Page 143 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

แปรงสีฟัน ยาสีฟัน Dr.Ray

Dr.RAY เปิดตัวแปรงสีฟันและยาสีฟันแบบพกพา ดีไซน์โดนใจเด็กๆ

Dr.RAY (ดอกเตอร์ เรย์) ผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก นำโดยวันจุน วู กรรมการบริหาร และวีณา ตั้งกมลเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดอกเตอร์ เรย์ กรุ๊ป จำกัด เปิดตัวแปรงสีฟันและยาสีฟันแบบพกพารุ่น Portable Set 2 in1 (พอร์ตทิเบิล เซ็ท ทู อิน วัน)” ในงาน Hello Beauty Fair 2020 (ฮัลโหล บิวตี้ แฟร์ 2020)” ร่วมด้วยพรีเซนเตอร์คนดังอย่างครอบครัว “หิรัญพฤกษ์” นำโดย ภูริ และน้องริชา ณ แกรนด์ฮอลล์ ชั้นจี ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ บางแค

แบรนด์ดอกเตอร์เรย์ เริ่มจำหน่ายในประเทศไทยในปี 2019 โดยมิสเตอร์เรย์ซึ่งเป็นทันตแพทย์ที่มีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ และเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการดูแลช่องปากซึ่งคว่ำหวอดทางด้านงานวิจัยและการปฏิบัติทางการแพทย์มานานหลายปี จึงได้คิดค้นเซตยาสีฟันเนื้อเจลที่มาพร้อมกับแปรงสีฟันแบบพกพารุ่น “Portable Set 2 in 1 (พอร์ตทิเบิล เซ็ท ทูอินวัน)” ซึ่งประกอบไปด้วยยาสีฟันเนื้อเจลแบบหัวปั๊มสีสันสดใสและแปรงสีฟันแบบพกพา 2 in 1 ด้วยคุณสมบัติขนแปรงที่มีความอ่อนนุ่มและเรียว ช่วยเพิ่มการสัมผัสกับพื้นผิวฟัน จึงช่วยกำจัดแบคทีเรียได้ถึง 99% และสามารถทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างทั่วถึง เหมาะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์และเด็ก

ดอกเตอร์ เรย์ แปรงสีฟันและยาสีฟันแบบพกพา
Dr.RAY แปรงสีฟันและยาสีฟันแบบพกพา รุ่น “Portable Set 2 in 1

นอกจากนี้ ดร.เรย์ ยังได้คิดค้นนวัตกรรมสำหรับแปรงสีฟันรุ่นอื่นๆ ด้วยฟังก์ชั่นพิเศษ การตั้งเวลาเตือนความจำสำหรับการเปลี่ยนแปรงสีฟัน ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของดร.เรย์ เพียงหมุนลูกศรสีเหลืองไปยังเดือนที่เริ่มใช้งาน หรือเดือนที่ครบกำหนดเปลี่ยนแปรงสีฟัน เพื่อให้ผู้บริโภคมีความสะดวกในการดูแลสุขภาพช่องปากได้ดียิ่งขึ้น

แปรงสีฟัน ดอกเตอร์ เรย์
แปรงสีฟันฟังก์ชั่นพิเศษ การตั้งเวลาเตือนความจำสำหรับการเปลี่ยนแปรงสีฟัน

อีกทั้ง ดร.เรย์ ยังมียาสีฟันเนื้อเจลแบบหัวปั๊มที่มีสารสกัดจากดอกคาโมไมล์ น้ำมันกานพลู ออร์แกนิคอโลเวร่า ช่วยลดการอักเสบในช่องปาก ทำความสะอาดซอกฟันได้อย่างล้ำลึก ทำให้ฟันขาวสะอาด แข็งแรง สุขภาพดี สามารถใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ช่วยให้ลมหายใจหอมสดชื่นกันได้ทั้งครอบครัว

ครอบครัวหิรัญพฤกษ์
เปิดตัวพรีเซนเตอร์แบรนด์ Dr.RAY ครอบครัวหิรัญพฤกษ์

ร่วมสัมผัสผลิตภัณฑ์จาก Dr.RAY ได้แล้ววันนี้ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำอาทิ Siam Paragon, The Emquartier, Foodland, Beautrium , ร้านCastle C, ร้านภูมิใจไทย และ The Mall ทุกสาขา หรือช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ ดังนี้

Website:                http://drray-group.com/

Facebook:            https://www.facebook.com/Dr.RAYThailand

Instagram:             @dr.ray Thailand

Line ID:                 @dr.ray

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลำดับการขึ้นของฟัน และวิธีดูแลฟันลูกอย่างถูกวิธีตั้งแต่ซี่แรก

หมอเตือน? 4 ผลร้าย หากพ่อแม่ดูแลฟันน้ำนมของลูกไม่ดี! 

5 พฤติกรรมผิดๆ ของเด็ก ที่ทำให้ “ฟันสบกัน” ผิดปกติ

 

    รวมดาราท้อง 2563

    รวมดาราท้อง 2563 นักแสดงสาว-ซุปตาร์ ยิ่งท้อง ยิ่งสวยขึ้น

    รวมดาราท้อง 2563 สวยเป๊ะปัง ยิ่งมีลูก ยิ่งสวยขึ้น

    รวมดาราท้อง 2563 เบบี๋ซุปตาร์เกิดกันเพียบ

    เป็นเรื่องดี ๆ ในปี 2563 ที่มีดารานักแสดงได้รับข่าวดี ตั้งครรภ์ซุปตาร์ตัวน้อย ให้บรรดาเอฟซีได้ชื่นชมในความน่ารักน่าชัง ทีมแม่ ABK จึงรวบรวมคุณแม่ดาราที่คลอดลูกในปี 2563 และคุณแม่ดาราที่กำลังตั้งครรภ์ มาฝากกันค่ะ

    1.คุณแม่เนย โชติกา

    หลังจากคลอด “พี่อคิณ” ลูกชายสุดน่ารักมาครองใจเอฟซี เมื่อวันที่ 2 เมษายน คุณแม่ เนย โชติกา มณีฉาย ก็ได้คลอดน้องลลิณ ลูกสาวหน้าตาจิ้มลิ้มออกมาดูโลก ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 คุณพ่อคุณแม่ถึงกับต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยลูกน้อยเป็นพิเศษ ตอนนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ยิ่งโตก็ยิ่งน่ารักกันทั้งครอบครัว

    คุณแม่เนย โชติกา รวมดาราท้อง 2563
    คุณแม่เนย โชติกา เครดิตภาพ : instagram.com/noeychotika

    2.คุณแม่ซาร่า มาลากุล เลน

    นักแสดงสาวคนสวย “ซาร่า มาลากุล เลน” ที่โกอินเตอร์และใช้ชีวิตคู่ร่วมกับสามีหนุ่ม แพทริค ก็เป็นคุณแม่อีกคนที่คลอดลูกน้อยในช่วงโควิด-19 โดยให้กำเนิดลูกชายในวันที่ 22 เมษายน มีชื่อว่า Zander ZiSheng Grove ซึ่งรูปที่ซาร่าได้โพสต์เมื่อเดือนกรกฎาคมว่า ลูกชายอายุได้ 100 วันแล้วนั้นเรียกยอดไลก์ให้กับความน่าเลิฟได้เพียบ

    คุณแม่ซาร่า มาลากุล เลน รวมดาราท้อง 2563
    คุณแม่ซาร่า มาลากุล เลน เครดิตภาพ : instagram.com/saramalakul

    3.คุณแม่กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์

    ไม่ปล่อยให้พี่สาวอย่าง น้องเป่าเปา หงอยเหงาอยู่คนเดียว คุณแม่ “กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์” จึงได้มอบของขวัญเป็นน้องสาวอย่างน้องเป่าเป้ย์ ด.ญ.ลาลิน่า ชี โดยคลอดออกมาในช่วงโควิด-19 วันที่ 8 พฤษภาคม แม้ว่าจะลุ้นการตรวจเชื้อโควิด แต่สุดท้ายครอบครัวนี้ก็ปลอดเชื้อ จนได้คลอดลูกสาวสุดน่ารักออกมา

    คุณแม่กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์ รวมดาราท้อง 2563
    คุณแม่กุ๊บกิ๊บ สุมณทิพย์ เครดิตภาพ : instagram.com/gggubgib36

    4.คุณแม่มะหมี่ นภคปภา

    ถัดจากวันคลอดของคุณแม่กุ๊บกิ๊บเพียงหนึ่งวัน คุณแม่มะหมี่ก็ได้โพสต์รูปลูกแฝดสุดน่ารัก โดยนักแสดงสาวชื่อดัง มะหมี่ นภคปภา นาคประสิทธิ์ ได้บินกลับมาจากเยอรมันพร้อมสามี เพื่อคลอดฝาแฝดตัวน้อยที่เมืองไทย แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีอาการครรภ์เป็นพิษในวันที่ผ่าคลอด แต่ฝาแฝดทั้งคู่ก็ปลอดภัยดี ส่วนชื่อของน้อง คนแรกชื่อ อเซีย คนที่สองชื่อ ซิณเฏียร์

    คุณแม่มะหมี่ นภคปภา รวมดาราท้อง 2563
    คุณแม่มะหมี่ นภคปภา เครดิตภาพ : instagram.com/napakpapha

    5.คุณแม่ใบเตย อาร์สยาม

    หลังวันแม่เพียง 1 วัน คุณแม่ลูกทุ่งชื่อดังสายแซ่บ ใบเตย-สุธีวัน ทวีสิน ได้ให้กำเนิดน้องเวทมนตร์ เด็กหญิงดั่งต้องมนตรา โดยได้ฤกษ์ผ่าคลอดในเวลา 12.19 น. วันที่ 13 สิงหาคม ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ความน่ารักน่าชัง ทำให้คุณพ่ออย่างดีเจแมน พัฒนพล หลงตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอหน้า เป็นมนตราของครอบครัวจริง ๆ

    คุณแม่ใบเตย อาร์สยาม รวมดาราท้อง 2563
    คุณแม่ใบเตย อาร์สยาม เครดิตภาพ : instagram.com/bitoeyrsiam

    6.คุณแม่แนท ณัฐชา

    นางเอกคนสวย แนท ณัฐชา (ลูกสาวของแหลม มอริสัน) ก็เพิ่งจะมีข่าวดีคลอด น้องเรมา เด็กชายรัฐชา นวลแจ่ม ไปด้วยการผ่าคลอด เวลา 07.59 น. ในวันที่ 16 กันยายน สมกับที่รอคอยมาตลอด 9 เดือน คุณพ่อนักแสดง เป๊ก รัฐภูมิ ไข่นาค ถึงกับยิ้มแก้มปริ เมื่อได้เจอหน้าลูกชายครั้งแรก

    คุณแม่แนท ณัฐชา รวมดาราท้อง 2563
    คุณแม่แนท ณัฐชา เครดิตภาพ : instagram.com/nat_nattasha

    7.คุณแม่อ้อน ลัคนา

    สองไอดอลคนดัง ดีเจสาว อ้อน ลัคนา หวงมณีรุ่งโรจน์ และอัลเบิร์ท เดมอน สมาชิกวง UHT ก็เป็นอีกคู่ที่ประกาศข่าวดีเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม หลังจากคู่รักคนดังได้ใช้ชีวิตร่วมกันมานานกว่า 6 ปี โดยเมื่อวันที่ 18 กันยายน คุณแม่อ้อนได้คลอดลูกสาวออกมา ตั้งชื่อว่า น้องเลอา หน้าตาน่ารักจริง ๆ

    คุณแม่อ้อน ลัคนา
    คุณแม่อ้อน ลัคนา เครดิตภาพ : instagram.com/aon_luckkana26

    8.คุณแม่เบนซ์ พรชิตา

    หลังจากมีลูกสาวน่ารัก ๆ น้องปริม-น้องปราง มาสร้างรอยยิ้มให้กับครอบครัว ล่าสุดคุณแม่เบนซ์ พรชิตา ก็ได้คลอดลูกชาย น้องเปรม ไปเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ่อมิค บรมวุฒิ ออกอาการตื่นเต้นที่ได้เจอหน้าลูกชายสมความตั้งใจ เติมเต็มความสุขให้กับครอบครัวหิรัณยัษฐิติ

    คุณแม่เบนซ์ พรชิตา
    คุณแม่เบนซ์ พรชิตา เครดิตภาพ : instagram.com/pornchita

    9.คุณแม่ใหม่ สุคนธวา

    ใกล้คลอดเต็มที คุณแม่นักแสดงสาวสุดแซ่บ ใหม่ สุคนธวา เกิดนิมิตร ที่ท้องมา 9 เดือนกว่า นับถอยหลังทุกวันอยากเจอหน้าลูกชายเร็ว ๆ ทั้งยังอัปเดตด้วยว่า แม้จะท้องได้ 9 เดือนแล้ว อาการแพ้ท้องก็ยังอยู่ ซ้ำยังมีอาการปวดทั้งตัว แต่แม่ยอมทรมาน ยอมเสียสละกว่านี้เพื่อความปลอดภัยของลูก ทางทีมแม่ ABK ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ใหม่ด้วยนะคะ

    คุณแม่ใหม่ สุคนธวา
    คุณแม่ใหม่ สุคนธวา เครดิตภาพ : instagram.com/maisukhon

    10.คุณแม่โอซา แวง

    นางแบบสาวคนสวย โอซา แวง ก็เตรียมพร้อมจะเป็นคุณแม่ โดยเจ้าตัวได้จดทะเบียนสมรสกับนักธุรกิจหนุ่มลูกครึ่งอเมริกัน-จีน ชื่อว่า จอน ลอร์ ขณะนี้คุณแม่คนสวยได้ตั้งครรภ์ 21 สัปดาห์แล้ว ทั้งยังดูสวย สดใส มากขึ้นทุก ๆ วันอีกด้วย

    คุณแม่โอซา แวง
    คุณแม่โอซา แวง เครดิตภาพ : instagram.com/ase_wang

    11.คุณแม่ริต้า ศรีริต้า

    เป็นอีกหนึ่งคนที่หุ่นแทบไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าจะตั้งครรภ์แล้ว นักแสดงสาวคนสวย ริต้า-ศรีริต้า เจนเซ่น โดยคุณแม่ริต้าก็ยังคงความฟิตเช่นเดิม เพิ่มเติมคือระมัดระวังมากขึ้น ทั้งยังมีคำแนะนำดี ๆ ด้านการออกกำลังกายสำหรับแม่ท้อง ใครสนใจตามไปดูกันได้

    คุณแม่ริต้า ศรีริต้า
    คุณแม่ริต้า ศรีริต้า เครดิตภาพ : instagram.com/sriritajensen 

    12.คุณแม่เทย่า โรเจอร์

    หลังจากแต่งงานกันไปเมื่อ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 นักแสดงสาว เทย่า โรเจอร์ ภรรยาของนักเตะ มิก้า ชูนวลศรี ก็ประกาศข่าวดีว่า กำลังตั้งครรภ์ลูกชาย โดยคุณแม่เทย่าได้อวดผิวสีแทน โชว์ท้องสวย ๆ ที่อายุครรภ์ 26 สัปดาห์ โพสต์ภาพลงไอจีเป็นประจำ เป็นคุณแม่อีกคนที่ยิ่งท้องยิ่งสวยจริง ๆ

    คุณแม่เทย่า โรเจอร์
    คุณแม่เทย่า โรเจอร์ เครดิตภาพ : instagram.com/tayastarling

    13.คุณแม่นาตาลี เดวิส

    คุณแม่ซุปตาร์อีกรายที่ตั้งครรภ์ในปี 2563 คุณแม่นาตาลี เดวิส ปัจจุบันอายุครรภ์ 25 สัปดาห์แล้ว หรือราว 6 เดือนกว่า ๆ ล่าสุดคุณแม่ได้อัปเดตว่า ตอนนี้ลูกชายที่คุณแม่เรียกว่า พี่ Ben น้ำหนัก 825 กรัม (เกินเกณฑ์มาประมาณ 200 กรัม) ส่วนคุณแม่เองความดันปกติ น้ำหนักขึ้นมา 8 กิโลกรัม ดูมีน้ำมีนวลกำลังสวย

    คุณแม่นาตาลี เดวิส
    คุณแม่นาตาลี เดวิส เครดิตภาพ : instagram.com/nathalie_davies 

    14.คุณแม่วิกกี้ สุนิสา

    ส่วนคุณแม่วิกกี้ สุนิสา ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง มาเป็นเพื่อนลูกชาย “น้องตฤณ” โดยประกาศข่าวดีในช่วงวันแม่ที่ผ่านมา ตอนนี้คุณแม่วิกกี้ท้องได้ 23 สัปดาห์แล้ว ความสวยเปล่งออกมาไม่หยุด แม้ว่าจะท้องลูกชายก็ไม่โทรมเลย ยิ่งสวยขึ้นทุก ๆ วัน

    คุณแม่วิกกี้ สุนิสา
    คุณแม่วิกกี้ สุนิสา เครดิตภาพ : instagram.com/sunisajett

    15.คุณแม่นาตาลี เจียรวนนท์

    หลังแต่งงานกันไปช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คู่รักคู่หวาน “นาตาลี เจียรวนนท์” กับสามี “ฟลุค เกริกพล” ก็ได้ออกมาบอกข่าวดีว่า กำลังจะมีทายาทแล้ว! โดยได้โพสต์ภาพอัลตราซาวด์ลูกในท้อง พร้อมแคปชั่นว่า Happiness is on the way! หนูน้อยมาแล้วค่ะ ตอนนี้คุณแม่คนสวยตั้งครรภ์ได้กว่า 4 เดือนแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ

    คุณแม่นาตาลี เจียรวนนท์
    คุณแม่นาตาลี เจียรวนนท์ เครดิตภาพ : instagram.com/lee_natalie

    16.คุณแม่เพชร นาระ

    ปิดท้ายด้วยคู่ฝาแฝด เพชร พลอย ที่ตั้งครรภ์ในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน เริ่มที่คุณแม่เพชร นาระ เอื้อทวีกุล คุณแม่ของสองหนุ่ม น้องชาร์วีกับน้องนาร์วาฬ ตอนนี้ได้มีทายาทเพิ่มและกำลังตั้งครรภ์ได้ 4 เดือนกว่าแล้ว อดใจรออีกไม่นาน น้องก็จะได้ออกมาเจอพี่ชายทั้งสอง

    คุณแม่เพชร นาระ
    คุณแม่เพชร นาระ เครดิตภาพ : instagram.com/petchnla

    17.คุณแม่พลอย รัตนรัตน์

    ด้านคุณแม่พลอย – รัตนรัตน์ เอื้อทวีกุล ก็กำลังท้องในช่วงเวลาเดียวกันกับฝาแฝดของตัวเอง นับวันรอเลยว่า อีกไม่นานจะมีเพื่อนเล่นให้กับ 2 ลูกชาย น้องตนและน้องตู เมื่อสมาชิกเพิ่มความสนุกก็ต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

    คุณแม่พลอย รัตนรัตน์
    คุณแม่พลอย รัตนรัตน์ เครดิตภาพ : instagram.com/ployaurthaveekul

    ทีมแม่ AKB ขอยินดีกับคุณแม่ซุปตาร์ทุกท่าน และเฝ้ารอนับวันอยากเห็นหน้าซุปตาร์ตัวน้อยเร็ว ๆ เช่นกันนะคะ

     

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

    อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

    รวม 16 ซุปตาร์ลูกดาราแต่ง ชุดฮาโลวีน + ชุดไทย ลอยกระทง น่ารักคูณ2

    4 ข้อควรคำนึง เล่นกับลูก ให้สนุก-ปลอดภัย ช่วยลูกมีพัฒนาการที่ดีได้

    ชื่อเล่นลูกดารา 100+ ไอเดียสำหรับตั้ง ชื่อเล่นลูก น่ารัก เก๋ๆ ไม่เหมือนใคร!

      เล่นกับลูก

      4 ข้อควรคำนึง เล่นกับลูก ให้สนุก-ปลอดภัย ช่วยลูกมีพัฒนาการที่ดีได้

      เล่นกับลูก นอกจากพ่อแม่ต้องคิดว่าจะเล่นแบบไหน ทำยังไงให้สนุกแล้ว เรื่องความปลอดภัยก็สำคัญ ทั้งความปลอดภัยกับลูกเอง และผู้ที่ร่วมเล่นด้วย!

      เล่นกับลูก ยังไงให้สนุก-ปลอดภัย
      ช่วยลูกมีพัฒนาการที่ดีได้

      การเล่น ถือเป็นเรื่องธรรมชาติของเด็ก และเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเด็ก ซึ่งประสบการณ์ที่ลูกได้รับจากการเล่นจะช่วยพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ตามมาได้ไปจนลูกโต ทั้งนี้สำหรับเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย ก็จะมีรูปแบบวิธีการเล่นที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่นอกเหนือจากวิธีการเล่น คือ เรื่องความปลอดภัยที่พ่อแม่ต้องคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่ว่าจะเป็นเล่นแบบไหนก็อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นอาจเกิดขึ้นได้กับตัวลูกเอง หรือ ผู้ที่ร่วมเล่นอยู่กับลูกด้วย

      เช่นเดียวกับ คุณแม่ “เจนสุดา ปานโต” ที่เผลอได้รับบาดเจ็บ หลังเล่นกับลูก “น้องควินน์” และ “น้องเควสท์” อยู่ดีๆ แต่กลับถูกลูกชายเอามือเข้าไปจกที่ลูกตา ทำให้ตาดำเป็นแผลยาวถึง 3 มิลลิเมตร ซึ่งล่าสุดคุณแม่เจนสุดา ก็ได้เล่าถึงเหตุการณ์วันนั้นให้ฟัง ในงานแถลงข่าวเปิดตัวรายการหนึ่ง ว่า …

      เหตุการณ์วันนั้น ตนเล่นกับลูกชายคนโตแล้วบังเอิญเขาเอามือมาจับที่ตาตามประสาเด็ก ด้วยความที่เขายังไม่ได้ตัดเล็บเลยทำให้เล็บไปข่วนที่ตาของตน วินาทีนั้นต้องบอกว่าเจ็บมาก เพราะลืมตาไม่ได้มันจะรู้สึกเคืองๆ ตลอดเวลา ตอนแรกคิดว่าคงจะหายไปเอง แต่พอตื่นมาอีกวันก็ยังปวดเหมือนเดิมเหมือนมีอะไรมาปักอยู่ที่ตา เลยตัดสินใจไปหาคุณหมอ

      เล่นกับลูก
      ขอบคุณภาพจาก : IG @janesuda

      หลังจากที่ไปหาหมอก็ทราบว่า “เป็นแผลที่ลูกตาดำ 3 มิลลิเมตร” วินาทีนั้นแอบตกใจว่าจะทำให้ถึงขั้นตาบอดหรือเปล่า แต่ทางคุณหมอไม่ได้บอกว่าจะอันตรายถึงขั้นตาบอด แต่แอบเป็นห่วงเล็กน้อยว่าถ้ามาช้ากว่านี้อาจจะส่งผลเสียต่อดวงตาได้

      ส่วนวิธีการรักษา คุณหมอเองได้ใช้วิธีการหยอดยาลงไปในบริเวณที่เป็นแผล พร้อมปิดตาให้สนิทประมาณ 1 สัปดาห์ก็หายเป็นปกติ ตอนนี้ก็ถือว่าไม่มีอาการปวด หรือผลข้างเคียงแต่อย่างใดแล้ว … ขณะที่ลูกชายเอง ไม่ได้ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เข้าใจตามประสาเด็ก ไม่โกรธ หรือโมโหลูก แต่จะระวังมากกว่าเดิมเวลา เล่นกับลูก เพราะตามพัฒนาการของลูกๆ ทั้งสอง เรียกว่าอยู่ในวัยที่ซน ตามประสาเด็กผู้ชาย

      ข้อควรคำนึงถึง เมื่อพ่อแม่ เล่นกับลูก

      อย่างไรก็ดี เพราะพ่อแม่นับเป็นเพื่อนเล่นคนแรกของลูกและเป็นเพื่อนเล่นที่ดีที่สุด ถือเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการเลือกของเล่นและชนิดของการเล่นแต่ละประเภทให้แก่ลูก ช่วยสอนวิธีการเล่นและแนะนำสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ลูก

      โดยมีการศึกษาค้นคว้าว่า “เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด มักเป็นเด็กที่มีผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในการเล่น” หมายความว่า .. พ่อแม่จะเป็นบุคคลที่ดีและสำคัญที่สุดที่จะเล่นกับลูก ยังรวมถึงญาติและคนอื่นๆ ที่มีส่วนร่วมในการเล่นกับลูก การเล่นยังสามารถสร้างบรรยากาศที่เพลิดเพลินและก่อให้เกิดความสนุกสนานและความอบอุ่นภายในบ้านได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่ควรกระทำระหว่างเล่นกับลูกคือ ให้คำชมเชย แสดงออกถึงความภาคภูมิใจ จะทำให้การเล่นของเด็กเกิดประโยชน์สูงที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่พ่อแม่ เล่นกับลูก ก็มีเรื่องที่พ่อแม่จำเป็นต้องนึกถึงและควรระวังอยู่เสมอ คือ

      1. ความปลอดภัย ตั้งแต่ของเล่น สถานที่ที่จะอนุญาตให้เด็กเล่น การร่วมเล่นของพ่อแม่ หรือการเล่นอย่างเสรี เด็กควรจะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีความสนใจและแสดง ความสามารถที่มีต่อการเล่น

      2. ความเหมาะสมต่อพัฒนาการตามวัย การเล่นต้องเหมาะกับระดับอายุและวัยของเด็ก เพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเด็กไม่ควรเล่นกับของเล่นที่มีระดับความยากที่มากหรือน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับวัยของเด็กเอง เพราะของเล่นที่ซับซ้อนและยากเกินความสามารถตามวัยของเด็กก็จะบั่นทอนกำลังใจและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในตัวเด็กเอง หรือหากมีระดับความง่ายจนเกินไปก็อาจจะทำให้การเล่นน่าเบื่อ เด็กขาดความสนใจ เกิดความรู้สึกว่าไม่ท้าทายความสามารถ ไม่เกิดแรงจูงใจในการเล่น จึงทำให้รู้สึกว่าการเล่นไม่ก่อให้เกิดความสนุกสนาน

      3. การจัดสิ่งแวดล้อม บรรยากาศที่สบายๆ มีการเลือกจัดมุมบริเวณสำหรับการเล่นจัดหมวดหมู่ให้เป็นระเบียบ มีระบบการจัดเก็บที่เป็นระเบียบ ก็จะทำให้เล่นได้อย่างสะดวก ปลอดภัย ยังส่งเสริมฝึกให้เด็กมีระเบียบวินัยและความรับผิดชอบ “ของเล่นที่ดีมีคุณภาพนั้นไม่ได้อยู่ที่ราคาแพง แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำของเล่นนั้นมาใช้ประโยชน์ได้มากน้อยเพียงใด”

      4. บุคคลที่เล่นกับลูกคือพ่อแม่ “พ่อแม่ควรเล่นกับลูก” ปฏิสัมพันธ์และสายใยรักที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดความผูกพัน รักใคร่ ซึมซับ และเกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครอบครัวด้วย ในเมื่อการเล่นต้องเหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก ดังนั้นพ่อแม่ที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กเป็นพื้นฐาน เพื่อช่วยประมาณและประเมินความสามารถของเด็กได้ว่ามีความพร้อมและวุฒิภาวะที่จะแสดงพฤติกรรมและเสนออะไรเบ้าง การเข้าใจระดับความสามารถของเด็กจะทำให้ “การเล่นเกิดประโยชน์สูงสุด” เด็กจะทำได้สำเร็จ เกิดความภาคภูมิใจ จะก่อผลดีต่อการพัฒนาบุคลิกภาพและพัฒนาการด้านอื่นๆ ตามมาเมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่


      ที่มาข้อมูลจาก : วงเดือน เดชะรินทร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย, http://www.healthtoday.net , www.rockingkidsthailand.comwww.amarintv.com

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

       อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

      7 กิจกรรมเล่นกับลูก ได้จินตนาการ เสริมพัฒนาการลูกดีทุกด้าน

      ผิดไหม? ลูกชายชอบเล่นตุ๊กตา ลูกสาวเล่นรถ พ่อแม่ควรทำไงดี!

      อยากรู้ไหม? คนที่ มีลูกชาย เขารู้สึกกันอย่างไร?

      25 เรื่องสุดว้าว คนมีลูกชาย ต้องรู้

        ผ่าคลอด น้ำนมมาช้ากว่าจริงหรือ

        คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

        ผ่าคลอด แล้วนมแม่ไม่มาจริงหรือ?มาหาคำตอบจากประสบการณ์คุณแม่สายผ่าว่านมแม่มาวันไหน ทำอย่างไร พร้อมความเห็นจากคุณหมอ มาร่วมรับฟังเพื่อช่วยลดความกังวลใจกันเถอะ

        คลอดลูกแบบ ผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

        เราเป็นคนหนึ่งที่เป็นคุณแม่สายผ่า(ผ่าคลอด) ก่อนตั้งครรภ์ และระหว่างตั้งครรภ์มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะคลอดลูกเองด้วยวิธีธรรมชาติ ทั้งดูแลรักษาน้ำหนักตัวให้ขึ้นตามเกณฑ์เพื่อที่ลูกจะได้ไม่มีน้ำหนักเกิน ตัวใหญ่ไปจนไม่สามารถคลอดเองได้ เรียกได้ว่าหาทุกข้อมูล ทำทุกวิธีทางเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดลูกเอง แต่เมื่อถึงวันเวลาคลอดจริง ๆ กลับผิดคาด เกิดปัญหาที่เราไม่สามารถคลอดเองได้หากฝืนต่อไปอาจเป็นอันตรายทั้งแม่และลูกได้ จึงต้องทำใจยอมรับการผ่าคลอด

        ซึ่งการคลอดท้องแรกของเราก็ผ่านพ้นไปด้วยดี โรงพยาบาลที่เราไปผ่าคลอดนั้น หลังจากคลอดแล้ว จะทำการนำเด็กไปอนุบาลในห้องปลอดเชื้อ ไม่ได้นำเด็กมาหาแม่ที่ห้องพักฟื้น ต้องให้แม่เป็นฝ่ายเดินไปหาลูกเองเพื่อให้นม เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้เราพยายามลุกนั่ง และเดินให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ไปเห็นหน้าลูก และเป้าหมายสำคัญเลยคือ การให้นมลูกด้วยนมแม่ แต่น้ำนมก็ยังไม่มาเสียที

        ตั้งใจคลอดเอง แต่ต้อง ผ่าคลอด
        ตั้งใจคลอดเอง แต่ต้อง ผ่าคลอด

        ผ่านไป 2 วัน ถึงเริ่มมีน้ำนมไหลออกมาเปื้อนเสื้อ แต่ในระหว่างที่รอน้ำนมนั้น ทั้งกลัว และกังวลคิดว่าลูกต้องหิวแน่ ๆ ยิ่งคิดยิ่งร้อนใจ แต่พยาบาลแจ้งให้ฟังว่า เด็กทารกแรกเกิดนั้นสามารถรอได้แม้ไม่ได้รับนม แต่ยังคงต้องให้ลูกดูดนมจากเต้าแม้จะไม่มีนมออกมาเพื่อเป็นการกระตุ้นให้น้ำนมไหล ยิ่งลูกหิว จะยิ่งดูดแรง ซึ่งเป็นการดีต่อการกระตุ้นน้ำนม แต่ถ้าหากกังวลเรื่องลูกหิวมาก พยาบาลจะป้อนนมผงชงจากช้อนให้ลูกกินเพียงเล็กน้อยไม่ให้อิ่ม เวลาอุ้มลูกเข้าเต้าบอกเลยว่านอกจากเพื่อให้ลูกดูดกระตุ้นน้ำนมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นได้อย่างดีในความรู้สึกของเรา นั่นคือ ความรู้สึกตื้นตันอิ่มใจ ผูกพันเวลาได้อุ้มเขา ยิ่งรู้สึกรักยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ที่เต้านม เหมือนกับเลือดมันสูบฉีดแรงขึ้นเวลาเราอุ้มลูกในอ้อมกอด และนี่คือประสบการณ์จากเราแม่ผ่าคลอด ที่ขอบอกว่าเป็นอีกหนึ่งเสียงที่จะบอกว่า การผ่าคลอดไม่ทำให้นมแม่มาช้า หรือไม่มีให้ลูกกิน ดังนั้นอย่าพึ่งท้อใจ หรือคิดไปเองว่าจะไม่สามารถให้นมแม่แก่ลูกได้ ถ้าคุณคลอดด้วยวิธีผ่าคลอด

        เรื่องเล่าประสบการณ์จริงจากคุณแม่สมาชิกทีม ABK

        คลอดด้วยการผ่าคลอด นมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ?

        ข้อมูลเพิ่มเติมที่ช่วยสนับสนุนคำตอบ จากประสบการณ์ของคุณแม่ข้างต้น จึงได้ขอหยิบยกข้อมูลอ้างอิงจากนำคำแนะนำของ คุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ที่ได้ให้ไว้เป็นความรู้แก่แม่ ๆ ในเพจ FB:สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ เรื่อง การผ่าตัดคลอดลูก น้ำนมแม่มาช้ากว่าคลอดเองจริงหรือ โดยขอสรุปความเห็นของคุณหมอ และประสบการณ์ของแม่ผ่าคลอดที่ได้แชร์ไว้ให้อ่านกัน เป็นประเด็นต่าง ๆ ไว้ ดังนี้

        แม่ผ่าคลอด มักไม่มีน้ำนมให้ลูกกิน?

        วิธีการคลอดไม่เกี่ยวกับการไม่มีนมแม่ เพราะร่างกายของแม่ทุกคนจะถูกสร้างให้ผลิตน้ำนมเพื่อลูกน้อยอยู่แล้ว แต่อาจมีบางกรณีที่ทำให้ไม่สามารถให้นมลูกได้ เช่น มีปัญหาหัวนมบอดขั้นรุนแรง เป็นต้น

        ผ่าคลอด จะมีน้ำนมให้ลูกไหม?
        ผ่าคลอด จะมีน้ำนมให้ลูกไหม?

        น้ำนมแม่ผ่าคลอดมาช้ากว่าแม่คลอดเอง?

        น้ำนมแม่มาช้าหรือเร็ว ขึ้นกับระยะเวลาที่แม่ได้รับการดูดกระตุ้นจากลูก โดยคุณหมอได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมไว้ว่า แม่ผ่าคลอดส่วนใหญ่โรงพยาบาลจะเลือกให้แม่พักฟื้นก่อน ที่จะให้ลูกเข้าเต้าโดยเร็ว หากแม่ได้รับการให้ลูกดูดกระตุ้นภายใน 1 ชม.หลังคลอด โอกาสที่น้ำนมจะมาเร็วเท่า ๆ กับคุณแม่คลอดเองเลย

        ส่วนใหญ่แม่ผ่าคลอดนมแม่จะไหลกันหลังคลอดประมาณกี่วัน?

        จากประสบการณ์ของแม่ผ่าคลอดที่ได้ร่วมพูดคุย ส่วนใหญ่จะมีน้ำนมกันประมาณ 1-4 วัน โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมประกอบด้วย เช่น ความเครียด อาหารที่รับประทาน และการกระตุ้นจากลูก หรือถ้าหากใช้เครื่องปั๊มนมในการช่วยกระตุ้น ก็มีคำแนะนำจากคุณหมอว่า “ช่วงแรกที่คลอด ควรเน้นให้ลูกดูดเต้า และ เนื่องจากลูกจะขอดูดบ่อยมาก แทบจะไม่เหลือเวลาพักผ่อนแล้ว จึงไม่ควรเจียด หรือ แบ่งเวลาไปปั๊มนม ยกเว้นว่า มีเวลาเหลือจากการพักผ่อนนอนหลับแล้วจริงๆ จึงเริ่มปั๊มนมได้ ”

        ถ้านมแม่ยังไม่มาจะทำอย่างไร ลูกจะหิวไหม?

        อย่าพึ่งรีบป้อนนมผงชงแก่ลูก ด้วยเพราะบางครั้งเรากลัวลูกหิว จึงทำให้ถอดใจยอมให้ลูกกินนมผงชงในตอนที่น้ำนมยังไม่มา แต่รู้ไหมว่าหากลูกอิ่มแล้ว เขาจะไม่ยอมดูดเวลาเข้าเต้า ซึ่งส่วนมากเด็กจะหลับ ทำให้การกระตุ้นน้ำนมไม่ดี น้ำนมแม่ก็จะมาช้า หรืออาจไม่มาเลยก็เป็นได้ คุณหมอได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า ทารกแรกเกิดปกติสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีอันตราย ให้เรานำลูกมาเข้าเต้าบ่อย ๆ  ไม่ต้องเสริมนมผง ยกเว้นว่ามีปัญหาน้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 10% ของน้ำหนักแรกเกิด จึงค่อยเสริม

        ใช้เครื่องปั๊มนมกระตุ้นช่วยแล้ว นมออกมาเป็นเลือดแสดงว่าเราเป็นแม่ที่ไม่มีน้ำนมให้ลูกกินจริงหรือ?

        การที่แม่บางคนที่ใช้เครื่องปั๊มนมช่วงแรกแล้วออกเป็นเลือดนั้น ไม่ใช่ว่าเกิดจากการที่เราไม่มีน้ำนมแต่อาจเกิดจากการปั๊มไม่ถูกวิธี หรือการดูดเข้าเต้าของลูกผิดวิธี เพื่อเป็นการป้องกันไม่มีเลือดออก ควรใช้แรงปั๊มและขนาดกรวยปั๊มที่เหมาะสม การที่มีเลือดออก นอกจากเป็นจากแรงปั๊มที่มากเกินไป ก็อาจเกิดจากแผลที่หัวนมเพราะดูดท่าผิด หรือ ลูกมีพังผืดใต้ลิ้น ซึ่งหากเป็นอาการหลังควรปรึกษาแพทย์ทำการรักษาต่อไป

        แม่หลัง ผ่าคลอด แล้วให้ลูกดูดนมได้เลย
        แม่หลัง ผ่าคลอด แล้วให้ลูกดูดนมได้เลย

        หากยังเจ็บแผลผ่าคลอด จะให้ลูกเข้าเต้าดูดกระตุ้นน้ำนมได้อย่างไร?

        คุณหมอได้แนะนำว่า หากแม่ยังรู้สึกเหนื่อย ไม่ฟื้นดีจากการผ่าคลอด สามารถให้นมลูกในท่านอนตะแครง แล้วให้ลูกเข้าเต้าได้ ก็จะช่วยให้ทั้งแม่ได้พัก และลูกได้ดูดนมกระตุ้นน้ำนมแม่ ยิ่งเข้าเต้าเร็วยิ่งทำให้น้ำนมแม่มาเร็วด้วยนะ

        สังเกตอย่างไรว่าน้ำนมแม่นั้นมีมากพอความต้องการของลูก?

        การดูว่าน้ำนมแม่เพียงพอกับความต้องการของลูกนั้น ดูจากการนับการขับถ่ายของลูก ถ้าลูกอึครบ 2 ครั้ง/วัน หรือ ฉี่ครบ 6 ครั้ง/วัน ในทารกแรกเกิดก็ถือว่าลูกได้รับน้ำนมเพียงพอแล้ว

        วิธีนำลูกเข้าเต้าเพื่อให้ลูกอมงับลานนม

        ถ้าเมื่อไรที่คุณแม่รู้สึกเจ็บหัวนมเวลาให้ลูกดูด แสดงว่าวิธีเอาลูกเข้าเต้าไม่ถูกต้อง จะทำให้น้ำนมไหลเข้าปากลูกได้น้อย และอาจทำให้แม่เกิดแผลได้

        (ถ้าใช้ท่าอุ้มขวางตักแบบประยุกต์ จะช่วยให้ลูกเข้าเต้าได้ดี)

        – ใช้มือประคองเต้านม โดยให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านบน เหนือขอบนอกของลานหัวนม ส่วนนิ้วที่เหลือประคองเต้านมด้านล่าง (ไม่ควรใช้ท่าแบบนิ้วคีบบุหรี่ เพราะช่องว่างระหว่างนิ้วจะแคบ ทำให้ลูกอมได้ไม่ลึกพอ และนิ้วอาจจะกดบริเวณท่อน้ำนม ทำให้น้ำนมไหลไม่ดี)

        – อุ้มลูกโดยใช้มืออีกข้างประคองที่ต้นคอและท้ายทอย (ไม่กดที่ใบหู) ลูกเงยหน้าเล็กน้อย เคลื่อนลูกเข้ามาโดยให้คางของลูกเข้ามาชิดกับเต้านมส่วนล่าง (สังเกตว่าจังหวะนี้จมูกของลูกจะอยู่ตรงกับหัวนมแม่) ลูกก็จะเริ่มอ้าปาก ถ้าลูกไม่อ้าปาก ให้ใช้หัวนมเขี่ยริมฝีปากล่างของลูกเบาๆ เพื่อกระตุ้นให้ลูกอ้าปาก

        ท่านอนตะแครงให้นมลูก
        ท่านอนตะแครงให้นมลูก

        – รอจนลูกอ้าปากกว้าง (เหมือนหาว) จึงเคลื่อนศีรษะลูกเข้าหาเต้านมอย่างรวดเร็วแต่นุ่มนวลก่อนที่ลูกจะเริ่มหุบปากลง จะไม่ใช้วิธีโน้มตัวแม่เพื่อนำเต้านมเข้าหาลูก

        – ให้ลูกอมงับถึงลานนม โดยให้อมลานนมส่วนล่างมากกว่าลานนมส่วนบน ให้คางลูกแนบชิดกับเต้านมส่วนล่าง วิธีนี้จะช่วยให้ลิ้นของลูกยื่นออกมารีดน้ำนมจากเต้าแม่ได้ดีขึ้น และจมูกของลูกจะอยู่ห่างออกจากเต้าแม่เล็กน้อย คุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะหายใจไม่สะดวก
        การอุ้มลูกเข้าเต้าอย่างถูกต้อง นอกจากจะช่วยให้แม่ไม่เจ็บหัวนมแล้ว ยังทำให้ลูกดูดนมแม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

        วิธีสังเกต…ลูกอมงับลานนมได้ดีแล้วหรือยัง

        หากคุณแม่ไม่มั่นใจว่าจัดท่าให้นมลูกได้ถูกต้องหรือไม่ ให้สังเกตง่ายๆ ในขณะที่ลูกเข้าเต้าได้แล้ว (เมื่อมองจากด้านบนลงไป) ดังนี้

        1. ลูกอมลานนมด้านล่างได้มากกว่าด้านบน ซึ่งจะสังเกตเห็นว่ายังมองเห็นลานนมด้านบน ในขณะที่ลานนมด้านล่างถูกปากลูกอมจนมิดหรือเกือบมิด
        2. ปากลูกอ้ากว้างแนบสนิทกับเต้านมแม่
        3. ริมฝีปากล่างบานออกเหมือนปากปลา
        4. คางลูกต้องแนบชิดเต้านมแม่

        คุณแม่บางคนจะใช้นิ้วกดที่เต้านมบริเวณใกล้จมูกของลูก เพราะเกรงว่าลูกจะหายใจไม่ออก แต่โดยธรรมชาติของเด็ก ปีกจมูกจะบานออก เต้านมของแม่จะไม่ปิดช่องหายใจ ลูกจะหายใจได้ (ยกเว้นแม่ที่เต้านมใหญ่มาก) ซึ่งคุณแม่จะสังเกตได้จากการที่ลูกยังดูดนมได้ การใช้นิ้วกดเช่นนั้น จะทำให้ปากลูกอมได้ไม่ลึกพอ เหงือกของลูกจะไปกดที่หัวนม และลิ้นของลูกก็จะถูไปมาที่บริเวณหัวนม ทำให้หัวนมเจ็บและแตกได้

        ข้อมูลอ้างอิงการนำลูกเข้าเต้าจาก มูลนิธิศูนย์นมแม่

        อ่านต่อ  หลัก 3 ดูด + เข้าเต้า สูตรเด็ดให้นมแม่ได้สำเร็จและยาวนาน

        ของฝาก…เพื่อแม่ผู้แน่วแน่ในเรื่องนมแม่

        สำหรับแม่ทุกคนนั้น สิ่งสำคัญอย่างแรกเลย คือ การได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกน้อย การให้ลูกได้รับนมแม่ถือเป็นความตั้งใจแน่วแน่ของแม่หลาย ๆ คน วิธีหนึ่งที่เป็นวิธีช่วยในการกระตุ้นร่างกายให้สร้างน้ำนม นอกเหนือจากอาหารการกิน ความเครียดแล้ว การกระตุ้นน้ำนมด้วยการนวดเต้านม ก็เป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนม โดยการกระตุ้นท่อน้ำนมในต่อมน้ำนม

        วิธีเตรียมตัว

                    ง่าย ๆ ก่อนการนวด คือล้างมือให้สะอาดใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเต้านมก่อนประมาณ 1-3 นาที แล้วจึงนวดคลึงเต้านมอย่างนุ่มนวลเพื่อเรียกน้ำนมตามท่าต่าง ๆ

        นวดกระตุ้นน้ำนมช่วยได้
        นวดกระตุ้นน้ำนมช่วยได้

        น้ำนมแม่เพิ่มได้ใน 6 ขั้นตอน

        1. ผีเสื้อขยับปีก (Butterfly stroke) วางมือตามภาพที่เต้านมด้านในนิ้วชิดกัน  นวดจากเต้าด้านในออกไปด้านนอกในลักษณะหมุนวน
        2. หมุนวนปลายนิ้ว (Fingertip circles) ใช้อุ้งมือรองเต้านม ส่วนปลายนิ้วทั้ง 4 ของอีกมือ วางเหนือลานนม แล้วนวด หมุนไปรอบๆ ทำซ้ำ  5 รอบ
        3. ประกายเพชร (Diamond stroke) ใช้ฝ่ามือวางทาบลงเต้านม  จากนั้นบีบมือทั้ง 2 เข้าหากันพร้อม ๆ กับเลื่อนมือลงไปที่ลานนมทำสลับขึ้นลง
        4. กระตุ้นท่อน้ำนม(Acupressure point I ) ยกมือ  แล้วใช้นิ้วชี้วางบริเวณเหนือลานนมหนึ่งข้อนิ้วแล้วกดนิ้วชี้พร้อมกับวนที่ปลายนิ้วในตำแหน่งเดียวกัน
        5. เปิดท่อน้ำนม (Acupressure point IIX)โดยใช้สามนิ้วของมือข้างขวาวางทาบเหนือลานนมแล้วใช้สามนิ้วของมือซ้ายวางทาบต่อจากนิ้วสุดท้ายของมือขวา จะได้ตำแหน่งการวางของนิ้วชี้ข้างซ้าย แล้วจึงกดและหมุนวนลงในตำแหน่งที่วัดได้คลายและกด ทำซ้ำ 5 ครั้ง
        6. พร้อมบีบน้ำนม ในขั้นตอนสุดท้ายต้องทำให้ครบทั้ง 4 ท่า โดยทุกขั้นตอนต้องไม่สัมผัสถูกหัวนม
        • ใช้อุ้งมือขวาประคองเต้าแล้วใช้นิ้วชี้ข้างซ้ายกดหมุนวนไปโดยรอบลานนม
        • วางนิ้ว มือขวาเต้าขวาแล้วกดนิ้วเข้าหากันพร้อมกับคลึงไปมาอย่างนุ่มนวล
        • ใช้เฉพาะนิ้วชี้ วางนาบลงที่ขอบลานนมทั้งสองข้าง กดนิ้วทั้งสองเข้าหากันในลักษณะบีบ-คลายสลับกัน
        • วางนิ้ว มือขวาวางเต้าซ้ายแล้วกดนิ้วเข้ากันในลักษณะ บีบ-คลายสลับกัน  เพื่อบีบน้ำนมในขั้นสุดท้าย

        ข้อห้ามในการนวดเต้านม

               -ผู้ที่เต้านมอักเสบ ติดเชื้อ ปวดบวม  แดงร้อน  จะทำให้อักเสบเพิ่มขึ้น

               -เป็นโรคผิวหนัง  เพราะจะทำให้เชื้อแพร่กระจาย

               -มีบาดแผลบริเวณเต้านม

        อย่างที่ทราบกันดีว่า นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดของลูกน้อย นอกจากให้สารอาหารที่ดีมีประโยชน์แล้ว ยังมีภูมิคุ้มกันแก่ลูกวัยทารกไม่ให้เจ็บป่วยได้ง่ายอีกด้วย ดังนั้นการที่คุณแม่มุ่งมั่นตั้งใจที่จะให้ลูกได้ทานนมแม่นั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม และคิดว่าประสบการณ์ และความรู้ต่าง ๆ ที่นำมาให้ในครั้งนี้นั้น คงทำให้คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ทั้งหลายสบายใจได้ว่า แม้เราอาจจะต้องคลอดด้วยวิธีผ่าคลอด แต่ก็ไม่ได้ทำให้น้ำนมแม่นั้นลดน้อย หรือหดไม่มีแต่อย่างใด

        ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงเรื่องการนวดเต้านมจาก รพ.วิภาวดี

        อ่านต่อ 9 ผลไม้เพิ่มน้ำนม แม่หลังคลอดน้ำนมน้อยต้องกิน

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19

          ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19 อันตราย! WHO เตือนคนท้อง-เด็กเล็ก ยิ่งต้องระวัง

          WHO เตือนให้ระวัง ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19 โดยเฉพาะแม่ตั้งครรภ์ หรือพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกเล็ก ยิ่งต้องระวังให้มาก

          ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19

          โควิดยังไม่หาย ไข้หวัดใหญ่ก็จะมา อันตรายทั่วโลกที่องค์กรอนามัยโลก (WHO) ต้องออกมาเตือน โดยสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า คณะผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ย้ำเตือนถึงอันตรายของโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและสตรีมีครรภ์

          มาเรีย แวน เคิร์กโฮฟ หัวหน้าฝ่ายเทคนิคประจำโครงการภาวะฉุกเฉินทางสุขภาพขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ในปีนี้ก็ใกล้ถึงฤดูกาลของไข้หวัดใหญ่ โดยที่ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่า ไข้หวัดใหญ่ในปีนี้จะเป็นอย่างไร แต่ก็มีการเฝ้าระวังอย่างจริงจัง แม้ว่าปัจจุบันยังเป็นช่วงการเกิดการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส 2019 (โควิด-19) จึงแนะนำให้กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ประจำปี

          ด้านหัวหน้าฝ่ายการจัดการทางคลินิก “เจเน็ต ดิอาซ” ก็เห็นด้วย พร้อมทั้งย้ำถึงการเฝ้าระวังเพื่อรับมือไข้หวัดใหญ่ในปีนี้ เพราะอาการของโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 แม้ว่าจะคล้ายคลึงกันแต่ก็แตกต่างและสามารถแบ่งแยกทั้ง 2 โรคนี้ออกจากกันได้ โดยต้องคอยตรวจเช็คดูว่า ไข้หวัดใหญ่เริ่มระบาดในชุมชนตอนไหน จึงจะวินิจฉัยแยกโรคโดยอิงข้อมูลความแตกต่างระหว่างทั้งสองโรค

          ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19
          ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19

          “ในเด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ แต่ไม่แสดงอาการป่วยหนักจากโควิด-19″ ดิอาซ กล่าวและเน้นย้ำถึงการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดก่อนการรักษา โดยเฉพาะหากผู้ป่วยมีอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจรุนแรง เพราะโรคสองโรคนี้ใช้วิธีรักษาที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ การใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroid) ซึ่งใช้รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพื่อลดความเสี่ยงการเสียชีวิตและลดความรุนแรงของโรค แต่การใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ อาจทำให้เชื้อไวรัสเติบโตและเพิ่มจำนวนมากขึ้นได้

          สำหรับอาการของไขัหวัดใหญ่และโควิด-19 ถึงแม้ว่าจะมีอาการคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีที่แตกต่างกันเป็นจุดที่พอจะสังเกตได้ คนท้องหรือพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก จึงต้องหมั่นสังเกตอาการให้ดี

          ความแตกต่าง ไข้หวัดใหญ่ Vs โควิด-19

          โรคไข้หวัดใหญ่

          ไข้หวัดใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) แบ่งออกเป็น 1.ไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่พบกันมานานแล้ว อาการมักจะไม่รุนแรง 2.ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่พบปะปนกับสายพันธุ์ต่าง ๆ ทั่วไป

          อาการสำคัญของไข้หวัดใหญ่

          สำหรับข้อแตกต่างระหว่างอาการของไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 คือ มักจะไม่มีอาการทางเดินหายใจส่วนล่าง ไม่มีอาการหายใจลำบาก และไม่มีอาการแน่นหน้าอก

          โรคโควิด-19

          การติดเชื้อโควิด-19 บางคนอาจมีอาการรุนแรงไม่มาก มีลักษณะเหมือนไข้หวัดทั่วไป ขณะที่บางคนมีอาการรุนแรงมากทำให้เกิดปอดอักเสบได้

          อาการสำคัญของผู้ป่วยโรคโควิด-19

          • อาการไข้
          • รู้สึกเมื่อยล้า
          • มีอาการไอแห้ง ๆ
          • หายใจได้ลำบาก
          • บางครั้งอาจมีอาการเจ็บคอ
          ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19
          ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19

          ระวังติดเชื้อโควิดพร้อมไข้หวัดใหญ่

          ข้อมูลจากโรงพยาบาลเพชรเวช เปิดเผยว่า จากการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีนพบว่า ผู้ที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 จะทำให้มีโอกาสเสี่ยงในการได้รับเชื้ออื่น ๆ ถึง 20-80 % และการติดเชื้อร่วมกันกับโควิด-19 หากเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ จะมีโอกาสทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการติดเชื้อร่วมกันนั้นเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตมากถึง 29-55 %

          ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่มากกว่าโควิด-19 ถึง 33 เท่า พบผู้เสียชีวิตสูงถึง 2% ทั่วโลก และมักพบผู้ป่วยในช่วงฤดูฝนตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กันยายน แต่ในปี 2563 พบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่มากในเดือนมกราคม และมีแนวโน้มลดลงในเดือนเมษายน เพราะเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อ โควิด-19 ทำให้คนหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพ

          วิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และโควิด-19

          1. สวมหน้ากากอนามัย
          2. หมั่นล้างมือบ่อย ๆ
          3. หลีกเลี่ยงสถานที่ผู้คนแออัด
          4. เว้นระยะห่างจากบุคคลอื่นขั้นต่ำ 2 เมตร
          5. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2020
          ไข้หวัดใหญ่ ช่วงโควิด-19
          ไข้หวัดใหญ่ต้องระวังในช่วงโควิด

          เริ่มต้นด้วยการดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อหนีห่างจากโรคร้ายทั้งไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 และหมั่นสังเกตร่างกายของตัวเองให้ดี หากพบว่ามีไข้อย่านิ่งนอนใจ เพราะอาจเกิดโรคร้ายได้ โดยเฉพาะผู้หญิงตั้งครรภ์ และพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องระวังลูกเล็ก

          อ้างอิงข้อมูล : newtv, dmh, xinhuathai และ petcharavejhospital

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

          อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

          เบตาดีน วิจัยพบสามารถฆ่าเชื้อโควิด-19

          แม่ต้องระวัง! โรคแทรกซ้อนโควิด-19 ในเด็ก ทำลูกป่วยหนัก

          โรคหัดเยอรมัน อันตราย ที่คนท้องต้องระวัง ควรฉีดวัคซีนก่อนท้องนานแค่ไหน

            เลี้ยงลูกให้สุขภาพดี

            เลี้ยงลูกให้สุขภาพดี อย่ามีขนมห่อในบ้าน (เยอะนัก) โดยพ่อเอก

            เลี้ยงลูกให้มีสุขภาพดี ไม่ใช่เลี้ยงให้โตไวโตเร็ว แต่ควรเลี้ยงลูกให้โตตามวัย มีพัฒนาการสมวัย โดยเรื่องอาหารการกินเป็นสิ่งสำคัญ คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกวินัยการทานอาหารให้ลูกทั้งมื้อหลักและของว่าง

            ครอบครัวเราจะพาลูกไปพบคุณหมอพัฒนาการเพื่อดูพัฒนาการด้านร่างกายเป็นประจำ ซึ่งคุณหมอจะนัดเราทุก 2-3 เดือน เหตุผลที่เราพาไปก็เพราะ อย่างที่คุณพ่อคุณแม่อาจจะได้อ่านผ่านๆ ตากันมาว่า อาหารในปัจจุบันมันเต็มไปด้วยสารปรุงแต่ง ไปจนกระทั่งฮอร์โมนต่างๆ ที่ฉีดเข้าไปในสัตว์ มันมีผลต่อการเติบโตของเด็กๆ ดังนั้นการที่เรามองด้วยสายตาว่าลูกเราโตเร็วแล้วดี อาจจะไม่ใช่ความเข้าใจที่ถูกต้อง การที่เราได้เห็นลูกเราโตพรวดๆ เร็วกว่าเพื่อนบางครั้งอาจจะไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะการที่เด็กโตเร็วกว่าเพื่อนๆ ก็อาจจะหมายถึงการจะหยุดเติบโตเร็วกว่าเด็กคนอื่นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตจากการทานอาหารที่มีสารเจือปน เราคงได้เคยอ่านข่าวหรือเจอกับคนใกล้ตัวเรื่องเด็กหญิงที่เป็นสาวเร็วกว่าปกติ เช่น หน้าอกขึ้นเร็ว หรือ ประจำเดือนมาก่อนวัย สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณของการโตก่อนวัยทั้งสิ้น

            การที่เราได้ไปพบคุณหมอ คุณหมอจะมีการ x-ray กระดูกมือ ซึ่งจะเป็นตัวบอกว่า เด็กโตตามวัย หรือ เร็วช้าเกินไป ซึ่งจะช่วยให้คุณหมอให้คำแนะนำในเรื่องการจัดการกินให้กับลูกได้ อาจจะมีวิตามินต่างๆ ประกอบเพิ่มมาให้ รวมไปถึงการใช้ชีวิตที่ช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างสมวัย

            เลี้ยงลูกให้สุขภาพดี อย่ามีขนมห่อในบ้าน (เยอะนัก)

            ครั้งแรกที่ปูนปั้นกับปั้นแป้งไปพบคุณหมอ ผลการ x-ray ออกมาว่า ปูนปั้น โตตามวัยแต่อยู่ใน range ใกล้ขอบล่าง ในขณะที่ ปั้นแป้งโตตามวัยแต่อยู่ขอบบนของ range คุณหมอก็ได้ให้คำแนะนำ เรื่องระเบียบวินัยในการทานอาหารทั้งมื้อหลักและของว่าง เช่น

            • Do – ในมื้อหลัก ให้ทาน 30 นาที ไม่หมดให้เลิกแล้วเก็บเลย (อันนี้เราทำอยู่แล้ว เพราะคุณหมอประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ เป็นหนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณในการเลี้ยงลูกของเราได้แนะนำไว้ ฮ่าฮ่าฮ่า และเราเคยเขียนถึงเรื่องนี้ไว้เช่นกัน แชร์ประสบการณ์ ฝึกวินัยการกินให้ลูก กินข้าวตรงเวลา โดยพ่อเอก) และถ้าหากทานไม่หมด ในระหว่างมื้อต่อไป อย่าให้ทานอะไร นอกจากดื่มน้ำ เหตุผลคือ เขาจะได้หิว แล้วมื้อต่อไปจะได้ทานเร็ว ทานง่ายและมันจะวนเป็นลูปที่ถูกต้อง แต่หากเราปล่อยยื้อทานไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมงจนกว่าจะทานหมด ไม่เก็บขึ้น ผลคือมื้อต่อไปลูกก็จะทานช้าแบบนั้นไปเรื่อยๆ ซึ่งการอมข้าวมันส่งผลกับสุขภาพฟันไปจนถึงระบบการย่อยอาหาร หรือ หากเขาทานข้าวไม่หมดเราเก็บขึ้น แต่ระหว่างมื้อเราให้ทาน นม ขนม ผลคือมื้อต่อไปเขาก็ไม่หิว แถมเขาไม่สนใจต้องทานข้าวให้หมด เพราะหิวก็กินขนม ดื่มนม แล้วลูบแบบนี้ก็จะวนไปเรื่อยๆ
            • Don’t – ไม่ให้ทานขนมห่อ ไอศครีม น้ำหวาน ขนมกรุบกรอบ เราทราบว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากได้ลองทำแบบมีระเบียบวินัยแล้วเราจะพบว่า เด็กเองอาจจะไม่ใช่คนที่เรียกร้องขนาดนั้น แต่ไม่ใช่น้อยเลยที่ผู้ใหญ่เป็นผู้ที่อยากเอาใจเด็กๆ ผ่านขนมพวกนี้ หรือแม้ว่าเด็กจะเรียกร้องเอง แต่หากได้อธิบายให้เห็นผลร้ายแล้วเด็กก็จะเข้าใจ (ตรงนี้หนังสือนิทานหลายๆ เรื่องช่วยได้ รวมไปถึงคุณหมอเองที่อธิบายให้ลูกฟัง ก็ช่วยให้เด็กคิดตามไม่น้อย) ซึ่งพอทำไปได้สักพัก เราจะได้ยินคำพูดที่เด็กๆ กล่าวปฏิเสธขนมเอง เช่น ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในหมู่บ้านให้ทอฟฟี่ปูนปั้นมา แม้พี่ปูนปั้นจะตอบปฏิเสธ แต่ท่านก็คะยั้นคะยอ ในที่สุดปูนปั้นก็รับมาแล้วก็วางทิ้งไว้บนโต๊ะ ไม่ทาน พอปั้นแป้งเดินมาเห็นก็บอกหม่ามี้ว่า “หม่ามี้ขา อันนี้น้ำตาลมันเยอะนะคะ วันหลังหม่ามี้บอกเขาว่าลูกชายไม่กินค่ะเพราะน้ำตาลมันเยอะ” (เรียกรอยยิ้มและเสียงฮาจากหม่ามี้ได้เลย) และนอกจากไม่กินขนมจุบจิบบ่อยๆ (ไม่ทานเลย คงเป็นไปไม่ได้) จะไม่เห็นเด็กบ้านนี้ดื่มน้ำอัดลมเด็ดขาด ไม่เคยอยากลองด้วย

            เมื่อเราทำตามที่คุณหมอแนะนำ ทั้งดูแลการทานอาหาร ไม่ให้ทานของจุบจิบ (เวลาคุณยายซื้อขนมจุบจิบเข้าบ้าน เราจะถามเลย ว่าแม่ซื้อมาให้ใครทาน ถ้าแม่จะทานเอาไปไว้ที่หลบตา ถ้าแม่จะให้หลาน ช่วยเอาไปให้คนอื่นแทนเลย เพราะเราไม่อยากให้ลูกทาน), ดื่มนมสม่ำเสมอ (เสาร์ อาทิตย์ ออกไปไหนก็พกไป ตามจำนวนที่ต้องดื่มกลับมาต้องเกลี้ยงตามนั้น) และ ออกกำลังกายตามที่คุณหมอแนะนำและให้ลูกเลือกเอง (ลูกเราว่ายน้ำและเล่นยิมทุกสัปดาห์) ผลคือ ปูนปั้นและปั้นแป้งยืดขึ้นมาก โดยเราเองอยู่กับเขาตลอดอาจจะไม่สังเกตอะไร แต่เมื่อไหร่ที่เจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมา 2-3 เดือนก็ได้รับฟีดแบ็คว่าเติบโตขึ้น และก็ทำให้หลายๆ ครอบครัวไปพบคุณหมอ เช่นกัน

            เด็กอ้วน

            แต่แม้ว่าเราไม่มีเวลาพาลูกไปพบคุณหมอสิ่งที่เราแบ่งปันประสบการณ์ก็หวังว่า แต่ละครอบครัวจะไปลองปรับใช้ในการเลี้ยงลูกกัน โดยเฉพาะอย่างในการลดขนมเด็ก เพราะนี่คือสาเหตุหลักของโรคอ้วนในเด็กเลย เพราะเด็กอ้วนจากการทานอาหารที่ดีๆนั้น ไม่น่ากลัวเท่าอ้วนจากการทานขนม และน้ำตาล

            • สอนให้เด็กดูปริมาณน้ำตาล บนห่อขนมต่างๆ เปรียบเทียบให้เขาเห็นว่าอันไหนน้ำตาลสูงเกินไป ไม่ควรทาน สอนให้เขาเข้าใจ และในการเลือกซื้อให้เขาหัดตัดสินใจเอง
            • ให้เห็นที่มาของขนมหลายๆอย่าง เช่น เยลลี่ที่เด็กชอบมีที่มาจากเจลลาตินที่มาจากผิวหนังสัตว์ หลังจากที่รู้แล้ว ปูนปั้น กับ ปั้นแป้ง แทบจะเลิกเยลลี่ไปเลย
            • ให้เด็กทานขนมได้บ้าง แต่ลดประมาณการทานขนมจากที่เคยให้และอย่าให้ทานสม่ำเสมอจนติดเป็นนิสัย
            • อย่าให้ขนมเป็นรางวัล ว่าทำอะไรดีแล้วจะให้ซื้อขนม เพราะจะกลายเป็นการสร้างความเข้าใจว่า ขนมคือของดี ทำดีแล้วจะได้ทาน
            • ให้เด็กเห็นผลร้ายจากการทานขนม เราหาข้อมูลและตัวอย่างจริงได้มากมายจาก internet หรือแม้กระทั่งจากเพื่อนๆ รอบตัวที่ชอบทานขนมเยอะๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอ้วนหรือฟันผุ เป็นต้น

            อยากให้ทุกครอบครัวไปลองทำกันดู แม้มันไม่ง่ายในช่วงแรก (เพราะจะมีความรู้สึกผิดที่ไปห้ามลูก ทานขนมและอาจจะมีดราม่า) แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาเราจะชื่นใจ และท้ายที่สุดเราจะเห็นว่า เลี้ยงลูกให้สุขภาพดี ปัญหาจริงๆ อยู่ที่ผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็ก (ชวนเด็กทาน, ซื้อมาฝาก หรือ ที่โรงเรียนให้ขายขนมเหล่านี้) …. หวังว่าทุกครอบครัวจะลดขนม และของหวานกันได้เพื่อสุขภาพที่ดีของเด็กๆ นะครับ

            บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

            60 ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เหมาะกับลูกเล็ก โดยพ่อเอก

            6 ข้อดีที่ผมได้เรียนรู้ จากประสบการณ์ พาลูกท่องเที่ยว โดย พ่อเอก

            5 เทคนิค อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เริ่มตอนไหน? อ่านยังไง? โดย พ่อเอก

            แชร์เทคนิค”สอนลูกให้รู้จักรับผิดชอบ”ตั้งแต่เด็ก โดย พ่อเอก

            แชร์ประสบการณ์ ฝึกวินัยการกินให้ลูก กินข้าวตรงเวลา โดยพ่อเอก


            >>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

            หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

            ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก
            ปูนปั้น ปั้นแป้ง พ่อเอก เพจหมุนรอบลูก

             

             

            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

             

              ตารางวัคซีน 2564

              ตารางวัคซีน 2564 ปีนี้มีปรับรายละเอียด? ลูกต้องฉีดอะไร ตอนไหนบ้าง เช็กเลย!

              อัปเดต ตารางวัคซีน 2564 จากกระทรวงสาธารณสุข ปีนี้มีปรับรายละเอียดจากปีที่แล้ว ลูกต้องฉีดอะไร ตอนไหนบ้าง ดาวน์โหลดไฟล์ฟรี! ไปไว้เช็กดูกันเลย

              ตารางวัคซีน 2564 จาก กระทรวงสาธารณสุข
              ลูกต้องฉีดตัวไหนบ้าง..เช็กเลย

              การรับวัคซีนของทารก ในเด็กไทย ลูกควรได้รับตั้งแต่วัยแรกเกิดไปจนถึงอายุ 12 ปี ถือเป็นสิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรละเลย เพราะเป็นการเสริมภูมิคุ้มกันโรคของเด็กเพื่อป้องกันโรคร้ายต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งวัคซีนในแต่ละชนิดนั้นสร้างมาจากไวรัสหรือแบคทีเรียที่ถูกทำให้สิ้นฤทธิ์ด้วยกรรมวิธีทางการแพทย์จนไม่สามารถก่อให้เกิดโรคได้แล้ว และวัคซีนเหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นให้ร่างกายให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาป้องกันโรคร้ายต่างๆ

              ตารางวัคซีน 2564

              และไม่ได้หมายความถึงแต่การให้ภูมิคุ้มกันแก่เด็กเท่านั้น แต่ในบางประเภทของวัคซีนมีความมุ่งหมายให้ใช้ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ใหญ่อีกด้วย เช่น วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี วัคซีนป้องกันอีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ นิวโมคอคคัส และวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด เป็นต้น

              สำหรับกำหนดการให้วัคซีนตามแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ของกระทรวงสาธารณสุข ตารางวัคซีน ปี 2564 ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดให้มีการบริการวัคซีนขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแก่เด็ก กลุ่มเป้าหมายที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยทุกคนทั้งเด็กไทยและต่างชาติ สําหรับโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนที่ให้บริการมี 12 โรค ได้แก่

              วัณโรค ตับอักเสบชนิดบี ไอกรน คอตีบ บาดทะยัก โปลิโอ ไข้สมองอักเสบเจอี หัด หัดเยอรมัน คางทูม มะเร็งปากมดลูกจากเชื้อเอชพีวี วัคซีนรวมป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน-ตับอักเสบบี-ฮิบ (DTP-HB-Hib)

              ซึ่งเมื่อในปี 2563 กระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มการให้วัคซีนป้องกันโรคลําดับที่ 13 ในแผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศ คือ วัคซีนป้องกันไวรัสโรต้า … นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดที่ปรับจาก ตารางวัคซีน 2563 คือ

              วัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม (MMR) เข็มที่ 2
              เลื่อนให้ไวขึ้น จากอายุ 2 ปี6 เดือน เป็น 1 ปี6 เดือน พร้อมกับวัคซีน คอตีบ ไอกรน บาดทะยักและโปลิโอ (DTP /OPV) เข็มที่ 4 ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการระบาดโรคหัด ส่วนวัคซีนอื่นๆ ฉีดเหมือนเดิม

              ตารางวัคซีน 2564

              หมายเหตุ

              • วัคซีนทุกชนิดถ้าไม่สามารถเริ่มให้ตามกำหนดได้ ก็เริ่มให้ทันทีที่พบครั้งแรก
              • วัคซีนที่ต้องให้มากกว่า 1 ครั้ง หากเด็กเคยได้รับวัคซีนมาบ้างแล้ว และไม่มารับครั้งต่อไปตามกำหนดนัด ให้วัคซีนครั้งต่อไปนั้นได้ทันทีเมื่อพบเด็ก โดยไม่ต้องเริ่มต้นครั้งที่ 1 ใหม่
              • กรณีการให้วัคซีนแก่ผู้ที่ได้รับวัคซีนไม่ครบถ้วน หรือล่าช้า เด็กจะได้รับวัคซีนตามกำหนดครบภายในระยะเวลา 1 ปี จากนั้นให้วัคซีนต่อเนื่องตามที่กำหนดในกำหนดการให้วัคซีนปกติ

              ตารางวัคซีน 2564

              สถานที่ขอรับวัคซีนเด็ก ตาม ตารางวัคซีน 2564 

              คุณพ่อคุณแม่สามารถพาลูกน้อยไปรับวัคซีนเหล่านี้ได้ฟรี!! ไม่เสียค่าบริการ เริ่ม 1 มกราคม 2564 ในสถานพยาบาลของรัฐบาล และตามศูนย์บริการสาธารณสุขและสถานพยาบาลต้นสังกัดของโครงการ ”หลักประกันสุขภาพแห่งชาติถ้วนหน้า”

              คุณพ่อคุณแม่สามารถโหลด ตารางวัคซีน 2564  ไว้ดู
              เพื่อพาลูกไปรับวัคซีนตามกำหนดได้ที่นี่ ⇓

              คลิกที่นี่ >> เพื่อดาวน์โหลด ตารางฉีดวัคซีน 2564 กระทรวงสาธารณสุข pdf (ขนาดใหม่ไม่แตก)

              ตารางวัคซีน 2564

               

              ถ้าไม่ได้มาให้วัคซีนตามนัดจะทำอย่างไรดี?

              หากไม่ได้มารับวัคซีนตามนัด หรือได้วัคซีนห่างกว่าที่กำหนด ไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง แต่หากให้วัคซีนใกล้กันเกินไป อาจทำให้ภูมิคุ้มกันขึ้นได้ไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นหากไม่ได้รับวัคซีนตามกำหนด สามารถนับเป็นเข็มต่อไปได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องนับใหม่ ไม่ว่านานเท่าไรก็ตาม

              ข้อควรรู้สำคัญเกี่ยวกับการรับวัคซีน

              • นำสมุดบันทึกสุขภาพของเด็ก หรือสมุดวัคซีนไปด้วยทุกครั้ง เพื่อให้แพทย์ได้ดูประวัติสุขภาพ และลงบันทึกติดตามการรับวัคซีนให้ครบตามกำหนด
              • วัคซีนบางชนิดต้องให้มากกว่า 1 ครั้ง และอาจต้องฉีดอีกครั้งคราว จึงจะได้ผลในการป้องกันโรคได้เต็มที่ อย่าลืมพาเด็กมารับวัคซีนตามกำหนดนัด
              • เมื่อถึงกำหนดนัด ถ้าเด็กมีไข้ ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปจนกว่าอาการไข้จะหาย
              • ถ้าไม่สามารถมารับวัคซีนได้ตามนัด ควรพาเด็กไปรับวัคซีนให้ครบ ไม่ว่าจะเว้นไปนานเท่าไรก็ตาม ก็สามารถให้ต่อเนื่องได้ โดยไม่ต้องเริ่มต้นใหม่
              • ถ้าเด็กเคยมีอาการรุนแรงหลังฉีดวัคซีน เช่น ชัก ไข้สูงมาก บวม แดง บริเวณที่ฉีด มีผื่นลมพิษขึ้น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดวัคซีนครั้งต่อไป
              • หลังฉีดวัคซีน ควรนั่งพักรอเพื่อสังเกตอาการแพ้วัคซีนที่ โรงพยาบาล อย่างน้อย 30 นาที

              อย่างไรก็ดีปัจจุบันการให้วัคซีนถือได้ว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคติดเชื้อร้ายแรง เนื่องจากเป็นวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง วัคซีนมีบทบาทสำคัญในการควบคุมป้องกัน กำจัด กวาดล้าง โรคติดเชื้อที่เป็นปัญหาสาธารณสุขมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและประสบผลสำเร็จอย่างสูงจึงนับได้ว่าเป็นเครื่องมือทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพและคุ้มทุนอย่างมากในการป้องกันควบคุมโรค ดังนั้น เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 12 ปี ควรได้รับวัคซีนตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้จึงจะได้ผลสูงสุด เพราะถ้าไม่ได้ฉีดวัคซีนตามกำหนด อาจทำให้ลูกได้รับวัคซีนไม่ครบและเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงจนไม่อาจรักษาได้นะคะ


              ขอบคุณข้อและภาพจาก : เพจ Infectious ง่ายนิดเดียว

               

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

               

              รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

              รวมโรงพยาบาลทำ Skin Test พาลูกไปเช็คว่า แพ้อะไรกันแน่

              เด็กไทยป่วยมะเร็งเพิ่ม 80 คนต่อเดือน! มะเร็งในเด็ก รู้เร็ว รักษาไว หายขาดได้

              โรคเสี่ยงลูกป่วย ปี 63 รวมโรคเด็ก ที่พ่อแม่ต้องระวัง

                โรคมะเร็งจอตาในเด็ก

                โรคมะเร็งจอตาในเด็ก โรคมะเร็งท็อปฮิตในเด็ก พ่อแม่ต้องระวัง

                พ่อแม่เคยสังเกตไหม ในดวงตาของลูกมีอะไรซ่อนไว้หรือเปล่า มาดูสัญญาณของ โรคมะเร็งจอตาในเด็ก ถ้าเป็นแบบนี้ต้องรีบไปพบแพทย์!

                สังเกตอาการ โรคมะเร็งจอตาในเด็ก

                โรคร้ายบางชนิดหลบซ่อนตัวเก่งเหลือเกิน กว่าที่พ่อแม่จะรู้ก็เกือบสายไปเสียแล้ว เช่นเดียวกับโรคมะเร็งจอตาในเด็ก หรือมะเร็งจอประสาทตา ที่เป็นโรคร้ายอันตรายสำหรับเด็ก โดยคุณแม่ท่านหนึ่งได้โพสต์เล่าเรื่องราวลูกสาววัยน่ารักน่าชัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้พ่อแม่คนอื่น ๆ ได้สังเกตอาการของลูกน้อย ว่า อาการเริ่มแรกตอนคลอดมา ลูกปกติทุกอย่าง แต่ช่วงวัย 9-10 เดือน เริ่มสังเกตเห็นเวลาตาของลูกโดนแสงส่องเข้ามาในตา จะเห็นเป็นจุดสีแดง จนดวงตาของลูกเปลี่ยนเป็นตาวาว กลม ๆ ใส ๆ ตรงกลางตาดำ มองเข้าไปแล้วเห็นเป็นก้อนเนื้อ จึงพาลูกไปหาหมอตอน 1 ขวบ 8 เดือน พอได้ตรวจอย่างละเอียดพบว่า ลูกเป็นมะเร็งจอตาหรือเส้นประสาทตา

                โรคมะเร็งจอตาในเด็ก
                โรคมะเร็งจอตาในเด็ก

                “ตอนรู้ก็ช็อค พูดไม่ออกเลย คิดว่ามันเร็วไปหรือเปล่าที่ต้องมาเจอเรื่องร้าย ๆ แต่ก็ต้องเข้มแข็ง มีแอบนั่งร้องไห้ คิดมากค่ะ แต่น้องอารมณ์ดี ไม่งอแง ทำให้แม่มีกำลังใจมากขึ้นค่ะ” คุณแม่เล่าและเสริมว่า สาเหตุโรคมะเร็งจอตา คุณหมอแจ้งกับแม่ว่า เกิดขึ้นเอง 95% กรรมพันธุ์ 5% ของน้องเกิดขึ้นเอง

                คุณแม่ยังได้เปิดเผยเรื่องราวเพิ่มเติมกับทีมแม่ ABK ว่า หลังจากนั้นก็ได้ทำการรักษา โดยคุณหมอต้องผ่าตัดเอาลูกตาออก เพราะถ้าไม่เอาออกจะมีโอกาสเสียชีวิตได้เร็ว เชื้อจะแพร่หนักกว่านี้ กลัวว่าจะลุกลามขึ้นสมอง การเอาดวงตาออกก็เพื่อยื้อชีวิตให้ลูก ตอนนี้ลูกใส่ลูกแก้วในดวงตาอยู่ เป็นลูกแก้วขนาดเท่าดวงตาใส่เพื่อไม่ให้ตาปิด ตอนนี้แผลก็ยังไม่หายดี และต้องทำเรื่องจองคิวทำตาเทียมต่อไป

                สำหรับการรักษา ในปัจจุบันน้องในวัย 1 ขวบ 11 เดือน ต้องทำคีโมทั้งหมด 6 ครั้ง ตอนนี้ทำไปแล้ว 2 ครั้ง คุณแม่เพิ่มเติมว่า ผลข้างเคียงของการทำคีโม ทำให้อาเจียน มีไข้ เบื่ออาหาร แล้วก็ทำให้มีปัญหาเรื่องการได้ยินด้วย คุณหมอเน้นย้ำด้วยว่า หลังจากนี้ต้องใส่ใจเรื่องความสะอาดมาก ๆ น้องต้องล้างตาวันละ 1 ครั้ง ห้ามอยู่ในที่ที่มีคนมาก ๆ หรือไปเดินตามห้าง น้องมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายเพราะไม่มีภูมิคุ้มกัน และคุณหมอยังไม่ให้ฉีดวัคซีนจนกว่าจะทำคีโมครบจนเชื้อไม่มีแล้ว และน้องจะได้ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวมาฉีดทุกวันจนครบ 1 สัปดาห์หลังจากทำคีโม

                โรคมะเร็งจอตาในเด็ก
                โรคมะเร็งจอตาในเด็ก

                มะเร็งจอประสาทตา พบบ่อยอันดับ 7 มะเร็งในเด็ก

                ขึ้นชื่อว่าเป็นโรคมะเร็ง ตรวจพบเร็วยิ่งดี ยิ่งลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต พ่อแม่จึงต้องใส่ใจลูก หมั่นสังเกตร่างกายของลูกเป็นประจำเพื่อดูความผิดปกติ รศ. นพ.เจษฎา บัวบุญนำ สาขาวิชาโลหิตวิทยาและอองโคโลยี ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า จากสถิติพบว่ามีผู้ป่วยเด็กที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่ว่าเป็นโรคมะเร็งจอประสาทตา มีอยู่ราว ๆ 30 รายต่อปี ส่วนมากพบในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี

                สาเหตุของโรคมะเร็งจอตาในเด็ก

                แม้สาเหตุจะยังไม่แน่ชัดแต่พบความสัมพันธ์กับความผิดปกติของยีนที่ชื่อ RB ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการแบ่งเซลล์และการตายของเซลล์ในร่างกายของคนปกติ ผู้ที่มีความผิดปกติของยีนดังกล่าวในเซลล์สืบพันธุ์จะมีความเสี่ยงที่จะมีลูกเป็นโรคมะเร็งจอประสาทตา หากพ่อแม่มีประวัติมะเร็งจอประสาทตาก็จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีลูกเป็นโรคมะเร็งจอประสาทตา

                วิธีสังเกตอาการโรคมะเร็งจอตา

                1. ตาวาวซึ่งเกิดจากแสงที่สะท้อนจากตัวก้อนมะเร็งในจอประสาทตาพบจุดสีขาวที่กลางตาดำ
                2. อาการตาเหล่
                3. มีเลือดออกในช่องด้านหน้าม่านตา
                4. หากก้อนมีขนาดใหญ่ขึ้นอาจปวดตาหรือมีการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบลูกตาซึ่งเกิดจากการตายของเนื่อเยื่อบริเวณรอบ
                5. เมื่อโรคลุกลามออกนอกลูกตา อาจพบว่าตาโปนจากก้อนมะเร็งลามออกมาในเบ้าตา
                6. ถ้าลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองอาจคลำพบต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณใบหน้า
                7. ในรายที่มีโรคแพร่กระจายไปที่สมองผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะรุนแรง มีอาการชักหรือแขนขาอ่อนแรงได้
                8. ผู้ป่วยที่มีโรคแพร่กระจายไปที่กระดูกอาจมีอาการปวดกระดูกหรือคลำพบก้อนตามแขนขาได้

                อย่างไรก็ตาม หากโรคลุกลามออกนอกเบ้าตาหรือแพร่กระจาย อาจจะเสียชีวิตแม้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ สำหรับอาการตาวาว อาจเป็นไปได้ว่าเป็นโรคอื่น ๆ ได้เช่นกัน ทั้งความผิดปกติของวุ้นตาหรือหลอดเลือดที่จอตาแต่กำเนิด หรือการติดเชื้อพยาธิบางชนิด

                การรักษาของโรคมะเร็งจอตา

                โรคมะเร็งจอประสาทตาหากพบว่ามีก้อนเล็ก ๆ ผู้ป่วยยังมีความสามารถในการมองเห็น ก็ยังไม่ต้องผ่าเอาลูกตาออก แต่ใช้การใช้การรักษาเฉพาะที่ เช่น การจี้ความเย็นหรือการใช้เลเซอร์เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัดทางหลอดเลือดดำทุกๆ 3 ถึง 4 สัปดาห์ หรืออาจรักษาด้วยการฉีดยาเคมีบำบัดเข้าในชั้นวุ้นตาหรือทางหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงตัวก้อนมะเร็ง ใช้ฉายรังสีหรือการวางแร่กัมมันตรังสีที่ตา หากพบก้อนใหญ่จนสูญเสียการมองเห็น ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น หรือโรคมีการลุกลามออกนอกลูกตา จำเป็นที่จะต้องเอาลูกตาออกและใส่ตาปลอม

                โรคมะเร็งจอตา หรือมะเร็งจอประสาทตา เป็นโรคที่หากพบได้เร็วและยังไม่ลุกลาม การรักษาอาจไม่ต้องผ่าดวงตา พ่อแม่จึงต้องสังเกตร่างกายลูกเป็นประจำ หากพบความผิดปกติให้รีบไปหาหมอเพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด จะได้รักษาได้ทันการณ์

                อ้างอิงข้อมูล : tsh.or.th

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                 

                อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                มะเร็งจอตา โรคฮิตอันดับ 3 ในเด็ก!! เช็กง่ายๆ ด้วยสมาร์ทโฟน

                ทารกติด RSV เสียชีวิต ภัยร้ายพรากลูกวัย 10 เดือนจากอกพ่อแม่

                รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

                  เมื่อฉันแพ้น้ำอสุจิจากสามี

                  เมื่อฉัน “แพ้ น้ำอสุจิ จากสามี”

                  กลุ้มใจจัง! พึ่งแต่งงานได้ไม่นาน หวังมีลูกให้เป็นพยานรัก แต่ทำไมถึงมีอาการผิดปกติหลังสามีหลั่งใน ขอแชร์ประสบการณ์โรค”แพ้ น้ำอสุจิ ” โรคนี้มีจริงหรือ?

                  เมื่อฉัน “แพ้ น้ำอสุจิ จากสามี”

                  วันนี้แม่ทีม ABK อยากขอแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวที่เป็นเรื่องราวที่ไม่น่าจะเป็นปัญหากับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแฟนที่คบกันมาหลายปี จนความรักสุกงอมก็ตกลงใจลงหลักปักฐานกัน แต่งงานพร้อมมีเจ้าตัวน้อยเป็นพยานรัก เป็นโซ่ทองคล้องใจระหว่างสามีภรรยา แบบครอบครัวอื่น ๆ ทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้ต้องมาสะดุดกับเป็นปัญหาที่เราไม่เคยทราบ หรือรู้มาก่อนเลยว่ามีอยู่จริงในโลกใบนี้ จึงอยากมาเล่าสู่กันฟังให้แก่คนอื่น ได้รับรู้และจะได้รับมือ หรือรู้ตัวทันก่อนที่จะสายเกินไป

                  แต่งงานหวังสร้างครอบครัว แต่ต้องสะดุดเพราะ...
                  แต่งงานหวังสร้างครอบครัว แต่ต้องสะดุดเพราะ…

                  โดยเรื่องเริ่มต้นหลังจากแต่งงาน เมื่อเราเริ่มมีความสัมพันธ์กันแบบไม่ใช้ถุงยางอนามัย เพราะว่าเราต้องการจะมีลูก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปัญหาเพราะว่าใช้การคุมกำเนิดแบบใส่ถุงยางทุกครั้ง แต่เมื่อมีการหลั่งใน เรากลับรู้สึกคัน เป็นอาการคันแบบแสบ ๆ มันรู้สึกยุกยิก ๆ แสบ ๆ แบบบอกไม่ถูก เลยรีบไปล้างน้ำก็ทุเลาลงบ้าง ครั้งแรก ๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเป็นหลายครั้งเข้าเราเริ่มกังวล เลยลองหาข้อมูลดูว่ามีใครมีอาการแบบเราบ้างไหม ก็พอได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องว่ามีโรคที่สามารถทำให้ผู้หญิงแสบคันช่องคลอดได้เวลามีเพศสัมพันธ์ ดังนี้

                      • เชื้อราในช่องคลอด เป็นโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเกิดจากการเพิ่มจำนวนของเชื้อราในช่องคลอดที่มากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดอาการคัน รู้สึกแสบร้อน และอาจมีตกขาวลักษณะเป็นก้อนไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน เพราะยาดังกล่าวจะทำลายแบคทีเรียชนิดที่ดีที่ช่วยควบคุมจำนวนของเชื้อราในช่องคลอด
                      • ช่องคลอดแห้ง ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนจะมีระดับของฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนลดลง ทำให้เมือกที่เคลือบช่องคลอดบางลง ส่งผลให้ช่องคลอดแห้งจนอาจทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองได้
                      • มีแผลถลอกในช่องคลอดจากโรคผิวหนังบางชนิดอาจทำให้ผิวบริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดอาการคันและแดง เช่น โรคผิวหนังอักเสบที่มักเกิดกับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หรือโรคหืด โดยอาจมีผื่นแดงคันหรือตกสะเก็ด และอาการอาจลุกลามไปยังช่องคลอด หรือโรคสะเก็ดเงินที่มักทำให้ผิวหนังตกสะเก็ด มีอาการคันหรือแดงบริเวณหนังศีรษะและตามข้อพับต่าง ๆ เป็นต้น
                      • แพ้น้ำอสุจิ  ที่ทำให้คนที่มีอาการแพ้เกิดผื่นคัน หรือลมพิษรอบตัว บางรายถ้าหากแพ้รุนแรงยังหายใจติดขัด ท้องเสีย และมีอาการอื่น ๆ ตามมา

                        อาการแสบช่องคลอดหลังหลั่ง น้ำอสุจิ
                        อาการแสบช่องคลอดหลังหลั่ง น้ำอสุจิ

                  จากการหาข้อมูลทำให้ทราบว่ามีคนที่มีปัญหาคล้าย ๆ กันอยู่มากเหมือนกัน แต่คงเป็นเพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างส่วนตัวทำให้ผู้หญิงอายที่จะบอก หรือปรึกษาใครต่อใคร อย่างแรกที่อยากจะบอกเลย ส่วนตัวว่าเมื่อเรามีปัญหาในเรื่องนี้ เราควรบอกกับคู่นอนของเราให้รู้ไว้จะดีกว่า ที่จะมาอดทนเก็บอาการไว้แต่เพียงคนเดียว เพราะเมื่อเราทนไม่บอก คู่ของเราก็ไม่มีทางรู้ได้เลย แถมเมื่อเราเกิดอาการผิดปกติเหล่านี้ ทำให้เกิดอาการกลัว ไม่มีอารมณ์ ไม่อยากมีเพศสัมพันธ์อีก แล้วถ้าคู่ของเราไม่เข้าใจก็อาจนำพามาสู่ปัญหาความขัดแย้ง ความแตกแยก ปัญหาความสัมพันธ์ได้เลย ดังนั้นเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของคนสองคน เราควรบอกให้คู่ของเราได้รับรู้ และร่วมกันแก้ปัญหา ทุกปัญหามีทางออกเสมอ คู่ของคุณต้องเข้าใจอย่างแน่นอน เหมือนดั่งเรื่องของเราที่สุดท้าย ก็ตัดสินใจที่จะพากันไปพบแพทย์เพื่อตรวจภายในหาสาเหตุที่แท้จริง หลายคนคงสงสัยว่าทำไมต้องไปพบแพทย์ทั้งคู่ เพราะว่าอาการดังกล่าว อาจไม่ได้เกิดจากฝ่ายหญิงเพียงฝ่ายเดียว สาเหตุที่มาจากฝ่ายชายก็มีโอกาสเป็นไปได้ ดังเช่น

                      • ติดเชื้อหนองในแท้ หนองในเทียม พบว่าผู้ชายร้อยละ10 และผู้หญิงร้อยละ 50 จะไม่แสดงอาการ ในกรณีที่มีอาการจะเริ่มแสดงอาการเมื่อ 1-14 วันหลังได้รับเชื้อ  อาการในผู้หญิง ได้แก่ ตกขาวผิดปกติ เช่น ปริมาณมากขึ้น มีสีเหลืองหรือเขียว แสบเวลาปัสสาวะ ปวดท้องน้อย เลือดออกกะปริบกะปรอย ระหว่างรอบเดือน(พบน้อย) เป็นต้น สำหรับอาการในผู้ชาย ได้แก่ มูกใสออกจากท่อปัสสาวะโดยไม่ใช่น้ำปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ แสบ เวลาปัสสาวะ ปวดที่อัณฑะ มีการอักเสบที่หนังหุ้มปลายองคชาต(พบน้อย) เป็นต้น
                      • หูดหรือเริมที่อวัยวะเพศ อาการของโรคหูดหงอนไก่เป็นได้ตั้งแต่ไม่มีอาการเลย ไปจนถึงมีก้อนโตมากจนอุดกั้นช่องคลอด ทวารหนักหรือท่อปัสสาวะ บางรายมีเลือดออกจากก้อนคันถึงคันมาก ตกขาวผิดปกติหรือแม้แต่แสบร้อนที่อวัยวะเพศ

                  วันฟ้าใส..

                  ในระหว่างที่รอคุณหมอนั้น เป็นช่วงเวลาที่ค่อนข้างตื่นเต้น กังวล คิดมากต่าง ๆ นานาเลยทีเดียวสำหรับเรา กังวลจิตตกไปว่าหากเราผิดปกติมาก เราจะสามารถมีลูกได้สมใจหรือไม่กันนะ แล้วจะมีวิธีรักษาไหม เป็นโรคร้ายอะไรไหม จะทำให้เป็นหมันเลยหรือเปล่า ได้แต่เก็บคำถามมากมายไว้ในใจ เหมือนโลกหม่นลงไปเลยทีเดียว

                  เมื่อเข้าพบคุณหมอ จากที่เคยคิดว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ต้องยอมรับว่าอาย แหมก็มันเรื่องส่วนตั๊ว..ส่วนตัวนี่นา แต่ขอบอกเลยว่าไม่น่ากลัวเลยสักนิด คุณหมอพูดคุยแบบสบาย ๆ มากเลย อาจเป็นเพราะความมืออาชีพ และเป็นเรื่องปกติสำหรับอาชีพของหมอกระมัง ดังนั้นสบายใจกันได้เลยจ้า ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องอายเวลาเข้ามาปรึกษากัน โดยคุณหมอจะทำการชักประวัติกันละเอียดว่าอาการแพ้เกิดขึ้นหลังร่วมเพศทันทีหรือไม่ หรือเกิดจากการติดเชื้ออื่น ๆ หากไม่ได้มาจากการติดเชื้ออื่นแล้ว คุณหมอจึงได้กล่าวว่า อาจเป็นอาการของโรค “แพ้น้ำอสุจิ” ฟังชื่อโรคกันแล้วคงมึนงง งุนงวยกันใช่ไหม แต่ความจริงแล้วโรคนี้ไม่ใช่โรคใหม่แต่อย่างใดโรคนี้เกิดกับผู้หญิงในประเทศสหรัฐอเมริกามากถึง 20,000 – 40,000 คนเลย!! เรียกได้ว่าเป็นสถิติที่น่าตกใจจริง ๆ  ถึงแม้ว่าในไทยจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันนัก ดังนั้นเรามาทำความรู้จักันโรคแพ้น้ำอสุจินี้กันเถอะ

                  หลังจากที่คุณหมอสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ คุณหมอก็จะทำการเช็คละเอียดให้แน่ใจว่าเป็นการแพ้อสุจิจริง โดยวิธีการ คือ การฉีดไขมันชนิดที่อยู่ในอสุจิเข้าไปในบริเวณใต้ผิวหนัง หากพบว่ามีอาการบวมเกิดขึ้น หรือความผิดปกติอื่น ๆ เป็นไปได้ว่ามีอาการแพ้อสุจิจริง

                  โรคแพ้ น้ำอสุจิ
                  โรคแพ้ น้ำอสุจิ

                  โรคแพ้น้ำอสุจิ จะเรียกกันให้ตรง ๆ ต้องบอกว่าเป็นการแพ้โปรตีนที่อยู่ในน้ำอสุจิซึ่งผู้ที่แพ้จะมีอาการแสบคันบริเวณช่องคลอด หรือมีผื่นแดงขึ้นทั่วร่างกาย บางรายหากแพ้มาก ๆ อาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจได้ด้วย รวมถึงคลื่นไส้ อาเจียน โดยอาการจะเกิดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ 2-3 นาที เช่น อาการแสบร้อนในช่องคลอดหลังมีการหลั่งอสุจิบริเวณดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคของกิจกรรมคู่รัก เพราะเมื่อเกิดอาการแพ้แล้วจะทำให้ไม่อยากร่วมเพศอีกโดยอาการแพ้น้ำอสุจิเกิดจากร่างกายเกิดการต่อต้านเหมือนกับอาการแพ้อาหารทะเลและอื่น ๆ ทำให้แสดงอาการแพ้ขึ้น โดยอาการแพ้จะสามารถแสดงได้ทุกที่ที่มีการสัมผัสกับอสุจิของคนที่มีอาการแพ้ เช่น ผิวหนัง ช่องคลอด ปาก และอื่น ๆ

                  5 อาการบ่งบอกว่าคุณกำลังเป็น

                  1. มีผื่นแดง หรือลมพิษขึ้น
                    โดยผื่นแดงดังกล่าวนั้น มักจะเกิดตรงบริเวณที่ได้มีการสัมผัสกับน้ำอสุจิ
                    นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นตามด้วย ยกตัวอย่างเช่น บวม ปวดและคัน เป็นต้น
                  2. รู้สึกร้อนไหม้บริเวณช่องคลอด หรือปากช่องคลอด
                  3. หายใจติดขัด และหอบ เหนื่อยง่าย
                  4. ความดันโลหิตต่ำ รู้สึกมึนงง วิงเวียนศีรษะ
                  5. ผิวหนังไหม้ พอง เป็นต้น

                  หรืออีกวิธีการสังเกตที่ดีก็คือ หากหลังมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัยแล้วเกิดอาการ ให้ลองสังเกตใหม่โดยการมีเพศสัมพันธ์ครั้งต่อไปให้ใช้ถุงยางอนามัยแล้วดูว่าหลังการร่วมเพศมีอาการเกิดขึ้นหรือไม่ หากไม่มีอาการอาจเป็นไปได้ว่ามีการแพ้อสุจิเกิดขึ้น

                  แล้วเราจะหายจากอาการแพ้น้ำอสุจิได้ไหม?

                  อาการแพ้น้ำอสุจินั้น สามารถรักษาได้โดยวิธีที่ใช้รักษาโรคภูมิแพ้ทั่วไป และเราสามารถป้องกันอาการแพ้ได้โดยการใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งถือเป็นการป้องกันเพื่อตัวเราเอง เพราะก็เหมือนกับอาการแพ้อย่างอื่น ๆ หากเราไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่แพ้ก็ไม่เกิดอาการ แต่ก็ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยเช่นกันนะว่า อาการแพ้ที่ว่านั้นเป็นเพราะถุงยางอนามัยหรือไม่ เพราะผู้หญิงบางคนนั้นแพ้โปรตีนหรือสารหล่อลื่นที่อยู่ในถุงยาง เนื่องจากว่าเป็นสารหล่อลื่นนั้นก็เป็นโปรตีนชนิดเดียวกันนั่นเอง โดยอาจลองเปลี่ยนยี่ห้อดูหากเกินอาการแพ้

                  แพ้ น้ำอสุจิ แล้วยังท้องได้ไหม?
                  แพ้น้ำอสุจิ แล้วยังท้องได้ไหม?

                  แพ้น้ำอสุจิแล้วยังท้องได้ไหม?

                  นี่คงเป็นคำถามที่คนอยากเป็นแม่หลาย ๆ คน รอคอย ตัวเราเองก็เช่นกัน ผลกระทบจากอาการแพ้น้ำอสุจิ อาจทำให้ผู้ที่มีอาการแพ้ไม่อยากร่วมเพศทำให้กิจกรรมกระชับความสัมพันธ์อาจสะดุด ไม่บ่อยจึงอาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ที่ลดน้อยลงตามมา นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการตั้งครรภ์มากกว่า แต่มิได้หมายความว่าคุณจะเป็นหมัน แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะอาการนี้สามารถรักษาได้ด้วยการกระตุ้นเพื่อให้เกิดอาการแพ้น้อยลง หมอจะใช้วิธีการฉีดไขมันในอสุจิเข้าไปใต้ผิวหนัง เพื่อให้ร่างกายยอมรับช่วยลดอาการแพ้ให้น้อยลงได้ แต่ถ้าหากในรายที่มีอาการแพ้มาก ๆ ก็อาจต้องทำการปฏิสนธิภายนอก แล้วมาฝังที่ไข่ของผู้หญิงแทนเพื่อให้ท้องได้คำตอบอย่างนี้คงจะสบายใจกันลงบ้างแล้วใช่ไหม อย่างน้อยเราก็ยังสามารถมีลูกสมใจได้ อย่าพึ่งวิตกกังวลกันจนเกินไป

                  ในกรณีเปลี่ยนคู่นอนก็มีผลต่ออาการแพ้เช่นกัน เพราะในน้ำอสุจิของแต่ละคนมีสารแอนติเจนที่ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันของผู้ที่ได้รับแตกต่างกัน ดังนั้นบางครั้งการร่วมหลับนอนกับคนหนึ่งอาจเกิดอาการแพ้ ขณะที่การร่วมหลับนอนกับอีกคนหนึ่งอาจไม่เกิดอาการแพ้ก็ได้ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้นสำหรับคนที่มีอาการแพ้น้ำอสุจิยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมหรือไม่

                  แม้แพ้ น้ำอสุจิ แต่ก็มีทางแก้ให้รักเราไม่เก่าเลย
                  แม้แพ้ น้ำอสุจิ แต่ก็มีทางแก้ให้รักเราไม่เก่าเลย

                  คุณแฟนก็ต้องระวังด้วยนะ..

                  ในผู้ชายก็สามารถแพ้น้ำอสุจิตัวเองได้เช่นกัน ซึ่งอาการจะเกิดขึ้นเมื่อมีการหลั่งน้ำอสุจิผ่านบริเวณท่อปัสสาวะ โดยอาการของผู้ชายที่แพ้น้ำอสุจิจะมีอาการของไข้หวัด มีน้ำมูก ไข้ขึ้น หรือปวดเมื่อยตามตัวอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างไรก็ตามในผู้ชายที่แพ้น้ำอสุจิตัวเองก็ยังพบได้น้อยมาก

                  จากประสบการณ์ของเรา นับว่ายังโชคยังดีที่เราและสามีใจเย็น และเปิดใจยอมรับฟังปัญหาของกันและกัน จึงได้ช่วยกันแก้ปัญหาได้ทันก่อนที่อะไรมันจะสาย ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ยังคงอยู่ เมื่อเรารู้ตัวว่ามีปัญหา การหาทางแก้ไขก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ดังนั้นสาว ๆ ทั้งหลายจ๋า หากเกิดปัญหาดังที่เราได้เล่าอาการต่าง ๆ มาให้รับรู้ ก็รีบคุยกันดีกว่า เพราะทุกปัญหามีทางออก อย่ามัวแต่อาย เก็บงำความลับไว้กับตัวอีกเลย
                  เพียงคุณกล้าเปิดใจ แล้วความรักก็จะกลับมาสดใสซาบซ่ากันอีกครั้ง

                  ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล/ Rama Channel / Pobpad / Wikipedia

                  อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                  น้องชายสั้นลง-เซ็กส์เสื่อม โทษของบุหรี่ ที่ผู้ชายควรรู้

                  โรค PCOS กับการตั้งครรภ์ มีลูกยาก อยากท้อง อยากมีลูกต้องทำอย่างไร

                  ทำกิ๊ฟ vs เด็กหลอดแก้ว ทางเลือกของคนมีลูกยาก แตกต่างกันอย่างไร?

                  9 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไทย ไหว้พระขอลูก ได้ดั่งใจ

                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                    rsv อาการ

                    ควันบุหรี่ อีกสาเหตุร้าย ทำลูกติดเชื้อ rsv อาการ รุนแรงขึ้น!

                    “ควันบุหรี่” อีกหนึ่งสาเหตุร้าย ทำลูกป่วย rsv อาการ รุนแรงได้!! บ้านไหนมีเด็กเล็ก และมีคนในครอบครัวสูบบุหรี่ ถ้ารักและห่วงลูก ควรเลิกสูบ เพราะควันบุหรี่มีโอกาสเสี่ยงให้ลูกติดเชื้อ RSV รุนแรงขึ้น

                    เด็ก + บุหรี่ + ป่วย = rsv อาการ รุนแรงขึ้น

                    พ่อแม่รู้หรือไม่? ควันบุหรี่ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลูกที่ติดเชื้อ rsv อาการรุนแรงขึ้น .. เรียกได้ว่าตอนนี้ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV กลายเป็นอีกหนึ่งภัยร้ายของเด็กช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งก็ทำให้บรรดาพ่อแม่หลายคนกังวล เพราะเจ้าเชื้อ rsv อาการ ที่ลูกป่วยอาจดูเหมือนไข้หวัดธรรมดา แต่อันตรายถึงชีวิต เนื่องจากยังไม่มีวัคซีนป้องกันนั่นเอง

                    สำหรับเชื้อไวรัส RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ เชื้อไวรัสนี้แพร่กระจายผ่านทางการไอ, จาม, น้ำมูก, น้ำลาย และเสมหะจากผู้ติดเชื้อไวรัส โดยเชื้อ RSV สามารถเข้าสู่ร่างกายได้โดยผ่านทางเยื่อบุตา, จมูก, ปาก หรือผ่านทางการสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ มักพบในเด็กเล็กซึ่งเป็นวัยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงและเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคปอดเรื้อรัง, โรคหอบหืด, โรคหัวใจ, ภูมิคุ้มกันบกพร่อง, ทารกคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น

                    rsv อาการ

                    ทั้งนี้มีเด็กหลายคนต้องแอดมิทหรือถึงขั้นต้องอยู่ห้อง ICU ที่สำคัญหากเช็กประวัติคุณพ่อคุณแม่แล้วจะพบว่า เด็กหลายคนที่มีอาการหนัก คือมีประวัติสัมผัสควันบุหรี่มาด้วย

                    ล่าสุดได้มีงานวิจัยออกมายืนยันแล้วว่า.. เด็กทารกอายุน้อยกว่า 1 ปี ที่ติดเชื้อ RSV ถ้ามีประวัติสัมผัสควันบุหรี่มือสอง (Second-hand cigarette smoke) จะมีค่าออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า และหากติดเชื้อ rsv จะมีอาการหนักจะกว่าเด็กที่ไม่ได้สัมผัสควันบุหรี่ (เด็กทุกคนในงานวิจัยได้ตรวจระดับสาร cotinine เพื่อยืนยันว่าได้รับควันบุหรี่มือสองหรือไม่) จึงสรุปได้ว่า นอกจากตัวเชื้อ RSV เองที่มีความดุร้ายแล้ว ควันบุหรี่ที่เด็กได้รับ ก็จะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้นไปอีกด้วยนั่นเอง

                    rsv อาการ
                    ขอบคุณข้อมูลและภาพอ้างอิงจาก : เพจ ภูมิแพ้แก้ได้ Allergic march

                     

                    อย่างไรก็ตาม..สำหรับด้านสื่อสังคมออนไลน์ ก็ยังมีข่าวที่เผยแพร่แชร์ประสบการณ์เรื่องราวของผู้ปกครองรายหนึ่งที่มีลูกยังเล็กอายุเพียง 5 เดือน แต่ติดเชื้อไวรัส RSV ทำให้เกิดปอดอักเสบ โดยคาดว่าติดเชื้อจากการสัมผัสจากผู้อื่นที่มาจับหรือหอมแก้มลูกของตนนั้น การติดเชื้ออาจเกิดจากการสัมผัสจากผู้อื่นที่ป่วยหรือเป็นพาหะได้ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ที่เอ็นดูเด็กเล็ก อยากเข้าไปสัมผัสจับมือ หอมแก้ม โดยไม่ได้ทำความสะอาดร่างกายหรือล้างมือก่อนสัมผัส เมื่อไปจับต้องโดนตัวเด็ก หรือสัมผัสโดนปากหรือจมูก ก็ทำให้เกิดการติดเชื้อได้เช่นกัน ดังนั้นอาจเรียกได้ว่า ผู้ใหญ่ เองนั่นแหละที่เป็นคนเผลอแพร่เชื้อให้เด็กโดยไม่รู้ตัว

                    การป้องกัน โรค RSV 

                    สำหรับการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรค แต่สามารถปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส ดังนี้

                    1. ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่และน้ำสะอาด โดยเฉพาะ ก่อนมื้ออาหาร หลังเข้าห้องน้ำ
                    2. ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ดื่มน้ำมากๆ และให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ
                    3. สอนให้เด็กๆ ล้างมืออย่างถูกต้อง ไม่ใช้แก้วน้ำหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น รักษาสุขอนามัยส่วนตัว
                    4. ทำความสะอาดบ้าน รวมทั้งของเล่นเด็กเป็นประจำ
                    5. หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ที่ติดเชื้อและการไปในสถานที่ที่ผู้คนหนาแน่น
                    6. ไม่ควรพาเด็กไปเล่นในที่ที่มีเด็กเล่นอยู่ด้วยกันจำนวนมาก
                    7. หลีกเลี่ยงการพาลูกไปในที่ๆ มีควันบุหรี่ รวมทั้งควันอื่นๆ เช่น ควันรถ ควันธูป
                    8. แนะนำให้คนในบ้านเลิกบุหรี่ เพื่อประโยชน์ต่อตัวเองและน้องๆ ถ้ายังเลิกบุหรี่ไม่ได้จริงๆ แนะนำให้ไปสูบบุหรี่ไกลจากบ้าน และเมื่อกลับมาบ้าน “ต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า” ก่อนคลุกคลีกับคนอื่นๆในบ้าน เนื่องจากละอองสารพิษจากควันบุหรี่ยังคงติดตามตัวและเสื้อผ้า ทำให้คนอื่นๆยังคงสูดหายใจเข้าไปได้ด้วย (Third-hand cigarette smoke)
                    9. ส่วนผู้ที่ป่วยควรงดการออกนอกบ้านในช่วงที่ไม่สบาย เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังผู้อื่น และควรปิดปากปิดจมูกเวลาไอจามด้วยหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย

                    rsv อาการ

                     

                    สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องให้สังเกตอาการของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด เมื่อมีอาการป่วยเป็นไข้หวัด ควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ และพาไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อไป
                    หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422


                    ขอบคุณข้อมูลจาก : ddc.moph.go.thwww.posttoday.com

                     

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                    อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิกที่ภาพด้านล่าง ⇓

                    รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?

                    โรคคาวาซากิ อาการ ที่ต้องระวัง อันตรายจากภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิต

                    โรคมือเท้าปาก อันตรายไหม กี่วันหาย สาเหตุเกิดจากอะไร

                    โรคหัดระบาด ช่วงไหน ไข้ออกผื่นแบบนี้ ลูกเป็นโรคหัดหรือเปล่า?

                    เริมในช่องปาก โรคฮิตของเด็กเล็ก อาการเป็นอย่างไร

                      ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ

                      ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ มดลูกข้างซ้าย อันตรายหรือเปล่า

                      ปวดท้องบอกโรคได้! อาการปวดมดลูกข้างซ้าย ปวดท้องน้อยด้านซ้าย สัญญาณโรคร้ายอะไร

                      ปวดท้องน้อยด้านซ้าย อันตรายไหม

                      อาการปวดท้องที่เกิดขึ้นของผู้หญิงในแต่ละตำแหน่ง สามารถบ่งบอกถึงอาการของโรคร้ายได้ โดยเฉพาะอาการปวดซ้ำ ๆ ที่จุดเดิม ย่อมส่งสัญญาณความผิดปกติของอวัยวะภายในช่องท้อง เช่นเดียวกับการปวดท้องน้อยด้านซ้าย โดยเฉพาะแม่ท้อง เพราะอาการปวดท้องข้างซ้ายล่างขณะตั้งครรภ์นั้น เป็นการส่งสัญญาณบอกของร่างกายว่า คุณแม่ตั้งครรภ์อาจเสี่ยงภาวะการตั้งท้องนอกมดลูก ซึ่งเป็นอันตรายต่อตัวแม่ท้องและทารกในครรภ์

                      ปวดมดลูกข้างซ้าย จี๊ดๆ บริเวณท้องน้อยด้านซ้าย

                      อาการปวดท้องข้างซ้ายบ่งบอกถึงความผิดปกติของอวัยวะสำคัญภายใน โดยอาการปวดท้องข้างซ้ายบนหรือปวดบริเวณใต้ซี่โครง อาจเกิดจากโรคกระเพาะอาหาร ลำไส้อักเสบ ลำไส้แปรปรวน ตับอ่อนอักเสบ ปอดบวม หรือม้ามโต แต่สำหรับผู้หญิง คงต้องใส่ใจอาการปวดท้องข้างซ้ายล่างมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นสัญญาณบ่งบอกของโรคไต โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ และที่สำคัญสำหรับผู้หญิงที่ตั้งครรภ์คือ ท้องนอกมดลูก โดยสาเหตุที่ทำให้ปวดบริเวณท้องข้างซ้ายล่างเพราะเส้นเอ็นยึดมดลูก มีซีสต์ในรังไข่ และกระเพาะปัสสาวะขยายตัว

                      ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ
                      ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ

                      ตั้งครรภ์แล้วปวดท้องน้อยด้านซ้าย ท้องนี้อาจกลายเป็นท้องนอกมดลูก

                      ท้องนอกมดลูกเกิดจากการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้วนอกโพรงมดลูก ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ท่อนำไข่ถึง 95% แต่ก็พบได้ที่รังไข่ ปากมดลูก และในช่องท้อง เป็นสาเหตุทำให้คุณแม่เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 4 เพราะภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูกมีความเสี่ยงที่จะแตกเมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อแตกแล้วจะทำให้เสียเลือดมากในช่องท้อง ทำให้ตัวคุณแม่ช็อค ส่งผลอันตรายถึงชีวิต

                      ส่วนสาเหตุ อาจเกิดจากความผิดปกติของท่อนำไข่ทำให้เกิดสภาพการณ์ที่ขัดขวางและหน่วงเหนี่ยวมิให้ไข่ที่ถูกผสมแล้วเดินทางเข้าสู่โพรงมดลูกได้ การอักเสบเรื้อรังของท่อนำไข่ และมีอุบัติการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น สำหรับกลุ่มผู้หญิงที่มีความเสี่ยงท้องนอกมดลูกคือ ผู้หญิงที่มีปีกมดลูกผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดได้จากการติดเชื้อที่อุ้งเชิงกรานบ่อย ๆ เคยผ่าตัดปีกมดลูก ใส่ห่วงคุมกำเนิด เป็นคนที่มีลูกยาก หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ รวมถึงคนที่เคยตั้งครรภ์นอกมดลูกมาก่อนก็เสี่ยงจะเป็นซ้ำเดิม

                      อาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูกที่พบบ่อย (classic symptoms)

                      การตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นความเสี่ยงของแม่ท้อง ในช่วงครึ่งแรกของการตั้งครรภ์ อาจมีภาวะเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดร่วมด้วย นอกเหนือจากอาการปวดท้องน้อย อาการหลัก ๆ ของตั้งครรภ์นอกมดลูก แม่จะปวดท้องข้างใดข้างหนึ่งโดยฉับพลัน ร่วมกับอาการสำคัญของการท้องนอกมดลูก ได้แก่

                      • หน้าท้องอืดตึง
                      • คลำเจอก้อนที่ท้อง
                      • อ่อนเพลีย หน้ามืดเวลาลุกนั่ง
                      • ความดันโลหิตต่ำและชีพจรเต้นเร็ว

                      ในระยะแรกอาจไม่พบอาการใด ๆ ผ่านไปสักพักจะมีอาการเจ็บที่ท้องหรือท้องน้อย ปวดแบบบีบรัดเป็นช่วง ๆ อาจปวดข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง บางคนเป็น ๆ หาย ๆ บางคนปวดตลอดเวลา หากเลือดออกในช่องท้องมาก ๆ จะทำให้ปวดร้าวไปที่หัวไหล่ เพราะระคายเคืองต่อกระบังลม ถ้ามีอาการคล้ายจะเป็นลมมักเกิดขึ้นหลังจากมีการแตกของท่อนำไข่

                      ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ
                      ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ

                      วิธีรักษาท้องนอกมดลูก

                      1. การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด ประกอบด้วยการเฝ้าระวังดูอาการ (expectant management) และการให้ยา (Methotrexate) ทั้งการให้กินยา หรือฉีดเข้ากล้าม เข้าเส้นเลือด และฉีดเข้าจุดที่ตั้งครรภ์นอกมดลูกโดยตรง
                      2. การผ่าตัดแบบประคับประคอง (conservative surgery) ช่วยเก็บรักษาท่อนำไข่ส่วนที่ดีไว้ เป็นการตัดท่อนำไข่ส่วนที่ท้องนอกมดลูกออก ภายหลังจากแผลหายแล้วสามารถนำกลับมาต่อใหม่ได้ ในผู้ป่วยบางกลุ่ม
                      3. การผ่าตัด ได้แก่ การผ่าตัดผ่านกล้องและการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง โดยการผ่าตัดผ่านกล้องแบบ salpingectomy จะตัดท่อนำไข่ข้างที่มีการตั้งครรภ์นอกมดลูก ส่วนการผ่าตัดผ่านกล้องแบบ salpingostomy คือการผ่าตัดนำชิ้นส่วนการตั้งครรภ์นอกมดลูกออกโดยทิ้งท่อนำไข่ข้างดังกล่าวไว้

                       

                      สำหรับผู้หญิงที่มีอาการปวดท้องบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ บริเวณเดิม ควรไปตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อเข้ารับการรักษาให้เร็วที่สุด โดยการปวดท้องตำแหน่งต่าง ๆ บ่งบอกถึงความผิดปกติของอวัยวะในร่างกาย สำหรับการปวดท้อง 8 ตำแหน่ง สามารถบ่งบอกโรคได้ ดังนี้

                      1. ปวดใต้ลิ้นปี่ อวัยวะสำคัญ : กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ มักเกิดตอนหิว หรืออิ่ม สำหรับโรคที่ต้องระวัง ได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบ แต่ถ้ามีอาการปวดรุนแรง และคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ
                      2. ปวดชายโครงซ้าย อวัยวะสำคัญ : ม้าม ตับอ่อน โรคที่ต้องระวัง นิ่วในไตซ้ายหรือกรวยไตซ้ายอักเสบ อาจรุนแรงถึงขั้นม้ามแตกได้
                      3. ปวดชายโครงขวา อวัยวะสำคัญ : ตับ ถุงน้ำดี โรคที่ต้องระวัง โรคตับอักเสบ นิ่วในถุงน้ำดี อาการอื่น ๆ ที่สังเกตได้คือ อาการตัวเหลือง ตาเหลืองฃ
                      4. ปวดรอบสะดือ อวัยวะสำคัญ : ลำไส้เล็ก อาการปวดจะคล้ายกับมีลมที่ท้อง ท้องเดิน โรคที่ต้องระวัง ลำไส้อักเสบ หรือไส้ติ่งอักเสบ หากปวดรุนแรงจนทนไม่ได้ต้องรีบไปหาหมอ
                      5. ปวดปั้นเอวขวาและซ้าย อวัยวะสำคัญ : ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ มีอาการปวดเอวด้านหลัง แสบเวลาปัสสาวะ มีไข้ เพียงเคาะเบา ๆ ที่เอวด้านหลังก็จะเจ็บมาก
                      6. ปวดเหนือหัวหน่าว อวัยวะสำคัญ : กระเพาะปัสสาวะ มดลูก หากปวดเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะกะปริบกะปรอย โรคที่ต้องระวังคือ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ แต่หากปวดเกร็งช่วงมีรอบเดือน ปวดเรื้อรัง หรือคลำพบก้อน โรคที่ต้องระวังคือ มดลูกอักเสบ หรือเนื้องอกมดลูก
                      7. ปวดท้องน้อยซ้าย อวัยวะสำคัญ : ท่อไต ปีกมดลูกด้านซ้าย อาการสำคัญคือการปวดเกร็ง ปวดร้าวมาที่ต้นขา โรคที่ต้องระวังคือ นิ่วในท่อไต หากมีตกขาว เป็นไข้ หนาวสั่น พร้อม ๆ กับการปวด โรคที่ต้องระวังคือ ปีกมดลูกอักเสบ
                      8. ปวดท้องน้อยขวา อวัยวะสำคัญ : ไส้ติ่ง ท่อไต ปีกมดลูกด้านขวา สังเกตอาการปวดเกร็งเป็นระยะ ปวดร้าวมาที่ต้นขา เป็นสัญญาณของกรวยไตผิดปกติ แต่ถ้าปวดเสียด กดแล้วเจ็บ โรคที่ต้องระวังคือ ไส้ติ่งอักเสบ หากมีไข้ร่วมด้วยอาจเป็นสัญญาณของปีกมดลูกอักเสบ ถ้าคลำแล้วเจอก้อนเนื้อ โรคที่ต้องระวังคือ ก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ
                      ปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ
                      ปวดท้อง สัญญาณบอกโรค

                      ผู้หญิงปวดท้องน้อย เป็นโรคอะไรได้บ้าง

                      สำหรับผู้หญิงมักจะปวดท้องน้อย (Pelvic Pain) ได้บ่อย ๆ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณของร่างกาย เราจึงขอเจาะลึกอาการปวดท้องน้อยของผู้หญิง โดยการปวดท้องน้อย แบ่งออกเป็นการปวดท้องน้อยแบบเรื้อรังและการปวดท้องน้อยแบบเฉียบพลัน โดยนพ.ธีรศักดิ์ ธำรงธีระกุล สูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยาก รพ.วิภาวดี อธิบายว่า อาการปวดท้องน้อย มักจะปวดภายในอุ้งเชิงกราน ซึ่งมีกล้ามเนื้อ หลอดเลือด และอวัยวะที่สำคัญ ได้แก่

                      • อวัยวะสืบพันธุ์ ประกอบด้วย ช่องคลอด มดลูก รังไข่ และท่อรังไข่
                      • ทางเดินปัสสาวะ ประกอบด้วย กระเพาะปัสสาวะ และท่อไต
                      • ลำไส้ใหญ่
                      • สำไส้เล็ก

                      การปวดท้องน้อยแบบเฉียบพลัน มักเกิดจากการอักเสบ เช่น มดลูกอักเสบ ปีกมดลูกอักเสบ การอักเสบของทางเดินปัสสาวะ ลำไส้ หรือ ไส้ติ่งอักเสบ แต่ถ้าเป็นการปวดท้องน้อยเรื้อรัง อาจเกิดจากเนื้องอกมดลูก และเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่

                      หากมีอาการปวดท้องน้อยด้านซ้าย จี๊ดๆ หรือปวดมดลูกข้างซ้าย ในขณะตั้งครรภ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะการวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็วจะลดความเสี่ยงการเสียชีวิตลงได้ หากพบ 3 อาการอันตราย ปวดท้อง มีเลือดออกทางช่องคลอด และหรือมีภาวะขาดประจำเดือน ควรไปโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการวินิจฉัยอย่างละเอียด

                      อ้างอิงข้อมูล : sikarin, med.cmu, rtcog, phyathai และ chiangmainews

                       

                      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                       

                      อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                      คลอดลูกแม่เสียชีวิต สาเหตุแม่เสียชีวิตหลังคลอด

                      คลอดลูกตาย การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดหลังคลอด

                      ตกเลือด ขณะตั้งครรภ์! อีกหนึ่งภาวะอันตรายที่แม่ท้องต้องระวัง

                        ผมร่วงเกิดจากอะไร ผู้หญิง

                        ผมร่วงเกิดจากอะไร ผู้หญิง ผมร่วงเยอะเป็นสัญญาณโรคร้าย

                        แพทย์เตือนผมร่วงเกินวันละ 30-50 เส้น ต้องรีบหาหมอ! ผมร่วงเกิดจากอะไร ผู้หญิง ที่เจอกับปัญหาผมร่วงเยอะ ๆ ต้องระวังอันตรายจากโรคร้าย

                        ผมร่วงเกิดจากอะไร ผู้หญิง ที่มีผมร่วงหลังคลอด อันตรายหรือไม่

                        แม่ ๆ ทราบกันไหมคะว่า ผมร่วงแค่ไหนถึงปกติ ผมร่วงแค่ไหนคือสัญญาณอันตราย เชื่อว่าแม่ ๆ หลายคนคงไม่ทันได้ระวังตัว คิดว่าอาการผมร่วงเยอะแบบนี้เป็นเรื่องทั่วไป แม่บางคนอาจมีผมร่วงต่อเนื่องมาจากหลังคลอดจนเคยชิน สำหรับอาการผมร่วงหลังคลอดนั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนคุณแม่ ที่ผ่านพ้นการตั้งครรภ์มาแล้ว และในการตั้งครรภ์นั้นเองร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น ตอนท้องแม่หลายคนผมยาวสลวยเงางาม พอหลังคลอดเท่านั้นแหละ ผมที่เคยดกดำร่วงเป็นกระจุก สางทีออกมาเป็นกำ ด้วยระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ลดลง ทำให้ผมกลับมาร่วงเหมือนเดิมบางคนร่วงหนักขึ้นเสียอีก แต่อาการผมร่วงจะค่อย ๆ ดีขึ้นไปเอง แต่หากผ่านไปเป็นปี ก็ยังรู้สึกว่าผมร่วงหนักมาก ให้รีบปรึกษาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป

                        ผมร่วงเกิดจากอะไร ผู้หญิง
                        ผมร่วงเกิดจากอะไร ผู้หญิง

                        ผมร่วงแบบไหนเรียก ผมร่วงหนักมาก

                        ปกติผมของเราจะมีจำนวนเส้นผม 80,000-1,200,000 เส้น ในแต่ละวันจะงอกขึ้นมาประมาณ 0.35 มิลลิเมตร อายุของเส้นผมจะอยู่ที่ 2-6 ปี การที่ผมร่วงเป็นประจำนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่มักจะไม่เกิน 30-50 เส้น สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ผมร่วง ได้แก่

                        • ผมร่วงจากกรรมพันธุ์ ผมร่วงแบบนี้พบได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่มักเกิดกับผู้ชายเสียมากกว่า เนื่องจากรากผมมีความไวต่อฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย เส้นผมจึงมีอายุสั้นกว่าปกติ ส่วนเส้นผมที่เกิดใหม่ก็จะมีขนาดเล็กและบางลง ส่วนมากผมของผู้ชายมักร่วงกลางศีรษะและหน้าผาก และมักจะร่วงมากขึ้นเมื่ออายุ 20 ปี ขึ้นไป
                        • ผมร่วงหลังหมดประจำเดือน สำหรับผู้หญิงมักจะมีอาการผมร่วงมากเป็นพิเศษเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน
                        • ผมร่วงเนื่องจากผมหยุดเจริญเติบโตชั่วคราว เกิดขึ้นได้ทุกวัน เพราะแต่ละวันจะมีเส้นผมประมาณ 10-15 % ที่หยุดเจริญและหลุดร่วง
                        • ผมหยุดการเจริญเติบโตในทันที ในบางภาวะเส้นผมที่กำลังเจริญอาจหยุดการเจริญในทันที ทำให้มีเส้นผมเสื่อมและหลุดร่วงมากกว่าปกติ เห็นได้ในแม่หลังคลอด ทารกแรกเกิดหลังจากเป็นไข้สูง หรือผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใหญ่ คนที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง เสียเลือด มีการบริจาคเลือด พบการใช้ยาบางชนิด และภาวะเครียดทางจิตใจ ผมร่วงชนิดนี้มักจะเกิดขึ้นใน 1-3 เดือน หลังจากนั้นจะหยุดร่วงและงอกขึ้นใหม่ตามปกติ
                        • ผมร่วงเป็นหย่อม อาการผมร่วงเป็นหย่อม ๆ ผมร่วงเฉพาะที่ ผมร่วงเป็นวงกลมหรือวงรี มีขอบเขตชัดเจน พบว่าตรงกลางไม่มีเส้นผม หนังศีรษะไม่แดง ไม่เจ็บ ไม่คัน ไม่เป็นสะเก็ดหรือเป็นขุย บางคนอาจพบเส้นผมสีขาวขึ้น อาการแบบนี้เป็นผมร่วงที่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

                        ผมร่วงซ่อนโรคร้ายอะไรไว้บ้าง

                        1. โรคต่อมไทรอยด์และโรคด่างขาว – บางคนอาจมีผมร่วงเพียง 1-2 หย่อม หรือมีผมร่วงมากกว่า 10 หย่อม อาจลุกลามจนทั่วศีรษะ มีขนตาและขนคิ้วร่วงร่วมด้วย อาการนี้ผู้ป่วยบางคนอาจหายไปเองตามธรรมชาติ แต่อาจกินเวลาเป็นปี หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อยครั้ง อาการผมร่วงแบบนี้อาจเป็นร่วมกับโรคต่อมไทรอยด์และโรคด่างขาว
                        2. โรคดึงผมตนเอง (trichotillomania) – อาการดึงผมปัจจุบันพบผู้ป่วยในอัตรา 4% ของคนทั่วไป พบได้ทุกเพศทุกวัย มีทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว บางคนดึงผมแล้วรู้สึกสบายใจ ส่วนคนที่ดึงผมโดยไม่รู้ตัว มักจะดึงระหว่างทำกิจกรรมอื่น เช่น ตอนอ่านหนังสือหรือดูทีวี ปัจจัยที่ทำให้ดึงผมเกิดได้จากโรคทางจิตเวชบางอย่าง เช่น วิตกกังวลประเภทย้ำคิดย้ำทำ หรือการเป็นโรคซึมเศร้า พันธุกรรม ความผิดปกติทางสมองและสารเคมีในสมอง สมาธิสั้น มีความเครียด หรือมีปัญหาทางด้านปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น สำหรับการถอนผมของเด็ก ๆ มักมีปัญหาทางครอบครัว ปัญหาการเรียน เด็กบางคนอาจถอนผมเล่นจนเป็นนิสัย ทำให้ผมแหว่ง หนังศีรษะบริเวณที่ผมร่วงจะไม่มีผื่นคันหรือเป็นขุยและจะพบเส้นผมที่เป็นตอสั้น ๆ อยู่มาก
                        3. โรคเชื้อราที่ศีรษะ (กลากที่ศีรษะ) – ผมร่วงจากเชื้อราอาจพบได้บ่อยในเด็ก เกิดจากการติดเชื้อรา โรคนี้ผมจะร่วงเป็นหย่อม ๆ มีผื่นแดงคันและเป็นขุยหรือสะเก็ด มักจะพบร่องรอยของโรค เชื้อรา (กลาก) ที่มือ เท้า ลำตัวหรือในบริเวณร่มผ้าร่วมด้วย
                        4. โรคเอสแอลอี (SLE) โรค Lupus โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง อาจมีอาการผมร่วง ผมบาง แล้วเกิดเป็นแผล ร่วมกับอาการไข้เรื้อรัง ปวดตามข้อ มีผื่นปีกผีเสื้อขึ้นที่หน้า
                        5. โรคเรื้อรังบางอย่าง ก็ทำให้ผมร่วงได้ เช่น ซิฟิลิส โรคตับ โรคไต
                        6. โรคไทรอยด์ ร่างกายจะขับไขมันออกมาทางผิวหนังมาก ทำให้หนังศีรษะมัน รากผมอ่อนแอ
                        7. โรคโลหิตจาง เพราะร่างกายขาดธาตุเหล็กจึงทำให้ผมร่วง
                        8. โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง ด้วยระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้าใจว่าเซลล์รากผมเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย
                        9. ภาวะการมีถุงน้ำในรังไข่หลายใบ ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ เกิดภาวะผมบางจากแอนโดรเจน ร่วมกับผิวหน้ามัน
                        ผมร่วงเกิดจากอะไร ผู้หญิง
                        ผมร่วงเกิดจากอะไร ผู้หญิง

                        ปัญหาผมร่วงยังเกิดได้จากการทำผม ทั้งการม้วนผม ย้อมสีผม ดัดผม และเป่าผม รวมถึงอาการหนังศีรษะอักเสบ หรือเส้นผมเปราะหัก ผมร่วงจากยาและการฉายรังสี ส่วนยาที่มีผลทำให้ผมร่วงมีอยู่หลายชนิด เช่น

                        • ยารักษามะเร็ง
                        • การฉายรังสีในการรักษามะเร็ง
                        • ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด
                        • ยารักษาคอพอกเป็นพิษ
                        • ยาคุมกำเนิด
                        • ยาใช้ป้องกันโรคเกาต์

                        วิธีดูแลเส้นผมไม่ให้ร่วง

                        • สระผมทำความสะอาดเส้นผมและผิวหนังของศีรษะอย่างสม่ำเสมอ
                        • ไม่ควรเกาหรือขยี้หนังศีรษะแรงจนเกินไป
                        • หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีกับหนังศีรษะ เช่น การย้อม ทำสี ดัด ผมที่บ่อยเกินไป
                        • พยายามไม่ดึงหรือถอนผมเล่น
                        • ลดความเครียด หาวิธีผ่อนคลาย เพราะอาการเครียดจะกระตุ้นให้ผมร่วงมากขึ้น

                        จะเห็นได้ว่าอาการผมร่วงเกิดได้จากหลายปัจจัย หลากหลายสาเหตุ หากรู้สึกว่าผมร่วงมากจนผิดสังเกต ผมร่วงเยอะเป็นเวลานาน ให้รีบปรึกษาแพทย์ เพราะผมร่วงครั้งนี้อาจเป็นการส่งสัญญาณของร่างกายถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้

                        อ้างอิงข้อมูล : rama.mahidol, synphaet, thaihealth และ thonburimedicalcenter

                         

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                        อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                        คันช่องคลอด รึป่าว มีปัญหารึป่าว เช็กอาการก่อนsexสะดุด

                        พ่อเป็นซึมเศร้าหลังคลอดได้ ความเครียด กังวล ของคุณพ่อมือใหม่

                        แจก!!พิกัด ตรวจภายใน ไม่เจ็บ..ไม่แพง ตรวจได้ทุกวัย

                          วางแผนการศึกษาให้ลูก

                          วางแผนการศึกษาให้ลูก ลงทุนด้านการเรียนรู้ เน้นวัยไหนดีที่สุด

                          วางแผนการศึกษาให้ลูก ลงทุนเรื่องการศึกษาช่วงวัยไหนดีที่สุด เพื่อให้ลูกได้ต่อยอดอาชีพในฝัน

                          เริ่มคิด วางแผนการศึกษาให้ลูก ควรเน้นช่วงวัยไหนดี

                          พ่อแม่ทุกคนย่อมคาดหวังให้ลูกเติบโตไปแล้วเอาตัวรอดในสังคมได้ มีงานมีการทำที่ดี มีชีวิตสุขสบายไม่ต้องลำบาก นอกจากการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูในวัยเด็กแล้ว สิ่งที่พอจะมอบให้ได้ก็คือ โอกาสทางการศึกษาที่ดีที่สุด เพื่อเป็นใบเบิกทางให้ลูกได้เรียนรู้ ค้นพบตัวเอง และมีอาชีพที่ดีในอนาคต

                          แต่การลงทุนในการศึกษาช่วงวัยไหนถึงจะดีที่สุด?

                          จากกระทู้พันทิปเรื่อง “หากมีทุนการศึกษาให้ลูกสักก้อนหนึ่ง จะไปเน้นหนักในการศึกษาช่วงใดดีครับ” มีคนมาแสดงความคิดเห็นมากมาย โดยเจ้าของกระทู้ได้โพสต์ว่า

                          วางแผนการศึกษาให้ลูก
                          วางแผนการศึกษาให้ลูก

                          “หากคุณมีทุนการศึกษาให้ลูกสักก้อน โดยก้อนนี้จะเป็นเงินที่จะเอาไว้ให้ลูกเรียนตั้งแต่ อนุบาล ถึง ปริญญาตรี เอาแค่ค่าเรียนอย่างเดียว คุณจะเอาทุนก้อนนี้ไปเน้นการศึกษาช่วงใดครับ อนุบาล ประถม ม.ต้น ม.ปลาย มหาวิทยาลัย? โดยทุนนั้นอาจจะมี สัก 3-5 ล้าน”

                          ความเห็นแรก : สนับสนุนการเรียนภาษาอังกฤษ เช่น ความคิดเห็นที่ 1 “สนทนาภาษาอังกฤษ ควรเริ่มตั้งแต่อนุบาล 3-5 ล้าน …..เหลือ ๆ สำหรับการศึกษาอย่างเดียว เรียนถึง ป.ตรี หากเขาไปได้ดี ก็ควรส่งไปเรียนโท ที่เมืองนอก”

                          ต่อมามีคนสนับสนุนเรื่องนี้ โดยอธิบายเพิ่มเติมว่า ช่วงอนุบาล ถึงประถมต้น (อ.1-ป.3) จะให้เรียนภาษาที่ 2 3 (อังกฤษ จีน) ประถมปลาย (ป.4-ป.6) ให้เรียนวิทย์-คณิตฯ เพื่อสอบเขา ร.ร.มัธยม ช่วงมัธยมต้น เด็กจะเริ่มคิดว่าอยากเป็นนั้นเป็นนี้ส่วนนี้ก็ต้อง ตัดสินใจสนับสนุน ช่วง ม.ปลาย ถ้ามีโอกาสควรหาโครงการแลกเปลี่ยน ไปเรียน จีน เกาหลี หรือญี่ปุ่น หรือโซนยุโรปไปเลย มหาวิทยาลัยส่วนนี้ก็ตามศักยภาพและความชอบแล้วที่จะผลักดันให้เรียนอะไรเพื่อสอบในไทย หรือไปเรียนต่อ ตปท.เลยทีเดียวยาว ๆ

                          วางแผนการศึกษาให้ลูก

                          แต่บางความคิดมองว่า เงินก้อนควรให้หลังจากลูกเรียนจบ โดยความคิดเห็นที่ 4 อธิบายว่า ถ้าสำหรับเรา เงินก้อนนี้คือหลังจากลูกเรียนจบค่ะ เป็นเงินทุนตั้งตัว เพราะเราคิดว่าการศึกษาระหว่างอนุบาลถึงมัธยมมันไม่จำเป็นต้องลงทุนมากมายอะไร เรื่องภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส หรืออะไรก็แล้วแต่ เด็กหรือคนที่ใช้ได้ดี คือคนที่ได้ใช้ตลอดเวลา ง่าย ๆ คือสอนที่บ้าน พ่อแม่พูดไปเลยตั้งแต่ลูกเกิด จะเป็นพ่อหรือแม่ก็ได้ เด็กจะเป็นเร็ว และเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วงประถมถึงมัธยม เรามองว่ามันคือช่วงที่เด็กค้นหาตัวเอง ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรกันแน่ 8 วิชาหลัก ไม่จำเป็นต้องทุ่มเงินมากมายขนาดนั้น เรามองว่าทุ่มเฉพาะทางไปเลยดีกว่า ส่วนมหาวิทยาลัยเน้นขอทุน หรือถ้ามันเป็นคณะที่ต้องใช้เงินก็ลองหาลู่ทางอื่นดูค่ะ ส่วนตัวเราไม่ลงทุนกับการศึกษา เพราะทุกวันนี้การศึกษาฟรีมีมากมาย khanakademy edx coursera คอร์สออนไลน์ของแต่ละสถาบัน อย่าง MIT หรือ wharton ก็ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับค่ะ แต่ถ้ามีแนวเวิร์คชอป หรือฝึกงานจริง เราจะยอมลงทุนค่ะ

                          ด้านความคิดเห็นที่ 5 ก็สนับสนุนความคิดในการให้เงินในวัยทำงาน โดยระบุว่า เงินช่วยถ้าเขาตัดสินใจทำธุรกิจ และเจียดมาเล็ก ๆ ช่วยตอนประถม-อนุบาลนิดหน่อย นอกจากช่วงนั้นเด็กควรหาเงินเรียนเอง ไม่ว่าจะด้วยทุนการศึกษาหรือทำงาน

                          กระทู้นี้มีคุณพ่อคุณแม่มาแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย และยังมีเด็กมาแสดงความคิดเห็นเช่นกัน โดยเจ้าของคอมเมนท์ระบุว่า ตอนนี้อายุ 19 นะครับ สำหรับผมความเหลื่อมล้ำที่เห็นชัดเลย 2 อย่างที่เด่น ๆ

                          1. ภาษา เป็นไปได้ ผมอยากให้พ่อเเม่ผมส่งผมเก่งภาษาตั้งเเต่เด็กเลย ถ้าได้จะสบาย
                          2. ม.ปลาย เงินมากพอให้เรียนพิเศษ ถ้าไม่สอบหมอก็อาจจะน้อยหน่อย เพราะได้ภาษาเเต่เด็กเหลือเรียนไม่กี่วิชา

                          คิดว่า 2 อย่างนี้เงินที่เตรียมมาเหลือ ๆ ก็ให้หลังเรียนจบ อันนี้เพิ่มเติม คือส่งให้อยู่ในโรงเรียนที่มีสังคมที่ดี สังคมนี่มีผลมากในด้านความคิด ความรับผิดชอบ อย่างสุดท้ายคือทำให้เห็นว่าการศึกษามันสำคัญ อย่างผมพึ่งมาตระหนักได้ก่อนขึ้น ม.4 ม.ต้นเล่นเกมลูกเดียว ยังดีที่ตอน ม.ต้นสอบเข้าได้ห้อง king จึงได้สังคมดี ๆ ไป ม.ปลายมาเลยกลับตัวทัน เเต่ถ้าต่อนอกก็อีกกรณีหนึ่ง นี่เเค่ต่อในประเทศ

                          วางแผนการศึกษาให้ลูก
                          การศึกษาลูกแต่ละช่วงวัย

                          อย่างไรก็ตาม มีพ่อแม่หลายท่านเห็นถึงความสำคัญในการลงทุนการศึกษาตั้งแต่เล็ก เช่นความคิดเห็นที่ว่า “อนุบาลค่ะ รากฐานดี พื้นฐานดี ต่อจากนั้น ไม่ต้องทำอะไรมาก เด็กโตขึ้น หาความรู้เอง ใฝ่เรียนเองได้ ยิ่งยุคนี้ด้วยแล้ว เขาว่าความรู้อยู่ในอากาศ ล่องลอยมาตามสัญญาณเน็ต มีอยู่เต็มในโลกข้อมูลข่าวสาร”

                          ความคิดเห็นที่ 38 : “อนุบาล-ประถมค่ะ เป็นช่วงที่เค้าค้นหาตัวเอง พัฒนาทักษะทั้งด้านวิชาการและการใช้ชีวิตในสังคม แล้วพอขึ้นมัธยมเค้าต้องรู้จักตัวเองระดับนึงแล้วเนื่องจากมีแบ่งสายการเรียน ถ้าถึงตอนนั้นยังไม่สิ่งที่ตัวเองชอบหรือสิ่งที่ตัวเองถนัดจะแย่เอา” ด้านความคิดเห็นที่ 34 : “พัฒนาการเด็ก เจริญเติบโตไวสุดช่วง 5 ขวบแรก ควรเริ่มตั้งแต่ต้นค่ะ เฉลี่ยกันไป เสริมพัฒนาการด้านสมอง และการปรับตัวหลาย ๆ ด้านดีที่สุดค่ะ เพราะแต่ละช่วงวัยก็มีสิ่งที่ต้องเน้นแตกต่างกัน”

                          ส่วนความคิดเห็นที่ 41 แนะนำจากประสบการณ์จริงว่า ช่วงเวลา 0-6 ขวบ มีค่ามากที่สุดในการลงทุนกับลูกครับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องลงทุนกับลูกในช่วงเวลานี้ คือ เวลา ครับ ไม่ใช่เงิน ทุก “วินาที” (ไม่ใช่ชั่วโมงหรือวัน) ที่ได้พูดคุยหรือเล่นกับลูก (ไม่ใช่การลงคอส์สติววิชา) สำคัญมาก ๆ ครับ

                          วางแผนการศึกษา

                          การศึกษาช่วงไหนสำคัญที่สุดในชีวิตลูก

                          จริง ๆ แล้วการศึกษาสำคัญทุกช่วงวัย แต่อาจมีรายละเอียดปลีกย่อยที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องพิจารณาสำหรับแต่ละครอบครัว ทีมแม่ ABK ได้พูดคุยกับ นพ.ยลัญพล ธิรากุลนันท์ชัย แพทย์ประจำบ้านกุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของเพจเลี้ยงลูกให้เป็น สไตล์หมอๆ ในเรื่องการศึกษาลูกเน้นช่วงไหนดี โดยคุณหมอให้ความคิดเห็นว่า ถ้าพูดถึงว่าการศึกษาในช่วงเวลาใดสำคัญในช่วงชีวิต ถ้าให้หมอตอบตามตรงคือทุกช่วงเวลาสำคัญหมด เพราะในแต่ละช่วงเวลาเด็กจะมีการเจริญเติบโตทางสมองและความคิด

                          ในมุมมองเรื่องการลงทุนด้านการศึกษา วัยอนุบาลก็เป็นช่วงวัยที่ค่อนข้างสำคัญต่อชีวิตของลูก นพ.ยลัญพล เสริมว่า ช่วงวัยอนุบาลถือเป็นวัยที่สำคัญของชีวิตลูก เพราะเป็นวัยที่สร้างพื้นฐานทักษะการใช้ชีวิต และสภาวะทางอารมณ์

                          “ในช่วงแต่ละเวลาการคิดหรือการเจริญเติบโต หรือการมองโลกก็ต่างกัน เช่นในวัยเด็กเล็ก ที่ยังมองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล การให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะการใช้ชีวิต การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเด็กเล็กเป็นวัยที่สร้างพื้นฐานทักษะการใช้ชีวิต และสภาวะทางอารมณ์ แต่คุณพ่อคุณแม่เองก็เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาของเด็กด้วย เพราะถึงจะเป็นวัยไปโรงเรียน แต่เวลาอีกเกินครึ่ง ลูกก็จะอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองอยู่ดี” นพ.ยลัญพล แนะนำ

                          การศึกษาลูก

                          ส่วนการให้ความสำคัญกับลูกในแต่ละช่วงวัย เจ้าของเพจเลี้ยงลูกให้เป็น สไตล์หมอๆ อธิบายว่า ถ้าลองแบ่งเป็นช่วงแต่ละวัยก็จะเป็น ดังนี้

                          • อนุบาล – เป็นวัยที่อยากรู้ อยากเห็น ควรจะเปิดโอกาสให้ลูกได้ถาม ไม่ควรทำว่าสิ่งที่ลูกอยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องผิดหรือไร้สาระ ด้วยการตอบสนองที่เหมาะสมจะเป็นการสร้างพื้นฐานทางความคิด และทักษะการใช้ชีวิต โดยวัยอนุบาลจะเป็นวัยที่ได้เข้าสังคม เรียนรู้การใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นนอกจากคนในครอบครัวด้วย
                          • ประถมศึกษา – ประถมจะเป็นวัยที่อยากลองทำอะไรต่าง ๆ หาประสบการณ์ใหม่ ๆ เป็นช่วงที่จะพัฒนาสติปัญญา พัฒนาทักษะทางร่างกาย ในวัยนี้คุณพ่อคุณแม่ควรสนับสนุนในกิจกรรมต่าง ๆ ที่ลูกอยากจะทำ แต่ต้องไม่เป็นอันตราย หมั่นชื่นชมเมื่อลูกทำได้ดี หรือหากลูกล้มเหลว ลองพูดคุยกับลูกว่าเราจะทำอย่างไรดี เปิดโอกาสให้ลูกได้คิดและลงมือทำเอง
                          • วัยรุ่น – มักเป็นวัยที่เริ่มต้องการค้นหาตัวเอง ต้องการอิสระในการใช้ชีวิต และเริ่มติดเพื่อน ในฐานะพ่อแม่สิ่งที่เราควรทำคือ เปิดใจให้มาก ๆ พูดคุยกับลูกตรงไปตรงมาและไม่ใช้อารมณ์ สิ่งใดที่ทำแล้วดี แน่นอนว่าต้องชื่นชม สิ่งไหนที่ทำแล้วไม่ดี พูดกับลูกตรง ๆ ว่าทำไมพ่อแม่ถึงคิดว่าไม่ดี สิ่งไหนที่ไม่อยากให้ลูกทำ บอกไปเลยตรง ๆ ว่าไม่อยากให้ทำ พูดคุยกับลูกให้มาก ๆ ลูกจะได้มาพูดคุยกับเราได้เมื่อมีปัญหา แต่ต้องพูดคุยด้วยเหตุผล ยกเว้นตอนมีอารมณ์โกรธหรือโมโห ควรมาคุยกันตอนอารมณ์เย็นลงจะดีกว่า

                          นอกเหนือจากการศึกษาแล้ว พ่อแม่ก็ควรจะใกล้ชิดลูกตั้งแต่ยังเล็ก เพื่อให้ลูกเปิดใจพูดคุยถึงสิ่งที่สนใจ เมื่อลูกได้ค้นพบตัวเอง ค้นพบความชอบ ก็ควรจะผลักดันและให้คำแนะนำอย่างเหมาะสม

                          อ้างอิงข้อมูล : https://pantip.com/topic/40201301

                           

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                          อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                          10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้ฉลาดรอบรู้ เก่ง ดี มีสุข ฉลาดทันคน เอาตัวรอดได้

                          เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เก่ง ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง เริ่ม 1 – 7 ขวบ

                          ทักทายเด็กด้วย “พลังบวก” ดีกว่ามั้ย? โดย พ่อเอก

                            โรคมือเท้าปาก อันตรายไหม

                            โรคมือเท้าปาก อันตรายไหม กี่วันหาย สาเหตุเกิดจากอะไร

                            ไขข้อข้องใจโรคระบาดหนัก โรคมือเท้าปาก อันตรายไหม สาเหตุและการรักษา ต้องทำอย่างไร

                            โรคมือเท้าปาก อันตรายไหม

                            ช่วงนี้พ่อแม่หลายคน คงต้องดูแลลูกมากเป็นพิเศษ เพราะในช่วงปลายฝนต้นหนาว โรคร้ายมากมายกลับมาเยือนเป็นประจำทุกปี อย่างช่วงนี้ RSV ระบาดหนัก ทำให้เด็กป่วยจำนวนมาก ทั้งยังร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็มี แต่อีกหนึ่งโรคระบาดที่ต้องระวังคือ โรคมือเท้าปาก ติดกันได้ง่าย โดยเฉพาะเด็กวัยเรียน

                            สถิติโรคมือเท้าปาก 2563

                            ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เปิดเผยสถานการณ์ โรคมือเท้าปาก ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2563 จาก รง. 506 กองระบาดวิทยา พบผู้ป่วย 15,544 ราย อัตราป่วย 23.40 ต่อประชากรแสนคน ไม่พบผู้เสียชีวิต

                            สำหรับกลุ่มอายุที่พบว่าเป็นโรคมือเท้าปากมากที่สุด 3 อันดับ

                            • ทารก 0-4 ปี (86.35%)
                            • อายุ 5 ปี (4.36%)
                            • อายุ 7-9 ปี (3.59%)
                            โรคมือเท้าปาก
                            สถิติโรคมือเท้าปาก 2563

                            ภาคที่มีอัตราป่วยโรคมือเท้าปากสูงสุด เรียงตามลำดับ

                            1. ภาคใต้ 50.33 ต่อแสนประชากร พบมากในกลุ่มอายุ 1 ปี (1531 ราย), 2 ปี (1023 ราย), 3 ปี (792 ราย)
                            2. ภาคเหนือ 25.50 ต่อแสนประชากร พบมากในกลุ่มอายุ 1 ปี (904 ราย), 2 ปี (765 ราย), 3 ปี (488 ราย)
                            3. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19.78 ต่อแสนประชากร พบมากในกลุ่มอายุ 1 ปี(1,018 ราย), 2 ปี (1018 ราย), 3 ปี (908 ราย)
                            4. ภาคกลาง 14.64 ต่อแสนประชากร พบมากในกลุ่มอายุ 1 ปี (840 ราย), 2 ปี (585 ราย), 3 ปี (479 ราย)
                            โรคมือเท้าปาก อันตรายไหม
                            อาการโรคมือเท้าปาก เครดิตภาพเพจ : Infectious ง่ายนิดเดียว

                            โรคมือเท้าปาก โรคอันตราย!

                            โรคมือเท้าปาก (Hand-Foot-And-Mouth Disease-HFMD) เป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็ก มักมีการระบาดช่วงฤดูฝน มักมีอาการประมาณ 2-3 วันและดีขึ้นจนหายใน 1 สัปดาห์ สำหรับโรคมือเท้าปากมีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ จึงสามารถติดต่อกันได้โดยที่ยังไม่แสดงอาการ สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มเอนเตอโรไวรัส มีหลายสายพันธุ์ หากติดเชื้อที่อันตราย จะมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

                            เพจ Infectious ง่ายนิดเดียว ได้ออกมาเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีลูกหลานเล็ก ๆ โดยเฉพาะเด็กวัยเรียนให้ระวังอันตรายจากโรคมือเท้าปาก ที่กำลังระบาดหนักไม่แพ้ RSV โดยโพสต์ว่า ช่วงนี้เริ่มกลับมาระบาด โรคมือเท้าและปาก RSV ก็ยังระบาด ในศูนย์เด็กเล็ก อนุบาล ประถมก็เจอ โรคมือเท้าปากเกิดจากเชื้อไวรัสชื่อเอนเทอร์โรไวรัส (Enterovirus) สมาชิกในกลุ่มไวรัสที่พบบ่อยคือ Coxsackie และ Enterovirus

                            อาการสำคัญของโรคมือเท้าปาก

                            ลักษณะตุ่มที่ขึ้นจะเป็นตุ่มใส ขึ้นในปากบริเวณเพดาน ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ถ้าขึ้นแค่ในปาก เรียก herpangina (เฮอร์แปงไจน่า) ถ้าขึ้นครบ 3 ที่ คือ มือ เท้า ปาก จะเรียกว่า โรคมือเท้าปาก บางรายตุ่มขึ้นตามตัวหรือก้นได้

                            โรคมือเท้าปาก อันตรายไหม
                            โรคมือเท้าปาก อันตรายไหม เครดิตภาพเพจ : Infectious ง่ายนิดเดียว

                            มือเท้าปากอันตรายแค่ไหน

                            โรคนี้มักจะมีอันตรายหากพบภาวะแทรกซ้อน แบ่งออกเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรงและพบบ่อย ขาดน้ำ เนื่องจากเจ็บปาก กินน้ำและอาหารไม่ได้ ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงจะแบ่งออกเป็น 2 โรค

                            1. สมองอักเสบ
                            2. กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

                            ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมักพบจากสายพันธุ์ เอนเทอร์โรไวรัส 71 เด็กจะไข้สูง ซึม ตัวสั่น ๆ งอแง มีกล้ามเนื้อกระตุกได้ (myoclonus jerk) ถ้ารุนแรงน้ำท่วมปอด หายใจหอบ หัวใจวาย ชัก เกร็งกระตุก เสียชีวิตได้

                            การวินิจฉัยและการรักษาโรคมือเท้าปาก

                            วินิจฉัยจากอาการที่แสดง มีตุ่มในปากบริเวณเพดาน ลิ้นไก่ และฝ่ามือฝ่าเท้า ส่วนการรักษา จะรักษาตามอาการ ไม่มียาฆ่าไวรัส กินอาหารเย็นได้ เช่น น้ำเย็น น้ำแข็ง ไอติม โดยจะหยอดยาชาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ แต่ควรให้กินอาหารอ่อน ๆ ย่อยง่าย

                            การพยากรณ์โรค ดีมาก หายได้ภายใน 3-7 วัน มีโอกาสเป็นซ้ำได้ ต้องรักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงสัมผัสคนป่วย ส่วนน้อยมาก ๆ ที่จะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

                            โรคมือเท้าปากยังไม่มีวัคซีน การป้องกันทำได้ ดังนี้

                            • กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ รักษาระยะห่าง หลีกเลี่ยงสัมผัสคนป่วย
                            • อย่าอมมือ อมของเล่น
                            • งดเล่นบ้านบอล สนามเด็กเล่น

                            โรคมือเท้าปาก
                            โรคมือเท้าปาก อันตรายไหม เครดิตภาพเพจ : Infectious ง่ายนิดเดียว
                            คุณหมอยังย้ำด้วยว่า หากพบลูกหลานป่วยควรให้หยุดเรียน ทางโรงเรียนอาจจะปิดชั้นเรียนและทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ ของเล่น โดยการทำความสะอาดจะใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดได้ รวมทั้งการตากแดดอุปกรณ์และของเล่น

                            ในเมื่อโรคมือเท้าปากยังไม่สามารถป้องกันได้ พ่อแม่ผู้ปกครองจึงต้องหมั่นดูแลความสะอาด กำชับลูกเรื่องล้างมือ พร้อมกับคอยทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ลูกหลังกลับจากโรงเรียนทุกครั้ง และอย่าลืมสังเกตร่างกายลูกทุกวัน หากพบเจอความผิดปกติให้หยุดเรียนและรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

                            อ้างอิงข้อมูล : Infectious ง่ายนิดเดียว, กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค และ pidst.or.th

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                             

                            อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                            ทารกติด RSV เสียชีวิต ภัยร้ายพรากลูกวัย 10 เดือนจากอกพ่อแม่

                            ผื่นแพ้สัมผัส ลูกเป็นตุ่มแดง บวม คัน แพ้ไส้ในเบาะกันขอบเตียง

                            นมแม่หดถึงคราวพึ่ง นมกล่อง เลือกยังไงหากลูกแพ้นมวัว

                              โครงการ “โฟร์โมสต์อาสารักษ์โลก” ปีที่ 7 มอบอุปกรณ์การเรียน-กีฬา พร้อมแผ่นหลังคารีไซเคิล ผลิตจากกล่องนมกว่า 1.87 แสนกล่อง

                              วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม 2563 – บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์ ได้บริจาคแผ่นหลังคาอีโค่รูฟ (Eco-Roof) จำนวน 90 แผ่น พร้อมชุดโต๊ะ-เก้าอี้สำหรับนักเรียน ซึ่งผลิตจากกล่องนมยูเอชที
                              รีไซเคิลรวมกว่า 186,000 กล่อง รวมถึงอุปกรณ์กีฬาเช่น ลูกบาสเกตบอล และผลิตภัณฑ์นมยูเอชทีสำหรับเด็ก ตราโฟร์โมสต์โอเมก้า ให้แก่โรงเรียนบ้านเขานมนาง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี โดยอาจารย์ปิติตรี ตายงค์ ครูประจำโรงเรียนเป็นผู้แทนรับมอบสิ่งของ
                              พร้อมกล่าวขอบคุณสำหรับผลิตภัณฑ์นมพร้อมดื่มสำหรับเด็กๆและลูกบาสเกตบอล โดยจะนำแผ่นหลังคารีไซเคิลที่ได้มาต่อเติมอาคารเรียนเด็กเล็กและหอประชุมของโรงเรียน ต่อไป กิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ “โฟร์โมสต์อาสารักษ์โลก”
                              ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 โดยในปีนี้บริษัทฯ ได้รวบรวมกล่องนมยูเอชทีที่ใช้แล้ว และนำไปรีไซเคิลเปลี่ยนเป็น โต๊ะ-เก้าอี้ สำหรับนักเรียน รวมถึงอัดขึ้นรูปเป็นแผ่นหลังคาอีโค่รูฟ (Eco-Roof) ซึ่งสามารถป้องกันความร้อนสะท้อนแสงยูวี (UV) ได้ถึง 32.9 % จึงสามารถลดอุณหภูมิของอาคารเรียนลงได้ถึง 3-5 องศาเซลเซียส อีกทั้งกระบวนการผลิตแผ่นหลังคายังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

                              เนื่องจากผลิตจากกล่องนมยูเอชที100% โดยไม่ใช้สารเคมีใดๆ ทั้งนี้การนำบรรจุภัณฑ์กล่องนมยูเอชทีที่ใช้แล้วนำกลับมาแปรรูปนี้
                              อยู่ภายใต้แผนงานการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน (Sustainable Supply chain Management) เพื่อสานต่อแนวทางการสร้างการเติบโตธุรกิจโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

                              เว็บไซต์ www.foremostthailand.com
                              เฟซบุ๊ก Foremost Thailand

                                Tags

                                ทารกติด RSV เสียชีวิต

                                ทารกติด RSV เสียชีวิต ภัยร้ายพรากลูกวัย 10 เดือนจากอกพ่อแม่

                                สุดสะเทือนใจ! ทารกติด RSV เสียชีวิต พ่อแม่ช็อคลูกอายุแค่ 10 เดือน ต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

                                ทารกติด RSV เสียชีวิต

                                เรื่องราวแสนเศร้าของครอบครัวหนึ่งที่ได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงลูกน้อยวัยเพียง 10 เดือน 2 วัน ที่จากไปด้วยสาเหตุของ RSV ว่า #RSV โรคร้าย หลับให้สบายนะลูก​ ขอบคุณ​ทุกๆกำลังใจที่ส่งมาให้น้อง น้องไม่เจ็บไม่ทรมานแล้ว​ น้องสู้ที่สุด​ อดทนที่สุด​ ขอให้น้องไปสู่สุขคติ​นะคนสวยของแม่ นางฟ้าตัวน้อยของแม่​

                                ด้านคุณพ่อก็ได้โพสต์เช่นกันว่า “ขอให้หนูไปสู่สุขคติ​นะ​นางฟ้าตัวน้อย ส่งนางฟ้ากลับสวรรค์​”

                                ติด RSV เสียชีวิต
                                ทารกติด RSV เสียชีวิต

                                สำหรับศพของน้องที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2563 พ่อแม่ได้รับมาตั้งบำเพ็ญพิธีตามศาสนาอยู่ที่บ้าน ณ จังหวัดชัยภูมิ โดยทั้งคู่ได้ฝากเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองว่า ไม่คาดคิดว่า ลูกตนเองในวัยเพียง 10 เดือน จะป่วยและเสียชีวิตด้วยไวรัส RSV อย่างรวดเร็วได้ขนาดนี้ ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว สาเหตุการป่วยและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว มาจากละอองฝน จึงอยากเตือนให้ผู้ปกครองระวังกันให้มาก ไม่ให้เด็กออกไปถูกละออง หรือไอฝน โดยลูกสาวถูกละอองฝนได้ไม่กี่วัน ก็มีอาการป่วย จึงพาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ลูกได้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ทุกคนแทบตั้งตัวไม่ทันว่า น้องจะมาจากไปเร็วขนาดนี้ ทั้งที่อายุเพียง 10 เดือน 2 วัน เพราะโรคจากไวรัส RSV เด็กเป็นแล้วอันตรายมาก

                                ส่วนคุณพ่อได้บอกเพิ่มเติมกับทีมแม่ ABK ว่า แม้จะเสียใจกับเหตุการณ์​ที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องทำใจ เพราะน้องไม่เจ็บไม่ทรมานอีกแล้ว น้องสู้ที่สุด อดทนที่สุดแล้วครับ แล้วฝากกราบขอบพระคุณคุณหมอและคุณพยาบาล​ทั้งสามโรงพยาบาลที่ช่วยน้องอย่างเต็มที่

                                หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่ต้องสูญเสียลูกสาวไปอย่างไม่มีวันกลับ อยากฝากเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ทุกคนได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด เพราะปลายฝนต้นหนาว เป็นช่วงที่ RSV ระบาดอย่างหนัก

                                ปลายฝนต้นหนาว ฤดูแพร่ระบาดไวรัส RSV

                                นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวย้ำกับผู้ปกครองให้เฝ้าระวังบุตรหลาน ในช่วงที่มีการระบาดของไวรัส RSV ว่า ในช่วงปลายฝนต้นหนาวนี้เป็นฤดูกาลระบาดของเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (Respiratory Syncytial Virus: RSV) ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตอาการทางระบบทางเดินหายใจของลูกหลานอย่างใกล้ชิดและหมั่นดูแลรักษาความสะอาดอยู่เสมอ โดยเชื้อไวรัส RSV มักระบาดมากในเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม

                                ทารกติด RSV เสียชีวิต
                                ทารกติด RSV

                                ไวรัส RSV ตัวร้ายอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

                                ด้านนายแพทย์อดิศัย ภัตตาตั้ง ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี อธิบายถึงอันตรายของไวรัส RSV ว่า เชื้อไวรัส RSV เป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ เชื้อจะแพร่กระจายผ่านทางการไอ จาม น้ำมูก น้ำลาย และเสมหะจากผู้ติดเชื้อไวรัส

                                เชื้อ RSV จึงเข้าสู่ร่างกายได้โดยผ่านทางเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผ่านทางการสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ การติดเชื้อดังกล่าวมักพบในเด็กเล็กซึ่งเป็นวัยที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงและเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น

                                ติด RSV เสียชีวิต
                                RSV ภัยร้าย

                                อาการสำคัญของ RSV ที่พ่อแม่ต้องระวัง

                                • เด็กที่ป่วยจะมีอาการเบื้องต้นคล้ายเป็นไข้หวัดธรรมดา
                                • มีน้ำมูก
                                • ไข้
                                • ไอ
                                • จาม

                                หากมีอาการไอ มีเสมหะจำนวนมาก หายใจเหนื่อยหอบ หายใจมีเสียงหวีด ซึ่งเป็นลักษณะอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าหลอดลมตีบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ ในบางรายที่มีอาการรุนแรงอาจมีอาการถึงขั้นตัวเขียวซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต พ่อแม่จึงต้องคอยสังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิด หากมีอาการคล้ายปอดอักเสบร่วมด้วยควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาต่อไป

                                ทารกติด RSV เสียชีวิต
                                ติด RSV เสี่ยงเสียชีวิต

                                การรักษาและวิธีป้องกัน RSV

                                ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไวรัส RSV การรักษาเป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น พ่อแม่ผู้ปกครองจึงต้องลดความเสี่ยงและป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV โดยดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นป้องกันร่างกายของลูกน้อย และทำตามวิธีป้องกันอื่น ๆ ดังนี้

                                1. ล้างมือให้สะอาดเพื่อป้องกันการติดต่อทางการสัมผัส
                                2. ทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อ
                                3. สวมหน้ากากอนามัยขณะอยู่ในที่แออัดหรือในบริเวณสาธารณะ
                                4. ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ
                                5. ให้เด็กดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อลดภาวะขาดน้ำและช่วยขับเสมหะ

                                หากมีลูกเล็กไม่ควรพาลูกไปในที่ที่มีผู้คนพลุกพล่าน หมั่นดูแลความสะอาดของใช้เด็ก ของเล่นเด็กเสมอ พร้อมกันนั้นต้องให้ทารกกินนมแม่เป็นประจำ และระวังไม่ให้ใครมากอด มาจูบลูก เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV

                                อ้างอิงข้อมูล : nationtv.tv , กรมการแพทย์ และ healthydee.moph.go.th

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                 

                                อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                                ลักษณะทารกคลอดก่อนกำหนด การดูแลและวิธีส่งเสริมพัฒนาการลูก

                                อันตรายไหม?ลูก นอนหลับ แล้วทำไมตาปิดไม่สนิทกรอกไปมา

                                ผลเสียของการให้ลูกเล่นโทรศัพท์ ทารกดูมือถือนานกระทบต่อความฉลาด!

                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย

                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย ที่คนท้องต้องระวัง ควรฉีดวัคซีนก่อนท้องนานแค่ไหน

                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย ฝันร้ายของคนท้อง อันตรายร้ายแรงกับเด็ก โรคนี้มีอาการอย่างไร ต้องฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์นานแค่ไหน

                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย ภัยร้ายแม่ท้อง

                                  เมื่อเข้าฤดูหนาว สิ่งหนึ่งที่พ่อแม่หลายคนมักกังวลเกี่ยวกับลูกน้อย คือโรคร้ายที่มาพร้อมกับลมหนาว หนึ่งในโรคอันตราย ได้แก่ โรคหัดเยอรมัน ที่มักจะระบาดเป็นประจำทุกปี ซึ่งไม่ใช่แค่เด็กตัวเล็ก ๆ เท่านั้น แต่หัดเยอรมันยังเป็นอันตรายต่อคนท้องและทารกในครรภ์อีกด้วย

                                  “หัดเยอรมัน” โรคที่มาพร้อมหน้าหนาว แต่จะระบาดบ่อยในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสรูเบลล่า (Rubella Virus) ที่อยู่ในน้ำมูก น้ำลาย จึงอันตรายสำหรับเด็กที่เข้าโรงเรียนแล้ว เพราะมักจะพบการระบาดในที่ที่มีคนอยู่รวมกันมาก ๆ อย่างโรงเรียน โรงงาน หรือสถานที่ทำงาน

                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย
                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย

                                  รู้ได้อย่างไรว่าเป็นหัดเยอรมัน?

                                  หากมีการสัมผัสน้ำมูก น้ำลายที่มีเชื้อหัดเยอรมันอยู่ เชื้อจะมีชีวิตในร่างกายคนได้นานถึง 1 ปี เมื่อติดเชื้อแล้วจะยังไม่เกิดอาการทันที จะใช้เวลาประมาณ 14-21 วัน จึงจะเริ่มเกิดอาการ โดยในช่วงแรกค่อนข้างมีอาการคล้ายกับการติดเชื้อไวรัสทั่วไป โดยหลังจากนั้น 1-2 วัน ผู้ป่วยมักจะเริ่มมีอาการดังนี้

                                  1. มีไข้ต่ำถึงปานกลาง (ประมาณ 37.2-37.8 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ อาจเจ็บคอร่วมด้วย
                                  2. ต่อมน้ำเหลืองโต โดยเฉพาะบริเวณคอ ท้ายทอย
                                  3. หลังหู มีตุ่มนูน ผื่นแดงหรือสีชมพูขึ้นที่ใบหน้า ก่อนจะลามลงมาตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ เช่น แขน ขา และจะค่อย ๆ หายไปภายใน 3 วัน โดยผื่นมักมีลักษณะอยู่กระจายตัว ไม่กระจุกตัวเป็นกลุ่ม และเมื่อผื่นหายมักไม่ค่อยทิ้งรอยแผลจากผื่นทิ้งไว้ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันตามผิวหนังร่วมด้วย

                                  อาการอื่น ๆ ที่สามารถพบได้ทั่วไป และมักเกิดขึ้นกับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ อาทิ

                                  • ปวดศีรษะ
                                  • ไม่อยากอาหาร
                                  • เยื่อบุตาอักเสบจนทำให้ตาแดง
                                  • คัดจมูก น้ำมูกไหล
                                  • ต่อมน้ำเหลืองตามร่างกายมีอาการบวม ปวดข้อ และข้อต่อบวม

                                  ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย หรืออาจไม่มีอาการของโรคได้เช่นกัน

                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย
                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย

                                  สำหรับอาการของโรคที่เกิดในเด็กจะร้ายแรงน้อยกว่าเมื่อเกิดขึ้นในผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรค ทั้งนี้ อาการของโรคจะคงอยู่ไม่นานประมาณ 2-3 วัน ยกเว้นในกรณีที่ต่อมน้ำเหลืองมีอาการบวมอาจเป็นอยู่นานหลายสัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ ที่พบคือ สมองอักเสบ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้าอักเสบ หากมีอาการที่คล้ายกับที่กล่าวมาควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนอาจส่งผ่านเชื้อไปยังทารกในครรภ์ได้

                                  การรักษาโรคหัดเยอรมัน

                                  โรคหัดเยอรมัน เป็นโรคที่ไม่มียาต้านไวรัส ถ้าเกิดในเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ตั้งครรภ์ ให้รักษาตามอาการ เช่น กินยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ

                                  วิธีป้องกันโรคหัดเยอรมัน

                                  การป้องกันโรคหัดเยอรมัน ป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงไม่คลุกคลีกับผู้ป่วย เพราะจะเสี่ยงต่อการรับเชื้อมาได้โดยง่าย ที่สำคัญที่สุด คือ ควรฉีดวัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม หรือเรียกสั้น ๆ ว่า วัคซีนรวมเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) ตามเกณฑ์ที่กำหนด

                                  ตามแผนกระทรวงสาธารณสุขจะมีการฉีดวัคซีนรวมเอ็มเอ็มอาร์ทั้งหมด 2 เข็ม โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อเด็กมีอายุระหว่าง 9-12 เดือน และฉีดกระตุ้นอีกครั้งเมื่อเด็กอายุ 2½ ปี แต่ในบางรายที่มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น เดินทางไปต่างประเทศ อยู่ในพื้นที่มีการระบาดของโรค หรือสัมผัสกับโรค แพทย์อาจมีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนเร็วขึ้นภายในช่วง 6 เดือนแรก และฉีดเข็มที่ 2 ภายในอายุ 2½ ปี แต่ควรมีระยะเวลาห่างจากเข็มแรกประมาณ 3 เดือน

                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย
                                  โรคหัดเยอรมัน อันตราย

                                  โรคหัดเยอรมันในหญิงตั้งครรภ์

                                  ในกรณีที่อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ควรเข้ารับการตรวจเลือดหรือระบบภูมิคุ้มกันโรคตามนัดฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเฝ้าระวังความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ สำหรับสตรีมีครรภ์ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน แล้วมีการติดเชื้อโรคหัดเยอรมันในช่วงอายุครรภ์ 3- 4 เดือนแรก จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อทารกในครรภ์ สำหรับทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะมีโอกาสที่อวัยวะต่าง ๆ ผิดปกติได้ตั้งแต่กำเนิด ความรุนแรงขึ้นกับอายุครรภ์ที่ได้รับเชื้อ

                                  ควรฉีดวัคซีนก่อนท้องนานแค่ไหน

                                  ผู้หญิงที่วางแผนจะมีบุตร ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมันก่อน แล้วเว้นระยะการตั้งครรภ์ออกไป 3 เดือน เพื่อให้วัคซีนสร้างภูมิขึ้น แต่หากเกิดตั้งครรภ์ในช่วงนี้ก็อย่ากังวลใจ เพราะยังไม่มีข้อบ่งชี้ที่ฟันธงว่าหากฉีดวัคซีนหัดเยอรมันแล้วทิ้งระยะก่อนตั้งครรภ์ไม่ถึง 3 เดือน จะส่งผลให้เด็กเกิดมาผิดปกติ จนคุณหมอต้องยุติการตั้งครรภ์ หากไม่ได้รับวัคซีนก่อนการตั้งครรภ์ควรมีการฉีดทดแทนหลังคลอด เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคเมื่อเกิดการตั้งครรภ์ในครั้งต่อไป

                                  การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์อันตรายแค่ไหน?

                                  • 4 สัปดาห์แรกของอายุครรภ์ ถ้าติดเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน ทารกมีโอกาสเกิดความพิการได้สูงถึงร้อยละ 50
                                  • ช่วงอายุครรภ์ที่ 5 ถึง 8 สัปดาห์ ถ้าติดเชื้อ ทารกมีโอกาสเกิดความพิการได้ประมาณ 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25
                                  • ถ้าติดเชื้อในช่วงใกล้คลอดคืออายุครรภ์ที่ 9 ถึง 12 สัปดาห์ ความพิการของทารกมีโอกาสเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 8

                                  ความพิการและอาการป่วยที่พบบ่อย 13 อาการ

                                  1. ตาต้อกระจก
                                  2. ต้อหิน
                                  3. ความพิการที่หัวใจ
                                  4. หูหนวก
                                  5. ศีรษะเล็ก
                                  6. โครงสร้างสมองผิดปกติ
                                  7. ตัวเล็ก
                                  8. พัฒนาการช้า
                                  9. ตับโต
                                  10. ม้ามโต
                                  11. ตัวเหลือง
                                  12. มีจ้ำเลือดตามตัว
                                  13. เกล็ดเลือดต่ำ

                                  สำหรับสถานการณ์โรคหัดเยอรมันในประเทศไทย จากกลุ่มพัฒนาระบบเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาโรคติดต่อ กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 26 มิถุนาน 2563 พบอัตราป่วยสูงสุดในกลุ่มอายุ 30-39 ปี รองลงมา กลุ่มอายุ 20-29 ปี อายุน้อยกว่า 1 ปี อายุ 15-19 ปี และ อายุ 40 ปีขึ้นไปตามลำดับ อัตราส่วนเพศหญิงต่อชายเท่ากับ 1:9

                                  จังหวัดที่พบอัตราป่วย 5 อันดับแรกได้แก่

                                  1. กระบี่
                                  2. ชัยภูมิ
                                  3. ระยอง
                                  4. สงขลา
                                  5. ชลบุรี

                                  จากการสอบสวนโรคพบว่า ผู้ป่วยร้อยละ 94 ไม่เคยได้รับวัคซีน หรือ ไม่แน่ใจว่าเคยได้รับวัคซีนมาก่อน ในครึ่งปีแรกของ พ.ศ.2563 พบแนวโน้มการระบาดลดลงจากปี พ.ศ.2562 และ พบว่าระบาดในกลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปีในจังหวัดชายแดนใต้ ส่วนการระบาดของโรคในพื้นที่อื่น ๆ พบในพื้นที่ที่คนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก

                                  พ่อแม่จึงควรนำลูก ๆ ไปฉีดวัคซีนป้องกันไว้ก่อน เพราะจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ดีที่สุด และมั่นใจได้ว่าลูกๆ จะปลอดภัยไกลห่างจากโรคหัดเยอรมัน รวมถึงผู้หญิงที่ไม่ควรชะล่าใจ โดยเฉพาะผู้ที่วางแผนมีบุตร เพื่อความปลอดภัยของทารกน้อยในครรภ์

                                  อ้างอิงข้อมูล : si.mahidol.ac.th, โรงพยาบาลราชวิถี และ pidst.or.th

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                  อ่านบทความอื่นเพิ่มเติม

                                  ลูกนอนกรน หายใจเสียงดัง เสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

                                  คุ้ม2ต่อ!! วัคซีน ป้องกันไอพีดี แถมบรรเทาอาการเมื่อติดเชื้อ RSV

                                  ไวรัสซิกา คนท้องอันตราย ต้องระวัง! โดนยุงกัดทำลูกหัวเล็ก

                                    Amarin Baby & Kids Awards 2020

                                    งานมอบรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020 และกิจกรรม Mom Expert’s Day

                                    Amarin Baby & Kids ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเครือข่ายแม่ลูกอันดับหนึ่งของประเทศที่เข้าใจคุณแม่ไทยมากที่สุด จัดงานมอบรางวัลสุดยอดแบรนด์ในดวงใจพ่อแม่ Amarin Baby & Kids Awards 2020 ให้กับแบรนด์สินค้าและไลฟ์สไตล์แม่และลูกในดวงใจ รวมมากถึง 75 สาขาใน 9 หมวดรางวัล แบ่งเป็น 2 รางวัลหลักได้แก่ รางวัล Mommy’s Choice โดยมีคุณแม่ทั่วประเทศเป็นผู้ตัดสิน และ Editor’s Choice ซึ่งมอบให้กับสินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง ในปีนี้ได้เพิ่มรางวัลพิเศษขึ้นเป็นปีแรกอีกด้วย ณ เซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต

                                    คุณระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งานประกาศรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020 เป็นการมอบรางวัลรวมมากถึง 75 สาขาใน 9 หมวดรางวัล จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้คุณแม่ตัวจริงมีส่วนร่วมในการมอบรางวัล ผ่าน  www.AmarinBabyAndKids.com โดยแบ่งเป็น 2 รางวัลหลักได้แก่ รางวัล Mommy’s Choice ซึ่งจะมอบให้กับแบรนด์สินค้าแม่และเด็ก รวมทั้งหมด 42 ประเภท ที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากการลงคะแนนของคุณแม่ทั่วประเทศที่มีประสบการณ์ใช้สินค้าจริงด้วยตัวเอง และรางวัล Editor’s Choice ซึ่งมอบให้กับ สินค้าใช้ดี และมีประโยชน์จริง ที่ได้รับการคัดเลือกจากกองบรรณาธิการเว็บไซต์ Amarin Baby & Kids ซึ่งรางวัลที่มอบให้ เรามีความภูมิใจและกล้าการันตีว่าเป็นความใส่ใจ ความห่วงใยของคุณแม่เพื่อคุณลูกอย่างแท้จริง ที่สำคัญขอขอบคุณทุกคะแนนโหวตที่ช่วยเป็นกำลังใจให้กับสินค้าแบรนด์ชั้นนำได้มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาต่อไป โดยมี ลิเดีย-ศรัณย์รัชต์ เปิ้ล-ภารดี น้องพริม จากยูทูปแชนแนล Dek Jew Chill Out แม่ฟ่อน เพจโตไปด้วยกัน Family Journey ที่มาร่วมรับรางวัล และแม่ปาล์ม: เพจคุณแม่เลอค่า มาร่วมกิจกรรมพร้อมแสดงความยินดี

                                    รายชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล Amarin Baby & Kids Awards 2020

                                    1.รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์อาบน้ำ แต่งตัว

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์อาบน้ำ แต่งตัว

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์อาบน้ำ แต่งตัว

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์อาบน้ำ แต่งตัว

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์อาบน้ำ แต่งตัว

                                    1.1 BEST DISPOSABLE TAPE DIAPER: ผ้าอ้อมสำเร็จรูป (แบบเทปกาว)

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Merries
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Huggies

                                    1.2 BEST DISPOSABLE PANTS DIAPER: ผ้าอ้อมสำเร็จรูป (แบบกางเกง)

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – BabyLove
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Sunny Baby

                                    1.3 BEST SKINCARE FOR KIDS: ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวสำหรับเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Babi Mild
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Johnson’s Baby

                                    1.4  BEST BABY SUNSCREEN: ครีมกันแดดเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Eucerin
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Biore

                                    1.5 BEST DIAPER RASH CREAM: ครีมปกป้องผิวใต้ผ้าอ้อม

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Ezerra
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Bepanthen

                                    1.6 BEST DIAPER RASH PETROLEUM JELLY: เจลปิโตรเลียมปกป้องผิวใต้ผ้าอ้อม

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Vaseline
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Med Maker

                                    1.7 BEST BABY WASH: สบู่เหลวเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – D-nee
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Pureen

                                    1.8 BEST HEAD TO TOE WASH: ผลิตภัณฑ์เฮดทูโท

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Babi Mild
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Kodomo

                                    1.9 BEST BABY SHAMPOO: แชมพูเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Johnson’s Baby

                                    1.10 BEST TOOTHPASTE FOR KIDS: ยาสีฟัน

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Kodomo
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Baybee Organics

                                    1.11 BEST BABY POWDER: แป้งเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Care
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – D-nee

                                    1.12 BEST HAIR AND BODY BABY BATH

                                    รางวัล Editor’s Choice                       – DMP

                                     

                                    2.รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด

                                    2.1 BEST BABY LAUNDRY DETERGENT: น้ำยาซักผ้าเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – D-nee
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Babi Mild

                                    2.2 BEST BABY FABRIC SOFTENER: น้ำยาปรับผ้านุ่มเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Kodomo
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Pipper Standard

                                    2.3 BEST BABY BOTTLE CLEANSER: น้ำยาล้างขวดนม

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Lamoon
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – D-nee

                                     

                                    3.รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเด็ก

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเด็ก

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพเด็ก

                                    3.1 BEST BABY HERBAL PRODUCT: ผลิตภัณฑ์สมุนไพรดูแลสุขภาพท้องสำหรับทารก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – ศิริบัญชา
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – วิทยาศรม

                                    3.2 BEST BABY WIPE: ทิชชู่เปียก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Pigeon
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Tiny Nose

                                    3.3 BEST COOLING GEL PATCH: แผ่นเจลลดไข้

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Cool Kids

                                    3.4 BEST MOSQUITO REPELLENT FOR KIDS: ผลิตภัณฑ์กันยุงสำหรับเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Kindee
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – MonkeyPony

                                    3.5 BEST SPRAY AIR FRESHENER: สเปรย์ปรับอากาศ

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Polar Spray
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – O2 Klean Spray

                                     

                                    4.รางวัลประเภทอุปกรณ์การดูแลเด็ก

                                    รางวัลประเภทอุปกรณ์การดูแลเด็ก

                                    รางวัลประเภทอุปกรณ์การดูแลเด็ก

                                    4.1 BEST BABY BOTTLE & NIPPLE PRODUCT: ขวดนมและจุกนม

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Philips Avent
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Medela

                                    4.2 BEST COTTON PADS & COTTON BUDS: สำลีและคอตตอนบัด

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Ambulance
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Karisma

                                    4.3 BEST BABY STROLLER: รถเข็นเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Graco
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Aprica

                                    4.4 BEST CAR SEAT: คาร์ซีท

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Chicco
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Joie

                                    4.5 BEST BABY CARRIER: เป้อุ้มเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Pognae
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – i-angel

                                    4.6 BEST BABY PLAYPEN: คอกเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – HOYO
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – HOYO

                                     

                                    5.รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสำหรับเด็ก

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสำหรับเด็ก
                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสำหรับเด็ก

                                    5.1 UHT MILK AWARD: นม UHT

                                    รางวัล Mommy’s Choice                    – Enfagrow A+ Superior
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – ดัชมิลล์ เจ็นไอ

                                    5.2 HEALTHY DRINK FOR KIDS AWARD: เครื่องดื่มสำหรับเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Scotch Kitz

                                    5.3 KIDS DIETARY SUPPLEMENT AWARD: ผลิตภัณฑ์เพื่อโภชนาการเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Seven Seas

                                    5.4 BABY FOOD AWARD: อาหารบดสำหรับเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Cerelac

                                    6.รางวัลประเภทเสริมพัฒนาการเด็ก

                                    รางวัลประเภทเสริมพัฒนาการเด็ก

                                    รางวัลประเภทเสริมพัฒนาการเด็ก
                                    รางวัลประเภทเสริมพัฒนาการเด็ก

                                    6.1 BEST OUTDOOR-LEARNING FOR KIDS: แหล่งเรียนรู้

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Harborland
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า

                                    6.2 BEST CHILDREN’S BOOK PUBLISHER: สำนักพิมพ์หนังสือเด็ก

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Amarin Kids

                                     

                                    7.รางวัลประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับครอบครัว

                                    รางวัลประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับครอบครัว
                                    รางวัลประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับครอบครัว

                                    7.1 BEST AIR PURIFIER: เครื่องฟอกอากาศ

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Samsung
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – ible

                                    7.2 BEST ELECTRIC STERILIZER: เครื่องฆ่าเชื้อขวดนม

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Prince & Princess
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Fico

                                    8.รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่

                                    รางวัลประเภทผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่

                                    8.1 BEST FACIAL SKINCARE FOR MOM: ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าคุณแม่

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Smooth E
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Trylagina

                                    8.2 BEST PREGNANCY STRETCH MARK CREAM: ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าท้องคุณแม่

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Palmer’s
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Bunne & Mamalade

                                    8.3 BEST BREAST PUMP: เครื่องปั๊มนม

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Spectra
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Attitude Mom

                                    8.4 BEST BREASTMILK STORAGE BAG: ถุงเก็บน้ำนม

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Sunmum
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Nanny

                                    8.5 BEST BREASTFEEDING SUPPLEMENT: ผลิตภัณฑ์เพิ่มน้ำนม

                                    รางวัล Mommy’s Choice                     – Milk Plus & More
                                    รางวัล Editor’s Choice                       – Mommylicious Juice

                                     

                                    9.รางวัลพิเศษ

                                    รางวัล เพจคุณหมอในดวงใจ และเพจคุณแม่บล็อกเกอร์

                                    รางวัลพิเศษ

                                    9.1 POPULAR CHILDREN’S EXPERT FANPAGE: เพจคุณหมอในดวงใจ

                                    – ผศ.นพ. วรวุฒิ เชยประเสริฐ  (หมอวิน) กุมารแพทย์เฉพาะทางด้านโลหิตวิทยา และมะเร็งในเด็ก เจ้าของเพจ เลี้ยงลูกตามใจหมอ
                                    – ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร (หมอโอ๋) กุมารแพทย์เวชศาสตร์วัยรุ่น เจ้าของเพจ เลี้ยงลูกนอกบ้าน

                                    9.2 POPULAR ONLINE MOM INFLUENCER: เพจคุณแม่บล็อกเกอร์

                                    – คุณแม่ฟ่อน ญาดา วัฒนสิน แฟนเพจและช่องยูทูป  Family Journey โตไปด้วยกัน

                                    9.3  STAR FAMILY

                                    – ครอบครัวคุณลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน

                                    9.4 KID YOUTUBER

                                    – เด็กหญิงพริมา พงษ์ศิริปรีดา หรือน้องพริม เจ้าของช่อง Dek Jew Chill Out

                                    Exhibition Amarin Baby & Kids Awards 2020

                                    Exhibition Amarin Baby & Kids Awards 2020

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                     

                                    ภายในงานยังมีกิจกรรม Amarin Baby & Kids presents Mom Expert’s Day พลังแม่สร้างลูกฉลาดรอบด้าน มาในธีม Happy Family : ความสุขของครอบครัวไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในบ้านเท่านั้น ที่ยกขบวนหนังสือนิทานคุณธรรม กิจกรรมเสริมทักษะสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ POWER BQ ให้สำหรับลูกน้อยฉลาดรอบด้าน เสริมความรู้กับการร่วมฟังเสวนา สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และคุณแม่ที่มีลูกวัย 0-6 ปี ในหัวข้อ “Mom Expert’s Talk : สร้างลูกฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ” จากผู้เชี่ยวชาญและหมอเด็กชื่อดัง อาทิ พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ, ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร และ ผศ.พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร เต็มอิ่มกับการเลือกช้อปสินค้าแม่ลูกแบรนด์ชั้นนำที่คัดสรรมาพิเศษ

                                    คุณหมอสุธีรา Mom Expert's Talk
                                    คุณหมอสุธีรา ร่วมพูดคุยในหัวข้อเริ่มต้นให้ถูก ปั้นลูก 3 ฉลาด พื้นฐานสู่ความสำเร็จ

                                     

                                    ผศ.ดร.ปนัดดา Mom Expert's Talk
                                    ผศ.ดร.ปนัดดา ธนเศรษฐกร ร่วมพูดคุยในหัวข้อ “เลี้ยงลูกเชิงบวก กระตุ้นทักษะสมอง พิชิตความสำเร็จ”

                                     

                                    คุณหมอโอ๋ Mom Expert's Talk
                                    คุณหมอโอ๋ เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน ร่วมพูดคุยหัวข้อ “ทักษะชีวิตยุคใหม่ ติดอาวุธ 4 ฉลาด ช่วยลูกเอาตัวรอดยุค 5G”
                                    เลี้ยงลูกแบบวิธี YDK
                                    แชร์เคล็ดไม่ลับจากคุณแม่ลิเดีย เลี้ยงลูกแบบวิธี YDK ปรัชญาการเลี้ยงลูกแบบชาวญี่ปุ่น

                                    imagination-land

                                    กิจกรรม workshop จากนิทานคุณธรรม เรื่องปลาสายรุ้ง
                                    พี่ข้าวสวย น้องข้าวต้ม จากสำนักพิมพ์ Amarin Kids

                                    magic-show
                                    booth-kodomo

                                    booth-kindee

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่