ฝันว่าท้องใกล้คลอด

ฝันว่าท้องใกล้คลอด ทำนายฝัน เลขเด็ด!!

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันว่าท้องใกล้คลอด
ฝันว่าท้องใกล้คลอด

ความฝัน ทำนายฝัน ฝันว่าท้อง ฝันว่าท้องใกล้คลอด ฝันเห็นคนท้อง เป็นฝันดีหรือฝันร้าย ความฝันนี้เป็นสัญญาณว่าจะเจอเหตุการณ์ใด ควรดีใจ หรือควรระวัง

ฝันว่าท้องใกล้คลอด ทำนายฝัน เลขเด็ด!!

ฝันว่าท้องใกล้คลอด ตื่นมาบางคนอาจดีใจ บางคนอาจกังวลใจ ความฝันจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง หรือมีความหมายแฝงอย่างไร ไม่ว่าจะฝันเห็นตัวเองตั้งครรภ์ ฝันเห็นคนที่ตั้งครรภ์ หรือฝันเกี่ยวกับคนตั้งครรภ์ ความหมายของความฝันนี้จะเป็นอย่างไร ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้หาข้อมูล พร้อมทั้งเลขเด็ดมาฝากแล้วค่ะ

ฝันว่าท้อง
ฝันว่าท้อง

ฝันว่าท้องใกล้คลอด ทำนายฝัน เลขเด็ด!!

ฝันว่าท้อง

สำหรับสาวโสด

หากสาวโสดฝันว่าตั้งท้อง ก็จะมีชีวิตที่โดดเดี่ยว เดียวดาย อยู่ตัวคนเดียวเรื่อยไป หาคนที่ถูกใจ หรือคู่ที่รู้ใจได้ยาก จะคบใครก็มักจะเจอแต่คนไม่จริงใจ ถ้าจะให้จำกัดความ คำว่า “คานทอง” ดูจะเหมาะสมกับคำทำนายฝันนี้ที่สุด

สำหรับหญิงที่มีคู่ครอง

หากมีคู่ครองแล้ว และฝันว่าตั้งท้อง ก็อาจจะเกิดความขัดแย้ง หรือมีปากเสียงกับคู่รัก ไม่มีความสุขในชีวิต ใครที่เหงาอยู่แล้ว ก็จะยิ่งอ้างว้าง

แต่ในบางตำราทำนายฝันโบราณ ก็ ทำนายฝัน เอาไว้อีกนัยน์หนึ่งว่า ท้อง หมายถึงสิ่งดีกำลังเข้ามา ชีวิตกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ก้าวหน้า และจะตั้งตัวได้ในไม่ช้า หากเจอกับอุปสรรค หรือปัญหาต่าง ๆ หากลองใช้สติไตร่ตรอง ก็จะแก้ไขได้ไม่ยาก บางตำราก็ว่า หากท้อง สำหรับผู้ที่รับราชการ หรือทำงานบริษัท ก็อาจจะได้รับการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง หน้าที่การงานสูงขึ้น แต่หากเป็นพ่อค้าแม่ค้า ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางการค้า หรือย้ายที่ทาง ไปในทางที่ไม่ดีนัก และสำหรับ วิธีแก้ฝัน ว่ากันว่า ทำได้โดยให้หมั่นทำบุญ ทำทาน ทำแต่ความดี ทั้งกาย วาจา ใจเพื่อให้จิตใจสบาย คลายกังวล เรื่องร้าย ๆ ก็จะกลายเป็นดีในที่สุด

เลขเด็ดเมื่อฝันว่าท้อง

19 10 59 195 101 910

 

ฝันว่าท้องคลอดลูก

ฝันว่าท้องคลอดลูกทำนายว่า การเสี่ยงโชค จงแสวงโชคจากคนที่ไม่รู้จักมาก่อนและมาจากทางทิศตะวันออก จะมีแต่คนนำพาโชคลาภมาให้คุณ ระวังจะถูกเอาเปรียบจากคนที่คุณไม่คิดว่าเขาจะทำได้

ด้านความรัก

คนโสดมีเกณฑ์ได้พบกับการเริ่มต้นใหม่ในเรื่องความสัมพันธ์กับมิตรต่างเพศ คุณมีแววได้คนอายุน้อยกว่ามาเป็นเพื่อนสนิทและอาจพัฒนาไปเป้นแฟนได้ในอนาคต อย่าเล่นหูเล่นตากับใครเขาเข้าล่ะ เพราะจะมีสัมพันธ์เกินเลย

ด้านการเงิน การงาน

จะเด่นมากในด้านการงานที่เกี่ยวกับการค้าต่างแดน หรืองานที่ต้องพบปะกับคนต่างชาติ ต่างภาษา คุณจะใช้จ่ายมากไปสักนิดในสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ควรเก็บ ๆ ไว้บ้าง ต้องแบกภาระงานหลายอย่าง แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เลขเด็ดเมื่อฝันว่าท้องคลอดลูก

39 41 66 148 339 669

 

ฝันเห็นคนอื่นท้อง

ไม่ใช่เรื่องแปลกหากว่าเราจะฝันเห็นคนอื่นตั้งท้องเช่นเดียวกันกับเรา โดยความฝันดังกล่าวนี้อาจตีความได้ว่าคุณจะมีโอกาสพบกับปัญหาที่ทำให้เกิดความทุกข์ ความผิดหวัง ความเศร้าใจ หรือการกระทำต่าง ๆ ที่ไม่สมหวัง ซึ่งจะนำมาซึ่งปัญหาความเครียดที่อาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพ

ด้านความรัก

เรื่องของความรักของคนที่กำลังโสดในตอนนี้มีเกณฑ์จะได้กระโดดโลดเต้นอีกครั้ง เพราะกำลังจะได้เจอคที่ถูกใจเดินมาสารภาพรักกันต่อหน้าเลยก็ว่าได้ ในเรื่องดี ๆ ก็ยังมีเรื่องที่ไม่ดีแฝงอยู่ ในระวังคำพูดและการกระทำที่จะเกิดความขัดแย้งในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะคุณก็มีความสามารถในระดับหนึ่งที่จะจัดการปัญหาเหล่านั้นให้หมดไปด้วยตัวเอง รวมถึงเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาชู้สาว รักสามเศร้า หรือการเปลี่ยนคนรักที่จะเป็นปัญหาเข้ามากวนใจให้คุณคิดไม่ตก

ด้านหน้าที่การงาน การเงิน

เห็นทีช่วงนี้คุณจะต้องเพิ่มการระวังตัวให้มากขึ้น เพราะมีคนกำลังคอยจ้องที่จะทำร้ายอยู่ เรื่องการเงินให้ระวังการวางบิลเก็บเงินที่จะกลายเป็นหนี้สูญไม่สามารถเรียกเก็บได้ แนะนำให้พยายามทำใจทิ้งเงินก้อนนั้นไป สำหรับใครที่ประกอบอาชีพค้าขาย หรือทำธุรกิจส่วนตัวเห็นทีว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่กำไรงอกงาม ออกดอกออกผลดี มีแววว่าจะได้ขยับขยายกิจการออกไปเพิ่มเติมอีก

เลขเด็ดเมื่อฝันเห็นคนอื่นท้อง

35 19 593 851 983

 

อ่านต่อ…ฝันว่าท้องใกล้คลอด ทำนายฝัน เลขเด็ด!! คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

สกู๊ตเตอร์เด็ก

ข้อควรรู้ก่อนซื้อ สกู๊ตเตอร์เด็ก ซื้อให้ลูกเล่น แบบไหนที่เหมาะกับลูก?

Alternative Textaccount_circle
event
สกู๊ตเตอร์เด็ก
สกู๊ตเตอร์เด็ก

สกู๊ตเตอร์เด็ก – การให้ลูกฝึกทักษะร่างกายด้วย สกู๊ตเตอร์แบบขาไถ เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการพัฒนา “ความมั่นใจทางร่างกาย” ให้กับเด็ก ๆ นอกจากการเตรียมตัวสำหรับการเรียนรู้การขี่จักรยานแล้ว สกู๊ตเตอร์ยังช่วยให้เด็กๆ ทำกิจกรรมกลางแจ้งได้อย่างสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม การเลือกสกู๊ตเตอร์สำหรับเด็กอาจซับซ้อนกว่าที่เราคิด วันนี้เรามาดูเคล็โลับในการเลือกซื้อสกู๊ตเตอร์ให้เหมาะสมกับเด็กแต่ละวัยกันค่ะ

ข้อควรรู้ก่อนซื้อ สกู๊ตเตอร์เด็ก ซื้อให้ลูกเล่น แบบไหนที่เหมาะกับลูก?

สกูตเตอร์ก็เป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ เช่นเดียวกับจักรยาน สามล้อถีบ และยานพาหนะแบบนั่งขับอื่นๆ  สกู๊ตเตอร์ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กวัยหัดเดินไม่ได้เป็นเพียงวิธีสนุก ๆ สำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง แต่ยังเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการสร้างทักษะต่างๆ ที่แข็งแกร่งและความรู้สึกของความเป็นอิสระอีกด้วย ต่อไปเราจะมาดูประโยชน์ที่มากมายของสกู๊ตเตอร์กันค่ะ

ประโยชน์ของ สกู๊ตเตอร์เด็ก

1. เป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดี

CDC รายงานว่า มีเพียง 24% ของเด็กอายุระหว่าง 6 ถึง 17 ปีเท่านั้น ที่ได้รับการออกกำลังกายตามปริมาณที่แนะนำ (วันละ 60 นาที/วัน)  ส่งผลให้จำนวนเด็กที่เป็นโรคอ้วน เบาหวาน และภาวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักเพิ่มขึ้น การส่งเสริมให้ลูกๆ ของคุณออกกำลังกายและขยับร่างกายทุกวันเป็นสิ่งสำคัญ แต่บางครั้งอาจไม่ง่ายเสมอไปในโลกทีวี คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ตที่ดึงดูดใจเด็กๆให้หยุดยิ่งอยู่กับที่พร้อมหน้าจอในมือ

แต่อะไรจะดึงดูดใจเด็กน้อยได้มากไปกว่าการเชิญชวนให้พวกเขาออกไปขี่สกู๊ตเตอร์ แม้ว่าจะเป็นเพียงทางขึ้นและลงทางรถหรือทางเท้าหน้าบ้านของคุณ คุณจะได้ช่วยให้ลูกของคุณได้ออกกำลังกาย แต่พวกเขาอาจไม่คิดว่าการเล่นสกู๊ตเตอร์คือการออกกำลังกายเพราะว่ามันเป็นกิจกรรมที่สนุกและเป็นที่โปรดปรานสำหรับเด็กๆ ส่วนใหญ่

2. สกู๊ตเตอร์เด็ก ช่วยพัฒนาทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่

การเรียนรู้ที่จะขี่สกู๊ตเตอร์นั้นเด็กๆ ต้องใช้ทั้งทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่และมัดเล็กไปพร้อมๆกัน  ลูกของคุณจะต้องใช้ขาดันพื้น ยืนตัวตรง ทำหลังให้มั่นคง แล้วจับแฮนด์รถสกู๊ตเตอร์ด้วยนิ้วมือ กิจกรรมใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเด็กวัยหัดเดินโดยใช้ร่างกายในรูปแบบที่หลากหลายสามารถเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้พวกเขาพัฒนาทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่แข็งแกร่งขึ้น และมีการประสานงานกันมากขึ้น พวกเขาจะใช้ทักษะเหล่านี้ต่อไปในกิจกรรมแบบ อื่นๆ เช่น การเล่นกีฬา ทำงานบ้าน สร้างหอคอยบล็อกที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น และแม้กระทั่งกับการพัฒนาลายมือของพวกเขา

3. สกู๊ตเตอร์เด็ก ช่วยเพิ่มความมั่นใจ

กี่ครั้งแล้ว? ที่คุณได้ยินเจ้าตัวเล็กของคุณพูดว่า “หนูใส่รองเท้าไม่ได้”  “หนูติดกระดุมเสื้อไม่ได้” หรือ “หนูทำความสะอาดของเล่นด้วยตัวเองไม่ได้” หรือบางบ้านอาจเคยได้ยินทั้งสามอย่าง แม้ว่าจะมีสิ่งต่างๆ มากมายที่เด็กเล็กสามารถทำได้ แต่ก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ในแต่ละวัน หรืออย่างน้อยสิ่งที่พวกเขาคิดว่าทำไม่ได้บางครั้งพวกเขาอาจต้องการแค่ความมั่นใจในตนเองว่าจริงๆ แล้วพวกเขาสามารถทำได้ ซึ่งการขี่สกู๊ตเตอร์อย่างอิสระอาจเป็นก้าวแรกในการตระหนักว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใดที่จะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง

4. สกู๊ตเตอร์เด็ก ช่วยพัฒนาการทรงตัวที่ดีขึ้น

เด็กวัยเตาะแตะล้มลงมากกว่าปกติ เพราะพวกเขายังคงเข้าใจจุดศูนย์ถ่วงของตัวเองและคิดหา “ความสมดุล” ทั้งหมดนี้ สกู๊ตเตอร์เป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการฝึกให้ร่างกายเหยียดตรงขณะทำงานอื่นๆ เช่น บังคับเลี้ยว ประสานการเคลื่อนไหวของมือและตา จับตาดูสภาพแวดล้อม หลบสิ่งกีดขวาง และเบรก

5. ช่วยให้เด็กๆ ได้ออกไปข้างนอกบ้าน

อากาศบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเราทุกคนรวมถึงเด็ก ๆ ด้วย การศึกษาแสดงให้เห็นว่าเด็กที่ใช้เวลานอกบ้านนอนหลับได้ดีขึ้น รู้สึกมีความสุขมากขึ้น และมีทักษะในการบริหารงานที่ดียิ่งขึ้น พวกเขายังอาจได้รับประโยชน์จากระดับวิตามินดีที่สูงขึ้น และการมองเห็นที่ดีขึ้น

6. ช่วยเตรียมพร้อมให้เด็กๆ ก่อนเริ่มขี่จักรยาน

ทักษะบางอย่างที่จำเป็นในการขี่จักรยานนั้นแตกต่างจากสกู๊ตเตอร์ แต่ทักษะหลายอย่างก็เหมือนกันทุกประการ การทรงตัว การประสานมือและตา การพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่และกล้ามเนื้อมัดเล็ก และความมั่นใจเพียงเล็กน้อย การอนุญาตให้บุตรหลานของคุณฝึกบนสกู๊ตเตอร์ คุณจะตั้งค่าให้บุตรหลานใช้งานได้ง่ายขึ้นหากพวกเขาเริ่มขอจักรยาน

เพื่อช่วยคุณค้นหาสกู๊ตเตอร์ที่ดีที่สุดสำหรับบุตรหลานของคุณ ไม่ว่าพวกเขาจะอายุเท่าไหร่ หรือคุณกำลังมองหาสกู๊ตเตอร์สำหรับเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง การให้ลูกเล่นสกู๊ตเตอร์เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการช่วยให้บุตรหลานของคุณเรียนรู้การทรงตัว พัฒนาทักษะด้านกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหว ในขณะที่สนุกสนานและได้ออกกำลังกาย

เมื่อคุณได้ตัดสินใจแล้วและต้องการเลือกสกู๊ตเตอร์เตะสำหรับเด็ก ควรคำนึงเหตุผลบางประการต่อไปนี้

  • อายุของเด็ก(เช่น รถสามล้อสำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี)
  • สภาพของพื้นที่ที่จะใช้เล่น
  • ด้านความปลอดภัย เช่น หมวกกันน็อค อุปกรณ์ป้องกันหัวเข่า
  • เลือกประเภทสกู๊ตเตอร์ที่เหมาะกับประเภทกิจกรรม แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและความทนทานเฉพาะตัว
  • ช่วงราคาเทียบกับคุณภาพ

ประเภทของ สกู๊ตเตอร์เด็ก

แบบ 3 ล้อ (Lean to Steer)

สกู๊ตเตอร์
สกู๊ตเตอร์
ขอบคุณภาพจาก : https://bestscooterforkidsreviews.com

 

แบบ 2 ล้อ

สกู๊ตเตอร์ขาไถ
สกู๊ตเตอร์ขาไถ

ขอบคุณภาพจาก : https://bestscooterforkidsreviews.com

 

แบบ Trick Scooter

สกู๊ตเตอร์ขาไถ
สกู๊ตเตอร์ขาไถ

ขอบคุณภาพจาก : https://bestscooterforkidsreviews.com

 

แบบ Cruiser

สกู๊ตเตอร์ขาไถ
สกู๊ตเตอร์ขาไถ

ขอบคุณภาพจาก : https://bestscooterforkidsreviews.com

 

อ่านต่อ…ข้อควรรู้ก่อนซื้อ สกู๊ตเตอร์เด็ก ซื้อให้ลูกเล่น แบบไหนที่เหมาะกับลูก? ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

พัฒนาการลูก

หยุด!! เปรียบเทียบ พัฒนาการลูก ส่งเสริม-เข้าใจ ลูกโตตามวัยแบบแฮปปี้

Alternative Textaccount_circle
event
พัฒนาการลูก
พัฒนาการลูก

คุณพ่อ คุณแม่ หลายคนมักจะวิตกกังวลเกี่ยวกับ พัฒนาการลูก การเจริญเติบโตของลูกน้อย และมีหลายคนที่มักจะเปรียบเทียบ พัฒนาการลูก กับเด็กคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกันสามารถพูดได้ หรือเดินได้แล้ว ในขณะที่ลูกของเรายังไม่สามารถทำอะไรได้ เหตุผลสำคัญคืออะไร เรามีคำตอบ

หยุด!! เปรียบเทียบ พัฒนาการลูก

ส่งเสริม-เข้าใจ ลูกโตตามวัยแบบแฮปปี้

พัฒนาการลูก ทำไมไม่ควรเปรียบเทียบ?

มีคุณแม่จากทางบ้าน สอบถามมากับทีมกองบรรณาธิการ ABK ว่าอยากจะเลิกเปรียบเทียบลูกของตัวเองกับลูกของคนอื่นเสียที โดยเฉพาะเวลาที่เข้าไปดูในอินเทอร์เน็ต บ่อยครั้งที่คุณแม่ต้องชะงักทันที เมื่อได้ไปอ่านเจอว่าลูกของคนอื่นทำโน่นได้ ทำนี่ได้ ก่อนลูกของเราด้วยซ้ำ จริงอยู่ว่าอินเทอร์เน็ตมีประโยชน์ในการให้ความรู้ แบ่งปันประสบการณ์ในการเลี้ยงลูก แต่ก็นำไปสู่การเปรียบเทียบโดยที่คุณแม่เองก็ไม่ได้ตั้งใจ หากคุณแม่ยังต้องการที่จะใช้อินเทอร์เน็ต หรือเว็บไซต์ต่างๆ เป็นแหล่งข้อมูลความรู้ในการเลี้ยงลูกต่อไป แม่น้องเล็กมีข้อเตือนใจเกี่ยวกับ พัฒนาการลูก มาฝากค่ะ

1. เด็กทุกคนล้วนต่างกัน

ไม่ว่าคุณแม่จะได้รู้ ได้เห็นอะไรในโลกออนไลน์ ความจริงที่ว่า “เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการ แต่เร็วช้า คล้ายและต่างในเส้นทางของตัวเอง” ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เช่น ทารกคนหนึ่งอาจคลานเอาๆ และชอบปีนป่าย แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก (นิ้วมือ) หยิบจับสิ่งของ ขณะที่ทารกอีกคน (อายุเท่ากัน) ชอบสำรวจมือตัวเองมากและชอบใช้มือหยิบจับไปทุกสิ่งโดยไม่สนใจจะคลานเลย ก็ถือว่าเด็กทั้งคู่มีพัฒนาการที่ก้าวหน้าเหมือนกัน สิ่งสำคัญที่คุณพ่อ คุณแม่ควรดูคือ ลูกของคุณมีพัฒนาการที่ก้าวหน้า ไม่หยุดนิ่ง หรือถดถอย

พัฒนาการลูกน้อย
เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการ แต่เร็วช้า คล้ายและต่างในเส้นทางของตัวเอง

2. ให้ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเป็นเพียง “แนวทาง”

หากจะใช้ข้อมูลพัฒนาการด้านต่างๆ จากอินเทอร์เน็ต ควรใช้เป็นแนวทางให้รู้ลักษณะและทิศทางโดยรวมของพัฒนาการนั้น เช่น เด็กอายุ 1 ขวบ 6 เดือนคนหนึ่งอาจพูดได้ 100 คำ ขณะที่อีกคนพูดได้เพียง 10 คำ แต่ใช้ภาษาท่าทางสื่อสารได้ดีมาก เด็กทั้งสองคนนี้ก็มีพัฒนาการปกติเหมือนกัน

ประโยชน์ของข้อมูลพัฒนาการต่างๆ คือ การให้ข้อมูลไว้เป็นช่วง (เช่น ระหว่างอายุ 1 ขวบ 6 เดือนถึง 2 ขวบเด็กในช่วงวัยนี้จะพูดได้มากขึ้นๆ) เพื่อให้คุณพ่อ คุณแม่นำไปดูความก้าวหน้าของลูก มากกว่าการเจาะจงไล่ตามให้ได้ตามจำนวนต่างๆ ที่บอกไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย สิ่งสำคัญที่สุด คือ หากคุณพ่อ คุณแม่กังวลเรื่องพัฒนาการของลูกมาก ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญดีกว่าค่ะ

อ่าน “ดูแลสุขภาพอนามัยส่งเสริมพัฒนาการลูก” คลิกหน้า 2

ไข้หวัดมะเขือเทศ โรคมือเท้าปาก

ทำความรู้จัก ไข้หวัดมะเขือเทศ หลังเด็กอินเดียติดกว่า 100 ราย

Alternative Textaccount_circle
event
ไข้หวัดมะเขือเทศ โรคมือเท้าปาก
ไข้หวัดมะเขือเทศ โรคมือเท้าปาก

ไข้หวัดมะเขือเทศ ระบาดในอินเดียแล้วกว่า 100 ราย ในประเทศไทยควรจับตามอง และกังวลมากแค่ไหน ไปฟังคำตอบจากคุณหมอ และกรมควบคุมโรคกันดูก่อนตื่นตระหนกกันไปใหญ่

ทำความรู้จัก ไข้หวัดมะเขือเทศ หลังเด็กอินเดียติดกว่า 100 ราย!!

เมื่ออินเดียพบการระบาดของโรค ไข้หวัดมะเขือเทศ (tomato flu) ทำให้เกิดเป็นประเด็นที่สังคมเฝ้าจับตามอง เนื่องจากเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย และพบการระบาดในเด็กเล็ก หลังจากมีรายงานผู้ติดเชื้อในอินเดียเป็นเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มากกว่า 100 รายแล้ว

กระทรวงสาธารณสุขของอินเดียเตือนประชาชนระวังการระบาดของโรค “ไข้หวัดมะเขือเทศ” (tomato flu) ที่พบในเด็กเล็ก หลังมีรายงานผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 100 รายในอินเดีย

หนังสือพิมพ์ไทม์ส ออฟ อินเดีย รายงานข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของอินเดียที่ระบุว่า โรคดังกล่าวไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ได้ออกประกาศแนวทางการตรวจหาเชื้อและการป้องกันให้แก่ทุกรัฐแล้วในสัปดาห์นี้ พร้อมทั้งกระตุ้นเตือนให้บรรดาผู้ปกครองเฝ้าจับตาดูอาการของบุตรหลานเป็นพิเศษ

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี รายงานว่า ไข้หวัดมะเขือเทศเป็นโรคที่ติดต่อได้อย่างรวดเร็วซึ่งแพร่กระจายผ่านการสัมผัสใกล้ชิดโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยลักษณะอาการต่าง ๆ ของโรค ได้แก่ เหนื่อยล้า คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง มีไข้ มีภาวะขาดน้ำ ข้อบวม ปวดตามร่างกาย และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ทั่วไป รวมถึงมีตุ่มสีแดงคล้ายมะเขือเทศขึ้นตามตัว

นักวิทยาศาสตร์ยังคงพยายามหาสาเหตุของโรคดังกล่าว อย่างไรก็ตาม บทความที่เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากเดอะ แลนเซต (The Lancet) วารสารการแพทย์ของอังกฤษระบุว่า โรคดังกล่าวไม่มีความเกี่ยวข้องกับเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 (โควิด-19) แม้ว่าผู้ป่วยจะแสดงอาการคล้ายกันก็ตาม

ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com
ไข้หวัดมะเขือเทศ ระบาดในเด็กเล็ก ประเทศอินเดีย
ไข้หวัดมะเขือเทศ ระบาดในเด็กเล็ก ประเทศอินเดีย

ไม่ตื่นตระหนก… หากทำความรู้จัก โรคไข้หวัดมะเขือเทศ!!

ชื่อไข้หวัดมะเขือเทศ มาจากอะไร??

หลาย ๆ คนฟังชื่อโรคแล้ว คงนึกสงสัยกันว่า โรคดังกล่าวที่กำลังเฝ้าระวังกันอยู่นี้ มีอะไรเกี่ยวข้องกับการรับประทานมะเขือเทศหรือไม่ หรือบางคนอาจเข้าใจผิดจนทำให้มะเขือเทศสีแดง แสนอร่อยมากประโยชน์ กลายเป็นผู้ร้ายไปได้ โดยชื่อโรคไข้หวัดมะเขือเทศนี้ เรียกตาม ตุ่มน้ำที่เป็นอาการหนึ่งของโรค โดยตุ่มน้ำมีลักษณะคล้ายมะเขือเทศ (โรคนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการรับประทานมะเขือเทศแต่อย่างใด) จากการสันนิษฐานลักษณะทางระบาดวิทยาและอาการเด็กที่ป่วยจะคล้ายกับโรคมือ เท้า ปาก ที่พบบ่อยได้ในเด็ก ไม่ใช่โรคติดเชื้อชนิดใหม่

ระดับความกังวลกับโรคไข้หวัดมะเขือเทศเป็นอย่างไร??

เนื่องจากในปัจจุบันที่มีโรคระบาดที่ทำให้เกิดความวุ่นวายกับการใช้ชีวิตประจำวันเป็นระยะเวลามานาน เช่น โรคจากไวรัสโควิด 19 โรคฝีดาษลิง เป็นต้น ทำให้เกิดการตื่นตัวของประชาชนทุกคนในการติดตามข่าวสาร เฝ้าระวังโรคติดต่อชนิดใหม่ ๆ ดังนั้นเมื่อเกิดข่าวการระบาดเป็นจำนวนมากของ ไข้หวัดมะเขือเทศในอินเดียจึงทำให้ต้องจับตามองว่า ทิศทางในการแพร่ระบาดของโรคนี้เป็นอย่างไร น่ากังวลหรือไม่

จากข้อมูลเบื้องต้นที่มี สามารถกล่าวได้ว่าสถานการณ์ของโรคไข้หวัดมะเขือเทศยังไม่น่ากังวล ยังไม่มีรายงานการพบผู้ป่วยในประเทศไทย และโรคดังกล่าวเป็นการแพร่ระบาดอยู่ในวงจำกัด  ซึ่งกระบวนการคัดกรองและรักษาในประเทศก็สามารถทำได้เช่นเดียวกับการรักษาโรคมือ เท้า ปากในเด็ก และในปัจจุบันมีทั้งชุดตรวจคัดกรอง ยารักษาในสถานพยาบาลในประเทศทุกระดับ และในช่วงฤดูฝนนี้ อากาศเย็นและชื้น เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่าย จึงขอความร่วมมือผู้ปกครองระมัดระวังดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หมั่นทำความสะอาดของเล่นเด็ก และบริเวณพื้นที่ที่เด็กอยู่เป็นประจำ เพื่อลดเชื้อโรคที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว

ความรุนแรงของโรคไข้หวัดมะเขือเทศ

ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคที่ได้ติดตามสถานการณ์ดังกล่าว พบว่า ผู้ป่วยในประเทศอินเดียเป็นกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี พบผู้ติดเชื้อเกือบร้อยคน ไม่มีผู้เสียชีวิต เนื่องจากเชื้อไวรัสชนิดนี้แพร่กระจายได้ง่ายจากการสัมผัส เช่น การสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด หรือนำสิ่งของเข้าปาก จึงทำให้กลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ง่ายเป็นพิเศษ  อาการจะไม่รุนแรงและหายเองได้ ขณะนี้ยังไม่มีรายงานการพบผู้ป่วยในประเทศไทย 

คุณหมอให้ข้อมูลเพื่อ…ทำความรู้จักกับโรคไข้หวัดมะเขือเทศ 

ไข้หวัดมะเขือเทศ

มาจากเชื้อไวรัสคอกซากี A16 (Coxsakie A16) ซึ่งเชื้อตัวนี้เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก (Hand Foot and Mouth Disease) นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยติดเชื้อมาจากไวรัสชิคุนกุนยา และไวรัสไข้เลือดออกในบางรายด้วย พบบ่อยในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งเชื้อนี้สามารถแพร่กระจายได้ง่ายจากการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด หรือหยิบจับของเล่นเข้าปาก

ตุ่มแดงคล้ายมะเขือเทศ ที่มาขื่อ ไข้หวัดมะเขือเทศ
ตุ่มแดงคล้ายมะเขือเทศ ที่มาขื่อ ไข้หวัดมะเขือเทศ

อาการของโรคไข้หวัดมะเขือเทศ

  • อาการปวดเมื่อยตามตัว
  • มีไข้ อ่อนเพลีย
  • คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย
  • มีผื่นลักษณะแดงเป็นตุ่มน้ำคล้ายมะเขือเทศ และแผลพุพองขึ้นตามตัว สร้างความเจ็บปวดเวลาสัมผัส
  • บางรายจะมีอาการบวมตามข้อ

การรักษา

เนื่องจากยังไม่พบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต และสามารถหายเองได้ส่วนใหญ่จึงรักษาตามอาการทานยาลดไข้ ยาแก้ปวด ทานอาหารอ่อนๆ และให้ดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ

โรคไข้หวัดมะเขือเทศ สามารถป้องกันได้ไหม??

การป้องกัน จะเหมือนกับโรคมือ เท้า ปาก สามารถป้องกันได้โดยอาศัยความร่วมมือของผู้ปกครอง ให้ช่วยดูแลบุตรหลาน โดยเน้นเรื่องสุขอนามัยรอบ ๆ ตัวเด็ก ได้แก่

  • ล้างมือบ่อย ๆ อย่างถูกวิธี
  • หมั่นทำความสะอาดของเล่น และพื้นผิวบริเวณโดยรอบสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ
  • หากพบเห็นความผิดปกติ หรือมีอาการรุนแรงควรมาพบแพทย์
ขอขอบคุณข้อมูลจาก พญ.ปราณี สิตะโปสะ กุมารแพทย์โรคติดเชื้อรพ.วิภาวดี

อ่านต่อ>> ไข้หวัดมะเขือเทศ แตกต่างกับโรคมือเท้าปาก อย่างไร คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

เด็กไฟดูด รอดได้เพราะ CPR

เปิดใจ! ฮีโร่ลุยน้ำท่วมช่วยเด็กไฟดูด รอดได้เพราะ CPR!!

Alternative Textaccount_circle
event
เด็กไฟดูด รอดได้เพราะ CPR
เด็กไฟดูด รอดได้เพราะ CPR

การทำ CPR เป็นการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน หากทำตามขั้นตอนอย่างถูกวิธี และทันเวลา จะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยที่หยุดหายใจ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ฟื้นคืนชีพได้

เปิดใจ! ฮีโร่ลุยน้ำท่วมช่วยเด็กไฟดูด รอดได้เพราะ CPR!!

เด็กนักเรียนหญิงกำลังหมดสติจมน้ำอยู่ แต่รอดชีวิตมาได้ เพราะมีฮีโร่คนหนึ่งผ่านหาเห็น เขาสามารถตั้งสติได้ และรีบช่วยชีวิตเด็กนักเรียนหญิงด้วยการทำ CPR อย่างถูกวิธี ในเวลาไม่นานนัก เด็กก็ฟื้นและสามารถสื่อสารได้ วันนี้ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอเปิดบทสัมภาษณ์ฮีโร่คนเก่ง เขาคือใคร ตามมาดูกันค่ะ

ช่วยเด็กไฟดูด รอดได้เพราะ CPR
ช่วยเด็กไฟดูด รอดได้เพราะ CPR

 

เปิดใจ! ฮีโร่ลุยน้ำท่วมช่วยเด็กไฟดูด รอดได้เพราะ CPR!!

จากเหตุการณ์ฝนตกหนักทั่วเมืองอุดรธานี จึงเกิดน้ำท่วม และมีไฟฟ้ารั่ว ทำให้ไฟฟ้าดูดนักเรียนหญิงที่เดินผ่านบริเวณนั้น โดยผู้ที่สามารถช่วยเด็กนักเรียนหญิงให้รอดพ้นจากความตายมาได้ คือ “ฮีโร่ชุดนักเรียน” น้องบอส ปรัชญา ใจบุญ อายุ 17 ปี เด็กนักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนอุดรพิชัยรักษ์

น้องบอสกล่าวว่า ในขณะที่ผมกำลังเดินทางกลับบ้าน บนถนนเส้นหลังโรงเรียนสตรีราชินูทิศ ก็ได้พบกับเหตุการณ์เด็กนักเรียนหญิง จมน้ำในลักษณะคว่ำตะแคง มีผู้ใหญ่มุงดูอยู่จำนวนหนึ่ง และตะโกนว่า “ช่วยด้วย ช่วยด้วย คนจมน้ำ” ผมตั้งสติ แล้วรีบวิ่งเข้าไปดู เมื่อไปถึง มีคุณป้าท่านหนึ่งเอามือตบหน้าอกน้องผู้หญิง ผมเคยเรียนปั๊มหัวใจ หรือCPRมาแล้ว จึงห้ามคุณป้า และพูดว่า “ขอให้ผมทำนะครับ ผมเรียนมา”

จากนั้นผมก็ปั๊มตามที่ครูสอนครับ หนึ่ง สอง สาม ฮี้บ…! เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้วิชาในเหตุการณ์จริง มันไม่เหมือนที่เรียน เพราะมีความกดดัน มีฝน มีน้ำ และมีคนลุ้นอยู่ใกล้ ๆ

ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จ หลังจากปั๊มได้ไม่นาน น้องเขาก็หายใจ เมื่อน้องได้สติ น้องพูดว่า “หนูโดนไฟดูด” เมื่อได้ยินดังนั้น ร่างกายก็ขยับโดยอัตโนมัติ กลัวตายทันที ผมดีดตัวขึ้นเกาะรั้วเลย ขำตัวเองไม่หาย หมดสภาพกำลังหล่อ ๆ เลยครับ 555

จากเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นว่า การช่วยชีวิตอย่างถูกวิธี และทันเวลา สามารถช่วยชีวิตผู้อื่นได้ โดยเฉพาะคนที่เรารัก คุณพ่อคุณแม่จึงควรเรียนรู้ขั้นตอนการทำCPR เผื่อวันหนึ่งอาจได้ใช้เมื่อเหตุการณ์ไม่ขาดฝันเกิดขึ้น มาเรียนรู้ขั้นตอนกันค่ะ

 

อ่านต่อ… เปิดใจ! ฮีโร่ลุยน้ำท่วมช่วยเด็กไฟดูด รอดได้เพราะ CPR!! คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ประกาศรายชื่อ ผู้เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ MOM INFLUENCER CONTEST SEASON 2

event

ประกาศรายชื่อ ผู้เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ MOM INFLUENCER CONTEST SEASON 2 กลับมาอีกครั้ง! กับการประกวดคุณแม่นักรีวิวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทย มาเป็นหนึ่งในทีมคุณแม่ Influencer มืออาชีพกับ Amarin Baby & Kids และชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 300,000 บาท พร้อมโอกาสเป็น Influencer มืออาชีพ กับ Amarin Baby & Kids

ใครจะผ่านเข้ารอบการประกวดกันบ้าง…เช็กรายชื่อได้ที่นี่!!

ภาคเหนือ
ฆรณี อ่อนประไพ

จิณณ์ณิตา แก้วมา

ชญานิศ จิตอารี

ณฐมณฑ์ สุริยะ

ณฐารินทร์ ชีพเพียงสรวง

ทัศนีย์ ใจดี

นรัถภร สายคำฟู

นฤมล พลจรัส

นิลเนตร ไชยศร

บุญยาพร ธรรมกันธร

ประภัสรา ผลเชื้อ

พรรณิกา ศิริ

พัชรประภา บุญก้ำ

ไพลิน จันทร์ปัญญา

ศรัณย์พัทธ์ มาละวรรณา

ศิรินันท์ เขื่อนแก้ว

ศิริพร จันทร์ส่อง

ศิวิมล พานิชย์วิไล

อมรรัตน์ ชุมภู

ไอลัดดา ทองจูด

ภาคกลาง
กชกร สุวิยานนท์

กนกวรรณ ประสิทธิ์

กมลวรรณ​ ฟ​องวัฒนากุล​

กรรณิการ์ ศิริคณินทร์

กุลธิดา ชอบประดู่

จิราวดี พลประทีป

ชนิกานต์ กาญจนเพชร

ชมพูนุท จันพร

ชลนิกา ไวโรจนกิจ

ฐนัญญา จงพิศุทธิโสภณ

ฐิติพร มุทาพร

ณัฐณิชา ตันศิริ

ณัฐพร จิรศักยกุล

ณิชาภัทร ปึงสุวรรณ

ทัศนีย์ ธาตรีกิติภูมิ

ทิพย์ธัญญา คำกอง

ธัญลักษณ์ แมคกี

ธิรดา ช่วยสำเร็จ

นฤกานต์ ศุภวิโรจน์เลิศ

นิศานาถ สุขประเสริฐ

บุตศลักษณ์ รัตนสุนทรสิทธิ์

ประกายรัตน์ เอื้อนุกูล

ปวีณา บุญเกิด

ปาณิสรา ฮะหลี

พรภัส เพชรตระกูลเจริญ

พัชรมัย สวนาพร

พัชราภรณ์ เซ็นสาส์น

เพ็ญพร ดวงแก้ว

เพ็ญสุดา สงวนวงษ์

เมริริน ชูเชิด

รพีพรรณ รัตนโกมุท

รังสิมาลิน หวังศิริ

รินทร์ชิสา เรวัตร์จารุภัทร์

วรันธร สุวัตถิกุล

วรางคณา ทับกิ

วราภรณ์ ทองดอนเปรียง

วริษฐา นิมิตรพรสุโข

วริษา รัชตะนาวิน

วิชุภรณ์ บุญธนะไพศาลวงศ์

วิภาดา​ ขัน​โคก​กรวด​

วิลาวรรณ กุศล

วีระยา สุขแระเสริฐ

ศศิพิมพ์ สาระธนะ

ศศิวรรณ แก้วรัตน์

ศิโรรัตน์ จริเกษม

สรารัตน์ ศรีชาลี

สินี เรืองขษาปณ์

โสภิดา สุภาจักร์

หทัยชนกก์ แสงภู่

อลิษา ศรนารายณ์

Jintamai Wongpiyachon

Natthamon Doungla

 

ภาคอีสาน

กัณต์นันท์ เกินขุนทด

จารุรัตน์ จันทร์วันเพ็ญ

จิราภา หอวิจิตร

เจนจิรา สุขเนียม

ชญานิศ รัตนวงศ์ชัย

ชนิกานต์ ฉันทะนิตย์

ชุติมา ทิพยจันทร์

ณัฐกฤตา ลิขิตธนพลกุล

ทิชานันท์ บุรี

นางเมธาพร บรรเทาพิษ

นิลุบล สำลี

นิษฐ์รฐา สกุลชัยเมธีดิลก

ปาริชาติ เสาแก้ว

ภัทรีญา ขวัญเมือง

ภิญาดา อาทิตย์วงษ์

รุจิรดา สันติวิวัฒนพงศ์

วรินทราย เจียรนันทรานนท์

ศรัญญา ศรีบุตรดา

ศิรินันท์ นันทโชติวัฒนากุช

สุวรรณี สมศรี

 

ภาคใต้
กมลกานต์ พัฒนพงค์

จันทร์ทิพย์ มอญทอง

จุฑาภรณ์ ปีนะกาตาโพธิ์

ณัฐนันท์ ศรีวัฒนานุพงศ์

ณัฐวดี สินสวัสดิ์

ธารทิพย์ ตันชวลิต

นฤพร เวชยกุลชัย

พัชรนันท์ ชูศรีนวล

มนัสชนก เรืองธารา

รัชภร สิทธิเดช

วัลย์ลิกา สุดจันทร์

ศศิภัสสร เนปเปอร์

ศศิภีกดิ์ฤดี สิริสรณ์สิริ

อมรรัตน์ สาตแสงพุฒ

อาวาตีฟ อับดุบกาเดร์

กทม.
กมลวรรณ โชตินิพัทธ์

กมลวรรณ บุญทาตุ้ย

กมลวรรณ ศิวะพรพันธ์

กันตพร อุบลวรรณี

กัลยา จะไป

เกวลิน สุระเกษ

จารุทัศน์ ตั้งพานิชดี

จิรนันท์ ขวัญศรี

ฉัตรพร ทรงนวรัตน์

ชนัญธิดา สมบัติศิริ

ชมขจร เชียงจง

ชไมพร เกิดสุทธิ

ชรินทร์ทิพย์ ทองสุกโชติ

ฐิตารัตน์ ฐิรเรืองรัตน์

ณัฎฐกานต์ ธีรบุตรอนันต์

ณิฐชมนต์ สวัสดิ์วัฒนดล

ณิรินทร์ญา เกตุวงษ์

ธนวรรณ เดชชุษณะนาถ

ธนัฏฐา เนียมประดิษฐ์

ธัญญ์ธิชา อินปา

นนท์ชยลักษณ์ พรรณาผลากูล

นันท์ฐพร คูนพานิช

นิศารัตน์ แซ่ฟู

ปทิตตา เบาะจันทึก

ปภัชญา เลิศอัครธร

ประภาศรี เบ้ตระกูล

ปลายลาณี ทัดทรัพย์ฤทธิ์

ปาณิศา อนุสกุลโรจน์

ปิโร โรหิตเสถียร

พนิดา เต็มเปี่ยมเจนสุข

พลอยนภัส ธนูทอง

พลอยนภัส เลรุ่งพัฒน์

พัทธกานต์ อนุรุทธิกร

พิชญา โรจนเดชานนท์

พินิจนันท์ คำนวน

พิมพ์ขวัญ บุญจิตต์พิมล

พิมพร วงค์ฝั้น

ภัทราวรรณ คิ้วสุวรรณศรี

ภัสราวดี เผ่าจินดา

มาริตา​ อุดมวงศ์ศิริ

มินท์ธิตา พวงเพ็ชร์

ลักษณ์นารา พ่วงโชคอนันต์

วรณิชชา แสงสุพรรณ

วราลักษณ์ อาตวงษ์

สุดาพร เหนือเมฆิน

สุนทรี จันทร์ผ่อง

สุนทรียา กาบคำ

อนิสา ทองทา

อนุสรา คงกิตติโสภี

อรชพร​ สวัสดี

อรอนงค์ เฟื่องฟู

Arena Muadthong

Thanatha Phutanakul

 

 

 

ผู้เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ

รอบก่อนรองชนะเลิศ 

  • ผู้ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศจะได้รับกล่อง “Surprise Box” สำหรับทำคลิปรีวิว [จัดส่งถึงบ้านโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย]
  • จัดทำคลิปรีวิวสินค้าตามโจทย์ที่กำหนดความยาวไม่เกิน 3 นาที
  • โพสต์ลงใน Facebook ส่วนตัว หรือ Fanpage ตั้งเป็น “สาธารณะ” พร้อมใส่  #MomInfluencerContestSS2 #เชื่อมัมมันเวิร์ค #AmarinBabyAndKids และ#แบรนด์สินค้า โดยโพสต์ได้ 1 คลิป และ 1 ครั้งเท่านั้น ภายในวันที่ 26 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565
  •  ส่ง Link คลิปรีวิว มาที่ใต้โพสต์ “ประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ”  ที่ Facebook Amarin Baby & Kids
  • ผู้เข้าประกวดสามารถแชร์คลิปไปยังแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ตามความเหมาะสม
  • ประกาศชื่อผู้ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ  วันที่ 7 ตุลาคม 2565 ผ่านช่องทาง Facebook Amarin Baby & Kids

เกณฑ์การตัดสินรอบก่อนรองชนะเลิศ

  • พิจารณาจำนวนเข้าชม (ยอดวิว) สูงสุดและคุณภาพของคลิปรีวิวตั้งแต่วันที่ 3-6 ตุลาคม 2565
  • พิจารณาจำนวนเข้าชม (ยอดวิว) ครั้งเดียว ในวันที่ 6 ต.ค. 2565 เวลา 18.00 น.

เกณฑ์การให้คะแนนคุณภาพของคลิป (100 คะแนน) ดังนี้

  1. วิธีการนำเสนอ 30 คะแนน
  2. สื่อสาร Key message ของสินค้าครบถ้วน 40 คะแนน
  3. ความโดดเด่นของสินค้า 30 คะแนน

เงื่อนไขการประกวดรอบคัดเลือกและรอบก่อนรองชนะเลิศ

  • เมื่อได้รับสินค้าสำหรับรีวิวผู้ประกวดต้องทำคลิปรีวิว และโพสต์ลงช่องทางโซเชียลตามระยะเวลาที่กำหนด หากผู้ประกวดไม่ทำตามกติกาจะถูกตัดสิทธิ์ในการร่วมงานกับบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)  และบริษัทในเครือ, พันธมิตร และคู่ค้ารวมถึงสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนกิจกรรมในอนาคต
  • คลิปของผู้ประกวดรอบคัดเลือกและรอบรองชนะเลิศ ถือเป็นลิขสิทธิ์ของบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)  และบริษัทในเครือ, พันธมิตร และคู่ค้ารวมถึงสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนกิจกรรมในอนาคต บริษัทสามารถปรับปรุงแก้ไขคลิปได้ตามความเหมาะสมกับรูปแบบการใช้งาน นอกจากนี้ สิทธิ์ใดๆ อันเกี่ยวข้อง หรือเกี่ยวเนื่องกับคลิปให้เป็นสิทธิ์ของบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)  และบริษัทในเครือ, พันธมิตร และคู่ค้ารวมถึงสปอนเซอร์ผู้สนับสนุนกิจกรรมในอนาคตเท่านั้น
  • ห้ามลบหรือดัดแปลงคลิปรีวิวทั้งรอบคัดเลือกและรอบรองชนะเลิศออกจากโซเชียลมีเดียเป็นเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่โพสต์คลิป
  • วันและเวลาของกำหนดการต่างๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม
  • ผู้เข้าร่วมประกวดต้องยินยอมปฏิบัติตามกติกาที่บริษัทฯ กำหนดทุกประการ
  • การดำเนินงาน และการตัดสินอยู่ในดุลยพินิจจากคณะกรรมการ และการตัดสินจากคณะกรรมการถือเป็นที่สิ้นสุด
เงินอุดหนุนเด็ก เงินอุดหนุนบุตร

เปิดลงทะเบียนแล้ว เงินอุดหนุนเด็ก แจกเดือนละ600บาท

Alternative Textaccount_circle
event
เงินอุดหนุนเด็ก เงินอุดหนุนบุตร
เงินอุดหนุนเด็ก เงินอุดหนุนบุตร

เงินอุดหนุนเด็ก เปิดให้แม่ๆ ได้ลงทะเบียนแล้ว เพิ่มวิธีรับเงินให้สะดวกยิ่งขึ้นผ่านแอป “เงินเด็ก” สามารถลงทะเบียนขอรับ เงินอุดหนุนบุตร ได้วันไหน เช็กด่วน!!

เปิดลงทะเบียนแล้ว เงินอุดหนุนเด็ก แจกเดือนละ 600 บาท!!

เปิดลงทะเบียนแล้ว โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โดยการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุนให้แก่เด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจน หรือครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจน เพื่อให้เด็กได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีพัฒนการเหมาะสมตามวัย โดยในครั้งนี้ได้เปิดรับลงทะเบียนโครงการ เงินอุดหนุนเด็ก ผ่านระบบดิจิทัล เพื่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วต่อผู้มีสิทธิมากยิ่งขึ้น

วันที่ 13 กันยายน 2565 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบฯกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับการจ่ายเงินงบอุดหนุนเฉพาะกิจ โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวน 933.6 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินอุดหนุนให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับสิทธิเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเพิ่ม เฉพาะในรอบเดือนกันยายน 2565 จำนวน 2,354,558 คน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ

เงินอุดหนุนเด็ก แรกเกิด เงินอุดหนุนบุตร
เงินอุดหนุนเด็ก แรกเกิด เงินอุดหนุนบุตร

น.ส.รัชดากล่าวว่า เนื่องจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่ได้รับจัดสรรมานั้น ไม่เพียงพอกับจำนวนผู้ได้รับสิทธิเงินอุดหนุนฯ ในรอบเดือนกันยายน 2565 ที่เพิ่มขึ้นจากที่ประมาณการณ์ไว้ ที่ผ่านมา ครม. เคยมีมติอนุมัติงบฯกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดมาแล้ว 6 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12,498.6 ล้านบาท

น.ส.รัชดากล่าวว่า โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้นให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพและมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย เพื่อเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพในอนาคต โดยรัฐบาลจะให้เงินอุดหนุนแก่เด็กแรกเกิด จนถึงอายุ 6 ขวบ ที่อยู่ในครอบครัวที่มีรายได้น้อยต่ำกว่า 100,000 บาท/คน/ปี ในอัตรา 600 บาท/คน/เดือน เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือน นับเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่รัฐบาลส่งผ่านบิดา มารดา หรือผู้ปกครองไปยังเด็กแรกเกิด

ที่มา : https://www.prachachat.net/

16 กันยายน 2565 เริ่มลงทะเบียน !!

นโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อการพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง กับโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โดยมีมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 เป็นต้นมา ได้เปิดให้ผู้ปกครองที่มีสัญชาติไทยลงทะเบียน เพื่อขอรับเงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด ณ ส่วนราชการในท้องที่ที่อาศัยอยู่ ในงวดปีใหม่นี้ ได้เปิดให้พ่อแม่ หรือผู้ที่เลี้ยงดู สามารถลงทะเบียนได้แล้วในวันที่ 16 กันยายน 2565 เป็นต้นไป โดยสามารถลงทะเบียนได้ 2 วิธี คือ

1.ลงทะเบียน ณ หน่วยรับลงทะเบียน

ผู้ปกครอง สามารถลงทะเบียนได้ในเทศบาล/ตำบล/เขต ที่เด็กแรกเกิด และผู้ปกครองอาศัยอยู่จริง ดังนี้
กรุงเทพมหานคร  : ลงทะเบียนที่สํานักงานเขต
เมืองพัทยา            : ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา

ส่วนภูมิภาค           : ลงทะเบียนที่องค์การบริหารส่วนตําบล หรือเทศบาล

เงินอุดหนุนบุตร โครงการเพื่ออนาคตของชาติ
เงินอุดหนุนบุตร โครงการเพื่ออนาคตของชาติ

เอกสารที่ใช้ ณ หน่วยลงทะเบียน

  1. แบบคำร้องขอลงทะเบียน (ดร.01)
  2. แบบรับรองสถานะของครัวเรือน (ดร.02)
  3. สูติบัตรเด็กแรกเกิด
  4. บัตรประจำตัวประชาชนแบบ Smart Card ของผู้ปกครอง
  5. ใบรับรองเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ ของสมาชิกในครัวเรือนทุกคนที่ประกอบอาชีพ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานบริษัท
  6. สำเนาเอกสาร หรือบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ
  7. บัตรหรือเอกสารอื่นใดที่แสดงสถานะหรือตำแหน่งของผู้รับรองคนที่ 1 และผู้รับรองคนที่ 2
2.บริการใหม่!! แอปพลิเคชั่น “เงินเด็ก”
เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ปกครอง ให้สามารถเข้าถึงสิทธิ และการให้บริการภาครัฐได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2565 ผู้ปกครองสามารถลงทะเบียนออนไลน์ขอรับ เงินอุดหนุนเด็ก ผ่านแอปพลิเคชัน “เงินเด็ก” หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทุกจังหวัด หรือศูนย์ช่วยเหลือสังคมกระทรวง พม. โทร. 1300 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือกรมกิจการเด็กและเยาวชน โทร.02-6516902 026516920 หรือ082-0917245
แอปพลิเคชั่นเงินเด็ก ใช้งานง่าย สามารถลงทะเบียนได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยผู้ปกครองที่จะลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นเงินเด็ก จะต้องยืนยันตัวตนผ่าน D.DOPA ของกรมการปกครอง ได้ ณ สถานที่ ดังต่อไปนี้
กรุงเทพมหานคร   : ลงทะเบียนที่สํานักงานเขต
เมืองพัทยา            : ลงทะเบียนที่ศาลาว่าการเมืองพัทยา

ส่วนภูมิภาค           : ที่ว่าการอำเภอ

แอปพลิเคชั่น เงินเด็ก บริการใหม่รับ เงินอุดหนุนเด็ก
แอปพลิเคชั่น เงินเด็ก บริการใหม่รับ เงินอุดหนุนเด็ก

ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นเงินเด็ก สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น ได้ที่

  • ระบบ IOS ดาวน์โหลดผ่าน App Store
  • ระบบ Android ดาวน์โหลดผ่าน Play Store
เอกสารประกอบการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น “เงินเด็ก”
ยื่นคำร้องขอลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นเงินเด็ก โดยให้ยืนยันตัวตนผ่าน D.DOPA ของกรมการปกครองก่อน พร้อมแนบเอกสารในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นหลักฐาน ดังต่อไปนี้
  1. หลักฐานในการรับรองสถานะครัวเรือน พร้อมภาพถ่ายบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ บัตรหรือเอกสารอื่นใดที่แสดงสถานะ  หรือตำแหน่งของผู้รับรองคนที่ 1  และผู้รับรองคนที่ 2
  2. ใบรับรองเงินเดือน หรือหนังสือรับรองรายได้ของสมาชิกในครัวเรือนที่มีรายได้น้อยทุกคน โดยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานบริษัท

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ได้รับสิทธิ ควรตรวจสอบข้อมูลในระบบตรวจสอบสิทธิอยู่เป็นประจำ หากมีการเปลี่ยนแปลง ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ให้แก้ไขข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน  และควรตรวจสอบบัญชีธนาคารที่ใช้รับเงินอุดหนุนว่ายังสามารถใช้งานได้ปกติ หรือไม่

อ่านต่อ>> คุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนรับ เงินอุดหนุนเด็ก และไทม์ไลน์การโอนเงิน คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ฮีทสโตรก

ทำความเข้าใจ ฮีทสโตรก ในเด็ก เด็กติดในรถ เสียชีวิตได้อย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
ฮีทสโตรก
ฮีทสโตรก

ฮีทสโตรก – หรือ โรคลมแดด คือ โรคที่มีสาเหตุเกิดจากความร้อนที่ร้ายแรงที่สุด เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิปกติเอาไว้ได้ ส่งผลให้กระบวนการขับเหงื่อของร่างกายทำงานผิดปกติ ซึ่งโดยปกติเมื่อเหงื่อออกจะทำให้ผิวหนังเย็นลง แต่หากไม่มีกระบวนการนี้ ร่างกายจะไม่สามารถปรับอุณหภูมิภายในร่างกายได้ และอุณหภูมิของร่างกายอาจสูงขึ้นถึง 41 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่านั้นได้ภายใน 10 ถึง 15 นาที  ดังนั้นการรู้วิธีป้องกันฮีทสโตรก จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะหากอาการเกิดขึ้นในเด็ก หรือเด็กเล็ก

ทำความเข้าใจ ฮีทสโตรก ในเด็ก เด็กติดในรถ เสียชีวิตได้อย่างไร?

การเกิดภาวะฮีทสโตรก เป็นรูปแบบของความเจ็บป่วยจากความร้อนที่ร้ายแรงที่สุด และเป็นเหตุฉุกเฉินที่สามารถคุกคามถึงชีวิตได้ เป็นผลมาจากการได้รับแสงแดดหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงเป็นเวลานานจนร่างกายไม่สามารถขับเหงื่อได้มากพอที่จะลดอุณหภูมิของร่างกาย ผู้สูงอายุ ทารก เด็กเล็ก หรือผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง มักเสี่ยงต่อโรคลมแดด เป็นภาวะที่พัฒนาอาการได้อย่างรวดเร็ว และจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลทันที

สาเหตุของ ฮีทสโตรก ในเด็ก

ร่างกายของคนเราสร้างความร้อนภายในจำนวนมาก และโดยปกติร่างกายจะปรับสภาพให้อุณหภูมิเย็นลงโดยการขับเหงื่อและปล่อยความร้อนผ่านผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ในบางสถานการณ์ เช่น ความร้อนจัด ความชื้นสูง หรือกิจกรรมท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจัด ระบบทำความเย็นของร่างกายนี้อาจทำงานได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้เกิดความร้อนสะสมจนถึงระดับอันตรายได้ หากบุคคลนั้นขาดน้ำ และร่างกายไม่สามารถขับเหงื่อได้มากพอที่จะทำให้ร่างกายเย็นลง อุณหภูมิภายในอาจสูงขึ้นจนเป็นอันตรายและทำให้เกิดฮีทสโตรก

สำหรับฮีทโสตรกในเด็ก สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อเด็กได้รับความร้อนจากสิ่งแวดล้อมมากเกินไป  ซึ่งโดยทั่วไปอาการจะเริ่มพัฒนาจากความอ่อนเพลียจากความร้อน (Heat Exhaustion) และนำไปสู่การเกิดฮีทโสตรก สำหรับเด็กเล็กๆ ควรได้รับการดูแลจากผู้ปกครอง หรือครูเป็นพิเศษเมื่ออยู่ที่โรงเรียน เพราะพวกเขาไม่สามารถหลบหนีจากสภาพแวดล้อมที่ร้อนระอุได้

เด็กอาจเกิดภาวะอาการของโรคลมแดดเมื่ออุณหภูมิร่างกายภายในสูงถึง 40 องศาเซลเซียส และเด็กอาจเสียชีวิตได้ที่อุณหภูมิ 41 องศาเซลเซียส แม้ว่าโรคลมแดดจะเกิดขึ้นบ่อยที่สุดในช่วงฤดูร้อน แต่เด็กๆ ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากโรคลมแดดได้ในรถยนต์ได้เมื่ออุณหภูมิภายในรถสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายใต้แสงแดดโดยตรง อุณหภูมิภายในรถจะสูงขึ้นได้มากถึง 20 องศาเซลเซียสจากอุณหภูมิปกติ  ที่สำคัญเด็กมีความเสี่ยงสูงกว่าผู้ใหญ่ที่จะเสียชีวิตจากโรคลมแดดในรถยนต์ เนื่องจากร่างกายจะร้อนเร็วกว่าผู้ใหญ่สามถึงห้าเท่า

มีหนึ่งตัวอย่างน่าเศร้า ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา เมื่อเด็กหญิงวัย 7 ขวบ ถูกลืมทิ้งไว้ในรถนักเรียนโดยไม่มีใครรู้ ด้วยอุณหภูมิภายในรถที่ปิดไว้นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงระดับอันตราย เป็นเหตุให้เด็กเสียชีวิตในที่สุดท่ามกลางความเสียใจของพ่อแม่ ซึ่งภายหลังจากการชันสูตรแพทย์ลงความเห็นว่า เด็กเสียชีวิตจากอาการฮีทโสตรก ซึ่งนี่ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรกที่เกิดขึ้นในแระเทศไทย อุบัติเหตุและเหตุการณ์ลืมเด็กไว้ในรถตู้รับส่งนักเรียน จนเป็นเหตุทำให้มีนักเรียนเสียชีวิต นั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จากสถิติของกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค ระบุว่าตั้งแต่ปี 2557-2563 มีเด็กที่ถูกลืมและทิ้งให้อยู่ในรถถึง 129 ครั้ง เด็กเสียชีวิต 6 ราย โดยอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 2- 6 ปี และยังเกิดขึ้นให้เห็นจนปัจจุบัน

เด็กเกิดอาการ ฮีทสโตรก ในรถจากสาเหตุใด?

  • ลมแดดในรถยนต์เนื่องจากถูกกักขัง

เด็กอาจเข้าไปในรถเพื่อเล่น หยิบของเล่นที่ลืมไว้ หรือด้วยเหตุผลอื่นใดโดยที่ผู้ดูแลไม่ทราบ เด็กที่ไม่สามารถออกมาจากรถได้ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคลมแดด การเสียชีวิตจากโรคลมแดดเกือบ 3 ใน 10 คนเกิดขึ้นเมื่อเด็กที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเข้าถึงยานพาหนะ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่คุณจอดรถควรมั่นใจว่าล็อครถทุกครั้ง และเก็บกุญแจพ้นจากมือเด็ก

  • อาการลมแดดในรถยนต์เนื่องจากผู้ใหญ่ลืมเด็กไว้ในรถโดยไม่รู้ตัว

เด็กส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตจากโรคลมแดดในรถยนต์ มักถูกผู้ใหญ่ทิ้งไว้ในรถโดยไม่ได้ตั้งใจบ่อยครั้งเมื่อเด็กถูกทิ้งไว้ในรถโดยไม่มีใครรู้นั้นอันตรายต่อชีวิตของเด็กอย่างยิ่ง เด็กที่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแลในรถขณะที่พ่อแม่ทำธุระด่วน หรือเมื่อเด็กติดอยู่ในรถ อาจส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้

ซึ่งการชอบลืมเด็กหรือทารกไว้ในรถนั้น ทางการแพทย์อาจวินิจฉัยว่าเป็นหนึ่งในอาการเจ็บป่วยของผู้ใหญ่ ด้วยอาการที่เรียกว่า “กลุ่มอาการลืมเด็กในรถ” (Forgotten Baby Syndrome) ซึ่งเป็นผลมาจากการทำกิจวัตรประจำวันจนเคยชิน เช่น การขับรถไปทำงาน หากวันใดวันหนึ่งมีเหตุที่ต้องเอาลูกนั่งรถไปด้วย เหตุร้ายอาจเกิดขึ้นได้เมื่อสมองของผู้ป่วยสั่งงานให้ทำกิจกรรมที่เป็นกิจวัตรประจำวันอย่างการขับรถไปทำงาน แต่ระหว่างทางอาจคิดหรือสนใจเรื่องอื่นๆ จนบกพร่องในการใส่ใจและสนใจลูก จนลืมไปได้อย่างสนิทใจว่าความจริงแล้วมีเด็ก หรือลูกของตัวเองโดยสารมาในรถด้วย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่อันตรายอย่างร้ายแรงต่อเด็กเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะเด็กเล็ก

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคนที่จะต้องเข้าใจว่าเด็ก ๆ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคลมแดดได้มากกว่า และการเสียชีวิตจากกรณีนี้เป็นสิ่งที่เราสามารถป้องกันได้ เราในฐานะพ่อแม่ ผู้ดูแล  มีบทบาทในการช่วยให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดการเสียชีวิตในกรณีนี้อีก  ที่สำคัญเด็กที่อายุน้อยเกินไปที่จะสื่อสารหรือเปิดประตูรถเองได้ มีความเสี่ยงสูงเป็นพิเศษจากโรคลมแดดในรถยนต์  ดังนั้นผู้ปกครองไม่ควรทิ้งเด็กไว้ในรถตามลำพัง

 

โรคลมแดด
โรคลมแดด

ความแตกต่างระหว่าง การอ่อนเพลียจากความร้อน (Heat Exhaustion)  และ ฮีทสโสตรก (Heat Stroke)

อาการของลมแดด และ ความอ่อนล้าจากความร้อนในเด็กฟังดูค่อนข้างร้ายแรง ทั้งสองเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับความร้อน อาการอ่อนเพลียจากความร้อน (Heat Exhaustion) ทำให้เกิดเหงื่อออกมากเกินไป ชีพจรเต้นเร็ว เวียนศีรษะ และอาการอื่นๆ ที่เริ่มต้นเมื่อลูกของคุณร้อนเกินไปเร็วกว่าที่ร่างกายจะระบายความร้อนได้ โดยปกติ คุณสามารถบรรเทาความเหนื่อยล้าจากความร้อนได้โดยการพาลูกออกจากความร้อนและเข้าไปในห้องปรับอากาศหรือเข้าในที่ร่ม

อย่างไรก็ตาม อาการอ่อนเพลียจากความร้อนที่ไม่ได้รับการรักษา สามารถพัฒนาไปสู่อาการฮีทสโตรก ซึ่งอุณหภูมิร่างกายของลูกคุณจะค่อยๆ สูงขึ้น และไม่สามารถทำให้ตัวเองเย็นลงได้อีกต่อไป ซึ่งอาการฮีทโสตรกเป็นเหตุฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาพยาบาลทันที ภาวะตัวร้อนเกินไป (Hyperthermia) อาจเกิดขึ้นได้เมื่อพวกเขาอยู่นอกบ้านเป็นเวลานานเกินไปในสภาพอากาศที่ร้อนจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาขาดน้ำ หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ

อาการของโรค ฮีทสโตรก

โดยทั่วไปแล้วอาการฮีทสโตรกจะเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงถึง 40 องศาเซลเซียส แต่ตัวเลขนี้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะต้องตระหนักว่าเมื่อลูกของคุณเริ่มมีอาการอ่อนเพลียจากความร้อน ( Heat Exhaustion) ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นที่พัฒนาไปสู่อาการฮีทโสตรกได้ ซึ่งสัญญาณของความอ่อนเพลียจากความร้อนมีดังนี้:

  • ผิวซีด
  • เหงื่อออกมากขึ้น
  • ความอ่อนล้า ความเมื่อยล้า
  • กระหายน้ำมาก
  • คลื่นไส้และอาเจียน
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • ปวดศีรษะ
  • หงุดหงิด
  • ตัวเย็น
  • อุณภูมิร่างกายสูงขึ้นผิดปกติ

ซึ่งถ้าหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา อาการอ่อนเพลียจากความร้อนจะเปลี่ยนเป็นภาวะฮีทสโตรกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและเป็นอันตรายถึงชีวิต และถือเป็นกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์ สัญญาณที่อันตราย ได้แก่

  • วิงเวียนศีรษะ
  • สับสน
  • ปวดหัวอย่างรุนแรง
  • หายใจลำบากและอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
  • หมดสติ
  • อาการชัก
  • หน้าแดง ร้อนและแห้ง
  • เหงื่อออกน้อยถึงไม่มีเลย
  • อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป

อ่านต่อ…ทำความเข้าใจ ฮีทสโตรก ในเด็ก เด็กติดในรถ เสียชีวิตได้อย่างไร? ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ชื่อญี่ปุ่น ลูกสาว ลูกชาย เพราะๆ น่ารัก เท่!!

Alternative Textaccount_circle
event

ชื่อญี่ปุ่น ตั้งชื่อลูกสาว ตั้งชื่อลูกชาย ชื่อญี่ปุ่นน่ารักๆ เท่ๆ เพราะๆ พร้อมความหมายดีๆ คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหาชื่อญี่ปุ่นให้ลูกมาทางนี้กันเลยค่ะ

ชื่อญี่ปุ่น ลูกสาว ลูกชาย เพราะๆ น่ารัก เท่!!

คุณพ่อคุณแม่ที่ชื่นชอบประเทศญี่ปุ่น และกำลังจะมีสมาชิกใหม่ในครอบครัวตัวน้อยๆ กำลังคิดอยากตั้งชื่อลูกเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ยังไม่ได้ชื่อที่ถูกใจ มาลองหาดูที่บทความนี้กันค่ะ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมชื่อญี่ปุ่น เพราะๆ ความหมายดี มีทั้งชื่อลูกสาว และลูกชาย มาให้เลือกกันแล้วค่ะ

ชื่อญี่ปุ่น ลูกสาว
ชื่อญี่ปุ่น ลูกสาว

ชื่อญี่ปุ่น ลูกสาว ลูกชาย เพราะๆ น่ารัก เท่!!

ชื่อลูกสาว

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
Ai ไอ ความรัก
Akeno อาเคโนะ ท้องฟ้าแจ่มใสตอนเช้า
Akina อากินะ ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิ
Ami อามิ เพื่อน
Amiko อามิโกะ สาวสวย
An อัน แอปริคอท
Aneko อาเนะโกะ พี่สาว
Asuka อาสุกะ กลิ่นหอมของวันพรุ่งนี้
Ayako อายะโกะ สีสันสดใส, ผ้าไหม
Ayumi อายูมิ ก้าวเดินเดินเท้า, ย่างก้าว
Chie ชิเอะ ภูมิปัญญา
Chika ชิกะ กวาง
Chikako ชิกาโกะ บุตรแห่งปัญญา
Chira ชิระ ปัญญา, ผ้าไหม
Choko โชโกะ ผีเสื้อ
Ema เอมะ แผ่นป้ายขอพร ที่ศาลเจ้าญี่ปุ่น, ภาพวาด
Himari ฮิมาริ แสงสว่าง, ดอกแมลโล
Hina ฮินะ แสงสว่าง, พืชพรรณ
Hitomi ฮิโตมิ แก้วตา, นัยน์ตา
Ima อิมะ ของขวัญ
Izumi อิซูมิ น้ำพุ
Junko จุนโกะ เด็กที่เชื่อฟัง
Kohana โคฮานะ ดอกไม้เล็ก ๆ
Kohaku โคฮากุ อำพัน
Machiko มาจิโกะ เด็กที่โชคดี
Maemi มาเอมิ ยิ้มอย่างจริงใจ
Manami มานามิ ความงดงามของความรัก
Masako มาซาโกะ ความยุติธรรม
Masuyo มาซูโยะ เพื่อประโยชน์ต่อโลก
Mari มาริ ดอกมะลิ
Mariko มาริโกะ ลูกแห่งความจริง
Marise มาริเสะ ไม่มีที่สิ้นสุด
Mayumi มายูมิ คันธนู, ลูกศร
Mei เมอิ การเติบโต, การพึ่งพากัน
Miho มิโฮ การรับประกันความสวยงาม, สวย, เทียน
Mika มิกะ กลิ่นหอมที่สวยงาม
Miki มิกิ เจ้าหญิงผู้งดงาม, ต้นไม้ที่สวยงาม, ความงามล้ำค่า
Misaki มิซากิ การเบ่งบานจากความงาม
Mizuki มิซูกิ พระจันทร์ที่สวยงาม
Mitsuko มิตสึโกะ เด็กที่เปล่งประกาย
Mitsuru มิตซูรุ ความสมบูรณ์, ความเติบโต
Miya มิยะ ลูกศรสามดอก
Miyako มิยาโกะ ทารกที่สวยงามมีนาคม
Momoko โมโมกะ กุหลาบสีชมพู
Nami นามิ คลื่นทะเล
Namiko นามิโกะ เด็กแห่งคลื่น
Naoko นาโอโกะ เด็กที่เชื่อฟัง
Naomi นาโอมิ ประการแรกของความงาม
Natsumi นัทสึมิ ความงามในฤดูร้อน
Nibori นิโบริ มีชื่อเสียง
Noriko โนริโกะ บุตรแห่งกฎหมาย
Nozomi โนโซมิ ความหวัง
Ran รัน ดอกกล้วยไม้
Riko ริโกะ ดอกมะลิ, เด็ก
Rin ริน สง่างาม
Shizuka ชิซุกะ สงบ, เงียบ, อ่อนโยน
Sumi ซูมิ บริสุทธิ์ (ศาสนา)
Susumi ซูซูมิ ก้าวไปข้างหน้า (ประสบความสำเร็จ)
Suzume ซูซูเมะ นกกระจอก
Takumi ทาคุมิ ชำนาญ, เชี่ยวชาญ, ชาญฉลาด
Tamiko ทามิโกะ ลูกแห่งความอุดมสมบูรณ์
Tsukiko สึกิโกะ ลูกของพระจันทร์
Tsumugi สึมุงิ ผ้าไหม
Tsuyu สึยุ น้ำค้างยามเช้า
Umeko อุเมะโกะ ลูกของดอกพลัม
Usagi อุซางิ กระต่าย
Yoko โยโกะ ลูกของดวงอาทิตย์
Yori โยริ น่าเชื่อถือ
Yoshiko โยชิโกะ เด็กที่สมบูรณ์แบบ
Yuina ยูอินะ สัญญา, พืชพรรณ
Yukiko ยูกิโกะ ลูกของหิมะ
Yukio ยูกิโอะ เป็นที่รักของพระเจ้า
Yuko ยูโกะ เด็กใจดี
Yuna ยูน่า ยอดเยี่ยม, สง่างาม
Yuri ยูริ ดอกบัว

 

อ่านต่อ…ชื่อญี่ปุ่น ลูกสาว ลูกชาย เพราะๆ น่ารัก เท่!! คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ข่าว คอมพิวเตอร์ ระเบิด กับ อารมณ์โกรธ

จากข่าว คอมพิวเตอร์ ระเบิดสู่ปัญหาการจัดการอารมณ์ในเด็ก

Alternative Textaccount_circle
event
ข่าว คอมพิวเตอร์ ระเบิด กับ อารมณ์โกรธ
ข่าว คอมพิวเตอร์ ระเบิด กับ อารมณ์โกรธ

คอมพิวเตอร์ ระเบิดใส่เด็กตาย สู่ข่าวเศร้ายิ่งขึ้น เมื่อพบความจริงเด็กพกปืนมาโรงเรียน สืบหาเหตุเคยทะเลาะกันมาก่อนหรือไม่ มาสอนลูกจัดการความโกรธให้ได้ก่อนสาย

จากข่าว คอมพิวเตอร์ ระเบิดสู่ปัญหาการจัดการอารมณ์ในเด็ก!!

คดีพลิกคีย์บอร์ด คอมพิวเตอร์ ไม่ได้ระเบิด เพื่อนนักเรียนคนตายโกหก ทำปืนปากกาลั่นใส่เพื่อนในห้องเรียน ขณะเข้าเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ ก่อนตกใจกลัวนำปืนไปซ่อน ตร.-สหวิชาชีพ สอบเครียด ด้านพระผู้ปกครองเด็กที่ก่อเหตุให้ปากคำตำรวจ บอกเคยโดนเพื่อนต่อย ส่วนปืนไม่รู้เอามาจากไหน

ที่มา : https://mgronline.com

ข่าวเศร้าที่กำลังถกเถียงกันในโลกออนไลน์เริ่มจาก คอมพิวเตอร์ ระเบิดใส่เด็กจนเสียชีวิตในห้องเรียน เป็นประเด็นที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันยังไม่ทันได้ข้อสรุป กลับมาพบความจริงที่น่าเศร้ากว่าเดิม เมื่อตร.สืบจนพบว่าเด็กเสียชีวิตจากปืน ส่วนสาเหตุกำลังเร่งสืบสวนว่า เด็กที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ก่อเหตุนั้น เคยมีปากเสียงกันมาก่อนหรือไม่

คอมพิวเตอร์ ระเบิด เด็กเสียชีวิต ขอบคุณภาพจาก amarin TV
คอมพิวเตอร์ ระเบิด เด็กเสียชีวิต ขอบคุณภาพจาก amarin TV

จากประเด็นข่าว มีเรื่องที่น่าสนใจนำมาเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรต้องทบทวน  และขบคิดให้มาก เรื่อง การควบคุมอารมณ์ของเด็ก ในปัจจุบันเรามักพบกับปัญหาคล้าย ๆ กันนี้บ่อยขึ้น เมื่อเด็กที่เป็นวัยขาดวุฒิภาวะ ทำให้เกิดการกระทำที่น่าเศร้า และส่งผลเสียต่ออนาคต จนบางครั้งเลยเถิดไปยังชีวิต และทรัพย์สินของผู้อื่น ดังนั้น การสอนให้ลูกรู้จักอารมณ์ของตัวเอง การจัดการอารมณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ให้ออกมาในแนวทางที่เหมาะสม เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรสอนลูก โดยเฉพาะลูกที่กำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่า เด็กจะจัดการกับปัญหาของเขากันอย่างไร นำมาซึ่งข่าวอันเศร้า หลายต่อหลายครั้ง

ลูกโกรธแบบไหนน่าเป็นห่วง???

อารมณ์ของมนุษย์มีมากมายหลากหลาย ทั้งอารมณ์ในแง่บวก เช่น ดีใจ ตื่นเต้น สนุก เป็นต้น และอารมณ์ในแง่ลบ เช่น หงุดหงิด โกรธ เสียใจ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นกันได้ในทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด แต่ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์นั้น เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่อาจยังไม่สามารถควบคุม และจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองต่าง ๆ เหล่านั้นได้ บางครั้งเด็กยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า เขากำลังมีความรู้สึกอะไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เมื่อเด็กไม่รู้ หรือไม่สามารถจัดการได้ จึงทำให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ที่น่าตกใจ หรือพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมขึ้นมาได้ ก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ทั้งรุนแรง และไม่รุนแรง เช่น ลูกก้าวร้าว โวยวาย ร้องไห้ทิ้งตัว ลงไปนอนดิ้น พูดคำหยาบคาย หรือแม้แต่เหตุการณ์ในข่าวเศร้า ที่จบปัญหาด้วยการทำให้อีกฝ่ายเสียชีวิต

แต่ละคนแสดงออกถึงอารมณ์โกรธแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับพื้นอารมณ์ของแต่ละคนตั้งแต่เกิด พันธุกรรม เป็นปัจจัยอันหนึ่ง คนที่มีความอดทนต่อความคับข้องใจได้น้อยมักเป็นคนโกรธง่าย การเลียนแบบบุคคลสำคัญหรือผู้ที่ใกล้ชิดก็มีผล  และอาจขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู เช่น การเลี้ยงแบบตามใจจนเกินไปทำให้แสดงอารมณ์โมโหได้ง่าย หรือถูกสอนว่าไม่ให้แสดงความไม่พอใจ จึงมีนิสัยเก็บความรู้สึกไว้เพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นคนก้าวร้าว รวมทั้งคนที่มีประสบการณ์เลวร้ายในอดีตอาจแสดงความโกรธง่ายกว่า และรุนแรงกว่าคนอื่น อย่างการทารุณกรรม การบูลลี่ (Bully)คนอื่น ก็เกิดจากการตอบสนองต่ออารมณ์โกรธของตัวเอง จากประสบการณ์ และการสั่งสอนที่ได้รับมา เป็นต้น

อารมณ์โกรธ ไม่ใช่ตัวร้าย!!

อารมณ์โมโห โกรธ หงุดหงิด เศร้า เสียใจ ท้อใจ เป็นอารมณ์ด้านลบที่ไม่ใช่เรื่องที่แย่ การที่ลูกมีอารมณ์เหล่านี้เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดจนทำให้พ่อแม่หงุดหงิดตาม และสั่งหรือแสดงออกให้ลูกเข้าใจว่าต้องเก็บกดอารมณ์เหล่านั้นไว้ อารมณ์โกรธเป็นเรื่องธรรมชาติ และเป็นตัวที่บอกถึงการมีสุขภาพดี การที่ไม่รู้สึกโกรธเลยต่างหากเป็นเรื่องของความไม่ปกติ  ทั้งนี้เพราะความโกรธเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเจ็บปวดทางกาย และอารมณ์ ในช่วงชีวิตของคนเราเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบกับความไม่ถูกใจหรือผิดหวังในสิ่งที่ต้องการ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีอารมณ์โกรธเลย การที่ลูกแสดงอารมณ์โกรธออกมา พ่อแม่จึงไม่ควรหงุดหงิดตาม แต่คิดเสียว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะสอนให้ลูกรู้จัก และเรียนรู้เรื่อง อารมณ์ตนเอง สอนให้ลูกเรียนรู้วิธีที่จะบริหาร ควบคุมหรือระบายความโกรธออกมาอย่างเหมาะสมต่างหาก

ช่วยลูกจัดการอารมณ์โมโห อย่างไร
ช่วยลูกจัดการอารมณ์โมโห อย่างไร

“อย่าโมโหสิ!! อย่าโกรธแบบนี้นะ!! ใจเย็น ๆ” คุณกำลังพูดแบบนี้เมื่อลูกโกรธหรือเปล่า??

อารมณ์เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีผิด ไม่มีถูก หรือสามารถบังคับกันได้ เห็นได้จากตัวพ่อแม่เอง แม้จะเป็นผู้ใหญ่แล้วยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ 100% เลย ดังนั้น การไปห้ามว่า ลูกอย่าโมโหสิ ใจเย็น ๆ ลองถามตัวเองกลับดูว่า หากเรากำลังโกรธและได้รับคำห้ามแบบนี้ เราจะรู้สึกดีขึ้นหรือไม่ การห้ามยิ่งทำให้ลูกต้องเก็บกดอารมณ์โกรธนั้นไว้แทน จนกลายเป็นเด็กที่สะสมความโกรธ ขี้ฉุนเฉียว และรอวันระเบิดออกมา

สอนลูก “ยอมรับ” ด้วยการ “สะท้อนอารมณ์” ให้เขารับรู้!!

อย่างที่ได้กล่าวไปว่า เด็กบางคนอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ที่เขากำลังรู้สึกอยู่นั้น เรียกว่า อารมณ์แบบไหน ดังนั้น หน้าที่ของพ่อแม่คือ การช่วยสะท้อนอารมณ์ของลูก ให้เขารับรู้ และยอมรับในอารมณ์ที่เกิดขึ้น เช่น โอเค ตอนนี้ลูกกำลังโกรธนะ หรือ หนูหงุดหงิดอยู่ใช่ไหมลูก เป็นต้น การสะท้อนอารมณ์จะทำให้ลูกเกิดการับรู้อารมณ์ตัวเอง เข้าใจตัวเองขึ้น และลูกจะรู้สึกดีขึ้น ที่พ่อแม่เข้าใจ และยอมรับความรู้สึกของเขา ไม่ตัดสิน ทั้งหมดนี้จะทำให้เด็กใจเย็นลงได้เอง

“ไม่ตัดสิน” คำ ๆ นี้สำคัญมาก และมักจะเป็นเรื่องที่พ่อแม่พลาดไป เมื่อลูกรู้สึกโกรธ หรือมีอารมณ์ทางลบ การที่พ่อแม่ยอมรับ แสดงความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจแล้วยังไม่พอ ควรระวังในคำพูดของเราเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ยังไม่จำเป็นต้องสอนอะไรลูกมากมายในช่วงเวลานั้น เพราะคำพูดพร่ำสอนเหล่านั้น นอกจากจะเข้าไม่ถึงความคิดลูกแล้ว ยังเป็นการผลักให้ลูกออกไปจากพ่อแม่อีกต่างหาก

อ่านต่อ>> เคล็ดลับในการฝึกวิธีการจัดการความโกรธแก่ลูก คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

พฤติกรรมเด็ก

รับมือ พฤติกรรมเด็ก เปลี่ยน-ตัวร้าย-ให้กลายเป็น “นางฟ้า”

Alternative Textaccount_circle
event
พฤติกรรมเด็ก
พฤติกรรมเด็ก

ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแชร์เคล็ดลับ รับมือ “พฤติกรรมเด็ก” ลูกกริ๊ดลั่น-ดิ้นตัวงอ ให้อยู่หมัด!! เปลี่ยน “ตัวร้าย” ให้กลายเป็น “นางฟ้า” แม่จ๋า!! เข้าใจหนูหน่อย!!

รับมือ พฤติกรรมเด็ก เปลี่ยน-ตัวร้าย-ให้กลายเป็น “นางฟ้า”

ทำไมหนูถึงกลายเป็น “ยัยตัวร้าย”

พฤติกรรมลูก
พฤติกรรมลูก

เริ่มเป็นตัวของตัวเอง (แต่ไม่มีเหตุผล) – เด็กในวัย 2-3 ขวบ จะสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การทานอาหารได้เอง เดินได้เอง วิ่งได้เอง พูดในสิ่งที่ต้องการพูดได้เอง จึงมีความคิดเป็นของตัวเอง ทราบความต้องการของตัวเองว่าต้องการอะไร แต่ยังไม่คิดถึงเหตุและผลของการกระทำนั้น ๆ ที่จะตามมา

ข้อจำกัดเรื่องภาษา – ด้วยความที่ลูกยังเล็กเกินไป ลูกก็เลยยังไม่รู้จะสื่อให้คุณพ่อคุณแม่ทราบได้อย่างไรว่า อาการที่ลูกเป็นนั้น เป็นเพราะลูกหิว ลูกร้อน ลูกหงุดหงิด หรือแม้แต่ง่วงนอน ลูกรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ดี และด้วยสาเหตุดังกล่าวยิ่งส่งผลทำให้พวกเขาหงุดหงิดเพิ่มมากขึ้น

เถียงเก่ง (แต่คุมตัวเองไม่ได้) – ลูกจะเริ่มเรียนรู้ว่าสามารถเถียงกลับได้เมื่อมีอารมณ์โกรธ จึงเริ่มที่จะแสดงอารมณ์โกรธด้วยการเถียง การกริ๊ด หรือการดิ้นตัวงอ แต่ลูกยังไม่รู้ว่าพฤติกรรมที่ใช้แสดงอารมณ์อยู่นั้น เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรแสดงออกมา และควรควบคุมอารมณ์อย่างไร

อยากทำบางสิ่งบางอย่างแต่ทำไม่ได้ – ยกตัวอย่างเช่น ลูกอยากที่จะเขียนหนังสือ อยากผูกเชือกรองเท้า หรืออยากติดกระดุมเสื้อเอง แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร พอพวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะทำ แต่กลับทำไม่ได้เลยยิ่งส่งผลทำให้หงุดหงิด และร้องโวยวายมากขึ้น

มองตัวเองเป็นศูนย์กลาง อยากได้ความรักมากที่สุด – เด็กวัยนี้ รับรู้มาตลอดว่าทุกคนให้ความรักและความสำคัญเพราะพวกเขาเด็กที่สุด แต่เมื่อไรก็ตามที่มีน้อง หรือมีเด็กคนอื่น หรือบุคคลอื่นมาทำให้ความสำคัญของเขาลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ลูกก็จะยิ่งแสดงความไม่พอใจออกมา เนื่องจากเกิดอาการหึงหวง และรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญลดน้อยลงด้วย เป็นต้น

อยากรู้ อยากลอง ไม่รู้จักกลัว – ลูกจะรู้จักการตอบโต้กลับ จึงอยากรู้ว่าหากลองทำแบบนี้ พ่อแม่จะทำอย่างไรนะ? ลูกจึงแสดงพฤติกรรมหลาย ๆ อย่างที่ดูเหมือนจะกำลังท้าทายคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะต้องเข้าใจว่าสิ่งที่ลูกกำลังทำอยู่นั้น คือการลองใจพ่อแม่นั่นเอง

ไม่สบายตัว – เมื่อไรก็ตามที่ลูกรู้สึกว่าตัวเองไม่สบายตัว ยกตัวอย่างเช่น อยู่ในอากาศที่ร้อนหรือหนาวจัด ง่วงนอนหรือนอนไม่พอ หรือแม้แต่หิวละก็ ลูกก็จะไม่สามารถบอกคุณพ่อคุณแม่ให้เข้าใจได้ ดังนั้น จึงเกิดเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่ารักนี้ขึ้น

ภารกิจ เปลี่ยน “ยัยตัวร้าย” ให้กลายเป็น “นางฟ้า”

ลูกดื้อ
ลูกดื้อ

เมื่อทราบถึงสาเหตุที่ลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น การกริ๊ดลั่นบ้าน การดิ้นตัวงอ พ่อแม่จึงมีภารกิจ เปลี่ยน พฤติกรรมเด็ก เหล่านี้ ให้ลูกมีพฤติกรรมและการแสดงออกที่เหมาะสม มาดูกันว่าต้องทำอย่างไรกันบ้าง?

  1. ลูกเริ่มงอแง อย่าเปิดฉากด้วยคำต่อว่า หันมาหายใจลึก ๆ คุมอารมณ์แม่ให้นิ่ง

ก็เหมือนเวลาเราทะเลาะกับใครก็ตาม เมื่ออีกฝ่ายนึงต่อว่า แสดงอารมณ์โกรธ อีกฝ่ายที่โกรธอยู่แล้วก็จะยิ่งโกรธมากขึ้น แถมยังโกรธเพิ่มจากคำพูดที่ฝ่ายแรกต่อว่ามาอีก ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องคุมอารมณ์ให้นิ่งให้ได้ก่อนค่ะ หากยังคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ อนุญาตให้ตัวเองเดินหนีออกมาก่อน ก่อนที่จะต่อว่าลูกออกไปจนเรื่องราวบานปลาย เมื่ออารมณ์เย็นลง ค่อยเดินกลับไปพูดคุยกับลูก

2. ตั้งเงื่อนไข บอกให้เข้าใจ “ถ้าหนูร้องเอาแต่ใจ แม่ไม่สนใจทันที”

ต้องมีการตั้งกฎ กติกา กันให้ชัดเจน คุณพ่อคุณแม่ควรพูดคุยกับลูกให้เข้าใจถึงกฏ กติกา การอยู่ร่วมกันกันก่อนว่า หากมีการทะเลาะกันเมื่อไหร่ ควรจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร สิ่งใดที่จะทำให้เหตุการณ์แย่ลง การที่หนูร้องโวยวายเอาแต่ใจ จะทำให้เหตุการณ์แย่ลง ทำให้พูดคุยกันด้วยเหตุและผลไม่รู้เรื่อง ดังนั้น เมื่อหนูเริ่มร้องไห้ โวยวายเมื่อไหร่ สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่จะทำคือการไม่สนใจและเดินหนี คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้ได้ตามที่ตกลงกันจริง ๆ เพราะจะทำให้ลูกรู้ว่าเมื่อข้ามเส้นไปร้องเอาแต่ใจเมื่อไหร่ ลูกจะไม่ได้รับความสนใจ และจะไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ

สอนลูก
สอนลูก

3. ตั้งกฎให้ลูก แล้วบอกกับตัวเองให้จริงใจ “เห็นน้ำตาไหลแค่ไหน ต้องไม่ใจอ่อน”

เมื่อตั้งกฎ กติกา ให้ชัดเจนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็จะต้องทำตามกฎที่ตั้งไว้อย่างจริงจัง ควรตกลงกันเองก่อนว่าห้ามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใจอ่อน ไม่ใช่ว่าคุณแม่ไม่ยอม แต่พอคุณพ่อเห็นลูกร้องไห้อ้อนวอน ก็กลับยอม ไปบอกคุณแม่ให้ หยวน ๆ ไปเถอะ แบบนี้ก็ไม่ได้นะคะ เพราะลูกจะรู้ทันทีว่าต้องทำแบบไหน กับใคร แล้วจะได้รับสิ่งที่ต้องการ กฎ กติกาที่ตั้งไว้ จะไม่สามารถทำได้ทันที

4. ลูกไม่ใช่ศัตรู

ต่อให้ลูกอารมณ์ร้ายแค่ไหน อย่างไรก็ตาม เค้าก็คือลูกของเรา อย่าเผลอมองลูกเป็นศัตรู เพราะต้องการเอาชนะลูกให้ได้ เพราะสุดท้าย ต่อให้คุณพ่อคุณแม่เอาชนะลูกได้ คนที่เสียใจที่สุดคือคุณพ่อคุณแม่เองนะคะ ดังนั้น เมื่อลูกมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ให้คุณพ่อคุณแม่มอบอ้อมกอดที่อบอุ่น พร้อมทั้งคำปลอบโยนเสียงหวาน ที่เปรียบเสมือนน้ำเย็นชโลมใจ ให้ลูกสงบลง

3 อาการ “สุดเหวี่ยง” รับมืออย่างไรดี?

พฤติกรรมเด็ก
พฤติกรรมเด็ก

มาพบกับ พฤติกรรมเด็ก สุดเหวี่ยง ที่มักเจอกันเป็นประจำ พร้อมวิธีการรับมือกันค่ะ

เหวี่ยงแล้วนะ อยากเอาให้ได้

วิธีรับมือ – เมื่อลูกต้องการของสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ได้ คุณพ่อคุณแม่ควรเก็บสิ่ง ๆ นั้น ให้พ้นจากสายตาลูก อย่าวางสิ่งนั้นไว้ใกล้ ๆ เพื่อกระตุ้นความอยากของลูก

เหวี่ยงงอแง เรียกร้องความสนใจ

วิธีรับมือ – บอกให้รู้ว่ายังไม่ว่าง ใช้คำสั่งสั้น ๆ อยากให้ทำอะไรคะ? (แต่เมื่อคุณพ่อคุณแม่ว่างแล้ว ก็ควรหาเวลามาอยู่กับลูกด้วยนะคะ เพราะพฤติกรรมเหวี่ยงแบบนี้ คือลูกต้องการอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ)

เหวี่ยงดื้อรั้น ไม่ทำตาม

วิธีรับมือ – ให้ตัวเลือกแบบจำกัด ไม่ ก. ก็ ข. คุณพ่อคุณแม่ควรบอกเหตุผลว่าถึงไม่ทำตาม แล้วให้ตัวเลือกว่าหากทำตามแล้วจะเป็นอย่างไร หากไม่ทำตามแล้วจะเป็นอย่างไร แล้วให้ลูกได้เลือกเอง ลูกจะรู้สึกว่าลูกได้เลือกทางของตัวเองแล้ว ไม่มีใครมาบังคับให้ทำ

วัยทอง 2 ขวบ
วัยทอง 2 ขวบ

ด้านแพทย์หญิงสินดี จำเริญนุสิต กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก โรงพยาบาลเวชธานี ได้กล่าวถึงพฤติกรรมนี้ว่า การแสดงออกเช่นนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการลูก คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยนี้ควรที่จะเข้าใจมากกว่า การดุด่า ว่าทอ หรือตบตีลูก

เนื่องจากพวกเขา เริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง อยากรู้อยากเห็น มีความต้องการที่จะควบคุมทุกอย่าง อยากมีอิสระ และพยายามที่จะทำอะไรก็แล้วแต่ที่เกินความสามารถของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่โตพอที่จะรู้จักควบคุมตัวเองได้ดีพอ และเมื่อไรก็ตามที่เหนื่อย หิว หงุดหงิด หรือกลัว ความก้าวร้าวก็เริ่มทวีคูณมากขึ้นตามไปด้วย

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เปลี่ยน “พ่อแม่” เป็นโค้ชชีวิต เสริมภูมิต้านทานอุปสรรคให้แก่ลูก

9 วิธีสอนลูกไม่ให้แกล้งเพื่อน หรือไปทำร้ายคนอื่น

พ่อแม่ปรับวิธีเลี้ยงลูกด่วน! 7 พฤติกรรมเด็ก ที่ควรพบจิตแพทย์

ลูกติดจอ ติดมือถือ แก้ได้ด้วยกฎ 3 ต้อง 3 ไม่

 

อ้างอิง: แพทย์หญิงสินดี จำเริญนุสิต กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านพัฒนาการและพฤติกรรมเด็ก โรงพยาบาลเวชธานี

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เลี้ยงลูกสาว

เทคนิค “เลี้ยงลูกสาว” ให้อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ

event
เลี้ยงลูกสาว
เลี้ยงลูกสาว

เลี้ยงลูกสาว …หากลูกน้อยใจว่าเกิดเป็นเด็กผู้หญิงนั้น ช่างยากลำบากกว่าเด็กผู้ชาย  แม้ปัจจุบันเด็กผู้หญิงจะมีโอกาสต่างๆ เท่ากับเด็กผู้ชาย แต่ความเท่าเทียมนี้อาจยิ่งความกดดันให้พวกเธอได้เช่นเดียวกัน ดร.สตีเฟน พี ฮินชอว์ หัวหน้าแผนกจิตวิทยา จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียและผู้เขียน “The Triple Bind: Saving Our Teenage Girls from Today’s Pressure” ให้ความเห็นว่า เด็กผู้หญิงในปัจจุบันต้องพบกับแรงกดดันจากความคาดหวังที่มากขึ้น แล้วเราควรจะ เลี้ยงลูกสาว อย่างไรดี ให้เป็นเด็กผู้หญิงเก่ง โดยไม่กดดันลูก (more…)

หัวกระแทกของแข็ง

ลูกหัวโน หัวกระแทกของแข็ง ควรทำอย่างไร อาการแบบไหนต้องรีบพาไปหาหมอ?

Alternative Textaccount_circle
event
หัวกระแทกของแข็ง
หัวกระแทกของแข็ง

หัวกระแทกของแข็ง – การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะถือเป็นประสบการณ์ในวัยเด็กทั่วไปที่เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นทารกที่ฝึกคลานจนตกจากที่นอน เด็กประถมที่ล้มจากการวิ่งเล่นกับเพื่อน ตลอดจนนักกีฬาวัยรุ่นที่วิ่งชนกับเพื่อนฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ตาม หากลูกของคุณมีสุขภาพแข็งแรงก่อนได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ไม่หมดสติ ไม่มีบาดแผลที่ศีรษะหรือใบหน้าและไม่มีอาการผิดปกติหลังจากนั้น อาจเป็นเพียงการกระแทกที่ศีรษะ ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือสังเกตอาการ ลูกของคุณอย่างใกล้ชิด

ลูกหัวโน หัวกระแทกของแข็ง ควรทำอย่างไร อาการแบบไหนต้องรีบพาไปหาหมอ?

สำหรับเด็กเล็ก พวกเขาขึ้นชื่อในเรื่องการเล่นสนุกสุดเหวี่ยงโดยไม่กลัวอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดได้จากการเล่นของพวกเขา ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่เด็กเล็กๆ มีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะได้บ่อย ที่น่าเป็นห่วงคือ ศีรษะของเด็กมีขนาดใหญ่ตามสัดส่วนของร่างกาย ดังนั้นจึงเสี่ยงต่อความเสียหายมากกว่าศีรษะของผู้ใหญ่

การบาดเจ็บที่ศีรษะ อาจทำให้เกิดปัญหาทางการแพทย์ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงขั้นบาดเจ็บรุนแรง ในแต่ละปีการบาดเจ็บที่ศีรษะในวัยเด็ก ทำให้ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลายพันคนต่อปี แม้ว่าร้อยละ 90 ของการบาดเจ็บที่ศีรษะในเด็กนั้นมักไม่ร้ายแรง แต่ก็มีเด็กหลายคนที่เสียชีวิตและอีกหลายคนต้องพบกับความทุพพลภาพถาวรจากการบาดเจ็บที่ศีรษะ

ลักษณะของการบาดเจ็บรุนแรงที่ศีรษะ เมื่อเด็ก หัวกระแทกของแข็ง

อาการบาดเจ็บที่ศีรษะในเด็ก คือ ผลกระทบหรือการบาดเจ็บบริเวณด้านนอกของศีรษะหรือใบหน้า เช่น หน้าผาก หนังศีรษะ กะโหลกศีรษะหรือแม้แต่สมอง โดยส่วนใหญ่แล้วการบาดเจ็บที่ศีรษะของเด็กจากการถูกกระแทกด้วยของแข็งมักไม่รุนแรง เช่น อาจมีรอยฟกช้ำหรือแผลเปิดที่มีลักษณะเป็นแผลถลอกหรือแผลสด อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเด็กที่ร้ายแรงอาจรวมถึงกระแทกจนกระดูกกะโหลกศีรษะร้าว แตก บวม หรือมีเลือดออกภายใน เป็นต้น ซึ่งอาการบาดเจ็บที่ศีรษะแบ่งออกได้ 3 ลักษณะ ต่อไปนี้

  • การแตกร้าวของกะโหลกศีรษะ –  การแตกหรือร้าวของกะโหลกศีรษะอาจทำให้เกิดรอยฟกช้ำบนพื้นผิวของสมอง หากกะโหลกศีรษะเว้าแหว่งเข้าด้านใน ชิ้นส่วนของกระดูกที่หักจะถูกกดลงไปที่พื้นผิวของสมอง ซึ่งกรณีอาจต้องรีบไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที
  • มีเลือดออกเหนือเยื่อหุ้มสมอง (Epidural hematoma)  – หนึ่งในประเภทของการเลือดออกที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจเกิดขึ้นภายในศีรษะอันเป็นผลมาจากการแตกร้าวของกะโหลกศีรษะ เกิดขึ้นได้เมื่อกระดูกที่แหลมคมทำความเสียหายต่อเส้นเลือดใหญ่บางจุดภายในกะโหลกศีรษะ เมื่อเส้นเลือดที่เสียหายมีเลือดออก กลุ่มของเลือดที่เรียกว่าห้อเลือดจะก่อตัวขึ้นในช่องว่างระหว่างกะโหลกศีรษะและเยื่อหุ้มสมองชั้นนอกสุดซึ่งทำหน้าที่ปกคลุมสมอง หลอดเลือดที่แตกมักจะเป็นหลอดเลือดแดง และห้อจะขยายตัวอย่างรวดเร็วไปกดทับที่สมอง ซึ่งอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ชีวิตได้
  • การมีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง (Subdural hematoma) – มีเลือดออกระหว่างส่วนที่ปกคลุมของสมองและพื้นผิวของสมอง เกิดขึ้นเมื่ออาการบาดเจ็บที่ศีรษะทำความเสียหายต่อเส้นเลือดขนาดใหญ่ เลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองมักจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาจเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ โดยอาการจะค่อยๆ แย่ลง เลือดออกประเภทนี้อาจนำไปสู่การบาดเจ็บที่สมองอย่างรุนแรงและถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

สาเหตุของอาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเด็ก

อาการบาดเจ็บที่ศีรษะในเด็กอาจเกิดจาก

  • การหกล้มและอุบัติเหตุเล็กน้อย ที่เกิดขึ้นในขณะที่ลูกของคุณกำลังวิ่งเล่นซน เช่น ล้มหัวกระแทกพื้น หรือ วิ่งหัวชนขอบโต๊ะ เป็นต้น
  • อุบัติเหตุทางรถยนต์ นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ศีรษะในเด็กในวัยนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมการขับขี่อย่างปลอดภัยและการใช้คาร์ซีทอย่างเหมาะสมจึงมีความสำคัญมากกว่า
  • ถูกทำร้ายร่างกาย น่าเศร้าที่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของอาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเด็กวัยหัดเดิน แม้ว่าจะพบไม่บ่อยนัก อาจเป็นปัญหาเรื้อรังที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บที่ศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้

นอกจากนี้ อุบัติเหตุบางอย่างมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ การตกบันได การตกจากจักรยานโดยไม่สวมหมวกนิรภัย การตกจากพื้นสูง 3 ฟุตขึ้นไป และการเล่นกีฬาที่ต้องแข่งขันแบบมีการกระทบกระทั่ง

อาการบาดเจ็บจาก หัวกระแทกของแข็ง ที่ต้องระวัง

บางครั้งอาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเด็กอาจรุนแรงและอาจนำไปสู่การกระทบกระเทือนทางสมอง มีเลือดออกในสมอง หรือ สมองบวม อาการบาดเจ็บที่ศีรษะอาจทำให้ ความจำ การตัดสินใจ การตอบสนอง การพูด และการนอนหลับเปลี่ยนแปลงไป เด็กอาจมีอาการปวดหัวและไวต่อแสงและเสียงได้มากกว่าปกติ

หากลูกของคุณแสดงอาการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถูกกระแทกที่ศรีษะ ให้นำเด็กออกจากจุดเกิดเหตุและโทรแจ้งกู้ภัย หรือ โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แนะนำให้พาบุตรหลานไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการดังต่อไปนี้

  • ความซีดผิดปกติที่นานกว่าหนึ่งชั่วโมง
  • อาการการเสียวซ่าที่ด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย
  • อาการชาหรืออ่อนแรงของแขนหรือขา
  • เสียการทรงตัว หรือเดินได้อย่างยากลำบาก
  • มีอาการชัก
  • วิงเวียนศีรษะซ้ำๆ เป็นๆ หายๆ
  • คลื่นไส้หรืออาเจียนมากกว่าสองหรือสามครั้ง
  • หูอื้อหรือสูญเสียการได้ยิน
  • พูดไม่ชัด
  • ตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน หรือรูม่านตาทั้งสองข้างมีขนาดไม่เท่ากัน
  • จดจำใบหน้าคนที่คุ้นเคยไม่ได้
  • ปวดหัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอาการแย่ลง
  • ง่วงนอนมาก หรือ ตื่นยากผิดปกติ
  • หงุดหงิด สับสน หรือพฤติกรรมผิดปกติอื่นๆ

นอกจากนี้ อาการบาดเจ็บที่ศีรษะอาจเกิดขึ้นทันที หรือ ค่อยๆ เกิดขึ้นภายในเวลาหลายชั่วโมงหรือหลายวัน อาการและอาการแสดงของอาการบาดเจ็บที่ศีรษะที่ควรระวัง ยังอาจรวมถึงอาการต่างๆ ต่อไปนี้

  • รอยบุบที่มองเห็นได้จากการกระแทก
  • เด็กร้องไห้มากผิดปกติ
  • ปวดหัว (เด็กอาจร้องไห้ และอาจจับหรือถูหัวตัวเอง)
  • รอยคล้ำสีดำและน้ำเงินใต้ตา หรือหลังใบหู
  • พฤติกรรมก้าวร้าวหรือไร้เหตุผล
  • ไม่ยอมกินอาหาร
  • อาการชาหรืออ่อนแรงตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  • เด็กไม่ตอบสนอง
  • มีอาการชัก
  • มีเลือดออกหรือของเหลวไหลออกจากหูหรือจมูก
  • หมดสติ

ซึ่งอาการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณของอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ศรีษะ  และอาจเกิดขึ้นได้หลายชั่วโมงหลังจากการถูกกระแทกที่ศรีษะ  นั่นเป็นเหตุผลที่การเฝ้าดูลูกของคุณอย่างใกล้ชิดในช่วง 24 ถึง 48 ชั่วโมงแรกหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง

บางครั้งอาการบาดเจ็บที่ศีรษะอาจนำไปสู่การกระทบกระเทือน  อาการบาดเจ็บที่สมองเล็กน้อยที่เกิดจากการกระแทก ซึ่งอาการต่างๆ ได้แก่ อาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ เหนื่อยล้า และความจำแย่ลง ซึ่งสามารถคงอยู่ได้ตั้งแต่ 15 นาทีไปจนถึงสองสามสัปดาห์หลังจากเกิดเหตุ

ลูกหัวฟาดพื้น
ลูกหัวฟาดพื้น

 

เวลาในการฟื้นตัวของเด็กอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล  มีอาการบาดเจ็บที่ศีรษะที่คงอยู่ได้นานหลังจากเกิดอุบัติเหตุ โดยเฉพาะสมองที่กำลังพัฒนาของเด็ก อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 ถึง 10 วันในการกลับมาเป็นปกติหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หากลูกของคุณถูกกระทบกระเทือนที่ศรีษะ การรักษาภาวะสมองกระทบกระเทือนในระยะแรกที่ดีที่สุดคือการให้ลูกของคุณพักผ่อนจากกิจกรรมทางร่างกายและจิตใจสักสองสามวันแล้วค่อยกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ

อ่านต่อ…ลูกหัวโน หัวกระแทกของแข็ง ควรทำอย่างไร อาการแบบไหนต้องรีบพาไปหาหมอ? คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ผมทารก

ผมทารก หนังศีรษะแห้ง ต้องใช้ แชมพูสระผม แบบไหน ?

Alternative Textaccount_circle
event
ผมทารก
ผมทารก

สุขของผู้หญิง คือการได้เป็น “แม่” ได้ทำหน้าที่แม่ให้กับลูกน้อยกลอยใจ การได้เฝ้าดูแลอย่างทะนุถนอมตั้งแต่แรกคลอด ถึงแม้จะเหนื่อยหนัก แม่ก็เสียสละได้เพื่อลูก กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids อยากให้คุณแม่มือใหม่เลี้ยงลูกน้อยได้อย่างไร้ความกังวล โดยเฉพาะช่วงเวลาอาบน้ำ ให้คุณแม่มั่นใจว่าสามารถทำได้ แม้จะเป็นครั้งแรกในการอาบน้ำลูกน้อย ขอแนะนำไอเทมสระผมที่อ่อนโยนสำหรับ ผมทารก แชมพูเด็กโคโดโม สูตรออริจินอล เซ็นท สระผมสะอาด ช่วยดูแล และถนอมสมดุลตามธรรมชาติเส้นผมและหนังศีรษะของทารก

ช่วงคุณแม่พักฟื้นหลังคลอดที่โรงพยาบาล 1-2 วัน เป็นช่วงเวลาที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลเด็กทารก จากคุณหมอเด็ก และคุณพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการให้ลูกเข้าเต้ากินนมแม่ การดูแลสะดือ การอาบน้ำ สระผม ต้องบอกว่าเป็นเรื่องใหม่ในชีวิต คุณแม่จะมีความกังวลบวกความกลัวนิด ๆ ว่าฉันจะทำได้ไหม อย่างเรื่องการสระผมให้ลูก จะสระยังไงไม่ให้น้ำกับแชมพูไหลเข้าหน้า เข้าตาลูก จะว่าไปในช่วงแรก ๆ มือก็สั่นเหมือนนะคะ แต่เชื่อว่าพลังความรักของแม่จะต้องทำได้อย่างราบรื่น และพัฒนาทักษะการดูแลลูกน้อยเก่งขึ้นเป็นแม่มือโปรได้แน่นอนค่ะ

ผมทารก และหนังศีรษะ ทำไมต้องดูแลมากเป็นพิเศษ

อย่างที่บอกไปว่าแม่มือใหม่จะกังวลเวลาสระผมให้ลูกแรกเกิด แนะนำว่าตั้งแต่ครั้งแรกของการสระผมให้ลูกน้อย แชมพูสระผมต้องเป็นแชมพูที่อ่อนโยนค่ะคุณแม่ เพราะเส้นผม ผมทารก หนังศีรษะเขาจะมีความบอบบางมาก ๆ ทำให้ง่ายต่อการเกิดการแพ้ อักเสบ สำหรับแชมพูสระผมเด็กที่ดีจะต้องมีความอ่อนโยนต่อทั้งเส้นผม และหนังศีรษะ ที่สำคัญขณะสระผมแล้วเกิดมีแชมพูมาสัมผัสถูกดวงตาลูกน้อย จะต้องไม่ทำให้ระคายเคืองต่อดวงตา

ผมทารก

การดูแลหนังศีรษะ และเส้นผมทารก

จากประสบการณ์ของตัวเอง และจากเพื่อน ๆ ที่มาแชร์กัน ส่วนใหญ่จะเจอว่าลูกช่วง 1 – 3 เดือนแรกหลังคลอด จะมีภาวะไขบนหัว (Cradle cap) ลอกเป็นสะเก็ดแห้งสีเหลือง ๆ บ้านไหนที่มีลูกวัยทารก แล้วเห็นว่าลูกมีหนังศีรษะลอก ห้ามแคะ แกะ เกาเด็ดขาด !!นะคะ เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอักเสบขึ้นได้ค่ะ ไขมันบนหัวสาเหตุมาได้จากหลายปัจจัยแวดล้อม หนึ่งในนั้นคือมาจากฮอร์โมนของคุณแม่ตอนท้องส่งต่อถึงลูกน้อยขณะอยู่ในครรภ์ ที่อาจไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตไขมันออกมามาก จนทำให้เกิดไขมันขึ้นบนศีรษะทารก รวมถึงอุณหภูมิสภาพอากาศร้อน หรือการติดเชื้อรา ก็ส่งผลทำให้เกิดไขมันบนหัวได้ค่ะ สำหรับการดูแลหนังศีรษะที่ดีที่สุดคือ

  • ใช้แชมพูสระผมเด็ก ที่มีความอ่อนโยนต่อหนังศีรษะ และเส้นผม
  • หลังสระผมลูกเสร็จแล้ว อาจใช้เป็นเบบี้ออยล์ลูบเบา ๆ ที่เส้นผม และหนังศีรษะ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่น ลดอาการคัน แห้งของหนังศีรษะ
  • หนังศีรษะลอกที่เกิดกับเด็กทารก จะค่อย ๆ ดีขึ้นและหายไปได้เองตามธรรมชาติ คุณแม่ไม่ควรแคะ แกะ เกาหนังศีรษะของลูก

แชมพูเด็กโคโดโม สูตรออริจินอล เซ็นท อ่อนโยนสำหรับเด็กทารก

แชมพูเด็กโคโดโม สูตรออริจินอล เซ็นท อ่อนโยนสำหรับเด็กทารก

ในเด็กทารกแรกเกิดอยากให้คุณแม่ได้ใช้แชมพูสระผมเด็กที่ออกแบบมาเพื่อการดูแลหนังศีรษะ และ ผมทารก โดยเฉพาะค่ะ และนี่ก็คือไอเทมสระผมสำหรับเด็กแรกเกิด ที่กองบรรณาธิการ Amarin Baby & Kids อยากแนะนำให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ได้ใช้ดูแลทำความสะอาดเส้นผม หนังศีรษะให้กับลูกน้อย แชมพูเด็กโคโดโม สูตรออริจินอล เซ็นทคือจากใจในฐานะแม่คนหนึ่ง และยังเป็นแฟนของผลิตภัณฑ์โคโดโม เราชอบอะไรที่อ่อนโยนกับลูกอยู่แล้ว เพราะโจทย์ของแม่ทุกคนคือทุกอย่างที่ให้ลูก ไม่ว่าจะของกิน ของใช้จะต้องดีกับสุขภาพ ใช้แล้วลูกต้องไม่มีการแพ้เกิดขึ้น แชมพูเด็กโคโดโม สูตรออริจินอล เซ็นท เป็นความอ่อนโยนที่เหมาะกับการใช้ดูแลเส้นผม และหนังศีรษะให้ลูกได้ตั้งแรกเกิด แชมพูสระผมเด็กโคโดโม สูตรออริจินอล เซ็นท ที่อยู่ในขวดสีเหลืองสวยใสขวดนี้ คุณสมบัติคือดีงาม ว้าวมากค่ะคุณแม่

  • เป็นสูตร pH Balance Cleansing ช่วยทำความสะอาดพร้อมถนอมสมดุลธรรมชาติของเส้นผมและหนังศีรษะอย่างอ่อนโยน
  • กลิ่นหอมละมุน เป็นกลิ่นที่คัดสรรด้วยความพิถีพิถัน และยังผ่านการรับรองจากสถาบันน้ำหอมนานาชาติ (Soft & Selective Fragrance)
  • ปราศจากสารสบู่ SLS พาราเบน ซิลิโคน มิเนรัลออยล์ และแอลกอฮอล์
  • ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ว่าไม่ระคายเคืองต่อผิวบอบบาง (Dermatology Tested)

 ความพิเศษของแชมพูโคโดโม สูตรออริจินอล เซ็นท ที่ไม่ใช่แค่ใช้ได้ดีกับเด็กทารก แต่ยังใช้ดีกับผู้ใหญ่ด้วยนะคะ ใครที่มีปัญหาหนังศีรษะบอบบาง ใช้อะไรสระผมก็แพ้ แนะนำให้ใช้โคโดโม สูตรออริจินอล เซ็นทขวดนี้กันค่ะ

แชมพูสระผมโดโดโม สูตรออริจินอล เซ็นท เหมาะสำหรับเด็กทารก 0+ ให้คุณแม่เลือกใช้อย่างสะดวก ถึง 3 ขนาด ได้แก่

  • ขวด 100 มล. ขนาดทดลอง และขนาดพกพา
  • ขวด 200 มล. ขนาดมาตรฐาน ฝา cap เปิดปิด ใช้งานง่าย
  • ขวด 400 มล. ขนาดใหญ่ ฝาปั๊ม ใช้งานสะดวก

คุณพ่อคุณแม่สามารถสั่งซื้อผลิตภัณฑ์สระผมเด็ก โคโดโม สูตรออริจินอล เซ็นท ได้ที่ช่องทางออนไลน์ คลิก ! LionShopOnline

ยาลดน้ำมูก rsv ระบาด

rsvระบาดคร่าชีวิตเด็กแล้ว 1หมอแนะ!ควรเลี่ยง ยาลดน้ำมูก

Alternative Textaccount_circle
event
ยาลดน้ำมูก rsv ระบาด
ยาลดน้ำมูก rsv ระบาด

ยาลดน้ำมูก ควรหลีกเลี่ยงหากสงสัยลูกติดเชื้อ rsv หมอแนะอันตราย ทำให้น้ำมูกเหนียว เป็นสาเหตุให้เด็กต้องนอนโรงพยาบาล อาการหนักกว่าเดิม พร้อมแนะวิธีดูแล 4 ข้อ

rsv ระบาดคร่าชีวิตเด็กแล้ว 1 ราย หมอแนะ!! ควรเลี่ยง ยาลดน้ำมูก

วันที่ 13 กันยายน 2565 นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์เชี่ยวชาญโรคระบบหายใจ กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า สุดยื้อ RSV เสียชีวิตแล้ว 1 คน เป็นการเปิดเกมในฤดูระบาดในเมืองโคราชที่โหดมาก กลุ่มที่มีโรคประจำตัวอย่างเช่นเคสนี้ มีความเสี่ยงสูงที่จะอาการรุนแรงมาก ถ้าไม่หยุดการระบาดนี้ เคสที่ 2, 3, 4 ตามมาแน่นอน เพราะเรามีเด็กที่มีโรคประจำตัวหลายอย่าง รักษาอยู่เป็นจำนวนมาก และกลุ่มนี้ก็ได้รับผลกระทบโดยตรง

ที่มา : Jiraruj Praise
ที่มา : Jiraruj Praise

rsv โรค คร่าชีวิตกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังพิเศษ!!

ปัจจุบันเปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตของเด็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรงนั้นน้อยมาก เพราะไวรัส RSV ไม่ใช่เชื้อโรคที่ร้ายแรง แต่สาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่มักมาจากการเกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กมาก ๆ หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด เด็กที่คลอดก่อนกำหนด และมีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจจะเกิดภาวะรุนแรงถึงขั้นการหายใจล้มเหลว ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ หรือเสียชีวิตได้

กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวังพิเศษ มีใครบ้าง??

  • เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรัง
  • เด็กที่เป็นโรคหัวใจแต่กำเนิด
  • มีภาวะโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ
  • โรคระบบประสาทผิดปกติ
  • โรคความผิดปกติ ทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม

ทั้งเด็กและผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ หากเกิดในผู้ใหญ่หรือเด็กโตที่มีสุขภาพแข็งแรง อาการป่วยจะหายได้เอง แต่ถ้าหากเกิดในเด็กเล็ก ๆ ที่ภูมิคุ้มกันยังต่ำ อาจทำให้มีอาการรุนแรง โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบ ขณะเดียวกันผู้ใหญ่ที่เป็นโรคปอด โรคหัวใจ ก็เป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกัน

เชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อไวรัสที่มีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกร่างกาย มักติดต่อผ่านทางการ ไอ จาม รวมถึงการสัมผัสโดยตรงจากสารคัดหลั่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ แม้ว่าในเด็กเล็กจะมีโอกาสได้รับเชื้อได้น้อยเพราะอยู่บ้าน แต่หากเป็นเด็กที่มีพี่ในวัยเข้าโรงเรียนแล้ว ก็จะพบความเสี่ยงได้มากขึ้น รวมทั้งการนำเด็กเข้าฝากเลี้ยงในเนอสเซอรี่ หรือศูนย์ดูแลเด็กเล็ก สถานที่ที่เป็นการรวมตัวของเด็กมาก ๆ หากลูกมีอาการแม้เพียงเล็กน้อย ก็ควรให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน ดีกว่าส่งไปเสี่ยงรับเชื้อจากโรงเรียน

rsv ระบาด ระวังการใช้ ยาลดน้ำมูก
rsv ระบาด ระวังการใช้ ยาลดน้ำมูก

ความรุนแรงของ RSV ขึ้นกับอะไร

  1. อายุ
  2. โรคประจำตัว
  3. ภาวะเสี่ยงของเด็ก เช่น เด็กที่คลอดก่อนกำหนด

วิธีสังเกตอาการว่าติดเชื้อไวรัส RSV หรือไม่

เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส RSV ระยะเริ่มต้นนั้นใช้เวลาในการฝักตัวประมาณ 3-6 วัน หลังจากได้รับเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา เริ่มจากการมีน้ำมูก จาม ไอ ทำให้ คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ปกครองรู้ตัวช้า ดังนั้นจึงต้องคอยสังเกตอาการของลูกหลานอย่างใกล้ชิด และต้องพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มด้วย เช่น อยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ไอ จาม มีเสมหะจำนวนมาก หายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าหลอดลมตีบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ

อ่านต่อ 4 >>ข้อแนะนำจากคุณหมอกุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจเมื่อลูกน้อยติดเชื้อ RSV คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ลูกชาย

How to เลี้ยง!! “ลูกชาย” แบบลูกผู้ชายตัวจริง!!

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกชาย
ลูกชาย

สอนลูกชายให้เป็นสุภาพบุรุษ นับเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง หากคุณพ่อคุณแม่พยายามปลูกฝังลูกตั้งแต่เขายังเล็กๆ คุณก็จะได้ ลูกชาย ที่เป็นคนมีคุณภาพและเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีในอนาคต

How to เลี้ยง!! “ลูกชาย” แบบลูกผู้ชายตัวจริง!!

สมัยนี้หากพูดถึงความเป็นสุภาพบุรุษในตัวลูกผู้ชาย ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่สังคมในปัจจุบันกำลังถามหา เพราะท่ามกลางยุคสมัยที่ เร่งด่วน อาจทำให้มีความเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นมากมาย นำไปสู่ปัญหาที่ขาดความรับผิดชอบต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะการไม่ให้เกียรติกันทั้งทางร่างกาย และจิตใจ ซึ่งผู้ชาย จึงตกเป็นจำเลยคนสำคัญที่ถูกจับตามอง ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอแชร์ How to เลี้ยง ลูกชาย แบบลูกผู้ชายตัวจริง ให้เข้มแข็ง แต่ไม่ก้าวร้าว!!

เรื่องที่ต้องรับมือ เมื่อมีลูกชาย

เลี้ยงลูกชาย
เลี้ยงลูกชาย

ถ้าคุณพ่อ คุณแม่คนไหน เตรียมที่จะมีลูกชาย ตั้งท้องลูกชาย มีลูกชายวัยแรกเกิด หรือลูกชายวัยกำลังซน สิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องเตรียมรับมือจากนิสัยของลูกชายที่จะพบเจอซึ่งมีดังนี้

  1. ลูกชายมักจะซุกซน วิ่งเล่น หกล้ม เตะโน่น ชนนี่จนเกิดบาดแผล คุณพ่อ คุณแม่ต้องเตรียม แอลกอฮอล์ล้างแผล เบตาดีน พลาสเตอร์ติดแผล ผ้าพันแผลเอาไว้ใช้ประจำบ้าน
  2. ลูกชายชอบเล่นรถแข่ง หุ่นยนต์ ตัวต่อ และจะไม่เล่นแบบปกติ มักจะทำของเล่นพังเสียหาย ด้วยการแกะ รื้อ ค้น แกะชิ้นส่วนต่างๆ ของของเล่น แล้วนำมาประกอบกลับคืนไม่ได้ บางครั้งก็ทำของเล่นเลอะเทอะไปหมด
  3. บ้านไหนมีความเชื่อว่าคนในครอบครัวต้องมีลูกชายสืบสกุล บ้านนั้นปู่ย่าตายายจะโอ๋หลานหนักมากเป็นพิเศษ ทั้งตามใจ ซื้อของเล่นให้ ประคบประหงม จนบางครั้งอาจทำให้คุณพ่อ คุณแม่ไม่สบายใจ กลัวลูกน้อยจะนิสัยเสีย
  4. คุณแม่จะรู้สึกกลัว หวาดเสียว ตกใจ และโกรธเคืองทุกครั้ง ที่คุณพ่อ และลูกชายเล่นต่อสู้ ยกตัว เหวี่ยงกันแรงๆ ตามประสาผู้ชาย จนทำให้คุณแม่เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูกน้อย
  5. คุณพ่อ จะรู้สึกว่าตัวเองโดนแย่งความรักไป เมื่อเห็นคุณแม่รักลูกชายมากๆ เกิดอาการน้อยใจ อยากกลายเป็นเด็กอ้อนคุณแม่บ้าง
  6. เมื่อลูกชายแตกเนื้อหนุ่ม อาการฝันเปียกเป็นเรื่องธรรมชาติ ลูกน้อยอาจจะสงสัยและตั้งคำถามกับพ่อแม่ แต่คุณแม่ หรือคุณพ่อ อาจจะเขินอายที่จะคุยเรื่องเพศกับลูก
  7. เมื่อลูกชายโตเป็นหนุ่ม อย่าหวังว่าจะให้ลูกชายมากอดจูบแบบตอนเด็กๆ เพราะลูกจะรู้สึกอายเพื่อนเมื่อโตขึ้น
  8. ทุกครั้งที่ลูกชายออกจากบ้าน คุณพ่อ คุณแม่จะกังวลว่า จะเดินทางปลอดภัยรึเปล่า? ลูกคบเพื่อนดีไหม? แอบเที่ยวที่ไหนรึเปล่า? ลูกติดยาไหม? ลูกติดผู้หญิงเปล่า? ลูกจะทำผู้หญิงท้องหรือไม่? ทั้งหมดคือความจริงที่พ่อแม่คนไหนๆ ก็กลัว
  9. อย่าคาดหวังเรื่องความเรียบร้อย และความสะอาดกับลูกชาย เพราะเน้นความไวเป็นหลัก ทำให้เรื่องห้องรก เสื้อผ้ากองบนพื้น ไม่อาบน้ำ และอีกสารพัดที่ลูกอ้างว่าเป็นวิถีของลูกผู้ชาย
  10. เวลาลูกมีเพื่อนผู้หญิงมากกว่า 2 คน สิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่เกิดความกังวลมากที่สุด มีอยู่ 2 เรื่องคือ กลัวว่าลูกจะทำเขาท้อง กับกลัวว่าลูกจะเบี่ยงเบนทางเพศเลี้ยงลูกชาย
  11. ในวันที่ลูกชายพาแฟนมาให้คุณพ่อ คุณแม่รู้จัก คุณพ่อ คุณแม่อาจจะตั้งแง่ โดยไม่รู้ตัว ว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร นิสัยดีหรือไม่ หลอกลูกเราหรือเปล่า
  12. อย่าคาดหวังว่าลูกชายจะมานั่งเล่าความในใจ หรือความรู้สึกให้ฟังแบบลูกสาว เพราะลูกชายมักจะเก็บเรื่องพวกนี้ไว้เก่งมาก คุณพ่อ คุณแม่ต้องคอยสังเกต จับทางให้ถูก และเป็นฝ่ายถามให้ลูกพูดออกมา
  13. นอกจากการเรียนจบปริญญาแล้ว การบวชเรียน ก็เป็นอีกหนึ่งความคาดหวังของคนเป็นพ่อ เป็นแม่เช่นกัน

How to เลี้ยง!! “ลูกชาย” แบบลูกผู้ชายตัวจริง!!

สอนลูกชาย
สอนลูกชาย

มีต้นแบบ “ลูกผู้ชาย” ที่ดี ข้างกายลูก

คำว่าต้นแบบลูกผู้ชาย ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับการมีพ่อ ต้นแบบที่ดี สามารถเป็นได้ทั้งคุณแม่ที่สตรอง คุณปู่ที่มีประสบการณ์ลูกผู้ชายที่ดี คุณอาที่น่ารัก ก็ได้ การเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกน้อย เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเลี้ยงลูกชาย เพราะว่าลูกน้อยจะเจริญรอยตามคนเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาขีดเส้นทางเดินในชีวิตของตัวเอง และยึดถือไว้เป็นแบบอย่าง ต้นแบบที่ดี ควรมีคุณลักษณะที่เหมาะสมที่ลูกผู้ชายควรมี

กำหนดกติการให้ชัดเจน พ่อแม่ต้องเอาจริง

บอกลูกถึงสิ่งที่สามารถทำได้ และไม่ควรทำ กำหนดขอบเขตให้ชัดเจน เพราะลูกชายมักอยากละเมิดกฎข้อห้ามต่างๆ อยู่เสมอ แม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ไม่เด็ดขาด ก็อาจจะส่งผลต่อไปในอนาคตได้

อ่านต่อ การสอนแบบญี่ปุ่น กับกฎ 18 ข้อ ที่เด็กๆต้องทำได้ก่อนเข้า ป.1

หมั่นพูดคุย ให้ลูกหัดเปิดใจ

โดยนิสัยของผู้ชาย มักจะเป็นคนไม่ค่อยพูดเยอะ ดังนั้น คุณพ่อ คุณแม่ที่มีลูกชาย ควรที่จะสื่อสารกับลูกมากๆ โดยพยายามเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ลูกฟัง แล้วลองถามลูกกลับถึงความคิดเห็น หรืออาจจะลองให้ลูกเล่าเรื่องราวที่โรงเรียนกลับบ้าง เมื่อทำเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว ลูกจะรู้จักเปิดใจให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง เมื่อลูกเกิดปัญหาใด ๆ ก็จะกลับมาปรึกษาคุณพ่อคุณแม่เช่นกันค่ะ

อ่านต่อ หมอเด็กแนะ 3 เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน ให้ลูกยอมเปิดใจ

ลูกชาย
ลูกชาย

มอบหน้าที่ให้คอยปกป้องดูแลแม่

การมอบหน้าที่ให้ลูก สอนลูกว่าเกิดเป็นผู้ชาย ข้อได้เปรียบคือ ผู้ชายจะมีกำลังที่มากกว่าผู้หญิง การมีพละกำลังที่มากกว่านั้น ไม่ได้ใช้เพื่อรังแกผู้หญิง แต่ต้องใช้เพื่อปกป้องคนที่เรารัก ลูกมีหน้าที่จะต้องปกป้อง ดูแล คุณแม่ พี่สาว และน้องสาว นะครับ!!

ฝึกทำงานบ้าน ช่วยเหลือตัวเอง

ในยุคปัจจุบัน งานบ้าน ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว การสอนให้ลูกชายรู้จักทำงานบ้าน ถือเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เพราะช่วยฝึกเรื่องความรับผิดชอบให้ลูกตั้งแต่ยังเล็กๆ เมื่อโตขึ้นไปมีครอบครัว ก็จะสามารถช่วยภรรยาทำงานบ้านได้ ช่วยลดความเหนื่อยให้คุณแม่ น้องสาว พี่สาว และคนรัก ที่ต้องทำงานนอกบ้านเหมือนกัน หรือถ้าในอนาคตลูกชาย อยากจะอยู่เป็นโสด ก็จะสามารถช่วยเหลือ และดูแลตัวเองได้ ลูกจะรู้จัก ซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน ขัดห้องน้ำ กวาดบ้าน ถูบ้านได้ด้วยตัวเอง

อ่านต่อ ฝึกลูก ทำงานบ้าน ให้อะไรมากกว่าที่คิด งานบ้านสร้างลูก!!

สอนให้ควบคุมอารมณ์ ยอมรับความผิดหวัง

ลูกผู้ชายไม่ใช่น้อย ถูกสอนให้เป็นคนเข้มแข็ง คุณพ่อ คุณแม่หลายคน มักจะบอกกับลูกเสมอว่า “เป็นผู้ชายต้องไม่ร้องไห้” เด็กจึงเข้าใจไปเองว่าการไม่ร้องไห้ คือความเข้มแข็ง จึงไม่ยอมร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว เด็กผู้ชายก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความรู้สึก รู้จักความเจ็บปวดได้เท่าๆ กับเด็กผู้หญิง ถ้าคุณพ่อ คุณแม่เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความรู้สึกออกมาบ้าง ก็จะเป็นเรื่องที่ดีกับตัวลูกน้อย ถ้าลูกร้องไห้แล้วมีน้ำตา ก็ไม่ควรไปต่อว่าลูก ปลดปล่อยความรู้สึกเสียใจที่เก็บกดอยู่ข้างในออกมาดีกว่าปล่อยให้ลูกไปหาทางระบายความรู้สึกนั้นออกมาแบบผิดๆ

อ่านต่อ ลูกควบคุมอารมณ์ไม่ได้ อ่าน! 3 เทคนิคเชิงบวกฝึกลูกเล็ก ควบคุมอารมณ์ โตไปไม่ก้าวร้าว

สอนลูก
สอนลูก

สอนวิธีรับมือที่ถูกต้อง เมื่อลูกโกรธ

เด็กผู้ชาย มักจะมีวิธีการระบายอารมณ์โกรธที่แตกต่างออกไปจากเด็กผู้หญิง ในบางครั้งลูกก็เลือกที่จะทำลายข้าวของ ทำร้ายคนรอบข้าง ซึ่งการระบายอารมณ์โกรธเหล่านี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง

อ่านต่อ..ลูกโกรธ ลูกโมโห เรื่องธรรมดา แต่ต้องสอนลูกแสดงออก “ให้เป็น”

อย่าปล่อยให้ลูกเสพสื่อมากเกินไป

ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง การเสพสื่อโดยไม่มีผู้ปกครองคอยดูแลนั้นมีแต่ผลเสีย แต่ ทีมกองบรรณาธิการ ABK ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้ลูกเสพสื่อต่าง ๆ เลยนะคะ สามารถดูทีวี สมาร์ทโฟน แท็ปเลต ได้ตามวัยค่ะ เพียงแต่ควรจะมีผู้ปกครองคอยดูว่าสิ่งที่ลูกกำลังดูอยู่นั้นเหมาะสมกับวัยหรือไม่ คอยคุมเวลาการเสพสื่อให้เหมาะสมกับอายุของลูก เป็นต้น

อ่านต่อ พ่อแชร์มาตรการเจ๋ง! รักษา ลูกติดแท็บเล็ต จนหาย

ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น

ในยุคสมัยนี้ LGBTQ+ เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคม ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร มีความชอบทางด้านไหน หากลูกได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม ยอมรับและให้เกียรติกับทุกคน ลูกก็จะเติบโตมาได้อย่างมีความสุขและสามารถรับมือกับสังคมภายนอกได้เป็นอย่างดี

ลูกชาย
ลูกชาย

ตั้งคำถามให้คิด เสนอความเห็นที่แตกต่าง ปล่อยวาง…เปิดทางให้ลูกแก้ปัญหาเอง

ทักษะการแก้ปัญหา เป็นทักษะที่จำเป็นต่อชีวิต การแก้ปัญหา โดยใช้เหตุผลและสติแทนการใช้อารมณ์ เพื่อให้ปัญหาคลี่คลายไปในทางที่ถูกต้อง จะทำให้ปัญหาต่าง ๆ ได้รับการแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรผลักดันให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง สิ่งนี้จะทำให้ ลูกชาย เติบโตไปด้วยทักษะและกระบวนการทางความคิดที่ดี มีตรรกะ แนวทาง ในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขได้ค่ะ

อ่านต่อ… วิธีการ พัฒนาทักษะ “การแก้ปัญหา” อย่างเป็นขั้นตอน

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ตั้งชื่อลูกชาย ตามวันเกิด 2565 เสริมมงคล มั่งคั่ง สุขภาพดี

วิธีสอนลูกเรียนเก่ง เริ่มต้นได้ที่บ้าน

6 ข้อสอนลูกเป็น คนดี มีภูมิคุ้มกัน ชีวิตพบแต่ความสุข

12 วิธี สำหรับพ่อแม่สอนลูก “ฝึกพูด”

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เตรียมลูกเข้าอนุบาล

สิ่งที่ต้องสอนลูกก่อนวัย 3 ขวบ เพื่อ เตรียมลูกเข้าอนุบาล

Alternative Textaccount_circle
event
เตรียมลูกเข้าอนุบาล
เตรียมลูกเข้าอนุบาล

เตรียมลูกเข้าอนุบาล …คุณพ่อคุณแม่สงสัยกันบ้างไหมคะว่า ก่อนที่ลูกจะถึงวัย 3 ขวบหรือก่อนที่ลูกจะเข้าโรงเรียนนั้น เราจะต้องฝึกสอนลูกในเรื่องใดก่อนบ้าง จึงจะให้ลูกอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ หรือสังคมรอบข้างได้

สิ่งที่ต้องสอนลูกก่อนวัย 3 ขวบ เพื่อ เตรียมลูกเข้าอนุบาล

ลูกในวัย 3 ขวบของคุณแม่คุณพ่อ อาจนับเลข 1 – 30 หรือจำคำศัพท์ได้บ้างแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเป็นไหมที่ควรสอนให้เขาอ่านเขียนก่อนเข้าโรงเรียน คำตอบ คือ ไม่จำเป็นเลย เพราะเด็กส่วนใหญ่จะเข้าใจภาษาและตัวเลขได้ก็ต่อเมื่ออายุ 5 ขวบขึ้นไป ดร.แอน เอฟสเตน ผู้อำนวยการแผนกเด็กเล็ก มูลนิธิวิจัยเพื่อการศึกษาระดับสูง ใน Ypsilanti มิชิแกน แนะนำว่า “ถ้าพ่อแม่ไปเร่งลูกตอนที่ยังไม่ถึงเวลา เขาจะรู้สึกฝืนและไม่อยากทำ” แล้วเด็กในวัยนี้รู้อะไรบ้าง ไปดูกันค่ะ

สอนลูกก่อนเข้าอนุบาล
สอนลูกก่อนเข้าอนุบาล

สิ่งที่เด็ก 3 ขวบ ทำได้

  • จำตัวอักษรที่มีในชื่อตัวเองได้
  • แยกประเภทของตามสี
  • เข้าใจความเป็นเหตุเป็นผล เช่น สีแดงรวมกับสีเหลืองเป็นสีส้ม เป็นต้นสิ่งที่ทำไม่ได้
  • เขียนตัวหนังสือตามให้ถูกต้อง
  • จำรายละเอียดของกิจกรรมต่างๆ
  • จำเลขได้ทุกตัวหรือเข้าใจค่าของตัวเลขวิธีเสริมสร้างทักษะ


วิธีช่วยเสริมสร้างทักษะ

  • พยายามชี้ชวนให้ลูกดูตัวหนังสือ ป้ายจราจร หรือเลขที่บ้าน
  • สอนให้ลูกรู้จักจับคู่ถุงเท้าตามสีและขนาดที่ต่างกัน เพื่อเป็นการฝึกทักษะการแยกประเภทและการจับคู่

เด็ก 4 ขวบสิ่งที่ทำได้

  • แยกประเภทสิ่งของตามสีและขนาด
  • วาดรูปภาพง่ายๆ เช่น วาดภาพเป็นเส้นๆ มีรายละเอียดนิดหน่อย
  • บอกได้ว่าชื่อตัวเองสะกดอย่างไร
  • จำแนกอะไรออกเป็น 3 กลุ่ม (count out at least three crackers) สิ่งที่ทำไม่ได้
  • จำรายละเอียดแบบเป็นเรื่องเป็นราว
  • วาดภาพที่มีรายละเอียดเยอะๆ

วิธีเสริมสร้างทักษะ : เมื่อคุณอ่านหนังสือกับลูก ออกเสียงให้เขาฟังว่ากากับไก่มีเสียงต่างกันอย่างไรจะช่วยให้ลูกแยกความแตกต่างของคำได้

เด็ก 5 ขวบสิ่งที่ทำได้

  • เขียนภาพที่มีรายละเอียดได้แล้ว เช่น ต้นไม้ที่มีใบบนต้นและมีนกเกาะอยู่
  • เขียนประโยคหรือเรื่องราวได้ แต่ยังสะกดผิดๆ ถูกๆ อยู่สิ่งที่ทำไม่ได้
  • สะกดคำควบกล้ำต่างๆ
  • ปะติดปะต่อรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆเป็นเรื่องราว
  • คิดเลขในใจ

วิธีเสริมสร้างทักษะ

  • บอกให้เขาออกเสียงไปด้วยขณะเขียนหนังสือ ดูว่าสิ่งที่เขียนกับที่พูดตรงกันหรือไม่
  • สอนให้ลูกเตรียมถ้วยจาน ช้อนส้อมให้พอดีกับจำนวนคนที่จะทาน

7 ทักษะสำคัญ ต้องสอนลูกก่อน เตรียมลูกเข้าอนุบาล

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลี้ยงลูกในวัยไม่เกิน 3 ขวบ มีความสำคัญมาก เพราะมีการศึกษาพบว่า ความสามารถและอุปนิสัยของคนนั้น ส่วนใหญ่จะก่อรูปเรียบร้อยระหว่างอายุ 0-3 ขวบ หากพ้นจากวัยนี้ไปแล้วการปูพื้นฐานการเรียนรู้หลาย ๆ อย่างก็อาจฝึกได้ยากขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ ค่ะ ฉะนั้นหากคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากได้ยินคำว่า “รอให้ถึงอนุบาลก็สายเกินไปแล้ว”

การปูพื้นฐานการเรียนรู้หลายๆ ให้กับลูกก่อนอายุ 3 ขวบ หรือวัยก่อนไปโรงเรียน จึงเรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองที่คุณแม่จะต้องเติมเต็มและสอนสิ่งที่ควรรู้ตามวัยให้เจ้าตัวเล็กค่ะ ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงขอแนะนำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะนำมาฝึกหัดให้กับลูกน้อยของคุณก่อนไปโรงเรียนมาฝากกันค่ะ

อ่านต่อ >> “7 ทักษะสำคัญ เตรียมลูกก่อนเข้าอนุบาล” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

สร้างวินัยเชิงบวก

4 เทคนิค “สร้างวินัยเชิงบวก” พูดแบบไหน?..ให้ลูกยอมทำตามแต่โดยดี

Alternative Textaccount_circle
event
สร้างวินัยเชิงบวก
สร้างวินัยเชิงบวก

สอนลูกแบบไหน ให้ลูกรู้สึกว่าเราไม่ได้สั่งหรือบังคับให้ลูกทำ มาดู 4 เทคนิค สร้างวินัยเชิงบวก รู้จักพูดให้ลูกเข้าใจและยอมทำตามด้วยความเต็มใจ กันค่ะ

4 เทคนิค “สร้างวินัยเชิงบวก” พูดแบบไหน?..ให้ลูกยอมทำตาม

ทำความเข้าใจกับ “เหตุผล” ของลูก

การที่เด็กมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น โมโหร้าย ตี ทำร้าย กัด พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู ไม่แบ่งปัน ไม่ทำตามกฎกติกา พฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพราะลูกอยากจะทำตัวไม่ดีให้พ่อแม่ดุหรอกนะคะ พฤติกรรมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของลูกซ่อนอยู่ ดังนี้

  1. ลูกยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้ สาเหตุหลักที่ลูกอาละวาด โมโหร้ายนั้น เป็นเพราะว่า สมองของเด็กวัยนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จึงยังไม่รู้ถึงวิธีการรับมือเมื่อมีอารมณ์โกรธ และยังไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้เหมือนผู้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อลูกโกรธ และลูกต้องการระบายอารมณ์โกรธ สิ่งที่ทำได้คือการอาละวาดให้หายโมโหนั่นเอง
  2. ลูกอยู่ในวัยที่กำลังเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์และกติกา เด็กวัยนี้กำลังอยู่ในวัยที่ลองผิดลองถูก ในบางครั้งลูกก็อาจจะอยากที่จะแหกกฎเกณฑ์ที่พ่อแม่รวมถึงคนรอบข้างตั้งไว้ดูบ้าง เพื่อดูว่าพ่อแม่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร และผลของการแหกกฎเกณฑ์ครั้งนี้เป็นอย่างไร
  3. เด็กกำลังเรียนรู้ภาษา เด็กวัย 2 ขวบจะยังไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดได้ 100% ดังนั้นการที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกจะสามารถเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่กำลังพูดกำลังสอนได้เหมือนผู้ใหญ่เลย เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
  4. พ่อแม่คาดหวังมากไปหรือเปล่า? ลอง​คิด​ถึง​การ​เปลี่ยน​แปลง​ที่​เกิด​ขึ้น​กับ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ ที่ตั้ง​แต่​เกิด​มา พ่อ​แม่​คอย​ดู​แล​เอา​ใจ​ใส่​เขา​ทุก​อย่าง ​เช่น วิ่งไปหาทันทีเมื่อลูกร้องไห้ เพื่อดูว่าลูกหิวนมหรือไม่ ต้องการเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือไม่ พ่อ​แม่​ทำ​ทุก​อย่าง​เพื่อ​ให้​ลูก​รู้สึก​สบาย​ขึ้น ​เพราะ​ลูก​​ยัง​ช่วยเหลือ​ตัว​เอง​ไม่​ได้ แต่เมื่อลูกอายุสอง​ขวบ เริ่มที่จะสื่อสารสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น สามารถทำอะไรเองได้มากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปหยิบสิ่งที่ต้องการ การกินอาหารได้เอง ลูกจะ​เริ่ม​รู้​ว่า​พ่อ​แม่​ไม่​ได้​ทำ​อะไร​ให้​เขา​ทุก​อย่าง​อีก​ต่อ​ไป เมื่อพ่อแม่ไม่ทำสิ่งต่าง ๆ ​ให้​ลูกเหมือนตอนเป็นทารก แถมยังต้องการให้ลูกทำ​ตาม​ที่​พ่อ​แม่ต้องการ ตามกฎกติกาต่าง ๆ ​เด็ก​วัย​สอง​ขวบ​จึงอาจ​ไม่​ยอม​รับ​การ​เปลี่ยน​แปลงนี้ จึง​เริ่ม​ต่อต้าน​ด้วย​การ​ร้อง​อาละวาด

การที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ทราบถึงเหตุผลของลูก และดุด่าว่ากล่าวเพื่อไม่ให้ทำอีก จึงไม่ใช่ทางออกที่เหมาะสม เพราะเมื่อลูกไม่ได้รับการแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ก็จะทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อไปอีกเรื่อย ๆ ดังนั้น เมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ลูกอาละวาดแล้ว ทีมกองบรรณาธิการ ABK ก็มีวิธีรับมือและ สร้างวินัยเชิงบวก ให้กับเด็กอาละวาด เอาแต่ใจ มาฝากค่ะ

พูดแบบไหน?..ให้ลูกยอมทำตามแต่โดยดี

วินัยเชิงบวก
วินัยเชิงบวก

บางครั้งการออกคำสั่งก็ไม่ได้ช่วยให้ลูกเชื่อฟัง แต่อาจทำให้ต่อต้านกว่าเดิมด้วย

การ “สร้างวินัยเชิงบวก” ถือเป็นเรื่องที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้จัก

เป็นการสอนและฝึกฝนเด็กให้มีพฤติกรรมตามที่เราคาดหวัง ด้วยการใช้การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

ตรงกับธรรมชาติการรับรู้และการเรียนรู้ของเด็ก

สร้างวินัยเชิงบวก
สร้างวินัยเชิงบวก
“สั่ง” แบบนี้ ไม่ดีแน่ “สอน” แบบนี้สิ ใช่เลย!
ใช้คำพูด “ห้าม” “ไม่ได้” “อย่า” “หยุด” เช่น

ห้ามเอามือเข้าปากนะ

เล่นต่อไม่ได้นะ เราจะกลับบ้านกันแล้ว

อย่าอมข้าว

หยุดร้องไห้

ใช้คำ ขอบคุณ ตามด้วยพฤติกรรมที่เราต้องการให้ลูกทำ เช่น

แม่ขอบคุณที่หนูจับช้อน แล้วตักข้าวเข้าปากเอง

ขอบคุณที่หนูเลิกเล่น แล้วกลับบ้านกับแม่

แม่ขอบคุณที่หนูเคี้ยวข้าว

ขอบคุณที่หนูใช้คำพูดดีๆ กับแม่

เลี้ยงลูก
เลี้ยงลูก
“สั่ง” แบบนี้ ไม่ดีแน่ “สอน” แบบนี้สิ ใช่เลย!
สั่งให้ทำกิจวัตรประจำวัน “เดี๋ยวนี้!” เช่น

“ตื่นเดี๋ยวนี้!”

“ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้!”

“เก็บของเล่นเดี๋ยวนี้!”

ให้ทางเลือกและให้ลูกตัดสินใจ เช่น

“หนูจะตื่นเลยหรือจะนอนต่ออีก 5 นาที”

“หนูจะเอาของเล่นพี่เป็ด หรือพี่ปลาโลมาไปอาบน้ำด้วย”

“หนูจะให้แม่ช่วยเก็บของเล่นหรือหนูจะเก็บคนเดียว”

พูดกับลูก
พูดกับลูก
“สั่ง” แบบนี้ ไม่ดีแน่ “สอน” แบบนี้สิ ใช่เลย!
สั่งให้ทำกิจวัตรประจำวัน “ดีๆ” เช่น

“นั่งดีๆ!”

“พูดดีๆ!”

บอกพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น

“นั่งหลังตรง ก้นติดเบาะ เท้าติดพื้นค่ะลูก”

“หนูกลืนข้าว แล้วค่อยพูดครับ”

สร้างวินัยเชิงบวก
สร้างวินัยเชิงบวก
“สั่ง” แบบนี้ ไม่ดีแน่ “สอน” แบบนี้สิ ใช่เลย!
ขู่ ให้ทำ เช่น

“ถ้าทานข้าวไม่เสร็จ ไม่ต้องไปเล่น จะปล่อยให้อยู่คนเดียวเลย”

บอกพฤติกรรมที่ต้องการให้เด็กทำ ตามด้วยสิ่งที่เขาอยากทำ เช่น

“เมื่อกินข้าวหมดแล้ว ไปเล่นได้เลยค่ะ”

 

จะเห็นว่า “การสั่ง” ไม่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจของลูกได้ เนื่องจากในขณะที่ลูกอยากทำสิ่งหนึ่ง แล้วถูกห้ามหรือสั่งลูกจะรู้สึกว่าพ่อแม่ขัดใจ ทำให้เขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ และเกิดความรู้สึกไม่ดี ความไม่มั่นคงทางจิตใจที่เกิดขึ้นจะทำให้ลูกไม่พร้อมรับฟังสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่พูด และจะใช้พลังงานทั้งหมดในการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือต่อต้าน เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ

ในทางตรงกันข้ามหากคุณพ่อคุณแม่ใช้เทคนิคเชิงบวกด้วย  “การสอน” เช่น การขอบคุณ การให้ทางเลือก และการบอกพฤติกรรมที่เหมาะสม จะสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานทางจิตใจของลูกน้อย เพราะลูกจะไม่รู้สึกว่าพ่อแม่ห้ามในสิ่งที่เขาอยากทำและไม่รู้สึกถูกต่อว่าจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำให้เขาอยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะรับฟัง เรียนรู้สิ่งที่พ่อแม่บอก และอยากจะทำตามด้วยตัวเอง เมื่อใช้เทคนิคการสร้างวินัยเชิงบวกในการสื่อสารเป็นประจำแล้ว เด็กๆ ก็จะมีโอกาสได้ฝึกฝนพฤติกรรมที่เหมาะสมจนติดเป็นนิสัยและกลายเป็นวินัยในตนเองได้นั่นเอง

การ สร้างวินัยเชิงบวก จึงเป็นหนทางหนึ่งที่ควรนำมาใช้ “สอน” แทนการ “สั่ง”เพื่อปลูกฝังให้เด็กมีหัวใจสวย ปัญญาเลิศเชิดชูคุณธรรมและอารมณ์ดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

8 วิธี สร้างวินัยเชิงบวก ง่ายๆ ป้องกันลูกดื้อ เริ่มได้ตั้งแต่ 1 ขวบ

เลี้ยงลูกวินัยเชิงลบ ส่งผลต่อพัฒนาการสมอง

6 ข้อสอนลูกเป็น คนดี มีภูมิคุ้มกัน ชีวิตพบแต่ความสุข

วิธีสอนลูกเรียนเก่ง เริ่มต้นได้ที่บ้าน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก อ.ดร. ปนัดดา ธนเศรษฐกร อาจารย์สาขาพัฒนาการมนุษย์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

keyboard_arrow_up