หลั่งในไม่ท้อง หลังกินยาคุมกี่วัน

เช็กให้ชัวร์! หลั่งในไม่ท้อง หลังคุมกำเนิดกิน ฉีด ฝังไปแล้วกี่วัน

Alternative Textaccount_circle
event
หลั่งในไม่ท้อง หลังกินยาคุมกี่วัน
หลั่งในไม่ท้อง หลังกินยาคุมกี่วัน

หลั่งในไม่ท้อง หลังคุมกำเนิดไปแล้วกี่วัน มาฟังให้ชัวร์ก่อนปฎิบัติ เมื่อไหร่ที่ควรกิน ฉีด หรือฝังยาคุมให้ได้ประสิทธิภาพ นับวันกันอย่างไร รู้ไว้จะได้ไม่พลาด

เช็กให้ชัวร์! หลั่งในไม่ท้อง หลังคุมกำเนิดกิน ฉีด ฝังไปแล้วกี่วัน?

ชีวิตคู่กับเซ็กซ์ (SEX) เป็นของคู่กัน การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคู่รักจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่ทั้งคู่ควรทำความเข้าใจ เพราะเซ็กซ์สามารถทำให้คนสองคนยิ่งมีความรู้สึกแน่นแฟ้น รักใคร่กันมากยิ่งขึ้น หรือบางทีเซ็กซ์ก็ทำให้บางคู่ถึงขั้นต้องเลิกราห่างกันไปได้เช่นกัน นอกจากเซ็กซ์จะมีผลต่อเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกันแล้ว การทำความเข้าใจในเรื่ององค์ประกอบต่าง ๆ ของการมีเพศสัมพันธ์ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน เช่น การรู้จักวิธีป้องกันโรคติดต่อจากเพศสัมพันธ์ การคุมกำเนิดด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดการท้องไม่พร้อมขึ้น เป็นต้น

เพศสัมพันธ์ กับชีวิตคู่
เพศสัมพันธ์ กับชีวิตคู่

หลั่งนอก หรือ หลั่งใน เรื่องวุ่น ๆ ของชีวิตคู่!!

หลั่งนอก (Coitus Interruptus) หนึ่งในวิธีการมีเพศสัมพันธ์ที่หลายคนนิยม และเชื่อกันว่าเป็นการคุมกำเนิดที่ได้ผล เพราะการหลั่งอสุจิภายนอกร่างกายเพศหญิงจะช่วยลดปริมาณอสุจิที่อาจเข้าไปปฏิสนธิได้ แต่ที่จริงแล้วการหลั่งนอกเป็นวิธีการป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพน้อยมาก มีโอกาสล้มเหลว และมีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูง อีกทั้งยังอาจทำให้ความสุขในขณะมีเพศสัมพันธ์ลดลงอีกด้วย

การมีเพศสัมพันธ์โดยหลั่งนอกเป็นประจำจะส่งผลกระทบต่อความสุขระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ได้ เนื่องจากฝ่ายชายจะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดการหลั่งอสุจิภายในหลังจากถึงจุดสุดยอด และฝ่ายชายเองก็จะรู้สึกประหม่าในขณะมีเพศสัมพันธ์ ส่วนฝ่ายหญิงอาจมีความรู้สึกที่ไม่ดี และไม่อิ่มเอมกับเพศสัมพันธ์ที่มีเท่าที่ควร และอาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ได้ในที่สุด

หลั่งในไม่ท้อง ได้หรือไม่??

การคุมกำเนิดเพียงอย่างเดียวที่ให้ผลป้องกันการตั้งครรภ์ 100% คือ “Abstinence หรือ การไม่มีเพศสัมพันธ์” นั่นเอง กล่าวอีกทีนั่นคือ การมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการคุมกำเนิดหรือไม่ จะหลั่งใน หรือหลั่งนอก หรือเลือกใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบใด ตัวอย่างเช่น ยากินคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝัง หรือแม้แต่การทำหมัน เป็นต้น ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าให้ผลป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% นั่นเอง

อย่างที่กล่าวกันข้างต้นว่า คู่รักมักนิยมวิธีการหลั่งนอกเพราะเป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องรับประทาน ไม่ต้องใส่ถุงยาง เป็นวิธีที่ใกล้เคียงกับการมีเพศสัมพันธ์แบบธรรมชาติที่สุดแล้ว แต่มีข้อเสียคือ ทำให้สูญเสียความสุขระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ในการต้องหยุดจังหวะรักขณะที่กำลังจะถึงจุดสุดยอด ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่จะแนะนำในการต้องการมีเซ็กซ์แบบไม่ต้องการตั้งครรภ์ นั่นคือ การคุมกำเนิดแบบใช้ยาคุม

กินยาคุมกำเนิดอย่างไร ให้ หลั่งในไม่ท้อง ได้
กินยาคุมกำเนิดอย่างไร ให้ หลั่งในไม่ท้อง ได้

ใช้ยาคุมกำเนิด แล้วหลั่งในจะท้องมั้ย?

ยาคุมกำเนิดทำได้หลายวิธี วิธีที่นิยมกันมากคือ การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด  ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด (injectable contraceptives) มีการใช้มากเช่นเดียวกันแม้จะไม่เท่ากับยาเม็ดคุมกำเนิด การใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด และยาฝังคุมกำเนิด

1.ยาเม็ดคุมกำเนิด

สามารถคุมกำเนิดได้ถึง 99% จึงสามารถหลั่งในได้ แต่! ต้องมั่นใจว่ากินยาครบ ตรงเวลา ไม่ขาด ยาคุมกำเนิดจึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญ ต้องดูก่อนว่า เรากินยาคุม ชนิดใดอยู่ เป็นแบบฮอร์โมนรวม หรือฮอร์โมนเดี่ยว เพราะ

  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม : ทำให้หยุดการตกไข่ ดังนั้นการกินยาคุมกำเนิดชนิดนี้ จึงสามารถคุมกำเนิดได้ 99% และสามารถหลั่งในได้ โดยไม่จำเป็นต้องกินยาคุมฉุกเฉินเพิ่มอีก ย้ำอีกครั้ง! ว่าจะไม่ท้อง ในกรณีที่มั่นใจว่ากินยาคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง ไม่ขาด ไม่เกิน เท่านั้น
  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว : ทำให้ปากมดลูกมีเมือกเหนียวข้น ขัดขวางไม่ให้อสุจิเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ และทำให้ผนังมดลูกเปลี่ยนไป ไม่เหมาะกับการฝังตัวของไข่ แต่ประสิทธิภาพการป้องกันอาจสู้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมไม่ได้

คิดจะกินยาคุมกำเนิด ควรปรึกษากับเภสัชกรก่อนกินยาคุมกำเนิด ไม่ควรซื้อกินเองหรือกินตามเพื่อน เพราะอาจกินไม่ถูกต้อง และทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล บานปลายเป็นปัญหาท้องไม่พร้อม ดังสถิติวัยรุ่นไทยท้องไม่พร้อม สูงถึง 15% (พศ. 2561) มากกว่าที่องค์กรอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 10%

ยาคุมกำเนิดแบบแผงรับประทาน
ยาคุมกำเนิดแบบแผงรับประทาน

การใช้ยาคุมแบบแผงรายเดือนนั้นเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงมาก หากได้กินติดต่อกันทุกวันจนหมดแผงยา โดยการเริ่มยาควรเริ่มภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนเพื่อให้สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ทันที หากเริ่มช่วงเวลาอื่น อาจจะต้องกินติดต่อกันให้ครบ 7 วันก่อนค่อยมีเพศสัมพันธ์ไม่ป้องกันได้

จากที่กล่าวมานั้น ถ้าได้กินยาในแผงยาติดต่อกันเกิน 7 วันไปแล้ว สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างปลอดภัย และให้กินยาต่อเนื่องไปจนหมดแผง ควรกินในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันทุกวันไม่คลาดเคลื่อนไปเกิน 3 ชั่วโมง

2.ยาฝังคุมกำเนิด

ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของยาฝังคุมกำเนิดถือว่าดีมาก ตามทฤษฎีแล้ว จะมีโอกาสการล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้เพียง 0.05% หรือเท่ากับ 1 ใน 2000 คน ซึ่งดีกว่ายาเม็ดคุมกำเนิด และยาฉีดคุมกำเนิด จากรายงานการใช้งานจริงต่าง ๆ ทั่วโลกก็พบการตั้งครรภ์เกิดขึ้นน้อยกว่า 1 คนใน 1000 คนที่ฝังยาคุมในระยะเวลา 3 ปี ดังนั้นหากได้ฝังยามานานเกิน 7 วันแล้ว สามารถที่จะมีเพศสัมพันธ์ และหลั่งในได้

3.ยาฉีดคุมกำเนิด

หากได้เริ่มฉีดยาคุมกำเนิด ภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ยาฉีดคุมกำเนิดก็จะสามารถออกฤทธิ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ทันที โดยประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของยาฉีดคุมกำเนิดแบบชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (ฉีดทุก 2 หรือ 3 เดือน) กับชนิดฮอร์โมนรวมจะเท่า ๆ กัน คือป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากกว่า 99% หรือมีโอกาสการล้มเหลวทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 0.2% หรือเท่ากับ 2 ใน 1000 คน ซึ่งดีกว่าการทานยาเม็ดคุมกำเนิดเล็กน้อย แต่ทั้งนี้ต้องได้รับการฉีดอย่างถูกต้อง

แต่หากได้เริ่มฉีดยาคุม ในช่วงเวลาอื่น นอกจากช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน ยาฉีดคุมกำเนิดจะยังไม่ออกฤทธิ์ได้ทันที โดยจะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากฉีดยาไปแล้วประมาณ 7 วัน ดังนั้นในช่วง 7 วันแรกหลังฉีดยาคุม จึงควรงดการมีเพศสัมพันธ์หรือใช้ถุงยางอนามัยไปก่อน ซึ่งหากไม่ได้ป้องกันในช่วง 7 วันแรกนี้ ก็มีโอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้

ถุงยางอนามัย หลั่งในไม่ท้อง แถมป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ถุงยางอนามัย หลั่งในไม่ท้อง แถมป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สรุปให้ตรงนี้!…หลังคุมกำเนิดกี่วัน หลั่งในไม่ท้อง

การตั้งครรภ์นั้นจะเกิดขึ้นได้เมื่ออสุจิเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ในช่วงวันตกไข่ เมื่อมีการนับวันตกไข่ที่แน่นอนสำหรับผู้หญิงแต่ละคนแล้ว ก็จะช่วยกำหนดวันมีเพศสัมพันธ์ที่มีโอกาสมีลูกมากขึ้น เพราะในช่วงวันที่ตกไข่จะเป็นช่วงที่อสุจิสามารถเข้าไปปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ได้ตามธรรมชาติและส่งผลให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้เพิ่มขึ้น

แต่สำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด คำแนะนำในการเริ่มคุมกำเนิด คือ ให้เริ่มรับยาคุมกำเนิดไม่ว่าจะวิธีใดภายในวันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือน

ตัวอย่างเช่น

วันที่ 8 มีนาคม เป็นวันแรกของการมีประจำเดือน หากคุณมีประจำเดือนรอบละกี่วันก็ตาม ให้เริ่มคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นการรับประทาน การฉีด หรือการฝังยาคุมก็ตาม (คำแนะนำให้เริ่มการคุมกำเนิดภายในวันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือน ) หมายความว่า นับจากวันที่คุณมีประจำเดือนวันแรก คือ วันที่ 8 มีนาคม คุณก็เริ่มการคุมกำเนิดได้ตั้งแต่วันที่ 8-12 วันไหนก็ได้ ซึ่งประสิทธิภาพของยาคุมนั้นจะสามารถออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้เลยทันที เพราะเป็นช่วงที่พ้นระยะไข่ตกไปแล้ว

มีลูกเมื่อพร้อม
มีลูกเมื่อพร้อม

การนับระยะไข่ตก

สำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาตามปกติ การนับวันตกไข่จะค่อนข้างแม่นยำ โดยปกติแล้วผู้หญิงจะมีรอบเดือนทุก 28 วัน โดยให้นับหลังจากวันที่ประจำเดือนมาเป็นวันที่ 1 ซึ่งวันที่ 14 จะเป็นวันที่ตกไข่ แต่วันที่ไข่ตกจะไม่ตรงในบวกลบไปอีก 1-2 วัน 

ดังนั้นหากเราเริ่มใช้ยาคุมกำเนิด ตั้งแต่วันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือน จึงมีประสิทธิภาพได้เลยทันที เพราะทำให้มีช่วงเวลามากพอในการให้ฮอร์โมนออกฤทธิ์ เมื่อนับวันเริ่มตั้งแต่ใช้ยาคุมกำเนิด จะพบว่าห่างไกลจากวันที่ไข่ตกอย่างมาก โอกาสในการตั้งครรภ์จึงต่ำมาก ทำให้สามารถหลั่งในได้ไม่ท้อง (ย้ำ!!ต้องทำครบขั้นตอน)

ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com/hd.co.th/ multimedia.anamai.moph.go.th/เพจสุขภาพดีกับพยาบาลแม่จ๋า

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ยาคุมฉุกเฉิน ผู้หญิงรู้ไว้ใช้บ่อยไปผลร้ายตกอยู่กับคุณ!

22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

8เรื่องควรรู้ก่อนใช้ ยาคุม กับ7เรื่องยาคุมฉุกเฉินที่รู้ไว้ไม่พลาด

14 วิธีช่วยให้การ นอนหลับ ดีขึ้น ต้อนรับวันนอนหลับโลก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up