Page 90 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

กรมควบคุมโรคเปิดสถิติ 4 โรคมาแรง มาแน่ โรคปี 65 นอกจากโควิด

คุณแม่ต้องระวัง!! กรมควบคุมโรคเปิดเผยว่าในปี 2565 นี้ มี 4 โรคที่แนวโน้มผู้ป่วยมีจำนวนมากขึ้น แล้ว 4 โรคปี 65 นี้ มีอะไรบ้าง ทีมแม่ ABK สรุปมาให้แล้วค่ะ

กรมควบคุมโรคเปิดสถิติ 4 โรคมาแรง มาแน่โรคปี 65 นอกจากโควิด

จากการแถลงของกรมควบคุมโรค เกี่ยวกับการพยากรณ์โรคภัยไข้เจ็บ ภัยสุขภาพ ภัยจากโรคติดต่อประจำปี 2565 ว่าในปี 2565 นี้ ภัยคุกคามจากการระบาดของโรคโควิด – 19 ยังมีอยู่ แต่คาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะลดลง หากไม่มีสายพันธุ์อื่นเพิ่มเติม สาเหตุจากคนไทยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามเป้าหมาย ขณะนี้ฉีดไปได้ประมาณ ร้อยละ 20 หากทำได้จะสามารถควบคุมสถานการณ์การติดเชื้อรายใหม่ได้ แต่ต้องไม่มีการกลายพันธุ์เพิ่มเติม หากมีการกลายพันธุ์หรือเหตุการณ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น ก็จะมีการพยากรณ์โรคขึ้น

โรคปี 65
กรมควบคุมโรคเปิดเผยว่าในปี 2565 นี้ มี 4 โรคที่แนวโน้มผู้ป่วยมีจำนวนมากขึ้น

 

4 โรคมาแรง โรคปี 65 ที่คุณแม่ต้องระวัง

นอกจากโควิด -19 แล้วยังมีภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ และภัยสุขภาพอื่น ๆ ที่คุกคามคนไทย ที่ควรระมัดระวัง 4 โรคในปี 65 ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคไข้เลือดออก อุบัติเหตุทางถนน และ ตกน้ำจมน้ำ ดังนี้

1. โรคไข้หวัดใหญ่

ปี 2565 นี้ คาดว่าจะมีผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า รวมเป็น 22,817 ราย ในช่วงฤดูฝน หรือ ช่วงปลายฝนต้นหนาว แต่การสวมหน้ากากอนามัย นอกจากป้องกันโควิดแล้ว ยังป้องกันไข้หวัดธรรมดา และไข้หวัดใหญ่ได้ด้วย ซึ่งช่วงต้นปีนี้ การสวมหน้ากากอนามัยยังเข้มงวดดีอยู่ แต่ในช่วงปลายปี หากการสวมหน้ากากอนามัยลดลง การระบาดของไข้หวัดใหญ่ก็อาจเพิ่มขึ้นได้

2. โรคไข้เลือดออก

ในปี 2565 นี้ โรคไข้เลือดออกจะระบาดเพิ่มขึ้น และจะมีผู้ป่วยประมาณ 85,000 ราย โดยปกติแล้ว ไข้เลือดออกจะระบาดปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี ซึ่งตอนนี้ถึงวงจรต้องระบาดรอบใหม่ เนื่องจากภูมิคุ้มกันของคนไทย 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อน้อย ภูมิคุ้มกันจึงน้อย บวกกับกิจกรรมทางสังคมจะเพิ่มขึ้นด้วย โดยจำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มสูงในเดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2565 และจะพบผู้ป่วยมากที่สุด ในเดือนกรกฎาคม จำนวน 13,769 ราย

ตอนนี้เริ่มมีการรณรงค์ป้องกันไข้เลือดออกขึ้นแล้ว เพราะมีรายงานผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออกรายแรกของไทยในปี 2565 แล้ว ซึ่งเป็นผู้ใหญ่

 

 

 

โรคปี 65
ไข้เลือดออก เป็นอีก 1 โรคที่มาแรงแน่ในปี 65
 
3. อุบัติเหตุทางถนน
ในปี 2564 มีจำนวนผู้เสียชีวิต จากอุบัติเหตุทางถนนค่อนข้างน้อย เนื่องจากการที่เราต้องอยู่ที่บ้านมากขึ้น ไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่ปี 2565 คาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะมากขึ้น โดยอยู่ที่ 1.7 หมื่น –  2 หมื่นราย หรือมากกว่านั้น ดังนั้น มาตรการการรณรงค์ การบังคับใช้กฎหมาย การร่วมมือกันปฏิบัติตามวินัยจราจรจะช่วยได้ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าผู้เสียชีวิตสูงสุดจะอยู่เดือนมีนาคม และเดือนธันวาคม
 
4. เด็กจมน้ำ
ในปี 2564 พบรายงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตจากการจมน้ำ น้อยลง จากเดิมปีละ 1 พันกว่าราย แต่ปีที่ผ่านมา มีจำนวนเพียง 500 กว่าราย เหตุผลเพราะเมื่อมีโควิด-19 ทำให้เด็กอยู่บ้านมากขึ้น ไม่มีการชวนไปเล่นน้ำ ทำให้ตัวเลขการตกน้ำ จมน้ำลดลง แต่ใน ปี 2565 นี้ โรงเรียนจะเปิดการเรียนการสอนที่โรงเรียนมากขึ้น มีกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น จึงคาดการณ์ว่าเดือนมีนาคม-เมษายน อาจจะมีเด็กตกน้ำ จมน้ำมากขึ้น

ภัยอันตรายที่จะเกิดกับคุณแม่และลูก ๆ มีอยู่รอบตัวจริง ๆ นะคะ อย่าลืมว่านอกจากโรคโควิด -19 แล้ว ยังมีภัยทางสุขภาพอื่น ๆ ที่ต้องระวังอีกมาก ขอให้คุณแม่ดูแลลูก ๆ อย่างไม่ประมาทค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

มติชน ออนไลน์, MGR Online

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

พ่อแม่ต้องรู้! 10 ความแตกต่าง อาการไข้เลือดออก vs อาการโควิด 19

อุทาหรณ์ เด็กจมน้ำ อุบัติเหตุอันดับต้น ๆ ที่เกิดกับลูกหลาน

ระวัง ไข้หวัดใหญ่ในเด็ก หวั่นระบาดซ้อนโควิด

 

 

คนท้องท้องผูก

ไขข้อข้องใจ คนท้องท้องผูก เกิดจากอะไร รับมืออย่างไรให้ปลอดภัยทั้งแม่และลูก

คนท้องท้องผูก ทำไงดี? “ปัญหาท้องผูก” ขณะตั้งครรภ์” สาเหตุเกิดจากอะไร กินยาระบายได้ไหม วิธีการแก้อาการท้องผูกในหญิงตั้งครรภ์ ต้องทำอย่างไร เพื่อให้ปลอดภัยทั้งแม่และลูก ทีมแม่ ABK มีคำตอบจากคุณหมอนิวัฒน์ มาฝากค่ะ

Q1. คนท้องท้องผูก ท้องผูกขณะตั้งครรภ์มีสาเหตุมาจากอะไร?

ท้องผูก คือ อาการที่ขับถ่ายอุจจาระ น้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์และมีอุจจาระที่มีลักษณะแข็ง (เป็นก้อนกลมๆเล็กๆ คล้ายลูกกระสุนดิน) หรือถ่ายยาก (ต้องเบ่งถ่าย) อาจมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย ในหญิงตั้งครรภ์ในประเทศไทยพบอาการท้องผูกได้ถึงร้อยละ 40 ในช่วงตั้งครรภ์ และ สูงถึงร้อยละ 50 ในช่วงหลังคลอด

สาเหตุทั่วไปของอาการท้องผูกในขณะตั้งครรภ์  ได้แก่

  1. การรับประทานอาหารประเภทกากเส้นใย หรือไฟเบอร์ไม่เพียงพอ
  2. การดื่มน้ำในปริมาณที่ไม่เพียงพอ หญิงตั้งครรภ์หลายคนไม่ค่อยดื่มน้ำ หรือดื่มน้ำน้อยกว่าปกติเพราะกลัวว่าจะปัสสาวะบ่อย
  3. การใช้ยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่ใช้ในขณะตั้งครรภ์ เช่น ยาบำรุงเลือดซึ่งมีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ และยาแคลเซี่ยม ยาแก้ปวด รวมถึงยาที่ใช้รักษาภาวะกรดไหลย้อน (Heartburn) กลุ่มแอนตาซิด (Antacid) ทำให้เกิดอาการท้องผูกได้มากขึ้น
  4. การเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวัน เช่น การเดินทาง หรือความรีบเร่งต่างๆ ทำให้ไม่มีเวลาในการเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา จะเข้าห้องน้ำในลักษณะปวดแล้วค่อยเข้า และกลั้นเมื่อไม่อยากเข้า เช่น เมื่อเห็นห้องน้ำไม่สะอาด การกลั้นทำให้อุจจาระค้างอยู่ในทางเดินอาหารนานกว่าปกติ  ซึ่งจะถูกถูกดูดน้ำออกจากตัวอุจจาระกลับเข้าสู่ร่างกาย อุจจาระจึงมีลักษณะแห้งและแข็งขึ้นเรื่อยๆ
  5. ระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ เช่น ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง (Reduce gastric motility) อาหารอยู่ในทางเดินอาหารเป็นเวลานานกว่าคนปกติ
  6. การที่มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้นในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ หรือบางรายอาจมีเนื้องอกมดลูกขณะตั้งครรภ์ เป็นสาเหตุที่ทำให้ลำไส้อาจถูกกดเบียดจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก

Q2. ภาวะท้องผูกส่งผลเสียกับตัวแม่ท้อง และทารกในครรภ์อย่างไรบ้าง?

อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่ค่อยเป็นอันตราย แม้ว่ามันจะทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์รู้สึกไม่สุขสบาย แต่ก็ไม่ทำให้เกิดอันตรายแต่ทารกในครรภ์  ยกเว้นในรายที่มีอาการท้องผูกอย่างรุนแรงจนเกิดเป็นริดสีดวงทวารหนัก (hemorrhoids: เส้นเลือดดำทวารหนัก เกิดอาการบวมพองหรือยืดตัว มีอาการยื่นนูนเป็นติ่งออกมาจากทวารหนัก) ทำให้มีการขับถ่ายออกมาเป็นเลือดได้ ซึ่งถ้าเลือดออกมาก คนไข้เสียเลือดมากจะเกิดภาวะซีด อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้ นอกจากนี้  อาการท้องผูกถ้าเกิดร่วมกับอาการอื่น เช่น  มีอาการปวดท้องร่วมด้วยอย่างรุนแรง การ มีเลือด หรือมูกเลือดออกมากับอุจจาระด้วย หรืออาการท้องเสียสลับกับท้องผูก อาจเป็นสัญญาณของปัญหาอื่น เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดังนั้นถ้ามีอาการท้องผูกนานมากกว่า 2 สัปดาห์ ร่วมกับอาการปวดท้อง หรือคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีเลือดออกขณะถ่าย หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังการรักษาด้วยยาแล้ว  ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ เพราะบางรายก้อนอุจจาระแข็งอัดแน่นจนเกิดภาวะอุดกั้นของลำไส้ (fecal impaction)ไม่สามารถถ่ายออกมาได้เอง แพทย์หรือพยาบาลอาจต้องช่วยในการล้วงเอาก้อนอุจจาระออกให้กับคนไข้ (Digital removal of faeces)

Q3. ท้องผูกถ่ายไม่ออกทำให้ต้องเบ่งเวลานั่งถ่าย จะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่?

ไม่เป็นอันตรายต่อทารก สามารถเบ่งได้ แต่ต้องระมัดระวังในคุณแม่ท้องบางราย ที่มีความผิดปกติของปากมดลูก เช่น รายที่มีปากมดลูกสั้น หรือปากมดลูกปิดไม่สนิท โดยเฉพาะอายุครรภ์เข้าสู่ไตรมาสที่ 2-3 หรือท้องเริ่มใหญ่แล้ว อาจมีภาวะมดลูกบีบตัว ทำให้ศีรษะทารกลงไปในอุ้งเชิงกราน เมื่อศีรษะทารกอยู่ในระดับต่ำ อาจทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ รู้สึกปวดหน่วงที่ก้น เหมือนอาการปวดถ่าย เมื่อเข้าไปเบ่งถ่าย อาจทำให้เกิดภาวะทารกหลุดออกมาได้ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย และมักต้องมีการบีบตัวของมดลูก หรืออาการท้องแข็งเป็นปั้น ในจังหวะที่สม่ำเสมอร่วมด้วย แต่สิ่งที่มักจะตามมาจากการที่คุณแม่ตั้งครรภ์นั่งในห้องส้วมเป็นเวลานาน คือ อาการของโรคริดสีดวงทวาร

คนท้องท้องผูก

Q4. คนท้องที่มีอาการท้องผูก กินยาระบายได้หรือไม่?

คนท้องสามารถใช้ยาระบายได้ โดยยาที่ใช้แนะนำในกลุ่มดังต่อไปนี้

  1. กลุ่มยาระบายออกฤทธิ์เพิ่มปริมาณอุจจาระ (Bulk-forming agents)  เป็นยาระบายที่ไม่ดูดซึมเข้าร่างกาย แต่ทำงานโดยการดูดซับน้ำเข้ามาเพิ่มในลำไส้ได้มากขึ้น ซึ่งจะทำให้อุจจาระมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นก้อน และ นุ่มขึ้น  และกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่เกิดการบีบตัว และถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ยาระบายประเภทนี้อาจทำให้มีอาการปวดท้องได้ ดังนั้นควรเริ่มด้วยขนาดยาที่ต่ำที่สุดและดื่มน้ำมาก ๆ  ยาระบายในกลุ่มนี้ เช่น Metamucil, Mucillin และ Agiolax  เหมาะสำหรับใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกไม่รุนแรง
  2. ยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม (Stool softeners)  เป็นยาที่จะช่วยในการเติมน้ำลงในอุจจาระ เพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่มและถ่ายได้สะดวก อาจใช้เวลาหนึ่งถึงสามวันกว่าที่อุจจาระจะอ่อนตัวลง ดังนั้นยากลุ่มนี้ มักจะไม่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้  เช่น  ด็อกคูเสทโซเดียม (Docusate Sodiam) และด็อกคูเสทแคลเซียม (Docusate Calcium) หรือชื่อทางการค้า เช่น Colace, Dialose, Surfak
  3. ยาที่ช่วยหล่อลื่นอุจจาระ (Lubricant laxatives) เป็นยาที่กระตุ้นให้ลำไส้เคลื่อนไหว โดยการเพิ่มสารเคลือบลื่นไปที่อุจจาระหรือด้านในของลำไส้ เพื่อช่วยขับอุจจาระได้สะดวกขึ้น ยากลุ่มนี้ ได้แก่ mineral oil และ glycerin suppository (การเหน็บกลีเซอรีน) ยากลุ่มนี้ ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน เพราะตัวยาจะไปรบกวนการดูดซึมวิตามิน A, D, E, K ของร่างกาย
  4. ยาที่ดูดน้ำกลับเข้ามาในลำไส้ (Osmotic laxatives) ยาในกลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยการดึงน้ำเข้าไปในลำไส้มากขึ้น  ช่วยให้อุจจาระนิ่ม ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น  ช่วยให้ลำไส้หดตัวมากขึ้นเพื่อเคลื่อนอุจจาระไปพร้อมกัน ยาระบายประเภทนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องและท้องอืดได้  ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น  lactulose, milk of magnesia (MOM), Polyethylene glycol (PGE)
  5. ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulant laxative) ยากลุ่มนี้กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้โดยตรง โดยออกฤทธิ์ กระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อที่ผนังลำไส้ ยาในกลุ่มนี้ ควรพิจารณาใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เนื่องจากเมื่อใช้ไปนานๆอาจทำให้เกิดความเคยชินของลำไส้ เมื่อไม่ใช้ยา อาจทำอาการท้องผูกเป็นมากขึ้นได้ และยาอาจกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกได้ (ทำให้เกิดภาวะมดลูกบีบตัวก่อนกำหนดคลอด) ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ senokot และ dulcolax (bisacodyl)

จากยาในกลุ่มดังกล่าว  ยาที่ทำให้อุจจาระนุ่ม  (Stool softeners: กลุ่มที่ 2) เป็นกลุ่มที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ต้องอาศัยเวลาในการออกฤทธิ์  กลุ่มยาที่ดูดน้ำกลับเข้ามาในลำไส้  (Osmotic laxatives: กลุ่มที่ 4)และ กลุ่มยาระบายออกฤทธิ์เพิ่มปริมาณอุจจาระ (Bulk-forming  agents: กลุ่มที่ 1) จึงนิยมใช้กว้างขวางกว่า และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ในกลุ่ม ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulant laxative: กลุ่มที่ 5) เนื่องจากมีผลข้างเคียงสูง

Q5. วิธีแก้อาการท้องผูกขณะตั้งครรภ์ แบบปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

คุณสามารถช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้โดย :

  1. ดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อย 8 – 12 แก้วต่อวัน  น้ำผักหรือน้ำผลไม้และน้ำซุปโซเดียมต่ำช่วยให้อุจจาระนิ่มและถ่ายได้ง่ายขึ้น น้ำลูกพรุน เป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
  2. กินอาหารไฟเบอร์อย่างน้อย 25-30 กรัมต่อวัน เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชไม่ขัดสี ขนมปังโฮลเกรน หลีกเลี่ยงธัญพืชขัดสี เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว ธัญพืชขัดสี และพาสต้าที่มีเส้นใยอาหารต่ำและอาจทำให้ท้องผูกได้ ปรับพฤติกรรมการทานอาหารเป็นมื้อเล็กๆ หลายๆ  จะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายปานกลาง เช่น การเดิน ว่ายน้ำ และช่วยกระตุ้นการขับถ่าย อย่างน้อย 20 ถึง 30 นาที สามครั้งต่อสัปดาห์
  4. อย่ากลั้นอุจจาระ เข้าห้องน้ำเมื่อรู้สึกอยากถ่าย หรือฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา
  5. เพิ่มอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ (Probiotics) โพรไบโอติกส์ คือ จุลินทรีย์มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ภายในร่างกายมนุษย์ Acidophilus หรือ โปรไบโอติกที่พบใน นมเปรี้ยว หรือ โยเกิร์ต จะ ช่วยกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ให้ย่อยอาหารได้ดีขึ้น

การรักษาอาการท้องผูกในหญิงตั้งครรภ์ ควรมุ่งเน้นที่การปรับพฤติกรรมเรื่องการทานน้ำและอาหารเป็นหลัก โดยพยายามใช้ยาต่างๆให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น เพราะยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงเมื่อใช้ในปริมาณที่มากเกินไป หรือนานเกินไปได้ และควรเน้นที่การป้องกันไม่ให้มีอาการท้องผูกเกิดขึ้น โดยการปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง ดีกว่าการปล่อยให้มีอาการหรือเกิดโรคแล้วค่อยให้การรักษา

“It is better to prevent constipation early on rather than wait to treat it later”

 

บทความโดย : นายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์)
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ พันธุศาสตร์การแพทย์
มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอบกิ้น สหรัฐอเมริกา

สำหรับเรื่อง ปัญหา คนท้องท้องผูก ถือเป็นหนึ่งในเรื่องของ HQ  หนึ่งใน 10 ของ Power BQ (Power Baby & Kids Quotients) อาวุธที่ช่วยให้ลูกฉลาดรอบด้าน เพราะเด็กยุคนี้มีแค่ IQ และ EQ นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ยังมี Quotient ต่างๆ ถึง 10Q นั่นคือ “10 ความฉลาด” ที่คุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ครบไปพร้อมกันนั่นเอง ทั้งนี้ HQ หรือ Health Quotient  คือ ความฉลาดในการดูแลรักษาสุขภาพ
ซึ่งคนที่มี HQ ดี จะรู้จักดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เช่น กินอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ขับถ่ายดี ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลรักษาความสะอาดร่างกายของตัวเอง ฯลฯ สำหรับเด็กเล็กเราอาจจะยังไม่เห็นพัฒนาการด้านนี้ชัดเจน แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มปลูกฝังและใส่ใจเรื่องสุขภาพ การดูแลร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวันได้ทุกวัน เพื่อให้ลูกซึมซับและดูแลใส่ใจสุขภาพตัวเอง ซึ่งก็จะเป็นการสร้าง HQ ที่ดีในตัวลูกได้ ยิ่งในปัจจุบันโรคภัยไข้เจ็บมีเยอะขึ้น โรคใหม่ๆ แปลกๆ เชื้อโรคที่พัฒนาขึ้นจาก สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง และมลภาวะต่างๆ เราจึงต้องสอนให้ลูกของเราฉลาดใส่ใจดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และมีภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยต่างๆ รอบตัว เพราะการไม่มีโรค คือลาภอันประเสริฐนั่นเองค่ะ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ

คนท้องกินยาพาราได้ไหม คนท้องกินยาอะไรได้บ้าง ยาที่คนท้องห้ามกิน มีอะไรบ้างเช็กเลย!

หมอตอบชัดทุกข้อ! 10 ปัญหาสุขภาพที่แม่ต้องเจอ? ทั้ง ปัญหาคนท้อง และหลังคลอดลูก

แม่ท้องต้องรู้!! “ลูกดิ้น” บอกอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด?

checklist เตรียมของก่อนคลอด ยังไงไม่บานปลายได้ของครบ

รักษาผู้มีบุตรยาก ฟรี

แม่เตรียมเฮ! ผลักดันสิทธิ์ รักษาผู้มีบุตรยาก ฟรี

คุณแม่ที่มีลูกยาก อยากมีลูกมานานแต่ไม่สมหวังสักที เตรียมเฮได้เลยค่ะ เพราะภาครัฐกำลังผลักดันการ รักษาผู้มีบุตรยาก ฟรี นับเป็นข่าวดีสำหรับหลายคนที่มีบุตรยากนะคะ

แม่เตรียมเฮ! ผลักดันสิทธิ์ รักษาผู้มีบุตรยาก ฟรี

เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ลดลงต่อเนื่องมาหลายปี จนเมื่อปี 2564 จากผลสำรวจพบว่ามีเด็กเกิดใหม่อยู่ที่ 544,000 คน ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี  ซึ่งจะส่งผลเสียต่อประเทศในหลายด้าน หลายหน่วยงานจึงมีแนวทางเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา นั่นคือ ขับเคลื่อนเพื่อให้ ภาวะมีบุตรยาก เป็นสิทธิประโยชน์ในหลักประกันสุขภาพภาครัฐ โดยให้ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทยจัดทำแนวทางในครั้งนี้ นอกจากนี้  และอาจจะพิจารณาใช้พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ.2558  หรือพ.ร.บ.อุ้มบุญ ในการสนับสนุนครอบครัวกลุ่มหลากหลายทางเพศในการมีบุตรหากมีความพร้อม

รักษาผู้มีบุตรยาก ฟรี
แม่เตรียมเฮ! ผลักดันสิทธิ์ รักษาผู้มีบุตรยาก ฟรี

รักษาผู้มีบุตรยาก ฟรี เพื่อลดปัญหาระดับชาติ

ศ.นพ.กำธร พฤกษนานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ราชวิทยาสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย  กล่าวว่า  การที่อัตราเกิดประชากรไทยลดต่ำ และต่ำลงอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะเกิดปัญหาระดับชาติขึ้น ได้แก่ ปัญหาเรื่องประชากรติดลบ ทำให้เกิดปัญหากรเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว  ปัญหาการหลั่งไหลเข้าของแรงงานข้ามชาติ เพราะไม่มีคนในประเทศทำงานต้องมีคนเข้ามาทำงานแทน ก็จะมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจและสังคมตามมา และปัญหาเรื่องไม่มีใครดูแลคนแก่แล้ว ซึ่งประเทศไทยก็กำลังเข้าสู่จุดนั้นเช่นกัน

WHO ระบุว่าภาวะมีบุตรยาก เป็นโรคชนิดหนึ่ง

ในปัจจุบัน 3 กองทุนประกันสุขภาพภาครัฐทั้งหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ ยังไม่ครอบคลุมถึงสิทธิประโยชน์ในการรักษาผู้มีบุตรยากตามสิทธิหลักประกันสุขภาพภาครัฐ เพราะว่าที่ผ่านมามีความเข้าใจผิดว่าภาวะมีบุตรยาไม่ใช่โรค จึงไม่สามารถเบิกค่ารักษาได้ โรงพยาบาลรัฐจึงไม่สามารถเปิดแผนกรักษาผู้มีบุตรยากได้ ทำให้คนไข้ต้องไปเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนแทน แต่ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า ภาวะมีบุตรยาก เป็นโรค ดังนั้น คนไข้ก็จะมีโอกาสเข้ารับการรักษาโรคได้ เป็นการเปิดโอกาสให้คนเข้าถึงบริการ ถ้าหากโรงพยาบาลรัฐบาลสามารถที่จะให้บริการตรงนี้ได้ ค่าใช้จ่ายโดยรวมของคนไข้ก็จะถูกลง

ค่าใช้จ่ายในการรักษาภาวะมีบุตรยาก

ค่าใช้จ่ายในการรักษาภาวะมีบุตรยากนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น เรื่องของการติดตามการตกไข่ธรรมดา อยู่ที่ไม่กี่ร้อยบาท เรื่องการแก้ไขฮอร์โมนผิดปกติ หรือเนื้องอกหรือซีสต์ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ถ้าจำเป็นต้องมีการผสมเทียม ไอยูไอ อยู่ระดับหลายพัน แต่หากจำเป็นต้องทำเด็กหลอดแก้ว อาจจะอยู่ที่หลักแสนบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้เป็นอัตราในโรงเรียนแพทย์ ไม่ใช่อัตราในโรงพยาบาลเอกชน นอกจากนี้ เนื่องจากปัจจุบันในประเทศไทยยังไม่มีการยอมรับว่าภาวะมีบุตรยากเป็นโรค การเบิกค่ารักษาพยาบาลจึงยังเป็นปัญหา หากมีการเขียนไว้ในบัตรคนไข้นอก หรือเวชระเบียนว่าเป็นผู้มีบุตรยาก ก็ไม่สามารถเบิกค่ารักษาได้เลยค่ะ

การดำเนินการต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี

เรื่องแผนการแก้ไขเรื่องสิทธิในการรักษาผู้มีบุตรยากให้ฟรีนั้น ขณะนี้ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์ฯ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกรมอนามัยได้ร่างแนวคิดต่าง ๆ แล้ว แต่เนื่องจากมีผู้เกี่ยวข้องมากทั้งในแง่ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานหลักประกันสังคม (สปส.) และกรมบัญชีกลาง  จึงต้องใช้เวลาและอาจจะต้องดำเนินการเป็นช่วงระยะ ต้องวางเป็นระบบ คาดว่าต้องใช้เวลาในแก้ปัญหามากกว่า 1 ปี แผนงานนี้จึงจะสำเร็จ

เริ่มต้นสิทธิในการรักษาภาวะผู้มีบัตรยากฟรี ที่ สปสช.  

การดำเนินการในระยะแรกอาจจะเริ่มต้นที่ สปสช. สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทองก่อน โดยจะระบุให้ชัดเจนว่า ภาวะมีบุตรยากเป็นโรคที่ต้องรับการรักษา และคนไข้คนนี้มีสิทธิที่จะเข้ารับการรักษาเหมือนกับการป่วยโรคอื่น ๆ และเมื่อมีการกำหนดในสิทธิแล้วว่าเป็นโรค โรงพยาบาลรัฐบาลจะได้เปิดหน่วย แนวทาง กระบวนการรักษาผู้มีบุตรยาก คนไข้ผู้มีบุตรยากก็จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงไม่ต้องไปรพ.เอกชนก็ เมื่อนำร่องในสิทธิบัตรทองแล้ว ก็จะขยายต่อไปยังสิทธิประกันสังคมและสวัสดิการข้าราชการต่อไปค่ะ

การรักษาผู้มีบุตรยากได้ฟรี ช่วยแก้ปัญหาเด็กไทยเกิดน้อยได้อย่างไร

จากตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย  พบว่าแก้ปัญหาได้จริงเพราะ

1.เป็นการสร้างความตระหนักรู้ว่ามีการให้ความสนใจและความสำคัญกับการเติบเต็มชีวิตคู่หรือครอบครัว

2.อายุเฉลี่ยของคนที่เข้าสู่กระบวนการรักษาลดลงประมาณ 5 ปี โดยอายุเฉลี่ยตอนนี้อยู่ที่ 32 ปี

ขณะที่ปัจจุบันคนไทยกว่าที่จะไปพบแพทย์เพื่อรักษาการมีบุตรยาก จะมีอายุเฉลี่ยที่ 38 ปี ซึ่งช้าไปแล้ว

ปัญหาที่ตามมาจากการพบแพทย์เพื่อรักษาภาวะมีบุตรยากช้า

ปัญหาที่ตามมาของการรักษาตอนอายุมาก คือ เด็กอาจจะเป็นโรคดาวน์ซินโดรม หรือผู้มีบุตรยากอาจมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น ตกเลือด ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และท้องยาก  ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายมาก แต่หากคนไข้รู้ว่ามีสิทธิที่จะรับการรักษาได้ ก็จะทำให้เข้ารับการรักษาเร็วขึ้น อายุเฉลี่ยที่จะเข้ารับการรักษาก็จะน้อยลง ปัญหาเรื่องเด็กผิดปกติ หรือพิการก็น้อยลง ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์ก็น้อยลง ท้องได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ

รักษาผู้มีบุตรยาก ฟรี
ภาวะการมีบุตรยาก

อุ้มบุญช่วยเพศหลากหลายมีลูก ต้องรอ กม. สมรสเท่าเทียม

กรณีการรักษาผู้มีบุตรยากนี้ ยังครอบคลุมแค่กับคนไข้ที่สามารถตั้งครรภ์เองได้อย่างมีคุณภาพ ในสถานพยาบาลที่ผ่านการตรวจสอบรับรองแล้ว และกรณีที่ไม่สามารถตั้งครรภ์เองได้ตามข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนทางการแพทย์ สามารถเข้าสู่ระบบเพื่อให้มีการตั้งครรภ์แทนได้

ส่วนกรณีครอบครัวหลากหลายทางเพศ ในพ.ร.บ.กำหนดไว้ว่า จะต้องดำเนินการในคู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ขณะนี้เรื่องการสมรสของเพศเดียวกันในประเทศไทยยังไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงยังไม่เข้าตามข้อกำหนด แต่หากในอนาคตมีการปรับปรุงกฎหมายคู่สมรสว่าไม่จำเป็นต้องเป็นหญิงชายแล้ว คู่สมรสหลากหลายทางเพศก็สามารถใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กฯ ฉบับนี้ในการช่วยการมีบุตรได้

สิทธิในการรักษาผู้มีบุตรยาก ฟรี นี้ นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรให้มีการผลักดัน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนประชากร ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเทศในหลาย ๆ ด้านนะคะ ท่านใดที่มีบุตรยาก อยากให้ติดตามเรื่องนี้ ทางทีมแม่ ABK จะนำข่าวคราวมาบอกหากมีความคืบหน้าค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

กรุงเทพธุรกิจ, MGR Online

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

การรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี ICSI

11 สาเหตุมีลูกยาก อยากมีลูก ทำไมไม่ท้องซักที?

มีบุตรยาก ชี้เป้า 15 ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ช่วยสานฝันโอกาสให้ได้เป็นพ่อแม่สมปรารถนา

 

 

ชื่อเท่ๆในเกม

150 ชื่อเท่ๆในเกม พ่อแม่คอเกมห้ามพลาด

เราอาจคุ้นเคยกับการตั้งชื่อลูกตามดารา นักร้อง นักแสดง แต่วันนี้กระแสเกม โลกMetaverse กำลังมาแรงจริงๆค่ะ ลองเปลี่ยนมาดู ชื่อเท่ๆในเกม กันดีกว่าค่ะ

150 ชื่อเท่ๆในเกม พ่อแม่คอเกมห้ามพลาด

คุณพ่อคุณแม่ที่เป็นสาวกเกม คงมีตัวละครในเกมที่ตัวเองชื่นชอบอยู่ไม่มากก็น้อย หรืออาจถูกใจชื่อที่ฟังดูแปลก แต่เท่ๆ เก๋ๆ ในเกมอยู่หลายชื่อ อาจจำได้บ้างไม่ได้บ้าง มาดูที่บทความนี้เลยค่ะ ทีมแม่ ABK ได้รวบรวบ ชื่อเท่ๆในเกม จากตัวละครดังๆในเกมต่างๆมาให้ได้เลือกไปตั้งชื่อลูกกันแล้วค่ะ

150 ชื่อเท่ๆในเกม พ่อแม่คอเกมห้ามพลาด

ชื่อลูกชาย

ชื่อ ชื่อเกม
Adonis Ensemble Stars
Aiden Beyond Two Souls
Aleister ROV
Alistair Dragon Age
Ash Pokemon franchise
Blaze Blaze
Booker Bioshock Infinite
Cecil Final Fantasy IV
Claude Grand Theft Auto III
Cloud Final Fantasy VII
Cortez Timesplitters
Corvo Dishonored
Cresht ROV
Cullen Dragon Age
Cyrax Mortal Kombat
Dante Devil May Cry 4
Daxter Jak and Daxter
Devlin Saboteur
Ezio Assassin’s Creed
Fennik ROV
Garrett Thief
Geralt The Witcher III
Gildur ROV
Goku Dragon Ball
Gordon Half-Life
Grakk ROV
Guile Street Fighter
Jacob Halo
Jace Magic the Gathering
Jago Killer Instinct
Jedah Darkstalkers 3
Josh Until Dawn
Kane Kane
Kirby Kirby
Kratos God of War
Layton Professor Layton
Leon Resident Evil 2
Leoric Diablo
ลูกชาย
ลูกชาย

150 ชื่อเท่ๆในเกม พ่อแม่คอเกมห้ามพลาด

ชื่อลูกชาย

ชื่อ ชื่อเกม
Lincoln Mafia 3
Link The Legend of Zelda:Majora’s Mask
Lu Bu ROV
Luigi Mario franchise
Lumburr ROV
Miles Sonic the Hedgehog
Majora The Legend of Zelda:Majora’s Mask
Marcus Gears of Wars
Mario Mario
Maximo Maximo Ghosts of Glory
Nakroth ROV
Neo The Matrix
Nero Devil May Cry
Niko Rockstar North
Noctis Final Fantasy XV
Ormarr ROV
Oro Street Fighter
Pagan Far Cry 4
Rad Bionic Commando
Raiden Mortal Kombat
Rico Just Cause 3
Rufus Street Fighter
Rygar Rygar
Ryu Street Fighter
Samus Metroid
Shepard Mass Effect
Soma Castlevania
Sonic Sonic the Hedgehog
Sora Disney and Square Enix’s Kingdom Hearts
Tidus Final Fantasy X
Trevor Grand Theft Auto V
Tyrion Game of Thrones
Thane Mass Effect
Yoshi Super Mario World
Zanis ROV
Zephys ROV
Zidane Final Fantasy
ลูกสาว
ลูกสาว

150 ชื่อเท่ๆในเกม พ่อแม่คอเกมห้ามพลาด

ชื่อลูกสาว

ชื่อ ชื่อเกม
Ada Resident Evil II
Aeris Final Fantasy VII
Alisa Tekken 6
Alyx Half-Life 2
Anya Call of Duty
Aoi Virtua Fighter 3
Athena platform arcade game
Auriel Diablo
Aveline Assassin Creed 3
Bayonetta Bayonetta
Bonnie Red Dead Redemption
Cass Fallout
Cassie Mortal Kombat X
Chloe Life Is Strange
Clementine The Walking Dead
Daisy Super Mario Land
Daphne Dragon’s Lair
Elena Uncharted Series
Ellie The Last of Us
Epona The Legend of Zelda
Eva Devil May Cry
Felicia Darkstalkers
Helena Dead or Alive 2
Ivy Soulcalibur
Jade Beyond Good and Evil
Jane The Walking Dead
Jill Resident Evil
Junko Danganronpa
Kairi Kingdom of Hearts
Kassandra Assassin’s Creed
Kasumi Dead or Alive
Kat Gravity Rush
Kirsten The Secret World
Kitana Mortal Kombat
Krixi ROV
Lara Tomb Raider
Liara Mass Effect
Lucina Fire Emblem Awakening
ชื่อเท่ๆ
ชื่อเท่ๆ
ชื่อ ชื่อเกม
Madeline Celeste
Mei-Lung Overwatch
Mercy Overwatch
Midna The Legend of Zelda
Mileena Mortal Kombat II
Monika Doki Doki Literature Club
Morrigan Darkstalkers
Nana Together BnB
Natalya ROV
Navi The Legend of Zelda:Ocarina of Time
Payna ROV
Peach Mario franchise
Phoenix Ace Attorney
Rayne BloodRayne
Red Transistor
Regina Dino Crisis
Reiko Namco’s Ridge Racer
Ridley The Cunning God of Death
Rikku Final Fantasy X
Rosalina Super Mario Galaxy
Sakura Street Fighter IV
Samantha Gone Home
Saria The Legend of Zelda:Ocarina of Time
Scarlett Blackwood Crossing
Senua Hellblade Senua’s Sacrifice
Shodan System Shock
Taara ROV
Taki Soulcalibur
Tifa Final Fantasy VII
Tira SoulCaliber
Tetra The Legend of Zelda:The Wind Waker
Tifa Final Fantasy VII
Vella Broken Age
Wynne Dragon Age
Xayah League of Legends
Yuna Final Fantasy X
Zelda Legend of Zelda

คงถูกใจคุณพ่อคุณแม่สายเกมกันนะคะ กับการรวบรวม ชื่อเท่ๆในเกม จากเกมดังต่างๆ ที่ทาง ทีมแม่ ABK นำมาฝากในบทความนี้

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ชื่อเล่นเท่ๆ เก๋ๆ ลูกชาย ลูกสาว ความหมายดีๆ อินเทรนด์!!!

ชื่อภาษาอังกฤษเท่ๆ สำหรับลูกสาวและลูกชาย

50 ประโยคภาษาอังกฤษสั้นๆ ใช้สอนลูก ให้พูดได้แต่เด็ก!

เข้าใจ “เดอะวันเดอร์วีค” รับมือลูกงอแงแบบไม่มีสาเหตุ!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

น้ำตาไม่ใช่ผู้ร้าย ข้อดีของการร้องไห้

เมื่อ น้ำตา ไม่ใช่ผู้ร้าย!!พ่อแม่ควรอนุญาตให้ลูกร้องไห้

น้ำตา ร้องไห้ ความเศร้าใช่ว่าอ่อนแอ ยิ้มเริงร่าใช่ว่าไม่เป็นไร เหตุใดพ่อแม่ควรอนุญาตให้ลูกร้องไห้ แสดงอารมณ์ไม่ว่าทางบวกหรือลบ เพราะน้ำตาก็มีประโยชน์นะ

เมื่อ น้ำตา ไม่ใช่ผู้ร้าย!!พ่อแม่ควรอนุญาตให้ลูกร้องไห้

“ผู้ใหญ่ควรอนุญาตให้เด็กมีอารมณ์โกรธและเสียใจได้
แต่สิ่งที่เราไม่อนุญาตคือการทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม”

Quote จากเพจตามใจนักจิตวิทยา

การร้องไห้ เป็นพฤติกรรมปกติ พฤติกรรมหนึ่งของมนุษย์ การหลั่งน้ำตาสามารถกระตุ้นออกมาได้ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เช่น เสียใจ ดีใจ โกรธ เป็นต้น นักวิจัยค้นพบว่า การร้องไห้ให้ประโยชน์ทั้งต่อร่างกาย และจิตใจของมนุษย์ เริ่มตั้งแต่เราเป็นทารกกันเลยทีเดียว

มนุษย์ร้องไห้…ทำไม?

  • เพื่อขับของเสีย และอารมณ์ขุ่นมัวออกจากร่างกาย ดวงตาทำหน้าที่ผลิตน้ำตา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
    • น้ำหล่อเลี้ยงตา เป็นน้ำที่อยู่ในดวงตาตลอดเวลา คอยสร้างความหล่อลื่น บำรุงและปกป้องกระจกตา ทั้งยังเป็นเกราะป้องกันดวงตาจากฝุ่นผงต่าง ๆ
    • น้ำตาจากสิ่งเร้าภายนอก จะถูกสร้างขึ้นก็ต่อเมื่อดวงตาต้องการขจัดสารก่อความระคายเคืองที่เป็นอันตราย เช่น วัตถุแปลกปลอม ควัน หรือสารบางชนิดจากหัวหอม น้ำตาชนิดนี้ผลิตออกมาในปริมาณที่มากกว่าน้ำหล่อเลี้ยงตาปกติ และอาจประกอบด้วยสารภูมิต้านทานเพื่อใช้ช่วยต่อสู้กับแบคทีเรีย
    • น้ำตาจากอารมณ์ น้ำตาที่ตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น เสียใจ ดีใจ หวาดกลัว เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์บางคนคาดว่าน้ำตาจากอารมณ์อาจประกอบด้วยฮอร์โมนและโปรตีนชนิดอื่น ๆ ที่ไม่พบในน้ำหล่อเลี้ยงตาหรือน้ำตาจากสิ่งเร้าภายนอก

      ประโยชน์ของ น้ำตา
      ประโยชน์ของ น้ำตา
  • เพื่อปลดปล่อยหรือผ่อนคลายอารมณ์อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะร้องไห้เพราะความเศร้า ความเครียด หรือความสะเทือนอารมณ์จากการดูภาพยนตร์ ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวเอง และส่งผลดีต่อสุขภาพจิต
  • การร้องไห้ช่วยให้ทารกหายใจครั้งแรกได้ การร้องไห้ครั้งแรกของเด็กแรกเกิด คือเสียงร้องที่สำคัญมาก ตอนอยู่ในท้องทารกได้รับออกซิเจนภายในมดลูกผ่านสายสะดือจากแม่ เมื่อคลอดออกมาแล้วต้องหายใจเอง เสียงร้องแรกของเด็กแรกเกิดเป็นการกระตุ้นการทำงานของปอด
  • การร้องไห้ช่วยให้เด็กหลับดีขึ้นในเวลากลางคืน มีงานวิจัยที่ทดลองให้ปล่อยเด็กทารกร้องไห้บนเตียงไปสักระยะเวลาหนึ่ง ถึงค่อยให้พ่อแม่เข้ามาปลอบ และพาเข้านอน พบว่าเด็กกลุ่มนี้สามารถนอนหลับได้ยาวขึ้น และลดจำนวนการตื่นระหว่างคืนได้อีกด้วย และยังศึกษาต่อไปพบว่าไม่ก่อให้เกิดความเครียด หรือส่งผลเสียต่อสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกด้วย

    น้ำตา ช่วยปลอบประโลมจิตใจลูก
    น้ำตา ช่วยปลอบประโลมจิตใจลูก

ทำไมจึงควรอนุญาตให้เด็กร้องไห้?

วัยอนุบาล เป็นวัยที่มีความกังวลต่อความพลัดพรากจากพ่อแม่สูง “เป็นธรรมดา”
เด็กหลายคนเจอคนแปลกหน้า ถูกแยกจากพ่อแม่ อาจจะมีความกังวล จนร้องไห้
เด็กหลายคนร้องไห้ อาจจะเพราะ ง่วง หิว หนาว กลัว เสียใจ นอนไม่พอ ฯลฯ
การร้องไห้ เป็นการระบายความรู้สึกที่ท่วมท้น ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ใช่ความผิดปกติ
การร้องไห้ เป็นส่วนหนึ่งของการปรับให้สมองเข้าสู่ภาวะปกติ
การร้องไห้ไม่ได้แปลว่าเป็นเด็กสุขภาพจิตเสีย
การร้องไห้ไม่ควรถูกนำมาตัดสิน ว่าไม่เก่ง ไม่ฉลาด ไม่มีศักยภาพ อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง
การร้องไห้เป็นรูปแบบของการสื่อสาร ที่ทำให้เราสามารถเข้าไปช่วยเหลือเด็กๆ ได้
เด็ก (และเราทุกคน) ควรได้รับอนุญาตให้ร้องไห้ได้
การร้องไห้ เป็นการตอบสนองของร่างกายตามธรรมชาติ
การร้องไห้ไม่ได้ทำร้ายใคร ทั้งตัวเองและผู้อื่น
อย่าทำให้ใครรู้สึกผิด
ตั้งแต่ยังเล็กที่เขาร้องไห้
เพราะการเป็นผู้ใหญ่ที่ร้องไห้ออกมาไม่ได้
… มันช่างเป็นเรื่องที่โหดร้ายและน่าเศร้า
#หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
ผู้อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าการร้องไห้เป็นกลไกทำให้สมองเข้าสู่ภาวะสมดุล
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก ข้อความบางส่วนจากเพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

น้ำตาจึงไม่ใช่ผู้ร้าย แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้เรารับมือกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่ยังอยู่ในวัยเรียนรู้ การที่เขายังมีพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ไม่สมบูรณ์ จึงจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ ทั้งทางด้านร่างกาย และอารมณ์ เด็กในวัย 2-6 ปี วัยอนุบาลนั้นยังไม่ใช่วัยที่สามารถแยกจากพ่อแม่ได้อย่างสมบูรณ์ การวิตกกังวล การกลัวการแยกจาก การที่ไม่เห็นหน้าพ่อแม่แล้วร้องไห้จึงเป็นเรื่องปกติ การที่เด็กไม่สามารถเรียนรู้การจัดการอารมณ์ของเขาได้ต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่พ่อแม่ควรใส่ใจ มิใช่การห้ามไม่ให้ลูกแสดงออกมา เก็บกดไว้ เพราะคิดว่าเป็นสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอ แต่ควรสอนให้เขารับรู้อารมณ์ เข้าใจ ตอบสนอง และแสดงอารมณ์เหล่านั้นออกมาได้อย่างเหมาะสมต่างหาก

พ่อแม่ควรอนุญาตให้ลูกมี น้ำตา
พ่อแม่ควรอนุญาตให้ลูกมี น้ำตา

น้ำตาไม่ใช่ผู้ร้าย!!

มีรายงานว่าคนเรามักรู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ได้ร้องไห้ นั่นอาจเป็นเพราะการร้องไห้ทำให้เราได้สำรวจตรวจดูสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์ของเราและหาทางก้าวผ่านอารมณ์ และความคิดเหล่านั้นไปได้ ในเด็กก็เช่นกัน การให้เขาได้รับรู้ว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกอย่างไร เพื่อให้เด็กได้ยอมรับกับอารมณ์ตัวเองเสียก่อน จากนั้นเมื่อยอมรับเขาก็จะสามารถพิจารณาได้ว่าสิ่งใดที่ไปกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ด้านลบ เช่น เสียใจ โกรธ เป็นต้น และเมื่อทราบที่มาที่ไปของอารมณ์แล้ว การจะจัดการกับอารมณ์ตนเองในครั้งถัด ๆ ไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

Lauren Bylsma ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์และจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์กในรัฐเพนซิลวาเนียกล่าวว่าการร้องไห้อาจช่วยให้เข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญสำหรับเรา โดยเฉพาะหากร้องไห้กับสิ่งที่ทำให้เสียใจโดยที่ไม่คาดคิด และว่าคนบางคนอาจรู้สึกดีกว่าเวลาที่ร้องไห้คนเดียวหรือในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย มากกว่าในที่ที่อาจทำให้รู้สึกอาย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการสะกดกลั้นน้ำตาอาจส่งผลเสียต่อตัวเอง และความรู้สึกที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการจัดการนั้น และยังเป็นเส้นทางสำคัญที่นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าอีกด้วย

ร้องไห้ใช่อ่อนแอ ยิ้มให้ใช่มีความสุข!!

พ่อแม่ทุกคนย่อมอยากเห็นลูกมีความสุข จึงทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกพอใจ ยิ้มแย้ม แต่ในโลกความเป็นจริงเราไม่สามารถกำหนดให้ลูกพบเจอแต่ความสมหวัง หรือมีความสุขตลอดเวลาได้ เมื่อลูกพบเจอเรื่องเศร้า เรื่องโกรธจนร้องไห้ หรืออาละวาด พ่อแม่จึงมักสั่งให้ลูกหยุด และเก็บกดอารมณ์ทางลบนั้นไว้ โดยที่เด็กยังไม่สามารถจัดการกับอารมณ์นั้นได้ แต่ในความเป็นจริงเด็กที่มีความสุข คือ เด็กที่สามารถจัดการกับอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งดี และไม่ดีได้อย่างเหมาะสม พ่อแม่มีหน้าที่สอนให้เขารับรู้ รับมือ และจัดการอารมณ์ที่เกิดขึ้น จะทำให้ลูกมีความสุขอย่างแท้จริง

ช่วยลูกให้หยุดร้องไห้!!

ถึงแม้ว่าน้ำตาจะมีประโยชน์ช่วยเราในหลาย ๆ เรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่า สังคมภายนอกยังมีค่านิยมในเรื่องนี้ เช่น น้ำตาเท่ากับอ่อนแอ เด็กผู้ชายไม่ควรร้องไห้ให้ใครเห็น เป็นต้น ดังนั้นแทนที่เราจะแก้ปัญหาให้ลูกด้วยการสั่งให้เขาหยุดร้อง เราสามารถช่วยลูกให้จัดการกับอารมณ์ทางด้านลบของเขาด้วยวิธีทำให้ลูกรู้สึกดีขึ้น โดยเราขอยกคำแนะนำดี ๆ ของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร หรือ หมอโอ๋ กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น รพ.รามาธิบดีฯ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน กับวิธีช่วยลูกเมื่อร้องไห้ ดังนี้

ช่วยลูกหยุดร้องไห้ เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
ช่วยลูกหยุดร้องไห้ เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน
อยากให้ลูกหยุดร้องไห้ ไม่ได้ทำได้ด้วยการ “สั่ง”
แต่ทำได้ด้วยการทำให้ลูก “รู้สึกดีขึ้น”
ช่วยลูกเมื่อร้องไห้…
1. อย่าห้ามลูกเวลาร้องไห้ แต่ควรแสดงความเข้าใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้น
2. ประโยค “แม่เข้าใจเลยที่หนูจะเสียใจ” “มันน่าเสียใจจริงๆนะ” “หนูร้องไห้ได้นะ ถ้ารู้สึกแย่” เป็นประโยคที่พ่อแม่พูดได้ ถ้ารู้สึกเข้าใจสิ่งนั้นจริงๆ
3.หลีกเลี่ยง “ร้องทำไมเรื่องแค่นี้เอง” ความเจ็บปวดของใคร ก็เป็นเรื่องของใจ คนๆนั้น
4. ขณะลูกร้องไห้ การกอดลูกแล้วบอกว่า “แม่อยู่ตรงนี้นะ” “มีอะไรให้แม่ช่วยให้หนูดีขึ้นมั้ย” คือของขวัญทางจิตใจที่มอบให้ลูก
5. อย่าบอกลูก “ไม่ร้องไห้” แต่บอกลูกได้ “ดีขึ้นแล้ว หายเจ็บแล้ว เราหยุดร้องไห้กันได้นะ”
6. มันคือเรื่องน่าเศร้าที่ใครสักคนต้องเติบโตมา กับการต้องคอยบอกกับตัวเอง ว่า “ฉันไม่เป็นไร”
ทั้งๆที่ความเป็นจริงการยอมรับกับความรู้สึกตัวเอง คือการเริ่มต้นที่กล้าหาญ ของการเยียวยาจิตใจ #ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน
7. การกล้าเผชิญและยอมรับกับความเศร้า เป็นสัญญาณว่าเราคือคนที่เข้าใจ รู้จัก และรักตัวเองดี
8. การที่รู้สึกว่าเราก็แพ้ได้ ร้องไห้เป็น จะทำให้เราเข้าใจได้ว่า เราต่างก็เป็นมนุษย์ธรรมดาดีๆนี่เอง #ผู้ใหญ่ก็เช่นกัน
9. การยอมรับและทำความเข้าใจกับความรู้สึก จะทำให้เราอยู่กับความรู้สึกได้ดี…ไปชั่วชีวิต
รักลูก… เรามาช่วยเด็กๆ ให้เข้มแข็งในวิธีที่เป็นผลดีกับจิตใจกันนะคะ
คนที่เข้มแข็งไม่ใช่คนที่ไม่ร้องไห้
แต่เป็นคนที่ “กล้าร้องไห้…เพื่อให้ตัวเองดีขึ้น”
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก ข้อความบางส่วนจากเพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

เมื่อวันที่เรารู้สึกแย่ เราอาจต้องการเพียงใครสักคนที่อยู่เคียงข้าง มอบพื้นที่ปลอดภัยให้แก่เราให้ได้รู้สึกดีขึ้น พ่อแม่สามารถเป็นพื้นที่ปลอดภัยของลูกได้เช่นกัน เมื่อเขาร้องไห้ รู้สึกไม่ดี เพียงแค่อ้อมกอดจากพ่อแม่ก็สามารถปลอบประโลมให้จิตใจ อารมณ์ของลูกให้สงบลงได้อย่างแท้จริง ไม่ต้องเก็บกดความรู้สึกนั้นไว้ เพื่อรอวันระเบิด หรือทำให้เกิดปัญหาพฤติกรรมของลูกในอนาคตได้

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com/www.healthline.com/เพจตามใจนักจิตวิทยา

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ลูกร้องไห้งอแง ทารกร้องแบบไหนเรียกว่าผิดปกติ?

รับฟังลูก อย่างไรให้เขาอยากเล่า และพูดอย่างไรให้ลูกฟัง

หมอขอตอบ!รวมคำถามคาใจ วัคซีนโควิด19เด็ก ฉีดดีไหม

ประโยชน์ของการ รักกันให้ลูกเห็น พ่อแม่ยิ่งรักกัน ยิ่งดีต่อใจลูก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม

ไขข้อข้องใจ!! คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม ?

คุณแม่มือใหม่โพสต์ถามคำถาม จนกลายเป็นประเด็นในโซเชียลมีเดียว่า คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม วันนี้ทีมแม่ ABK จะพามารู้จักพืชกระท่อมและหาคำตอบเรื่องนี้กันค่ะคุณแม่

ไขข้อข้องใจ!! คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม

ภายหลังจากที่ได้มีการปลดล็อกให้ “พืชกระท่อม” ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษอีกต่อไป โดยประชาชนสามารถปลูกพืชกระท่อมได้อย่างเสรี หรือจะบริโภคก็สามารถทำได้นั้น ทำให้คนทั่วไป หันมาบริโภคพืชกระท่อมกันอย่างกว้างขวาง จนเกิดประเด็นปัญหาเรื่อง คนท้องกินน้ำกระท่อม ขึ้นมา กรณีนี้เฟซบุ๊ก Anti-Fake News Center Thailand wfh โพสต์เตือนข่าวปลอม โดยระบุข้อความว่า ตามที่ได้มีการส่งต่อข้อความในสื่อออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง คนท้องสามารถดื่มน้ำกระท่อมได้ โดยไม่ส่งผลต่อสุขภาพแม่ หรือทารกในครรภ์ นั้น ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเป็นข้อมูลเท็จ

คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม
ไขข้อข้องใจ!! คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม

รู้จักพืชกระท่อมก่อนตอบคำถาม – คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม

กระท่อมเป็นไม้ยืนต้นที่พบมากในแถบภาคใต้ และภาคกลางของประเทศไทย อยู่คู่กับวิถีชาวบ้านของคนไทยมาช้านาน มีการใช้ใบกระท่อมมีหลายรูปแบบ เช่น บดเป็นผง ละลายน้ำดื่ม หรือเคี้ยวใบสด นิยมบริโภคแบบเคี้ยวใบสด เคี้ยวเหลือแต่กาก แล้วคายออก หรือเอาใบมาย่างให้เกรียม และตำให้ละเอียด ผสมกับน้ำพริก รับประทานเป็นอาหาร โดยชาวบ้านในสมัยก่อนที่ทำไร่ ทำสอน นิยมนำใบกระท่อมมาเคี้ยว เพื่อให้มีแรงทำงาน ทำงานได้นานขึ้น ทนแดดมากขึ้น กลางแจ้งได้เป็นเวลานาน โดยไม่รู้สึกเหนื่อย ซึ่งเป็นการใช้แบบวิถีชุมชน

กระท่อมกับสรรพคุณทางยา

นอกจากนี้ตามภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้าน ตัวใบกระท่อมเองนั้น ยังมีสรรพคุณทางยา นำส่วนของเปลือกและใบกระท่อมมาใช้เป็นยารักษาแก้ท้องร่วง ใช้เป็นยาแก้ปวดท้อง แก้บิด ช่วยรักษาอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อย ช่วยคลายเครียด คลายกังวล ทำให้นอนหลับ และระงับประสาท โดยเคี้ยวใบกระท่อมที่แกะก้านใบออก อาจกลืนหรือคายกาก แล้วดื่มน้ำตาม

สารอันตรายในใบกระท่อม

ใบกระท่อมนั้นไม่ได้มีประโยชน์เพียงด้านเดียว โทษของใบกระท่อม ก็มีมากมายเช่นเดียวกัน สำหรับสารเสพติดที่พบในใบกระท่อม คือ ไมทราไจนีน (Mitragynine) เป็นสารจำพวกอัลคาลอยด์ ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง (CNS depressant) เช่นเดียวกับยาเสพติดกลุ่มเดียวกัน เช่น psilocybin LSD โดยใบกระท่อมนั้นมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ออกฤทธิ์คล้ายแอมเฟตามีน หรือยาบ้า

ผลข้างเคียงจากใบกระท่อม

หากใช้มากเกินไป หรือใช้อย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดอาการผิดปกติได้หลายรูปแบบ เช่น

  • เบื่ออาหาร
  • ปากแห้ง
  • หนาวสั่น
  • ปัสสาวะบ่อย
  • ท้องผูก
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • นอนไม่หลับ
  • หวาดระแวง
  • เห็นภาพหลอน

คนท้องห้ามกินน้ำกระท่อม  มีผลต่อลูกในท้อง

พบข้อมูลรายงานการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับที่เกิดกับหญิงตั้งท้องและลูกในท้องที่ได้รับกระท่อมก่อนการคลอด โดยกลุ่มคุณแม่ท้องที่ใช้กระท่อมระหว่างตั้งครรภ์ 6 ราย ช่วงอายุ 37-39 ปี มีเหตุผลการใช้ที่ต่างกันออกไปตามวิจารณญาณของแพทย์ เช่น ใช้เพื่อการลดอาการปวด, ลดความวิตกกังวล, บรรเทาอาการถอนยากลุ่ม Opioid และใช้เพื่อมีผลคล้ายกลุ่ม Opioid โดยใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน เช่น บางรายดื่มชากระท่อมเป็นเวลา 3-4 ครั้งต่อวัน บางรายดื่มชากระท่อมเป็นประจำทุกวัน บางรายใช้กระท่อมเป็นประจำทุกวัน ขนาด 18 – 20 กรัม ฯลฯ พบว่าทั้งแม่และเด็ก มีอาการถอนยากระท่อม โดยอาการของคุณแม่ท้องที่มีอาการถอนยาจากกระท่อม จะแสดงอาการวิตกกังวล ขนลุกกระสับกระส่าย เหงื่อออกมากผิดปกติ

คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม
คนท้องห้ามกินน้ำกระท่อม มีผลต่อลูกในท้อง

อาการของทารกที่คลอดออกมา

นอกจากนี้พบอาการขาดยาในทารก (Neonatal Abstinence Syndrome : NAS) ที่คุณแม่ท้องใช้สารเสพติดประเภท เฮโรอีน และกลุ่มบรรเทาอาการปวดหรือยาแก้ปวด ทารกจะมีอาการหายใจหอบ เร็ว ถ่ายเหลว อาเจียน ตัวสั่น เกร็ง เป็นต้น ดังนั้น หากคุณแม่ท้องมีความประสงค์ใช้กระท่อม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เพื่อความปลอดภัยของตนเองและลูกน้อย

กระท่อมนับเป็นพืชที่มีประโยชน์และมีโทษ การจะบริโภคควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน คำตอบของคำถามที่ว่า คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหมนั้น ตอบได้ด้วยผลการทดลองที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ส่งผลเสียต่อคุณแม่และคุณลูกค่ะ ทั้งนี้ข้อมูลการศึกษายังไม่แน่ชัด และมีหลายปัจจัย หากมีความจำเป็นไม่ว่าจะด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้นะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

ไทยรัฐออนไลน์, Fascino

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

แจกสูตร เมนูอาหารคนท้อง 1-3 เดือน กินอย่างไรให้ลงลูก

 

ท่องเอาไว้! อาหารที่คนท้องไม่ควรกิน ห้ามกินเด็ดขาด

10 อาหารที่คนท้องควรกิน พร้อมเมนูอร่อยสำหรับแม่และลูก

 

ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ในเด็ก

อนุมัติแล้ว! ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ในเด็ก 6 ขวบขึ้นไป

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ไฟเขียวแล้ว ให้เด็กอายุ 6 ขวบ ขึ้นไป ฉีดวัดซีนป้องกัน โควิด – 19 ซิโนแวค ซิโนฟาร์มในเด็ก โดยไม่ต้องปรับขนาดยา

อนุมัติแล้ว! ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ในเด็ก 6 ขวบขึ้นไป ฉีดได้เลย

ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ในเด็ก
อย. ไฟเขียวแล้ว ให้เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไปฉีดวัดซีนป้องกันโควิด – 19 ซิโนแวค-ซิโนฟาร์ม ในเด็ก

ปัจจุบัน วัคซีนซิโนแวคและซิโนฟาร์ม ได้รับอนุญาตให้ใช้ในผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ต่อมา ได้มีการขอขยายอายุในช่วง 3-17 ปี เพิ่มขึ้น ซึ่งกรรมการผู้เชี่ยวชาญ ได้พิจารณาถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยแล้ว ได้อนุมัติให้ขยายอายุกลุ่มผู้ใช้ ตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป ส่วนในกรณีที่ต้องการให้ขยายช่วงอายุให้ครอบคลุมในกลุ่ม 3 – 5 ปี นั้น ทาง อย. ได้แจ้งให้ผู้รับอนุญาตทั้ง 2 ราย ส่งข้อมูลเพิ่มเติมโดยเร็วเพื่อพิจารณาต่อไป

ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ในเด็ก อายุ 6 ปีขึ้นไป ใช้ 0.5 มล.

จากการประเมินความปลอดภัย และประสิทธิภาพของวัคซีน พบว่าทั้งซิโนแวค – ซิโนฟาร์มที่เริ่มฉีดในต่างประเทศนั้น ได้เริ่มฉีดในผู้อายุ 12-17 ปี และอายุ 5-11 ปี ไล่ตามลำดับ ในไทยจึงมีข้อมูลชัดเจนในผู้ที่มีอายุ 6-17 ปี ทางผู้เชี่ยวชาญจึงมีความเห็นว่าควรใช้วัคซีนเริ่มต้นในเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไปก่อน โดยขนาดการใช้วัคซีนอยู่ที่ 0.5 มล. เท่ากันหมดทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนระยะการฉีดเข็ม 1 ห่างจากเข็ม 2 ประมาณ 21-28 วัน เท่ากับวัคซีนผู้ใหญ่เช่นกัน ที่เป็นเช่นนี้เนื่องจาก เมื่อศึกษาการใช้วัคซีนเชื้อตายในปริมาณเท่ากันตามระยะของอายุแล้ว พบว่า ใช้วัคซีนเท่ากันในเด็กและผู้ใหญ่ภูมิต้านทานไม่สูงมากกว่ากันเท่าไหร่

ความแตกต่างระหว่างอาการข้างเคียงในเด็กและผู้ใหญ่

สำหรับข้อกังวลที่ว่า หากใช้วัคซีนเด็กโดสเท่ากับผู้ใหญ่จะทำให้เด็กพบอาการข้างเคียงมากกว่าหรือไม่นั้น พบว่าจากข้อมูลในประเทศจีนซึ่งฉีดเด็กไปแล้วกว่า 235 ล้านโดส พบว่า มีความปลอดภัย ไม่มีปัญหามากกว่าผู้ใหญ่ อาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดก็ใกล้เคียงกัน คือ ปวดแขน เป็นไข้ ปวดเมื่อย ส่วนผลข้างเคียงรุนแรง นั้น ไม่ต่างกับวัคซีนอื่น ๆ แต่พบได้น้อยมาก

ความกังวลของผู้ปกครองเรื่องการฉีดวัคซีนโควิด – 19 ในเด็ก

ทาง อย. ยืนยันว่าหลังจากที่พิจารณาผลการศึกษาที่เกิดจากการฉีดในเด็กที่อายุ 6 ขวบขึ้นไปแล้ว พบว่าปลอดภัย มีผลข้างเคียงน้อย คล้ายคลึงกับผลข้างเคียงที่เกิดกับผู้ใหญ่ การฉีดวัคซีนเชื้อตายนั้น ก็เหมือนกับเอาเชื้อที่อ่อนฤทธิ์มาสร้างภูมิต้านทาน ในร่างกาย ดังนั้น การจะรับวัคซีนเข้าไปมากหรือน้อยก็ไม่มีผลในเรื่องของการกระตุ้นภูมิต้านทาน ส่วนสารที่เป็นองค์ประกอบก็มีปริมาณเท่ากับที่ใส่ในวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จึงไม่เป็นอันตราย

ซิโนแวค-ซินโนฟาร์ม ในเด็ก
เด็ก 6 ขวบขึ้นไป สามารถฉีดวัคซีนซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ได้แล้ว

เด็ก 5-11 ปีติดเชื้อเพิ่ม 6% ในการระบาดระลอกใหม่

สำหรับข้อมูลการติดเชื้อโควิด – 19 ของเด็กในแต่ละช่วงอายุที่รวบรวมมานั้น มีดังนี้ค่ะ

ข้อมูลเด็กติดโควิดช่วงอายุ 5-11 ปี

  • ช่วงเม.ย.-31 ธ.ค.64 จำนวน 123,403 คน
  • ช่วง ม.ค.-2 ก.พ.65 ติดเชื้อสะสม 13,600 คน

ข้อมูลเด็กติดโควิดช่วงอายุ 12-17 ปี

  • ช่วงปี 64 ติดเชื้อสะสม 111,952 คน
  • ช่วงม.ค.-2 ก.พ.65 ติดเชื้อสะสม 10,226 คน

จากข้อมูลพบว่ากลุ่มเด็กที่ติดโควิดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มอายุ 5-11 ปีเพิ่มขึ้น 6 % ส่วนกลุ่มอายุ 12-17 ปีติดเชื้อ 5.6 % ถ้าเทียบช่วงเม.ย.64 ที่ติดเชื้อแค่ 1 %

ในสถานการณ์ที่เด็ก ๆ ติดเชื้อโควิด – 19 มากขึ้นและติดได้ง่ายขึ้น การมีวัคซีนที่ปลอดภัยและผ่านการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วก็จะเป็นทางเลือกมาฉีดให้เด็ก ๆ ได้มากขึ้นค่ะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก
ThaiPBS ,PPTV HD

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

หมอขอตอบ!รวมคำถามคาใจ วัคซีนโควิด19เด็ก ฉีดดีไหม

14 เรื่อง คุณแม่ต้องรู้ ก่อนฉีด วัคซีนเด็กไฟเซอร์

รู้ไว้ก่อนฉีด!อาการข้างเคียงวัคซีน ไฟเซอร์เด็ก ฝาส้ม

วัคซีนโควิด19เด็ก

หมอขอตอบ!รวมคำถามคาใจ วัคซีนโควิด19เด็ก ฉีดดีไหม

วัคซีนโควิด19เด็ก กับคำถามสารพันจากพ่อแม่ คุณหมอรวบรวมไว้ตอบชัดทุกข้อสงสัย เคลียร์ข้อกังวล ให้พ่อแม่ตัดสินใจว่าควรฉีดวัคซีนให้กับลูกดีหรือไม่

หมอขอตอบ!รวมคำถามคาใจกับ วัคซีนโควิด19เด็ก ฉีดดีไหม?

ถึงแม้ในปัจจุบัน มนุษย์เราจะอยู่ร่วมกับไวรัสโคโรน่า โควิด-19 มาร่วม 2 ปีแล้ว แต่เจ้าเชื้อไวรัสยังคงไม่ได้หายไป การป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องป่วยด้วยไวรัสโควิด-19 นั้น ยังคงเป็นแนวทางหลักในการดูแลตนเอง การใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างระหว่างกัน และที่สำคัญ คือ การได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ยังคงจำเป็นในการใช้ชีวิตในปัจจุบันนี้
วัคซีนโควิด19เด็ก เป็นวัคซีนที่เพิ่งได้รับการอนุมัติให้เด็กอายุ 5-11 ปีได้รับเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน เนื่องจากพบว่าเชื้อไวรัสโควิด19 นั้นมีการกลายพันธุ์จากเดิมที่ไม่ทำอันตรายต่อเด็กมากนัก หรือหากมีการติดเชื้อก็จะไม่ป่วยรุนแรงในเด็ก การกลายพันธุ์นี้ส่งผลให้มีเด็กติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น และมีสถิติเด็กป่วยที่มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตเพิ่มมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
วัคซีนโควิด19เด็ก จำเป็นไหม
วัคซีนโควิด19เด็ก จำเป็นไหม

วัคซีน Covid สำหรับเด็กอายุ 5 -11 ปี จำเป็นหรือไม่??

ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 มีเด็กประมาณ 1.5 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งจำนวนเด็กที่ติดเชื้อมีมากกว่า 20% ของผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ แสดงให้เห็นถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนที่เริ่มไม่ปลอดภัยสำหรับเด็ก การฉีดวัคซีนจะช่วยให้เด็กปลอดภัยขึ้น ในขณะที่อยู่ในโรงเรียน หรือไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนและครอบครัว วัคซีนจะช่วยให้เด็กมีแนวโน้มป่วยหนัก เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล หรือเสียชีวิตน้อยลงมาก การทดลองทางคลินิกได้พิสูจน์แล้วว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันในเด็กเล็ก

สำหรับประเทศไทยได้อนุมัติให้มีการฉีดวัคซีนโควิด19เด็กเช่นกัน โดยทางกระทรวงสาธารณสุขได้วางไทม์ไลน์การฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก โดยให้เด็กได้รับวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็ก 5-11 ปี (วัคซีนไฟเซอร์ฝาส้ม) วางแผนเริ่มฉีดวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565นี้ เริ่มจากเด็กในกลุ่มโรคเรื้อรังก่อน จากนั้นจัดสรรให้เด็กนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในทุกจังหวัดเป็นอันดับแรก และจัดสรรให้นักเรียนชั้นปีอื่นถัดไปตามลำดับ

แม้ว่าจะได้รับการยืนยันรับรองจากทั้งทางกระทรวงสาธารณสุข หรือทาง อย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) มาแล้วก็ตาม แต่ความกังวลใจของพ่อแม่ ผู้ปกครองต่อวัคซีนโควิด19สำหรับเด็กนี้ ก็ยังคงมีอย่างมากมาย ล้นหลาม วันนี้ทาง ทีมแม่ ABK จึงได้ทำการขออนุญาตนำคำตอบบางส่วนของคุณหมอวัฒนพงศ์ สุภมงคลชัยกุล นายแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ที่ได้ทำการรวบรวมคำถามคาใจคุณพ่อคุณแม่มาตอบให้คลายกังวล เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจให้บุตรหลาน ดังนี้

  • ก่อนเริ่มคำถาม มาทำความรู้จักกับวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) สำหรับเด็ก 5-11 ปี กันก่อน 

วัคซีน Pfizer สำหรับเด็ก(วัคซีนไฟเซอร์ฝาสีส้ม) ก็คือ ตัวเดียวกับของผู้ใหญ่เพียงแต่ว่าลดขนาดลงจาก 30 ไมโครกรัม เหลือเพียง 10 ไมโครกรัม เนื่องจาก วิจัยแล้วพบว่า ขนาด 10 ไมโครกรัม เพียงพอต่อการสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อโควิคในเด็กแล้ว เมื่อใช้ขนาดยาลดลง ก็จะทำให้มีผลข้างเคียงลดลงอีกด้วย แต่เนื่องจากขนาด 10 ไมโครกรัมมีปริมาณน้อยมากทำให้มีปัญหาเรื่องการดูดยาให้ตรงตามปริมาณที่เหมาะสม ทางบริษัท Pfizer ก็เลยเปลี่ยนตัวBuffer ที่อยู่ในตัววัคซีนเพื่อทำให้ดูดได้ง่ายขึ้น และเก็บในตู้เย็นได้นานขึ้นจาก 4สัปดาห์ เป็น 10 สัปดาห์และ เพื่อป้องกันความสับสนกับของผู้ใหญ่จึงเปลี่ยนสีฝาขวดเป็น สีส้ม ดังนั้น วัคซีน Pfizer ของเด็ก อายุ5-11 ปี ฝาจะเป็นสีส้ม

Question 1. ไม่ฉีด Vaccine ได้ไหม ให้เด็กระวังตัวเอา ไม่ติดเชื้อหรอก
  • อย่างที่ทุกคนทราบมาตรการป้องกันส่วนบุคคล ทั้งเรื่องของการใส่หน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ สำหรับเด็กเล็กแล้วตามธรรมชาติของเขามีแนวโน้มที่ ที่จะให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ ทำให้เด็กมีความเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าผู้ใหญ่ โชคดีที่ก่อนหน้านี้เราพบว่าการติดเชื้อในเด็กมักจะไม่รุนแรง ยกเว้นในเด็กที่มีโรคประจำตัว แต่จากเชื้อ omicron ที่มีความสามารถในการแพร่กระจาย และติดเชื้อได้สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เมื่อติดเชื้อเยอะก็ย่อมมี จำนวนเด็กป่วยหนักหรือเสียชีวิตเยอะขึ้น

    มาตราการป้องกันโควิด19 ล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัยเพียงพอหรือไม่
    มาตราการป้องกันโควิด19 ล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัยเพียงพอหรือไม่

Question 2. ติดก็ไม่เป็นอะไร covid รักเด็ก เอ็นดูเด็กอยู่แล้ว /อัตราการป่วยหนัก เสียชีวิตในเด็กที่ติดเชื้อโควิด19 มีน้อยไม่น่าอันตราย

  • จากข้อมูลการระบาดระลอกใหม่ของสหรัฐอเมริกาพบว่า มีจำนวนผู้เสียชีวิตที่เป็นเด็กสูงขึ้น ณ ปัจจุบัน การระบาดของไวรัสโอมิครอนได้คร่าชีวิตเด็กชาวอเมริกันไปมากกว่า 1,000 ราย โดยโอกาสเสียชีวิตจากโควิด อยู่ที่ประมาณ 1 ใน 2-4 หมื่นคน ซึ่งสูงกว่าโอกาสเสียชีวิต จากการฉีด Vaccine จากข้อมูล จะพบว่าโอกาสเสียชีวิตจากติดเชื้อโควิด = 1 ใน 2-40000 คน เทียบกับโอกาสเสียชีวิตจาก วัคซีน Pfizer = 1 ใน 1.8 ล้านคน

Question 3. อยากทราบผลแทรกซ้อน และความผิดปกติในระยะยาวหลังเด็กติด covid-19

  • Covid ทำให้เกิดอันตรายแก่เด็กที่ติดเชื้อได้ใน  3 ระยะ คือ
  1. ระยะที่ยังมีเชื้อในร่างกายลงปอด และทำลายอวัยวะต่าง ๆ อันนี้ตรงตัว แม้ว่าเด็กมีโอกาสเกิดโรครุนแรง และเสียชีวิต น้อยกว่าผู้ใหญ่ แต่การฉีดวัคซีนก็ช่วยลดโอกาสในการป่วยหนักได้มากกว่าไม่ฉีดวัคซีนอย่างชัดเจน นอกจากนั้นยังพบว่าในเด็กที่ติดโควิด-19 มีโอกาสในการเป็นเบาหวานมากขึ้น 2.66 เท่าเมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ติดโควิด
  2. Long covid syndrome แม้ว่าเชื้อจะตาย แต่ก็อาจจะยังฝากรอยแผลไว้ในร่างกาย ทำให้ยังคงมีอาการผิดปกติ หลงเหลืออยู่ซึ่งพบบ่อยกว่าในผู้ป่วยที่อาการหนัก แต่ผู้ป่วยที่อาการป่วยน้อยก็พบได้ อาการ Long covid syndrome ที่พบในเด็ก ได้แก่ การรับรู้ การดมกลิ่นผิดปกติจนมีผลต่อการรับประทานอาหารของเด็ก  อ่อนเพลีย ปวดข้อ ไม่มีแรง มึนงง สมองตื้อ อาจส่งผลต่อทั้งพัฒนการการเจริญเติบโต และการเรียนรู้ได้
  3. MIS-C คือ ภาวะการอักเสบทั่วร่างกายหลังหายป่วยจากโควิด-19 พบว่า มีเด็กกลุ่มหนึ่งหลังจากที่ติดโควิดจนหายไม่เหลือเชื้อในร่างกายแล้ว แต่ยังมีอาการแทรกซ้อนตามหลังการติดเชื้อ ประมาณ 2-6 สัปดาห์ อาการแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เนื่องจาก ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ ไปทำลายร่างกาย และอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ โดยมีอัตราเข้ารักษาใน ICU (61%) และอัตราตายที่สูงประมาณ 2%

ดังนั้น ไม่ว่าจะเด็กแข็งแรง หรือไม่แข็งแรง จะป่วยหนัก หรือป่วยน้อย ก็มีโอกาสเจอภาวะแทรกซ้อนกันถ้วนหน้า

หลากหลายคำถามจากพ่อแม่เกี่ยวกับวัคซีนเด็ก
หลากหลายคำถามจากพ่อแม่เกี่ยวกับวัคซีนเด็ก

Question 4. การฉีดวัคซีนจะช่วยลดอะไรได้บ้าง และมีประสิทธิภาพขนาดไหน

  • คุณหมอได้อธิบายโดยอ้างอิงงานวิจัยที่มีแหล่งที่มาของข้อมูลไว้ โดยขออธิบายวัคซีนที่ผ่านการอนุมัติให้ใช้ในเด็ก 5-17 ปีในประเทศไทย คือ Pfizer ผลการศึกษาสรุปได้ว่า
  1. ขนาดยาที่เหมาะสมกับเด็ก 5-11 ปี คือ 10 ug
  2. จากการศึกษาเด็กจำนวน 2285 คน ไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการฉีดวัคซีน มีเพียงอาการปวดบวมแดงร้อนเฉพาะที่ ปวดเมื่อยตัว ปวดหัว มีไข้ ซึ่งมักจะหายเองภายใน 1-2 วัน
  3. เมื่อวิเคราะห์ถึงประสิทธิภาพของวัคซีน เทียบกับกลุ่มที่ได้วัคซีนหลอก พบว่าวัคซีน Pfizer 10 ug มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อ(เดลต้า) ได้สูงถึง 90.7 เปอร์เซ็นต์ และสามารถกระตุ้นภูมิได้สูงโดยมีระดับ Neutralizing Ab ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ที่ฉีด 30ug ครบ 2 dose
  4. ผลการฉีด vaccine ต่อ โอกาสการเกิด long covid syndromeไม่มีข้อมูลในเด็ก แต่ข้อมูลในผู้ใหญ่ พบว่า คนที่ได้รับ vaccine ครบ 2 เข็มลดโอกาสการเกิด long covid syndrome ได้ถึง 50%
  5. ผลการฉีด vaccine ต่อ โอกาสการเกิด MIS-C พบว่า การฉีดวัคซีน Pfizer 2 เข็มในเด็กวัยรุ่น (12-18ปี) สามารถป้องกันได้สูงถึง 91% แถมยังช่วยให้ไม่เกิดอาการป่วยหนักจาก MIS-C อีกด้วย

Question 5. กังวลใจกับ Vaccine m-RNA ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ไม่เหมาะกับเด็กเล็กหรือไม่ ในระยะยาว อาจจะเกิดเป็นมะเร็งเพราะ DNA เปลี่ยนอย่างที่เขาลือกันหรือไม่

วัคซีนโควิด19เด็ก ช่วยให้ไม่ป่วยอาการรุนแรง
วัคซีนโควิด19เด็ก ช่วยให้ไม่ป่วยอาการรุนแรง
  • สำหรับผลข้างเคียงของวัคซีน mRNA  มีข้อมูลของกรมควบคุมโรคของ USA พบว่าฉีดวัคซีนPfizer ให้เด็กอายุ 5-11 ปี ไปแล้ว 7.1 ล้านโดส ประมาณคร่าวๆ ก็ 3.6 ล้านคน มีเด็กเอเชีย อยู่ 7 % (2.5 แสนคน) พบว่าผลข้างเคียง มักจะเกิดในช่วง 3 วันแรก อาการรุนแรง 81 คน ไม่รุนแรง 3150 คน เสียชีวิต 2 คน (โดยเป็นเด็กที่มีภาวะสมองพิการ ชัก สุขภาพที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วก่อนจะฉีดวัคซีน) โดยอาการรุนแรงที่เจอ เป็นพวก ไข้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (และทุกรายรักษาหายทุกคน) โดยสถิติการเจอกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากการฉีดวัคซีนแค่ 1.25 คน/ล้านโดส เมื่อเทียบกับติดเชื้อโควิดมีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ 1500 : 1 ล้านคน และ ไม่มีเด็กที่แข็งแรงดี เสียชีวิตหลังจากฉีดวัคซีน แม้แต่คนเดียว
  • สำหรับ m-RNA ไปเปลี่ยน DNA นั้น ณ ขณะนี้ เราฉีด m-RNA ไปแล้วทั่วโลก มากกว่า 2 พันล้านโดส มีการติดตามผลข้างเคียง จากประเทศทาง Europe และ US มาประมาณ 18 เดือน ยังไม่พบข้อมูลที่ทำให้ DNA เปลี่ยนแปลงไป และถ้าดูจากกลไกการออกฤทธิ์ของ vaccine m-RNA จะพบว่า เมื่อ m-RNA เข้า cell แล้ววิ่งไปที่ โรงงานผลิตหนาม โดยที่ไม่เข้า Nucleus ที่มี DNA ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสเปลี่ยน DNA ได้ครับ และ mRNA ที่เข้าไปจะถูกสลายตามกระบวนการปกติของร่างกายอยู่แล้ว เพราะ ร่างกายเรา เวลาจะผลิตโปรตีนอะไร ก็ต้องผ่านการสร้าง mRNA อยู่แล้ว สำหรับผลข้างเคียงระยะยาว 3-10 ปี เป็นประเด็นเดียวที่ไม่สามารถตอบได้ ณ ขณะนี้เนื่องจากมีข้อมูลไม่เพียงพอ เพราะต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ถ้าจะรอให้มีข้อมูลที่ชัดเจนก่อน เด็กอาจจะติดโควิดจนเกิดผลเสียตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น

ข้อแนะนำจากคุณหมอ : สำหรับคนที่กังวลเกี่ยวกับเรื่องของผลข้างเคียงระยะยาวก็อาจจะเลือกฉีดวัคซีนเชื้อตาย เช่น ชิโนฟาร์มที่มีรายงาน Phase 1-2 และอนุมัติใช้แล้วในหลายประเทศ ทั้งจีน บาห์เรน ชิลี กัมพูชา แต่ไม่มีข้อมูล Phase 3 และข้อมูลการใช้งานจริงว่าได้ผลหรือไม่ในเด็ก และไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของการลดโอกาสในการเกิด Long covid และ MIS-C ได้หรือไม่

Question 6. ปิดแต่โรงเรียน แล้วเด็กจะได้เรียนเมื่อไร การเรียนรู้ของเด็ก ก็สำคัญนะ

  • โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เป็นช่วงเวลาวัยทองในการศึกษาเรียนรู้ทักษะในด้านต่าง ๆ ทั้งกีฬา ดนตรี มนุษยสัมพันธ์กับเพื่อนในวัยเดียวกัน ซึ่งการเรียนทางออนไลน์ไม่สามารถตอบสนองให้ได้ ดังนั้นการให้เด็กฉีดวัคซีน จะทำให้เด็กสามารถกลับมาเรียนได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมมากพอ โอกาสเกิดการระบาดในวงกว้างก็จะลดลง เด็กก็จะได้กลับมาใช้ชีวิตในโรงเรียนได้เหมือนเดิม

    ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากเพจคุณหมอ
    ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จากเพจคุณหมอ

ความจำเป็นที่เด็กอายุ 5-11 ปีต้องได้รับวัคซีนนั้น ประโยชน์หลัก ๆ อาจจะไม่ใช่เรื่องของการลดความรุนแรงของโรค แต่เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อโควิด19 และทำให้เด็กสามารถกลับมาเรียนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดโอกาสในการเรียนรู้ทักษะที่จำเป็นสำหรับวัยของเขา และหากว่าเมื่อโควิด19 เป็นโรคประจำถิ่น วัคซีนก็จะช่วยป้องกันร่างกายของลูกไปได้ตลอดทั้งชีวิตอีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก คุณหมอวัฒนพงศ์ สุภมงคลชัยกุล นายแพทย์ชำนาญการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์
บทความเป็นเพียงบางส่วนของข้อมูลที่คุณหมอเขียนให้ความรู้ไว้ สามารถอ่านฉบับเต็มได้ที่
www.facebook.com/watthanapong.suphamongkholchaikul

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ติดโควิด 5 วิธีกักตัวที่บ้าน ดูแลตัวเองและลูกๆ ระหว่างรอเตียง

ใครจะได้ฉีด วัคซีนไฟเซอร์เด็ก ล็อตแรก?

9 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก บั่นทอนจิตใจลูกถึงโต!

รับฟังลูก อย่างไรให้เขาอยากเล่า และพูดอย่างไรให้ลูกฟัง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พยาธิปอดหนู

เตือนภัย พยาธิปอดหนู ขึ้นตา ทำตาบอด

อุทาหรณ์ เตือนภัยสำหรับคุณแม่ที่ชอบของดิบ หรือของสุก ๆ ดิบ ๆ เพราะอันตรายถึงขั้นตาบอดได้ จากเหตุ พยาธิปอดหนู ขึ้นตาค่ะ

เตือนภัยพยาธิปอดหนู ขึ้นตา ทำตาบอด

แพทย์โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้พบผู้ป่วยโรคพยาธิปอดหนู ขึ้นตา จากการรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เป็นประจำ โดยเฉพาะ ‘กุ้งแช่น้ำปลา’ ทำให้ข้าราชการสาววัย 40 ปี ถึงกับตาบอด โดยเป็นผู้ป่วยรายแรกของ จ.พิษณุโลก ส่วนทั่วโลกพบผู้ป่วยจากพยาธิปอดหนูไม่เกิน 50 ราย และพบมากที่สุดในภาคอีสานของประเทศไทยค่ะ

พยาธิปอดหนู ขึ้นตา เริ่มจากตาพร่ามัว

จักษุแพทย์เจ้าของไข้ เล่าในการแถลงข่าวว่า คนไข้เป็นหญิงอายุ 40 ปี อาชีพข้าราชการ เข้าพบหมอด้วยอาการตาพร่ามัวข้างเดียวมาประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ยังไม่พบสาเหตุ จึงได้นัดทำการตรวจตาอย่างละเอียดในอีก 3 สัปดาห์ต่อมา ด้วยวิธีการขยายม่านตา ในที่สุดก็พบว่าตามีการอักเสบ และพบพยาธิในวุ้นตา จึงรักษาด้วยการให้ยาฆ่าพยาธิ และยาลดอักเสบ จากนั้นได้ทำการผ่าตัดโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จึงสามารถนำพยาธิออกมาจากตาได้ ก่อนจะส่งตรวจจนพบว่าพยาธิที่พบ เป็น ‘พยาธิปอดหนู’ ความยาวประมาณ 0.5 ซม.

พยาธิปอดหนู
อุทาหรณ์ เตือนภัยพยาธิปอดหนู ขึ้นตา

ขอบคุณภาพจาก โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร

หลังผ่าตัดตาบอดสนิท

หลังผ่าตัดนำพยาธิออกจากตาเรียบร้อยแล้ว ก็พบว่าตาข้างขวาของผู้ป่วยไม่สามารถมองเห็นได้อีก เนื่องจากตัวพยาธิได้ชอนไชไปยังจอประสาทตา ทำให้จอประสาทตาอักเสบเป็นหนอง ได้รับความเสียหาย จึงทำให้ตาบอดสนิท ซึ่งหลังจากนี้แพทย์ยังได้ทำการนัดรักษาต่อเนื่อง เพื่อเช็คร่างกายอย่างละเอียดว่า มีพยาธิในตำแหน่งอื่นของร่างกายอีกหรือไม่

พยาธิปอดหนูขึ้นตาครั้งแรกของโลกก็ที่ไทย

จากสถิติเกี่ยวกับพยาธิปอดหนูขึ้นตา มีรายงานว่า เคยพบผู้ป่วย ‘พยาธิปอดหนู’ ขึ้นตาครั้งแรกของโลก ในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.2505 และทั่วโลกมีการรายงานพบผู้ป่วยด้วยโรนี้ไม่เกิน 50 ราย และพบมากที่สุดในไทย เป็นผู้ป่วยจากภาคอีสาน ซึ่งรายงานโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่นจำนวน 18 ราย

ทำไมจึงเรียกว่าพยาธิปอดหนู

พยาธิปอดหนูเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “พยาธิหอยโข่ง” พยาธิชนิดนี้เป็นพยาธิตัวกลมที่มีชื่อว่า “แองจิโอสตรองจิลัส แคนโทเนนซิส” (Angiostrongylus cantonensis) สาเหตุที่เรียกว่า ‘พยาธิปอดหนู’ เพราะ พยาธิตัวเต็มวัยทั้งสองเพศ จะอาศัยอยู่ในหลอดเลือดแดงของปอดหนู พยาธิตัวเมียจะออกไข่ในหลอดเลือดแดง และฟักตัวเป็นตัวอ่อน ระยะที่ 1 ปนออกมากับมูลหนู เมื่อตัวอ่อนไชเข้าหอยทาก หรือหอยน้ำจืด เช่น หอยโข่ง หอยขม หอยเชอรี่ กุ้งน้ำจืด ปลาน้ำจืด แล้วจะเจริญเป็นตัวอ่อนระยะติดต่อ ในระยะนี้หากคนรับประทานอาหารปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ พยาธิจะเข้าสู่ระบบประสาท เช่น สมอง ไขสันหลัง หรือตา ฯลฯ

พยาธิปอดหนู
พยาธิปอดหนู

ขอบคุณภาพจาก โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร

อาการที่เกิดจากพยาธิปอดหนูเข้าร่างกาย

อาการเจ็บป่วย จะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่พยาธิอยู่ เช่น เคสของคนไข้รายนี้ที่ตัวพยาธิขึ้นตาจึงทำให้เกิดอาการที่พบบ่อยคือตามัวลงแบบเฉียบพลัน ไม่มีอาการปวด หรือเคืองตาแต่อย่างใด ซึ่งจากการซักประวัติของผู้ป่วยพบว่ามีประวัติชอบทานอาหารสุกๆ ดิบๆ บ่อยครั้ง โดยเฉพาะกุ้งน้ำจืด ที่ทานเมนู ‘กุ้งแช่น้ำปลา’ เป็นประจำ

นอกจากนี้ ยังทําให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้อีกด้วย โดยระยะฟักตัวของการแสดงอาการกินเวลาประมาณ 7-30 วัน หลังจากที่ได้รับระยะติดต่อ อาการเริ่มแรกจะมีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ปวดศีรษะ คอแข็ง บางรายมีอาการตาพร่ามัวเนื่องจากพยาธิมีการเดินทางเข้าตา นอกจากนี้ยังมีอาการเกร็งตามกล้ามเนื้อ สูญเสียการทรงตัว บางรายรุนแรงถึงเป็นอัมพาตและเสียชีวิตได้ ส่วนความรุนแรงของโรคพยาธิปอดหนูจะมากน้อยขึ้นอยู่กับจํานวนพยาธิที่ได้รับเข้าไป และการตอบสนองของร่างกายต่อพยาธิ

ป้องกันตัวเองจากพยาธิปอดหนู

วิธีการป้องกันไม่ให้เป็น โรคพยาธิปอดหนู คือควรล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร หยุดรับประทานอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ให้รับประทานเฉพาะอาหารที่ปรุงสุกและสด สะอาดเท่านั้น เพราะพยาธิที่อาศัยอยู่ตามสัตว์น้ำจืด เมื่อเข้าสู่ร่างกายอาจเป็นอันตรายเหมือนผู้ป่วยเคสนี้ที่ต้องสูญเสียการมองเห็นจากดวงตาข้างขวาไป 1 ข้าง เพียงเพราะชอบอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ และหากพยาธิเข้าไปอยู่ตามจุดสำคัญในร่างกาย เช่น ระบบประสาท สมอง ไขสันหลัง อาจจะถึงขั้นรุนแรงถึงเสียชีวิตได้นะคะ

ทีมแม่ ABK อยากให้คุณแม่ทุกท่านระมัดระวังตัวเองจากอาหารการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงนะคะ เพราะผลที่เกิดจากพยาธิปอดหนูนั้นอันตรายมากจริง ๆ ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, MGR Online

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อุทาหรณ์ เด็กจมน้ำ อุบัติเหตุอันดับต้น ๆ ที่เกิดกับลูกหลาน

อุทาหรณ์ เด็กติดในรถ! แนะวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น ช่วยลูกรอดในนาทีฉุกเฉิน

เตือนภัยแม่! ระวัง แกงค์มิจฉาชีพ แฝงมากับโทรศัพท์

ถูกยายหยิก

ลูก 3 ขวบบอกว่า ถูกยายหยิก เชื่อใครดีคะ…คุณหมอ?

ลูก 3 ขวบเศษ โทรมาร้องไห้บอกว่า “ถูกยายหยิก” แต่พอโทรกลับไปหาคุณยาย คุณยายบอกว่า “ไม่ได้หยิก เพียงทำท่าจะตี” คุณแม่ตกใจโอ๊ย…. อกคุณแม่จะแตก ถามว่า “จะเชื่อใครดีระหว่างแม่ตัวเองกับลูกของตน”

รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ได้ให้คำแนะนำ ไว้ดังนี้

โดยคุณหมอพงษ์ศักดิ์ เล่าว่า…

คงเป็นเรื่องตัดสินใจยากนะครับ สำหรับคนที่อยู่ตรงกลาง แต่ในความเป็นจริงไม่ว่าคุณแม่เลือกที่จะเชื่อใคร ก็คงต้องมีคนใดคนหนึ่ง ระหว่างลูกและคุณยายที่พูดไม่ตรงกับความเป็นจริง ที่เราเรียกกันว่า “พูดไม่จริง พูดปด หรือ โกหก” แล้วแต่ใครจะเรียกให้ฟังดูรุนแรงกว่ากัน คนที่ถูกตัดสินว่า พูดไม่จริงคงเสียใจ ขณะที่คนซึ่งถูกตัดสินว่าพูดจริง คงกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่า “เห็นไหมในที่สุด ฉันก็ชนะ” โดยที่คุณแม่เองไม่มีทางทราบได้เลยว่า เรื่องจริง คือ อะไร เว้นแต่ทั้งสองคนจะพูดไปในทิศทางเดียวกัน เพราะ คุณแม่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ไม่จำเป็นต้องตัดสินว่า ใครถูก? ใครผิด?

มาถึงตรงนี้ คุณแม่ลองทบทวนดูนะครับว่า ถ้าเราต้องการคำตอบว่า ใครถูก ใครผิด จะได้ประโยชน์อะไรมากน้อยเพียงไร หรือเราไม่จำเป็นต้องเชื่อใคร โดยไม่ต้องตัดสินว่า ใครพูดจริง ใครพูดไม่จริง แต่นำข้อมูลที่เราได้รับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาลูกของเรา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเพื่อส่งเสริมทักษะแต่ละด้านหรือพัฒนา Power BQ ความสามารถที่เพิ่มพลังให้กับลูกในยุคนี้ ที่ผมเคยเล่าให้ฟังมาก่อนหน้านี้แล้ว  รวมทั้งเพื่อส่งเสริมการใช้ชีวิตร่วมกันในครอบครัวที่เรียกว่า การส่งเสริมทักษะทางสังคมที่ดีซึ่งเป็นหนึ่งใน Power BQ นั่นเองครับ

หาทางส่งเสริมพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ของลูกแทนดีกว่า

นี่คงเป็นหนึ่งในตัวอย่างการใช้ชีวิตรอบตัวที่เราสามารถนำมาพัฒนาต่อยอดให้กับลูกได้มากมายโดยไม่ต้องตัดสินว่า ใครพูดจริง ใครพูดไม่จริง

เช่น เมื่อลูกมาเล่าว่า ถูกยายหยิก คุณแม่ลองพูดคุยกับลูกดีไหมครับว่า

  • “คุณยายหยิกหนูตรงไหน”
  • “หนูเจ็บไหม”
  • “หนูรู้สึกอย่างไร”
  • “ทำไมคุณยายถึงหยิกหนู”
  • “หนูทำอะไรให้คุณยายไม่พอใจ”
  • “ถ้าหนูไม่อยากให้คุณยายหยิก หนูควรทำอย่างไรดี”

จากคำถามสั้นๆ ง่ายๆ ที่เหมาะสมกับวัย สามารถส่งเสริมให้ลูกได้พัฒนาทั้งทักษะทางภาษา อีคิว ทักษะทางปัญญา เรียกว่าส่งเสริมลูกได้อย่างรอบด้านของ Power BQ เลยนะครับ

เป็นแบบอย่างที่ดีในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากคำถามเพื่อฝึกให้ลูกได้ทบทวนเหตุการณ์ ฝึกทักษะการสื่อสารโต้ตอบ ทักษะการคิดวิเคราะห์ หรือทักษะสำคัญอื่นแล้ว คุณแม่ยังสามารถส่งเสริมให้ลูกเรียนรู้ผ่าน การเป็นแบบอย่างที่ดีในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยนะครับ เช่น แสดงอาการตอบสนองความไม่พอใจที่มีต่อคุณยายของลูกด้วยท่าทีที่สงบ ไม่แสดงออกเหมือนกระต่ายตื่นตูม หรือตัดสินถูกผิด ซึ่งจะเป็นแบบอย่างของการควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่ดีหรืออีคิว

การฝึกฝนทักษะเหล่านี้ ไม่ได้แตกต่างจากการส่งเสริมพฤติกรรมพึงประสงค์และการตอบสนองต่อพฤติกรรมไม่พึงประสงค์อื่นเลยนะครับ เมื่อลูกบอกเรา จะเชื่อหรือไม่เชื่อ คงไม่ใช่ประเด็นสำคัญมากไปกว่า การนำเรื่องราวมาฝึกฝนพัฒนาทักษะของลูก คุณแม่จะเห็นได้ว่า การซักถามลูก เมื่อลูกเล่าได้รู้เรื่อง เรียบเรียงเรื่องราวได้ดี ก็ชื่นชมสิ่งที่เขาทำ

  • “หนูเก่งมากเลยที่เล่าเรื่องราวให้แม่เข้าใจได้”
  • “หนูเก่งมากเลยที่บอกความรู้สึกของหนูให้แม่ฟังได้”
  • “หนูเก่งมากเลยที่หนูควบคุมตัวเองได้ ไม่หยิกคุณยายคืน”

ลูกจะเรียนรู้ว่า พฤติกรรมที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีและพึงประสงค์สำหรับคุณแม่ เขามีโอกาสรักษาทักษะด้านนั้นไว้ได้มาก และพัฒนาตัวเองให้เก่งในทักษะด้านนั้นให้มากขึ้น

วิธีพูดให้ลูกทำตาม

ถ้าลูกทำได้ไม่ดีคุณแม่ก็สังเกตให้ได้ว่า ลูกทำได้ไม่ดีตรงไหน ทำไมยังทำได้ไม่ดี มีอะไรที่จะพัฒนาต่อยอดต่อไปได้ด้วยวิธีอย่างไร เช่น เขายังอธิบายเรื่องราวได้ไม่ปะติดปะต่อ

  • ถ้าเหมาะสมกับวัยที่ยังทำได้ไม่ดีนัก ก็ให้โอกาสเขาทำซ้ำให้บ่อยครั้ง อีกไม่นานเขาก็มีโอกาสพัฒนาต่อยอดได้ไม่ยาก
  • หากทักษะที่เขามีดูล่าช้ากว่าวัย ก็อาจหาวิธีช่วยที่มากขึ้นเข้มข้นขึ้น เพื่อให้เขาพัฒนาได้ใกล้เคียงเด็กคนอื่นในรุ่นราวคราวเดียวกัน เช่น ทำให้ดูเป็นแบบอย่าง ชี้ชวนให้ดูเวลาเห็นผู้อื่นปฏิบัติอย่างเหมาะสม สร้างสถานการณ์จำลองให้ลูกฝึกปฏิบัติจากง่ายไปยาก  หรือแม้แต่ผ่านการเล่นด้วยกันไม่ว่าจะมีของเล่นหรือไม่ เมื่อทำได้ก็เสริมแรงด้วยคำชม หรือรางวัลเล็กน้อยที่ไม่มากเกินไป

สิ่งสำคัญนอกจากการวางแผนและใช้วิธีที่ดีในการส่งเสริมแล้ว คุณแม่ยังต้องพัฒนาทักษะของตนเองในการติดตามและประเมินผลความก้าวหน้าของพัฒนาการที่เราต้องการให้ลูกพัฒนาด้วยนะครับว่า สิ่งที่เราลงทุนลงแรงให้กับลูก เขามีพัฒนาการดีขึ้นมากน้อยเพียงไร หากยังล่าช้าอยู่ หรือล่าช้ามากขึ้น น่าจะต้องพาไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญครับ เริ่มจากกุมารแพทย์ที่ดูแลน้องอยู่ก่อนก็ได้ครับ หากคุณหมอได้ประเมินความสามารถและพัฒนาการของน้องแล้ว คุณแม่ก็จะได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมสำหรับน้องแต่ละคนที่อาจมีความแตกต่างกัน ทั้งตัวเขาเอง สิ่งแวดล้อม หรือบริบทครอบครัวและสังคมครับ

มาถึงตรงนี้ พูดจริงหรือพูดไม่จริง คงไม่ใช่ประเด็นแล้วใช่ไหมครับ สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของลูกอย่างแน่นอน คือ คุณแม่จะนำสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันที่เราได้ประสบพบเห็นจากการใช้ชีวิตร่วมกับลูก มาพัฒนาให้เขามี Power BQ ที่ดีได้อย่างไร ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ของการส่งเสริมพัฒนาการให้กับลูกได้อย่างรายวันเลยครับ เป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ทุกท่านเลยนะครับ

ขอบคุณบทความโดย : รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม
รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช


Power BQ (Power Baby and Kids Quotients) เป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการนำทักษะ หรือความสามารถ หรือความฉลาดในด้านที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็กตั้งแต่วัยแบเบาะ ไปจนถึงช่วงที่พัฒนาการของเด็กเริ่มมีความสมบูรณ์มากขึ้น มาเป็นแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปส่งเสริมเพิ่มพูนให้กับลูกเพิ่มขึ้นเพื่ออนาคตที่ดีของเขา มีทั้งหมด 10 ทักษะ

1. ความฉลาดทางสติปัญญา IQ 
2. ความฉลาดทางอารมณ์ EQ 
3. ความฉลาดทางคุณธรรม MQ
4. ความฉลาดของการเข้าสังคม SQ
5. ความฉลาดในการคิดสร้างสรรรค์ CQ 
6. ความฉลาดในการเล่น PQ
7. ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา AQ 
8. ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี HQ
9. ความฉลาดในการคิดบวก OQ
10. ความฉลาดในการคิดเป็น TQ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

เรียนออนไลน์ก็ “สอนลูกซื่อสัตย์ ไม่โกง” ได้

ลูกไม่กินข้าว ทําไงดี? หมอแนะ 10 วิธีรับมือเมื่อลูกไม่ยอมกินข้าว

เล่นอะไรให้ลูกฉลาด หมอแนะ! วิธีเล่นกับลูกตั้งแต่แรกเกิด – 5 ปี

ลูกเลียนแบบพ่อแม่ พฤติกรรมเลียนแบบของเด็กสั่งจากสมอง! หนูรู้ หนูจำได้

 

Warng Warng : Taiwan Mala & Herbal Shabu

ยกไต้หวันมาไว้ที่เมืองไทย ต้นตำรับชาบูไต้หวัน 3 ซุปในหม้อเดียวแห่งแรก “นึกอยากทานหม่าล่าเมื่อไหร่ให้ไป Warng Warng”

หลังเพิ่งเปิดให้บริการได้เพียงไม่นาน ‘Warng Warng : Taiwan Mala & Herbal Shabu’ ก็ประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า ด้วยซิกเนเจอร์ซุปต้นตำรับอันเป็นเอกลักษณ์ทั้ง 3 รสชาติ ที่ถูกปากบรรดานักชิมชาวไทย พร้อมบรรยากาศอบอุ่นในสไตล์ไต้หวันแท้ๆ รวมถึงหม้อชาบูไฮเทค 3 ซุปในหม้อเดียว แถมยังปรับเลื่อนอัตโนมัติเพิ่มความสะดวกได้อย่างใจ เลื่องลือไปปากต่อปาก พร้อมรุกตลาดชาบูเมืองไทย!!

Warng Warng : Taiwan Mala & Herbal Shabu

ภายในร้านโดดเด่นด้วยไฮไลท์ภาพวาดงิ้วอุปรากรจีน และโคมไฟประดับ ตกแต่งร้านในสไตล์ Modern Chinese บรรยากาศเรียบง่าย อบอุ่นเป็นกันเอง ‘Warng Warng : Taiwan Mala & Herbal Shabu’ ก่อตั้งโดย Mr. Al Pien (อัล เปียงเจ้าของกิจการชาวไต้หวัน นักลงทุนผู้มีใจรักในอาหาร ผู้เคยประสบความสำเร็จกับกิจการร้านอาหารมาแล้ว หลังปิดดีลขายกิจการร้านอาหารทั้งหมดให้กับ Huana Group เมื่อปี 2016 ด้วยแพสชั่นในอาหารที่ยังคงอยู่ ประกอบกับเทรนด์วัฒนธรรมการรับประทานชาบูที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เขาปรารถนาจะนำเอารสชาติของชาบูหม้อไฟไต้หวัน 3 สูตรเด็ด ซึ่งเขาเป็นเจ้าตำรับคิดค้นขึ้นมาให้คนไทยได้ชิม สำหรับในภาษาจีนนั้นคำว่า ‘ว่างว่าง’ (旺旺) มีความหมายมงคลถึงเปลวไฟแห่งความรุ่งเรืองทั้งในแง่ธุรกิจและชีวิต ดังนั้นนี่จึงเป็นชื่อที่สื่อถึงแบรนด์ชาบูได้เป็นอย่างดี!

Warng Warng : Taiwan Mala & Herbal Shabu

ต้นตำรับชาบูไต้หวัน 3 ซุปในหม้อเดียวแห่งแรก : พร้อมหม้อชาบูสุดไฮเทคปรับเลื่อนได้อย่างใจ

จุดเด่นของการรับประทานชาบูหม้อไฟที่ว่างว่าง ซึ่งคุณจะไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนทั้งในเมืองไทยหรือแม้กระทั่งที่อื่นๆ คือเราเป็นชาบูไต้หวันแห่งแรกซึ่งให้คุณลิ้มลองความอร่อยได้ทั้ง 3 ซุป 3 รสชาติพร้อมกันในหม้อเดียว แถมหม้อชาบูของว่างว่างยังได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษให้เลื่อนระดับมอบความสะดวกในการกิน ด้านรสชาติของซุปอันเป็นหัวใจหลักและจิตวิญญานของร้านชาบูนั้น ก็พิเศษด้วยน้ำซุปซึ่ง มิสเตอร์ อัล เปียง ผู้เป็นเจ้าของแบรนด์ ได้ร่วมมือกับเชฟมืออาชีพคิดค้นสูตร 3 น้ำซุปซิกเนเจอร์อันเป็นเอกลักษณ์ที่เราแสนจะภาคภูมิใจ ได้แก่

ซุปหม่าล่าต้นตำรับ ซุปหม่าล่าแบบจีนโบราณนั้นค่อนข้างมัน ชาและเผ็ด ไม่เหมาะสำหรับดื่ม ไต้หวันดัดแปลงวิธีปรุงโดยใช้น้ำมันและพริกให้น้อยลง ทำให้อร่อย ดีต่อสุขภาพ ทว่ายังคงรสชาติจัดจ้านอันเป็นเอกลักษณ์ของหม่าล่า ทั้งยังดื่มเป็นซุปก็ได้ เราปรุงซุปนี้ด้วยเครื่องเทศและวัตถุดิบนำเข้าจากจีนแผ่นดินใหญ่มากถึง 21 ชนิด  เคี่ยวนานถึง 6-8 ชั่วโมงเต็ม ต่อด้วย ซุป 8 สมุนไพรอมตะ สูตรเฉพาะของว่างว่าง ซุปสมุนไพร ‘ปาเจิน’  ทำจากสมุนไพรล้ำค่า 8 ชนิด ได้แก่ โสม ถั่งเช่า พุทราจีน เก๋ากี้ ตังกุย โบตั๋นขาว ชางจู๋ และแยม ทั้งอร่อยและอุดมประโยชน์ต่อสุขภาพ ชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นซุปอายุวัฒนะ และ ซุปมะเขือเทศไต้หวัน พลิกแพลงปรุงสตูว์มะเขือเทศแบบฝรั่งเศสด้วยเครื่องเทศและสมุนไพรจีน เพื่อให้ได้รสชาติที่เหมาะกับการรับประทานในแบบชาบูมากขึ้น คนรักชาบูส่วนใหญ่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วต่างตกหลุมรักรสชาติของซุปสตูว์ซึ่งปรุงอย่างพิถีพิถันนี้ เปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ ช่วยป้องกันมะเร็ง ชะลอวัย อุดมไปด้วยวิตามิน A

เมนูไฮไลท์อาหารจานพิเศษ ของร้านประกอบด้วย เนื้อพิเศษคัดสรร เราเน้นมากในเรื่องคุณภาพของเนื้อซึ่งคัดสรรมาเป็นอย่างดี ลูกค้าสามารถเลือกอร่อยกับวัตถุดิบ อาทิ เนื้อวากิวญี่ปุ่น เนื้อนำเข้าจากออสเตรเลีย เนื้อไทย-เฟรนช์ รวมถึงหมูคูโรบูตะ ไปจนถึงอาหารทะเลสด รสชาติเยี่ยม รับประทานคู่กับซอสชาบูไต้หวัน มีให้เลือกอร่อย ถึง 3 รสชาติ ได้แก่ ซอสงากระเทียม ซอสซาฉาเจี้ยง และซอสพอนสึ

อาหารโฮมเมดสูตรพิเศษ 3 จานหลักที่ปรุงอย่างพิถีพิถัน ได้แก่ ‘เต้าหู้โฮมเมดสูตรไต้หวัน’ ทั้ง 3 แบบของเราไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไปน้ำซุปชาบูซึมซับได้ดี ‘ลูกชิ้นทำมือ ไต้หวันขึ้นชื่อในเรื่องลูกชิ้นชั้นดี เราบรรจงผลิตลูกชิ้นทำเองนานาชนิดทั้งนุ่มอร่อยชวนลิ้มลอง ‘บะหมี่มันฝรั่ง’ เส้นบะหมี่ที่บรรจงนวดผสมมันฝรั่ง ไม่เพียงแต่รสสัมผัสหนุบหนับ ยังให้แคลอรีต่ำ ดีต่อสุขภาพ

Warng Warng : Taiwan Mala & Herbal Shabu

ไก่กรอบหม่าล่า เมนูเด่น ขายดีอันดับ 1 รสจัดจ้านหอมกลิ่นหม่าล่าสุดๆ เคล็ดลับความอร่อยคือนำไปทอดถึง 3 ครั้ง ข้าวอบฮ่องกง หรือ ‘La-wei Pot’ อันเป็นที่นิยมของชาวฮ่องกง ที่ว่างว่างเรานำเข้าวัตถุดิบจากผู้ผลิตที่มีชื่อในประเทศจีน มาเพื่อปรุงอาหารจานนี้โดยเฉพาะ มีให้เลือกอร่อยได้ ถึง 3 เมนู ได้แก่  ข้าวอบกุนเชียงหมูแฮมฮ่องกง  ข้าวอบกุนเชียงตับเป็ดและเป็ดย่าง และ  ข้าวอบกุนตับเป็ดและแฮมจินฮัวรมควัน 4 ชนิด

ปิดท้ายด้วยของหวานเลิศรส สไตล์จีนที่รู้จักกันดี อย่าง ‘กุ้ยหลิงเกา วุ้นเต่าและสมุนไพรโป่งรากสน สรรพคุณล้างพิษ แก้ร้อนใน  ‘อัลมอนด์พุดดิ้ง’ ช่วยต้านริ้วรอย เสริมภูมิต้านทาน แก้ร้อนใน และ บัวลอยงาดำ แสนอร่อย

Warng Warng : Taiwan Mala & Herbal Shabu

ด้วยรสชาติอาหารที่ถูกปาก คุณภาพที่สัมผัสได้จากความตั้งใจนำเสนอ Mala & Herbal Shabu สไตล์ไต้หวันให้เป็นที่รู้จัก ในราคาที่จับต้องได้ รวมถึงบรรยากาศอบอุ่นล้อมวงกันรับประทานหม้อไฟในหมู่ครอบครัวเพื่อนฝูง หลังจากเพิ่งเปิดตัว 2 สาขาในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2021 ‘Warng Warng : Taiwan Mala & Herbal Shabu’ จึงได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากบรรดานักชิมในปี 2022 นี้เรามีแผนที่จะขยายเพิ่มอีก 2 สาขาในกรุงเทพฯ และอีก 10 สาขาในต่างจังหวัดภายใน 3 ปีถัดจากนี้ โดยยังตั้งเป้าหมายอันท้าทายเอาไว้ว่าจะรุกขึ้นเป็นผู้นำตลาดหม่าล่าชาบูของเมืองไทยในอนาคต อยากกินหม่าล่า ไป Warng Warng!”

Warng Warng : Taiwan Mala & Herbal Shabu สาขาหลัก สุขุมวิท 33 โทร. 096-301-9699 , https://web.facebook.com/warngwarngshabu , สาขาย่อย : รัชโยธิน โทร. 098-245-2424, https://web.facebook.com/wws.ratchayothin Delivery Application : Grab, Food Panda และ Hungry Hub

ซิโนแวคเด็ก

สธ.เห็นชอบ ซิโนแวคเด็ก 3+ขวบ รอ อย. ไฟเขียว ฉีดทันที

รอไฟเขียว !! ซิโนแวคเด็ก วัคซีนสำหรับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไป มาใช้ทันที หาก อย.พิจารณาอนุมัติขึ้นทะเบียน เพื่อเป็นทางเลือกเพิ่มในการป้องกันโรคโควิด – 19 ให้กับเด็ก ๆ ค่ะ

ซิโนแวคเด็ก รอ อย. ไฟเขียว ฉีดทันที

ภาคหลังจากที่วัคซีนไฟเซอร์เด็ก ฝาสีส้ม ได้เข้ามาถึงเมืองไทย และเริ่มฉีดให้กับเด็กอายุ 5 – 11 ปี แล้วนั้น ล่าสุดมีข่าวดีสำหรับเด็ก ๆ และคุณแม่ ๆ ว่า วัคซีนซิโนแวค ได้มายื่นขอจดทะเบียนเพื่อใช้ ซิโนแวคเด็ก สำหรับเด็กอายุ 3 ขวบขึ้นไปเช่นกัน

ซิโนแวคเด็ก
ผู้ปกครองพาลูกไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด – 19

ซิโนแวคเด็ก ครอบคลุมยิ่งขึ้น ช่วยลดความเสี่ยง

สำหรับเรื่องนี้นั้น ได้มีการเห็นชอบในหลักการให้ฉีดวัคซีนซิโนแวค ในเด็กอายุ 3-17 ปี โดยขณะนี้ทางซิโนแวค ได้มีการส่งข้อมูลความปลอดภัยและประสิทธิผลให้ทางกระทรวงสาธารณสุขพิจารณา ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าข้อมูลค่อนข้างครบถ้วน และอนุญาตให้ฉีดซิโนแวคในเด็ก 3-17 ปีได้

รอ อย. อนุมัติ ฉีดได้เลย

แม้กระทรวงสาธารณสุขจะเห็นชอบแล้ว แต่ยังต้องรอการอนุมัติการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อน เมื่อได้อนุมัติแล้ว ก็สามารถฉีดวัคซียซิโนแวคให้เด็กได้เลย เนื่องจากหากฉีดวัคซีนครอบคลุมกลุ่มอายุมากขึ้น ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการติดโรคและลดความเสี่ยงที่อาจมีอาการรุนแรงได้

ได้วัคซีนบริจาคจากจีน

วัคซีนซิโนแวคที่จะฉีดให้กับเด็กนั้น เป็นวัคซีนที่รัฐบาลจีนบริจาคมาในครั้งก่อน 2 ล้านโดส และวัคซีนซิโนแวคที่มีอยู่แล้ว รวมทั้งหมด 4-6 ล้านโดส โดยวัคซีนซิโนแวคที่มีจำนวนนี้อยู่ยังไม่หมดอายุ และไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อเพิ่ม เพราะจำนวนเพียงพอต่อเด็ก

จีนเผยฉีดซิโนแวคในเด็กได้ผลดี

บริษัทซิโนแวคเปิดเผยว่า หลังจากได้เริ่มฉีดวัคซีน “ซิโนแวค” ในกลุ่มประชากรที่มีอายุระหว่าง 3-17 ปี เมื่อเดือนมิถุนายน 2564 พบว่าอัตราการผลิตแอนติบอดีในเด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 18 ปี อยู่ที่ร้อยละ 98.9 – 100 ขึ้นอยู่กับปริมาณของการฉีดวัคซีน โดยการฉีดวัคซีนให้เด็กมีประสิทธิภาพมากกว่าการฉีดในคนที่มีอายุมากกว่า 18 ปี

สูตรในการฉีดวัคซีนให้เด็กในไทย

ในเบื้องต้นมีคำแนะนำจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันวัคซีนฯ ว่า การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในเด็ก แนะนำให้เป็นสูตร 1.ไฟเซอร์กับไฟเซอร์ 2.ซิโนแวคกับซิโนแวค และ 3.ซิโนแวคกับไฟเซอร์ โดยแพทย์เป็นผู้พิจารณาร่วมกับผู้ปกครอง

โรงพยาบาลเด็กฉีดไฟเซอร์เข็มแรกแล้ว

สถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) ได้จัดให้มีการจัดฉีดวัคซีนไฟเซอร์ สำหรับเด็กอายุ 5-11 ปี ในกลุ่มแรกแล้ว นั่นคือเด็กที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ได้แก่ 1.โรคอ้วน ที่มีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น 2.โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง รวมทั้งหอบหืดที่มีอาการปานกลางหรือรุนแรง 3.โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง 4.โรคไตวายเรื้อรัง 5.โรคมะเร็งและภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ 6.โรคเบาหวาน และ 7.กลุ่มโรคพันธุกรรม รวมทั้งกลุ่มอาการดาวน์เด็กที่มีภาวะบกพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรง และเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า โดยวันแรกมีเด็กมารับวัคซีน ประมาณ 100 คนค่ะ

ซิโนแวคเด็ก
เด็กฉีดวัคซีนโควิด – 19 ช่วยป้องกันหากมีอาการหนัก

แผนการฉีดวัคซีนในเด็กทั่วไป

การกระจายวัคซีนในเด็กทั่วไปจะเริ่มขึ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยแบ่งเป็น

  • วัคซีนแอสตราเซเนกา 7 ล้านโดส
  • วัคซีนไฟเซอร์ ฝาสีม่วง สำหรับอายุ 12 ปีขึ้นไป จำนวน 2.6 ล้านโดส
  • วัคซีนไฟเซอร์ ฝาสีส้ม สำหรับเด็ก อายุ 5-11 ปี จำนวน 1.2 ล้านโดส โดยเด็กปกติทั่วไปจะใช้โรงเรียนเป็นสถานที่ฉีดวัคซีน
  • วัคซีนสำรองสำหรับตอบโต้การระบาดด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา 1 ล้านโดส

หากวัคซีนซิโนแวคสำหรับเด็ก ได้รับการอนุมัติจากทาง อย. ก็นับว่าคุณแม่จะมีทางเลือกที่มากขึ้นในการฉีดวัคซีนให้แก่ลูก แม้อาจมีผลข้างเคียงจากวัคซีนบ้าง เช่น เป็นไข้ ตัวรุมๆ ปวดบวมบริเวณที่ฉีด แต่หายได้ใน 1-2 วัน ซึ่งดีกว่าไม่ฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อ เพราะบางรายอาจมีโอกาสเกิดอาการรุนแรงและเชื้อลงปอดได้ การฉีดวัคซีนจึงคุ้มค่าที่สุดนะคะคุณแม่

ขอบคุณข้อมูลจาก

เดลินิวส์ ออนไลน์, ThaiPBS , ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

14 เรื่อง คุณแม่ต้องรู้ ก่อนฉีด วัคซีนเด็กไฟเซอร์

รู้ไว้ก่อนฉีด!อาการข้างเคียงวัคซีน ไฟเซอร์เด็ก ฝาส้ม

หมอเตือน!! พ่อแม่เช็กก่อน..นี่คือ 6 อาการต้องเลื่อนฉีดวัคซีนโควิด-19

ยิ่งอ้วน ยิ่งรวย

หมอลักษณ์ ฟันธง! 2 ราศีนี้ ยิ่งอ้วน ยิ่งรวย

คุณแม่หลาย ๆ ท่านอาจจะกำลังกังวลกับไขมันที่เพิ่มขึ้น ลดอย่างไรก็ไม่ลงเสียที แต่รู้ไหมคะว่า อาจารย์ลักษณ์ ราชสีห์ หรือหมอลักษณ์ ฟันธง ได้ทำนายไว้ว่ามีอยู่ 2 ราศี ที่ช่วงนี้ ยิ่งอ้วน ยิ่งรวย ค่ะ

หมอลักษณ์ ฟันธง! 2 ราศีนี้ ยิ่งอ้วนยิ่งรวย

คำทำนายจากหมอลักษณ์ฟันธงในครั้งนี้ หมอลักษณ์ได้บอกถึงอิทธิพลของดวงดาวที่จะช่วยเสริมความอุดมสมบูรณ์ ที่จะมาพร้อมกับความอ้วน ไว้ดังนี้ค่ะ

ยิ่งอ้วน ยิ่งรวย
ในช่วงนี้ สาวราศีกุมภ์ ยิ่งอ้วน ยิ่งรวย

ราศีกุมภ์ยิ่งอ้วนยิ่งรวย

หมอลักษณ์ฟันธงมาว่า อ้วนต้องมาคู่กับรวย นั่นก็เพราะว่ามีกินนั่นเอง โดยช่วงตั้งแต่ 8 พ.ย.ปีที่ผ่านมา – 8 เม.ย. 2565ในช่วงเวลานี้ ลัคนาราศีกุมภ์ หรือผู้ที่เกิดระหว่าง 13 ก.พ. – 13 มี.ค. จะถูกทับเรือนชะตาด้วยดาวพฤหัสบดีซึ่งเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้ การงานรุ่งเรือง จึงเรียกได้เลยว่า มีจังหวะพลิกฟื้นดวงชะตา

ราศีสิงห์ เข้าเกณฑ์อ้วนและรวยเช่นกัน

ส่วนชาวราศีสิงห์ หรือผู้ที่เกิดระหว่าง 17 ส.ค. – 16 ก.ย. จะได้รับอานิสงส์เช่นเดียวกันกับชาวราศรีกุมภ์แต่น้อยกว่าเล็กน้อย โดยดาวพฤหัสบดีจะมาจากเรือนลาภะและเรือนการเงิน มาจรทับราศีเกิด แปลว่าเป็นจุดเกิดเหตุของโอกาสที่จะรวยและอ้วน

ยิ่งอ้วน ยิ่งรวย
ในช่วงนี้สาวราศีสิงห์ ยิ่งอ้วน ยิ่งรวย

ดวงชะตาพลิกครั้งใหญ่

ทั้งสองราศี ดวงชะตาจะพลิกฟื้นครั้งใหญ่หลังวันที่ 30 มี.ค. 2565 เป็นต้นไป เพราะราหูย้ายราศี โดยหมอลักษณ์เสริมว่า การที่รวยขึ้นมาได้นั้น เพราะได้รับมงคลอันประเสริฐ จากพญานาคราช โดยปี 2565 เป็นปีสุดท้ายที่พญานาคราชจะแผ่บารมีอย่างเต็มที่ ควรไปไหว้ พ่อปู่ศรีสุทโธ ที่คำชะโด จังหวัดอุดธานี จะได้เสริมรวย เป็นมงคลแก่ชีวิต

 

คุณแม่ราศีกุมภ์ กับคุณแม่ราศีสิงห์ คงกำลังยิ้มแก้มปริ กับคำทำนายของหมอลักษณ์กันอยู่ใช่ไหมคะ อย่างไรก็ดี อย่าลืมรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงกันด้วยนะคุณแม่

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

AmarinTV HD

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เปิดชะตา! ดวงแม่ 12 ราศี พร้อมวิธีเลี้ยงลูกให้เหมาะกับราศีแม่

ชื่อจีนผู้ชาย ตั้งให้ลูกตามราศีเกิดเสริมโชคลาภบารมี

ทรงผม สีผมตามวันเกิด เสริมดวง เสริมราศี หนุนนำทรัพย์!

รับฟังลูก

รับฟังลูก อย่างไรให้เขาอยากเล่า และพูดอย่างไรให้ลูกฟัง

รับฟังลูก การฟังที่ไม่ใช่แค่ได้ยิน แต่หมายถึงการรับฟังความคิดเขาอย่างตั้งใจ สนใจ แล้วจะทำอย่างไรให้ลูกรับรู้ อยากเล่า มาดูเทคนิคการฟังและพูดกับลูกให้ได้ผล

รับฟังลูก อย่างไรให้เขาอยากเล่า และพูดอย่างไรให้ลูกฟัง

คุณเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่รับฟังลูกหรือเปล่า?

“ใช่ ฟังตลอดนะ ก็ปล่อย ๆ ลูกพูดไปเรื่อย ๆ เขาพูดเก่ง พูดได้ทั้งวันเราก็ฟังไปเล่นโทรศัพท์ไป เขาไม่รู้หรอก” คุณแม่ของลูกวัยเด็กกล่าว

“พร้อมรับฟังลูกทุกเรื่อง แก้ปัญหาให้เขาตลอดแหละ ถ้าไม่มีแม่สงสัยทำอะไรไม่ถูก” คุณแม่ของลูกวัยกำลังเข้าสู่วัยรุ่นกล่าว

“ฟังอย่างไรละคะ เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง กลับจากโรงเรียนก็คุยแต่กับเพื่อน ลืมพ่อลืมแม่แล้วละมั้ง” คุณแม่ของลูกวัยรุ่นกล่าว

รับฟังลูก ตั้งแต่เด็ก เพิ่มความไว้ใจพ่อแม่แก่ลูก
รับฟังลูก ตั้งแต่เด็ก เพิ่มความไว้ใจพ่อแม่แก่ลูก
ตอนที่ลูกยังเป็นเด็กเล็กๆ เขามักจะอยากเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้พ่อแม่ฟังเสมอ แต่บางครั้งที่พ่อแม่ไม่มีเวลา อาจคิดว่าบางเรื่องไม่ได้มีความสำคัญอะไร เป็นเรื่องของเด็กๆ ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำต้องจัดการในแต่ละวัน
พอลูกเป็นวัยรุ่น ลูกเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟังน้อยลง เหตุเพราะติดเพื่อนมากขึ้น(เป็นปกติของพัฒนาการวัยรุ่น) หรือที่ผ่านมาเขารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ฟังเขาเท่าที่ควร พ่อแม่อยากให้ลูกเล่า แต่ลูกก็ไม่ยอมเล่าแล้ว ยิ่งบอกให้เล่าก็ยิ่งเงียบ
ถ้าเป็นไปได้พ่อแม่ก็ควรจะสนใจจะฟังเรื่องที่ลูกเล่าตั้งแต่ตอนที่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ การที่พ่อแม่รับฟังเขามาเรื่อยๆ ลูกก็จะรู้สึกว่าเขาเล่าเรื่องอะไรพ่อแม่ก็สนใจที่จะรับฟัง มีแนวโน้มที่จะเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง ถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นวัยรุ่นหรือเป็นผู้ใหญ่
บทความส่วนหนึ่งจากเฟซบุ๊กเพจ เข็นเด็กขึ้นภูเขา หมอมินบานเย็น หัวข้อ เรากำลังฟังลูกอยู่หรือเปล่า 

แค่รับฟัง สร้าง Safe Zone ปกป้องจิตใจลูก!!

เมื่อมนุษย์เราพบเจอกับปัญหา ย่อมอยากมีสถานที่ ที่ช่วยพักผ่อนจิตใจ และความคิด เพื่อช่วยให้มีพลังก้าวต่อไปในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ สถานที่ที่เราวางใจ ไว้ใจ และไม่ตัดสินเรา สถานที่ที่มิใช่เป็นเพียงแค่สถานที่ อาจเป็นบุคคลที่เราไว้ใจ เพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง หรือใครก็ตามที่เราสามารถมอบความไว้ใจนั้นได้ เราเรียกว่า Safety Zone ทางจิตใจ
เด็กก็เช่นกัน ในเวลาที่เขาเผชิญกับปัญหาที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง การมีใครสักคนที่สามารถรับฟัง และเข้าใจในสิ่งที่ลูกเผชิญอยู่ อีกทั้งยังช่วยกันแก้ปัญหานั้นลงได้ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ลูก ๆ ได้เรียนรู้ในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น เรียนรู้การแก้ปัญหาร่วมกันไม่ใช่ทิ้งปัญหาให้พ่อแม่แก้ไขให้ นอกจากจะได้เรียนรู้แล้ว เขายังคงที่จะไม่สูญเสียความมั่นใจในตนเองไป เห็นคุณค่าในตนเองอีกด้วย

 

ปัญหาลูก เรื่องที่ไม่เล็กสำหรับเขา
ปัญหาลูก เรื่องที่ไม่เล็กสำหรับเขา

อย่ามองข้ามปัญหาเล็ก ๆ ของลูกเชียวนะ!!

ปัญหาของเด็ก หากมองในสายตาของผู้ใหญ่แล้วคงเป็นเรื่องกระจิ๊ดริด ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรในสายตาผู้ใหญ่ แต่สำหรับลูกแล้ว อาจจะเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว ให้พ่อแม่ลองใช้ใจมองย้อนกลับไปเมื่อครั้นเรายังเป็นเด็ก ก็คงจะเข้าใจในจิตใจลูกได้ดีขึ้น การที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูก ๆ ต้องควบคุมตัวเองได้ และแก้ปัญหาได้ดีเทียบเท่ากับเรา เป็นการคาดหวังที่เกินกว่าวัยของเด็ก เขายังต้องการความช่วยเหลือ หรืออย่างน้อยลูกต้องการเพียงแค่คนรับฟัง และให้กำลังใจ
“รับฟังเรื่องเล็ก ๆ ของลูก เพื่อให้เขารู้ว่า ไม่ว่าจะเรื่องจะเป็นเรื่องอะไร พ่อแม่ยินดีรับฟังเขาเสมอ”
Quote จาก เพจตามใจนักจิตวิทยา

เลิกซะ…หากอยากให้ลูกเล่าให้ฟัง

พ่อแม่มักเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของลูกที่เขาจะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งเรื่องทั่วไป เรื่องดีใจ และเรื่องที่ไม่สบายใจให้ฟัง โดยเฉพาะเมื่อเขายังอยู่ในวัยเด็ก การเล่าเรื่องราวที่โรงเรียน หรือสิ่งที่เขาคิดให้พ่อแม่ฟังดูจะเป็นเรื่องปกติของเด็กทุกคน แต่หากพ่อแม่วางตัวเป็นผู้ฟังที่ไม่ดีพอ ความไว้วางใจเหล่านั้นอาจหมดไป เมื่อเขาโตขึ้นเข้าสู่วัยรุ่น พ่อแม่อาจกลายเป็นบุคคลที่ลูกไม่อยากเล่าอะไรให้ฟังก็เป็นได้ ลองมาตรวจสอบกันดูว่าเราเผลอทำพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้หรือไม่

รับฟังลูก อย่างตั้งใจ
รับฟังลูก อย่างตั้งใจ

รับฟังแต่ไม่ตั้งใจ

การรับฟังเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้ลูกวางใจที่จะเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังทุกเรื่องได้ หากการรับฟังนั้นเป็นเพียงการรับฟังแบบผ่าน ๆ ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ได้สนใจฟังจริง ๆ เพราะทำอย่างอื่นอยู่ พ่อแม่ควรตั้งใจฟังเรื่องที่ลูกเล่า ใส่ใจ เข้าใจ และตอบสนองต่อเนื้อหานั้น ๆ ด้ว นอกจากการสื่อสารด้วยคำพูดแล้ว ภาษากาย หรือ Body Language ก็มีความสำคัญมากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นสีหน้า น้ำเสียง ท่าทางและการสัมผัส ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างมากในการส่งผ่านความรู้สึกดีให้ลูกรับรู้ และไว้วางใจพ่อแม่ในการจะเล่าปัญหาให้ฟัง

จ้องสั่งสอน

การสั่งสอนลูกเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ แต่ลูก คือ คน ๆ หนึ่งที่มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่จะบังคับได้ตามโปรแกรมที่ตั้งไว้ ดังนั้นปัญหาที่ลูกนำมาปรึกษา พ่อแม่ควรจะรับฟังให้จบ อย่าพึ่งด่วนตัดสิน ขัดจังหวะ จ้องสั่งสอน ลองฟังและให้โอกาสลูกได้คิดหาทางออกด้วยตัวเองดูก่อน พ่อแม่เป็นเพียงที่ปรึกษา ชี้แนะแนวทาง ไม่ใช่ชี้นำ

อย่าละเมิดความเป็นส่วนตัวด้วยการเล่าต่อ

บางครั้งพ่อแม่เห็นว่าเรื่องที่ลูกมาปรึกษา หรือเล่าให้ฟังเป็นเรื่องไม่สำคัญ จึงอาจนำไปเล่าต่อ อาจจะเล่าเพราะความภูมิใจ อยากอวดหรือขบขัน เอ็นดูก็ตามที แต่นั่นเป็นการทำลายความเชื่อใจที่ลูกมอบให้กับเรา ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ลูกบอกเป็นความลับ หรือไม่อยากให้ใครรู้ ควรสอบถามลูกก่อนว่าเรื่องนี้เป็นความลับแค่ไหน บอกต่อได้หรือไม่ และเคารพในสิทธิของเขา หรือหากเราพลาดเล่าไปเสียแล้ว ให้สังเกตท่าทางลูกว่าเขารู้สึกอย่างไร หากลูกไม่ยินดีที่ถูกพูดถึง ก็ควรหยุด และขอโทษ พร้อมสัญญาว่าจะไม่ทำอีก

ปัญหาการเรียน ปัญหากับเพื่อน ความในใจที่ลูกอยากระบาย
ปัญหาการเรียน ปัญหากับเพื่อน ความในใจที่ลูกอยากระบาย

ไม่อยากให้พ่อแม่ไม่สบายใจ

นับเป็นเหตุผลต้น ๆ ที่ลูกไม่อยากเล่าเรื่องตัวเองให้พ่อแม่ฟัง เพราะกลัวเราจะวิตกกังวล ไม่สบายใจกับเรื่องของเขา ไม่อยากให้พ่อแม่ต้องผิดหวัง หรือเป็นห่วง ดังนั้นพ่อแม่จึงควรที่จะเปิดใจกับลูก ทำให้เขารู้ว่าพ่อแม่ก็ไม่ได้คาดหวังให้เขาทำทุกอย่างได้สมบูรณ์ แต่พร้อมยอมรับกับทุกปัญหาที่ลูกต้องเผชิญ ไม่ตัดสินเขาด้วยเหตุผลของตัวเอง โดยอาจจะเริ่มต้นก่อนด้วยการถามลูกแบบท่าทีสบาย ๆ ไม่ซีเรียส ผ่อนคลาย ซึ่งบางครั้งลูกอาจจะยังไม่กล้าบอกตรง ๆ พ่อแม่ต้องคอยสังเกตสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจลูกว่าเขายังโอเคกับชีวิตเขาจริงหรือไม่ เราต้องจับสัญญาณขอความช่วยเหลือที่ลูกส่งออกมาให้ได้แม้เขาจะไม่พูด เช่น สายตาที่เศร้าหมอง เก็บตัวกว่าเดิม ไม่พูดคุยเล่นเหมือนก่อน เป็นต้น

ดุด่า ว่ากล่าว ลงโทษ ซ้ำเติม

การดุด่าหรือการลงโทษ อาจดูเหมือนเป็นการแก้ปัญหาได้ แต่ในระยะยาวนั้นมันจะส่งผลทำให้เด็กมีความรู้สึกว่าเขาไม่ดีพอ ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง และเมื่อเกิดปัญหาใหม่ก็ไม่อาจจัดการปัญหานั้น ๆ ได้ด้วยตนเอง ไม่กล้าตัดสินใจ หรือในเด็กบางคนอาจจะมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรงมากกว่าเดิมเป็นการโต้ตอบ พ่อแม่ควรไว้วางใจลูก ให้เขามาร่วมมือกันในการหาวิธีแก้ปัญหาร่วมกัน

รับฟังลูก แบบไม่ตัดสิน เปิดพื้นที่ safezone แก่ลูก
รับฟังลูก แบบไม่ตัดสิน เปิดพื้นที่ safezone แก่ลูก

พ่อแม่ไม่เข้าใจ และไม่สามารถแก้ปัญหาให้ได้

พ่อแม่บางคนกลัวลูกไม่พอใจตนเองมากเสียจนโอนอ่อนผ่อนตาม ตามใจลูกไปเสียทุกเรื่อง ทำให้ลูกมีความรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่มีความสามารถพอที่จะช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ ถึงถามไปยังไงพ่อแม่ก็ทำตามที่เขาต้องการอยู่ดี ไม่มีความเห็นอะไร การรับฟังลูก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถแสดงความเห็นของตัวเองได้ พ่อแม่สามารถออกความเห็นพร้อมเหตุผล ให้เขาร่วมตัดสินใจว่าแบบไหนดี แบบไหนที่จะเป็นหนทางแก้ไขปัญหาที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้

รับฟังลูก นอกจากจะเป็นการเปิดประตูให้ลูกได้ก้าวเข้ามาปรึกษา และนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ดีแล้ว วิธีนี้ยังมีข้อดีที่มีดีไม่น้อยไปกว่าการช่วยลูกแก้ปัญหาเลย นั่นคือ การได้เยียวยาจิตใจอันบอบช้ำ ยุ่งเหยิงของลูกให้ได้ระบายออกมา ให้เขาได้มีพื้นที่ที่เขารู้สึกปลอดภัย ไม่โดนตัดสินใด ๆ เมื่อจิตใจสงบ ลูกก็พร้อมกลับไปเผชิญปัญหา หรือก้าวไปต่อในรูปแบบที่เขาได้ตัดสินใจเอง และพร้อมยอมรับมัน

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เข้าถึงใจลูกด้วยการ รับฟังลูก อย่างใส่ใจ ทักษะที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องไม่มองข้าม

9 คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก บั่นทอนจิตใจลูกถึงโต!

แจก! 20 เมนูอาหารBLW สำหรับลูกวัย 6 เดือนขึ้นไป

ลูกชอบโกหก พูดไม่จริง เด็กอายุเท่าไหร่ถึงตั้งใจโกหก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

เช็คเงื่อนไข !! บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รอบใหม่ 2565

โครงการ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ – บัตรคนจน ในรอบที่ผ่าน ๆ มา ได้ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นของบรรดาคุณแม่ไปได้มาก ตอนนี้เคาะแล้ว กับการลงทะเบียนรอบใหม่ คุณแม่ท่านไหนยังไม่ได้ลงทะเบียนรับสิทธิ มาตรวจสอบเงื่อนไขกันค่ะ

เช็คเงื่อนไข !! บัตรสวัสดิการแห่งรัฐลงทะเบียนรอบใหม่ 2565

โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ – บัตรคนจน ในรอบปี 2565 นี้ จะช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการฯ เดิม และผู้เข้าข่ายได้รับสิทธิรายใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2565 นี้ โดยคุณแม่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ไม่น้อยเลย เช่น ค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา สินค้าจากร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่น ๆ ได้ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม ค่าโดยสารรถ ขสมก. ค่าโดยสารรถบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) และค่าโดยสารรถไฟ

คุณสมบัติผู้ลงทะเบียน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

คุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนและครอบครัวของผู้ลงทะเบียนด้วย มีรายละเอียด ดังนี้ค่ะ

  1. มีสัญชาติไทย
  2. มีอายุตั้งแต่ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
  3. ไม่เป็น ภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช ผู้ต้องขัง ผู้ถูกกักกัน ผู้ต้องกักขัง ผู้ที่อยู่ในสถานสงเคราะห์ฯ ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงาน ลูกจ้าง เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ผู้รับบำเหน็จรายเดือน ผู้รับบำนาญปกติ หรือเบี้ยหวัดจากส่วนราชการ ข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา
  4. รายได้ของผู้ลงทะเบียนไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง และหากมีครอบครัว รายได้เฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนไม่เกิน 100,000 บาทต่อคนต่อปี ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
  5. ทรัพย์สินทางการเงิน ได้แก่ เงินฝาก สลาก พันธบัตรและตราสารหนี้ภาครัฐ ของผู้ลงทะเบียน ต้องมีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง และหากมีครอบครัว ทรัพย์สินทางการเงินเฉลี่ยของครอบครัวของผู้ลงทะเบียนมีมูลค่าไม่เกิน 100,000 บาทต่อคน ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
  6. ไม่มีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ หรือมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

6.1) กรณีผู้ลงทะเบียนไม่มีครอบครัว

1) ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (บ้านพร้อมที่ดิน)

1.1) กรณีอยู่อาศัยอย่างเดียว

– บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว และตึกแถว ต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 25 ตารางวา

– ห้องชุดต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร

1.2) กรณีเป็นที่อยู่อาศัย และใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่ หรือในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรจะต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่

2) ที่ดินแยกจากที่อยู่อาศัย

2.1 ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตร ต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่

2.2 ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตร ต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 10 ไร่

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
เงื่อนไขบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 65

ขอบคุณภาพจาก ไทยรัฐออนไลน์

6.2) กรณีผู้ลงทะเบียนมีครอบครัว

1) ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (บ้านพร้อมที่ดิน)

1.1) กรณีอยู่อาศัยอย่างเดียว

1.1.1) กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของที่ดิน ที่มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว และตึกแถวแยกจากกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสแต่ละคนต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 25 ตารางวา

กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของที่ดินที่มีลักษณะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องแถว และตึกแถวร่วมกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสรวมกันต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 25 ตารางวา

1.1.2) กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของห้องชุดแยกจากกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสแต่ละคนต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร

กรณีผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสเป็นเจ้าของห้องชุดร่วมกัน ไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นเป็นเจ้าของรวมด้วยหรือไม่ก็ตาม ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ในห้องชุดของผู้ลงทะเบียนและคู่สมรสรวมกันต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 35 ตารางเมตร

1.2) กรณีเป็นที่อยู่อาศัย และใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่ หรือในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรจะต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 2 ไร่

2) ที่ดินแยกจากที่อยู่อาศัย

2.1) ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการอื่นที่ไม่ใช่เพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 2 ไร่

2.2) ในกรณีที่ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรต้องมีพื้นที่ไม่เกิน 20 ไร่

  1. ผู้ลงทะเบียนจะต้องไม่มีบัตรเครดิต ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง

ผู้ลงทะเบียนจะต้องไม่มีวงเงินกู้ หรือมีวงเงินกู้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง แต่ไม่เกินหลักเกณฑ์ ดังนี้

  • วงเงินกู้สำหรับที่อยู่อาศัยรวมไม่เกิน 5 ล้านบาท
  • วงเงินกู้สำหรับยานพาหนะรวมไม่เกิน 1 ล้านบาท

 

การดำเนินโครงการ

การลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จะเริ่มประมาณกลางปี 2565 โดยคาดว่าจะเริ่มสวัสดิการใหม่ให้แก่ผู้ผ่านสิทธิได้ ในช่วงปลายปี 2565 ซึ่งจะเป็นการใช้บัตรประชาชนแทนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งนี้ รายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับโครงการคณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการ เพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เป็นผู้กำหนด ซึ่งจะมีการประชาสัมพันธ์ต่อไป

ไม่ว่าคุณแม่จะเป็นผู้ที่ใช้สิทธิอยู่เดิม หรือต้องการลงทะเบียนใหม่ หากเช็คแล้วว่ามีสิทธิ์ตามเงื่อนไข ขอให้รอติดตามอัพเดท จาก ทีมแม่ abk นะคะ ถ้ามีความคืบหน้าอย่างไร จะเปิดให้ลงทะเบียนเมื่อไหร่ จะรีบมาบอกให้คุณแม่ทราบค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

ไทยรัฐ ออนไลน์, PPTV HD

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เช็คกติกา คนละครึ่งเฟส 4 ลงทะเบียนอย่างไรให้ได้สิทธิ

ย้ายสิทธิบัตรทอง ด้วยตนเอง ผ่าน 2 ช่องทาง สะดวก ง่าย

ตรวจคัดกรองการได้ยินทารกแรกเกิด สิทธิบัตรทอง ใครได้บ้างเช็คเลย!

เป้อุ้มเด็ก

ส่งต่อความอบอุ่นจากอ้อมอกแม่ ด้วย เป้อุ้มเด็ก POGNAE เข้าใจแม่ ดูแลลูก

บ้านไหนมีลูกเล็กและอยู่ในช่วง “ติดแม่แจ” อยากให้คุณแม่อุ้มตลอดเวลา แม่คนไหนก็ปลื้มจริงไหมคะ แต่ถ้าจะต้องอุ้มลูกเป็นเวลานานๆ หรืออุ้มกล่อมนอนคงไม่ไหว นอกจากคุณแม่จะทำงานบ้าน หรือกิจกรรมไม่ถนัดแล้ว ยังเสี่ยงต่ออาการปวดบริเวณหลัง บ่า ไหล่ และข้อมือในระยะยาวได้ ดังนั้นการเลือก เป้อุ้มเด็ก ที่ดีและให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพทั้งแม่และลูกนั้น จึงเป็นสิ่งที่แม่มองหามาตลอด

เมื่อลูกได้อยู่ในอ้อมกอดของคุณแม่ จะรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ซึ่งส่งผลดีต่อพัฒนาการรอบด้านทีเดียว งานวิจัยในต่างประเทศระบุว่า การที่คุณแม่อยู่ใกล้ชิดและตอบสนองลูกได้ตลอดเวลา ทำให้ลูกมีพื้นฐานอารมณ์ที่ดี เป็นเด็กร่าเริง และร้องไห้น้อยลงอีกด้วย  การเลือกใช้เป้อุ้มเด็กที่ช่วยให้คล่องตัวทั้งคุณแม่และลูกน้อยน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

หากยังไม่รู้ว่าจะเลือกแบรนด์ไหนดี ทีม บ.ก. Amarin Baby & Kids ขอแนะนำแบรนด์เป้อุ้มเด็กอันดับ 1 ที่คุณพ่อคุณแม่เลือกใช้ ทั้งในไทยและเกาหลี ไปเดินที่ไหนเป็นต้องเห็นคนใช้ เป้อุ้มเด็ก POGNAE NO.5 Max ซึ่งรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งาน และคุ้มค่ากับการลงทุนสุดๆ ทำไมถึงมีแต่คนบอกต่อ ทำไมถึงมีแต่คนใช้ มาหาคำตอบไปพร้อมๆกันค่ะ

 

Amarin Baby & Kids ยกให้ POGNAE เป็นแบรนด์ เป้อุ้มเด็ก ที่ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา Best Baby Carrier จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021

เป้อุ้มเด็ก

ความประทับใจแรกจน บ.ก. อยากบอกต่อเลยก็คือ POGNAE NO.5 Max เป็น เป้อุ้มเด็ก รุ่นใหม่ ที่ผ่านการคิดค้นและออกแบบมาให้ตอบโจทย์การใช้งานของแม่ลูกอย่างแท้จริง สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับการอุ้มแต่ละแบบสอดคล้องกับพัฒนาการตามวัยของลูก ใน1เซ็ทได้เป้อุ้มถึง 3 ชิ้น อุ้มได้มากถึง 10 ท่า จึงปรับใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ จะเป็นไปได้อย่างไร เรามารีวิวเจาะลึกกันทีละส่วนเลยค่ะ

เป้อุ้มเด็ก
อุ้มแบบที่ 1 อุ้มแบบ Baby Sling โดยใช้ ผ้าอุ้มเด็ก Step One Shawl Uv Air

สำหรับลูกวัยแรกเกิด สามารถใช้ได้ด้วยการอุ้มแบบ Baby Sling โดยใช้ ผ้าอุ้มเด็ก Step One Shawl UV Air คล้ายการอุ้มแบบใช้ผ้าพัน แต่ใช้งานง่ายกว่า เพียงแค่สวมเท่านั้น เนื้อผ้านุ่ม ไม่ระคายผิวลูก ระบายความร้อนได้ดี แถมยังป้องกันยูวีได้ถึง 85 % ลูกน้อยจึงอยู่ในอ้อมกอดของคุณแม่แบบไม่อึดอัด และผ้าอุ้มเด็ก Step One Shawl ยังใช้อุ้มได้ยาวๆจนถึงขวบปีแรกอีกด้วย

และความประทับใจอีกหนึ่งจุด ที่ บ.ก. อยากจะแนะนำก็คือ ผ้าอุ้มเด็ก POGNAE ออกแบบผ้าอุ้มมาอย่างดีมากๆ เป็นท่าอุ้มที่โอบอุ้มตัวลูกให้แนบกับตัวของคุณพ่อ คุณแม่มากที่สุดให้ความรู้สึก คล่องตัว เบาสบาย  และยังออกแบบมาเพื่อดูแลสรีระ สำหรับเด็กเเรกเกิดโดยเฉพาะ และด้วยความแนบชิด ลูกน้อยจะได้ยินเสียงหัวใจของคุณพ่อ คุณแม่ ก็จะช่วยลด อาการร้องไห้ งอแง รวมถึงทำให้เจ้าตัวเล็ก หลับง่ายขึ้นอีกด้วย

POGNAE ยังได้รับการการันตีจาก สถาบัน International Hip Dysplasia ( IHDI ) ที่รับรองความปลอดภัย เรื่องโรคข้อสะโพกหลุดในเด็ก จึงมั่นใจได้ว่า ลูกจะนั่งได้อย่างสบายใจ และไม่เกิดปัญหาหลังงอ ขาโก่ง อย่างแน่นอน

เป้อุ้มเด็ก
อุ้มแบบที่ 2 อุ้มแบบ Baby Carrier

การอุ้มแบบ Baby Carrier คือ เป้อุ้มแบบไม่มีฐาน  เป็นเป้อุ้มอีกรูปแบบที่รองรับสรีระเด็กเล็กได้ดีมากๆ  เพราะมีฟังก์ชันเสริมมากมาย ทั้งการปรับเบาะอุ้มแบบ Mshape และ Ushape ซึ่งทำให้สามารถช้อนรับก้น สะโพก และต้นขาของลูกน้อยได้ดี ทำให้ลูกน้อยอยู่บนเป้อุ้มได้อย่างสบายตัว  Hand Free 360 องศา และยังให้ความคล่องตัว สำหรับผู้อุ้ม และช่วยซัพพอร์ท ต้นคอ หลัง คอ บ่า และไหล่ ได้อย่างเต็มรูปแบบ สำหรับการอุ้มแบบนี้แนะนำสำหรับเด็กที่ น้ำหนัก 6 กิโลกรัมขึ้นไป อุ้มได้ยาวๆถึง 20 กิโลกรัม หรือจะปรับเป็นอุ้มสะพายหลังได้อีกด้วย

เป้อุ้มเด็ก
อุ้มแบบที่ 3 อุ้มแบบ Hipseat Carrier

Hipseat Carrier คือ เป้อุ้มแบบมีฐาน  เป็นเป้อุ้มที่เหมาะสำหรับเด็ก 6 เดือนขึ้นไป เป็นวัยที่น้ำหนักเริ่มเยอะ กำลังซุกซน  ชอบที่จะเรียนรู้สิ่งรอบตัว  จึงแนะนำให้ปรับใช้เป้อุ้มเป็นแบบ Hipseat Carrier เพื่อให้ลูกน้อยนั่งสบาย เหมาะกับสรีระวัยกำลังเจริญเติบโต และ การใช้เป้อุ้มแบบที่มี Hipseat จะช่วยรับน้ำหนัก และ ช่วยกระจายน้ำหนักได้ดี และด้วย #เหล็กเสริมพยุงหลัง4ชั้น ทำให้น้ำหนักลูกถูกกระจายมายังผู้อุ้ม คุณแม่จะรู้สึกเบากว่าอุ้มมือปกติ ทำให้อุ้มลูกได้นานขึ้น พร้อม Hand Free 360 องศา ชีวิตคุณพ่อ คุณแม่จะสะดวกยิ่งขึ้นด้วย

เป้อุ้มเด็ก
อุ้มแบบที่ 4 อุ้มแบบ Hipseat Only

Hipseat Only คือการถอดส่วนอื่นๆ ให้เหลือเฉพาะฐานที่นั่ง Hipseat ถือว่าเป็นท่าอุ้มที่นิยมใช้กันมากๆ เหมาะสำหรับอุ้มทานนม ทานข้าว เดินเล่น หรือ กล่อมนอน ไม่ว่าจะอยู่ในบ้าน หรือ ออกนอกบ้าน ก็ช่วยให้ทุกวันเป็นวันสบาย อย่างแน่นอน และอีกสิ่งที่ บ.ก. ลองมาแล้วว่าดีมาก นั่นก็คือ #ซิลิโคนกันลื่น100% ที่เป็นเอกลักษณ์ของ POGNAE ช่วยให้ลูกน้อย นั่งได้อย่างมั่นคง ไม่ลื่นไถล และ ยังช่วยให้คุณแม่อุ้มลูกได้เพียงมือเดียวเท่านั้น เหลือมือว่างอีกข้างไว้หยิบจับได้ดั่งใจคิด

 

เป้อุ้มเด็ก

ส่วน Hip-Seat หรือฐานนั่งยังออกแบบพิเศษมาให้เป็นไซส์ที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก ซึ่งได้รับการโหวตมาแล้วจากประเทศเกาหลี และได้รับความนิยมมากที่สุด โดยด้านในทำจากโฟม EPP ( Expanded Polypropylene ) ซึ่งเป็นโฟมชนิดเดียวกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมการบิน จึงมีน้ำหนักเบา แข็งแรง และมีความยืดหยุ่นสูง  แม้ลูกจะน้ำหนักเพิ่มขึ้นก็ยังรองรับได้ดี คุณแม่จึงมั่นใจได้ว่าไม่บุบหรือยุบตัวแน่นอน

นอกจากดีไซน์ที่ออกแบบให้คุณแม่สามารถ  DIY เป้อุ้มเด็กของตัวเองได้แล้ว   Pognae ไม่ลืมเรื่องสำคัญ อย่างความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อยระหว่างใช้งานด้วย

  • AI Safety Lock ระบบล็อคอัจฉริยะ 2 ชั้น มั่นใจว่าลูกปลอดภัยขณะอุ้ม
  • เหล็กเสริมพยุงหลัง 4 ชั้น ช่วยประคองเอวให้อุ้มลูกในท่าหลังตรง ลดการกดทับ กระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้อุ้มลูกได้นานขึ้น และยังรู้สึกได้ว่า “ลูกน้ำหนักเบาขึ้น”
  • แกนพยุงสะบัก ลดการกดทับ ลดการรั้งบ่า ไหล่ กระจายน้ำหนักได้ดี ทำให้ไม่ปวด ต้นคอ บ่า และ ไหล่
  • ซิลิโคนกันลื่น 100% ที่เป็นซิลิโคนเกรดสำหรับเด็กโดยเฉพาะ เหนียว หนึบ นุ่ม และไม่ระคายผิว นั่งได้อย่างมั่นคง นั่งสบายไม่ลื่นไถล คุณพ่อ คุณแม่ Hand Free อุ้มลูกมือเดียวได้สบาย

รวมถึงการออกแบบ สายคาดเอว Carrier Belt ในขนาดพิเศษ ไม่ให้กระทบกับแผลกดทับของแม่หลังคลอด มี Hr Foam Support ทั้งตัวเป้ออกเเบบคล้ายรังผึ้ง ช่วยระบายอากาศได้ดี  คืนตัวได้ดี ไม่เสียรูปทรง แม้ใช้งานเป็นเวลานาน และที่สำคัญยังนุ่มไม่เจ็บไหล่ ไม่ว่าอุ้มลูกนานแค่ไหนก็ยังสบาย

อุปกรณ์ทุกชิ้นของเป้อุ้มเด็ก POGNAE ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คุณแม่จะได้รับครบชุดในกล่องเดียว และที่สำคัญสามารถปรับเปลี่ยนตามการใช้งานได้ง่ายๆ ด้วยตัวเองจึงไม่แปลกใจเลยที่เป้อุ้มเด็ก POGNAE จะได้รับรางวัลการันตีมากมาย ได้รับ Certificate มากกว่า 700ใบ และยังครองเเชมป์เป้อุ้มเด็กในดวงใจผู้ใช้งานและ Amarin Baby & Kids Awards 3 ปีซ้อน (2019-2021)

ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดของเป้อุ้มเด็ก POGNAE Amarin Baby & Kids “เครือข่ายแม่ลูกใหญ่ที่สุด” ผู้นำด้านคอนเทนต์คุณภาพ เข้าใจครอบครัวไทย และตอบสนองความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ จึงคัดเลือกให้ผลิตภัณฑ์เป้อุ้มเด็ก POGNAE NO.5 Max ได้รับรางวัล Editor’s Choice สาขา Best Baby Carrier จาก Amarin Baby & Kids Awards 2021 ซึ่งมอบให้กับสินค้าแม่ลูก “สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง”

สำหรับคุณแม่ที่สนใจ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hmckfamily.com หรือแอดไลน์ที่  bit.ly/line-hmck

ไวรัสโคโรนาชนิดใหม่

ไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ คาดรุนแรงกว่าโควิด-19

เรื่องเด่นประเด็นด่วน !! ตอนนี้นักวิจัยชาวจีนได้มีการค้นพบ ไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ ที่สามารถเข้าสู่เซลล์มนุษย์ได้ และคาดว่าจะรุนแรงกว่าโควิด-19 ชื่อว่า นีโอคอฟ (NeoCoV)

ไวรัสโคโรนาชนิดใหม่ เข้าเซลล์มนุษย์ได้ คาดรุนแรงกว่าโควิด-19

การค้นพบไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้ ได้รับการเปิดเผยโดย นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ซึ่งได้โพสต์ข้อความผ่าน blockdit ส่วนตัวชื่อ “ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย”

ไวรัสโคโรนาชนิดใหม่คล้ายไวรัส MERS

คุณหมอได้โพสต์ว่า นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น ประเทศจีน ได้ค้นพบไวรัสโคโรนา (Corona Virus) ในค้างคาวที่ประเทศแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นชนิดใหม่ เรียกชื่อว่า NeoCoV โดยมีลักษณะสารพันธุกรรมที่ใกล้เคียงมากกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค MERS ซึ่ง MERS นั้น รุนแรงกว่า SARS ถึง 3 เท่าตัว และไวรัสตัวนี้สามารถเข้าเซลล์มนุษย์ได้

ไวรัสโคโรนาชนิดใหม่
ไวรัสโคโรนาชนิดใหม่

องค์การอนามัยโลกสั่งจับตา

คุณหมอกล่าวเพิ่มเติมว่า ไวรัสโคโรนาลำดับ 7 ที่ก่อโรคโควิด-19 ในปัจจุบันนั้น มีสารพันธุกรรมที่ใกล้เคียงมาก กับไวรัสก่อโรค SARS และการค้นพบครั้งใหม่นี้ องค์การอนามัยโลกได้ออกมาให้ความเห็นว่า มีความเป็นไปได้ที่จะต้องเร่งศึกษาหาข้อมูลไวรัสใหม่ดังกล่าว อย่างใกล้ชิดโดยเร็วต่อไป เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้น การค้นพบครั้งนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่และเป็นที่ตื่นเต้นกันมาก ตลอดจนมีความจำเป็นที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่จะทำให้เกิดผลกระทบกับมนุษยชาติอย่างไร

ความเกี่ยวข้องของ SARS MERS และโควิด – 19

คุณหมอเฉลิมชัย ได้สรุปข้อมูลความเกี่ยวข้องกันระหว่าง SARS MERS และโควิด – 19 ไว้ดังนี้ค่ะ

  1. ไวรัสก่อโรคโควิด-19 เป็นไวรัสตระกูลโคโรนาลำดับ 7 ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับไวรัสก่อโรค SARS ซึ่งเป็นไวรัสตระกูลโคโรนาลำดับ 5 มาก จึงตั้งชื่อว่า SARS-CoV-2
  2. โรค SARS นั้น มีความรุนแรงน้อยกว่า MERS ถึง 3 เท่า โดยมีอัตราการเสียชีวิต 10% ในขณะที่โรค MERS เสียชีวิตมากถึง 30%
  3. ไวรัสก่อโรค MERS เป็นไวรัสตระกูลโคโรนาลำดับ 6
  4. ไวรัสตระกูลโคโรนาที่ก่อโรคในมนุษย์ที่ผ่านมา คือ

ลำดับที่ 1-4 ก่อให้เกิดโรคหวัด

ลำดับที่ 5 ก่อให้เกิดโรค SARS

ลำดับที่ 6 ก่อให้เกิดโรค MERS

ลำดับที่ 7 ก่อให้เกิดโรค COVID-19

  1. ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า NeoCoV ที่พบในค้างคาวครั้งนี้ มีลักษณะใกล้เคียงกับ MERS มาก และมีโอกาสที่จะถูกตั้งชื่อว่า MERS-CoV-2 ถ้าก่อโรคในมนุษย์ได้จริง คือเป็นไวรัสโคโรนาก่อโรคในมนุษย์ลำดับที่ 8
  2. ความน่าเป็นห่วงก็คือ ไวรัสที่อยู่ในค้างคาวจะไม่ก่อโรคในมนุษย์ ถ้าไม่สามารถจับและเข้าไปในเซลล์มนุษย์ได้ แต่ไวรัสใหม่ที่ค้นพบนี้บังเอิญสามารถจับกับหน่วยรับ ACE-2 แล้วเข้าเซลล์ร่างกายมนุษย์ได้
  3. มีความกังวลว่า ไวรัสใหม่นี้อาจจะก่อโรคแบบ COVID-19 (COrona VIrus Disease 2019) ได้ และอาจจะรุนแรงกว่า COVID-19

รายละเอียดเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากโรค SARS และ MERS

คุณหมอได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเสียชีวิต จากโรค SARS MERS และโควิด – 19 ดังนี้

  • SARS ระบาดในปี 2003 (พ.ศ. 2546) มีผู้เสียชีวิต 10%,
  • MERS ระบาดในปี 2012 (พ.ศ. 2555) มีผู้เสียชีวิต 30%
  • COVID-19 ระบาดในปี 2019 (พ.ศ. 2562) เริ่มต้นมีเสียผู้เสียชีวิต 5% ปัจจุบันผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1.53% โดยมีผู้เสียชีวิต 5.67 ล้านคน จากผู้ติดเชื้อ 371 ล้านคน

ถ้าไวรัสโคโรนาชนิดนี้สามารถก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ขึ้นมาได้จริง ก็อาจเรียกชื่อว่า COVID-22 และถ้าคำนวณตามสัดส่วนของโรค SARS และ MERS ที่รุนแรงขึ้น 3 เท่า ก็อาจจะทำให้ COVID-22 มีผู้เสียชีวิตมากกว่าโควิด-19 ถึง 3 เท่า เช่น ในปัจจุบันโควิด-19 เสียชีวิต 5.67 ล้านคน ถ้าเป็นโควิด-22 ก็จะเสียชีวิตมากถึง 17 ล้านคน

ไวรัสโคโรนาชนิดใหม่
ระมัดระวังเชื้อไวรัสตัวใหม่

อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวนี้ยังมีความไม่แน่นอน จำเป็นจะต้องศึกษาค้นคว้ากันอย่างเร่งด่วน ซึ่งองค์การอนามัยโลก ได้ร่วมกับหน่วยงานระดับโลกอีกหลายหน่วยงาน เช่น องค์การระดับโลกเรื่องสุขภาพสัตว์ องค์การอาหารและเกษตรโลก ตลอดจนโครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติ เพื่อที่จะรีบหาข้อมูลและสรุปให้ได้โดยเร็วที่สุดว่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ มีโอกาสก่อโรคโควิดในมนุษย์มากน้อยเพียงใด

 

แม้ว่าเชื้อไวรัสตัวใหม่นี้จะมีรายงานการค้นพบ และมีลักษณะคล้ายคลึงกับเชื้อที่เคยสร้างความสูญเสีย เช่น MERS แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องข้อมูล ทีมแม่ ABK ขอให้คุณแม่อย่าเพิ่งตระหนก แต่ควรมีสติหนักแน่น ติดตามข้อมูล และควรป้องกันตนเองและลูกน้อยเช่นที่เคยเป็นมา อย่าเพิ่งการ์ดตกนะคะ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก
ไทยรัฐออนไลน์, Blockdit, นิตยสารชีวจิต

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

หมอธีระ แนะ เด็กติดโอไมครอน ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

พ่อแม่ต้องรู้!! อาการโอไมครอนในเด็ก เจอสัญญาณต่อไปนี้ พบแพทย์ทันที

เดลต้าพลัส โควิดสายพันธุ์ใหม่ ติดง่ายกว่าเดิม!

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน

ส่อง! 11 ลูกดารา ฉลองตรุษจีน น่ารัก ใจละลาย

ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้ 新正如意 新年发财 เทศกาลตรุษจีน 2565 มาถึงแล้วค่าคุณแม่ คิดหวังสิ่งใดขอให้สมหวังสมปรารถนา มีแต่ความสุขมั่งคั่ง โชคดีร่ำรวยตลอดปีนะคะ เนื่องในโอกาสนี้ทีมแม่ ABK มีของขวัญปีใหม่ รวมภาพน่ารัก ๆ จาก 11 ลูกดารา ฉลองตรุษจีน กับที่บ้าน จะมีครอบครัวไหนบ้าง น่ารักแค่ไหนมาดูกันค่ะ

ส่อง! 11 ลูกดารา ฉลองตรุษจีน น่ารัก ใจละลาย

  1. ลูกดารา ฉลองตรุษจีน ชมพู่ อารยา กับ น้องสายฟ้า และน้องพายุ

แฟชั่นของแม่ชมพู่ วันนี้มาในลุคสปอตกับเสื้อแดงพร้อมซองอั่งเปา 3 ซอง สงสัยเป็นซองสำหรับลูกแฝดทั้งสองและน้องน้อยที่ยังอยู่ในท้อง ส่วนน้องสายฟ้าและน้องพายุ แต่งตัวง่าย ๆ สบาย ๆ แต่อลังการด้วยหัวสิงโตเตรียมเชิดสิงโตฉลองตรุษจีน

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
ชมพู่ อารยา กับซองอั่งเปา
ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
สายฟ้า พายุ ใส่หัวสิงโต

ขอบคุณภาพจาก IG @chomismaterialgirl

คุณแม่ลิเดีย คุณพ่อแมททิว และน้องเดมี มาในชุดสีทอง ฉลองตรุษจีน น้องเดมี่น่าเอ็นดูเป็นที่สุด เป็นน้องหมวยตาแป๋ว ในขณะที่น้องดีแลน มาแหวกแนวสักหน่อย ใส่เสื้อยืดสีแดง แต่สกรีนคำสุดปัง คือ ลูกเศรษฐี เฮง ๆ ปัง ๆ กันไปเลยสิคะ

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
ครอบครัว ลิเดีย – แมทธิว
ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
น้องเดมี่

ขอบคุณภาพจาก IG  @lydiasarunrat

3. ครอบครัวศรีริต้า – กรณ์

มาถึงครอบครัวของคุณแม่ศรีริต้า คุณพ่อกรณ์ และน้องกวินท์ แทคทีมกันมาในชุดสีแดงแรงฤทธิ์ เตรียมแขวนโคมสีแดง น้องกวินทร์มาให้กำลังใจคุณแม่ที่ใส่ชุดเดรสแขนกุดสีแดงสุดเซ็กซี่ แขวนโคม น่ารักน่าชังเป็นที่สุด

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
ครอบครัวศรีริต้า – กรณ์

 

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
ศรีริต้ากับน้องกวิน

ขอบคุณภาพจาก IG @sriritajensen

4. แม่แอฟ ทักษอร กับน้องปีใหม่

ตรุษจีน 2565 นี้ แม่แอฟ ทักษอร มาในชุดเสื้อแขนกุด คอนจีน และกระโปรงทรงสอบสีหวานเมื่อตัวแม่แอฟ ส่วนน้องปีใหม่ใส่ชุดลายดอกไม้สีแดง โพสท์ท่าทางขี้เล่น ดูโตเป็นสาวขึ้นมาก

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
แอฟ – น้องปีใหม่
ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
น้องปีใหม่

ขอบคุณภาพจาก IG @aff_taksaorn

5. แม่เป้ย ปานวาด น้องโปรด และน้องปาลิน

คุณแม่เจ้าของตำแหน่งนางร้ายอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ที่เพิ่งคืนจอไปหมาด ๆ ก็ฉลองตรุษจีนกับเค้าเหมือนกัน พร้อมพาลูก ๆ ชาย – หญิง ทั้งสอง น้องโปรด และน้องปาลิน ใส่ชุดจีนฉลองด้วย โดยแม่เป้ย ใส่ชุดเดรสสีแดงคอจีนพร้อมเครื่องประดับผมแบบสาวจีน สวยมาก ส่วนน้องโปรดใส่เสื้อเหลืองลายมังกร ดุจองค์ชายน้อยจากเมืองจีน และสุดท้ายน้องปาลิน มาในชุดเสื้อกางเกงสีแดงลายมังกรและดอกไม้ พร้อมรองเท้าสีเหลือง แซ่บที่สุด

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
เป้ย ปานวาด
ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
น้องโปรด
ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
น้องปาลิน

ขอบคุณภาพจาก IG  @ppanward

6. ครอบครัว มาร์กี้ – ป๊อก

ฉลองแบบเจ้าสัวใหญ่ต้องครอบครัวนี้เลย มาพร้อมกับของไหว้อลังการดาวล้านดวง ทั้งรอบครัวมาในชุดจีนดูดีทีเดียว พ่อป๊อกเสื้อสีสอง แม่มาร์กี้เดรสขาวแดง ส่วนน้องมีก้ามาในเสื้อแขนกุดสีแดงคอจีน และน้องมีญ่ามาในเสื้อสีชมพู กระโปรงแดง น่ารักสุด ๆ

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
ครอบครัวมาร์กี้ – ป๊อก

ขอบคุณภาพจาก IG @margie_rasri

7. สาว ๆ บ้านพลอย ชิดจันทร์

คุณแม่ยังสาว พลอยชิดจันทร์ และลูกสาวทั้งสอง น้องชิลลี่ และน้องชิลีนมาในชุดเดรสแฝดสาม เหมือนกันเป๊ะ ลูกสาวทั้งสองก็โตทันแม่ ส่วนคุณแม่ก็เริ่มเหมือนพี่สาวเข้าไปทุกทีแล้ว สวยทั้งบ้านจริง ๆ

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
ครอบครัวพลอย ชิดจันทร์

ขอบคุณภาพจาก IG  @ploychidjun

8. อุ้มลักขณา และน้องดิสนีย์

นักแสดงสาวซุดเซ็กซี่ อุ้มลักขณาไม่ทิ้งมาดสาวเซ็กซี่กับชุดกี่เพ้ารูปแบบทันสมัยสีชมพู ผ่าข้าง ส่วนน้องดิสนีย์ก็แต่งตัวเป็นคู่แฝดกับคุณแม่เป๊ะ แถมยังหิ้วชาแนลซะด้วย

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
อุ้ม ลักขณา กับ น้องดิสนีย์

ขอบคุณภาพจาก IG @lukkanaaum

9. เกล รดา และน้องกราฟ

แม่เกลมาในชุดเดรสคอจีนง่าย ๆ สบาย ๆ สีส้มอ่อน พร้อมน้องกราฟ หนุ่มน้อยมาในเสื้อสีเดียวกับชุดคุณแม่ ส่วนกางเกงสีแดงเพลิงเลยทีเดียว

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
เกล รดา กับน้องกราฟ

ขอบคุณภาพจาก IG  @gale_rada

10. ซาร่า คาซิงกินี น้องแม็กซเวลล์ และ น้องเอมมิลี่

คุณแม่ยังสาวซาร่า แท็คทีมกับลูก ๆ ใสเสื้อสีทองกันไปเลย แถมน้องแม็กซ์เวลล์มีหมวกเป็นฮ่องเต้น้อยซะด้วย ส่วนน้องเอมมิลี่ ก็เป็นฝรั่งน้อยน่ารักจริง ๆ

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
แม่ซาร่า น้องแม็กซเวลล์ และน้องเอมมิลี่

ขอบคุณภาพจาก IG @sarahcasinghini 

11. ต่าย ชุติมา และน้องพิพิม

อีกคู่แม่ลูกที่ใส่ชุดเหมือนกัน เดรสไม่แดง ไม่มีแรงเดินกันแน่ ๆ วันนี้แม่ต่ายควงน้องพิพิมใส่กี่เพ้าประยุกต์ทันสมัย เป็นนางแบบคู่กับคุณแม่ได้แล้วนะเนี่ย

ลูกดารา ฉลองตรุษจีน
แม่ต่าย ชุติมา กับน้องพิพิม

ขอบคุณภาพจาก IG @tye.chutima

 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ความน่ารักของเด็ก ๆ และครอบครัว ทีมแม่ ABK หวังว่า เมื่อคุณแม่ได้ดูรูปน่ารัก ๆ ของเด็ก ๆ ที่แต่งตัวสวย ๆ หล่อ ๆ น่าจะทำให้คุณแม่มีรอยยิ้มบ้างนะคะ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เคล็ดลับดวงดี ตรุษจีน 2565 ไหว้ตรุษจีน ให้เฮงรับปีเสือ

ชื่อเล่นลูกดารา 100+ ไอเดียสำหรับตั้ง ชื่อเล่นลูก น่ารัก เก๋ๆ ไม่เหมือนใคร!

ส่อง ค่าเทอมลูกดารา เรียนที่ไหนกัน แม่ต้องจ่ายเท่าไหร่บ้าง?