของคุณแม่กับจุกหลอกจนไม่ยอมกลับไปดูดนมแม่ตามที่ควรจะเป็น เมื่อลูกปฏิเสธเต้าแม่ ก็จะทำให้ร่างกายผลิตน้ำนมลดลงได้

          7.ลูกน้อยไม่ตื่นมาดูดนมตอนกลางคืน

          เมื่อทารกหิวเมื่อไหร่ คุณแม่สามารถให้ลูกดูดนมได้บ่อยตามความต้องการของลูก ซึ่งโดยมากทารกจะดูดนมประมาณ 8-12 ครั้งต่อวัน ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ถ้าหากว่าลูกหลับนานกว่า 3 ชั่วโมงก็ควรปลุกลูกขึ้นมาดูดนมด้วย รวมถึงในช่วงเวลากลางคืนทารกอายุ 1 – 2 เดือนแรก ยังจำเป็นต้องให้ลูกได้ตื่นขึ้นมาเพื่อดูดนมแม่ในตอนกลางคืน เพราะในเวลากลางคืนเป็นช่วงที่ร่างกายผลิตน้ำนมได้ดี การให้ทารกดูดนมมื้อดึกอย่างน้อย 1 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วง 2 – 3 สัปดาห์แรก จะช่วยให้ฮอร์โมนโปรแลกตินที่หลั่งออกมามากในเวลากลางคืนสูงขึ้น ซึ่งช่วยให้การสร้างน้ำนมเป็นไปด้วยดี ลูกน้อยจะได้รับน้ำนมอย่างเพียงพอและยังช่วยป้องกันปัญหาเต้านมคัดและน้ำนมลดลงได้ เมื่อทารกอายุ 4 – 5 เดือน กระเพาะอาหารเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ดูดนมแม่ได้มากขึ้น และเว้นระยะห่างระหว่างมื้อนมได้นานขึ้น รวมทั้งนอนได้นานขึ้น (นอนประมาณ 4 – 5 ชั่วโมงโดยไม่ตื่นมากินนม) ช่วงวัยนี้จึงไม่จำเป็นต้องปลุกลูกมากินนมมื้อดึกได้ แต่สำหรับคุณแม่หลาย ๆ คนการให้นมในเวลากลางคืนนั้นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการมีน้ำนมน้อย หรือยังควรที่จะปั๊มนมออกมาเพื่อให้น้ำนมสร้างมาใหม่สำหรับวันพรุ่งนี้ การทำแบบนี้เพื่อทำให้ร่างกายคุณแม่รับรู้ว่าต้องสร้างน้ำนมอีก เป็นการกระตุ้นน้ำนมเพื่อไม่ให้น้ำนมแม่มาน้อยลงในวันถัดไป

          ท่อน้ำนมอุดตัน
          ท่อน้ำนมอุดตัน

          8.ท่อน้ำนมอุดตัน

          ท่อน้ำนมอุดตัน ทำให้น้ำนมน้อย ไหลได้ไม่ดี และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเต้านมอักเสบได้ เกิดจากการที่ไม่ได้ให้ลูกดูดนมแม่บ่อย หรือจำกัดเวลาในการดูดนมของลูก หรือลูกน้อยดูดนมไม่เกลี้ยงเต้า ทำให้มีน้ำนมค้างอยู่ท่อ หรือปริมาณน้ำนมที่มากเกินไปและระบายออกได้ไม่สมดุลกับปริมาณน้ำนมที่ผลิต เมื่อขังไปนานๆ เข้าท่อน้ำนมก็เต็มแน่นจนมีอาการปวด บวม แดง ทำให้เนื้อเยื่อบวม อักเสบ และการผลิตน้ำนมหยุดชะงักได้ แนะนำคุณแม่ให้ทารกได้ดูดนมจากเต้าให้บ่อยขึ้น อย่างน้อย 8-12 ครั้ง/วัน และดูดนานอย่างน้อยข้างละ 15-20 นาที เพื่อล้างท่อน้ำนมให้มากที่สุด ให้ลูกดูดจากเต้าที่มีปัญหาก่อน เพราะขณะที่ลูกหิวจัดลูกจะดูดแรง ทำให้ระบายน้ำนมออกได้มาก และหลังจากที่ลูกดูดนมเสร็จให้บีบหรือปั๊มน้ำนมออกจะช่วยให้หายเร็วขึ้น จัดท่าให้ลูกดูดนมให้ถูกต้อง และนวดเต้านมเบาๆ ขณะลูกดูดนม โดยนวดเหนือบริเวณที่อุดตัน ไล่ลงไปถึงหัวนม เพื่อดันให้ก้อนที่อุดตันหลุดออก

          9.การเสริมนมผง

          การเสริมนมผสมจากขวดนมทำให้ลูกติดการดูดจุกนมมากกว่าดูดนมจากเต้า ทำให้ลูกได้ดูดนมแม่ไม่บ่อยพอ และเป็นผลทำให้ร่างกายคุณแม่ไม่ผลิตน้ำนมและน้ำนมลดน้อยลง นมแม่ไม่ไหลออกตามความต้องการของลูกน้อย ทำให้ลูกหงุดหงิด ร้องไห้เมื่อดูดนมแม่ แม่จึงจำเป็นต้องกลับมาให้นมผสมเพิ่มมากขึ้นอีก ซึ่งสุดท้ายก็อาจจะต้องหยุดให้นมแม่ไปในที่สุดได้ ดังนั้นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกหลังคลอด คุณแม่ไม่ควรเสริมนมผงให้ทารก ควรให้ลูกได้ดูดนมแม่เพียงอย่างเดียว

          10.กินไม่ดี พาน้ำนมหด

          นอกจากปริมาณน้ำนมแม่จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความถี่ในการดูดนมของลูกและเข้าเต้าได้ถูกวิธีแล้ว การบริโภคอาหารและการดื่มน้ำของแม่ก็มีส่วนต่อปริมาณน้ำนมด้วย มีการศึกษาวิจัยพบว่าแม่ที่กินอาหารน้อยกว่า 1,800 กิโลแคลอรีต่อวัน จะมีการผลิตน้ำนมลดลง ส่วนแม่ที่กินอาหารน้อย หรือตั้งใจลดน้ำหนักทันทีหลังคลอด อาจเสี่ยงต่อการขาดโปรตีนและพลังงาน ซึ่งการศึกษาพบว่าแม่กลุ่มนี้ จะมีปริมาณโปรตีนและน้ำนมน้อยลงกว่าปกติด้วย ดังนั้นในช่วงให้นมลูก คุณแม่ควรกินอาหารเพิ่มขึ้นกว่าตอนก่อนตั้งครรภ์ 500 กิโลแคลอรีต่อวัน หรือเพิ่มอาหารจาก 3 มื้อ เป็น 4 มื้อต่อวัน และดื่มน้ำอย่างน้อย 1-2 ลิตรต่อวัน หรือประมาณ 8-12 แก้ว หรือหากจะให้ดีก่อนและหลังให้นมลูกหรือปั๊มนม คุณแม่ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว เนื่องจากองค์ประกอบของนมแม่กว่า 80% คือน้ำ หากดื่มน้ำไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อการผลิตน้ำนมโดยตรงได้

          ข้อมูล www.haijai.com

          แม่ลูกอ่อน

          แม่มือใหม่อย่าเพิ่งเครียด! ทำอย่างไรจะกระตุ้นให้มีน้ำนม?

          อันดับแรกคุณแม่ต้องมั่นใจว่า “นมแม่” นั้นมีเพียงพอสำหรับลูกน้อยและสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ด้วย หลักการสร้างน้ำนมที่ดีที่สุดคือ การกระตุ้นให้ลูกน้อยดูดเต้า และวิธีอื่น ๆ เช่น

          • ให้นมลูกบ่อยขึ้นและนานขึ้น (อย่างน้อย 8 ครั้งต่อวัน) ถ้าไม่ได้อยู่กับลูก ก็ควรบีบหรือใช้วิธีปั๊มนมออกให้เกลี้ยงเต้าทุก 3 ชั่วโมง
          • จัดท่าให้ลูกดูดนมอย่างถูกวิธี ให้ลูกอมหัวนมและลานนมได้ลึกพอ
          • กระตุ้นเต้านมด้วยการนวดประคบเต้า โดยใช้ผ้าอุ่นจัดประคบเต้านม 3 – 5 นาทีก่อนให้นม นวดเต้านมและคลึงหัวนมเบา ๆ จะช่วยให้คุณแม่ที่มีน้ำนมน้อยมีน้ำนมพุ่งได้ และทำให้ปั๊มนมออกง่าย ช่วยลดอาการท่อน้ำนมอุดตันหรือเต้านมเป็นไตได้
          • หลีกเลี่ยงการเสริมนมผสม ให้น้ำ หรืออาหารเสริมอื่นให้ทารกก่อนอายุ 6 เดือน
          • หาวิธีทำตัวเองให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด พักผ่อนให้เต็มที่ ด้วยการฟังเพลง หรือนึกถึงแต่สิ่งดี ๆ ในขณะให้นมลูกหรือขณะปั๊มนม
          • รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและเลือกทานอาหารเพิ่มน้ำนม เช่น ที่มีส่วนผสมของโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุต่าง ๆ ได้แก่ เนื้อปลาแซลมอน ไข่ ถั่วอัลมอนด์ เป็นต้น จะช่วยให้ปัญหาน้ำนมน้อยดีขึ้นได้
          • ใช้เครื่องปั๊มนมเพื่อช่วยกระตุ้นปริมาณน้ำนม ในกรณีที่คุณแม่ต้องไปทำงาน ไม่อยู่บ้านให้นมลูกได้ โดยในช่วงแรก ๆ ให้ปั๊มนมเป็นเวลาอย่างน้อย 10-15 นาทีต่อข้าง ต่อการปั๊มแต่ละครั้ง เมื่อปริมาณน้ำนมเพิ่มขึ้นแล้ว พยายามปั๊มให้นานขึ้นอย่างน้อย 20-30 นาที หรือปั๊มต่ออีก 2 นาทีหลังจากน้ำนมถูกปั๊มออกหมดแล้ว การปั๊มให้เกลี้ยงเต้าจะช่วยให้น้ำนมผลิตได้เร็วขึ้น ยิ่งปั๊มได้บ่อยแค่ไหนต่อวัน ก็จะยิ่งทำให้เต้านมผลิตน้ำนมได้มากขึ้นเท่านั้น สำหรับคุณแม่ที่มีปัญน้ำนมน้อยนอกจากการให้ลูกได้ดูดเต้าอย่างสม่ำเสมอแล้วก็สามารถนำวิธีการปั๊มเพื่อกระตุ้นน้ำนมร่วมด้วยได้เช่นกัน

          หากคุณแม่ได้ลองทำวิธีดังกล่าวแล้วสำหรับการติดตามผล อาจใช้เวลาประมาณ 4 – 7 วันจึงจะเห็นผลว่าน้ำนมมามากขึ้น อย่างไรก็ตามปัญหา “น้ำนมน้อย” หรือ “นมไม่พอ” ของแม่แต่ละคนนั้นแม้จะดูเป็นปัญหาเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาในเรื่องนี้ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ปัจจัยและวิธีแก้ไขก็จะแตกต่างกันไปด้วย ดังนั้นหลังคลอดถ้าคุณแม่เริ่มต้นดีสำหรับการให้นมลูกน้อย ปัญหาเรื่องนี้ก็อาจจะคลายกังวลลงได้ ทีมแม่ ABK ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทุกคนนะคะ.

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.todaysparent.com, www.moneyhub.in.thwww.beanbagsnacks.com

          อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก : 

          ผักผลไม้เพิ่มน้ำนม 20 ชนิด เพิ่มน้ำนมให้คุณแม่

          ให้ลูกกินน้ำนมได้ไหม ถ้าแม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ติดเชื้อโควิด-19

          แม่ให้นมกินทุเรียน แล้วน้ำนมเหม็น ลูกเมินนมแม่! จริงมั้ย?

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

            ไม่ต้องรอคลอด! 9 วิธีกระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ สร้างลูกฉลาด อารมณ์ดีได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง

            ไม่ต้องรอจนลูกน้อยคลอดออกมา คุณแม่ก็สามารถเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในท้องได้ด้วยวิธีกระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ ที่เริ่มได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกจนถึงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งช่วงเวลาที่ทารกเจริญเติบโตภายในครรภ์นั้นเซลล์ประสาทและระบบภายในร่างกายเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือเป็นช่วงเวลาไม่ว่างเปล่าที่คุณแม่จะส่งเสริมทักษะอันหลากหลายให้กับเจ้าตัวน้อยได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง พัฒนาการของทารกในครรภ์ไม่ว่าจะเป็นด้านสมอง ร่างกายจะได้รับการพัฒนาเมื่อถูกคุณแม่กระตุ้น เพื่อให้ลูกคลอดออกมาเป็นเด็กฉลาด ไหวพริบดี อารมณ์ดี มีสุขภาพที่ดีแข็งแรงเพิ่มขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

            กระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์ เริ่มต้นเมื่อไหร่ดี

            นับตั้งแต่กระบวนการปฏิสนธิโดยสมบูรณ์ ไข่ผสมกับสเปิร์มและสร้างเป็นตัวอ่อน สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ภายในท้องของคุณแม่ก็เริ่มพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ และสร้างระบบอวัยวะต่างมากมายรวมทั้งเซลล์สมองที่มีการเพิ่มทั้งจำนวนและขนาด เกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองและเชื่อมโยงกันเองเกิดเป็นข่ายใยเส้นประสาทอย่างมากและรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ ดังนั้นช่วงทองที่คุณแม่จะกระตุ้นพัฒนาการของสมองลูกน้อยสามารถเริ่มได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ตลอด 9 เดือนกันเลย

            ไม่ต้องรอคลอด! 9 วิธีเล่นกับลูก กระตุ้นพัฒนาการ
            สร้างลูกฉลาด อารมณ์ดีได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง

            การรับรู้ของทารกในครรภ์
            การรับรู้ของทารกในครรภ์

            1.ลูบหน้าท้องกระตุ้นความรู้สึก

            ช่วงไตรมาสแรกแม้ทารกจะเป็นตัวอ่อนอยู่ แต่ภายในเดือนที่ 2 ทารกจะเริ่มรับรู้สัมผัสทางกายได้ การที่คุณแม่ได้สัมผัสหน้าท้องหรือลูบท้องเบา ๆ จะทำให้ทารกรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะท้อน ช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น นอกจากนี้ความรัก ความอบอุ่นที่ผ่านจากปลายมือเหมือนกำลังสัมผัสร่างกายส่วนต่าง ๆ ของลูกน้อยที่ช่วยให้คุณแม่รู้สึกใกล้ชิดกับเจ้าต้วน้อยในท้องมากขึ้น และการส่งเสียงทักทายพูดคุยกับเบา ๆ ที่ทำให้คุณแม่มีความสุขในช่วงเวลานี้ ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดรฟินหรือสารแห่งความสุขจะถูกส่งผ่านไปทางสายสะดือไปยังทารกในครรภ์ จะทำให้ลูกน้อยเป็นเด็กอารมณ์ดี เลี้ยงง่าย มีพัฒนาการที่ดีทั้ง IQ และ EQ

            อ่านหนังสือให้ลูกในท้องฟัง
            อ่านหนังสือให้ลูกในท้องฟัง

            2.อ่านหนังสือให้ลูกฟังกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกน้อย

            สิ่งที่น่าอัศจรรย์ระหว่างชีวิตน้อย ๆ ในท้องกับคุณแม่ก็คือการได้ยินกันและกันผ่านผนังหน้าท้อง แม้ว่าลูกจะอยู่ภายในอีกด้านหนึ่ง แต่ก็สามารถสัมผัสสิ่งเหล่านี้ได้ โดยทารกในครรภ์จะเริ่มได้ยินเสียงได้ดีตั้งแต่เดือนที่ 5 ดังนันเพื่อเป็นการกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกน้อยด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงแค่คุณแม่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านออกเสียงให้ลูกได้ฟัง ใช้เวลาซัก 30 นาทีหรือก่อนนอน เช่น นิทานเด็ก หนังสือวรรณกรรมเด็กและเยาวชน หรือคู่มือเลี้ยงลูก เป็นต้น เสียงสะท้อนจากคุณแม่จะกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อสมองในชั้นที่มีความซับซ้อนด้านการได้ยิน การตีความเสียง และส่วนของความทรงจำ ที่มีส่วนช่วยให้ลูกมีพัฒนาการได้เร็ว ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อคุณแม่อ่านหนังสือด้วยการใช้โทนเสียงที่มีจังหวะสูงต่ำเหมือนการเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟัง และเอามือแตะท้องเบา ๆ ไปด้วยในขณะอ่าน ก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกตอบสนองกับเสียงของแม่ไปด้วย และนอกจากลูกน้อยจะได้พัฒนาการที่ดีจากการที่คุณแม่อ่านหนังสือให้ฟังแล้ว ลูกยังได้คุ้นชินกับเสียงของคุณแม่ตั้งแต่ในครรภ์ ความรู้สึกที่ส่งผ่านไปจะทำให้ลูกผ่อนคลาย อารมณ์ดี มีแนวโน้มที่เป็นเด็กที่เลี้ยงง่ายอีกด้วย

            3.เล่นหน้าท้องกระตุ้นลูกดิ้น

            นอกจากการสัมผัสหน้าท้อง ลูบหน้าท้องเบา ๆ ที่คุณพ่อกับคุณแม่สามารถทำได้บ่อย ๆ ตลอดการตั้งครรภ์ ในช่วงไตรมาสที่ 2 คุณแม่จะรับรู้ได้ถึงการดิ้นของลูก ในขณะที่ลูกดิ้นหรือโก่งตัวเคลื่อนไปมา คุณแม่อาจตอบสนองโดยใช้มือเล่นหน้าท้องกับลูกด้วยการลูบให้แรงขึ้น โดยวนเป็นวงกลมจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบนก่อนก็ได้ หรือใช้นิ้วจิ้มไปยังจุดที่ลูกเคลื่อนไหว หากจังหวะนั้นลูกในท้องมีปฏิกิริยาตอบรับ มีการเคลื่อนที่หรือดิ้นไปยังทิศทางหนึ่ง แสดงว่าลูกมีการตอบสนองจากสิ่งเร้าที่คุณแม่สร้างให้ ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาสมอง เพิ่มเติมความฉลาดให้กับลูกน้อยในท้องได้อีกวิธี

            เปิดเพลงให้ลูกในท้องฟัง
            เปิดเพลงให้ลูกในท้องฟัง

            4.ให้ลูกน้อยฟังเพลงกระตุ้นพัฒนาการได้ยิน

            ลูกน้อยในครรภ์จะเริ่มได้ยินตั้งแต่อายุครรภ์เดือนที่ 5 หูของทารกในครรภ์จะมีความสมบูรณ์ในสัปดาห์ที่ 20 และเริ่มต้นรับรู้ถึงแรงสั่นสะเทือนได้ในสัปดาห์ที่ 24 ได้ยินเสียงในสัปดาห์ที่ 30 สามารถแยกแยะเสียงได้ในสัปดาห์ที่ 34 ซึ่งระบบประสาทการรับฟังถือว่าเป็นพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสของเด็กที่พัฒนาในอับดับต้น ๆ ดังนั้นเสียงต่าง ๆ จากภายนอกก็จะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น  โดยเฉพาะเสียงเพลง หากเปิดดนตรีให้ลูกได้ฟังในระหว่างตั้งครรภ์ ประมาณ 10-15 นาที/วัน เปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดังพอประมาณ คลื่นเสียงจะไปกระตุ้นการได้ยินให้พัฒนาระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทั้งนี้คุณแม่สามารถเปิดเพลงในแนวที่คุณแม่ชอบฟังหรือเพลงที่มีทำนองไพเพราะ ท่วงทำนองฟังสบาย อย่างเพลงคลาสสิคที่ขึ้นว่ามีส่วนช่วยเพิ่มไอคิวเสริมสร้างพัฒนาการทำให้สมองดี เฉลียวฉลาด และจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี อีกทั้งเมื่อลูกน้อยที่ได้ยินเสียงผ่านผนังหน้าท้องอาจจะมีการตอบสนองต่อเสียงเพลงด่วยการเคลื่อนไหว ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางกายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

            5.ชวนลูกคุยบ่อย ๆ กระตุ้นพัฒนาการได้ยิน ภาษา และอารมณ์

            ในระยะไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในเดือนที่ 6 ที่ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินของทารกเริ่มทำงานได้เต็มที่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการอ่านหนังสือ เปิดเพลงให้ลูกฟังล้วนมีส่วนช่วยกระตุ้นพัฒนาการการได้ยินของลูกน้อย และอีกหนึ่งวิธีที่คุณพ่อคุณแม่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านนี้ได้ดียิ่งขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คือ การพูดคุยกับลูกในท้องบ่อย ๆ เสียงพูดของคุณพ่อคุณแม่จะส่งผ่านเข้าไปถึงลูกน้อยช่วยกระตุ้นพัฒนาการการได้ยิน รับรู้ แยกแยะเสียง และทำให้ทารกในครรภ์มีทักษะด้านภาษาและสื่อสารตั้งแต่ยังไม่ได้คลอด ทั้งนี้ทารกสามารถจำเสียงคุณพ่อคุณแม่ได้ตั้งแต่อยู่ในท้องด้วย หลังคลอดหากทารกงอแง หงุดหงิดง่าย เมื่อได้ยินเสียงของคุณพ่อคุณแม่ก็อาจทำให้ลูกน้อยสงบลงได้ง่ายขึ้น ไม่เพียงเท่านี้การพูดคุยกับลูกน้อยในครรภ์ยังเป็นการเชื่อมสายใยรัก ความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

            ส่องไฟทารกในครรภ์
            ส่องไฟทารกในครรภ์

            6.ส่องไฟฉายกระตุ้นพัฒนาการการมองเห็น

            ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7 เดือนทารกในครรภ์สามารถลืมตา กระพริบตา รับรู้แสง มองเห็นแสง และแยกความแตกต่างระหว่างความมืดและความสว่างได้แล้ว ในระยะนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการมองเห็นให้กับลูกน้อยด้วยการใช้ไฟฉายส่องที่หน้าท้อง เปิดปิดไฟแบบกะพริบ ๆ เพื่อให้แสงเคลื่อนที่บนล่างอย่างช้า ๆ ผ่านหน้าท้องไปที่น้ำคร่ำ เล่นกับลูกด้วยวิธีวันละ 5-10 ครั้งประมาณ 1-2 นาที ซึ่งลูกอาจจะมีการตอบสนองแสงไฟด้วยการดิ้นให้คุณแม่รับรู้ได้ การส่องไฟที่หน้าท้องนี้จะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นของทารกมีพัฒนาดีขึ้น และเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นของทารกในภายหลังคลอด

            7.ดมกลิ่นหอม ๆ กระตุ้นการรับกลิ่นของลูกน้อย

            ในช่วงอายุครรภ์เดือนที่ 9 แม้ประสาทสัมผัสด้านการได้กลิ่นของทารกจะเริ่มทำงานไม่ชัดเจนนัก แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกน้อยในด้านนี้ได้ด้วยการใช้กลิ่นหอมจากธรรมชาติหรือออโรมาอ่อน ๆ ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมภายในบ้าน แถมกลิ่นหอมอ่อน ๆ นอกจากช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลาย ลดภาวะเครียดในช่วงใกล้คลอดลงได้ เมื่อคุณแม่อารมณ์ดี ไม่เครียด ก็จะส่งผลต่อไอคิวของลูกน้อยให้ฉลาดจากฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟินที่หลั่งออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

            ทำไมต้องกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์

            8.กินดีช่วยกระตุ้นพัฒนาการการรับรส

            ในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ทารกในครรภ์มีการเจริญเติบโตและมีพัฒนากาารที่ดีขึ้น รวมทั้งประสาทสัมผัสที่เกี่ยวกับการรับรส ลูกน้อยในครรภ์จะสามารถรับรู้รสจากการกลืนน้ำคร่ำและอาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไป ดังนั้นการใส่ใจโภชนาการในช่วงตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง คุณแม่ควรรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะสารอาหารที่จำเป็นต่อแม่ท้อง เช่น ไอโอดีน ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมองของทารกในครรภ์ และธาตุเหล็ก ทั้งนี้มีงานวิจัยพบว่าการขาดสารอาหาร 2 ตัวนี้ในระหว่างตั้งครรภ์จะทำให้เด็กในท้องคลอดออกมามีไอคิวที่ต่ำได้ DHA ที่มีความสำคัญต่อพัฒนาการสมองและสายตาของลูกน้อยในครรภ์ โปรตีน สำคัญต่อการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของทารกในครรภ์ แคลเซียม สำคัญต่อการเจริญเติบโตกระดูกของลูกในท้อง กรดโฟลิคหรือโฟเลต เป็นต้น

            กระตุ้นพัฒนาการ ทารกในครรภ์

            9.ออกกำลังกายกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น

            เมื่อคุณแม่ท้องออกกำลังกายมีส่วนทำให้ลูกน้อยในครรภ์มีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย เคล็ดลับของออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์ คือ เลือกออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดิน โยคะคนท้อง ว่ายน้ำ ฯลฯ ให้เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างน้อยวันละ 20-30 นาที การได้ออกกำลังกายจะช่วยให้หัวใจของแม่ทำงานได้ดี เลือดไหลเวียนได้ดี การขยับเขยื้อนของคุณแม่จะส่งผลให้ผิวของทารกไปโดนกับผนังด้านในของมดลูก ผลดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น

            จะเห็นได้ว่าในช่วงเวลาที่คุณแม่ตั้งท้องมีวิธีกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกน้อยที่ส่งผลต่อความฉลาด อารมณ์ และพัฒนาการด้านอื่น ๆ ได้หลายวิธี ลองทำแบบนี้ได้บ่อย ๆ กับลูกตั้งแต่อยู่ในท้อง ก็เป็นการสร้างความฉลาดให้ลูกติดตัวมาได้ไม่ยากเลย ทั้งนี้รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ให้ข้อมูลว่า “ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเลยว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่และวิธีการใดเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพียงแต่มีข้อสังเกตว่าทารกจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มีสติปัญญาดี เลี้ยงง่าย อารมณ์ดี” ดังนั้นถ้าคุณแม่อยากจะกระตุ้นพัฒนาการของลูกในครรภ์จะด้วยวิธีการใดก็ตาม ถ้าคุณแม่ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองสบายดี มีความสุข และไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้องก็สามารถทำได้ค่ะ

            ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.si.mahidol.ac.thwww.happymom.in.th

            บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

            7 พฤติกรรมแม่ท้อง กระตุ้นลูกในครรภ์ฉลาด

            10 วิธีกระตุ้นให้ลูกดิ้น ต้องเล่นกับลูกในท้อง

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              น้ำแร่ Iceland Spring

              น้ำแร่ Iceland Spring pH8.88 แพ็กเกจใหม่ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

              ร่างกายของเราทุกคนมีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 70% ควรดื่มน้ำวันละ 6 – 8 แก้ว จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย น้ำแร่ Iceland Spring pH8.88 น้ำแร่ธรรมชาติจากประเทศไอซ์แลนด์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ มีค่าความเป็นด่างสูงถึง 8.88 (pH8.88) ช่วยขับกรดจากร่างกาย และเป็นน้ำแร่ที่มีความบริสุทธิ์มากที่สุด (Purity) มีแร่ธาตุต่ำเพียง 58 มก./ลิตร ซึ่งค่าบริสุทธิ์หมายถึงปริมาณแร่ธาตุ หากตัวเลขยิ่งต่ำคือคุณสมบัติที่ดี ร่างกายจะปราศจากการสะสมแร่ธาตุที่สูงจากการดื่มน้ำแร่ เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ใหม่เป็นทรงเหลี่ยมดีไซน์ทันสมัย สามารถย่อยสลายได้ 100% เพื่อยกระดับของการเป็นแบรนด์น้ำแร่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มาพร้อมขนาด 0.5 ลิตร 1 ลิตร และ 1.5 ลิต

              น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88 ขนาด 0.5 ลิตร 1 ลิตร และ 1.5 ลิตร
              น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88 ขนาด 0.5 ลิตร 1 ลิตร และ 1.5 ลิตร

              สร้างสมดุลให้คุณแม่และลูกน้อย ด้วย น้ำแร่ Iceland Spring

              • เป็นด่างอ่อนๆ ลดกรด ช่วยกำจัดของเสีย
              • ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
              • สร้างสมดุล ขับกรดออกจากร่างกาย
              • ช่วยบำบัด และป้องกันท้องผูก
              • ช่วยลดอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
              • ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใสจากภายในสู่ภายนอก ลดปัญหาผิวแห้ง ผิวแตก และ ผิวคัน ทำให้หน้าดูกระจ่างใส ให้ผิวดูอ่อนเยาว์
              • เสริมรสเอกลักษณ์ ของวัตถุดิบต่างๆ และ รสชาติของอาหารดีขึ้น เมื่อนำน้ำแร่ Iceland Spring ไปเป็นส่วนประกอบของอาหาร
              • ช่วยเพิ่มระดับออกซิเจนในเลือด ทำให้ระบบสูบฉีดไหลเวียนมีประสิทธิภาพเหมาะกับผู้ออกกำลังกาย
              • ช่วยขับเหงื่อและลดการเสียน้ำจากการออกกำลังกาย
              ­ช่วยขับเหงื่อและลดการเสียน้ำจากการออกกำลังกาย
              ­ช่วยขับเหงื่อและลดการเสียน้ำจากการออกกำลังกาย

              นอกจากนี้ สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคุณแม่ที่มีลูกเล็ก น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88 ก็ตอบโจทย์เช่นกันค่ะ เพราะช่วยชะลอการเกิดโรคกระดูกพรุน เหมาะกับสตรีมีครรภ์ มีโมเลกุลขนาดเล็ก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้นในคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ช่วยเร่งกระบวนการสร้างแคลเซียมให้กับแม่และเด็ก และยังสามารถนำไปชงนมสำหรับลูกได้ด้วยนะคะ

              ร่วมรักษาสมดุลของร่างกายจากภายในสู่ภายนอก เพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง กับน้ำแร่จากธรรมชาติ “Iceland Spring” ในบรรจุภัณฑ์ใหม่ทั้ง 3 ขนาดได้แล้ววันนี้ ที่ห้างสรรพสินค้า และซุปเปอร์มาเก็ตชั้นนำ หรือ โฮม เดลิเวอรี่ (Home Delivery) โทร. 02-911-4855 หรือที่ Line ID: @icelandspring

              น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88
              น้ำแร่ธรรมชาติ Iceland Spring pH8.88

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด

                ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด อยากให้ลูกหายไข้ พ่อแม่ต้องทำอย่างไร?

                โอกาสที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพบเจอกับอาการเจ็บป่วย ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด ของลูกในช่วงวัยเด็กได้บ่อยครั้ง และไม่ว่าสาเหตุของการที่ลูกมีไข้จะเกิดจากอะไร ก็อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่วิตกกังวล ซึ่งเมื่อลูกเป็นไข้ตัวร้อนสิ่งที่พ่อแม่ควรทำในเบื้องต้นให้เร็วที่สุดก็คือการหาวิธีลดไข้ลูก เพราะหากลูกมีไข้สูงต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการชักได้

                ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด เกิดจากอะไร?

                ไข้หรือตัวร้อนในเด็กเป็นอาการของโรคที่แม้ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากโรคหรือภาวะที่ร้ายแรง แต่ถ้าหากลูกมีไข้สูงก็อาจเป็นสาเหตุของอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคอื่น ๆ ได้มากมาย และระยะเวลาที่ไข้จะปรากฏในแต่ละโรคจะยาวนานต่างกัน โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตอาการไข้ของลูกว่าตัวร้อนกว่าปกติหรือไม่ ได้จากการสัมผัส และการวัดไข้ด้วยเทอร์โมมิเตอร์

                ลูกตัวร้อน ไข้ไม่ลด ทําไงดี

                ตัวร้อนแค่ไหนถือว่ามีไข้

                โดยปกติอุณหภูมิร่างกายจะถูกควบคุมด้วยสมองส่วนที่เรียกว่าไฮโปโทลามัส สมองส่วนนี้จะคอยส่งสัญญาณให้ร่างกายรักษาอุณหภูมิไว้ในระดับที่เหมาะสม คือ ประมาณ 37 องศาเซลเซียส หรืออุณหภูมิร่างกายปกติไม่ควรเกิน 37.6 องศาเซลเซียส ดังนั้นถ้าลูกมีอาการตัวร้อนวัดไข้แล้วมีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 37.6-38.4 องศาเซลเซียส แสดงว่ามี “ไข้ต่ำ” แต่ถ้าอุณหภูมิสูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียสขึ้นไปจะจัดว่ามี “ไข้สูง” และอุณหภูมิที่ถือว่าไข้สูงมากอย่างรุนแรงหรือ ซึ่งเป็นภาวะที่จัดว่าเป็นอันตายที่สุดคือ 41.1 องศาเซลเซียสขึ้นไป ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อย  มักเกิดจากการติดเชื้อโรครุนแรงในกระแสโลหิต หรือเกิดจากภาวะเลือดออกในสมอง

                นอกจากนี้การมีไข้อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วยในช่วงที่อุณหภูมิร่างกายเริ่มสูงขึ้น และอาจมีเหงื่อออกเมื่อไข้เริ่มลดลง ซึ่งเป็นกลไกปลดปล่อยความร้อนที่มากเกินไปออกจากร่างกาย ซึ่งอาการที่ลูกตัวร้อนหรือมีไข้นั้นเกิดจากสมองส่วนไฮโปโทลามัสปรับอุณหภูมิร่างกายให้สูงกว่าเดิม ซึ่งอาจเป็นผลที่เกิดจากปัจจัยเหล่านี้ได้ เช่น

                • การติดเชื้อเป็นสาเหตุของการมีไข้ที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค ซึ่งมีทั้งอาการติดเชื้อจากการอักเสบเฉพาะที่ เช่น คออักเสบ ลำไส้อักเสบ ข้ออักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น เช่น ไข้หวัด ไข้มาลาเรีย ไข้จากแผล ฝีหนอง และยังมีการติดเชื้อซึ่งไม่มีอาการเฉพาะที่ เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ไข้ไทฟอยด์ เป็นต้น
                • การก่อภูมิคุ้มกันเด็กสามารถมีไข้อ่อน ๆ ได้หลังจากได้รับวัคซีน ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโรคนั้น ๆ ขึ้นมา
                • การสวมใส่เสื้อผ้าหนาเกินไปหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อึดอัดก็อาจส่งผลให้ลูกตัวร้อน เนื่องจากร่างกายมีอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นกับเด็กทารกเพราะร่างกายยังปรับอุณหภูมิได้ไม่ดีเท่าเด็กที่โตกว่า
                • มีไข้ได้จากสาเหตุอื่นๆ เช่น การออกกำลังกายกลางแดด การกินยาบางชนิด การแพ้ยา ความผิดปกติของการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ หรือจากภาวะขาดน้ำ เป็นต้น

                อยากให้ลูกหายไข้ พ่อแม่ควรทำอย่างไร?

                หากคุณแม่สังเกตว่าลูกมีอาการตัวร้อนและมีไข้ แต่ยังสามารถกินอาหาร ดื่มน้ำได้ปกติ มีพฤติกรรมต่าง ๆ ตามปกติ  ไม่มีอาการซึมหรือไม่มีอาการอึดอัดไม่สบายตัว ในเบื้องต้นอาจบรรเทาลดไข้ลูกด้วยวิธีต่อไปนี้

                วิธีลดไข้ลูก

                1.เช็ดตัวลดไข้ลูกเพื่อเป็นการนำความร้อนออกจากร่างกาย วิธีที่ได้ผลดีคือ

                • ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำธรรมดาบอดหมาดพอควร
                • เริ่มเช็ดบริเวณใบหน้า และพักไว้ที่หน้าผาก ซอกคอ ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง
                • เช็ดบริเวณหน้าอกและลำตัว และเช็ดย้อนขึ้นจากปลายมือไปยังต้นแขน และรักแร้ เพื่อระบายความร้อน ทำซ้ำ 3-5 ครั้ง
                • เช็ดขาย้อนขึ้นจากปลายเท้าไปสู่ต้นขาและขาหนีบ ทำซ้ำ 3 – 4 ครั้ง และพักผ้าบริเวณใต้เข่า ขาหนีบ
                • ปรับท่าให้ลูกนอนตะแคงเช็ดบริเวณหลัง ตั้งแต่ก้นกบขึ้นคอ ทำซ้ำ 3 – 4 ครั้ง จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง ใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ ให้ลูก

                การเช็ดตัวลดไข้ควรทำนานประมาณ 30 นาที ควรเปลี่ยนน้ำอุ่นบ่อย ๆ แต่การเช็ดตัวจะช่วยให้อุณหภูมิลดลงเพียงชั่วคราวเท่านั้นเพราะการเป็นไข้เกิดจากการที่อุณหภูมิในร่างกายสูง หลังจากเช็ดตัวลดไข้ประมาณ 15 นาที ให้วัดอุณหภูมิซ้ำ หากยังมีไข้ควรมีการเช็ดตัวใหม่อีกครั้ง และระหว่างมีไข้ไม่ควรให้ลูกอาบน้ำเย็น

                วิธีลดไข้ลูกตัวร้อน
                วิธีลดไข้ลูกตัวร้อน

                2.หมั่นสังเกตอาการผิดปกติของลูก หากเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลด คุณพ่อคุณแม่อาจให้ลูกรับประทานยาลดไข้อย่างพาราเซตามอล โดยปฏิบัติตามคำเตือนและวิธีการใช้ยาอย่างระมัดระวัง และไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้ยาแอสไพริน เพราะอาจมีโอกาสแพ้ยา และทำให้เกิด Reye’s syndrome (โรคที่มีความผิดปกติของตับและสมองอย่างเฉียบพลัน) ได้

                3.ให้ลูกดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและช่วยให้อุณหภูมิร่างกายลดลง

                4.หากลูกมีอาการหนาวสั่น ควรให้ห่มผ้า เมื่อไข้ลดลงให้นำผ้าที่ห่มออก ไม่ควรให้ลูกใส่เสื้อผ้าที่หนาหรืออึดอัดจนเกินในระหว่างนอนหลับ เพราอาจทำให้ไข้ไม่ลดเรื่องจากการใส่เสื้อผ้าหนาเกิน และให้นอนพักอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท เย็นสบาย ไม่ร้อนจนเกินไป เพื่อให้อุณหภูมิร่างกายลดลง

                ถึงแม้ว่าการมีไข้ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตราย แต่ในภาวะที่มีไข้สูงในเด็ก อาจส่งผลเสียทำให้ลูกมีอาการขาดน้ำ เนื่องจากผลข้างเคียงที่เกิดจากไข้ เช่น ท้องเดิน อาเจียน ดื่มน้ำไม่ได้ ทำให้ขาดน้ำมากขึ้น จากการที่ดื่มน้ำได้น้อยลง หรือเสียน้ำไปทางลมหายใจ รวมถึงเด็กที่มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น เด็กที่เป็นโรคหอบร่วมกับไข้สูง อาจทำให้ความต้องการออกซิเจนสูงขึ้นทำให้หอบมากขึ้น โรคหัวใจที่มีอัตราการเต้นหัวใจที่เร็วอยู่แล้ว ไข้อาจทำให้หัวใจทำงานหนักมากขึ้น โรคโลหิตจาง ติดเชื้อในกระแสโลหิต ช็อค ไข้อาจทำให้การปรับตัวของร่างกายเสียสมดุลได้ อาการชักจากไข้สูง ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายแต่ไม่แสดงอาการชักออกมาอย่างชัดเจน เด็กจะดูคล้ายกำลังหมดสติ มักพบในผู้ป่วยเด็กช่วงอายุ 6 เดือน ถึง 6 ปี โดยเด็กที่เคยชักเวลามีไข้สูงหรือในครอบครัวที่มีประวัติชักเมื่อไข้สูง ต้องระวังเป็นพิเศษในขณะมีไข้ ดังนั้นการลดไข้ในเด็กจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่พอ่แม่ควรเรียนรู้วิธี โดยเช็ดตัวและให้ยาลดไข้เพื่อป้องกันไม่ให้ไข้สูง

                ลูกเป็นไข้หลายวันไม่หาย
                ลูกเป็นไข้หลายวันไม่หาย

                เมื่อไรควรพาลูกไปพบแพทย์ ?

                หากลูกตัวร้อน มีไข้ โดยให้รับประทานยาลดไข้และเช็ดตัวบ่อย ๆ แล้วไข้ยังไม่ลด อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหรือมีอาการผิดปกติเหล่านี้ร่วมกับมีไข้สูง อาทิเช่น

                • ง่วงซึม อ่อนแรง ไม่มีความอยากอาหาร หงุดหงิดง่าย
                • ลูกปฏิเสธการดื่มน้ำและกินอาหาร หรือดูป่วยเกินกว่าจะดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ
                • มีอาการของภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อยกว่าปกติ ไม่มีน้ำตาเมื่อร้องไห้ เฉื่อยชาผิดปกติ เป็นต้น
                • ริมฝีปาก คอ หรือเล็บเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ
                • ลูกบ่นปวดหัว ไอ เจ็บคอ เจ็บหู หรือมีอาการปวดผิดปกติอย่างรุนแรง
                • มีอาการอาเจียนและท้องเสียอย่างต่อเนื่อง
                • มีผื่นแดงขึ้นหรือจุดสีม่วงบนผิวหนังคล้ายรอยฟกช้ำ
                • มีปัญหาในการหายใจ หายใจเร็ว หรือหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
                • มีอาการชัก

                ทั้งนี้คุณแม่ต้องทราบด้วยว่าการให้กินยาลดไข้เป็นเพียงยาบรรเทา ไม่ใช่ยารักษาสาเหตุที่ทำให้เกิดไข้ เมื่อกินยาหนึ่งครั้งยาจะออกฤทธิ์ลดไข้ประมาณ 4-6 ชั่วโมง หากสาเหตุที่ทำให้เกิดไข้ยังไม่หายควรใช้ยาลดไข้เมื่อไข้สูงเท่านั้น ซึ่งควรอ่านฉลากการใช้ยาลดไข้สำหรับเด็กอย่างชัดเจน และทำร่วมกับการเช็ดตัวลดไข้ ถ้าภายใน 2-3 วันอาการไข้ยังไม่ทุเลา หรือพบอาการผิดปกติดังกล่าว คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการโดยเร็วที่สุด

                อย่างไรก็ตาม อาการไข้ โดยทั่วไปถือว่าเป็นการตอบสนองของร่างกาย ที่เกิดขึ้นได้กับเด็กแทบทุกคน ซึ่งมักจะไม่ทำอันตรายต่อตัวเด็กจากไข้เอง เมื่อลูกเป็นไข้ตัวร้อนหากคุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์นี้ได้อย่างถูกวิธี ก็สามารถดูแลและบรรเทาอาการไข้ของลูกน้อยได้ในเบื้องต้น อย่าเพิ่งร้อนใจวิตกกังวลมากเกินไปจนเครียด ไม่ได้พักผ่อนนะคะ เพราะสุขภาพคุณพ่อคุณแม่ก็สำคัญไม่น้อยเช่นกัน.

                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.pobpad.comwww.seedoctornow.com

                อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :

                กินยาดักไข้ กันลูกเป็นหวัด เป็นไข้ ได้จริงหรือ?

                9 คาถากันโรคภัยไข้เจ็บ สวดได้ทุกวันทั้งครอบครัว

                 

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                  นมกล่องสำหรับเด็ก

                  เช็กลิสต์..นมวัวแท้ 100% ยี่ห้อไหนให้สารอาหารดี มีประโยชน์ที่สุดกับเด็กๆ

                  นมกล่องสำหรับเด็ก กล่องนั้นก็นมวัว กล่องนี้ก็นมวัว แล้วจะให้ลูกดื่มนมวัวยี่ห้อไหนดีล่ะเนี่ย เลือกไม่ถูกแบบนี้ คุณแม่มาเช็กดูสารอาหารกันสักนิดดีไหมคะ จะได้ตัดสินใจได้ว่า นมกล่อง UHT นมวัวแท้ 100% กล่องไหนที่ให้สารอาหารสูง แคลเซียมสูง เด็กๆ ดื่มแล้วพัฒนาการเติบโตดีสมวัยค่ะ

                   

                  นมกล่องสำหรับเด็ก ทำจากนมวัว มีประโยชน์อะไรบ้างนะ ?

                  มีหลายครอบครัวค่ะที่นอกจากเลือกไม่ถูกว่าจะให้ลูกดื่ม นมกล่องสำหรับเด็ก ที่มีส่วนประกอบเป็นนมวัวยี่ห้อไหนแล้ว ก็ยังมีความไม่แน่ใจในเรื่องของประโยชน์ที่จะได้รับจาก “นมวัว” ฉะนั้นเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังตัดสินใจว่าจะให้ลูกดื่ม  หรือไม่ดื่มนมวัว เราจะมาสรุปให้ได้รู้กันค่ะว่า “นมวัว”  ให้ประโยชน์อะไรร่างกายอย่างไรบ้าง การดื่มนมวัวที่เป็นนมวัวแท้ 100% จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ค่ะ

                  • ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง เพราะในนมวัวจะมีสารอาหารอย่างแคลเซียมสูง ซึ่งแคลเซียมจะช่วยใน  การเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน เป็นต้น
                  • ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในนมวัวจะมีคาร์โบไฮเดรตที่เป็นน้ำตาลแลคโตส ซึ่งช่วยควบคุม  ปริมาณจุลินทรีย์ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้อุจจาระนุ่ม ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
                  • ช่วยซ่อมแซมและพัฒนากล้ามเนื้อ ในนมวัวมีโปรตีน กรดอะมิโนหลากหลายชนิด ซึ่งจะในการซ่อมแซมเซลล์ เนื้อเยื้อในร่างกาย กล้ามเนื้อให้มีความแข็งแรงมากขึ้น
                  • ช่วยให้ระบบประสาท และสมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากโอเมก้า 3 6 9 และ บี 12

                  คุณพ่อคุณแม่พอจะทราบกันไปในเบื้องต้นแล้วนะคะ ถึงประโยชน์ของนมวัว ซึ่งยังมีอีกหลากหลายประโยชน์ที่ดีต่อ สุขภาพร่างกายของเด็กๆ ดังนั้นนะคะเพื่อให้คุณแม่ง่ายในการตัดสินใจกับการเลือกนมกล่องสำหรับเด็ก นมกล่อง UHT  ให้ลูกๆ ได้ดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง มีพัฒนาการการเติบโตที่ดี เราจึงคัดเน้นๆ มาให้ถึง 7 ยี่ห้อ กับนมวัวแท้ 100% ไปดูกันค่ะว่ามียี่ห้อไหนบ้าง และให้สารอาหารอาหารอะไรบ้างคะ

                  นมวัวทั้ง 7 ยี่ห้อนี้ เราซื้อมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ ฉะนั้นจะขอไม่พูดถึงเรื่องราคา เนื่องจากนมวัวแต่ละ  ยี่ห้อ จะมีช่วงโปรโมชั่นราคาที่แตกต่างกันไปค่ะ อย่างนมกล่อง UHT 7 ยี่ห้อที่จะแนะนำให้คุณแม่ได้รู้ข้อมูลโภชนาการสารอาหาร ปริมาณสุทธิน้ำนมต่อกล่องจะอยู่ที่ 200 – 250 มิลลิกรัมค่ะ และโจทย์ในการทำรีวิวครั้งนี้ เนื่องจากมีคำถาม มาว่า “นมกล่องสำหรับเด็ก” ยี่ห้อไหนบ้างที่ให้ แคลเซียม โปรตีน และให้พลังงานสูง

                   

                  7 ยี่ห้อ นมกล่อง UHT นมวัวแท้ ?

                  ในส่วนของปริมาณสารอาหารนมกล่อง UHT ทั้ง 7 กล่องนี้ เป็นการเทียบปริมาณน้ำนม 100 มิลลิลิตร กับปริมาณสารอาหารจริงของนมแต่ละกล่อง(ยี่ห้อ)นะคะ

                  นมกล่องสำหรับเด็ก

                  นมวัวทั้ง 7 ยี่ห้อนี้เป็นนมวัวแท้ 100 % ค่ะ ที่เลือกมาเป็นรสชาติจืด เหมาะกับเด็กๆ ที่อยู่ในวัยกำลังโต วัยเรียนมากๆ ค่ะ ที่นี่เรามาดูว่ามียี่ห้อไหนบ้างที่ให้ 3 สารอาหารหลักๆ ที่ต้องมีอยู่ในนม นั่นก็คือ พลังงาน โปรตีน แคลเซียมสูงบ้าง เริ่มกันที่…

                  นมกล่อง UHT

                  • นมกล่อง UHT สำหรับเด็กที่ให้พลังงานสูง 4 อันดับ

                  นมวาริช ให้พลังงาน 75.0 แคลอรี , นมโฟรโมสต์ ให้พลังงาน 66.6 แคลอรี , นมจิตรลดา ให้พลังงาน 65.0 แคลอรี และ นมคันทรีเฟรช ให้พลังงาน 65.0 แคลอรี

                  พลังงานมีประโยชน์กับเด็กมากค่ะ เพราะจะช่วยให้มีแรงพลังในการเรียน และทำกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั้งวัน

                  นมกล่องสำหรับเด็ก

                  • นมกล่อง UHT สำหรับเด็กที่ให้โปรตีนสูง 4 อันดับ

                  นมไทย-เดนมาร์ค ให้โปรตีน 3.2 กรัม, นมโฟรโมสต์ ให้โปรตีน 3.1 กรัม , นมหนองโพ ให้โปรตีน 3.1 กรัม และ นมจิตรลดา ให้โปรตีน 3.0 กรัม

                  โปรตีนมีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างสารควบคุมการทำงานของร่างกาย เช่น ฮอร์โมน และเอนไซม์ต่างๆ

                  นมกล่องสำหรับเด็ก

                  • นมกล่อง UHT สำหรับเด็กที่ให้แคลเซียมสูง 4 อันดับ

                  นมหนองโพ ให้แคลเซียม 15.5%, นมจิตรลดา ให้แคลเซียม 15.0%, นมโชคชัย ให้แคลเซียม 15.0% และ นมโฟรโมสต์ ให้แคลเซียม 13.3%

                  แคลเซียมมีส่วนสำคัญในการช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยให้พัฒนาการการเจริญเติบโตของเด็กๆ สมวัย

                  นมกล่องสำหรับเด็ก

                  • นมกล่อง UHT สำหรับเด็กที่มีสารอาหารธรรมชาติหลากหลาย สูงสุด 4 อันดับ : ปริมาณสารอาหาร 24 ชนิด/กล่อง

                  นมโฟรโมสต์ มีปริมาณสารอาหาร 22 ชนิด/กล่อง , นมจิตรลดา มีปริมาณสารอาหาร 12 ชนิด/กล่อง , นมโชคชัย 12 ชนิด/กล่อง และ นมหนองโพ 12 ชนิด/กล่อง

                  เท่าที่ดูปริมาณสารอาหารที่มีอยู่ในนมกล่อง UHT จะเห็นชัดเจนเลยว่าปริมาณสารอาหารในนมวัว 1 กล่องที่แยกออกมาได้ 24 สารอาหาร นมโฟรโมสต์ จะมีสารอาหารต่อกล่องทั้งหมด 22 สารอาหาร ถือว่าสูงมากค่ะ ฉะนั้นไปดูเพิ่มเติมกันอีกนิดค่ะว่า นมโฟรโมสต์ ที่ผลิตจากนมโคสดแท้ 100% รสจืดกล่องนี้ยังมีคุณประโยชน์อะไรซ่อนอยู่อีกบ้าง

                  นมกล่องสำหรับเด็ก

                  นมกล่องสำหรับเด็ก UHT ผลิตจากนมโคสด 100% จากฟาร์มโคนมคุณภาพ และได้มาตรฐาน ระดับสากล จากรอยัลฟรีสแลนด์คัมพิน่า ประเทศเนเธอร์แลนด์ และยังผ่านการควบคุมคุณภาพของน้ำนมวัวคุณภาพที่ได้อีกกว่า 100 ขั้นตอน ที่สำคัญยังมีสารอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย นั่นคือ

                  แคลเซียมสูง มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง

                  กรดอะมิโนจำเป็น 9 ชนิด มีโปรตีนสูง ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย

                  โอเมก้า 3 6 9 มีวิตามินบี 12 มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง

                  วิตามินบี 5 ช่วยในการใช้ประโยชน์ของไขมัน และคาร์โบไฮเดรต

                  วิตามินบี 2 ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน

                  เอาเป็นว่าหากคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหา และตัดสินใจเลือกนมกล่อง UHT ให้ลูกอยู่ตอนนี้ ก็น่าจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจ ที่จะให้ลูกได้ดื่มอร่อย สุขภาพแข็งแรง พัฒนาการร่างกายเติบโตดีสมวัย และมีสติปัญญาดี กันแล้วนะคะ

                  ลูกดื่มนมวัวยี่ห้อได้ดี ก็เลือกยี่ห้อนั้นได้เลยนะคะ

                  นมวัวแท้ 100% ดีต่อพัฒนาการร่างกาย และสมอง

                    ลูกถูกเชือกรัดคอ

                    รวมอุทาหรณ์ เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน

                    เมื่อได้ยินข่าว เด็กถูกเชือกผ้าม่านรัดคอ คุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า เชือกผ้าม่าน จะเป็นต้นเหตุคร่าชีวิตลูกได้ แต่ในความเป็นจริงมีเคส เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน โดยที่พ่อแม่ไม่คาดคิด จำนวนหลายรายต่อปี ไม่ว่าจะเป็น สายมู่ลี่ เชือกหูรูดหมอนข้าง สายโทรศัพท์ เป็นต้น

                    อย่างเช่นกรณีล่าสุด ที่เด็กชายอายุ 7 ขวบ นักเรียนชั้น ป.1 โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง ใน จ.อุดรธานี เสียชีวิตภายในบ้าน จากการตรวจสอบตามร่างกายของเด็กชายที่เสียชีวิต ไม่พบร่องรอยการต่อสู้หรือถูกทำร้าย คาดว่าเด็กน่าจะเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจด้วยการผูกคอ เนื่องจากบริเวณคอพบรอยเชือกชัดเจน

                    ลูกเล่นโรลเลอร์เบลด พลาดถูกเชือกผ้าม่านรัดคอเสียชีวิต

                    คุณพ่อของเด็กเล่าว่า บ้านหลังนี้อาศัยอยู่ 4 คน มีตน ลูกชาย แม่ และป้าที่พิการหูหนวก โดยคุณพ่อมีลูกคนเดียว และภรรยาทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อนเกิดเหตุ ตนพาแม่ไปนั่งเล่นที่สวนหน้าบ้าน ส่วนลูกชายก็กำลังเล่นโรลเลอร์เบลดอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งใกล้มืด ตนก็เข้าบ้านไปก็พบร่างของลูกชายแขวนคออยู่กับราวผ้าม่านบนหัวเตียงนอนของแม่แล้ว จึงรีบวิ่งไปนำร่างลูกชายลงมา

                    ตนพยายามปั๊มหัวใจเพื่อยื้อชีวิตลูกอยู่นานหลายนาที แต่ลูกไม่มีอาการตอบสนอง จึงโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือ แต่ก็สายไปแล้ว โดยตนรู้สึกผิดมากที่ดูแลลูกไม่ดี หากแม่เขารู้คงไม่ให้อภัย เพราะลูกคนนี้เป็นเด็กเรียนเก่ง ฉลาด พูดจาไพเราะ เป็นที่รักของทุกๆ คน

                    นอกจากนี้พ่อของเด็กยังบอกอีกว่า ลูกตนมีนิสัยชอบเล่นชักเชือกธงชาติ โดยจะนำเชือกมาผูกและแขวนไว้ตามราวผ้าม่านหน้าต่างรอบบ้าน ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ซึ่งตนก็คิดว่าลูกคงทำไปตามประสาเด็กที่เคยทำมา แต่ครั้งนี้ที่เท้าลูกมีโรลเลอร์เบลดติดอยู่ด้วย จึงอาจพลาดลื่นไถล คอไปเกี่ยวกับเชือกที่ผูกเป็นบ่วงเอาไว้ เพราะลูกยังเล่นโรลเลอร์เบลดไม่ชำนาญ

                    เบื้องต้นทางตำรวจสันนิษฐานว่า เป็นอุบัติเหตุจากพฤติกรรมของเด็ก ที่ชอบเล่นเชือกชักธงชาติ ตามจุดต่างๆ ของบ้าน นอกจากนี้ยังพบเชือกอยู่ที่ราวผ้าม่านหน้าต่าง มีลักษณะเหมือนกันกับจุดที่เด็กเสียชีวิต ซึ่งญาติก็ไม่ได้ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต และเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุเช่นกัน เนื่องจากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือที่เด็กคนนี้ดูอยู่เป็นประจำ มีการเปิดดูวิธีสอนเล่นเกมในยูทูบ ซึ่งเป็นเกมที่ไม่มีความรุนแรง จึงเชื่อว่าไม่น่าจะเป็นเหตุจูงใจในพฤติกรรมเลียนแบบแต่อย่างใด

                    รวมเคส เชือกรัดคอลูก เสียชีวิตในบ้าน อุบัติเหตุที่พ่อแม่ต้องระวัง

                    นอกจากเชือกผ้าม่านแล้ว อุปกรณ์ภายในบ้านที่เป็นบ่วงอย่างสายมู่ลี่ ก็เป็นอันตรายที่คร่าชีวิตเด็กมาแล้วหลายต่อหลายเคส เป็นอุทาหรณ์ที่พ่อแม่ต้องระวังให้ดี

                    เชือกรัดคอลูก เสียชีวิต เพราะ สายมู่ลี่

                    สายมู่ลี่
                    บ่วงของสายมู่ลี่สามารถรัดคอลูกเสียชีวิตได้

                    เคสที่ 1

                    ก่อนหน้านี้เคยมีเคสเด็กอายุ 2 ขวบเล่นคนเดียวอยู่ในห้องนั่งเล่น แม่ทำครัวอยู่หลังบ้าน เมื่อออกมาพบว่าลูกอยู่ในท่าแขวนคอ มีสายปรับมู่ลี่รัดรอบคอ และมีกล่องของเล่น อยู่ที่บริเวณเท้าคล้ายเด็กจะปีนกล่องเพื่อเล่น สายมู่ลี่ ก่อนจะพลัดตกจากกล่อง

                    เคสที่ 2

                    คุณแม่ปล่อยลูกวัย 2 ขวบไว้ในห้องนอนตามลำพัง ส่วนตัวเองนั่งเล่นอยู่ภายในบ้าน เมื่อคุณแม่เดินผ่านห้องของลูกสาว ก็พบว่า หนูน้อยถูกเชือกปรับมู่ลี่รัดคอจนขาดอากาศหายใจ ร่างแน่นิ่งอยู่ในท่าที่กำลังพยายามเขย่งเท้าเปิดมู่ลี่ดูวิวภายนอกบ้าน เหตุการณ์นี้ทำให้สมองของเด็กขาดออกซิเจนไปหลายนาที กลายเป็นหนูน้อยพิการ และมีปัญหาทางสมองและหัวใจ หลังจากนั้น 3 เดือนหนูน้อยก็เสียชีวิตลง

                    เคสที่ 3

                    เด็กชายวัย 2 ขวบ ถูกเชือกมู่ลี่รัดคอ หลังจากที่พ่อแม่เพิ่งส่งลูกเข้านอนได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น หนูน้อยถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลโดยด่วน และเสียชีวิตในอีก 5 วันต่อมา

                    พ่อแม่จะป้องกันอันตรายจากสายมูลี่ได้อย่างไร

                    มีข้อมูลที่พบว่า เด็กอายุน้อยกว่า 4 ขวบ ซึ่งมักถูกจัดให้นอนบนเตียงที่อยู่ใกล้กับหน้าต่างที่เด็กสามารถคว้าเล่นสายมู่ลี่ได้ เสียชีวิตจากเชือกกระตุกมู่ลี่ที่ขดเป็นวง หลายรายต่อปี ส่วนเด็กอายุมากกว่า 1 ขวบ มักจะปีนป่ายโดยต่อเก้าอี้บ้าง กล่องบ้าง แล้วเล่นเชือกสายมู่ลี่ ก่อนจะพลัดตกจากสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ปีนจนทำให้สายเชือกรัดคอเสียชีวิต

                    คำแนะนำสำหรับบ้านที่มีเด็กเล็ก

                    1. ตรวจสอบมู่ลี่ในบ้านว่ามีเชือกที่มีลักษณะเป็นห่วงห้อยอยู่ด้านหน้าหรือไม่ หากเห็นว่าเสี่ยงอันตรายให้เปลี่ยนไปใช้มู่ลี่ที่ไม่มีเชือก เปลี่ยนสายจากลักษณะเป็นวง กลายเป็นปลายเปิดทั้งสองข้างก็สามารถลดความเสี่ยงแบบนี้ลงได้
                    2. อย่าตั้งเตียงเด็ก หรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ ไว้ใกล้กับหน้าต่างมู่ลี่ เพราะเด็กอาจปีนขึ้นไปเพื่อจะคว้าเอาเชือกปรับมู่ลี่ได้
                    3. เปลี่ยนระบบการปรับมู่ลี่ เป็นมู่ลี่ระบบมอเตอร์ ซึ่งจะไม่มีเชือกห้อยระโยงระยางออกมา

                    เชือกหูรูดหมอนข้าง ก็รัดคอเด็กได้

                    จากเหตุเด็กอายุ 10 เดือนนอนอยู่กับแม่ เมื่อพ่อกลับถึงบ้านมืดและตรงเข้าหอมลูก รู้สึกว่าลูกตัวเย็นผิดปกติ จึงเปิดไฟดูแล้วพบว่า เชือกหูรูดหมอนข้างพันเกลียวอยู่รอบคอลูก ขณะที่แม่ยังหลับอยู่โดยไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับลูก นับเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ เชือกรัดรอลูกเสีย ชีวิตในบ้าน ที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวังให้ดีค่ะ

                    นอกจากนี้ ของที่มีสายยาวอื่นๆ ภายในบ้านก็สามารถเป็นอันตรายต่อเด็กได้ เช่น โทรศัพท์ที่มีสาย สร้อยคอ กีตาร์คล้องคอ เพราะสายอาจรัดคอเด็ก ทำให้กดการหายใจได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรเก็บให้พ้นมือเด็กเช่นกัน

                    ที่มา 1  2

                    ขอบคุณภาพประกอบจาก cpsc.gov

                    อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ

                    แม่เล่าอุทาหรณ์! “ลูกสาวข้อศอกเคลื่อน” เพราะเล่นเต้นรำ ดึงแขนลูก

                    “ฝึกลูกนอนคว่ำ” อันตราย! เสี่ยงขาดอากาศหายใจ

                    5 ภัยอันตรายใน สนามเด็กเล่น ต้องสอนลูกให้ระวัง!

                    เตือนภัยแม่ซื้อ นาฬิกาโทรศัพท์ สมาร์ทวอทช์เด็ก ให้ลูกยังไม่ทันใช้ ชาร์จเสร็จไฟลุก (มีคลิป)

                     

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      ชื่อลูก

                      ไอเดีย ชื่อลูก 1,000 ชื่อ รวมฮิตชื่อเล่น ชื่อลูกสาว-ลูกชาย หลายภาษา

                      รวมฮิต ชื่อลูก กว่า 1,000 ชื่อ ไอเดียตั้งชื่อลูก ชื่อเล่นลูก หลากหลายภาษา เก๋ไก๋ ทันสมัย ไม่ตกยุค ครบทั้ง ชื่อลูกสาว และ ชื่อลูกชาย จะมีชื่อลูก อะไรบ้าง มาดูกัน

                      รวมฮิต ชื่อลูก 1,000 ชื่อ หลายภาษา ครบทั้งลูกสาว-ลูกชาย

                      สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังจะมีสมาชิกใหม่ในเร็วๆ นี้ และกำลังเตรียมตั้งชื่อลูกอยู่ หากคุณกำลังมองหาไอเดียตั้งชื่อลูก ต้องห้ามพลาดบทความนี้ เพราะทีมแม่ ABK ได้รวบรวม ชื่อลูก ชื่อเล่น 1000 ชื่อ หลากหลายภาษาทั้ง ไทย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอังกฤษ เรียงตามตัวอักษร ก – ฮ จะมี ชื่อลูก อะไรบ้าง ตามมาดูกันเลย

                      ***หมายเหตุ: แนะนำให้อ่านทุกบรรทัด ค่อยๆ อ่าน
                      เพราะหากดูผ่านๆ ข้ามๆ ไป อาจพลาด ชื่อลูก เพราะๆ ดีๆ ไปนะคะ

                      ชื่อลูก

                      กระถิน  กาโตว์  กูเกิ้ล  แก้มเต่ง  กะทิ  กันตา  กองพล
                      กราฟฟิค กัสบี กัปตัน  กองหนุน  กล้าหาญ  ก้อนดิน
                      กรุงไทย กรุงเทพ  กองปราบ  ก้ามปู  กรีซ  กอแก้ว
                      กัสดาฟี่  แกรมมี่  กีฟฟี่ ก้านธูป  กะเพรา  ก๊อบแก๊บ
                      แก้มใส  แก้วใจ  กำไล  กัสจัง  กาฟิลด์  โกเบ  กอหญ้า
                      แกรมม่า กุญแจ  เกี๊ยว  เกรฟ  กรีน  ก๋วยเตี๋ยว  ก๋วยเจ๋ง
                      กุนซือ กรุ๊งกริ๊ง  ก้อนเมฆ  กีตาร์  กังฟู  กาตอย
                      กองทัพ  กำปั่น เกมส์เพลย์  เกรซไบร์ท  การ์ตูน กิมจิ
                      กุมภ์  กล้วยไม้ การบูร

                       

                      ชื่อลูก

                      ข้าวตู  ขุนศึก  เข็มทิศ  ข้าวหมาก  ข้าวสวย  ข้าวผัด
                      ข้าวหอม ข้าวแกง ขันหมาก  ขันเงิน เขียนฟ้า  ขนม
                      ขนมผิง  ขนมจีน  ขิม ขุมทรัพย์ ขลุ่ยผิว เขตแดน
                      เขื่อน  ขุนเขา  ข้าวฟ่าง  ขงเบ้ง ข้าวขวัญ  ไข่ดาว

                       

                      ชื่อลูก

                      คอมม่า  คริสตัล  คูเปอร์  คิวอาร์  โคนัน  คณิต
                      โควทาโร่  เคมี คิวเท  คะนิ้ง  คำแพง  คีริน  คิม  แคมป์
                      คูเปอร์ คอตตอล คัตโตะ เคนโด้  คูก้า  เคนตะ  คอนโด
                      เควิน  คิมซิ่ง  คีตะ  แคนนอล  คริสต์มาส  คลื่น  คนดี
                      คิมหันต์  คัมภีร์  โคลอี้  เคธี่  คิมซุน  คิมม่อน  ค่าย

                       

                      ชื่อลูก ฆ , ง

                      ฆ้องเงิน  ฆ้องมอญ  //  เงินล้าน  เงินปอนด์

                       

                      ชื่อลูก

                      แจสเปอร์  เจทท์  จอมเทพ  จูนี่  จัสติน  จีน่า  จุ้นห่าว
                      จูเหนียน  จอมแก่น  จาจัง  จีฮุน  จันทร์เจ้า  เจได  จอมพล
                      จิงเกิล  เจสซี่  เจโช  จาวา  เจแปน  จิ๊กซอว์  จัสมิน  จันจิ
                      โจเซฟ  จีเมล จูเนียร์  จ๊ะจ๋า  จุนอู  จีซู  เจ้าสัว เจ้าขา
                      เจ้านาย  เจ้าขุน  เจ้าคุณ จอมทัพ จั่นเจา จีจ้า
                      แจ๊กพอต  ไจแอนท์  จินตะ  จาติม  จุงกิ  จอมยุทธ์
                      แจ๊คพ็อต  จีเนียส  เจด้า จีน  จูล่ง  จูโน่

                       

                      ชื่อลูก

                      ฉลาม  ฉีฉี  เฉิน  ฉิงฉิง

                       

                      ชื่อลูก

                      ชบา  ชิชา  ชิกะ  ชาแนล  ไชน่า  ชอเฌอ  แชมป์  โชกุน
                      ช้อปเปอร์  เชียร์ แชร์น  ชูก้า  ชมพู  ชีต  ชีต้าร์
                      แชมเปญ ชูใจ  ชินจัง  ชีโต้ส  ชาร์ลอท  เชอรีน

                       

                      ชื่อลูก

                      ซีเอล  โซดา โซฟี่  เซย่า โซล่าร์ เซลฟี่ ซิม ซันญ่า
                      ซีโร่ เซอไพรส์ ซีรีน  ซันเป ซัมเมอร์  ซีซั่น เซิฟ  เซิร์ท
                      ซันเป  เซฟ เซนส์  ซอฟท์  เซ่  เซย์  ซายน์  แซม
                      ซิกเซ้นส์ เซิฟเวอร์  ซีเนียร์  ซันเดย์ เซนเตอร์
                      ซอโซ่  เซี่ยงไฮ้  ซานต้า ซานฟราน  ซูกัส  ซิดนีย์
                      ซูพรีม  ซีแกรม  แซมมี่  ซากุระ  โซล่า  ซอล  แซ้งค์
                      ซูโม่  ซีเปีย  ซีรีย์  ซันชายน์  ซีนาย ซิลวา  ซิลเวอร์
                      ไซอิ๋ว  ซันไช่  ซานฟราน  โซเฟีย

                       

                      ชื่อลูก

                      เฌอแตมป์  เฌอเอม  เฌอปราง  เฌอร์ลิน  ฌาม
                      เฌอรีน  ฌอห์ณ  เฌอเบลล์  ฌาร์ล

                       

                      ชื่อลูก ญ , ฐ , ณ

                      ญาดา  ญี่ปุ่น  ญาญ่า  //  ฐิสา ฐา
                      ณัชชา  ณิชา  ณคุณ  ณมน

                       

                       

                      ชื่อลูก

                      ดัชมิลค์  ดอกคูณ  ดราฟ  ดิสนีย์  โดนัท  เดย์  ดอยตุง
                      ดาต้า  ดอลล่าร์  ดาร์ก้อน ไดม่อนด์  เดลต้า  ดีเจ
                      แดเนียล  ดิสโก้  ดีเทล  ดาหลา  ดาหวัน  ดีไซน์
                      ดั๊มพ์  เดฟ  ดีน  ไดรฟ์  ดริ๊งก์  ไดร์  ดาวเหนือ  เดบิวต์
                      เดมี่ เดโม่ ดีแลน  ดินสอ  เดซี่  ดันเต้ ดามิสา  ดรีมเมอร์

                       

                      ชื่อลูก

                      เติมเต็ม  เต็นท์  ตังเม  ตั้งเต  ตาณ  ตาว  เตนส์  ตอล
                      ติณณ์  ต้นหอม  ตุลย์ต้นแต้ว  ไตตัล  แต๊งค์กิ้ว
                      ใต้หล้า  เต้าเจี้ยว  ตะวัน  ต้นปุญญ์  ตั้งใจ  ตรัยคุณ
                      ตั้งต้น  ต้นหนาว  ตัวโน๊ต  เตยหอม  ติ๊ช่า  ตูมตาม
                      ตาลหวาน  ตฤณ  ต้นกก  โตโน่  ต้นอ้อ  ต้าเหนิง
                      เต็งหนึ่ง  แต้มเหนือ  ไตตัล โตเกียว  เติร์ก ตะหลิว
                      ไต้ฝุ่น  ต้นกล้า  แตงกวา  ต้นไผ่  ติวเตอร์  เตียง

                       

                      ชื่อลูก

                      ถิงถิง  ถังแป้ง  ถังเบียร์  ถั่วหวาน  ถอถุง  ถุงแป้ง

                       

                      ชื่อลูก

                      ทิวเขา  ไท่หลิน  เทอร์โบ  ไททั่น  ท๊อฟฟี่  ทาโร่
                      ทอย  เทย์แลน  ทิวไผ่  ทิวทัศน์  ที่รัก  ไทเลอร์
                      ไทป์  เทมป์  แทนไท  ทอฝัน  ทิกเกอร์  ทะเล  ทิโม
                      ทาม  ไทม์  ทิวสน  เทคออฟ  ไทก้า  แทนคุณ
                      ทรงเผ่า  เทย่า  ทิ๊วเดย์  ทิม

                       

                      ชื่อลูก

                      ธงรบ  ธารใส  ธารบุญ  ธามไท  ธรรมดี  ธูปหอม
                      ธันวา  ธีม  ธิชา  ธันเดอร์  เธียร

                       

                       

                      ชื่อลูก

                      นาเดียร์  นาวา  โนว่า  นาบุญ  นิปปอน  เนเวอร์
                      นอร์ท  เนปาล  นะโม เนย์มาร์  นิวตั้น นลิน  นาโต้
                      นินจา  นิวเคลียร์  นักรบ  นิวเยียร์  นับตังค์
                      นาขวัญ  นาที  เนวิ  โนเกีย  นอร์เวย์  นาเนียร์
                      เนเน่  นาซ่า นาจา  นามิ นารา  นิต้า  โนเบล
                      นุ่มนิ่ม  นาโน  นานะ  นาฟ  นับดาว  นิกกี้
                      น้ำฟ้า  น้ำปิง  น้ำเหนือ  น้ำหนาว  น้ำอบ  น้ำปรุง
                      น้ำพริก น้ำฝาย น้ำพุ  น้ำเย็น  น้ำอุ่น น้ำเทียน  น้ำปั่น
                      น้ำใส  น้ำว้า  น้ำน่าน  น้ำไนล์  น้ำหอม
                      น้ำมนตร์  นิสสา  น๊อตโตะ  นาฬิกา

                       

                      ชื่อลูก

                      เบลินน์  แบมบู  แบมแบม  โบนัส  โบอิ้ง
                      โบกี้  ไบเบิ้ล  บุ๊ค  บุฟเฟ่  เบต้า  ใบไผ่
                      ใบตาล  ใบตอง  ใบเตย  ใบบัว  ใบชา  ใบพลู
                      ใบเฟิร์น  ใบข้าว  ใบหม่อน  โบอา  บีเติร์ด
                      บิ๊กเบลล์  เบลล่า  บีกิน  บีฟอร์  บุ้งกี๋  บิงโก
                      บรูโน่  บีอาย  บับเบิ้ล  บะหมี่  บีติส  บีลีฟ
                      บรู๊คลิน  ไบร์ท  บอมเบย์  บิ๊กไบค์  บีเอ็ม
                      บาร์เล่  บาซ่า  บับเบิ้ล  บีบี  บะหมี่  บิวตี้
                      บีเลิฟ  บูเก้  เบรนด้า  เบอร์ด้า  เบฟ  บีน่า
                      เบอร์รี่  แบบฝัน  บัตเตอร์  บิ๊กบอส  บิสกิต

                       

                      ชื่อลูก

                      ปิ่นมุก  ป๊อปอาย  เป็นเอก  ปฐพี  แป้งกรอบ
                      ปันโน  ปลานิล  ปันผล  ปาร์ค เปียโน  ปอร์เช่
                      ป่าปูน เปี่ยมสุข  แป้งร่ำ  ปีเตอร์แพน  ปริ๊นซ์  ปิงปิง
                      เปปเปอร์  ปาร์ตี้  ปันปัน  โปรตรอน  ปั้นฝัน  ปูติน
                      ปั้นจั่น  ปังปอนด์  แป้งร่ำ  แป้งหอม  โปเต้  แป้งพิมพ์
                      ปีเตอร์แพน  ปูม้า  ปูนปั้น  โปรแกรม ไปเปอร์
                      ป๊อกกี้  แป้งหอม  เปอร์เซ็นต์  ปุยฝ้าย  ปันโน
                      ปารีส  ปลาวาฬ  เป่าเปา  เปตอง  ปังย่าห์  โปรเจค

                       

                      ชื่อลูก ผ , ฝ

                      ผู้กอง  ผิงอัน  ผิงผิง  ผักกาด  ผักหวาน  ผัดไท
                      ผ้าแพร  แผ่นเสียง ผืนผ้า  แผ่นดิน ผ้าพิมพ์  เผื่อแผ่

                      ฝากรัก ฝากฟ้า

                       

                      ชื่อลูก

                      พรอนโต้  แพลงตอน  พอเพียง  พั๊นซ์  เพียงออ
                      โพสต์  พอร์ช แพนด้า  พีเจ้น พู่กัน  พิกเล็ต  โพธิ์
                      เพลงขลุ่ย  พริกอ่อง เพิร์ท พิตต้า พอตเตอร์
                      พะนาย  พรีเมี่ยม  เพลงพิณ  เพ่ยเพ่ย  พลอยใส
                      แพททริค  พาย  พรีเมียร์  ไพธอน พายุ  พีจี
                      พะเพื่อน  พะแพง  เพียงออ  พิกเซล  เพชรนิล
                      พลอยเจ  พริกแกง  เพอร์ฟูม  แพทตี้  พูม่า
                      พันไมล์  พัตเตอร์  เพิ่มเติม  แพททริค  พบรัก

                       

                      ชื่อลูก

                      เฟย  เฟย์  ฟิลเตอร์  ฟอร์จูน  ฟอเรสท์  ฟินน์
                      ฟ้าใส  ฟาเดียร์  ฟูจิ  ฟรีโน่ ฟอร์ยู  ฟารีน  ฟาร์
                      พรีเซนต์  ฟรีด้อม  ฟีฟาย  ฟีเนล  ฟิจิ  ฟ้าหลั่น
                      ฟู่ซาณ  เฟอร์กัส  ฟ้าคราม  ฟาไฉ่  ฟองเบียร์
                      เฟอร์บี้  เฟอร์รี่ เฟสบุ๊ค  ฟิลลิปส์  เฟรี่  ฟาเรน
                      ฟีเวอร์  ฟรังค์  ฟีฟ่า  ฟิวส์  โฟกัส  ฟร็องซ์  เฟฟ
                      ฟรานซ์  แฟรี่  ฟรองก์  แฟนต้า  โฟม  ฟักแฟง
                      เฟียสต้า  เฟรย่า  ฟาร์ม ฟิวเจอร์  ไฟต์เตอร์
                      ฟินิกส์  เฟิร์สพาส  ฟลายอิ้ง  ฟิลเตอร์  แฟรงค์

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      ชื่อลูก

                      ภูผา  ภูเวียง  ภูพิงค์  ภูเขา  ภีม  ภู่  ภีชชี่  ภันเต

                       

                      ชื่อลูก

                      เม้ย  เมย  ไม้หวาย  โมจิ  มาร์ติน  มาตังค์
                      เมสซี่  เมโลดี้  มาร์วิน  เมจิ  มิวสิค  มีนา  เมเจอร์
                      มิกิ  มาร์กี้  มิรินด้า มันแกว  มะลิ  มิ้งก้า  มาตา
                      มอนติ  มิลินท์  มีรัก  มัดใจ  มีฝัน  เมเจอร์  มานา
                      มาริโอ้  เมอร์เมด มิกเซอร์  มายมิ้นท์  มัฟฟิน
                      มิเกล  มอเตอร์  มะเฟือง  มอลต์ มารีน  มินนี่
                      มิคกี้  มายู  มังกร  มีเดีย  มีคุณ  มีอา เมอา
                      โมน่า เม่ยเม่ย  เมซอน  มะลิ  มีย่า เมญ่า
                      เมอา มานา  มุนี  มันปู แม่ทัพ  มาเฟีย  มัลดีฟ
                      มาแตง  มัสแตง  มิรินด้า  มันแกว  มะเหมี่ยว
                      มินนา มารีอา โมเดล  ไมเนอร์  เมอร์ซี่  โมรัน
                      เมทัล  เมเปิ้ล  มิเกล  มียู  มีญ่า  มิก้า  มาร์เวล

                       

                      ชื่อลูก

                      ยูมิ  ยูทูป  ยูฟ่า  ยีนส์  ยี่หวา  โยปัน  โยฮัน
                      ยิปซี  ยิปโซ  ยอร์ช  ยูจิน  ยินดี  ยูยี่
                      ยาหยี  ยูไบร์ท  ยามะ  ยูโร  โยเกิร์ต  ยูกิ
                      ยูนิต  โยชิ  โยดา

                       

                      ชื่อลูก

                      รถโฟลค์  ร่มโพธิ์  ร่มบุญ  รีวิว  รีวอร์ด
                      ริกเตอร์  รีเบล  เรนจิ  เรย์   ริชา  ระฆัง
                      ร็อกเกต   รีสรอท  ริชชี่  รถดั๊ม  รถเมล์
                      รถบัส  รถดิ๊ฟ  ราฟฟี่  โรบอท เรียวมะ
                      เรนนี่  ราชีฟ  รินดา  ริรัณ  รีอา  เรนโบว์
                      รีรัน  เรดาร์  ริวจิน  รันชู ริซ่า ไรวิน  เรสคิว
                      ราล์ซาน  ร็อกเกต  รันนิ่ง  แร๊บบิท  เรซซิ่ง
                      ริชา เรนจิ  รักกัน

                       

                      ชื่อลูก

                      ลูกหว้า  ลูเทอร์  เล่าปี่  เลนน่อน  ลิซ่า  ลูกอม
                      เล็กซ์ซัส  เลิฟ  ไลลา  ลูกคลื่น  เลโอ  ลาเต้
                      ลูกชิ้น  ลิชชี่  ลูก้า  ลินด้า  เลสเตอร์  ลลิล  เลโก้
                      ลีโอ  ลูฟี่  ลูกหวาย  เลม่อน  โลตัส  ลีอาห์  ลูกปัด

                       

                      ชื่อลูก

                      วินเนอร์  วินนิ่ง  วินโดว์  ไวท์  วั๊นซ์  วาเลน
                      วาฟเฟิล  วีซ่า  วาว่า  วิ๊งค์  วาฟเฟิล  เวสป้า
                      วายุ  เวลา  วีออส วินโดว์  เวกัส เวียนนา
                      เวียงพิงค์ วันเดอร์ วีต้า  วินนี่   วีอาม  เวนิส
                      วุ่นวาย  เว็บไซต์  วินเทอร์  วิมมิ่ง เวฬา  วีด้า
                      วิคเตอร์  วินตัน  วินเซนต์ วาเลน  ไวตามิลค์

                       

                      ชื่อลูก

                      ศีล  ศาสตร์  ศิลา  ศิลป์

                       

                      ชื่อลูก

                      เสือ  สิงห์  แสบ  สิบทิศ  สมายด์   สเกล
                      เสี่ยวซาน  เสี่ยวลู่  สโนวไวท์  สิตางค์
                      สิมิลัน  สายซอ  สเปย์  สปาย  โสนน้อย
                      สิบหมื่น  สโตร์  สายฟ้า  สุดเขต  สตอร์ม
                      สายธาร  สาธุ  แสนดี  สไปร์ท  สโนว์
                      สายป่าน  สิงโต  สนุ๊ก  สายรุ้ง

                       

                      ชื่อลูก

                      เหรียญทอง  หมอก  เหนือเมฆ  หนูดี  หมีพูห์
                      หว่าหวา  เหม่ยหลิง  เหม่ยลี่  หมูแฮม  หมูหยอง
                      เหม่ยหลิน  หนึ่งเดียว  หลิงหลิง  เหม่ยอิง
                      หลินหลิน  หยาหยี  หมูเต๊ะ หมั่นโถว  หมี่ฟ่าน

                       

                      ชื่อลูก

                      อนึ่ง โอโม่  อิเมจ  ออนไลน์  ออสการ์
                      โอโซน อาฟเตอร์ ออแกรนด์ โอเปิ้ล
                      ออเดอร์ อาร์เจ โอชิ ไอจิ ออกแบบ
                      ออเจ้า อัลต้า ออนิค อาร์มี่  ออล์ไบรท์
                      ออนิว ออก้า ออกัส เอิงเอย อิ่มเอม
                      อาเธอร์ อินเตอร์ อันดามัน ออโต้
                      แอลจี อามีน  อัญญ่า อังกฤษ อินชอน
                      อัสลาน เอวา อลิซ  อาน่า  แอลเอ
                      แอนฟิลด์ แอมแปร์ อาร์ก้อน อัลติส อั่งเปา
                      องศา อัลมอนด์ อเกน แอนดริว อัลฟ่า
                      ไอออน โอเพ่น โอเปร่า อองตอง เอเชีย
                      อบอุ่น โอก้า เอลเดอร์ อันนา  อิซาเบลล่า
                      เอลซ่า เอเธนส์  อินอุ่น  เอริ เอแคลร์
                      อาเซีย ไอเดียร์ อเดล โอดิน อิงฟ้า อิงบุญ
                      แอร์พอต  ไอโฟน  อี๋หลิว ไอด้า  อิงแลนด์
                      อาร์ย่า  อาโป ไอคอน อินดี้  ออสก้าร์
                      อาเบะ ไอวี่ อาโมเน่ อาชิ อาทิ เอสเจ อิคคิว
                      เอนจอย  เอเซีย ไอติม โอลีฟ อินโทร ไอดี
                      เอริ เอเดน ไอรีน ไอริส เอลฟ์ เอพริล
                      โอบกอด  อาธิ เอริก้า ออนนิก้า แอร์พอร์ท
                      อะตอม อยิน ไอชา อินจัย โอเชี่ยน เอลล่า
                      เอลลี่  เอเว่น อี้ฟู่ ไอเท็ม เอนเทอร์ อมาเบลล์
                      อ๋อมแอ๋ม เอมมี่ อาบิเกล  ไอจิ  อาร์ค  เอก้อน
                      โอปอลล์  ออสโม้ เอญ่า  อิฐมอญ  อาชิ ไอดอล
                      อองฟองต์  เอลฟี่  เอพริล  อาโนล์  ไอโกะ
                      อิงกิต  ไอดิน  อันปัน  เอ็มดี  ออร์เดร์  โอลีฟ
                      เอ็มเจ  อินเดีย  อั่งเปา  อาฉี  แองจี้  เออร์วิน

                       

                      ชื่อลูก

                      ฮาจิ  เฮงเจีย  เฮนน่า  แฮปปี้  ฮุนได  โฮป  ฮั่น
                      ฮอลล์  ฮาวล์  ฮ่องเต้ ไฮไฟว์  ฮาร์เปอร์
                      ฮาร์ท  ฮอนด้า  ฮิวโก้  ฮาวา  ฮันเตอร์  ฮันนี่
                      ฮีโร่  โฮชิ  ฮาร์ดดิส  ฮันน่าห์  ฮานา  ฮานะ
                      ฮาฟ  ฮิคาริ  ฮุก  ฮารุ  ฮิม

                      อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย

                      แก้ไขใบสูติบัตร ถอนชื่อพ่อออกจากใบเกิด ทำได้ไหม?

                      รวม กระบวนท่ารัก (sex) สำหรับทำลูกสาว-ลูกชาย

                      ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด ชื่อมงคล ครบทุกวัน จ.- อา.

                      ชวนแม่ ตั้งชื่อลูกไทยๆ ตามตัวละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส

                      ไอเดีย! ตั้งชื่อลูก ตามหนัง และการ์ตูนดังกว่า 50 ชื่อ

                       

                      ตั้งชื่อลูก 70 ชื่อพยางค์เดียว เท่ๆ ง่ายๆ ความหมายดี

                       

                       

                        หน้ากากผ้า

                        ทำไมเด็กไม่ควรใส่ “หน้ากากผ้า” เหมือนกันไปโรงเรียน

                        หน้ากากผ้า แบบไหนเด็กควรใส่ไปโรงเรียนดี หลังกระแสวิจารณ์หนักในโลกโซเชียลเมื่อโรงเรียนกำหนด “สีหน้ากาก” ที่เด็กต้องใส่ให้ถูกระเบียบ แพทย์ชี้ ใส่หน้ากากเหมือนกันอาจได้ไม่คุ้มเสีย

                        จากกรณีที่มีผู้ใช้เฟสบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพกระดานแสดงตัวอย่างของหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้าและ Face shield ที่เหมาะกับเครื่องแบบนักเรียน ซึ่งควรเป็น หน้ากากผ้า สีพื้นไม่มีลวดลาย ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในโลกออนไลน์ถึงความเหมาะสมและจุดประสงค์ของการให้เด็กใส่หน้ากากไปโรงเรียน ภายหลังนายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ ได้ชี้แจ้งแล้วว่าทางกระทรวงไม่มีข้อบังคับใดๆเกี่ยวกับหน้ากากเพราะจุดมุ่งหมายหลักของการใส่หน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้าก็เพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19ในกลุ่มเด็กนักเรียน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน ครู อาจารย์ หรือบุคลากรทางการศึกษาสามารถเลือกใส่หน้ากากได้ตามความเหมาะสม

                         

                        แม้จะไม่ใช่ข้อกำหนดที่โรงเรียนต้องทำแต่คุณพ่อคุณแม่หลายคนยังสับสนและไม่แน่ใจว่า ควรซื้อหน้ากากแบบไหนให้ลูกใส่ไปโรงเรียนดี เพจ Doctor กล้วย ได้แสดงทัศนคติถึงประเด็นดังกล่าว และระบุถึงเหตุผลว่า“ทำไมเด็กๆจึงไม่ควรใสส่หน้ากากเหมือนกัน” ว่า

                        เหตุผลที่ ทำไมถึงไม่ควรให้เด็กนักเรียนใส่หน้ากากอนามัยเหมือนกัน และสถานศึกษาไม่ควรออกกฎแบบนั้นเพราะว่า

                        1.เด็กจะแลกเปลี่ยนหน้ากากอนามัยกันโดยไม่รู้ตัว นึกภาพเด็กทั้งโรงเรียนใส่สีเดียวกัน สลับกันบันเทิงเริงใจเลยครับ อันตรายในการส่งต่อเชื้อให้เพื่อนๆมากๆ ข้อนี้สำคัญที่สุดอย่าออกกฎว่าต้องเหมือนกันมันอันตราย

                        2.หน้ากากอนามัยที่มีลวดลายสีสันจะจูงใจให้เด็กๆอยากใส่การใส่หน้ากากอนามัยมันลำบากอยู่แล้ว ให้เด็กๆมีอิสระไดเลือกหน้ากากเอง อย่าคิดว่าความแตกต่างคือความไร้ระเบียบเลย

                        3.สิ้นเปลืองมากเด็กๆจะต้องไปหาซื้อหน้ากากอนามัยตามสีที่กำหนด เราต้องการให้เด็กใส่ ก็อย่าเพิ่มภาระอีกเลย

                        การใส่หน้ากากอนามัยคือการเคารพรับผิดชอบต่อสังคมอยู่แล้ว…สอนเขาเถอะครับ ขอให้เด็กๆใส่ แอดก็ดีใจแล้ว อย่าเอาระเบียบสีไร้สาระมาบังคับเลย หวังว่าสถานศึกษาที่คิดจะออกระเบียบเรื่องนี้เปลี่ยนใจเถอะครับ… ขอแค่เด็กทุกคนใส่หน้ากากอนามัยมาโรงเรียนหมอก็ยิ้มแล้ว

                        เลือก หน้ากากผ้า หน้ากากอนามัยอย่างไรให้เหมาะกับลูก

                        เมื่อเปิดเทอมแล้ว ลูกต้องใส่หน้ากากอนามัยไปโรงเรียนทุกวัน และอาจจำเป็นต้องใส่ “ตลอดทั้งวัน” เพราะเด็กๆมักเล่นกันเป็นกลุ่มและอยู่ใกล้ชิดกันมาก โดยเฉพาะเด็กอนุบาลหรือประถมต้น หากมีใครติดเชื้อจะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว แต่การจะฝึกให้เด็กอดทนใส่หน้ากากได้ทั้งวันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทั้งรู้สึกอึดอัด น่ารำคาญ การเลือกซื้อหน้ากากให้เหมาะกับวัยของลูก จะช่วยให้ลูกใส่หน้ากากได้ง่ายขึ้น

                        แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัยได้ให้คำแนะนำการเลือกใช้หน้ากากและวิธีการสวมใส่ของเด็กแต่ละวัย ดังต่อไปนี้

                        เด็กแรกเกิด – 1 ขวบ ไม่ใครใส่หน้ากากให้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า ระบบทางเดินหายใจของทารกยังไม่แข็งแรงพอ และหายใจทางจมูกเป็นหลัก หายใจทางปากไม่เป็น เมื่อหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปไม่พอ มีโอกาสที่จะเกิดการสะสมของคาร์บอนไดออกไซด์ได้ เป็นอันตรายต่อระบบประสาท ขณะที่การใส่ Faceshield อาจทำให้ขอบพลาสติกบาดใบหน้าและดวงตาได้

                        MUST READ : หมอเตือน! อย่าใส่ Face shield ให้ทารกแรกเกิด เสี่ยงกระทบต่อระบบประสาท

                        เด็กเล็กอายุ 1-2 ขวบ เด็กส่วนใหญ่ยังถอดหน้ากากเองไม่เป็น จึงไม่ควรให้ใส่เป็นเวลานาน และควรอยู่ในการดูแลของผู้ใหญ่อย่างใกล้ชิด เพราะอาจทำให้เด็กขาดอากาศหายใจได้

                        เด็กวัยอนุบาล – ประถมต้น สามารถสวมใส่และถอดหน้ากากเองได้เมื่อรู้สึกอึดอัด ยกเว้นเด็กที่มีร่างกายบกพร่อง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือมีความบกพร่องทางสมอง คุณพ่อคุณแม่ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ

                        ส่วนประเภทของหน้ากากสำหรับเด็ก สามารถใส่ได้ทั้งหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ surgical mask แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ต้องกำชับลูกให้แน่ใจว่าไม่นำมาใส่ซ้ำ  แต่หากใช้หน้ากากผ้าควรเลือกชนิดที่ทำจากผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ไม่จำเป็นต้องใช้หนา 2 -3 ชั้นเพื่อไม่ให้ลูกอึดอัดเกินไป

                        MUST READ : วิธีทำหน้ากากผ้าง่ายๆ ให้ลูก จาก “ผ้ามัสลิน” กันโควิด-19 ดีสุด!

                        นอกจากการใส่หน้ากากแล้ว คุณพ่อคุณแม่และโรงเรียนต้องดูแลความสะอาด และทำตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด- 19 ทั้ง การล้างมือ ทำความสะอาดโต๊ะ ห้องเรียน จำกัดการร่วมกลุ่ม ทำระยะห่างทางสังคม และสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องปลูกฝังและฝึกฝนให้ลูกๆดูแลสุขอนามัยของตัวเองจนเป็นนิสัย เพราะเด็กๆมักหยิบของเล่นตลอดเวลา และไม่อาจใส่หน้ากากตลอดทั้งวัน การล้างมือบ่อยๆจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากการสัมผัสได้มากขึ้น


                        แหล่งข้อมูล www.bangkokbiznews.com  www.komchadluek.net   เพจDoctor กล้วย

                         

                        7 ประเทศดูแลเด็กๆ อย่างไรเมื่อ โรงเรียนเปิดเทอม 2563

                        6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          ลูกไม่ไปโรงเรียน ทำไงดี

                          ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี ? แม่ลองวิธีนี้ช่วยลูกได้ ไม่ต้องบังคับ

                          ลูกเริ่มไป โรงเรียนอนุบาล แล้วช่วงแรก ๆ แฮปปี้ดี อยากไปโรงเรียนทุกวัน แต่ผ่านไปไม่กี่วัน พฤติกรรมลูกเปลี่ยน “งอแง” ร้องลั่นบ้านไม่อยากไปโรงเรียน บ้านไหนเจอสถานการณ์แบบนี้ คุณพ่อคุณแม่ถึงกับกุมขมับ ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี  Amarin Baby & Kids

                          พ่อแม่รู้ไหม บางครั้งลูกอาจเจอสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ไม่รู้ว่าจะจัดการกับปัญหาอย่างไรดี ทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายใจ เช่น ทะเลาะกับเพื่อน หรือถูกเพื่อนแกล้งแล้วไม่รู้วิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมจน ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำยังไงดี สถานการณ์เช่นนี้ “การเล่นสมมติ” เป็นอีกหนึ่งวิธีให้คุณแม่ค้นหาสาเหตุความกังวลของลูก สอนลูกให้รียนรู้ รวมถึงหาวิธีในการจัดการแก้ไขปัญหาของตนเองได้ดีขึ้น

                          ลูกไม่อยากไปโรงเรียน

                          ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี ต้องหาสาเหตุให้เจอก่อน

                          ลูกไม่อยากไปโรงเรียนมักเกิดจากหลายสาเหตุ   เช่น รู้สึกกังวลที่ต้องแยกจากคุณพ่อคุณแม่ (Separation Anxiety) มีปัญหาที่โรงเรียน เช่น ทะเลาะกับเพื่อน ยังไม่ไว้วางใจคุณครู ไม่กล้าบอกความต้องการของตัวเอง ไม่กล้าแสดงออก ทำให้การอยู่โรงเรียนไม่มีความสุข ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ควรถามสาเหตุกับเด็ก แต่ถ้าเขาไม่บอกตรง ๆ “การเล่นบทบาทสมมติ” เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งช่วยให้ลูกเปิดเผยความลับในใจออกมาโดยไม่รู้ตัว เพราะการเล่นเป็นภาษาของเด็ก ๆ ทำให้ลูกรู้สึกสนุก ผ่อนคลาย บรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนไปด้วย ไม่นานลูกจะกล้าพูดคุยถึงปัญหาของตนเองออกมา

                           

                           MUST READ :เข้าใจหัวอกแม่ ลูกไม่ยอมไปโรงเรียน ทำยังไงดี?

                           

                          ชวนลูกเล่นสมมติอย่างไรให้รู้ทำไมลูกไม่อยากไปโรงเรียน

                          • ถึงแม่อยากรู้ใจจะขาดว่า ลูกไม่อยากไปโรงเรียน ทำไงดี แต่การถามตรงๆอาจไม่ได้คำตอบ คุณแม่ชวนลูกมาเล่นสมมติ โดยสร้างสถานการณ์เกี่ยวกับการไปโรงเรียน ผ่านการเล่นใช้ตุ๊กตา หุ่นมือ ของเล่นชิ้นโปรด หรือสมมติว่าตัวลูกและคุณแม่เองกำลังอยู่ที่โรงเรียนก็ได้ เช่น สมมติให้ตุ๊กตาหมีตัวโปรดเป็นนักเรียนที่ไม่อยากไปโรงเรียน ส่วนลูก และตัวคุณพ่อคุณแม่สวมบทบ่ทเป็นเด็กในห้องเดียวกับคุณหมี จากนั้นลองพูดคุยถึงเรื่องราวของคุณหมีที่ไม่อยากมาโรงเรียน เช่น การถามขึ้นมาว่า  “วันนี้คุณหมีไม่มาโรงเรียน เป็นเพราะอะไรกันนะ เราไปคุยกับคุณหมีกันดีไหม”

                           

                          • ในบทสนทนาระหว่างพูดคุย ควรมุ่งไปที่การหาสาเหตุและช่วยกันหาวิธีแก้ไขปัญหา  เช่น  “ถ้าคุณหมีไม่อยากมาโรงเรียนเพราะคิดถึงแม่ คุณหมีจะทำยังไงดีนะ” เราอาจให้ลูกพยายามคิดแก้ปัญหาด้วยตัวเองดูก่อน ถ้าลูกคิดไม่ออก คุณพ่อคุณแม่ช่วยเสนอทางเลือกในการแก้ปัญหาได้ เช่น เวลาคิดถึงคุณแม่ให้ไปหาคุณครูและให้คุณครูช่วยปลอบ หรือชวนคุณหมีไปเล่นของเล่นสนุก ๆ คิดเสียว่าเดี๋ยวไม่นานแม่ก็มารับแล้ว เป็นต้น การะดมสมองช่วยกันคิดหาวิธีแก้ปัญหา จะช่วยให้ลูกมีทางเลือกดี ๆ เพื่อนำไปใช้ได้หลาย ๆ สถานการณ์

                           

                          • เล่นสมมติเพื่อให้ลูกฝึกซ้อมวิธีแก้ปัญหา เช่น “ถ้าเลือกวิธีไปบอกคุณครูให้ช่วยปลอบ จะพูดกับคุณครูว่าอย่างไรดี เราลองมาฝึกซ้อมวิธีการพูดกับคุณครูกันเถอะ” หลังจากได้ลองฝึกซ้อมเช่นนี้ จะช่วยให้ลูกมีความมั่นใจมากขึ้น และพร้อมรับมือกับปัญหาตรงหน้าได้ดีขึ้น รู้สึกว่ามีคนที่เข้าใจและพร้อมที่จะช่วยเหลือ ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างเด็กและคุณพ่อคุณแม่ได้ดี รวมทั้งช่วยพัฒนาอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของลูก

                          เรียนรู้ผ่านการเล่นสมมติ

                          ถ้าลูกมีปัญหากับเพื่อน “เล่นสมมติ” ช่วยแก้ปัญหาได้ 

                          ในบางครั้งลูกอาจมีปัญหาความสัมพันธ์กับเพื่อนแล้วไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ไม่ว่าจะเป็น ลูกไม่มีเพื่อนเล่น ทะเลาะกับเพื่อน  เรามาดูวิธีการเล่นสมมติในสถานการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้กันค่ะ

                          สถานการณ์ที่ 1 : อยากเล่นกับเพื่อน แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

                          • จำลองเหตุการณ์สมมติให้ลูกลองคิดว่า “ถ้าคุณหมีอยากเล่นกับเพื่อนหมีตัวอื่น ๆ ต้องทำอย่างไรดี” จากนั้นคุณพ่อคุณแม่รอให้ลูกค่อยๆคิด และอธิบายความคิดเห็นของตัวเองออกมา ไม่ต้องเร่งรีบ หลังจากลูกคิดออกแล้ว ให้ลองฝึกพูดและฝึกทำ เช่น การเดินเข้าไปหาเพื่อนหมีตัวอื่น ๆ มองหน้าสบตาเพื่อน แล้วพูดเสียงดังฟังชัดว่า “เราขอเล่นด้วยคนนะ”

                           

                          • อย่าลืมฝึกเล่นสมมติในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะโลกนอกบ้านไม่ได้เป็นอย่างใจลูกทุกอย่าง เขาจะเริ่มเรียนรู้ว่าต้องอดทน วิธีการเจรจา หว่านล้อม การแบ่งปัน การแก้ปัญหาระหว่างเด็กด้วยกันเอง  เช่น ถ้าเพื่อนไม่ยอมให้เล่นด้วย ลูกควรแก้ปัญหาอย่างไรดี การฝึกเล่นสมมติเช่นนี้ จะช่วยให้เด็ก ๆ เผื่อใจรับความผิดหวัง และหาทางแก้ปัญหาได้เก่งขึ้น
                          การเล่นกับเพื่อนใหม่ ๆ
                          การเล่นกับเพื่อนใหม่ ๆ

                          สถานการณ์ที่ 2 :ลูกโดนเพื่อนแกล้ง 

                          • ในรั้วโรงเรียนที่ลูกต้องใช้ชีัวิตกับคนอื่น ไม่ใช่แค่คนในครอบครัวเหมือนก่อนเข้าโรงเรียน ก็มีโอกาสที่ลูกจะโดนเพื่อนแกล้ง นอกจากคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเหตพฤติกรรมของลูกแล้ว การเปิดโอกาสให้ลูกได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ช่วยให้เข้าไปแก้ปัญหาอย่างทันท่วงที  แต่การให้ลูกเล่าซ้ำถึงเหตุการณ์เลวร้าย อาจทำร้ายจิตใจได้ การเล่นสมมติให้เป็นสถานการณ์อื่น ใช้ตุ๊กตา หรือตัวการ์ตูนแทนตัวลูก จะทำให้รู้สึกปลอดภัย และกล้าจะเล่าความจริงได้ง่ายกว่า เช่น “คุณหมีควรจะทำอย่างไรดีนะ มาช่วยกันคิดหาทางออกให้คุณหมีกัน”

                           

                          • ระหว่างเล่นสมมติคุณพ่อคุณแม่ควรฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ ฟังด้วยความเข้าใจม่ด่วนชี้นำหรือตัดสินถูกผิด และเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน  แสดงความเชื่อมั่นในตัวเด็กว่าเขาจะสามารถจัดการกับปัญหาได้ในที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญของการเล่นที่ทำให้เด็กมีความสุขและช่วยพัฒนาเด็กได้เป็นอย่างดี แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะรู้สึกไม่สบายใจ และอยากเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้ลูกแค่ไหน แต่การฝึกให้เด็กสามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกเมื่อโตขึ้น อีกทั้งยังปลูกฝังความรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองให้เกิดขึ้นด้วย

                          ประโยชน์จากการเล่นสมมติ

                           MUST READ :ลูกโดนรังแก บ่อยควรสอนให้สู้ไม่ถอย หรือหนีเอาตัวรอดเป็น

                           

                          ข้อดีจากการเล่นสมมติโดยใช้วิธีการดังกล่าว คือ ช่วยพัฒนาอารมณ์ทางบวก เด็กจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่รัก มีความสำคัญ มีคนเข้าใจ ช่วยพัฒนาความคิดและการตัดสินใจ เด็กจะได้ฝึกซ้อมวิธีการแก้ปัญหา ทำให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น และเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถนำการเล่นสมมติมาปรับใช้กับปัญหาในสถานการณ์อื่น ๆ ของเด็กได้ตามความเหมาะสมด้วยนะคะ

                           


                           

                          บทความโดย

                          ฉันทิดา สนิทนราทร เวชมงคลกร นักเล่นบำบัดและนักจิตวิทยาพัฒนาการ โรงพยาบาลมนารมย์

                          จากนิตยสาร Amarin Baby & Kids

                           

                          บทความน่าสนใจเพิ่มเติม

                          ทำไมพ่อแม่ต้อง เล่นสนุกกับลูก ?

                          7 กิจกรรมเล่นกับลูก ได้จินตนาการ เสริมพัฒนาการลูกดีทุกด้าน

                          8 บอร์ดเกมเด็ก ต้องมีติดบ้าน ช่วยเพิ่มทักษะรอบด้านให้ลูก

                           

                           

                            โตโยต้า เปิดตัวรถยอดนิยมระดับโลกฝีมือคนไทย ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ พลังแกร่งเหนือนิยาม และ ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ

                            มร.มิจิโนบุ ซึงาตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายสุรศักดิ์ สุทองวัน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เปิดตัวรถกระบะคุณภาพระดับโลก  โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ และรถอเนกประสงค์สุดหรู โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ เมื่อวันที่  4 มิถุนายน 2563

                            บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เริ่มต้นโครงการ IMV ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Innovative International Multi-purpose Vehicle”  เมื่อปี พ.ศ.2547 โดยเป็นการย้ายฐานการผลิตรถกระบะและรถอเนกประสงค์จากประเทศญี่ปุ่นมายังประเทศไทย เพื่อทำการผลิตและจำหน่ายทั้งภายในประเทศ และส่งออกจำหน่ายในทุกภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าในระยะเวลาอันรวดเร็ว ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงาม ห้องโดยสารกว้างขวาง สมรรถนะเครื่องยนต์อันทรงพลัง ประหยัดน้ำมัน เป็นเยี่ยม ให้ความมั่นใจในทุกสภาพการใช้งาน ทนทาน อัตราการดูแลรักษาต่ำ และรองรับทุกรูปแบบการใช้งานตั้งแต่ กระบะบรรทุกมาตรฐาน – สมาร์ทแค็บ – ดับเบิ้ลแค็บ  รวมไปถึงรถอเนกประสงค์อย่างโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ส่งผลให้รถทั้ง 2 รุ่นดังกล่าวเป็นรถยอดนิยมของคนไทย โดยมีลูกค้าครอบครองเป็นเจ้าของแล้ว รวมทั้งสิ้นกว่า 2.6 ล้านคัน* (*ข้อมูลยอดขายสะสมของโครงการ IMV ตั้งแต่ปี 2547 – พฤษภาคม 2563)

                              มร.มิจิโนบุ ซึงาตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า “ก่อนอื่นเราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทุกท่านที่ได้รับผลกระทบจากโรคเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย และขอส่งกำลังใจให้กับผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงระหว่างรับการรักษาโรคนี้ ด้วยเหตุนี้เราจึงดำเนินโครงการ “โตโยต้าเคียงคู่ไทย สู้ภัยโควิด-19” (Toyota Stay with You) โดยผนึกกำลังร่วมกับกลุ่มผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ และกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนโตโยต้าในการสนับสนุนรถยนต์โตโยต้าจำนวนทั้งสิ้น 280 คัน เพื่อช่วยส่งเสริมให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ตลอดจนภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัยและอุ่นใจในทุกเส้นทาง นอกจากนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้ว่ารถกระบะไฮลักซ์ รีโว่ของเราได้มีส่วนในการช่วยเหลือพี่น้องคนไทยในสถานการณ์ที่ลำบากเช่นนี้

                                    จากการที่พวกเราต้องเผชิญกับสถานการณ์นี้ ในขณะที่โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย มีแผนประกาศเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่เป็นครั้งแรกของโลก ทำให้ตัวผมเองคิดถึงวิธีการที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ของเราออกสู่สาธารณชน และด้วยการที่ผมได้สังเกตเห็นความแข็งแกร่งของประเทศไทยและประชาชนชาวไทย ทำให้ผมนึกถึงคำว่า“THE UNBEATABLE” ในภาษาอังกฤษขึ้นมา ผมมั่นใจว่าประเทศไทยและคนไทยจะสามารถเอาชนะสถานการณ์นี้ไปได้โดยปราศจากความย่อท้อ แม้ว่าจะต้องพบกับอุปสรรคที่ยากลำบากใดๆ ก็ตาม ผมจึงนำคุณลักษณะของ“THE UNBEATABLE” ของคนไทยมาใช้กับการแนะนำรถโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ใหม่ และรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ใหม่ ในการเปิดตัวทั่วโลก

                            สำหรับโตโยต้า ไฮลักซ์ และโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าในประเทศไทย และส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ภายใต้โครงการ IMV ซึ่งมียอดขายสะสมกว่า 2.6 ล้านคัน โดยในปี 2562 โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ และโตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ ยังคงมียอดขายเป็นอันดับ 1 ครองส่วนแบ่งการตลาดรถกระบะ Pure Pick-up 38.3% และส่วนแบ่งการตลาดรถ PPV 43.4%  ส่งผลให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ที่เชื่อมั่นในด้านคุณภาพการผลิตและศักยภาพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยแต่งตั้ง ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า ไดฮัทสุ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นผู้ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ และโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรถยนต์ที่ได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยคนไทย อีกทั้งยังประกอบขึ้นด้วยฝีมือคนไทย และส่งออกไปยังทั่วโลกโดยคนไทย

                            พบกับ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่…พลังแกร่งเหนือนิยาม (THE UNBEATABLE)

                            ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค กล่าวว่า “เราเริ่มพัฒนาโปรเจคนี้ด้วยเป้าหมายที่ต้องการ “สร้างรถที่ดีที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน”  โดยการลงพื้นที่เพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้รถจากทั่วทุกทวีป เพื่อให้ได้ข้อมูลในการออกแบบรถที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ทั่วโลกมากที่สุด ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่เรานำเสนอรถในตระกูลนี้ถึง 5 รุ่น พร้อมกัน ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยฝีมือคนไทยตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยการนำเอาข้อมูลท้ังหมดที่ได้รับจากการลงภาคสนาม นำมาสู่การพัฒนา รถโตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่ ภายใต้แนวคิด TOUGHNESS FOR EVERYONE ที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วโลกได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

                            และพบกับโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่…Wisdom of a Leader

                            พร้อมกันนี้ โตโยต้าได้เปิดตัวรถอเนกประสงค์สุดหรู โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีด้วยยอดขายอันดับ 1 ในตลาด PPV ตลอดมา

                            ดร. จุฬชาติ จงอยู่สุข หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค  กล่าวว่า “อีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ โตโยต้า นั่นก็คือโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ รถยนต์อเนกประสงค์ประเภท PPV ที่มียอดขายสูงสุดในประเทศไทยมาโดยตลอด นับตั้งแต่มีการเปิดตัวในเจเนเรชั่นที่ 2 ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการปรับโฉมอย่างเป็นทางการในรอบ 5 ปี โดยเราได้ออกแบบและพัฒนารูปลักษณ์ให้มีความ “Prestige & Cool” มากยิ่งขึ้น เพื่อสะท้อนตัวตนความเป็นผู้นำของผู้ขับขี่อย่างมีระดับ เน้นความหรูหราและทันสมัย เหมาะกับคนรุ่นใหม่และกลุ่มวัยกลางคนที่ชื่นชอบการเดินทางท่องเที่ยว และใช้งานในชีวิตประจำวัน ในครั้งนี้ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ มาพร้อมกันถึง 2 รุ่น 2 ดีไซน์ โดยมีรุ่นมาตรฐานและรุ่นพิเศษ”

                            โดยโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่ มีเป้าหมายเจาะกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น ด้วยดีไซน์ใหม่และฟังค์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มอายุ ที่มีวิสัยทัศน์ และมองหารถที่สะท้อนตัวตนความเป็นผู้นำ มีองค์ประกอบที่โดดเด่นในทุกมิติ พร้อมลุยไปได้ทุกที่ และสำคัญที่สุดคือ ความคุ้มค่าของรถ จะถูกแนะนำ 2 รุ่นด้วยกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าโตโยต้า

                            พบกับ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ ใหม่…พลังแกร่งเหนือนิยาม และ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ใหม่…สัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ

                            ที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน เป็นต้นไป
                            ทดลองขับได้ที่ Toyota Driving Experience Park (TDEX) บางนา (กม.3)
                            ตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน เป็นต้นไป

                            ติดตามข้อมูลผลิตภัณฑ์และกิจกรรมการตลาดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.toyota.co.th/
                            Facebook: Toyota Motor Thailand , Hilux Revo Thailand
                            LINE ID: @ToyotaThailand

                              Tags

                              Stay Active

                              ฝึกลูกให้ Stay Active ด้วยกิจกรรมสร้างสรรค์ที่บ้าน

                              ใกล้เปิดเทอมแล้ว เด็กๆ ทุกคนต่างตื่นเต้นและเตรียมพร้อม  เพื่อที่จะได้ไปโรงเรียน ได้เจอเพื่อนๆ และคุณครู ฉะนั้นช่วงนี้เพื่อให้เด็กๆ ตื่นตัวพร้อมสำหรับการไปโรงเรียน แนะนำให้คุณแม่หากิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นส่งเสริมร่างกาย ของลูกให้แอคทีฟอยู่ตลอดเวลากันค่ะ

                              ช่วงปิดเทอมที่กำลังจะหมดไปในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ถือเป็นช่วงระยะเวลาของการปิดเทอมที่นาน กว่าปกติ ซึ่งทำให้ลูกคุ้นชินกับการใช้เวลาที่บ้านมากๆ จนอาจทำให้เป็นคนติดบ้าน ติดการได้อยู่นิ่งๆ ใช้เวลาหมดไปกับการดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมที่ไม่ค่อยได้ขยับเคลื่อนไหวร่างกายมากนัก พอถึงเวลาที่ จะต้องกลับไปเรียนในโรงเรียน เด็กๆ อาจจะรู้สึกเนือย ปรับตัวไม่ทัน รู้สึกไม่ค่อยคล่องแคล่ว และกระฉับกระเฉงกันสักเท่าไหร่ แบบนี้คุณแม่ต้องรีบหาตัวช่วยแล้วนะคะ

                              Stay Active

                              Stay Active เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยส่งเสริมให้ลูกๆ ได้สร้างร่างกายแข็งแรง มีการขยับ เคลื่อนไหว ได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งยังช่วยเรื่องการพัฒนาด้านอารมณ์ของเด็กๆ โดยเฉพาะกับเด็กวัย 7-12 ปี คุณแม่จำเป็นอย่างมากที่จะต้องกระตุ้นให้พวกเขาได้ทำกิจกรรมแอคทีฟอยู่อย่างต่อเนื่อง การ Stay Active ให้ประโยชน์กับเด็กในหลายเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น

                              • หลังจากกินกับนอนมาทั้งวัน ก็ได้ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงาน ได้เผาผลาญแคลอรีส่วนเกิน
                              • ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรง
                              • ช่วยทำให้กระดูก และกล้ามเนื้อแข็งแรง
                              • สร้างความแข็งแกร่ง และอดทน
                              • ช่วยลดความเครียด มีความสุข และช่วยให้มีสมาธิ
                              • ช่วยให้ลูกนอนหลับได้ดี
                              • ร่างกาย จิตใจ สมอง สื่อประสานร่วมกันได้ดี
                              • ช่วยให้เลือด และออกซิเจนในร่างกายไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงสมอง และอวัยวะต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น

                              Stay Active

                              เห็นประโยชน์ของการส่งเสริมให้ลูก Stay Active กันแบบนี้แล้ว คุณแม่ควรเตรียมลูกให้พร้อมทั้งร่างกาย  จิตใจ และอารมณ์ ด้วยกิจกรรมสนุกๆ ให้ลูกเล่นได้จากที่บ้านกันนะคะ

                              ส่วนถ้าคุณแม่คนไหนยังไม่มีไอเดียที่จะหากิจกรรมมาให้ลูกๆได้เตรียมพร้อม ก็ลองเข้าไปดูกิจกรรมสนุกๆ ที่จะเปลี่ยนพื้นที่ในบ้านให้เป็นลานกิจกรรม ช่วยกระตุ้นให้ลูกได้แอคทีฟ ขยับ เคลื่อนไหวร่างกายกันอย่างอิสระเต็มที่ที่เพจ MILO THAILAND ซึ่งในระหว่างนี้ ไมโล ก็แนะนำกิจกรรมที่คุณแม่สามารถประยุกต์เอาข้าวของเครื่องใช้ในบ้านมาดัดแปลงเป็นทำเป็นอุปกรณ์กีฬาเล่นกับลูกได้ และเป็นไอเดียให้คุณแม่ได้ชวนลูกออกกำลังที่บ้านกันอย่างสนุกสร้างสรรค์ เรียกว่าไม่มีเบื่อ แถมยังได้ใช้เวลาที่ดีกับครอบครัวอีกด้วย

                              กิจกรรมแอคทีฟสร้างสรรค์จากไมโล ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณแม่ทำ  “ลานกิจกรรมในบ้าน” เล่นกับลูก ซึ่งไมโลจะมีกิจกรรมกีฬาสนุกๆ ออกมาสัปดาห์ละ 2 กิจกรรม ทุกวันอังคารและวันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) ทั้งหมดรวมแล้ว 10 กิจกรรม แล้วที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ คุณแม่ยังสามารถมาร่วมสนุกกับ

                              ภารกิจชิงรางวัล “แอคทีฟที่บ้านกับไมโล” ตลอดเดือนพฤษภาคม – มิถุนายนนี้ค่ะ คุณแม่เข้าไปติดตามดูรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ กันได้ที่หน้าเพจ FB MILO Thailand นะคะ

                                ไวรัสอีโบลา

                                WHO เตือน ไวรัสอีโบลา ระบาดซ้ำ โรคร้ายต่างแดนแม่ต้องระวัง

                                โควิดไม่ทันซา “ ไวรัสอีโบลา ” ผู้ร้ายหน้าเดิม ที่เคยมีผู้ติดเชื้อแล้วหลายพันคน ย้อนกลับมาระบาดซ้ำ ครั้งที่ 11!  WHO สั่งจับตาเป็นพิเศษ หลังผู้ติดเชื้อเสี่ยงเสียชีวิตสูงถึง 80-90 % แม้จะไม่เคยพบผู้ติดเชื้อในไทย แต่แม่อย่างเราประมาทไม่ได้ เพราะเชื้อติดต่อง่ายจากคนสู่คน

                                “นี่เป็นเครื่องเตือนใจว่า โควิด-19ไม่ได้เป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพเพียงอย่างเดียวที่ผู้คนต้องเผชิญ”

                                ข้อความจากนายเทดรอส อะดานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกเผยแพร่ในทวิตเตอร์  ตอกย้ำถึงสถานการณ์การระบาดของ ไวรัสอีโบลา ในคองโกประเทศแถบแอฟริกาซึ่งกลับมาเป็นระลอกที่ 11 หลังถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2519 โดยกระทรวงสาธารณสุขคองโก ได้ตรวจพบผู้ป่วยแล้ว 6 ราย และ4 รายเสียชีวิตแล้ว ขณะที่ยังมู้เข้าเกณฑ์เฝ้าระวังและรอผลยืนยันจากห้องปฏิบัติการอีก 3 คน ทั้งนี้มีแนวโน้มว่าจะพบผู้ป่วยจำนวนมาก จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขจับตาอย่างใกล้ชิด และเฝ้าระวังการร่วมกลุ่มของผู้คนจำนวนมากเพิ่มขึ้นด้วย

                                ทำไม ไวรัสอีโบลา ถึงอันตราย

                                เชื้อโรคชนิดนี้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับ “โรคไข้เลือดออก”จากเชื้ออีโบลาและเป็นโรคติดต่อรุนแรง หากได้รับเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตในเวลาอันสั้นสูงถึง 80-90   % จากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด พบการระบาดมากในประเทศแถบแอฟริกา ปัจจุบันพบแล้ว 5 สายพันธุ์ได้แก่

                                อีโบลา-ซาร์อี (Ebola-Zaire)

                                อีโบลา-ซูดาน (Ebola-Sudan)

                                อีโบลา-โกตดิวัวร์ (Ebola-Côte d’Ivoire)

                                อีโบลา-เรสตัน (Ebola-Reston) และ อีโบลา-บันดิบูเกียว (Ebola-Bundibugyo)

                                และยังมีสายพันธุ์ อีโบลา-เรสตัน ที่เชื้อไม่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยในมนุษย์

                                ความน่ากลัวของโรคไม่ใช่เฉพาะเชื้อโรคที่รุนแรงเท่านั้น แต่สามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วจากคนสู่คน โดยผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งจากร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย เลือด เหงื่อ ปัสสาวะ หรืออสุจิ คล้ายคลึงกับเชื้อโควิด-19 แต่จะไม่แพร่ระบาดทาง ”ละอองฝอย” ดังนั้นการสัมผัสสิ่งของร่วมกันในที่สาธารณะหรือในครอบครัว เช่น ลิฟต์ ราวบันได ลูกบิดประตู จานช้อน ก็สามารถติดเชื้อได้ทันที

                                นอกจากนี้ยังพบข้อมูลว่า พาหะของโรคอาจเป็น “ค้างคาวผลไม้” ซึ่งเป็นสัตว์ที่ชาวแอฟริกานิยมทำเป็นอาหาร การกินค้างคาวก็อาจติดเชื้อได้เช่นกัน ทางองค์การอนามัยโลกได้ประกาศเตือนผู้คนในพื้นที่เสี่ยงงดล่าและนำค้างคาวมาทำอาหารแล้ว

                                ติดเชื้อ ไวรัสอีโบลา มีอาการแบบนี้

                                หลังการค้นพบครั้งแรกในประเทศคองโกเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีวัคซีน หรือยารักษาโรคโดยเฉพาะ หากติดเชื้อก็ทำได้เพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น นอกจากนี้อาการเบื้องต้นของโรคที่มีลักษณะเป็นผื่นและตาแดง คล้ายคลึงกับโรคชนิดอื่น ทำให้การวินิจฉัยโรคไม่แม่นยำ ล่าช้า ซึ่งเป็นปัจจัยให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

                                ผู้ป่วยส่วนมากจะแสดงอาการหลังรับเชื้อแล้ว  8 – 10 วัน โดยจะมีไข้ ปวดหัว อ่อนเพลีย ท้องเสีย อาเจียน ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อและข้อ อาจทำให้เกิดอาการเลือดออกในอวัยวะภายในหรือนอกร่างกาย อาการเด่นของโรคที่สังเกตได้ชัดเจนคือ มีเลือดออกที่ตา จมูก หู และปาก ต่อมาจะทำให้หายใจติดขัด เจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก เจ็บหน้าอก ตาแดง ไอ สะอึก และมีผื่น เป็นต้น

                                ยังไม่เคยพบเชื้อในประเทศไทย แต่ระวังไว้ดีที่สุด

                                แม้ที่ผ่านมาจะยังไม่เคยพบผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบลา ในบ้านเรา แต่มีการประเมินความเสี่ยงไว้ว่าเชื้ออาจแพร่เข้าสู่ประเทศไทย จากพาหะอย่าง สัตว์ป่าจากแอฟริกา และลิงชิมแปนซี  จุดกระจายโรคมากที่สุดน่าจะเป็น “นักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศระบาด”

                                หากพบว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยง เดินทางกลับจากประเทศแถบแอฟริกา มีไข้สูงทันที อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และเจ็บคอ ควรรีบพบแพทย์และให้ประวัติวการเดินทางระหว่างช่วง 21 วันก่อนเกิดอาการอย่างละเอียด เพื่อแพทย์จะให้การรักษาที่ถูกต้องได้รวดเร็วที่สุด นอกจากนี้ประชาชนที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย เช่นอาชีพที่ต้องพบเจอกับนักท่องเที่ยวบ่อยๆ ก็ต้องเพิ่มการระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นกัน แม่ศึกษาข้อมูลเหล่านี้ไว้เพื่อปกป้องตัวเอง และคนในครอบครัวห่างไกลจากโรค เพราะทุกวันนี้ โรคภัยต่างๆมีความรุนแรงมากขึ้นและอาจเกิดเป็นสถานการณ์ระบาดขนาดใหญ่เช่นเดียวกับเชื้อโควิด-19 ได้ตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องสุขอนามัย กินอาหารมีประโยชน์ และออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันที่ป้องกันภัยจากโรคต่างๆได้ดีที่สุด


                                แหล่งข้อมูล    www.siphhospital.com  news.thaipbs.or.th  vibhavadi.com

                                 

                                บทความน่าสนใจอื่นๆ 

                                 

                                6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

                                 

                                พ่อแม่ต้องรู้! 10 ความแตกต่าง อาการไข้เลือดออก vs อาการโควิด 19

                                เซฟไว้ดูเลย! ตารางวัคซีน 2563 อัปเดตจากสมาคมโรคติดเชื้อฯ ปีนี้ลูกต้องฉีดอะไรบ้าง?

                                  ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

                                  แม่แชร์เทคนิคจากหมอญี่ปุ่น! 5 วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

                                  แม่แชร์วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก จากคุณหมอญี่ปุ่น! กินมื้อดึกมีผลเสียอะไรบ้าง และหากอยากให้ลูกเลิกนมมื้อดึก ก่อนลูกโตต้องทำอย่างไร ตามมาดูเทคนิคดีจากคุณแม่ท่านนี้กันเลยค่ะ

                                  แม่แชร์เทคนิคจากหมอญี่ปุ่น วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

                                  เด็กๆ กับนม เป็นของคู่กันตั้งแต่เกิดจนอายุ 1-2 ปี และควรได้รับนมแม่เป็นดีที่สุด แต่ถ้าไม่ได้กินนมแม่ก็ต้องกินนมผสมจากขวด และเมื่อลูกโตขึ้นก็ควรดื่มนมจากแก้วหรือกล่อง เพื่อให้เหมาะสมกับพัฒนาการ ทั้งนี้การกินนมจากขวด เด็กๆ มักติดใจ เพราะน้ำนมไหลเร็วดี และมีความสุขกับการได้ดูด ซึ่งนั่นจึงนำไปสู่ปัญหาลูกกินแต่นมไม่ยอมกินข้าว หรือกินแต่นมจนเป็นโรคอ้วนและติดนมมื้อดึกจนทำให้ฟันผุ

                                  นมมื้อดึกจำเป็นแค่ไหน ทำไมต้องเลิกมื้อดึก

                                  โดยธรรมชาติลูกวัย 2-3 เดือนแรก จะตื่นบ่อย กินบ่อย เพราะยังมีการปรับตัววงจรการนอนที่ไม่แน่นอน ความจุของกระเพาะอาหารยังเล็กจึงหิวบ่อย แต่เมื่อโตขึ้นวงจรการนอนจะเหมือนผู้ใหญ่ เริ่มนอนได้นานขึ้น กระเพาะอาหารก็โตขึ้น

                                  ซึ่งลูกวัย 6 เดือน จะสามารถนอนกลางคืนได้นาน 6-8 ชั่วโมง โดยไม่หิว และสำหรับเด็กที่กินนมผสม มักนอนกลางคืนนาน 4-6 ชั่วโมง โดยไม่ตื่นมากินนมมื้อดึกเมื่ออายุ 4 เดือน ในขณะที่ทารกที่กินนมแม่มักเลิกได้เมื่ออายุประมาณ 5 เดือนหากลูกได้รับการฝึกฝน ฝึกลูกเลิกมื้อดึก ที่เหมาะสม ก็จะเลิกนมมื้อดึกได้เมื่ออายุประมาณ 6 เดือน

                                  ดังนั้น ทาง ทีมแม่ ABK จึงมีแนวทางวิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก มาฝาก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจจาก “คุณแม่ริ” คุณแม่คนไทยที่ไปอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น มีลูกน้อยสุดน่ารัก ชื่อ “น้องซาริ” ในวัย 1 ขวบ … โดยคุณแม่ได้ปรึกษาคุณหมอเด็กของญี่ปุ่น และนำคำแนะนำที่ได้จากคุณหมอ มาใช้กับน้องซาริ ซึ่งก็ได้ผลดี คุณแม่ริจึงนำมาแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกัน

                                  Must read >> แม่แชร์ 11 วิธีรับมือ “ลูกชอบร้องงอแง” เทคนิคดีจากหมอญี่ปุ่น!

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                  ทั้งนี้สำหรับ วิธี ฝึกลูกเลิกมื้อดึก ที่หมอไทยแนะนำ ก็ตรงคำแนะนำของคุณหมอญี่ปุ่น ที่ให้คุณพ่อคุณแม่เริ่มฝึกลูกงดนมมื้อดึกเมื่ออายุ 6 เดือนขึ้นไป นั่นก็เพราะจะทำให้ลูกได้นอนยาว นอนเต็มที่ โกรทฮอร์โมนหลั่งเต็มประสิทธิภาพ แถมทั้งพ่อและแม่ก็ได้พักผ่อนแบบเต็มที่อีกด้วย

                                  ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

                                  กินมื้อดึกมีผลเสียอะไรบ้าง?

                                  1. ลูกจะเคยชิน น้ำย่อยจะหลั่งในเวลาเดิมตลอด น้ำย่อยที่หลั่งในเวลานอนถือว่าไม่ถูกสุขลักษณะเอามากๆ
                                  2. ลูกกินกลางคืน บางครั้งจะทำให้อิ่มยาวจนถึงเช้า และจะทำให้กินกลางวันได้น้อยลง พอกลางวันกินได้น้อย กลางคืนก็กลับมาหิวอีก วนๆ อยู่แบบนี้
                                  3. พอลูกกินยาก ไม่กินอาหารหลัก พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายก็เริ่มกังวล เครียด ก็เลยเอาอย่างอื่นให้ลูกกินแทน ขนม หรืออาหารอื่นๆที่อาจไม่มีประโยชน์ เพราะคิดว่า กินไปเถอะ ดีกว่าไม่กินอะไร แบบนี้ก็ลามไปปัญหาอื่นๆ อีก
                                  4. อีกเรื่องคือ พอลูกตื่นมากินกลางคืน ทำให้ไม่ได้นอนยาว โกรทฮอร์โมน หรือ ฮอร์โมนเทพ ที่มีประโยชน์ต่อสมองและการเติบโตของลูกไม่มีโอกาสหลั่ง ทำให้ลูกไม่สูง หรือด้านความเจริญเติบโตอื่นๆที่ลูกควรได้รับเต็มที่กว่านี้ เช่น ลูกควรจะเติบโตได้แบบ 100% พอขาดฮอร์โมนนี้ การเติบโตของลูกก็ลดเหลือสัก 50 หรือ 60 %
                                  5. แน่นอน ในเด็กบางคนทำให้มีปัญหาเรื่องฟันผุ เด็กที่ฟันผุ จะมีปัญหาตามมาอีกหลายเรื่อง

                                  5 เทคนิค ฝึกลูกเลิกมื้อดึก

                                  #ทีนี้มาดูเทคนิค จะทำยังไงเพื่อให้ลูกเลิกมื้อดึกได้

                                  1. เพิ่มปริมาณนม และเพิ่มความห่างของชั่วโมงการให้นมขึ้นอีก เช่น เคยให้ 4 oz ทุก 4 ชั่วโมง >> ก็เปลี่ยนเป็น เพิ่มเป็น 6 oz ทุก 6 ชั่วโมง จะเพิ่มกี่ oz หรือให้กินทุกกี่ ชั่วโมง ก็ขึ้นอยู่ที่ตัวของคุณแม่เลยค่ะ
                                  2. ลดมื้อดึกลงทีละนิด อาจจะทีละ 1 oz ทุก 4 – 5 วัน, ถ้าเป็นนมแม่ ให้กะเวลาให้ลูกเลิกดูดเร็วขึ้นทีละนิดเหมือนกันค่ะ
                                  3. ถ้าลูกตื่น ไม่ต้องรีบให้นมลูก อาจรอสัก 5 หรือ 10 นาที ค่อยให้นมค่ะ บางครั้งลูกตื่นมาไม่ได้หิว แต่ตื่นเพราะความเคยชินหรืออื่นๆ ลองกล่อมด้วยการตบตูดเบาๆ ในเด็กบางคนจะนอนหลับต่อไปได้ค่ะ
                                  4. แต่ถ้าทำทุกแบบข้างต้นแล้ว ยังไม่เห็นผล ให้คุณแม่ใช้วิธีแบบหักดิบเลยค่ะ แบบนี้จะโหดนิดนึง แต่ได้ผลไว คือลูกตื่นมาร้องกินนม ก็ยังไม่ต้องให้ค่ะ >> ปล่อยให้เค้าตื่นหรือร้องไป เดี๋ยวเค้าจะหลับไปเอง แบบนี้สัก 2 – 3 คืน ลูกจะไม่ตื่นมาร้องกินนมแล้ว เพราะเค้ารู้ว่าถึงตื่น หรือร้อง ยังไงแม่ก็ไม่ให้กิน งั้นนอนยาวเลยละกัน
                                  5. การฝึกลูกงดนม ต้องใช้ความอดทนและความสม่ำเสมอ แรกๆอาจจะเจอความงอแงของลูกมากหน่อย แต่ผ่านไปสักพักลูกเค้าจะค่อยๆปรับตัวได้ค่ะ

                                  ****************

                                  ทั้งนี้การที่ลูกตื่นกลางดึก ไม่ใช่เพราะหิวเสมอไป อาจมีสาเหตุอื่น เล่น ลูกรู้สึกไม่สบายตัว ฉี่เต็มผ้าอ้อม หรือสาเหตุอื่นๆ ก็เป็นได้ สิ่งสำคัญของการ ฝึกลูกเลิกมื้อดึก คือ พยายามอย่าให้ลูกกินนมทุกครั้งที่ตื่น ให้หาสาเหตุอื่นๆ ดูก่อน

                                   

                                  สุดท้ายนี้ ทีมแม่ ABK ขอฝากไว้ว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องตั้งใจและใจแข็ง ฝึกให้เด็กดูดนมมื้อดึกโดยค่อยๆ ทำ หรืออาจเสริมด้วยการเล่านิทานเรื่องเกี่ยวกับการเลิกขวดนม และอย่าลืมชมเชยลูกด้วยถ้าเขาเริ่มเลิกขวดนมได้บ้างแล้ว เพราะหาก ฝึกลูกเลิกมื้อดึก ได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือน ก็จะถือเป็นบันไดขั้นต้นที่ช่วยให้ลูกเลิกขวดนมได้ง่ายขึ้นเมื่ออายุหลัง 1 ปี  สิ่งสำคัญคือ การที่ปล่อยให้ลูกนอนหลับอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้ฮอร์โมนที่ช่วยการเจริญเติบโตหลั่งได้ดี นอกจากนี้สารเคมีที่ช่วยการพัฒนาสมองจะทำงานได้ดี เกิดผลดีต่อการเจริญเติบโต และพัฒนาการของลูกน้อยอีกด้วย


                                  ขอบคุณข้อมูลจากคุณแม่ริ เฟซบุ๊ก : ริริ จัง

                                  อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

                                  เลิกนมมื้อดึก และฝึกหลับยาว สำหรับลูกน้อยวัยเด็กเล็ก

                                  เลิกเต้า …. อย่าเพิ่งเฉานะจ๊ะลูกจ๋า

                                  ฝึกลูกน้อยวัยขวบเลิกผ้าอ้อมสำเร็จรูป

                                  ลูก”ติดจุกหลอก” อยากให้เลิกแต่ไม่รู้ทำอย่างไร คลิก!

                                    ลูกหวงของ

                                    ลูกหวงของ สอนลูกให้รู้จักแบ่งปัน ด้วยวินัยเชิงบวก

                                    คุณพ่อคุณแม่กำลังประสบปัญหา ลูกหวงของ อยู่ใช่ไหมคะ! แล้วคุณพ่อคุณแม่ต้องคอยพูดประโยคเหล่านี้อยู่บ่อยครั้งในยามที่ต้องการให้ลูกรู้จักแบ่งปันของเล่นหรือของกินให้กับเพื่อน ๆ บ้างหรือไม่?

                                    “แบ่งเพื่อนเล่นบ้างสิลูก”

                                    “หยิบให้พี่เขาชิ้นหนึ่ง”

                                    “ไม่หวงของนะลูก  แบ่งให้เพื่อนเล่นบ้างเดี๋ยวนี้”

                                    “ไม่แบ่งงั้นไม่ต้องเล่น เก็บของเล่นเลยแล้วกัน” 

                                     

                                    เด็กกับของเล่น

                                    แน่นอนว่า “การเล่นมีความสำคัญต่อเด็กอย่างมาก  เพราะนอกจากจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการ การเรียนรู้ และทักษะความสามารถในทุกด้านแล้ว ยังนำมาซึ่งความสุข ความสนุกสนาน ความผ่อนคลาย  และความผูกพันอีกด้วย แต่หลายครั้ง “การเล่น” ก็นำมาซึ่งความขัดแย้ง การทะเลาะเบาะแว้ง การถูกต่อว่า  และอาจลงเอยด้วยความไม่เข้าใจ น้ำตา และความเสียใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาที่ดูจะหลีกเลี่ยงเสียไม่ได้ นั่นก็คือ ปัญหาการ ลูกหวงของ นั่นเอง 

                                    ลูกหวงของ

                                    ที่จริงแล้ว ลูกชอบแบ่งปันนะ

                                    อันที่จริงแล้ว คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะ ว่าเด็ก ๆ นั้นชอบแบ่งปันมากกว่าหวงของ และลูกของเราก็แบ่งของเป็นเหมือนกัน ลองสังเกตดูได้ว่าลูกน้อยชอบมากที่จะส่งของให้เราถือ บางทีนั่งอยู่เฉยๆ ก็ชอบแบ่งของเล่นมาให้เราโดยที่เราไม่ต้องบอก นั่นก็เป็นเพราะว่าเวลาที่เด็กอารมณ์ดี เขาจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในสังคมและรู้สึกปลอดภัย เด็ก ๆ ก็จะมีความรู้สึกอยากให้ผู้อื่น และแบ่งของได้ง่ายขึ้นนั่นเอง แต่เมื่อไรที่เขารู้สึกกลัว รู้สึกไม่มั่นคงปลอดภัยขึ้นมา เมื่อนั้นการแบ่งของก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และยากลำบากมากสำหรับเด็ก ๆ ขึ้นมาทันที  

                                     

                                    โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกลัวว่าให้ไปแล้วจะไม่ได้คืน หรือความกลัวว่าให้ไปแล้วจะหมดแล้วอดกิน 

                                     

                                    ยิ่งขู่ บังคับให้แบ่ง ลูกยิ่งหวงของ

                                    และยิ่งถ้าเราไปบอก สั่ง หรือขู่บังคับให้ลูกแบ่งของตอนที่เขารู้สึกกลัวด้วยแล้ว ก็ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมลูกถึงยิ่งหวง ยิ่งไม่อยากแบ่ง และรู้สึกไม่ดีกับการแบ่งของ ดังนั้นหัวใจหลักของการแก้ปัญหา ลูกหวงของ และการสอนให้ลูกรู้จักแบ่งของก็คือ การช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัย และมั่นใจได้ว่า ถึงแม้ว่าเขาจะแบ่งของไป เขาก็จะยังได้สิ่งที่เขาต้องการอยู่ ซึ่งเทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวกที่นำมาแนะนำคือ การให้ทางเลือก และให้ลูกตัดสินใจด้วยตัวเอง

                                    ยิ่งขู่ ยิ่งบังคับ ลูกยิ่งหวง
                                    ยิ่งขู่ ยิ่งบังคับ ลูกยิ่งหวงของ

                                     

                                    อ่านเพิ่ม >> How to สอนลูกให้มีระเบียบวินัย ต้องไม่ตี ไม่ขู่ ไม่เกิดผลเสียในระยะยาว

                                     

                                    เคล็ดลับอยู่ตรงที่ว่า ทางเลือกที่ให้ต้องเป็นทางเลือกที่ไปถึงเป้าหมาย และเมื่อลูกเลือกแล้วเรายอมรับได้ เช่น แทนการบอกให้ลูกแบ่ง ลองถามลูกว่า 

                                    “หนูจะแบ่งของเล่นรถสีแดงหรือรถสีน้ำเงินให้เพื่อน” 

                                    “หนูจะให้เพื่อนเล่น 5 นาที หรือ  10 นาที แล้วเอาคืนหนู” 

                                    “หนูจะแบ่งให้พี่ 4 หรือ 5 ชิ้น” 

                                     

                                    จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าลูกเลือกทางไหน สีแดงหรือสีน้ำเงิน, 5 หรือ 10 นาที, 4 หรือ 5 ชิ้น หากเรายอมรับได้ เราก็จะสอนลูกให้ไปถึงเป้าหมาย นั่นก็คือ “ลูกได้แบ่งปัน” และที่สำคัญคือ เมื่อลูกได้แบ่งปันแล้ว การชม การแสดงความภูมิใจและชื่นใจในตัวลูกที่แบ่งปันได้ ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ลูกมีแรงที่อยากจะแบ่งอีก 

                                    สอนลูกให้รู้จักแบ่งปัน
                                    สอนลูกให้รู้จักแบ่งปัน

                                     

                                    การให้ทางเลือกและให้ลูกเป็นคนตัดสินใจที่จะทำให้ไร้ผล คือ การให้ทางเลือกที่ไปไม่ถึงเป้าหมาย เช่น 

                                    “จะแบ่งหรือไม่แบ่ง” 

                                    “จะแบ่งหรือกลับบ้าน” 

                                    “จะแบ่งหรือจะกินคนเดียว” 

                                     

                                    การสอนที่ไม่บรรลุเป้าหมาย

                                    หากลูกเลือกที่จะไม่แบ่ง เลือกกลับบ้าน หรือเลือกกินคนเดียว การสอนของเราก็จะไม่บรรลุเป้าหมาย เพราะเขาจะไม่ได้แบ่งปันให้ใคร และทางเลือกนั้นก็เป็นทางเลือกที่เรายอมรับไม่ได้ ก็จะทำให้การสอนของเราไม่สำเร็จเช่นกัน เช่น “หนูจะให้เพื่อนเล่น 5 นาที หรือ 10 นาที แล้วเอาคืนหนู” แต่พอลูกเลือก 10 นาที แล้วพ่อแม่ยอมรับไม่ได้ บอกว่าเอาแค่ 5 นาทีพอ เป็นต้น 

                                    หลักการให้ทางเลือกและให้ลูกตัดสินใจ นอกจากจะเป็นการให้ข้อมูลทีทำให้ลูกมั่นใจได้ว่าเขาจะได้ของคืน ยังทำให้ลูกรู้สึกมั่นคงปลอดภัยด้วย เพราะเขาได้ตัดสินใจด้วยตัวเอง และเมื่อลูกมีโอกาสได้ลิ้มรสความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับจากการแบ่งปันด้วยแล้ว ความรู้สึกอยากแบ่งปันก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอีกต่อไป 

                                     

                                    ลูกหวงของ เป็นเรื่องธรรมชาติ

                                    เด็กกับการหวงของเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะของของใคร ใครก็ห่วง ซึ่งการจะทำให้ลูกก้าวผ่านความกลัวจนกลายเป็นเด็กที่รู้จักแบ่งปันนั้นไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องของเราที่จะต้องสอนและฝึกฝนลูกด้วยความเข้าใจจึงจะสำเร็จตามเป้าหมาย…หรือไม่จริง 

                                     

                                    ขอบคุณบทความจากนิตยสาร Amarin Baby & Kids
                                    โดย ผศ. ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์

                                    สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

                                    ทำความสะอาดของเล่น ลูกน้อยปลอดภัยจากเชื้อโรค

                                    ทำไมพ่อแม่ต้อง เล่นสนุกกับลูก ?