ฝังเข็มคุมกำเนิด

ฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไร? ข้อดี ข้อเสีย ที่ต้องรู้ก่อนทำ!

event
ฝังเข็มคุมกำเนิด
ฝังเข็มคุมกำเนิด
ขอบคุณภาพจาก www.semanticscholar.org

 แม่ควรรู้ก่อนทำ! จะคุมกำเนิดด้วยวิธี ฝังเข็ม ดีหรือไม่? ฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไร? มีข้อควรระวังอะไรบ้าง ทีมแม่ABK มีคำตอบจากนายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์) มาฝากค่ะ

โดยคุณหมอกล่าวว่า… มีคุณแม่หลายท่านแวะเวียนเข้ามาถามหมอว่า “คุณหมอคะ การฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไรคะ และฝังแล้วจะดีไหมคะ” วันนี้หมอจึงอยากมาให้ความรู้เรื่องการฝังเข็มคุมกำเนิด เพื่อให้คุณผู้หญิงทุกๆคนเข้าใจตรงกันและนำไปบอกเล่าสู่กันฟังกับเพื่อนสนิทมิตรสหายให้เข้าใจได้ถูกต้อง

ฝังเข็มคุมกำเนิด คืออะไร?

ยาฝังคุมกำเนิด หรือ ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง (Contraceptive Implant)  คือ วิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวชนิดหนึ่ง ที่ใช้ฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) บรรจุในหลอดพลาสติกชนิดพิเศษ ที่ไม่ละลายเมื่ออยู่ในร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีขนาดเล็กเท่าๆ กับก้านไม้ขีดไฟ ฝังเข้าสู่ร่างกายบริเวณใต้ท้องแขน (การฝังยาคุมกำเนิดสามารถทำได้ทั้งข้างซ้ายหรือข้างขวา ปกติจะฝังด้านที่เราไม่ถนัด ) มีประสิทธิภาพสูงในการคุมกำเนิดได้ยาวนาน 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของยา ปัจจุบันมีใช้อยู่ 3 แบบด้วยกัน คือ

  1. นอร์แพลนท์ (Norplant) เป็นยาคุมกำเนิดแบบฝัง ชนิดแรกสุด ซึ่งประกอบด้วยตัวยาขนาด 3.4 x 24 เซนติเมตร จำนวน 6 แท่ง ฝังเข้าสู่ร่างกายบริเวณท้องแขนเป็นรูปพัด เนื่องจากจำนวนแท่งที่มากถึง 6 แท่ง ทำให้ต้องใช้เวลาในการฝังยาและการถอดยาออกนานกว่าชนิดอื่นๆ ปัจจุบันจึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก
  2. อิมพลานอน (Implanon) ตัวแท่งยา ขนาด 4.0×2 เซนติเมตร มาพร้อมชุดฝังสำเร็จรูปพร้อมใช้งาน เพื่อทำให้หมอฝังยาได้ง่าย และ แท่งยาอยู่ในระดับที่เหมาะสมใต้ผิวหนัง ไม่ตื้นหรือลึกจนเกินไป ทำให้เวลาถอดยาออกก็ทำได้ง่ายเช่นกัน และถ้าต้องการคุมกำเนิดต่อ สามารถฝังยาแท่งใหม่หลังเอายาแท่งเก่าออกได้ทันที ระยะเวลาคุมกำเนิดได้นาน 3 ปี
  3. จาเดลล์ (Jadelle) ตัวแท่งยาขนาด 4.3×25 เซนติเมตร จำนวน 2 แท่ง ฝังในแบบเดียวกับ อิมพลานอนสามารถคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี
ฝังเข็มคุมกำเนิด
ขนาดของเข็มคุมกำเนิด

ตอนนี้หลายคนคงอยากรู้แล้วว่า ยาฝังคุมกำเนิดป้องกันการตั้งครรภ์ได้อย่างไร? … ยาฝังเข็มคุมกำเนิด ออกฤทธิ์โดยการหลั่งฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) เพียงอย่างเดียว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนผสมของฮอร์โมนเอสโตเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน  ซึ่งยาฝังคุมกำเนิดจะทำหน้าที่ป้องกันการตั้งครรภ์ ผ่าน 3 กระบวนการ คือ

  1. การยับยั้งการตกไข่ หรือการยับยั้งการพัฒนาของฟองไข่ ในแต่ละรอบเดือน
  2. การทำให้มูกบริเวณปากมดลูกเหนียวข้นขึ้น ส่งผลต่อการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิในการว่ายเข้าสู่โพรงมดลูกได้ยาก
  3. ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลง ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่เหมาะสมกับการฝังตัวของตัวอ่อน

จากกระบวนการหลายส่วนดังกล่าว ทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยาฝังคุมกำเนิดสูงมาก หรือจะเรียกว่าสูงที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยประสิทธิภาพการคุมกำเนิดด้วย ฝังเข็มคุมกำเนิด นี้จะวัดกันที่อัตราความล้มเหลว (Failure Rate) ของแต่ละวิธี หรือจำนวนการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นต่อปี

ซึ่งพบว่า ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง หรือวิธี ฝังเข็มคุมกำเนิด มีอัตราความล้มเหลว ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เพียงร้อยละ 0.05 (1 ใน 2,000 คน) เท่านั้น ซึ่งน้อยกว่า ยาเม็ดคุมกำเนิด (ร้อยละ 0.3) ยาฉีดคุมกำเนิด (ร้อยละ 0.2) ตลอดจนถึงการทำหมันหญิง (ร้อยละ 0.5)

ฝังเข็มคุมกำเนิด
การฝังเข็มคุมกำเนิด

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการฝังยาคุมกำเนิด คือ ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นในขณะที่ฝังยา หรือ หลังการแท้งบุตรไม่เกิน 2 สัปดาห์ หรือหลังคลอดบุตรไม่เกิน 6 สัปดาห์ ส่วนวิธีฝังยาคุมกำเนิดก็ไม่ได้ยุ่งยากใดๆ โดย ขั้นแรกเมื่อคนไข้เลือกชนิดของยาได้แล้ว หมอจะทำความสะอาดผิวหนังตรงตำแหน่งที่เลือกจะฝังยา ทำการฉีดยาชา แล้วสอดเครื่องมือซึ่งมีลักษณะคล้ายเข็มฉีดยาปลายแหลม เข้าไปใต้ผิวหนัง เมื่อได้ตำแหน่งที่ต้องการแล้ว จะมีตัวดันยาออกจากหลอดให้ยาเข้าไปอยู่ในบริเวณใต้ผิวหนัง ใช้เวลา 10-15 นาที ก็เสร็จเรียบร้อย

การใช้เวลาในการฝังมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของยาดังที่กล่าวมาแล้ว (1 แท่ง 2 แท่ง หรือ 6 แท่ง) และประสบการณ์ของแพทย์ผู้ฝังยา หลังจากนั้นจะปิดแผลด้วยพลาสเตอร์ (ไม่ต้องเย็บแผล)  ตามด้วยผ้าพันแผลพันทับอีกชั้นหนึ่ง หลัง 24 ชั่วโมงสามารถเอาผ้าพันแผลออกได้ ถ้าหมอติดพลาสเตอร์กันน้ำก็สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นพลาสเตอร์ไม่กันน้ำ ควรไม่ให้แผลโดนน้ำประมาณ 3-5 วัน หมออาจให้ยาแก้ปวดกลับไปทานถ้ามีอาการปวดในช่วง 1-2 วันแรก และนัดมาดูแผล 1 สัปดาห์ หลังจากฝังยาต้องคอยสังเกตอาการของการอักเสบของแผลที่ฝังยา ปกติแผลจะหายเป็นปกติภายใน 7 วัน ถ้าแผลมีอาการบวมแดง มีหนอง หรือ มีไข้ ต้องรีบกลับไปพบแพทย์

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด

นอกจาก ฝังเข็มคุมกำเนิด จะมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการตั้งครรภ์แล้ว ยังเป็นวิธีที่มีความสะดวก เพราะฝังยาเพียงครั้งเดียวป้องกันได้นาน 3-5 ปี และออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้เร็ว (หลังจากฝังยาได้ 7 วัน สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้) ไม่ต้องกลัวลืมทานยา หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ เหมือนการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทาน สามารถเลิกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ หลังจากเอายา ฝังเข็มคุมกำเนิด ออก ภาวะเจริญพันธ์ หรือการกลับมาตั้งครรภ์ ได้เร็วกว่ายาคุมกำเนิดชนิดฉีด ยาฝังคุมกำเนิดใช้ได้ดีกับผู้หญิงหลังคลอดที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพราะไม่มีผลต่อปริมาณน้ำนม นอกจากนี้ยังทำให้เลือดประจำเดือนน้อยลง ลดภาวะโลหิตจาง และป้องกันโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้อีกด้วย

ข้อเสียของวิธี ฝังเข็มคุมกำเนิด

สำหรับข้อเสีย หรือ ผลข้างเคียงหลังจากฝังยาคุมกำเนิด ในช่วงแรกประจำเดือนอาจจะไม่สม่ำเสมอ มาแบบกะปริบกะปรอยในช่วงแรก หรือบางรายอาจมีประจำเดือนมามากติดต่อกันหลายวัน หรือบางรายไม่มีประจำเดือนมาเลย (บางรายถ้าประจำเดือนผิดปกติมาก แพทย์อาจใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ช่วยปรับเรื่องประจำเดือนผิดปกติในช่วงแรกของการฝังยา เพื่อให้ประจำเดือนสม่ำเสมอขึ้น) ฮอร์โมนในยาฝังคุมกำเนิดอาจส่งผลทำให้มีอารมณ์แปรปรวน สิว คลื่นไส้ เจ็บคัดเต้านมได้ในบางราย ยาฝังคุมกำเนิดควรระวังในการใช้กับผู้หญิงบางราย เช่น ผู้ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์ ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรน ประวัติโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด ผู้ป่วยโรคตับ ประวัติมะเร็งเต้านม ถ้าสงสัยโรคดังกล่าวควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะได้ประเมินว่าเหมาะสมที่จะรับการฝังยาคุมกำเนิดหรือไม่ และระลึกไว้เสมอว่า การฝังยาคุมกำเนิดไม่ได้ช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สุดท้ายคงเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการฝังยาคุมกำเนิด ถ้าฝังยาในโรงพยาบาลของรัฐ จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,000 – 4,000 บาท แต่ถ้าเป็นส่วนโรงพยาบาลเอกชน ราคาอาจจะแตกต่างกันในแต่ละโรงพยาบาล สามารถตรวจสอบราคาก่อนเข้ารับบริการได้ทุกสถานพยาบาล

>> ปัจจุบันมีโครงการของรัฐ เพื่อ ฝังเข็มคุมกำเนิด ฟรี!! ให้กับวัยรุ่นอายุ 10-20 ปี ตาม พ.ร.บ.การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ.2559 สามารถเข้ารับการฝังยาคุมกำเนิดฟรีที่โรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ

สรุปได้ว่า… ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง และมีฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ได้นาน 3- 5 ปี จีงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดระยะยาว ท่านที่สนใจควรพบแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมในการใช้ยานี้ทุกครั้ง

บทความโดย : นายแพทย์นิวัฒน์ อรัญญาเกษมสุข (สูตินรีแพทย์)
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
พันธุศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอบกิ้น สหรัฐอเมริกา

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพได้เลย ⇓

กินยาคุม ทำไมยังท้องได้

กินยาคุมแล้วมีลูกยาก กับความเชื่อที่แม่ควรรู้

แม่เล่า ขาดกรดโฟลิก ตอนท้อง ลูกเกิดมาพิการเป็นโรคนี้..แต่กำเนิด

คุมกำเนิดหลังคลอด เมื่อไหร่? อย่างไรดี!

อึ้ง!! เด็กซื้อยาคุมกำเนิด กับผลข้างเคียงที่ตามมาในอนาคต

พยาธิตืดหมู

เตือนภัย! กินผักสด หมูดิบ ต้องระวัง พยาธิตืดหมู ไชยั้วเยี้ยเต็มร่างกาย

Alternative Textaccount_circle
event
พยาธิตืดหมู
พยาธิตืดหมู

เรื่องของกินคือเรื่องอร่อยของทุกคน แต่สำหรับคนชอบกินผักสด หมูดิบ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบควรต้องระวัง หลังพบว่าโรค พยาธิตืดหมู ส่งผลต่อร่างกายเกินกว่าที่จะคิดได้!

เตือนภัย! กินผักสด หมูดิบต้องระวัง พยาธิตืดหมู ไชยั้วเยี้ยเต็มร่างกาย

ปลุกกระแสให้ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องโภชนาการกับการบริโภคอาหารแบบปรุงสุก หลีกเลี่ยงการกินอาหารดิบ ๆ หรือการรับประทานผักสดที่จำเป็นต้องล้างให้สะอาดก่อนกิน เมื่อมีเรื่องราวเตือนภัยของผู้ป่วยอายุ 18 ปี ไปโรงพยาบาลด้วยอาการปวดศีรษะ อาเจียน ชัก และประสาทสัมผัสที่เปลี่ยนแปลง โดยจากการตรวจเริ่มแรกพบหนังตาขวาบวม ผู้ป่วยมีอาการชัก ตามด้วยกล้ามเนื้อตึง เกร็ง และหมดสติ ก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์ ผู้ป่วยมีอาการเจ็บที่บริเวณขาหนีบนำมาก่อน ตามด้วยเจ็บที่อัณฑะขวา ผลการตรวจด้วย MRI พบซีสต์จำนวนมากในเนื้อเยื่อสมอง ศีรษะ กล้ามเนื้อ คอ ผนังหน้าอก ผนังหน้าท้อง กล้ามเนื้อข้างกระดูกสันหลัง สะโพก กระดูกเชิงกราน และกล้ามเนื้อแขนขา และยังพบซีสต์ในตาและอัณฑะ ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น “พยาธิตืดหมู” การได้รับเชื้อนี้ เกิดจากการกินไข่พยาธิที่ปนเปื้อนในผัก ผลไม้ น้ำ หรือดินที่ติดมากับมือแล้วไม่สะอาด

พยาธิตืดหมูในคน

ภาพจากเพจ PDRC ศูนย์วิจัยโรคปรสิต สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ระบุว่า จุด ๆ สีขาวนั้นคือซีสต์พยาธิตืดหมูกระจายเต็มตัวไปหมด ซึ่งเป็นระยะตัวอ่อน cysticercus ของพยาธิตืดหมู

โรคพยาธิตืดหมู คืออะไร?

พยาธิตืดหมู หรือตัวตืดหมู คือปรสิตชนิดหนึ่งที่เป็นพยาธิของคน เกิดจากพยาธิตืดหมูชื่อที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Taenia solium  เป็นพยาธิตัวแบนซึ่งเป็นกระเทย เนื่องจากมีอวัยวะเพศผู้และเพศเมียอยู่ในปล้องเดียวกัน พยาธิตืดตัวเต็มวัยอยู่ในลำไส้เล็กได้หลายปี มีความยาวประมาณ 2 ถึง 7 เมตร ลักษณะลำตัวมี สีขาวขุ่น เป็นปล้องแบน แต่ละปล้องจะมีไข่ประมาณ 30,000- 50,000 ฟอง ซึ่งอยู่ส่วนปลายจะหลุดออกจากตัวเต็มวัย และเคลื่อนที่ได้ จึงอาจคืบคลานออกมาทางรูทวารได้เอง หรือปล้องสุกอาจจะแตกก่อนที่บริเวณลำไส้ใหญ่ และปล่อยไข่ปะปนออกมากับอุจจาระของคน และกระจายอยู่ในธรรมชาติ รอเวลาเข้าสู่คนหรือหมูเป็นวงจรต่อไป

พยาธิตืดหมูสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งคนและหมู หมูและคนเมื่อได้รับไข่พยาธิจะทำให้เกิดการติดเชื้อ แบ่งเป็น พยาธิตืดหมูอาศัยอยู่ในลำไส้ ซึ่งในกรณีนี้คนทำหน้าที่เป็นโฮสต์สุดท้ายหรือโฮสต์จำเพาะ โดยตัวอ่อนจะฝังตัวตามอวัยวะต่าง ๆ คนจะได้รับเชื้อนี้โดยการรับประทานไข่พยาธิ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ซึ่งปนเปื้อนอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาดหรือที่ออกมากับอุจจาระ และพยาธิตัวอ่อนในถุงน้ำ หรือที่เรียกว่า ซีสต์เม็ดสาคู เข้าไปฝังตัวในเนื้อเยื่อของคน เรียกว่า โรคซีสติเซอร์โคซิส (Cysticercosis) ในกรณีนี้คนทำหน้าที่เป็นโฮสต์ตัวกลาง โรคดังกล่าวพบได้ทั่วโลก โดยพบได้บ่อยในประเทศด้อยพัฒนาและในประเทศที่กำลังพัฒนา รวมถึงทุกแหล่งที่มีการสาธารณสุขที่ไม่ดี ทั้งนี้ทั่วโลกพบการติดเชื้อโรคนี้ได้ประมาณ 50-100 ล้านคน การติดเชื้อนี้พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงผู้สูงอายุ ผู้หญิงและในผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคใกล้เคียงกัน

ซีสต์ตืดหมู

ภาพนี้เป็นซีสต์ตัวอ่อนพยาธิตืดหมู Taenia solium ตีพิมพ์โดย Beda John Mwang’onde (2019) ในหมูอายุ 8 เดือน มีระยะติดต่อ cysticercus เต็มไปหมดที่กล้ามเนื้อหัวใจ (a) สมอง (b) และกล้ามเนื้อท้อง (c) เคสนี้กระจายไปหมด ถือว่ารุนแรงมาก จากเพจ PDRC ศูนย์วิจัยโรคปรสิต สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

พยาธิตืดหมูเข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?

  • ติดต่อผ่านทางอาหารและการปนเปื้อนในอาหาร เมื่อคนรับประทานอาหารที่ประกอบจากเนื้อหมูที่มีตัวอ่อนของพยาธิที่อยู่ในกล้ามเนื้อของหมู ซึ่งนำมาทำเป็นอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ รับประทาน เช่น ลาบ ลู่ น้ำตก หมู แหนม เป็นต้น
  • จากการดื่มน้ำที่ไม่สะอาดและการรับประทานอาหารที่มีไข่ของพยาธิ เช่น ผักสด ผลไม้สด ที่ล้างไม่สะอาด หรือที่ผลิตผลอยู่บนดินหรือมีหัวอยู่ในดิน เช่น สตรอเบอรี่ แครอท หัวไชเท้า รวมทั้งพืชผักที่ใช้อุจจาระของคน หรือสัตว์เป็นปุ๋ย เป็นต้น
  • จากการที่ขย้อนปล้องสุกเข้าสู่กระเพาะ ทำให้เหมือนกินไข่พยาธิเข้าไปกับอาหาร
  • จากการที่ผู้ป่วยมีพยาธิตัวเต็มวัยอยู่ในลำไส้อยู่แล้ว และใช้มือล้างหรือเกาบริเวณทวารหนักโดยไม่ทำความสะอาดมือ ไข่พยาธิที่มาติดอยู่บริเวณนั้นติดนิ้วมือไป เมื่อนำมือมาจับอาหารเข้าปากหรืออมนิ้ว ไข่พยาธิก็จะเข้าปากเกิดการติดเชื้อได้

Taenia solium

 อันตรายจากพยาธิตืดหมู

เมื่อคนกินไข่ของพยาธิตืดหมูที่ปนเปื้อนในอาหาร ผักสด ผลไม้ หรือน้ำที่ไม่สะอาดเข้าไปเข้าไป ไข่พยาธิก็จะโตเป็นระยะตัวอ่อนเม็ดสาคูในร่างกายคน หรือเกิดการขย้อนปล้องสุกของพยาธิตืดหมูที่อยู่ในลำไส้กลับขึ้นไปในกระเพาะอาหาร จะทำให้พยาธิตัวอ่อนในไข่ฟักตัวออกมาแล้วไชทะลุผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ไปเติบโตเป็นถุงน้ำ ตัวตืด ลักษณะแบบเดียวกับเม็ดสาคูในเนื้อหมู โดยกระจายไปอยู่ตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง ตา หัวใจ ตับปอด เนื้อเยื่ออื่น ๆ และกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย หรือบางครั้งอาจคลำเป็นเม็ด ๆ ใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดอาการรุนแรง ภาวะที่มีตัวอ่อนเม็ดสาคูในร่างกาย เรียกว่า ซิสติเซอร์โคซิส (cysticercosis) อาจก่อให้เกิดพยาธิสภาพที่รุนแรงได้ ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ตัวอ่อนไปฝังตัวอยู่ เมื่ออยู่ในอวัยวะที่สำคัญ ๆ เช่น ในสมองและไขสันหลัง (neurocysticercosis) บางทีรุนแรงอาจถึงเสียชีวิตได้ หรือตาบอดเมื่ออยู่ในตา (ocular cysticercosis)

อาการเมื่อมีพยาธิตืดหมูในร่างกาย

  • รู้สึกกินเก่งขึ้น เนื่องจากมีพยาธิตัวเต็มวัยในลำไส้คอยแย่งอาหาร
  • หิวบ่อย แต่น้ำหนักลด ร่างกายผอมลง
  • มีอาการปวดท้อง ท้องอืด
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • อุจจาระบ่อย เนื่องจากมีการระคายเคืองต่อลำไส้
  • อุจจาระออกมาพร้อมปล้องสุกของพยาธิ เป็นเส้นยาว ๆ แบน ๆ สีขาวอมเหลือง
  • มีภาวะซีด
  • อาจเกิดเป็นซีสต์ ซึ่งอาการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับตำแหน่งของซีสต์ เช่น ซีสต์อยู่ที่ตาก็จะปวดตา ตาพร่ามัว แต่หากเกิดซีสต์ที่เนื้อเยื่อสมอง อาจไม่มีอาการหรือมีอาการ เช่น ปวดศีรษะ ชัก มือเท้าชา วิงเวียนศีรษะ เป็นลม หรืออาจจะมีอาการปวดศีรษะเนื่องจาก ซีสต์ไปอุดทางเดินน้ำไขสันหลังทำให้ความดันในสมองสูง ซึ่งเป็นอาการที่ผู้ป่วยไปพบแพทย์มากที่สุด เรียกว่า โรคนิวโรซีสติเซอร์โคซีส (Neurocysticercosis) ถ้าผู้ป่วยเป็นมากอาจเสียชีวิตได้

หากรู้สึกมีอาการดังกล่าวควรพบแพทย์โดยทันที ในกรณีนี้ถ้าสังเกตเห็นพยาธิออกมาก็สามารถนำมาให้แพทย์ตรวจดูด้วย

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคพยาธิตืดหมู

1.หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อหมูหรืออาหารแบบสุก ๆ ดิบ ๆ

2.สังเกตลักษณะของเนื้อหมูที่ซื้อมา หากพบว่ามีตุ่มขาวเหมือนเม็ดสาคูเม็ดใหญ่ในเนื้อหมูไม่ควรรับประทานอย่างยิ่ง

โรคพยาธิตืดหมู

3.ล้างผักผลไม้สดที่ซื้อให้สะอาดก่อนรับประทานเสมอ เพราะในผักผลไม้สดอาจมีไข่พยาธิตัวตืดปะปนมาได้ โดยเฉพาะผักผลไม้ที่มีลักษณะของหัวที่อยู่ใต้ดิน

4.ล้างมือให้สะอาดหลังเข้าห้องน้ำ ฟอกสบู่หลังจากถ่ายอุจจาระทุกครั้ง เพื่อกำจัดไข่พยาธิที่อาจติดมือไปแพร่ให้ตนเอง และผู้อื่นทางการปนเปื้อนอาหารได้

5.ล้างมือก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง ควรใช้ช้อนตักอาหารเข้าปาก หลีกเลี่ยงการใช้มือจับอาหารเข้าปาก และควรสอนลูกไม่ให้ติดนิสัยดูดนิ้วอมนิ้ว

6.การเตรียมอาหารหรือประกอบอาหารควรล้างมือ ฟอกสบู่ ก่อนทำอาหารทุกครั้ง เพื่อป้องกันไข่พยาธิปะปนลงไปในอาหาร

7.ถ่ายอุจจาระในห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะ ไม่ถ่ายอุจจาระลงแม่น้ำลำคลองหรือบนพื้นดิน และไม่ใช้อุจจาระคนเป็นปุ๋ยรดต้นผักเพราะเป็นการทำให้ไข่พยาธิอยู่ในดินและหมูมากินเข้าไป กลายเป็นวงจรเกิดพยาธิตืดหมูได้

8.ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุก

คุณพ่อคุณแม่อาจจะเห็นได้ว่า การเกิดพยาธิตืดหมูดูเหมือนเป็นโรคที่ไกลตัวแต่จริง ๆ แล้วอาจเกิดขึ้นใกล้ตัวต่อคนในครอบครัวได้ ดังนั้นการดูแลสุขอนามัยและโภชนาการที่ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงการฝึกนิสัยให้ทุกคนได้ล้างมือบ่อย ๆ กินร้อน และใช้ช้อนกลาง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะมีส่วนช่วยให้ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ ได้นะคะ

ขอบคุณภาพจาก : PDRC ศูนย์วิจัยโรคปรสิต สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.eent.co.thwww.siamhealth.netwww.mittraparphosp.com

อ่านต่อบทความดี ๆ น่าสนใจ คลิก!

เตือนภัย! ยาชุดแก้ปวดเมื่อย ไม่ช่วยให้หาย…แถมเสี่ยงตายไม่รู้ตัว

แม่เตือนภัย…ระวัง กิ้งกือมีพิษ ปล่อยสารโดนลูกน้อยเกือบตาบอด

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

วิธีแก้กรดไหลย้อน

วิธีแก้กรดไหลย้อน ขณะตั้งครรภ์ อะไรที่แม่ท้องควรกิน vs ไม่ควรกิน

Alternative Textaccount_circle
event
วิธีแก้กรดไหลย้อน
วิธีแก้กรดไหลย้อน

ในระหว่างตั้งครรภ์จะมีอาการคนท้องมากมายเกิดขึ้นกับร่างกายคุณแม่ “ภาวะกรดไหลย้อน” ก็เป็นอีกหนึ่งอาการที่อาจเกิดขึ้นได้ วิธีแก้กรดไหลย้อน ต้องทำยังไงให้คุณแม่รู้ไว้เตรียมรับมือ เพื่อช่วยให้รู้สึกสบายตัวและใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

วิธีแก้กรดไหลย้อน ตอนท้อง ช่วยให้แม่ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น

อาการ “กรดไหลย้อน” เป็นภาวะของการที่กระเพาะอาหารมีการผลิตน้ำย่อยออกมามากจนเกินไปเนื่องจากสิ่งเร้า ประกอบกับหูรูดรอบ ๆ กระเพาะอาหารส่วนบนที่ติดกับบริเวณหลอดอาหารนั้นมีภาวะเสื่อมจึงไม่สามารถหดปิดได้สนิท กรดจึงไหลย้อนขึ้นมาได้ง่าย โรคนี้เกิดขึ้นได้กับคนทั่วไปและเป็นอีกหนึ่งอาการยอดฮิตที่แม่ตั้งครรภ์ต้องเผชิญ ซึ่งส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนและระบบภายในของร่างกาย ที่ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง และทำให้กล้ามเนื้อหูรูดบริเวณปลายหลอดอาหารที่อยู่ติดกับกระเพาะคลายตัวบ่อยกว่าปกติ รวมทั้งอาการอาจจะมากขึ้นเมื่ออายุครรภ์เพิ่มขึ้น เพราะช่วงเวลาที่ทารกในครรภ์เจริญเติบโตขึ้น มดลูกมีการขยายขนาดใหญ่ขึ้น จนไปกดทับและดันกระเพาะอาหารให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ประกอบกับเมื่อคุณแม่รับประทานอาหารมาก ๆ โดยเฉพาะอาหารที่มีส่วนประกอบของแป้ง น้ำตาล และไขมันในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น เนื่องจากน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร ในกรณีของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่เป็นอยู่แล้วอาจมีผลให้อาการกรดไหลย้อนทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นได้ อาการนี้มักเกิดขึ้นได้หลังประทานอาหารเสร็จและในช่วงเวลากลางคืน และมักเกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วง 6-12 สัปดาห์และเกิดขึ้นร่วมด้วยกับอาการแพ้ท้อง รวมทั้งระหว่างตั้งครรภ์ 3-6 เดือน และช่วงใกล้คลอดด้วย

อาการกรดไหลย้อนตอนท้อง
อาการกรดไหลย้อนตอนท้อง

อาการกรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์

  • รู้สึกแสบร้อนบริเวณคอ บริเวณหน้าอก หรือใต้ลิ้นปี่ บางครั้งอาจแสบย้อนไปถึงกล่องเสียง และจมูกได้
  • ระคายเคืองคอ เจ็บคอ หรือเสียงแหบ
  • เรอออกมาบ่อย เรอเปรี้ยว หรือรู้สึกขมไหลย้อนขึ้นมาที่คอหรือปาก
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ท้องอืด แน่นท้อง แน่นในคอ

พฤติกรรมเสี่ยงกรดไหลย้อนที่แม่ท้องต้องระวัง!

  • การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่กระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อน
  • รับประทานอาหารแต่ละมื้อละมากเกินไป
  • รับประทานอาหารก่อนนอน เนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะยังทำงานอยู่และน้ำย่อยมีฤทธิ์เป็นกรดจะเข้าไปกัดเนื้อเยื่อของหลอดอาหารที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้
  • นอนราบหลังรับประทานอาหารเสร็จ เพราะอาจทำให้น้ำย่อยไหลย้อนจากกระเพาะอาหารขึ้นไปตามหลอดอาหารและลำคอได้
  • ดื่มน้ำในระหว่างรับประทานอาหาร ควรดื่มน้ำหลังรับประทานอาหารเสร็จ หรือในช่วงระหว่างวัน

7 อาหารเสี่ยงกรดไหลย้อนที่แม่ท้องไม่ควรกิน

1.อาหารที่มีแก๊สมาก เช่น เครื่องดื่มน้ำอัดลม ชา กาแฟ โซดา อาหารที่มีรสเปรี้ยวจัด อาหารรสเผ็ดจัด และถั่ว เพราะอาหารเหล่านี้กระตุ้นการสร้างน้ำย่อยมากขึ้น อาจก่อให้เกิดกรดไหลย้อนขึ้นได้

2.อาหารไขมันสูง เช่น อาหารทอด อาหารมัน ฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ นม เนย ชีส ไอศกรีม หรือไขมันจากเนื้อสัตว์ เป็นต้น เนื่องจากไขมันจากอาหารเหล่านี้จะไปรวมกับกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการจุก แน่น หรือร้อนที่กลางอกได้

3.ผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรดมาก การรับประทานผลไม้สำหรับคนท้องเป็นสิ่งที่ดี แต่ในช่วงที่คุณแม่ท้องมีอาการกรดไหลย้อนควรเลี่ยงผลไม้ที่มีกรดมากไว้ก่อน เช่น ส้ม องุ่น มะนาว สับปะรด มะเขือเทศ หรือน้ำผลไม้รสเปรี้ยวจัดก็ควรเลี่ยงด้วยเช่นกัน

4.ผักที่มีกรดแก๊สมาก เช่น หอมหัวใหญ่ดิบ กระเทียม พริก พริกไทย หอมแดง หรือสะระแหน่ รวมทั้งผักดิบทุกชนิดก็ควรเลี่ยงนะคะ เพราะผักเหล่านี้จะไปเพิ่มกรดแก๊สในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก

กรดไหลย้อน ป้องกัน

5.อาหารหมักดอง เช่น ผลไม้ดอง ผลไม้แช่อิ่ม กิมจิ ซูชิบางชนิดที่มีผักดอง ฯลฯ ซึ่งโดยปกติอาหารหมักดองก็เป็นอาหารประเภทที่แม่ท้องควรหลีกเลี่ยงอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมีอาการกรดไหลย้อนคุณแม่ควรงดรับประทานอาหารเหล่านี้เพราะจะมีส่วนเพิ่มแก๊สในกระเพาะอาหาร ก่อให้เกิดอาการจุดเสียดแน่นท้องได้

6.ขนมหรือของหวาน เช่น คุกกี้เนยที่มีไขมันสูง บราวนี่ ช็อคโกแลต โดนัท ขนมที่ทำจากข้าวโพด

7.อาหารเสริม/ วิตามินเสริม อาหารเสริมและวิตามินเสริมบางชนิดที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น สารสกัดจากกระเทียม วิตามินอีหรือวิตามินซี ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มกรดในกระเพาะด้วย ซึ่งสำหรับคุณแม่ท้องการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมหรือวิตามินเสริมควรจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่กินเข้าไป ล้วนส่งผ่านและมีผลกระทบต่อลูกในท้องได้ การกินอาหารเสริมเพิ่มเติมควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพื่อประเมินว่าจำเป็นหรือไม่ หรือกินวิตามินของคนท้องตามที่คุณหมอแนะนำ

นอกจากอาหารเสี่ยงกรดไหลย้อนที่ควรหลีกเลี่ยง ยังมีอาหารอีกมากมายที่คุณแม่สามารถรับประทานได้ระหว่างตั้งครรภ์เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพและให้ได้สารอาหารครบ 5 หมู่

6 อาหารช่วยลดอาการกรดไหลย้อน

1.น้ำขิง เพราะขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน นอกจากจะช่วยลดอาการแพ้ท้องแล้ว การดื่มน้ำขิงสามารถช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาการกรด-แก๊สในกระเพาะเกินได้ ช่วยย่อย กระตุ้นการทำงานของลำไส้ บรรเทาอาการของโรคกรดไหลย้อนได้

2.เนื้อสัตว์หรืออาหารที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา, ไก่, ไข่ขาว หรือผลิตภัณฑ์จากไข่ขาว เป็นต้น

3.ผลไม้ที่มีค่าความเป็นกรดต่ำหรือเป็นด่าง เช่น กล้วย แอปเปิ้ล แก้วมังกร อะโวคาโด แตงโม เมล่อน มะละกอสุก มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการกรดไหลย้อน เป็นต้น

4.ผักใบเขียวที่มีค่าความเป็นด่างสูง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง กะหล่ำปลี ผักเคล บล็อคโคลี่ แครอทและผักโขม เป็นต้น การรับประทานผักสีเขียวเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้กระเพาะอาหารมีความเป็นกลางมากขึ้น ช่วยบรรเทาอาการของโรคกรดไหลย้อนได้

 

เป็นกรดไหลย้อนกินโยเกิร์ตได้ไหม

5.ผลิตภัณฑ์นม เช่น นมไขมันต่ำหรือพร่องมันเนย โยเกิร์ต สูตรที่ไม่หวานและไขมันต่ำ (Low fat) เชดดาร์ชีส ครีมชีสปราศจากไขมัน เป็นต้น

6.ธัญพืช เช่น ขนมปังธัญพืช ขนมปังข้าวโพด โยเฉพาะข้าวโอ๊ต สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคกรดไหลย้อนได้เป็นอย่างดีที่ช่วยเคลือบเยื่อบุในกระเพาะอาหารได้

6 วิธีรับมือเมื่อคุณแม่เป็นกรดไหลย้อน

1.ควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเปลี่ยนมารับประทานอาหารในแต่ละมื้อให้น้อยลง แต่แบ่งอาหารเป็นมื้อย่อย ๆ และเคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน โดยเฉพาะมื้อเย็นควรรับประทานแต่พออิ่ม และควรกินอาหารก่อนเข้านอน 3 ชั่วโมงจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกรดไหลย้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้

2.ไม่เอนตัวนอนหลังรับประทานอาหารเสร็จ ควรลุกเดิน นั่งหรือยืน ซัก 10 – 15 นาที เพื่อให้อาหารได้ย่อยง่ายมากขึ้นก่อนเอนตัวลงนอน

3.นอนคะแคงซ้าย ควรเลี่ยงหลีกท่านอนหงายและท่านอนตะแคงขวา เพราะกระเพาะอาหารจะอยู่เหนือหลอดอาหารทำให้หูรูดหลอดอาหารเปิดออกได้จนทำให้เกิดกรดไหลย้อน และควรใช้หมอนหนุนบริเวณลำตัวส่วนบนระหว่างนอนหลับให้สูงอย่างน้อย 6 นิ้ว เพื่อให้หลอดอาหารอยู่สูงกว่ากระเพาะอาหาร ป้องกันกรดไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหารได้

4.ออกกำลังกาย ในขณะตั้งครรภ์คุณแม่สามารถออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่น โยคะคนท้อง เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนักตอนท้อง การรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานระหว่างตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดกรดไหลย้อนได้

5.ไม่เครียด ไม่วิตกกังวล เพราะเมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะกระตุ้นให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งออกมามากขึ้น ซึ่งก็จะทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้ อาการเครียดอาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ได้ง่าย ๆ ดังนั้นคุณแม่อาจหาวิธีคลายเครียด เช่น การฟังเพลง การดูหนัง การดูละคร เดิ้อปปิ้งหาคนพูดคุย นั่งสมาธิ ฯลฯ วิธีนี้เหล่านี้ก็จะช่วยคุณแม่ขจัดความเครียดออกไปได้ระดับหนึ่ง

6.ใช้ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เช่น Cimetidine, Ranitidine ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป มีฤทธิ์ช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยให้มีกรดเกินไหลย้อนกลับขึ้นมาที่หลอดอาหารน้อยลง อย่างไรก็ตามแม้ยาลดกรดจะไม่พบว่ามีอันตรายต่อการตั้งครรภ์แต่อย่างใด แต่หากคุณแม่มีอาการควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อยารับประทานหรือให้คุณหมอสั่งยา เพื่อความปลอดภัยต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ดีที่สุด

กรดไหลย้อนอันตรายไหม
กรดไหลย้อนอันตรายไหม

กรดไหลย้อนขณะตั้งครรภ์เป็นอันตรายต่อลูกในท้องหรือไม่?

หากคุณแม่มีภาวะกรดไหลย้อนไม่มากนักในขณะตั้งครรภ์ ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อลูกในครรภ์แต่อย่างใด แต่ถึงแม้จะไม่เป็นอันตรายก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคุณแม่ได้ เพราะจะทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บแสบเมื่อเกิดอาการขึ้น สร้างความลำบาก รำคาญใจ ทำให้แม่ท้องหงุดหงิดได้ง่าย แต่ถ้ามีอาการของโรคมากและต่อเนื่อง อาจทำให้คุณแม่ไม่สามารถที่จะรับประทานอาหารได้มากเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารก็จะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ ทำให้ลูกมีน้ำหนักตัวที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และอาจมีผลต่อการพัฒนาร่างกายทารกในระยะยาวทั้งในส่วนของระบบประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ และอวัยวะภายในส่วนต่าง ๆ ได้ หรือในรายที่มีอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบได้ แต่อาการนี้จะค่อย ๆ หายไปเองหลังคลอด

ในช่วงที่คุณแม่ต้องเจอกับอาการกรดไหลย้อนระหว่างตั้งครรภ์ การดูแลตัวเองและการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์บางส่วนในชีวิตประจำวัน เช่น ปรับพฤติกรรมการกิน การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงอาหารที่มีความเป็นกรดหรือมีไขมันสูง ฯลฯ ก็จะช่วยให้คุณแม่ห่างไกลจากอาการกรดไหลย้อนในขณะตั้งครรภ์ และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้ อย่างไรก็ตามหากพบว่ามีอาการไหลย้อนที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น เช่น ทำให้คุณแม่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก มีอาการกลืนลำบาก ไอ น้ำหนักลด หรืออุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำที่ถูกต้องจากแพทย์ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ในขณะตั้งครรภ์ได้นะคะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.pobpad.comwww.paolohospital.comwww.honestdocs.co

อ่านเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

TOP 5 อาการแม่ท้อง ที่พร้อมรับมือได้

อาการคนท้อง ที่เกิดมักเกิดกับแม่ตั้งครรภ์

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ฝึกลูกเขียนหนังสือ

10 ทักษะ ที่ลูกต้องมี! ก่อนพ่อแม่ ฝึกลูกเขียนหนังสือ

event
ฝึกลูกเขียนหนังสือ
ฝึกลูกเขียนหนังสือ

นักกิจกรรมบำบัดเด็กเผยข้อมูล! กว่าลูกจะจับดินสอได้ หรือ ฝึกลูกเขียนหนังสือ ให้เป็น ลูกต้องใช้ทักษะอะไรบ้าง? พ่อแม่ควรรู้ ก่อนฝึกลูกเขียนหนังสือ

กว่าจะ ฝึกลูกเขียนหนังสือ ได้ ต้องมีทักษะเหล่านี้ก่อน!

สำหรับเด็กเล็ก กล้ามเนื้อมัดเล็กของลูกอาจยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ การหยิบจับสิ่งของต่างๆ จะเริ่มต้นด้วยวิธีการกำมือก่อน จนกระทั่งเริ่มซับซ้อนเเละมีพัฒนาการที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่ถ้าเด็กบางคนที่ไม่ได้ฝึกฝน พ่อแม่ไม่ได้คอย ฝึกลูกเขียนหนังสือ เมื่อจับดินสอหรือสิ่งของต่างๆ ก็อาจทำได้ยาก ส่งผลต่อเนื่องทำให้ไม่ยอมเขียนหนังสือ หรืออาจจับดินสอ ปากกาเเบบผิดวิธีเมื่อโตขึ้นก็เป็นได้

ซึ่งการที่เด็กจะสามารถหยิบจับสิ่งของ หรือ ฝึกลูกเขียนหนังสือ ควบคุมเครื่องเขียน ทั้งดินสอ, ปากกา หรือเเท่งสีได้นั้น ต้องอาศัยทักษะในด้านต่างๆ ทั้ง สหสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวที่ดี เเละการควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็กในมือที่ผสานร่วมกัน

ฝึกลูกเขียนหนังสือ

สำหรับเรื่องการฝึกให้ลูกเขียนหนังสือคุณพ่อคณแม่ต้องรู้ก่อนว่า ลูกควรมีทักษะอะไรบ้าง ก่อนที่จะพัฒนาการร่างกาย บังคับใช้มือและนิ้วให้หยิบจับ และ ฝึกลูกเขียนหนังสือได้ โดยทีมแม่ ABK มีข้อมูลจาก ครูน้ำฝน เจ้าของเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก และ เพจ Mor-Online มาแนะนำค่ะ

พัฒนาการ “การหยิบจับดินสอ” ก่อน ฝึกลูกเขียนหนังสือ

หากอยากจะ ฝึกลูกเขียนหนังสือ พ่อแม่ต้องรู้ก่อนว่า พัฒนาการการหยิบจับดินสอของเด็กเป็นอย่างไร ซึ่งจะเริ่มจากการกำสิ่งของเเบบทั้งมือก่อน ทั้งนี้การกำ จะช่วยให้มีกำลังในการเคลื่อนไหวได้มากกว่าการใช้นิ้วมือนิ้วใดนิ้วหนึ่ง โดยลูกจะใช้หัวไหล่ในการเคลื่อนไหว ซึ่งจะค่อยๆ พัฒนารูปเเบบการวางนิ้วไปเรื่อยๆ จนถึงอายุประมาณ 4 ปี เเต่หากการพัฒนาไม่ถูกต้องจะส่งผลทำให้การเขียนที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะต้องใช้เเรงมาก ซึ่งเป็นเหตุทำให้ทั้งมือเเละแขนเกิดความล้าตามมาได้นั่นเอง

ฝึกลูกเขียนหนังสือ
ภาพพัฒนาการ การหยิบจับดินสอของลูก
ขอบคุณภาพจากเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก

ลูกเขียนหนังสือได้ตอนกี่ขวบ

ถัดมาเป็นเรื่องของ พัฒนาการเขียนหนังสือของเด็กแต่ละวัย สำหรับวัย 1-3 ขวบ จะเริ่มจากการขีดเขียนแบบไร้ทิศทาง ดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง และไม่เป็นความหมาย เมื่อเริ่มเข้าวัย 4 ขวบ ลูกจะสามารถลากเส้นตามจุดได้แล้ว อาจจะไม่สวย ไม่ตรง แต่มีความเข้าใจเรื่องจุดต่อของเส้นปะแต่ละจุดรวมไปถึงวาดรูปทรงต่างๆ ได้ด้วย ซึ่งเมื่อลูกทำได้พ่อแม่ควรชมเชย และไม่ควรเร่งให้ลูกเขียนบ่อยหรือมากเกินไปลูกอาจเบื่อได้ค่ะ

ฝึกลูกเขียนหนังสือ
ภาพพัฒนาการ พัฒนาการเขียนหนังสือของเด็กแต่ละวัย
ขอบคุณภาพจากเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

10 ทักษะ ที่ลูกต้องมี! ก่อนพ่อแม่ ฝึกลูกเขียนหนังสือ

อย่างไรก็ตามเด็กที่มีพัฒนาการการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดเล็กและการใช้มือที่ล่าช้าหรือบกพร่อง มักจะมีความยากลำบากในการหยิบจับดินสอและการเขียนร่วมด้วย ซึ่งทักษะที่ลูกควรมีและคุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกก่อน ที่จะไปฝึกลูกเขียนหนังสือ มีดังนี้

  1. In hand manipulation ความสามารถในการจัดการวัตถุภายในมือ ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น เนื่องจากการเคลื่อนไหวดินสอไปบนกระดาษต้องอาศัยความสามารถจำแนกการเคลื่อนไหวของนิ้วมือแต่ละนิ้วร่วมกับการเคลื่อนไหวนิ้วหัวแม่มือไปด้วย โดยคุณแม่สามารถฝึกทักษะนี้ให้ลูกแต่ละวัยได้ คือ
    • 12-15 เดือน ให้ลองหยิบเหรียญด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้เข้ามาอยู่ในมือ
    • 2-2.5 ปี นำเหรียญที่กำในฝ่ามือเคลื่อนมายังปลายนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ หรือฝึกบิดหมุนขวดน้ำ
    • 3-3.5 ปี ให้ลูกจับและฝึกปรับตำแหน่งดินสอขึ้นลง เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่เขียนได้ถนัด
    • 6-7 ปี ลูกสามารถหมุนวัตถุด้วยปลายนิ้วมือ โดยมีรอบการหมุนประมาณ 180-360 องศา หรือทำซ้ำติดต่อกันได้
  1. Crossing midline การเคลื่อนไหวแนวกลางข้ามลำตัว เป็นพัฒนาการขั้นพื้นฐานของสมองที่เกิดจากการทำงานร่วมกันของสมองทั้งสองซีก เป็นทักษะจำเป็นที่ต้องพัฒนาขึ้นก่อนนำไปสู่การประสานสัมพันธ์ระหว่างตาและมือ ความถนัดของมือ การเคลื่อนไหว และความรู้ความเข้าใจอื่นๆ โดยคุณแม่สามารถฝึกทักษะนี้เช่น การเล่นพายเรือแจว บนผ้าห่มหรือรถของเล่น เพื่อให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า
  2. Bilatetal ทักษะการใช้มือทั้งสองข้างร่วมกัน ฝึกโดยให้ลูกหัดทำขนมแล้วใช้มือจับไม้บดทั้งสองข้างเพื่อบดนวดแป้ง เมื่ออายุเข้าช่วงวัย 2-3 ปี ลูกก็จะแสดงมือข้างที่ถนัดออกมาให้เห็นผ่านการหยิบจับเขียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมต่างๆ และอายุ 5-6 ปี ก็จะแสดงมือข้างที่ถนัดอย่างชัดเจน
  3. Posture ลูกจะนั่งเขียนได้ ต้องสามารถจัดวางร่างกายให้อยู่ในแนวที่เหมาะสม และรักษาสมดุลของร่างกายเพื่อให้เกิดความมั่นคงขณะนั่งและเคลื่อนไหว
  4. Proximal control การควบคุมการทำงานของแขนและไหล่ให้มั่นคงอยู่ในตำแหน่งทิศทางเหมาะสม เพื่อให้ข้อมือ นิ้วมือ หยิบจับ เขียนได้ดี ดังนั้นถ้าเด็กที่ข้อต่อหัวไหล่หรือกล้ามเนื้อไม่แข็งแรงก็จะส่งผลต่อการเขียนได้ เช่น เด็กนั่งได้ไม่นาน ลุกเดินบ่อย หรือล้าง่าย
  5. Vitual perception and Visual motor integration โดย Vitual perception คือ กระบวนการทั้งหมดที่ตอบสนองต่อการรับการแปลความหมายและการทำความเข้าใจต่อสิ่งเร้าทางสายตา ซึ่งมีองค์ประกอบหลายด้าน ยกตัวอย่างด้านที่เกี่ยวกับการเขียน เช่น
    • figure ground การแยกภาพวัตถุออกจากพื้นหลังได้ เช่น ลูกสามารถหาคำที่ต้องการแยกออกจากพื้นกระดาษได้
    • visual clorure แยกแยะวัตถุได้ แม้ว่าวัตถุนั้นจะอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ เช่น ลูกคัดลอกงานจากกระดานได้ถึงแม้ต้องมองไกลก็สามารถมองออกว่าคือตัวอะไร
    • position in space การรับรู้ตำแหน่งทิศทางของวัตถุกับสิ่งแวดล้อม ช่วยให้เข้าใจความหมาย ใน นอก บน ล่าง ว้าย ขวาเช่น ลูกสามารถเขียนตัวอัการที่มีความใกล้เคียงกันได้อย่างถูกต้อง อย่า ถ-ภ ด-ค

ส่วน Visual motor integration เป็นการผสานการรับรู้ทางสายตาร่วมกับการเคลื่อนไหว ทำให้เด็กสามารถคัดลอกตัวเลขและตัวอักษรได้ถูกต้อง เช่น เด็กมองดูรูปทรงตัวอักษร แล้วแปลความหมายว่าคือตัวอะไร จนเขียนออกมาได้

ฝึกลูกเขียนหนังสือ
ภาพรูปทรงที่เด้กควรสามารถคัดลอกได้
ขอบคุณภาพจากเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก

 

  1. Kinesthesia เป็นการรับรู้ถึงน้ำหนักของวัตถุและทิศทางการเคลื่อนไหวข้อต่อและระยางค์ต่างๆ เป็นความรู้สึกทางกาย ช่วยให้ลูกสามารถกะหรือปรับแรงในขณะเขียนได้ ช่วยให้ข้อมูลเกี่ยวกับทิศทางการเคลื่อนไหว ขณะเขียนตัวอักษร ซึ่งหากลูกมีปัญหาด้านนี้จะทำให้จับดินสอไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลการเขียนล่าช้า กิจกรรมที่ส่งเสริมด้านนี้ เช่น
    • ใช้นิ้วลากเส้นประ แล้วใช้ดินสอสีเขียนอีกครั้ง
    • ใช้นิ้วเขียนตัวอักษนในอากาศ /ทราย หรือบนถุงซิปที่ใส่แป้งเปียก
    • ใช้หลอดดูดน้ำนำมาสร้างเป้นตัวอักษร

ฝึกลูกเขียนหนังสือ

  1. Motor planning การเขียนแต่ละตัวต้องการความสามารถในการวางแผนการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ถ้า Kinesthesia ไม่ดี ก็จะมีความสัมพันธ์กับการวางแผนการเคลื่อนไหวที่ไม่ดีตามมา โดยการวางแผนการเคลื่อนไหวจะส่งผลต่อความสามารถของเด็กในการวางแผน ลำดับ และเขียนตัวอักษรที่ต้องการออกมาได้ เพราะการวางแผนจำเป็นต่อการกระทำการเคลื่อนไหวที่ไม่คุ้นเคยได้ จึงสำคัญเมื่อจะ ฝึกลูกเขียนหนังสือ เรียนรู้ในครั้งแรก โดยกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมทักษะด้านนี้ได้ เช่น การเต้นประกอบเพลง , เล่นเป่ายิ้งฉุบ หรือการทำเลียนแบบท่าทางของมือ
  2. Psychosocial สภาวะอารมณ์ จิตใจ แรงจูงใจในการเขียนก็สำคัญเหมือนกัน ยิ่งเด็กที่มีความยากลำบากในการเขีย มักขับข้องใจ มีความรู้สึกในคุณค่าตนเองต่ำลง ทำให้หลีกเลี่ยงที่จะเขียน ไม่อยากเขียน ดังนั้น พ่อแม่หรือคุรครู ต้องพยายามเข้าใจเด็กๆก่อน โดยวิเคราะห์หาปัญหาที่เป็นสาเหตุ แล้ว ฝึกลูกเขียนหนังสือ แบบเข้าใจ ไม่กดดัน พร้อมให้กำลังใจเสมอ
  3. Cognition ทักษะสุดท้ายในการฝึกลูกเขียนหนังสือ คือเรื่องความคิดความเข้าใจ เมื่อลูกขึ้นชั้นเรียนสูงขึ้น ต้องอ่าน เขียน สะกดคำ โดยอาสัยการทำงานของสมองหลายส่วน จึงต้องมีทักษะความรู้ความเข้าใจด้วย เช่น การจัดหมวดหมู่ แบ่งประเภท, การมีสมาธิ สนใจที่จะทำงานได้สำเร็จ, ความจำในการเก้บข้อมูลเพื่อดึงมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ EF ทักษะของสมองขั้นสูงที่ใช้ในการจัดการควบคุมตัวเอง เป็นต้น

อย่างไรก็ตามการฝึกลูกเขียนหนังสือ พ่อแม่ควรรู้ก่อนด้วยว่าเด็กบางคนอาจจะเขียนหนังสือได้เร็วหรือช้าแตกต่างกัน แต่ช่วงอายุของพัฒนาการจะไม่ห่างกันมาก ถ้าต้องการให้ลูกใช้กล้ามเนื้อแขนและมือมากกว่า ก้ควรฝึกให้ลูกหัดหยิบจับเปิด ปิด สิ่งของบ่อยๆ เช่น หยิบข้าวกินเอง เปิดฝากระบอกหรือขวดน้ำ ฉีกกระดาษ เก็บของเล่น ถ้าลูกทำแบบนี้บ่อยๆพัฒนาการของลูกไปเร็วแน่นอนค่ะ


ขอบคุณข้อมูลจาก ครูน้ำฝน เจ้าของเพจ ครูน้ำฝน นักกิจกรรมบำบัดเด็ก และ เพจ Mor-Online
www.kombinery.com

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่รูปด้านล่างได้เลย ⇓

แบบฝึกหัด ฝึกเขียนอนุบาล แจกฟรี!! กว่า 50 ใบงานอนุบาล 1-3

ลูก 5 ขวบ อ่านหนังสือไม่ได้ ทำไงดี? มาช่วยลูกให้ “อ่านออก” กัน

5 ข้อดีของ การเขียนบันทึกประจำวัน ยิ่งเขียน ยิ่งฉลาด โดย พ่อเอก

โรงเรียนเร่งอ่านเขียน แต่พ่อแม่ไม่ต้องการ ทำอย่างไร?

ใครมีลูกสาวต้องรู้

ใครมีลูกสาวต้องรู้ 25 เรื่องสุดคิวท์ของเจ้าหญิงประจำบ้าน

Alternative Textaccount_circle
event
ใครมีลูกสาวต้องรู้
ใครมีลูกสาวต้องรู้

ใครมีลูกสาวต้องรู้ !! ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อมาดเข้ม ทำแต่เรื่องแมนๆ เท่านั้น หรือคุณแม่สุดเนี๊ยบ ที่ต้องเป๊ะตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่เมื่อมีลูกสาวทุกอย่างก็เปลี่ยนไป  ด้วยบุคลิกของ “ลูกสาว” ทั้งความมุ้งมิ้ง ฟรุ้งฟริ้ง ขี้อ้อน รักสวยรักงามเป็นที่หนึ่ง แต่โกรธเมื่อไรวีนเหวี่ยงเป็นที่สุด

 25 เรื่องสุดคิวท์ของสาวน้อยประจำบ้านที่ ใครมีลูกสาวต้องรู้

พ่อแม่อย่างเราจึงได้ทำ “หลายอย่าง” แบบที่ไม่เคยทำและไม่คิดว่าจะทำได้ในชีวิตนี้ เชื่อเถอะว่า ลูกสาวจะทำให้เราอมยิ้มได้เสมอ มารู้จักกับ 25 เรื่องราวที่คนมีลูกสาวเท่านั้นจะรู้ดี

  1. ใช้คำพูดน่ารัก

เวลาพูดคุยกับลูกสาว หลายคนคงเผลอใช้เสียงสอง เสียงเล็กเสียงน้อยแสนน่ารักแบบไม่รู้ตัว ขนาดคุณพ่อหน้าครึมยังต้องพูดคุยจ๊ะจ๋า คะขา แกล้งพูดไม่ชัด หรือใช้คำพูดน่ารักๆ เรียกตัวเองเป็น “ปาปี๊”  “ป้อป้อ” หรือประดิษฐ์ศัพท์ใหม่ๆ ใช้เรียกอุจจาระ หรืออวัยวะเพศของลูก

  1. ลูกจับอารมณ์เก่ง

เด็กผู้หญิงจะรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกของคนอื่นรวดเร็ว  และลึกซึ้งกว่าเด็กผู้ชาย   ในวันแย่ๆที่คุณพ่อคุณแม่อาจเผลอมีน้ำตา หรือเกรี้ยวกราดให้ลูกเห็น เขาจะสัมผัสได้และมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันที เช่น วิ่งมากอด ร้องไห้ตาม เป็นต้น

 

ใครมีลูกสาวต้องรู้

  1. ลูกสาวช่างสังเกต

ตั้งแต่ยังไม่ทันจะพูดได้ ลูกสาวจะคอยจ้องมองทุกอย่างด้วยความสนใจ หากคุณแม่ตัดผม ลูกอาจจะร้องไห้ ถ้าวันไหนใส่ต่างหู ลูกจะดึงต่างหูเล่น   และอาจเอาต่างหูมาแหย่ใส่หูตัวเองบ้าง   หยิบรองเท้าส้นสูงมาลองใส่ ส่วนของเล่นสุดโปรดของลูกสาว  คงหนีไม่พ้น “เครื่องสำอาง” ของคุณแม่ ที่พวกเธอมักจะแอบหยิบมาแต่งหน้าบ่อยครั้งเมื่อมีโอกาส   คุณแม่รู้ดีว่าลิปสติกบางแท่งก็ได้ใช้เองแค่ครั้งเดียว

  1. ฟังจนหูชา

เด็กผู้หญิงมีพัฒนการด้านภาษาที่รวดเร็ว พูดเก่ง สื่อสารดี ใช้คำพูดน่ารักๆ หรือเล่าเรื่องยาวๆได้มากกว่าลูกผู้ชาย โดยเฉพาะวัยหัดพูด ใครมีลูกสาวต้องรู้ คนเป็นพ่อแม่ต้องทนฟังเสียงเจื้อยแจ้วตลอดวัน ถ้าขืนหันหน้าหนี หรือไม่ยอมฟัง หนูน้อยก็ตอแยให้หันไปฟังจนสำเร็จ มีสิทธิ์หูชาเลยทีเดียว

  1. จู้จี้เรื่องเสื้อผ้า

เมื่อลูกสาวใส่เสื้อผ้าเองเป็น จะเริ่มมีคำพูดอธิบายว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อใส่เสื้อผ้าชุดนั้น ชุดนี้ที่พ่อแม่เลือกให้ ถ้าคนไหนเป็นเด็กง่ายๆ จะจับใส่ชุดไหนก็ไม่มีปัญหา แต่หลายคนช่างเลือก ต้องเป็นชุดเจ้าหญิง ชุดเอลซ่า ต้องสีชมพูเท่านั้น ต้องมีกิ๊ฟวิ๊งๆ ตุ้มหูยาวๆ ถุงเท้า รองเท้าครบถึงจะยอมออกจากบ้าน (เหงื่อตกกันทั้งบ้าน) ถึงจะวุ่นวายแค่ไหน พ่อแม่ควรให้ลูกเลือกเสื้อผ้าใส่เอง แม้บางทีชุดจะไม่เข้ากันเลย นั่นเป็นความสนุกของลูกสาวและเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นของตัวเอง

  1. สนุกกับการแต่งตัวแปลกๆ ให้ลูก

เสื้อผ้าของเด็กผู้หญิงมีให้เลือกมากมาย จะแต่งชุดไหนก็ดูน่ารักน่ามอง ลองเปลี่ยนวันหยุดธรรมดาให้สนุกขึ้นด้วยการแปลงร่างลูกสาว เป็น “ตุ๊กตาบาร์บี้” จับแต่งตัวในแบบที่แม่ไม่เคยใส่ในชีวิตจริงๆ อย่าง กระโปรงฟูฟ่อง แจ็คเก็ตหนัง ชุดลายเสือดาว รองเท้าติดเลื่อมแวววาว  โบว์ดอกไม้ใหญ่ๆ  กลายเป็นกิจกรรมสนุกร่วมกันของครอบครัวด้วย

ใครมีลูกสาวต้องรู้

  1. เจ้าหญิงมีกี่คน พ่อแม่ต้องรู้จักให้หมด

เอลซ่า, แอนนา, จัสมิน, เอเรียล, มู่หลาน, ซินเดอเรลล่า, ราพันเซล ฯลฯ จำนวนเจ้าหญิงที่คุณแม่ต้องรู้จักชื่ออาจเยอะกว่าจำนวนเพื่อนในชีวิตจริงของคุณแม่เสียอีก เป็นธรรมดาที่ลูกสาวจะอยากเล่นบทบาทสมมติเป็นเจ้าหญิง และคุณแม่กับคุณพ่อ อาจต้องรับบทบาทเป็นเพื่อนหรือเป็นเจ้าชาย   หญิงสาวเหล่านี้คือคนสำคัญในชีวิตของลูกที่ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้จักและจำชื่อได้ด้วย คงได้คะแนนบวกจากลูกสาวมากโขเลยทีเดียว

  1. ตุ๊กตาจ๋า

นอกจากเจ้าหญิงโฉมงามจากหนัง, การ์ตูน และนิทานแล้ว เมื่อลูกสาวติดใจคาแรกเตอร์ดังจากเรื่องไหน ก็มีแนวโน้มที่จะชอบตุ๊กตาเจ้าหญิงและผองเพื่อนเหล่านั้นด้วย ใครมีลูกสาวต้องรู้ เรื่องนี้เพราะนอกจากสโนว์ไวท์แล้ว ตุ๊กตาอาจต้องมีคนแคระทั้ง 7 หรือเหล่าลูกสมุนและเจ้าชายติดมาด้วย เมื่อถึงเวลาซื้ออุปกรณ์การเรียนหรือเสื้อผ้า คอลเล็กชั่นเอลซ่า แอนนา คิตตี้ ก็จะมาในรูปแบบดินสอ, ยางลบ, ไม้บรรทัด, ชุดนอน, รองเท้า, ผ้าปูที่นอน หวานแหววไปทั้งบ้านจนกว่าจะถูกใจเจ้าหญิงคนใหม่

  1. ทรงผมอลังการ

เมื่อลูกสาวเข้าสู่วัยเรียน ตอนเย็นหลังจากรับลูกกลับจากโรงเรียน คุณพ่อคุณแม่จะได้เห็นทรงผมอลังการงานสร้างจากคุณครูอนุบาลที่รังสรรค์ทรงผมให้ลูกสาวสวยเป๊ะ จนเราต้องคอยหาเวลาฝึกฝนพัฒนาฝีมือให้ได้อย่างคุณครูบ้าง

  1. ให้โลกนี้เป็นสีชมพู

เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบสีชมพู จะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ถ้าลูกสาวปักใจชอบสีชมพูแล้ว ทุกอย่างในโลกรอบตัวลูกจะกลายเป็นสีชมพู ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า โบว์ติดผม หากเสื้อผ้ามีสีชมพูอยู่แล้ว ชุดใหม่ก็อาจเป็นสีชมพูคนละเฉด คุณพ่อต้องเรียนรู้เฉดสีชมพูเพิ่มเติมด้วย

  1. ชอบความระยิบระยับ

ลูกสาวจะมีความสุขสุดๆ เมื่อได้ตกแต่งของเล่นหรืองานประดิษฐ์ด้วยกลิตเตอร์หรือกากเพชร หากได้กลิตเตอร์สักหลอดมาอยู่ในมือ ทั้งบ้าน และหน้าตาหัวหูของลูกจะระยิบระยับไปหมด

  1. ซักเสื้อผ้าวนไป

นอกจากเสื้อผ้าอยู่บ้านปกติและเครื่องแบบนักเรียนแล้ว ลูกสาวที่เริ่มโตจะชอบเลือกเสื้อผ้าเอง และหากเล่นเลอะเทอะก็จะยินดีเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ วันละหลายรอบ หากลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่น เครื่องซักผ้าจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ใช้งานหนักมาก

  1. ตุ๊กตาแขนขาด

บ้านไหนมีลูกสาว มักมีตุ๊กตาหัวขาดหรือแขนขาหลุดนอนกองอยู่กลางบ้าน นอกจากจะชอบเล่นแต่งตัวตุ๊กตา หรือเล่นพ่อแม่ลูกแล้ว สาวน้อยหน้าหวานอาจแฝงนิสัยนักสำรวจในตัว ชอบหมุนแขนหมุนขาตุ๊กตา และอยากรู้อยากลอง ต้องถอดหรือดึงออกมาดู เป็นความน่ารักที่ดูน่ากลัวอยู่นิดๆ

  1. ซ่อมของเล่น

ถึงจะเป็นลูกสาวแต่ความซนอาจไม่แพ้ลูกชาย พ่อแม่ต้องรับบทบาทเป็น “ช่างซ่อมประจำบ้าน” คอยดูแลสภาพของเล่นให้กลับมาเล่นได้ ทั้งต่อหัวตุ๊กตาบาร์บี้ เย็บแขนขาหมีเท็ดดี้ ระหว่างซ่อมแซมอาจชวนลูกให้มาช่วยงานง่ายๆ เช่น ทากาว หรือเลือกสีด้ายที่ใช้เย็บตุ๊กตา เพื่อสอนให้ลูกถนอมของเล่นและรู้จักใช้เครื่องมือต่างๆ ไปด้วย

  1. เล่นบทบาทสมมติ

คุณพ่ออาจต้องเล่นบทบาทสมมติตามจินตนาการ วันนี้อาจเป็นคุณหมีตัวโต พรุ่งนี้เป็นเจ้าชายรูปงาม อีกวันอาจกลายเป็นโจรสลัดน่าเกรงขาม ลูกสาวจะเล่นบทบาทสมมติได้นานทีละหลายชั่วโมง หลายๆ ครั้งคุณพ่อก็ต้องสวมบทบาทเป็นเพื่อนเจ้าหญิง หรือเป็นแม่เลี้ยงใจร้าย ตามแต่บทบาทที่ได้รับมอบหมาย ทำให้เราได้เห็นภาพน่ารักๆ ของคุณพ่ออยู่เสมอ ถึงจะเหนื่อยสักหน่อย แต่เพื่อนเล่นดีที่สุดของลูกคือพ่อแม่ เชื่อเถอะว่าการเล่นบทบาทสมมติช่วยสร้างเสริมจินตนาการให้ลูกได้ดีมาก

  1. นักเจรจา

ท่านทูตประจำประเทศควรมีลูกสาวเพื่อฝึกเรื่องการเจรจาต่อรอง  เพราะเด็กผู้หญิงมีความสามารถในการเจรจาต่อรองเป็นเลิศ หากคุณพ่อคุณแม่บอกให้ลูกอาบน้ำ จะต้องเตรียมใจรับการเจรจาต่อรองว่าขอทำอย่างโน้นอย่างนี้ก่อนได้ไหม ขอเวลาอีก…นาที หรือหากให้กินข้าวอีก 5 คำ คุณพ่อคุณแม่จะต้องฟังคำต่อรองว่า 4 คำ 3 คำ 2 คำ หรือ 1 คำได้ไหม

  1. ลูกสาวตัวนุ่มน่ากอด

การได้กอดลูกสาวตัวน้อย คือความสุขเรียบง่ายแต่มหาศาลของครอบครัว เพราะไม่ว่าจะโตไปแค่ไหน ลูกสาวก็ยอมให้พ่อแม่กอดหอมได้วันละหลายเวลา ต่างจากลูกชายที่โตเป็นหนุ่มแล้วก็มักจะเขินอายกับการแสดงความรักกับคนในครอบครัว

  1. ที่พึ่งทางใจคนละมุม

เวลาลูกสาวอยากเล่นสนุก มักชอบอยู่กับพ่อ และอ้อนพ่อ แต่หากมีเรื่องสะเทือนใจหรือมีปัญหาทางอารมณ์ ลูกสาวมักเข้ามาหาแม่ก่อนเป็นคนแรก เพราะถึงยังไงแม่คือตัวแทนของความอ่อนโยนที่ช่วยเยียวยาใจลูกได้มากที่สุด

  1. ต้องสอนลูกในเรื่องที่ตัวเองลืมไปแล้ว

เมื่อลูกเริ่มโต พ่อแม่อาจต้องสอนลูกทำงานบ้านในสิ่งที่ตัวเองทำจนเคยชินและกลายเป็นกิจวัตรแล้ว อย่างเช่น การรีดผ้า, เปลี่ยนหลอดไฟ ตรวจเช็คเครื่องยนต์เบื้องต้น หรือเรื่องของผู้หญิงอย่างเช่น การวัดไซส์เสื้อชั้นใน หรือการแต่งหน้า เพื่อเป็นพื้นฐานให้ลูกสามารถดูแลตัวเองได้

  1. มีเพื่อนช้อปปิ้ง

ตอนที่ลูกยังเล็ก แม่เป็นฝ่ายช้อปปิ้งของเล่นและเสื้อผ้าให้ลูก แต่โตขึ้นการช้อปปิ้งยังเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนจากผู้เลือก เป็นเพื่อนช้อปด้วยเท่านั้น  เพราะลูกจะเริ่มบอกความต้องการของตัวเอง และมีเรื่องที่สนใจเป็นพิเศษ หากความสนใจถูกต้องตรงกัน ลูกสาวจะเป็นเพื่อนขาช้อปฯ อย่างดี

  1. มีมารยาทงาม

พอลูกสาวอายุเข้าสู่วัยประถม เขาจะเริ่มรู้จักวิธีวางตัวในสังคม และรักษามารยาท เช่นเด็กผู้หญิงมักไม่ผายลม เรอ หรือทำเรื่องไม่สุภาพในที่สาธารณะ และมักไม่ชอบเมื่อคนอื่นทำเรื่องเสียมารยาท

  1. สอนลูกให้ป้องกันตัวเอง

การสอนลูกสาวมีรายละเอียดมากมาย หนึ่งในเรื่อง ใครที่มีลูกสาวต้องรู้ คือการสอนให้ลูกรู้จักป้องกันตัวเอง เมื่อถูกเพื่อนแกล้งหรือทำร่ายร่างกาย หากเป็นเด็กเล็กต้องสอนให้ลูกแจ้งคุณครู หากเป็นเด็กโตอาจสอนให้ลูกรู้จักวิธีป้องกันตัวหรือสอนศิลปะป้องกันตัวให้ลูกบ้าง

  1. ต้องรู้จักนักร้องคนดัง

ถ้าไม่รู้จัก เอลซ่า, มินเนียน หรือ ลิซ่า แบล็กพิงค์ กับ GOT7 เราอาจกลายเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่ไม่เก๋ และจะคุยกับลูกไม่รู้เรื่อง

  1. มีผู้รับฟัง

ลูกสาวคือผู้ฟังที่ดีมาก เธอจะพัฒนาความรู้สึกเห็นอกเห็นใจได้อย่างยอดเยี่ยม ในวันหนึ่ง ลูกสาวจะเป็นผู้รับฟังที่เราจะหันหน้าไปพูดคุยด้วยได้

  1. วันเกิดคือวันสำคัญเสมอ

วันที่ตื่นเต้นและรอคอยที่สุดแห่งปีของลูกสาวคือวันเกิด วันที่จะได้แต่งตัวสวย เป่าเค้ก และได้ของขวัญ ในขณะที่เด็กผู้ชายอาจจะแค่รอแกะกล่องหุ่นยนต์ตัวใหม่ แต่ลูกสาวจะตื่นเต้นยินดีกับการตกแต่งบ้าน หรือการชวนเพื่อนๆ มากินเค้กวันเกิดด้วยกัน

แม้ว่าลูกสาวจะมีรายละเอียดมาก แต่ทุกรายละเอียดของลูกคือความสุขที่ครอบครัวจะได้ใช้เวลาร่วมกัน และยังเป็นความทรงจำดีๆ ที่ทุกคนจะมีด้วยกันตลอดไป


แหล่งข้อมูล  bestlifeonline.com / www.redbookmag.com / www.indiaparenting.com

 

6 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกสาว ให้สตรอง ฉบับพ่อ “ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง “

 

รวม 20 คําสอนของแม่ ที่ควรสอนลูกสาว!

ทารกกินน้ำผึ้ง

ให้ “ทารกกินน้ำผึ้ง” ความเชื่อผิด ๆ ที่อันตรายถึงตาย!!

Alternative Textaccount_circle
event
ทารกกินน้ำผึ้ง
ทารกกินน้ำผึ้ง

เขาว่ากันว่าให้ ทารกกินน้ำผึ้ง จะทำให้ลูกมีผิวสวย แข็งแรง ผมดกดำ รู้หรือไม่ว่า อาจทำให้ทารกเสี่ยงติดโรคโบทูลิซึม ที่อาจทำให้เสียชีวิตได้!!

ให้ “ทารกกินน้ำผึ้ง” ความเชื่อผิด ๆ ที่อันตรายถึงตาย!!

ทารกกินน้ำผึ้ง ได้หรือไม่?

ทางการแพทย์ ห้ามไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบกินน้ำผึ้ง เพราะอาจทำให้เกิดภาวะโบทูลิซึม เนื่องจากในน้ำผึ้งอาจมีการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียชื่อ Clostridium botulinum ซึ่งจะสร้างสปอร์และผลิตสารพิษที่ชื่อว่า botulinum toxin ในทางเดินอาหารของเด็กทารกได้ ซึ่งสารพิษชนิดนี้เป็นสารพิษที่รุนแรงมาก ทารกที่ได้รับเชื้อนี้ จะมีอาการ 

  • ท้องผูก
  • กินอาหารได้น้อย เบื่ออาหาร กลืนอาหารได้ลำบาก
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ร้องไห้เสียงเบา คออ่อนพับ ตัวอ่อนปวกเปียก
  • ทารกบางราย อาจมีอาการหายใจลำบาก
  • หัวใจหยุดเต้น และเสียชีวิตกระทันหัน (Sudden Infant Death Syndrome หรือ SIDS)

เนื่องจากสปอร์ของเชื้อโรคที่อยู่ตามดิน อาจติดไปกับขาของผึ้ง แล้วนำไปเก็บไว้ในรังผึ้ง หากผู้ใหญ่หรือเด็กโตกว่า 1 ขวบกินเข้าไป จะไม่อันตราย เพราะลำไส้จะกำจัดเชื้อออกไปจากร่างกายได้ก่อนที่เชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากมายในร่างกาย ขณะที่เด็กต่ำกว่า 1 ขวบยังไม่สามารถกำจัดเชื้อนี้ได้ จะมีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นในลำไส้แล้วสร้างพิษออกมา ไปส่งผลต่อระบบประสาทและกล้ามเนื้อได้

อ่านข่าว >> เด็กชายญี่ปุ่นวัย 6 เดือน เสียชีวิตด้วยโรคโบทูลิซึมในทารก
เพราะน้ำผึ้งเป็นเหตุ!

แม่ที่ให้นมลูก สามารถกินน้ำผึ้งได้ไหม?

คุณแม่ที่ให้นมลูก กินน้ำผึ้งได้ค่ะ เพราะถึงมีสปอร์ก็จะถูกกำจัดออกไปทางลำไส้ของคุณแม่ ไม่ได้ออกทางน้ำนม แต่ก็ไม่ควรกินเยอะ เพราะจะทำให้คุณแม่เป็นโรคอ้วนได้ค่ะ

ใช้นิ้วป้ายน้ำผึ้งใส่ปากลูก หรือผสมน้ำให้กินเพียงเล็กน้อย ได้หรือไม่?

หาก น้ำผึ้งที่ให้ลูกทานไปในปริมาณเพียงเล็กน้อย อาจไม่มีเชื้อโรคปนเปื้อน หรืออาจจะมีเชื้อโรคปนเปื้อนก็ได้ค่ะ ดังนั้น จึงไม่ควรให้ลูกเสี่ยงกับเชื้อโรคชนิดนี้ เพราะแม้จะได้รับเพียงปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่เชื้อโรคก็อาจจะอยู่ในน้ำผึ้งปริมาณเล็กน้อยนั้นได้เช่นกันค่ะ ถึงแม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็ยังเสี่ยงไม่มากเท่าการให้กินน้ำผึ้งปริมาณมากเป็นประจำ ดังนั้น ควรสังเกตอาการไปก่อน โดยอาการที่ผิดปกติ จะเริ่มปรากฏหลังจากทานน้ำผึ้งไปประมาณ 8 – 36 ชม. เช่น อาเจียน ท้องผูก ไม่กินนมหรืออาหาร กลืนลำบาก น้ำลายสอ ร้องไห้เสียงเบา ตัวอ่อนปวกเปียก หายใจลำบาก เป็นต้น ดังนั้น หากลูกไม่มีอาการผิดปกติอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่ได้อันตรายอะไรค่ะ แต่มีอาการผิดปกติดังที่กล่าว ก็ให้รีบพาไปพบแพทย์

"<yoastmark

โรคโบทูลิซึม คืออะไร?

โรคโบทูลิซึม เกิดจากการได้รับสารพิษโบทูลินัมจากเชื้อแบคทีเรียคลอสติเดียมโบทูลินัม (Clostridium Botulinum) ส่วนใหญ่มักเข้าสู่ร่างกายผ่านการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือผ่านทางบาดแผลที่มีรอยเปิดบนผิวหนัง โดยสารพิษดังกล่าวจะสร้างความเสียหายแก่ระบบประสาท ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หากไม่รีบไปพบแพทย์ก็อาจทวีความรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

การรักษาโรคโบทูลิซึม

ผู้ป่วยโรคโบทูลิซึมจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ซึ่งแพทย์จะรักษาตามชนิดของโรค โดยวิธีรักษาที่อาจนำมาใช้ มีดังนี้

  • ประเมินสภาวะการหายใจ ในขั้นแรกแพทย์จะประเมินสภาวะการหายใจของผู้ป่วย หากไม่สามารถหายใจด้วยตัวเองได้หรือหายใจลำบาก อาจจำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจหรือใช้เครื่องช่วยหายใจ นอกจากนั้น แพทย์จะงดให้น้ำและอาหารทางปากแก่ผู้ป่วย เพื่อป้องกันผู้ป่วยสำลักน้ำหรืออาหารลงปอด
  • การใช้ยา ยาที่แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทาน ได้แก่
    • ยาต้านพิษ มีฤทธิ์ทำลายสารพิษที่อยู่ในเลือด และช่วยประคับประคองอาการป่วยไม่ให้รุนแรงขึ้น
    • ยาปฏิชีวนะ มีฤทธิ์ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย มักใช้กับผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียคลอสติเดียมโบทูลินัมทางบาดแผล
    • การบำบัด เมื่ออาการป่วยเริ่มคงที่ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้ารับการบำบัดเพื่อฟื้นฟูการทำงานด้านต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การกลืน การพูด การเคลื่อนไหวแขนและขา เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของโรคโบทูลิซึม

ผู้ป่วยที่รีบไปพบแพทย์ตั้งแต่อาการยังไม่รุนแรงมักมีโอกาสรอดชีวิตสูง และฟื้นฟูร่างกายได้เร็วขึ้นโดยไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจไม่สามารถหายเป็นปกติได้โดยสมบูรณ์ เพราะส่วนใหญ่มักมีปัญหาทางการหายใจในระยะยาว เช่น อาการหายใจถี่ หรือรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าปกติ เป็นต้น

การป้องกันภาวะโบทูลิซึมในทารก

ไม่ควรให้ทารกรับประทานน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมจากข้าวโพด ไม่ว่าจะปริมาณเล็กน้อย หรือปริมาณมากก็ตาม เพราะเสี่ยงต่อการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้

น้ำผึ้ง เป็นอาหารที่มีประโยชน์ชนิดหนึ่ง เช่น ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ แก้หวัด ช่วยทำให้ชุ่มคอ แก้ท้องผูกได้ เป็นต้น แต่ก็ควรให้ลูกทานในวัยที่ร่างกายพร้อมแล้วเท่านั้น คือมีอายุ 1 ขวบขึ้นไป เพราะการให้ทารกที่อายุไม่ถึง 1 ขวบทาน แทนที่จะได้ประโยชน์ กลับเสี่ยงทำให้ลูกอาจเป็นโรคโบทูลิซึม ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเชื่ออะไรก็ตาม ควรรอให้ลูกอายุเกิน 1 ขวบก่อนนะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

12 เมนู อาหารเด็ก 6 เดือน กับสูตรอร่อยเพื่อลูกวัยเริ่มกิน!

12 เมนู อาหารเด็ก 6 เดือน กับสูตรอร่อยเพื่อลูกวัยเริ่มกิน!

15 ชนิด อาหารที่ทารกควรหลีกเลี่ยง

15 ชนิด อาหารที่ทารกควรหลีกเลี่ยง

 

ผลไม้สำหรับเด็กเล็ก วัย 6-12 เดือน กินอะไรได้บ้าง?

ผลไม้สำหรับเด็กเล็ก วัย 6-12 เดือน กินอะไรได้บ้าง?

เครื่องดื่มของลูก อย่างไหนควร อย่างไหนห้าม!

เครื่องดื่มของลูก อย่างไหนควร อย่างไหนห้าม!

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : สวท.ระยอง, ป้าหมอ สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ, www.pobpad.com

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ตวาดใส่ลูก

วิจัยเผย 5 ผลร้าย! ตวาดใส่ลูก บ่อย ๆ ส่งผลต่อพัฒนาการสมอง-ร่างกาย-จิตใจ

Alternative Textaccount_circle
event
ตวาดใส่ลูก
ตวาดใส่ลูก

รู้หรือไม่? ยิ่งพ่อแม่ ตวาดใส่ลูก บ่อย ๆ อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการสมอง รวมไปถึงอารมณ์และพฤติกรรมของลูกได้ ถ้าพ่อแม่กำลังโกรธ หรือโมโหลูก จะมีวิธีควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างไรไม่ให้  ตวาดใส่ลูก ตามมาดูกันเลย

ผลเสียของการที่พ่อแม่เผลอ ตวาดใส่ลูก

เวลาที่คุณพ่อคุณแม่เกิดความรู้สึกหงุดหงิด ลูกงอแง ไม่เชื่อฟัง จนคุณแม่เผลอใช้อารมณ์กับลูก ตวาดใส่ลูก ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่ส่งผลต่ออารมณ์และพฤติกรรมของลูกทั้งนั้นค่ะ เพราะการตวาดใส่ลูก ให้ผลเสียมากกว่าที่คิด!! ทีมแม่ ABK จึงมีข้อมูลเกี่ยวกับผลเสียของการตวาดใส่ลูก รวมไปถึงวิธีในการควบคุมอารมณ์สำหรับคุณพ่อคุณแม่มาฝากค่ะ

ตวาดลูก ทำให้ลูกเสียใจ
ตวาดลูก ทำให้ลูกเสียใจ

ตวาดใส่ลูก ทำให้ลูกเสียใจ

คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ กล่าวไว้ว่า… เมื่อคุณพ่อคุณแม่ตวาดใส่ลูก ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่ตามมาก็คือ “ลูกเสียใจ” แน่นอน!! แต่จะมากน้อยแค่ไหน หรือคงอยู่นานเท่าไหร่ ต้องดูเป็นกรณีไป

หากเชื่อในทฤษฎี จิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) ความเสียใจนั้นจะถูกซ่อนไว้ในจิตใต้สำนึก ถ้าไม่มากก็ไม่เป็นอะไร แต่หากมากเกินไปหรือสะสมไปเรื่อย ๆ จะเป็นบ่อเกิดของพยาธิสภาพทางจิตใจ หรืออาจไปรบกวนการสร้างซูเปอร์อีโก้  (Superego) ซึ่งจะเป็นมาตรฐานทางศีลธรรมหรือจริยธรรม หรือข้อปฏิบัติของเด็ก ๆ ที่จะเจริญรอยตามพ่อแม่ในวันข้างหน้า

ในเด็กที่อายุมากกว่า 5 ขวบ ความเสียใจนั้นอาจจะพุ่งเข้ามาภายในแล้วทำร้ายจิตใจเกิดเป็นบาดแผลตรง ๆ หากบาดแผลไม่มากก็หายเองได้เหมือนแผลถลอก น้อยมากก็ไม่มีแผลเป็น มากหน่อยก็อาจจะเป็นแผลนิดหน่อย ทำซ้ำ ๆ ก็ย่อมเกิดเป็นแผลเป็น และหากแผลใหญ่มาก ความเจ็บปวดก็อาจจะมากและนาน เป็นต้นเหตุของอารมณ์เศร้าได้

ตวาดใส่ลูก ให้ผลเสียมากกว่าที่คิด
ตวาดใส่ลูก ให้ผลเสียมากกว่าที่คิด

ตวาดใส่ลูก ให้ผลเสียมากกว่าที่คิด

สำหรับเรื่องนี้สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ NIH ได้ออกมาเผยแพร่งานวิจัยเกี่ยวกับการตวาดใส่ลูก ที่ชี้ให้เห็นว่าการตะโกน หรือตวาดใส่ลูก ทำให้เด็กก้าวร้าวมากขึ้นทั้งร่างกายและคำพูด การตะโกนเสียงดังไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับความโกรธหรือไม่ ย่อมทำให้เด็กกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัย

นอกจากนี้ยังมีการศึกษามากมายเกี่ยวกับผลเสียจากการตวาดใส่ลูก ทีมแม่ ABK ได้รวบรวมมาไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ได้ลองอ่านทั้งหมด 5 ข้อ ดังนี้ค่ะ

1. ยิ่งตวาดใส่ลูก พฤติกรรมลูกยิ่งแย่ลง

คุณพ่อคุณแม่อาจคิดว่าการตวาดใส่ลูกจะช่วยแก้ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่ดีของลูกได้ และทำให้ลูกไม่มีพฤติกรรมดังกล่าวอีกในอนาคต แต่งานวิจัยจากสมาคมวิจัยเพื่อการพัฒนาเด็ก (SRCD) ของประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ข้อมูลที่ตรงกันข้าม เพราะการตวาดใส่ลูกจะยิ่งทำให้เกิดปัญหาในระยะยาว ทำให้ปัญหาพฤติกรรมของลูกแย่ลงเรื่อย ๆ

2. การตะโกน ตวาดใส่ลูก ส่งผลต่อการพัฒนาสมองของลูก

การตะโกน ตวาดใส่ลูก หรือ ใช้วิธีการอบรมลูกที่รุนแรงของพ่อแม่ ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองของลูกด้วยนะคะ นั่นเพราะว่าสมองของมนุษย์มีการประมวลผลเหตุการณ์ที่แย่ได้รวดเร็วกว่าเหตุการณ์ที่ดีค่ะ งานวิจัยชิ้นหนึ่งจากสถาบัน NIH ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบผลการสแกน MRI สมองของผู้ที่มีประวัติการใช้คำพูดรุนแรงในครอบครัวในวัยเด็ก กับผู้ที่ไม่เคยมีประวัติดังกล่าว พบว่ามีความแตกต่างอย่างชัดเจนในสมองส่วนที่ประมวลผลเกี่ยวกับเสียงและภาษา

การตะโกน ตวาด ส่งผลต่อการพัฒนาสมองของลูก
การตะโกน ตวาด ส่งผลต่อการพัฒนาสมองของลูก

3. การตวาดใส่ลูก นำไปสู่ภาวะซึมเศร้า

นอกจากจะรู้สึกเจ็บปวด เสียใจ และกลัวเวลาที่ถูกตวาดแล้ว การตวาดใส่ลูกอาจนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตเมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย งานวิจัยหลายชิ้นจากสถาบัน NIH แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างความรุนแรงทางอารมณ์ที่เด็กเคยเผชิญกับภาวะซึมเศร้าหรือความวิตกกังวล ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถนำไปสู่พฤติกรรมที่แย่ลงในอนาคต

4. การตวาดใส่ลูก ส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย

งานวิจัยจากสถาบัน NIH บอกว่าความเครียดในวัยเด็กที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ปกครองใช้คำพูดรุนแรง สามารถเพิ่มความเสี่ยงทางปัญหาสุขภาพบางอย่างของเด็กได้ในระยะยาว

5. การตะโกน ตวาด อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดเรื้อรัง

นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพจิตแล้ว ยังมีงานวิจัยจากสถาบัน NIH ที่ว่า การที่เด็กเติบโตมาด้วยประสบการณ์ในแง่ลบ เช่น โตมาในครอบครัวที่ใช้คำพูดรุนแรง อาจนำไปสู่อาการปวดเรื้อรังต่าง ๆ อาทิ ปวดศีรษะ ปวดคอและหลัง รวมไปถึงปัญหาไขข้อต่าง ๆ ด้วยค่ะ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สอนลูกอย่างไรโดยไม่ใช้อารมณ์ 

เป็นเรื่องปกติที่คุณพ่อคุณแม่จะหงุดหงิดกับลูก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สิ่งสำคัญก็คือการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยวิธีที่ถูกต้อง เพราะการแสดงออกของคุณพ่อคุณแม่ส่งผลสำคัญต่อการพัฒนาบุคลิกภาพและสุขภาพในระยะยาวของลูกเสมอ มาดูวิธีการควบคุมอารมณ์ของตนเองในยามหงุดหงิด รวมไปถึงเทคนิคที่ใช้สอนลูกอย่างได้ผลกันดีกว่าค่ะ

สอนลูกโดยไม่ใช้อารมณ์
สอนลูกโดยไม่ใช้อารมณ์

1.ขอเวลานอก

ถ้าหากว่ารู้ตัวว่ากำลังจะควบคุมอารมณ์และน้ำเสียงไม่ไหว ทางเลือกที่ดีก็คือ “การขอเวลานอก” ให้ตัวเองค่ะ พาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้นสักครู่ แล้วหายใจเข้าออกลึก ๆ วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้ใจเย็นลงแล้ว ยังเป็นตัวอย่างที่ดีในการสอนให้ลูกรู้จักควบคุมและจัดการอารมณ์ของตัวเองด้วย

2. พูดกับลูกตรง ๆ เกี่ยวกับความรู้สึก

ความโกรธ เป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกับความสุข ความเศร้า การพูดคุยกันอย่างเปิดเผยจะเป็นการสอนให้ลูกได้เรียนรู้และรู้จักจัดการอารมณ์ของตัวเอง นำไปสู่การพัฒนาทัศนคติที่ดีต่อทั้งตนเองและผู้อื่น

3. จัดการกับพฤติกรรมไม่ดีอย่างใจเย็น แต่หนักแน่น

ลูกอาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบ้าง เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต วิธีที่เหมาะสมคือการพูดให้ลูกเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการกระทำดังกล่าวไม่ดีอย่างไร โดยคุณพ่อคุณแม่อาจเข้าไปนั่งใกล้ ๆ หรือพูดคุยกับลูกในระดับสายตาแทนการยืนพูดในระดับที่สูงกว่าหรือพูดจากที่ไกล ๆ ก็ได้ค่ะ

4. ตักเตือน ดีกว่า ตวาด

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการตวาดหรือการใช้อารมณ์จะยิ่งส่งผลที่ไม่ดีแก่ลูก ดังนั้น การตักเตือนด้วยเหตุผลจะทำให้ลูกเชื่อฟังมากกว่านะคะ ยกตัวอย่างเช่น เตือนลูกว่าของเล่นมีไว้เล่น ไม่ได้มีไว้ใช้ตีกัน หากลูกไม่เชื่อ ค่อยยึดของเล่นนั้นมา

ตักเตือน ดีกว่า ตวาด
ตักเตือน ดีกว่า ตวาด

 

5. บอกด้วยความนิ่ง สงบ เอาจริง แล้วเงียบ

คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ แนะนำว่า … หลักของการปรับพฤติกรรมที่ได้ผลดีข้อหนึ่ง คือ การสูญพันธุ์ (Extinction) กล่าวคือ เราต้องจับคู่พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์กับ ความเงียบ (Silent) ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อเราจับคู่พฤติกรรมใด ๆ กับความเงียบอยู่เรื่อย ๆ ทำอะไรก็ไม่มีอะไรตอบสนอง พฤติกรรมนั้นก็จะหายไปเอง

หลักการข้อนี้ใช้กับเด็กเล็กได้ผลเสมอ ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะค่ะ ว่าจะมีความพยายามและความอดทนเพียงใด การตวาดใส่ลูก อาจเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายในเวลาสั้น ๆ แต่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของลูกในระยะยาว นอกจากจะไม่ช่วยให้ลูกมีพฤติกรรมที่ดีขึ้นแล้ว ยังทำให้เกิดผลเสียตามมาในหลาย ๆ ด้าน ดังนั้น การพูดคุยกับลูกด้วยเหตุผล ค่อย ๆ สอนให้ลูกเข้าใจถึงพฤติกรรมนั้นว่าไม่ดีอย่างไร ย่อมเป็นวิธีการที่ดีที่จะทำให้ลูกเติบโตมาอย่างมีความสุข และทำให้ทั้งครอบครัวมีความสุขด้วยนะคะ

 


ขอบคุณข้อมูลจาก

คุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จิตแพทย์แผนกจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ จากนิตยสาร

 Amarin Baby & Kids

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม คลิกที่ภาพ ⇓

8 คำพูดที่ลูกไม่อยากได้ยิน จากปากพ่อแม่ พูดแบบนี้โตไปลูกแย่แน่!

ลงโทษ Time out!! วิธีการนี้ดีหรือไม่…ลูกจะรู้สึกอย่างไร?

นักจิตวิทยาชี้ “การดุลูก” ส่งผลให้ลูกเป็นโรคซึมเศร้า

[สร้างวินัยเชิงบวก] ชวนพ่อแม่สำรวจ เรา “สั่ง” หรือ “สอน” ลูกอยู่นะ

ชื่อจริงลูกชาย

ชื่อจริงลูกชาย 300 ชื่อมงคล ตั้งให้ลูก โตไปมีอำนาจ ได้เป็นเจ้าคนนายคน

event
ชื่อจริงลูกชาย
ชื่อจริงลูกชาย

รวมชื่อมงคล ชื่อจริงลูกชาย 300 ชื่อ ชื่อที่มีความหมายว่า ประสบความสําเร็จ ตั้งให้ลูกแล้ว ลูกจะโตไปมีอำนาจ วาสนาได้เป็นเจ้าคนนายคน จะมี ชื่อจริงลูกชาย อะไรบ้างมาดูกัน

รวม ชื่อจริงลูกชาย 300 ชื่อ
ตั้งให้ลูก โตไปมีอำนาจ ได้เป็นเจ้าคนนายคน

สำหรับบ้านไหนที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ และรู้แล้วว่าลูกในท้องเป็นเด็กชาย หากว่าที่คุณพ่อคุณแม่กำลังมองหาไอเดียตั้งชื่อลูกชาย ทีมแม่ ABK ได้คัด ชื่อจริงลูกชาย กว่า 300 ชื่อ ซึ่งเป็น ชื่อที่มีความหมายว่า ประสบความสําเร็จ มาฝาก

ทั้งนี้การตั้งชื่อให้ลูกชาย คุณพ่อคุณแม่หลายคนก็คงอยากได้ ชื่อจริงลูกชาย ที่มีความหมายเป็นมงคล เสริมบารมีในตัวให้กับลูก ซึ่งการตั้งชื่อ ชื่อจริงลูกชาย ตามหลักทักษาปกรณ์ เป็นหนึ่งในหลักที่นิยม โดยห้ามใช้อักขระวรรคกาลกิณี ในชื่อ สำหรับ ชื่อจริงลูกชาย ตามธรรมเนียมโบราณที่กล่าวไว้ในหลายตำราเกี่ยวกับวรรคอักษรที่นำมานำหน้าชื่อ นิยมใช้อักษรใน วรรคเดช หรือ วรรคมนตรี มานำหน้าชื่อเพศชาย

โดยอิทธิพลของทักษาที่ใช้นำ ชื่อจริงลูกชาย  “วรรคเดช” จะช่วยส่งเสริม แก้ไขเรื่อง บารมี เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ ให้คนเคารพยำเกรง การควบคุมบังคับบัญชาคนได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟัง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวจริงจังหนักแน่น เข้มแข็ง

ส่วน ชื่อจริงลูกชาย ที่นำด้วย “วรรคมนตรี” ให้คุณทางด้านผู้อุปถัมภ์ช่วยหลือ เป็นเคล็ดทำให้เป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้านาย ผู้บังคับบัญชา ผู้ใหญ่และเจ้านาย ให้ความอุปการะ ช่วยเหลือ คุ้มครอง สนับสนุน เป็นที่พึงพาอาศัยได้ มีแต่มิตรผู้หวังดี มีความคิดอ่านดี

ดังนั้นหากอยากตั้งชื่อให้ลูก ที่เป็น ชื่อจริงลูกชาย ชื่อที่มีความหมายว่า ประสบความสําเร็จ ตามมาดู ชื่อมงคล 300 ชื่อ ตั้งแล้ว ลูกจะโตไปมีอำนาจ วาสนา ได้เป็นเจ้าคนนายคน จะมี ชื่อจริงลูกชาย อะไรบ้างมาดูกัน

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันจันทร์

ชื่อจริงลูกชาย คำอ่าน ความหมาย
ชนม์พัศนภ ชน – พัด – สะ – นบ ผู้เกิดมากล้าหาญและยิ่งใหญ่ดั่งท้องฟ้า
ชนัศชัย ชะ – นัด – ไช คนผู้เป็นใหญ่ชัยชนะ
ปวรรัชดล ปะ – วอน – รัด – ชะ – ดน บันดาลให้ยิ่งใหญ่และประเสริฐ
พรรธน์ยศ พัด – ยด มียศและความเจริญ
พรหมสรรค์ พรม – สัน พระพรหมเป็นผู้สร้างสรรค์มา
พลกฤต พน – ละ – กริด ผู้สร้างพลัง
พลช พะ – ลด ผู้เกิดจากพลังอันศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากอำนาจ
พสธร พด – สะ – ทอน ทรงไว้ซื่งอำนาจ
พหลวัศ พะ – หน – ละ – วัด มีอำนาจมาก
ยรรยงนรธน ยัน – ยง – นะ – ระ – ทน ผู้งามสง่าและมีทรัพย์
ยศชยน ยด – ชะ – ยน มียศมีชัยชนะ
ยศพร ยด – สะ – พอน มียศอันประเสริฐ
ยศพัฒน์ ยด – สะ – พัด เจริญด้วยยศ
ยศมนวรรธ์ ยด – มะ – นะ – วัด เจริญใจและยิ่งไปด้วยยศ
ยศวร ยด – สะ – วอน มียศอันประเสริฐ
ยศกร ยด – สะ – กอน ผู้สร้างยศ รุ่งเรืองด้วยยศ
ยศพล ยด – สะ – พน มียศและมีพลัง
รชณกร ระ – ชะ – นะ – กอน ที่ซึ่งมีความสามารถยิ่งใหญ่
วรยศ วอ – ระ – ยด มียศอันประเสริฐ
วฤนท์ธม วะ – ริน – ทม มากมายยิ่งใหญ่
วรภพ วอ – ระ – พบ มีภพประเสริฐ เกิดมาดี
วรรณลภย์ วัน – ลบ ได้รับเกียรติ มีชื่อเสียง
วศพล วะ – สะ – พน พลังอำนาจ
สมรรถชัย สะ – มัด – ถะ – ไช ความสามารถในชัยชนะ
สรพหล สอ – ระ – พะ – หน ใหญ่ยิ่ง,ดีงามมาก

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันอังคาร

ชื่อจริงลูกชาย คำอ่าน ความหมาย
จณัตว์ จะ – นัด ความมีชื่อเสียง
จารุยศ จา – รุ – ยด ผู้งามสง่าด้วยเกียรติยศน่ายกย่อง
ฉัตรเฉลิม ฉัด – ฉะ – เหลิม เครื่องสูงสำหรับยกย่องเกียรติ
ฉัตรพล ฉัด – ตระ – พน กำลังอันสูงส่ง
ฉัตรียวัตร ฉัด – ตรี – ยะ – วัด มีการปฏิบัติที่ได้รับเกียรติสูงส่ง
ฉัทปนัย ฉัด – ปะ – ไน เป็นที่สรรเสริญและยินดี
ฉันทยศ ฉัน – ทะ – ยด ยศอันเป็นที่น่ายินดี,ยินดีในยศ
ชนรพ ชน – นะ – รบ เป็นที่กล่าวขวัญของคน
ชนรรทน์ ชะ – นัด พระวิษณุ
ชนัสถ์นันท์ ชะ – นัด – นัน ยินดีอยู่ระหว่างชนทั้งปวง
ฉันทยศ ฉัน – ทะ – ยด ยศอันเป็นที่น่ายินดี,ยินดีในยศ
ชนาธิป ชะ – นา – ทิบ เป็นใหญ่กว่าคน
ชนายุส ชะ – นา – ยุด พลังกำลังแห่งคน
ชนุดม ชะ – นุ – ดม คนผู้สูงสุด
ชเนนทร์ ชะเนน เป็นใหญ่ในหมู่คน
ชยทัต ชะ – ยะ – ทัด ให้ชัยชนะ
ชยพล ชะ – ยะ – พน มีพลังคือชัยชนะ
ชยันต์ ชะ – ยัน ผู้ชนะ
ชรัณ ชะ – รัน การต่อสู้ที่มีชัย
ชัชชัย ชัด – ไช ชัยชนะของนักรบ
ชัชนันท์ ชัด – ชะ – นัน ความยินดีของนักรบ,หรือนักรบผู้มีความยินดี
ชัชรัณ ชัด – ชะ – รัน การสู้ของนักรบ
ไชยพศ ไช – ยะ – พต ผู้มีอำนาจอันประเสริฐ
ฐิติพัศ ถิ – ติ – พัด มีอำนาจตั้งมั่น
ฐิระเชษฐ์ ถิ – ระ – เชด ยิ่งใหญ่และมั่นคง
ณัฐธรธิบดิ์ นัด – ทอน – ทิบ ปราชญ์ผู้คงความเป็นใหญ่
ดรัสวัต ดะ – หรัด – สะ – วัด รวดเร็ว,แข็งแรง,มีอำนาจ
เดชวิทย์ เด – ชะ – วิด ความรู้ก่อให้เกิดอำนาจ
เดชสิทธิ์ เดด – ชะ – สิด ผู้มีความสำเร็จด้วยอำนาจ
เดชาธร เด – ชา – ทอน ทรงไว้ซึ่งเดช
เดชาวัต เด – ชา – วัด รุ่งโรจน์ด้วยอำนาจ
ตาณ ตาน ที่พึ่ง,ป้องกันภัย
ติณณภพ ติน – นะ – พบ ผู้ข้ามภพได้,ชื่อของผู้บรรลุธร
ติณห์ ติน กล้าแข็ง,แหลมคม
เตชินท์ เต – ชิน เป็นใหญ่ด้วยเดช, มีเดชยิ่งใหญ่
เตโชดม เต – โช – ดม มีเดชสูงสุด
ถิรพล ถิ – ระ – พน มีกำลังมั่นคง
ถิรวัฒน์ ถิ – ระ – วัด ผู้มีความเจริญอย่างมั่นคง
ถิรวัสส์ ถิ – ระ – วัด ความมั่นคงอันยาวนาน
ทัตเทพ ทัด – เทบ เทพประทาน
นโรตม์ นะ – โรด สูงสุดในหมู่คน
นฤเบศวร์ นะ – รึ – เบด ผู้ปกครองผู้เป็นใหญ่
นันยศ นัน – ทะ – ยด มีความสุขมียศ
บดีศวร บอ – ดี – สวน เจ้าแห่งความเป็นใหญ่
ปรัญชัย ปะ – รัน – ไช ผู้ชนะคนอื่น
ปรินทร์ ปะ – ริน เป็นใหญ่กว่าคนอื่น
ปัญญ์ธิบดิ์ ปัน – ทิบ มีปัญญาและเป็นใหญ่
พรินทร์ พะ – ริน ดีและยิ่งใหญ่
พลเชษฐ์ พน – ละ – เชด ผู้เป็นใหญ่ด้วยกำลังอำนาจ
พีธรธนัส พี – ทอน – ทะ – นัด ทรงไว้ซึ่งความกล้าหาญและร่ำรวยยิ่ง
ภีมพล พี – มะ – พน มีพลังน่าเกรงขาม
ภูดิศ พู – ดิด เจ้าแห่งความเจริญ
ภูริเดช พู – ริ – เดด มีอำนาจมาก
ภูรีฐภพ พู – รี – ถะ – พบ เป็นใหญ่ในพื้นพิภพ
ภูวนาถ พู – วะ – นาด พระเจ้าแผ่นดิน
ภูวิศ พู – วิด ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
มรุเดช มะ – รุ – เดด มีเดชดุจเทวดา
ยศพร ยด – สะ – พอน มียศอันประเสริฐ
ยศพล ยด – สะ – พน มียศและพลัง
วรรณธัช วัน – นะ – ทัด มียศอันประเสริฐ
วรสรณ์ วอ – ระ – สอน ที่พึ่งอันประเสริฐ
วริศ วะ – ริด ประเสริฐและเป็นใหญ่
วัชรวิศว์ วัด – ชะ – ระ – วิด แข็งแกร่งทุกอย่าง
วิธพัศ วิด – ทะ – พัด มีกลวิธีและอำนาจ
วีร์ชาพิภัทร วี – ชา – พิ – พัด ผู้เกิดมากล้าหาญและมีความเจริญ
วีรินทร์ วี – ริน ผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่
สาวิน สา – วิน บุรุษผู้ยิ่งใหญ่
สิรดนัย สิ – ระ – ดะ – ไน ลูกชายผู้เป็นยอด
สิรภพ สิ – ระ – พบ เป็นยอดในโลก หรือเกิดมาเพื่อเป็นยอด
อธิป อะ – ทิบ ผู้เป็นใหญ่
อินทัช อิน – ทัด เกิดจากผู้ยิ่งใหญ่ เกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันพุธ กลางวัน

ชื่อจริงลูกชาย คำอ่าน ความหมาย
กรินทร์ กะ – ริน เป็นใหญ่ในการทำ
กันตยศ กัน – ตะ – ยด มียศเป็นที่รัก
กิตติ์ดนัย กิด – ดะ – ไน ลูกชายผู้เลื่องชื่อ
กิตติยุต กิด – ติ – ยุด มีเกียรติ
เกียรติธิติ เกียด – ทิ – ติ มั่นคงในเกียรติ
เกียรตินคร เกียด – นะ – คอน เกียรติยศของบ้านเมือง
คณาธิป คะ – นา – ทิบ เป็นใหญ่ในหมู่คณะ
คณิศร คะ – นิด – สอน ผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่คนทั้งหลาย
คริษฐา คะ – ริด – ถา น่านับถือที่สุด,สำคัญที่สุด
ฐิติพัศ ถิ – ติ – พัด มีอำนาจตั้งมั่น
ฐิติศักดิ์ ถิ – ติ – สัก อำนาจ,ความสามารถมั่นคง
ฑวัต ทะ – วัด เหมือนพระศิวะ
ธมนินทร์ ทะ – มะ – นิน ผู้เป็นยิ่งใหญ่
ธิบดิ์ภวิน ทิบ – พะ – วิน ภาวะอันดีงามและยิ่งใหญ่
ธิปติพัศ ทิบ – ติ – พัด เป็นใหญ่และมีอำนาจยิ่ง
ปริตต์ ปะ – ริด ผู้ได้รับการคุ้มครองป้องกัน
ปรินทร์ ปะ – ริน เป็นใหญ่กว่าคนอื่น
ปฤษทัศว์ ปริด – สะ – ทัด ชื่อพระศิวะ
ปวิธ ปะ – วิด ผู้สร้าง, ผู้กำหนด
ปุรุศักดิ์ ปุ – รุ – สัก มีอำนาจต่างๆ
พงศ์ภีระ พง – พี – ระ วีรบุรุษแห่งวงศ์ตระกูล
พีระวศุตม์ พี – ระ – วะ – สุด กล้าหาญและมีอำนาจสูงสุด
พีรันธร พี – รัน – ทอน ทรงไว้ซึ่งความกล้า
พีราธนิสร์ พี – รา – ทะ – นิด กล้าหาญและมั่งมียิ่ง
พุฒินาท พุด – ทิ – นาด บรรลือหรือองอาจด้วยความเจริญ
ภาณุพล พา – นุ – พน อำนาจดุจพระอาทิตย์
ภานุวัฒน์ พา – นุ – วัด เจริญด้วยแสงสว่าง, พระอาทิตย์
ภูดิท พู – ดิด ที่ให้ความเป็นอยู่ดีมีสุข อำนาจและความมั่งคั่ง
ภูดินันท์ พู – ดิ – นัน ยินดีในความเจริญรุ่งเรือง อำนาจและความมั่งคั่ง
ภูดิศ พู – ดิด เจ้าแห่งความเจริญ
ภูธิป พู – ทิบ เป็นใหญ่ในแผ่นดิน, พระราชา
มนันย์ มะ – นัน ควรแก่การสรรเสริญ
มนุษินทร์ มะ – นุ – สิน เป็นใหญ่เหนือคนอื่น
สิรีปภาพัศ สิ – ริ – ปะ – พา – พัด เจริญมีมงคลและมีอำนาจ
เอกภพ เอก – กะ – พบ เป็นหนึ่งในภพ,ความเป็นหนึ่ง

 

momketing 2021

วันสุดท้าย!! Amarin Baby & Kids ชวนคุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่ที่มีลูกอายุ0-6 ปีร่วมทำแบบสำรวจความคิดเห็นคุณแม่ ลุ้นรับผลิตภัณฑ์สำหรับแม่ลูกฟรี 50 รางวัล รวมมูลค่ากว่า 10,000 บาทคลิกที่ลิงก์นี้เลย >> https://bit.ly/3z4Eqzp

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันพุธ กลางคืน

ชื่อจริงลูกชาย คำอ่าน ความหมาย
กษิดิช กะ – สิ – ดิด เกิดมาบนแผ่นดิน
กษิดิ์เดช กะ – สิ – เดด มีเดชในแผ่นดิน
กิตติเชษฐ์ กิด – ติ – เชด พี่ชายผู้มีชื่อเสียง
กิตติ์ธัญชัย กิด – ทัน – ยะ – ไช มีเกียรติยศมีโชคและชัยชนะ
ไกรธนเดช ไกร – ทะ – นะ – เดด มีทรัพย์และอำนาจยิ่งใหญ่
ไกรสร ไกร – สอน ราชสีห์
ขวัญชัย ขวัน – ไช มิ่งขวัญแห่งชัยชนะ
คณิสร์ธนา คะ – นิด – ทะ – นา ร่ำรวยและเป็นใหญ่เหนือพวกพ้อง
ครรชิต คัน – ชิด เสียงกึกก้อง
จักรทิพย์ จัก – ทิบ อาวุธของเทวดา
ชัยเดช ไช – เดด อำนาจแห่งชัยชนะ
ชัยวิชิต ไช – วิ – ชิด มีชัยชนะบนแผ่นดิน
ชิษณุชา ชิด – สะ – นุ – ชา เกิดจากผู้ชนะ
ชุติเดช ชุ – ต – เดด มีเดชอันรุ่งเรือง
ฐานิศวรร์ ถา – นิด มีฐานะอันยิ่งใหญ่
ฐิรชาติศักดิ์ ถิ – ระ – ชาด – ติ – สัก เกิดมามียศศักดิ์มั่นคง
ณรงค์คณินทร์ นะ – รง – คะ – นิน เป็นใหญ่เหนือหมู่คณะในการรบ
ธีร์ไชยารัตน์ ที – ไช – ยา – รัด ปราชย์ผู้ยิ่งใหญ่และเจริญกว่า
นรินทร์จิโรจน์ นะ – ริน – จะ – โรด ผู้เป็นใหญ่และรุ่งเรือง
รณิศ ระ – นิด เป็นใหญ่ในการรบ
รเณศ ระ – เนด จอมทัพ, เจ้าแห่งการรบ
วรยส วอ – ระ – ยด อำนาจเหนือ
วรรณชเยษฐ์ วัน – ชะ – เยด เกิดในสกุลเยี่ยม
วรรณิต วัน – นิด ผู้ที่บุคคลอื่นสรรเสริญ
วริศ วะ – ริด ประเสริฐและเป็นใหญ่
วัศวรรดิ์ วัด – สะ – วัน มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวง
วิวิธชัย วิ – วิด – ทะ – ไช มีชัยชนะหลายอย่าง
วิศวชิต วิด – สะ – วะ – ชิด ผู้ชนะมาหมดแล้ว
วิศเวศ วิด – สะ – เวด เป็นใหญ่ในโลก
วีร์ยศสิน วี – ยด – สิน กล้าหาญมียศและทรัพย์สิน
ไวศิษฎ์ ไว – สิด ความเด่น ความยอดเยี่ยม เหนือ
ศรัณย์วริศ สะ – รัน – วะ – ริด เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ
เศรษฐ์ถิรคุณ เสด – ถิ – ระ – คุน มีคุณธรรมมั่นคงและประเสริฐยิ่ง
เศรษฐิณาธร เสด – ถิ – นา – ทอน เศรษฐีผู้ทรงความรู้
โศรวิทย์ โส – ระ – วิด กล้าหาญ
สิร์รัชชา สิ – รัด – ชา ผู้เป็นยอดแห่งราชา
สิราสวัสดิ์ สิ – รา – สะ – หวัด ยอดแห่งความรุ่งเรือง
อนันต์ยศ อะ – นัน – ยด มียศหรือชื่อเสียงหาที่สุดมิได้
อนันยช อะ – นัน – ยด เกิดมาเป็นที่หนึ่ง
อิษวัต อิด – สะ – วัด ผู้มีกำลังและความเข้มแข็ง

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันพฤหัสบดี

ชื่อจริงลูกชาย คำอ่าน ความหมาย
กรวิระยศ กอน – วิ – ระ – ยด สร้างความกล้าหาญและยศศักดิ์
คริษฐ์ คะ – ริด ผู้ที่น่าบูชาที่สุด
จรัสรวี จะ – หรัด – ระ – วี สว่างไสวดุจพระอาทิตย์ รุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์
ชยพล ชะ – ยะ – พน มีพลังคือชัยชนะ
ชเยศ ชะ – เยด ผู้เป็นใหญ่ด้วยชัยชนะ จอมผู้พิชิต
ไชยวัศ ไช – ยะ – วัด มีอำนาจที่เจริญกว่า
บารเมษฐ์ บา – ระ – เมด ฐานะสูงสุด
บุระชวาล บุ – ระ – ชะ – วาน ความรุ่งโรจน์แห่งเมือง
บุริศร์ บุ – ริด เจ้าเมือง, ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมือง
ปภารัช ปะ – พา – รัด ดั่งราชาผู้รุ่งเรือง
ปรมะ ปะ – ระ – มะ ยอมเยี่ยม, สูงสุด
ประยสย์ ประ – ยด เด่น มีอำนาจเหนือหมู่คน
ปรัญชัย ปะ – รัน – ไช ผู้ชนะคนอื่น
ปวีร์ ปะ – วี ผู้กล้าหาญยิ่ง
ปารเมศ ปา – ระ – เมด บารมี
ปารย์ ปาน ผู้สามารถ, เป็นที่น่าสนใจหรือพอใจ
ปุรเชษฐ์ ปุ – ระ – เชด ผู้เป็นใหญ่ในเมือง เจ้าเมือง
พชรพล พด – ชะ – ระ – พน มีกำลังกล้าแกร่งดุจเพชร
พลช พะ – ลด ผู้เกิดจากพลังอันศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากอำนาจ
พัชรพล พัด – ชะ – ระ – พน มีพลังแข็งแกร่งดุจเพชร
พิชยะ พิด – ชะ – ยะ ชัยชนะ
พิชเยศ พิด – ชะ – เยด เจ้าแห่งชัยชนะ
พิเชษฐ์คม พิ – เชด – คม ประเสริฐยิ่งใหญ่แลละเฉียบคม
พิรชัช พิ – ระ – ชัด นักรบผู้กล้า
พิรภพ พิ – ระ – พบ ภพแห่งผู้กล้า, ความเป็นผู้กล้า
พิร์ภูณกร พิ – พู – นะ – กอน กล้าหาญและมีความสามารถสูง
พิรศุษม์ พิ – ระ – สุด มีความเข้มแข็ง กล้าหาญเยี่ยงวีรบุรุษ
พิรัชย์ พิ – รัด ชัยชนะของคนกล้า
พิสิฐชัย พิ – สิด – ไช มีชัยชนะที่พิเศษยิ่ง
พีรัชชัย พี – รัด – ไช เกิดจากผู้กล้า ลูกวีรบุรุษ
ภรศิษฐ์ พอน – สิด มีอำนาจมากที่สุด แข็งแรงที่สุด
ภรัณยู พะ – รัน – ยู ผู้ปกป้อง, ผู้คุ้มครอง
ภวิศ พะ – วิด ผู้เป็นใหญ่ในโลก
ภวิศปวร พะ – วิด – ปะ – วอน ประเสริฐและเป็นใหญ่ในโลก
ภูมิรพี พูม – ระ – พี ผู้เป็นดุจพระอาทิตย์ในแผ่นดิน
วริศ วะ – ริด ประเสริฐและเป็นใหญ่
สิร์ปพัศ สิ – ปะ – พัด เป็นยอดแห่งอำนาจ
สีหราช สี – หะ – ราด พญาราชสีห์
สุจชัจจ์ สุด – ชัด มีเชื้อชาติดี
สุชาคณิศ สุ – ชา – คะ – นิด มีชาติกำเนิดดีเหนือพวกพ้อง
สุรเศรษฐ์ สุ – ระ – เสด ชื่อพระวิษณุ พระอินทร์ พระศิวะ
สุรสัข สุ – ระ – สัก เพื่อนเทวดา
สุรสีห์ สุ – ระ – สี ราชสีห์ผู้กล้าหาญ
หาญณรงค์ หาน – นะ – รง แกล้วกล้าในการต่อสู้
อชิตพล อะ – ชิด – พน มีพลังอันไม่มีใครเอาชนะได้
อภิชัจ อะ – พิ – ชัด มีชาติสูง
อริญชย์ อะ – ริน ผู้ชนะศัตรู
อิศร อิด ความเป็นเจ้าเป็นใหญ่
อุกฤษฏ์ อุ – กริด สูงสุด

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันศุกร์

ชื่อจริงลูกชาย คำอ่าน ความหมาย
กษิดิศ กะ – สิ – ดิด เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
กสานติ์เดช กะ – สาน – เดด มีอำนาจและความสงบ
กิตติพิเชษฐ์ กิด – ติ – พิ – เชด มีชื่อเสียงประเสริฐสุด
คณนาถ คะ – นะ – นาด ผู้เป็นที่พึ่งของคนทั้งหลาย
เดชพิสิฏฐ์ เด – ชะ – พิ – สิด มีฤทธ์อำนาจอันประเสริฐยิ่ง
เตชทัต เต – ชะ – ทัด ให้เดช,มีเดชมาก
เทพฤทธา เทบ – ริด – ทา มีฤทธ์ดั่งเทพ
ธมเชษฐ์ ทม – เชด ผู้เป็นใหญ่
ธามเมธี ทาม – เม – ที ปราชญ์ผู้มียศศักดิ์
ธัญกฤษฏิ์ ทัน – ยะ – กิด ฉลาดเป็นเลิศ
ธิปก ทิ – ปก ผู้เป็นใหญ่ ผู้เป็นหัวหน้า
บุญสิทธิ์ บุน – ยะ – สิด มีความดีและอำนาจ
พศุตม์ พะ – สุด มีอำนาจสูงสุด
ภีมเดช พี – มะ – เดด มีเดชน่าเกรงขาม
สมัชญ์ สะ – มัด มีเกียรติยศ มีชื่อเสียง
สุพศิน สุ – พะ – สิน มีความเชี่ยวชาญยิ่ง มีอำนาจยิ่ง
อธิช อะ – ทิด เกิดมายิ่งใหญ่
อภิทัต อะ – พิ – ทัด ให้ความยิ่งใหญ่

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันเสาร์

ชื่อจริงลูกชาย คำอ่าน ความหมาย
กิตติ์จีระภูมิ กิด – จี – ระ – พูม มีเกียรติยิ่งยืนในแผ่นดิน
กิตติชนม์ กิด – ติ – ชน อายุยืนและมีเกียรติ
กิตติ์พงศ์ กิด – พง มีเกียรติของตระกูล
กุศลดิลก กุ – สน – ดิ – หลก บุญกุศลที่สูงยิ่ง
เกริกนภ เกริก – นบ ชื่อเสียงเกริกไกรทั่วฟ้า
เกียรติพงศดา เกียด – พง – สะ – ดา มาจากตระกูลที่มีเกียรติ
จรัลพิพัศ จะ – รัน – พิ – พัด ก้าวไปข้างหน้าด้วยอำนาจ
ชยุตม์ ชะ – ยุด มีชัยชนะอันประเสริฐสุด
ชัชพิมุข ชัด – พิ – มุก นักรบผู้รู้เป็นหัวหน้า
ชิตวร ชิ – ตะ – วอน มีชัยชนะอันประเสริฐ
ชินาธิป ชิ – นา – ทิบ ผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่
ชิษณุพงศ์ ชิด – สะ – นุ – พง เผ่าพันธุ์ของผู้ชนะ
ชุติเดช ชุ – ต – เดด มีเดชอันรุ่งเรือง
ชุติเทพ ชุ – ติ – เทบ เทวดาผู้รุ่งเรือง
ทฤนห์ ทะ – ริน ทำให้มั่นคงเข้มแข็ง
ทัตต์ดนัย ทัด – ดะ – ไน ลูกที่ได้รับเกียรติ
ทัตพงศ์ ทัด – พง ได้รับสืบทอดวงศ์ตระกูล
ไทวกฤต ไท – วะ – กริด เทวดาให้เกิด
ธมรุจน์ ทม – มะ – รุด รุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่
ธราทพ ทะ – รา – ทบ พระราชา
ธรินทร์วรัช ทะ – ริน – วะ – รัด ประเสริฐและทรงไว้ซึ่งความเป็นใหญ่
ธเรศ ทะ – เรด พระเจ้าแผ่นดิน
ธัญเดชา ทัน – เด – ชา โชคดีและมีอำนาจ
ยศวรรธน์ ยด – สะ – วัด เจริญด้วยยศ, มีชื่อเสียง
วิชยุตม์ วิด – ชะ – ยุด ชัยชนะอันสูงสุด
วิธันพัศ วิ – ทัน – พัด มีกลวิธีและอำนาจ
อธิชา อะ – ทิ – ชา เกิดมายิ่งใหญ่

 

ชื่อจริงลูกชาย เกิดวันอาทิตย์

 

ชื่อจริงลูกชาย คำอ่าน ความหมาย
กนกพล กะ – หนก – พน มีพลังคือทอง
ก้องฤทธา ก้อง – ริด – ทา มีอำนาจกึกก้อง
กันตยศ กัน – ตะ – ยด น่ารักและมีอำนาจ
กิตติพัทธ์ กิด – ติ – พัด เกี่ยวข้องกับเกียรติ
กีรติ กี – ระ – ติ เลื่องลือ, ชื่อเสียงที่ดี
กุลชาต กุน – ละ – ชาด เกิดในตระกูลดี
กุลโชต กุน – ละ – โชด ผู้เจริญรุ่งเรืองของตระกูล
กุลดิลก กุน – ละ – ดีลก เป็นมิ่งขวัญของตระกูล
เกรียงไกรเดช เกรียง – ไกร – เดด มีอำนาจอย่างเกรียงไกร
ฆนัตว์ คะ – นัด ความมั่นคง,ความหนาแน่นหนา
ฆนีกร คะ – นี – กอน ทำให้เข้มแข็งมั่นคง
จรกฤตย์ จอ – ระ – กริด มีชื่อเสียง มีผู้คงความรู้ถึงด้วยการสรรเสริฐ
จีรชยา จี – ระ – ชะ – ยา ชัยชนะอันยืนนาน,มีชัยชนะตลอดกาล
ชคทัณฑ์ ชะ – คะ – ทัน จักรวาล
ชนกเดช ชะ – นก – เดด ให้กำเนิดอำนาจ
ชนาเทพ ชะ – นา – เทบ ผู้เป็นเทพแห่งชนทั้งหลาย
เดชพนต์ เดด – ชะ – พน ผู้มีอำนาจมีความยิ่งใหญ่
เดชาภัทร เด – ชา – พัด มีเดชและความเจริญ
ธมฤทธา ทม – ริด – ทา มีอำนาจใหญ่โต
ธัชพล ทัด – ชะ – พน มีกำลังเด่น, เด่นทางกำลัง
ธัญฐิติชัย ทัน – ถิ – ติ – ไช โชคดีมีชัยชนะอันมั่นคง
นัทธ์เดชภาคย์ นัด – เด – ชะ – พาก ผูกพันกับอำนาจและมีโชค
ประกฤตเดชา ประ – กิด – เด – ชา เดชอำนาจที่ทำมามาก
ประพล ประ – พน แข็งแรง, มีอำนาจ
ประวีร์ ประ – วี ผู้กล้าหาญ, นักรบผู้กล้าหาญ
ปรัช ป – รัด เกิดมาดียิ่ง
ปรินทร ปะ – ริน – ทอน เป็นใหญ่กว่าผู้อื่น
อนิรชิต อะ – นิ – ระ – ชิด ไม่มีอะไรชนะได้
อภิชัย อะ – พิ – ไช ผู้มีชัยชนะเหนือใคร
อมิตเดช อะ – มิด – ตะ – เดด มีอำนาจมาก
อรรจกร อัด – จะ – กอน ที่ให้การสรรเสริญเคารพนับถือ
อรัญชัย อะ – รัน – ไช ชัยชนะอันรวดเร็วแก่ศัตรู, มีชัยอันรวดเร็ว
อริญชัย อะ – ริน – ไช ผู้ชนะศัตรู
อัคคเดช อัก – คะ – เดด ความสง่างาม,ความยิ่งใหญ่,ความดีเลิศ
เอกอัครจรัล เอก – อัก – จะ – รัน ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่และเป็นที่หนึ่ง

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจนอกจาก ชื่อจริงลูกชาย คลิกที่ภาพได้เลย 

โปรแกรมตั้งชื่อลูก ตั้งชื่อลูกตามวันเกิด ชื่อมงคล ความหมายดี เยอะที่สุด

ผิดไหม? ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ลูกสาวเล่นรถ พ่อแม่ควรทำไงดี!

ทรงผมลูกชาย เท่ ๆ ตัดง่ายๆ ไม่แหว่งไม่เจ็บ ด้วยสิ่งนี้…!?

500 ชื่อเล่นสุดฮิต ชื่อลูกแบบอินเตอร์ ใช้ตั้งได้ทุกปี ไม่มีเอ้าท์!

นายอินทร์บริจาคหนังสือ

นายอินทร์บริจาคหนังสือ ให้กับมูลนิธิศุภนิมิตฯ จำนวน 5,000 เล่ม

Alternative Textaccount_circle
event
นายอินทร์บริจาคหนังสือ
นายอินทร์บริจาคหนังสือ

สืบเนื่องจาก ร้านนายอินทร์จัดกิจกรรมภาพยนตร์โฆษณาส่งเสริมสังคมชุด “คนที่เฝ้ามองเราอยู่ – The Watcher” เพื่อให้นักอ่านทุกท่านได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการให้ โดยทุก 1 แชร์ จากคลิปภาพยนตร์ดังกล่าว เท่ากับนักอ่านได้ร่วมบริจาคหนังสือ 1 เล่ม  ซึ่งร้านนายอินทร์จะบริจาคหนังสือสูงสุด 5,000 เล่ม มอบให้กับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เพื่อส่งต่อความรู้สู่มือของผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล

วันที่ 12 มิ.ย. 63 ม.ล.ลือศักดิ์ จักรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ผู้จัดจำหน่ายหนังสือชั้นนำของเมืองไทย ในนาม “ร้านนายอินทร์” พร้อมด้วย คุณกวิล นาวานุเคราะห์ ที่ปรึกษาด้านการตลาดและพัฒนาธุรกิจ และทีมการตลาด บริษัท อมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด เข้าบริจาคหนังสือจำนวน 5,000 เล่ม ภายใต้โครงการภาพยนตร์โฆษณาส่งเสริมสังคมชุด “คนที่เฝ้ามองเราอยู่ – The Watcher” ณ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ

โดยมี ดร.สราวุธ ราชศรีเมือง ผู้อำนวยการ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย และดร.บรรจงเศก ทรัพย์โสภา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ-สายงานการตลาดและจัดหาทุน มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับมอบ

โดยหนังสือดังกล่าว จะถูกส่งมอบให้กับผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล เพื่อเป็นส่วนช่วยในการส่งต่อความรู้ ความสุข และพลังสร้างสรรค์ ตามพันธกิจของ ร้านนายอินทร์ ที่มีความมุ่งหวังจะเป็นศูนย์กลาง การกระจายความรู้ ความคิด และช่วยส่งเสริมนิสัยรักการอ่านให้กับคนไทยอันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาคน สังคม ตลอดจนประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ

60 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เหมาะกับลูกเล็ก โดยพ่อเอก

Alternative Textaccount_circle
event
ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ
ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ

ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ รวมไปถึงคุณลูกๆ คงอึดอัด และคงอยากออกไปเที่ยวต่างจังหวัดกันเต็มที่แล้ว ตอนนี้มาตรการปลอดล็อคขั้นที่ 3 เปิดโอกาสให้ออกไปสูดอากาศไกลๆ จากพื้นที่รอบบ้านแล้ว ถ้างั้นไปเที่ยวไหนกันดี ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ ที่เหมาะกับครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ เนื่องจากเพิ่งจะปลดล็อค งั้นเอาจังหวัดที่เดินทางไปไม่เกิน 3 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ แล้วกัน และขอยกมาเฉพาะจังหวัดกับสถานที่เด่นๆ ที่ปูนปั้นกับปั้นแป้งเคยไปแล้วชอบนะครับ

60 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เหมาะกับลูกเล็ก

สมุทรสงคราม – จะพลาดการดูหิ่งห้อยที่อัมพวาไปได้อย่างไร แต่อย่าลืมว่าที่นี่มีวัดน่าสนใจเยอะ วัดบางกุ้งที่รากต้นโพธิ์คลุมพระอุโบสถทั้งหลัง และ อย่าลืมโบสถ์คริสต์อาสนวิหารพระแม่บังเกิด

โบสถ์คริสต์อาสนวิหารพระแม่บังเกิด ราชบุรี
โบสถ์คริสต์อาสนวิหารพระแม่บังเกิด ราชบุรี

สมุทรปราการ – จะไปปั่นจักรยานที่เจริญสุขมงคลจิต หรือ จะเที่ยวอีกฝั่งของเจ้าพระยาที่บางกะเจ้า ที่มีกิจกรรมมากมาย ทั้งปั่นจักรยาน ร้านอาหารริมน้ำบรรยากาศดี สูดโอโซนที่ปอดของชาวกรุง และลองลงแพรถข้ามก็สนุกไม่เบา

บางกระเจ้า สมุทรปราการ
บางกระเจ้า สมุทรปราการ

อยุธยา – เที่ยวเมืองเก่า กินกุ้งเผา ไหว้พระวัดใหญ่ วัดพนัญเชิง เอาให้ครบ 9 วัดได้สบายมาก ชมพระราชวังบางปะอินแล้วอย่าลืมนั่งกระเช้าข้ามไปวัดนิเวศน์ธรรมประวัติวัดไทยที่มีสถาปัตยกรรมตะวันตกที่สวยงาม แล้วอย่าลืมแวะซื้อสายไหมมาหม่ำตอนกลับหละ

นครราชสีมา เขาใหญ่ไม่ไปได้อย่างไร ทั้งน้ำตก ทั้งทุ่งหญ้า หรือจะเอาแบบมนุษย์สร้างก็มีสวนน้ำ สวนสัตว์ ฟาร์มม้า ฟาร์มวัว หรือจะเที่ยวปากช่องไปถึงลำตะคอง เอาให้สุดก็ไปให้ถึงปราสาทหินพิมาย อ้อ วกไปทางวังน้ำเขียวก็สงบงามนะ

ให้อาหารกระต่าย

ชลบุรี – จะเล่นน้ำที่บางแสน หรือ ดูสัตว์ที่เขาเขียว เอ๊ะหรือจะเที่ยวศรีราชา ก็อย่าลืมเที่ยวอวกาศที่ Space Inspirium หรือจะลงไปใต้ทะเลที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำบางแสนดี

บางแสน ชลบุรี
บางแสน ชลบุรี

ระยอง – ได้ทุกหาดครับ จะใกล้หน่อยก็สัตหีบ หรือหาดหัดเที่ยวอย่างหาดแม่พิมพ์ เกาะเสม็ดก็น่าข้ามไปนะเออ

นครนายก – ซุ้มป่าไผ่ที่วัดจุฬาภรณ์ฯ ถ่ายรูปมาเหมือนไปญี่ปุ่นเลย เขื่อนขุนด่านต้องแวะ ถ้าเด็กๆ ชอบตื่นเต้นต้องไปเล่น zip line ที่เขาชะโงก ที่พักริมธารให้ลงไปแช่กันจนตัวเปื่อยก็มีเยอะเลย

ซุ้มป่าไผ่ที่วัดจุฬาภรณ์ฯ นครนายก
ซุ้มป่าไผ่ที่วัดจุฬาภรณ์ฯ นครนายก

ราชบุรี – ที่เที่ยวเยอะแยะ แต่ต้องไม่ลืมแวะสวนผึ้ง หรือไปโซน เขางู ถ้ำจอมพล ถ้ำเขาบิน หรือไปดูค้างคาวที่วัดเขาช่องพรานก็น่าตื่นตาตื่นใจ

กาญจนบุรี – เป็นอีกที่ๆ ไปหลายรอบ การนั่งรถไฟไปน้ำตกไทรโยคโดยผ่านเส้นทางรถไฟสายมรณะก็เป็นวิวที่สวยงามทีเดียว นอนแพริมแม่น้ำแควแช่เท้าเย็นๆ ในวันสงบๆ ก็สุดเยี่ยม ต้นจามจุรียักษ์ ที่แวะเยอะแยะไปหมด (ยอมเกิน 3 ชม. ไปให้ถึง สะพานมอญ ชมวัดจมน้ำ เที่ยวสังขละบุรีก็สุดประทับใจ)

ต้นจามจุรียักษ์
ต้นจามจุรียักษ์ กาญจนบุรี

นครปฐม – เที่ยวพระปฐมเจดีย์ หรือไปไหว้พระปั่นจักรยานสงบๆ ที่พุทธมณฑล ตลาดน้ำดอนหวาย หรือซื้อกล้วยไม้ที่แอร์ออคิด พิพิธภัณฑ์รถเก่า เจษฎาเทคนิคมิวเซียม จะทำให้เด็กตาโต

เจษฎาเทคนิค มิวเซียม นครปฐม
เจษฎาเทคนิค มิวเซียม นครปฐม

เพชรบุรี – จะไม่พูดถึงทะเลชะอำก็คงจะน่าขำ และต้องไม่พลาดพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ที่มีทั้งประวัติศาสตร์และศิลปะให้เด็กๆได้เดินชมกินลมเย็นๆ

ชะอำ เพชรบุรี
ชะอำ เพชรบุรี

ประจวบคีรีขันธ์ – เที่ยวทะเลหัวหิน หาของกินที่ตลาดหัวหิน หรือ ร้านอาหารทะเลหลากหลายให้เลือกตามระดับรสนิยมที่ต้องการ ไปหาเรื่องเสียเงินที่ซิคาด้ามาร์เก็ต อย่าลืมจุดสำคัญสำหรับเด็กคือสถานีรถไฟหัวหิน แวะอุทยานราชภักดิ์ และไปไหว้หลวงพ่อทวด ที่วัดห้วยมงคล

สุพรรณบุรี – เด็กๆ ไม่ลืมประสบการณ์นอนบ้านต้นไม้ที่บึงฉวากแน่ รวมถึงพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ และท้องนาเขียวชะอุ่ม ในตัวเมืองก็ต้องไม่พลาดพิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร  ไหว้พระวัดไผ่โรงวัว วัดป่าเลไลยก์ และไปสักการะพระพุทธรูปแกะสลักผาหินที่อู่ทอง อย่าลืมพาเด็กๆ แวะไปดูควายที่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยด้วยนะ

พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร สุพรรณบุรี
พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร สุพรรณบุรี

สมุทรสาคร – อีกหนึ่งไฮไลท์เลย คือ ชมวาฬบรูด้า เราจัดทริปเหมาเรือพาเพื่อนๆ ไปชมมา 4 รอบแล้ว เด็กๆ ตื่นเต้นสุดๆ ไม่อยากบอกเลยว่าพ่อกับแม่ตื่นเต้นกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า ศาลพันท้ายนรสิงห์ก็อยู่ที่นี่  มีร้านอาหารวิวริมทะเลราคาถูกๆ เยอะ อ้อสมุทรสาครมีพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำนะเออ

ชมวาฬบลูด้า สมุทรสาคร
ชมวาฬบลูด้า สมุทรสาคร

 

พาลูกเที่ยวใกล้กรุงเทพฯ จริงๆ มีอีกหลายจังหวัดรอบๆ กรุงเทพฯ นะครับ ที่เราไปเที่ยวมาและอยากชวนไปเที่ยวกัน เอาสั้นๆ สักจังหวัดละที่ นนทบุรี (เกาะเกร็ด), ปทุมธานี (บ้านครูธานี), สิงห์บุรี (ค่ายบางระจัน) เอาเท่านี้เนอะ อ่านมาจนจบกว่า 60 สถานที่ ต้องมีที่ถูกใจเด็กๆ หลายที่แน่นอน อ่านจบก็สตาร์ทรถเลย


>>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

บทความที่น่าสนใจอื่นๆ

5 แลนด์มาร์ก นนทบุรี พาลูกเที่ยว เช้าไปเย็นกลับสบายๆ

พาลูกเที่ยว ฟาร์มแกะ ค่าเข้าไม่เกิน 100 พาเจ้าตัวเล็กไปเป็นเด็กเลี้ยงแกะกัน!

พาลูกเที่ยว ฟาร์ม 5 ห้องเรียนธรรมชาติของเจ้าตัวเล็ก เข้าชมฟรี!!

ดูแลผิวลูกหน้าฝน รับมือเชื้อราและแบคทีเรีย

Alternative Textaccount_circle
event

ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝน มีฝนตกมาพร้อมกับอากาศที่ร้อนชื้น อาจทำให้ลูกน้อยเสี่ยงเกิดปัญหาผิวขึ้นได้ โดยเฉพาะในเด็กทารก และเด็กเล็กที่มีผิวบอบบาง เช่น โรคเชื้อราผิวหนัง ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นผ้าอ้อม ทีมแม่ ABK จึงมีคำแนะนำดีๆ ดูแลผิวลูกหน้าฝน มาฝาก ให้ผิวลูกน้อยสุขภาพดี ป้องกันปัญหาผื่นต่างๆ ที่เกิดจากเชื้อรา และแบคทีเรียได้

(more…)

สมองซีกซ้าย

8 กิจกรรมยามว่างพัฒนา สมองซีกซ้าย vs ซีกขวา ฝึกลูกใช้เหตุผลและมีความคิดสร้างสรรค์

Alternative Textaccount_circle
event
สมองซีกซ้าย
สมองซีกซ้าย

“สมอง” นั้นจัดว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกายเลยก็ว่าได้ ที่ทำหน้าที่ควบคุม สั่งการเคลื่อนไหว และเกี่ยวข้องกับการรับรู้ ความจำ และความสามารถในการเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ โดยสมองของคนเราแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือ สมองซีกซ้าย กับซีกขวาที่ทำงานกันคนละด้าน และทำหน้าที่แตกต่างกัน การเลี้ยงดูและการกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมในวัยเด็กจะส่งผลต่อการเชื่อมต่อของเซลล์สมอง และมีส่วนช่วยปลุกศักยภาพความถนัดให้ลูกรักนำมาใช้ได้อย่างเต็มที่ คุณพ่อคุณแม่พอจะสังเกตเห็นว่า ตอนนี้ลูกของเรามีความถนัดในด้านไหนกันบ้าง เป็นนักคิด อาร์ตติสท์ ชอบวางแผนหรือชอบร้องเพลง แล้วรู้มั้ยค่ะว่าความถนัดในแต่ละด้านนั้นเกี่ยวข้องกับสมองซีกซ้ายและซีกขวาอย่างไร มาดูกันค่ะว่า สมองแต่ละด้านทำงานเกี่ยวกับอะไรบ้าง พร้อมกับกิจกรรมที่จะช่วยพัฒนาสมองทั้งสองซีกให้เด็ก ๆ กันค่ะ

สมองซีกซ้าย ซีกขวา เกี่ยวกับอะไร?

สมองซีกซ้าย เป็นสมอง “ส่วนของการตัดสิน” สมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของมือขวา และจะควบคุมเรื่องเกี่ยวกับเหตุผลทุกอย่าง ทำหน้าที่คิดวิเคราะห์ เพื่อการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ทั้งด้านการใช้ภาษา การเขียน การอ่าน การควบคุม การพูด การใช้เหตุผล ทักษะด้านตัวเลข วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์  ฯลฯ ซึ่งมีผลทำให้คนถนัดสมองซีกซ้ายเป็นนักวางแผน ชอบวิเคราะห์ ทำอะไรทีละอย่างตามขั้นตอน แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้อย่างชัดเจน และมีผลวิจัยบอกว่าสมองที่โดดเด่นและได้รับการใช้งานมากที่สุดคือสมองซีกซ้ายนั่นเอง

สมองซีกขวา สมองซีกนี้ถูกเรียกว่า “ส่วนของความคิดสร้างสรรค์” ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของมือซ้าย ช่วยควบคุมและพัฒนาด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ทำหน้าที่ในเรื่องของศิลปะ ความเข้าใจการเห็นภาพสามมิติ มีความสุนทรียะและความสามารถด้านดนตรี เพลง และการใช้จินตนาการในการดำเนินชีวิต มีความรู้สึกดื่มด่ำต่อศิลปะ มีทักษะด้านการเข้าใจตนเอง นอกจากนี้สมองซีกขวายังช่วยให้เด็กเรียนรู้จิตใต้สำนึก และมีศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากด้วยความรวดเร็วซึ่งแตกต่างจากสมองซีกซ้าย สิ่งนี้จะแปลความสามารถในการจดจำที่ดีขึ้น เด็กหรือคนที่ถนัดสมองซีกขวาจะเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่าย ปรับตัวเก่ง มองการณ์ไกล รักการอ่าน การเขียนหนังสือ มีความสามารถในงานฝีมือ และงานประดิษฐ์ ส่วนใหญ่จะเป็นศิลปิน เพราะมีความคิดสร้างสรรค์สูง

8 กิจกรรมยามว่างพัฒนา สมองซีกซ้าย ซีกขวา

กิจกรรมพัฒนาสมองซีกซ้าย เป็นการฝึกฝนลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันหรือเล่นเกมที่ใช้ทักษะความคิดเพื่อฝึกหลักการใช้เหตุผล การแยกแยะ การเก็บรายละเอียด การลำดับก่อนหลัง การจัดระเบียบขั้นตอน ฝึกการวางแผน การคิดให้เป็นระบบ ตัวเลข หรือภาษา อาทิเช่น

กิจกรรมเสริมสมองซีกซ้าย

1.เล่นเกม Crossword

“ครอสเวิร์ดเกม” หรือเกมต่อศัพท์ภาษาอังกฤษ เป็นหนึ่งเกมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในงานวิจัยหลายฉบับ และเป็นเกมที่ได้รับความนิยมเล่นอย่างกว้างขวาง เป็นเกมที่ช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง เพิ่มพลังความคิด และทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ ๆ ด้วยการผสมอักษรและคำนวณคะแนนให้ได้มากที่สุด ผลลัพธ์จากการเล่มเกมนี้จะทำให้เด็กมีความสนใจในการเรียนรู้ภาษาเพิ่มมากขึ้น สะกดคำได้เก่ง และอ่านหนังสือได้เร็วขึ้น แถมยังได้ความสนุกสนานที่สามารถเล่นกันได้ทั้งครอบครัวด้วย

2.เล่นเกม Sudoku

ซูโดะกุ เป็นเกมปริศนาตารางตัวเลข ที่ผู้เล่นจะต้องเติมตัวเลขลงในช่องว่างของตาราง โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องใช้ตัวเลขในแต่ละแถวไม่ให้ซ้ำกัน และใช้ตัวเลขแต่ละตัวได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ทั้งในทุกแถวของแนวตั้ง แนวนอน เกมนี้จึงเป็นเกมที่เด็ก ๆ จะได้ฝึกสมอง ฝึกรูปแบบกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุผล หรือตรรกะ (logic) ในการไขปริศนานี้โดยดูจากข้อมูลตัวเลขที่ให้มา ได้ฝึกทักษะการสังเกตและการคิดวิเคราะห์ ฝึกฝนความคิดเรื่องการจัดลำดับ และ sense of space ฝึกความจำ รวมถึงการฝึกความอดทน มีสมาธิ เด็กที่เล่นเกมนี้จะพัฒนาทักษะการคิดเร็ว และปรับมุมมองคิดนอกกรอบได้เก่ง แถมยังเป็นเกมที่เล่นได้ทั้งครอบครัว ได้ทุกทีทุกเวลาอีกด้วย

เล่นรูบิค

3.เล่นรูบิค (Rubik’s Cube)

รูบิคหรือตัวบิดทรงสี่เหลี่ยม ถือเป็นของเล่นฝึกสมองสุดคลาสสิกที่ไม่เคยล้าสมัยที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยได้เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ของเล่นชนิดนี้สามารถช่วยบริหารสมองและพัฒนาความสามารถในการจดจำ เป็นตัวช่วยที่ดีที่ทำให้สมองของลูกมีการพัฒนาในทางบวก ช่วยกระตุ้นความจำระยะสั้น เสริมทักษะความสัมพันธ์ตาและมือ ฝึกทักษะการวิเคราะห์ สร้างสมาธิและความอดทน ฝึกทักษะในการแก้ปัญหา ช่วยให้ลูกเป็นคนที่รู้จักคิดและส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทางด้านสติปัญญาช่วยให้ลูกมีความฉลาดมากยิ่งขึ้น ช่วยฝึกความเร็ว ความคล่องแคล่ว ทำให้ลูกได้คิดเร็วขึ้นในเวลาที่จำกัด จะเห็นได้ว่าเกมรูบิคนั้นมีประโยชน์มากมายเทียบเท่ากับการเล่นหมากรุก และมีขนาดเล็ก พกพาได้สะดวก สามารถนำติดตัวไปเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา เหมาะแก่การฝึกพัฒนาการสำหรับเด็ก ๆ และให้ลูกสนุกได้ดีทีเดียว

4.เล่นหมากรุก

เกมหมากรุก เป็นอีกเกมคลาสสิคที่เล่นกันได้ตั้งแต่เด็กจนถึงรุ่นคุณตาคุณยายกันเลยทีเดียว เป็นเกมที่จะช่วยฝึกสมอง ฝึกวางแผน วิเคราะห์ปัญหา ส่งผลให้สมองได้ใช้ความคิด และความสามารถในการประมวลข้อมูลต่าง ๆ ของสมอง ช่วยเสริมไอคิวเพิ่มสูงขึ้นได้ สร้างสมาธิ และช่วยให้มีความจำดีอีกด้วย

5.อ่านหนังสือ

การอ่านเป็นวิธีง่าย ๆ ที่แต่ช่วยพัฒนาสมองได้เป็นอย่างดี การอ่านจะมีส่วนช่วยเพิ่มการเชื่อมโยงเครือข่ายของสมอง ทำให้โครงสร้างของสมองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เพิ่มการเรียนรู้และการจดจำ และเป็นการเปิดโลกจินตนาการถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ได้วิเคราะห์ตามเนื้อหาในหนังสือ ยิ่งถ้าให้ลูกได้อ่านหนังสือในเรื่องที่ไม่เคยอ่านมาก่อน ก็จะทำให้ลูกได้ความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอีกด้วย

กิจกรรมพัฒนาสมองซีกขวา สมองซีกขวาเป็นส่วนสำคัญที่ควบคุมด้านจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ ความรู้สึก ควรให้ลูกได้ทำกิจกรรมใช้ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อทำให้สมองส่วนนี้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น

สมองซีกซ้ายและซีกขวา มีความแตกต่างกันอย่างไร

6.เขียนวาดความคิดออกมาเป็นภาพหรือสัญลักษณ์

ฝึกให้ลูกได้วาดรูปตามจินตนาการหรือคิดนอกกรอบในภาพแนวใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม ในแบบที่เป็นไปได้หรือเหนือจินตนาการ หรือเขียนออกมาในรูปของภาพประกอบมีคำบรรยาย หรือในรูปแบบของ Mind Map การฝึกแบบนี้บ่อยๆ จะช่วยให้ลูกเห็นภาพรวมของความคิด จดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถค้นพบไอเดียใหม่ ๆ ได้อีกด้วย

7.เล่นดนตรี

ปัจจุบันการสนับสนุนให้ลูกเล่นดนตรีนับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่พ่อแม่ให้ความสนใจ เนื่องจากมีงานวิจัย ผลทดลอง และผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากศึกษาถึงประโยชน์ของดนตรีต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็ก ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าการให้ทำกิจกรรมทางดนตรี อย่างการร้องเพลงหรือเล่นเครื่องดนตรีตั้งแต่ยังเล็ก จะทำให้พัฒนาการทุกด้านรวดเร็วกว่าเด็กในวัยเดียวกัน เพลงและดนตรีทำให้สมองมีการทำงานทุกส่วน สมองเกิดการตื่นตัวและทำงานแบบสอดประสานกัน ทั้ง 2 ซีก มีส่วนช่วยเสริมพัฒนาการสมอง ความจำ และทักษะความสามารถด้านต่าง ๆ ของเด็กได้มาก แม้แต่การฝึกเล่นดนตรีเป็นชิ้นเดียวก็จะพัฒนาทักษะทางปัญญา ความสามารถในการเรียนรู้ การคิดการใช้เหตุผล การเข้าสังคม การควบคุมอารมณ์ และความอดทนได้สูงอีกด้วย เนื่องจากการเล่นดนตรีไม่ได้ใช้ความเข้าใจหรือการจำอย่างเดียว แต่ต้องใช้ทักษะทางร่างกายที่ซับซ้อนด้วยและทักษะเหล่านี้จะติดตัวไปตลอดแม้ว่าจะหยุดเล่นดนตรีไปแล้วก็ตาม อีกทั้งยังมีผลการศึกษาพบว่า ดนตรีให้ผลโดยตรงต่อสมอง ระหว่างการเล่นดนตรีทำให้เกิดกระบวนการคิดสร้างสรรค์ เมื่อเด็ก ๆ ได้ฟังเพลง เนื้อร้องก็จะเกิดการจินตนาการเป็นภาพตามบทเพลง ครีเอทสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นได้ดี รวมถึงช่วยเพิ่มทักษะไอคิวได้อีกด้วย

บทความแนะนำที่เกี่ยวข้อง : เรียนดนตรีดียังไง หลายเหตุผลที่บอกว่า เลี้ยงลูกด้วยดนตรี มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต

8.พาลูกทำกิจกรรมนอกบ้าน

การทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา พาลูกไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ทุกกิจกรรมล้วนช่วยสร้างความสัมพันธ์ของเซลล์สมองซีกขวาได้เป็นอย่างดี และให้ลูกได้มีประสบการณ์การนอกห้องเรียนที่ทำให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ด้วยความสนุก และช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและทักษะหลาย ๆ ด้าน การเรียนรู้ที่จะเข้าสังคม ได้มีโอกาสลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ หรืออาจมีสถานการณ์ที่ต้องแก้ปัญหา และฝึกความอดทนมากขึ้น

จะเห็นได้ว่าการพัฒนาสมองทั้งสองซีกของลูกน้อยให้ทำงานดีมีประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ส่งเสริมกิจกรรมที่ดีต่อสมอง กระตุ้นให้ลูกได้เล่น หรือได้ใช้เวลาในการร่วมทำกิจกรรมร่วมกัน ให้ลูก ได้ฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์บ่อย ๆ และใช้สมองซีกซ้าย สมองซีกขวา ไปพร้อม ๆ กันอย่างสมดุล ก็จะช่วยให้พัฒนาการสมองทั้งสองซีกทำงานได้ดี ทำให้ลูกรักมีศักยภาพและความสามารถในการแสดงออกที่ปลดปล่อยออกมาได้ตามเวลาที่เหมาะสมอย่างเต็มที่

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www2.dnee.co.thwww.new.smartteen.net

อ่านต่อบทความที่น่าสนใจอื่นๆ

9 กิจกรรม & เกมพัฒนาสมอง ของลูกวัย 6+ ให้ลูกฉลาดและอารมณ์ดี

9 แอพ เกมลับสมอง เล่นสนุก เพิ่มรอยหยัก ฝึกความจำ ให้ลูกมีไหวพริบฉลาดยิ่งขึ้น

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พัฒนาการทารก 3 เดือน

พัฒนาการทารก 3 เดือน ผมลูกบาง แหว่งเป็นกระจุก อันตรายหรือไม่?

account_circle
event
พัฒนาการทารก 3 เดือน
พัฒนาการทารก 3 เดือน

พัฒนาการทารก 3 เดือน  ลูกน้อยจะเริ่มจ้ำม่ำน่าฟัดสุดๆ นอกจากความน่ารักที่ใครเห็นก็หลงไปตามๆกันแล้ว พัฒนาการด้านร่างกายและอารมณ์ก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทั้งด้านร่างกายและอารมณ์ คุณแม่อาจกังวลว่าน้ำหนักของลูกเพิ่มขึ้นไม่มากเท่าช่วง 1 – 2 เดือนแรก พร้อมกับเส้นผมที่บางลง หรือแหว่งหายเป็นกระจุก แบบนี้อันตรายหรือเปล่า?

ลูกวัยนี้จะยิ้มเก่งชวนหลง แถมบางคนเริ่มเลียนแบบสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินเป็นแล้วด้วย ช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่คงต้องชวนคุยบ่อยๆ เล่นกับลูกเยอะๆ เพราะนั่นเป็นวิธีเรียนภาษาและการพูดของเจ้าตัวน้อย เพราะเด็กวันนี้เริ่มจำเสียงพ่อแม่ และอยากเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้นทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ

พัฒนาการทารก 3 เดือน ทำไมผมลูกบาง ผมแหว่งเป็นกระจุกแบบนี้ ผิดปกติหรือเปล่า

พัฒนาการทารก 3 เดือน พัฒนาการทางร่างกาย

ลูกวัย 3 เดือนแข็งแรงกว่าที่คิด พวกเขาเริ่มควบคุมกล้ามเนื้อคอให้มั่นคง ยกคอขึ้นตั้งตรงได้แล้ว ชอบหันหน้ามองตามพ่อแม่ซ้ายที ขวาที เวลาจับนอนคว่ำก็สามารถยกหัวและหน้าอกข้น พร้อมกับเตะขาได้ แต่ในสายตาของลูกน้อยอะไรก็ไม่สำคัญเท่า “มือของตัวเอง” โดยมักจะจ้องมือบ่อยๆ พยายามเอามือเข้าปาก หรือจับมือตัวเองเล่นได้ทั้งวันเหมือนเป็นของเล่นชิ้นพิเศษที่เคลื่อนไหวได้ มือคว้าจับของเล่นถึงจะยังจับไม่ได้

หากลองจับลูกให้ยืน เขาจะทำท่ากระโดดขาคู่ ขณะที่การมองเห็นทำงานดีขึ้น เห็นในระยะมือตัวเองชัดเจน ถ้าอยากส่งเสริมพัฒนาการ 3 เดือน ของลูกน้อย ควรปล่อยให้เล่นบนพื้นรองด้วยแผ่นปูนุ่มๆ เพื่อให้มีพื้นที่กว้างพอจะเตะขาหรือแกว่งของเล่น

พัฒนาการทางอารมณ์

เป็นเรื่องน่าดีใจสุดๆของแม่หลายคน เพราะเด็ก 3 เดือน สามารถจำหน้าแม่ได้ และพยายามคุยด้วยผ่านรอยยิ้มน้อยๆ ส่งเสียงอื้อๆ เรียกร้องความสนใจ ถ้าแม่ยิ้มให้ลูกก็พร้อมยิ้มตอบทันที แสดงอาการดีใจด้วยการกางมือ ชูแขน ขยับขา หากลองจ้องหน้าลูกใกล้ๆแล้วทำสีหน้ายิ้ม ร้องไห้ หน้าบึ้ง หัวเราะ ลูกน้อยก็จะพยายามทำตาม เพราะนั่นคือกระบวนการเลียนแบบการแสดงอารมณ์ตามธรรมชาติ ฉะนั้นถ้าอยากให้ลูกมีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดี พ่อแม่ควรเล่นกับลูก พูดคุยกับลูกบ่อยๆ

ลูกผมบาง ผมแหว่งผิดปกติหรือเปล่า

“ผ้าอ้อมกัดหัว” เป็นคำที่ได้ยินบ่อยๆจากปู่ย่าตายาย มักเกิดในช่วงที่ทารกอายุราว 2 – 3 เดือน  ผมเส้นบางแสนอ่อนนุ่มของลูกน้อยเริ่มบางลง บางทีอาจแหว่งหายไปเป็นกระจุกคล้ายรอยหนูกัด คุณแม่เห็นแบบนี้อาจตกใจกลัวลูกเป็นอันตราย แต่ความจริงแล้ว อาการผมร่วงแบบนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดกับเด็กทุกคน เพราะระบบฮอร์โมนของลูกเปลี่ยนแปลง มักกินเวลาประมาณ 3- 6 เดือน เช่นเดียวกับคุณแม่ที่มักผมร่วงเยอะในช่วงเวลานี้เช่นกัน โดยมีคำกล่าวว่า “ถ้าลูกจำหน้าแม่ได้ ผมแม่จะร่วง” ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ลูกอายุครบ 3 เดือนนั่นเอง  ยกเว้นกรณีที่หนังศีรษะลูกมีรอยแผล อาการคัน หรือเป็นผื่นแดง ซึ่งอาจเกิดจากอาการแพ้ ควรพาลูกไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาให้ละเอียด

MUST READ :ลูกผมร่วง เพราะ ผ้าอ้อมกัดหัว ผ้าอ้อมกัดผม จริงหรือ?

เรื่องนี้พ่อแม่มักสงสัย

การกิน : ลูกจะกินเยอะกว่าเดิมมาก และสื่อสารบอกว่าหนูหิวได้เก่งขึ้นแล้ว ทารกที่กินนมผสมส่วนมากกินนมครั้งละ 5 ออนซ์ วันละ 6-8 มื้อ ส่วนทารกที่กินนมแม่ หากผ้าอ้อมสำเร็จรูปเต็มวันละ 4-5 ชิ้นก็ถือว่ากินได้เพียงพอ ทารกวัย 3 เดือนยังไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ เนื่องจากในนมผสมและนมแม่มีน้ำมากพอต่อความต้องการแล้ว

การนอน : เบบี๋ในระยะนี้มักนอนประมาณวันละ 15 ชั่วโมง ส่วนมากเป็นเวลากลางคืน ซึ่งอาจนอนได้ถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว ทารก 3 เดือนอาจหลับยาวต่อเนื่องได้ 5-6 ชั่วโมง ระหว่างวันอาจนอนหลับสัก 3 รอบ รวมระยะเวลาราว 5 ชั่วโมง เด็กวัยนี้อาจนอนยากขึ้นแม้จะง่วงเพลีย คุณแม่ควรจัดสภาพการนอนให้เหมาะสม อย่างเช่น ปิดไฟมืด ร้องเพลงกล่อม วางทารกลงนอนในตอนที่เด็กง่วงแต่ยังไม่หลับ และฝึกให้ทารกนอนหลับเอง

ส่วนเวลาเข้านอนของเบบี๋วัย 3 เดือนนั้นให้ขึ้นอยู่กับตารางเวลาของครอบครัว แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนแนะนำว่าให้นอนระหว่าง 1 – 3 ทุ่ม เมื่อทารกเริ่มนอนยาวขึ้น ให้ลองพาทารกเข้านอนเร็วขึ้น จะช่วยให้ลูกยิ่งหลับยาวมากขึ้นด้วย

เรื่องนี้แม่ห้ามพลาด

  • พาลูกไปพบแพทย์และฉีดวัคซีนตามนัด
  • ลองให้ลูกได้นอนคว่ำเล่น เพื่อฝึกกล้ามเนื้อคอและแขน หากลูกไม่ชอบนอนคว่ำบนพื้น ลองจับลูกอย่างมั่นคงและให้นอนคว่ำบนลูกบอล แล้วคุณพ่อคุณแม่จับลำตัวลูกให้เคลื่อนที่เป็นวงกลม
  • เล่นเกมกับลูก : นำกระจกมาตั้งให้ลูกส่องมองตัวเอง เด็กๆ ส่วนมากจะชอบมองและยิ้มให้ตัวเองในกระจก หรืออาจให้ลูกน้อยสวมถุงเท้าเสริมพัฒนาการที่มีกระพรวนกรุ๋งกริ๋ง เด็กจะสนุกสนานเมื่อขยับเท้าตัวเองแล้วได้ยินเสียงดัง

แหล่งข้อมูล  www.thebump.com

พัฒนาการเด็ก 3 เดือน ต้องกระตุ้นอย่างไร? ให้ลูกแข็งแรงสมวัย

 

ของเล่นเสริมพัฒนาการ เด็กแรกเกิด-6 เดือน แบบไหนเหมาะกับวัยลูก?

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

 

โรค 4s เกิดจากอะไร

โรค 4s เกิดจากอะไร ภัยใกล้ตัวลูกน้อย ที่พ่อแม่ต้องระวัง!

event
โรค 4s เกิดจากอะไร
โรค 4s เกิดจากอะไร

โรค 4s เกิดจากอะไร ภัยใกล้ตัวลูกน้อย ที่พ่อแม่ต้องระวังให้ดี อย่าให้ความเอ็นดูทำพิษ ปล่อยให้คนอื่นมาอุ้ม กอด หอมลูก เสี่ยงลูกติดเชื้อทางผิวหนังอย่างรุนแรง เป็นโรค ssss

อุทาหรณ์ โรค 4s ภัยใกล้ตัวที่พ่อแม่ต้องรู้เท่าทัน
พร้อมระวังลูกน้อยให้ดี!

โรค 4S ถือเป็นอีกหนึ่งโรคผิวหนังในเด็ก ที่หลายคนเริ่มคุ้นหู เพราะไม่ใช่โรคอุบัติใหม่และก่อนหน้านี้ก็มีข่าวเด็กป่วย โรค 4S มาแล้ว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เพราะเป็นโรคที่ไม่ได้ระบาดหรือมีข่าวว่าเกิดกับเด็กเยอะแยะมากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นกับลูกน้อยของเรา

เพราะด้วยความที่เด็กทารกยังมีผิวที่บอบบางและอ่อนแอ คุณพ่อคุณแม่จึงต้องรับมือกับปัญหาภูมิแพ้และผื่นคันของลูกน้อยอยู่บ่อยครั้ง แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากสิ่งสกปรกรอบตัวแล้ว “การสัมผัสตัวเด็ก” ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง ร้ายแรงอย่างภาวะ Staphylococcal Scalded Skin Syndrome หรือที่เรียกกันว่า โรค 4S ได้เช่นกัน

เช่นเดียวกับหนูน้อยวัย 5 เดือนเศษคนนี้ที่ ป่วยเป็น โรค 4s มีภาวะติดเชื้อทางผิวหนังอย่างรุนแรง สาเหตุก็เพราะถูกผู้ใหญ่ที่เอ็นดูน้องเข้ามาจับ อุ้ม และหอมน้อง โดยเรื่องราวนี้ผู้เป็นป้าของหนูน้อยได้ออกมาโพสต์เฟสบุ๊คเตือนถึงอาการป่วยเป็น โรค 4S ของหลานว่า..

ขอเตือนนะคะภัยใกล้ตัวไม่ควรมองข้าม….ใครที่มีลูกมีหลานเล็กๆอย่านะคะ…??! อย่าจับน้องถ้ายังไม่ใด้ล้างมืออย่าอุ้มน้องขณะที่ตัวเองเปื้อนสิ่งอะไรต่างๆนาๆตามตัวค่ะ ย้ำเลยนะคะ สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากการ 📍สัมผัส 📍หอม 📍หรือโดนตัวน้องขณะที่ไม่ล้างมือกัน เชื้อพวกนี้ขะติดตามตัวน้องและจะฟักตัวประมาน 10 วัน
#ทุกเคยบอกพูดว่าจะอนามัยอะไรหนักหนาเลี้ยงมาแบบแต่ก่อนก็ไม่เห็นเป็นอะไรคลานกับดินเล่นกับดิน คือแบบเด็กทุกวันเขาเกิดมาพร้อมโรคมากมายไม่ใช่แต่ก่อนที่เลี้ยงแบบใหนก็ใหนใด้ ทุกวันนี้โรคมันอยู่รอบๆ ตัวเราทั้งนั้นค่ะ ไม่ใด้รังเกียจนะคะถ้าจะจับน้องแต่ขอให้ล้างมือด้วยค่ะ ทุกคนบอกจะล้างทำไมไม่เห็นจะเป็นอะไร เป็นแน่นอนเป็นอย่างหลานเราเป็นค่ะ
โรค 4s เกิดจากอะไร
ภาพหนูน้อยวัย 5 เดือนเศษคนนี้ที่ ป่วยเป็น  #โรค4s ติดเชื้อทางผิวหนังอย่างรุนแรง โดยการ ✔️จับน้อง ✔️อุ้มน้อง ✔️หอมน้อง
#เตือนเลยน่ะค่ะอยากจับน้องอุ้มน้องหอมน้องล้างมือล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาดก่อนน่ะค่ะ โรคนี้รักษาหายค่ะถ้าไม่ปล่อยเยอะเกินไป ไม่เกี่ยวกับการกินนะคะเกี่ยวกับการสัมผัสล้วนๆเลยค่ะ 💥ใครจะว่าเราอนามัยก็แล้วแต่เราห่วงลูกห่วงหลานควรระวังมากกว่านี้
🌓 #เคยเห็นแต่เค้าแชร์กันโรค4sไม่คิดว่าจะมาเป็นกับหลานตัวเองระวังอย่าให้ใครจับน้องง่ายๆนะคะ

โรค 4s เกิดจากอะไร

โรค 4S หรือ โรค SSSS (Staphylococcal scalded skin syndrome) พบบ่อยในทารกแรกเกิด หรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เป็นกลุ่มอาการผิวหนังลอกทั้งตัว เกิดจากท็อกซินของเชื้อแบคทีเรีย S.aureus phage group II phage type 71 หรือ 55 เมื่อมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง เชื้อจะสร้างสารพิษที่มีชื่อว่า exfoliation ทำให้เกิดตุ่มน้ำในระหว่างชั้นของหนังกำพร้า เกิดการอักเสบและแยกชั้นของผิวหนังบริเวณหนังกำพร้า เมื่อขนาดขยายใหญ่ขึ้นทำให้หนังกำพร้าชั้นบนหลุดลอกออกจากผิวหน้งชั้นล่างตลอดทั้งตัว และจากการวิจัยพบว่าเชื้อ S. aureus ที่ติดจากการสัมผัสโดยทางตรงและทางอ้อม เป็นสาเหตุอันดับ 3 ของการติดเชื้อในกระเเสเลือด พบอัตราการเสียชีวิตจากเชื้อนี้ได้ร้อยละ 26 จากการรักษาช้า เชื้อดื้อยา และจากการติดเชื้อที่รุนแรง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อาการของ โรค 4s

พบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยเฉพาะเด็กแรกเกิด  อาการแสดงจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายหลังการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเด็กจะมีอาการไข้ ร้องกวน งอแง เกิดผื่นผิวหนังแดงทั้งตัว โดยเฉพาะที่ตา รอบปาก เยื่อบุจมูก และลำคอ ร้องกวนและเวาลาจับตัวจะร้องเนื่องจากรู้สึกเจ็บ  ภายใน 1-2 วันต่อมาผื่นแดงนี้จะพองขึ้นเห็นเป็นรอยย่นหรือตุ่มน้ำ แล้วลอกออกเป็นแผ่นใหญ่ ๆ เห็นผิวข้างใต้แดงขึ้นคล้ายผิวหนังของผู้ที่ถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก เห็นได้ชัดบริเวณซอกพับต่างๆ โดยเฉพาะขาหนีบ รักแร้และคอ หลังจากนั้นผื่นค่อยๆ แห้ง ตกสะเก็ด อาจเห็นเป็นรอยย่นแยกเป็นแฉกออกจากรอบปากและตา สะเก็ดหลุดแล้วผื่นจะหายเป็นปกติ

วิธีรักษาและป้องกัน โรค 4S

การรักษาในรายที่มีอาการรุนแรงควรรับตัวไว้รักษาไว้ในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะเข้าทางหลอดเลือด เมื่ออาการดีขึ้นสามารถเปลี่ยนเป็นยากินได้ รวมระยะเวลาการให้ยาปฏิชีวนะ 10-14 วัน นอกจากนี้ควรให้การรักษาประคับประคองดูแลผิวที่ลอกให้ดี ดูแลภาวะขาดสารน้ำและแก้ไขภาวะอิเล็กโทรไลต์ที่อาจผิดปกติ เฝ้าระวังการติดเชื้อแทรกซ้อนและให้ยาระงับอาการเจ็บปวด เด็กจะค่อย ๆ ดีขึ้น ผื่นจะหายเป็นผิวปกติ โดยไม่มีแผลเป็นหลงเหลืออยู่ภายในเวลา 10-14 วัน

ดังนั้นเมื่อรู้แล้วว่า โรค 4s เกิดจากอะไร สิ่งสำคัญสำหรับการควบคุมการแพร่กระจายของ S. aureus คือการป้องกัน เนื่องจากติดเชื้อจากการสัมผัสโดยทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นการที่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงรักษาความสะอาด ล้างมือบ่อยๆ จะช่วยลดการแพร่เชื้อได้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่วัคซีนป้องกันการติดเชื้อสแตฟฟิลโลคอคคัส

อย่างไรก็ตามหากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกจะเป็นโรค 4s ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที ไม่ควรหาซื้อยามาทาให้ลูกเอง เนื่องจากโรคนี้หากมีการรักษาที่ไม่ถูกต้องหรือได้รับรักษาไม่ทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : เฟซบุ๊ก Rattanakron Phrmbandit , ศิริพร พรมบันดิษฐ์

www.thaihealth.or.th

www.si.mahidol.ac.th

อ่านบทความอื่นๆ น่าสนใจเพิ่มเติม ⇓

สังเกตให้ดี! ลูกขึ้นผื่นเล็กๆ มีตุ่มใสๆ ไม่ใช่ผดร้อน แต่อาจเป็น โรคตุ่มน้ำพอง

6 โรคที่มากับหน้าฝน ในเด็กที่ต้องระวัง รู้เท่าทันป้องกันลูกป่วย

หมอเตือน อย่าใช้ยาลดไข้สูง รักษาโรคไข้เลือดออก

แม่โพสต์เตือน! สาเหตุที่ทำให้ ทารกท้องเสีย เป็นโรคลําไส้อักเสบ

แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

พัฒนาการทารก 2 เดือน

พัฒนาการทารก 2 เดือน ตื่นบ่อย ร้องไห้เก่ง ใช่โคลิคหรือเปล่า ?

account_circle
event
พัฒนาการทารก 2 เดือน
พัฒนาการทารก 2 เดือน

พัฒนาการทารก 2 เดือน ลูกโตขึ้นมาก ไม่ได้นอนนิ่งๆเป็นตุ๊กตาน้อยอย่างเคย เริ่มขยับแข้ง ขยับขา สนุกกับการมองเห็นสิ่งรอบตัว ขณะที่คุณพ่อคุณแม่เริ่มปรับตัวและเข้าใจความต้องการของลูกน้อยได้มากขึ้น  แต่นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังมีเรื่องตื่นเต้นให้ใจได้มากมาย บางครั้งลูกตื่นบ่อย ร้องไห้นาน ร้องงอแงกลางดึกบ่อยๆ แบบนี้ ลูกเป็นโคลิค หรือเปล่า

พัฒนาการทารก 2 เดือน เปลี่ยนไปมาก ร้องไห้เก่ง ร้องงอแงเป็นชั่วโมง ใช่โคลิคหรือเปล่า

เด็กวัย 2 เดือนจะเริ่มรู้จักการเล่น และนอนหลับน้อยลงในช่วงกลางวันเพื่อตื่นมา “เข้าสังคม” ช่วงกลางคืนทารกจะเริ่มนอนดีขึ้น แต่ถ้าลูกบ้านไหนยังตื่นบ่อยเหมือนเดิม อย่าเพิ่งกังวล เพราะลูกจะปรับตัวให้นอนได้นานขึ้นเอง ส่วนจะช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปตามพื้นฐานของเด็กแต่ละคน

พัฒนาการทางร่างกาย พัฒนาการทารก 2 เดือน

ลูกในวัยนี้มีความเปลี่ยนแปลงที่คุณแม่สังเกตได้หลายอย่าง นอกจากน้ำหนักและส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นมากแล้ว พัฒนการทางร่างกายหลายด้านชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการแสดงความสนใจต่อสิ่งรอบตัว ทั้งมองตามเสียงต่างๆ แม้ว่าจะยังหันซ้าย หันขวาไม่ตรงทิศ แต่ก็สามารถมองตาม คุณแม่ที่กำลังเดินไปเดินมา หรือพัดลมที่หันช้าๆ ได้ถึง 180 องศาแล้ว ชอบมากรูปทรงและสีสันที่ซับซ้อนได้มากขึ้น ไม่เฉพาะสีขาว-ดำ แต่จะยังเห็นสีได้ไม่เหมือนผู้ใหญ่

เจ้าตัวน้อยแข็งแรงขึ้น หลายคนพยายามยกศีรษะขึ้นมากที่นอน หรือถ้าได้นอนคว่ำก็จะพยายามเอาแขนยันพื้นไว้ ชูคอสูง คอเริ่มแข็งตั้งตรงได้ ขยับแขนขยับขาได้คล่องแคล่วขึ้นมาก

พัฒนาการทางอารมณ์ ร้องเยอะแต่ก็ยิ่งเก่งด้วย

เด็กวัยนี้เริ่มแสดงอารมณ์ผ่านสีหน้าให้คุณพ่อคุณแม่รับรู้ได้ว่ารู้สึกอย่างไร สีหน้าตอนโกรธ ไม่พอใจ เสียใจ  ไม่ใช่แค่การร้องไห้เหมือนตอนหลังคลอด ลูกเริ่มยิ้ม ส่งเสียงอื้ออ้าในคอเวลาได้ยินเสียงคุณพ่อคุณแม่ หันมองเวลามีใครพูดด้วย บางคนอาจยกมือ เตะเท้าเวลาถูกใจ สังเกตได้ว่าลูกจะจ้องดูหน้าแม่เป็นเวลานาน เพราะเขากำลังศึกษาและจดใบหน้าว่าคนนี้ไหงแม่ของหนู

หลายบ้านอาจเจอปัญหาว่า ลูกกินนมแล้วไม่นอนหลับเหมือนเดิม นอนน้อยในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง บางคนนอนยาวในตอนกลางวัน แต่กลางคืนไม่ยอมนอน นั่นเพราะเขาอยากเรียนรู้สิ่งรอบตัวมากขึ้นแต่ยังไม่สามารถปรับเวลานอนเหมือนผู้ใหญ่ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกสักพัก ขณะที่หลายบ้านอาจเจอปัญหาว่า ลูกร้องไห้หนักขึ้น ร้องอแงไม่ยอมหยุด โดยเฉพาะช่วงเย็นหรือค่ำ คุณแม่อาจกังวลว่า อาการแบบนี้ ลูกเป็นโคลิคหรือเปล่า

ร้องโคลิคคืออะไร

โคลิค หรือ โคลิก (colic) คืออาการร้องของเด็กทารก ที่มักจะเกิดขึ้นในทารกอายุ 3 สัปดาห์จนถึง 3 เดือน ลักษณะการร้องของลูกจะร้องมาก ร้องนาน ร้องหน้าแดงกำหมัดแน่น ร้องจนตัวงอ เป็นต้น และมักชอบร้องช่วงเวลาเย็นๆ หรือไม่ก็ช่วงกลางคืน  เป็นการร้องที่ตรงเวลากันทุกวัน โดยจะร้องนานมากกว่า 3 ชั่วโมงต่อวัน ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุถึงสาเหตุที่ชัดเจนได้ และอาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น

พื้นฐานอารมณ์ของลูกเป็น “เด็กเลี้ยงยาก”

กลืนอากาศมากขณะดูดนม หรือกินนมแล้วไม่ได้เรอ ทำให้แน่นท้อง

กินมากหรือน้อยไป กินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป

มีภาวะกรดไหลย้อน ลำไส้เคลื่อนตัวผิดปกติ

แพ้อาหาร

พ่อแม่มีปัญหาด้านอารมณ์ คุณแม่เครียดขณะตั้งครรภ์

จากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งข้างต้นจึงทำให้ลูกร้องไห้ยาวนาน บางคนอาจร้องต่อเนื่องเป็นชั่วโมง อุ้มเดินแค่ไหนก็ไม่หาย หรือถ้าหยุดร้องแล้ววางลงนอนลูกเริ่มร้องใหม่ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ลำบากอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อผ่านพ้น 6-8 สัปดาห์แล้วอาการร้องโคลิคจะค่อยๆดีขึ้นและหายไปเอง ระหว่างนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องทำใจยอมรับ อดทน และพยายามไม่เครียด ที่สำคัญควรสลับกันดูแลลูก อย่าปล่อยให้แม่ดูแลเพียงคนเดียว เพื่อให้อีกฝ่ายได้ไปพัก ผ่อนคลายอารมณ์ รอเวลาที่ลูกน้อยน่ารักคนเดิมกลับมา

 

 

เรื่องที่พ่อแม่สงสัย พัฒนาการทารก 2 เดือน

ฟันขึ้น : แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนักในพัฒนาการทารก 2 เดือนแต่ก็เป็นไปได้ที่ทารกจะมีฟันขึ้นในเดือนนี้ โดยปกติฟันจะขึ้นเมื่อลูกอายุ 4-6 แต่ถ้าลูก 2 เดือนมีอาหารน้ำลายยืด ร้องไห้งอแง นอนไม่หลับ และไม่ยอมกินนม อาจเป็นเพราะฟันกำลังจะขึ้น หรือถ้าไม่แน่ใจควรให้คุณหมอตรวจดูอาการ

การขับถ่าย : ทารกที่กินนมผสมมักอึวันละครั้งหรือสองครั้ง ส่วนทารกที่กินนมแม่จะอึบ่อยกว่านั้น หรืออาจจะไม่อึเลยถึง 7 วัน ไม่ถือว่าเป็นปัญหา คุณพ่อคุณแม่อย่ายึดติดความถี่ ให้ดูที่คุณภาพเป็นหลัก หากลูกวัย 2 เดือนท้องผูก อึที่ออกมาจะเป็นก้อนกลมแข็ง แต่ถ้าลูกท้องเสีย อึจะเหลวเป็นน้ำกว่าปกติ

การกิน : หากกินนมขวด เดือนนี้ลูกยังคงกินนมถี่ทุก 3-4 ชั่วโมง จำนวน 4-5 ออนซ์ต่อครั้ง และบางทีลูกก็อาจหิวเป็นพิเศษ หรือกินน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนเด็กนมแม่ก็อาจกินทุก 2 หรือ 3 ชั่วโมง หากลูกกำลังหลับสนิทและได้เวลากินนมแล้ว ไม่จำเป็นต้องปลุกขึ้นมากิน และทารกยังไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ เพราะน้ำในนมมีปริมาณน้ำที่มากเพียงพออยู่แล้ว

การนอน : ลูกนอนหลับประมาณ 15 – 16 ชั่วโมงต่อวัน โดยกลางคืนทารกจะนอน 8-9 ชั่วโมง (อาจไม่ติดต่อกัน ซึ่งถือว่าปกติ) และนอนกลางวันอีกราว 3 รอบ หรือรวมประมาณ 7-8 ชั่วโมง

ลูก 2 เดือนสามารถฝึกให้นอนยาวได้หรือยัง?

คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะอยากฝึกให้ลูกนอนยาวเร็วๆ แต่โดยทั่วไปแล้วควรรอให้ลูกอายุ 4 เดือนก่อน ซึ่งตอนนั้นลูกจะตื่นมากินนมกลางคืนน้อยลงตามธรรมชาติ และมีรูปแบบการนอนคงที่มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่สามารถเริ่มฝึกการนอนให้ทารกด้วยการพาลูกลงนอนเปลทุกครั้งที่ลูกทำท่าง่วง แต่ยังไม่หลับ สิ่งสำคัญคือการฝึกให้ลูกนอนหลับเองให้ได้ ซึ่งเป็นทักษะที่จะทำให้ลูกนอนเองในตอนกลางคืนโดยไม่ต้องปลุกพ่อแม่

เช็คลิสต์ที่ต้องทำ

  • พาลูกไปพบแพทย์และฉีดวัคซีนตามนัด
  • ให้ลูกมีเวลา Tummy Time หรือการนอนคว่ำเล่น เพื่อให้ลูกได้ฝึกกล้ามเนื้อคอและแขน
  • เล่นเกมกับลูก : คุณพ่อคุณแม่อาจหาวัตถุที่ทำให้เกิดเสียงต่างๆ เช่น กระดาษ, ไม้เคาะ, ของเล่นเขย่า ฯลฯ นำมาทำให้เกิดเสียงต่างๆ ให้ทารกฟัง จากนั้นให้ลูกจับสิ่งของนั้นแล้วช่วยเคาะ ขยำ หรือทำให้เกิดเสียง ทารกจะตื่นเต้นกับเสียงที่แปลก แตกต่างกันออกไป ทั้งยังช่วยฝึกทักษะการฟังและเสริมสร้างพัฒนาการให้ลูกน้อยด้วย

 


แหล่งข้อมูล    www.thebump.com

 

พัฒนาการเด็ก 2 เดือน ลูกโตแค่ไหน ต้องส่งเสริมพัฒนาการยังไง?

 

ลูกร้องโคลิค สาเหตุ อาการ และวิธีแก้ไข

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกพูดช้า

ลูกพูดช้า เพราะอะไร แค่ไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ! พ่อแม่ต้องแก้ยังไง?

event
ลูกพูดช้า
ลูกพูดช้า

ลูกพูดช้า สาเหตุเพราะอะไร … 1 ขวบ แล้ว ลูกไม่ยอมพูด พ่อแม่ควรกังวลหรือไม่ เด็กพูดช้า แค่ไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ ควรรีบไปหาหมอ ตามมาดูคำตอบกันค่ะ

ลูกพูดช้า เพราะอะไร แค่ไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ!

เมื่อถึงวัยแล้ว ลูกพูดช้า ลูกไม่ยอมพูด !! เด็กพูดช้า ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาพัฒนาการที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่หลายบ้านมักเจอ ซึ่งเด็กมักจะมีพัฒนาการทางด้านภาษา หรือการพูดตั้งแต่แรกเกิด คือ จะส่งเสียงร้องไห้ตั้งแต่เกิด และประมาณ 2-3 เดือนต่อมาก็จะเริ่มส่งเสียงอ้อแอ้บ้าง เหมือนเป็นการพูดคุยกับพ่อแม่ พัฒนามาเรื่อยๆ จนเป็นเสียงหัวเราะ ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ เล่นน้ำลาย เป่าปาก ส่งเสียงจากลำคอ ทำตามคำพูดหรือคำถาม และพัฒนามาเป็นคำพูดในช่วงประมาณ 1 ขวบ และจะเริ่มพูดคำมีความหมาย 2 คำติดกัน เมื่ออายุประมาณ 2 ขวบ จนกระทั่งเป็นประโยคยาวๆ ประมาณ 3-4 ขวบ ซึ่งส่วนใหญ่เด็กจะเริ่มพูดออกเสียงเป็นคำได้ในช่วงอายุ 12 เดือนเป็นต้นไป

ลูกพูดช้า
ทักษะภาษาของเด็กแต่ละวัย

แต่ก็อาจมีเด็กบางคนที่เมื่อถึงวัยนี้แล้ว ยังไม่ออกเสียงพูด เป็นคำให้ได้ยิน จึงทำให้คุณพ่อคุณที่ประสบเหตุนี้อยู่เริ่มกังวลใจ เช่นเดียวกับ คุณแม่สายสตรอง “ต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์” ที่ดูแล “น้องปกป้อง” มาอย่างอบอุ่น แต่มีเรื่องให้ต้องเข้าพบแพทย์ เพราะน้องพูดช้าเกินไป โดยได้เผยคลิปพร้อมแคปชั่นว่า…

“ช่วงคุณแม่มือใหม่….มาปรึกษาคุณหมอเพราะอยากรู้เรื่องพัฒนาการตามวัยของลูก และสิ่งที่แม่ควรทำ มันช่วยได้เยอะจริงๆค่ะ ปกป้องวัยขวบครึ่งเป็นช่วงเวลาที่เค้าต้องพูด แต่มันต้องมาจากการสอนของคนเลี้ยง คุณหมอก็แนะเทคนิคการสอนให้มันก็เหมือนกะการที่แม่มาเรียนน่ะค่ะ การจะสอนลูกได้คือเราต้องรู้ก่อน เพราะบางอย่างเราอาจจะมาผิดทาง เด๋ววันหลังหอมจะไลฟ์นะคะละบอกว่าหมอสอนอะไรบ้าง…..เป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ค่ะแต่จะบอกว่าแค่มาคุยกะหมอ เราก็จะเข้าใจได้ง่ายกว่าค่ะ”

View this post on Instagram

ช่วงคุณแม่มือใหม่….มาปรึกษาคุณหมอเพราะอยากรู้เรื่องพัฒนาการตามวัยของลูก และสิ่งที่แม่ควรทำ มันช่วยได้เยอะจริงๆค่ะ ปกป้องวัยขวบครึ่งเป็นช่วงเวลาที่เค้าต้องพูด แต่มันต้องมาจากการสอนของคนเลี้ยง คุณหมอก็แนะเทคนิคการสอนให้มันก็เหมือนกะการที่แม่มาเรียนน่ะค่ะ การจะสอนลูกได้คือเราต้องรู้ก่อน เพราะบางอย่างเราอาจจะมาผิดทาง เด๋ววันหลังหอมจะไลฟ์นะคะละบอกว่าหมอสอนอะไรบ้าง…..เป็นกำลังใจให้คุณแม่มือใหม่ค่ะแต่จะบอกว่าแค่มาคุยกะหมอ เราก็จะเข้าใจได้ง่ายกว่าค่ะ

A post shared by Sakuntala Teinpairoj (@djtonhorm) on

ลูกพูดช้า ทำไงดี!

ทั้งนี้เด็กปกติบางคนพูดคำแรกตั้งแต่อายุ 8 เดือน แต่บางคนยังไม่พูดจน 2-2 ขวบ 6 เดือน สำหรับเรื่องนี้ พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด มีวิธีประเมินเด็กที่มีปัญหาพูดช้าเพื่อให้การวินิจฉัยและให้การดูแลที่เหมาะสมมาแนะนำ ดังนี้

  • ประเมินเรื่องการได้ยิน หากสงสัยว่าลูกมีปัญหา เช่น เรียกไม่หัน เสียงดังๆจึงตอบสนอง อาจเป็นความผิดปกติแต่กำเนิด หรือมีปัญหาหูชั้น อักเสบบ่อยๆ แพทย์จะใช้อุปกรณ์เพื่อตรวจการได้ยินและรักษาได้ด้วยเครื่อง ช่วยฟัง
  • ประเมินกล้ามเนื้อลิ้น ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการพูด แก้ไขโดย ฝึกกล้ามเนื้อ ปรึกษานักฝึกพูด
  • ประเมินพัฒนาการด้านอื่นๆ เช่น การเคลื่อนไหว ความเข้าใจด้าน ฟังรู้เรื่องและทำตามคำสั่งง่ายๆได้หรือไม่ การสบตาและการมีปฏิกิริยาตอบสนอง กับบุคคลเป็นอย่างไร เพื่อดูว่ามีปัญหาสมองพิการหรือพัฒนาการช้ารอบด้าน หรือช้าเฉพาะด้านภาษา หรือเป็นโรคออทิสติกหรือไม่ กุมารแพทย์จะช่วย ประเมินในเบื้องต้น และหากสงสัยว่ามีความผิดปกติจริง จะส่งต่อให้แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กหรือจิตแพทย์เด็ก เพื่อการวินิจฉัยและให้ คำแนะนำในการดูแลต่อไป
  • ประเมินเรื่องการเลี้ยงดู การส่งเสริมกระตุ้นพัฒนาการ ใครเป็นผู้ดูแลใกล้ อ่านหนังสือให้ฟัง พูดคุยกับลูกบ่อยหรือไม่ ดูทีวีมากไปหรือไม่ แก้ไขโดย ส่งเสริมพัฒนาการลูกเพิ่มขึ้น หรืออาจเป็นบ้านที่พูดหลายภาษาหรือไม่ ซึ่ง อาจทำให้เริ่มพูดช้ากว่าบ้านที่พูดภาษาเดียว แต่ภายหลังจะพูดได้เอง

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อย่างไรก็ตามปัญหา ลูกพูดช้า ส่วนใหญ่เกิดจากการเลี้ยงดูที่ดีจนเกินไป ทำให้พัฒนาการของลูกถอยหลัง เพราะการที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ปล่อยให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง ไม่ปล่อยให้ลูกรู้จักรอ ไม่ปล่อยให้เขาบอกเรา เช่น กินข้าว ลูกยังไม่ทันหิวก็มีอาหารมาป้อนถึงปาก

การทำให้ลูกทุกอย่าง อุ้มตลอด โดยไม่กระตุ้นให้ช่วยเหลือตัวเองหรือปล่อยให้เล่น ได้หยิบ ได้จับบ้าง ถือเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อมที่ ร้ายแรงมาก ฉะนั้นควรเดินสายกลาง ปล่อยให้ลูกทำอะไรเองบ้างโดยไม่ประคองไปเสียทั้งหมด

ส่วนปัญหา ลูกพูดช้า ถ้าไม่นับว่ามีความผิดปกติทางด้านร่างกาย สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ไม่ได้เปิดโอกาสให้ลูกพูด หลายคนอาจจะแย้งว่าพูด แต่ถ้าเด็กอยู่ในบ้านที่พ่อแม่พูดกันเอง ไม่ได้พูดคุยกับลูก ลูกก็ไม่เข้าใจ ฉะนั้นเวลาพ่อแม่พูดคุยกับลูกต้องมีตัวอย่างเชื่อมโยง เพราะลูกมีคำอยู่ในสมอง แต่ใช้ไม่เป็น

และอีกสาเหตุที่สำคัญไม่แพ้กันคือ พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกคลานด้วย เพราะกล้ามเนื้อ แขน ไหล่ถือเป็นกล้ามเนื้อเบื้องต้นที่ช่วยให้คอ ปาก รวมถึงการพูดทำงานอย่างเต็มที่ เมื่อลูกได้ออกกำลังกายและคุณพ่อคุณแม่สื่อสารกับลูกแล้วจะทำใหพัฒนาการทางด้านการพูดของเขาดีขึ้นค่ะ

สุดท้ายนี้ พัฒนาการของการพูด จำเป็นต้องรอเวลา และการสังเกต การกังวลล่วงหน้าอาจส่งผลถึงลูกได้ ต่อเมื่อถึงเกณฑ์ แล้วลูกยังไม่พูดก็อย่าได้ลังเลจนเวลาล่วงเลย ควรรีบพาไปปรึกษาคุณหมอ เพราะยิ่งรู้ได้เร็วว่าพูดช้าจากเหตุใด จะยิ่งเป็นผลดี ต่อลูกเท่านั้นนะคะ


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.phyathai.com

อ่านบทความอื่นๆ น่าสนใจเพิ่มเติม ⇓

รวมรายชื่อ หมอพัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลชื่อดัง ที่แม่ควรเซฟเก็บไว้

วิจัยชี้! แค่มองตาลูกก็กระตุ้น ทักษะด้านภาษา ได้แล้ว!

ส่งลูกเข้า เตรียมอนุบาล จำเป็นมั้ย? ควรให้ลูกเข้าเรียนตอนกี่ขวบดี?

ลูกพูดช้า ทำอย่างไรดี

ต้นเหตุลูกพูดช้า เพราะดูทีวี มือถือ และแท็บเล็ต ประสบการณ์จากคุณแม่

เทคนิคการเลี้ยงลูก

6 เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่! (ฉบับฮาร์วาร์ด)

Alternative Textaccount_circle
event
เทคนิคการเลี้ยงลูก
เทคนิคการเลี้ยงลูก

เผย เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี ฉบับฮาร์วาร์ด หากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่กำลังมองหา เทคนิคการเลี้ยงลูกหรือวิธีอบรบสั่งสอนดูแลลุกที่ดี ที่ถูกต้อง ตามมาดูเทคนิคเลี้ยงลูกฉบับฮาร์วาร์ดกันเลยค่า

วิจัยฮาร์วาร์ดเผย! 6 เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี
เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่!

เชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนต่างก็ต้องการอยากให้ลูกเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญที่มีมีอนาคตรุ่งเรือง มีความสุขและความสำเร็จในชีวิต ซึ่งปัจจัยที่เป็นเหตุทำให้เกิดผลดังกล่าวนี้มีมากมายหลาย แต่องค์ประกอบที่คือครอบครัวเพราะไม่ว่าจะเชื้อชาติใด วัฒนธรรม หรือศาสนาใด การเจริญเติบโตของเด็กทั้งทางร่างกายและจิตใจ ต่างก็มีรากฐานมาจากประสบการณ์ภายในครอบครัวของตนเองทั้งสิ้น ซึ่งวัยแรก ๆ ของชีวิต ก็คือวัยเด็ก ซึ่งมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งทางร่างกาย จิตใจและ อุปนิสัยถ้าพ่อแม่ต้องการเลี้ยงลูก สอนลูกให้เป้นเด็กดี ก็ต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็กๆ

เพราะการเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง เป็นพื้นฐานสำคัญของอนาคตลูก ทีมแม่ ABK จึงมี 6 เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี ฉบับผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มาแบ่งปันให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนได้อ่านกันค่ะ

Good to know : มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของโลกและเป็นหนึ่งมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา มีชื่อเสียงมากในเรื่องคุณภาพทางวิชาการ คุณภาพของอาจารย์ที่สอนและคุณภาพของนักศึกษา ซึ่งการที่จะเข้ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้นั้นเรียนเก่งอย่างเดียวไม่พอจริงๆ เพราะต้องทำอะไรที่ใหญ่มากๆ เช่น มีโปรเจกต์ทำประโยชน์ให้กับสังคม ออกหน้าสื่อ ลงหนังสือพิมพ์ ออกรายการ ต้องมีกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม ซึ่งถ้าจะเป็นคุณหมอก็ต้องเป็นหมอที่มีจิตสาธารณะ ช่วยเหลือสังคม 

1. หมั่นให้เวลากับลูก

เทคนิคการเลี้ยงลูก เรื่องการให้เวลากับลูก ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของทุกอย่าง คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจและใช้เวลากับลูกให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน หรืออยู่เคียงข้างเวลาลูกมีปัญหา และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือการรับฟังลูกว่าพวกเขาต้องการอะไร การให้เวลากับลูกไม่เพียงแต่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้เรียนรู้นิสัยใจคอของลูกเท่านั้น หากแต่ยังเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะทำให้ลูกรู้จักการเอาใจใส่คนรอบข้างอีกด้วย

เทคนิคการเลี้ยงลูก
เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้ได้ดี

อ่านเพิ่มเติม >> 9 กิจกรรมเล่นกับลูกวัยอนุบาล เพิ่มทักษะ เสริมพัฒนาการรอบด้าน

อ่านเพิ่มเติม >> 7 กิจกรรมเล่นกับลูก ได้จินตนาการ เสริมพัฒนาการลูกดีทุกด้าน

 

2. พูดเสมอว่าลูกเป็นคนสำคัญต่อคุณพ่อคุณแม่มากเพียงใด

จากการวิจัยของนักจิตวิทยา พบว่าเด็กจำนวนมากไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นคนสำคัญที่สุดสำหรับพ่อแม่ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรบอกลูกบ่อยครั้งเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัย เป็นที่รัก และรับรู้ว่าตัวเองมีค่าต่อคุณพ่อคุณแม่ค่ะ

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

3. อยู่เคียงข้างเมื่อลูกมีปัญหา พร้อมช่วยหาทางแก้ไข

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกถอดใจจากการฝึกซ้อมฟุตบอลกะทันหัน คุณพ่อคุณแม่ลองถามถึงเหตุผลที่ลูกตัดสินใจเช่นนั้น พร้อมกับให้เขาอธิบายถึงภาระหน้าที่ที่มีต่อเพื่อนร่วมทีมด้วย หากลูกยังตัดสินใจที่จะเลิกฝึกซ้อม คุณพ่อคุณแม่ควรหากิจกรรมใหม่ ๆ ให้ลูกลองทำเพื่อจุดประกายความสนใจของตัวเอง

4. ฝึกให้ลูกช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกวัน

มีงานวิจัยว่า ผู้ที่เคยแสดงความกตัญญู มีแนวโน้มที่จะมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มใจ คุณพ่อคุณแม่อาจจัดสรรกิจกรรมให้ลูกได้ช่วยเหลืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวัน ที่สำคัญคือ อย่าลืมแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่รู้สึกซึ้งใจกับความช่วยเหลือของลูก นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำว่าควรให้รางวัลลูกสำหรับความีน้ำใจและความพยายามของพวกเขาด้วยค่ะ

เทคนิคการเลี้ยงลูก
ฝึกให้ลูกช่วยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ

5. ช่วยลูกจัดการกับอารมณ์ด้านลบ

นักจิตวิทยาเชื่อว่าอารมณ์ด้านลบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความละอายใจ หรือความอิจฉา ล้วนทำให้คนเราใส่ใจผู้อื่นน้อยลง การช่วยให้ลูกเข้าใจอารมณ์ด้านลบเหล่านั้นจะช่วยให้ลูกจัดการกับความขัดแย้งภายในจิตใจได้ การให้ลูกทำความเข้าใจด้วยตัวเองเช่นนี้จะทำให้ลูกเติบโตมาเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และเป็นพื้นฐานที่สำคัญของจิตใจที่มั่นคงอีกด้วย

6. สอนลูกว่าโลกนี้กว้างใหญ่ ซับซ้อน และน่าตื่นตาตื่นใจมากกว่าที่ลูกคิด

นักจิตวิทยาพบว่าเด็ก ๆ เกือบทุกคนสนใจเพียงแค่โลกเล็ก ๆ ที่มีเพียงครอบครัวและเพื่อน ๆ เท่านั้น คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องให้ลูกรู้จักเรียนรู้โลกกว้างนอกเหนือไปจากกรอบจำกัดเหล่านี้ ซึ่งอาจแตกต่างกับสังคมและวัฒนธรรมที่ลูกเคยรู้จัก คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกได้โดยการให้ลูกเรียนรู้การเป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักความหลากหลายของโลก โดยอาจให้ลูกได้เรียนรู้จากภาพยนตร์ รูปภาพ หรือข่าวต่าง ๆ ก็ได้ค่ะ

เทคนิคการเลี้ยงลูก
สอนลูกให้รู้จักโลกกว้าง

ผู้เชี่ยวชาญบอกเพิ่มเติมว่า การเลี้ยงลูกให้เติบโตมาเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย เอาใจใส่ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนทำได้ และไม่มีความภาคภูมิใจใดในโลกจะเปรียบเทียบได้เลยเมื่อพ่อแม่ทำสำเร็จ

 

ผู้เชี่ยวชาญบอกเพิ่มเติมว่า เทคนิคการเลี้ยงลูก ให้เติบโตมาเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย เอาใจใส่ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่เป็นเรื่องที่พ่อแม่ทุกคนทำได้ และไม่มีความภาคภูมิใจใดในโลกจะเปรียบเทียบได้เลยเมื่อพ่อแม่ทำสำเร็จ!

 


ขอบคุณข้อมูลจาก : brightside.me

บทความน่าสนใจเพิ่มเติม ⇓

เทคนิคเลี้ยงลูก ให้สุขภาพจิตแข็งแรง

เทคนิคเลี้ยงลูกให้น่ารักและเป็นที่รักของผู้อื่น

สอนลูก รู้จัก “การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน” อ้างจากเรื่องจริง!

ศรัณยู วงศ์กระจ่าง

6 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกสาว ให้สตรอง ฉบับพ่อ “ตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง “

account_circle
event
ศรัณยู วงศ์กระจ่าง
ศรัณยู วงศ์กระจ่าง

ศรัณยู วงศ์กระจ่าง หรือที่รู้จักกันในชื่อ ตั้ว ศรัณยู นักแสดง ผู้กำกับ และพิธีกรชื่อดัง ผู้เคยฝากผลงานในวงการบันเทิงมามากกว่า 30 ปี วันนี้ เรามาทำความรู้จักกับคุณตั้วในบทบาทคุณพ่อลูกสอง ของลูกสาวฝาแฝดอย่าง ลูกหนัง ศีตลา วงษ์กระจ่าง และลูกหนุน ศุภรา วงษ์กระจ่าง   มาดูกันค่ะว่าคุณตั้วมีเคล็ดลับอะไรบ้างในการเลี้ยงลูกสาวฝาแฝดทั้งสองคน ให้โตมาสวยและสตรองขนาดนี้

ศรัณยู วงศ์กระจ่าง
instagram : @Sarunyoo Wongkrachang

เปิด 6 เคล็ดลับของพ่อตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง เลี้ยงลูกสาวอย่างไรให้สุดสตรอง!!

 

ศรัณยู วงศ์กระจ่าง
instagram @ple_hattaya
  1. สิ่งสำคัญที่สุดคือ ลูกต้องมีความสุข

คุณตั้วกล่าวว่า สิ่งที่เขาให้ความสำคัญเสมอมาตลอดชีวิตที่มีลูก คือ การให้ “ลูกได้มีความสุขกับชีวิต” ไม่ว่าลูกจะเลือกอะไร ขอแค่ลูกมีความสุข เขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ คุณตั้วให้ลูก ๆ ทั้งสองคนได้ลองทำกิจกรรมมากมายตอนเป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นบัลเล่ต์ กีฬา และดนตรีประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ลูกมีประสบการณ์ที่ดี และสามารถตัดสินใจได้ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรตอนโตขึ้น

 

instagram @ple_hattaya
  1. สนับสนุนสิ่งที่ลูกเลือกอย่างเต็มที่

อย่างที่เล่าไปข้างต้นว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณตั้วคำนึงถึงเสมอในการเลี้ยงลูก คือการให้ลูกมีความสุข ดังนั้น “ไม่ว่าลูกจะเลือกทำกิจกรรมอะไร หรือเลือกเรียนอะไร คุณพ่อคนนี้ก็พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่” หรือหากลูกเลือกแล้วรู้สึกเครียด กดดัน ก็ไม่เป็นไร เพียงแค่ลองเปิดใจคุยกัน แล้วหาทางออกร่วมกัน

 

instagram @ple_hattaya
  1. เหนื่อยคูณสอง แต่มีความสุขที่ลูกได้มีเพื่อน

ถึงแม้ว่าการมีลูกแฝด จะทำให้คุณพ่อมือใหม่ต้องเหนื่อยมากเป็นสองเท่า เพราะจะทำไร จะซื้ออะไร ก็ต้องคูณสอง บางทีคนหนึ่งหลับ อีกคนงอแงตื่นมา แต่คุณตั้ว ศรัณยู วงศ์กระจ่าง บอกว่าดีแล้วที่ลูกเกิดมาพร้อมกันจะได้มีเพื่อน เพราะถ้าไม่ใช่ลูกแฝด ก็ตั้งใจว่าจะมีคนที่สองที่อายุไล่เลี่ยกันอยู่ดี เพื่อให้ลูกได้มีเพื่อนเล่น

instagram @sitalawonk
  1. เลี้ยงลูกให้รักและห่วงใยกัน

คุณตั้วเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวฝาแฝดทั้งสองคนรักและเป็นห่วงกันมาก อาจมีทะเลาะกันบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ทุกครั้งที่ใครมีปัญหา อีกคนจะออกรับแทนเสมอ เวลาใครโดนเพื่อนแกล้ง อีกคนก็จะคอยปกป้อง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้คนเป็นพ่ออย่างเขามีความสุขมาก เพราะรู้สึกว่าตัวเองเลี้ยงลูกมาถูกทาง ลูกสาวทั้งสองคนจึงโตมาเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจโอบอ้อมอารีต่อผู้อื่นเสมอ

instagram @sitalawonk
  1. ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ

เป็นเรื่องปกติที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนจะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูก สำหรับคุณตั้วเองก็เช่นกัน คุณตั้วเล่าว่าสิ่งสุดท้ายที่คิดจะสอนลูก คือการขับรถ คุณตั้วมองว่าการขับรถเป็นกิจกรรมที่อันตราย เป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ หากพลั้งเผลอหรือไม่มีสมาธิ ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อย่างไรก็ตาม คุณตั้วบอกว่าตนเองพร้อมที่จะสอนลูกเสมอเมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกต้องการขับรถเป็นจริง ๆ แล้วมีสติมากพอที่จะฝึก ไม่ใช่อยากขับรถเป็นเพียงเพราะอยากทำตามเพื่อน

instagram : @Sarunyoo Wongkrachang
  1. เลี้ยงลูกให้สนิทกับพ่อแม่ คุยกันทุกเรื่อง แม้เรื่องความรักของลูก

ในฐานะคุณพ่อที่มีลูกสาวอยู่ในวัยรุ่น ย่อมต้องเป็นห่วงเรื่องการที่ลูกจะมีความรักเป็นธรรมดา สำหรับคุณตั้ว ไม่เคยห้ามเวลาลูกจะมีความรัก และด้วยความที่เป็นคุณพ่อที่สนิทกับลูกมาก ทำให้ลูกไม่เคยปิดบังเรื่องนี้ เพียงแต่อาจไม่เคยเล่าให้คุณพ่อฟังตรง ๆ แต่คุณพ่อก็รู้เสมอ นอกจากนี้ คุณตั้วยังเคยเจอคนที่มาจีบลูกสาวตัวเองทุกคน และมักจะแซวลูกสาวเรื่องนี้อยู่บ่อย ๆ อีกด้วย

instagram @sitalawonk

เรียกได้ว่าการเลี้ยงดูของบ้านวงศ์กระจ่างปูทางให้ลูกทั้งสองกลายเป็นสาวสตรองมากความสามารถโดยลูกหนุนจะชอบเล่นดนตรีและเต้น ส่วนลูกหนังจะชอบการแสดงเหมือนกับคุณพ่อ เป็นนางแบบให้กับนิตยสารของประเทศเกาหลี ในสังกัด YGKPlus อีกด้วย

 

ทีมแม่ ABK ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัววงศ์กระจ่าง ต่อการจากไปของคุณตั้วศรัณยู วงศ์กระจ่างนักแสดงคุณภาพ ผู้กำกับมือดี และคุณพ่อแสนน่ารักทั้งสอง มา ณ.โอกาสนี้ด้วยค่ะ


แหล่งข้อมูล  th.hellomagazine.com / www.noozup.me    / www.sanook.com

เลี้ยงลูกสาว ให้เป็น “เด็กผู้หญิงเก่ง”

ความสำคัญและข้อดีของการเลี้ยงลูกโดย “คุณพ่อ”

 

6 ช่วงเวลาที่ต้องปล่อย ให้พ่อเลี้ยงลูก เองบ้าง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

 

keyboard_arrow_up