แม่ลูกอ่อนนอนน้อย

แม่ลูกอ่อนนอนน้อย ระวัง 5 โรคอันตรายเพราะนอนน้อย

แม่ลูกอ่อนนอนน้อย ระวัง 5 โรคอันตรายเพราะนอนน้อย

สะลึมสะลือคืออาการประจำของบรรดา แม่ลูกอ่อนนอนน้อย แน่นอนเลยใช่มั้ยคะ ทั้งตื่นมาปั๊มนม ทั้งตื่นมาให้นม ตื่นมาอุ้มตอนลูกร้อง ตื่นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก มีสิ่งต่าง ๆ มากมายให้แม่ลูกอ่อนต้องตื่นมาทำตลอดทั้งคืน แต่คุณแม่ลูกอ่อนทุกคนต้องระวังให้มากนะคะ เพราะว่าการนอนน้อยนั้นส่งผลเสียต่อร่างกายคุณแม่มากจริง ๆ ค่ะ และนี่คือ 5 โรคอันตรายที่จะเกิดเพราะแม่ ๆ นอนน้อยค่ะ

1.แม่ลูกอ่อนนอนน้อย ระวังโรคอ้วน

 โรคอ้วน เป็นภาวะที่มีไขมันสะสมในร่างกายจนส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทำให้มีอายุสั้นลง รวมถึงมีปัญหาสุขภาพเพิ่มขึ้น เช่น หายใจติดขัด นอนกรน เหนื่อยง่าย

การจะระบุว่าใครที่เข้าข่ายโรคอ้วน พิจารณาได้จากดัชนีมวลกาย (BMI) โดยคำนวณจากน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยส่วนสูง (เมตร) ยกกำลังสอง คนที่มีดัชนีมวลกายเกิน 25 กิโลกรัมต่อตารางเมตร ถือว่าเป็นโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูง, เบาหวาน, โรคข้อเสื่อม, เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ, มีบุตรยาก เป็นต้น

การนอนน้อย ทำให้แม่ลูกอ่อนอ้วน เพราะการนอนน้อยทำให้ระบบในร่างกายแปรปรวน ส่งผลให้คุณแม่อยากกินอาหารที่ไขมัน หรือน้ำตาลมากขึ้น หรือกินแล้วอิ่มช้า และการที่คุณแม่นอนน้อยก็จะยิ่งทำให้ระบบการเผาผลาญในร่างกายทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อร่างกายเผาผลาญไขมันไม่เต็มที่ ก็จะส่งผลทำให้ไขมันสะสมมากขึ้น และอ้วนนั่นเอง

2. โรคซึมเศร้า

อาการนอนไม่หลับ นอนหลับไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ นอกเหนือไปจากอาการซึมเศร้าหลังคลอด เนื่องจากสาเหตุดังต่อไปนี้

  • การนอนไม่พอ นอนน้อย ส่งผลให้คุณภาพชีวิตแย่ลง จนเกิดภาวะซึมเศร้า
  • การนอนน้อย ส่งผลกระทบต่อระดับสารเคมีในสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า
  • การนอนไม่ค่อยหลับในเวลากลางคืน จะทำให้เกิดความคิดในแง่ลบมากขึ้น และกระตุ้นให้เกิดภาวะซึมเศร้าตามมา

คุณแม่ที่มีอาการนอนไม่หลับ นอนน้อย ยังเสี่ยงเกิดภาวะซึมเศร้าได้มากกว่าคนที่นอนหลับสนิทถึง 10 เท่า ส่วนผู้ป่วยโรคซึมเศร้าก็เสี่ยงมีอาการของโรครุนแรงยิ่งขึ้น หากนอนหลับไม่เพียงพอค่ะ

แม่ลูกอ่อนนอนน้อย
แม่ลูกอ่อนนอนน้อย ระวัง 5 โรคอันตรายเพราะนอนน้อย

3. โรคนอนไม่หลับ

เมื่อคุณแม่ลูกอ่อนต้องตื่นบ่อย ๆ ก็อาจส่งผลให้เป็นโรคนอนไม่หลับได้ ซึ่งโรคนอนไม่หลับนี้ เป็นปัญหาที่พบได้ทุกเพศวัย เกิดขึ้นได้บ่อยตามข้อมูลการศึกษาพบได้ถึง ร้อยละ30-35 ของผู้ใหญ่ ผลของการนอนไม่หลับทำให้ร่างกายคุณแม่เกิดความอ่อนเพลีย, ปวดศีรษะ, จิตใจเกิดความกังวล หรือมีผลต่อการคิดการตัดสินใจ และการทำงานในช่วงกลางวัน

อาการของแม่ที่มีภาวะนอนไม่หลับ

  • อ่อนเพลีย
  • ไม่สามารถมีสมาธิกับการทำงาน, ความจำเปลี่ยนแปลง
  • ความสามารถในการทำงานลดลง
  • อารมณ์หงุดหงิด กระสับกระส่าย
  • ง่วงนอนเวลากลางวัน
  • ขาดพลังในการใช้ชีวิต อ่อนเพลีย
  • การเกิดอุบัติเหตุ
  • กังวลเกี่ยวกับปัญหาการนอนที่เกิดขึ้น

และหากนอนน้อยจนกลายเป็นโรคนอนไม่หลับแล้ว คุณแม่ก็เสี่ยงจะมีอาการของผู้ป่วยโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง ด้วยค่ะ คือจะมีอาการ หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือสะดุ้งตื่นทั้งคืน หรือต้องใช้เวลามากกว่า 30 นาทีถึงจะนอนหลับได้ ผู้ป่วยที่มีภาวะนอนไม่หลับเรื้อรัง จะมีอาการมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป หากเป็นเช่นนี้คุณแม่ต้องพยายามหาเวลาพักผ่อนไปพร้อม ๆ กับช่วงที่ลูกหลับนะคะ

4. โรคเบาหวาน

นักวิจัยได้วิเคราะห์ว่า การอดนอนส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือด ไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ร่างกายจึงเร่งผลิตอินซูลิน เพื่อคงระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ จนอาจทำให้ฮอร์โมนอินซูลิน ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อีกต่อไป และผลจากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเกี่ยวกับการนอนหลับ และระดับกรดยูริกในเลือด กับระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (HbA1C) พบว่า ในคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ คนที่นอนดึกตื่นสาย รวมถึงคนนอนไม่เพียงพอ หรือนอนต่ำกว่า 6 ชั่วโมง จะมีระดับน้ำตาลสะสมในเลือดมากกว่าคนที่เข้านอนเร็ว เนื่องจากการเข้านอนผิดเวลาธรรมชาติ จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงตามมา

เพื่อหลีกเลี่ยง โรคเบาหวาน คุณแม่ควรเข้านอนในช่วง 2-3 ทุ่ม หรือไม่ควรนอนดึก โดยนอนให้ได้ 1 ใน 3 ของเวลาตามรอบนาฬิกาชีวิตค่ะ

5. โรคหัวใจ

โรคหัวใจ หรือ Heart Disease หมายถึง โรคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นในส่วนของหัวใจที่ต่างกัน ทำให้โรคหัวใจมีอาการต่างกันไปในแต่ละชนิด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจโป่ง หลอดเลือดหัวใจตีบ การนอนหลับสนิททำให้ความดันโลหิตลดต่ำลงขณะหลับ เมื่อเปรียบเทียบกับขณะตื่นตอนกลางวัน แต่หากเรานอนหลับไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้ความดันไม่ลด ยังส่งผลให้ความดันสูงขึ้น ซึ่งความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจค่ะ

การนอนน้อยของคุณแม่ลูกอ่อน เสี่ยงต่ออันตรายหลายโรคจริง ๆ นะคะ หากเป็นไปได้ทีมบรรณาธิการ ABK อยากให้คุณแม่ได้ใช้ช่วงเวลาที่ลูกหลับ ได้พักผ่อนไปพร้อมกับลูก เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงพร้อมดูแลลูกน้อยต่อไปนาน ๆ ค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก

โรงพยาบาลเจ้าพระยา, pobpad, โรงพยาบาลนนทเวช, โรงพยาบาลวิชัยยุทธ, โรงพยาบาลสุขุมวิท

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อายุเท่าไหร่ต้อง นอนกี่ชั่วโมง? ถึงจะเพียงพอ

14 วิธีช่วยให้การ นอนหลับ ดีขึ้น ต้อนรับวันนอนหลับโลก

วิธีรับมือ ลูกไม่ยอมนอนกลางวัน ลูกนอนไม่พอ แม่อย่ารอช้า!

    โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด

    โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด เป็นได้หรือ อาการหนักไหม

    โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด เป็นได้หรือ อาการหนักไหม

    ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นข้อมูลว่าผู้ที่เป็นโรคหัวใจมักจะเป็นวัยผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีอันตรายเสี่ยงต่อการเสียชีวิตค่อนข้างมาก แต่เด็กแรกเกิดเองก็มีความเสี่ยงเป็น โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด ด้วยนะคะ! จากข้อมูลพบว่าเด็กแรกเกิด 8 คน จาก 1,000 คน เป็นโรคหัวใจพิการ ทำไมเด็กแรกเกิดจึงเป็นโรคหัวใจได้ แล้วอาการจะหนักหรือไม่ แค่ไหน ทีมบรรณาธิการ ABK นำข้อมูลมาให้คุณพ่อคุณแม่ศึกษากันค่ะ

    โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด

    แพทย์หญิงศรัยอร ธงอินเนตร กุมารแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาล ศิครินทร์ ได้ให้ข้อมูลว่า โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Defects) คือ ความผิดปกติของการพัฒนาโครงสร้างหัวใจของทารก ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา โดยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดในเด็กมี 2 ชนิด คือ

    1. ชนิดที่มีอาการเขียว (Cyanotic Type) ภาวะที่เด็กมีออกซิเจนในเลือดต่ำ เนื่องจากมีโครงสร้างหัวใจผิดปกติ เลือดดำปนอยู่กับเลือดแดง ที่ไปเลี้ยงร่างกาย การเจริญเติบโตของเด็กกลุ่มนี้ จะน้อยกว่าปกติ โดยโรคหัวใจชนิดที่พบได้บ่อยในกลุ่มนี้ เช่น

    • Tetralogy of Fallot (TOF) เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ชนิดเขียวที่พบบ่อยที่สุด
    • Transposition of the Great Asteries (TGA) การสลับที่ของหลอดเลือดแดงใหญ่

    2. ชนิดไม่มีอาการเขียว (Acyanotic Type) เด็กกลุ่มนี้จะไม่มีอาการเขียว เนื่องจากร่างกายได้รับเลือดแดง ที่มีความอิ่มตัวของออกซิเจนในหลอดเลือดแดง มีปริมาณสูง อาจมีความผิดปกติที่เกิดจากผนังกั้นหัวใจมีรู ลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ หรือหลอดเลือดตีบ หรือเกิน ซึ่งพบเด็กที่ป่วยเป็นโรคหัวใจชนิดไม่มีอาการเขียว ประมาณร้อยละ 85 ของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โดยโรคหัวใจชนิดที่พบได้บ่อยในกลุ่มนี้ เช่น

    • Ventricular Septal Defect (VSD) ภาวะที่ผนังกั้นหัวใจห้องล่างมีรูรั่ว
    • Patent Ductus Arteriousus (PDA) การคงอยู่ของหลอดเลือดแดง เชื่อมระหว่างหลอดเลือดแดงใหญ่ของร่างกายและปอด
    • Atrial Septal Defect (ASD) ภาวะที่ผนังกั้นหัวใจห้องบนมีรูรั่ว
    โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด
    โรคหัวใจในเด็กแรกเกิด เป็นได้หรือ อาการหนักไหม

    อาการที่อาจสงสัยว่าเด็กเป็นโรคหัวใจ

    • เด็กดูดนมได้ช้า, ดูดนมแล้วหอบเหนื่อย
    • หายใจหอบ เหนื่อยง่ายเวลาเล่น หรือออกกำลังกาย
    • หัวใจเต้นเร็ว เด็กมีอาการหัวใจเต้นแรงและเร็วกว่าปกติ
    • เลี้ยงไม่โตหรือเติบโตช้า ในเด็กเล็กก็จะพบพัฒนาการช้าทางด้านที่ต้องใช้กำลัง หรือกล้ามเนื้อ เช่น คว่ำ, นั่ง, ยืน, เดิน ช้า แต่มักไม่มีผลต่อสติปัญญาชัดเจน
    • มีอาการเขียวเวลาดูดนม เหนื่อยง่าย ทำให้กินได้น้อยกว่าปกติ
    • นิ้วปุ้ม มักจะพบในรายที่มีอาการเขียวนานเกิน 1-2 ปีขึ้นไป โดยในรายที่เขียวมากนิ้วก็จะปุ้มมาก

    สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

    ยังไม่สามารถทราบได้ชัดเจน แต่มีปัจจัยและความเสี่ยงอื่นๆ ที่เป็นองค์ประกอบในการโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ดังนี้

    1. ความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งการสร้างหัวใจของทารก จะถูกกำกับด้วยสารทางพันธุกรรมที่เรียกว่า ยีน (Gene) ตัวอย่างเช่น เด็กหลายคนที่มีภาวะดาวน์ซินโดรม มักมีภาวะโรคหัวใจพิการด้วย
    2. การได้รับยาหรือสารเคมีบางอย่างในช่วงก่อนหรือระหว่างตั้งครรภ์ หรือสารบางอย่างที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเด็ก โดยก่อนรับยาควรแจ้งแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง เพราะตัวยาบางชนิด ไม่สามารถใช้ในระหว่างการตั้งครรภ์ และมีผลโดยตรงกับทารกในครรภ์
    3. ปัจจัยเสี่ยงขณะตั้งครรภ์ อาจเกิดได้จาก การติดเชื้อของคุณแม่ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก ของการตั้งครรภ์ การเจ็บป่วยขณะตั้งครรภ์ โรคประจำตัวของคุณแม่ เช่น เบาหวาน เป็นต้น
    4. การปฏิบัติตัวที่ไม่ถูกต้องของมารดาขณะตั้งครรภ์ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การใช้สารเสพติดขณะตั้งครรภ์ เป็นต้น เพราะสารดังกล่าว อาจส่งผลต่อหัวใจ และอวัยวะอื่น ๆ ของเด็กในครรภ์

    เทคโนโลยีตรวจหาโรคหัวใจในเด็ก

    1. การวัดปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือดจากผิวหนัง ด้วยเครื่อง Pulse Oxemeter ซึ่งเป็นการตรวจวัดที่มีความแม่นยำสูง ทารกไม่ต้องเจ็บตัวจากการถูกเจาะเลือด สามารถใช้ตรวจคัดกรองโรคหัวใจในทารกได้ตั้งแต่แรกเกิด
    2. การเอกซ์เรย์ทรวงอก (Chest X-ray)เพื่อดูขนาดหัวใจและ ดูลักษณะของเส้นเลือดในปอด
    3. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) เพื่อดูความผิดปกติของหัวใจ และดูว่ามีหัวใจห้องไหนโตหรือไม่
    4. การตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนเป็นภาพหัวใจ (Echocardiogram) เป็นการตรวจพิเศษดูภายในหัวใจ และหลอดเลือด โดยกุมารแพทย์ด้านโรคหัวใจเด็ก เป็นการใช้คลื่นเสียงเหมือนการทำ Ultrasound ซึ่งจะบอกรายละเอียดของความผิดปกติภายในหัวใจและเส้นเลือดใหญ่บริเวณใกล้หัวใจได้ เป็นวิธีการตรวจที่ทำได้รวดเร็ว และแม่นยำ โดยไม่มีข้อเสียหรือความเสี่ยงใดๆ แต่ถ้าการตรวจในขั้นต้นไม่สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ การตรวจด้วยการสวนหัวใจเป็นวิธีการที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับสุดท้าย และต้องทำรายที่จำเป็นเท่านั้น

    ขอบคุณข้อมูลจาก

    โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

    ลูกเจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ สังเกตให้ดี เสี่ยงเป็นโรคหัวใจ!

    ประสบการณ์จริง เมื่อคุณแม่ท้องเป็นโรคหัวใจ

    โรคคาวาซากิ ภัยร้ายเด็กเล็กที่ก่อโรคหัวใจในเด็ก

     

     

     

      ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

      เด็กปฐมวัยเรียนรู้อะไรใน หลักสูตร Early Years ของไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

      โรงเรียนคือบ้านหลังที่สองของเด็ก ๆ ค่ะ หากจะเลือกโรงเรียนแรกในชีวิตลูก ควรต้องเป็นโรงเรียนที่ให้ทั้งหลักสูตรการเรียนที่มีคุณภาพ และให้สภาพแวดล้อมบรรยากาศในการเรียนทั้งในห้องและนอกห้องเรียนที่สนุกกับเด็ก ๆ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปเยี่ยมชมโรงเรียนนานาชาติ ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ กันค่ะ

      โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ที่นี่จะเปิดสอนนักเรียนอายุ 2-18 ปี และในระดับ Early Years (อายุ 2-5 ปี) ไบรท์ตัน คอลเลจ จะให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ของเด็กในวัยนี้เป็นอย่างมากเลยค่ะ เพราะถือว่าเป็นพื้นฐานการศึกษาที่สามารถต่อยอดได้ในอนาคต ทางโรงเรียนมีการสร้างแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่ปลอดภัย ทำให้เด็ก ๆ พร้อมที่จะเรียนรู้อย่างมั่นใจ และยังปลูกฝังในเรื่องความมีเมตตา เพื่อให้เด็กนักเรียนทุกคนเป็นคนดีที่สุดในแบบฉบับของตนเองได้ สำหรับการเรียนของเด็ก ๆ จะสอนโดยคณาจารย์ที่มีประสบการณ์จากประเทศอังกฤษและจากทั่วโลก

      ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

      • ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ กับหลักสูตรการเรียนของเด็ก Early Years

      เด็ก ๆ อายุ 2-5 ปี จำเป็นต้องมีหลักสูตรการเรียนที่เหมาะสมค่ะ สำหรับหลักสูตรการเรียนการสอนของเด็ก Early Years ที่ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ จะใช้หลักสูตร British Early Years Foundation Stage (FYFS) และสอนบทเรียนที่นอกเหนือจากหลักสูตรของอังกฤษ เช่น ภาษาไทย ภาษาจีนกลาง วิชาพละ ว่ายน้ำ ดนตรี ศิลปะ และคอมพิวเตอร์ ซึ่งด้วยเด็กนักเรียนแต่ละคนมีพัฒนาการเรียนรู้ และรูปแบบ ในระดับที่แตกต่างกัน ทางไบรท์ตัน คอลเลจ มีการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอนเพื่อให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน นอกจากนี้นะคะที่ไบรท์ตัน คอลเลจ ยังเชื่ออีกด้วยว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพมากมายไม่สิ้นสุด หากได้รับการกระตุ้นการเรียนรู้ผ่านการเล่นที่สนุกสนาน

      และที่น่าแสดงความยินดีก็คือนักเรียนชั้น Year 13 (อายุ 18 ปี) ที่จบรุ่นแรกของโรงเรียนนานาชาติ ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ได้สร้างผลงานความสำเร็จทางวิชาการ โดยสามารถทำคะแนนสอบ A level ได้เกรด A* หรือ A สูงถึง 97% ในหลากหลายวิชา ซึ่งเป็นคะแนนสูงสุดในประเทศไทย ของปีการศึกษา 2563-2564 ทำให้มั่นใจได้ว่าบุตร-หลานของท่านจะได้รับคุณภาพการศึกษาเทียบเท่าระดับสากล

      โรงเรียนนานาชาติไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

      สำหรับครอบครัวที่กำลังมองหาโรงเรียนให้กับลูก ๆ ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ ถือว่าเป็นโรงเรียนแรกของลูกที่ดีมากค่ะ เพราะมีหลักสูตรการเรียนมีคุณภาพออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับเด็ก ที่สำคัญสิ่งแวดล้อมบรรยากาศของโรงเรียน การเรียนการสอนก็สนุกด้วยค่ะ คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูก ๆ ไปเยี่ยมชมบรรยากาศจริงที่โรงเรียนนานาชาติ ไบรท์ตัน คอลเลจ ได้นะคะ เดินทางได้สะดวก สบาย ใช้เวลาเดินทางจากใจกลางกรุงเทพฯ เพียงแค่ 20 นาที ซึ่งโรงเรียนจะตั้งอยู่ที่ ถ.กรุงเทพกรีฑา

      ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพฯ

      คุณพ่อคุณแม่สามารถติดต่อแจ้งเข้าเยี่ยมชมโรงเรียนเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ช่องทาง

      Line @brightoncollegebkk

      Tel: +66 (2) 136 7898  

      Mobile: +66 (0) 89 009 1111

      www.brightoncollege.ac.th

        เล่านิทาน ถูกวิธีช่วยเสริมพัฒนาการลูก

        วันนี้คุณ เล่านิทาน ให้ลูกฟังถูกวิธีแล้วหรือยัง?

        เล่านิทาน ส่งเสริมพัฒนาการหลายด้านให้ลูก เป็นที่ยอมรับของพ่อแม่ทุกคน แต่วันนี้คุณเล่านิทานได้ถูกวิธีหรือยัง มาเรียนรู้วิธีเล่าที่ทำให้นิทานมีดีมากกว่าเดิม

        วันนี้คุณ เล่านิทาน ให้ลูกฟังถูกวิธีแล้วหรือยัง?

        หนังสือ หนังสือนิทาน หนังสือสำหรับเด็ก หรือหนังสือแนววิชาการ ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ต่อผู้อ่านทั้งสิ้น แต่คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ หนังสือสำหรับเด็กนอกจากจะให้ความรู้แล้ว หนังสือยังมีประโยชน์มากกว่านั้น

        นายแพทย์อดิศัย  ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่า นิทานเป็นเรื่องเล่าที่มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การอบรมด้วยบรรยากาศที่มีความสุข และสนุกสนาน ทำให้เด็กไม่รู้สึกเหมือนถูกสอน และเด็กจะสัมผัสได้ว่าเป็นที่รักของพ่อแม่ เด็กจะชอบฟังนิทานเพราะนิทานมีเรื่องราวที่สร้างเสริมจินตนาการตอบสนองความต้องการของความรัก ต้องการให้คนอื่นสนใจ  ประโยชน์ของการเล่านิทานจะเป็นการสร้างคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ต่อเด็ก

        เล่านิทาน ให้ลูกฟัง ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน
        เล่านิทาน ให้ลูกฟัง ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน

        9 ข้อดีของนิทานที่ส่งผลถึงลูกคุณ!!

        1. เสริมปัญญาเด็ก นิทานจะช่วยให้เด็กฉลาด ทั้งทางปัญญา (IQ) และฉลาดทางอารมณ์ (EQ)
        2. กระตุ้นให้เด็กช่างคิด ช่างถาม ช่างสังเกต ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวิธี เล่านิทาน ของพ่อแม่ และลักษณะที่ดีของนิทานเล่มนั้น ๆ ด้วย
        3. ให้เด็กได้เรียนรู้ภาษา มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษา ข้อดีข้อนี้เป็นประโยชน์เบื้องต้นของการอ่าน หนังสือฝึกให้เด็กเป็นนักอ่าน และการอ่านช่วยสร้างทักษะด้านภาษา
        4. สอนให้ฝึกจับประเด็น การเล่าซ้ำ ๆ จะทำให้เด็กจำนิทานได้ทั้งเรื่อง สามารถมองภาพรวมเข้าใจเรื่องได้เร็ว หากพ่อแม่ใช้เคล็ดลับอีกเล็กน้อยช่วยให้ลูกสามารถฝึกจับประเด็นของเนื้อหานิทานได้ ก็เท่ากับเป็นการเสริมทักษะการฟัง และจับใจความ ที่จำเป็นต้องใช้ในตอนโต
        5. ฝึกสมาธิ การตั้งใจฟังนิทาน เป็นการฝึกสมาธิให้เด็ก ให้เขาได้หยุดนิ่ง และมีสมาธิจดจ่อกับการ เล่านิทาน ของพ่อแม่
        6. สร้างเสริมจินตนาการ การฟังนิทานเป็นการเสริมจินตนาการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้ และพัฒนาสมองของเด็ก จินตนาการเป็นบ่อเกิดแห่งความคิดสร้างสรรค์
        7. เรียนรู้คุณธรรม เด็กจะได้รับการปลูกฝังคุณธรรมจากเนื้อหาในนิทาน ซึ่งหากเราให้ลูกได้เรียนรู้แต่เด็ก จะทำให้เขาจำและปรับใช้เป็นบุคลิกภาพประจำตัวของตัวเอง
        8. ฝึกนิสัยรักการอ่าน การอ่านนิทานให้เด็กฟังบ่อย ๆ ช่วยปลูกฝังให้เด็กมีนิสัยรักการอ่าน แม้ในช่วงแรกจะเป็นพ่อแม่ที่ เล่านิทานให้ฟัง แต่เมื่อลูกมีทัศนคติที่ดีต่อหนังสือ ก็เป็นการง่ายที่เขาจะรักการอ่านหนังสือเมื่อโตขึ้น
        9. สร้างความเพลิดเพลิน มีความสุข บรรยากาศในการเล่านิทาน ทำให้บรรยากาศของครอบครัวมีความสุข กิจกรรมที่ทุกคนล้อมวงกันเข้ามาฟัง ร่วมจินตนาการเข้าไปสู่โลกแห่งนิทานนั้น ทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีต่อสายสัมพันธ์ของครอบครัว

        ทำให้หนังสือมอบ “ความสุข” 

        ถึงอย่างไรหนังสือก็มีประโยชน์ และหน้าที่ของมันในตัวอยู่แล้ว แต่การที่ลูก หรือคนอ่านจะได้รับประโยชน์จากหนังสือหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้ ผู้อ่าน ยังมีผู้ใหญ่หลาย ๆ คนคิดว่า การที่เด็กอ่านหนังสือมาก ๆ หลายเล่มจะทำให้ได้รับประโยชน์ยิ่งเยอะ จึงมักจะบังคับให้ลูกอ่านหนังสือ หรือนับจำนวนหนังสือที่อ่านเป็นคะแนน แต่ความจริงแล้วการอ่านหนังสือด้วยความสนุกต่างหาก ที่จะทำให้ผู้อ่านได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเด็ก หนังสือ นิทานที่มีเรื่องราวสนุก ตลก น่าติดตาม ลุ้นระทึก และภาพที่สวยงาม ทำให้เด็กมีความสุขเมื่อได้อ่าน

        การที่เด็กมีความสุขเมื่ออ่านหนังสือนี้ เป็นสภาวะที่สมองจะเรียนรู้ได้ดีที่สุด และหากการอ่านนั้นแวดล้อมไปด้วยพ่อแม่เข้ามามีส่วนร่วมด้วยกัน จะทำให้ทัศนคติของการอ่านหนังสือของเด็กเป็นไปในทางที่ดี หนังสือ = ความสุข ทำให้ลูกเกิดความอยากอ่านเอง จนพัฒนาทักษะการอ่านได้ดีกว่าการบังคับ หรือทำแต้ม เมื่อเขาโตขึ้น ก็สามารถอ่านหนังสือเล่มหนา ๆ ยาก ๆ ได้อย่างเต็มใจจากทักษะในการอ่านที่โตขึ้นตามวัยของลูก

        การอ่านหนังสือพัฒนาสมอง สร้างเสริม EF
        การอ่านหนังสือพัฒนาสมอง สร้างเสริม EF

        EF กับ หนังสือเด็ก

        เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ ทุกคนคงยอมรับแล้วว่าการอ่านหนังสือ การ เล่านิทานให้ลูกฟังนั้นไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ให้ความรู้เท่านั้น และเชื่่อหรือไม่ในเด็กเล็ก หนังสือ หรือนิทานมีหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่งในการ กระตุ้นให้สมองได้ฝึกกระบวนการทำงานอย่างเป็นองค์รวมขั้นสูง นั่นคือ กระบวนการตีความ

        กระบวนการตีความ ประกอบขึ้นจาก กระบวนการคิดที่สลับซับซ้อนแต่เป็นระบบ รวมไปถึงทักษะ EF อันเป็นพื้นฐานสำคัญของพัฒนาการทางภาษา และทักษะสำคัญในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

             เมม ฟ็อกซ์(ผู้เชียวชาญเกี่ยวกับการรู้หนังสือ และนักแต่ง นักเล่านิทาน)ระบุลักษณะของหนังสือที่เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมได้ ดังนี้ มีพล็อตเรื่อง มีปัญหาให้แก้ไข มีความซับซ้อนเชิงนามธรรม มีรูปแบบการซ้ำ(เด็กเล็ก) เหนือความคาดหมาย ใช้ภาษาธรรมชาติ ตัวละครที่เด็กสามารถผูกพันได้อย่างลึกซึ้ง ห้ามสั่งสอน สอดแทรกคุณค่าอย่างแนบเนียน และให้ความสุข
              ในช่วง 7 ปีแรก เด็กที่ได้สะสมประสบการณ์ และทักษะการตีความผ่านการฟัง/อ่านนิทานที่พอเหมาะกับวัยมาอย่างสม่ำเสมอ จะมีความพร้อมในการเรียนรู้สูงมาก เมื่อได้สะสมประสบการณ์มามากพอจะสามารถอ่าน และเขียนได้แบบก้าวกระโดดอย่างน่าอัศจรรย์ และมีกระบวนการคิดที่แหลมคม รวมไปถึงพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดี
             ตรงกันข้าม เด็กที่สะสมทักษะการตีความมาน้อย จะใช้สมองได้ไม่เต็มศักยภาพ มีปัญหาในการเรียน รวมไปถึงขาดทักษะการคิดในการทำความเข้าใจตนเอง/ผู้อื่นในสถาณการณ์ต่างๆ ทำให้ไม่เห็นคุณค่าแท้ของตนเอง/ผู้อื่น ไม่ยืดหยุ่น จัดการอารมณ์ไม่ได้ มองปัญหาไม่ขาด หาทางแก้ปัญหาไม่เป็น จัดการชีวิตได้ยาก ฯลฯ เป็นปัญหาที่เราเห็นแนวโน้มในการเพิ่มขึ้นทุกปี

        5 วิธีเล่านิทาน ให้สร้างสรรค์ ดึงศักยภาพลูก

        ในความเป็นจริง การเล่านิทานไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวใด ๆ แต่หากคุณพ่อคุณแม่ใส่ใจเพิ่มรายละเอียดอีกสักนิด เราจะพบว่า การเล่านิทานนั้นสามารถดึงศักยภาพของลูกออกมาได้มากกว่าการให้เขานั่งฟังเฉย ๆ ค่านิยมของสังคมไทยที่ชอบการสอน ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนมักเข้าใจว่า การอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เด็กควรนั่งนิ่ง ๆ รับฟัง และไม่เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมมากพอ ทำให้เขาไม่ได้รับการฝึกใช้ระบบคิดที่นำไปสู่ปัญญา การไม่ได้เปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วม เป็นการไม่ส่งเสริมการสะสมประสบการณ์การตีความเพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง

        เทคนิค อ่านนิทาน ให้ลูกฟังแบบไม่น่าเบื่อ
        เทคนิค อ่านนิทาน ให้ลูกฟังแบบไม่น่าเบื่อ

        การอ่านหนังสือนิทานให้เด็กฟัง และเพิ่มวิธีการเล่าดังต่อไปนี้ เพียงวันละ 15 -30 นาที จะส่งผลที่ดี และเป็นเครื่องมือทุ่นแรงพ่อแม่ในการสร้างศักยภาพ และทักษะที่จำเป็นที่ดีแก่ลูกต่อไปในอนาคต

        1.ใช้น้ำเสียงดึงดูดความสนใจ

        การเล่านิทานนั้น หากคุณพ่อคุณแม่ใช้เทคนิคในการพูดด้วยน้ำเสียงสูง ต่ำ หรือเปลี่ยนความเร็วในการพูด ก็เป็นส่วนช่วยดึงดูดความสนใจของเด็กได้ รับรองคุณต้องได้ยินเสียงหัวเราะลั่นจากพวกเขาแน่ ๆ

        2.ให้เด็กเลือกหนังสือนิทานที่อยากฟัง

        คุณพ่อคุณแม่ต้องใจกว้าง เปิดอิสระให้ลูกเป็นคนเลือกเรื่องที่อยากฟัง หรืออยากอ่าน ถึงแม้บ่อยครั้งที่เราจะพบว่า เด็กเลือกนิทานซ้ำเล่มเดิม ๆ ไม่มีเบื่อ แต่ถึงอย่างไรหากเป็นสิ่งที่ลูกต้องการ ความใส่ใจ และการตั้งใจฟังพร้อมเรียนรู้ของลูกก็ย่อมมีมากกว่าการบังคับฟังเป็นแน่ แต่หากพ่อแม่อยากให้เขาเปลี่ยนเรื่องบ้าง ลองพูดเป็นเชิงเกริ่นนำเนื้อเรื่องของนิทานเรื่องใหม่ให้ลูกฟัง เชื้อเชิญให้เขารับฟังนิทานเรื่องใหม่ ๆ บ้าง

        3.หาวัสดุง่าย ๆ จินตนาการร่วมกันเป็นตัวละคร หรืออุปกรณ์ประกอบฉาก

        การใช้หุ่นนิ้วมือ หรืออุปกรณ์เสริมเพิ่มเติมให้ลูกเห็น และเข้าใจเรื่องราวได้ง่ายขึ้น ในปัจจุบันหนังสือนิทานมีลูกเล่นให้พ่อแม่ได้นำมาใช้เป็นเคล็ดลับในการเล่านิทานมากมาย เช่น มีหุ่นนิ้วภายในเล่ม รูปเล่มนิทานแปลกตาน่าดึงดูด เป็นต้น

        4. เติมคำในช่องว่าง

        เมื่อคุณพ่อคุณแม่เล่านิทาน อาจสามารถเล่าแบบให้ลูกช่วยเติมเนื้อเรื่องในช่องว่างคำพูดที่เราเว้นไว้ ซึ่งหนังสือนิทานที่ดีจะไม่เล่าเสียทั้งหมด โดยจะทำให้เด็ก ๆ ค่อย ๆ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับเนื้อเรื่อง ให้เขาได้จินตนาการ คิดว่าเรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไรล่วงหน้า ก่อนที่จะเปิดเผยต่อไป เช่น หากลูกเป็นสโนวไวท์จะกินแอปเปิ้ลผลนั้นไหม?… เป็นต้น

        หนังสือแหล่งเรียนรู้ และประโยชน์รอบด้าน
        หนังสือแหล่งเรียนรู้ และประโยชน์รอบด้าน

        5.สอดแทรกเรื่องราวประสบการณ์จริงของพ่อแม่

        การเล่านิทานไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด บางครั้งคุณพ่อคุณแม่สามารถเล่าเรื่องราวที่เราเคยทำมา เป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่มีเนื้อหาตรงกับเนื้อเรื่องในนิทาน สอดแทรกในระหว่างเล่านิทานก็ได้เช่นกัน เพราะรู้หรือไม่ว่า เด็ก ๆ ชอบฟังเรื่องราวของคุณไม่แพ้การชอบฟังนิทาน และการที่คุณเล่าเรื่องในวัยเด็ก ทำให้ลูกรับรู้ และตระหนักถึงได้ว่าคำสอนในหนังสือนิทานนั้น ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องราวแต่ในหนังสือ แต่สามารถเกิดขึ้นจริงได้

        ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะใช้เทคนิคในการเล่านิทานให้ลูกฟังด้วยวิธีการไหน มีเคล็ดลับมากมายต่าง ๆ นานาให้เลือกใช้ แต่จงจำไว้ว่าการเล่านิทานให้ถูกต้อง เล่าแบบวิธีที่ดีที่จะสามารถดึงศักยภาพของลูกออกมา พัฒนาทักษะที่จำเป็นนั้น ความจริงไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนใด ๆ เพียงแค่คุณเล่า ให้สนุก เสมือนหนึ่งว่าคุณเป็นเด็กคนหนึ่ง เท่านี้นิทานของคุณก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลูกพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีแล้ว

        ข้อมูลอ้างอิงจาก www.bangkokbiznews.com/wunder-mom.com/saanaksornbook
        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        นิทานกระต่ายกับเต่า สอนลูกผ่านนิทานอีสปสนุกๆ!!

        รวม 70 นิทานสำหรับเด็ก 4-7 ปี กระตุ้นจินตนาการ พัฒนาสมองลูกน้อย

        อ่านหนังสือให้ลูกฟัง นิทาน สำนักพิมพ์ไหนดี เหมาะกับลูกทุกวัย คุณแม่ทั่วประเทศยกให้ Amarin Kids เป็นแบรนด์ในดวงใจ

        ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในมุมความเป็นพ่อให้แง่คิดอะไรกับเรา

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน ทำความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรค

          ใกล้ครบกำหนดลาคลอดแล้ว คุณแม่หลาย ๆ ท่านจำเป็นต้องกลับไปทำงานประจำ ทำให้ระหว่างวันต้องคอยปั๊มนม โดยมีอุปกรณ์คู่ใจที่ต้องพกติดตัวไปทำงานด้วยเสมอสำหรับคุณแม่นักปั๊มก็คือ เครื่องปั๊มนม แต่การจะทำความสะอาดอย่างไรให้ปราศจากเชื้อโรค  มาดู วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน ที่ถึงแม้จะอยู่นอกบ้านก็ทำความสะอาดอุปกรณ์ปั๊มนมได้ง่าย ๆ

          วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน

          ขณะที่ทำงานอยู่คุณแม่จะมีอาการเต้านมคัดตึง จำเป็นต้องปั๊มนมนอกสถานที่หรือปั๊มนมในที่ทำงาน ซึ่งการปั๊มนมระหว่างวันเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยรักษาระดับน้ำนม สังเกตได้ว่าช่วงวันแรก ๆ น้ำนมแม่ที่ปั๊มออกมาจะปั๊มได้เยอะ แต่ถ้าระหว่างที่ทำงานอยู่แม่ไม่ปั๊มนมเลย น้ำนมที่เคยมีก็จะหดหายไปได้ง่าย ๆ

          สำหรับคุณแม่ที่ต้องทำงานประจำ เป็นพนักงานออฟฟิศ จำเป็นต้องปั๊มนมนอกสถานที่หรือปั๊มนมในที่ทำงาน อาจมีข้อสงสัยว่า ต้องทำความสะอาดเครื่องปั๊มนมหรือไม่ หรือเก็บกลับมาทำความสะอาดที่บ้านได้ แล้ววิธีทำความสะอาดเครื่องปั๊มนมต้องทำบ่อยแค่ไหน อุปกรณ์ปั๊มนมต้องล้างทุกครั้งหรือเปล่า มาไขคำตอบกันค่ะ

          ปั๊มนมแล้วต้องล้างทำความสะอาดทุกครั้งหรือไม่

          หลังจากปั๊มนมเสร็จแล้ว ไม่ควรวางชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์เครื่องปั๊มนมที่สัมผัสกับน้ำนมทิ้งไว้ ควรทำความสะอาด ล้างชิ้นส่วนทั้งหมด เช่น ขวดนม วาล์ว และกรวยปั๊มนม โดยล้างทุกครั้งหลังการใช้งานแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรค การเก็บรักษานมแม่เพื่อลูกน้อยจะได้สะอาดปราศจากเชื้อโรคให้มากที่สุด

          นอกจากการทำความสะอาดให้ปราศจากเชื้อโรคแล้ว ยังต้องใส่ใจเรื่องการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดให้เหมาะสม เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดให้พร้อม และต้องพิจารณาด้วยว่า ชิ้นส่วนชิ้นไหนที่ควรนึ่งไม่ควรนึ่ง เพราะชิ้นส่วนบางชนิดหากนึ่งบ่อย ๆ อาจทำให้เสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น

           

           

           

          เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาด

          1. น้ำยาทําความสะอาดขวดนมออร์แกนิก ปราศจากน้ำหอม ปราศจากสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ ทั้งยังต้องเลือกน้ำยาทําความสะอาดแบบ Food Grade เพื่อความปลอดภัยของวัสดุและอุปกรณ์เครื่องปั๊มนม น้ำยาที่ดีต้องขจัดคราบ ไขมันนม ไม่ทำให้ขวดนมมันวาว สามารถล้างกลิ่นคาวนมได้อย่างหมดจด
          2. แปรงล้างขวดนม ต้องใช้ทั้งแปรงเล็กและแปรงใหญ่ เพื่อขจัดคราบทุกซอกทุกมุม
          3. ฟองน้ำล้างจาน
          4. กระบอกฉีดยาหรือไซริงค์
          5. คัตตอนบัด
          6. เตรียมน้ำใส่กาละมังแล้วกดน้ำยาล้างขวดนมประมาณ 3 ปั๊ม หรือตามคำแนะนำของน้ำยาล้างขวดนม
          7. จากนั้นถอดอุปกรณ์เครื่องปั๊มนม สาย กรวยปั๊มสองข้าง เมื่อถอดกรวยปั๊มออก เอาซิลิโคนออก เอาขวดรองน้ำนมและวาลว์ออกมา

          วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์ปั้มนมอย่างถูกวิธี

          • ก่อนจะเริ่มทำความสะอาดอุปกรณ์ปั้มนม ให้ล้างมือด้วยสบู่และฟอกมือให้ทั่ว เพื่อให้มือสะอาดมากที่สุด
          • สำหรับอุปกรณ์ปั๊มนมที่สัมผัสกับน้ำนม ต้องถอดทุกชิ้นส่วนแล้วล้างผ่านน้ำเพื่อชำระล้างคราบน้ำนมออกทันทีหลังปั๊มนมเสร็จ เนื่องจากโปรตีนในน้ำนมแม่ที่เกาะอยู่บนพื้นผิวของอุปกรณ์ปั๊มนมเป็นแหล่งเจริญเติบโตของแบคทีเรีย โดยล้างน้ำสะอาดเพื่อเอาคราบไขมันนมออกก่อนที่จะล้างน้ำยา
          • นำอุปกรณ์ไปแช่ไว้ในกาละมังที่ผสมน้ำยาล้างขวดนม โดยขวดนมให้ใช้แปรงใหญ่ถูกเข้าไปด้านใน ส่วนด้านนอกให้ใช้ฟองน้ำถูขวดนมให้สะอาด โดยเฉพาะบริเวณปากขวด
          • กรวยปั๊มใช้แปรงใหญ่และแปรงเล็กล้างให้ทั่ว ส่วนรูเล็ก ๆ ให้ใช้คัตตอนบัดชุบน้ำยาล้างขวดนมแล้วถูเข้าไปข้างในจนทั่ว
          • ส่วนวาลว์ที่เรียกกันว่า ลิ้นหรือปากเป็ด ตอนล้างต้องระมัดระวัง เพราะวาล์วขาดได้ง่าย ถ้าขาดแล้วจะทำให้เครื่องปั๊มนมทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องใช้แปรงเล็กล้างด้านนอกอย่างเบามือ แล้วใช้คัตตอนบัดถูเข้าไปด้านในตามซอกให้หมดจด
          • สายจะล้างเฉพาะตอนน้ำนมเข้า ให้ใช้กระบอกฉีดยา ดูดน้ำยาแล้วใส่ตามรูของสาย ดันน้ำยาเข้าไปหลาย ๆ รอบ อย่าลืมสลับด้านฉีดน้ำยาเข้าไปทั้งสองด้าน
          • ล้างอุปกรณ์ปั๊มนมด้วยน้ำให้สะอาด ควรล้างอย่างน้อย 2 น้ำ
          • การล้างอุปกรณ์ต้องทำความสะอาดให้ครบทุกจุด ไม่มีคราบมันวาว มีกลิ่นหอมสะอาด ปราศจากกลิ่นคาวนม

          ฆ่าเชื้ออุปกรณ์ปั๊มนม

          หลังทำความสะอาดเรียบร้อย ไม่ใช่ว่าจบแล้วนะคะ ต้องฆ่าเชื้ออุปกรณ์ปั๊มนมให้สะอาดมากที่สุด โดยมีวิธีที่คุณแม่เลือกใช้ได้ดังนี้

          • นำอุปกรณ์ปั๊มนมไปนึ่งฆ่าเชื้อโรคด้วยเครื่องนึ่งขวดนม หรือหม้อนึ่งอัตโนมัติ ซึ่งจะฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูงมากนึ่งเป็นเวลานานจนน้ำระเหยออกหมด เชื้อร้ายก็จะถูกกำจัด
          • นึ่งด้วยเตาแก๊ส ซึ่งต้องรอน้ำให้เดือดแล้วจึงนึ่ง 15 นาทีหลังจากน้ำเดือด นึ่งเสร็จแล้วผึ่งให้แห้ง
          • ใช้น้ำเดือด โดยนำอุปกรณ์ที่แข็งแรงทนทานไปต้มในน้ำเดือด แต่ต้องดูวัสดุที่ใช้ในอุปกรณ์นั้นด้วย
          • หากต้องการความมั่นใจให้เลือกซื้อเครื่องอบฆ่าเชื้อยูวีมาใช้ เพราะการใช้รังสี UV สามารถกำจัดเชื้อโรคได้หลากหลาย

          หลังจากที่นึ่งฆ่าเชื้อเสร็จแล้วให้ล้างมือจนสะอาด ก่อนจะประกอบอุปกรณ์ทุกชิ้นเข้าด้วยกันให้พร้อมใช้งานในรอบปั๊มนมครั้งต่อไป จากนั้นใส่ลงในกล่องบรรจุที่สะอาดปิดฝาอย่างมิดชิด อย่าสัมผัสบริเวณด้านในของอุปกรณ์ปั๊มนมในส่วนที่จะสัมผัสกับน้ำนม เพื่อป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโรค

          วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน
          วิธีล้างอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน

          ข้อควรระวังในการทำความสะอาดเครื่องปั๊มนม

          ควรสอบถามบริษัทเครื่องปั๊มนมเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะ เรื่องวิธีการถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์ปั๊มนมมาทำความสะอาด และต้องตรวจสอบด้วยว่าชิ้นส่วนชนิดไหนที่ใช้นึ่งได้และนึ่งไม่ได้ โดยปกติแล้วชิ้นส่วนที่ทำจากซิลิโคนนิ่ม ๆ อย่างฝาครอบ หรือกันย้อนไม่ควรนึ่งบ่อยเพราะจะทำให้เสื่อมสภาพได้เร็ว ตัวสายกับตัวครอบจะล้างทำความสะอาดได้ แต่ไม่ต้องนึ่ง

          ตัวเครื่องปั๊มนมก็ต้องทำความสะอาด เพราะบางครั้งมีคราบน้ำนมเกาะทำให้ปนเปื้อนเชื้อโรคได้ โดยใช้ผ้าผืนเล็ก ๆ ชุบน้ำยาล้างขวดนม บีบให้หมาด เช็ดที่ตัวเครื่อง ใช้ชุบน้ำสะอาดเช็ดตัวเครื่องซ้ำอีกหนึ่งที ตามด้วยผ้าแห้งเพื่อเช็ดให้แห้ง ส่วนสายหากน้ำนมไม่ได้เข้าไปในสาย ให้เช็ดทำความสะอาดวันละครั้งก็พอ

          ทำความสะอาดอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้านอย่างไรดี

          อุปกรณ์ปั๊มนมหรือเครื่องปั๊มนม ควรทำความสะอาดหลังจากปั๊มนมทันที ไม่ควรเก็บไว้เพราะจะเสี่ยงต่อเชื้อโรคร้ายทำให้ปนเปื้อนในน้ำนมแม่ได้ คุณแม่จึงจำเป็นต้องรู้วิธีทำความสะอาดอุปกรณ์ปั๊มนมนอกบ้าน

          1. การล้างและนึ่งได้ทุกครั้งหลังใช้งานจะดีที่สุด หรือเลือกใช้สเปรย์และผ้าเปียกน้ำยาทำความสะอาดขวดนมและจุกนมชนิดพกพา ชนิดที่เป็นออร์แกนิกเพื่อความปลอดภัย ให้ใช้ทำความสะอาดทุกครั้งแทนการล้างและการนึ่งได้
          2. ถ้าได้ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างขวดนมที่ปลอดภัยสำหรับทารกแล้ว แต่อยากฆ่าเชื้อโรคด้วย สามารถนำอุปกรณ์ปั๊มนมล้างแล้วใส่กล่องถนอมอาหารกันความร้อน ที่ทนต่อความร้อนได้ดี แล้วเทน้ำร้อนใส่จนท่วมกล่องทิ้งไว้ 2-5 นาที ล็อกกล่องให้แน่นแล้วเขย่าให้ทั่ว แต่ต้องระวังไม่ให้น้ำร้อนกระฉอกออกมา แม้การฆ่าเชื้อด้วยน้ำร้อนจะไม่ดีเท่าการนึ่ง แต่สามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์บางชนิดได้ โดยใช้น้ำร้อน 90 องศาเซลเซียสขึ้นไป หลังจากลวกแล้วต้องรินน้ำออกให้หมดแล้วเช็ดให้แห้ง
          3. อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้คือ ถุงควิกคลีน เพียงใส่น้ำในถุง แล้วใส่อุปกรณ์ปั๊มนมลงไปปิดซิป นำเข้าไมโครเวฟตามคำแนะนำ เมื่อเปิดฝาไมโครเวฟหยิบถุงออกมา จะมีมุมของถุงที่สามารถหยิบได้โดยไม่ร้อนมือ แล้วเทน้ำร้อนออกจากถุงทิ้งไป จึงหยิบอุปกรณ์ในถุงออกมา ปัจจุบันมีถุงนึ่งฆ่าเชื้อขวดนมและอุปกรณ์ปั๊มนมอยู่หลายยี่ห้อ ใช้งานง่าย สะดวก กำจัดเชื้อโรค เชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ ซื้อมาหนึ่งถุงใช้ได้ประมาณ 20 ครั้ง ทั้งยังมีขนาดใหญ่ใส่อุปกรณ์ปั๊มนมได้

          การเลือกใช้ขวดนมและอุปกรณ์ปั๊มนมที่ได้มาตรฐานก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เพราะอุปกรณ์บางชนิดไม่ทนความร้อน และควรมีอุปกรณ์ปั๊มนมสำรอง และขวดนมสำรองในกรณีฉุกเฉิน

           อ้างอิงข้อมูล : พี่กัลนมแม่ สอนแม่และเด็ก, siwika-maternity, mamadshop และ มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย

           

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

          ทำไมต้องปั๊มนมรอบละ 30 นาที เคล็ดลับคุณแม่นักปั๊ม

          อย่าให้ลูกดูดขวด! ถ้ายังไม่รู้ ภาวะสับสนหัวนม

          เลิกเต้าไม่เศร้าใจ เผยเทคนิค หย่านม ทำได้ใน 10 วัน

            ตารางออมเงิน

            แจกสูตร!! ตารางออมเงิน เก็บเงินได้ 6x,xxx ใน 1 ปี!!

            ใครอยากเก็บเงิน ออมเงิน มาทางนี้ ทีมกองบรรณาธิการ ABK แจกสูตร ตารางออมเงิน เก็บเงินได้หลักหมื่นใน 1 ปี พร้อมวิธีออมเงินแบบง่าย ๆ ทำอย่างไรให้เก็บเงินอยู่!!

            แจกสูตร!! ตารางออมเงิน เก็บเงินได้ 6x,xxx ใน 1 ปี!!

            การออมเป็นวินัยทางการเงินพื้นฐานที่ควรเริ่มฝึกตั้งแต่เด็ก การมีนิสัยการออมจะทำให้สามารถวางแผนการเงินได้อย่างดี และมีความมั่นคงในอนาคต และเมื่อถึงวัยที่มีครอบครัว มีลูก ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ก็ย่อมเพิ่มขึ้นเกินเท่าตัว จะทำอย่างไรให้ครอบครัวมีเงินใช้ในยามฉุกเฉิน พร้อมทั้งมีความมั่นคงในอนาคต “การออมเงิน” คือทางออกที่จะช่วยได้ค่ะ แต่จะทำอย่างไรให้เรามีวินัยในการออมเงิน? ทีมกองบรรณาธิการ ABK มีตัวช่วยค่ะ เรามีสูตร ตารางออมเงิน ที่ช่วยให้เก็บเงินได้ถึง 6x,xxx ภายใน 1 ปี และยังมีสูตร ตารางออมเงิน ที่เหมาะกับเด็กเล็ก เพียงแค่เก็บเงินวันละ 20 บาท ก็ช่วยทำให้ลูกน้อยมีเงินเก็บถึง 7,xxx บาท ใน 1 ปีได้อีกด้วย

            ตารางออมเงิน เก็บเงินได้ 6x,xxx ใน 1 ปี!!

            สูตรการเก็บเงินหมื่นใน 1 ปี

            • หยิบปากกา พร้อมด้วยกระดาษ แล้วตีตารางเป็นช่อง ๆ ให้ได้ 120 วัน
            • เขียนตัวเลข 1 – 120 วัน
            • เก็บเงินรายวัน เท่ากับเลขในช่อง เช่น ช่องที่ 120 ให้เก็บเงิน 120 บาท

            เก็บเงินได้ครบ 120 วัน จะได้เงินเก็บจำนวน 7,260 บาท
            เก็บเงินได้ครบ 365 วัน จะได้เงินเก็บจำนวน 66,790 บาท

            ตารางออมเงิน 365 วัน

            ออมเงินให้ลูก
            ออมเงินให้ลูก

            ถึงออมเงินวันละ 20 บาท ก็รวยได้!!

            ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแจกอีกสูตรการออมเงิน โดยสูตรนี้เหมาะกับเด็กเล็ก ที่ออมเพียงวันละ 20 บาท แต่หากออมทุกวันก็สามารถเก็บเงินได้ถึง 7,xxx บาทใน 1 ปีได้เลยนะ!!

            ตารางออมเงิน วันละ 20 บาท

            การทำตารางเก็บเงินวันละ 20 บาท ตามปฏิทินหรือ 365 วันนั้น ช่วยให้คุณมั่นใจว่าออมเงินครบทุกวันจริง และหากเผลอลืมก็สามารถนำเงินมาหยอดเงินลงกระปุกย้อนหลังได้ ส่วนใครที่อยากเคลียร์เงินออมตั้งแต่ต้นเดือน เพียงหักเงินออมออกจากบัญชีตั้งแต่ต้นเดือนแล้วนำไปหยอดกระปุก โดยมีวิธีคิดดังนี้

            • นำจำนวนเงินออม x จำนวนวันในเดือนนั้น ๆ  อาทิ เดือนมิถุนายน มี 30 วัน ให้นำ 20 x 30 = 600 บาท

            นี่คือเงินต้องออมในเดือนนี้ เมื่อหักเงินออมเรียบร้อย เงินที่เหลือก็สามารถใช้จ่ายได้อย่างสบายใจ

            เห็นจำนวนเงินในการออมแบบนี้ ไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะคะ ในการออมเงินให้เก่ง เก็บเงินให้อยู่ นอกจากสูตรการออมเงิน ตารางออมเงิน แล้ว ยังมีอีก 7 เคล็ดลับในการออมเงินง่าย ๆ มาฝากกันอีกค่ะ

            7 เคล็ด (ไม่) ลับ ในการออมเงินแบบง่าย ๆ

            1. เก็บก่อนใช้ ได้เปรียบกว่าเห็น ๆ

            เงินเดือน 15,000 ให้กันเงินไว้ 1,500 (คิดเป็น 10% จากเงินเดือน) จากนั้น เงินเหลือเท่าไหร่ ค่อยหักลบหนี้สิน และรายจ่ายคงที่ (Fixed Cost) ในแต่ละเดือน เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าโทรศัพท์ แล้วจึงเหลือเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน วิธีนี้อาจจะฟังดูโหดร้ายไปสักนิด แต่เชื่อเถอะว่า เราจะมีเงินเก็บที่แน่นอนในทุก ๆ เดือน อย่างน้อย ๆ ก็ได้เดือนละ 1,500 บาท ตกปีหนึ่งก็ได้มา 18,000 บาทแล้วนะ

            2. เปิดบัญชีฝากประจำ

            การฝากประจำ คือ ต้องฝากเงินในจำนวนเท่า ๆ กันทุกเดือน ในระยะเวลาที่กำหนด และเงินจำนวนนี้จะไม่สามารถถอนออกก่อนกำหนดเวลาได้ ทั้งนี้ ระยะเวลาของการฝากประจำก็มีทั้งแบบระยะสั้น 3 เดือน – 1 ปี และแบบระยะยาว 2-3 ปี ใครที่เป็นคนเก็บเงินไม่ค่อยอยู่ แนะนำให้ลองออมเงินด้วยวิธีนี้ดู ทั้งได้เงินออม ได้ผลตอบแทนจากดอกเบี้ย แถมยังได้ฝึกวินัยในตนเองเพิ่มอีกด้วย

            3. หักบัญชีอัตโนมัติ

            การตั้งหักบัญชีอัตโนมัติถือเป็นตัวช่วยด้านวินัยอย่างหนึ่ง ให้เราสามารถชำระค่าบริการต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและตรงต่อเวลา อย่าง ค่าผ่อนบ้าน ค่าโทรศัพท์ และค่างวดที่ฝากประจำต่างๆ ซึ่งการที่เราสามารถชำระค่าบริการต่าง ๆ ได้ตรงเวลา นอกจากจะไม่โดนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชำระล่าช้าแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างเครดิตและความน่าเชื่อถือให้กับตัวเราเองอีกด้วย

            ออมเงิน
            ออมเงิน

            4. มีเศษเหรียญ ให้หยอดกระปุก

            ลองหากระปุกออมสินน่ารัก ๆ มาสร้างแรงบันดาลใจสักอัน คอยสำรวจกระเป๋าสตางค์ของเราว่า มีเศษเหรียญอยู่บ้างไหม ถ้ามีก็อย่ารีรอ รีบหยอดกระปุกกุ๊กกิ๊กของเราให้เต็มเร็ว ๆ กันดีกว่า หรือถ้าวันไหนเกิดอยากจะให้โบนัสตัวเอง ก็ลองเพิ่มจากเศษเหรียญเป็นแบงก์ 20 บ้างก็ได้ พอกระปุกเต็มเมื่อไหร่ก็ลองแกะมานับดู เผลอ ๆ ได้มาอีกหลายร้อยโดยไม่รู้ตัวนะเอ้า!

            5. แบงก์ 50 เป็นของต้องห้าม

            แบงก์ 50 ค่อนข้างจะเป็น Rare Item เพราะมันมีน้อยกว่าจำนวนแบงก์อื่น ๆ ที่เราใช้กัน การที่เราจะเก็บมันไว้โดยไม่ใช้ ก็ไม่น่าจะกระทบกับชีวิตประจำวันของเรามากนัก ดังนั้น ให้มองว่า เจ้าแบงก์สีฟ้านี้เป็นของต้องห้าม หมายถึง “ต้องห้ามนำออกมาใช้เด็ดขาด” นั่นแหละ สะสมเอาไว้หลายใบเข้า มารู้ตัวอีกที เก็บได้เกือบ 1,000 บาทก็มีนะ

            6. ช้อปไปเท่าไหร่ ออมคืนเท่านั้น

            ข้อนี้เป็นการปรับนิสัยการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของตัวเองได้ดีเลยนะ มองอีกแง่ มันเหมือนกับการ “ยืมเงินตัวเองออกมาใช้ก่อน” แล้วคืนให้ทีหลัง หลักการเดียวกับการยืมเงินเพื่อนเลย เพียงแต่นี่คือเงินตัวเอง ถ้าอยากช้อปปิงมาก ก็ช้อปได้เลย แต่ซื้ออะไรไปเท่าไหร่ จดไว้ แล้วหามาจ่ายคืนทีหลังด้วยนะ แม้จะเป็นเงินตัวเอง ก็ห้ามอ่อนข้อ ทำให้เหมือนเราติดหนี้เพื่อน ต้องรีบใช้คืน อย่าผัดวันประกันพรุ่งเด็ดขาด

            7. เงินเหลือเท่ากับออม

            สมมติว่า สิ้นเดือนเรามียอดคงเหลือในบัญชีอยู่ 1,530 บาท ให้ย้ายเงินส่วนนี้ไปใส่บัญชีเงินออม อาจจะถอนออกเป็นเลขกลม ๆ เช่น 1,500 บาท ไปเก็บออมไว้ พอขึ้นเดือนใหม่ เงินเดือนเข้ามาอีก 15,000 บาท + ของเก่าคงค้าง 30 บาท รวมเป็น 15,030 บาทเพื่อใช้จ่ายในเดือนนั้น ๆ แล้วเราก็กลับไปใช้เทคนิคตั้งแต่ข้อที่ 1 ไล่ลงมาใหม่ ถือเป็นการบังคับตัวเองให้ใช้จ่ายด้วยวงเงินที่จำกัดเท่า ๆ กันในแต่ละเดือน และลดการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายลงได้

            สิ่งที่สำคัญในการมีเงินเก็บนั่นคือ การมีวินัยนั่นเองค่ะ ยิ่งเรามีวินัยในการออมเงินมากเท่าไหร่รับรองเลยว่า คุณจะมีเงินเก็บไว้ใช้จ่ายในอนาคตอย่างแน่นอน

            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

            สอนลูกเรื่องการออมเงิน ควรเริ่มเมื่อไหร่ดี?

            ออมเงินให้ลูก สลากออมทรัพย์ธนาคารไหน ผลตอบแทนดี ลุ้นโชคเยอะ

            6 ข้อสอนลูกเป็น คนดี มีภูมิคุ้มกัน ชีวิตพบแต่ความสุข

            เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

             

            ขอบคุณข้อมูลจาก : ธนาคารออมสิน, ธนาคารกรุงไทย, www.ladyissue.com

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก

              อันตรายหากลูกมีอาการ ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก

              อันตรายหากลูกมีอาการ ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก

              อาการหนึ่งที่มักพบได้ในเด็กแทบทุกคนคืออาการภูมิแพ้ ไม่ว่าจะเป็นแพ้อากาศ แพ้ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ แพ้ฝุ่น เกิดผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง แพ้อาหาร ซึ่งในเด็กหลาย ๆ คนอาการแพ้อาจไม่รุนแรงมากนัก แต่ก็มีกรณีที่ลูกน้อยของบางบ้านเกิดอาการ ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก มีอาการหนักจนถึงกับต้องเข้าพบคุณหมอโดยด่วน อาการนี้เกิดจากสาเหตุใด จะป้องกันและรักษาได้อย่างไร มาดูกันค่ะ

              ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก

              พญ.จินตนา ชาตรูปวิจิตร กุมารเวชศาสตร์อนุสาขาโรคภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน โรงพยาบาลพญาไท ได้ให้ข้อมูลว่า Anaphylaxis คือภาวะภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรง ที่อาจถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ จะมีอาการปรากฏหลายระบบ นอกจากอาการผื่นลมพิษทั่วไป เช่น ระบบทางเดินหายใจ จะมีอาการหอบเหนื่อย เขียว เนื่องจากมีหลอดลมตีบ อาการในส่วนระบบทางเดินอาหาร อาจคลื่นไส้อาเจียน หรือในเด็กเล็กอาจจะซึมลง หรือหงุดหงิดไม่สบายตัว

              สาเหตุของภาวะ ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก เกิดจากอะไร

              ภูมิแพ้เฉียบพลันในเด็ก สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการแพ้อาหาร ซึ่งมีหลายชนิด เช่น นมวัว ไข่ หรือแป้งสาลี เป็นต้น

              ผู้ป่วยบางราย อาจจะมีอาการแพ้เฉียบพลันรุนแรง จากสาเหตุอื่นได้ เช่น แพ้ยา โดยเฉพาะ ยาชนิดฉีด หรือ การโดนแมลงบางชนิดกัด หรือต่อย

              การตรวจวินิจฉัย หรือหาสาเหตุ จะเป็นการซักประวัติ ตรวจร่างกายอย่างละเอียดโดยแพทย์ ร่วมกับการตรวจทดสอบภูมิแพ้ ซึ่งแพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยทุกรายตรวจหาสาเหตุของภาวะภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรง เพื่อการหลีกเลี่ยงอย่างถูกวิธี รวมถึงทราบการดูแลเบื้องต้นหากมีอาการแพ้เฉียบพลันรุนแรง

              ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก
              อันตรายหากลูกมีอาการ ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก

              ตัวกระตุ้นการแพ้

              สิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการแพ้แบบเฉียบพลันรุนแรง ที่พบได้ ได้แก่

              • การแพ้อาหารบางชนิด เช่น ถั่ว อาหารทะเล
              • การแพ้ยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาแอสไพริน ยาแก้ปวด
              • การแพ้แมลงสัตว์กัดต่อย
              • การแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำยางของพืช เช่น ถุงมือยาง ลูกโป่ง เป็นต้น

              อาการภูมิแพ้เฉียบพลันที่สังเกตได้

              อาการที่บ่งบอกว่าเป็นภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน ได้แก่

              • ผื่นแดงตามผิวหนัง ลมพิษ มีอาการคัน ผิวหนังแดง หรือซีด
              • วิงเวียนศีรษะ หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
              • คลื่นไส้ อาเจียน
              • ปวดท้อง หรือท้องเสีย
              • ความดันโลหิตลดต่ำลง
              • ลิ้น ปาก หรือคอบวม
              • หายใจติดขัด
              • อาจมีเสียงดังหวีด ๆ
              • รู้สึกเหมือนมีสิ่งอุดตันในลำคอ กลืนลำบาก
              • แน่นหน้าอก ใจสั่น
              • ชีพจรอ่อน หัวใจเต้นเร็ว
              • ไอ จาม น้ำมูกไหล

              การแพ้แบบเฉียบพลันในเด็ก มักมีสาเหตุมาจากการแพ้อาหารเป็นหลัก ส่วนในผู้ใหญ่มักเกิดจากการแพ้ยารวมถึงสาเหตุอื่น ๆ

              การตรวจวินิจฉัย ทำได้อย่างไรบ้าง

              ในส่วนของการวินิจฉัยเบื้องต้น กรณีภาวะภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรง (Anaphylaxis) แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และประวัติจากการสัมผัส ร่วมกับการตรวจวินิจฉัย ด้วยการตรวจทดสอบภูมิแพ้ ต่ออาหาร ยา หรือ แมลงที่สงสัย ซึ่งมีการตรวจได้ 2 แบบ คือ

              • การทดสอบทางผิวหนังแบบสะกิด (Skin prick Test)
              • การเจาะเลือดเพื่อตรวจหา specific IgE

              อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาวะภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรง หรือ Anaphylaxis เป็นการแพ้ที่รุนแรงอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ เบื้องต้นเมื่อผู้ป่วยมีอาการมาพบแพทย์ แพทย์จะให้ยารักษาอาการฉับพลันทันทีก่อน หลังจากนั้นจะพิจารณาหาสาเหตุของอาการภูมิแพ้ฉับพลันต่อในขั้นตอนถัดไป ในกรณีที่ต้องการตรวจวินิจฉัยด้วยการทดสอบทางผิวหนัง แพทย์จะนัดให้มาทดสอบอีกครั้งประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อได้ผลการตรวจที่แม่นยำต่อไป

              การป้องกันภาวะ ภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงในเด็ก ทำได้อย่างไร

              • หลีกเลี่ยงสาเหตุ ที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรงอย่างจริงจัง เพราะการแพ้ลักษณะนี้ เป็นการแพ้ที่อันตรายถึงชีวิต
              • ในคนไข้ที่ได้รับการวินิจฉัย ว่าเป็นภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรง ควรพกยาที่ใช้รักษา กรณีเกิดอาการฉับพลันติดตัวตลอดเวลา รวมถึงได้รับคำแนะนำเกี่ยววิธีการใช้อย่างถูกต้อง
              • นัดติดตามอาการภูมิแพ้ กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ทุก ๆ 3-6 เดือน เพื่อตรวจเช็กในเรื่องยา และสอบถามถึงอาการเกิดซ้ำของโรค และพิจารณาการตรวจเลือดซ้ำ เพื่อตรวจสอบว่า ลูกหายจากอาการภูมิแพ้หรือยัง ถ้ามีแนวโน้มการหายจากภูมิแพ้ จะทดสอบการแพ้ เช่น การแพ้อาหาร หรือยา แพทย์จะให้ทดสอบโดยการรับประทานอาหารที่แพ้ซึ่งทำในโรงพยาบาล เพื่อเป็นการยืนยันการหายจากโรค เพื่อให้ลูก กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติได้ต่อไป
              • ในกรณีลูกยังเป็นเด็กเล็ก เมื่อไปโรงเรียน จะมีข้อแนะนำ การติดแท็กป้าย การแจ้งคุณครู ในเรื่องการใช้ยา และการดูแลเด็ก เช่น การพกบัตรแพ้ยา การรักษาต้องใช้ยาอะไร การฉีดยาให้เด็ก ในกรณีเด็กโตต้องได้รับการฝึกให้ฉีดยาด้วยตนเอง

              รักษาภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน

              การรักษาภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน หลัก ๆ คือ การใช้ยา Epinephrine ซึ่งปกติจะใช้วิธีฉีดเข้าที่กล้ามเนื้อต้นขา ร่วมกับประเมินอาการของผู้ป่วย ส่วนวิธีรักษาอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับอาการแพ้ และการตอบสนองของผู้ป่วย หากเคยแพ้ในระดับที่ไม่รุนแรงมาก่อน ควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ

              ผู้ที่มีประวัติแพ้สารก่อภูมิแพ้ชนิดใดก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองจากสารนั้น ๆ เพื่อไม่ให้อาการแพ้รุนแรงขึ้น ผู้ที่แพ้อาหาร ควรอ่านฉลากส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ หรือสอบถามคนขายก่อนซื้อมารับประทานเสมอ ส่วนผู้ที่เสี่ยงมีอาการแพ้ หรือต้องการทราบความเสี่ยงในการแพ้สารใด ๆ อาจป้องกันได้โดยเข้ารับการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย

              ขอบคุณข้อมูลจาก
              โรงพยาบาลพญาไท , โรงพยาบาลกรุงเทพ

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              แยกให้ออก ภูมิแพ้ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่กับโควิด -19 อาการ ต่างกันยังไง?

              ไม่อยากให้ลูกเป็น “ภูมิแพ้” แม่ป้องกันได้

              5 วิธีกำจัดไรฝุ่น ลดเสี่ยงลูกป่วยภูมิแพ้

                CPR

                วิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง ช่วยชีวิตได้ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่

                เวลาเห็นคนหมดสติ หรือเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นกับลูกน้อย คนในครอบครัว เช่น การสำลักอาหาร , เป็นลมหมดสติ , หมดสติจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ฯลฯ การช่วยเหลือปฐมพยาบาลอย่างทันเวลา และถูกวิธีจะช่วยลดอัตราการสูญเสียชีวิตได้ค่ะ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีคำแนะนำง่าย ๆ ในการปฐมพยาบาลช่วยชีวิตเบื้องต้นด้วย วิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง เป็นพื้นฐานความรู้ที่พ่อแม่ ผู้ปกครองควรรู้และปฏิบัติกันได้ มาฝากค่ะ

                 วิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง ด้วย 8 ขั้นตอน

                สิ่งสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ และทุกคนควรต้องรู้เป็นอย่างแรกเลยก็คือ เวลาที่คนเราหมดสติ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุจากโรคที่เกี่ยวกับหัวใจจนทำให้ไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมองและส่วนต่าง ๆ เพียงพอ หรือจากสาเหตุอื่น ๆ จะมีอยู่ 2 สิ่งสำคัญคือ “ยังมีลมหายใจ” และ“หัวใจยังเต้น” นั่นหมายความว่าจะยังทำให้ชีวิตยังคงอยู่

                ดังนั้นการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน จึงเน้นไปที่ 2 อย่างนี้ ซึ่งคนที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้น และภาวะหยุดหายใจนั้น หากได้รับการช่วยชีวิตพื้นฐานด้วย วิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง และทันท่วงทีก่อนนำส่งแพทย์ ก็ยังมีโอกาสฟื้นกลับมามีชีวิตเป็นปกติ หากคุณพ่อคุณแม่พบคนสลบ เป็นลม หมดสติ ไม่ว่าจะเป็นลูก ๆ คนในครอบครัว คนใกล้ตัว หรือใครก็ตาม  จะมีขั้นตอน วิธีการทำ CPR ดังนี้

                1. เรียกดูว่าหมดสติจริงหรือไม่? = ตบแรง ๆ ที่ไหล่ เรียกดัง ๆ ว่ายังมีสติหรือไม่ อย่าขยับร่างกายผู้ป่วยโดยไม่จำเป็น
                2. เรียกหาความช่วยเหลือ = เรียกคนใกล้เคียงมาช่วยเหลือ เช่นอาจให้อีกคนให้โทรเรียก 1669 ซึ่งเป็นสายด่วนเรียกรถพยาบาลได้ทุกจังหวัด โดยรายงานรายละเอียด ผู้ป่วยและสถานที่ที่เกิดเหตุให้ครบ (ก่อนลงมือช่วยชีวิตให้ดูว่าสถานที่นั้นปลิดภัยต่อการทำ CPR ) ส่วนอีกคนลงมือช่วยชีวิตเบื้องต้น และอีกคนประเมินโดยดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก และหน้าท้องว่ามีการยกตัวขึ้นหรือไม่ หรือ หายใจหรือไม่ และเอียงหูของผู้ช่วยเหลือเข้าไปใกล้บริเวณจมูกและปากของผู้ป่วย ว่าได้ยินเสียงอากาศผ่านออกมาทางจมูกหรือปากหรือไม่
                3. จัดท่าให้พร้อมสำหรับการช่วยชีวิต = จัดท่าให้ผู้หมดสตินอนหงายบนพื้นราบและแข็ง แขนสองข้างเหยียดข้างลำตัว ไม่บิดไปมา
                4. หาตำแหน่งวางมือบนหน้าอก = ถ้าผู้หมดสติไม่ไอ ไม่หายใจ ไม่ขยับ หัวใจหยุดเต้น ไม่มีสัญญาณชีพ ให้วางสันมือข้างหนึ่งที่ครึ่งล่างของกระดูกหน้าอก แล้วนำมืออีกข้างวางทาบไปบนมือแรก แล้วกดหน้าอกทันทีแต่ระวังอย่ากดถูกกระดูกซี่โครงซึ่งอาจหักได้  (ถ้าเป็นทารกไม่เกิน 1 ขวบ ให้ใช้เพียง 2 นิ้วคือนิ้วชี้กับนิ้วกลาง กดกลางหน้าอกใต้ราวนมเล็กน้อย)
                5. กดหน้าอก 30 ครั้ง = เป้าหมายเพื่อให้ระบบไหลเวียนเลือดยังทำงาน แม้หัวใจจะหยุดเต้น โดยกดให้ยุบลงราว 2 นิ้ว(หรือ 1.5 นิ้วสำหรับทารก) แล้วปล่อย กดแล้วปล่อย ทำติดต่อกัน 30 ครั้ง ให้ได้ความถี่อย่างน้อย 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาที  หรือราววินาทีละ 2 ครั้ง
                6. เปิดทางเดินหายใจให้โล่ง = ดันหน้าผากผู้หมดสติลงเบา ๆ พร้อมประคองยกคางขึ้น เพื่อเป็นการเปิดลมหายใจให้โล่ง
                7. ช่วยหายใจ = เป่าลมเข้าปอด 2 ครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลา 1 วินาทีเต็ม โดยต้องเห็นผนังทรวงอกผู้หมดสติขยับขึ้นจากการเป่าลมนั้น
                8. กดหน้าอก 30 ครั้ง สลับการเป่าลมเข้าปอด 2 ครั้ง กดหน้าอก 30 ครั้ง โดยหยุดกดหน้าอกไม่เกิน 10 วินาที = ทั้งหมดนี้ ให้ทำจนกระทั่งผู้หมดสติมีความเคลื่อนไหว หรือไอ หรือมีบุคลากรทางการแพทย์มารับช่วงต่อ หรือมีผู้นำเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ (AED) มาถึง

                อุบัติเหตุไม่ว่าร้ายแรงหรือไม่ก็ตามก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้นค่ะ สิ่งสำคัญอย่างที่สุด คือ การมีสติ และต้องรีบให้ความช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีการสูญเสียขึ้น

                กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่ที่สนใจการช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วย “วิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง” โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศในพระบรมราชูปถัมภ์ โครงการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน CPR กิจกรรม “ภารกิจพิชิตหัวใจ กู้ภัยลูกรักและคนที่รักในครอบครัวให้ปลอดภัยจากการหมดสติ”
                สามารถลงทะเบียน เข้าร่วม Workshop ฟรี!! ได้ตั้งแต่วันนี้ รับจำนวนกำจัด 15 ที่ เพื่อเข้าร่วม Workshop ที่งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 ณ ไบเทค บางนา ในวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. 65 เวลา 16.50 – 17.40 น. และ วันอาทิตย์ที่ 3 ก.ค. 65 เวลา 14.00 – 14.50 น.

                วิธีทำ CPR ที่ถูกต้อง

                  จมน้ำ DROWNING

                  วิธีป้องกันและช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อลูกจมน้ำ

                  ข่าวเด็ก จมน้ำ มีมาให้ได้ยินกันอยู่บ่อยครั้งเลยค่ะ ซึ่งทุกครั้งที่เกิดขึ้นมักมาจากการไม่รู้วิธีช่วยเหลืออย่างทันท่วงที และการปฐมพยาบาลจากการจมน้ำ หรือบางครั้งก็เกิดจากการที่เผลอเรอของผู้ใหญ่ ที่ปล่อยให้ลูกหลานคาดสายตา จนเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าจากการจมน้ำ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids มีวิธีช่วยลูกจมน้ำ มาฝากค่ะ

                  จริง ๆ แล้วการป้องกันไม่ให้บุตร หลาน เกิดอุบัติเหตุจากการจมน้ำ สิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองทำได้อย่างที่สุดก็คือ อย่าปล่อยให้ลูกคาดสายตาหากจะพาเด็ก ๆ ลงเล่นน้ำ ผู้ปกครองต้องอยู่ใกล้ ๆ ด้วยตลอดเวลา ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้เด็ก ๆ ไปเล่นน้ำกันตามลำพัง แล้วก็ควรที่จะมีอุปกรณ์การเล่นน้ำให้ลูกทุกครั้ง เช่น เสื้อชูชีพ , ห่วงยาง เป็นต้น อีกอย่างหนึ่งที่อยากแนะนำให้กับคุณพ่อคุณแม่ก็คือ ส่งเสริมให้ลูกมีทักษะการว่ายน้ำ และการเอาตัวรอดในน้ำได้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น

                  ถ้าลูกจมน้ำ ต้องช่วยให้เร็วที่สุด

                  ไม่ว่าจะลูกเรา หรือเด็กคนไหนก็ตาม ถ้าคุณพ่อคุณแม่พบเห็นว่ากำลังจมน้ำ สิ่งสำคัญคือต้องช่วยเหลือให้เร็วที่สุด การจมน้ำ จะนับเวลาที่ร่างกายขาดออกซิเจนภายใน 4 นาที เพราะน้ำจะเข้าไปในระบบทางเดินหายใจและปอด จนทำให้เกิดภาวะขาดออกซิเจนเฉียบพลัน และส่งผลให้หัวใจหยุดเต้น ฉะนั้นจะต้องรีบช่วยให้ขึ้นจากน้ำ และรีบปฐมพยาบาลในทันที

                  วิธีป้องกันไม่ให้ลูก จมน้ำ

                  1. ระวังจุดเสี่ยงในบ้าน และรอบๆ บ้าน เช่น สระน้ำ , โถชักโครก , กะละมังซักผ้า ฯลฯ
                  2. ฝึกให้ว่ายน้ำเป็นตั้งแต่เล็ก ๆ รวมถึงการสอนให้รู้จักความปลอดภัยทางน้ำ
                  3. ไม่ควรให้ลูกเล่นน้ำโดยลำพัง ควรมีผู้ปกครองอยู่ด้วยเสมอ
                  4. บริเวณสระว่ายน้ำ หรือแหล่งท่องเที่ยวทางน้ำ ควรมีผู้ดูแลความปลอดภัย (Lifeguard ) ป้ายเตือนความลึก ฯลฯ

                  *วิธีปฐมพยาบาลเด็กจมน้ำ อย่างไรให้ปลอดภัย 

                  1. สิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อพบว่ามีเด็กจมน้ำ คือการประเมินสถานการณ์ ผู้ที่จะเข้าไปช่วยเหลือเด็กต้องดูว่าตนเองสามารถช่วยเหลือได้มากแค่ไหน รีบขอความช่วยเหลือจากหน่วยฉุกเฉิน หรือเรียกรถพยาบาล เพื่อความปลอดภัยของเด็กและผู้ช่วยเหลือด้วย
                  2. เมื่อช่วยเหลือเด็กขึ้นมาจากน้ำแล้ว ควรให้เด็กนอนบนพื้นราบ แห้ง และปลอดภัย ไม่จับอุ้มเด็กพาดบ่าเพื่อเอาน้ำออก และประเมินอาการเพื่อช่วยเหลือต่อไป
                  3. หากเป็นการเกิดอุบัติเหตุทางน้ำและสงสัยว่าอาจจะกระทบกระเทือนต่อกระดูกต้นคอ ต้องระมัดระวังการเคลื่อนย้ายเด็ก
                  4. หากตรวจดูแล้วพบว่า
                  • ถ้าไม่หายใจแต่ยังมีชีพจร ให้ช่วยหายใจ โดยช่วยหายใจ 1 ครั้ง ทุก 3-5 วินาที ประเมินอาการซ้ำทุก 2 นาที
                  • ถ้าไม่มีชีพจรหรือไม่แน่ว่ามีชีพจร ให้ทำการกู้ชีวิต โดยกดหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับการช่วยหายใจ 2 ครั้ง โดยประเมินอาการซ้ำทุก 2 นาที
                  1. ถ้าเด็กที่จมน้ำรู้สึกตัวขึ้นมาให้เด็กนอนตะแคง จัดท่าของศีรษะให้คอแหงนเล็กน้อยเพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด*

                  เครดิต : *โรงพยาบาลพญาไท

                  จมน้ำ

                  กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอเชิญชวนคุณพ่อแม่ฟังสัมมนา ฟรี !! ในหัวข้อ “วิธีป้องกันและช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อลูกจมน้ำ” โดย ผู้เชี่ยวชาญจาก Swimming kids Thailand 

                  วันวันเสาร์ที่ 2 ก.ค. 65 เวลา 16.30-16.50 น.

                  วันอาทิตย์ที่ 3 ก.ค. 65 เวลา 13.40-14.00 น.

                  ที่งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 ณ ไบเทค บางนา

                   

                  อ่านบทความเรื่องอื่นที่น่าสนใจ คลิก 

                  พาลูกเรียนว่ายน้ำที่ไหนดี 10 โรงเรียนสอนว่ายน้ำเด็ก ฝึกทักษะเอาตัวรอด ป้องกันลูกจมน้ำ

                  เทคนิคสอนเด็กว่ายน้ำเอาตัวรอด ป้องกันเด็กจมน้ำ

                    ไทยมี ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เหมือนที่ชัชชาติพาลูกรักษา

                    ไทยมี ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เหมือนที่ชัชชาติพาลูกรักษา

                    คู่พ่อลูกสุดน่ารักตอนนี้ไม่มีใครเกินคู่ของ ผู้ว่าฯ ชัชชาติและน้องแสนดี- แสนปิติ สิทธิพันธุ์ ที่เมื่อคุณพ่อผู้ว่าฯ ลางานไปงานรับปริญญาแล้วไลฟ์กลับมา คนก็ติดตามดูถล่มทลายทุกคลิป โดยในคลิปหนึ่งคุณชัชชาติได้ จับภาพไปที่ประสาทหูเทียม ซึ่งน้องแสนดีได้ ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม เพื่อช่วยในการฟังเมื่อตอนอายุประมาณ 2 – 3 ขวบ เทคโนโลยีนี้ ทำให้น้องแสนดีที่หูหนวกสนิท สามารถได้ยินเสียงและพูดได้ในที่สุด ซึ่งตอนนี้ในไทยก็มีผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมแล้วเช่นกัน และมีสิทธิประโยชน์บัตรทอง สามารถรับอุปกรณ์ประสาทหูเทียมได้ด้วยค่ะ

                    ชัชชาติในวันที่พบว่าลูกไม่ได้ยินจนไปถึงการรักษาและบำบัด

                    คุณชัชชาติได้เล่าวินาทีที่พบว่าลูกไม่ได้ยิน การรักษา และการฝึกพูด ไว้ในเพจ มนุษย์กรุงเทพ ดังนี้ค่ะ

                    “ลูกชายของผมเกิดเมื่อปี 2000 ร่างกายภายนอกของเขาปกติดี กระทั่งวันหนึ่งมีคนทักว่า ทำไมเรียกแล้วไม่หัน พออายุหนึ่งขวบกว่าๆ ผมตัดสินใจพาไปตรวจ พยาบาลบอกผลว่า ลูกชายของผมหูหนวก เคยเห็นเด็กหูหนวกส่งภาษามือ แต่ไม่คิดว่าจะเจอกับตัวเอง เป็นวินาทีเปลี่ยนชีวิตเลย ตอนนั้นผมตกใจ นั่งร้องไห้ สงสารลูกว่าอนาคตจะเป็นยังไง เราเหมือนปฏิเสธตัวเอง คิดว่าหมออาจตรวจผิด เลยไปตรวจที่อื่น แต่ทุกที่ก็บอกเหมือนเดิม ผมถึงขนาดไปไหว้พระ บนบานศาลกล่าว ขอให้เขาหาย ตอนลูกหลับก็เอาหูฟังเสียงดังๆ เปิดใส่ เผื่อจะกระตุ้นให้เขาได้ยิน เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ เวลาผ่านไปเริ่มตกตะกอนว่าเป็นไปไม่ได้

                    “ผมเริ่มซื้อหนังสือเกี่ยวกับคนหูหนวกมาอ่าน ศึกษาบทความต่างๆ ทางเลือกมีทั้งการฝึกใช้ภาษามือ แต่คนอื่นสื่อสารด้วยยาก สังคมก็จะแคบ หรือใช้เครื่องช่วยฟัง ซึ่งเหมาะกับคนที่มีการได้ยินเหลืออยู่บ้าง หรือวิธีอ่านปาก ซึ่งก็ต้องใช้พร้อมเครื่องช่วยฟัง แต่ลูกของผมหูหนวกสนิทเลย อีกทางคือ การผ่าตัดประสาทหูเทียม สิบกว่าปีที่แล้วเมืองไทยมีอยู่บ้าง แต่เด็กที่ผ่ามักไม่ประสบความสำเร็จ คือพูดไม่ได้ แต่ผมคิดว่าถ้าทำสำเร็จ เขาจะสื่อสารกับคนทั่วไปได้เลย ผมเลยเลือกทางนี้

                    “ประเทศที่ผ่าตัดได้เยอะคือ ออสเตรเลีย ผมติดต่อไปหาหมอคนหนึ่ง เขาผ่ามานับพันคน บินไปคุยอยู่สองครั้ง แล้วถึงพาลูกไปตรวจ พอรู้ผลว่าผ่าได้ ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์ เลยสอบเอาทุนจากรัฐบาลออสเตรเลียไปทำวิจัย แล้วพาลูกไปผ่าเมื่อเดือนธันวาคม 2002 ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือเราต้องฝึกให้เขาเข้าใจเครื่องนี้ ปกติประสาทหูชั้นในมีลักษณะเป็นก้นหอย มีขนๆ อยู่ พอได้ยินเสียง ขนก็สั่น แล้วเปลี่ยนเป็นกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นสมอง แต่ลูกของผมไม่มี เลยใส่ขดลวดไฟฟ้าไปแทน เวลาพูดจะเหมือนที่เราพูดกัน แต่เขาจะได้ยินอีกแบบ สมมุติคำว่า พ่อ เขาก็จะได้ยินเป็น ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด

                    “หลังจากผ่าตัด ช่วงแรกเขาไม่พูดเลย เราก็เครียด ไม่รู้ว่ามาถูกทางหรือเปล่า ถ้าผิดก็ไม่รู้จะกลับไปยังไง การผ่าก็ไปทำลายของเดิมทั้งหมด ตอนนั้นพ่อแม่ต้องฝึกอาทิตย์ละ 3 ชั่วโมง เพื่อกลับมาฝึกลูก 24 ชั่วโมงที่บ้าน หลังหกเดือนเขาก็เริ่มพูดได้ เครื่องมีความละเอียดไม่เท่าหูคน ผมเลยเลือกฝึกภาษาอังกฤษเพราะวรรณยุกต์ไม่เยอะ อีกอย่างความรู้บนโลกนี้ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเขาพูดได้ อนาคตคงเรียนภาษาไทยได้ หลังจากนั้นเขากลับมาอยู่โรงเรียนอินเตอร์ พูดอังกฤษได้ พูดไทยได้นิดหน่อย เป็นเด็กหูหนวกหนึ่งในไม่กี่คนที่เรียนโรงเรียนคนปกติได้

                    หูหนวก 

                    หูหนวก คือภาวะที่ความสามารถในการได้ยินลดลงหรือสูญเสียการได้ยินทั้งหมด เกิดขึ้นได้ตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นในภายหลัง โดยมีสาเหตุส่วนใหญ่ เช่น ประสาทหูเสื่อมเพราะอายุมากขึ้น กรรมพันธุ์ การได้รับบาดเจ็บ หรือการได้ยินเสียงดังเป็นเวลานาน

                    การรักษาหูหนวก

                    การสูญเสียการได้ยินที่มีสาเหตุมาจากความเสียหายของหูชั้นใน หรือโสตประสาทจะเป็นการสูญเสียอย่างถาวร โดยวิธีที่ช่วยให้ได้ยินและมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ ดังนี้

                    • เครื่องช่วยฟัง (Hearing Aids) เป็นเครื่องที่ช่วยขยายเสียงให้ได้ยินชัดขึ้นและช่วยให้ได้ยินง่ายขึ้น โดยผู้ป่วยต้องปรึกษากับนักตรวจการได้ยินถึงประโยชน์ในการใช้เครื่องช่วยฟัง หรือวิธีการใช้และความเหมาะสมในการใช้กับผู้ป่วยแต่ละราย
                    • ประสาทหูเทียม (Cochlear Implant) เป็นเครื่องมือที่จะช่วยทำงานทดแทนหูชั้นในส่วนที่ได้รับความเสียหายหรือไม่ทำงาน โดยอุปกรณ์ดังกล่าวจะแปลงสัญญาณเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่จะช่วยกระตุ้นเซลล์ขนภายในอวัยวะรับเสียงให้ทำหน้าที่ได้ดีขึ้น มักจะใช้กับผู้ป่วยที่ประสาทหูเสื่อมอย่างรุนแรง เช่น หูหนวกหรือหูเกือบหนวก

                    ประสาทหูเทียม 

                    เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ฟังเพื่อทดแทนการทำงานของหูชั้นใน โดยทำหน้าที่แทนเซลล์ขน (hair cells) ของหูชั้นในที่หยุดทำงาน โดยเครื่องแปลงสัญญาณเสียงจะทำหน้าที่เปลี่ยนคลื่นเสียงที่รับผ่านไมโครโฟนแล้วไปแปลงคลื่นเสียงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า เพื่อส่งต่อไปยังเครื่องรับสัญญาณเสียงที่ผ่าตัดฝังไว้ สัญญาณไฟฟ้าจะผ่าน cochlea และ cochlear nerve แล้วส่งต่อไปยังสมองส่วนที่รับการได้ยิน ทำให้เกิดการได้ยิน

                    ประสาทหูเทียม มีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน ได้แก่

                    • ส่วนที่ฝังอยู่ภายในร่างกาย หรือเรียกว่าเครื่องรับสัญญาณเสียง
                    • ส่วนที่อยู่ภายนอกร่างกาย หรือเรียกว่าเครื่องแปลงสัญญาณเสียง
                    ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม
                    น้องแสนดี ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม และใส่อุปกรณ์ประสาทหูเทียม

                    สถานที่ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม

                    ในปัจจุบันหลายโรงพยาบาลมีเทคโนโลยีที่จะผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมได้ เช่นเดียวกับที่น้องแสนดีเคยไปผ่าตัดที่ออสเตรเลียมาแล้ว เช่น ที่โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โรงพยาบาลพญาไท เป็นต้น

                    หลักเกณฑ์ว่าลูก ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม ได้

                    ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม คือ

                    1. อายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
                    2. สูญเสียการได้ยินทั้งสองข้างระดับรุนแรง ระดับการได้ยินมากกว่า 80 เดซิเบล และใช้เครื่องช่วยฟังแล้วไม่ได้ผล ไม่มีโรคที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัด
                    3. มีสุขภาพจิต และสติปัญญาดีพอที่จะสามารถฟื้นฟูสมรรถภาพได้
                    4. ต้องสามารถเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพการได้ยินหลังการผ่าตัด และติดตามผลเป็นระยะ ๆ ได้
                    5. มีศักยภาพที่จะดูแล บำรุงรักษาอุปกรณ์ประสาทหูเทียมได้

                    วิธีประเมินก่อน ผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม 

                    • ตรวจร่างกาย
                    • ประเมินระดับการได้ยิน และการใช้เครื่องช่วยฟัง
                    • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์และตรวจเลือด
                    • ประเมินภาวะทางจิต และสติปัญญา หรือพัฒนาการในเด็ก
                    • ประเมินความพร้อมของครอบครัวที่จะดูแลและติดตามการรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพภายหลังการผ่าตัด

                    สิทธิรับอุปกรณ์ประสาทหูเทียม

                    เด็กที่มีสิทธิสามารถรับอุปกรณ์ประสาทหูเทียม ในการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม มีเกณฑ์ดังนี้

                    1. เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ที่มีสิทธิบัตรทอง 30 บาท หรือสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
                    2. เด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี ที่มีระดับการได้ยิน 90 เดซิเบลขึ้นไป
                    3. ไม่เคยฝึกภาษามือ
                    4. มีข้อบ่งชี้จากแพทย์เพื่อผ่าตัดรักษา

                    อุปกรณ์ประสาทหูเทียมที่จะได้รับ

                    สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ คือ อุปกรณ์ชุดประสาทหูเทียม 1 ชุด/คน ประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่อยู่ในร่างกาย และส่วนที่อยู่นอกร่างกาย ดังนี้

                    1) ส่วนที่อยู่ในร่างกาย ประกอบด้วยอุปกรณ์สำคัญ คือ ตัวรับสัญญาณ (receiver) และ ขั้วไฟฟ้า (eleclrode array) ชนิดหลายขั้ว ตั้งแต่ 12 electrodes ขึ้นไป

                    2) ส่วนที่อยู่นอกร่างกาย ประกอบด้วย

                    2.1 เครื่องแปลงสัญญาณเสียงพูด (speech processor)
                    2.2 ขดลวดส่งต่อสัญญาณและแม่เหล็ก
                    2.3 สายไฟเชื่อมต่อเครื่องแปลงสัญญาณเสียงพูดเข้ากับขดลวดส่งต่อสัญญาณ (coilcable)
                    2.4 แบตเตอรี่ชนิดประจุไฟฟ้าใหม่ได้ (rechargeable battery) อย่างน้อย 2 ชุดพร้อมแท่นชาร์ต
                    2.5 มีระบบ Data Logging เพื่อให้สามารถรู้ว่าผู้ป่วยใช้งานหรือไม่
                    2.6 มีระบบการป้องกันน้ำที่มาตรฐานไม่ต่ำกว่า International Protection 57 ขึ้นไป
                    2.7 มีไมโครโฟน (omni direction) อย่างน้อย 2 ตัว
                    2.8 มีกล่องอบกันความชื้น

                    วิธีการใช้สิทธิ

                    ติดต่อที่หน่วยบริการตามสิทธิ โดยแสดงสูติบัตรในการเข้ารับบริการ หากหน่วยบริการตามสิทธิไม่มีแพทย์เฉพาะทางจะส่งต่อไปยังหน่วยบริการที่มี อุปกรณ์ชุดประสาทหูเทียม แต่หากมีเอกสารประกอบยืนยันประเภทคนพิการ สามารถเข้ารับบริการหน่วยบริการของรัฐได้ทุกแห่ง

                    การได้ยินในที่ได้รับการผ่าตัดฝังประสาทหูเทียม จะไม่เหมือนการได้ยินปกติ ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ และฝึกฝนจึงจะสามารถฟัง แปลผล และสื่อสารได้ จึงมีความจำเป็นที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากครอบครัว และบุคลากรหลายด้าน ซึ่งประกอบด้วย แพทย์ นักแก้ไขการพูด ครูการศึกษาพิเศษ หรือ ครูที่โรงเรียน เพื่อน ที่ต้องเอาใจใส่ พูดคุยกระตุ้นเพื่อให้ได้ฝึกฟังและพูดตลอดเวลา

                    สอบถามเพิ่มเติมการใช้สิทธิบัตรทอง สายด่วน สปสช. 1330 หรือช่องทางระบบออนไลน์ทั้งไลน์ สปสช. @nhso หรือคลิก https://lin.ee/zzn3pU6 และ Facebook : สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ https://www.facebook.com/NHSO.Thailand

                     

                    ขอบคุณข้อมูลจาก
                    สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ,คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์, pobpad

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                    ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในมุมความเป็นพ่อให้แง่คิดอะไรกับเรา

                    ชาวเน็ตซึ้ง! แห่แชร์เรื่องเล่า”ชัชชาติ” พ่อผู้แข็งแกร่งดูแลลูกชายหูหนวก

                    ส่อง 29 นโยบายเรียนดี ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์

                      ลูกติดโทรศัพท์ ลูกติดจอ

                      MRIสมองเด็กชี้ชัดอันตรายเมื่อ ลูกติดโทรศัพท์ ก่อน 2ขวบ

                      ลูกติดโทรศัพท์ ก่อน 2 ขวบ รู้ไหมมีผลเสียอย่างไร มาชวนดูกันให้ชัดจากภาพ MRI สมองของเด็กที่อ่านหนังสือ และดูที่จอว่าแตกต่างกันอย่างไร ใส่ใจลูกสักนิดก่อนสาย

                      ภาพ MRIสมองเด็กชี้ชัดอันตรายเมื่อ ลูกติดโทรศัพท์ ก่อน 2ขวบ

                      เป็นที่รู้กันว่าพัฒนาการในด้านต่าง ๆ จะมีความสำคัญมากในช่วงวัยเด็ก เพราะเป็นวัยแห่งการเรียนรู้ และพัฒนาด้านต่าง ๆ ในเจริญสมบูรณ์ ซึ่งจะมีพัฒนาการดีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ องค์ประกอบ ส่วนหนึ่ง และเป็นส่วนที่สำคัญ นั่นคือ ปัจจัยด้านการเลี้ยงดู

                      ทฤษฎีการเรียนรู้ : ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget)

                      ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลังจะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

                      ทารกติดจอ อันตรายกว่าที่คิด
                      ทารกติดจอ อันตรายกว่าที่คิด

                      ลำดับขั้นการเรียนรู้ของเด็กวัยก่อน 2 ขวบ : ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) 

                      ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง  ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ  เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญา

                      ความคิดความเข้าใจของเด็กในขั้นนี้ จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อย ๆ เป็นการเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรมอย่างมีจุดมุ่งหมาย และสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิดของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น

                      ข้อมูลอ้างอิงจาก จิตวิทยาสำหรับครู รศ.มัณฑรา ธรรมบุศย์

                      ภาพ MRI สมอง : ทำไมเด็กก่อน 2 ปี ไม่ควรดูจอ??

                      ลูกติดโทรศัพท์ ภาพ MRI เทียบระหว่างสมองเด็กที่อ่านหนังสือกับดูจอ
                      ลูกติดโทรศัพท์ ภาพ MRI เทียบระหว่างสมองเด็กที่อ่านหนังสือกับดูจอ

                       

                      หมอมะเหมี่ยว คุณหมอเด็ก ได้กล่าวไว้ในเพจเฟสบุ๊คเกี่ยวกับการงดจอก่อน 2 ขวบ โดยได้กรุณาหยิบยกเอาภาพ MRI สมองเด็กที่เปรียบเทียบกันระหว่างเด็กที่อ่านหนังสือ และเด็กที่ดูจอ แสดงให้เห็นภาพของใยประสาท (White Matter) พบว่า เด็กที่อ่านหนังสือ จะมีใยประสาทที่เรียงกันเป็นระเบียบ ซึ่งแตกต่างจากใยประสาทของเด็กที่ดูจอที่มีใยประสาทกระจัดกระจาย โดยคุณหมอได้สรุปไว้ว่าการให้ “จอ” เลี้ยงลูกนั้น จะมีผลต่อพัฒนาการของเด็กในหลายด้าน แม้ไม่ต้องเข้าเครื่อง MRI ก็พอมองเห็นได้
                      สามารถติดตามเนื้อหาฉบับเต็ม และเรื่องราวดี ๆ ต่อได้จากเฟสบุ๊คเพจของ Doctor MM Family เมาท์เรื่องลูกกับหมอมะเหมี่ยว
                      สสารสีเทาของสมองประกอบด้วยเซลล์สมองส่วนใหญ่ที่บอกให้ร่างกายรู้ว่าต้องทำอะไร ใยประสาท ซึ่งโดยทั่วไปจะกระจายเป็นมัดที่เรียกว่า ทางเดิน จะสร้างการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมองกับส่วนที่เหลือของระบบประสาท
                      การเพิ่ม และจัดระเบียบใยประสาทมีความสำคัญต่อความสามารถของสมองในการสื่อสารผ่านส่วนต่างๆ ของสมอง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการทำงานและความสามารถในการเรียนรู้ของสมอง หากไม่มีระบบการสื่อสารที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี ความเร็วในการประมวลผลของสมองก็จะช้าลงและการเรียนรู้ก็จะแย่ลง

                      ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ติดจอ

                      นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รักษาราชการแทนอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทุกวันนี้หลาย ๆ ครอบครัวมักจะนำเทคโนโลยีเข้ามาเลี้ยงลูกกันมากขึ้น หรือปล่อยให้เด็กอยู่กับสื่อเทคโนโลยี เช่น มือถือ แท็บเล็ต หรือให้ดูทีวีทั้งวัน เพื่อให้เด็กสงบนิ่ง หรือหยุดร้องไห้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะในเด็กวัยต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรเล่นหรือดูสื่อเหล่านี้เด็ดขาด เพราะมีผลทำให้พัฒนาการล่าช้า และในเด็กแรกเกิดถึง 3 ปี เป็นช่วงวัยที่สำคัญที่สุด ในการเรียนรู้ เนื่องจากสมองของเด็กจะพัฒนาสูงสุด ซึ่งมีสิ่งแวดล้อมโดยรอบจะเป็นตัวกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสมองในช่วงต้น หากปล่อยให้เด็กใกล้ชิดสื่อเหล่านี้มากเกินไปโดยไม่กำหนดเวลาดูหรือเลือกสื่อ ที่ไม่เหมาะสม

                      ทฤษฎีของเพียเจต์ การเรียนรู้ของเด็กก่อนวัย 2 ขวบ มาจากการเล่น สัมผัส
                      ทฤษฎีของเพียเจต์ การเรียนรู้ของเด็กก่อนวัย 2 ขวบ มาจากการเล่น สัมผัส

                      ผลเสียต่อพัฒนาการเมื่อ ลูกติดโทรศัพท์

                      1. ด้านการสื่อสาร : พูดช้า พูดไม่ชัด ขาดความคิดสร้างสรรค์ และการจ้องมองจอภาพเป็นเวลานานจะส่งผลเสียกับดวงตาได้ เช่น ทำให้สายตาสั้น ดวงตาแห้ง เป็นต้น
                      2. ด้านร่างกาย : ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย เพราะขาดการเคลื่อนไหวออกกำลังกายตามที่วัยที่ควรจะเป็น
                      3. ด้านอารมณ์ :ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เพราะเด็กแยกแยะโลกของออนไลน์ กับความเป็นจริงไม่ได้ ทำให้หงุดหงิดง่าย ใจร้อน รอคอยไม่เป็น ขาดสมาธิไม่จดจ่อ หรือตั้งใจทำกิจกรรมใด ๆ
                      4. ด้านพฤติกรรม : ก้าวร้าว ซน สมาธิสั้น โลกส่วนตัวสูง มีพฤติกรรมคล้ายออทิสติก (ออทิสติกเทียม)ภาวะออทิซึม หรือคนทั่วไปมักเรียกว่าออทิสติก เป็นกลุ่มโรคที่มีความบกพร่องของพัฒนาการด้านสังคมและภาษา เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทำให้มีความบกพร่องของระบบประสาท ส่วน “พฤติกรรมคล้ายออทิสติก” หรือที่หลายคนเข้าใจและมักเรียกว่า “ออทิสติกเทียม” นั้น ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยโรคทางการแพทย์ เกิดจากเด็กขาดการกระตุ้นให้มีการพูดคุย สื่อสาร หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น การที่เด็กจดจ่อหน้าจอโทรทัศน์ จอโทรศัพท์มือถือ หรือใช้สื่อผ่านจออื่นๆ มากเกินไป ซึ่งจะทำให้เด็กขาดการเรียนรู้ด้านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านภาษาล่าช้าไม่สมวัยอาการของเด็กที่มีพฤติกรรมคล้ายออทิสติก เมื่อเทียบกับพฤติกรรมของเด็กในวัยเดียวกัน เช่น ไม่สื่อสารด้วยการพูด ไม่เลียนแบบผู้ใหญ่ ไม่สนใจสิ่งรอบตัว เล่นกับใครไม่เป็น ไม่สนใจผู้อื่น ร้องไห้งอแงเมื่อไม่ได้ดูสื่อผ่านจอ ติดที่จะเล่นอุปกรณ์สื่อผ่านจอโดยไม่สนใจว่าคุณพ่อคุณแม่จะกอดหรือหอม หากปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป จะทำให้เด็กมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน

                        การอ่านนิทาน ช่วยเพิ่มคำศัพท์ให้ลูกแม้ยังอ่านไม่ออก
                        การอ่านนิทาน ช่วยเพิ่มคำศัพท์ให้ลูกแม้ยังอ่านไม่ออก

                      10 ประโยชน์จากการอ่านหนังสือให้ลูกฟัง 

                      1. เด็ก ๆ จะเรียนรู้คำศัพท์ที่เพิ่ม และกว้างมากขึ้น แม้สำหรับเด็กทารก หรือเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถอ่านออก เขียนได้ แต่การที่พ่อแม่อ่านหนังสือที่มีภาพประกอบให้ลูกฟัง พวกเขาก็สามารถเชื่อมโยงคำพูดกับการมองคำศัพท์นั้น ๆ ได้
                      2. เพิ่มระดับสติปัญญาของลูกได้ จากงานวิจัยมากมาย รวมทั้งภาพ MRI ที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเด็กที่อ่านหนังสือ กับดูจอ ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าการอ่านหนังสือ ช่วยเพิ่มระดับสติปัญญาของเด็ก
                      3. ช่วยเสริมสร้างจินตนาการของเด็ก ๆ ผ่านตัวละครในหนังสือนิทาน
                      4. พัฒนาทักษะในด้านความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ ให้ดีขึ้น
                      5. เด็ก ๆ เกิดการพัฒนาในเรื่องการเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น (หากหนังสือที่อ่านสอดแทรกเรื่องพวกนี้เอาไว้ จะทำให้เด็กๆเห็นภาพและจำเป็นใช้ในชีวิตจริงได้)
                      6. ช่วยให้เด็กเข้าใจความแตกต่าง หลากหลายของโลก
                      7. ฝึกสมาธิ ระดับสมาธิของเด็ก ๆ ที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
                      8. เสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว การอ่านหนังสือด้วยกัน จะช่วยเสริมสร้างความผูกพันของพ่อแม่และลูกได้ดีขึ้น
                      9. เด็ก ๆ จะได้รับการสนับสนุนในเรื่องของการกระทำ หรือกระบวนการทางสมองเพื่อนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจโดยจะผ่านทางความคิด ประสบการณ์ และประสาทสัมผัสของพวกเขา
                      10. ช่วยเสริมสร้างทักษะของเด็ก ๆ ทางสังคม และปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น

                      เคล็ดลับอ่านนิทานให้ลูกฟังง่ายนิดเดียว แม้ไม่เคยอ่านมาก่อนก็ตาม

                      • ให้ลูกเลือกนิทานเอง

                      ก่อนอ่านนิทานเราควรมีหนังสือที่เหมาะกับวัย และนิสัยของลูกไว้ที่บ้าน เพื่อเขาจะได้เลือกว่าเขาอยากจะอ่านเล่มไหน  เช่น หนังสือลอยน้ำ เหมาะสำหรับเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ขวบ เพราะว่าจะไม่ขาดหรือเปียก และมีเนื้อหาที่กระชับ เข้าใจง่าย หรือ บอร์ดบุ๊คสำหรับเด็ก ๆ ที่ชอบฉีกหรือโยนหนังสือ เป็นต้น เมื่อเรามีหนังสือที่เหมาะกับวัย เราสามารถเปิดโอกาสให้ลูกได้ตัดสินใจเลือกเรื่องที่เขาชอบได้ เมื่อเขาได้เลือกเอง เขาจะยิ่งสนใจ และสนุกไปด้วยกัน

                      • ควรพร้อมเมื่อเริ่มอ่าน

                      หาช่วงเวลาที่ทุกคนว่าง และพร้อมที่จะนั่งฟังนิทาน เช่น ก่อนนอน หรือวันหยุด เป็นต้น จัดให้ลูกอยู่ในท่าที่สบายตัว หากมีลูกหลายคน ก็ให้ทุกคนนั่งในจุดที่จะเห็นหนังสือได้ชัดเจน เราอาจจะรอสักครู่ให้ลูกพร้อมก่อนแล้วค่อยเริ่ม ก่อนเริ่มเราสามารถให้สัญญาณกับเขา เช่น บอกเขาว่า “พ่อจะอ่านนิทานแล้วนะครับ” เพื่อเด็ก ๆ จะได้รู้ว่านี่คือเวลาที่เราจะอ่านนิทาน ไม่ใช่เวลาเล่น หรือกินข้าว

                      ลูกติดโทรศัพท์ ติดจอ อย่าปล่อยให้สายเกินแก้
                      ลูกติดโทรศัพท์ ติดจอ อย่าปล่อยให้สายเกินแก้
                      • พ่อแม่สนุก ลูกสนุก

                      เทคนิคที่พ่อแม่สามารถนำมาใช้ในการอ่าน คือ ให้ตัวเราเองรู้สึกสนุก  ถ้าเรารู้สึกสนุก ลูกก็จะสนุก และถ้าเราตื่นเต้น หรือขำ ลูกก็จะรู้สึกแบบเดียวกัน เด็ก ๆ ชอบให้มีเสียงสูง เสียงต่ำ เวลาเล่าเรื่อง ถ้ามีเสียงประกอบหรือคำกลอนที่มีคำคล้องจองหรือคำซ้ำจะทำให้เด็ก ๆ สนุกมากยิ่งขึ้น และเมื่อถึงช่วงตื่นเต้น เราอาจจะเล่าช้าลงให้เด็ก ๆ ได้ลุ้นว่าจะเกิดอะไรขึ้น

                      • ทบทวนนิทาน

                      เมื่ออ่านเสร็จเราสามารถคุยกับลูกเรื่องนิทานได้ อาจทวนเนื้อเรื่อง และเชื่อมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับในชีวิตจริงของลูก เช่น เพราะอะไร ชิโรสะถึงไม่กล้าคุยกับคุณยาย และถามต่อว่า เราเคยไม่อยากคุยกับผู้ใหญ่บ้างไหม เพราะอะไร เป็นต้น การทำเช่นนี้ ทำให้พ่แม่ได้มีโอกาสเข้าใจลูกมากขึ้น และเขาก็จะได้เรียนรู้ และเข้าใจตัวเองผ่านนิทานเหล่านี้ด้วย

                      ข้อมูลอ้างอิงจาก CNN Health/ รพ.สินแพทย์ /amarinbooks.com

                      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                      ลูกติดจอ ติดมือถือ แก้ได้ด้วยกฎ 3 ต้อง 3 ไม่

                      ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ทารกดูมือถือนานกระทบต่อความฉลาด!

                      พ่อแม่สำรวจตัวเองด่วน เป็นพ่อแม่สำเร็จรูป…สาเหตุลูกพัฒนาการช้า

                      เปิดเทอม นี้มาส่องลูกด้วย 10คำถามหลังเลิกเรียนกันเถอะ

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                        เฝ้าระวังกัญชา

                        ด่วน!ผู้ว่าฯชัชชาติลงนาม เฝ้าระวังกัญชา ในโรงเรียน

                        ด่วน!ผู้ว่าฯชัชชาติลงนาม เฝ้าระวังกัญชา ในโรงเรียน

                        เฝ้าระวังกัญชา  ด่วน! ‘ผู้ว่าฯชัชชาติ’ ลงนาม ประกาศ เฝ้าระวังกัญชาในโรงเรียน ให้เป็น ‘เขตปลอดกัญชา-กัญชง’ ห้ามขายอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของกัญชาในโรงเรียน ส่วนครู-บุคคลากรในโรงเรียนก็ต้องเป็นแบบอย่าง

                        ประกาศกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังกัญชา

                        กรุงเทพมหานคร โดยการลงนามของ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้ออกประกาศเฝ้าระวังกัญชา ในโรงเรียนสังกัด กรุงเทพมหานคร ดังนี้
                        “ประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง การเฝ้าระวังปัญหาที่เกิดจากการใช้กัญชา หรือกัญชง ในนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร โดยที่เป็นการสมควรกำหนดมาตรการป้องกัน และฝ้าระวังปัญหาที่เกิดจากการใช้กัญชา หรือกัญซง ในนักเรียนโรงเรียน สังกัดกรุงเทพมหานคร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 จึงประกาศมาตรการ และการเฝ้าระวังปัญหา ที่เกิดจากการใช้กัญชา หรือกัญชงในนักเรียนโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ดังนี้

                        มาตรการ 9 ข้อ ชัชชาติ เฝ้าระวังกัญชา

                        1. ให้โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ “ปลอดกัญชาหรือกัญชง”
                        2. งดจำหน่ายอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ที่มีส่วนผสมของกัญชา หรือกัญชง ภายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
                        3. ห้ามโฆษณาอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา หรือกัญชง ภายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร
                        4. ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ภายในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ปฏิบัติตนป็นแบบอย่างแก่นักเรียน และกวดชัน ดูแลนักเรียนมิให้มีการบริโภคกัญชาหรือกัญชง
                        5. ให้โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร มุ่งเน้นการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับกัญชาหรือกัญชงและอันตรายจากกัญชาหรือกัญชง แก่นักเรียน ด้วยการบูรณาการเข้ากับกลุ่มสาระการเรียนรู้และกิจกรรมต่าง ๆ ในการเรียนการสอนทุกระดับ
                        6. ให้โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครมีแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย และจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมนักเรียนตามความถนัดหรือความสนใจ โดยสอดแทรกและเน้นย้ำเรื่องพิษภัยของกัญชาหรือกัญชง
                        7. ให้โรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ประชาสัมพันธ์ เรื่องโทษของการใช้กัญชาหรือกัญชงที่ส่งผลต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของนักเรียน
                        8. ประสานความร่วมมือ แจ้งนโยบายการเฝ้าระวังปัญหาฯ แก่ผู้ปกครอง ชุมชน รวมถึง ผู้ประกอบการร้านค้ารอบโรงเรียน เฝ้าระวังไม่ให้มีการจำหน่าย อาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา หรือกัญชง
                        9. ให้ผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ประสานความร่วมมือกับ สำนักการแพทย์ สำนักอนามัย สำนักการศึกษา และสำนักงานเขต เพื่อบูรณาการการป้องกัน และเฝ้าระวังปัญหาที่เกิดจากการใช้กัญซา หรือกัญชงในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานครอย่างใกล้ชิด
                        ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”
                        เฝ้าระวังกัญชา
                        ด่วน!ผู้ว่าฯชัชชาติลงนาม เฝ้าระวังกัญชา ในโรงเรียน

                        หมอธีระโพสต์เตือน กัญชากับวัยรุ่น

                        ในกรณีนี้ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ข้อมูลวิชาการแพทย์นั้นชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพและสังคม โดยอันตรายของการเสพกัญชาในวัยรุ่นนั้นมีดังนี้
                        • กลุ่มวัยรุ่นที่พยายามจะฆ่าตัวตายมีประวัติการเสพกัญชามากกว่าปกติ 3.46 เท่า
                        • กลุ่มวัยรุ่นที่เป็นโรคซึมเศร้านั้นมีประวัติการเสพกัญชามากกว่ากลุ่มที่ไม่เป็น ราว 1.37 เท่า
                        • กลุ่มวัยรุ่นที่มีความคิดจะทำร้ายตนเอง/คิดที่จะฆ่าตัวตายมีประวัติการเสพกัญชามากกว่ากลุ่มที่ไม่เป็น ราว 1.5 เท่า
                        นี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับสังคมไทยที่จะต้องเตรียมรับมือกับสังคมอุดมกัญชา
                        คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง คุณครู รวมถึงน้องๆ เด็กวัยรุ่น เยาวชน อาจต้องช่วยกันสอดส่องดูแล ให้คำแนะนำ ให้ความรู้แก่ลูกหลานและเพื่อนๆ อย่าได้ไปริลองกัญชา
                        นอกจากนี้หากพบปัญหาทางจิตเวช ซึมเศร้า ทำร้ายตนเอง พยายามฆ่าตัวตาย ก็ให้นึกถึงสาเหตุเรื่องการใช้ยาเสพติดต่างๆ ไว้ด้วย จะได้วางแผนดูแลและป้องกันได้ในอนาคต
                        เรื่อง Self harm จะพบมากขึ้น หลังปลดล็อคและควบคุมการใช้ไม่ได้

                        ร้านค้าและร้านอาหารเครื่องดื่มที่มีกัญชาต้องแจ้งให้ชัดเจน

                        นอกจากนี้ทางศูนย์พิษวิทยา รามาธิบดี ได้ออกมาแนะนำร้านค้าที่จะใส่กัญชาดำเนินการดังนี้ค่ะ

                        1. ติดป้ายฉลากแสดงให้ชัดเจนทั้งเมนู​และบรรจุภัณฑ์​

                        ผู้บริโภค​จะได้เลือกซื้อได้ถูกต้อง หากทำได้บอกระดับ THC ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคและต่อชิ้นมาด้วยเลย…และจัดเก็บผลิตภัณฑ์แยก แบบใส่กัญชากับไม่ใส่กัญชาออกกันให้ชัดเจน
                        เพราะในต่างประเทศมีข่าวที่ครอบครัวสั่งซื้อบราวนี่ปกติกลับมากินบ้าน แต่เด็ก ๆ กินแล้วป่วยอาการหนัก สุดท้ายพบว่าเป็นบราวนี่กัญชา

                        2. บอกวิธีการวิธีบริโภคและข้อควรระวัง

                        2.1 คอนเฟิร์มว่า คนซื้อไม่มีข้อห้ามต่อการรับสาร THC และกัญชา
                        2.2 อันไหนที่ THC เข้มข้นมาก เมาง่ายมาก แนะนำลูกค้าด้วยว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใช้กัญชาเยอะประจำเท่านั้น ไม่ขายให้ผู้ใช้หน้าใหม่ หรือคนลองใช้ครั้งแรกเด็ดขาด
                        2.3 แนะนำวิธีใช้ตามหน่วยบริโภคเช่นจะให้กินคุกกี้ทีละ ครึ่งชิ้นหรือ 1/4 ชิ้นก่อน และเฝ้าดูอาการว่าได้ผลตามต้องการรึยัง
                        2.4 แนะนำระยะเวลาออกฤทธิ์ ส่วนมากของกินจะเริ่มออกฤทธิ์ช้า 20-60 นาทีหลังกิน แนะนำอย่ากินเพิ่มก่อนระยะเวลารอออกฤทธิ์
                        2.5 แนะนำอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น และแนะนำให้งดขับขี่ยานพาหนะหลังใช้ 6 ชม.

                        3. ทำป้ายบอกตัวโตๆ ว่าไม่ใส่กัญชา

                        สำหรับร้านที่ไม่ผสมกัญชา ให้ทำป้ายบอกให้ชัดเจนว่า “ขนม/อาหารร้านนี้ไม่ใส่กัญชา” เพื่อที่ คนท้อง คนให้นมบุตร ผู้มีโรคประจำตัวที่ควรเลี่ยงกัญชา และเด็ก ๆ จะได้มั่นใจในการบริโภคผลิตภัณฑ์จากร้าน
                        ขอบคุณข้อมูลจาก

                        Thira Woratanarat,ศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                        กุมารแพทย์ห่วง กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

                        ศูนย์พิษวิทยาเตือน!อาหารเครื่องดื่ม ใช้กัญชา มีอันตราย

                        แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

                          คาร์ซีท Car Seat

                          ทำไมต้องให้ลูกนั่ง “คาร์ซีท Car Seat” มีประโยชน์อย่างไร ?

                          คาร์ซีท Car Seat เบาะนั่งนิรภัยสำหรับเด็ก ถามว่าจำเป็นต้องติดตั้งไว้ในรถยนต์ไหม ? ขอตอบว่า “จำเป็นมาก” ถ้าที่บ้านมีลูกเล็ก เด็กน้อย ไม่ควรให้เขานั่งที่นั่งปกติของรถยนต์ เพราะเป็นที่นั่งไม่เหมาะกับสรีระของเด็กเล็กค่ะ และก็ไม่ควรให้ลูกนั่งบนตักของคุณพ่อคุณแม่ เพราะเวลาที่เกิดอุบัติเหตุรถชน ความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ทันที ฉะนั้นรถยนต์ส่วนตัวควรติดตั้งคาร์ซีท Car Seat ไว้เบาะหลัง เป็นเซฟโซนที่นั่งปลอดภัยให้กับลูก กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids จะพาไปดูว่าทำไม “คาร์ซีท” ถึงเป็นไอเทมอุปกรณ์ของใช้เด็กที่จำเป็นต้องซื้อใช้กันค่ะ

                          รู้ไหมคะว่า…อุบัติเหตุทางรถยนต์เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ๆ แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะมีความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน แต่บางครั้งก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นได้ ซึ่งในปัจจุบันรถยนต์ที่ผลิตออกมาจะมีการออกแบบให้มีความปลอดภัยสูงสุดกับผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย เป็นต้น แต่อุปกรณ์นิรภัยเหล่านี้ รวมถึงเบาะนั่งโดยสาร ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับสรีระของเด็กเล็ก ๆ ค่ะ ฉะนั้นหากมีลูก มีหลานตัวน้อย ๆ นั่งไปในรถยนต์ด้วย แนะนำว่าควรให้นั่งลงบนเบาะนิรภัย Car seat จะปลอดภัยมากกว่า และช่วยลดการได้รับบาดเจ็บที่รุนแรงจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

                          คาร์ซีท (Car Seat) เบาะที่นั่งนิรภัยในรถยนต์สำหรับเด็กจึงมีความสำคัญอย่างมาก เป็นอุปกรณ์ช่วยป้องกันการได้รับบาดเจ็บรวมถึงลดโอกาสที่จะได้รับความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึ่งปัจจุบัน Car Seat จะมีการออกแบบให้เหมาะสมกับรูปร่างและสรีระของเด็กตั้งแต่ช่วงวัยแรกเกิด จนถึงเด็กโต

                          ฉะนั้นเพื่อเป็นการปกป้องและรักษาชีวิตน้อย ๆ ของลูกรัก ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของคุณพ่อคุณแม่ เรามาสร้างเซฟโซนให้ลูกปลอดภัยในรถ ด้วย Car Seat เบาะนั่งนิรภัย ที่ไม่ว่าจะระยะทางใกล้ ไกล ก็ขับรถเดินทางไปกับลูกได้อย่างอุ่นใจไปตลอดการเดินทางค่ะ

                          ราชกิจจาฯ ได้ประกาศปรับแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.จราจรทางบกฉบับล่าสุด เด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ต้องจัดให้มีคาร์ซีทตลอดเวลาที่โดยสารรถ ส่วนผู้โดยสารที่มีความสูงไม่เกิน 135 เซนติเมตร ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ หากฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท มีผลบังคับใช้ในอีก 120 วัน หรือในวันที่ 5 กันยายน นี้

                          คาร์ซีท Car Seat

                          คาร์ซีท Car Seat พื้นที่เซฟโซนปลอดภัยในรถยนต์สำหรับลูกน้อย ที่พ่อแม่จำเป็นต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้ สำคัญ!!

                          1. ที่นั่งนิรภัยต้องใช้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด
                          2. อุ้มเด็กนั่งตักในเบาะหน้าคือจุดที่อันตรายที่สุดในรถ
                          3. เด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี ให้นั่งเบาะหลังเสมอ ความเสี่ยงต่อการตายจะลดลงสองเท่าตัว
                          4. การใช้ระบบยึดเหนี่ยวในรถเป็นมาตรการการลดการบาดเจ็บการตายที่สำคัญที่สุดจากการกระเด็นทะลุกระจกออกนอกหรือลอยออกจากที่นั่งตาม
                          5. คาดเข็มขัดที่ไม่เหมาะสมมีความเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บกระดูกไขสันหลัง ไขสันหลังและช่องท้อง
                          6. เด็กอายุน้อยกว่า 9 ปีหรือสูงน้อยกว่า 135 ซม. อาจใช้เข็มขัดนิรภัยปกติไม่ได้ ให้พิจารณาการใช้ที่นั่งนิรภัยเสมอ
                          7. ถุงลมนิรภัยในที่นั่งข้างคนขับ สามารถทำให้เด็กเสียชีวิตได้ ไม่ควรให้เด็กนั่งในตำแหน่งด้านหน้าข้างคนขับ

                          ประโยชน์ของคาร์ซีท Car Seat

                          อย่างที่บอกไปค่ะว่าการที่มีเด็ก ๆ นั่งโดยสารในรถยนต์ไปกับคุณพ่อคุณแม่ ไม่ควรให้นั่งตัก หรือให้ลูกนั่งตัก หรือนั่งคาดเข็มขัดตรงที่นั่งข้างคนขับ เพราะจะยิ่งทำให้ลูกเสี่ยงอันตรายมากกว่าเบาะหลัง 2 เท่า ฉะนั้นปฎิเสธไม่ได้เลยว่า “คาร์ซีท” จำเป็นต้องติดตั้งสำหรับให้ลูกนั่งไปในรถยนต์

                          1. ช่วยลดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนบนท้องถนน
                          2. คุณพ่อคุณแม่ขับรถได้ง่ายขึ้น ไม่เสียสมาธิกับการดูแลลูกที่นั่งเบาะธรรมดาในรถยนต์
                          3. การเดินทางจะใกล้ หรือไกล ก็เป็นการขับขี่รถได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องระวังหน้าระวังหลัง เพราะลูกอยู่กับที่ไม่รบกวนการขับรถ

                          ประเภทของคาร์ซีท Car Seat

                          • คาร์ซีทแบบหันหน้าเข้าหาเบาะ จะมีด้ามจับอยู่ด้านบน สามารถถอดออกจากฐานที่ยึดกับเบาะรถได้ และต้องติดตั้งโดยหันหน้าเข้าหาเบาะหลังเท่านั้น เหมาะสำหรับทารกแรกเกิดถึง 2 ปี
                          • คาร์ซีทแบบหันไปข้างหน้ารถ จะติดตั้งโดยยึดติดกับเบาะหลัง และหันไปข้างหน้ารถเหมือนเบาะรถปกติ เหมาะสำหรับเด็กอายุ 2-5 ปี
                          • คาร์ซีทแบบที่นั่งเสริม จะติดตั้งโดยยึดกับเบาะหลัง และหันไปข้างหน้ารถเหมือนเบาะรถปกติ ใช้สำหรับเด็กที่โตเกินกว่าจะนั่งคาร์ซีทแบบหันไปข้างหน้ารถ เหมาะกับเด็กอายุ 5 ปี ขึ้นไป

                          ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่กำลังมองหา คาร์ซีท Car seat สำหรับติดตั้งในรถยนต์ เพื่อให้ลูกรักปลอดภัยขณะนั่งในรถ กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids ขอเชิญชวนให้มากันที่ Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 ระหว่างวันที่ 30 มิถุนายน ถึง 3 กรกฎาคม 2565 ณ ไบเทค บางนา

                          คาร์ซีท Car Seat

                          และในวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2565 เวลา 15.20 – 16.00 น. จะมีสัมมนาให้ความรู้ในเรื่องของคาร์ซีทสำหรับเด็ก ในหัวข้อ Car Seat เซฟโซนเล็ก ๆ ในรถ ช่วยเซฟชีวิตลูกปลอดภัยไปตลอดทาง

                          โดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล อาจารย์หมออดิศักดิ์ จะมาให้ความรู้ ความเข้าใจกับคุณพ่อคุณแม่ในการใช้คาร์ซีท Car Seat ในรถยนต์อย่างไรให้เกิดประโยชน์กับชีวิตลูกน้อยที่สุด ห้ามพลาดนะคะ !!

                           

                          อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ คลิก 

                          หมอย้ำ 8 ข้อควรรู้ กฎหมายคาร์ซีท “รักลูกอย่ากอด” นั่งคาร์ซีทปลอดภัยกว่า

                          วิธีเลือกซื้อ “คาร์ซีท” ให้เหมาะกับช่วงอายุของลูก

                           

                            ตรวจภายในเจ็บไหม ตรวจภายใน ด้วยตนเอง HPV

                            วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจHPVด้วยตนเองและ ตรวจภายในเจ็บไหม

                            ตรวจภายในเจ็บไหม คำถามกับความลังเลไม่ยอมตรวจของผู้หญิง หยุดกลัวหากคุณได้รู้ประโยชน์ของการตรวจ พร้อมทั้งบอกวิธีตรวจภายใน และวิธีเก็บสิ่งส่งตรวจHPVด้วยตนเอง

                            วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจHPVด้วยตนเองและ ตรวจภายในเจ็บไหม ??

                            ว่าด้วยเรื่องจุดซ่อนเร้นของผู้หญิงอย่างเรา ๆ แม้จะเรียกกันไปว่าเป็นจุดซ่อนเร้น อวัยวะในที่ลับ หรือคำเรียกใด ๆ ก็ตามที่ล้วนแล้วแต่ดูลึกลับ ต้องปิดบัง แต่สาว ๆ ทั้งหลายรู้ไหมว่า อย่าปล่อยให้จุดซ่อนเร้นของเรา ลึกลับ ลับหายไป ไม่ดูแลเชียวนะ

                            การตรวจหาความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ผู้หญิงตั้งแต่ รังไข่ ท่อรังไข่ และมดลูก เป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้หญิงทุกช่วงอายุควรใส่ใจ การตรวจดังกล่าวนี้ เรียกว่า การตรวจภายใน

                            ตรวจภายในเจ็บไหม
                            ตรวจภายในเจ็บไหม

                            การตรวจภายในสำคัญอย่างไร

                            • เพื่อตรวจค้นหาและคัดกรองความผิดปกติ ทั้งที่มีและไม่มีอาการแสดง เมื่อพบโรคแล้ว จะได้รับการรักษา, ป้องกันการลุกลามของโรคและติดตามอาการอย่างเหมาะสม
                            • เพื่อวินิจฉัยแยกโรคจากระบบอื่นๆ เช่น ระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น

                            * โรคบางโรคเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่มีอาการแสดงให้ทราบก่อนได้ นอกจากต้องตรวจภายใน เช่น ก้อนเนื้องอกที่มดลูก มะเร็งปากมดลูกในระยะแรก เป็นต้น

                            การตรวจภายจะช่วยตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ตรวจหาการติดเชื้อที่ช่องคลอด ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่สามารถทราบผลภายในหนึ่งวัน ส่วนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทราบผลหลังจากตรวจประมาณ 7-10 วัน  

                            เราควรเริ่มตรวจภายในเมื่อใด ??

                            เราควรเริ่มตรวจภายในเมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตามและร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

                            • เริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 21 ปี หรือมีเพศสัมพันธ์แล้วอย่างน้อย 3 ปี
                            • สามารถหยุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ เมื่ออายุ 65-70 ปี โดยที่ผลการตรวจ
                            • คัดกรองปกติ 3 ครั้ง ใน 10 ปี ก่อนหยุดตรวจ
                            • ผู้หญิงที่ผ่าตัดเอามดลูกออกแล้ว ร่วมกับมีผลการตรวจก่อนหน้าปกติ
                            • ผู้หญิงที่เคยตรวจพบความผิดปกติแล้ว ควรตรวจสม่ำเสมอ
                            • ผู้ที่ได้รับ HPV vaccine แล้วยังคงต้องตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่ได้รับ vaccine
                            • การตรวจภายในนั้น ควรตรวจทุก 1 ปี ส่วนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกนั้น อาจตรวจได้ทุก 3 ปี

                              ตรวจภายใน ดีไหม ตรวจภายในเจ็บไหม
                              ตรวจภายใน ดีไหม ตรวจภายในเจ็บไหม

                            ตรวจภายในครั้งแรก เตรียมตัวอย่างไรบ้าง??

                            การเตรียมตัวก่อนตรวจภายโดยไม่เข้ารับการตรวจในช่วงมีประจำเดือน แนะนำเข้ารับการตรวจเมื่อประจำเดือนหมดสนิทประมาณ 1 สัปดาห์ หรือ เข้ารับการตรวจในช่วงก่อนมีประจำเดือนรอบถัดไปประมาณ 1 สัปดาห์

                            1. ก่อนเข้ารับการตรวจ ไม่ควรสวนล้างช่องคลอด หรือใช้ยาเหน็บทางช่องคลอดก่อนการตรวจภายใน 2 วัน
                            2. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเข้ารับการตรวจ
                            3. สวมเสื้อผ้าที่ใส่สบาย แนะนำให้ใส่กระโปรง และไม่ควรนุ่งกางเกงที่รัดจนเกินไป
                            4. สำหรับผู้ที่มีปัญหาตกขาว สามารถตรวจได้โดยไม่ต้องพยายามชำระล้างเพื่อให้แพทย์เห็นปริมาณและตรวจหาเชื้อได้
                            5. ไม่ต้องโกนขนอวัยวะเพศ
                            6. ปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนเข้ารับการตรวจภายใน
                            7. หากไม่เคยตรวจภายใน และยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ รู้สึกเขินอาย สามารถแจ้งพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่เพื่อขอตรวจโดยแพทย์ผู้หญิงได้ โดยทั่วไปแล้วหากเป็นแพทย์ผู้ชายก็จะมีพยาบาลผู้ช่วยซึ่งเป็นผู้หญิงภายในห้องตรวจอยู่ด้วยตลอดเวลา
                            8. ในกรณีมีประจำเดือน และปวดท้อง ประจำเดือนมากจนทนไม่ไหว สามารถมาพบแพทย์โดยไม่ต้องรอให้ประจำเดือนหยุดก่อน
                            9. การตรวจภายในใช้ระยะเวลาประมาณ 10 นาที หลังจากแพทย์ทำการซักประวัติคนไข้ และสอบถามให้คำปรึกษาอาการและความผิดปกติต่างๆ เกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์สตรี หากรู้สึกสงสัยท่านสามารถปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมได้ทันที

                            ลำดับการตรวจภายใน จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง

                            •  ช่วงแรกแพทย์จะใช้อุปกรณ์ที่คล้ายปากเป็ด หรือที่เรียกว่า speculum กับการใช้นิ้วตรวจภายในช่องคลอด ในส่วนของการใส่อุปกรณ์ปากเป็ดแพทย์จะเลือกใช้ตามความเหมาะสม สอดเบา ๆ เข้าไปในช่องคลอด เมื่อได้ตำแหน่งแพทย์จะกางอุปกรณ์ออกเพื่อดูผนังช่องคลอด ดูปากมดลูก
                            • ช่วงที่สอง หากตรวจมะเร็งปากมดลูก ในช่วงเวลานี้แพทย์จะเอาอุปกรณ์เข้าไปเก็บเซลล์ปากมดลูกเพื่อนำไปตรวจคัดกรองในห้องปฏิบัติการ ต่อไป

                              ตรวจภายในด้วยตนเอง เช็กอาการเบื้องต้นหากเริ่มมีอาการ
                              ตรวจภายในด้วยตนเอง เช็กอาการเบื้องต้นหากเริ่มมีอาการ

                            ตรวจภายในเจ็บไหม ??

                            มีสาว ๆ อีกหลายคนที่ห่วงสุขภาพ แต่จำใจต้องเมินหน้าหนี ไม่ใส่ใจ เพราะเข้าใจว่าการตรวจภายในนั้น เป็นเรื่องน่าอาย กังวลต่อคำถามที่ว่า ตรวจภายในเจ็บไหม และคิดว่าเป็นวิธีการคัดกรองโรคที่เจ็บปวด และน่ากลัว แต่ความจริงแล้วการตรวจภายในมีวิธีที่แสนจะง่าย ไม่เจ็บอย่างที่กลัวกัน แถมยังตรวจครบจบขั้นตอนภายในเวลาเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น ดังที่กล่าวไปข้างต้น

                            สำหรับสาว ๆ คนนั้นที่ยังรู้สึกไม่พร้อมจริง ๆ ด้วยความเขินอาย เราลองมาดูวิธีตรวจภายในด้วยตนเองกันแบบคร่าว ๆ ก่อนไปถึงมือหมอกัน เพื่อเป็นการเตรียมใจก่อน ก็อาจเป็นวิธีลดความเครียด ความกลัวลงไปได้บ้าง เป็นอย่างไรนั้นลองไปดูกัน

                            7 ขั้นตอน ตรวจภายในด้วยตัวเอง

                            1. ล้างมือให้สะอาดก่อนเริ่มตรวจ จากนั้นจัดท่าของตัวเองว่าจะนั่งหรือนอนอย่างไรให้เห็นอวัยวะเพศของตัวเองได้ดีที่สุด อาจจะนอนชันเข่า หลังพิงฝาโดยใช้หมอนหมุนหลัง หรือนั่งยองๆ นั่งคุกเข่า ท่าใดท่าหนึ่งก็ได้ที่คิดว่าสะดวกสุด
                            2. หากระจกที่สามารถใช้ถือดูอวัยวะเพศของคุณมา 1 บาน
                            3. ให้ใช้มือข้างหนึ่งที่ถนัดแยกแคมใหญ่ทั้งสองข้างออกจากกัน แล้วมองและคลำดูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ เช่น ก้อน ตุ่มแข็ง ตุ่มน้ำ แผล รอยบวม หรือมีบริเวณที่สีเปลี่ยนไป คล้ำมากหรือแดงมากหรือไม่
                            4. จากนั้นใช้นิ้วแยกแคมเล็กออกจากกัน ตรวจหาความผิดปกติต่างๆ แบบเดียวกับขั้นตอนที่ 3 แล้วตรวจดูที่บริเวณรูเปิดท่อปัสสาวะว่ามีอาการบวมแดงหรือเปล่า และใช้มือดึงรั้งผิวหนังที่คลุมบริเวณคลิตอริสขึ้นไป เพื่อตรวจดูว่ามีแผลหรือไม่
                            5. ใช้นิ้วมือสองนิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอด แล้วกดแยกหนังช่องคลอดออกจากกัน สังเกตตกขาวในช่องคลอด ถ้าเป็นสีขาวขุ่น เป็นมูกเหนียวหรือมูกใส มีกลิ่นคาวเล็กน้อย แสดงว่าเป็นตกขาวปกติ แต่ถ้ามีลักษณะคล้ายคราบนมที่เด็กแหวะออกมา และมีอาการคันด้วย แสดงว่าอาจมีเชื้อราหรือเชื้อพยาธิในช่องคลอด ถึงเวลาที่ต้องไปพึ่งคุณหมอสูติฯ แล้ว
                            6. ใช้นิ้วมือคลำบริเวณส่วนล่างของแคมใหญ่ทั้งสอง โดยใช้นิ้วมือหนึ่งอยู่ในช่องคลอด และอีกนิ้วหนึ่งอยู่ที่ส่วนล่างของแคมใหญ่ ดูว่ามีก้อนคล้ายถุงน้ำบริเวณนั้นหรือเปล่า เพราะเป็นตำแหน่งของต่อมที่สร้างมูกออกมาช่วยหล่อลื่นในช่องคลอด ซึ่งท่อที่ปล่อยมูกนี้เจอปัญหาอุดตันได้บ่อย ถ้าคลำได้เป็นก้อนนิ่มๆ ล่ะก็อย่าปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้อักเสบเป็นหนองได้
                            7. สุดท้ายตรวจบริเวณฝีเย็บ และรูทวารว่ามีก้อนเนื้อที่เรียกว่า ริดสีดวงทวารหรือเปล่า ถ้ามีก็รีบไปพบแพทย์

                              อาย ไม่กล้า ตรวจภายใน
                              อาย ไม่กล้า ตรวจภายใน

                            อย่างที่กล่าวข้างต้นการตรวจภายในด้วยตนเองเป็นวิธีการเบื้องต้นคร่าว ๆ ในการตรวจ ทางที่ดีสาว ๆ ทั้งหลายโปรดทำความเข้าใจ และเข้ารับการตรวจภายในจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นการดีที่สุด เพราะอย่างที่ใครหลายคนได้บอกแล้วว่า การตรวจภายในไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แถมยังช่วยให้เรารู้ทันโรคอีกหลาย ๆ โรค ก่อนที่จะลุกลามอันตรายถึงชีวิตได้อีกด้วย

                            มะเร็งปากมดลูก

                            รู้หรือไม่ การตรวจภายใน สามารถตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ จากสถิติพบว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกประมาณ 600 ราย ใน 1 แสนคน หรือเป็นอันดับที่ 4 กับจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยกลุ่มโรคมะเร็ง หรือรองจาก โรคมะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม และจัดเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มผู้ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่เป็นผู้หญิง หรือรองจากโรคมะเร็งเต้มนม จึงอาจกล่าวได้ว่า โรคมะเร็งปากมดลูก เป็นโรคที่มีความอันตรายต่อชีวิตมาก หากไม่ได้รับการรักษาในระยะเริ่มต้น อัตราเสี่ยงต่อชีวิตจึงมีสูงมาก

                            ปัจจุบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ก้าวหน้ามาก มีการพัฒนาการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า “iCheck Test; HPV self-collection Test” โดยมีการพัฒนาอุปกรณ์เก็บตัวอย่างที่เรียกว่า แปรงอีวาลีน เพื่อให้ผู้หญิงสามารถเก็บสิ่งส่งตรวจในช่องคลอดด้วยตัวเองที่บ้าน แล้วส่งสิ่งตรวจที่ได้ไปที่โรงพยาบาลหรือศูนย์ตรวจทางการแพทย์ เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกโดยตรง

                            วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจ HPV ด้วยตนเอง
                            วิธีเก็บสิ่งส่งตรวจ HPV ด้วยตนเอง

                            วิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจ HPV จากช่องคลอดด้วยตนเอง

                            1. ล้างมือให้สะอาด ฉีดสเปร์ยแอลกอฮอล์ก่อนการเก็บตัวอย่างทุกครั้ง
                            2. ฉีกซองไม้เก็บตัวอย่าง จับตรงส่วนของขีดสีดำ ระวังอย่าสัมผัสโดนส่วนของสำลีปลายไม้เก็บตัวอย่าง และห้ามนำไม้เก็บตัวอย่างไปจุ่มในขวดน้ำยาก่อนเก็บตัวอย่าง
                            3. ยืน หรือนั่งในท่าที่สบาย ใช้ไม้เก็บตัวอย่างสอดเข้าไปในช่องคลอด ลึกประมาณ 2 นิ้ว หรือ 5 เซนติเมตร จากนั้นหมุนไม้เก็บตัวอย่างสัมผัสกับผนังของช่องคลอด จับเวลาประมาณ 10-30 วินาที แล้วดึงไม้ออก
                            4. เปิดฝาหลอดเก็บตัวอย่าง ในขณะที่ยังคงถือไม้เก็บตัวอย่างไว้ (ไม่ควรวางไม้เก็บตัวอย่างไว้ที่พื้น เพราะอาจจะเกิดการปนเปื้อนได้) ระวังอย่าให้น้ำยาเก็บตัวอย่างในหลอดหก
                            5. จุ่มไม้เก็บตัวอย่างลงในหลอดน้ำยาเก็บตัวอย่างให้ขีดสีดำกลางไม้ตรงกับขอบของหลอดน้ำยา แล้วทำการหักส่วนเกินของไม้เก็บตัวอย่างทิ้ง
                            6. ปิดฝาหลอดน้ำยาเก็บตัวอย่างให้สนิท พร้อมเขียนชื่อ – นามสกุลที่ข้างหลอด

                            คลิปวิดีโอสอนการเก็บสิ่งส่งตรวจ HPV ด้วยตนเอง

                            ขอขอบคุณคลิปดี ๆ จาก New18

                            หมายเหตุ วิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจอาจแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดเครื่องมือ โปรดอ่านข้อแนะนำการใช้ และวิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจตามคู่มือข้างกล่องอย่างละเอียดอีกครั้ง

                            ข้อมูลอ้างอิงจาก สถาบันมะเร็งแห่งชาติ /รพ.สินแพทย์ /women.mthai.com/www.thonburihospital.com/www.medicallinelab.co.th

                            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            เผย! ขั้นตอนการตรวจภายใน ตรวจเลย! ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

                            9 อาหารช่วยลดความเสี่ยงการเกิด มะเร็งปากมดลูก

                            เมื่อฉัน “แพ้ น้ำอสุจิ จากสามี”

                            “รูรั่วช่องคลอด” ภาวะเสี่ยงหลังคลอด แม่ต้องรู้ วิธีเบ่งคลอด ให้ปลอดภัย

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              มะเร็งต่อมลูกหมาก

                              หมอชี้!เพศสัมพันธ์21ครั้ง/เดือนปลอด มะเร็งต่อมลูกหมาก

                              หมอชี้!เพศสัมพันธ์ 21 ครั้ง/เดือนปลอด มะเร็งต่อมลูกหมาก

                              คุณแม่หลายท่านอาจเคยประสบปัญหาปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะแสบขัดกันมาบ้าง แต่ถ้าปัญหาเหล่านี้เกิดกับคุณพ่อบ้านแล้วล่ะก็ อาจเป็นสัญญาณว่าเกิดความผิดปกติที่ต่อมลูกหมาก อาจเป็น มะเร็งต่อมลูกหมาก ค่ะ แต่คุณหมอได้แนะวิธีป้องกันที่ไม่ยากไว้ด้วยค่ะ ก็คือการมีเพศสัมพันธ์นั่นเอง จะเพราะอะไรเรามาติดตามเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณพ่อบ้านกันค่ะ

                              ต่อมลูกหมากคืออะไร

                              ต่อมลูกหมาก เป็นอวัยวะที่อยู่ค่อนมาทางด้านล่างระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำหน้าที่ผลิตน้ำเมือกและน้ำหล่อเลี้ยงตัวอสุจิ จึงถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในระบบสืบพันธุ์ของเพศชาย

                              อาการของ มะเร็งต่อมลูกหมาก

                              มะเร็งต่อมลูกหมากในระยะแรกมักไม่แสดงอาการใด ๆ แต่เมื่อมะเร็งขยายตัวมากขึ้นจนไปกดทับท่อปัสสาวะ จะทำให้เกิดอาการแปรปรวนของระบบทางเดินกระเพาะปัสสาวะส่วนล่าง เช่น ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะช่วงกลางคืน มีอาการแสบขัดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะไม่สุด ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือต้องใช้เวลาในการเบ่ง หากปล่อยทิ้งไว้ผู้ป่วยจะปัสสาวะลำบากและบ่อยขึ้น จนถึงขั้นปัสสาวะเป็นเลือดได้
                               มะเร็งต่อมลูกหมาก
                              หมอชี้!เพศสัมพันธ์21ครั้ง/เดือนปลอด มะเร็งต่อมลูกหมาก

                              หมอธีระวัฒน์แนะนำเรื่อง มะเร็งต่อมลูกหมาก

                              ศจ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้โพสต์ข้อความไว้ในเฟซบุ๊ก ดังนี้ค่ะ
                              …ปั่มปั๊ม 21 ครั้งต่อเดือน ปลอดมะเร็งต่อมลูกหมาก
                              หมอดื้อ
                              ชายเราถึงอายุหนึ่งจะมีปัญหาเรื่อง “ฉี่” กล่าวคือ ยืนตั้งนานไม่ออกซักที ออกก็ไม่ค่อยจะพุ่ง เสร็จแล้วก็เหมือนไม่เสร็จ มีปัญหาจนไม่ค่อยอยากจะฉี่ ยอมอดน้ำเลยลุกลามไปจนเลือดข้นหนืด ไปมีปัญหาต่อไต ต่อหัวใจ อัมพฤกษ์ต่อ
                              สำหรับบุรุษเพศสาเหตุใหญ่สำคัญคือ ต่อมลูกหมากโต และมีเยอะที่เป็นมะเร็ง

                              ยาที่ช่วยเรื่องมะเร็งต่อมลูกหมาก

                              คุณหมอกล่าวอีกว่า
                              ถ้ายังไม่เป็นและยังไม่อยากผ่าตัด คว้านต่อม ก็มียาซึ่งเดิมเป็นยาลดความดัน แต่ความที่ทำให้หูรูดในการฉี่บานได้ เลยเอามาใช้ในการนี้ แต่ควรต้องระวังความดันตก หน้ามืด ยาประเภทนี้ออกฤทธิ์ต้าน alpha receptor
                              ยาอีกกลุ่มทำให้ต่อมลูกหมากเล็กลง ผ่านกระบวนการยับยั้งฮอร์โมน DHT ที่มาจากฮอร์โมนเพศชาย (5-Alpha Reductase Inhibitor) เช่น ยา Finasteride (Proscar) Dutasteride (Avodart) แต่แถมผลข้างเคียง คือ ลดความต้องการทางเพศ ไม่ค่อยแข็งตัว การขับเคลื่อนน้ำกาม (ejaculation) แปรปรวน แต่ที่ต้องระวังเป็นสำคัญคือยากลุ่มหลังนี้ทำให้การตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากที่ชื่อว่า PSA ได้ค่าลดลงจนถึงตรวจไม่เจอ เลยตายใจว่าไม่เป็นมะเร็งทั้งๆที่เป็น
                              รายงานในปี 2011 พบว่าแม้ยากลุ่มหลังนี้จะลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้บ้าง แต่ถ้าเป็นแล้วยากลุ่มนี้อาจกลับทำให้เป็นมะเร็งแบบชนิดที่มีความรุนแรงลุกลามมากขึ้น
                              ​อาหารเสริมที่อ้างว่าทำให้ต่อมเล็กลงชื่อ Saw Palmetto สกัดจากผลของ Serenoa Repens พบว่าไม่มีประสิทธิภาพจริงและอาจทำให้การตรวจค่ามะเร็ง PSA ได้ผลลบปลอม

                              เพศสัมพันธ์ 21ครั้ง/เดือน ช่วยให้ปลอดมะเร็งต่อมลูกหมาก

                              ถึงตอนนี้มาถึงคำโบราณที่พูดกันมาในกลุ่มผู้ชายทั้งหลายว่าหนทางสุขภาพ รวมทั้งต่อมลูกหมากกันโต กันมะเร็ง คือ ปฏิบัติการ “ล้างท่อบ่อยๆ” (keep the pipes clean!) และเป็นที่มาของการศึกษาฮือฮาทั่วโลก นับแต่มีการเสนอผลงานในที่ประชุมประจำปีของสมาคมระบบทางเดินปัสสาวะของอเมริกา และตีพิมพ์ในวารสาร European Urology (29 มีนาคม 2016)
                              ​ผลการศึกษา จากการติดตามโดยคณะศึกษาทางระบาดวิทยามะเร็งที่บอสตัน ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 31,925 คน ตั้งแต่ปี 1992 จนถึง 2010 โดยที่ ณ ปี 1992 อายุเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ประมาณที่ 59 ปี ในช่วง 18 ปีของการติดตามมี 3,839 รายเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก และ 384 รายรุนแรงถึงชีวิต
                              ขั้นตอนในการวิเคราะห์เจาะลึกตั้งแต่เริ่มต้นในปี 1992 มีการให้รายงานปริมาณจำนวนของการขับเคลื่อนน้ำกาม (แทนในที่นี้ด้วยปั่มปั๊ม) ในช่วงเวลาตั้งแต่อายุ 20-29, 30-39, 40-49 และ 50 เป็นต้นไป ทั้งนี้มีการวิเคราะห์ของปัจจัยอื่นๆที่อาจมีส่วนให้เกิดมะเร็ง
                              ผลที่น่าตื่นเต้นคือ ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งจะลดลงถึงประมาณ 20% ถ้ามีอัตราการปั่มปั๊มอยู่ในเกณฑ์อย่างน้อย 21 ครั้งต่อเดือน เมื่อเทียบกับผู้มีปฏิบัติการ 4-7 ครั้งต่อเดือน
                              การลดความเสี่ยงของมะเร็งจะพบได้ในกลุ่มที่มีปฎิบัติการถี่ทั้งทุก ช่วงอายุ เหตุผลที่ใช้อัตรา 4-7 ครั้งต่อเดือนเป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบ เนื่องจากมีน้อยมากที่กลุ่มคนในการศึกษานี้ ปฏิบัติในช่วง 0-3 ครั้งต่อเดือนจึงตัดออกไป

                              น้อยกว่า 21ครั้ง ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้

                              สำหรับปั่มปั๊มน้อยกว่า 21 ครั้ง อย่าเพิ่งเสียใจ ถ้าอัตรา 8-12 ครั้งต่อเดือนในช่วง 40-49 ปี จะมีความเสี่ยงลดลง 10% และถ้าอยู่ในอัตรา 13-20 ครั้งต่อเดือน ในช่วงอายุนี้จะมีความเสี่ยงลดลง 20% (มีนัยสำคัญทางสถิติ P trend <.0001)
                              เมื่อดูลึกละเอียดลงของกลุ่มปั่มปั๊ม 21 ครั้ง พบว่ากลุ่มนี้กลับไม่ค่อยเป็นกลุ่มรักสุขภาพนัก กินเยอะ ดื่มเยอะ มีโอกาสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก และดูดบุหรี่เยอะ แต่กลุ่มนี้ไม่ได้ตายเร็วขึ้น เนื่องจากสาเหตุอื่นๆ
                              กลไกของการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ยังไม่เป็นที่แน่ชัด
                              ทั้งนี้เป็นได้ที่ต่อมลูกหมากสะสมสารพิษที่จะก่อมะเร็งไว้ (prostate stagnation ) และการขจัดชะล้างโดยการขับเคลื่อนออกไปอาจจะลดความเสี่ยง แต่ทั้งนี้อาจเป็นผลอื่น ๆ จากการที่มีการขับเคลื่อนหรือการออกกำลังปั่มปั๊มอาจจะปรับเปลี่ยนสภาพสภาวะแวดล้อมในเนื้อเยื่อต่อม อีกทั้งปฏิบัติการอาจก่อให้เกิดความหรรษาสุขอย่างฉับพลันในวินาทีนั้น ก่อให้เกิดการสั่งงานผ่านสมองมายังระบบภูมิคุ้มกัน
                              จะอย่างไรก็แล้วแต่ 21 ครั้งต่อเดือนเท่ากับมากกว่า 5 ครั้งต่ออาทิตย์ จัดเวลาให้ดีนะครับ อาจจะเสียชีวิตซะก่อนเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก

                               

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                              3 เหตุผลที่พ่อแม่ควรหมั่น ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ โดย พ่อเอก

                              พ่อเป็นซึมเศร้าหลังคลอดได้ ความเครียด กังวล ของคุณพ่อมือใหม่

                              มะเร็งกล่องเสียง เกิดจากอะไร ถ้าเสียงแหบ ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไปหาหมอเลย

                                ใช้กัญชา

                                ศูนย์พิษวิทยาเตือน!อาหารเครื่องดื่ม ใช้กัญชา มีอันตราย

                                ศูนย์พิษวิทยาเตือน!อาหารเครื่องดื่ม ใช้กัญชา มีอันตราย

                                หลังจากที่ปลดล็อกใช้กัญชาเสรี ก็มีกระแสไม่เห็นด้วย เนื่องจากหาก ใช้กัญชา ในปริมาณมากเกินไปเสี่ยงที่จะส่งผลต่อสุขภาพ จนถึงกับเสียชีวิตได้ ซึ่งก็ได้พบผู้เสียชีวิตจากการใช้กัญชาเกินขนาดแล้ว แถมยังเป็นเด็กวัยรุ่นอีกด้วย หากคุณพ่อคุณแม่ รวมทั้งลูก ๆ ได้รับกัญชาผ่านอาหาร เครื่องดื่ม หรือขนมในปริมาณที่มากไปย่อมสะสมและส่งผลต่อร่างกาย เป็นอันตรายมาก ทางศูนย์พิษวิทยา รามาธิบดี ได้ออกมาแนะนำร้านค้าที่จะใส่กัญชาดำเนินการดังนี้ค่ะ

                                ร้านค้าและอาหารเครื่องดื่มที่ ใช้กัญชา ต้องทำอะไรบ้าง

                                1. ติดป้ายฉลากแสดงให้ชัดเจนทั้งเมนู​และบรรจุภัณฑ์​

                                ผู้บริโภค​จะได้เลือกซื้อได้ถูกต้อง หากทำได้บอกระดับ THC ต่อหนึ่งหน่วยบริโภคและต่อชิ้นมาด้วยเลย…และจัดเก็บผลิตภัณฑ์แยก แบบใส่กัญชากับไม่ใส่กัญชาออกกันให้ชัดเจน (สำคัญมาก!!)
                                ในต่างประเทศมีข่าวที่ครอบครัวสั่งซื้อบราวนี่ปกติกลับมากินบ้าน กินแล้วป่วยโดยคนที่อาการหนักก็เป็นเด็กๆเช่นเคย สุดท้ายเป็นบราวนี่กัญชา ร้านเขาทำบราวนี่กัญชาไว้ปาร์ตี้กับเพื่อนๆเอง…แต่ไม่รู้ไปปนกับบราวนี่ที่ขายปกติไปได้ไง อันนี้เป็นคดีฟ้องร้องมาแล้วครับ

                                2. บอกวิธีการวิธีบริโภคและข้อควรระวังเลย เช่น

                                2.1 คอนเฟิร์มว่า คนซื้อไม่มีข้อห้ามต่อการรับสาร THC และกัญชา
                                2.2 อันไหนที่ THC เข้มข้นมาก เมาง่ายมาก แนะนำลูกค้าด้วยว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ใช้กัญชาเยอะประจำเท่านั้น ไม่ขายให้ผู้ใช้หน้าใหม่ หรือคนลองใช้ครั้งแรกเด็ดขาด
                                2.3 แนะนำวิธีใช้ตามหน่วยบริโภคเช่นจะให้กินคุกกี้ทีละ ครึ่งชิ้นหรือ 1/4 ชิ้นก่อน และเฝ้าดูอาการว่าได้ผลตามต้องการรึยัง
                                2.4 แนะนำระยะเวลาออกฤทธิ์ ส่วนมากของกินจะเริ่มออกฤทธิ์ช้า 20-60 นาทีหลังกิน แนะนำอย่ากินเพิ่มก่อนระยะเวลารอออกฤทธิ์
                                2.5 แนะนำอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้น และแนะนำให้งดขับขี่ยานพาหนะหลังใช้ 6 ชม.

                                3. ทำป้ายบอกตัวโตๆ ว่าไม่ใส่กัญชา

                                สำหรับร้านที่ไม่ผสมกัญชา ให้ทำป้ายบอกให้ชัดเจนว่า “ขนม/อาหารร้านนี้ไม่ใส่กัญชา” เพื่อที่ คนท้อง คนให้นมบุตร ผู้มีโรคประจำตัวที่ควรเลี่ยงกัญชา และเด็ก ๆ จะได้มั่นใจในการบริโภคผลิตภัณฑ์จากร้าน

                                ข้อควรระวังในการใช้กัญชา

                                นอกจากนี้ ศูนย์พิษวิทยา โรงพยาบาลรามาธิบดี ก็ได้ให้คำแนะนำ 10 ข้อควรระวัง การใช้ผลิตภัณฑ์กัญชา ดังนี้ค่ะ

                                1. ก่อนจะ ใช้กัญชา ควรศึกษาความเสี่ยง

                                ควรศึกษาความเสี่ยงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อตนเองในระยะสั้นและระยะยาว ผู้มีโรคประจำตัวปรึกษาแพทย์ก่อนโดยเฉพาะผู้มีโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางระบบประสาท โรคทางจิตเวช โรคปอด และอย่าลืมเชคว่ายาประจำตัวของเราจะตีกับกัญชาหรือจะถูกสารกัญชารบกวนจนเกิดผลร้ายไหม

                                ใช้กัญชา
                                ศูนย์พิษวิทยาเตือน

                                2. หากอายุน้อยกว่า 25 ปี อย่าใช้ช่อดอกกัญชาหรือสาร THC

                                เนื่องจากมีโอกาสเกิดปัญหาต่อการพัฒนาทักษะด้านต่างๆทางสมอง โดยเฉพาะด้านการคิดอย่างมีเหตุผลซึ่งพบว่าหากมีการเสื่อมแล้ว แม้หยุดกัญชานานเป็นปีก็ไม่อาจคืนกลับเป็นปกติ (ส่วนทักษะทางภาษาและความจำระยะสั้นสามารถกลับคืนเมื่อหยุดเสพกัญชาได้)

                                3. หากจะลองใช้ควรเริ่มในปริมาณน้อย

                                หากคิดแล้วอยากจะลองใช้จริงๆ ก็ขอให้เริ่มแบบ THC (สารเมาหลอนและเสพติด) ปริมาณน้อย ใครท้าก็อย่าหน้าใหญ่ ใจใหญ่ลอง THC เข้มข้น…ไม่งั้นอาจเสี่ยงได้นอนหน้าสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะในห้องฉุกเฉินหรือ ICU ได้
                                ใช้กัญชา
                                ศูนย์พิษวิทยาเตือน!

                                4. หากรู้สึกระคายเคืองทางเดินหายใจ หยุด ใช้กัญชา ทันที

                                การสูบกัญชาแบบเผาไหม้ บารากุ หรือแบบบุหรี่ไฟฟ้าล้วนเกิดการระคายเคืองต่อทางเดินหายใจและเยื่อบุได้ ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจากตัวกัญชา สารละลาย หรือสารปนเปื้อนอื่น หากมีอาการควรหยุดสูบในทันที

                                5. อย่าสูบลึก อย่าอัด อย่ากลั้น

                                ผู้ที่จะทดลองสูบ กรูณาสูบอย่าลึกมาก และอย่าอัด-กลั้นไว้ในปอด เพราะจะได้รับปริมาณสารเข้าสู่ร่างกายเยอะ ทั้งสาร THC และสารระคายเคืองต่างๆที่ระคายเคืองทางเดินหายใจ

                                6. ไม่สูบในที่ที่มีคนกลุ่มเสี่ยง

                                คนรอบตัวที่ไม่ได้สูบยังอาจได้รับควันกัญชาได้ ฉะนั้นควรสูบในที่จัดเป็นสัดส่วนของคนสูบกันเอง เลี่ยงการสูบในที่มีเด็ก คนท้อง หรือผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ

                                7. ปรึกษาแพทย์หากเริ่มติด

                                หากใช้กัญชาแล้ว พยายามใช้แต่น้อย และติดตามการใช้ของตนเอง หากจู่ๆเริ่มใช้บ่อยขึ้นเยอะขึ้น เริ่มทำใจไม่ใช้ลำบาก เริ่มเสียเงินกับกัญชาเยอะ หรือเริ่มคิดถึงการใช้กัญชามากจนรบกวรการทำงาน การดำเนินชีวิต หรือความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ต้องระวังว่ามีการติดกัญชาแล้ว ลองปรึกษาแพทย์เพื่อควบคุมการใช้กัญชาไม่ให้ติดจนรบกวนการดำเนินชีวิตมากไปกว่านั้น หากเห็นคนมีลักษณะนี้ลองหาทางพูดคุยอย่างเป็นมิตรให้เขาพิจารณาปรึกษาแพทย์นะครับ จะติดสารอะไรเขาก็ยังเป็นเพื่อนเป็นญาติพี่น้องเราและการติดเป็นสภาวะที่ดูแลรักษาได้ หากแนะนำแล้วยังไม่ได้ผลทันทีอย่าท้อใจ เราพูดอาจจะได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แต่หากเราไม่พูดเลยก็เท่ากับตัดโอกาสการทบทวนตนเอง
                                ใช้กัญชา
                                ศูนย์พิษวิทยาเตือน!

                                8. หากใช้กัญชา ควรงดขับขี่ยานพาหนะ

                                แนะนำให้งดการขับขี่ยานพาหนะหรือการทำงานกับเครื่องจักรไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง หลังจากการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาและการใช้ผลิตภัณฑ์กัญชาร่วมกับการดื่มสุราจะทำให้ความสามารถในการขับยานพาหนะลดลงมาก ดังนั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดนะครับ แม้จะไม่มีการห้ามเสพขณะขับขี่บานพาหนะในช่วงที่ พรบ.ยังไม่ออก แต่หากก่อให้เกิดอุบัติเหตุก็ยังผิดในฐานะขับรถโดยประมาทนะครับ

                                9. เลือกผลิตภัณฑ์กัญชาที่น่าเชื่อถือ

                                การเลือกผลิตภัณฑ์กัญชา ควรเลือกที่มีความน่าเชื่อถือ ในต่างประเทศที่มีกติกากำกับดูแลผลิตภัณฑ์ จะมีการตรวจสารปนเปื้อน เชื้อโรค และยืนยันระดับสารว่าตรงกับที่ฉลากระบุ ซึ่งก็มีการคัดออกผลิตภัณฑ์ที่มีเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เศษปฏิกูลต่างๆออกอยู่

                                10. หากมีผู้ได้รับอันตรายจากสิ่งที่ ใช้กัญชา ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล

                                หากเจอคนรอบตัวได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์อาหาร หรือขนมใส่กัญชา โดยที่เจ้าตัวจงใจจะซื้ออาหารหรือขนมธรรมดา แต่ปนเปื้อนกัญชา หรือใส่กัญชาโดยไม่แจ้งผู้บริโภค ตั้งสติเก็บรายละเอียดช่องทางการซื้อขาย ผลิตภัณฑ์ที่เหลือ รวมถึงหีบห่อ และติดต่อสายด่วนคุ้มครองผู้บริโภค หรือนำส่งที่โรงพยาบาลพร้อมกับผู้ป่วย เพื่อป้องกันการกระจายของผลิตภัณฑ์ที่ปนเปื้อน THC โดยไม่ระบุเหล่านี้
                                ขอบคุณข้อมูลจาก

                                 

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

                                กุมารแพทย์ห่วง กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

                                ไขข้อข้องใจ!! คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม ?

                                  Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21

                                  ชี้เป้า! ตารางกิจกรรมสุดสนุก งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 “ลูกเรียนรู้เพลิน…แม่เดินช้อปฟิน”

                                  ABK Fair #21 งานนี้…ไม่ได้มีแค่สินค้าแม่ลูก แม่ๆ และ เด็กๆ ห้ามพลาด!! งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 งานแฟร์สินค้าแม่ลูก ที่มีมากกว่าการช้อปปิ้ง รวมสินค้า ให้แม่ช้อปแหลกเพื่อลูกรัก ครบ ถูก ดี ลดแรงแซงทุกโปร สุดปัง พร้อมกิจกรรมสุดสนุก เล่นเพลินสนั่นฮอลล์ 103 ไบเทค บางนา

                                  ตารางกิจกรรม Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21
                                  ลูกเรียนรู้เพลิน แม่เดินช้อปฟิน

                                  นำทัพโดยพี่จ๋อจ๋า พากันมาต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด กับพี่ๆ มาสคอต และ เพิ่มความสนุกเป็น 2 เท่า กับลานกิจกรรม “Forest of Play” ให้เด็กๆ เล่นฟรี! ปีนปาย ของเล่นไม้ สนุกได้ทั้งวัน จาก Plantoys

                                   

                                  งาน Amarin Baby & Kids Fair ครั้งที่ 21 วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565

                                  ต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด จาก พี่ๆ Mascot
                                  >> พบกันได้เวลา 11.00 – 11.50 น. และ 17.00 – 17.50 น.

                                   

                                  วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565

                                  ต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด จาก พี่ๆ Mascot
                                  >> พบกันได้เวลา 11.00 – 11.50 น. และ 17.00 – 17.50 น.

                                  • เวลา 20-17.00 น. Workshop จาก Funique ชวนเด็กๆ เพ้นท์ “กระเป๋าดินสอ”
                                  • เวลา 10-18.00 น. Workshop จาก Plantoys ชวนเด็กๆ ประกอบ+ตกแต่ง “รองเท้าไม้”

                                   

                                  วันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2565

                                  ต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด จาก พี่ๆ Mascot
                                  >> พบกันได้เวลา 10.30-11.20 น. และ 17.30-18.20 น.

                                  • เวลา 20-12.10 น. Workshop จาก Plantoys ชวนเด็กๆ ประกอบ+ตกแต่ง “รองเท้าไม้”
                                  • เวลา 20-16.10 น. ฟังเสวนาฟรี! หัวข้อ Car Seat เซฟโซนเด็กๆ ในรถ ช่วยเซฟชีวิตลูกให้ปลอดภัยตลอดทาง โดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล
                                  • เวลา 30-16.50 น. ฟังเสวนาฟรี! กับผู้เชี่ยวชาญ หัวข้อ วิธีป้องกันและช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อลูกจมน้ำ by Swimming kids Thailand
                                  • เวลา 50-17.40 น. Workshop CPR ภารกิจพิชิตหัวใจ กู้ภัยลูกรักและคนที่รักในครอบครัว ให้ปลอดภัยจากการหมดสติ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศในพระบรมราชูปถัมภ์ โครงการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน

                                   

                                   วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม 2565

                                  ต้อนรับเด็กๆ ด้วยขบวนพาเหรด จาก พี่ๆ Mascot
                                  >> พบกันได้เวลา 10.30-11.20 น. และ 17.30-18.20 น.

                                  • เวลา 11.30–12.10 น. Workshop จาก Funique ชวนเด็กๆ เพ้นท์ “กระเป๋าดินสอ”
                                  • เวลา 13.40-14.00 น. ฟังเสวนาฟรี! กับผู้เชี่ยวชาญ หัวข้อ วิธีป้องกันและช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อลูกจมน้ำ by Swimming kids Thailand
                                  • เวลา 14.00-14.50 น. Workshop CPR ภารกิจพิชิตหัวใจ กู้ภัยลูกรักและคนที่รักในครอบครัว ให้ปลอดภัยจากการหมดสติ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศในพระบรมราชูปถัมภ์ โครงการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน
                                  • เวลา 15.00-15.50 น. Workshop จาก Plantoys ชวนเด็กๆ ประกอบ+ตกแต่ง “รองเท้าไม้”

                                  ***และทุกวัน เวลา 11.30 – 12.30 น. ชมไลฟ์สด!! ***
                                  พ่อเป้-แม่กร พาทัวร์ เที่ยวงานแฟร์ แบบ Exclusive
                                  ส่องโซนไฮไลท์สุดว้าว

                                  เจาะบูธขายของสุดปัง พร้อมซูมโปรโมชั่นสุดจึ้ง!

                                  คุณพ่อคุณแม่เตรียมตัวไปช้อปกันได้ที่งาน Amarin Baby & Kids

                                  • ในวันที่ 30 มิ.ย. – 3 ก.ค. 65 ที่ ไบเทค บางนา
                                  • รับของสมนาคุณ สุดพิเศษ เพียงละทะเบียนก่อนเข้างาน คลิกที่นี่ >> https://cooll.ink/abk21register

                                  รับฟรี 2 ต่อ

                                  ต่อที่ 1 : รับฟรี! ชาม Amarin Baby & Kids Fair พร้อมผลิตภัณฑ์แม่-ลูก

                                  ต่อที่ 2 : ลุ้นรับฟรี! เป้อุ้มเด็ก Pognae มูลค่า 8,990 บ.

                                  มาช้อปได้อย่างสบายใจ เพราะทางงาน มีมาตรการคุมเข้มด้านสะอาดและความปลอดภัย มี ABK Care บริการพิเศษเพื่อคุณแม่ รถเข็น Wheel Chair สำหรับแม่ท้อง, รถเข็น Shopping, บริการยกของ, ห้องเปลี่ยนผ้าอ้อมและให้นม, จุดรับฝากของ, ที่จอดรถแม่ท้อง, รถกอล์ฟ รับส่ง จุด Drop Off, ที่จอดรถ Outdoor

                                  พบกัน 30 มิ.ย. – 3 ก.ค. 65 ไบเทค บางนา

                                  งานเริ่ม 10.00 – 20.00 น.


                                  มาที่นี่ครบ จบที่เดียว ครบทุกสิ่ง ครบทุกอย่าง ที่คุณต้องการ

                                  สอบถามเพื่มเติม โทร 08-5661-4628 หรือ 02-422-9999 ต่อ 4350

                                  #ABK21 #AmarinBabyAndKidsFair21 #ไบเทคบางนา #AmarinKids

                                   

                                    แม่ท้องใช้กัญชา

                                    แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

                                    แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาดทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

                                    เนื่องจากการปลดล็อกเสรีกัญชาในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดความห่วงใยในสุขภาพของคนไทย ที่อาจได้รับกัญชาเข้าไป โดยเฉพาะกับ แม่ท้องใช้กัญชา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ เช่น ได้รับผ่านทางขนม อาหาร หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา เพราะกัญชาอาจทำให้ลูกในท้องตาย และ/หรือเกิดมาพบกับความผิดปกติในหลาย ๆ ด้านค่ะ

                                    แม่ท้องใช้กัญชา ผลกระทบต่อการตั้งครรภ์

                                    รศ.นพ.สมชาย ธนวัฒนาเจริญ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย กล่าวว่า กัญชามีสารเคมีที่ชื่อว่า tetrahydrocannabinol (THC) ที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและถึงขั้น “เคลิ้ม” นอกจากนี้ ยังมีสารเคมีอื่นที่มีผลต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

                                    มีการศึกษาพบว่ากัญชาทำให้ระดับฮอร์โมน luteinizing hormone (H) จากต่อมใต้สมองลดลง ซึ่งทำให้ไม่เกิดการตกไข่ แต่กลับมาตกไข่ได้หลังจากผ่านไป 3-4 เดือน แต่ก็มีการศึกษาในหนูทดลอง พบว่าการได้รับกัญชามาก ๆ จะสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่ซ้ำลงของไข่เข้าสู่มดลูก ซึ่งอาจส่งผลต่อ การตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือ ความล้มเหลวในการฝังตัวของตัวอ่อนได้ และสารเคมีในกัญชา สามารถผ่านรกไปยังทารกในครรภ์ได้

                                    แม่ท้องใช้กัญชา ทำลูกในท้องตายได้

                                    • การตายคลอด
                                    • การตั้งครรภ์นอกมดลูก
                                    • ภาวะทารกน้ำหนักน้อย
                                    • บางรายงานพบว่า การใช้กัญชาร่วมกับการสูบบุหรี่ มีผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้
                                    • การพัฒนาสมองของทารกไม่สมบูรณ์ ทารกอาจมีปัญหาการเรียนรู้ และพฤติกรรมในอนาคต

                                    การนำกัญชามาใช้ทางการแพทย์ จึงควรมีการควบคุม และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และไม่แนะนำให้ใช้กัญชาในสตรีตั้งครรภ์แม้จะเป็นแบบรักษาก็ตาม

                                    แม่ท้องใช้กัญชา
                                    แม่ท้องใช้กัญชา ห้ามเด็ดขาด ทำลูกในท้องตายหรือผิดปกติ

                                    ขอบคุณภาพจาก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

                                    กัญชาทำทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย

                                    รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้ให้ความรู้เรื่อง “กัญชากับหญิงมีครรภ์” ไว้ใน FB Thira Woratanarat โดยระบุว่า ข้อมูลทางการแพทย์นั้นชัดเจนมาก Marchand G และคณะ ได้ทบทวนงานวิจัยอย่างเป็นระบบ เผยแพร่ใน JAMA Network Open เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565 จากงานวิจัย 16 ชิ้น มีกลุ่มประชากรหญิงมีครรภ์ 59,138 คน พบว่า หญิงมีครรภ์ที่ใช้กัญชาจะมีความเสี่ยงที่ทารกแรกคลอดจะมีน้ำหนักน้อย (น้อยกว่า 2,500 กรัม) มากกว่าคนที่ไม่ได้ใช้กัญชาถึง 2.06 เท่า [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 1.25 เท่าถึง 3.42 เท่า]

                                    ความเสี่ยงอื่น ๆ ที่จะเกิดกับทารก

                                    นอกจากนี้ ทารกที่เกิดกับแม่ท้องที่ใช้กัญชา จะมีความเสี่ยงดังนี้

                                    • มีความเสี่ยงที่จะมีทารกตัวเล็กกว่าปกติเมื่อเทียบอายุครรภ์ (small for gestational age) มากกว่าคนที่ไม่ได้ใช้กัญชาถึง 1.61 เท่า [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 1.44-1.79 เท่า]
                                    • มีความเสี่ยงที่จะคลอดก่อนกำหนด 1.28 เท่า [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 1.16-1.42 เท่า]
                                    • มีความเสี่ยงที่ทารกแรกเกิดจะป่วยจนต้องรักษาในหอผู้ป่วยหนัก 1.38 เท่า [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 1.18-1.62 เท่า]
                                    • ทารกที่เกิดจากแม่ที่ใช้กัญชานั้นจะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยน้อยกว่าแม่ที่ไม่ได้ใช้กัญชา 112.30 กรัม [ช่วงความเชื่อมั่นตั้งแต่ 57.41-167.19 กรัม]

                                    แม่ท้องใช้กัญชาทำลูกมีปัญหาจิตเวช

                                    หมอธีระยังยกงานวิจัยเสริมเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ Roncero C และคณะ ยังได้มีการวิจัยทบทวนอย่างเป็นระบบ เผยแพร่ในวารสารการแพทย์ทางนรีเวชวิทยา Reproductive Health ในปี 2020 ชี้ให้เห็นว่า ทารกที่เกิดจากแม่ที่ใช้กัญชานั้นจะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะผิดปกติด้านพัฒนาการ รวมถึงปัญหาจิตเวช เช่น ซึมเศร้า และสมาธิสั้น (ADHD) อีกด้วย

                                    หมอธีระห่วงแม่ท้องรับกัญชาผ่านอาหารและเครื่องดื่ม

                                    หมอธีระกล่าวเสริมว่า หญิงมีครรภ์จึงต้องระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการใช้ หรือสัมผัสกับกัญชา รวมถึงหากออกไปใช้ชีวิตประจำวันนอกบ้าน เวลาจะไปรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ ควรตรวจสอบไถ่ถามให้ดีว่ามีส่วนประกอบของกัญชาหรือไม่
                                    ยิ่งหากปลดล็อกการใช้กัญชา มีการทำแคมเปญสนับสนุนให้มีการใช้ในการประกอบอาหาร เครื่องดื่ม หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ถ้าไม่มีการควบคุมอย่างดีพอ ก็อาจเกิดผลกระทบต่อคนในสังคม ทั้งในเด็ก เยาวชน หญิงมีครรภ์ และอื่น ๆ รวมถึงผลกระทบด้านอื่น เช่น อาชญากรรม อุบัติเหตุ ที่อาจเกิดตามมาได้ดังที่เห็นจากบทเรียนต่างประเทศ
                                    อ้างอิง
                                    1. Marchand G et al. Birth Outcomes of Neonates Exposed to Marijuana in Utero: A Systematic Review and Meta-analysis. JAMA Network Open. 27 January 2022.
                                    2. Roncero C et al. Cannabis use during pregnancy and its relationship with fetal developmental outcomes and psychiatric disorders. A systematic review. Reproductive Health. 17 February 2020.

                                     

                                     

                                    ขอบคุณข้อมูลจาก

                                    โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย,Thira Woratanarat

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                    กุมารแพทย์ห่วง กัญชา ! กระทบสมองเด็กและวัยรุ่น

                                    ไขข้อข้องใจ!! คนท้องกินน้ำกระท่อมได้ไหม ?