Page 113 – AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ครูลงโทษเด็ก

อุทาหรณ์! อาจารย์สาวมือเป็นแผล หั่นหมูดิบ ติดเชื้อหูดับ เสียชีวิต!

อาจารย์สาวมือเป็นแผล – อาจารย์สาววัย 49 ป่วยโรคไข้หูดับ เสียชีวิต หลังซื้อเนื้อหมูมาทำหมูกระทะ และพบว่า ลงมือหั่นหมู ทั้งที่มือเป็นแผล  จนติดเชื้อในกระแสเลือด จากกรณี งานระบาดวิทยาสำนักงานสาธารณสุข ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาลกรุงเทพพิษณุโลกว่า พบผู้เสียชีวิตโดย “โรคไข้หูดับ”  เป็นเพศหญิง อายุ 49 ปี ในเขตพื้นที่ตำบลพลายชุมพล อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก

ช็อก! อาจารย์สาวมือเป็นแผล หั่นหมูดิบ ติดเชื้อไข้หูดับ เสียชีวิต!

นายแพทย์รัฐภูมิ ชามพูนท รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า ผู้เสียชีวิตเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิษณุโลก จากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า ได้มีการซื้อเนื้อหมู จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง มาประกอบอาหาร (ปิ้งย่างหมูกระทะ) ร่วมกับเพื่อนๆ  ภายหลังสืบทราบว่าผู้เสียชีวิตมีแผลที่มือเป็นผู้ลงมือหั่นหมู จากนั้นเริ่มมีอาการท้องเสีย อาเจียน จึงไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลกรุงเทพพิษณุโลก โดยมีอาการปวดกระดูก หนาวสั่น ปากเขียว และต้องย้ายไปห้องไอซียู จากนั้นร่างกายไม่มีการตอบสนอง ไตวาย ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยแพทย์สงสัยว่า เป็น “โรคไข้หูดับ”

โรคไข้หูดับคืออะไร?

ไข้หูดับ หรือ โรคติดเชื้อสเตรฟโตคอกคัส ซูอิส เกิดจากเชื้อ Streptococcus (S.) suis เป็นสาเหตของภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อในกระแสเลือดและการสูญเสียการได้ยิน สามารถติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยการรับประทานเนื้อสัตว์ดิบ และการสัมผัสสัตว์ป่วย ทําให้เชื้อเข้าทางบาดแผลตามร่างกาย หรือเข้าทางเยื่อบุตา เนื่องจากเชื้ออาศัยอยู่ใน ต่อมทอนซิล ทางเดินอาหาร ช่องคลอดและโพรงจมูกของหมู

ผู้ที่ติดเชื่อส่วนใหญ่มักมีอาชีพเกี่ยวกับการเลี้ยงหมูทํางานในโรงงาน ชําแหละหมู หรือผู้สัมผัสกับสารคัดหลั่งของหมู ย และผู้ทมี่ ีความเสี่ยง ได้แก่ ผู้จําหน่าย หรือผทู้ ี่ รับประทานเนื้อหมูดิบ หรือสุกๆ ดิบๆ เช่น ลาบหมูดิบ หรือหลู้ ที่มีการปนเปื้อนของเชื้อ โรคนี้พบได้ในทุกช่วงอายุแต่โดยทั่วไปจะพบในผู้ใหญ่และพบในเพศชายสูงกว่าเพศหญิง

อาจารย์สาวมือเป็นแผล
อาจารย์สาวมือเป็นแผล

อาการและการก่อโรค

เชื้อไข้หูดับมีมากกว่า 30 ชนิด แต่ที่พบมากที่สุดในการก่อให้เกิดโรคในคน คือ เชื้อ ซีโรทัยป์ 2  ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1 – 14 วัน แต่มักมีอาการหลังรับเชื้อไม่เกิน 3 วัน

อาการที่พบ ได้แก่ มีไข้หนาวสั่น หอบเหนื่อย คลื่นไส้ อาเจียน  ปวดศีรษะ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่ง นําไปสู่การเสียชีวิตจากภาวะ toxic shock syndrome ผู้ป่วยบางรายที่ไม่เสียชีวิตส่วนใหญ่จะพบความพิการตามมา เช่น สูญเสียการทรงตัว กล้ามเนื้ออ่อนแรง และสูญเสียการได้ยิน จนถึงขั้นหูหนวก หรือที่เรียกว่าหูดับ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตเนื่องมาจากการติดเชื้อในกระแสโลหิต

มีรายงานผู้ป่วยติดเชื้อไข้หูดับ ครั้งแรกที่ประเทศเดนมาร์คในปี พ .ศ .2511 หลังจากนั้นก็พบผู้ป่วยติด เชื้อนี้จํานวนเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่มีการเลี้ยงหมูกันอย่างหนาแน่น ในช่วงฤดูร้อนของปี พ .ศ .2548 ได้มีการระบาดครั้งใหญ่ในคนเกิดขึ้นในมณฑลเสฉวน ประเทศจีน มีผู้ป่วยติดเชื้อ จํานวน 215 ราย เสียชีวิต 38 ราย

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติการสัมผัสกับหมูหรือเนื้อหมูที่ติดเชื้อ โดยอาการของผู้ป่วยที่พบ จากการระบาดครั้งนี้ได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และภาวะช็อค  ( streptococcal toxic shock syndrome) และ นอกจากการระบาดในครั้งนี้แล้ว ยังมีรายงานการติดเชื้อนี้ในคนอย่างต่อเนื่องในหลายประเทศ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยเองก็พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้หูดับเป็นจํานวนมาก และจากผลการสํารวจของ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ปี 2561 ทั่วประเทศ ยังคงพบมีการติดเชื้อกระจายเกือบทุกภาค โดยเฉพาะภาคเหนือ

 

อาจารย์สาวมือเป็นแผล

การป้องกันโรคไข้หูดับ

การป้องกันโรคติดเชื้อไข้หูดับ ทำได้โดยการหลีกเลี่ยง การบริโภคเนื้อหมูดิบ หรือสุก ๆ ดิบ ๆ  การปรุงเนื้อหมูให้ปลอดภัยจากไข้หูดับ คือ หากผู้ปรุงมีแผลที่ผิวหนัง ต้องปิดแผล และสวมถุงมือยางขณะปรุง นอกจากนี้ควรเลือกซื้อเนื้อหมูจาก ตลาดสด และห้างสรรพสินค้า ซึ่งจะผ่านการตรวจเช็คมาตรฐานจากโรงฆ่าสัตว์ ไม่ควรซื้อเนื้อหมูที่มีกลิ่นคาว สีคล้ำ เนื้อยุบ การปรุงอาหารควรต้มด้วยอุณหภูมิตั้งแต่ 70 องศา เซลเซียส นานอย่างน้อย 10 นาที หรือจนน้ำต้มไม่มีสีแดง นอกจากนั้น ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหมูที่คาดว่าจะเป็นพาหะ ซึ่งมักไม่แสดงอาการป่วย ควรสวมถุงมือ รองเท้าบู๊ต ในระหว่างการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับหมูตลอดจนการรักษาความ สะอาดหลังสัมผัสหมู
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : thairath.co.th , nih.dmsc.moph.go.th
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    งานวิจัยยืนยัน ลูกเรียนเก่งแน่ แค่ชวนทำงานบ้าน

    สอนลูกทำงานบ้าน – ดร.ทามาร์ ชานสกี้ นักจิตวิทยาและผู้แต่งหนังสือหลายเล่ม รวมถึง “Freeing Your Child from Anxiety” กล่าวถึงการศึกษาที่ตีพิมพ์โดยมหาวิทยาลัยมินนิโซตา ซึ่งพบว่า การให้เด็กๆ ได้ทำงานบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย  จะช่วยสร้างความรู้สึกเชี่ยวชาญที่ยั่งยืน ความรับผิดชอบ และความสามารถในการพึ่งพาตนเอง ได้ตลอดชีวิต ซึ่งมีการศึกษา และติดตามผลในเด็กกว่า 80 คน

    งานวิจัยชี้! สอนลูกทำงานบ้าน ตั้งแต่เล็ก ลูกจะเก่งวิชาการ!

    โดยผลการศึกษาพบว่าเด็กที่เริ่มทำงานบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย (ประมาณ 3 หรือ 4 ขวบ) มีแนวโน้มที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและครอบครัว ตลอดจนประสบความสำเร็จด้านวิชาการ และประสบความสำเร็จในอาชีพ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้ฝึกทำงานบ้านตั้งแต่ยังเล็ก เช่นเดียวกับเด็กเล็กๆ ที่ต้องเรียนรู้คุณค่าของเงิน พวกเขาต้องเรียนรู้คุณค่าของการทำความสะอาดด้วย

    ทำไมการสอนลูกให้ทำงานบ้านจึงเป็นเรื่องสำคัญ?

    จากข้อมูลโดย ABS National Health Survey 2017–18 มีรายงานว่าภาวะสุขภาพเรื้อรัง ในเด็กอายุ 0-14 ปี ได้แก่ โรคหอบหืด (9.3% – 11%) ไข้ละอองฟาง (10%) และภูมิแพ้ โรคจมูกอักเสบ (10%) แม้ว่าภาวะเหล่านี้อาจเกิดจากความพิการแต่กำเนิด ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคอ้วน ฯลฯ แต่ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหาเหล่านี้ได้ เช่น สุขอนามัยที่ไม่ดี และการขาดความสะอาดในบ้านที่เหมาะสม  เด็ก ๆ ต้องการสภาพแวดล้อมที่ถูกสุขอนามัยเพื่อการเจริญเติบโตที่ดี ด้วยเหตุนี้ นอกจากการรักษาสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้สะอาดแล้ว ยังต้องสอนให้พวกเขาดูแลตัวเองด้วยการสอนลูกๆ ให้ทำความสะอาด และดูแลรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อให้มั่นใจว่าเด็กๆ จะมีสุขภาพแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันโรคที่ดี และไม่เจ็บป่วยง่าย

    สอนลูกทำงานบ้าน
    สอนลูกทำงานบ้าน

    ประโยชน์ของการสอนให้ลูกทำงานบ้าน

    การสอนให้เด็กๆ ทำงานบ้าน มีข้อดีหลายประการ แม้ว่าการทำงานบ้านด้วยตัวเองมักจะง่ายกว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องใช้ความพยายามในการสอนให้เจ้าตัวน้อย อายุยังไม่ 3 ขวบเต็มฟัง ว่าต้องทำความสะอาดบ้านอย่างไร ความจริงก็คือ การช่วยเหลืองานบ้านเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาการของเด็ก ทางที่ดีลองหางานบ้านที่ลูกของคุณสามารถช่วยทำได้  และจัดตารางเวลาและระบบที่จะเหมาะกับคุณและลูก

    งานเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กอายุ 3- 5 ขวบของคุณสามารถทำได้รอบ ๆ บ้านอาจมีไม่มากนัก แต่คุณสามารถสอนบทเรียนอันมีค่าให้ลูกของคุณ ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะติดตัวไปจนถึงช่วงวัยรุ่น เมื่อลูกของคุณอายุ 9 หรือ 10 ขวบ เขาจะสามารถมีส่วนสำคัญในงานบ้านได้ ตัวอย่างของการทำงานบ้านที่เป็นประโยชน์ต่อเด็ก ๆ เช่น :

    • ช่วยสร้างความภาคภูมิใจในตนเอง การทำงานบ้านให้เสร็จลุล่วง และทำได้ดีด้วยตัวเอง จะช่วยให้ลูกของคุณเกิดความมั่นใจ และภูมิใจในตัวเอง
    • สอนความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย  สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์มาก เมื่อลูกของคุณโตขึ้นและต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน
    • ช่วยให้เด็กๆ รู้คุณค่าของการรักษาความสะอาด ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างกิจวัตรที่ดีที่จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กไปตลอดชีวิต แต่ยังช่วยให้บ้านของคุณเป็นระเบียบและสงบสุข
    • ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “ทีม”  บอกเด็กๆ ว่าพวกเขา คือ ส่วนหนึ่งของครอบครัว และทุกคนในครอบครัวต้องทำหน้าที่ของตัวเอง โดยการให้แนวทางในการใช้ชีวิตกับเด็กๆ ว่า “เราทุกคนอยู่ด้วยกัน” และต้องช่วยกันรักษาความสะอาดของบ้านเพื่อส่วนรวม

    วิธีที่คุณสามารถกระตุ้นให้บุตรหลานของคุณทำความสะอาด

    หากพ่อแม่มีความกระตือรือร้นและช่วยลูกปลูกฝังนิสัยที่ดี เด็กที่อายุน้อยกว่าสามขวบ สามารถเรียนรู้คุณค่าของการทำความสะอาดได้  ต่อไปนี้ คือ 9 วิธีที่คุณสามารถสอนลูกๆ ของคุณให้เห็นคุณค่าของการทำความสะอาดได้

    1. ทำให้ลูกเห็น

    เด็กๆ ซึบซับนิสัยที่ดีจากพ่อแม่ และหากพวกเขาเห็นว่าคุณเป็นคนรักสะอาด ใส่ใจและให้ความสำคัญในการจัดบ้านให้สะอาดเรียบร้อย พวกเขาจะทำตามอย่างไม่ต้องสงสัย ควรให้บุตรหลานของคุณรู้ว่าการทำความสะอาดบ้านแต่ละอย่างเป็นอย่างไร โดยสาธิตการทำงานต่างๆ เช่น การปัดฝุ่น การขจัดสิ่งสกปรก การซัก การกวาด การถู เป็นต้น

    2. คิดหาวิธีให้เด็กๆ ได้ช่วยงานบ้าน

    แม้ลูกของคุณอาจยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ แต่คุณสามารถสอนให้พวกเขาแบ่งเบางานของคุณได้ เช่น ในขณะที่ทำความสะอาดบ้าน ลองขอความช่วยเหลือจากเด็กๆ  คุณสามารถให้ลูกทำงานง่ายๆ เช่น พับเสื้อผ้า เช็ดถู ปัดฝุ่น ในพื้นที่เล็ก ๆ เก็บของเล่นส่วนตัว และทำงานบ้านอื่นๆ ได้มากมาย ยิ่งคุณกระตุ้นให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมมากเท่าไหร่ เด็กๆ ก็จะสนใจการทำความสะอาดบ้านมากขึ้นเท่านั้น

    3. อย่าให้การทำงานบ้านเป็นเรื่องของการลงโทษ

    บางครั้ง พ่อแม่อาจขอให้ลูกทำความสะอาดห้อง หยิบของเล่น หรือทิ้งขยะ เพื่อเป็นการลงโทษเมื่อลูกมีพฤติกรรมไม่ดี ซึ่งความจริงแล้วการให้ลูกทำลงมือทำงานบ้านไม่ควรเป็นเรื่องที่ไปเชื่อมโยงกับการลงโทษเพราะจะทำให้เด็กๆ มีทัศนคติและมุมมองที่ไม่ดีต่อการทำงานบ้าน

    แนะ! 10 เทคนิค สอนลูกให้ทำงานบ้าน แบบราบรื่น

    8 เคล็ดลับกระตุ้นให้ลูกทำ งานบ้าน เสริมสร้างทักษะชีวิตแต่เล็กมีแต่ได้กับได้

    ให้ลูกช่วยงานบ้าน ฝึกทักษะ EF ติดตัวลูกไปตลอดชีวิต โดยพ่อเอก

    4. สอนลูกว่าทำไมการทำความสะอาดบ้านจึงสำคัญ

    คุณสามารถบอกลูก ๆ ถึงประโยชน์ของการรักษาบ้านให้สะอาด สอนเกี่ยวกับเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และเชื้อโรคอื่นๆ บนพื้นผิวและวัตถุต่างๆ ของบ้าน นอกจากนี้ ให้สอนว่าหากบ้านสกปรก ก็จะทำให้พวกเขาป่วยง่าย และสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อกำจัดเชื้อโรคก็คือการรักษาความสะอาด

    สอนลูกทำงานบ้าน

    5. ให้ลูกเลือกว่าอยากทำอะไร

    ถ้าลูกของคุณไม่ชอบพับเสื้อผ้า คุณสามารถให้ทางเลือกหลายทางกับลูก ให้ลูกของคุณเลือกกิจกรรมที่ชอบและทำสิ่งนั้นให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะไปทำอย่างอื่น

    6. ทำทุกอย่างให้เรียบง่าย

    อย่าให้การทำงานบ้านเป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนสำหรับลูก ดังนั้นให้ลดความซับซ้อนของงาน และค่อยๆ ให้ลูกเริ่มต้นทำไปทีละนิด เพื่อให้พวกเขาเกิดวามสนใจในการทำงานบ้านได้  เพราะโดยปกเด็กมักสมาธิสั้น มีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งต่างๆ ได้สั้นกว่าผู้ใหญ่ หากพวกเขาได้รับมอบหมายให้ทำความสะอาดที่ต้องใช้เวลานานหรือซับซ้อน พวกเขาจะเลิกสนใจอย่างรวดเร็ว

    7. ช่วยเด็ก ๆ ให้ทำงานบ้าน ด้วยความสนุกสนาน

    เด็กๆ อาจไม่ได้เติบโตขึ้นมาเพื่อเข้าใจคุณค่าของการทำความสะอาดบ้าน หากสิ่งที่ต้องทำไม่น่าสนใจหรือไม่ตื่นเต้นสำหรับพวกเขา เพื่อช่วยให้บุตรหลานของคุณทำความสะอาดและเข้าใจถึงความสำคัญของการทำงานบ้าน พยายามให้การทำงานบ้านเป็นเรื่องสนุก เช่น ทำความสะอาดพร้อมเปิดเพลงฟังออกสเต็ปกันเบาๆ  เพื่อให้เด็กๆ รู้สึกสนุกสนานและไม่รู้สึกว่าการทำงานบ้านน่าเบื่อจนเกินไป

    8. ให้พวกเขาทำงานบ้านให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด

    เด็กเล็กๆ มักมีความสามารถในการแข่งขัน และชอบความท้าทาย ซึ่งคุณสามารถใช้ข้อนี้ เพื่อประโยชน์ของคุณ โดยกำหนดเวลาการทำงานบ้านของลูก อาจใช้โทรศัพท์ หรือนาฬิกาเพื่อตั้งเวลาและขอให้เด็กๆ ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่เสียงเตือนหมดเวลาจะดังขึ้น ลองทำเป็นแข่งขันกับลูกๆ ว่าใครจะทำงานของตัวเองเสร็จก่อนกัน เพื่อทำให้การทำงานบ้านน่าสนุกและมีความหมายมากขึ้นสำหรับพวกเขา และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำงานบ้านที่ได้รับมอบหมายเสร็จ ควรให้รางวัลพวกเขาด้วยการชื่นชม

    9. สอนลูกถึงความสำคัญของการทำเพื่อผู้อื่น

    สอนลูกๆ ให้เข้าใจเรื่องการมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น คุณสามารถบอกลูกว่าการปัดฝุ่น ช่วยขจัดฝุ่น ไรฝุ่น สิ่งสกปรก ทำให้สภาพแวดล้อมและอากาศในบ้านดีขึ้น ไม่เพียงเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพของพวกเขาแต่ดีสำหรับสุขภาพของแม่และพ่อด้วย เมื่อเด็กๆ รู้ว่าการลงมือทำงานบ้านของเขามีส่วนช่วยคนที่พวกเขารัก จะช่วยให้เด็กๆ มีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือและเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น การรักษาบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย แต่การใช้วิธีการต่างๆ ที่กล่าวถึงข้าง ต้นจะกระตุ้นให้ลูกๆ ของคุณสามารถมีส่วนร่วมในการทำความสะอาดบ้านเป็นประจำทุกเมื่อที่จำเป็น

    เราจะเห็นได้ว่าการสอนให้เด็ก ๆ รู้จักรับผิดชอบในการทำงานบ้าน นอกจากจะช่วยปลูกฝังด้านศีลธรรม และ จริยธรรม ให้กับลูกแล้ว ยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกฝังเรื่องความดีลงไปในจิตสำนึกของเด็กๆ ได้ ช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รู้จักเลือกทางที่ถูกต้อง รู้ผิดชอบชั่วดี ซึ่งโดยรวมแล้วก็คือ การส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดทางคุณธรรม (MQ)  ทั้งนี้สิ่งต่างๆ อาจไม่ได้เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ แต่จำเป็นต้องได้รับการปลูกฝังอย่างต่อเนื่อง

    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : bondcleaning.sydney , verywellfamily.com

    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

    วิจัยชี้ฝึก ลูกช่วยทำงานบ้าน โตไปประสบความสำเร็จในชีวิต

    ผลวิจัยชี้ชัด! ผู้ชายทำงานบ้าน จะทำให้ฉลาด สุขภาพแข็งแรง

    ผลวิจัยชี้! เด็กที่ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน มีแนวโน้มประสบความสำเร็จในชีวิตและมีนิสัยที่ดี

    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

     

      คนท้องปวดท้องน้อย

      คนท้องปวดท้องน้อย อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง?

      อาการปวดท้องน้อยขณะตั้งครรภ์ หรือ คนท้องปวดท้องน้อย เป็นอาการปกติที่คนท้องทุกคนต้องเจอหรือไม่? ปวดท้องแบบไหนอันตรายต่อเด็กในท้อง? อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง? อ่านต่อที่นี่

      คนท้องปวดท้องน้อย อาการแบบไหนเสี่ยงแท้ง?

      อาการปวดท้อง เกิดขึ้นได้บ่อยแม้แต่กับคนทั่วไป โดยอาการปวดท้องนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาการปวดท้องเหล่านี้หากเกิดขึ้นขณะที่ยังไม่ได้ตั้งครรภ์ เราจะสามารถดูอาการต่อไปได้หากอาการปวดยังไม่รุนแรง และยังสามารถเดาได้ว่าอาการปวดท้องนี้เกิดขึ้นในตำแหน่งใด แต่เมื่อตั้งครรภ์แล้ว เมื่อคนท้องมีอาการปวดท้อง แม้จะไม่ใช่อาการปวดที่รุนแรงมากนัก แต่ก็อดทำให้แม่ ๆ กังวลใจไม่ได้ อีกทั้งร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้คาดเดาตำแหน่งของการปวดท้องได้ยาก ว่าตำแหน่งที่ปวดนั้น เกี่ยวข้องกับทารกในครรภ์หรือไม่? และอาการปวดท้องนั้น ๆ อันตรายต่อลูกแค่ไหน?

      คนท้องปวดท้องน้อย เกิดจากอะไร?

      การที่ คนท้องปวดท้องน้อย เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ โดยอาการเหล่านี้ มักเกิดขึ้นในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โดยเกิดจากการที่ตัวอ่อนทารกกำลังมีการฝังตัวเข้าไปในผนังมดลูก ประกอบกับการขยายตัวของมดลูก ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด โดยส่วนใหญ่อาการจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วันหรืออาจเป็นสัปดาห์ได้ โดยระดับความปวดมากหรือปวดน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำ เช่น การเดินบ่อย ๆ การออกกำลังกายที่มากเกินไป การขึ้นลงบันไดหรือการเคลื่อนไหวเร็วจนเกินไป แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง แต่หากมีเพศสัมพันธ์ หรือทำงานหนักก็อาจจะทำให้เกิดอาการปวดท้องได้มากขึ้น

      ปวดท้องน้อยขณะตั้งครรภ์
      ปวดท้องน้อยขณะตั้งครรภ์

      ควรจะทำอย่างไร เมื่อมีอาการปวดท้อง

      • เมื่อเกิดอาการปวดบริเวณท้องน้อย ควรหยุดที่จะทำกิจกรรมทุกอย่างอยู่ทันที แล้วนั่งหรือนอนพักให้ร่างกายผ่อนคลายขึ้น จนอาการปวดทุเลาลง
      • หากมีอาการปวดน้อยระหว่างการนอน ให้ลองปรับเปลี่ยนท่าทางการนอนจากนอนหงายให้ลองนอนตะแคงซ้ายหรือขวา
      • การใช้หมอนหนุนบริเวณหลังขณะนั่ง จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้
      • อาบน้ำอุ่น สามารถช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย
      • การใช้มือลูบวนบริเวณหน้าท้อง สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดท้องได้
      • ถ้าเกิดมีอาการปวดมาก หรือมีมีเลือดออกควรรีบไปพบแพทย์ทันที

      ทั้งนี้ แม้สาเหตุของอาการปวดท้องน้อยในช่วงการตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก เป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ และไม่ก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด แต่ก็ยังไม่อยากให้คุณแม่นิ่งนอนใจนะคะ หากเกิดอาการปวดหน่วงที่ท้องน้อย ปวดเป็นจังหวะเดี๋ยวปวดเดี๋ยวหาย ปวดแบบเจ็บจิ๊ด แนะนำให้คุณแม่หยุดการทำกิจกรรมที่หนัก ๆ ไปก่อน และคอยสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย หากอาการปวดไม่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้ปวดตลอดเวลา ไม่มีเลือดออกจากช่องคลอด รวมถึงไม่มีอาการของสาเหตุอื่น ๆ เช่น มีไข้ ท้องเสีย ปัสสาวะแสบขัด เป็นต้น ก็ไม่ได้อันตรายแต่อย่างใด แต่หากอาการปวดท้องเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ปวดตลอดเวลา หรือมีเลือดออกจากช่องคลอด หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ก็ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะอาการปวดท้องขณะตั้งครรภ์นั้น อาจเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งบางสาเหตุหากได้ปรับพฤติกรรม อาการปวดท้องก็จะหายไป แต่บางสาเหตุก็ควรจะไปพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ปลอดภัย ดังต่อไปนี้

      1. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ

      แม่ท้องเสี่ยงต่อการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบสูง เนื่องจากระดับฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์นั้นก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนออกมามากขึ้น ทำให้มัดกล้ามเนื้อของท่อไตคลายตัว ประกอบกับขนาดมดลูกที่ใหญ่ขึ้นจนบีบท่อไต ส่งผลให้ระบบทางเดินปัสสาวะทำงานได้ช้าลง นอกจากนี้ สตรีมีครรภ์มักมีกระเพาะปัสสาวะหย่อน จึงปัสสาวะไม่ค่อยสุดและอาจมีน้ำปัสสาวะไหลย้อนเข้าท่อไตและไตได้ ส่งผลให้เชื้อโรคและแบคทีเรียค้างอยู่บริเวณกระเพาะปัสสาวะและเข้าสู่ไต ทำให้เสี่ยงเกิดภาวะไตติดเชื้อได้ง่าย อีกทั้งน้ำปัสสาวะในช่วงตั้งครรภ์มีความเป็นกรดน้อยและอุดมไปด้วยกลูโคส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโต ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบตามมาได้ง่าย โดยแม่ท้องที่มีโอกาสเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จะมีอาการดังนี้

      • ปวดบริเวณท้องน้อย
      • รู้สึกแสบขัดขณะปัสสาวะ หรือเมื่อปัสสาวะกำลังจะเสร็จ
      • มีไข้ หนาวสั่น
      • รู้สึกเหนื่อย เพลีย
      • ปัสสาวะบ่อย
      • มีเลือดออกจากปัสสาวะ

      หากคุณแม่มีอาการเหล่านี้ ควรพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและปลอดภัยต่อลูกในครรภ์ต่อไป

      อ่านต่อ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในสตรีมีครรภ์ เรื่องที่คุณแม่ท้อง ต้องระวัง

      2. มีแก๊สในท้องมาก ท้องอืด

      อาการท้องอืด คือภาวะที่เกิดอาการแน่นท้อง เนื่องจากมีแก๊สในกระเพาะอาหาร จนทำให้ท้องดูมีลักษณะบวม ในบางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย แต่อาการปวดจะไม่มาก และตำแหน่งที่ปวดมักเคลื่อนที่ได้ตามการเคลื่อนที่ของแก๊สในท้อง และอาการจะดีขึ้นเมื่อ เรอ หรือ ผายลม ซึ่งอาการท้องอืดในคนท้อง เกิดจาก

      • ขณะตั้งครรภ์ ร่างกายจะสร้างฮอร์โมนโปรเจนเตอโรน (Progesterone) ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งฮอร์โมนนี้ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายไปทั้งร่างกาย รวมถึงกล้ามเนื้อในระบบการย่อยอาหารด้วย จึงเป็นสาเหตุให้ลำไส้ทำงานได้ช้าลงจนเกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร
      • เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากขณะตั้งครรภ์ มดลูกขยายตัวเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์ ซึ่งการขยายตัวนี้ได้ไปเบียดอวัยวะอื่นๆ ในร่างกายที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึง ลำไส้ กระเพาะอาหาร กระบังลม การถูกกดทับนี้ ทำให้อวัยวะเหล่านี้ทำงานได้ไม่สะดวก ย่อยอาหารได้ช้าลง จนทำให้เกิดแก๊สในท้องได้

      อ่านต่อ ไขข้อข้องใจ คนท้อง ท้องอืด แน่นท้อง ทำไงดี?

      3. ท้องนอกมดลูก

      การตั้งครรภ์นอกมดลูก หมายถึงการตั้งครรภ์ที่เกิดจากการฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้วนอกโพรงมดลูก ร้อยละ 95 เกิดขึ้นที่ท่อนำไข่ นอกจากนั้นอาจพบได้ที่รังไข่ ปากมดลูก และในช่องท้อง พบได้ประมาณร้อยละ 0.5-0.75 หรือประมาณ 1 : 125 ถึง 1 : 200 ของการคลอดทั้งหมด และเป็นสาเหตุทำให้มารดาเสียชีวิตเป็นอันดับที่ 4 ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด แต่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดของการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรก ดังนั้น คุณแม่จึงควรสังเกตอาการ คนท้องปวดท้องน้อย ดี ๆ ว่าเกิดจากสาเหตุนี้หรือไม่ โดยอาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูก มีดังนี้

      • ความเจ็บปวดที่รุนแรงในช่องท้องกระดูกเชิงกราน ไหล่ หรือคอ
      • อาการปวดอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นที่ด้านใดด้านหนึ่งของช่องท้อง
      • มีเลือดออกทางช่องคลอด
      • รู้สึกเวียนศีรษะหรือคล้ายจะเป็นลม
      • ความดันทางทวารหนัก

      หากมีอาการดังกล่าว ควรติดต่อแพทย์หรือขอรับการรักษาทันทีฃ

      อ่านต่อ ทำไมถึง ตั้งครรภ์นอกมดลูก ท้องนอกมดลูก รู้เร็ว แม่รอด

      ปวดท้องน้อย
      ปวดท้องน้อย

      4. เจ็บท้องหลอก

      อาการเจ็บท้องหลอก มักเกิดขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ แต่ยังไม่ถึงกำหนดคลอด การเจ็บท้องหลอก หรือเรียกว่า เจ็บท้องลวง (False Labor) คือ การเจ็บท้องที่ไม่มีการคลอดลูกตามมา ซึ่งจะมีการหดตัวของมดลูกที่ไม่สม่ำเสมอประมาณวันละ 2-3 ครั้ง ไม่มีเลือดออก และถุงน้ำคร่ำแตกไหลออกมาจากช่องคลอด แม่ท้องอาจรู้สึกว่าปวดท้อง ปวดหลังได้

      สำหรับอาการเจ็บครรภ์ลวงจะเป็นได้ตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ ซึ่งการเจ็บครรภ์หลอกคุณแม่ท้องจะเจ็บถี่ขึ้น 6-8 ครั้ง/วัน เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น แต่หากเจ็บครรภ์และมีมดลูกหดรัดตัวอย่างสม่ำเสมอทุก 10 นาที หดรัดตัวนานครั้งละมากกว่า 30 วินาที ถือว่าเข้าข่ายเจ็บท้องจริง

      อ่านต่อ เจ็บท้องหลอก เจ็บท้องจริง แม่ท้องใกล้คลอดจะรู้ได้อย่างไร ?

      5. คลอดก่อนกำหนด

      โดยปกติในระยะตั้งครรภ์เกิน 6 เดือนขึ้นไป คุณแม่จะรู้สึกว่ามดลูกหดตัวเบา ๆ เป็นพัก ๆ ไม่รู้สึกเจ็บปวด (อย่างที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเด็กโก่งตัว) เป็นการฝึกหัดตัวเองของมดลูกที่จะบีบตัวเมื่อถึงกำหนดคลอด การหดตัวของมดลูกแบบนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีการหดตัวบ่อย ๆ ถี่เกินไป ท้องตึงแข็งอยู่เป็นเวลานาน และมีอาการอื่นร่วมด้วย ก็แสดงว่าอาจจะมีการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด

      อาการผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณแม่อาจคลอดก่อนกำหนด ได้แก่

      • มีอาการปวดท้อง แบบผิดปกติ เช่น ปวดท้องตื้อ ๆ บริเวณช่วงล่าง ปวดบริเวณท้องน้อยคล้าย ๆ กับอาการปวดประจำเดือน
      • ท้องเสียหรือลำไส้บิดตัวมากกว่าปกติ
      • มดลูกบีบรัดตัวอย่างรุนแรง และบีบรัดตัวถี่มาก รู้สึกมีแรงกดบริเวณอุ้งเชิงกราน ขาหรือหลัง
      • ปวดหลังมาก และอาการปวดหลังไม่หายไป
      • มีมูกเลือด
      • มีน้ำเดิน หรือมีน้ำคร่ำออกจากช่องคลอด

      หากคุณแม่มีอาการอย่างนี้แล้วก็มักจะคลอดภายใน 24 ชั่วโมง โดยแพทย์อาจจะต้องตัดสินใจผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง เพราะว่าการที่ถุงน้ำแตก มีน้ำเดินแล้วยังไม่คลอด จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในถุงน้ำ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์อย่างมาก

      อ่านต่อ คลอดก่อนกำหนด เรื่องที่แม่ท้องต้องรู้สาเหตุและวิธีป้องกัน

      แม้ว่า คนท้องปวดท้องน้อย ที่เกิดในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์นั้น เป็นเรื่องที่ไม่อันตราย สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่อยากให้คุณแม่วางใจไปค่ะ เพราะอาการปวดท้อง อาจไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่ไม่อันตรายก็เป็นได้ ดังนั้น หากคุณแม่มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้ มีอาการปวดมากขึ้น มีเลือดออกจากทางช่องคลอด ก็ควรไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

      อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

      10 ข้อห้าม คนท้องอ่อนๆ ต้องระวังอะไรบ้าง?

      คนท้องติดโควิด รักษาอย่างไร? กระทบลูกในท้องหรือไม่?

      คนท้องยืนนานๆ กระทบลูกหรือไม่ เสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง?

      คนท้องอารมณ์อ่อนไหว มีผลกับลูกในท้องอย่างไร

       

      ขอบคุณข้อมูลจาก : www.medicalnewstoday.com, www.pobpad.com, ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย, worldwideivf.com

       

      เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

        ทารกไม่ถ่าย นวดท้องช่วยได้

        I love youคาถานวดท้องแก้ปัญหา ทารกไม่ถ่าย ได้ผลชะงัด

        ทารกไม่ถ่าย ปัญหาหนักใจของพ่อแม่เมื่อเห็นลูกน้อยอึดอัด ร้องงอแง แต่เชื่อไหมความรักของเราสามารถช่วยให้ลูกอึได้ เพียงนวดท้องแล้วร่ายมนต์แห่งความรัก I love you

        I love you คาถานวดท้องแก้ปัญหา ทารกไม่ถ่าย ได้ผลชะงัด!!

        ทารกไม่ถ่าย ลูกไม่อึ เป็นปัญหาที่น่ากังวลของพ่อแม่ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเห็นลูกน้อยอึดอัดทรมานด้วยแล้ว พ่อแม่คงทุกข์ใจกันไม่น้อย ก่อนจะตัดสินว่า ทารกไม่ถ่ายจนเป็นเรื่องที่น่าห่วงมากแค่ไหน เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบขับถ่ายของเด็กทารกกันก่อน

        โดยทั่วไปแล้ว ทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 3 เดือน อาจถ่ายวันละประมาณ 2-3 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 5-40 ครั้ง เมื่ออายุ 3-6 เดือน จะถ่ายวันละ 2-4 ครั้ง ส่วนทารกอายุ 6 เดือนขึ้นไป อาจถ่ายวันละประมาณ 1-2 ครั้ง หรือสัปดาห์ละ 5-28 ครั้ง ทั้งนี้ ทารกอาจไม่ได้ถ่ายทุกวัน ซึ่งการที่ทารกไม่ถ่ายนั้นไม่ได้บ่งบอกว่ามีอาการท้องผูกเสมอไป หากสงสัยว่าลูกท้องผูก ควรสังเกตอาการอื่น ๆ ร่วมกับลักษณะอุจจาระว่าแข็งหรือมีเลือดปนออกมาด้วยหรือไม่

        ทารกไม่ถ่าย เรื่องกลุ้มของพ่อแม่
        ทารกไม่ถ่าย เรื่องกลุ้มของพ่อแม่

        แบบไหนเรียกว่า “ลูกท้องผูก”

        ทารกแต่ละคนมีความถี่ในการขับถ่ายแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเด็กดื่มนมแม่ หรือนมชง ได้เริ่มทานอาหารอะไรบ้าง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีผลต่อระบบขับถ่ายของลูกทั้งสิ้น สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ คือ หมั่นสังเกตการขับถ่ายของเจ้าตัวเล็ก ว่าเป็นเช่นไร มีลักษณะแบบไหน จำนวนเท่าไหร่ ความสม่ำเสมอของแต่ละครั้ง และช่วงเวลาไหน หากเราคอยสังเกตจะพบความผิดปกติเกี่ยวกับการขับถ่ายได้อย่างแม่นยำ อาการที่อาจแสดงว่าทารกท้องผูกนั้น ให้สังเกตดังต่อไปนี้

        1. ไม่ค่อยถ่าย ความถี่ในการขับถ่ายแต่ละวันของทารกนั้นไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงที่เพิ่งเริ่มหัดกินอาหารใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม หากสังเกตว่าลูกไม่ได้ขับถ่ายติดต่อกันนานกว่า 2-3 วัน อาจเป็นสัญญาณของอาการท้องผูกได้
        2. ต้องออกแรงเบ่งอุจจาระ พ่อแม่ควรสังเกตว่าลูกต้องออกแรงเบ่งอุจจาระมากกว่าปกติ หรือรู้สึกหงุดหงิดและร้องไห้เวลาขับถ่ายหรือไม่ หากมีอาการเหล่านี้ เด็กอาจประสบภาวะท้องผูกอยู่
        3. มีเลือดปนอุจจาระ ทารกที่ท้องผูกอาจมีเลือดปนมากับอุจจาระได้ เนื่องจากผนังทวารหนักฉีกขาดจากการออกแรงเบ่งอุจจาระ
        4. ไม่กินอาหาร ลูกจะไม่กินอาหาร และมักรู้สึกอิ่มเร็ว เนื่องจากอึดอัดและไม่สบายท้องจากการไม่ได้ขับถ่ายของเสีย
        5. ท้องแข็ง ลักษณะท้องของทารกจะตึง แน่น หรือแข็ง ซึ่งเป็นอาการท้องอืดที่เกิดขึ้นร่วมกับการมีท้องผูก

        ส่อง “อึ” ลูกสังเกตอาการท้องผูก

        อีกวิธีที่ง่าย และค่อนข้างได้ผลในการดูว่าทารกกำลังมีอาการท้องผูกอยู่หรือไม่ ก็คือ การสังเกตคุณภาพของอุจจาระ ให้สังเกตดูว่าเป็นอุจจาระที่

        • แห้ง คุณภาพของอุจจาระดูแห้งไม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบ ลักษณะแห้งไม่นุ่ม เป็นต้น
        • รูปทรงกรวด หรือเม็ด แม้ว่าเด็กจะไม่ต้องออกแรงเบ่งมากนักกับอุจจาระรูปแบบนี้ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นทรงกรวด หรือเป็นเม็ดนั่นแสดงถึงภาวะท้องผูกในทารก
        • ออกไม่หมด โดยจะพบรอยเปื้อนบนผ้าอ้อม

         

        สังเกตอึลูก เพื่อคาดเดาอาการท้องผูก
        สังเกตอึลูก เพื่อคาดเดาอาการท้องผูก

        หากพบลักษณะดังกล่าว สามารถบอกได้ว่าลูกน้อยของคุณกำลังพบกับภาวะ “ท้องผูก” เสียแล้ว

        วิธีกระตุ้น และดูแล เมื่อ “ทารกไม่ถ่าย”

        ส่วนสำคัญสุดในการช่วยให้การขับถ่ายของทารกเป็นปกติ นั่นคือ อาหาร อาหารสำหรับทารกส่วนใหญ่ก็คือ นมนั่นเอง ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรใส่ใจในการเลือกซื้อนมผงที่เข้ากับลูก เพราะนมแต่ละยี่ห้อก็มีผลต่อเด็กแต่ละคนแตกต่างกันไป เช่น เด็กบางคนอาจไม่ถูกกับนมชนิดนี้ กินไปแล้วอาจเกิดอาการแพ้ ท้องเสีย ถ่ายเหลว หรือท้องผูกได้ โดยอาจทดลองซื้อนมผงขนาดเล็กมาให้เจ้าตัวเล็กลองทานดูก่อน เผื่อลูกน้อยเกิดแพ้นมผงสูตรนั้นหรือยี่ห้อนั้นขึ้นมาจะได้เปลี่ยนได้ทัน จะได้ไม่ต้องเสียดายเงินหากซื้อกระป๋องใหญ่ และหากลูกทานได้ ไม่มีอาการแพ้ หรือมีผลไม่ดีต่อร่างกายใด ๆ ก็ตาม ถึงอย่างนั้นก็ยังแนะนำให้ซื้อกระป๋องเล็กในจำนวนเยอะ ๆ แทนอยู่ดี เหตุผลเพราะเมื่อเปิดกระป๋องแล้ว ควรจะชงนมผงให้หมดในไม่เกิน 7 วันเพื่อลดความเสี่ยงของเชื้อโรคที่จะก่อตัวในกระป๋องนม

        แต่นมที่ดีที่สุด และพบปัญหาต่อลูกน้อยที่สุด นั่นคือ นมแม่นั่นเอง หากคุณแม่ไม่ได้มีเหตุจำเป็นใด ๆ ก็ขอแนะนำว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนในตัวน้ำนมแม่แล้ว ยังเป็นน้ำนมที่เข้ากับร่างกายของลูกของเรามากที่สุดอีกด้วย เนื่องจากแทบจะไม่พบปัญหาเรื่องทารกไม่ถ่าย หรือท้องผูก กับเด็กที่เลี้ยงด้วยนมแม่เพียงอย่างเดียวเลย

        นอกจากอาหารแล้ว เราอาจใช้การกระตุ้นด้วยวิธีอื่นเพื่อให้ทารกขับถ่ายได้ง่ายขึ้น เช่น

        • ช่วยขยับร่างกาย การเคลื่อนไหวร่างกายจะช่วยเร่งการย่อยอาหาร ส่งผลให้ร่างกายลำเลียงของเสียออกไปได้เร็ว โดยพ่อแม่อาจฝึกทารกที่ยังเดินไม่ได้ให้ถีบจักรยานกลางอากาศ หรือหากทารกยังคลานไม่ได้ อาจช่วยนวดกระตุ้นขา
        • นวดท้องเด็ก วิธีนี้จะช่วยกระตุ้นลำไส้ ส่งผลให้ขับถ่ายได้ง่าย
        • ทาว่านหางจระเข้ หากเด็กถ่ายลำบากจนมีเลือดออกหรือผิวหนังบริเวณทวารหนักฉีกขาด ควรพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุและรับการรักษาเป็นอันดับแรก แต่ในระหว่างที่ยังไม่ได้รับการรักษาอาจใช้ครีมที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ทาบริเวณดังกล่าวเพื่อช่วยบรรเทาความเจ็บปวด
        • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีรักษา พ่อแม่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการใช้ยาหรือวิธีรักษาอาการท้องผูกของเด็ก โดยแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาที่ช่วยให้อุจจาระไม่แข็งตัวเพื่อให้เด็กถ่ายง่ายขึ้น หรือใช้ยากลีเซอรีนเหน็บก้น อย่างไรก็ตาม ไม่ควรใช้ยาเหน็บก้นเป็นประจำ เนื่องจากจะทำให้เด็กเคยชิน และไม่ถ่ายเองตามปกติ รวมทั้งเลี่ยงไม่ให้เด็กรับประทานยาระบาย หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อน

         

        ทารกไม่ถ่าย นวดท้องช่วยได้
        ทารกไม่ถ่าย นวดท้องช่วยได้

        ชั่วโมงแห่งการนวด “ระบายท้อง”

        ศาสตร์แห่งการนวดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ยอมรับกันมากให้หมู่พ่อแม่ที่ดูแลลูกน้อย แม้ว่าจะไม่สามารถระบุผลที่ชัดเจนได้ตามวิทยาศาสตร์เท่าไหร่นักก็ตาม แต่เมื่อนำไปลองปฎิบัติดู ต่างก็เห็นผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ไม่มากก็น้อย พบว่าการนวดบริเวณท้องของทารกสามารถช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ และยังบรรเทาอาการจุกเสียดและก๊าซ เด็กที่ได้รับการนวดวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 15 นาที ติดต่อกัน 14 วัน มีจำนวนการถ่ายอุจจาระเพิ่มขึ้น ในการนวดมีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากกัน ดังนี้

        เคล็ดลับทั่วไปบางประการในการนวดลูกน้อยเพื่อรักษาอาการท้องผูก:

        • นวดลูกน้อยของคุณวันละครั้ง
        • เวลาที่ดีที่สุดในการนวดแก้อาการท้องผูก เนื่องจากพลังของการกำจัดและการย่อยอาหารทำงานมากที่สุดตั้งแต่ตี 5 – 11 โมงเช้า
        • อย่าลืมใช้น้ำมันเกรดอาหารในระหว่างการนวด เช่น น้ำมันมะพร้าว หรือเบบี้ออยล์ก็ได้เช่นกัน
        • ทำให้มือของคุณอุ่นก่อนเริ่ม หากมือของคุณเย็นอยู่เสมอ ให้แช่มือด้วยน้ำอุ่นสักครู่
        • นวดลูกน้อยของคุณในห้องที่มีอุณหภูมิห้องปกติ ไม่ควรหนาว หรือเย็นเกินไป

        ดังนั้นเรามานวดทารก เพื่อช่วยระบายอาการอึดอัดท้องกันดีกว่า เพราะไม่มีอันตราย แถมสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวคุณเองที่บ้านเสียด้วย

        1. ท่า I love you ความรักชนะทุกสิ่ง

        ท่านวดนี้เป็นท่านวดช่วยไล่ลมในท้องของทารก เพราะอาการท้องอืดมักมาพร้อมกับการไม่ถ่ายด้วยเช่น หากลูกสบายท้อง ไม่มีลมในท้อง ก็จะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้นได้

        •   I   การนวดท่านี้ให้ใช้ฝ่ามือลูบเป็นเส้นตรงจากใต้ราวนมด้านซ้ายถึงบริเวณท้องน้อยเป็นตัว I (ด้านขวาของผู้นวด)
        •   LOVE   ให้ผู้นวดใช้ฝ่ามือลูบเป็นตัว L กลับหัวบริเวณท้อง โดยเริ่มลากมือจากซ้ายไปขวาตามแนวนอนถึงใต้ชายโครงซ้าย แล้วลากลงตรง ๆ ถึงบริเวณท้องน้อย
        •   YOU  ใช้ฝ่ามือลูบบริเวณท้องเป็นรูปตัวยูคว่ำ โดยเริ่มจากด้านขวาของเด็กไปซ้าย

        ข้อแนะนำ ให้นวดก่อนมื้อนม หรือหลังจากให้นมไปแล้ว 2 ชั่วโมง

        ท่านวด I love you ช่วยเรื่อง ทารกไม่ถ่าย ได้ผล
        ท่านวด I love you ช่วยเรื่อง ทารกไม่ถ่าย ได้ผล

        2.นวดมือกระตุ้นลำไส้

        จับมือทารกลูบลงบนฝ่ามือไล่มือโดยใช้นิ้วโป้งลากไปจากข้อมือเรื่อยไปถึงนิ้วชี้ ทำซ้ำประมาณ 100 – 300 ครั้ง สิ่งนี้ควบคุมลำไส้ใหญ่และส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้ให้ดีขึ้น

        3.นวดท้องขยับกระเพาะอาหาร

        • ให้ถูรอบสะดือตามเข็มนาฬิกาด้วยโคนฝ่ามือ 100 – 500 ครั้ง วิธีนี้ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร และการเคลื่อนไหวของลำไส้ให้ขยับ จะได้กลับมาทำงานปกติ
        • นวดท้องส่วนล่างด้านซ้ายของเด็กซึ่งอยู่ใต้สะดือประมาณ 3 นิ้วมือ โดยใช้ปลายนิ้วกดลงไปเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอประมาณ 3 นาที และควรหมั่นนวดวันละหลายครั้งจนกว่าเด็กจะถ่ายได้ปกติ

          ก่อนนวดทำให้มืออุ่น และทาน้ำมันลงบนมือ
          ก่อนนวดทำให้มืออุ่น และทาน้ำมันลงบนมือ

        4.นวดบนขาท่อนล่าง

        ใช้ปลายนิ้วกลางนวด หรือทำเป็นวงกลมเล็ก ๆ บริเวณใต้เข่าด้านนอกของกระดูกหน้าแข้ง 50-100 ครั้ง การนวดบริเวณนี้จะช่วยส่งเสริมการย่อยอาหาร และระบบภูมิคุ้มกันของทารก

        การนวดนอกจากจะส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ระบบย่อยอาหารของทารกแล้ว ยังช่วยให้เกิดสัมผัสแห่งรักที่จะส่งผ่านจากแม่สู่ลูกน้อย การที่เขาได้รับการสัมผัสบ่อย ๆ จากแม่ หรือพ่อผ่านการนวด จะทำให้สร้างสายใยความผูกพันระหว่างกันได้ดีอีกด้วย รู้แบบนี้แล้ว…รีบกลับไปนวดเจ้าตัวเล็กกันเถอะ!!

        ข้อมูลอ้างอิงจาก www.pobpad.com/www.mommasociety.com

        อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

        ลูกกินนมแม่..แต่ทำไมยังท้องผูก??

        ลูกอายุ 4 เดือน ท้องผูก ถ่ายไม่ออก เพราะแม่ป้อนกล้วยบด

        แม่แชร์สูตร! อาบน้ำใบกะเพรา ระเบิดพุง แก้ปัญหาลูกท้องผูก

        ส่งลูกเข้า เตรียมอนุบาล จำเป็นมั้ย? ควรให้ลูกเข้าเรียนตอนกี่ขวบดี?

        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

          ลูกถูกครูตี

          แม่โวย! ลูกถูกครูตี จนต้องเข้าเฝือก เหตุ ครูทำโทษที่ส่งการบ้านไม่ครบ!

          ลูกถูกครูตี –  คุณแม่ของเด็กนักเรียนชาย ชั้น ป.5 โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดอ่างทอง ได้แสดงความคิดเห็นว่าคุณครูประจำชั้นของลูกได้กระทำการอันเกินกว่าเหตุหรือไม่ สืบเนื่องจากกรณีผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากผู้ปกครองของนักเรียนโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในเขต อ.เมือง จ.อ่างทอง ว่าลูกชายถูกคุณครูประจำชั้นทำโทษโดยการใช้ไม้ตีที่มืออย่างแรง จนเกิดอาการบวม ช้ำจนถึงขั้นต้องเข้าเฝือก! ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเฝ้าดูอาการว่ากระดูกมือของเด็กร้าวหรือหัก หรือไม่

          แม่โวย! ลูกถูกครูตี จนต้องเข้าเฝือก เหตุครูทำโทษ ที่ส่งการบ้านไม่ครบ!

          ซึ่งเหตุดังกล่าวเกิดเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 64 เด็กชายชั้น ป.5 ของโรงเรียนระดับประถมศึกษาชื่อดังแห่งหนึ่ง ใน จ.อ่างทอง ถูกครูประจำชั้นสาวทำโทษ โดยครูอ้างว่าเด็กส่งการบ้านไม่ครบ จึงลงโทษใช้ไม้ตีบริเวณมือทั้ง 2 ข้าง จำนวน 3 ครั้ง พอเลิกเรียนตนและสามีจึงพาลูกไปโรงพยาบาล ซึ่งมือเด็กบวมแดงและอักเสบ คุณหมอจึงทำการเอ็กซเรย์ พบว่าบริเวณมือซ้ายมีความผิดปกติ มีจุดดำบริเวณกระดูก เบื้องต้นจึงทำการเข้าเฝือกไว้ และรอดูอาการอีก 5 วันเอ็กซเรย์ซ้ำ หากบริเวณจุดดำมีรอยของคราบหินปูนเกาะแสดงว่ากระดูกหัก จากเหตุการนี้ครอบครัวรู้สึกว่าคุณครูทำเกินกว่าเหตุ ลักษณะไม่ใช่การลงโทษ แต่เหมือนเป็นการทำร้ายร่างกาย จึงอยากออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมและให้คุณครูแสดงความรับผิดชอบ

          จะเห็นได้ว่าการใช้ความรุนแรงกับเด็ก โดยเฉพาะในโรงเรียน ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งนี้ครั้งแรก หากย้อนกลับไปดูในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะพบว่ามีประเด็นให้สังคมต้องถกเถียงอยู่บ่อยครั้ง ถึงความเหมาะสมในกรณีการลงโทษและใช้ความรุนแรงกับเด็ก สิ่งที่น่าวิตกคือ เด็กบางคนอาจบอกให้พ่อแม่รู้ว่าตัวเองถูกครูลงไม้ลงมือจนบาดเจ็บ แต่มีเด็กจำนวนมาก ที่อาจไม่บอกให้ทางบ้านรับรู้ อาจเพราะคิดกลัวไปต่างๆ นา ๆ  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ปกครองที่ต้องเฝ้าสังเกตความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับลูก ก่อนที่สภาพจิตใจ หรือร่างกายลูกจะได้รับความกระทบกระเทือนจนสายเกินแก้

          ลูกถูกครูตี
          ลูกถูกครูตี

          มีงานวิจัยมากมาย ที่เผยผลการศึกษาว่าการลงโทษโดยใช้ความรุนแรงกับเด็กมักส่งผลเสียต่อตัวเด็กมากกว่าที่จะเกิดผลดี โดยเฉพาะการลงโทษในโรงเรียนด้วยการใช้ความรุนแรงกับตัวเด็ก จะยิ่งสร้างความกลัวให้กับเด็กโดยเฉพาะในระหว่างกระบวนการสอนและการเรียนรู้ (Myers, 1999; McNeil & Rubin, 1977)  เด็กจะเรียนรู้เพียงเพื่อทำให้ครูพอใจ และจะไม่ได้รับทักษะและความรู้เพื่อก้าวไปสู่การพัฒนาตนเองอย่างที่ควรจะเป็น การลงโทษทางร่างกายที่ได้รับอิทธิพลจากความกลัว จะบั่นทอนแรงจูงใจในการเรียนรู้ของนักเรียน นักเรียนที่ถูกทารุณกรรมทางร่างกายและทางอารมณ์จะพัฒนาความวิตกกังวลที่ทำให้เสียสมาธิและการเรียนรู้ที่ไม่ดีเมื่อเทียบกับเด็กปกติ แน่นอนว่าผู้ปกครองทุกคนไม่ต้องการให้เหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้เกิดขึ้นกับบุตรหลานของตัวเอง แต่เราจะมีวิธีสงเกตุได้อย่างไร? ว่าลูกของเรากำลังถูกทำร้ายในโรงเรียนหรือไม่

          สัญญาณบ่งบอกว่าลูกอาจถูกทำร้ายร่างกาย

          สิ่งบ่งชี้ว่าการโดนล่วงละเมิดทางร่างกาย อาจเกิดขึ้นกับลูกได้ มีดังต่อไปนี้

          • ตาเขียว โดยไม่ทราบสาเหตุ ตามตัวมีรอยฟกช้ำ รอยกัด หรือรอยไหม้ เป็นต้น
          • อาการบาดเจ็บที่อาจเผยให้เห็นชัดเจน เช่น แผลไหม้ หรือแผลที่มือ
          • ร้องไห้เมื่อถึงเวลาต้องไปสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือโรงเรียน หรือสถานที่อื่นๆ
          • แสดงความกลัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งอย่างชัดเจน
          • มีอาการสะดุ้งเมื่อสัมผัสตัว
          • สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิดผิดสังเกต เพื่อปกปิดอาการบาดเจ็บ

          แนะพ่อแม่! สอนลูกหวงตัว รู้จักสิทธิของตัวเราป้องกันลูกถูกทำร้าย

          7 สัญญาณเตือน ลูกโดนทำร้าย ลูกเปลี่ยนไป พ่อแม่ต้องรู้!

          เทคนิครับมือ ลูกโดนบูลลี่ เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ต้องรู้ให้ทัน!

           

          วิธีรับมือ และดูแลสภาพจิตใจลูก หลังถูกทำร้าย

          คุณพ่อคุณแม่จะรับมืออย่างไรได้บ้าง หรือควรปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อสงสัยว่าลูกถูกทำร้ายร่างกาย หรือ ทำให้บาดเจ็บทางรางกายและจิตใจ

          1. หาสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องที่เกิดขึ้น

          หลังจากได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูกแล้ว ลองนึกถึงสาเหตุที่ครูของลูกคุณลงไม้ลงมือกับลูก ซึ่งอาจเป็นไปได้จากหลายเหตุผล ทั้งครูจะอารมณ์ร้อน หรือความเข้าใจผิดระหว่างครู และนักเรียนจนทำให้เกิดปัญหา เมื่อทราบสาเหตุแล้วจะช่วยให้ผู้ปกครองจัดการกับปัญหาของลูกได้ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น

          2. ช่วยทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย

          ประการแรก พ่อแม่ต้องทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย และมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่โดนทำร้ายอีก เพื่อรับมือกับความกลัวของลูกพ่อแม่ควรหลีกเลี่ยงการให้ลูกกลับไปในที่เกิดเหตุจนกว่าสภาพจิตใจของลูกจะดีขึ้น ไม่ควรบังคับให้ลูกต้องไปโรงเรียนทั้งที่สภาพจิตใจยังไม่ปกติ  แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของสภาพร่างกายและจิตใจของเด็ก  สิ่งสำคัญคือ พ่อแม่ต้องอยู่เคียงข้างลูกและพร้อมที่จะรับฟังพวกเขาอย่างเข้าใจ ในภาวะนี้ เด็กอาจแสดงพฤติกรรมผิดปกติบางอย่าง คล้ายกับพฤติกรรมถดถอย เช่น ฉี่รดที่นอนทั้งที่ไม่เคยมีพฤติกรรมนี้มาก่อน กัดเล็บอมนิ้ว  พูดติดอ่าง พูดเสียงอยู่ในลำคอ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างที่ควรจะเป็นหรืออาจงอแงมากกว่าปกติคล้ายเด็กเล็ก ซึ่งผู้ปกครองต้องอดทน และให้เวลาเด็กในการปรับตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

          ลูกถูกครูตี

          2. พูดคุยกับลูกอย่างเปิดเผย

          เมื่อเด็กถูกทารุณกรรม พวกเขาอาจรู้สึกกลัวการถูกคุกคาม และอาจไม่กล้าเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะเมื่อคนที่ทำร้ายพวกเขาเป็นถึงคุณครู อาจทำให้ลูกเกิดความรู้สึกสับสน ดังนั้นผู้ปกครองควรพูดคุยกับลูกอย่างเปิดเผย แสดงให้ลูกของคุณเห็นว่าพ่อแม่เป็นที่พึ่งของพวกเขาได้ และพร้อมรับฟัง เชื่อใจ และจริงใจที่จะแก้ปัญหาที่ลูกกำลังเผชิญอยู่ พยายามเริ่มด้วยการพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันให้เป็นกิจวัตร เช่น วันนี้ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง? มีใครแกล้งลูกบ้างไหม?  คุณครูเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นต้น

          3. แสดงตัวเรียกร้องความยุติธรรมให้ลูก

          แน่นอนว่าหากมีความอยุติธรรมเกิดขึ้นกับลูก พ่อแม่มีหน้าที่ปกป้องและแสดงความกล้าหาญในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูก จงอย่านึกถึงคนอื่นมากกว่าลูก หากเป็นไปได้ควรโอกาสเหมาะๆ พูดคุยกับคู่กรณีโดยตรง แต่หากว่าไม่สามารถพูดคุยได้ อาจลองพูดคุยกับครูท่านอื่น เพื่อหาทางออกร่วมกัน และให้ครูคนอื่นช่วยกันสอดส่องดูแล หากสุดท้ายแล้ว ทุกอย่างยังดูไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ควรแจ้งผู้บริหารโรงเรียน พร้อมทั้งแจ้งฝ่ายบริหารของกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อตรวจสอบและจัดการกับความผิดที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กคนอื่นๆ ถูกกระทำซ้ำในลักษณะเดียวกัน

          4. สอนลูกให้ระมัดระวังตัว

          ปลูกฝังให้ลูกมีจิตใจที่เข้มแข็ง โดยสอนให้ลูกรู้จักระวังตัว ไม่ไปไหนคนเดียว และไม่กลัวที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นยามจำเป็น รวมถึงการฝึกให้บุตรหลานรู้จักทักษะในการจัดการกับปัญหา หรือสอนวิธีป้องกันตัวเองเมื่อถูกรังแก และควรสอนด้วยว่าถ้าลูกถูกใครทำร้ายที่โรงเรียน ต้องบอกพ่อแม่เป็นคนแรก โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะข่มขู่ เพราะพ่อแม่คือผู้ปกป้องลูก ที่สำคัญอย่าลืมให้กำลังใจลูกในวันที่ถูกทำร้าย นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรมีกลุ่มผู้ปกครองทั้งทางออนไลน์ และในชีวิตจริง เพื่อช่วยกันสอดส่องเป็นหูเป็นตา คอยสังเกตพฤติกรรมของเด็กเสมอว่ามีอาการผิดปกติหรือไม่ จะได้รู้ปัญหา และหาทางแก้ไขได้เร็วขึ้น

          5. พาลูกไปพบจิตแพทย์เด็ก

          ในเด็กบางคนอาจมีปัญหาทางอารมณ์และสภาพจิตใจหลังถูกครูลงโทษ หรือทำร้ายร่างกาย ซึ่งผู้ปกครองอาจไม่สามารถรับมือหรือจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ได้เพียงลำพัง ทางที่ดี ควรขอความช่วยเหลือจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น พาลูกไปพบแพทย์เพื่อประเมินสภาพจิตใจ และรับความช่วยเหลือ เพราะการรักษา ฟื้นฟูจิตใจตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้เด็กฟื้นตัวได้ดีกว่าการทิ้งปัญหาเอาไว้จนเกินเยียวยา

          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : grin.com , เพจชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย , เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน , medicalnewstoday.com

          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

          ลูกถูกทำร้าย ใจลูกสำคัญ พ่อแม่ควรทำเรื่องนี้..ก่อนสายเกินแก้!!

          ครูตีเด็ก ผิดกฎหมายหรือไม่? ตีเด็กอย่างไรไม่ให้ถูกฟ้อง?

          จิตแพทย์แนะ! ขอบเขตการลงโทษเด็ก ป้องกันเด็กบอบช้ำหลังถูกลงโทษ

          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

           

            คอกกั้น

            รวม 10 คอกกั้น “เด็ก” ยี่ห้อไหนดี

            ถ้าจะให้รวมดาวสาวสยาม เห็นทีจะไม่ถนัด แต่ถ้าให้แนะนำของใช้ลูกที่ใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงวัยขวบ อ่ะอันนี้พอได้ วันนี้ทีมแม่ABK เลยรวมของใช้ชิ้นใหญ่คุ้มค่าต่อการใช้งาน อย่าง “คอกกั้นเด็ก” มาให้ เห็นถามมากันเยอะ แม่เลยรวบตึงมาให้ 10 คอกกั้น อยากได้คอกกั้นยี่ห้อไหน ก็เลือกซื้อกันได้ตามใจชอบเลยค่ะ

            ประโยชน์ของ “คอกกั้น”

            จำได้ว่าตอนบอกที่บ้านว่าจะซื้อคอกกั้นมาใช้หลังคลอดลูก คุณสามีก็ไม่เห็นด้วยนะจ๊ะ เพราะยังมองไม่เห็นถึงความจำเป็น หรือประโยชน์การใช้สอยที่ต้องมีคอกกั้นมาไว้ที่บ้าน  เชื่อว่าน่าจะมีอีกหลายครอบครัวเลยที่เห็นไม่ตรงกัน ว่าควรต้องมี จำเป็นต้องซื้อคอกเด็กหรือเปล่า  ถ้าถามทีมแม่ABK ก็ว่ามีประโยชน์มากอยู่นะคะ

            • มีพื้นที่ปลอดภัย

            บ้านไหนที่ภรรยาเลี้ยงลูกเอง ไม่มีผู้ช่วย ย่า ยายอยู่ต่างจังหวัด สามีก็ออกไปทำงาน จากประสบการณ์ของแม่บ้านนี้ลำบากมากเวลาที่จะไปเข้าห้องน้ำ หรือต้องปลีกตัวไปทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ 5 นาที 10 นาทีในบ้าน ก็กลัวลูกจะคลาน จะเกาะเดินแล้วเกิดอันตราย แต่ถ้าให้ลูกอยู่ในคอกกั้น ก็สบายใจได้ อย่างน้อย ๆ ก็มั่นใจได้ว่าลูกจะไม่เป็นอันตราย หรือได้รับบาดเจ็บ  

            • ช่วยฝึกพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่

            เมื่อลูกถึงวัยเริ่มพลิกคว่ำ คืบ คลาน เกาะยืน เดิน (อายุ 6 เดือนขึ้นไป) แนะนำให้เริ่มจากในคอกกั้นก่อนค่ะ ให้ลูกพลิกคว่ำ คืบ คลาน เกาะ จับ ทรงตัวให้มั่นคง พัฒนาการของลูกวัยนี้คือปล่อยให้คลาดสายตาไม่ได้เด็ดขาดนะคะ เพราะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ฉะนั้นพื้นที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับแม่นะ คิดว่าให้ลูกมีอิสระทำกิจกรรมของเขาไปในคอกกั้นนี่แหละค่ะ อ่อ!! ที่สำคัญยังเป็นการช่วยส่งเสริมเรื่องพัฒนาการกล้ามเนื้อมือ และกล้ามเนื้อช่วงล่างเท้า ให้แข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ

            • ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการการเรียนรู้

            คือคอกกั้นเด็กเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งน่าใช้ทุกยี่ห้อเลยค่ะ จะมีทั้งสีสันที่สวยงาม มีลาดลายสัตว์น่ารัก ๆ หรือคุณพ่อคุณแม่จะหาของเล่นนุ่มนิ่มเล็ก ๆ สติ๊กเกอร์มาติดเพิ่มในคอกกั้นก็ได้ เหล่านี้แหละที่จะช่วยให้ลูกได้ค่อย ๆ เรียนรู้เรื่องสี เรื่องสัตว์ ของเล่นต่าง ๆ ที่อยู่ในคอกเด็ก เป็นการเริ่มต้นให้สมองลูกเกิดการเรียนรู้ที่ดีมาก ๆ เลยล่ะค่ะ

            • ช่วยให้นอนหลับสบาย ได้คุณภาพ

            แม่บ้านนี้ให้ลูกนอนในคอกกั้นตั้งแต่เล็ก ๆ ค่ะ จากประสบการณ์ส่วนตัวคือ หลับได้นาน ลูกนอนได้อย่างอิสระ จะนอนพลิกคว่ำ พลิกหงายก็ไม่ต้องกลัวว่าลูกจะตกหล่นลงมา เพราะพื้นคอกกั้นจะเรียบเท่ากันหมด และมีพนังของคอกกั้น ๆ ลูกไว้อีกขั้น แม่จะนอนให้นมลูกในคอกกั้นก็สะดวกมากๆ ด้วยนะคะ

            • ช่วยให้พ่อแม่มีเวลาส่วนตัวมากขึ้น

            รู้ว่าพ่อแม่ทุกบ้านเลี้ยงลูกกันอย่างเต็มกำลัง แต่ก็จะต้องมีช่วงเวลาส่วนตัวอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ ซักผ้า ตากผ้า หรือกินข้าว ฯลฯ  10 นาที 20 นาทีต้องมีเป็นอย่างน้อยใช่ไหมคะ คอกกั้นเนี่ยช่วยให้พ่อแม่ทำธุระส่วนตัวกันได้อย่างสบายใจ อย่างน้อยก็เบาใจได้ว่าลูกได้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย และเราก็จะได้ยินเสียงลูกอ้อแอ้อยู่ใกล้ ๆ ตลอด พอทำธุระส่วนตัวเสร็จก็รีบมาอยู่กับลูก มีความสุขอบอุ่นกันในคอกกั้นค่ะ

            10 คอกกั้นเด็ก ยี่ห้อไหนดี ?

            ทีมแม่ABK รวบรวมมาให้ 10 ยี่ห้อ คุณพ่อคุณแม่อยากได้ หรือชอบสินค้าของยี่ห้อไหน เลือกซื้อกันได้ตามใจชอบนะคะ  ขอให้มีความสุขกับคอกกั้นค่ะ

            1. คอกกั้น HOYO รุ่น S22

             

            คอกกั้น hoyo

            วัสดุ : หนัง PU นำเข้าจากเกาหลี

            ขนาด : กว้าง 2.14 เมตร ยาว 2.14 เมตร สูง 0.5 เมตร

            หนา : 7 ซม. ทั้งพื้นและผนัง

            สี : ครีม เทา ขาว แทน และพีช

            ราคา : สอบถามที่เบอร์โทร +66892065803

            สั่งซื้อ  : www.hoyosoftandsafe.com

             

            2. คอกกั้น Baby Selfy รุ่น SIMPLE

            คอกกั้น babyselfy

            วัสดุ : หนังพรีเมี่ยม บุนวมกันกระแทกด้วยฟองน้ำหนา 1 นิ้ว รอบทิศ

            ขนาด : มีหลากหลาย ขนาดเริ่มต้น 3.5 X 5 ฟุต

            ราคา : มีหลากหลาย ราคาเริ่มต้น 5,500 บาท

            สั่งซื้อ : https://babyselfy.in.th /

             

            3. คอกกั้น Bebeplay รุ่น Hug Bear

            คอกกั้น bebeplay

            วัสดุ : ชนิด HDPE Food Grade ไร้สารตกค้าง (ได้รับมาตราฐาน EU Directive 2009/48/EC)

            ขนาด : คอกสูง 62 cm.

            ราคา : 2,490 บาท

            สั่งซื้อ : www.bebeshop.co

             

            4. คอกกั้น GEKO รุ่น 2×2-PU 004

            คอกกั้น geko

            วัสดุ : หนัง PU

            สี : ชมพู-ครีม

            ขนาด : Large 2×2   กว้าง 215 x ยาว 215 x สูง 60 cm.

            ราคา : 28,900 บาท

            สั่งซื้อ : www.gekoforchild.com

             

            5. คอกกั้น Ggumbi รุ่น Baby Room Set

            คอกกั้น Ggumbi

            วัสดุ : ตัวเบาะ – ภายนอก : หนัง PU Premium ตัวเบาะ – ภายใน : Foam

            สี : Gray , Blue

            ขนาด : 252 X 140 Plus+ (258 X 147  X 60 cm.)

            ราคา : 19,900 บาท

            สั่งซื้อ : www.rockingkidsthailand.com

             

            6. คอกกั้น AMMY KIDS รุ่น นวมเต็ม

            คอกกั้น AMMY KIDS

            วัสดุ : โครงไม้บุฟองน้ำหุ้มหนัง (หนังปลอกสารโลหะหนัก 20 ชนิด จากสถาบัน SGS)

            สี  : เทาพื้นฟ้าสลับขาว

            ขนาด : 170 x 225 x 60 ซม.

            ราคา : 11,000  บาท

            สั่งซื้อ : www.amvata.com

             

            7. คอกกั้น Baby Castle รุ่น LUNA mini

            คอกกั้น Baby Castle

            วัสดุ : Non- Woven (ไม่ใช้ฟองน้ำอัดแน่นหรือยูริเทนโฟม)  หุ้มด้วยวัสดุเกรด 100%  Non – Toxic

            สี : ขาว ครีม เทา ชมพู ฟ้า

            ขนาด : 100×120×50 cm.

            ราคา : 12,500 บาท

            สั่งซื้อ : https://web.facebook.com/babycastle.thailand/

             

            8. คอกกั้น Viva Playz รุ่น SKU-00017

            คอกกั้น Viva Playz

            วัสดุ : ตัวคอกกั้นเป็นโครงไม้แข็งแรง บุฟองน้ำนุ่ม หุ้มหนังเทียม ไร้สารอันอันตราย

            สี : ครีม เบาะสีรุ้ง

            ขนาด : คอกกั้นสูง 60 cm. หนา 15 cm. เบาะรองคลานหนา 1.5 นิ้ว

            ราคา : 5*6.5ฟุต (152*198cm) 12,500 บาท , 6*6.5ฟุต (183*198cm) 13,500 บาท , 7*6.5ฟุต (213*198cm) 14,900 บาท

            สั่งซื้อ : www.vivaplayz.com

             

            9. คอกกั้น NINO WORLD รุ่น CW-007

            คอกกั้น NINO WORLD

            วัสดุ : พลาสติกปลอดภัยสำหรับเด็ก ( HDPA )

            สี : สีน้ำขาว-เขียว

            ขนาด : W149×L156×H64 cm.

            ราคา : 2,190 บาท

            สั่งซื้อ : www.globalhouse.co.th

             

            10. คอกกั้น Octopuslands คอก Papa Whale รุ่น HOUSE PS

            คอกกั้น Octopuslands

            วัสดุ : โครงสร้างไม้ หุ้มฟองน้ำ และหนังเทียม PVC Non-Toxic ด้านหน้าออกแบบให้โปร่ง ด้วยเฟรมเหล็ก และท่อ PVC พร้อมหุ้มนวมกันกระแทก

            สี : น้ำเงินสลับลาย

            ขนาด : 5 ฟุต 152X198 cm.

            ราคา : 14,400 บาท

            สั่งซื้อ : www.octopuslands.com 

              ทารกสะอึก แก้ด้วยวิธีธรรมชาติได้ผล

              วิธีธรรมชาติช่วย ทารกสะอึก ให้หายอย่างได้ผล!!

              ทารกสะอึก อาการสะอึกแม้ว่าเป็นเรื่องไม่อันตรายแต่หากเป็นทารกแรกเกิดแล้วพ่อแม่คงอยากช่วยให้ลูกหายไวไว งั้นชวนมาลองวิธีธรรมชาติที่ปลอดภัย แถมได้ผลดีเสียด้วย

              วิธีธรรมชาติช่วย ทารกสะอึก ให้หายอย่างได้ผล!!

              อาการสะอึก เมื่อเกิดขึ้นกับใครแม้จะไม่ใช่อาการร้ายแรง แต่ก็สร้างความรำคาญใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งโดยเฉพาะหากเกิดกับเจ้าตัวเล็ก ทารกแรกเกิดด้วยแล้ว ทารกสะอึก เป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็กวัยนี้ เนื่องจากการทำงานของร่างกายยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์นัก จึงทำให้พ่อแม่มักพบภาวะลูกสะอึกนี้กันได้บ่อย ๆ แต่เมื่ออายุมากขึ้น อาการเหล่านี้ก็จะน้อยลงจนหายไปเองในที่สุด

              ลูก “สะอึก” ได้อย่างไร?

              เด็กทารกสะอึก ถือเป็นเรื่องปกติ และมักเป็นหลังกินนมอิ่ม เพราะอาการสะอึกนั้นเกิดจากการหดตัวแบบผิดจังหวะของกล้ามเนื้อกระบังลม ซึ่งกระบังลมนั้นเป็นอวัยวะที่กั้นอยู่ระหว่างปอด กับช่องท้อง โดยมีหน้าที่ช่วยในการหายใจ อาการหดตัวแบบผิดจังหวะของกล้ามเนื้อกระบังลมนี้ยังเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมออีกด้วย จึงทำให้เราเห็นอาการสะอึกเป็นจังหวะที่สม่ำเสมอด้วยเช่นกัน

              ท้องอืดจากการดูดลมจากจุกนมหลอก อีกหนึ่งสาเหตุ ทารกสะอึก
              ท้องอืดจากการดูดลมจากจุกนมหลอก อีกหนึ่งสาเหตุ ทารกสะอึก

              สำหรับเด็กทารกที่สะอึกหลังกินอิ่มนั้น เนื่องจากกระเพาะอาหารของเด็กทารกอยู่ชิดกับกล้ามเนื้อกระบังลม เมื่อกระเพาะอาหารขยายขนาดจึงไปรบกวนการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อกระบังลมจนทำให้เกิดอาการสะอึก หรือเกิดตอนที่เด็กกลืนนมเร็วเกินไปเพราะหิวจัด ทำให้ได้อากาศเข้าไปในมากเกินก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งได้เช่นกัน ซึ่งพอเด็กเริ่มโตได้ประมาณ 4-5 เดือน อาการสะอึกนี้ก็จะค่อย ๆ ลดและหายไปเอง

              ความเชื่อ กับอาการ “สะอึก”

              ความเชื่อกับสังคมไทย เป็นของคู่กันมาช้านาน กับคำกล่าวที่ว่า “โบราณว่าไว้” นั้นมักจะเป็นความเชื่อที่บอกต่อ ๆ กันมาจากรุ่นสู่อีกรุ่น กับวิธีการปฎิบัติตัวต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งในชีวิตประจำวัน ความเชื่อกับการทำให้หายสะอึกก็เช่นเดียวกัน วันนี้ลองมาศึกษากันดูเล่น ๆ สักหน่อยว่า โบราณได้ว่าไว้เกี่ยวกับวิธีทำให้หายสะอึกว่าอย่างไรกันบ้าง

              ทุบหลังให้ตกใจ!!

              เมื่อเห็นคนสะอึก หรือเมื่อเราสะอึกจงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ได้เลยว่าจะต้องมีสักคนที่จะต้องแอบมาส่งเสียง หรือทุบหลังเบา ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว เพื่อหวังว่าจะให้ตกใจ แล้วหยุดสะอึกไปเอง หากใครลองแล้วได้ผลอย่างไรอย่าลืมแชร์ประสบการณ์กัน

              ไม่ควรทำกับทารก : เส้นเอ็นในกระดูกซี่โครงของทารก ยังมีความบอบบางอยู่ ฉะนั้นการทำอะไรแรง ๆ ในบริเวณนั้น ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงได้ ฉะนั้น อย่าใช้วิธีนี้กับลูกน้อยจะดีกว่านะ และอย่าพยายามแหย่ลูกน้อยให้สะดุ้ง เพื่อจะได้หายสะอึกเด็ดขาด เพราะเสียงตบถุงกระดาษดังๆ อาจทำให้แก้วหูที่บอบบางของทารกเกิดความเสียหายได้ และอาการตกใจนั้น อาจเลยเถิดจนกลายเป็นอาการร้องไห้ไม่หยุดได้เช่นกัน

              ดื่มน้ำ 9 คำ ความเชื่อช่วย ทารกสะอึก ให้หาย
              ดื่มน้ำ 9 คำ ความเชื่อช่วย ทารกสะอึก ให้หาย

              กินน้ำ 9 คำ!!

              เมื่อใดที่สะอึก เคยหรือไม่ที่พ่อแม่ของเราจะยกน้ำมาดื่ม โดยกำชับว่าให้ดื่มเป็นคำ ๆ ทั้งหมด 9 คำ จะช่วยให้หายจากอาการสะอึกได้ ต้องขอ บอกว่าตอนเด็ก ๆ ก็เคยได้ลองประสบการณ์ในหัวข้อนี้เหมือนกัน เรียกได้ว่า อิ่มน้ำกันไปเลยทีเดียว

              ปรับเปลี่ยนสำหรับทารก : ถ้าอาการสะอึกทำให้ลูกน้อยรู้สึกอึดอัด คุณก็อาจต้องลองป้อนน้ำให้ลูกน้อย โดยอาจผสมกับสมุนไพร ที่เชื่อว่าช่วยเยียวยาอาการโคลิค หรืออาการไม่สบายบริเวณลำไส้ได้ อาจเลือกสมุนไพรได้อย่างหลากหลาย ซึ่งก็รวมถึงขิง เม็ดยี่หร่า คาโมไมล์ และซินนาม่อน ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าการจิบน้ำจะช่วยแก้อาการสะอึกในเด็กทารกได้ แต่วิธีนี้ก็ไม่มีความเสี่ยงใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าคุณจะให้ลูกน้อยกินอะไรใหม่ ๆ ก็ควรปรึกษาคุณหมอก่อน

              กลั้นหายใจ!!

              วิธียอดฮิตที่มักจะถูกเรียกให้ลองทำตามเพื่อหวังจะให้อาการสะอึกหายไป เนื่องจากว่าเป็นวิธีที่ง่าย ไม่มีอุปกรณ์ให้ยุ่งยากใด ๆ แต่จะได้ผลหรือไม่นั้นคงต้องลองดูกันเอาเอง

              ยังมีอีกหลากหลายวิธี สำหรับความเชื่อกับอาการสะอึก แตกต่างกันไปตามแต่วัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น แต่หากจะถามถึงผลลัพธ์แล้ว คงตอบไม่ได้ว่าจะได้ผลหรือไม่อย่างไร แต่ด้วยความเชื่อส่วนตัวเรื่องหนึ่งว่า ไม่ว่าจะทำวิธีใด ก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง และนี่อาจเป็นเหตุผลว่า สุดท้ายแล้วเมื่อเรารอ ปล่อยให้อาการสะอึกไปสักระยะ ร่างกายสามารถปรับตัวได้ก็จะหยุดอาการสะอึกไปได้เองเสียมากกว่าหายเพราะวิธีการใด วิธีการหนึ่ง จึงไม่ขอแนะนำวิธีการที่ไม่สามารถหาเหตุผล และข้อพิสูจน์ รวมถึงความปลอดภัยในการนำมาใช้แก้อาการสะอึกเหล่านี้ได้

              หากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็คงเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า อาการสะอึกหากเกิดขึ้นกับตัวผู้ใหญ่เองก็คงไม่เป็นปัญหา แต่หากเกิดกับเด็ก หรือเด็กทารก นอกจากจะนั่งรอดูให้อาการหายเองแล้ว เราจะยังมีวิธีการใด ๆ ที่พอจะช่วยบรรเทาให้เด็ก ๆ ไม่ต้องเป็นนานเกินไป หรือสามารถทำให้ไม่เกิดเลย หรือเกิดน้อยที่สุดได้ไหม?

              เมื่อ ทารกสะอึก จะไม่สบายตัว งอแง
              เมื่อ ทารกสะอึก จะไม่สบายตัว งอแง

              วิธีธรรมชาติ…ช่วยบรรเทาอาการทารกสะอึก

              แม้ว่าอาการสะอึกไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ก็สามารถขัดขวางการให้อาหาร การย่อยอาหาร และกิจวัตรประจำวันของทารกได้ หากคุณพ่อคุณแม่กำลังกังวล และมองหาวิธีธรรมชาติในการบรรเทาอาการสะอึกของลูกน้อยอยู่นั้น ทาง ทีมแม่ ABK จะขอหยิบยกวิธีการบรรเทาการสะอึกแบบธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งยาใด ๆ มาให้ลองทำกันดู ว่าจะได้ผลดีกว่าวิธีทางความเชื่อที่เราบอกต่อ ๆ กันมาหรือไม่

              ให้อาหารทารกในปริมาณที่น้อยลง

              เมื่อลูกวัยทารกกำลังหิวหากได้รับนมมากเกินไป และเร็วเกินไปจากการที่เด็กดูดอย่างรวดเร็วเพราะความหิว นั่นอาจทำให้เขาเกิดอาการท้องอืดซึ่งอาจทำให้เกิดอาการสะอึกได้ แทนที่จะให้อาหารมื้อใหญ่เพียงครั้งเดียว ลองให้นมลูกเพียงครึ่งเดียว แต่ให้บ่อย ๆ เป็นสองเท่า ด้วยวิธีนี้ลูกน้อยของคุณก็จะสามารถย่อยนมได้ หลีกเลี่ยงที่จะทำให้ท้องอิ่มเกินไป และบรรเทาการเกิดลมในท้องที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการสะอึก

              อย่าป้อนนมขณะลูกร้องไห้งอแง 

              หากลูกน้อยของคุณมีอาการงอแง ร้องไห้มากเกินไป การอ้าปากนาน ๆ ทำให้มีลมเข้าไปในท้องจำนวนมาก เมื่อลูกร้องไห้เป็นเวลานาน อาจทำให้ลมเข้าไปในช่องทางมาเกินจนท้องอืดได้ แทนที่จะปลอบลูกด้วยการให้นมเพื่อหยุดการร้องไห้ พ่อแม่ควรจะปลอบให้ลูกสงบลงเสียก่อน ไม่ควรยัดเยียดขวดนมเข้าปากลูกขณะร้องไห้ เนื่องจากจะทำให้เขาดูดเอานมเข้าไปในท้องพร้อมกับลม เมื่อท้องอืด อาการสะอึกก็จะตามมา

              จัดวางท่าของลูกขณะป้อนนมใหม่

              แม่บางท่านมักจะให้ลูกนอนราบลงบนแขน ข้อศอกขณะป้อนนม ซึ่งท่าทางดังกล่าวเป็นอุปสรรคขัดขวางการไหลผ่านของลมในท้อง หากลองเปลี่ยนวิธีอุ้มลูกขณะให้นม ให้ทารกนั่งกึ่งนอนทำมุม 30-45 องศา ให้ตัวตรงหัวชันขึ้นมาอีกนิด ตำแหน่งนี้จะช่วยให้ลมผ่านขึ้นไปมาได้ตามธรรมชาติ ช่วยลดอาการท้องอืดได้ ท่าดังกล่าวก็จะเหมือนกับทารกที่ได้รับการป้อนนมด้วยนมแม่จากเต้านั่นเอง

              ท่าอุ้มป้อนนม ให้เด็กตั้งตรงช่วยเรื่องท้องอืดได้ดี
              ท่าอุ้มป้อนนม ให้เด็กตั้งตรงช่วยเรื่องท้องอืดได้ดี

              เรอลูกระหว่างให้นม

              วิธีง่ายๆ ในการชะลอการกินนมของทารกที่มากเกินไป คือ การจับเรอระหว่างให้นม หากคุณกำลังให้นมลูกด้วยนมแม่ ให้จับลูกเรอเมื่อกำลังเปลี่ยนข้างหน้าอก หากป้อนนมลูกด้วยขวดนม ให้เรอเมื่อป้อนนมไปได้ครึ่งขวด โดยการจับเรอนั้นให้จับลูกน้อยนั่งตัวตรง และลูบหรือตบหลังเบา ๆ หรือจับลูกอุ้มพาดบ่าแล้วค่อย ๆ ลูบ ตบเบาๆ ที่หลังเพื่อไล่ลมให้ลูกเรอออกมาให้ได้ ยิ่งอากาศในช่องท้องน้อยเท่าไหร่โอกาสในการสะอึกก็น้อยลงไปด้วยเช่นกัน

              สังเกตวิธีการดูดนมของลูกว่าถูกต้องหรือไม่?

              หากคุณกำลังให้นมลูก ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเธอดูดนมด้วยวิธีที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าลูกกำลังดูดนมแม่ ให้สังเกตว่าเขางับนมแม่ได้อย่างถูกต้อง หากไม่เป็นเช่นนั้น ลูกมีโอกาสที่จะกลืนอากาศเข้าไปด้วย สังเกตดูว่าลูกอมฐานของหัวนมด้านล่างได้มากกว่าฐานนมด้านบน โดยจะเห็นฐานนมด้านบนอยู่เหนือริมฝีปากของลูก ส่วนฐานนมด้านล่างจะถูกอมจนเกือบมิด แต่หากให้ลูกกินนมด้วยขวดนม ต้องสังเกตว่าจุกนมนั้นมีความมาตรฐานเพียงพอไหม เช่น เลือกขวดนมที่เหมาะสมรูไม่ใหญ่เกินไปทำให้ลูกดูดนมเร็วและมากเกิน ไม่ปิดจุกขวดนมแน่นเกินไป เป็นต้น

              ถือขวดนมให้ถูกวิธี 

              หากคุณป้อนนมจากขวดนม ให้เอียงขวดนมเพื่อให้นมเต็มหัวนม ยิ่งมีอากาศสะสมที่ด้านล่างของขวดน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ตรวจสอบให้แน่ใจว่าศีรษะของทารกยกขึ้นเล็กน้อย และทำมุม 45 องศา ลูกจะมองเห็นใบหน้าของคุณได้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ใช้จุกนมที่ดีเหมาะสมกับขวด ไม่รูใหญ่เกิดนไปจนทำให้ลูกดูดนมเร็ว และมากเกินไป ไม่ปิดจุกขวดนมแน่นเกินไป ทำให้ลูกต้องออกแรงดูดมากจนทำให้อากาศเข้าไปในช่องท้องมากเกิน จนทำให้สะอึกได้

              นวดท้อง ด้วยการลูบลงเบา ๆ ช่วยอาการท้องอืด ลดอาการสะอึก
              นวดท้อง ด้วยการลูบลงเบา ๆ ช่วยอาการท้องอืด ลดอาการสะอึก

              นวดลูกน้อย ช่วยได้!!

              หากลูกน้อยของคุณมีอาการสะอึก และไม่บรรเทาลง คุณสามารถวางทารกลงบนพื้น และปล่อยให้ลูกเคลื่อนไหวไปมาบนท้อง บางครั้งการได้ขยับตัวบ้างจะช่วยบรรเทาอาการท้องอืด และอาจหยุดสะอึกได้ คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถใช้วิธีนวดแผ่นหลังของทารกเบา ๆ ระหว่างนั้นเพื่อช่วยกระตุ้นอีกแรง หรือการนวดท้องไล่ลม นวดกดบริเวณหน้าอกไล่ลงมาบริเวณใต้สะดือ จากนั้นใช้มือทั้งสองข้างช้อนบริเวณสันหลังของลูก แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือนวดวนเป็นวงกลมบริเวณท้องของลูก เพื่อช่วยไล่ลม ก็จะบรรเทาอาการได้

              Tips เพิ่มเติม  ทำท่าปั่นจักรยานไล่ลม จับลูกนอนหงาย ค่อย ๆ ยกขาทั้งสองข้างขึ้นแล้วค่อย ๆ กดขาแนบกับหน้าท้อง ยืดขึ้นลงเหมือนท่าปั่นจักรยาน จะช่วยไล่ลมให้ลูกได้

              ปล่อยให้หยุดเอง

              โดยปกติแล้ว อาการสะอึกในเด็กทารกมักจะหยุดได้เอง ถ้าอาการสะอึกไม่ได้รบกวนลูกน้อย ก็ปล่อยให้เขาสะอึกไปเรื่อยๆ แต่ถ้าอาการสะอึกของเขาไม่ยอมหยุดเอง ก็ควรปรึกษาคุณหมอ เพราะมีบางกรณีที่อาการสะอึกอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพที่มีอาการรุนแรงได้

              วิธีธรรมชาติ ช่วยป้องกัน ทารกสะอึก ให้น้อยลงได้
              วิธีธรรมชาติ ช่วยป้องกัน ทารกสะอึก ให้น้อยลงได้

              การที่เด็กทารกแรกเกิดมีอาการสะอึกหลังจากให้นมเสร็จนั้น ไม่ใช่เรื่องที่อันตรายร้ายแรง แต่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับเด็กทุกคน ซึ่งพอเด็กเริ่มโตได้ประมาณ 4-5 เดือน อาการสะอึกนี้ก็จะค่อยๆ ลดและหายไปเอง ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรกังวลจนเกินกว่าเหตุไปนัก หากสังเกตอาการสะอึกของลูกเป็นเพียงแค่ชั่วคราว สามารถหยุดเองได้ก็ควรปล่อยให้หยุดเอง ควรใช้วิธีตามธรรมชาติในการดูแลมิให้เกิดอาการสะอึกบ่อยมากเกินไปนักจะดีกว่า อย่าไปหยุดอาการสะอึกของลูกน้อยด้วยวิธีที่อาจเป็นอันตรายต่อตัวทารกได้ แต่หากอาการสะอึกไม่ยอมหยุดเอง ก็ควรพาไปพบแพทย์ เพื่อตรวจละเอียดต่อไป

              ข้อมูลอ้างอิงจาก  www.littleremedies.com/today.line.me/th/www.sanook.com/www.phyathai.com

              อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

              ลูกดิ้น ลูกสะอึก มีความต่างกันอย่างไร?

              อุทาหรณ์..แม่เตือน ล้างขวดนม ผิดวิธี เสี่ยงทำลูกติดเชื้อในกระเพราะอาหารได้

              ไขข้อสงสัย! ทารกแรกเกิดควรมีน้ำหนักเท่าไหร่?

              ทารกตดบ่อย ตดบ่อยเกินกี่ครั้งคือสัญญาณอันตราย?

              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                เกมส์ไม้เสริมพัฒนาการ

                รีวิว Quoridor และ Pylos เกมส์ไม้ เสริมพัฒนาการ โดยพ่อเอก

                ครั้งก่อน แนะนำ Katamino Family เป็นเกมต่อบล็อคไม้ ก็เลยมีควันหลงกลิ่นไม้ต่อเนื่องมาทีเดียว 2 เกม คือ Pylos กับ Quoridor เกมส์ไม้ แสนสนุกสำหรับเด็กที่อยากให้ชวนลูกมาเล่นด้วยกัน

                Pylos คิดขึ้นโดย David G. Royffe ส่วน Quoridor คิดขึ้นโดย Mirko Marchesi โดย Pylos เล่นได้ครั้งละ 2 คน แต่ Quoridor สามารถที่จะเลือกเล่น 2 หรือ 4 คนก็ได้

                ทั้ง 2 เกมเป็น เกมส์ไม้ ที่เล่นง่ายๆ กฎกติกาไม่มาก แต่ต้องใช้การคิดการวางแผนเยอะ และเป็นแผนที่จะต้องปรับเปลี่ยนไปตลอดการเล่น ตามแก้เกมฝ่ายตรงข้าม การเดินผิดหนเดียวอาจจะส่งผลให้แพ้ได้เลย

                เกมส์ไม้ Pylos
                บอร์ดเกม Pylos

                วิธีเล่น บอร์ดเกม Pylos

                Pylos เป็นเกมที่มีลูกบอลไม้ 2 สี สำหรับผู้เล่นแต่ละฝ่าย โดยมีสีละ 15 ลูก สำหรับผู้เล่นแต่ละฝ่าย ฝ่ายละ 15 ลูก กติกาในการเล่นเกม คือ ผลัดกันวางลูกบอลคนละครั้ง ไปเรื่อยๆ จนถึงยอดพีระมิด คนที่ได้วางลูกที่ยอดพีระมิดจะเป็นผู้ชนะ ฟังดูง่ายๆไม่มีอะไร ถ้ากติกามีเพียงผลัดกันวางทีละลูกไปเรื่อยๆ เท่านั้น แต่จริงๆแล้วกติกาไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

                เพราะทริคคือ ในการวางลูกบอลบางครั้งเราไม่ต้องเพิ่มลูกบอลใหม่เข้าไป แต่หากฝ่ายตรงข้ามวางตำแหน่งที่ทำให้เราได้เปรียบ ทำให้เรามีโอกาสปีนขึ้นไปซ้อนได้ โดยหากบนกระดานมีบอลอิสระที่เราวางไว้ในตาก่อนหน้านี้อยู่ เราสามารถเหยิบบอลลูกนั้นเปลี่ยนตำแหน่งไปวางซ้อนได้ การเปลี่ยนตำแหน่งทำให้เราเล่นตานั้นโดยไม่เสียบอล ผู้ชนะจะเกิดจากบอลที่เราเหลือเยอะกว่าทำให้มีโอกาสได้เป็นผู้วางบอลบนยอด

                อ่านดูอาจจะงงหน่อย แต่เกมเล่นจริงๆ มีกติกาง่ายมากๆ แต่ต้องคิดเยอะ

                บอร์ดเกม quoridor
                บอร์ดเกม quoridor

                วิธีเล่น เกมส์ไม้ Quoridor 

                สำหรับ Quoridor  เป็น เกมส์ไม้ ที่จะมีแผ่นไม้ ที่ทำหน้าที่เป็นกำแพงขวางเส้นทางเดิน กับตัวเบี้ยที่เป็นรูปคน หลักการเล่นมีง่ายๆ ในแต่ละตา เรามีสิทธิ์ที่จะเลือกเดินหรือจะเลือกสร้างกำแพง ผู้ชนะคือผู้ที่เดินจากฝั่งตัวเองไปฝั่งตรงข้ามได้ก่อน ขณะเดียวกัน การชนะอาจจะหมายถึงการทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงช้ากว่า โดยการสร้างกำแพงเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามต้องเดินอ้อม ดังนั้นในแต่ละตา เราสามารถเลือกได้อย่างเดียว คือ จะเลือกเดินคนเราให้คืบหน้า หรือ จะเลือกวางกำแพงให้ฝ่ายตรงข้ามเสียเวลา

                Quoridos กติกาง่ายมากกว่า Pylos เสียอีก แต่ต้องวางแผนที่แยบยลไม่แพ้กัน เพราะหากวางกำแพงไม่วางแผนให้ดีก่อน ก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์ เพราะหากกำแพงเราหมดหน้าตักก่อน ฝ่ายตรงข้ามก็สามารถเดินทะลวงถึงปลายทางได้โดยง่าย ดังนั้นการเลือกวางกำแพงแต่ละชิ้นต้องมั่นใจว่า เราสามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องเดินอ้อม ยิ่งอ้อมไกลยิ่งดี

                ทั้งบอร์ดเกม Pylos และ Quoridos ระบุบนกล่องว่าเหมาะกับ 8 ขวบขึ้นไป แต่จริงๆ เด็กกว่านั้นก็เล่นได้ และลูกผมทั้ง 2 คนก็เล่นตั้งแต่วัย 7 กับ 3 ขวบตามลำดับ แค่อาจจะต้องสอนกติกาช้าๆ และเล่นรอบแรกๆ อาจจะต้องประกบไปด้วย แต่เด็กเล่นได้ดี ฝึกการวางแผนและที่สำคัญสนุกด้วย

                เสน่ห์อีกอย่างของ เกมส์ไม้ นอกจากจะทำให้เด็กได้สัมผัสกับสิ่งของที่เป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติแล้ว ยังมีความสวยงามสามารถใช้เป็นอุปกรณ์แต่งบ้านได้ด้วยนะเออ


                >แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค

                หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<

                ติดตามเพจหมุนรอบลูก

                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                แนะนำ 4 “บอร์ดเกม” ฝึกลูกสมองไว ไหวพริบดี โดย พ่อเอก

                เทคนิคดี สอนให้ลูกคิดเอง หาวิธีแก้ปัญหาเองได้ โดยพ่อเอก

                 

                  ล้างขวดนม ดีนี่

                  เผย 5 เคล็ดลับ ล้างขวดนม อย่างไรให้สะอาดใสวิ๊ง ไม่ทิ้งกลิ่นและคราบ

                  ช่วงที่หลายบ้านต้อง WFH กันไปอีกยาวๆ ทำให้เหล่าคุณแม่รู้สึกอ่อนล้า “งานก็ต้องเสร็จ ลูกก็ต้องดูแล” จนแทบไม่มีเวลาแถมยังมีภารกิจประจำบ้านที่ต้องทำให้เสร็จ อย่างการ ล้างขวดนม ซึ่งต้องล้างบ่อย ล้างให้สะอาดจนกว่าจะแน่ใจว่าขวดนม จุกนมลูกสะอาดจริง ขวดใสวิ๊งแบบไม่ทิ้งกลิ่นและคราบนม

                  ล้างขวดนม WFH

                   

                  ทีมแม่ abk มีเทคนิคดีๆมาช่วยคุณแม่จัดการกับขวดนมกองโตได้แบบอยู่หมัดในไม่กี่ขั้นตอนโดยไม่ต้องเปลืองแรง รู้สึกแฮปปี้ มีเวลาได้พักผ่อน และเล่นกับลูกน้อยมากขึ้น ซึ่งช่วยส่งเสริมพัฒนาการรอบด้าน สร้างรากฐานชีวิตดีๆเมื่อโตขึ้น

                  5 เคล็ดลับ ล้างขวดนม ให้สะอาดใส ไม่ทิ้งกลิ่นและคราบกวนใจ

                  เตรียมของ ล้างขวดนม

                  1. เคลียร์ขวดนมให้พร้อมทำความสะอาด

                  ลูกน้อยจะใช้ขวดนมราว 4-5 ขวดตลอดทั้งวัน คุณแม่ส่วนใหญ่จะไม่ได้ล้างขวดทุกครั้งหลังกินเสร็จ แต่อาจแบ่งเป็นรอบๆ2 -3 ครั้งต่อวัน แต่พอขวดนมทิ้งไว้นานทำให้เกิดปัญหาคราบนมติดแน่น ล้างยาก ต้องออกแรงขัดจนเมื่อยมือ ลองปรับมาใช้วิธีง่ายๆแบบนี้ค่ะ ทุกครั้งให้เทนมที่เหลือติดขวดออกให้หมด เติมน้ำสะอาด หรือน้ำอุ่นไว้ในขวดเพื่อช่วยป้องกันคราบนมติดขวด

                  ก่อนจะ ล้างขวดนม ต้องแกะชิ้นส่วนแยกออกทั้งหมด โดยเฉพาะจุกนมกับฝาครอบจุกนมที่ใช้คู่กันตลอดและมักมีซอกเล็กๆ ทำให้น้ำนมตกค้างกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย การแยกอุปกรณ์ทุกชิ้นช่วยให้ทำความสะอาดได้ทั่วถึง

                  ล้างขวดนม ดีนี่

                  1. เลือกใช้น้ำยาล้างขวดนมโดยเฉพาะ

                  แม้ว่าขวดนมที่ลูกใช้จะไม่มีคราบสกปรกเหมือนจานชามใส่อาหารทั่วไป แต่คราบไขมันจากนม ล้างออกยาก โดยเฉพาะส่วนซอกเล็กๆของคอขวดนม หรือจุกนม คุณแม่ควรเลือกใช้น้ำยาล้างขวดนมโดยเฉพาะ ที่สามารถล้างคราบนมและกลิ่นนมได้อย่างหมดจด เพื่อสุขอนามัยและความปลอดภัยของลูกน้อย ไม่ควรใช้น้ำยาล้างจานทั่วไป

                  วิธี ล้างขวดนม

                  1. ขวดนม ไม่ได้ใช้แค่แปรงล้างขวด

                  คุณแม่มือใหม่อาจคิดว่าแค่แปรงล้างขวดนมน่าจะเอาอยู่ แต่การใช้แปรงถูไปมาอาจทำให้รอยขีดข่วนบนขวดนม และอายุการใช้งานจะสั้นลง จึงเตรียมฟองน้ำนุ่มๆเอาไว้ล้างภายนอกและปากขวดนม ส่วนแปรงให้เลือกแบบที่หมุนด้ามจับสะดวก จะเป็นแปรงขนพลาสติกนุ่ม หรือแบบซิลิโคนก็ใช้สะดวก ที่สำคัญควรมีแปรงจุกนมติดมาด้วยเอาไว้สำหรับล้างจุกนม และซอกเล็กๆได้ง่ายขึ้น

                  ล้างขวดนม ให้สะอาด

                  1. ล้างภายนอกให้สะอาดก่อน

                  แม้ว่าชิ้นส่วนเล็กๆจะดูล้างง่าย แต่ความจริงแล้วการล้างซอกซอนต่างๆต้องใช้เวลานาน ขอแนะนำให้คุณแม่ใช้ฟองน้ำล้างภายนอกก่อน เริ่มต้นใช้ฟองน้ำล้างรอบขวดนม ปากขวด และก้นขวด แล้วค่อยมาล้างส่วนฝาปิด ฝาครอบจุกนม และด้านนอกจุกนมให้สะอาด

                  จากนั้นใช้แปรงขวดนมล้างด้านในขวด หมุนให้รอบ ใช้แปรงขัดเล็กๆขัดตามซอกหลืบจนทั่ว หากคุณแม่ใช้เครื่องปั๊มนม สามารถนำอุปกรณ์มาล้างพร้อมกันได้เพื่อประหยัดเวลา

                  ล้างขวดนม สะอาด

                  1. ล้างน้ำจนแน่ใจว่าสะอาดจริง

                  ควรล้างขวดนมและอุปกรณ์ด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือจนกว่าไม่มีฟอง  และนำเข้าเครื่องนึ่งขวดนม หรือ ตู้อบUV เพื่อสุขอนามัยของลูกน้อย

                  น้ำยาล้างขวดนม ดีนี่

                  แต่ถ้าขั้นตอนเหล่านี้ยังยุ่งยากไปสำหรับคุณแม่ ทีมแม่abk ผู้รู้ใจแม่ เข้าใจลูก ขอแนะนำตัวช่วยดีๆมาทำให้งานล้างขวดนมง่ายในพริบตา นั่นคือ ผลิตภัณฑ์ล้างขวดนมเด็ก ดีนี่ นิวบอร์น ออร์แกนิค อโลเวร่า ซึ่งมีคุณสมบัติเข้าจัดการกับคราบนม คราบไขมัน และกลิ่นหืนได้อย่างหมดจด

                  น้ำยาล้างขวดนมอ่อนโยนด้วยส่วนผสมของสารทำความสะอาดที่อ่อนโยน ปราศจากสารพาราเบน ซึ่งเป็นตัวการของอาการแพ้ในลูกน้อย ที่สำคัญยังล้างออกง่าย ใช้เพียง 2 น้ำก็สะอาดใสวิ๊ง ไร้สารตกค้าง

                  ส่วนคุณแม่ที่เป็นกังวลว่า ล้างขวดนม สะอาดแค่ไหนแต่กลิ่นหืนยังไม่หายไป หมดห่วงได้เลยค่ะเพราะผลิตภัณฑ์ดีนี่ใช้กลิ่นส้ม แบบฟู้ดเกรด แทนน้ำหอมทั่วไป หอม สะอาด ปลอดภัยต่อลูกน้อยซึ่งนอกจากขวดนมแล้วคุณแม่ยังใช้ล้างผัก ผลไม้ หรือของใช้ที่ซื้อจากนอกบ้านเพื่อให้มั่นใจว่าสะอาด ปลอดเชื้อในช่วงโควิด-19 นี้ด้วย

                  แถมสูตรนี้พิเศษกว่าใครด้วยส่วนผสมของสารสกัดออร์แกนิค อโลเวร่า ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และปกป้องผิวมือของคุณแม่ ไม่กัดมือ หรือทำให้ผิวแห้งอีกด้วย ไม่ว่าภารกิจคุณแม่จะหนักแค่ไหน พลังรักจากลูกน้อยช่วยเติมแรงใจให้ผ่านไปได้แน่นอน

                  สำหรับแม่ที่สนใจอยากลองใช้สินค้า หรือกำลังหาโปรดีโดนใจ สามารถหาซื้อน้ำยาล้างขวดนม ดีนี่ นิวบอร์น ออร์แกนิค อโลเวร่า ได้ที่ Tops, Tesco Lotus, Big C, CJ Express, Gourmet market, Foodland, Central, Robinson, Homepro, Max Value หรือช้อปออนไลน์ได้ที่ Lazada, , Shopee, JD Central, All Online และ Konvy กันเลยค่ะ

                    ลูกชอบรถไฟ

                    ลูกชอบรถไฟ เด็กๆ ชอบเล่นรถไฟ เพราะอะไร วิทยาศาสตร์มีคำตอบ!

                    ลูกชอบรถไฟ –  เคยสงสัยกันมั้ยคะ ว่าทำไมเด็ก ๆ วัยเตาะแตะ หรือแม้แต่ลูกๆ ที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ ถึงชอบพูดชอบถามเกี่ยวกับรถไฟ ทั้งรถไฟจากในภาพถ่าย หรือ จากของจริงที่ได้เห็น แน่นอนว่าเด็กๆ มักชื่นชอบของเล่นที่เป็นรถไฟ ทั้งรถไฟไม้ หรือรถไฟพลาสติกมากถึงมากที่สุด พวกเขาสามารถนั่งเล่นอยู่คนเดียวได้นานสองนานโดยไม่มีทีท่าจะเบื่อง่าย ๆ เพราะอะไร? วันนี้เรามาหาคำตอบในเรื่องนี้กันค่ะ

                    ลูกชอบรถไฟ เด็กๆ ชอบเล่นรถไฟ เพราะอะไร วิทยาศาสตร์มีคำตอบ!

                    มีการวิจัยที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการเล่นของเด็กวัยหัดเดิน และการเรียนรู้ในวัยเด็ก มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งในสาขาจิตบำบัด ที่เสนอว่าการเคลื่อนที่และความเร็วของรถไฟเป็นสิ่งที่น่าทึ่งสำหรับเด็กวัยนี้ วิธีที่รถไฟเล่นเคลื่อนที่ไปบนรางทำให้เกิดความตื่นเต้นในสมองของเด็ก ลองคิดดู เมื่อรถไฟแล่นผ่านเด็กๆ ไป อารมณ์ที่เด็กรู้สึก จะคล้ายกับที่เวลาเรากำลังชมภาพยนตร์ที่ฉายบนโปรเจ็กเตอร์ในโรงภาพยนตร์ด้วย ระบบเสียงสามมิติ ซึ่งรายล้อมไปด้วยเสียงที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ

                    ลูกชอบรถไฟ
                    ลูกชอบรถไฟ

                    Judy DeLoache ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียกล่าวใน WordsSideKick.com ว่าความสนใจในลักษณะนี้  “เป็นเรื่องปกติ และไม่มีอะไรน่าแปลกใจ”

                    เธอยังกล่าวอีกว่า หากคุณเคยได้ยินว่าเด็กที่มักหมกมุ่นอยู่กับรถไฟมีแนวโน้มจะเป็นออทิสติก คุณไม่ควรด่วนสรุป เพราะการชอบรถไฟอาจเป็นเพียงแค่หนึ่งในหลายอาการอีกมากมาย ถ้าลูกของคุณไม่แสดงอาการน่าสงสัยอื่นๆ  เช่น ขาดการสบสบตา หรือ แสดงพฤติกรรมซ้ำๆ คุณก็ไม่ควรกังวล

                    เรียนรู้ผ่านการเล่น ดีกว่า อัดวิชาการเข้าหัวเด็ก โดยพ่อเอก

                    10 ประโยชน์จาก ของเล่นทำอาหาร และการเล่นบทบาทสมมุติ

                    8 ไอเดีย เล่นบทบาทสมมุติ ผุดจินตนาการ สานฝันอนาคต

                    สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือ ยอมรับในความหลงใหลในรถไฟของเด็กวัยเตาะแตะ เพราะการเล่นลักษณะนี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ของพวกเขา การสังเกตสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะบนรางรถไฟ หรือบนท้องถนนในกรณีของรถยนต์ มีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาการรับรู้เชิงพื้นที่ของเด็ก และในที่สุดก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในการเรียนรู้ด้าน STEM  หรือ แนวทางการเรียนรู้ที่บูรณาการความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตร์ ไปใช้ในการเชื่อมโยงและแก้ปัญหาในชีวิตจริง

                    ประโยชน์ของการเล่นรถไฟของเล่น

                    เด็ก ๆ ชอบเล่นรถไฟ มาหลายชั่วอายุคน แน่นอนว่าการเล่นกับของเล่นเป็นวิธีที่ดีสำหรับเด็ก ๆ ในการผ่อนคลาย ใช้จินตนาการ  แต่การเล่นเป็นมากกว่าแค่ความสนุก เพราะการเล่นเป็นวิธีที่เด็กใช้เรียนรู้

                    เช่นการประกอบรางรถไฟไม้ ที่ต้องใช้การประสานกันระหว่าง มือ และ ตา และใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กในการหยิบจับ ยิ่งไปกว่านั้น ลูกของคุณต้องวางแผนว่าชิ้นส่วนแต่ละชิ้น ควรอยู่ตำแหน่งไหน พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางต่างๆ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรมากีดขวางเส้นทาง ต้องเลือกรางที่ถูกต้อง เพื่อสามารถสร้างสะพาน อุโมงค์ และทางข้ามระดับได้ ด้วยวิธีนี้ เด็กๆ ไม่เพียงแต่จะสนุกสนานเท่านั้น แต่ยังได้ฝึกทักษะที่จำเป็นในชีวิตต่อไปอีกด้วย พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหา พวกเขาได้ฝึกการมองการณ์ไกล ความอดทน และการลองผิดลองถูกเพื่อสร้างแนวทางที่สมบูรณ์แบบ และพวกเขากำลังเรียนรู้ว่ามีวิธีแก้ไขปัญหาหลายอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้

                    ลูกชอบรถไฟ

                    ต่อไปนี้เหตุผลบางประการที่คุณอาจต้องการลงทุนในชุดรถไฟสำหรับบุตรหลานของคุณ

                    • ได้ฝึกทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก การพัฒนาทักษะการเคลื่อนไหวที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อยเป็นประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากทักษะเหล่านี้เป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการเขียน การวาด การผูกเชือกรองเท้า และใช้มีดและส้อม การประกอบราง การจับรถไฟวิ่งไปรอบ ๆ ดีต่อการฝึกทักษะการใช้งานกล้ามเนื้อมัดเล็ก คุณสามารถเพิ่มองค์ประกอบพิเศษ เช่น คน อาคาร และสัตว์เพื่อเพิ่มการใช้ทักษะได้ นอกจากนี้ขณะรถไฟวิ่ง พวกเขาก็จะเคลื่อนไหวไปรอบๆ ห้องเพื่อออกกำลังกายไปในตัวด้วย
                    • ฝึกการแก้ปัญหา เด็กๆ เรียนรู้ที่จะสร้างรางผ่านการลองผิดลองถูก หาวิธีสร้างรางวงกลมที่รถไฟสามารถวิ่งได้อย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการมองเห็น A และเชื่อมโยงกับ B เป็นทักษะตลอดชีวิต แต่ต้องเรียนรู้และฝึกฝน  การประกอบรางและการร้อยเข้าด้วยกันของรถไฟ จำเป็นต้องมีการวางแผนและการคิดอย่างมีตรรกะ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ฝึกฝนเรื่องสีและตัวเลข
                    • ทักษะด้านคำศัพท์และการสื่อสาร การเล่นรถไฟมีประโยชน์อย่างมากต่อทักษะด้านคำศัพท์และการสื่อสารของลูกคุณ การเล่นเสแสร้งไม่เพียงแต่เพิ่มพูนคำศัพท์ผ่านคำอธิบายและการเล่าเรื่องเท่านั้น แต่เด็กๆ ยังได้เรียนรู้ทักษะการจัดลำดับที่มีคุณค่าขณะเล่น
                    • เรียนรู้เกี่ยวกับแนวคิด มีแนวคิดมากมายที่บุตรหลานของคุณสามารถเรียนรู้ได้ในขณะที่กำลังเล่นกับรถไฟ คุณสามารถพูดคุยเกี่ยวกับอดีตอนาคตและปัจจุบัน เรียนรู้เกี่ยวกับบนและล่าง ผ่าน หรือรอบๆ ซ้ายและขวาและการนับ
                    • ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ   เด็กๆ สามารถต่อรางรถไฟในรูปแบบที่หลากหลายได้ในทุกครั้งที่เล่น และยังใช้เล่นร่วมกับกับของเล่นอื่นๆ ได้อีกมากมาย ไม่มีอะไรทรงพลังไปกว่าจินตนาการของเด็ก การสร้างจินตนาการด้วยการเปิดโอกาสให้พวกเขาได้สร้าง ได้ฝัน ช่วยให้พวกเขาได้ฝึกคิดนอกเหนือจากชีวิตประจำวัน
                    • ได้ฝึกทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เด็ก ๆ ต้องได้รับการรับรู้เชิงพื้นที่และเรียนรู้เกี่ยวกับพื้นที่ที่พวกเขาใช้ในการสร้างรางรถไฟเพื่อให้เล่นได้อย่างราบรื่น นอกจากนี้ระหว่างการเล่น อาจต้องมีการหมอบ คลาน นอนราบกับพื้น วิ่งไปรอบๆ ราง ซึ่งทำให้พวกเขาได้ฝึกใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ไปในตัว

                    การที่เด็กๆ ได้ใช้ทักษะต่างๆ ระหว่างการเล่นรถไฟของเล่น อาทิ ได้ใช้ความคิด จินตนาการ ในการสร้างทางรถไฟ และการแก้ปัญหา ในการต่อรางรถไฟให้ตัวรถวิ่งไปได้อย่างราบรื่น ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการเรียนรู้ของเด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่หลายบ้านที่ลูกๆ กำลังเข้าสู่วัยเตาะแตะ อาจต้องเตรียมหาชุดของเล่นเกี่ยวกับรถไฟมาให้ลูกๆ ได้เล่นกันบ้างแล้วล่ะค่ะ เพราะนอกจากเด็กๆ จะได้สนุกแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้พวกเขาเกิดทักษะความฉลาดที่รอบด้านด้วย Power BQ ในด้าน ความฉลาดในการเล่น (PQ) ได้อีกด้วยค่ะ

                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : romper.com , babame.com

                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                    ชวนลูกเล่น เกมต่อบล็อคไม้ Katamino Family โดย พ่อเอก

                    ให้ ลูกเล่นเลอะเทอะ บ้างสิดี! เลอะแบบนี้ ดีต่อพัฒนาการ!

                    จั๊กจี้ลูก ควรเล่นแต่พอดี เล่นแรงเกินไป อาจไม่ใช่เรื่องดีต่อลูก

                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                     

                      คอกกั้น bebeplay

                      คอกกั้น bebeplay มีบริการสุดเจ๋ง!! ประกันสินค้า “bebecare” เคลมง่าย ๆ ได้ที่บ้าน

                      ถูกใจแม่มากพูดเลย กับบริการ bebecare ของ คอกกั้น bebeplay คือถ้าคอกกั้นเด็กที่ซื้อมามีปัญหาระหว่างการใช้งาน แม่ลูกเล็กอย่างเราก็ไม่ต้องวุ่นวายเอาสินค้าไปซ่อมที่ศูนย์บริการ รอนานให้เสียเวลา แค่แจ้งปัญหาแล้วนั่งรอสวย ๆ ที่บ้าน เจ้าหน้าที่จะส่งสินค้า หรืออุปกรณ์มาเปลี่ยนให้ถึงบ้านเลยจ้ะ 

                      ทีมแม่ABK เคยเขียนรีวิวถึง คอกกั้น bebeplay กันไปครั้งก่อน ด้วยคุณสมบัติของคอกกั้นเด็ก bebeplay ที่นอกจากจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับลูกน้อยแล้ว ก็ยังจะเป็นตัวช่วยเสริมให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้นด้วย

                      • คอกกั้น bebeplay เขาออกแบบให้มีซี่จับ ลูกสามารถใช้เป็นตัวยึดยืนได้ง่าย
                      • ช่วยให้ลูกสามารถพยุงตัวได้ด้วยตัวเอง และสร้างความมั่นใจในก้าวแรกอย่างมั่นคง
                      • มีแผงของเล่นเสริมพัฒนาการให้ลูกเพลิดเพลินไปกับการได้จับ ได้หมุน ได้หยิบ เป็นการช่วยส่งเสริมพัฒนาของกล้ามเนื้อมัดเล็ก (มือน้อย ๆ สองทั้งสองข้าง)

                      ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงอวยยศให้เป็นคอกกั้นเด็กเสริมพัฒนาการลูก ก็การใช้งานพร้อมลูกเล่นดีงามซะขนาดนี้ ปรบมือซิคะรออะไร   

                      คอกกั้น bebeplay

                      ทีนี้มาพูดถึงบริการประกันสินค้า bebecare กันต่อ ถือว่าเป็นหนึ่งบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ จากแบรนด์ชั้นนำผู้จำหน่ายคอกกั้นเด็กเสริมพัฒนาการ bebeplay มาดูกันก่อนว่าเพราอะไรถึงมีบริการหลังการขาย เคลมได้ที่บ้าน

                      1. เพื่อลดปัญหาของการเคลมสินค้าที่ยุ่งยาก
                      2. กว่าจะได้รับบริการหลังการขาย ต้องเจอกับข้อกำหนดมากมาย หรือต้องเอาสินค้าไปเปลี่ยนเองที่ร้าน สุดท้ายเปลี่ยนไม่ได้ ทำให้เสียเวลา
                      3. ผลิตภัณฑ์แม่และเด็กที่ซื้อไว้เพื่อใช้สำหรับหลังคลอด พอถึงเวลาใช้งานจริงเกิดมีปัญหา พอเอาไปเคลมประกันสินค้าก็เลยระยะเวลาที่เคลม

                      จะบอกว่าทาง bebeplay เขาทำการบ้านมาตอบโจทย์ชีวิตแม่จริง ๆ นะ ถ้าคนที่มีลูกจะเข้าใจเห็นภาพชัดเลย สิ่งที่แม่ต้องการคือความสะดวก ประหยัดเวลา ของที่ซื้อมาถ้าชำรุด เสียหาย ก็อยากได้บริการหลังการขายที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องทำเรื่องอะไรให้ยุ่งวุ่นวาย

                      บริการประกันสินค้า bebecare เคลมง่าย ๆ ได้ที่บ้าน ของคอกกั้น bebepaly ก็เพื่อลดขั้นตอนที่ยุ่งยากต่าง ๆ ลง ให้คนเป็นแม่ หรือผู้ใช้สินค้าของ bebeplay สามารถเคลมสินค้าได้สะดวกยิ่งขึ้น คือถ้าสินค้าที่ซื้อไปแล้วมีปัญหาเขาก็จะเปลี่ยนให้ทันทีถึงบ้าน!!  แม่ไม่ต้องเสียเวลายกสินค้าที่ซื้อไปมาที่หน้าร้านเลยนะจ๊ะ ทีนี้มาดูขั้นตอนว่าถ้าเราจะใช้บริการ bebecare ต้องทำไงบ้าง

                      บริการประกันสินค้า bebecare

                      วิธีการใช้งานบริการประกันสินค้า bebecare ของคอกกั้น bebeplay

                      1. หลังจากซื้อสินค้าจากทาง bebeplay ให้ลงทะเบียน bebecare ทาง LINE : @bebeplayofficial
                      2. หากสินค้ามีปัญหาระหว่างใช้งาน สามารถแจ้งเบอร์โทรศัพท์ที่ลงทะเบียนไว้ พร้อมแจ้งปัญหาที่ต้องการเคลมผ่าน LINE @bebeplayofficial
                      3. ทาง bebecare จะทำการเช็กสินค้า และนำมาเปลี่ยนให้ที่บ้านทันที ไม่มีซ่อม
                      4. ทาง bebecare จะประกันสินค้านับตั้งแต่วันที่ลูกค้าเริ่มใช้งาน คือสินค้าไปแล้ว จะใช้เมื่อไหร่ก็ค่อยลงทะเบียน การบริการหลังการขายสามารถใช้งานยาวนานถึง 18 เดือน แม่ไม่ต้องกังวลปัญหาประกันหมดก่อนเริ่มใช้
                      5. บริการ bebecare เคลมสินค้าง่าย เปลี่ยนสินค้าให้ลูกค้าถึงบ้าน ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มใด ๆ ทั้งค่าจัดส่ง ค่าอะไหล่ ค่าแรงช่าง ก็ไม่ต้องเสียเงิน ฟรี!!!

                      คอนเฟิร์ม!! ว่าบริการประกันสินค้า “bebecare” จากแบรนด์คอกกั้นเด็ก bebeplay ดีจริงไม่จกตา เพราะแม่ใช้บริการมาแล้ว ให้คะแนนเต็ม 10 เลยจ๊ะ นี่ถ้าสนใจคอกกั้นเสริมพัฒนาการ bebeplay รวมถึงบริการต่าง ๆ ก็สามารถเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

                      Website :  https://bit.ly/2SfXwmr

                      Facebook : https://www.facebook.com/bebeplayofficial

                      Tell : 0632169224

                      นอกจากนี้ bebecare ประกันสินค้านับตั้งแต่วันที่ลูกค้าเริ่มใช้งาน ใช้เมื่อไหร่ค่อยลงทะเบียน แถมยังดูแลการใช้งานยาวนานถึง 18 เดือน ไม่ต้องกังวลปัญหาประกันหมดก่อนเริ่มใช้  ซื้อของเตรียมไว้ต้อนรับลูกน้อยได้เลย ไปแล้ว แม่จะไปกล่อมลูกนอนกลางวันในคอกกั้น bebeplay

                       

                        chulacov19

                        ฉีดในคนแล้ว! ChulaCov19 วัคซีนโควิด ชนิด mRNA ฝีมือคนไทย!

                        ChulaCov19 –  เป็นข่าวที่น่ายินดีอย่างมาก เมื่อวัคซีนป้องกันโควิดโดยคนไทยรุ่นแรก ที่ผลิตโดยคณะแพทย์ศาสตร์จุฬาฯ ได้มีการทดลองฉีดในคนแล้ว หลังจากมีข่าวความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขั้นของการทดลองล่าสุด ปรากฏว่า สามารถป้องกันโรค โควิด-19 และลดจำนวนเชื้อได้อย่างมากมายในหนูทดลอง  ภายหลังจากหนูทดลองชนิดพิเศษที่ ออกแบบให้สามารถเกิดโรค โควิด-19 ได้

                        หลังจากได้รับการฉีดวัคซีนครบสองเข็ม ห่างกันสามสัปดาห์ เมื่อหนูทดลองได้รับเชื้อโคโรนาไวรัสทางจมูก วัคซีนสามารถป้องกันหนูทดลองไม่ให้ป่วยเป็นโรค และยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด รวมทั้งสามารถลดจำนวนเชื้อในจมูกและในปอดลงไปอย่างน้อย 10,000,000 เท่า ส่วนหนูที่ไม่ได้รับวัคซีน จะเกิดอาการต่างๆ ของโรค โควิด-19 ภายใน 3-5 วัน และทุกตัวมีเชื้อสูงในกระแสเลือดทั้งในจมูกและปอด

                        เริ่มฉีดในคนแล้ว! ChulaCov19 วัคซีนโควิด ชนิด mRNA รุ่นแรกโดยคนไทย!

                        เมื่อ วันที่ 14 มิถุนายน 2564 ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการทดสอบการฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัครผู้ผ่านการคัดกรอง ที่มีสุขภาพดีระยะที่ 1 และต่อเนื่องในระยะที่ 2  เพื่อดูการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัคซีน ChulaCov19 (จุ-ฬา-คอฟ-ไนน์-ทีน) ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล ทีมนักวิจัย

                        ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ แพทย์ พยาบาล บุคลากร เทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัย มีมาตรฐาน นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองและรักษาประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                        นอกจากนี้มีศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการวิจัยทางการแพทย์ที่ได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยทางการแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกมาร่วมกันพัฒนา วิจัย ต่อยอด คิดค้น ผลิตวัคซีน เพื่อใช้ในการป้องกันโรคต่างๆ ให้กับประชาชน

                        โดยล่าสุด การพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ในวันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นวันแรกที่ทดสอบในอาสาสมัครในระยะที่ 1 และต่อเนื่องไปในระยะที่ 2 ภายใต้การควบคุมดูแลจากหลายภาคส่วนรวมถึงมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น และมั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดของการทดสอบฉีดวัคซีน

                        ChulaCov19
                        ChulaCov19

                        อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอีกหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน รวมถึงนักวิจัยทางการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกที่ร่วมกันพัฒนาวิจัย ต่อยอดคิดค้นผลิตวัคซีน รวมถึงการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนประสบความสำเร็จสามารถผลิตและพร้อมฉีดให้กับอาสาสมัคร นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่จะนำมาใช้และสร้างคุณประโยชน์และชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในระดับสากลอย่างแน่นอน

                        ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า

                        “การพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน อาทิ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ, สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), ทุนศตวรรษที่สอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเงินบริจาคจากสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯ กองทุนบริจาควิจัยวัคซีน สภากาชาดไทย

                        วัคซีน ChulaCov19 ถูกคิดค้นออกแบบและพัฒนาโดยคนไทย จากความร่วมมือสนับสนุนโดยแพทย์นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นเทคโนโลยีนี้ของโลกคือ Prof. Drew Weissman  จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา ในขั้นตอนการผลิต มีการสร้างชิ้นส่วนขนาดจิ๋วจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา (โดยไม่มีการใช้ตัวเชื้อ) ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมขนาดจิ๋วนี้เข้าไป จะทำการสร้างเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (spike protein) และกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันไว้เตรียมรับมือต่อสู้กับไวรัสในกรณีสัมผัสกับเชื้อ เมื่อวัคซีนชนิด mRNA ที่ฉีดเข้าไปสร้างโปรตีนภายในร่างกายของผู้ได้รับวัคซีนเรียบร้อยแล้ว ภายในไม่กี่วัน mRNA นี้จะถูกสลายไปโดยไม่มีการสะสมในร่างกายแต่อย่างใด ”

                        ​ที่ผ่านมาทางศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการทดลองในลิง และหนู ได้ประสบผลสำเร็จ พบว่า สามารถช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดและสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง จึงนำมาสู่การผลิต และทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1ให้กับอาสาสมัครในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นวันแรก โดยแบ่งการทดสอบได้ดังนี้

                        • ​การทดสอบในระยะที่ 1 แบ่งออกเป็นสองกลุ่มอายุ จำนวน 72 คน
                        • กลุ่มแรก เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 18-55 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน
                        • กลุ่มที่สอง เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 65-75 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน

                        ในจำนวนสองกลุ่มข้างต้นจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่ฉีดวัคซีน 10 ไมโครกรัม, 25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม เพื่อดูว่า วัคซีน ChulaCov19 มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ปริมาณเท่าไร เพราะปัจจุบันโมเดอร์นาใช้วัคซีนปริมาณ 100 ไมโครกรัม ส่วนไฟเซอร์ใช้ 30 ไมโครกรัม ทางศูนย์ฯ ต้องศึกษาว่าคนไทยหรือเอเชียเหมาะกับการฉีด 10 หรือ 25 หรือ 50 ไมโครกรัม จะได้รู้ขนาดที่ปลอดภัยและกระตุ้นภูมิได้สูง หลังจากนั้นจึงเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2

                        การทดสอบในระยะที่ 2 จำนวน 150-300 คน คาดว่าเริ่มต้นฉีดได้ประมาณเดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

                        ” การทดสอบวัคซีนนั้นเราคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของอาสาสมัคร ต้องใช้ระยะเวลาและทยอยฉีดตามลำดับ โดยใช้หลักการเหมือนกันทั่วประเทศ ถึงจะทราบข้อมูลจากผลการศึกษาว่าสามารถป้องกันการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตได้จริงหรือไม่ หากองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) สามารถกำหนดหลักเกณฑ์ได้ว่า “วัคซีนที่มีประสิทธิภาพต้องกระตุ้นภูมิเท่าไร” ก็จะช่วยลดขั้นตอนได้ สมมุติว่า เกณฑ์วัคซีนโควิด-19 ที่ดีต้องสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่า 80 IU (International Unit) ถ้าหาก วัคซีน ChulaCov19 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าค่านี้ แสดงว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ก็สามารถยกเว้นการทำทดสอบทางคลินิกระยะที่สามได้ วัคซีนนี้อาจได้รับอนุมัติให้ผลิตเพื่อใช้ในคนจำนวนมากได้ภายในก่อนกลางปีหน้า ” ศ.นพ.เกียรติ กล่าวเพิ่มเติม

                        chulacov19

                        จุดเด่นของ วัคซีน ChulaCov19 ในการป้องกันเชื้อโควิด -19 

                        1. มีความทนทานต่ออุณหภูมิ จากการทดสอบความทนต่ออุณหภูมิ พบว่า วัคซีนสามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นานถึง 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ ซึ่งทำให้จัดเก็บรักษาง่ายกว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ยี่ห้ออื่นเป็นอย่างมาก
                        2. ผลการทดสอบในสัตว์ผ่านเกณฑ์ระดับดีมาก จากการทดลองในหนูทดลองชนิดพิเศษที่ออกแบบให้สามารถเกิดโรคโควิด-19 ได้ พบว่า เมื่อหนูได้รับการฉีดวัคซีน ChulaCov19 ครบ 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ แล้วให้หนูทดลองได้รับเชื้อโควิด-19 เข้าทางจมูก สามารถป้องกันหนูทดลองไม่ให้ป่วยเป็นโรคและยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด รวมทั้งสามารถลดจำนวนเชื้อในจมูกและในปอดลงไปอย่างน้อย 10,000,000 เท่า และเมื่อทดสอบความเป็นพิษก็พบว่าปลอดภัยดี ส่วนหนูที่ไม่ได้รับวัคซีนจะเกิดอาการป่วยโควิด-19 ภายใน 3-5 วัน และทุกตัวมีเชื้อสูงในกระแสเลือด ในจมูก และปอด เป็นจำนวนมาก
                        3. เป็นวัคซีนชนิด mRNA สามารถผลิตได้เร็ว ไม่ต้องรอเพาะเลี้ยงเชื้ออย่างวัคซีนบางชนิด แต่วัคซีนชนิด mRNA เพียงรู้สายพันธุ์ของเชื้อก็ไปออกแบบวัคซีนได้ สังเคราะห์ในหลอดทดลอง ไม่เกิน 4 สัปดาห์มีวัคซีนมาทดสอบในหนูได้ การที่ผลิตได้รวดเร็วนี้ ทำให้ไม่ต้องใช้โรงงานขนาดใหญ่ นอกจากนี้ เมื่อเกิดเชื้อกลายพันธุ์ก็สามารถสังเคราะห์วัคซีนได้เร็วเช่นกัน

                        ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการเตรียมความพร้อมสำหรับการพัฒนาทดลองวัคซีนรุ่นที่สองกับสัตว์ทดลองควบคู่กันไป ทั้งนี้เพื่อรองรับเชื้อดื้อยา หรือเชื้อกลายพันธุ์ที่ทั่วโลกกำลังหวั่นวิตกกังวล อาทิ  สายพันธุ์อินเดีย สายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์แอฟริกาใต้ และ สายพันธุ์บราซิล ฯลฯ  ซึ่งทั้งหมดนี้นับเป็นวัคซีนที่คิดค้น ผลิตและพัฒนาโดยคนไทย จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี ถ้าทุกอย่างเป็นตามแผนคาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนที่ใช้ป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ที่ดื้อวัคซีนได้เพื่อทดสอบในอาสาสมัครภายในไตรมาสสี่ของปีนี้

                        ​ทางด้านอาสาสมัครของโครงการฯ กล่าวแสดงความรู้สึกว่า ได้รับทราบข่าวการรับสมัครอาสาฉีดวัคซีนผ่านช่องทางสื่อโซเชี่ยล เลยตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่เข้ารับการทดสอบ ไม่รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด เพราะเนื่องจากได้รับคำแนะนำ และการต้อนรับจากทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่อีกหลายท่าน เป็นอย่างดี เลยรู้สึกมีความมั่นใจ  เพราะอยากให้ประเทศไทยมีวัคซีนเป็นของตนเอง เชื่อมั่นในศักยภาพของแพทย์จุฬาฯ ที่สามารถคิดค้น และพัฒนาวัคซีน ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสำหรับคนไทยต่อไป ทั้งนี้ขอให้ประชาชนคนไทยเชื่อมั่นในศักยภาพของทีมแพทย์ไทย นับว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เรามีวัคซีน ที่คิดค้นและพัฒนาโดยคนไทย

                        อนึ่ง ยังมีวัคซีนอีกหนึ่งตัวของคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยบริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนปรับปรุงโรงงานผลิตวัคซีนต้นแบบ ที่จะใช้ในการทดลอง คาดการณ์ว่าโรงงานจะแล้วเสร็จภายในเดือน มิถุนายน 2564 หลังจากปรับปรุงโรงงานผลิตวัคซีนต้นแบบเรียบร้อย จะมีการผลิตวัคซีนต้นแบบนำเข้าสู่การรับรองมาตรฐานวัคซีนต้นแบบเพื่อการทดลองจากอย. คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จ ภายในเดือน กรกฎาคม 2564 หลังจากนั้น จะเริ่ม ทำการทดลองในระยะ ที่ 1,2 และ 3 หรือ 2B ต่อไปตามลำดับ โดยระยะที่ 1 คาดการณ์ว่าจะแล้วเสร็จ ภายในเดือน สิงหาคม 2564 และจะเริ่มการทดลองระยะที่ 2 ในช่วงปลายปี 2564 หรือต้นปี 2565 กำลังการผลิต 1-5 ล้านโดส ต่อเดือน”

                        ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : md.chula.ac.th , thaipost.net

                        บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                        รู้ก่อนฉีด! ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด -19 เช็คเลย!

                        ไขข้อข้องใจ ใช้ ยาคุมชนิดฮอร์โมนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่?

                        โควิดอาการ หลังหายแล้วยังน่าห่วงทั้งระบบหายใจ-ผมร่วง!

                        เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                         

                          ลูกกลัวทราย

                          พาลูกไปทะเลแต่ ลูกกลัวทราย ไม่กล้าเดินเหยียบพื้นทราย เป็นเพราะอะไร?

                          ลูกกลัวทราย – สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่ชอบพาลูกไปเที่ยว เปิดหูเปิดตา ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ แน่นอนว่า ทะเล คืออีกหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจ ที่พ่อแม่นิยมพาลูกเล็กเด็กแดง ไปสัมผัสกับลมทะเลและสัมผัสผืนทรายที่ฝ่าเท้าครั้งแรกในชีวิต แต่บางครั้งภาพที่พ่อแม่อยากเห็น อย่างภาพที่ เด็กๆ เดินเล่นสำรวจบนพื้นทรายอย่างมีความสุขอาจไม่เกิดขึ้น หากเจ้าตัวน้อยกลัวทราย หรือไม่ชอบการเดินเหยียบและไปสัมผัสกับพื้นทรายขึ้นมา ว่าแต่ทำไมเด็กเล็กๆ บางคนถึงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อต้องเดินสัมผัสกับผืนทราย วันนี้เรามาไขข้อข้องใจกันค่ะ

                          พาลูกไปทะเลแต่ ลูกกลัวทราย ไม่กล้าเดินเหยียบพื้นทราย เป็นเพราะอะไร?

                          สาเหตุของความกลัวทรายในเด็ก

                          หากพูดถึงระดับของความกลัวทรายในเด็กแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป บางคนสามารถเดินบนทรายได้ แต่อาจรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ บางรายมีอาการกลัวมาถึงขั้นให้พ่อแม่อุ้มเอาไว้ เกาะพ่อแม่แน่นไม่ยอมให้ปล่อยเดินลงไปเหยียบพื้นทรายหรือบางรายอาจร้องไห้ด้วยความอึดอัดใจ

                          เพราะเด็กเล็กๆ ยังมีการประมวลผลทางประสาทสัมผัสที่ไม่ดีนัก ซึ่งอาจทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจและตกใจกับเนื้อสัมผัสใหม่ๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินเหยียบบนผืนทราย  จัสมิน ซาปาตา กุมารแพทย์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ระบุว่า เด็กส่วนใหญ่ล้วนเติบโตจากความกลัวนี้  “ปรากฏการณ์ที่เกิดกับทารกและทรายนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพวกเขาได้สัมผัสกับพื้นผิวใหม่ที่พวกเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ”  “ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ในเด็กเล็ก ปรากฏการณ์ที่คล้ายกัน คือ วิธีที่เด็กตอบสนองต่อพื้นผิวใหม่ของอาหารใหม่ ที่ผู้ปกครองแนะนำในขวบปีแรกของชีวิต พวกเขามักจะถ่มน้ำลายหรือไม่ชอบเพราะเป็นเนื้อสัมผัสที่พวกเขาไม่เคยลิ้มรสมาก่อน ซึ่งปฏิกิริยานี้คล้ายคลึงกันกับการสัมผัสได้ถึงทรายที่เท้าของพวกเขา” นอกจากนี้ ซาปาตา ยังตั้งข้อสังเกตว่าความกลัวทรายนี้ก็คล้ายกับปฏิกิริยาของเด็ก เมื่อต้องสัมผัสหญ้าเป็นครั้งแรกด้วยเท้าเปล่า

                          ลูกกลัวทราย
                          ลูกกลัวทราย

                          เท้าของเด็กมีความอ่อนไหวมาก เด็กๆ จะรู้สึกไม่สบายใจได้ง่ายเมื่อร่างกายต้องสัมผัสกับพื้นผิวใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน สัมผัสของเท้าบนพื้นทรายหรือพื้นหญ้าสามารถทำให้เด็กตีความว่าเป็นความเจ็บปวดได้ แม้ว่าผู้ใหญ่อย่างเราจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็ตาม นอกจากนี้ เมื่อพื้นผิวที่สัมผัสเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เช่น เหยียบบนหิน หรือเปลือกหอย อาจทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายใจ และจะกลายประสบการณ์ที่น่ากลัวสำหรับพวกเขาได้มากกว่าที่เราคิด

                          ยกตัวอย่าง หากคุณนั่งบนพื้นผิวที่คุณรู้และจำผิวสัมผัสได้ว่าเป็นแบบไหน เช่น กระเบื้อง หรือ พื้นไม้ เป็นต้น แต่อยู่ๆ มีคนมีคนบังคับให้คุณนั่งลงบนพื้นผิวเช่น น้ำตาล เป็นธรรมดาที่ประสาทสัมผัสของคุณจะประมวลผลแตกต่างออกไป  และสำหรับทารกอาจสร้างความสับสนให้พวกเขาได้มาก และเด็กๆ รู้วิธีเดียวที่จะสื่อสารอารมณ์ได้ นั่นคือ การร้องไห้ และแสดงความกลัวออกมา ทั้งนี้หากความกลัวทรายไม่หายไป หรือมาพร้อมกับความกลัวต่อพื้นผิวอื่นๆ พ่อแม่อาจต้องใส่ใจเป็นพิเศษ  “แม้เด็กส่วนใหญ่เติบโตขึ้นจากสิ่งนี้ แต่ก็มีเด็กบางคนที่มีปัญหาได้ในระยะยาว ”

                          พ่อแม่จะช่วยลูกได้อย่างไร?

                          สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือรักษาความสงบและให้ความสะดวกสบายทั้งกายและใจให้ลูก  ในฐานะพ่อแม่ หน้าที่ของเราคือการช่วยให้ลูกน้อยรู้สึกปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความสามารถในการจัดการอารมณ์ของตนในทางที่ดี แทนที่จะละเลยหรือเพียงแค่บอกพวกเขาว่าพวกเขาไม่เป็นไร การช่วยให้เด็กประมวลผลอารมณ์ สามารถนำไปสู่ระดับความฉลาดทางอารมณ์ที่สูงขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลดีในปัจจุบัน แต่ยังส่งผลต่อการเลือกของพวกเขาเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตอีกด้วย

                          4 ข้อควรคำนึง เล่นกับลูก ให้สนุก-ปลอดภัย ช่วยลูกมีพัฒนาการที่ดีได้

                          ลูกเล่นเท้าเปล่า ลูกไม่ยอมใส่รองเท้า พ่อแม่ควรห้ามหรือควรปล่อย?

                          เปิดเทคนิค สอนลูกให้ใจแกร่ง ฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตได้ราบรื่น

                          เพื่อช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัย พ่อแม่ต้องสนับสนุนลูกทั้งทางร่างกายและทางอารมณ์ เช่น พากลูกเดินออกจากสิ่งที่ทำให้ลูกกลัว และบอกลูกว่ามันปลอดภัยแล้ว เราจะไม่ต้องเหยียบทรายอีกนะ เว้นแต่ลูกจะต้องการ คุณอาจหาเสื่อ หรือเบาะสำหรับนั่งบนทราย หรือรองเท้าลุยน้ำเพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ต้องรู้สึกถึงทรายที่เท้า เป็นต้น

                          กอดลูกให้แน่นและปลอบลูกต่อไปจนกระทั่งพวกเขาเริ่มผ่อนคลาย จำไว้ว่าการให้เกียรติและใส่ใจในความรู้สึกของบุตรหลานเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่บางสิ่งบางอย่างทำให้พวกเขากลัวแทนที่จะผลักดันพวกเขาให้กลับเข้าสู่ความรู้สึกไม่สบายโดยไม่ให้เวลาพวกเขาประมวลผลประสบการณ์ของพวกเขาก่อน

                          หากลูกของคุณไม่เต็มใจที่จะกลับไปทะเล ให้ลองหานิทาน หรือสมุดภาพที่เกี่ยวข้องกับทรายและทะเลให้ลูกดู ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับใช้วิจารณญาณของพ่อแม่ว่าลูกจะเปิดรับหรือไม่ เพราะฉะนั้นอ่านสัญญาณของพวกเขา และถามพวกเขาเสมอว่ารู้สึกอย่างไร แม้ว่าพวกเขาจะมองแค่ภาพก็ตาม บอกลูกว่าพร้อมเมื่อไหร่เราจะลองไปทะเลกันอีกครั้ง  สิ่งนี้อาจทำให้ลูกรู้สึกสบายใจที่จะไปชายหาดอีกครั้ง

                           

                          ลูกกลัวทราย

                          ชื่นชมลูกเมื่อลูกก้าวข้ามความกลัวได้

                          การยกย่องชมเชยจากผู้ปกครอง เป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นพ่อแม่ ที่ส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อย ยิ่งไปกว่านั้น มันเปลี่ยนโครงสร้างของสมอง เด็กที่ได้รับคำชมจากผู้ปกครองมักจะมีปริมาณเนื้อสมองสีเทา (Grey Matter) ในเยื่อหุ้มสมองส่วนหลังด้านซ้ายมากขึ้น ซึ่งเป็นเนื้อสมองหรือเนื้อเยื่อเซลล์ประสาทที่ใช้ในการรับสัมผัสต่างๆ เช่น การรับรู้อารมณ์ การควบคุมตนเอง การมองเห็น การได้ยิน รวมทั้งการเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆ มากขึ้น

                          ซึ่งสัมพันธ์กับการเอาใจใส่และการเปิดกว้างต่อประสบการณ์ใหม่ของเด็กๆ  ทำตามขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ กับลูกน้อยของคุณ เพื่อให้พวกเขารู้สึกสบายใจกับชายหาดและผืนทรายมากขึ้น กล่าวชมเชยเมื่อพวกเขาสามารถดูสิ่งของ หรือนิทาน ที่เกี่ยวข้องกับทะเลและชายหาด หรือชื่นชมเมื่อลูก เลือกที่จะลองไปเดินบนชายหาดอีกครั้ง

                          จำไว้เสมอว่าการการทำให้เด็กวัยเตาะแตะของคุณรู้สึกกลัวมากเกินไป อาจทำให้พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย ความช่วยเหลือจากพ่อแม่ในการช่วยให้เด็กๆ ได้ประมวลผลสถานการณ์ที่กระตุ้นต่อความรู้สึกกลัว ไม่ยัดเยียดพวกเขามากเกินไป จะช่วยให้ลูกน้อยของคุณจะรู้สึกอุ่นใจและมีโอกาสจะเอาชนะความกลัวได้ในอนาคต แต่หากคุณสังเกตเห็นว่าลูกของคุณกลัวบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชายหาดหรือทรายมากจนผิดสังเกต คุณสามารถปรึกษานักจิตวิทยาเด็กเพื่อขอความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้ และหากปัญหายังคง แม้เด็กๆ เริ่มโตขึ้น ผู้ปกครองควรพูดคุยกับกุมารแพทย์ หรือนักบำบัดที่สามารถช่วยแก้ปัญหานี้

                          การให้ความช่วยเหลือลูกให้ก้าวผ่านพ้นความกลัวต่างๆ ในวัยเด็กไปได้ด้วยความสนันบสนุนที่เหมาะสมของคุณพ่อคุณแม่ จะทำให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป จะส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการจัดการกับอารมณ์ต่างๆ ของตัวเอง สิ่งที่ยากสำหรับลูกในครั้งแรกของชีวิต จะค่อยๆ ง่ายขึ้น และพวกเขาจะปรับตัวได้หากได้รับการสนับสนุนที่ดี ไม่ยัดเยียดจนเกินไป ทั้งนี้หากคุณพ่อคุณแม่เข้าใจ และส่งเสริมลูกอย่างเหมาะสมในการก้าวผ่านอุปสรรคปัญหาต่างๆ จะช่วยให้เด็กๆ เกิดทักษะด้าน ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา (AQ)  ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่ง ต่อการใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข และประสบความสำเร็จ เมื่อพวกเขาต้องเติบโตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ต่อไปในอนาคตค่ะ

                          ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : romper.com , popsugar.com , cloudsurfingkids.com

                          บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                          ให้ ลูกเล่นเลอะเทอะ บ้างสิดี! เลอะแบบนี้ ดีต่อพัฒนาการ!

                          บุ้งทะเล! สัตว์มีพิษที่ต้องระวัง เมื่อพาลูกเที่ยวทะเล (มีคลิป)

                          เทคนิค คลายปัญหา ลูกขี้กลัว ช่วยลูกปรับตัว ในทุกเหตุการณ์

                          เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                           

                            ปวดหลังหลังคลอด

                            ปวดหลังหลังคลอด สัญญาณร้าย “โรคโครงสร้างผิดปกติ”

                            อาการ ปวดหลังหลังคลอด เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้บ่อยกับแม่หลังคลอด ซึ่งอาการนี้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ แต่หากปล่อยไว้ไม่รักษา อาจทำให้เสี่ยงต่อภาวะโครงสร้างกระดูกผิดปกติได้

                            ปวดหลังหลังคลอด สัญญาณร้าย “โรคโครงสร้างผิดปกติ”

                            หลังคลอดแล้ว แม่ ๆ ไม่ต้องแบกน้ำหนักของเจ้าตัวน้อยในครรภ์อีกแล้ว แต่ทำไมถึงยังปวดหลังอยู่นะ?  อาการแบบนี้คือเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า? ปล่อยไว้จะหายได้เองหรือไม่? ทีมแม่ ABK มีคำตอบค่ะ

                            ปวดหลังหลังคลอด เพราะอะไร?

                            เมื่อแม่ท้องเริ่มตั้งครรภ์ ร่างกายคุณแม่ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ เพื่อแบกรับน้ำหนักของทารกในครรภ์ รวมถึงเพื่อรองรับการคลอดบุตร ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้แม่ท้องปวดหลัง และจะยิ่งปวดมากขึ้นเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น แต่เมื่อคลอดแล้ว ร่างกายคุณแม่ไม่ต้องแบกรับน้ำหนักของทารกในครรภ์อีกแล้ว แต่ร่างกายจะยังไม่ฟื้นตัวจากการตั้งครรภ์ในทันที ดังนั้น หากหลังคลอด ไม่มีการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ก็จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ปวดหลังหลังคลอด ได้ และหากยังปล่อยให้อาการปวดหลังเรื้อรัง ก็อาจทำให้โครงสร้างกระดูกผิดปกติ ข้อกระดูกเสื่อม หมอนรองกระดูกมีปัญหา กล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออาจถึงขั้นเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้

                            โดยปกติแล้วในช่วงหลังคลอดร่างกายจะปรับสู่สภาพปกติได้ใน 1-2 เดือน แต่หากไม่ระวังอิริยาบถ คือมีลักษณะท่าทางการอุ้มลูกที่ผิด หรือท่าทางในการให้นมที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจส่งผลให้คุณแม่ปวดคอ และปวดกล้ามเนื้อหลัง รวมถึงความเหนื่อยล้าและความเครียดจากการดูแลลูกน้อยตลอด 24 ชั่วโมง ก็ยิ่งทำให้การฟื้นตัวหลังคลอดนั้นยากยิ่งขึ้น ดังนั้นนอกจากจะใส่ใจดูแลลูกน้อยแล้ว คุณแม่ก็ควรให้เวลากับการใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองด้วยเช่นกัน

                            โรคโครงสร้างกระดูกผิดปกติคืออะไร?

                            ระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก (Musculoskeletal system) หมายถึง ระบบอวัยวะที่รวมเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นยึดข้อ เส้นประสาท และหลอดเลือดเลี้ยงเนื้อเยื่อกระดูก เยื่อหุ้มข้อกระดูกและข้อกระดูก หมอนกระดูกสันหลังและกระดูกโครงสร้างร่างกาย

                            ภาวะผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นกลุ่มโรคที่มีสาเหตุมาหลายปัจจัย จากท่าทางซ้้า ๆ หรือ การออกแรงเกินกำลัง รวมทั้งท่าทางที่ฝืนธรรมชาติ ปัจจัยจากการทำงานเป็นสาเหตุหนึ่งที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น การทำกิจกรรมที่บ้าน ความผิดปกติของโครงสร้างร่างกายที่มีอยู่เดิม ความเสื่อมตามอายุ หรือสภาวะทางจิตใจ เป็นต้น ซึ่งจะมีผลต่อความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกและกล้ามเนื้อได้เช่นกัน โดยอาการและสาเหตุที่เชื่อว่าเป็นสภาวะที่ก่อให้เกิดโรค ดังตัวอย่างต่อไปนี้

                            1. อาการปวดหลัง ปวดหลังส่วนล่าง เกิดจากการยกของหนักหรือผิดวิธี งานที่ต้องก้มหรือเอี้ยวตัวมาก ๆ
                            2. เยื่อหุ้มข้อและปลอกเอ็นอักเสบ นิ้วล็อค นิ้วไกปืน นิ้วลั่น เชื่อว่าเกิดจากการทำท่าซ้ำ ๆ จนเกิดการเสียดสีซ้้าของเอ็นกับปลอกเอ็นโคนนิ้ว
                            3. ปลอกเอ็นกล้ามเนื้ออักเสบบริเวณปลายยื่นกระดูกเรเดียส ความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนเนื่องจากการใช้งานมากเกินและแรงกดทับ ปลอกเอ็นกล้ามเนื้อที่มือและข้อมืออักเสบเรื้อรัง เกิดจากงานที่ต้องใช้แรง ท้าท่าเดิมซ้ำ ๆ และต้องบิดข้อมือผิดไปจากธรรมชาติ เมื่อต้องทำปัจจัยเหล่านี้ร่วมกัน ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น หลากหลายท่าทางที่เสี่ยง เช่น ใช้กรรไกรตัดวัสดุแข็ง ๆ ซ้ำ ๆ ใช้เมาส์คอมพิวเตอร์ซ้ำ ๆ นวดแป้งขนมปัง ใช้แรงบีบซ้ำ ๆ เจียระไนเพชรพลอยบิดข้อมือซ้ำ ๆ งานขัดวัสดุ บิดข้อมือซ้ำ ๆ
                            ปวดหลัง หลังคลอด
                            ปวดหลัง หลังคลอด

                            โรคโครงสร้างกระดูกผิดปกติสำหรับแม่หลังคลอด ควรรักษาอย่างไร?

                            เพราะโรคโครงสร้างกระดูกผิดปกตินี้ เกิดจากการทำท่าทางที่ฝืนธรรมชาติ หรือการออกแรงเกินไป สำหรับแม่หลังคลอด สาเหตุหลักที่ ปวดหลังหลังคลอด ก็คือการอุ้มลูกผิดท่า การให้นมผิดท่า การยกของหนัก และการทำนั่งทำอะไรนาน ๆ ดังนั้น การรักษาโรคนี้ จึงควรรักษาที่ต้นเหตุ คือ ป้องกันไม่ให้ปวดหลังนั่นเอง โดยมีวิธีป้องการอาการ ปวดหลังหลังคลอด ดังนี้

                            1. จัดท่าทางการอุ้มลูกน้อยให้ถูกต้องและให้นมอย่างถูกวิธี โดยอุ้มลูกน้อยให้ใกล้ตัวมากที่สุดและอย่านั่งหลังงอ หากเมื่อยหรือเกิดอาการล้า ให้สลับแขนในการอุ้มเพื่อลดอาการปวด รวมถึงการเลือกใช้โต๊ะหรือเตียงที่มีความสูงในระดับที่พอเหมาะ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องก้มหรือโน้มตัวลงไปหาลูกมากจนเกินไป
                            2. ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเส้นเอ็น ซึ่งจะช่วยยืดกล้ามเนื้อหลังที่หดเกร็งให้คลายตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การเล่นโยคะ ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยจัดท่วงท่าและปรับสมดุลของร่างกายได้เป็นอย่างดี เข้าใจดีว่าแม่หลังคลอด มักจะวุ่นกับการเลี้ยงลูก อาจหาเวลามาออกกำลังกายได้ยาก แต่คุณแม่ก็ควรแบ่งเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงมาออกกำลังกายบ้างนะคะ (อ่านต่อ รวม 10 ท่า ออกกำลังกายลดพุง สำหรับคุณแม่หลังคลอด)
                            3. นวดบำบัด นวดประคบร้อน ร่วมกับการนวดด้วยน้ำมันสมุนไพร หรือน้ำมันที่มีกลิ่นหอมช่วยผ่อนคลาย ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดให้เบาลงได้
                            4. กินแคลเซียมเสริม หรือดื่มนมเป็นประจำ รวมถึงเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ควบคู่กันไปด้วย เพื่อช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้แข็งแรง (อ่านต่อ 4 สูตร “อาหารหลังคลอด” คัดเฉพาะเมนูที่ปรุงง่าย ไม่ยุ่งยาก)
                            5. นอนตะแคง เวลานอน แนะนำให้นอนตะแคง และเอาหมอนมารองสอดไว้ระหว่างขา
                            6. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ไม่เอี้ยวตัว หรือก้มยกของหนัก เพราะอาจเป็นอันตรายต่อกระดูกสันหลัง และอาจทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทได้

                            หากทำตาม 6 ข้อข้างต้นแล้ว อาการ ปวดหลังหลังคลอด ยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ไปพบแพทย์ เพื่อการรักษาที่ถูกวิธีต่อไปนะคะ

                            ท่าอุ้มลูก
                            ท่าอุ้มลูก

                            อุ้มลูกอย่างไรไม่ให้ปวดหลัง?

                            แม่หลังคลอดอย่างเรา ๆ อย่างไรก็หลีกเลี่ยงการอุ้มลูกไม่ได้ แม้จะปวดหลังแค่ไหนก็ยังต้องอุ้ม ดังนั้น เราควรอุ้มลูกให้ถูกท่า เพื่อหลีกเลี่ยงอาการปวดหลัง ดังนี้

                            1. เมื่อต้องยกลูกขึ้นจากเตียง ควรย่อเข่าลงแล้วยก ไม่ควรก้มตัวโน้มลงมายก เพราะการโน้มตัวลงมายก จะทำให้หลังใช้งานหนัก
                            2. ใช้กำลังจากกล้ามเนื้อต้นขาตอนลุก แทนการใช้ส่วนหลัง
                            3. เมื่ออุ้มลูก ควรยืนหลังตรง เข่าตรง ไม่เอนไปด้านหน้าหรือด้านหลังมากจนเกินไป
                            4. ปรับเตียงเด็กที่ปลอดภัยและตรงกับอายุของลูก เมื่อลูกยังเล็ก ควรใช้เตียงเด็กที่ไม่เตี้ยจนเกินไป เพื่อที่คุณแม่จะไม่ต้องโน้มตัวลงไปอุ้มมากจนเกินไป
                            5. เมื่อต้องอุ้มนาน ๆ การใช้เป้อุ้มเด็กที่ได้มาตรฐาน จะช่วยกระจายน้ำหนักของลูกไปที่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายคุณแม่ได้ดีกว่าการอุ้มด้วยมือเอง

                            ทั้งนี้คุณแม่ควรดูแลโครงสร้างร่างกายให้ดีตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการแบกรับน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้นตลอดระยะเวลา 9 เดือน และควรให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูโครงสร้างร่างกายตั้งแต่ระยะ 1-2 เดือนหลังคลอด และไม่ควรทิ้งช่วงนานเกิน 3 เดือน เพราะอาการอาจสะสมจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ค่ะ

                            อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                            ดูแลทารกแรกเกิด ตัดเล็บ อาบน้ำ ฯลฯ ครบจบในที่เดียว!!

                            อาการหนาวสั่นหลังคลอดลูก เกิดจากอะไร?

                            เจ็บนี้อีกนานมั้ย! แม่ ปวดฝีเย็บหลังคลอด จะบรรเทาอาการอย่างไร

                            กินไข่แล้ว แผลผ่าตัดคลอด หายช้า-เป็นรอยนูน..จริงหรือ?

                             

                             

                            ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค, โรงพยาบาลเปาโล, โรงพยาบาลสมิติเวช

                             

                            เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                              มะเร็งไต

                              ลูกฉี่น้อย เป็นๆ หายๆ เสี่ยง มะเร็งไตในเด็ก โรคที่เกิดได้จากพันธุกรรม

                              มะเร็งไตในเด็ก – สืบเนื่องจากเรื่องราวของคุณแม่ท่านหนึ่ง ได้โพสต์เรื่องของลูกสาวที่น่ารัก ลงในกลุ่มเฟซบุ๊ค HerKid รวมพลคนเห่อลูก ว่าลูกสาวเริ่มมีอาการป่วย และต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่ออายุ 1 ขวบ 10 เดือน จึงเป็นที่มาของเรื่องราวเพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นได้ติดตามค่ะ

                              ลูกฉี่น้อย เป็นๆ หายๆ เสี่ยง มะเร็งไตในเด็ก โรคที่เกิดได้จากพันธุกรรม

                              บันทึกจากคุณแม่

                              น้องเอิร์นเป็นเด็ก ร่าเริงแจ่มใส แข็งแรง ขี้แย เราคลอดเอิร์นมาปกติทุกอย่าง แต่..พอเอิร์นอายุได้ 1 ขวบ 10 เดือน กว่าๆ เริ่มมีไข้สูง ปัสสาวะน้อย เป็นๆหายๆ เวลามีไข้ มือเท้าจะเย็น เลยพาไป รพ.เอกชน หมอบอกว่า ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ให้ยาฆ่าเชื้อ และทำการเช็ดตัว ป้อนยา จนอาการดีขึ้นได้ 2-3 วัน มีไข้อีก คราวนี้ดู ซึม ข้าวกินน้อย ไม่ค่อยร่าเริง งอแงหนัก แม่เช็ดตัวให้ลูก ท้องลูกดูเหมือน ท้องอืด จึงได้พาไป รพ.รัฐ ได้แอดมิท และเอาปัสสาวะ เจาะเลือด ไปตรวจ
                              มะเร็งไตในเด็ก
                              มะเร็งไตในเด็ก (ภาพจาก Facebook Laddawan Phonmula)

                              เมื่อรู้ว่าลูกเป็นโรคร้าย 

                              มกราคม 2564

                              หมอบอก น้องเอิร์น ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ มีเม็ดเลือดขาวปนออกมากับปัสสาวะด้วย คืนวันที่ 4/1/64 เอิร์นไม่ฉี่เลย ท้องเริ่มโต ดูหายใจเหนื่อย เอิร์นได้ถูกส่งไป ห้อง icu ใส่สายปัสสาวะ ให้ออกซิเจน ได้ทำการซีทีสแกน หมอบอกว่าท้องน้องดูโต น้องมีก้อนเนื้อร้ายอยู่ไตข้างขวา ขนาดค่อนข้างใหญ่ อยู่ในระยะลุกลามไปเส้นเลือดดำหัวใจ  และมีน้ำในท้องค่อนข้างเยอะ คือได้ฟังผล ตอนนั้น คือจุกอก พูดไรไม่ออก
                              พอออกจากห้อง คือร้องไห้ เสียใจ สงสารลูก และคิดว่าโชคไม่เข้าข้าง หรือเราเลี้ยงลูกไม่ดี ทำไมลูกต้องมาเป็น คิดซ้ำไปซ้ำมา เราร้องไห้เสียใจทุกวัน และเราอยู่คนเดียวไม่ได้(เป็นโรคซึมเศร้า)ลูกอยู่ห้อง icu และเป็นช่วงโควิดระบาดรอบที่สอง ไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ นั่งเฝ้าลูกอยู่หน้าห้อง icu จนดึกดื่น ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรเลย หมอบอกคุณพ่อคุณแม่กลับบ้านไปพักผ่อนนะคะ ถ้ามีอะไร โทรสอบถามอาการน้องได้ค่ะวันที่ 7/1/64 ให้คีโมครั้งแรกของลูก หลังจากให้ยา อาการของเอิร์นก็ดีขึ้น

                              มะเร็งไต

                              อาการดีขึ้นหลังให้เคมีบำบัด

                              วันที่ 15/1/64  น้องเอิร์นย้ายมาอยู่ห้องรวม เราก็ต้องมาดูแลลูก อยู่รพ.กับลูก ผมลูกเริ่มร่วงเยอะ  แม่เลยตัดสินใจตัด และโกนหัวให้ลูกเลย จนให้ยาคีโมครบ และได้ทำซีทีสแกนดู ก้อนเนื้อยุบลงนิดเดียวเอง หมอเลยจะทำการเจาะเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ และจะให้ยาคีโมตัวใหม่
                              เอิร์นอยู่ รพ.ได้เดือนกว่าแล้ว อยากให้ลูกหายไวไว แข็งแรง แล้วกลับบ้านเรานะ ลูกแม่เก่ง สู้ๆมาก แม่เองก็พยายามเข้มแข็งทุกๆวัน ถึงจะเหนื่อย แม่ก็ไหว

                              เมษายน 2564

                              หลังจากให้คีโมไปแล้ว 9 ครั้ง มีไข้สูงทุกวัน น้องเอิร์นฉี่เป็นเลือด และหายใจดูเหนื่อย ถูกย้ายไป icu อีกครั้ง ยาคีโมที่ให้ไปไม่สามารถยับยั้งก้อนมะเร็งได้ ก้อนใหญ่ขึ้นดันกระบังลมทำให้หายใจเหนื่อย น้องเอิร์นมีเชื้อดื้อยา ปอดมีเชื้อรา เปลี่ยนยาฆ่าเชื้อใหม่ ใส่ท่อหายใจ หมอบอกว่าการรักษาตอนนี้ทำได้แค่ให้ยา ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด แม่เห็นลูกมีสายเยอะแยะไปหมด สงสารลูก  เราจับมือลูก ลูกลืมตาสะลึมสะลือ มองเรา ถามลูก โอเคมั้ยคะ ไหวมั้ยคะ สู้มั้ยลูก ลูกก็พยักหน้าตอบ ไฮไฟว์มั้ย ลูกก็แบมือค่อยๆยกมือมาไฮไฟว์  และเปลี่ยนยาคีโมใหม่เป็นยาสูตรสุดท้าย หวังว่าจะตอบสนองกับยาตัวใหม่ หวังว่ามันจะยุบและสามารถผ่าตัดได้  เรามาเฝ้าดูแลลูก นอนหลับไม่เคยสนิท ห่วงลูก สวดมนต์ภาวนาทุกคืนให้ลูกหาย ให้ลูกอาการดีขึ้น น้องเอิร์นไข้เริ่มลดลง ฉี่เริ่มดี ไม่มีเลือดปน
                              1/4/64 อาการน้องเอิร์นเริ่มดีขึ้น นั่งได้ ดูสดใจขึ้น ไม่มีไข้ ยังใส่สายออกซิเจนอยู่แต่ลดระดับลง
                              11/4/64 ถอดสายออกซิเจนออกแล้ว กินนม ข้าว ได้เยอะขึ้น และคนอื่นงดเยี่ยม(โควิดรอบ3)
                              น้องเอิร์นอยู่ รพ.3 เดือน 12 วัน หมออนุญาตให้กลับบ้านแล้ว มียากลับมาทานที่บ้าน ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวที่ต้องให้ คลินิก อนามัย ฉีดยาให้ มีใบนัดให้ยาคีโมครั้งสุดท้ายและทำซีที น้องเอิร์นขาอ่อนแรง ยังเดินไม่ค่อยได้เลย ต้องคอยจับ ประคอง ฝึกเดินใหม่
                              ผลซีที ก้อนยุบลง และส่งตัวมาผ่าตัดที่ ศิริราช
                              มานอนรอผ่าตัด 5 วัน ได้ทำการอัลตร้าซาวด์หัวใจ เจาะเลือดตรวจ น้องเอิร์นจะต้องผ่าตัดสองครั้ง
                              มะเร็งไต

                              พฤษภาคม 2564

                              วันที่ 18/5/64 ผ่าตัดทรวงอก เอาก้อนลิ่มในหลอดเลือดปอดและหลอดเลือดดำใหญ่ออก จะใช้เครื่องปอด-หัวใจเทียม และ วันที่ 20/5/64 ผ่าตัดใหญ่เปิดหน้าท้อง เอาก้อนมะเร็งไตขวาออก ซึ่งการผ่าตัดเป็นอะไรที่เสี่ยงมาก เสียเลือด และเสียชีวิตได้ เรากลัว ห่วงลูกมาก นอนไม่หลับเลย สวดมนต์ภาวนาทุกคืน
                              พอถึงวันผ่าตัด การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี เราไม่ได้เจอหน้าลูก 11 วันแล้ว ทำได้แค่โทรสอบถามอาการ ล่าสุดน้องเอิร์นได้ส่งตัวกลับ รพ.เดิม ทำการฉายรังสี 11 ครั้ง หลังฉายแสงครบจะให้คีโม ต่อ.. อยู่ รพ. ยาวๆเลยจ้า
                              รักษาจนกว่าจะหาย สู้กันต่อ
                              มะเร็งไต

                              โรคมะเร็งไตในเด็ก

                              ผศ.นพ.บุญชู พงศ์ธนากุล สาขาวิชาโลหิตวิทยาและอองโคโลยี  ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงโรค มะเร็งไตในเด็ก หรือ Wilms’ tumor  ว่าเป็นมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อย  โดยมากพบในเด็ก อายุ 1-4 ปี เป็นมะเร็งในเด็กที่มีโอกาสรักษาหายขาดสูงมาก ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมตามลักษณะพยาธิวิทยาของเซลล์มะเร็ง และการแบ่งระยะการดำเนินโรคที่เหมาะสม และตรวจพบโรคในระยะต้น ๆ ยังไม่มีการแพร่การะจายไปยังอวัยะวะอื่น

                              ทางทีมงาน ABK ขอชื่นชมในความเข้มแข็งของคุณแม่และน้องเอิร์น พวกเราขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้คุณแม่กับน้องเอิร์นในการต่อสู้ครั้งนี้ ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดี น้องเอิร์นกลับมาแข็งแรง สดใสน่ารัก เล่นสนุกได้อีกครั้งในเร็ววันค่ะ
                              ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : Facebook Laddawan Phonmula , tsh.or.th
                              บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                              เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                               

                                มาจัด ของเตรียมคลอด กันเถอะ

                                แม่จ๋า..ตั้งงบประมาณกับ ของเตรียมคลอด เท่าไหร่กันดี?

                                ของเตรียมคลอด มีอะไรบ้าง ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่กันดี ขาดเหลืออะไรไหม และอีกนานาคำถามสำหรับพ่อแม่มือใหม่ แต่ไม่ต้องกังวลเราจัดสำรับของตามงบมาให้เลือกกันแล้ว

                                แม่จ๋า..ตั้งงบประมาณกับ ของเตรียมคลอด เท่าไหร่กันดี??

                                คุณแม่ที่ใกล้คลอด นอกจากจะกังวลในเรื่องขั้นตอนการคลอด สุขภาพของทั้งตัวแม่เอง และลูกน้อยแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่มือใหม่มักจะกังวลกัน นั่นคือ การเตรียมของคลอด ข้าวของเครื่องใช้ที่ต้องใช้เมื่อลูกน้อยคลอดออกมาแล้ว ต้องเตรียมอะไรกันบ้าง ปริมาณแค่ไหนถึงจะพอดี แล้วต้องเตรียมล่วงหน้านานแค่ไหนกัน และที่สำคัญต้องเตรียมงบประมาณสำรองเงินไว้เท่าไหร่ถึงจะพอ การเตรียมรอรับเจ้าตัวน้อย ดูจะวุ่นวายอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ปฎิเสธไม่ได้เลย นั่นคือ ความรู้สึกที่ว่า “ช่างมีความสุขชะมัด” ใช่ไหมล่ะ

                                ใกล้ได้เห็นหน้าลูก ของเตรียมคลอด ต้องมาแล้วล่ะ
                                ใกล้ได้เห็นหน้าลูก ของเตรียมคลอด ต้องมาแล้วล่ะ

                                ทีมแม่ ABK เข้าใจในทุกความรู้สึกของพ่อแม่มือใหม่ทุกท่าน วันนี้เราขอจัดสำรับของเตรียมคลอด มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้ใช้เป็นตัวช่วยในการเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ให้กับลูกน้อยกัน บ้านไหนมีงบประมาณกันแค่ไหน จะจัดเต็ม หรือเป็นบ้านสายประหยัด ก็สามารถเลือกกันได้ตามใจชอบกันไปเลย

                                จัดของเตรียมคลอดแบบประหยัด

                                เลือกซื้อของใช้จำเป็นเป็นหลัก แต่แม้ว่าจะเป็นสายเน้นประหยัด ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องของลูกแล้วละก็ เราเชื่อว่าคงเป็นการประหยัดบนพื้นฐานของสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าตัวน้อยแน่นอน ซึ่งก็มีหลักในการเลือกซื้อของ ดังนี้

                                1.ของใช้ตามความจำเป็น ของใช้จำเป็นเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องเตรียมไว้ได้เลย เพราะอย่างไรก็ต้องได้ใช้สำหรับเจ้าตัวน้อยแน่นอน แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงหากเน้นเรื่องความประหยัด คือ ปริมาณของแต่ละชนิด ไม่ควรซื้อเผื่อไว้มาก เพราะของบางอย่างอาจใช้ได้ไม่นาน เช่น ขนาดของผ้าอ้อมสำเร็จรูป หากเตรียมไว้สำหรับไซส์เด็กแรกเกิดมากไป ลูกโตไปก็ไม่สามารถใส่ได้แล้ว เป็นต้น

                                • อุปกรณ์ให้นม อันนี้ถือว่าสำคัญที่สุด ทั้ง ขวดนม เครื่องนึ่งขวดนม อุปกรณ์ล้างขวดนม รวมถึงผลิตภัณฑ์ล้างขวดนม คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจในการเลือกเป็นอันดับแรก เนื่องจากเด็กแรกเกิดจะดื่มนมเป็นอาหารหลัก ถ้าเลือกไม่ดี สุขภาพเด็กก็จะไม่ดีตามไปด้วย

                                TIPSเพิ่มความประหยัด หากมีความตั้งใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แนะนำให้ซื้ออุปกรณ์ให้นม จำนวนไม่มากก่อน เพราะขวดนมคงไม่ต้องสำรองหลายขวด เน้นให้ลูกเข้าเต้าจะดีกว่า หากขาดเหลือก็สามารถซื้อเพิ่มได้คราวหลัง

                                ของเตรียมคลอด เสื้อผ้าเจ้าตัวน้อย
                                ของเตรียมคลอด เสื้อผ้าเจ้าตัวน้อย
                                • เครื่องนอน เช่น เบาะที่นอน หมอน ผ้าปูรองนอน ผ้าห่ม มุ้งกันยุง หมอนข้าง หรือแม้แต่เตียงนอนถ้าคุณแม่คิดว่าจะให้ลูกนอนเตียงเด็กตั้งแต่แรกเกิด
                                • อุปกรณ์อาบน้ำ เช่น อ่างอาบน้ำเด็ก ฟองน้ำ ผลิตภัณฑ์อาบน้ำเด็ก ผ้าเช็ดตัว ของเหล่านี้ถือว่ามีจำเป็นสำหรับเด็กเล็ก เพราะผิวเด็กบอบบางมาก จึงไม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์เหมือนผู้ใหญ่ได้
                                • เครื่องแต่งกาย  ควรเลือกซื้อไว้ประมาณ 10-15 ชุด รวมทั้งชุดใส่นอน ชุดใส่เล่น ชุดไปเที่ยว

                                TIPSเพิ่มความประหยัด ไม่จำเป็นต้องซื้อเสื้อผ้าเด็กอ่อนมากนัก เพราะเนื่องจากเพื่อน ๆ และญาติพี่น้อง มักนิยมซื้อเสื้อผ้าเด็กมาเป็นของฝากให้เด็กแรกเกิด และอีกประการคือเด็กจะโตไวมาก จนชุดที่เตรียมไว้ใส่ไม่ทัน

                                • ค่ายาและเวชภัณฑ์ เช่น ปรอทวัดไข้ แผ่นเจลลดไข้ สำลี cutton bud มหาหิงคุ์ แอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรค แอลกอฮอล์ล้างมือ ทิชชู่เปียก (ฺBaby Wipes) ถุงมือพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เด็กเล็กต้องการการดูแลที่เน้นเรื่องความสะอาดเป็นพิเศษ เพราะร่างกายยังมีภูมิคุ้มกันต่ำอยู่

                                2.เลือกที่คุณภาพเหมาะกับราคา แม้ว่าจะเป็นสายเน้นประหยัด แต่อย่างที่กล่าวข้างต้นคุณภาพก็เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่ไว้เป็นตัวเลือกในการซื้อของเตรียมคลอด พ่อแม่คงไม่อยากได้ของใช้เด็กในราคาประหยัด แต่อาจใช้วัสดุที่เป็นอันตรายต่อเด็ก หรือไม่คงทนอย่างแน่นอน แม้ว่าของบางชิ้นจะมีราคาแพง แต่เมื่อเทียบแล้วว่าถ้าใช้ของใช้เด็กที่ราคาถูก แล้วทำให้ลูกป่วย ลูกได้รับอันตราย เสียค่ารักษาพยาบาล แน่นอนว่า คงไม่ดีแน่ ดังนั้นราคาและคุณภาพจึงต้องไปด้วยกัน

                                ของเตรียมคลอด ประเภทที่นอน แบ่งปันกันใช้ได้เพื่อความประหยัด
                                ของเตรียมคลอด ประเภทที่นอน แบ่งปันกันใช้ได้เพื่อความประหยัด

                                3.แบ่งปันของใช้กันบ้าง หากเพื่อนๆ ที่มีลูกโตแล้วมาเสนอของใช้เด็กให้ เช่น เตียงเด็ก รถเข็นเด็ก ก็จะทำให้ประหยัดได้มาทีเดียว อย่างไรก็ตาม ก็อย่าลืมตรวจสอบเรื่องความสะอาด และคุณภาพความแข็งแรงของของใช้เด็กที่ได้รับการส่งต่อมากันด้วย

                                ตัวอย่างการจัดของเตรียมคลอด งบไม่เกิน 5,000 บาท

                                ชุดเด็กเเบบสั้น ครึ่งโหลโหล 340
                                ชุดเด็กแบบยาว.ครึ่งโหล.430
                                ถุงมือ ถุงเท้า ครึ่งโหล.170
                                ผ้าอ้อมสาลู27*27 (1โหล) 310
                                ผ้าอ้อมสาลู24*24(1โหล ) 250
                                หมวกทารกไหมพรหม 2ใบ.70
                                ผ้าห่มเนื้อสำลี 1ผืน 160
                                ผ้าห่อตัวเนื้อแซมวิส 1ผืน 250
                                ผ้าขนหนูรังผึ้ง 15*30 (1ผืน)100
                                ผ้าขนหนูรังผึ้ง24*24 (1ผืน)220
                                ผ้ายางพาราใหญ่60*90 (1ผืน)350
                                ขวดนมเนอเจอร์.2oz 4ขวด 240
                                (คัตเตอร์บัต 2เเพ็ค สำลีแผ่น1ห่อ สำลีม้วน1ม้วน แป้งเบบี้มายสีเขียวขวดกลาง 2กระป๋อง.นิวบอลขวดกลาง.2กระป๋อง เบบี้ออย.1ขวดกลาง.s 1กล่อง.แปรงล้างขวด 1อัน สบู่ -ยาสระผม.2ขวดใหญ่.ผ้าอนามัย1ห่อไหญ่.แพมเพิส1ห่อใหญ่.น้ำยาล้างขวดนม.ซักผ้า ปรับผ้านุ่ม.เบบี้มาย.อย่างละ3ถุง วิค.ไกวอเตอร์.มหาหิงค์ุ.ฟองน้ำ.ที่ตากผ้าอ้อม.) รวมๆทั้งหมดก็เกือบๆ3500.ค่ะ.

                                ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก สมาชิก pantip.com

                                จัดของเตรียมคลอดแบบจัดเต็ม

                                ว่ากันไม่ได้เลยเชียว สำหรับพ่อแม่คู่ไหนที่ยึดหลักที่ว่า “เตรียมไว้ก่อนเผื่อเหลือเผื่อขาด” เพราะถือได้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิต โดยเฉพาะลูกคนแรกก็ย่อมตื่นเต้นกันเป็นธรรมดานี่นา ดังนั้นการจัดของเตรียมคลอดสไตล์นี้ ก็นับว่าทำให้อุ่นใจได้ไม่น้อยทีเดียว เราขอแยกประเภทไว้เป็นข้อ ๆ เพื่อที่จะได้ไม่สับสนกัน ดังนี้

                                คุณแม่ใกล้คลอด จัดเตรียมกระเป๋าเตรียมคลอดกันหรือยัง?
                                คุณแม่ใกล้คลอด จัดเตรียมกระเป๋าเตรียมคลอดกันหรือยัง?

                                ของใช้สำหรับคุณแม่

                                1. บัตรฝากครรภ์ ควรพกติดตัวไปด้วยเวลาไปคลอด เพราะจะได้สะดวกหากเวลาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลสืบถามข้อมูลส่วนตัว
                                2. ชุดใส่วันกลับ ควรเป็นชุดที่สามารถใส่ให้นมลูกได้สะดวกที่สุด
                                3. เสื้อชั้นในให้นมทารกแรกเกิด และกางเกงในคนท้อง
                                4. ผ้าอนามัยหลังคลอด ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่กว่าปกติ และซึมซับได้มากกว่า
                                5. แผ่นซับน้ำนม มีทั้งแบบซักได้ และแบบใช้แล้วทิ้ง สามารถเลือกได้ตามสะดวก
                                6. แผ่นรัดหน้าท้องหลังคลอด แผ่นรัดหน้าท้องจะช่วยลดอาการบวมของมดลูก ช่วยพยุงช่วงท้องให้แผล (สำหรับแม่ผ่าคลอด) สมานติดกันได้เร็วขึ้น
                                7. รองเท้าแตะ โทรศัพท์ สายชาร์จ และของใช้ส่วนตัวอื่น ๆ

                                ของเตรียมคลอด ประเภทอุปกรณ์ให้นม

                                1. หมอนรองให้นม ที่จะช่วยในการทุ่นแรงคุณแม่ที่ต้องอุ้มทารกแรกเกิดขณะให้นม
                                2. เครื่องปั๊มนม คุณแม่มือใหม่ควรฝึกใช้เครื่องปั๊มนมให้คุ้นชินตั้งแต่อยู่โรงพยาบาล และเครื่องปั๊มนมเป็นของเตรียมคลอดจำเป็น ในกรณีที่ต้องห่างจากลูกหลายชั่วโมง จะได้ใช้เป็นตัวกระตุ้นน้ำนมแทน
                                3. ขวดนม ถุงเก็บน้ำนม จุกนม พร้อมทั้งแปรงล้างขวดนมและจุกนม
                                4. ผ้าคลุมให้นม เพื่อใช้คลุมให้นมลูกในขณะที่มีคนมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล
                                5. ที่นึ่งขวดนมแบบพกพา สามารถใช้นึ่งที่ปั๊มนมได้

                                  เครื่องปั๊มนม ขวดนม ถุงเก็บน้ำนม ตัวช่วยแม่ให้นม
                                  เครื่องปั๊มนม ขวดนม ถุงเก็บน้ำนม ตัวช่วยแม่ให้นม

                                ของเตรียมคลอด : ของใช้ทารกแรกเกิด

                                การเตรียมของในส่วนนี้ ขอแนะนำว่าให้ลองโทรเช็กกับทางโรงพยาบาลก่อน เพราะโรงพยาบาลบางแห่งจะมีการเตรียมของใช้ทารกแรกเกิดไว้ให้แล้วบางรายการ

                                1. ผ้าอ้อมเด็กสำเร็จรูป ผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม สำหรับทารกแรกเกิดที่ระบายอากาศได้ดี หรือผ้าอ้อมสำเร็จรูป ไซส์ Newborn ซึ่งจะมีการเว้าบริเวณสะดือให้
                                2. เสื้อผ้าทารกแรกเกิด เป็นของเตรียมคลอดที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับวันออกจากโรงพยาบาล รวมถึงถุงเท้า ถุงมือ หมวกกันลม
                                3. ผ้าห่อตัว เด็กแรกเกิดหากได้ห่อตัวด้วยผ้าจะทำให้ลูกรู้สึกเหมือนอยู่ในท้องแม่ จะทำให้เขาไม่ผวา ไม่งอแงได้ดีกว่า ปัจจุบันมีทั้งที่เป็นผ้าสี่เหลี่ยมทั่วไป หรือจะเลือกเป็นผ้าห่อตัวสำเร็จรูปก็ได้เช่นกัน
                                4. ผ้าเปียกเช็ดคอ เช็ดปากหากนมหก หรือเด็กแหวะนม
                                5. สำลีก้อน ใช้ชุบน้ำเช็ดก้นลูก
                                6. ผ้าก๊อซสำหรับเช็ดลิ้น ใช้เช็ดทำความสะอาดลิ้น และช่องปากเด็ก ต้องหมั่นทำความสะอาดป้องกันลิ้นเป็นฝ้าได้
                                7. อุปกรณ์อาบน้ำเด็ก ทั้งเจลอาบน้ำเด็ก แชมพูเด็ก ฟองน้ำ อ่างอาบน้ำ ผ้าขนหนู แปรงหวีผม
                                8. โลชั่นเด็ก หรือออยล์ทาตัว และแป้งทาตัว
                                9. แอลกอฮอล์เช็ดสะดือ และสำลีก้านเช็ดสะดือ ต้องคอยดูแลให้แห้ง และสะอาด สะดือลูกจะได้หลุดอย่างปลอดภัย
                                10. Car Seat ประเภท Infant Seat สำหรับเด็กแรกเกิด จำเป็นต้องใช้ในวันพาลูกกลับบ้านเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเลือกรถเข็นเด็กเตรียมเอาไว้ เพื่อใช้ในการพาลูกออกไปข้างนอก

                                  รถเข็นเด็ก อุปกรณ์สำหรับเด็ก ของมันต้องมี
                                  รถเข็นเด็ก อุปกรณ์สำหรับเด็ก ของมันต้องมี

                                ของเตรียมคลอด : เครื่องนอน

                                1.  ผ้ายางรองกันเปื้อน ไว้รองได้ที่นอนอีกชั้นหนึ่งเพื่อความมั่นใจ
                                2.  ผ้ารองที่นอน ผ้าห่ม ตุ๊กตา
                                3. หมอนข้าง หมอนหนุนรองศีรษะทารกแรกเกิด หมอนรองนอนกันแหวะ
                                4. น้ำยาซักผ้าเด็ก สำหรับซักทำความสะอาดเครื่องนอน เพราะผิวเด็กอ่อนบอบบาง แพ้ง่าย

                                สำหรับงบประมาณของคุณแม่สายจัดเต็มนี้ ก็คงต้องคำนวณตามแต่ความพอใจในการเลือกยี่ห้อ คุณภาพของแต่ละบ้าน ไม่สามารถคำนวณละเอียดตายตัวได้ เพราะขึ้นอยู่กับความพอใจ และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของแต่ละคนได้อีกด้วยเช่นกัน

                                ของเตรียมคลอดแนะนำว่าควรจัดเตรียมไว้อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนคลอดเป็นอย่างช้า เพราะจะได้เตรียมตัวไว้เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน คลอดก่อนกำหนด หรือคุณแม่บางคนที่มีประสบการณ์มาก่อนก็ได้ให้เหตุผลไว้ว่า หากท้องแก่จะไม่สะดวกในการเดินเลือกซื้อ อาจทำให้ได้ของไม่ครบก่อนวันคลอดก็เป็นได้ สิ่งสำคัญที่พ่อแม่มือใหม่ต้องเตรียมตัวไว้ให้มาก นั่นคือ ต้องมีสติเมื่อถึงเวลาเจ็บท้องคลอด จะได้ไม่พลาดสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เตรียมเอาไว้

                                เรื่องสำคัญต้องรู้

                                นอกจากข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่พ่อแม่ต้องเตรียมไว้ก่อนคลอดแล้วนั้น ยังมีอีกส่วนที่สำคัญไม่แพ้กันเลย ที่ควรเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้าเช่นกัน เอกสารสำคัญในการแจ้งเกิดของลูกน้อยที่กำลังจะเพิ่มเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว โดยในบางโรงพยาบาลจะมีการอำนวยความสะดวกในการแจ้งเกิดให้เลย จึงจำเป็นต้องนำเอกสารจำเป็นยื่นในกับทางโรงพยาบาลในการแจ้ง หรือหากพ่อแม่ต้องเป็นผู้ไปแจ้งเกิดเองก็ควรศึกษาเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ไว้ จะได้ไม่เสียเที่ยว

                                มาเตรียมของต้อนรับสมาชิกใหม่ในครอบครัวกันเถอะ
                                มาเตรียมของต้อนรับสมาชิกใหม่ในครอบครัวกันเถอะ

                                1. ใบนัดหมอ และสมุดฝากครรภ์

                                2. บัตรโรงพยาบาล

                                3. สำเนาบัตรประชาชน (ทั้งพ่อและแม่)

                                4. สำเนาทะเบียนบ้าน (ทั้งพ่อและแม่)

                                5. ชื่อลูกหากมีการคิดไว้แล้ว

                                6. ทะเบียนสมรส (กรณีมี)

                                7. หนังสือส่งตัวคลอด หากเป็นข้าราชการ

                                ข้อมูลอ้างอิงจาก shopee.co.th/blog

                                อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

                                อัพเดท แพ็กเกจคลอด ปี 2564 ร.พ. เอกชน 30 แห่ง ในกรุงเทพฯ

                                เจ็บนี้อีกนานมั้ย! แม่ ปวดฝีเย็บหลังคลอด จะบรรเทาอาการอย่างไร

                                ทำไมแม่หลังคลอดขี้ลืม ความจำสั้น หรือคือสัญญาณของความจำเสื่อม

                                ดูแลทารกแรกเกิด ตัดเล็บ อาบน้ำ ฯลฯ ครบจบในที่เดียว!!

                                เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                  ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน

                                  รู้ก่อนฉีด! ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด -19 เช็คเลย!

                                  ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน –  เป็นเรื่องปกติที่คุณจะรู้สึกประหม่าเมื่อต้องรับ วัคซีนโควิด-19 เพราะมันคือวัคซีนที่ผลิตขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็วและยังมีข้อมูลด้านผลข้างเคียงของวัคซีนน้อยเมื่อเทียบกับการวิจัยหลายทศวรรษที่มีเกี่ยวกับวัคซีนชนิดอื่นๆ ที่ส่งผลต่อคนจำนวนมาก ความใหม่ของวัคซีนโควิด-19 ทำให้เกิดความวิตกกังวล และความลังเลใจ เป็นธรรมดา

                                  อย่างไรก็ตามการรับวัคซีน โควิด-19 เป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคน ต่างทำหน้าที่ของเราในการยุติการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่  การฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19  ไม่ต่างกับการฉีดวัคซีนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ให้ผลในการป้องกัน 100%  ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของวัคซีนและการตอบสนองของแต่ละบุคคล แต่คุณสมบัติสำคัญของวัคซีน COVID-19 ทุกตัว สามารถลดความรุนแรงของการป่วยหลังการติดเชื้อและการเสียชีวิตได้ ทำให้โอกาสในการต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือ การสูญเสียชีวิตลดลงได้อย่างมาก ทั้งนี้ มีข้อควรรู้ และข้อแนะนำ ทั้งก่อน ระหว่าง และหลัง การฉีดวัคซีนป้องกัน Covid – 19 ที่ทุกคนควรรู้ เพื่อให้การฉีดวัคซีนผ่านไปได้อย่างราบรื่น

                                  รู้ก่อนฉีด! ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด -19

                                  ก่อนรับการฉีดวัคซีน ป้องกัน COVID-19

                                  • ตรวจสอบกับแพทย์ล่วงหน้าเกี่ยวกับสภาวะสุขภาพและยา หากมีปัญหาด้านสุขภาพหรือใช้ยาตามใบสั่งแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์ว่าสามารถรับวัคซีนได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
                                  • CDC เตือนไม่ให้ใช้ยา เช่น ไอบูโพรเฟน แอสไพริน และอะเซตามิโนเฟน ก่อนรับวัคซีน เพราะมีโอกาสที่ยาเหล่านี้จะทำให้ วัคซีนมีประสิทธิภาพลดลง
                                  • หากมีอาการเจ็บป่วย หรือมีไข้ ให้เลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อนอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
                                  • ก่อนเข้ารับการฉีดวัคซีน 2 วัน ควรงดออกกำลังกายหนักๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
                                  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
                                  • ถ้าใช้ยา วาร์ฟาริน (Warfarin) ควรมีผลเลือดระดับ INR ก่อนฉีดน้อยกว่า 3 (ควรเจาะเลือดก่อนฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 วัน และไม่เกิน 1 สัปดาห์)
                                  • ไม่ควรฉีด วัคซีน  COVID-19 หากได้รับการฉีดวัคซันตัวอื่นมายังไม่เกิน 4 สัปดาห์
                                  • กรณีที่ตั้งครรภ์ โดยอายุครรภ์น้อยกว่า 12 สัปดาห์ ต้องงดการฉีดวัคซีนทุกกรณี
                                  • ต้องเปลี่ยนการนัดหมาย หากคุณถึงกำหนดต้องรับวัคซีน แต่เริ่มแสดงอาการ หรือได้รับแจ้งว่าคุณได้สัมผัสกับผู้ที่มีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวก ให้ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติของ CDC ในปัจจุบัน สำหรับการกักตัวและการแยกตัวเอง กำหนดเวลานัดหมายของคุณใหม่อีกครั้งหลังจากกักตัวดูอาการครบ 14 วัน

                                  ไขข้อข้องใจ ใช้ ยาคุมชนิดฮอร์โมนฉีดวัคซีน ป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่?

                                  กรมอนามัยเผย คนท้องติดเชื้อโควิด เสี่ยงป่วยหนัก แนะฉีดวัคซีนป้องกัน! หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

                                  CDC ชี้! หน้ากากอนามัยป้องกันโควิด ดีกว่าวัคซีน

                                  ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน
                                  ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน

                                  ระหว่างรับการฉีดวัคซีน ป้องกัน COVID-19

                                  • เตรียมเอกสารต่างๆ ที่ต้องใช้ให้พร้อม เช่น บัตรประชาชน ข้อมูลการลงทะเบียน เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการรับบริการ
                                  • ควรเดินทางมาถึงโรงพยาบาลก่อนเวลานัดหมาย 30 นาที
                                  • ในกรณีใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านเกล็ดเลือด ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ล่วงหน้า ณ จุดลงทะเบียน
                                  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคอ้วน โรคไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ให้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนการฉีด
                                  • ใส่เสื้อผ้าที่สามารถเปิดหัวไหล่ได้สะดวก เพื่อให้ง่ายสำหรับผู้ให้บริการ และสบายสำหรับคุณ
                                  • สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือให้สะอาด และเว้นระยะห่าง หน้ากากอนามัยได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถชะลอการแพร่กระจายของอนุภาคไวรัส COVID-19
                                  • แนะนำให้ฉีดแขนข้างที่ไม่ค่อยถนัด

                                  หลังรับการฉีดวัคซีน ป้องกัน COVID-19

                                  • พักรอดูสังเกตอาการที่โรงพยาบาลหรือจุดที่ฉีดวัคซีน 30 นาที อย่างเคร่งครัด เพื่อดูผลข้างเคียงที่ร้ายแรงในทันที แม้ว่าคุณจะรู้สึกดีก็รอเผื่อไว้สำหรับอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน COVID-19 ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่
                                    1. อาการไม่รุนแรง  สามารถหายได้เองภายใน 3 วัน อาจเป็นอาการทั่วไป เช่น มีไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และข้อ หรือปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดยา รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบายตัว ปวดศีรษะ คลื่นไส้ หรือมีอาการชาเฉพาะที่
                                    2. อาการรุนแรง พบได้ไม่บ่อย หรือพบได้น้อย เช่น มีก้อนบริเวณที่ฉีดยา เวียนศีรษะ มึนงง ใจสั่น  ปวดท้อง อาเจียน ความอยากอาหารลดลง เหงื่อออกมากผิดปกติ ต่อมน้ำเหลืองโต ปากเบี้ยว กล้ามเนื้ออ่อนแรง ชักหมดสติ อาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล
                                    3. อาการแพ้วัคซีน เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง ความดันตก หลอดลมตีบ หายใจลำบาก มีผื่นขึ้นตามตัว หากพบว่ามีอาการรุนแรง หลังการฉีดวัคซีนควรรีบพบแพทย์ทันที่

                                   

                                  ข้อควรรู้ก่อนฉีดวัคซีน

                                  ข้อแนะนำเพิ่มเติม

                                  • ถ้ามีไข้ หรือรู้สึกปวดเมื่อยตามตัวมากหลังฉ๊ดวัคซีน สามารถทานยา พาราเซตามอลขนาด 500 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด ทุก 6 ชั่วโมง (ห้ามรับประทานยา Brufen , Arcoxia, Celebrex เด็ดขาด)
                                  • อย่าเกร็งแขนข้างที่ฉีดวัคซีน หรือยกของหนัก เป็นเวลาอย่างน้อย 2 วัน
                                  • ต้องสังเกตอาการ หลังรับวัคซีน ต่ออีก 48-72 ชั่วโมง หากพบอาการผิดปกติที่รุนแรง เช่น มีอาการชาครึ่งซีก แขนขาอ่อนแรง หรือ ปากเบี้ยว ให้รีบไปพบแพทย์ทันที

                                  ทั้งนี้ หลังจากได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้วก็ยังคงต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับฉีดวัคซีนเข็มที่สองเพื่อกระตุ้น อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เป็นเพียงปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อวัคซีนเท่านั้น และแม้ว่าจะฉีดวัคซีนแล้วก็ยังต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยให้ถูกวิธี เว้นระยะห่างทางสังคม หมั่นล้างมือบ่อยๆ หลังการสัมผัสที่มีความเสี่ยง เป็นต้น

                                  ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : cnet.com , ram-hosp.co.th , unicef.org

                                  บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                  ลูกติดโควิด ทำอย่างไรดีใครจะดูแล สธ.ผุดหลักใหม่ไม่แยก

                                  งานวิจัยเผย! แม่ท้องติดโควิด เสี่ยงเสียชีวิตสูง!

                                  หมอแนะวิธีแก้ แม่หงุดหงิดใส่ลูก เหตุเพราะโควิดพาชีวิตแม่เครียด!

                                   

                                  เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

                                   

                                    ซื้อหนังสือให้ลูก

                                    ผลวิจัยชี้! ซื้อหนังสือให้ลูก อ่าน ยิ่งเยอะ ลูกยิ่งเก่ง!

                                    ซื้อหนังสือให้ลูก – เหตุใดการได้อ่านหนังสือ จึงส่งผลดีต่อเด็ก?? คำตอบคือ การอ่านทำให้เด็กถูกเคลื่อนย้ายไปสู่อีกโลกหนึ่งที่อยู่ระหว่างหน้าหนังสือ ทำให้เกิดจินตนาการกับชีวิตของตัวละครสมมติ มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมที่แตกต่างจากชีวิตจริงอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้เด็กๆ ยังสามารถเรียนรู้คำ และวลีใหม่ๆ  ตลอดจนได้สัมผัสกับอารมณ์ที่หลากหลาย ได้รับทักษะและความรู้ต่างๆ จากหนังสือเล่มใหม่ เรื่องราวใหม่ๆ อย่างไม่รู้จบ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ตอกย้ำถึงประโยชน์ของการอ่านหนังสือ ซึ่งผลการศึกษาวิจัยได้ข้อสรุปว่า บ้านไหนยิ่งมีหนังสือที่บ้านเยอะ เด็กจะยิ่งเก่งวิชาการ และการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล!

                                    ผลวิจัยชี้! ซื้อหนังสือให้ลูก อ่าน ยิ่งเยอะ ลูกยิ่งเก่ง!

                                    โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Australian National University นำโดย Joanna Sikora อาจารย์วิชาสังคมศาสตร์ ได้ผลจากการศึกษาวิจัย ว่า จำนวนหนังสือในบ้าน มีส่วนทำให้คนเรามีความสามารถทางภาษา คณิตศาสตร์ และการสื่อสารด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล มากขึ้น
                                    โดยคณะวิจัยได้ทำการทดสอบ ในช่วงปี 2011-2015 กับอาสาสมัครจำนวน 160,000 คน จาก 31 ประเทศ ที่มีอายุระหว่าง 25 – 65 ปี โดยเริ่มแรกให้อาสาสมัครรำลึกความจำว่าตั้งแต่เด็กจนอายุ 16 มีหนังสืออยู่ในบ้านมากหรือน้อยเท่าใด จากนั้นได้เข้าทดสอบความสามารถด้านการอ่าน และการจับใจความ (reading comprehension) ด้านความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ และด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเป็นเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้คือ Literacy skill หรือที่ ศ. ดร. สุมน อมรวิวัฒน์ แปลความหมายเป็นภาษาไทยว่า “ความฉลาดรู้”
                                    ซึ่งจากผลการทดสอบพบว่า ยิ่งคนเราอยู่ในบ้านที่มีหนังสือรายล้อมมากเท่าไหร่ ความสามารถทั้ง 3 ด้านก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น โดยการศึกษาได้ข้อสรุปดังนี้
                                    • คนที่เติบโตมาในบ้านที่มีหนังสืออย่างน้อย 80 เล่ม ถึงจะทำคะแนนได้ถึงระดับเฉลี่ย หรือเรียกว่าพอที่จะมีส่วนร่วมพัฒนาสังคม และประสบความสำเร็จในชีวิต
                                    • คนที่เติบโตมาในบ้านที่มีหนังสือน้อยกว่า 80 เล่ม จะมีความฉลาดรู้ น้อยกว่าค่าเฉลี่ย และมักมีปัญหาทางการเรียน การหาเลี้ยงชีพ และความสุขในชีวิต
                                    • ความฉลาดรู้จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามจำนวนหนังสือในวัยเด็ก ค่าความฉลาดรู้ จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนคงที่ ที่ระดับจำนวนหนังสือประมาณ 350 เล่ม

                                    การอ่านมีผลต่อพัฒนาการเด็กอย่างไร?

                                    งานวิจัยหลายชิ้นที่ดำเนินการและจัดทำโดย BookTrust ได้ค้นพบประโยชน์ที่ลึกซึ้งของการอ่านเพื่อพัฒนาการของเด็ก งานวิจัยชิ้นหนึ่งให้รายละเอียดเกี่ยวกับผลกระทบของการอ่านที่มีต่อทักษะการรู้หนังสือในอนาคต การอำนวยความสะดวกในการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างผู้ใหญ่และเด็ก และการส่งเสริมให้เด็กมีส่วนร่วมกับโลกรอบตัวพวกเขา นอกจากนี้ยังระบุด้วยว่าการอ่าน ถือเป็น  “แหล่งข้อมูลที่มั่นคงตลอดชีวิต” ของเด็กได้และอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับเด็กที่ต้องเติบโตขึ้นมาในสถานการณ์ที่ท้าทาย

                                    การอ่านมีประโยชน์หลายอย่างต่อพัฒนาการของเด็ก เช่น

                                    • ช่วยพัฒนาองค์ความรู้ การพัฒนาความรู้ความเข้าใจหมายถึงวิธีที่เรารับรู้และคิดเกี่ยวกับโลกของเรา โดยอ้างอิงถึงความฉลาด การให้เหตุผล การพัฒนาภาษา และการประมวลผลข้อมูล การอ่านให้เด็กๆ ฟัง คุณได้ให้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับโลกของพวกเขา และเติมเต็มสมองด้วยความรู้พื้นฐาน จากนั้นพวกเขาใช้ความรู้พื้นฐานที่ได้มานี้เพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่พวกเขาเห็น ได้ยิน และอ่าน ซึ่งช่วยพัฒนาความรู้ความเข้าใจของพวกเขาให้ดียิ่งขึ้น
                                    • การพัฒนาความเห็นอกเห็นใจ เมื่อเราอ่านหนังสือ เราใส่ตัวเองในเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเรา สิ่งนี้ช่วยให้เราพัฒนาความเห็นอกเห็นใจในขณะที่เราสัมผัสชีวิตของตัวละครอื่นๆ และสามารถระบุได้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร เด็กๆ สามารถใช้ความเข้าใจนี้เพื่อเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในโลกแห่งความเป็นจริง นอกจากนี้ เด็กจะเข้าใจอารมณ์มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจอารมณ์ของตนเองและของผู้อื่น สิ่งนี้ช่วยได้อย่างมากในการพัฒนาสังคมของพวกเขาในอนาคต
                                    • เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้น หนังสือสามารถพาเราไปได้ทุกที่ ไปยังเมืองอื่น ไปยังอีกประเทศหนึ่ง หรือแม้แต่ไปยังโลกอื่น การอ่านหนังสือทำให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับผู้คน สถานที่ และเหตุการณ์ที่พวกเขาอาจไม่สามารถเรียนรู้ในชีวิตจริงได้ สิ่งนี้ทำให้เด็ก ๆ มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับโลกรอบตัวพวกเขาและวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไป
                                    • การสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น หากผู้ปกครองอ่านหนังสือกับลูกเป็นประจำ พวกเขาจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับเด็กๆ ได้อย่างไม่ต้องสงสัย การอ่านทำให้ผู้ปกครองมีโอกาสที่จะมีกิจกรรมร่วมกันเป็นประจำซึ่งทั้งผู้ปกครองและเด็กสามารถตั้งตารอได้ นอกจากนี้ยังให้ความรู้สึกถึงความเอาใจใส่ ความรัก และความมั่นใจแก่เด็กๆ อันเป็นกุญแจสำคัญในการเลี้ยงดูและความเป็นอยู่ที่ดี

                                     

                                    ซื้อหนังสือให้ลูก
                                    ซื้อหนังสือให้ลูก

                                     

                                    นอกจากนี้ การอ่านหนังสือกับลูก สามารถสร้างความรักในการอ่านไปได้ตลอดชีวิต งานวิจัยหลายชิ้นพบความสัมพันธ์ระหว่างการอ่านเพื่อความเพลิดเพลิน และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นได้ในทุกวิชา!

                                    ประโยชน์ของการอ่านหนังสือกับลูก ในด้านการศึกษามีมากมาย เช่น :

                                    • ช่วยปรับปรุงทักษะวรรณกรรม การอ่านออกเสียงกับเด็กเล็ก ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจยังไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูดอย่างถ่องแท้ แต่จะช่วยปูทักษะที่จำเป็นแก่พวกเขาเมื่อพวกเขาเริ่มอ่านได้ด้วยตัวเอง มันแสดงให้เด็ก ๆ เห็นว่าการอ่านเป็นสิ่งที่ทำได้โดยเน้นจากซ้ายไปขวา และการพลิกหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินการต่อ การอ่านให้เด็กๆ ฟังแม้ในช่วงเดือนแรกๆ ของชีวิต สามารถช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาและกระตุ้นสมองส่วนที่ประมวลผลด้านภาษาได้
                                    • ได้รู้คำศัพท์ที่หลากหลายมากขึ้น การได้ยินคำที่พูดออกมาดังๆ อาจทำให้เด็กๆ ได้รู้จักคำศัพท์และวลีใหม่ๆ ที่พวกเขาอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน โดยการอ่านให้เด็กฟังทุกวันพวกเขาจะได้เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทุกวัน
                                    • มีสมาธิที่มากขึ้น การอ่านอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจ่อของเด็กได้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้เด็กเรียนรู้ที่จะนั่งเฉยๆ และฟังได้เป็นเวลานาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการเรียน
                                    • ช่วยให้ระดับความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการสูงขึ้น การอ่านหนังสือขึ้นอยู่กับการใช้จินตนาการในการสร้างภาพตัวละคร สภาพแวดล้อม และคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ต้องใช้จินตนาการหากต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับคนอื่น สถานที่ เหตุการณ์ และเวลา ในทางกลับกัน จินตนาการที่พัฒนาขึ้นนี้จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ที่มากขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ในชีวิต

                                    สุดท้ายแล้ว ยิ่งเด็กได้อ่านหนังสือมากเท่าไหร่ และยิ่งได้อ่านด้วยตัวเองมากเท่าไหร่ พวกเขาจะเก่งขึ้นเท่านั้น  และยิ่งเด็กอ่านหนังสือมากเท่าไร ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยรวม และทักษะทางสังคมของพวกเขา เช่น การเอาใจใส่ต่อสิ่งที่ต้องรับผิดชอบในชีวิตก็จะยิ่งดีขึ้นมากเท่านั้น

                                    ลูก 5 ขวบ อ่านหนังสือไม่ได้ ทำไงดี? มาช่วยลูกให้ “อ่านออก” กัน

                                    อ่านหนังสือให้ลูกฟัง นิทาน สำนักพิมพ์ไหนดี เหมาะกับลูกทุกวัย คุณแม่ทั่วประเทศยกให้ Amarin Kids เป็นแบรนด์ในดวงใจ

                                    9 เทคนิคต้องรู้ สอนลูกให้ชอบอ่าน พ่อแม่ต้องทำแบบนี้!

                                    รู้แบบนี้แล้วคุณพ่อคุณแม่คงอยากทราบถึงเทคนิคการอ่านหนังสือกับลูกเพื่อให้ลูกได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่แล้วใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้นเรามาดูกันเลย

                                    เทคนิคในการการอ่านหนังสือกับลูก

                                    การอ่านออกเสียงเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ที่ทั้งผู้ปกครองและเด็กสามารถเพลิดเพลินไปด้วยกันได้ นอกจากนี้ยังเป็นกิจกรรมที่พบว่ามีผลสัมฤทธิต่อการเรียนและควรส่งเสริมอย่างสม่ำเสมอทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน

                                    หากคุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือกับลูกที่บ้าน แสดงว่าเรากำลังเสริมสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ในห้องเรียน รวมทั้งให้การสนับสนุนแบบตัวต่อตัวเพิ่มเติมแก่พวกเขาในขณะที่ห้องเรียนไม่สามารถให้ได้

                                    เพื่อให้ลูกมีทักษะการอ่านที่ประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพ ให้พิจารณา ประเด็นต่อไปนี้:

                                    เริ่มตั้งแต่ลูกยังเล็ก เด็กสามารถดูภาพและฟังเสียงของคุณได้ การอ่านออกเสียงให้บุตรหลานฟังและชี้ไปที่รูปภาพและพูดถึงชื่อของสิ่งนั้นๆ  จะช่วยให้เด็กๆ ได้รับข้อมูลสองทาง คือ ความเข้าใจเกี่ยวกับวัตถุในโลกแห่งความเป็นจริง และความเข้าใจในความสำคัญของภาษา แม้ว่าลูกของคุณสามารถอ่านได้ด้วยตัวเองแล้ว คุณก็ควรอ่านออกเสียงพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นการฝึกฝน

                                    ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน พยายามอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวัน และพยายามทำให้ดีที่สุด รวมสิ่งนี้เข้ากับกิจวัตรประจำวันของคุณและลูกของคุณ จนกว่าจะกลายเป็นนิสัยพอ ๆ กับที่พวกเขาแปรงฟัน อย่างไรก็ตาม อย่าท้อแท้หากคุณพลาดวันใดวันหนึ่ง เพียงแค่กลับมาทำกิจวัตรตามปกติเมื่อคุณมีเวลา

                                    ซื้อหนังสือให้ลูก

                                    ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พยายามเปลี่ยนหนังสือที่คุณอ่านให้ลูกฟังให้มากที่สุด สิ่งนี้จะเปิดหูเปิดตาของพวกเขาสู่โลก วัฒนธรรม และตัวละครที่หลากหลาย และทำให้จินตนาการของพวกเขาขยายออกไปและเติบโตได้มากยิ่งขึ้น

                                    มีความอดทนสูง บางครั้งเราอาจลืมไปว่าวัยนั้นเป็นอย่างไร ในฐานะผู้ใหญ่บางครั้งเราอาจมองว่าการอ่านออกเสียงเป็นเรื่องไร้สาระ แต่สำหรับเด็กๆ แล้วทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเขา เช่น  เด็กๆ ไม่สามารถรู้ได้ว่าต้องอ่านหนังสือจากซ้ายไปขวา จนกว่าคุณจะชี้ไปที่คำศัพท์และเริ่มอ่านให้ฟัง เพราะฉะนั้นจงสละเวลาของคุณในการสอนลูกๆ  และใช้ความอดทนในการสอน

                                    สรุปใจความหลังจากอ่านจบ หลังจากที่คุณอ่านนิทานให้ลูกฟังจนจบแล้ว ลองพยายามเล่าสรุปความต่อ คุณสามารถถามคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาเพิ่งอ่านได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ ตัวอย่างเช่น “คุณชอบเรื่องราวนั้นไหม”, “ตัวละครที่คุณชอบคือใคร?” หรือ “ทำไมคุณถึงคิดว่าเจ้าชายมีความสุขในตอนจบ?” อย่างไรก็ตาม อย่ารู้สึกว่าสิ่งนี้จำเป็นสำหรับทุกเรื่องราวที่คุณอ่าน หากลูกของคุณชื่นชอบการอ่านหนังสือเป็นทุนเดิมพวกเขาจะพัฒนาความรักในการอ่านได้ไม่รู้จบ แม้จะไม่มีการสนทนาสรุปปิดท้ายก็ตาม

                                    การอ่านหนังสือ นอกจากจะช่วยให้เด็กๆ เกิดจินตนาการและเปิดโลกแห่งการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างทักษะความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ ให้กับเด็กๆ ได้หลายด้าน อาทิ ความฉลาดทางสติปัญญา IQ   , ความฉลาดในการคิดสร้างสรรรค์ CQ และความฉลาดทางคุณธรรม MQ เป็นต้น รู้แบบนี้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาอ่านหนังสือกับลูกๆ ให้ได้มากที่สุด หรือซื้อหนังสือดีๆ ให้ลูกอ่าน เพื่อเปิดโลกการเรียนรู้ใหม่ๆ ให้เด็กๆ ต่อไปได้อย่างไม่รู้จบกันเถอะค่ะ

                                    ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : theguardian.com , highspeedtraining.co.uk

                                    บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

                                    วิจัยเผย พ่ออ่านนิทานให้ลูกฟัง ส่งผลดีต่อลูกมากกว่าแม่อ่าน

                                    5 เทคนิค อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เริ่มตอนไหน? อ่านยังไง? โดย พ่อเอก

                                    ชวนลูกอ่านหนังสือ พัฒนาสมอง ด้วยเคล็ดลับ 7 ข้อ

                                     

                                    เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่