สิทธิบัตรทอง รู้ไว้ไม่เสียสิทธิ์

สิทธิบัตรทอง เพิ่มสิทธิ์ดูแลและป้องกันโรคให้ทุกช่วงวัยฟรี!

Alternative Textaccount_circle
event
สิทธิบัตรทอง รู้ไว้ไม่เสียสิทธิ์
สิทธิบัตรทอง รู้ไว้ไม่เสียสิทธิ์

สิทธิบัตรทอง ดูแลทุกคน ทุกช่วงวัย รักษาฟรี แถมเพิ่มการดูแลและป้องกันก่อนเกิดโรค ลดอัตราการเจ็บป่วย และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ รีบเลยรู้สิทธิ์ไว้ไม่เสียโอกาส

สิทธิบัตรทอง เพิ่มสิทธิ์ดูแลและป้องกันโรคให้ทุกช่วงวัยฟรี!!

เมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บ นอกจากจะกังวลเรื่องเกี่ยวกับโรคที่เป็นแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เรามักจะห่วงนั่นคือ ค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายในการรักษา แต่ปัจจุบันคนไทยเราหมดห่วง คลายกังวลกับเรื่องดังกล่าวลงไปได้ เมื่อเราทุกคนมีสิทธิบัตรทอง สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ช่วยคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลให้แก่ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย หากเพียงแค่เป็นคนไทย มีบัตรประชาชน เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาสามารถเข้ารับการรักษาได้ฟรี ในโรงพยาบาลตามสิทธิที่คุณได้เลือกไว้

รู้หรือไม่??

ในปัจจุบันสิทธิบัตรทอง ยังได้เพิ่มสิทธิ์นอกเหนือจากการช่วยรักษาโรคแล้ว ยังเพิ่มการดูแล ส่งเสริม และป้องกันก่อนการเกิดโรคให้แก่ผู้ได้รับสิทธิ์ทุกคน ทุกช่วงวัย ตั้งแต่แรกเกิด เพื่อให้เด็กมีพัฒนาการสมวัย สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ตลอดช่วงชีวิตฟรีอีกด้วย

บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) เป็นสิทธิประโยชน์เดียวในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่จัดให้กับประชาชนไทยทุกสิทธิ เป็นบริการสาธารณสุขที่ให้โดยตรงแก่บุคคลครอบครัว หรือกลุ่มบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ อัตราป่วย อัตราตายที่เป็นภาระโรคของประเทศ และส่งเสริมสุขภาพแม่และเด็ก บรรลุเป้าประสงค์ที่ต้องการให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของครัวเรือน

การสร้างเสริมสุขภาพ หมายความว่า บริการหรือกิจกรรมที่ให้โดยตรงแก่บุคคลครอบครัวหรือกลุ่มบุคคล เพื่อสร้างเสริมความตระหนักและขีดความสามารถของบุคคลในการดูแลสุขภาพของตนเอง
การป้องกันโรค หมายความว่า บริการหรือกิจกรรมทางการแพทย์ และสาธารณสุขที่ให้โดยตรงแก่บุคคล ครอบครัวหรือกลุ่มบุคคล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรค
สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า สปสช.
สิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า สปสช.

การเสริมสร้าง และป้องกันก่อนเกิดโรค ดีอย่างไร?

“การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” คำ ๆ นี้คงเป็นคำที่มนุษย์ทุกคนต้องการ อยากหลีกให้ห่างไกลจากความเจ็บป่วย แม้ว่าเราจะมีหลักประกันสุขภาพเอาไว้ให้อุ่นใจกันแล้วก็ตาม แต่การที่เราไม่มีโรคนั้นย่อมเป็นสิ่งที่น่าปรารถนากว่าเป็นไหน ๆ แต่จะทำอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งองค์ประกอบของการมีสุขภาพที่ดีมีอยู่หลายอย่าง เช่น
  • การรับประทานอาหาร ร่างกายต้องได้รับสารอาหารครบถ้วน เพราะสารอาหารแต่ละชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกันไป ดังนั้นเราจึงควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และถูกต้องตามหลักโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสม ก็จะช่วยป้องกันโรคและรักษาโรคได้
  • การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องหักโหม แต่เน้นความสม่ำเสมอจะดีกว่า การออกกำลังกายจึงควรเป็นไปอย่างเหมาะสมกับวัย สภาพร่างกาย และความถูกต้องของท่าทาง วิธีการด้วย
  • การนอนหลับพักผ่อน ซึ่งส่วนนี้นับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก บางคนให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายจนลืมไปว่าร่างกายตอนนั้นกำลังอ่อนเพลียอยู่หรือไม่ หากเรายังคงฝืนร่างกายต่อไป อาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดีที่จะได้รับเสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นการนอนหลับพักผ่อนที่เพียงพอจึงสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลโรค

การตรวจสุขภาพ รู้ก่อนรักษาได้เร็ว!!

การตรวจสุขภาพของผู้ที่ไม่เคยทราบว่าเป็นโรค ไม่มีอาการแสดงของการเจ็บป่วย เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง ภาวะผิดปกติ หรือโรค ซึ่งนำไปสู่การป้องกัน การปรับพฤติกรรม การส่งเสริมสุขภาพ หรือให้การบำบัดรักษาตั้งแต่ระยะแรก การการตรวจประเมินสุขภาพ ก่อนที่จะเริ่มมีอาการผิดปกติ เป็นสิ่งจำเป็น เพราะถึงแม้ว่าจะรับประทานอาหารที่ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนเพียงพอแล้ว แต่อาจมีภาวะบางอย่างแอบแฝงอยู่ในตัวเรา โดยที่ยังไม่แสดงอาการผิดปกติ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง เป็นต้น ซึ่งโรคเหล่านี้เราสามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้ค้บพบโรค อันจะนำไปสู่ การรักษาตั้งแต่ในระยะแรก ก่อนที่จะลุกลามจนยากที่จะเยียวยารักษา ดังนั้น ความจำเป็นในการตรวจสุขภาพ มีดังนี้

ตรวจสุขภาพ รู้ก่อนรักษาไว ลดการเกิดโรคร้ายแรง
ตรวจสุขภาพ รู้ก่อนรักษาไว ลดการเกิดโรคร้ายแรง
  • เป็นการค้นหาโรคที่แอบแฝงหรือแนวโน้มที่จะเกิดโรค ซึ่งหากพบตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น จะช่วยให้รักษาให้หายได้และยังช่วยไม่ให้ลุกลามรุนแรงได้
  • เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการรักษา เพราะค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียสำหรับการ รักษาย่อมสูงกว่าการตรวจเพื่อป้องกันการเกิดโรค
  • ช่วยให้ปรับเปลี่ยนทัศนคติในการใช้ชีวิตประจำวันต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทาน อาหาร การออกกำลังกาย และการพักผ่อนทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง เป็นที่มาของการมีจิตใจ ที่ผ่อนคลายและใจที่มีความสุข

ดังนั้นด้วยเหตุและปัจจัยดังกล่าวทำให้ สิทธิบัตรทองได้เพิ่มสิทธิประโยชน์ในด้านการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคให้แก่ผู้มีสิทธิทุกคน โดยมีขอบเขตดังนี้

  • การตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาภาวะเสี่ยงต่อการเสียสุขภาพและศักยภาพที่เอื้ออำนวยต่อการสร้างเสริมสุขภาพ
  • การสร้างเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การให้คำปรึกษาแนะนำ การให้ความรู้และการสาธิตเพื่อสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
  • การสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน การใช้ยา และการทำหัตถการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค
ทั้งนี้ไม่รวมถึงการเฝ้าระวัง และการป้องกันไม่ให้ผู้ที่ป่วยมีอาการแทรกซ้อนหรือการชะลอความรุนแรงของการป่วย โดยให้ถือว่าบริการดังกล่าวเป็นกิจกรรมด้านการรักษาพยาบาล

5 กลุ่มช่วงวัย รับสิทธิประโยชน์สร้างเสริม และป้องกันโรค ฟรี!!

สิทธิบัตรทอง มอบสิทธิ์พิเศษให้แก่ 5 กลุ่มช่วงวัย
สิทธิบัตรทอง มอบสิทธิ์พิเศษให้แก่ 5 กลุ่มช่วงวัย

 

สิทธิประโยชน์จากสิทธิบัตรทองที่จะได้รับ จำแนกตามกลุ่มวัยออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ และหลังคลอด สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ
  1. ทดสอบการตั้งครรภ์
  2. ตรวจครรภ์ และประเมินความเสี่ยง
  3. ตรวจครรภ์ด้วยอัลตร้าซาวด์
  4. ตรวจเลือดคัดกรองภาวะซีด ซิฟิลิส เอชไอวี ตับอักเสบบี ธาลัสซีเมีย และดาวน์ซิมโดรม
  5. ตรวจปัสสาวะ
  6. ฉีดวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก
  7. ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่
  8. ได้รับยาบำรุงเสริมธาตุเหล็ก โฟลิก และไอโอดีน
  9. ให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
  10. ตรวจช่องปาก และฟัน ขัดและทำความสะอาดฟัน ขูดหินปูน
  11. ประเมินสุขภาพจิต
  12. ตรวจหลังคลอด และคุมกำเนิด
  13. ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
  14. สมุดบันทึกสุขภาพ

 

กลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0-5 ปี สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ

  1. ฉีดวัคซีนป้องกันวัณโรค ตับอักเสบบี บาดทะยัก คอตีบ ไอกรน โปลิโอ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ อุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรต้า หัด หัดเยอรมัน คางทูม ไข้หวัดใหญ่ และไข้สมองอักเสบเจอี
  2. ตรวจเลือดคัดกรองภาวะพร่องไทรอยด์ (โรคเอ๋อ) ภาวะซีด การติดเชื้อเอชไอวี
  3. ชั่งน้ำหนัก ส่วนสูง เพื่อติดตามการเจริญเติบโต
  4. ตรวจคัดกรองพัฒนาการ
  5. ตรวจช่องปากและฟัน เคลือบฟลูออไรด์
  6. การให้ยาไทรอกซิน ป้องกันภาวะพร่องไทรอยด์ ยาบำรุงเสริมธาตุเหล็ก  ยาต้านไวรัสเอชไอวี
  7. ตรวจคัดกรองสายตา
  8. สมุดบันทึกสุขภาพ และพัฒนาการ
ตรวจคัดกรองปัญหาสายตา หนึ่งใน สิทธิบัตรทอง
ตรวจคัดกรองปัญหาสายตา หนึ่งใน สิทธิบัตรทอง

กลุ่มเด็กโต และวัยรุ่นอายุ 6-24 ปี สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ

  1. ฉีดวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก
  2. ฉีดวัคซีนเอชพีวีป้องกันมะเร็งปากมดลูก (สำหรับนักเรียนหญิง ป.5 )
  3. ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง เพื่อติดตามการเจริญเติบโต
  4. ตรวจเลือด คัดกรองภาวะซีด เอชไอวี
  5. ตรวจช่องปาก และฟัน
  6. ตรวจวัดความดันโลหิต
  7. ตรวจคัดกรองสายตา และการได้ยิน
  8. คัดกรองความเสี่ยงจากการสูบบุหรี สุรา สารเสพติด
  9. เคลือบฟลูออไรด์ และหลุมร่องฟัน
  10. ให้ยาบำรุงเสริมธาตุเหล็ก
  11. ตรวจวัดสายตา ตัดแว่นตา หากมีภาวะสายตาผิดปกติ (สำหรับนักเรียน ป.1)
  12. ให้คำปรึกษาป้องกัน และแก้ไข การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น และการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
  13. การคุมกำเนิด
  14. การให้คำปรึกษา แนะนำด้านสุขภาพ
สิทธิบัตรทอง ดูแลทุกช่วงวัยตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึงวัยชรา
สิทธิบัตรทอง ดูแลทุกช่วงวัยตั้งแต่ตั้งครรภ์ถึงวัยชรา

กลุ่มผู้ใหญ่ อายุ 25-59 ปี สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ

  1. ฉีดวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก
  2. ตรวจวัดความดันโลหิจ
  3. ตรวจเลือดคัดกรองเบาหวาน เอชไอวี
  4. คัดกรองความเสี่ยงจากการสูบบุหรี่ สุรา สารเสพติด
  5. คัดกรองปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด
  6. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
  7. ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ ( 50-70 ปี )
  8. เคลือบฟลูออไรด์
  9. ให้ยาบำรุงเสริมธาตุเหล็ก
  10. การป้องกัน และแก้ไขการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์
  11. การคุมกำเนิด
  12. การให้ความรู้ตรวจเต้านมด้วยตนเอง
  13. การให้คำปรึกษาแนะนำด้านสุขภาพ

กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สิทธิประโยชน์ที่จะได้รับ

  1. ฉีดวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก
  2. ตรวจประเมินความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน (ADL)
  3. ตรวจวัดดัชนีมวลกาย ความดันโลหิต
  4. ตรวจเลือดคัดกรองเบาหวาน เอชไอวี
  5. คัดกรองปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง
  6. คัดกรองโรคซึมเศร้า
  7. ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ (50-70 ปี)
  8. การเคลือบฟลูออไรด์
  9. การให้ความรู้ออกกำลังกาย การฝึกสมองป้องกันโรคสมองเสื่อม
  10. การให้ความรู้ ตรวจเต้านมด้วยตนเอง
  11. การให้คำปรึกษาแนะนำด้านสุขภาพ

    รู้ไว้ไม่เสียสิทธิ์ ดูแลสุขภาพให้ดีก่อนป่วย
    รู้ไว้ไม่เสียสิทธิ์ ดูแลสุขภาพให้ดีก่อนป่วย

รู้ไว้ไม่เสียสิทธิ์… คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจัดสรรงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีการบริการสร้างเสริมสุขภาพ และบริการป้องกันโรคให้กับประชาชนคนไทยอย่างทั่วถึง ทุกกลุ่มวัย ตั้งแต่แรกเกิด ตลอดช่วงชีวิต เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่สายด่วนโทร. 1330

ข้อมูลอ้างอิงจาก bumrungrad.com/www.facebook.com/NHSO.Thailand/healthserv.net

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

เงินสงเคราะห์บุตร 800 เงินสงเคราะห์บุตร เข้าวันไหน เช็กเลย!

10 วิธีรับมือ คนท้องนอนไม่หลับ ขยับไปขยับมาจนฟ้าสว่าง!

อนุมัติ! เพิ่ม เงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษ เยียวยาโควิด

กรมอนามัยเผย คนท้องติดเชื้อโควิด เสี่ยงป่วยหนัก แนะฉีดวัคซีนป้องกัน! หลังอายุครรภ์ 12 สัปดาห์

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ร่วมมือกับ TikTok ให้บริการและคำปรึกษาเชิงกลยุทธ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อเชื่อมแบรนด์กับวัฒนธรรมบนชุมชนออนไลน์ สร้างการเติบโตแก่ธุรกิจแบบออร์แกนิค

Alternative Textaccount_circle
event

ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย จับมืออย่างเป็นทางการกับ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก สร้างบริการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ครบวงจร สำหรับแบรนด์ที่ต้องการใช้ครีเอเตอร์ เพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจแบบออร์แกนิค

19 พฤษภาคม 2564 – ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส (IPG Mediabrands) มีเดีย เอเยนซี่ชั้นนำของประเทศไทยและของโลกร่วมมืออย่างเป็นทางการกับ TikTok แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก ให้บริการและคำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ สำหรับแบรนด์ที่ต้องการใช้ครีเอเตอร์หรือผู้ผลิตเนื้อหา เพื่อสร้างการเติบโตแก่ธุรกิจแบบออร์แกนิค (Creator Organic Growth Service) โดยบริการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์นี้มาจากแนวคิดของทั้ง 2 บริษัท ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส และ TikTok ที่ต้องการเป็นผู้นำและผู้ริเริ่มผลักดันให้แบรนด์ใช้ความคิดสร้างสรรค์จากผู้ผลิตเนื้อหาหรือครีเอเตอร์ ในการสร้างสรรค์เนื้อหาเพื่อเชื่อมแบรนด์กับวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มออนไลน์ จนนำไปสู่การสร้างศูนย์กลางวัฒนธรรมของชุมชน บนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างแท้จริง ซึ่งจะส่งผลดีในเชิงธุรกิจแบบออร์แกนิคให้กับแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ โดย TikTok  จะให้คำปรึกษาและข้อมูลเชิงลึกแก่ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส เพื่อใช้สร้างกลยุทธ์ทางการตลาดแก่แบรนด์ที่เป็นลูกค้ากับทางเอเยนซี่ และให้มั่นใจว่าครีเอเตอร์และเนื้อหาที่แบรนด์ได้จัดทำขึ้น เชื่อมโยงและสอดคล้องกับวัฒนธรรมบนสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์

ดร. ธราภุช จารุวัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “การร่วมมืออย่างเป็นทางการระหว่าง ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส กับ TikTok นี้ อยู่ในกรอบความมุ่งมั่นตลอดระยะเวลา 3 ปีเพื่อให้ลูกค้าของไอพีจี มีเดียแบรนด์สทั่วโลก สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและการฝึกอบรมของ TikTok อีกทั้งเป็นโอกาสที่ดี เพื่อร่วมกันพัฒนาวัฒนธรรมออนไลน์ สร้างเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการสื่อสารการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในอนาคต”  ขณะที่คุณกนกวรรณ คุณาเรืองโรจน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายซื้อสื่อโฆษณา ของแม็กนา (MAGNA) ประเทศไทย ซึ่งแม็กนาเป็นหน่วยธุรกิจภายใต้ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส ที่ร่วมงานกับทาง TikTok โดยตรง กล่าวถึงการร่วมมือในการสร้างบริการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์แบบครบวงจรว่า “การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด (COVID-19) ส่งผลให้การใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งแอปพลิเคชั่น โซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของแบรนด์ในการเพิ่มมูลค่าการตลาดให้ตัวเอง ด้วยการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะ TikTok หนึ่งในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่กำลังได้รับความนิยมจากคนไทย รวมทั้งไอพีจี มีเดียแบรนด์สกับ TikTok เป็นพาร์ทเนอร์ที่ดี ร่วมมือกันสร้างสรรค์บริการให้แก่ลูกค้าในเชิงธุรกิจมาตลอด โดยบริการ “Creator Organic Growth Service” นั้น นอกจากเรื่องของธุรกิจแล้ว เรายังมีจุดมุ่งหมายให้ทุกคนเรียนรู้พลังจากการสร้างเนื้อหา และวัฒนธรรมของชุมชนบนแพลตฟอร์มออนไลน์ด้วย”

ทั้งนี้ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส และ TikTok  ยังคงมุ่งมั่นที่จะคิดค้นวิธีการและบริการใหม่ ๆ ในการส่งเสริมความหลากหลาย ความเท่าเทียมและการสร้างวัฒนธรรมเพื่อชุมชน ทั้งในและนอกแพลตฟอร์มของทั้ง 2 บริษัท เพื่อพัฒนาเป็นกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ต่อองค์กรและสังคมต่อไป

 

เกี่ยวกับ แม็กนา

แม็กนา เป็นหน่วยธุรกิจหนึ่งภายใต้ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส (IPG Mediabrands) สำหรับแม็กนา ประเทศไทย นำทีมโดยคุณกนกวรรณ คุณาเรืองโรจน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายซื้อสื่อโฆษณา และทีมงานที่มาพร้อมประสบการณ์ในแวดวงมีเดีย เอเจนซี่กว่า 16 ปี โดยทำให้กับทั้งแบรนด์ไทยและแบรนด์ระดับโลกในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การเงินและการธนาคาร รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ด้วยความเชี่ยวชาญในการใช้กลยุทธ์การเลือกสื่อ แม็กนา ประเทศไทย ได้ร่วมสร้างความสำเร็จ ให้หลากหลายแบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคด้วยสื่อต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

 

เกี่ยวกับ ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส

ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส (IPG Mediabrands) คือองค์กรระดับโลกที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารและการวิเคราะห์ข้อมูลที่อยู่ในเครือ Interpublic Group (NYSE: IPG) เราบริหารและดูแลการลงทุนทางด้านการสื่อสารการตลาดให้กับลูกค้าที่มีมูลค่ารวมกันกว่า 3,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ใน 130 ประเทศทั่วโลก โดยมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสื่อสารรวมตัวกันมากกว่า 10,000 คน

เกี่ยวกับ TikTok

TikTok คือ แพลตฟอร์มสร้างสรรค์วิดีโอสั้นชั้นนำระดับโลก พันธกิจของ TikTok คือ การจุดประกายความคิดสร้างสรรค์และมอบความสุขให้กับผู้คน TikTok มีสำนักงานอยู่ทั่วโลก ได้แก่ ลอสแอนเจลิส นิวยอร์ค ลอนดอน ปารีส เบอร์ลิน ดูไบ มุมไบ สิงคโปร์ จาการ์ตา โซล และโตเกียว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่  www.tiktok.com 

มีลูกต่างเพศ

6 ข้อดี ของการ มีลูกต่างเพศ สิ่งที่ลูกชายลูกสาวได้เรียนรู้จากกันและกัน

Alternative Textaccount_circle
event
มีลูกต่างเพศ
มีลูกต่างเพศ

มีลูกต่างเพศ – ความผูกพันแบบพี่น้อง เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเหมือน โดยเฉพาะพี่น้องที่เป็นเพศตรงข้าม ที่สามารถสอนหลายสิ่งได้มากมายเกี่ยวกับการใช้ชีวิต เพราะการต่อสู้ในชีวิตของพี่น้องผู้หญิงและผู้ชายนั้นแตกต่างกัน ในขณะที่หลายคนอาจโต้แย้งว่าการเลี้ยงพี่น้องเพศเดียวกันนั้นง่ายกว่าการเลี้ยงพี่น้องต่างเพศ แต่ความจริงการมีพี่น้องต่างเพศนั้นมีข้อดีมากมายสำหรับทั้งคู่ โดยทั่วไปการแข่งขัน และการทะเลาะเบาะแว้ง ระหว่างพี่น้องต่างเพศมักน้อยกว่า พวกเขามีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากกว่าและมีความอดทนต่อพี่น้องมได้ดี ซึ่งต่อไปนี้เป็นเหตุผลหกประการที่ทำให้ความผูกพันระหว่างพี่ชายและน้องสาวไม่เหมือนใครค่ะ

6 ข้อดีของการ มีลูกต่างเพศ สิ่งที่ลูกชายลูกสาวได้เรียนรู้จากกันและกัน

1. ได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเพศตรงข้าม

ผู้ที่มีพี่น้องเป็นเพศเดียวกันอาจเติบโตขึ้นด้วยการมองเพศตรงข้ามเป็นเรื่องลึกลับ บ้านที่เต็มไปด้วยเด็กผู้หญิงอาจไม่ได้รับความสุขจากการพูดคุยตลกเฮฮา หรือได้รู้จักกับการต่อสู้ เล่นเจ็บตัว และการทำลายล้างของเด็กผู้ชาย บ้านที่เต็มไปด้วยเด็กผู้ชายนั้นอาจนึกภาพเสียงกรีดร้องของเด็กหญิงไม่ออก และอาจไม่ได้พบกับการทะเลาะเบาะแว้ง งอนตุ๊บป่องกันด้วยเรื่องแบบผู้หญิงๆ

เมื่อคุณมีลูกต่างเพศ ลูก ๆ ของคุณจะมีโอกาสได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเพศตรงข้าม ตัวอย่างเช่น เด็กผู้ชายอาจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับรอบเดือนและเรียนรู้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดต่อช่วงเวลานั้นของเดือน เด็กผู้หญิงอาจเรียนรู้เกี่ยวกับอารมณ์ในแบบของเด็กผู้ชาย หรือเรื่องกลิ่นตัว เป็นต้น

นอกจากนี้พี่น้องเป็นเพศตรงข้ามจะได้เผชิญกับสิ่งที่ดีและไม่ดีเกี่ยวกับเด็กชายและเด็กหญิง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจมากนักเมื่อคุณเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ การต้องรอคอยใครนานๆ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับเด็กผู้ชายที่มีน้องสาว และเด็กผู้หญิงที่มีพี่น้องผู้ชายก่อนเข้าห้องน้ำอาจต้องตรวจความสะอาดที่นั่งในห้องน้ำให้ดีก่อน

ในบางกรณีเมื่อคุณมีลูกชายและลูกสาว หรือมีลูกชายมากกว่าหนึ่งคนกับลูกสาวหนึ่งคน เด็กหญิงจะมีโอกาสมากขึ้นในการขยายความสนใจในกิจกรรมและทางเลือกต่างๆ ที่อาจถูกปิดกั้นด้วยเรื่องข้อจำกัดของเพศ สิ่งนี้ทำให้เด็กผู้หญิงมีความสนใจและความสามารถที่หลากหลายได้เมื่อเธอโตขึ้น

มีลูกต่างเพศ
มีลูกต่างเพศ

ที่สำคัญ การได้มีลูกต่างเพศยังเป็นประโยชน์สำหรับพ่อแม่ มันทำให้คุณเป็นพ่อแม่ที่เข้าใจนิสัยใจคอและวิธีจัดการกับเด็กได้ทั้งสองเพศ ช่วยให้คุณได้ฝึกฝนทักษะ และเทคนิคการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน คุณจะได้ฝึกฝนการเลี้ยงดูที่หลากหลาย เมื่อลูกชายและลูกสาวอายุมากขึ้น คุณจะพบว่าคุณต้องใช้วิธีในการเลี้ยงดูหรือการใช้จิตวิทยาในการเลี้ยงพวกเขาในรูปแบบที่แตกต่างกัน

2. มีการแข่งขันโดยธรรมชาติน้อยกว่า

เราไม่ได้บอกว่าพี่ชายและน้องสาวจะไม่มีการแข่งขันแบบพี่น้อง แต่พวกเขาจะไม่มีการแข่งขันแบบพี่น้องเพศเดียวกันทำ พวกเขาจะไม่แข่งขันกันเพื่อเป็นพี่สาวที่ดีที่สุดหรือพี่ชายที่ดีที่สุด นอกจากนี้การเปรียบเทียบระหว่างพี่ชายและน้องสาวมักน้อยกว่า พวกเขาจะไม่เปรียบเทียบรูปลักษณ์ของพวกเขากับอีกฝ่ายหรือความสามารถทางกายภาพของพวกเขา การแข่งขันเพื่อให้เป็น “ที่หนึ่ง” ไม่ได้มีผลเมื่อคุณเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงคนเดียวในบ้าน พวกเขาเพียงแค่ต้องเป็นลูกชาย หรือลูกสาวที่ดีที่สุด เว้นแต่จะมีพี่น้องอีกคนเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งทำให้เรื่องซับซ้อนมากขึ้น แต่โดยรวมแล้วครอบครัวมักจะคาดหวังสิ่งที่แตกต่างกันออกไปจากเด็กชายและเด็กหญิง

สิ่งที่อาจเห็นข้อได้เปรัยบที่ชัดเจนของการมีลูกต่างเพศ คือ การต่อสู้โดยใช้ความรุนแรงระหว่างพี่น้องมักไม่เกิดขึ้น สิ่งนี้ช่วยให้คุณมีช่วงเวลาที่สงบสุขมากขึ้นในบ้าน พี่น้องต่างเพศมักจะไม่ใช้ห้องนอนร่วมกันเป็นเวลานาน และสามารถมีพื้นที่ส่วนตัวห่างจากพี่น้องของตนได้ การมีช่วงเวลาที่สงบสุขมากขึ้นในบ้านเป็นวิธีที่ดีในการมุ่งเน้นไปที่การสร้างความผูกพันกับลูก ๆ ของคุณแทนที่จะต้องปวดหัวกับการต้องคอยห้ามพี่น้องไม่ให้ทะเลาะกัน

นอกจากนี้ แม้ว่าลูก ๆ ของคุณอาจไม่เห็นข้อได้เปรียบนี้ในตอนนี้ แต่พี่น้องต่างเพศจะมีความสุขที่ไม่ต้องใช้ห้องนอนหรือเสื้อผ้าแม้แต่ของเล่นที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของแต่ละเพศร่วมกัน แม้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ที่สำคัญ คือ ลูกของคุณจะทะเลาะกันน้อยลง เนื่องจากพี่น้องต่างเพศไม่จำเป็นต้องแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้กันบ่อยเท่ากับพี่น้องเพศเดียวกัน

พี่น้อง แย่งของเล่น พ่อแม่ควรทำยังไง? ไม่ให้พี่น้อยใจที่ต้องเสียสละให้น้อง!

เลี้ยงลูกให้พี่น้องรักกันคุณเองก็ทำได้!

ทำไม พี่น้องนิสัยต่างกัน ทั้งที่เลี้ยงเหมือนกัน? โดย พ่อเอก

3. ได้เล่นของเล่นที่หลากลาย

เมื่อคุณมีทั้งเด็กชายและเด็กหญิงเป็นธรรมดาที่ในบ้านคุณอาจมีของเล่นที่เหมาะกับเด็กทั้งสองเพศ และลูก ๆ ของคุณจะมีโอกาสได้เล่นกับของเล่นทั้งสองแบบนั้น เด็กผู้ชายอาจเล่นกับตุ๊กตาของพี่สาวและเด็กผู้หญิงก็ได้ทำความรู้จักกับ เครื่องมือรถยนต์และยอดมนุษย์ฮีโร่ด้วยเช่นกัน พวกเขายังมีโอกาสได้เรียนรู้ว่าอาจชอบอะไรก็ได้ที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นของเล่นของเด็กเพศใดก็ตาม การมีของเล่นที่ผสมผสานระหว่างเพศเป็นประโยชน์สำหรับทุกคน เมื่อพี่น้องเล่นด้วยกันพวกเขาแต่ละคนจะนำมุมมองใหม่ๆ มาพูดคุยกันได้เสมอ

4. พัฒนาความรู้สึกอยากปกป้องพี่น้องเพศตรงข้าม

เมื่อคุณมีพี่ชายและน้องสาวความผูกพันของพวกเขามักรวมถึงความรู้สึกต้องการดูแลและปกป้อง ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุและใครเกิดก่อน แต่ในการเปลี่ยนแปลงของพี่น้องส่วนใหญ่ พี่น้องที่มีอายุมากกว่าจะรู้สึกอยากปกป้องดูคนที่อายุน้อยกว่าซึ่งสิ่งนี้สามารถดำเนินต่อไปในวัยผู้ใหญ่ได้เช่นกัน

มีลูกต่างเพศ

5. พี่น้องช่วยเหลือกันด้วยความเข้าใจ

จากการศึกษาพบว่าผู้ชายที่เติบโตมากับพี่สาวน้องสาวมีความเข้าใจอารมณ์ที่หลากหลายและทำให้เป็นคนที่เข้าใจโลกได้ดีขึ้น การศึกษาของมหาวิทยาลัยบริคัมยังก์ ในหัวข้อ School of Family Life พบว่าการมีน้องสาวสามารถเพิ่มสุขภาพจิต และความมั่นใจในตนเองได้ พี่สาวน้องสาวก็เป็นเหมือนกาวใจที่ยึดครอบครัวไว้ด้วยกันในฐานะพี่น้อง น้องสาวมีแนวโน้มที่จะติดต่อกับครอบครัวพูดคุยมากขึ้นและติดต่อกันได้ดีขึ้นแม้ว่าพ่อแม่จะเสียชีวิตไปแล้วก็ตาม การศึกษายังพบว่าพี่สาวทำให้คุณมีความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจมากขึ้น และผู้ชายที่เติบโตมาพร้อมกับน้องสาวมีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นและเข้าใจอารมณ์และวิธีแสดงออกต่อเพศตรงข้ามได้ดีขึ้น การศึกษาของมหาวิทยาลัยบริคัมยังก์พบว่าความสัมพันธ์รักใคร่กับพี่สาวน้องสาว สามารถปกป้องเด็กชายจากความรู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกผิด ประหม่า หรือหวาดกลัวในช่วงวัยรุ่นได้

สอนให้พี่น้องรักกัน ด้วย 7 วิธีง่ายๆ ในการปลูกฝังที่พี่คนโต

5 กลยุทธ์สงบศึก พี่น้องทะเลาะกัน

เทคนิคการเลี้ยงลูก 2 คน พี่น้องรักกัน ไม่อิจฉากัน

6. พี่น้องได้นำสิ่งที่ดีที่สุดมอบให้กันและกัน

พี่น้องเพศตรงข้ามมักให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และแสดงความสามารถของตัวเอง แต่ละคนมีบทบาทในครอบครัวที่ต่างกัน พวกเขามักไม่อยากแข่งขันกัน แต่พวกเขามักจะให้การสนับสนุนให้กำลังใจซึ่งกันและกันมากกว่าพี่น้องเพศเดียวกัน นอกจากนี้ พี่น้องต่างเพศยังมีอิสระในการทำอะไรของตัวเองมากขึ้น เพราะพี่น้องเพศเดียวกันกำลังแข่งขันกับตัวเองมากกว่า

อย่างไรก็ตามสิ่งที่พี่ชายน้องสาวได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันแม้จะมีความได้เปรียบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างแล้วสิ่งสำคัญคือรูปแบบการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่จะช่วยให้การอยู่ร่วมกันของพี่น้องนั้นมีความสงบสุขและเด็กๆ จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมจากการมีพี่น้อง พ่อแม่ที่มีลูกมากกว่าหนึ่งคนนอกจากจะเป็นพ่อแม่แล้วยังต้องเป็นกรรมการอีกด้วย ดังนั้นคำว่ากรรมการ การให้ความยุติธรรมนั้นคือสิ่งที่จำเป็นต่อลูก  นอกจากนี้การสั่งสอนเลี้ยงดูลูกๆ ในช่วงวัยที่พวกเขาได้เรียนรู้ความเป็นพี่น้อง พ่อแม่ต้องคอยชี้แนะให้เหมาะสม ความได้เปรียบของการมีพี่น้องต่างเพศจะทำงานได้ดี ปลูกฝังให้เด็กๆ เกิดทักษะความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ หลากหลายด้าน เช่น

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : moms.com , semidelicatebalance.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

คลิปสุดน่ารักพี่สาวปล่อยโฮ บอกไม่อยากให้น้องชายโตเลยค่ะ

พี่ชายสุดฮา เซอร์ไพร้สวันเกิดน้องสาวด้วยทุเรียน

เชื่อหรือไม่? ข้อดีของการมีน้องสาว ช่วยให้คนเป็นพี่มีความสุขได้!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อาหารไฟเบอร์สูง

หามาทานเลย! 22 แหล่ง อาหารไฟเบอร์สูง เหมาะสำหรับคนถ่ายยาก!

Alternative Textaccount_circle
event
อาหารไฟเบอร์สูง
อาหารไฟเบอร์สูง

อาหารไฟเบอร์สูง – ทราบหรือไม่ว่าไฟเบอร์ มีความสำคัญอย่างไม่น่าเชื่อ ไฟเบอร์มีประโยชน์ต่อสุขภาพของมนุษย์มากมาย ไฟเบอร์ในอาหารบางประเภทอาจช่วยส่งเสริมการลดน้ำหนัก ลดระดับน้ำตาลในเลือด และต่อสู้กับอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี Academy of Nutrition and Dietetics แนะนำให้บริโภคไฟเบอร์ประมาณ 14 กรัมต่อทุกๆ 1,000 แคลอรี่ที่คุณบริโภคในแต่ละวัน ซึ่งคิดเป็นไฟเบอร์ประมาณ 24 กรัมสำหรับผู้หญิง และ 38 กรัมสำหรับผู้ชาย  น่าเสียดายที่ประมาณ 95% ของผู้ใหญ่และเด็กไม่ได้รับไฟเบอร์ในปริมาณที่แนะนำต่อวัน  แต่ยังโชคดีที่การเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ของคุณนั้นค่อนข้างง่ายเพียงแค่เพิ่มอาหารที่มีเส้นใยสูงไปในมื้ออาหารของคุณ!

ไฟเบอร์คืออะไร?

ไฟเบอร์ หรือใยอาหาร เป็นคำเฉพาะที่ใช้กับคาร์โบไฮเดรตทุกประเภทที่ร่างกายของคุณย่อยไม่ได้ การที่ร่างกายของคุณไม่ใช้ไฟเบอร์เป็นเชื้อเพลิงไม่ได้ทำให้มันมีคุณค่าต่อสุขภาพโดยรวมของคุณ

เมื่อคุณบริโภคใยอาหารสามารถให้ประโยชน์ดังต่อไปนี้:

  • ลดคอเลสเตอรอล การมีไฟเบอร์ในระบบทางเดินอาหารสามารถช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณใช้ยากลุ่ม statin ซึ่งเป็นยาเพื่อลดคอเลสเตอรอลและใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีเส้นใยเช่นเส้นใยไซเลียม
  • ส่งเสริมน้ำหนักที่ดีต่อสุขภาพ อาหารที่มีกากใยสูงเช่นผักและผลไม้มักจะมีแคลอรีต่ำ นอกจากนี้การมีอยู่ของเส้นใยสามารถชะลอการย่อยอาหารในกระเพาะอาหารเพื่อช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มนานขึ้น
  • เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ผู้ที่ต่อสู้กับอาการท้องผูก หรือระบบย่อยอาหารที่ไม่ค่อยดี การเพิ่มไฟเบอร์ในอาหารช่วยแก้ปัญหาได้ ไฟเบอร์ตามธรรมชาติจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับทางเดินอาหารเนื่องจากร่างกายของคุณไม่ย่อยมัน สิ่งนี้ช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำการขับถ่ายได้ดี
  • ส่งเสริมการควบคุมน้ำตาลในเลือด ร่างกายของคุณอาจใช้เวลานานขึ้นในการย่อยอาหารที่มีเส้นใยสูง สิ่งนี้ช่วยให้คุณรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สม่ำเสมอมากขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • ลดความเสี่ยงมะเร็งระบบทางเดินอาหาร การรับประทานไฟเบอร์อย่างเพียงพอจะมีผลในการป้องกันมะเร็งบางชนิดรวมทั้งมะเร็งลำไส้ด้วย ยกตัวอย่าง ไฟเบอร์บางชนิด เช่น เพคตินในแอปเปิ้ลอาจมีคุณสมบัติคล้ายสารต้านอนุมูลอิสระ

ไฟเบอร์ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่สิ่งสำคัญคือต้องค่อยๆ ทานอาหารที่มีเส้นใยทีละน้อยๆ ในช่วง 2-3 วันแรก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น ท้องอืด และก๊าซในกระเพราะอาหาร

การดื่มน้ำมาก ๆ ในขณะที่คุณเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ให้ร่างกายอาจช่วยให้อาการเหล่านี้ดีขึ้นได้

ต่อไปนี้เป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง 22 ชนิดที่ดีต่อสุขภาพและน่าพึงพอใจ

หามาทานเลย! 22 แหล่ง อาหารไฟเบอร์สูง เหมาะสำหรับคนถ่ายยาก!

1. ลูกแพร์ (3.1 กรัม)

ลูกแพร์เป็นผลไม้ยอดนิยมที่ทั้งอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ เป็นแหล่งไฟเบอร์จากผลไม้ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่ง

ลูกแพร์มีปริมาณไฟเบอร์ : 5.5 กรัม ในลูกแพร์ดิบขนาดกลาง หรือ 3.1 กรัมต่อ ลูกแพร์ 100 กรัม

2. สตรอเบอร์รี่ (2 กรัม)

สตรอเบอร์รี่เป็นทางเลือกที่อร่อยและดีต่อสุขภาพที่สามารถรับประทานสดๆ ได้ และอร่อยด้วย

ที่น่าสนใจก็คือพวกมันยังเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารหนาแน่นมากที่สุดที่คุณสามารถรับประทานได้อีกด้วย มีวิตามินซี แมงกานีส และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพมากมาย ลองทำสมูทตี้สตรอเบอร์รี่กล้วยดูอร่อยไม่เบาเลยนะ

สตรอเบอร์รี่มีปริมาณไฟเบอร์: 3 กรัม ต่อสตรอเบอร์รี่สด 1 ถ้วยตวง หรือ 2 กรัม ต่อสตรอเบอร์รี่ 100 กรัม

อาหารไฟเบอร์สูง
อาหารไฟเบอร์สูง

3. อะโวคาโด (6.7 กรัม)

อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ รสชาติหวานมัน เต็มไปด้วยไขมันที่ดีต่อสุขภาพ!

อะโวคาโดมีวิตามินซี โพแทสเซียม แมกนีเซียม วิตามินอี และวิตามินบีหลายชนิดสูงมาก นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย

อะโวคาโดมีปริมาณไฟเบอร์: 10 กรัมในอะโวคาโดดิบ 1 ถ้วยตวง หรือ 6.7 กรัม ต่ออะโวคาโด 100 กรัม

อาหารไฟเบอร์สูง

4. แอปเปิ้ล (2.4 กรัม)

แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่อร่อยที่สุด!และน่าพึงพอใจที่สุด ที่คุณสามารถรับประทานได้ นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์ค่อนข้างสูง การใส่แอปเปิ้ลสลัดเป็นความคิดที่ดี!

แอปเปิ้ลมีปริมาณไฟเบอร์: 4.4 กรัมในแอปเปิ้ลดิบขนาดกลางหรือ 2.4 กรัม ต่อแอปเปิ้ล 100 กรัม

5. ราสเบอร์รี่ (6.5 กรัม)

ราสเบอร์รี่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีรสชาติเข้มข้นมาก เต็มไปด้วยวิตามินซีและแมงกานีส

ปริมาณไฟเบอร์: ราสเบอร์รี่ดิบ 1 ถ้วยตวง มีไฟเบอร์  8 กรัม หรือ 6.5 กรัมต่อราสเบอร์รี่ 100 กรัม

อาหารไฟเบอร์สูง

6. กล้วย (2.6 กรัม)

กล้วยเป็นแหล่งสารอาหารที่ดีมากมายรวมทั้งวิตามินซีวิตามินบี 6 และโพแทสเซียม

กล้วยสีเขียวหรือยังไม่สุกยังมีแป้งที่ต้านทานอยู่จำนวนมากซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยไม่ได้ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเส้นใย ลองใช้แซนวิชเนยถั่วเพื่อทานโปรตีนด้วย

ปริมาณไฟเบอร์: กล้วยขนาดกลาง 3.1 กรัมหรือ 2.6 กรัมต่อ 100 กรัม

ผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูงอื่น ๆ
บลูเบอร์รี่: 2.4 กรัมต่อ 100 กรัม
แบล็กเบอร์รี่: 5.3 กรัมต่อ  100 กรัม

7. แครอท (2.8 กรัม)

แครอทเป็นผักที่มีรสชาติอร่อยมีความกรุบกรอบ และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

มีวิตามินเควิตามินบี 6 แมกนีเซียม และเบต้าแคโรทีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายของคุณ

โยนแครอทหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าลงในซุปที่ใส่ผักครั้งต่อไปเป็นความคิดที่ดี!

ปริมาณไฟเบอร์: 3.6 กรัมในแครอทดิบ 1 ถ้วยตวง หรือ 2.8 กรัมต่อ 100 กรัม

8. บีทรูท (2.8 กรัม)

บีทรูทหรือบีทรูทเป็นผักรากที่มีสารอาหารสำคัญหลายชนิดเช่นโฟเลตเหล็กทองแดงแมงกานีสและโพแทสเซียม

หัวบีทยังเต็มไปด้วยไนเตรตอนินทรีย์ซึ่งเป็นสารอาหารที่แสดงให้เห็นว่ามีประโยชน์มากมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความดันโลหิตและประสิทธิภาพการออกกำลังกาย

ให้พวกเขาไปในสลัดบีทรูทเลมอนดิจอนนี้

ปริมาณไฟเบอร์: 3.8 กรัมต่อหัวบีทรูทดิบ 1 หัว หรือ 2.8 กรัมต่อ 100 กรัม

9. บร็อคโคลี (2.6 กรัม)

บร็อคโคลีเป็นผักตระกูลกะหล่ำและเป็นหนึ่งในอาหารที่มีสารอาหารหนาแน่นที่สุดในโลก

เต็มไปด้วยวิตามินซีวิตามินเคโฟเลตวิตามินบีโพแทสเซียมเหล็กและแมงกานีสและมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารต้านมะเร็ง

บร็อคโคลียังมีโปรตีนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับผักส่วนใหญ่ เราชอบเปลี่ยนให้เป็นสลัดเพื่อการใช้งานที่หลากหลาย

ปริมาณไฟเบอร์: 2.4 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง หรือ 2.6 กรัมต่อ 100 กรัม

10. อาติโช๊ค (5.4 กรัม)

อาติโช๊คไม่ได้พาดหัวข่าวบ่อยนัก อย่างไรก็ตามผักชนิดนี้มีสารอาหารมากมายและเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

รอจนกว่าคุณจะลองคั่ว

ปริมาณไฟเบอร์: 6.9 กรัมในอาติโช๊ค 1 ลูก หรือ 5.4 กรัมต่อ 100 กรัม

อาหารไฟเบอร์สูง
อาติโช๊ค

11. กะหล่ำปลี (3.8 กรัม)

กะหล่ำปลีเป็นผักตระกูลกะหล่ำที่เกี่ยวข้องกับบรอกโคลี

มีวิตามินเคโพแทสเซียมโฟเลตและสารต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพในการต่อต้านมะเร็งสูงมาก

ลองใช้กะหล่ำบรัสเซลส์ย่างกับแอปเปิ้ลและเบคอนหรือราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลซามิก

ปริมาณไฟเบอร์: 3.3 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง หรือ 3.7 กรัมต่อ 100 กรัม

ผักที่มีเส้นใยสูงอื่น ๆ
ผักเกือบทุกชนิดมีไฟเบอร์จำนวนมาก ตัวอย่างที่น่าสนใจอื่น ๆ ได้แก่ :

  • คะน้า: 3.6 กรัม
  • ผักโขม: 2.2 กรัม
  • มะเขือเทศ: 1.2 กรัม

(ค่าที่ได้คิดคำนวณเฉพาะจากผักดิบ)

12. ถั่วฝักยาว (7.3 กรัม)

ถั่วเลนทิลมีราคาถูกมากและเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด มีโปรตีนสูงมากและเต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญมากมาย

ปริมาณไฟเบอร์: ถั่วปรุงสุก 13.1 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง หรือ 7.3 กรัมต่อ 100 กรัม (26 แหล่งที่เชื่อถือได้)

13. ถั่วดำและถั่วแดง (6.8 กรัม)

ถั่วรูปไต เช่นถั่วดำ และถั่วแดง เป็นพืชตระกูล ที่ได้รับความนิยมในการบริโภค เช่นเดียวกับพืชตระกูลถั่วอื่น ๆ พวกมันเต็มไปด้วยโปรตีนจากพืชและสารอาหารต่างๆ

ปริมาณไฟเบอร์: ถั่วสุก 12.2 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง หรือ 6.8 ต่อถั่ว 100 กรัม

14. ถั่วลันเตา (8.3 กรัม)

ถั่วลันเตาทำจากเมล็ดถั่วที่แห้งแยกและปอกเปลือก มักจะเห็นในซุปถั่วลันเตาหลังวันหยุดที่มีแฮม

ปริมาณไฟเบอร์: ถั่วสุก 13.6 กรัมต่อถ้วย หรือ 8.3 กรัม ต่อถั่ว 100 กรัม

15. ถั่วชิกพี (7 กรัม)

ถั่วชิกพีเป็นพืชตระกูลถั่วอีกชนิดหนึ่งที่เต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย รวมทั้งแร่ธาตุและโปรตีน

ปริมาณไฟเบอร์: ถั่วชิกพีปรุงสุก 12.5 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง หรือ 7.6 ต่อ 100 กรัม (แหล่งที่เชื่อถือ 29)

พืชตระกูลถั่วที่มีเส้นใยสูงอื่น ๆ
พืชตระกูลถั่วส่วนใหญ่มีโปรตีนไฟเบอร์และสารอาหารต่างๆสูง เมื่อได้รับการปรุงอย่างถูกต้องก็จะเป็นหนึ่งในแหล่งโภชนาการที่มีคุณภาพราคาถูกที่สุดในโลก

พืชตระกูลถั่วที่มีเส้นใยสูงอื่น ๆ ได้แก่ :

ถั่วดำปรุงสุก: 8.7 กรัม
Edamame ปรุงสุก: 5.2 กรัม
ถั่วลิมาสุก: 7 กรัม
ถั่วอบ: 5.5 กรัม

16. ควินัว (2.8 กรัม)

ควินัว (Quinoa) เป็นธัญพืชที่ที่ได้รับความนิยมอย่างไม่น่าเชื่อในหมู่คนรักสุขภาพในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

ควินัวเต็มไปด้วยสารอาหารมากมาย เช่น โปรตีน แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี โพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ

ปริมาณไฟเบอร์: ควินัวสุก 5.2 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง หรือ 2.8 ต่อ 100 กรัม

17. ข้าวโอ๊ต (10.1 กรัม)

ข้าวโอ๊ตเป็นธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพที่สุดในโลกก็ว่าได้ ในข้าวโอ๊ตมีวิตามินแร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก

มีเส้นใยที่ละลายน้ำได้ที่มีประสิทธิภาพเรียกว่าเบต้ากลูแคน ซึ่งมีผลประโยชน์ที่สำคัญต่อระดับน้ำตาลในเลือด และระดับคอเลสเตอรอล

ข้าวโอ๊ตค้างคืนกลายเป็นวัตถุดิบหลักสำหรับอาหารเช้าง่ายๆ

ปริมาณไฟเบอร์: ข้าวโอ๊ตดิบ 16.5 กรัมต่อ 1 ถ้วยตวง หรือ 10.1 กรัมต่อ 100 กรัมแหล่งที่เชื่อถือได้ (แหล่งที่เชื่อถือได้ 36)

18. ป๊อปคอร์น (14.4 กรัม)

หากเป้าหมายของคุณคือการเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ ป๊อปคอร์นอาจเป็นอาหารว่างที่ดีที่สุดที่คุณสามารถรับประทานได้

จริงอยู่ที่ป๊อปคอร์น มีไฟเบอร์สูงแต่อย่างไรก็ตามหากคุณเพิ่มไขมันลงในป๊อปคอร์นปริมาณไฟเบอร์ต่อแคลอรี่ที่ร่างกายจะได้รับจะลดลงอย่างมาก

ปริมาณไฟเบอร์: 1.15 กรัมต่อป๊อปคอร์น 1 ถ้วยตวง หรือ 14.4 กรัมต่อป๊อปคอร์น 100 กรัม

19. อัลมอนด์ (13.3 กรัม)

อัลมอนด์เป็นถั่วต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยม

มีสารอาหารมากมายรวมทั้งไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น วิตามินอี แมงกานีส และแมกนีเซียม

ปริมาณไฟเบอร์: 4 กรัมต่อ 3 ช้อนโต๊ะ หรือ 13.3 กรัมต่อ 100 กรัม

20. เมล็ดเจีย (34.4 กรัม)

เมล็ดเจียเป็นเมล็ดสีดำขนาดเล็กที่ได้รับความนิยมอย่างมากในแวดวงสุขภาพแนวชีวจิต

มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีแมกนีเซียม ฟอสฟอรัส และแคลเซียมในปริมาณสูง

เมล็ดเจียอาจเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดีที่สุดในโลก! ลองผสมลงในแยมหรือกราโนล่าบาร์แบบโฮมเมดดูสิ

ปริมาณเไฟเบอร์: เมล็ดเจียแห้ง 9.75 กรัมต่อ 1 ออนซ์ หรือ 34.4 กรัม ต่อ 100 กรัม

ถั่วและเมล็ดพืชที่มีเส้นใยสูงอื่น ๆ
ถั่วและเมล็ดพืชส่วนใหญ่มีไฟเบอร์จำนวนมาก ตัวอย่าง ได้แก่ :

  • มะพร้าวสด : 9 กรัม
  • ถั่วพิสตาชิโอ : 10 กรัม
  • วอลนัท : 6.7 กรัม
  • เมล็ดทานตะวัน : 11.1 กรัม
  • เมล็ดฟักทอง 6.5 กรัม (40 แหล่งที่เชื่อถือได้ 41 แหล่งที่เชื่อถือได้ 42 แหล่งที่เชื่อถือได้ 43 แหล่งที่เชื่อถือได้ 44 แหล่งที่เชื่อถือได้)

(ค่าทั้งหมดคำนวณจากปริมาณต่อ 100 กรัม)

21. มันเทศ (2.5 กรัม)

มันเทศนอกจากมีรสชาติหวานอร่อย ยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีเบต้าแคโรทีน วิตามินบี และแร่ธาตุต่างๆ สูงมาก

ปริมาณไฟเบอร์: มันเทศต้มขนาดกลาง (ไม่มีผิว) มีเส้นใย 3.8 กรัม หรือ 2.5 กรัมต่อ 100 กรัม

22. ดาร์กช็อกโกแลต (10.9 กรัม)

ใครจะคิดว่าดาร์กช็อกโกแลตมีปริมาณไฟเบอร์สูง ทั้งยังมีสารอาหารสูงอย่างน่าประหลาดใจและเป็นหนึ่งในอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย!

ควรเลือกดาร์กช็อกโกแลตที่มีโกโก้ 70–95% ขึ้นไปและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใส่น้ำตาลเพิ่ม

ดาร์กช็อกโกแลต ปริมาณไฟเบอร์ : 3.1 กรัมต่อ 1 ออนซ์ (โกโก้ 70–85%) หรือ 10.9 กรัมต่อ 100 กรัม

ไฟเบอร์เป็นสารอาหารสำคัญที่อาจส่งเสริมการลดน้ำหนักลดระดับน้ำตาลในเลือดและต่อสู้กับอาการท้องผูก คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับปริมาณที่แนะนำต่อวันคือ 25 กรัมสำหรับผู้หญิงและ 38 กรัมสำหรับผู้ชาย

ลองเพิ่มอาหารข้างต้นบางอย่างในอาหารของคุณเพื่อเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ได้อย่างง่ายดาย

การให้ความสำคัญต่ออาหารการกิน เมื่อคุณมีลูก คุณสามารถปลูกฝังเรื่องการทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ให้ลูกได้รู้ว่า พวกเขาควรทานอย่างไร อาหารแบบไหนควรทาน ควรทานให้น้อย หรือไม่ควรทาน อาหารแบบไหนที่เป็นโทษต่อร่างกายควรสอนให้ลูกรู้จักหลีกเลี่ยง และที่สำคัญคือการทำให้ลูกเห็นเป็นตัวอย่างเพราะเด็กๆ มักมีพ่อแม่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต นอกจากการใส่ใจ และให้ความสำคัญต่อการมีสุขภาพดีด้วยเรื่องโภชนาการจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคุณและลูกแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมและเสริมสร้างให้ลูกเกิดความฉลาดรอบด้านซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตอย่าง ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี  (HQ) ได้ด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

14 อาหาร เสริมภูมิคุ้มกันลูก ช่วยให้ลูกไม่ป่วยง่าย!

อย่ามองข้าม ไอโอดีน สารอาหารสำคัญ ที่จำเป็นต่อทุกวัย!

วิจัยชี้! เด็กที่กิน อาหาร 5 หมู่ ไม่ครบ อาจเตี้ยกว่าเพื่อน 20 ซม.

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกคบเพื่อนนิสัยดี

สอนให้ ลูกคบเพื่อน นิสัยดี และเป็นเพื่อนที่ดี สอนกันได้!

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกคบเพื่อนนิสัยดี
ลูกคบเพื่อนนิสัยดี

ลูกคบเพื่อน –  เมื่อลูกเข้าสู่วัยเรียน อีกสิ่งหนึ่งที่พ่อแม่เป็นกังวลแน่นอนคือ เรื่องการคบเพื่อนของลูก แม้ความจริงเราไม่อาจเลือกเพื่อนให้ลูกของเราได้ แต่เราสามารถสอนการเลือกคบเพื่อนที่ดีหรือเหมาะสมให้กับพวกเขาได้โดยแสดงให้ลูกได้เห็นวิธีการเลือกเพื่อน ตลอดจนการเป็นเพื่อนที่ดีของเด็กคนอื่นก็สำคัญเช่นเดียวกัน มิตรภาพที่ดีของคำว่าเพื่อนคือการรู้สึกไว้ใจซึ่งกันและกัน การสนับสนุนให้กำลังใจและการจัดการกับความขัดแย้งโดยไม่ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่าย เมื่อบุตรหลานของคุณเริ่มสร้างความเป็นเพื่อนและเลือกเพื่อนพวกเขาจะตัดสินใจเลือกคบเพื่อนได้อย่างถูกต้อง และเป็นเพื่อนที่ดีของเด็กๆ คนอื่นได้ค่ะ

สอนให้ ลูกคบเพื่อน นิสัยดี และเป็นเพื่อนที่ดี สอนกันได้!

ธรรมชาติของเด็กก่อนอายุสี่ขวบ เด็ก ๆ จะฝึกและเรียนรู้ที่จะเล่นร่วมกัน โดยที่พวกเขามีส่วนร่วมในเกมของตนเองและการสำรวจต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง หลังจากอายุสี่ขวบเด็กๆ จะปรับตัวให้เข้ากับการต้องเล่นร่วมกันกับเพื่อนมากขึ้นพวกเขาจะรู้จักการประนีประนอมและเอาใจใส่ในความรู้สึกของผู้อื่นได้ดีขึ้น

ส่วนใหญ่แล้วการเริ่มต้นมิตรภาพกับเด็กคนอื่น การได้รับการเลี้ยงดูจากการมีส่วนร่วมของพ่อแม่มีส่วนสำคัญอย่างมาก ความเป็นเพื่อนจะแสดงให้เห็นผ่านความสัมพันธ์ของคุณเองกับเพื่อนของคุณ คุณกำลังแสดงให้ลูก ๆ ของคุณเห็นวิธีการสื่อสารกับผู้อื่น การแบ่งปัน ให้กำลังใจ และคุณสมบัติที่ควรมองหาในการเป็น “เพื่อน”

ค่อยๆแนะนำบุตรหลานของคุณด้วยคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีที่เพื่อนปฏิบัติต่อกันส่งเสริมให้พวกเขาเป็น “ เพื่อนร่วมทาง” และไม่กีดกันเมื่อพูดถึงกลุ่มใหญ่ที่เล่นด้วยกันรวมถึงวิธีตอบสนองต่อแรงกดดันจากเพื่อนและพฤติกรรมที่ไม่ดี

ลูกคบเพื่อน
ลูกคบเพื่อน

สร้างแบบจำลองประเภทของมิตรภาพที่คุณต้องการให้ลูกมี วิธีที่คุณพูดกับผู้คน วิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อคุณ และพวกเขาทำให้คุณรู้สึกอย่างไร เด็ก ๆ มักจะเฝ้าดู และนี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สำคัญของคำแนะนำเบื้องต้นที่พวกเขาพึ่งพาคุณ

นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ มิตรภาพที่ดีสร้างขึ้นจากการสอนลูกให้เป็นเพื่อนที่ดี และการสอนลักษณะที่จำเป็นในการรักษามิตรภาพ คนที่เราเลือกที่จะใช้เวลาด้วยสามารถกำหนดชีวิตของเราได้ เช่นเดียวกับอันตรายที่อาจเกิดจากการเลือกเพื่อนผิด

นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเป็นพ่อแม่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องคอยชี้แนะพวกเขาในการเลือกมิตรภาพที่ดีและยั่งยืน ซึ่งจะทำให้พวกเขาเติบโตในฐานะมนุษย์และสอนให้พวกเขากลายเป็นเพื่อนที่ดีและมีเพื่อนที่ดีได้

ลูกคบเพื่อน

ต่อไปนี้เป็น 10 วิธีในการสอนลูกเกี่ยวกับการหาเพื่อนที่ดีและหมาะสม

  1. เป็นแบบอย่างที่ดี คุณแม่สามารถช่วยลูกเลือกสิ่งที่ดีกว่าได้โดยการสร้างแบบจำลองประเภทของมิตรภาพที่ดีสำหรับลูกของคุณผ่านทางรูปแบบการปฏิบัติที่คุณมีต่อเพื่อนของคุณ โดยธรรมชาติแล้วเด็ก ๆ จะมองแม่และเพื่อนของแแม่เป็นหลักในการเลือกของตนเอง การเป็นแบบอย่างยังหมายถึงการแสดงให้ลูกเห็นว่ามิตรภาพที่ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างไร โดยการเป็นเพื่อนที่ดีด้วยตัวคุณเอง อธิบายให้ลูกฟังว่าทำไมคุณถึงมีเพื่อน คุณเคยผ่านอะไรมาด้วยกันและพวกเขาสนับสนุนหรือให้ความสำคัญกับลูกอย่างไร
  2. เพื่อนที่ดีจะไม่รังแกกัน พ่อแม่จำเป็นต้องสอนเด็กๆ ให้สามารถจัดการกับคนพาลในโรงเรียน สิ่งสำคัญคือต้องอธิบายว่าลูกสามารถเลือกคนที่พวกเขาจะรวมไว้ในวงสนทนาและการเล่นและคนที่จะยกเว้นได้ คนที่ดูถูกตลอดเวลาและพูดคำพูดเชิงลบหรือมีพฤติกรรมโน้มเอียงไปสู่การข่มขู่ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อนที่ดี สอนลูกของคุณให้ยืนหยัดต่อสู้กับคนเหล่านี้ เพื่อที่ลูกสามารถแยกแยะบุคลิกลักษณะของเด็กที่ไม่น่าคบและตัดออกจากวงสนทนาได้ด้วยตัวเอง
  3. เพื่อนที่ดีจะไม่นินทาว่าร้ายกัน ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดสำหรับเด็กมากไปกว่าการได้ยินคนที่พวกเขามองว่าเป็นเพื่อนที่พูดถึงพวกเขา วิธีที่ดีในการทดสอบลักษณะของบุคคลคือการพิจารณาสิ่งนี้ หากพวกเขานินทาคนอื่นๆ พวกเขามักจะนินทาคุณ เพื่อนที่ดีเคารพผู้อื่นแม้กระทั่งคนที่พวกเขาคิดว่าน้อยกว่าตัวเองและปกป้องศักดิ์ศรีและความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายผ่านการให้เกียรติข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่เป็นส่วนตัวและเป็นส่วนตัว
    เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะระบายให้พ่อแม่ฟังเกี่ยวกับบางสิ่งที่พวกเขาผิดหวังหรือต้องการความช่วยเหลือในการทำความเข้าใจ แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กในวัยเรียนเมื่อกลุ่มคนเริ่มก่อตัวและเริ่มมีแรงกดดันจากเพื่อนการพูดไม่ดีเกี่ยวกับเพื่อนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและ มี แต่จะทำร้ายอีกฝ่าย
    ฝึกเล่นบทบาทสมมติที่บ้าน ลูกสาวของคุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าเพื่อนสนิทของเธอเริ่มสนุกกับเสื้อผ้าของเธอหรือวิธีที่เธอพูดคุยกับผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่โรงเรียน เป็นการยากที่จะยุติการได้รับการนินทาและการสวมบทบาทเป็นตัวสร้างการเอาใจใส่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเด็ก ๆ ที่จะจดจำว่า “รู้สึกอย่างไร” เมื่ออยู่ในรองเท้าของคนอื่น
    สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันหากลูกของคุณได้ยินคนอื่นพูดไม่ดีเกี่ยวกับเพื่อนของเธอให้กระตุ้นให้เธอยืนหยัดเพื่อเพื่อนของเธอ การเป็นเพื่อนที่ดีหมายถึงการภักดีและยึดมั่นซึ่งกันและกันในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อลูกของคุณเรียนรู้ที่จะเลือกคบเพื่อนที่เหมาะสมคนที่พูดจาไม่ดีเกี่ยวกับอีกคนจะไม่คบเพื่อนที่ดี เพื่อนที่ไม่ดีอาจพูดจาไม่ไพเราะ แต่ก็ไม่รับฟังไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นและอาจเพิกเฉยหรือสร้างความสนุกสนานให้กับผู้อื่น
  4. เพื่อนที่ดีจะให้กำลังใจในเชิงบวก มนุษย์ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้รู้สึกสมบูรณ์ทางใจในสังคมที่ดี และรู้สึกย่ำแย่สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ คนที่ดูถูกคนอื่นตลอดเวลาไม่ใช่เพื่อนที่ดีที่ควรเลือกคบ ความสร้างสภาวะแวดล้อมที่เป็นพิษต่อความรู้สึกอย่างสม่ำเสมอจะส่งผลกระทบต่อลูกของคุณและส่งผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจของพวกเขา เพื่อนแท้มักพร้อมที่จะสนับสนุนในช่วงเวลาที่ดีและอยู่เคียงข้างให้กำลังใจในช่วงเวลาย่ำแย่ เพื่อนเห็นอกเห็นใจกันเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกเศร้าเสียใจ และมีความสุขตื่นเต้นไปกับความสำเร็จของเพื่อน
    เมื่อเพื่อนๆ ของลูกของคุณกำลังมีความยากลำบากในชีวิต หรือมีเหตุการณ์ที่น่ายินดี ให้สอนลูกของว่า ควรชื่นชมและแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเพื่อน หรือช่วยเหลือพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
  5. เพื่อนที่ดีต้องเข้าใจคำว่า ‘ไม่’ ของเรา เพื่อนที่ดีจะไม่สนับสนุนให้คุณทำสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจ เมื่ออธิบายให้พวกเขาฟังว่าคุณไม่ต้องการบางสิ่งหรือไม่ต้องการทำบางสิ่ง พวกเขาควรยอมรับคำว่า “ไม่” หรือการปฏิเสธของคุณ เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับคุณและความคิดเห็นของคุณ คนที่ไม่สามารถยอมรับคำว่า ‘ไม่’ หรือการปฏิเสธของเพื่อนได้ อาจเป็นเพื่อนที่ดีไม่ได้ เพราะการควบคุมและการจัดการชีวิตของเพื่อนมากเกินไปคงไม่ใช่มิตรภาพที่แท้จริง
  6. ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เพื่อนที่ดียอมรับคุณหูดและทั้งหมด พวกเขาไม่ได้พยายามแก้ไขคุณเสมอไปและปรากฏตัวเป็นคนที่สมบูรณ์แบบที่ถูกส่งมาเพื่อนำคุณไปในทางที่ถูกต้องและเปลี่ยนแปลงคุณ สอนลูกของคุณว่าแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่สมบูรณ์แบบสำหรับหลาย ๆ คน แต่สำหรับหลาย ๆ คนพวกเขาก็สมบูรณ์แบบเหมือนที่พวกเขาเป็นอยู่แล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้อง ‘แก้ไข’ เพื่อให้น่ารักมากขึ้น
    อยู่ห่างจาก ‘เพื่อน’ เหล่านี้! การรักษาช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้างกับบุตรหลานของคุณจะแจ้งเตือนคุณเมื่อพวกเขาสร้างเพื่อนที่ชอบเปิดเผยช่องโหว่และจุดอ่อนของพวกเขาและโดยทั่วไปแล้วใครที่ทำให้พวกเขารู้สึกมีหมัด
  7. เพื่อนที่ดีแบ่งปันความสนใจร่วมกัน ช่วยลูกของคุณและเพื่อน ๆ ได้สำรวจความสนใจของพวกเขา และค้นหาสิ่งที่เหมือนกันที่พวกเขาสามารถสนุกกับการทำร่วมกัน และช่วยส่งเสริมความสนใจของพวกเขาด้วยการสนับสนุนพวกเขาได้มีกิจกรรมพิเศษ
    สิ่งที่สวยงามที่สุดเกี่ยวกับมิตรภาพคือความสามารถในการเดินเคียงข้างมนุษย์อีกคนหนึ่งที่แบ่งปันความรู้สึกและความหลงใหลในเรื่องหรือกิจกรรมบางอย่างร่วมกัน อาจเป็นงานศิลปะหรือการทำอาหารหรือการเล่นกีฬาหรือการปลูกต้นไม้
    กระตุ้นให้บุตรหลานของคุณรู้จักเพื่อนๆ ที่ชอบในงานอดเรกแบบเดียวกับพวกเขา และให้การสนับสนุนมิตรภาพเหล่านี้ เช่นจัดให้เด็กผู้ชาย ได้ไปชมการแข่งขันกีฬาด้วยกัน หรือให้เด็กผู้หญิงได้เรียนบัลเลต์ด้วยกัน
  8. เพื่อนที่ดีจะเข้าใจในความเป็นเรา วิธีหนึ่งที่ลูกของคุณสามารถบอกได้ว่าใครเป็นเพื่อนที่ดี คือเด็กอีกคนหนึ่งแสดงความสนใจในตัวพวกเขาในฐานะบุคคลหรือไม่ เพื่อนที่ดีจะถามคำถามเกี่ยวกับคุณและรับฟังจากนั้นจะตอบกลับและแบ่งปัน สอนเด็ก ๆ เกี่ยวกับการให้และการรับมิตรภาพ และวิธีที่เพื่อนสนับสนุนซึ่งกันและกันและแสดงความสนใจซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ควรมีความสมดุลและวิธีหนึ่งในการประเมินความสมดุลนี้คือถามว่าฉันรู้จักพวกเขา และพวกเขารู้จักฉันไหม
  9. สอนให้ลูกจัดการกับความไม่พอใจอย่างถูกต้อง เป็นเรื่องปกติที่เพื่อน ๆ จะมีความขัดแย้งกันเป็นครั้งคราวและเมื่อพวกเขาปะทะกันเช่นเดียวกับที่ทำกับพ่อแม่และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพี่น้องสิ่งสำคัญคือต้องมาร่วมมือกันและสื่อสารกัน เด็กที่มีความมั่นใจจะเปิดใจยอมรับความรับผิดชอบในส่วนของความไม่เห็นด้วยมากขึ้น ยินดีที่จะขอโทษและก้าวต่อไป
  10. ไม่ลืมเพื่อนเก่าเมื่อมีเพื่อนใหม่ เป็นเรื่องสนุกของเด็กๆ ที่ได้อยู่กับผู้คนใหม่ ๆ และเข้าร่วมกลุ่มเพื่อนใหม่ แต่อย่าลืมเตือนลูก ๆ ของคุณว่าการอยู่ร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญ อย่าทิ้งเพื่อน “เก่า” ไว้ข้างหลังเมื่อมีเพื่อนใหม่เข้ามาในชีวิต เมื่อบุตรหลานของคุณรู้จักเพื่อนใหม่โปรดแจ้งให้พวกเขาทราบว่าการทิ้งเพื่อนเก่าไม่ใช่มาตรฐานที่ดี ควรส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มกันระหว่างเพื่อนใหม่และเก่า แนะนำวิธีที่เพื่อนเก่าสามารถมีส่วนร่วมกับกลุ่มใหม่เพื่อช่วยในการรวมกลุ่มและสานมิตรภาพที่ดีเอาไว้ได้ดังเดิม
ลูกคบเพื่อน

การค่อยๆ ปลูกฝังให้ลูกเรียนรู้โลกของการคบเพื่อนและการเป็นเพื่อนที่ดี สิ่งสำคัญที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือการที่พวกเขามองพ่อแม่ที่เป็นแบบอย่างในการคบเพื่อน การปฏิบัติต่อเพื่อนของพ่อแม่ มีอิทธิพลอย่างมาก บวกกับการสอนเพิ่มเติมถึงลักษณะบุคลิคของคนที่น่าคบและไม่น่าคบว่าเป็นอย่างไรเช่นกัน เมื่อลูกเข้าสู่วัยเรียน และต้องก้าวเข้าสู่รั้วโรงเรียน พวกเขาจะได้ใช้ทักษะและความรู้ต่างๆ ที่พ่อแม่ปลูกฝังให้เมื่อยังอยู่ที่บ้านออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถ้าพวกเขาทำได้ดี ก็เท่ากับว่าการส่งเสริมทักษะความฉลาดรอบด้านให้ลูกด้วย Power BQ ในเรื่อง ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : thepragmaticparent.com , moms.com

คนท้องนอนไม่หลับ

10 วิธีรับมือ คนท้องนอนไม่หลับ ขยับไปขยับมาจนฟ้าสว่าง!

Alternative Textaccount_circle
event
คนท้องนอนไม่หลับ
คนท้องนอนไม่หลับ

คนท้องนอนไม่หลับ – การได้นอนหลับเต็มอิ่ม หลับสบายฝันดีในขณะตั้งครรภ์ อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก เมื่อการตั้งครรภ์ดำเนินไปเรื่อย ๆ ท้องของคุณแม่จะใหญ่ขึ้น การเตะของทารกจะแข็งแรงขึ้น และคุณจะรู้สึกว่าต้องลุกไปปัสสาวะทุก ๆ 20 นาที จนกลายเป็นเวลาส่วนใหญ่ที่หมดไปในการตื่นตอนกลางคืน  ทุกคนในครอบครัวอาจจะบอกให้คุณ “นอนได้แล้ว ทำไมยังไม่นอน” อาจดูเหมือนพูดง่าย แต่การจะให้คนท้องนอนหลับได้สบายเป็นสิ่งที่ทำได้ยากพอสมควร ไหนจะต้องเผชิญทั้ง อาการเสียดท้อง ตะคริวที่ขา และอื่นๆ อีกมากมายอยู่ทุกคืน แต่การอดนอนก็อาจเพิ่มความเสี่ยงที่ไม่พึงประสงค์ต่อมารดาและทารกในครรภ์ได้

การนอนหลับไม่เพียงพอ ส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์อย่างไร?

ทารกในครรภ์ที่กำลังพัฒนาต้องการสารอาหารต่อการเจริญเติบโตรวมทั้งออกซิเจนด้วยเช่นกัน เมื่อการนอนหลับถูกรบกวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการไหลเวียนของเลือดไปยังรกถูกขัดขวางอาจมีผลกระทบที่สำคัญเกิดขึ้น การนอนหลับโดยรวมไม่เพียงพออาจลดปริมาณฮอร์โมนการเจริญเติบโตที่ปล่อยออกมาซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาพัฒนาการหรือการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ เป็นที่เข้าใจกันดีว่าการลดลงเล็กน้อยของระดับออกซิเจนของมารดาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เมื่อออกซิเจนในเลือดของมารดาลดลง ทารกในครรภ์จะตอบสนองต่อการชะลอตัวของจังหวะการเต้นของหัวใจและภาวะเลือดเป็นกรด การไหลเวียนของเลือดไปยังทารกในครรภ์จะถึงจุดสูงสุดในระหว่างการนอนหลับและระดับออกซิเจนที่ลดลงระหว่างการนอนหลับอันเป็นผลมาจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับจะส่งผลกระทบที่สำคัญได้

 

จะเห็นได้ว่า  การนอนไม่พอของคนท้อง  ส่งผลกระทบมากมายกับทารกในครรภ์   ดังนั้นวันนี้เราเลยมีเคล็ดลับดีๆ ในการเอาชนะปัญหาการการนอนหลับขณะตั้งครรภ์  10 ข้อ ที่อาจช่วยให้แม่ท้องนอนหลับได้ดีขึ้นมาฝากกันค่ะ

10 วิธีรับมือ คนท้องนอนไม่หลับ ขยับไปขยับมาจนฟ้าสว่าง!

อ่านเคล็ดลับเพื่อการนอนหลับที่ดีขึ้นและสบายขึ้น สิ่งที่ร่างกายและจิตใจของคุณต้องการมากที่สุดในช่วงเวลายากลำบากนี้ คือการได้พักผ่อนอย่างมีประสิทธิภาพ ลองดู 10 ข้อต่อไปนี้อาจช่วยคุณได้ค่ะ

1. ดื่มน้ำให้มากเข้าไว้

พยายามดื่มน้ำให้มาก ๆ ในระหว่างวัน แต่ลดปริมาณลงก่อนนอน เพื่อลดการปัสสาวะบ่อยในตอนกลางคืน การให้ความชุ่มชื้นกับร่างกายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในระหว่างตั้งครรภ์ ทั้งนี้ก็เพื่อรองรับร่างกายที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อนที่มีอากาศร้อนคุณจะต้องแน่ใจว่าคุณได้รับความชุ่มชื้นอย่างเพียงพอ ต่อไปนี้เป็นประโยชน์บางประการของการดื่มน้ำให้เพียงพอในระหว่างตั้งครรภ์:

  • ลดอาการท้องผูก / ริดสีดวงทวาร
  • ลดอาการบวม
  • ทำให้ผิวนุ่ม
  • เพิ่มพลังงาน
  • ช่วยให้คุณเย็นขึ้น
  • ลดความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  • ลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดและการคลอดก่อนกำหนด

คนท้องนอนไม่หลับ
คนท้องนอนไม่หลับ

2. ออกกำลังกายได้นะแม่!

การออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับทุกเพศทุกวัยแม้แต่คนท้อง มันอาจดูยากสำหรับคนท้อง แต่รู้มั้ยคะ แม้แต่การเดินธรรมดาก็สามารถทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้นและช่วยลดอาการปวดขาในตอนกลางคืนได้!

ความจริงแล้วการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณมีสุขภาพที่ดี เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว การออกกำลังกายยังมีส่วนช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น มีการศึกษามากมายแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงเชิงบวกระหว่างการออกกำลังกายและการนอนหลับ

นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังมีประโยชน์เพิ่มเติมในการปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดขาในตอนกลางคืน ข้อแม้เดียวคือคุณอาจต้องการหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายตอนดึกหรือก่อนนอนเนื่องจากการออกกำลังกายร่างกายจะปล่อยอะดรีนาลีนออกมาซึ่งจะทำให้ร่างกายของคุณตื่นตัวตอนกลางคืนและอาจทำให้นอนหลับได้ยาก

นอกจากนี้ประโยชน์ของการออกกำลังกายก่อนคลอด คือ ช่วยลดความตึงเครียด  ความเครียดความวิตกกังวลและอารมณ์แปรปรวนอาจเป็นตัวการสำคัญในการรบกวนการนอนหลับฝันดี ลองตั้งเป้าหมายที่จะสงบจิตใจ (และร่างกาย) ด้วยอะไรก็ตามที่ทำให้คุณผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ ฟังเพลงพร้อมเดินไปรอบ ๆบ้าน  หรือ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ เป็นต้น

3. ทำสมองให้โล่งก่อนเข้านอน

ความเครียดและความวิตกกังวลเป็นตัวการสำคัญในการป้องกันไม่ให้นอนหลับฝันดี จำไว้ว่าการกังวลไม่ได้ช่วยคุณได้ แต่การพูดถึงปัญหาของคุณจะช่วยได้ หาเพื่อนหรือมืออาชีพที่สามารถรับฟังและช่วยเหลือคุณได้หากมีปัญหาในชีวิตที่ทำให้คุณกังวลหรือรู้สึกไม่สบายใจ

เคล็ดลับอีกอย่าง: หากต้องการคลายความกังวลก่อนที่จะเปิดเครื่องให้วางโน้ตบุ๊กไว้บนโต๊ะกลางคืน การนอนไม่หลับส่วนใหญ่ในหมู่ผู้หญิง preggo เกิดจากความเครียดที่ไม่ได้รับการแก้ไขโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปัญหาเกี่ยวกับทารก (แรงงานคุณจะเป็นอย่างไรในฐานะแม่การสร้างสมดุลระหว่างงานและครอบครัว ฯลฯ )

4. ปรับกิจวัตรก่อนนอน

หากคุณสร้างกิจวัตรตอนเย็นที่สม่ำเสมอด้วยวิถีที่ช่วยผ่อนคลาย และสร้างความสบายใจ คุณจะรู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับได้อย่างสบายขึ้น

เมื่อใกล้เข้านอนให้ลองผ่อนคลายด้วยวิธีเหล่านี้ :

  • ดื่มชาที่ไม่มีคาเฟอีนหรือนมอุ่น ๆ ผสมน้ำผึ้ง
  • ทานของว่างเล็กน้อย ลองใช้ถั่วลิสงหนึ่งกำมือและแครกเกอร์หรือซีเรียลโฮลเกรนกับนมพร่องมันเนย
  • อ่านหนังสือที่คุณชอบ
  • อาบน้ำอุ่น
  • ให้คนนวดไหล่ หรือแปรงผมเบาๆ

นอกจากนี้มีงานวิจัยที่ศึกษาและพบว่าการตื่นนอนและเข้านอนในเวลาเดียวกันในแต่ละวันจะช่วยให้คุณนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น

5. หมอนคนท้องช่วยให้หลับสบายขึ้น!

หลังจากการตั้งครรถ์ผ่านเข้าสู่สัปดาห์ที่ 20 แพทย์อาจแนะนำให้คุณนอนตะแคงซ้ายเท่านั้น เพื่อให้เลือดไหลเวียนไปยังทารกในครรภ์และไปยังมดลูกรวมถึงไตได้ดีที่สุด นั่นหมายความว่าความรู้สึกนอนสบายๆ เป็นสิ่งที่อาจทำได้ยากที่สุดในช่วงครึ่งหลังของการตั้งครรภ์ ลองใช้หมอนหนุนหนุนใต้เข่า และหมอนอีกใบหนุนท้อง หรืออาจซื้อหมอนรองครรภ์แบบเต็มตัวมาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย

หมอนสำหรับตั้งครรภ์แบบเต็มตัวอาจเหมาะกับคุณหาก:

  • คุณนอนตะแคง
  • คุณไม่เคลื่อนไหวมากในระหว่างการนอนหลับ

หากต้องการนอนโดยใช้หมอนสำหรับตั้งครรภ์แบบเต็มตัวให้วางหมอนลงบนเตียงแล้วโอบแขนไว้ ดึงหมอนเข้ามาใกล้คุณและหาตำแหน่งที่สบาย หมอนสำหรับตั้งครรภ์แบบเต็มตัวมีให้เลือก 2 แบบคือแบบตรงและแบบยืดหยุ่น

นอกจากนี้หมอนรองครรภ์รูปตัว C ก็สามารถช่วยให้คุณหลับสบายขึ้นด้วยเช่นกัน

หมอนสำหรับตั้งครรภ์รูปตัว C อาจเหมาะกับคุณหาก:

  • คุณมีอาการปวดหลัง
  • คุณต้องการการสนับสนุนแบบเต็มตัว

หากต้องการนอนโดยใช้หมอนสำหรับตั้งครรภ์รูปตัวซีให้วางหมอนไว้บนเตียงและกางหมอนออกเพื่อให้คุณสามารถปีนขึ้นไปได้อย่างง่ายดาย

วางส่วนโค้งของตัว“ c” ไปทางด้านหลังของคุณ ดึงส่วนบนของหมอนเข้าหาศีรษะและวางหมอนไว้ระหว่างต้นขา ด้านล่างของหมอนควรยาวถึงหน้าท้องของคุณซึ่งจะได้รับการหนุนจากหมอน

6. รักษาอาการเสียดท้อง

เพื่อป้องกันอาการเสียดท้อง ไม่ควรนอนเอนตัวหนึ่งหรือสองชั่วโมงหลังอาหาร หากมีปัญหาเรื่องอาการเสียดท้องให้นอนโดยยกศีรษะขึ้นบนหมอน นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด ของทอด หรืออาหารที่เป็นกรด (เช่นผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ) เพราะอาจทำให้อาการเสียดท้องที่ส่งผลต่อคุณภาพการนอนแย่ลงได้

คนท้องนอนไม่หลับ

7. งีบระหว่างวัน

หากคุณพักผ่อนไม่เพียงพอในตอนกลางคืนให้หาเวลางีบหลับเพื่อช่วยลดความเหนื่อยล้า  20 ถึง 30 นาที  อย่างไรก็ตามไม่ควรงีบหลับนานกว่านี้ การงีบหลับเป็นเวลานานสามารถทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าที่เคยเป็นมาก่อน

8. จดบันทึกอาหาร

หากลูกน้อยของคุณตอบสนองต่ออาหารรสเผ็ดหรือหวานโดยมีการตื่นตัวหรือดิ้นมากขึ้นอย่ารับประทานอาหารเหล่านี้ในมื้อเย็น มิฉะนั้นลูกถีบลูกเตะของลูกน้อยจะทำให้คุณตื่นหรือนอนไม่หลับตอนกลางคืนได้ นอกจากนี้ควรกำจัดปริมาณคาเฟอีนในร่างกายให้หมดหากคุณดื่มกาแฟ เพื่อป้องกันการนอนไม่หลับ ทางที่ดีควรงดกาแฟหลังอาหารกลางวัน ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแนะนำคาเฟอีนไม่เกิน 200 มิลลิกรัมหรือปริมาณในถ้วย 12 ออนซ์ กาแฟต่อวันหากคุณกำลังตั้งครรภ์

และถ้าหากอาการคลื่นไส้เป็นปัญหาสำหรับคุณ ให้ลองกินของว่างรสจืดบ่อยๆ (เช่นแครกเกอร์) ตลอดทั้งวัน การทำให้ท้องอิ่มเล็กน้อย จะช่วยให้อาการคลื่นไส้ได้ทุเลาลงได้ กินอาหารอย่างสมดุลไม่เพียงแต่สำคัญต่อสุขภาพของคุณและลูกน้อยเท่านั้น แต่การได้รับสารอาหารที่จำเป็นจะช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจซึ่งจะช่วยให้คุณนอนหลับสบายขึ้นได้

9. อากาศในห้องนอนไม่ควรร้อนเกินไป

ในระหว่างการตั้งครรภ์อุณหภูมิร่างกายของคุณสูงขึ้นดังนั้นหากคุณลดอุณหภูมิในห้องนอนลง ทั้งการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม และการสวมเสื้อผ้าที่บางเบาจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น

10. ทำสมาธิหรือร้องเพลงกล่อมลูกน้อยในท้อง

หากคุณตื่นขึ้นมาและมีปัญหาในการกลับไปนอนให้ฝึกหายใจลึก ๆ โดยใช้มือของคุณปิดหน้าท้องและจินตนาการว่าลูกน้อยของคุณนอนหลับอยู่ข้างในตัวคุณ เคล็ดลับน่ารักอีกอย่างคุณอาจร้องเพลงกล่อมเด็กให้ลูกฟัง ตอนนี้ลูกน้อยของคุณสามารถได้ยินเสียงคุณได้แล้ว ดังนั้นหากคุณร้องเพลงให้เขานอนหลับคุณก็อาจรู้สึกง่วงได้เช่นกัน และยังเป็นวิธีที่ดีสำหรับทารกในการทำความรู้จักกับเสียงของคุณ

ภาวะแทรกซ้อนของการนอนหลับไม่เพียงพอ

การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพออาจส่งผลเสียต่อสุขภาพและยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อหญิงตั้งครรภ์ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนของมารดา เช่น ความดันโลหิตสูง และเบาหวานขณะตั้งครรภ์ การนอนหลับโดยรวมไม่เพียงพอหรือการนอนหลับลึกที่ไม่ต่อเนื่อง อาจลดปริมาณฮอร์โมนการเจริญเติบโต ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาพัฒนาการหรือการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ การลดลงเล็กน้อยของระดับออกซิเจนของมารดาอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เมื่อออกซิเจนในเลือดของแม่ลดลง ทารกในครรภ์จะตอบสนองต่อการชะลอตัวของจังหวะการเต้นของหัวใจและภาวะเลือดเป็นกรดได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : parents.com , verywellfamily , nytimes.com  , verywellhealth.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกโลกส่วนตัวสูง

15 สิ่งที่ควรรู้ เมื่อ ลูกโลกส่วนตัวสูง ลูกชอบเก็บตัว จะรับมือยังไง?

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกโลกส่วนตัวสูง
ลูกโลกส่วนตัวสูง

ลูกโลกส่วนตัวสูง – คุณกำลังสับสนกับลูก ๆ ของคุณ เธอไม่ได้ทำตัวแบบที่คุณเคยทำเมื่อคุณโตขึ้น เธอลังเลและสงวนท่าที แทนที่จะดำน้ำเพื่อเล่นเธอแทนที่จะยืนดูเด็กคนอื่น ๆ เธอพูดคุยกับคุณอย่างพอดีและเริ่มต้น – บางครั้งเธอก็เดินเตร่เล่าเรื่องราวให้คุณฟัง แต่บางครั้งเธอก็เงียบและคุณคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นในหัวของเธอ เธอใช้เวลาอยู่คนเดียวในห้องนอนของเธอ ครูของเธอบอกว่าเขาต้องการให้เธอมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมากขึ้น ชีวิตทางสังคมของเธอ จำกัด อยู่ที่คนสองคน แม้จะดูแปลกกว่าเธอก็ดูโอเคกับสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง ขอแสดงความยินดี ลูกคุณเป็นเด็กชอบเก็บตัว!

ความจริงอาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่พ่อแม่ที่มีนิสัยเปิดเผยและไม่ใช่คนเก็บตัว มักจะมีความกังวลเกี่ยวกับลูกที่มีนิสัยชอบเก็บตัว พ่อแม่อาจสงสัยว่าพฤติกรรมของพวกเขาจะส่งผลดีต่อสุขภาพจิตใจและอารมณ์หรือไม่ แน่นอนว่าเด็ก ๆ สามารถมีอาการวิตกกังวล และซึมเศร้าได้เช่นเดียวกับผู้ใหญ่ สิ่งสำคัญคือต้องระวังอาการซึมเศร้าในวัยเด็กบางครั้งการปลีกตัวออกจากเพื่อน และครอบครัว อาการที่ดูไม่มีชีวิตชีวา  อาจส่งสัญญาณที่ไม่ดีบางอย่าง

อย่างไรก็ตามเด็กที่เก็บตัวหลายคน ไม่รู้สึกหดหู่หรือวิตกกังวลเลย พวกเขาประพฤติในแบบที่พวกเขาทำที่เป็นเพราะนิสัยใจคอที่แท้จริงของพวกเขาโดยกำเนิด และยิ่งคุณเข้าใจธรรมชาติของเด็กเก็บตัวมากเท่าไหร่ลูกของคุณก็จะมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่พ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูงควรรู้

15 สิ่งที่ควรรู้ เมื่อ ลูกโลกส่วนตัวสูง ลูกชอบเก็บตัว จะรับมือยังไง?

1. เข้าใจธรรมชาติของลูก ไม่มองว่าเป็นเรื่องผิดปกติหรือน่าอับอาย

ลักษณะนิสัยแบบ Introverts  คิดเป็น 30-50 เปอร์เซ็นต์ ของประชากร (ในสหรัฐอเมริกา) ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อย ในจำนวนนี้ มีทั้งผู้ที่มีชื่อเสียง นักแสดง พิธีกร ชื่อดังหลายคนที่ออกตัวว่ามีนิสัยแบบ Introvert ซึ่งคนเหล่านี้ล้วนประสบความสำเร็จในชีวิต เช่น บิล เกตส์ เอ็มม่า วัตสัน วาร์เรน บัฟเฟทท์ เจ เค โรว์ลิ่ง และ อับราฮัม ลินคอล์น เป็นต้น

2. ทำความเข้าใจว่านิสัยใจคอของบุตรหลานว่าเป็นเรื่องของชีววิทยา

สมองของคนเก็บตัว และคนเปิดเผยมีลักษณะแตกต่างกันตามที่ ดร.มาร์ติน โอลเซน แลนนี่ย์  ผู้เขียนหนังสือ “The Hidden Gifts of the Introverted Child” กล่าวว่า “นิสัยใจคอส่วนตัวของเด็กนั้นเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แม้ว่าพ่อแม่จะมีบทบาทสำคัญในการเลี้ยงดูปลูกฝังลักษณะนิสัยโดยรวมของเด็กก็ตาม”

สมองของ ผู้ที่มีโลกส่วนตัวสูง (Introverts) และ ผู้ที่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้อื่น (Extroverts)  มีระบบของสารสื่อประสาทที่แตกต่างกันมีการใช้สมองในระบบประสาทในส่วนที่แตกต่างกัน กล่าวคือ คนที่ชอบเก็บตัวจะใช้ระบบประสาทพาราซิมพาเทติคที่ควบคุมให้เกิดความรักสงบ ตรงข้ามกับสมองอีกด้าน ที่มักสั่งให้ต้องพบปะและสื่อสารกับผู้คนเพื่อตอบสนองความสมบูรณ์ทางจิตใจ

นอกจากนี้การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Neuroscience พบว่าคนที่ชอบเก็บตัว และรักสันโดษ ภายในเนื้อสมองจะมีสสารสีเทาขนาดใหญ่และหนากว่าคนอีกกลุ่มในเยื่อหุ้มสมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นพื้นที่ของสมองที่เกี่ยวข้องกับความคิดเชิงนามธรรมและการตัดสินใจ หากบุตรหลานของคุณมีแนวโน้มที่จะระมัดระวังท่าทีและสงวนตัวมากกว่าเพื่อนที่เปิดเผยตัวตนของเธอ โปรดมั่นใจได้ว่ามีเหตุผลทางชีววิทยาที่จะอธิบายสิ่งนี้ได้

ลูกโลกส่วนตัวสูง
ลูกโลกส่วนตัวสูง

3. แนะนำบุตรหลานของคุณให้รู้จักผู้คนใหม่ ๆ แบบไม่เร่งรัดหรือยัดเยียด

คนเก็บตัวมักจะรู้สึกหนักใจหรือวิตกกังวลในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ และการพบปะผู้คนใหม่ ๆ หากคุณจำเป็นต้องพาลูกออกงานสังคมต่างๆ  อย่าคาดหวังให้บุตรหลานของคุณยินดีกับการเข้าร่วมกิจกรรมนั้น หรือ หวังว่าลูกจะสามารถสนทนากับเด็กคนอื่น ๆ ภายในงานได้ในทันที ถ้าเป็นไปได้ให้ไปถึงที่งานนั้นก่อนเวลาเพื่อให้ลูกของคุณรู้สึกสบายใจในสถานที่นั้น และรู้สึกเหมือนมีคนอื่นเข้ามาในพื้นที่ที่เธอ “เป็นเจ้าของอยู่ก่อน”

อีกทางเลือกหนึ่งคือให้ลูกของคุณอยู่ห่างจากการต้องทำสิ่งที่ฝืนใจในระยะที่ทำให้ไม่เกิดความอึดอัดใจ เช่น อาจให้ลูกอยู่ใกล้คุณในที่ที่เธอรู้สึกปลอดภัย และเพียงแค่เฝ้าดูเหตุการณ์ตรงหน้าไม่กี่นาที การสังเกตอย่างเงียบ ๆ จะช่วยให้เธอประมวลผลสิ่งต่าง ๆ  หากมาถึงก่อนเวลา ให้พูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่วงหน้ากับบุตรหลานของคุณ เช่น ลูกจะพบกับใครบ้าง ลูกจะรู้สึกอย่างไร และแนะนำลูกว่าหากจำเป็นต้องสนทนากับผู้อื่นจะพูดอย่างไรได้บ้าง

นอกจากนี้ หากบุตรหลานของคุณรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการเริ่มต้นปีการศึกษาใหม่ ให้ไปที่ห้องเรียนของบุตรหลานของคุณแนะนำลูกกับครูประจำชั้น และหาห้องน้ำ ห้องอาหารกลางวัน และตู้เก็บของก่อนวันแรกของการเรียนที่เร่งรีบและวุ่นวาย ไม่ว่าคุณจะทำให้ลูกคุ้นเคยกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีก็ตาม แต่อย่าลืมว่าจงทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ก้าวกระโดด หรือยัดเยียดลูกจนเกินไป และจงเคารพในขีดจำกัดของลูก

4. บอกลูกว่าสามารถพักจากการเข้าสังคมได้ หากลูกรู้สึกอึดอัดใจ

ในขณะที่คนนิสัยแบบ Extrovert รู้สึกกระปรี้กระเปร่าจากการเข้าสังคม แต่คนที่ชอบเก็บตัว (Introvert) ยังไงก็แล้วแต่พวกเขามักรู้สึกไม่สบายใจสบายตัว หากบุตรหลานของคุณอายุมากขึ้น เธอสามารถพาตัวไปยังส่วนที่เงียบกว่าของห้องหรือสถานที่อื่น เช่น ห้องน้ำ หรือด้านนอก หากลูกยังไม่โตพอที่จะพาตัวเองไปในที่ที่สบายใจ คุณต้องคอยสังเกตอาการเหนื่อยล้าของลูกไว้ให้ดีเพื่อที่จะช่วยเหลือลูกได้อย่างเหมาะสม

5. ชมเชยลูกของคุณเมื่อลูกกล้าทำในสิ่งที่ฝืนความรู้สึกตัวเอง

บอกให้เธอรู้ว่าคุณชื่นชมสิ่งที่เธอทำ พูดในทำนองว่า “ เมื่อวานแม่เห็นลูกคุยกับเพื่อนใหม่คนนั้น แม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องยากสำหรับหนู แม่ภูมิใจในสิ่งที่ลูกทำนะ”

6. ชี้ให้เห็นเมื่อลูกดูมีความสุขกับสิ่งที่ลูกกลัวในตอนแรก

เช่น พูดว่า “แม่คิดว่าลูกจะไม่สนุกในงานวันเกิดซะอีก ที่ไหนได้ละ! ลูกกลับได้เพื่อนใหม่ด้วยนะ” ด้วยการเสริมแรงในเชิงบวกเช่นนี้ เมื่อเวลาผ่านไปลูกของคุณจะมีแนวโน้มที่จะควบคุมความรู้สึกกังวลใจและความกลัวของในการต้องเข้าสังคมได้ดียิ่งขึ้น

ลูกโลกส่วนตัวสูง

7. ช่วยลูกปลูกฝังความสนใจส่วนตัว

บุตรหลานของคุณอาจมีความสนใจในบ้างเรื่องที่จริงจัง และอาจจะไม่เหมือนใคร ให้โอกาสลูกได้ทำตามความสนใจเหล่านั้น คริสติน ฟอนเซค่า ผู้เขียนหนังสือ Quiet Kids: Help Your Introverted Child  กล่าวว่าการมีส่วนร่วมอย่างเข้มข้นในกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมีเด็กที่ให้ความสนใจในสามารถนำมาซึ่งความสุขความเป็นอยู่ที่ดีและความมั่นใจ แต่ยังเปิดโอกาสให้บุตรหลานของคุณได้พบปะสังสรรค์กับเด็กคนอื่น ๆ ที่มีความสนใจคล้าย ๆ กัน และอาจมีนิสัยคล้าย ๆ กัน

8. พูดคุยกับครูของบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของลูก

วิธีนี้จะช่วยให้ครูของบุตรหลานรู้วิธีตีความพฤติกรรมของเธอ ครูบางคนเข้าใจผิดว่าเด็กที่เก็บตัวไม่พูดมากในชั้นเรียนเพราะพวกเขาไม่สนใจหรือไม่ให้ความสนใจ ในทางตรงกันข้ามนักเรียนที่เก็บตัวสามารถเอาใจใส่ในชั้นเรียนได้ดี แต่พวกเขามักชอบฟังและสังเกตมากกว่าที่จะมีส่วนร่วมอย่างกระตือรือร้น นอกจากนี้หากครูทราบเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของบุตรหลานของคุณครูอาจช่วยชี้แนะในการทำสิ่งต่างๆ เช่น การโต้ตอบกับเพื่อน ๆ การมีส่วนร่วมในงานกลุ่ม หรือการนำเสนอหน้าชั้นเรียน เป็นต้น

9. สอนให้ลูกยืนหยัดเพื่อตัวเอง

สอนให้ลูกพูดว่า “หยุด” หรือ “ไม่” ด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัดเมื่อเด็กคนอื่นพยายามแย่งของเล่นของลูกไปจากเธอ หากลูกถูกรังแกหรือปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมที่โรงเรียนขอแนะนำให้ลูกกล้าพูดคุยกับผู้ใหญ่หรือเด็กคู่กรณี “สิ่งนี้คือการสอนให้เด็กที่ชอบเก็บตัวได้เรียนรู้ว่า เสียงของพวกเขามีความสำคัญต่อตัวเองอย่างไร”

10. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าบุตรหลานได้ยินคุณ

ฟังลูกของคุณและถามคำถาม เพื่อดึงความสนใจลูก  เด็กเก็บตัวหลายคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต้องต่อสู้กับความรู้สึก เกี่ยวกับการ  “ได้ยิน” หรือสิ่งที่คนอื่นต้องการสื่อสารกับพวกเขา ด้วยเด็ก Introvert“ มักอยู่และจดจ่อกับตัวเอง แต่พวกเขาต้องการใครสักคนที่จะดึงความจดจ่อออกไปบ้าง ” ดร. ลานีย์เขียนไว้ในหนังสือว่า “หากไม่มีพ่อแม่ที่คอยรับฟังและสะท้อนกลับมาหาพวกเขาเช่นเสียงสะท้อนสิ่งที่พวกเขากำลังคิด พวกเขาจะหลงทางในความคิดของพวกเขาเอง”

11. โปรดทราบว่าบุตรหลานของคุณอาจไม่ขอความช่วยเหลือ

เด็ก Introverts มักมีปัญหาส่วนตัวที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง บุตรหลานของคุณอาจไม่พูดคุยกับคุณเกี่ยวกับสถานการณ์ที่ยากลำบากที่ต้องเผชิญที่โรงเรียนหรือกับเพื่อนแม้ว่าเธอจะปรารถนาและ / หรือได้รับประโยชน์จากคำแนะนำของผู้ใหญ่ก็ตาม พ่อแม่ควรถามคำถามอีกครั้งและตั้งใจฟัง แต่อย่าทำให้คำถามของคุณเหมือนเป็นการซักถามที่จู้จี้หรือล้ำเส้นพวกเขา

ลูกโลกส่วนตัวสูง

12. อย่าตีตราว่าบุตรหลานของคุณ “ขี้อาย”

“ ขี้อาย” เป็นคำที่มีความหมายแฝงในแง่ลบ หากเด็กที่ชอบเก็บตัวของคุณได้ยินคำว่า “เขิน” หลายต่อหลายครั้ง เธออาจเริ่มเชื่อว่าความรู้สึกแปลกแยกเมื่ออยู่รอบตัวคนอื่นเป็นลักษณะที่ตายตัว ไม่ใช่ความรู้สึกที่เธอสามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมได้ นอกจากนี้ “ขี้อาย” มุ่งเน้นไปที่การยับยั้งที่เธอประสบและไม่ได้ช่วยให้เธอเข้าใจที่มาที่แท้จริงของความเงียบขรึมของเธอ – นิสัยชอบเก็บตัวของเธอ

13. ไม่ต้องกังวลหากบุตรหลานของคุณมีเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งหรือสองคน

Introverts แสวงหาความลึกในความสัมพันธ์ไม่ใช่ความกว้าง พวกเขาชอบกลุ่มเพื่อนเล็ก ๆ และโดยปกติแล้วไม่สนใจที่จะเป็น “คนดัง”

14. เข้าใจเมื่อลูกต้องการอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง

สิ่งใดก็ตามที่ดึงบุตรหลานของคุณออกจากโลกส่วนตัว เช่น การไปโรงเรียน การเข้าสังคม หรือแม้แต่การสำรวจกิจวัตรประจำวันใหม่ ๆ อาจทำให้ลูกของคุณหมดพลังงานหรือเหนื่อยล้าได้  อย่าน้อยใจหรือคิดว่าลูกของคุณไม่สนุกกับการใช้เวลากับกับครอบครัวเมื่อพวกเขาใช้เวลาหมดไปกับการอยู่คนเดียวในห้อง บางทีการอ่านหนังสือ เล่นคอมพิวเตอร์ หรือเล่นเกมจินตนาการก็เป็นการเติมพลังเพื่อให้พวกเขามีความรู้สึกอยากใช้เวลากับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าอีกครั้ง

15. ไม่ใช่แค่ยอมรับ แต่ต้องให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกเป็น

เรื่องที่สำคัญอีกข้อคือ “อย่าเพียงแค่ให้การยอมรับบุตรหลานในสิ่งที่พวกเขาเป็น แต่ควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่พวกเขาเป็นด้วย” เด็กที่ชอบเก็บตัวมักเป็นผู้ที่มีจิตใจดี มีความคิดสร้างสรรค์ มีสมาธิ และน่าสนใจมากตราบใดที่พวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับพวกเขา” การค่อยๆ ทำความเข้าใจเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูง หากเราค่อยๆ ปรับตัว ยอมรับ และ ช่วยเหลือลูกอย่างค่อยเป็นค่อยไปในการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ จะช่วยปลูกฝังให้ลูกรู้จักปรับตัวเองให้อยู่ในสังคมได้ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ลูกที่ชอบเก็บตัวของคุณ เกิดทักษะ ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) ซึ่งถือเป็นทักษะที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตในสังคมที่ใหญ่ขึ้นเมื่อพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไปในอนาคตค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : quietrev.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลูกไม่ชอบ วาดภาพ ระบายสี ไม่เห็นต้องเป็นกังวล โดย พ่อเอก

ลูกไม่ยอมทำการบ้าน ชอบผัดวันประกันพรุ่ง พ่อแม่ต้องแก้ยังไง?

เคล็ดลับแก้ปัญหา ลูกไม่มีเพื่อน ลูกเข้ากับเพื่อนไม่ได้ ทำไงดี?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ลูกชายติดแม่

ลูกชายติดแม่ ลูกสาวติดพ่อ เหตุเพราะ “ปมเอดิปัส” “ปมอิเลคตร้า” ?

Alternative Textaccount_circle
event
ลูกชายติดแม่
ลูกชายติดแม่

ลูกชายติดแม่ –  ปมเอดิปัส (Oedipus complex) เป็นคำที่ซิกมุนด์ฟรอยด์บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ชื่อดังใช้ในทฤษฎีพัฒนาการทางจิตเกี่ยวกับเพศตรงข้ามของเข าเพื่ออธิบายความรู้สึกของเด็กที่ปรารถนาต่อพ่อแม่ที่เป็นเพศตรงข้าม ทั้ง ความหึงหวง ความโกรธ หรืออิจฉา ซิกมุนด์ฟรอยด์ ตั้งชื่อ ปมเอดิปัส จากตำนานกรีกโบราณเรื่อง “Oedipus” ซึ่งเป็นกษัตริย์แห่งเอเธนส์ที่โดนสาปแช่งโดยเทพเจ้าให้ฆ่าพ่อของเขาและแต่งงานกับแม่ของเขา วันนี้เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ปมเอดิปัส กันค่ะ ว่า สิ่งนี้จะส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กเล็กอย่างไร เพื่อให้สามารถเข้าใจลูกมากยิ่งขึ้นเมื่อมีพฤติกรรมบางอย่างที่อาจเข้าใจได้ยาก

ลูกชายติดแม่ ลูกสาวติดพ่อ เหตุเพราะ “ปมเอดิปัส” “ปมอิเลคตร้า” ?

ปมเอดิปัส (Oedipus complex) ใช้อธิบายถึงความปรารถนาของเด็กที่มีต่อพ่อแม่ที่เป็นเพศตรงข้าม และความรู้สึกอิจฉาความไม่พอใจและการแข่งขันกับพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกัน โดยพื้นฐานแล้วเด็กชายจะรู้สึกว่าเขากำลังแข่งขันกับพ่อเพื่อครอบครองแม่ของเขา ในขณะที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งรู้สึกว่าเธอกำลังแข่งขันกับแม่เพื่อแย่งชิงความรักจากพ่อ จากข้อมูลของฟรอยด์เด็ก ๆ มองว่าพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกันเป็นคู่แข่งของพวกเขาสำหรับความสนใจ และความรักของพ่อแม่ที่เป็นเพศตรงข้าม

ปมเอดิปัส (Oedipus complex) คืออะไร?

ในช่วงต้นทศวรรษ 1900  Sigmund Freudฟรอยด์ได้พัฒนาทฤษฎีเกี่ยวกับความก้าวหน้าของพัฒนาการทางจิตเพศในเด็ก และผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของพวกเขาในชีวิตวัยผู้ใหญ่อย่างไร ทฤษฎีหนึ่งของฟรอยด์คือมีขั้นตอนของพัฒนาการเมื่อเด็ก ๆ แข่งขันกับพ่อแม่ที่เป็นเพศตรงข้ามเพื่อเรียกร้องความสนใจและความรักจากพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกัน

ฟรอยด์เชื่อว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพระหว่างแม่และลูกชายของเธอในขณะที่ไม่ค่อยมีเพศสัมพันธ์ทางร่างกาย อาจนำไปสู่ความผิดปกติในระยะยาวในครอบครัวและความสัมพันธ์ในอนาคตของเด็กชาย ทฤษฎีของฟรอยด์ระบุว่าการแข่งขันระหว่างเด็กเล็กกับพ่อแม่ที่เป็นผู้ใหญ่อาจมีส่วนร่วมทางเพศที่คลุมเครือโดยสังเกตว่ามีแง่มุมของความสัมพันธ์ระหว่างสามี – ภรรยาที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์พ่อแม่ลูก

ทฤษฎีของฟรอยด์ระบุว่าเด็กผู้ชายอาจรู้สึกแปลก ๆ ต่อแม่ ที่ไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันต่อพ่อ นักบำบัดบางคนคาดเดาว่าอาจเกิดจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ รวมถึงการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นเวลานานในช่วงเด็ก อย่างไรก็ตามไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามารถนำไปสู่ความปรารถนาในแบบของปมเอดิปัสได้

ลูกชายติดแม่
ลูกชายติดแม่

สาเหตุของพฤติกรรมที่เกิดจาก ปมเอดิปัส

พัฒนาการในวัยเด็กส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการรับรู้เรื่องเพศ และความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก ฟรอยด์เชื่อว่า ปมเอดิปัส สามารถพัฒนาได้ในช่วงที่เรียกว่า “ ขั้นอวัยวะเพศ” (Phallic Stage) ในทฤษฎีของ Freud ขั้นตอนของการพัฒนานี้มักเกิดขึ้นเมื่อเด็กอายุระหว่างสามถึงห้าขวบ และเป็นระยะที่เด็กพัฒนาอัตลักษณ์ทางเพศของตน ฟรอยด์เชื่อว่าการพัฒนาขั้นตอนนี้ให้เสร็จสมบูรณ์ จะช่วยให้เด็ก ๆ สามารถระบุตัวตนกับพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกันและพัฒนาตัวตนทางเพศที่ดีเมื่อเติบโตขึ้น

สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าทฤษฎีของฟรอยด์มุ่งเน้นไปที่เด็กผู้ชายเกือบทั้งหมด และเน้นเฉพาะพ่อแม่ที่เป็นเพศตรงข้ามเท่านั้น ทฤษฎีของเขาระบุว่าเมื่อเด็กโตเต็มที่พวกเขาอาจเริ่มสังเกตเห็นว่าพ่อแม่คนใดคนหนึ่งแตกต่างจากอีกฝ่าย ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ และรู้สึกได้ว่าตัวเองดูเหมือนพ่อหรือแม่มากกว่า ในช่วงของการพัฒนานี้ Freud ตั้งทฤษฎีว่าเด็กผู้ชายมีอิสระมากขึ้นและเริ่มแยกตัวออกจากแม่โดยตระหนักว่าแม่สามารถให้ความสำคัญกับผู้อื่นได้ ฟรอยด์เชื่อว่าขั้นตอนนี้ อาจเป็นเรื่องยากสำหรับเด็กผู้ชายบางคนเมื่อพวกเขาเห็นว่าพ่อและแม่ของพวกเขาเผชิญหน้ากันอย่างรักใคร่ ความไม่พอใจจากปมเอดิปัสก็สามารถก่อตัวขึ้นได้

ฟรอยด์ตั้งข้อสังเกตว่าในขณะที่เด็กหนุ่มอาจไม่มีความรู้เรื่องเพศอย่างเต็มที่ แต่ในเบื้องต้นพวกเขาอาจรู้สึกถึงความรักและความรู้สึกที่มีต่อแม่และพ่อของตนแตกต่างกันไป ฟรอยด์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่และพ่อสำหรับเด็ก หากเด็กผู้ชายรู้สึกตึงเครียดเมื่อเห็นพ่อแม่แสดงความรักกัน ฟรอยด์คิดว่า เด็กผู้ชายอาจรู้สึกปรารถนาที่จะปกป้องแม่ของเขาจากพ่อมากขึ้น

ปมเอดิปัส  กับ ปมอิเลคตร้า

แม้ว่าเดิมจะขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของเด็กผู้ชายกับแม่ของพวกเขาฟรอยด์ได้ จำกัดความ  ปมเอดิปัส  เพื่อใช้กับเด็กผู้หญิงด้วยเช่นกัน โดยเชื่อว่าเด็ก ๆ แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเพศของพวกเขา

คาร์ล จุง Carl Jung นักจิตวิเคราะห์และนักจิตวิทยา ได้เสนอคำอธิบายแยกต่างหากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพระหว่างเด็กสาวและพ่อ ที่เรียกว่า  ปมอิเล็คตร้า (Electra complex)

จากข้อมูลของจุงและฟรอยด์ ระบุว่า รูปแบบความคิดที่ไม่ดีต่อสุขภาพของ ปมเอดิปัส และ ปมอิเลคตร้า ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าจะสามารถนำไปสู่ความไม่พอใจอย่างต่อเนื่องต่อพ่อแม่ที่เป็นเพศตรงข้ามและเพื่อนร่วมเพศ เมื่อเด็กโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากนี้ ตามทฤษฎี Freudian Psychosexual พบว่า เด็กเล็ก ๆ ในครอบครัวที่เด็กไม่มีทั้งแม่และพ่อ เด็กเหล่านี้อาจมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเอาชนะความรู้สึกของ  ปมเอดิปัส  เนื่องจากไม่มีพ่อหรือแม่เพศเดียวกัน ที่จะช่วยระบุอัตตลักษณ์ทางเพศได้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถผ่านพ้นขั้นตอนของการพัฒนาทางเพศบางอย่างไปได้

ลูกชายติดแม่
ลูกสาวติดพ่อ

สัญญาณการแสดงพฤติกรรมของ ปมเอดิปัส คืออะไร?

ฟรอยด์คิดว่าเด็กที่มีปัญหา เรื่อง ปมเอดิปัส หรือ ปมอิเลคตร้า อาจแสดงพฤติกรรมในวัยเด็กที่ยึดติดกับพ่อหรือแม่มาก เช่น เด็กผู้ชายอาจบอกว่าอยากแต่งงานกับแม่ หรือรู้สึกหวงความสนใจของแม่มากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อพ่ออยู่ใกล้ ๆ ฟรอยด์เชื่อว่า ปมเอดิปัส ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอาจเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของเด็กผู้ชายที่บอกพ่อว่า “ห้ามกอดหรือจูบแม่ของเขานะ” และเขาอาจแสดงตัวขัดขวางพ่อกับแม่ ถ้าพ่อแม่แสดงความรักที่โรแมนติกต่อหน้าเขา

ฟรอยด์เชื่อว่าเด็กผู้ชายบางคนอดกลั้นความปรารถนาที่มีต่อแม่แทนที่จะเปลี่ยนไปสู่การระบุตัวตนที่มีสุขภาพดีกับพ่อของพวกเขา และก้าวไปข้างหน้าในพัฒนาการทางอารมณ์และอัตตลักษณ์ทางเพศของพวกเขา ฟรอยด์คิดว่า เมื่อปมเอดิปัสถูกระงับ ความปรารถนาที่ไม่ได้รับการตอบสนองเหล่านี้ อาจพัฒนาไปสู่ความเกลียดชังผู้หญิง ดูถูกผู้หญิง และไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่โรแมนติกแบบผู้ใหญ่ได้เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น จากข้อมูลของฟรอยด์ ชายหนุ่มอาจไม่รู้ว่าพวกเขากำลังประสบปัญหาจาก ปมเอดิปัส จนประสบกับความสัมพันธ์ที่ไม่ดี หรือไม่สามารถแยกจากแม่ของพวกเขาได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

ผลกระทบของ ปมเอดิปัส

ทฤษฎีพัฒนาการทางจิตของฟรอยด์ระบุว่าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาพฤติกรรมของ ปมเอดิปัส ได้สำเร็จ ก็สามารถทำลายความสามารถของเด็กเล็กในการเปลี่ยนไปสู่ขั้นตอนต่อไปของการพัฒนาทางเพศ

นอกจากนี้ฟรอยด์ยังคิดว่าเด็กผู้ชายสามารถมีพัฒนาการที่ไม่แข็งแรงกลายเป็น “เด็กติดแม่” หรือ สำหรับเด็กผู้หญิงที่มี ปมอิเลคตร้า ก็จะกลายเป็น “เด็กติดพ่อ” ตามทฤษฎีของ Freudian พฤติกรรมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขในวัยเด็ก อาจทำให้เด็กเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่โรแมนติกที่ดีต่อสุขภาพเหมือนผู้ใหญ่ได้ยาก

ทฤษฎีนี้ชี้ให้เห็นว่าความสามารถในการผูกมิตรกับคนที่เป็นเพศเดียวกันอาจได้รับผลกระทบเช่นกันเนื่องจากบุคคลเหล่านี้อาจมองว่าผู้ชายคนอื่นหรือผู้หญิงคนอื่น ๆ เป็นการแข่งขันกันเพื่อหาคู่ครอง ฟรอยด์คิดว่าผู้ชายที่มีความซับซ้อนของ Oedipus จะแสดงพฤติกรรมที่ก้าวร้าวมากเกินไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขารับรู้ว่าผู้ชายคนอื่นรุกล้ำแฟนหรือภรรยาของพวกเขา สำหรับผู้หญิงที่มีอิเลคตร้าคอมเพล็กซ์เขาคิดว่าพวกเขาอาจใช้เซ็กส์แทนความสัมพันธ์แบบคู่รักเพื่อพยายามดึงความรักที่พวกเขารู้สึกว่าไม่ได้รับจากพ่อโดยไม่รู้ตัว

วิธีการรักษา ปมเอดิปัส ในเด็ก

จิตวิเคราะห์เป็นการบำบัดประเภทหนึ่งที่มุ่งเน้นไปที่การช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งตั้งแต่วัยเด็ก ทฤษฎีการพัฒนาจิตเกี่ยวกับเพศตรงข้ามของฟรอยด์เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันและนักวิจัยไม่เห็นด้วยกับการมีอยู่ของคอมเพล็กซ์ Oedipus นักจิตวิเคราะห์ที่สมัครรับทฤษฎีฟรอยด์อาจมุ่งเน้นไปที่การบำบัดที่ช่วยให้เด็กระบุตัวตนกับพ่อแม่ที่เป็นเพศเดียวกันได้มากขึ้น การบำบัดโดยครอบครัวอาจมีประโยชน์ในหลาย ๆ สถานการณ์ เป้าหมายคือเพื่อให้เด็กพัฒนาอัตลักษณ์ทางเพศที่ดีต่อสุขภาพ

ทฤษฎีของ Freud คือ เด็กที่มี ปัญหาเรื่อง ปมเอดิปัส  มักมีปัญหาในการพัฒนา ซูเปอร์อีโก้ ( superego ) หรือ จิตส่วนที่คิดถึงศิลธรรมและจรรยาบรรณ เป็นแนวทางสำหรับการตัดสินใจ และเป็นตัวช่วยตัดสินว่าอะไรผิดและถูก ซูเปอร์อีโก้ คือสิ่งที่เราเรียนรู้ ซึมซับมาจากพ่อแม่และสังคมรอบตัว  นอกากนี้เด็กอาจมีปัญหาในการปรับสมดุลของอิด (id) ซึ่งเป็นเรื่องของจิตไร้สำนึก เช่น สัญชาตญาณและความต้องการต่างๆ

ตามทฤษฎีของ Freudian การพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อสามารถช่วยให้เด็กหนุ่มระงับความต้องการของตนที่จะทำตามความปรารถนาที่มีต่อแม่ และเริ่มระบุตัวตนกับพ่อของพวกเขาได้ ดังนั้นจึงสามารถแก้ไขความปรารถนาของปมเอดิปัสได้ บางครอบครัวอาจแก้ไขปัญหาดังกล่าวผ่านการปฏิบัติทางศาสนาของพวกเขา ในขณะที่บางครอบครัวพบว่าบรรทัดฐานทางวัฒนธรรมของพวกเขาโดยธรรมชาติช่วยให้ชายหนุ่มเอาชนะความปรารถนาที่มีต่อแม่ได้

การบำบัดโดยอาศัยจิตวิเคราะห์แบบฟรอยด์ สำหรับเด็กชายที่มีความผูกพันกับแม่ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขความรู้สึกผิดที่แฝงอยู่ ซึ่งเด็กอาจรู้สึกถึงความหึงหวงและความกลัวที่มีต่อพ่อ จากข้อมูลของฟรอยด์เด็กชายกลัวที่จะถูกพ่อของพวกเขาตัดอัณฑะ เพื่อเป็นการลงโทษสำหรับความปรารถนาที่ไม่ดีต่อแม่ของพวกเขา สำหรับแม่ของพวกเข ความรู้สึกเหล่านี้เป็นจิตใต้สำนึก และมีรากฐานมาจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของ ฟรอยด์ เกี่ยวกับบทบาทสำคัญของลึงค์ ในการพัฒนาอารมณ์

พูดง่ายๆ ว่า ฟรอยด์เชื่อว่า เมื่อเด็กชายพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อของเขารวมถึงความรู้สึกรักและยอมรับความหึงหวงและการแข่งขันของเขาจะเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกของการระบุตัวตนที่ดีขึ้น ฟรอยด์คิดว่าการลดความอับอายและความรู้สึกผิดที่เกี่ยวข้องกับปมเอดิปัส มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ไขปัญหานี้ และเป็นรากฐานสำหรับชายหนุ่มในการสร้างความสัมพันธ์และขอบเขตที่ดีต่อสุขภาพทั้งกับแม่ของพวกเขาและผู้หญิงทั่วไป

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : flo.health , verywellmind.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

อาการลูกติดแม่ มากไปแก้ไขอย่างไรดี?

7 วิธี สยบปัญหา พี่น้องตีกัน พี่น้องทะเลาะกัน ต้องรีบแก้ไข

11 สัญญาณพ่อแม่ ปกป้องลูกมากเกินไป ระวัง! อาจทำร้ายลูกทางอ้อม!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ยาหอม

คนท้องกิน “ยาหอม” แก้แพ้ท้อง กระทบลูกในท้องไหม?

Alternative Textaccount_circle
event
ยาหอม
ยาหอม

เมื่อแม่ท้องแพ้ท้อง ก็อยากจะหาตัวช่วยมาบรรเทาให้อาการแพ้ท้องดีขึ้น ยาหอม เป็นยาอีกชนิดหนึ่งที่แม่ท้องนิยมทาน แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่ายาหอมปลอดภัยต่อลูกในท้อง?

คนท้องกิน “ยาหอม” แก้แพ้ท้อง กระทบลูกในท้องไหม?

ปัจจุบันคนไทยรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จัก หรือคุ้นเคยกับ ยาหอม ทั้ง ๆ ที่ยาหอมมีประวัติการใช้คู่กับคนไทยมานานมากกว่า 100 ปี ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แล้ว ยาหอม คืออะไร ชื่อของตำรับยาก็บ่งบอกว่าตำรับยานี้ต้องมีกลิ่นหอม นั่นคือส่วนประกอบของตัวยาจะต้องเป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ใช้แก้ลมวิงเวียน แก้ปวดท้อง เป็นลมในท้อง ในคัมภีร์แพทย์แผนไทยได้บันทึกถึงตำรับยาหอมซึ่งมีมากกว่า 300 ตำรับ ใช้รักษาโรคต่าง ๆ แพทย์ไทยสมัยโบราณจะมียาหอมพกติดตัวไว้ในล่วมยาสำหรับรักษาโรคยามฉุกเฉิน แล้วค่อยจ่ายยาต้มตามมาภายหลัง ถือได้ว่ายาหอมเป็นตำรับยาสำคัญทีเดียวในการแพทย์แผนไทย และยาหอมคือ มรดกทางภูมิปัญญาที่อยู่คู่ประเทศไทยมานาน

ยาหอมมากสรรพคุณ ปรับสมดุลธาตุ

ในส่วนของสรรพคุณ นอกจากยาหอมจะช่วยบรรเทาอาการปวดมึนศีรษะ เป็นลม วิงเวียน หน้ามืด ใจสั่น อย่างที่ เรารู้ ๆ กันแล้ว ยังช่วยบรรเทาอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะข้างเดียว ความดันโลหิตต่ำ รวมทั้งบำรุงประสาทและบำรุงหัวใจอีกด้วย ที่สำคัญคือ ปัจจุบันมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ถึงสรรพคุณต่าง ๆ ของยาหอมมีส่งผลต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายของเราด้วย

ยาหอม
คนท้องกินยาหอมได้ไหม

โดยข้อมูลศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์นี้ได้เลือกทำการศึกษาเปรียบเทียบ ตำรับยาหอม 3 ตำรับคือ ยาหอมนวโกฐ ยาหอมอินทรจักร ซึ่งเป็นยาในชื่อบัญชียาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ของกระทรวงสาธารณสุข 2 ตำรับ มีสมุนไพรเป็นส่วนประกอบกว่า 50 ชนิด และยาหอมของภาคเอกชน 1 ตำรับ ซึ่งยาหอมทั้ง 3 ตำรับนี้จะมีสมุนไพรที่ทับซ้อนกันอยู่ประมาณ 40 ชนิด โดยผลจากการวิจัยครั้งนี้ทำให้เรารู้ว่าสารสกัดยาหอมทั้ง 3 ตำรับนี้มีฤทธิ์ต่อระบบต่างๆ ในร่างกายเรา คือ

  • ยาหอมมีฤทธิ์ต่อหัวใจ คือสามารถเพิ่มความแรงการบีบตัวของหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารสกัดยาหอมอินทรจักร
  • มีฤทธิ์เพิ่มความดันโลหิต โดยเฉพาะในขนาด 4 กรัม ผงยาหอม/กิโลกรัม มีฤทธิ์เพิ่มความดันเลือด systolic, diastolic และความดันเลือดเฉลี่ย โดยมีผลต่อความดันเลือด systolic มากกว่า ความดันเลือด diastolic และความดันเลือดเฉลี่ย
  • มีฤทธิ์ต่ออัตราการไหลเวียนในหลอดเลือดสมอง พบว่า หลอดเลือดเล็กที่ไปเลี้ยงสมองขยายตัว และปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเพิ่มขึ้น
  • ส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง หรือส่งผลต่อการนอนหลับได้ โดยสารสกัดยาหอมของเอกชนและอินทจักร มีฤทธิ์กดต่อระบบประสาทส่วนกลางเมื่อให้สัตว์ทดลองได้รับเฉพาะแต่สารสกัด แต่ถ้าให้สารสกัดยาหอมทั้ง 2 ชนิดนี้ร่วมกับ pentobarbital ซึ่งเป็นยานอนหลับ จะพบว่าสารสกัดทั้งสองชนิดทำให้ระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยานอนหลับยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะสารสกัดยาหอมนวโกฐมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางมากกว่า 2 ชนิดแรก
  • มีฤทธิ์ต่อระบบทางเดินอาหาร สารสกัดยาหอมนวโกฐจะมีฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งกรดของกระเพาะอาหาร ซึ่งพบว่า ยาหอมนวโกฐมีผลยับยั้งการหดตัวของลำไส้เล็กได้มากกว่าอีก 2 ตำรับ
  • ฤทธิ์แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน สารสกัดยาหอมอินทรจักรสามารถต้านการอาเจียนได้

แม้ว่ายาหอมจะเป็นยาสามัญประจำบ้าน แต่เนื่องจากยาหอมมีหลากหลายตำรับ ซึ่งแต่ละตำรับก็จะมีส่วนผสมของสมุนไพรที่แตกต่างกัน สมุนไพรบางชนิดก็ไม่เหมาะกับคนท้อง หรืออาจจะส่งผลกระทบต่อแม่ท้องและลูกในท้องได้ ทีมแม่ ABK จึงขอนำข้อมูลยาตำรับ ของยาหอมตำรับหลัก ๆ มาให้แม่ ๆ ได้ศึกษากันค่ะ

ยาหอมทิพโอสถ

ยาหอมทิพโอสถ
ยาหอมทิพโอสถ

ข้อบ่งใช้ – แก้ลมวิงเวียน

วิธีใช้

  • ชนิดผง – รับประทานครั้งละ 1 – 1.4 กรัม ละลายน้ำกระสายยา เมื่อมีอาการ ทุก 3 – 4 ชั่วโมง ไม่ควรเกินวันละ 3 ครั้ง
  • ชนิดเม็ด – รับประทานครั้งละ 1 – 1.4 กรัม เมื่อมีอาการ ทุก 3 – 4 ชั่วโมง ไม่ควรเกินวันละ 3 ครั้ง

ข้อควรระวัง

  • ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับ – อาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิดพิษได้
  • ผู้ป่วยโรคไต – อาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิดพิษได้
  • ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้

ยาหอมเทพจิตร

ยาหอมเทพจิตร
ยาหอมเทพจิตร

ข้อบ่งใช้ – แก้ลมกองละเอียด ได้แก่ อาการหน้ามืด ตาลาย สวิงสวาย (อาการที่รู้สึกใจหวิววิงเวียน คลื่นไส้ ตาพร่าจะเป็นลม) ใจสั่น และบำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น

วิธีใช้

  • ชนิดผง – รับประทานครั้งละ 1 – 1.4 กรัม ละลายน้ำสุก เมื่อมีอาการ ทุก 3 – 4 ชั่วโมง ไม่ควรเกินวันละ 3 ครั้ง
  • ชนิดเม็ด – รับประทานครั้งละ 1 – 1.4 กรัม เมื่อมีอาการ ทุก 3 – 4 ชั่วโมง ไม่ควรเกินวันละ 3 ครั้ง

ข้อควรระวัง

  • ผู้ป่วยโรคตับ – อาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิดพิษได้
  • ผู้ป่วยโรคไต – อาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิดพิษได้
  • ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้

ยาหอมนวโกฐ

ยาหอมนวโกฐ
ยาหอมนวโกฐ

ข้อบ่งใช้

  1. แก้ลมวิงเวียน คลื่นเหียน อาเจียน (ลมจุกแน่นในอก) ในผู้สูงอายุ
  2. แก้ลมปลายไข้ (หลังจากฟื้นไข้แล้วยังมีอาการ เช่น คลื่นเหียน วิงเวียน เบื่ออาหาร ท้องอืด และอ่อนเพลีย)

วิธีใช้

  • ชนิดผง – รับประทานครั้งละ 1 – 2 กรัม ละลายน้ำกระสาย เมื่อมีอาการ ทุก 3 – 4 ชั่วโมง ไม่ควรเกินวันละ 3 ครั้ง
  • ชนิดเม็ด – รับประทานครั้งละ 1 – 2 กรัม ทุก 3 – 4 ชั่วโมง เมื่อมีอาการ ไม่ควรเกินวันละ 3 ครั้ง

ข้อควรระวัง

  • ผู้ป่วยโรคตับ – อาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิดพิษได้
  • ผู้ป่วยโรคไต – อาจเกิดการสะสมของการบูรและเกิดพิษได้
  • ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้

ยาหอมอินทจักร์

ยาหอมอินทจักร์
ยาหอมอินทจักร์

ข้อบ่งใช้

  1. แก้ลมบาดทะจิต
  2. แก้คลื่นเหียนอาเจียน
  3. แก้ลมจุกเสียด

วิธีใช้

  • ชนิดผง – รับประทานครั้งละ 1 – 2 กรัม ละลายน้ำกระสายยา ทุก 3 – 4 ชั่วโมง ไม่ควรเกินวันละ 3 ครั้ง
    • น้ำกระสายยาที่ใช้
      กรณีแก้ลมบาดทะจิต ใช้น้ำดอกมะลิ
      กรณีแก้คลื่นเหียนอาเจียน ใช้น้ำลูกผักชี เทียนดำต้ม ถ้าไม่มีใช้น้ำสุก
      กรณีแก้ลมจุกเสียด ใช้น้ำขิงต้ม
  • ชนิดเม็ด – รับประทานครั้งละ 1 – 2 กรัม ทุก 3 – 4 ชั่วโมง ไม่ควรเกินวันละ 3 ครั้ง

ข้อควรระวัง – ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้

ข้อห้ามใช้ – ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์

จะเห็นได้ว่า ยาหอม แต่ละยี่ห้อ จะมีข้อห้ามใช้และข้อควรระวังที่แตกต่างกัน ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของแม่ท้อง ควรปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อมาใช้นะคะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

10 ข้อห้าม คนท้องอ่อนๆ ต้องระวังอะไรบ้าง?

แพ้ท้องหนักมาก มีผลอย่างไรกับแม่ท้องและลูกในท้อง

10 อาหารที่คนท้องควรกิน พร้อมเมนูอร่อยสำหรับแม่และลูก

22 ผลไม้สำหรับคนท้อง สารอาหารแน่น แม่กินดีลูกได้ประโยชน์

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเภสัชศาสตร์, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, เฟสบุ๊คเพจ เชื่อแมวเหอะ(รู้ไหมว่าตัวเองโดนหลอก)

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ฝันว่าตัดผม ทำนายฝัน

ตกใจ! ฝันว่าตัดผม อย่าเพิ่งรีบส่องกระจกเปิดทำนายฝันด่วน

Alternative Textaccount_circle
event
ฝันว่าตัดผม ทำนายฝัน
ฝันว่าตัดผม ทำนายฝัน

ฝันว่าตัดผม อย่าพึ่งรีบตกใจว่าผมถูกตัดสั้นจริงไหม รีบมาเปิดหาเลขเด็ด ทำนายฝันกันก่อน รู้ไหมกำลังมีโชค เลขเด็ด เลขดัง เลขไหนจะนำพาดวงเศรษฐีมาให้คุณกันนะ

ตกใจ!! ฝันว่าตัดผม อย่าเพิ่งรีบส่องกระจกเปิดทำนายฝันด่วน!!

ไม่ได้เป็นช่างตัดผม แต่ไหง!!ฝันว่าตัดผมตัวเองได้กันนะ ว่ากันว่าความฝันสามารถใช้เป็นลางบอกเหตุล่วงหน้าได้ แล้วความฝันเกี่ยวกับตัดผมแบบนี้จะดีหรือร้าย จะมีโชคลาภหรือไม่ หรือเกณฑ์เนื้อคู่กำลังมา ทีมแม่ ABK ขอนำคำทำนายเด็ด ๆ แม่น ๆ มาฝากกันให้คลายสงสัย และไม่ลืมเลขเด็ด เลขดัง เลขปัง ต้อนรับเศรษฐีคนใหม่กันด้วย

ห้ามตัดผมวันไหน : ความเชื่อโบราณกับการตัดผม

ในสมัยก่อนร้านตัดผมนิยมหยุดวันพุธ ให้เหตุผลที่ว่าวันพุธคนไม่ค่อยตัดผม เพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับวันดี วันไม่ดี เช่น มีคำกล่าวกันว่า “วันพุธห้ามตัดผม วันประหัดห้ามถอน” วันประหัดของคนโบราณเพี้ยนมาจากวันพฤหัสบดีนั่นเอง คนโบราณท่านกำหนดไว้ในตำราว่า

ฝันว่าตัดผม กับความเชื่อห้ามตัดผมวันไหน
ฝันว่าตัดผม กับความเชื่อห้ามตัดผมวันไหน

ถ้าตัดผมวันอาทิตย์ อายุจะยืนยาว

ถ้าตัดผมวันจันทร์ ตนเองจะมีภัย

ถ้าตัดผมวันอังคาร ศัตรูจะคิดอาฆาตพยาบาท

ถ้าตัดผมวันพุธ จะเกิดมีปากเสียงกันในวงศ์ญาติ

ถ้าตัดผมวันพฤหัสบดี เทวดาทั้งปวงจะอารักขา

ถ้าตัดผมวันศุกร์ จะมีลาภมาจากทุกทิศ

ถ้าตัดผมวันเสาร์ จะได้รับพรชัยจากเทวดา

เรื่องตัดผมวันพุธนี้เคยฟังผู้ใหญ่เล่าเป็นทำนองนิทานตั้งแต่ครั้งอยู่ในวัยรุ่น ท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่งจะเป็นสมัยใดไม่ปรากฏ มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งก่อนจะเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ก็ถือโอกาสตอนเช้าที่อยู่ว่างๆ ให้ช่างตัดผม เข้าใจว่าสมัยนั้นคงไม่มีตำรากำหนดวันดีและไม่ดีเผอิญวันนั้นเป็นวันพุธ เมื่อตัดผมแล้วก็เป็นเวลาจวนจะต้องเข้าเฝ้าจะอาบน้ำอาบท่าก็ไม่ทันการ เพียงแต่เอาผ้าขาวม้าปัดๆ เศษผมแล้วก็รีบเข้าเฝ้ากันเลยทีเดียว

เขาว่าคนเราคราวจะมีเคราะห์ก็ให้มีเหตุเป็นไปจนได้ วันนั้นพระเจ้าแผ่นดินเผอิญไม่มีพระราชกิจอะไรมากนักใบบอกอะไรต่างๆ ไม่มีส่งเข้ามา พระเจ้าแผ่นดินก็เลยมีเวลาทอดพระเนตรข้าราชการอย่างทั่วถึงได้พินิจพิเคราะห์ตรวจตราความสะอาดเรียบร้อยและสุขภาพของบรรดาข้าราชการพิเศษและก็เป็นการบังเอิญสายพระเนตรได้แลมาประสบพบเศษผมติดอยู่ตามไหล่ ตามใบหูของขุนนางเจ้ากรรมคนนั้นเข้าและด้วยความหวังดี พระองค์ตรัสสั่งเสนาว่า “นี่แน่ะเสนา เอ็งจงพาขุนนางของข้าไปล้างหัวเดี๋ยวนี้”

ฝ่ายเสนามิทันช้ารีบสนองพระบรมราชโองการ จูงมือขุนนางไปยังตะแลงแกงจัดการประหารตัดศีรษะทันที

ทั้งนี้เพราะเข้าใจคำว่าล้างผิดไป พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชประสงค์จะให้เอาน้ำล้างศีรษะให้หมดเศษผม แต่เสนาบดีกลับตีความไปอีกอย่างหนึ่ง โดยเข้าใจว่าให้เอาไปล้างตัดศีรษะ

ผู้เล่านิทานนี้สรุปว่า ตั้งแต่นั้นมาคนโบราณก็ไม่ตัดผมในวันพุธ ก็ฟังเป็นนิทานไว้ไม่เสียหายอะไร เพราะเราไม่รู้เรื่องเดิม

ข้อมูลอ้างอิงจาก ส.พลายน้อย. สิริมงคล. สำนักพิมพ์พิมพ์คำ, 2547 www.silpa-mag.com

ความเชื่อก็คือความเชื่อที่เชื่อต่อ ๆ กันมา ไม่สามารถหาหลักฐานมาอ้างอิงให้ได้ข้อสรุปได้ เรียกได้ว่าใครใคร่เชื่อแบบไหนก็สุดแล้วแต่ อย่างไรก็ตามความเชื่อเรื่อง ห้ามตัดผมวันไหน อย่างไร นั้น ก็สามารถส่งผลให้ร้านตัดผมโดยส่วนมากมีวันหยุดวันพุธไปกันเสียหมด จนทำให้แม้เราอาจไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ตัดผมวันพุธอยู่นั่นเอง

ฝันว่าตัดผม สั้น ตัดผมตัวเอง ทำนายฝัน
ฝันว่าตัดผม สั้น ตัดผมตัวเอง ทำนายฝัน

คราวนี้เรามาดูเรื่องเกี่ยวกับการตัดผมในรูปแบบความฝันกันบ้าง ถ้าการตัดผมมาอยู่ในความฝันของเรา ๆ กันแล้ว คำทำนายฝันจะออกมาอย่างไรกันบ้าง บ้างก็เชื่อว่าการตัดผมเปรียบเสมือนการเริ่มต้นใหม่ บ้างก็ว่าการตัดผมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง แล้วทำนายฝันเกี่ยวกับการตัดผม รูปแบบต่าง ๆ จะทำนายไว้ว่าอย่างไรกันนะ

ฝันว่าตัดผม

ใครที่ชอบมีปัญหากับญาติผู้ใหญ่ในบ้าน ช่วงนี้ไม่ควรพาคนนอกเข้ามาบ้าน เพราะจะเกิดเรื่องได้ง่าย ให้ระวังการปวดข้อกระดูก ปวดหลัง เพื่อนหรือผู้ที่คุณคุ้นเคยเป็นอย่างดีจะทำตัวห่างเหิน

ความรัก

อย่าปล่อยให้ตัณหาราคจริตมาครอบงำจิตสำนึกเกินไป เพราะอาจเพลี่ยงพล้ำเสียตัวได้! ผู้ที่มีคนรักแล้วจะได้ของขวัญที่ถูกใจจากคนรัก คนรักก็เอาใจเก่ง พูดจาหวานหู ดูแล้วน่าอิจฉาจัง ช่วงนี้ความมีเสน่ห์ของคุณจะโดดเด่นมาก จนทำให้คนรักของคุณเริ่มหึงหวงนะ

ดวงการเงิน การงาน

มีโอกาสปรับเปลี่ยนงาน โยกย้ายสายงาน หรือ ได้รับอะไรที่แตกต่างจากเดิมที่เป็นอยู่ จะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างทั้งที่เกี่ยวกับเรื่องการเงิน อาจมีคนเข้ามาเพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากคุณ คุณอาจถูกเลิกจ้างโดยไม่รู้ตัวต้องพยายามทำผลงานเสมอต้นเสมอปลาย อย่าชะล่าใจไปเชียว

เลขมงคล เด่นนำโชค

0 3 5

เลขมงคล เด่นรอง

18 42 62

59

ฝันว่าตัดผมใหม่ ดวงจะได้เงินทองหรือไม่
ฝันว่าตัดผมใหม่ ดวงจะได้เงินทองหรือไม่

ฝันว่าตัดผมให้ตัวเอง

ปัญหาในชีวิต หรือเคราะห์ร้ายต่าง ๆ กำลังจะหมดไป เปรียบเหมือนผมเป็นความวุ่นวายในชีวิต ได้ตัดปัญหาทิ้งไป แต่จะมีเหตุให้ต้องเดินทางไปธุระหลายแห่งจนแทบไม่มีโอกาสหยุดพัก ระวังการพบเจอกับคนแปลกหน้าที่ไม่ประสงค์ดี มีโอกาสพบผู้ช่วยเหลือแบบฟลุคๆ

ความรัก

คนโสดได้แต่รอแล้วรอเล่า ยังไม่เจอคนที่โดนใจ คงต้องใจเย็นอย่างที่โบราณท่านว่าไว้ “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” ใครที่ยังไม่ลงเสารักก็ให้ระวังจะเกิดอาการรักสั่นคลอนได้ ต้องหลีกเลี่ยงอย่าให้เกิดชนวนแห่งความขัดแย้ง

ดวงการเงิน การงาน

ต้องใช้ความหนักแน่นและพิจารณาปัญหาอย่างรอบคอบในการคิดการวางแผนงาน จะมีคนเอ่ยปากอยากชวนทำธุรกิจ หรือลงทุนร่วมกัน เป็นเพศหญิง รูปร่างสูง ผอม ซึ่งร่วมธุรกิจกันแล้วจะเจริญก้าวหน้าดี งานจะมีภาระเร่งด่วน กดดัน และต้องใช้ความรับผิดชอบสูงมาก

เลขมงคล เด่นนำโชค

5

เลขมงคล เด่นรอง

46 74

16 64 97 71 830

ฝันว่าช่างตัดผมให้

ความฝันแบบนี้จะเน้นเกี่ยวเนื่องไปที่สุขภาพ คุณจะหมดเคราะห์ หายป่วย โดยเฉพาะใครที่กำลังป่วยอยู่ตอนนี้อาการจะดีขึ้นจนน่าตกใจ พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ

ความรัก

คนรักไปไหนคุณไปด้วย แต่ไม่วายที่คุณจะแอบเจ้าชู้หว่านเสน่ห์ไปทั่ว คุณควรจะคบหาดูใจกับคนที่มีอายุไล่เลี่ยกับคุณให้มากที่สุด ระวังจะมีเรื่องที่ต้องขัดแย้งและทะเลาะเบาะแว้งกับคนรักอย่างรุนแรง

ดวงการเงิน การงาน

ระวังช่วงนี้คุณจะทำงานพลาดบ่อย ส่งผลให้ถูกตำหนิจากหัวหน้างาน หรือ บุคคลรอบข้างได้ มีแต่เรื่องเสียเงิน แต่เป็นการเสียเงินให้คนอื่น แต่คุณก็จะได้ความสุขใจกลับมาในความช่วยเหลือ การเงินอาจต้องลำบากใจจากการขอหยิบขอยืมอยู่บ้าง แต่ก็จะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทต่างเพศเป็นอย่างดี

เลขมงคล เด่นนำโชค

0

เลขมงคล เด่นรอง

00 24

62 723 620

ฝันว่าตัดผมสวย ทำนายฝัน
ฝันว่าตัดผมสวย ทำนายฝัน

ฝันว่าตัดผมสวย

คนอายุน้อยกว่าอาจสร้างปัญหาให้คุณ จะมีคนมาเล่าเรื่องราวความทุกข์คุณให้เห็นใจและให้คุณช่วยแก้ปัญหา คุณมีเกณฑ์ได้เดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ

ความรัก

ช่วงนี้ควรระวังเนื้อระวังตัวให้มาก อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวเกินไป คุณจะได้รับการแนะนำให้รู้จักกับคนนิสัยดี จิตใจดี ชอบทำบุญ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น อย่าเล่นหูเล่นตากับใครเขาเข้าล่ะ เพราะจะมีสัมพันธ์เกินเลย

ดวงการเงิน การงาน

ช่วงนี้งานที่ทำหรือได้รับมอบหมายจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ไม่ติดขัดอะไร เงินทองที่ใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วง ใช้ไปเท่าไหร่ก็จะได้กลับมาเท่านั้น แต่ก็ประหยัดไว้บ้างก็ดี คุณจะหาเงินได้ก้อนใหญ่จากกิจการที่คุณทำอยู่และอาจมีผู้มาร่วมลงทุนกับคุณเพิ่มจากเดิม

เลขมงคล เด่นนำโชค

0 8

เลขมงคล เด่นรอง

47 83

86 23 769 942

ฝันว่าตัดผมใหม่

ญาติมิตรหรือคนที่อยู่ห่างไกลจะส่งข่าวหรือเดินทางมาหา ระวังคำพูด จะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง คุณมีเกณฑ์ได้เดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ

ฝันว่าตัดผม ทำนายฝันความรักจะเป็นอย่างไร
ฝันว่าตัดผม ทำนายฝันความรักจะเป็นอย่างไร

ความรัก

คนโสดจะมีการเปลี่ยนแปลงความคิดที่เกี่ยวกับคนที่เข้ามาพัวพัน อาจจะเปิดโอกาสทางด้านความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน คุณจะพบคนต่างเพศที่มีลักษณะต้องตาต้องใจ ไม่ว่าคุณยังโสดหรือไม่ก็ตาม คุณมีดวงที่ต้องเดินทางในระยะนี้ ทำให้คุณจะมีโอกาสห่างเหินกับคนที่คุณรัก

ดวงการเงิน การงาน

อย่าฝากใครเข้าทำงานเพราะจะมีปัญหาให้หนักใจ  ควรให้ผ่านพ้นช่วงปีนี้ไปก่อนแล้ว อีกประมาณ 2 เดือนการเงินของคุณจะมั่นคงและดีขึ้นกว่าเก่า งานจะมีภาระเร่งด่วน กดดัน และต้องใช้ความรับผิดชอบสูงมาก

เลขมงคล เด่นนำโชค

0 2 3

เลขมงคล เด่นรอง

27 38 85

70 773 849

ฝันว่าตัดผมสั้น

จะมีโชคอยู่ทางทิศเหนือ มาจากคนผิวสองสี ระวังเรื่องอารมณ์ของคุณให้ดี เพราะมันจะนำมาซึ่งความเลวร้าย คุณมีเกณฑ์ได้เดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ

ความรัก

คนมีแฟนระวังมีปากเสียงกัน ให้หาเวลาไปเที่ยวตากอากาศกันบ้าง เพื่อผ่อนคลายและเปลี่ยนบรรยากาศด้วย จะมีญาติผู้ใหญ่คอยเป็นแม่สื่อช่วยผลักดันให้คุณได้ลงเอยกับคนคุณที่ชื่นชอบ คุณมีโอกาสที่จะพบกับปัญหาความไม่เข้าใจกัน และเกิดอาการบันดาลโทสะได้ง่าย ๆ

ดวงการเงิน การงาน

การทำงานร่วมกับพรรคพวกต้องใช้สติกับมิตรภาพมากเป็นพิเศษ และงานจะลุล่วงผ่านพ้นไปด้วยดี อีกประมาณ 2 เดือนการเงินของคุณจะมั่นคงและดีขึ้นกว่าเก่า กิจการทั้งปวงซึ่งต้องสัมพันธ์หรือต้องติดต่อกับต่างประเทศอาจมีอุปสรรค เพราะการสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน

เลขมงคล เด่นนำโชค

3 4 5

เลขมงคล เด่นรอง

22 86

55 32 041

ฝันว่าตัดผมแหว่ง

การพบปะคนจำนวนมากมักเจอเหตุการณ์หรือคำพูดที่ไม่ค่อยน่าพอใจนัก ศัตรูที่เคยไม่ถูกกันจะมาขอคืนดี คุณระวังควรควบคุมวาจาอย่าพลั้งปากพูดอะไรแบบไม่คิด

ความรัก

คนโสดก็อย่าคิดอะไรมากเลยนะ หาที่ปลีกวิเวก หาความสุขใส่ตัวในเรื่องอื่น ๆ ดีกว่า ระวังจะเกิดการขัดแย้งในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่คุณก็เก่งนะที่สามารถจัดการปัญหาได้ด้วยตัวคุณเอง จะมีคนมาทำให้คุณรู้สึกสดชื่น แต่ก็ยังไม่ใช่คนที่คุณหวังไว้

ดวงการเงิน การงาน

เป็นช่วงที่รับงานหนักให้อดทนไปก่อน แล้วผลที่ตามมาก็จะดีเอง จะได้รับความเห็นใจจากเจ้านาย จะได้ข่าวดีเรื่องงานในอนาคต ถ้าจะย้ายงานหรือเปลี่ยนงานหรือหางานใหม่จะรู้ผลในเดือนนี้ อย่าเพิ่งลงทุน ขยับขยาย ทำอะไรเสี่ยง ๆ ได้ไม่คุ้มเสีย

เลขมงคล เด่นนำโชค

1 8 9

เลขมงคล เด่นรอง

18

761 551

ฝันดี จะเป็นจริงดั่งทำนายหรือไม่ อยู่ที่เราลงมือทำ
ฝันดี จะเป็นจริงดั่งทำนายหรือไม่ อยู่ที่เราลงมือทำ

” Goal without Action ,Just Dream : เป้าหมายที่ไม่ได้ลงมือทำ มันก็ยังคงเป็นแค่ความฝัน” 

หากความฝันของคุณจะทำนายออกมาดีแค่ไหน แต่หากเรายังคงไม่ลงมือทำให้มันเกิดเป็นจริงขึ้นมา ความฝันนั้นก็เป็นได้เพียงความฝันหนึ่งเมื่อเราตื่นขึ้นมาก็มลายหายไป มิใช่ว่าคำทำนายจะไม่แม่น หรือไม่ตรง แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรคำนึงถึงเมื่อได้รับความฝันดี ๆ นั่นคือ จงลงมือทำ ให้มันเกิดขึ้นจริง สิ่งดี ๆ ที่วาดฝันไว้ก็จะมาอยู่ในมือคุณอย่างแน่นอน

ข้อมูลอ้างอิงจาก mthai.com

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

ฝันว่าได้ทอง ฝันว่าได้ใส่สร้อยทอง หรืองวดนี้จะมีหวัง?

ฝันเห็นพระพิฆเนศ เทพความสำเร็จดูคำทำนายให้รวยปังๆ!

สีเสื้อมงคล 2563 เสริมดวง 12 ราศี ใส่แล้วงานดี เงินเริ่ดตลอดปี

แม่เตือนภัย ลูก 2 คนป่วย ลำไส้อักเสบ พร้อมกัน! หลังกิน เยลลี่ลูกตา

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

หนังยาง

อุทาหรณ์!! ลูกหวิดมือเน่าเพราะ หนังยาง เหตุสายสิญจน์บัง

Alternative Textaccount_circle
event
หนังยาง
หนังยาง

คนไทยนิยมจะผูกสายสิญจน์ให้ลูกน้อยเพราะเชื่อว่าจะช่วยคุ้มครองลูก แต่ในบางบ้านก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ เพราะเด็กน้อยนำ หนังยาง ไปรัดข้อมือ จนมือบวมและเป็นแผล เช่นอุทาหรณ์นี้!!

อุทาหรณ์!! ลูกหวิดมือเน่าเพราะ หนังยาง เหตุสายสิญจน์บัง

ทีมแม่ ABK ขอนำเรื่องราวจากคุณแม่ Mhai Kiatpramarn คุณแม่ของน้องเก้า ลูกชายวัย 2 ขวบ ที่ได้ผูกสายสิญจน์ที่ข้อมือให้ลูก โดยคุณแม่คิดว่าสายสิญจน์และ หนังยาง มัดผมที่ดูจะไม่มีพิษ ไม่มีภัยอะไร แต่เพราะไม่ทันสังเกตุว่าลูกน้อยได้นำหนังยางที่เก็บได้ตามพื้นไปรัดใส่ข้อมือไว้ แล้วสายสิญจน์ก็บดบังไว้มองไม่เห็นอะไรเลย ลูกก็ไม่ได้แสดงอาการว่าเจ็บออกมาด้วย แถมยังไม่มีอาการอะไรออกมาเลย แม้แต่อาบน้ำถูสบู่ ลูกก็ไม่ได้ร้องเจ็บ จนวันหนึ่ง คุณแม่ได้สังเกตเห็นว่ามือของลูกบวมผิดปกติ จึงเปิดสายสิญจน์ออกมาดู กลับพบว่า มี หนังยาง รัดผมรัดอยู่ที่ข้อมือลูก ซึ่งรัดแน่นเข้าไปในเนื้อ คุณแม่จึงรีบเอา หนังยาง ออก และล้างแผล ทายา คุณแม่จึงโพสต์ลงเฟสบุ๊คเพื่อเตือนให้แม่ ๆ ท่านอื่นได้คอยระวังและสังเกต เพราะข้อมือของเด็กจะเป็นปล้อง ๆ อยู่แล้ว ทำให้ดูได้ยาก อีกทั้งมีสายสิญจน์พัน ๆ ที่ข้อมือ ทำให้สังเกตได้ยาก

หนังยางรัดมือ
หนังยางรัดมือ

อุทาหรณ์เตือนตัวเองและทุกคน ❗️
มันเกิดจากยางรัดผมค่ะ สายสิญจน์มันบังเลยไม่เห็น
รูปแรกคือสายสิญจน์และยางมัดผมที่ดูไม่มีพิษมีภัย แต่…
มันรัดข้อมือลูกเรามาตลอดไม่ได้เอะใจอะไร เพราะลูกไม่มีอาการอะไรเลย อาบน้ำถูสบู่ได้ปกติไม่ร้อง
จนเมื่อวาน แม่นกได้สังเกตเห็นว่ามันบวมเลยได้เปิดดู ตามรูปคือ ยางมัดผมรัดข้อมือเก้า (ลูกชาย) รัดจนแน่นเข้าไปในเนื้อ แม่นกรีบเอาออก ล้างแผลและทายาแล้วก็ขึ้นไปเรียกเรา (ตอนนั้นเราขึ้นไปนอนเลยฝากแม่ไว้)
ลงมาก็ตกใจ รู้สึกผิดมากๆที่ไม่ได้สังเกตลูกเลย ชะล่าใจเอง เพราะข้อมือเก้าจะเป็นปล้องๆตามประสาเด็กอวบและดันมีสายสิญจน์พันๆข้อมือไปอีก
โทษตัวเองอย่างเดียว โทษใครไม่ได้เลย โทษความสะเพร่าของตัวเอง ตอนนี้ได้แต่ขอให้ลูกหายเร็วๆ
ขอบคุณแม่นกที่สังเกตเห็นว่าข้อมือผิดปกติ
ขอบคุณลุงนาทที่ล้างแผล ทายา ซื้อยาให้เก้าค่ะ
ที่ผ่านมาเก้าร่าเริงปกติ ไม่เคยร้องหรือเจ็บบริเวณข้อมือเลย เก้าแข็งแรงและทนมาก
หายเร็วๆนะลูก.
รัก
แม่ไหม
นอกจากนี้ คุณแม่ยังได้ย้ำกับทีมแม่ ABK อีกว่า ตัวการครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียง หนังยาง เพียงอย่างเดียว สายสิญจน์ก็มีส่วนทำให้คุณแม่ไม่ทราบว่ามีหนังยางรัดผมรัดอยู่ที่ข้อมือลูก ดังนั้น แม่ ๆ ที่ใส่สายสิญจน์ให้ลูกจึงควรระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้ แม่ ๆ ที่มีลูกที่อยู่ในวัยกำลังซน อยู่ในวัยที่กำลังหยิบของเข้าปาก เข้าจมูก เข้าหู และรวมไปถึงรัดตามร่างกาย ยิ่งควรระวังมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะของเล่น ที่มักจะถูกวางอยู่เกลื่อนกลาดตามบ้าน เพื่อให้ลูกได้หยิบจับมาเล่นได้สะดวก

หนังยาง
หนังยาง

“ของเล่นเด็ก” และหลากอันตรายที่พ่อแม่คาดไม่ถึง

ของเล่นเด็ก เป็นสิ่งของประเภทหนึ่งที่มีทั้งหลากหลายรูปทรง ทั้งหลากหลายรูปแบบในการหยิบจับสัมผัส ซึ่งประโยชน์ของของเล่นเด็กนั้น มีมากมายมหาศาล นอกจากจะทำให้เด็กสนุกและผ่อนคลายความเครียดแล้ว ยังช่วยระตุ้นระบบประสาทสัมผัสทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัส การมอง การได้ยิน พัฒนาการของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก และการประสานงานของกล้ามเนื้อ กระตุ้นระบบการได้ยินและการตอบสนองจะเป็นการกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาและการสื่อสาร กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้เด็ก ฝึกการแก้ไขปัญหา การใช้เหตุผล การตอบสนองต่อจินตนาการในวัยเด็กได้อีกด้วย

แต่ของเล่นที่พบเห็นอยู่ในปัจจุบันก็มีอันตรายแอบแฝงอยู่ในตัวด้วยเช่นกัน โดยในแต่ละปีมีเด็กบาดเจ็บจากของเล่นที่ต้องมารับการตรวจรักษาที่ห้องฉุกเฉินต่าง ๆ รวมกว่า 72,000 ราย มาดูกันว่าของเล่นเด็กชนิดต่าง ๆ มีอันตรายอะไรแอบแฝงอยู่บ้าง

ของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ของที่มีชิ้นส่วนเล็กกว่า 3.2 x 6 ซม. เป็นส่วนประกอบ จะมีโอกาสทําให้สําลักอุดตันทางเดินหายใจได้มาก เช่น ตุ๊กตุ่นตุ๊กตาพลาสติกตัวเล็ก ๆ ที่มักมาในรูปของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ขวัญใจเด็ก ๆ  ควรระวัง..ส่วนหัวของตุ๊กตุ่นฮีโร่แมนทั้งหลาย กระทั่งแท่งลิปสติกของตุ๊กตาผู้หญิง เด็กเล็กเห็นเข้าก็มักเอาเข้าปาก เคี้ยว ๆ อม ๆ แล้วในที่สุดก็ติดคอ ติดหลอดลมจนขาดอากาศหายใจและเสียชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ยังเกิดขึ้นอยู่เสมอ ดังนั้นของเล่นของเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี ซึ่งชอบเอาของเข้าปาก ต้องไม่เป็นชิ้นเล็กน้อยที่มีขนาดเล็กกว่า 3.2 ซม. ถ้าเล็กกว่านี้ต้องยาวกว่า 6 ซม.

ของเล่นเด็ก
ของเล่นเด็ก

ของเล่นที่มีสายยาวกว่า 22 ซม.

เพราะอาจทำให้สายขดเป็นวงและรัดคอเด็กได้ เช่น สายโทรศัพท์ กีตาร์ รถลาก หรือของเล่นที่มีช่องรู ก็มักทําให้นิ้วติด มือติด หัวติดได้ เช่น ของเล่นชุดปราสาท คฤหาสน์ ชุดครัว

ลูกกระสุนที่แรงกว่า .08 จุล

เช่น ปืนอัดลม ปืนลูกดอก หากโดนลูกนัยน์ตาก็อาจมีอันตรายถึงขั้นตาบอด จึงห้ามให้ลูกเล่นปืนอัดลม หรือปืนลูกดอกทุกชนิดที่กระสุนไม่อ่อนนิ่ม

ของเล่นที่แหลม ๆ คม ๆ

เช่น รถเด็กเล่นที่ท้ายแหลม ลูกข่าง หุ่นยนต์ที่มีส่วนหัวแหลม ๆ จรวดพลาสติกหรือโลหะที่มีทรงแหลม ๆ คม ๆ

ของเล่นที่ติดไฟง่ายแล้วเอามาสวมหัวสวมตัว

เช่น ชุดแต่งตัวต่าง ๆ ไอ้มดแดงบ้าง สไปเดอร์แมนบ้าง ทั้งผ้าทั้งวัสดุที่ใช้บุให้มีรูปทรง ต้องผ่านการทดสอบการต้านการติดไฟมาก่อน

ของเล่นที่มีเสียงดัง

หากเสียงดังเกินกว่าความปลอดภัยของเด็ก (เกินกว่า 110 เดซิเบล เมื่อดังครั้งเดียวไม่เกิน 1 วินาทีหรือ ไม่เกิน 80 เดซิเบลเมื่อเป็นการดังต่อเนื่อง) เรื่องนี้ต้องพึงระวังให้มาก เพราะมันอาจทําลายเซลล์ประสาทการรับเสียงของลูก ๆ ได้ โดยเฉพาะของเล่นใช้ไฟฟ้า รถไฟปู๊น ๆ ปืนกล ปืนเลเซอร์ที่กดแล้วมีเสียงดัง

ของเล่นที่เคลื่อนที่เร็ว

เช่น รถหัดเดิน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่วางขายทั่วไปในห้างสรรพสินค้าและร้านของใช้เด็ก ส่วนใหญ่แล้วมักใช้กับเด็กอายุ 5-6 เดือน เด็กที่อยู่ในรถหัดเดินนานหลายชั่วโมงต่อวันเมื่อตั้งไข่ได้ดีแล้วจะก้าวเดิน เด็กจะใช้ปลายเท้าจิกลง ทําให้ขาเกร็งมากกว่าปกติ ในสิงคโปร์มีการวิจัยในเด็ก 185 คน พบว่าร้อยละ 10.8 ของเด็กที่ใช้รถหัดเดินเป็นประจําจะมีพัฒนาการด้านการเคลื่อนไหวช้ากว่าเด็กที่ไม่ได้ใช้ แต่ที่เป็นผลเสียมากกว่านั้นคืออันตรายจากอุบัติเหตุ จากการวิจัยพบว่า 1 ใน 3 ของเด็กที่ใช้รถหัดเดินจะเคยได้รับบาดเจ็บจากรถหัดเดิน การบาดเจ็บรุนแรงมักเกิดจากการพลัดตกจากที่สูง พื้นต่างระดับ และบ้านที่มีมากกว่าหนึ่งชั้น ในประเทศแคนาดาได้มีการห้ามขายไปตั้งแต่ปี 1992 เช่นเดียวกันกับในประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกาซึงได้มีการห้ามขายในบางรัฐ

ของเล่นทารก

เช่น กุ๊งกิ๊ง มีหลายแบบทั้งแบบวงกลม วงแหวน มีด้ามถือ หรือเป็นเส้นสายยาวที่ใช้ผูกเปลนอนอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เช่น การอุดตันทางเดินหายใจ กุ๊งกิ๊งที่ถูกออกแบบมาไม่ถูกต้องมีชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็ก หรือถูกผลิตโดยวัสดุที่มีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ เกิดการแตกหักง่ายกลายเป็นวัสดุชิ้นเล็ก ๆ ได้ ซึ่งเมื่อเด็กนําเข้าปากจะเกิดการสําลักและอุดตันหลอดลมได้โดยง่าย วัสดุที่มีขนาดเล็กกว่า 3.2 ซม. และมีความยาวสั้นกว่า 6 ซม. เมื่อเด็กนําเข้าปากและสําลักสามารถก่อให้เกิดทางเดินหายใจอุดตันได้ การอุดตันทางเดินหายใจจะทําให้สมองขาดออกซิเจนอย่างกะทันหัน ซึ่งมีเวลาเพียง 4-5 นาทีที่สมองจะคงทนอยู่ได้ ถ้านานกว่านี้จะเกิดภาวะสมองตายทําให้ไม่สามารถรักษาให้กลับคืนสู่ปกติได้ นอกจากนั้นการอาเจียนและสําลักอาหารที่กินเข้าไปออกมา และอาหารนั้นถูกสําลักเข้าหลอดลมอีกที ก่อให้เกิดการอุดตันทางเดินหายใจได้ กุ๊งกิ๊งที่เป็นด้ามยาวเพื่อให้เด็กกําถือเขย่า ถ้าปลายด้ามมีขนาดเล็กในขนาดที่เด็กเอาเข้าปากได้ จะสามารถแทงรบกวนคอเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในท่านอนราบ

ของเล่นทารก
ของเล่นทารก

จากอุทาหรณ์ หนังยาง รัดข้อมือลูกเพราะสายสิญจน์บัง และอันตรายจากของเล่นต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าของบางอย่างที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัย ก็อาจจะทำอันตรายให้กับลูกน้อยได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือควรสังเกตุลูกน้อยอยู่ตลอดเวลา และสิ่งของบางอย่างที่อาจจะดูเป็นอันตรายกับลูกน้อยได้ ก็ควรเก็บให้เข้าที่เข้าทาง เพราะอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ค่ะ

อ่านต่อบทความดี ๆ คลิก

อันตรายจากรถหัดเดิน…ลูกถูกสิบล้อทับเพราะรถหัดเดินไหลลงถนน

วิธีช่วยชีวิตลูก สิ่งแปลกปลอมติดคอ สำลักอาหาร (มีคลิป)

3ข้อเตือนใจแม่! อุบัติเหตุบนถนน ที่มักเกิดขึ้นกับลูก

รับมือ ลูกอยู่ไม่นิ่ง กับ6พฤติกรรม”แหย่ๆ”ของเด็กวัยซน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟสบุ๊คคุณแม่ Mhai Kiatpramarn, คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

อสุจิไม่แข็งแรง

10 เคล็ดลับ รับมือ อสุจิไม่แข็งแรง แบบนี้ต้องขุนสเปิร์มพ่อ!

Alternative Textaccount_circle
event
อสุจิไม่แข็งแรง
อสุจิไม่แข็งแรง

อสุจิไม่แข็งแรง – หากคุณและคู่ของคุณกำลังประสบปัญหาการมีบุตรยาก ยังมีอีกหลายคู่ในโลกนี้ที่หัวอกเดียวกัน ภาวะมีบุตรยากเป็นเรื่องปกติ มีผลต่อคู่รักประมาณหนึ่งในทุกๆ หกคู่  ซึ่งนักวิจัยคาดว่าประมาณหนึ่งในทุก ๆ สามคู่ที่มีปัญหา เกิดจากปัญหาการเจริญพันธุ์ของฝ่ายชาย แม้ว่าภาวะมีบุตรยากจะไม่สามารถรักษาได้ 100 เปอร์เซนต์ แต่ก็มีบางสิ่งที่คุณสามารถทำได้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ บางครั้งภาวะการมีบุตรยาก สามารถปรับปรุงได้ด้วยการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารเสริม และกลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตอื่น ๆ บทความนี้จะพูดถึงปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิต อาหาร สารอาหาร และอาหารเสริมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาภาวะเจริญพันธุ์ที่ดีขึ้นในผู้ชาย

10 เคล็ดลับ รับมือ อสุจิไม่แข็งแรง แบบนี้ต้องขุนสเปิร์มพ่อ!

ภาวะมีบุตรยากของผู้ชายคืออะไร?

ภาวะเจริญพันธุ์หมายถึงความสามารถของผู้คนในการสืบพันธุ์โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์

ภาวะมีบุตรยากของผู้ชายคือเมื่อผู้ชายมีโอกาสน้อยที่จะทำให้คู่รักตั้งครรภ์ โดยส่วนใหญ่เป็นเป็นหาที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของเซลล์อสุจิ

บางครั้งภาวะมีบุตรยากเชื่อมโยงกับสมรรถภาพทางเพศ และบางครั้งอาจเชื่อมโยงกับคุณภาพของน้ำอสุจิ นี่คือตัวอย่างบางส่วนของแต่ละรายการ:

  • ความใคร่ หรือเรียกอีกอย่างว่าแรงขับทางเพศ ความใคร่ หมายถึงความปรารถนาที่จะมีเพศสัมพันธ์ของบุคคล อาหาร หรืออาหารเสริมที่อ้างว่าเพิ่มความใคร่เรียกว่ายาโป๊
  • สมรรถภาพทางเพศ หรือที่เรียกว่าภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศคือการที่ผู้ชายไม่สามารถพัฒนาหรือรักษาการแข็งตัวของอวัยวะเพศได้อย่างที่ควรจะเป็น
  • จำนวนอสุจิ  สิ่งสำคัญของคุณภาพน้ำเชื้อ คือ จำนวนหรือความเข้มข้นของเซลล์อสุจิในปริมาณน้ำอสุจิที่กำหนด
  • การเคลื่อนไหวของอสุจิ หน้าที่สำคัญของเซลล์อสุจิที่แข็งแรง คือ ความสามารถในการว่ายน้ำ การเคลื่อนที่ของอสุจิวัดได้เป็นเปอร์เซ็นต์ของเซลล์อสุจิที่เคลื่อนที่ในตัวอย่างน้ำอสุจิ
  • ระดับฮอร์โมนเพศชาย ฮอร์โมนเพศชายในระดับต่ำอาจเป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยากในผู้ชายบางคน

ภาวะมีบุตรยากอาจมีหลายสาเหตุ และอาจขึ้นอยู่กับพันธุกรรมสุขภาพโดยทั่วไปความฟิต โรคและสารปนเปื้อนในอาหาร นอกจากนี้วิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีและการรับประทานอาหารก็มีความสำคัญ อาหารและสารอาหารบางอย่างเกี่ยวข้องกับประโยชน์ด้านการเจริญพันธุ์มากกว่าอาหารอื่น ๆ

ต่อไปนี้ คือ 10 วิธีที่ได้รับการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ ในการเพิ่มจำนวนอสุจิและเพิ่มความสมบูรณ์ของร่างกายในเพศชาย

1. การรับประทานกรด D-aspartic (D-AA)

กรด D-aspartic (D-AA) เป็นรูปแบบของกรดแอสปาร์ติก ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่จำหน่ายในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

ทั้งนี้ไม่ควรสับสนกับกรด L-aspartic ซึ่งเป็นส่วนประกอบและโครงสร้างของโปรตีนหลายชนิดและพบได้บ่อยกว่า D-AA

D-AA ส่วนใหญ่มีอยู่ในต่อมบางชนิด เช่น อัณฑะ เช่นเดียวกับในน้ำอสุจิและเซลล์อสุจิ

นักวิจัยเชื่อว่า D-AA มีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะเจริญพันธุ์ของเพศชาย  ระดับ D-AA ในผู้ชายที่มีบุตรยากจะต่ำกว่าผู้ชายที่มีภาวะเจริญพันธุ์ที่สมบูรณ์อย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งนี้ได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร D-AA อาจเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายที่มีบทบาทสำคัญในการเจริญพันธุ์ของผู้ชาย

ตัวอย่างเช่น การศึกษาในชายที่มีบุตรยากชี้ให้เห็นว่าการรับประทาน D-AA 2.7 กรัมเป็นเวลา 3 เดือนจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายได้ 30–60% เพิ่มจำนวนอสุจิ และการเคลื่อนไหวของอสุจิ 60–100% และจำนวนการตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นในคู่นอนด้วย

การศึกษาอื่นในผู้ชายที่มีสุขภาพดีแสดงให้เห็นว่าการรับประทานอาหารเสริม D-AA ปริมาณ 3 กรัม ทุกวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายขึ้น 42% (5 แหล่งที่เชื่อถือได้)

อย่างไรก็ตามยังมีหลักฐานไม่สอดคล้องกัน จากการศึกษาในนักกีฬาหรือผู้ชายที่ได้รับการฝึกฝนความแข็งแรงที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายปกติถึงสูง พบว่า D-AA ไม่ได้เพิ่มระดับอีกและยังลดลงในปริมาณที่สูง

หลักฐานปัจจุบันบ่งชี้ว่าอาหารเสริม D-AA อาจช่วยเพิ่มภาวะเจริญพันธุ์ในผู้ชายที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำแต่ไม่ได้ให้ประโยชน์เพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอในผู้ชายที่มีภาวะเจริญพันธุ์ปกติ

ซึ่งจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงในระยะยาวและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร D-AA ในมนุษย์

อสุจิไม่แข็งแรง
อสุจิไม่แข็งแรง

2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากจะดีต่อสุขภาพโดยทั่วไปแล้ว การออกกำลังกายเป็นประจำยังช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายและเพิ่มภาวะเจริญพันธุ์

การศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผู้ชายที่ออกกำลังกายเป็นประจำมีระดับเทสโทสเตอโรนสูงกว่าและมีคุณภาพของน้ำอสุจิที่ดีกว่าผู้ชายที่ไม่ได้ใช้งาน

อย่างไรก็ตามคุณควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายมากเกินไปเพราะอาจส่งผลตรงกันข้ามและอาจลดระดับฮอร์โมนเพศชายได้ ซึ่งการได้รับสังกะสีในปริมาณที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงนี้ได้

หากคุณไม่ค่อยออกกำลังกาย แต่ต้องการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้ลองเริ่มให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายเป็นอันดับแรกในแผนการพัฒนาภาวะการเจริญพันธ์

3. รับวิตามินซีให้เพียงพอ

คุณคงคุ้นเคยกับความสามารถของวิตามินซีในการเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน แต่ยังมีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าการเสริมสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซีอาจช่วยเพิ่มภาวะเจริญพันธุ์

การศึกษาในชายที่มีบุตรยากพบว่าการเสริมวิตามินซี 1,000 มก. วันละสองครั้งนานถึง 2 เดือนช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของอสุจิ 92% และจำนวนอสุจิมากกว่า 100% นอกจากนี้ยังลดสัดส่วนของเซลล์อสุจิที่ผิดรูปลง 55%

การศึกษาเชิงสังเกตอีกชิ้นในคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมของอินเดียชี้ให้เห็นว่าการรับประทานวิตามินซี 1,000 มก. 5 ครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลา 3 เดือนอาจช่วยป้องกันความเสียหายของดีเอ็นเอที่ส่งผลต่อคุณภาพของเซลล์อสุจิ

อาหารเสริมวิตามินซียังช่วยเพิ่มจำนวนและการเคลื่อนไหวของอสุจิได้อย่างมีนัยสำคัญและลดจำนวนเซลล์อสุจิที่ผิดรูป เมื่อรวมกันแล้วการค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าวิตามินซีอาจช่วยปรับปรุงภาวะเจริญพันธุ์ในผู้ชายที่มีบุตรยากที่มีความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของร่างกายหรือที่เรียกว่า ROS

อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องมีการศึกษาที่มีการควบคุมก่อนที่จะสามารถเรียกร้องใด ๆ ที่ชัดเจนได้

4. ผ่อนคลายและลดความเครียด

อาจเป็นการยากที่จะมีอารมณ์ร่วมหรืออารมณ์ทางเพศเมื่อคุณรู้สึกเครียด แม้อาจมีเหตุผลอะไรมากกว่านั้นที่ทำให้คุณรู้สึกไม่อยากมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของคุณ แต่ความเครียดอาจลดความพึงพอใจทางเพศของคุณและทำให้ภาวะเจริญพันธุ์ของคุณแย่ลง

นักวิจัยเชื่อว่าฮอร์โมนคอร์ติซอลอาจอธิบายผลข้างเคียงของความเครียดได้บางส่วน ความเครียดเป็นเวลานานจะเพิ่มระดับของคอร์ติซอลซึ่งมีผลเสียอย่างมากต่อฮอร์โมนเพศชาย เมื่อคอร์ติซอลสูงขึ้นระดับเทสโทสเตอโรนมักจะลดลง

ในขณะที่ความวิตกกังวลที่รุนแรงและไม่สามารถอธิบายได้ มักได้รับการรักษาด้วยยา แต่ความเครียดในรูปแบบที่ไม่รุนแรงสามารถลดลงได้ด้วยเทคนิคการผ่อนคลาย การจัดการความเครียดทำได้ง่ายๆเพียงแค่เดินเล่นในธรรมชาตินั่งสมาธิออกกำลังกายหรือใช้เวลากับเพื่อน ๆ

อสุจิไม่แข็งแรง

5. รับวิตามินดีให้เพียงพอ

วิตามินดีมีความสำคัญต่อการเจริญพันธุ์ของเพศชายและเพศหญิง เป็นสารอาหารอีกชนิดหนึ่งที่อาจเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชาย

การศึกษาเชิงสังเกตชิ้นหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าผู้ชายที่ขาดวิตามินดีมีแนวโน้มที่จะมีระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำ การศึกษาในผู้ชาย 65 คนที่มีระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำและการขาดวิตามินดีสนับสนุนการค้นพบนี้ การรับประทานวิตามิน D3 3,000 IU ทุกวันเป็นเวลา 1 ปีช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายประมาณ 25% ซึ่งระดับวิตามินดีที่สูงขึ้นเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวของตัวอสุจิที่มากขึ้น

6. สารสะกัดจากต้นโคกกระสุน (Tribulus terrestris)

Tribulus terrestris หรือชื่อไทยว่า ต้นโคกกระสุน เป็นสมุนไพรที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของเพศชาย

การศึกษาหนึ่งในผู้ชายที่มีจำนวนอสุจิต่ำ แสดงให้เห็นว่าการทานรากโคกกระสุน 6 กรัม วันละสองครั้งเป็นเวลา 2 เดือน ช่วยเพิ่มการทำงานของอวัยวะเพศและความใคร่

แม้ว่า สารจากโคกกระสุน จะไม่เพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชาย แต่การวิจัยชี้ให้เห็นว่าอาจเพิ่มผลกระทบที่ส่งเสริมความใคร่ของฮอร์โมนเพศชาย

อย่างไรก็ตามจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันคุณสมบัติและประเมินความเสี่ยงและประโยชน์ในระยะยาว

7. สารสะกัดจากเมล็ดลูกซัด (Fenugreek )

Fenugreek (Trigonella foenum-graecum) หรือลูกซัด เป็นสมุนไพรยอดนิยมที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

การศึกษาหนึ่งในผู้ชาย 30 คนที่ได้รับการฝึกฝนความแข็งแกร่งสี่ครั้งต่อสัปดาห์ได้วิเคราะห์ผลของการรับประทานสารสกัด Fenugreek 500 มก. ทุกวัน พบว่าระดับฮอร์โมนเพศชายความแข็งแรงและการสูญเสียไขมันเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการให้ยาหลอก

การศึกษาอื่นในผู้ชายที่มีสุขภาพดี 60 คนแสดงให้เห็นว่าการทาน Testofen 600 มก. ซึ่งเป็นอาหารเสริมที่ทำจากสารสกัดจากเมล็ดลูกซัด และแร่ธาตุทุกวันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ช่วยเพิ่มความใคร่ สมรรถภาพทางเพศและความแข็งแรง

การค้นพบนี้ได้รับการยืนยันจากการศึกษาอื่นในผู้ชายที่มีสุขภาพแข็งแรง 120 คน การทาน Testofen 600 มก. ทุกวันเป็นเวลา 3 เดือนช่วยปรับปรุงการทำงานของอวัยวะเพศ และเพิ่มความถี่ของกิจกรรมทางเพศ

นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายอย่างมีนัยสำคัญ

โปรดทราบว่าการศึกษาทั้งหมดนี้ได้ตรวจสอบจากสารสกัดจากฟีนูกรีก และไม่น่าเป็นไปได้ที่ Fenugreek ทั้งหมด ซึ่งใช้ในการปรุงอาหารและชาสมุนไพรจะมีประสิทธิภาพเท่ากัน

8. รับสังกะสี (Zinc) ให้เพียงพอ

สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นซึ่งพบในอาหารสัตว์ในปริมาณสูงเช่นเนื้อปลาไข่และหอย การได้รับสังกะสีเพียงพอเป็นหนึ่งในเสาหลักของการเจริญพันธุ์ของผู้ชาย

การศึกษาเชิงสังเกต แสดงให้เห็นว่าภาวะขาดสังกะสีมีความสัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำ คุณภาพของอสุจิที่ไม่ดี และความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภาวะมีบุตรยากของผู้ชาย สังกะสีจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชายและจำนวนอสุจิในผู้ที่มีสังกะสีต่ำได้

นอกจากนี้อาหารเสริมสังกะสีอาจช่วยเรื่องฮอร์โมนเพศชายที่ลดลงซึ่งเกี่ยวข้องกับการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูงมากเกินไป

อสุจิไม่แข็แรง

9. สารสะกัดจากโสมอินเดีย (Ashwagandha)

Ashwagandha (Withania somnifera) เป็นสมุนไพรที่ใช้ในอินเดียตั้งแต่สมัยโบราณ การศึกษาชี้ให้เห็นว่าโสมอินเดีย อาจเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของเพศชายโดยการเพิ่มระดับฮอร์โมนเพศชาย

การศึกษาหนึ่งในผู้ชายที่มีจำนวนเซลล์อสุจิต่ำแสดงให้เห็นว่าการรับประทานสารสกัดจากรากโสมอินเดีย 675 มก. ต่อวันเป็นเวลา 3 เดือนช่วยเพิ่มการเจริญพันธุ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเพิ่มจำนวนอสุจิขึ้น 167% ปริมาณน้ำอสุจิ 53% และการเคลื่อนไหวของอสุจิ 57% เมื่อเทียบกับระดับเมื่อเริ่มการศึกษา ในการเปรียบเทียบตรวจพบการปรับปรุงเพียงเล็กน้อยในผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยยาหลอก

การศึกษาในผู้ชายวัยเจริญพันธ์ 57 คนตามโปรแกรมการฝึกความแข็งแรงพบว่า การบริโภคสารสกัดจากรากโสมอินเดีย 600 มก. ทุกวัน ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน มวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการให้ยาหลอก การค้นพบนี้ได้รับการสนับสนุนโดยหลักฐานเชิงสังเกตที่ระบุว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโสมอินเดีย อาจช่วยเพิ่มจำนวนอสุจิ การเคลื่อนไหวของตัวอสุจิ สถานะของสารต้านอนุมูลอิสระ และระดับฮอร์โมนเพศชาย

10. รับประทานรากโสมเปรู (Maca)

การได้รับสารสะกัดจาก โสมเปรู อาจช่วยเพิ่มความใคร่ รวมถึงความอุดมสมบูรณ์และสมรรถภาพทางเพศ รากโสมเปรู เป็นอาหารจากพืชยอดนิยมที่มีต้นกำเนิดในภาคกลางของประเทศเปรู ตามคำบอกเล่ามันถูกใช้เพื่อความสามารถในการเพิ่มความใคร่และช่วยเรื่องการเจริญพันธุ์

การศึกษาหลายชิ้นในผู้ชายแสดงให้เห็นว่าการรับประทานรากโสมเปรูแห้ง 1.5 – 3 กรัม เป็นระยะเวลานานถึง 3 เดือน ช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศหรือความใคร่ได้

การศึกษายังชี้ให้เห็นว่ารากโสมเปณรู อาจช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ในผู้ชายที่มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศเล็กน้อย การรับประทานรากโซมเปรู แห้ง 2.4 กรัมเป็นเวลา 12 สัปดาห์ช่วยเพิ่มการทำงานของอวัยวะเพศและความเป็นอยู่ที่ดีทางเพศ

การทานผงรากโสมเปรู 1.75 กรัมทุกวันเป็นเวลา 3 เดือน ยังช่วยเพิ่มจำนวนอสุจิในผู้ชายที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง

การค้นพบนี้ได้รับการยืนยันบางส่วนจากบทวิจารณ์ แต่นักวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าหลักฐานอาจยังอ่อนแอ และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่จะสามารถอ้างสิทธิ์ได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้รากโสมเปรู ดูเหมือนจะไม่มีผลต่อระดับฮอร์โมน การรับประทานรากโสมเปรู 1.5–3 กรัมต่อวันเป็นเวลา 3 เดือน ไม่มีผลต่อฮอร์โมนเพศชาย หรือฮอร์โมนการเจริญพันธุ์อื่น ๆ ในผู้ชายที่มีสุขภาพดีหรืออยู่ในวัยเจริญพันธุ์

เคล็ดลับอื่น ๆ

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น อาจช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ได้จริง แต่สิ่งที่เหมาะกับคุณนั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาการเจริญพันธุ์ของคุณ นอกจากนี้โปรดทราบว่าพลังขับเคลื่อนทางเพศมักจะต้องควบคู่กันไปกับสุขภาพที่ดีโดยทั่วไปของคุณ ด้วยเหตุนี้อะไรก็ตามที่ทำให้สุขภาพโดยรวมของคุณดีขึ้นจึงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มภาวะเจริญพันธุ์ของคุณ ภาวะมีบุตรยากเป็นเรื่องปกติธรรมดาและส่งผลกระทบต่อผู้ชายจำนวนมากทั่วโลก

หากคุณมีปัญหาเรื่องการเจริญพันธุ์สิ่งหนึ่งที่คุณทำได้คือมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงสุขภาพโดยรวมของคุณ หากการขาดสารอาหารหรือระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำเป็นปัจจัยร่วมโอกาสที่เคล็ดลับในการดำเนินชีวิตเพิ่มเติมต่อไปนี้อาจช่วยได้เช่นกัน

เคล็ดลับเพิ่มเติม 8 ประการ เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และจำนวน /คุณภาพของอสุจิ :

  • วิถีชีวิตที่มีสุขภาพดี การดำเนินชีวิตที่ไม่ดีต่อสุขภาพทำให้สุขภาพโดยรวมของคุณลดลงรวมถึงภาวะเจริญพันธุ์
  • ลดน้ำหนักส่วนเกิน การแบกน้ำหนักที่มากเกินไป มีความสัมพันธ์กับภาวะมีบุตรยาก หากแพทย์ของคุณสงสัยว่าน้ำหนักตัวอาจเชื่อมโยงกับภาวะมีบุตรยากของคุณให้หารือเกี่ยวกับการลดน้ำหนักเป็นหนึ่งในเป้าหมายด้านสุขภาพของคุณ
  • จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเนื่องจากอาจลดระดับฮอร์โมนเพศชายและทำให้คุณภาพของน้ำอสุจิลดลง
  • รับโฟเลตให้เพียงพอ การศึกษาบางชิ้นระบุว่าการได้รับโฟเลตในปริมาณต่ำอาจทำให้คุณภาพของน้ำอสุจิลดลง
  • นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับให้เพียงพอมีความสำคัญต่อการรักษาสุขภาพของคุณ การนอนหลับที่จำกัด หรือมากเกินไปยังเชื่อมโยงกับคุณภาพของน้ำอสุจิที่ไม่ดี
  • สแน็ควอลนัท การรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากเช่น วอลนัทดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อการเจริญพันธุ์
  • พิจารณาอาหารเสริมบางชนิด  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต้านอนุมูลอิสระก็ดูเหมือนจะได้ผลเช่นกัน หลักฐานบางอย่างชี้ให้เห็นว่าโคเอนไซม์คิวเทนช่วยเพิ่มคุณภาพของน้ำอสุจิ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วเหลืองมากเกินไป ถั่วเหลืองอุดมไปด้วยไอโซฟลาโวนซึ่งเกี่ยวข้องกับคุณภาพของน้ำเชื้อที่ต่ำลง

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : healthline.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ระวัง! คุณผู้หญิง กินฟาสต์ฟู้ด บ่อย เสี่ยงมีลูกยาก

อยากมีลูก ต้องลอง! พระคาถาขอลูก ใช้ภาวนาสำหรับคนมีลูกยาก

รู้แล้วรีบแก้ไข! พ่อแม่ยุคใหม่ ทำไมจึง มีลูกยาก ?

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก

รวมสาเหตุและ ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก แม่ท้องจะป้องกันได้อย่างไร?

Alternative Textaccount_circle
event
ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก
ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก

ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก – การแท้งบุตรหมายถึงการสิ้นสุดการตั้งครรภ์โดยธรรมชาติ ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ ตามการประมาณการของ American Pregnancy Association (APA) การแท้งบุตรเกิดขึ้นใน 10 ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด แต่จำนวนที่แท้จริงของการแท้งบุตรอาจมีแนวโน้มที่จะมากกว่าด้วยการแท้งที่เกิดขึ้นกระทันหันจากการที่ผู้หญิงหลายคนไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์จึงไม่ได้ดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม

การแท้งบุตรเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ แต่แน่นอนว่ามันคงเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าจดจำ และอาจผ่านพ้นไปได้ยากลำบาก แต่เมื่อคุณแท้ง คุณสามารถก้าวไปข้างหน้าและรักษาสภาพจิตใจของตัวเองได้ โดยทำความเข้าใจว่าอะไรที่อาจทำให้เกิดการแท้งบุตร บทความนี้กล่าวถึงสาเหตุต่างๆ ของการแท้งบุตร ปัจจัยเสี่ยงของการแท้งบุตร และสิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อป้องกันการแท้งบุตร

รวมสาเหตุและ ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก แม่ท้องจะป้องกันอย่างไร?

สาเหตุส่วนใหญ่ของการแท้งบุตร

ร่างกายของคุณให้สารอาหารแก่ทารกในครรภ์ที่กำลังพัฒนาในระหว่างตั้งครรภ์เพื่อช่วยในการพัฒนาเป็นไปตามปกติ หนึ่งในสาเหตุหลักของการแท้งบุตรในช่วงไตรมาสแรก คือพัฒนาการที่ผิดปกติของทารกในครรภ์ สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากปัจจัยที่แตกต่างกันออกไป

1. ปัญหาทางพันธุกรรม

ครึ่งหนึ่งของการแท้งบุตรอาจเกิดจากปัญหาโครโมโซมซึ่งข้อผิดพลาดเกิดขึ้นระหว่างการแบ่งเซลล์ของทารกในครรภ์

นอกจากนี้อาจเกิดขึ้นเนื่องจากตัวอสุจิหรือเซลล์ไข่เสียหาย

ตัวอย่างบางส่วนของสาเหตุของการแท้งเนื่องจากความผิดปกติของโครโมโซม ได้แก่

  • การเสียชีวิตของทารกในครรภ์ : มีการเกิดขึ้นของตัวอ่อนแต่จะมีการหยุดพัฒนาและเจริญเติบโต
  • ไข่ฝ่อ :  ไม่มีการสร้างตัวอ่อน และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งของการแท้งบุตรในระยะเริ่มแรก
  • ครรภ์ไข่ปลาอุก :  พ่อจะให้โครโมโซมทั้งสองชุด แต่ไม่มีพัฒนาการของทารกในครรภ์ แต่มีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของรกแทน
  • ครรภ์ไข่ปลาอุกร่วมกับการมีทารก : ในสภาพนี้โครโมโซมจากแม่ยังคงอยู่ แต่พ่อยังให้โครโมโซมสองชุด มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของรกและการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ที่ผิดปกติ

2. โรคประจำตัว

โรคประจำตัวของแม่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการแท้งบุตรในช่วง 20 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์

ตัวอย่างของภาวะสุขภาพเหล่านี้ ได้แก่ :

  • โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  • โรคของต่อมไทรอยด์
  • โรคหัวใจ
  • ความดันโลหิตสูง
  • อาการภาวะหลอดเลือดอุดตัน  โดยการอุดตัน เกิดได้ทั้งในหลอดเลือดดําซึ่งพบบ่อยที่สุด หลอดเลือดแดง หลอดเลือดฝอย และหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงรก
  • โรคลูปัส (SLE) และความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันประเภทอื่น ๆ
  • โรคไต

ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก
ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก

3. การติดเชื้อ

การติดเชื้อหลายอย่างในมารดาอาจส่งผลให้เกิดการแท้งบุตร ซึ่งการติดเชื้อเหล่านี้ ได้แก่ :

  • หนองในเทียม
  • หนองใน
  • ซิฟิลิส
  • มาลาเรีย
  • หัดเยอรมัน
  • เอดส์

4. ปากมดลูกอ่อนแอ

สาเหตุหนึ่งของการแท้งบุตรในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ คือ ปากมดลูกที่อ่อนแอลง หรือที่เรียกว่าปากมดลูกไม่สมบูรณ์ ในภาวะนี้กล้ามเนื้อปากมดลูกจะอ่อนแอลงและไม่สามารถอุ้มทารกในครรภ์ได้ อาจเกิดจากการบาดเจ็บที่ปากมดลูกก่อนหน้านี้ เช่น หลังการผ่าตัด เนื่องจากความอ่อนแอของกล้ามเนื้อปากมดลูกอาจเปิดเร็วเกินไปในช่วงไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์ส่งผลให้เกิดการแท้งบุตร

5. โรค PCOS

Polycystic ovary syndrome (PCOS) เป็นโรคที่มีถุงน้ำหลายใบอยู่ในรังไข่ทำให้ รังไข่มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเทียบกับรังไข่ปกติ เกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในเพศหญิง ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากในเพศหญิงเนื่องจากมีการลดการผลิตไข่

มีหลักฐานบางอย่างที่บ่งชี้ว่าอาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการแท้งบุตรในสตรีที่มีภาวะเจริญพันธุ์

ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก

ปัจจัยเสี่ยงในการแท้งบุตร

มีหลายปัจจัยที่อาจเพิ่มโอกาสในการแท้งบุตรในสตรี

1. อายุ  ผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไปอาจมีความเสี่ยงในการแท้งบุตรเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า ความเสี่ยงของการแท้งบุตรคือประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์เมื่อคุณอายุ 35 ปีความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 40 เปอร์เซ็นต์เมื่ออายุ 40 ปีและถึง 80 เปอร์เซ็นต์เมื่อคุณอายุ 45 ปี

2. น้ำหนักที่มากเกินไป การมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร

3. การสูบบุหรี่ หากคุณสูบบุหรี่ในระหว่างตั้งครรภ์ความเสี่ยงของการแท้งบุตรอาจเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่

4. แอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักในระหว่างตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร

5. ยาเสพติด การใช้ยาต้องห้ามในระหว่างตั้งครรภ์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร

6. คาเฟอีน การได้รับคาเฟอีนในปริมาณมากเกินไปในระหว่างตั้งครรภ์ (มากกว่า 200 มก. ต่อวัน) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร

7. อาหารเป็นพิษ อาหารเป็นพิษที่เกิดขึ้นเนื่องจากการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชิ้อโรค อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ตัวอย่างเช่น:

  • Listeriosis : เชื้อที่มักพบในผลิตภัณฑ์นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ ตัวอย่างเช่น บลูชีส
  • Salmonella : เชิ้อที่เกิดจากการกินไข่สุกๆ ดิบๆ
  • Toxoplasmosis : คุณอาจได้รับเชื้อนี้จากการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกหรือดิบ

8. การบาดเจ็บ การบาดเจ็บทางร่างกายบางอย่าง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร

9. ยาบางชนิด การทานยาบางชนิดในระหว่างตั้งครรภ์อาจเพิ่มโอกาสในการแท้งบุตรได้ ยาบางชนิด ได้แก่ :

  • ไมโซพรอสทอล (Misoprostol) : ใช้สำหรับการรักษาแผลในกระเพาะอาหาร และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
  • เทรทิโนอิน (Retinoids) : ยาที่ใช้สำหรับรักษาสิวและกลาก
  • เมโธเทรกเซท (Methotrexate) : นอกจากนี้ยังได้รับเพื่อรักษาโรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่นโรคไขข้ออักเสบ
  • ยากลุ่ม NSAIDs :  เช่น ibuprofen บรรเทาอาการอักเสบและความเจ็บปวด

เพื่อให้แน่ใจว่ายาชนิดใดชนิดหนึ่งปลอดภัยที่จะรับประทานในระหว่างตั้งครรภ์ควรตรวจสอบกับเภสัชกรหรือแพทย์ทุกครั้งก่อนรับประทาน

10. การติดเชื้อ
มีการติดเชื้อหลายประเภทที่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรหากคุณได้รับในระหว่างตั้งครรภ์:

  • หัดเยอรมัน (หัดเยอรมัน)
  • เอชไอวี
  • ไซโตเมกาโลไวรัส
  • ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย
  • หนองใน
  • หนองในเทียม
  • มาลาเรีย
  • ซิฟิลิส

11. โรคเบาหวาน

โรคเรื้อรังหลายชนิดอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรในไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากควบคุมไม่ดีหรือไม่ได้รับการรักษาและโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ปัจจัยเสี่ยงแท้งลูก

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการแท้งบุตร

มีความเข้าใจผิดหลายประการที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุการแท้งบุตรในการตั้งครรภ์ระยะแรกและปัจจัยเสี่ยงของการแท้งบุตร

  • สภาวะทางอารมณ์ของผู้หญิงในระหว่างตั้งครรภ์ : สภาวะทางอารมณ์ของผู้หญิงในระหว่างตั้งครรภ์รวมถึงการหดหู่ หรือเครียดไม่ได้เชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการแท้งบุตร
  • การออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์ : การออกกำลังกายระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ซึ่งรวมถึงการออกกำลังกายที่มีความเข้มข้นสูง เช่นการขี่จักรยาน และการวิ่งจ็อกกิ้ง แต่คุณควรพูดคุยเกี่ยวกับประเภทและปริมาณการออกกำลังกายที่คุณอาจทำในระหว่างตั้งครรภ์กับแพทย์หรือสูตินรีแพทย์ของคุณ
  • การเบ่งอุจจาระ ไม่มีหลักฐานอ้างอิงว่าการเบ่งอุจจาระจะเเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร
  • การทำงานระหว่างตั้งครรภ์ : คุณไม่จำเป็นต้องหยุดทำงานแม้ว่างานของคุณจะต้องยืนหรือนั่งเป็นเวลานานเนื่องจากการทำงานระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้เชื่อมโยงกับความเป็นไปได้ที่จะแท้ง อย่างไรก็ตามคุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณไม่มีการสัมผัสกับรังสีหรือสารเคมีที่เป็นอันตรายในที่ทำงาน ปรึกษาแพทย์ของคุณหากคุณมีข้อกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน
  • การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ : การมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้เป็นสาเหตุของการแท้งบุตร ดังนั้นคุณสามารถมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของคุณในระหว่างตั้งครรภ์ได้ตราบเท่าที่คุณรู้สึกสบายใจ แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรทำรุนแรงเกินไปและควรทำในท่าที่เหมาะสม
  • การเดินทางทางอากาศระหว่างตั้งครรภ์ : การเดินทางทางอากาศไม่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์และถือว่าปลอดภัย ดังนั้นสตรีมีครรภ์จึงได้รับอนุญาตให้เดินทางโดยเครื่องบินได้จนถึงสัปดาห์ที่ 36 ของการตั้งครรภ์โดยสายการบินพาณิชย์ทั่วไป
  • การรับประทานอาหารรสเผ็ดหรือรสจัด : ยังไม่เคยมีรายงานว่าหญิงตั้งครรภ์แท้งลูกจากการทานอาหารรสเผ็ดหรือรสจัด

วิธีป้องกันการแท้งบุตร

ในหลายกรณีไม่ทราบสาเหตุของการแท้งบุตร ด้วยเหตุนี้คุณจึงไม่สามารถป้องกันได้ แต่คุณอาจลดความเสี่ยงในการแท้งบุตรได้ วิธีลดความเสี่ยงของการแท้งบุตรโดยการควบคุมสาเหตุที่เป็นไปได้มีดังนี้

  • งดสูบบุหรี่ระหว่างตั้งครรภ์
  • ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระหว่างตั้งครรภ์
  • ไม่ใช้ยาอันตรายหรือยาเสพติดในระหว่างตั้งครรภ์
  • รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
  • ดูแลรักษาสุขภาพเ พื่อหลีกเลี่ยงการเจ็บป่วย และการติดเชื้อที่อาจส่งผลต่อการตั้งครรภ์ เช่น หัดเยอรมันขณะตั้งครรภ์
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่เสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรคขณะตั้งครรภ์เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร
  • การรักษาน้ำหนักตัวที่เหมาะสมของมารดาก่อนการตั้งครรภ์
  • การรักษาโรคบางชนิด เช่น ภาวะปากมดลูกอ่อนแอ อาจป้องกันการแท้งบุตรได้

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : flo.health

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เลือดออกตอนท้องอ่อนๆ สาเหตุ ภาวะแท้งคุกคาม แม่ท้องต้องสังเกตให้เป็น!

ภาวะแท้งจากติ่งเนื้อที่ปากมดลูก อันตรายที่แม่ท้องห้ามประมาท

กินเผื่อลูกในท้อง ช่วง 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เสี่ยงแท้ง!!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

ใบงานอนุบาล 5 ขวบ

แจกฟรี!!! ใบกิจกรรม ใบงานอนุบาล 5 ขวบ ฝึกลูกสังเกตเรียนรู้ง่ายๆ ที่บ้าน

event
ใบงานอนุบาล 5 ขวบ
ใบงานอนุบาล 5 ขวบ

แจกฟรี!!! พ่อแม่รีบโหลดเลย! รวมใบกิจกรรม ใบงานอนุบาล 5 ขวบ ฝึกลูกใช้ทักษะ สังเกต เรียนรู้ง่ายๆ ได้ที่บ้านทุกวัน ใช้ทำได้ตลอดทั้งเดือน ไม่มีเบื่อ

โหลดเก็บไว้เลย!! ใบกิจกรรม ใบงานอนุบาล 5 ขวบ
ฝึกลูกสังเกตเรียนรู้ง่ายๆ ที่บ้าน

ช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็น วันหยุด ปิดเทอม หรือกักตัว อยู่บ้าน อาจทำให้เด็กๆ หลายคนเบื่อ เพราะนอกจากการที่พ่อแม่จะปล่อยให้เจ้าตัวเล็กวิ่งเล่นรอบบ้านแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีกดี

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เวลาสูญเปล่าไปอย่างสิ้นเปลือง ทีมแม่ ABK ชวนเด็ก ๆ เรียนรู้ได้ง่าย ๆ แม้จะวิ่งเล่นได้แค่ที่บ้าน ก็สามารถสร้างเสริมทักษะ พัฒนาการสมองและร่างกายได้แบบไม่มีเบื่อ ฝึกให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์  มีทักษะกระบวนการทำงาน ทักษะการจัดการ  และทักษะการแสวงหาความรู้  มีจิตสำนึกในการใช้พลังงาน  ทรัพยากร  และสิ่งแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตและครอบครัว ด้วยใบกิจกรรม ใบงานอนุบาล ฝึกทักษะการสังเกต ให้พ่อแม่โหลดได้ฟรี!! เอาไว้ให้ลูกน้อย ทำได้ตลอดทุกวัน ทั้งเดือนไม่มีเบื่อแน่นอน

 

ตัวอย่าง ใบกิจกรรม ใบงานอนุบาล ให้เด็ก ๆ วาดภาพสภาพอากาศวันนี้

ใบงานอนุบาล 5 ขวบ

 

ใบกิจกรรม ใบงานอนุบาล บันทึกสภาพอากาศ ใน 1 สัปดาห์
ตั้งแต่วันจันทร์ – วันอาทิตย์ (ช่วงเวลาเช้าและบ่าย)

ใบงานอนุบาล 5 ขวบ

 

ใบกิจกรรม ใบงานอนุบาล บันทึกสภาพอากาศ ใน 1 เดือน

ใบงานอนุบาล 5 ขวบ

 

ใบกิจกรรม ใบงานอนุบาล ชวนเด็ก ๆ สํารวจสิ่งของ ในบ้าน แล้วบันทึกผล
วาดภาพ สิ่งของ  แล้วเขียนเครื่องหมายถูก ในช่องที่บอกว่า อ่อน หรือ แข็ง

ใบงานอนุบาล 5 ขวบ

 

ใบกิจกรรม ใบงานอนุบาล ชวนเด็ก ๆ ตามหาสี ในบ้าน
แล้วบันทึกผลว่า สิ่งที่พบ คืออะไร (เขียน หรือ วาดรูปก็ได้)

ใบงานอนุบาล 5 ขวบ

 

คุณพ่อคุณแม่สามารถดาวน์โหลด ใบกิจกรรม สำหรับฝึกลูกสังเกตเรียนรู้ง่ายๆ ที่บ้าน แบบไฟล์ PDF ได้ที่นี่เลยนะคะ แต่ไม่อนุญาตให้นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์นะคะ

ดาวน์โหลดได้ฟรี : https://drive.google.com/file/d/16SHihYd6wgDuLrMaWR2EQ8RnsV0VBjdD/

 


ขอบคุณข้อมูลจากเพจ ปั้นสี PUNSI

กดติดตามเพจ Facebook : https://bit.ly/3098lpg

Youtube : https://bit.ly/2vRf1ui

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก ⇓

อย่าเร่งลูกเขียนแนะ9 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล็ก

แนะ!12 กิจกรรมให้ลูกทํา สุดเจ๋ง เมื่อต้องอยู่บ้านหนีโควิด19+ปิดเทอมยาว

40 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ ขยับแขน ขา ปล่อยพลัง อยู่บ้านก็สนุกได้

เลี้ยงลูกด้วยสติ

เคล็ด(ไม่)ลับ เลี้ยงลูกด้วยสติ ช่วยยุติได้ทุกปัญหา!

Alternative Textaccount_circle
event
เลี้ยงลูกด้วยสติ
เลี้ยงลูกด้วยสติ

เลี้ยงลูกด้วยสติ –  หากคุณเป็นพ่อแม่ และคุณรู้สึกว่าในบางวันคุณควบคุมความสงบในบ้านไม่ได้และต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม คุณไม่ได้อยู่คนเดียวค่ะ เรื่องไม่คาดคิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครอบครัว การต้องนอนดึกหรือแทบไม่ได้นอนและต้องตื่นแต่เช้าตรู่ บางบ้านอาจปวดหัวกับเรื่องพี่น้องทะเลาะกัน และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งอาจทำให้คุณมีพลังงานเหลือเพียงเล็กน้อยในการอ่านตำราการเลี้ยงลูกที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยคำแนะนำมากมาย

การเลี้ยงลูก เป็นความรับผิดชอบที่ยาก เครียด และสำคัญที่สุด  แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นโอกาสอันดีที่คุณพ่อและคุณแม่จะได้ฝึกการเจริญสติ หน้าที่ของพ่อแม่ไม่ได้มีแค่การเลี้ยงดูลูกด้วยปัจจัย 4 เท่านั้น แต่ยังมีหน้าที่ให้ความรักความเมตตา อบรมและพัฒนาจิตใจลูกให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีด้วย พฤติกรรมการเลี้ยงลูกของคุณพ่อคุณแม่มักสะท้อนให้เห็นว่าพ่อแม่ของคุณเป็นอย่างไร  คุณอาจต้องการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงพฤติกรรมบางอย่างให้ดีกว่าที่คุณเคยเจอมา แต่น่าเสียดายพ่อแม่หลายๆ คน อาจจะจบลงด้วยการทำซ้ำวงจรในรูปแบบเดิมและส่งผ่านพฤติกรรมที่อาจทำให้เกิดประสบการณ์ที่ไม่ดี แต่โชคดี ที่การเลี้ยงดูอย่างมีสติที่ทุกคนจะได้รู้ในวันนี้ สามารถช่วยตัดวงจรที่ไม่ดีเหล่านั้นได้

เคล็ด(ไม่)ลับ เลี้ยงลูกด้วยสติ ช่วยยุติได้ทุกปัญหา!

สติช่วยในการเลี้ยงลูกได้อย่างไร?

การมีสติรับรู้และตื่นตัวต่อการกระทำของตนและการกระทำของลูก คือสิ่งสำคัญมากในการเลี้ยงลูก  เด็ก ๆ ต้องการความสนใจจากพ่อแม่ สำหรับเด็กความสนใจก็เหมือนความรัก หากพวกเขาไม่ได้รับความสนใจอย่างเพียงพอพวกเขาก็อาจประพฤติตัวไม่ดี จนกว่าจะได้รับความสนใจ แม้จะถูกทำโทษ ถูกดุด่าว่ากล่าว แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าการไม่มีตัวตนในสายตาพ่อแม่

การได้รับความสนใจจากพ่อและแม่เป็นความต้องการพื้นฐานสำหรับเด็ก แต่คุณจะให้ความสนใจลูกได้อย่างไรหากคุณไม่ใส่ใจตัวเอง การฝึกสติเป็นวิธีที่จะฝึกฝนทักษะความสนใจของคุณเพื่อช่วยเลี้ยงลูกด้วยวิธีที่กลมกลืน และสงบสุขมากยิ่งขึ้น

ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยสติมีดังนี้

  • สามารถตอบสนองความต้องการ ของบุตรหลานของคุณได้ คุณสามารถตอบสนองความต้องการของบุตรหลานได้มากขึ้นด้วยการใช้ชีวิตในปัจจุบัน คุณสังเกตว่าลูกของคุณต้องกินหรือนอนหรือแค่เล่น คุณสังเกตว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เขาต้องการคือการกอดหรือไม่ แต่ละช่วงเวลาแตกต่างกันและสดใหม่และสิ่งที่ทำงานเมื่อวานอาจใช้ไม่ได้ในวันนี้
  • สามารถตอบสนองความต้องการของคุณเองได้ การรับรู้และตื่นตัวต่อความรู้สึกปัจจุบันในร่างกายของคุณเองจะทำให้คุณดูแลตัวเองได้ดีขึ้น การเลี้ยงดูเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากและเมื่อคุณเหนื่อยมากเกินไปคุณอาจต้องตัดสินใจในสิ่งที่สร้างความยุ่งยากมากกว่าการแก้ปัญหา การรับรู้ปฏิกิริยาของคุณเองจะช่วยให้คุณรู้สึกได้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อใดและจำเป็นต้องดำเนินการตามความเหมาะสม
  • คุณได้ปลูกฝังความรู้สึกขอบคุณ การมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบันช่วยให้คุณรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่คุณมีอยู่ การใช้ชีวิตในปัจจุบันทำให้คุณเห็นว่าอะไรในชีวิตของคุณที่เป็นไปได้ด้วยดี คุณอาจมีลูกที่แข็งแรง และมีบ้านที่ดี คุณอาจดื่มด่ำไปกับอากาศที่ดีรอบๆ บ้าน หรือคุณอาจมีคนรักหรือเพื่อนที่ดีที่คอยสนับสนุนคุณเสมอ
  • คุณจะเห็นสิ่งต่างๆ เหมือนครั้งแรกได้เสมอ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีสติในปัจจุบันคือการใช้ทัศนคติแบบ “ผู้เริ่มต้น” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมองเห็นสิ่งต่าง ๆอย่างสดชื่น ราวกับเป็นครั้งแรก ด้วยทัศนคติแบบเดียวกันนี้คุณจะสามารถตอบสนองความท้าทายที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของการเลี้ยงดูลูกๆ ในปัจจุบันได้
  • คุณปลดปล่อยตัวเองจากความกังวล ช่วงเวลาการเลี้ยงดูในแต่ละช่วงเวลาหมายความว่าคุณสามารถละทิ้งความเสียใจเกี่ยวกับอดีตและความกังวลเกี่ยวกับอนาคตได้ สิ่งเหล่านั้นจะไม่มีอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน สิ่งที่คุณต้องทำ คือ ทำสิ่งต่างๆ ไปทีละวัน สิ่งที่คุณทำได้คือดีที่สุดแล้ว ณตรงนี้ และตอนนี้ ปล่อยวางสิ่งที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นได้เสมอ
  • ประโยชน์อื่น ๆ ที่ได้
    • ปรับปรุงการสื่อสารของผู้ปกครองและเด็ก
    • ลดอาการสมาธิสั้นของเด็กและแม้ตัวคุณเอง
    • เพิ่มความพึงพอใจในการเลี้ยงดู
    • ลดความก้าวร้าวทั้งของเด็กและพ่อแม่
    • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองโดยรวมมากขึ้น
    • ทำให้การเลี้ยงลูกดูเหมือนใช้ความพยายามน้อยลงหรือเหนื่อยน้อยลง

เลี้ยงลูกด้วยสติ
เลี้ยงลูกด้วยสติ

เคล็ดลับในการเลี้ยงลูกอย่างมีสติ

เคล็ดลับบางประการในการฝึกฝนการเลี้ยงลูกอย่างมีสติ มีดังนี้

  • ค้นหาจุดสมดุลระหว่างความรักและการฝึกวินัย หากคุณผ่อนปรนมากเกินไปลูก ๆ ของคุณจะนิสัยเสีย แต่ถ้าคุณแข็งกร้าวเกินไป ลูก ๆ ของคุณจะเย็นชาและปิดกั้นตัวเองจากคุณ สิ่งที่ควรทำคือ กำหนดวินัยและขอบเขตของการกระทำให้ชัดเจน และอย่าลืมชื่นชมเมื่อลูกทำสิ่งดีๆ และพยายามอย่าตอกย้ำหรือซ้ำเติมเมื่อลูกทำผิดพลาด
  • จินตนาการถึงสิ่งต่างๆ จากมุมมองของลูก การถูกครอบงำโดยผู้ใหญ่จะเป็นอย่างไร บุตรหลานของคุณจะรู้สึกอย่างไร หากความปรารถนาที่ดูเหมือนไร้สาระของผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดอยู่ ถ้าคุณเป็นลูกคุณอยากให้พ่อแม่ปฏิบัติต่อคุณอย่างไร? ลองเปิดใจมองให้กว้างๆ
  • พยายามนั่งสมาธิทุกวัน  อาจใช้เวลา 5-10 นาที เท่านั้น และไม่ควรบังคับให้ลูกทำตาม แต่ควรอธิบายให้ฟังถึงการทำสมาธิด้วยคำ  อาจหากิจกรรมที่ช่วยให้ลูกฝึกสมาธิเล่น
  • ฝึกฟังอย่างมีสติ รับฟังอย่างตั้งใจ สบตาและมีการถามตอบกับลูก ไม่ว่าลูกกำลังเล่าเรื่องอะไรให้คุณฟัง รับฟังด้วยความเอาใจใส่ที่อ่อนโยนและตอบสนองเท่าที่จำเป็น
  • สังเกตพฤติกรรมของคุณเองเท่าที่สังเกตพฤติกรรมของลูก ดูว่าคุณชอบทำสิ่งที่คุณชอบทำเช่นเดียวกับที่ลูกของคุณชอบทำในสิ่งที่เขาชอบทำ
  • ดูแลตัวเอง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณกินอย่างถูกต้องนอนหลับให้เพียงพอ และได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ คุณอาจจำเป็นต้องมีร่างกายที่พร้อมเสมอ เพื่อให้สามารถรับมือกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันของคุณ
  • ทำใจสบาย ๆ คุณไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆ มากเกินไป หากคุณทำผิดพลาดในการเลี้ยงดู อย่ารู้สึกห่อเหี่ยวเกี่ยวกับความผิดนั้น แต่ให้ดูว่าคุณสามารถหัวเราะหรืออย่างน้อยก็ยิ้มให้กับมัน เพราะคุณก็เป็นมนุษย์และลูกของคุณก็เช่นกัน

ทักษะที่สำคัญสำหรับการเลี้ยงลูกอย่างมีสติ 

  • การรับฟัง ซึ่งหมายถึงการตั้งใจฟังและสังเกตอย่างแท้จริง สิ่งนี้อาจต้องใช้ความอดทนและการฝึกฝนพอสมควร และการฟังขยายไปสู่สิ่งแวดล้อม ทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวกลิ่นเสียงที่อยู่รอบตัวคุณและลูกของคุณ
  • การยอมรับแบบไม่ตัดสิน จัดการสถานการณ์ที่ต้องเผชิญโดยไม่ตัดสินด้วยความรู้สึกส่วนตัวของคุณ หรือความรู้สึกของลูก การไม่ตัดสินยังเกี่ยวข้องกับการปล่อยวางความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผลของบุตรหลานของคุณ และท้ายที่สุด คือการยอมรับว่า “อะไรควร ไม่ควร” ซึ่งนั่นคือเป้าหมายที่แท้จริง
  • การรับรู้อารมณ์ การนำความตระหนักรู้ไปสู่ปฏิสัมพันธ์ในการเลี้ยงดู จะขยายจากผู้ปกครองไปยังเด็ก การสร้างแบบจำลองการรับรู้ทางอารมณ์ที่ดี เป็นกุญแจสำคัญในการสอนบุตรหลานของคุณให้ทำเช่นเดียวกัน การรับรู้อารมณ์ความรู้สึก คือ ที่สิ่งส่งผลต่อสถานการณ์ ให้ดีหรือย่ำแย่ได้อยู่เสมอ
  • การควบคุมตนเอง ซึ่งหมายความว่าอย่าปล่อยให้อารมณ์ของคุณกระตุ้นปฏิกิริยาด้านลบต่างๆ ทันที เช่น การตะโกน ตะคอก หรือพฤติกรรมอัตโนมัติอื่น ๆ กล่าวโดยย่อคือ การคิดก่อนลงมือทำเพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงปฏิกิริยาที่ดูขาดสติเป็นสิ่งสำคัญต่อการจัดการกับสถานการณ์
  • ความเห็นอกเห็นใจ คุณอาจไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือความคิดของลูก แต่การเลี้ยงดูอย่างมีสติจะกระตุ้นให้พ่อแม่มีความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งรวมถึงการเห็นอกเห็นใจและเข้าใจจุดยืนของเด็กในขณะนั้น ความเห็นอกเห็นใจยังขยายไปถึงผู้ปกครองด้วย เนื่องจากในที่สุด คุณก็จะไม่ตำหนิตัวเองจนเกินไป หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดหวัง

เลี้ยงลูกด้วยสติ

ตัวอย่างของการเลี้ยงดูอย่างมีสติ

การเลี้ยงดูอย่างมีสติมีลักษณะอย่างไรในทางปฏิบัติ? ลองดูตัวอย่างเหล่านี้ว่าจะมีอิทธิพลต่อแนวทางของคุณในการท้าทายการเลี้ยงดูบุตรได้อย่างไร

ลูกไม่ยอมนอนร้องไห้ทั้งคืน
พักหายใจสักครู่ คุณอาจพบว่าความคิดของคุณหลงไปในคืนก่อนหน้านี้เมื่อลูกน้อยของคุณต่อต้านการนอนหลับ คุณอาจกังวลว่าพวกเขาจะไม่หลับอีกต่อไปหรือคุณจะไม่มีเวลาอยู่กับตัวเองเลย

หยุดเพื่อทำความเข้าใจอารมณ์ของคุณซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องปกติ คุณรู้สึกหงุดหงิดใช่มั้ย? รับทราบสิ่งนี้โดยไม่ต้องตัดสินตัวเอง หยุดอีกครั้งเพื่อทำความเข้าใจและยอมรับว่าทารกหลายคนมีปัญหาในการนอนหลับตลอดทั้งคืนได้เป็นปกติ และมันเกิดขึ้นแค่ในคืนนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกิดขึ้นแบบนี้ไปตลอดชีวิต

ลูกอาละวาดที่ร้านของเล่น?
แม้ว่าพฤติกรรมของพวกเขาอาจทำให้รู้สึกน่าอายหรือกระตุ้นให้เกิดอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ แต่คุณจงอยู่กับช่วงเวลานี้ หากคุณมองไปรอบ ๆ คุณจะเห็นว่าพร้อมกับคนแปลกหน้าที่จ้องมองอาจทำให้คุณเครียด (อย่าไปสนใจพวกเขา!) มันมีสิ่งล่อใจมากมายสำหรับบุตรหลานของคุณที่ร้าน บางทีพวกเขาอาจต้องการของเล่นหรือขนมบางอย่าง บางทีพวกเขาอาจจะเหนื่อยล้าจากการช้อปปิ้งมาทั้งวันหรือกำลังง่วงมาก

ก่อนที่จะคว้าเจ้าตัวเล็กของคุณและรีบเดินออกจากร้าน พยายามสังเกตต้นตอของสิ่งที่เกิดขึ้น จงยอมรับว่าเด็ก ๆ อาจควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อเจอสิ่งล่อตาล่อใจ หรือเมื่อพวกเขาถูกครอบงำ ยอมรับว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะจัดการกับอารมณ์ที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองไม่ได้ และยอมรับว่าแม้คนแปลกหน้าอาจจ้องมองแต่ลูกของคุณก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณอับอาย (แต่ไม่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องซื้อของเล่นแพงๆ ให้ลูก)

ครั้งต่อไปที่คุณอยู่ในสถานการณ์ที่คุณรู้สึกว่าคุณอาจจะระเบิดอารมณ์กับลูกได้ ให้ใช้เวลาสักครู่เพื่อหยุด สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วหายใจออกเต็มที่ จากนั้นจึงมุ่งโฟกัสในช่วงเวลานี้โดยไม่หลงไปคิดถึงอดีตหรืออนาคต

คุณอาจไม่ประสบความสำเร็จในการมีสติอย่างมีความสุขในสองสามครั้งแรกที่คุณลอง แต่หลังจากนั้นไม่นานคุณอาจพบว่าการหยุดพักสักครู่ก่อนที่จะทำปฏิกิริยาจะช่วยลดความเครียดของคุณเองและส่งผลในเชิงบวกให้กับบุตรหลานของคุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ การใช้สติในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ในครอบครัวที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะในการเลี้ยงลูก ส่งผลดีต่อตัวคุณและเด็กๆ ได้อย่างไม่ต้องสงสัย หากมองให้ดีในประโยชน์หลายข้อของการเลี้ยงลูกด้วยสติยังแฝงไว้ด้วยการส่งเสริมและปลูกให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดรอบด้านด้วย Power BQ หลายด้านด้วยกัน อาทิ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ)  ความฉลาดทางคุณธรรม (MQ) และ ความฉลาดของการเข้าสังคม (SQ) เป็นต้นค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : dummies.com , healthline.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เรากำลังเลี้ยงลูกให้เป็น “ออทิสติกเทียม” ด้วย ทีวี แท็บเล็ต และเร่งเรียน หรือเปล่า?

10 วิธีสร้างวินัยเชิงบวก : เมื่อ ลูกอาละวาด เอาแต่ใจ

เทคนิค สร้างวินัยให้ลูก แบบไม่ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

อย่าเร่งลูกเขียนหนังสือ แนะกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล็ก

อย่าเร่งลูกเขียนแนะ9 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล็ก

Alternative Textaccount_circle
event
อย่าเร่งลูกเขียนหนังสือ แนะกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล็ก
อย่าเร่งลูกเขียนหนังสือ แนะกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ เล็ก

กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ ช่วยเสริมพัฒนาการมือเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่วัยเรียน การเร่งให้ลูกเขียนได้ก่อนวัยตอบสนองความต้องการของผู้ใหญ่ แต่อันตรายต่อเด็ก

อย่า!เร่งลูกเขียนก่อนวัย แนะ 9 กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่

“กล้ามเนื้อมัดใหญ่ควรพัฒนาก่อนกล้ามเนื้อมัดเล็ก”

ในวัยเด็ก หน้าที่สำคัญของลูกคือ การพัฒนาร่างกายของตนเองให้พร้อม เจริญเติบโตตามวัย ซึ่งโดยส่วนใหญ่เด็กจะพัฒนาส่วนต่าง ๆ ผ่านการเล่น การทำกิจกรรมซุกซนต่าง ๆ ที่ผู้ใหญ่อาจเห็นเป็นเรื่องง่ายดาย แต่สำหรับลูกตัวน้อยแล้ว การเล่นนั้นเป็นงานสำคัญของเขาเลยทีเดียว

หากกล่าวถึงกล้ามเนื้อกับการพัฒนาของเด็กแล้ว เราจะกล่าวถึงทั้งกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และกล้ามเนื้อมัดเล็ก ซึ่งส่วนใหญ่มักให้ความสนใจกับกล้ามเนื้อมัดเล็กมากกว่า แต่แท้จริงแล้ว กล้ามเนื้อมัดใหญ่เป็นพื้นฐานของการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ดังนั้น กล้ามเนื้อมัดใหญ่จึงควรพัฒนาให้ดีก่อนพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก เรามาทำความเข้าใจกับกล้ามเนื้อทั้งสองแบบนี้กัน

เตรียมความพร้อมร่างกายลูกน้อย ให้เขาได้มีศักยภาพสมบูรณ์ดั่งฮีโร่ตัวน้อย
เตรียมความพร้อมร่างกายลูกน้อย ให้เขาได้มีศักยภาพสมบูรณ์ดั่งฮีโร่ตัวน้อย

  • กล้ามเนื้อมัดใหญ่ คือ กล้ามเนื้อส่วนแขน ขา กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการทรงตัว การเคลื่อนไหวร่างกาย ชันคอ พลิกคว่ำพลิกหงาย คลาน เดิน วิ่ง หากพัฒนากล้ามเนื้อส่วนนี้ได้ดี ทำให้เด็กมีสุขภาพดี แข็งแรง คล่องแคล่ว และมีพื้นฐานที่ดีในการทำกิจกรรมที่ต้องใช้ความซับซ้อนมากขึ้นไปในวัยที่โตขึ้นอีกด้วย
  • กล้ามเนื้อมัดเล็ก คือ กล้ามเนื้อมือที่ใช้ในการหยิบ จับ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการเขียน การใช้ชีวิตประจำวัน ตลอดจนการช่วยเหลือตัวเองในด้านต่าง ๆ ได้ หากเด็กไม่ได้รับการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กอย่างถูกวิธี อาจส่งผลให้เด็กไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจส่งผลลบไปจนถึงความมั่นใจในการใช้ชีวิต บุคลิกภาพ และการเข้าสังคมของเด็กๆ ซึ่งอาจกลายเป็นปม ส่งผลลบไปจนถึงการศึกษา อาชีพ และการใช้ชีวิตของพวกเขาในอนาคต
ดังนั้นลูกควรมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ได้แก่ แขน ขา และแกนกลางลำดัว เพื่อที่เขาจะสามารถนั่งอย่างมั่นคง เคลื่อนไหวร่างกายด้วยการเดิน การวิ่ง การขึ้นบันได และจึงไปปีนป่ายสิ่งต่าง ๆ อย่างคล่องแคล่วก่อนที่เขาจะพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้แก่ มือและนิ้วทั้งสิบของเขา ในการหยิบจับสิ่งต่าง ๆ และจับอุปกรณ์เพื่อขีดเขียน ตัด และอื่น ๆ

การเร่งลูกเขียนหนังสือก่อนวัย อันตรายกว่าที่คิด

ภาพ x-ray มือของเด็ก 7 ปี และ 5 ปี
ภาพ x-ray มือของเด็ก 7 ปี และ 5 ปี

จากข้อความในทวิตเตอร์ของ Ruth Swailes : School Improvement Advisor, Education consultant,Curriculum Developer ได้แบ่งปันภาพเอ็กซเรย์เชิงลึกของมือเด็กอายุประมาณ 7 ปีเมื่อเทียบกับรังสีเอกซ์จากเด็กอายุ 5 ปี และได้แสดงความคิดเห็นสรุปความได้ว่า
เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่ใช่แค่ขนาดมือของเด็กเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เด็กที่อายุน้อยกว่ามีกระดูกอ่อนที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ซึ่งต่อไปก็จะกลายเป็น กระดูกในที่สุด ดังนั้นเราต้องคำนึงถึงสรีรวิทยาของมือเด็กเล็กด้วย หากเราต้องการฝึกฝน หรือบังคับให้เขาทำกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมกับวัย เช่นการจับดินสอเขียนหนังสือ ที่เป็นกิจกรรมที่ต้องรอให้การเจริญเติบโตของร่างกายพร้อมเสียก่อน และการเจริญเติบโตของมือใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้หลายปี และความชำนาญโดยรวมต้องใช้เวลา การฝึกคัดลายมือจึงน่าจะเริ่มขึ้นหลังจากได้วางรากฐานมาอย่างดีแล้ว และควรเตรียมความพร้อมของลูกด้วยกิจกรรมที่เสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก เพื่อความพร้อมของพัฒนาการมือของลูกก่อนถึงวัยที่เหมาะสมกับการเขียนหนังสือจะดีกว่า
สามารถอ่านรายละเอียดต้นฉบับเพิ่มเติมได้จาก https://twitter.com/SwailesRuth

9 กิจกรรมเตรียมความพร้อมพัฒนามือลูก

ปั้น ๆๆๆ

ดินเหนียว ดินน้ำมัน แป้งโดว์ของชอบของเด็ก ๆ ไม่เพียงแค่เด็กเล็กเท่านั้น การปั้นนอกจากจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อมือพัฒนาแข็งแรงแล้ว ยังช่วยฝึกจินตนาการของเด็กได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับกิจกรรมการปั้นเพื่อเตรียมความพร้อมพัฒนามือนั้น เราอาจเริ่มจากแป้งนิ่ม ๆ เช่น แป้งโดว์ให้ลูกเริ่มต้น เมื่อเขามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมากพอ ก็จะสามารถปั้นในดินที่แข็งขึ้นได้ หรือคุณพ่อคุณแม่อาจหากิจกรรมเสริมเข้าไปไม่ให้น่าเบื่อ โดยการซ่อนของเล่นชิ้นเล็ก ๆ หรือลูกแก้ว แล้วหุ้มด้วยดินน้ำมันให้ลูกแกะหา หรือช่วยปั้นเป็นก้อนกลม ปั้นทำรางรถไฟ เป็นต้น ก็จะท้าทายลูกมากขึ้น

ภาพปะติด กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก
ภาพปะติด กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก

ฉีก ตัด ปะ ผลงานของหนู

การฉีกจะช่วยให้ลูกได้ใช้นิ้วมือ เราควรเริ่มจากการให้ลูกได้ฉีกด้วยมือ ก่อนถึงให้เขาเรียนรู้การตัดด้วยกรรไกร กิจกรรมที่ทำร่วมกับลูกเพื่อเพิ่มทักษะในการใช้มือ ฉีก ตัด แปะนั้น พ่อแม่อาจวาดรูปเป็นรูปใหญ่ ๆ เช่น หัวใจ ดอกไม้ แล้วให้ลูกฉีกกระดาษสีแปะลงบนรูปให้สวยงาม การฉีกไม่จำกัดอยู่แค่กระดาษเท่านั้น กิจกรรมการปั้นดินน้ำมันก็ช่วยให้ลูกต้องฉีกดินน้ำมันออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตามชิ้นงานที่เขาต้องการได้เช่นกัน โดยพ่อแม่ต้องท่องไว้ในใจว่า ให้ลูกเป็นผู้ลงมือทำเอง ไม่จัดการให้ลูกไปเสียทุกอย่าง จงเชื่อในศักยภาพของเขาให้เขาลองผิดลองถูกบ้าง

ปักฉึก ๆ 

การใช้มือหยิบจับสิ่งของลงมาปัก หรือเจาะลงบนดิน หรือวัสดุใด ๆ ก็เป็นการเพิ่มความสามารถในการพัฒนามือของลูกได้เป็นอย่างดี พ่อแม่อาจคิดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมทักษะนี้ให้สนุกน่าเล่นเพิ่มเข้าไปได้ เช่น การชวนลูกปลูกต้นไม้ ทั้งต้นไม้จริง และต้นไม้ประดิษฐ์ ให้เขาหากิ่งไม้ หรือแท่งไม่สมมติว่าเป็นต้นกล้า ปักลงไปในดินที่ไม่แข็งจนเกินไป หรือการปักเทียนลงบนเค้ก ซึ่งในปัจจุบันมีของเล่นเสริมพัฒนาการมากมายที่ข่วยเพิ่มทักษะในด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นแท่งไม้ พร้อมแท่นเสียบ หรือรูปแบบอื่น ๆ ที่มีสีสันน่าเล่นสำหรับเด็ก หรืออาจเป็นการฝึกฝนในชีวิตประจำก็ทำได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น การให้ลูกใช้หลอดเจาะกล่องนมเอง การฝึกร้อยเชือกรองเท้า เป็นต้น

ทราย ตัวช่วยใน กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ได้ดี
ทราย ตัวช่วยใน กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ได้ดี

ขุด ๆ แล้วฝัง

ทรายเป็นของอีกอย่างหนึ่งที่เด็กชื่นชอบเป็นอย่างมาก หากพ่อแม่ลองเปิดใจในเรื่องความสะอาด การให้ลูกได้ลงเล่นคลุกทรายก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก ได้เป็นอย่างดี การขุดทรายเด็กต้องใช้กล้ามเนื้อมือในการขุด ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง อีกทั้งยังพัฒนาจินตนาการของเขาระหว่างเล่นได้อีกด้วย

บีบคั้น ขย้ำเพลิน

การบีบคั้นในที่นี้หมายถึง การกระทำด้วยมือ กดบีบ บีบคั้นของ ขย้ำ มิใช่การบีบคั้นจิตใจแต่อย่างใด โดยทักษะนี้แฝงอยู่ในหลาย ๆ กิจกรรม เช่น การปั้นดินน้ำมัน ก็ต้องใช้มือบีบ ขย้ำก้อนดินน้ำมันให้เป็นรูปร่าง หรือการก่อทราย แต่พ่อแม่สามารถเน้นทักษะดังกล่าวเพิ่มขึ้นด้วยกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้เช่นกัน โดยอาจให้ลูกช่วยทำงานบ้าน เช่น การซักผ้า ให้เขาบีบ บิดผ้าชิ้นเล็ก ๆ หรือช่วยล้างรถก็ต้องบิดผ้าให้หมาด ๆ เพื่อเช็ดถูเช่นกัน การบีบน้ำส้มคั้น เป็นต้น การทำงานบ้านนอกจากได้พัฒนากล้ามเนื้อแล้ว ยังมีประโยชน์อีกมากมายที่แฝงไว้สอนลูกด้วยเช่นกัน

อ่านต่อ  ให้ลูกช่วยงานบ้าน ฝึกทักษะEF ติดตัวลูกไปตลอดชีวิต โดยพ่อเอก

ติดสติ๊กเกอร์ แกะออกก็ช่วยนะ

สติ๊กเกอร์ รางวัลของเด็กน้อย ที่นิยมใช้เป็นของล่อตาล่อใจลูกน้อยของคุณ ก็สามารถนำมาเป็นกิจกรรมการพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็กได้เช่นกัน การแกะสติ๊กเกอร์ การแปะลงบนที่ต่าง ๆ ก็ต้องใช้ทักษะมือน้อย ๆ ในการหยิบจับด้วยนิ้วอย่างแม่นยำด้วยเช่นกัน

ระบายสี หรือละเลงกันนะ กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่
ระบายสี หรือละเลงกันนะ กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่

ระบายสี หรือละเลงสีกันนะ

กิจกรรมการระบายสีเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้ทักษะมือโดยตรง จึงนับเป็นกิจกรรมที่ดีในการพัฒนากล้ามเนื้อมือของลูก โดยการจับดินสอสีนั้นถึงแม้ว่าเราได้กล่าวไปแล้วว่าสรีระของเด็กอาจยังไม่เหมาะต่อการจับดินสอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้เขาจับเสียเลย เพียงแค่ให้พ่อแม่เข้าใจในสรีระเพื่อลดความคาดหวังว่าลูกจะต้องทำผลงานออกมาสวยงาม ไร้ที่ติ เช่น ลูกอาจระบายสีออกนอกเส้นไปบ้าง ละเลงสีเล่นจนมั่ว เละดูไม่ออกว่ารูปอะไร หากเราเข้าใจในเรื่องดังกล่าว พ่อแม่ก็ไม่ควรตำหนิ ตรงกันข้ามอย่าลืมชื่นชอบลูกเพื่อการเสริมกำลังใจในการพัฒนามือของลูกต่อไป โดยการเลือกใช้ดินสอสีนั้น ก็เลือกตามวัยของลูก ปัจจุบันมีดินสอสีหลายไซส์ หลายขนาด ให้ได้เลือกใช้ให้เหมาะมือกับวัยของเด็กมากมาย

ร้อยเรียง ต่อภาพ

อุปกรณ์ในการร้อย การต่อ มีให้เลือกมากมาย ทั้งของเล่นดึงดูดใจ เช่น ต่อจิ๊กซอ ต่อโซ่เป็นห่วงยาว ต่อตัวต่อเลโก้ ร้อยลูกปัดสี หรือแม้แต่สิ่งของใกล้ตัว ก็นำมาประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน การเรียงหมอนเก็บที่นอนตอนเช้า การร้อยเข็มกับด้าย การช่วยจัดเก็บของเล่นใส่ตู้เก็บของ เป็นต้น

กระดานขีดเขียน

ของเล่นอีกชิ้นที่ควรมีติดบ้านสำหรับการเตรียมความพร้อมให้ลูกก่อนเริ่มทักษะการเขียนนั้น คือ กระดาน ปากกา หากสามารถเป็นแบบเขียนแล้วลบได้ก็จะช่วยเพิ่มความสนุกไม่น้อย การเขียนสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนนั้น ความคาดหวังของพ่อแม่ควรอิงต่อพัฒนาการของลูกด้วยเช่นกัน การให้ลูกได้จับดินสอขีดเขียนเป็นการฝึกให้เขาคุ้นเคย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าใจในสรีระร่างกาย มือของเด็กว่าสามารถทำได้ดีเท่าไหร่กัน ลองมาดูทักษะ และพัฒนาการของเด็กแต่ละวัยในการเขียนว่าเขาจะสามารถเขียนได้ตรงตามวัยของลูกหรือไม่จากบทความ

ลองนำไปปรับใช้กันดู สำหรับกิจกรรมเตรียมความพร้อมก่อนลูกเข้าสู่วัยเรียน วัยที่ต้องใช้ทักษะในการขีดเขียน หากลูกมีความพร้อมทั้งทางร่างกาย และจิตใจ เขาย่อมสามารถทำสิ่งนั้น ๆ ได้ดี และเป็นการช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ลูกได้อีกทางหนึ่งด้วย พ่อแม่ไม่ควรเร่งรีบให้ลูกทำให้ได้ในขณะที่เขายังไม่พร้อม ไม่มีเกณฑ์ตายตัวใด ๆ ว่าลูกเราจะต้องเหมือนคนอื่น ดังนั้นจงดูที่ความตั้งใจของลูกมากกว่าผลงาน และคอยสนับสนุน ส่งเสริมให้เขาเรียนรู้ไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามสไตล์ของตัวเองจะเป็นสิ่งที่ดีต่อลูกที่สุด

ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก ตามใจนักจิตวิทยา /www.si.mahidol.ac.th/www.phyathai.com

อ่านต่อบความดี ๆ คลิก

เช็กให้ดี กับปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนทำ โฮมสคูล !!

9 กิจกรรมเล่นกับลูกวัยอนุบาล เพิ่มทักษะ เสริมพัฒนาการรอบด้าน

หมอตอบ ของเล่นเสริมทักษะ – อุปกรณ์ IT ทำให้ลูก “เก่ง” ได้จริงหรือ?

หมอเด็กแนะ 3 เทคนิค ชวนลูกคุย เรื่องโรงเรียน ให้ลูกยอมเปิดใจ

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก

9 ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก ที่อาจทำลายอนาคตของลูกได้

Alternative Textaccount_circle
event
ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก
ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก

ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก – ทุกคนทำผิดพลาดในการเลี้ยงลูกได้เสมอ แม้ว่าเราจะมีวุฒิภาวะที่ดีหรือเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม อย่างไรก็ตามการทำหน้าที่พ่อแม่ไม่มีคำว่าสมบูรณ์แบบ และเราอาจไม่สามารถเข้าใจได้ตลอดเวลาว่าการกระทำต่างๆ ของเราจะส่งผลอย่างไร เช่น พฤติกรรมหรือแนวทางในการเลี้ยงลูก บางครั้งเราอาจคิดไม่ทันว่าการสอนลูกการว่ากล่าวตักเตือนลูกจะส่งผลอย่างไรกับลูกบ้าง

ซึ่งวิธีการเลี้ยงลูกสอนลูกบางวิธีทำส่งผลกระทบในเชิงลบมากกว่าผลดี ข้อผิดพลาดง่ายๆ ทั่วไป ที่พ่อแม่มักทำสามารถนำไปสู่ปัญหาระยะยาวอนาคตของลูกได้  เพราะอนาคตของลูก ส่วนหนึ่งอยู่ที่พ่อแม่เป็นผู้คอยส่งเสริมสนับสนุนผลักดัน วันนี้เรามาดูกันค่ะว่าข้อผิดพลาด 9 ข้อ ที่อาจส่งผลกระทบที่ไม่ดี มีอะไรบ้าง

9 ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก ที่อาจทำลายอนาคตของลูกได้

1. ลงโทษเด็กต่อหน้าผู้อื่น

บางครั้งแม่และพ่อก็โกรธลูกที่ทั้งซนทั้งดื้อ  อาจตะโกนด่าว่า และทำโทษลูกต่อหน้าคนอื่น ในช่วงเวลาเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้คิดถึงคนอื่น ๆ ว่าจะมองอย่างไรเพราะโฟกัสไปที่ลูก แต่จริงๆ แล้วเด็ก ๆ สนใจความคิดเห็นของผู้คนรอบข้างมากว่าที่เราคิด การทำให้ลูกรู้สึกอับอายในที่สาธารณะจะทำลายความมั่นใจในตนเองของเด็ก ๆ มันทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจได้มาก และเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะสลัดมันออกไปหากพวกเขามีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรต่อสภาพจิตใจเช่นนี้อยู่บ่อยๆ

2. อิทธิพลจากอดีต

สิ่งที่เกิดขึ้นในวัยเด็กของพ่อแม่อาจมีบ้างที่ทิ้งรอยประทับที่ไม่ดีไว้ที่เกิดจากการเลี้ยงดู ทำให้เราเลือกที่จะเป็นหรือไม่พ่อแม่แบบไหน เราต้องไม่ทำผิดซ้ำรอยของพ่อและแม่หรือปู่ย่าตายายของลูกเรา สิ่งสำคัญคือต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดและพยายามปกป้องคนรุ่นหลังจากอารมณ์เชิงลบต่างๆ เหล่านี้

ตัวอย่างเช่น ปัจจุบันเราทราบแล้วว่าการลงโทษทางร่างกายมีแต่จะส่งผลในทางลบ แต่พ่อแม่สมัยใหม่หลายคนยังคงใช้วิธีการลงโทษแบบนี้ และพยายามหาเหตุผลว่าเมื่อก่อนพ่อแม่ก็ทำกับพวกเขาเช่นเดียวกันเวลาลูกดื้อลูกซน  เราไม่ควรแก้ตัวในการทำผิดของเราโดยพูดว่า “ พ่อแม่ของฉันทำแบบนี้ฉันก็จะทำเช่นกัน” แต่เราควรพยายามเป็นคนที่ทำลายวงจรทีไม่ดีเหล่านี้แทนที่จะรักษาให้มันดำเนินต่อไป

ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก
ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก

3. การหักห้ามใจตัวเองมากเกินไป

อย่าคิดว่าการแสดงความรักกับลูกมากเกินไป เช่นการกอดลูกบ่อยๆ จะเป็นเรื่องที่ไม่ดี ถ้าเราไม่กอดลูกบ่อยๆ และไม่บอกพวกเขาว่าเรารักพวกเขาพวกเขาอาจเกิดความแตกแยกอารมณ์จากครอบครัว หรือเมื่อเราไม่รับฟังความรู้สึก และความคิดเห็นต่างๆ ของพวกเขา หรือเฉยเมยลูกในเวลาที่พวกเขาต้องการเรา มีโอกาสอย่างมาก ที่ลูก ๆ ของเราจะปฏิบัติในลักษณะเดียวกันกับคนอื่น ๆ และอาจเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะสนิทสนมกับใครสักคน หรือเชื่อใจคนอื่น พวกเขาจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเพื่อน หรือไม่อาจสร้างครอบครัวต่อไปได้ในอนาคต

ส่อง 10 เคล็ดลับ เลี้ยงลูกให้เป็นอัจฉริยะ แบบชาวยิว

7เทคนิคเลี้ยงลูกให้มั่นใจด้วยคำชมและ คำพูดให้กำลังใจ

10 วิธีเลี้ยงลูกให้ฉลาด สอนลูกฉลาดรู้ ฝึกลูกฉลาดทำ

4. ลักษณะนิสัยที่ไม่ดีต่างๆ 

พ่อแม่เป็นแบบอย่างของลูก และมีความเชื่อมโยงอย่างมากระหว่างนิสัยของมารดาและน้ำหนักที่เพิ่มในบุตร สำหรับผู้หญิงที่พยายามมีวิถีชีวิตที่มีสุขภาพดีความเสี่ยงของโรคอ้วนในเด็กจะลดลง 75% นักวิจัยอ้างว่านิสัยที่ดีซึ่งมีอิทธิพลเชิงบวกต่อเด็ก คือ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มหรือดื่มแอลกอฮอล์แม้เพียงเล็กน้อย

นอกจากนี้เด็กเล็กยังมีโอกาสเป็นโรคอ้วนน้อยกว่า 30% หากพ่อของพวกเขาใช้เวลาเล่นกับพวกเขามาก ๆ

5. การชดเชยมากเกินไป

ความไม่พอใจเก่า ๆ ในอดีตของเราที่มีต่อแม่และพ่อของเรา อาจนำไปสู่การเกลียดชังวิธีการเลี้ยงดูของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่พวกเขาทำถูกต้องก็ตาม ด้วยเหตุนี้เมื่อเราเริ่มต้นครอบครัวของเราเองเราอาจผลักดันมันไปไกลเกินไปเมื่อพยายามทำสิ่งที่แตกต่างออกไป

ตัวอย่างเช่น หากพ่อแม่ของเราเผด็จการเกินไปเราอาจให้อิสระกับลูกมากเกินไป และการปล่อยลูกมากเกินไปอาจส่งผลดีต่อเด็กได้ พวกเขาอาจรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและไม่ต้องการได้มากกว่าที่เราคิด

6. ตามใจหรือปกป้องมากเกินไป

บ่อยครั้งที่พ่อแม่คิดว่าลูกชายและลูกสาวของพวกเขาพิเศษและไม่เหมือนใครและพยายามทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกลายเป็ฯการตามใจที่เกินขอบเขต สำหรับคนทั่วโลกแล้วลูกของเราเป็นแค่เด็ก และถ้าพวกเขาเคยชินกับการตามใจและต้องได้ทุกอย่างที่ต้องการ พวกเขาก็อาจเติบโตมาเป็นคนเห็นแก่ตัวที่มีความรู้สึกผิดธรรมชาติเป็นคนที่ยากที่จะสื่อสารด้วย

เด็กที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้จะมีความผิดหวังมากมายในชีวิตนอกบ้าน และพวกเขาจะไม่รู้เลยว่าจะจัดการกับมันอย่างไร ในขณะเดียวกันการเลี้ยงลูกแบบป้องกันหรือปกป้องลูกมากเกินไปอาจทำให้ลูก ๆ ของคุณเกิดความกลัวต่อสิ่งต่างๆ ได้ง่าย ดังนั้นพวกเขาจะกลัวที่จะรับผิดชอบหรือออกไปนอกคอมฟอร์โซน เช่น การพบปะกับคนใหม่ๆ หรือการเริ่มต้นธุรกิจ ซึ่งทำให้ขาดโอกาสดีๆ ในชีวิตไปอย่างน่าเสียดาย

ข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก

7. การทำลายความไว้วางใจ

ต้องมีกฎเกณฑ์บางประการเกี่ยวกับพฤติกรรม แต่เด็ก ๆ ก็ควรเข้าใจว่าพวกเขาสามารถไว้วางใจพ่อแม่ของตนได้ และความไว้วางใจของเด็ก ๆ (โดยเฉพาะวัยรุ่น) นั้นสูญเสียได้ง่ายมากๆ หากพ่อแม่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองและมักทำให้พวกเขาหวาดกลัว สิ่งนี้อาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับครอบครัวและไม่รู้สึกว่าได้รับการปกป้องจากพ่อแม่

เด็กจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีทั้งกายและใจได้เมื่อครอบครัวของพวกเขาเป็นเกราะป้องกันที่ปลอดภัยที่จะช่วยให้พวกเขาสามารถจะออกไปสำรวจโลกได้อย่างเต็มที่

8. พฤติกรรมก้าวร้าว

เด็ก ๆ เรียนรู้วิธีจัดการกับปัญหาโดยการเฝ้าดูพ่อแม่เมื่อต้องรับมือกับความยากลำบาก บางครั้งด้วยธรรมชาติของเด็กเอง ทั้งการเล่นซนตามไว้ การเอาแต่ใจตามประสา ที่ทำให้พ่อแม่อาจหงุดหงิดควบคุมอารมณ์ไม่ได้และอาจพลาดใช้ความรุนแรงก้าวร้าวกับลูกไป จำไว้ว่าการหยาบคายกับลูกหรือแสดงอารมณ์เชิงลบต่อพวกเขาตั้งแต่อายุยังน้อย อาจนำไปสู่ปัญหาในการจัดการความโกรธในอนาคตของลูกได้มากกว่าที่เราคิด

9. หลีกหนีจากปัญหา

วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการ “ยุติ” ปัญหา คือ การเดินหนีและลืมมันไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสิ่งต่างๆ จะคลี่คลายได้ด้วยตัวมันเองอย่างที่ผู้ใหญ่หลายคนเชื่อ หลังจากทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างพ่อแม่และลูกคุณต้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งหัวใจสำคัญคือ การคืนความไว้วางใจ

ในการทำเช่นนี้คุณต้องใจเย็น ๆ และพูดอย่างเป็นกลางไม่มีอคติ แสดงความเคารพต่อลูกของคุณ ในตอนแรกให้ฟังพวกเขาเพื่อบอกให้พวกเขารู้ว่าคุณสนใจว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร และพยายามมองปัญหาจากมุมมองของพวกเขา จากนั้นพูดถึงความรู้สึกของคุณอธิบายเหตุผลที่คุณโกรธ และขอโทษ นี่เป็นวิธีแสดงให้เด็กเห็นว่าคุณไม่ใช่ศัตรูและคุณจะได้รับความไว้วางใจอีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและข้อผิดพลาดต่างๆ ในการเลี้ยงลูก สามารถทำให้เกิดผลเสียกับลูกได้มากมาย หากคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังแนวทางที่ถูกที่ควรให้กับลูกอย่างเหมาะสมและพอดีก็จะป้องกันการเกิดข้อผิดพลาดต่างๆ ที่อาจส่งผลเสียกับลูกได้ในอนาคต การรู้จักตามใจให้พอดีมีขอบเขตมีกติกา การทำให้ลูกไว้วางใจ การใส่ใจลูกและยื่นมาเข้าช่วยเมื่อมีปัญหา การไม่ใช้ความรุนแรงกับลูก ตัวอย่างเหล่านี้ หากคุณพ่อคุณแม่ทำได้อย่างสม่ำเสมอจะเป็นการส่งเสริมให้ลูกเกิดทักษะความฉลาดด้วย Power BQ หลายด้าน อาทิ ความฉลาดทางอารมณ์ EQ , ความฉลาดต่อการเผชิญกับปัญหา AQ, ความฉลาดในการคิดบวก OQ, ความฉลาดของการเข้าสังคม SQ  เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : brightside.me

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เปิดเทคนิค เลี้ยงลูกแบบสวีเดน ฝึกลูกให้อยู่เป็นในสังคม

วิธีการเลี้ยงลูกเชิงบวก ไม่ดุ ไม่ตี ปูพื้นฐานชีวิตลูกให้ดีใน 3 ปีแรก

3 บทบาทของพ่อแม่ สิ่งสำคัญในการเลี้ยงลูกยุคนี้โดย พ่อเอก

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก

หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก หูติดเชื้อในเด็ก ไม่ใช่เรื่องเล็กถ้าลูกป่วย!

Alternative Textaccount_circle
event
หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก
หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก

หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก – การติดเชื้อในหูหรือที่เรียกว่าหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันเป็นปัญหาที่พบบ่อยในเด็ก ทารกประมาณหนึ่งในสี่มีการติดเชื้อที่หูอย่างน้อยหนึ่งครั้งภายในวันเกิดปีแรก การติดเชื้อในหูอาจทำให้เกิดอาการปวดในหูมีไข้และสูญเสียการได้ยินชั่วคราว และสัญญาณทั่วไป เช่น เบื่ออาหารและหงุดหงิด เด็กบางคนมีอาการดีขึ้นโดยไม่ต้องรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ

แต่เด็กเล็กส่วนใหญ่จะได้รับประโยชน์จากการใช้ยาต้านจุลชีพ เด็กที่มีอาการหูอักเสบในช่วงต้นของชีวิต อาจมีแนวโน้มที่จะมีการติดเชื้อในหูซ้ำและของเหลวในหูชั้นกลางแบบต่อเนื่อง พวกเขาอาจมีความเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นจากการติดเชื้อ วันนี้เรามาทำความเข้าใจคำจำกัดความสาเหตุอาการการวินิจฉัยการรักษาและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นของการติดเชื้อในหูในทารกและเด็กกันค่ะ

หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก หูติดเชื้อในเด็ก ไม่ใช่เรื่องเล็กถ้าลูกป่วย!

การติดเชื้อที่หูคืออะไร?

การติดเชื้อในหูเรียกอีกอย่างว่าหูน้ำหนวกเฉียบพลัน (otitis = ear, media = middle) หูชั้นกลางอักเสบคือการติดเชื้อของหูชั้นกลาง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เด็กเกือบทุกคนมีอยู่ในจมูกและลำคอ

การติดเชื้อในหูส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ เช่น หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ การติดเชื้อเหล่านี้อาจทำให้เยื่อเมือกในจมูกและลำคอบวม และลดการป้องกันของโฮสต์ตามปกติ เช่น การกำจัดแบคทีเรียออกจากจมูก การเพิ่มจำนวนแบคทีเรียในจมูก การติดเชื้อทางเดินหายใจจากไวรัสอาจทำให้การทำงานของท่อยูสเตเชียนลดลง

การทำงานของท่อยูสเตเชียนตามปกติมีความสำคัญต่อการรักษาความดันปกติในหู การทำงานของท่อยูสเตเชียนที่บกพร่องจะเปลี่ยนความดันในหูชั้นกลาง (เช่นเมื่อคุณโดยสารในเครื่องบิน) ของเหลว อาจก่อตัวในหูชั้นกลางและแบคทีเรียและไวรัสก็จะตามมา ส่งผลให้เกิดการอักเสบในหูชั้นกลาง  ความดันที่เพิ่มขึ้นทำให้แก้วหูโป่งพองซึ่งนำไปสู่อาการทั่วไปของความเจ็บปวดและความงอแงในเด็กเล็กหรือแม้แต่การแตกส่งผลให้ของเหลวในช่องหูระบายออก

สาเหตุของการติดเชื้อที่หูในทารกและเด็กเล็ก

การติดเชื้อในหูหรือที่เรียกทางการแพทย์ว่าหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน คือการติดเชื้อที่ส่วนกลางของหู เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (เช่น โรคไข้หวัด) หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย การติดเชื้อเหล่านี้ทำให้เกิดของเหลวในหูชั้นกลางและเกิดการอักเสบ ในบางกรณีท่อยูสเตเชียน (ท่อเล็ก ๆ ระหว่างจมูกและหูชั้นกลาง) ก็แสดงสัญญาณของการติดเชื้อเช่นกัน

ผู้ใหญ่สามารถติดเชื้อในหูได้เช่นกัน แต่เด็กทารกและเด็กเล็กมักมีแนวโน้มที่จะเป็นได้มากกว่า โดยเฉพาะเด็กที่อายุต่ำกว่าสามขวบ เด็กห้าในหกคนจะมีอาการหูอักเสบเมื่ออายุครบ 3 ขวบ 1 ขวบ และ 25% ของเด็กจะมีอาการหูอักเสบซ้ำ

สาเหตุที่ทารกและเด็กเล็กมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อในหู ได้แก่ :

  • ช่องหูของทารกแตกต่างจากผู้ใหญ่คือสั้นกว่าแคบกว่าและวางในแนวนอนมากกว่า
  • ทารกมีแนวโน้มที่จะเป็นหวัดและไวรัสอื่น ๆ ซึ่งทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะติดเชื้อในหู
  • ระบบภูมิคุ้มกันของทารกมีการพัฒนาน้อยกว่าผู้ใหญ่ดังนั้นปฏิกิริยาของพวกเขาต่อไวรัสจึงรุนแรงกว่าซึ่งนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนเช่นการติดเชื้อในหู

หูชั้นกลางอักเสบ
หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก (Credit : www.askdrshah.com)

 

อาการของการติดเชื้อในหู

อาการของการติดเชื้อในหูในวัยรุ่นและเด็กโตอาจรวมถึงอาการปวดหูหรือปวดและสูญเสียการได้ยินชั่วคราว อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

ในทารกและเด็กเล็กอาการของการติดเชื้อในหูนั้นไม่เฉพาะเจาะจง อาการหลายอย่างของการติดเชื้อในหูอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจพร้อมกัน อาการของการติดเชื้อในหูอาจรวมถึง:

  • มีไข้ อุณหภูมิสูงกว่า 38 ° C
  • จับและดึงที่หูตัวเอง
  • งอแงหงุดหงิดหรือนอนไม่หลับ
  • กิจกรรมลดลง
  • ขาดความอยากอาหารหรือรับประทานอาหารลำบาก
  • อาเจียนหรือท้องเสีย
  • มีหนองไหลออกจากหูชั้นนอก (otorrhea)

การวินิจฉัยการติดเชื้อในหู

หากคุณสงสัยว่าลูกของคุณมีอาการหูอักเสบให้โทรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลเพื่อดูว่าเด็กควรได้รับการตรวจเมื่อใดและเมื่อใด แม้ว่าการตรวจจะไม่เจ็บปวด แต่ทารกและเด็กส่วนใหญ่ไม่ชอบให้ตรวจหู เพื่อให้กระบวนการง่ายขึ้นให้อุ้มเด็กไว้บนตักและกอดแขนและลำตัวของเด็กไว้ในขณะที่แพทย์หรือพยาบาลใช้เครื่องมือ (otoscope) เพื่อมองเข้าไปในหูของเด็ก บ่อยครั้งที่ต้องเอาซีรูเมน (ขี้หู) ออกเพื่อให้แพทย์หรือพยาบาลสามารถมองเห็นภายในหูได้ดี

แพทย์หรือพยาบาลสามารถบอกได้ว่าลูกของคุณมีการติดเชื้อในหูหรือไม่โดยดูที่ถังหู (เยื่อแก้วหู) เพื่อดูลักษณะทั่วไปของการติดเชื้อในหู

การรักษาการติดเชื้อในหู

การรักษาการติดเชื้อในหูอาจรวมถึง:

  • ยาปฏิชีวนะ
  • ยารักษาอาการปวดและไข้
  • การเฝ้าสังเกตอาการ
  • การรวมกันของข้างต้น

การรักษาควรเป็นรายบุคคลโดยพิจารณาจากอายุของบุตรหลานของคุณประวัติการติดเชื้อครั้งก่อนความรุนแรงของการเจ็บป่วยและปัญหาทางการแพทย์ใด ๆ

ยาปฏิชีวนะ – ยาปฏิชีวนะมักให้กับทารกที่อายุน้อยกว่า 24 เดือนหรือมีไข้สูงหรือติดเชื้อในหูทั้งสองข้าง เด็กที่มีอายุมากกว่า 24 เดือนและมีอาการเล็กน้อยอาจได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือมักจะสังเกตเห็นว่าอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

ยาปฏิชีวนะอาจมีผลข้างเคียงเช่นอาการท้องร่วงและผื่นและการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปอาจทำให้แบคทีเรีย (ดื้อยา) รักษาได้ยากขึ้น การดื้อยาหมายความว่ายาปฏิชีวนะชนิดใดชนิดหนึ่งไม่ได้ผลอีกต่อไปหรือต้องใช้ปริมาณที่สูงขึ้นในครั้งต่อไป

การสังเกต – ในบางกรณีแพทย์หรือพยาบาลของบุตรหลานของคุณจะแนะนำให้คุณเฝ้าดูบุตรหลานของคุณที่บ้านก่อนเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะ สิ่งนี้เรียกว่าการสังเกตอาการ การสังเกตอาการสามารถช่วยในการพิจารณาว่าจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่

อาจแนะนำให้สังเกตในสถานการณ์เหล่านี้:

  • หากเด็กอายุมากกว่า 24 เดือน
  • หากอาการปวดหูและไข้ไม่รุนแรง
  • หากเด็กมีสุขภาพแข็งแรง

หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก

ควรให้ยาบรรเทาอาการปวดเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดไม่ว่าลูกของคุณจะได้รับยาปฏิชีวนะหรือการสังเกตอาการ คุณจะต้องโทรหรือกลับไปที่แพทย์หรือสำนักงานพยาบาลหลังจาก 24 ชั่วโมงเพื่อติดตามผล หากลูกของคุณมีอาการปวดหรือมีไข้อย่างต่อเนื่องหรือแย่ลงมักแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะ อาจใช้การสังเกตอาการต่อไปหากเด็กมีอาการดีขึ้น

การจัดการความเจ็บปวด – อาจใช้ยาบรรเทาอาการปวดรวมทั้งไอบูโพรเฟน (ชื่อทางการค้าตัวอย่าง: Motrin) และอะเซตามิโนเฟน (ชื่อทางการค้าตัวอย่าง: ไทลีนอล) เพื่อลดความรู้สึกไม่สบาย

การรักษาทางการแพทย์เสริมและทางเลือก – มีการรักษาแบบเสริมและการแพทย์ทางเลือก (CAM) มากมายที่โฆษณาว่าใช้รักษาการติดเชื้อในหู ซึ่งอาจรวมถึงการรักษาด้วยชีวจิต, ธรรมชาติบำบัด, ไคโรแพรคติกและการฝังเข็ม

มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการรักษาด้วย CAM สำหรับการติดเชื้อในหูและการศึกษาน้อยลงที่แสดงให้เห็นว่าการรักษา CAM ได้ผล ด้วยเหตุนี้จึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีการรักษาเหล่านี้สำหรับการติดเชื้อในหูในเด็ก

ยาลดน้ำมูกและยาแก้แพ้ – ยาแก้ไอและยาแก้หวัด (ซึ่งมักรวมถึงยาลดน้ำมูกหรือยาต้านฮีสตามีน) ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถรักษาหรือลดภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อในหูในเด็กได้ นอกจากนี้การรักษาเหล่านี้ยังมีผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายได้ ไม่แนะนำให้ใช้ยาลดน้ำมูกหรือยาแก้แพ้สำหรับเด็กที่ติดเชื้อในหู

การติดตามผล – อาการของลูกควรดีขึ้นภายใน 24 ถึง 48 ชั่วโมงไม่ว่าจะมีการสั่งยาปฏิชีวนะหรือไม่ก็ตาม หากลูกของคุณไม่ดีขึ้นหลังจาก 48 ชั่วโมงหรือแย่ลงเมื่อใดก็ได้ ให้โทรติดต่อแพทย์หรือพยาบาลเพื่อขอคำแนะนำ แม้ว่าอาการไข้และความรู้สึกไม่สบายอาจดำเนินต่อไปแม้ว่าจะเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะแล้วก็ตาม แต่เด็กควรมีอาการดีขึ้นทุกวัน หากบุตรของคุณป่วยมากกว่าตอนไปพบแพทย์ครั้งแรกให้ติดต่อผู้ให้บริการโดยเร็วที่สุด

เด็กที่อายุน้อยกว่าสองปีและผู้ที่มีปัญหาด้านภาษาหรือการเรียนรู้ควรได้รับการตรวจหูติดตามสองถึงสามเดือนหลังจากได้รับการรักษาอาการหูอักเสบ เด็กเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อความล่าช้าในการเรียนรู้ที่จะพูด การติดตามผลนี้ช่วยให้แน่ใจว่าการเก็บของเหลว (ซึ่งอาจส่งผลต่อการได้ยิน) ได้รับการแก้ไขแล้ว

การติดเชื้อในหู

การแตกของเยื่อแก้วหู – หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยของการติดเชื้อในหูคือการแตกของถังหูหรือที่เรียกว่าเยื่อแก้วหู เยื่อแก้วหูสามารถแตกได้เมื่อมีการลดการไหลเวียนของเลือดและทำให้เนื้อเยื่ออ่อนแอลง ไม่เจ็บเมื่อพังผืดแตก และเด็ก ๆ หลายคนรู้สึกดีขึ้นจริง ๆ เพราะมีการปลดปล่อยแรงดัน โชคดีที่เยื่อแก้วหูมักจะหายเร็วหลังจากแตก การแตกของถังหูเป็นข้อบ่งชี้ในการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อในหู

การสูญเสียการได้ยิน – ของเหลวที่สะสมอยู่หลังแก้วหู (เรียกว่าการไหล) สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนหลังจากความเจ็บปวดจากการติดเชื้อในหูหายไป การไหลของน้ำทำให้เกิดปัญหาในการได้ยินซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้นชั่วคราว อย่างไรก็ตามหากของเหลวยังคงมีอยู่อาจรบกวนการเรียนรู้และ / หรือการพูด (ดู “หูชั้นกลางอักเสบที่มีน้ำไหล (หูน้ำหนวก) ในเด็ก: ลักษณะทางคลินิกและการวินิจฉัย” และ “หูชั้นกลางอักเสบที่มีน้ำในช่องท้อง (หูน้ำหนวก) ในเด็ก: การจัดการ”)

เด็กที่มีปัญหาด้านการพูดการได้ยินหรือพัฒนาการอาจมีผลลัพธ์ที่แย่กว่าที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียการได้ยินที่เป็นของเหลวและเป็นสื่อกระแสไฟฟ้า ควรได้รับการประเมินก่อนช่วงเวลาสามเดือนที่แนะนำสำหรับเด็กที่ไม่มีปัญหาเหล่านี้เนื่องจากอาจต้องได้รับการแทรกแซงก่อนหน้านี้ เด็กที่ไม่ได้รับการบำบัดอาการหนองไหลควรได้รับการตรวจสอบเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งรวมถึงการตรวจหูและการทดสอบการได้ยินทุกๆ สามถึงหกเดือนจนกว่าการไหลของหนองจะหายไป

หูชั้นกลางอักเสบในเด็ก

การป้องกันการติดเชื้อในหู

เด็กบางคนเกิดการติดเชื้อในหูบ่อยๆ การติดเชื้อในหูที่กำเริบหมายถึงการติดเชื้อสามครั้งขึ้นไปในหกเดือนหรือการติดเชื้อสี่ครั้งขึ้นไปภายใน 12 เดือน นอกเหนือจากการได้รับวัคซีนป้องกันโรคปอดบวมและวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามคำแนะนำของ American Academy of Pediatrics และ American Academy of Family Practice

สำหรับเด็กทุกคนแล้วการแทรกแซงหลายอย่างสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำได้ สิ่งเหล่านี้รวมถึงการหลีกเลี่ยงควันบุหรี่การให้นมบุตรการให้ยาปฏิชีวนะในขนาดต่ำอย่างต่อเนื่อง (เรียกว่าการป้องกันโรค) และ / หรือการผ่าตัดใส่ท่อในหู (ดู “หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันในเด็ก: การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ” และ “การศึกษาผู้ป่วย: วัคซีนสำหรับทารกและเด็กอายุ 0 ถึง 6 ปี (นอกเหนือจากพื้นฐาน)”)

ยาปฏิชีวนะป้องกัน – เด็กที่มีอาการหูอักเสบกำเริบบางครั้งได้รับการรักษาด้วยวิธีการป้องกันของยาปฏิชีวนะ แม้ว่ายาปฏิชีวนะป้องกันอาจช่วยลดจำนวนการติดเชื้อในหูได้ แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่เด็กจะติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่การรับประทานยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานอาจนำไปสู่แบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฏิชีวนะมาตรฐาน พูดคุยกับแพทย์หรือพยาบาลของบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับประโยชน์และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากแนวทางนี้

การผ่าตัด – การศึกษาบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการผ่าตัดใส่ท่อแก้วหูในหูช่วยป้องกันการติดเชื้อในหูซ้ำ ท่อแก้วหูปล่อยให้ของเหลวไหลออกจากหูชั้นกลาง (รูปที่ 2) ปล่อยให้อากาศเข้าไปในหูชั้นกลางและรักษาความดันในหูชั้นกลางและช่องหูให้เท่ากัน การศึกษาอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าไม่มีประโยชน์ของ ท่อแก้วหูในการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ พูดคุยกับแพทย์ของบุตรหลานของคุณเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการผ่าตัด

การดูแลรักษาสุขภาพภายในช่องหูเป็นสิ่งที่พ่อแม่ต้องให้ความสำคัญ  หน้าที่ของทั้งคุณพ่อคือคอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของลูกน้อย ตลอดจนเช็คพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัย สำหรับเด็กๆ วัยเตาะแตะที่สามารถสื่อสารโต้ตอบกับคุณได้ดูแลรักษาความสะอาดและสุขอนามัยส่วนตัว

คุณพ่อคุณแม่สามารถอธิบายให้เด็ก ๆ ได้รู้ว่าการไม่ดูแลตนเอง ไม่รักษาความสะอาดนั้นจะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ขึ้นได้ง่าย ดังนั้นการแนะนำให้ลูกดูแลรักษาความสะอาด เช่น  การล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนการรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ  การแปรงฟันก่อนนอน หรือหลังอาหาร การอาบน้ำ การใช้อุปกรณ์ป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคต่าง ๆ เช่น ใส่หน้ากากอนามัย เป็นต้น ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย ทำให้ไม่เจ็บป่วยง่าย  ที่สำคัญยังเป็นการเสริมสร้างให้ลูกเกิด ความฉลาดต่อการมีสุขภาพที่ดี (HQ)ซึ่งนับว่าเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับเด็กในยุคนี้ ที่ดูเหมือนว่าโรคระบาดครองเมืองค่ะ

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : uptodate.com , verywellfamily.com

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

อุทาหรณ์!! เลี้ยงหมาในบ้าน ระวัง เห็บหมาเข้าหูลูก

ฝีในต่อมน้ำลาย ก้อนแข็ง ๆ หลังติ่งหูทารก สัญญาณบอกโรค

วิธีสังเกตและทดสอบว่า ลูกหูหนวก หรือไม่ (ตั้งแต่แรกเกิด- 2ปี)

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

 

keyboard_arrow_up