โรคผื่นกุหลาบ

โรคผื่นกุหลาบ ในเด็ก ลูกไข้สูงเฉียบพลัน ตัวร้อนไม่หาย พ่อแม่ต้องระวัง!

Alternative Textaccount_circle
event
โรคผื่นกุหลาบ
โรคผื่นกุหลาบ

โรคผื่นกุหลาบ – ในเด็กและทารก (Pityriasis Rosea) หรือ โรคส่าไข้ เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่อาจทำให้เด็กมีไข้และผื่นขึ้นตามร่างกาย มักเกิดขึ้นได้กับเด็กอายุระหว่าง หกเดือน ถึง สองปี และพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน สาเหตุเกิดจากไวรัสในกลุ่มเริม ที่ไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อเริมอื่นๆ  บางครั้งเรียกว่าโรค “ผื่นร้อยวัน” เนื่องจากเด็กบางคนอาจป่วยด้วยโรคนี้ได้นาน 3-4 เดือน  อย่างไรก็ตามหากป่วยแล้วเด็กจะไม่กลับมาป่วยซ้ำอีก

โรคผื่นกุหลาบ ลูกไข้สูงเฉียบพลัน ตัวร้อนไม่หาย พ่อแม่ต้องระวัง!

สาเหตุของโรคผื่นกุหลาบ

ปัจจุบันทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคผื่นกุหลาบในเด็ก แต่มีการสันนิษฐานว่า เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่มเริม ได้แก่ Human Herpesvirus-6 (HHV-6) , Human Herpesvirus -7 (HHV-7) และ Epstein-Barr Virus ซึ่งไวรัสทั้งหมด สามารถพบได้ในน้ำลาย และเสมหะของเด็ก นอกจากนี้ยังสามารถพบเชื้อไวรัสได้บน ของเล่น หรือ ของใช้ต่างๆ ของเด็ก เช่น แก้วน้ำ ช้อน ส้อม และเสื้อผ้า เป็นต้น

อาการและอาการแสดงของ โรคผื่นกุหลาบ ในเด็ก

หากลูกของคุณป่วยด้วย โรคผื่นกุหลาบ พวกเขาอาจมีอาการไข้ขึ้นอย่างกะทันหัน และเมื่ออุณหภูมิของร่างกายกลับสู่ปกติบางครั้งอาจเกิดผื่นสีแดงอมชมพู หรือสีส้ม ซึ่งดูคล้ายกับสีของดอกกุหลาบ มักเป็นรูปวงรี  หรือวงกลมรูปไข่ ตรงกลางของผื่นมักมีลักษณะย่น บางครั้งผื่นจะลุกลามเป็นรูปต้นคริสต์มาสที่ด้านหลังของเด็ก ซึ่งอาจทำให้คันและผื่นอาจตกสะเก็ดเล็กน้อย

ผื่นมักปรากฏตามตัวก่อนและกระจายไปที่แขนและขา มักไม่ขึ้นบนใบหน้า ในคนที่มีผิวขาว ผื่นจะเป็นสีแดงอมชมพู หรือส้ม แต่สำหรับเด็กที่มีผิวคล้ำ ผื่นอาจมองเห็นได้หลากหลายสี ตั้งแต่สีม่วงไปจนถึงสีน้ำตาล หรือ สีเทา เมื่อเกิดผื่น เด็กอาจมีอาการคัน และ ระคายเคืองที่ผิวหนัง โดยทั่วไปผื่นจะคงอยู่เป็นเวลาสองวันและค่อยๆ จางลง อย่างไรก็ตามเด็กบางคนอาจมีไข้สูงแต่ไม่มีผื่นได้เช่นกัน  ในเด็กบางรายซึ่งพบได้ไม่บ่อยอุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้นอย่างกะทันหัน และอาจนำไปสู่อาการชักจากไข้ได้ กรณีส่วนใหญ่ของ โรคผื่นกุหลาบ จะหายเป็นปกติใน 1 ถึง 2 เดือนโดยไม่ต้องรักษา บางกรณีอาจสั้นเพียง 2 สัปดาห์ ในขณะที่บางกรณีอาจอยู่ได้นาน 3 เดือนหรือนานกว่านั้น

อาการของโรคที่คล้ายกัน

อาการของโรค สะเก็ดเงิน อาจคล้ายกับอาการของ โรคผื่นกุหลาบ การเปรียบเทียบอาจเป็นประโยชน์สำหรับการวินิจฉัยแยกโรค โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่มีการอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นหย่อมๆ แห้ง แดง (เป็นเม็ดเลือดแดง) หนา ซึ่งปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีเงินเทา ผื่นเหล่านี้อาจเรียกว่า papules หรือ plaques และส่วนใหญ่มักส่งผลกระทบต่อหนังศีรษะ ข้อศอก หัวเข่า มือ เท้า และ/หรือหลังส่วนล่าง

เด็กที่ป่วยอาจคันอย่างรุนแรงหรือเจ็บ ในบางกรณี เด็กที่เป็นโรคสะเก็ดเงินอาจพบความผิดปกติที่ส่งผลต่อเล็บ เล็บเท้า และเนื้อเยื่ออ่อนภายในปาก ความรุนแรงของโรคสะเก็ดเงินแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี โรคสะเก็ดเงินอาจจัดได้ว่าไม่รุนแรง ปานกลาง หรือรุนแรง ขึ้นอยู่กับปริมาณของผิวหนังที่เกิดโรคและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของแต่ละบุคคล ประมาณหนึ่งในสามของกรณีนี้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคสะเก็ดเงิน

ข้อควรรู้เกี่ยวกับอาการของโรค ผื่นกุหลาบ

  • ในระยะก่อนผื่นขึ้นจะพบไข้สูงประมาณ 39.5-40.5 องศาเซลเซียส
  • อาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองโตที่บริเวณหลังหู ท้ายทอย หนังตาบวมเล็กน้อย เยื่อบุตาแดง
  • ในระยะที่ไข้ลดจะพบผื่นราบสีแดงขนาดประมาณ 2-5 มิลลิเมตร ที่ลำตัวและแขน ผื่นบางจุดอาจมีลักษณะนูนเล็กน้อยหรืออาจมีวงสีแดงจางๆอยู่รอบๆ ผื่นแดง
ผื่นกุหลาบในเด็ก
ผื่นกุหลาบในเด็ก

ภาวะแทรกซ้อน

  • อาการชักจากไข้นานประมาณ 2-3 นาที ซึ่งเป็นภาวะแซกซ้อนที่พบได้ประมาณ 6-15% ของผู้ป่วยส่าไข้ (โดยเฉพาะในเด็กอายุ 12-15 เดือน) และนับเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของทารกที่มีอาการชักจากไข้
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ตับอักเสบ หรือภาวะเกร็ดเลือดต่ำแทรกซ้อน ซึ่งพบได้น้อยมาก
  • เด็กที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ปอดอักเสบ ตับอักเสบ ไขกระดูกไม่ทำงาน เป็นต้น

ผื่นกุหลาบ ในเด็ก ติดต่อได้หรือไม่ อย่างไร?

ความจริงผื่นกุหลาบเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้ อย่างไรก็ตาม การติดต่อหรือแพร่กระจายของเชื้อจะเกิดขึ้นได้ก่อนอาการป่วยจะปรากฏ กล่าวคือ เชื้อจะสามารถแพร่กระจายได้ก่อนที่เด็กจะมีไข้หรือมีผื่นขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงไม้ค่อยพบการติดต่อกันในเด็ก ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันการแพร่กระจายของโรคและยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค สุขอนามัยของมือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยลดการแพร่กระจายของไวรัส

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์
คุณควรไปพบแพทย์หากลูกของคุณ มีอาการต่อไปนี้

  • เซื่องซึม (ง่วงนอนมาก ตื่นยาก)
  • ขับถ่ายน้อยกว่าปกติ
  • มีไข้เรื้อรัง หลังจากผ่านไป 48 ชั่วโมง
  • มีอาการชัก ที่กินเวลาไม่ถึงห้านาที

ที่สำคัญ ควรโทรเรียกรถพยาบาลทันทีถ้าหาก :

  • ลูกของคุณมีอาการชักนานเกินกว่ 5 นาที
  • ลูกของคุณไม่ตื่นหลังจากเกิดอาการชัก
ลูกป่วยผื่นกุหลาบ
ลูกป่วยผื่นกุหลาบ

การรักษาโรคผื่นกุหลาบในเด็ก

ผื่นที่ขึ้นอาจทำให้เกิดอาการคันได้เป็นเวลา 1 ถึง 2 สัปดาห์ แต่โดยทั่วไปแล้วจะหายไปเองภายใน 6 ถึง 8 สัปดาห์ การรักษาส่วนใหญ่รักษาตามอาการและประคับประคองขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และดูปัจจัยเรื่อง อายุ และสุขภาพโดยทั่วไป เด็กหลายคนอาจไม่ต้องการการรักษา  เป้าหมายของการรักษา คือการบรรเทาและลดอาการคัน การรักษาดังกล่าวรวมถึงการให้ยาแก้แพ้ ครีมสเตียรอยด์ หรือขี้ผึ้ง ซึ่งมีการใช้วิธีการรักษาที่หลากหลายเพื่อลดระยะเวลาของผื่น รวมถึงการให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ยาต้านไวรัสบางชนิด เช่น อะไซโคลเวียร์และแฟมซิโคลเวียร์ และยาปฏิชีวนะอีริโทรมัยซิน อย่างไรก็ตามยังมีหลักฐานที่สนับสนุนการรักษาเหล่านี้อย่างจำกัด

นอกจากนี้การส่องไฟใช้สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของผิวหนังอักเสบ การบำบัดด้วยแสงอาจใช้เองหรือร่วมกับการรักษาเฉพาะที่ เด็กที่ได้รับผลกระทบบางคนอาจได้รับการรักษาด้วยการสัมผัสกับแสงแดดมากขึ้น ซึ่งแสงยูวีเพียงเล็กน้อยนั้นสามารถบรรเทาความรู้สึกไม่สบายตัวได้

โรคผื่นกุหลาบมักจะมีลักษณะเฉพาะ แพทย์จะวินิจฉัยตามประวัติสุขภาพและการตรวจร่างกายของเด็ก นอกจากนี้ อาจมีการตรวจเลือดเพื่อแยกโรคอื่นๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกัน ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพของบุตรของท่านจะเป็นผู้ตัดสินใจในการรักษาโดยพิจารณาจากอาการผื่นคัน การรักษาและบรรเทาอาการอาจรวมถึง:

  • การใช้โลชั่น หรือ ยาแก้แพ้ คอร์ติโคสเตียรอยด์
  • ยาที่ใช้รับประทาน
  • การได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต  B (UVB) ที่ทำโดยแพทย์ผิวหนัง
  • การประคบเย็น
  • การใช้น้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำ การเติมข้าวโอ๊ตหรือแป้งข้าวโพดลงไปในน้ำ จะช่วยบรรเทาอาการคันได้
  • เมื่อขึ้นจากน้ำ ควรทาผิวของเด็กด้วยโลชั่นป้องกันอาการคันที่อ่อนโยน เช่น ซาร์นาหรืออาวีโน

อ่านต่อ…โรคผื่นกุหลาบ ลูกไข้สูงเฉียบพลัน ตัวร้อนไม่หาย พ่อแม่ต้องระวัง! คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

โรคฉี่หนู

โรคฉี่หนู อันตรายใกล้ตัวเด็ก ที่มาพร้อมกับน้ำท่วมขัง!

Alternative Textaccount_circle
event
โรคฉี่หนู
โรคฉี่หนู

โรคฉี่หนู – พอเขาสู่ช่วงฤดูฝน ย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมากมายที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องระวังว่าเด็กๆ ที่บ้านอาจป่วยได้ โดยเฉพาะโรคที่มากับน้ำท่วม ยิ่งบ้านไหนน้ำท่วมหนัก ระบายไม่ทัน น้ำขังเป็นเวลานาน อาจเป็นโอกาสที่เชื้อโรคต่างๆ จะสะสมและเจริญเติบโตอยู่ในน้ำ หากเด็กๆ ไม่ระมัดระวังอาจเผลอเอามือที่เปื้อนเชื้อโรคสัมผัสกับปากหรือขยี้ตาได้ ซึ่งแน่นอนว่าอาจทำให้เด็กๆ เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะ โรคฉี่หนู (Leptospirosis) ที่มักแพร่ระบาดในหน้าฝน หรือช่วงที่มีน้ำท่วมขัง ดังนั้นความเข้าใจในโรค และการป้องกันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่จำเป็นต้องรู้

โรคฉี่หนู อันตรายใกล้ตัวเด็ก ที่มาพร้อมกับน้ำท่วมขัง!

โรคนี้ ถือเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนที่พบบ่อยที่สุดในโลก เกิดจากสภาพแวดล้อมด้านสุขอนามัยที่ไม่ดี การประกอบอาชีพทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสกับสัตว์หรือน้ำ การเดินทาง ผจญภัย และกีฬา การวิ่งลุยโคลน การเดินลุยน้ำท่วม หรือการสัมผัสดิน เด็กๆ มักได้รับเชื้อแบคทีเรียเลปโตสไปรา ตัวการของโรคฉี่หนูเข้าสู่ร่างกายได้เนื่องจากกิจกรรมตามวัย ต่างๆ เช่น การว่ายน้ำในคลอง เดินลุยน้ำท่วม นั่งเล่นในน้ำท่วมขัง หรือการเล่นกับ สัตว์เลี้ยง ปัจจุบัน โรคฉี่หนู เป็นโรคที่มนุษย์ยังไม่มีภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดต่อการติดเชื้อ และยังไม่มีโปรแกรมการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคนี้ในประเทศไทย

สาเหตุของ โรคฉี่หนู

แม้ชื่อจะบอกว่าเป็น โรคฉี่หนู แต่ความจริงสัตว์ฟันแทะชนิดอื่นๆ ก็สามารถแพร่เชื้อได้ สาเหตุของ โรคฉี่หนู (Leptospirosis) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเลปโตสไปรา (Leptospira) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการได้หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อบางรายอาจไม่มีอาการเลย แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงและไม่ได้รับการรักษา โรคฉี่หนู อาจนำไปสู่ความเสียหายต่อไต เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (การอักเสบของเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลัง) ตับวาย หายใจลำบาก และถึงแก่ชีวิตได้

รูปแบบที่รุนแรงของการติดเชื้อฉี่หนูเรียกว่า ‘Weil’s disease’  ซึ่งมีผู้คนนับหมื่นติดเชื้อทุกปี แต่ส่วนใหญ่สามารถฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์จากการรักษา อย่างไรก็ตามหากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม มีการติดเชื้อรุนแรง ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้จากความเสียหายของอวัยวะที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นผู้ป่วยโรคฉี่หนูทุกราย ควรได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

โรคเลปโตสไปโรซิสเกิดจากแบคทีเรียเลปโตสไปรา ที่สามารถพัฒนาก่อตัวเป็นโรคได้เมื่อคุณสัมผัสกับ :

  • สัตว์ที่ติดเชื้อ
  • ปัสสาวะของสัตว์ที่ติดเชื้อ
  • ดินหรือน้ำปนเปื้อนเชื้อ

แบคทีเรียเลปโตสไปรา (Leptospira) สามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ทางบาดแผล หรือเยื่อเมือกเช่น ตาหรือปาก จากนั้นเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงที่มีฟันแทะ สามารถเป็นพาหะของโรคฉี่หนูได้ ในสัตว์เลี้ยงสามารถพบการแพร่เชื้อได้ในสุนัขแต่อาจพบได้น้อยในแมว

สัตว์ที่เป็นโรคฉี่หนูอาจไม่มีอาการผิดปกติ พวกมันอาจปล่อยแบคทีเรียซึ่งส่วนใหญ่ก่อตัวขึ้นที่ไตและอยู่ในปัสสาวะสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งเชื้อสามารถอยู่รอดได้หลายสัปดาห์หรือนานเป็นเดือน เมื่อเด็กไปสัมผัสอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้  โดยเชื่้อเลปโตสไปรา มักพบในปัสสาวะของสัตว์บางชนิดต่อไปนี้

  • วัว
  • หมู
  • ม้า
  • แรคคูน
  • เม่น
  • สุนัข
  • หนู
  • กระรอก

สำหรับบ้านที่เลี้ยงสุนัขหากต้องการป้องกันโรคฉี่หนูจากสุนัข สามารถพาสุนัขไปรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฉี่หนูได้ตั้งแต่ยังเป็นลูกสุนัข วัคซีนในสุนัขจะให้การป้องกันอย่างน้อย 12 เดือน ดังนั้นอาจจำเป็นต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นทุกปี เพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ และคนในครอบครัวที่เลี้ยงสุนัข

อาการ

อาการของโรคเลปโตสไปโรซิสในช่วงสองสามวันแรกนั้นอาจดูคลุมเครือมาก และเกือบจะเหมือนกับโรคติดเชื้อทั่วไปในเด็ก เช่น ไข้หวัดใหญ่  ซึ่งผู้ปกครองอาจชะล่าใจและไม่ได้ขอคำแนะนำจากแพทย์ หากเด็กมีความเสี่ยงที่จะสัมผัสเชื้อ หากไม่มีการตรวจเลือดจะไม่สามารถวินิจฉัยการเจ็บป่วยได้ การวินิจฉัยเด็กอาจทำได้ยากเนื่องจากมีอาการที่หลากหลาย

บางครั้งการติดเชื้อจะแสดงอาการคล้ายกับเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นผื่นแดงบนผิวหนัง อาการเหล่านี้มักเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่สำคัญเสมอ และควรนำเด็กส่งโรงพยาบาลทันที อย่างไรก็ตามอาการดังต่อไปนี้ล้วนเป็๋นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้หากติดเชื้อฉี่หนู

  • มีไข้สูง
  • ปวดศีรษะ
  • หนาวสั่น
  • อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • อาเจียน
  • ดีซ่าน (ผิวและตาเหลือง)
  • ตาแดง
  • อาการปวดท้อง
  • ท้องเสีย
  • ผื่นขึ้น

อ่านต่อ…โรคฉี่หนู อันตรายใกล้ตัวเด็ก ที่มาพร้อมกับน้ำท่วมขัง! ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ สากล

สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ สากลสอนลูกรู้ไว้หากภัยมา

Alternative Textaccount_circle
event
สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ สากล
สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ สากล

ขอความช่วยเหลือ เมื่อกำลังตกอยู่ในอันตราย ทักษะจำเป็นที่ทุกคนควรรู้ สัญญาณง่าย ๆ ที่จะช่วยชีวิตใครได้หลายคน รวมถึงตัวคุณเองเมื่อภัยมา สอนลูกรู้ไว้อุ่นใจกว่า

สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ สากลสอนลูกรู้ไว้หากภัยมา!!

ภัย อันตรายร้ายมีอยู่รอบตัว ยิ่งในสังคมปัจจุบันที่การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของบุคคลเป็นเรื่องไม่ยากเย็นนัก การที่เราจะถูกคนร้ายจ้องทำร้ายเมื่อไหร่ ในรูปแบบใดนั้น จึงเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การร้อง ขอความช่วยเหลือ จากคนอื่นเมื่อถึงคราวโชคไม่ดีนั้น ในบางทีเราอาจไม่สามารถ ขอความช่วยเหลือ ด้วยการส่งเสียงเสมอไป เพราะในบางเหตุการณ์คนร้ายอาจอยู่ใกล้ตัวเรามาก หรือโดนขู่บังคับแม้ว่าเราจะอยู่ในที่สาธารณะก็ตาม ดังนั้น สัญญาณมือขอความช่วยเหลือนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนควรรู้ไว้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเราในยามเกิดเหตุเท่านั้น แต่หากทุกคนรู้ความหมายของสัญญาณมือขอความช่วยเหลือดังกล่าว จะได้เข้าใจเมื่อมีคนส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมาที่เราเช่นกัน คิดดูสิว่า ถ้าหากมีการสร้างความตระหนักถึงการเรียนรู้ทักษะการเอาชีวิตรอดต่าง ๆ เหล่านี้ให้มากขึ้น การเรียนรู้ การส่งต่อความรู้ การแชร์ข้อมูลลงสื่อโซเซียล ให้ทุกคนรับรู้ เราอาจจะได้ช่วยชีวิตใครได้หลาย ๆ คนที่กำลังลำบากอยู่ก็เป็นได้

sos สัญญาณ ขอความช่วยเหลือ
sos สัญญาณ ขอความช่วยเหลือ

บางครั้งในการเตือนภัย บางอย่างไม่สามารถขอความช่วยเหลือผ่านเสียงได้  “สัญลักษณ์ SOS Hand Signal ” ซึ่งมันควรเป็นสัญลักษณ์ที่ทุกคนควรศึกษา ทำความเข้าใจ เพราะช่วงเวลาเพียงเสี้ยววินาที ที่เราสามารถสื่อสารขอความช่วยเหลือออกไปถึงใครบ้างคนได้นั้น อาจหยุดยั้งการกระทำที่รุนแรง ในคดีทำร้ายร่างกายได้

สัญญาณมือขอความช่วยเหลือสากล (The Signal for Help) คืออะไร?

การขอความช่วยเหลือด้วย สัญญาณมือขอความช่วยเหลือสากล (The Signal for Help) ถูกสร้างขึ้นโดยมูลนิธิสตรีแห่งแคนาดา The Canadian Women’s Foundation โดยเป็นสัญญาณมือแบบอวัจนภาษาที่ใช้ในการสื่อสารอย่างสุขุมเมื่อมีคนต้องการความช่วยเหลือเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อตัวผู้ขอความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นสัญญาณสากลที่สามารถใช้ได้ทั่วโลก

ขั้นตอนการส่งสัญญาณมือขอความช่วยเหลือ

  • หงายฝ่ามือออกหาผู้อื่น
  • พับนิ้วโป้งเข้าหาฝ่ามือ
  • พับนิ้วที่เหลือทั้ง 4 มากุมปิดนิ้วโป้ง
  • ค่อยๆ ทำช้าๆ อีกหลายครั้ง
สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ สากล
สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ สากล

พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จัก สัญญาณดังกล่าวว่า นี่คือสัญญาณมือแปลว่า “ช่วยด้วย” ใช้ในกรณีดังต่อไปนี้

  1. สัญญาณขอความช่วยเหลือแสดงว่ากำลังถูกคุกคามอยู่
  2. ใช้ขอความช่วยเหลือเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะพูดได้

สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ ใช้ได้จริง!!

ในกรณีแรก เป็นตัวอย่างเคสที่ผู้ถูกคุกคามส่งสัญญาณมือขอความช่วยเหลือจนเอาตัวรอดมาได้ เมื่อช่วงปลายปี 2564 โดยเหตุเกิดในสหรัฐอมริกา รัฐนอร์ธแคโรไลนา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งว่ามีหญิงสาววัยรุ่นอายุ 16 ปี หายตัวไปจากบ้าน สืบสวนจนพบว่าเธอถูกลักพาตัว เธอพยายามส่งสัญญาณมือขอความช่วยเหลือให้แก่รถคันอื่น ๆ ที่ขับผ่าน เพราะเธออยู่ในรถคนร้าย ทำให้ไม่สามารถส่งเสียงได้ คนร้ายจะรู้ตัว โชคดีเป็นของเธอ เมื่อพลเมืองดีพบเห็นสัญญาณ sos จากภาษามือที่เธอส่งไป จึงได้แจ้งตำรวจท้องถิ่น จนสามารถช่วยเหลือเธอได้ในที่สุด

สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ กรณีไม่สามารถส่งเสียงได้
สัญญาณมือ ขอความช่วยเหลือ กรณีไม่สามารถส่งเสียงได้

เคส “สัญญาณมือ” ที่เกิดในประเทศไทย

ไม่น่าเชื่อใช่ไหมว่า กรณีแบบนี้จะเกิดขึ้นในไทยเช่นกัน เคสตัวอย่างต่อไปนี้ได้เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ้านบึง ได้เข้าช่วยเหลือ โชเฟอร์แท็กซี่ที่ส่งสัญญาณมือขอความช่วยเหลือแบบสากล หลังถูกผู้โดยสารเมายาเสพติดว่าจ้าง และในระหว่างทางได้ทำการข่มขู่ด้วยปืน อีกทั้งยังโชว์ยาเสพติดที่ตนเองเสพ  ทำให้โชเฟอร์รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงออกอุบายขอเข้าห้องน้ำ และตั้งจีพีเอสมายัง สภ.บ้านบึง เมื่อถึงบริเวณสถานีตำรวจ จึงได้ส่งสัญญาณมือขอความช่วยเหลือ ซึ่งมีคนบริเวณนั้นเห็นในครั้งแรกยังไม่เข้าใจ โชเฟอร์จึงทำซ้ำอีกรอบ จากนั้นผู้ที่พบเห็นจึงวิ่งไปแจ้งตำรวจ และสามารถช่วยเหลือ จับกุมผู้โดยสารเมายาดังกล่าวได้

ด้านโชเฟอร์แท๊กซี่เล่าว่า ตนเองจำสัญญาณมือขอความช่วยเหลือดังกล่าวมาจาก TikTok โดยลองฝึกทำมาประมาณครึ่งวัน เพราะคิดว่าอาชีพอย่างตนมีความเสี่ยง อาจต้องเจอคนไม่ดี และไม่อาจเลือกรับผู้โดยสารได้ เพราะหากเลือกผู้โดยสารก็จะถูกร้องเรียนได้ จึงศึกษาไว้เผื่อจะต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น และก็เกิดเหตุที่ต้องนำมาใช้ได้จริง ๆ

อ่านต่อ >>การขอความช่วยเหลือ ด้วยสัญญาณรูปแบบอื่น ๆ คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

SX 2022

“ไทยเบฟ” ผนึกกำลังชูแนวคิดความยั่งยืน “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” ในงาน Sustainability Expo 2022 ครั้งที่3

event
SX 2022
SX 2022

อนาคตลูก.. อยู่ในมือเรา!! เปิดมหกรรมความยั่งยืน SX 2022 รวมพลังบวกสร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือเพื่อผลักดันทศวรรษแห่งการปฎิบัติ ภายใต้แนวคิด “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก”

คณะผู้จัดงาน 5 องค์กรชั้นนำด้านความยั่งยืนของไทย ได้แก่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผนึกกำลังกันพัฒนาแพลตฟอร์มสู่มหกรรมด้านความยั่งยืนระดับภูมิภาคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ภายใต้ชื่อ SX 2022 ตาม คอนเซ็ปต์ “พอเพียง ยั่งยืน เพื่อโลก” (Sufficiency for Sustainability) อันเป็นการน้อมนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” มาเผยแพร่และส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปและองค์กรต่าง ๆ ร่วมกันสานต่อพระราชดำริให้เกิดเป็นรูปธรรมต่อไป นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainability Development Goals – SDGs) ที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศไว้ด้วย

SX 2022

สำหรับงานในปีนี้ ไทยเบฟ ยังคงตอกย้ำแนวคิดด้านความยั่งยืนที่สอดคล้องกับพันธกิจขององค์กรที่จะ “สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต”เพื่อให้ชุมชนและสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยยึดหลัก ESG (Environmental, Social และ Governance) เป็นแกนในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน โดยนำเสนอเรื่องราวครบคลุมในทุกมิติ ภายใต้แนวคิด Enabling Sustainable Growth อาทิ การมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ Packaging Circularity การจัดการบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยนำเสนอตัวอย่างของโครงการการเก็บกลับ-รีไซเคิล ทั้งในด้านผลการดำเนินงานและความร่วมมือที่เกิดขึ้น  ThaiBev Unite to Fight the Cold Project  โครงการ ไทยเบฟ…รวมใจต้านภัยหนาว โดยส่งมอบผ้าห่มผืนเขียวรักษ์โลกที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล rPET Water Resources Management for Community โครงการการบริหารจัดการพื้นที่ด้วยระบบสารสนเทศทรัพยากรน้ำเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่ได้ดำเนินการความร่วมมือร่วมกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) Biodiversity นำเสนอความหลากหลายทางชีวภาพ โดยการประเมินแหล่งที่อยู่อาศัยและชนิดพันธุ์ที่สำคัญ และโครงการที่สำคัญ อาทิ การจัดการน้ำเสียผ่านพื้นที่ชุ่มน้ำเทียมโดย Knockdhu Distillery ซึ่งเป็นโรงกลั่นมอลต์วิสกี้ในเครือที่ประเทศสกอตแลนด์ Food Loss and Waste Management การขจัดการสูญเสียอาหารและขยะอาหารผ่านโครงการต่าง ๆ ในกลุ่มอาหารเครือไทยเบฟ ตั้งแต่โรงงานผลิตต้นทางจนถึงการส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมช่วยลดขยะอาหารผ่านโครงการ “กินหมดเกลี้ยง” และ “ไม่กินบอกเอาออกให้”   และ  Community Based Disaster and Risk Management (CBDRM) ซึ่งเป็นการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน

SX 2022

SX 2022
 

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวคิดในการจัดงานว่า “งาน Sustainability Expo 2022 หรือ SX 2022 จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้วเพื่อเปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนมารวมตัวกัน และขยายเครือข่ายออกไปยังต่างประเทศ แต่ยังคงยึดโมเดลและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางในการจัดงาน และสร้างแรงบันดาลใจให้นำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ให้เกิดความยั่งยืนในบริบทของสังคมไทย จากการริเริ่ม TSX Expo ภายใต้เครือข่ายห่วงโซ่อุปทาน หรือ Thailand Supply Chain Network (TSCN) ใน 2 ปีที่ผ่านมา ปีนี้ 5 องค์กรธุรกิจ ได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)

SX 2022

SX 2022บริษัท เอสซีจี จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผนึกกำลังกันพัฒนาแพลตฟอร์มสู่มหกรรมด้านความยั่งยืนระดับภูมิภาค ภายใต้ชื่อ SX 2022 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่นำเสนอโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า B2C2B (Business-to-Consumer-to-Business) ที่ยึดผู้บริโภคเป็นแกนกลาง โดยเชื่อมโยงระหว่างองค์กรธุรกิจกับผู้บริโภค และผู้บริโภคจะเชื่อมโยงกลับสู่ภาคธุรกิจ”

SX 2022

SX2022 จัดขึ้นระหว่างวันที่  26 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565 บนพื้นที่กว่า 40,000 ตรม. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีบริษัทชั้นนำและองค์กรต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศรวมกว่า 100 แห่งมาร่วมงาน รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญและผู้นำองค์กรธุรกิจกว่า 150 รายที่มาร่วมให้ความรู้และแลกเปลี่ยนทัศนคติบนเวทีเสวนา เพื่อให้ความรู้ ถ่ายทอดประสบการณ์ และเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสเทรนด์นวัตกรรมเทคโนโลโลยีที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนในทุกมิติ ผ่านนิทรรศการ เวทีสัมมนา ตลอดจนหลากหลายกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ชมทุกเพศทุกวัย

มาร่วมสร้างสมดุลที่ดี เพื่อโลกที่ดีกว่า ในงานมหกรรมการแสดงสินค้าด้านความยั่งยืน SX 2022 ระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 2 ตุลาคม 2565 เข้าฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย ติดตามรายละเอียดได้ที่ www.sustainabilityexpo.com

แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ

ฟรี!! แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ สำหรับอนุบาล

Alternative Textaccount_circle
event
แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ
แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ

แบบฝึกหัด แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ สำหรับอนุบาล ช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษา เรียนรู้พยัญชนะ และคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ได้ทบทวนความจำของเด็กๆ เตรียมความพร้อมก่อนเข้าป.1

ฟรี!! แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ สำหรับอนุบาล

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่จำเป็นในยุคสมัยนี้ เป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกันทั่วโลก จึงเป็นภาษาที่สอง ที่คุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่เลือกให้ลูกได้เรียน คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังมองหา แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ เพื่อนำมาให้ลูกได้ฝึกฝนทักษะด้านภาษา ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้นำมาฝากแล้ว มาดาวน์โหลดเก็บไว้ให้ลูกกันเลยค่ะ

 

แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ
แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ

ฟรี!! แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ สำหรับอนุบาล

พยัญชนะภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก

handwriting practice worksheet        พยัญชนะตัวพิมพ์ใหญ่ A-Z

dash trace handwriting worksheet    พยัญชนะตัวพิมพ์เล็ก a-z

cursive handwriting worksheet          พยัญชนะตัวพิมพ์ใหญ่ A-Z แบบมีหาง

alphabet handwriting practice            พยัญชนะตัวพิมพ์เล็ก  a-z แบบมีหาง

 

ระบายสี พยัญชนะ A-Z, รูปที่ชื่อขึ้นต้นด้วย A-Z และวงกลมที่มีพยัญชนะ A-Z

alphabet coloring letter a                                   alphabet coloring letter n

alphabet coloring letter b                                    alphabet coloring letter o

alphabet coloring letter c                                    alphabet coloring letter p

alphabet coloring letter d                                    alphabet coloring letter q

alphabet coloring letter e                                     alphabet coloring letter r

alphabet coloring letter f                                      alphabet coloring letter s

alphabet coloring letter g                                     alphabet coloring letter t

alphabet coloring letter h                                     alphabet coloring letter u

alphabet coloring letter i                                      alphabet coloring letter v

alphabet coloring letter j                                      alphabet coloring letter w

alphabet coloring letter k                                     alphabet coloring letter x

alphabet coloring letter l                                      alphabet coloring letter y

alphabet coloring letter m                                    alphabet coloring letter z

 

การอ่าน เขียน และออกเสียงภาษาอังกฤษ

phonics 1        เลือกพยัญชนะที่เป็นเสียงขึ้นต้นของภาพนั้น

phonics 2        ตัดภาพแล้วนำไปวางในช่องที่ภาพขึ้นต้นด้วยตัวพยัญชนะนั้น

phonics 3        วงกลมคำที่มีเสียงลงท้ายเหมือนกัน เขียนคำลงในช่องแล้ววงกลมจำนวนพยางค์ เขียนพยัญชนะที่หายไป

phonics 4         เขียนสระที่ออกเสียงคำขึ้นต้นของภาพ

phonics 5         วงกลมพยัญชนะที่มีเสียงคำขึ้นต้นของภาพ

phonics 6         เขียนสระเสียงสั้นที่หายไป

 

อ่านต่อ…ฟรี!! แบบฝึกหัดภาษาอังกฤษ สำหรับอนุบาล คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เรียน ว่ายน้ำ ตอนอายุกี่ขวบดี

เด็กจมน้ำพลูวิลล่าอีกราย!แบบนี้ควรเริ่มเรียน ว่ายน้ำ กี่ขวบ

Alternative Textaccount_circle
event
เรียน ว่ายน้ำ ตอนอายุกี่ขวบดี
เรียน ว่ายน้ำ ตอนอายุกี่ขวบดี

ว่ายน้ำ ให้เป็นทักษะชีวิตในการเอาตัวรอดปลอดภัยที่เด็ก ๆ ควรเรียนรู้ เมื่อมีข่าวเด็ก จมน้ำ พลูวิลล่าหลายราย ทำเอาคนโซเซียลเกิดคำถามควรให้เริ่มเรียนตอนกี่ขวบ

เด็กจมน้ำพลูวิลล่าอีกราย!แบบนี้ควรเริ่มเรียน ว่ายน้ำ กี่ขวบ??

จมน้ำ (Drowning / Submersion Injury) คือ ภาวะความบกพร่องระบบทางเดินหายใจอันเกิดจากการจมอยู่ใต้น้ำ ก่อให้เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ภายใน 24 ชั่วโมง จากข่าวเศร้าที่ปัจจุบันเกิดเป็นประจำให้พบเห็นเกี่ยวกับการจมน้ำนั้น ทำให้ผู้ใหญ่เริ่มตระหนักถึงภัยจากน้ำ การจมน้ำในเด็ก ที่ใกล้ตัวกว่าที่เราคาดคิด

ข่าวเด็กจมน้ำเสียชีวิต เกิดถี่เฉลี่ยเดือนละ 4 คน

เหตุสลดเด็ก 7 ขวบ จมสระน้ำในพูลวิลล่า เสียชีวิตที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ล่าสุดทางผู้ปกครองไม่ติดใจการเสียชีวิต โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเด็กชายที่พักอาศัยอยู่ในละแวกพูลวิลล่าเกิดเหตุ คาดว่าเด็กที่จมน้ำได้แอบปีนรั้วเข้ามาในบ้านพัก และเกิดพลัดตกลงไปในสระน้ำเสียชีวิต เมื่อผู้ดูแลที่พักมาพบได้แจ้งไปยังผู้ปกครอง สำหรับเหตุการณ์จมน้ำเสียชีวิตมีหลายกรณีที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ทีมกู้ภัยทางน้ำ ต้องงมหาร่างผู้เสียชีวิตเฉลี่ยเดือนละ 4-5 ราย ซึ่งถือเป็นภัยใกล้ตัวที่หลายคนละเลย

เด็ก จมน้ำ ว่ายน้ำ ไม่เป็น อันตราย
เด็ก จมน้ำ ว่ายน้ำ ไม่เป็น อันตราย

ผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำขณะนี้ส่วนใหญ่เป็นเด็กก่อนวัยเรียน และกลุ่มอายุ 13-14 ปี สถิติเฉลี่ยผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำเดือนละ 4-5 ศพ อุบัติเหตุจากการจมน้ำถือเป็นภัยเงียบ ที่หลายคนไม่ทันระวัง เพราะคนทั่วไปมักจะระวังอุบัติเหตุที่อยู่บนบก ยิ่งช่วงฤดูฝนจะมีเหตุเกิดขึ้นมากกว่าปกติ โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดจะมีการไปหาปลาแล้ววูบหมดสติจมน้ำเสียชีวิต ส่วนเด็กมักเกิดเหตุจากการชวนกันไปเล่นน้ำ หรือครอบครัวประมาทจนเด็กจมน้ำในบริเวณบ้าน

ที่มา : https://www.thairath.co.th

ระดับของการเกิดภาวะต่างๆ จากการจมน้ำ

  • Near Drowning คือ ภาวะรอดชีวิตจากการจมน้ำ โดยผู้ป่วยอาจรอดชีวิตเป็นเวลามากกว่า 24 ชั่วโมงหรือรอดชีวิตเพียงชั่วขณะ ภาวะนี้ถือเป็นภาวะก่อนจมน้ำเสียชีวิต ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
  • Secondary Drowning คือ ภาวะแทรกซ้อนจากการจมน้ำ โดยมีน้ำเข้าไปในปอดผู้ป่วย ทำให้ปอดบวมหรืออักเสบ ส่งผลให้ร่างกายแลกเปลี่ยนออกซิเจนและหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปได้ยาก ผู้ที่ประสบภาวะนี้จะแสดงอาการออกมาหลังผ่านไปนานกว่า 24 ชั่วโมง
  • Dry Drowning  คือ ภาวะจมน้ำที่มีน้ำเข้าปากหรือจมูก ส่งผลให้ระบบทางเดินหายใจกระตุกและปิดลง ภาวะนี้มักเกิดขึ้นทันทีหลังจมน้ำ
  • Immersion Syndrome คือ ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจากการจมน้ำที่เย็นมาก ซึ่งอาจเกิดจากการตอบสนองของระบบประสาทร่วมกับการบีบตัวของหลอดเลือด

สถิติที่พบ จะพบว่า ผู้ใหญ่และเด็กจะประสบอุบัติเหตุจมน้ำในที่ที่เล่นน้ำแตกต่างกัน

  • ทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี มักจมน้ำขณะอาบน้ำในอ่างอาบน้ำสำหรับเด็ก
  • เด็กเล็กอายุ 1–5 ปี มักจมน้ำในสระว่ายน้ำ
  • ผู้ใหญ่มักเสี่ยงจมน้ำเมื่อเล่นกีฬาหรือกิจกรรมผาดโผนทางน้ำ หรือเล่นน้ำในสระว่ายน้ำที่ไม่ได้มาตรฐาน ลำคลอง หรือแม่น้ำ

ช่วยคนจมน้ำถูกวิธี โอกาสรอดสูง!!

เมื่อเราพบเห็นคนจมน้ำ แม้จะมีข้อแนะนำว่าให้ควรช่วยเหลือทันที แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะไปช่วยเหลือคนจมน้ำ ควรจะรู้วิธีช่วยคนจมน้ำที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยต่อคนจมน้ำ และตัวผู้ที่จะเข้าไปช่วยเหลือเองอีกด้วย

เด็กชอบเล่นน้ำ ว่ายน้ำ
เด็กชอบเล่นน้ำ ว่ายน้ำ
  • ควรใช้อุปกรณ์ที่มีด้ามจับยาวหรือเชือกโยนลงไปให้ผู้ที่จมน้ำจับในกรณีที่ยังมีสติ หรือว่ายลงไปในน้ำเพื่อนำตัวผู้ที่จมน้ำขึ้นมา โดยมีวิธีในการดึงคนจมน้ำเข้าฝั่ง ดังนี้
    • ดึงเข้าหาฝั่งโดยการกอดไขว้หน้าอก วิธีการนี้ผู้ช่วยเหลือ ต้องเข้าด้านหลังผู้จมน้ำ ใช้มือข้างหนึ่งพาดบ่าไหล่ด้านหลังไขว้ทะแยงหน้าอก จับข้างลำตัวด้านตรงข้ามผู้จมน้ำ มืออีกข้างใช้ว่ายเข้าหาฝั่ง ในขณะที่พยุงตัวผู้จมน้ำเข้าหาฝั่งต้องให้ใบหน้า โดยเฉพาะปาก และจมูกผู้จมน้ำอยู่พ้นเหนือน้ำ
    • วิธีดึงเข้าหาฝั่งด้วยวิธีจับคาง เป็นวิธีที่ผู้ช่วยเหลือเข้าด้านหลังของผู้จมน้ำ ใช้มือทั้ง 2 ข้าง จับขากรรไกรทั้ง 2 ข้างของผู้จมน้ำ แล้วใช้เท้าตีน้ำช่วยพยุงเข้าหาฝั่ง และพยายามให้ใบหน้าของผู้จมน้ำลอยเหนือผิวน้ำ
    • วิธีดึงเข้าฝั่งด้วยวิธีจับผม ผู้ช่วยเหลือเข้าด้านหลังผู้จมน้ำ ใช้มือข้างหนึ่งจับผมผู้จมน้ำไว้ให้แน่น แล้วใช้มืออีกข้างว่ายพยุงตัวเข้าหาฝั่ง โดยที่ปาก และจมูกผู้จมน้ำลอยเหนือผิวน้ำ วิธีเหมาะสำหรับผู้ที่ดิ้นมาก หรือพยายามกอดรัดผู้ช่วยเหลือ
  • ควรทำซีพีอาร์ให้แก่ผู้ที่จมน้ำทันทีในกรณีที่หยุดหายใจ โดยผายปอดและปั๊มบริเวณทรวงอก เพื่อช่วยให้เลือดลำเลียงออกซิเจนได้มากขึ้น
  • ห้ามขยับบริเวณคอหรือศีรษะผู้ที่จมน้ำ โดยเฉพาะขณะหมดสติ เนื่องจากผู้ประสบเหตุอาจได้รับบาดเจ็บที่คอหรือกระดูกสันหลัง
  • หากผู้ประสบเหตุจมน้ำในน้ำเย็น ควรถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกและคลุมด้วยเสื้อผ้าอื่น ๆ หรือผ้าห่ม เพื่อป้องกันการเกิดภาวะตัวเย็นเกิน
  • ควรโทรเรียกรถพยาบาลให้นำตัวส่งแพทย์เพื่อดูแล และรักษาต่อ

อ่านต่อ>> สมาคมกุมารแพทย์แนะ เด็กควรเริ่มเรียน ว่ายน้ำ ตอนอายุเท่าไหร่ดี คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

บัตรทอง รับยาร้านยาใกล้บ้าน

ไม่เสียเวลารอ บัตรทอง รับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านได้แล้ว

Alternative Textaccount_circle
event
บัตรทอง รับยาร้านยาใกล้บ้าน
บัตรทอง รับยาร้านยาใกล้บ้าน

บัตรทอง ผู้ใช้มีเฮ! ไม่ต้องรอรับยานานอีกต่อไปที่โรงพยาบาล ผู้ป่วยถือ สิทธิบัตรประกันสุขภาพ สามารถรับยาได้ที่ร้ายขายยาใกล้บ้าน สปสช.แจงเริ่ม 1 ตุลาคมนี้

มีเฮ!! ไม่เสียเวลารอ บัตรทอง รับยาที่ร้านขายยาใกล้บ้านได้แล้ว

ปัจจุบันในประเทศไทย มีสิทธิเพื่อเข้าถึงบริการทางการแพทย์จากภาครัฐอยู่ 5 ประเภท ได้แก่ สิทธิข้าราชการ สิทธิพนักงานส่วนท้องถิ่น สิทธิพนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกันตนของกองทุนประกันสังคม และสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่รู้จักกันดีว่า สิทธิบัตรทอง

สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสิทธิ บัตรทอง

บัตรทอง เป็นสวัสดิการให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ แรงงานนอกระบบ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ เช่น พ่อค้า แม่ค้า คนทำงานรับจ้างที่ไม่มีสวัสดิการคุ้มครอง หรือไม่มีหลักประกันทางสังคมจากการทำงานเช่นเดียวกับแรงงานในระบบที่มีสิทธิลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการประจำ เพื่อใช้สิทธิโดยไม่ต้องเสียค่าบริการ (ตรวจสอบสิทธิได้ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ www.nhso.go.th)

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มที่สิทธิบัตรทองให้ความคุ้มครองดังกล่าว สามารถลงทะเบียนขอรับสิทธิ์ จากนั้นสามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิที่เลือก ตามถิ่นที่อยู่อาศัย หากการรักษาพยาบาลเกินศักยภาพของหน่วยบริการ แพทย์จะพิจารณาส่งต่อไปยังหน่วยบริการที่มีศักยภาพสูงกว่าตามภาวะความจำเป็นของโรค และสามารถขอเปลี่ยนโรงพยาบาลได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี

ประชาชนมีเฮ! สิทธิ บัตรทอง เพิ่มบริการ รับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน
ประชาชนมีเฮ! สิทธิ บัตรทอง เพิ่มบริการ รับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน

สิทธิที่จะได้รับจาก บัตรทอง

  • เจ็บป่วยทั่วไป ที่ไม่ใช่อาการฉุกเฉิน สามารถเข้ารับบริการที่หน่วยบริการประจำตามสิทธิ เพียงยื่นบัตรประชาชน
  • เจ็บป่วยฉุกเฉิน ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรืออาการรุนแรงขึ้น แบ่งออกเป็น 3 ระดับ สีแดง สีเหลือง และสีเขียว (ตามนิยามทางการแพทย์) ให้เข้ารับบริการกับหน่วยบริการของรัฐหรือเอกชนที่เข้าร่วมโครงการที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง กรณีเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่เข้าร่วม ให้ติดต่อสายด่วน สปสช. 1330 เพื่อแนะนำข้อมูลหรือประสานหาเตียงรองรับ
  • อุบัติเหตุ แบ่งเป็น 2 กรณี หากประสบอุบัติเหตุทั่วไป ให้ปฏิบัติเหมือนกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน แต่กรณีประสบอุบัติเหตุจากรถ ต้องใช้สิทธิตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถหมดก่อน ส่วนเกินจึงจะใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้
  • สิทธิ UCEP (Universal Coverage for Emergency Patients) คือ สิทธิการรักษาตามนโยบายรัฐ เพื่อคุ้มครองผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ (สีแดง) ที่หากไม่รักษาทันทีมีโอกาสเสียชีวิตสูง ให้สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ที่สุดได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจนพ้นวิกฤติ และสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัย แต่ไม่เกิน 72 ชั่วโมง โดยมี 6 กลุ่มอาการที่เข้าข่าย ดังนี้1. หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ
    2. หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรงหายใจติดขัดมีเสียงดัง
    3. ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น
    4. เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง
    5. แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีกพูดไม่ชัดแบบปัจจุบันทันด่วนหรือชักต่อเนื่องไม่หยุด
    6. อาการอื่นที่มีผลต่อการหายใจ ระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่เป็นอันตรายต่อชีวิตโดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังเวลา 72 ชั่วโมง ในกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ สามารถย้ายเข้าระบบหน่วยบริการได้ แต่หากปฏิเสธไม่ขอย้าย ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นต่อไปเอง (หากมีข้อสงสัยสามารถโทรสอบถามได้ที่ ศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิ ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (ศคส.สพฉ.) 02 872 1699 ตลอด 24 ชั่วโมง)
ที่มา : https://www.set.or.th

ผลสำรวจผู้ใช้สิทธิบัตรทองปี 2565 พบมีความพึงพอใจเพิ่มขึ้น

26 ก.ย.2565 ทีมสื่อ สปสช. รายงานว่า ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 9/2565 เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยมี อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน มีมติรับทราบผลสำรวจความเห็นของประชาชน ผู้ให้บริการและองค์กรภาคีที่เกี่ยวข้องต่อการดำเนินงานในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โดยพบว่า ความพึงพอใจของประชาชนอยู่ที่ 97.69% ส่วนของภาคีเครือข่ายและภาคประชาชน 97.62% และหน่วยบริการอยู่ที่ 86.19%

สำหรับสิ่งที่ยังไม่พึงพอใจ ด้านประชาชนและองค์กรภาคีเครือข่าย ต้องการให้สามารถไปรักษาที่หน่วยบริการได้ทุกที่ เพิ่มสิทธิการรักษาให้ครอบคลุมทุกโรค และสร้างการรับรู้ในหน่วยงานมากยิ่งขึ้น เพิ่มเติมการส่งเสริมและดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งขยายบริการให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่

ลลิตยา-กองคำ รองเลขาธิการ-สปสช
ลลิตยา-กองคำ รองเลขาธิการ-สปสช

นอกจากนี้ยังได้มีข้อเสนอต่อการระบบบริการของสิทธิบัตรทองด้วยเช่นกัน อาทิ สนับสนุนและส่งเสริมเพื่อลดความแออัดในการเข้ารับบริการในสถานพยาบาลและระบบช่วยนัดหมาย ทบทวนระเบียบ กฎเกณฑ์ และงบประมาณ ขยายขอบเขตสิทธิประโยชน์เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม ฯลฯ

พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า จากผลสำรวจในปี 2564-2565 นี้ไม่ว่าจะเป็นฝั่งของประชาชน หน่วยบริการ หรือภาคีเครือข่าย ต่างมีความพึงพอใจต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาระบบบริการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากประเด็นความพึงพอใจจากผลสำรวจ เช่น การลงทะเบียนสิทธิย้ายหน่วยบริการได้สิทธิทันที  นโยบายผู้ป่วยในไม่ต้องกลับไปรับใบส่งตัว  มะเร็งรักษาที่ไหนก็ได้ การเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ผู้รับบริการจะได้รับ ฯลฯ

พญ.ลลิตยา กล่าวต่อไปว่า กระบวนการสำรวจความเห็นนี้เป็นสิ่งที่ทาง สปสช. ทำมาตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งแต่ละปีการได้เสียงสะท้อนกลับมา ทำให้รู้ว่าการดำเนินงาน นโยบาย และระบบบริการของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน และควรที่จะปรับปรุงในส่วนไหนเพิ่มเติม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาเพื่อมุ่งสร้างระบบบริการที่ตอบโจทย์ให้กับทั้งประชาชน ผู้ให้บริการ และองค์กรภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่มา : https://prachatai.com

อ่านต่อ>> บัตรทอง ไม่หยุดพัฒนา เพิ่มบริการ “รับยาจากร้านขายยา” ลดการรอคอย คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

นิทาน พื้นบ้าน

นิทาน พื้นบ้าน อ่านให้ลูกฟัง สนุก เพลิดเพลิน

Alternative Textaccount_circle
event
นิทาน พื้นบ้าน
นิทาน พื้นบ้าน

นิทาน พื้นบ้าน มักจะมีคติสอนใจให้แก่เด็กๆ นิทานจะสะท้อนให้เห็นถึงสังคม จารีต ประเพณี ศาสนา และประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นนั้นๆ

นิทาน พื้นบ้าน อ่านให้ลูกฟัง สนุก เพลิดเพลิน

แต่ละภาคของไทยจะมี นิทาน พื้นบ้าน ที่มีความแตกต่างกันไปตามแต่ลักษณะสำคัญของภูมิภาคนั้นๆ โดยแบ่งเป็น 4 ภาคคือ นิทานพื้นบ้านภาคกลาง นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน และนิทานพื้นบ้านภาคใต้ วันนี้ทีมกองบรรณาธิการ ABK ขอนำเสนอ นิทานพื้นบ้านภาคกลาง จะมีเรื่องอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

นิทาน พื้นบ้าน ไกรทอง
นิทาน พื้นบ้าน ไกรทอง

 

นิทาน พื้นบ้าน อ่านให้ลูกฟัง สนุก เพลิดเพลิน

 

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง : ไกรทอง (จ.พิจิตร)

          ชาละวันเป็นจระเข้เจ้า อาศัยอยู่ในถ้ำทองใต้บาดาล ในถ้ำทองจระเข้ จะกลายร่างเป็นคนได้ ชาละวันตอนกลายร่างเป็นคนจะเป็นหนุ่มรูปงาม โดยชาละวันเองมีเมียสาวสวยเป็นนางจระเข้ 2 ตัวคือ วิมาลา และเลื่อมลายวรรณ ชาละวันเป็นหลานชายของ ท้าวรำไพ ผู้เป็นจระเข้เจ้าที่อยู่ในศีลธรรม ไม่เคยจับสัตว์หรือมนุษย์กินเป็นอาหารและจะกินแต่ซากสัตว์ที่ตายแล้วเป็นอาหารเท่านั้น ชาละวันแม้อยู่ในถ้ำทองจะอิ่มทิพย์ไม่ต้องกินเนื้อ แต่ด้วยความมีนิสัยที่เป็นอันธพาล จึงชอบมาเมืองข้างบนตามแม่น้ำลำคลอง จับคนที่เป็นชาวบ้านและสัตว์กินเพื่อความสนุกสนาน

ณ หมู่บ้านดงเศรษฐี แขวงเมืองพิจิตร มีพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง มีความงามเป็นที่เลื่องลือ ชื่อนางตะเภาแก้ว ผู้พี่ และนางตะเภาทองผู้น้อง ทั้งสองเป็นบุตรเศรษฐีคำ และคุณนายทองมา วันหนึ่งนางตะเภาแก้วและนางตะเภาทองได้ลงไปเล่นน้ำที่ท่าหน้าบ้าน ช่วงเวลานั้นเจ้าชาละวัน ซึ่งเป็นจระเข้ได้ออกมาว่ายน้ำหาเหยื่อ เมื่อได้เห็นนางตะเภาทอง ก็ลุ่มหลงในความงาม จึงโผล่ขึ้นเหนือน้ำเข้าไปคาบนางตะเภาทองแล้วดำดิ่งไปยังถ้ำทอง อันเป็นที่อยู่ของเจ้าชาละวัน

เมียของชาละวัน คือ วิมาลา และเลื่อมลายวรรณ เห็นก็ไม่พอใจแต่ก็ห้ามสามีไม่ได้ เพราะเกรงกลัวจึงต้องยอมให้ผัวมีเมียเป็นมนุษย์อีกคน เมื่อนางตะเภาทองฟื้นขึ้นมาเจ้าชาละวันก็เกี้ยวพาราสี แต่นางตะเภาทองก็ไม่สนใจ เจ้าชาละวันจึงจำต้องใช้เวทมนตร์สะกดให้นางตะเภาทองหลงรัก และยอมเป็นภรรยาตั้งแต่นั้นมา

เศรษฐีคำและคุณนายทองมาโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ที่นางตะเภาทองบุตรสาวคนเล็กถูกเจ้าชาละวันคาบไป และคิดว่าบุตรสาวตนคงตายไปแล้ว ด้วยความรักในบุตรสาวและความแค้นในเจ้าชาละวัน จึงประกาศออกไปว่าใครที่พบศพนางตะเภาทอง และสามารถปราบจระเข้ตัวนี้ได้จะมอบสมบัติของตนเองให้ครึ่งหนึ่ง และจะให้แต่งงานกับนางตะเภาแก้วด้วย

แต่ก็ไม่มีหมอจระเข้คนไหนสามารถปราบเจ้าชาละวันได้ นอกจากกลายเป็นเหยื่อของเจ้าชาละวันคนแล้วคนเล่า จนในที่สุดก็มีชายหนุ่มรูปงามนามว่า ไกรทอง ซึ่งได้ร่ำเรียนวิชาการปราบจระเข้จากอาจารย์คง จนมีความเก่งกล้า ได้อาสามาปราบเจ้าชาละวัน แต่อาจารย์คงรู้ว่าเจ้าชาละวันเป็นพญาจระเข้มีอำนาจมาก และหนังเหนี่ยว ฆ่าฟันไม่ตาย เนื่องจากมีเขี้ยวเพชรทำให้อยู่ยงคงกระพัน จึงได้มอบหอกสัตตโลหะ , เทียนระเบิดน้ำ เสื้อยันต์และลูกประคำปลุกเสก แก่ไกรทอง

รุ่งเช้าตั้งพิธีบวงสรวงพร้อมอ่านคาถา ทำให้เจัาชาละวันเกิดร้อนลุ่มต้องออกจาก ถ้ำขึ้นมาต่อสู้กับไกรทอง ไกรทองกระโดดขึ้นบนหลังจระเข้ และแทงด้วยหอกสัตตโลหะ ทำให้อาคมของเขี้ยวเพชรเสื่อม หอกได้ทิ่มแทงเจ้าชาละวันจนบาดเจ็บสาหัส และได้หนีกลับไปที่ถ้ำ แต่ไกรทองก็ใช้เทียนระเบิดน้ำตามไปต่อสู้อีกในถ้ำ

ระหว่างที่เข้าไปในถ้ำไกรทองก็พบกับวิมาลา เมียของชาละวัน ด้วยความเจ้าชู้จึงเกี้ยวพาราสี นางวิมาลาจนนางใจอ่อนยอมเป็นชู้ และบอกทางไปช่วยนางตะเภาทอง

ไกรทองตามมาต่อสู้กับเจ้าชาละวันในถ้ำาต่อจนเจ้าชาละวันตาย และไกรทองก็ได้พานางตะเภาทองกลับขึ้นมา เศรษฐีดีใจมากจึงจัดงานแต่งงานให้ไกรทองกับนางตะเภาแก้ว พร้อมมอบสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง แถมนางตะเภาทองให้อีกคน ไกรทองจอมเจ้าชู้ก็รับไว้ ด้วยความยินดี

แต่ยังไม่จบแค่นั้นด้วยความเจ้าชู้ของไกรทองแม้ชาละวันตายไป ไกรทองก็ยังหลงรสรักกับนางวิมาลา จึงไปหาสู่ที่ถ้ำทอง และคิดจะพานางวิมาลาไปอยู่กินด้วย โดยทำพิธีทำให้นางยังคงเป็มมนุษย์แม้ออกนอกถ้ำทอง นางตะเภาแก้วและนางตะเภาทองจับได้ว่า สามีไปมาหาสู่นางจระเข้ จึงไปหาเรื่องกับนางในร่างมนุษย์จนนางวิมาลาทนไม่ไหวกลับร่างเป็นจระเข้และไกรทองต้องออกไปห้ามไม่ให้เมียตีกันและอำลาจากนางวิมาลาด้วยใจอาวรณ์

 

นิทานพื้นบ้านภาคกลาง : บางแม่หม้าย (จ.สุพรรณบุรี)

มีเรื่องเล่ากันว่ามีชายหนุ่มสองพี่น้องผูกสมัครรักใคร่สาวทางบ้านบางแม่หม้าย จนถึงได้สู่ขอและกำหนดนัดวันแต่งงาน เมื่อถึงกำหนดฝ่ายเจ้าบ่าวก็เคลื่อนขบวนสำเภาขันหมากมารับพวกมโหรีที่บ้านแห่งหนึ่ง เรียกว่า บ้านบางซอซึ่งวงมโหรีได้บรรเลงเพลงมาตามทางอย่างสนุกสนาน แต่ที่สนุกที่สุดก็เมื่อเดินทางมาถึงย่านน้ำอันกว้างใหญ่ อุดมไปด้วยสัตว์น้ำที่ดุร้าย คือ จระเข้ได้เกิดพายุใหญ่พัดจนสำเภาล่มจึงเรียกสถานที่แห่งนั้นว่า บ้านสำเภาล่ม หรือสำเภาทลายปัจจุบันเรียก บ้านสำเภาทอง

เมื่อเรือล่ม บางคนก็จมน้ำตาย บางคนก็ถูกจระเข้คาบไป เจ้าบ่าวถูกจระเข้คาบว่ายไปทางทิศเหนือ ถึงบ้านเจ้าสาว เมื่อพวกของเจ้าสาวเห็นก็จำได้จึงไปบอกเจ้าสาว.. เจ้าสาวเสียใจมากวิ่งตามตลิ่งตามดูเจ้าบ่าวไปจนถึงที่แห่งหนึ่ง ซึ่งไม่อาจตามไปได้ทันท่วงทีจึงได้แต่แลมองไปจนสุดสายตา ที่ที่เจ้าสาวยืนมองอยู่นี้ ต่อมาเรียกว่า วัดบ้านสุด

แม้กระนั้นนางก็มิได้ท้อถอย มุ่งหน้าติดตามไปเรื่อย ๆ จนเหนื่อยอ่อนจึงนั่งพักที่โคกแห่งหนึ่งต่อมาได้ชื่อว่า “โคกนางอ่อน” เมื่อหายเหนื่อย นางก็ตามต่อไปอีกจนถึงโพนางเซาต่อมานางได้ข่าวว่า มีจระเข้คาบคนรักไปทางทิศใต้ จึงย้อนกลับมาและพบศพ นางจึงนำศพมาฌาปนกิจที่วัด ต่อมาวันนั้นชื่อว่า “วัดศพ” ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น วัดประสบสุข และบ้านเจ้าสาวจึงได้ชื่อว่า “บางแม่หม้าย” มาจนทุกวันนี้

อ่านต่อ…นิทาน พื้นบ้าน อ่านให้ลูกฟัง สนุก เพลิดเพลิน คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ล่วงละเมิด ลวนลาม ล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

อย่ารอให้เกิดก่อน! เทคนิคสอนลูกไม่ให้ถูก ล่วงละเมิด

Alternative Textaccount_circle
event
ล่วงละเมิด ลวนลาม ล่วงละเมิดทางเพศเด็ก
ล่วงละเมิด ลวนลาม ล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

ล่วงละเมิด ลวนลาม เด็กเรื่องที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม เพราะภัยร้ายใกล้ตัวกว่าที่คิด เปิดสถิติน่าตกใจที่ผ่านมา พร้อมวิธีสอนลูกป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงไม่ให้เกิด

อย่ารอให้เกิดก่อน! เทคนิคสอนลูกไม่ให้ถูก ล่วงละเมิด

ข่าวลวนลาม ล่วงละเมิด เด็กในปัจจุบันเป็นที่พบเห็นกันมากขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?

สถิติการล่วงละเมิดเด็ก 2563

วันที่ 28 ธันวาคม 2563 มติชน รายงานว่า นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี  จังหวัดปทุมธานีแถลงผลการดำเนินงาน และสถิติรับเรื่องราวร้องทุกข์ของมูลนิธิฯ ประจำปี 2563 ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2563 – 25 ธันวาคม 2563 รวมรับเรื่องราวร้องทุกข์ทั้งสิ้น 10,147 ราย

ทั้งนี้มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้จำแนกเป็นปัญหาต่าง ๆ ซึ่งปัญหาอันดับ 1 ที่ถูกร้องเรียนมากที่สุดคือ การข่มขืนและทำอนาจาร จำนวน 863 ราย จัดเป็นประเภทปัญหาที่ต้องความสำคัญและให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน พบว่า ปี 2563 มีผู้มาร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือเพิ่มมากกว่าปี 2562 (786 ราย) ถึง 77 ราย ร้องทุกข์เฉลี่ยวันละ 2.40 ราย เปรียบเทียบกับปี 2562 จำนวน 786 ราย เพิ่มขึ้น 9.80 % พบว่า

  • อันดับ 1 ผู้ที่ข่มขืนเป็นคนรู้จัก/แฟน/เพื่อน 340 ราย คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 43.26%
  • อันดับที่ 2 ผู้ที่ข่มขืนเป็นญาติ/คนในครอบครัว/พ่อเลี้ยง 241 ราย คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 30.6%
  • อันดับ 3 ผู้ที่ข่มขืนเป็นคนข้างบ้าน 44 ราย คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 5.60% ข่มขืน

จากสถิติที่นำเสนอมาให้เห็นนั้น จะพบว่า คนร้ายที่ทำการ ล่วงละเมิด เด็กนั้น ล้วนเป็นคนใกล้ตัว คนรู้จักของเด็กแทบทั้งสิ้น แต่ใช่ว่าคนร้ายที่จ้องทำมิดีมิร้ายกับลูกคุณจะมีเพียงคนใกล้ตัวเท่านั้น เพราะเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางเพจดัง Drama addict ได้มีการออกมาแจ้งเตือนให้ระวังคนร้ายที่ไล่ลวนลามเด็กนักเรียนย่านห้างดัง พบว่าก่อเหตุมาเป็นเดือนแล้ว ยังไม่สามารถจับตัวได้ จนโรงเรียนละแวกดังกล่าวต้องออกหนังสือแจ้งเตือนผู้ปกครองให้ระวังดูแลเด็กนักเรียนให้ดี

ที่มา เพจ Drama addict
ที่มา เพจ Drama addict

เมื่อภัยร้าย การล่วงละเมิด การลวนลาม นั้นมีอยู่รอบตัวลูกมากมายเช่นนี้ คุณพ่อคุณแม่คงหนักใจว่าแล้วเราจะป้องกันระมัดระวังภัยให้แก่ลูกของเรากันได้อย่างไรดี เมื่อเราไม่สามารถคุ้มครอง ดูแลเขาได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ลวนลาม ต้นตอไปสู่ปัญหาใหญ่!!

“โรคใคร่เด็ก” (Pedophilia) หนึ่งในอาการบกพร่องทางจิตประเภทหนึ่งในกลุ่มโรคกามวิปริตที่มักเกิดความต้องการทางเพศกับเด็ก ชอบเด็กหรือรักเด็กมากในลักษณะคลั่งไคล้เกินขอบเขตปกติ โดยมักจะเกิดอารมณ์เมื่อเห็นภาพเด็ก และเกิดความติดตาตรึงใจ จนนำไปสู่การนำเด็กมาเป็นเหยื่อบำบัดความใคร่ทางเพศ โดยโรคใคร่เด็กมักพบได้บ่อยในเพศชายที่มีอายุ 35-40 ปีขึ้นไป แต่ทั้งก็อาจเจอได้ในวัยรุ่นตอนปลายเช่นกัน ทางการแพทย์จึงมีการกำหนดว่า ผู้ที่มีอายุมากกว่า 16 ปี ที่กระทำการล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กอายุน้อยกว่าอย่างน้อย 5 ปี จะจัดเป็นโรคใคร่เด็ก

ลักษณะของการล่วงละเมิดทางเพศ  มีรูปแบบต่างๆดังนี้

การล่วงละเมิดโดยไม่มีการสัมผัส ได้แก่

  • เปิดอวัยวะเพศให้เด็กดู
  • การให้เด็กดูภาพหรือวิดีโอโป๊
  • การสำเร็จความใคร่ต่อหน้าเด็ก
  • ทำกิจกรรมทางเพศให้เด็กดู

การล่วงละเมิดโดยการสัมผัส

  • การสัมผัสกอดจบลูบคลำร่างกายหรืออวัยวะเพศของเด็ก
  • การให้เด็กลูบคลำจับต้องอวัยวะเพศของผู้ใหญ่ หรือให้เด็กสำเร็จความใคร่ให้
  • สอดใส่อวัยวะเพศ หรือสิ่งของอย่างอื่นทางช่องคลอด หรือ ทวารหนัก หรือ ทางปาก ของเด็ก

การใช้เด็กเพื่อหาผลประโยชน์

  • ใช้เด็กในการถ่ายภาพหรือวิดีโอโป๊
  • การใช้เด็กค้าประเวณี

หลังจากที่เราทำความรู้จักกันไปบ้างแล้ว เรามาลองดูกันบ้างว่าในทางกฎหมาย เราจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร?

บาดแผลทางใจ ล่วงละเมิด เด็ก ที่เด็กไม่อาจบอกใคร
บาดแผลทางใจ ล่วงละเมิด เด็ก ที่เด็กไม่อาจบอกใคร

ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดโทษและลงโทษโดยคำนึงถึงความผิดปกติทางจิต “โรคใคร่เด็ก” และอาจไม่เข้าข่ายเป็นผู้ป่วยทางจิตเวชผู้ทำความผิดจึงมีความผิดและรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา แบ่งออกตามรูปแบบของการกระทำความผิดทางเพศกับเด็ก

  1. ไม่มีการสัมผัสร่างกาย เช่น เปลือยกายให้เด็กดูอวัยวะเพศ แอบดูเด็กอาบน้ำ พูดจาลวนลาม ให้เด็กดูภาพ-คลิปลามกเพื่อเร่งเร้าหรือกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ
  2. สัมผัสร่างกายแต่ไม่ได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศ เช่น กอด จูบ ลูบคลำอวัยวะเพศเด็กด้วยมือหรือปากให้เด็กจับอวัยวะเพศเพื่อสำเร็จความใคร่
  3. ล่วงละเมิดทางเพศ หลังจากกระทำชำเราแล้วจะบังคับ ข่มขู่เด็ก ให้เก็บเป็นความลับและกระทำชำเราซ้ำๆ หรือทำร้ายร่างกายหรือฆ่า

ยูนิเซฟชี้!! ไทยขาดความเชี่ยวชาญการคุ้มครองเด็กในระดับชุมชน

วันที่ 22 เมษายน 2562 องค์กรยูนิเซฟ ประเทศไทย องค์กรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองสิทธิของเด็กทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เผยแพร่บทความเรื่อง ประเทศไทยยังขาดความเชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองเด็กในระดับชุมชน ประเทศไทยได้มีการดำเนินงานด้านคุ้มครองเด็กในหลายด้าน เช่น การจัดตั้งศูนย์พึ่งได้ (One Stop Crisis Centre) ในระดับจังหวัดและอำเภอ และจัดตั้งบ้านพักเด็กและครอบครัวในทุกจังหวัดเพื่อให้การดูแลรักษาและช่วยเหลือเด็กที่อยู่ในภาวะเปราะบางรวมทั้งเด็กที่ถูกกระทำรุนแรง อีกทั้งยังจัดให้มีบริการสายด่วน 1300 เพื่อรับเรื่องร้องเรียนทุกปัญหาสังคมรวมทั้งการกระทำรุนแรงต่อเด็ก

แต่ปัญหาของไทยอยู่ที่ ยังขาดบุคลากรที่ดูแลเรื่องนี้ในระดับท้องถิ่น หรือหมู่บ้าน ซึ่งเป็นระดับที่มีเหตุการณ์รุนแรง หรือล่วงละเมิดเด็กมากที่สุด ปัจจุบัน อัตราส่วนของนักสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทยคือราว ๆ 4 คนต่อประชากร 100,000 คน เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งมี 207 คน หรืออังกฤษซึ่งมี 137 คนต่อประชากร 100,000 คน ในระดับท้องถิ่น คาดว่ามีการขาดแคลนนักสังคมสงเคราะห์ราว 7,000 คน

ซึ่งการขาดแคลนนักวิชาชีพเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่อการคุ้มครองเด็กที่มีประสิทธิภาพ และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจทำให้เด็กต้องถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะเข้าถึงความช่วยเหลือที่เหมาะสม หรือไม่ก็อาจตกหล่นในกระบวนการส่งต่อ

อ่านต่อ >>สอนเด็กให้รู้จักภัยใกล้ตัว หากถูกล่วงละเมิด ด้วยนิทาน คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

โรคกินไม่หยุด

ลูกกินเก่ง อาจป่วย โรคกินไม่หยุด พร้อมสาเหตุ และวิธีรับมือ

Alternative Textaccount_circle
event
โรคกินไม่หยุด
โรคกินไม่หยุด

โรคกินไม่หยุด – สำหรับคนเป็นพ่อแม่ แค่ลูกได้กินอิ่มนอนหลับขับถ่ายดี ก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งในชีวิตแล้ว จริงมั้ยคะ?  แต่ในทางกลับกัน ในเรื่องของอาหารการกินถ้าหากลูกชอบกินแบบไม่หยุดหย่อน กินมาก กินเร็ว กินไม่รู้จักอิ่ม คนเป็นพ่อแม่ก็ย่อมทุกข์ใจได้เช่นกัน ด้วยความกังวลในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพร่างกายของลูก เช่น น้ำหนักเกินเกณฑ์ หรือ เป็นโรคอ้วน และอื่นๆ อีกมากมาย ทุกวันนี้ มีความเจ็บป่วยในเด็กที่เชื่อมโยงกับการกินอาหารที่ผิดปกติอย่างโรค กินไม่หยุด  (Binge Eating Disorder : BED)  ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคที่ต้องได้รับการรักษาเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพของเด็ก

เด็กที่ป่วย โรคกินไม่หยุด  มักมีปัญหาในการกิน กล่าวคือพวกเขาจะกินมากเกินไปโดยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ โรคกินไม่หยุดส่งผลกระทบต่อผู้คนราว 2% ทั่วโลก ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับอาหาร เช่น ระดับคอเลสเตอรอลสูง และโรคเบาหวาน เป็นต้น อย่างไรก็ตามสำหรับสาเหตุของโรคนี้ อาหารไม่ใช่ผู้ต้องหาเพียงฝ่ายเดียวเดียว แต่โรคทางจิตเวชบางอย่างยังสามารถเชื่อมโยงกับการพฤติกรรมการกินอาหารที่ผิดปกติ ได้  เช่น ความวิตกกังวล ความเครียดสูง หรือ ภาวะซึมเศร้า เป็นต้น

ลูกกินเก่ง อาจป่วย โรคกินไม่หยุด พร้อมสาเหตุ และวิธีรับมือ

โดยปกติแล้วเด็กส่วนใหญ่อาจมีวันที่ได้กินอาหารปริมาณมากกว่าปกติได้หากมีวาระหรือโอกาสพิเศษต่างๆ แต่สำหรับเด็กที่ป่วยด้วยโรคกินไม่หยุด พวกเขาจะสามารถกินอาหารมื้อหนักๆ ได้แบบไม่รู้จักอิ่มในทุกวาระโอกาส พวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่สามารถหยุดการกินได้ แม้ว่าจะอิ่มจนไม่สบายท้องแล้วก็ตาม สำหรับเด็กที่มีปัญหากินมากเกินไปบางครั้งอาจเป็นเพราะการกินอาหารทำให้รู้สึกสงบหรือสบายใจหรือหยุดพวกเขาจากความเครียดต่างๆ อย่างไรก็ตามหลังจากการได้กินอาหารแล้วผลที่เกิดขึ้นอาจตรงกันข้าม เพราะสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้กับพวกเขา คือ ความวิตกกังวล ความรู้สึกผิด และความทุกข์ใจ นอกจากนี้ เด็กส่วนใหญ่ที่เป็นโรคกินไม่หยุด มักมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ อย่างไรก็ตามผู้ที่มีน้ำหนักปกติก็ยังสามารถป่วยเป็นโรคกินไม่หยุดได้เช่นเดียวกัน ที่สำคัญโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในวัยเด็กและวัยรุ่น ซึ่งเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุและอาการของโรคตลอดจนวิธีในการรับมือ

สาเหตุของโรคกินไม่หยุด

มีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาของความผิดปกติของการกิน รวมทั้งทางชีววิทยา/พันธุกรรม จิตวิทยา และโภชนาการ ส่วนประกอบทางชีววิทยาและพันธุกรรมที่หลากหลายอาจทำให้เด็กมีความเสี่ยงที่จะพัฒนาความผิดปกติของการกินที่ผิดปกติ ซึ่งรวมถึง  เคมีในสมอง ภาวะทางจิตเวชที่มีอาการร่วม และรูปร่าง/ขนาดร่างกาย มีงานวิจัยล่าสุด กำลังตรวจสอบผลกระทบของระดับเซโรโทนินที่ต่ำกว่าปกติซึ่งบังคับให้คนกระหายและแสวงหาอาหารประเภทแป้งในปริมาณที่มากเกินไป (เช่น ของว่าง ของหวาน) ที่ช่วยให้ร่างกายผลิตเซโรโทนินในระดับที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ มีงานวิจัยชี้ให้เห็นว่า BED อาจเชื่อมโยงกับโรคสมาธิสั้น หรือ สมาธิสั้น (ADHD) ส่งผลให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกไวต่อพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น เช่น การกินมากเกินไป สุดท้าย เด็กที่มีรูปร่างใหญ่ขึ้นตามธรรมชาติอาจมีแนวโน้มที่จะป่วยได้มากกว่าเด็กที่มีรูปร่างที่เล็กกว่าหรือเพรียวบางกว่า พวกเขาอาจประสบกับความอับอายรูปร่างของตัวเอง ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้อาหารเพื่อระงับความทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย

ความผิดปกติของการกินมากเกินไปมักมีสาเหตุมาจากองค์ประกอบทางจิตใจและอารมณ์ที่ได้รับการจัดการอย่างไม่เหมาะสม ด้วยการใช้อาหารในทางที่ผิด สิ่งที่น่าสังเกตมากที่สุดคือ บาดแผลทางจิตใจบางรูปแบบและ/หรือประสบการณ์ที่น่าวิตกอย่างมากมักเป็นสาเหตุของโรคกินไม่หยุด ซึ่งอาจรวมถึง:

  • การถูกล่วงละเมิดทางร่างกายหรือทางอารมณ์
  • การถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  • การถูกละเลยทางอารมณ์
  • ความขัดแย้งหรือความตึงเครียดในบ้านสูง
  • การหย่าร้างของผู้ปกครองหรือการแยกกันอยู่ การสูญเสียผู้ปกครอง
  • ความอัปยศอับอายในที่สาธารณะซ้ำแล้วซ้ำอีก
  • การถูกปฏิเสธโดยคนรอบข้างและ/หรือคนที่รัก
  • การถูกกลั่นแกล้ง
  • ประสบการณ์เลวร้ายที่คุกคามชีวิต (เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ ภัยธรรมชาติ)

เมื่อประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจเช่นนี้ไม่ได้รับการเยียวยาบำบัดหรือไม่ได้รับการแก้ไข เด็กอาจรู้สึกท่วมท้นไปด้วยอารมณ์และความคิดของตนในการตอบสนองต่อบาดแผล จากนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะ “ยัดเยียด” อารมณ์ และความต้องการของตนด้วยสิ่งที่มากเกินไป เช่น ปริมาณอาหาร เป็นต้น

ในทางโภชนาการ เด็กและวัยรุ่นที่ป่วยด้วยโรคกินไม่หยุด อาจถูกกดดันให้รับประทานอาหารที่ “ดีต่อสุขภาพ” และ/หรือควบคุมอาหาร โดยได้รับการสนับสนุนให้หลีกเลี่ยงขนมขบเคี้ยวและของหวาน แม้ว่าวิธีนี้จะดูเหมือนเป็นวิธีที่ดีในการช่วยให้เด็กหยุดกินมากเกินไปและมีน้ำหนักที่พอเหมาะตามเกณฑ์ แต่ก็มักจะไม่ได้ผลเพราะจะยิ่งกระตุ้นให้เด็กต้องการอาหารที่มีประโยชน์น้อยลงไปอีก

ลูกป่วยโรคกินไม่หยุด
ลูกป่วยโรคกินไม่หยุด

อาการของ โรคกินไม่หยุด

สำหรับพ่อแม่ การสังเกตอาการการกินมากเกินไปของลูกอาจเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากอาการมักเกิดขึ้นโดยลำพัง ความอับอายที่พวกเขารู้สึกก่อน ระหว่าง และหลังเหตุการณ์ บังคับให้พวกเขาซ่อนพฤติกรรมของตนจากผู้อื่น ดังนั้น จึงเป็นประโยชน์สำหรับพ่อแม่ที่จะเข้าใจว่าสัญญาณเตือนอื่นๆ ที่ควรระวังที่อาจบ่งชี้ว่าลูกของคุณกำลังต่อสู้กับโรคนี้

สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าการเกิดขึ้นของอาการเหล่านี้เพียงอย่างเดียวอาจไม่รับประกันความกังวลหรือบ่งชี้ว่า BED มันเป็นกลุ่มดาวของสัญญาณหลายอย่างที่อาจบ่งบอกถึงการต่อสู้ของเด็กกับโรค แม้ว่ารายการสัญญาณเตือนที่สังเกตได้ต่อไปนี้จะยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ก็สามารถระบุสัญญาณที่พบบ่อยที่สุดที่เด็กหรือวัยรุ่นอาจกำลังดิ้นรนกับเตียงได้

1. คุณพบกระดาษห่ออาหารเปล่าในห้องนอน ห้องน้ำ กระเป๋าเป้ ในรถยนต์ หรือสถานที่อื่นๆ ที่เด็กอาจใช้เวลาอยู่คนเดียว บ่อยครั้งที่กระดาษห่อหุ้มถูกซ่อนไว้ โดยคุณอาจพบว่ามันอยู่ใต้เตียง ยัดไว้ที่หลังลิ้นชัก หรือฝังไว้ในถังขยะอย่างมีกลยุทธ์

2. ลูกของคุณดูเหมือนจะหมกมุ่นอยู่กับอาหาร มักจะพูดถึงอาหารมื้อต่อไปหรือของว่าง สิ่งที่พวกเขาต้องการซื้อที่ร้านขายของชำ หรือ ร้านอาหาร  ดังนั้น มีแนวโน้มว่าเด็กที่มีปัญหาเรื่องการกินมากเกินไปกำลังใช้พลังงานส่วนใหญ่ของตนเองไปหมกมุ่นอยู่กับอาหาร

3. ลูกของคุณกินเร็วผิดปกติและกินส่วนที่ค่อนข้างใหญ่ หรือในบางรายอาจดูเหมือนกินน้อยมากในขณะที่น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

4. ลูกของคุณมองหาอาหารเมื่อมีความทุกข์ทางอารมณ์และ/หรือรู้สึกหนักใจแม้ว่าร่างกายจะไม่หิวก็ตาม เมื่อมีสัญญาณเตือนดังกล่าว ข้อความที่ดูเหมือนไร้เดียงสาเช่น “ผมเหนื่อยจังวันนี้ ผมอยากกินคัพเค้กครับแม่” หรือ “ไก่ทอดจะช่วยให้หนรู้สึกดีขึ้น” ซึ่งอาจเป็นตัวบ่งชี้ว่าการกินของพวกเขาไม่เป็นระเบียบ

5. คุณสังเกตเห็นการเพิ่มของน้ำหนักที่ไม่เหมาะสมตามวัยและ/หรือความผันผวนของน้ำหนักที่ไม่ได้เกิดจากสภาวะทางการแพทย์หรือการพัฒนาทางกายภาพเชิงบรรทัดฐาน ประมาณ 70% ของผู้ใหญ่ที่มีปัญหาเรื่องการกินมากเกินไปก็มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนเช่นกัน เป็นผลให้ผู้กินอาหารมากเกินไปอดอาหารบ่อยครั้งในความพยายามที่จะลดน้ำหนัก ซึ่งนอกจากจะไม่ได้ผลยังเป็นการสร้างวงจรของการกินไม่หยุดแบบเรื้อรัง การอดอาหารแบบ “โยโย่” อาจส่งผลให้น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดและรวดเร็ว

6. ลูกของคุณแสดงอาการซึมเศร้าและ/หรือวิตกกังวล อย่างเห็นได้ชัด ประมาณครึ่งหนึ่งของเด็กทั้งหมดที่ป่วยโรค BED กำลังดิ้นรนกับภาวะซึมเศร้า สิ่งนี้อาจปรากฏในรูปแบบของการขาดเรียนและความรับผิดชอบอื่น ๆ การพบปะสังสรรค์กับเพื่อนน้อย หรือไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกหลักสูตรและงานอดิเรกที่เหมาะสมกับวัย การแสดงความโกรธหรือความเกลียดชังเพิ่มขึ้น เงียบขึม เก็บกด ใช้เวลาอยู่คนเดียวในห้องนอนและ/หรือนอนมากขึ้น และไม่ร่วมกิจกรรมที่พวกเขาเคยเล่นด้วยความสนุกสนาน

อ่านต่อ…ลูกกินเก่ง อาจป่วย โรคกินไม่หยุด พร้อมสาเหตุ และวิธีรับมือ ได้ที่หน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด

ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด เพราะๆ เท่ๆ เสริมสิริมงคล

Alternative Textaccount_circle
event
ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด
ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด

ตั้งชื่อลูกชาย เพราะ ๆ ทันสมัย ชื่อมีความหมายที่ดี ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด เสริมความเป็นสิริมงคล ชื่อเด่น การงานเริ่ด การเงินดี ชีวิตรุ่งเรือง

ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด เพราะๆ เท่ๆ เสริมสิริมงคล

ลูกชายกำลังจะคลอดแล้ว มามองหา ชื่อลูกชาย เตรียมไว้กันดีกว่า คนไทยให้ความสำคัญกับชื่อจริงอย่างมาก นอกจากจะเพราะระรื่นหูเวลาเรียกแล้ว ความหมายก็ต้องดี ชื่อก็ต้องเสริมดวงของเจ้าของด้วย ทีมกองบรรณาธิการ ABK จึงได้นำชื่อมาให้คุณพ่อคุณแม่ได้เลือกโดยการ ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด เพื่อความเป็นสิริมงคลกันค่ะ

ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด
ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด

ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด เพราะๆ เท่ๆ เสริมสิริมงคล

ชื่อลูกชาย เกิดวันอาทิตย์ (เวลา 06.00 น. – เช้าวันจันทร์เวลา 05.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
ชญานนท์ ชะ-ยา-นน ยินดีในความรู้
ชนกันต์ ชะ-นะ-กัน เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
ชยพล ชะ-ยะ-พน มีพลังคือชัยชนะ
ชัชชน ชัด-ชน นักสู้
ชัชรินทร์ ชัด-ชะ-ริน ผู้เป็นใหญ่
ฐากูร ถา-กูน ที่เคารพ
ณภัทร นะ-พัด ดีงามด้วยความรู้
ณัทธร นัด-ทอน ทรงความรู้
เดชาธร เด-ชา-ทอน ทรงไว้ซึ่งเดช
ดนุสรณ์ ดะ-นุ-สอน มีตนเองเป็นที่พึ่ง
ตุนท์ ตุน คล่องแคล่ว ว่องไว
นัทธ์พิรดา นัด-พิ-ระ-ดา ผูกพันกับความกล้าหาญ และความสุข
ธนัท ทะ-นัด ให้ทรัพย์สมบัติ
พีราวัชร พี-รา-วัด กล้าหาญดั่งเพชร
ภาณุภัทร พา-นุ-พัด เจริญด้วยแสงสว่าง

ชื่อลูกชาย เกิดวันจันทร์ (เวลา 06.00 น. – เช้าวันอังคารเวลา 05.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
ชยธน ชะ-ยะ-ทน ทรงไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติ
ชลธร ชน-ละ-ทอน ผู้ทรงไว้ซึ่งน้ำ คือ ทะเล
ณรงค์ นะ-รง การรบ
ณพล นะ-พน มีพละกำลังดี
ณัช นัด เกิดมาเพื่อความรู้ ผู้ให้เกิดความรู้
ตฤณ ตริน หญ้า
ธนกร ทะ-นะ-กอน สร้างทรัพย์สิน
ธนวัฒน์ ทะ-นะ-วัด เจริญด้วยทรัพย์
ธนนท์ปภพ ทะ-นน-ปะ-พบ ยินดีมั่นคงในโลก
ธนัน ทะ-นัน ผู้มีทรัพย์
นัทธ์ นัด ผูกพัน
พรรธน์สพล พัด-สะ-พน กำลังแข็งแกร่ง และเจริญ
พชรพล พัด-ชะ-ระ-พน แข็งแกร่งดุจเพชร
ภพสรรค์ พบ-สัน สร้างภพ สร้างโลก
วรนน วอ-ระ-นน มีใจประเสริฐ

ชื่อลูกชาย เกิดวันอังคาร (เวลา 06.00 น. – เช้าวันพุธเวลา 05.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
เดชาธร เด-ชา-ทอน ทรงไว้ซึ่งเดช
ดนุสรณ์ ดะ-นุ-สอน มีตนเองเป็นที่พึ่ง
เตโชดม เต-โช-ดม มีเดชสูงสุด
ธนดล ทะ-นะ-ดน บันดาลทรัพย์
ธนเดช ทะ-นะ-เดด มีทรัพย์เป็นอำนาจ
ธนภูมิ ทะ-นะ-พูม พื้นที่แห่งทรัพย์
ธนาฒย์ ทะ-นาด ผู้ร่ำรวย
นัทธ์พิรดา นัด-พิ-ระ-ดา ผูกพันกับความกล้าหาญ และความสุข
นภาเดช นะ-พา-เดด อำนาจฟ้า
ปัญจพล ปัน-จะ-พน มีพลังห้าอย่าง
พชร พด-ชะ-ระ เพชร
พีรเจษฎ์ พี-ระ-เจด ผู้กล้าและเป็นใหญ่
ภาณิน พา-นิน ผู้พูดเก่ง นักพูด
ภัณนวรจน์ พัน-นะ-วะ-รด รุ่งเรืองด้วยคำพูดใหม่ ๆ
ภูดิทภัทร พู-ดิด-พัด สูงส่งเจริญดีงาม

 

ชื่อลูกชาย เกิดวันพุธกลางวัน (เวลา 06.00 น. – เย็นวันพุธเวลา 17.59 น.)

ชื่อ อ่านว่า ความหมาย
กรวีร์ กอ-ระ-วี กล้าหาญในการทำงาน
กมนทัต กะ-มน-ทัด ที่ให้ตามความปรารถนา
กรณ์ กอน การกระทำ
กีรติ กี-ระ-ติ ผู้มีเกียรติ
ขัตติย ขัด-ติ-ยะ พระเจ้าแผ่นดิน
เขมวันต์ เขม-มะ-วัน ที่แห่งความเกษม เจริญรุ่งเรือง
คทาธร คะ-ทา-ทอน ผู้ถือตะบองเป็นอาวุธ
ฐากูร ถา-กูน ผู้น่าเลื่อมใส
ณรงค์ฤทธิ์ นะ-รง-ริด มีฤทธิ์ในการรบ
ตุลธร ตุน-ละ-ทอน ทรงไว้ซึ่งความเที่ยงตรง
ทัพพ์ ทับ ทรัพย์สมบัติ
ธาดา ทา-ดา ผู้สร้าง
นครินทร์ นะ-คะ-ริน เจ้าเมือง
ปกรณ์ ปะ-กอน คัมภีร์
ภรัณยู พะ-รัน-ยู ผู้ปกป้อง

 

อ่านต่อ…ตั้งชื่อลูกชายตามวันเกิด เพราะๆ เท่ๆ เสริมสิริมงคล คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

สารเคมีรั่วไหล สารพิษ ปฐมพยาบาล

สารเคมีรั่วไหล ไม่ทันตั้งตัวรับมือไม่ดีส่งผลระบบประสาทได้

Alternative Textaccount_circle
event
สารเคมีรั่วไหล สารพิษ ปฐมพยาบาล
สารเคมีรั่วไหล สารพิษ ปฐมพยาบาล

สารเคมีรั่วไหล พบบ่อยครั้งขึ้นในปัจจุบัน นักวิชาการชี้สูดดมเข้าไปผลกระทบระยะยาว เสี่ยงมะเร็ง ภัยอันตรายที่ไม่รู้วิธีรับมือไม่ได้แล้ว รู้ไว้ปลอดภัยกว่า

สารเคมีรั่วไหล ไม่ทันตั้งตัวรับมือไม่ดีส่งผลระบบประสาทได้!!

อ.อ๊อด แนะอพยพ ปชช.ออกจากจุดสารเคมีรั่วให้ไกลที่สุด หากสูดดมนานส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง – เสี่ยงก่อให้เกิดมะเร็ง  ล่าสุดผู้ว่าฯ นครปฐม ลงพื้นที่สั่งปิดโรงงานสารเคมีรั่ว ชั่วคราว วัน เพื่อตรวจสอบสาเหตุและหาแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ

นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ลงพื้นที่ตรวจสอบบริษัท อินโดรามา โพลีเอสเตอร์ จำกัด ต.ขุนแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม หลังเกิดเหตุสารเคมีรั่วไหลแต่สามารถปิดวาล์วได้แล้ว แต่ต้องตรวจสอบว่ามีน้ำมันรั่วไหลมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่ยืนยันกลิ่นสารเคมีที่ลอยไปไม่อันตราย แต่อาจเกิดการระคายเคืองตา เหตุดังกล่าวเกิดเมื่อประมาณ 6 โมงเช้าวันนี้ (22 ก.ย. 2565) เบื้องต้น สั่งโรงงานหยุดการดำเนินการผลิตชั่วคราว 1 วัน เพื่อให้ช่างตรวจสอบจุดที่ชำรุด และให้อุตสาหกรรมจังหวัดเข้ามาตรวจสอบก่อนเปิดการผลิต ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบรุนแรง แต่เนื่องจากกลิ่นกระจายตัวออกไปในวงกว้าง จึงทำให้ประชาชนเกิดความสงสัย

  • นักวิชาการแนะอพยพจากพื้นที่

รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ข้อมูลกับ workpointTODAY ถึงกรณีสารเคมีรั่วไหลจากโรงงานย่านนครชัยศรี จ.นครปฐม ว่า สารเคมีที่รั่วไหลออกมานั้นน่าจะเป็นสารเคมีอะโรเมติกเบนซิน กลุ่มโทลูอีนที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเม็ดพลาสติก สารโทลูอีน จะมีลักษณะเป็นของเหลว ใสๆ และมีกลิ่นที่รุนแรง เมื่อสูดดมเป็นเวลานานจะทำลายระบบประสาทส่วนกลาง และทำให้ระบบทางเดินหายใจระคายเคืองอย่างรุนแรง จะมีอาการแสบจมูก หากสะสมในร่างกายจำนวนมากสารเคมีชนิดนี้จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งในเม็ดเลือด

ที่มา : https://workpointtoday.com
สารพิษ สารเคมีรั่วไหล จากโรงงาน
สารพิษ สารเคมีรั่วไหล จากโรงงาน

จากเหตุการณ์เหตุสารเคมีรั่วไหล โรงงานพื้นที่ขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี อาจมีโอกาสที่สารพิษอันตรายจะเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดอันตราย ดังนั้นหากเรารู้วิธีดูแลตัวเองในขณะ สารพิษรั่วไหล ว่าจะต้องรับมืออย่างไรให้ได้รับสารพิษที่ระเหยมาให้น้อยที่สุด และการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความสูญเสียได้

เมื่อ สารเคมีรั่วไหล ทำให้ร่างกายเสี่ยง 3 กลุ่มโรค!!

สารเคมีที่รั่วออกมานั้น ระเหยออกมาตามอากาศ ที่เราสูดดม ดังนั้นจึงเป็นการหลีกเลี่ยงได้ยากหากเราอยู่บริเวณใกล้เคียง  โดยสารเคมีที่รั่วไหลมานั้น เป็นสาร Biphenyl และ Diphenyl oxide เป็นสารเคมีที่มีลักษณะก่อผลึกใสไม่มีสี จะทำให้เกิดการระคายเคืองตา ผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ หากได้รับ สาร Biphenyl หรือสัมผัสเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อตับ และระบบประสาท ซึ่งสารพิษอาจส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่มีความเสี่ยงป่วยจาก 3 กลุ่มโรค ดังนี้

1) กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ อาเจียน คลื่นไส้

2) กลุ่มโรคผิวหนังอักเสบ เช่น อาการคันตามร่างกาย มีผื่นแดงตามร่างกาย

3) กลุ่มโรคตาอักเสบ เช่น อาการแสบหรือคันตา ตาแดง

ทั้งนี้ ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ กลุ่มเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอด หอบหืด ภูมิแพ้ เป็นต้น หากได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยหรือมีผลกระทบต่อสุขภาพที่รุนแรงมากกว่าประชาชนทั่วไป

การปฐมพยาบาล เมื่อได้รับสารพิษ

สารเคมีเมื่อเข้าสู่ร่างกายไม่ว่าจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม ย่อมมีผลกระทบต่อปัญหาสุขภาพร่างกายอย่างแน่นอน เพราะเป็นสารเคมีที่ร่างกายไม่ต้องการ และอาจทำให้เกิดเป็นสารพิษเมื่อสารนั้นไปทำลายระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้ ดังนั้นนอกจากเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิด สารเคมีรั่วไหล ที่เป็นอันตรายต่อผู้คนในจังหวัดนครปฐมแล้ว เราทุกคนควรรู้หลักการเบื้องต้นของการปฐมพยาบาล หรือรับมือกับสถานการณ์ที่คล้ายเคียงกันนี้ หรือแม้แต่การพบเจอผู้ที่ได้รับสารพิษโดยตั้งใจก็ตาม เพราะความจริงแล้วสารพิษจากสารเคมีนั้นไม่ได้อยู่ไกลตัวเราเลย เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาล้างท่อ โซดาไฟ เป็นต้น เราจึงควรทำความเข้าใจไว้เพื่อความปลอดภัย

ช่องทางการรับสารพิษ

  1. การกิน
  2. การสูดดม
  3. สัมผัสผ่านเยื่อบุ (ผิวหนัง ตา และจมูก)
สูดดมสารพิษในปริมาณมากอาจหมดสติได้
สูดดมสารพิษในปริมาณมากอาจหมดสติได้

การประเมินภาวะการได้รับสารพิษ

การได้รับสารพิษ เป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการปฐมพยาบาลที่รีบด่วน และเฉพาะเจาะจง ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ จะต้องประเมินจำแนกให้ได้ว่าอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยนั้น  ว่าเกิดจากสารพิษใด นอกจากประเมินอาการแล้ว ยังจำเป็นต้องสังเกตสภาพการณ์ สิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยร่วมด้วย ดังนี้

  • การคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง น้ำลายฟูมปาก หรือมีรอยไหม้นอกบริเวณริมฝีปาก มีกลิ่นสารเคมีบริเวณปาก
  • เพ้อ ชัก หมดสติ  มีอาการอัมพาตบางส่วนหรือทั่วไป  ขนาดช่องม่านตาผิดปกติ อาจหดหรือขยาย
  • หายใจขัด หายใจลำบาก มีเสมหะมาก มีอาการเขียวปลายมือปลายเท้า  หรือบริเวณริมฝีปาก   ลมหายใจมีกลิ่นสารเคมี
  • ตัวเย็น  เหงื่อออกมาก  มีผื่นหรือจุดเลือดออกตามผิวหนัง

วิธีปฐมพยาบาลเมื่อได้รับสารพิษจากการกิน

ควรรีบส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล แต่หากผู้ป่วยมีอาการซึม หมดสติ แน่นหน้าอก หรือหายใจติดขัด ควรติดต่อรถพยาบาลมาส่งตัวผู้ป่วยไปโรงพยาบาล สามารถติดต่อสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โทร. 1669 โดยในระหว่างรอรถพยาบาล เราสามารถปฎิบัติตัว ดังนี้

  • ถอดเสื้อผ้าผู้ป่วยออก เพื่อลดการสัมผัสสารพิษจากเสื้อผ้าผู้ป่วยที่ไปสัมผัสโดน
  • จับผู้ป่วยให้นอนตะแคง เพื่อเปิดทางเดินหายใจ
  • รอรถพยาบาลมารับไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

    สวมใส่หน้ากากอนามัยสองชั้น ป้องกัน สารเคมีรั่วไหล
    สวมใส่หน้ากากอนามัยสองชั้น ป้องกัน สารเคมีรั่วไหล

สิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อได้รับสารพิษจากการกิน

ด้วยความเชื่อดังต่อไปนี้ ที่มักจะบอกต่อ ๆ กันมาเพื่อนำมาใช้เป็นวิธีล้างพิษเป็นวิธีที่การที่ผิด ไม่แนะนำ ในความเป็นจริงแล้ววิธีต่าง ๆ เหล่านั้นจะยิ่งช่วยเพิ่มความอันตรายต่อผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษจากการกินมากขึ้นไปอีก เพราะสารพิษเหล่านี้เมื่อไปทำด้วยวิธีการเหล่านั้นจะยิ่งทำให้เกิดพิษต่อผู้ป่วยมากขึ้น และอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจมากขึ้นด้วย

  1. ล้วงคอให้อาเจียน
  2. ห้ามผู้ป่วยที่รับสารพิษกินไข่ดิบ โดยหวังจะให้อาเจียน
  3. ให้ผู้ที่ได้รับสารพิษดื่มน้ำ หรือนมในปริมาณมาก ๆ เพื่อหวังเจือจาง

อ่านต่อ>> วิธีปฐมพยาบาล เมื่อได้รับสารพิษที่พ่อแม่ควรรู้ คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ฝันว่ามีลูก

ฝันว่ามีลูก จะสมหวังดั่งฝัน หรือหมายความว่าอะไร?

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันว่ามีลูก
ฝันว่ามีลูก

ความฝัน ฝันว่ามีลูก ฝันว่ามีลูกชาย ฝันว่ามีลูกสาว ฝันว่าเด็กเดินมาให้อุ้ม ฝันเห็นเด็ก ฝันว่าอุ้มเด็กผู้หญิง ฝันว่าอุ้มเด็กผู้ชาย หมายความว่าอย่างไร

ฝันว่ามีลูก จะสมหวังดั่งฝัน หรือหมายความว่าอะไร?

ผู้ที่กำลังรอให้ลูกมาเกิด หาก ฝันว่ามีลูก คงรู้สึกดีใจ แต่ผู้ที่ยังไม่พร้อมมีลูก คงรู้สึกกังวลใจไม่น้อย เพราะความเชื่อเรื่อง ความฝัน อยู่คู่กับคนไทยมาช้านาน หลายคนเชื่อว่าความฝัน บ่งบอกอะไรบางอย่าง แล้วฝันว่ามีลูก ฝันเกี่ยวกับเด็กต่าง ๆ จะมีความหมาย ทำนาย ว่าอย่างไร พร้อมเลขเด็ด ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวมมาฝากแล้วค่ะ

ฝันว่ามีลูก
ฝันว่ามีลูก

ฝันว่ามีลูก

ทำนายว่า คุณจะถูกคนชั้นสูงรังแก จะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องงานและเรื่องที่อยู่อาศัย อาจจะได้เงินคืนจากลูกหนี้แบบไม่คาดคิดมาก่อน

ความรัก

คนที่อยากมีกิ๊กบ้างคงต้องร้องเพลงรอเพราะอีกนานกว่าที่คุณจะสมหวัง คนที่มีคู่แล้วให้ระวังเรื่องความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นระหว่างคู่ของคุณกับเพื่อนสนิทของคุณ จับตาดูไว้ให้ดีๆ จะมีเรื่องที่เสี่ยงกับปัญหาชู้สาว รักสามเส้า หรือการเปลี่ยนคนรัก

ดวงการเงิน การงาน

ต้องหนักแน่นใช้ความอดทนกับการทำงานที่มีแรงกดดันนี้ไปก่อน แล้วทุกคนจะยอมรับในความสามารถของคุณเอง การงานเรียกได้ว่ารุ่งเรือง สดใส เป็นช่วงโอกาสทองของคุณเลยทีเดียว การงานได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ในสายงานเป็นอย่างดี

เลขมงคล เด่นนำโชค

0 2 7 9

059 337 415

 

ฝันว่ามีลูก 2 คน

ทำนายว่า จะมีเหตุให้ต้องเดินทางไปธุระหลายแห่งจนแทบไม่มีโอกาสหยุดพัก ศัตรูที่เคยไม่ถูกกันจะมาขอคืนดี ความเจริญของคุณจะมาจากความอ่อนน้อมถ่อมตนกับคนที่มีอายุมากกว่า

ความรัก

คนโสดอาจจะมีเรื่องรักซ้อนเข้ามาสอดแทรกให้ยุ่งยากใจได้ ใครที่ชอบมีความรักแบบปิดบังซ่อนเร้น ช่วงนี้จะรู้สึกร้อนรุ่ม เพราะกลัวความลับถูกเปิดเผย คนที่เคยทะเลาะกันหรือหึงหวงกันอยู่จะดีขึ้น และกลับมารักใคร่กันดีกว่าเก่า

ดวงการเงิน การงาน

ได้ลาภจากการทำงาน หรืออาจจะได้งานพิเศษทำแบบไม่คาดคิด จะได้ข่าวดีเรื่องงานในอนาคต ถ้าจะย้ายงานหรือเปลี่ยนงานหรือหางานใหม่จะรู้ผลในเดือนนี้ การเงิน ค่อนข้างนิ่ง รายได้อาจหดหายไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับฝืดเคือง

เลขมงคล เด่นนำโชค1 8 9

เลขมงคล เด่นรอง

00 75 98

19 44 884

 

ฝันว่ามีลูก 3 คน

ทำนายว่า คุณมีเกณฑ์จะต้องระวังในเรื่องของการหลอกลวงจากมิตรใหม่ที่เข้ามาสนิทสนมกับคุณ คุณจะได้ลาภก้อนโตจากผู้ใหญ่ ระวังต้องทุกข์ยากลำบากใจด้วยเหตุซึ่งเกิดจากบุคคลซึ่งมีวัยอ่อนกว่า!

ความรัก

คุณควรระวังการมีปากเสียงกับคู่ครอง และกับเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ละแวกเดียวกัน คุณอาจจะพบคนที่ถูกใจแล้ว แต่มันยังไม่ใช่จังหวะที่จะเจอเนื้อคู่ ถึงคุณจะมีแฟนแล้ว แต่ก็จะมีคนเสนอตัวเข้ามาใกล้ชิด

ดวงการเงิน การงาน

จะมีปัญหาเรื่องการประสานงานไว้ว่าจะกับคนสนิท หรือ คนข้างนอกแต่ก็จะฝ่าฟันผ่านไปได้แค่ใช้ความพยายาม อีกประมาณ 2 เดือนการเงินของคุณจะมั่นคงและดีขึ้นกว่าเก่า การงานหนักหนาสาหัสเอาการ ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจเต็มที่แล้วผลที่ตามมาคุณจะหายเหนื่อยแน่นอน

เลขมงคล เด่นนำโชค

6 9

เลขมงคล เด่นรอง

78

42 49 694 417 890

 

ฝันว่ามีลูกหลายคน

ทำนายว่า ต้องระวังเป็นพิเศษกับเรื่องสุขภาพของผู้ใหญ่ที่จะไม่ค่อยปกติและเป็นเหตุ ให้ท่านกังวลใจ สิ่งที่คุณหวังไว้จะได้สมหวังดังคิด เหมือนเนรมิตได้ดังตาเห็น ความใจร้อนใจเร็วของคุณจะพาคุณตกเหวได้ทุกเมื่อ ถ้าคุณคิดช้าอีกนิดทบทวนอีกหน่อยจะทำให้ถึงที่หมายสำเร็จได้

ความรัก

อย่าปล่อยให้ตัณหาราคจริตมาครอบงำจิตสำนึกเกินไป เพราะอาจเพลี่ยงพล้ำเสียตัวได้! คนที่เป็นแฟนกันมานานจะมีปัญหาเรื่องการมีคนใหม่ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องกับความรักของคุณ คู่รักที่เลิกกันไปแล้วกว่าจะกลับมาคืนดีกันจะต้องรออีกนานถึงจะมีโอกาศรีเทิร์น

ดวงการเงิน การงาน

จะพบกับปัญหาที่ยังไม่มีทางออก หรือยังแก้ไขไม่ได้ในระยะนี้ ต้องมีความอดทนสูงมาก ควรระวังข้าวของมีค่าจะเสียหาย เครื่องจักรที่จำเป็นต่ออาชีพของคุณจะชำรุดจนต้องซื้อใหม่ คนทำธุรกิจอิสระจะมีโอกาส เจริญก้าวหน้า เป็นอย่างดี

เลขมงคล เด่นนำโชค

2 7

เลขมงคล เด่นรอง

77 88

70 725

 

ฝันว่าภรรยามีลูก

ทำนายว่า ระวังสิ่งของที่คนแปลกหน้านำมาให้นี้อาจมีเจตนาอื่นแฝงอยู่ เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้ความพยายามจึงจะสมหวังในสิ่งที่ต้องการ ช่วงนี้ระวังศัตรูคู่แข่งของคุณจ้องจะทำร้ายคุณอยู่

ความรัก

คนโสดจะมีเกณฑ์ได้พบรักกับคนที่มีเจ้าของแล้วเข้าให้อย่างจัง คนที่มีคู่แล้วต้องใจเย็น อย่าหมางเมินกัน หมั่นเติมความรักด้วยคำหวานๆวันละนิด คนที่คุณแอบชอบอยู่ เขาเริ่มรู้แล้วว่าคุณกำลังแอบชอบเขา

ดวงการเงิน การงาน

ริเริ่มทำการใดๆ อย่านั่งรอแค่หวังน้ำบ่อหน้า เพราะอาจจะไม่ได้อย่างที่ใจเราต้องการ มีการขัดแย้งกันในทีมงานถึงขั้นแตกแยกท่านจะร้อนใจเพราะลูกน้องลูกจ้างหรือบริวาร การงานออกนอกลู่นอกทางบ้าง ขาดความเอาใจใส่เท่าที่ควร ต้องมีสติ สมาธิ ความอดทนสู้กว่าปกติ

เลขมงคล เด่นนำโชค

2 5 9

เลขมงคล เด่นรอง

02

13 389 386

 

อ่านต่อ…ฝันว่ามีลูก จะสมหวังดั่งฝัน หรือหมายความว่าอะไร? คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

นิทานเงือกน้อยผจญภัย

นิทาน ก่อนนอน นิทานเงือกน้อยผจญภัย

Alternative Textaccount_circle
event
นิทานเงือกน้อยผจญภัย
นิทานเงือกน้อยผจญภัย

นิทานกล่อมนอน นิทาน ก่อนนอน เล่านิทานก่อนนอน กิจกรรมครอบครัวก่อนนอน นอกจากลูกจะสนุกเพลิดเพลินแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวอีกด้วย

นิทาน ก่อนนอน นิทานเงือกน้อยผจญภัย

เมื่อใกล้เวลาเข้านอน ลูกๆ ก็ตั้งตารอการเล่า นิทาน ก่อนนอน ของคุณพ่อคุณแม่อย่างมีความสุข เป็นวิธีการนำลูกเข้านอนที่ลูกสัมผัสได้ถึงความรัก และความอบอุ่นของคุณพ่อคุณแม่ เมื่อเล่าจบลูกก็จะรู้ว่าถึงเวลานอนแล้ว โดยไม่งอแง วันนี้มาเล่าเรื่องที่ทีมกองบรรณาธิการ ABK นำมาฝากกันค่ะ นิทานเงือกน้อยผจญภัย

นิทาน ก่อนนอน เงือกน้อยผจญภัย
นิทานก่อนนอน เงือกน้อยผจญภัย

นิทาน ก่อนนอน นิทานเงือกน้อยผจญภัย

นิทาน เรื่องเงือกน้อยผจญภัย ต้นฉบับเขียนโดย Hans Christian Andersen ชาวเดนมาร์ค ซึ่งไม่ได้จบแบบ Happy Ending จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงตอนจบขึ้นมาใหม่ ให้เหมาะสมกับเป็น นิทานสำหรับเด็ก มาเริ่มเรื่องกันเลยค่ะ

 

ในท้องทะเลอันไกลโพ้น มีราชาแห่งท้องทะเลนามว่า ไทรทัน ปกครองอาณาจักรเงือกอยู่ด้วยความสุขสงบ คิงไทรทันมีลูกสาวทั้งหมด 7 คน นางเงือกทุกคนสามารถว่ายขึ้นไปบนผิวน้ำได้หลังจากอายุ 15 ปี แต่นางเงือกน้อยคนสุดท้องนั้นยังเด็กเกินไป เธอจึงเฝ้ารอคอย โดยฟังเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์จากปากของเหล่าพี่ ๆ ที่ได้ประสบพบเจอ บอกเล่าความน่าอัศจรรย์ใจของโลกที่อยู่ด้านบน

นางเงือกน้อยชอบใช้เวลาส่วนใหญ่ว่ายน้ำไปยังซากเรือที่จมลงสู่ก้นทะเล เรือที่เก็บสมบัติต่าง ๆ จากเบื้องบน ของใช้ที่เธอไม่เคยเห็นกลายเป็นของสะสมสุดโปรด นางเงือกน้อยมักจะเล่นของเหล่านั้นไปพร้อม ๆ กับการร้องเพลง โดยมีฝูงปลารายล้อมเป็นเพื่อน เสียงอันก้องกังวานของเงือกน้อยขึ้นชื่อว่า ไพเราะที่สุดในท้องทะเล

 

ในที่สุดเมื่อถึงเวลาที่เงือกน้อยอายุครบ 15 ปี เธอก็รีบว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ ภาพที่เห็นคือเรือลำใหญ่ บนเรือบรรเลงดนตรีไพเราะ กะลาสีกำลังเต้นรำอยู่บนดาดฟ้า เธอเห็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง ที่ดูเหมือนทุกคนบนเรือต่างให้ความสนใจและเคารพยำเกรง “เขาต้องเป็นเจ้าชายแน่ ๆ” นางเงือกน้อยคิด และรู้สึกประทับใจชายหนุ่มคนนั้นทันที

 

นางเงือกน้อยเพลิดเพลินกับภาพตรงหน้าได้เพียงไม่นานก็เกิดพายุโหมกระหน่ำ ลูกเรือทุกคนพยายามคุมใบเรือและพวงมาลัยเรือเอาไว้เพื่อต้านแรงลมนั้น แต่คลื่นโหมแรงน่ากลัวจนในที่สุดเรือก็พลิกคว่ำ ร่างของชายหนุ่มรูปงามคนนั้นกระเด็นตกเรือในทันที เงือกน้อยตกใจมาก เธอรู้ดีว่ามนุษย์ไม่สามารถอยู่ใต้น้ำได้นาน จึงรีบพุ่งตัวดำดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วคว้าคอเสื้อของชายคนนั้นเอาไว้ ก่อนที่จะว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำให้เร็วที่สุด ทั้งสองลอยคออยู่ในน้ำกระทั่งพายุสงบ

 

ในตอนเช้า นางเงือกน้อยมองเห็นหาดทราย เธอพยายามพาร่างที่นิ่งไม่ไหวติงของเจ้าชายขึ้นฝั่ง และจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลานั้นพลางรำพึงว่า “เขาตายแล้วเหรอ” เธอเริ่มร้องเพลงเศร้า แต่ทันใดนั้นเจ้าชายก็เริ่มขยับตัว “โอ้ คุณเป็นยังไงบ้าง” เงือกน้อยถามพร้อมแตะหน้าผากของเขา ในตอนนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงผู้คนมากมายกำลังตรงมา เธอจึงรีบว่ายน้ำไปหลบอยู่ตรงโขดหิน มองดูเจ้าชายถูกผู้คนทำการช่วยเหลือ โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า ใครทำให้เขารอดชีวิตมาได้

 

เงือกน้อยกลับไปยังท้องทะเล เมินเฉยต่อเหล่าพี่ ๆ ที่อยากรู้ว่า การเดินทางไปโลกเหนือน้ำของเธอเป็นยังไงบ้าง เธอนิ่งเงียบ รู้สึกเศร้าหมอง เพราะตกหลุมรักเจ้าชายเข้า และแล้วเธอก็นึกถึงเรื่องราวของแม่มดแห่งท้องทะเล ผู้ที่สามารถดลบันดาลอะไรก็ได้  เงือกน้อยไม่นึกกลัวเลยสักนิด เธอรีบไปหาแม่มดในทันที

 

เมื่อพบกับแม่มด เงือกน้อยได้บอกไปว่าเธอต้องการจะมีขาแบบมนุษย์ เพื่อที่จะได้อยู่กับเจ้าชาย “ไม่มีปัญหาจ้ะที่รัก เรื่องง่าย ๆ” แม่มดบอก “แต่ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน ฉันขอแลกเสียงของเธอกับขาคู่นี้” นางเงือกน้อยตกใจ เสียงของเธอคือสิ่งมีค่าที่ทำให้ใคร ๆ ต่างหลงรัก “เธอไม่จำเป็นต้องใช้มันนี่สาวน้อย เธอทั้งสวย น่ารัก ทำให้เจ้าชายหลงรักได้ไม่ยากอยู่แล้ว” แม่มดพูดต่อ “อ้อ แต่มีข้อแม้นะ ถ้าเจ้าชายแต่งงานกับคนอื่นไปละก็ วันรุ่งขึ้นเธอก็จะตาย และเสียงของเธอจะอยู่กับฉันไปตลอดกาล แต่ใครจะรู้ เขาอาจจะเลือกเธอก็ได้” เงือกน้อยครุุ่นคิด “ว่ายังไง ฉันไม่มีเวลาทั้งวันนะ” ในที่สุดนางเงือกน้อยก็ตอบตกลง แม่มดจึงร่ายมนตร์ทันที เธอรู้สึกเหมือนถูกหมุนเหวี่ยง และเมื่อลืมตาตื่นขึ้น เธอก็อยู่บนชายหาดที่เคยช่วยเจ้าชายเอาไว้ และที่น่าตกใจคือ ความฝันของเธอเป็นจริงแล้ว หางของเธอหายไป เธอมีขา !

 

“คุณผู้หญิง คุณมีปัญหาหรือเปล่า” ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเจ้าชายที่เอ่ยประโยคนี้ นางเงือกน้อยพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีเสียงใดออกจากปากของเธอ “พูดไม่ได้เหรอ” เขาถาม นางเงือกน้อยส่ายหัว “โอ้ ! งั้นผมจะพาไปที่ปราสาท คุณสามารถล้างเนื้อล้างตัวที่นั่นและหาเสื้อผ้าแห้ง ๆ มาใส่ได้”

 

อ่านต่อ…นิทาน ก่อนนอน นิทานเงือกน้อยผจญภัย คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

บุลลี่ บุลลี่ที่โรงเรียน

อาม่าคุกเข่าอ้อนวอน! แก๊งวัยรุ่นหยุด บุลลี่ หลานชาย

Alternative Textaccount_circle
event
บุลลี่ บุลลี่ที่โรงเรียน
บุลลี่ บุลลี่ที่โรงเรียน

บุลลี่ รังแก กลั่นแกล้ง เป็นพฤติกรรมที่พ่อแม่ต้องให้ความใส่ใจไม่แค่เด็กที่ถูกรังแกเท่านั้น แต่เด็กที่รังแกก็นับว่ามีปัญหาไม่แพ้กัน อย่าปล่อยพวกเขาเผชิญลำพัง

อาม่าคุกเข่าอ้อนวอน! แก๊งวัยรุ่นหยุด บุลลี่ หลานชาย

บูลลี่ (Bully) คือ พฤติกรรมรุนแรง กลั่นแกล้ง รังแกผู้อื่นทั้งทางวาจาและร่างกาย หากเกิดในชีวิตจริงมักเป็นการล้อเลียนรูปร่างหน้าตา สถานะทางสังคม รวมถึงการทำร้ายร่างกาย ส่วนโลกออนไลน์ส่วนใหญ่เกิดจากการประจานกันทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายครั้งการบูลลี่สร้างผลกระทบทางด้านความรู้สึกมากมายจนอาจเกิดเป็นแผลทางใจฝังลึกจนยากเยียวยา หรืออาจลุกลามไปจนเกิดการปะทะ และสร้างบาดแผลทางกายได้

การกลั่นแกล้งกัน การข่มขู่ หรือการบุลลี่ ในสังคมของการอยู่ร่วมกัน เราสามารถพบเจอปัญหานี้ได้อยู่เสมอ แต่ในปัจจุบันที่สังคมมีความเปิดกว้าง และเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างง่ายดาย การบุลลี่กันจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่มากขึ้น เพราะการแกล้งกันนั้นสามารถกระจายวงกว้างออกไปได้มาก และเร็วกว่าในสมัยก่อน ทำให้เรื่องราวบานปลาย และยากจะควบคุม ทุกคนสามารถใส่ข้อมูลต่าง ๆ ลงในสื่อโซเซียลโดนไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนทำการแชร์ ดังนั้นบางทีเราอาจจะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการกลั่นแกล้ง บุลลี่บุคคลใดบุคคลหนึ่งอยู่ก็ได้ โดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และไม่รู้ตัวด้วยการกดแชร์ข้อมูลที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงก่อนเพียงปุ่มเดียว

บุลลี่ บูลลี่ในโรงเรียน เรื่องที่พ่อแม่ต้องรู้
บุลลี่ บูลลี่ในโรงเรียน เรื่องที่พ่อแม่ต้องรู้

การบุลลี่นั้นสามารถเกิดได้หลายแบบ ดังนี้

  • บูลลี่ทางร่างกาย เป็นการทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายให้เกิดการบาดเจ็บ มีบาดแผล ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากภายนอก บางกรณีอาจส่งผลต่อจิตใจอีกด้วย
  • บุลลี่ทางวาจา แม้ไม่มีบาดแผลทางกายให้เห็น แต่การพูดส่อเสียด ล้อเลียน ใส่ร้าย การประจานด้วยคำพูดให้ผู้อื่นได้ยิน นอกจากจะสร้างความอับอาย วิตกกังวล อาจสร้างความเครียด เก็บกด ส่งผลถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้า หรือหวาดกลัวสังคม ถือเป็นบาดแผลทางใจที่เจ็บปวดไม่น้อย
  • บูลลี่ทางสังคม เป็นการสร้างกระแสสังคมรอบข้างให้โหมกระหน่ำมายังเหยื่อของการ บุลลี่ เสมือนการยืมมือคนรอบข้างให้ร่วมกันทำร้ายบุคคลเพียงคนเดียว  เช่น การปล่อยคลิปของเหยื่อ  หรือการสร้างข่าวลือ จนผู้เสพหลงเชื่อและพร้อมจะแชร์ และกระพือข่าวให้ไปในวงกว้างขึ้น จนกว่าผู้ถูกกระทำไม่มีที่ยืนทางสังคม

บุลลี่ ในโรงเรียน ผลกระทบไม่ได้เกิดแค่ตัวเด็ก!!

ภาพหดหู่! อาม่าคุกเข่าวอนแก๊งวัยรุ่นหยุดรังแกหลานชาย หลังโดนบูลลี่จนไม่กล้าไปเรียน

 วิดีโอหนึ่งที่โพสต์บนเว่ยปั๋ว พบเห็นคุณย่ารายหนึ่งจากมณฑลเหอหนาน ประเทศจีน ถึงขั้นยอมลงทุนคุกเข่าต่อหน้ากลุ่มวัยรุ่นในที่สาธารณะ วิงวอนให้หยุดรังแกหลานชายของเธอเสียที

ในวิดีโอพบเห็น อาม่าผู้น่าสงสารกำลังคุกเข่าต่อหน้าพวกแก๊งอันธพาล วิงวอนร้องขอพวกเขาให้หยุดรังแกหลานชายของเธอ ซึ่งสร้างบาดแผลทางจิตใจแก่หลานชายของเธอ ถึงขั้นไม่กล้าไปโรงเรียน

ผู้เห็นเหตุการณ์รายหนึ่ง ชื่อว่าหลี่ เล่าว่า “หลานของอาม่าเพิ่งเข้าเรียนระดับมัธยม และมักถูกรังแกโดยกลุ่มวัยรุ่นอายุ 16 ปี พวกเขาทุบตีทำร้ายเขา และตอนนี้เขากลัวมากจนไม่กล้าไปโรงเรียน อาม่าทราบเรื่องเข้าจึงคุกเข่าร้องขอพวกอันธพาล ให้หยุดบูลลี่หลานชายของเธอ”หลี่ เล่าต่อว่า กลุ่มแก๊งอันธพาลวางมาดคาบบุหรี่และนั่งมองอาม่าที่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนด้วยสายตาเย็นชา “ผมยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ ต้องมาเห็นผู้หญิงวัยชราคุกเข่าอ้อนวอนขอพวกเขาหยุดรังแกหลานชาย”

ภาพในวิดีโอในเวลาต่อมา พบเห็นผู้สัญจรผ่านไปมาบางส่วนเริ่มไม่พอใจ และพยายามเข้าคลี่คลายสถานการณ์ เข้าพยุงให้อาม่าลุกขึ้น จากนั้นเหตุโต้เถียงระหว่างแก๊งอันธพาลกับผู้สัญจรผ่านไปมาก็ดูจะดุเดือดเลือดพล่านยิ่งขึ้น แต่เคราะห์ที่ดีสถานการณ์ไม่ลุกลามบานปลายกลายเป็นเหตุกระทบกระทั่งใดๆ

ที่มา : https://mgronline.com
พฤติกรรมก้าวร้าว รังแกคนอื่น เพื่อเรียกร้องความสนใจ
พฤติกรรมก้าวร้าว รังแกคนอื่น เพื่อเรียกร้องความสนใจ

สถิติการแกล้งกันในโรงเรียนของประเทศไทยเมื่อปี 2561 พบว่าไทยขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกเลยทีเดียว โดยช่วงอายุที่โดนแกล้งมากและรุนแรงที่สุดคือช่วง 13 – 18 ปี ซึ่งเด็กที่ถูกแกล้งก็จะโดนสารพัดวิธีทั้งแกล้งต่อหน้า ลอบทำร้าย และ Cyber Bullying โดยความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับบุคลิกของเด็กที่ถูกแกล้ง

ผลงานวิจัยของคุณครูกรกช ไชยวงค์ ครูผู้สอนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย เรื่องการกลั่นแกล้งในชั้นเรียน ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ ซึ่งครูกรกชได้ทำการศึกษาในเด็กนักเรียนชั้น ม. 1 ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าเด็ก ๆ ได้รับผลกระทบด้านจิตใจมากที่สุด แล้วยังมีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้ เพราะทำให้เด็กเหล่านี้มีความวิตกกังวลสูง ไม่อยากมาโรงเรียน ไม่มีสมาธิในการเรียน ซึ่งไปสอดคล้องกับผลการศึกษาของสถาบันสถิติศาสตร์ (UIS) ของ UNESCO ที่บอกว่าเด็ก ๆ ที่โดนแกล้งส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกไร้ค่า และมากกว่าครึ่งต้องลาออกจากโรงเรียน ทำให้เสียโอกาสทางการเรียนรู้

นอกจากนี้แล้วคุณหมอยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศาสนติ์ จิตแพทย์ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ยังให้ข้อมูลที่น่าสนใจอีกว่า เด็กที่โดนแกล้งอย่างต่อเนื่องยาวนาน มีแนวโน้มสูงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า และนำไปสู่การฆ่าตัวตายในที่สุด ซึ่งตรงกับผลงานวิจัยระยะยาวของมหาวิทยาลัย Duke ที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1993 ในการตามติดชีวิตเด็ก 1,420 คน ในรัฐนอร์ทเเคโรไลน่า สหรัฐอเมริการ เป็นเวลา 20 ปี พบว่า เด็กที่โดนแกล้งบ่อย ๆ และรุนแรง เมื่อโตจะมีปัญหาสุขภาพจิต โดยเฉพาะโรคซึมเศร้ามากกว่า 50% และในจำนวนนั้นมีแนวโน้มสูงว่าจะฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาการถูกแกล้ง

ที่มา : https://www.istrong.co
จะเห็นได้ว่า การกลั่นแกล้งกันในโรงเรียน การบุลลี่ในเด็กนั้น นอกจากจะส่งผลกระทบในหลาย ๆ ด้านต่อตัวผู้ที่ถูกแกล้งแล้ว เด็กที่กลั่นแกล้งคนอื่น หรือสมาชิกในครอบครัวของเด็กทั้งสอง ก็มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต และพฤติกรรมด้วยเช่นกัน การสำรวจพบว่าส่วนมากแล้วคนมัก “รังแกคนอื่น” เพื่อให้ตัวเองรู้สึกมีอำนาจ สามารถควบคุมคอนโทรลคนอื่นได้ ซึ่งการรังแกนั้นก็มีทั้งทำร้ายร่างกายและจิตใจ

อ่านต่อ>> ทำไมเด็กถึงรังแกคนอื่น พร้อมแนะวิธีปรับพฤติกรรม คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ใบงานอนุบาล 3

แจกฟรี!!! ใบงานอนุบาล 3 แบบฝึกหัดปฐมวัย

Alternative Textaccount_circle
event
ใบงานอนุบาล 3
ใบงานอนุบาล 3

ใบงานอนุบาล 3 แบบฝึกหัดอนุบาล 3 แบบฝึกหัดปฐมวัย ฝึกลากเส้น ลายเส้น จับคู่ วาดรูป ระบายสี คิดเลข เรียงลำดับ ศิลปะ ฝึกภาษา พัฒนาสมอง พัฒนากล้ามเนื้อ

แจกฟรี!!! ใบงานอนุบาล 3 แบบฝึกหัดปฐมวัย

แบบฝึกหัด ใบงานอนุบาล 3 แบบฝึกหัดเสริมทักษะ การขีดเขียนช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก เสริมสร้างจินตนาการ พัฒนาการด้านภาษา การพูด ฝึกทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นหน่วยความจำ เกิดความคุ้นเคย วันนี้ทีมกองบรรณาธิการ ABK ได้รวบรวม ใบงานอนุบาล 3 มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้นำไปให้ลูกฝึกทำกันเลยค่ะ

 

ใบงานอนุบาล 3
ใบงานอนุบาล 3

แจกฟรี!!! ใบงานอนุบาล 3 แบบฝึกหัดปฐมวัย

เด็กวัยอนุบาล เป็นวัยที่เริ่มเรียนรู้การใช้ชีวิตนอกบ้าน การมีสังคม การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น โดยพัฒนาการของเด็กวัยอนุบาล เริ่มจากอายุ 2-5 ปี ช่่วงวัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพมากที่สุด เช่น สร้างบุคลิกภาพของตัวเอง ค่อนข้างดื้อ ซุกชนมาก ในบางครั้งความคิดและการกระทำของเด็กจะไม่ตรงกับความเป็นจริง

เด็กวัยอนุบาล มีพัฒนาการที่สำคัญ 4 ด้านคือ

  1. พัฒนาการด้านร่างกาย ส่วนแขนและขายาวออกไป ศีรษะได้ขนาดกับลำตัว โครงกระดูกแข็งแรงขึ้น ฟันแท้จะเริ่มขึ้น 1-2 ปี เริ่มมีทักษะการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น แต่งตัวได้ ใส่รองเท้าและอาบน้ำได้
  2. พัฒนาการด้านอารมณ์ มักเป็นคนเจ้าอารมณ์หงุดหงิดและโกรธง่าย ดื้อรั้น เป็นวัยที่เรียกว่าชอบปฏิเสธและอาการดังกล่าวจะค่อยๆ หายไปเองเมื่อเด็กเข้าโรงเรียน แต่อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กจะมั่นคงเพียงใดขึ้นอยู่กับการอบรมเลี้ยงดูเป็นสำคัญ
  3. พัฒนาการด้านสังคม เริ่มรู้จักคบเพื่อน ปรับตัวรู้จักร่วมมือ ยอมรับฟัง รู้จักแข่งขันระหว่างกลุ่ม 4-5 ขวบ และมักเล่นกับเพศเดียวกัน
  4. พัฒนาการด้านภาษา เริ่มใช้ภาษาได้ดี ขึ้นรู้จักศัพท์เพิ่มขึ้นมากขึ้น พ่อแม่มีส่วนร่วมการพัฒนาการทางภาษาของเด็กมาก เช่น การชักจูงให้เด็กพูด ซักถาม การแนะนำที่ดี การเน้นคำให้ถูกต้อง เมื่อพูดกับเด็กผู้ใหญ่ยอมรับฟังการพูดคุยของเด็กจะช่วยให้เด็กรู้จักพูดในสิ่งที่มีสาระยิ่งขึ้น

การขีดเขียน เป็นการประสานการทำงานของตา มือ และสมอง ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมือ พัฒนาสมอง ความคิด และจินตนาการ ช่วยให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น

ฝึกลากเส้น

ลากเส้น 1                              ลากเส้น 3

ลากเส้น 2                              ลากเส้น 4

 

วาดรูปตามรอยปะ

วาดรูปตามรอยปะ 1                                  วาดรูปตามรอยปะ 5

วาดรูปตามรอยปะ 2                                  วาดรูปตามรอยปะ 6

วาดรูปตามรอยปะ 3                                  วาดรูปตามรอยปะ 7

วาดรูปตามรอยปะ 4

 

ตัดและวางรูปทรงให้ถูกต้อง

ตัดและวางรูปทรงให้ถูกช่อง 1

ตัดและวางรูปทรงให้ถูกช่อง 2

ตัดและวางรูปทรงให้ถูกช่อง 3

 

ระบายสี ตัดและแปะรูปทรง

ระบายสี ตัดและแปะรูปทรง 1                     ระบายสี ตัดและแปะรูปทรง 5

ระบายสี ตัดและแปะรูปทรง 2                    ระบายสี ตัดและแปะรูปทรง 6

ระบายสี ตัดและแปะรูปทรง 3                     ระบายสี ตัดและแปะรูปทรง 7

ระบายสี ตัดและแปะรูปทรง 4                     ระบายสี ตัดและแปะรูปทรง 8

 

จับคู่

บวกเลยแล้วจับคู่ 1

บวกเลยแล้วจับคู่ 2

บวกเลยแล้วจับคู่ 3

 

แบบฝึกหัด

แบบฝึกหัด 1                                  แบบฝึกหัด 6

แบบฝึกหัด 2                                  แบบฝึกหัด 7

แบบฝึกหัด 3                                  แบบฝึกหัด 8

แบบฝึกหัด 4                                  แบบฝึกหัด 9

แบบฝึกหัด 5                                  แบบฝึกหัด 10

 

อ่านต่อ…แจกฟรี!!! ใบงานอนุบาล 3 แบบฝึกหัดปฐมวัย คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

เข้าใจ SMA โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในทารก ภัยเงียบพรากชีวิตลูก!

Alternative Textaccount_circle
event
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Spinal Muscular Atrophy: SMA) ในทารก เป็นโรคทางพันธุกรรมที่พบได้บ่อยเป็นอันดับสองรองจากโรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่ทำให้กล้ามเนื้อของทารกอ่อนแอลงเและสูญเสียการทำงานไปตามกาลเวลา เหตุเกิดจากยีนที่หายไปหรือกลายพันธุ์ ซึ่งทำให้ทารกสูญเสียเซลล์ประสาทสั่งการ ซึ่งเป็นเซลล์ประสาทในไขสันหลังที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ หากเซลล์ประสาทสั่งการนี้ไม่เพียงพอ กล้ามเนื้อจะอ่อนแอและฝ่อในที่สุด หากคุณได้ทำการทดสอบก่อนคลอดและพบว่าลูกน้อยของคุณเสี่ยงต่ออาการ กล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA เป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกหนักใจ แต่การได้รู้เกี่ยวกับลักษณะต่างๆ ของอาการป่วยจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อทารกแรกเกิดคลอด เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกพร้อมมากขึ้น สำหรับเส้นทางข้างหน้าที่ต้องรับมือ

เข้าใจ SMA โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในทารก ภัยเงียบพรากชีวิตลูก !

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงส่วนใหญ่มักส่งผลกระทบต่อเด็กทารกและเด็กเล็ก พบได้น้อยในผู้ใหญ่ โรค SMA ส่งผลกระทบต่อเด็กประมาณ 1 ใน 8,000 ถึง 10,000 คน ในโลก โดย SMA  Type 1 ที่เกิดตั้งแต่แรกคลอดพบได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของทุกกรณี  กรณีที่อาการรุนแรงมักส่งผลต่อคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่และอายุขัยของทารก

ประเภทของ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA

ในทางการแพทย์ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือกล้ามเนื้อลีบของกระดูกสันหลัง สามารถแบ่งออกได้ 5 Type ดังนี้

  • 0  :  เป็น SMA ที่รุนแรงและพบได้ยากที่สุด ซึ่งสามารถตรวจพบได้ก่อนคลอด ทารกมักจะเคลื่อนไหวในครรภ์น้อยกว่าทารกที่แข็งแรงเป็นปกติ ด้วยเหตุนี้ ทารกอาจเกิดมาพร้อมกับข้อที่ผิดรูปหรือหดตัว  กล้ามเนื้อของทารกจะอ่อนแรงมาก (Hypotonia) ตั้งแต่แรกเกิด เช่นเดียวกับกล้ามเนื้อที่ควบคุมระบบทางเดินหายใจที่อ่อนแอ ซึ่งเด็กมักจะเสียชีวิตหลังคลอด เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว
  • 1  : เป็นชนิดที่รุนแรง และพบได้บ่อยที่สุด ยังเป็นที่รู้จักกันในนามโรค Werdnig-Hoffman Disease  มักเกิดขึ้นภายในช่วง 6 เดือนแรกของชีวิต ทารกมักมีปัญหาในการเงยศีรษะ ส่วนใหญ่ประสบปัญหาการให้อาหารเนื่องจากมีปัญหาในการดูดและการกลืน ทารกที่มี SMA ชนิดที่ 1  มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น และมีโอกาสสูงที่จะเสียชีวิตภายใน 2 ปี แรกเนื่องจากติดเชื้อทางเดินหายใจหรือมีอาการปอดยุบ
  • 2 : เป็นประเภท รุนแรงปานกลางกลาง เรียกได้อีกอย่างว่าโรค Dubowitz Syndrome อาการมักเริ่มระหว่าง 6 ถึง 18 เดือน และส่วนใหญ่ส่งผลต่อแขนขาส่วนล่าง ทารกและเด็กเล็กที่มี SMA ประเภทนี้อาจนั่งได้ แต่เดินไม่ได้ พวกเขามักจะประสบกับอาการ กระดูกสันหลังคด  (Scoliosis) และมือสั่นที่ควบคุมไม่ได้ ทารกที่มีอาการของ SMA ประเภทนี้จะสามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้จนถึงวัยผู้ใหญ่ แต่อายุเฉลี่ยมักไม่เกิน 20 หรือ 30 ปี
  • 3 : เป็น SMA ที่รุนแรงเล็กน้อย เรียกอีกอย่างว่า Kugelbert-Welander Syndrome  ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการในเด็กเล็กและเด็กโต โดยอาการป่วยมักจะเริ่มหลังจากอายุได้ 18 เดือน บางครั้งอาการจะไม่ปรากฏจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เดินเหินลำบาก แต่มักจะเดินได้เองโดยไม่ต้องช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามมักติดเชื้อทางเดินหายใจได้บ่อย นอกจากนี้อาจมีปัญหากับการขึ้นบันได หรือบางกรณีอาจต้องใช้รถเข็น อย่างไรก็ตาม SMA ชนิดนี้ไม่มีผลต่ออายุขัย
  • 4 : เป็น SMA ประเภทที่หายากซึ่งปรากฏในผู้ใหญ่อายุ 30 กลางๆ ในประเภทนี้กล้ามเนื้ออ่อนแรงจะดำเนินไปอย่างช้าๆ ผู้ป่วยมักจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ และ SMA ประเภทนี้ไม่ส่งผลต่ออายุขัยของผู้ป่วย

สัญญาณและอาการของ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA คืออะไร?

สัญญาณของ SMA อาจแตกต่างกันไป ทารกบางคนที่เป็นโรค SMA นั้นมักมีกล้ามเนื้อที่อ่อนแอ และไม่เรียนรู้ที่จะพลิกตัวหรือนั่งได้ในวัยที่เหมาะสม เด็กที่โตแล้วอาจหกล้มได้บ่อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน หรือมีปัญหาในการหยิบจับและยกสิ่งของ เด็กที่มี SMA สามารถพัฒนาเกิดอาการกระดูกสันหลังคด (Scoliosis) ได้ หากกล้ามเนื้อบริเวณหลังอ่อนแอมากเด็กอาจยืนหรือเดินไม่ได้และที่สำคัญอาจต้องการความช่วยเหลือในการกินและการหายใจเป็นพิเศษ

อาการทั่วไปของ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA

อาการของ SMA ในทารก ขึ้นอยู่กับประเภทของโรค

  • มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
  • สูญเสียการควบคุมกล้ามเนื้อ
  • ความอ่อนแอของกล้ามเนื้อช่วงลำตัว
  • ไม่สามารถพลิกตัว นั่ง เดิน หรือยืนได้
  • มีปัญหาในการกินอาหาร
  • ติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย

สาเหตุของ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง SMA

โรค SMA ส่งผลกระทบต่อระบบประสาทสั่งการของกระดูกสันหลัง ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและลีบ อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ ของทารก ตั้งแต่การเคลื่อนไหวไปจนถึงการหายใจและการดูดหรือกลืน SMA สาเหตุสำคัญเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทารกสืบทอดมาจากพ่อแม่ ด้วยยีนกล้ามเนื้อที่อยู่ในไขสันหลังและส่วนล่างของสมองขาดหายไปหรือเกิดการกลายพันธุ์  ได้แก่ ยีน SMN1 ที่ไม่สามารถผลิตโปรตีนที่เพียงพอสำหรับเซลล์ประสาทสั่งการ เพื่อให้กล้ามเนื้อทำงานได้ตามปกติ

เซลล์ประสาทกล้ามเนื้อจะหดตัวและตาย ทำให้สมองไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้โดยตั้งใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อในศีรษะคอแขนและขา เนื่องจากเซลล์ประสาทสั่งการจะสลายตัวและไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังกล้ามเนื้อได้ เด็กที่ได้รับยีน SMN1 จากพ่อแม่เพียงคนเดียวอาจไม่แสดงสัญญาณของ SMA แต่สามารถถ่ายทอดยีนนี้ไปให้บุตรหลานของตนได้ในอนาคต การทดสอบทางพันธุกรรมของผู้ที่มี SMA และผู้ปกครองสามารถช่วยระบุได้ว่าบุคคลใดเสี่ยงที่จะมีบุตรเป็นโรค SMA

ลูกป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง
ลูกป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของทารกที่ป่วย SMA

  • การเคลื่อนไหวของศีรษะ

กล้ามเนื้อที่อ่อนแออาจทำให้ลูกน้อยของคุณพัฒนาความแข็งแรงของคอได้อย่างยากลำบาก ลูกน้อยของคุณอาจไม่สามารถหันศีรษะไปตามเสียงหรือเงยศีรษะได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ SMA อาจทำให้ลูกน้อยของคุณควบคุมการเคลื่อนไหวของศีรษะได้ยาก การทำงานร่วมกับนักกายภาพบำบัดหรือนักกิจกรรมบำบัดเพื่อจะช่วยให้ลูกน้อยของคุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

  • การเคลื่อนไหวของแขนและขา

เด็กอาจเคลื่อนไหวแขนหรือขาได้น้อยมาก หรือมีปัญหาในการยกและหยิบจับสิ่งของ แขนขาของพวกเขาอาจอ่อนแอและดูผิดธรรมชาติ ซึ่งมักมีปัญหาในการพัฒนาทักษะต่างๆ ของร่างกาย เช่น

  • การเคลื่อนไหวอย่างราบรื่นด้วยแขนและขา
  • ความสามารถในการดันตัวขึ้นเมื่อนอนหงาย
  • การออกแรงถีบขาเมื่อเท้าอยู่บนพื้นแข็ง
  • การถือและหยิบจับของเล่นแบบเขย่า
  • การพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง

การพลิกตัวและลุกขึ้นนั่งอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่งสำหรับลูกน้อยของคุณ พวกเขาอาจมีปัญหาด้านพัฒนาการที่สำคัญ เช่น :

  • การพลิกจากนอนคว่ำไปนอนหงาย และจากหงายไปคว่ำ
  • ความสามารถในการนั่งได้เอง

อย่างไรก็ตาม หากลูกน้อยของคุณไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ด้วยตัวเอง คุณสามารถช่วยพวกเขาได้ สิ่งนี้สามารถช่วยให้ข้อต่อของพวกเขาไม่แข็งทื่อในขณะที่ถูกกระตุ้นความอยากรู้เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมรอบตัว เมื่อลูกน้อยของคุณตื่น คุณสามารถช่วยจัดตำแหน่งพวกเขาได้ เมื่อวางทารกไว้ข้างลำตัวให้ใช้ผ้าห่มที่ม้วนขึ้นเพื่อรองรับหลังของทารก เมื่อวางทารกในท่านอนหงายให้ใช้ผ้าห่มพับที่สะโพกทั้งสองข้างของพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้ขาพลิกออกไปด้านนอก ข้อสำคัญควรให้ลูกน้อยของคุณนอนหงายเสมอ และอย่าใช้ผ้าห่มในเปลเว้นแต่จะได้รับคำแนะนำจากกุมารแพทย์ การทำงานร่วมกับนักกายภาพบำบัดหรือนักกิจกรรมบำบัด จะช่วยให้คุณสามารถจัดตำแหน่งในการนอนของลูกน้อยได้อย่างเหมาะสม

อ่านต่อ…เข้าใจ SMA โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ในทารก ภัยเงียบพรากชีวิตลูก !

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

เลี้ยงลูกด้วยอาหาร วีแกน จะ ขาดสารอาหาร ไหม

เลี้ยงลูกแบบ วีแกน ดีไหม เลี้ยงยังไงไม่ให้ลูกขาดสารอาหาร

Alternative Textaccount_circle
event
เลี้ยงลูกด้วยอาหาร วีแกน จะ ขาดสารอาหาร ไหม
เลี้ยงลูกด้วยอาหาร วีแกน จะ ขาดสารอาหาร ไหม

วีแกน เทรดอาหารแนวใหม่ ที่ห่วงใย โรคอ้วนในเด็ก แต่จะมีข้อดี ข้อเสียอย่างไรหากนำมาให้ลูกรับประทาน ลองศึกษา และวางแผนให้ดีหากไม่อยากให้ ลูกขาดสารอาหาร

เลี้ยงลูกแบบ วีแกน ดีไหม เลี้ยงยังไงไม่ให้ลูกขาดสารอาหาร!!

ช่วงวัยเด็กเป็นช่วงวัยแห่งการเจริญเติบโต และการพัฒนาในทุก ๆ ด้านของร่างกาย ดังนั้น โภชนาการที่ดีจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับวัยนี้ ในปัจจุบันที่ผู้ปกครองจำนวนมากตื่นตัวกับโภชนาการของครอบครัว ทำให้มีแนวทางเลือกรับประทานอาหารเกิดขึ้นมาใหม่หลากหลายแบบ หลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารแบบมังสวิรัติ อาหารแบบคีโตน หรือการรับประทานอาหารแบบวีแกน ซึ่งในแบบหลังกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากทั่วโลก

วีแกน (Vegan Food) คือ อะไร??

การรับประทานอาหารแบบวีแกน เป็นการรับประทานอาหารมังสวิรัติประเภทหนึ่ง แต่มีจุดมุ่งหมายหลักเน้นไปในเรื่องสุขภาพ ทำให้ผู้รับประทานอาหารแบบวีแกน จะมีความเคร่งครัดมากกว่าผู้รับประทานอาหารแบบมังสวิรัติ (Veggie) เพราะว่า นอกจากการรับประทานอาหารแบบวีแกน จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดแล้ว ยังจะงดเว้นการบริโภคอาหารที่ไม่เบียดเบียนสัตว์เกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการงดบริโภค นม เนย ชีส ไข่ และน้ำผึ้ง หรืออาหารในกลุ่มเจลาติน เพราะสิ่งเหล่านี้ทำมาจากไขของกระดูกสัตว์ นอกจากการเลือกรับประทานอาหารแล้ว คนที่เป็นวีแกน ยังรวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน ข้าวของเครื่องใช้ทุกชนิดจะต้องไม่มีวัสดุที่ต้องไปเบียดเบียนสัตว์ เช่น กระเป๋าหนังสัตว์ รองเท้าที่มีส่วนประกอบของชิ้นส่วนของสัตว์ เป็นต้น หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์ใดที่ใช้การทดลองกับสัตว์ เช่น เครื่องสำอางบางแบรนด์ที่มีการทดลองใช้กับหนูก่อนการวางจำหน่าย ชาววีแกนจะไม่ใช้ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์นั้น ๆ ซึ่งแนวคิดแบบวีแกนนี้ ชาวยุโรป และอเมริกากำลังเป็นที่นิยม และค่อนข้างเคร่งครัดอย่างมาก

อาหารแบบ วีแกน
อาหารแบบ วีแกน

ประโยชน์ของอาหารวีแกนต่อสุขภาพ

จุดประสงค์ของชาววีแกนที่เน้นการรับประทานเฉพาะผัก ผลไม้ งดการรับประทานเนื้อสัตว์ นอกจากเป้าหมายในเรื่องของการไม่เบียดเบียนชีวิตแล้ว ยังเน้นในเรื่องของสุขภาพร่างกายของมนุษย์ โดยเชื่อว่าการรับประทานเนื้อสัตว์แบบไม่พอดี จะสร้างปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณคอเลสเตอรอล ความดันโลหิต หรือไขมันในเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุก่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคเบาหวาน โรความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจ โดยชาววีแกนจะต้องมีการวางแผนในมื้ออาหารให้มีแหล่งอาหารทดแทนที่สามารถให้สารอาหารทดแทนเนื้อสัตว์ได้ ไม่ใช่เพียงแค่งดเท่านั้น แต่ต้องรู้จักคำนวณ ปริมาณสารอาหารที่ควรจะได้รับต่อวัน โดยพิจารณาจากวัย อายุ และการต้องการสารอาหารของแต่ละคน

อาหาร วีแกน กับเด็ก

ในสหรัฐอเมริกา ทารกหลายล้านคนได้รับอาหารแบบ วีแกน ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาโดยไม่มีผลข้างเคียง แต่อย่างไรก็ตาม แนวทางการให้เด็กรับประทานอาหารแบบวีแกนนี้จะต้องได้รับการวางแผน และผ่านการให้คำปรึกษาจากแพทย์เสียก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าลูกของคุณพ่อคุณแม่ที่ตัดสินใจเลือกการรับประทานอาหารแบบวีแกนได้รับสิ่งที่ดีที่สุด พร้อมสารอาหารที่ครบถ้วนต่อความต้องการของร่างกายในการพัฒนาให้ร่างกายเจริญเติบโต ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องกันว่าการรับประทานอาหารมังสวิรัติที่หลากหลาย  และวางแผนมาอย่างดีนั้นเหมาะสำหรับทุกคน ซึ่งรวมถึงเด็กด้วย ซึ่งปรากฎในงานวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่า หากเรามีการวางแผน และชดเชยสารอาหารที่ขาดหายไปจากการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเกณฑ์การเจริญเติบโตของเด็ก

สำหรับเมืองไทย กระแสความนิยมทานอาหารแบบวีแกน เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากได้ทั้งสุขภาพ และอาหารหลาย ๆ เมนูส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นอาหารคลีน และให้พลังงานไม่มากด้วย จึงเหมาะกับคนที่กำลังสนใจเรื่องสุขภาพ กำลังลดน้ำหนัก กำลังลดไขมัน ลดคอเลสเตอรอล และหลาย ๆ คนเห็นเพื่อน ที่เริ่มทานอาหารตามสไตล์แบบวีแกน เห็นผลในเรื่องน้ำหนัก ผิวพรรณที่ดีขึ้น และทำให้หน้าตาผ่องใส จึงทำให้เกิดเป็นกระแสนิยมมากขึ้น แต่สำหรับการเลี้ยงลูกด้วยอาหารแบบวีแกนนั้น ยังคงแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการวางแผนการได้รับสารอาหารก่อนการให้ลูกรับประทานวีแกน เพราะการคำนึงถึงแต่ข้อดี โดยขาดความรู้ ความเข้าใจในหลักการแล้ว นอกจากจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพแล้ว ยังอาจทำให้เกิดอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ อย่างในข่าวต่อไปนี้

แม่วีแกนถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต หลังให้ลูก 1 ขวบ กินแต่ผัก-ผลไม้ จนเสียชีวิตจากการขาดสารอาหาร
.
หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง ฐานฆาตกรรมลูกชายของตัวเองโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (29 ส.ค. 2565) ศาลในสหรัฐฯ ก็มีคำสั่งแล้ว ให้จำคุกตลอดชีวิต ‘ชีลา โอแลร์รี’ (Sheila O’Leary) แม่วีแกนวัย 38 ปี จากฟลอริดา ที่ให้ลูกกินแต่ผักและผลไม้ จนขาดอาหารเสียชีวิต
ที่มา : The MATTER
ทางเลือกให้ลูกน้อย อาหารแบบ วีแกน
ทางเลือกให้ลูกน้อย อาหารแบบ วีแกน

ข้อควรระวัง

ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเลือกแนวทางใหม่ให้แก่ลูก คุณจะต้องมีความรู้เบื้องต้นเสียก่อนว่า เด็กทารก ก่อน 6 เดือน ควรได้รับสารอาหารจากนมแม่เพียงอย่างเดียว ไม่ควรเสริมอาหารใด ๆ ให้แก่เด็กในวัยก่อน 6 เดือน สำหรับผู้ที่ไม่สามารถให้นมลูกได้ นมสูตรสำหรับทารกที่ทำจากถั่วเหลืองเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย

วัยเด็กเป็นวัยที่ต้องการอาหารที่มีความหลากหลาย ต้องการพลังงานที่เพียงพอต่อการใช้ในกิจกรรมที่มากมาย และในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของร่างกายอีกด้วย ดังนั้นหากต้องการให้ลูกรับประทานอาหารแบบวีแกน โดยยังคงมีพัฒนาการที่แข็งแรงสมวัยแล้ว ต้องควรระวังในเรื่องของ ผักและผลไม้ที่เป็นวัตถุดิบหลักของการรับประทานอาหารวีแกนนั้น จะมีไฟเบอร์ในปริมาณที่มาก ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว จึงอาจเป็นสาเหตุให้เด็กอิ่มก่อนที่จะได้รับพลังงานแคลอรี่ และสารอาหารที่เพียงพอ

เด็กเป็นวัยที่ต้องการอาหารที่ให้พลังงานแคลอรี่ที่มากว่าผู้ใหญ่ เพื่อใช้ในการทำกิจกรรม และช่วยให้เจริญเติบโตอย่างแข็งแรง เด็ก ๆ ที่รับประทานอาหารแบบวีแกนจึงจำเป็นที่จะต้องได้รับไขมันดีเพื่อใช้เป็นพลังงานในแต่ละวัน ซึ่งไขมันดีจากพืชนั้นมีมากมาย เช่น ถั่วลิสง เนยถั่ว อะโวคาโด

 

อ่านต่อ >>สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ก่อนให้ลูกกินอาหารแบบวีแกน คลิกหน้า 2

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

keyboard_arrow_up